MCS1400 (MCS1450) การกระจายเสียงและการแพร่ภาพ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา MCS 1400 (MCS 1450) การกระจายเสียงและการแพร่ภาพ

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1.         สถานีโทรทัศน์แห่งแรกของโลก ตั้งขึ้นที่ประเทศใด

(1)       รัสเซีย  

(2) เยอรมนี      

(3) อังกฤษ      

(4) สหรัฐอเมริกา

ตอบ 3 หน้า 2325169 จุดกำเนิดสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งแรกของโลก คือ สถานีวิทยุโทรทัศน์ BBC ของอังกฤษ ซึ่งได้แพร่ภาพด้วยระบบขาวดำอย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2479 โดยมีพิธีเปิดการแพร่ภาพขึ้นที่พระราชวังอเล็กซานดร้า กรุงลอนดอน

2.         แนวความคิดในการจัดระบบวิทยุและโทรทัศน์ที่เป็นระบบผูกขาดโดยหน่วยงานของรัฐ

(1)       Mixed System 

(2) Dual System

(3) Free Market System    

(4) Public Service System

ตอบ 4 หน้า 111 – 112 แนวความคิดในการจัดระบบวิทยุและโทรทัศน์แบบ Public Service System (แนวคิดสื่อสารเพื่อประโยชน์สาธารณะ) คือ

1.         รัฐมีความรับผิดชอบในการให้ข่าวสารข้อมูล และรักษาวัฒนธรรมแห่งชาติ

2.         รัฐเป็นผู้จัดระเบียบในด้านที่มาของรายได้ การจัดสรรคลื่น และคุณภาพของรายการ

3.         เป็นระบบที่ผูกขาดโดยหน่วยงานของรัฐ หรืออาจเป็นการผูกขาดแบบ Duopoly (เล่นพรรคเล่นพวก) โดยมีเอกชนเป็นคู่แข่งเพียง 1-2 รายเท่านั้น รัฐจึงเป็นทั้ง Supplier (ผลิตรายการเอง) และเป็น Regulator (ผู้ควบคุมรายการ) ไปพร้อมกัน

3.         ประเทศที่เป็นแม่แบบของแนวคิด Free Market System คือ

(1) ญี่ปุ่น         (2) รัสเซีย        (3) อังกฤษ      (4) สหรัฐอเมริกา

ตอบ 4 หน้า 111 – 113 ประเทศสหรัฐอเมริกาถือเป็นแม่แบบของแนวคิด Free Market System (แนวคิดสื่อสารในตลาดเสรี) หรือระบบที่ธุรกิจเอกชนเป็นผู้ให้บริการ คือ ดำเนินการในรูปตลาดเสรี ที่ให้ธุรกิจเอกชนแข่งขันกันอย่างเต็มที่ (Competition) โดยเชื่อว่า ถ้าเป็นตลาดที่สมบูรณ์แล้ว จะมีการแข่งขันกันของผู้ประกอบการ และท้ายที่สุดผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์สูงสุด

4.         แนวคิดที่เป็นระบบพหุนิยมในแนวตลาดเสรีที่กำลังขยายตัวไปทั่วโลก คือ

(1) Public Service System (2) Free Market System

(3) Mixed System      (4) Dual System

ตอบ 3 หน้า 111113 ใบช่วงทศวรรษที 1980 – 1990 กำลังเป็นช่วงที่มีการปรับไปสู่ทิศทางของ ระบบพหุนิยมในแนวตลาดเสรี จึงทำให้เกิดระบบในแบบที่ 3 คือ ระบบผสม (Mixed System) ระหว่างแนวคิดสื่อสารเพื่อประโยชน์สาธารณะกับแนวคิดสื่อสารในตลาดเสรีขยายตัวไปทั่วโลก

5.         ระบบนี้มีความเชื่อว่ากิจการวิทยุและโทรทัศน์ รัฐต้องเข้ามามีความรับผิดชอบในการให้ข้อมูลข่าวสาร และรักษาวัฒนธรรมแห่งชาติ หมายถึงข้อใด

(1) Free Market System    (2) Public Service System

(3) Mixed System      (4) Dual System

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ

6.         พัฒนาการของวิทยุกระจายเสียงในโลกถือว่าประเทศใดเป็นผู้บุกเบิกกิจการวิทยุกระจายเสียง

(1) รัสเซีย        (2) อังกฤษ      (3) สหรัฐอเมริกา         (4) ญี่ปุ่น

ตอบ 3 หน้า 155 – 156 พัฒนาการของวิทยุกระจายเสียงถือว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้บุกเบิกกิจการวิทยุกระจายเสียงโลก โดยมีสถานีวิทยุกระจายเสียงอยู่กลุ่มหนึ่งที่ถือว่า เป็นสถานีวิทยุกระจายเสียงในยุคแรก ๆ คือ สถานี KCBS (ค.ศ. 1909), WHA (ค.ศ. 1917), WWJ (ค.ศ. 1920) และ KDKA (ค.ศ. 1920)

ข้อ 7. – 10. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) VOA      (2) BBC      (3) NHK     (4) FCC

7.         คณะกรรมการการสื่อสารแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา

ตอบ 4 หน้า 24114168 คณะกรรมการการสื่อสารแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา หรือ FCC (Federal Communications Commission) เป็นองค์กรอิสระของรัฐ ซึ่งมีหน้าที่ดูแล กิจการวิทยุและโทรทัศน์ทั้งหมด รวมทั้งคอยจัดสรรคลื่นวิทยุเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ ด้วย

8.         บรรษัทวิทยุและโทรทัศน์ของอังกฤษ

ตอบ 2 หน้า 161 – 162169 บรรษัทวิทยุและโทรทัศน์อังกฤษ (British Broadcasting Corporation ะ BBC) มีฐานะเป็นบรรษัทสาธารณะที่ได้รับงบประมาณจากรัฐบาล โดยเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ให้มีเครื่องรับวิทยุและโทรทัศน์จากประชาชนมาเป็นค่าใช้จ่ายของบรรษัท

9.         สถานีวิทยุภาคภาษาต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา

ตอบ 1 หน้า 159 – 160, (คำบรรยาย) การกระจายเสียงภาคต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา คือ สถานีวิทยุคลื่นสั้น VOA (Voice of America) 

ซึ่งเป็นสถานีวิทยุภาคภาษาต่างประเทศที่ กระจายเสียงไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกถึง 35 ภาษา ออกอากาศสัปดาห์ละ 805 ชั่วโมง และมีผู้รับฟังประมาณ 26 ล้านคน โดยในประเทศไทยได้จัดตั้งสถานีทวนสัญญาณ (Rely Station) ขึ้นที่จังหวัดอุดรธานี เพื่อส่งกระจายเสียงต่อไปยังประเทศต่าง ๆ ในแถบเอเชีย

10.       บรรษัทการกระจายเสียงของญี่ปุ่น

ตอบ 3 หน้า 165 – 166 บรรษัทการกระจายเสียงแห่งญี่ปุ่น (Nippon Hoso Kyokai : NFIK)เป็นองค์การกระจายเสียงแห่งชาติที่ทำการกระจายเสียงเพื่อสาธารณะ โดยไม่แสวงหากำไร และมีรายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมเครื่องรับวิทยุและโทรทัศน์ ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับ BBC ของอังกฤษ

11.       ประสิทธิภาพของสื่อมวลชนโดยทั่วไปมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาจากอะไร

(1) เวลาและปริมาณของสื่อ    

(2) ความรวดเร็วและความคงอยู่ของสื่อ

(3) การเปิดโอกาสให้ผู้รับมีส่วนร่วมในการสื่อสาร      

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ประสีทธิภาพของสื่อมวลชนโดยทั่วไปมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณา คือ เวลา และปริมาณของสื่อ ความรวดเร็วของสื่อ การเปิดโอกาสให้ผู้รับสารมีส่วนร่วมในการสื่อสาร และความคงอยู่ของสื่อ ทั้งนี้วิทยุและโทรทัศน์จะมีประสีทธิภาพดีในเรื่องของเวลา ปริมาณ การนำเสนอ และความรวดเร็วของสื่อ ส่วนหนังสือพิมพ์จะมีประสีทธิภาพดีในเรื่องของ การเปิดโอกาสให้ผู้รับสารมีส่วนร่วมใบการสื่อสาร และความคงอยู่ของสื่อ

12.       สื่อมวลชนข้อใดต่อไปนี้ที่เข้าถึงประชาชนได้มากที่สุด

(1)       ภาพยนตร์กลางแปลง 

(2) วิทยุกระจายเสียง

(3) วิทยุโทรทัศน์          

(4) หนังสือพิมพ์

ตอบ 3 (คำบรรยาย) จากผลการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) เกี่ยวกับการฟังวิทยุ และการดูโทรทัศน์ของประชากรไทยในปัจจุบัน พบว่า แนวโน้มประชากรไทยฟังวิทยุลดลง แต่ดูโทรทัศน์มากขึ้น นั่นหมายถึง สื่อมวลชนที่สามารถเข้าถึงประชาชนได้มากที่สุดในปัจจุบัน คือ วิทยุโทรทัศน์ (ในสมัยก่อนสื่อที่เข้าถึงประชาชนได้มากที่สุด คือ วิทยุกระจายเสียง)

13.       หน้าที่ของการสื่อสารใบการดูแลและบอกกล่าวถึงสภาพแวดล้อม (Surveillance of the Environment) ตรงกับหน้าที่ของสื่อมวลชนในข้อใด

(1) หน้าที่ให้การศึกษา (2) หน้าที่เสนอความคิดเห็น

(3) หน้าที่เสนอข่าวสาร            (4) หน้าที่ให้ความบันเทิง

ตอบ 3 หน้า 88 – 89 หน้าที่นำเสนอหรือให้ข่าวสาร คือ หน้าที่ในการดูแลและบอกกล่าวถึงสภาพแวดล้อม หรือสอดส่องระวังระไวเกี่ยวกับส่งแวดล้อม (Surveillance of the Environment) หมายถึง การแสวงหาและเผยแพรข่าวสารเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสิ่งแวดล้อม ทั้งเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นภายในและภายบอกสังคมหนึ่ง ๆ เช่น รายการข่าวประจำวับ รายงานการจราจร รายงานการพยากรณ์อากาศ ฯลฯ

14.       ห้างบีกริมม์” มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับข้อใดต่อไปนี้

(1)       เป็นผู้นำ วิทยุโทรเลข” มาสาธิตครั้งแรกในประเทศไทย

(2)       เป็นผู้นำ วิทยุโทรทัศน์” มาทดลองออกอากาศให้นายกรัฐมนตรีดูในงานวันเกิด

(3)       เป็นผู้ขออนุญาตทดลองจัดตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงชั่วคราวที่กรุงเทพฯ และเกาะสีชัง

(4)       เป็นผู้ขออนุญาตเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ครั้งแรกของไทย

ตอบ 1 หน้า 32, (คำบรรยาย) วิวัฒนาการของวิทยุกระจายเสียงไทยเริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในสมัยของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที 5) เนื่องด้วยห้างบีกริมม์ซึ่งเป็นผู้แทน บริษัทวิทยุโทรเลขเทเลฟุงเก็นของเยอรมนี ได้เป็นผู้นำวิทยุโทรเลขมาสาธิตในประเทศไทย เป็นครั้งแรกโดยได้แจ้งและขออนุญาตตอกระทรวงโยธาธิการเพื่อทดลองจัดตั้งสถานีวิทยุโทรเลข ชั่วคราวขึ้นที่กรุงเทพฯ และเกาะสีชัง แต่การทดลองครั้งนั้นไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร

15.       กิจการวิทยุโทรเลขในประเทศไทย เมื่อเปรียบเทียบกับการกำเนิดวิทยุโทรเลขของโลกมีระยะห่างกันกี่ปี

(1) 6 ปี          (2) 12 ปี          (3) 15 ปี          (4) 20 ปี

ตอบ 1 หน้า 17,32 กิจการวิทยุโทรเลขในประเทศไทยกำเนิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2450 โดยกรมทหารเรือ ได้นำเครื่องรับส่งวิทยุโทรเลขแบบมาร์โคนีของอังกฤษมาใช้ในราชการทหารเป็นครั้งแรก ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการกำเนิดวิทยุโทรเลขของโลกแล้วจะมีระยะเวลาใกล้เคียงกัน คือ มีระยะห่างกับเพียง 6 ปี หลังจากทีมาร์โคนีส่งสัญญาณวิทยุข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกสำเร็จ ในปี พ.ศ. 2444

16.       บุคคลแรกที่เป็นผู้นำเอาการทดลองการส่งสัญญาณวิทยุโทรเลขไปสู่การผลิตแบบอุตสาหกรรมได้สำเร็จ คือ

(1) เฮนริช เฮิรตซ์         (2) กูกลิเอลโม มารโคนี

(3) เจมส์ คลาก แมกซ์เวลล์     (4) เรจินัลด์ เอ. เฟสเสนเดน

ตอบ 2 หน้า 17 – 18 ในปี พ.ค. 2438 ถูกลิเอลโม มารโคนี (Guglielmo Marconi) ได้ประดิษฐ์ เครื่องมือการสื่อสารที่เรียกว่า วิทยุโทรเลข (Wireless Telegraph) สำเร็จเป็นครั้งแรก ต่อมาใน พ.ศ. 2444 เขาก็ได้ทดลองส่งสัญญาณวิทยุโทรเลขข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก และ ได้นำเอาการทดลองนี้ไปสู่การผลิตแบนอุตสาหกรรมได้สำเร็จเป็นคนแรก จนได้รับการยกย่อง ว่าเป็น บิดาของกิจการวิทยุกระจายเสียงโลก

17.       ในอังกฤษนิยมใช้คำดั้งเดิมเรียกวิทยุกระจายเสียงว่าอะไร

(1) Radio   (2) Wireless       (3) Cable   (4) Broadcast

ตอบ 2 หน้า 2 คำว่า วิทยุกระจายเสียง” มักเรียกกันสั้น ๆ ว่า วิทยุ” ในขณะที่ชาวอังกฤษนิยม ใช้คำดั้งเดิมว่า Wireless (ไม่มีสาย) ส่วนชาวอเมริกันนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า Radio

18.       “Television” ได้บัญญัติคำเป็นภาษาไทยครั้งแรกว่าอะไร

(1) โทรทัศน์     (2) ภาพทัศน์   (3) วิทยุโทรทัศน์          (4) วิทยุภาพยนตร์

ตอบ 3 หน้า 381 คำว่า “Television” นี้กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ได้ทรงวิเคราะห์ศัพท์ และได้บัญญัติคำเป็นภาษาไทยครั้งแรกว่า วิทยุโทรทัศน์” (มักเรียกสั้น ๆ ว่า โทรทัศน์)ซึ่งหมายถึง การส่งและรับสัญญาณภาพและเสียงโดยเครื่องส่งและเครื่องรับอิเล็กทรอนิกส์ ออกอากาศด้วยกระแสคลื่นวิทยุที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเครื่องส่งไปยัง เครื่องรับที่อยู่ห่างไกล

19.       วิทยุโทรทัศน์วงจรปิด หมายถึงข้อใด

(1) Closed Circuit Television     (2) Circuited Close Television

(3) Commercial Circuit Television    (4) Circuit Commercial Television

ตอบ 1 หน้า 74 วิทยุโทรทัศน์วงจรปิด (Closed Circuit Television) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า CCTV หมายถึง วิทยุโทรทัศน์ที่ใช้ส่งและรับทางสายเคเบิลหรือสายแกนร่วม (Coaxial Cable) ไปยัง จุดที่ติดดั้งเครื่องรับ ไม่ได้ส่งออกอากาศไปไกล ๆ เช่น จากห้องควบคุม (Control Room) ไปยังห้องเรียนต่าง ๆ

20.       กำเนิดของวิทยุกระจายเสียงโลกมีสาเหตุมาจากข้อใด

(1)       เกิดขึ้นโดยบังเอิญเนื่องจากการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น

(2)       มีการให้รางวัลสำหรับการค้นคว้าแก่นักวิทยาศาสตร์ที่ประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ

(3)       การปฏิวัติอุตสาหกรรมและการขยายอำนาจแสวงหาอาณานิคม

(4)       ปัจจัยทางสังคมที่เกิดจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมและการขยายตัวทางการค้า และการให้รางวัลต่อ ความก้าวหน้าทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์

ตอบ 4 หน้า 16 การกำเนิดของวิทยุกระจายเสียงโลกมีสาเหตุมาจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการ คือ

1.         ปัจจัยทางสภาพสังคมที่เกิดจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมและการขยายตัวทางการค้า ทำให้ประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปมีความจำเป็นต้องแสวงหาอาณานิคม

2.         การให้รางวัลสำหรับการค้นคว้า ซึ่งมีผลต่อความก้าวหน้าทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์

21.       ข้อใดเป็นพัฒนาการวิธีการติดต่อสื่อสารจนมาถึงวิทยุกระจายเสียง

(1) โทรศัพท์ โทรเลข วิทยุโทรเลข วิทยุโทรทัศน์           

(2) โทรเลข โทรศัพท์ วิทยุโทรเลข วิทยุโทรศัพท์

(3) โทรเลข โทรศัพท์ วิทยุโทรศัพท์ วิทยุโทรเลข           

(4) โทรศัพท์ โทรเลข วิทยุโทรทัศน์ วิทยุโทรเลข

ตอบ 2 หน้า 16 นักวิทยาศาสตร์ได้คิดค้นและพัฒนาวิธีการติดต่อสื่อสารแบบใหม่ที่เหมาะสมและ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ นับตั้งแต่โทรเลข โทรศัพท์ วิทยุโทรเลข วิทยุโทรศัพท์ ไปจนถึงวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ในปัจจุบัน

22.       การส่งวิทยุกระจายเสียงที่ไม่ต้องใช้คลื่นความถี่เหมือนการออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงทั่วไป หมายถึงข้อใด

(1)       วิทยุกระจายเสียงผ่านอินเทอร์นัล       

(2) วิทยุกระจายเสียงผ่านอินฟราเรด

(3) วิทยุกระจายเสียงผ่านอินเทอร์เน็ต            

(4) วิทยุกระจายเสียงผ่านอินทราเน็ต

ตอบ 3 หน้า 82 – 83 การส่งวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ผ่านอินเทอร์เน็ต เป็นการแปลง (Convert) ระบบกระจายเสียงจากระบบ Analog เป็นระบบ Digital โดยม่ต้องใช้คลื่นความถี่ เหมือนการออกอากาศทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ทั่วไป ซึ่งเมื่อคนต้องการฟัง และชมก็สามารถ Click เข้าไปที่ Website นั้น ๆ ไต้ เรียกว่า Web-Radio และ Web-TV

23.       สถานีวิทยุโทรเลขแห่งแรกของไทยตั้งอยู่ที่ใด

(1) วังพญาไท กรุงเทพฯ          

(2) หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

(3) ตำบลศาลาแดง กรุงเทพฯ 

(4) ปากคลองโอ่งอ่าง กรุงเทพฯ

ตอบ 3 หน้า 32 รัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ราชการทหารเรือจัดตั้งสถานีวิทยุโทรเลขถาวร ในสังกัดของกระทรวงทหารเรือขึ้น 2 สถานี คือ ที่ตำบลศาลาแดง กรุงเทพฯ กับที่ชายทะเล จ.สงขลา โดยพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดสถานีวิทยุโทรเลขแห่งแรกของไทย ที่ตำบลศาลาแดง กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2456

24.       ระบบการแพร่ภาพของสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยโนระยะเริ่มแรกนั้น ใช้ระบบอะไร

(1) ระบบขาวดำ 525 เส้น       (2) ระบบ PAL 625 เส้น

(3) ระบบ NTSC 525 เส้น    (4) ระบบ SECAM 625 เส้น

ตอบ 1 หน้า 4371 ระบบการแพร่ภาพของสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยในระยะเริ่มแรกนั้นจะใช้ระบบ ขาวดำ 525 เส้น เรียกว่า ระบบ EIA แต่ตั้งแต่ พ.ศ. 2517 จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยก็ได้ เปลี่ยนมาใช้ระบบสี คือ ระบบ PAL สัญญาณภาพ 625 เส้น (25 ภาพต่อวินาที)

25.       ระบบการแพร่ภาพของสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยในปัจจุบัน ใช้ระบบอะไร

(1) ระบบสี 525 เส้น   (2) ระบบ CCIR 625 เส้น

(3) ระบบ PAL 625 เส้น        (4) ระบบ SECAM 525 เส้น

ตอบ 3 ดูดำอธิบายข้อ 24. ประกอบ

26.       การจัดตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยในส่วนภูมิภาคเพื่อต้องการให้ประชาชนได้มีโอกาสเท่าเทียมกัน ในการรับข่าวสาร นโยบาย และการพัฒนาประเทศ เป็นความคิดริเริ่มในการก่อตั้งของรัฐบาลชุดใด

(1) รัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์            (2) รัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจร

(3) รัฐบาลของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์       (4) รัฐบาลของนายชวน หลีกภัย

ตอบ 1 หน้า 48 – 49149 การจัดตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยในส่วนภูมิภาคเป็นความคิดริเริ่มของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยท่านเล็งเห็นว่า วิทยุโทรทัศน์มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถจะแพร่ภาพไปทั่วประเทศได้ จึงบัญชาให้กรมประชาสัมพันธ์ จัดตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยในส่วนภูมิภาคขึ้น โดยให้ทำหน้าที่เป็นสถานีแม่ข่าย ในส่วนภูมิภาคทั้งหมด เมื่อปี พ.ศ. 2503

27.       สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยอยู่ภายใต้การดำเนินงานของหน่วยงานใด(1)       องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.)     (2) กองทัพบก

(3) กรมประชาสัมพันธ์            (4) บริษัทไทยโทรทัศน์ จำกัด

ตอบ3 หน้า 49137 – 138 สถานีวิทยุโทรทัศน์ที่อยู่ภายใต้การดำเนินงานของกรมประชาสัมพันธ์ มีดังนี้

1.         สถานีในส่วนกลาง คือ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 (NBTหรือ สทท.ในปัจจุบัน)

2.         สถานีในส่วนภูมิภาค คือ สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 45789 และ 10 ซึ่งทั้งหมดจะทำหน้าที่เป็นสถานีแม่ข่ายในส่วนภูมิภาค

28.       สถานีวิทยุโทรทัศน์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ ทำหน้าที่ให้ความรู้ การศึกษา เผยแพร่ข่าวสารการประชาสัมพันธ์และสนับสนุนนโยบายของรัฐ คือสถานีช่องใด

(1)       สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 อ.ส.ม.ท.    (2) สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5

(3) สถานีวิทยุโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7       (4) สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11ตอบ 4 หน้า 50 สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11 (สทท. ในปัจจุบัน) จัดตั้งขึ้นโดยมี วัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ ทำหน้าที่ให้ความรู้ การศึกษา เผยแพร่ ข่าวสารการประชาสัมพันธ์และสนับสนุนนโยบายของรัฐ และให้เป็นสถานีวิทยุโทรทัศน์แม่ข่าย ถ่ายทอดไปยังสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยส่วนภูมิภาคในลักษณะเครือข่ายโดยเชื่อมโยง สัญญาณด้วยระบบไมโครเวฟขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย หรือระบบดาวเทียมของ การสื่อสารแห่งประเทศไทย

29.       งานกำกับรายการของสถานีวิทยุโทรทัศน์ขึ้นอยู่กับฝ่ายใด

(1) ฝ่ายเทคนิค            (2) ฝ่ายข่าว     (3) ฝ่ายจัดรายการ      (4) ฝ่ายศิลปกรรม

ตอบ 3 หน้า 147149 ฝ่ายจัดรายการของสถานีวิทยุโทรทัศน์จะดำเนินการจัดเตรียมรายการเพื่อ ออกอากาศให้เป็นไปตามตารางเวลาออกอากาศ และดำเนินการออกอากาศ ซึ่งประกอบด้วย งานกำกับรายการ งานกำกับเวที งานผังรายการ งานตรวจบท งานภาพยนตร์ งานรายการสด งานผู้ประกาศ งานโฆษณา และงานพากย์ภาพยนตร์ เป็นต้น

30.       งานออกแบบ และงานกราฟิกของสถานีวิทยุโทรทัศน์ขึ้นอยู่กับฝ่ายใด

(1) ฝ่ายช่าง     (2) ฝ่ายเทคนิค            (3) ฝ่ายศิลปกรรม       (4) ฝ่ายผลิตรายการ

ตอบ 3 หน้า 147, (คำบรรยาย) ฝ่ายศิลปกรรมของสถานีวิทยุโทรทัศน์จะดำเนินการเกี่ยวกับ งานออกแบบ งาบกราฟิก และงานสร้างฉาก เป็นต้น

31.       . การเปลี่ยนแปลงการเสนอรายการข่าวครั้งใหญ่ และการเรียกร้องให้ปฏิรูปสื่อวิทยุและโทรทัศน์เริ่มขึ้นเมื่อใด

(1) หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519     

(2) หลังเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535

(3)       หลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2542

(4)       หลังการประกาศใช้ พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2543

ตอบ 2 หน้า 5254 – 56, (คำบรรยาย) ภายหลังเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535 ก่อให้เกิด กระแสการเรียกร้องให้ปฏิรูปสื่อวิทยุและโทรทัศน์กันอย่างกว้างขวาง ซึ่งต่อมาก็ได้มีการจัดตั้ง สถานีโทรทัศน์ไอทีวี (ITV ะ Independent Television หรือทีวีเสรี ซึ่งปัจจุบันคือ ไทยพีบีเอส) ขึ้นมาเพื่อเสนอข่าวสารอย่างเป็นกลางโดยปราศจากอำนาจของรัฐและนายทุน จึงถือเป็น การเปลี่ยนแปลงการเสนอรายการข่าวครั้งใหญ่ในประเทศไทย

32.       ข้อใดไม่ใช่อิทธิพลของวิทยุที่มีต่อผู้ฟัง

(1)       หันเหผู้ฟังจากความวิตกกังวลต่าง ๆ   

(2) สร้างความหวังและแรงบันดาลใจ

(3) สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฟังด้วยกัน 

(4) สร้างความรู้สึกแปลกใหม่ ไฮเทค

ตอบ 3 หน้า 102 – 108, (คำบรรยาย) อิทธิพลของวิทยุที่มีต่อผู้ฟังทางด้านนามธรรม คือ

1.         ช่วยหันเหผู้ฟังจากความวิตกกังวลและความเครียดต่าง ๆ

2.         สร้างความหวังและแรงบันดาลใจ      3. สร้างความรู้สึกแปลกใหม่ ไฮเทค ฯลฯ

33.       สื่อใดต่อไปนี้ที่มีแนวโน้มเสนอวัฒนธรรมที่หลากหลายได้มากที่สุด

(1) หนังสือพิมพ์           (2) โทรทัศน์     (3) ภาพยนตร์  (4) วิทยุ

ตอบ 2 (คำบรรยาย) คุณสมบัติของโทรทัศน์ที่เป็นสื่อทรงอิทธิพล มีดังนี้

1.         สามารถเสนอวัฒนธรรมที่หลากหลายได้มากที่สุด

2.         มีความรวดเร็วในการส่ง-รับสารได้ทันที

3.         เน้นเสนอเนื้อหาในการตีความ และอธิบายรายละเอียดได้มากขึ้น ฯลฯ

34.       สถานีวิทยุโทรทัศน์ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็นสถานีวิทยุโทรทัศน์ที่นำเสนอรายการข่าวและสาระ ในสัดส่วน 70% ของผังรายการ หมายถึงสถานีใด

(1) สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 9 อ.ส.ม.ท.           (2) สถานีวิทยุโทรทัศน์ไอทีวี (ทีวีเสรี)

(3) สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5          (4) สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยช่อง 11

ตอบ 2 หน้า 53 สถานีวิทยุโทรทัศน์ไอทีวี (หรือไทยพีบีเอสในปัจจุบัน) จะมีการกำหนดรูปแบบรายการ โดยให้เสนอรายการข่าว สารคดี และสาระประโยชน์ไม่ต่ำกว่า 70% ของเวลาออกอากาศ และเวลา 19.00 – 21.30 น. (Prime Time) ต้องเสนอรายการในกลุ่มนี้ ส่วนรายการอีก 30% เป็นรายการบันเทิงและรายการอื่น ๆ

35.       “Broadcasting” หมายถึงข้อใด(1) การออกอากาศรายการผ่านดาวเทียม       (2) การกระจายเสียง

(3การแพร่ภาพ         (4) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 1 คำว่า “Broadcasting” ในภาษาอังกฤษ หมายถึง การกระจายเสียงและการแพร่ภาพ ในขณะที่สารานุกรมบริแทนนิกาได้ให้ความหมายไว้ว่า คือ การออกอากาศรายการ วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ไปสู่ผู้รับซึ่งเป็นสาธารณชนทั่วไป

36.       พัฒนากรของการดำเนินกิจกรวิทยุโทรทัศน์จากอดีตถึงปัจจุบัน หมายถึง

(1)       กรมทหารเรือ –กรมไปรษณีย์โทรเลข –กรมประชาสัมพันธ์

(2)       กองทัพบก –กรมไปรษณีย์โทรเลข –องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย

(3)       กรมโฆษณาการ –กรมประชาสัมพันธ์ –สำนักนายกรัฐมนตรี

(4)       บริษัทไทยโทรทัศน์จำกัด –>องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย –สำนักนายกรัฐมนตรี

ตอบ 4 หน้า 4144 – 4548137 การดำเนินกิจการวิทยุโทรทัศน์จากอดีตถึงปัจจุบันมีพัฒนาการดังนี้ เริ่มต้นจากอยู่ในการดำเนินกิจการของบริษัทไทยโทรทัศน์จำกัดในปี พ.ศ. 2498 ต่อมาได้โอนกิจการให้องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.)ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 จนถึงปัจจุบัน

ข้อ 37. – 41. บทบาทหน้าที่ของสื่อสารมวลชนวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ในรายการต่อไปนี้ แสดงบทบาทหน้าที่ข้อใดมากที่สุด

(1)       หน้าที่ในการเสนอข่าวสาร       (2) หน้าที่ในการเสนอความคิดเห็น

(3) หน้าที่ในการให้การศึกษา  (4) หน้าที่ในการให้ความบันเทิง

37.       รายการข่าวในพระราชสำนักทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย

ตอบ 1 หน้า 88 – 89 หน้าที่ในการให้หรือนำเสนอข่าวสาร คือ หน้าที่ดูแลและบอกกล่าวถึงสภาพแวดล้อม หรือสอดส่องระวังระไวเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม (Surveillance of Environment) หมายถึง การแสวงหาและเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสิ่งแวดล้อม ทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในและภายนอกสังคมหนึ่ง ๆ เช่น รายการข่าวประจำวันรายงาน การจราจรรายงานการพยากรณ์อากาศ ฯลฯ

38.       รายงานการจราจรของสถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 37. ประกอบ

39.       รายการ สำรวจโลกกับ National Geographic” ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 5

ตอบ 3 หน้า 88 – 89, (คำบรรยาย) หน้าที่ในการให้การศึกษา คือ หน้าที่ในการถ่ายทอดมรดกทางสังคม จากคนรุ่นหนึ่งไปยังคนรุ่นหลัง ๆ หมายถึง การเผยแพร่ความรู้ ค่านิยม และบรรทัดฐานของ สังคมแก่สมาชิกรุ่นใหม่ของสังคม เพื่อให้วิทยาการและวัฒนธรรมของสังคมนั้น ๆ คงอยู่ต่อไป ซึ่งสามารถเผยแพร่การศึกษาได้ทั้งทางตรง ได้แก่ รายการการศึกษาของ มสธ. ฯลฯ และทางอ้อม ได้แก่ รายการสารคดี (เช่น รายการสำรวจโลกกับ National Geographic ทางช่อง 5)รายการเกมโชว์ประเภทถาม-ตอบปัญหา (เช่น รายการเกมเศรษฐีมหาชน) เป็นต้น

40.       รายการ ตีสิบ” ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 3

ตอบ 4 หน้า 89, (คำบรรยาย) หน้าที่ในการให้ความบันเทิง หมายถึง การเผยแพร่การแสดง ดนตรี และศิลปะ เพื่อสร้างความจรรโลงใจให้แก่ประชาชน เช่น รายการละครรายการเกมโชว์รายการเพลงรายการวาไรตี้หรือปกิณกะบันเทิง ฯลฯ

41.       รายการ ถึงลูกถึงคน” ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9

ตอบ 2 หน้า 88 – 89, (คำบรรยาย) หน้าที่ในการแสดงความคิดเห็นหรือหน้าที่ในการชักจูงใจ คือ หน้าที่ในการประสานส่วนต่าง ๆ ในสังคมเพื่อแสดงปฏิกิริยาตอบต่อสิ่งแวดล้อม หมายถึง การที่สื่อมวลชนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดเป็นข่าว เป็นการวิเคราะห์และเสนอแนะว่า ควรจะทำอย่างไรกับสิ่งนั้น ๆ เช่น รายการวิเคราะห์รายการวิจารณ์รายการอภิปราย ฯลฯ

42.       ผู้ประดิษฐ์จานสแกนภาพสำเร็จเน้นคนแรก คือ

(1)       ดร.วี.เค. ซโวรีกิน          

(2) เจมส์ ลอจี แบร์ด

(3) พอล นิพโกว           

(4) คาร์ล เพ่อร์ดินานด์ บราวน์

ตอบ 3 หน้า 22 พอล นิพโกว (Paul Nipkow) นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้ค้นพบวิธีที่จะทำภาพ ให้เป็นเส้นเป็นทางปรากฏขึ้นบนจอได้สำเร็จเป็นคนแรก โดยเขาได้ประดิษฐ์จานสแกนภาพ คือ จานที่เจาะรูเล็ก ๆ เพื่อรับพลังงานแสง โดยเมื่อจานหมุนแสงจะผ่านรู ทำให้ภาพที่ผ่านรู ไปปรากฏบนจอภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดโทรทัศน์ขึ้น

43.       รายการประเภทใดทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ที่มีสัดส่วนการน่าเสนอสูงสุด

(1)       รายการข่าว     (2) รายการโฆษณา     (3) รายการบันเทิง       (4) รายการแสดงความคิดเห็น

ตอบ 3 หน้า 101 รายการต่าง ๆ ทางวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ส่วนใหญ่จะเน้นสัดส่วน การนำเสนอรายการบันเทิงสูงที่สุด โดยเฉพาะสถานีวิทยุและสถานีโทรทัศน์เพื่อการค้า ซึ่งมักจะมุ่งผลประโยชน์ด้านธุรกิจมากกว่าผลประโยชน์ของสาธารณะ (Public Interest)

44.       แนวคิดทฤษฎีใดที่เชื่อว่าวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์มีอิทธิพลต่อประชาขนโดยตรง

(1)       ทฤษฎีสังคมมวลชน    (2) ทฤษฎีสื่อสารมวลชน

(3) ทฤษฎีสื่อสารการพัฒนา    (4) ทฤษฎีวิพากษ์สื่อมวลชน

ตอบ 1 หน้า 102 – 105 นักวิชาการด้านทฤษฎีสังคมมวลชน (Mass Society Theory) เชื่อว่า สื่อมวลชน ซึ่งหมายรวมถึง วิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์จะมีอิทธิพลต่อประชาชน โดยตรง เมื่อพิจารณาจากคุณลักษณะสำคัญดังนี้

1.         ความสามารถเข้าถึงประชาชนจำนวนมากได้โดยตรง และการเปิดรับของผู้รับสาร

2.         มีอิทธิพลในการชักจูงใจ

3.         มีผลเรื่องใดเรื่องหนึ่งต่อคนจำนวนมากในลักษณะคล้ายคลึงกัน เช่น การเลียนแบบดารา นักแสดง นักร้อง ตั้งแต่การแต่งกาย ความคิดความเชื่อ ค่านิยม รวมถึงพฤติกรรม ฯลฯ

45.       ข้อใดไมใช่ประเภทรายการวิทยุโทรทัศน์ที่จัดแบ่งตามบทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชน

(1) รายการข่าว            (2)รายการการศึกษา   (3) รายการบันเทิง       (4) รายการสำหรับเด็ก

ตอบ 4 หน้า 100 – 101 การแบ่งประเภทรายการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ตามบทบาท หน้าที่ของสื่อมวลชน ได้แก่   1. รายการที่ให้ข่าวสาร            2. รายการที่แสดงความคิดเห็นหรือการชักจูงใจ 3. รายการที่ให้ความรู้และการศึกษา        4. รายการที่ให้ความบันเทิง

46.       โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย จัดตั้งขึ้นเมื่อใด

(1)       พ.ศ.2503       (2)พ.ศ.2511   (3)พ.ศ.2530   (4)พ.ค.2535

ตอบ 2 หน้า 152 – 153 โทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เริ่มจัดตั้งขึ้นเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2511 ซึ่งเกิดจากความคิดว่าควรรวมตัวกันขึ้นเพื่อปรึกษาหารือและจัดการดำเนินการ ในด้านต่าง ๆ อันจะทำให้เกิดประโยชน์แก่โทรทัศน์ทุกช่อง โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้

1.         ร่วมมือในการถ่ายทอดและรับการถ่ายทอดทั้งในประเทศและนอกประเทศ สำหรับรายการ ที่สำคัญ ๆ ระดับชาติหรือระหว่างประเทศ

2.         เป็นผู้ประสานงานในการตกลงค่าลิขสิทธิ์ต่าง ๆ ในการถ่ายทอดตามข้อ 1.

3.         แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันในระหว่างโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ โดยมีหลักการที่จะ ไม่แย่งซึ่งผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน

4.         ร่วมมือกันสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ระหว่างสถานีโทรทัศน์แต่ละช่อง ฯลฯ

47.       กกช. หมายถึงอะไร

(1.) คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ

(2)       คณะกรรมการกำหนดบทบาทวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ

(3)       คณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ

(4)       คณะกรรมาธิการกระจายเสียงแหงชาติ

ตอบ 3 หน้า 119125 – 126 กกช. หมายถึง คณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ (ปัจจุบันมีองค์กรอิสระที่มารับผิดชอบทำหน้าที่แทน คือ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งซาติ หรือ กสทช. ซึ่งจะทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่และกำกับดูแลการประกอบกิจการ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม)

48.       วัตถุประสงค์ของโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ไม่ตรงกับข้อใด

(1)       รวมตัวกันขึ้นเพื่อจัดการดำเนินการด้านรายการต่าง ๆ ที่จะเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน

(2)       เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันในระหว่างโทรทัศน์ช่องต่าง ๆ

(3)       ร่วมมือในการถ่ายทอดและรับการถ่ายทอดทั้งในประเทศและต่างประเทศ สำหรับรายการที่สำคัญ ๆ ระดับชาติหรือระหว่างประเทศ

(4)       เพื่อดำเนินการในการร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีทางด้านวิชาการวิทยุโทรทัศน์ และการจัดประชุมสัมมนาร่วมกัน

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ

49.       การส่งคลื่นวิทยุกระจายเสียงของไทยเป็นการส่งคลื่นวิทยุในย่านความถี่ใด

(1)       530     ถึง        1600   กิโลเฮิรตซ์        และ 88 ถึง      108     เมกะเฮิรตซ์

(2)       535     ถึง        1605   กิโลเฮิรตซ์        และ 87 ถึง      108     เมกะเฮิรตซ์

(3)       630     ถึง        1700   กิโลเฮิรตซ์        และ 86 ถึง      107     เมกะเฮิรตซ์

(4)       635     ถึง        1705   กิโลเฮิรตซ์        และ 88.5 ถึง 107.5 เมกะเฮิรตซ์

ตอบ 2 หน้า 64119 ระเบียบว่าด้วยวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ. 2535 ข้อ 4 ระบุว่า วิทยุกระจายเสียง” หมายถึง การส่งคลื่นวิทยุในย่านความถี่คลื่นวิทยุ 535 ถึง 1605 กิโลเฮิรตซ์ (kHz) ในระบบ AM และย่านความถี่ 87 ถึง 108 เมกะเฮิรตซ์ (MHz) ในระบบ FM อันมีความประสงค์ให้เข้าถึงมวลชนโดยตรง

50.       พิธีเปิดสถานีวิทยุโทรทัศน์และออกอากาศแพร่ภาพเป็นวันแรกของประเทศไทยเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. ใด

(1) พ.ศ. 2493 (2) พ.ศ. 2495

(3) พ.ศ. 2498 (4) พ.ศ. 2501

ตอบ 3 หน้า 42. 44 สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งแรกของประเทศไทย คือ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวี ช่อง 4 บางขุนพรหม ซึ่งก่อตั้งอยู่ในรูปของบริษัท ไทยโทรทัศน์ จำกัด (ปัจจุบันคือ สถานี วิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีลีช่อง 9 หรือโมเดิร์นไนน์ทีวี ดำเนินงานโดยบริษัท อ.ส.ม.ท.จำกัด (มหาชน) ในสังกัดของสำนักนายกรัฐมนตรี) โดยมีพิธีเปิดสถานีและออกอากาศแพร่ภาพเป็นวันแรก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2498 ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดของกิจการวิทยุโทรทัศน์ไทย ดังนั้น กิจการวิทยุโทรทัศน์ของไทยตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2557) จึงมีอายุ 59 ปี

51.       องค์กรที่ทำหน้าที่ควบคุมและบริหารคลื่นความถี่วิทยุให้เป็นระเบียบทั่วโลก โดยผ่านทางรัฐบาลของแต่ละประเทศ คือองค์กรใด

(1) สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ        

(2) สหภาพการกระจายเสียงระหว่างประเทศ

(3) สหภาพการกระจายเสียงเอเชีย-แปซิฟิก   

(4) สหภาพการกระจายเสียงยุโรป

ตอบ 1 หน้า 58115124 สหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ITU (The International Telecommunication Union) มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นองค์กรที่ทำหน้าที่ควบคุมและบริหารคลื่นความถี่วิทยุให้เป็นระเบียบทั่วโลก โดยผ่านทาง รัฐบาลของแต่ละประเทศ

52.       สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งแรกของประเทศไทยที่จัดตั้งขึ้นมามีชื่อเรียกว่าอะไร

(1)       สถานีวิทยุกรุงเทพที่พญาไท   

(2) สถานีวิทยุที่ศาลาแดง

(3) สถานีวิทยุเฉลิมพระเกียรติ            

(4) สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย

ตอบ 1 หน้า 34. – 36, (คำบรรยาย) สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งแรกของประเทศไทยที่จัดตั้งขึ้นมา มีชื่อเรียกว่า สถานีวิทยุกรุงเทพที่พญาไท” ซึ่งอยู่ภายใต้สังกัดของกรมไปรษณีย์โทรเลข โดยทางราชการได้ทำพิธีเปิดสถานีอย่างเป็นทางการและถ่ายทอดเสียงทางวิทยุเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 (ตรงกับวันพระราชพิธีฉัตรมงคลในรัชกาลที่ 7) ซึ่งถือเป็น จุดกำเนิดของกิจการวิทยุกระจายเสียงไทย จากนั้นในปี พ.ศ. 2481 สถานีวิทยุแห่งนี้ ก็ได้โอนกิจการมาสังกัดสำนักงานโฆษณาการ (หรือกรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน) และเปลี่ยนชื่อเป็น สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย

53.       สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งแรกของประเทศไทยสังกัดหน่วยงานใด           

(1) กระทรวงทหารเรือ

(2)       กรมไปรษณีย์โทรเลข  (3) กระทรวงกลาโหม  (4) กรมประชาสัมพันธ์

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 52. ประกอบ

54.       ปัจจุบันสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยสังกัดหน่วยงานใด

(1)       การสื่อสารแห่งประเทศไทย     (2) กรมไปรษณีย์โทรเลข

(3)       กรมประชาสัมพันธ์     (4) กระทรวงมหาดไทย

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 52. ประกอบ

55.       การจัดตั้งสถานีวิทยุโทรทัศน์ในประเทศไทยเกิดจากความคิดริเริ่มของใคร

(1) จอมพลสฤษด์ ธนะรัชต์     (2) จอมพล ป. พิบูลสงคราม

(3) จอมพลถนอม กิตติขจร      (4) พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์

ตอบ 2 หน้า 40 – 41 การก่อตั้งกิจการวิทยุโทรทัศน์ครั้งแรกในประเทศไทย เกิดจากความคิดริเริ่ม ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี เมื่อ พ.ศ. 2495 แต่ถูกสภาผู้แทนราษฎรและ หนังสือพิมพ์โจมตีคัดค้านอย่างมากว่าสิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดิน จึงทำให้รัฐบาลเปลี่ยน แผนการจากเดิมที่จะดำเนินการเองมาเป็นการจัดตั้งบริษัทจำกัดเพื่อหารายได้เลี้ยงตัวเอง

56.       สถานีวิทยุโทรทัศน์ที่มีการจัดตั้งขึ้นมาใหม่และเริ่มดำเนินการแพร่ภาพในปี 2539 ได้รับสัมปทานใน การดำเนินการจัดตั้งสถานีจากหน่วยงานใดต่อไปนี้

(1) กรมประชาสัมพันธ์            (2) องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย

13) กองทัพบก            (4) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี

ตอบ 4 หน้า 54, (คำบรรยาย) สถานีวิทยุโทรทัศน์ในส่วนกลาง (ระดับชาติ) ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาใหม่ และเริ่มดำเนินการแพร่ภาพออกอากาศในปี พ.ศ. 2539 ได้แก่ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไอทีวี (ITV) โดยได้รับสัมปทานให้ดำเนินการอย่างเป็นทางการจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ปัจจุบันถูกลงโทษให้ปิดสถานี

57.       ลักษณะการเป็นเจ้าของกิจการวิทยุโทรทัศน์ไทยที่รัฐทำสัญญาให้สัมปทานแก่เอกชนเช่าช่วง โดยมอบผลประโยชน์ที่แน่นอนจำนวนหนึ่งให้แก่รัฐ หมายถึงสถานีช่องใด

(1)       ช่อง 5  (2) ช่อง 7         (3) ช่อง 9         (4) ช่อง 11

ตอบ 2 หน้า 136 ลักษณะการเป็นเจ้าของกิจการวิทยุโทรทัศน์ไทยที่รัฐเป็นเจ้าเของแต่ทำสัญญา ให้สัมปทานแก่เอกชนเช่าช่วง โดยมอบผลประโยชน์ที่แน่นอนจำนวนหนึ่งให้แก่รัฐ ได้แก่ สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และสถานีวิทยุโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7

58.       องค์การศึกษาทางวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ได้วางเกณฑ์กลางเกี่ยวกับอิทธิพลของสื่อมวลชนวิทยุโทรทัศน์ว่าจะเป็นสื่อทรงอิทธิพลได้ต่อเมื่อประชาชนของประเทศมีเครื่องรับต่อประชากรเท่าใด

(1)       วิทยุโทรทัศน์ 1 เครื่องต่อประชากรโดยเฉลี่ย 20 คน

(2)       วิทยุโทรทัศน์ 1 เครื่องต่อประชากรโดยเฉลี่ย 50 คน

(3)       วิทยุโทรทัศน์ 1 เครื่องต่อประชากรโดยเฉลี่ย 100 คน

(4)       วิทยุโทรทัศน์ 1 เครื่องต่อประชากรโดยเฉลี่ย 150 คน

ตอบ3 (คำบรรยาย) องค์การศึกษาทางวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก (UNESCO) ได้วางเกณฑ์กลางเกี่ยวกับอิทธิพลของสื่อมวลชนว่า วิทยุกระจายเสียงจะเป็นสื่อที่ทรงอิทธิพลได้ต่อเมื่อประชากรของประเทศมีเครื่องรับวิทยุ 1 เครื่องต่อประชากรโดยเฉลี่ย 20 คน ส่วนสื่อวิทยุโทรทัศน์จะเป็นสื่อทรงอิทธิพลได้ต่อเมื่อประชากรของประเทศมีเครื่องรับโทรทัศน์ 1 เครื่องต่อประชากรโดยเฉลี่ย 100 คน

59.       วิทยุโทรทัศน์ หมายถึงอะไร

(1)       การกระจายหรือแพร่ไปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในอากาศเพื่อส่งสาร

(2)       การใช้ส่งและรับทางสายเคเบิลเพื่อส่งออกอากาศภาพและเสียง

(3)       การใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อส่งกระจายออกอากาศ หรือเพื่อรับสัญญาณไฟฟ้าโดยไม่ต้องใช้สาย

(4)       การส่งและรับภาพและเสียงโดยเครื่องส่งและเครื่องรับอิเล็กทรอนิกส์ ออกอากาศด้วยกระแสคลื่นวิทยุ ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า

ตอบ 4 หน้า 381 คำว่า “Television” นี้ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ได้ทรงวิเคราะห์ศัพท์และได้ บัญญัติคำเป็นภาษาไทยครั้งแรกว่า วิทยุโทรทัศน์” (มักเรียกสั้น ๆ ว่า โทรทัศน์) ซึ่งหมายถึง การส่งและรับภาพและเสียงโดยเครื่องส่งและเครื่องรับอิเล็กทรอนิกส์ ออกอากาศด้วยกระแสลื่นวิทยุที่ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเครื่องส่งไปยังเครื่องรับที่อยู่ห่างไกล

60.       สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เกิดจากกฎหมายฉบับใด

(1)       พระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพ พ.ศ. 2550

(2)       พระราชบัญญัติองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพ พ.ศ. 2551

(3)       พระราชบัญญัติวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ. 2540

(4)       พระราชบัญญัติวิทยุกระจายเสียงเละวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ. 2550

ตอบ 2 (ข่าว) พ.ร.บ. องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2551 มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 2551 ส่งผลให้ประเทศไทยมีสถานีวิทยุโทรทัศน์ระดับชาติ ในส่วนกลางที่มีการจัดตั้งขึ้นมาใหม่ล่าสุด คือ ไทยพีบีเอส ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เป็น ทีวีสาธารณะแห่งแรกของประเทศไทย และเริ่มแพร่ภาพออกอากาศเมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2551

61.       เหตุการณ์ข้อใดเหมาะกับการถ่ายทอดสารผ่านวิทยุกระจายเสียงมากที่สุด

(1) การออกกำลังกาย 

(2) การสอนทำอาหารไทย

(3) การบรรยายธรรม   

(4) การไขปัญหาซ่อมคอมพิวเตอร์

ตอบ 3 (คำบรรยาย) วิทยุกระจายเสียงจะให้ประสิทธิผลในการจูงใจและเปลี่ยนทัศนคติได้ดีที่สุด นอกจากนี้ยังถือเป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในแง่ของการสร้างความคิดคำนึงหรือจินตนาการ เมื่อใช้ถ่ายทอดหรือเสนอเนื้อหาสาระที่เป็นนามธรรม คือ

1.         ข้อเท็จจริง (Factual Information) เช่น ข่าวต่าง ๆ การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ฯลฯ

2.         แนวปฏิบัติต่าง ๆ (Procedures) เช่น อุดมการณ์หรือแนวคิด การเล่านิทานหรือละคร ฯลฯ

3.         ทัศนคติที่พึงประสงค์ (Desirable Attitudes) เช่น การบรรยายธรรม ฯลฯ

4.         การจูงใจให้คิดหรือทำ (Motivation) เช่น การโฆษณาชวนเชื่อ ฯลฯ

62.       วิทยุและโทรทัศน์กลายเป็น ลูกพี่ใหญ่‘’ (Big Brother) ที่ควบคุมอิสรเสรีภาพทางความคิดของคนในสังคม เป็นแนวคิดของใคร

(1) นอยล์ นิวแมน 

(2) แคลปเปอร์       

(3) พอล ลาซาร์สเฟลด์            

(4) เอมิล เดอร์คิม

ตอบ 4 หน้า 104 นักวิชาการด้านทฤษฎีสังคมมวลชนหลายคน ได้แก่ ออกูส กงเต้ (Auguste Comte), เฟอร์ดินันท์ ทูนนี่ (Ferdinand Tonnise) และเอมิล เดอร์คิม (Emile Durkheim) มีความเห็นว่า วิทยุและโทรทัศน์กลายเป็นลูกพี่ใหญ่ (Big Brother) ที่ควบคุมอิสรเสรีภาพทางความคิดของคน ในสังคมเกือบทั้งหมด

63.       อิทธิพลของบุคคลและผู้นำความคิดที่มีผลต่อการตัดสินใจมากกว่าสื่อมวลชน เป็นแนวคิดของใคร

(1) วิลเบอร์ แซรมม์      (2) พอล ลาซาร์สเฟลด์

(3) ออกูส กงเต้ เพ่อร์ดินันท์    (4) นักทฤษฎีสังคมมวลชน

ตอบ 2 หน้า 107 พอล ลาซาร์สเฟลด์ (Paul Lazarsfeld) เป็นนักวิชาการที่ชี้ให้เห็นถึงแนวคิดการไหลของข่าวสาร 2 ระดับ (Two-step Flow) และพบว่าอิทธิพลของบุคคล (Personal Influence) และผู้นำความคิด (Opinion Leader) หรือคนใกล้ตัว เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจ ของคนมากกว่าสื่อมวลชน

64.       ผู้รับสารมีความฉลาดและมีวิจารณญาณเพียงพอในการรับข้อมูลข่าวสารจากสื่อมวลชน ตามแนวคิดนี้ ตรงกับข้อใด

(1)       วิทยุและโทรทัศน์มีอิทธิพลโดยตรงต่อผู้รับสาร

(2)       วิทยุและโทรทัศน์ไม่มีอิทธิพลต่อผู้รับสารโดยตรง

(3)       วิทยุและโทรทัศน์ทำให้เกิดผลในเรื่องใดเรื่องหนึ่งต่อทุกคนในลักษณะคล้ายคลึงกัน

(4)       วิทยุและโทรทัศน์จะสนับสนุนทัศนคติ ค่านิยม และแนวโน้มด้านพฤติกรรมของประชาชนให้มีความเข้มแข็งขึ้น

ตอบ 2 หน้า 105 นักวิชาการด้านนิเทศศาสตร์หลายท่าน เช่น แคลปเปอร์ (Klapper) เชื่อว่า วิทยุและโทรทัศน์ไม่มีอิทธิพลโดยตรงต่อผู้รับสาร เนื่องจากผู้รับสารมีความฉลาดและ มีวิจารณญาณเพียงพอในการรับข้อมูลข่าวสารจากสื่อมวลชน ซึ่งผู้รับสารที่เปิดรับสื่อ สามารถคิดและวิเคราะห์ ไม่ใช่สื่อมีอิทธิพลต่อความคิดของบุคคลมากมาย อิทธิพลของ สื่อมวลชนจะมีมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับการทำงานร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ ของสังคม

65.       ปัจจัยเสริมที่ทำให้วิทยุและโทรทัศน์มีอิทธิพลโดยอ้อม หมายถึงข้อใด

(1)       ระดับความต้องการข้อมูลข่าวสารจำเป็นต้องพึ่งพามาก

(2)       การสามารถเข้าถึงประชาชนจำนวนมาก

(3)       การนำเสนอเรื่องราว กิจกรรม ซ้ำ ๆ บ่อย ๆ     (4) ความมีใจโน้มเอียงของผู้รับสาร

ตอบ 4 หน้า 106 – 107 แนวคิดที่เชื่อว่าวิทยุและโทรทัศน์มีอิทธิพลโดยอ้อมต่อผู้รับสาร โดยอาศัย ปัจจัยเสริมต่าง ๆ ดังนี้

1.         ความมีใจโน้มเอียงของผู้รับสาร

2.         กระบวนการเลือกรับสาร โดยการรับรู้ จดจำ และตีความเนื้อหาจากสื่อมวลชนที่สนับสนุน ความคิดความเชื่อของตนเอง เช่น การเลือกเปิดรับสารจากพรรคการเมืองที่ตนชื่นชอบ ฯลฯ

3.         อิทธิพลของบุคคลและผู้นำความคิด เช่น ผู้นำชุมชน การสนทนาในสภากาแฟ ฯลฯ

4.         ระดับความต้องการข้อมูลข่าวสารมาก เช่น นักลงทุนต้องการข้อมูลเกี่ยวกับหุ้น ฯลฯ

66.       ตามแนวความคิดของเดนิส แมคเควล (Denis McQuail) กล่าวถึงหน้าที่ของสื่อมวลชน โดยพิจารณาจากอะไร

(1) บุคคล สังคม วัฒนธรรม บันเทิง    (2) บุคคล สังคม การศึกษา วัฒนธรรม

(3)       บุคคล สังคม เครื่องมือทางการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา วัฒนธรรม

(4)       สังคม ผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการเผยแพร่ สื่อมวลชน มวลชนผู้รับสาร

ตอบ 4 หน้า 95 แนวความคิดของเดนิล แมคเควล (Denis McQuail) ได้กล่าวถึงหน้าที่ของสื่อมวลชนโดยพิจารณาจากฝ่ายต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนว่า มีความต้องการให้สื่อมวลชนทำอะไรให้แก่ตน หรือสื่อมวลชนควรทำหน้าที่อะไรให้แก่ตน และสังคม ซึ่งฝ่ายต่าง ๆ ดังกล่าว ได้แก่         1. สังคม (Society)

2.         ผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการเผยแพร่ข่าวสาร (The Advocate)

3.         สื่อมวลชนหรือนักสื่อสารมวลชน (The Media/Mass Communicators)

4.         มวลชนผู้รับสาร (The Audience)

67.       FCC (Federal Communication Commission) หมายถึงข้อใด

(1) บรรษัทวิทยุและโทรทัศน์ของสหรัฐอเมริกา            (2) บรรษัทวิทยุและโทรทัศน์ของอังกฤษ

(3)       องค์กรที่จัดระเบียบในด้านการอนุมัติคลื่นและใบอนุญาตประกอบการ

(4)       คณะกรรมการการสื่อสารแห่งชาติ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ

68.       สื่อที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เมื่อปี พ.ศ. 2475 หมายถึงข้อใด

(1) หนังสือพิมพ์           (2) นิตยสาร     (3) วิทยุกระจายเสียง  (4) วิทยุโทรทัศน์

ตอบ 3 หน้า 35 ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 วิทยุกระจายเสียงนับว่ามีบทบาทอย่างสำคัญ เพราะคณะราษฎร์ซึ่งนำโดยพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา พันเอกพระยาทรงสุรเดช และหลวงประดิษฐ์มนูธรรม ได้ใช้วิทยุกระจายเสียงเป็นเครื่องมือ เผยแพร่ข่าวการเปลี่ยนแปลงการปกครองให้ประชาชนทราบ โดยอ่านประกาศติดต่อกันตลอดเวลา

69.       มาตราในการวัดคลื่นความถี่วิทยุระบบ AM คือ

(1) เมกะเฮิรตช์         (2) กิโลเฮิรตซ์ (3) จิกะเฮิรตซ์ (4) เมตริกเฮิรตซ์

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 49. ประกอบ

70.       สถานีวิทยุโทรทัศน์ที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ให้เป็น Independent Television หมายถึงข้อใด

(1) ไทยพีบีเอส                    (2) NBT          (3)       ASIA/        (4)       ไอทีวี

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ

71.       สื่อทางเลือกของประชาชน หมายถึงข้อใด

(1) ไทยพีบีเอส            

(2) NBT      

(3)       วิทยุชุมชน        

(4)       โมเดิร์นไนน์

ตอบ 3 (คำบรรยาย) สื่อทางเลือกหรือสื่อภาคประชาชน คือ สื่อนอกกระแสที่เปิดพื้นที่การสื่อสารให้แก่ประชาชนหลากหลายกลุ่ม จึงเป็นการสร้างทางเลือกให้แก่ผู้รับสารในการรับข่าวสารที่แตกต่าง ไปจากสื่อกระแสหลักซึ่งมักถูกกำหนดเนื้อหาจากภาครัฐและนายทุน เช่น สถานีวิทยุชุมชนสถานีวิทยุและโทรทัศน์ทางอินเทอร์เน็ตโทรทัศน์ดาวเทียมเคเบิลทีวี ฯลฯ

72.       การจัดสรรความถี่วิทยุ เพื่อจะจัดตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงหรือสถานีวิทยุโทรทัศน์ของไทยนั้น ผู้รับผิดชอบงานด้านนี้ คือ

(1) กสช.          

(2) กสทช.        

(3)       กกช.    

(4)       กทช.

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 47. ประกอบ

73.       กทช. หมายถึงอะไร

(1)       คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ

(2)       คณะกรรมการกำหนดบทบาทวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ

(3)       คณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ

(4)       คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ

ตอบ 4 กทช. หมายถึง คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ

74.       สถานีวิทยุโทรเลขแห่งแรกของไทยในสมัยนั้นขึ้นอยู่กับหน่วยงานใด

(1) กรมไปรษณีย์โทรเลข

(2)       สำนักงานโฆษณาการ            (3) กระทรวงกลาโหม  (4) กระทรวงทหารเรือ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 23. ประกอบ

75.       การทดลองส่งวิทยุกระจายเสียงโดยใช้ชื่อสถานีว่า พี” ในยุคนั้น ย่อมาจากคำว่าอะไร

(1) บูรฉัตรไชยากร       (2) มาร์โคนี      (3) กองช่างวิทยุ          (4) กรมไปรษณีย์โทรเลข

ตอบ 1 หน้า 33 – 34 บิดาของกิจการวิทยุกระจายเสียงไทย คือ นายพลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองศ์เจ้าบูรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เพราะพระองศ์ทรงเป็นผู้บุกเบิก และริเริ่มให้มีการทดลองส่งวิทยุกระจายเสียงขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดยใช้ชื่อ สถานีวิทยุแห่งนี้ว่า พีเจ” ซึ่งย่อมาจากคำว่า บูรฉัตรไชยากร

76.       สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งแรกของประเทศไทยได้ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อใด

(1) วันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2456        (2) วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2471

(3)       วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473          (4) วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2498

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 52. ประกอบ

77.       กิจการวิทยุโทรทัศน์ของไทยตั้งแต่เริ่มก่อตั้งจนกระทั่งปัจจุบันมีอายุกี่ปี

(1)45ปี          (2)59ปี            (3)62ปี                    (4) 75ปี

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 50. ประกอบ

78.       พระราชบัญญัติวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ฉบับล่าสุดในขณะนี้ หมายถึงข้อใด

(1)       พระราชบัญญัติวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530

(2)       พระราชบัญญัติวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ. 2540

(3)       พระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2550

(4)       พระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551

ตอบ 4 (คำบรรยาย) พ.ร.บ. การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551เป็นกฎหมายวิทยุโทรทัศน์ฉบับล่าสุดที่ประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2551

79.       กรมประชาสัมพันธ์” มีชื่อเดิมว่าอะไร

(1) กรมการโฆษณาการ          (2) กรมโฆษณาการ

(3) กรมการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์    (4) สำนักโฆษณาการและประชาสัมพันธ์

ตอบ 2 หน้า 36, (คำบรรยาย) กรมประชาสัมพันธ์” มีชื่อเดิมว่า กรมโฆษณาการ” โดยในปีพ.ศ. 2476 รัฐบาลได้จัดตั้ง สำนักงานโฆษณาการ” ขึ้น และต่อมาก็ได้ยกฐานะขึ้นเป็นกรม ใช้ขื่อว่า กรมโฆษณาการ” ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อมาเป็น กรมประชาสัมพันธ์” ดังในปัจจุบัน

80.       ข้อใดเป็นระบบบรรษัทสาธารณะ (Public Corporation)

(1) TBS       (2) CNN     (3) BBC      (4) PBS

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 8. ประกอบ

81.       หน่วยงานราชการใดมีสถานีวิทยุกระจายเสียงมากที่สุดในกรุงเทพมหานคร

(1) กรมประชาสัมพันธ์ 

(2) อ.ส.ม.ท.    

(3) กองทัพบก 

(4) กรมไปรษณีย์โทรเลข

ตอบ 3 หน้า 39 สถานีวิทยุกระจายเสียงทั้งระบบ AM และ FM ในกรุงเทพมหานครที่มีอยู่ในปัจจุบัน เป็นสถานีวิทยุในสังกัดของกองทัพบกมากที่สุด โดยมีทั้งหมด 24 สถานี แบ่งเป็นระบบ AM 12 สถานี และระบบ FM 12 สถานี รองลงมาตามลำดับ ได้แก่ กรมประชาสัมพันธ์ มี 11 สถานี และองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย มี 9 สถานี

82.       แนวคิดในการจัดระบบวิทยุและโทรทัศน์ไทยตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ตรงกับข้อใด

(1) Public Service System 

(2) Free Market System

(3) Dual System          

(4) Mixed System

ตอบ 4 หน้า 111113, (คำบรรยาย) แนวคิดในการจัดระบบวิทยุและโทรทัศน์ไทยตามรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2550) เป็นแบบ Mixed System (แนวคิดผสมระหว่างแนวสื่อสาร เพื่อประโยชน์สาธารณะกับแนวสื่อสารในตลาดเสรี) เพื่อให้ระบบกิจการวิทยุและโทรทัศน์ไทย มีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐ ของเอกชน หรือของภาคประชาชน

83.       องค์กรแรกที่ถูกจัดตั้งขึ้นมาเพื่อควบคุมและกำกับดูแลกิจการวิทยุและโทรทัศน์ไทยคือข้อใด(1) กกช.          (2) กบว.          (3) กทช.          (4) กสทช.

ตอบ 2 หน้า 118 – 121, (คำบรรยาย) ภายหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 รัฐบาลไทย ได้ออกระเบียบว่าด้วยวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ พ.ศ. 2518 และมีการจัดตั้ง คณะกรรมการบริหารวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์” (กบว.) ขึ้นเป็นองค์กรแรก เพื่อควบคุมและกำกับดูแลกิจการวิทยุและโทรทัศน์ไทย แต่ต่อมาองค์กรนี้ก็ได้ถูกยุบเลิกไป และเกิดองค์กรอิสระต่าง ๆ ขึ้นมาตามลำดับ ได้แก่ กกช. กทช. กสซ. และ กสทช. ในปัจจุบัน

84.       เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง สื่อวิทยุและโทรทัศน์ไทยได้ออกประกาศคำแถลงการณ์ต่าง ๆให้กับรัฐ ที่มีอำนาจนขณะนั้น สื่อได้ทำบทบาทนี้เพื่ออะไร

(1) เพื่อผลประโยชน์สาธารณะ           (2) เพื่อผลประโยชน์ของรัฐ

(3) เพื่อผลประโยชน์ของประชาชน     (4) เพื่อผลประโยชน์ขององค์กรสื่อ

ตอบ 2 เมื่อบ้านเมืองอยู่ในภาวะเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง สื่อวิทยุและโทรทัศน์ไทยมักถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์ของรัฐบาลมากที่สุด ซึ่งเห็นได้จากการนำเสนอประกาศ และคำแถลงการณ์ต่าง ๆ ให้กับรัฐที่มีอำนาจในขณะนั้น แต่เมื่อใดก็ตามที่บ้านเมือง กลับเข้าสู่ภาวะปกติ สื่อวิทยุและโทรทัศน์ไทยก็จะถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์ ทางด้านธุรกิจมากที่สุด

85.       สื่อใดต่อไปนี้ที่มีผลต่อการครอบงำอุดมการณ์ความคิดของผู้คนในสังคมไทยมากที่สุด

(1) หนังสือพิมพ์           (2) วิทยุกระจายเสียง

(3) วิทยุโทรทัศน์          (4) อินเทอร์เน็ต

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ลักษณะเฉพาะของวิทยุโทรทัศน์ที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพจูงใจมากกว่าสื่ออื่น คือ สามารถแสดงภาพให้เห็นจริงและประทับใจ เพราะการเห็นพร้อมการฟังจะมีประสิทธิภาพสูง จึงสร้างความน่าเชื่อถือได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้วิทยุโทรทัศน์ยังสามารถส่งเสริมประสบการณ์ ได้ดีที่สุดเมื่อได้เสนอสาระอันเป็นรูปธรรม จึงทำให้กลายเป็นสื่อที่ได้รับความนิยมสูงสุด และ สามารถครอบงำอุดมการณ์ความคิดของผู้คนในสังคมไทยได้มากที่สุดในปัจจุบัน

86.       การนำเสนอข่าวต่างประเทศของโทรทัศน์ไทยที่ต้องใช้ข่าวของสำนักข่าวยักษ์ใหญ่ของโลก ตรงกับผลกระทบข้อใด

(1) การไหลของข้อมูลข่าวสารทางเดียว          (2) การไหลของข้อมูลข่าวสารสองทาง

(3) การสื่อสารไร้พรมแดน        (4) การสื่อสารเพื่อการพัฒนา

ตอบ 3 (คำบรรยาย) การสื่อสารไร้พรมแดน (Globalization) มีผลกระทบในด้านลบประการหนึ่ง คือ การสื่อสารไร้พรมแดนจะทำให้ประเทศด้อยพัฒนาสูญเสียเอกราชทางวัฒนธรรมของตนเอง หรือเกิดจักรวรรดินิยมทางวัฒนธรรม ทำให้ประเทศอภิมหาอำนาจโลกกลายเป็นศูนย์กลาง ในการไหลของข้อมูลข่าวสารที่สามารถครอบงำอุดมการณ์ควมคิดของคนทั้งโลกได้ เช่น การนำเสนอข่าวต่างประเทศของโทรทัศน์ไทยที่ต้องใช้ข่าวของสำนักข่าวยักษ์ใหญ่ของโลก เป็นต้น

87.       การควบคุมภายนอกของกิจการวิทยุและโทรทัศน์ไทย หมายถึงข้อใด

(1) กลุ่มผลักดันทางสังคม      (2) กฎหมายทางอ้อม

(3) กฎหมายวิทยุและโทรทัศน์            (4) สมาคมวิขาชีพวิทยุและโทรทัศน์

ตอบ 1 หน้า 125 – 127 โครงสร้างการควบคุมกิจการวิทยุและโทรทัศน์ไทยแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย คือ

1.         การควบคุมโดยรัฐ คือ การจัดตั้งสถาบันขึ้นมาควบคุม เช่น กสทช การออกกฎหมาย ที่บังคับใช้โดยตรงและกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อบังคับและหลักเกณฑ์ที่ออกมา ในรูปของหนังสือเวียนและคำสั่งอื่น ๆ ฯลฯ

2.         การควบคุมกันเอง เช่น มีจริยธรรมและจรรยาบรรณของวิชาชีพสื่อสารมวลชน รวมทั้ง การจัดตั้งสมาคมวิชาชีพต่าง ๆ

3.         การควบคุมจากบุคคลภายนอก ได้แก่ ผู้ม/ผู้ฟัผู้อุปถัมภ์รายการ และกลุ่มผลักดันทางสังคม

 88.      สถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวี ดำเนินงานโดยหน่วยงานใด

(1) องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย    (2) บริษัท อ.ส.ม.ท. จำกัด (มหาชน)

(3) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี          (4) กรมประชาสัมพันธ์

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 50. ประกอบ

89.       สถานีโทรทัศน์ใดที่ได้รับสัมปทานในการดำเนินงานจากรัฐ

(1) โมเดิร์นไนน์ทีวี       (2) ช่อง 7         (3) NBT      (4) ช่อง 5

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

90.       สถานีโทรทัศน์ระดับชาติของไทย ส่วนใหญ่ใช้สัญญาณในการแพร่ภาพระบบใด

(1) VHF       (2) UHF      w (3) SHF  (4) DTH

ตอบ 1 หน้า 7282, (คำบรรยาย) เทคโนโลยีการแพร่ภาพของสถานีวิทยุโทรทัศน์ระดับชาติของไทย ในปัจจุบันมี 2 ระบบ ดังนี้

1.         VFHF หรือย่านความถี่สูงมาก คือ 30 – 300 เมกะเฮิรตซ์ โดยสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยส่วนใหญ่ จะใช้ระบบนี้ ได้แก่ ช่อง 579 (โมเดิร์นไนน์ทีวี) และ 11 (NBT หรือ สทท. ในปัจจุบัน)

2.         UHF หรือย่านความถี่เหนือสูง คือ 300 – 3,000 เมกะเฮิรตซ์ โดยมีสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทย ใช้ระบบนี้เพียง 2 สถานีเท่านั้น ได้แก่ ช่อง 3 และไทยพีบีเอส

ข้อ 91. – 100. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1)       แนวคิดที่เชื่อว่าวิทยุและโทรทัศน์มีอิทธิพลโดยตรงต่อผู้รับสาร

(2)       แนวคิดที่เชื่อว่าวิทยุและโทรทัศน์มีอิทธิพลโดยอ้อม

(3)       แนวคิดที่เชื่อว่าวิทยุและโทรทัศน์ไม่มีอิทธิพลโดยตรงต่อผู้รับสาร

(4)       แนวคิดของนอยล์ นิวแมน (Noelle Neumann)

91.       ผู้รับสารมีความฉลาดและวิจารณญาณในการวิเคราะห์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 64. ประกอบ

92.       การเลือกเปิดรับสารจากพรรคการเมืองที่ตนชื่นชอบ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 65. ประกอบ

93.       การที่สื่อนำเสนอเรื่องราวประเด็นซ้ำ ๆ กันจึงมีอำนาจในการชักจูง

ตอบ 4 หน้า 103 – 104 นอยล์ นิวแมน (Noelle Neumann) กล่าวว่า การที่สื่อวิทยุและโทรทัศน์ นำเสนอเรื่องราวประเด็นใดประเด็นหนึ่งซ้ำ ๆ กับ ไม่ว่าจะช่วงเวลาไหน และมีความถี่ในการ นำเสนอบ่อย ๆ ย่อมทำให้ผู้รับสารเกิดความคุ้นเคยและเชื่อถือ สื่อวิทยุและโทรทัศน์จึงมี พลังอำนาจในการชักจูง

94.       มีผลต่อการชักจูงใจในเรื่องใดเรื่องหนึ่งใบลักษณะที่คล้ายคลึงกัน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 44. ประกอบ

95.       อิทธิพลของการสนทนา สภากาแฟ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 65. ประกอบ

96.       การเลือกรับรู้ จดจำ ตีความที่สนับสนุนความคิดความเชื่อของตนเอง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 65. ประกอบ

97.       อิทธิพลของสื่อขึ้นกับการทำงานร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ ในสังคม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 64. ประกอบ

98.       แนวคิดของแคลปเปอร์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 64. ประกอบ

99.       การเลียนแบบดารา นักร้อง ตั้งแต่การแต่งกาย ความคิดความเชื่อ ค่านิยม

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 44. ประกอบ

100.    ระดับความต้องการข้อมูลข่าวสารมาก เช่น นักลงทุนต้องการข้อมูลเกี่ยวกับหุ้น

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 65. ประกอบ

MCS1300 (MC130)การพูดเบื้องต้น การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  MCS1300 (MC130) การพูดเบื้องต้น

คำสั่ง  ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว  (ข้อสอบมีทั้งหมด  100  ข้อ)

1       การพูดเป็นวิชาชีพ  เพราะเหตุใด

1       เพราะวิชาการพูดเป็นวิชาทางด้านทักษะและศิลปะ

2       เพราะวิชาการพูดสามารถใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ความจริงได้

3       เพราะการพูดมีความสำคัญและมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวัน

4       เพราะทุกอาชีพต้องใช้การพูดเป็นเครื่องมือสื่อความหมาย

ตอบ  4  เพราะทุกอาชีพต้องใช้การพูดเป็นเครื่องมือสื่อความหมาย

การพูด  (Speech)  ไม่มีรูปแบบที่เด่นชัด  แต่เป็นทุกๆอย่างรวมกัน  คือ 

1       เป็นวิชาทางด้านวิทยาศาสตร์  เพราะเป็นวิชาที่เกี่ยวกับการเปล่งเสียงออกมา

2       เป็นวิชาทางด้านศิลปะ  เพราะเป็นวิชาที่ต้องทำและมีวิธีการพูดเฉพาะบุคคล

3       เป็นทักษะ  เพราะต้องเรียนรู้และฝึกฝน

4       เป็นวิชาชีพ  เพราะคนเราทุกคนและทุกอาชีพต้องใช้การพูดเป็นเครื่องมือสื่อความหมาย

2       ข้อใดไม่ใช่สิ่งเร้าในวิชาการพูด

1  ผู้พูด                                2  ผู้ฟัง                              3  เนื้อเรื่องที่พูด                           4  สิ่งแวดล้อม

ตอบ  3  เนื้อเรื่องที่พูด                

สิ่งเร้าในวิชาการพูด  ได้แก่

1       ตัวผู้พูด  คือ  สิ่งที่ผู้ฟังได้ยิน  ได้เห็นและมีความรู้สึกต่อสิ่งนั้น  เช่น  น้ำเสียง  การแต่งกาย  ท่าทาง  บุคลิกภาพ ฯลฯ  ของผู้พูดที่ปรากฏระหว่างการสื่อสาร  หรือความคิด  ทัศนคติของผู้พูด

2       กลุ่มผู้ฟัง  คือ  บุคคลที่เป็นเป้าหมายของการพูด  ซึ่งพิจารณาจากความสนใจ  ความพึงพอใจ  ความต้องการ  ประโยชน์ที่ได้รับและลักษณะของกลุ่ม

3       สิ่งแวดล้อม  คือ  สถานการณ์หรือสิ่งที่จะส่งผลต่อการพูดที่นอกเหนือจากผู้พูดและผู้ฟัง  เช่น  ข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์  ฯลฯ

3       การแสดงออกของผู้ฟังในขณะที่ฟังคุณสมปรารถนาพูด  มีผลอย่างไร

1       ทำให้สมปรารถนาเปลี่ยนลีลาการพูด

2       เป็นทั้งการให้กำลังใจและการบั่นทอนกำลังใจ

3       ทำให้สมปรารถนารู้ว่าการพูดของตนประสบผลสำเร็จหรือไม่

4       สมปรารถนาเข้าใจถึงการรับรู้ของสังคม

ตอบ  3  ทำให้สมปรารถนารู้ว่าการพูดของตนประสบผลสำเร็จหรือไม่

การพูดทุกชนิดจะต้องมีผลที่เกิดขึ้นทั้งในระหว่างการพูดและหลังจากการพูด  โดยผลที่เกิดจากการพูด  (Impact)  นั้นดูได้จากการแสดงออกของผู้ฟัง  เช่น  ในขณะที่ฟังผู้ฟังอาจจะผงกศีรษะ  ปรบมือ  หัวเราะ  ยิ้ม  ก้มหน้า  ทำหน้ายุ่ง  คิ้วขมวด  ฯลฯ  ซึ่งการแสดงออกดังกล่าวของผู้ฟังจะทำให้ผู้พูดรู้ว่าการพูดของตนประสบผลสำเร็จหรือไม่

4       นอกจากภาษาจะบ่งบอกถึงการศึกษาของผู้พูดแล้ว  ยังแสดงถึงอะไรได้อีกบ้าง

1  รสนิยมของผู้พูด                                                      2  ชนชั้น  ตระกูลของผู้พูด

3  บุคลิกภาพของผู้พูด                                                4  ความงามของภาษา

ตอบ  1  รสนิยมของผู้พูด                                                     

ผู้พูดจะต้องรู้จักการใช้ภาษาพูดให้ถูกต้องกับความนิยมของกลุ่มชนในสังคม  เพราะนอกจากภาษาจะเป็นเครื่องมือสื่อความหมายและบ่งบอกถึงการศึกษาของผู้พูดแล้ว  ยังเป็นเครื่องแสดงถึงรสนิยมที่ดีงามของผู้พูดอีกด้วย

5       หลักการใช้ภาษาพูดในที่ประชุมชนนั้น  ควรเป็นอย่างไร

1  ภาษาเขียน               2  ภาษาสนทนาที่สุภาพ                 3  ภาษาพิธีการ                 4  ภาษากึ่งพิธีการ

ตอบ  2  ภาษาสนทนาที่สุภาพ                

หลักการใช้ภาษาพูด  มีดังนี้  1  ควรใช้ภาษาให้เหมาะแก่บุคคล  สถานที่  และโอกาส  2  ควรใช้ภาพูดที่สุภาพ  หรือใช้ภาษาสนทนาที่สุภาพ  ไม่ใช่ภาษาเขียนหรือภาราชการ  3  ควรใช้คำง่ายๆประโยคเรียบและสั้น  4  ควรใช้บุรุษสรรพนามให้บ่อยครั้งกว่าการใช้ภาษาเขียนธรรมดา  5  อย่าใช้ถ้อยคำ  วลี  (เช่น  นอกจากนี้,  แล้วก็,  จะเห็นได้ว่า,  ฯลฯ)  หรือข้อความเดียวกันบ่อยๆ  6  ควรใช้คำพูดที่ก่อให้เกิดอารมณ์หรือเห็นภาพพจน์

 6       ถ้าจะพูดให้น้ำเสียงฟังแล้วมีเสน่ห์  ควรพูดอย่างไร

1  พูดคำว่า  ครับ  ค่ะ  ท้ายประโยค                               2  พูดใส่อารมณ์อย่างตลกขบขัน

3  พูดสำนวนไทย  หรือประโยคเด็ดๆให้น่าประทับใจ          4  พูดในเนื้อหาที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกสบายใจ

ตอบ    1  พูดคำว่า  ครับ  ค่ะ  ท้ายประโยค                              

น้ำเสียงในการพูดมีส่วนสำคัญอย่างมากในการส่งความหมายจากผู้พูดไปยังผู้ฟัง  โดยเสน่ห์ของน้ำเสียงควรอยู่ที่การเพิ่มคำว่า  ค่ะ  นะคะ  ครับ  และ  นะครับ  ที่ท้ายประโยคด้วย

7       การพูดที่มีประสิทธิภาพนั้นจะต้องรู้จักการควบคุมการผ่อนลมหายใจในขณะที่พูด  วิธีหายใจที่ถูกต้องเป็นอย่างไร

1  หายใจให้เงียบที่สุด                                                          2  หายใจลึกๆและแรงๆ

3  หายใจเข้าสู่ศูนย์กลางของลำตัว                                       4  หายใจลึกๆพร้อมอ้าปากเล็กน้อย

ตอบ  3  หายใจเข้าสู่ศูนย์กลางของลำตัว                                       

การพูดที่มีประสิทธิภาพนั้น  ผู้พูดจะต้องรู้จักควบคุมการผ่อนลมหายใจในขณะที่พูด  กล่าวคือ  ต้องหายใจเข้าสู่ศูนย์กลางของลำตัว  หรือหายใจโดยการใช้กะบังลม  (Diaphragm)

8       หากผู้ฟังเป็นกลุ่มบุคคลในวัยชราที่มีการศึกษาอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย  ผู้พูดควรจะนำเสนอเนื้อหาในลักษณะใด

1       เร้าอารมณ์  แฝงมุขสนุกสนาน  ท้าทายความสามารถ

2       ประสบการณ์เสี่ยงตาย  สิ่งที่เป็นพิษภัยใกล้ตัว

3       การโกหกหลอกลวง  สิบแปดมงกุฎ  และเล่ห์เหลี่ยมทางธุรกิจ

4       สวัสดิภาพ  บุคคลผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต  การดำรงตนให้เป็นที่เคารพรัก

ตอบ  4   สวัสดิภาพ  บุคคลผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต  การดำรงตนให้เป็นที่เคารพรัก

วัยชรา  เป็นวัยของผู้ที่มีประสบการณ์มาก  ชอบคิดและยึดถือสิ่งที่เป็นที่พึ่งทางจิตใจ  เช่น  คุณธรรม  และมักเป็นห่วงลูกหลาน  ครอบครัว  ดังนั้นการพูดกับบุคคลที่อยู่ในวัยชราและมีการศึกษาสูง  จึงควรพูดเรื่องที่เกี่ยวกับสวัสดิภาพทางครอบครัว  บุคคลผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต  การดำรงตนให้เป็นที่เคารพรัก  ฯลฯ  โดยควรพูดในทำนองเป็นที่ปรึกษาหรือเป็นผู้ปรับทุกข์

9       คุณยุทธนาจะไปพูดในที่ประชุมชน  ท่านจะแนะนำวิธีเลือกเรื่องที่จะพูดอย่างไร

1  เลือกเรื่องที่ผู้พูดสนใจ  และผู้ฟังสนใจด้วย                 2  เลือกเรื่องที่ผู้พูดมีความรู้  และผู้ฟังสนใจ

3  เลือกเรื่องที่ทันสมัย  และผู้ฟังส่วนใหญ่สนใจ            4  เลือกเรื่องดี  เป็นสาระแก่ชีวิตและผู้พูดสนใจมาก

ตอบ  1  เลือกเรื่องที่ผู้พูดสนใจ  และผู้ฟังสนใจด้วย                

ในการเลือกเรื่องไปพูดนั้น  ผู้พูดต้องพยายามเลือกเรื่องที่ทั้งผู้พูดและผู้ฟังสนใจ  ถ้าเป็นเรื่องที่ผู้พูดถนัดก็จะทำให้พูดได้ดี  และถ้าเป็นเรื่องที่ผู้ฟังสนใจด้วยก็ดูเหมือนว่าผู้พูดได้ประสบความสำเร็จขั้นต้นในการเรียกความสนใจจากผู้ฟัง  แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ผู้ฟังไม่สนใจการพูดนั้นก็จะล้มเหลว

10  โครงร่าง  (Outline)  มีประโยชน์ต่อการเตรียมเรื่องพูดอย่างไร

1  ทำให้เนื้อหามีรสนิยม                                                  2  ทำให้เนื้อหามีเอกภาพ

3  ทำให้เนื้อหาน่าติดตาม                                                4  ทำให้เนื้อหาน่าเชื่อถือ

ตอบ  2  ทำให้เนื้อหามีเอกภาพ

ในการเตรียมเรื่องพูดนั้น  ผู้พูดจำเป็นที่จะต้องเขียนโครงร่างหรือโครงเรื่อง  (Outline)  ขึ้นมาก่อน  ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการวางแนวทางว่าเรื่องที่จะพูดนั้นมีหัวข้ออะไรบ้าง  โดยโครงร่างหรือโครงเรื่องนี้จะช่วยเป็นแนวทางการเรียงลำดับเรื่องที่จะพูดทำให้เนื้อหามีเอกภาพ  ไม่สับสน  และง่ายแก่แก่การจดจำไปพูด

11    ไม่ว่าจะขึ้นคำนำด้วยวิธีใดๆก็ตาม  สิ่งที่ผู้พูดไม่สามารถละเลยได้ก็คือ
1  สัมพันธ์กับคำทักทายผู้ฟัง                                          2  ตื่นเต้นเร้าใจเสมอ
3  กล่าวถึงแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้                                 4  สอดคล้องกับเนื้อเรื่องลำดับถัดไป
ตอบ  4  สอดคล้องกับเนื้อเรื่องลำดับถัดไป
คำนำ  (Introduction)  ในการพูด  เป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะชักจูงให้ผู้ฟังสนใจและติดตามฟังต่อไป  ซึ่งผู้พูดอาจขึ้นต้นคำจำกัดความ  คำถาม  สุภาษิต  คำคม  อารมณ์ขัน  ความประหลาดใจ ฯลฯ  แต่ไม่ว่าจะขึ้นคำนำด้วยวิธีใดๆก็ตาม  คำนำนั้นๆจะต้องบอกถึงข้อมูลสนับสนุนที่สอดคล้องกับเนื้อเรื่อง  (Main  Body)  ที่จะกล่าวในลำดับต่อไป

12    ข้อใดไม่ใช่การขยายความเนื้อเรื่อง
1  พูดเปรียบเทียบกับสำนวน  สุภาษิต                                2  พูดถึงเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
3  พูดเพื่อให้ผู้ฟังคิดเอง                                                      4  พูดโดยฉายสไลด์ประกอบการพูด
ตอบ  2  พูดถึงเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
การขยายความเนื้อเรื่อง  ทำได้ดังนี้
1  การให้คำจำกัดความ                 2  การยกตัวอย่างโดยเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา          3  การเปรียบเทียบกับสิ่งที่คล้ายคลึง         4  การแสดงหรือชี้ให้เห็นถึงข้อแตกต่าง          5  การหยิบยกข้ออ้างอิง  สำนวน  สุภาษิต  หรือคำพังเพย         6  การเล่าเรื่องประกอบเพื่อให้ผู้ฟังคิดเอาเอง             7  การถาม – ตอบ              8  การใช้โสตทัศนูปกรณ์ต่างๆ  เช่น  การฉายสไลด์  การใช้แผนที่  แผนภูมิ  รูปภาพ  ฯลฯ

13    ในขั้นตอนของการริเริ่มที่จะวางเค้าโครงเรื่องที่จะพูด  อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุด
1  องค์ประกอบของกลุ่มผู้ฟัง                                                              2  ปฏิกิริยาของผู้ฟังที่จะแสดงกลับมา
3  ความกล้าที่จะตัดสินใจเลือกประเด็น  หรือเนื้อหาที่จะพูด              4  การตกลงใจที่จะเลือกใช้ข้อมูล
ตอบ  ในขั้นจองการเริ่มคิด  ถือเป็นขั้นตอนการริเริ่มที่จะวางเค้าโครงเรื่องที่จะพูด  ซึ่งผู้พูดจะต้องตัดสินใจเลือกประเด็นหรือเนื้อหาที่จะพูดอย่างมีวิจารณญาณ  ถ้าไม่เชื่อมั่นในความคิดของตนเอง  ก็อาจถามผู้ที่รู้จักเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ  แล้วก็จะได้หัวข้อที่คิดว่าจะนำไปพูดมากขึ้น

14    สิ่งใดควรกระทำเมื่อขึ้นเวทีพูด
1  ใช้มือเคาะไมโครโฟน                                                             2  กระแอมก่อนพูด
3  พูดช้าๆในนาทีแรกที่เริ่มพูด                                                    4  พูดขออภัยในความผิดพลาดของตัวเอง
ตอบ  3  พูดช้าๆในนาทีแรกที่เริ่มพูด
ข้อควรปฏิบัติเมื่อขึ้นเวทีพูด  มีดังนี้
1    ขณะที่ยืนบนเวทีควรยืนให้สง่างาม  แสดงสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
2    ในนาทีแรกที่เริ่มพูดนั้นควรพูดช้าๆ
3    หลังจากกล่าวคำปฏิสันถารแล้ว  ผู้พูดจะต้องไม่ออกตัวหรือขอโทษ / ขออภัยในความผิดพลาดหรือข้อบกพร่องของตนเอง
4    ควรหลีกเลี่ยงการกระแอมกระไอก่อนพูด  การใช้มือเคาะไมโครโฟน  หรือพูดว่า  “ฮัลโหลๆ”
5    เมื่อผู้ฟังแสดงความพอใจด้วยการหัวเราะหรือปรบมือ  ผู้พูดควรหยุดพูด  จนเมื่อเสียงแสดงความพอใจนั้นๆจบหรือซาลงจึงเริ่มพูดต่อไป  ฯลฯ

15    เมื่อผู้ฟังแสดงความพอใจอย่างมาก  ผู้พูดควรปฏิบัติอย่างไร
1  หยุดพูด  จนเมื่อการแสดงความพอใจจบลงจึงเริ่มพูดต่อ           2  ยกมือสองข้างขึ้นเหนือศีรษะและโบกไปมา
3  พูดเร่งเร้าอารมณ์ผู้ฟังขึ้นไปอีก                                                  4  เดินลงจากเวทีเพื่อไปสัมผัสมือกับผู้ฟัง
ตอบ  1  หยุดพูด  จนเมื่อการแสดงความพอใจจบลงจึงเริ่มพูดต่อ           ดูคำอธิบายข้อ  14  ประกอบ

16    วิธีทำให้ความตื่นเวทีลดน้อยลงควรเป็นอย่างไร
1  ดื่มเบียร์หรือสุราเล็กน้อย                                                    2  แสดงท่าทางมากๆ
3  ยิ้มและพูดคุยกับผู้ฟังเป็นครั้งคราว                                     4  เตรียมเรื่องและฝึกซ้อมพูด
ตอบ  4  เตรียมเรื่องและฝึกซ้อมพูด
วิธีแก้หรือทำให้ความตื่นเวทีและความกังวลลดน้อยลงประการแรกที่สุดก็คือ  ผู้พูดจะต้องเตรียมเรื่องพูดและฝึกซ้อมพูดอย่างดี  เพราะถ้าเตรียมสองประการนี้ไม่ดีก็เท่ากับประสบความล้มเหลวก่อนขึ้นเวทีเสียแล้ว

17    หลวงวิจิตรวาทการได้กล่าวถึงการแสดงท่าทางประกอบการพูดไว้อย่างไร
1  การออกท่าทางมากๆทำให้คำพูดเสีย
2  การออกท่าทางมากๆไว้เป็นการดี  ไม่เคอะเขิน
3  การพูดที่ดีจะไม่มีการออกท่าทางประกอบคำพูดเลย
4  การออกท่าทางมากๆเหมาะสำหรับการพูดเรื่องตลกโปกฮา
ตอบ  1  การออกท่าทางมากๆทำให้คำพูดเสีย
หลวงวิจิตรวาทการได้กล่าวถึงการแสดงท่าทางประกอบการพูดไว้ว่า  “…มีคนโดยมากเข้าใจผิดไปว่าการออกท่าทางประกอบคำพูดให้มากๆนั้นเป็นการดี  แท้จริงการออกท่าทางมากๆนั้นกลับจะทำให้คำพูดเสียไป…  นักพูดที่เก่งที่สุดนั้นเขามีท่าทางน้อยที่สุด… จะมีการเคลื่อนไหวบ้างก็เล็กน้อย  และการเคลื่อนไหวเหล่านั้นก็มีอาการหนักแน่นอยู่ในตัวเสมอ”

18    ผู้พูดสามารถสร้างความเป็นมิตรและความเป็นกันเองกับผู้ฟังได้ด้วยอะไร
1  การมีบุคลิกและรสนิยมดี                                                 2  การระวังตัวและการรักษามารยาทอย่างดี
3  การสำรวมอากัปกิริยาและรู้จักระวังตัว                            4  การรู้จักใช้ถ้อยคำและท่าทางที่เหมาะสม
ตอบ  4  การรู้จักใช้ถ้อยคำและท่าทางที่เหมาะสม
ผู้พูดควรจะพยายามแสดงออกถึงบุคลิกภาพ  คือ  การรู้จักใช้ถ้อยคำที่สุภาพเรียบร้อยและมีลักษณะท่าทางที่เหมาะสม  โดยผู้พูดควรแสดงสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเป็นมิตรกับผู้ฟัง  เพื่อให้บรรยากาศในสถานที่นั้นจะได้ไม่ตึงเครียด  อีกทั้งผู้พูดและผู้ฟังจะได้มีความรู้สึกที่คุ้นเคย  สามารถสร้างความเป็นมิตรและความเป็นกันเองต่อกัน

19    ผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการฟัง  (ส่วนใหญ่)  มาจากสาเหตุใด
1  ชอบพูดมากกว่าชอบฟัง                                                  2  มีความกังวลใจในเรื่องต่างๆ
3  ชอบหลับ                                                                         4  สนใจบุคลิกของผู้พูดมากเกินไป
ตอบ  2  มีความกังวลใจในเรื่องต่างๆ
ลักษณะของการฟังที่ดีประการหนึ่ง  คือ  ผู้ฟังจะต้องตัดความกังวลใจต่างๆ  เพราะถ้าผู้ฟังมีความกังวลใจแล้วย่อมจะไม่มีสมาธิในการฟัง  และทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในการฟัง  ซึ่งวิธีที่ดีคือ  ควรทำจิตใจให้หายกังวลแล้วตั้งใจรับฟังเรื่องที่ผู้พูดพูด  เมื่อตั้งใจฟังและเกิดความสนใจที่จะฟังแล้วก็จะเกิดความเข้าใจขึ้นมาได้

20    ข้อใดเข้ากับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า  “สุสสูสํ  ลภเต  ปญญํ”  ฟังด้วยดีย่อมมีปัญญา
1    จ้องจับผิดผู้พูดว่า  ผู้พูดกล่าวอะไรผิดกับความรู้ของตนหรือไม่
2    เมื่อเห็นว่าผู้พูดพูดในสิ่งที่ไม่ตรงต่อทัศนคติของตนเอง  จึงเดินออกจากห้อง
3    เมื่อผู้พูดกล่าวในสิ่งที่ตนเองเข้าใจผิดมาตลอด  จึงบันทึกเนื้อหาสำคัญเพื่อให้จำได้
4    ลุกขึ้นโต้แย้งข้อเท็จจริง  แล้วกล่าวกับผู้ฟังว่าความรู้ของผู้พูดเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ตอบ  3  เมื่อผู้พูดกล่าวในสิ่งที่ตนเองเข้าใจผิดมาตลอด  จึงบันทึกเนื้อหาสำคัญเพื่อให้จำได้
การฟังที่ดีย่อมทำให้ผู้ฟังเกิดปัญญา  เกิดความรู้  ดังหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า  “สุสสูสํ  ลภเต  ปญญํ”  ฟังด้วยดีย่อมมีปัญญา  โดยการฟังที่ดีนั้นจะต้องรู้จักฝึกฝนการตัดสินใจว่าจะเชื่อตามความคิดนั้นหรือไม่  ซึ่งการฟังแล้วคิด  ค้นคว้า  ไต่ถาม  และจดบันทึกเนื้อหาสำคัญ  ย่อมจะทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้และสติปัญญา

21    การที่อาจารย์พูดชมนักเรียนว่าแต่งกายเรียบร้อย  มีระเบียบ  น่ารัก  เป็นการกระตุ้นทางใด
1  ทางร่างกาย                        2  ทางจิตใจ                        3  ทางนิสัย                             4  ทางสังคม
ตอบ  3  ทางนิสัย
การพูดกระตุ้นทางนิสัย  เป็นการพูดในสิ่งที่ดีงามของผู้ฟัง  เช่น  กล่าวชมผู้ฟังว่าเป็นคนตรงต่อเวลา  ทำงานดี  มีระเบียบ  เป็นผู้ที่มีรสนิยมดี  น่ารัก  แต่งกายเรียบร้อยดี  มีงานอดิเรกหรือมีความสนใจในสิ่งแวดล้อมดี  เป็นต้น

22    จากสุนทรพจน์ของนายป๋วย  อึ้งภากรณ์  กล่าวว่า  ความสามัคคีจะยืนยงคงอยู่ได้ต้องอาศัยคุณธรรมข้อใด
1  มีความซื่อสัตย์             2  มีความเมตตากรุณา            3  มีความใจกว้าง            4  มีความโอนอ่อนผ่อนตาม
ตอบ   4  มีความโอนอ่อนผ่อนตาม
จากสุนทรพจน์ของนายป๋วย  อึ้งภากรณ์  ได้กล่าวไว้ว่า  ความสามัคคีจะยืนยงคงอยู่ได้เรียบร้อยจะต้องอาศัยคุณธรรม  2  ประการ  คือ  1  อัธยาศัยไมตรี  และความผันผ่อนหย่อนตามซึ่งกันและกัน  2  ความยุติธรรมในหมู่คณะ

23    ในการพูดชักจูงใจ  สิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้ฟังเชื่อถือในตัวผู้พูดคืออะไร
1  พยาน  หลักฐาน  และข้อมูล                                                  2  ถ้อยคำที่มีน้ำหนัก  น่าเชื่อถือ
3  ความมีชีวิตชีวาและท่าทางของผู้พูด                                      4  น้ำเสียง  ท่าทาง  และคำพูด
ตอบ  1  พยาน  หลักฐาน  และข้อมูล
ในการพูดแบบชักจูงใจ  สิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้ฟังเชื่อถือหรือเชื่อมั่นในตัวผู้พูดก็คือ  ผู้พูดจะต้องยกตัวอย่าง  ยกเหตุผลข้อเท็จจริง  ข้อมูล  หลักฐาน  พยาน  และข้อโต้แย้งต่างๆขึ้นมาอ้างอิง  เพื่อให้ผู้ฟังเห็นด้วย

24    การพูดให้ชาวนาชาวไร่มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนมีเกียรติเช่นเดียวกับคนอื่นๆในสังคมควรพูดกระตุ้นในทางใด
1  ทางร่างกาย                      2  ทางจิตใจ                         3  ทางสังคม                          4  ทางนิสัย
ตอบ  3  ทางสังคม
การพูดกระตุ้นทางสังคม  ผู้พูดจะต้องพูดให้ได้ผลออกมาในรูปที่ว่า  ผู้ฟังเป็นคนที่กว้างขวาง  มีเกียรติ  เป็นที่รู้จักในวงสังคม  หรือเป็นผู้ที่มีสิทธิเสมอภาคเท่าเทียมกับคนอื่นๆในสังคมเหมือนกัน

25    คุณสุจารีเป็นผู้บรรยายการออกกำลังกาย  และต้องการแจกหนังสือแก่ผู้ฟัง  เธอควรแจกเมื่อใด
1  ก่อนการพูดบรรยาย                                                           2  หลังการพูดบรรยาย
3  ในขณะที่บรรยายไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว                                4  เมื่อผู้ฟังง่วงนอน
ตอบ  2  หลังการพูดบรรยาย
การพูดสาธิตนั้นอาจมีเครื่องมือเพื่อใช้ประกอบการอธิบาย  เช่น  หนังสือ  คู่มือ  เอกสาร  หรือรูปภาพประกอบ  ซึ่งวิธีที่ดีก็คือ  พูดหรืออธิบายเรื่องที่จะพูดให้จบเสียก่อนแล้วจึงใช้เครื่องมือประกอบการพูดหรือแจกเอกสารให้แก่ผู้ฟังภายหลังจากพูดจบแล้ว

26    ปากกาเคมีที่อาจารย์พรศักดิ์ใช้เขียนข้อความบนกระดานขาวเพื่ออธิบายความรู้ให้นักศึกษา  อาจารย์พรศักดิ์ใช้เครื่องมืออะไร
1  เครื่องมือบุคคล                  2  เครื่องมือจริง                 3  เครื่องมือแทน               4  เครื่องมือเขียน
ตอบ  3  เครื่องมือแทน
เครื่องมือแทน  (The  Representational)  คือ  เครื่องมือที่ไม่มีความสมบูรณ์ในตัวเอง  แต่ดูเสมือนเป็นเครื่องมือจริง  หรือการใช้สิ่งอื่นเพื่อแทนสิ่งที่ไม่สามารถนำมาแสดงได้ด้วยข้อจำกัดต่างๆ  โดยอาศัยการรับรู้ในเชิงเปรียบเทียบหรือสมมุติว่าเป็นสิ่งที่กล่าวถึง  (เทียบเคียงหรือมีความใกล้เคียงสิ่งที่พูดถึง)  ซึ่งผู้พูดสามารถสร้างความเข้าใจให้กับผู้ฟังได้ในลักษณะการอุปมาอุปมัย  การคิดตาม  และการแทนที่ความรู้สึกนึกคิด  เช่น  รูปภาพ  ฟิล์มสไลด์   แผ่นประกาศ  ตาราง  ฯลฯ  ที่ใช้ประกอบการนำเสนอ  ชอล์กหรือปากกาเคมีที่ใช้เขียนบนกระดาน  หรือการใช้กิ่งไม้สมมุติให้เป็นดาบ  เป็นต้น

27    การพูดเกี่ยวกับการเดินทางสำรวจป่าดิบชื้นในภาคใต้ตอนล่าง  เป็นการพูดรายงานแบบใด
1  แบบประสบการณ์                                                                2  แบบแถลงข้อเท็จจริง
3  แบบความก้าวหน้าและผลสำเร็จ                                          4  แบบสรุปผล
ตอบ  1  แบบประสบการณ์
การพูดรางงานแบบประสบการณ์นั้น  ผู้พูดจะต้องกล่าวถึงเวลา  สถานที่  และเรื่องที่จะรายงาน  รวมถึงสภาพแวดล้อมด้วย  จากนั้นก็จะมุ่งไปสู่เหตุการณ์สำคัญๆ  ที่เกิดขึ้นให้เป็นลำดับต่อเนื่องกัน  โดยให้เหตุการณ์นั้นออกมาในรูปของประสบการณ์ที่มีความหมายต่อผู้ฟัง  ซึ่งตัวอย่างของการพูดรายงานแบบนี้คือ  การกล่าวถึงประสบการณ์ของตัวผู้พูดในกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง  (เช่น  การเดินทางไปสำรวจป่าดิบชื้น  ฯลฯ)  หรือในสถานที่ต่างๆ  (เช่น  ในต่างประเทศ  ชนบท  ฯลฯ)

28    ในการพูดรายงานแบบสรุปผล  หากต้องพูดเกี่ยวกับรายงานการทดลอง  รายงานนั้นควรประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญๆยกเว้นข้อใด
1  ประสบการณ์ผู้ทดลอง                                                        2  ความมุ่งหมาย
3  เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง                                               4  สรุปผลการทดลอง
ตอบ  1  ประสบการณ์ผู้ทดลอง
การพูดรายงานแบบสรุปผล  ในกรณีที่เกี่ยวกับการรายงานการทดลองหรือปฏิบัติการนั้น  ควรจะประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญๆดังนี้  1  ความมุ่งหมาย     2   เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง       3  สรุปผลของการทดลอง

29    คุณศุภชัยเป็นนักธุรกิจที่ต้องพูดรายงานในที่ประชุม  เขาควรยึดหลักอะไร
1    มีเนื้อหาเด่นชัด  ละเอียด  พร้อมทั้งข้อมูลทางสถิติ
2    มีเนื้อหาสมบูรณ์  ชัดเจน  พร้อมทั้งข้อมูลทางสถิติที่จำเป็น
3    มีเนื้อหาสั้น  ชัดเจน  พร้อมทั้งข้อมูลทางสถิติ
4    มีเนื้อหาสมบูรณ์  ละเอียดชัดเจน  พร้อมทั้งข้อมูลทางสถิติ
ตอบ  3  มีเนื้อหาสั้น  ชัดเจน  พร้อมทั้งข้อมูลทางสถิติ
หลักสำคัญของการพูดรายงานอยู่ที่การตระเตรียมเรื่องที่จะพูด  ส่วนเนื้อหาของเรื่องนั้นควรเรียบเรียงขึ้นด้วยความประณีตและรอบคอบ  โดยใจความที่สำคัญของเนื้อหาจะต้องมีลักษณะที่สั้น  กระชับ  และชัดเจน  รวมทั้งจะต้องนำข้อมูลทางสถิติมาพูดด้วย  แต่ไม่ควรบรรจุเนื้อหาที่สมบูรณ์ของเรื่องลงไป  เพราะจะทำให้มีเนื้อหาและข้อปลีกย่อยมากมาย  ซึ่งเป็นสาเหตุให้ผู้ฟังจำสับสน  เกิดความเบื่อและทำให้เสียเวลา

30    ข้อใดต่อไปนี้ถูกต้องตามหลักการพูดวิจารณ์
1    ม.รามคำแหงนี้ดี  ค่าหน่วยกิตถูก  แถมเรียนได้นานอีกด้วย
2    อาจารย์คนนี้สอนดี  แต่เคร่งระเบียบวินัย
3    ละครเรื่องนี้ลงทุนน้อย  และน้ำเน่าถูกคอแม่ค้าตลาดสด
4    ภาพยนตร์เรื่อง  “นางตานี”  นี่ยอดไปเลย
ตอบ  2  อาจารย์คนนี้สอนดี  แต่เคร่งระเบียบวินัย
การพูดวิจารณ์  หมายถึง  การพูดทั้งติและชมสิ่งใดสิ่งหนึ่งในแง่ต่างๆ  อย่างมีเหตุผล  และถูกหลักการวิจารณ์  ซึ่งการพูดวิจารณ์เป็นการพูดที่ต้องใช้หลักการทางตรรกวิทยา  (Logic)  หรือใช้หลักทางเหตุผลมาประกอบ  โดยจะไม่เอาอารมณ์ของผู้พูดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย

31    การพูดในลักษณะวิพากษ์วิจารณ์มีลักษณะเฉพาะที่ต่างจากการพูดประเภทอื่นๆอย่างไร
1    เนื้อหาที่จะพูดต้องเป็นข้อเท็จจริงเสมอ
2    ต้องมีการนำเสนอโดยใช้เหตุผลประกอบ
3    ต้องมีการใช้กติกา  ข้อกำหนด  หรือตัวบ่งชี้ต่างๆมาใช้เป็นเกณฑ์
4    ต้องมีการจัดสมดุลของเนื้อหา  และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่กล่าวอ้าง
ตอบ  2  ต้องมีการนำเสนอโดยใช้เหตุผลประกอบ      ดูคำอธิบายข้อ  30  ประกอบ

32    ข้อใดไม่ใช่วัตถุประสงค์ทางการสื่อสารของการประชุม
1  เพื่อให้การศึกษา              2  เพื่อประสานงาน           3  เพื่อแสดงความคิดเห็น           4  เพื่อจัดระบบงาน
ตอบ  4  เพื่อจัดระบบงาน
จุดมุ่งหมายของการประชุม  ได้แก่  1  เพื่อแถลงข่าวและเรื่องราวต่างๆ     2  เพื่อปรึกษาหารอ  ขอคำแนะนำ  และแสดงความคิดเห็น    3  เพื่อดำเนินงานหรือประสานงาน    4  เพื่อให้การศึกษา    5  เพื่อพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ    6  เพื่อกระตุ้นให้สมาชิกเกิดความรู้สึกและทัศนคติใหม่ๆในการดำเนินงาน

33    ประธานในที่ประชุมควรเสนอความคิดเห็นของตนอย่างไรจึงเหมาะสมที่สุด
1  เป็นคนแรก                    2  ทุกๆ  10  นาที                     3  ตลอดเวลา                    4  เป็นคนสุดท้าย
ตอบ  4  เป็นคนสุดท้าย
ประธานในที่ประชุมมีหน้าที่ประการหนึ่ง  คือ  ประธานจะต้องเปิดโอกาสและช่วยให้ผู้เข้าประชุมได้ใช้ความคิดของตนเองอย่างเต็มความสามารถ  โดยประธานไม่ควรเสนอความคิดเห็นของตนเป็นคนแรก  แต่ควรเสนอความคิดเห็นเป็นคนสุดท้าย

34    ถ้าคุณบรรหารไม่เห็นด้วยกับมติของที่ประชุม  (ที่ครบองค์ประชุม)  เขาต้องทำอย่างไร
1  ไม่ต้องปฏิบัติตาม                                                         2  ต้องปฏิบัติตาม
3  ขอแปรญัตติต่อประธาน                                               4  ขอให้มีการทบทวนมติ
ตอบ  2  ต้องปฏิบัติตาม
มติ  คือ  ข้อตกลงของที่ประชุมในญัตติต่างๆที่มีผู้เสนอ  ซึ่งมติของที่ประชุม (ที่ครบองค์ประชุม)  ให้ถือเป็นข้อยุติที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามถึงแม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม

35    คุณวรวิทย์เป็น ส.ส.  และต้องการขอแปรญัตติในที่ประชุม  เขาควรทำอย่างไร
1  เสนอด้วยวาจาต่อประธาน                                            2  เสนอเป็นลายลักษณ์อักษรต่อประธาน
3  เสนอด้วยวาจาต่อเลขา ฯ                                               4  เสนอเป็นลายลักษณ์อักษรต่อเลขา ฯ
ตอบ  2  เสนอเป็นลายลักษณ์อักษรต่อประธาน
แปรญัตติ  หมายถึง  การแสดงความคิดเห็นซ้อนขึ้นในญัตติ  หรือการเสนอขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมญัตตินั้นๆ  โดย  ส.ส.  ที่ต้องการขอแปรญัตติในที่ประชุมจะต้องเสนอคำขอแปรญัตติของตนเป็นหนังสือ  (เป็นลายลักษณ์อักษร)  ต่อประธานภายในระยะเวลาที่กำหนด  และคำแปรญัตติต้องมี  ส.ส.  อื่นรับรองเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมสภา

