หน้าแรก บล็อก

LAW3110 (LAW3010) กฎหมายล้มละลาย 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3010 กฎหมายล้มละลายและฟื้นฟูกิจการ
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายเอกทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายโทจํานวน 2,000,000 บาท โดยทําหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายเอกผู้กู้ โดยนายเอกได้นําโฉนดที่ดินของตนมาให้นายโทยึดถือไว้ เป็นหลักประกัน ต่อมานายเอกผิดนัดไม่ชําระหนี้ นายโทจึงส่งหนังสือทวงถามถึงนายเอก นายเอก ได้รับหนังสือทวงถามให้ชําระหนี้แล้วจํานวน 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่นายเอก ก็ไม่ชําระหนี้นั้น นายโทจึงฟ้องนายเอกเป็นคดีล้มละลาย ศาลมีคําสั่งว่า นายโทเป็นเจ้าหนี้มีประกัน แต่ไม่ยอมระบุในคําฟ้องว่า จะสละหลักประกันหรือตีราคาหลักประกัน และนายโทยังมีหนี้ตาม สัญญาซื้อขายอีกจํานวน 1,500,000 บาท ซึ่งยังไม่ถึงกําหนดชําระ แต่ได้ยื่นฟ้องรวมกันมากับ สัญญากู้ยืมเงิน ซึ่งไม่สามารถฟ้องได้ ศาลจึงมีคําสั่งไม่รับฟ้องของนายโท

ดังนี้ คําสั่งของศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483

มาตรา 6 “ในพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

“เจ้าหนี้มีประกัน” หมายความว่า เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ในทางจํานอง จํานํา
หรือสิทธิยึดหน่วง หรือเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิที่บังคับได้ทํานองเดียวกับผู้รับจํานํา”

มาตรา 8 “ถ้ามีเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้เกิดขึ้น ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว

(9) ถ้าลูกหนี้ได้รับหนังสือทวงถามจากเจ้าหนี้ให้ชําระหนี้แล้วไม่น้อยกว่าสองครั้งซึ่งมี ห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวันและลูกหนี้ไม่ชําระหนี้”

มาตรา 9 “เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อ

(1) ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว

(2) ลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียวหรือหลายคนเป็นจํานวน ไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท….และ

(3) หนี้นั้นอาจกําหนดจํานวนได้แน่นอน ไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกําหนดชําระโดยพลันหรือในอนาคตก็ตาม”

มาตรา 10 “ภายใต้บังคับมาตรา 9 เจ้าหนี้มีประกันจะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อ

(1) มิได้เป็นผู้ต้องห้ามมิให้บังคับการชําระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้เกินกว่าตัวทรัพย์ที่เป็น
หลักประกัน และ
(2) กล่าวในฟ้องว่า ถ้าลูกหนี้ล้มละลายแล้ว จะยอมสละหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ ทั้งหลาย หรือตีราคาหลักประกันมาในฟ้องซึ่งเมื่อหักกับจํานวนหนี้ของตนแล้วเงินยังขาดอยู่ สําหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นจํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท หรือลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นจํานวนไม่น้อยกว่าสองล้านบาท”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ คําสั่งของศาลล้มละลายชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

1. กรณีหนี้เงินกู้จํานวน 2,000,000 บาท

การที่นายเอกทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายโทจํานวน 2,000,000 บาท ต่อมานายเอกผิดนัด ชําระหนี้ นายโทจึงส่งหนังสือทวงถามถึงนายเอก นายเอกได้รับหนังสือทวงถามให้ชําระหนี้แล้วจํานวน 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่นายเอกก็ไม่ชําระหนี้นั้น กรณีดังกล่าวให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า นายเอก ลูกหนี้เป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามมาตรา 8 (9) และเมื่อนายเอกซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นหนี้นายโทเจ้าหนี้ ไม่น้อยกว่า 1,000,000 ล้านบาท นายโทเจ้าหนี้ย่อมสามารถฟ้องให้นายเอกล้มละลายได้ตามมาตรา 9

การที่นายเอกกู้ยืมเงินจากนายโท โดยนายเอกได้นําโฉนดที่ดินของตนมาให้นายโทยึดถือไว้เป็นหลักประกันนั้น ไม่มีผลให้นายโทสามารถบังคับชําระหนี้เอาจากที่ดินตามโฉนดนั้นได้แต่อย่างใด นายโทจึงไม่ใช่เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของนายเอกลูกหนี้ นายโทจึงไม่มีฐานะเป็นเจ้าหนี้มีประกัน

เมื่อนายโทไม่ใช่เจ้าหนี้มีประกัน นายโทย่อมมีสิทธิฟ้องนายเอกให้ล้มละลายได้ตามมาตรา 9 โดยนายโทไม่จําต้องบรรยายฟ้องว่า ถ้าลูกหนี้ล้มละลายแล้ว จะยอมสละหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ ทั้งหลาย หรือตีราคาหลักประกันมาในฟ้องตามมาตรา 10 ดังนั้น การที่ศาลล้มละลายตรวจคําฟ้องแล้วเห็นว่า นายโทเป็นเจ้าหนี้มีประกัน แต่นายโทไม่ได้บรรยายฟ้องตามมาตรา 10 ดังกล่าว จึงมีคําสั่งไม่รับฟ้องนั้น คําสั่งของศาลล้มละลายดังกล่าวจึงเป็นคําสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

2. กรณีหนี้ตามสัญญาซื้อขายจํานวน 1,500,000 บาท

การที่นายโทฟ้องนายเอกว่า นายเอกยังเป็นหนี้ตามสัญญาซื้อขายซึ่งยังไม่ถึงกําหนดชําระแก่ นายโทอีกจํานวน 1,500,000 บาท แต่ศาลล้มละลายเห็นว่าเป็นหนี้ที่ยังไม่ถึงกําหนดชําระ จึงมีคําสั่งไม่รับฟ้องนั้น คําสั่งของศาลล้มละลายกรณีดังกล่าวนี้ เป็นคําสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน ทั้งนี้เพราะหนี้ตามสัญญา ซื้อขายจํานวน 1,500,000 บาทนั้น แม้จะเป็นหนี้ที่ยังไม่ถึงกําหนดชําระ นายโทก็มีสิทธินําหนี้ดังกล่าวมาฟ้อง นายเอกเป็นคดีล้มละลายได้ตามมาตรา 9 (3)

สรุป คําสั่งของศาลล้มละลายทั้ง 2 กรณีไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. นายณภัทรเป็นหนี้นายเศรษฐี จํานวน 3 ล้านบาท ต่อมาวันที่ 2 ธันวาคม 2562 นายณภัทร ได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินล่วงหน้าเป็นการชําระหนี้ให้แก่นายเศรษฐี โดยระบุวันที่สั่งจ่ายเงินในเช็ค เป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2563 ศาลได้มีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด นายณภัทรตามที่ธนาคารไทยธุรกิจยื่นคําฟ้องต่อศาลเป็นคดีล้มละลาย โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ได้มีการโฆษณาคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในวันที่ 5 กันยายน 2563 เมื่อนายเศรษฐีซึ่งอยู่ใน ราชอาณาจักรไทยทราบเรื่อง จึงยื่นคําขอรับชําระหนี้ตามเช็คต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2563 ต่อมาธนาคารไทยธุรกิจได้ยื่นคัดค้านคําขอรับชําระหนี้ของนายเศรษฐีว่าหนี้ตามเช็คถึงกําหนดชําระภายหลังวันที่ศาลมีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จึงไม่มีสิทธิได้รับชําระหนี้ คําคัดค้านของธนาคารไทยธุรกิจฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด และนายเศรษฐีสามารถขอรับชําระหนี้ ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483

มาตรา 6 “ในพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

“พิทักษ์ทรัพย์” หมายความว่า พิทักษ์ทรัพย์สินไม่ว่าเด็ดขาดหรือชั่วคราว”

มาตรา 91 วรรคหนึ่ง “เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชําระหนี้ในคดีล้มละลายจะเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์หรือไม่ก็ตาม ต้องยื่นคําขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกําหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคําสั่ง พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แต่ถ้าเจ้าหนี้อยู่นอกราชอาณาจักร เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขยายกําหนดเวลาให้อีกได้ ไม่เกินสองเดือน”

มาตรา 94 “เจ้าหนี้ไม่มีประกันอาจขอรับชําระหนี้ได้ ถ้ามูลแห่งหนี้ได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคําสั่ง
พิทักษ์ทรัพย์ แม้ว่าหนี้นั้นยังไม่ถึงกําหนดชําระหรือมีเงื่อนไขก็ตาม เว้นแต่…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเศรษฐียื่นขอรับชําระหนี้ตามเช็คจํานวน 3 ล้านบาท ต่อเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์นั้น ถือเป็นเรื่องการขอรับชําระหนี้ของเจ้าหนี้ไม่มีประกันในคดีล้มละลาย ซึ่งตามมาตรา 94 ได้วาง หลักไว้ว่า เจ้าหนี้ไม่มีประกันอาจจะขอรับชําระหนี้ได้ ถ้ามูลแห่งหนี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์ แม้ว่าหนี้นั้นยังไม่ถึงกําหนดชําระหรือมีเงื่อนไขก็ตาม เว้นแต่เป็นหนี้ต้องห้ามตามมาตรา 94 (1) และ (2)

ตามข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า หนี้ตามเช็คที่นายณภัทรสั่งจ่ายให้แก่นายเศรษฐีเป็นหนี้อันเกิดขึ้นก่อน วันที่ 1 กันยายน 2563 อันเป็นวันที่ศาลมีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด โดยนายณภัทรออกเช็คในวันที่ 2 ธันวาคม 2562 ดังนั้นจึงฟังได้ว่าวันที่ออกเช็คอันถือเป็นวันที่มูลหนี้ตามเช็คเกิดขึ้นนั้น เป็นเวลาก่อนวันที่ศาลมีคําสั่ง พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด นายเศรษฐีจึงเป็นเจ้าหนี้ที่มีสิทธิขอรับชําระหนี้ได้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 94 วรรคหนึ่ง

ส่วนคําคัดค้านของธนาคารไทยธุรกิจที่ว่า หนี้ตามเช็คถึงกําหนดชําระภายหลังวันที่ศาลมีคําสั่ง พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจึงไม่มีสิทธิได้รับชําระหนี้นั้นไม่อาจรับฟังได้ เพราะตามมาตรา 94 ได้ให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ว่า แม้ว่าหนี้นั้นยังไม่ถึงกําหนดชําระหรือมีเงื่อนไขก็ตาม หากว่ามูลหนี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ย่อมอาจขอรับชําระหนี้ได้ แม้กําหนดชําระเงินตามเช็คจะครบกําหนดในวันที่ 1 ตุลาคม 2563 อันเป็นวันหลังจาก วันที่ศาลมีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก็ตาม หนี้ตามเช็คนั้นย่อมอาจขอรับชําระหนี้ได้ ดังนั้น คําคัดค้านของ ธนาคารไทยธุรกิจจึงฟังไม่ขึ้น

และกรณีที่นายเศรษฐีซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรไทย ได้ยื่นคําขอรับชําระหนี้ตามเช็คต่อเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2563 นายเศรษฐีสามารถขอรับชําระหนี้ได้หรือไม่นั้น ตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา 91 ได้วางหลักไว้ว่า เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชําระหนี้ในคดีล้มละลาย จะเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์หรือไม่ก็ตาม จะต้องยื่นคําขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกําหนดเวลา 2 เดือนนับแต่วันโฆษณาคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เด็ดขาด และคดีนี้เมื่อได้มีการโฆษณาคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ในวันที่ 5 กันยายน 2563 แต่นายเศรษฐีได้ยื่น คําขอรับชําระหนี้ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2563 ซึ่งเลยกําหนดระยะเวลา 2 เดือนนับแต่วันโฆษณาคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เด็ดขาดแล้ว ดังนั้น นายเศรษฐีจึงไม่สามารถขอรับชําระหนี้ได้

สรุป ข้อคัดค้านของธนาคารไทยธุรกิจฟังไม่ขึ้น และนายเศรษฐีจะขอรับชําระหนี้ไม่ได้

 

ข้อ 3. ในการฟื้นฟูกิจการของบริษัท สําราญ จํากัด ลูกหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ส่งสําเนา แผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ให้แก่ห้างหุ้นส่วนสามารถ จํากัด เพื่อทราบในวันที่ 1 กันยายน 2563 ต่อมาวันที่ 10 ตุลาคม 2563 ซึ่งเป็นวันที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้จัดประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณา แผนฟื้นฟูกิจการที่ผู้ทําแผนเสนอต่อที่ประชุม ปรากฏว่าห้างหุ้นส่วนสามารถ จํากัด เจ้าหนี้ ไม่มีประกันซึ่งเป็นผู้ส่งวัสดุพลาสติกในการประกอบชิ้นส่วนให้แก่ บริษัท สําราญ จํากัด ลูกหนี้ ได้ขอให้มีการแก้ไขแผนฟื้นฟูว่า แผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้นั้นได้จัดกลุ่มเจ้าหนี้ไม่เหมาะสม โดยนําหนี้ของตนไปจัดอยู่ในกลุ่มที่ 3 กลุ่มเจ้าหนี้ไม่มีประกันประเภทเจ้าหนี้ค่าใช้สอยและ ค่าสาธารณูปโภคแทนที่จะเป็นกลุ่มที่ 2 ประเภทกลุ่มเจ้าหนี้การค้า ทําให้ตนได้รับเงื่อนไขในการ ชําระหนี้น้อยกว่ากลุ่มเจ้าหนี้การค้าอื่น ๆ ที่อยู่ในกลุ่มที่ 2 ดังนั้น จึงขอให้ผู้ทําแผนจัดให้ตนไปอยู่ ในกลุ่มที่ 2 กลุ่มเจ้าหนี้การค้า เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเหมาะสม ผู้ทําแผนไม่ยินยอมให้แก้ไข การจัดกลุ่มเจ้าหนี้ใหม่ตามที่ห้างหุ้นส่วนสามารถ จํากัด ร้องขอ ครั้นวันที่ 15 ตุลาคม 2563 ห้างหุ้นส่วนสามารถ จํากัด จึงได้ยื่นคําร้องต่อศาลขอให้ศาลสั่งให้ผู้ทําแผนแก้ไขแผนโดยจัดกลุ่ม เจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูเสียใหม่ดังกล่าวข้างต้น เช่นนี้ ศาลจะสั่งให้จัดกลุ่มเจ้าหนี้ตามแผนเสียใหม่ โดยขอให้จัดไปอยู่ในกลุ่มที่ 2 กลุ่มเจ้าหนี้การค้า เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและเหมาะสม ตามที่ ห้างหุ้นส่วนสามารถ จํากัด ร้องขอได้หรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483

มาตรา 90/42 ทวิ “การจัดกลุ่มเจ้าหนี้ตามมาตรา 90/42 (3) (ข) ให้จัดดังต่อไปนี้…

เจ้าหนี้รายใดเห็นว่าการจัดกลุ่มเจ้าหนี้ไม่ได้เป็นไปตามวรรคหนึ่ง อาจยื่นคําร้องขอต่อศาลภายใน เจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รู้ถึงการจัดกลุ่ม และศาลอาจมีคําสั่งให้จัดกลุ่มเสียใหม่ให้ถูกต้องโดยเร็ว คําสั่งศาลตาม มาตรานี้ให้เป็นที่สุด”

วินิจฉัย

ตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา 90/42 ทวิ วรรคสอง ได้กําหนดไว้ว่า หากเจ้าหนี้รายใดเห็นว่า การจัดกลุ่มเจ้าหนี้ไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกต้องตามวรรคหนึ่ง เจ้าหนี้รายนั้นจะต้องยื่นคําร้องขอต่อศาลภายใน 7 วัน 7 นับแต่วันที่ได้รู้ถึงการจัดกลุ่ม คือนับแต่วันที่เจ้าหนี้ได้รับสําเนาแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ มิฉะนั้น ย่อมถือว่า เจ้าหนี้ได้ให้ความเห็นชอบกับการจัดกลุ่มนั้นแล้ว

ตามอุทาหรณ์ การที่ห้างหุ้นส่วนสามารถ จํากัด ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้รับสําเนาแผนฟื้นฟูกิจการของ ลูกหนี้จากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในวันที่ 1 กันยายน 2563 ดังนี้ หากห้างฯ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เห็นว่าการจัดกลุ่ม เจ้าหนี้ไม่เหมาะสมและต้องการให้ผู้ทําแผนแก้ไขแผนโดยจัดกลุ่มเจ้าหนี้ตามแผนฟื้นฟูเสียใหม่เพื่อให้เกิดความ เป็นธรรมและเหมาะสมก็จะต้องยื่นคําร้องต่อศาลภายในวันที่ 8 กันยายน 2563 แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าห้างฯ ได้ยื่นคําร้องต่อศาลในวันที่ 15 ตุลาคม 2563 ซึ่งถือเป็นการยื่นคําร้องขอต่อศาลเมื่อพ้นกําหนดเวลาที่อาจ ยื่นคําร้องขอต่อศาลเพื่อให้มีคําสั่งจัดกลุ่มเสียใหม่ได้แล้ว ดังนั้น ศาลจะสั่งให้จัดกลุ่มเจ้าหนี้ตามแผนเสียใหม่ ตามที่ห้างหุ้นส่วนสามารถ จํากัด ร้องขอไม่ได้