36    ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการเล่าเรื่อง
1  ทำให้เด็กมีประสบการณ์ในการฟังเพิ่มขึ้น                                 2  เป็นวิธีสอนเด็กโดยที่เด็กไม่รู้ตัว
3  ทำให้ผู้เรียนสนใจฟัง  เข้าใจง่าย  จดจำเนื้อเรื่องได้ดี                  4  ทำให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในเรื่องที่แปลก
ตอบ  1  ทำให้เด็กมีประสบการณ์ในการฟังเพิ่มขึ้น
ประโยชน์ของการเล่าเรื่อง  ได้แก่    1  เป็นวิธีชี้แนะสั่งสอนแบบไม่รู้ตัว    2  ทำให้ผู้เรียนสนใจฟัง  เข้าใจง่าย  และจดจำเนื้อเรื่องได้ดี    3  ทำให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในเรื่องที่แปลกหรือมหัศจรรย์  ในเหตุการณ์ที่ตื่นเต้นน่ากลัว  และในปรากฏการณ์ของธรรมชาติ

37    การสอนเชิงอุปมาอุปมัยและเปรียบเทียบ  มักใช้กับการพูดชนิดใด
1  การรายงาน                         2  การวิจารณ์                         3  การเล่าเรื่อง                       4  การอภิปราย
ตอบ     3  การเล่าเรื่อง
การเล่าเรื่อง  เป็นการสอนเชิงอุปมาอุปมัยและเปรียบเทียบ  รวมทั้งยังเป็นการสอนในแง่ความคิดต่างๆในด้านปรัชญาและคติธรรม

38    ทำไมการเล่านิทานจึงต้องมีบทตลกแทรกด้วย
1  เพื่อให้เด็กไม่ง่วงนอน           2  เพื่อให้เด็กสนุก           3  เพื่อให้เด็กหัวเราะ            4  เพื่อดึงดูดความสนใจ
ตอบ   4  เพื่อดึงดูดความสนใจ
ในการเล่านิทานนั้น  เมื่อมีตอนใดที่สามารถจะแทรกบทตลกได้ก็ควรจะเล่าเรื่องให้ตลก  เพราะบทตลกจะดึงดูดความสนใจของผู้ฟังได้ดี  นอกจากนี้ในเนื้อเรื่องที่ใช้เล่านิทานก็ควรจะใช้บทพูด  (Dialogue)  ประมาณ  80 %  หรือควรจะใช้พรรณนาโวหารให้น้อยกว่าบทพูด


39    น้าอนงค์เป็นนักเล่านิทาน  น้าอนงค์จะมีวิธีจัดเรื่องอย่างไร
1  ใช้บทพูดในเนื้อเรื่อง                                                          2  ใช้พรรณนาโวหารในเนื้อเรื่อง
3  ใช้บรรยายโวหาร                                                               4  ใช้การพูดกึ่งพิธีการแทรกด้วยบทตลก
ตอบ  1  ใช้บทพูดในเนื้อเรื่อง           ดูคำอธิบายข้อ  38  ประกอบ

40    ข้อควรระวังที่สุดสำหรับการเล่าประวัติศาสตร์หรือชีวประวัติ  ได้แก่
1  ต้นฉบับจากหลายแหล่งอ้างอิง                                         2  ข้อโต้แย้งที่ไม่มีข้อสรุป
3  ข้อมูลที่ละเอียด                                                                4  ความน่าเบื่อ
ตอบ  4  ความน่าเบื่อ
การเล่าประวัติศาสตร์หรือชีวประวัติบุคคลสำคัญจะต้องระวังข้อผิดพลาดต่างๆ  เช่น
1    ไม่ควรที่จะกล่าวถึงชีวิตส่วนตัวของเจ้าของประวัติมากเกินไป  เพราะเป็นการแสดงถึงความไม่นับถือ
2    ควรเล่าเฉพาะเหตุการณ์ที่ผู้อื่นยังไม่รู้  ส่วนเหตุการณ์ที่คนส่วนมากรู้แล้วก็เล่าอย่างย่นย่อหรือข้ามไป  เพราะจะทำให้ผู้ฟังเบื่อหน่าย  ขาดความสนใจ
3    ควรจะอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสม  และสุภาพ  ไม่ยกย่องจนเกินไป

41    การพูดเพื่อให้คำปรึกษา  อาศัยแนวคิดใดเป็นหลัก
1  ปฏิวัติกรอบการรับรู้             2  การมีส่วนร่วม              3  สื่อสัมพันธ์            4  ละลายพฤติกรรม
ตอบ  2  การมีส่วนร่วม
การพูดเพื่อให้คำปรึกษาที่ดีควรอาศัยแนวคิดการมีส่วนร่วมเป็นหลัก  โดยวิธีที่ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพที่ควรจะใช้ในการพูดปรึกษาก็คือ  การสะท้อนความรู้สึก  ซึ่งมีประโยชน์มากในการพูดให้คำปรึกษาแนะนำกับนักเรียน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัญหาเชิงพฤติกรรมและระเบียบวินัย  ทั้งนี้เพื่อสร้างบรรยากาศให้มีความอิสรเสรี  ความเข้าใจ  ความไว้วางใจกัน  อันจะเป็นทางนำไปสู่ที่มาของปัญหา  และมีเป้าหมายไปที่การแก้ปัญหาซึ่งเป็นทางออกที่ดีและเหมาะสมที่สุด

42    วิธีที่ครูใช้พูดปรึกษากับผู้ปกครองนักเรียนที่มีประสิทธิภาพในเชิงปฏิบัติ  คือวิธีใด
1    สร้างความเป็นกันเองและความเต็มใจที่ให้คำปรึกษา
2    ชี้ให้ผู้ปกครองเห็นว่าเด็กทำผิดจริง  และเป็นความบกพร่องของผู้ปกครองด้วย
3    อธิบายให้ผู้ปกครองเห็นว่าเด็กทำผิดจริง  แล้วเขียนคำแนะนำให้ผู้ปกครองปฏิบัติตาม
4    ทำให้รู้สึกถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นและภาระที่ครูต้องรับผิดชอบ
ตอบ  1  สร้างความเป็นกันเองและความเต็มใจที่ให้คำปรึกษา
โดยปกติแล้วผู้ปกครองย่อมต้องการคำแนะนำปรึกษาหรือข้อคิดเห็นจากครู  ดังนั้นถ้าครูพยายามสร้างความเป็นกันเองต่อผู้ปกครอง  แสดงความเห็นอกเห็นใจ  เข้าใจและพยายามช่วยแก้ปัญหาให้แก่ผู้ปกครองด้วยความเต็มใจแล้ว  ผู้ปกครองก็จะเกิดความนิยมนับถือในตัวครูมากยิ่งขึ้น  ทำให้ผู้ปกครองกล้าพูด  กล้าแสดงความคิดเห็น  และให้ความร่วมมือกับครูในการแก้ปัญหาในที่สุด

43    การเตรียมตัวเพื่อพูดปรึกษาแก้ไขปัญหามีอะไรบ้าง
1  รู้จุดหมาย  รู้ปัญหา  และเปิดโอกาสให้ซักถาม              2  รู้จุดหมาย  เตรียมเนื้อหา  และเปิดโอกาสให้ซักถาม
3  รู้ปัญหา  รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร  และรู้วิธีแก้ปัญหา          4  รู้ปัญหา  รู้วิธีอธิบาย  และเปิดโอกาสให้ซักถาม
ตอบ  3  รู้ปัญหา  รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร  และรู้วิธีแก้ปัญหา
หลักการเตรียมตัวเพื่อพูดปรึกษาแก้ไขปัญหา  มีดังนี้    1  รู้ปัญหาว่าคืออะไร   2  รู้ว่าควรจะแก้ไขอะไรบ้าง    3  รู้วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดว่าคือวิธีใด

44    วิธีที่ครูพูดให้คำปรึกษากับนักเรียนที่มีปัญหาด้านความประพฤติที่ได้ผลดี  คือวิธีใด
1  วิธีสะท้อนความรู้สึก                                                      2  วิธีให้ความร่วมมือ
3  วิธีลงโทษให้หลาบจำ                                                    4  วิธีหยุ่นไปตามสถานการณ์
ตอบ  1  วิธีสะท้อนความรู้สึก                   ดูคำอธิบายข้อ  41  ประกอบ

45    การสัมภาษณ์นั้นมีความหมายสำคัญในเชิงการสื่อสารอย่างไร
1  ทำให้รู้ซึ้งถึงข้อมูลเชิงลึก                                             2  ทำให้มีการทบทวนเหตุการณ์
3  ทำให้ความจริงถูกเปิดเผย                                            4  ทำให้มีการจัดระเบียบข่าวสาร
ตอบ  1  ทำให้รู้ซึ้งถึงข้อมูลเชิงลึก
การสัมภาษณ์  หมายถึง  การสื่อสารด้วยกระบวนการพูดคุยโดยมีเป้าประสงค์เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลสำคัญ  ข่าวสาร  หรือประเด็นที่เป็นสาระโดยตรง  ผ่านบุคคลที่มีการเลือกสรรแล้ว  ทั้งนี้ข้อมูลที่ได้มาถือว่าเป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีความเฉพาะเจาะจงตามเป้าหมายวัตถุประสงค์และสถานการณ์ขณะนั้น

46    ถ้าผู้ให้สัมภาษณ์เป็นคนค่อนข้างลึกลับ  ท่านจะมีวิธีทำให้เขาพูดตอบคำถามได้อย่างไร
1    ชี้แจงให้เห็นข้อเท็จจริง
2    พูดปลอบ  พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือ
3    พูดปลอบและขอร้องให้ไว้วางใจ  พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือ
4    พูดให้เกิดความไว้วางใจ  พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือ
ตอบ  4  พูดให้เกิดความไว้วางใจ  พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือ
กลวิธีที่จะให้คนประเภทลึกลับตอบคำถามก็คือ  การสร้างความสัมพันธ์กับผู้ให้สัมภาษณ์เพื่อให้เกิดความไว้วางใจและพยายามพูดหว่านล้อมให้เห็นว่าการตอบคำถามเป็นนโยบายที่ดีที่สุด  โดยถ้าเขาบอกหรือเล่าเรื่องราวให้เราฟังแล้ว  เราจะช่วยเหลือและให้ความปลอดภัยแก่เขา  ซึ่งสิ่งสำคัญคือ  เราจะต้องปฏิบัติและรักษาคำพูดของเราด้วย

47    ถ้าคุณได้รับมอบหมายให้สัมภาษณ์รัฐมนตรีท่านหนึ่ง  ตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์ท่านรัฐมนตรีทำท่าไม่อยากตอบ  ควรทำอย่างไร
1  ถามคำถามอื่นต่อไป                                                     2  ป้อนคำถามให้ตรงจุดมากขึ้น
3  ถามย้ำในคำถามนั้นอีกหลายๆครั้ง                               4  ชวนคุยเรื่องอื่นแล้วค่อยถามคำถามเดิม
ตอบ  1  ถามคำถามอื่นต่อไป
ในกรณีที่ถามคำถามแล้ว  ผู้ให้สัมภาษณ์มีความรู้สึกอึดอัดไม่อยากจะตอบ  ผู้สัมภาษณ์ก็ควรจะเลี่ยงถามคำถามอื่นต่อไป  หรือถ้าผู้ให้สัมภาษณ์เป็นผู้ที่มีวิธีตอบเลี่ยงอย่างฉลาด  ผู้สัมภาษณ์ก็จะต้องมีความอดทนซักถามต่อไปเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ต้องการ

48    ถ้าผู้ให้สัมภาษณ์เป็นผู้ที่มีวิธีตอบเลี่ยงอย่างฉลาด  ผู้สัมภาษณ์ควรทำอย่างไร
1  แทรกบทตลกเพื่อเปลี่ยนแปลงบรรยากาศ                       2  ขอร้องให้ตอบให้ตรงคำถาม
3  จะต้องอดทนซักถามต่อไป                                             4  ควรแนะนำคำตอบ  หรืออธิบายคำถาม
ตอบ  3  จะต้องอดทนซักถามต่อไป                  ดูคำอธิบายข้อ  47  ประกอบ

49    บุคคลใดสมควรเป็นผู้ถูกสัมภาษณ์
1  ผู้นำองค์กร                                                                      2  ผู้มีอำนาจตัดสินใจ
3  ผู้เกี่ยวข้องและมีความรู้ในเรื่องนั้น                                  4  ผู้ทำหน้าที่สื่อสารมวลชน

ตอบ  3  ผู้เกี่ยวข้องและมีความรู้ในเรื่องนั้น
บุคคลที่สมควรเป็นผู้ถูกสัมภาษณ์  ควรเป็นบุคคลที่สำคัญและน่าสนใจ  เป็นบุคคลที่มีชีวประวัติดีเด่นและมีผลงานน่ายกย่อง  และที่สำคัญคือ  ต้องเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้อง  มีความรู้  ความสามารถ  หรือมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องที่จะสัมภาษณ์

50    นักเทนนิสหญิงมือวางอันดับ  1  ของโลก  เดินทางมาประเทศไทย  และเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์  ท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นการสัมภาษณ์แบบใด
1  การสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว                                                 2  Press  Conference
3  Mass  Communication  Interview                      4  การสัมภาษณ์บุคคลสำคัญทางธุรกิจ
ตอบ  2  Press  Conference
การเปิดให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์รวม  (Press  Conference)  เป็นการสัมภาษณ์บุคคลสำคัญๆที่เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวของสื่อมวลชนต่างๆทำการสัมภาษณ์และซักถามข้อข้องใจอย่างเป็นพิธีการ

51    ในการแสดงปาฐกถา  ทำไมจึงต้องแนะนำองค์ปาฐก  ข้อใดไม่ถูกต้อง
1  เพื่อให้ผู้ฟังรู้จักผู้พูด                                                           2  เพื่อให้เกียรติแก่ผู้พูด
3  เพื่อยกย่ององค์ปาฐกให้พอใจ                                            4  เพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้ฟัง
ตอบ  3  เพื่อยกย่ององค์ปาฐกให้พอใจ
จุดมุ่งหมายของการแนะนำองค์ปาฐกก็คือ    1  เพื่อให้ผู้ฟังรู้จักผู้พูดหรือองค์ปาฐกว่าเป็นใคร  ทำอะไร  และมีความสำคัญอย่างไร    2  เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้พูด    3  เพื่อเรียกร้องหรือสร้างความสนใจให้แก่ผู้ฟัง  เพราะเมื่อผู้ฟังรู้จักผู้พูดแล้วก็จะเกิดความกระตือรือร้นและสนใจที่จะฟัง    4  เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ฟังกับผู้พูด

52    การพูดแบบปาฐกถา  เนื้อหาที่พูดมักเป็นไปในด้านใด
1  ระลึกถึงคุณงามความดีขององค์กร                                     2  ให้อารมณ์รู้สึกร่วมบันเทิง
3  ให้ข่าวสารที่สมบูรณ์แบบน่าเชื่อถือ                                   4  ให้ความรู้  รับทราบความก้าวหน้า
ตอบ  4  ให้ความรู้  รับทราบความก้าวหน้า
การพูดแบบปาฐกถา  เป็นการพูดเพื่อให้ความรู้  ความคิดเห็นและข้อเท็จจริง  เนื้อหาที่พูดจึงมักเป็นเรื่องที่น่าสนใจ  ให้ความรู้  ให้ผู้ฟังได้รับทราบความก้าวหน้าและควรเป็นเรื่องที่ผู้ฟังไม่เคยรู้มาก่อน  หรือเป็นเรื่องที่เพิ่มเติมความรู้ของผู้ฟังให้กว้างขวางขึ้น  ดังนั้นผู้พูดหรือองค์ปาฐกจึงควรเป็นผู้ที่มีความรู้เฉพาะด้านและมีประสบการณ์ในด้านนั้นๆอย่างเชี่ยวชาญ  โดยควรแสดงสาระออกมาให้เด่นชัดและเข้าใจง่าย

53    ถ้าท่านได้รับมอบหมายให้เป็นผู้แนะนำวิทยากรที่จะมาแสดงปาฐกถา  ท่านจะหาข้อมูลเกี่ยวกับวิทยากรมาพูดอย่างไร
1  ถามประธาน                      2  ถามผู้รู้                      3  ถามผู้เชิญ                       4  ถามวิทยากร
ตอบ   4  ถามวิทยากร
ถ้าผู้แนะนำไม่รู้จักหรือไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับวิทยากร  (องค์ปาฐก)  ที่จะมาแสดงปาฐกถา  ก็ควรติดต่อหรือถามวิทยากรว่าจะให้ตนแนะนำอย่างไร  โดยต้องติดต่อกันก่อนวันแนะนำจริง
54    องค์ปาฐกควรพูดตอนที่เป็นบทสรุปอย่างไร
1    พูดถ่อมตนว่าการพูดของตนยังมีข้อบกพร่อง  แต่จะพยายามให้ดีในโอกาสต่อไป
2    ขอบคุณและขอโทษผู้ฟังในกรณีที่มีข้อบกพร่องเกี่ยวกับการพูด
3    ขอบคุณผู้ฟังที่ได้เสียสละเวลามาฟังการพูดของตน
4    ให้ข้อคิดความเห็นที่น่าสนใจและน่าจดจำ
ตอบ  4  ให้ข้อคิดความเห็นที่น่าสนใจและน่าจดจำ
ผู้แสดงปาฐกถา  (องค์ปาฐก)  ควรจะสรุปการพูดทั้งหมดให้ผู้ฟังได้ข้อคิดความเห็นที่น่าสนใจ  โดยการกล่าวสรุปที่ดีนั้นควรจะสั้น  มีน้ำหนัก  และเป็นที่น่าจดจำ  ซึ่งอาจสรุปด้วยการเรียกร้องให้ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด  สรุปด้วยบทกลอน  สุภาษิต  สรุปด้วยเรื่องที่สนุกสนาน  ชื่นบานใจ  หรือสรุปด้วยคำถามก็ได้

55    การกล่าวขอบคุณองค์ปาฐก  ควรเป็นอย่างไร
1  ขอบคุณและเชิญชวนให้มาพูดอีก                              2  ขอบคุณและเชิญชวนให้ผู้ฟังปรบมือให้องค์ปาฐก
3  ขอบคุณและสรุปเนื้อหาสาระของปาฐกถา                4  ขอบคุณ  สรุปเนื้อหา  และวิจารณ์ปาฐกถา
ตอบ  2  ขอบคุณและเชิญชวนให้ผู้ฟังปรบมือให้องค์ปาฐก

56    ในการแสดงปาฐกถานั้น  ผู้พูดควรพูดอย่างไรเพื่อให้เรื่องที่พูดนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ
1  พูดบทตลกตลอดเวลา                                               2  พูดในเรื่องที่ผู้ฟังไม่เคยรู้มาก่อน
3  พูดพาดพิงถึงบุคคลอื่นอย่างสนุกสนาน                   4  พูดระบายความคับแค้นน้อยเนื้อต่ำใจของตนเอง
ตอบ  2  พูดในเรื่องที่ผู้ฟังไม่เคยรู้มาก่อน          ดูคำอธิบายข้อ  52  ประกอบ

57    หลักการพิจารณาเรื่องราวและข้อมูลที่จะนำไปพูดอภิปราย  ควรเป็นอย่างไร
1    เป็นเรื่องราวและข้อมูลที่ดี  เป็นจริงและสามารถนำไปปฏิบัติได้
2    เป็นเรื่องราวและข้อมูลที่มีรายละเอียด  มีการอ้างอิงและน่าสนใจ
3    เป็นเรื่องราวและข้อมูลที่ถูกต้องตามหลักการและทฤษฎี
4    เป็นเรื่องราวและข้อมูลที่น่าสนใจ  ดีและมีเหตุผล
ตอบ  1  เป็นเรื่องราวและข้อมูลที่ดี  เป็นจริงและสามารถนำไปปฏิบัติได้
หลักการพิจารณาเรื่องราวและข้อมูลที่จะนำไปพูดอภิปรายนั้น  ผู้อภิปรายจะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงที่ได้จากการค้นคว้าว่าเป็นข้อมูลที่มีเหตุผล  เป็นจริง  มีทัศนคติที่ดีและสามารถที่จะนำไปปฏิบัติได้

58    ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของการอภิปราย
1  เป็นการปรึกษาหารือ                                              2  เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้
3  เป็นการพูดเพื่อชักชวน                                           4  เป็นการโต้แย้งหาข้อหักล้าง
ตอบ   4  เป็นการโต้แย้งหาข้อหักล้าง
ลักษณะของการอภิปรายแบ่งออกเป็น  4  ประการ  คือ
1    ต้องมีจุดมุ่งหมาย  เพื่อเสนอรายละเอียดและแก้ปัญหา
2    เป็นการปรึกษาหารือของคนกลุ่มหนึ่ง  ไม่ใช่การพูดของคนเพียงคนเดียว
3    เป็นการพูดเพื่อชักชวนให้คนคิดหาเหตุผลไม่ใช่อารมณ์
4    เป็นการสื่อความหมายด้วยคำพูดโดยตรง  เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้  ทัศนคติและประสบการณ์

59    ผู้อภิปรายที่ต้องการพูดเพิ่มเติมข้อคิดเห็นเมื่อยังไม่ถึงลำดับของตน  ควรทำอย่างไร
1    เมื่อมีจังหวะที่จะพูดแทรกได้ก็ให้พูดทันที
2    รอให้ผู้อภิปรายทุกคนพูดจบก่อนจึงพูดเพิ่มเติม
3    ขออนุญาตจากผู้ดำเนินการอภิปรายก่อนแล้วจึงพูด
4    เมื่อผู้อภิปรายทุกคนพูดจบและผู้ดำเนินการอภิปรายสรุปแล้วจึงพูด
ตอบ  3  ขออนุญาตจากผู้ดำเนินการอภิปรายก่อนแล้วจึงพูด
ในกรณีที่ผู้อภิปรายต้องการจะพูดเพิ่มเติมหรือแทรกข้อคิดเห็น  (เมื่อยังไม่ถึงลำดับที่ตนจะพูด)  จะต้องขออนุญาตผู้ดำเนินการอภิปรายก่อนแล้วจึงจะพูดได้

60    เรื่องที่เข้าสู่วาระการอภิปราย  ควรมีลักษณะใด
1  ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน                                                      2  มีขอบเขตและไม่กว้างเกินไป
3  เป็นเรื่องเฉพาะที่ควรพูดวงใน                                        4  เป็นประเด็นขัดแย้งรุนแรงในสังคม
ตอบ  2  มีขอบเขตและไม่กว้างเกินไป
ปัญหาหรือเรื่องที่จะนำเข้าสู่วาระการอภิปราย  ควรมีลักษณะดังนี้    1  ควรจะเป็นปัญหาที่มีขอบเขตไม่กว้างจนเกินไป    2  ควรจะเป็นปัญหาที่มีสาระและประโยชน์ต่อส่วนรวม    3  ควรจะเป็นปัญหาที่น่าสนใจทั้งต่อผู้ร่วมอภิปรายและผู้ฟัง

61    ประโยชน์ของการอภิปรายในด้านธุรกิจ  คือข้อใด
1  เพื่อความเจริญก้าวหน้า                                                   2  เพื่อเผยแพร่นโยบาย
3  เพื่อให้รู้จักวิธีการทำงานร่วมกับผู้อื่น                              4  เพื่อปรับปรุงสังคายนา
ตอบ  1  เพื่อความเจริญก้าวหน้า
ประโยชน์ของการอภิปรายในด้านธุรกิจ  คือ  การอภิปรายเพื่อวางหลักการและตกลงแก้ไขปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น  เพื่อความเจริญก้าวหน้าของกิจการ

62    ข้อใดเป็นเทคนิคการสอนอภิปรายด้วยวิธีถามโดยตรง
1  ครูจะถามคำถามก่อนแล้วเรียกชื่อให้นักเรียนตอบ                  2  ครูจะเรียกชื่อนักเรียนก่อน  แล้วจึงถามคำถาม
3  ครูจะเล่าเรื่องให้ฟังแล้วถามว่า  ปัญหานั้นๆคืออะไร              4  ครูจะถามนำก่อน  แล้วให้นักเรียนตอบ
ตอบ  1  ครูจะถามคำถามก่อนแล้วเรียกชื่อให้นักเรียนตอบ
เทคนิคการสอนอภิปรายด้วยวิธีถามโดยตรงนั้น  ผู้สอนหรือครูควรจะถามคำถามก่อนแล้วจึงจะเรียกชื่อให้นักเรียนตอบ  ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการให้เวลาในการเตรียมตัวแก่เด็ก  และไม่เป็นการจู่โจมเด็กจนเกินไป

63    ข้อใดเป็นวินัยที่ควรปฏิบัติของงนักพูดที่ดี
1  มาตรงเวลาเพื่อจัดเตรียมสิ่งต่างๆและซักซ้อมต่อหน้าผู้ฟัง
2  มาก่อนเวลาเพื่อสำรวจเวที  สถานที่  และอุปกรณ์ด้วยตนเอง
3  นำอุปกรณ์ทุกอย่างมาเอง  เพื่อความสมบูรณ์แบบในการนำเสนอ
4  ทำการบันทึกข้อมูลผู้พูดร่วมเวทีเดียวกัน  แล้วทำสำเนาส่งคืนในเร็ววัน
ตอบ  2  มาก่อนเวลาเพื่อสำรวจเวที  สถานที่  และอุปกรณ์ด้วยตนเอง
การพูดที่มีประสิทธิภาพนั้น  ผู้พูดจะต้องมีการเตรียมตัวที่ดี  และควรจะมาก่อนเวลาพูดเพื่อสำรวจเวที  สถานที่  และอุปกรณ์ด้วยตนเอง  เพื่อสร้างความคุ้นเคยและไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการพูด

64    การพูดแบบใดที่ส่งเสริมให้รู้จักพูดชักจูงใจให้คนฟังคล้อยตามความคิดเห็นของตน
1  พูดรายงาน                     2  พูดอภิปราย                         3  พูดโต้เวที                        4  พูดวิจารณ์
ตอบ   3  พูดโต้เวที
จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้เรื่องการพูดโต้วาที  มีดังนี้    1  ฝึกให้ผู้เรียนได้รู้จักวิธีพูด    2  ฝึกผู้เรียนให้เป็นผู้ฟังที่ดี    3  ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักพูดชักจูงใจคนฟังให้คล้อยตามความคิดเห็นของตนเอง    4  แนะนำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้หลักเกณฑ์และวิธีการพูดโต้วาที

65    จุดเด่นของการโต้วาทีแบบโอเรกอน  1  คือสิ่งใด
1  จัดให้มีฝ่ายละ  2  คน                                                              2  มีการซักถามตอบโต้กัน
3  หัวหน้าของ  2  ฝ่ายสามารถพูดได้  12  นาที                          4  มีการพูดแก้กัน
ตอบ  3  หัวหน้าของ  2  ฝ่ายสามารถพูดได้  12  นาที
การโต้วาทีแบบโอเรกอน  1  (Oregon  I)  จะจัดให้มีฝ่ายละ  3  คน  ซึ่งมีจุดเด่นคือ
1    หัวหน้าฝ่ายเสนอและฝ่ายค้าน  ซึ่งมีฝ่ายละ  1  คน  สามารถพูดได้คนละ  12  นาที
2    ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอและฝ่ายค้านคนที่หนึ่ง  ซึ่งมีฝ่ายละ  1  คน  สามารถพูดได้คนละ  10  นาที
3    ผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอและฝ่ายค้านคนที่สอง  ซึ่งมีฝ่ายละ  1  คน  สามารถพูดได้คนละ  8  นาที

66    กรรมการตัดสินการโต้วาทีควรมีกี่คนจึงจะเหมาะสม
1  คนเดียว                                                                                  2  มีกี่คนก็ได้แต่ต้องเป็นจำนวนคี่
3  มีกี่คนก็ได้แต่ต้องเป็นจำนวนคู่                                              4  มีผู้ดำเนินการโต้วาทีเพียงคนเดียว
ตอบ   2  มีกี่คนก็ได้แต่ต้องเป็นจำนวนคี่
ผู้ดำเนินการโต้วาทีจะเป็นผู้ตัดสินการโต้วาที  โดยถือเอาคะแนนของกรรมการ  (ซึ่งมีจำนวนเป็นเลขคี่)  เป็นสำคัญ  ในกรณีที่ไม่มีกรรมการ  ผู้ดำเนินการโต้วาทีมักจะตัดสินให้การโต้วาทีเสมอกัน  หรือบางครั้งก็ถือเอาเสียงปรบมือเป็นสำคัญ

67    ข้อใดเป็นหน้าที่ของผู้โต้วาที
1    รู้จักรับผิดชอบในวัฒนธรรมและภาษาไทย
2    รู้จักศิลปะในการพูด  เช่น  พูดเปรียบเทียบ  เสียดสีฝ่ายตรงข้าม
3    รู้จักศิลปะการโต้วาทีโดยเฉพาะการเล่นคารมมากๆและบ่อยๆ
4    รู้จักค้นคว้าหาความรู้มาพูด  เช่น  เรื่องส่วนตัวของผู้โต้ฝ่ายตรงข้าม
ตอบ   1  รู้จักรับผิดชอบในวัฒนธรรมและภาษาไทย
หน้าที่ของผู้โต้วาทีที่สำคัญข้อหนึ่งคือ  ผู้โต้วาทีจะต้องรู้จักรับผิดชอบในวัฒนธรรมและภาษาไทย  นั่นคือ  ผู้โต้วาทีควรหลีกเลี่ยงการใช้คำพูดและภาษาที่ไม่สุภาพในการโต้วาที

68    หลักการพิจารณาตัดสินใจการโต้วาทีข้อใดไม่ถูกต้อง
1    ฝ่ายที่ให้เหตุผลข้อเท็จจริงดีกว่าเป็นฝ่ายชนะ
2    ฝ่ายค้านจะชนะเมื่อหักล้างได้ว่าเหตุผลของฝ่ายเสนอเชื่อไม่ได้
3    พิจารณาตัดสินตามเหตุผลและข้อเท็จจริงที่ปรากฏเท่านั้น
4    ขึ้นอยู่กับเสียงปรบมือของผู้ฟังที่เกิดความพึงพอใจ  ฝ่ายไหนดังกว่าฝ่ายนั้นชนะ
ตอบ  4  ขึ้นอยู่กับเสียงปรบมือของผู้ฟังที่เกิดความพึงพอใจ  ฝ่ายไหนดังกว่าฝ่ายนั้นชนะ
หลักการพิจารณาตัดสินการโต้วาที  มีดังนี้    1  ฝ่ายที่ให้เหตุผลข้อเท็จจริงดีกว่าเป็นฝ่ายชนะ    2  ฝ่ายเสนอจะชนะเมื่อเสนอและให้เหตุผลเป็นที่เชื่อถือได้    3  ฝ่ายค้านจะชนะเมื่อพิสูจน์และหักล้างได้ว่าเหตุผลของฝ่ายเสนอเชื่อไม่ได้    4  ควรพิจารณาตัดสินไปตามเหตุผลและข้อเท็จจริงที่ปรากฏเท่านั้น    5  การตัดสินที่ดีต้องไม่คำนึงถึงเสียงปรบมือของผู้ฟังที่แสดงความพอใจผู้โต้วาทีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

69    ข้อใดต่อไปนี้ที่ผู้โต้วาทีไม่ควรกระทำที่สุด
1  ใช้ภาษาและถ้อยคำที่ไม่สุภาพ                                                      2  อ่านข้อเท็จจริงที่เตรียมมาแทนการพูด
3  พูดเสียดสี  เอาเรื่องส่วนตัวของผู้โต้ฝ่ายตรงข้ามมาพูด                4  ได้ยินสัญญาณหมดเวลาแล้วยังพูดต่อไป
ตอบ  3  พูดเสียดสี  เอาเรื่องส่วนตัวของผู้โต้ฝ่ายตรงข้ามมาพูด
หน้าที่ของผู้โต้วาทีที่สำคัญข้อหนึ่งคือ  ผู้โต้วาทีจะต้องเรียนรู้และมีมารยาทในการพูด  นั่นคือ  ไม่พูดเสียดสี  กระทบกระทั่งผู้อื่น  หรือเอาเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นขึ้นมาพูด

70    การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายเพื่อตรวจสอบความเชื่อและทัศนคติ  มีผลอย่างไรต่อการเตรียมข้อมูลในการพูดแต่ละครั้ง
1    เพื่อสร้างศัพท์และระดับความซับซ้อนของข้อมูลที่นำเสนอ
2    เพื่อเปิดประเด็นและหัวข้อที่จะพูดให้เหมาะสม
3    เพื่อต้องการทราบแนวโน้มการตัดสินใจในเรื่องที่จะเป็นส่วนได้ – เสียของผู้ฟัง
4    เพื่อกำหนดวาระรับรู้และกระบวนการออกแบบเนื้อหา
ตอบ  3  เพื่อต้องการทราบแนวโน้มการตัดสินใจในเรื่องที่จะเป็นส่วนได้ – เสียของผู้ฟัง
การวิเคราะห์ผู้ฟังเพื่อตรวจสอบความเชื่อ  ความคิดเห็น  และทัศนคติ  จะทำให้ผู้พูดทราบถึงแนวโน้มการตัดสินใจในเรื่องที่จะเป็นส่วนได้ – เสียของผู้ฟัง  เพื่อให้ผู้พูดสามารถเตรียมข้อมูลในการพูดแต่ละครั้งได้สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้ฟังเชื่อและยึดถือ  ไม่ไปขัดแย้งหรือดูถูกความเชื่อ  ความคิดเห็น  และทัศนคติที่ผู้ฟังมีอยู่แต่เดิม

71    บุคลิกของโฆษกที่ดี  ไม่ควรมีบุคลิกแบบใด
1  หลีกเลี่ยงการพูดถ้อยคำที่ซ้ำซาก                                        2  แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี
3  เลือกใส่เสื้อผ้าที่ดูสมสง่า                                                    4  พูดมากเข้าไว้  งานจะได้รื่นเริง
ตอบ  4  พูดมากเข้าไว้  งานจะได้รื่นเริง
ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่จะทำหน้าที่เป็นโฆษกที่ดี  คือ    1  ต้องเป็นคนเฉียบแหลม  สามารถใช้ปฏิภาณไหวพริบแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี    2  ต้องพยายามให้สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส  เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ    3  ต้องทำตัวให้สง่า    4  ต้องรู้จักเลือกถ้อยคำและเรื่องที่จะนำมาพูด    5  อย่าพูดให้ยาวหรือพูดมากเกินไป    6  พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ข้อความหรือถ้อยคำที่ซ้ำซาก

72    การกล่าวต้อนรับอย่างเป็นพิธีการจะต้องเริ่มด้วย
1  การแนะนำเจ้าภาพ                                                                          2  คำปฏิสันถาร
3  การกล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติ                                                      4  แสดงความชื่นชมในโอกาส
ตอบ  2  คำปฏิสันถาร
การกล่าวต้อนรับ  เป็นการแสดงออกถึงการให้เกียรติแก่ผู้มาเยี่ยม  เป็นการแนะนำผู้มาเยี่ยม  หรือผู้มาใหม่ให้รู้จักสถานที่นั้นๆดีขึ้น  โดยการกล่าวต้อนรับมีหลักการดังนี้    1  คำปฏิสันถาร    2  กล่าวถึงความรู้สึกยินดีของผู้เป็นเจ้าของสถานที่    3  พูดเกี่ยวกับส่วนที่ดีของผู้มาเยี่ยม  และกล่าวถึงความสัมพันธ์ของผู้มาเยี่ยมกับเจ้าของสถานที่    4  พูดถึงความปรารถนาดีของเจ้าของสถานที่    5  พูดเป็นทำนองเรียกร้องให้ผู้มาเยี่ยมกลับมาอีก

73    การกล่าวแนะนำผู้พูดของพิธีกร  ใช้หลักการเดียวกับการพูดแบบใด
1  แบบให้คำปรึกษา                  2  แบบเล่าเรื่อง                   3  แบบปาฐกถา                   4  แบบโต้วาที
ตอบ  3  แบบปาฐกถา
การกล่าวแนะนำผู้พูดของพิธีกรนั้น  ใช้หลักการเดียวกับการพูดแบบปาฐกถา  แบบการอภิปราย  และแบบการสัมมนา  เช่น  การกล่าวแนะนำองค์ปาฐก  การกล่าวแนะนำผู้ดำเนินการอภิปราย  และการกล่าวแนะนำวิทยากรในการสัมมนา

74    การกล่าวอำลาการเยี่ยม  เนื้อหาควรจะเป็นอย่างไร
1    การกล่าวขอบคุณ  ความประทับใจ  การเชื้อเชิญให้ไปเยือน
2    ความประทับใจ  เหตุที่ต้องอำลา  ความอาลัยต่อเจ้าของบ้านเดิม
3    การกล่าวขอบคุณ  จุดหมายปลายทางที่จะไป  ความสัมพันธ์ในอนาคต
4    การเชื้อเชิญให้ไปเยือน  เหตุที่ต้องกลับ  ความผูกพันระหว่างกัน
ตอบ  1  การกล่าวขอบคุณ  ความประทับใจ  การเชื้อเชิญให้ไปเยือน
การกล่าวอำลาจากการเยี่ยมนั้น  ไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอน  แต่ส่วนใหญ่จะถือเป็นหลักปฏิบัติ  ดังนี้    1  คำปฏิสันถาร    2  กล่าวขอบคุณ    3  กล่าวถึงความประทับใจในการต้อนรับและความมีไมตรีจิตจากเจ้าของบ้าน    4  กล่าวเชื้อเชิญเจ้าของบ้านให้ไปเยือนตนบ้าง

75    การกล่าวคำไว้อาลัยที่ดี  ควรพูดอย่างไร
1  พูดถึงทรัพย์สินที่เขามีก่อนตาย                                                2  พูดถึงผลงานที่เขาทำไว้ก่อนตาย
3  พูดถึงความประพฤติที่ไม่ดีก่อนตาย                                        4  พูดถึงความน่าสมเพชของเขาก่อนตาย
ตอบ  2  พูดถึงผลงานที่เขาทำไว้ก่อนตาย
การกล่าวคำไว้อาลัย  เป็นการพูดถึงคุณงามความดีของผู้เสียชีวิต  ซึ่งหลักเกณฑ์ในการกล่าวคำไว้อาลัยที่ดี  มีดังนี้
1  คำปฏิสันถาร    2  พูดถึงชีวประวัติของผู้เสียชีวิตอย่างสั้นๆ    3  พูดถึงผลงานของผู้เสียชีวิต    4  พูดถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องเสียชีวิต    5  พูดถึงความอาลัยของผู้ที่อยู่เบื้องหลัง    6  แสดงความหวังว่าเขาจากไปอยู่ในสถานที่ดีและมีความสุข

76    ตามมารยาทของการกล่าวตอบที่ได้รับรางวัลหรือของขวัญนั้น  สิ่งที่พูดจะต้องให้ความสำคัญและกล่าวถึงเสมอ  คือ
1  อธิบายความเป็นมาของรางวัลหรือของขวัญชิ้นนั้น
2  กล่าวขอบคุณผู้ที่มีส่วนช่วยให้ตนเองประสบความสำเร็จ
3  ความประทับใจที่มีต่อกรรมการและผู้ตัดสินที่ส่งเสริมให้มีวันนี้
4  อุปสรรคที่ได้รับระหว่างการต่อสู้แข่งขัน  และบอกด้วยว่าเป็นใคร
ตอบ  2  กล่าวขอบคุณผู้ที่มีส่วนช่วยให้ตนเองประสบความสำเร็จ
ในงานที่เป็นพิธีการ  ผู้ได้รับรางวัลหรือของขวัญจะต้องกล่าวตอบขอบคุณโดยอาศัยหลักเกณฑ์  ดังนี้    1  คำปฏิสันถาร    2  กล่าวถึงความรู้สึกยินดีที่ตนได้รับรางวัลหรือของขวัญ    3  กล่าวขอบคุณผู้ที่มีส่วนช่วยทำให้ตนประสบความสำเร็จ    4  พูดให้เห็นความรู้สึกว่าของขวัญหรือของรางวัลนั้นมีความหมายสำหรับตนมาก    5  กล่าวขอบคุณ

77    การกำหนดวัตถุประสงค์ของการพูดพิจารณาจาก
1  ระบบสังคมและวัฒนธรรมของผู้ฟัง                                  2  ความยาว – สั้นของสาระในการนำเสนอ
3  การแบ่งหัวข้อเป็นประเด็นต่างๆ                                       4  ประเด็นหลักและข้อมูลสนับสนุน
ตอบ  1  ระบบสังคมและวัฒนธรรมของผู้ฟัง
ขั้นตอนต่อจากการวิเคราะห์ผู้ฟังและสถานการณ์การพูดคือ  การเลือกเรื่องพูดและการเตรียมเนื้อเรื่อง  โดยผู้พูดจะต้องตั้งจุดมุ่งหมายหรือกำหนดวัตถุประสงค์ของการพูดให้มีความสัมพันธ์กับระบบสังคมและวัฒนธรรมของผู้ฟังกลุ่มเป้าหมายก่อน  แล้วจึงกำหนดหัวข้อการพูดตามประเด็นต่างๆอย่างละเอียดตามข้อมูลที่มีอยู่หรือตามที่ได้ทำการค้นคว้าหาข้อเท็จจริงมา  จากนั้นจึงร่างเนื้อหาสาระของการพูดให้มีความสัมพันธ์กับความสนใจของผู้ฟัง

78    หากนักศึกษาได้รับคำสบประมาทว่า  ไม่สามารถพัฒนาการพูดของตนเองได้มากไปกว่านี้  คุณควรจะทำอย่างไรในฐานะผู้ที่เรียนการพูดมาแล้ว
1    ไม่ต้องสนใจ  เพราะจะมีกี่คนที่เรียนการพูดมาโดยตรง  เปล่าประโยชน์ที่จะฟัง
2    แสดงความรู้สึกให้เห็นว่า  ไม่เป็นเช่นนั้น  มีสิทธิอะไรมาวิจารณ์
3    ฟังด้วยจิตใจสงบ  หันมาสำรวจตนเอง  ยอมรับและแก้ไขข้อผิดพลาด
4    ฟังแล้วก็ผ่านไป  ใครก็พูดกันได้ทั้งนั้น  คุณก็ไม่ต่างกับฉันซักเท่าไร
ตอบ  3  ฟังด้วยจิตใจสงบ  หันมาสำรวจตนเอง  ยอมรับและแก้ไขข้อผิดพลาด
ผู้ถูกวิจารณ์ไม่ควรท้อถอยเมื่อรู้ว่าการพูดของตนนั้นจะถูกนำไปวิจารณ์  แต่ควรยึดถือข้อแนะนำ  ดังนี้
1    ต้องเป็นผู้มีมารยาทในการฟัง  โดยฟังด้วยจิตใจที่สงบ  ทำใจให้เป็นกลาง  ยอมรับฟังข้อติของผู้อื่น  ไม่โกรธและถกเถียงกัน
2    นำข้อติและข้อแนะนำมาสำรวจตนเอง  พร้อมทั้งปรับปรุงการพูดของตนให้ดีขึ้น

79    สมมุติฐานที่จะเป็นกำลังใจให้ทุกคนหันมาปรับปรุงการพูดของตนเอง  คือ
1    คนเราพูดได้ทุกคน  แต่จะพูดเป็นหรือเปล่านั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง
2    การพูดเป็นธรรมชาติของมนุษย์  หรือว่าคุณจะทิ้งมันไป
3    การพูดเป็นความยากที่ท้าทาย  น้ำหน้าอย่างคุณจะทำได้หรือ
4    คนเราทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้และพัฒนาทักษะได้  การพูดก็เช่นกัน
ตอบ  4  คนเราทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้และพัฒนาทักษะได้  การพูดก็เช่นกัน
ในการวิจารณ์นั้น  ผู้วิจารณ์ควรจะเสนอข้อแนะนำของตนเองในทางที่ดี  มีประโยชน์  เพื่อว่าผู้พูดจะได้นำไปปรับปรุงการพูดของตนเองให้ดีต่อไป  โดยอาจตั้งสมมุติฐานเพื่อให้กำลังใจว่า  การพูดเป็นสิ่งที่คนเราทุกคนสามารถศึกษาเรียนรู้และฝึกฝนพัฒนาทักษะได้  ยิ่งฝึกมากความชำนาญในการพูดยิ่งพัฒนาขึ้นตามลำดับ

80    สิ่งแรกที่ผู้วิจารณ์การพูดจะพิจารณาถึงความประหม่าของผู้พูด  คืออะไร
1  ภาษา                                                                                     2  การประมวลเรื่อง
3  ความคิดและเนื้อหาสาระ                                                     4  ท่าทีและการปรับตัวโดยทั่วไป
ตอบ   4  ท่าทีและการปรับตัวโดยทั่วไป
หลักเกณฑ์ในการวิจารณ์หรือการประเมินผลการพูดทั่วๆไป  ข้อแรกคือการวิจารณ์ท่าทีและการปรับตัวโดยทั่วไป  ซึ่งผู้วิจารณ์ต้องเริ่มพิจารณาจากการปรากฏตัวของผู้พูดว่ามีความประหม่าหรือไม่  มีความมั่นใจในตนเองหรือไม่  ตลอดจนมีลักษณะที่แจ่มใส  คล่องแคล่ว   เป็นธรรมชาติ  และสามารถปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศทั่วๆไปได้หรือไม่

81    การพากย์กีฬาเรือยาว  เป็นการพูดชนิดใด
1  การพูดโดยการท่องจำ                                                            2  การพูดโดยอ่านจากต้นฉบับ
3  การพูดปากเปล่าโดยไม่มีการเตรียม                                       4  การพูดปากเปล่าโดยมีการฝึกซ้อม
ตอบ  3  การพูดปากเปล่าโดยไม่มีการเตรียม
ในการพูดปากเปล่าโดยไม่มีการเตรียมล่วงหน้า  (การพูดโดยกะทันหัน)  เช่น  การพากย์มวยหรือเรือยาว  การตอบปัญหาบางประการ  ฯลฯ  ผู้พูดควรปฏิบัติดังนี้
1  พยายามควบคุมสติอารมณ์ให้สงบ  พยายามอย่าให้ตื่นเต้น  ประหม่าหรือตื่นเวที
2  คิด  และรวบรวมความรู้ประสบการณ์ของตนเองให้ได้อย่างรวดเร็ว
3  ลำดับความคิดเห็นหรือเรื่องให้ตรงกับประเด็นที่จะพูดยกตัวอย่าง
4  พูดให้สั้น  กระชับ  และมีความหมายชัดเจน

82    ข่าวหลังละครช่วงดึก  เป็นการพูดชนิดใด
1  การพูดโดยการท่องจำ                                                           2  การพูดโดยอ่านจากต้นฉบับ
3  การพูดปากเปล่าโดยไม่มีการเตรียม                                     4  การพูดปากเปล่าโดยมีการฝึกซ้อม
ตอบ  2  การพูดโดยอ่านจากต้นฉบับ
การพูดโดยการอ่านจากต้นฉบับ  เป็นการพูดจากโน้ตที่ได้เตรียมไว้โดยไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงข้อความเลย  จึงเป็นการอ่านมากกว่าพูด  ซึ่งมักใช้ในการพูดที่เป็นพิธีการ  เช่น  สุนทรพจน์ของบุคคลสำคัญๆ  การอ่านข่าว  การอ่านบทความ  การกล่าวคำปราศรัยเนื่องในโอกาสต่างๆคำแถลงการณ์ของรัฐบาล / คณะปฏิวัติ  การอ่านรายงาน  เปิดกิจการ ฯลฯ

83    นักพูดหน้าใหม่ที่มีประสบการณ์น้อย  ควรฝึกซ้อมการพูดอย่างไรจึงจะดีที่สุด
1  ฝึกซ้อมพูดกลางถนน                                                            2  ฝึกซ้อมพูดกับรูปปั้นในสวน
3  ฝึกซ้อมพูดหน้ากระจกในห้องคนเดียว                                 4  ฝึกซ้อมพูดกับสุนัข
ตอบ  3  ฝึกซ้อมพูดหน้ากระจกในห้องคนเดียว
วิธีฝึกซ้อมพูดของผู้พูด  (ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่)  สามารถทำได้  2  กรณี  คือ
1  วิธีฝึกซ้อมพูดหน้ากระจกหรือฝึกซ้อมพูดคนเดียว  เป็นการฝึกฝนเบื้องต้นที่ผู้พูดต้องการ  ดูข้อบกพร่องของตนเองแล้วแก้ไข  โดยผู้พูดจะต้องตั้งใจฟังการพูดของตนว่าออกเสียงถูกต้องชัดเจนหรือไม่  รวมถึงสังเกตการแสดงท่าทางว่าเหมาะสมหรือไม่
2  วิธีฝึกซ้อมพูดกับคนคุ้นเคย  วิธีนี้จะช่วยให้ผู้พูดกำจัดความอายและความเขินไปทีละน้อยๆและช่วยให้ผู้พูดรู้จักควบคุมตัวเองได้ด้วย

84    สิ่งใดเป็นวิธีช่วยแก้ความตื่นเวทีได้
1  คิดไปว่าไม่มีอะไรน่ากลัว  และเขาก็อยากฟังเราพูด    2  รีบๆพูดให้เร็วๆซะ  จะได้จบเกมกันเสียที
3  ดื่มน้ำเข้าไปเยอะๆทดแทนการเสียเหงื่อ                      4  ใส่เสื้อผ้ารัดๆฟิตๆให้ดูเท่เข้าไว้  จะได้เพิ่มความมั่นใจ
ตอบ  1  คิดไปว่าไม่มีอะไรน่ากลัว  และเขาก็อยากฟังเราพูด
วิธีแก้ความตื่นเวที  มีดังนี้
1    หายใจเข้าปอดลึกๆแล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆประมาณ 4 – 5 ครั้ง
2    เมื่อเริ่มพูด  ถ้ารู้สึกว่าเสียงสั่นและยังประหม่ามากให้พูดช้าๆ  พยายามหลีกเลี่ยงการพูดเร็ว
3    พยายามคิดว่าไม่มีอะไรน่ากลัว  และคิดว่าผู้ฟังที่มองตานั้นเขามองด้วยความศรัทธา  ให้กำลังใจ  และอยากฟังเราพูด
4    ควรหลีกเลี่ยงการแต่งกายที่ตึง  รัด  และเป็นอุปสรรคต่อการพูด  ฯลฯ

85    มารยาทที่ดีงามในการพูด  คือข้อใด
1  พูดอวดความเก่งกาจของตนเอง                                                  2  พูดอย่างเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น
3  แสดงพฤติกรรมตามยถากรรม  และปล่อยวางทุกสิ่ง                  4  ใช้วาจารุนแรงในการโน้มน้าวใจ
ตอบ  1  พูดอวดความเก่งกาจของตนเอง
มารยาทที่ดีงามในการพูดมีดังนี้    1  ควรคิดให้รอบคอบก่อนจะพูด    2  ควรใช้อารมณ์ให้ถูกกาลเทศะ    3  ไม่ควรพูดกระทบกระเทือนหรือเสียดสีผู้ฟัง    4  ควรตั้งใจพูดให้ดี    5  ควรเตรียมเรื่องที่จะพูดให้พร้อม    6  ไม่ควรพูดอวดตน  อวดภูมิ  ข่ม  หรือถือว่าตนเองดีกว่าผู้อื่น    7  ต้องไม่ผูกขาดการพูดแต่เพียงคนเดียว  หรือควรเปิดโอกาสให้ผู้อื่นพูด / แสดงความคิดเห็นบ้าง ฯลฯ

86    ข้อใดแตกต่างจากข้ออื่น
1  พูดโฆษณาเพื่อขายสินค้า                                                          2  พูดหาเสียงเลือกตั้ง
3  พูดแนะนำการใช้สมุนไพร                                                      4  พูดเชิญชวนบริจาคโลหิต
ตอบ  3  พูดแนะนำการใช้สมุนไพร
การพูดเพื่อชักจูงใจ  เป็นการพูดเพื่อให้ผู้ฟังได้รู้  เชื่อ  และเห็นด้วยทั้งทางความคิด  และการกระทำตามความมุ่งหมายของผู้พูด  ซึ่งมักจะพูดในโอกาสต่างๆกัน  เช่น  การโฆษณาขายสินค้า  การโต้วาที  การเทศนา  การพูดหาเสียง  การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล  การอภิปรายของ  ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎร  การพูดของทนายความในศาล  การพูดเชิญชวนให้ร่วมบริจาคโลหิต  ฯลฯ  (ส่วนการพูดแนะนำการใช้สมุนไพร  เป็นการพูดเพื่อความรู้หรือเล่าข้อเท็จจริง)

87    ข้อใดแตกต่างจากข้ออื่น
1  การพูดวิจารณ์หลักการบริหารราชการแผ่นดิน                            2  การพูดวิจารณ์สถาบันทางการเมือง
3  การพูดวิจารณ์การถ่ายทอดสดการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล    4  การพูดวิจารณ์กระบวนการยุติธรรม
ตอบ  3  การพูดวิจารณ์การถ่ายทอดสดการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล
กาพูดวิจารณ์ทางวิชาการ  คือ  การพูดวิจารณ์ศาสตร์ในสาขาต่างๆโดยผู้วิจารณ์จะต้องมีความรู้ในด้านหรือแขนงนั้นเป็นอย่างดี  ซึ่งการพูดวิจารณ์แบบนี้จะพบมากในด้านการเมือง  (เช่น  การวิจารณ์หลักการบริหารราชการแผ่นดิน  สถาบันการเมือง  และกระบวนการยุติธรรม)  การแพทย์  เศรษฐศาสตร์  ฯลฯ  (ส่วนการวิจารณ์การถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์หรือวิทยุนั้นเป็นการพูดวิจารณ์ทั่วไป)

88    การพูดให้ความในชั้นศาล  เป็นการพูดชนิดใด
1  การพูดรายงานแบบสรุปผล                                             2  การพูดรายงานแบบความก้าวหน้าและผลสำเร็จ
3  การพูดรายงานแบบประสบการณ์                                   4  การพูดรายงานแบบแถลงข้อเท็จจริง
ตอบ  4  การพูดรายงานแบบแถลงข้อเท็จจริง
การพูดรายงานแบบแถลงข้อเท็จจริง  เป็นการเสนอข้อเท็จจริง  หลักฐาน  ข้อมูล  วัตถุประสงค์  หลักการ  และสมมุติฐานที่จะเกิดขึ้น  เช่น  การพูดให้ความในชั้นศาล  การรายงานถึงโครงการหรือนโยบายที่จะกระทำ  หรือที่กำลังกระทำอยู่  เป็นต้น

89    การเล่านิทานให้สนุก  ควรเป็นเช่นไร
1  เสียงของเจ้าหญิงต้องน่ารักอ่อนหวาน                              2  ใช้น้ำเสียงเศร้าเมื่อถึงบทที่โจรกำลังต่อสู้
3  เสียงพระราชาต้องฟังดูเป็นคนแก่ห่อเหี่ยว                        4  ใช้เสียงไก่แทนเสียงม้า
ตอบ  1  เสียงของเจ้าหญิงต้องน่ารักอ่อนหวาน
การเล่านิทานให้สนุกนั้น  ผู้เง่าจะต้องมีน้ำเสียงที่น่าฟัง  เสียงมีจังหวะสูงต่ำ  คล้ายเสียงดนตรี  และเสียงนั้นต้องแสดงถึงความรู้สึก  เช่น  เมื่อผู้ร้ายกำลังตามฆ่าพระเอกต้องใช้เสียงรุกเร้าเพื่อแสดงถึงความตื่นเต้น  เสียงพระราชาต้องเป็นเสียงคนแก่และมีอำนาจ  เสียงของเจ้าหญิงต้องน่ารักและอ่อนหวาน  เสียงของโจรผู้ร้ายต้องดุดัน ฯลฯ  นอกจากนี้ผู้เล่าต้องเลียนเสียงร้องต่างๆ  ของสัตว์และเสียงประกอบอื่นๆ  ได้ตรงกับความเป็นจริง

90    ในการพูดเพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร  มีอะไรเป็นสาระสำคัญ
1  ความรู้                            2  บรรยากาศ                         3  อารมณ์ความรู้สึก                      4  ความจริงที่เกิดขึ้น
ตอบ  1  ความรู้
การพูดเพื่อให้ความรู้หรือเล่าข้อเท็จจริง  (ให้ข้อมูลข่าวสาร)  มีจุดมุ่งหมายหรือสาระสำคัญคือ  เพื่อให้ความรู้และความเข้าใจแก่ผู้ฟัง  โดยจะบอกหรือนำเสนอข้อมูลความจริงที่ผ่านมาแล้ว  ซึ่งผู้ฟังจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้

91    เป้าหมายของการพูดเพื่อชักจูงใจคือ
1  เปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนพฤติกรรม                                                     2  การทำตามคำสั่ง
3  สร้างภาวะทางอารมณ์กดดัน                                                          4  ให้ตีความหมายข่าวสาร
ตอบ  1  เปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนพฤติกรรม
จุดมุ่งหมายของการพูดเพื่อชักจูงใจ  ได้แก่    1  เพื่อชักจูงให้เห็นด้วย    2  เพื่อชักจูงให้เปลี่ยน / ไม่เปลี่ยนความคิดหรือพฤติกรรม    3  เพื่อชักจูงให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง  หรือกระตุ้นให้สร้างพฤติกรรมใหม่

92    การเตรียมเนื้อหาของรายงานที่จะพูดนั้นไม่ควรจะ
1  มีหัวข้อที่สั้น  กระชับ  ชัดเจน                                           2  ทำหัวข้อย่อยๆให้มีความเด่น  ง่ายต่อการอ่าน
3  บรรจุเนื้อหาที่สมบูรณ์ของเรื่องลงไป                               4  จัดทำอย่างประณีตด้วยความรอบคอบ
ตอบ   3  บรรจุเนื้อหาที่สมบูรณ์ของเรื่องลงไป                ดูคำอธิบายข้อ  29  ประกอบ

93    การเตรียมเนื้อเรื่องที่จะพูดนั้น  สิ่งใดเป็นตัวแปรที่เกิดจากเจ้าภาพได้มากที่สุด
1  ความเชื่อ  ทัศนคติของผู้ฟัง                                              2  ความสนใจที่มีต่อหัวข้อ
3  เวลาที่ให้กับการพูด                                                          4  บรรยากาศการประชุม
ตอบ    2  ความสนใจที่มีต่อหัวข้อ
เจ้าภาพ  เป็นตัวแปรหรือปัจจัยสำคัญในการจัดทิศทาง / แนวความคิดของเนื้อเรื่องที่จะพูด  แม้ว่าผู้พูดจะเตรียมเนื้อหาและเตรียมตัวมาพร้อมแล้วสำหรับการพูด  แต่ถ้าเนื้อหา  (หัวข้อหรือประเด็น)  ที่เตรียมมาไม่ตรงกับความต้องการหรือความสนใจของเจ้าภาพ  ผู้พูดก็ไม่สามารถที่จะถ่ายทอดหรือสื่อสารออกไปได้

94    การพูดในลักษณะวิพากษ์วิจารณ์มีลักษณะเฉพาะที่ต่างจากการพูดประเภทอื่นๆอย่างไร
1  เนื้อหาที่จะพูดต้องเป็นข้อเท็จจริงเสมอ                           2  ต้องมีการนำเสนอโดยใช้เหตุผลประกอบ
3  ต้องมีการจัดสมดุลของเนื้อหา  และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่กล่าวอ้าง
4  ต้องมีการใช้กติกา  ข้อกำหนด  หรือตัวบ่งชี้ต่างๆมาเป็นเกณฑ์
ตอบ  2  ต้องมีการนำเสนอโดยใช้เหตุผลประกอบ        ดูคำอธิบายข้อ  30  ประกอบ

95    ข้อใดกล่าวเกี่ยวกับการวิจารณ์การพูดได้อย่างถูกต้องที่สุด
1  การวิจารณ์เป็นการตรวจสอบข้อบกพร่องผู้พูดโดยตรง         2  การวิจารณ์การพูด  คือ  การประเมินผลที่ดี
3  การวิจารณ์ต้องทำอย่างปิดบัง  เพราะสังคมไทยยังไม่ยอมรับวิธีการนี้
4  การวิจารณ์นั้น  ผู้พูดและผู้ฟังไม่จำเป็นต้องอาศัยกฎเกณฑ์ร่วมกัน
ตอบ  2  การวิจารณ์การพูด  คือ  การประเมินผลที่ดี
ในการพูดวิจารณ์นั้น  สำหรับผู้ที่ถูกวิจารณ์ก็จะได้ทราบถึงข้อบกพร่องและคิดหาวิธีแก้ไข  ปรับปรุงให้ดีขึ้น  เพราะการวิจารณ์ก็คือ  การประเมินผลที่ดีนั่นเอง

96    คำนำ  หมายถึง
1  การนำเข้าสู่เนื้อเรื่อง          2  กลวิธีนำเสนอ             3  การทักทายผู้ฟัง            4  ความคิดรวบยอดของเรื่อง
ตอบ  1  การนำเข้าสู่เนื้อเรื่อง
โครงสร้างของการจัดเนื้อเรื่องหรือการลำดับความในวิชาการพูด  มีดังนี้    1  คำปฏิสันถาร  คือ  การกล่าวทักทาย    2  คำนำ  คือ  เริ่มเข้าเรื่องหรือการนำเข้าสู่เนื้อหา    3  เนื้อเรื่อง  คือ  ข้อมูลหรือประเด็นหลักของการนำเสนอ    4  สรุป  คือ  ความคิดรวบยอดของเรื่อง    5  คำลงท้าย  คือ  การกล่าวเชิญชวน  หรือข้อความที่สร้างความประทับใจ  ซึ่งในส่วนของสรุปกับคำลงท้ายหรือการกล่าวเชิญชวนนั้นสามารถพูดสลับที่กันได้  (ดูคำอธิบายข้อ  11  ประกอบ)

97    ในเรื่องของคุณสมบัติของผู้ให้สัมภาษณ์  ข้อใดแตกต่างจากข้ออื่น
1    นักแสดงที่บริจาคอาหารและน้ำดื่มเพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติ
2    ชาวต่างชาติที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์โคลนถล่ม
3    คุณยายที่ประสบภัยพิบัติน้ำท่วม
4    เด็กนักเรียนที่ถูกค้นพบในซากอาคารถล่มหลังจากเกิดแผ่นดินไหว
ตอบ  1  นักแสดงที่บริจาคอาหารและน้ำดื่มเพื่อช่วยเหลือภัยพิบัติ
คุณสมบัติของผู้ให้สัมภาษณ์  มีดังนี้    1  บุคคลที่มีความสำคัญทางการเมือง    2  บุคคลที่ประสบความสำเร็จในการงาน    3  บุคคลที่ประกอบกิจกรรมเพื่อสังคม    4  บุคคลที่สังคมกำลังให้ความสนใจในขณะนั้น  (เช่น  นักแสดง  นักร้อง  นางงาม ฯลฯ)    5  บุคคลที่ประสบมหันตภัยต่างๆ  (เช่น  ไฟไหม้  แผ่นดินไหว  น้ำท่วม  โคลนถล่ม ฯลฯ)    6  บุคคลที่เป็นแขกเมือง

98    ถ้าผู้ให้สัมภาษณ์เป็นคนพูดมาก ควรปรับตัวให้เข้ากับบุคลิกของผู้ให้สัมภาษณ์อย่างไร
1    ผู้สัมภาษณ์จะต้องสร้างความเป็นกันเอง  จนทำให้ผู้ให้สัมภาษณ์เกิดความไว้วางใจ
2    ผู้สัมภาษณ์ควรเตรียมคำถามให้พร้อม  คำถามนั้นต้องเป็นคำถามที่สำคัญ  ตรงประเด็นตามจุดมุ่งหมาย
3    ผู้สัมภาษณ์ควรรับฟังเฉพาะข้อคิดเห็นที่เกี่ยวข้อง  และสัมพันธ์กับจุดมุ่งหมาย
4    ผู้สัมภาษณ์ควรให้รางวัลด้วยคำชม  ขนมขบเคี้ยวหรือของเล่น  เมื่อผู้ให้สัมภาษณ์ตอบคำถาม
ตอบ  3  ผู้สัมภาษณ์ควรรับฟังเฉพาะข้อคิดเห็นที่เกี่ยวข้อง  และสัมพันธ์กับจุดมุ่งหมาย
ผู้ให้สัมภาษณ์ประเภทพูดมาก  มักเป็นคนรักสนุก  จิตใจเป็นมิตรกับทุกชนชั้นและยินดีที่จะตอบคำถาม  ซึ่งคำตอบส่วนใหญ่มักจะกว้าง  ดังนั้นผู้สัมภาษณ์จึงควรรับฟังเฉพาะข้อคิดเห็นที่เกี่ยวข้อง  และสัมพันธ์กับจุดมุ่งหมาย

99    ถ้าท่านเป็นผู้แนะนำองค์ปาฐก  ท่านจะกล่าวแนะนำ  นายแพทย์ยอดยศ  สุริยาจำรัส  อย่างไร  ในเมื่อบุคคลผู้นี้ดำรงยศเป็นพลตรี  และเป็นศาสตราจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาด้วย
1  ศาสตราจารย์  พลตรี  นายแพทย์ยอดยศ  สุริยาจำรัส        2  พลตรี  ศาสตราจารย์  นายแพทย์ยอดยศ  สุริยาจำรัส
3  ศาสตราจารย์  นายแพทย์  พลตรียอดยศ  สุริยาจำรัส        4  พลตรี  นายแพทย์  ศาสตราจารย์ยอดยศ  สุริยาจำรัส
ตอบ    2  พลตรี  ศาสตราจารย์  นายแพทย์ยอดยศ  สุริยาจำรัส
การแนะนำองค์ปาฐกที่ดีนั้น  ควรจะแนะนำอย่างจริงใจ  ไม่ใช่สรรเสริญหรือยกยอมากจนเกินไป  โดยทั้งนี้จะต้องบอกว่าองค์ปาฐกคือใคร  มีตำแหน่งและหน้าที่การงานทางด้านใด  มีความชำนาญทางด้านใด  และมีผลงานดีเด่นอย่างไร เช่น  จะกล่าวแนะนำนายแพทย์ยอดยศ  สุริยาจำรัส  ผู้มียศเป็นพลตรี  และเป็นศาสตราจารย์ได้ว่า  พลตรี  ศาสตราจารย์  นายแพทย์ยอดยศ  สุริยาจำรัส  เป็นต้น

100    การพูดก่อให้เกิดความสำเร็จในด้านการเมือง  ยกเว้นข้อใด
1    ทำให้นักการเมืองอยู่ในศีลธรรมและประพฤติปฏิบัติตนในแนวทางที่ดีงาม
2    ทำให้ประชาชนเข้าใจนโยบายการบริหารงานของรัฐบาล
3    ทำให้คนในท้องถิ่นสามารถปกครองกันเองได้
4    ทำให้ประเทศต่างๆอยู่กันได้อย่างสันติสุข
ตอบ  1  ทำให้นักการเมืองอยู่ในศีลธรรมและประพฤติปฏิบัติตนในแนวทางที่ดีงาม
การพูดที่ก่อให้เกิดความสำเร็จในด้านการเมือง  มีหลักการทั่วๆไปคือ
1    พูดชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจนโยบายและหลักการบริหารงานของรัฐบาล  เพราะการปกครองชนกลุ่มใหญ่ให้ปฏิบัติตามหลักการนั้นทำได้ยาก
2    การพูดทำให้คนในท้องถิ่นสามารถปกครองกันเองได้
3    การพูดทำให้ประเทศต่างๆอยู่กันได้อย่างสันติสุข
(ส่วนตัวเลือกข้อ  1  เป็นการพูดที่ก่อให้เกิดความสำเร็จในด้านศาสนา)

MCS1300 (MCS1350) หลักการพูดเบื้องต้น การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวบวิชา MCS 1300 (MC 130) หลักการพูดเบื้องต้น

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

ข้อ 1. – 10. จงใช้ข้อมูลที่ให้มาดังต่อไปนี้ตอบคำถาม

พระราชดำรัส

(ก)………แก่……..(ข)……..ต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าฯ

            ……….(ค)………..         

(ง)…………โอกาส……………(จ)

(ฉ)………..(ช)…………..สวนจิตรลดา

พระราชวังดุสิต

(ซ)…………(ฌ)………….(ญ)……………. 

1.         คำตอบของข้อ (ก) คือ

(1)       โปรดเกล้าฯ     (2) พระราชวินิจฉัย      (3) ถวาย         (4) พระราชทาน

ตอบ 4 หน้า 40 – 42, (คำบรรยาย) จากข้อมูลที่ให้มาข้างต้น เป็นการร่างแบบฟอร์มการพูด ซึ่งสามารถเขียนให้ถูกต้องได้ ดังนี้

พระราชดำรัส

(ก)พระราชทาน แก่ (ข) คณะบุคคล ต่าง ๆ ที่เข้าเฝ้าฯ

(ค)ถวายชัยมงคล

(ง)เนื่องในโอกาส (จ) วันเฉลิมพระชนมพรรษา

(ฉ) ณ (ช) ศาลาดุสิตดาลัย สวนจิตรลดา

พระราชวังดุสิต

(ซ) วันจันทร์ที่ 4 (ฌ) ธันวาคม (ญ) 2538

 (คำว่า พระราชทาน” หมายถึง ให้ใช้กับพระเจ้าแผ่นดิน, “โปรดเกล้าฯ” หมายถึง มีเมตตา พอใจ, “พระราชวินิจฉัย” หมายถึง คำตัดสินชี้ขาด, “ถวาย” หมายถึง มอบให้ใช้กับพระสงฆ์ หรือเจ้านาย)

2.         คำตอบของข้อ (ข) คือ

(1)       เหล่าขุนนาง     (2) พสกนิกร    (3) คณะบุคคล            (4) ตัวแทนประชาชน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ (คำว่า คณะบุคคล” ในที่นี้หมายถึง บุคคลหลายฝ่าย อาจเป็น ข้าราชการ ทหาร หรือพลเรือน)

3.         คำตอบของข้อ (ค) คือ

(1)       ถวายชัยมงคล (2) ถวายพระพร          (3) ถวายความจงรักภักดี        (4) ถวายคำสัตย์

ตอบดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ (คำว่า ถวายชัยมงคล” หมายถึง อวยพร เป็นคำที่สามัญชนทั่วไปใช้กับพระเจ้าแผ่นดิน, “ถวายพระพร” หมายถึง อวยพร เป็นคำที่พระสงฆ์ใช้กับพระเจ้าแผ่นดิน, “ถวายความจงรักภักดี” หมายถึง แสดงความจงรักภักดี, “ถวายคำสัตย์” หมายถึง ให้คำสัตย์ ปฏิญาณตน)

4.         คำตอบของข้อ (ง) คือ

(1) วาระ          (2) เนื่องใน      (3) เนื่องด้วย   (4) ใน

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ (คำว่า เนื่องใน” ในที่นี้ จะใช้กับโอกาสที่เป็นทางการ แต่ถ้า เป็นโอกาสทั่ว ๆ ไปอาจใช้ ใน” เพียงอย่างเดียวก็ได้)

5.         คำตอบของข้อ (จ) คือ

(1) วันเฉลิมพระขนมพรรษา    (2) วันพระราชสมภพ   (3) วันประสูติ  (4) วับพระราชกำเนิด

ตอบ1 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ (คำว่า วันเฉลิมพระขนมพรรษา” หมายถึง วันคล้ายวันเกิด, “วันพระราชสมภพ” หมายถึง วันเกิด ใช้กับพระเจ้าแผ่นดิน, “วับประสูติ” หมายถึง วันเกิด ใช้กับพระบรมวงศานุวงศ์, “วันพระราชกำเนิด” เป็นการใช้คำราชาศัพท์ผิด)

6.         คำตอบของข้อ (ฉ) คือ

(1) เพื่อ            (2) โดย            (3) ที่    (4) ณ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ (คำว่า ’’ เป็นคำบุรพบทที่ใช้บอกเวลาหรือสถานที่ มักใช้กับ การเขียนที่เป็นทางการ)

7.         คำตอบของข้อ (ช) คือ

(1) พระตำหนักจักรีบงกช        (2) พระบรมมหาราชวัง

(3) ท้องพระโรง            (4) ศาลาดุสิตดาลัย

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ (ศาลาดุสิตดาลัย เป็นศาลาอเนกประสงค์ในพระตำหนัก จิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต)

8.         คำตอบของข้อ (ช) คือ

(1) วันจันทร์ที่ 4           (2) วันอันเป็นมงคลฤกษ์         (3) วันพระราชสมภพ   (4) วันประจำรัชกาล

ตอบ 1 หน้า 41, (คำบรรยาย), (ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ) ข้อความบรรทัดสุดท้ายก่อนจบส่วนแบบนำการพูด จะเป็นการเขียนวัน เดือน ปีที่พูด และเมื่อจบส่วนแบบนำการพูดแล้ว ผู้ร่างอาจขีดเส้นต้ ทำเส้นประ ใส่สัญลักษณ์ขององศ์กร หรือใส่รูปเล็ก ๆ คั่นก็ได้

9.         คำตอบของข้อ (ฌ) คือ

(1) เดือนสิบสอง          (2) ธันวาคม     (3) ขึ้น 13 ค่ำ   (4) ราศีธนู

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 1. และ 8. ประกอบ

10.       คำตอบของข้อ (ญ) คือ

(1) รัชกาลปัจจุบัน       (2) ปีกุน           (3) พุทธศักราช            (4) 2538

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 1. และ 8. ประกอบ

ข้อ 11. – 20. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1)       วิเคราะห์ตน     (2) วิเคราะห์ผู้ฟัง         (3) วิเคราะห์เนื้อหา      (4) วิเคราะห์สถานการณ์

11.       กระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งลำดับประเด็นการพูด

ตอบ 3 (คำบรรยาย) การวิเคราะห์เนื้อหา เป็นการวิเคราะห์สิ่งที่จะนำไปพูด เพื่อให้ได้มาซึ่งลำดับ ประเด็นการพูดและจุดเด่นในการนำเสนอ ซึ่งเมื่อได้ผลผลิตจากกระบวนการนี้แล้ว ขั้นต่อไป ก็คือ การฝึกซ้อมพูด (Rehearsal) เพื่อเตรียมความพร้อมของเนื้อหาและบุคลิกภาพในการพูด

12.       พิจารณาจากสภาพสังคมประชากรเป็นพื้นฐาน

ตอบ 2 หน้า 20 – 23, (คำบรรยาย) การวิเคราะห์ผู้ฟัง-ผู้ชม เป็นสิ่งที่วิชาการพูดให้ความสำคัญ

เป็นอันดับต้น ๆ ซึ่งการวิเคราะห์ผู้ฟัง-ผู้ชมในการพูดแต่ละครั้งจะนำไปสู่การกำหนดวัตถุประสงค์ ของการสื่อสาร โดยพิจารณาจากสภาพสังคมประชากร ประสบการณ์ กรอบอ้างอิง ระบบสังคม และวัฒนธรรม และทัศนคติต่าง ๆ ของผู้ฟังเป็นพื้นฐาน

13.       เมื่อได้ผลผลิตจากกระบวนการนี้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการซ้อม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 11. ประกอบ

14.       อยู่นอกเหนือการควบคุมมากที่สุด

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การวิเคราะห์สถานการณ์ เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์ที่ จะไปพูด ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมมากที่สุด เพราะสถานการณ์การพูดจะบ่งบอกว่า เนื้อหาที่จะนำไปพูดนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่ หากไม่เหมาะสมก็จะต้องปรับเปลี่ยนเนื้อหา บางส่วน ส่วนใหญ่ หรือทั้งหมด ตัวอย่างสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมการพูด ได้แก่ เวลา สถานที่ โอกาส และเจ้าภาพ หรือธรรมชาติของหน่วยงานที่เชิญไปพูด เป็นต้น

15.       เป็นสิ่งที่วิชาการพูดให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 12. ประกอบ

16.       ธรรมชาติของหน่วยงานที่เชิญคุณไปพูดจัดอยู่ในข้อนี้

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ

17.       นำไปสู่การกำหนดวัตถุประสงค์การสื่อสาร

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 12. ประกอบ

18.       มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับภาพลักษณ์

ตอบ 1 (คำบรรยาย) การวิเคราะห์ตน เป็นการวิเคราะห์ตัวผู้พูดเองเพื่อปรับปรุงและสร้างบุคลิกภาพ ในการพูดที่เหมาะสม ซึ่งการวิเคราะห์ตนจะเกี่ยวข้องกับสิ่งสำคัญ 2 อย่าง ได้แก่ 1. ภาพลักษณ์ คือ สิ่งที่ผู้ฟังรู้สึกกับตัวผู้พูดจากประสบการณ์ จากสิ่งที่รับรู้ หรือจากสิ่งที่เห็นและประเมินค่า

2.         ภาพพจน์ คือ การเห็นภาพตามคำพูด ซึ่งผู้ที่พูดเก่งต้องสามารถพูดแล้วทำให้ผู้ฟังเห็นภาพตามได้

19.       มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับภาพพจน์

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 18. ประกอบ

20.       ดำเนินการเพื่อหาจุดเด่นในการนำเสนอ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 11. ประกอบ

21.       กระบวนการใดของการพูดที่สังคมประชาธิปไตยให้ความสำคัญประกอบกัน

(1)       ผู้ส่งสาร+ผู้รับสาร       (2) ผู้รับสาร+ช่องทาง  (3) ช่องทาง+ผู้ส่งสาร  (4) ช่องทาง+เนื้อหา

ตอบ 1 (คำบรรยาย) การพูดในสังคมประชาธิปไตย เป็นการสื่อสารแบบสองทางที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันโดยตรงระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร ดังนั้นจึงเป็นการพูดที่ให้ความสำคัญกับผู้ส่งสาร +ผู้รับสารประกอบกัน ส่วนการพูดที่เน้นสายการบังคับบัญชาที่มีประสิทธิภาพจะเน้นในเรื่อง ช่องทาง+เนื้อหาที่มีประสิทธิผล เพื่อให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายในการสื่อสารตามที่ต้องการ

22.       กระบวนการพูดที่เน้นสายการบังคับบัญชาที่มีประสิทธิภาพ จะเน้นปัจจัยข้อใด

(1)       ผู้ส่งสาร+ผู้รับสาร       (2) ผู้รับสาร+ช่องทาง  (3) ช่องทาง+ผู้ส่งสาร  (4) ช่องทาง+เนื้อหา

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 21. ประกอบ

23.       เสียงและสำเนียงในวิชาการพูดนั้น

(1)       ไม่แตกต่างกันเลย       (2) ใช้แทนกันได้

(3) มีความคล้ายกันมาก         (4) ต้องสื่อสารประกอบกันเสมอ

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การพูด เป็นเครื่องมือทางการสื่อสารที่ต้องใช้เสียงและสำเนียงโต้ตอบประกอบ กันเสมอ โดยเสียงเป็นเพียงการเปล่งวาจาออกมา ส่วนสำเนียงจะบอกถึงอากัปกิริยาหรืออารมณ์ ที่สื่อออกไป ดังนั้นเสียงจะไม่สามารถบอกอารมณ์ความรู้สึกได้หากไมมีสำเนียงมาช่วย

24.       อวัจนภาษา หมายถึง

(1) ภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคำ (2) ภาษาท่าทาง       (3) ภาษาเขียน            (4) ภาษากาย

ตอบ 1 (คำบรรยาย) การสื่อสารของมนุษย์นั้นหากพิจารณาโดยใช้ภาษาเป็นเกณฑ์แล้ว สามารถแบ่งออก ได้ดังนี้   1. การสื่อสารที่ใช้ถ้อยคำ หรือวัจนภาษา (ภาษาที่ใช้ถ้อยคำ) ได้แก่ ภาษาพูด และภาษาเขียน 2. การสื่อสารที่ไม่ใช้ถ้อยคำ หรืออวัจนภาษา (ภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคำ) ได้แก่ อากัปกิริยาท่าทาง สีหน้า สายตา การแต่งกาย การเดิน น้ำเสียง ฯลฯ

25.       ข้อใดคือสิ่งเร้าภายในของผู้พูด

(1)       เกลียดคนฟังชุดสีน้ำตาลเข้มที่นั่งอยู่ด้านซ้ายติดหน้าต่างช่องที่สอง

(2)       ผู้ฟังชุดสีฟ้าเข้มหงุดหงิดที่เห็นจอภาพ LCD ไม่ชัด ซึ่งเคยเตือนคนพูดมาแล้ว

(3)       เบื่อเรื่องที่พูดไม่เข้าท่า เพราะสปอนเซอร์มีผลประโยชน์กดดันคนพูด

(4)       อากาศร้อนมาก แต่วิทยากรไมใส่ใจเลยเพราะชินกับเรื่องแบบนี้

ตอบ 1 หน้า 7, (คำบรรยาย) สิ่งเร้าที่เกิดจากตัวผู้พูด คือ สิ่งที่ผู้ฟังได้ยินและได้เห็น ซึ่งพิจารณาได้จาก

1.         สิ่งเร้าภายในตัวผู้พูด ได้แก่ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดและสุขภาพของผู้พูด เช่น ความรู้สึกหิว โกรธ เกลียด ปวดท้อง คลื่นไส้ ไม่สบาย ฯลฯ

2.         สิ่งเร้าภายนอกตัวผู้พูด ได้แก่ สิ่งแวดล้อม เจ้าภาพ และผู้ชม-ผู้ฟังทั้งหลาย เช่น อุณหภูมิ ในห้องบรรยาย เวลาที่ให้กับผู้พูด ทัศนคติของเจ้าภาพ ความสนใจของผู้ชม-ผู้ฟัง ฯลฯ

26.       การพูดเป็นการแสดง

(1) ตน+วาจา   (2) วาจา+ลีลา (3) ลีลา+บุคลิกภาพ (4) บุคลิกภาพ+รสนิยม

ตอบ1 (คำบรรยาย) การพูดเป็นการแสดงใน 2 ส่วน คือ การแสดงตน+วาจา ซึ่งการแสดงตน หมายถึง การแสดงบุคลิกภาพ ลีลา หรืออากัปกิริยาท่าทางในระหว่างพูด ส่วนการแสดงวาจา หมายถึง การแสดงเนื้อหาที่จะพูด ดังนั้นผู้พูดจึงต้องเตรียมความพร้อมทั้งในเรื่องเนื้อหาและบุคลิกภาพ ไปพร้อม ๆ กัน

27.       หลักการใช้ภาษาพูดในการสัมภาษณ์งานควรเป็นอย่างไร

(1)       ภาษาถิ่นที่สุภาพ         (2) ภาษาราการ         (3) ภาษาสนทนาที่สุภาพ (4) ภาษากึ่งพิธีการ

ตอบ 3 หน้า 12255 – 256259 หลักการใช้ภาษาพูดในการสัมภาษณ์งาน ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์ แบบตัวต่อตัวในลักษณะที่เป็นพิธีการ ทั้งผู้สัมภาษณ์แสะผู้ให้สัมภาษณ์ควรใช้ภาษาสนทนา ที่สุภาพ มิใช่ภาษาเขียนหรือภาษาราชการ นอกจากนี้ยังต้องใช้คำพูดที่ง่ายแก่การเข้าใจ และกินความหมายครอบคลุมเนื้อเรื่องที่จะถามหรือตอบ

28.       ข้อใดที่การพูดทำได้ยากที่สุด

(1) เปลี่ยนพฤติกรรม   (2) เปลี่ยนทัศนคติ      (3) เปลี่ยนภาพลักษณ์            (4) เปลี่ยนข้อมูล

ตอบ 2 หน้า 94 – 96, (คำบรรยาย) การพูดเพื่อชักจูงใมีความแตกต่างจากการพูดจาตามปกติ ในเรื่องของการกำหนดเป้าหมายและวิธีการ เนื่องจากเป้าหมายของการพูดเพื่อชักจูงใจคือ การชักจูงให้เปลี่ยพฤติกรรม เปลี่ยนการกระทำ หรือเปลี่ยนความเชื่อและทัศนคติ (เป็นสิ่งที่การพูดทำได้ยากที่สุด) โดยคำนึงถึงเงื่อนไขของการให้ข้อมูลเพื่อการโน้มน้าวใจ ได้แก่

1.         การสร้างความเลื่อมใสศรัทธา 2. นำเสนอสิ่งที่น่าสนใจ

3.         ปลุกเร้าให้เกิดการกระทำ

29.       คุณชไมพรจะไปพูดในการประชุมผู้นำชาวบ้าน คุณจะแนะนำวิธีเลือกเรื่องพูดอย่างไร

(1)       เลือกเรื่องที่ผู้พูดสามารถหาข้อมูลได้ และผู้ฟังน่าจะให้ความสนใจ

(2)       เลือกเรื่องที่ผู้พูดสนใจสามารถนำเสนอได้ ส่วนผู้ฟังอาจจะสนใจหรือไม่ก็ได้

(3)       เลือกเรื่องทันสมัยที่ผู้พูดชอบเป็นการส่วนตัว และผู้ฟังส่วนใหญ่ไม่มีประสบการณ์

(4)       เลือกเรื่องยากพอประมาณซึ่งเป็นสาระแก่ชีวิต ส่วนผู้ฟังก็ใช้ประโยชน์ได้

ตอบ 1 หน้า 23, (คำบรรยาย) ในการเลือกเรื่องไปพูดนั้น ผู้พูดต้องพยายามเลือกเรื่องที่ทั้งผู้พูดและผู้ฟัง สนใจเป็นอับดับแรก ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่ผู้พูดถนัดหรือมีความรู้และสามารถหาข้อมูลมานำเสนอได้ ก็จะทำให้พูดได้ดี และถ้าเรื่องนั้นผู้ฟังสนใจด้วยก็ดูเหมือนว่าผู้พูดได้ประสบความสำเร็จขั้นต้น ในการเรียกความสนใจจากผู้ฟัง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ผู้ฟังไม่สนใจ การพูดนั้นก็จะล้มเหลว

30.       โครงร่าง (Outline) มีประโยชน์ต่อการเตรียมเรื่องพูดอย่างไร

(1)       ทำให้เนื้อหาไม่หลุดกรอบแนวคิดหลัก (2) ทำให้เนื้อหาไม่ขาดตอน

(3) ทำให้เนื้อหาน่าติดตาม       (4) ทำให้เนื้อหาน่าเชื่อถือ

ตอบ1 หน้า 31 – 32, (คำบรรยาย) ในการเตรียมเรื่องพูดนั้น ผู้พูดจำเป็นที่จะต้องเขียนโครงร่าง หรือโครงเรื่อง (Outline) ขึ้นมาก่อน ซึ่งมีประโยชน์ดังนี้

1.         ช่วยวางแนวทางว่าเรื่องที่จะพูดนั้นมีหัวข้ออะไรบ้าง

2.         ช่วยเป็นแนวทางการเรียงลำดับ (Order) เรื่องที่จะพูด

3.         ช่วยทำให้เนื้อหามีเอกภาพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่หลุดกรอบแนวคิดหลักของเรื่อง

4.         ช่วยให้การดำเนินเรื่องไม่สับสน และง่ายแก่การจดจำไปพูด

31.       ข้อใดไมใช่การขยายความเนื้อเรื่อง

(1) พูดเปรียบเทียบกับสำนวน สุภาษิต           (2) พูดถึงเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา

(3) พูดเพื่อให้ผู้ฟังคิดเอง         (4) พูดโดยฉายสไลด์ประกอบการพูด

ตอบ 2 หน้า 37 – 38 การขยายความเนื้อเรื่อง ทำได้ดังนี้

1.         การให้คำจำกัดความ   2. การยกตัวอย่าง ซึ่งต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา

3.         การเปรียบเทียบกับสิ่งที่คล้ายคลึง     4. การแสดงหรือชี้ให้เห็นถึงข้อแตกต่าง

5.         การหยิบยกข้ออ้างอิง สำนวน สุภาษิต หรือคำพังเพย

6.         การเล่าเรื่องประกอบเพื่อให้ผู้ฟังคิดเอาเอง    7. การถาม-ตอบ

8. การใช้โสตทัศนูปกรณ์ต่าง ๆ เช่น การฉายสไลด์ การใช้แผนที่ แผนภูมิ รูปภาพ ลฯ

32.       ข้อใดไม่ใช่เครื่องมือในการสื่อความหมายของผู้พูด

(1)       ความเชื่อและทัศนคติ  (2) วิทยากรรับเชิญ

(3) โสตทัศนูปกรณ์      (4) หมอกควันเปิดตัวทอล์กโชว์

ตอบ 1 หน้า 7, (คำบรรยาย) เครื่องมือในการสื่อความหมายในกระบวนการพูด คือ อะไรก็ตาม ที่ผู้พูดใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการนำเสนอเพื่อให้ได้รับความรู้ความเข้าใจได้อย่างเต็มที่ จนสามารถทำให้การพูดนั้นถ่ายทอดความหมายออกมาได้ ซึ่งแบ่งออกเป็น

1.         อวัจนภาษา หรือภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคำ เช่น กิริยาท่าทาง สีหน้า การแต่งกาย ฯล

2.         โสตทัศนูปกรณ์ เช่น ไมโครโฟน อุปกรณ์ประกอบฉาก เทคนิคในการเปิดตัว ฯลฯ

3.         บุคคลและวัตถุพยาน เช่น วิทยากรรับเชิญ หลักฐานที่เป็นเอกสารต่าง ๆ ฯลฯ

33.       สิ่งใดควรกระทำเมื่อขึ้นเวทีพูด

(1)       ใช้มือเคาะไมโครโฟน   (2) กระแอมก่อนพูด

(3) พูดช้า ๆ ในนาทีแรกที่เริ่มพูด          (4) พูดขออภัยในความล่าช้าของตัวเอง

ตอบ 3 หน้า 52 – 53, (คำ,บรรยาย) ข้อควรปฏิบัติเมื่อขึ้นเวทีพูด มีดังนี้ 1. ในระหว่างการเดินเข้า ณ ตำแหน่งที่พูดหลังจากพิธีกรเชิญผู้พูดขึ้นพูดแล้ว ผู้พูดไม่ต้องทำความเคารพหรือทักทาย ใครอีกแล้ว         2. ในนาทีแรกที่เริ่มพูดนั้นควรพูดช้า ๆ     3. หลังจากกล่าวคำปฏิสันถารแล้วผู้พูดจะต้องไม่ออกตัวหรือขอโทษ/ขออภัยในความผิดพลาดหรือข้อบกพร่องของตนเอง 4.ควรหลีกเลี่ยงการกระแอมกระไอก่อนพูด การใช้มือเคาะไมโครโฟน หรือพูดว่า ฮัลโหล ๆ” 5.เมื่อผู้ฟังแสดงความพอใจหรือไม่พอใจขึ้นมา ผู้พูดควรหยุดพูดเป็นอันดับแรก จนเมื่อเสียง แสดงความพอใจหรือไม่พอใจนั้น ๆ จบหรือซาลงจึงเริ่มพูดต่อไป ฯลฯ

34.       เมื่อผู้ฟังแสดงความไม่พอใจขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด ผู้พูดควรปฏิบัติอย่างไรเป็นอันดับแรก

(1)       พูดสลายอารมณ์ผู้ฟังด้วยเหตุผลและคำขอโทษ

(2)       ยกมือให้สัญญาณแก่ผู้จัดงาน และรอจนกว่าจะมีเจ้าหน้าที่มาจัดการกลุ่มผู้ฟัง

(3)       หยุดพูด จนเมื่อการแสดงความไม่พอใจจบลงจึงเริ่มพูดต่อ

(4)       เดินไปให้ชิดด้านหน้าเวทีเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อผู้ฟังในเหตุการณ์ที่เกิด

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 33. ประกอบ

35.       วิธีทำให้ความตื่นเวทีลดน้อยลงได้แก่

(1)       ดื่มเบียร์หรือสุราเล็กน้อย         (2) เดินทางมาถึงก่อนเวลาพอสมควร

(3) ยิ้มและพูดคุยกับผู้ฟังเป็นครั้งคราว           (4) ฝึกซ้อมพูดระหว่างเดินทาง

ตอบ 4 หน้า 54 – 55 วิธีแก้หรือทำให้ความตื่นเวทีและความกังวลลดน้อยลงประการแรกที่สุดก็คือ ผู้พูดจะต้องเตรียมเรื่องพูดให้พร้อม และฝึกซ้อมพูดบ่อย ๆ อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไป เพราะถ้า เตรียมสองประการนี้ไม่ดีก็เท่ากับประสบความล้มเหลวก่อนขึ้นเวทีเสียแล้ว

36.       ผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการฟัง (ส่วนใหญ่) มาจากสาเหตุใด

(1)       ชอบพูดมากกว่าขอบฟัง          (2) มีความกังวลใจในเรื่องต่าง ๆ

(3)       ชอบหลับ         (4) สนใจบุคลิกของผู้พูดมากเกินไป

ตอบ2  หน้า 69, (คำบรรยาย) ลักษณะของการฟังที่ดีประการหนึ่ง คือ ผู้ฟังจะต้องตัดความกังวลใจต่าง ๆ เพราะถ้าผู้ฟังมีความกังวลใจแล้วย่อมจะไม่มีสมาธิในการรับฟัง ซึ่งถือเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ ที่ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จในการฟัง ดังนั้นวิธีที่ดีคือ ควรทำจิตใจให้หายกังวลแล้วตั้งใจรับฟัง เรื่องที่ผู้พูดพูด เมื่อตั้งใจฟังและเกิดความสนใจที่จะฟังแล้วก็จะเกิดความเข้าใจขึ้นมาได้

37.       การที่ครูฝึกชมเชยทหารใหม่ว่าเป็นผู้มีความอดทนและเสียสละ เป็นการกระตุ้นทางใด

(1)       ทางร่างกาย     (2) ทางจิตใจ   (3) ทางนิสัย    (4) ทางสังคม

ตอบ 2 หน้า 96 การพูดกระตุ้นทางจิตใจ เป็นการพูดที่ผู้พูดจะต้องพูดให้ผู้ฟังมีความรู้สึกภาคภูมิใจ มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความอดทน เสียสละ และมีความสามารถ ฯลฯ

38.       การพูดให้สัปเหร่อมีความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนมีเกียรติเช่นเดียวกับคนอาชีพอื่น ๆ ควรพูดกระตุ้นในทางใด

(1)       ทางร่างกาย     (2) ทางจิตใจ   (3) ทางสังคม  (4) ทางนิสัย

ตอบ3 หน้า 96 การพูดกระตุ้นทางสังคม ผู้พูดจะต้องพูดให้ได้ผลออกมาในรูปที่ว่า ผู้ฟังเป็นคนที่ กว้างขวาง มีเกียรติ เป็นที่รู้จักในวงสังคม หรือเป็นผู้ที่มิสิทธิเสมอภาคเท่าเทียมกับคนอื่น ๆ ในสังคมเหมือนกัน

39.       ในการพูดชักจูงใจ สิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้ฟังเชื่อถือในตัวผู้พูดคืออะไร

(1) พยาน หลักฐาน และข้อมูล            (2) ถ้อยคำที่มีน้ำหนัก น่าเชื่อถือ

(3) ความมีชีวิตชีวาและท่าทางของผู้พูด          (4) น้ำเสียง ท่าทาง และคำพูด

.ตอบ 1 หน้า 95 ในการพูดแบบชักจูงใจ สิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้ฟังเชื่อถือหรือเชื่อมั่นในตัวผู้พูดก็คือ ผู้พูดจะต้องยกตัวอย่าง ยกเหตุผลข้อเท็จจริง ข้อมูล หลักฐาน พยาน และข้อโต้แย้งต่าง ๆ ขึ้นมาอ้างอิง เพื่อให้ผู้ฟังเห็นด้วย

40.       คุณสิริมาเป็นผู้บรรยายในหัวข้อการป้องกันตนจากภัยธรรมชาติ และต้องการแจกเอกสารประกอบแก่ผู้ฟัง เขาควรแจกเมื่อใด

(1)       เมื่อถูกทวงถาม            (2) หลังการพูดบรรยาย

(3) ในขณะที่บรรยายไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว          (4) เมื่อผู้ฟังง่วงนอน

ตอบ 2 หน้า 122 ในการพูดสาธิตที่เน้นการเรียนการสอน หรือการปฏิบัติของบุคคลนั้น

อาจมีเครื่องมือเพื่อใช้ประกอบการอธิบาย เช่น หนังสือ คู่มือ เอกสาร ฯลฯ ซึ่งวิธีที่ดีก็คือ บรรยายหรืออธิบายในเรื่องนั้น ๆ ให้จบเสียก่อน แล้วจึงแจกหนังสือ คู่มือ และเอกสารให้แก่ ผู้ฟังภายหลังการพูดบรรยายจบแล้ว (แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ต้องให้ตัดสินใจ หรือการลงมติ ควรแจก ก่อนการบรรยาย)

41.       การพูดเกี่ยวกับการวิจัยหลังจากผู้วิจัยเดินทางสำรวจพื้นที่ชุ่มน้ำในบึงหนองหานต่อคณะกรรมการยูเนสโก เพื่อขออนุมัติงบประมาณ เป็นการพูดรายงานแบบใด

(1)       แบบประสบการณ      (2) แบบแถลงข้อเท็จจริง

(3) แบบความก้าวหน้าและผลสำเร็จ  (4) แบบสรุปผล

ตอบ 2 หน้า 140, (คำบรรยาย) การพูดรายงานแบบแถลงข้อเท็จจริง เป็นการเสนอข้อเท็จจริงหลักฐาน ข้อมูล วัตถุประสงค์ หลักการ และสมมุติฐานที่จะเกิดขึ้น ซึ่งอาจได้จากการสังเกต การทดลอง การสำรวจ และการศึกษาจากเอกสารต่าง ๆ ตัวอย่างของการพูดรายงานแบบนี้ คือ การพูดให้ความ (ให้การ) ในชั้นศาล การรายงานถึงโครงการหรือนโยบายที่จะกระทำ หรือ ที่กำลังกระทำอยู่ เช่น โครงการกู้เงินตราต่างประเทศ โครงการศูนย์การค้าไทยในต่างประเทศ โครงการขออนุมัติงบประมาณ เป็นต้น

42.       ในการพูดรายงานแบบสรุปผล หากต้องพูดเกี่ยวกับรายงานการทดลอง รายงานนั้นควรประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ ๆ ยกเว้นข้อใด 

(1) ประสบการณ์ผู้ทดลอง

(2)       ความมุ่งหมาย (3) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง           (4) สรุปผลการทดลอง

ตอบ 1 หน้า 141- 142 การพูดรายงานแบบสรุปผล ในกรณีที่เกี่ยวกับการรายงานการทดลองหรือปฏิบัติการนั้น ควรจะประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ ๆ ดังนี้ 1. ความมุ่งหมาย  2.เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง 3. สรุปผลของการทดลอง

43.       คุณเดชาวุฒิเป็นนักลงทุนที่ต้องพูดรายงานในที่ประชุม เขาควรยึดหลักอะไร

(1)       มีเนื้อหาสั้น ชัดเจน พร้อมมีข้อมูลทางสถิติเตรียมไว้นำเสนอ

(2)       มีเนื้อหาสมบูรณ์ชัดเจนพร้อมทั้งข้อมูลทางสถิติที่จำเป็น

(3)       มีเนื้อหาละเอียดสมบูรณ์ทุกด้าน พร้อมทั้งข้อมูลทางสถิติ และตัวเลขค่าตอบแทบ

(4)       มีเนื้อหาสมบูรณ์ ละเอียดชัดเจน พร้อมทั้งข้อมูลการศึกษาวิจัยที่กระทำมาก่อนนี้

ตอบ 1 หน้า 139, (คำบรรยาย) หลักการเตรียมเนื้อหาของรายงานที่จะพูด มีดังนี้

1.         เรียบเรียงเนื้อหาด้วยความประณีตและรอบคอบ

2.         ใจความสำคัญของเนื้อหาต้องสั้น กระชับ ชัดเจน พร้อมทั้งมีข้อมูลทางสถิติ

3.         ทำหัวข้อย่อย ๆ ให้มีความเด่น ง่ายต่อการอ่าน โดยมีการใส่หมึกไฮไลต์ขีดทับ

4.         ไม่ควรบรรจุเนื้อหาที่สมบูรณ์ของเรื่องลงไป

5.         เขียนบันทึกย่อประเด็นสำคัญที่ไม่อาจละเลยได้ในการพูดไว้ท้ายกระดาษ

6.         ใช้ข้อความที่ประกอบด้วยคำพูดเพื่อแสดงให้รู้ว่าจบเนื้อหาของเรื่องที่พูดตอนหนึ่ง ๆ แล้ว ฯลฯ

44.       ข้อใดต่อไปนี้ถูกต้องตามหลักการพูดวิจารณ์

(1) ยำไข่เค็มอร่อยมากแต่ก็แพงเอาเรื่อง         (2) เธอนิสัยดีแถมใจเย็นมาก

(3)       ละครเรื่องนี้ลงทุนน้อยมีกำไรมาก       (4) นางเอก จันดารา” สวยมาก

ตอบ 1 หน้า 169 การพูดวิจารณ์ หมายถึง การพูดทั้งติและชมสิ่งใดสิ่งหนึ่งในแง่ต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล และถูกหลักการวิจารณ์ ซึ่งลักษณะเฉพาะหรือจุดเด่นของการพูดวิพากษ์วิจารณ์ที่แตกต่างจาก การพูดชนิดอื่น ๆ คือ เป็นการพูดที่ต้องใช้หลักทางตรรกวิทยา (Logic) หรือใช้หลักทางเหตุผล มาประกอบ โดยจะไม่เอาอารมณ์ของผู้พูดเข้ามาเกี่ยวข้อง

45.       การพูดในลักษณะวิพากษ์วิจารณ์มีลักษณะเฉพาะที่ต่างจากการพูดประเภทอื่น ๆ อย่างไร

(1)       เนื้อหาที่จะพูดต้องเป็นข้อเท็จจริงเสมอ

(2)       ต้องมีการนำเสนอโดยใช้เหตุผลประกอบ

(3)       ต้องมีการใช้กติกา ข้อกำหนด หรือตัวบ่งชี้ต่าง ๆ มาใช้เป็นเกณฑ์

(4)       ต้องมีการจัดสมดุลของเนื้อหา และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่กล่าวอ้าง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 44. ประกอบ

46.       ประธานในที่ประชุมควรเสนอความคิดเห็นของตนอย่างไรจึงเหมาะสมที่สุด

(1) เป็นคนสุดท้าย       (2) ตลอดเวลา (3) ครั้งที่เปลี่ยนวาระ  (4) เป็นคนแรก

ตอบ 1 หน้า 205 หน้าที่ของประธานในที่ประชุมประการหนึ่ง คือ ประธานจะต้องเปิดโอกาสและ ช่วยให้ผู้เข้าประชุมได้ใช้ความคิดของตนเองอย่างเต็มความสามารก โดยประธานไม่ควร เสนอความคิดเห็นของตนเป็นคนแรก แต่ควรเสนอความคิดเห็นเป็นคนสุดท้าย

47.       ถ้านายเยี่ยมยอดไร้ที่ติ ไม่เห็นด้วยกับมติของที่ประชุม (ที่ครบองค์ประชุม) เขาต้องทำอย่างไร

(1) ไม่ต้องปฏิบัติตาม  (2) ต้องปฏิบัติตาม

(3) ขอแปรญัตติต่อประธาน    (4) ขอให้มีการทบทวนมติ

ตอบ 2 หน้า 203 มติ คือ ข้อตกลงของที่ประชุมในญัตติต่าง ๆ ที่มีผู้เสนอ ซี่งมติของที่ประชุม (ที่ครบองค์ประชุม)ให้ถือเป็นข้อยุติที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามถึงแม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม

48.       ดร.รสสุคนธ์เป็น ส.ส. และต้องการขอแปรญัตติในที่ประชุม เขาควรทำอย่างไร

(1) เสนอด้วยวาจาต่อประธาน            (2) เสนอเป็นลายลักษณ์อักษรต่อประธาน

(3) เสนอด้วยวาจาต่อเลขาฯ    (4) เสนอเป็นลายลักษณ์อักษรต่อเลขาฯ

ตอบ 2 หน้า 203, (คำบรรยาย) แปรญัตติ หมายถึง การแสดงความคิดเห็นซ้อนขึ้นในญัตติ หรือการเสนอขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมญัตตินั้น ๆ โดย ส.ส./ส.ว. ที่ต้องการขอแปรญัตติ ในที่ประชุมจะต้องเสนอคำขอแปรญัตติของตนเป็นหนังสือ (เป็นลายลักษณ์อักษร) ต่อประธาน ภายในระยะเวลาที่กำหนด และคำแปรญัตติต้องมี ส.ส./ส.ว. อื่นรับรองเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมสภา

49.       การพูดให้ความรู้เชิงอุปมาอุปไมยและเปรียบเทียบ มักใช้กับการพูดชนิดใด

(1) การรายงาน           (2) การวิจารณ์            (3) การเล่าเรื่อง           (4) การอภิปราย

ตอบ 3 หน้า 217 การเล่าเรื่อง เป็นการสอนหรือนำเสนอข้อมูลในเชิงอุปมาอุปไมยและเปรียบเทียบ รวมทั้งยังเป็นการสอนในแง่ความคิดต่าง ๆ ในด้านปรัชญาและคติธรรม

50.       การแทรกบทตลกในการนำเสนอเรื่องเล่า ทำไปด้วยเหตุผลใด

(1) เพื่อเรียกเสียงหัวเราะ        (2) เพื่อให้เกิดอารมณ์สนุก

(3) เพื่อดึงดูดความน่าสนใจ    (4) เพื่อให้ครบอรรถรสในการนำเสนอ

ตอบ 3 หน้า 218 – 219 ในการเล่าเรื่องประเภทนิทานนั้น เมื่อมีตอนใดที่สามารถจะแทรกบทตลกได้ ก็ควรจะเล่าเรื่องให้ตลก เพราะบทตลกจะดึงดูดความน่าสนใจของผู้ฟังได้ดี นอกจากนี้ในเนื้อเรื่อง ที่ใช้เล่านิทานก็ควรจะใช้บทพูด (Dialogue) ประมาณ 80% หรือควรจะใช้พรรณนาโวหาร ให้น้อยกว่าบทพูด

51.       การเตรียมตัวเพื่อพูดให้คำปรึกษา ควรมีกระบวนการอย่างไร

(1)       รู้จุดหมาย เปิดโอกาสให้ซักถาม และมีข้อสรุป

(2)       รู้จุดหมาย เตรียมเนื้อหา และเปิดโอกาสให้ซักถาม

(3)       รู้ปัญหา รู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร และหาทางออกร่วมกัน

(4) รู้ข้อสรุป รู้วิธีอธิบาย และเปิดโอกาสให้ซักถาม

ตอบ 3 หน้า 244, (คำบรรยาย) หลักการเตรียมตัวเพื่อพูดให้คำปรึกษาแก้ไขปัญหา มีดังนี้

1.         รู้ปัญหาว่าคืออะไร       2. รู้ว่าควรจะแก้ไขอะไรบ้าง

3.         รู้วิธีแก้บัญหาที่ดีที่สุดว่าคือวิธีใด และหาทางออกร่วมกัน

52.       ผู้สื่อข่าวจะสัมภาษณ์แหล่งข่าวที่ไม่อาจคาดเดาบุคลิกภาพได้จะต้องใช้วิธีการใด

(1)       วิธีสะท้อนความรู้สึก    (2) วิธีให้ความร่วมมือ

(3) วิธีกดดันให้แสดงตัวตน     (4) วิธียืดหยุ่นไปตามสถานการณ์

ตอบ 1 หน้า 248250, (คำบรรยาย) การสัมภาษณ์แหล่งข่าวที่ไม่อาจคาดเดาบุคลิกภาพได้อาจต้องใช้วิธีเดียวกับการพูดให้คำปรึกษา ได้แก่ วิธีสะท้อนความรู้สึก (The Method of Reflected Feelings) คือ การทำตัวสนิทสนมกับแหล่งข่าว เพื่อสร้างบรรยากาศให้มี ความอิสรเสรี ความเข้าใจ ความไว้วางใจกัน ซึ่งจะส่งผลให้แหล่งข่าวเต็มใจที่จะแสดงตัวตน ออกมาในที่สุด

53.       การสัมภาษณ์นั้นมีความหมายสำคัญในเชิงการสื่อสารอย่างไร

(1)       ทำให้รู้ซึ้งถึงข้อมูลเชิงลึก         (2) ทำให้มีการทบทวนเหตุการณ์

(3) ทำให้ความจริงถูกเปิดเผย             (4) ทำให้มีการจัดระเบียบข่าวสาร

ตอบ 1 (คำบรรยาย) การสัมภาษณ์ หมายถึง การสื่อสารด้วยกระบวนการพูดคุยโดยมีเป้าประสงค์ เพื่อห้ได้มาซึ่งข้อมูลสำคัญ ข่าวสาร หรือประเด็นที่เป็นสาระโดยตรง ผ่านบุคคลที่มีการ เลือกสรรแล้ว ทั้งนี้ข้อมูลที่ได้มาถือเป็นข้อมูลเชิงลึกที่มีความเฉพาะเจาะจงตามเป้าหมาย ตามวัตถุประสงค์ และตามสถานการณ์ขณะนั้น

54.       ถ้าผู้ให้สัมภาษณ์เป็นคนค่อนข้างลึกลับ ท่านจะมีวิธีทำให้เขาพูดตอบคำถามได้อย่างไร

(1)       ชี้แจงให้เห็นข้อเท็จจริง

(2)       พูดปลอบ พร้อมทั้งขอให้ความช่วยเหลือ

(3)       พูดปลอบและขอร้องให้ไว้วางใจ พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือ

(4)       พูดให้เกิดความไว้วางใจ พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือ

ตอบ 4 หน้า 262264 กลวิธีที่จะให้คนประเภทลึกลับตอบคำถามก็คือ การสร้างความสัมพันธ์กับ ผู้ให้สัมภาษณ์เพื่อให้เกิดความไว้วางใจและพยายามพูดหว่านล้อมให้เห็นว่าการตอบคำถาม เป็นนโยบายที่ดีที่สุด โดยถ้าเขาบอกหรือเล่าเรื่องราวให้เราฟังแล้ว เราจะช่วยเหลือและ ให้ความปลอดภัยแก่เขา ซึ่งสิ่งสำคัญคือ เราจะต้องปฏิบัติและรักษาคำพูดของเราด้วย

55.       ถ้าคุณได้รับมอบหมายให้สัมภาษณ์รัฐมนตรีท่านหนึ่ง ตอนหนึ่งของการสัมภาษณ์ท่านรัฐมนตรีทำท่า ไม่อยากตอบ ควรทำอย่างไรเป็นอันดับแรก

(1)       ถามคำถามอื่นต่อไป    (2) ป้อนคำถามให้ตรงจุดมากขึ้น

(3) ถามย้ำในคำถามนั้นอีกหลาย ๆ ครั้ง         (4) ชวนคุยเรื่องอื่นแล้วค่อยถามคำถามเดิม

ตอบ 1 หน้า 264 ในกรณีที่ถามคำถามแล้ว ผู้ให้สัมภาษณ์มีความรู้สึกอึดอัดไม่อยากจะตอบ

ผู้สัมภาษณ์ก็ควรจะเลี่ยงถามคำถามอื่นต่อไป หรือถ้าผู้ให้สัมภาษณ์เป็นผู้ที่มีวิธีตอบเลี่ยง อย่างฉลาด ผู้สัมภาษณ์ก็จะต้องมีความอดทนซักถามต่อไปเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ต้องการ

56.       ถ้าผู้ให้สัมภาษณ์เป็นผู้ที่มีวิธีตอบเลี่ยงอย่างฉลาด ผู้สัมภาษณ์ควรทำอย่างไร

(1) แทรกบทตลกเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ         (2) ขอร้องให้ตอบให้ตรงคำถาม

(3) จะต้องอดทนซักถามต่อไป (4) ควรแนะนำคำตอบ หรืออธิบายคำถาม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 55. ประกอบ

57.       นักปั่นจักรยานเหรียญทองโอลิมปิกเดินทางมาประเทศไทย และเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ ท่านรู้หรือไม่ว่าเป็นการสัมภาษณ์แบบใด

(1) In-depth Interview       (2) Mass Communication Interview

(3) Press Conference          (4) Executive Conference

ตอบ 3 หน้า 257 การเปิดให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์รวม (Press Conference) เป็นการสัมภาษณ์ที่ บุคคลสำคัญ ๆ เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวของสื่อมวลชนต่าง ๆ ทำการสัมภาษณ์รวม เพื่อซักถาม ข้อข้องใจอย่างเป็นพิธีการ