สรุป ศาลจะสั่งให้จัดกลุ่มเจ้าหนี้ตามแผนเสียใหม่ตามที่ห้างหุ้นส่วนสามารถ จํากัด ร้องขอไม่ได้

LAW3110 (LAW3010) กฎหมายล้มละลาย s/2562

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2562
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3010 กฎหมายล้มละลาย
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายเอกทําสัญญาซื้อเครื่องจักรจากนายโทจํานวน 20 เครื่อง พร้อมทั้งชําระราคาค่าเครื่องจักร เรียบร้อยแล้ว พอถึงวันส่งมอบเครื่องจักรนายโทไม่ส่งมอบเครื่องจักรให้นายเอก ทําให้นายเอกไม่มีเครื่องจักรไปผลิตสินค้าส่งให้ลูกค้า นายเอกได้รับความเสียหายจากการผิดสัญญาเป็นเงิน จํานวน 2,000,000 บาท นายเอกจึงส่งหนังสือบอกกล่าวไปถึงนายโทให้นายโทส่งมอบเครื่องจักร และชําระค่าเสียหายจากการผิดสัญญา นายโทได้รับหนังสือทวงถามจํานวน 2 ครั้ง แต่ละครั้ง ห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน และนายโทก็ไม่ยอมชําระค่าเสียหายดังกล่าว นายเอกจึงฟ้องนายโท เป็นคดีล้มละลาย ศาลล้มละลายมีคําสั่งให้รับฟ้อง

ดังนี้ คําสั่งให้รับฟ้องของศาลล้มละลายชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483

มาตรา 8 “ถ้ามีเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้เกิดขึ้น ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว

(9) ถ้าลูกหนี้ได้รับหนังสือทวงถามจากเจ้าหนี้ให้ชําระหนี้แล้วไม่น้อยกว่าสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลา ห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน และลูกหนี้ไม่ชําระหนี้”

มาตรา 9 “เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อ

(1) ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว

(2) ลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียวหรือหลายคนเป็นจํานวน ไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท… และ

(3) หนี้นั้นอาจกําหนดจํานวนได้โดยแน่นอนไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกําหนดชําระโดยพลัน หรือในอนาคตก็ตาม”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกทําสัญญาซื้อเครื่องจักรจากนายโทจํานวน 20 เครื่อง พร้อมทั้ง ชําระราคาค่าเครื่องจักรเรียบร้อยแล้ว แต่พอถึงวันส่งมอบเครื่องจักรนายโทไม่ส่งมอบเครื่องจักรให้นายเอก ทําให้ นายเอกไม่มีเครื่องจักรไปผลิตสินค้าส่งให้ลูกค้า ซึ่งทําให้นายเอกได้รับความเสียหายจากการผิดสัญญาเป็นเงิน จํานวน 2,000,000 บาท นายเอกจึงส่งหนังสือบอกกล่าวไปถึงนายโทให้นายโทส่งมอบเครื่องจักรและชําระ ค่าเสียหายจากการผิดสัญญา นายโทได้รับหนังสือทวงถามจํานวน 2 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่นายโทก็ไม่ยอมชําระค่าเสียหายดังกล่าวนั้น กรณีจึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่านายโทลูกหนี้เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามมาตรา 8 (9) แล้ว

แต่อย่างไรก็ดี แม้นายโทลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาจะเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว และเป็นหนี้นายเอก ผู้เป็นโจทก์เป็นเงินจํานวนไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาทตามมาตรา 9 (1) และ (2) ก็ตาม แต่หนี้ค่าเสียหายจากการ ผิดสัญญานั้นเป็นหนี้ที่ไม่อาจกําหนดจํานวนได้โดยแน่นอน กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 9 (3) ดังนั้น นายเอกจึงไม่สามารถฟ้องนายโทให้ล้มละลายได้ การที่นายเอกฟ้องนายโทเป็นคดีล้มละลายและศาล
ล้มละลายมีคําสั่งให้รับฟ้องนั้น คําสั่งให้รับฟ้องของศาลล้มละลายจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป คําสั่งให้รับฟ้องของศาลล้มละลายไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. นายจนกู้ยืมเงินนายรวยจํานวน 2,000,000 บาท โดยทําหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อ นายจนผู้กู้ ต่อมาหนี้เงินกู้ถึงกําหนดชําระ นายจนไม่ชําระหนี้ นายรวยจึงฟ้องนายจนเป็นคดีล้มละลาย ศาลมีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด นายรวยมายื่นคําขอรับชําระหนี้ ต่อมานายจนยื่นคําขอประนอมหนี้ ก่อนล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก ที่ประชุมเจ้าหนี้ลงคะแนนเสียง ด้วยมติของเจ้าหนี้ฝ่ายที่มีจํานวนหนี้ข้างมาก ซึ่งได้เข้าประชุมและออกเสียงลงคะแนนว่ายอมรับ คําขอประนอมหนี้ของนายจน

ดังนี้ ถ้าท่านเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ท่านจะรายงานศาลว่ามติของเจ้าหนี้ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483

มาตรา 6 “ในพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

“มติพิเศษ” หมายความว่า มติของเจ้าหนี้ฝ่ายข้างมาก และมีจํานวนหนี้เท่ากับสามในสี่แห่งจํานวน หนี้ทั้งหมดของเจ้าหนี้ ซึ่งได้เข้าประชุมด้วยตนเองหรือมอบฉันทะให้ผู้อื่นเข้าประชุมแทนในที่ประชุมเจ้าหนี้และ ได้ออกเสียงลงคะแนนในมตินั้น”

มาตรา 31 วรรคหนึ่ง “เมื่อศาลได้มีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรียกประชุมเจ้าหนี้ทั้งหลายโดยเร็วที่สุด เพื่อปรึกษาว่าจะควรยอมรับคําขอประนอมหนี้ของลูกหนี้ หรือควรขอให้ ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายและปรึกษาถึงวิธีที่จะจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อไป การประชุมนี้ให้เรียกว่าประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก”

มาตรา 36 “เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่ามติของที่ประชุมเจ้าหนี้ขัดต่อกฎหมาย หรือ ประโยชน์อันร่วมกันของเจ้าหนี้ทั้งหลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อาจยื่นคําขอโดยทําเป็นคําร้องต่อศาล และ ศาลอาจมีคําสั่งห้ามมิให้ปฏิบัติการตามมตินั้นได้ แต่ต้องยื่นต่อศาลภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ที่ประชุมเจ้าหนี้ลงมติ”

มาตรา 46 “การยอมรับคําขอประนอมหนี้โดยมติพิเศษของที่ประชุมเจ้าหนี้ ยังไม่ผูกมัดเจ้าหนี้ ทั้งหลาย จนกว่าศาลจะได้มีคําสั่งเห็นชอบด้วยแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายรวยฟ้องนายจนเป็นคดีล้มละลายและศาลได้มีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์ เด็ดขาดแล้ว ต่อมานายจนได้ยื่นคําขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมหนี้ ครั้งแรกเพื่อปรึกษาว่าจะควรยอมรับคําขอประนอมหนี้ของลูกหนี้หรือควรขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย
ตามมาตรา 31 วรรคหนึ่งนั้น การยอมรับคําขอประนอมหนี้ของลูกหนี้นั้นจะต้องได้รับมติพิเศษของที่ประชุมเจ้าหนี้ ซึ่งกรณีที่จะเป็นมติพิเศษนั้นจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สําคัญ 2 ประการ คือ

1. เป็นมติของเจ้าหนี้ฝ่ายข้างมาก คือต้องมีเสียงของเจ้าหนี้มากกว่ากึ่งหนึ่งของเจ้าหนี้ที่ออกเสียงลงคะแนน และ

2. มีจํานวนหนี้ไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจํานวนหนี้ทั้งหมดของเจ้าหนี้ที่ได้ออกเสียงลงคะแนน(มาตรา 46 ประกอบมาตรา 6)

แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ปรากฏว่าที่ประชุมเจ้าหนี้ลงคะแนนเสียงด้วยมติของเจ้าหนี้ฝ่ายที่มี จํานวนหนี้ข้างมากซึ่งได้เข้าประชุมและออกเสียงลงคะแนนว่ายอมรับคําขอประนอมหนี้ของลูกหนี้เท่านั้น มติ ดังกล่าวจึงไม่ถือว่าเป็นมติพิเศษ ดังนั้น ถ้าข้าพเจ้าเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ข้าพเจ้าจะรายงานศาลว่ามติของ เจ้าหนี้เป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่ใช่มติพิเศษ

สรุป ข้าพเจ้าจะรายงานศาลว่ามติของเจ้าหนี้ดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ใช่มติพิเศษ

 

ข้อ 3. การปลดจากล้มละลายมีกี่กรณี อะไรบ้าง จงอธิบายโดยละเอียด พร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483

มาตรา 67/1 “เมื่อศาลได้พิพากษาให้ล้มละลายแล้ว บุคคลล้มละลายอาจได้รับการปลดจาก ล้มละลายเมื่อศาลได้มีคําสั่งปลดจากล้มละลายตามมาตรา 71 หรือเมื่อพ้นกําหนดระยะเวลาตามมาตรา 81/1”

จากบทบัญญัติมาตรา 67/1 จะเห็นได้ว่าการปลดจากล้มละลายนั้นมีได้ 2 กรณี ได้แก่

1. การปลดจากล้มละลายโดยคําสั่งศาลตามมาตรา 71

2. การปลดจากล้มละลายโดยผลของระยะเวลาตามกฎหมายตามมาตรา 81/1

1. การปลดจากล้มละลายโดยคําสั่งศาลตามมาตรา 71

ให้ศาลมีคําสั่งปลดจากล้มละลาย เมื่อศาลได้พิจารณาแล้วเห็นว่า

(1) ได้มีการแบ่งทรัพย์สินชําระให้แก่เจ้าหนี้ที่ได้ขอรับชําระหนี้ไว้แล้วไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบ และ

(2) ไม่เป็นบุคคลล้มละลายทุจริต

ซึ่งการปลดจากล้มละลายกรณีนี้ ลูกหนี้หรือบุคคลล้มละลายจะต้องร้องขอให้ศาลมีคําสั่งปลดจากล้มละลายเมื่อเข้าเงื่อนไขตามมาตรา 71 (1) และ (2) และเมื่อศาลได้มีคําสั่งปลดจากล้มละลาย ศาลอาจ กําหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับทรัพย์สินที่จะพึงได้มาในเวลาต่อไปก็ได้ แต่ต้องไม่เกินระยะเวลาที่บุคคลนั้นได้รับการปลด
จากล้มละลายตามมาตรา 81/1

2. การปลดจากล้มละลายโดยผลของระยะเวลาตามกฎหมายตามมาตรา 81/1
การปลดจากล้มละลายตามมาตรา 81/1 นี้ ลูกหนี้หรือบุคคลล้มละลายไม่ต้องร้องขอต่อศาล แต่อย่างใด เพราะตามกฎหมายได้กําหนดให้ปลดลูกหนี้จากล้มละลายทันทีที่พ้นกําหนดระยะเวลาสามปีนับจาก
วันที่ศาลได้มีคําพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย เว้นแต่

(1) ถ้าบุคคลนั้นได้เคยถูกพิพากษาให้ล้มละลายมาก่อนแล้วและยังไม่พ้นกําหนดระยะเวลาห้าปีนับแต่วันที่ศาลได้พิพากษาให้ล้มละลายครั้งก่อนจนถึงวันที่ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ครั้งหลัง ให้ขยายระยะเวลาเป็นห้าปี

(2) ถ้าบุคคลนั้นเป็นบุคคลล้มละลายทุจริตที่ไม่มีลักษณะตาม

(3) ให้ขยายระยะเวลาเป็นสิบปี (3) ถ้าบุคคลนั้นเป็นบุคคลล้มละลายอันเนื่องมาจากหรือเกี่ยวเนื่องกับการกระทําความผิดอันมี ลักษณะเป็นการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนให้ขยายระยะเวลาเป็นสิบปี

LAW3110 (LAW3010) กฎหมายล้มละลาย 1/2562

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2562
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3110 (LAW3010)  กฎหมายล้มละลาย
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายเมฆทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายหมอกจํานวน 5,000,000 บาท โดยนายเมฆได้นําที่ดินของตน มาจํานองไว้เป็นประกันหนี้ ซึ่งในสัญญาจํานอง นายเมฆและนายหมอกได้ทําข้อตกลงพิเศษว่า หากบังคับจํานองเอากับที่ดินแล้วได้เงินไม่พอชําระหนี้ นายหมอกสามารถบังคับเอากับทรัพย์สินอื่น ของนายเมฆได้อีก ต่อมาหนี้เงินกู้ถึงกําหนดชําระ นายเมฆไม่ชําระหนี้ นายหมอกจึงฟ้องนายเมฆ เป็นคดีแพ่ง ต่อมาศาลแพ่งมีคําพิพากษาให้นายเมฆชําระหนี้เงินกู้จํานวน 5,000,000 บาท นายหมอกจึงบังคับจํานองเอาที่ดินออกขายทอดตลาด ได้เงินมาจากการขายทอดตลาดจํานวน 3,000,000 บาท นายหมอกจึงนําหนี้ที่ยังขาดอยู่อีก 2,000,000 บาท ไปฟ้องนายเมฆให้ล้มละลาย ต่อมาศาลล้มละลายกลางมีคําสั่งรับฟ้องและส่งสําเนาคําฟ้องให้นายเมฆก่อนนายเมฆจะยื่นคําให้การศาลแพ่งมีคําสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินของนายหมอก นายเมฆจึงยื่นคําให้การในคดีล้มละลายว่านายหมอกเป็นเจ้าหนี้มีประกัน แต่ไม่ได้กล่าวในคําฟ้องว่าจะสละหลักประกันหรือตีราคาหลักประกัน คําสั่งรับฟ้องของศาลล้มละลายกลางจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ดังนี้ ข้ออ้างของนายเมฆฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483

มาตรา 6 “ในพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

“เจ้าหนี้มีประกัน” หมายความว่า เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ในทางจํานอง จํานํา หรือสิทธิยึดหน่วง หรือเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิที่บังคับได้ทํานองเดียวกับผู้รับจํานํา”

มาตรา 8 “ถ้ามีเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้เกิดขึ้น ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว

(5) ถ้าลูกหนี้ถูกยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดี หรือไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชําระหนี้ได้”

มาตรา 9 “เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อ

(1) ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว

(2) ลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียวหรือหลายคนเป็นจํานวน ไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท… และ

(3) หนี้นั้นอาจกําหนดจํานวนได้โดยแน่นอน ไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกําหนดชําระโดยพลันหรือในอนาคตก็ตาม”

มาตรา 10 “ภายใต้บังคับมาตรา 9 เจ้าหนี้มีประกันจะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อ

(1) มิได้เป็นผู้ต้องห้ามมิให้บังคับการชําระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้เกินกว่าตัวทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน และ

(2) กล่าวในฟ้องว่า ถ้าลูกหนี้ล้มละลายแล้ว จะยอมสละหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ ทั้งหลาย หรือตีราคาหลักประกันมาในฟ้องซึ่งเมื่อหักกับจํานวนหนี้ของตนแล้วเงินยังขาดอยู่ สําหรับลูกหนี้ซึ่งเป็น บุคคลธรรมดาเป็นจํานวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท หรือลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นจํานวนไม่น้อยกว่าสองล้านบาท”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ข้ออ้างของนายเมฆฟังขึ้นหรือไม่ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1. การที่นายเมฆทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายหมอกจํานวน 5,000,000 บาท โดยนายเมฆนําที่ดิน ของตนมาจํานองไว้เป็นประกันหนี้นั้น ถือได้ว่านายหมอกเป็นเจ้าหนี้มีประกันตามนัยของมาตรา 6 เพราะ นายหมอกเป็นเจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ในทางจํานอง ต่อมาเมื่อหนี้เงินกู้ถึงกําหนดชําระ นายเมฆ
ไม่ชําระหนี้ นายหมอกจึงฟ้องนายเมฆเป็นคดีแพ่งและศาลแพ่งมีคําพิพากษาให้นายเมฆชําระหนี้เงินกู้จํานวน 5,000,000 บาท และนายหมอกได้บังคับจํานองเอาที่ดินออกขายทอดตลาดได้เงินมาจากการขายทอดตลาดจํานวน 3,000,000 บาท เหลือหนี้ที่ยังค้างชําระอีก 2,000,000 บาทนั้น กรณีจึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่านายเมฆลูกหนี้ มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามมาตรา 8 (5)

2. เมื่อนายเมฆซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นหนี้นายหมอกไม่น้อยกว่า 1,000,000 บาท และเป็นหนี้ ที่กําหนดจํานวนได้แน่นอนและหนี้นั้นถึงกําหนดชําระแล้วตามมาตรา 9 อีกทั้งนายหมอกเป็นเจ้าหนี้มีประกันที่มิได้เป็นผู้ต้องห้ามมิให้บังคับการชําระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้เกินกว่าตัวทรัพย์ที่เป็นหลักประกันตาม มาตรา 10(1) เนื่องจากนายเมฆและนายหมอกได้ทําข้อตกลงพิเศษไว้ว่า หากมีการบังคับจํานองเอากับที่ดิน แล้วได้เงินไม่พอชําระหนี้ นายหมอกสามารถบังคับเอากับทรัพย์สินอื่นของนายเมฆได้อีก ดังนั้น นายหมอกย่อม มีสิทธิฟ้องนายเมฆลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ และเมื่อนายหมอกฟ้องให้นายเมฆล้มละลาย การที่ศาลล้มละลายกลาง มีคําสั่งรับฟ้องนั้น คําสั่งของศาลล้มละลายกลางจึงชอบด้วยกฎหมาย

3. ในขณะที่นายหมอกฟ้องนายเมฆให้ล้มละลายนั้น นายหมอกเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ยื่นคําฟ้องนั้น ไม่มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ จึงถือว่านายหมอกเป็นเจ้าหนี้ไม่มีประกันตามนัยของมาตรา 6 ดังนั้น นายหมอกจึงไม่จําต้องบรรยายฟ้องว่า ถ้าลูกหนี้ล้มละลายแล้วจะยอมสละหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ ทั้งหลายหรือตีราคาหลักประกันมาในฟ้องตามมาตรา 10 (2) และแม้ต่อมาภายหลังศาลแพ่งจะมีคําสั่งให้เพิกถอน
การขายทอดตลาดก็ตาม ก็ไม่มีผลถึงการบรรยายฟ้องและคําสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายของศาลล้มละลายกลาง ให้กลายเป็นฟ้องและคําสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด ดังนั้น การที่นายเมฆยื่นคําให้การในคดีล้มละลายว่า นายหมอกเป็นเจ้าหนี้มีประกัน แต่ไม่ได้กล่าวในคําฟ้องว่าจะสละหลักประกันหรือตีราคาหลักประกัน คําสั่งรับ ฟ้องของศาลล้มละลายกลางจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ข้ออ้างของนายเมฆจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป ข้ออ้างของนายเมฆฟังไม่ขึ้น

ข้อ 2. ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง ศาลล้มละลายกลางมีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาด ต่อมาเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์รายงานต่อศาลว่าเจ้าหนี้ได้ลงมติในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกขอให้ศาลพิพากษา ให้ลูกหนี้ล้มละลาย ศาลล้มละลายกลางทําการไต่สวนลูกหนี้โดยเปิดเผยแล้วนัดฟังคําพิพากษา ลูกหนี้ (จําเลย) ยื่นคําร้องขอให้ศาลงดอ่านคําพิพากษาเนื่องจากลูกหนี้ยังมีความสามารถที่จะ ชําระหนี้ได้ ศาลงดอ่านคําพิพากษาโดยอนุญาตให้ลูกหนี้ไปดําเนินการยื่นคําขอประนอมหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

ดังนี้ คําสั่งศาลล้มละลายกลางชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483

มาตรา 45 วรรคหนึ่ง “เมื่อลูกหนี้ประสงค์จะทําความตกลงในเรื่องหนี้สินโดยวิธีขอชําระหนี้ แต่เพียงบางส่วนหรือโดยวิธีอื่น ให้ทําคําขอประนอมหนี้เป็นหนังสือยื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกําหนด เจ็ดวันนับแต่วันยื่นคําชี้แจงเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินตามมาตรา 30 หรือภายในเวลาตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กําหนดให้”

มาตรา 61 วรรคหนึ่ง “เมื่อศาลได้มีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว และเจ้าพนักงาน พิทักษ์ทรัพย์รายงานว่า เจ้าหนี้ได้ลงมติในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกหรือในคราวที่ได้เลื่อนไปขอให้ศาลพิพากษา ให้ลูกหนี้ล้มละลายก็ดี หรือไม่ลงมติประการใดก็ดี หรือไม่มีเจ้าหนี้ไปประชุมก็ดี หรือการประนอมหนี้ไม่ได้รับ ความเห็นชอบก็ดี ให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอํานาจจัดการทรัพย์สิน ของบุคคลล้มละลายเพื่อแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ในคดีล้มละลายนั้น เมื่อศาลล้มละลายกลางได้มีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้
เด็ดขาดแล้ว และต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รายงานต่อศาลว่าเจ้าหนี้ได้ลงมติในการประชุมเจ้าหนี้
ครั้งแรกขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายนั้น ถือเป็นเหตุประการหนึ่งที่ศาลจะต้องมีคําพิพากษาให้ลูกหนี้ ล้มละลายเท่านั้นตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อศาลล้มละลายกลางทําการไต่สวนลูกหนี้ โดยเปิดเผยแล้วนัดฟังคําพิพากษา ลูกหนี้ (จําเลย) ได้ยื่นคําร้องขอให้ศาลงดอ่านคําพิพากษาเนื่องจากลูกหนี้ ยังมีความสามารถที่จะชําระหนี้ได้ และศาลงดอ่านคําพิพากษาโดยอนุญาตให้ลูกหนี้ไปดําเนินการยื่นคําขอ ประนอมหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทั้ง ๆ ที่ล่วงเลยระยะเวลาการยื่นขอประนอมหนี้ตามมาตรา 45 วรรคหนึ่ง ซึ่งกําหนดให้ต้องยื่นคําขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกําหนด 7 วันนับแต่วันยื่นคําชี้แจง เกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินไปแล้วนั้น คําสั่งของศาลล้มละลายกลางที่ให้งดอ่านคําพิพากษาและอนุญาตให้ลูกหนี้ ไปดําเนินการยื่นคําขอประนอมหนี้ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง

สรุป คําสั่งของศาลล้มละลายกลางดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. บริษัท กิจสัมพันธ์ จํากัด ลูกหนี้ได้ยื่นคําร้องขอฟื้นฟูกิจการของตนต่อศาล ต่อมาศาลได้มีคําสั่งให้ ฟื้นฟูกิจการและเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการโดยได้แต่งตั้ง นายเก่ง เป็นผู้บริหารแผนและดําเนิน กิจการของบริษัท กิจสัมพันธ์ จํากัด แทนลูกหนี้ โดยได้แจ้งบรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายทราบแล้วทาง หนังสือพิมพ์รายวัน ภายหลังจากนั้นนายเก่งในฐานะผู้บริหารแผน ได้สั่งซื้อสินค้าเพื่อใช้ในการ ประกอบกิจการค้าตามปกติของลูกหนี้จากบริษัท มายโฮม จํากัด เป็นเงิน 3 ล้านบาท ครั้นครบกําหนด ชําระเงิน นายเก่งผู้บริหารแผนมิได้ชําระหนี้ค่าสินค้า บริษัท มายโฮม จํากัด จึงยื่นฟ้องคดีต่อศาล นายเก่งได้ยื่นคําให้การว่า บริษัท กิจสัมพันธ์ จํากัด เป็นหนี้ค่าสินค้าตามฟ้องจริงแต่ขณะนี้ตน อยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายห้ามมิให้เจ้าหนี้ฟ้องคดีอันเกี่ยวกับทรัพย์สิน ดังนี้ บริษัท มายโฮม จํากัด สามารถฟ้องคดีต่อนายเก่งในฐานะผู้บริหารแผนของลูกหนี้ และคําให้การของนายเก่งรับฟังได้หรือไม่ เพียงใด เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483

มาตรา 90/12 “ภายใต้บังคับมาตรา 90/13 และมาตรา 90/14 นับแต่วันที่ศาลมีคําสั่งรับคําร้อง ขอไว้เพื่อพิจารณาจนถึงวันครบกําหนดระยะเวลาดําเนินการตามแผน หรือวันที่ดําเนินการเป็นผลสําเร็จตามแผน
หรือวันที่ศาลมีคําสั่งยกคําร้องขอหรือจําหน่ายคดีหรือยกเลิกคําสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการ
หรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดตามความในหมวดนี้

(4) ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้หรือเสนอข้อพิพาทที่ลูกหนี้อาจต้องรับผิดหรือได้รับความเสียหายให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด ถ้ามูลแห่งหนี้นั้นเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคําสั่ง เห็นชอบ
ด้วยแผน และห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลาย….”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บริษัท กิจสัมพันธ์ จํากัด ซึ่งเป็นลูกหนี้ได้ยื่นคําร้องขอฟื้นฟูกิจการ ของตนต่อศาล และต่อมาศาลได้มีคําสั่งให้ฟื้นฟูกิจการและเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการโดยได้แต่งตั้งให้นายเก่ง เป็นผู้บริหารแผนและดําเนินกิจการของบริษัท กิจสัมพันธ์ จํากัด แทนลูกหนี้ โดยได้แจ้งให้บรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลาย ทราบแล้วนั้น ย่อมมีผลตามมาตรา 90/12 (4) กล่าวคือ ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ หรือเสนอข้อพิพาทที่ลูกหนี้อาจต้องรับผิดหรือได้รับความเสียหายให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด ถ้ามูลแห่งหนี้นั้นได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคําสั่งเห็นชอบด้วยแผน

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า หนี้ค่าซื้อสินค้าที่นายเก่งในฐานะผู้บริหารแผนได้สั่งซื้อจากบริษัท มายโฮม จํากัด นั้น เป็นหนี้ที่มูลแห่งหนี้ได้เกิดขึ้นภายหลังจากที่ศาลได้มีคําสั่งเห็นชอบด้วยแผนแล้ว อีกทั้ง เป็นหนี้ที่ถึงกําหนดชําระแล้ว จึงเป็นหนี้ที่สามารถบังคับได้ตามกฎหมาย หนี้รายนี้จึงไม่ได้รับการคุ้มครองตาม มาตรา 90/12 (4) ที่ห้ามมิให้ฟ้องคดี ดังนั้น บริษัท มายโฮม จํากัด จึงสามารถยื่นฟ้องเป็นคดีให้ลูกหนี้ชําระหนี้ ค่าสินค้าดังกล่าวได้ และคําให้การของนายเก่งที่ว่าบริษัท กิจสัมพันธ์ จํากัด อยู่ระหว่างการฟื้นฟูกิจการย่อมได้รับ การคุ้มครองตามกฎหมายห้ามมิให้เจ้าหนี้ฟ้องคดีอันเกี่ยวกับทรัพย์สินนั้นรับฟังไม่ได้

สรุป บริษัท มายโฮม จํากัด สามารถฟ้องคดีต่อนายเก่งในฐานะผู้บริหารแผนของลูกหนี้ได้ และคําให้การของนายเก่งดังกล่าวรับฟังไม่ได้

LAW3110 (LAW3010) กฎหมายล้มละลาย s/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3010 กฎหมายล้มละลาย
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายเมฆทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายหมอกจํานวน 5,000,000 บาท ต่อมาหนี้เงินกู้ถึงกําหนดชําระ นายเมฆไม่ชําระหนี้ นายหมอกจึงฟ้องนายเมฆให้ล้มละลาย ต่อมาศาลล้มละลายกลางมีคําสั่ง พิทักษ์ทรัพย์นายเมฆเด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าไปในบ้านของนายเมฆเพื่อยึดทรัพย์สิน และสามารถยึดทรัพย์สินมาได้หลายอย่าง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงนําทรัพย์สินของนายเมฆออกขายทอดตลาดทันที

ดังนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอํานาจนําทรัพย์สินของนายเมฆออกขายทอดตลาดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483

มาตรา 19 “คําสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ให้ถือเสมือนว่าเป็นหมายของศาล ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เข้ายึดดวงตรา สมุดบัญชี และเอกสารของลูกหนี้ และบรรดาทรัพย์สินซึ่งอยู่ในความครอบครองของลูกหนี้ หรือของผู้อื่นอันอาจแบ่งได้ในคดีล้มละลาย

ในการยึดทรัพย์สินนั้น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอํานาจเข้าไปในสถานที่ใด ๆ อันเป็นของลูกหนี้ หรือที่ลูกหนี้ได้ครอบครองอยู่ และมีอํานาจหักพังเพื่อเข้าไปในสถานที่นั้น ๆ รวมทั้งเปิดตู้นิรภัย ตู้ หรือที่เก็บของ
อื่น ๆ ตามที่จําเป็น

ทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ยึดไว้ตามมาตรานี้ ห้ามมิให้ขายจนกว่าศาลจะได้มีคําพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายเว้นแต่เป็นของเสียง่ายหรือถ้าหน่วงช้าไว้จะเป็นการเสียงความเสียหาย หรือค่าใช้จ่ายจะเกินส่วนแห่งค่าของ
ทรัพย์สินนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหมอกฟ้องนายเมฆให้ล้มละลาย และต่อมาศาลล้มละลายกลาง มีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์นายเมฆเด็ดขาดนั้น คําสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของศาลล้มละลายกลางให้ถือเสมือนว่าเป็นหมายศาล ทําให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สามารถเข้าไปในบ้านของนายเมฆเพื่อยึดทรัพย์สินต่าง ๆ ได้ตามมาตรา 19 วรรคหนึ่งและวรรคสอง

แต่อย่างไรก็ตาม ทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดมาได้นั้น ห้ามมิให้นําออกขาย ทอดตลาดจนกว่าศาลจะได้มีคําพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย เว้นแต่จะเป็นของเสียง่ายหรือถ้าหน่วงช้าไว้จะเป็น การเสี่ยงความเสียหายหรือค่าใช้จ่ายจะเป็นส่วนแห่งค่าของทรัพย์สินนั้น ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะนําทรัพย์สินของนายเมฆออกขายทอดตลาดทันทีโดยที่ศาลล้มละลายกลางยังไม่ได้มีคําสั่งให้นายเมฆล้มละลายนั้นจึงมิอาจทําได้ (ตามมาตรา 19 วรรคสาม)

สรุป เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีอํานาจนําทรัพย์สินของนายเมฆออกขายทอดตลาด

 

ข้อ 2. นายดินทําสัญญากู้ยืมเงินจากนางสาวน้ําจํานวน 8,000,000 บาท ต่อมาหนี้เงินกู้ถึงกําหนดชําระ นายดินไม่ชําระหนี้ นางสาวน้ําจึงฟ้องนายดินให้ล้มละลาย ต่อมาศาลล้มละลายกลางมีคําสั่ง พิทักษ์ทรัพย์นายดินเด็ดขาด นายดินยื่นคําขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรียกประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติด้วยจํานวนเจ้าหนี้ฝ่ายข้างมากและมีจํานวนหนี้เท่ากับ 2 ใน 3 ยอมรับคําขอประนอมหนี้ของนายดิน

ดังนี้ ถ้าท่านเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ท่านจะรายงานศาลว่าอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483

มาตรา 6 “ในพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

“มติพิเศษ” หมายความว่า มติของเจ้าหนี้ฝ่ายข้างมาก และมีจํานวนหนี้เท่ากับสามในสี่แห่งจํานวน หนี้ทั้งหมดของเจ้าหนี้ ซึ่งได้เข้าประชุมด้วยตนเองหรือมอบฉันทะให้ผู้อื่นเข้าประชุมแทนในที่ประชุมเจ้าหนี้และ ได้ออกเสียงลงคะแนนในมตินั้น”

มาตรา 31 วรรคหนึ่ง “เมื่อศาลได้มีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรียกประชุมเจ้าหนี้ทั้งหลายโดยเร็วที่สุด เพื่อปรึกษาว่าจะควรยอมรับคําขอประนอมหนี้ของลูกหนี้ หรือควรขอให้ ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายและปรึกษาถึงวิธีที่จะจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อไป การประชุมนี้ให้เรียกว่าประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก”

วินิจฉัย

ตาม พ.ร.บ. ล้มละลายฯ มาตรา 31 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติหลักไว้ว่า ในคดีล้มละลายเมื่อศาล ได้มีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้ทั้งหลายโดยเร็วที่สุด ซึ่งเป็นการเรียกประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก และให้นําคําขอประนอมหนี้ของลูกหนี้เข้าสู่ที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกนี้ เพื่อ