58.       ในการแลดงปาฐกถา ทำไมจึงต้องแนะนำองค์ปาฐก ข้อใดม่ถูกต้อง

(1) เพื่อให้ผู้ฟังรู้จักผู้พูด          (2) เพื่อให้เกียรติแก่ผู้พูด

(3) เพื่อยกย่ององค์ปาฐกให้พอใจ       (4).เพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้ฟัง

ตอบ 3 หน้า 310 จุดม่งหมายของการแนะนำองค์ปาฐกก็คือ  1. เพื่อให้ผู้ฟังรู้จักผู้พูดหรือ

องค์ปาฐกว่าเป็นใคร ทำอะไร และมีความสำคัญอย่างไร        2. เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ผู้พูด

3. เพื่อเรียกร้องหรือสร้างความสนใจให้แก่ผู้ฟัง เพราะเมื่อผู้ฟังรู้จักผู้พูดแล้วก็จะเกิดความกระตือรือร้นและสนใจที่จะฟัง       4. เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ฟังกับผู้พูด

59.       ถ้าท่านได้รับมอบหมายให้เป็นผู้แนะนำวิทยากรที่จะมาแสดงปาฐกถา ท่านจะหาข้อมูลเกี่ยวกับวิทยากร มาพูดอย่างไร

(1) ถามประธาน          (2) ถามผู้สื่อข่าว          (3) ถามผู้เชิญ  (4) ถามวิทยากร

ตอบ 4 หน้า 311, (คำบรรยาย) ถ้าผู้แนะนำไม่รู้จักหรือไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับวิทยกร (องค์ปาฐก)ที่จะมาแสดงปาฐกถา ก็ควรติดต่อหรือถามวิทยากรว่าจะให้ตนแนะนำอย่างไร โดยต้อง ติดต่อกันก่อนวันแนะนำจริง

60.       องค์ปาฐกควรพูดตอนที่เป็นบทสรุปในตอนท้ายสุดอย่างไร

(1)       พูดถ่อมตัวว่าการพูดของตนยังมีข้อบกพร่อง แต่จะพยายามให้ดีในโอกาสต่อไป

(2)       ขอบคุณและขอโทษผู้ฟังในกรณีที่มีข้อบกพร่องเกี่ยวกับการพูด

(3)       ขอบคุณผู้ฟังที่ได้เสียสละเวลามาฟังการพูดของตน

(4)       ให้ข้อคิดความเห็นที่น่าสนใจและน่าจดจำ

ตอบ 4 หน้า 40309 ผู้แสดงปาฐกถา (องค์ปาฐก) ควรจะสรุปการพูดทั้งหมดให้ผู้ฟังได้ข้อคิดความเห็น ที่น่าสนใจ โดยการกล่าวสรุปที่ดีนั้นควรจะสั้น มีน้ำหนัก และเป็นที่น่าจดจำ ซึ่งอาจสรุปด้วย การเรียกร้องให้ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด สรุปด้วยบทกลอน สุภาษิต สรุปด้วยเรื่องที่สนุกสนาน ชื่นบานใจ หรือสรุปด้วยคำถามก็ได้

61.       การกล่าวขอบคุณองค์ปาฐก ควรเป็นอย่างไร

(1)ขอบคุณและเชิญชวนให้มาพูดอีก  (2)ขอบคุณและเชิญชวนผู้ฟังปรบมือให้องค์ปาฐก

(3) ขอบคุณและสรุปเนื้อหาสาระของปาฐกถา           (4) ขอบคุณ สรุปเนื้อหา และวิจารณ์ปาฐกถา

ตอบ 2 หน้า 312 หลังจากที่องค์ปาฐกได้จบปาฐกถาลงแล้ว พิธีกรจะต้องลุกขึ้นไปกล่าวขอบคุณ องค์ปาฐกและผู้ฟัง โดยมักจะกล่าวขอบคุณเป็นข้อความสั้น ๆ หรือบางครั้งก็อาจจะกล่าว ขอบคุณและเชิญชวนผู้ฟังปรบมือให้องค์ปาฐกด้วยก็ได้

62.       ในการแสดงปาฐกถานั้น ผู้พูดควรพูดอย่างไรเพื่อให้เรื่องที่พูดนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจ

(1)       พูดบทตลกตลอดเวลา (2) พูดในเรื่องที่ผู้ฟังไม่เคยรู้มาก่อน

(3) พูดพาดพิงถึงบุคคลอื่นอย่างสนุกสนาน    (4) พูดระบายความคับแค้นน้อยเนื้อต่ำใจของตนเอง

ตอบ 2 หน้า 308 – 309, (คำบรรยาย) ในการแสดงปาฐกถานั้น ผู้พูดควรพูดในเรื่องที่น่าสนใจ สำหรับผู้ฟัง หรอเรื่องที่ให้ความรู้ และควรจะเป็นเรื่องที่ผู้ฟังไม่เคยรู้มาก่อน ยกเว้นเรื่องที่ เป็นความลับหรือเรืองส่วนตัวของผู้อื่น นอกจากนี้ผู้พูดอาจแทรกบทตลกได้เท่าที่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่ายและไม่สนใจ จากนั้นจึงดึงประเด็นเข้าสู่ สาระหลักที่จะพูดต่อไป

63.       หลักการพิจารณาเรื่องราวและข้อมูลที่จะนำไปพูดอภิปราย ควรเป็นอย่างไร

(1)       เป็นเรื่องราวและข้อมูลที่ดี เป็นจริงและสามารถนำไปปฏิบัติได้

(2)       เป็นเรื่องราวและข้อมูลที่มีรายละเอียด มีการอ้างอิงและน่าสนใจ

(3)       เป็นเรื่องราวและข้อมูลที่ถูกต้องตามหลักการและทฤษฎี

(4)       เป็นเรื่องราวและข้อมูลที่น่าสนใจ ดีและมีเหตุผล

ตอบ 1 หน้า 344 หลักการพิจารณาเรื่องราวและข้อมูลที่จะนำไปพูดอภิปรายนั้น ผู้อภิปรายจะต้อง พิจารณาข้อเท็จจริงที่ได้จากการค้นคว้าว่าเป็นข้อมูลที่ดี มีเหตุผล เป็นจริง มีทัศนคติที่ดี และสามารถที่จะนำไปปฏิบัติได้

64.       ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของการอภิปราย

(1) เป็นการปรึกษาหารือ         (2) เป็นการแลกเปลี่ยนความรู้

(3) เป็นการพูดเพื่อชักชวน       (4) เป็นการโต้แย้งหาข้อหักล้าง

ตอบ 4 หน้า 337 ลักษณะของการอภิปรายแบ่งออกเป็น 4 ประการ คือ

1.         ต้องมีจุดมุ่งหมาย เพื่อเสนอรายละเอียดและแก้ปัญหา

2.         เป็นการปรึกษาหารือของคนกลุ่มหนึ่ง ไม่ใช่การพูดของคนเพียงคนเดียว

3.         เป็นการพูดเพื่อชักชวนให้คนคิดหาเหตุผลไมใช่อารมณ์

4.         เป็นการสื่อความหมายด้วยคำพูดโดยตรง เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ทัศนคติ และประสบการณ์

65.       ผู้อภิปรายที่ต้องการพูดเพิ่มเติมข้อคิดเห็นเมื่อยังไม่ถึงลำดับของตน ควรทำอย่างไร

(1)       เมื่อมีจังหวะที่จะพูดแทรกได้ก็ให้พูดทันที

(2)       รอให้ผู้อภิปรายทุกคนพูดจบก่อนจึงพูดเพิ่มเติม

(3)       ขออนุญาตจากผู้ดำเนินการอภิปรายก่อนแล้วจึงพูด

(4)       เมื่อผู้อภิปรายทุกคนพูดจบและผู้ดำเนินการอภิปรายสรุปแล้วจึงพูด

ตอบ3 หน้า 345, (คำบรรยาย) ในกรณีที่ผู้อภิปรายต้องการจะพูดเพิ่มเติมหรือแทรกข้อคิดเห็น (เมื่อยังไม่ถึงลำดับที่ตนจะพูด) จะต้องให้สัญญาณด้วยการยกมือขึ้นและขออนุญาตจาก ผู้ดำเนินการอภิปรายก่อน เมื่อผู้ดำเนินการอภิปรายอนุญาตแล้วจึงจะพูดได้

66.       ข้อใดไม่ใช่สิ่งแวดล้อมของการพูด

(1) อายุของคนพูด       (2) แผนงานที่ผู้พูดปฏิบัติ

(3) กระแสสาธารณมติ            (4) ศาสนาที่ผู้ฟังส่วนใหญ่ในห้องประชุมนับถือ

ตอบ 1 หน้า 7, (คำบรรยาย) สิ่งแวดล้อมของการพูด คือ สถานการณ์หรือสิ่งที่จะส่งผลต่อการพูด ที่นอกเหนือจากผู้พูดและผู้ฟัง ซึ่งพิจารณาได้จากสิ่งต่าง ๆ ดังนี้ 1. ระบบสังคมวัฒนธรรม เช่น คาสนา จารีตประเพณี แนวทางปฏิบัติของครอบครัว ฯลฯ 2. กฎระเบียบ อำนาจหน้าที่ 3. กระแสสาธารณมติ 4. นโยบาย แผนงาน และโครงการ

67.       สิ่งแรกที่ผู้วิจารณ์การพูดจะพิจารณาถึงความประหม่าของผู้พูด คืออะไร

(1)       ภาษา   (2) การประมวลเรื่อง

(3) ความคิดและเนื้อหาสาระ  (4) ท่าทีและการปรับตัวโดยทั่วไป

ตอบ 4 หน้า 486 หลักเกณฑ์ในการวิจารณ์หรือการประเมินผลการพูดทั่ว ๆ ไปข้อแรกคือการวิจารณ์ท่าทีและการปรับตัวโดยทั่วไป ซึ่งผู้วิจารณ์ต้องเริ่มพิจารณาจากการปรากฏตัว ของผู้พูดว่ามีความประหม่าหรือไม่ มีความมั่นใจในตนเองหรือไม่ ตลอดจนมีลักษณะที่แจ่มใส คล่องแคล่ว เป็นธรรมชาติ และสามารถปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศทั่ว ๆ ไปได้หรือไม่

68.       การพากย์กีฬาเรือยาว เป็นการพูดชนิดใด

(1)       การพูดโดยการท่องจำ (2) การพูดโดยอ่านจากต้นฉบับ

(3) การพูดปากเปล่าโดยไมมีการเตรียม         (4) การพูดปากเปล่าโดยมีการฝึกซ้อม

ตอบ 3 หน้า 89 การพูดปากเปล่าโดยไม่มีการเตรียมล่วงหน้า (การพูดโดยกะทันหัน) เช่นการพากย์กีฬามวย ฟุตบอล หรือเรือยาวการตอบปัญหาบางประการการกล่าวทักทาย เมื่อเผอิญได้พบกัน ฯลฯ มีข้อควรปฏิบัติดังนี้

1.         พยายามควบคุมสติอารมณ์ให้สงบ พยายามอย่าให้ตื่นเต้น ประหม่าหรือตื่นเวที

2.         คิดและรวบรวมความรู้ประสบการณ์ของตนเองให้ได้อย่างรวดเร็ว

3.         ลำดับความคิดเห็นหรือเรื่องให้ตรงกับประเด็นที่จะพูดยกตัวอย่าง

4.         พูดให้สั้น กระชับ และมีความหมายชัดเจน

69.       การรายงานข่าวพยากรณ์อากาศ เป็นการพูดชนิดใด

(1)       การพูดโดยการท่องจำ (2) การพูดโดยอ่านจากต้นฉบับ

(3) การพูดปากเปล่าโดยไม่มีการเตรียม         (4) การพูดปากเปล่าโดยมีการฝึกซ้อม

ตอบ 2 หน้า 90 การพูดโดยการอ่านจากต้นฉบับ เป็นการพูดที่อ่านจากโน้ตที่ได้เตรียมไว้โดยไม่ได้ มีการเปลี่ยนแปลงข้อความเลย จึงเป็นการอ่านมากกว่าการพูด ซึ่งมักใช้ในการพูดที่เป็นพิธีการ เช่น สุนทรพจน์ของบุคคลสำคัญ ๆ การอ่านข่าว การอ่านบทความ การกล่าวคำปราศรัยเนื่องใน โอกาสต่าง ๆ คำแถลงการณ์ของรัฐบาล/คณะปฏิวัติ การอ่านรายงาน เปิดกิจการ ฯลฯ

70.       นักพูดหน้าใหม่ที่มีประสบการณ์น้อย ควรฝึกซ้อมการพูดอย่างไรจึงจะดีที่สุด

(1)       ฝึกซ้อมพูดกับวิทยากรการพูด (2) ฝึกซ้อมพูดหน้าเสาธง

(3) ฝึกซ้อมพูดกับเพื่อนที่คุ้นเคย         (4) ฝึกซ้อมพูดกับสัตว์เลี้ยง

ตอบ 1 หน้า.52, (คำบรรยาย) วิธีฝึกซ้อมพูดกับผู้เชี่ยวชาญ คือ มีนักพูดผู้เชี่ยวชาญ วิทยากรการพูด หรือครูอาจารย์ดี ๆ คอยแนะนำให้เป็นการส่วนตัว จึงถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับนักพูดหน้าใหม่ ที่มีประสบการณ์น้อย เพราะจะทำให้ทราบว่าตนเองบกพร่องในเรื่องใดและควรแก้ไขในข้อใด ซึ่งโดยปกติแล้วในการพูดนั้นจะฝึกซ้อมกับผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวกับการพูดโดยตรง 2 กลุ่ม ได้แก่

1.         ผู้เชี่ยวชาญในด้านบุคลิกภาพและวิธีการนำเสนอ      2. ผู้เชี่ยวชาญในด้านเนื้อหา

71.       สิ่งใดเป็นวิธีช่วยแก้ความตื่นเวทีได้

(1)       คิดไปว่าไม่มีอะไรน่ากลัว และเขาก็อยากฟังเราพูด

(2)       รี ๆ พูดให้เร็ว ๆ ซะ จะได้จบเกมกันเสียที

(3)       ดื่มน้ำเข้าไปเยอะ ๆ ทดแทนการเสียเหงื่อ

(4)       ใส่เสื้อผ้ารัด ๆ ฟิต ๆ ให้ดูเท่เข้าไว้ จะได้เพิ่มความมั่นใจ

ตอบ 1 หน้า 54 – 55 วิธีแก้ความตื่นเวที มีดังนี้

1.         หายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ ประมาณ 4 – 5 ครั้ง

2.         เมื่อเริ่มพูด ถ้ารู้สึกว่าเสียงสั่นและยังประหม่ามากให้พูดช้า ๆ พยายามหลีกเลี่ยงการพูดเร็ว

3.         พยายามคิดว่าไม่มีอะไรน่ากลัว และคิดว่าผู้ฟังที่มองตานั้นเขามองด้วยความศรัทธา ให้กำลังใจ และอยากฟังเราพูด

4.         ควรหลีกเลี่ยงการแต่งกายที่ตึง รัด และเป็นอุปสรรคต่อการพูด ฯลฯ

72.       ข้อใดแตกต่างจากข้ออื่นหากพิจารณาจากวัตถุประสงค์ในการพูดเป็นสำคัญ

(1)       พูดโฆษณาเพื่อขายสินค้า       (2) พูดหาเสียงเลือกตั้ง

(3) พูดแนะนำการใช้สมุนไพร  (4) พูดเชิญชวนบริจาคโลหิต

ตอบ 3 หน้า 92 – 95 การพูดที่แบ่งตามจุดมุ่งหมาย หรือวัตถุประสงค์ในการพูด ได้แก่

1.         การพูดเพื่อให้สาระความบันเทิง เช่น การพูดในโอกาสพบปะสังสรรค์ หรือในงานรื่นเริง ฯลฯ

2.         การพูดเพื่อให้ความรู้หรือเล่าข้อเท็จจริง เช่น การบรรยาย การปาฐกถา การพูดแนะนำการใช้ยาหรือสมุนไพร ฯลฯ     3. การพูดเพื่อชักจูงใจ เช่น การโฆษณาขายสินค้า การพูดหาเสียงเลือกตั้ง การพูดเชิญชวนให้บริจาคโลหิต ฯลฯ

73.       ข้อใดไม่สามารถกระทำได้

(1)       การพูดวิจารณ์หลักการบริหารราชการแผ่นดิน

(2)       การพูดวิจารณ์ผู้นำทางการเมือง

(3)       การพูดวิจารณ์การถ่ายทอดสดการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล

(4)       การพูดวิจารณ์กระบวนการยุติธรรม

ตอบ 4 หน้า 169, (คำบรรยาย) ในสังคมประชาธิปไตย การพูดวิจารณ์เป็นสิ่งที่ดี เพราะเป็นการพูด เพื่อจะให้ผู้ที่ไม่รู้เรื่องราวได้ทราบข้อเท็จจริง ได้รู้ว่าสิ่งใดดีหรือไม่ดี ซึ่งจะเป็นแนวทางในการ ตัดสินใจต่อไป ยกเว้นในบางเรื่อง เช่น การพูดวิจารณ์กระบวนการยุติธรรม หรือคำพิพากษาของศาล ซึ่งทุกคนด้องเคารพในคำคัดสิน ไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้

74.       การพูดให้ความในชั้นศาล เป็นการพูดชนิดใด

(1) การพูดรายงานแบบสรุปผล          (2) การพูดรายงานแบบความก้าวหน้าและผลสำเร็จ

(3) การพูดรายงานแบบประสบการณ์            (4) การพูดรายงานแบบแถลงข้อเท็จจริง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 41. ประกอบ

75.       การพูดเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองในการสัมภาษณ์เข้าทำงาน มีอะไรเป็นสาระสำคัญ

(1) ความรู้        (2) บรรยากาศ (3) อารมณ์ความรู้สึก  (4) ความจริงที่เกิดขึ้น

ตอบ 4 (คำบรรยาย) สาระสำคัญของการพูดเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองในการสัมภาษณ์เข้าทำงาน คือ ความจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งการพูดจากความเป็นจริง หมายถึง การพูดในสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อน เป็นข้อมูลระดับพื้นฐานที่มีอยู่จริง หรือที่ปรากฏออกมาให้เห็น

76.       การพูดเพื่อชักจูงใจต่างจากการพูดจาตามปกติอย่างไร

(1) สร้างภาวะทางอารมณ์กดดัน        (2) การสร้างภาพลักษณ์

(3) การกำหนดเป้าหมายและวิธีการ   (4) การตีความหมายข่าวสาร

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ

77.       คำนำ หมายถึง(1)       การนำเข้าสู่เนื้อเรื่อง    (2) กลวิธีนำเสนอ

(3) การทักทายผู้ฟัง     (4) ความคิดรวบยอดของเรื่อง

ตอบ 1 หน้า 34 – 40, (คำบรรยาย) โครงสร้างของการพูด ประกอบด้วย       1. คำปฏิสันถารหมายถึง คำทักทายผู้ฟัง            2. คำนำ หมายถึง การเริ่มเข้าเรื่อง หรือการนำเข้าสู่เนื้อเรื่อง 3.เนื้อเรื่อง หมายถึง ข้อมูลหลักของการนำเสนอ หรอกลวิธีนำเสนอ       4. สรุป หมายถึง ความคิดรวบยอดของเรื่อง 5. คำลงท้าย หมายถึง ข้อความทิ้งท้ายเพื่อความประทับใจ (ในส่วนของสรุปและคำลงท้ายอจสลับที่กันได้ หากผู้พูดมีความเชี่ยวชาญพอสมควร)

78.       สรุป หมายถึง

(1) การนำเข้าสู่เนื้อเรื่อง          (2) กลวิธีนำเสนอ

(3) การทักทายผู้ฟัง     (4) ความคิดรวบยอดของเรื่อง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 77. ประกอบ

79.       การเตรียมเนื้อเรื่องที่จะพูดนั้น สิ่งใดเป็นตัวแปรที่เกิดจากเจ้าภาพได้มากที่สุด

(1) ความเชื่อ ทัศนคติของผู้ฟัง            (2) ความสนใจที่มีต่อหัวข้อ

(3) เวลาที่ให้กับการพูด           (4) บรรยากาศการประชุม

ตอบ 2 (คำบรรยาย) เจ้าภาพ เป็นตัวแปรหรือปัจจัยสำคัญในการจัดทิศทางหรือแนวความคิดของเนื้อเรื่องที่จะพูด แม้ว่าผู้พูดจะเตรียมเนื้อหาและเตรียมตัวมาพร้อมแล้วสำหรับการพูด แต่ถ้าเนื้อหา (หัวข้อหรือประเด็น) ที่เตรียมมาไม่ตรงกับความต้องการหรือความสนใจของเจ้าภาพ การพูดนั้นก็ไม่อาจประสบผลสำเร็จได้

80.       ก่อนที่จะพูดคุณเป็นนายคำพูด เมื่อพูดจบคำพูดจะเป็นนายคุณ ข้อคิดนี้มีความสัมพันธ์กับข้อใด

(1)       การพูดอวดความเก่งกาจของตนเอง

(2)       การพูดตามยถากรรม และปล่อยวางทุกสิ่ง

(3)       การพูดโดยไม่ยั้งคิด ขาดความรอบคอบ

(4)       การพูดในลักษณะเห็นแก่ตัว ต้องการการครอบงำผู้ฟัง

ตอบ 3 หน้า 65, (คำบรรยาย) มารยาทที่ดีในการพูดประการหนึ่ง คือ ควรคิดให้รอบคอบก่อนจะพูด โดยพิจารณาถึงถ้อยคำที่จะนำมาใช้ว่าเหมาะสมกับผู้ฟังหรือไม่ หากพูดโดยไม่ยั้งคิด และขาด ความรอบคอบในการไตร่ตรองเนื้อหาก่อนที่จะพูด อาจส่งผลเสียต่อผู้พูดในภายหลัง ดังคำกล่าว ที่ว่า ก่อนที่จะพูดคุณเป็นนายคำพูด เมื่อพูดจบคำพูดจะเป็นนายคุณ

81.       การพูดให้เป็นตามธรรมชาติ หมายถึง

(1)       พูดตามลักษณะพื้นฐานภูมิลำเนา

(2)       พูดออกเสียงคล้ายเสียงที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งคนส่วนใหญ่คุ้นเคย

(3)       พูดแบบการสนทนาตามการใช้ชีวิตปกติประจำวัน

(4)       พูดโดยการปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมหรือนิสัยของผู้ฟัง

ตอบ 3 หน้า 53, (คำบรรยาย) ในขณะที่กำลังพูดอยู่นั้น ผู้พูดต้องพยายามพูดให้เป็นตามธรรมชาติที่สุด (Complete Spontaneity) หมายถึง พูดแบบการสนทนาตามการใช้ชีวิตปกติประจำวัน อย่าท่องจำมาพูด หรือพูดตะกุกตะกักเหมือนคนติดอ่าง และควรหลีกเลี่ยงการขึ้นต้น แต่ละครั้งด้วยคำว่า เอ่อ… อ้า… อืม… ประมาณว่า…

82.       ข้อใดถูก

(1)       ท่านนายอำเภอ ผู้ว่าราชการจังหวัด และ ฯพณ รัฐมนตรี

(2)       ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย

(3)       สวัสดีท่านอาจารย์ และนักศึกษาที่เคารพ

(4)       ท่านรัฐมนตรีว่าการ ปลัดกระทรวง และพระคุณเจ้าในที่นี้

ตอบ 3 หน้า 34 – 35, (คำบรรยาย) คำปฏิสันถารกับผู้ฟัง หรือคำทักทาย ถือเป็นส่วนแรกของ การเริ่มต้นเนื้อหาการพูด ซึ่งแนวทางปฏิบัติที่นิยมกันในการกล่าวคำปฏิสันถาร มีดังนี้

1.         การทักทายในการเริ่มพูดโดยปกติแล้ว ควรกล่าวไม่เกิน 3 กลุ่มผู้ฟัง

2.         คำปฏิสันถารมีทั้งแบบเป็นพิธีการ ไม่เป็นพิธีการ และกึ่งพิธีการ

3.         ควรเริ่มต้นจากการทักประธานในพิธี หรือผู้ที่มีศักดิ์และตำแหน่งสูงสุดในการรับฟังก่อน แล้วจึงทักผู้ที่มีตำแหน่งรองลงไปจากใหญ่ไปเล็ก แต่ถ้าหากมีพระภิกษุ นักบวช และผู้ทรงศีล ต้องทักก่อนเป็นลำดับแรก

4.         เวลาทักใครแล้วต้องหันหน้าไปหาด้วย ฯลฯ

83.       ข้อใดไม่ควรพูดปิดท้าย

(1)       ผมขอฝากข้อคิดเหล่านี้ให้ท่านนำกลับไปพิจารณาครับ

(2)       สรุปความโดยทั้งหมดแล้ว ปัญหานี้เกิดจากคน ซึ่งก็รวมถึงท่านผู้ฟังทุกคนด้วย

(3)       ขอบคุณท่านทุกคนที่ฟังผมมาจนจบ ความจริงแล้วผมก็ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เท่าไร แต่ที่มาพบท่าน ก็เพราะเป็นหน้าที่ตามสายบังคับบัญชาซึ่งยากที่จะหลีกพ้น

(4)       ท่านทั้งหลายครับ ขอให้กลับบ้านอย่างปลอดภัยทุกคน โอกาสหน้าเราจะพบกันใหม่ในแบบที่ท่าน จะประทับใจ

ตอบ 3 หน้า 38 – 4053 – 54, (คำบรรยาย) ข้อบกพร่องในการสรุปและพูดปิดท้าย คือ ผู้พูดควร หลีกเลี่ยงการจบแบบยุติเอาดื้อ ๆ อย่าจบเพราะหมดเวลา หรืออย่าขอโทษ/ขออภัยที่ต้องจบ นอกจากนี้ผู้พูดไม่ควรถ่อมตัวว่าตนไม่มีความรู้ในเรื่องที่พูด หรือมาพูดเพราะเหตุจำเป็น เนื่องจากเป็นการไม่ให้เกียรติผู้ฟัง และยังแสดงถึงความไม่มั่นใจในตัวผู้พูดอีกด้วย

84.       ระหว่างการเดินเข้า ณ ตำแหน่งที่พูดหลังจากพิธีกรเชิญท่าน

(1) ขอบคุณพิธีกร        (2) สบตากับประธานในพิธีตลอดทางเดิน

(3) ยิ้มอย่างเปิดเผยเมื่อเห็นคนคุ่นเคย           (4) ไม่ต้องทักทายใครแล้ว

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 33. ประกอบ

85.       ข้อห้ามในการแสดงท่าทางประกอบ ได้แก่ข้อใด

(1) ทำอย่างหลากหลาย          (2) ทำเป็นระบบจนผู้ฟังคุ้นเคย

(3) ทำตามเนื้อหาที่เตรียม       (4) ทำให้เห็นชัด ๆ

ตอบ 2 หน้า 1854, (คำบรรยาย) ผู้พูดควรแสดงท่าทางประกอบการพูดเมื่อต้องการอธิบาย เน้นข้อความ หรือให้ความสำคัญกับสิ่งที่พูด โดยการแสดงท่าทางจะต้องสอดคล้องกับ ความรู้สึกนึกคิดที่กำลังนำเสนอ มีความสุภาพเรียบร้อยเหมาะกับโอกาส เนื้อหาที่เตรียมมา และรูปแบบกิจกรรม ซึ่งที่สำคัญคือ ควรทำให้เห็นเด่นชัด มีความหลากหลาย ไม่ซ้ำซากจำเจ และอย่าทำเป็นระบบจนผู้ฟังคุ้นเคย หรือเดาทางออก

86.       การปรับปรุงตัวผู้พูดมีความหมายในการพูดอย่างไร

(1)       การพัฒนาบุคลิกภาพให้เหมาะสมกับการนำเสนอ

(2)       การสร้างภาพลักษณ์ทางสังคมเพื่อให้การพูดได้รับความเชื่อมั่นศรัทธา

(3)       การกำหนดบทบาท หน้าที่ และกิจกรรมให้สัมพันธ์กับเรื่องที่พูด

(4)       การปรับปรุงความสามารถในการนำเสนอ เช่น อุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ

ตอบ 1 หน้า 11, (คำบรรยาย) การปรับปรุงตัวผู้พูด หมายถึง การพัฒนาบุคลิกภาพให้เหมาะสมกับ การนำเสนอ โดยบุคลิกภาพจะรวมไปถึงการใช้ภาษา น้ำเสียง การยืน การแต่งกาย การใช้สายตา กิริยาท่าทาง ฯลฯ ซึ่งเป็นเสมือนเครื่องมือสื่อความหมายไปสู่ผู้ฟัง ดังนั้นผู้พูดจึงต้องรู้จักปรับปรุงตัว ให้ใช้เครื่องมือสื่อความหมายเหล่านั้นให้มีประสิทธิภาพ

87.       หลักการเบื้องต้นในการใช้ภาษาพูดเพื่อการเข้าสมาคม

(1)       ใช้อย่างมีรสนิยม เป็นไปตามลักษณะหน้าที่การงานและพื้นฐานสังคม

(2)       เน้นสุนทรียภาพในการใช้ถ้อยคำ เข้าถึงความถูกต้องของไวยากรณ์

(3)       เลือกใช้ให้เหมาะสมกับเวลา สถานที่ บุคคล สถานะ และโอกาส

(4)       แสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเอง บ่งบอกถึงอัตลักษณ์ชัดเจน

ตอบ 3 หน้า 11-12, (คำบรรยาย) หลักการเบื้องต้นในการใช้ภาษาพูดเพื่อการเข้าสมาคม มีดังนี้

1.         เลือกใช้ภาษาให้เหมาะสมกับเวลา สถานที่ บุคคล สถานะ และโอกาส

2.         ใช้ภาษาพูดที่สุภาพ และนิยมใช้ในการสนทนา

3.         ใช้คำและประโยคที่สั้น กระชับ และเข้าใจง่าย

4.         หลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำบ่อย ๆ

5.         ใช้คำพูดที่ก่อให้เกิดอารมณ์ หรือเห็นภาพพจน์

88.       น้ำเสียงในการพูดของพิธีกรภาคสนามไม่ควรเป็นเช่นไร

(1)       สนุกสนานร่าเริงในลักษณะชวนสนทนา

(2)       มีแก้วเสียงดังกังวานคมชัดขณะสัมภาษณ์แหล่งข่าว

(3)       ใช้เสียงทุ้มและเสียงแหลมสลับไปมาตามสถานการณ์ข่าวเพื่อให้ได้บรรยากาศ

(4)       เน้นระดับเสียงระดับเดียวอย่างสมาเสมอเพื่อความเป็นเอกลักษณ์

ตอบ4 หน้า 13-14, (คำบรรยาย) น้ำเสียงในการพูดที่มีประสิทธิภาพนั้น ประกอบด้วย

1.         ความดังที่พอเหมาะพอควร

2.         มีความแจ่มใสในน้ำเสียง หรือแก้วเสียงมีความชัดเจนและกังวาน

3.         เสียงพูดต้องสอดคล้องกับกาลเทศะ เหมาะสมกับอารมณ์และสถานการณ์

4.         ต้องไม่เป็นเสียงที่ราบเรียบระดับเดียวกันโดยตลอด ควรมีเสียงสูงต่ำ เน้นหนักเบา เหมือนกับการสนทนากันอย่างมีชีวิตชีวา

5.         การออกเสียงต้องถูกต้องชัดเจน

89.       ข้อใดสอดคล้องกับการประสานสายตาระหว่างการพูดต่อสาธารณชน

(1)       ตามองตาสายตาก็จ้องมองกัน

(2)       ดวงตาเปรียบเสมือนหน้าต่างของหัวใจ

(3)       ยามมาคุณจ้องที่ตาฉัน ยามจากกันฉันจ้องที่ตาเธอ

(4)       เธอจ้องอย่างนี้ฉันอายเต็มที มองดี ๆ ซิเธอ

ตอบ 2 หน้า 16, (คำบรรยาย) การประสานสายตาในระหว่างการพูดสามารถสร้างความสัมพันธ์ และ ถ่ายทอดความรู้สึกของผู้พูดไปสู่ผู้ฟังได้ ดังคำกล่าวที่ว่า ดวงตาเปรียบเสมือนหน้าต่างของหัวใจ” ซึ่งวิธีใช้สายตาที่ดี คือ พยายามมองผู้ฟังอยู่ตลอดเวลา โดยค่อย ๆ กวาดสายตาปยังผู้ฟังจาก ซ้ายไปขวา จากหลังห้องมาหน้าห้อง มองผู้ฟังให้ทั่วถึงกัน แต่อย่าจ้องผู้ฟังจนเกินไป

90. การเดินของผู้พูดมีผลด้านใดต่อผู้ฟังโดยตรง

(1)       การรับรู้ เข้าใจ และเรียนรู้เสาระการพูด

(2)       สร้างความสัมพันธ์ ความเป็นกันเอง ส่งเสริมบรรยากาศระหว่างกัน

(3)       สร้างกระบวนการรับรู้สนใจติดตามเนื้อหา และการประเมินท่าทีเบื้องต้น

(4)       ทราบถึงทัศนคติ ความเชื่อ และความสำเร็จหรือล้มเหลวในการพูด

ตอบ 3 หน้า 16, (คำบรรยาย) การเดินของผู้พูดมีผลโดยตรงต่อผู้ฟัง คือ การเดินเป็นการสร้าง

กระบวนการรับรู้สนใจติดตามเนื้อหา และการประเมินท่าทีเบื้องต้นของผู้พูด ดังนั้นในการพูด จึงควรให้ผู้พูดมีการเดินสักช่วงหนึ่งจึงจะเหมาะสม เพราะการเดินเป็นสิ่งแรกที่สะดุดตาหรือ เป็นจุดสนใจของผู้ฟัง และนับเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพด้วย

91.       การทรงตัวในวิชาการด้านวาทวิทยา หมายถึง

(1)       การเดินในลักษณะที่สง่างาม มีการเคลื่อนที่อย่างมั่นใจ

(2)       การใช้ท่าทางในระหว่างการพูด รวมทั้งความสามารถในการใช้อุปกรณ์ประกอบ

(3)       การยืนในระหว่างการนำเสนอ รวมทั้งการเคลื่อนไหวจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง

(4)       ท่วงท่าการนำเสนอ การแต่งกาย และบุคลิกภาพโดยรวม

ตอบ 3 หน้า 17, (คำบรรยาย) ในวิชาการด้านวาทวิทยา การทรงตัว” หมายถึง การยืนในระหว่าง การนำเสนอ รวมทั้งการเคลื่อนไหวจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง ซึ่งหลักการที่ถูกต้องของการทรงตัว ก็คือ จัดระเบียบ มีสมดุล และเคลื่อนไหวอย่างสง่างาม โดยควรยืนให้น้ำหนักของรางกายตกอยู่ ตอนหน้าของเท้า หลังตรง และรู้จักเก็บหน้าท้อง

92.       หลักการที่ถูกต้องของการทรงตัว คือ

(1)       จัดระเบียบ มีสมดุล เคลื่อนไหวอย่างสง่างาม

(2)       มั่นคง เที่ยงตรง แสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเอง

(3)       อ่อนไหวไปตามสถานการณ์ ยึดมั่นการครองใจผู้ชม/ผู้ฟัง

(4)       เป็นจุดเด่น เน้นสีสัน หมั่นเจรจา กล้าแสดงออก

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 91. ประกอบ

93.       แนวทางการแสดงออกทางใบหน้าที่ผู้พูดควรยึดถือปฏิบัติเป็นประการแรก

(1) สดสวย สดใส ใส่ใจทุกรายละเอียด          (2) ยิ้มแย้มดีกว่าบึ้งตึง

(3) ตีหน้าเศร้าเล่าเรื่องโกหกได้เมื่อจำเป็น       (4) เก็บความรู้สึกไว้อย่าให้ใครเห็น หรือคาดเดาเราได้

ตอบ 2 หน้า 17 – 18, (คำบรรยาย) การแสดงออกทางใบหน้าถือเป็นเรื่องสำคัญมากพอ ๆ กับ การใช้สายตา เพราะสีหน้าและแววตาจะเป็นสิ่งสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกระหว่างกันและกัน รวมทั้งสามารถบ่งบอกบรรยากาศของการพูดได้ ซึ่งแนวทางการแสดงออกทางใบหน้าที่ผู้พูด ควรยึดถือปฏิบัติเป็นประการแรก คือ ยิ้มแย้มดีกว่าบึ้งตึง เพื่อให้บรรยากาศไม่ตึงเครียด และผู้พูดกับผู้ฟังมีความคุ้นเคย หรือเป็นมิตรต่อกัน

94.       เหตุใดการแสดงออกทางใบหน้าจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

(1)       เพราะผู้ฟังโดยทั่วไปจะตัดสินความน่าจะเป็นของเนื้อหาจากสีหน้า

(2)       เพราะในการสนทนานั้น มนุษย์จะต้องมองหน้ากันเป็นปกติ

(3)       เพราะอวัยวะในการออกเสียงและรับสัมผัสของมนุษย์อยู่ด้านหน้าของร่างกาย

(4)       เพราะสีหน้าและแววตาจะเป็นสิ่งสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกระหว่างกันและกัน

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 93. ประกอบ

95.       เมื่อจะต้องเน้นข้อความ หรือให้ความสำคัญกับสิ่งที่พูดเรามักจะ

(1) หลบสายตา           (2) แสดงท่าทางประกอบ        (3) ใช้ระดับเสียงที่ต่ำลง         (4) วางไมโครโฟนลง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 85. ประกอบ

96.       แนวทางปฏิบัติเพื่อไปพูดของผู้ที่ได้รับเกียรติจากเจ้าภาพในโอกาสต่าง ๆ คือ

(1) โดดเด่น      (2) มีรสนิยมดี  (3) เป็นตัวเองให้มากที่สุด       (4) เหมาะสม

ตอบ 4 (คำบรรยาย) แนวทางปฏิบัติเพื่อไปพูดของผู้ที่ได้รับเกียรติจากเจ้าภาพในโอกาสต่าง ๆ คือ ความเหมาะสม ทั้งในเรื่องของบุคลิกลักษณะในการแต่งกาย การปรากฏตัว การเตรียมเนื้อหา และคำปฏิสันถาร ฯลฯ ซึ่งต้องมีความเหมาะสมสอดคล้องกับเจ้าภาพและลักษณะของงาน

97.       การแต่งกายของผู้พูดในโอกาสต่าง ๆ แสดงออกถึง

(1) ระดับการศึกษา     (2) คุณภาพการบ่มเพาะทางสังคม

(3) การเข้าได้กับการสมาคม   (4) สัมพันธภาพระหว่างกัน

ตอบ 2 หน้า 19, (คำบรรยาย) การแต่งกายของผู้พูดเมื่อได้รับเชิญไปพูดในโอกาสต่าง ๆ จะแสดงออกถึง รสนิยม และคุณภาพการบ่มเพาะทางสังคมที่ผู้พูดได้รับการอบรมสั่งสอนมา ซึ่งผู้พูดจะสามารถ ทราบได้ว่าตนควรแต่งกายแบบใดให้ถูกต้องเหมาะสมกับลักษณะของงาน โดยพิจารณาจาก บัตรเชิญของเจ้าภาพ เช่น โปรดแต่งกายสุภาพ แต่งกายตามสากลนิยม ฯลฯ

98.       เมื่อท่านได้รับเชิญไปในงานแสดงปาฐกถาของนักวิชาการผู้ได้รับรางวัลเกียรติยศระดับสากล โดยมีผู้แทนพระองค์เป็นประธานในพิธี ท่านจะทราบได้อย่างไรว่าจะแต่งกายในแบบใดจึงจะถูกต้องเหมาะสมที่สุด

(1) ถามจากเพื่อน        (2) ดูจากบัตรเชิญ

(3) ค้นจากอินเทอร์เน็ต            (4) โทรศัพท์ถามท่านประธาน

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 97. ประกอบ

99.       ถ้าท่านเป็นผู้แนะนำองค์ปาฐก ท่านจะแนะนำ นายแพทย์อรรถพล สุวรรณนวปิติ อย่างไร ในเมื่อบุคคลผู้นี้ ดำรงยศพลโท และเป็นศาสตราจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาด้วย

(1)       ศาสตราจารย์ พลโท นายแพทย์อรรถพล สุวรรณนวปิติ

(2)       พลโท ศาสตราจารย์ นายแพทย์อรรถพล สุวรรณนวปิติ

(3)       ศาสตราจารย์ นายแพทย์ พลโทอรรถพล สุวรรณนวปิติ

(4) พลโท นายแพทย์ ศาสตราจารย์อรรถพล สุวรรณนวปิติ

ตอบ 2 หน้า 310 – 311444, (คำบรรยาย) การกล่าวแนะนำองค์ปาฐก ในกรณีที่ผู้พูดมีคำนำหน้านาม ให้เรียงลำดับ ดังนี้     1. ยศทหาร      2. ตำแหน่งทางวิชาการ           3. ระดับการศึกษา 4.  คำนำหน้าวิขาชีพ         5. ฐานันดรศักดิ์

100.    ในการพูดแต่ละครั้ง สิ่งที่จำเป็นซึ่งจะต้องกระทำก่อนข้ออื่นคือ

(1)       การเรียบเรียงเนื้อหาให้มีความถูกต้องสมบูรณ์

(2)       การเตรียมโสตทัศนูปกรณ์เพื่อช่วยในการนำเสนอ

(3)       การวิเคราะห์ผู้ฟังและสถานการณ์การพูด

(4)       การกำหนดวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายของการพูด

ตอบ 3 หน้า 20 – 23, (คำบรรยาย) ในการพูดแต่ละครั้ง สิ่งที่ผู้พูดต้องกระทำก่อนเป็นลำดับแรกคือ การวิเคราะห์ผู้ฟังและสถานการณ์การพูด เพราะการพูดชนิดเดียวกันอาจจะเหมาะสำหรับ ชนกลุ่มหนึ่ง แต่ไม่เหมาะสำหรับชนอีกกลุ่มหนึ่ง ดังนั้นจึงต้องวิเคราะห์ผู้ฟังหรือศึกษาถึง ความแตกต่างระหว่างบุคคล และวิเคราะห์สถานการณ์แวดล้อม เพื่อจะได้จัดเตรียมเนื้อหา ได้ถูกต้องและเหมาะสม

MCS1300 (MCS1350) หลักการพูดเบื้องต้น การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา MCS 1300 (MCS 1350) หลักการพูดเบื้องต้น

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

ข้อ 1. – 10. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1)       เพื่อรับรู้ข้อมูลข่าวสาร  (2) เพื่อมีความเข้าใจในข้อมูลข่าวสาร

(3) เพื่อเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึก          (4) เพื่อโน้มน้าวจิตใจ

1.         การพูดในรูปแบบที่ทำข้อมูลสารนิเทศให้เป็นข้อมูลสารสนเทศเพื่อการสื่อสาร

ตอบ 1 (คำบรรยาย) การพูดเพื่อรับรู้ข้อมูลข่าวสาร เป็นขั้นตอนแรกของการพูดเมื่อพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของการสื่อสารเป็นหลัก โดยจะบอกข้อมูลข่าวสารเพื่อให้รับรู้ รับทราบ หรือสร้าง ปฏิสัมพันธ์ในการสื่อสาร จึงเป็นการพูดในรูปแบบที่ทำข้อมูลสารนิเทศให้เป็นข้อมูลสารสนเทศ เพื่อการสื่อสาร โดยมีลักษณะสำคัญ ดังนี้        1. บอกกล่าว เล่าเรื่องราว บรรยายให้ฟัง  2.     ประกาศให้ทราบ แจ้งความให้รู้ทั่วกัน   3. รายงานถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

2.         ขั้นตอนแรกของการพูดเมื่อพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของการสื่อสารเป็นหลัก

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3.         ใช้สิ่งเร้าเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมกระบวนการสื่อสารด้วยเสียงและสำเนียงเพื่อเข้าถึงอารมณ์ และความรู้สึก

ตอบ 3 หน้า 93, (คำบรรยาย) การพูดเพื่อให้สาระความบันเทิง เป็นการพูดที่ใช้สิ่งเร้าเป็นปัจจัยสำคัญในการส่งเสริมกระบวนการสื่อสารด้วยเสียงและสำเนียงเพื่อเข้าถึงอารมณ์และความรู้สึก เพื่อกระตุ้นการรับรู้ สร้างความน่าสนใจ โดยต้องคำนึงถึง

1.         การไม่พูดมุขตลกนานเกินไป เพราะจะทำให้ไม่ได้สาระอื่น ๆ

2.         หลีกเลี่ยงการพูดไม่สุภาพ ไม่เหมาะสมกับงาน

3.         การไม่ละเลยต่อประเด็น สาระสำคัญ หรือเป้าหมายทางการสื่อสาร

4.         การพูดที่ใช้กระบวนการเพื่อให้เข้าใจความหมาย มีข้อมูลประกอบ สร้างสรรค์เนื้อหาโดยเน้นความเป็นจริง จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น

ตอบ 2 หน้า 93 – 94, (คำบรรยาย) การพูดเพื่อให้ความรู้หรือเล่าข้อเท็จจริง เป็นการนำเสนอข้อมูล ความเป็นจริงจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในข้อมูลข่าวสารเป็นสำคัญ โดยจะใช้กระบวนการวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินคุณค่า เพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างกันและกัน

5.         ประโยชน์ของการพูดที่หวังผลในด้านการกระทำ

ตอบ 4 หน้า 94 – 96, (คำบรรยาย) การพูดเพื่อชักจูงใจหรือโน้มน้าวจิตใจ เป็นการนำเสนอข้อมูล ข่าวสารเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนไม่เปลี่ยนพฤติกรรม การกระทำ ความเชื่อ ทัศนคติ หรือสร้างความตระหนักรู้ในเรื่องต่าง ๆ โดยใช้ภาษาที่เร้าใจ และเข้าถึงปัญหาสำคัญของกลุ่มผู้ชม-ผู้ฟัง ด้วยวิธีการที่ไม่ใช่การบอกกล่าวโดยตรง แต่คำนึงถึงเงื่อนไขสำคัญ ดังนี้

1.         การสร้างความเลื่อมใสศรัทธา 2. นำเสนอสิ่งที่น่าสนใจ 3. ปลุกเร้าให้เกิดการกระทำ

6.         กระบวนการพูดที่พิจารณาถึงองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน คือ การปรับปรุงตัวผู้พูด การวิเคราะห์ผู้ฟัง การเลือกเรื่องที่เหมาะสม หวังให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด

ตอบ 4 หน้า 11, (คำบรรยาย) ในกระบวนการพูดที่หวังให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดในการสื่อสาร คือ เพื่อโน้มน้าวจิตใจ จะต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ 1. การปรับปรุงตัวผู้พูด  2.การวิเคราะห์ผู้ฟังและสถานการณ์การพูด (กาลเทศะ) 3. การเลือกเรื่องพูดที่เหมาะสม

7.         การใช้ภาษาที่มีความเร้าใจ และเข้าถึงปัญหาสำคัญของกลุ่มผู้ชมหรือผู้ฟังด้วยวิธีการที่ไมใช่การบอกกล่าวโดยตรง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 5. ประกอบ

8.         การพูดเพื่อจรรโลงใจหรือสร้างความตระหนักรู้รับผิดชอบชั่วดีที่มีต่อสังคม ต้องอาศัยขั้นตอนนี้เป็นสำคัญ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 5. ประกอบ

9.         การทำให้บรรยากาศการพูดเป็นไปด้วยดี และเป็นธรรมชาติ สามารถสร้างความเข้าใจระหว่างกันและกัน ได้อย่างราบรื่นด้วยข้อมูลที่ตรงกัน

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

10.       ถึงจะเป็นวิธีการที่ดี แต่หากกระทำมากไปหรือใช้เวลามากเกินไป โดยละเลยต่อประเด็นสำคัญหรือเป้าหมายทางการสื่อสารก็นับว่าเปล่าประโยชน์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

11.       ปัญหาสำคัญที่สุดของการพูดในวงการสื่อสารมวลชน คือ

(1)       การพูดไม่รู้เรื่อง            (2) การใช้ศัพท์และสำนวนตามสมัยนิยมเกินไป

(3) การละเลยต่อประเด็นสำคัญ         (4) การใส่อารมณ์และความรู้สึกจากจิตใจลงไปในข่าวสาร

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ปัญหาสำคัญที่สุดของการพูดในวงการสื่อสารมวลชน คือ การละเลยต่อประเด็น สำคัญ หรือกรอบความคิดในการนำเสนอ เพราะจะทำให้ผู้ฟังจับสาระสำคัญไม่ได้ว่าผู้พูดต้องการ สื่อสารอะไรกับตนบ้าง

12.       ภาพพจน์ในการพูด หมายถึง

(1)       เห็นตาม           (2) เห็นชอบ     (3) ชื่นชอบ      (4) เชื่อถือ

ตอบ 1 หน้า 12, (คำบรรยาย) ในการพูดนั้น ผู้พูดควรใช้คำพูดที่ก่อให้เกิดอารมณ์ หรือเห็นภาพพจน์ ในการพูด หมายถึง การเห็นภาพตามคำพูด ซึ่งผู้ที่พูดเก่งต้องสามารถพูดแล้วทำห้ผู้ฟังเห็นภาพตามได้ เพราะคำพูดเช่นนี้จะทำให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย และไม่ต้องเสียเวลาคิด

13.       การพูดเป็น

(1)       การสื่อสารหน่วยย่อยที่สุดเมื่อพิจารณาตามปริมาณผู้รับสาร

(2)       ผลรวมของสิ่งเร้ากับภาษาเพื่อการสื่อสาร

(3)       การสื่อสารระหว่างเครือข่ายที่ใช้สถาบันทางสังคมเป็นกลไก

(4)       รูปแบบหนึ่งของการสื่อสารในแบบที่ใช้ถ้อยคำ

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การพูดเป็นรูปแบบหนึ่งของการสื่อสารแบบวัจนภาษา คือ ภาษาที่ใช้ถ้อยคำ เช่น ภาษาพูด ภาษาเขียน ฯลฯ แต่การพูดก็ต้องอาศัยการสื่อสารแบบอวัจนภาษา คือ ภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยคำ เช่น น้ำเสียง สำเนียง กิริยาท่าทาง สีหน้า ฯลฯ เข้าร่วมกับวัจนภาษาด้วย ดังนั้นการพูดจึงเป็นการสื่อสารที่ไม่สามารถแยกจากอวัจนภาษาอย่างเด็ดขาด

14.       การทรงตัวที่ดีมีผลต่อการพูดอย่างไร

(1)       ทำให้ผู้พูดมีบุคลิกภาพที่ดี สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ฟัง

(2)       ช่วยส่งเสริมให้สามารถใช้คำพูดมีความชัดเจน

(3)       จุดเด่นของข้อมูลที่นำเสนอขึ้นมาถูกเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน

(4)       สามารถกำหนดแนวการมองสบตากันผู้ฟังได้สะดวกขึ้น

ตอบ 1 หน้า 17, (คำบรรยาย) การทรงตัวหรือการยืนระหว่างการนำเสนอ เป็นอีกส่วนหนึ่งของ บุคลิกภาพของผู้พูด ถ้าผู้พูดมีการทรงตัวหรือการยืนที่ดี จะทำให้ผู้พูดมีบุคลิกภาพที่ดี และ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ฟังได้ ซึ่งท่ายืนที่ดีที่สุด คือ ท่าที่เราสามารถควบคุมกล้ามเนื้อในร่างกาย ได้อย่างสบาย มีความรู้สึกว่าไม่เครียด และมีความเป็นตัวของตัวเอง

15.       การใช้สายตามีความสำคัญต่อการพูดอย่างมากเนื่องจาก

(1)       ผู้ฟังมักจะทราบลำดับของการนำเสนอสารของผู้พูดได้จากสายตา

(2)       สายตาเป็นเครื่องมือในการรับรู้อารมณ์และแสดงความรู้สึกที่เปิดเผย

(3)       ผู้พูดมักใช้สายตาในการตรวจสอบการรับรู้ข่าวสารของผู้ฟัง

(4)       ธรรมชาติของพฤติกรรมมนุษย์มีการจับจ้องเป้าหมายและระวังตัว

ตอบ 2 หน้า 16, (คำบรรยาย) สายตาเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพของผู้พูด เมื่อผู้พูด ได้มีโอกาสสบตาผู้ฟังแล้ว จะทำให้การสื่อความหมายเป็นไปได้โดยสะดวก และบังเกิด ความเข้าใจกันได้รวดเร็วขึ้น เพราะว่าสายตานั้นสามารถสร้างความสัมพันธ์ เป็นเครื่องมือ ในการรับรู้อารมณ์ และถ่ายทอดความรู้สึกของผู้พูดไปสู่ผู้ฟังได้อย่างเปิดเผย

16.       ผู้พูดควรแสดงท่าทางอย่างไรในระหว่างการพูด

(1)       วางบุคลิกให้สอดคล้องกับรสนิยมของเจ้าภาพ

(2)       ยิ้ม หัวเราะ แสดงออกทางอารมณ์ตามที่เตรียมมา

(3)       ชี้นิ้วออกไปยังผู้ที่ประสานสายตากับผู้พูด

(4)       กอดอกแสดงความภาคภูมิใจในฐานะความเป็นผู้นำความคิด

ตอบ 2 หน้า 18, (คำบรรยาย) ผู้พูดควรแสดงท่าทางประกอบการพูดต่อเมื่อต้องการอธิบาย หรือเน้นข้อความที่พูด ซึ่งการแสดงท่าทางจะต้องมีความหมายสอดคล้องกับความรู้สึกนึกคิด เหมาะกับโอกาสและเรื่องที่จะพูด โดยผู้พูดอาจยิ้ม หัวเราะ และแสดงออกทางอารมณ์ตาม ที่เตรียมมา แต่ไม่ควรชี้นิ้วไปยังผู้ฟัง ยืนกอดอก เอามือเท้าสะเอว เอามือใส่กระเป๋า หรือ เอามือไขว้หลังอย่างเด็ดขาด

17.       ข้อใดเป็นวินัยที่ควรปฏิบัติของนักพูดที่ดี

(1)       มาตรงเวลาเพื่อจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ และซักซ้อมต่อหน้าผู้ฟัง

(2)       มาก่อนเวลาเพื่อสำรวจเวที สถานที่ และอุปกรณ์ด้วยตนเอง

(3)       นำอุปกรณ์ทุกอย่างมาเอง เพื่อความสมบูรณ์แบบในการนำเสนอ

(4)       ทำการบันทึกข้อมูลผู้พูดร่วมเวทีเดียวกัน แล้วทำสำเนาส่งคืนในเร็ววัน

ตอบ 2 (คำบรรยาย) การพูดที่มีประสิทธิภาพนั้น ผู้พูดจะต้องมีการเตรียมตัวที่ดี และควรจะมา ก่อนเวลาพูดเพื่อสำรวจเวที สถานที่ และอุปกรณ์ด้วยตนเอง ทั้งนี้เพื่อสร้างความคุ้นเคย และไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการพูด

18.       การใช้ไมโครโฟนที่ดี ผู้พูดควรจะ

(1)       เอานิ้วขูดที่ส่วนรับเสียงเพื่อตรวจสอบความพร้อมและให้สัญญาณผู้ฟัง

(2)       เอียงส่วนรับเสียงออกจากแนวลมปากเพื่อป้องกันเสียงหอน

(3)       ปรับไมโครโฟนให้ได้ตามความสูงของตัวผู้พูดเอง

(4)       ใช้นิ้วขมวดสายสัญญาณเพื่อกระชับอุปกรณ์ให้มั่นคง

ตอบ 3 หน้า 19 เทคนิคในการใช้ไมโครโฟนอย่างง่าย ๆ มีดังนี้

1.         ในขณะที่พูดควรให้ไมโครโฟนอยู่ห่างจากปากประมาณ 8 – 12 นิ้ว

2.         ควรให้ไมโครโฟนอยู่ตรงปาก และปรับไมโครโฟนให้เหมาะสมกับความสูงของผู้พูด

3.         ในขณะที่พูดอย่ามองไมโครโฟน แต่ให้มองผู้ฟัง ฯลฯ

19.       การวิเคราะห์ผู้ฟังด้านความเชื่อและทัศนคติ ผู้พูดต้องใช้เป็นข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับ

(1)       การสร้างประเด็นและความน่าสนใจในการนำเสนอ

(2)       การสำรวจกรอบความสนใจอย่างคร่าว ๆ

(3)       ปฏิกิริยาตอบกลับด้านต่าง ๆ ที่มีกับหัวข้อการพูด

(4)       กำหนดความยาก-ง่ายของภาษาและข้อมูลที่ใช้นำเสนอ

ตอบ 3 (คำบรรยาย) การวิเคราะห์กลุ่มผู้ฟัง-ผู้ชมในเชิงนามธรรมจะเริ่มจากการพิจารณาความคิดเห็น ความเชื่อ เพื่อให้ได้มาซึ่งทัศนคติหรือความชอบ-ไม่ชอบต่อหัวข้อหรือประเด็นที่ควรนำเสนอ ในการพูดครั้งนั้น ๆ ซึ่งหากผู้พูดสามารถวิเคราะห์เรื่องเหล่านี้ได้ก็จะทำให้ทราบปฏิกิริยาตอบกลับด้านต่าง ๆ ที่มีกับหัวข้อการพูด เพื่อช่วยให้เตรียมเนื้อหาได้สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้ฟังเชื่อและยึดถือ

20.       การพูดในเชิงวาทวิทยา หมายถึง

(1)       เสียง + ความคิด         (2) สำเนียง + ความคิด

(3) เสียง + กิริยาอาการ          (4) ความคิด + ปฏิกิริยา

ตอบ 3 (คำบรรยาย) การพูดในเชิงวาทวิทยา หมายถึง เครื่องมือทางการสื่อสารที่ต้องใช้เสียงและสำเนียง โต้ตอบประกอบกันเสมอ โดยเสียงเป็นเพียงการเปล่งวาจาออกมา ส่วนสำเนียงจะบอกถึงอากัปกิริยา หรืออารมณ์ที่สื่อออกไป ดังนั้นเสียงจะไม่สามารถบอกอารมณ์ความรู้สึกได้หากไม่มีสำเนียงมาช่วย

21.       ข้อใดต่างจากข้ออื่น

(1)       พัฒนาบุคลิกภาพ       (2) ปรับปรุงตน

(3) ปรับเปลี่ยนวิธีนำเสนอ      (4) คงไว้ในแบบเดิม

ตอบ 4 หน้า 11, (คำบรรยาย) การปรับปรุงตัวผู้พูด หมายถึง การพัฒนาบุคลิกภาพให้เหมาะสมกับ การนำเสนอ โดยบุคลิกภาพจะรวมไปถึงการใช้ภาษา น้ำเสียง การยืน การแต่งกาย การใช้สายตา กิริยาท่าทาง ฯลฯ ซึ่งเป็นเสมือนเครื่องมือสื่อความหมายไปสู่ผู้ฟัง ดังนั้นผู้พูดจึงต้องรู้จักปรับปรุงตน หรือปรับเปลี่ยนวิธีนำเสนอ เพื่อให้ใช้เครื่องมือสื่อความหมายเหล่านั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

22.       การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย มีผลโดยตรงต่อ

(1)       การสร้างศัพท์และระดับความซับซ้อนของข้อมูลที่นำเสนอ

(2)       การเปิดประเด็นและหัวข้อที่จะพูดให้เหมาะสม

(3)       การกำหนดวัตถุประสงค์ของการพูดในแต่ละครั้ง

(4)       การกำหนดวาระรับรู้และกระบวนการออกแบบเนื้อหา

ตอบ 3 หน้า 20 – 23, (คำบรรยาย) การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย (ผู้ฟัง-ผู้ชม) เป็นสิ่งที่วิชาการพูด ให้ความสำคัญเป็นอับดับตน ๆ ซึ่งการวิเคราะห์ผู้ฟัง-ผู้ชมในการพูดจะนำไปสู่การกำหนด วัตถุประสงค์ของการสื่อสารหรือการพูดในแต่ละครั้ง โดยพิจารณาจากสภาพสังคมประชากร ประสบการณ์ กรอบอ้างอิง ระบบสังคมและวัฒนธรรม และทัศนคติต่าง ๆ ของผู้ฟังเป็นพื้นฐาน

23.       การเริ่มต้นเนื้อหาของการพูด ผู้พูดควรหลีกเลี่ยงเนื้อหาในลักษณะใด

(1)       ปัญหาที่ส่วนใหญ่รู้ และต้องการจะได้รับคำตอบ

(2)       มุขขำขันเพื่อสร้างความเป็นกันเองระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง

(3)       ประเด็นข่าวที่อยู่ในความสนใจของประชาชน

(4)       เรื่องส่วนตัวของบุคคลที่ตกเป็นข่าว เพื่อสร้างประเด็นชวนติดตาม

ตอบ 4 หน้า 35 – 36, (คำบรรยาย) ในการพูดนั้น จะต้องมีคำนำเพื่อเป็นการเกริ่นหรือเสนอที่มาของ เรื่องที่จะพูด อีกทั้งยังเป็นการเรียกความสนใจเบื้องต้นของผู้ฟัง ดังนั้นผู้พูดที่ฉลาดจึงต้อง ระมัดระวังในเรื่องคำนำหรืออารัมภบทเป็นอย่างมาก ถ้าคำนำดี ผู้ฟังจะเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ทำให้ตั้งใจฟังมากขึ้น แต่ถ้าคำนำไปกระทบเรื่องส่วนตัวของผู้ใดหรือพูดเรื่องส่วนตัวของตนเอง ผู้ฟังก็จะขาดความศรัทธาในตัวผู้พูด ซึ่งก็จะส่งผลให้การพูดไม่ประสบผลสำเร็จ

24.       ลำดับของการพูดก่อน-หลังในการพูดตามปกตินั้น ประกอบด้วย

(1)       กล่าวนำ ทักทาย สรุปประเด็น (2) ทักทาย เนื้อหาหลัก กล่าวทิ้งท้าย

(3) เนื้อหาหลัก ทักทาย กล่าวสรุป      (4) ทักทาย กล่าวทิ้งท้าย สรุป

ตอบ 2 หน้า 34 – 40, (คำบรรยาย) โครงสร้างของการพูด หรือลำดับของการพูดก่อน-หลัง ในการพูดตามปกตินั้น ประกอบด้วย   1. คำปฏิสันถาร หมายถึง คำทักทายผู้ฟัง

2.         คำนำ หมายถึง การเริ่มเข้าเรื่อง หรือการนำเข้าสู่เนื้อเรื่อง 3. เนื้อเรื่อง หมายถึง เนื้อหาหลัก ของการนำเสนอ หรือกลวิธีนำเสนอ       4. สรุป หมายถึง ความคิดรวบยอดของเรื่อง 5. คำลงท้าย หมายถึง ข้อความกล่าวทิ้งท้ายเพื่อความประทับใจ (ในส่วนของสรุปและคำลงท้าย อาจสลับที่กันได้ ซึ่งจะทำเฉพาะในกรณีที่ผู้พูดมีความเชี่ยวชาญพอสมควร)

25.       หากผู้ฟังเป็นกลุ่มบุคคลช่วงอายุวัยรุ่นที่มีการศึกษาอยู่ใบระดับอุดมศึกษา ผู้พูดควรจะนำเสนอเนื้อหาในลักษณะใด

(1)       เร้าอารมณ์ แฝงความสนุกสนาน ท้าทายความคิดสร้างสรรค์

(2)       ประสบการณ์เสี่ยงตาย สิ่งที่เป็นพิษภัยใกล้ตัว

(3)       การโกหกหลอกลวง สิบแปดมงกุฎ และเล่ห์เหลี่ยมทางธุรกิจ

(4)       สวัสดีภาพ บุคคลผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต การดำรงตนให้เป็นที่เคารพรัก

ตอบ 1 หน้า 21, (คำบรรยาย) วัยรุ่น เป็นวัยที่อยากทดลองหรือลองดีกับสิ่งใหม่ ๆ ชอบชีวิตที่โลดโผนตื่นเต้น ครึกครื้น ท้าทาย และอยากรู้อยากเห็น ฯลฯ ดังนั้นการพูดกับวัยรุ่นจึงควรมีจุดมุ่งหมาย ที่มุ่งในเหตุการณ์ปัจจุบันที่ทันสมัย น่าทดลอง เร้าอารมณ์ แฝงความสนุกสนานหรือมุขตลกขบขัน โดยต้องยอมรับความคิดเห็น และท้าทายความสามารถหรือความคิดสร้างสรรค์ของพวกเขา

26.       ในขั้นตอนของการริเริ่มที่จะวางเค้าโครงเรื่องที่จะพูด อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุด

(1)       การตกลงใจที่จะเลือกใช้ข้อมูล           (2) ความกล้าที่จะตัดสินใจเลือกประเด็นหรือเนื้อหาที่จะพูด

(3) ปฏิกิริยาของผู้ฟังที่จะแสดงกลับมา          (4) องค์ประกอบของกลุ่มผู้ฟัง

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ในขั้นตอนของการริเริ่มที่จะวางเค้าโครงเรื่องที่จะพูดนั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ผู้พูด ต้องกล้าที่จะตัดสินใจเลือกประเด็นหลัก หรือเนื้อหาที่จะพูด และเมือเลือกเนื้อหาที่จะพูดได้แล้ว ผู้พูดต้องวางแผนสร้างสรรค์เนื้อหา ซึ่งประกอบด้วย การเชื่อมโยงความเกี่ยวข้องของข้อมูลต่าง ๆ และการตัดสินใจที่จะเลือกใช้ข้อมูล

27.       สิ่งเร้าภายนอกที่เกิดจากตัวผู้พูด คือ  

(1) บุคลิกภาพและน้ำเสียง

(2)       ความรู้สึกนึกคิด          (3) ระดับการศึกษา     (4) ความเชื่อและทัศนคติ

ตอบ 1 หน้า 7, (คำบรรยาย) สิ่งเร้าที่เกิดจากตัวผู้พูด แบ่งออกเป็น

1.         สิ่งเร้าภายในตัวผู้พูด ได้แก่ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดและสุขภาพของผู้พูด เช่น ความรู้สึกหิว โกรธ เกลียด ปวดท้อง คลื่นไส ไม่สบาย ฯลฯ ตลอดจนระดับการศึกษา ความเชื่อ และ ทัศนคติที่อยู่ภายในตัวผู้พูด

2.         สิ่งเร้าภายนอกตัวผู้พูด ได้แก่ สิ่งแวดล้อม เจ้าภาพ และผู้ชม-ผู้ฟังทั้งหลาย เช่น อุณหภูมิ ในห้องบรรยาย เวลาที่ให้กับผู้พูด ทัศนคติของเจ้าภาพ ความสนใจของผู้ชม-ผู้ฟัง ฯลฯ รวมทั้งสิ่งเร้าภายนอกที่เกิดจากตัวผู้พูด ซึ่งปรากฏระหว่างการสื่อสาร เช่น บุคลิกภาพ และน้ำเสียงที่ผู้พูดได้แสดงออกมา

28.       เหตุใดผู้พูดจึงต้องค้นคว้าข้อมูลเพื่อการนำเสนอ และมีการระบุแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น ๆ

(1)       เพื่อให้ได้ข้อมูลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

(2)       เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดลึกซึ้งตรงความสนใจของผู้ฟัง

(3)       เพื่อแสดงออกกึงการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ ควรค่าแก่การนำเสนอ

(4)       เพื่อให้การแบ่งหัวข้อ และหาข้อมูลสนับสนุนเป็นไปอย่างราบรื่น

ตอบ 3 หน้า 32, (คำบรรยาย) ในการพูดนั้นจำเป็นที่จะต้องมีตัวอย่างข้ออ้างอิง รวมทั้งข้อความ ของผู้อื่นที่สนับสนุนความคิดเห็นของผู้พูด โดยมีการระบุแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นกึงการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ และมีคุณค่าแก่การนำเสนอ

29.       ทำไมผู้เตรียมสารจึงต้องมีการเขียนเค้าโครงเรื่อง

(1)       เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม   (2) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในที่มาของข้อมูล

(3)       เพื่อป้องกันความสับสน           (4) เพื่อให้ผู้ฟังเกิดจินตนาการได้ตามเนื้อหา

ตอบ 3 หน้า 31-32, (คำบรรยาย) ในการเตรียมเรื่องพูดนั้น ผู้พูดจำเป็นที่จะต้องเขียนโครงร่าง หรือโครงเรื่อง (Outline) ขึ้นมาก่อน ซึ่งมีประโยชน์ ดังนี้

1.         ช่วยวางแนวทางว่าเรื่องที่จะพูดนั้นมีหัวข้ออะไรบ้าง

2.         ช่วยเป็นแนวทางการเรียงลำดับ (Order) เรื่องที่จะพูด

3.         ช่วยทำให้เนื้อหามีเอกภาพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่หลุดกรอบแนวคิดหลักของเรื่อง

4.         ช่วยให้การดำเนินเรื่องไม่สับสน และง่ายแก่การจดจำไปพูด

30.       วิธีการใดที่ผู้เตรียมจะเป็นการได้มาซึ่งข้อมูลเชิงลึกส่วนบุคคลมากที่สุด

(1)       อ่านจากหนังสือพิมพ์รายวันในส่วนที่เป็นข่าวเจาะ

(2)       ตรวจสอบในอินเทอร์เน็ต และเครือข่ายออนไลน์

(3)       สอบถามจากผู้สื่อข่าว หรือลื่อมวลชนในสายงานนั้น ๆ

(4)       สัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง และยังมีชีวิตอยู่

ตอบ4  หน้า 33255, (คำบรรยาย) การสัมภาษณ์ หมายถึง การสื่อสารด้วยกระบวบการพูดคุยโดยมีเป้าประสงค์เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลสำคัญ ข่าวสาร หรือประเด็นที่เป็นสาระโดยตรง ผ่านบุคคล ที่มีการเลือกสรรแล้ว ทั้งนี้ข้อมูลที่ได้มาถือเป็นข้อมูลเชิงลึกส่วนบุคคลที่มีความเฉพาะเจาะจง ตามเป้าหมาย ตามวัตถุประสงค์ และตามสถานการณ์ขณะนั้น

31 ไม่ว่าจะขึ้นต้นคำนำด้วยวิธีการใด ๆ ก็ตาม สิ่งที่ผู้พูดไม่สามารถละเลยได้ก็คือ

(1)       ต้องตื่นเต้นเร้าใจเสมอ (2) กล่าวถึงแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้

(3) สอดคล้องกับเนื้อเรื่องที่จะกล่าวในลำดับถัดไป (4) สัมพันธ์กับคำทักทายผู้ฟัง

ตอบ 3 หน้า 35, (ดูคำอธิบายข้อ 23. ประกอบ) การขึ้นต้นคำนำมีหลายวิธีและหลายแบบ ซึ่งผู้พูด อาจขึ้นต้นคำนำด้วยสุภาษิต อ้างคำคม การตั้งคำถาม ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะขึ้นต้นคำนำด้วยวิธีการ ใด ๆ ก็ตาม คำนำนั้น ๆ ต้องสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง (Main Body) ที่จะกล่าวในลำดับถัดไป

32.       การขยายเนื้อเรื่องด้วยการให้คำจำกัดความ หมายถึง

(1)       อธิบายความหมายด้วยการสร้างประโยคใหม่

(2)       ชี้ให้เห็นถึงข้อแตกต่างในประเด็นสำคัญ

(3)       นำสิ่งต่าง ๆ มาเปรียบเทียบจนทำให้ข้อความที่จะพูดยาวขึ้น

(4)       พูดถึงสิ่งที่เป็นผลกระทบของประเด็นที่จะนำเสนอด้วยข้อมูลที่มีความละเอียด

ตอบ1 หน้า 37, (คำบรรยาย) การขยายความเนื้อเรื่องด้วยการให้คำจำกัดความ หมายถึง การอธิบายความหมายของศัพท์และประเด็นหลัก หรืออธิบายถึงคุณลักษณะของสิ่งต่าง ๆ มากกว่าหนึ่งอย่างให้เห็นชัดเจน โดยการสร้างประโยคใหม่แต่มีความหมายเหมือนเดิม

33.       ข้อใดเป็นการสร้างความประทับใจในการพูด

(1)       การกล่าวขอบคุณทุกครั้งที่ทำได้

(2)       ขออภัยในข้อผิดพลาดของตนเองในขั้นตอนสรุป

(3)       จำขื่อ-นามสกุล ตำแหน่งของบุคคลที่กล่าวถึงได้แม่นยำและอย่ากล่าวผิด

(4)       การจบการพูดด้วยการกล่าวอวยพร

ตอบ 3 (คำบรรยาย) วิธีการสร้างความประทับใจในการพูดประการหนึ่ง คือ การจดจำชื่อ-นามสกุล ตำแหน่งของบุคคลที่กล่าวถึงได้อย่างแม่นยำและอย่ากล่าวผิด ซึ่งจะทำให้ผู้ฟังเกิดความประทับใจ ต่อตัวผู้พูดว่าได้มีการเตรียมตัวมาอย่างดี

34.       ข้อใดเป็น Speech

(1)       ดร.สุพจน์สั่งงานลูกน้องทันทีที่พบหน้า            (2) คุณสุดสอางค์คุยกับแม่ค้าขายทุเรียนที่ตลาด

(3)       คุณหญิงเปรมจิตต์ให้เลขานุการส่วนตัวร่างบทพูดขอบคุณท่านรัฐมนตรี

(4)       พ.ท.อุกฤกษ์กำชับให้นายสิบทหารเวรตรวจตรารอบที่ตั้งอย่างรอบคอบ

ตอบ 3 หน้า 6, (คำบรรยาย) Speech หมายถึง สาระหรือเนื้อหาหรือเนื้อเรื่องที่พูด โดยทั่วไปจะมาจาก ความคิดของผู้พูด ซึ่งเป็นกระบวนการพูดอย่างเป็นทางการที่จะต้องมีการวิเคราะห์ผู้รับสาร (ผู้ฟัง)มีการเตรียมตัวพูดอย่างมีขั้นตอนและเป็นระบบ มีการลำดับและการดำเนินเรื่องที่ดี ถูกต้อง ตามหลักเกณฑ์ (มีบทนำ เนื้อเรื่อง และบทสรุป) เช่น การแสดงปาฐกถา การอภิปราย การร่างบทพูดในวาระโอกาสต่าง ๆ ฯลฯ (ส่วน Speaking หมายถึง การพูดหรือการสนทนา ในชีวิตประจำวันโดยทั่ว ๆไปเช่นการพูดกับพ่อแม่การพูดคุยกันในหมู่เพื่อนฝูง ฯลฯ)

35.       หากไม่นับการเตรียมตัวไม่พร้อมแล้ว อะไรคือสาเหตุของการประหม่าตื่นเต้น(1)       การทรงตัวไม่สมดุลขณะพูด    (2) การใช้ไมโครโฟนไม่เป็น

(3) การแต่งกายที่ไม่ถูกกาลเทคะ       (4) การไม่รู้จักประธานในงาน

ตอบ 3 หน้า 2054 – 55, (คำบรรยาย) สาเหตุหลักของการขาดความเชื่อมั่นในตนเอง จนก่อให้เกิด ความประหม่าตื่นเต้นบนเวที มีอยู่ 3 ประการ ดังนี้    1. การไม่เตรียมตัวมาอย่างดีพอ 2. การไม่ซักซ้อมอย่างเพียงพอ 3. การไม่ใส่ใจต่อบุคลิกภาพของตนเอง เมื่อต้องปรากฏตัว ให้เหมาะสมกับลักษณะพิธีการ สถานที่ และเจ้าภาพ เช่น การแต่งกายที่ไม่ถูกกาลเทศะ เป็นต้น

36.       เมื่อผู้ฟังแสดงความพอใจอย่างมาก ผู้พูดควรจะ

(1)       หยุดพูด จนเมื่อการแสดงความพอใจจบลงจึงเริ่มพูดต่อ

(2)       กล่าวขอบคุณดัง ๆ ด้วยความจริงใจ

(3)       พูดเร่งเร้าอารมณ์ผู้ฟังต่อไป

(4)       เดินลงจากเวทีเพื่อไปสัมผัสมือกับผู้ฟัง

ตอบ 1 หน้า 52 – 53, (คำบรรยาย) ข้อควรปฏิบัติเมื่อขึ้นเวทีพูด มีดังนี้

1.         ในระหว่างการเดินเข้า ณ ตำแหน่งที่พูดหลังจากพิธีกรเชิญผู้พูดขึ้นพูดแล้ว ผู้พูดไม่ต้อง ทำความเคารพหรือทักทายใครอีกแล้ว       2. ในนาทีแรกที่เริ่มพูดนั้นควรพูดช้า ๆ  3.หลังจากกล่าวคำปฏิสันถารแล้ว ผู้พูดจะต้องไม่ออกตัวหรือขอโทษ/ขออภัยในความผิดพลาด หรือข้อบกพร่องของตนเอง    4.           ควรหลีกเลี่ยงการกระแอมกระไอก่อนพูด การใช้มือเคาะไมโครโฟน หรือพูดว่า ฮัลโหล ๆ  5. เมื่อผู้ฟังแสดงความพอใจหรือไม่พอใจขึ้นมา ผู้พูดควรหยุดพูดเป็นอันดับแรก จนเมื่อเสียงแสดงความพอใจหรือไม่พอใจนั้น ๆ จบหรือซาลงจึงเริ่มพูดต่อไป ฯลฯ

37.       ข้อใดที่ผู้พูดไม่ควรกระทำต่อผู้ดูแลประสานงานการพูดอย่างยิ่ง

(1)       ขอให้ยืนยันกำหนดการและลำดับการพูดต่อหน้าเจ้าภาพ

(2)       ขอให้เปลี่ยนเครื่องดื่มจากน้ำส้มมาเป็นน้ำเปล่าก่อนการพูด

(3)       วิจารณ์อุปกรณ์ เครื่องมือ และซอฟต์แวร์ที่ใช้นำเสนอเนื้อหาขณะพูด

(4)       แจ้งว่าอุปกรณ์และเครื่องมือบนเวทีบกพร่อง หรือไม่สามารถใช้งานได้ขณะพูด

ตอบ 3 (คำบรรยาย) สิ่งที่ผู้พูดไม่ควรกระทำต่อผู้ดูแลประสานงานการพูดอย่างยิ่ง คือ การวิจารณ์ อุปกรณ์ เครื่องมือ และซอฟต์แวร์ที่ใช้นำเสนอเนื้อหาขณะพูด เพราะนอกจากจะแสดงถึง มารยาทที่ไม่ดีของผู้พูดแล้ว ยังเป็นการไม่ให้เกียรติต่อเจ้าภาพหรือหน่วยงานที่เชิญไปพูดอีกด้วย

38.       การพูดเรื่องส่วนตัวของตนเองมากเกินไป เป็นการผิดมารยาทในการพูดด้านใด

(1)       ไม่แสดงออกถึงความตั้งใจที่จะพูด     (2) ใช้อารมณ์ไม่ถูกกาลเทศะ

(3) ไม่ให้เกียรติผู้ฟังเท่าที่ควร  (4) ผูกขาดการพูดเอาไว้แต่ผู้เดียว

ตอบ 3 หน้า 66 ในการพูดนั้น ผู้พูดไม่ควรพูดเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องภายในครอบครัว และ ไม่ควรพูดอวดตน อวดภูมิ ข่ม หรือถือว่าตนเองดีกว่าผู้ฟัง เพราะนอกจากจะไม่สุภาพแล้ว ยังเป็นการไม่ให้เกียรติผู้ฟังอีกด้วย

39.       ตัวแปรด้านลบที่มีส่วนทำให้เนื้อหาการพูดที่เตรียมมาไม่สามารถถ่ายทอดตามความต้องการในขณะที่ผู้พูดมีความพร้อมอย่างเต็มที่แล้ว คือ           

(1) อารมณ์

(2)       บรรยากาศ รวมทั้งสิ่งแวดล้อม (3) สถานที่ที่ได้รับเชิญไป      (4) การจัดรูปแบบของเวที

ตอบ 2 หน้า 7, (คำบรรยาย) บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีและที่ดีเกินไปย่อมเป็นอุปสรรคต่อการพูดทำให้ผลของการพูดไม่ตรงตามความมุ่งหมาย และถือเป็นตัวแปรด้านลบที่มีส่วนทำให้เนื้อหาการพูด ที่เตรียมมาไม่สามารถถ่ายทอดตามความต้องการได้ ถึงแม้ผู้พูดจะมีความพร้อมอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม

40.       การพูดเกินเวลาที่กำหนด เป็นการผิดมารยาทข้อใดมากที่สุด           

(1) ไม่มีการเตรียมตัวที่ดีพอ

(2)       ขาดการรับฟังความคิดเห็น      (3) ไม่คิดให้รอบคอบก่อนที่จะพูด       (4) ไม่รักษาสิทธิที่พึงมีของผู้ฟัง

ตอบ 4 หน้า 67 ในการพูดนั้น ผู้พูดควรพูดให้เหมาะกับเวลา อย่าพูดเกินเวลาที่กำหนดไว้ เพราะเป็นการแสดงว่าผู้พูดไม่ได้เคารพและไม่ได้รักษสิทธิที่พึงมีของผู้ฟังเหมือนกับของตนเอง

41.       หากพิจารณาในเชิงจิตวิทยาแล้ว เหตุใดมนุษย์จึงชอบพูดมากกว่าฟัง

(1)       เพราะสามารถสร้างความได้เปรียบในความถูกต้องได้มากกว่า

(2)       เพราะการพูดสร้างความมั่นใจและเชื่อมั่นในตนเองได้มากกว่า

(3)       เพราะการพูดเป็นช่องทางเลือกรับข้อมูลได้มากกว่า

(4)       เพราะการพูดรับปฏิกิริยาตอบกลับได้มากกว่า

ตอบ 2 หน้า 69 โดยปกติแล้วคนเราชอบพูดมากกว่าชอบฟัง เพราะในขณะที่พูดนั้นผู้พูดจะสร้าง ความมั่นใจและมีความรู้สึกว่าตนมีความเชื่อมั่นในตนเอง ตนได้แสดงความคิดเห็น และ ได้รับความสนใจจากผู้ฟัง

42.       หากพิจารณาในเชิงพฤติกรรมการสื่อสารแล้ว เหตุใดจึงไม่ควรผูกขาดการพูดไว้ฝ่ายเดียว

(1)       เพราะโครงสร้างของกลุ่มเป้าหมายจะผิดเพี้ยน

(2)       เพราะไม่เกิดความสมดุลในโครงสร้างของการสื่อสาร

(3)       เพราะจะเกิดสภาพการเลือกรับและตีความข่าวสารขึ้น

(4)       เพราะจะทำให้การตีความหมายของข่าวสรเกิดความบิดเบือน

ตอบ 2 หน้า 67, (คำบรรยาย) หากพิจารณาในเชิงพฤติกรรมการสื่อสารแล้ว ผู้พูดไม่ควรผูกขาดการพูดไว้ฝ่ายเดียว เพราะจะทำให้เกิดความไม่สมดุลในโครงสร้างของการสื่อสาร ดังนั้นจึงควรเปิดโอกาส ให้ผู้อื่นพูดและแสดงความคิดเห็นบ้าง ซึ่งนอกจากจะเป็นการพูดที่ส่งเสริมประชาธิปไตยแล้ว ยังแสดงออกถึงมารยาทที่ดีงามในการพูดอีกด้วย

43.       การฟังเพื่อเก็บสาระ พิจารณาจาก    (1) ลำดับการนำเสนอ

(2)       ความสัมพันธ์กับหัวเรื่อง          (3) ประเด็นสำคัญตามจุดมุ่งหมาย     (4) ข้อสรุปในช่วงกล่าวส่งท้าย

ตอบ 3 หน้า 69 การฟังเพื่อเก็บสาระสำคัญ เป็นการฟังที่ผู้ฟังจะต้องเข้าใจจุดประสงค์ของตนเองว่า ตนเองต้องการรับอะไรจากผู้พูด ในขณะเดียวกันก็ต้องเข้าใจด้วยว่าผู้พูดต้องการจะให้อะไร แก่ผู้ฟัง เมื่อผู้ฟังสามารถรู้หรืออ่านแนวความคิดของผู้พูดได้แล้ว ผู้ฟังก็จะตั้งใจฟังเพื่อที่จะเก็บประเด็นสำคัญตามจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ของการฟัง

44.       ข้อใดเป็นความต้องการที่จะรู้ของผู้ฟัง ตามทัศนะของอริสโตเติล     

(1) ความฉลาดของผู้พูด

(2)       ทักษะของผู้พูด            (3) แรงบันดาลใจของผู้พูด      (4) ผลประโยชน์ของผู้พูด

ตอบ 1 หน้า 70, (คำบรรยาย) ความต้องการที่จะรู้ของอริสโตเติล (Aristotle) คือ สิ่งที่ผู้ฟังต้องการเห็นหรือต้องการรู้เกี่ยวกับตัวผู้พูด มีอยู่ 3 ประการ ได้แก่ 1. ความฉลาดหรือสติปัญญาของผู้พูด

2.         บุคลิกลักษณะ ท่วงที หรือลีลาในการนำเสนอ

3.         ข้อคิดหรือสาระดี ๆ ที่ได้จากการพูด (Goodwill)

45.       การแก้ปัญหาการพูดในสถานการณ์ที่ไม่สามารถจะเตรียมการพูดล่วงหน้าได้ สิ่งที่จะเป็นตัวช่วยที่สำคัญที่สุด คือ

(1)       สิ่งเร้า   (2) ภาพพจน์   (3) ภาพลักษณ์           (4) การวิเคราะห์

ตอบ 4 หน้า 89, (คำบรรยาย) การพูดปากเปล่าโดยไม่มีการเตรียมล่วงหน้า (การพูดโดยกะทันหัน) เช่น การพากย์กีฬามวย ฟุตบอล หรือเรือยาวการกล่าวทักทายเมื่อเผอิญได้พบกันการตอบปัญหาบางประการ ฯลฯ มีข้อควรปฏิบัติ ตังนี้ 1. ควบคุมสติให้ดี ไม่ต้องรีบตอบ หากไม่เข้าใจคำถามดีพอ อาจขอให้ทวนคำถามหรือขออภัยที่ไม่สามารถตอบได้ 2. ใช้ปัญญาวิเคราะห์ประเด็นคำถาม หรือใช้ปฏิภาณไหวพริบในการคิด และรวบรวมความรู้ประสบการณ์ของตนเองให้ได้อย่างรวดเร็ว

3.         พยายามนึกถึงโครงสร้างการพูด และลำดับความคิดเห็นหรือเรื่องให้ตรงประเด็น

4.         ฝึกซ้อมตอบคำถามในใจในเรื่องที่เตรียมได้ 5. พูดให้สั้นและมีความหมายชัดเจน

46.       การตอบคำถามในการพูดโดยไม่มีการเตรียมตัวเอาไว้ล่วงหน้า ควรมีลักษณะ

(1)       ชี้แจงรายละเอียดและให้ข้อมูลมากที่สุด

(2)       บอกปัดและถ่ายโอนไปให้ผู้ที่รู้มากกว่า หรือน่าจะรับผิดชอบแทนได้

(3)       ขออภัยที่ไม่สามารถตอบได้ หากไม่เข้าใจคำถามดีพอ

(4)       นำสถิติและข้อมูลทางเทคนิคมาประกอบการทำความเข้าใจ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 45. ประกอบ

47.       การเตรียมสาร ผู้เตรียมสามารถจัดทำได้ใน 2 กรณี คือ        

(1) ผู้พูด ผู้ฟัง

(2)       ผู้พูด คนอื่นที่จะพูด     (3) เจ้าภาพ ประธานในพิธี      (4) ผู้ฟัง ผู้สังเกตการณ์

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ในทางวาทวิทยาหรือวาทนิพนธ์นั้น หากพิจารณาในด้านของผู้จัดทำร่างบทพูดแล้วการเตรียมสารเพื่อการนำเสนอสามารถเตรียมได้ใน 2 กรณี คือ การเตรียมให้กับตนเอง (ตัวผู้พูดเอง) และการเตรียมให้กับผู้อื่น (คนอื่นที่จะพูด)

48.       ข้อใดเป็นการแบ่งการพูดตามจุดมุ่งหมาย    

(1) เร้าอารมณ์ สร้างจุดสนใจ

(2)       ให้ความบันเทิง ชักจูงใจ          (3) บอกเล่า กล่าวความจริง    (4) ท่องจำ กล่าวตามหัวข้อ

ตอบ 2 หน้า 92 การพูดตามจุดมุ่งหมาย แบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด คือ

1.         การพูดเพื่อให้สาระความบันเทิง          2. การพูดเพื่อให้ความรู้หรือเล่าข้อเท็จจริง

3.         การพูดเพื่อชักจูงใจหรือโน้มน้าวจิตใจ

49.       การพูดจากต้นฉบับต้องอาศัย…….เสมอ

(1)       โสตทัศนูปกรณ์           (2) การประสานสายตา (3) การโน้มน้าวจิตใจ            (4) คำทิ้งท้าย

ตอบ 2 หน้า 90 – 91 ข้อแนะนำสำหรับการพูดโดยการอ่านจากต้นฉบับประการหนึ่ง คือในขณะที่ อ่านนั้น ไม่ควรถือต้นฉบับให้สูงหรือต่ำเกินไป ระวังอย่าให้ลมพัดกระดาษที่อ่านปลิวไป และ ควรจะใช้การประสานสายตา (Eye-contact) กับผู้ฟังเสมอ

50.       ในการพูดเพื่อความบันเทิง มีอะไรเป็นสิ่งเร้าสำคัญ

(1)       ผลประโยชน์   (2) บรรยากาศ (3) ความรู้สึก   (4) ความต้องการ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

51.       เป้าหมายของการพูดเพื่อชักจูงใจ คือ 

(1) เปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนทัศนคติ

(2)       การทำตามคำสั่ง        (3) สร้างภาวะทางอารมณ์กดดัน        (4) ให้ข้อมูลข่าวสารด้านเดียว

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 5. ประกอบ

52.       การเตรียมเนื้อหาของรายงานที่จะพูดนั้นไม่ควรที่จะ

(1)       มีหัวข้อที่สั้น กระชับ ชัดเจน     (2) ทำหัวข้อย่อย ๆ ให้มีความโดดเด่น

(3)       บรรจุเนื้อหาที่สมบูรณ์ของเรื่องลงไป   (4) จัดทำอย่างประณีตด้วยความรอบคอบ

ตอบ3 หน้า 139, (คำบรรยาย) หลักการเตรียมเนื้อหาของรายงานที่จะพูด มีดังนี้

1.         เรียบเรียงเนื้อหาด้วยความประณีตและรอบคอบ

2.         ใจความสำคัญของเนื้อหาต้องสั้น กระชับ ชัดเจน พร้อมทั้งมีข้อมูลทางสถิติ

3.         ทำหัวข้อย่อย ๆ ให้มีความเด่น ง่ายต่อการอ่าน โดยมีการใส่หมึกไฮไลต์ขีดทับ

4.         ไม่ควรบรรจุเนื้อหาที่สมบูรณ์ของเรื่องลงไป

5.         เขียนบันทึกย่อประเด็นสำคัญที่ไม่อาจละเลยได้ในการพูดไว้ท้ายกระดาษ

6.         ใช้ข้อความที่ประกอบด้วยคำพูดเพื่อแสดงให้รู้ว่าจบเนื้อหาของเรื่องที่พูดตอนหนึ่ง ๆ แล้ว ฯลฯ

53.       เนื้อหาประเด็นใดที่จำเป็นต้องมีในการพูดแถลงข้อเท็จจริง

(1)       หัวข่าวที่เครือข่ายสังคมออนไลน์ให้ความสนใจ และติดตามรายงานข่าวอยู่

(2)       สิ่งที่หน่วยงานภาครัฐให้ความสำคัญถึงกับต้องให้เจ้าหน้าที่ปิดบังข้อเท็จจริง

(3)       ปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบใหญ่หลวง ทำให้ต้องมีการค้นคว้าข้อเท็จจริงนั้นขึ้นมา

(4)       สถิติ ข้อมูล สาระของแผนเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ยังสำรวจไม่เสร็จ

ตอบ 3 หน้า 141 หลักเกณฑ์ของการพูดรายงานแบบแถลงข้อเท็จจริง ในกรณีที่เนื้อหาเน้นหนัก ไปในทางค้นคว้า ประกอบด้วย

1.         บทนำ (จุดประสงค์ของรายงานนั้น) เช่น กล่าวถึงปัญหาที่สำคัญ สาเหตุ ฯลฯ

2.         การค้นคว้าเอกสาร ข้อมูล/ข้อเท็จจริง และหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะพูด

3.         วิธีค้นคว้า และที่มาของข้อมูลที่ผู้พูดใช้          4. สรุปผลของการค้นคว้า และเสนอแนะ

54.       การพูดในลักษณะวิพากษ์วิจารณ์มีรูปแบบเฉพาะที่ต่างจากการพูดประเภทอื่นอย่างไร

(1)       เนื้อหาที่จะพูดต้องเป็นข้อเท็จจริงเสมอ

(2)       ต้องมีการนำเสนอโดยใช้เหตุผลประกอบ

(3)       ต้องมีการจัดสมดุลของเนื้อหา และผลกระทบทีเกิดขึ้นกับบุคคลที่กล่าวอ้าง

(4)       ต้องมีการใช้กติกา ข้อกำหนด หรือตัวบ่งชี้ต่าง ๆ มาเป็นเกณฑ์

ตอบ 2 หน้า 169 การพูดวิจารณ์ หมายถึง การพูดทั้งติและชมสิ่งใดสิ่งหนึ่งในแง่ต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล และถูกหลักการวิจารณ์ ซึ่งลักษณะหรือรูปแบบเฉพาะของการพูดวิพากษ์วิจารณ์ที่แตกต่างจาก การพูดชนิดอื่น ๆ คือ เป็นการพูดที่ต้องใช้หลักทางตรรกวิทยา (Logic) หรือใช้หลักทางเหตุผล มาประกอบ โดยจะไม่เอาอารมณ์ของผู้พูดเข้ามาเกี่ยวข้อง

55.       การพูดวิจารณ์ผลงานที่ตีพิมพ์ผ่านสื่อสาธารณะ ควรเน้นที่

(1) รูปแบบ และช่องทางนำเสนอ        (2) กลวิธีนำเสนอ และช่องทางที่ใช้

(3)       ผลกระทบต่อบุคคล และความถูกถ้วน           (4) งบประมาณ และผลตอบแทนที่ใช้

ตอบ 3 (คำบรรยาย) การพูดวิจารณ์ผลงานที่ตีพิมพ์ผ่านสื่อสาธารณะ ควรเน้นที่ความถูกถ้วน และ ผลกระทบต่อบุคคลเป็นสำคัญ โดยผู้วิจารณ์จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ อย่างดีพอ จึงจะสามารถวิจารณ์ไต้อย่างถูกต้อง มีเหตุผล มีข้ออ้างอิง เพราะหากวิจารณ์อย่างไม่รู้จริง ก็อาจส่งผลกระทบต่อบุคคลที่เป็นเจ้าของผลงานให้ได้รับความเสียหายได้

56.       ข้อใดกล่าวเกี่ยวกับการวิจารณ์การพูดได้อย่างถูกต้องที่สุด

(1)       การวิจารณ์เป็นการตรวจอบข้อบกพร่องของผู้พูดโดยตรง

(2)       การวิจารณ์การพูด คือ การตรวจสอบปฏิกิริยาที่ดีของกลุ่มเป้าหมาย

(3)       การวิจารณ์ต้องทำโดยสื่อมวลชน เพราะกระจายข้อมูลได้ทั่วถึง

(4)       การวิจารณ์นั้น ผู้พูดและผู้ฟังไม่จำเป็นต้องอาศัยเหตุผลรองรับเสมอไป

ตอบ 1 หน้า 485 การประเมินผลในการพูดที่ดีนั้น จำเป็นจะต้องมีการวิจารณ์การพูด เพราะการวิจารณ์ เป็นการพูดติ-ชมเพื่อตรวจสอบข้อบกพร่องของผู้พูดโดยตรง พร้อมกับให้คำแนะนำตามหลักเกณฑ์ ของการวิจารณ์การพูด เพื่อส่งเสริมให้ปรับปรุงการพูดให้ได้ผลดีอย่างรวดเร็วและถูกต้อง

57.       ข้อใดคือวัตถุประสงค์โดยตรงของการประชุม           

(1) เพื่อจัดการความรู้

(2)       เพื่อบริหารความเสี่ยง (3) เพื่อแสดงการมีส่วนร่วม     (4) เพื่อบริหารและสั่งการ

ตอบ 3 หน้า201,(คำบรรยาย) จุดมุ่งหมายของการประชุมได้แก่ 1.เพื่อแถลงข่าวและเรื่องราวต่างๆ

2. เพื่อปรึกษาหารือ ขอคำแนะนำ และแสดงความคิดเห็น 3. เพื่อดำเนินงานหรือประสานงาน

4.         เพื่อให้การศึกษา          5. เพื่อพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ

6.         เพื่อกระตุ้นให้สมาชิกเกิดความรู้สึกมีส่วนร่วมและเกิดทัศนคติใหม่ ๆ ในการดำเนินงาน

58.       หากพิจารณาตามวาระของการประชุมแล้ว โดยปกติองค์กรจะมีการประชุม 2 ลักษณะ คือ

(1)       รายเดือน รายวัน          (2) วาระปกติ วาระจร

(3)       ภายในองค์กร ภายนอกองค์กร          (4) สมัยสามัญ สมัยวิสามัญ

ตอบ 4 หน้า 202 หากพิจารณาตามวาระการประชุมแล้ว การประชุมมีอยู่ 2 ชนิด คือ

1.         การประชุมสมัยสามัญ (วาระสามัญ) 2. การประชุมสมัยวิสามัญ (วาระวิสามัญ)

59.       ญัตติในการประชุม คืออะไร

(1) ความเห็นของบรรดาสมาชิก          (2) ข้อเสนอเพื่อพิจารณา

(3)       มติที่ได้จากการลงคะแนน       (4) วาระการประชุม

ตอบ 2 หน้า 203 ญัตติ คือ ข้อเสนอเพื่อให้ที่ประชุมพิจารณา ซึ่งโดยปกติแล้วจะต้องเสนอเป็น ลายลักษณ์อักษรผ่านเลขานุการ แล้วเลขานุการก็จะนำญัตตินั้น ๆ เสนอต่อที่ประชุมต่อไป

60.       ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ประธานในการประชุม

(1)       รักษาเวลาการประชุม (2) จดบันทึกรายงานการประชุม

(3)       เปิดโอกาสให้มีการแสดงความเห็น    (4) ชักชวนให้ประชุมอย่างสงบ

ตอบ 2 หน้า 204 – 206 ประธานที่ประชุมมีหน้าที่ที่สำคัญ ดังนี้ 1. เปิดโอกาสให้มีการแสดงความเห็น

2.         รักษาเวลาการประชุม 3. ชักชวนให้ประชุมอย่างสงบ ฯลฯ (ส่วนการจดบันทึกรายงานการประชุม เป็นหน้าที่ของเลขานุการ)

61.       ครบองค์ประชุม หมายถึง      

(1) ครบจำนวนตามสมาชิกที่ลงทะเบียนไว้

(2)       เอกสารและผู้เข้าประชุมครบพอดีกัน

(3) ครบจำนวนผู้เข้าประชุมตามที่กำหนดในระเบียบ

(4)       สัดส่วนและจำนวนผู้ถือสิทธิตามที่กฎหมายระบุเข้าประชุมครบ

ตอบ 3 หน้า 203 ครบองค์ประชุม หมายถึง ครบจำนวนผู้เข้าประชุมตามที่ระบุไว้ใบระเบียบ เช่น 2/3 ของสมาชิกทั้งหมด ถ้าสมาชิกมาไม่ครบองค์ประชุมก็ต้องยกเลิกการประชุม แต่ถ้ายังมี การประชุมต่อไป มติที่ได้จากการประชุมนั้นให้ถือว่าเป็นโมฆะ จะนำไปใช้ไม่ได้

62.       การพูดเพื่อรายงานการประชุม มีความสัมพันธ์กับข้อใด

(1)       พูดเพี่อชักจูงใจ            (2) พูดเพื่อให้เกดความรู้สึกสมานฉันท์

(3)       พูดโดยไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า       (4) พูดโดยอ่านจากต้นฉบับที่เตรียมไว้

ตอบ 4 หน้า 90207 การพูดรายงานการประชุมจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับการพูดรายงานชนิดอื่น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า การพูดรายงานการประชุมก็คือ การอ่านรายงานการประชุมที่เขียนเสร็จ เรียบร้อยแล้ว หรือเป็นการพูดโดยอ่านจากต้นฉบับที่เตรียมไว้นั่นเอง

63.       การบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ มีสิ่งที่ผู้พูดต้องให้ความสำคัญและเป็นกระบวนการที่ขาดมิได้ คือ

(1)       การวิเคราะห์ผู้ฟัง        (2) ใช้สำนวนที่มาจากต้นฉบับ

(3)       บอกรายละเอียดของตัวละครให้มาก  (4) เปลี่ยนแนวเรื่องหากผู้ฟังคุ้นเคย

ตอบ 1 หน้า 219 – 220 การบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ หรือการเล่านิทาน มีข้อควรระวัง ดังนี้

1.         ต้องมีการวิเคราะห์ผู้ฟังเสมอ  2. อย่าให้มีรายละเอียดของตัวละครมากเกินไป

3.         อย่าใช้ภาษาเขียนที่มาจากต้นฉบับ

4.         ไม่ควรเปลี่ยนแนวเรื่องถ้าเป็นเรื่องที่ผู้ฟังคุ้นเคย แต่ควรปรับปรุงเทคนิคในการเล่าให้สนุก

5.         ควรสอดแทรกคติสอนใจหรือคุณธรรมลงในเรื่องที่เล่า ฯลฯ

64.       ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์โดยตรงของการเล่าเรื่อง

(1) ชี้แนะสั่งสอนแบบไม่รู้ตัว   (2) ทำให้จดจำง่าย

(3)       สร้างการรับรู้แบบผู้ฟังมีส่วนร่วม         (4) ชักจูงให้เปลี่ยนพฤติกรรม

ตอบ 4 หน้า 217 ประโยชน์ของการเล่าเรื่อง ได้แก่      1. เป็นวิธีชี้แนะสั่งสอนแบบไม่รู้ตัว 2.  ทำให้ผู้เรียนสนใจฟัง เข้าใจง่าย และจดจำเนื้อเรื่องได้ดี       3. ทำให้ผู้อื่นมีส่วนร่วมในเรื่อง ที่แปลกหรือมหัศจรรย์ ในเหตุการณ์ที่ตื่นเต้นน่ากลัว และในปรากฏการณ์ของธรรมชาติ

65.       การเล่าเหตุการณ์ที่ได้ประสบด้วยตนเอง เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า

(1) ประสบการณ์เชิงประจักษ์ (2) ประเด็นสื่อสารส่วนตัว

(3)       การเล่าประวัติเชิงพฤติกรรม   (4) การเล่าเหตุการณ์ส่วนตัว

ตอบ 4 หน้า 223 การเล่าเหตุการณ์ส่วนตัว หมายถึง การเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศร้า ประทับใจหรือตื่นเต้นก็ได้โดยการเล่าเรื่องแบบนี้มักจะเป็นเรื่องที่ เกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเอง ซึ่งอาจจะได้จากชีวิตประจำวัน ได้จากการท่องเที่ยว หรือได้จากการฟังผู้อื่นมาก็ได้

66.       การนำเสนอชีวประวัติของบุคคลนั้น สิ่งที่ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญ คือ

(1) ผลงานชิ้นสำคัญ   (2) ช่วงเวลาสำคัญในชีวิต

(3) บุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้อง    (4) การงานที่รับผิดชอบในบั้นปลาย

ตอบ 1 หน้า 220 – 221 การเล่าชีวประวัติของบุคคลสำคัญนั้น ผู้เล่าควรจะให้ความสำคัญหรือเน้น ถึงผลงานชิ้นสำคัญ ๆ หรือวีรกรรมอันเป็นเหตุให้บุคคลนั้นกลายมาเป็นบุคคลสำคัญมากที่สุด ทั้งนี้เพราะผลงานนั้นเปรียบเสมือนเป็นหัวใจของชีวประวัติของบุคคลสำคัญนั่นเอง

67.       ข้อควรระวังที่สุดสำหรับการบอกเล่าประวัติศาสตร์หรือชีวประวัติ ได้แก่

(1) ข้อมูลที่ละเอียด     (2) ข้อโต้แย้งที่ไม่มีข้อสรุป

(3) ความน่าเบื่อ           (4) ต้นฉบับจากหลายแหล่งอ้างอิง

ตอบ 3 หน้า 222 การบอกเล่าประวัติศาสตร์หรือชีวประวัติบุคคลสำคัญจะต้องระวังข้อผิดพลาดต่าง ๆดังนี้ 1. ไม่ควรที่จะกล่าวถึงชีวิตส่วนตัวของเจ้าของชีวประวัติมากเกินไป เพราะจะเป็นการ แสดงถึงความไม่นับถือ 2. ควรเล่าเฉพาะเหตุการณ์ที่ผู้อื่นยังไม่รู้ ส่วนเหตุการณ์ที่คน ส่วนมากรู้แล้วก็เล่าอย่างย่นย่อหรือข้ามไป เพราะจะทำให้ผู้ฟังเบื่อหน่าย ขาดความสนใจ   3. ควรจะอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมและสุภาพ ไม่ยกย่องจนเกินไป

68.       การพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง สิ่งที่จะเป็นข้อมูลสำคัญที่สุด คือ

(1)       ประสบการณ์ร่วม       (2) แหล่งอ้างอิง           (3) ข้อมูลที่มีรายละเอียด        (4) ความจริง

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับตบเอง หรือการพูดเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองในด้านต่าง ๆ เช่น การสัมภาษณ์เข้าทำงาน ฯลฯ มีสิ่งที่เป็นสาระหรือข้อมูลสำคัญที่สุด คือ . ความจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งการพูดจากความเป็นจริง หมายถึง การพูดในสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อน เป็นข้อมูลระดับพื้นฐานที่มีอยู่จริง หรือที่ปรากฏออกมาให้เห็น

69.       การพูดเพื่อให้คำปรึกษาที่ดี ควรมีเป้าหมายไปที่       

(1) ทางออกที่ดีหรือเหมาะสมที่สุด

(2)       ผลประโยชน์กับผู้พูดมากที่สุด           (3) ความรู้ที่ผู้ฟังควรได้รับ       (4) การให้ชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเติม

ตอบ 1 หน้า 248250, (คำบรรยาย) การพูดให้คำปรึกษาที่ดีเพื่อให้การชี้แนะเชิงพฤติกรรมนั้นควรอาศัยแนวคิดการมีส่วนร่วมเป็นหลัก โดยวิธีที่ได้ผลดีและมีประสิทธิภาพที่ควรจะใช้ ในการพูดปรึกษาก็คือ การสะท้อนความรู้สึก ซึ่งมีประโยชน์มากในการพูดให้คำปรึกษาแนะนำ กับนักเรียน นักโทษ ที่มีปัญหาความประพฤติและระเบียบวินัย ทั้งนี้เพื่อสร้างบรรยากาศ ให้มีความอิสรเสรี ความเข้าใจ ความไว้วางใจกัน อันจะเป็นทางนำไปสู่ที่มาของปัญหา และมีเป้าหมายไปที่การแก้ปัญหาซึ่งเป็นทางออกที่ดีและเหมาะสมที่สุด

70.       ความถนัดและทักษะของผู้พูดต้องอาศัยกระบวนการ……….ถึงจะเกิดการพัฒนา

(1)       วิเคราะห์ตนเอง           (2) วิเคราะห์ผู้รับสาร

(3)       วิเคราะห์เนื้อหาเพื่อนำเสนอ   (4) วิเคราะห์สถานการณ์และสิ่งแวดล้อม

ตอบ 1 (คำบรรยาย) การวิเคราะห์ตนเอง เป็นการวิเคราะห์ตัวผู้พูดเองเพื่อพัฒนาปรับปรุงและสร้างบุคลิกภาพในการพูดที่เหมาะสม ไม่ว่าจะป็นในค้านการใช้ภาษา น้ำเสียง ความถนัด และทักษะของผู้พูด ความเชี่ยวชาญในเรื่องที่จะพูด ตลอดจนสุขภาพอนามัย และความเชื่อมั่น ในตนเองก่อนขึ้นพูด

71.       ในการพูดเชิงสาธิตนั้น ความเป็นจริงที่ผู้พูดจะต้องระลึกไว้ตลอดเวลา คือ

(1)       อุปกรณ์ทุกอย่างสามารถใช้แทนคำพูดได้

(2)       อย่าใช้อุปกรณ์ในการนำเสนอมาทดแทนการให้ความรู้ในทุกเรื่อง

(3)       จับจ้องมองอุปกรณ์ตลอดเวลาที่ผู้ฟังมองมายังผู้พูด

(4)       อุปกรณ์ คือ ตัวแทนผู้พูดที่มีความน่าเชื่อถือสูงสุด

ตอบ 2 หน้า 122, (คำบรรยาย) หลักการใช้อุปกรณ์ในการพูดเชิงสาธิต มีดังนี้

1.         อุปกรณ์ เครื่องมือ หรือสิ่งที่ใช้ประกอบต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์และสอดคล้องกับเนื้อหา ของการพูด 2. ผู้พูดสำคัญที่สุดในการถ่ายทอด ส่วนเครื่องมือเป็นเพียงส่วนเสริม จึงไม่มี อุปกรณ์ใด ๆ จะดีที่สุดในทุกกรณี 3. เครื่องมือไม่ใช่การพูด อย่าใช้เครื่องมือโดยไม่จำเป็น 4.ขณะใช้สื่อเป็นเครื่องมือ ผู้พูดอย่าขัดจังหวะหรือดึงความสนใจออกจากผู้ชม/ผู้ฟัง

72.       บุคคลใดสมควรเป็นผู้ถูกสัมภาษณ์  

(1) ผู้นำองค์กร

(2)       ผู้มีอำนาจตัดสินใจ      (3) ผู้เกี่ยวข้องและมีความรู้ในเรื่องนั้น            (4) ผู้ทำหน้าที่สื่อสารมวลชน

ตอบ 3 หน้า 257 – 258, (คำบรรยาย) คุณสมบัติของผู้ให้สัมภาษณ์ (ผู้ถูกสัมภาษณ์) เรียงตามลำดับ ความสำคัญของบุคคลได้ ดังนี้  1. เป็นผู้รู้ (สำคัญที่สุด) 2. เป็นผู้เกี่ยวข้อง รู้เห็น หรืออยู่ในเหตุการณ์ 3. เป็นผู้นำ ผู้บริหาร หรือผู้ที่มีความสำคัญ    4.เป็นผู้มีประสบการณ์            5. เป็นผู้ได้รับความสนใจ        6. เป็นผู้ที่มีตัวตนอยู่จริง

73.       ข้อใดเป็นมารยาทสำคัญของการสัมภาษณ์แบบเป็นพิธีการ

(1)       ต้องสัมภาษณ์อย่างกระชับ ชัดเจน ใช้เวลาน้อยที่สุด

(2)       เลือกหัวข้อสัมภาษณ์ตรงตามภาระหน้าที่ของผู้สัมภาษณ์

(3)       มีการบันทึกเทป และออกอากาศตรงเวลาตามที่ตกลงกันไว้

(4)       มีการนัดเวลา และกำหนดโครงสร้างของแบบสัมภาษณ์

ตอบ 4 หน้า 256 การสัมภาษณ์แบบที่เป็นพิธีการ (Formal Interview) คือ การที่ผู้สัมภาษณ์จะต้อง ตระเตรียมและแจ้งเรืองที่จะสัมภาษณ์ กำหนดโครงสร้างของแบบสัมภาษณ์ นัดวัน เวลา และสถานที่ที่จะสัมภาษณ์ให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ทราบล่วงหน้า เพื่อว่าผู้ถูกสัมภาษณ์จะได้มีเวลาเตรียมตัว ซึ่งการสัมภาษณ์ชนิดนี้มักจะเป็นการสัมภาษณ์บุคคลที่ไม่คุ้นเคยกัน เช่น บุคคลในวงการเมือง เชื้อพระวงศ์ ผู้บริหารประเทศ ฯลฯ