1. ให้ได้มติพิเศษว่าจะควรยอมรับคําขอประนอมหนี้ของลูกหนี้หรือไม่ หรือ

2. ควรขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ศาลล้มละลายกลางมีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์นายดินเด็ดขาด และนายดิน ได้ยื่นคําขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้เรียกประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกเพื่อนําคําขอประนอมหนี้ของลูกหนี้เข้าสู่ที่ประชุมเจ้าหนี้เพื่อให้ได้มติพิเศษว่าควรยอมรับคําขอประนอมหนี้ของลูกหนี้หรือไม่ ตามมาตรา 31 นั้น เมื่อปรากฏว่าที่ประชุมเจ้าหนี้มติด้วยจํานวนเจ้าหนี้ฝ่ายข้างมากและมีจํานวนหนี้เท่ากับ 2 ใน 3 ยอมรับคําขอประนอมหนี้ของนายดิน มติดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นมติพิเศษ ทั้งนี้เพราะกรณีที่จะเป็นมติพิเศษนั้น ตามมาตรา 6 ได้กําหนดไว้ว่า จะต้องเป็นมติของเจ้าหนี้ฝ่ายข้างมากและมีจํานวนหนี้เท่ากับ 3 ใน 4 แห่งจํานวน หนี้ทั้งหมดของเจ้าหนี้ซึ่งได้เข้าประชุมด้วยตนเองหรือมอบฉันทะให้ผู้อื่นเข้าประชุมแทน และได้ออกเสียงลงคะแนน ในมตินั้น ดังนั้น ถ้าข้าพเจ้าเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ข้าพเจ้าจะรายงานต่อศาลว่ามติของที่ประชุมเจ้าหนี้ดังกล่าวไม่เป็นมติพิเศษ

สรุป ข้าพเจ้าจะรายงานต่อศาลว่ามติของที่ประชุมเจ้าหนี้ดังกล่าวไม่เป็นมติพิเศษ

 

ข้อ 3. ในวันที่ 15 กันยายน 2559 นายเมฆได้ทําสัญญากู้เงินจากนายหมอกจํานวน 2,000,000 บาท กําหนดชําระคืน 3 ปีนับจากวันทําสัญญา โดยนายเมฆได้มอบโฉนดที่ดินเลขที่ 1234 ของตนเองให้นายหมอกยึดถือไว้เพื่อเป็นประกันการชําระหนี้เงินกู้รายดังกล่าวพร้อมทําบันทึก แนบท้ายสัญญากู้ตกลงยอมให้นายหมอกสามารถบังคับชําระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินของตนเกินกว่าตัวทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน

ข้อเท็จจริงปรากฏว่าที่ดินแปลงดังกล่าวมีราคาประเมินประมาณ 1,500,000 บาท ต่อมานายเมฆกลายเป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัวและถูกเจ้าหนี้อื่นฟ้องล้มละลาย ศาลมีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้โฆษณา คําสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามกฎหมายและประกาศให้เจ้าหนี้ทั้งหลายมายื่นขอรับชําระหนี้ในคดีล้มละลาย

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่านายหมอกจะมีสิทธิได้รับชําระหนี้ของตนหรือไม่ ด้วยวิธีการใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483

มาตรา 6 “ในพระราชบัญญัตินี้ เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

“เจ้าหนี้มีประกัน” หมายความว่า เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ในทางจํานอง จํานํา หรือสิทธิยึดหน่วง หรือเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิที่บังคับได้ทํานองเดียวกับผู้รับจํานํา”

มาตรา 91 วรรคหนึ่ง “เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชําระหนี้ในคดีล้มละลายจะเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์หรือไม่ก็ตาม ต้องยื่นคําขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกําหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคําสั่ง พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด แต่ถ้าเจ้าหนี้อยู่นอกราชอาณาจักร เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขยายกําหนดเวลาให้อีกได้ ไม่เกินสองเดือน”

มาตรา 94 “เจ้าหนี้ไม่มีประกันอาจขอรับชําระหนี้ได้ ถ้ามูลแห่งหนี้ได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคําสั่ง พิทักษ์ทรัพย์ แม้ว่าหนี้นั้นยังไม่ถึงกําหนดชําระหรือมีเงื่อนไขก็ตาม เว้นแต่

(1) หนี้ที่เกิดขึ้นโดยฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี หรือหนี้ที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้

(2) หนี้ซึ่งเจ้าหนี้ยอมให้ลูกหนี้กระทําขึ้นเมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว แต่ไม่รวมถึงหนี้ที่เจ้าหนี้ยอมให้กระทําขึ้นเพื่อให้กิจการของลูกหนี้ดําเนินต่อไปได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเมฆได้ทําสัญญากู้เงินจากนายหมอกจํานวน 2,000,000 บาท ในวันที่ 15 กันยายน 2559 กําหนดชําระคืน 3 ปีนับจากวันทําสัญญา โดยนายเมฆได้มอบโฉนดที่ดินเลขที่ 1234 ของตนเองให้นายหมอกยึดถือไว้เพื่อเป็นประกันการชําระหนี้เงินกู้รายดังกล่าวนั้น มิได้ทําให้นายหมอก มีฐานะเป็นเจ้าหนี้มีประกันตามนัยมาตรา 6 แต่อย่างใด เพราะการจํานองจะเกิดขึ้นและมีผลสมบูรณ์ตาม กฎหมายนั้นจะต้องมีการทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนั้น นายหมอกจึงมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ไม่มีประกัน

เมื่อหนี้เงินกู้เกิดขึ้นก่อนวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์ แม้ว่า หนี้นั้นจะยังไม่ถึงกําหนดชําระ นายหมอกก็สามารถยื่นคําขอรับชําระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ แต่ต้องยื่นคําขอภายในกําหนดเวลา 2 เดือนนับแต่วันโฆษณาคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามมาตรา 94 ประกอบมาตรา 91 วรรคหนึ่ง

สรุป นายหมอกซึ่งเป็นเจ้าหนี้ไม่มีประกันมีสิทธิได้รับชําระหนี้ของตนได้ โดยการยื่นคําขอรับชําระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกําหนดเวลา 2 เดือนนับแต่วันโฆษณาคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด

 

LAW3111 (LAW3011) กฎหมายลักษณะพยาน s/2565

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3111 (LAW 3011) กฎหมายลักษณะพยาน
ข้อแนะนํา ข้อสอบนี้เป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1.
1.1 ให้ท่านวินิจฉัยว่าหากไม่ได้นําสิ่งต่างๆ ดังต่อไปนี้เข้าเป็นพยานหลักฐานในสํานวน ศาลจะสามารถหยิบยกขึ้นพิพากษาได้หรือไม่

(ก) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย

(ข) ความหมายของคําในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน

(ค) พระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าของประเทศสหราชอาณาจักร

1.2 โจทก์ยื่นคําฟ้องว่าโจทก์และจําเลยมีชื่ออยู่ในที่ดินพิพาทร่วมกัน แต่ปัจจุบันได้มีการแบ่งแยก การครอบครองเป็นสัดส่วนแล้ว โจทก์ต้องการแบ่งแยกโฉนดที่ดิน แต่จําเลยไม่ยอม ขอให้ ศาลมีคําสั่งแบ่งแยกโฉนดที่ดิน จําเลยยื่นคําให้การว่าที่ดินแปลงดังกล่าวนั้นเป็นของจําเลย แต่เพียงผู้เดียว ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ร่วมกันระหว่างโจทก์กับจําเลย ให้ท่านวินิจฉัยว่าฝ่ายใด มีภาระการพิสูจน์ในคดีนี้

ธงคําตอบ

1.1 หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 84 “การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีใด จะต้องกระทําโดยอาศัยพยานหลักฐานใน สํานวนคดีนั้น เว้นแต่

(1) ข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป
(2) ข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้ หรือ
(3) ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล

วินิจฉัย

ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84 ได้วางหลักไว้ว่า การที่ศาลจะวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีใด ศาลจะต้อง วินิจฉัยโดยอาศัยพยานหลักฐานที่อยู่ในสํานวนคดีเท่านั้น ถ้าเป็นพยานหลักฐานที่ไม่อยู่ในสํานวนคดี ศาลจะหยิบยก พยานหลักฐานนั้นขึ้นวินิจฉัยเพื่อพิพากษาไม่ได้ เว้นแต่ถ้าเป็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งอย่างใด ได้แก่ (1) ข้อเท็จจริง ซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป (2) ข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้ หรือ (3) ข้อเท็จจริงที่คู่ความยอมรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล ดังนี้ แม้คู่ความจะไม่ได้นําเข้าเป็นพยานหลักฐานในสํานวน ศาลก็สามารถหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยเพื่อพิพากษาได้

ตามอุทาหรณ์ หากไม่ได้นําสิ่งต่าง ๆ ดังต่อไปนี้เข้าเป็นพยานหลักฐานในสํานวน ศาลจะสามารถหยิบยกขึ้นพิพากษาได้หรือไม่ วินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) ประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย มีลักษณะเป็นกฎ เป็นเพียงประกาศหรือระเบียบ ที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทยเท่านั้น ไม่มีลักษณะเป็นกฎหมาย จึงไม่ถือเป็นข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป อีกทั้งไม่ใช่ข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้ และไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล จึงไม่เข้า ข้อยกเว้นตาม (1) (2) หรือ (3) ของ ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84 แต่อย่างใด ดังนั้น ศาลจะหยิบยกเอาประกาศธนาคาร แห่งประเทศไทยขึ้นพิพากษาไม่ได้

(ข) ความหมายของคําในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ความหมายของคําหรือถ้อยคําที่ ปรากฏอยู่ในพจนานุกรมฯ ถือได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไป กล่าวคือ เป็นข้อเท็จจริงที่ประชาชนทั่วไป รู้กันอยู่แล้ว และผู้พิพากษาซึ่งถือเป็นประชาชนคนหนึ่งย่อมต้องรู้ข้อเท็จจริงทั่วไปนั้นด้วย กรณีจึงต้องด้วย ข้อยกเว้นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84 (1) ที่แม้ว่าจะไม่ได้นําเข้าเป็นพยานหลักฐานในสํานวน ศาลก็สามารถหยิบยก เอาความหมายของคําในพจนานุกรมฯ ขึ้นพิพากษาได้

(ค) พระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าของประเทศสหราชอาณาจักร ถือเป็นกฎหมายของ ต่างประเทศไม่ใช่กฎหมายของไทย จึงไม่ถือว่าเป็นข้อเท็จจริงซึ่งประชาชนทั่วไปและศาลไทยต้องรู้ จึงเป็น ข้อเท็จจริงที่ต้องนําสืบและต้องนําเข้าเป็นพยานหลักฐานในสํานวน เพราะไม่เข้าข้อยกเว้นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84 (1) อีกทั้งไม่ใช่ข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้ และไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาลตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84 (1) หรือ (2) ดังนั้น เมื่อไม่ได้นําเข้าเป็นพยานหลักฐานในสํานวน ศาลจึงไม่สามารถหยิบยก ขึ้นพิพากษาได้

สรุป
(ก) ศาลไม่สามารถหยิบยกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นวินิจฉัยได้
(ข) ศาลสามารถหยิบยกความหมายของคําในพจนานุกรมฯ ขึ้นวินิจฉัยได้
(ค) ศาลไม่สามารถหยิบยกพระราชบัญญัติการซื้อขายสินค้าของประเทศสหราชอาณาจักร ขึ้นวินิจฉัยได้

1.2 หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 84 “การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีใดจะต้องกระทําโดยอาศัยพยานหลักฐานใน
สํานวนคดีนั้น เว้นแต่

(3) ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล

มาตรา 84/1 “คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคําคู่ความของตนให้คู่ความฝ่ายนั้น มีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายหรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็นซึ่งปรากฏจากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติ ตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว”

มาตรา 177 วรรคสอง “ให้จําเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคําให้การว่า จําเลยยอมรับหรือปฏิเสธ ข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น

มาตรา 183 วรรคหนึ่ง “ในวันชี้สองสถาน ให้คู่ความมาศาล และให้ศาลตรวจคําคู่ความและ คําแถลงของคู่ความ แล้วนําข้ออ้าง ข้อเสียง ที่ปรากฏในคําคู่ความและคําแถลงของคู่ความเทียบกันดู และสอบถาม คู่ความทุกฝ่ายถึงข้ออ้าง ข้อเถียง และพยานหลักฐานที่จะยื่นต่อศาลว่าฝ่ายใดยอมรับหรือโต้แย้งข้ออ้าง ข้อเถียงนั้น อย่างไร ข้อเท็จจริงใดที่คู่ความยอมรับกันก็เป็นอันยุติไปตามนั้น ส่วนข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่ง ยกขึ้นอ้าง แต่คําคู่ความฝ่ายอื่นไม่รับและเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับประเด็นข้อพิพาทตามคําคู่ความ ให้ศาลกําหนดไว้ เป็นประเด็นข้อพิพาท และกําหนดให้คู่ความฝ่ายใดนําพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นข้อใดก่อนหรือหลังก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ยื่นคําฟ้องว่าโจทก์และจําเลยมีชื่ออยู่ในที่ดินพิพาทร่วมกัน แต่ ปัจจุบันได้มีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นสัดส่วนแล้ว โจทก์ต้องการแบ่งแยกโฉนดที่ดิน แต่จําเลยไม่ยอม ขอให้ศาลมีคําสั่งแบ่งแยกโฉนดที่ดิน จําเลยยื่นคําให้การว่าที่ดินแปลงดังกล่าวนั้นเป็นของจําเลยแต่เพียงผู้เดียว ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ร่วมกันระหว่างโจทก์กับจําเลยนั้น

จากคําฟ้องและคําให้การของจําเลย โดยโจทก์ฟ้องขอให้จําเลยแบ่งแยกที่ดินเนื่องจากที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์รวม แต่จําเลยต่อสู้ในคําให้การว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของจําเลยแต่เพียงผู้เดียว เมื่อจําเลยปฏิเสธ โดยชัดแจ้งในประเด็นนี้ จึงเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างแต่อีกฝ่ายหนึ่งปฏิเสธและเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับ คําคู่ความ ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้จึงมีประเด็นว่า “ที่ดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์กับจําเลยหรือไม่”
ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84 มาตรา 177 และมาตรา 183

เมื่อคดีนี้เป็นคดีที่คู่ความพิพาทกันว่า ที่ดินแปลงนี้เป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์กับจําเลยหรือไม่ เมื่อทรัพย์สินที่พิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์จําพวกที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์เป็นโฉนดที่ดิน และตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 ได้วางหลักไว้ว่า บุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนย่อมให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง และ ในกรณีนี้บุคคลที่มีชื่ออยู่ในโฉนดที่ดินพิพาทคือโจทก์และจําเลยจึงต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าที่ดินแปลงนี้โจทก์
และจําเลยเป็นเจ้าของร่วมกัน ดังนั้น เมื่อจําเลยอ้างว่าที่ดินแปลงนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของจําเลยแต่เพียงผู้เดียว จึงเป็นการพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานตามกฎหมาย จําเลยจึงมีภาระการพิสูจน์ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84/1

สรุป คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทว่าที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมระหว่างโจทก์กับจําเลยหรือไม่ และจําเลยมีภาระการพิสูจน์ตามที่กล่าวอ้าง

 

ข้อ 2. โจทก์ทําสัญญาซื้อขายรถยนต์กับจําเลยมูลค่า 300,000 บาท แต่จําเลยชําระเงินให้โจทก์ไม่ครบ ตามสัญญา โจทก์จึงยื่นคําฟ้องขอให้จําเลยชําระเงินแก่โจทก์ แต่ปรากฏว่าเอกสารการซื้อขาย รถยนต์พิพาทนั้นอยู่กับธนาคาร อีกทั้งปรากฏว่าเมื่อโจทก์ได้ขอให้ศาลเรียกเอกสาร และศาล ก็ได้ขอเอกสารกับธนาคารแล้ว แต่ธนาคารไม่ได้ส่งเอกสารมายังศาล โจทก์จึงต้องการจะนําสืบดังต่อไปนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าศาลจะรับฟังได้หรือไม่

(ก) สําเนาหนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาท

(ข) นายเอกพยานบุคคลที่จะขอนําสืบแทนพยานเอกสารถึงสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาท

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 93 “การอ้างเอกสารเป็นพยานหลักฐานให้ยอมรับฟังได้เฉพาะต้นฉบับเอกสารเท่านั้น เว้นแต่

(2) ถ้าต้นฉบับเอกสารนํามาไม่ได้ เพราะถูกทําลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือสูญหาย หรือไม่สามารถ นํามาได้โดยประการอื่น อันมิใช่เกิดจากพฤติการณ์ที่ผู้อ้างต้องรับผิดชอบ หรือเมื่อศาลเห็นว่าเป็นกรณีจําเป็น และเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะต้องสืบสําเนาเอกสารหรือพยานบุคคลแทนต้นฉบับเอกสารที่นํามา
ไม่ได้นั้น ศาลจะอนุญาตให้นําสําเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้”