74.       การสัมภาษณ์นั้นมีความหมายสำคัญในด้านการสื่อสารมวลชนอย่างไร

(1)       ทำให้รู้ซึ้งถึงข้อมูลเชิงลึก        (2) ทำให้มีการทบทวนเหตุการณ์

(3)       ทำให้ความจริงถูกเปิดเผย       (4) ทำให้มีการจัดระเบียบข่าวสาร

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 30 ประกอบ

75.       มนุษยสัมพันธ์ในการสัมภาษณ์ เป็นผลมาจากการรู้จัก        

(1) พัฒนาตน

(2)       นำเหตุผลมาใช้           (3) ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์            (4) ถาม

ตอบ 3 หน้า 258, (คำบรรยาย) คุณสมบัติของผู้สัมภาษณ์ประการหนึ่ง คือ จะต้องเป็นผู้ที่มี มนุษยสัมพันธ์ดี ซึ่งเป็นผลมาจากการรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และบุคคลทุกคน หรือไม่ทำลายบรรยากาศการพูดคุย จนสามารถสร้างความสัมพันธ์ได้ในระยะเวลาอันสั้น

76.       มารยาทในการสัมภาษณ์มีความเกี่ยวข้องกับข้อใดมากที่สุด

(1) การให้เกียรติ         (2) ข้อมูลสำคัญ          (3) ผลตอบแทบ          (4) เวลา

ตอบ 1 หน้า 259263 มารยาทที่ดีของผู้สัมภาษณ์ย่อมทำให้ผู้ให้สัมภาษณ์ให้ความร่วมมือ ซึ่งการที่ ผู้สัมภาษณ์จะแสดงมารยาทที่ดีได้นั้นก็ต่อเมื่อมีทัศนคติที่ดีต่อผู้ให้สัมภาษณ์ และที่สำคัญต้อง รู้จักให้เกียรติผู้ให้สัมภาษณ์ด้วยการรักษาความลับส่วนบุคคลของผู้ให้สัมภาษณ์ด้วย

77.       ข้อใดกล่าวถูกต้องในเรื่องการแนะนำองค์ปาฐก

(1) บอกชื่อและภูมิหลังให้ละเอียด      (2) กล่าวสนับสนุนก่อนจะเข้าสู่เนื้อหา

(3)       ให้แนะนำมิใช่เล่าชีวประวัติ     (4) เกริ่นว่าชอบหรือไม่ชอบอะไรก่อน

ตอบ 3 หน้า 310 การแนะนำองค์ปาฐกมิใช่การเล่าชีวประวัติ ดังนั้นจึงควรมีใจความสั้นแต่รวม

ความหมายได้หมด และไม่ควรอย่างยิ่งที่จะนำเรื่องส่วนตัวขององค์ปาฐกมาพูด แต่ถ้าจำเป็น ควรจะขออนุญาตองค์ปาฐกเสียก่อน

78.       การแนะนำตัวผู้พูดเกินความเป็นจริง จะมีผลอย่างไร           

(1) สร้างความภาคภูมิใจ

(2)       เป็นเกียรติอย่างยิ่ง     (3) ผิดหวังต่อการพูดครั้งนั้น   (4) ผู้ฟังเกิดความคาดหวัง

ตอบ 4 หน้า 311, (คำบรรยาย) ในการแนะนำองค์ปาฐกนั้น ควรจะอยู่ในขอบเขตของคุณงามความดีขององค์ปาฐกเท่านั้น ผู้พูดแนะนำควรระวังอย่าให้ออกนอกเรื่อง หรือพูดเกินความจริง เพราะ จะทำให้องค์ปาฐกเกิดความกระดากเขินอายต่อหน้าผู้ฟัง และยังทำให้ผู้ฟังเกิดความคาดหวังสูง ต่อการพูดครั้งนั้นด้วย

79.       การพูดแบบธรรมกถา เนื้อหาที่พูดมักเป็นไปในด้าน

(1)       ให้อารมณ์ความรู้สึกร่วมปนบันเทิง     (2) รับรู้ความจริงที่เกิดกับชีวิต

(3)       ให้ข่าวสารที่สมบูรณ์แบบน่าเชื่อถือ    (4) ระลึกถึงคุณงามความดีของบุคคล

ตอบ 2 หน้า 307 – 309, (คำบรรยาย) การพูดแบบธรรมกถา เป็นการแสดงปาฐกถในด้านความรู้ทั่วไป โดยเนื้อหาที่พูดมักเป็นไปในด้านการให้ความรู้ทางธรรมะ เพื่อให้รับรู้ความจริงที่เกิดกับชีวิต แต่ไม่ว่าจะแสดงปาฐกถาในด้านใด ผู้พูดหรือองค์ปาฐกควรเป็นผู้ที่มีความรู้เฉพาะด้านและมี ประสบการณ์ในด้านนั้น ๆ อย่างเชี่ยวาญ โดยควรแสดงสาระออกมาให้เด่นชัดและเข้าใจง่าย

80.       บุคคลที่จะเป็นองค์ปาฐก ควรมีลักษณะเด่นด้านใด

(1)       เป็นผู้เชี่ยวชาญที่ให้ความรู้เฉพาะด้าน            (2) มีกิจการและประสบการณ์มาก

(3) มีวิสัยทัศน์สามารถในการถ่ายทอดได้ดี     (4) เป็นผู้นำที่ประสบความสำเร็จ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 79. ประกอบ

81.       การจัดการอภิปราย สนับสนุนแนวความคิดทางสังคมด้านใด

(1)       การมีส่วนร่วม (2) การบริหารความเสี่ยง (3) การจัดการองค์กร         (4) การประกันคุณภาพ

ตอบ 1 หน้า-337 จุดมุ่งหมายของการอภิปรายได้แก่ 1. เพื่อหาข้อเท็จจริงโดยเน้นการมีส่วนร่วมในการแลกเปลี่ยนความรู้อย่างมีเหตุผล 2. เพื่อนำความรู้มาแก้ปัญหาสังคม โดยใช้หลัก ความคิดเห็นแบบประชาธิปไตย        3. เพื่อตรวจสอบความเห็นส่วนรวมแล้วนำไปปฏิบัติ  4.เพื่อฝึกให้ผู้ร่วมอภิปรายมีความคิดแบบประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น    5. เพื่อช่วยให้ผู้ร่วมอภิปรายได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น

82.       เงื่อนไขสำคัญของการพูดแบบอภิปราย คือ  

(1) ให้ข้อมูล โต้เถียงอย่างมีเหตุผล

(2)       ใช้เสียงข้างมากตัดสินข้อโต้แย้ง (3) กลั่นกรองความคิดโดยผู้รู้         (4) เผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อต่าง ๆ ได้

ตอบ 1 หน้า 337 – 338 การอภิปรายจะต้องเป็นการปรึกษาหารือของคนกลุ่มหนึ่งโดยมีการให้ข้อมูลและโต้เถียงกับอย่างมีเหตุผล เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ทัศนคติและประสบการณ์ ซึ่งจะมีรูปลักษณะง่าย ๆ ก็คือ เป็นการสนทนากันอย่างมีเหตุผลนั่นเอง

83.       เรื่องที่เข้าสู่วาระการอภิปราย ควรมีลักษณะ

(1) ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน         (2) มีขอบเขตและหลักการรองรับ

(3)       เป็นเรื่องเฉพาะที่ควรพูดวงใน            (4) เป็นประเด็นขัดแย้งรุนแรงในสังคม

ตอบ 2 หน้า 340 – 341, (คำบรรยาย) ปัญหาหรือเรื่องที่จะนำเข้าสู่วาระการอภิปรายควรมีลักษณะ ดังนี้

1.         เป็นปัญหาที่มีขอบเขตไม่กว้างจนเกินไป และมีหลักการรองรับ

2.         เป็นปัญหาที่มีสาระและประโยชน์ต่อส่วนรวม 3. เป็นปัญหาที่น่าสนใจทั้งต่อผู้ร่วมอภิปราย และผู้ฟัง หรือเป็นปัญหาที่สังคมส่วนใหญ่ยังเข้าใจไม่ถูกต้อง

84.       หน้าที่ของผู้ดำเนินการอภิปรายโดยตรง ได้แก่

(1) เลือกผู้ที่จะเข้าร่วมอภิปราย           (2) จัดเวทีและอุปกรณ์ประกอบ

(3) เชิญผู้ร่วมอภิปรายร่วมถ่ายภาพ    (4) แนะนำผู้อภิปรายทั้งหมดให้ได้รู้จักกัน

ตอบ 4 หน้า 343 ผู้ดำเนินการอภิปราย จะต้องทำหน้าที่แนะนำผู้อภิปรายทั้งหมดให้ผู้ฟังได้รู้จัก ซึ่งการแนะนำนั้นจะต้องไม่ยืดยาวเกินไป และจะต้องเริ่มต้นด้วยชื่อ ตำแหน่งหน้าที่ ผลงาน ที่ดีเด่น และความสามารถที่เหมาะกับการอภิปรายนั้น ๆ

85.       การวางตัวของผู้ดำเนินการอภิปราย ควรเป็นเช่นไร

(1)       เข้าข้างผู้มีท่าทีเข้าข้างฝ่ายจัดการประชุม

(2)       ให้การสนับสนุนผู้อภิปรายที่ได้รับความชื่นชมจากผู้ฟัง

(3)       แสดงออกถึงการสนับสนุนให้มีการระดมความคิด

(4)       สงวนท่าทีอย่าให้ฝ่ายใดคาดเดาจุดยืนหรือท่าทีออก

ตอบ 3 หน้า 342 – 343 ผู้ดำเนินการอภิปรายจะต้องรู้จักเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น คือ ไม่เป็นผู้พูด แค่ฝ่ายเดียว โดยควรสนับสนุนให้ผู้อภิปรายคนอื่น ๆ ได้มีการระดมความคิดเห็นให้มากที่สุด แม้ว่า ผู้อภิปรายบางคนจะเป็นคนพูดน้อยก็ควรช่วยส่งเสริมชักนำให้ผู้อภิปรายคนนั้น ๆ ได้พูดเพิ่มเติมอีก

86.       ข้อใด คือ ความหมายของการโต้วาที

(1) ใช้วาทศิลป์หักล้างเหตุผล (2) โต้เถียงในปัญหาสำคัญ

(3) ใช้วาทศิลป์อย่างได้เปรียบ            (4) ใช้เหตุผลด้วยความรอบคอบ

ตอบ 1 หน้า 403 การโต้วาที คือ การโต้แย้งด้วยการใช้คำพูดที่ประกอบด้วยเหตุผลและใช้วาทศิลป์ หักล้างเหตุผลของอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อมุ่งให้ได้รับชัยชนะ ซึ่งการโต้วาทีนี้ถือว่าเป็นการพูดแบบชักจูง และเป็นการอภิปรายที่จะต้องมีการโต้แย้งกันด้วยเหตุผล เพื่อตัดสินว่าจะรับหลักการหรือ นโยบายนั้นหรือไม่

87.       การแบ่งฝ่ายในการโต้วาที มีดังนี้

(1) ฝ่ายญัตติ ฝ่ายวาระ           (2) ฝ่ายนำประเด็น ฝ่ายถกประเด็น

(3) ฝ่ายเห็นชอบ ฝ่ายขัดแย้ง  (4) ฝ่ายเสนอ ฝ่ายค้าน

ตอบ 4 หน้า 407 ในการโต้วาทีนั้นจะแบ่งผู้โต้วาทีออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายเสนอและฝ่ายค้านโดยหัวหน้าฝ่ายเสนอจะเป็นผู้พูดก่อน และหัวหน้าฝ่ายค้านเป็นผู้พูดต่อมา หลังจากนั้นก็จะ เป็นผู้สนับสนุนฝ่ายเสนอ และผู้สนับสนุนฝ่ายค้านตามลำดับ

88.       ข้อใดไม่ใช่จุดประสงค์หลักของการศึกษาและเรียนรู้ทักษะการโต้วาทีที่มีต่อสังคม

(1)       ฝึกวาทศิลป์ให้เป็นผู้เข้าถึงความขัดแย้ง และหาทางอธิบายด้วยเหตุผล

(2)       ฝึกการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพในการรักษาผลประโยชน์องค์กร

(3)       ฝึกการชักจูงใจเพื่อให้คนอื่นคล้อยตามความเห็น

(4)       ฝึกการใช้เหตุผลในการนำเสนอ และยอมรับความเห็นที่ขัดแย้ง

ตอบ 2 หน้า 404 จุดมุ่งหมายของการเรียนรู้เรื่องการโต้วาที ได้แก่ 1. ฝึกให้ผู้เรียบได้รู้จักวิธีพูด เสนอข้อคิดเห็นของตน คัดค้านหรือโต้แย้งข้อคิดเห็นของผู้อื่นด้วยเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์

2.         ฝึกผู้เรียนให้เป็นผู้ฟังที่ดี รู้จักใช้ความคิดอย่างมีเหตุผลก่อนที่จะเชื่อสิ่งใดก็ตาม

3.         ส่งเสริมให้ผู้เรียนรู้จักพูดชักจูงใจคนฟังให้คล้อยตามความคิดเห็นของตนเอง

4.         แนะนำให้ผู้เรียนได้เรียนรู้หลักเกณฑ์ของการโต้วาที และได้เรียนรู้วิธีการพูด

89.       พิธีกรที่ดี ไม่ควร

(1) รู้จักการแต่งตัวตามสมัยนิยม        (2) รู้จักเรื่องที่จะพูดในรายละเอียด

(3) ปรับตัวเข้ากับงานได้ทุกรูปแบบ    (4) พูดยาวและมากได้เท่าที่ต้องการ

ตอบ 4 หน้า 443 ข้อแนะนำสำหรับผู้ที่จะทำหน้าที่เป็นโฆษกหรือพิธีกรที่ดี มีดังนี้

1.         ต้องพยายามให้สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ

2.         ต้องทำตัวให้สง่า         3. ต้องรู้จักเลือกถ้อยคำและเรืองที่จะนำมาพูด

4.         อย่าพูดให้ยาวหรือมากเกินไป 5. พยายามหลีกเลี่ยงการใช้ข้อความหรือถ้อยคำที่ซ้ำซาก

90.       ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ของพิธีกร

(1) รักษาเวลา และสรุปประเด็นสำคัญ           (2) พูดถึงตนเองร่วมกับผู้ที่รับเชิญขึ้นมาพูด

(3) ประสานงานกับผู้พูดแต่ละคนเรื่องการใช้เวที       (4) ชักจูงให้วิทยากรพูดให้กระชับขึ้น

ตอบ 2 หน้า 444, (คำบรรยาย) การปฏิบัติหน้าที่พิธีกร มีดังนี้

1. พูดให้สั้น และมีชีวิตชีวา      2. ต้องพูดเน้นถึงผู้ที่ได้รับเชิญให้ขึ้นมาพูด

3.         ก่อนที่จะเชิญคนต่อไปขึ้นมาพูด พิธีกรอาจใช้คำพูดสั้น ๆ พูดให้ผู้ฟังเกิดความสนใจ และมีความกระตือรือร้นที่จะฟัง

4.         ต้องประสานงานกับผู้พูด หรือฝ่ายกำกับเวทีเกี่ยวกับเรื่องเวลาและการใช้เวที

5.         ชักจูงให้ผู้พูดพูดให้กระชับ ตรงประเด็น และคอยสรุปประเด็นสำคัญให้รัดกุม ฯลฯ

91.       การกล่าวต้อนรับอย่างเป็นพิธีการจะต้องเริ่มด้วย

(1) การแนะนำเจ้าภาพ            (2) คำปฏิสันถาร

(3) การกล่าวขอบคุณแขกผู้มีเกียรติ   (4) แสดงความชื่นชมในโอกาส

ตอบ 2 หน้า 445 การกล่าวต้อนรับ เป็นการแสดงออกถึงการให้เกียรติแก่ผู้ที่มาเยี่ยม เป็นการแนะนำผู้มาเยี่ยม หรือผู้มาใหม่ให้รู้จักสถานที่นั้น ๆ ดีขึ้น โดยการกล่าวต้อนรับจะต้องเริ่มต้น ด้วยการกล่าวคำปฏิสันถารก่อนเสมอ

92.       การกล่าวอำลาการเยี่ยม เนื้อหาส่วนใหญ่จะประกอบด้วย

(1)       การกล่าวขอบคุณ ความประทับใจ การเชื้อเชิญให้ปเยือน

(2)       ความประทับใจ เหตุที่ต้องอำลา ความอาลัยต่อเจ้าของบ้านเดิม

(3)       การกล่าวขอบคุณ จุดหมายปลายทางที่จะไป ความสัมพันธ์ในอนาคต

(4)       การเชื้อเชิญให้ไปเยือน เหตุที่ต้องกลับ ความผูกพันระหว่างกัน

ตอบ 1 หน้า 446 การกล่าวอำลาจากการเยี่ยมนั้น ไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอน แต่ส่วนใหญ่จะถือเป็น หลักปฏิบัติ ดังนี้            1. คำปฏิสันถาร           2. กล่าวขอบคุณ      3. กล่าวถึงความประทับใจในการต้อนรับ          4. กล่าวเชื้อเชิญเจ้าของบ้านให้ไปเยือนตนบ้าง

93.       สมมุติฐานที่จะเป็นกำลังใจให้ทุกคนหันมาปรับปรุงการพูดของตนเอง คือ

(1)       การพูดเป็นความยากที่ท้าทาย อย่างคุณจะทำได้หรือเปล่า

(2)       คนเราพูดได้ทุกคน แต่จะพูดเป็นหรือเปล่านั้นมันอีกเรื่องหนึ่ง

(3)       คนเราทุกคนสามารถที่จะเรียนรู้และพัฒนาทักษะต่าง ๆ ได้ การพูดก็เช่นกัน

(4)       การพูดเป็นธรรมชาติของมนุษย์ คนเราไม่อาจจะทิ้งสัญชาตญาณส่วนนี้ได้

ตอบ 3 หน้า 11,486 ในการวิจารณ์นั้น ผู้วิจารณ์ควรจะเสนอข้อแนะนำของตนเองในทางที่ดี มีประโยชน์ เพื่อว่าผู้พูดจะได้นำไปปรับปรุงการพูดของตนเองให้ดีต่อไปโดยอาจให้กำลังใจว่าไม่มีใครที่เกิดมา แล้วก็พูดเก่งเลย เพราะการที่จะพูดได้อย่างคล่องแคล่ว พูดให้จับใจคนฟัง พูดให้คนเชื่อถือ ศรัทธา และเข้าใจนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่สามารถศึกษาและฝึกฝนทักษะได้ ยิ่งฝึกมาก ความชำนาญในการพูด ยิ่งพัฒนาขึ้นตามลำดับ

94.       ตามมารยาทของการกล่าวตอบที่ได้รับรางวัลหรือของขวัญนั้น สิ่งที่ผู้พูดจะต้องให้ความสำคัญ และกล่าวถึงเสมอ คือ

(1)       อธิบายความเป็นมาของรางวัลหรือของขวัญชิ้นนั้น

(2)       กล่าวขอบคุณผู้ทีมีส่วนช่วยให้ตนเองประสบความสำเร็จ

(3)       ความประทับใจที่มีต่อกรรมการและผู้ตัดสินที่ส่งเสริมให้มีวันนี้

(4)       อุปสรรคปัญหาที่ได้รับระหว่างการต่อสู้แข่งขัน และบอกด้วยว่าเป็นใคร

ตอบ 2 หน้า 448 ในงานที่เป็นพิธีการ ผู้ได้รับรางวัลหรือของขวัญจะต้องกล่าวตอบขอบคุณ โดยอาศัย หลักเกณฑ์ ดังนี้ 1. คำปฏิสันถาร 2. กล่าวถึงความรู้สึกยินดีที่ตนได้รับรางวัลหรือของขวัญ 3. กล่าวขอบคุณผู้ที่มีส่วนช่วยทำให้ตนประสบความสำเร็จ     4. พูดให้เห็นความรู้สึกว่าของขวัญหรือของรางวัลนั้นมีความหมายสำหรับตนมาก     5. กล่าวขอบคุณ

95.       ข้อใด คือ ความหมายของ Speech

(1) พิจารณาผู้ฟังเป็นสำคัญ   (2) เป็นเครื่องมือของสื่อสารมวลชน

(3) เตรียมการอย่างมีขั้นตอน  (4) ไข้ภาษากายและท่าทางให้เหมาะสม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 34. ประกอบ

96.       Rehearsal มีความสำคัญในฐานะ

(1)       เป็นกระบวบการสำรวจปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการพูด

(2)       เป็นกลไกที่จะรับฟังเสียงตอบกลับจากผู้ชมที่ติดตามมาตลอด

(3)       เป็นเครื่องมือที่จะทำให้การนำเสนอมีความสมบูรณ์แบบที่สุด

(4)       เป็นแบบทดสอบความพร้อมของการเตรียมเนื้อหาข่าวสารที่จะพูด

ตอบ 1 หน้า 51, (คำบรรยาย) การฝึกซ้อมพูด (Rehearsal) มีความสำคัญต่อการเสนอเรื่องพูดบนเวที เนื่องจากเป็นกระบวนการสำรวจปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการพูด ซึ่งเป็นการค้นหา ข้อบกพร่องเพี่อจะได้ทำการปรับปรุงแก้ไขการพูดให้ดียิ่งขึ้น

97.       การจัดลำดับของเนื้อเรื่องที่จะพูด ไม่ควรอาศัยกฎเกณฑ์ใด

(1) ความสำคัญของปัญหา     (2) ปริมาณของผลกระทบด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

(3) พื้นที่และขอบเขตทางภูมิคาสตร์   (4) ความถนัดและรสนิยมของผู้พูด

ตอบ 4 หน้า 36 – 37, (คำบรรยาย) การเรียงประเด็นหรือจัดสำดับเนื้อเรื่องของการพูดมีวิธีการดังนี้

1.         เรียงตามสำดับเวลา ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายต่อการนำเสนอและทำให้สับสนน้อยที่สุด

2.         เรียงตามสถานที่เกิดเหตุ หรือพื้นที่และขอบเขตทางภูมิศาสตร์

3.         เรียงตามคำจำกัดความ          4. เรียงตามหมวดหมู่

5.         เรียงตามเหตุผล          6. เรียงตามแนวคิด ทฤษฎี

7. เรียงตามผลกระทบที่เกิดขึ้น           8. เรียงตามความสำคัญของปัญหา (เนื้อเรื่อง)

98.       การนำเสนอความคิดที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลนั้น อาศัยช่องทางที่เรียกว่า

(1) ทักษะ        (2) ผู้ฟัง           (3) ภาษา         (4) อากาศ

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ความคิด คือ เนื้อหาที่ใช้ในการสื่อสาร ซึ่งความคิดจะเดินทางจากคนหนึ่งไปสู่ อีกคนหนึ่งได้จะต้องมีการเข้ารหัสเป็นภาษาก่อน โดยภาษาจะบอกได้ว่าคู่สื่อสารมีเป้าหมาย อย่างไร ดังนั้นการนำเสนอความคิดในการสื่อสารระหว่างบุคคลจึงต้องอาศัยภาษาเป็นช่องทางในการสื่อสาร

99.       การเลือกเรื่องที่จะพูด ควรจะ

(1)       เป็นเรื่องยากที่สามารถค้นคว้าข้อมูลได้จากสื่อต่าง ๆ

(2)       เป็นเรื่องง่ายต่อการทำความเข้าใจ แม้ว่าคนที่ฟังจะไม่ใช่คนที่มีการศึกษาดี

(3)       มีความละเอียดซับซ้อน เป็นการแสดงออกถึงความสามารถอย่างแท้จริง

(4)       สื่อมวลชนให้ความสำคัญ หรือในวาระแห่งชาติอยู่ในความสนใจของผู้ฟัง

ตอบ 4 หน้า 23, (คำบรรยาย) ในการเลือกเรื่องไปพูดนั้น ผู้พูดต้องพยายามเลือกเรื่องที่ทั้งผู้พูดและผู้ฟัง สนใจเป็นอันดับแรก ยิ่งถ้าเป็นเรื่องที่ผู้พูดถนัดหรือมีความรู้และสามารถหาข้อมูลมานำเสนอได้ ก็จะทำให้พูดได้ดี และถ้าเรื่องนั้นผู้ฟังสนใจด้วยก็ดูเหมือนว่าผู้พูดได้ประสบความสำเร็จขั้นต้น ในการเรียกความสนใจจากผู้ฟัง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ผู้ฟังไม่สนใจ การพูดนั้นก็จะล้มเหลว

100.    การพูดเป็นวิชาชีพเพราะเหตุผลใด

(1)       เพราะการพูดสามารถให้คุณประโยชน์และโทษได้

(2)       เพราะต้องผ่านการศึกษา และองค์กรวิชาชีพรองรับมาตรฐานและมีจรรยาบรรณ

(3)       เพราะต้องอาศัยทักษะการนำเสนอ มีความเป็นศิลปะ และเป็นวิทยาการเก่าแก่

(4)       เพราะมีความสำคัญและมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวัน

ตอบ 2 หน้า 3, (คำบรรยาย) การพูดเป็นวิชาชีพ เพราะคนเราทุกคนและทุกอาชีพต้องใช้การพูดเป็นเครื่องมือสื่อความหมาย นอกจากนี้การพูดยังเป็นวิชาที่ต้องผ่านการศึกษา โดยมีองค์กร วิชาชีพรองรับมาตรฐานและมีจรรยาบรรณในการควบคุมดูแลการประกอบอาชีพ

MCS1300 (MCS1350) หลักการพูดเบื้องต้น การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา MCS 1300 (MCS 1350) หลักการพูดเบื้องต้น

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

ข้อ 1. – 10. จงใช้ตัวเลือกดังต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1)       วิเคราะห์ตนเอง           (2) วิเคราะห์ผู้ชม-ผู้ฟัง

(3) วิเคราะห์เนื้อหา      (4) วิเคราะห์สถานการณ์

1.         พิจารณาถึงแผนผังสายการบังคับบัญชาของหน่วยงานที่จะไปพูด

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การวิเคราะห์สถานการณ์ เป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์ที่ จะไปพูด ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมมากที่สุด เพราะสถานการณ์การพูดจะบ่งบอกว่า เนื้อหาที่จะนำไปพูดนั้นมีความเหมาะสมหรือไม่ หากไม่เหมาะสมก็จะต้องปรับเปลี่ยนเนื้อหาบางส่วน ส่วนใหญ่ หรือทั้งหมด ตัวอย่างสถานการณ์หรือสภาพแวดล้อมการพูด ได้แก่ เวลา สถานที่ โอกาส และเจ้าภาพ หรือธรรมชาติของหน่วยงานที่เชิญไปพูด เป็นต้น

2.         มองให้ออกว่ากลุ่มเป้าหมายชอบหรือไม่ชอบคนพูด

ตอบ 2 หน้า 20 – 23, (คำบรรยาย) การวิเคราะห์ผู้ชม-ผู้ฟัง เป็นสิ่งที่วิชาการพูดให้ความสำคัญ เป็นอันดับต้น ๆ เพราะในการพูดแต่ละครั้งผู้พูดจะต้องวิเคราะห์ผู้ชม-ผู้ฟัง โดยพิจารณาจาก 1. ผู้ฟังมีจำนวนทั้งสิ้นเท่าใด 2. ประกอบด้วยหญิง-ชาย วัยใด มีสัดส่วนเท่าใด

3.         ผู้ฟังมาจากกลุ่มสังคม กลุ่มอาชีพใด 4. มีพื้นฐานความรู้ ประสบการณ์อย่างไร

5.         รู้หรือมีประสบการณ์กับหัวข้อที่พูดแค่ไหน

6.         มีทัศนคติทางใด สนใจอะไร ชอบหรือไม่ชอบสิ่งใด

7.         มุ่งหวังอะไรจากการพูดฯลฯ

3.         คุณสุวิมลตัดสินใจที่จะใช้การสาธิตจังหวะเต้นรำโดยเชิญผู้ฟังขึ้นมา

ตอบ 3 (คำบรรยาย) การวิเคราะห์เนื้อหา เป็นการวิเคราะห์สิ่งที่จะนำไปพูด เพื่อให้ได้มาซึ่งลำดับ ประเด็นการพูด จุดเด่นหรือกลวิธีในการนำเสนอ และการใช้วัสดุอุปกรณ์ประกอบการนำเสนอ เพื่อให้ผู้ชม-ผู้ฟังมีความเข้าใจในเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้น เช่น ใช้การสาธิต แบบจำลองหรือโมเดล แผนภูมิ แผนสถิติ ตลอดจนการให้อ่านเนื้อหามาล่วงหน้า เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเข้าฟัง การบรรยาย

4.         คณะสื่อสารมวลชนเชิญนักแสดงชื่อดังมาบรรยายความรู้ให้นักศึกษาหัวข้อ ถนนสู่ดวงดาว

ตอบ 1 (คำบรรยาย) การวิเคราะห์ตนเอง เป็นการวิเคราะห์ตัวผู้พูดเองเพื่อพัฒนาปรับปรุงและสร้างบุคลิกภาพในการพูดที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นในด้านการใช้ภาษา น้ำเสียง ความถนัด และทักษะของผู้พูด ความเชี่ยวชาญในเรื่องที่จะพูด ตลอดจนสุขภาพอนามัย และความเชื่อมั่น ในตนเองก่อนขึ้นพูด

5.         อุตส่าห์เตรียมตัวพูดเรื่องนี้ให้สะใจแบบจัดเต็ม แต่ผู้ประสานงานบอกว่ามีเวลาให้แค่ 20 นาที

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

6.         คุณช่วยแจ้งกับท่านอธิบดีหน่อยว่า ผมคอเจ็บมากไปบรรยายตามคำเชิญไม่ได้แล้ว

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

7.         การใช้โมเดลของเขื่อนกักเก็บน้ำประกอบการนำเสนอแผนกู้ภัยแล้งของกรมชลประทาน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

8.         ผมตัดสินใจเลือก ดร.นทีลักษณ์ ไปบรรยายแทนผม เพราะเข้ากับชาวบ้านได้ดีมาก

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

9.         อาจารย์สอนวิชากายวิภาคเตรียมสั่งให้นักศึกษาอ่านบทเรียนล่วงหน้า

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

10.       คุณเกนหลงต้องเปลี่ยนกระเป๋าก่อนลงจากรถ เพราะไมแน่ใจว่าแฟนคลับในจังหวัดนี้เป็น NGO พิทักษ์ สิทธิของสัตว์หรือเปล่า

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ

11.       วิชาที่ว่าด้วยการเตรียมเนื้อหาการพูดให้กับบุคคลในวาระโอกาสต่าง ๆ เรียกว่า

(1)       สารนิพนธ์        (2) บุคคลานิพนธ์        (3) วาทนิพนธ์  (4) บรรณานิพนธ์

ตอบ3(คำบรรยาย) วาทวิทยาหรือวาทนิพนธ์ คือ วิชาที่ว่าด้วยการเตรียมเนื้อหาการพูดให้กับ บุคคลในวาระโอกาสต่าง ๆ ซึ่งสามารถเตรียมสารได้ 2 กรณี คือ เตรียมสารให้กับตัวเอง และคนอื่นก็ได้ โดยสาระหรือเนื้อหาดังกล่าวจะพิจารณาจากความน่าสนใจในการนำเสนอ และการบรรลุถึงจุดมุ่งหมายในการสื่อสาร

12.       ความสัมพันธ์ระหว่างเสียงกับสำเนียง คือ

(1)       เสียงมีความหมาย แต่สำเนียงไม่มีความหมาย

(2)       เสียงเป็นการสื่อสารโดยตรง สำเนียงเป็นการสื่อสารทางอ้อม

(3)       เสียงไม่สามารถบอกอารมณ์ความรู้สึกได้หากไม่มีสำเนียงมาช่วย

(4)       เสียง คือ การพูดโดยตรง ในขณะที่สำเนียงไม่ใช่การพูด

ตอบ 3 (คำบรรยาย) การพูดในเชิงวาทวิทยา หมายถึง เครื่องมือทางการสื่อสารที่ใช้เสียงและสำเนียงโต้ตอบประกอบกันเสมอ โดยเสียงเป็นเพียงการเปล่งวาจาออกมา ส่วนสำเนียงจะบอกถึง อากัปกิริยาหรืออารมณ์ที่สื่อออกไป ดังนั้นเสียงจะไม่สามารถบอกอารมณ์ความรู้สึกได้ หากไม่มีสำเนียงมาช่วย

13.       ในกระบวนการพูดที่หวังประสิทธิผลนั้น มีองค์ประกอบสำคัญ 3 สิ่ง คือ

(1)       การวิเคราะห์เนื้อหา การถ่ายทอดอารมณ์ การสร้างความรู้สึกร่วม

(2)       การปรับปรุงตัวผู้พูด การวิเคราะห์ผู้ฟัง การเลือกเรื่อง

(3)       การสร้างบุคลิกภาพ การปรับปรุงน้ำเสียง การรักษาเวลา

(4)       การมีศิลปะในการถ่ายทอด การเร้าอารมณ์ การมีทักษะในการใช้อุปกรณ์

ตอบ 2 หน้า 11 การพูดที่ดีและมีประสิทธิภาพในกระบวนการพูดที่หวังประสิทธิผลนั้น จะต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบสำคัญ 3 สิ่ง ดังนี้            1. การปรับปรุงตัวผู้พูด    2. การวิเคราะห์ผู้ฟังและสถานการณ์การพูด (กาลเทศะ)  3. การเลือกเรื่องพูด

14.       บุคลิกภาพของผู้พูดในการนำเสนอเรื่องบนเวทีเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและน่าสนใจ ได้แก่

(1)       ภาษา ความคิด การสื่อความหมาย     (2) การใช้เสียง การเลือกคำที่มีความหมายถูกต้อง รสนิยม

(3) การแต่งกาย น้ำเสียง การปรากฏตน         (4) เทคนิคการนำเสนอ การตรงต่อเวลา ความมีวินัย

ตอบ 3 (คำบรรยาย) บุคลิกภาพของผู้พูดในการนำเสนอเรื่องบนเวทีเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นและน่าสนใจ ได้แก่ 1. น้ำเสียง (ต้องสอดคล้องกับเนื้อหา)     2. การแต่งกาย (เสื้อผ้า หน้า ผม ฯลา)  3. การปรากฏตนหรือปรากฏกาย (เช่น มาสาย มาช้า มารยาทในการทักทายคน ฯลฯ)

15.       ผู้ฟังกับผู้ชม ต่างกันที่

(1)       จำนวน (2) ความสนใจที่มีต่อเนื้อหา

(3) ความรู้สึกที่ให้แก่ผู้พูด       (4) สภาพการรับรู้ข่าวสารจากผู้ส่งสาร

ตอบ 4 หน้า 6, (คำบรรยาย) ผู้ชม-ผู้ฟัง (Audience or Listener) มีฐานะเป็นผู้รับสาร (Receiver) และมักเป็นกลุ่มเป้าหมายของการพูดเสมอ โดยผู้ชม-ผู้ฟังต่างกันที่สภาพการรับรู้ข่าวสารจาก ผู้ส่งสารหรือสื่อที่นำเสนอ กล่าวคือ ผู้ชม (Audience) จะรับรู้ข่าวสารจากการดูและฟัง เช่น ผู้ชมโทรทัศน์ ผู้ชมภาพยนตร์ ฯลฯ ส่วนผู้ฟัง (Listener) จะรับรู้ข่าวสารจากการฟังอย่างเดียว เช่น ผู้ฟังวิทยุ ฯลฯ

16.       ขั้นตอนต่อจากการวิเคราะห์ผู้ฟังและสถานการณ์การพูด คือ

(1)       การกำหนดวัตถุประสงค์ของการพูดให้มีความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมาย

(2)       ร่างเนื้อหาสาระของการพูดให้มีความสัมพันธ์กับความสนใจผู้ฟัง

(3)       การกำหนดหัวข้อการพูดตามประเด็นต่าง ๆ อย่างละเอียดตามข้อมูลที่มีอยู่

(4)       ทำการผสมผสานข้อความเร้าอารมณ์หรือสร้างหัวข้อแปลกใหม่ให้น่าฟัง

ตอบ 1 หน้า 23 – 24, (คำบรรยาย) ขั้นตอนต่อจากการวิเคราะห์ผู้ฟังและสถานการณ์การพูด คือ การเลือกเรื่องพูดและการเตรียมเนื้อเรื่องโดยผู้พูดจะต้องกำหนดเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการพูดให้มีความสัมพันธ์กับระบบสังคมและวัฒนธรรมของผู้ฟังกลุ่มเป้าหมายก่อน แล้วจึงกำหนด หัวข้อการพูดตามประเด็นต่าง ๆ อย่างละเอียดตามข้อมูลที่มีอยู่หรือตามที่ได้ทำการค้นคว้า หาข้อเท็จจริงมา จากนั้นจึงร่างเนื้อหาสาระของการพูดให้มีความสัมพันธ์กับความสนใจของผู้ฟัง

17.       ภาพพจน์ของผู้พูด หมายถึง

(1)       เห็นดี   (2) เห็นได้        (3) ชื่นชม         (4) เชื่อถือ

ตอบ 2 หน้า 12, (คำบรรยาย) การวิเคราะห์ตน (ตัวผู้พูดเอง) จะเกี่ยวข้องกับสิ่งสำคัญ 2 อย่าง ได้แก่

1.         ภาพลักษณ์ คือ สิ่งที่ผู้ฟังรู้สึกกับตัวผู้พูดจากประสบการณ์ จากสิ่งที่รับรู้ หรือจากสิ่งที่เห็น และประเมินค่า

2.         ภาพพจน์ คือ การเห็นภาพตามคำพูด ซึ่งผู้ที่พูดเก่งต้องสามารถพูดแล้วทำให้ผู้ฟังเห็นภาพ ตามได้

18.       ข้อด้อยที่สุดของการซ้อมพูดกับคนคุ้นเคย คือ

(1)       การละเลยความผิดพลาดอันเป็นผลมาจากความเคยชิน

(2)       ไม่สามารถบอกความจริงที่เกิดขึ้นได้เลย

(3)       หาข้อผิดพลาดได้ยากเพราะรู้จักกันดี

(4)       มีความเกรงใจตามลักษณะคนไทยที่ไม่กล้าบอกความจริงมากเกินไป

ตอบ 3 หน้า 52, (คำบรรยาย) วิธีฝึกซ้อมพูดกับคนคุ้นเคย เช่น เพื่อน ๆ หรือญาติพี่น้องในครอบครัว มีข้อดีคือ คนคุ้นเคยจะรู้บุคลิกลักษณะของเราเป็นอย่างดี ทำให้บอกข้อดี-ข้อเสียของเราได้ แต่ก็อาจมีความเกรงใจจนไม่กล้าบอกความจริงมากเกินไป และที่เป็นข้อด้อยที่สุดก็คือ หาข้อผิดพลาดของเราได้ยากเพราะรู้จักกันดีจนชาชินกับการรับรู้

19.       ข้อใดเป็นแนวคิดพื้นฐานของวิชาการพูด

(1)       การพูดเป็นพรสวรรค์   (2) คนปกติพูดได้แต่อาจไม่ดีเท่ากัน

(3) การพูดเป็นทักษะที่ไม่อาจพัฒนาได้          (4) การพูดไม่ต้องอาศัยการเรียนรู้

ตอบ 2 (คำบรรยาย) แนวความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับวิชาการพูด มีดังนี้

1.         ทุกคนพูดได้แต่อาจจะพูดดีไม่เท่ากัน  2. การจะพูดดีไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์เสมอไป 3.      การพูดมีส่วนที่เป็นศาสตร์และศิลป์ประกอบกันเสมอ  4. การพูดเป็นวัจนภาษาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงการใช้อวัจนภาษา 5. การพูดสามารถเรียนรู้ ฝึกฝน และพัฒนาได้

20.       สิ่งเร้าในการพูดที่นอกเหนือจากผู้พูดและผู้ฟัง จัดเป็น

(1)       ช่องทางการสื่อสาร      (2) ผลกระทบที่ได้จากการพูด

(3) ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง    (4) สิ่งแวดล้อม

ตอบ 4 หน้า 7, (คำบรรยาย) สิ่งแวดล้อมของการพูด คือ สถานการณ์หรือสิ่งที่จะส่งผลต่อการพูด จัดเป็นสิ่งเร้าในการพูดที่นอกเหนือจากผู้พูดและผู้ฟัง ซึ่งพิจารณาได้จากสิ่งต่าง ๆ ดังนี้

1.         ระบบสังคมวัฒนธรรม เช่น ศาสนา จารีตประเพณี แนวทางปฏิบัติของครอบครัว ฯลฯ

2.         กฎระเบียบ อำนาจหน้าที่ 3. กระแสสาธารณมติ 4. นโยบาย แผนงาบ และโครงการ

21.       สาระที่เหมาะสมในการพูด มีพื้นฐานมาจาก

(1)       ความคิดที่มีการกลั่นกรอง       (2) ประสบการณ์และกรอบอ้างอิง

(3) สื่อ หรือโสตทัศนูปกรณ์ที่ดีพอ       (4) การฝึกฝนด้วยตนเอง

ตอบ 1 (คำบรรยาย) สาระเนื้อหาหรือข้อมูลข่าวสารที่เหมาะสมในการพูดนั้น มีพื้นฐานมาจากความคิดและการกลั่นกรองโดยอาศัยสติปัญญาของผู้พูด ซึ่งการพูดจะประสบความสำเร็จได้ต้องมาจาก ความคิดและการแสดงออกที่สอดคล้องกัน

22.       การประสานสายตากับผู้ฟัง มีวิธีการอย่างไร

(1)       จ้องที่คนแถวหน้าสลับกับประธานหรือเจ้าภาพ

(2)       มองเป็นจุด ๆ อย่างเป็นระบบ แล้วทวนกลับไปใหม่

(3)       มองจากหลังมาหน้า ซ้ายไปขวา แล้วสุ่มมองทั่วห้องเป็นระยะ ๆ

(4)       สบตากับคนที่สนใจฟัง หรือผู้ที่เป็นจุดเด่นในห้อง

ตอบ 3 หน้า 1654, (คำบรรยาย) วิธีการใช้สายตาหรือการประสานสายตากับผู้ฟังในขณะที่พูด มีดังนี้

1.         สายตาจะต้องจับอยู่ที่ใบหน้าของผู้ฟัง

2.         ควรมองผู้ฟังให้ทั่วถึง อย่าหยุดที่จุดใดจุดหนึ่งนานเกินควร

3.         พยายามมองผู้ฟังที่อยู่ข้างหลังมาข้างหน้า และมองจากทางซ้ายไปทางขวา แล้วสุ่มมอง ทั่วห้องเป็นระยะ ๆ

4.         อย่ามองข้ามศีรษะผู้ฟัง และอย่ามองเพดาน มองไฟ มองนอกหน้าต่าง มองพื้น ฯลฯ

23.       การวิเคราะห์ผู้ฟังด้านประสบการณ์และกรอบอ้างอิง มีส่วนสำคัญในการเตรียมสารเรื่องใด

(1)       ระคับความยาก-ง่ายของการใช้ภาษา

(2)       การแบ่งหัวข้อตามระดับความสนใจ

(3)       การให้ข้อมูลเพื่อเปลี่ยนแปลงทัศนคติหรือความเชื่อ

(4)       สาระที่น่าสนใจและการยกตัวอย่างประกอบการอธิบาย

ตอบ 4 (คำบรรยาย) การวิเคราะห์ผู้ชม-ผู้ฟังด้านประสบการณ์และกรอบอ้างอิง จะมีส่วนสำคัญใน การเตรียมสาระที่น่าสนใจ และการยกคัวอย่างประกอบการอธิบาย หรือการกล่าวเปรียบเทียบ ให้เห็นจริง เพื่อให้สอดคล้องกับประสบการณ์และกรอบอ้างอิงของผู้รับสาร

24.       จุดเริ่มต้นของการเป็นนักพูดที่ดีเริ่มจาก

(1) การวิเคราะห์สถานการณ์หรือสภาพแวดล้อม        (2) การวิเคราะห์ตนเองและความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น

(3) การวิเคราะห์เนื้อหาและสาระการพูด        (4) การวิเคราะห์ผู้ฟัง-ผู้ชม

ตอบ 2 (คำบรรยาย) การเป็นนักพูดที่ดีจะต้องรู้จักวิเคราะห์สิ่งต่าง ๆ เรียงตามลำคับต่อไปนี้

1.         วิเคราะห์ตนเอง และความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น          2. วิเคราะห์ผู้ชม-ผู้ฟัง

3.         วิเคราะห์เนื้อหาและสาระการพูด        4. วิเคราะห์สถานการณ์หรือสภาพแวดล้อม

25.       การเลือกเรื่องที่พูดต้องพิจารณถึงอะไรเป็นอันดับแรก

(1) ความน่าสนใจในการนำเสนอ        (2) กรอบแนวคิด และความเชื่อด้านต่าง ๆ ของผู้ฟัง

(3) ข้อมูลที่มีอยู่หรือสามารถหามาได้  (4) ความยาก-ง่ายของภาษาหรือสำนวนที่ต้องการใช้

ตอบ 1 หน้า 23 – 24, (คำบรรยาย) การเลือกเรื่องที่พูดพิจารณาได้ ดังนี้

1.         เลือกประเด็นที่อยู่ในความสนใจ หรือเป็นประเด็นที่มีความน่าสนใจในการนำเสนอ

2.         สามารถค้นคว้าหาข้อมูลมานำเสนอได้

3.         เป็นประโยชน์ ควรค่าแก่การรับรู้ และง่ายต่อการทำความเข้าใจ

4.         ปรับให้เหมาะสมกับกลุ่มผู้ฟัง

26.       ลำดับของการนำเสนอสาระข้อมูลในการพูดตามปกตินั้น ประกอบด้วย

(1) ให้ความรู้ ชักจูงใจ เข้าถึงอารมณ์  (2) ให้ความรู้ เข้าถึงอารมณ์ ชักจูงใจ

(3) เข้าถึงอารมณ์ ชักจูงใจ ให้ความรู้  (4) ชักจูงใจ ให้ความรู้ เข้าถึงอารมณ์

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ลำคับหรือขั้นตอนการนำเสนอสาระข้อมูลในการพูด ได้แก่

1.         การให้ความรู้ เป็นการบอกข้อมูลความจริงที่ผ่านมาแล้ว

2.         การเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งจะกระตุ้นผู้ฟังให้สนใจ ติดตาม และจดจำข้อมูลข่าวสาร ที่ได้รับง่ายขึ้น

3.         การชักจูงใจหรือโน้มน้าวจิตใจ เพื่อให้ผู้ฟังเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนพฤติกรรมอะไรบางอย่าง

27.       การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายเพื่อตรวจสอบความเชื่อและทัศนคติ มีผลอย่างไรต่อการเตรียมข้อมูลในการพูด แต่ละครั้ง

(1)       เพื่อสร้างศัพท์และระดับความซับซ้อนของข้อมูลที่นำเสนอ

(2)       เพื่อเปิดประเด็นและหัวข้อที่จะพูดให้เหมาะสม

(3)       เพื่อต้องการทราบแนวโน้มการตัดสินใจในเรื่องที่จะเป็นส่วนได้-เสียของผู้ฟัง

(4)       เพื่อกำหนดวาระรับรู้และกระบวนการออกแบบเนื้อหา

ตอบ 3 (คำบรรยาย) การวิเคราะห์ผู้ชม-ผู้ฟังเพื่อตรวจสอบความเชื่อ ความคิดเห็น และทัศนคติ จะทำให้ผู้พูดทราบถึงแนวโน้มการตัดสินใจในเรื่องที่จะเป็นส่วนได้-เสียของผู้ฟัง เพื่อให้ผู้พูด สามารถเตรียมข้อมูลในการพูดแต่ละครั้งได้สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้ฟังเชื่อและยึดถือ ไม่ไปขัดแย้ง หรือดูถูกความเชื่อ ความคิดเห็น และทัศนคติที่ผู้ฟังมีอยู่แต่เติม

28.       การเริ่มต้นเนื้อหาของการพูด ผู้พูดควรหลีกเลี่ยงเนื้อหาในข้อใด

(1)       ปัญหาที่ส่วนใหญ่ทุกคนรู้แล้ว (2) เรื่องขำขันของบางคน

(3) ประเด็นข่าวที่สะเทือนใจ   (4) ข่าวลือของบุคคลที่ทุกคนรู้จัก

ตอบ 4 หน้า 35 – 36, (คำบรรยาย) ในการพูดนั้น จะต้องมีคำนำเพื่อเป็นการเกริ่นหรือเสนอที่มา ของเรื่องที่จะพูด อีกทั้งยังเป็นการเรียกความสนใจเบื้องต้นของผู้ฟัง ดังนั้นผู้พูดที่ฉลาดจึงต้อง ระมัดระวังในเรื่องคำนำหรืออารัมภบทเป็นอย่างมาก ถ้าคำนำดี ผู้ฟังจะเกิดความเลื่อมใสศรัทธา ทำให้ตั้งใจฟังมากขึ้น แต่ถ้าคำนำไปกระทบเรื่องส่วนตัวของผู้ใดหรือพูดเรื่องส่วนตัวของตนเอง ผู้ฟังก็จะขาดความศรัทธาในตัวผู้พูด ซึ่งก็จะส่งผลให้การพูดไม่ประสบผลสำเร็จ

29.       สิ่งเร้าจากตัวผู้พูดที่ปรากฏระหว่างการสื่อสาร คือ

(1) บุคลิกภาพและน้ำเสียง     (2) ความรู้สึกนึกคิด

(3) ระดับการศึกษา     (4) ความเชื่อและทัศนคติ

ตอบ 1 หน้า 7, (คำบรรยาย) สิ่งเร้าที่เกิดจากตัวผู้พูด แบ่งออกเป็น

1.         สิ่งเร้าภายในตัวผู้พูด ได้แก่ อารมณ์ความรู้สึกนึกคิดและสุขภาพของผู้พูด เช่น ความรู้สึกหิว โกรธ เกลียด ปวดท้อง คลื่นไส้ไม่สบาย ฯลฯ ตลอดจนระดับการศึกษา ความเชื่อ และ ทัศนคติที่อยู่ภายในตัวผู้พูด

2.         สิ่งเร้าภายนอกตัวผู้พูด ได้แก่ สิ่งแวดล้อม เจ้าภาพ และผู้ชม-ผู้ฟังทั้งหลาย เช่น อุณหภูมิ ในห้องบรรยาย เวลาที่ให้กับผู้พูด ทัศนคติของเจ้าภาพ ความสนใจของผู้ชม-ผู้ฟัง ฯลฯ รวมทั้งสิ่งเร้าภายนอกที่เกิดจากตัวผู้พูด ซึ่งปรากฏระหว่างการสื่อสาร เช่น บุคลิกภาพ และน้ำเสียงที่ผู้พูดได้แสดงออกมา

30.       ข้อใดเป็นสิ่งเร้าที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม

(1) กระแสสาธารณมติ            (2) อคติของผู้พูดที่มีต่อสถานที่จัดงาน

(3) ความสนใจของผู้ฟังที่มีต่อเนื้อหา  (4) เพศและระดับการศึกษาของผู้รับสาร

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 20. ประกอบ

31.       ในขั้นตอนของการริเริ่มกำหนดเค้าโครงของเรื่องราวที่จะพูด อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุด

(1)       การตกลงใจที่จะเลือกใช้ข้อมูล

(2)       ความกล้าที่จะตัดสินใจเลือกประเด็นหลักหรือเนื้อหาที่จะพูด

(3)       การหาหลักฐานอ้างอิง

(4)       การพิจารณาถึงองค์ประกอบของกลุ่มผู้ฟัง

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ในขั้นตอนของการริเริ่มกำหนดหรือวางเค้าโครงเรื่องราวที่จะพูดนั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ผู้พูดต้องกล้าที่จะตัดสินใจเลือกประเด็นหลักหรือเนื้อหาที่จะพูด และเมื่อเลือกเนื้อหาที่จะพูดได้แล้ว ผู้พูดต้องวางแผนสร้างสรรค์เนื้อหา ซึ่งประกอบด้วย การเชื่อมโยงความเกี่ยวข้องของข้อมูลต่าง ๆ และการตัดสินใจที่จะเลือกใช้ข้อมูล

32.       เหตุใดผู้พูดจึงต้องค้นคว้าข้อมูลเพื่อการนำเสนอ และมีการระบุแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น ๆ

(1) เพื่อให้ได้ข้อมูลมากที่สุด    (2) เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดลึกซึ้ง

(3) เพื่อการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ  (4) เพื่อให้การสะสมข้อมูลเป็นไปอย่างราบรื่น

ตอบ 3 หน้า 32, (คำบรรยาย) ในการพูดนั้นจำเป็นที่จะต้องมีตัวอย่างข้ออ้างอิง รวมทั้งข้อความของผู้อื่นที่สนับสนุนความคิดเห็นของผู้พูด โดยมีการระบุแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อเป็น การแสดงให้เห็นถึงการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ และมีคุณค่าแก่การนำเสนอ

33.       ทำไมผู้เตรียมสารจึงต้องมีการเขียนเค้าโครงเรื่อง

(1) เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม         (2) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในแหล่งที่มา

(3) เพื่อป้องกันความสับสน     (4) เพื่อให้ผู้ฟังได้รับข้อมูลที่มากพอ

ตอบ 3 หน้า 31 – 32, (คำบรรยาย) ในการเตรียมเรื่องพูดนั้น ผู้พูดจำเป็นที่จะต้องเขียนโครงร่าง หรือโครงเรื่อง (Outline) ขึ้นมาก่อน ซึ่งมีประโยชน์ ดังนี้

1.         ช่วยวางแนวทางว่าเรื่องที่จะพูดนั้นมีหัวข้ออะไรบ้าง

2.         ช่วยเป็นแนวทางการเรียงลำดับ (Order) เรื่องที่จะพูด

3.         ช่วยทำให้เนื้อหามีเอกภาพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่หลุดกรอบแนวคิดหลักของเรื่อง

4.         ช่วยให้การดำเนินเรื่องไม่สับสน และง่ายแก่การจดจำไปพูด

34.       การพูดที่มีศัพท์ทางวิชาการมาเกี่ยวข้องกับเนื้อหาการนำเสนอนั้น

(1)       ไม่สามารถทำได้ หากการพูดนั้นไม่ใช่การวิจารณ์ทางวิชาการ

(2)       ไม่สามารถทำได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ฟังที่มีความรู้ในระดับต่ำ

(3)       สามารถทำได้ หากมีแหล่งอ้างอิง หรือบุคคลยืนยัน

(4)       สามารถทำได้ โดยต้องมีคำอธิบายประกอบที่คนนอกวงการเข้าใจได้

ตอบ 4 หน้า 93, (คำบรรยาย) การพูดที่มีศัพท์ทางเทคนิค ศัพท์ทางวิชาการ หรือศัพท์ภาษาอังกฤษ มาเกี่ยวข้องกับเนื้อหานั้น สามารถทำได้โดยผู้พูดจะต้องแปลหรืออธิบายความประกอบ ให้กลุ่มผู้ฟังเป้าหมายเข้าใจได้ ซึ่งเนื้อหาที่มักมีศัพท์ทางเทคนิคก็คือ เนื้อหาประเภทแนวคิด ทฤษฎี เป็นต้น

35.       ข้อใดมีความหมายใกล้เคียงกับการปรับปรุงตัวผู้พูดที่สุด

(1) การพูดแสดงออกบนเวที    (2) การพัฒนาบุคลิกภาพ

(3) การใช้ถ้อยคำและน้ำเสียงให้เป็นประโยชน์          (4) การเข้าถึงความรู้สึกของผู้ฟัง

ตอบ 2 หน้า 11, (คำบรรยาย) การปรับปรุงตัวผู้พูด หมายถึง การพัฒนาบุคลิกภาพให้เหมาะสมกับการนำเสนอ โดยบุคลิกภาพจะรวมไปถึงการใช้ภาษา น้ำเสียง การยืน การแต่งกาย การใช้สายตา กิริยาท่าทาง ฯลฯ ซึ่งเป็นเสมือนเครื่องมือสื่อความหมายไปสู่ผู้ฟัง ดังนั้นผู้พูดจึงต้องรู้จักปรับปรุงตัวให้ใช้เครื่องมือสื่อความหมายเหล่านั้นให้มีประสิทธิภาพ

36.       ไม่ว่าจะพูดขึ้นต้นด้วยประเด็นใดก็ตาม สิ่งที่ผู้พูดต้องกระทำก็คือ

(1)       พูดนำเสนอต้องตื่นเต้นเร้าใจตามมา

(2)       กล่าวถึงแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ หรือบุคคลที่ไปรับข้อมูลมา

(3)       บอกถึงข้อมูลสนับสนุนที่สอดคล้องกับเนื้อเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ

(4)       ย้อนกลับไปกล่าวคำทักทายผู้ฟัง

ตอบ 3 หน้า 35, (ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ) การขึ้นต้นคำนำมีหลายวิธีและหลายแบบ ซึ่งผู้พูด อาจขึ้นต้นคำนำด้วยคำจำกัดความ คำถาม สุภาษิต คำคม อารมณ์ขัน ความประหลาดใจ ฯลฯ แต่ไม่ว่าจะขึ้นต้นด้วยประเด็นใดก็ตาม คำนำนั้น ๆ จะต้องบอกถึงข้อมูลสนับสนุนที่สอดคล้อง กับเนื้อเรื่อง (Main Body) ที่จะกล่าวในลำดับต่อไป

37.       การขยายเนื้อเรื่องด้วยการเปรียบเทียบ หมายถึง

(1)       อธิบายถึงคุณลักษณะของสิ่งต่าง ๆ มากกว่าหนึ่งอย่างให้เห็นชัดเจน

(2)       ชี้ให้เห็นประเด็นสำคัญของการพูด

(3)       การนำสิ่งต่าง ๆ มาแจกแจงจนทำให้ข้อความที่จะพูดยาวขึ้น

(4)       พูดถึงสิ่งที่เป็นผลกระทบของประเด็นที่จะนำเสนอด้วยข้อมูลที่มีความละเอียด

ตอบ 3 หน้า 37, (คำบรรยาย) การขยายความเนื้อเรื่องด้วยการเปรียบเทียบ หมายถึง การนำสิ่งต่าง ๆ มาเปรียบเทียบหรือแจกแจงคุณลักษณะจนทำให้ข้อความที่จะพูดยาวขึ้น โดยทั่วไปมักจะ เปรียบเทียบกับสิ่งที่คล้ายคลึง ซึ่งทำให้เข้าใจง่ายกว่าการอธิบายด้วยคำพูด

38.       การกำหนดเป้าหมายการพูด พิจารณาจาก

(1) สังคมและวัฒนธรรมของผู้ฟัง        (2) ระยะเวลาในการนำเสนอ

(3) การแบ่งหัวข้อเป็นประเด็นต่าง ๆ   (4) ประเด็นหลักและข้อมูลสนับสนุน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

39.       น้ำเสียงที่เป็นระดับเดียวกันโดยตลอด สร้างปัญหาให้แก่ผู้ฟังด้านใดมากที่สุด

(1)       ไม่เข้าใจเนื้อหาที่ผู้พูดถ่ายทอด

(2)       ทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก

(3)       หมดศรัทธา ไม่มีความน่าเชื่อถือในตัวผู้พูด

(4)       เสี่ยงต่อความเบื่อหน่าย และการสนใจติดตามประเด็น

ตอบ 4 หน้า 14, (คำบรรยาย) หลักการใช้เสียงพูดที่ดีข้อหนึ่ง คือ ผู้พูดควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำเสียง เนือย ๆ หรือน้ำเสียงที่เป็นระดับเดียวกัน (ไม่มีเสียงสูงต่ำ) โดยตลอด เพราะจะทำให้ผู้พูดพูดโดยขาดความมีชีวิตชีวา และผู้ฟังก็จะรู้สึกเบื่อหน่าย รำคาญ หรือไม่สนใจติดตามประเด็น

40.       เมื่อเข้า ณ ที่พูดแล้ว ผู้พูดควรจะ……….เป็นอันดับแรก

(1) ยิ้ม (2) ดื่มน้ำ         (3) ตรวจเอกสาร          (4) ทดสอบไมโครโฟน

ตอบ 1 หน้า 1753, (คำบรรยาย) เมื่อปรากฏตัวหรือเข้าสู่ ณ สถานที่พูด ผู้พูดควรจะยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นอันดับแรก เพราะการยิ้มแย้มจะช่วยเรียกความสนใจจากผู้ฟัง ทำให้บรรยากาศไม่ตึงเครียด และช่วยสร้างความเป็นกันเองระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ทั้งนี้การแสดงสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสยังเป็น การแสดงออกทางใบหน้าที่ใช้ได้ดีในทุกสถานการณ์การพูดอีกด้วย

41.       ปัญหาความเครียดและวิตกกังวลของผู้พูดส่วนใหญ่เกิดจาก

(1)       เครื่องแต่งกายที่ไม่เหมาะสม

(2)       ความตั้งใจที่มีมากจนเกินไป

(3)       การเตรียมตัวไม่ดีหรือไม่พร้อม

(4)       อุปกรณ์และเครื่องมือบนเวทีบกพร่อง หรือไม่สามารถใช้งานได้

ตอบ 3 หน้า 54 – 55, (คำบรรยาย) ปัญหาความเครียดและวิตกกังวลของผู้พูดส่วนใหญ่ จะเกิดจาก การเตรียมตัวที่ไม่ดีหรือไม่พร้อม ซึ่งทำให้ผู้พูดเกิดอาการตื่นเวที ดังนั้นวิธีแก้ไขประการแรกที่สุด ก็คือ ผู้พูดต้องเตรียมเรื่องพูดและซ้อมพูดมาอย่างดี เพราะถ้าหากเตรียมตัวพร้อม มีความเข้าใจ ในเรื่องที่พูดอย่างดี ก็จะมีความมั่นใจในตัวเอง เวลาพูดก็จะไม่เกิดความกลัว ความเครียดและ วิตกกังวลอีก

42.       ตัวแปรที่มีส่วนทำให้เนื้อหาการพูดที่เตรียมมาไม่สามารถถ่ายทอดตามความต้องการ ในขณะที่ผู้พูด มีความพร้อมอย่างเต็มที่แล้วคือ

(1)       เจ้าภาพ           (2) ผู้ร่วมเวทีและพิธีกร

(3) สถานที่ที่ได้รับเชิญไป        (4) การจัดรูปแบบของเวที

ตอบ 1 (คำบรรยาย) เจ้าภาพ เป็นตัวแปรหรือปัจจัยสำคัญในการจัดทิศทางหรือแนวความคิดของเนื้อเรื่องที่จะพูด แม้ว่าผู้พูดจะเตรียมเนื้อหาและเตรียมตัวมาพร้อมแล้วสำหรับการพูด แต่ถ้าเนื้อหา (หัวข้อหรือประเด็น) ที่เตรียมมาไม่ตรงกับความต้องการหรือความสนใจของเจ้าภาพ ผู้พูดก็ไม่สามารถที่จะถ่ายทอดหรือสื่อสารออกไปได้

43.       หลักการที่ว่า สายตาเป็นสิ่งที่บอกเป้าหมายของการสื่อสารได้” มีพื้นฐานจากสิ่งใด

1) แววตา และน้ำตา    (2) การเอี้ยวและหมุนได้ของลำคอ

(3) การกะพริบตา รวมทั้งการหรี่ตา     (4) ตาดำ-ตาขาว

ตอบ 4 (คำบรรยาย) หลักการใช้สายตา มีดังนี้

1.         สายตาเป็นสิ่งสะท้อนบุคลิกภาพ        2. สายตาเป็นสิ่งเร้าที่จะสร้างอารมณ์ความรู้สึก

3.         สายตาเป็นตัวประสานความรู้สึกร่วมระหว่างบุคคล

4.         สายตาสามารถบอกเป้าหมายเชิงกายภาพของการสื่อสารได้ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการตัดกัน อย่างชัดเจนระหว่างตาดำกับตาขาว ทำให้มนุษย์รู้ทิศทางการมองได้ดีกว่าสัตว์ชนิดอื่น

44.       หากพิจารณาในเชิงจิตวิทยาแล้ว เหตุใดมนุษย์จึงชอบพูดมากกว่าฟัง

(1)       เพราะสามารถสร้างความได้เปรียบในความถูกต้องได้มากกว่า

(2)       เพราะการพูดสร้างความมั่นใจและเชื่อมั่นในตนเองได้มากกว่า

(3)       เพราะการพูดเป็นช่องทางเลือกรับข้อมูลได้มากกว่า

(4)       เพราะการพูดรับปฏิกิริยาตอบกลับได้มากกว่า

ตอบ 2 หน้า 69 โดยปกติแล้วคนเราชอบพูดมากกว่าชอบฟัง เพราะในขณะที่พูดนั้นผู้พูดจะสร้าง ความมั่นใจและมีความรู้สึกว่าตนมีความเชื่อมั่นในตนเอง ตนได้แสดงความคิดเห็น และได้รับ ความสนใจจากผู้ฟัง

45.       ข้อใดเกี่ยวข้องกับการเดินเพื่อขึ้นพูด

(1)       ทำตามที่ตกลงไว้กับเจ้าภาพ   (2) มาก่อนเวลาเพื่อทดสอบคิว

(3) ประมาณจังหวะให้ดี          (4) ไม่ผูกขาดเอาไว้คนเดียว

ตอบ 3 หน้า 16, (คำบรรยาย) การเดินเมื่อขึ้นพูดบนเวที เป็นการปรากฏกายที่สะดุดตาหรือเป็นการ สร้างความสนใจในการติดตามเนื้อหาของผู้ฟัง ซึ่งวิธีการเดินที่ดีนั้นควรประมาณจังหวะให้ดี อย่าเดินเร็วหรือช้าเกินไป ต้องทรงตัวให้สง่างาม ไม่เดินหลังโก่งหรือยืดหน้าอก และขณะที่เดิน ให้แกว่งแขนตามสบาย ฯลฯ

46.       การเดินในวิชาการพูด มีความสัมพันธ์กับข้อใด

(1)       การเคลื่อนไหว การไม่หยุดนิ่ง การไม่สำรวม    (2) การปรากฏกาย การติดตามเนื้อหา การทรงตัว

(3) การแสดงออก การนำเสนอ การเคลื่อนที่   (4) การนำเสนอ การติความ การสร้างจุดสนใจ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 45. ประกอบ

47.       การฟังเพื่อเก็บสาระ พิจารณาจาก

(1)       ลำดับการนำเสนอ       (2) ความสัมพันธ์กับหัวเรื่อง

(3) ประเด็นสำคัญตามจุดมุ่งหมาย     (4) ข้อสรุปในบททิ้งท้าย

ตอบ 3 หน้า 69 การฟังเพื่อเก็บสาระสำคัญ (Message Cues) เป็นการฟังที่ผู้ฟังจะต้องเข้าใจ จุดประสงค์ของตนเองว่าตนเองต้องการรับอะไรจากผู้พูด ในขณะเดียวกับก็ต้องเข้าใจด้วยว่า ผู้พูดต้องการจะให้อะไรแก่ผู้ฟัง เมื่อผู้ฟังสามารถรู้หรืออ่านแนวความคิดของผู้พูดได้แล้ว ผู้ฟังก็จะตั้งใจฟังเพื่อเก็บประเด็นสำคัญตามจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ของการฟัง

48.       ข้อใดเป็นความต้องการรู้ของผู้ฟัง ตามทัศนะของอริสโตเติล

(1) ความฉลาดของผู้พูด          (2) ทักษะของผู้พูด

(3) แรงบันดาลใจของผู้พูด      (4) ผลประโยชน์ของผู้พูด

ตอบ 1 หน้า 70, (คำบรรยาย) ความต้องการที่จะรู้ของอริสโตเติล (Aristotle) คือ สิ่งที่ผู้ฟัง ต้องการเห็นหรือต้องการรู้เกี่ยวกับตัวผู้พูด มีอยู่ 3 ประการ ได้แก่

1.         ความฉลาดหรือสติปัญญาของผู้พูด    2. บุคลิกลักษณะ ท่วงที หรือลีลาในการนำเสนอ

3. ข้อคิดหรือสาระดี ๆ ที่ได้จากการพูด (Goodwill)

49.       การแก้ปัญหาการพูดในสถานการณ์ที่ไม่สามารถจะเตรียมการพูดล่วงหน้าได้ สิ่งที่จะเป็นตัวช่วยที่สำคัญ นอกเหนือจาก สติ” คือ

(1) ข้อมูลส่วนตัว         (2) แนวความคิดที่ใช้เป็นประจำ

(3) ภาพลักษณ์ที่สร้างมา        (4) การฝึกซ้อมตอบคำถาม

ตอบ 4 หน้า 89, (คำบรรยาย) การพูดปากเปล่าโดยไม่มีการเตรียมล่วงหน้า (การพูดโดยกะทันหัน) เช่น การพากย์กีฬามวย ฟุตบอล หรือเรือยาวการกล่าวทักทายเมื่อเผอิญได้พบกัน,การตอบปัญหาบางประการ ฯลฯ มีข้อควรปฏิบัติ ดังนี้

1.         พยายามควบคุมสติไว้ให้ได้ ไม่ต้องรีบตอบ

2.         ใช้ปัญญาวิเคราะห์ หรือใช้ปฏิภาณไหวพริบให้มากที่สุด

3.         พยายามนึกถึงโครงสร้างของการพูด 4. ฝึกซ้อมตอบคำถามในใจในเรื่องที่เตรียมได้

5.         พูดหรือตอบคำถามให้สั้น กระชับ มีประเด็น และมีความหมายชัดเจน หากไม่แน่ใจในประเด็นคำถามก็อาจขอให้ผู้ถามทวนคำถามเพื่อความแน่นอน หรือนัดหมายให้กลับมาถามใหม่ หากไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้

50.       การตอบคำถามในการพูดโดยไม่มีการเตรียมตัวเอาไว้ล่วงหน้า ควรมีลักษณะ

(1)       ชี้แจงรายละเอียดและให้ข้อมูลมากที่สุด

(2)       บอกปัดและถ่ายโอนไปให้ผู้ที่รู้มากกว่า หรือน่าจะรับผิดชอบแทนได้

(3)       สั้น กระชับ มีประเด็น และความหมายชัดเจน

(4)       นำสถิติและข้อมูลทางเทคนิคมาประกอบการทำความเข้าใจ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 49. ประกอบ

51.       ในกรณีที่ถูกซักถามในคำตอบที่ไม่ได้มีการเตรียมมา และไม่สามารถตอบคำถามนั้นได้วิธีการแก้ปัญหา ที่ดีที่สุด คือ

(1)       นัดหมายให้กลับมาถามใหม่   (2) ขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง

(3) แก้ตัวว่าไม่พร้อม    (4) ย้อนถามว่าคุณรู้มาจากไหน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 49. ประกอบ

52.       ข้อใดเป็นการแบ่งการพูดตามจุดมุ่งหมาย

(1)       เร้าอารมณ์ สร้างจุดสนใจ        (2) ให้ความบันเทิง เล่าความจริง

(3) บอกเล่า กล่าวความจริง    (4) ท่องจำ กล่าวตามหัวข้อ

ตอบ 2 หน้า 92 – 95 การพูดที่แบ่งตามจุดมุ่งหมาย หรือวัตถุประสงค์ในการพูด ได้แก่

1.         การพูดเพื่อให้สาระความบันเทิง เช่น การพูดในโอกาสพบปะลังสรรค์ หรือในงานรื่นเริง ฯลฯ

2.         การพูดเพื่อให้ความรู้หรือเล่าข้อเท็จจริง เช่น การบรรยาย การปาฐกถา การพูดแนะนำ วิธีการใช้ยาหรือสมุนไพร ฯลฯ

3.         การพูดเพื่อชักจูงใจหรือโน้มน้าวจิตใจ เช่น การโฆษณาขายสินค้า การพูดหาเสียงเลือกตั้ง การพูดเชิญชวนให้บริจาคโลหิต ฯลฯ

53.       การเตรียมสาร ผู้เตรียมสามารถจัดทำได้ใน…….กรณี คือ

(1) กรณีเดียว คือ ของตัวเองเท่านั้น    (2) 2 กรณี คือ ตัวเอง และคนอื่น

(3)       3 กรณี คือ ตัวเอง ผู้ฟัง และผู้เกี่ยวข้อง

(4)       ไม่จำกัดกรณี เนื่องจากการพูดโดยปกติไม่สามารถจำกัดคนพูดได้

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 11. ประกอบ

54.       ในการพูดเพื่อให้ข้อมูลข่าวสาร มีอะไรเป็นสาระสำคัญ

(1) ความรู้        (2) บรรยากาศ

(3) อารมณ์ความรู้สึก  (4) ความจริงที่เกิดขึ้น

ตอบ 1 หน้า 93 – 94, (คำบรรยาย) การพูดเพื่อให้ความรู้หรือเล่าข้อเท็จจริง (ให้ข้อมูลข่าวสาร)มีจุดมุ่งหมายหรือสาระสำคัญ คือ เพื่อให้ความรู้และความเข้าใจแก่ผู้ฟัง โดยจะบอกหรือ นำเสนอข้อมูลความจริงที่ผ่านมาแล้ว ซึ่งผู้ฟังจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้

55.       เป้าหมายของการพูดเพื่อชักจูงใจ คือ

(1) เปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนพฤติกรรม     (2) การทำตามคำสั่ง

(3) สร้างภาวะทางอารมณ์กดดัน        (4) ให้ตีความหมายข่าวสาร

ตอบ 1 หน้า 94 – 96, (คำบรรยาย) การพูดเพื่อชักจูงใจมีความแตกต่างจากการพูดจาตามปกติ ในเรื่องของการกำหนดเป้าหมายและวิธีการ เนื่องจากเป้าหมายของการพูดเพื่อชักจูงใจ คือ การชักจูงให้เปลี่ยน/ไม่เปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนการกระทำ หรือเปลี่ยนความเชื่อและทัศนคติ (เป็นสิ่งที่การพูดทำได้ยากที่สุด) โดยคำนึงถึงเงื่อนไขของการให้ข้อมูลเพื่อการโน้มน้าวใจ ได้แก่

1.         การสร้างความเลื่อมใสศรัทธา 2. นำเสนอสิ่งที่น่าสนใจ          3. ปลุกเร้าให้เกิดการกระทำ

56.       การเตรียมเนื้อหาของรายงานที่จะพูดนั้น ไม่ควรที่จะ

(1) มีหัวข้อที่สั้น กระชับ ชัดเจน           (2) ทำหัวข้อย่อย ๆ ให้มีความเด่น ง่ายต่อการอ่าน

(3) บรรจุเนื้อหาที่สมบูรณ์ของเรื่องลงไป         (4) จัดทำอย่างประณีตด้วยความรอบคอบ

ตอบ 3 หน้า 139, (คำบรรยาย) หลักการเตรียมเนื้อหาของรายงานที่จะพูด มีดังนี้

1.         เรียบเรียงเนื้อหาด้วยความประณีตและรอบคอบ

2.         ใจความสำคัญของเนื้อหาต้องสั้น กระชับ ชัดเจน พร้อมทั้งมีข้อมูลทางสถิติ

3.         ทำหัวข้อย่อย ๆ ให้มีความเด่น ง่ายต่อการอ่าน โดยมีการใส่หมึกไฮไลต์ขีดทับ

4.         ไม่ควรบรรจุเนื้อหาที่สมบูรณ์ของเรื่องลงไป

5.         เขียนบันทึกย่อประเด็นสำคัญที่ไม่อาจละเลยได้ในการพูดไว้ท้ายกระดาษ

6.         ใช้ข้อความที่ประกอบด้วยคำพูดเพื่อแสดงให้รู้ว่าจบเนื้อหาของเรื่องที่พูดตอนหนึ่ง ๆ แล้ว ฯลฯ

57.       การเตรียมเนื้อเรื่องที่จะพูดนั้น สิ่งใดเป็นตัวแปรที่เกิดจากเจ้าภาพได้มากที่สุด

(1)       ความเชื่อ ทัศนคติของผู้ฟัง      (2) ความสนใจที่มีต่อหัวข้อ

(3) เวลาที่ให้กับการพูด           (4) บรรยากาศการประชุม

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 42. ประกอบ

58.       การพูดในลักษณะวิพากษ์วิจารณ์มีลักษณะเฉพาะที่ต่างจากการพูดประเภทอื่น ๆ อย่างไร

(1) เนื้อหาที่จะพูดต้องเป็นข้อเท็จจริงเสมอ     (2) ต้องมีการนำเสนอโดยใช้เหตุผลประกอบ

(3)       ต้องมีการจัดสมดุลของเนื้อหา และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่กล่าวอ้าง

(4)       ต้องมีการใช้กติกา ข้อกำหนด หรือตัวบ่งชี้ต่าง ๆ มาเป็นเกณฑ์

ตอบ 2 หน้า 169 การพูดวิจารณ์ หมายถึง การพูดทั้งติและชมสิ่งใดสิ่งหนึ่งในแง่ต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล และถูกหลักการวิจารณ์ ซึ่งลักษณะเฉพาะหรือจุดเด่นของการพูดวิพากษ์วิจารณ์ที่แตกต่างจาก การพูดชนิดอื่น ๆ คือ เป็นการพูดที่ต้องใช้หลักทางตรรกวิทยา (Logic) หรือใช้หลักทางเหตุผล มาประกอบ โดยจะไม่เอาอารมณ์ของผู้พูดเข้ามาเกี่ยวข้อง

59.       ข้อใดเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดมารยาทในการพูด

(1)       กล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม            (2) คิดให้ดีและรอบคอบ

(3) การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์  (4) การรู้จักระเบียบแบบแผนทางสังคม

ตอบ 2 หน้า 65, (คำบรรยาย) มารยาทในการพูดและฟัง ถือเป็นกฎเกณฑ์พื้นฐานของการรักษาไว้ ซึ่งบรรยากาศของการสื่อสารอย่างเห็นหน้าตากัน โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดมารยาทใน การพูด คือ การรู้จักคิดให้ดีและรอบคอบก่อนพูด ซึ่งเป็นมารยาทในการพูดข้อแรกที่วิชาวาทวิทยาให้ความสำคัญมากที่สุด

60.       คำนำ หมายถึง          

(1) การนำเข้าสู่เนื้อเรื่อง

(2)       กลวิธีนำเสนอ (3) การทักทายผู้ฟัง     (4) ความคิดรวบยอดของเรื่อง

ตอบ 1 หน้า 34 – 40, (คำบรรยาย) โครงสร้างของการพูด ประกอบด้วย

1.         คำปฏิสันถาร หมายถึง คำทักทายผู้ฟัง

2.         คำนำ หมายถึง การเริ่มเข้าเรื่อง หรือการนำเข้าสู่เนื้อเรื่อง

3.         เนื้อเรื่อง หมายถึง เนื้อหาหรือข้อมูลหลักของการนำเสนอ หรือกลวิธีนำเสนอ

4.         สรุป หมายถึง ความคิดรวบยอดของเรื่อง

5.         คำลงท้าย หมายถึง ข้อความกล่าวทิ้งท้ายเพื่อความประทับใจ

(ในส่วนของสรุปและคำลงท้ายอาจสลับที่กันได้ ซึ่งจะทำเฉพาะในกรณีที่ผู้พูดมีความเชี่ยวชาญ พอสมควร)

61.       ในโครงสร้างของการพูดส่วนที่เป็นเนื้อหานั้น ประเด็นหลักตามหัวข้อต่าง ๆ จะต้องถูกขยายความหรือ อธิบายตามด้วย

(1)       ส่วนเสริมอื่น ๆ            (2) ข้อมูลในประเด็นถัดไป

(3)       ข้อคิดเห็นของผู้พูด      (4) ข้อมูลสนับสนุนแต่ละประเด็น

ตอบ 4 (คำบรรยาย) โครงสร้างเนื้อหาของการพูด ประกอบด้วย 1. ประเด็นหลัก

2.         ข้อมูลสนับสนุนแต่ละประเด็น (อธิบายหรือขยายความประเด็นหลัก)

3.         ส่วนเสริมอื่น ๆ (เช่น แทรกมุขตลก ใช้สื่อประกอบการนำเสนอ ฯลฯ)

62.       หากพิจารณาตามแบบธรรมเนียมแล้ว การปฏิสันถารแบ่งเป็น          

(1) ภายนอก ภายใน

(2)       พิธีการ ไม่เป็นพิธีการ (3) ส่วนตัว ส่วนรวม     (4) เพื่อเจ้าภาพ เพื่อผู้รับเชิญ

ตอบ 2 หน้า 34, (คำบรรยาย) การกล่าวคำปฏิสันถารหรือคำทักทาย แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

1.         คำปฏิสันถารที่เป็นพิธีการ คือ การกล่าวคำทักทายที่มีแบบแผน ขั้นตอน รูปแบบ และ ลำดับ ซึ่งมักจะใช้ในงานรัฐพิธี งานศาสนพิธี และงานพิธีต่าง ๆ

2.         คำปฏิสันถารที่ไม่เป็นพิธีการ คือ การกล่าวคำทักทายที่ไม่มีแบบแผน ขั้นตอน รูปแบบ และลำดับ ซึ่งมักจะใช้ในการพูดอภิปราย ปาฐกถา หรือการกล่าวคำปราศรัยของ นักการเมือง นักปกครอง ดารา ฯลฯ

63.       การพูดที่ส่งเสริมประชาธิปไตย พิจารณาจาก

(1) ความเห็นที่ถูกต้อง

(2)       สมดุลในการสื่อสาร     (3) มติที่ได้จากการลงคะแนน (4) ความเป็นผู้นำ-ผู้ตาม

ตอบ 2 หน้า 67, (คำบรรยาย) การพูดที่ส่งเสริมประชาธิปไตยจะพิจารณาจากความสมดุลในการสื่อสารเป็นสำคัญ โดยผู้พูดไม่ควรผูกขาดการพูดแต่เพียงคนเดียว ควรจะเปิดโอกาสให้ผู้อื่นพูดและ แสดงความคิดเห็นบ้าง อันเป็นการแสดงออกถึงมารยาทที่ดีงามในการพูด

64.       Rehearsal หมายถึง        

(1) พูดซ้ำ ๆ จนชำนาญ

(2)       ฟังความคิดเห็น          (3) ซักซ้อมและปรับปรุง          (4) ทบทวนสาระในการพูด

ตอบ 3 หน้า 51-52, (คำบรรยาย) การฝึกซ้อมพูด (Rehearsal.) ในเชิงวาทวิทยา คือ การทดสอบตัวเองโดยอาศัยแนวคิดการฟังตนและคนอื่น เพื่อเตรียมความพร้อมของเนื้อหาและบุคลิกภาพ ในการพูด ซึ่งการซ้อมพูดมีความสำคัญในฐานะเป็นกระบวนการสำรวจปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น ในระหว่างการพูด เพื่อปรับปรุงแก้ไขสิ่งผิดพลาดและกำจัดสิ่งที่ไม่เหมาะสมออกไปให้หมด แล้วจึงสำรวจสิ่งที่จำเป็นในการนำเสนอเพิ่มเติม

65.       ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ประธานในการประชุม

(1) รักษาเวลาการประชุม        (2) จดบันทึกรายงานการประชุม

(3)       เปิดโอกาสให้มีการแสดงความเห็น    (4) ชักชวนให้ประชุมอย่างสงบ

ตอบ 2 หน้า 204 – 206 ประธานที่ประชุมมีหน้าที่ที่สำคัญ ดังนี้ 1. รักษาเวลาการประชุม

2.         เปิดโอกาสให้มีการแสดงความเห็น     3. ชักชวนให้ประชุมอย่างสงบ ฯลฯ

(ส่วนการจดบันทึกรายงานการประชุม เป็นหน้าที่ของเลขานุการ)

66.       การพูดเพื่อรายงานการประชุม มีความสัมพันธ์กับข้อใด

(1) พูดเพื่อชักจูงใจ      (2) พูดเพื่อให้เกิดความรู้สึกสมานฉันท์

(3)       พูดโดยไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า       (4) พูดโดยอ่านจากต้นฉบับที่เตรียมไว้

ตอบ 4 หน้า 90207 การพูดรายงานการประชุมจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับการพูดรายงานชนิดอื่น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า การพูดรายงานการประชุมก็คือ การอ่านรายงานการประชุมที่เขียนเสร็จ เรียบร้อยแล้ว หรือเป็นการพูดโดยอ่านจากต้นฉบับที่เตรียมไว้นั่นเอง

67.       ข้อใดไม่ใช่การสรุปการพูดที่พึงประสงค์

(1)       ย่อความ          (2) รวมความ   (3) ทิ้งคำถาม  (4) ทวนแนวคิด

ตอบ 1 หน้า 38, (คำบรรยาย) เทคนิคหรือวิธีกรสรุปการพูด ได้แก่

1.         การรวมความ หรือทวนแนวคิดสำคัญ (การสรุปไม่ใช่การย่อความ)

2.         การทิ้งประเด็น           3. การถามผู้ฟัง (ทิ้งคำถาม)    4. การฝากกลับไปคิด ฯลฯ

68.       หลักการแสดงออกทางใบหน้าที่ใช้ได้ดีในทุกสถานการณ์การพูด คือ

(1)       ยิ้มแย้มเข้าไว้   (2) จริงจังและจริงไจ

(3)       จ้องหน้าอย่ากะพริบตา           (4) เปลี่ยนเรื่อง-เปลี่ยนสีหน้า

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 40. ประกอบ

69.       ข้อใด คือ ต้นฉบับที่พึงประสงค์โดยพิจารณาถึงประสิทธิภาพในการนำไปใช้งาน

(1)       สวยงามเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่ผู้จัดงานหรือผู้นำไปใช้

(2)       พอดีกับเวลาที่มีโดยมีเนื้อหาเป็นไปตามโครงสร้างของการพูดแบบสากล

(3)       โดดด่นโดยมีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของผู้พูดหรือลักษณะงาน

(4)       ไม่มีร่องรอยแก้ไขเพราะเป็นการแสดงออกถึงความมีวินัยและรอบคอบในการทำงาน

ตอบ 2 หน้า 40, (คำบรรยาย) ลักษณะของต้นฉบับที่พึงประสงค์ มีดังนี้ 1. ใช้ภาษาที่สุภาพ

2.         มีเนื้อหาตามวัตถุประสงค์ และเป็นไปตามโครงสร้างของการพูดแบบสากล

3.         ลำดับความคิดน่าติดตาม (ฟังแล้วไม่สับสน)  4. สอดคล้องหรือพอดีกับเวลาที่มี ฯลฯ

70.       เมื่อจัดทำต้นฉบับเสร็จเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่จะต้องดำเนินการต่อไป คือ

(1)       เก็บไว้ในที่ซึ่งมิดชิด ป้องกับการสูญหายหรือถูกโจรกรรม

(2)       จัดวางไว้ที่ผู้พูดจะต้องขึ้นพูด เพื่อเป็นการเตรียมพร้อม ลดขั้นตอนทำงาน

(3)       ทำสำเนาอีกอย่างน้อย 1 ชุด ให้ผู้เกี่ยวข้องประสานงานเก็บสำรองไว้

(4)       นำไปเย็บเข้าเล่มให้เรียบร้อย เพื่อเป็นหลักฐานการทำงาน

ตอบ 3 หน้า 40, (คำบรรยาย) สิ่งที่ผู้พูดต้องปฏิบัติหรือดำเนินการเมื่อจัดทำต้นฉบับเสร็จเรียบร้อย แล้ว มีดังนี้       1. ตรวจทานและแก้ไขอย่างรอบคอบ

2. ซ้อมก่อนพูดหรือก่อนนำต้นฉบับไปใช้เสมอ            3. กำจัดสิ่งที่ไม่เหมาะสมออกไป

4.         ทำสำเนาเก็บไว้อย่างน้อย 1 ชุด เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องประสานงานเก็บสำรองไว้ ฯลฯ

71.       ก่อนจะนำต้นฉบับไปใช้ ผู้พูดต้อง……….ก่อนเสมอ

(1) อ่านทบทวน           (2) บันทึกเลขลำดับ    (3) เก็บใส่ซอง (4) ซ้อม

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ

72.       ข้อใดไม่ใช่หลักการใช้กิริยาท่าทางในการพูดที่มีประสิทธิภาพ

(1) นิ่งสยบความเคลื่อนไหว    (2) เน้นย้ำสิ่งใดให้ทำท่าประกอบ

(3) ท่าทางสนับสนุนท่าที         (4) จัดระเบียบร่างกายให้สัมพันธ์กับพื้นที่

ตอบ 1 หน้า 18, (คำบรรยาย) หลักการแสดงกิริยาท่าทางในการพูด ได้แก่

1.         เป็นการเรียกความสนใจจากผู้ฟัง สร้างประสิทธิภาพการสื่อสาร

2.         จำไว้ว่าคนเราสนใจภาพเคลื่อนไหวมากกว่าภาพนิ่ง

3.         แสดงท่าทางประกอบเมื่อต้องการอธิบายหรือเน้นข้อความ

4.         กิริยาท่าทางต้องสอดคล้องกับความรู้สึกนึกคิด

5.         ต้องเหมาะกับโอกาสและเรื่องที่จะพูด

6.         เรียบร้อย สุภาพ         7. ไม่ซ้ำซาก มีชีวิตจิตใจ

73.       เรื่องสำคัญที่ต้องเน้นเป็นพิเศษ อาศัยหลักการใดในการพูด

(1)       ตอกย้ำแต่ไมซ้ำซาก     (2) ย้ำคิดย้ำทำ            (3) สั่งสอนห้สำนึก     (4) บอกใบ้ให้ทายใจ

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ผู้พูดควรกล่าวย้ำหรือตอกย้ำในเรื่องสำคัญที่ต้องการเน้นเป็นพิเศษ เพื่อให้เรื่องที่พูดมีความชัดเจน น่าสนใจ และยังทำให้ผู้ฟังสามารถจดจำเรื่องนั้น ๆ ได้มากขึ้น แต่ ต้องระวังไม่ไปตอกย้ำจนเกิดความซ้ำซาก หรือย้ำคิดย้ำทำมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ผู้ฟัง เกิดความเบื่อหน่าย และเรื่องที่เน้นก็จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญไป

74.       บุคคลใดสมควรเป็นผู้ถูกสัมภาษณ์

(1)       ผู้นำองค์กร      (2) ผู้มีอำนาจตัดสิน

(3) ผู้เกี่ยวข้องและมีความรู้ในเรื่องนั้น            (4) ผู้ทำหน้าที่สื่อสารมวลชน

ตอบ 3 หน้า 257 – 258, (คำบรรยาย) คุณสมบัติของผู้ให้สัมภาษณ์ (ผู้ถูกสัมภาษณ์) เรียงตามลำดับ ความสำคัญของบุคคลได้ ดังนี้  1. เป็นผู้รู้ (สำคัญที่สุด) 2. เป็นผู้เกี่ยวข้อง รู้เห็น หรืออยู่ในเหตุการณ์ 3. เป็นผู้นำ ผู้บริหาร หรือผู้ที่มีความสำคัญ  4. เป็นผู้มีประสบการณ์ 5. เป็นผู้ได้รับความสนใจ  6. เป็นผู้ที่มีตัวตนอยู่จริง

75.       ข้อใดเป็นมารยาทสำคัญของการสัมภาษณ์แบบเป็นพิธีการ

(1)       ต้องสัมภาษณ์อย่างกระชับ ชัดเจน ใช้เวลาน้อยที่สุด

(2)       เลือกหัวข้อสัมภาษณ์ตรงตามภาระหน้าที่ของผู้สัมภาษณ์

(3)       มีการบันทึกเทป และออกอากาศตรงเวลาตามที่ตกลงกันไว้

(4)       มีการนัดเวลา และกำหนดโครงสร้างของแบบสัมภาษณ์

ตอบ 4 หน้า 256 การสัมภาษณ์แบบที่เป็นพิธีการ (Formal Interview) คือ การที่ผู้สัมภาษณ์จะต้องตระเตรียมและแจ้งเรื่องที่จะสัมภาษณ์ กำหนดโครงสร้างของแบบสัมภาษณ์ นัดวัน เวลา และ สถานที่ที่จะสัมภาษณ์ให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ทราบล่วงหน้า เพื่อว่าผู้ถูกสัมภาษณ์จะได้มีเวลาเตรียมตัว ซึ่งการสัมภาษณ์ชนิดนี้มักจะเป็นการสัมภาษณ์บุคคลที่ไม่คุ้นเคยกัน เช่น บุคคลในวงการเมือง เชื้อพระวงศ์ ผู้บริหารประเทศ ฯลฯ

76.       ในการพูดที่ต้องอาศัยเครื่องมือต่าง ๆ ประกอบการพูดนั้น ความเป็นจริงที่ผู้พูดจะต้องระลึกไว้ตลอดเวลา คือ

(1)       อุปกรณ์ทุกอย่างสามารถใช้แทนคำพูดได้

(2)       อย่าใช้อุปกรณ์ในการนำเสนอมาทดแทนการให้ความรู้ในทุกเรื่อง

(3)       จับจ้องมองอุปกรณ์ตลอดเวลาที่ผู้ฟังมองมายังผู้พูด

(4)       อุปกรณ์ คือ ตัวแทนผู้พูดที่มีความน่าเชื่อถือสูงสุด

ตอบ 2 หน้า 122, (คำบรรยาย) หลักการใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือต่าง ๆ ประกอบการพูดเชิงสาธิต มีดังนี้ 1. อุปกรณ์ เครื่องมือ หรือสิ่งที่ใช้ประกอบต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์และสอดคล้องกับเนื้อหา ของการพูด     2. ผู้พูดสำคัญที่สุดในการถ่ายทอด ส่วนเครื่องมือเป็นเพียงส่วนเสริม จึงไม่มีอุปกรณ์ใด ๆ จะดีที่สุดในทุกกรณี  3. เครื่องมือไมใช่การพูด อย่าใช้เครื่องมือโดยไม่จำเป็น       4.   ขณะใช้สื่อเป็นเครื่องมือ ผู้พูดอย่าขัดจังหวะหรือดึงความสนใจออกจากผู้ชม/ผู้ฟัง

77.       การสัมภาษณ์นั้นมีความหมายสำคัญในเชิงการสื่อสารอย่างไร

(1)       ทำให้รู้ซึ้งถึงข้อมูลเชิงลึก         (2) ทำให้มีการทบทวนเหตุการณ์

(3) ทำให้ความจริงถูกเปิดเผย (4) ทำให้มีการจัดระเบียบข่าวสาร

ตอบ 1 หน้า 33255, (คำบรรยาย) การสัมภาษณ์ หมายถึง การสื่อสารด้วยกระบวบการพูดคุยโดยมี เป้าประสงค์เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลสำคัญ ข่าวสาร หรือประเด็นที่เป็นสาระโดยตรง ผ่านบุคคล ที่มีการเลือกสรรแล้ว ทั้งนี้ข้อมูลที่ได้มาถือเป็นข้อมูลเชิงลึกส่วนบุคคลที่มีความเฉพาะเจาะจง ตามเป้าหมาย วัตถุประสงค์และสถานการณ์ขณะนั้น

78.       มารยาทในการสัมภาษณ์มีความเกี่ยวข้องกับข้อใดมากที่สุด

(1)       การให้เกียรติ  (2) ข้อมูลสำคัญ          (3) ผลตอบแทน           (4) เวลา

ตอบ 1 หน้า 259263 มารยาทที่ดีของผู้สัมภาษณ์ย่อมทำให้ผู้ให้สัมภาษณ์ให้ความร่วมมือ ซึ่งการที่ ผู้สัมภาษณ์จะแสดงมารยาทที่ดีได้นั้นก็ต่อเมื่อมีทัศนคติที่ดีต่อผู้ให้สัมภาษณ์ และที่สำคัญ ต้องรู้จักให้เกียรติผู้ให้สัมภาษณ์ด้วยการรักษาความลับส่วนบุคคลของผู้ให้สัมภาษณ์ด้วย

79.       มนุษยสัมพันธ์ในการสัมภาษณ์ เป็นผลมาจากการรู้จัก        

(1) พัฒนาตน

(2)       นำเหตุผลมาใช้           (3) ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์            (4) ถาม

ตอบ 3 หน้า 258, (คำบรรยาย) คุณสมบัติของผู้สัมภาษณ์ประการหนึ่ง คือ จะต้องเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี ซึ่งเป็นผลมาจากการรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และบุคคลทุกคน หรือไม่ทำลายบรรยากาศการพูดคุย จนสามารถสร้างความสัมพันธ์ได้ในระยะเวลาอันสั้น

80.       หากคุณเป็นผู้ประสานงานในการจัดสัมมนา คุณควรจัด……..ให้กับวิทยากร

(1) น้ำชาอุ่น ๆ  (2) น้ำเย็นพร้อมด้วยน้ำแข็ง

(3)       น้ำที่อุณหภูมิห้อง         (4) น้ำส้มหรือน้ำผลไม้ตามฤดูกาล

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ในการจัดสัมมนา ผู้ประสานงานควรจัดเตรียมน้ำสะอาดที่อุณหภูมิห้องให้กับ วิทยากรที่ขึ้นพูด ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยรักษาน้ำเสียงให้แจ่มใส กังวานชัดเจน

81.       ข้อใดไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเตรียมเนื้อเรื่องโดยตรง

(1) ผู้ฟังเป็นใคร           (2) ใครเป็นเจ้าภาพ     (3) เวลามีอยู่เท่าใด     (4) พิธีกรคนไหน

ตอบ 4 หน้า 31, (คำบรรยาย) หลักการเตรียมเนื้อเรื่อง มีข้อควรพิจารณา ดังนี้

1.         ต้องวิเคราะห์ผู้ฟังว่าเป็นใคร มีอายุ ระดับการศึกษา เพศ อาชีพ ฯลฯ อย่างไร

2.         พิจารณาถึงสภาพแวดล้อมและสถานการณ์  3. ตรวจสอบว่ามีเวลาในการพูดเท่าไร

4.         ปรับให้เหมาะกับสถานที่ และเจ้าภาพ

82.       ประธานในที่ประชุมควรเสนอความคิดเห็นของตนอย่างไรจึงเหมาะสมที่สุด

(1) เป็นคนสุดท้าย       (2) ตลอดเวลา (3) ครั้งที่เปลี่ยนวาระ  (4) เป็นคนแรก

ตอบ 1 หน้า 205 หน้าที่ของประธานในที่ประชุมประการหนึ่ง คือ ประธานจะต้องเปิดโอกาส และช่วยให้ผู้เข้าประชุมได้ใช้ความคิดของตนเองอย่างเต็มความสามารถ โดยประธาน ไม่ควรเสนอความคิดเห็นของตนเป็นคนแรก แต่ควรเสนอความคิดเห็นเป็นคนสุดท้าย

83.       ถ้านายเยี่ยมยอดไร้ที่ติ ไม่เห็นด้วยกับมติของที่ประชุม (ที่ครบองค์ประชุม) เขาต้องทำอย่างไร

(1) ไม่ต้องปฏิบัติตาม  (2) ต้องปฏิบัติตาม

(3) ขอแปรญัตติต่อประธาน    (4) ขอให้มีการทบทวนมติ

ตอบ 2 หน้า 203 มติ คือ ข้อตกลงของที่ประชุมในญัตติต่าง ๆ ที่มีผู้เสนอ ซึ่งมติของที่ประชุม (ที่ครบองค์ประชุม)ให้ถือเป็นข้อยุติที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามถึงแม้จะไม่เห็นด้วยก็ตาม

84.       ดร.รสสุคนธ์เป็น ส.ส. และต้องการขอแปรญัตติในที่ประชุม เขาควรทำอย่างไร

(1) เสนอด้วยวาจาต่อประธาน            (2) เสนอเป็นลายลักษณ์อักษรต่อประธาน

(3) เสนอด้วยวาจาต่อเลขาฯ    (4) เสนอเป็นลายลักษณ์อักษรต่อเลขาฯ

ตอบ 2 หน้า 203, (คำบรรยาย) แปรญัตติ หมายถึง การแสดงความคิดเห็นซ้อนขึ้นในญัตติ หรือการเสนอขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมญัตตินั้น ๆ โดย ส.ส./ส.ว. ที่ต้องการขอแปรญัตติ ในที่ประชุมจะต้องเสนอคำขอแปรญัตติของตนเป็นหนังสือ (เป็นลายลักษณ์อักษร) ต่อประธาน ภายในระยะเวลาที่กำหนด และคำแปรญัตติต้องมี ส.ส./ส.ว. อื่นรับรองเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า ที่กำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมสภา

85.       ข้อใดไม่ใช่ประเด็นพิจารณาสำหรับการเริ่มคิด

(1) ใช้สื่ออะไรดี           (2) เกี่ยวกับอะไร

(3) มีข้อมูลหรือเปล่า   (4) มั่นใจที่จะพูดหรือไม่

ตอบ 1 หน้า 31, (คำบรรยาย) ขั้นตอนการเริ่มคิดในการเตรียมเนื้อเรื่องมีข้อควรพิจารณา ดังนี้ 1. เรื่องที่พูดเกี่ยวกับอะไร    2. มีข้อมูลหรือเปล่า 3. มั่นใจที่จะพูดหรือไม่

86.       การจัดลำดับของเนื้อเรื่องที่จะพูด ไม่ควรอาศัยกฎเกณฑ์ใด

(1) ความสำคัญของปัญหา     (2) ปริมาณของผลกระทบด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

(3) พื้นที่และขอบเขตทางภูมิศาสตร์   (4) ประสบการณ์รับรู้ของผู้เตรียมสาร

ตอบ 4 หน้า 36 – 37, (คำบรรยาย) การเรียงประเด็นหรือจัดลำดับเนื้อเรื่องของการพูดมีวิธีการดังนี้

1.         เรียงตามลำดับเวลา ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายต่อการนำเสนอและทำให้สับสนน้อยที่สุด

2.         เรียงตามสถานที่เกิดเหตุ หรือพื้นที่และขอบเขตทางภูมิศาสตร์

3.         เรียงตามคำจำกัดความ          4. เรียงตามหมวดหมู่

5.         เรียงตามเหตุผล          6. เรียงตามแนวคิด ทฤษฎี

7.         เรียงตามผลกระทบที่เกิดขึ้น   8. เรียงตามความสำคัญของปัญหา (เนื้อเรื่อง)

87.       การเรียงประเด็นหรือเนื้อหาของการพูดที่ง่ายต่อการนำเสนอที่สุด และทำให้เกิดความสับสนน้อยที่สุด คือ

(1)       เรียงตามลำดับตัวอักษรทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

(2)       เรียงตามพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ หรือตำแหน่งที่เป็นสากล

(3)       เรียงตามลำดับเวลาก่อนหลังของเหตุการณ์

(4)       เรียงตามลักษณะของผลกระทบของปัญหาที่เกิดขึ้น

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 86. ประกอบ

88.       เมื่อคุณนึกหรือคิดเนื้อหาที่จะพูดในลำดับต่อไปไม่ออก วิธีการปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา คือ

(1)       หาเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกับประเด็นที่พูดอยู่มาแทรกแล้วพูดต่อเนื่องไป

(2)       หยุดการพูด ขอพักชั่วคราว และรีบค้นต้นฉบับหรือบันทึกย่อที่เตรียมมาโดยด่วน

(3)       ส่งต่อการพูดไปยังพิธีกรหรือผู้ร่วมสัมมนา แล้วค่อย ๆ เรียบเรียงการพูดขึ้นใหม่

(4)       กลบเกลื่อนโดยการสนทนาร่วมกับเจ้าภาพ หรือผู้ดำเนินการอภิปราย

ตอบ 1 หน้า 54 ในบางครั้งการตื่นเวทีจะทำให้ผู้พูดลืมเรื่องที่เตรียมมาพูดได้ ซึ่งในกรณีเช่นนี้ผู้พูด ควรจะคิดหาเรืองอื่นที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับประเด็นหรือเรืองที่พูดมาแทรกแล้วพูดต่อเนื่องไป แต่ถ้าคิดไม่ทันก็ควรข้ามไปพูดหัวข้อตอนใหม่แทน ทั้งนี้ผู้พูดไม่ควรหยุดนึกหรือมองเพดาน เพราะจะยิ่งทำให้อึดอัดใจและเสียกำลังใจมากขึ้น

89.       หากนักศึกษาได้รับคำสบประมาทว่า ไม่สามารถพัฒนาการพูดของตนเองได้มากไปกว่านี้ นักศึกษาควรจะทำอย่างไรในฐานะผู้ที่เรียนวิชาการพูดหรือวาทวิทยามาแล้ว

(1)       ไม่ต้องสนใจ เพราะจะมีกี่คนที่เรียนการพูดมาโดยตรง เปล่าประโยชน์ที่จะฟัง

(2)       แสดงความรู้สึกให้เห็นว่าไม่เป็นเช่นนั้น คุณเป็นใคร มีสิทธิอะไรมาวิจารณ์

(3)       ฟังด้วยจิตใจสงบ หันมาสำรวจตนเอง ยอมรับและแก้ไขข้อผิดพลาด

(4)       ฟังแล้วก็ผ่านไป ใครก็พูดกันได้ทั้งนั้น คุณก็ไม่ต่างกับฉันซักเท่าไร

ตอบ 3 หน้า 486 ผู้ถูกวิจารณ์ไม่ควรท้อถอยเมื่อรู้ว่าการพูดของตนนั้นจะถูกนำไปวิจารณ์แต่ควรยึดถือข้อแนะนำ ดังนี้ 1. ต้องเป็นผู้มีมารยาทในการฟัง โดยฟังด้วยจิตใจที่สงบ ทำใจให้เป็นกลาง ยอมรับฟังข้อติของผู้อื่น โดยจะต้องไม่โกรธและถกเถียงกัน 2. นำข้อติและข้อแนะนำมาสำรวจตนเอง พร้อมทั้งปรับปรุงการพูดของตนให้ดีขึ้น

90.       สิ่งแรกที่ผู้พูดถูกจับตาจากผู้ชม-ผู้ฟัง คือ

(1)       ภาษาที่ใช้ว่ามีรสนิยมหรือสอดคล้องกับความเคยชินของกลุ่มเป้าหมายหรือไม่

(2)       การประมวลเรื่องจะเป็นการแสดงว่ามีการเตรียมตัวดีพอหรือไม่

(3)       ความคิดที่สอดคล้องเป็นเนื้อเดียวกันกับประเด็นที่จะถ่ายทอด

(4)       ท่าทีและการปรับตัวโดยทั่วไป โดยเฉพาะบุคลิกภาพที่กลมกลืนกับงานนั้น

ตอบ 4 หน้า 486 หลักเกณฑ์ประการแรกในการวิจารณ์หรือการประเมินผลการพูดทั่ว ๆ ไป คือการวิจารณ์ท่าทีและการปรับตัวโดยทั่วไป โดยเฉพาะบุคลิกภาพที่กลมกลืนกับงานนั้น เพราะ เป็นสิ่งแรกที่ผู้พูดจะถูกจับตาจากผู้ชม-ผู้ฟัง ซึ่งผู้วิจารณ์ต้องเริ่มพิจารณาจากการปรากฏตัว ของผู้พูดว่ามีความประหม่าหรือไม่ มีความมั่นใจในตนเองหรือไม่ ตลอดจนมีลักษณะที่แจ่มใส คล่องแคล่ว เป็นธรรมชาติ และสามารถปรับตัวให้เข้ากับบรรยากาศทั่ว ๆ ไปได้หรือไม่

91.       การพากย์กีฬาเรือยาว เป็นการพูดชนิดใด

(1) การพูดโดยการท่องจำ       (2) การพูดโดยอ่านจากต้นฉบับ

(3) การพูดปากเปล่าโดยไม่มีการเตรียม         (4) การพูดปากเปล่าโดยมีการฝึกซ้อม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 49. ประกอบ

92.       ข่าวหลังละครช่วงดึก เป็นการพูดชนิดใด

(1) การพูดโดยการท่องจำ       (2) การพูดโดยอ่านจากต้นฉบับ

(3) การพูดปากเปล่าโดยไม่มีการเตรียม         (4) การพูดปากเปล่าโดยมีการฝึกซ้อม

ตอบ 2 หน้า 90 การพูดโดยการอ่านจากต้นฉบับ เป็นการพูดที่อ่านจากโน้ตที่ได้เตรียมไว้โดยไม่ได้ มีการเปลี่ยนแปลงข้อความเลย จึงเป็นการอ่านมากกว่าการพูด ซึ่งมักใช้ในการพูดที่เป็นพิธีการ เช่น สุนทรพจน์ของบุคคลสำคัญ ๆ การอ่านข่าว การอ่านบทความ การกล่าวคำปราศรัย เนื่องในโอกาลต่าง ๆ คำแถลงการณ์ของรัฐบาล/คณะปฏิวัติ การอ่านรายงาน เปิดกิจการ ฯลฯ

93.       นักพูดหน้าใหม่ที่มีประสบการณ์น้อย ควรฝึกซ้อมการพูดอย่างไรจึงจะดีที่สุด

(1)       ฝึกซ้อมพูดกลางถนน ท่ามกลางคนที่เดินผ่านไปมา

(2)       ฝึกซ้อมพูดกับรูปปั้นในสวนซึ่งเงียบสงบ ได้บรรยากาศที่ดี

(3)       ฝึกซ้อมพูดหน้ากระจกในห้องคนเดียว เนื่องจากมีอยู่แทบทุกบ้าน

(4)       ฝึกซ้อมพูดกับนักพูดเพื่อจะได้พัฒนาตนเองให้เร็วยิ่งขึ้น

ตอบ 4 หน้า 52, (คำบรรยาย) วิธีฝึกซ้อมพูดกับผู้เชี่ยวชาญ คือ มีนักพูดผู้เชี่ยวชาญ วิทยากรการพูด หรือครูอาจารย์ดี ๆ คอยแนะนำให้เป็นการส่วนตัว จึงถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับนักพูดหน้าใหม่ ที่มีประสบการณ์น้อย เพราะจะทำให้ทราบว่าตนเองบกพร่องในเรื่องใดและควรแก้ไขในข้อใด ซึ่งโดยปกติแล้วในการพูดนั้นจะฝึกซ้อมกับผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวกับการพูดโดยตรง 2 กลุ่ม ได้แก่ 1. ผู้เชี่ยวชาญในด้านบุคลิกภาพและวิธีการนำเสนอ  2. ผู้เชี่ยวชาญในด้านเนื้อหา

94.       สิ่งใดเป็นวิธีช่วยแก้ความตื่นเวทีได้

(1)       คิดไปว่าไม่มีอะไรน่ากลัว และเขาก็อยากฟังเราพูด

(2)       รีบ ๆ พูดให้เร็ว ๆ ซะ จะได้จบเกมกันเสียที

(3)       ดื่มน้ำเข้าไปเยอะ ๆ ทดแทนการเสียเหงื่อ

(4)       ใส่เสื้อผ้ารัด ๆ ฟิต ๆ ให้ดูเท่เข้าไว้ จะได้เพิ่มความมั่นใจ

ตอบ 1 หน้า 54 – 55 วิธีแก้ความตื่นเวที มีดังนี้

1.         หายใจเข้าปอดลึก ๆ แล้วผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ ประมาณ 4 – 5 ครั้ง

2.         เมื่อเริ่มพูด ถ้ารู้สึกว่าเสียงสั่นและยังประหม่ามากให้พูดช้า ๆ พยายามหลีกเลี่ยงการพูดเร็ว

3.         พยายามคิดว่าไม่มีอะไรน่ากลัว และคิดว่าผู้ฟังที่มองตานั้นเขามองด้วยความศรัทรา ให้กำลังใจ และอยากฟังเราพูด

4.         ควรหลีกเลี่ยงการแต่งกายที่ตึง รัด และเป็นอุปสรรคต่อการพูด ฯลฯ

95.       มารยาทที่ดีงามในการพูด คือข้อใด

(1)       พูดอวดความเก่งกาจของตนเอง

(2)       พูดอย่างเปิดโอกาสให้แสดงความคิดเห็น

(3)       แสดงพฤติกรรมตามยถากรรม และปล่อยวางทุกสิ่ง

(4)       ใช้วาจารุนแรงในการโน้มน้าวใจ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ

96.       ข้อใดแตกต่างจากข้ออื่น

(1)       พูดโฆษณาขายกาแฟลดความอ้วน โดยบรรยายคุณภาพสินค้า

(2)       พูดหาเสียงเลือกตั้ง โดยนำเสนอสัญญาว่าจะทำอะไรในอนาคตให้กับชุมชน

(3)       พูดวิธีการใช้สมุนไพรในครัวเรือนอย่างถูกวิธี ประหยัด ปลอดภัย

(4)       พูดเชิญชวนบริจาคโลหิตด้วยการบอกบุญและประโยชน์สาธารณะ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 52. ประกอบ

97.       การพูดให้ความในขั้นศาล เป็นการพูดชนิดใด

(1) การพูดรายงานแบบสรุปผล          (2) การพูดรายงานแบบความก้าวหน้าและผลสำเร็จ

(3) การพูดรายงานแบบประสบการณ์            (4) การพูดรายงานแบบแถลงข้อเท็จจริง

ตอบ 4 หน้า 140, (คำบรรยาย) การพูดรายงานแบบแถลงข้อเท็จจริง เป็นการเสนอข้อเท็จจริงหลักฐาน ข้อมูล วัตถุประสงค์ หลักการ และสมมุติฐานที่จะเกิดขึ้น ซึ่งอาจได้จากการสังเกต การทดลอง การสำรวจ และการศึกษาจากเอกสารต่าง ๆ ตัวอย่างของการพูดรายงานแบบนี้ คือ การพูดให้ความ (ให้การ) ในขั้นศาล การรายงานถึงโครงการหรือนโยบายที่จะกระทำ หรือที่ กำลังกระทำอยู่ เช่น โครงการกู้เงินตราต่างประเทศ โครงการศูนย์การค้าไทยในต่างประเทศ โครงการขออนุมัติงบประมาณ เป็นต้น

98.       การเตรียมเนื้อหาของนักศึกษาที่จะนำไปพูดเพื่อนำเสนอรายงานให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนนั้น ควรมีลักษณะดังนี้

(1)       ทำเป็นหัวข้อที่สั้น ๆ หรือเป็นบันทึกย่อ แล้วพูดโดยใช้ประสบการณ์

(2)       ทำหัวข้อย่อย ๆ ให้มีความเด่น ง่ายต่อการอ่าน โดยมีการใส่หมึกไฮไลต์ขีดทับ

(3)       บรรจุเนื้อหาที่สมบูรณ์ของเรื่องลงไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

(4)       ทำเป็นบันทึกย่อประเด็นสำคัญแยกให้กับทุกคนที่ต้องพูดนำเสนอ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 56. ประกอบ

99.       การที่วิทยากรที่มาจากหน่วยงานซึ่งมีชื่อเสียงพูดชมนักศึกษาคณะสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหง ว่าแต่งกายเรียบร้อย มีระเบียบ สมวัย เป็นการกระตุ้นทางใด

(1) ทางร่างกาย           (2) ทางจิตใจ   (3) ทางนิสัย    (4) ทางสังคม

ตอบ 3 หน้า 96, (คำบรรยาย) การพูดกระตุ้นทางนิสัย เป็นการพูดในสิ่งที่ดีงามของผู้ฟัง เช่น กล่าวชมผู้ฟังว่าเป็นคนตรงต่อเวลา ทำงานดี เป็นผู้ที่มีรสนิยมดี น่ารัก แต่งกายเรียบร้อย มีระเบียบ สมวัย มีงานอดิเรกหรือมีความสนใจในสิ่งแวดล้อมดี เป็นต้น

100.    การพูดให้พนักงานร้านสะดวกซื้อที่เข้ามามีฝึกอบรมที่กระทรวงพาณิชย์มีความรู้สึกว่า ตนเอง เป็นคนมีเกียรติเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในสังคม ควรพูดกระตุ้นในทางใด

(1) ทางร่างกาย           (2) ทางจิตใจ   (3) ทางสังคม  (4) ทางนิสัย

ตอบ 3 หน้า 96 การพูดกระตุ้นทางสังคม ผู้พูดจะต้องพูดให้ได้ผลออกมาในรูปที่ว่า ผู้ฟังเป็นคนที่ กว้างขวาง มีเกียรติ เป็นที่รู้จักในวงสังคม หรือเป็นผู้ที่มีสิทธิเสมอภาคเท่าเทียมกับคนอื่น ๆ ในสังคมเหมือนกัน

MCS1101 ทฤษฎีการสื่อสาร การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา MCS 1101 ทฤษฎีการสื่อสาร

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

ข้อ 1. – 6. ตัวเลือกต่อไปนี้ใช้สำหรับการตอบคำถาม

(1)       ออสกูดและชแรมม์      (2) ลาสเวลส์   (3) เบอร์โล

(4) นิวคอมบ   (5) แชนนันและวีเวอร์

1.         แบบจำลองการสื่อสารของผู้ใดข้างต้นที่เน้นถึงการสื่อสารเพื่อความเหมือนกันทางความคิด ความสมดุลและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

ตอบ 4 หน้า 61 – 63 แบบจำลองการสื่อสาร ABX ของธีโอดอร์ นิวคอมบ์ (Newcomb)เป็นแบบจำลองเชิงจิตวิทยาที่เน้นว่าการสื่อสารเกิดขึ้นเพราะมนุษย์ต้องการให้เกิดความสมดุล หรือเกิดความเหมือนกันทางความคิด ทัศนคติ และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ โดยมองว่า การสื่อสารระหว่างตัวต่อตัวจะทำให้ความคิดหรือทัศนคติของบุคคลทั้งสองเกี่ยวกับเรื่องเดียวกัน อยู่ในสภาพสมดุล จึงเป็นแบบจำลองที่ไม่สามารถนำไปอธิบายการสื่อสารของกลุ่มขนาดเล็ก ในระดับสังคมที่ใหญ่โตได้ เพราะสังคมที่ใหญ่นั้นมนุษย์มิได้มีความต้องการที่จะให้เหมือนกัน หรือไม่สามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้เหมือนในระดับบุคคล

2.         แบบจำลองการลือสารของผู้ใดข้างต้น กล่าวถึง Communication Source, Encoder, Message, Channel, Decoder, Communication Receiver

ตอบ 3 หน้า 57 – 58 แบบจำลองการสื่อสารขั้นพื้นฐานตามแนวคิดของเดวิด เค. เบอร์โล (Berlo) อธิบายว่า กระบวนการสื่อสารประกอบด้วยส่วนประกอบพื้นฐานสำคัญ 6 ประการ คือ

1.         ต้นแหล่งสาร (Communication Source) 2. ผู้เข้ารหัส (Encoder)

3.         สาร (Message)   4. ช่องทางการสื่อสาร (Channel)

5. ผู้ถอดรหัส (Decoder)  6. ผู้รับสาร (Communication Receiver)

ซึ่งจากส่วนประกอบเหล่านี้เขาได้นำเสนอเป็น แบบจำลอง SMCR ของเบอร์โล

ประกอบด้วย 1. ผู้ส่งสาร (Sender or Source : S) 2. สาร (Message : M)

3. ช่องทางการสื่อสาร (Channel : C)     4. ผู้รับสาร (Receiver : R)

3.         แบบจำลองการสื่อสารของผู้ใดข้างต้นที่เน้นถึงกระบวนการสื่อสารเชิงโน้มน้าวใจ

ตอบ 2 หน้า 51-53 แบบจำลองการสื่อสารขั้นพื้นฐานตามแนวคิดของฮาโรลด์ ดี. ลาสเวลส์(Lasswell) ที่เสนอไว้เมื่อปี พ.ศ.2491 (ค.ศ. 1948)ได้ระบุวา การที่จะเข้าใจกระบวนการสื่อสารได้นั้น ก่อนอื่นจะต้องตอบคำถามให้ได้ก่อนว่า ใคร กล่าวอะไร ผ่านช่องทางใด ถึงใคร และเกิดผลอย่างไร ซึ่งแบบจำลองนี้ถือเป็นตัวแทนของแบบจำลองการสื่อสารในระยะแรก โดยมองว่าผู้ส่งสารมีเจตนาที่จะมีอิทธิพลเหนือผู้รับสาร เพราะในช่วงระยะเวลานั้นนักวิชาการ เชื่อว่า กระบวนการสื่อสารส่วนใหญ่เป็นกระบวนการในเชิงโน้มน้าวใจ ประกอบกับลาสเวลส์ เป็นผู้ที่สนใจการสื่อสารทางการเมืองและการโฆษณาชวนเชื่อ จึงทำให้แบบจำลองนี้เหมาะแก่การ ใช้วิเคราะห์การโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองและการโน้มน้าวใจ

4.         แบบจำลองการสื่อสารของผู้ใดข้างต้นที่เน้นถึงประสาทสัมผัสของมนุษย์ อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย

ตอบ 3 หน้า 5961, (ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ) แบบจำลองการสื่อสารขั้นพื้นฐานตามแนวคิดของเดวิด เค. เบอร์โล ได้กล่าวถึงช่องทางการสื่อสาร (Channel : C) ซึ่งเป็นพาหนะนำสารไปสู่ ผู้รับสาร โดยทางติดต่อหรือช่องทางที่จะนำสารไปสู่ประสาทสัมผัสที่รับความรู้สึกของมนุษย์ มีอยู่ 5 ประการ ได้แก่    1. การเห็น (ตา) 2. การได้ยิน (หู)         3. การสัมผัส (กาย)  4. การได้กลิ่น (จมูก)           5. การลิ้มรส (ลิ้น)

5.         แบบจำลองการสื่อสารของผู้ใดข้างต้นที่เป็นแบบจำลองกระบวนการสื่อสารเชิงเส้นตรง

ตอบ 5 หน้า 49, (คำบรรยาย) แบบจำลองการสื่อสารขั้นพื้นฐานตามแนวคิดของแชนนัน (Shannon) และวีเวอร์ (Weaver) จะเน้นกระบวนการสื่อสารทางเดียวในเชิงเส้นตรงที่ถือว่า การสื่อสาร เกิดขึ้นจากการกระทำของผู้ส่งสารไปยังผู้รับสารเพียงฝ่ายเดียว (ไม่สนใจ Feedback ของผู้รับสาร) โดยกล่าวถึงเรื่องของช่องสัญญาณทางการสื่อสาร (Channel) และแหล่งเสียงรบกวนหรืออุปสรรค ระหว่างการสื่อสาร (Noise) ว่า ช่องทางใดที่จะสามารถนำสารจากแหล่งสารสนเทศ (ผู้ส่งสาร) ไปสู่จุดหมายปลายทาง (ผู้รับสาร) ได้มากที่สุด โดยให้เกิดแหล่งเสียงรบกวนน้อยที่สุด

6.         แบบจำลองการสื่อสารของผู้ใดข้างต้นที่มีความเกี่ยวพันกับสนามแห่งประสบการณ์ร่วมและกรอบแห่งการอ้างอิง

ตอบ 1 หน้า 5557 แบบจำลองการสื่อสารขั้นพื้นฐานตามแนวคิดของออสกูด (Osgood) และวิลเบอร์ ชแรมม์ (Schramm) ที่เสนอไว้เมื่อปี พ.ศ. 2497 (ค.ศ. 1954) จะมีลักษณะเป็นวงกลมที่เน้นให้เห็นว่า ทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสารต่างมีหน้าที่เหมือนกัน 3 อย่าง คือ การเข้ารหัส (Encoding) การถอดรหัส (Decoding) และการตีความ (Interpreting) ซึ่งการตีความหมายสารของผู้ส่งสารและผู้รับสาร จะตรงกันหรือแตกต่างกันก็ขึ้นอยู่กับสนามแห่งประสบการณ์ร่วม (Field of Experience) และกรอบแห่งการอ้างอิง (Frame of Reference) ของทั้ง 2 ฝ่ายเป็นสำคัญ

7.         ทฤษฎี หมายถึง กลุ่มความสัมพันธ์ของคำตอบล่วงหน้า แนวความคิด คำจำกัดความ เป็นการให้ คำจำกัดความของผู้ใดต่อไปนี้

(1)       เคอร์ลินเจอร์    (2) เคอร์ลิงเจอร์           (3)       เคอร์รินเจอร์     (4)       เคอร์ริงเจอร์

ตอบ 1 หน้า 1522 เคอร์ลินเจอร์ (Kerlinger) กล่าวว่า ทฤษฎี คือ กลุ่มความสัมพันธ์ของแนวความคิด คำนิยาม (คำจำกัดความ) และสมมติฐาน (คำตอบล่วงหน้า) ซึ่งแสดงให้เห็น อย่างเป็นระบบถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น โดยอาศัยความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร

8.         องค์ประกอบพื้นฐานของทฤษฎีมีกี่ประการต่อไปนี้

(1)       สามประการ    (2)สี่ประการ    (3)ห้าประการ  (4)หกประการ

ตอบ 2 หน้า 19 – 20 ทฤษฎีมีองค์ประกอบหลัก ๆ ที่เป็นพื้นฐานสำคัญอยู่ 4 ประการ คือ

1.         ชื่อแนวความคิด มีหน้าที่และความสำคัญในเรื่องการบรรยายและแยกประเภท (Description and Classification)

2.         สมมติฐาน มีหน้าที่และความสำคัญในเรื่องการวิเคราะห์ (Analysis)

3.         นิยาม มีหน้าที่และความสำคัญในเรื่องความหมายและการวัด (Meaning and Measurement)

4.         ความเชื่อม มีหน้าที่และความสำคัญในเรื่องเหตุผลและการทดสอบ (Plausibility and Testability)

ทั้งนี้ทฤษฎีที่สมบูรณ์จริง ๆ ต้องมีองค์ประกอบทั้งหมด 6 ประการ โดยองค์ประกอบที่เพิ่มเติม เข้ามาอีก 2 ประการ คือ 1. การจัดลำดับแนวความคิด มีหน้าที่และความสำคัญในเรื่องการ กำจัดความซ้ำซ้อน (Elimination of Tautology) 2. การจัดลำดับสมมติฐาน มีหน้าที่และ ความสำคัญในเรื่องการกำจัดความไม่คงที่ (Elimination of Inconsistency)

9.         จากตัวอย่างการวิจัยเรื่อง การสื่อสารวิทยาศาสตร์ในรายการโทรทัศน์กับการมีเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ และ เจตคติทางวิทยาศาสตร์ที่ได้บรรยายให้ชั้นเรียนนั้น ควรนำแนวคิดหรือทฤษฎีใดต่อไปนี้มาเป็นกรอบในการศึกษา

(1)       ทฤษฎีการอบรมบ่มเพาะจากสื่อ         (2) ทฤษฎีการสื่อสารสองจังหวะ

(3) ทฤษฎีผู้ปิดและเปิดประตูสาร       (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 (คำบรรยาย) จากตัวอย่างการวิจัยเรื่องดังกล่าว สามารถนำแนวคิดทฤษฎีการอบรมบ่มเพาะจากสื่อ หรือทฤษฎีการปลูกฝัง (Cultivation Theory) มาเป็นกรอบในการศึกษา ซึ่งมีแนวคิดว่าข่าวสาร หรือรายการต่าง ๆ ในสื่อโทรทัศน์ได้ปลูกฝังปั้นแต่งความคิดของผู้รับสารเกี่ยวกับโลกที่แท้จริง โดยอิทธิพลของโทรทัศน์ได้ทำให้ผู้รับสารเกิดพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง และการเปิดรับรายการ ทางโทรทัศน์มากหรือน้อยจะทำให้ผลของการอบรมบ่มเพาะแตกต่างกัน ซึ่งจะส่งผลให้มีเจตคติต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่แตกต่างกันไปด้วย

10.       จากแนวคิดหรือทฤษฎีที่จะนำมาใช้ สามารถตั้งสมมติฐานได้ในข้อใดต่อไปนี้

(1)       ลักษณะทางประชากรศาสตร์ต่างกัน การเปิดรับรายการวิทยาศาสตร์ทางโทรทัศน์แตกต่างกัน

(2)       การเปิดรับรายการวิทยาศาสตร์ทางโทรทัศน์ มีความสัมพันธ์กับการมีเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ และเจตคติ ทางวิทยาศาสตร์

(3)       ลักษณะทางประชากรศาสตร์ต่างกัน มีเจตคติต่อวิทยาศาสตร์แตกต่างกัน

(4)       ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 2024 – 26, (ดูคำอธิบายข้อ 8. ประกอบ), (คำบรรยาย) จากแนวคิดหรือทฤษฎีที่นำมาใช้ในข้อ 9. สามารถตั้งสมมติฐานการวิจัยได้ว่า การเปิดรับรายการวิทยาศาสตร์ทาง โทรทัศน์ มีความสัมพันธ์กับการมีเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งจากสมมติฐานการวิจัยดังกล่าวมีตัวแปรในการวิจัย ดังนี้

1.         ตัวแปรอิสระ (ตัวแปรต้นหรือตัวแปรเหตุ) หมายถึง ตัวแปรที่นักวิจัยกำหนดให้เป็นตัวแปร ที่มีอิทธิพลต่อตัวแปรอื่น และมีความคงทนถาวรมากที่สุด ซึ่งในที่นี้คือ การเปิดรับรายการ วิทยาศาสตร์ทางโทรทัศน์

2.         ตัวแปรตาม (ตัวแปรผล) หมายถึง ตัวแปรอื่นที่เปลี่ยนแปลงไปตามการเปลี่ยนแปลงของ ตัวแปรอิสระ (โดยทั่วไปตัวแปรอิสระจะเกิดขึ้นก่อนตัวแปรตาม) ซึ่งในที่นี้คือ การมีเจตคติ ต่อวิทยาศาสตร์ และเจตคติทางวิทยาศาสตร์

11.       ตัวแปรใดต่อไปนี้ที่เกี่ยวข้องกับสมมติฐานข้างต้น

(1)       การเปิดรับรายการวิทยาศาสตร์ทางโทรทัศน์  (2) ลักษณะทางประชากรศาสตร์

(3) ความพึงพอใจรายการ       (4) ความต้องการรายการวิทยาศาสตร์

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 10. ประกอบ

12.       หากตั้งสมมติฐานว่า การเปิดรับรายการวิทยาศาสตร์ทางโทรทัศน์ของนักเรียน มีความสัมพันธ์กับการมีเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ตัวแปรอิสระ คือข้อใดต่อไปนี

(1)       ความพึงพอใจรายการวิทยาศาสตร์ทางโทรทัศน์

(2)       การเปิดรับรายการวิทยาศาสตร์ทางโทรทัศน์

(3)       การมีเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ และเจตคติทางวิทยาศาสตร์

(4)       ความต้องการรายการวิทยาศาสตร์ทางโทรทัศน์

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 10. ประกอบ

13.       หากตั้งสมมติฐานว่า การเปิดรับรายการวิทยาศาสตร์ทางโทรทัศนของนักเรียน มีความสัมพันธ์กับการมี เจตคติตอวิทยาศาสตร์ และเจตคติทางวิทยาศาสตร์ ตัวแปรตาม คือข้อใดต่อไปนี้

(1)       ความพึงพอใจรายการวิทยาศาสตร์ทางโทรทัศน์

(2)       การเปิดรับรายการวิทยาศาสตร์ทางโทรทัศน์

(3)       การมีเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ และเจตคติทางวิทยาศาสตร์

(4)       ความต้องการรายการวิทยาคาสตร์ทางโทรทัศน์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 10. ประกอบ

14.       หากตั้งสมมติฐานว่า ลักษณะทางประชากรต่างกัน การเปิดรับรายการวิทยาศาสตร์ทางโทรทัศน์ แตกต่างกัน ตัวแปรอิสระ คือข้อใดต่อไปนี้

(1)       ลักษณะทางประขากร (2) การเปิดรับ

(3) การเปิดรับรายการวิทยาศาสตร์ทางโทรทัศน์         (4) อายุ ภูมิลำเนา

ตอบ 1 (ดูคำอธิบายข้อ 10. ประกอบ) จากสมมติฐานดังกล่าวมีตัวแปรในการวิจัย ดังนี้

1.         ตัวแปรอิสระ (ตัวแปรต้นหรือตัวแปรเหตุ) คือ ลักษณะทางประชากร

2.         ตัวแปรตาม (ตัวแปรผล) คือ การเปิดรับรายการวิทยาศาสตร์ทางโทรทัศน์

15.       หากตั้งสมมติฐานว่า ลักษณะทางประชากรต่างกัน การเปิดรับรายการวิทยาศาสตร์ทางโทรทัศน์ แตกต่างกับ ตัวแปรตาม คือข้อใดต่อไปนี้

(1)       ลักษณะทางประชากร (2) การเปิดรับ

(3) การเปิดรับรายการวิทยาศาสตร์ทางโทรทัศน์         (4) อายุ ภูมิลำเนา

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ

16.       คำว่า เจตคติทางวิทยาศาสตร์” นิยามเชิงทฤษฎี หมายถึงข้อใดต่อไปนี้

(1)       ความรู้สึก ความคิดเห็น และแนวโน้มการแสดงออกของบุคคลที่แสดงถึงคุณลักษณะนิสัย อันเกิดจาก การศึกษาหาความรู้โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์

(2)       ความคิดเห็นของบุคคลที่มีต่อวิทยาศาสตร์

(3)       แนวโน้มการแสดงออกของบุคคลที่มีต่อวิทยาคาสตร์ (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 20, (ดูคำอธิบายข้อ 8. ประกอบ), (คำบรรยาย) คำว่า เจตคติทางวิทยาศาสตร์” และ เจตคติต่อวิทยาศาสตร์” สามารถให้คำนิยามตามองค์ประกอบของทฤษฎีได้ ดังนี้

1.         เจตคติทางวิทยาศาสตร์ มีคำนิยามเชิงทฤษฎี หมายถึง ความรู้สึก ความคิดเห็น และแนวโน้ม การแสดงออกของบุคคลที่แสดงถึงคุณลักษณะนิสัย อันเกิดจากการศึกษาหาความรู้โดยใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ส่วนคำนิยามเชิงปฏิบัติ หมายถึง ความมีเหตุผล ความสนใจใฝ่รู้ ความซื่อสัตย์ และความมีใจกว้าง

2.         เจตคติต่อวิทยาศาสตร์ มีคำนิยามเชิงทฤษฎี หมายถึง ความรู้สึก ความคิดเห็น และแนวโน้ม การแสดงออกของบุคคลที่มีต่อวิทยาศาสตร์ ส่วนคำนิยามเชิงปฏิบัติ หมายถึง การมีความสนใจ วิทยาศาสตร์ และการเห็นความสำคัญของวิทยาศาสตร์

17.       คำว่า เจตคติทางวิทยาศาสตร์” นิยามเชิงปฏิบัติ หมายถึงข้อใดต่อไปนี้

(1)       การมีความสนใจวิทยาศาสตร์ (2) การเห็นความสำคัญของวิทยาศาสตร์

(3) สนใจและเห็นความสำคัญของวิทยาศาสตร์          (4) มีเหตุผล สนใจใฝ่รู้ ซื่อสัตย์ ใจกว้าง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

18.       แนวคำถามที่สามารถใช้วัดความสำคัญของวิทยาศาสตร์ คือข้อใดต่อไปนี้

(1)       วิทยาศาสตร์ช่วยส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์

(2)       การทดลองวิทยาศาสตร์เป็นเรืองน่าตื่นเต้น

(3)       กิจกรรมแข่งขันตอบปัญหาทางวิทยาศาสตร์เป็นกิจกรรมที่น่าสนใจ

(4)       ก่อนจะเชื่อสิ่งใดต้องใช้เหตุผลในการพิจารณา

ตอบ 1 (ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ), (คำบรรยาย) แนวคำถามที่สามารถใช้วัดความสำคัญของวิทยาศาสตร์ ตามคำนิยามเชิงปฏิบัติของ เจตคติต่อวิทยาศาสตร์” จะมีทั้งด้านบวกและด้านลบ เพื่อใช้วัดระดับความคิดเห็นของบุคคลว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย มีดังนี้

1.         วิทยาศาสตร์ทำให้เป็นคนช่างสังเกต

2.         วิทยาศาสตร์ก่อให้เกิดสงคราม

3.         วิทยาศาสตร์ช่วยส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์

4.         วิทยาศาสตร์ทำให้มนุษย์มีการดำรงชีวิตที่ดีขึ้น ฯลฯ

19.       แนวคำถามที่สามารถใช้วัดความมีเหตุผล คือข้อใดต่อไปนี้

(1)       ควรซักถาม ฟัง และอ่านทุกครั้งที่ไม่เข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

(2)       กระบวนการทางวิทยาศาสตร์สามารถทำให้แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ

(3)       การลอกเลียนแบบผลงานของผู้อื่นเป็นสิ่งไม่ควรทำ

(4)       ความคิดเห็นที่มีเหตุผลของคนอื่น แม้จะขัดกับความรู้สึกของตนเองก็ควรรับฟัง

ตอบ 2 (ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ), (คำบรรยาย) แนวคำถามที่สามารถใช้วัดความมีเหตุผล ตามคำนิยามเชิงปฏิบัติของ เจตคติทางวิทยาศาสตร์” จะมีทั้งด้านบวกและด้านลบ เพื่อใช้วัดระดับความคิดเห็นของบุคคลว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย มีดังนี้

1.         ก่อนจะเชื่อสิ่งใดต้องใช้เหตุผลในการพิจารณา

2.         กระบวนการทางวิทยาศาสตร์สามารถทำให้แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ

3.         การจะสรุปเรื่องราวต่าง ๆ ต้องรวบรวมข้อมูลอย่างเพียงพอก่อน

4.         ควรทำการทดลองหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง ฯลฯ

20.       แนวคำถามที่สามารถใช้วัดความมีใจกว้าง คือข้อใดต่อไปนี้

(1)       ควรซักถาม ฟัง และอ่านทุกครั้งที่ไม่เข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

(2)       กระบวนการทางวิทยาศาสตร์สามารถทำให้แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ

(3)       การลอกเลียนแบบผลงานของผู้อื่นเป็นสิ่งไม่ควรทำ

(4)       ความคิดเห็นที่มีเหตุผลของคนอื่น แม้จะขัดกับความรู้สึกของตนเองก็ควรรับฟัง

ตอบ 4 (ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ), (คำบรรยาย) แนวคำถามที่สามารถใช้วัดความมีใจกว้าง ตามคำนิยามเชิงปฏิบัติของ เจตคติทางวิทยาศาสตร์” จะมีทั้งด้านบวกและด้านลบ เพื่อใช้วัดระดับความคิดเห็นของบุคคลว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย มีดังนี้

1.         การบอกสิ่งที่ตนเองค้นพบให้ผู้อื่นทราบจะทำให้เกิดการเลียนแบบ

2.         ถ้าให้แสดงความคิดเห็นหลายคนจะทำให้ได้ความรู้ที่หลากหลาย

3.         การขอความร่วมมือจากผู้อื่นทำให้เสียเวลา

4.         ความคิดเห็นที่มีเหตุผลของคนอื่น แม้จะขัดกับความรู้สึกของตนเองก็ควรรับฟัง ฯลฯ

21.       แนวคำถามที่สามารถใช้วัดความสนใจใฝ่รู้ คือข้อใดต่อไปนี้

(1)       ควรซักถาม ฟัง และอ่านทุกครั้งที่ไม่เข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

(2)       กระบวบการทางวิทยาศาสตร์สารถทำให้แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ

(3)       การลอกเลียบแบบผลงานของผู้อื่นเป็นสิ่งไม่ควรทำ

(4)       ความคิดเห็นที่มีเหตุผลของคนอื่น แม้จะขัดกับความรู้สึกของตนเองก็ควรรับฟัง

ตอบ 1 (ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ), (คำบรรยาย) แนวคำถามที่สามารถใช้วัดความสนใจใฝ่รู้ตามคำนิยามเชิงปฏิบัติของ เจตคติทางวิทยาศาสตร์” จะมีทั้งด้านบวกและด้านลบ เพื่อใช้วัดระดับความคิดเห็นของบุคคลว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย มีดังนี้

1.         ควรซักถาม ฟัง และอ่านทุกครั้งที่ไม่เข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

2.         ควรสังเกตสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเสมอ

3.         การค้นคว้าทดลองเป็นการแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ

4.         การติดตามข่าวสารด้านวิทยาศาสตร์เป็นประจำทำให้เป็นคนรอบรู้ ฯลฯ

22.       แนวคำถามที่สามารถใช้วัดความซื่อสัตย์ คือข้อใดต่อไปนี้

(1)       ควรซักถาม ฟัง และอ่านทุกครั้งที่ไม่เข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

(2)       กระบวนการทางวิทยาศาสตร์สามารถทำให้แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างเป็นระบบ

(3)       การลอกเลียนแบบผลงานของผู้อื่นเป็นสิ่งไม่ควรทำ

(4)       ความคิดเห็นที่มีเหตุผลของคนอื่น แม้จะขัดกับความรู้สึกของตนเองก็ควรรับฟัง

ตอบ 3 (ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ), (คำบรรยาย) แนวคำถามที่สามารถใช้วัดความซื่อสัตย์ ตามคำนิยามเชิงปฏิบัติของ เจตคติทางวิทยาศาสตร์” จะมีทั้งด้านบวกและด้านลบ เพื่อใช้วัดระดับความคิดเห็นของบุคคลว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย มีดังนี้

1.         การเขียนรายงานผลทางวิทยาศาสตร์ตามความเป็นจริงจะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษา

2.         การลอกเลียนแบบผลงานของผู้อื่นเป็นสิ่งไม่ควรทำ

3.         ควรอ้างอิงผลงานที่นำมาใช้ให้ผู้อื่นทราบ

4.         ควรเสนอผลการทดลองตามความเป็นจริง ถึงแม้จะเกิดความผิดพลาดในการทดลอง ฯลฯ

23.       แนวคำถามที่สามารถใช้วัดความซื่อสัตย์ คือข้อใดต่อไปนี้

(1)       การบอกสิ่งที่ตนเองค้นพบให้ผู้อื่นทราบจะทำให้เกิดการเลียนแบบ

(2)       ควรอ้างอิงผลงานที่นำมาใช้ให้ผู้อื่นทราบ

(3)       การติดตามข่าวสารด้านวิทยาศาสตร์เป็นประจำทำให้เป็นคนรอบรู้

(4)       ควรทำการทดลองหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 22. ประกอบ

24.       แนวคำถามที่สามารถใช้วัดความสนใจใฝ่รู้ คือข้อใดต่อไปนี้

(1)       การบอกสิ่งที่ตนเองค้นพบให้ผู้อื่นทราบจะทำให้เกิดการเลียนแบบ

(2)       ควรอ้างอิงผลงานที่นำมาใช้ให้ผู้อื่นทราบ

(3)       การติดตามข่าวสารด้านวิทยาศาสตร์เป็นประจำทำให้เป็นคนรอบรู้

(4)       ควรทำการทดลองหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 21. ประกอบ

25.       แนวคำถามที่สามารถใช้วัดความมีใจกว้าง คือข้อใดต่อไปนี้

(1)       การบอกสิ่งที่ตนเองค้นพบให้ผู้อื่นทราบจะทำให้เกิดการเลียนแบบ

(2)       ควรอ้างอิงผลงานที่นำมาใช้ให้ผู้อื่นทราบ

(3)       การติดตามข่าวสารด้านวิทยาศาสตร์เป็นประจำทำให้เป็นคนรอบรู้

(4)       ควรทำการทดลองหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 20. ประกอบ

26.       แนวคำถามที่สามารถใช้วัดความมีเหตุผล คือข้อใดต่อไปนี้

(1)       การบอกสิ่งที่ตนเองค้นพบให้ผู้อื่นทราบจะทำให้เกิดการเลียนแบบ

(2)       ควรอ้างอิงผลงานที่นำมาใช้ให้ผู้อื่นทราบ

(3)       การติดตามข่าวสารด้านวิทยาศาสตร์เป็นประจำทำให้เป็นคนรอบรู้

(4)       ควรทำการทดลองหลาย ๆ ครั้ง เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 19. ประกอบ

27.       ทฤษฎีใดต่อไปนี้ที่กล่าวถึงผลของการสื่อสารมวลชนในระยะยาว

(1)       ทฤษฎีการสื่อสารจังหวะเดียว (2) ทฤษฎีการสื่อสารสองจังหวะ

(3) ทฤษฎีการกำหนดระเบียบวาระ    (4) ทฤษฎีความโน้มเอียงร่วม

ตอบ 3 หน้า 179200 – 201 ทฤษฎีการกำหนดระเบียบวาระ (Agenda – setting Theory) จะเน้นวิเคราะห์ประสิทธิผลของการสื่อสารมวลชนที่มีต่อประชาชนในระยะยาวไม่ใช่ทันทีทันใด โดยได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนกับผู้รับสารว่า ยิ่งสื่อมวลชนเลือกเน้นเสนอประเด็น หัวข้อสำคัญใดแล้ว ผู้รับสารก็จะตระหนักถึงสาระสำคัญของหัวข้อนั้น ๆ มากตามไปด้วย ดังนั้น สื่อมวลชนจึงมีผลอย่างมหาศาลต่อการเสนอแนะประชาชนว่าน่าคิดเกี่ยวกับเรื่องอะไร (What About)

28.       Bagdikian กล่าวถึง การที่นักข่าวและบรรณาธิการจะตัดสินใจเลือกข่าวอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยใดต่อไปนี้

(1) หลักการที่ยึดถือในการบริหารงานขององค์กร       (2) การมองความต้องการของผู้รับสาร

(3) การประเมินค่าของข่าวสาร            (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 199 Bagdikian ได้เสนอข้อเขียนเกี่ยวกับทฤษฎีผู้ปิดและเปิดประตูสาร (Gatekeeper Theory) โดยกล่าวถึงการที่นักข่าวและบรรณาธิการข่าวจะตัดสินใจเลือกข่าวอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้            1. หลักที่ยึดถือในการบริหารงานขององค์กร  2. การมองโลกของความจริงและนิสัยของคน โดยมองว่าผู้อ่านหรือผู้รับสารต้องการอะไร และมีความปรารถนาอย่างไร         3. ค่านิยม ซึ่งยึดถือโดยกองบรรณาธิการที่มีความเชี่ยวชาญในวิชาชีพ     4. การประเมินค่าของข่าวสารโดยการแข่งขันของสื่อ  5.ค่านิยมส่วนตัวและนิสัยแปลก ๆ ของบรรณาธิการ

29.       ผู้ใดต่อไปนี้กล่าวว่า Gatekeeper เป็นผู้มีสิทธิในการเปิดและปิดประตูข่าวสารต่าง ๆ ที่มีมาถึง Gatekeeper

(1) วิลเบอร์ ชแรมม์      (2) เค เลวิน     (3) ดี. เอ็ม. ไวท์            (4) เบอร์โล

ตอบ 1 หน้า 198 วิลเบอร์ ชแรมม์ (Wilbur Schramm) กล่าวไว้ว่า Gatekeeper เป็นผู้ที่มีสิทธิ ในการเปิดและปิดประตูข่าวสารต่าง ๆ ที่มีมาถึง Gatekeeper ซึ่งบุคคลเหล่านี้ ได้แก่ นักข่าว (ผู้สื่อข่าว) บรรณาธิการข่าว หัวหน้าฝ่ายข่าวต่าง ๆ ผู้เขียนข่าว ผู้พิมพ์ นักวิจารณ์ หัวหน้าหน่วยงาน ด้านสื่อสาร ผู้จัดการโฆษณา สำนักข่าวต่าง ๆ ประธาน ครู และพ่อแม่ เป็นต้น

30.       ทฤษฎีใดต่อไปนี้ที่กล่าวถึง การที่นักสื่อสารมวลชนมีหน้าที่เลือกสรร ตกแต่งเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะเสนอไปยังผู้รับสาร

(1) ทฤษฎีการสื่อสารสองจังหวะ         (2) ทฤษฎีผู้ปิดและเปิดประตูสาร

(3) ทฤษฎีการกำหนดระเบียบวาระ    (4) ทฤษฎีความโน้มเอียงร่วม

ตอบ 2 หน้า 195197 – 198 ทฤษฎีผู้ปิดและเปิดประตูสาร (Gatekeeper Theory) คือ การที่ นักสื่อสารมวลชนทำหน้าที่เลือกสรร ตกแต่งเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น รวมทั้ง ลดหรือเพิ่มปริมาณความถี่ของข่าวสาร ก่อนที่จะเสนอไปยังผู้รับสาร ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับเป็น ผู้เฝ้าประตู (Gatekeeper) หรือนายทวารข่าวสาร เช่น บรรณาธิการข่าวคัดเลือกข่าวสารที่ เกิดขึ้นมากมายในวันหนึ่ง ๆ แล้วนำเสนอเพียงบางข่าว ส่วนอีกหลายข่าวก็อาจถูกโยนทิ้งไป

31.       ทฤษฎีใดต่อไปนี้ที่กล่าวถึง ผู้นำความคิดเห็น

(1) ทฤษฎีการสื่อสารสองจังหวะ         (2) ทฤษฎีผู้ปิดและเปิดประตูสาร

(3) ทฤษฎีการกำหนดระเบียบวาระ    (4) ทฤษฎีความโน้มเอียงร่วม

ตอบ 1 หน้า 182187194 ทฤษฎีการสื่อสารสองจังหวะ (Two-step Flow Theory) ได้ชี้ให้เห็นว่า ข่าวสารของสื่อมวลชนไม่ได้เข้าถึงและมีอิทธิพลโดยตรงต่อผู้รับ แต่อิทธิพลของบุคคล (Personal Influence) หรือความเป็นผู้นำความคิดเห็น (Opinion Leadership) กลับเป็นปัจจัยแทรกที่สำคัญ ในการโน้มน้าวพฤติกรรมของผู้รับสารให้เป็นไปตามที่ต้องการ และมีอิทธิพลเช่นนี้ได้ค่อนข้างบ่อย

32.       การสื่อสารประเภทใดต่อไปนี้ที่เป็นการแบ่งโดยดูจากความแตกต่างระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารเป็นเกณฑ์

(1) การสื่อสารมวลชน (2) การสื่อสารสาธารณะ

(3) การสื่อสารระหว่างประเทศ            (4) การสื่อสารในองค์การ

ตอบ 3 หน้า 44 – 45 ทฤษฎีการสื่อสารขั้นพื้นฐานที่แบ่งโดยดูจากความแตกต่างระหว่างผู้ส่งสาร และผู้รับสารเป็นเกณฑ์ แบ่งได้เป็น 3 ประเภท คือ 1. การสื่อสารระหว่างเชื้อชาติ  2. การสื่อสารระหว่างวัฒนธรรม    3. การสื่อสารระหว่างประเทศ

33.       มนุษย์สามารถติดต่อสื่อสารกันได้อย่างกว้างขวางด้วยเหตุผลหลายประการ แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุดน่าจะ เป็นข้อใดต่อไปนี้

(1) มนุษย์มีการใช้อาณัติสัญญาณต่าง ๆ       (2) มนุษย์อยู่ลำพังคนเดียวไม่ได้

(3) มนุษย์เกี่ยวข้องกับการสื่อสารตั้งแต่เกิดจนตาย (4) มนุษย์มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร

ตอบ 4 หน้า 1 การติดต่อสื่อสารหรือสื่อความหมายของมนุษย์ในสมัยก่อนจะเริ่มจากการใช้อาณัติสัญญาณต่าง ๆ เช่น เสียงกลอง ควันไฟ ฯลฯ เป็นสัญลักษณ์ในการสื่อสาร จากนั้นจึงเริ่มรู้จัก ขีดเขียนภาพบนผนังถ้ำ และต่อมาก็มีการประดิษฐ์คิดค้นตัวอักษรขึ้นใช้ในลักษณะของการบันทึก เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรนี้เองที่เป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ การติดต่อสื่อสารของมนุษย์เป็นไปได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น

34.       ผู้ใดต่อไปนี้ค้นพบทฤษฎีความไม่สอดคล้องทางความคิด

(1) เฟสติงเจอร์            (2) เฟสติงเกอร์            (3) เฟสลิงเตอร์            (4) เฟสติงเยอร์

ตอบ 1 หน้า 63 เฟสติงเจอร์ เป็นผู้ก่อตั้งทฤษฎีความไม่สอดคล้องทางความคิด (Cognitive Dissonance Theory) โดยเขาเป็นผู้ค้นพบว่า การตัดสินใจ ทางเลือก และข้อมูลข่าวสาร ใหม่ ๆ มีศักยภาพสูงพอที่จะก่อให้เกิดความไม่สอดคล้องหรือความไม่เหมือนกันทางความคิด ซึ่งก่อให้เกิดความยุ่งยากใจที่ถือได้ว่าเป็นความรู้สึกทางจิตวิทยา

35.       การอ่านทวนจดหมายที่เราเขียนขึ้นเองก่อนส่งไปให้เพื่อนเรา สามารถเรียกว่าการสื่อสารประเภทใดต่อไปนี้

(1)       การสื่อสารระหว่างบุคคล        (2) การสื่อสารภายในตัวบุคคล

(3) การสื่อสารแบนตัวต่อตัว    (4) การสื่อสารแบบเผชิญหน้า

ตอบ 2 หน้า 73638 – 39 การสื่อสารภายในตัวบุคคล (Intrapersonal Communication)เป็นกระบวนการสื่อสารที่เกิดขึ้นภายในระบบประสาทและความนึกคิดของบุคคล โดยอาศัย ระบบประสาทส่วนกลาง 2 ส่วน คือ Motor Skills ทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสาร และ Sensory Skills ทำหน้าที่เป็นผู้รับสาร ซึ่งการสื่อสารกับตัวเองนี้อาจเกิดขึ้นได้ทั้งแบบรู้สึกตัว เช่น การพูดกับตัวเอง การร้องเพลงคนเดียว การเล่นเกม (ในคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ) การคิดคำนวณ การนึก การอ่านทวนจดหมายที่ตัวเองเขียนก่อนส่ง ฯลฯ และแบบไม่รู้สึกตัว เช่น การฝัน การละเมอ ฯลฯ

36.       การสื่อสารประเภทใดต่อไปนี้ที่ผู้ส่งสารและผู้รับสารสามารถแยกหน้าที่กันได้อย่างชัดเจน

(1)       การสื่อสารภายในตัวบุคคล     (2) การสื่อสารระหว่างบุคคล

(3) การสื่อสารสาธารณะ         (4) การสื่อสารภาย ในองค์การ

ตอบ 3 หน้า 42 – 43, (คำบรรยาย) ลักษณะสำคัญของการสื่อสารกลุ่มใหญ่หรือการสื่อสาร สาธารณะ (Large Group Communication or Public Communication) มีดังนี้

1.         ผู้รับสารเป็นคนจำนวนมากที่มาอยู่รวมในที่เดียวกันหรือใกล้เคียงกัน

2.         ผู้ส่งสารและผู้รับสารสามารถแยกหน้าที่กันได้อย่างชัดเจนว่าใครเป็นผู้ส่งสาร และใครเป็นผู้รับสาร

3.         ผู้ส่งสารทำหน้าที่ส่งสารในฐานะที่เป็นตัวแทนของตัวเอง องค์การและสถาบัน

4.         ปฏิกิริยาตอบกลับจะเกิดขึ้นค่อนข้างยาก

5.         ผู้รับสารจะมีคุณลักษณะทางประชากรศาสตร์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน ฯลฯ

37.       รหัสของสารมีกี่ประเภท

(1)สอง (2)สาม            (3)สี่     (4)ห้า

ตอบ 1 หน้า 68 รหัสของสาร คือ ภาษา สัญลักษณ์ หรือสัญญาณที่มนุษย์คิดขึ้นเพื่อใช้แสดงออก แทนความคิดเกี่ยวกับบุคคลและสรรพสิ่งต่าง ๆ โดยสามารถแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

1.         รหัสของสารที่ใช้คำพูด (Verbal Message Codes)

2.         รหัสของสารที่ไม่ใช้คำพูด (Nonverbal Message Codes)

38.       การสื่อสารประเภทใดต่อไปนี้ที่ผู้ส่งสารและผู้รับสารทำหน้าที่สลับกันในเวลาใกล้เคียงกันมากที่สุด

(1) การสื่อสารภายในตัวบุคคล           (2) การสื่อสารระหว่างบุคคล

(3) การสื่อสารกลุ่มเล็ก           (4) การสื่อสารกลุ่มใหญ่

ตอบ 2 หน้า 41 – 4275, (คำบรรยาย) การสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication) คือ การสื่อสารของคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปในลักษณะที่ทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสารสามารถแลกเปลี่ยน ข่าวสารกันได้โดยตรง สามารถสังเกตกิริยาท่าทางของฝ่ายตรงข้าม และมีผลตอบกลับ ได้รวดเร็วทันที ซึ่งอาจเป็นการสื่อสารตัวต่อตัวหรือการสื่อสารแบบเผชิญหน้าที่ผู้ส่งสาร และผู้รับสารต่างก็ทำหน้าที่เข้ารหัส ตีความ และถอดรหัสโดยสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน เช่น การเล่าความฝันให้เพื่อนฟัง ฯลฯ หรือเป็นการสื่อสารแบบไม่เผชิญหน้า ก็ได้ เช่น การพูดคุยและส่ง SMS ทางโทรศัพท์ การอ่านจดหมายที่เพื่อนส่งมาให้ การส่ง E-mail และการสนทนาโต้ตอบกันหรือ Chat ทางอินเทอร์เน็ต ฯลฯ

39.       ตัวแปรใดต่อไปนี้มีความคงทนมากที่สุด

(1)       ตัวแปรเหตุ       (2) ตัวแปรกด  (3) ตัวแปรตาม            (4) ตัวแปรแทรก

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 10. ประกอบ

40.       ช่องทางการสื่อสาร” หมายถึงข้อใดต่อไปนี้

(1)       ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์           (2) วิทยุและโทรทัศน์

(3) หนังสือพิมพ์           (4) สื่อมวลชน

ตอบ 1 หน้า 72, (ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ) คำว่า ช่องทางการสื่อสาร” หมายถึง ทางที่ทำให้ผู้ ส่งสารกับผู้รับสารติดต่อกันได้ซึ่งก็คือ ประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของมนุษย์ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย ส่วนคำว่า สื่อ” หมายถึง สื่อที่มีอยู่ตามธรรมชาติ ได้แก่ อากาศ แสง เสียง ตลอดจน อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่มนุษย์คิดขึ้นเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารไปถึงกันและกัน

41.       อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่มนุษย์คิดขึ้นเพื่อใช้ในการติดต่อสื่อสารถึงกัน เป็นหนึ่งของความหมายในข้อใดต่อไปนี้

(1)       ช่องทาง           (2)พาหนะ       (3)สื่อ   (4)เครื่องมือ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 40. ประกอบ

42.       อาจารย์ใช้แผ่นใส วิดีโอ และการเขียนกระดานดำสอนนักศึกษาขณะบรรยายในชั้นเรียน ถือว่าอาจารย์ ใช้สื่อประเภทใดต่อไปนี้ ถ้าดูจากจำนวนการเข้าถึงผู้รับสารเป็นเกณฑ์

(1)       สื่อมวลชน        (2) สื่อเฉพาะกิจ          (3) สื่อประสม  (4) สื่อระหว่างบุคคล

ตอบ 4 หน้า 73 – 74 สื่อระหว่างบุคคล เป็นสื่อที่มนุษย์ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างบุคคลที่อยู่ห่างไกลกัน จนไม่อาจจะติดต่อกันโดยไม่ผ่านสื่อหรือไม่มีสื่อได้ จึงจัดเป็นสื่อที่ใช้เฉพาะบุคคล มีลักษณะเป็น ส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับผู้อื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการสื่อสารในขณะนั้น ๆ เช่น จดหมาย โทรเลข โทรศัพท์ ภาพถ่ายในครอบครัว บันทึกช่วยจำ อนุทิน เป็นต้น นอกจากนั้นก็ยังมีเครื่องมืออุปกรณ์ บางชนิดที่จัดว่าเป็นสื่อที่ใช้ในการสื่อสารระหว่างบุคคล ได้แก่ การประชุมกลุ่มย่อย การเรียน การสอน ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้สื่อต่าง ๆ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เช่น กระดานดำ หนังสือ เอกสาร แผ่นใส วิดีโอ เป็นต้น

43.       การสื่อสารที่เน้น Interaction ระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร สามารถเรียกได้อย่างไรต่อไปนี้

(1) One-way Communication   (2) Two-way Communication

(3) Mass Communication (4) Communications

ตอบ 2 หน้า 4-51454 การสื่อสารที่เป็นกระบวนการ 2 วิถี หรือการสื่อสารแบบ 2 ทาง (Two-way Communication) จะมีความหมายครอบคลุมไปถึงการรับสาร ปฏิกิริยา สะท้อนกลับหรือปฏิกิริยาตอบกลับ (Feedback) และปฏิกิริยาที่ผู้ส่งสารและผู้รับสาร มีต่อกันหรืออันตรกิริยา (Interaction) ซึ่งจะเป็นตัวนำไปสู่กระบวนการเข้าใจความหมาย (Meaning) ร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลาย ๆ อย่าง

44.       การสื่อสารที่ครอบคลุมถึงการรับสาร ปฏิกิริยาสะท้อนกลับ และปฏิกิริยาที่มีต่อกันระหว่างผู้ส่งสารและ ผู้รับสาร สามารถนำไปสู่กระบวนการใดต่อไปนี้

(1) การถอดรหัส          (2) การเข้ารหัส

(3) การเข้าใจความหมายร่วมกัน         (4) การเข้ารหัส – ถอดรหัส

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

45.       ผู้ใดต่อไปนี้ให้คำจำกัดความการสื่อสารว่า เป็นกระบวนการที่บุคคลหนึ่งส่งสิ่งเร้าเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลอื่น  

(1) จอร์จ เอ. มิลเลอร์

(2)       เจอร์เกน รอยซ์ (3) คาร์ล ไอ. โฮฟแลนด์           (4) วอร์เรน ดับเบิลยู. วีเวอร์

ตอบ 3 หน้า 3 คาร์ล ไอ. โฮฟแลนด์ (Carl I. Hoveland) และคณะ ให้ความเห็นว่า การสื่อสาร คือ กระบวนการที่บุคคลหนึ่ง (ผู้ส่งสาร) ส่งสิ่งเร้า (โดยปกติจะเป็นภาษาพูดหรือภาษาเขียน) เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของบุคคลอื่น ๆ (ผู้รับสาร)

46.       ผู้เข้ารหัส” ตรงกับข้อใดต่อไปนี้

(1)       Decoder   (2)       Encoder   (3)       Sender     (4) Receiver

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ

47.       ข้อความเฉพาะซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างของสองสิ่ง หรือตัวแปร 2 ตัว หรือมากกว่านั้น’’เป็นคำจำกัดความของคำใดต่อไปนี้

(1)       ทฤษฎี  (2)       สมมติฐาน       (3)       ตัวแปร (4) แบบจำลอง

ตอบ 2 หน้า 2026 สมมติฐาน (Hypothesis) คือ ข้อความเฉพาะซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์ ระหว่างของสองสิ่ง หรือตัวแปรสองตัว หรือมากกว่านั้น

48.       องค์ประกอบหลักของทฤษฎีมีกี่ประการ

(1) 3 ประการ  (2)       4 ประการ        (3)       5 ประการ        (4) 6 ประการ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 8. ประกอบ

49.       องค์ประกอบที่ทำให้ทฤษฎีสมบูรณ์มีกี่ประการ

(1) 3 ประการ  (2)       4 ประการ        (3)       5 ประการ        (4) 6 ประการ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 8. ประกอบ

50.       หากผู้วิจัยอาศัยหลักเหตุผล ความรู้ หรือผลงานวิจัยที่มีมาก่อนเป็นตัวกำหนดสมมติฐาน สามารถเรียก การตั้งสมมติฐานลักษณะเช่นนี้ว่าอย่างไรต่อไปนี้

(1)       การตั้งสมมติฐานแบบอุปมานอย่างมีเหตุผล

(2)       การตั้งสมมติฐานแบบการอนุมานอย่างมีเหตุผล

(3)       การตั้งสมมติฐานโดยวิธีพฤตินัย

(4)       การตั้งสมมติฐานแบบพฤตินัย

ตอบ 2 หน้า 27 อริสโตเติล (Aristotle) เป็นผู้ที่คิดค้นและนำวิธีการตั้งสมมติฐานที่เกิดขึ้นโดยนิรนัย (Deduction) หรือการอนุมานอย่างมีเหตุผลมาใช้ ซึ่งเป็นสมมติฐานที่เกิดขึ้นจากการคาดการณ์ คำตอบที่คาดหวังจากการวิจัยของผู้วิจัย โดยอาศัยหลักเหตุผล ความรู้ ประสบการณ์ ผลงานการวิจัย ที่มีมาก่อน หรือจากสามัญสำนึก หรือเป็นสมมติฐานที่นิรนัยมาจากทฤษฎี ทั้งนี้สามารถแบ่งวิธี อนุมานออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ 1. ข้อเท็จจริงหลัก 2. ข้อเท็จจริงรอง  3. ข้อสรุป

51.       ข้อความใดต่อไปนี้ถูกต้อง

(1)       Paradigm หมายถึง แบบหรือทฤษฎีที่คิดค้นและวิวัฒนาการจากศาสตร์สาขาวิขาเดียวกัน

(2)       Paradigm หมายถึง แบบหรือทฤษฎีที่คิดค้นและวิวัฒนาการจากศาสตร์สาขาเดียวกันหรือต่างสาขากันก็ได้

(3)       Model หมายถึง แบบหรือทฤษฎีที่คิดค้นและวิวัฒนาการจากศาสตร์แขนงเดียวกัน

(4)       Model หมายถึง แบบหรือทฤษฎีที่คิดค้นและวิวัฒนาการจากศาสตร์ต่างสาขากัน

ตอบ3 หน้า 21 Model หมายถึง ทฤษฎีหรือแบบจำลองที่ประดิษฐ์คิดค้นและวิวัฒนาการหรือ พัฒนามาจากศาสตร์ภายในสาขาวิขาแขนงเดียวกัน ส่วน Paradigm หมายถึง ทฤษฎีหรือ แบบจำลองที่ประดิษฐ์คิดค้นและวิวัฒนาการมาจากศาสตร์หรือวิชาการ (Discipline)ต่างสาขากัน หรือยืมมาจากสาขาวิชาอื่น

52.       ตัวแปรเหตุ สามารถเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอย่างไรต่อไปนี้

(1) ตัวแปรตาม            (2) ตัวแปรอิสระ          (3) ตัวแปรแทรก          (4) ตัวแปรกด

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 10. ประกอบ

53.       การสื่อสารประเภทใดต่อไปนี้ ผู้ส่งสารทำหน้าที่เป็นตัวแทนของสถาบัน และเป็นตัวแทนของตัวเอง

(1) การสื่อสารภายในองค์การ (2) การสื่อสารมวลชน

(3)       การสื่อสารระหว่างบุคคล        (4) การสื่อสารกลุ่มใหญ่

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 36. ประกอบ

54.       หน้าที่พื้นฐานของสื่อมวลชนที่มีต่อสังคม ตรงกับข้อใดต่อไปนี้

(1) เป็นสื่อกลางของสถาบันหลัก ๆ     (2) เป็นสื่อกลางของสาธารณะ

(3) เป็นสื่อกลางของความสัมพันธ์ต่าง ๆ ในสังคม      (4) ถูกทั้งข้อ 2 และข้อ 3

ตอบ 4 หน้า 93 – 94. 97 – 99 การศึกษาโครงร่างความเป็นสื่อกลางของสื่อมวลชนจะมีความเกี่ยวข้องกับบทบาทหน้าที่พื้นฐานของสื่อมวลชนที่มีต่อสังคมใน 2 ลักษณะ ดังนี้

1.         บทบาทของสื่อมวลชนในฐานะที่เป็นสื่อกลางของความสัมพันธ์ต่าง ๆ ในสังคม คือ ลักษณะความสัมพันธ์ของสื่อมวลชนกับสถาบันอื่น ๆ ในสังคม

2.         บทบาทของสื่อมวลขนในฐานะที่เป็นสื่อกลางของสาธารณชนหรือสาธารณะ คือ ลักษณะความสัมพันธ์ของสื่อมวลชนกับสาธารณชนหรือมวลชนผู้รับสารโดยทั่วไปในสังคม

55.       ข้อใดต่อไปนี้เป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์

(1) วารสาร      (2) หนังสือพิมพ์           (3) นิตยสาร     (4) คอมพิวเตอร์

ตอบ 4 หน้า 73 การแบ่งประเภทของสื่อโดยใช้คุณลักษณะของสื่อเป็นเกณฑ์มี 5 ประเภท คือ

1.         สื่อธรรมชาติ ได้แก่ บรรยากาศรอบตัวมนุษย์ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ

2.         สื่อมนุษย์ ได้แก่ โฆษก ตัวแทนการเจรจาปัญหาต่าง ๆ ผู้ทำการสื่อสาร ฯลฯ

3.         สื่อสิ่งพิมพ์ ได้แก่ หนังสือพิมพ์ แผ่นพับ นิตยสาร วารสาร ใบประกาศ โปสเตอร์ โฟลเดอร์ (ใบโฆษณาที่เป็นกระดาษแข็งพับ) ฯลฯ

4.         สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ วิทยุ โทรทัศน์ โทรพิมพ์ วิดีโอเทป เครื่องฉายภาพ คอมพิวเตอร์ (เช่น เว็บไซต์ฝ้ายคำของ ม.รามคำแหง) ฯลฯ

5.         สื่อระคน ได้แก่ หนังสือพิมพ์กำแพง วัตถุจารึก (ศิลาจารึก) สื่อพื้นบ้าน ฯลฯ

56.       ข้อใดต่อไปนี้ที่เป็นสื่อกลางในการเชื่อมโยงผู้รับสารในสังคมกับความเป็นจริงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม

(1) วิทยุและโทรทัศน์   (2) หนังสือพิมพ์           (3) คอมพิวเตอร์           (4) สื่อมวลชน

ตอบ 4 หน้า 94 – 95 สถาบันสื่อมวลชนนับว่าเป็นตัวกลางระหว่างผู้รับสาร (สาธารณชนหรือมวลชน) กับสถาบันอื่น ๆ หรือระหว่างสถาบันต่าง ๆ ในสังคมด้วยกันเอง จึงมีการเปรียบสื่อมวลชน ว่าเป็นเสมือนสื่อกลางในการเชื่อมโยงผู้รับสารกับความเป็นจริงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม หรือในโลก เพราะไม่ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น ณ แห่งหนตำบลใด หรือในซีกโลกใด สื่อมวลชน ก็สามารถนำมาเสนอสู่สายตาของสาธารณชนได้

57.       ในปัจจุบันสื่อใดต่อไปนี้สามารถคานอำนาจสื่อหนังสือพิมพ์

(1)       วิทยุและโทรทัศน์        (2) วิทยุกระจายเสียง  (3) คอมพิวเตอร์           (4) วิทยุโทรทัศน์

ตอบ 1 หน้า 88 – 89, (คำบรรยาย) ความสำคัญของวิทยุและโทรทัศน์ มีดังนี้

1.         เป็นเทคโนโลยีที่ตอบสนองการใช้งานในตัวของสื่อเอง มากกว่าตอบสนองความต้องการ ทางด้านเนื้อหาหรือบริการในรูปแบบใหม่

2.         สามารถเสนอข่าวสารได้รวดเร็วฉับพลัน

3.         ทำหน้าที่ได้ทั้งการเสนอข่าวสารการเมือง เรื่องที่คนนิยม หรือเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ดังนั้นจึงเป็นสื่อที่สามารถคานอำนาจสื่อหนังสือพิมพ์ได้

4.         เป็นสื่อที่แพร่กระจายได้กว้างไกล มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นทางการเมืองและการดำเนินชีวิต ของประชาชนในสังคมเป็นอย่างมาก ฯลฯ

58.       วัฒนธรรม หมายถึงข้อใดต่อไปนี้      

(1) การแต่งกาย

(2)       ทรงผม            (3) สรรพสิ่งทั้งหลายที่มนุษย์สร้างขึ้น (4) มรดก

ตอบ 3 หน้า 118 – 119 คำวา วัฒนธรรม คือ สรรพสิ่งทั้งหลายที่มนุษย์สร้างขึ้น ดังนั้นจึงพอจะ สรุปความได้ว่า วัฒนธรรมเป็นมรดกทางสังคมที่ครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นแบบแผน ในความคิดและการกระทำที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ โดยแต่ละสังคมมีวัฒนธรรม เฉพาะของตนเอง เพราะเป็นวิถีชีวิตที่แตกต่างกันของแต่ละกลุ่มสังคม

59.       ผู้ใดต่อไปนี้ให้คำจำกัดความคำว่า มวลชน” โดยเปรียบเทียบกับคำที่มีลักษณะการรวมตัวกับของคนหมู่มาก

(1)       Blomer     (2) Blumer          (3) Bluner (4) Baumen

ตอบ 2 หน้า 77 เฮอร์เบิร์ท บลูเมอร์ (Herbert Blumer) ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า มวลชน” (Mass) โดยนำไปเปรียบเทียบกับคำอื่น ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันหรือเกี่ยวข้องกับการรวมตัวกัน ของคนหมู่มาก ซึ่งได้แก่ คำว่ากลุ่มคน (Group), ฝูงชน (Crowd) และสาธารณชน (Public)

60.       การตีความหมายสารของผู้ส่งสารและผู้รับสารจะตรงกันมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบใดต่อไปนี้

(1) การถอดรหัส          

(2) การรับรู้

(3)       การแปลความหมาย   

(4) สนามแห่งประสบการณ์ร่วม

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ

61.       สื่อมวลชนได้รับความสนใจ และศึกษาอย่างเป็นระบบมากขึ้น เพราะสาเหตุใดต่อไปนี้

(1)       สื่อมวลชนเติบโตอย่างรวดเร็ว

(2)       สื่อมวลชนเป็นแหล่งผลิตและแพร่กระจายความรู้

(3)       สื่อมวลชนเป็นช่องทางเชื่อมโยงกลุ่มคน

(4)       การมีส่วนร่วมของผู้ชม/ผู้ฟังเป็นไปโดยสมัครใจ

ตอบ 1 หน้า 90 – 91 สาเหตุที่สื่อมวลชนได้รับความสนใจ และมีการศึกษาอย่างเป็นระบบมากขึ้น มีดังนี้

1.         กิจการสื่อมวลชนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

2.         สื่อมวลชนมีบทบาทควบคุมการจัดการทรัพยากรต่าง ๆ

3.         สื่อมวลชนเปิดโอกาสให้มีการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนสภาพการดำรงชีวิตของคนในสังคมมากขึ้น

4.         สื่อมวลชนก่อให้เกิดพัฒนาการด้านวัฒนธรรมในรูปแบบต่าง ๆ

5.         สื่อมวลชนก่อให้เกิดคำนิยม ทัศนคติ แนวความคิด และรูปแบบการตัดสินใจของปัจเจกชน

62.       โครงสร้างของสื่อมวลชนของสาธารณชน เกิดจากความกดดันด้านใดต่อไปนี้

(1)       ความแตกต่างด้านต่าง ๆ ในโครงสร้างสังคม

(2)       ความสามารถเข้าถึงแหล่งข่าวที่เหมือนกันของสื่อมวลชน

(3)       ความสนใจของสาธารณชนที่เหมือนกัน

(4)       ความสามารถแยกผลกระทบที่ชัดเจนภายในโครงสร้างสังคม

ตอบ 1 หน้า 100 – 101 ตามบทบาทความเป็นสื่อกลางของสาธารณชนหรือสาธารณะนั้นโครงสร้างของสื่อมวลชนของสาธารณชนเป็นรูปเป็นร่างขึ้นได้จากความกดดันต่าง ๆ ดังนี้

1.         ความสนใจของสาธารณชน เช่น ความสามารถของสื่อมวลชนในการเข้าถึงแหล่งข่าวแตกต่างกัน ทำให้ข่าวสารที่ออกมามีความหลากหลายในรสนิยม การศึกษา และสถานการณ์ทั่วไป

2.         ด้านเศรษฐกิจ เช่น ค่าใช้จ่ายของสื่อมวลชนตั้งแต่เริ่มทำข่าวหรือหาข่าวสารข้อมูล จนกระทั่ง นำเสนอต่อสาธารณชน

3.         ความแตกต่างด้านต่าง ๆ ในโครงสร้างสังคม เช่น ที่อยู่อาศัย ชนชั้น ศาสนา รสนิยม การศึกษา ฐานะการเงิน และสถานภาพทางสังคม

63.       จากโครงร่างความเป็นสื่อกลางของสื่อมวลชน สามารถพิจารณาจากหัวข้อใดต่อไปนี้

(1)       ความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนกับสถาบันอื่น ๆ

(2)       ความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนกับสาธารณชน

(3)       ความสัมพันธ์ระหว่างสื่อมวลชนกับแหล่งข่าว           

(4) ถูกทั้งข้อ 1 และข้อ 2 ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 54. ประกอบ

64.       องค์กรหรือหน่วยงานลักษณะใดต่อไปนี้ สามารถเรียกว่าสถาบันสื่อสารมวลชน

(1)       เป็นหน่วยงานที่ต้องพึ่งพาอาศัยสถาบันการเมือง

(2)       เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงกลุ่มคนกับคนอื่น ๆ

(3)       เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ผลิตและแพร่กระจายความรู้ในรูปข่าวสาร 

(4) ถูกทั้งข้อ 2 และข้อ 3

ตอบ 4 หน้า 91 – 92 สถาบันสื่อสารมวลชน (The Mass Media Institution) มีลักษณะดังนี้

1.         มีหน้าที่ผลิตและแพร่กระจายความรู้ในรูปข่าวสาร ความคิด และวัฒนธรรม

2.         เป็นช่องทางเชื่อมโยงกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งกับคนอื่น ๆ

3.         มีบรรยากาศของความเป็นสาธารณะ

4.         การมีส่วนร่วมของผู้ชม/ผู้ฟังในสถาบันสื่อเป็นไปโดยสมัครใจ

5.         มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมและการตลาดในลักษณะพึ่งพาอาศัยกัน

6.         ไม่มีอำนาจในตัวเอง แต่มักจะเกี่ยวข้องกับอำนาจรัฐอยู่เสมอ

65.       บุคคลที่ได้รับข้อมูลข่าวสารจากแหล่งข้อมูลเดียวกัน จะทำให้เกิดเหตุการณ์ใดต่อไปนี้

(1)       ความคิดและความเชื่อโดยทั่วไปสามารถคล้ายกับได้

(2)       ความคิดและความเชื่อโดยทั่วไปไม่สามารถคล้ายกันได้

(3)       ความคิดและความเชื่อยังคงเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละกลุ่ม  

(4) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 94 ความคิด ความเชื่อ และข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสังคมนั้น สาธารณขน สามารถรับรู้ได้จากสื่อมวลชนทั้งหลาย แม้ว่ากลุ่มคนต่าง ๆ ในสังคมจะมีความคิดและความเชื่อ ที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละกลุ่มหรือแต่ละบุคคล แต่ถ้าบุคคลเหล่านี้ได้รับข้อมูลข่าวสาร จากแหล่งข้อมูลเดียวกัน ก็จะทำให้ความคิดและความเชื่อโดยทั่วไปสามารถคล้ายกันได้

66.       ผู้ใดต่อไปนี้ที่มีภาพพจน์ต่อสื่อมวลชนว่า เป็นผู้ให้ความกระจ่างแจ้งกับประเด็นหรือปมปัญหาของ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

(1)       สาธารณชน     (2) สถาบันการเมือง    (3) สถาบันสังคม         (4) สถาบันสื่อมวลชน

ตอบ 1 หน้า 94 – 96, (คำบรรยาย) ตามบทบาทของสื่อมวลชนในฐานะที่เป็นสื่อกลางของ สาธารณชนนั้น ผู้รับสารหรือสาธารณชนโดยทั่วไปจะมีภาพพจน์ต่าง ๆ ต่อสื่อมวลชน ดังนี้

1.         เป็นหน้าต่างสู่ประสบการณ์ คือ ทำให้ผู้รับสารมีโลกทัศน์กว้างขึ้น โดยการบอกให้ประชาชน ทราบอย่างปราศจากอคติว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไร และทำไม

2.         เป็นผู้ให้ความกระจ่างแจ้งกับประเด็นหรือชี้ปมปัญหาของเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

3.         เป็นเวทีหรือตัวกลางในการปะทะสังสรรค์ระหว่างผู้รับสารและผู้ส่งสาร

4.         เป็นตัวกรองข่าวเพื่อเสนอต่อประชาชน ซึ่งจะต้องกระทำอย่างตั้งใจ โดยคำนึงถึงหน้าที่ และความรับผิดชอบที่มีต่อสังคมของสื่อนั้น ๆ ฯลฯ

67.       สื่อมวลชนเป็นตัวกรองข่าวเพื่อเสนอต่อประชาชน โดยคำนึงถึงหน้าที่และความรับผิดชอบที่มีต่อสังคม ของสื่อนั้น ๆ เกี่ยวข้องกับข้อใดต่อไปนี้

(1)       เป็นภาพพจน์ที่สาธารณชนมีต่อสื่อในฐานะสื่อกลางของสาธารณชน

(2)       เป็นภาพพจน์ที่สถาบันการเมืองมีต่อสื่อ

(3)       เป็นภาพพจน์ที่สถาบันสื่อมวลชนมองตนเอง

(4)       เป็นภาพพจน์ที่สถาบันสังคมมองสื่อ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 66. ประกอบ

68.       กระแสการสื่อสาร มีตัวแปรสำคัญในข้อใดต่อไปนี้

(1) การเก็บข่าวสาร และการใช้ข่าวสาร          (2) การเก็บข่าวสารแบบศูนย์กลาง และปัจเจกบุคคล

(3) การเก็บข่าวสาร และการควบคุมการเข้าถึง          (4) ถูกทั้งข้อ 1 และข้อ 3

ตอบ 4 หน้า 123 การไหลของข่าวสาร (Information Traffic) จะประกอบด้วยตัวแปรที่สำคัญของ กระแสการสื่อสาร (Communication Flow) จำนวน 2 ตัวแปร คือ

1.         การเก็บข่าวสาร (The Centrality)

2.         การควบคุมการเข้าถึงหรือการใช้ข่าวสาร (The Controlity)

69.       การสื่อสารสามารถมองได้ในลักษณะใดต่อไปนี้

(1)       เครื่องมือในการถ่ายทอดข่าวสาร

(2)       เป็นตัวแทนของการแลกเปลี่ยนความเชื่อและการแสดงออก

(3)       เป็นการดึงดูดความสนใจของผู้รับสาร           (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 129 – 130 James Carey กล่าวว่า การสื่อสารสามารถมองได้หลายลักษณะ ดังนี้

1.         การสื่อสารในฐานะเครื่องมือในการถ่ายทอดข่าวสาร คือ การส่งผ่านหรือถ่ายทอดข่าวสาร จากศูนย์กลางไปยังบุคคลอื่น

2.         การสื่อสารในลักษณะของแบบแผนวัฒนธรรม คือ การสื่อสารที่เป็นเครื่องมือในการค้ำจุนเกื้อหนุน สังคมในเวลาที่สังคมต้องการ ตลอดจนเป็นตัวแทนของการแลกเปลี่ยนความเชื่อและการแสดงออก

3.         การสื่อสารในฐานะของการรวบรวมและมอบความใส่ใจ คือ การสื่อสารที่เป็นเครื่องมือในการดึงดูดความสนใจของผู้รับสาร (ผู้ชม/ผู้ฟัง) ตลอดจนความสามารถหรือความชำนาญ ของผู้รับสารในการพัฒนาตนเอง

70.       วัตถุประสงค์ของการใช้ที่เน้นความพึงพอใจอย่างฉับพลัน หรือเน้นความเพลิดเพลินนั้น จัดอยู่ใน วัฒนธรรมแบบใดต่อไปนี้

(1)       วัฒนธรรมขั้นสูง          (2) วัฒนธรรมมวลชน

(3) วัฒนธรรมพื้นบ้าน (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ2 หน้า 121 – 122 วัฒนธรรมมวลชน (Mass Culture) จะมีลักษณะต่าง ๆ ดังนี้

1.         ชนิดของสถาบัน จะขึ้นอยู่กับสื่อและตลาด

2.         ชนิดขององค์กรเพื่อการผลิต จะผลิตขึ้นจำนวนมากเพื่อตลาดขนาดใหญ่ โดยใช้เทคโนโลยี ที่ได้มีการวางแผนและการจัดการเป็นอย่างดี

3.         เนื้อหาและความหมาย มีลักษณะผิวเผิน ชัดเจนเป็นสากล แต่ไม่ยั่งยืน

4.         ผู้รับสาร จะเป็นคนทุกคนที่มีความหลากหลาย และมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้บริโภค

5.         วัตถุประสงค์ของการใช้และประสิทธิผล เพื่อความพอใจอย่างฉับพลันหรือความเพลิดเพลิน

71.       ชนิดขององค์กรเพื่อการผลิตที่เน้นการผลิตจำนวนมากด้วยการใช้เทคโนโลยี พร้อมกับมีการวางแผนและ การจัดการเป็นอย่างดี จัดอยู่ในวัฒนธรรมใดต่อไปนี้

(1) วัฒนาธรรมขั้นสูง   (2) วัฒนธรรมมวลชน

(3) วัฒนธรรมพื้นบ้าน (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ

72.       สื่อมวลชนที่ทำหน้าที่เป็น Watchdog นั้น สามารถจัดอยู่ในทฤษฎีใดต่อไปนี้

(1) ทฤษฎีอำนาจนิยม (2) ทฤษฎีเสรีนิยม

(3) ทฤษฎีความรับผิดชอบทางสังคม  (4) ทฤษฎีสื่อสารเพื่อการพัฒนา

ตอบ3. หน้า 265 – 266 ทฤษฎีความรับผิดชอบทางสังคม จะเน้นที่ความรับผิดชอบในการ ปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนให้เกิดผลดีต่อสังคมส่วนรวมอย่างแท้จริง ได้แก่

1.         มีภาระหน้าที่หลักที่จะให้บริการแก่ระบบการเมือง

2.         ส่งเสริมกระบวนการประชาธิปไตยและให้ความสว่างทางปัญญาแก่สาธารณชน

3.         พิทักษ์รักษาสิทธิของบุคคล โดยทำหน้าที่เป็นสุนัขเฝ้ายาม (Watchdog) เพื่อคอยเฝ้าดู และตรวจสอบรัฐบาล ฯลฯ

73.       ทฤษฎีอำนาจนิยม เสรีนิยม ความรับผิดชอบทางสังคม เบ็ดเสร็จนิยม สื่อสารเพื่อการพัฒนา และทฤษฎี สื่อมวลชนของประชาชน สามารถจัดอยู่ในประเภทของทฤษฎีใดต่อไปนี้

(1) ทฤษฎีสังคมศาสตร์           (25 ทฤษฎีปทัสถาน

(3) ทฤษฎีแนวปฏิบัติ  (4) ทฤษฎีสามัญสำนึก

ตอบ 2 หน้า 253 – 276279 – 281 ทฤษฎีด้านการสื่อสารมวลชนที่จัดอยู่ในประเภทของ ทฤษฎีปทัสถาน อาจแบ่งได้ดังนี้ 1. ทฤษฎีอำนาจนิยม 2. ทฤษฎีเสรีนิยมหรืออิสรภาพนิยม          3. ทฤษฎีความรับผิดชอบทางสังคม  4.ทฤษฎีเบ็ดเสร็จนิยมหรือทฤษฎีโซเวียตคอมมิวนิสต์  5.ทฤษฎีสื่อสารเพื่อการพัฒนา            6. ทฤษฎีสื่อมวลชนของประชาชน

74.       รูปแบบการไหลของข่าวสาร (Flow of Information) มีกี่ลักษณะ

(1) 2 ลักษณะ (2) 3 ลักษณะ (3) 4 ลักษณะ (4) 5 ลักษณะ

ตอบ 3 หน้า 126 – 128 รูปแบบการไหลของข่าวสาร (Flow of Information) แบ่งได้ 4 ลักษณะ ดังนี้

1.         Allocution คือ การส่งจดหมายตรงจากผู้นำถึงผู้ตาม ซึ่งจะเหมาะกับสื่อกระจายเสียงและ แพร่ภาพของชาติ เช่น สื่อวิทยุและโทรทัศน์

2.         Consultation คือ การให้คำแนะนำปรึกษาหารือ มักพบในสื่อหนังสือพิมพ์และการสื่อสาร ระหว่างบุคคล

3.         Conversation คือ การสนทนา เป็นการไหลแบบพื้น ๆ มักพบเห็นได้ทั่วไป

4.         Registration คือ การจดบันทึกหรือขึ้นทะเบียน

75.       ผู้ใดต่อไปนี้เสนอว่า การสื่อสารระหว่างตัวต่อตัวจะทำให้ความคิดหรือทัศนคติของบุคคลทั้งสองเกี่ยวกับ เรื่องเดียวกับอยู่ในสภาพสมดุล

(1) Heider (2) Herbert Mead      (3) Newcomb    (4) Herbert Blumer

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

76.       แบบจำลองการสื่อสารสามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คือ

(1)       แบบจำลองที่แสดงโครงสร้างและแบบจำลองตัวแปร

(2)       แบบจำลองแสดงหน้าที่และแบบจำลองแสดงเหตุการณ์

(3)       แบบจำลองแสดงโครงสร้างและแบบจำลองแสดงหน้าที่

(4)       แบบจำลองจัดระเบียบและแบบจำลองแสดงหน้าที่

ตอบ 3 หน้า 29 – 30 แบบจำลองการสื่อสารแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

1.         แบบจำลองที่แสดงโครงสร้างหรือคุณสมบัติของสิ่งต่าง ๆ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็น การย่อส่วนหรือจำลองของจริง เช่น แบบจำลองบ้านจัดสรรของโครงการหมู่บ้านต่าง ๆ

2.         แบบจำลองที่แสดงหน้าที่หรือการทำงานของระบบ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็น ภาพเชิงเส้นแสดงระบบการทำงาน เช่น แบบจำลองระบบการทำงานของสมองมนุษย์

77.       ทฤษฎีสื่อสารมวลชนใดต่อไปนี้ถือเป็นทฤษฎีประวัติศาสตร์ 

(1) ทฤษฎีอิสรภาพนิยม

(2)       ทฤษฎีอำนาจนิยม      (3) ทฤษฎีความรับผิดชอบทางสังคม  (4) ทฤษฎีเบ็ดเสร็จนิยม

ตอบ 2 หน้า 254256 ทฤษฎีอำนาจนิยม ถือเป็นทฤษฎีประวัติศาสตร์ที่เกิดก่อนทฤษฎีอื่น ๆและมักจะถูกใช้ในประเทศที่มีระบบการเมืองการปกครองแบบเผด็จการ โดยปรัชญาพื้นฐาน ที่มาสนับสนุนทฤษฎีนี้สามารถวิเคราะห์ย้อนหลังได้ในหนังสืออุตมรัฐ (Republic) ของเพลโต (Plato) และต่อมาก็มีนักปรัชญาทางการเมืองหลายท่านได้แสดงความนิยมยึดมั่นในอุดมการณ์ ของทฤษฎีนี้ ได้แก่ มาเคียเวลลี่ (Machiavelli), ฮอบส์ (Hobbes) และเฮเกล (Hegel) เป็นต้น

78.       ทฤษฎีใดต่อไปนี้ที่เป็นทฤษฎีล่าสุดในบรรดากลุ่มทฤษฎีปทัสถาน

(1) ทฤษฎีสื่อสารเพื่อการพัฒนา         (2) ทฤษฎีสื่อมวลชนของประชาชน

(3)       ทฤษฎีเสรีนิยม            (4) ทฤษฎีเบ็ดเสร็จนิยม

ตอบ 2 หน้า 276 – 277, (คำบรรยาย) ทฤษฎีสื่อมวลชนของประชาชน หรือความมีส่วนร่วม แบบประชาธิปไตย หรือทฤษฎีผู้มีความเป็นประชาธิปไตย เป็นทฤษฎีใหม่ล่าสุดในบรรดา กลุ่มทฤษฎีปทัสถาน และเป็นทฤษฎีที่ยากที่สุดในการทำความเข้าใจ เพราะเป็นทฤษฎีลูกผสม ระหว่างทฤษฎีความรับผิดชอบทางสังคมกับทฤษฎีสื่อสารเพื่อการพัฒนา โดยจะเน้นถึงความสำคัญ ของทุกคน เน้นการสื่อสารแนวนอนมากกว่าแนวตั้ง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองและสังคม จึงถือเป็นรูปแบบ ของสื่อมวลชนที่ประชาชนปรารถนาและน่าจะพึงพอใจมากที่สุด แต่ยังคงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก ในแนวปฏิบัติ

79.       ทฤษฎีใดต่อไปนี้ในกลุ่มทฤษฎีปทัสถานที่เป็นทฤษฎีที่ยากที่สุดในการทำความเข้าใจ

(1) ทฤษฎีสื่อสารเพื่อการพัฒนา         (2) ทฤษฎีสื่อมวลชนของประชาชน

(3) ทฤษฎีเสรีนิยม       (4) ทฤษฎีเบ็ดเสร็จนิยม

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 78. ประกอบ

80.       ตัวแปรใดต่อไปนี้เป็นตัวแปรที่เปลี่ยนแปลงไปตามตัวแปรเหตุ

(1) ตัวแปรกด  (2) ตัวแปรต้น  (3) ตัวแปรแทรก          (4) ตัวแปรผล

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 10. ประกอบ

 

81.       นักปรัชญาทางการเมืองผู้ใดต่อไปนี้ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์และปรัชญาพื้นฐานที่สนับสนุนทฤษฎีอำนาจนิยม

(1) มาเคียเวลลี่           (2) ฮอบส์         (3) เฮเกล         (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 77. ประกอบ

82.       ทฤษฎีสื่อมวลชนของประชาชน เป็นทฤษฎีลูกผสมระหว่างทฤษฎีใดกับทฤษฎีใดต่อไปนี้

(1)       ทฤษฎีความรับผิดชอบทางสังคมกับทฤษฎีสื่อสารเพื่อการพัฒนา

(2)       ทฤษฎีความรับผิดชอบทางสังคมกับทฤษฎีเสรีนิยม

(3)       ทฤษฎีเสรีนิยมกับทฤษฎีสื่อสารเพื่อการพัฒนา

(4)       ทฤษฎีอิสรภาพนิยมกับทฤษฎีอำนาจนิยม

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 78. ประกอบ

83.       องค์ประกอบของทฤษฎีในส่วนสมมติฐาน มีหน้าที่และความสำคัญอย่างไร

(1) บรรยายและแยกประเภท  (2) วิเคราะห์

(3) กำจัดความซับซ้อน            (4) กำจัดความไม่คงที่

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 8. ประกอบ

84.       Free Market of Ideas อยู่ในทฤษฎีใดต่อไปนี้

(1) ทฤษฎีสื่อสารเพื่อการพัฒนา         (2) ทฤษฎีสื่อมวลชนของประชาชน

(3) ทฤษฎีเสรีนิยม       (4) ทฤษฎีเบ็ดเสร็จนิยม

ตอบ 3 หน้า 256 – 258279 ทฤษฎีเสรีนิยมหรืออิสรภาพนิยม หรือทฤษฎีสื่อเสรีได้กล่าวถึงเสรีภาพของหนังสือพิมพ์ว่ามิได้เป็นแต่เพียงเครื่องมือในการแสดงออก ของบุคคลเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับกระบวนการพิสูจน์ตนเองของสัจจะ หรือเป็นเครื่องมือ แสวงหาสัจจะของสังคม โดยเปิดหนทางและโอกาสให้กับทัศนะต่าง ๆ ทั้งผิดและถูก มาประชันแข่งขันใน ‘‘ตลาดเสรีความคิดอ่าน” (Free Market of Ideas) และให้สาธารณชน เป็นผู้ตัดสิน

85.       ผู้ใดต่อไปนี้มีส่วนวางรากฐานทฤษฎีความรับผิดชอบทางสังคม

(1) โจเซฟ พูลิตเซอร์    (2) ฮอบส์         (3) เฮเกล         (4) โคเฮ็น

ตอบ 1 หน้า 263 โจเซฟ พูลิตเซอร์ (Joseph Pulitzer) เป็นผู้ที่มีส่วนในการวางรากฐานของทฤษฎี ความรับผิดชอบทางสังคมเป็นอย่างมาก และนับตั้งแต่นั้นมาการพูดถึงทฤษฎีนี้ก็ขยายวงกว้าง ออกไป โดยมีแนวคิดว่าหนังสือพิมพ์ต้องมีเสรีภาพตามแนวความคิดเสรีนิยมหรืออิสรภาพนิยม แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีความรับผิดชอบควบคู่กันไปด้วย

86.       แบบจำลองใดต่อไปนี้ที่เหมาะสมแก่การใช้วิเคราะห์การโฆษณาชวนเชื่อทางการเมืองและการโน้มน้าวใจ

(1)       แบบจำลองการสื่อสารของลาสเวลส์

(2)       แบบจำลองการสื่อสารของออสกูด

(3)       แบบจำลองการสื่อสารของเอ็ดเวิร์ด สะเพียร์

(4)       แบบจำลองการสื่อสารของคาร์ล ไอ. โฮฟแลนด์

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

87.       ตัวแปรใดที่ทำให้ตัวแปรอิสระและตัวแปรตามไม่มีความสัมพันธ์กัน

(1) ตัวแปรแทรก          (2) ตัวแปรตาม            (3) ตัวแปรกด  (4) ตัวแปรอิสระ

ตอบ 3 หน้า 25 – 26, (คำบรรยาย) ตัวแปรกด หมายถึง ตัวแปรที่ทำให้ตัวแปรอิสระและตัวแปรตาม ไม่มีความสัมพันธ์กัน ทั้งที่จริง ๆ แล้วควรจะมี แต่ถูกตัวแปรกดกดเอาไว้ หรือเป็นตัวแปร ที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตามเบี่ยงเบนไปจากเดิม ต่อเมื่อเราควบคุม ตัวแปรกดแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรอิสระและตัวแปรตามจึงจะเกิดขึ้น

88.       สมมติฐานที่เกิดขึ้นโดยนิรนัย (Deduction) ซึ่งเป็นการอนุมานอย่างมีเหตุผล ผู้ใดต่อไปนี้เป็นผู้นำวิธีนี้มาใช้คือ

(1) Aristotle       (2) Leonado di Caprio

(3) Francis Bacom      (4) Francis Bacon

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 50. ประกอบ

89.       การสื่อสารจะเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายหนึ่ง คือ ผู้ส่งสาร มีอิทธิพลต่ออีกฝ่ายหนึ่ง คือ ผู้รับสาร โดยใช้สัญลักษณ์ ต่าง ๆ ซึ่งถูกส่งผ่านสื่อเชื่อมระหว่าง 2 ฝ่าย เป็นการให้ความหมายของการสื่อสารของผู้ใดต่อไปนี้

(1) จอร์จ เอ. มิลเลอร์   (2) คาร์ล ไอ. โฮฟแลนด์

(3) ชาร์ลส์ อี. ออสกูด  (4) วิลเบอร์ ชแรมม์

ตอบ 3 หน้า 4 ขาร์ลส์ อี. ออสกูด (Charles E. Osgood) กล่าวว่า ความหมายโดยทั่วไป ของการสื่อสารจะเกิดขึ้นเมื่อฝ่ายหนึ่ง คือ ผู้ส่งสาร มีอิทธิพลต่ออีกฝ่ายหนึ่ง คือ ผู้รับสาร โดยใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ ซึ่งถูกส่งผ่านสื่อที่เชื่อมระหว่างสองฝ่าย

90.       กรณีวาทกรรมต่าง ๆ ของบรรดานักการเมืองที่พูดในสังคมปัจจุบัน และสื่อมวลชนนำมาเผยแพร่เป็น ข่าวรายวัน ท่านคิดว่าการรายงานข่าวในลักษณะนั้นเป็นสารประเภทใดต่อไปนี้

(1) สารประเภทข้อเท็จจริง      (2) สารประเภทข้อคิดเห็น

(3) สารประเภทความรู้สึก       (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 69 – 71 สารประเภทข้อคิดเห็น ได้แก่ สารที่เกิดขึ้นจากการประเมินของผู้ส่งสาร อาจเป็นความรู้สึก แนวคิด และความเชื่อที่บุคคลมีต่อตนเอง บุคคลอื่น วัตถุ หรือต่อเหตุการณ์ ใดก็ตาม ซึ่งสารประเภทนี้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าจริงหรือไม่ เมื่อไปปรากฏอยู่ในเนื้อหาของข่าว ก็จะทำให้ประชาชนผู้รับสารเกิดความสับสนและไขว้เขวได้ง่าย เช่น กรณีวาทกรรมต่าง ๆ ของบรรดานักการเมืองที่พูดในสังคมปัจจุบัน แล้วสื่อมวลชนนำมาเผยแพร่เป็นข่าวรายวัน เป็นต้น

91.       ปฏิกิริยาตอบกลับและปฏิกิริยาที่ผู้ส่งสารและผู้รับสารมีต่อกัน อยู่ในการสื่อสารรูปแบบใด

(1) Interaction  (2) One-way Communication

(3) Two-way Communication   (4) การสื่อสารล้มเหลว

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

92.       จุดมุ่งหมายของการสร้างทฤษฎีขึ้นมาเพื่อทำให้สามารถอธิบายได้ว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นเพราะอะไร และยังช่วยทำนายเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีก ทั้งนี้โดยอาศัยสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งในการช่วยทำนายเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นก็คือ

(1) ตัวแทน       (2) ตัวแปร       (3) แบบจำลอง            (4) สมมติฐาน

ตอบ 2 หน้า 22 จุดมุ่งหมายสำคัญในการสร้างทฤษฎีขึ้นมาก็เพื่อทำให้สามารถอธิบายได้ว่า เหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นเพราะอะไร และยังช่วยทำนายเหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยว่า จะเกิดอะไรขึ้นอีก ทั้งนี้โดยอาศัยสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งในการช่วยทำนายเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ ตัวแปรนั่นเอง

93.       ใครเป็นผู้ให้ความหมายของการสื่อสารว่า “ การถ่ายทอดข่าวสารจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง 

(1) Carl I. Hoveland   (2) Warren WWeaver

(3) George A. Miller  (4) Jurgen Ruesch

ตอบ 3 หน้า 3 จอร์จ เอ. มิลเลอร์ (George A. Miller) กล่าวว่า การสื่อสาร หมายถึง การถ่ายทอด ข่าวสารจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง

94.       สื่อในข้อใดต่อไปนี้เป็นการเรียกตามคุณลักษณะของสื่อ

(1) สื่อระหว่างบุคคล   (2) สื่ออิเล็กทรอนิกส์

(3) สื่อเฉพาะกิจ          (4) สื่อมวลชน

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 55. ประกอบ

95.       Communication Breakdown เกิดจากสาเหตุใดต่อไปนี้

(1)       สารที่ใช้ในการส่งถึงกันไม่ชัดเจน

(2)       ประสบการณ์หรือภูมิหลังของแต่ละคนต่างกัน

(3)       วัตถุประสงค์ของผู้ส่งสารและผู้รับสารไม่ตรงกัน       (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 1014, (คำบรรยาย) ในการติดต่อสื่อสารกันอาจมีสิ่งรบกวนที่เรียกว่า “Noise”ทำให้การสื่อสารไม่บรรลุผลตามเป้าหมาย หรือตามเจตนารมณ์ของผู้ส่งสาร ทำให้เกิด ความล้มเหลวในการสื่อสารขึ้น (Communication Breakdown) เช่น วัตถุประสงค์ของ ผู้ส่งสารและผู้รับสารไม่ตรงกัน สารที่ใช้ในการส่งถึงกันไม่ชัดเจน และประสบการณ์หรือ ภูมิหลังของแต่ละคนต่างกัน ฯลฯ

ข้อ 96. – 100. ตัวเลือกต่อไปนี้ใช้สำหรับการตอบคำถาม

(1) รูปแบบของการสื่อสารแบบการสั่งการ      (2) รูปแบบของการสื่อสารแบบการเป็นสมาชิก

(3) รูปแบบของการสื่อสารแบบการบริการ      (4) รูปแบบของการสื่อสารแบบการสนทนา

(5)       รูปแบบของการสื่อสารแบบการปรึกษาหารือ

96.       Manipulation ตรงกับรูปแบบการสื่อสารใดข้างต้น

ตอบ 1 หน้า 117 รูปแบบของการสื่อสารแบบการสั่งการ (Command Mode) ตรงกับประเด็น ของทฤษฎีสื่อสารมวลชน ดังนี้ 1. Propaganda (การโฆษณาชวนเชื่อ) 2. Manipulation (การจัดการ) 3. Mass Society (สังคมมวลชน) 4. Class Dominance (การมีอิทธิพลเหนือกว่าด้านชนชั้น)

97.       Communication Market ตรงกับรูปแบบการสื่อสารใดข้างต้น

ตอบ 3 หน้า 117 รูปแบบของการสื่อสารแบบการบริการ (Service Mode) ตรงกับประเด็น ของทฤษฎีสื่อสารมวลชน ดังนี้

1.         Commercialization (การค้าการพาณิชย์)

2.         Audience Behavior (พฤติกรรมของผู้รับสาร)

3.         Communication Market (ตลาดการสื่อสาร)

4.         Information Society (สังคมข้อมูลข่าวสาร)

98.       Information Society ตรงกับรูปแบบการสื่อสารใดข้างต้น

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 97. ประกอบ

99.       Normative Media Theory ตรงกับรูปแบบการสื่อสารใดข้างต้น

ตอบ 2 หน้า 117 รูปแบบของการสื่อสารแบบการเน้นสมาชิก (Association Mode)ตรงกับประเด็นของทฤษฎีสื่อสารมวลชน ดังนี้

1.         Participation and Interaction (การมีส่วนร่วมและปฏิสัมพันธ์)

2.         Social Fragmentation (การแบ่งแยกทางสังคม)

3.         Normative Media Theory (ทฤษฎีสื่อปทัสถาน)

4.         Media Audience Link (ความเกี่ยวข้องของผู้รับสารกับสื่อ)

100.    Audience Behavior ตรงกับรูปแบบการสื่อสารใดข้างต้น

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 97. ประกอบ

MCS1100 การสื่อสารมวลชนเบื้องต้น การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา MCS 1100 การสื่อสารมวลชนเบื้องต้น

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว 

1.         Right to Communication หมายถึงอะไร

(1)       เสรีภาพในการสื่อสาร  

(2) การสื่อสารอย่างถูกต้อง

(3) สิทธิในการสื่อสาร  

(4) การสื่อสารมวลชน

ตอบ 3 หน้า 66, (คำบรรยาย) ระบบสื่อมวลชนตามทฤษฎีสื่อมวลชนเพื่อการพัฒนา มีแนวคิด ที่เน้นเกี่ยวกับ สิทธิในการสื่อสาร’’ (A Right to Communication) ซึ่งยึดตาม มาตรา 19 ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติที่บัญญัติว่า ทุกคนมีสิทธิที่จะมีเสรีภาพในความคิดเห็นและการแสดงออก สิทธินี้รวมไปถึงเสรีภาพ ที่จะแสวงหา รับแจ้งข่าวสารและความคิดผ่านสื่อใดสื่อหนึ่งโดยปราศจากพรมแดน

2.         ประชาชนที่อาศัยอยู่ในสังคมเมือง มีการรับรู้ข่าวสารกันอย่างไร

(1)       รับรู้ข่าวสารจากพ่อ      

(2) รับรู้ข่าวสารจากจดหมายแม่

(3) รับรู้ข่าวสารจากหนังสือพิมพ์         

(4) รับรู้ข่าวสารจากเพื่อน

ตอบ 3 หน้า 34 – 35, (คำบรรยาย) ปัจจุบันคนที่อาศัยอยู่ในสังคมเมืองหรือสังคมมวลชนจะมีการ รับรู้ข่าวสารจากสื่อ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ฯลฯ ซึ่งยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างครอบครัว เพื่อน และกลุ่มอื่น ๆ ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ส่วนคนที่อาศัยอยู่ในสังคมชนบทจะมีการรับรู้ข่าวสารจากผู้อื่น

3.         แบบจำลองการสื่อสารของ Harold Lasswell มีลักษณะอย่างไร

(1)       เป็นกระบวนการที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบ   (2) เป็นกระบวนการการสื่อสารสองทาง

(3) เป็นกระบวนการที่โน้มน้าวใจผู้รับสาร       (4) เป็นกระบวนการที่สารโน้มน้าวใจผู้ส่งสาร

ตอบ 3 หน้า 25 – 26 แบบจำลองการสื่อสารของฮาโรลด์ ลาสเวลส์ (Harold Lasswell) เป็นลักษณะ ของการสื่อสารทางเดียว (One Way Communication) ที่ไม่ได้คำนึงถึงการมีปฏิกิริยาโต้ตอบ (Feedback) ในการสื่อสาร และเป็นกระบวนการที่โน้มน้าวใจ (Persuasive Process) ผู้รับสาร ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าสารที่ส่งไปให้ผู้รับสารนั้นย่อมบังเกิดผลตามมาเสมอ

4.         คณะกรรมาธิการฮัทชินส์ (The Hutchins Commission) เกี่ยวข้องในด้านใด

(1)       คณะกรรมาธิการตรวจสอบสื่อมวลชน            (2) คณะกรรมาธิการจริยธรรมสื่อมวลชน

(3) คณะกรรมาธิการสิทธิสื่อมวลชน   (4) คณะกรรมาธิการเสรีภาพสื่อมวลชน

ตอบ 4 หน้า หน้า 64 – 65 คณะกรรมาธิการฮัทชินส์ (The Hutchins Commission) เป็นคณะกรรมาธิการ เสรีภาพสื่อมวลชน (The Commission on Freedom of The Press) ของสหรัฐอเมริกาที่ตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1942 โดยมีโรเบิร์ต เอ็ม. ฮัทชินส์ (Robert M. Hutchins) เป็นประธาน

5.         ภาพยนตร์ในช่วงแรก ๆ มีความยาวนานเท่าไร

(1)       1 – 2 นาที        (2) 1 – 3 นาที   (3) 1 – 5 นาที   (4) 1 – 10 นาที 

ตอบ 1 หน้า 143 ภายนตร์ในช่วงแรก ๆ จะมีความยาวเพียงแค่ 1-2 นาที โดยผู้ชมจะได้เห็นเพียงบางสิ่งบางอย่างที่เคลื่อนไหวอยู่บนจอภาพอย่างรวดเร็วเท่านั้น ซึ่งก็จะทำให้ผู้ชมตื่นเต้นแล้ว ดังนั้นผู้สร้างภาพยนตร์จึงต้องสร้างภาพยนตร์ที่มีความยาวมากกว่าเดิม โดยการเพิ่มเนื้อหา ที่น่าสนใจเพื่อให้สามารถดึงดูดใจผู้ชมได้มากขึ้น

6.         ระบบสื่อมวลชนตามทฤษฎีสื่อมวลชนเพื่อการพัฒนา รัฐมีสิทธิที่จะแทรกแซงหรือจำกัดการปฏิบัติหน้าที่ ของสื่อมวลชน ด้วยวิธีการใด

(1) บอยคอด    (2) จำกัดเสรีภาพ        (3) เซ็นเซอร์     (4) ควบคุม

ตอบ 3 หน้า 67 ระบบสื่อมวลชนตามทฤษฎีสื่อมวลชนเพื่อการพัฒนา มีลักษณะที่สำคัญดังนี้

1.         สื่อมวลชนทำหน้าที่และปฏิบัติงานด้านการพัฒนาให้สอดคล้องกับนโยบายของชาติ

2.         สื่อมวลชนควรให้ความสำคัญต่อเนื้อหาทางด้านวัฒนธรรมและภาษาของชาติเป็นลำดับแรก

3.         เสรีภาพของสื่อมวลชนสามารถควบคุมได้

4.         รัฐมีสิทธิแทรกแซงหรือจำกัดการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนด้วยวิธีการเซ็นเซอร์ การให้เงินอุดหนุน และการควบคุมสื่อมวลชนโดยตรงจึงเป็นวิธีการที่มีเหตุผล

7.         การปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ทำตามคำสั่งจากเบื้องบนสู่เบื้องล่าง เป็นวิธีการของระบบทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีอำนาจนิยม (2) ทฤษฎีเสรีนิยม

(3) ทฤษฎีโซเวียตคอมมิวนิสต์ (4) ทฤษฎีความรับผิดชอบต่อสังคม

ตอบ 1 หน้า 60 ระบบสื่อมวลชนตามทฤษฎีอำนาจนิยมเป็นทฤษฎีที่เก่าแก่มากที่สุด เพราะกำเนิด ขึ้นมาในบรรยากาศอำนาจนิยมตอนปลายสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ภายหลังจากการประดิษฐ์ เครื่องพิมพ์ได้ไม่นาน (หลังกำเนิดการพิมพ์) ซึ่งในสังคมสมัยนั้นเชื่อกันว่า ความจริงไม่ได้เกิดขึ้น โดยประชาชนส่วนใหญ่ แต่เกิดจากนักปราชญ์ผู้รู้พียงไม่กี่คนเท่านั้น และความจริงจะต้องรวมอยู่ใกล้กับศูนย์กลางของอำนาจ ดังนั้นหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนจึงต้องเป็นผู้รับใช้รัฐ หรือผู้ปกครอง และปฏิบัติหน้าที่โดยวิธีการทำตามคำสั่งจากเบื้องบนลงสู่เบื้องล่าง หรือ ปฏิบัติหน้าที่ตามความต้องการของผู้ปกครอง

8.         การสื่อสารในลักษณะที่เป็นการปรึกษาปัญหาร่วมกันของคนจำนวนหนึ่ง เป็นการสื่อสารประเภทใด

(1) การสื่อสารระหว่างบุคคล  (2) การสื่อสารกลุ่มย่อย

(3) การสื่อสารในที่สาธารณะ  (4) การสื่อสารมวลชน

ตอบ 2 หน้า 18, (คำบรรยาย) การสื่อสารกลุ่มย่อย (Small Group Communication) คือ การสื่อสารที่มีคนจำนวนหนึ่ง ซึ่งมีจำนวนจำกัดตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป แต่ไม่ควรเกิน 25 คน มาสื่อสารกัน เพื่อที่จะพบปะพูดคุย ปรึกษาหารือหรือแก้ไขปัญหาในเรื่องต่าง ๆ และ ตัดสินใจร่วมกัน ทั้งนี้สมาชิกกลุ่มย่อยไม่ควรมีจำนวนมากนัก เพื่อให้เข้าลักษณะของ การสื่อสารสองทาง (Two Way Communication) ซึ่งทุกคนสามารถมีปฏิกิริยาโต้ตอบ หรือมีโอกาสพูดคุยกันอย่างใกล้ชิด และแสดงความคิดเห็นกันได้ถ้วนหน้า

9.         เพราะเหตุใดผู้ชมบางคนจึงชอบดูรายการกีฬา และบางคนชอบดูรายการตลก

(1) การเข้ารหัสความหมายของสารต่างกัน     (2) การถอดรหัสความหมายของสารต่างกัน

(3) การเข้ารหัสความหมายของสารตรงกัน     (4) การถอดรหัสความหมายของสารตรงกัน

ตอบ2 หน้า 1135 – 36 ผู้รับสารในการสื่อสารรูปแบบต่าง ๆ โดยเฉพาะผู้รับสารในการสื่อสารมวลชนซึ่งมีความหลากหลาย อาจจะถอดรหัสหรือแปลความหมายซองสารแตกต่างกันไปแม้จะได้รับสาร เหมือน ๆ กัน เช่น คนที่เข้าไปชมภาพยนตร์ผี บางคนอาจจะมีความกลัวมาก แต่บางคนกลับ รู้สึกว่าตลกดีผู้ชมรายการโทรทัศน์อาจจะชอบชมรายการที่ไม่เหมือนกัน บางคนชอบดูกีฬา แต่บางคนชอบดูตลก เป็นต้น

10.       นิตยสารไทยชื่ออะไรที่เป็นต้นแบบของหนังสือนิตยสารผู้หญิง

(1)       นารีนาถ           (2) สตรีสยาม  (3) นารีเขษม   (4) สตรีไทย

ตอบ 4 หน้า 133 นิตยสารไทยชื่อว่า สตรีไทย” เป็นนิตยสารที่เป็นต้นแบบของนิตยสารผู้หญิง เล่มอื่น ๆ ในยุคต่อ ๆ มา โดยเฉพาะในด้านการจัดรูปเล่ม ภาพประกอบ และการเสนอเนื้อหาที่ค่อนข้างหนัก นอกจากนี้คอลัมน์ต่าง ๆ ก็เป็นแบบฉบับที่ดีและน่าสนใจแก่นิตยสารในยุคต่อ ๆ มา

11.       ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้รับสาร ได้แก่ข้อใด

(1) นักข่าว       

(2) ผู้สื่อข่าว     

(3) บรรณาธิการข่าว 

(4) ผู้อ่านข่าว

ตอบ 4 หน้า 4-5 ผู้รับสาร (Receiver) หรือจุดหมายปลายทาง (Destination) อาจจะเป็นบุคคลคนหนึ่งที่กำลังฟัง ดู และอ่าน หรืออาจเป็นกลุ่มคน เช่น กลุ่มผู้ฟังการสนทนา กลุ่มผู้ฟ้งการบรรยาย กลุ่มผู้ชมฟุตบอล กลุ่มผู้ชมภาพเขียน ฯลฯ หรืออาจเป็นบุคคล จากกลุ่มที่เรียกว่าผู้รับสารมวลชน (Mass Audience) เช่น กลุ่มผู้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์ กลุ่มผู้ฟังรายการวิทยุ กลุ่มผู้ชมภาพยนตร์ กลุ่มผู้ชมรายการโทรทัศน์ เป็นต้น

12.       วัตถุประสงค์หลักของสื่อมวลชนตามระบบทฤษฎีอำนาจนิยม สนับสนุนนโยบายของใคร

(1) ประชาชน   

(2) สาธารณชน           

(3) เอกชน        

(4) รัฐ

ตอบ 4 หน้า 60-61, (คำบรรยาย) ระบบสื่อมวลชนตามทฤษฎีอำนาจนิยม มีลักษณะสำคัญดังนี้

1.         มีวิวัฒนาการเริ่มต้นที่ประเทศอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และ 17

2.         มีรากฐานมาจากลัทธิเผด็จการ โดยมีที่มาจากปรัชญาของระบบอำนาจเด็ดขาดของกษัตริย์ หรือปรัชญาที่เกี่ยวกับอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และรัฐบาลของกษัตริย์

3.         วัตถุประสงค์หลักที่สำคัญของสื่อมวลชน คือ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมนโยบายของรัฐ หรือผู้ปกครองที่กำลังมีอำนาจอยู่ และเพื่อรับใช้รัฐ

4.         สื่อมวลชนทำหน้าที่เป็นเครื่องมือที่สนับสนุนนโยบายของรัฐบาล โดยที่รัฐบาลไม่จำเป็น ต้องเป็นเจ้าของกิจการสื่อมวลชนเสมอไป ฯลฯ

13.       ประเทศใดเป็นต้นกำเนิดหนังสือพิมพ์ที่มีลักษณะเป็นใบปลิวข่าวสั้น ๆ

(1) ฮอลแลนด์  (2) เยอรมนี      (3) อังกฤษ      (4) อเมริกา

ตอบ 1 หน้า 95 – 96 การบุกเบิกสิ่งที่เรียกว่าหนังสือพิมพ์ (ในช่วงแรก ๆ มักใช้ชื่อว่า Gazette) ได้เริ่มต้นขึ้นที่ประเทศเยอรมนีในปี ค.ศ. 1609 แต่ก็ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมากนัก และต่อมา ในระยะเวลาเดียวกันนี้ก็มีหนังสือพิมพ์ที่เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น คือ หนังสือพิมพ์ที่ชื่อว่า Coranto ซึ่งมีลักษณะเป็นใบปลิวข่าวสั้น ๆ และมีต้นกำเนิดมาจากประเทศฮอลแลนด์

14.       ทฤษฎีสังคมนิยมพัฒนาการมาจากทฤษฎี

(1) ทฤษฎีความรับผิดชอบต่อสังคม    (2) ทฤษฎีโซเวียตคอมมิวนิสต์

(3) ทฤษฎีเสรีนิยม       (4) ทฤษฎีอำนาจนิยม

ตอบ4 หน้า 63, (คำบรรยาย) ทฤษฎีโซเวียตคอมมิวนิสต์ หรือเรียกว่าทฤษฎีเบ็ดเสร็จนิยม หรือ ทฤษฎีสังคมนิยม มีพัฒนาการมาจากทฤษฎีอำนาจนิยม โดยมีรากฐานมาจากลัทธิมาร์กซ์ (Marx)ละมีสาเหตุมาจากความจำเป็นทางการเมืองในการที่จะรักษาอำนาจทางการเมืองของ พรรคคอมมิวนิสต์ที่เข้ามาบริหารประเทศสหภาพโซเวียตตั้งแต่ปี ค.ศ. 1917

15.       หนังสือที่พระคัดลอกด้วยลายมือ ถือได้ว่าเป็นผลงานทางศิลปะและภาพวาดที่งดงาม คือหนังสือเล่มใด

(1)       The 44 Line Bible      (2) The Books of Kells

(3) The Books of Yells        (4) The 42 Line Bible

ตอบ 2 หน้า 83 หนังสือที่พวกพระเป็นผู้คัดลอกด้วยลายมือเป็นจำนวนพัน ๆ เล่ม เรียกว่าManuscripti โดยหนังสือบางฉบับถือเป็นผลงานทางศิลปะที่งดงาม ตกแต่งด้วยตัวอักษร และมีภาพวาดที่มีความประณีตสวยงามมาก จนจัดเป็นหนังสือที่สวยที่สุดที่ได้ผลิตออกมา และมีความพิเศษที่ไม่ธรรมดาเลย คือ หนังสือ The Books of Kells ซึ่งสร้างสรรค์ผลงาน โดยพวกพระ เมื่อประมาณ 800 A.D.