มาตรา 94 “เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟัง พยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ก) ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร เมื่อไม่สามารถนําเอกสารมาแสดง
(ข) ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อได้นําเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้ มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา (2) แห่งมาตรา 93
และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนําพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่าพยานเอกสาร ที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด หรือแต่บางส่วน หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด”

มาตรา 123 “ถ้าต้นฉบับเอกสารซึ่งคู่ความฝ่ายหนึ่งอ้างอิงเป็นพยานหลักฐานนั้นอยู่ในความ ครอบครองของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง คู่ความฝ่ายที่อ้างจะยื่นคําขอโดยทําเป็นคําร้องต่อศาลขอให้สั่งคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งส่งต้นฉบับเอกสารแทนการที่ตนจะต้องส่งสําเนาเอกสารนั้นก็ได้ ถ้าศาลเห็นว่าเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานสําคัญและคําร้องนั้นฟังได้ ให้ศาลมีคําสั่งให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยื่นต้นฉบับเอกสารต่อศาลภายในเวลาอันสมควรแล้วแต่ศาลจะกําหนด…

ถ้าต้นฉบับเอกสารอยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก หรือในครอบครองของทางราชการ หรือของเจ้าหน้าที่ซึ่งคู่ความที่อ้างไม่อาจร้องขอโดยตรงให้ส่งเอกสารนั้นมาได้ ให้นําบทบัญญัติในวรรคก่อน ว่าด้วยการที่คู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสารยื่นคําขอ และการที่ศาลมีคําสั่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ทั้งนี้ฝ่ายที่อ้าง ต้องส่งคําสั่งศาลแก่ผู้ครอบครองเอกสารนั้นล่วงหน้าอย่างน้อยเจ็ดวัน ถ้าไม่ได้เอกสารนั้นมาสืบตามกําหนด เมื่อศาลเห็นสมควรก็ให้ศาลสืบพยานต่อไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 93 (2)

วินิจฉัย

(ก) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ทําสัญญาซื้อขายรถยนต์กับจําเลยมูลค่า 300,000 บาท แต่จําเลยชําระเงินให้โจทก์ไม่ครบตามสัญญา โจทก์จึงยื่นคําฟ้องขอให้จําเลยชําระเงินแก่โจทก์ แต่ปรากฏว่าเอกสารการซื้อขายรถยนต์พิพาทนั้นอยู่กับธนาคารซึ่งเป็นบุคคลภายนอก และเมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ยื่นคําร้อง ขอให้ศาลเรียกเอกสาร และศาลก็ได้ขอเอกสารกับธนาคารตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 123 แล้ว แต่ธนาคารไม่ได้ส่ง
เอกสารมายังศาล โจทก์จึงจะขอนําสืบสําเนาหนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทแทนต้นฉบับเอกสารนั้น ศาลจะ รับฟังได้หรือไม่นั้น กรณีนี้เห็นว่าเมื่อศาลได้ขอเอกสารกับธนาคาร แต่ธนาคารไม่ได้ส่งเอกสารมายังศาล ย่อมถือว่า เป็นกรณีที่นําต้นฉบับเอกสารมาไม่ได้ เพราะสูญหายหรือไม่สามารถนํามาได้โดยประการอื่น อันไม่ใช่เกิดจาก พฤติการณ์ที่โจทก์ผู้อ้างอิงเอกสารต้องรับผิดชอบตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 93 (2) และเมื่อไม่ได้เอกสารนั้นมาสืบ ตามกําหนด เมื่อศาลเห็นสมควรก็ให้ศาลสืบพยานต่อไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 93 (2) (ป.วิ.แพ่ง มาตรา 123 วรรคสอง) กล่าวคือ ศาลจะสืบพยานต่อไปโดยอนุญาตให้นําสําเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้ ดังนั้น การที่โจทก์จะขอนําสืบสําเนาหนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาท ศาลย่อมจะรับฟังได้

(ข) ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 วรรคหนึ่ง (ก) ได้บัญญัติหลักไว้ว่า เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ย่อมต้องห้ามมิให้นําพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสารในเมื่อไม่สามารถนํา เอกสารมาแสดง แต่อย่างไรก็ตามหลักดังกล่าวมีข้อยกเว้นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 วรรคสอง คือในกรณีที่ ต้นฉบับเอกสารสูญหาย หรือถูกทําลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือไม่สามารถนําต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น (ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 93 (2)) ดังนี้ ย่อมสามารถนําพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสารได้

ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ เมื่อธนาคารไม่ได้ส่งเอกสารมายังศาล ซึ่งเป็นกรณีที่ถือว่านําต้นฉบับ เอกสารมาไม่ได้ เพราะสูญหายหรือไม่สามารถนํามาได้โดยประการอื่นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 93 (2) โจทก์จึง สามารถที่จะขอนําตัวนายเอกพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสารถึงสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทได้ เพราะ ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 ดังนั้น ศาลจึงรับฟังพยานบุคคลกรณีนี้ได้

สรุป

(ก) ศาลจะรับฟังสําเนาหนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์พิพาทได้

(ข) ศาลจะรับฟังนายเอกพยานบุคคลที่โจทก์ขอนําสืบแทนพยานเอกสารได้

 

ข้อ 3. ในคดีอาญาเรื่องหนึ่ง นายปิติบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ด.ช.มานะ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเพชรเป็นจําเลยในความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ ด.ช.มานะ อายุ 14 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส ในวันสืบพยานทนายโจทก์อ้าง นายปิติโจทก์ ด.ช.มานะผู้เสียหาย นายเพชรจําเลย และ นายแพทย์วีระพยานผู้เชี่ยวชาญเป็นพยานฝ่ายโจทก์ หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้น พยานโจทก์ ทุกคนต่างลืมสาบานตนก่อนการเบิกความโดยที่ฝ่ายจําเลยก็ไม่ได้ทักท้วง หากศาลทําการ สืบพยานจําเลยจนเสร็จสิ้น และนัดฟังคําพิพากษา ศาลจะรับฟังคําเบิกความของพยานโจทก์ได้ หรือไม่ เพราะเหตุใด จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 95 วรรคหนึ่ง “ห้ามมิให้ยอมรับฟังพยานบุคคลใดเว้นแต่บุคคลนั้น

(1) สามารถเข้าใจและตอบคําถามได้ และ
(2) เป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรง…”

มาตรา 97 “คู่ความฝ่ายหนึ่ง จะอ้างคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพยานของตนหรือจะอ้างตนเองเป็นพยานก็ได้”

มาตรา 98 “คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะอ้างบุคคลใดเป็นพยานของตนก็ได้ เมื่อบุคคลนั้นเป็น ผู้มีความรู้เชี่ยวชาญในศิลป วิทยาศาสตร์ การฝีมือ การค้า หรือการงานที่ทําหรือในกฎหมายต่างประเทศ และ ซึ่งความเห็นของพยานอาจเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อความในประเด็น ทั้งนี้ ไม่ว่าพยานจะเป็นผู้มีอาชีพ
ในการนั้นหรือไม่”

มาตรา 112 “ก่อนเบิกความพยานทุกคนต้องสาบานตนตามลัทธิศาสนาหรือจารีตประเพณีแห่งชาติของตน หรือกล่าวคําปฏิญาณว่าจะให้การตามความสัตย์จริงเสียก่อน เว้นแต่

(1) พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท หรือผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์
(2) บุคคลที่มีอายุต่ํากว่าสิบห้าปี หรือบุคคลที่ศาลเห็นว่าหย่อนความรู้สึกผิดและชอบ
(3) พระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนา
(4) บุคคลซึ่งคู่ความทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าไม่ต้องให้สาบานหรือกล่าวคําปฏิญาณ”

และตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 15 “วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้นําบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้”

มาตรา 232 “ห้ามมิให้โจทก์อ้างจําเลยเป็นพยาน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายปิติบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ด.ช.มานะ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเพชรเป็นจําเลยในคดีอาญาในความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ ด.ช.มานะ อายุ 14 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส และในวันสืบพยาน ทนายโจทก์อ้างนายปิติโจทก์ ด.ช.มานะผู้เสียหาย นายเพชรจําเลย และนายแพทย์วีระพยาน ผู้เชี่ยวชาญเป็นพยานฝ่ายโจทก์ แต่หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้น พยานโจทก์ทุกคนต่างลืมสาบานตนก่อนการ เบิกความโดยที่ฝ่ายจําเลยก็ไม่ได้ทักท้วงนั้น หากศาลทําการสืบพยานจําเลยเสร็จสิ้น และนัดฟังคําพิพากษา ศาลจะรับฟังคําเบิกความของพยานโจทก์ได้หรือไม่นั้น วินิจฉัยได้ดังนี้

การที่ทนายโจทก์อ้างโจทก์เป็นพยานนั้น ย่อมสามารถทําได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 97 ประกอบ ป.วิ.อาญา มาตรา 15 ส่วนการอ้าง ด.ช.มานะผู้เสียหายเป็นพยานนั้นก็สามารถทําได้ แม้ ด.ช.มานะจะมีอายุ 14 ปี ซึ่งเป็นผู้เยาว์ก็ตาม ก็สามารถเป็นพยานบุคคลได้ ถ้าสามารถเข้าใจและตอบคําถามได้ และเป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรง ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 95 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อาญา มาตรา 15 และนายแพทย์วีระซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญนั้น โจทก์ย่อมสามารถอ้างเป็นพยานได้ ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 98 ประกอบ ป.วิ.อาญา มาตรา 15 ส่วนการที่ทนายโจทก์อ้างนายเพชรจําเลยนั้น โจทก์ไม่สามารถทําได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 232 ซึ่งบัญญัติว่า “ห้ามมิให้โจทก์อ้างจําเลยเป็นพยาน”

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นพยานโจทก์ทุกคนต่างลืมสาบานตน ก่อนการเบิกความ แม้ฝ่ายจําเลยจะมิได้ทักท้วงก็ตาม ย่อมถือว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 112 ประกอบ ป.วิ.อาญา มาตรา 15 ดังนั้น คําเบิกความของโจทก์ซึ่งอ้างตนเองเป็นพยาน รวมทั้งคําเบิกความของ นายเพชรจําเลย และนายแพทย์วีระผู้เชี่ยวชาญซึ่งโจทก์อ้างเป็นพยานนั้น จึงรับฟังไม่ได้ ส่วน ด.ช.มานะนั้น เป็นบุคคลที่มีอายุต่ํากว่า 15 ปี จึงได้รับการยกเว้นไม่ต้องสาบานตนตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 112 (2) ประกอบ ป.วิ.อาญา มาตรา 15 ดังนั้น คําเบิกความของ ด.ช.มานะ จึงรับฟังได้

สรุป ศาลจะรับฟังคําเบิกความของพยานโจทก์ได้เฉพาะคําเบิกความของ ด.ช.มานะเท่านั้น แต่จะรับฟังคําเบิกความของนายปิติ นายเพชร และนายแพทย์วีระไม่ได้

LAW3111 (LAW3011) กฎหมายลักษณะพยาน s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3111 (LAW 3011) กฎหมายลักษณะพยาน
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. โจทก์ยื่นคําฟ้องจําเลยโดยอ้างว่าโจทก์และจําเลยเป็นทายาทของนายรวย โดยนายรวยมีมรดก เป็นที่ดินมีโฉนด 2 แปลง คือ แปลงเลขที่ 1234 และเลขที่ 5678 แต่เมื่อนายรวยตาย จําเลยได้ เป็นผู้จัดการมรดกจึงได้ใส่ชื่อจําเลยเป็นเจ้าของในที่ดินทั้ง 2 แปลงนี้ ขอให้จําเลยแบ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้ตน

จําเลยยื่นคําให้การต่อสู้ว่าที่ดินแปลงที่ 1234 นั้น นายรวยให้ตนไว้ตั้งแต่ก่อนตายแล้ว จึงไม่ใช่ เป็นทรัพย์มรดกอันต้องแบ่งกับโจทก์ ส่วนที่ดินแปลงที่ 5678 นั้นเป็นมรดกที่โจทก์และจําเลย ตกลงกันแล้ว โดยโจทก์ตกลงจะรับเงินไป 1 ล้านบาท และให้จําเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ ทั้งหมด โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่ดินทั้ง 2 แปลงนี้ ขอให้ศาลยกฟ้อง

ในกรณีนี้มีประเด็นข้อพิพาทอย่างไร และฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 84 “การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีใดจะต้องกระทําโดยอาศัยพยานหลักฐานใน
สํานวนคดีนั้น เว้นแต่

(3) ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล

มาตรา 84/1 “คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคําคู่ความของตนให้คู่ความฝ่ายนั้น มีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายหรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็นซึ่งปรากฏ
จากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติ ตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว”

มาตรา 183 วรรคหนึ่ง “ในวันชี้สองสถาน ให้คู่ความมาศาล และให้ศาลตรวจคําคู่ความและ คําแถลงของคู่ความ แล้วนําข้ออ้าง ข้อเถียงที่ปรากฏในคําคู่ความและคําแถลงของคู่ความเทียบกันดู และสอบถาม คู่ความทุกฝ่ายถึงข้ออ้าง ข้อเถียงและพยานหลักฐานที่จะยื่นต่อศาลว่าฝ่ายใดยอมรับหรือโต้แย้งข้ออ้าง ข้อเถียงนั้น อย่างไร ข้อเท็จจริงใดที่คู่ความยอมรับกันก็เป็นอันยุติไปตามนั้น ส่วนข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่ง ยกขึ้นอ้าง แต่คู่ความฝ่ายอื่นไม่รับและเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับประเด็นข้อพิพาทตามคําคู่ความ ให้ศาลกําหนดไว้ เป็นประเด็นข้อพิพาท และกําหนดให้คู่ความฝ่ายใดนําพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นข้อใดก่อนหรือหลังก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย ดังนี้คือ

1. คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทว่าอย่างไร
2. ภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นําสืบตกแก่คู่ความฝ่ายใด

ประเด็นที่ 1 คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทว่าอย่างไร
คําว่า “ประเด็นข้อพิพาท” หมายถึง ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่ง ยกขึ้นอ้างในคําคู่ความ และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง รับแล้ว ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท (ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84 (3) และมาตรา 183 วรรคหนึ่ง)

การที่โจทก์ยื่นคําฟ้องจําเลยโดยอ้างว่าโจทก์และจําเลยเป็นทายาทของนายรวย โดยนายรวยมีมรดก เป็นที่ดินมีโฉนด 2 แปลง คือ แปลงเลขที่ 1234 และเลขที่ 5678 แต่เมื่อนายรวยตาย จําเลยได้เป็นผู้จัดการมรดก จึงได้ใส่ชื่อจําเลยเป็นเจ้าของในที่ดินทั้ง 2 แปลงนี้ ขอให้จําเลยแบ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้ตน โดยจําเลยให้การ ต่อสู้ว่าที่ดินแปลงที่ 1234 นั้น นายรวยให้ตนไว้ตั้งแต่ก่อนตายแล้ว จึงไม่ใช่เป็นทรัพย์มรดกอันต้องแบ่งกับโจทก์ ส่วนที่ดินแปลงที่ 5678 นั้นเป็นมรดกที่โจทก์และจําเลยตกลงกันแล้ว โดยโจทก์ตกลงจะรับเงินไป 1 ล้านบาท และให้จําเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ทั้งหมด โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่ดินทั้ง 2 แปลงนี้ ขอให้ศาลยกฟ้องนั้น

จากคําฟ้องของโจทก์ และคําให้การของจําเลยดังกล่าว แยกพิจารณาได้ดังนี้

1. ที่ดินแปลงที่ 1 คือ แปลงเลขที่ 1234 โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นของนายรวยผู้ตายจึงเป็น ทรัพย์มรดก แต่จําเลยให้การว่านายรวยได้ให้ตนไว้ตั้งแต่ก่อนตายจึงไม่ใช่ทรัพย์มรดก ดังนั้น จากคําฟ้องและ คําให้การดังกล่าว คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินแปลงเลขที่ 1234 เป็นทรัพย์มรดกหรือไม่ และถือว่าเป็น
คดีโต้แย้งเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท

2. ที่ดินแปลงที่ 2 คือ แปลงเลขที่ 5678 โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทเป็นของนายรวยผู้ตาย เมื่อจําเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของนายรวยผู้ตายและเป็นทรัพย์มรดกจริง จึงถือว่าเป็นข้อเท็จจริงที่คู่ความ
รับกันแล้ว จึงไม่เป็นประเด็นที่โต้เถียงกันต่อไป และไม่ต้องกําหนดเป็นประเด็นข้อพิพาท

แต่การที่จําเลยให้การว่าที่ดินพิพาทแปลงเลขที่ 5678 นั้น โจทก์และจําเลยได้ตกลงกัน โดยโจทก์ตกลงจะรับเงินไป 1 ล้านบาท และให้จําเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ทั้งหมด (เท่ากับจําเลย กล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทแปลงเลขที่ 5678 ได้มีการแบ่งแยกกันโดยชอบแล้ว) ดังนั้น จากคําฟ้องและคําให้การ ของจําเลย โดยโจทก์ฟ้องขอให้จําเลยแบ่งแยกที่ดินแก่โจทก์ แต่จําเลยต่อสู้ในคําให้การว่าที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของ จําเลยแต่พียงผู้เดียว จึงเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างแต่อีกฝ่ายหนึ่งปฏิเสธและเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับ คําคู่ความ ประเด็นข้อพิพาทในกรณีนี้จึงมีประเด็นว่า ที่ดินแปลงเลขที่ 5678 นั้นเป็นการแบ่งมรดกโดยชอบ หรือไม่ ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84 และมาตรา 183

สรุป คดีนี้จึงมีประเด็นข้อพิพาท ดังนี้

1. ที่ดินแปลงเลขที่ 1234 เป็นทรัพย์มรดกหรือไม่
2. ที่ดินแปลงเลขที่ 5678 เป็นการแบ่งมรดกโดยชอบหรือไม่

ประเด็นที่ 2 ภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นําสืบตกแก่คู่ความฝ่ายใด สําหรับภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นําสืบนั้น ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84/1 ได้กําหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด ผู้นั้นมีหน้าที่นําสืบ ซึ่งแยกพิจารณาตามประเด็นข้อพิพาทได้ดังนี้

1. ที่ดินแปลงเลขที่ 1234 เป็นทรัพย์มรดกหรือไม่ เมื่อทรัพย์สินที่พิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์ จําพวกที่ดินที่มีกรรมสิทธิ์เป็นโฉนดที่ดิน และตาม ป.พ.พ. มาตรา 1373 ได้วางหลักไว้ว่า บุคคลผู้มีชื่อในทะเบียน ย่อมให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง อีกทั้งโฉนดที่ดินก็เป็นเอกสารมหาชนที่พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ ทําขึ้น ซึ่งตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 127 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้และถูกต้อง ดังนั้น เมื่อจําเลยมีชื่อเป็น
เจ้าของที่ดินในโฉนดที่ดิน จําเลยย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง เมื่อโจทก์ กล่าวอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดก โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายนั้น ภาระ การพิสูจน์หรือหน้าที่นําสืบจึงตกแก่โจทก์

2. ที่ดินแปลงเลขที่ 5678 เป็นการแบ่งมรดกโดยชอบหรือไม่ เมื่อจําเลยเป็นฝ่ายยกข้อต่อสู้ ขึ้นใหม่ว่าเป็นการแบ่งทรัพย์มรดกโดยชอบแล้ว จําเลยจึงมีภาระการพิสูจน์ตามที่จําเลยกล่าวอ้าง ภาระการพิสูจน์ หรือหน้าที่นําสืบจึงตกแก่จําเลย

สรุป คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาท และภาระการพิสูจน์ ดังนี้

1. ที่ดินแปลงเลขที่ 1234 เป็นทรัพย์มรดกหรือไม่ ภาระการพิสูจน์ตกแก่ฝ่ายโจทก์

2. ที่ดินแปลงเลขที่ 5678 เป็นการแบ่งมรดกโดยชอบหรือไม่ ภาระการพิสูจน์ตกแก่ฝ่ายจําเลย

 

ข้อ 2. ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง นายปิติบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ด.ช.มานะ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายเพชร เป็นจําเลยเรียกค่าสินไหมทดแทนฐานการกระทําละเมิดโดยการขับรถโดยประมาททําให้ ด.ช.มานะ อายุ 14 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส ในวันสืบพยาน ทนายโจทก์อ้างนายปิติโจทก์ ด.ช.มานะผู้ถูกกระทํา ละเมิด นายเพชรจําเลย และนายแพทย์วีระพยานผู้เชี่ยวชาญเป็นพยานฝ่ายโจทก์ หลังจาก สืบพยานโจทก์เสร็จสิ้น พยานโจทก์ทุกคนต่างลืมสาบานตนก่อนการเบิกความโดยที่ฝ่ายจําเลย ก็มิได้ทักท้วง หากศาลทําการสืบพยานจําเลยจนเสร็จสิ้นและนัดฟังคําพิพากษา ศาลจะรับฟัง คําเบิกความของพยานโจทก์ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จง
วินิจฉัย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 95 วรรคหนึ่ง “ห้ามมิให้ยอมรับฟังพยานบุคคลใด เว้นแต่บุคคลนั้น

(1) สามารถเข้าใจและตอบคําถามได้

(2) เป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรง…”

มาตรา 97 “คู่ความฝ่ายหนึ่งจะอ้างคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพยานของตน หรือจะอ้างตนเองเป็นพยานก็ได้”

มาตรา 98 “คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะอ้างบุคคลใดเป็นพยานของตนก็ได้ เมื่อบุคคลนั้นเป็น ผู้มีความรู้เชี่ยวชาญในศิลป วิทยาศาสตร์ การฝีมือ การค้า หรือการงานที่ทํา หรือในกฎหมายต่างประเทศ และ ซึ่งความเห็นของพยานอาจเป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อความในประเด็น ทั้งนี้ไม่ว่าพยานจะเป็นผู้มีอาชีพ ในการนั้นหรือไม่”

มาตรา 112 “ก่อนเบิกความ พยานทุกคนต้องสาบานตนตามลัทธิศาสนาหรือจารีตประเพณี แห่งชาติของตน หรือกล่าวคําปฏิญาณว่าจะให้การตามความสัตย์จริงเสียก่อน เว้นแต่

(1) พระมหากษัตริย์ พระราชินี พระรัชทายาท หรือผู้สําเร็จราชการแทนพระองค์

(2) บุคคลที่มีอายุต่ํากว่าสิบห้าปี หรือบุคคลที่ศาลเห็นว่าหย่อนความรู้สึกผิดและชอบ
(3) พระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนา
(4) บุคคลซึ่งคู่ความทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าไม่ต้องให้สาบานหรือกล่าวคําปฏิญาณ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายปิติบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ด.ช.มานะ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายเพชรเป็นจําเลยเรียกค่าสินไหมทดแทน ฐานกระทําละเมิดโดยการขับรถโดยประมาททําให้ ด.ช.มานะ อายุ 14 ปี ได้รับบาดเจ็บสาหัส และในวันสืบพยาน ทนายโจทก์อ้างนายปิติโจทก์ ด.ช.มานะผู้ถูกกระทําละเมิด นายเพชร จําเลย และนายแพทย์วีระพยานผู้เชี่ยวชาญเป็นพยานฝ่ายโจทก์ แต่หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้น พยานโจทก์ ทุกคนต่างลืมสาบานตนก่อนการเบิกความโดยที่ฝ่ายจําเลยก็มิได้ทักท้วงนั้น หากศาลทําการสืบพยานจําเลยเสร็จสิ้น และนัดฟังคําพิพากษา ศาลจะรับฟังคําเบิกความของพยานโจทก์ได้หรือไม่นั้น วินิจฉัยได้ดังนี้

การที่ทนายโจทก์อ้างโจทก์เป็นพยานและอ้างนายเพชรจําเลยเป็นพยานนั้น ย่อมสามารถทําได้ ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 97 ส่วนการอ้าง ด.ช.มานะผู้ถูกระทําละเมิดเป็นพยานนั้นก็สามารถทําได้ แม้ ด.ช.มานะ จะมีอายุ 14 ปี ซึ่งเป็นผู้เยาว์ก็ตาม ก็สามารถเป็นพยานบุคคลได้ ถ้าสามารถเข้าใจและตอบคําถามได้ และเป็นผู้ที่ ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรง ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 95 วรรคหนึ่ง และนายแพทย์วีระซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญนั้น โจทก์ย่อมสามารถอ้างเป็นพยานได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 98

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นพยานโจทก์ทุกคนต่างลืมสาบานตนก่อน การเบิกความ แม้ฝ่ายจําเลยจะมิได้ทักท้วงก็ตาม ย่อมถือว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 112 ดังนั้น คําเบิกความของโจทก์ซึ่งอ้างตนเองเป็นพยาน รวมทั้งคําเบิกความของนายเพชรจําเลย และนายแพทย์วีระ ผู้เชี่ยวชาญซึ่งโจทก์อ้างเป็นพยานนั้น จึงรับฟังไม่ได้ ส่วน ด.ช.มานะนั้น เป็นบุคคลที่มีอายุต่ํากว่า 15 ปี จึงได้รับ ยกเว้นไม่ต้องสาบานตนตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 112 (2) ดังนั้น คําเบิกความของ ด.ช.มานะ จึงรับฟังได้

สรุป ศาลจะรับฟังคําเบิกความของพยานโจทก์ได้เฉพาะคําเบิกความของ ด.ช.มานะเท่านั้น แต่จะรับฟังคําเบิกความของนายปิติ นายเพชร และนายแพทย์วีระไม่ได้

 

ข้อ 3. (ก) จงอธิบายกรณีกฎหมายกําหนดเรื่องการห้ามนําพยานบุคคลเข้าสืบแทนพยานเอกสารตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 มาโดยสังเขป

(ข) โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จําเลยชดใช้ค่าเสียหาย 1 ล้านบาท ที่จําเลยรับเหมาก่อสร้างสระว่ายน้ํา แล้วทําให้บ้านทรุด ตามรายงานการตรวจบ้านจากวิศวกรตรวจบ้าน จําเลยให้การต่อสู้ว่า ตนรับเหมาก่อสร้างเพียงสระว่ายน้ําและได้ก่อสร้างอย่างมีมาตรฐานไม่มีผลต่อบ้านโจทก์ ที่ทรุด ในการนี้จําเลยขอนํานายชัชชาติวิศวกรโครงการรับเหมาก่อสร้างบ้านเข้านําสืบ ถึงเรื่องดังกล่าว ศาลจะสามารถรับฟังนายชัชชาติที่มาเป็นพยานให้กับฝ่ายจําเลยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ก) ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ได้กําหนดเรื่องการห้ามนําพยานบุคคล เข้าสืบแทนพยานเอกสารไว้ดังนี้ คือ เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ย่อมต้องห้ามมิให้ นําพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสาร ในเมื่อไม่สามารถนําเอกสารมาแสดง หรือขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้าง อย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อได้นําเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความ ในเอกสารนั้นอยู่อีกเว้นแต่กรณีอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ที่สามารถนําสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารได้ คือ

1. กรณีต้นฉบับเอกสารสูญหายหรือถูกทําลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือไม่สามารถนําต้นฉบับมาได้
โดยประการอื่น

2. พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอม

3. พยานเอกสารที่แสดงนั้นไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือบางส่วน

4. สัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารไม่สมบูรณ์

5. คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 94 “เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟัง พยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ก) ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร เมื่อไม่สามารถนําเอกสารมาแสดง

(ข) ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อได้นําเอกสารมาแสดงแล้วว่า ยังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก….”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จําเลยชดใช้ค่าเสียหาย 1 ล้านบาท ที่จําเลย รับเหมาก่อสร้างสระว่ายน้ําแล้วทําให้บ้านทรุด ตามรายงานการตรวจบ้านจากวิศวกรตรวจบ้าน จําเลยให้การต่อสู้ว่า ตนรับเหมาก่อสร้างเพียงสระว่ายน้ํา และได้ก่อสร้างอย่างมีมาตรฐานไม่มีผลต่อบ้านโจทก์ที่ทรุด ในการนี้จําเลย ขอนํานายชัชชาติวิศวกรโครงการรับเหมาก่อสร้างบ้านเข้านําสืบถึงเรื่องดังกล่าวนั้น เมื่อสัญญารับเหมาก่อสร้างบ้าน เป็นสัญญาจ้างทําของซึ่งเป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องนําพยานเอกสารมาแสดง ดังนั้น เมื่อจําเลย ขอนําพยานบุคคลเข้ามาสืบเพื่อให้เห็นว่าจําเลยก่อสร้างสระว่ายน้ําไม่มีผลต่อบ้านที่ทรุด และก่อสร้างอย่างได้ มาตรฐาน จึงมิใช่การขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสารแต่อย่างใด จําเลยจึงสามารถนํานายชัชชาติเข้าสืบได้ ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 วรรคหนึ่ง

สรุป ศาลสามารถรับฟังนายชัชชาติที่มาเป็นพยานให้กับฝ่ายจําเลยได้

LAW3111 (LAW3011) กฎหมายลักษณะพยาน 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3111 (LAW 3011) กฎหมายลักษณะพยาน
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. จงตอบคําถามดังต่อไปนี้

1.1 ประเด็นข้อพิพาทคืออะไร ศาลจะสามารถตั้งประเด็นข้อพิพาทได้อย่างไร และหากคู่ความ
ไม่เห็นด้วยกับการตั้งประเด็นข้อพิพาทของศาลจะต้องทําอย่างไร

1.2 โจทก์ยื่นคําฟ้องว่าจําเลยขับรถด้วยความประมาทชนรถยนต์โจทก์ได้รับความเสียหาย จําเลย ยื่นคําให้การว่าจําเลยไม่ได้เป็นฝ่ายประมาท ความประมาทเกิดจากฝ่ายโจทก์ กรณีเช่นนี้ ภาระการพิสูจน์ตกแก่ฝ่ายใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 84/1 “คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคําคู่ความของตนให้คู่ความฝ่ายนั้น มีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายหรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็นซึ่งปรากฏจากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติ ตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว”

มาตรา 183 วรรคหนึ่ง และวรรคสาม “ในวันชี้สองสถาน ให้คู่ความมาศาล และให้ศาลตรวจ คําคู่ความและคําแถลงของคู่ความ แล้วนําข้ออ้าง ข้อเถียงที่ปรากฏในคําคู่ความและคําแถลงของคู่ความเทียบกันดู และสอบถามคู่ความทุกฝ่ายถึงข้ออ้าง ข้อเถียงและพยานหลักฐานที่จะยื่นต่อศาลว่าฝ่ายใดยอมรับหรือโต้แย้งข้ออ้าง ข้อเถียงนั้นอย่างไร ข้อเท็จจริงใดที่คู่ความยอมรับกันก็เป็นอันยุติไปตามนั้น ส่วนข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริง ที่คู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้าง แต่คู่ความฝ่ายอื่นไม่รับและเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับประเด็นข้อพิพาทตามคําคู่ความ ให้ศาลกําหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท และกําหนดให้คู่ความฝ่ายใดนําพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นข้อใด
ก่อนหรือหลังก็ได้

คู่ความมีสิทธิคัดค้านว่าประเด็นข้อพิพาทหรือหน้าที่นําสืบที่ศาลกําหนดไว้นั้นไม่ถูกต้อง โดยแถลง ด้วยวาจาต่อศาลในขณะนั้นหรือยื่นคําร้องต่อศาลภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาลสั่งกําหนดประเด็นข้อพิพาทหรือ
หน้าที่นําสืบ ให้ศาลชี้ขาดคําคัดค้านนั้นก่อนวันสืบพยาน คําชี้ขาดคําคัดค้านดังกล่าวให้อยู่ภายใต้บังคับมาตรา 226

วินิจฉัย

1.1 ประเด็นข้อพิพาท คือ ประเด็นข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่คู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้าง ในคําคู่ความ และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ (ป.วิ.แพ่ง มาตรา 183 วรรคหนึ่ง)

ในวันชี้สองสถาน ให้คู่ความมาศาล และให้ศาลตรวจคําคู่ความและคําแถลงของคู่ความ แล้วนําข้ออ้าง ข้อเกี่ยงที่ปรากฏในคําคู่ความและคําแถลงของคู่ความเทียบกันดู และสอบถามคู่ความทุกฝ่าย ถึงข้ออ้าง ข้อเถียง และพยานหลักฐานที่จะยื่นต่อศาลว่าฝ่ายใดยอมรับหรือโต้แย้งข้ออ้าง ข้อเถียงนั้นอย่างไร ข้อเท็จจริงใดที่คู่ความยอมรับกันก็เป็นอันยุติไปตามนั้น ส่วนข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างแต่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับและเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับประเด็นข้อพิพาทตามคําคู่ความ ให้ศาลกําหนดไว้เป็นประเด็น ข้อพิพาท (ป.วิ.แพ่ง มาตรา 183 วรรคหนึ่ง)

ในกรณีที่คู่ความไม่เห็นด้วยกับการตั้งประเด็นข้อพิพาทของศาล คู่ความมีสิทธิคัดค้านว่าประเด็นข้อพิพาทที่ศาลกําหนดไว้นั้นไม่ถูกต้อง โดยคู่ความที่ไม่เห็นด้วยจะต้องแถลงด้วยวาจาต่อศาลในขณะนั้น หรือยื่นคําร้องต่อศาลภายใน 7 วันนับแต่วันที่ศาลสั่งกําหนดประเด็นข้อพิพาท (ป.วิ.แพ่ง มาตรา 183 วรรคสาม) มิฉะนั้นจะถือว่าสละประเด็นข้อพิพาทนั้น