16.       การใช้ Link ที่มีเนื้อหามัลติมีเดียมากขึ้นสำหรับคนรุ่นใหม่ เรียกว่าอะไร

(1)       Internet Generation         (2) Net Generation

(3) Six Generation     (4) Three Generation

ตอบ 2 หน้า 196 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รูปแบบการสื่อสารเปลี่ยนจากการสนทนาแบบจุดต่อจุด(Point to Point) และสองทาง (Two-way) ไปสู่การสื่อสารระหว่างผู้ใช้หลายคน (Many to Many) คือ การใช้ Link วีดิทัศน์ ภาพถ่าย และเนื้อหามัลติมีเดียที่มากขึ้น โดยกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่เรียกว่า Net Generation ซึ่งเติบโตมาพร้อมกับแนวคิดความฉลาดของฝูงชน (Wisdom of Crowds) เช่น การทำหน้าที่ให้คะแนน หรือจัดอันดับต่าง ๆ เป็นต้น

17.       ระบบสื่อมวลชนตามทฤษฎีใดที่สื่อมวลชนทำหน้าที่ควบคุมดูแลกันเอง

(1)       ทฤษฎีอำนาจนิยม       (2) ทฤษฎีเสรีนิยม

(3) ทฤษฎีโซเวียตคอมมิวนิสต์ (4) ทฤษฎีความรับผิดชอบต่อสังคม

ตอบ 2 หน้า 62 – 63, (คำบรรยาย) ระบบสื่อมวลชนตามทฤษฎีเสรีนิยม มีลักษณะสำคัญดังนี้

1.         เริ่มใช้เป็นครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 . 2. มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ คือ เพื่อแจ้งข่าวสาร เพื่อให้ความบันเทิง เพื่อการค้า และสิ่งที่ สำคัญที่สุดคือ เพื่อแสวงหาความจริง และเพื่อควบคุมรัฐบาล

3.         หน้าที่หลักของสื่อมวลชน คือ เพื่อเปิดเผยความจริง และเพื่อตรวจสอบการปฏิบัติงานของรัฐบาล

4.         การควบคุมสื่อมวลชน คือ สื่อมวลชนควบคุมดูแลกับเอง และจะใช้กระบวนการยุติธรรมของศาล เพื่อทำหน้าที่ตัดสินความถูกผิดของสื่อมวลชนตามกฎหมาย (เช่น พระราชบัญญัติ รัฐธรรมนูญฯ)

5.         ส่วนใหญ่แล้วเอกชนจะเป็นเจ้าของสื่อมวลชน

18.       กระดาษของจีน ทำมาจากอะไร

(1)       ต้นกก  (2) ต้นไผ่         (3) ต้นอ้อ         (4) ต้นข่อย

ตอบ 2 หน้า 85, (คำบรรยาย) ชาวจีนได้พัฒนาการทำกระดาษจากต้นไผ่ ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลาย เมื่อประมาณศตวรรษที่ 2 และในช่วงกลางศตวรรษที่ 8 ทหารเปอร์เซียนได้จับกุมกลุ่มชาวจีน ที่ทำกระดาษ และบังคับให้สอนวิธีการทำกระดาษให้กับพวกตน โดยชาวจีนได้ถูกทหาร ทำทารุณกรรมอย่างแสนสาหัส

19.       ตลาดเสรีของความคิดและข่าวสาร หมายถึงอะไร

(1)       ประชาชนทั่วไปมีโอกาสเข้าถึงสื่อมวลชนได้    (2) รัฐมีโอกาสในการเข้าถึงสื่อมวลชนได้

(3) ผู้ปกครองมีโอกาสเข้าถึงสื่อมวลชนได้      (4) สื่อมวลชนมีโอกาสเข้าถึงประชาชนได้

ตอบ 1 หน้า 62 ระบบสื่อมวลชนตามทฤษฎีเสรีนิยมถือว่า สื่อมวลชนไม่ได้เป็นเครื่องมือของรัฐบาล แต่เป็นเครื่องมือในการแสดงหลักฐานและข้อโต้แย้งต่าง ๆ ที่ประชาชนจะใช้เป็นข้อมูลในการ ตรวจสอบหรือควบคุมรัฐบาล และตัดสินใจเกี่ยวกับนโยบายซองรัฐบาล ดังนั้นจึงต้องมี ตลาดเสรี” ของความคิดและข่าวสารหรือข้อเท็จจริงต่าง ๆ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นคนกลุ่มน้อยหรือคนกลุ่มใหญ่ และคนที่มีอำนาจหรือปราศจากอำนาจ จะต้องมีโอกาสเข้าถึงสื่อมวลชนได้อย่างเท่าเทียมกัน

20.       โรงภาพยนตร์ Nickelodeon เก็บเงินค่าเข้าชมภาพยนตร์เท่าไร

(1) 1 เซ็นต์       (2) 3 เซ็นต์       (3) 5 เซ็นต์       (4) 10 เซ็นต์

ตอบ 3 หน้า 144 ในปี ค.ศ. 1905 มีผู้ร่วมกันลงทุน 2 คน มาจากเมือง Pittsburgh คือ Harry p. Davis และ John p. Harris ได้เริ่มต้นธุรกิจการทำโรงภาพยนตร์ที่มีชื่อว่า The Nickelodeon อยู่ในเมือง Pittsburgh โดยเก็บเงินค่าเข้าชมภาพยนตร์จากคนดูเพียง 5 เซ็นต์เท่านั้น ทำให้ในเวลาเพียงแคสัปดาห์เดียว ก็สามารถทำเงินได้ถึง 1,000 เหรียญสหรัฐ

21.       หน้าที่ในการลดความตึงเครียดจากสถานการณ์ต่าง ๆในสังคม เป็นหน้าที่ทางด้านใด

(1) หน้าที่ในการประสานสัมพันธ์ส่วนต่าง ๆ ของสังคม          

(2) หน้าที่ในการถ่ายทอดมรดกทางสังคม

(3) หน้าที่ในการสังเกตสภาพแวดล้อมของสังคม        

(4) หน้าที่ในการให้ความบันเทิง

ตอบ 4 หน้า 51 หน้าที่ในการให้ความบันเทิง คือ หน้าที่ในการสร้างความสนุกสนานเพลิดเพลินให้แก่สมาชิกในสังคม เพื่อเป็นการพักผ่อน สนุกสนาน และลดความตึงเครียดจากสถานการณ์ ต่าง ๆ ที่แต่ละคนในสังคมกำลังประสบอยู่

22.       หนังสือพิมพ์มีลักษณะอย่างไร

(1) มีเรื่องราวที่เป็นข่าวสารโดยเฉพาะ            

(2) มีเรื่องราวสำหรับการโฆษณาที่น่าสนใจ

(3) มีเรื่องราวที่น่าสนใจ           

(4) มีเรื่องราวที่น่าสนใจทั่ว ๆ ไป

ตอบ 4 หน้า 96 ลักษณะของหนังสือพิมพ์ที่แท้จริง มีดังนี้

1.         พิมพ์จำหน่ายอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง 2. พิมพ์โดยใช้เครื่องมือในการพิมพ์ 3. คนทั่วไปสามารถซื้ออ่านได้ง่าย            4. พิมพ์ข่าวสารในเรื่องราวที่น่าสนใจทั่ว ๆ ไปมากกว่าที่จะพิมพ์ในหัวข้อใดหัวข้อหนึ่ง 5. ใช้ภาษาที่คนทั่วไปอ่านแล้วเข้าใจได้ง่าย 6.ออกจำหน่ายตามเวลาที่กำหนด 7. วางจำหน่ายอย่างสม่ำเสมอ

23.       หนังสือพิมพ์ที่มีลักษณะเป็นหนังสือพิมพ์ที่แท้จริง มีชื่อว่าอะไร

(1) The New England Courant  

(2) Daily Courant

(3) Oxford Gazette    

(4) Boston News-Letter

ตอบ 3 หน้า 96 หนังสือพิมพ์ที่มีลักษณะเป็นหนังสือพิมพ์ที่แท้จริงฉบับแรก คือ Oxford Gazette (ต่อมาภายหลังใช้ชื่อว่า The London Gazette) โดยพิมพ์จำหน่ายครั้งแรกในปี ค.ศ. 1665 ในสมัยของ King Charles II

24.       Phonograms หมายถึงอะไร     

(1) เสียงที่เชื่อมความคิด

(2)       ภาพที่เชื่อมความคิด    (3) ภาพที่เชื่อมความหมาย      (4) เสียงที่เชื่อมต่อภาพ

ตอบ 4 หน้า 76 Phonograms คือ สัญลักษณ์รูปภาพที่เชื่อมต่อกับเสียง (เสียงที่เชื่อมต่อภาพ)ดังนั้นภาพที่แสดงความหมายแต่ละภาพก็จะมีเสียงเฉพาะสำหรับภาพนั้น ซึ่งการกำหนดว่า เสียงใดจะใช้กับภาพอะไรนั้นจะต้องมีกฎเกณฑ์มาตรฐานสำหรับกลุ่มคนที่พูดภาษานั้น ๆ เพื่อจะได้เข้าใจความหมายได้ตรงกัน

25.       อะไรคือหน้าที่ของสื่อมวลชนในการประสานสัมพันธ์ส่วนต่าง ๆ ของสังคมให้อยู่รวมกันได้

(1)       การปลูกฝังค่านิยม ความเชื่อ ไปสู่สมาชิกในสังคม (2) การรวบรวมและกระจายข้อมูลข่าวสาร

(3)       การตีความข้อมูลข่าวสาร        (4) การช่วยลดความตึงเครียดจากสถานการณ์ต่าง ๆ

ตอบ 3 หน้า 51 หน้าที่ในการประสานสัมพันธ์ส่วนต่าง ๆ ของสังคมให้อยู่รวมกันได้ตามสภาพแวดล้อมของสังคม คือ หน้าที่ในการตีความข้อมูลข่าวสาร ซึ่งถูกเสนอเกี่ยวกับ สภาพแวดล้อมของสังคม และการแนะนำว่าควรปฏิบัติต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างไร เพื่อเป็นการเสริมบรรทัดฐานทางสังคมและธำรงไว้ซึ่งความคิดเห็นที่เป็นหนึ่งเดียวกันหรือมี ความเป็นเอกฉันท์

26.       ใครคือผู้ที่สร้างสถานีวิทยุ 8XK ขึ้นมา

(1)       David Sarnoff  (2) Frank Conrad

(3) Samuel F.B. Morse       (4) Guglielmo Marconi

ตอบ 2 หน้า 163 – 164 การกระจายเสียงในสหรัฐอเมริกาเริ่มขึ้นครั้งแรกเมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. 1920 ที่เมือง Pittsburgh โดยวิศวกรที่มีชื่อว่า Dr. Frank Conrad ได้สร้างเครื่องส่งกระจายเสียงขึ้น ในโรงรถที่บ้าน และได้จดทะเบียนเป็น สถานีวิทยุ 8XK” เพื่อทดลองถ่ายทอดรายการวิทยุ ออกอากาศตามปกติในเวลาเย็น สัปดาห์ละ 2 วัน

27.       ในสมัยโบราณมนุษย์ใช้วิธีการใดในการบันทึกประวัติศาสตร์ของกลุ่มคนในสังคม

(1)       ใช้บันทึกโดยการวาดภาพ       (2) ใช้บันทึกโดยการเขียน

(3) ใช้บันทึกโดยการเล่านิทาน            (4) ใช้บันทึกโดยการพิมพ์เรื่องราว

ตอบ 3 หน้า 69 มนุษย์ในสมัยโบราณจะใช้วิธีการส่งสัญญาณและสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในการสื่อสารกัน เช่น การใช้ธงชาติ ควันไฟ เสียงกลอง ฯลฯ ซึ่งสังคมในสมัยโบราณยุคก่อนที่จะมีการเขียน เกิดขึ้นนั้น การสื่อสารด้วยคำพูดและเสียงจะมีข้อจำกัดมาก แต่นักเล่าเรื่องราวก็สามารถ ฝึกฝนคนรุ่นใหม่ด้วยการเล่าเรื่องนิทานและตำนาน เพื่อเก็บรักษาและบันทึกประวัติศาสตร์ ของกลุ่มคนในสังคมไว้ แต่ความคิดของคนสมัยก่อนก็ไม่สามารถเก็บสะสมไว้ให้คงทนถาวรได้

28.       นักเขียนคนใดที่ถูกตัดสินประหารชีวิตโดยผู้นำแห่งประเทศอิหร่าน

(1)       Salman Satanic        (2) Satan Rushdie     (3) Salman Rushdie  (4) Satan Satanic

ตอบ 3 หน้า 94 ในปี ค.ศ. 1989 นักเขียนชาวอิหร่านที่ชื่อ Salman Rushdie ได้ถูกตัดสินลงโทษ ประหารชีวิต โดย Ayatollah Khomeini ซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาและผู้นำแห่งประเทศอิหร่าน ทั้งนี้มีสาเหตุอันเนื่องมาจากหนังสือของเขาที่ชื่อว่า Satanic Verses ซึ่งผู้นำประเทศเห็นว่า เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคมมาก

29.       ประเทศใดบุกเบิกกิจการหนังสือพิมพ์

(1)       อังกฤษ            (2) อเมริกา      (3) ฮอลแลนด์  (4) เยอรมนี

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 13. ประกอบ

30.       ทฤษฎีอำนาจนิยม มีรากฐานมาจากลัทธิใด

(1) เผด็จการ    (2) มาร์กซ์       (3) โซเวียต      (4) เสรีนิยม

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 12. ประกอบ

31.       การมีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับ หมายถึงข้อใด

(1) Defeat Feedback 

(2) Delete Feedback

(3) Detect Feedback 

(4) Delayed Feedback

ตอบ 4 หน้า 43 – 44 การมีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับ (Delayed Feedback) ในการสื่อสารมวลชน จะมีลักษณะเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบกลับที่ไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีทันใด หรือสมบูรณ์แบบได้ เหมือนกับการสื่อสารแบบเผชิญหน้ากัน เช่น การที่ผู้ชมรายการโทรทัศน์เขียนจดหมาย หรือโทรศัพท์ไปยังสถานีโทรทัศน์เพื่อติชมรายการ เป็นต้น

32.       มนุษย์เราต้องการตรวจสอบ ประเมิน และควบคุมสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเรามีข้อมูลเพียงพอ เป็นแนวคิดของทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีสื่อสารเชิงปฏิสัมพันธ์         

(2) ทฤษฎีสื่อสารพฤติกรรม

(3) ทฤษฎีสื่อสารเชิงบริบททางสังคม  

(4) ทฤษฎีสื่อสารเชิงพฤติกรรมถอดรหัสและเข้ารหัส

ตอบ 4 หน้า 47 ทฤษฎีสื่อสารเชิงพฤติกรรมถอดรหัสและเข้ารหัส เชื่อว่า มนุษย์ต้องการตรวจสอบ ประเมิน และควบคุมสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการกระทำดังกล่าวจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อ เรามีข้อมูลเพียงพอ ดังนั้นมนุษย์จึงต้องทำการสื่อสารด้วยการถอดรหัสและเข้ารหัสความหมายของสารอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ได้ข้อมูลข่าวสารอย่างเพียงพอ

33.       ระบบสื่อมวลชนตามทฤษฎีอำนาจนิยม เกิดขึ้นในยุคใด

(1) ก่อนกำเนิดการพิมพ์          (2) ช่วงระหว่างกำเนิดการพิมพ์

(3) หลังกำเนิดการพิมพ์          (4) ช่วงปลายกำเนิดการพิมพ์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ

34.       Mass Communication มีความหมายตรงกับข้อใด

(1)       กระบวนการออกแบบสารจำนวนมากที่มีความหลากหลาย

(2)       กระบวบการเลือกสรรสารที่มีความหลากหลาย

(3)       กระบวนการที่ผู้ส่งสารส่งสารไปยังผู้รับสารที่มีจำนวนมาก

(4)       กระบวนการส่งสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร

ตอบ 3 หน้า 37 การสื่อสารมวลชน (Mass Communication) คือ กระบวนการที่ผู้ส่งสารมืออาชีพ ออกแบบการใช้สื่อในการเผยแพร่ข่าวสารไปอย่างกว้างไกล รวดเร็ว และมีความต่อเนื่อง เพื่อที่จะ ส่งความหมายตามที่ตั้งใจไปยังผู้รับสารที่มีจำนวนมาก มีความหลากหลาย ซึ่งอยู่ในที่ต่าง ๆ กัน และสารที่ส่งมาก็ได้รับการเลือกสรรมาแล้ว โดยผู้ส่งสารพยายามที่จะให้สารนั้นมีอิทธิพลเหนือ ผู้รับสารด้วยวิธีการต่าง ๆ

35.       สื่อใดที่เป็นสื่อมวลชน

(1)โทรศัพท์      (2) เครื่องโทรสาร

(3) การบรรยายผ่านทางโทรทัศน์วงจรปิด       (4) การปราศรัยผ่านเครือข่ายวิทยุโทรทัศน์

ตอบ 4 หน้า 37 – 38 สื่อมวลชนที่สำคัญ มีดังนี้

1.         สื่อสิ่งพิมพ์ ได้แก่ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หนังสือ แผ่นปลิวโฆษณา ฯลฯ

2.         ภาพยนตร์ ได้แก่ ภาพยนตร์โฆษณา ฯลฯ

3.         สื่อการกระจายเสียงหรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ เคเบิลทีวี วิดีโอคาสเซ็ท ฯลฯ

4.         สื่อสังคมออนไลน์ เช่น ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ฯลฯ

(ส่วนโทรศัพท์ เครื่องโทรสาร และการบรรยายผ่านทางโทรทัศน์วงจรปิด ไม่ได้เข้าลักษณะ ของการสื่อสารมวลชน แต่เป็นรูปแบบการสื่อสารของมนุษย์)

36.       คนที่อาศัยอยู่ในสังคมชนบท มีการรับรู้ข่าวสารกันอย่างไร   

(1) รับรู้ข่าวสารจากเพื่อน

(2)       รับรู้ข่าวสารจากครอบครัว      (3) รับรู้ข่าวสารจากสื่อ            (4) รับรู้ข่าวสารจากผู้อื่น

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ

37.       การนำสื่อกลางเข้ามาใช้ในการสื่อสาร ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร

(1)       เกิดการขาดหายไปของผู้ส่งสาร          (2) เกิดการขาดหายไปของผู้รับสาร

(3)       เกิดการขาดหายไปของสาร    (4) เกิดการขาดหายไปของการโต้ตอบกลับ

ตอบ4 หน้า 39 การนำสื่อกลางเข้ามาใช้ในการสื่อสารระหว่างคน 2 คน หรือการสื่อสารกลุ่มย่อย ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงทางกระบวนการสื่อสารอย่างชัดเจน ซึ่งผลที่เกิดขึ้นที่สำคัญมีอยู่ 2 ข้อ ได้แก่

1.         การขาดหายไปของปฏิกิริยาโต้ตอบ (Feedback) หรือการโต้ตอบกลับ

2.         ข้อจำกัดของผลที่เกิดขึ้น เพราะการขาดหายไปของปฏิกิริยาโต้ตอบนั้น

38.       คุณสมบัติที่ดีของรายการวิทยุ ควรประกอบด้วยอะไรบ้าง     

(1) รับฟังได้ทุกที่

(2)       รับฟังได้ชัดเจน (3) รับฟังได้ชัดไม่มีคลื่นแทรกรบกวน (4) เหมาะสำหรับรับฟังในบ้าน

ตอบ 3 หน้า 162, (คำบรรยาย) คุณสมบัติที่ดีของรายการวิทยุ คือ เป็นรายการที่ผู้ฟังส่วนใหญ่ ต้องการฟัง นอกจากนี้การรับฟังรายการวิทยุจะต้องมีความชัดเจน ปราศจากคลื่นรบกวน และเสียงแทรกจากสถานีอื่น

39.       การสื่อสารมวลชนเป็นกระบวนการสื่อสารลักษณะใด

(1)       กระบวนการสื่อสารแบบ Linener Process

(2)       กระบวนการสื่อสารแบบ Linear Process

(3)       กระบวนการสื่อสารแบบ Face-to-Face Process

(4)       กระบวบการสื่อสารแบบ One-to-One Process

ตอบ 2 หน้า 29 – 3039 การสื่อสารมวลชนเป็นกระบวนการสื่อสารในแนวเส้นตรง (Linear Process) ซึ่งผู้ส่งสารได้เข้ารหัสความหมายของสาร และส่งสารมากมายหลายชนิดผ่านสื่อมวลชนไปยัง ที่ต่าง ๆ ในสาธารณะด้วยเหตุผลหลายประการ เพื่อให้แพร่กระจายไปยังผู้รับสารจำนวนมาก ที่แตกต่างกัน ซึ่งผู้รับสารจะเลือกรับสารตามวิธีการของแต่ละคน และแปลความหมายของสารที่ คัดเลือกไว้ โดยความหมายของสารอาจเหมือนหรือไม่เหมือนกับที่ผู้ส่งสารหมายความถึงก็ได้

40.       หน้าที่ในการติดตามเอาใจใส่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคม เป็นหน้าที่ทางด้านใด

(1)       ประสานสัมพันธ์ส่วนต่าง ๆ ของสังคม            (2) ให้ความบันเทิง

(3)       สังเกตการณ์สภาพแวดล้อมของสังคม           (4) ถ่ายทอดมรดกทางสังคม

ตอบ 3 หน้า 51 หน้าที่ในการสังเกตการณ์สภาพแวดล้อมของสังคม คือ หน้าที่ในการสังเกตและ ติดตามเอาใจใส่เกี่ยวกับเหตุการณ์หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับสภาพแวดล้อมของสังคม ทั้งที่เกิดขึ้นภายในและภายนอกสังคม โดยสื่อมวลชนจะทำหน้าที่ในการรวบรวมและกระจาย ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เพื่อที่จะเตือนให้ทราบถึงอันตรายที่คาดว่าจะมี รวมถึงการให้ข้อมูลข่าวสาร ที่จำเป็นต่อเศรษฐกิจ สังคม และประชาชนทั่วไป

41.       แนวคิดเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมของสื่อมวลชน มีที่มาจากบรรณาธิการและผู้พิมพ์หนังสือพิมพ์ ในประเทศอะไร

(1)       อังกฤษ            

(2) เยอรมนี      

(3) อเมริกา      

(4) ฝรั่งเศส

ตอบ 3 หน้า 65 แนวคิดเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมของสื่อมวลชน มีที่มาจากบรรณาธิการและผู้พิมพ์หนังสือพิมพ์ในสหรัฐอเมริกาที่ได้คาดการณ์ไว้ว่า ใบศตวรรษที่ 20 ระบบของสื่อมวลชน จะต้องเปลี่ยนแปลงไปจากระบบเสรีนิยม คือ สื่อมวลชนจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะตรงกับปฏิกิริยาของประชาชนที่ต้องการให้มี การปฏิวัติการสื่อสาร(The Communication Revolution)

42.       ระบบทฤษฎีใดที่ให้ความสำคัญของความเป็นมนุษย์           

(1) ทฤษฎีความรับผิดชอบต่อสังคม

(2)       ทฤษฎีเสรีนิยม            

(3) ทฤษฎีโซเวียตคอมมิวนิสต์ 

(4) ทฤษฎีอำนาจนิยม

ตอบ 2 หน้า 61 ระบบสื่อมวลชนตามทฤษฎีเสรีนิยมจะให้ความสำคัญของความเป็นมนุษย์เพราะมองว่ามนุษย์สามารถพึ่งตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น มนุษย์เป็นคนที่มีเหตุผล สามารถมองเห็นความแตกต่างระหว่างความจริงและความผิด สามารถตัดสินใจเลือกทางเลือก ที่ดีกับทางเลือกที่ไม่ดี เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหลักฐานที่ขัดแย้งและทางเลือกต่าง ๆ กัน

43.       สื่อชนิดแรกที่มนุษย์ใช้ในการบันทึกเรื่องราว คืออะไร

(1) แผ่นหนัง    (2) แผ่นกระดาษ         (3) แผ่นดินเหนียว       (4) แผ่นหิน

ตอบ 4 หน้า 69 สื่อชนิดแรกที่มนุษย์ในสมัยก่อนใช้ในการสื่อสารกัน คือ แผ่นหิน (Stone) ซึ่งใช้สำหรับบันทึกเรื่องราว แต่การใช้แผ่นหินเป็นเรื่องที่มีความยุ่งยากมาก เพราะเอกสารแผ่นหิน (Stone Documents) ไม่สามารถเคลื่อนย้ายหรือนำติดตัวไปได้โดยง่าย

44.       มนุษย์เราใช้สื่อมวลชนอย่างไร

(1)       ใช้อย่างมีจุดมุ่งหมาย (2) ใช้อย่างรอบคอบ   (3) ใช้เพื่อความรู้         (4)ใช้เพื่อความบันเทิง

ตอบ 1 หน้า 56 – 57 แนวคิดทฤษฎีการใช้สื่อเพื่อประโยชน์และความพึงพอใจ จะเน้นที่ความสำคัญของผู้รับสารในฐานะที่เป็นปัจจัยหลัก ซึ่งมีข้อสรุปดังนี้

1.         มนุษย์จงใจที่จะแสวงหาข่าวสาร ไม่ได้ถูกยัดเยียดให้อ่าน ดู หรือฟัง

2.         การใช้สื่อมวลชนของมนุษย์ย่อมมีจุดมุ่งหมาย

3.         สื่อสารมวลชนต้องแข่งขันกับสิ่งเร้าอื่น ๆ ที่อาจตอบสนองความต้องการการรับรู้ของมนุษย์ได้

4.         มนุษย์เป็นผู้กำหนดความต้องการของตัวเองจากความสนใจและแรงจูงใจที่เกิดขึ้นในกรณีต่าง ๆ กัน

45.       ใครเป็นผู้ที่ดำเนินการ Pennsylvania Gazette ในเมือง Philadelphia

(1) Benjamin Franklin

(2)       Benjamin Day (3) Benjamin Harris  (4) James Franklin

ตอบ 1 หน้า 98 ในปี ค.ศ. 1729 Benjamin Franklin ได้เข้ามาดำเนินงานที่หนังสือพิมพ์ The Pennsylvania Gazette ในเมือง Philadelphia และประสบผลสำเร็จอีกด้วย

46.       การควบคุมสื่อมวลชนตามระบบทฤษฎีเสรีนิยม มีวิธีการอย่างไร

(1) รัฐควบคุมสื่อมวลชน          (2) สื่อมวลชนควบคุมกันเอง

(3)       ประชาชนควบคุมสื่อมวลชน    (4) เอกชนควบคุมสื่อมวลชน

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ

47.       Marconi ได้จัดตั้งบริษัทใดขึ้นมาเพื่อดูแลผลประโยชน์จากสิ่งประดิษฐ์ของเขา

(1) The Marconi Company        (2) The American Company

(3)       The American Marconi Company

(4) The American Marconi Communication Company

ตอบ 3 หน้า 161 ในปี ค.ศ. 1899 Guglielmo Marconi ได้จัดตั้งบริษัท The American Marconi Company ขึ้น เพื่อปกป้องความเป็นเจ้าของสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ และเพื่อดูแลผลประโยชน์ ที่ได้มาจากการสื่อสารแบบไร้สาย (Wireless Communication)

48.       ความเชื่อ ความคิดเห็น และทัศนคติของมนุษย์ เป็นผลมาจากสิ่งใด

(1)       ผู้ส่งสาร          (2) เนื้อหาสาร  (3) ผู้รับสาร     (4) จุดหมายปลายทาง

ตอบ 2 หน้า 36 เนื้อหาของสารสามารถมีอิทธิพลต่อความเชื่อ ความคิดเห็น และทัศนคติของมนุษย์ได้โดยการเปลี่ยนความคิดของมนุษย์ในเรื่องปัญหาของสังคมหรือความนิยมต่อพรรคการเมือง จะถูกกระตุ้นด้วยเนื้อหาสาร ซึ่งสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของคนได้ เช่น การมีอิทธิพลต่อการซื้อ การบริจาค การแต่งกายตามแฟชั่น การเลิกสูบบุหรี่ การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ฯลฯ

49.       ผู้ส่งสารมวลชน มีลักษณะอย่างไร    

(1) เป็นองค์กรที่เป็นทางการที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก

(2)       เป็นองค์กรที่มีโครงสร้างง่าย ๆ ไม่สลับซับซ้อน

(3)       เป็นองค์กรที่มีรูปแบบไม่เป็นทางการ

(4)       เป็นองค์กรที่มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไม่สูงมาก

ตอบ 1 หน้า 24 Dennis McQuail ได้ให้ทัศนะเกี่ยวกับคุณลักษณะของการสื่อสารมวลชนไว้ ประการหนึ่ง คือ ผู้ส่งสารมวลชนเป็นองค์กรที่มีโครงสร้างซับซ้อน มีค่าใช้จ่ายในการ ดำเนินงานที่สูงมาก และเป็นองค์กรที่มีรูปแบบเป็นทางการ

50.       ระบบสื่อมวลชนตามทฤษฎีเสรีนิยม เริ่มใช้เป็นครั้งแรกที่ประเทศใด

(1)       ฝรั่งเศส            (2) เยอรมนี      (3)       อเมริกา            (4)       อังกฤษ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ

51.       The London Gazette มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอะไร

(1) Daily Courant

(2)       The England Gazette       

(3) Oxford Gazette 

(4) The New England Courant

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 23. ประกอบ

52.       ผู้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้กรองสาร หมายถึงข้อใด

(1) ผู้เขียนข่าว 

(2) ผู้ประกาศข่าว        

(3)       ผู้อ่านข่าว         

(4)       ผู้ชมข่าว

ตอบ 1 หน้า 55 ผู้เฝ้าประตู (Gate Keeper) หรือผู้กรองสาร หมายถึง บุคคลที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ คัดเลือก และตีความสาร ก่อนที่จะส่งผ่านไปยังผู้รับสาร จึงเป็นเสมือนนายทวารในการรับข่าวสาร ของประชาชน โดยจะควบคุมการไหลของข่าวสารและตัดสินว่าข่าวอะไรควรจะส่งต่อไป และข่าวอะไรควรจะตัดออกไปทั้งหมด ซึ่งบุคคลที่ทำหน้าที่นี้ ได้แก่ นักข่าวหรือผู้สื่อข่าว บรรณาธิการข่าว ผู้เขียนข่าว ผู้พิมพ์ นักวิจารณ์ ฯลฯ

53.       การโฆษณาขายสินค้าทาง Internet เป็นการสื่อสารแบบใด       

(1) การสื่อสารระหว่างบุคคล

(2)       การสื่อสารส่วนบุคคล  (3) การสื่อสารมวลชน (4) การสื่อสารกลุ่มย่อย

ตอบ 3 หน้า 1419 การสื่อสารมวลชน (Mass Communication) คือ การสื่อสารที่เกี่ยวข้องกับสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ฯลฯ หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ภาพยนตร์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ ระบบเครือข่าย Internet ฯลฯ เพื่อทำการสื่อสารกับคน จำนวนมากซึ่งอยู่ในที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศหรือทั่วโลก โดยไม่มีการเผชิญหน้ากันระหว่าง ผู้ส่งสารกับผู้รับสาร

54.       การสื่อสารมวลชนเกี่ยวข้องกับผู้รับสารที่มีลักษณะอย่างไร

(1)       ผู้รับสารจำนวนมากที่มีความหลากหลาย

(2)       ผู้รับสารจำนวนหนึ่งที่มีความหลากหลาย

(3)       ผู้รับสารจำนวนมากที่มีความหลากหลายแตกต่างกัน

(4)       ผู้รับสารจำนวนหนึ่งที่มีความหลากหลายแตกต่างกัน

ตอบ 3 หน้า 38 ลักษณะที่สำคัญของการสื่อสารมวลชน ซึ่งมีความแตกต่างจากการสื่อสาร ในรูปแบบอื่น มีดังนี้ 1. การสื่อสารมวลชนต้องอาศัยเครื่องมือ หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์

2.         ผู้รับสารมวลชนมีจำนวนมาก และมีความหลากหลายแตกต่างกัน

3.         ผู้รับสารมวลชนอยู่ในที่ต่าง ๆ กัน

55.       ระบบสื่อมวลชนตามทฤษฎีความรับผิดชอบต่อสังคม พัฒนามาจากทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีอำนาจนิยม (2) ทฤษฎีเสรีนิยม

(3)       ทฤษฎีโซเวียตคอมมิวนิสต์      (4) ทฤษฎีความรับผิดชอบต่อสังคม

ตอบ 2 หน้า 64 ระบบสื่อมวลชนตามทฤษฎีความรับผิดชอบต่อสังคม ไต้รับการพัฒนามาจากทฤษฎี เสรีนิยมที่เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ซึ่งสื่อมวลชนเกือบจะเป็นอิสระเต็มที่ จากอิทธิพลของรัฐบาล และยังมีการส่งเสริมให้สื่อมวลชนทำหน้าที่เป็น ฐานันดรที่ 4” (A Fourth Estate) ต่อจากนั้นจึงได้มีการพัฒนาให้สื่อมวลชนมีความรับผิดชอบต่อสังคม มากยิ่งขึ้นจนกลายมาเป็นทฤษฎีใหม่นี้

56.       ตามระบบทฤษฎีเสรีนิยม ส่วนใหญ่ใครที่เป็นเจ้าของสื่อมวลชน

(1) เอกชน        (2) รัฐบาล       (3)       ผู้ปกครอง        (4)       สื่อมวลชน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ

57.       Miscommunication หมายถึงอะไร

(1) ความผิดพลาดในการสื่อสาร         (2) ความสำเร็จในการสื่อสาร

(3)       ความมีประสิทธิภาพในการสื่อสาร      (4) ความล้มเหลวในการสื่อสาร

ตอบ 1 หน้า 4 การสื่อสารจะประสบผลสำเร็จ (Effective Communication) ก็ต่อเมื่อผู้รับสาร ได้รับสารแล้วแปลสารให้เข้าใจตรงกับที่ผู้ส่งสารต้องการ แต่ถ้าหากผู้รับสารได้รับสารแล้วแปลสาร ไม่ตรงตามความหมายที่ผู้ส่งสารต้องการ ก็จะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ความล้มเหลวในการสื่อสาร (Communication Breakdown) หรือเกิดความผิดพลาดในการสื่อสาร (Miscommunication)

58.       ตัวอักษร Cuneiform Writing เป็นของพวกใด

(1) Etruscans     (2) Roman          (3)       Sumerians        (4)       Greek

ตอบ 3 หน้า 78 – 79 ระบบเสียงของภาษาเขียนเกิดขึ้นเมื่อชาวสุเมเรียน (Sumerians) ซึ่งเป็นพวกเกษตรกรที่อาศัยอยู่ระหว่าง 3,000 – 1,700 B.C. ภายใต้ดินแดนที่เรียกว่า Fretile Crescent (ดินแดนที่รวมเอาส่วนหนึ่งของ Iraq อยู่ด้วย) ได้นำตัวอักษรมาแก้ไขปรับปรุง และเริ่มใช้ การเขียนตัวอักษรคิวนิฟอร์ม (Cuneiform Writing) ไว้ในแผ่นดินเหนียว (Clay Tablet)ซึ่งนำมาใช้เป็นสื่อกลางได้ดีกว่าถ้าจะเปรียบเทียบกับแผ่นหิน

59.       การโทรศัพท์ถึงเพื่อน ๆ ที่เชียงใหม่ เป็นการสื่อสารแบบใด   

(1) การสื่อสารในสาธารณะ

(2)       การสื่อสารระหว่างบุคคล        (3) การสื่อสารมวลชน (4) การสื่อสารกลุ่มย่อย

ตอบ 2 หน้า 182237 – 38, (คำบรรยาย) การสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication) คือ การสื่อสารที่เกิดขึ้นระหว่างบุคคลหนึ่งกับอีกบุคคลหนึ่ง หรือกับคนอื่น ที่มีจำนวนไม่มากนัก โดยบางครั้งผู้ส่งสารกับผู้รับสารก็มีความคุ้นเคยกัน เช่น การพูดคุยกันใน กลุ่มเพื่อนการสื่อสารกันในงานเลี้ยงสังสรรค์การพูดคุยและส่ง SMS/MMS กันทางโทรศัพท์การเขียนจดหมายถึงกัน ฯลฯ หรืออาจไม่มีความคุ้นเคยกัน เช่น คนแปลกหน้าพูดคุยกัน บนถนน บนรถโดยสาร หรือในห้างสรรพสินค้า ๆลฯ นอกจากนี้การใช้เครื่องโทรสารและ เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัว เพื่อติดต่อหรือแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างกัน ก็เป็นการสื่อสาร ระหว่างบุคคลด้วยเช่นกัน

60.       การสั่งซื้อสินค้าทางโทรสาร เป็นการสื่อสารแบบใด  

(1) การสื่อสารระหว่างบุคคล

(2)       การสื่อสารส่วนบุคคล (3) การสื่อสารมวลชน (4) การสื่อสารกลุ่มย่อย

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 59. ประกอบ

61.       มนุษย์ในสมัยก่อนยังไม่มีการพูดเพื่อการสื่อสารกัน เพราะโครงสร้างทางร่างกายที่ทำให้มนุษย์พวกใดไม่สามารถควบคุมเสียงที่เปล่งออกมาเป็นคำพูดได้

(1)       Cro-Magnon 

(2) Homo Erectus 

(3) Neanderthal 

(4) Habilis

ตอบ 2 หน้า 1 มนุษย์ในสมัยก่อน เช่น พวก Australopithecus, Homo Habilis และ Homo Erectus ยังไม่มีการพูดเพื่อสื่อสารกัน ทั้งนี้เป็นเพราะลักษณะโครงสร้างของกล่องเสียงยังเหมือนกับ พวกลิงที่ส่งเสียงได้เท่านั้น และด้วยโครงสร้างทางกายภาพด้านร่างกายก็ทำให้มนุษย์พวกนี้ ไม่สามารถควบคุมเสียงให้เปล่งออกมาเป็นคำพูดได้

62.       นายกสมาคมศิษย์เก่ากำลังฝึกซ้อมอ่านคำปราศรัยของตัวเอง เพื่อจะได้ไมเกิดการผิดพลาดในงานการกุศลหาทุนเพื่อช่วยเด็กผู้ยากไร้ นายกสมาคมศิษย์เก่ากำลังใช้การสื่อสารแบบใด

(1)       การสื่อสารมวลชน       

(2) การสื่อสารในที่สาธารณะ

(3)       การสื่อสารระหว่างบุคคล       

(4) การสื่อสารส่วนบุคคล

ตอบ 4 หน้า 18, (คำบรรยาย) การสื่อสารส่วนบุคคล (Intrapersonal Communication) คือการสื่อสารที่เกิดขึ้นภายในร่างกายหรือในตัวของเราเอง ซึ่งเรื่องราวหรือเนื้อหาจะประกอบด้วย ความคิด และสื่อกลางหรือช่องทางคือ ระบบประสาทที่ผ่านความคิดและกระบวนการในสมอง เช่น การพูดเบา ๆ การซ้อมร้องเพลง หรือฝึกซ้อมอ่านคำปราศรัย และการคิดถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด ในใจแล้วพูดรำพึงรำพัน หรือหัวเราะกับตัวเอง ฯลฯ

63.       พวกกรีกได้นำตัวอักษรของพวกใดมาแก้ไขปรับปรุงให้มีความสวยงามขึ้น

(1)       Etruscans (2) Romania      (3) Roman          (4) Sumerians

ตอบ 4 หน้า 77 ชาวกรีกไม่ได้เป็นผู้สร้างตัวอักษรขึ้นมาเอง แต่พวกเขาได้แก้ไขปรับปรุงตัวอักษร ให้มีความสวยงามขึ้นกว่าของพวก Phoenicians, Assyrians, Babylonians ไปจนถึงพวก Sumerians ซึ่งอาจจะเป็นผู้ที่เริ่มสร้างตัวอักษรก็ได้ หลังจากนั้นในสมัยต่อมาชาวโรมันก็ได้ แก้ไขปรับปรุงตัวอักษรที่นำมาจากพวก Etruscans ซึ่งได้ลอกเลียนมาจากตัวอักษรของ พวกกรีกอีกที แล้วทำให้มีความสวยงามจนกลายเป็นแบบของตัวอักษรที่ใช้กันในปัจจุบัน

64.       Communication Breakdown หมายถึงอะไร

(1)       ความมีประสิทธิภาพในการสื่อสาร      (2) ความผิดพลาดในการสื่อสาร

(3)       ความล้มเหลวในการสื่อสาร    (4) ความสำเร็จในการสื่อสาร

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

65.       การสื่อสารของมนุษย์มีจุดเริ่มต้นมาจากสิ่งใด

(1) ความคิด    (2) ภาษา         (3) กิริยาท่าทาง           (4) ภาพเขียน

ตอบ 2 หน้า 1 การใช้ภาษาได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ 40,000 ปีมาแล้ว และการสื่อสารก็เริ่มมีการ พัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ภาษา คือ จุดเริ่มต้นของกระบวนการ สื่อสารของมนุษย์ที่พัฒนาต่อมาจนถึงการสื่อสารมวลชน

66.       หนังสือที่พวกพระเป็นผู้ที่คัดลอกหนังสือด้วยมือเป็นจำนวนพัน ๆ เล่ม เรียกว่าอะไร

(1) Manuscripto         (2) Manuscripti          (3) Scriptoria    (4) Scripti

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 15. ประกอบ

67.       นิตยสารฉบับใดที่มีความเหมาะสมมากที่สุดกับคำว่า นิตยสาร

(1) General’s Magazine    (2) Gentle’s Magazine

(3) Gentleman’s Magazine        (4) Genre’s Magazine

ตอบ 2 หน้า 114 นิตยสารที่ชื่อ “Gentle’s Magazine” ของ Edward Cave ถือว่าเป็นสิ่งพิมพ์ที่เหมาะสมมากที่สุดกับคำว่า นิตยสาร” เพราะเป็นสิ่งพิมพ์ชนิด Storehouse ที่รวมเรื่องราว ต่าง ๆ ทั้งรายงาน บทความ ตลอดจนเรื่องที่เคยตีพิมพ์ในนิตยสารฉบับอื่นมาแล้ว นอกจากนี้ ก็ยังมีบทบาทหน้าที่และมีบางอย่างที่เหมือนกับรูปแบบของ Reader’s Digestในปัจจุบัน

68.       การปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนใบระบบทฤษฎีอำนาจนิยม มีลักษณะแบบใด

(1) ปฏิบัติหน้าที่ตามความต้องการของสาธารณชน (2) ปฏิบัติหน้าที่ตามความต้องการของสื่อมวลชน (3) ปฏิบัติหน้าที่ตามความต้องการของผู้ปกครอง        (4) ปฏิบัติหน้าที่ตามความต้องการของนายทุน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ

69.       ข้อใดที่ไม่ใช่ลักษณะของหนังสือพิมพ์ที่แท้จริง

(1) วางจำหน่ายอย่างสม่ำเสมอ          (2) พิมพ์โดยใช้เครื่องมือในการพิมพ์

(3) พิมพ์จำหน่ายอย่างน้อยเดือนละฉบับ       (4) ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 22. ประกอบ

70.       ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 17 เกิดขึ้นในยุคใด

(1) หนังสือพิมพ์ยุคราชสำนัก  (2) หนังสือพิมพ์ยุคประชาธิปไตยระยะแรก

(3) หนังสือพิมพ์ยุคมืด (4) หนังสือพิมพ์ยุคปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน

ตอบ3 หน้า 103 หนังสือพิมพ์ยุคมืด (พ.ศ. 2501 – 2512) เป็นยุคที่รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใช้อำนาจเข้าควบคุมและบังคับไม่ให้หนังสือพิมพ์แสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี โดยการ ออกกฎหมายเป็น “’ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 17” อีกทั้งยังใช้กำลังคุกคามสิทธิเสรีภาพของนักหนังสือพิมพ์โดยการจับกุมและตั้งข้อหาว่ามีการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์

71.       ประเทศอะไรสามารถผลิตกระดาษจากต้นไม้ได้เป็นชาติแรก

(1)  โรมัน    

(2) กรีก            

(3) อียิปต์        

(4) จีน

ตอบ 3 หน้า 79 ในยุค 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวอียิปต์สามารถผลิตกระดาษได้สำเร็จเป็นชาติแรก โดยได้พัฒนาวิธีการทำกระดาษมาจากต้น Papyrus (ปัจจุบันเรียกว่า Paper) ซึ่งเป็นต้นไม้ จำพวกต้นกกหรือหญ้าที่ขึ้นอยู่ใบบริเวณที่มีน้ำเฉอะแฉะริมฝั่งแม่น้ำไนล์ (The Nile)

72.       การพัฒนาเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในปี ค.ศ. 1969 เรียกว่าอะไร

(1) ARPANET      

(2) ARNET 

(3) APANET        

(4) ALPANET

ตอบ 1 หน้า 193 – 194 การพัฒนาเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. 1969 โดยมีเครือข่ายที่ เรียกว่า ARPANET (Advanced Research Projects Agency Network) เกิดขึ้นมาครั้งแรก ในโลก และได้มีการพัฒนาโดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลัก คือ การทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเชื่อมต่อและมีปฏิสัมพันธ์กันได้จนเกิดระบบ World Wide Web ที่ใช้ระบบไฮเปอร์เท็กซ์ ซึ่งเป็นรูปแบบการนำเสนอข้อความเป็นหลัก โดยมีการเชื่อมโยง ระหว่างกันทั้งภายใน ภายนอก และไปยังส่วนที่เกี่ยวข้อง

73.       Ideographic Writing หมายถึงอะไร

(1) ความคิด    (2) ความนึกคิด           (3) ภาพความคิด         (4) การเขียนภาพ

ตอบ 3 หน้า 74 ระบบการสื่อสารที่เรียกว่า Ideographic Writing หมายถึง ภาษาเขียนที่บอก ความคิด หรือการเขียนภาพความคิด ซึ่งบางครั้งก็อาจเรียกว่า Pictographic Writing คือ การเขียนภาษาภาพ หรือเรียกว่า Thought Writing คือ การเขียนความคิด การแสดงความคิด เฉพาะเรื่อง หรือความหมายเฉพาะด้วยรูปภาพ

74.       การโฆษณาการทำหนังสือ คืออะไร

(1) Scriptoria     (2) Scripti  (3) Scroll   (4) Scar

ตอบ 1 หน้า 83 ในขณะที่ยุโรปกำลังจะผ่านพ้นยุคมืด (Dark Ages) ไปอย่างช้า ๆ นั้น ความสนใจ ในเรื่องของหนังสือและการเขียนได้มีการพัฒนาขึ้น มีผู้รู้หนังสือมากขึ้น จึงไม่เพียงแต่พวกพระ เท่านั้นที่สามารถคัดลอกหนังสือด้วยลายมือได้ โดยในศูนย์กลางเมืองที่เจริญหลาย ๆ เมือง ก็มีการโฆษณาการทำหนังสือและการขายขึ้น เรียกว่า Scriptoria ซึ่งองค์ประกอบสำคัญที่ สนับสนุนให้มีการผลิตหนังสือก็คือ การที่ประชาชนมีความรู้มากขึ้น

75.       Pictographic Writing หมายถึงอะไร

(1) ภาพ           (2) ความนึกคิด           (3) ภาพความคิด         (4) ความคิด

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 73. ประกอบ

76.       ผู้รับสารมวลชน มีลักษณะอย่างไร

(1) ผู้รับสารมีความแตกต่างกัน           (2) ผู้รับสารมีจำนวนมาก

(3)       ผู้รับสารมีจำนวนจำกัด            (4) ผู้รับสารจำนวนมากมีความแตกต่างกัน

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 54. ประกอบ

77.       ระบบทฤษฎีใดที่ถือว่าสื่อมวลชนเป็นของราชสำนัก

(1) ทฤษฎีอำนาจนิยม (2) ทฤษฎีเสรีนิยม

(3) ทฤษฎีโซเวียตคอมมิวนิสต์ (4) ทฤษฎีความรับผิดชอบต่อสังคม

ตอบ 1 หน้า 60 ระบบสื่อมวลชนตามทฤษฎีอำนาจนิยมในประเทศอังกฤษ กษัตริย์ในราชวงศ์ทิวดอร์ (Tudors) และราชวงศ์สจ๊วตส์ (Stuarts) จะถือว่า หนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนเป็นของ ราชบัลลังก์หรือราชสำนักเท่านั้น ดังนั้นสื่อมวลชนจึงต้องสนับสนุนนโยบายของกษัตริย์

78.       แบบจำลองใดเป็นลักษณะของการสื่อสารสองทาง (Two Way Communication)

(1) แบบจำลองของลาสเวลส์  (2) แบบจำลองของออสกูด-ชแรมม์

(3) แบบจำลองของไวท์           (4) แบบจำลองของไรท์

ตอบ 2 หน้า 26 แบบจำลองซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในเรื่องของการมีปฏิกิริยาโต้ตอบในกระบวนการสื่อสาร ได้แก่ แบบจำลองของออสกูด-ชแรมม์, (The Osgood-Schramm Circular Model) ซึ่งเป็นลักษณะของการสื่อสารสองทาง (Two Way Communication) เพราะการมีปฏิกิริยาโต้ตอบระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสาร

79.       สถานีวิทยุกระจายเสียงของไทยที่ทำการทดลองออกอากาศเป็นครั้งแรก มีชื่อว่าอะไร

(1)       4 พี.พี (2) 4 พี.เจ        (3) 4 เอช.เค     (4) 4 เจ.เจ

ตอบ 2 หน้า 169 เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2471 สถานีที่มีชื่อว่า 4 พี.เจ” (บูรฉัตรไชยากร) เป็นสถานีวิทยุกระจายเสียงของไทยที่ทำการทดลองออกอากาศเป็นครั้งแรก ด้วยขนาด คลื่นสั้น 37 เมตร กำลังส่ง 200 วัตต์ ดังนั้นจึงนับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมีเครื่องส่ง วิทยุกระจายเสียง (ทดลอง)

80.       วิทยุโทรทัศน์เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยใด          

(1) ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1

(2)       หลังสงครามโลกครั้งที่ 1        (3) ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2   (4) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2

ตอบ 3 หน้า 175 วิทยุโทรทัศน์เกิดขึ้นครั้งแรกท่ามกลางความขัดแย้งในสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2แต่หยุดชะงักลงชั่วคราวระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 และถูกเปลี่ยนจากปรากฏการณ์ทาง วิทยาศาสตร์ไปสู่การเป็นสื่อมวลชนที่ทันสมัยที่สุดในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2

81.       สารมวลชน มีลักษณะอย่างไร

(1) สารถูกเผยแพร่ทางการกระจายเสียง        

(2) สารถูกเผยแพร่ไปยังผู้รับสาร

(3)       สารถูกเผยแพรโดยผ่านเทคนิคพิเศษ 

(4) สารถูกเผยแพร่โดยผู้ส่งสาร

ตอบ 3 หน้า 30 ลักษณะของสารมวลชน คือ สารจะถูกเผยแพร่หรือถ่ายทอดออกไปให้ผู้รับสาร โดยผ่านการใช้เทคนิคพิเศษของสื่อ ได้แก่ ภาพยนตร์ สิ่งพิมพ์ หรือการกระจายเสียงไปได้ อย่างกว้างไกลเท่าที่สามารถจะทำได้

82.       ภาพยนตร์เรื่องที่มีบทพูดเป็นเรื่องแรก The Jazz Singer สร้างโดยบริษัทใด

(1) Warner Brothers 

(2) Paramount  

(3) Columbia     

(4) Universal

ตอบ 1 หน้า 148 ในระหว่างปี ค.ศ. 1927 – 1928 บริษัท Warner Brothers ได้ผลิตภาพยนตร์ที่มี บทพูดเป็นเรื่องแรกคือ เรื่อง The Jazz Singer นำแสดงโดย AL Jason ซึ่งเป็นภาพยนตร์ ที่มีเสียงเพียงบางช่วงเพราะระบบเสียงยังไม่สามารถทำงานได้เต็มระบบ โดยใส่เสียงได้เพียง 2-3 เพลง และมีบทพูดอีก 2-3 นาที ส่วนที่เหลือก็เป็นภาพยนตร์เงียบหรือไม่มีเสียง

83.       มนุษย์พวกใดที่สามารถสื่อสารกันโดยใช้ภาษาท่าทาง และการเคลื่อนไหวร่างกาย

(1) Homo Erectus (2) Cro-Magnon (3) Habilis    (4) Neanderthal

ตอบ 4 หน้า 1 มนุษย์พวก Neanderthal (Homo Sapiens Neanderthalensis) ที่อาศัยอยู่ตั้งแต่ สมัยโบราณเมื่อประมาณ 150,000 – 125,000 ปีมาแล้ว จะสามารถสื่อสารกันได้ด้วยภาษา ท่าทาง โดยใช้วิธีการเคลื่อนไหวทางร่างกาย และใช้เสียงเท่าที่จะสามารถเปล่งออกมาได้เท่านั้น

84.       เพราะเหตุใดคนที่เข้าไปชมภาพยนตร์ผี บางคนจึงมีความกลัวมาก แต่บางคนกลับรู้สึกว่าตลกดี

(1)       การถอดรหัสความหมายสารต่างกัน   (2) การเข้ารหัสความหมายสารตรงกัน

(3) การถอดรหัสความหมายสารตรงกัน          (4) การเข้ารหัสความหมายสารต่างกัน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 9. ประกอบ

85.       การประชุมทางวิชาการเรื่อง อนาคตเศรษฐกิจไทย ณ ห้องประขุมพ่อขุนรามคำแหง มหาวิทยาลัยรามคำแหงมีผู้เข้าร่วมประชุมประมาณ 300 คน และเปิดโอกาสให้มีการซักถามปัญหากับวิทยากร ลักษณะเช่นนี้ เป็นการสื่อสารประเภทใด      

(1) การสื่อสารมวลชน

(2)       การสื่อสารในที่สาธารณะ       (3) การสื่อสารกลุ่มใหญ่          (4) การสื่อสารกลุ่มย่อย

ตอบ 2 หน้า 19, (คำบรรยาย) การสื่อสารในที่สาธารณะ (Public Communication) จะเกี่ยวข้องกับการพูดในที่สาธารณะ ซึ่งมีลักษณะดังนี้

1.         ต้องเกิดขึ้นในที่สาธารณะมากกว่าที่ส่วนบุคคล เช่นในห้องบรรยายขนาดใหญ่ ห้องประชุม ๆลฯ แต่ถ้ามีผู้ฟังมากอาจต้องถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์วงจรปิด เพื่อให้ทุกคนมีโอกาสเข้าฟังพร้อมกัน

2.         เป็นการพูดแบบเป็นทางการมากกว่าการพูดในที่ส่วนบุคคลโดยต้องมีการวางแผนการพูดไว้ล่วงหน้า

3.         มีความเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่มีรูปแบบชัดเจน เช่น ต้องมีการให้ผู้ฟังซักถามปัญหากับวิทยากร หลังจากการพูดจบลงแล้ว เป็นต้น

86.       ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการนำเอาวิทยุมาใช้ในบ้านมาสู่สาธารณชน คือใคร

(1) Maxwell       (2) Sarnoff          (3) Marconi       (4) Hertz

ตอบ 2 หน้า 162 – 163 ในปี ค.ศ. 1916 David Sarnoff ได้เขียนบันทึกที่มีชื่อเสียงในเวลาต่อมา ให้กับเจ้านายของเขา ซึ่งสามารถสรุปความได้ว่าวิทยุกระจายเสียงสามารถเป็นสื่อสำหรับใช้ ในบ้านได้ และต่อมาในปี ค.ศ. 1919 เขาก็ได้มีบทบาทสำคัญในการนำเอาวิทยุมาสู่สาธารณชน

87.       ชาว Sumerians ได้นำตัวอักษรมาแก้ไขปรับปรุงก่อนนำมาใช้กับอะไร

(1) แผ่นหนัง    (2) กระดาษ     (3) ดินเหนียว   (4) แผ่นหิน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 58. ประกอบ

88.       หน้าที่ในการถ่ายทอดมรดกทางสังคม สื่อมวลชนทำหน้าที่อย่างไร

(1)       หน้าที่ในการปลูกฝังค่านิยม ความเชื่อ ไปสู่สมาชิกในสังคม

(2)       หน้าที่ในการรวบรวมและกระจายข้อมูลข่าวสาร

(3)       หน้าที่ในการช่วยลดความตึงเครียดจากสถานการณ์ต่าง ๆ

(4)       หน้าที่ในการตีความข้อมูลข่าวสาร

ตอบ 1 หน้า 51 หน้าที่ในการถ่ายทอดมรดกทางสังคมจากคนรุ่นหนึ่งไปยังคนรุ่นต่อไป คือ หน้าที่ในการถ่ายทอดและปลูกฝังค่านิยม ความเชื่อ บรรทัดฐานทางสังคม ความรู้ และส่วนประกอบอื่น ๆ ทางด้านวัฒนธรรมไปสู่สมาชิกในสังคม ซึ่งไม่เพียงแต่จะถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปยังคนอีกรุ่นหนึ่ง เท่านั้น แต่ยังเป็นการถ่ายทอดไปยังคนรุ่นต่อ ๆ ไปด้วย

89.       สื่อมวลชนตามระบบทฤษฎีความรับผิดชอบต่อสังคม เราใช้สิ่งใดในการควบคุม

(1) พระราชบัญญัติ     (2) กฎเกณฑ์   (3) จริยธรรม    (4) การลงโทษ

ตอบ 3 หน้า 65 การควบคุมสื่อมวลชนตามระบบทฤษฎีความรับผิดชอบต่อสังคม สามารถกระทำได้ดังนี้ 1. ความคิดเห็นของชุมชน 2. ปฏิกิริยาของผู้อ่าน ผู้ฟัง 3. จริยธรรมของวิชาชีพสื่อสารมวลชน

90.       ผู้ที่กล่าวไว้ว่า มนุษย์เราสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายตามที่ต้องการได้โดยใช้การสื่อสาร คือใคร

(1)       Aristotle (2) Archimesdes        (3) Charles Wright    (4) Lasswell

ตอบ 1 หน้า 3 อริสโตเติล (Aristotle) นักปราชญ์ชาวกรีก เป็นปรมาจารย์ที่ได้ศึกษาในเรื่องของศาสตร์ที่เกี่ยวกับการสื่อสาร และเป็นผู้ที่มองเห็นความสำคัญของการสื่อสารว่า การสื่อสาร เป็นช่องทางที่ทำให้มนุษย์เราสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายตามที่ต้องการได้

91.       สื่อ มีความสำคัญต่อการสื่อสารของมนุษย์อย่างไร   

(1) ช่วยในการส่งสารผ่านระยะเวลา

(2)       ช่วยในการส่งสารผ่านระยะทาง         

(3) ช่วยในการส่งสารผ่านระยะเวลาและระยะทาง

(4) ช่วยในการส่งสารผ่านระยะเวลาหนึ่งไปอีกเวลาหนึ่ง

ตอบ 3 หน้า 132133 สื่อ (Medium/Media) คือ เครื่องมือที่ใช้สำหรับถ่ายทอดข้อมูลข่าวสาร ผ่านระยะเวลาและระยะทาง นอกจากนี้ยังหมายถึง สิ่งของหรือเครื่องมือที่ใช้ในการสื่อเนื้อหา ของสาร (Message) โดยการส่งข่าวสารผ่านระยะทาง หรือเก็บรักษาไว้ผ่านระยะเวลา

92.       สื่อมวลชนของโซเวียตมีลักษณะอย่างไร ตามความคิดของผู้มีอำนาจ

(1) มีเสรีภาพจำกัด      

(2) ไม่มีเสรีภาพ

(3)       มีเสรีภาพที่จะพูดความจริง    

(4) ไม่มีเสรีภาพที่จะพูดความจริง

ตอบ 3 หน้า 63 ผู้มีอำนาจในโซเวียตคิดว่า สื่อมวลชนของตนมีเสรีภาพ เพราะว่าสื่อมวลชนของโซเวียต มีเสรีภาพที่จะพูดความจริง (Truth) ซึ่งตามทัศนะของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตมองว่า สื่อมวลชนในอเมริกาและในประเทศระบบเสรีนิยมไม่มีเสรีภาพที่แท้จริง เนื่องจากถูกควบคุม โดยธุรกิจหรือผู้ที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจ ดังนั้นตามความคิดของมาร์กซิสต์ สื่อมวลชนในระบบ เสรีนิยมจึงไม่มีเสรีภาพที่จะพูดความจริง

93.       ระบบสื่อมวลชนตามทฤษฎีสื่อมวลชนเพื่อการพัฒนา เป็นทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องใด

(1) การสื่อสารในประเทศพัฒนา         (2) การสื่อสารในประเทศมหาอำนาจ

(3)       การสื่อสารในโลกที่ 3  (4) การสื่อสารในโลกปัจจุบัน

ตอบ 3 หน้า 66 ระบบสื่อมวลชนตามทฤษฎีสื่อมวลชนเพื่อการพัฒนา เป็นทฤษฎีที่พูดถึงการสื่อสาร ในประเทศที่กำลังพัฒนา หรือการสื่อสารในโลกที่ 3 (Third World Communication)ซึ่งมีแนวคิดมาจากคณะกรรมาธิการระหว่างประเทศเพื่อศึกษาปัญหาการสื่อสารของ องค์การยูเนสโก และมีสถานการณ์ร่วมกันบางสถานการณ์ของประเทศกำลังพัฒนาที่เป็น ลักษณะเฉพาะของประเทศเหล่านี้

94.       หน้าที่ในการสังเกตการณ์สภาพแวดล้อมของสังคม สื่อมวลชนทำหน้าที่อย่างไร

(1) หน้าที่ในการตีความข้อมูลข่าวสาร (2) หน้าที่ในการรวบรวมและกระจายข้อมูลข่าวสาร

(3)       หน้าที่ในการช่วยลดความตึงเครียดจากสถานการณ์ต่าง ๆ

(4)       หน้าที่ในการปลูกฝังค่านิยม ความเชื่อ ไปสู่สมาชิกในสังคม

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 40. ประกอบ

95.       McCall’s เป็นนิตยสารประเภทใด

(1) Newsmagazines  (2) Women’s Interest Magazines

(3) Humor Magazines        (4) Consumer Magazines

ตอบ2  หน้า 123, (คำบรรยาย) Women’s Interest Magazines เป็นนิตยสารสำหรับผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประเทศสหรัฐอเมริกา มียอดจำหน่ายสูงที่สุด และมักมีที่มา จากวารสารผู้หญิงที่ชื่อ Ms. เช่น Ladies’ Home Journal, Savvy’ Better, McCall’s, Homes and Gardens (บ้านและสวน), Good Housekeeping รวมทั้งนิตยสารกีฬา สำหรับผู้หญิงบางประเภท เช่น Golf Digest, Tennis ฯลฯ (ส่วนของไทยก็มีนิตยสารดิฉันแพรวทีวีพูล, Image, Gossip, Life and Home, My Home ฯลฯ)

96.       สิ่งใดที่มนุษย์เราต้องคำนึงถึงเมื่อทำการสื่อสารกัน

(1) วัฒนธรรมและกฎระเบียบทางสังคม        (2) วัฒนธรรม

(3) ภาษาพูดและกฎระเบียบทางสังคม          (4) ภาษาพูด

ตอบ1 หน้า 7 การสื่อสารของมนุษย์ย่อมแตกต่างจากสิ่งต่าง ๆ ที่ดำรงชีวีตอยู่บนโลก ทั้งนี้เพราะมีแต่มนุษย์เท่านั้นที่ทำการสื่อสารกัน โดยต้องคำนึงถึงวัฒนธรรมและกฎระเบียบต่าง ๆ ของสังคม

97.       สื่อมวลชนเป็นผู้รับใช้รัฐหรือผู้ปกครอง เป็นการปฏิบัติของทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีอำนาจนิยม (2) ทฤษฎีเสรีนิยม

(3) ทฤษฎีโซเวียตคอมมิวนิสต์ (4) ทฤษฎีความรับผิดชอบต่อสังคม

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ

98.       มนุษย์ในสมัยโบราณใช้วิธีการใดในการสื่อสารกัน

(1) ใช้วิธีการพูด           (2) ใช้วิธีการส่งสัญญาณ

(3) ใช้สื่อ          (4) ใช้วิธีการเขียนเรื่องราว

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 27. ประกอบ

99.       สื่อมวลชนควรให้ความสำคัญต่อเนื้อหาทางด้านวัฒนธรรมและภาษาของชาติเป็นลำดับแรกเป็นแนวคิดของทฤษฎีใด        

(1) ทฤษฎีสื่อมวลชนเพื่อการพัฒนา

(2)       ทฤษฎีสื่อมวลชนที่ประชาชนเป็นผู้มีส่วนร่วมแบบประชาธิปไตย

(3)       ทฤษฎีความรับผิดชอบต่อสังคม         (4) ทฤษฎีสังคมมวลชน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ

100.    วัตถุประสงค์ของระบบสื่อมวลชนตามทฤษฎีเสรีนิยม คืออะไร

(1) เพื่อแจ้งข่าวสาร     (2) เพื่อสนับสนุนรัฐ

(3) เพื่อแจ้งข่าวผู้มีอำนาจ       (4) เพื่อสนับสนุนเอกชน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ

LIS1001 สารสนเทศและเทคโนโลยีเพื่อการค้นคว้า การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา 2556

ข้อสอนกระบวนวิชา LIS 1001 สารสนเทศและเทคโนโลยีเพื่อการค้นคว้า

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1.    ข้อใดเป็นลักษณะของสารสนเทศที่สำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพการดำรงชีวิตของมนุษย์

(1)  ความสมบูรณ์

(2) ความถูกต้อง   

(3) ความเที่ยงตรง

(4) ความทันสมัย

ตอบ 2 หนา 5(IS 103 เลขพิมพ์ 53345 หน้า 5-6) สารสนเทศที่มีความถูกต้องเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพการดำรงชีวิตของมนุษย์ในทุกด้าน ซึ่งก่อให้เกิด ประโยชน์ดังต่อไปนี้     

1. ลดอัตราการตายจากโรคภัยไข้เจ็บ

2. ช่วยให้ประชาชนเป็นผู้บริโภคอย่างฉลาด รู้จักเลือกใช้สินค้าที่มีประโยชน์ และประเมิน คุณภาพของสินค้าได้     

3. พัฒนาประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น

4.ช่วยลดความผิดพลาดในการตัดสินใจ

5. ส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า และลดค่าใช้จ่ายจากการทำวิจัยซ้ำซ้อน 

6. รู้จักแก้ปัญหาได้ดีขึ้น

7. เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างองค์ความรู้

8. เป็นองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาประเทศ

2.    ข้อใดเป็นองค์ประกอบช่วยให้ประชาชนมีความฉลาด รู้จักเลือกใช้สินค้าที่มีประโยชน์

(1)  ข้อมูล    

(2) ความรู้    

(3) สารสนเทศ     

(4) ปัญญา

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3.    “การพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันขององค์กร”เป็นแนวความคิดของสังคมใด

(1)  สังคมโบราณ 

(2) สังคมเกษตรกรรม  

(3) สังคมอุตสาหกรรม 

(4) สังคมสารสนเทศ

ตอบ 4 หน้า 135 – 6 สังคมในศตวรรษที่ 21 เป็นสังคมแห่งภูมิปัญญาที่มีพื้นฐานมาจาก สังคมสารสนเทศ เป็นสังคมที่นานาประเทศเร่งพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพหรือที่เรียกว่า “พนักงานแห่งภูมิปัญญา” (Knowledge Workerซึ่งมีความเชี่ยวชาญในวิชาชีพต่าง ๆ ขึ้น โดยบุคลากรกลุ่มนี้จะใช้สารสนเทศและประสบการณ์ในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ให้แก่องค์กร รวมทั้งยังช่วยสร้างจุดแข็งให้แก่องค์กร ทำให้เกิดความได้เปรียบในการแข่งขันและการต่อรอง ทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และระดับนานาชาติ

4.    ข้อใดคืออักษรที่ชาวสุเมเรียนนำมาใช้บันทึกความรู้และเหตุการณ์สำคัญ

(1) เทวะนาคี 

(2) ไฮโรกลิฟิก     

(3) คานาดะ  

(4) คูนิฟอร์ม

ตอบ 4 หน้า 7-8 ชาวสุเมเรียนเป็นชนชาติแรกที่คิดประดิษฐ์ตัวอักษรคูนิฟอร์ม (Cuneiform) หรืออักษรรูปลิ่มขึ้นเมื่อประมาณ 3,100 B.Cซึ่งตัวอักษรรูปลิ่มนี้เกิดจากการใช้เหล็กแหลม หรือไม้กกกดลงบนแผ่นดินเหนียว แล้วนำไปเผาหรือตากให้แห้ง เพื่อใช้บันทึกเรื่องราว ทางประวัติศาสตร์ วรรณกรรม ศาสนา และนำไปรวมจัดเก็บในห้องสมุดแผ่นดินเหนียว ซึ่งห้องสมุดที่สำคัญ ได้แก่ ห้องสมุดเทลเลาะห์ (Telloh)

5.    ชาวกริกโบราณได้พัฒนางานการบันทึกข้อมูลในข้อใด

(1) อักษรคูนิฟอร์ม

(2) แผ่นหนังสัตว์โคเด็กซ์    

(3) อักษรไฮโรกลิฟิก   

(4) กระดาษปาไปรัส

ตอบ 2 หน้า 9 ชาวกรีกโบราณได้นำแผ่นหนังสัตว์ฟอกมาใช้บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ แทนแผ่นดินเหนียว กระดาษปาไปรัส แผ่นไม้ แผ่นหิน แผ่นบรอนซ์ ฯลฯ ซึ่งแผ่นหนังสัตว์เหล่านี้เมื่อนำมาเย็บรวมกันเป็นเล่มจะเรียกว่า “โคเด็กซ์” (Codexหรือหนังสือแผ่นหนังสัตว์ ซึ่งถือเป็นต้นแบบ ของการเย็บเล่มหนังสือในปัจจุบัน โดยห้องสมุดที่รวบรวมแผ่นหนังที่สำคัญคือ ห้องสมุด เปอร์กามัมของกรีก

6.    ใครเป็นชนชาติแรกที่บันทึกข่าวสารความรู้ลงบนแผ่นดินเหนียว

(1) ชาวอัสสิเรียน  

(2) ชาวบาบิโลเนียน    

(3) ชาวบอร์เวเจียน     

(4) ชาวสุเมเรียน

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

7. ข้อใดกล่าวถึงกำเนิดของห้องสมุดไม่ถูกต้อง   

(1) เกิดขึ้นพร้อมกับการที่มนุษย์รู้จักขีดเขียน

(2)  รวบรวมความรู้ไว้เป็นมรดกตกทอดถึงชนรุ่นหลัง

(3)  ต้องการแหล่งจารึกความรู้ความคิดและเหตุการณ์ต่าง ๆ

(4)  สะสมสรรพวิทยาการเฉพาะเรื่องที่ผ่านการกลั่นกรองแล้ว

ตอบ 4 (IS 103 เลขพิมพ์ 53345 หน้า 6-814) ห้องสมุดเกิดขึ้นพร้อมกับการที่มนุษย์รู้จักขีดเขียน และต้องการจารึกความรู้ ความคิด และเหตุการณ์ต่าง ๆ ไว้ใช้ในภายหลัง เพื่อเป็นมรดกตกทอดถึงชนรุ่นหลัง

8.    ห้องสมุดประชาชนของไทยเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยใด

(1) รัชกาลที่ 1

(2) รัชกาลที่ 2

(3) รัชกาลที่ 3

(4) รัชกาลที่ 4

ตอบ 3 หน้า 12(คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้โปรดเกล้าฯ ให้มีการปฏิสังขรณ์วัตพระเชตุพนวิมลมังคลารามหรือวัดโพธิ์ เพื่อให้เป็นแหล่งศึกษ หาความรู้ในศิลปวิทยาการด้านต่าง ๆ ของประชาชนทั่วไป เช่น ตำรายาแพทย์แผนไทย วรรณคดี ประวัติพระพุทธศาสนา ฯลฯ ทั้งนี้ได้มีการจารึกความรู้ต่าง ๆ ลงบนแผ่นศิลาที่ประดับไว้ตามระเบียงศาลารอบพระอุโบสถ ดังนั้นวัดพระเชตุพนฯ จึงถือเป็นห้องสมุดประชาชนแห่งแรกในประเทศไทย และยังได้ชื่อว่า เป็นมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์แห่งแรกของไทยอีกด้วย

9.    ข้อใดเป็นรากฐานของหอสมุดแห่งชาติในปัจจุบัน

(1) หอพระมณเฑียรธรรม   

(2) หอพุทธสาสนสังคหะ

(3) หอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร  

(4) หอพระสมุดวชิรญาณ

ตอบ 3 หน้า 12(IS 103 เลขพิมพ์ 53345 หน้า 10) ในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้รวมหอพระมณเฑียรธรรม หอพุทธสาสนสังคหะ และหอพระสมุดวชีรญาณเข้าด้วยกัน จากนั้น จึงสร้างเป็นห้องสมุดแห่งใหม่ในพระบรมมหาราชวังชื่อว่า “หอพระสมุดวชีรญาณสำหรับพระนคร” ซึ่งถือเป็นรากฐานของหอสมุดแห่งชาติในปัจจุบัน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้ย้าย มาอยู่ที่ตึกถาวรวัตถุนอกพระบรมมหาราชวัง จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็น “หอสมุดแห่งชาติ” และใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

10. ข้อใดไม่ใช่หน้าที่สำคัญของหอสมุดแห่งชาติ

(1) รวบรวมและจัดพิมพ์บรรณานุกรมแห่งชาติ  

(2) เป็นศูนย์กลงความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาท้องถิ่น

(3)  รับมอบสิ่งพิมพ์ทุกเล่มที่จัดพิมพ์ในประเทศไทย

(4)  เป็นศูนย์กลางบริการมรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมของชาติ

ตอบ 2 หน้า 24 – 25(คำบรรยาย) หอสมุดแห่งชาติมีหน้าที่สำคัญ ดังนี้

1.    เป็นศูนย์กลางในการเก็บรวบรวม สงวนรักษา จัดระบบ และให้บริการมรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมของชาติทุกรูปแบบ เช่น ต้นฉบับเพลงไทยและเพลงลากล ตัวพิมพ์ วัสดุไม่ตีพิมพ์ ฯลฯ

2.    เผยแพร่และบริการสารสนเทศที่ได้รวบรวมไว้แก่นักเรียน นักศึกษา นักวิจัย และบุคคลทั่วไป

3.    เป็นศูนย์ข้อมูลและกำหนดหมายเลข ISSN และ ISBN

4.    รับมอบสิ่งพิมพ์ทุกเล่มที่จัดพิมพ์ขึ้นภายในประเทศ เพื่อประโยชน์ในการค้นคว้าวิจัย

5.    รวบรวมและจัดพิมพ์บรรณานุกรมแห่งชาติ

6.    สงวนรักษาสื่อความรู้และความคิดของคนในชาติ เพื่อเป็นมรดกของชาติ

11. ศูนย์สื่อการเรียนการสอน จัดเป็นแหล่งทรัพยากรสารสนเทศประเภทใด  

(1) ห้องสมุดฉพาะ

(2) ห้องสมุดประชาชน 

(3) ห้องสมุดโรงเรียน   

(4) ห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษา

ตอบ 3 หน้า 25 – 26 ห้องสมุดโรงเรียน คือ แหล่งสารสนเทศที่รวบรวมวัสดุสารสนเทศประเภทต่าง ๆและอุปกรณ์การสอนที่สอดคล้องกับหลักสตรในปัจจุบันของโรงเรียนระดับต่าง ๆ ในปัจจุบัน ห้องสมุดโรงเรียนจะเป็นศูนย์กลางวัสดุสื่อการศึกษาโดยเฉพาะสื่อโสตทัศน์ เพื่อให้ครูและนักเรียน นำมาใช้ประกอบการศึกษา เช่น มัลติมีเดีย เทปเสียง วีดิทัศน์ ภาพยนตร์ ดังนั้น ห้องสมุดโรงเรียนจึงมีชื่อเรียกแตกต่างกันไป เช่น ศูนย์ลสื่อการเรียนการสอน ศูนย์วัสดุการศึกษา เป็นต้น

12. สัญลักษณ์ เมื่อสืบค้นสารสนเทศแบบออนไลน์ของสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง หมายถึงข้อใด

(1)  ผู้แต่ง     

(2) ชื่อเรื่อง   

(3) คำสำคัญ  

(4) รายการจอง

ตอบ 4 หน้า 29 – 30 การสืบค้นสารสนเทศแบบออนไลน์ผ่านระบบ OPAC ของสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง สามารถทำได้โดยเลือกคำสั่งจากเมนูหลักที่กำหนดไว้แล้ว (Menu Drivenเช่น สัญลักษณ์ R > รายการจอง, A > ผู้แต่ง, T > ชื่อเรื่อง, S หัวเรื่อง, W> คำสำคัญ เป็นต้น

13. ข้อใดคือห้องสมุดเฉพาะ

(1) ห้องสมุดธนาคารศรีนคร

(2) ห้องสมุดเฉลิมราชกุมารี

(3) ห้องสมุดสถาบันภาษา เอ.ยู.เอ.     

(4ห้องสมุดคณะแพทยศาสตร์

ตอบ 4 หน้า 33 – 34 ห้องสมุดเฉพาะ คือ แหล่งสารสนเทศที่จัดตั้งขึ้นในหน่วยงานราชการ กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ องค์กร สำนักงาน สถาบันการค้นคว้าวิจัย ธนาคาร สมาคมวิชาชีพ องค์การระหว่างประเทศ หรือเอกชนต่าง ๆ เพื่อให้บริการสารสนเทศเฉพาะสาขาวิชาในทุกรูปแบบ โดยมุ่งให้บริการแก่ผู้ใช้เฉพาะกลุ่ม ตัวอย่างของห้องสมุดเฉพาะ ได้แก่ ห้องสมุดสถาบันวิจัย เช่น ห้องสมุดสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์, ห้องสมุดของคณะวิซาในมหาวิทยาลัย เช่น ห้องสมุดคณะ แพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลห้องสมุดเฉพาะอื่น ๆ เช่น ห้องสมุดโรงเรียนคนตาบอด ฯลฯ

14. บุคลากรที่เรียกว่า Subject Specialist ของศูนย์สารสนเทศคือใคร

(1) บรรณารักษ์    

(2) เจ้าหน้าที่ห้องสมุด  

(3) ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะวิชา    

(4) บรรณารักษ์ระบบ

ตอบ 3 หน้า 34 ศูนย์สารสนเทศ หมายถึง หน่วยงานหรือองค์กรที่ทำหน้าทีจัดหา จัดเก็บ และให้บริการสารสนเทศเฉพาะเรื่องหรือเฉพาะสาขาวิชาแก่ผู้ใช้เฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะนักวิทยาคาสตร์ และนักวิจัย ทั้งนี้บุคลากรของศูนย์สารสนเทศจะประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญเฉพาะวิชาที่เรียกว่า “Subject Specialist” หรือนักเอกสารสนเทศ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ในเนื้อหาสาขาวิชาเฉพาะด้าน

15. ข้อใดคือเครือข่ายระบบห้องสมุดอัตโนมัติ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

(1) Ram UniNet   

(2) RAMLINET     

(3) RU NETWORK

(4) RU LibNet

ตอบ 2 หน้า 12 – 132729 ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ (Automatic Library Systemคือการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการดำเนินงานของห้องสมุด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสืบค้น และเข้าถึงสารสนเทศได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ซึ่งสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้พัฒนาห้องสมุดให้เป็นระบบเครือข่ายห้องสมุดอัตโนมัติเรียกว่า “RAMLINET

16. หน่วยงานที่ทำหน้าที่เลือกสรรและประเมินค่าสารสนเทศเรียกว่าอะไร

(1)  ศูนย์วิเคราะห์สารสนเทศ

(2) ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศ

(3) ศูนย์แจกจ่ายสารสนเทศ 

(4) ศูนย์สารสนเทศ

ตอบ1 หน้า 37 ศูนย์วิเคราะห์สารสนเทศ (Information Analysis Centerเป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่เลือกสรร ประเมินค่า จัดเก็บ และนำเสนอข้อสนเทศเฉพาะวิชา โดยจะจำกัดขอบเขตเนื้อหาที่ครอบคลุมลึกซึ้งกว่าห้องสมุดเฉพาะ และเน้นการจัดหาเอกสารที่ไม่ได้พิมพ์เผยแพร่แก่ผู้ใช้ที่ เป็นนักวิชาการหรือนักวิจัยในสาขาวิชา ทำให้สามารถติดตามกิจกรรมความรู้และสิ่งพิมพ์ ใหม่ ๆ ได้อย่างทันเหตุการณ์

17. ข้อใดเก็บรักษาเอกสารราชการ บันทึก รายงาน แบบพิมพ์ ภาพถ่าย เพื่อเป็นหลักฐานแสดงประวิติศาสตร์ และมรดกทางวัฒนธรรม

(1) หอสมุดแห่งชาติ     

(2) หอสมุดรัฐสภา

(3) หอจดหมายเหตุ      

(4) ศูนย์สารสนเทศ

ตอบ 3 หน้า 38 หอจดหมายเหตุ เป็นแหล่งเก็บรักษาเอกสารจดหมายเหตุ ได้แก่ เอกสารราชการ ระเบียบข้อบังคับ คำสั่ง จดหมายโต้ตอบ บันทึกส่วนตัว รายงาน แบบพิมพ์ แผนที่ แผนผัง และภาพถ่าย เพื่อใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ หรือแสดงพัฒนาการ นโยบาย และ การดำเนินงานของสถาบันภาครัฐหรือเอกชน เพื่อใช้อ้างอิงในการปฎิบัติหน้าที่ รวมทั้งเป็น หลักฐานสำหรับการค้นคว้าวิจัยและเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ตัวอย่างของหอจดหมายเหตุ เช่น หอจดหมายเหตุแห่งชาติกองบรรณสารและห้องสมุด กระทรวงการต่างประเทศ เป็นต้น

18. WebOPAC เกี่ยวข้องกับข้อใดมากที่สุด

(1) การจัดเก็บข้อมูล    

(2) การจัดหมวดหมู่หนังสือ

(3) ระบบการยืมคืนสารสนเทศ    

(4) การตรวจสอบรายชื่อหนังสือของห้องสมุด

ตอบ 4 หน้า 30 – 3157 – 58228 ระบบ WebOPAC เป็นบริการสืบค้นฐานข้อมูลบัตรรายการ หรือข้อมูลบรรณานุกรมทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุด ซึ่งจะจัดเก็บไว้ในรูปของฐานข้อมูล บรรณานุกรมและนำเสนอบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อให้ผู้ใสามารถสืบค้นและเข้าถึง รายการทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุดดิจิตอลได้ ในปัจจุบันผู้ใช้บริการสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง สามารถสืบค้นรายการหนังสือและทรัพยากรสารสนเทศต่าง ๆ ของห้องสมุดผ่านระบบ WebOPAC ได้ โดยเข้าไปที่เว็บไซต์ www.lib.ru.ac.th

19. รายการ http://www.siamhealth.net/public เกี่ยวข้องกับข้อใดมากที่สุด

(1) ตำแหน่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต

(2) ผู้ให้บริการข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต

(3) การส่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต  

(4) ระบบภารสืบค้นฐานข้อมูลห้องสมุด

ตอบ 1 หน้า 4556 การเข้าถึงสารสนเทศบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ผู้ใช้สามรถเข้าถึงเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ได้โดยผ่านเซิร์ฟเวอร์ของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยระบุที่อยู่ของเว็บไซต์ หรือตำแหน่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า “URL Address” (Uniform Resource Locationเช่น http://wwwsiamhealth.netทั้งนี้สารสนเทศที่ปรากฏบนหน้าจอแรกของเว็บ จะเรียกว่า “โฮมเพจ” (Home Pageซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกรายการที่ต้องการค้นคว้าต่อไปได้

20. ห้องสมุดประเภทใดที่มีทรัพยากรสารสนเทศจากสื่อต่าง ๆ ที่อยู่ในรูปของสื่ออิเล็กทรอนิกส์

(1)  ห้องสมุดดิจิตอล    

(2) ห้องสมุดไร้พรมแดน

(3) ห้องสมุดอัตโนมัติ   

(4) ห้องสมุดคอมพิวเตอร์

ตอบ 1 หน้า 42 – 57(คำบรรยาย) ห้องสมุดดิจิตอล (Digital Librariesหมายถึง ห้องสมุดที่มีการจัดการทรัพยากรสารสนเทศจากสื่อชนิดต่าง ๆ ให้อยู่ในรูปดิจิตอลหรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีการนำเสนอในรูปของสื่อผสม (Multimediaทั้งนี้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงหรือสืบค้นสารสนเทศ ได้ด้วยการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ (ISP) นอกจากนี้ขอบเขตของห้องสมุดดิจิตอลยังอาจกว้างไกลไปถึงแหล่งสะสมสารสนเทศที่สามารถ เชื่อมโยงถึงกันได้ในลักษณะของเครือข่ายใยแมงมุม (WWWโดยไม่ต้องคำนึงถึงสื่อในรูปลักษณ์ ต่างๆ ซึ่งเป็นที่มาของข้อมูลหรือสารสนเทศเหล่านั้นก็ได้

21. อาร์พาเน็ตเกิดขึ้นเพื่อจุดประสงค์ใดมากที่สุด

(1)  การทหาร

(2) การพาณิชย์    

(3) การศึกษา

(4) การปกครอง

ตอบ 1 หน้า 47 – 48(คำบรรยาย) ในปี พ.ศ. 2512 กระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาได้ให้ทุน สนับสนุนโครงการพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งเริ่มแรกนั้นได้มีการจัดตั้งเครือข่ายอาร์พาเน็ต (ARPAnetขึ้น เพื่อใช้ในการสื่อสารข้อมูลทางการทหารในช่วงสงครามเย็น และเพื่อเชื่อมโยง คอมพิวเตอร์ของหน่วยงานในมหาวิทยาลัย 4 แห่ง ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับงานวิจัย จนกระทั่ง ในปี พ.ศ. 2526 จึงพัฒนามาเป็นเครือข่ายอินเทอร์เนึต และในปัจจุบันก็ได้มีการนำอินเทอร์เน็ต มาใช้งานในเชิงพาณิชย์มากขึ้น

22. TOT เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตในข้อใดมากที่สุด

(1)  ตัวกลางเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับอินเทอร์เน็ต

(2) ผู้ควบคุมการส่งแฟ้มข้อมูล    

(3) การกำหนดตำแหน่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต

(4)  ผู้จัดสรรเวลาในการใช้เครื่องระยะไกล

ตอบ 1 หน้า 49 ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ดเชิงพาณิชย์ (Internet Service Provider : ISPคือบริษัทเอกชนที่ให้บริการเชื่อมต่อผู้ใช้เข้ากับอินเทอร์เน็ต โดยมีรูปแบบและราคาที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ผู้ใช้บริการสามารถเลือกซื้อบริการได้เป็นรายชั่วโมง โดยมีการเก็บค่าใช้จ่ายตามจำนวนครั้ง ที่เชื่อมต่อและเวลาที่ใช้งานจริง หรืออาจจ่ายเป็นรายเดือนก็ได้ ซึ่งบริษัทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ต เช่น บริษัท True Corporation (Truewifi True Internet), Loxinfo, Samart, KSC, ANET, TOT, TT&T, Idea Net, Internet Thailand เป็นต้น

23. Yahoo Messenger เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตอย่างไร

(1)  บริการส่งข่าวออนไลน์อย่างด่วน  

(2) บริการสนทนาออนไลน์แบบทันทีทันใด

(3) บริการสืบค้นฐานข้อมูลห้องสมุด   

(4) บริการช่วยการค้นคว้าออนไลน์ผ่านอินทอร์เน็ต

ตอบ 2 หน้า 50(คำบรรยาย) บริการสนทนาออนไลน์ (Messengerเป็นบริการที่ช่วยให้บุคคลสานารถติดต่อสื่อสารด้วยการส่งข้อความไปมาระหว่างกันได้ในช่วงเวลาเดียวกัน (Real Timeทั้งนี้มักใช้งานร่วมกับเครื่องมือต่าง ๆ ได้แก่ กล้องดิจิตอล ไมโครโฟน ลำโพง และการส่งแฟ้มข้อมูล เพื่อช่วยให้การสนทนามีความหลากหลายและชัดเจนมากขึ้น เช่น โปรแกรม MSN Messenger, Yahoo Messenger, Google Talk, Yahoo Twitter เป็นต้น

24. Web board เกี่ยวข้องกับข้อใดมากที่สุด

(1)  บริการส่งจดหมาย 

(2) บริการสืบค้นข้อมูลหนังสือห้องสมุด

(3) การให้บริการอินเทอร์เน็ต     

(4) การประกาศและแสดงความคิดเห็นออนไลน์

ตอบ 4 หน้า 51 บอร์ดแสดงความคิดเห็นออนไลน์หรือเว็บบอร์ด (Web boardเป็นบริการที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสามารถประกาศสิ่งต่าง ๆ และทั้งหัวข้อแสดงความคิดเห็น เพื่อให้ผู้ใช้คนอื่น เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็นอย่างเสรี ซึ่งบริการนี้จะช่วยให้ประชาชนกล้าแสดงความคิดเห็น และส่งเสริมประชาธิปไตยของสังคม เพราะผู้ใช้สามารถแสดงความคิดเห็นโดยไม่ต้องแสดงตน และไม่ทราบว่าใครเป็นใคร อย่างไรก็ตาม การแสดงความคิดเห็นต้องอยู่บนพื้นฐานของสิทธิ และเสรีภาพของตนเองและผู้อื่นด้วย

25. www.yahoo.com เกี่ยวข้องกับข้อใดมากที่สุด

(1) การแสดงผลข้อมูล  

(2) การเก็บข้อมูล 

(3) การส่งอีเมล์    

(4) การค้นหาข้อมูล

ตอบ 4 หน้า 55 Search Engine คือ เครื่องมือช่วยค้นหาข้อมูลทีให้บริการบนอินเทอร์เน็ต โดยจัดเป็นเว็บไซต์ประเภทหนึ่งที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงข้อมูลบนเครื่อง Server ซึ่งให้บริการ สารสนเทศแก่เครื่องลูกข่ายบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เหมือนกับการใช้ตู้บัตรรายการค้นหา หนังสือที่มีอยู่ในห้องสมุด ทั้งนี้ Search Engine ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เช่นwww.yahoo.com,www.googLe.co.th,www.altavista.com เป็นต้น

26. ในการสืบค้นสารสนเทศผู้ใช้สามารถเข้าถึงเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเซิร์ฟเวอร์ของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ได้อย่างไร 

(1) ระบุที่ตั้งของ Home Page

(2) ระบุที่จัดเก็บ Server

(3) ระบุชื่อ WWW

(4) ระบุที่อยู่ URLAddress

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 19. ประกอบ

27. ข้อใดใช้เป็นเครื่องมือช่วยค้นหาข้อมูลทางเว็บไซต์

(1)  Proxy     

(2) OPAC      

(3) Metadata       

(4) Search Engine

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 25. ประกอบ

28. เอกสารประชาสัมพันธ์ “รับมือโรคภัยจากแสงแดด” เป็นทรัพยากรสารสนเทศประเภทใด

(1)  เอกสารประกอบการสอน     

(2) หนังสือ    

(3) วารสาร   

(4) จุลสาร

ตอบ 4 หน้า 83 จุลสาร (Pamphletsเป็นสื่งพิมพ์ที่ให้สารสนเทศเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ทันสมัยและอยู่ในความสนใจของบุคคลทั่วไป โดยอาจเป็นความรู้ในรูปของบทความวิชาการต่างๆ ที่มีประโยชน์ หรือเป็นความรู้ที่หน่วยงานราชการ องค์การ หรือสมาคมต้องการเผยแพร่ให้ ประชาชนทราบ ซึ่งจุลสารอาจพิมพ์เป็นเล่มเดี่ยว ๆ หรือพิมพ์เป็นตอน ๆ รูปเล่มโดยทั่วไป จะไม่มีการเข้าปกเย็บเล่มถาวรและมีจำนวนหน้าไม่เกิน 60 หน้า ทั้งนี้อาจมีลักษณะเป็นแผ่นพับ หรืออยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า “อนุสาร” (Brochureก็ได้

29. ข้อใดเป็นส่วนที่ผู้เขียนนำเข้าสู่เนื้อเรื่อง โดยให้ข้อมูลเพื่อปูพื้นความเข้าใจเนื้อหาของหนังสือ

(1)  หน้าคำนำ      

(2) หน้าบทนำ

(3) หน้าคำนิยม    

(4) หน้าสารบัญ

ตอบ 2 หน้า 79 หน้าบทนำ (Introductionเป็นส่วนที่ผู้เขียนหนังสือนำเข้าสู่เนื้อเรื่อง โดยให้ข้อมูล เพื่อปูพื้นความเข้าใจเนื้อหาของหนังสือ อาจกล่าวถึงประวัติ ความหมาย และรายละเอียดอื่นๆ ที่เป็นใจความสำคัญของเรื่องและการจัดลำดับเนื้อหาในตัวเล่ม ทั้งนี้หนังสือบางเล่มอาจไม่มี ส่วนที่เป็นบทนำ แต่จะนำไปรวมเขียนไว้กับส่วนที่เป็นคำนำ

30. ส่วนใดของหนังสือที่ช่วยให้เนื้อหาบางตอนในหนังสือทันสมัยขึ้น

(1)  บรรณานุกรม

(2) ภาคผนวก

(3) อภิธานคัพท์   

(4) ดรรชนี

ตอบ 2 หน้า 80338 ภาคผนวก (Appendixเป็นส่วนที่จัดไว้ท้ายเล่มของหนังสือหรืออยู่ใน ตอนท้ายของรายงาน เพื่อให้รายละเอียดเพิ่มเติมนอกเหนือจากส่วนที่เป็นเนื้อเรื่อง เช่น ตาราง แผนภูมิ แบบสอบถาม แผนสถิติ ภาพหรือข้อมูลที่ช่วยเสริมเนื้อหาบางตอนของหนังสือ หรือรายงานให้สมบูรณ์และทันสมัยขึ้น

31. ต้องการอ่านบทความเกี่ยวกับ “การแปรรูปพลังงานแสงอาทิตย์” จะหาอ่านได้จากวารสารประเภทใด

(1)  นิตยสาร 

(2) วารสารทางวิชาการ

(3)  วารสารวิทยาศาสตร์     

(4) วารสารวิเคราะห์และวิจารณ์ข่าว

ตอบ 2 หน้า 72 วารสารทางวิชาการ (Journalเป็นวารสารที่จัดพิมพ์โดยสถาบันหรือหน่วยงานทางวิชาการในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่ง ซึ่งขอบเขตของเนื้อเรื่องประกอบด้วยบทความทางวิชาการ รายงาน และข่าวความเคลื่อนไหวในวงการ เพื่อส่งเสริมให้ผู้อ่านมีความรู้ทันความก้าวหน้า ของวิชาการนั้น ๆ เช่น วารสารรามคำแหง วารสารเคมีสัมพันธ์ คอมพิวเตอร์สารสนเทศ ฯลฯ ทั้งนี้ในแต่ละบทความจะเขียนโดยผู้ทรงคุณวุฒิในสาขานั้น ๆ

32. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับกฤตภาค

(1)  เป็นสิ่งพิมพ์ที่คัดมาจากบทความที่น่าสนใจ

(2)  เป็นสิ่งพิมพ์ที่ให้สารสนเทศที่ทันสมัยอยู่ในความสนใจของบุคคลทั่วไป

(3)  เป็นสิ่งพิมพ์ที่ให้สารสนเทศใหม่ๆ ซึ่งไม่สามารถพบได้ในหนังสือ

(4)  เป็นสิ่งพิมพ์ที่ใช้เป็นส่วนเสริมเนื้อหาความรู้จากหนังสือให้ทันสมัย

ตอบ 2 หน้า 83(ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ) กฤตภาค (Clippingเป็นบทความ เหตุการณ์สำคัญ หรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่มีคุณค่าพอที่จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าของผู้ใช้ ซึ่งบรรณารักษ์ จะเป็นผู้เลือกคัดสารสนเทศดังกล่าวมาจากนิตยสาร หนังสือพิมพ์ หรือวารสาร แล้วนำมาผนึก ติดกับกระดาษแข็งที่มีขนาดเท่า ๆ กัน โดยประโยชน์ของกฤตภาคคือ จะให้สารสนเทศใหม่ ๆ ที่ไม่อาจพบได้ในหนังสือทั่วไป และใช้เป็นส่วนเสริมเนื้อหาความรู้จากหนังสือให้ทันสมัย

33. วัสดุข้อใดเป็นสื่อที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจสภาพของโลกได้ใกล้เคียงกว่าแผนที่

(1)  รูปภาพ  

(2) หุ่นจำลอง

(3) ของตัวอย่าง    

(4) ลูกโลก

ตอบ 4 หน้า 85 ลูกโลก (Globeเป็นหุ่นจำลองโลกที่สร้างจากวัสดุต่าง ๆ เช่น กระดาษ โลหะ พลาสติก หรือยาง เพื่อใช้แสดงแทนรูปสัณฐานของโลกซึ่งมีลักษณะกลม ลูกโลกจึงเป็นสื่อที่ช่วยให้ผู้ใช้ เข้าใจสภาพของโลกได้ใกล้เคียงกวาแผนที่ โดยทั้งแผนที่และลูกโลกต่างก็เป็นสื่อทีใช้ประกอบ การศึกษาค้นคว้า หรือประกอบการศึกษาวิชาภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และสังคมศาสตร์ได้ดี

34. ข้อใดไม่ใช่ฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์

(1) ซีดีรอม   

(2) ซีดีออดิโอ

(3) เทปแม่เหล็ก   

(4) แผ่นจนแม่เหล็ก

ตอบ 2 หน้า 84166 ฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์(Computerized Databaseเป็นระเบียบทางบรรณานุกรม ข้อมูลเนื้อหา หรือข้อมูลตัวเลข ที่มีการจัดเก็บอย่างมีระบบลงในสื่อที่คอมพิวเตอร์ อ่านได้ เช่น แผ่นจานแม่เหล็ก เทปแม่เหล็ก ซีดีรอม เป็นต้น (ซีดีออดิโอจัดเป็นสื่อโสตวัสดุ ประเภทหนึ่ง)

35. หนังสืออ้างอิงที่มีการเจาะริมหน้ากระดาษและมีอักษรกำกับไว้ เพื่อให้ผู้ใช้หนังสือสามารถหาคำที่ต้องการ ได้ทันทีเรียกว่าอะไร

(1) คำนำทาง 

(2) อักษรนำเล่ม   

(3) ดรรชนี   

(4) ดรรชนีริมหน้ากระดาษ

ตอบ 4 หน้า115 ดรรชนีริมหน้ากระดาษ (Thumb Indexส่วนมากจะมีอยู่ในหนังสืออ้างอิงเล่มหนาๆ เช่น พจนานุกรมและสารานุกรม โดยมีการเจาะริมหน้ากระดาษและมีอักษรกำกับไว้ เพื่อช่วยให้ ผู้ใช้หนังสือสามารถเปิดหาคำที่ต้องการได้ทันที และทำให้ผู้ใช้สามารถทราบตำแหน่งที่ปรากฏคำ ในหน้านั้น ๆ ได้อย่างสะดวกที่สุด

36. ข้อใดไม่จัดเป็นเครื่องมือช่วยค้นหาความรู้จากหนังสืออ้างอิง

(1)  Volume Guide

(2) Bibliography

(3) Thumb Index

(4) Running Word

ตอบ 2 หน้า 115-116 เครื่องมือที่ช่วยค้นหาความรู้จากหนังสืออ้างอิงได้อย่างสะดวก ได้แก่ คำนำทาง (Guide Word หรือ Running Word)ดรรชนีริมหน้ากระดาษ (Thumb Index). อักษรนำเล่ม (Volume Guide)ส่วนโยง (Cross Referenceและดรรชนี (Index)

37. ข้อใดคือความหมายของพจนานุกรมเฉพาะสาชาวิชา(1)ให้ความรู้สาขาวิชาต่างๆอย่างสั้นๆ

(2) รวบรวมคำศัพท์ภาษาอังกฤษทางด้านคอมพิวเตอร์

(3) รวบรวมภาษิต คำพังเพย และสำนวนไท

(4)  ให้คำเทียบศัพท์ที่มีความหมายเดียวกันเป็นภาษาไทย

ตอบ 2 หน้า 118124 – 125 พจนานุกรมเฉพาะวิชา คือ พจนานุกรมสำหรับค้นหาความหมาย ของคำที่ใช้ในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่ง เช่น พจนานุกรมศัพท์คอมพิวเตอร์ พจนานุกรมรวมคำศัพท์ กฎหมายไทย พจนานุกรมศัพท์ภูมิศาสตร์ เป็นต้น

38. ข้อใดคือลักษณะของสารานุกรม

(1) ให้ความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างละเอียดในรูปบทความ 

(2) ให้ความรู้หลากหลายสั้น ๆ พอสังเขป

(3) เรียบเรียงบทความตามลำดับอักษรแบบคำต่อคำ  

(4) ให้โครงร่างความรู้สาขาวิชาต่าง ๆ

ตอบ 3 หน้า 125/- 132 สารานุกรม (Encyclopediaคือ หนังสือที่รวบรวมความรู้ในแขนงวิชาต่าง ๆ ซึ่งเขียนโดยผู้ชำนาญในแต่ละสาขาวิชา และจัดเรียงเนื้อหาที่อยู่ในรูปของบทความ ตามลำดับอักษรแบบคำต่อคำ หรือแบ่งเป็นหมวดหมู่วิชา เพื่อใช้ค้นคว้าเรื่องที่ต้องการหรือ เป็นพื้นฐานความรู้เกี่ยวกับความเป็นมาของเรื่องนั้น ๆ ซึ่งอจมีเล่มเดียวจบหรือหลายเล่มจบที่เรียกว่า หนังสือชุด โดยสารานุกรมส่วนมากจะมีภาพประกอบและมีดรรชนีอยู่ตอนท้ายเล่ม หรือถ้าเป็นหนังสือชุดก็จะอยู่เล่มสุดท้าย

39. หนังสืออ้างอิงข้อใดรวมความรู้เบ็ดเตล็ดหลายด้านของทุกประเทศในรอบหลายปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน

(1) อักขรานุกรมภูมิศาสตร์  

(2) สารานุกรม

(3) ปูมปฏิทิน,หรือสมพัตสร 

(4) สยามออลมาแนค

ตอบ 3 หน้า 144 – 145 ปฏิทินเหตุภารณ์รายปี สมพัตสร หรือปูมปฏิทิน (Almanacเป็นหนังสือ ที่รวบรวมความรู้เบ็ดเตล็ดหลายด้านและสถิติทั่วไปในรอบหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาจนถึงปีปัจจุบัน ของทุกประเทศในโลก โดยจะให้ข้อมูลอย่างสังเขปครอบคลุมเรื่องราวเกี่ยวกับปฏิทินลำดับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในรอบปี ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจการพาณิชย์ การเมือง สถิติต่าง ๆ ในรูปของตาราง เป็นต้น

40. หนังสืออ้างอิงที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับชื่อสถานที่สำคัญทางภูมิศาสตร์ และมีลักษณะคล้ายพจนานุกรมเรียกว่าอะไร

(1) สารานุกรม     

(2) อักขรานุกรมภูมิศาสตร์

(3) หนังสือแผนที่ 

(4) พจนานุกรมท่องเที่ยว

ตอบ 2 หน้า 147 อักขรานุกรมภูมิศาสตร์ (Geographical Dictionaryเปีนหนังสืออ้างอิงที่ให้ข้อมูล อย่างสังเขปเกี่ยวกับชื่อของสถานที่สำคัญทางภูมิศาสตร์ โดยมีลักษณะคล้ายพจนานุกรม ที่ให้คำจำกัดความเกี่ยวกับชื่อและสถานที่ทางภูมิศาสตร์อย่างสั้น ๆ รวมทั้งให้คำอ่านและรายละเอียดอื่น ๆ เช่น สถานที่ตั้ง ระยะทาง เส้นรุ้งเส้นแวง ความสูงของภูเขา จำนวนประชากร เป็นต้น

41. ต้องการค้นรายชื่อหนังสือเกี่ยวกับดนตรีไทยระนาดได้จากหนังสืออ้างอิงประเภทใด

(1) หนังสือคู่มือ    

(2) บรรณานุกรม 

(3) ดรรชนีวารสาร

(4) สาระสังเขป

ตอบ 2 หน้า 164 หนังสือบรรณานุกรม (Bibliographyเป็นหนังสืออ้างอิงที่รวบรวมรายชื่อหนังสือ หรือทรัพยากรสารสนเทศประเภทต่าง ๆ ทั้งที่ผลิตในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งมีทั้งที่จัดทำเป็นตัวเล่ม,หนังสือ หรืออาจปรากฏที่ท้ายเล่มหนังสือหรือท้ายบทแต่ละบท เพื่อทำหน้าที่ เป็นเอกสารอ้างอิง โดยบรรณานุกรมจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับชื่อผู้แต่ง ชื่อสิ่งพิมพ์หรือ ทรัพยากรสารสนเทศรูปแบบอื่น ๆ ชื่อผู้ผลิต (สำนักพิมพ์) สถานที่ผลิต ปีที่ผลิต ลักษณะรูปเล่ม และราคา บางเล่มอาจมีบรรณนิทัศน์สังเขปและบทวิจารณ์ประกอบอยู่ด้วย

42. ฐานข้อมูลสมุนไพรไทยเขตอีสานใต้” จัดเป็นฐานข้อมูลประเภทใด      

(1) ฐานข้อมูลบรรณานุกรม

(2) ฐานข้อมูลที่ให้สารสนเทศฉบับเต็ม

(3) ฐานข้อมูลพจนานุกรม   

(4) ฐานข้อมูลชี้แนะแหล่ง

ตอบ 2 หน้า 166 – 167(คำบรรยาย) ฐานข้อมูลสมุนไพรไทยเขตอีสานใต้ จัดเป็นฐานข้อมูลที่ให้สารสนเทศฉบับเต็ม (Source Databaseที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของ พืชสมุนไพร สรรพคุณทางยา องค์ประกอบทางเคมี ภาพของพรรณไม้ และบทความทาง วิชาการในด้านต่าง ๆ ของสมุนไพร ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งทั้งต่อนักวิจัย ผู้ที่สนใจ และ ประชาชนทั่วไป

43. สัญลักษณ์ที่แสดงเนื้อหาของหนังสือแต่ละประเภทหมายถึงข้อใด

(1) เลขเรียกหนังสือ

(2) เลขหมู่หนังสือ 

(3) เลขทะเบียนหนังสือ

(4) เลขประจำหนังสือสากล

ตอบ 2 หน้า 194 เลขหมู่หนังสือ (Class Numberเป็นสัญลักษณ์ที่กำหนดขึ้นเพื่อแสดงเนื้อหาสาระของหนังสือและ/หรือประพันธ์วิธีของหนังสือนั้นๆ ซึ่งอาจแตกต่างกันตามระบบการจัดหมู่ หนังสือที่ห้องสมุดแต่ละแห่งเลือกใช้

44. ห้องสมุดในข้อใดที่นิยมใช้ระบบการจัดหมู่หนังสือแบบทศนิยมดิวอี้

(1) ห้องสมุดคณะแพทยศาสตร์   

(2) สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง

(3) ศูนย์ข้อมูลพลังงานแห่งประเทศไทย     

(4) ห้องสมุด “เฉลิมราชกุมารี”

ตอบ 4 หน้า 23186 – 188 ระบบการจัดหมู่หนังสือแบบทศนิยมดิวอี้ (Dewey Decimal Classification : DDC หรือ DCเป็นระบบที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายในห้องสมุดขนาดเล็ก หรือขนาดกลางที่มีหนังสือทั่ว ๆ ไปหลายประเภทหลายสาขาวิชาในจำนวนไม่มากนัก เช่น ห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดประชาชน (ห้องสมุดประชาชนเฉลิมราซกุมารี) เป็นต้น ซึ่งระบบทศนิยมดิวอิ้นั้นจะมีการแบ่งสรรพวทยาการในโลกออกเป็น 10 หมวดใหญ่ และใช้ สัญลักษณ์เป็นเลขอารบิก 3 ตัวตั้งแต่ 100 – 000 เพื่อแสดงเนื้อหาของหนังสือ แต่ถ้าต้องการ ระบุเนื้อหาของหนังสือให้ชี้เฉพาะยิ่งขึ้น ก็ให้ใช้วิธีเขียนเป็นจุดทศนิยมตั้งแต่ 1 ตำแหน่งขึ้นไป จนถึงหลาย ๆ ตำแหน่งตามความเหมาะสม

45. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของเลขเรียกหนังสือ

(1)  มักปรากฏที่สันหนังสือตอนล่าง เพื่อให้ผู้ใช้สังเกตได้ง่าย

(2)  ทำให้หนังสือทุกเล่มมีสัญลักษณ์ที่แสดงความเป็นสากลเหมือนกัน

(3)  ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงหนังสือเล่มที่ต้องการจากชั้นหนังสือได้อย่างรวดเร็ว

(4)  เป็นสัญลักษณ์ของหนังสือ ประกอบด้วย เลขหมู่หนังสือ เลขผู้แต่ง อักษรชื่อเรื่อง

ตอบ 2 หน้า 194 – 195197 เลขเรียกหนังสือ (Call Numberคือ สัญลักษณ์หรือเครื่องหมายเฉพาะ ที่ห้องสมุดกำหนดให้กับหนังสือแต่ละเล่มในห้องสมุดประกอบด้วย 3ส่วนสำคัญได้แก่ เลขหมู่หนังสือ เลขผู้แต่ง และอักษรชื่อเรื่อง โดยทั่วไปเลขเรียกหนังสือของหนังสือแต่ละเล่ม จะปรากฏที่สันหนังสือตอนล่าง เพื่อให้ผู้ใช้ห้องสมุดสังเกตได้ง่าย และสามารถเข้าถึงหนังสือ เล่มที่ต้องการจากชั้นหนังสือได้อย่างรวดเร็ว

46. ข้อใดเป็นลักษณะการจัดเรียงหนังสือบนชั้นที่ไม่ถูกต้อง

(1)  หนังสือที่จัดตามระบบรัฐสภาอเมริกัน ให้เรียงตามตัวอักษรและตัวเลขจากน้อยไปหามาก

(2)  หนังสือที่จัดตามระบบดิวอี้ ให้เรียงจากเลขน้อยไปหาเลขมาก

(3)  หนังสือที้มีเลขหมู่ซํ้ากัน พิจารณาจากอักษรผู้แต่ง

(4)  หนังสือที่แต่งโดยผู้แต่งคนเดียวกันในหมวดเดียวกัน พิจารณาจากอักษรชื่อเรื่อง

ตอบ 4 หน้า 194 – 195197 วิธีการจัดเรียงหนังสือบนชั้นในห้องสมุด จะพิจารณาจากเลขเรียก หนังสือจากซ้ายไปขวา จากบนลงล่าง และจะพิจารณาจัดลำดับจากเลขหมู่หนังสือก่อน โดยห้องสมุดที่จัดหมู่หนังสือด้วยระบบทศนิยมดิวอี้จะเรียงลำดับจากเลขหมู่น้อยไปหาเลขหมู่มาก สวนห้องสมุดที่จัดหมู่หนังสือด้วยระบบห้องสมุดรัฐสภาอเมริกันจะพิจารณาเรียงลำดับตาม ตัวอักษร – ก่อน ต่อเมื่อตัวอักษรซ้ำกันจึงค่อยเรียงลำดับจากเลขหมู่น้อยไปหาเลขหมู่มาก แต่ถ้าเลขหมู่ซ้ำกันก็ให้พิจารณาจากอักษรผู้แต่ง ถ้าอักษรผู้แต่งเหมือนกันให้พิจารณาจาก เลขประกอบอักษรผู้แต่งจากเลขน้อยไปหาเลขมาก และถ้าเลขผู้แต่งเหมือนกันอีกก็ให้พิจารณา จากอักษรชื่อเรื่อง

47. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของการจัดเก็บสิ่งพิมพ์รัฐบาล

(1)  ใช้ระบบการจัดหมู่แตกต่างจากระบบการจัดหมู่หนังสือธรรมดา

(2)  นำระบบการจัดสิ่งพิมพ์ของประเทศสหรัฐอเมริกาและอินโดนีเซียมาเป็นพื้นฐานในการจัด

(3)  เลขหมู่ของสิ่งพิมพ์รัฐบาลประกอบไปด้วยสัญลักษณ์ของหน่วยงานและเลขของสิ่งพิมพ์

(4)  บัตรรายการของสิ่งพิมพ์รัฐบาลมีรูปแบบเดียวกับหนังสือ

ตอบ 2 หน้า 201 – 202 ห้องสมุดส่วนใหญ่นิยมจัดแยกสิ่งพิมพ์รัฐบาลออกเป็นทรัพยากรลักษณะพิเศษ แล้วกำหนดระบบการจัดหมู่สำหรับสิ่งพิมพ์รัฐบาลขึ้นโดยเฉพาะ ทั้งนี้ได้นำเอาระบบการจัด สิ่งพิมพ์รัฐบาลของประเทศสหรัฐอเมริกาและฟิลิปปินส์มาเป็นพื้นฐานในการจัด และมีการกำนด เลขหมู่ให้กับสิ่งพิมพ์รัฐบาลซึ่งประกอบด้วยอักษรย่อชื่อของหน่วยงานราชการ เลขประจำ หน่วยงาน เลขแสดงปีที่พิมพ์ และเลขประเภทของสิ่งพิมพ์ สำหรับบัตรรายกรของสิ่งพิมพ์ รัฐบาลนั้นจะมีขนาดและรูปแบบเช่นเดียวกับบัตรรายการของหนังสือ แต่จะใช้เป็นบัตรสี