1.2 กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ยื่นคําฟ้องว่าจําเลยขับรถด้วยความประมาทชนรถยนต์ของ โจทก์ได้รับความเสียหาย จําเลยยื่นคําให้การว่าจําเลยไม่ได้เป็นฝ่ายประมาท ความประมาทเกิดจากฝ่ายโจทก์นั้น ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่า จําเลยประมาททําให้โจทก์เสียหายตามฟ้องหรือไม่ เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่า จําเลยขับรถด้วยความประมาทชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย แต่จําเลยให้ปฏิเสธว่าจําเลยไม่ได้ประมาท ดังนั้น เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าจําเลยเป็นฝ่ายประมาท แต่จําเลยปฏิเสธ โจทก์จึงมีภาระการพิสูจน์ ข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้าง ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84/1

สรุป ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์

 

ข้อ 2. พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องจําเลยขอให้ศาลลงโทษฐานลักทรัพย์ในเคหสถาน จําเลยให้การปฏิเสธ ทางพิจารณาโจทก์มีพยานซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจําเลยมีความผิด ดังนี้

(1) นายหนึ่งผู้เสียหายเบิกความว่า หลังเกิดเหตุไม่ถึงอึดใจ นายสองซึ่งมีบ้านอยู่ติดกับบ้านของ ผู้เสียหายบอกแก่ผู้เสียหายว่าเห็นจําเลยซึ่งเป็นคนรู้จักกันมาก่อนเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านของผู้เสียหาย

(2) นายสองประจักษ์พยานโจทก์ซึ่งเป็นญาติกับผู้เสียหายเบิกความว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ นายสองเห็นจําเลยซึ่งเป็นคนรู้จักกันมาก่อน แต่ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกัน เข้าไปลักทรัพย์ ในบ้านของผู้เสียหาย โดยก่อนเบิกความ นายสองไม่ได้สาบานหรือกล่าวคําปฏิญาณตน ด้วยความพลั้งเผลอ แต่ได้สาบานตนต่อหน้าศาลหลังจากเบิกความเสร็จแล้วทันทีในวันนั้นว่าข้อความที่ตนเบิกความไปแล้วเป็นความจริง

(3) สิบตํารวจโทสามผู้จับกุมจําเลยเบิกความตามบันทึกการจับกุมที่พยานเป็นผู้ทําขึ้นว่าชั้นจับกุมจําเลยให้ถ้อยคําด้วยความสมัครใจรับว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุจําเลยได้กระทําผิดตามฟ้องจริง รายละเอียดปรากฏตามบันทึกการจับกุมที่โจทก์อ้างส่งเป็นพยานต่อศาล ให้วินิจฉัยว่า คําเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวรับฟังได้หรือไม่

ธงค่าตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 95 วรรคหนึ่ง “ห้ามมิให้ยอมรับฟังพยานบุคคลใด เว้นแต่บุคคลนั้น

(1) สามารถเข้าใจและตอบคําถามได้
(2) เป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรง…”

มาตรา 112 “ก่อนเบิกความพยานทุกคนต้องสาบานตนตามลัทธิศาสนาหรือจารีตประเพณีแห่งชาติของตน หรือกล่าวคําปฏิญาณว่าจะให้การตามความสัตย์จริงเสียก่อน เว้นแต่…”

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 “วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้นําบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้”

มาตรา 84 วรรคสี่ “ถ้อยคําใดๆ ที่ผู้ถูกจับให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานผู้จับ หรือพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตํารวจในขั้นจับกุม หรือรับมอบตัวผู้ถูกจับ ถ้าถ้อยคํานั้นเป็นคํารับสารภาพของผู้ถูกจับว่าตนได้กระทําความผิด ห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน….”

มาตรา 226/3 “ข้อความซึ่งเป็นการบอกเล่าที่พยานบุคคลใดนํามาเบิกความต่อศาล หรือที่บันทึก ไว้ในเอกสารหรือวัตถุอื่นใดซึ่งอ้างเป็นพยานหลักฐานต่อศาล หากนําเสนอเพื่อพิสูจน์ความจริงแห่งข้อความนั้น
ให้ถือเป็นพยานบอกเล่า

ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า เว้นแต่

(1) ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของพยานบอกเล่านั้น น่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายหนึ่งผู้เสียหายเบิกความว่า หลังเกิดเหตุไม่ถึงอึดใจ นายสองซึ่งมีบ้านอยู่ติดกับ บ้านของผู้เสียหาย บอกแก่ผู้เสียหายว่า เห็นจําเลยซึ่งเป็นคนรู้จักกันมาก่อนเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านของผู้เสียหายย่อมถือว่านายหนึ่งผู้เสียหายทราบข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นโดยตรงในคดีมาจากนายสอง ซึ่งเป็นพยานบอกเล่า และห้ามมิให้ศาลรับฟังตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 226/3

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อพิเคราะห์ถึงข้อเท็จจริงแวดล้อมที่หลังเกิดเหตุไม่ถึงอึดใจ นายสองก็บอก แก่ผู้เสียหายว่านายสองเห็นจําเลยซึ่งรู้จักกันมาก่อนโดยไม่ปรากฏว่ามีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนด้วย ได้เข้าไปลักทรัพย์ในบ้านของผู้เสียหายไปตามฟ้องจึงเห็นได้ว่านายสองได้บอกแก่ผู้เสียหายพยานโจทก์ในระยะเวลา กระชั้นชิดกับที่เหตุเกิด นายสองยังไม่มีโอกาสไตร่ตรองเพื่อบิดเบือนข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นเพื่อปรักปรําใส่ร้าย จําเลยให้ต้องรับโทษ ดังนั้น คําเบิกความของนายหนึ่งพยานโจทก์ ซึ่งเป็นพยานบอกเล่าจึงรับฟังได้ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 226/3 (1) (คําพิพากษาฎีกาที่ 63/2533)

(2) ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 91 ซึ่งนํามาใช้ในคดีอาญาได้ด้วย (ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 15) ได้บัญญัติ หลักเกณฑ์ไว้ว่า พยานบุคคลที่ศาลจะรับฟังนั้นจะต้องสามารถเข้าใจและตอบคําถามได้ และจะต้องเป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรงที่เรียกว่าประจักษ์พยาน และตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 112 ซึ่งนํามาใช้ในคดีอาญาได้ด้วยเช่นกันนั้น มีหลักเกณฑ์ว่า ก่อนเบิกความพยานต้อง สาบานตนหรือกล่าวคําปฏิญาณว่าจะให้การตามความสัตย์จริงเสียก่อน พยานบุคคลที่เบิกความโดยมิได้สาบานตน หรือปฏิญาณตนย่อมรับฟังไม่ได้ แต่อย่างไรก็ดี พยานบุคคลที่เบิกความโดยมิได้สาบานตนหรือปฏิญาณตนโดย ความพลั้งเผลอ หากให้การหรือเบิกความจบแล้ว ได้สาบานตนรับรองต่อศาลว่าข้อความที่ตนเบิกความไปแล้ว เป็นความจริง ถือได้ว่ามีการสาบานตนตามความมุ่งหมายของกฎหมายแล้ว คําเบิกความนั้นรับฟังได้ (คําพิพากษา ฎีกาที่ 693/2487 และ 217/2488)

การที่นายสองประจักษ์พยานโจทก์ซึ่งเป็นญาติกับผู้เสียหายนั้น ก็มิได้มีกฎหมายบัญญัติว่าห้ามมิให้รับฟังแต่อย่างใด และหากศาลเห็นว่านายสองเป็นผู้รู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและชอบด้วยเหตุผลพอให้ รับฟังได้ว่าเป็นจริง ศาลก็มีอํานาจรับฟังคําเบิกความของนายสองได้ (ฎีกาที่ 1351/2539) และแม้ว่านายสองได้ เบิกความโดยที่ก่อนเบิกความไม่ได้สาบานตนหรือกล่าวคําปฏิญาณตนด้วยความพลั้งเผลอก็ตาม แต่เมื่อนายสองได้สาบานตนต่อหน้าศาลหลังจากเบิกความเสร็จแล้วทันทีในวันนั้นว่า ข้อความที่ตนได้เบิกความไปแล้วเป็นความจริง ก็ถือได้ว่ามีการสาบานตนตามความมุ่งหมายของกฎหมายแล้ว คําเบิกความของนายสองประจักษ์พยานโจทก์จึงรับฟังได้

(3) ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 84 วรรคสี่ มีหลักว่า ถ้อยคําที่เป็นคํารับสารภาพของผู้ถูกจับว่า ตนได้กระทําความผิดที่ให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานผู้จับ ห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน ดังนั้น การที่สิบตํารวจโทสาม ผู้จับกุมจําเลยเบิกความตามบันทึกการจับกุมที่สิบตํารวจโทสามเป็นผู้ทําขึ้นว่า ชั้นจับกุมจําเลยให้ถ้อยคํา ด้วยความสมัครใจรับว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ จําเลยได้กระทําผิดตามฟ้องจริง ก็เป็นเพียงการยืนยัน ถึงข้อเท็จจริงตามคําให้การรับสารภาพของจําเลยในชั้นจับกุม ซึ่งต้องห้ามมิให้รับฟังตามบทบัญญัติดังกล่าว (คําพิพากษาฎีกาที่ 1850/2555) คําเบิกความของสิบตํารวจโทสามจึงรับฟังไม่ได้

สรุป คําเบิกความของนายหนึ่งผู้เสียหายตาม (1) และนายสองประจักษ์พยานโจทก์ตาม (2) ศาลรับฟังได้ แต่คําเบิกความของสิบตํารวจโทสามพยานโจทก์ผู้จับกุมจําเลยตาม (3) รับฟังไม่ได้

 

ข้อ 3. วันที่ 30 ธันวาคม 2564 นายวันซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลถูกเงินรางวัล 3,000,000 บาท แต่ยัง ไม่ได้นําไปขึ้นเงินเพราะถูกกักตัวเนื่องจากโควิด-19 เป็นเวลา 7 วัน นายวันเห็นในเฟสบุ๊คของ นายทรี ได้แชร์ประกาศขายรถยนต์ Porsche Cayenne มือสองของนายหู ราคา 2,500,000 บาท จึงได้ติดต่อผ่านนายทรีเพื่อขอซื้อรถยนต์จากนายทู นายทูตกลงขายรถยนต์ด้วยวาจาให้กับนายวัน แต่นายวันไม่มีเงินสด ต้องรอนําสลากกินแบ่งรัฐบาลไปขึ้นเงินรางวัลเสียก่อน หลังจากครบกําหนด กักตัว นายจึงให้นายวันทําสัญญากู้ยืมเงินเป็นหนังสือจํานวน 5,000,000 บาท เพื่อประกันการ ชําระหนี้ของนายวัน โดยมีนายทรีเป็นพยานในสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว และนายที่ได้ส่งมอบรถยนต์ให้กับนายวันไป

ต่อมานายวันนําสลากกินแบ่งรัฐบาลไปขึ้นเงินรางวัล และโอนเงินจํานวน 2,500,000 บาท ตาม ราคาขายรถยนต์ให้แก่นายหู นายทูเอาสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวมาฟ้องต่อศาลแพ่งเพื่อเรียกเงิน ตามสัญญากู้ยืมเงินอีก นายวันปฏิเสธว่าไม่ได้ทําสัญญากู้ยืมเงินกับนายทู สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว เกิดจากการประกันหนี้ซื้อขายรถยนต์ และมูลหนี้ซื้อขายรถยนต์ได้ระงับไปแล้ว เช่นนี้

(ก) นายวันจะอ้างนายทรีเป็นพยานบุคคลเพื่อนําสืบว่ามูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินมีเพียง 2,500,000 บาท เท่ากับราคารถยนต์ที่ซื้อขายกันได้หรือไม่

(ข) นายวันจะอ้างนายทรีเป็นพยานบุคคลเพื่อนําสืบถึงการทําสัญญาซื้อขายรถยนต์ด้วยวาจา
ระหว่างนายวันกับนายทูได้หรือไม่

จงวินิจฉัย พร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 94 “เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟัง พยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ก) ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร เมื่อไม่สามารถนําเอกสารมาแสดง

(ข) ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อได้นําเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมี ข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้ มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา (2) แห่งมาตรา 93 และ มิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนําพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่าพยานเอกสาร ที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด หรือแต่บางส่วน หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้น ไม่สมบูรณ์ หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ย่อมต้องห้ามมิให้นํา พยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสาร ในเมื่อไม่สามารถนําเอกสารมาแสดง หรือขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้าง อย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อได้นําเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความ ในเอกสารนั้นอยู่อีก เว้นแต่กรณีอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ที่สามารถนําสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารได้ คือ

1. กรณีต้นฉบับเอกสารสูญหายหรือถูกทําลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือไม่สามารถนําต้นฉบับมาได้
โดยประการอื่น
2. พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอม
3. พยานเอกสารที่แสดงนั้นไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือบางส่วน
4. สัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารไม่สมบูรณ์
5. คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายทูนําสัญญากู้ยืมเงินมาฟ้องต่อศาลแพ่งเพื่อเรียกเงินตามสัญญากู้ยืมเงินจํานวน 5,000,000 บาท จากนายวัน แต่นายวันปฏิเสธว่าไม่ได้ทําสัญญากู้ยืมเงินกับนายทู สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเกิดจาก การประกันหนี้ซื้อขายรถยนต์ Porsche Cayenne มือสองของนายทูราคา 2,500,000 บาท หนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน จึงมีเพียง 2,500,000 บาทนั้น เมื่อการกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาท จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อ ผู้กู้ยืมเงินเป็นสําคัญจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ จึงเป็นกรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องนําเอกสารมาแสดงต่อศาล การนําสืบว่าหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินมีเพียง 2,500,000 บาท จึงเป็นการนําสืบให้แตกต่างจากข้อความที่ปรากฏ ในสัญญากู้ยืมเงิน คือ เป็นการนําสืบเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้น ดังนั้น นายวันจะอ้างนายทรี เป็นพยานบุคคลเพื่อนําสืบว่ามูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินมีเพียง 2,500,000 บาท เท่ากับราคารถยนต์ที่ซื้อขายกัน ไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 วรรคหนึ่ง (ข)

(ข) การที่นายวันกล่าวอ้างว่า สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเกิดจากการประกันหนี้ซื้อขายรถยนต์ และมูลหนี้ซื้อขายรถยนต์ได้ระงับไปแล้ว นายวันจะอ้างนายทรีเป็นพยานบุคคลเพื่อนําสืบถึงการทําสัญญาซื้อขาย รถยนต์ด้วยวาจาระหว่างนายวันกับนายทูได้หรือไม่นั้น เห็นว่า แม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตร 456 วรรคสาม จะได้กําหนดให้สัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคา 20,000 บาท หรือกว่านั้นขึ้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือมีการวางประจําไว้ หรือได้ชําระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันไม่ได้ก็ตาม แต่การนําสืบถึงการทําสัญญาซื้อขายรถยนต์ ด้วยวาจาดังกล่าว มิได้เป็นการนําสืบเพื่อบังคับตามสัญญาซื้อขาย แต่เป็นการนําสืบเพื่อให้เห็นที่มาของมูลหนี้ ตามสัญญากู้ยืมเงินที่ระงับไปแล้ว อันเป็นการนําสืบว่าหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินของโจทก์ไม่สมบูรณ์ ซึ่งถือเป็น ข้อยกเว้นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 วรรคสอง ดังนั้น นายวันจึงสามารถอ้างนายทรีเป็นพยานบุคคลเพื่อนําสืบ ถึงการทําสัญญาซื้อขายรถยนต์ด้วยวาจาระหว่างนายวันกับนายทูได้

สรุป

(ก) นายวันจะอ้างนายทรีเป็นพยานบุคคลเพื่อนําสืบว่ามูลหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินมีเพียง 2,500,000 บาท เท่ากับราคารถยนต์ที่ซื้อขายกันไม่ได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 วรรคหนึ่ง (ข)

(ข) นายวันสามารถอ้างนายทรีเป็นพยานบุคคลเพื่อนําสืบถึงการทําสัญญาซื้อขายรถยนต์ ด้วยวาจาระหว่างนายวันกับนายทูได้ เพราะเป็นการนําสืบว่าหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินของโจทก์ไม่สมบูรณ์ ซึ่งเป็น ข้อยกเว้นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 วรรคสอง