48. ลักษณะของเลขหมู่หนังสือของระบบ LC มีความสั้น-ยาวแตกต่างกันเพราะเหตุใด

(1)  การแบ่งย่อยโดยการเพิ่มตัวอักษรหรือตัวเลขไม่เท่ากัน

(2)  แบ่งสรรพวิทยาการออกเป็น 20 หมวด ซึ่งต่างจากระบบอื่น

(3)  เป็นระบบการจัดหมู่หนังสือที่นิยมใช้ในห้องสมุดขนาดใหญ่

(4)  เป็นระบบการจัดหมู่หนังสือที่มีสัญลักษณ์แบบผสมทั้งตัวอักษรและตัวเลข

ตอบ 1 หน้า 189 – 191(คำบรรยาย) ระบบการจัดหมู่หนังสือแบบห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน(Library of Congress Classification : LCC หรือ LCเป็นระบบที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ในห้องสมุดขนาดใหญ่ เช่น ห้องสมุดเฉพาะ ห้องสมุดมหาวิทยาลัย ซึ่งมีหนังสือเฉพาะสาขา วิชาใดวิชาหนึ่งหรือมีหนังสือทั่วไปทุกประเภทเป็นจำนวนมาก และจะใช้สัญลักษณ์ของการ จัดหมู่หนังสือเป็นแบบผสมคือ มีทั้งตัวอักษรโรมันและเลขอารบิกผสมกัน ทั้งนี้ได้มีการแบ่ง สรรพวิทยาการออกเป็น 20 หมวดใหญ่ โดยใช้อักษร – (ยกเว้น I, 0, W, X, Yเป็น สัญลักษณ์แสดงเนื้อหา นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งหมวดใหญ่ออกเป็นหมวดย่อย และสามารถ แยกย่อยได้อีกด้วยการจำแนกเรื่องของหนังสือ โดยใช้เลขอารบิกตั้งแต่ 1 – 9999 กับทศนิยม อีกไม่จำกัดตำแหน่งเป็นสัญลักษณ์ ทำให้เลขหมู่หนังสือในระบบนี้มีความสั้นยาวแตกต่างกัน

49. ข้อใดไม่ใช่ส่วนประกอบสำคัญของเลขเรียกหนังสือ

(1) เลขหมู่หนังสือ 

(2) เลขผู้แต่ง

(3)  อักษรชื่อเรือง

(4) เครื่องหมายหนังสือ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 45. ประกอบ

50. ข้อใดต่อไปนี้กล่าวไม่ถูกต้อง

(1)  วารสารเย็บเล่มจะรวมไว้กับวารสารย้อนหลัง

(2)  ห้องสมุดจัดเก็บวารสารใหม่ด้วยการใช้ระบบจัดหมู่

(3)  หนังสือพิมพ์ฉบับใหม่จัดเก็บโดยวางไว้บนที่วางหนังสือพิมพ์โดยเฉพาะ

(4)  หนังสือพิมพ์ฉบับย้อนหลังจัดเก็บโดยถ่ายเอกสารเก็บไว้ในรูปของไมโครฟิล์ม

ตอบ 2 หน้า 198 – 199 วิธีการจัดเก็บวารสารมี 2 ลักษณะ ดังนี้

1.    วารสารฉบับใหม่ คือ วารสารฉบับล่าสุดที่ห้องสมุดได้รับ โดยห้องสมุดจะจัดเรียงไว้บนชั้นเอียง ตามลำดับอักษรของชื่อวารสารจากซ้ายไปขวา และติดป้ายชื่อวารสารกำกับไว้ที่ชั้นตรงกับ ตำแหน่งของวารสาร

2.    วารสารฉบับย้อนหลัง คือ วารสารที่ไม่ใช่ฉบับส่าสุด เพราะมีฉบับที่ใหม่กว่าพิมพ์ออกมาอีก โดยทั่วไปห้องสมุดจะจัดรวมไว้กับวารสารย้อนหลังฉบับก่อน ๆ โดยนำไปเย็บรวมเป็นเล่ม เมื่อได้รับครบปีแล้ว จากนั้นให้นำไปจัดเรียงไว้บนชั้นตามลำดับอักษรของชื่อวารสาร

ข้อ 51. – 55. จงพิจารณาสัญลักษณ์ของหนังสือชื่อ “การอพยพของประชากรในประเทศไทย

Migration in Thailand” โดย Nasra MShah แล้วตอบคำถามต่อไปนี้

JV

6891

.T5S45

2014

51. การจัดหมวดหมู่ของหนังสือเล่มนี้ใช้ระบบใด

(1) ระบบห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน

(2) ระบบทศนิยมดิวอี้

(3) ระบบขยายของคัดเตอร์ 

(4) ระบบทศนิยมสากล

ตอบ 1 หน้า 189 – 191194 – 196(คำบรรยาย) เลขเรียกหนังสือตามระบบการจัดหมู่หนังสือ แบบห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน ประกอบด้วย   1. เลขหมู่หนังสือ จะใช้อักษรโรมัน – Z (ยกเว้น I, 0, W, X, Yเป็นสัญลักษณ์แสดงเนื้อหาของหนังสือ และใช้เลขอารบิก ตั้งแต่ 1 – 9999 กับทศนิยมอีกไม่จำกัดตำแหน่งในการจัดจำแนกเรื่องของหนังสือ

2.    เลขผู้แต่ง ประกอบด้วยตัวอักษรและตัวเลข

3.    อักษรชื่อเรื่อง เป็นพยัญชนะตัวแรกของชื่อหนังสือ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

JV  

6891

เลขหม่หนังสือ ซึ่งอักษร JV แสดงว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับการเมือง การปกครอง และรัฐศาสตร์

.T5S45 เลขประจำหนังสือ ประกอบด้วย เลขผู้แต่งและอักษรชื่อเรื่อง

2014 ปีที่พิมพ์ คือ ปีที่หนังสือได้รับการจัดพิมพ์ ซึ่งทำให้ผู้ช้ห้องสมุดทราบความทันสมัยของหนังสือว่าเป็นหนังสือเก่าหรือใหม่

52. หมวด เป็นหมวดหมู่สำหรับเนื้อหาใด

(1) มานุษยวิทยา  

(2) สังคมวิทยา     

(3) รัฐประศาสนศาสตร์

(4) รัฐศาสตร์

ตอบ 4    ดูคำอธิบายข้อ 51. ประกอบ

53. ข้อใดคือเลขหมู่หนังสือ

(1) JV    

(2) JV 6891 

(3)  JV 6891 .T

(4)  JV 6891 .T5S45

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 51. ประกอบ

54. ข้อใดคือเลขประจำหนังสือ

(1) .T5  

(2) .S45

(3)  .T5S45  

(4)  JV 6891

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 51. ประกอบ

55. เลข “2014” ให้ความรู้อะไรแก้ผู้ใช้ห้องสมุด

(1) ทราบปีลิขสิทธิ์

(2) ทราบจำนวนที่ผลิต

(3) ทราบความทันสมัยของหนังสือ     

(4) ทราบปีของข้อมูล

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 51. ประกอบ

56. ข้อใดคือทางเลือกที่ใช้ค้นข้อมูลออนไลน์

(1) ราคาหนังสือ   

(2) เลขหมู่หนังสือ 

(3)  เลขเรียกหนังสือ    

(4)  เลขผู้แต่งหนังสือ

ตอบ 3 หน้า 228 ผู้ใช้สามารถสืบค้นข้อมูลด้วยการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านระบบ OPAC ได้จาก หลาย ๆ ทางเลือก โดยใช้คำสั่งจากเมนูหลักของบัตรรายการออนไลน์ ได้แก่ ชื่อผู้แต่ง (Author)ชื่อเรื่อง (Title)หัวเรื่อง (Subject Heading)คำสำคัญ (Keyword)เลขเรียกหนังสือ (Call Number)เลขประจำหนังสือสากล (ISBNและเลขประจำวารสาร (ISSN)

57. รายการทางบรรณานุกรมทรัพยากรสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์บนอินเทอร์เน็ตคือข้อใด

(1)  Online Catalog

(2) Card Catalog

(3) Metadata       

(4) OPAC

ตอบ 3 หน้า 217234245 เมต้าดาต้า (Metadataคือ การลงรายการทางบรรณานุกรมสำหรับ การจัดหมวดหมู่ทรัพยากรสารสนเทศในสืออิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือ เว็บไซต์ โดยจะให้รายละเอียดของทรัพยากรสารสนเทศที่มีมากมายมหาศาลบนเครือข่าย อินเทอร์เน็ต เพื่อช่วยจัดการข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต ทำให้การสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ มีประสิทธิภาพและมีการจัดเก็บอย่างเป็นระบบ

58. ข้อใดเป็นรูปแบบรายการทรัพยากรสารสนเทศที่ใช้ในสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง

(1) รายการแบบบัตร

(2) รายการแบบออนไลน์

(3) รายการแบบรวมเล่ม

(4) รายการบนซีดีรอม

ตอบ 2 หน้า 29 – 30219227 – 228288(คำบรรยาย) ระบบสืบค้นข้อมูลภายในห้องสมุดที่เรียกว่า “OPAC” (Online Public Access Catalogเป็นระบบสืบค้นรายการหนังสือหรือ ตรวจสอบทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุดในรูปแบบรายการออนไลน์ (Online Catalogจากฐานข้อมูลในรูปที่อ่านได้ด้วยคอมพิวเตอร์ โดยจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับบรรณานุกรม แหล่งจัดเก็บและบริการ สถานภาพของวัสดุสารสนเทศนั้น ๆ การสืบค้นข้อมูลของห้องสมุด เป็นต้น ทั้งนี้ผู้ใช้สามารถเรียกดูข้อมูลได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยเลือกใช้คำสั่งจากเมนูหลัก ที่กำหนดไว้ ในปัจจุบันผู้ใช้บริการสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง สามารถค้นหา รายการทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุดผ่านระบบ OPAC โดย Telnet ไปยัง www.library.lib.ru.ac.th และ login : library

59. ข้อใดเป็นวิธีการที่ทำให้การค้นข้อมูลบนเว็บไซต์มีประสิทธิภาพ

(1) โปรแกรมค้นหา (Search Engine)

(2) โอแพค (OPAC)

(3) เมต้าดาด้า (Metadata)  

(4) รายการออนไลน์ (Online Catalog)

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

60. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของหัวเรื่องย่อย

(1) เป็นคำขยายหัวเรื่องใหญ่ให้ชัดเจนขึ้น  

(2) เป็นคำแบ่งขอบเขตเนื้อหาตามปีที่พิมพ์

(3) เป็นคำแบ่งตามขอบเขตเนื้อเรื่องหนังสือ

(4) เป็นการบอกเหตการณ์ตามสมัย

ตอบ 2 หน้า 254 – 257 หัวเรื่องย่อย เป็นคำหรือวลีที่ใช้เป็นหัวเรื่องย่อยเพื่อขยายหัวเรื่องใหญ่ ให้เห็นชัดเจนหรือเฉพาะเจาะจงขึ้น โดยหัวเรื่องย่อยจะมีขีดสั้น 2 ขีด (—) อยู่ข้างหน้าคำ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ

1. แบ่งตามวิธีเขียน เช่น คณิตศาสตร์-คู่มือเตรียมสอบ ฯลฯ

2.    บอกลำดับเหตุการณ์ โดยแบ่งตามปีคริสต์ศักราช ยุคสมัย หรือแผ่นดิน เช่น ไทย—ประวัติศาสตร์ไทย—กรุงศรีอยุธยา1393 – 2310 ฯลฯ

3.    แบ่งตามขอบเขตของเนื้อหา เช่น บรรณารักษศาสตร์—การประชุม, เศรษฐศาสตร์—ประวัติ ฯลฯ

4. แบ่งตามสภาพภูมิศาสตร์ เช่น ReligionHong Kongอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว—ไทย ฯลฯ

61. ข้อใดคืหัวเรื่องเฉพาะ

(1) วงดนตรี RU BAND

(2) วนอุทยานแห่งชาติ 

(3) วอลเลย์บอล    

(4) วัชพืชในนาข้าว

ตอบ 1 หน้า 252 – 254(คำบรรยาย) การกำหนดคำค้นที่ใช้เป็นหัวเรื่องใหญ่มีลักษณะดังนี้

1.    คำนามคำเดียวหรือคำโดด เช่น ปลา นก คอมพิวเตอร์ ทรัพยากรมนุษย์ ฯลฯ

2. คำผสมที่เป็นคำนาม 2 คำเชื่อมด้วย “andกับ”และ” ที่มีเนื้อหาสาระสองด้าน คล้อยตามใปในทางเดียวกับ เช่น อิทธิพลและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

3. คำผสมที่เป็นคำนาม 2 คำซึ่งมีเนื้อหาค้านกัน เช่น ศาสนาและวิทยาศาสตร์ ความดีและ ความชั่ว ฯลฯ

4.    คำนามที่ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาคและคำคุณศัพท์ที่ขยายคำแรกให้สื่อความหมายดีขึ้น เช่น เคมีวัตถุ ฯล

5.    กลุ่มคำหรือวลี เช่น ภาษาอังกฤษสำหรับอนุบาล การนวดสลายไขมัน หนังสือการ์ตูน ฯลฯ

6.    ชื่อเฉพาะที่เป็นคำวิสามานยนาม เช่น ชื่อบุคคล ชื่อวงดนตรี ชื่อสัตว์ ชื่อสถานที่ ชื่อแม่น้ำ ฯลฯ

62. ข้อใดคือหัวเรื่องที่มีความหมายคล้อยตามกัน

(1) อิทธิพลและสิ่งแวดล้อม

(2) ศิลปะกับประวัติศาสตร์  

(3) อุตสาหกรรมกับรัฐ 

(4) ความสัมพันธ์กับต่างประเทศ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

63. ข้อใดไม่ใช่ตรรกะบูลีน (Boolean Logicที่ใช้เป็นคำค้นสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพ

(1)  and

(2) or     

(3) not  

(4) with

ตอบ 4 หน้า 262268 การใช้คำสำคัญในการค้นหาสารสนเทศทางออนไลน์มีวิธีการดังนี้

1.    ใช้วิธีการสืบค้นข้อมูลเช่นเดียวกับการใช้หัวเรื่อง

2.    การค้นสารสนเทศอาจแสดงผลต่างกันในแต่ละฐานข้อมูล

3.    สามารถใช้คำสำคัญโดยผสมคำทั่วใปกับคำวิสามานยนาม

4.    ใช้ตรรกะของบูลีน (Boolean Logicโดยใช้คำว่า และ (and)หรือ (or)ไม่ใช่ (not) เพื่อเชื่อมโยงการสืบค้นให้มีประสิทธิภาพ

64. ข้อใดสะกดเป็นคำเต็มไม่ถูกต้อง

(1)  WWW คือ World Wide Web

(2)  OPAC คือ Online Public Access Catalog

(3)  ISBN คือ International Standard Book Number

(4)  DDC คือ Demo Decimal Classification

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 44. ประกอบ

65. ข้อใดคือหัวเรื่องย่อยแบ่งตามสภาพภูมิศาสตร์

(1)  Thai languageWriting    

(2) DogsTraining

(3)  ReligionHong Kong

(4) ChildrenChild care

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 60. ประกอบ

66. สัญสักษณใดที่แสดงความสัมพันธ์ของคำที่ไม่ใช้เป็นหัวเรื่องแล้ว

(1)  UF Use For       

(2) BT Broader Term

(3) NT Narrower Term  

(4) RT Related Term

ตอบ 1 หน้า 249256 รายการโยง (Cross Referenceคือ สัญลักษณ์ที่ใช้แสดงให้ทราบว่าคำหรือวลี ที่ตามมาจะใช้เป็นหัวเรื่องได้หรือไม่ และมีความเกี่ยวข้องสัมพันธใกล้เคียงกับเนื้อหามากน้อย เพียงใด เช่น sa (see alsoหรือ “ดูเพิ่มเติม” จะใช้โยงไปยังหัวเรื่องอื่นที่มีความสัมพันธ์กัน แต่มีเนื้อหาแคบกว่า, see หรือ “ดูที่” จะใช้โยงหน้าคำหรือวลีที่ใช้เป็นหัวเรื่องได้ เป็นต้น นอกจากนี้บัญชีหัวเรื่อง LCSH ฉบับปัจจุบันยังได้เปลี่ยนแปลงการใช้สัญลักษณ์บางตัวเพื่อแสดง ความสัมพันธ์ของคำที่ใช้เป็นหัวเรื่อง เช่น

BT (Broader Term) = หัวเรื่องสัมพันธ์ที่กว้างกว่า,

NT (Narrower Term) = หัวเรื่องสัมพันธ์ที่แคบกว่า,

RT (Related Term) = หัวเรื่องสัมพันธ์ ที่เกี่ยวช้องกัน,

UF (Use For) = หัวเรื่องที่ไม่ใช้แล้ว เป็นต้น

67. หัวเรื่องสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันใช้สัญลักษณ์ใด

(1)  BT  

(2) NT    

(3) RT    

(4) RU

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 66. ประกอบ

68. ข้อใดเป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้บุคคลสามารถวิเคราะห์ ตัดสินใจ และแก้ปัญหาได้

(1) ความรู้สังคมวิทยา  

(2) แหล่งสารสนเทศ    

(3) การศึกษา

(4) หลักการทางจิตวิทยา

ตอบ 3 หน้า 274 การศึกษา คือ การเสาะแสวงหาความรู้เพื่อให้เกิดความเช้าใจในเรื่องต่าง ๆ อย่างถ่องแท้ ดังนั้นการศึกษาจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ทั้งทางวิชาการและเรื่องที่อยู่ในความสนใจของแต่ละบุคคล ซึ่งจะช่วยให้บุคคลมีความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์ ตัดสินใจ และแก้ไขปัญหาได้

69. การอ่านแบบใดที่ผู้อ่านต้องใช้ทักษะการอ่านเพื่อแยกหรือรวมประเด็นเรื่อง

(1) การอ่านเพื่อประเมินค่าและวิจารณ์

(2) การอ่านเพื่อหาคำตอบ

(3) การอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้    

(4) การอ่านเพื่อเก็บรายละเอียด

ตอบ 4 หน้า 276 การอ่านเพื่อเก็บรายละเอียด เป็นจุดมุ่งหมายของผู้อ่านที่ต้องการข้อมูลเรื่องใด เรื่องหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจง โดยผู้อ่านต้องมีสมาธิ สามารถแยกหรือรวมประเด็นหลักและประเด็นย่อยได้ รวมทั้งสามารถจดบันทึกจากการอ่าน ทำให้ผู้อ่านต้องใช้ทักษะหลายอย่าง ประกอบกันได้แก่ ทักษะการอ่าน การแยกและรวมประเด็น การสังเกต และการใช้คำหรือประโยค เพื่อให้สามารถหาความสัมพันธ์ของข้อความที่ต้องการเก็บรายละเอียดได้

70. อ่านคอลัมน์ไขสุขภาพในหนังสือพิมพ์เรื่อง “สาเหตุการเกิดโรคอัลไซเมอธ์” เป็นการอ่านแบบใด

(1) การอ่านแบบคร่าว ๆ      

(2) การอ่านเพื่อประเมินค่าและวิจารณ์

(3) การอ่านเพื่อรับรู้ข่าวสาร

(4) การอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้

ตอบ 3 หน้า 275 การอ่านเพื่อรับรู้ขาวสาร เป็นการอ่านทีใช้ในชีวิตประจำวันหรืออ่านเพื่อต้องการ รู้เหตุการณ์และความเป็นไปทีเกิดขึ้นรอบตัว เช่น การอ่านหนังสือพิมพ์ อ่านประกาศ อ่านแจ้งความโฆษณา ฯลฯ การอ่านแบบนี้จะใช้เวลาไม่มาก มักอ่านเพื่อจับประเด็นคร่าว ๆ หรือมุ่งจับรายละเอียดก็ได้ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้อ่าน

71. ข้อใดเป็นการอ่านที่ผู้อ่านต้องมีความรู้พี้นฐานเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน

(1) การอ่านเพื่อประเมินค่าและวิจารณ์

(2) การอ่านเพื่อเก็บรายละเอียด

(3) การอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้    

(4) การอ่านเพื่อรับรู้ข่าวสาร

ตอบ 1 หน้า 276 การอ่านเพื่อประเมินค่าและวิจารณ์ เป็นการอ่านระดับสูง โดยผู้อ่านต้องสามารถ ประเมินค่าหรือวิจารณ์ข้อเขียนเหล่านั้นได้ว่าถูกต้องน่าเชื่อถือหรือไม่ มีข้อเท็จจริงหรือมีคุณค่า เพียงไร และให้แนวคิดใหม่หรือไม่ ดังนั้นการอ่านแบบนี้ผู้อ่านจึงต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ เรื่องที่อ่าน มีสมาธิในการอ่าน และมีวิจารณญาณเพื่อพินิจพิเคราะห์ข้อเขียนอย่างละเอียดลึกซึ้

72. เพื่อให้ได้ประโยชน์จากการฟังคำบรรยายในชั้นเรียน ผู้ฟังควรปฏิบัติอย่างไรเป็นอันดับแรก

(1)  ตั้งใจมีสมาธิในการฟัง  

(2) เปิดใจรับฟังคำบรรยาย

(3) พิจารณาเรื่องที่ฟัง  

(4) เตรียมตัวให้พร้อม

ตอบ 4 หน้า 277(คำบรรยาย) การที่จะได้ประโยชน์คุ้มค่าจากการฟัง ผู้ฟังควรปฏิบัติตัวดังนี้

1.    เตรียมตัวเพื่อการฟังให้พร้อมมาก่อนล่วงหน้า

2.    มีสมาธิในการฟัง เปิดใจพร้อมรับความรู้ โดยไม่ควรพูดคุยหรือแลกเปลี่ยนความรู้กัน ในขณะฟังการบรรยาย เพราะอาจพลาดโอกาสองเนื้อหาตอนนั้นๆ ไปโดยสิ้นเชิง

3.    คิดตามคำพูดของผู้พูด โดยผู้ฟังที่ดีต้องมีความตื่นตัว กระหายใคร่รู้ และคิดอย่างมีระเบียบ คือ รู้จักพิจารณาเรื่องที่ฟังจนสามารถสืบค้นหรือสืบสาวหาข้อเท็จจริงจนแยกแยะเรื่องที่ฟังได้ ซึ่งเรียกว่าเป็น “วิธีทางแห่งปัญญา”

73. ผู้ฟังที่ดีควรมีจรรยาบรรณในการฟังคำบรรยายอย่างไร

(1)  เรื่องใดที่ยากไกลตัวเกินไปไม่ควรฟังก็ได้

(2)  ให้ฟังคำบรรยายจากวิทยากรที่น่าเชื่อถือเท่านั้น

(3)  จิตไม่ต้องสนใจเรื่องนอกตัว ทำจิตให้นิ่งเป็นหนึ่งเดียว

(4)  ทำใจเปิดกว้าง ไม่ดูหมิ่นเรื่องที่ผู้อื่นพูด

ตอบ 4 หน้า 277 – 278 จรรยาบรรณของการเป็นผู้ฟังที่ดี มีดังนี้

1.    เปิดใจกว้าง ไม่ดูหมิ่นเรื่องที่ผู้อื่นพูด

2.    ไม่ดูหมิ่นผู้พูดว่าเป็นผู้ที่ไม่น่าเชื่อถือเพราะไม่มีคุณวุฒิหรือวัยวุฒิ

3.    ไม่ดูหมิ่นตนเองว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวเกินไป หรือเป็นเรื่องยากซึ่งตนเองมีทักษะความรู้น้อยเกินไป

4.    ไม่ทำจิตให้ฟุ้งซ่าน แต่ให้ทำจิตเป็นหนึ่งเดียว แล้วฟังเรื่องที่พูดตั้งแต่ต้นจนจบ

74. การสอบถามสารสนเทศจากผู้รู้หรือการขอคำชี้แนะจากผู้มีประสบการณ์ เป็นวิธีการศึกษาค้นคว้าเช่นไร

(1)  การสร้างหัวใจนักปราชญ์     

(2) สดับฟังให้มากจนเรียกว่า “พหูสูต”

(3) คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล

(4) การเสวนาสัตบุรุษ

ตอบ 4หน้า 278(คำบรรยาย) การไต่ถามหรือการเสวนา เป็นการเข้าไปปรึกษาเสวนาหาคำตอบ หรือขอคำชี้แนะจากผู้มีประสบการณ์ เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน จนก่อให้เกิดความแจ่มแจ้งแห่งข้อสงสัยนั้น ดังนั้นการเสวนาจึงเป็นการออกจากตนเองไปสู่ผู้อื่น นั้นคือ เปิดประตูความคิดของตนเองไปสู่ความคิดของผู้อื่น เพื่อเรียนรู้แบ่งปันความรู้ที่มีในตัวตนไปสู่ความรู้ที่แจ้งชัด ดังคำของนักปราชญ์ที่ว่า บัณฑิต คือ คนฉลาดที่ดำเนินชีวิต ด้วยปัญญาย่อมเข้าคบหาสัตบุรุษ หรือเรียกว่า “การเสวนาสัตบุรุษ”

75. มนุษย์ตั้งแต่สมัยโบราณบันทึกเรื่องราวไว้ในสื่อต่าง ๆ เพื่อวัตถุประสงค์ตามข้อใด

(1) สืบสานไม่ให้ลบเลือนหลงลืม  

(2) ผลิตสื่อสะสมไว้ในหอสมุดแห่งชาติ

(3) รักษาขั้นตอนจารีตประเพณีของมนุษยชาติ  

(4) จรรโลงอารยธรรมของมนุษย์ให้คงอยู่ตลอดไป

ตอน 1 หน้า 278 – 279281 ด้วยเหตุที่การแสวงหาความรู้ที่ได้จากการอ่าน การฟัง หรือการไต่ถาม อาจมีการลบเลือนหรือหลงลืมได้ มนุษย์ตั้งแต่สมัยโบราณจึงคิดสัญลักษณ์ขึ้นแทนคำพูด และมีการบันทึกเรื่องราวไวในสื่อต่าง ๆ กัน เช่น ดินเหนียว หนังสัตว์ ผ้า กระดาษ ฯลฯ ดังนั้นการจดบันทึกจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดของมนุษย์ในการสืบสานและจรรโลงเรื่องราวต่างๆไว้ มิให้ถูกลบเลือนและสลายไปในที่สุด

76. ข้อใดไม่ใช่วิธีการอ่านโดยการค้นคว้าหาความหมายจากสัญลักษณ์

(1) อ่านสีหน้า อ่านสภาพดินฟ้าอากาศ

(2) อ่านลายมือ อ่านออกเสียง

(3] อ่านแววตา อ่านค่าตัวเลข

(4) อ่านความรู้สึก อ่านในใจ

ตอบ 4 หน้า 275 การอ่านเป็นวิธีศึกษาหาความรู้โดยมีสัญลักษณ์เป็นสื่อกลาง โดยการอ่านจะมี หลายระดับตั้งแต่การอ่านตามตัวหนังสือ การอ่านค่าตัวเลข จนถึงการอ่านสิ่งอื่น ๆ เช่น อ่านสีหน้า อ่านแววตา อ่านลายมือ อ่านสภาพดินฟ้าอากาศ ดังนั้นการอ่านจึงอาจมีความหมายว์า “การออกเสียงหรือเข้าใจตามตัวหนังสือและการค้นคว้าหาความหมายจากสัญลักษณ์”

77. ข้อใดเป็นลักษณะของผู้ฟังที่ดี

(1) คิดตามคำพูดของผู้พูด

(2)  กระหายใคร่รู้ใคร่เห็น   

(3)  ตระหนักตื่นตัวตื่นใจ    

(4)  ทำจิตใจให้สงบปลอดโปร่ง

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 72. ประกอบ

78. แสดงคำขอบคุณผู้ช่วยเหลือในการให้ข้อมูลแก่รายงานการวิจัยไว้ที่ส่วนใด

(1) ปกหลังด้านใน

(2) หน้าชื่อเรื่อง    

(3) หน้าลิขสิทธิ์    

(4) หน้าคำนำ

ตอบ 4 หน้า 336 หน้าคำนำ (Prefaceเป็นหน้าที่แจ้งให้ผู้อ่านได้ทราบถึงวัตถุประสงค์ของการทำรายงาน ขอบเขตเนื้อหาของรายงาน และแสดงคำขอบคุณผู้ที่มีคุณูปการหรือผู้ที่มีส่วน ช่วยเหลือในการให้ข้อมูลจนทำให้การทำรายงานนั้นสำเร็จ

79. ส่วนใดของรายงานที่ใช้ข้อความเดียวกัน    

(1)  ปกนอกและหน้าชื่อเรื่อง

(2)  ปกนอกและปกหลัง

(3)  หน้าคำนำและหน้าคำนิยม    

(4)  บทสรุปและบทคัดย่อ

ตอบ 1 หน้า 334 – 338 ส่วนประกอบของรายงาน แบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ ดังนี้

1.    ส่วนประกอบตอนต้น ได้แก่ ปกนอก หน้าชื่อเรื่อง หน้าคำนำ หน้าสารบัญ และหน้าสารบัญตารางและภาพประกอบ โดยปกนอกและหน้าชื่อเรื่องจะใช้ข้อความเดียวกัน

2. ส่วนที่เป็นเนื้อหา ได้แก่ ข้อความที่คัดลอกมา การอ้างอิง บันทึกเพิ่มเติม (เช่น เชิงอรรถ) ตาราง และภาพประกอบ

3.    ส่วนประกอบตอนท้าย ได้แก่ หน้าบอกตอน บรรณานุกรม ภาคผนวก และอภิธานศัพท์

80. สิ่งที่ควรปรากฏในหน้าคำนำคือข้อใด

(1) แนวคิดในการแสวงหาข้อมูล 

(2) สิ่งที่คาดว่าจะได้รับหลังการเผยแพร่ผลงาน

(3) วัตถุประสงค์และขอบเขตของรายงาน   

(4) ผู้เป็นเจ้าของเงินทุนในการทำรายงาน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 78. ประกอบ

81. ต้องการคัดลอกวาทะบางตอนของปราชญ์ควรทำอย่างไร

(1) คัดลอกให้เหมือนต้นฉบับ     

(2) ตอนใดที่ไม่ต้องการให้ว่างเว้นไป

(3)  ใช้ตัวอักษรพิเศษกับวาทะที่คัดลอก     

(4) พิมพ์ด้วยตัวอักษรตัวเอน

ตอบ 1 บัตรบันทึกแบบลอกความ (Quotationจะเหมาะกับข้อความหรือข้อเท็จจริงที่ชัดแจ้ง เช่น สูตรทางคณิตศาสตร์ ความหมายหรือคำนิยามในเชิงวิชาการ กวีนิพนธ์ และบทละครต่าง ๆ โดยมีข้อควรระวังคือ ต้องคัดลอกทุกอย่างให้เหมือนต้นฉบับ ตอนใดที่คัดลอกมาทั้งหมดให้คร่อมไว้ด้วยเครื่องหมายอัญประกาค (“______”) แต่ถ้าคัดลอกมาเพียงบางส่วนให้ใช้เครื่องหมายจุด 3 จุด (…)

แทนข้อความที่ละไว้โดยใส่ไว้ก่อนหรือหลังข้อความนั้น ซึ่งบัตรบันทึกชนิดนี้จะกระทำเมื่อ

1.    ผู้ทำรายงานไม่สามารถหาคำพูดได้ดีกว่าเนื้อหาเดิม

2.    เนื้อหาเดิมได้วางระเบียบกฎเกณฑ์และวิธีการไว้อย่างดีแล้วจึงไม่ควรดัดแปลง

3.    เนื้อหาเดิมบรรยายถึงแนวคิดหรือวาทะสำคัญของผู้แต่งจึงไม่ควรดัดแปลง

82. ควรใช้ส่วนใดของรายงานเมื่อต้องการอ่านข้อมูลเพิ่มเติมจากที่นำเสนอไว้

(1) ความนำ  

(2) บทนำ     

(3) เชิงอรรถ 

(4) บรรณานุกรม

ตอบ3 หน้า 299 – 300 เชิงอรรถประเภทอธิบายความ เป็นเชิงอรรถที่ผู้ทำรายงานทำขึ้นเพราะ ต้องการอธิบายความเพิ่มเติมหรือให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมจากส่วนของเนื้อหาที่นำเสนอไว้ โดยใส่เลขอารบิกในรูปของเลขยกระดับ (Superscriptไว้ท้ายข้อความที่ต้องการอธิบายเพิ่มเติม แล้วอธิบายความไว้ท้ายหน้านั้น ๆ เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหาได้เร็วขึ้น

83. นอกจากให้หมายเลขกับตารางและภาพประกอบในรายงานแล้ว ต้องปฏิบัติอย่างไร

(1) แจ้งที่มาของตารางและภาพประกอบ    

(2) แจ้งวัน/เดือน/ปี ที่นำตารางและภาพประกอบมาใช้

(3) ขอบคุณเจ้าของตารางและภาพประกอบไว้ท้ายบท

(4) ให้สีสันแก่ตารางและภาพประกอบ

ตอบ 1 หน้า 337 – 338 ในกรณีที่มีตารางและภาพประกอบ (รวมถึงแผนภูมิ แผนที่ และกราฟ) ในเนื้อหาของรายงาน ผู้ทำรายงานจะมีวิธีปฏิบัติ ดังนี้

1. จุดที่แสดงตารางและภาพประกอบ ต้องเหมาะสมและชัดเจน

2. ให้หมายเลขกำกับตารางและภาพประกอบ เช่น ตารางที่ 1 ภาพประกอบที่ 1   

3. ต้องมีชื่อกำกับที่สั้นและชัดเจนเหนือตารางและภาพประกอบทุกชิ้น

4.    มีการบอกแหล่งที่มาของตารางหรือภาพประกอบนั้น ๆ

84. หน้าบอกตอนอยู่ก่อนส่วนใดของรายงาน

(1) คำนำ

(2) บทนำ     

(3) ภาคผนวก

(4) บทคัดยอ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 79. ประกอบ

85. บรรณานุกรมมีประโยชน์อย่างไร

(1)  เพื่อแสดงถึงลิขสิทธิ์ของผู้เป็นเจ้าของผลงานเดิม

(2)  เพื่อเป็นองค์ประกอบแสดงความเป็นสากลของรูปแบบรายงาน

(3)  เพื่อให้รายละเอียดของสารสนเทศที่สามารถค้นคว้าได้อีก

(4)  เพื่อให้ผู้อ่านตรวจสอบความถูกต้องของสารสนเทศ

ตอบ 4 หน้า 312 เมื่อผู้ทำรายงานได้ทำการค้นคว้าและอ้างอิงข้อมูลจากแหล่งสารสนเทศต่าง ๆ ผู้ทำรายงานจะต้องแจ้งแหล่งที่มาของข้อมูลอย่างครบถ้วนตามรูปแบบของบรรณานุกรมที่กำหนดไว้เป็นสากล ทั้งนี้เพื่อให้ผู้อ่านสามารถตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหาในรายงาน หรือใช้ค้นคว้าเพิ่มเติมได้ รวมทั้งเป็นการป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย

86. ขั้นตอนใดช่วยให้ผู้ทำรายงานทำรายการอ้างอิงได้สะดวก(1) ขั้นทำบัตรบันทึก

(2) ขั้นทำบัตรบรรณานุกรม 

(3) ขั้นสำรวจข้อมูล      

(4) ขั้นเรียบเรียงเนื้อหา

ตอบ 2 หน้า 289(IS 103 เลขพิมพ์ 53345 หน้า 247 – 248) หลังจากค้นหาข้อมูลเพื่อทำรายงาน จากแหล่งสารสนเทศต่าง ๆ แล้ว ผู้ทำรายงานควรบันทึกข้อมูลในรูปของบัตรบรรณานุกรม ซึ่งจุดมุ่งหมายในขั้นตอนของการทำบัตรบรรณานุกรม มีดังนี้

1.    เพื่อรวบรวมหรืออ้างอิงรายชื่อแหล่งข้อมูลที่ใช้ประกอบการศึกษาค้นคว้า

2.    เพื่อนำมาเขียนรายการเอกสารอ้างอิง (บรรณานุกรม) ไว้ท้ายรายงาน ซึ่งจะช่วยให้ ผู้ทำรายงานทำรายการอ้างอิงได้สะดวกขึ้น

3.    เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้สนใจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม

4.    เพื่อเป็นแหล่งตรวจสอบหลักฐานของข้อเท็จจริงในรายงาน

5.    เพื่อนำไปค้นหาหนังสือ วารสาร และสารสนเทศอื่น ๆ ก่อนลงมืออ่านและทำบัตรบันทึกต่อไป

87. ต้องการนำแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์มาประกอบรายงานเรื่อง “ทิศทางเศรษฐกิจโลก” ควรทำบัตรบันทึกแบบใด

(1) แบบลอกความ

(2) แบบสรุปความ

(3) แบบถอดความ

(4) แบบจับใจความ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ

88. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการวางโครงเรื่องของรายงาน

(1) นำไปเขียนสารบัญได้    

(2) ช่วยให้เนื้อหาดำเนินได้ดี

(3) ช่วยให้ลีลาการเขียนดีด้วย     

(4) ช่วยให้ค้นคว้าได้เร็วขึ้น

ตอบ 2 หน้า 295(คำบรรยาย) ก่อนเรียบเรียงเนื้อหารายงาน ผู้ทำรายงานจะต้องวางโครงเรื่อง ซึ่งเป็นการวางแผนเสนอเนื้อหาและเป็นการสร้างกรอบความคิด เพื่อให้การเสนอเนื้อหาของ รายงานดำเนินไปตามลำดับได้ดี รวมทั้งอยู่ในทิศทางและขอบข่ายที่กำหนดไว้ไม่สับสนวกวน หรือออกนอกประเด็น ซี่งจะทำให้น่าอ่านและนำติดตามมากขึ้น

89. ข้อใดเป็นรูปแบบการลงรายการบรรณานุกรมถูกต้องตามรูปแบบ APA

(1)  ชื่อผู้แต่ง. ชื่อหนังสือ. สถานที่พิมพ์สำนักพิมพ์ปีที่พิมพ์.

(2)  ชื่อผู้แต่งปีที่พิมพ์. ชื่อหนังสือ. สถานที่พิมพ์สำนักพิมพ์.

(3)  ชื่อผู้แต่งชื่อหนังสือ. สถานที่พิมพ์ : สำนักพิมพ์ปีที่พิมพ์

(4)  ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อหนังสือ. สถานที่พิมพ์ : สำนักพิมพ์.

ตอบ 4 หน้า 313 – 315317 – 318 รูปแบบการลงรายการทางบรรณานุกรมหนังสือที่ถูกต้อง ตามแบบแผนของคู่มือ APA คือ

ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อหนังสือ (ครั้งที่พิมพ์). สถานที่พิมพ์ : สำนักพิมพ์.

–      ในกรณีที่ผู้แต่งเป็นคนไทยและมีฐานันดรศักดิ์ บรรดาศักดิ์ สมณศักดิ์หรือยศ ให้ลงชื่อ และนามสกุลของผู้แต่ง คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค (,ตามด้วยฐานันดรศักดิ์หรือยศ

–      ในกรณีที่ผู้แต่งเป็นชาวต่างประเทศให้ลงชื่อสกุล (Last Nameก่อน แล้วตามด้วย เครื่องหมายจุลภาคและชื่อต้น (First Nameเช่น Handson, Richard

90. หนังสือที่เขียนโดยชาวอเมริกัน จะต้องลงรายการทางบรรณานุกรมอย่างไร

(1) ให้ลงชื่อสกุลก่อน ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาคและชื่อต้น

(2ให้ลงชื่อต้นก่อน ตามด้วยชื่อสกุลและเครื่องหมายมหัพภาค

(3)  ให้ลงชื่อสกุล ตามด้วยเครื่องหมายมหัพภาคและชื่อต้น

(4)  ให้ลงชื่อต้น ชื่อสกุล ชื่อกลาง ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาค

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 89. ประกอบ

92. การอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ข้อใดถูกต้อง

(1)  พล ชูจันทร์. (2556). ปัญหาเด็กแว้น. ค้นเมื่อ มีนาคม 72557จาก http://www.phrathai.net

(2)  พล ชูจันทร์. ปัญหาเด็กแว้น. ค้นเมื่อ 7 มีนาคม 2557จาก http://www.phrathai.net, 2556.

(3)  พล ชูจันทร์. 2556. ปัญหาเด็กแว้นค้นจาก http://www.phrathai.netเมื่อ 7 มีนาคม 2557.

(4)  พล ชูจันทร์. ปัญหาเด็กแว้นค้นเมื่อ มีนาคม 72557. จาก http://www.phrathai.net2556

ตอบ 1 หน้า 328 รูปแบบการลงรายการอ้างอิงทางบรรณานุกรมสำหรับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่

แหล่งข้อมูลออนไลน์บนอินเทอร์เน็ต และซีดีรอม คือ

ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง. ค้นเมื่อ ระบุวันที่ค้นข้อมูล. ที่อยู่ของเอกสาร (URL)

เช่น พล ชูจันทร์. (2556). ปัญหาเด็กแว้น. ค้นเมื่อ มีนาคม 72557ก http://www.phrathai.net

93. หน้าคำนำบอกสิ่งใดแก่ผู้อ่านรายงาน

(1) เบื้องหลังการทำงานและผลที่คาดว่าจะได้รับ 

(2) วิธีการ แนวคิด และการนำเสนอรายงาน

(3) ความลึกซึ้งของเนื้อหาที่กำหนด    

(4) วัตถุประสงค์และขอบเขตของรายงาน

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 78. ประกอบ

94. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับหน้าสารบัญ

(1)  เป็นหน้าที่แสดงบัญชีบทของรายงานโดยแจ้งเลขหน้ากำกับ

(2)  เป็นหน้าเดียวกันกับโครงเรื่องใหญ่และโครงเรื่องย่อย

(3)  เป็นหน้าที่รวมสารบัญเรื่องและสารบัญภาพประกอบ

(4)  เป็นหน้าที่บอกจำนวนหน้าของแต่ละบท

ตอบ 1 หน้า 336 หน้าสารบัญของรายงาน เป็นบัญชีบทและตอนที่ปรากฏในรายงานเรียงตามลำดับเนื้อหา พร้อมทั้งมีเลขหน้ากำกับไว้ด้วย โดยคำว่า “สารบัญ” หรือ “สารบาญ” ควรพิมพ์ไว้ กลางหน้ากระดาษตอนบน

95. ในรายงานมีตารางและภาพประกอบควรปฏิบัติข้อใด

(1)  ขอบคุณเจ้าของตารางและภาพประกอบท้ายบท

(2)  พยายามสร้างสีสันให้กับตารางและภาพประกอบ

(3)  ให้หมายเลขกำกับตารางและภาพประกอบ

(4)  บอกจำนวนตารางและภาพประกอบไว้ที่หน้าสารบัญ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 83. ประกอบ

96. การเสนอตารางและภาพประกอบในรายงานไม่ควรมีสิ่งใด

(1) บทวิเคราะห์    

(2) บอกแหล่งที่มา

(3) ให้หมายเลขกำกับ  

(4) มีชื่อกำกับสั้น ๆ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 83. ประกอบ

97. หน้าบอกตอนควรอยู่ก่อนส่วนใดของรายงาน

(1) บทนำ บทสรุป 

(2) คำนำ สารบัญ

(3) ปกหน้า ปกหลัง

(4) บรรณานุกรม ภาคผนวก

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 79. ประกอบ

98. แบบสอบถามที่ใช้กับรายงานการวิจัยควรปรากฎอยู่ส่วนใด

(1) บทสุดท้าย

(2) ตอนท้ายของบทสรุป

(3) ภาคผนวก

(4) ต่อจากสารบัญ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 30. ประกอบ

99. ผู้อ่านรายงานใช้สิ่งใดตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง

(1) บัตรบันทึก     

(2) บทสรุป   

(3) บรรณานุกรม 

(4) เชิงอรรถ

ตอบ 3 (IS 103 เลขพิมพ์ 5:345 หน้า 275) บรรณานุกรม เป็นส่วนที่สำคัญยิ่งของรายงาน เนื่องจาก เป็นรายการที่แสดงหลักฐานประกอบการศึกษาค้นคว้า ทำให้ผู้อ่านรายงานสามารถตรวจสอบ ข้อมูลย้อนหลังได้ ทั้งนี้รายการบรรณานุกรมจะนิยมจัดเรียงตามลำดับอักษรชื่อผู้เขียนหนังสือ. หรือผู้เขียนบทความ ถ้ามีรายชื่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้เรียงลำดับภาษาไทยมาก่อน

100. บันทึกคำเฉพาะที่ใช้ในรายงาบควรประมวลไว้ที่ส่วนใด

(1) ดรรชนีค้นคำ  

(2) ภาคผนวก

(3) อภิธานศัพท์   

(4) บทสุดท้าย

ตอบ 3 หน้า 338 อภิธานศัพท์ เป็นบัญชีคำศัพท์เฉพาะหรือศัพท์ยากที่ปรากฏอยู่ในรายงานนั้น ซึ่งผู้ทำรายงานจะนำคำศัพท์นั้นมาเรียงลำดับตามตัวอักษรพร้อมกับให้ความหมาย

LIS1001 สารสนเทศและเทคโนโลยีเพื่อการค้นคว้า การสอบไล่ภาค1 ปีการศึกษา2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LIS 1001 สารสนเทศและเทคโนโลยีเพื่อการค้นคว้า

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1.    ข้อใดเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรม มีคุณค่าควรแก่การนำไปดำเนินการให้สื่อความหมายได้

(1)   ข้อมูล     

(2) ข่าวสาร     

(3) สารสนเทศ 

(4) ความรู้

ตอบ 1 หน้า 3 ข้อมูล (Dataหมายถึง ข้อเท็จจริงที่เป็นนามธรรม รูปธรรมซึ่งมีความหมายที่บ่งบอกได้ในตัวเอง และมีคุณค่าควรแก่การนำไปดำเนินการให้สื่อความหมายได้

2. ปัจจัยสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการดูแลสุขภาพอนามัยของท่านคือข้อใด

(1) ปัญญา     

(2) สารสนเทศ 

(3) ข้อมูลข่าวสาร    

(4) ความรู้

ตอบ 2 หน้า 5(IS 103 เลขทืมฟ 53345 หน้า 5 6) สารสนเทศเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพการดำรงขีวิตของมนุษย์ในทุกด้าน ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ดังต่อไปนี้

1.    ลดอัตราการตายจากโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้รู้จักวิธีดูแลสุขภาพอนามัย

2.    ช่วยให้ประชาชนเป็นผู้บริโภคอย่างฉลาด รู้จักเลือกใช้สินค้าที่มีบ่ระโยชน์ และประเมิน คุณภาพของสินค้าได้

3. พัฒนาประสิทธิภาพการทำงานให้ดีขึ้น   

4. ช่วยลดความผิดพลาดในการตัดสินใจ

5.    ส่งเสริมการศึกษาค้นคว้า และลดค่าใช้จ่ายจากการทำวิจัยซํ้าซ้อน

6. รู้จักแก้ป็ญหาได้ดีขึ้น   

7. เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างองค์ความรู้

8. เป็นองค์ประกอบสำคัญในการพัฒนาประเทศ

3.    ข้อใดเกิดขึ้นจากการสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ เพื่อให้บุคลากรสามารถแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างงานที่ปฏิบัติร่วมกัน     

(1) ยุคสังคมสารสนเทศ

(2) ยุคแห่งภูมิปัญญา

(3) ยุคเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์  

(4) ยุคการเรียนรู้

ตอบ 2 หน้า 136 สังคมในศตวรรษที่ 21 เป็นสังคมแห่งภูมิปัญญาหรือสังคมแห่งการเรียนรู้ ที่มีพื้นฐานมาจากสังคมสารสนเทศ โดยบุคลากรซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานภายใต้วิชาชีพต่างๆ หรือที่เรียกว่า “พนักงานแห่งภูมิปัญญา’‘ (Knowledge Workerจะช่วยกันสร้างและพัฒนาองค์กร แห่งการเรียนรู้ขึ้น เพื่อให้บุคลากรสามารถเข้าถึงสารสนเทศได้อย่างทั่วถึงและสะดวก รวมทั้งสามารถแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณในระหว่างที่ปฏิบัติงานร่วมกัน ทำให้หน่วยงาน องค์กร และประชากรในสังคมกลายเป็นผู้มีความรู้ ใฝ่รู้ใฝ่เรียน และมีการศึกษาเรียนรู้ตลอดชีวิต

4.    “The Code of Hummurabi” เกี่ยวข้องกับบันทึกสารสนเทศอย่างไร

(1)   แผ่นดินเหนียว/อักษรคูนิฟอร์ม  

(2) กระดาษปาไปรัส/อักษรไฮโรกลิฟิก

(3) แผ่นหินทรงกระบอก/อักษรคูนิฟอร์ม    

(4) แผ่นหนังสัตว์/อักษรไฮโรกลิฟิก

ตอบ 3 หน้า 7-9 ชาวบาบิโลเนียน ซึ่งอาศัยอยูเนแคว้นเมโสโปเตเมียตอนล่าง เป็นกลุ่มที่ได้รับ การถ่ายทอดวัฒนธรรมจากชาวสุเมเรียน โดยนำอักษรรูปลิ่มไปบันทึกเรื่องราวต่างๆ และยังได้คิดค้น “ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี” (The Code of Hummurabiซึ่งเป็นกฎหมายสนองตอบ แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน โดยถือเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของโลกที่จารึกด้วยอักษรคูนิฟอร์ม ลงบนแผ่นหินทรงกระบอกสีดำ จึงนับว่าเป็นมรดกทางอารยธรรมที่มีค่ายิ่ง

5.    ชนชาติใดเป็นผู้ริเริ่มจัดหมวดหมู่ความรู้ที่บันทึก

(1)   บาบิโลเนียน    

(2) สุเมเรียน    

(3) อียิปต์

(4) อัสสิเรียน

ตอบ 4 หน้า 9(คำบรรยาย) ชาวอัสสิเรียน ซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนเหนือของดินแดนเมโสโปเตเมีย ได้ส่งผู้มีความรู้ด้านภาษาไปคัดลอกเรื่องราวจากบาบิโลเนียน และนำไปเก็บไว้ที่ห้องสมุด เมืองนิเนเวห์ ซึ่งถือว่าเป็นห้องสมุดที่มีการจัดเก็บหนังสืออย่างเป็นระบบหรือมีการนำ เครื่องหมายกำกับเรียงไว้เป็นหมวดหมู่ ดังนั้นจึงนับเป็นรากฐานของการจัดระบบหนังสือของห้องสมุดในปัจจุบัน

6.    ข้อใดเป็นสื่อที่ชนชาติกรีกใช้บันทึกข่าวสารความรู้

(1)   แผ่นหิน   

(2) แผ่นบรอนซ์

(3) แผ่นหนังสัตว์     

(4) แผ่นดินเหนียว

ตอบ 3 หน้า 9 ชาวกรีกโบราณได้นำแผ่นหนังสัตว์ฟอกมาใช้บันทึกเรื่องราวต่าง ๆ แทนแผ่นดินเหนียว กระดาษปาไปรัส แผ่นไม้ แผ่นหิน แผ่นบรอนซ์ ฯลฯ ซึ่งแผ่นหนังสัตว์เหล่านี้เมื่อนำมาเย็บรวมกันเป็นเล่มจะเรียกว่า “โคเด็กซ์” (Codexหรือหนังสือแผ่นหนังสัตว์ ซึ่งถือเป็นต้นแบบ ของการเย็บเล่มหนังสือในปัจจุบัน โดยห้องสมุดที่รวบรวมแผ่นหนังที่สำคัญคือ ห้องสมุด เปอร์กามัมของกรีก

7.    หอพระไตรปิฎกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์คือข้อใด

(1)   หอพระมณเฑียรธรรม

(2) หอพุทธสาสนสังคหะ

(3) หอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร   

(4) หอพระสมุดวชิรญาณ

ตอบ 1 หน้า 11 ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ได้เริ่มมีการสังคายนาพระไตรปิฎก หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1)โปรดเกล้าฯให้สร้าง “หอพระมณเฑียรธรรม” ในปี พ.ศ. 2326 ซึ่งเป็นหอพระไตรปิฎกหรือห้องสมุดวัดที่ตั้งอยู่ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) เพื่อประดิษฐานพระไตรปิฎกหลวงและหนังสือจำนวนมาก ดังนั้นจึงถือเป็น หอสมุดพุทธศาสนาของหลวงหลังแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

8.    “หอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร” เปลี่ยนชื่อมาเป็น “หอสมุดแห่งชาติ” ในรัชสมัยใด

(1)   รัชกาลที่ 9      

(2) รัชกาลที่ 8 

(3) รัชกาลที่ 7 

(4) รัชกาลที่ 6

ตอบ3 หน้า 12(15 103 เลขพิมพ์ 53345 หน้า 10) ในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้รวมหอพระมณเฑียรธรรม หอพุทธสาสนสังคหะ และหอพระสมุดวชิรญาณเข้าด้วยกัน จากนั้น จึงสร้างเป็นห้องสมุดแห่งใหม่ในพระบรมมหาราชวังชื่อว่า “หอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร” ซื่งถือเป็นรากฐานของหอสมุดแห่งชาติในปัจจุบัน ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 โปรดเกล้าฯ ให้ย้าย มาอยู่ที่ตึกถาวรวัตถุนอกพระบรมมหาราชวัง จนกระทั่งในสมัยรัชกาลที่ 7 ได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็น “หอสมุดแห่งชาติ’’ และใช้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

9.    ข้อใดไม่ใช่ความสำคัญของห้องสมุด

(1)   ให้โอกาสแก่ทุกคนเลือกอ่านหนังสือได้โดยอิสระตามความสนใจของแต่ละบุคคล

(2)   สนับสนุนความเป็นประชาธิปไตย ทุกคนสามารถเข้าถึงแหล่งสารสนเทศได้ตามที่ต้องการ

(3)   เป็นสถานที่รวมของทรัพยากรสารสนเทศต่าง ๆ ที่ผู้ใช้สามารถค้นคว้าหาความรู้ทุกสาขาวิชา

(4)   ช่วยปลูกฝังนิสัยรักการอ่านรักการค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง รู้จักใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

ตอบ 2 หน้า 21 – 22(คำบรรยาย) บทบาทและความสำคัญของห้องสมุด มีดังนี้

1.    เป็นสถานที่รวบรวมทรัพยากรสารสนเทศต่าง ๆ ที่ผู้ใช้สามารถคันคว้าหาความรู้ทุกสาขาวิชา

2.    ส่งเสริมการศึกษาคันคว้าวิจัยทั้งในและนอกระบบการศึกษา นั่นคือ ให้โอกาสแก่ทุกคน ในการเลือกอ่านหนังสือเพื่อศึกษาหาความรู้ได้ด้วยตนเองอย่างอิสระ ตามความสนใจของแต่ละบุคคล

3.    ปลูกฝังนิสัยรักการอ่านและการเรียนรู้ตลอดชีวิต

4. ส่งเสริมการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

5. ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย นั่นคือ ให้ผู้ใช้รู้จักหน้าที่และสิทธิของพลเมืองในการดูแลรักษาและปฏิบัติตามระเบียบของห้องสมุด เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ฯลฯ

10.  ต้องภารค้นหาและตรวจสอบทรัพยากรสารสนเทศจากสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง ท่านสามารถเข้าใช้ผ่านทางข้อใด

(1)   www.google.co.th

(2) INNOPAC

(3) www.ru.ac.th   

(4) RAMLINET

ตอบ 4 หน้า 12 – 132729 ระบบห้องสมุดอัตโนมัติ (Automatic Library Systemคือ การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการดำเนินงานของห้องสมุด เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสืบค้น และเข้าถึงสารสนเทศได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ซึ่งสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้พัฒนาห้องสมุดให้เป็นระบบเครือข่ายห้องสมุดอัตโนมัติเรียกว่า “RAMLINET

11.  ข้อใดไม่ใช่ลักษณะแสดงความเป็นห้องสมุดสมัยใหม่

(1)   ใช้โปรแกรมที่พัฒนาขึ้นเองในงานจัดหาและงานวิเคราะห์ทรัพยากรสารสนเทศ

(2)   นำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้องในการดำเนินงานของห้องสมุด

(3) นำเทคโนโลยีการสื่อสารมาใช้ในกระบวนการทำงานและการบริการผู้ใช้

(4)   มีทรัพยากรที่เป็นข้อมูลอยู่ในรูปแบบดิจิตอลจัดเก็บข้อมูลไว้ในระบบฐานข้อมูล

ตอบ 3 หน้า 3111342 – 47 ลักษณะของห้องสมุดสมัยใหม่ในปัจจุบัน มีดังนี้

1.    ทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุดจะอยู่ในรูปแบบดิจิตอลหรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีการจัดเก็บไว้ในระบบฐานข้อมูล

2.    มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งประกอบด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี การสื่อสารเข้ามาใช้ในการดำเนินงานของห้องสมุด และอำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการ สืบค้นและเข้าถึงสารสนเทศได้อย่างสะดวกรวดเร็ว

3.    มีการใช้ทั้งซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ประยุกต์ในการดำเนินงานของห้องสมุด

12.  ข้อใดคือจุดมุ่งหมายของห้องสมุดมหาวิทยาลัย

(1)   ส่งเสริมการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ ข่วยสร้างเสริมนิสัยรักการอ่าน และการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง

(2)   ให้บริการแก่ผู้ใช้ เป็นแหล่งค้นคว้าข้อมูลเพื่อนำไปใช้ปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

(3)   ให้บริการทรัพยากรสารสนเทศแก่ผู้ใช้ไม่จำกัดระดับวัย เป็นการส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองตลอดชีวิต

(4) ให้บริการทางวิชาการและทรัพยากรสารสนเทศที่สอดคล้องกับหลักสูตรการสอน การค้นคว้า การวิจัย และกิจกรรมต่าง ๆ ของสถาบัน

ตอบ 4 หน้า 26(IS 103 เลขพิมพ์ 53345 หน้า 33 – 34) บทบาทหน้าที่หลักของห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาหรือห้องสมุดวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยคือ การส่งเสริมการเรียนการสอน และการค้นคว้าวิจัยในสาขาวิชาต่าง ๆ อย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง นั่นคือ หน้าที่ในการจัดหา จัดเก็บ และบริการทรัพยากรสารสนเทศทางวิชาการทั้งที่เป็นสิ่งตีพิมพ์และไม่ตีพิมพ์ใน สาขาวิชาต่าง ๆ ที่มีการเรียนรู้ตามหลักสูตรการสอนในสถาบันการศึกษา ซึ่งจะเป็นประโยชน์ ต่อการศึกษาค้นคว้าและวิจัยของนักศึกษาและอาจารย์

13. ห้องสมุดเฉลิมราชกุมารี จัดเป็นห้องสมุดประเภทใด

(1) ห้องสมุดประชาชน

(2) หอสมุดแห่งชาติ 

(3) ห้องสมุดประจำท้องถิ่น 

(4) ห้องสมุดโรงเรียน

ตอบ 1 หน้า 23 – 24 ห้องสมุดประชาชน คือ สถาบันบริการสารสนเทศที่มีหน้าที่จัดหาสื่อความรู้พื้นฐานต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับประชาชนทั่วไปทุกวัย โดยไม่คิดค่าบริการ ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ การศึกษานอกระบบโรงเรียน ส่งเสริมการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองตลอดชีวิต ส่งเสริมการรักการอ่าน ส่งเสริมการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ส่งเสริมและเผยแพร่ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมท้องถิ่น ฯลฯ ตัวอย่างของห้องสมุดประชาชน เช่น ห้องสมุดประชาชนเฉลิมราชกุมารี ห้องสมุดธนาคารศรีนคร ห้องสมุดนีลสัน เฮย์ เป็นต้น

14.  หน่วยงานใดมีหน้าที่กำหนดเลขสากลประจำหนังสือ (ISBNให้กับสิ่งพิมพ์ที่ผลิตในประเทศไทย

(1) ศูนย์เอกสารแห่งประเทศไทย

(2) หอสมุดแห่งชาติ

(3) ศูนย์บริการสารสนเทศทางเทคโนโลยี   

(4) หอจดหมายเหตุ

ตอบ 2 หน้า 24 – 25(คำบรรยาย) หอสมุดแห่งชาติมีหน้าที่สำคัญ ดังนี้

1.    เป็นศูนย์กลางในการเก็บรวบรวม สงวนรักษา จัดระบบ และให้บริการมรดกทางศิลปะและวัฒนธรรมของชาติทุกรูปแบบ เช่น ต้นฉบับเพลงไทยและเพลงสากล ตัวพิมพ์ วัสดุไม่ตีพิมพ์ ฯลฯ

2.    เผยแพร่และบริการสารสนเทศที่ได้รวบรวมไว้แก่นักเรียน นักศึกษา นักวิจัย และบุคคลทั่วไป

3.    เป็นศูนย์ข้อมูลและกำหนดหมายเลข ISSN และ ISBN

4.    รับมอบสิ่งพิมพ์ทุกเล่มที่จัดพิมพ์ขึ้นภายในประเทศ เพื่อประโยชน์ในการค้นคว้าวิจัย

5.    รวบรวมและจัดพิมพ์บรรณานุกรมแห่งชาติ

6.    สงวนรักษาสื่อความรู้และความคิดของคนในชาติ เพื่อเป็นมรดกของชาติ

15.  ข้อใดคือเครือข่ายระบบห้องสมุดอัตโนมัติ สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง

(1) RU LIBNET      

(2) RU LINET 

(3) RAM LI NET    

(4) RAM LIBNET

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 10. ประกอบ

16.  ข้อใดเป็นระบบที่ใช้เพื่อการสืบค้นทรัพยากรสารสนเทศของสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง

(1) OPAC (Online Publisher Assess Catalog)

(2) OPAC (Online Public Access Catalog)

(3)   OPAC (Online People Access Catalog)    

(4) OPAC (Online Power Access Catalog)

ตอบ 2 หน้า 29219227 – 228288 เครื่องมือช่วยค้นหาข้อมูลของสำนักหอสมุดกลางมหาวิทยาลัยรามคำแหง จะใช้ระบบสืบค้นข้อมูลที่เรียกว่า “OPAC” (Online Public Access Catalogซึ่งเป็นระบบสืบค้นรายการหนังสือหรือทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุดในรูปแบบรายการออนไลน์ (Online Catalogจากฐานข้อมูลในรูปที่อ่านได้ด้วยคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ผู้ใช้สามารถเรียกดูข้อมูลได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์โดยเลือกใช้คำสั่งจากเมนูหลักที่กำหนดไว้ในปัจจุบันผู้ใช้บริการสำนักหอสมุดกลางๆ สามารถค้นหารายการหนังสือจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ในห้องสมุดผ่านระบบ OPAC โดย Telnet ไปยัง www.library.lib.ru.ac.th และ login : library หรือสืบค้นผ่าน WebOPAC โดยพิมพ์ข้อมูล www.lib.ru.ac.th จากนั้นรายละเอียดทางบรรณานุกรมก็จะปรากฏบนจอภาพ

17.  อยากทราบรายชื่อหนังสือใหม่ของสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง จะดูได้จากที่ใดบน Web page ของสำนักหอสมุดกลางฯ   

(1) Favourite Links

(2)   Reference Services     

(3) Library Services     

(4) About Library

ตอบ 3 หน้า 30 – 32 หากผู้ใช้บริการต้องการทราบรายชื่อหนังสือใหม่ (ประจำเดือน) จากเว็บไซต์ของสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง สามารถทำได้โดยเข้าไปสืบค้นสารสนเทศผ่านระบบ WebOPAC ด้วยการพิมพ์ชื่อเว็บไซต์คือ http://www.lib.ru.ac.th จากนั้นผู้ใช้จะเข้าสู่หน้าจอ Home Page ของสำนักหอสมุดกลางฯแล้วให้คลิกเลือกเมนู Library Services ซึ่งเป็นบริการ ประเภทต่าง ๆ ของสำนักหอสมุดกลางฯ ก็จะสามารถเข้าไปดูรายชื่อหนังสือใหม่ (ประจำเดือน)ได้

18.  ข้อใดคือความหมายของห้องสมุดดิจิตอล (Digital Libraries)

(1)   ห้องสมุดที่มีการจัดการทรัพยากรสารสนเทศจากสื่อชนิดต่าง ๆ ให้อยู่ในรูปของอิเลกทรอนิกส์

(2)   ห้องสมุดที่แปลงรูปสารสนเทศ มีเฉพาะ eBook, eJournal, eNewspaper และ e– Document

(3)   แหล่งรวบรวมและให้การส่งเสริมทรัพยากรสารสนเทศที่มีรูปแบบเป็นดิจิตอลและสื่อประสม

(4)   แหล่งสารสนเทศที่มีการจัดการด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและเทคโนโลยีการสื่อสาร

ตอบ 1 หน้า 42 – 57(คำบรรยาย) ห้องสมุดดิจิตอล (Digital Librariesหมายถึง ห้องสมุดที่มีการจัดการทรัพยากรสารสนเทศจากสื่อชนิดต่างๆ ให้อยู่ในรูปดิจิตอลหรือเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ที่มีการนำเสนอในรูปของสื่อผสม (Multimediaทั้งนี้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงหรือสืบค้นสารสนเทศ ได้ด้วยการเชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์ (ISP) นอกจากนี้ขอบเขตของห้องสมุดดิจิตอลยังอาจกว้างไกลไปถึงแหล่งสะสมสารสนเทศที่สามารถ เชื่อมโยงถึงกันได้ในลักษณะของเครือข่ายใยแมงมุม (WWWโดยไม่ต้องคำนึงถึงสื่อในรูปลักษณ์ ต่างๆ ซึ่งเป็นที่มาของข้อมูลหรือสารสนเทศเหล่านั้นก็ได้

19.  ข้อใดไม่ใช่ข้อดีของห้องสมุดดิจิตอล

(1)   ช่วยเพิ่มความสามารถในการค้นคืนสารสนเทศในลักษณะของเอกสารฉบับเต็มและเมต้าดาต้า

(2)   เพิ่มความสามารถในการจัดส่งเอกสารทั้งในด้านรูบแบบและความเร็วในการจัดส่งเอกสาร

(3)   ช่วยให้สามารถเข้าถึงเนื้อหาของทรัพยากรสารสนเทศทุกประเภทได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

(4)   ผู้ใช้สามารถเลือกรูปแบบการจัดส่งเอกสารดิจิตอลได้หลายวิธีและลดขนาดพื้นที่ในการจัดเก็บ

ตอบ 2 หน้า 43(คำบรรยาย) ข้อดีของห้องสมุดดิจิตอล มีดังนี้

1.    ค้นคืนสารสนเทศได้จากที่ห่างไกลทุกมุมโลก

2.    เข้าถึงสารสนเทศได้อย่างสะดวกรวดเร็วผ่านผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิชย์หรือเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

3.    สืบค้นสารสนเทศได้หลายรูปแบบ เช่น เอกสารฉบับเต็ม (Fulltext)สื่อผสม (Multimedia)เมต้าดาต้า ฯลฯ

4.    สามารถใช้บริการจัดส่งเอกสารดิจิตอลแบบออนไลน์

5. ลดพื้นที่ในการจัดเก็บเอกสาร

6. สามารถพิมพ์สำเนาได้ตามที่ต้องการ

20.  ข้อใดเป็นกระบวบการของการรวบรวมและการสืบค้นสารสนเทศในรูปของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ จากห้องสมุดดิจิตอล

(1)   สืบค้นโดยผ่านเซิร์ฟเวอร์ของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยการระบุที่อยู่ของเว็บหรือที่เรียกว่า URL Address

(2)   สืบค้นโดยการกำหนดคำค้นหรือที่เรียกว่า Keyword ตามความต้องการของผู้ใช้สารสนเทศเอง

(3)   สืบค้นโดยการให้หัวข้อเรื่องที่ต้องการหรือที่เรียกว่า Subject Heading ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญ

(4)   สืบค้นโดยผ่านรายการออนไลน์หรือที่เรียกว่า WebOPAC เพื่อให้ได้รายการทรัพยากรสารสนเทศ

ตอบ 1 หน้า 45 ห้องสมุดดิจิตอลมีกระบวนการเก็บรวบรวมและสืบค้นสารสนเทศอิเล็กทรอนิกส์บนเครือข่ายใยแมงมุม (WWWหรือเว็บไซต์ กล่าวคือ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงหรือสืบค้นสารสนเทศ ในรูปของเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ได้โดยผ่านเซิร์ฟเวอร์ของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยระบุที่อยู่ของเว็บไซต์หรือตำแหน่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตที่เรียกว่า “URL Address” (Uniform Resource Locationทั้งนี้สารสนเทศที่ปรากฏบนหน้าจอแรกของเว็บจะเรียกว่า “โฮมเพจ” (Home Pageซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกรายการที่ต้องการค้นคว้าต่อไปได้

21.  รายการ“http://www.lib.ru.ac.th/service/interUbrary_loan” เกี่ยวข้องกับข้อใดมากที่สุด

(1) การถ่ายโอนสารสนเทศแก่ผู้ขอรับบริการ     

(2) การใข้บริการรมระหว่างห้องสมุด

(3)   การเข้าถึงข้อมูลทรัพยากรสารสนเทศ 

(4) การให้บริการช่วยเหลือผู้ใช้ห้องสมุด

ตอบ 2 (คำบรรยาย) บริการยืมระหว่างห้องสมุด (Interlibrary Loan Serviceเป็นบริการที่สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหงจัดขึ้น เพื่อช่วยให้ผู้ใช้บริการได้รับเอกสารสิ่งพิมพ์ที่ต้องการจากห้องสมุดหรือศูนย์สารนิเทศทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยผู้ใช้สามารถ เข้าไปศูรายละเอียดในการขอยืมผานระบบ WebOPAC ที่เว็บไซต์ http://www.lib.ru.ac.th แล้วคลืกเลือกเมนู Services ไปที่ Library Services ก็จะพบการให้บริการยืมระหว่างห้องสมุด ดังรายการที่ให้มาข้างต้น

22. อินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นเพื่อจุดประสงค์ใดมากที่สุด     

(1) การทหารและการวิจัย

(2) การพาณิชย์และการขนส่ง   

(3) การศึกษาและวิทยาศาสตร์  

(4) การปกครองและกฎหมาย

ดอน 1 หน้า 47 – 48. (คำบรรยาย) ในปี พ.ศ. 2512กระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาได้ให้ทุนสนับสมุนโครงการพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งเริ่มแรกนั้นได้มีการจัดตั้งเครือข่ายอาร์พาเน็ต (ARPAnetขึ้น เพื่อใช้ในการสื่อสารข้อมูลทางการทหารในช่วงสงครามเย็น และเพื่อเชื่อมโยง คอมพิวเตอร์ของหนวยงานในมหาวิทยาลัย 4 แห่ง ซึ่งเป็นประโยขนํสำหรับงานวิจัย จนกระทั่ง ในปี พ.ศ. 2526 จึงพัฒนามาเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และในปัจจุบันก็ได้มีการนำอินเทอร์เน็ต มาใช้งานในเชิงพาณิชย์มากขึ้น

23.  ข้อใดใช้สำหรับกำหนดตำแหน่งหรือที่อยู่ของเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

(1) URL : Uniform Resource Location

(2) IP : Internet Protocol Address

(3) TCP Transmission Control Protocol  

(4) DNS : Domain Name Server

ตอบ 2 (คำบรรยาย) IP (Internet Protocol Addressคือ หมายเลขประจำตัวของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต ซึ่ง IP Address ประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุดที่คั่นด้วย เครื่องหมายจุด เช่น 203.144.44.0 เพื่อกำหนดตำแหน่งหรือที่อยู่ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทุกเครื่องบนเครือข่ายอินเทอร์เนิต ทั้งนี้เลข IP ของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะต้องไม่ซํ้ากัน

24.  บริษัท 3BB, TOT และ True เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตในข้อใดมากที่สุด

(1)   ช่วยผู้ใช้เชื่อมต่อเครื่องเข้ากับอินเทอร์เน็ต  

(2) ควบคุมการส่งแฟ้มข้อมูล

(3) สนับสนุนใช้เทคโนโลยีลารสนเทศระยะไกล   

(4) กำหนดตำแหน่งข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต

ตอบ 1 หน้า 49 ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตเชิงพาณิซย์ (Internet Service Provider : ISPคือ บริษัทเอกชนที่ให้บริการเชื่อมต่อผู้ใช้เข้ากับอินเทอร์เน็ต โดยมีรูปแบบและราคาที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ผู้ใช้บริการสามารถเลือกซื้อบริการได้เป็นรายชั่วโมง โดยมีการเก็บค่าใช้จ่ายตามจำนวนครั้ง ที่เชื่อมต่อและเวลาที่ใช้งานจริง หรืออาจจ่ายเป็นรายเดือนก็ได้ ซึ่งบริษัทที่ให้บริการอินเทอร์เน็ต เช่น บริษัท True Corporation (Truewifi True Internet), Loxinfo, Samart, 3BB, ANET, TOT, TT&T, Idea Net, Internet Thailand เป็นต้น

25.  ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการบริการบนอินเทอร์เน็ต

(1)   การโอนถ่ายข้อมูล (File Transfer Protocol)

(2)   บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (eCommerce)

(3)   การแลกเปลี่ยนความรู้และการเรียนรู้ (Usernet)

(4)   ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (eMail)

ตอบ 3 หน้า 50 – 55 การบริการบนอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ได้แก่

1.    บริการถ่ายโอนแฟ้มข้อมูล (File Transfer ProtocolFTP)

2.    บริการขอใข้คอมพิวเตอร์ระยะไกล (Telnet)

3.    บริการสนทนาผ่านเครือข่ายหรือแชท (Chat)

4.    บอร์ดแสดงความคิดเห็นหริอเว็บบอร์ด (Web board)

5.    บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (eMail)

6.    บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (eCommerce)

7.    บริการเว็บไซต์ (Websiteหรือเครือข่ายใยแมงมุม (WWW)

26.  Internet Explorer เกี่ยวข้องกับข้อใดมากที่สุด

(1) Web browser เพื่อเชื่อมโยงการสื่อสาร     

(2) โปรแกรมช่วยงานการตอบคำถาม

(3) Software สำหรับการแสดงผลข้อมูล   

(4) ระบบปฏิบัติการเก็บข้อมูล

ตอบ 1 หน้า 4655(คำบรรยาย) Web browser คือ โปรแกรมดูเอกสารบน WWWโดยเว็บเบราเซอร์ สามารถใช้เปิดเอกสารไฮเปอร์เท็กซ์ หรือเปิดดูสื่อต่าง ๆ ที่ประกอบด้วยภาพและเสียง รวมทั้ง สามารถเชื่อมโยงการสื่อสารให้เข้าถถึงสารสนเทศบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่อยู่บนอินเทอร์เบ็ตได้ ตัวอย่างของ Web browser เช่น Internet Explorer, Netscape Navigator เป็นต้น

27.  “365 ปาฏิหาริย์แห่งการขอบคุณ” จัดเป็นทรัพยากรสารสนเทศประเภทใด

(1) หนังสือสารคดี    

(2) หนังสือบันเทิงคดี

(3) หนังสืออ้างอิง     

(4) หนังสือคำสอนทางศาสนา

ตอบ2 หน้า 70 หนังสือบันเทิงคดี (Fictionหมายถึง หนังสือที่เขียนขึ้นจากจินตนาการหรือประสบการณ์ของผู้แต่ง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้อ่านได้รับความเพลิดเพลินและข้อคิดคติชีวิต ในแง่มุมต่าง ๆ ได้แก่ นวนิยาย เรื่องสั้น และกวีนิพนธ์ เช่น “365 ปาฏิหาริย์แห่งการขอบคุณ” เป็นหนังสือที่เขียนขึ้นจากประสบการณ์จริงของผู้แต่ง คือ จอห์น คราลิค เพื่อเป็นแรงบันดาลใจ ให้กับผู้ที่รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังให้พบแสงสว่างในชีวิตเช่นเดียวกับผู้แต่ง

28.  ส่วนใดแสดงเค้าโครงการนำเสนอเนื้อเรื่องของหนังสือ

(1)   หน้าปกใน

(2) บทนำ

(3) บรรณานุกรม     

(4) สารบัญ

ตอบ 2 หน้า 79 หน้าบทนำ (Introductionเป็นส่วนที่ผู้เขียนหนังสือนำเข้าสู่เนื้อเรื่อง โดยให้ข้อมูล เพื่อปูพื้นความเข้าใจเนื้อหาของหนังสือ อาจกล่าวถึงประวัติ ความหมาย และรายละเอียดอื่นๆ ที่เป็นใจความสำคัญของเรื่องและการจัดลำดับเนื้อหาในตัวเล่ม ทั้งนี้หนังสือบางเล่มอาจไม่มีส่วนที่เป็นบทนำ แต่จะนำไปรวมเขียนไว้กับสวนที่เป็นคำนำ

29.  ส่วนใดของหนังสือพิมพ์ที่ช่วยสร้างความเข้าใจเรื่องราวของข่าวได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น

(1) โปรยข่าว   

(2) ภาพถ่าย   

(3) พาดหัวข่าว

(4) ความนำ

ตอบ 2 หน้า 82 ส่วนประกอบที่สำคัญของหนังสือพิมพ์มี 3 ส่วนได้แก่

1.    พาดหัวข่าว (Headlineเป็นอักษรตัวดำหนาขนาดใหญ่ที่อยู่ส่วนบนสุดของหน้ากระดาษ มักเป็นข้อความสั้นๆ ที่สรุปสาระสำคัญที่มีอยู่ในเนื้อข่าว และถือว่าเป็นส่วนที่สะดุดตาผู้อ่าน และจูงใจผู้อ่านให้อยากรู้ว่ามีรายละเอียดอะไรบ้าง

2.    ความนำ (Leadอาจเรียกว่า วรรคนำหรือโปรยข่าว เป็นย่อหน้าแรกของข่าวแต่ละข่าว มักเป็นประโยคสั้น ๆ กะทัดรัด ชัดเจน เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้อ่านให้ติดตามอ่านข่าวนั้น ตลอดทั้งเรื่อง

3.    ภาพถ่าย (Photographsเป็นส่วนประกอบที่น่าสนใจและสำคัญที่สุดของหนังสือพิมพ์ เนื่องจากสามารถดึงดูดความสนใจของผู้อ่านได้เป็นอย่างดี ช่วยจัดหน้าหนังสือพิมพ์ ให้น่าอ่าน และช่วยสร้างความเข้าใจเรื่องราวของข่าวได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น

30.  ข้อใดเป็นทรัพยากรสารสนเทศที่ได้มาจากการตัดบทความที่น่าสนใจจากหนังสือพิมพ์หรือนิตยสาร

(1) กฤตภาค   

(2) รูปภาพ     

(3) จุลสาร

(4) แผ่นพับ

ตอบ 1 หน้า 83200 กฤตภาค (Clippingเป็นบทความที่น่าสนใจ เหตุการณ์สำคัญ หรือเรื่องราว ต่าง ๆ ที่บรรณารักษ์เลือกตัดมาจากนิตยสาร หนังสือพิมพ์ หรือวารสาร แล้วนำมาผนึกติดกับกระดาษแข็งที่มีขนาดเท่า ๆ กัน โดยประโยชน์ของกฤตภาคคือ จะให้สารสนเทศใหม่ๆ ที่ไม่อาจ พบได้ในหนังสือทั่วไป และใช้เป็นส่วนเสริมเนื้อหาความรู้จากหนังสือให้ทันสมัย ซึ่งวิธีการจัดเก็บ กฤตภาคอาจใช้วิธีจัดเก็บเดียวกับจุลสาร นั่นคือ จัดเก็บโดยกำหนดหัวเรื่อง แล้วนำหัวเรื่อง เดียวกันเก็บใส่แฟ้ม ปิดป้ายชื่อหัวเรื่องที่แฟ้ม จากนั้นนำไปเก็บไว้ในตู้เก็บเอกสารเรียงตาม ลำดับอักษรหัวเรื่อง

31.  ข้อใดเป็นหน้าสำคัญที่สุดของหนังสือ ใช้ประโยชน์ในการทำบันทึกหลักฐานประกอบการค้นคว้าที่บอกรายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้น ๆ อย่างสมบูรณ์

(1)   หน้าชื่อเรื่อง     

(2) หน้าปกใน  

(3) หน้าลิขสิทธิ์

(4) หน้าบรรณานุกรม

ตอบ 2 หน้า 73 – 75 หน้าปกใน (Title Pageเป็นส่วนประกอบที่มีความสำคัญที่สุดของหนังสือ เพราะให้รายละเอียดทางบรรณานุกรมเกี่ยวกับหนังสือเล่มนั้น ๆ อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ได้แก่ ชื่อเรื่อง ชื่อรองหรือสวนขยายชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง ครั้งที่พิมพ์หรือฉบับพิมพ์ และลักษณะของ การพิมพ์ (สถานที่พิมพ์ สำนักพิมพ์ และปีที่พิมพ์)

32. ส่วนใดของหนังสือที่เป็นบัญชีคำ จัดเรียงตามลำดับอักษรพร้อมระบุเลขหน้าที่คำนั้นๆ ปรากฏอยู่

(1)   อภิธานศัพท์    

(2) เชิงอรรถ    

(3) ดรรชนี      

(4) สารบัญ

ตอบ 3 หน้า 81 ดรรชนี (Indexเป็นบัญชีคำหรือหัวข้อเรื่องย่อย ๆ ที่ปรากฏในหนังสือ โดยมีการจัดเรียงคำตามลำดับอักษรพร้อมระบุเลขหน้าที่คำหรือข้อความนั้นปรากฏอยู่ โดยทั่วไป ดรรชนีมักอยู่ท้ายเล่มของหนังสือ นอกจากหนังสือบางประเภท เช่น สารานุกรม จะมีดรรชนี แยกเป็นอีกเล่มหนึ่งต่างหาก ทั้งนี้ดรรชนีจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้อ่านค้นหาเรื่องที่ต้องการ ได้อย่างสะดวกรวดเร็วว่าอยู่ที่หน้าใดของหนังสือ

33.  ข้อใดเป็นส่วนที่เพิ่มเติมจากเนื้อเรื่องซึ่งไม่สามารถที่จะนำไปเขียนไว้ในเนื้อเรื่องได้ เนื่องจากจะทำให้เนื้อหาขาดตอน แต่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องซึ่งผู้อานควรจะได้ทราบ

(1)   บรรณานุกรม   

(2) ดรรชนี      

(3) อภิธานศัพท์

(4) ภาคผนวก

ตอบ 4 หน้า 80338 ภาคผนวก (Appendixเป็นส่วนที่จัดไว้ท้ายเล่มของหนังสือหรืออยู่ในตอนท้ายของรายงาน เพื่อให้รายละเอียดเพิ่มเติมนอกเหนือจากส่วนที่เป็นเนื้อเรื่อง เช่น ตาราง แผนภูมิ แบบสอบถาม แผนสถิติ ภาพหรือข้อมูลที่ช่วยเสริมเนื้อหาบางตอนของหนังสือหรือรายงานให้สมบูรณ์และทันสมัยขึ้น

34.  ข้อใดไม่ใช่ความหมายของหนังสืออ้างอิง

(1)   แหล่งสรรพความรู้มีเนื้อหาหลายประเภทหลายสาชาวิชา

(2)   รวมความรู้จัดเรียงเนื้อหาอย่างเป็นระบบตามลักษณะของความรู้พื้นฐาน

(3)   ใช้ประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าสารสนเทศเบื้องต้น มีรูปเล่มใหญ่เป็นพิเศษ

(4)   รวบรวมข้อเท็จจริงและความรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือสาขาวิชาใดวิชาหนึ่ง

ตอบ 3 หน้า 70114 – 115 หนังสืออ้างอิง เป็นหนังสือที่จัดทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อใช้ค้นคว้าหาสารสนเทศหรือข้อเท็จจริงบางประการ หรือหาคำตอบเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากกว่าที่จะใช้อ่านตลอดทั้งเล่ม จึงเป็นหนังสือที่มีขอบเขตควาวรู้กว้างขวางในทุกแขนงวิชา มีการจัดเรียง เนื้อหาไว้อย่างเป็นระบบตามลักษณะของความรู้พื้นฐาน จัดทำขึ้นโดยผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญ ในสาชาวิชานั้น ๆโดยเฉพาะ และเป็นหนังสือที่ไม่สามารถยืมออกนอกห้องสมุดได้ โดยทั่วไป จะมีการจัดทำรูปเล่มของหนังสือด้วยความนประณีต ใช้กระดาษพิมพ์ที่มีคุณภาพดี และมักมีรูปภาพประกอบสวยงาม

35.  ข้อใดคือความหมายของคำนำทาง (Guide Word)

(1)   อักษรที่เจาะริมหน้ากระดาษหรือพิมพ์ไว้ที่สันหนังสือ

(2)   คำที่ปรากฏอยู่กลางหน้าของพจนานุกรมหรือสารานุกรม

(3)   คำที่ปรากฎอยู่ที่ส่วนบนสุดทางซ้ายและขวามือแต่ละหน้า

(4)   ส่วนที่ชี้แนะให้ไปอ่านเรื่องที่ต้องการจากรายการอื่นที่เกี่ยวข้อง

ตอบ 2 หน้า 115 คำนำทาง (Guide Word/Running Wordคือ คำหรืออักษรที่ปรากฏอยู่ตรงกลาง หน้ากระดาษหรืออยู่มุมหน้ากระดาษทุกหน้า โดยเฉพาะหนังสือประเภทพจนานุกรมและ สารานุกรม เพื่อบอกให้ทราบว่าในหน้านั้น ๆ ขึ้นต้นด้วยอักษรตั้งแต่ตัวใดถึงตัวใด

36.  ข้อใดให้คำเต็มของตัวย่อ “ASEAN

(1) สารานุกรม 

(2) พจนานุกรม

(3) นามานุกรม

(4) บรรณานุกรม

ตอบ 2 หน้า 117 – 118120 พจนานุกรม (Dictionaryคือ หนังสือที่รวมคำในภาษา มีการเรียง ตามลำดับอักษร ให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวสะกด วิธีการออกเสียง ชนิดของคำ ให้ความหมาย ของคำ วิธีใช้คำ คำสแลง คำที่มีความหมายเหมือนกัน คำตรงกันข้าม บางเล่มมีการให้ประวัติ ของคำ ชีวประวัติของบุคคล หรือสถานที่สำคัญ พร้อมภาพประกอบ เช่น Webster’s Third New International Dictionary of the English Language เป็นพจนานุกรมฉบับสมบูรณ์ เล่มแรกของสหรัฐอเมริกาที่รวบรวมคำศัพท์ซึ่งใช้อยู่ในปัจจุบันทั้งที่เป็นภาษาเขียน ภาษาพูด คำเก่าที่ล้าสมัย และคำย่อสำคัญๆ เป็นต้น

37.  ข้อใดให้สารสนเทศเกี่ยวกับ “ฉนวนกาซา (Gaza Strip)”

(1)   พจนานุกรม     

(2) หนังสือแผนที่     

(3) หนังสือนำเที่ยว

(4) สารานุกรม

ตอบ 2 หน้า 148151 – 152 หนังสือแผนที่ (Atlas หรือ Mapใช้เป็นคู่มือในการค้นข้อมูลทาง ภูมิศาสตร์เกี่ยวกับอาณาเขต สถานที่ตั้ง จำนวนผลิตผล สภาพภูมิอากาศและภูมิประเทศ จำนวนประชากร และรายละเอียดอื่นๆ ของประเทศหรือเมืองนั้น ๆ ซึ่งลักษณะเฉพาะของหนังสือแผนที่ก็คือ แสดงรายละเอียดทางภูมิศาสตร์โดยใช้ภาพลายเส้น เครื่องหมาย หรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ แทนคำอธิบายที่เป็นตัวอักษร พร้อมกับระบุมาตราส่วนที่ใช้ด้วย

38.  ข้อใดใช้เป็นมาตรฐานของการเขียนและการใช้คำในภาษาไทยในปัจจุบัน

(1)   พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525

(2)   พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542

(3)   พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554

(4)   พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2556

ตอบ 3 หน้า 118 – 119(คำบรรยาย) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ถือเป็นฉบับปรับปรุงใหม่ล่าสุดที่ออกเผยแพร่แทบฉบับ พ.ศ. 2542 ด้งนั้นจึงนับเป็นพจนานุกรมฉบับสมบูรณ์ และทันสมัยที่สุดของประเทศไทยที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งใช้เป็นแบบฉบับหรือมาตรฐานในการเขียนหนังสือและการใช้คำในภาษาไทย โดยจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับคำอย่างสมบูรณ์ เช่น ตัวสะกดที่ถูกต้อง การอ่าน ออกเสียงคำยาก ชนิดของคำ ความหมายของคำ ประวัติหรือ ที่มาของคำ คำตรงกันข้ามหรือคำคู่ และวิธีใช้คำ

39.  อยากทราบใครเป็น “ประธานาธิบดีที่จนที่สุดในโลก” จะหาสารสนเทศได้จากข้อใด

(1)   Who is who in the World   

(2) Facts of the World

(3) Guinness Book of World Records

14) World Almanac

ตอบ 3 หน้า 141 The Guinness Book of World Records เป็นหนังสือคู่มือทั่วไปที่รวบรวมเรื่องราว ที่สนองความใคร่รู้ในเรื่องของความเป็นที่สุดในโลก เช่น ใหญ่ที่สุด เล็กที่สุด สูงที่สุด เตี้ยที่สุด ยาวที่สุด จนที่สุด ฯลฯ โดยแบ่งข้อมูลออกเป็นหัวเรื่องกว้าง ๆ พร้อมให้คำอธิบายข้อเท็จจริง อย่างสั้นๆ มีรูปภาพสีและขาวดำประกอบเป็นจำนวนมาก และให้ดรรชนีช่วยค้นเรื่องอย่างละเอียด

40.  ข้อใดคือหนังสือที่รวบรวมข้อมูลด้านตัวเลขการส่งออกทุ่งกุลาดำของไทย ซึ่งถือได้ว่าเป็นประเทศที่ส่งออกกุ้งกุลาดำอันดับ 1 ของโลกในปีที่ผ่านมา

(1)   หนังสือคู่มือ     

(2) สมพัตสร   

(3) บรรณานุกรม     

(4) สารานุกรม

ตอบ 2 หน้า 144-145 ปฏิทินเหตุการณ์รายปี สมพัตสร หรือปูมปฏิทิน (Almanacเป็นหนังสือที่รวบรวม ความรู้เบ็ดเตล็ดหลายด้านและสถิติทั่วไปในรอบหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาจนถึงปีปัจจุบันของทุกประเทศ ในโลกโดยจะให้ข้อมูลอย่างสังเขปครอบคลุมเรื่องราวเกี่ยวกับปฏิทินลำดับเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้น ในรอบปี ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ ธุรกิจการพาณ์ชย์ การเมือง สถิติต่าง ๆ ในรูปของตาราง เป็นต้น

41.  ข้อใดคือลักษณะเฉพาะของหนังสือแผนที่

(1)   แสดงรายละเอียดที่เป็นลายเส้น ใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ แทนคำอธิบาย

(2)   สิ่งที่แสดงลักษณะของพื้นผิวทั้งที่เป็นอยู่ตามธรรมชาติและที่ปรุงแต่งขึ้น

(3)   ให้ประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของภูมิภาคและท้องถิ่นต่าง ๆ

(4)   ให้รายละเอียดเกี่ยวกับสภาพทางภูมิศาสตร์ สถานที่น่าสนใจสำหรับการท่องเที่ยว

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 37. ประกอบ

42.  ข้อใดให้รายชื่อหนังสือเกี่ยวกับ “โรคไวรัสอีโบลา หรือไข้เลือดออกอีโบลา”

(1) หนังสือสารานุกรม      

(2) หนังสือนามานุกรม

(3) หนังสือบรรณานุกรม   

(4) หนังสือดรรชนี

ตอบ 3 หน้า 164 หนังสือบรรณานุกรม (Bibliographyเป็นหนังสืออ้างอิงที่รวบรวมรายชื่อหนังสือ หรือทรัพยากรสารสนเทศประเภทต่าง ๆ ทั้งที่ผลิตในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งมีทั้งที่จัดทำเป็นตัวเล่มหนังสือ หรืออาจปรากฏที่ท้ายเล่มหนังสือหรือท้ายบทแต่ละบท เพื่อทำหน้าที่ เป็นเอกสารอ้างอิง โดยบรรณานุกรมจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับชื่อผู้แต่ง ชื่อสิ่งพิมพ์หรือ ทรัพยากรสารสนเทศรูปแบบอื่น ๆ ชื่อผู้ผลิต (สำนักพิมพ์) สถานที่ผลิต ปีที่ผลิต ลักษณะรูปเล่ม และราคา บางเล่มอาจมีบรรณนิทัศน์สังเขปและบทวิจารณ์ประกอบอยู่ด้วย

43.  ข้อใดไม่ใช่ความหมายและลักษณะของการจัดเก็บทรัพยากรสารสนเทศ

(1)   การจัดเก็บหนังสือที่มีเนื้อหาเดียวกันถูกจัดเอาไว้ด้วยกัน และเนื้อหาใกล้เคียงกันจะอยู่ใกล้กัน

(2)   กำหนดสัญลักษณ์ใช้แทนเนื้อหา ซึ่งเป็นตัวเลข ตัวอักษร หรือทั้งตัวเลขและตัวอักษรผสมกัน

(3)   การจัดระบบการจัดเก็บที่สะดวกแก่การทำงานของเจ้าหน้าที่ห้องสมุดและการค้นหาหนังสือ

(4)   การให้ทรัพยากรสารสนเทศประเภทต่าง ๆ จัดเก็บเป็นระบบเดียวกันโดยยึดเนื้อหาสาระเป็นสำคัญ

ตอบ 4 หน้า 183 – 189 ห้องสมุดโดยทั่วไปจะมีการจัดเก็บหนังสือซึ่งเป็นทรัพยากรสารสนเทศที่เป็นสือสิ่งพิมพ์ส่วนใหญ่อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาหนังสือที่ต้องการได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานของเจ้าหน้าที่ห้องสมุด ทั้งนี้การจัดเก็บ หนังสือจะพิจารณาเนื้อหาสาระของหนังสือเป็นสำคัญ โดยจะมีการกำหนดสัญลักษณ์ซึ่งอาจ เป็นตัวเลข ตัวอักษร หรือทั้งตัวเลขและตัวอักษรผสมกัน เพื่อแสดงเนื้อหาของหนังสือแต่ละประเภท และเพื่อเป็นเครื่องหมายระบุตำแหน่งของหนังสือทุกเล่มในห้องสมุด ซึ่งหนังสือที่มีเนื้อหาเดียวกันจะมีสัญลักษณ์เหมือนกันและวางอยู่ในที่เดียวกัน ส่วนหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวเนื่อง สัมพันธ์กันจะมีสัญลักษณ์ใกล้เคียงกันและวางอยู่ใกล้กัน สำหรับทรัพยากรสารสนเทศที่ไม่ใช่ สื่อสิ่งพิมพ์จะจัดเก็บโดยแยกตามประเภทของทรัพยากรและกำหนดสัญลักษณ์ให้ตามความเหมาะสม

44.  ข้อใดคือสัญลักษณ์ที่ใช้เพื่อระบุตำแหน่งการจัดวางหนังสือที่แน่นอนในห้องสมุด

(1) เลขประจำหนังสือ

(2) เลขเรียกหนังสือ  

(3) เลขมาตรฐานสากล

(4) เลขหมู่หนังสือ

ตอบ 2 หน้า 194197(คำบรรยาย) เลขเรียกหนังสือ (Call Numberเป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องหมาย เฉพาะของหนังสือแต่ละเล่มที่มีอยู่ในห้องสมุด โดยเลขเรียกหนังสือที่ปรากฏบนสันหนังสือ ตอนล่างจะเป็นเครื่องชี้บอกการจัดเก็บและตำแหน่งการจัดวางหนังสือที่แน่นอนในห้องสมุด ซึ่งจะช่วยให้การจัดเรียงหนังสือบนชั้นเป็นหมวดหมู่ และทำให้ผู้ใช้ห้องสมุดสามารถค้นหา หนังสือเล่มที่ต้องการจากชั้นหนังสือได้อย่างรวดเร็ว

45.  ข้อใดใช้เป็นประเด็นการพิจารณาหนังสือเพื่อการจัดหมวดหมูหนังสือที่เป็นมาตรฐาน

(1)   หัวข้อสำคัญของเนื้อเรื่อง  

(2) เนื้อหาสาระ

(3) ข้อเท็จจริงของเนื้อหา  

(4) คำสำคัญของเนื้อเรื่อง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

46.  ต้องการค้นหาหนังสือเกี่ยวกับ “Arab Springการลุกฮือที่เปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองของโลกอาหรับ”จะหาได้จากหมวดใดของการจัดหมู่หนังสือแบบทศนิยมดิวอี้ และแบบห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน

(1)   แบบ DC หมวด 400แบบ LC หมวด H    

(2) แบบ DC หมวด 300แบบ LC หมวด J

(3) แบบ DC หมวด 600แบบ LC หมวด 

(4) แบบ DC หมวด 500แบบ LC หมวด H

ตอบ 2 หน้า 186 – 190 ระบบการจัดหมูหนังลือที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ได้แก่

1.    ระบบการจัดหมู่หนังสือแบบทศนิยมดิวอี้(DDC หรือ DCซึ่งจะมีการแบ่งสรรพวิทยาการ ในโลกออกเป็น 10 หมวดใหญ่ โดยมีสัญลักษณ์เป็นเลขอารบิก 3 ตัวตั้งแต่ 100 – 000 เพื่อแสดงเนื้อหาของหนังสือ

2.    ระบบการจัดหมู่หนังสือแบบห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน (LCC หรือ LCจะมีภารแบ่ง สรรพวิทยาการออกเป็น 20 หมวดใหญ่ ใดยใช้อักษร – (ยกเว้น I, 0, X, Y) เป็นสัญลักษณ์แสดงเนื้อหา และจะใช้สัญลักษณ์ของการจัดหมู่หนังสือเป็นแบบผสมคือ มีทั้งตัวอักษรโรมันและเลขอารบิกผสมกัน จากโจทย์ เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสังคมศาสตร์ทางด้านการเมืองหรือรัฐศาสตร์ ดังนั้นจึงมีการจัดหมู่หนังสือแบบ DC ในหมวด 300 และแบบ LC ในหมวด J

47.  ข้อใดเป็นสัญลักษณ์ช่วยให้การจัดเรียงหนังสือบนชั้นเป็นหมวดหมู่และสะดวกต่อการค้นหาหนังสือ

(1)   เลขรหัสหนังสือ 

(2) เลขประจำหนังสือ

(3) เลขเรียกหนังสือ  

(4) เลขทะเบียนหนังสือ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 44. ประกอบ

ข้อ 48. – 51.    จงพิจารณาสัญลักษณ์ต่อไปนี้

TP

1373.6

.S244

2013

48.  สัญลักษณ์นี้เรียกว่าอะไร

(1)   เลขหมู่หนังสือ  

(2) เลขเรียกหนังสือ

(3) เลขประจำหนังสือ

(4) เลขรหัสหนังสือ

ตอบ 2 หน้า 189 – 191194 – 196(คำบรรยาย) เลขเรียกหนังสือตามระบบการจัดหมู่หนังสือ แบบห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน (LCC หรือ LCประกอบด้วย

1.    เลขหมู่หนังสือ จะใช้อักษรโรมัน – (ยกเว้น I, 0, X, Vเป็นสัญลักษณ์แสดงเนื้อหา ของหนังสือ และใช้เลขอารบิกตั้งแต่ 1 – 9999 กับทศนิยมอีกไม่จำกัดตำแหน่งในการ จัดจำแนกเรื่องของหนังสือ

2.    เลขผู้แต่ง ประกอบด้วยตัวอักษรและตัวเลข

3.    อักษรชื่อเรื่อง เป็นพยัญชนะตัวแรกของชื่อหนังสือ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

TP และ 1373.เลขหมู่หนังสือ ซึ่งอักษร TP แสดงว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ประยุกต์

.S244 เลขประจำหนังสือ ประกอบด้วย เลขผู้แต่งและอักษรชื่อเรื่อง

2013 ปีที่พิมพ์ คือ ปีที่หนังสือได้รับการจัดพิมพ์ ซึ่งทำให้ผู้ใช้ห้องสมุดทราบความทันสมัยของหนังสือว่าเป็นหนังสือเก่าหรือใหม่

49.  สัญลักษณ์นี้เป็นรูปแบบการอัดหมวดหมู่หนังสือด้วยระบบใด

(1) ระบบ LCC 

(2) ระบบ DDC

(3) ระบบ UDC

(4) ระบบ NLM

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

50. ข้อใดคือเลขหมู่หนังสือ

(1) TP

(2) TP 1373.6

(3) TP 1373.6 .S244     

(4) TP 1373.6 .S244 2013

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 48. ประกอบ

51. หมายเลข 2013 เป็นสัญลักษณ์เพื่อสื่ออะไร 

(1) ปีที่จัดพิมพ์หนังสือ

(2) ปีที่จัดฃื้อหนังสือ 

(3) ปีแสดงความทันสมัยของหนังสือ   

(4) ปีที่ลงทะเบียนหนังสือ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 48. ประกอบ

52.  ข้อใดไม่ใช่วิธีการจัดเรียงหนังสือบนชั้นที่ถูกต้อง

(1) จัดเรียงหนังสือจากซ้ายมือไปขวามือ    

(2) จัดเรียงตามขนาดของหนังสือ

(3) จัดเรียงจากเลขหมู่น้อยไปหาเลขหมู่มาก      

(4) จัดเรียงตามหมวดหมู่ของหนังสือ

ตอบ 2 หน้า 194 – 195197 วิธีการจัดเรียงหนังสือบนชั้นในห้องสมุด จะพิจารณาจากเลขเรียก หนังสือจากซ้ายไปขวา จากบนลงล่าง และจะพิจารณาจัดลำดับจากเลขหมู่หนังสือก่อน โดยห้องสมุดที่จัดหมู่หนังสือด้วยระบบทศนิยมดิวอี้จะเรียงลำดับจากเลขหมู่น้อยไปหาเลขหมู่มาก ส่วนห้องสมุดที่จัดหมู่หนังสือด้วยระบบห้องสมุดรัฐสภาอเมริกันจะพิจารณาเรียงลำดับตาม ตัวอักษร – ก่อน ต่อเมื่อตัวอักษรซํ้ากันจึงค่อยเรียงลำดับจากเลขหมู่น้อยไปหาเลขหมู่มาก แต่ถ้าเลขหมู่ซํ้ากัน ก็ให้พิจารณาจากอักษรผู้แต่ง ถ้าอักษรผู้แต่งเหมือนกันให้พิจารณาจาก เลขประกอบอักษรผู้แต่งจากเลขน้อยไปหาเลขมาก และถ้าเลขผู้แต่งเหมือนกันอีกก็ให้พิจารณา จากอักษรชื่อเรื่อง

53.  ข้อใดเป็นวิธีการจัดเก็บวารสารฉบับย้อนหลังซึ่งเป็นวารสารเก่าแก่แต่มีคุณค่า

(1) ให้เลือกเก็บเฉพาะฉบับที่มีบทความน่าสนใจ  

(2) เอามาจัดรวมเย็บเล่มเมื่อครบปี

(3)   แปรรูปโดยเก็บไว้ในรูปของสื่ออิเล็กทรอนิกส์

(4) เก็บไว้จนครบปีแล้วมัดรวมกัน

ตอบ 2 หน้า 198 – 199 วิธีการจัดเก็บวารสารมี 2 ลักษณะ ดังนี้

1.    วารสารฉบับใหม่ คือ วารสารฉบับล่าสุดที่ห้องสมุดได้รับ โดยห้องสมุดจะจัดเรียงไว้บนชั้นเอียง ตามลำดับอักษรของชื่อวารสารจากซ้ายไปขวา และติดป้ายชื่อวารสารกำกับไว้ที่ชั้นตรงกับตำแหน่งของวารสาร

2.    วารสารฉบับย้อนหลัง คือ วารสารที่ไม่ใช่ฉบับล่าสุด เพราะมีฉบับที่ใหม่กว่าพิมพ์ออกมาอีก โดยทั่วไปห้องสมุดจะจัดรวมไว้กับวารสารย้อนหลังฉบับก่อนๆ โดยนำไปเย็บรวมเป็นเล่ม เมื่อได้รับครบปีแล้ว จากนั้นให้นำไปจัดเรียงไว้บนชั้นตามลำดับอักษรของชื่อวารสาร

54.  จุลสารและกฤตภาคเป็นสิ่งพิมพ์ลักษณะพิเศษมีวิธีการจัดเก็บอย่างไร

(1)   กำหนดเลขหมู่ จัดเรียงไว้บนชั้นหนังสือ     

(2) จัดใส่แฟ้ม เรียงตามลำดับเลขหมู่

(3)   กำหนดหัวเรื่อง จัดใส่แฟ้ม เก็บไว้ในตู้เอกสาร     

(4) จัดเรียงรวมกัน ให้สัญลักษณ์พิเศษ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 30. ประกอบ

55.  ข้อใดไม่ใช้เป็นเครื่องมือช่วยการค้นหาทรัพยากรสารสนเทศ

(1)   Metadata

(2) MARC Format

(3) Card Catalog

(4) Online Catalog

ตอบ 2 หน้า 217219227 – 228234 วิธีการค้นหาทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุด มีดังนี้

1.    สืบค้นด้วยบัตรรายการ (Card Catalogในห้องสมุด

2.    สืบค้นด้วยรายการออนไลน์ (Online Catalogซึ่งเป็นการบันทึกข้อมูลของหนังสือหรือทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุดไว้ในฐานข้อมูลของระบบคอมพิวเตอร์

3.    สืบค้นด้วยเมต้าดาด้า (Metadataผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต

56.  ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของ Online Catalog

(1)   บันทึกรายการของหนังสือในฐานข้อมูลห้องสมุด

(2) บันทึกรายการเรียกใช้โดยคอมพิวเตอร์

(3) รายการทุกประเภทจัดเก็บผ่านทางคอมพิวเตอร์

(4) ข้อมูลที่ต้องการเรียกใช้ได้จากเมนูที่กำหนด

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 16. และ 55. ประกอบ

57.  ห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาใช้ระบบใดเพื่อช่วยผู้ใช้ในการค้นหารายการหนังสือในห้องสมุด

(1)   Online Library Network     

(2)   Online Library Resources

(3) Online Information Catalog 

(4)   Online Public Access Catalog

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

58.  ท่านสามารถค้นหาทรัพยากรสารสนเทศของสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้อย่างไร

(1) สืบค้นผ่าน WebOPAC สู่ www.lib.ru.ac.th     

(2)   สืบค้นผ่าน Web page สู่ OPAC

(3) สืบค้นผ่าน INNOPAC ไปยัง RAMLINET  

(4)   สืบค้นผ่าน Telnet ไปยัง R.uLibrary

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

59.  ข้อใดไม่เป็นวิธีการหาหนังสือในห้องสมุดโดยวิธีการสืบค้นผ่านออนไลน์

(1)   ผู้ใช้ป้อนคำหรือหัวข้อเรื่องที่ต้องการสืบค้น จะปรากฎผลการสืบค้นได้ผ่านทางจอภาพ

(2)   ให้ดูสถานภาพของหนังสือด้วยว่าอยู่บนชั้นพร้อมให้บริการสามารถยืมออกได้หรือไม่

(3)   ผู้สืบค้นมีทางเลือกในการสืบค้นหลายทาง ให้เลือกทางเลือกในการสืบค้น และพิมพ์คำค้นลงไป

(4)   เมื่อสืบค้นข้อมูลบรรณานุกรมได้แล้ว ต้องจด Call Number เพื่อไปหาหนังสือบนชั้นในห้องสมุด

ตอบ 2 หน้า 227 – 228(คำบรรยาย) ผู้ใช้สามารถสืบค้นข้อมูลผ่านรายการออนไลน์ด้วยการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านระบบ OPAC ได้จากหลาย ๆ ทางเลือก โดยใช้คำสั่งจากเมนูหลักของ บัตรรายการออนไลน์ ได้แก่ ชื่อผู้แต่ง (Author)ชื่อเรื่อง (Title)หัวเรื่อง (Subject Heading)คำสำคัญ (Keyword)เลขเรียกหนังสือ (Call Number). เลขประจำหนังสือสากล (ISBNและเลขประจำวารสาร (ISSNซึ่งเมื่อผู้ใช้เลือกทางเลือกในการสืบค้นได้แล้ว ให้พิมพ์คำค้น หรือหัวข้อเรื่องลงไป ก็จะปรากฏผลการสืบค้นข้อมูลทางบรรณานุกรมผ่านทางจอภาพ จากนั้นให้ผู้ใช้จดเลขเรียกหนังสือ (Call Numberเพื่อไปหาหนังสือบนชั้นในห้องสมุด

60.  การสืบค้นสารสนเทศจากอินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะจาก WWW จะต้องใช้ปัจจัยข้อใด เพื่อนำไปสู่การสืบค้นที่มีประสิทธิภาพ      

(1) Search Engine

(2)   Metadata     

(3) Dublin Core Project      

(4) Internet

ตอบ 2 หน้า 217234245 เมต้าดาต้า (Metadataคือ การลงรายการทางบรรณานุกรมสำหรับ การจัดหมวดหมู่ทรัพยากรสารสนเทศในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตหรือ เว็บไซต์ โดยจะให้รายละเอียดของทรัพยากรสารสนเทศที่มีมากมายมหาศาลบนเครือข่าย อินเทอร์เน็ต เพื่อช่วยจัดการข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต ทำให้การสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ มีประสิทธิภาพและมีการจัดเก็บอย่างเป็นระบบ

61.  การใช้หัวเรื่อง (Subject Headingsเพื่อค้นหาทรัพยากรสารสนเทศจะใช้เมื่อใด

(1)   เมื่อไม่แน่ใจว่าประเด็นสำคัญของเอกสารคืออะไร

(2)   เมื่อไม่เข้าใจความหมายของสัญลักษณ์ของเนื้อเรื่อง

(3)   เมื่อจำเลขมาตรฐานสากลของหนังสือ (ISBNไม่ได้

(4)   เมื่อไม่ทราบชื่อผู้แต่งหรือชื่อเรื่องของทรัพยากรสารสนเทศ

ตอบ 4 หน้า 251 การใช้หัวเรื่องเพื่อค้นหาสารสนเทศที่ต้องการ ผู้ใช้ส่วนใหญ่มักไม่ทราบชื่อผู้แต่ง หรือชื่อเรื่องของทรัพยากรสารสนเทศ ดังนั้นผู้ใช้จึงจำเป็นต้องค้นหาหัวข้อเรื่องที่ต้องการโดยใช้ หัวเรื่องซึ่งเป็นคำ วลี หรือชื่อเฉพาะต่างๆ ที่กำหนดขึ้นเพื่อใช้แทนเนื้อหาของหนังสือแต่ละเล่ม ส่วนการสืบค้นสารสนเทศในฐานข้อมูลจะใช้คำสำคัญ (Keywordในการค้นหาเอกสาร

62.  ข้อใดไม่สามารถกำหนดเป็นคำค้น (Keywordได้

(1) ชื่อเฉพาะ   

(2) กลุ่มคำ/วลี 

(3) ภาษาถิ่น    

(4) ศัพท์เทคนิค

ตอบ 3 หน้า 262268(คำบรรยาย) การใช้หัวเรื่องค้นหาสารสนเทศทางออนไลน์ เป็นการสืบค้น สารสนเทศจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ซีดีรอม (CDROM)ฐานข้อมูล (Databaseและการค้นคืนสารสนเทศในระบบเครือข่ายใยแมงมุม (World Wide Webโดยผู้ใช้มักคิดคำ ขึ้นใช้เอง เรียกว่า “คำสำคัญ” (Keywordซึ่งมีลักษณะสำคัญดังนี้

1. เป็นคำนาม คำประสม กลุ่มคำหรือวลี ศัพท์เทคนิค และชื่อเฉพาะที่ผู้ใช้กำหนดขึ้นเองเพื่อใช้แทนเนื้อเรื่อง

2.    ควรเป็นคำที่สั้นกะทัดรัด ได้ใจความ และมีความหมายชัดเจนหรือเฉพาะเจาะจง

3.    การใช้คำสำคัญในการค้นหาทรัพยากรสารสนเทศ ควรใช้ในกรณีทีผู้ใช้ไม่ทราบชื่อผู้เขียน หรือชื่อเรื่องของทรัพยากรสารสนเทศ ฯลฯ

63.  ข้อใดไม่ถูกต้องสำหรับลักษณะของหัวเรื่องใหญ่

(1) สามานยนาม     

(2) เป็นคำประสม     

(3) เป็นคำเฉพาะ     

(4) เป็นคำพูดเดียว

ตอบ 4 หน้า 252 – 254(คำบรรยาย) การกำหนดคำค้นที่ใช้เป็นหัวเรื่องใหญ่มีลักษณะดังนี้

1.    คำนามคำเดียวหรือคำโดด (คำสามานยนาม) เช่น ปลา นก คอมพิวเตอร์ ฯลฯ

2.    คำประสมที่เป็นคำนาม 2 คำเชื่อมด้วย “andกับ”และ” ที่มีเนื้อหาสาระสองด้าน คล้อยตามไปในทางเดียวกัน เช่น อิทธิพลและสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

3. คำประสมที่เป็นคำนาม 2 คำซึ่งมีเนื้อหาค้านกัน เช่น ศาสนาและวิทยาศาสตร์ ความดีและความชั่ว ฯลฯ

4.    คำนามที่ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาคและคำคุณศัพท์ที่ขยายคำแรกให้สื่อความหมายดีขึ้น เช่น เคมีวัตถุ ฯลฯ

5. กลุ่มคำหรือวลี เช่น ไก่ชนอินเตอร์ ไก่แก่แม่ปลาช่อน ไก่ย่างห้าดาว ฯลฯ

6. คำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ (คำวิสามานยนาม) เช่น ชื่อบุคคล ชื่อวงดนตรื ชื่อสัตว์ ชื่แม่น้ำ ฯลฯ

64.  ข้อไดไม่จัดเป็นหัวเรื่องกลุ่มคำ

(1)   ไก่แก่แม่ปลาช่อน    

(2) ไก่ย่างห้าดาว     

(3) ไก่แจ้ซารามอ    

(4) ไก่ชนอินเตอร์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ

65.  ข้อใดคือหัวเรื่องย่อยแบ่งตามสภาพภูมิศาสตร์

(1)   ประเพณีการปลูกเรือน—ชาวดอย     

(2) การศึกษา—ไทย

(3)   ยุโรป—ประวัติศาสตร์—ศตวรรษที่ 19

(4) ภาษาจีน—กวางตุ้ง

ตอบ 2 หน้า 254 – 257 หัวเรื่องย่อย เป็นคำหรือวลีที่ใช้เป็นหัวเรื่องย่อยเพื่อขยายหัวเรื่องใหญ่ ให้เห็นชัดเจนหรือเฉพาะเจาะจงขึ้น โดยหัวเรื่องย่อยจะมีขีดสั้น 2 ขีด (—) อยู่ข้างหน้าคำ แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ

1.    แบ่งตามวิธีเขียน เช่น คณิตศาสตร์—คู่มือเตรียมสอบ ฯลฯ

2.    บอกลำดับเหตุการณ์ โดยแบ่งตามปีคริสต์ศักราช ยุคสมัย หรือแผ่นดิน เช่น ไทย—ประวัติศาสตร์ไทย—กรุงศรีอยุธยา1893 – 2310 ฯลฯ

3.    แบ่งตามขอบเขตของเนิ้อหา เช่น บรรณารักษศาสตร์—การประชุมเศรษฐศาสตร์—ประวัติ ฯลฯ

4.    แบ่งตามสภาพภูมิศาสตร์ เช่น การศึกษา—ไทยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว—ไทย ฯลฯ

66.  ข้อใดไม่ควรใช้เป็นคำค้นสำหรับเนื้อหาเกี่ยวกับ “การพัฒนาธุรกิจครอบครัวสู่ธุรกิจมหาชน”

(1)   การเข้าสูตลาดหลักทรัพย์—ไทย

(2) วาณิชธนกิจ—ไทย

(3) ธุรกิจของเอกชน—การลงทุน      

(4) ธุรกิจครอบครัว—ไทย

ตอบ 3 (ดูคำอธิบายข้อ 65. ประกอบ) หากผู้ใช้ต้องการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ “การพัฒนาธุรกิจครอบครัวสู่ธุรกิจมหาชน” ควรเลือกใช้คำค้นจากบัญชีหัวเรื่องย่อยที่มีความหมายเฉพาะเจาะจง และเกี่ยวข้องกับเนื้อหา เช่น การเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์—ไทยวาณิชธนกิจ—ไทย,ธุรกิจครอบครัว—ไทย เป็นต้น

67.  ข้อใดไม่จัดเป็นคำเชื่อมที่ใช้ในตรรกะบูลีน (Boolean Logic)

(1)   not 

(2) with 

(3) and  

(4) or

ตอบ 2 หน้า 262268 การใช้คำสำคัญในการค้นหาสารสนเทศทางออนไลน์มีวิธีการดังนี้

1.    ใช้วิธีการสืบค้นข้อมูลเช่นเดียวกับการใช้หัวเรื่อง

2. การค้นคืนสารสนเทศอาจแสดงผล ต่างกันในแต่ละฐานข้อมูล

3. สามารถใช้คำสำคัญโดยผสมคำหัวไปกับคำวิสามานยนาม

4.    ใช้ตรรกะของบูลีน (Boolean Logicโดยใช้คำว่า และ (and)หรือ (or)ไม่ใช่ (not) เพื่อเชื่อมโยงการสืบค้นให้มีประสิทธิภาพ

68.  ข้อใดเป็นการใช้คำค้นเพื่อค้นหาสารสนเทศทางออนไลน์

(1)   การค้นคืนทรัพยากรสารสนเทศจากแหล่งบริการสารสนเทศ

(2)   การค้นทรัพยากรสารสนเทศที่ใช้ร่วมกันในเครื่อข่ายสมาชิก

(3)   การสืบค้นทรัพยากรสารสนเทศจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์

(4)   การค้นหาทรัพยากรสารสนเทศจากชั้นหนังสือของห้องสมุด

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 62. ประกอบ

69.  ข้อใดเป็นวิธีการเสาะแสวงหาความรู้ของมนุษย์ เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเรื่องต่างๆ อย่างถ่องแท้

(1)   การอ่าน  

(2) การฟัง

(3) การเสวนา  

(4) การศึกษา

ตอบ 4 หน้า 274 การศึกษา คือ การเสาะแสวงหาความรู้เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเรื่องต่าง ๆ อย่างถ่องแท้ ดังนั้นการศึกษาจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ทั้งทางวิชาการและเรื่องที่อยู่ในความสนใจของแต่ละ บุคคล ซึ่งจะช่วยให้บุคคลมีความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์ ตัดสินใจ และแก้ไขปัญหาได้

70.  การอ่านตำราเรียนเพื่อให้เข้าใจในเนื้อหาจะต้องใช้ทักษะการอ่านแบบใด

(1) การอ่านเพื่อประเมินค่าและวิจารณ์

(2) การอ่านเพื่อหาคำตอบ

(3) การอ่านเพื่อเก็บรายละเอียด 

(4) การอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้

ตอบ 3 หน้า 276 การอ่านเพื่อเก็บรายละเอียด เป็นจุดมุงหมายของผู้อ่านที่ต้องการข้อมูลเรื่องใด เรื่องหนึ่งอย่างเฉพาะเจาะจง โดยผู้อ่านต้องมีสมาธิ สามารถแยกหรือรวมประเด็นหลักและ ประเด็นย่อยได้ รวมทั้งสามารถจดบันทึกจากการอ่าน ทำให้ผู้อ่านต้องใช้ทักษะหลายอย่าง ประกอบกัน ได้แก่ ทักษะการอ่าน การแยกและรวมประเด็น การสังเกต และการใช้คำหรือ ประโยค เพื่อให้สามารถหาความสัมพันธ์ของข้อความที่ต้องการเก็บรายละเอียดได้ เช่น การอ่านตำราเรียนเพื่อให้เข้าใจในเนื้อหา

71.  อ่านคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์เรื่อง “หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน” เป็นการอ่านแบบใด

(1) การอ่านแบบคร่าว ๆ   

(2) การอ่านเพื่อรับรู้ข่าวสาร

(3) การอ่านเพื่อประเมินค่าและวิจารณ์

(4) การอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้

ตอบ 2 หน้า 275 การอ่านเพื่อรับรู้ข่าวสาร เป็นการอ่านที่ใช้ในชีวิตประจำวันหรืออ่านเพื่อต้องการ รู้เหตุการณ์และความเป็นไปที่เกิดขึ้นรอบตัว เช่น การอ่านหนังสือพิมพ์ อ่านประกาศ อ่านแจ้งความโฆษณา ฯลฯ การอ่านแบบนี้จะใช้เวลาไม่มาก มักอ่านเพื่อจับประเด็นคร่าว ๆ หรือมุ่งจับรายละเอียดก็ได้ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้อ่าน

72.  ข้อใดเป็นการอ่านที่ผู้อ่านต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน

(1) การอ่านเพื่อเพิ่มพูนความรู้  

(2) การอ่านเพื่อรับรู้ข่าวสาร

(3) การอ่านเพื่อประเมินค่าและวิจารณ์

(4) การอ่านเพื่อเก็บรายละเอียด

ตอบ3 หน้า 276 การอ่านเพื่อประเมินค่าและวิจารณ์ เป็นการอ่านระดับสูง โดยผู้อ่านต้องสามารถประเมินค่าหรือวิจารณ์ข้อเขียนเหล่านั้นได้ว่าถูกต้องน่าเชื่อถือหรือไม่ มีข้อเท็จจริงหรือมีคุณค่า เพียงไร และให้แนวคิดใหม่หรือไม่ ดังนั้นการอ่านแบบนี้ผู้อ่านจึงต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ เรื่องที่อ่าน มีสมาธิในการอ่าน และมีวิจารณญาณเพื่อพินิจพิเคราะห์ข้อเขียนอย่างละเอียดลึกซึ่ง

73.  ผู้ฟังที่ดีควรมีจรรยาบรรณในการฟังคำบรรยายอย่างไร

(1) ให้ฟังคำบรรยายจากวิทยากรที่น่าเชื่อถือเท่านั้น

(2) ไม่ควรฟังเรื่องที่ยากไกลตัวเกินไป

(3) ให้ทำใจเปิดกว้างและไม่ดูหมิ่นเรื่องที่ผู้อื่นพูด 

(4) พยายามทำจิตให้นิ่งเป็นหนึ่งเดียว

ตอบ 3 หน้า 277 – 278 จรรยาบรรณของการเป็นผู้ฟังที่ดี มีดังนี้

1. เปิดใจกว้าง ไม่ดูหมิ่น เรื่องที่ผู้อื่นพูด

2. ไม่ดูหมิ่นผู้พูดว่าเป็นผู้ที่ไม่น่าเชื่อถือเพราะไม่มีคุณวุฒิหรือวัยวุฒิ

3. ไม่ดูหมิ่นตนเองว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวเกินไป หรือเป็นเรื่องยาก ซึ่งตนเองมีทักษะความรู้น้อยเกินไป

4.    ไม่ทำจิตให้ฟุ้งซ่าน แต่ให้ทำจิตเป็นหนึ่งเดียว แล้วฟังเรื่องที่พูดตั้งแต่ต้นจนจบ

74. การสอบถามความรู้จากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้มีประสบการณ์ จัดเป็นวิธีการศึกษาค้นคว้าเช่นไร

(1) เดินตามเส้นทางหัวใจนักปราชณ์  

(2) การแลกเปลี่ยนเรียนรู้

(3) การสดับฟังเพื่อเป็น “พหูสูต”

(4) การเสวนาสัตบุรุษ

ตอบ 4 หน้า 278(คำบรรยาย) การไต่ถามหรือการเสวนา เป็นการเข้าไปปรึกษาเสวนาหาคำตอบ หรือขอคำชี้แนะจากผู้รู้หรือผู้มีประสบการณ์ เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นและการเรียนรู้ ซึ่งกันและกัน จนก่อให้เกิดความแจ่มแจ้งแห่งข้อสงสัยนั้น ดังนั้นการเสวนาจึงเป็นการออกจากตนเองไปสู่ผู้อื่น นั่นคือ เปิดประตูความคิดของตนเองไปสู่ความคิดของผู้อื่น เพื่อเรียนรู้แบ่งปัน ความรู้ที่มีในตัวตนไปสู่ความรู้ที่แจ้งชัด ดังคำของนักปราชญ์พที่ว่า บัณทิต คือ คนฉลาดที่ดำเนินชีวิตด้วยปัญญาย่อมเข้าคบหาสัตบุรุษ หรือเรียกว่า “การเสวนาสัตบุรุษ”

75.  วัตถุประสงค์ของการบันทึกเรื่องราวไว้ในสื่อต่างๆ ที่มนุษย์ได้ปฏิบัติมาตั้งแต่สมัยโบราณคืออะไร

(1) ผลิตสื่อสะสมไว้ในหอสมุดแห่งชาติ

(2) รักษาขั้นตอนประเพณีของมนุษยชาติ

(3) จรรโลงอารยธรรมของมนุษย์ให้คงอยู่ตลอดไป

(4) สืบค้นไม่ให้ลบเลือนหลงลืม

ตอบ 4 หน้า 278 – 279281 ด้วยเหตุที่การแสวงหาความรู้ที่ได้จากการอ่าน การฟัง หรือการไต่ถาม อาจมีการลบเลือนหรือหลงลืมได้ มนุษย์ตั้งแต่สมัยโบราณจึงคิดสัญลักษณ์ขึ้นแทนคำพูด และมีการบันทึกเรื่องราวไว้ในสื่อต่างๆกัน เช่น ดินเหนียว หนังสัตว์ ผ้า กระดาษ ฯลฯ ดังนั้นการจดบันทึกจึงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดของมนุษย์ในการสืบสานและจรรโลงเรื่องราวต่าง ๆ ไว้มิให้ถูกลบเลือนและสลายไปในที่สุด

76.  ข้อไดไม่เป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้จากการศึกษาค้นคว้า

(1)   เกิดความรู้ รู้ความจริง เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างเป็นระบบ

(2)   เกิดปัญญาสามารถเชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ ได้ เข้าใจปัญหา

(3)   เกิดจิตสำนึกเข้าใจตนเองที่สัมพันธ์กับสรรพสิ่งเหนือปัญหาทั้งหลาย

(4)   เกิดความคิดนำไปใช้เป็นประโยชน์ต่อตนเอง สังคม และประเทศชาติ

ตอบ 3 หน้า 275 การคึกษาค้นคว้าเป็นกิจกรรมที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้ ซึ่งการเรียนรู้ของมนุษย์ ควรไปให้ถึง 3 ระดับ ได้แก่

1.    ระดับเกิดความรู้ คือ รู้ความจริง ด้วยการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างเป็นระบบ

2.    ระดับเกิดปัญญา คือ สามารถเชื่อมโยงความรู้ต่าง ๆ ได้

3.    ระดับเกิดจิตสำนึก คือ เข้าใจตนเองที่สัมพันธ์กับสรรพสิ่งทั้งหลาย แล้วนำไปเป็นประโยชน์ ต่อตนเอง สังคม และประเทศชาติ

77.  ข้อมูลที่ได้มาจากหนังสือ ตำรา หรือจากวารสาร จัดได้ว่าเป็นข้อมูลระดับใด

(1) ระดับปฐมภูมิ      

(2) ระดับทุติยภูมิ     

(3) ระดับตติยภูมิ     

(4) ระดับฐานภูมิปัญญา

ตอบ 2 หน้า 287(คำบรรยาย) แหล่งที่มาของข้อมูลในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

1.    ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Sourcesเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่ได้รับจากบุคคลโดยตรง เช่น ประสบการณ์ของตนเอง อัตชีวประวัติ เอกสารที่บันทึกด้วยลายมือ บันทึกส่วนตัว บทสัมภาษณ์ พระราชหัตถเลขา พระบรมราโชวาท แบบสอบถาม สุนทรพจน์ ข่าวในหนังสิอพิมพ์ ฯลฯ

2.    ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Sourcesเป็นข้อมูลอันดับรองที่อ้างอิงหรือปรุงแต่งจากข้อมูลปฐมภูมิ หรือจัดเนื้อหาใหม่เพื่อสะดวกแก่การค้นคว้า เช่น หนังสืออ้างอิง ตำรา บทความจากวารสาร ฯลฯ

3.    ข้อมูลตติยภูมิ (Tertiary Sourcesเป็นข้อมูลขั้นรองลงมาที่รวบรวมขึ้นเพื่อใช้ในการค้นหา ข้อมูลปฐมภูมิและทุติยภูมิอีกทีหนึ่ง เช่น ข้อมูลใน CDROM ฐานข้อมูลออนไลน์ข้อมูลใน Google ฯลฯ

78.  ข้อใดเป็นขั้นตอนที่ทำเพื่อรวบรวมสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะทำรายงานแล้วบันทึกลงในบัตร

(1) ทำบัตรบันทึกข้อมูล    

(2) ทำบัตรบรรณานุกรม

(3) วางโครงเรื่อง      

(4) เรียบเรียงเนื้อหา

ตอบ 1 หน้า 291 – 294297 การทำบัตรบันทึกข้อมูล เป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีการรวบรวม บรรณานุกรมจากแหล่งข้อมูลมาแล้ว โดยผู้ทำรายงานจะเริ่มอ่านสารสนเทศเหล่านั้น ซึ่งในขณะที่อ่านก็ให้บันทึกข้อมูลลงในบัตรไปด้วย เพื่อรวบรวมเนื้อหาสารสนเทศให้ได้มากที่สุด จากนั้นจึงนำข้อมูลจากบัตรบันทึกเหล่านั้นมาผสมผสานกับความคิดของผู้ทำรายงาน นล้วนำมาเรียบเรียงเป็นเนื้อหาของรายงานตามโครงเรื่องที่วางไว้ต่อไป

79.  ข้อใดเป็นขั้นตอนที่ต้องทำต่อจากการสำรวจแหล่งข้อมูลโดยใช้เครื่องมือค้นหาข้อมูลที่เหมาะสมแล้ว

(1) การทำบัตรบรรณานุกรม     

(2) การเรียบเรียงเนื้อหา

(3) การทำบัตรบันทึกข้อมูล      

(4) การวางโครงเรื่อง

ตอบ 1 หน้า 289(IS 103 เลขพิมพ์ 53345 หน้า 247 – 248) หลังจากที่มีการสำรวจแหล่งข้อมูล โดยใช้เครื่องมือค้นหาข้อมูลที่เหมาะสมแล้ว ผู้ทำรายงานควรบันทึกข้อมูลในรูปของบัตรบรรณานุกรม ซึ่งจุดมุ่งหมายในขั้นตอนของการทำบัตรบรรณานุกรม มีดังนี้

1.    เพื่อรวบรวมหรืออ้างอิงรายชื่อแหล่งข้อมูลที่ใช้ประกอบการศึกษาค้นคว้า

2.    เพื่อนำมาเขียนรายการเอกสารอ้างอิง (บรรณานุกรม) ไว้ท้ายรายงาน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ทำรายงานทำรายการอ้างอิงได้สะดวกขึ้น

3.    เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้สนใจศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม

4.    เพื่อเป็นแหล่งตรวจสอบหลักฐานของข้อเท็จจริงในรายงาน

5.    เพื่อนำไปค้นหาหนังสือ วารสาร และสารสนเทศอื่น ๆ ก่อนลงมืออ่านและทำบัตรบันทึกต่อไป

80.  หลังการอ่านและบันทึกเอกสารเล่มที่ใช้ประกอบรายงาน ควรทำสิ่งใด

(1) วางโครงเรื่องและเรียบเรียงเนื้อหา  

(2) เรียบเรียงเอกสารและวางโครงเรื่อง

(3) ทำบัตรบรรณานุกรมและเรียบเรียงเนื้อหา      

(4) ทำบัตรรายการและวางโครงเรื่อง

ตอบ 1 หน้า 295297(ดูคำอธิบายข้อ 78. ประกอบ) หลังจากที่มีการอ่านข้อมูลและบันทึกเอกสาร เล่มที่ใช้ประกอบรายงานอย่างสั้น ๆ ในบัตรบันทึกแล้ว ผู้ทำรายงานจะทำการวางโครงเรื่อง ซึ่งเป็นการวางแผนเสนอเนื้อหาและสร้างกรอบความคิด เพื่อให้การเสนอเนื้อหาเป็นไปตามลำดับ ไม่สับสนวกวน โดยจะเริ่มจากการนำบัตรบันทึกข้อมูลมาจัดแยกเป็นกลุ่ม ๆ ตามลำดับให้ สัมพันธ์กัน แล้วจึงเขียนโครงเรื่องซึ่งประกอบด้วยความคิดหลัก ความคิดรอง และความคิดย่อย จากนั้นก็เรียบเรียงเนื้อหาของรายงาน โดยใช้ข้อมูลจากบัตรบันทึกมาเรียบเรียงเป็นเนื้อหา ตามโครงเรื่องที่วางไว้ และหากรายงานมีเนื้อหายาวมาก ควรแบ่งเนื้อหาออกเป็นบทหรือตอน

81. การวางโครงเรื่องจะได้ความรู้จากขั้นตอนใดมากที่สุด    

(1) การรวบรวมบรรณานุกรม

(2) การเรียบเรียงเนื้อหา    

(3) การสำรวจข้อมูล 

(4) การทำบันทึกข้อมูล

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 80. ประกอบ

82. แหล่งข้อมูลใดที่นักศึกษานิยมใช้ในการเขียนรายงานในปัจจุบันมากที่สุด

(1) ระดับปฐมภูมิ      

(2) ระดับทุติยภูมิ     

(3) ระดับตติยภูมิ     

(4) ระดับฐานภูมิปัญญา

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 77. ประกอบ

83.  ในกรณีที่ผู้เขียนรายงานไม่สามารถหาคำได้ดีกว่าเนื้อหาเดิมเพื่อมาเขียนรายงานควรทำอย่างไร

(1) ให้เขียนแบบถอดความ

(2) ให้เขียนแบบลอกความ

(3) ให้เขียนแบบสรุปความ

(4) ให้เขียนแบบย่อความ

ตอบ 2 หน้า 293, (IS 103 เลขพิมพ์ 53345 หน้า 257, 260 – 261) บัตรบันทึกแบบลอกความ (Quotationจะเหมาะกับข้อความหรือข้อเท็จจริงที่ชัดแจ้ง เช่น สูตรทางคณิตคาสตร์ ความหมายหรือคำนิยามในเชิงวิชาการ กวีนิพนธ์ พระบรมราชโองการ ฯลฯ โดยมีข้อควรระวัง คือ ต้องคัดลอกทุกอย่างให้เหมือนต้นฉบับ ตอนใดที่คัดลอกมาทั้งหมดให้คร่อมไว้ด้วย เครื่องหมายอัญประกาศ (“_  ”) แต่ถ้าคัดลอกมาเพียงบางส่วนให้ใช้เครื่องหมายจุด 3 จุด (…) แทนข้อความที่ละไว้ โดยใส่ไว้ก่อนหรือหลังข้อความนั้น ซึ่งบัตรบันทึกชนิดนี้จะกระทำเมื่อ

1.    ผู้ทำรายงานไม่สามารถหาคำพูดได้ดีกว่าเนื้อหาเดิม

2.    เนื้อหาเดิมได้วางระเบียบกฎเกณฑ์และวิธีการไว้อย่างดีแล้วจึงไม่ควรดัดแปลง

3.    เนื้อหาเดิมบรรยายถึงแนวคิดหรือวาทะสำคัญของผู้แต่งจึงไม่ควรดัดแปลง

84.  การอ่านบทความภาษาอังกฤษจากวารสารแล้วนำมาเขียนโดยใช้คำพูดของตนเองเป็นภาษาไทย จัดเป็นการบันทึกแบบใด

(1) แบบสรุปความ    

(2) แบบถอดความ   

(3) แบบย่อความ     

(4) แบบลอกความ

ตอบ 2 หน้า 292(คำบรรยาย) บัตรบันทึกแบบถอดความหรือถ่ายความ (Paraphraseเป็นการเขียนข้อความใหม่ให้ได้ใจความและสาระสำคัญครบถ้วน รวมทั้งต้องคงความหมายและขอบเขต ของข้อมูลเดิมเอาไว้ โดยใช้สำนวนคำพูดของตนเอง ซึ่งการบันทึกข้อมูลลงบนบัตรด้วยวิธีนี้ จะช่วยอธิบายเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย เช่น การถอดความจากบทร้อยกรองหรือกวีนิพนธ์ ถอดความจากบทความภาษาอังกถษเป็นภาษาไทย เป็นต้น

85.  ในกรณีผู้เขียนรายงานต้องเก็บความหรือนำความรู้ความคิดของผู้อื่นมาประกอบเนื้อหา จะต้องทำอย่างไร จึงถูกต้องตามหลักวิชาการ

(1) กล่าวคำขอบคุณในหน้าประกาศคุณูปการ   

(2) ระบุแหล่งสารสนเทศในเนื้อหา

(3) เสนอรายชื่อหนังสือในรูปของเชิงอรรถ  

(4) อ้างที่มาของแหล่งความรู้ทุกครั้ง

ตอบ 4 หน้า 297 – 298(คำบรรยาย) ขณะเรียบเรียงเนื้อหารายงาน หากต้องมีการเก็บความ อ้างใจความ หรือนำความรู้ความคิดของผู้อื่นมาประกอบเนื้อหาของรายงาน ผู้ทำรายงาน จะต้องอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลทุกครั้ง เช่น การอ้างอิงระบบนาม-ปี (Authordate)เชิงอรรถบรรณานุกรม ฯลฯ โดยมีเหตุผลคือ เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นการให้เกียรติ และเคารพทรัพย์สินทางปัญญาของเจ้าของข้อมูล เป็นหลักฐานเสริมความนำเชื่อถือ เพื่อให้ผู้ที่สนใจใช้ตรวจสอบความถูกต้องและค้นคว้าเพิ่มเติมได้ และเพื่อแก้ปัญหาการลักลอบ นำความรู้ความคิดของผู้อื่นมาเป็นของตน ทั้งนี้หากผู้ทำรายงานไม่แสดงการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลจะถือว่าเป็น “การละเมิดหรือโจรกรรมทางวิชาการหรือการขโมยความคิด”

86.  ข้อใดเป็นรูปแบบการอ้างอิงแบบแทรกในเนื้อหา (CiteinTextที่ถูกต้องตามแบบ APA

(1) (ชื่อ-สกุลปีที่พิมพ์หน้า)   

(2) (ชื่อ-สกุล ปีที่พิมพ์ หน้า)

(3) ชื่อ-สกุลปีที่พิมพ์หน้า     

(4) ชื่อ-สกุล. ปีที่พิมพ์. หน้า

ตอบ 1 หน้า 298 การอ้างอิงระบบนาม-ปี (Authordate หรอ CiteinTextเป็นการอ้างอิงที่มาของข้อมูลไว้ในวงเล็บ โดยแทรกลงในเนื้อหาของรายงานตรงที่มีการน้าข้อความมาอ้างอิง ซื่งมีรูปแบบการอ้างอิงตามคู่มือ APA คือ (ข้อ-นามลกุลผู้แต่งปีที่,พิมพ์หน้าที่อ้างอิง) เช่น (สุดสาย ตรีวานิช2556หน้า 52) เป็นต้น

87.  ข้อใดเป็นการอ้างอิงแบบแทรกในเนื้อหาที่ถูกต้อง

(1) สุดสาย ตรีวานิช2556หน้า 52

(2) (สุดสาย ตรีวานิช 2556 ; หน้า 52)

(3) (สุดสาย ตรีวานิช2556หน้า 52)     

(4) สุดสาย ตรีวานิช. 2556. หน้า 52

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 86. บระกอบ

88.  ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล

(1) ใช้ตรวจสอบความถูกต้องของสารสนเทศ     

(2) เป็นองค์ประกอบของรูปแบบรายงาน

(3) ให้แหล่งสารสนเทศที่สามารถค้นคว้าได้อีก   

(4) ป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 85. ประกอบ

89.  ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการคัดลอก “พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ” มาประกอบการเขียนรายงานโดยใส่ไว้ในเนื้อหา

(1)   ให้อ้างอิงที่มาของข้อมูลโดยแทรกลงไปในเนื้อหาทันที โดยอ้างอิงแบบนาม-ปี

(2)   ให้ใช้คำพูดของตนเอง แต่คงความหมายและขอบเขตเนื้อเรื่องเดิมไว้ทุกอย่าง

(3)   ให้แสดงแหล่งที่มาของข้อมูลเดิมเพื่อเป็นหลักฐานที่ใช้ประกอบการศึกษาค้นคว้า

(4)   ให้คัดลอกทุกอย่างเหมือนต้นฉบับ แล้วคร่อมไว้ด้วยเครื่องหมาย “…” (อัญประกาศ)

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 83.84.85. และ 86. ประกอบ

90.  ผู้แต่งหนังสือที่มีฐานันดรศักดิ์หรือบรรดาศักดิ์ เขียนบรรณานุกรมอย่างไรจึงจะถูกต้อง

(1) สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์ศ.ดร. ม.ร.ว.    

(2) เปรม ติณสูลานนท์พลเอก

(3) คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยาดร.

(4) นายแพทย์ สรวิชญ์ สุบุญร้อยเอก

ตอบ 2 หน้า 313 – 315317 – 318(คำบรรยาย) รูปแบบการลงรายการทางบรรณานุกรมหนังสือที่ถูกต้องตามแบบแผนของคู่มือ APA คือ

ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่,พิมพ์). ชื่อหนังสือ (ครั้งที่พิมพ์). สถานที่พิมพ์ : สำนักพิมพ์.

–     ในกรณีที่ผู้แต่งเป็นคนไทยและมีฐานันดรศักดิ์ บรรดาศักดิ์ สมณศักดิ์หรือยศ ให้ลงชื่อและนามสกุลของผู้แต่ง คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค (,ตามด้วยฐานันดรศักดิ์หรือยศ เช่น สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์ม.ร.ว. กษมา วรวรรณ ณ อยุธยาคุณหญิง เปรม ติณสูลานนท์พลเอก เป็นต้น

–     ในกรณีที่ผู้แต่งเป็นคนไทย ให้ลงชื่อและนามสกุลโดยไม่ต้องระบุคำน้าหน้าข้อบุคคล เช่น นาย/นาง/นางสาวดร.นายแพทย์ผศ./รศ. เป็นต้น

–     ในกรณีที่ผู้แต่งเป็นชาวต่างประเทศให้ลงชื่อสกุล (Last Nameก่อน แล้วตามด้วยเครื่องหมายจุลภาคและชื่อต้น (First Nameเช่น Newston, J.w. (2012). Exploring market opportunitiesOxford : Hart Pub.

91.  ข้อใดเป็นรูปแบบการลงรายการบรรณานุกรมถูกต้องตามรูปแบบสากล

(1)   ชื่อผู้แต่งชื่อหนังสือ. สถานที่พิมพ์ : สำนักพิมพ์ปีที่พิมพ์.

(2)   ชื่อผู้แต่ง. ชื่อหนังสือ. สถานทีพิมพ์ : สำนักพิมพ์ปีที่พิมพ์.

(3)   ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อหนังสือ. สถานที่พิมพ์ : สำนักพิมพ์.

(4)   ชื่อผู้แต่ง(ปีที่พิมพ์)ชื่อหนังสือ. สถานที่พิมพ์ สำนักพิมพ์.

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 90. ประกอบ

92.  ข้อใดเป็นการเขียนบรรณานุกรมสำหรับหนังสือที่ถูกต้อง

(1) สุดสาย ตรีวานิช2556สุขาภิบาลอุตสาหกรรมอาหาร. กรุงเทพมหานคร ซีเอ็ด.

(2) สุดสาย ตรีวานิช. 2556. สุขาภิบาลอุตสาหกรรมอาหาร. กรุงเทพมหานคร : ซีเอ็ด.

(3)   สุดสาย ตรีวานิช(2556)สุขาภิบาลอุตสาหกรรมอาหาร. กรุงเทพมหานคร ซีเอ็ด.

(4) สุดสาย ตรีวานิช. (2556). สุขาภิบาลอุตสาหกรรมอาหาร. กรุงเทพมหานคร  ซีเอ็ด.

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 90. ประกอบ

93.  การอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์/เว็บไซด์ข้อใดถูกต้อง

(1) สุดสาย ตรีวานิช2556สุขาภิบาลอุตสาหกรรมอาหาร. ค้นจาก http://guru.google.co.th/guru/ เมื่อ 31 ตุลาคม 2557

(2)   สุดสาย ตรีวานิช. 2556. สุขาภิบาลอุตสาหกรรมอาหาร. ค้นเมื่อ 31 ตุลาคม 2557จาก http://guru.google.co.th/guru/

(3)   สุดสาย ตรีวานิช. (2556)สุขาภิบาลอุตสาหกรรมอาหาร. ค้นจาก http://guru.google.co.th/guru/ เมื่อ 31 ตุลาคม 2557

(4)   สุดสาย ตรีวานิช. (2556). สุขาภิบาลอุตสาหกรรมอาหาร. ค้นเมื่อ 31 ตุลาดม 2557จาก http://guru.google.co.th/guru/

ตอบ 4 หน้า 328 รูปแบบการลงรายการอ้างอิงทางบรรณานุกรมสำหรับสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ แหล่งข้อมูลออนไลน์บนอินเทอร์เน็ตและซีดีรอม คือ ชื่อผู้แตง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อเรื่อง. ค้นเมื่อ ระบุวันที่ค้นข้อมูลที่อยู่ของเอกสาร (URL) เช่น สุดสาย ตรีวานิช. (2556). สุขาภิบาลอุตสาหกรรมอาหาร. ค้นเมื่อ 31 ตุลาคม 2557จาก http://guru.google.co.th/guru/

94.  การลงรายการทางบรรณานุกรมสำหรับหนังสือที่เขียนโดยชาวต่างชาติข้อใดถูกต้อง

(1)   Jason WNewston2012. Exploring market opportunitiesOxford Hart Pub.

(2)   Jason WNewston, (2012), Exploring market opportunitiesOxford ; Hart Pub.

(3)   Newston, J.W. (2012). Exploring market opportunitiesOxford Hart Pub.

(4)   Newston, Jason W. 2012. Exploring market opportunitiesOxford : Hart Pub.

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 90. ประกอบ

95.  การกล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการทำรายงานและขอบเขตของเนื้อหาจะปรากฏที่ส่วนใดของรายงาน

(1) ส่วนประกอบตอนต้น   

(2) คำนำ

(3)   ส่วนประกอบตอนท้าย

(4) บทนำ

ตอบ 2 หน้า 336 หน้าคำนำ (Prefaceเป็นหน้าที่แจ้งให้ผู้อ่านได้ทราบถึงวัตถุประสงค์ของการทำรายงาน ขอบเขตเนื้อหาของรายงาน และแสดงคำขอบคุณผู้ที่มีคุณูปการหรือผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือในการให้ข้อมูลจนทำให้การทำรายงานนั้นสำเร็จ

96. หน้าบอกตอนควรอยู่ก่อนส่วนใดของรายงาน

(1) คำนำ บทนำ

(2)   สารบัญ เนื้อหา 

(3) ภาคผนวก บรรณานุกรม    

(4) เนื้อหา ภาคผนวก

ตอบ 3 หน้า 334 – 338 ส่วนประกอบของรายงาน แบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ ดังนี้

1.    ส่วนประกอบตอนต้น ได้แก่ ปกนอก หน้า,ชื่อเรื่อง หน้าคำนำ หน้าสารบัญ และหน้าสารบัญตารางและภาพประกอบ โดยปกนอกและหน้าชื่อเรื่องจะใช้ข้อความเดียวกัน

2.    ส่วนที่เป็นเนื้อหา ได้แก่ ข้อความที่คัดลอกมา การอ้างอิง บันทึกเพิ่มเติม (เช่น เชิงอรรถ) ตาราง และภาพประกอบ

3.    ส่วนประกอบตอนท้าย ได้แก่ หน้าบอกตอน บรรณานุกรม ภาคผนวก และอภิธานศัพท์

97.  ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับส่วนที่เป็นเนื้อหาของรายงาน

(1)   รายงานขนาดยาวควรแบ่งเนื้อหาออกเป็นบทหรือตอน

(2)   การเรียบเรียงเนื้อหาในรายงานเป็นไปตามลักษณะของโครงเรื่องที่กำหนด

(3)   ต้องขออนุญาตเจ้าของผลงานก่อนเขียนเพื่ออ้างอิงอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ

(4)   การเรียบเรียงเนื้อหาต้องมีการระบุแหล่งที่มาของข้อมูลที่นำมาใข้ในการแสดงเหตุผล

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 80. และ 85. ประกอบ

98.  ข้อใดที่ผู้อ่านรายงานใช้เป็นเครื่องมือตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง

(1) บทคัดย่อ   

(2) บรรณานุกรม     

(3) คำนำ 

(4) ภาคผนวก

ตอบ 2 (IS 103 เลขพิมพ์ 53345 หน้า 275) บรรณานุกรม เป็นส่วนที่สำคัญยิ่งของรายงาน เนื่องจาก เป็นรายการที่แสดงหลักฐานประกอบการศึกษาค้นคว้า ทำให้ผู้อ่านรายงานสามารถตรวจสอบ ข้อมูลย้อนหลังได้ ทั้งนี้รายการบรรณานุกรมจะนิยมจัดเรียงตามลำดับอักษรชื่อผู้เขียนหนังสือ หรือผู้เขียนบทความ ถ้ามีรายชื่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้เรียงลำดับภาษาไทยมาก่อน

99.  ผู้ทำรายงานควรกล่าวขอบคุณบุคคลที่ให้ความร่วมมือตอบแบบสอบถามไว้ที่ส่วนใดของรายงาน

(1) หน้าคำนำ  

(2) ก่อนบทนำ 

(3) หน้าปกหลัง

(4) หน้าคำนิยม

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 95. ประกอบ

100. ข้อใดจัดเรียงส่วนประกอบของรายงานได้ถูกต้อง

(1)   หน้าชื่อเรื่อง คำนำ สารบัญ เนื้อหา บรรณานุกรม ภาคผนวก

(2)   หน้าชื่อเรื่อง สารบัญ คำนำ เนื้อหา ภาคผนวก บรรณานุกรม

(3)   หน้าชื่อเรื่อง คำนำ สารบัญ เนื้อหา ภาคผนวก บรรณานุกรม

(4)   หน้าชื่อเรือง สารบัญ คำนำ เนื้อหา บรรณานุกรม ภาคผนวก

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 96. ประกอบ

LIS1003 การใช้ห้องสมุด การสอบไล่ภาค1 ปีการศึกษา2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิขา LIS 1003 การใช้ห้องสมุด

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 60 ข้อ)

1.             ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกันในแง่ของการผลิตและสร้างสถานที่จัดเก็บสื่อในยุคโบราณ

(1)ห้องสมุดเมืองนิเบเวห์และชาวอัสสิเรียน      

(2) กฎหมายและบาบิโลเนียน

(3) คูนิฟอร์มและสุเมเรียน   

(4) แผ่นหนังและอียิปต์

ตอบ 4 หน้า 6 – 8, (IS 101 เลขพิมพ์ 52079 หน้า 9) พระเจ้าเปอร์กามัมแห่งกรีกทรงดำริใช้

แผ่นหนังสัตว์ฟอก (Parchment) เพื่อใช้บันทึกข้อเขียนแทนแผ่นดินเหนียว แผ่นไม้ แผ่นหิน แผ่นบรอนซ์ กระดูกและกระดองสัตว์ ไหม ผ้าลินิน และกระดาษปาไปรัส โดยแผ่นหนังเหล่านี้ เมื่อนำมาเย็บรวมกันเป็นเล่มก็จะเรียกว่า โคเด็กข่” (Codex) ซึ่งนับเป็นต้นแบบของการเย็บเล่ม หนังสือในปัจจุบัน (ส่วนชาวอียิปต์เป็นชนชาติที่รู้จักบันทึกเหตุการณ์และข่าวสารความรู้ ต่าง ๆ ลงบนแผ่นกระดาษปาไปรัส (Papyrus) ด้วยตัวอักษรภาพที่เรียกว่า ไฮโรกสิพิก” (Hieroglyphic) ตั้งแต่ 3,000 B.C.)

2.             ข้อใดกล่าวถึงข้อมูลและสารสนเทศได้ถูกต้องที่สุด

(1)           ผู้จัดรายการ แฉตอนเย็น” ให้สารสนเทศซึ่งเป็นเรืองส่วนตัวของพระเอกละครเก้งกวางแห่งช่องสี่สี ที่มีแฟนเป็นชะนีสี่คน (ในเวลาเดียวกัน)

(2)           กระทรวงพาณิชย์ให้สารสนเทศด้านกฎหมายแก่นักธุรกิจไทยในการทำธุรกิจที่ประเทศกัมพูชา

(3)           คุณน้ำหวานได้รับสารสนเทศเชิญให้เข้าร่วมงานกับกลุ่มต้มตุ๋นข้ามชาติผ่านอีเมล์

(4)           คุณแดงพิงโฆษกวิทยุให้สารสนเทศเกี่ยวกับสรรพคุณของยาลดความอ้วน

ตอบ 2 หน้า 35, (คำบรรยาย) คำว่า สารสนเทศ” (Information) หมายถึง ข่าวสารความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริงหรือเรื่องราวที่เกิดจากข้อมูลที่ผ่านการกลั่นกรองและประมวลผลแล้ว ตลอดทั้ง ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ ซึ่งบันทึกลงในสื่อหรือวัสดุประเภทต่าง ๆ ที่สามารถถ่ายทอดและ เผยแพร่ได้ ดังนั้นสารสนเทศจึงมีความถูกต้องและมีประโยชน์ต่อผู้ใช้มากกว่าข้อมูล เนื่องจาก สามารถนำมาช่วยแก้ไขปัญหาและประกอบการตัดสินใจได้ ส่วนคำว่า ข้อมูล” (Data) หมายถึง ข้อมูลดิบหรือข้อเท็จจริงที่ยังไม่สมบูรณ์ ไม่ถูกต้อง หรือยังไม่ได้ผ่านการกลั่นกรอง วิเคราะห์ ตรวจสอบ และประเมินผลอย่างเป็นระบบ เช่น ข่าวจากหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ ข่าวซุบซิบหรือ ข่าวลือ การโฆษณาสินค้า ข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต การกล่าวหา/โจมตีคู่แข่งทางการเมือง เป็นต้น

3.             ข้อใดกล่าวถึง การศึกษา” ไต้ครอบคลุมที่สุด

(1)           แดงไม่สนใจเรียนในห้องเรียน แต่เก็บเกี่ยวความรู้การทำนาจากพ่อและแม่

(2)           เอกเรียนรู้การใส่ปุ๋ยนาข้าวจากครูเจตนา โดยไม่ใส่ใจการอธิบายของพี่ชายซึ่งเป็นปราชญ์ดินของหมู่บ้าน

(3)           สมหญิงได้ตั้งใจฟังครูอธิบายและค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับพฤติกรรมชะนี

(4)           อภิชัยเรียนรู้วิธีซ่อมเครื่องซักผ้าจากร้านซ่อมเครื่องออนไลน์ โดยไม่สนใจคำแนะนำของภรรยา

ตอบ 3 หน้า 16 – 20, (คำบรรยาย) การศึกษา หมายถึง การเสาะแสวงหาความรู้จากหลาย ๆ ทางเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในเรื่องนั้น ๆ โดยวิธีศึกษาหาความรู้ที่เป็นพื้นฐานของ การแสวงหาความรู้มีอยู่ 4 วิธี ได้แก่ การอ่าน การฟัง การไต่ถาม และการจดบันทึก

ซึ่งตรงตามหลักของหัวใจนักปราชญ์ ได้แก่ สุ จิ ปุ ลิ” ดังนี้

1.             สุ (สุต หรือสุตตะ) คือ การฟังหรือการรับสารทั้งปวง รวมทั้งการอ่านหนังลือ และการค้นคว้า หาความรู้จากสื่อต่าง ๆ

2.             จิ (จินตนะ หรือจินตะ) คือ การคิดวิเคราะห์ไตร่ตรองสิ่งต่าง ๆ

3.             ปุ (ปุจฉา) คือ การไต่ถามหรือเสวนาหาคำตอบจากผู้รู้

4.             ลิ (ลิขิต) คือ การเขียนหรือการจดบันทึก

4. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับประเด็นความเป็นมาของห้องสมุดในประเทศไทย

(1)    หอพระมณเฑียรธรรม คือ หอไตรแห่งวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

(2)    หอหลวงสร้างขึ้นเพื่อเก็บเอกสารของราชสำนักในสมัยกรุงศรีอยุธยา

(3)    ตึกถาวรวัตถุใช้เป็นหอไตรแห่งวัดมหาธาตุในสมัยรัชกาลที่ 5

(4)    หอพุทธสาสนสังคหะสร้างขึ้นในวัดเบญจมบพิตร

ตอบ 3 หน้า 9 – 10, (คำบรรยาย) ห้องสมุดในประเทศไทยมีพัฒนาการตามลำดับยุคสมัยดังนี้

1.      สมัยสุโขทัย ได้แก่ หอไตรหรือหอพระไตรปิฎกภายในวัดวาอารามต่าง ๆ

2.      สมัยอยุธยา ได้แก่ หอหลวงภายในพระราชวัง เพื่อเก็บรักษาหนังสือ วรรณกรรมทางโลก ตัวบทกฎหมาย และเอกสารทางราชการของราชสำนัก

3.      สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการสร้างหอสมุดประจำรัชกาลต่าง ๆ ได้แก่ หอพระมณเฑียรธรรม หรือหอไตรภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ในสมัยรัชกาลที่ 1,

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ในสมัยรัชกาลที่ 3, หอพระสมุดวชิรญาณ หอพุทธสาสนสังคหะ (ตั้งอยู่ในวัดเบญจมบพิตร) และหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร ในสมัยรัชกาลที่ 5 ตามลำดับ

5.      การใช้หนังลือ “Post Capital Society” เพื่อประกอบการทำวิทยานิพนธ์ของนักศึกษา ตรงกับวัตถุประสงค์ ของห้องสมุดใบข้อใดมากที่สุด

(1) เพื่อความจรรโลงใจ

(2) เพื่อข่าวสารความรู้

(3) เพื่อการค้นคว้าวิจัย

(4) เพื่อส่งเสริมประชาธิปไตย

ตอบ 3 หน้า 24 ห้องสมุดโดยทั่วไปมีวัตถุประสงค์ 5 ประการ คือ

1.      เพื่อการศึกษา เข่น การจัดหาหนังลือประกอบการเรียนเอาไว้ให้บริการ

2.      เพื่อให้ข่าวสารความรู้ เช่น การที่ห้องสมุดจัดให้มีหนังสือพิมพ์เอาไว้ให้บริการ

3.      เพื่อการค้นคว้าวิจัย เช่น การจัดให้มีฐานข้อมูลวิทยานิพนธ์ ศูนย์สารสนเทศ ฯลฯ

4.      เพื่อความจรรโลงใจ เช่น การจัดหาหนังสือธรรมะ อัตชีวประวัติบุคคลสำคัญ กวีนิพนธ์ และวรรณกรรมซีไรต์ไว้ให้บริการ เพื่อให้เกิดแรงบันดาลใจสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามแก่ชีวิต

5.      เอการพักผ่อนหย่อนใจ เช่น การให้บริการหนังลือบันเทิงต่าง ๆ นวนิยาย เรื่องสั้น ฯลฯเพื่อช่วยให้ผู้อ่านผ่อนคลายความตึงเครียดได้

6.      วิธีการอ่านแบบวิเคราะห์เป็นประโยชน์ต่อกิจกรรมการเรียนในข้อใดมากที่สุด

(1)    การเตรียมตัวสอบวิชา กฎหมายอาญา

(2)    การค้นหาคำว่า กฎหมายอาญา” จากพจนานุกรมกฎหมายไทย

(3)    การตัดสินใจเลือกซื้อหนังลือ กฎหมายอาญา

(4)    การทำรายงานเรื่อง ปัญหากฎหมายอาญาของไทย

ตอบ 4 หน้า 18, (คำบรรยาย) การอ่านแบบวิเคราะห์ (Critical Reading) เป็นทักษะการอ่านในระดับสูงสุด ถือว่าเป็นสุดยอดของกระบวนการอ่านเอาความ ซึ่งผู้อ่านมักเป็นนักวิจัยหรือ นักวิชาการที่ต้องมีความรู้ในเรื่องที่จะอ่านมาก่อน เพราะเป็นการอ่านที่ต้องใช้วิจารณญาณ อย่างมาก สามารถแลดงความคิดเห็น พร้อมทั้งประเมินค่าหรือวิจารณ์สิ่งที่อ่านได้อย่างมีเหตุผล และมีหลักเกณฑ์ เช่น การอ่านเพื่อรวบรวมข้อมูลมาประกอบการทำรายงาน ทำวิจัย การอ่านบทวิจารณ์หนังสือ เป็นต้น

7.         กฤตภาค การเลี้ยงกุ้งกุลาดำ” หาอ่านได้จากฝ่ายใดของสำนักหอสมุดกลาง ม.ร.

(1) ฝ่ายวัสดุไม่ตีพิมพ์

(2)ฝ่ายวารสารและเอกสาร    

(3) ฝ่ายเทคนิค           

(4) ฝ่ายบริการผู้อ่าน

ตอบ 2 หน้า 40 – 41 ฝ่ายวารสารและเอกสาร จะรับผิดชอบเกี่ยวกับการจัดหา พิจารณาคัดเลือกและประเมินคุณค่าวารสาร จัดทำดรรชนีและสาระสังเขปบทความจากวารสารและเอกสาร จัดทำบรรณานุกรมวารสาร รวมทั้งให้บริการวารสาร นิตยสาร หนังสือพิมพ์ จุลสาร สิ่งพิมพ์ต่อเนื่อง และเอกสารทั่ว ๆ ไป ตลอดจนจัดทำกฤตภาคไว้ให้บริการ

8.         แหล่งสารสนเทศในข้อใดที่ทำหน้าที่สงวนเอกสารเก่าของหน่วยงานราชการเพื่อใช้อ้างอิงทางประวัติศาสตร์ กฎหมาย และวิชาการ

(1)       ศูนย์เอกสาร    (2) พิพิธภัณฑ์ (3) หอจดหมายเหตุ     (4) ห้องสมุดเฉพาะ

ตอบ 3 หน้า 36 หอจดหมายเหตุ เป็นหน่วยงานสารสนเทศที่จัดเก็บรวบรวมรักษาเอกสารจดหมายเหตุที่สำคัญ ๆ ไว้มากที่สุด เช่น เอกสารทางราชการ จดหมายโต้ตอบ บันทึกส่วนตัว ฯลฯ ซึ่งเป็นเอกสารโบราณหรือเอกสารเก่าย้อนหลังที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของประเทศหรือของทางราชการ หน่วยงานเอกขนและบุคคล ทั้งนี้เพื่อรวบรวมเหตุการณ์ที่ผ่านมา เพื่อเป็นหลักฐานอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ กฎหมาย วิชาการ หรือการค้นคว้าวิจัย และเพื่อเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติสืบไป เช่น หอจดหมายเหตุแห่งชาติ สังกัดกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ

9.         ข้อใดหมายถึงทรัพยากรสารสนเทศห้องสมุด

(1)       ฐานข้อมูลออนไลน์ที่บรรณารักษ์กำลังดำเนินการจัดซื้อจัดหา

(2)       ฐานข้อมูลออนไลน์ที่บริษัทเสนอขายให้กับห้องสมุด

(3)       ฐานข้อมูลออนไลน์ที่ห้องสมุดเป็นสมาชิกและพร้อมให้บริการ

(4)       ฐานข้อมูลออนไลน์ที่ห้องสมุดได้ติดต่อให้บริษัทมาสาธิตวิธีการใช้งาน

ตอบ 3 หน้า 5576133 – 134 ทรัพยากรสารสนเทศห้องสมุด หมายถึง แหล่งสารสนเทศทุกรูปแบบ ที่ห้องสมุดได้คัดเสือก จัดหา วิเคราะห์ และจัดเก็บรวบรวมอย่างเป็นระเบียบ ไม่ว่าจะเป็น สิ่งตีพิมพ์บนแผ่นกระดาษ สิ่งบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยมือ สื่อโสตทัศน์ วัสดุย่อส่วน สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนฐานข้อมูลออนไลน์ที่ห้องสมุดเป็นสมาชิกและพร้อมให้บริการ รวมทั้งบรรณารักษ์หรือบุคลากรบริการสารสนเทศที่ทำหน้าที่ให้บริการและขวยผู้ใช้ค้นหา สารสนเทศที่ต้องการได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

10.       ข้อใดกล่าวถึงเชิงอรรถของหนังสือได้ชัดเจนที่สุด

(1)       ส่วนที่ช่วยอธิบายคำหรือข้อความบางตอนที่ปรากฏในเนื้อหา

(2)       ส่วนที่ให้คำอธิบายคำยากหรือศัพท์เฉพาะ

(3)       บัญชีคำหรือวลีที่ปรากฏในตอนท้ายของหนังสือ

(4)       บัญชีรายชื่อหนังสือหรือเอกสารอื่นที่ปรากฏในท้ายเล่มของหนังสือ

ตอบ1 หน้า 64 เชิงอรรถ (Footnotes) เป็นส่วนที่อธิบายคำหรือขยายข้อความบางตอนที่ปรากฏ ในเนื้อเรื่อง เพื่อบอกให้ผู้อ่านทราบถึงแหล่งที่มาของข้อความว่ามาจากแหล่งใด หรืออธิบาย คำยาก ให้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมจากข้อความตอนนั้น โดยทั่วไปเชิงอรรถจะปรากฏอยู่ที่ตอนล่างของหน้าที่มีข้อความที่อ้างถึงนั้น หรืออาจรวมอยู่ท้ายบทหรือท้ายเล่มก็ได้ ทั้งนี้ประโยชน์ของ เชิงอรรถก็คือ ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อเรืองได้ดียิ่งขึ้น และบอกแหล่งที่มาของข้อความที่ยกมา อ้างอิง ซึ่งผู้สนใจอาจไปหาอ่านเพิ่มเติมในภายหลัง

11.       หน้าโฮมเพจของเว็บไซต์ที่แสดงรายกานเชื่อมโยงหน้าเว็บเพจเข้าด้วยกันให้ประโยชน์คล้ายกับส่วนใด ของหนังสือมากที่สุด

(1) หน้าลิขสิทธิ         (2) หน้าคำนำ  (3) หน้าปกหนังสือ      (4) หน้าสารบัญ

ตอบ 4 หน้า 62 – 63, (คำบรรยาย) โฮมเพจ (Home Page) คือ หน้าแรกของแต่ละเว็บไซต์ ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ที่อยู่ภายในเว็บไซต์นั้น โดยผู้ใช้สามารถ Link ไปยังเว็บเพจหรือ หน้าเอกสารบนเว็บไซต์เพื่ออ่านข้อมูล โดยหน้าโฮมเพจจะมีลักษณะคล้ายกับหน้าสารบัญ (Content) ของหนังสือ ซึ่งจะบอกให้ทราบถึงลำดับเนื้อหาของหนังสือเล่มนั้น และช่วยให้ ผู้อ่านทราบขอบเขตหรือโครงเรื่องของหนังสือเล่มนั้นว่าแบ่งเป็นภาค เป็นตอน หรือเป็นบท อย่างไร อยู่หน้าไหน ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการค้นหาเรื่องที่ต้องการอย่างกว้าง ๆ

12.       ข้อใดไม่ใช่ส่วนประกอบสำคัญในหน้าปกของหนังสือพิมพ์ที่ดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน

(1) ความนำ     (2) พาดหัวข่าว            (3) สารบัญข่าว           (4) ภาพข่าว

ตอบ 3 หน้า 65 – 66 ส่วนประกอบหลักที่สำคัญของหนังสือพิมพ์ มี 3 ส่วน ได้แก่

1.         พาดหัวข่าว (Headline) เป็นอักษรตัวดำหนาขนาดใหญ่เรียงอยู่ส่วนบนสุดของหน้ากระดาษ ซึ่งจะเป็นข้อความสั้น ๆ ที่สรุปสาระสำคัญที่มีอยู่ในเนื้อข่าว ถือเป็นส่วนที่สะดุดตาผู้อ่าน และจูงใจให้อยากรู้รายละเอียดของข่าวสารมากที่สุด

2.         ความนำ (Lead) หรือวรรคนำหรือโปรยข่าว เป็นย่อหน้าแรกของข่าวแต่ละข่าว ซึ่งจะเป็น ประโยคสั้น ๆ ที่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้อ่านให้ติดตามอ่านข่าวตลอดทั้งเรื่อง

3.         ภาพข่าว (Photographs) เป็นส่วนประกอบที่น่าสนใจมากที่สุด เพราะสามารถดึงดูดความสนใจ ของผู้อ่านได้เป็นอย่างดี รวมทั่งยังช่วยจัดหน้าหนังสือพิมพ์ให้น่าอ่านอีกด้วย

13.       สำนักเทคโนโลยีการศึกษาได้จัดทวิดีทัศน์คำบรรยายวิชา LIS 1003 เพื่อให้นักศึกษาเรียนด้วยตัวเอง ตามอัธยาศัย (Course on Demand) จัดเป็นสื่อประเภทใด

(1) สื่อทัศนวัสดุ           (2) สื่ออิเล็กทรอนิกส์   (3) สื่อโสตทัศน์            (4) สื่อโสตวัสดุ

ตอบ 3 หน้า 67 – 7377 สื่อโสตทัศน์ (โสตทัศนวัสดุ หรือวัสดุไม่ตีพิมพ์) แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ใหญ่ ๆ คือ           1. โสตวัสดุ เป็นวัสดุที่สื่อสารโดยการฟัง เช่น แผ่นเสียงหรือจานเสียง

แถบบันทึกเสียง ซีดีออดิโอ แผ่นเอ็มพี 3 ฯลฯ 2. ทัศนวัสดุ เป็นวัสดุที่สื่อสารโดยการเห็น เช่น วัสดุกราฟิก รูปภาพ แผนที่ ลูกโลก ภาพนิ่ง แผ่นโปร่งใส หุ่นจำลอง ของตัวอย่าง ฯลฯ 3. สื่อโสตทัศน์ หรือโสตทัศนวัสดุ เป็นวัสดุที่สื่อสารทั้งโดยการฟังและการเห็น เช่น ภาพยนตร์ แถบวิดีทัศน์ วีซีดี ดีวีดี ฯลฯ

14.       ข้อโดคือทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุดที่ให้สาระเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจ ของผู้คนในช่วงเวลานั้น ๆ

(1) วารสาร      (2) ต้นฉบับตัวเขียน    (3) กฤตภาค    (4) จุลสาร

ตอบ 4 หน้า 66 – 67 จุลสาร (Pamphlets) เป็นสิ่งพิมพ์ที่ให้สารสนเทศเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ทันสมัย และอยู่ในความสนใจของบุคคลทั่วใปในช่วงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง โดยหน่วยงานต่าง ๆ มักจัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่เรื่องราวของหน่วยงานนั้น ๆ อาจพิมพ์ออกเป็นเล่มเดี่ยว ๆ หรือพิมพ์ เป็นตอน ๆ ทั้งนี้รูปเล่มโดยทั่วไปจะไม่มีการเข้าปกเย็บเล่มถาวร มีจำนวนหน้าไม่เกิน 60 หน้า ซึ่งอาจจะมีลักษณะเป็นแผ่นพับหรืออยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า ‘’อนุสาร” (Brochure) ก็ได้

15.       สื่อ USB Flash Drive ใช้วิธีการบันทึกข้อมูลเช่นเดียวกับสื่อในข้อใด

(1)ซีดีรอม (CD-ROM)    

(2) วิดีทัศน์ดิจิตอล (DVD)

(3) จานแม่เหล็กชนิดอ่อน (Floppy Disk)        

(4) จานแสง (Optical Disk)

ตอบ 3 หน้า 75 – 7678, (คำบรรยาย) สื่ออิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง สื่อที่บันทึกสารสนเทศด้วยวิธีการ ทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นอักขระแบบดิจิตอล ซึ่งต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์หรือแสงเลเซอร์ในการ บันทึกและอ่านข้อมูล แบ่งออกเป็น

1.         แผ่นจานแม่เหล็กแบบอ่อน (Diskette หรือ Floppy Disk) บันทึกโปรแกรมสำเร็จรูป

2.         จานแสง (Optical Disk) เช่น CD-ROM, VCD, DVD ฯลฯ

3.         USB Flash Drive เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลหรือไฟล์จากคอมพิวเตอร์ โดยมีวิธีการ บันทึกข้อมูลเหมือน Hard Disk หรือ Floppy Disk มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สะดวกในการพกพาติดตัว และสามารถเก็บข้อมูลได้จำนวนมากตั้งแต่ 128 MB – 8 GB

16.       ห้องสมุดนิยมอนุรักษ์เนื้อหาสาระจากหนังสือพิมพ์เก่าไว้เพื่อการศึกษาค้นคว้าในรูปแบบใด

(1) Winzipdata (2) Metadata    (3) ไมโครฟิล์ม            (4) ไมโครฟิซ

ตอบ 3 หน้า 169 ห้องสมุดโดยทั่วไปนิยมคัดเลือกและจัดเก็บหนังลือพิมพ์ฉบับย้อนหลังที่สำคัญ ๆ ด้วยการถ่ายเป็นวัสดุย่อส่วนแล้วเก็บไว้ใบรูปของไมโครพิล์ม เพื่อรักษาสภาพและประหยัดเนื้อที่ ในการจัดเก็บ เช่น สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง จะจัดเก็บหนังสือพิมพ์ 10 ฉบับ ไว้ในรูปไมโครพิล์ม ได้แก่ สยามรัฐ มติชน ไทยรัฐ เดลินิวส์ ข่าวพาณิชย์ มติชนรายสัปดาห์ สยามรัฐรายสัปดาห์ ประขาซาติ Bangkok Post และ The Nation

17.       ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับหนังลืออ้างอิง

(1)       ห้องสมุดส่วนใหญ่อนุญาตให้ผู้ใช้ยืมไปศึกษาค้นคว้าที่บ้านได้

(2)       ผู้ใช้ต้องอ่านตลอดทั้งเล่มเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการ

(3)       ช่วยผู้ใช้ในการเขียนรายการอ้างอิงเมื่อต้องทำรายงานการศึกษาค้นคว้า

(4)       ห้องสมุดใช้เพื่อตอบคำถามและช่วยผู้ใช้ค้นหาคำตอบที่ต้องการได้รวดเร็ว

ตอบ 4 หน้า 8183 – 84140 หนังสืออ้างอิง หมายถึง หนังสือที่จัดทำเป็นพิเศษสำหรับใช้ตอบปัญหา ต่าง ๆ และใช้ค้นคว้าหาข้อเท็จจริงบางประการมากกว่าที่จะใช้อ่านตลอดเล่ม โดยจะครอบคลุม ความรู้พื้นฐานในทุกสาขาวิชาอย่างกว้างขวาง มีการจัดเรียบเรียงเนื้อหาอย่างเป็นระบบ/ มีระเบียบ เพื่อช่วยให้สามารถค้นหาคำตอบที่ต้องการได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว และเป็นหนังสือ ที่ไม่อนุญาตให้ยืมออกนอกห้องสมุด ทั้งนี้ผู้จัดทำหนังสืออ้างอิงมักเป็นผู้ทรงคุณวุฒิและ ผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่าง ๆ ดังนั้นเนื้อหาภายในเล่มจึงมีความน่าเชื่อถือค่อนข้างสูง

18.       หนังสืออ้างอิงในข้อใดที่ให้ข้อเท็จจริงหรือเนื้อหาสาระแตกต่างจากเล่มอื่น ๆ

(1) Encyclopedia (2) Dictionary (3) Directory      (4) Handbook

ตอบ 4 หน้า 107 – 108246 หนังสือคู่มือทั่วไป (Handbook) เป็นหนังสืออ้างอิงที่ให้ความรู้เบ็ดเตล็ดทั่วไปไม่จำกัดสาขาวิชา โดยเสนอข้อเท็จจริงอย่างสั้น ๆ เช่น แรกมีในสยาม นอกจากนี้ คู่มือบางประเภทยังให้ข้อเท็จจริงหรือเนื้อหาสาระที่แตกต่างจากเล่มอื่น ๆ เช่น Guinness Book of World Records ให้เรื่องราวน่ารู้แปลก ๆ ที่ไม่ปรากฏในหนังสือทั่วไป ได้แก่ ชื่อบุคคลที่สูงที่สุดในโลก ชื่อบุคคลที่มีผมยาวที่สุดในโลก เป็นต้น

19.       ความแตกต่างของคำว่า “retrieve” และ “search” ควรค้นหาคำตอบจากหนังสือในข้อใด

(1)       สารานุกรม       (2) สมพัตสร    (3) พจนานุกรม            (4) นามานุกรม

ตอบ 3 หน้า 84 – 8588 พจนานุกรม (Dictionary) คือ หนังสือที่รวมคำในภาษา มีการเรียงลำดับ ตามตัวอักษร ให้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวสะกด วิธีการออกเสียง ชนิดของคำ ให้ความหมาย ของคำ วิธีใช้คำ คำที่มีความหมายพ้องกันหรือเหมือนกัน คำตรงกันข้าม และคำสแลง เช่น New Model English-Thai Dictionary เป็นพจนานุกรมอังกฤษ-ไทยที่รวบรวมคำศัพท์ ภาษาอังกฤษที่นิยมใช้และวิสามานยนามที่สำคัญให้ความหมายให้คำอ่านออกเสียงด้วยภาษาไทย บอกชนิดของคำ เป็นต้น

20.       ต้องการรายชื่อหน่วยงานย่อยในกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สามารถหาได้จากข้อใด

(1) นามสงเคราะห์ส่วนราชการไทย    

(2) คู่มือการจัดการส่วนราชการ

(3) สมุดรายนามผู้ใช้โทรศัพท์ 

(4) ทำเนียบรัฐวิสาหกิจไทย

ตอบ 1 หน้า 103105 นามสงเคราะห์ส่วนราชการไทย เป็นหนังสือนามานุกรมของรัฐที่รวบรวมรายชื่อ หน่วยราชการ กระทรวง ทบวง กรม รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอิสระ เช่น สำนักพระราชวัง ราชบัณฑิตยสถาน ฯลฯ โดยจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ตั้ง รายชื่อผู้บริหารและหมายเลขโทรศัพท์ รหัสโทรเลข และหมายเลขเทเล็กช์ เรียงไว้ตามสำดับอักษรชองชื่อทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รวมทั้งมีดรรชนีชื่อส่วนราชการจัดเรียงตามสำดับอักษรก-ฮ และ A – Z อยู่ท้ายเล่ม

21.       International Who’s Who ให้ข้อมูลในข้อใด

(1)       ประมวลภาพงานฉลองพิธีอภิเษกสมรสของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก

(2)       พระราชประวัติของสมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก

(3)       การเดินทางท่องเที่ยวในประเทศภูฏาน

(4)       ลำดับเหตุการณ์พระราชพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระราชาธีบดีจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก

ตอบ 2 หน้า 99 International Who’s Who เป็นอักขราบุกรมชีวประวัติที่ให้ชีวประวัติบุคคล ทีมีชื่อเสียง และยังมีชีวิตอยู่ในทุกอาชีพจากทุกประเทศทั่วโลก โดยให้รายละเอียดอย่างสั้น ๆ ในด้านวุฒิการศึกษา อาชีพ วันเดือนปีเกิด สถานที่ศึกษา ประวัติการทำงาน ผลงาน สถานที่อยู่ ปัจจุบัน ๆลฯ ซึ่งจะจัดเรียงรายชื่อเจ้าของประวัติตามลำดับอักษรชื่อสกุล นอกจากนี้ยังมี พระราชประวัติโดยสังเขปของพระมหากษัตริย์ที่ยังเป็นประมุขของประเทศต่าง ๆ อยู่ โดยเรียงไว้ตามลำดับอักษรของชื่อประเทศ

22.       สำดับเหตุการณ์ ตุลามหาวิปโยคในปี 2516” ค้นหาได้จากหนังสืออ้างอิงเล่มใดได้รวดเร็วที่สุด

(1) สมุดสถิติรายปีประเทศไทย          

(2) เล่าเรื่องเมืองไทย

(3) สิ่งแรกในเมืองไทย

(4) สยามออลมาแนค

ตอบ 4 หน้า 112 สยามออลมาแนค เป็นหนังสือปฏิทินเหตุการณ์รายปีเล่มแรกของประเทศไทย ที่รวบรวมเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในรอบปี ทั้งในด้านการเมือง การปกครอง การทหาร การศึกษา การแรงงาน เศรษฐกิจ ศาสนา ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ ธุรกิจการพาณิชย์ เกษตรกรรม กีฬา การท่องเที่ยว รวมทั้งสถิติในรูปของตาราง เช่น อัตราการเกิดและการตาย ของประชากร จำนวนประชากร เป็นต้น

23.       ข้อใดกล่าวถึง Americana Annual ได้ถูกต้องที่สุด

(1)รวมเรื่องราวที่เป็นที่สุดของประเทศสหรัฐอเมริกา

(2) สมุดสถิติรายปีของประเทศสหรัฐอเมริกา

(3) ภาคผนวกของสารานุกรม Americana       

(4) หนังสือรายปีของสารานุกรม Americana

ตอบ 4 หน้า 109 – 110 Americana Annual เป็นหนังสือรายปีของสารานุกรม Americana ที่ให้เนื้อหาครอบคลุมเรื่องราวและเหตุการณ์สำคัญ ๆ ทีเกิดขึ้นใบรอบปีที่ผ่านมา โดยแบ่งการให้ ข้อมูลออกเป็น 4 ส่วน คือ

1. เป็นรายงานข่าวในหัวเรื่องที่สำคัญและปฏิทินเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน

2. เป็นบทความสังเขปในหัวเรื่องที่กำลังเป็นที่สนใจของบุคคลหัวไป ในปีนั้น ๆ โดยจะเน้นเรื่องราวของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นส่วนใหญ่

3. ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศต่าง ๆ     

4. ให้ข้อมูลในรูปของตารางและตัวเลขสถิติ

24.       ข้อใดไม่จัดอยู่ในประเภทสิ่งพิมพ์รัฐบาล       

(1) ราชกิจจานุเบกษา

(2)คำพิพากษาและคำสั่งศาลปกครองสูงสุด พ.ศ. 2550

(3)กินรีของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)           

(4) รายงานผลการดำเนินงานกรมการพัฒนาชุมชน

ตอบ 3 หน้า 131 – 132141 สิ่งพิมพ์รัฐบาล หมายถึง สิ่งพิมพ์ที่หน่วยงานราชการเป็นผู้รับผิดชอบในการพิมพ์ขึ้นเพื่อจำหน่าย หรือแจกเป็นบริการให้เปล่าแก่หน่วยงานและประชาชนที่สนใจ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งพิมพ์ที่มีความน่าเชื่อถือสูงมากและจัดเป็นแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Source) ซึ่งอาจมีลักษณะรูปเล่มเป็นหนังสือ วารสาร แผ่นพับ แผนที่และแผนภูมิ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ สวนสาระในเล่มอาจเป็นรายงานการปฏิบัติงาน ร่างกฎหมายและมติต่าง ๆ ราชกิจจานุเบกษา ประมวลกฎหมายต่าง ๆ คำพิพากษาและความเห็นศาล เป็นต้น

25.       ข้อใดให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่มีผมยาวที่สุดในโลก

(1) รายงานประจำปี    (2) สารานุกรม (3) หนังสือคู่มือ           (4) สมพัตสร

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 18. ประกอบ

26.       ข้อใดคือระบบจัดหมู่หนังสือที่ใช้ในห้องสมุดโรงเรียนวัดเทพลีลา

(1) ระบบทศนิยมสากล           (2) ระบบทศนิยมดิวอี้

(3) ระบบห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน       (4) ระบบโคล่อน

ตอบ 2 หน้า 151 – 153 ระบบการจัดหมู่หนังสือแบบทศนิยมดิวอี้ (Dewey Decimal Classification : DDC หรือ DC) เป็นระบบที่นิยมใช้กันอย่างแพรหลายในห้องสมุดขนาดเล็กหรือขนาดกลางที่มี หนังสือทั่ว ๆ ไปหลายสาขาวิชาในจำนวนที่ไม่มากนัก เช่น ห้องสมุดโรงเรียน ห้องสมุดประซาซน เป็นต้น ซึ่งการจัดหมวดหมู่หนังสือด้วยระบบนี้จะเป็นแบบเชิงกว้าง โดยแบ่งสรรพวิทยาการ ในโลกออกเป็น 10 หมวดใหญ่ และกำหนดสัญลักษณ์เป็นเลขอารบิก 3 ตัว ตั้งแต่ 100 – 000 เพื่อแสดงเนื้อหาของหนังสือ นอกจากนี้หากต้องการระบุเนื้อหาของหนังสือให้ชี้เฉพาะยิ่งขึ้น ก็ให้ใช้วิธีเขียนเป็นจุดทศนิยมตั้งแต่ 1 ตำแหนงขึ้นไปจนถึงหลาย ๆ ตำแหน่งตามความเหมาะสม

27.       ข้อใดกล่าวถึงการจัดหมวดหมู่หนังสือของห้องสมุดได้ถูกต้องที่สุด

(1)       การจัดเก็บหนังสือโดยพิจารณาเนื้อหาสาระของหนังสือเป็นสำคัญ

(2)       การจัดเก็บหนังสือตามขนาดของหนังสือ

(3)       การจัดเก็บหนังสือตามความสนใจของผู้ใช้ห้องสมุด

(4)       การจัดเก็บหนังสือตามคำสำคัญที่ปรากฏในชื่อเรื่องของหนังสือ

ตอบ. 1 หน้า 150 การจัดหมู่หนังสือ หมายถึง การจัดหนังสือให้เป็นระบบโดยพิจารณาจากเนื้อหาสาระ ของหนังสือเป็นสำคัญ และมีการกำหนดสัญลักษณ์แสดงเนื้อหาของหนังสือแต่ละประเภท เพื่อเป็นเครื่องหมายระบุตำแหน่งของหนังสือทุกเล่มในห้องสมุด ซึ่งหนังสือที่มีเนื้อหาเดียวกัน และ/หรือประพันธ์วิธีเดียวกันจะมีสัญลักษณ์เหมือนกันและวางอยู่ในที่เดียวกัน ส่วนหนังสือ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันจะมีสัญลักษณ์ใกล้เคียงกันและวางอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ไกลกัน

28.       ระบบการจัดหมวดหมู่หนังสือในข้อใดที่ใช้เลขอารบิกและอักษรโรมันเป็นสัญลักษณ์ของหนังสือแต่ละเล่ม

(1) ระบบ DDC และ Colon       (2) ระบบ LC และ DDC

(3) ระบบ NLM และ LC    (4) ระบบ UDC และ LC

บ3 หน้า 153 – 156 ระบบการจัดหมู่หนังสือแบบห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน (Library of Congress Classification : LCC หรือ LC) และระบบการจัดหมู่หนังสือแบบห้องสมุดแพทย์แห่งชาติของ สหรัฐอเมริกา (National Library Medicine : NLM) จะใช้เลขอารบิกและอักษรโรมันเป็น สัญลักษณ์ของหนังสือแต่ละเล่มเหมือนกัน แต่อาจแตกต่างกันในด้านการจำแนก ทั้งนี้ระบบ LC จะนิยมใช้ในห้องสมุดขนาดใหญ่ที่มีหนังสือวิชาการทั่วไปเป็นจำนวนมาก เช่น ห้องสมุดเฉพาะ หรือห้องสมุดมหาวิทยาลัย ส่วนระบบ NLM จะนิยมใช้กับห้องสมุดของคณะแพทยคาสตร์ในทุกสถาบัน เช่น หอสมุดศิริราช ห้องสมุดคณะแพทยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ เป็นต้น

29.       สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้จัดหมวดหมู่หนังสือวิชาการทั่วไปด้วยระบบใด

(1) ระบบทศนิยมสากล           (2) ระบบทศนิยมดิวอี้

(3) ระบบห้องสมุดรัฐสภาอเมริกัน       (4) ระบบโคล่อน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ

30.       ข้อใดเรียงหนังสือ 4 เล่ม ซึ่งมีสัญลักษณ์ดังต่อไปนี้ได้ถูกต้อง

403.1

 

501.15

 

    402.191

 

402.5

พ324ง

 

ธ345ง

 

บ456ง

 

ก897ค

2550

 

2554

 

2555

 

2553

 

(1) ข-ก-ค-ง     (2) ค-ก-ข-ง     (3) ก-ข-ค-ง     (4) ค-ง-ก-ข

ตอบ 4 หน้า 159 – 160 วิธีการจัดเรียงหนังสือบนชั้นในห้องสมุด จะพิจารณาจากเลขเรียกหนังสือ จากซ้ายไปขวา จากขั้นบนลงขั้นล่าง และจะพิจารณาจัดลำดับจากเลขหมู่หนังสือก่อน ทั้งนี้ ห้องสมุดที่จัดหมู่หนังสือด้วยระบบทศนิยมดิวอี้จะเรียงลำดับจากเลขหมู่น้อยไปหาเลขหมู่มาก ส่วนห้องสมุดที่จัดหมู่หนังสือด้วยระบบห้องสมุดรัฐสภาอเมริกันจะพิจารณาเรียงลำดับตาม ตัวอักษร A – Z ก่อน ต่อเมื่อตัวอักษรซ้ำกับจึงค่อยเรียงลำดับจากเลขหมู่น้อยไปหาเลขหมู่มาก แต่ถ้าเลขหมู่ซ้ำกันก็ให้พิจารณาจากเลขผู้แต่งหรือเลขประจำหนังสือ และอักษรชื่อเรื่องตามลำดับ (จากโจทย์สามารถเรียงลำดับที่ถูกต้องได้ดังนี้  ค ง ก ข)

31.       ข้อใดกล่าวถึงเลขเรียกหนังสือได้ถูกต้องที่สุด

(1)       สัญลักษณ์ที่สำนักพิมพ์กำหนดขึ้นเพื่อใช้อ้างอิงในการสั่งซื้อหนังสือ

(2)       สัญลักษณ์ที่ห้องสมุดกำหนดขึ้นเพื่อระบุตำแหน่งของหนังสือในห้องสมุด

(3)       รหัสประจำหนังสือที่หอสมุดแห่งชาติกำหนดให้กับหนังสือทีผลิตขึ้นในประเทศทุกเล่ม

(4)       รหัสประจำหนังสือที่ห้องสมุดกำหนดเพื่อใช้เป็นรหัสสำหรับการแลกเปลี่ยนหนังสือ

ตอบ 2 หน้า 191 เลขเรียกหนังสือ (Call Number) เป็นสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายเฉพาะของ หนังสือแต่ละเล่มที่มีอยู่ในห้องสมุด โดยเลขเรียกหนังสือที่ปรากฏบนบัตรรายการจะเป็น เครื่องขี้บอกตำแหน่งของหนังสือบนชั้นซึ่งเป็นที่เก็บหนังสือของห้องสมุด

32.                  ข้อใดจัดเรียงนิตยสารใหม่ของห้องสมุดได้ถูกต้อง

ก                       ข                         ค                      ง                        จ

แทรเวลทริปส์         ดูสร้างคู่สม            เพิอนเดินทาง         เที่ยวรอบโลก        จิเอ็มแทรเวล

(1) ข-จ-ง-ท-ค    (2) จ-ง-ค-ข-ก    (3) ก-ข-ค-ง-จ    (4) ค-ง-จ-ข-ก

ตอบ 1 หน้า 57168 ห้องสมุดโดยทั่วไปจะมีวิธีจัดเก็บวารสารและนิตยสารของห้องสมุดใน 2 ลักษณะ ดังนี้

1.         วารสารและนิตยสารฉบับใหม่หรือฉบับล่าสุด ห้องสมุดจะจัดเรียงไว้บนชั้นเอียงตามลำดับอักษร ของชื่อวารสารหรือนิตยสารจากซ้ายไปขวา และมีป้ายขื่อวารสารหรือนิตยสารกำกับไว้ที่ชั้น ตรงกับตำแหน่งที่จัดวาง(จากโจทย์สามารถเรียงลำดับที่ถูกต้องได้ดังนี้ ข จ ง ก ค)

2.         วารสารและนิตยสารฉบับย้อนหลังหรือไม่ใช่ฉบับล่าสุด ห้องสมุดจะจัดรวมไว้กับวารสาร หรือนิตยสารย้อนหลังฉบับก่อน ๆ โดยนำไปเย็บรวมเป็นเล่มเมื่อได้รับครบปี และนำวารสาร หรือนิตยสารที่เย็บเล่มแล้วไปจัดเรียงไว้บนชั้นตามลำดับอักษรของชื่อวารสารหรือนิตยสาร จากปีที่เก่าไปหาใหม่ โดยมีป้ายชื่อวารสารหรือนิตยสารกำกับไว้ที่ชั้นตรงกับตำแหน่งที่จัดวาง

33. ข้อใดคือสัญลักษณ์ที่กำหนดให้กับสิ่งพิมพ์รัฐบาล เรื่องรายงานประจำปี พ.ศ. 2555 มหาวิทยาลัยรามคำแหง

(1) GP         (2) Ref        (3) SC         (4) GV

ตอบ 1 หน้า 166 – 167 สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้จัดแยกสิ่งพิมพ์รัฐบาลออกเป็นทรัพยากรลักษณะพิเศษ (Special Collection) และกำหนดระบบการจัดหมู่ขึ้นโดยเฉพาะคือ กำหนดอักษร GP (Government Publication) เป็นสัญลักษณ์พิเศษของสิ่งพิมพ์รัฐบาลกำกับเหนือเลขเรียกหนังสือ หลังจากนั้นจึงจัดแยกสิ่งพิมพ์ตามหน่วยงานรัฐบาลในระดับกระทรวงกรม กอง ฯลฯ

34. ข้อใดเป็นการจัดเก็บแผ่นเสียงที่ถูกต้อง

(1)       จัดเก็บไว้ในกล่อง โดยเรียงตามลำดับเลขทะเบียน

(2)       กำหนดเลขหมู่เช่นเดียวกับหนังสือ และจัดเก็บไว้ในกล่องเรียงตามเลขหมู่

(3)       กำหนดสัญลักษณ์ SR ตามด้วยเลขทะเบียน และเก็บไว้ในซอง 2 ชั้น

(4)       จัดเก็บไว้ในกล่อง โดยเรียงตามลำดับอักษรชื่อเพลงภายใต้ประเภทเพลง

ตอบ 3 หน้า 171 แผ่นเสียง (Phonodisc) เป็นวัสดุบันทึกเสียงประเภทหนึ่งที่มักจัดเก็บด้วยการบรรจุซอง 2 ชั้น แล้วจัดแยกเอาไว้ต่างหาก โดยมีการกำหนดสัญลักษณ์ SR (Sound Recording) ตามด้วยเลขทะเบียนหรือเลขหมู่ แล้วติดป้ายชื่อเรื่องบอกขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง และนำไป จัดเรียงไว้ในตู้หรือชั้นเก็บแผ่นเสียง 

35.       สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง มีการจัดเก็บวารสารเย็บเล่มอย่างไร

(1)       จัดรวมไว้กับวารสารย้อนหลังที่ยังไม่ได้เย็บเล่ม

(2)       จัดเก็บตามเนื้อหาของวารสารและเรียงบนชั้นรวมกับหนังสือทั่วไป

(3)       จัดเรียงไว้บนชั้นตามลำดับอักษรชื่อวารสารจากบที่เก่าไปหาใหม่

(4)       จัดเรียงตามลำดับเลขทะเบียนของวารสารเย็บเล่ม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 32. ประกอบ

36.       ข้อใดคือประโยชน์ของเครื่องมือช่วยค้นหนังสือของห้องสมุดมหาวิทยาลัย

(1) ระบุความเป็นมาของหนังสือแต่ละเล่ม      (2) สรุปเนื้อหาของหนังสือพอสังเขป

(3) ให้ข้อมูลบรรณานุกรมของหนังสือแต่ละเล่ม         (4) นำทางผู้ใช้ไปสู่ความรู้ที่สัมพันธ์กัน

ตอบ 3 หน้า 189 เครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้ใช้ห้องสมุดสามารถค้นหาหนังสือและทรัพยากรสารสนเทศ ได้อย่างสะดวกก็คือ บัตรรายการ ซึ่งมีประโยชน์ต่อผู้ใช้หลายประการ ดังนี้

1.         บอกให้ทราบว่าห้องสมุดมีหนังสือและทรัพยากรสารสนเทศใดบ้าง ใครเป็นผู้แต่ง และจัดวางอยู่ที่ใดในห้องสมุด

2.         ให้รายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลทางบรรณานุกรมของหนังสือแต่ละเล่ม

3.         ช่วยให้ผู้ใข้สามารถคันหาหนังสือที่ต้องการได้ แม้ไม่ทราบชื่อผู้แต่งหรือชื่อเรื่อง

4.         ให้ความสะดวกแก่ผู้ใช้ในการเตรียมเขียนรายงาน

5.         ช่วยให้ผู้ใช้ทราบว่าห้องสมุดมีหนังสือในแต่ละสาขาวิชามากน้อยเพียงใด

37.       การจัดเก็บลื่อในข้อใดที่มีการกำหนดหัวเรื่องและจัดเก็บใส่แฟ้มเรียงตามลำดับหัวเรื่อง

(1)ภาพโปร่งใสและไมโครฟิล์ม          

(2) แผนที่และแผนภูมิ

(3) กฤตภาคและจุลสาร         

(4) ภาพนิ่งและภาพเลื่อน

ตอบ 3 หน้า 163170 – 171 วิธีการจัดเก็บจุลสารและกฤตภาคของห้องสมุดจะใช้วิธีเดียวกัน

ส่วนมากนิยมจัดเก็บแยกออกจากวัสดุสารสนเทศอื่น ๆ คือ จัดเก็บโดยกำหนดหัวเรื่องกำกับไว้ ที่มุมบนของปก แล้วนำจุลสารและกฤตภาคที่มีหัวเรื่องเดียวกับเก็บรวบรวมไว้ในแฟ้ม ปิดป้าย ขื่อหัวเรื่องที่แฟ้ม และนำแฟ้มไปจัดเก็บไว้ในตู้เก็บเอกสารเรียงตามลำดับอักษรของหัวเรื่อง โดยที่หน้าลิ้นชักจะมีอักษรกำกับไว้ให้ทราบว่าแต่ละลิ้นชักมีแฟ้มเริ่มจากอักษรตัวใดถึงตัวใด

38.       ต้องการหนังสือชื่อ การศึกษาเพื่อความเป็นไท” ควรสืบค้นผ่านรายการใดของระบบสืบค้นข้อมูลของสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง          

(1) เลขมาตรฐานหนังสือสากล

(2)หัวเรื่อง       

(3) คำสำคัญ  

(4) ชื่อเรื่อง

ตอบ 4 หน้า 190313, (IS 101 เลขพิมพ์ 52079 หน้า 29 – 30219228) ในปัจจุบันผู้ใช้บริการ สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง สามารถสืบค้นทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุด โดยใช้บัตรรายการแบบออนไลน์ (Online Catalog) ผ่านระบบ OPAC (Online Public Access Catalog) ซึงเป็นการสืบค้นข้อมูลด้วยการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านเมนหลัก ได้แก่ ชื่อผู้แต่ง

ชื่อเรื่องหรือชื่อหนังสือ หัวเรื่อง คำสำคัญ (Keyword) เลขเรียกหนังสือ เลขประจำหนังสือสากล (ISBN) และเลขประจำวารสาร (ISSN) ในกรณีที่ผู้ใช้ทราบชื่อหนังสือ ก็สามารถสืบค้นข้อมูล โดยเข้าไปทีรายการชื่อเรื่อง

39.       ข้อใดที่ใช้เป็นแนวทางในการช่วยค้นหาทรัพยากรสารสนเทศของสำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง

(1) Online Catalog

(2) Metadata   

(3) Entry Catalog

(4) รายการหลัก

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 38. ประกอบ

40.       วิธีการค้นหาหนังสือตามชื่อผู้แต่งในข้อใดทำได้ถูกต้อง

(1) ศาสตราจารย์ ดร.อุทุมพร จามรมาน         

(2) อุทุมพร จามรมาน (ดร.)

(3) อุทุมพร จามรมาน 

(4) ดร.อุทุมพร จามรมาน

ตอบ 3 หน้า 191 – 192249 การบันทึกชื่อผู้แต่งหรือรายการหลักลงบนบัตรรายการ ในกรณีที่ผู้แต่ง เป็นคนไทยมีหลักเกณฑ์ดังนี้

1.         ให้ลงชื่อและนามสกุล ถ้ามีตำแหน่งทางวิชาการ ตำแหน่งทางวิขาชีพ หรือคำนำหน้าชื่อบุคคล ได้แก่ นาย/นางสาวดร.แพทย์หญิงศ./ผศ./รศ. ฯลฯ ไม่ต้องลงในบัตรรายการ เช่น อุทุมพร จามรมาน

2.         ถ้าเป็นพระราชวงศ์ มีฐานันดรศักดิ์ หรือยศตำแหนงทางราชการ ได้แก่ ม.ร.ว./ม.ล./ม.จ.คุณหญิงพ.ต.ท. ฯลฯ ต้องลงในบัตรรายการด้วย เช่น เสนีย์ ปราโมชม.ร.ว. เป็นต้น

41.       การเรียงข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นฐานข้อมูลหนังสือในห้องสมุดข้อใดถูกต้อง

ก. นงค์ ปิยโชติ            ข. นันทวัน เทียนแก้ว    ค. น. นพรัตน์             ง. น้ำผึ้ง เทศนา

(1) ค-ก-ข-ง     (2) ค-ข-ก-ง     (3) ก-ข-ง-ค     (4) ก-ง-ค-ข

ตอบ 1 หน้า 207 – 210 การเรียงลำดับข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นฐานข้อมูลหนังสือภาษาไทยในห้องสมุด จะใช้หลักเกณฑ์เช่นเดียวกับการเรียงบัตรรายการหนังสือภาษาไทย ดังนี้

1.         ให้เรียงตามลำดับอักษร ก-ฮ โดยไม่คำนึงถึงเสียงอ่าน

2.         คำที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะตัวเดียวกัน ให้เรียงคำที่มีตัวสะกดไว้ก่อนคำที่มีรูปสระ และ เรียงลำดับรูปสระตามแบบพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน

3.         อักษรย่อใด ๆ เช่น น. นิรมล ให้เรียงไว้ตอนต้นของคำที่เป็นอักษรนั้น ๆ ถ้ามีอักษรย่อซ้ำกัน ให้เรียงตามลำดับของอักษรตัวถัดไป เป็นต้น (จากโจทย์ สามารถเรียงข้อมูลที่ถูกต้องได้ดังนี้ ค ก ข ง)

42.       ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับเมนูช่วยการค้นหาทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุด

(1) หัวเรื่อง      

(2) ชื่อเรื่อง

(3) หมายเลข ISM  

(4) หมายเลข ISBN

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 38. ประกอบ

43.       ต้องการค้นหาทรัพยากรสารสนเทศของห้องสมุดเกี่ยวกับสมุนไพรไทย ควรสืบค้นผ่านเมนูในข้อใด ของรายการสืบค้น

(1) ขื่อหนังสือ 

(2) หัวเรื่อง

(3) เลขหมู่หนังสือ       

(4) เลขทะเบียนหนังสือ

ตอบ2 หน้า 221228 หัวเรื่อง หมายถึง คำหรือวลีหรือชื่อเฉพาะต่าง ๆ ที่บรรณารักษ์เลือกมาจาก บัญชีหัวเรื่องมาตรฐาน เพื่อใช้แทนเนื้อเรื่องซึ่งตรงกับเนื้อหาส่วนใหญ่ของหนังสือแต่ละเล่ม โดยหัวเรื่องส่วนมากจะเป็นคำสั้น ๆ กะทัดรัด ได้ใจความ ครอบคลุมเนื้อเรื่องของหนังสือทั้งเล่ม แต่ไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับชื่อเรื่อง นอกจากนี้ยังสามารถใช้ชื่อเฉพาะที่เป็นคำวิสามานยนาม เช่น ชื่อบุคคล ชื่อสถานที ชื่อสถาบัน ฯลๆ กำหนดเป็นหัวเรื่องหรือคำค้นได้ด้วย ทั้งนี้การใช้ หัวเรื่องค้นหาทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุด มักใช้ในกรณีที่ผู้ใช้ไม่ทราบชื่อผู้แต่งหรือชื่อเรื่องทรัพยากรสารสนเทศนั้น 

44.       คำหรือกลุ่มคำในข้อใดใช้เป็นหัวเรื่องสืบค้นฐานข้อมูลของห้องสมุดได้

(1)       นก       (2) เคมีวัตถุ    (3) ดอกไม้การจัด   (4) ทวิภพนวนิยาย

ตอบ 1 หน้า 223 – 224228 การกำหนดคำที่ใช้เป็นหัวเรื่องใหญ่มีลักษณะดังนี้

1.         คำนามคำเดียวโดด ๆ เช่น กบ ไกด์ บก ฯลฯ

2.         คำผสมที่เป็นคำนาม 2 คำ เชื่อมด้วย “and”, “กับ”, “และ” ทั้งที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้อง ไปในทางเดียวกัน เช่น ชุมชนกับโรงเรียน บิดาและมารดา ฯลฯ และที่มีเนื้อหาค้านกัน เช่น ศาสนากับวิทยาศาสตร์ Good and Evil ฯลฯ

3.         คำนามที่ตามด้วยเครื่องหมายจุลภาคและมีคำคุณศัพท์ที่ขยายคำแรกให้สื่อความหมายดีขึ้น เช่น เคมีวัตถุ ดอกไม้การจัด ฯลฯ

4.         กลุ่มคำหรือวลี เช่น บริการแปล ชีวิตชนบท ฯลฯ

5.         ชื่อเฉพาะที่เป็นคำวิสามานยนาม เช่น ชื่อบุคคล ชื่อสัตว์ ชื่อสถานที่ ชื่อพระหรือเทพเจ้า ฯลฯ

45.       ข้อใดกล่าวถึงหัวเรื่องได้ถูกต้องและชัดเจนที่สุด

(1)       คำสำคัญที่ใช้ในการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต

(2)       คำที่ใช้แทนเนื้อหาหนังสือและสื่ออื่น ๆที่ปรากฏในบัญชื่อหัวเรื่อง

(3)       คำสำคัญที่ใช้ค้นหาบทความ วารสาร และหนังสือพิมพ์

(4)       คำควบคุมที่ใช้ในการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

46.       ข้อมูลจากบัญชีหัวเรื่อง (LCSH) ด้านล่าง ข้อใดกล่าวได้ถูกต้องที่สุด

School-age child care (May Subd Geog)

UF After school day care

BT Child care

(1) After school day care ใช้เป็นหัวเรื่องได้          

(2) Child care ใช้เป็นหัวเรื่องได้

(3) May Subd Geog   ใช้เป็นหัวเรื่องได้         

(4) School-age child care ห้ามใช้เป็นหัวเรื่อง

ตอบ 2 หน้า 225 – 227 จากบัญชีหัวเรื่องภาษาอังกฤษ (LCSH) ฉบับปัจจุบัน สามารถนำมาอธิบาย หัวเรื่องจากโจทย์ได้ดังนี้

1.         School-age child care คือ หัวเรื่องใหญ่

2.         (May Subd Geog) คือ แบ่งตามสภาพภูมิศาสตร์

3.         After school day care คือ ไม่ใช้เป็นหัวเรื่อง (UF)

4.         Child care คือ หัวเรื่องสัมพันธ์ที่กว้างกว่า (BT)

47.       ข้อใดคือหัวเรื่องที่แบ่งย่อยตามเนื้อหา เพื่อให้ได้หนังสือที่มีเนื้อหาเจาะจงยิ่งขึ้น

(1)       Art, abstract     (2) Monkey and Bird

(3) English Language—Grammar      (4) Essays, Addresses

ตอบ 3 หน้า 224 – 225 หัวเรื่องย่อย เป็นคำหรือวลีที่ใช้เป็นหัวเรื่องย่อยเพื่อขยายหัวเรื่องใหญ่ ให้เห็นชัดเจนหรือจำเพาะเจาะจงขึ้น โดยหัวเรื่องย่อยจะมีขีดสั้น 2 ขีด (–) อยู่ข้างหน้าคำ เพื่อคั่นระหว่างหัวเรื่องใหญ่และหัวเรื่องย่อย แบ่งได้ 4 บ่ระเภท ดังนี้

1.         แบ่งตามวิธีเขียน เช่น ภาษาไทยแบบฝึกหัดหนังสือหายากบรรณานุกรม ฯลฯ

2.         บอกลำดับเหตุการณ์ ซึ่งจะแบ่งตามปีคริสต์ศักราช ยุคลมัย หรือชื่อพระเจ้าแผ่นดิน เช่น ไทยประวัติศาสตร์กรุงสุโขทัย1800 – 1900 ฯลฯ

3.         แบ่งตามขอบเขตเฉพาะของเนื้อหา เช่น English Language— Grammar,เกษตรกรรมแง่สังคม ฯลฯ

4.         แบ่งตามสภาพภูมิศาสตร์ เช่น พุทธศาสนาไทยเชียงใหม่ม้าป่าอินเดีย ฯลฯ

48.       ข้อใดเป็นวิธีการเลือกเรื่องหรือหัวข้อเพื่อทำรายงานในรายวิชา การบริหารงานองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น’’ ที่ถูกต้อง

(1)       เลือกเรื่องที่เพื่อน ๆ ไม่สนใจ เพื่อให้โดดเด่นกว่าคนอื่น

(2)       เลือกเรื่องหรือหัวข้อที่ง่ายที่สุด เพื่อให้เสร็จเร็ว ๆ

(3)       เลือกเรื่องที่น่าสนใจและสอดคล้องกับรายวิชาที่เรียน

(4)       เลือกเรื่องที่อาจารย์ประจำวิชาสนใจ เพื่อให้ไต้คะแนนดี

ตอบ 3 หน้า 238 – 239 การกำหนดเรื่องหรือหัวข้อของรายงานมีข้อที่ควรพิจารณา ดังนี้คือ

1.         เลือกเรืองที่น่าสนใจหรือชอบมากที่สุด และควรสอดคล้องกับวิชาที่กำลังศึกษาอยู่

2.         เลือกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสนใจและที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติม

3.         เลือกเรื่องที่ใกล้ตัวเราหรือที่เราเกี่ยวข้องด้วย

4.         เลือกเรื่องที่มีข้อมูลให้ค้นคว้าอย่างเพียงพอหรืออยู่ในวิสัยที่สามารถทำได้

5.         เลือกเรืองที่มีขอบเขตไม่กว้างหรือไม่ยาวจนเกินไป เพื่อให้ทันกับกำหนดเวลาและ ขนาดของรายงาน

49.       ข้อใดกล่าวถึงขั้นตอนการทำรายงานได้ถูกต้องที่สุด

(1)       ผู้ทำรายงานควรสำรวจข้อมูลก่อนตัดสินใจเลือกหัวข้อรายงาน

(2)       การรวบรวมบรรณานุกรมมีประโยชน์ในการเขียนรายงานฉบับร่าง

(3)       ผู้ทำรายงานต้องทำบัตรบันทึกข้อมูลก่อนการรวบรวมบรรณานุกรม

(4)       การเขียนรายงานควรทำไปพร้อมกับการเขียนบัตรบันทึกจากการอ่าน

ตอน 2 หน้า 238247 – 248263 ขั้นตอนของการทำรายงานหรือภาคนิพนธ์มี 6 ขั้นตอน ดังนี้

1. การกำหนดชื่อเรืองหรือหัวข้อที่จะทำรายงาน         

2. การสำรวจข้อมูล

3.         การรวบรวมบรรณานุกรม ซึ่งจะมีประโยชน์ในการเขียนรายงานฉบับร่าง

4.         การทำบัตรบันทึกข้อมูล 5. การวางโครงเรื่อง 6. การเรียบเรียงเนื้อหารายงานฉบับร่าง

50.       วิธีการในข้อใดใช้สำหรับการบันทึกข้อมูลจาก พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพื่อประกอบการทำรายงาน

(1) แบบถอดความ      (2) แบบเรียงความ      (3) แบบลอกความ      (4) แบบสรุปความ

ตอบ.3 หน้า 257260 – 261 การบันทึกข้อมูลแบบลอกความ (Quotation) จะเหมาะกับข้อความ หรือข้อเท็จจริงที่ชัดแจ้ง เช่น สูตรทางคณิตศาสตร์ ความหมายหรือคำนิยามในเชิงวิชาการ พระบรมราโชวาท พระราชบัญญัติ ข้อบังคับ กวีนิพนธ์ และบทละครต่าง ๆ ซึ่งถ้าคัดลอกต้นฉบับมาทั้งหมดให้คร่อมไว้ด้วยเครื่องหมายอัญประกาศ (“          ”) แต่ถ้าคัดลอกมาเพียงบางส่วนให้ใช้เครื่องหมายจุด 3 จุด (…) ใส่ไว้ก่อนหรือหลังข้อความนั้นโดยบัตรบันทึกชนิดนี้จะกระทำเมื่อ

1.         ผู้ทำรายงานไม่สามารถหาคำพูดได้ดีกว่าเนื้อหาเดิม

2.         เนื้อหาเดิมได้วางระเบียบกฎเกณฑ์และวิธีการไว้อย่างดีแล้วจึงไม่ควรดัดแปลง

3.         เนื้อหาเดิมบรรยายถึงแนวคิดของผู้แต่งจึงไม่ควรดัดแปลง

51.       แหล่งข้อมูลในข้อใดที่นักศึกษาสามารถใช้เป็นความรู้พื้นฐานในการทำรายงานได้เป็นอย่างดี

(1)       สารานุกรมทั่วไป          (2) วิทยานิพนธ์           (3) รายงานการวิจัย     (4) บทความในวารสาร

ตอบ 1 หน้า 91243 – 244 สารานุกรมทั่วไป เป็นหนังสืออ้างอิงที่ให้ความรู้พื้นฐานเบื้องต้นในวิชา ต่าง ๆ ไม่จำกัดสาขา รวมทั้งมีเรื่องของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกในหลายแง่มุม พร้อมกับรายชื่อ หนังสืออ่านประกอบ จึงเป็นแหล่งข้อมูลที่นำมาใช้ประกอบการทำรายงานได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้เค้าโครงเรื่องของหัวข้อสำคัญในสารานุกรมยังใช้เน้นแนวทางเพื่อเลือกเรื่องหรือ หัวข้อของรายงานได้อีกด้วย

52.       ข้อใดกล่าวถึงการเรียบเรียงรายงานได้ถูกต้องที่สุด

(1)       การอ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลควรใช้หลายรูปแบบเพื่อให้มีความหลากหลาย

(2)       การใช้อักษรย่อหรือคำย่อช่วยให้รายงานมีความกระชับน่าอ่าน

(3)       การเรียบเรียงเนื้อหาจะต้องเป็นไปตามโครงเรืองของรายงานที่ได้วางไว้

(4)       การวางโครงร่างรายงานควรเป็นไปตามข้อมูลที่ได้จากบัตรบันทึก

ตอบ 3 หน้า 263 การเรียบเรียงรายงานฉบับร่างมีข้อควรพิจารณาดังนี้

1.         เรียบเรียงเนื้อหาของรายงานตามลำดับของโครงเรื่องที่วางไว้ เนื้อหาไม่ควรสั้นหรือยาวเกินไป

2.         ใช้ภาษาที่ถูกต้อง กะทัดรัด สุภาพ และอธิบายทุกสิ่งให้ชัดเจน

3.         ไม่ใช้อักษรย่อและคำย่อ

4.         ต้องเสนอที่มาของข้อมูล เช่น ตาราง แผนภูมิ ภาคผนวก บรรณานุกรม ฯลฯ อย่างถูกวิธี โดยเลือกใช้แบบใดแบบหนึ่งตลอดรายงาน

53.       การเพิ่มตารางแสดงประชากรของประเทศอาเซียน ควรใส่ไว้ในส่วนใดของรายงาน

(1) บรรณานุกรม         (2) ภาคผนวก  (3) เนื้อหา        (4) อภิธานศัพท์

ตอบ 2 หน้า 275 ภาคผนวก (Appendix) เป็นส่วนท้ายของรายงานที่นำเสนอข้อมูลเพิ่มเติมนอกเหนือ จากส่วนที่เป็นเนื้อเรื่อง เนื่องจากรายการนั้นไม่เหมาะที่จะเสนอแทรกไว้ในส่วนเนื้อหา แต่มีความสัมพันธ์และช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อเรื่องได้ดียิ่งขึ้น เช่น ตารางแสดงจำนวนประชากร แบบสอบถาม ตารางลำดับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ เป็นต้น

54.       ข้อใดเขียนรายการอ้างอิงแบบในวงเล็บได้ถูกต้อง

(1) (Wilson, 1996, p. 11 – 15)  

(2) (Wilson 1996, p. 11)

(3) (T.D. Wilson, 1996, p. 11)

(4) (T.D. Wilson, 1996, pp. 11)

ตอบ 2 หน้า 264276 – 277 การแสดงที่มาของข้อมูลเฉพาะที่แบบนาม-ปี (Author-date) คือ รายการอ้างอิงแบบในวงเล็บที่แทรกลงไปในเนื้อหา (Cite-in-Text) โดยใส่ชื่อผู้เขียนและปีที่พิมพ์ พร้อมด้วยเลขหน้าไว้ในวงเล็บหลังข้อความที่คัดลอกมาหรือที่ต้องการอ้างอิง ซึ่งมีรูปแบบตามคู่มือ Turabian ดังนี้ (ชื่อผู้แต่ง / ปีที่พิมพ์, / หน้าที่อ้างอิง) เช่น (ประเวศ วะสี 2555หน้า 29) หากผู้แต่งเป็นชาวต่างชาติให้ลงชื่อสกุลของผู้แต่งตามด้วยปีที่พิมพ์และเลขหน้า เช่น (Wilson 1996, p. 11)

55.       ข้อใดเขียนรายการอ้างอิงตอนท้ายของรายงานการศึกษาค้นคว้าได้ถูกต้อง

(1)       รศ.ดร. บุญขม ศรีสะอาด. (2554). การวิจัยเบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่ 8). กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.

(2)       บุญขม ศรีสะอาด. (2554). การวิจัยเบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่ 8). กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.

(3)       รศ. บุญขม ศริสะอาด. (2554). การวิจัยเบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่ 8). กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.

(4)       ดร. บุญขม ศรีสะอาด. (2554). การวิจัยเบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่ 8). กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาลับ.

ตอบ 2 หน้า 254 – 255276 – 277, (IS 101 เลขพิมพ์ 52079 หน้า 313 – 315)

รูปแบบการเขียนรายการบรรณานุกรมสำหรับหนังสือที่ถูกต้องมี 2 รูปแบบ ได้แก่

1.         รูปแบบตามคู่มือ Turabian มีแบบแผนการเขียนรายการอ้างอิง ดังนี้

ชื่อผู้แต่ง. ชื่อหนังสือ. ครั้งที่พิมพ์. สถานที่พิมพ์ : สำนักพิมพ์ปีที่พิมพ์.

เช่น บุญชม ศรีสะอาด. การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ 8. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น2554.

2.         รูปแบบตามคู่มือ APA มีแบบแผนการเขียนรายการอ้างอิง ดังนี้

ขื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อหนังสือ (ครั้งที่พิมพ์). สถานที่พิมพ์ : สำนักพิมพ์.

เช่น บุญชม ศรีสะอาด. (2554). การวิจัยเบื้องต้น (พิมพ์ครั้งที่ 8). กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น.

56.       รายการในข้อใดที่ใช้อ้างอิงตำแหน่งเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต

(1) IP (2) TCP       (3) DNS      (4) FTP

ตอบ 1 (คำบรรยาย) โปรโตคอล IP (Internet Protocol) เป็นมาตรฐานที่ใช้สำหรับระบุตำแหน่ง หรือที่อยู่ที่ไม่ซ้ำกันของเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะช่วยตรวจสอบ หรืออ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูลได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ระบบตัวเลข IP ประกอบด้วยตัวเลข 4 กลุ่ม ถูกคั่นด้วยจุด เช่น 128.56.48.12 เป็นต้น

57.       ข้อใดไม่มีความสัมพันธ์กับเกี่ยวกับการพัฒนาอินเทอร์เน็ตในยุคเริ่มต้น

(1) สหรัฐอเมริกา         (2) อาร์พาเน็ต (3) การค้า        (4) การทหาร

ตอบ 3 (IS 101 เลขพิมพ์ 52079 หน้า 47 – 48), (คำบรรยาย) การพัฒนาอินเทอร์เน็ตเกิดขึ้น ในปี พ.ศ. 2512 เมื่อกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาได้ให้ทุนสนับสนุนโครงการพัฒนา เครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งเริมแรกนั้นได้มีการจัดตั้งเครือข่ายอาร์พาเน็ต (ARPAnet) ขึ้น เพื่อเน้นใช้งานด้านการทหารและการสื่อสารในช่วงสงครามเย็นมากที่สุด และเพื่อเชื่อมโยง คอมพิวเตอร์ของหน่วยงานในมหาวิทยาลัย 4 แห่ง ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับงานวิจัย จนกระทั่ง ในปี พ.ศ. 2526 จึงพัฒนามาเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และในปัจจุบันได้มีการนำอินเทอร์เน็ต มาใช้งานในเชิงพาณิชย์มากขึ้น

58.       รายการต่อไปนี้ [email protected] ส่วนใดใช้อ้างถึงชื่อผู้ให้บริการอีเมล์

(1) @yahoo       

(2) ©yahoo.com

(3) peemasak   

(4) yahoo.com

ตอบ 4 หน้า 311, (คำบรรยาย) จากโจทย์เน้นกลุ่มของ E-mail Address ซึ่งเน้นที่อยู่ประจำตัวของ ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตเพื่อรับ-ส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรืออีเมล์ โดย E-mail Address ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ชื่อผู้ให้บริการเครื่องหมาย และชื่อโดเมน (Domain Name) ของเครื่องแม่ข่ายที่เราใช้บริการอยู่ เช่น peemasak คือ ชื่อผู้ใช้ ส่วน yahoo.com คือ ชื่อโดเมนของเครื่องแม่ข่ายของผู้ให้บริการอีเมล์ เป็นต้น

59.       ข้อใดไม่ใช่เว็บไซต์เครือข่ายสังคมออนไลน์

(1) Twitter

(2) Hi5

(3) Wikipedia   

(4) Facebook

ตอบ 3 (คำบรรยาย) เครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) คือ เว็บไซต์ที่เชื่อมโยงผู้คนไว้ด้วยกันผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งมีจุดเด่นหลักคือ ช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ สามารถสื่อสาร ได้ในวงกว้างและหลากหลายรูปแบบ เช่น ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ ฯลฯ ในปัจจุบันมีโปรแกรม หรือเว็บไซต์ที่ใช้สำหรับ Social Network เช่น Facebook, Twitter, Linkedin, Line, MySpace, Hi5 ฯลฯ (ส่วนเว็บไซต์ Wikipedia เน้นสารานุกรมออนไลน์ขนาดใหญ่)

60.       ข้อใดไม่ใช่โปรแกรมที่ใช้แสดงผลข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต (Web browser)

(1) Mozila Firefox      (2) Adobe Acrobat

(3) Netscape Navigator     (4) Internet Explorer

ตอบ 2 (IS 101 เลขพิมพ์ 52079 หน้า 55) Web browser คือ โปรแกรมเฉพาะที่ใช้แสดงผลข้อมูล บนอินเทอร์เน็ตสำหรับการเข้าสู่บริการเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้บริการเว็บไซต์ได้ง่าย และสะดวกมากขึ้น โดยโปรแกรมเว็บบราวเซอร์ที่ออกมาใหม่ ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด จากอินเทอร์เน็ตโดยตรงและไม่เสียค่าใช้จ่าย ตัวอย่างเว็บบราวเซอร์ที่ใช้กันแพร่หลาย เช่น Internet Explorer, Netscape Navigator, Mozila Firefox, Opera เป็นต้น (ส่วนโปรแกรม Adobe Acrobat เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้จัดการไฟล์ประเภท PDF)

WordPress Ads
error: Content is protected !!