LAW3111 (LAW3011) กฎหมายลักษณะพยาน s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3111 (LAW 3011) กฎหมายลักษณะพยาน
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. โจทก์ยื่นคําฟ้องว่า “นายสมโภชเป็นลูกจ้างของจําเลย ในวันเกิดเหตุคือวันที่ 5 สิงหาคม 2563 นายสมโภชได้ขับรถด้วยความเร็วสูงไม่ใช้ความระมัดระวังให้ดีชนโจทก์ในขณะที่โจทก์เดินอยู่ริมถนนทําให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โดยการดังกล่าวเป็นการขับรถเพื่อไปส่งของในทางการที่จ้างของจําเลย จําเลยจึงต้องรับผิดจากการทําละเมิดของนายสมโภช ขอให้จําเลยชดใช้ค่าเสียหายรวม ทั้งสิ้น 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับจากวันฟ้องเป็นต้นไป” จําเลยยื่นคําให้การว่า “นายสมโภชไม่ใช่ลูกจ้างของตน นายสมโภชมาเพียงแค่ทดลองงานในวันเกิดเหตุ อีกทั้งในขณะ เกิดเหตุการณ์ขับรถของนายสมโภชนั้นมิได้เป็นการขับรถด้วยความประมาท แต่เหตุดังกล่าว เกิดจากการที่โจทก์เดินออกมานอกเส้นทางการเดินหรือความไม่ระมัดระวังเองเป็นเหตุให้เกิดการชนและเกิดความเสียหายขึ้น ความผิดจึงไม่ได้เกิดจากการกระทําของนายสมโภช ด้วยเหตุนี้ จําเลยจึงไม่ต้องรับผิดขอให้ศาลยกฟ้อง”

ในวันชี้สองสถาน ศาลได้ถามโจทก์และจําเลยถึงเรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้น จําเลยจึงให้การด้วยวาจา เพิ่มเติมว่า นายสมโภชนั้นได้เข้ามาทํางานกับตนเป็นลูกจ้างของตนตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2563 แต่ในขณะเกิดเหตุเป็นช่วงเวลาเย็นที่นายสมโภชได้เลิกงานแล้ว นายสมโภชได้ขอยืมรถไปใช้ในทางส่วนตัวจนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นซึ่งไม่ได้เป็นการกระทําในทางการที่จ้างแต่อย่างใด อีกทั้งเหตุดังกล่าวเกิดในวันที่ 5 สิงหาคม 2563 แต่โจทก์นําคดีมาฟ้องในวันที่ 14 สิงหาคม 2564 ซึ่งเกินกว่าระยะเวลาหนึ่งปีอันเป็นการขาดอายุความในคดีละเมิดแล้ว

หากท่านเป็นศาลที่ทําหน้าที่ในการชี้สองสถานในคดีนี้ ท่านจะกําหนดประเด็นข้อพิพาทในคดี ว่าอย่างไร มีประเด็นอะไรบ้าง และฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 84 “การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีใดจะต้องกระทําโดยอาศัยพยานหลักฐานใน
สํานวนคดีนั้น เว้นแต่

(3) ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล”

มาตรา 84/1 “คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคําคู่ความของตนให้คู่ความฝ่ายนั้น มีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายหรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็นซึ่งปรากฏจากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติ ตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว”

มาตรา 177 วรรคสอง “ให้จําเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคําให้การว่า จําเลยยอมรับหรือปฏิเสธ ข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น”

มาตรา 183 วรรคหนึ่ง “ในวันชี้สองสถาน ให้คู่ความมาศาล และให้ศาลตรวจคําคู่ความและคําแถลง
ของคู่ความ แล้วนําข้ออ้าง ข้อเถียงที่ปรากฏในคําคู่ความและคําแถลงของคู่ความเทียบกันดู และสอบถามคู่ความ ทุกฝ่ายถึงข้ออ้าง ข้อเถียงและพยานหลักฐานที่จะยื่นต่อศาลว่าฝ่ายใดยอมรับหรือโต้แย้งข้ออ้าง ข้อเถียงนั้นอย่างไรข้อเท็จจริงใดที่คู่ความยอมรับกันก็เป็นอันยุติไปตามนั้น ส่วนข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างแต่คู่ความฝ่ายอื่นไม่รับและเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับประเด็นข้อพิพาทตามคําคู่ความ ให้ศาลกําหนดไว้เป็นประเด็นข้อพิพาท และกําหนดให้คู่ความฝ่ายใดนําพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นข้อใดก่อนหรือหลังก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย ดังนี้คือ

1. คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทว่าอย่างไร
2. ภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นําสืบตกแก่คู่ความฝ่ายใด

ประเด็นที่ 1 คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทว่าอย่างไร

คําว่า “ประเด็นข้อพิพาท” หมายถึง ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคําคู่ความ และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและ คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท (ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84 (3), มาตรา 177 วรรคสอง และมาตรา 183 วรรคหนึ่ง)

การที่โจทก์ยื่นคําฟ้องว่า “นายสมโภชเป็นลูกจ้างของจําเลย ในวันเกิดเหตุคือวันที่ 5 สิงหาคม 2563 นายสมโภชได้ขับรถด้วยความเร็วสูงไม่ใช้ความระมัดระวังให้ดี ชนโจทก์ในขณะที่โจทก์เดินอยู่ริมถนน ทําให้โจทก์ ได้รับความเสียหาย โดยการดังกล่าวเป็นการขับรถเพื่อไปส่งของในทางการที่จ้างของจําเลย จําเลยจึงต้องรับผิด จากการทําละเมิดของนายสมโภช ขอให้จําเลยชดใช้ค่าเสียหายรวมทั้งสิ้น 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับจากวันฟ้องเป็นต้นไป” และจําเลยยื่นคําให้การว่า “นายสมโภชไม่ใช่ลูกจ้างของตน นายสมโภชมาเพียงแค่ ทดลองงานในวันเกิดเหตุ อีกทั้งในขณะเกิดเหตุการณ์ขับรถของนายสมโภชนั้นมิได้เป็นการขับรถด้วยความประมาท แต่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากการที่โจทก์เดินออกมานอกเส้นทางการเดินหรือความไม่ระมัดระวังเองเป็นเหตุให้ เกิดการชนและเกิดความเสียหายขึ้น ความผิดจึงไม่ได้เกิดจากการกระทําของนายสมโภช ด้วยเหตุนี้จําเลยจึงไม่ต้องรับผิดขอให้ศาลยกฟ้อง” นั้น

จากคําฟ้องของโจทก์และคําให้การของจําเลย การที่โจทก์กล่าวอ้างว่านายสมโภชเป็นลูกจ้างของ จําเลยนั้น แม้ตอนแรกจําเลยจะให้การว่านายสมโภชไม่ใช่ลูกจ้างของตน แต่เมื่อถึงวันชี้สองสถานจําเลยให้การ ด้วยวาจาเพิ่มเติมว่า นายสมโภชได้เข้ามาทํางานกับตนเป็นลูกจ้างของตนตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2563 จึงถือว่า จําเลยได้ยอมรับโดยชัดแจ้งแล้วว่านายสมโภชเป็นลูกจ้างของจําเลยตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84 (3) จึงไม่ก่อให้เกิด ประเด็นข้อพิพาทในเรื่องที่ว่านายสมโภชเป็นลูกจ้างของจําเลยหรือไม่

และการที่จําเลยให้การด้วยวาจาเพิ่มเติมว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความแล้ว เพราะเหตุดังกล่าวเกิดใน วันที่ 5 สิงหาคม 2563 แต่โจทก์นําคดีมาฟ้องในวันที่ 14 สิงหาคม 2564 ซึ่งเกินกว่าระยะเวลา 1 ปีนั้น เมื่อไม่มีอยู่ ในคําคู่ความ (ในคําให้การตอนแรกของจําเลย) จึงไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทในเรื่องที่ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่

ดังนั้น คดีนี้จึงมีประเด็นข้อพิพาท ดังนี้

1. การขับรถของนายสมโภชเป็นไปในทางการที่จ้างหรือไม่
2. การละเมิดดังกล่าวเกิดจากความผิดของโจทก์เองหรือไม่

ประเด็นที่ 2 ภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นําสืบตกแก่คู่ความฝ่ายใด

สําหรับภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นําสืบนั้น ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84/1 ได้กําหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด ผู้นั้นมีหน้าที่นําสืบ ซึ่งแยกพิจารณาตามประเด็นข้อพิพาทได้ดังนี้

1. การขับรถของนายสมโภชเป็นไปในทางการที่จ้างหรือไม่ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่านายสมโภช ได้ขับรถไปในทางการที่จ้าง แต่จําเลยให้การปฏิเสธ ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างย่อมมีหน้าที่นําสืบ

2. การละเมิดดังกล่าวเกิดจากความผิดของโจทก์เองหรือไม่ เมื่อโจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐาน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 437 ที่ว่า “บุคคลใดครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใดๆอันเดินด้วยกําลังเครื่องจักรกล บุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น เว้นแต่จะ พิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง” ดังนั้น ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จําเลยที่ต้องพิสูจน์หักล้างข้อสันพิษฐานของกฎหมายว่าเหตุตามฟ้องเกิดขึ้นเพราะความผิด ของโจทก์เอง ซึ่งหากจําเลยพิสูจน์ไม่ได้ จําเลยก็ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์

สรุป คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทและภาระการพิสูจน์ ดังนี้

1. การขับรถของนายสมโภชเป็นไปในทางการที่จ้างหรือไม่ ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์

2. การละเมิดดังกล่าวเกิดจากความผิดของโจทก์เองหรือไม่ ภาระการพิสูจน์ตกแก่จําเลย

ข้อ 2. โจทก์ยื่นคําฟ้องว่าจําเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปจํานวนทั้งสิ้น 500,000 บาท และไม่ยอมชําระภายใน กําหนดระยะเวลาตามสัญญา ขอให้จําเลยชําระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ย ซึ่งในการยื่นคําฟ้องนี้ โจทก์ ไม่มีสัญญากู้มาแสดงโดยโจทก์อ้างว่าสัญญากู้อยู่กับกํานันสมชายเป็นผู้เก็บเอาไว้ ในกรณีเช่นนี้ โจทก์จะต้องดําเนินการอย่างไรบ้างเพื่อให้กํานันสมชายส่งเอกสารดังกล่าวมายังศาล

ต่อมาเมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลมีหมายเรียกให้กํานันสมชายส่งเอกสารมายังศาล แต่ กํานันสมชายไม่ยอมส่งมา โจทก์จึงอ้างว่านายมงคลเป็นพยานเพื่อให้สืบว่ามีการกู้เงินโจทก์จริง เป็นจํานวนทั้งสิ้น 500,000 บาท จําเลยได้ทําการคัดค้านว่าการสืบพยานบุคคลดังกล่าวเป็นการ สืบแทนพยานเอกสารต้องห้ามรับฟัง การคัดค้านของจําเลยดังกล่าวนี้ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 90 วรรคหนึ่ง วรรคสามและวรรคท้าย “ให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารเป็นพยานหลักฐาน เพื่อสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของตนตามมาตรา 88 วรรคหนึ่ง ยื่นต่อศาลและส่งให้คู่ความฝ่ายอื่นซึ่งสําเนา เอกสารนั้นก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน

คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงพยานหลักฐานไม่ต้องยื่นสําเนาเอกสารต่อศาล และไม่ต้องส่งสําเนาเอกสารให้คู่ความฝ่ายอื่นในกรณีดังต่อไปนี้

(2) เมื่อคู่ความฝ่ายใดอ้างอิงเอกสารฉบับเดียวหรือหลายฉบับที่อยู่ในความครอบครองของ คู่ความฝ่ายอื่นหรือของบุคคลภายนอก

กรณีตาม (2) ให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารขอให้ศาลมีคําสั่งเรียกเอกสารนั้นมาจากผู้ครอบครอง ตามมาตรา 123 โดยต้องยื่นคําร้องต่อศาลภายในกําหนดเวลาตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง แล้วแต่กรณี และให้
คู่ความฝ่ายนั้นมีหน้าที่ติดตามเพื่อให้ได้เอกสารดังกล่าวมาภายในเวลาที่ศาลกําหนด”

มาตรา 93 “การอ้างเอกสารเป็นพยานหลักฐานให้ยอมรับฟังได้เฉพาะต้นฉบับเอกสารเท่านั้นเว้นแต่

(2) ถ้าต้นฉบับเอกสารนํามาไม่ได้ เพราะถูกทําลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือสูญหาย หรือไม่สามารถ นํามาได้โดยประการอื่น อันมิใช่เกิดจากพฤติการณ์ที่ผู้อ้างต้องรับผิดชอบ หรือเมื่อศาลเห็นว่าเป็นกรณีจําเป็นและ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมที่จะต้องสืบสําเนาเอกสารหรือพยานบุคคลแทนต้นฉบับเอกสารที่นํามาไม่ได้นั้นศาลจะอนุญาตให้นําสําเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้”

มาตรา 94 “เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟัง พยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ก) ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร เมื่อไม่สามารถนําเอกสารมาแสดง

(ข) ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อได้นําเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมี ข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้ มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา (2) แห่งมาตรา 93 และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้าง และนําพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่าพยาน เอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด หรือแต่บางส่วน หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้
ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด”

มาตรา 123 “ถ้าต้นฉบับเอกสารซึ่งคู่ความฝ่ายหนึ่งอ้างอิงเป็นพยานหลักฐานนั้นอยู่ใน ความครอบครองของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง คู่ความฝ่ายที่อ้างจะยื่นคําขอโดยทําเป็นคําร้องต่อศาลขอให้สั่งคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งส่งต้นฉบับเอกสารแทนการที่ตนจะต้องส่งสําเนาเอกสารนั้นก็ได้ ถ้าศาลเห็นว่าเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานสําคัญและคําร้องนั้นฟังได้ ให้ศาลมีคําสั่งให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยื่นต้นฉบับเอกสารต่อศาลภายในเวลาอันสมควรแล้วแต่ศาลจะกําหนด…

ถ้าต้นฉบับเอกสารอยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก หรือในครอบครองของทางราชการ หรือของเจ้าหน้าที่ซึ่งคู่ความที่อ้างไม่อาจร้องขอโดยตรงให้ส่งเอกสารนั้นมาได้ ให้นําบทบัญญัติในวรรคก่อน ว่าด้วยการที่คู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสารยื่นคําขอ และการที่ศาลมีคําสั่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ทั้งนี้ฝ่ายที่อ้าง ต้องส่งคําสั่งศาลแก่ผู้ครอบครองเอกสารนั้นล่วงหน้าอย่างน้อยเจ็ดวัน ถ้าไม่ได้เอกสารนั้นมาสืบตามกําหนด เมื่อศาลเห็นสมควรก็ให้ศาลสืบพยานต่อไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 93 (2)

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่โจทก์ยื่นคําฟ้องว่าจําเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปจํานวนทั้งสิ้น 500,000 บาท และไม่ยอมชําระภายในกําหนดระยะเวลาตามสัญญา ขอให้จําเลยชําระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ย ซึ่งในการยื่นคําฟ้องนี้ โจทก์ไม่มีสัญญากู้มาแสดง โดยโจทก์อ้างว่าสัญญากู้อยู่กับกํานันสมชายเป็นผู้เก็บเอาไว้นั้น ถือว่าโจทก์ได้อ้างอิง เอกสารเป็นพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของตน ดังนั้น โดยหลักแล้วโจทก์จะต้องนําสําเนา เอกสารสัญญากู้ยื่นต่อศาลและส่งสําเนาเอกสารดังกล่าวให้แก่จําเลยก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 90 วรรคหนึ่ง

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เอกสารสัญญากู้ที่โจทก์อ้างอิงนั้นอยู่กับกํานันสมชาย ซึ่งถือว่า อยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก ดังนั้นโจทก์จึงไม่ต้องยื่นสําเนาเอกสารต่อศาล และไม่ต้องส่งสําเนาเอกสารให้แก่จําเลยตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 90 วรรคสาม (2)

และตามอุทาหรณ์นั้น วินิจฉัยได้ดังนี้

หากโจทก์ต้องการนําเอกสารสัญญากู้ดังกล่าวมาเป็นพยานหลักฐาน โจทก์จะต้องปฏิบัติตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 90 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 123 กล่าวคือ โจทก์จะต้องยื่นคําขอโดยทําเป็นคําร้องต่อศาล ขอให้สั่งให้บุคคลภายนอก (กํานันสมชาย) ส่งต้นฉบับเอกสารดังกล่าวแทนการที่โจทก์จะต้องส่งสําเนาเอกสารนั้น และถ้าศาลเห็นว่าเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานสําคัญและคําร้องของโจทก์นั้นฟังได้ ให้ศาลมีคําสั่งให้กํานันสมชาย ยื่นต้นฉบับเอกสารต่อศาลภายในเวลาอันสมควรแล้วแต่ศาลจะกําหนด แต่โจทก์จะต้องส่งคําสั่งศาลให้แก่ กํานันสมชายผู้ครอบครองเอกสารนั้นล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน

ถ้าโจทก์ทําตามวิธีการดังกล่าวแล้ว แต่กํานันสมชายปฏิเสธในการส่งเอกสารมายังศาล ย่อมถือว่า เป็นกรณีที่นําต้นฉบับเอกสารมาไม่ได้ เพราะสูญหายหรือไม่สามารถนํามาได้โดยประการอื่น อันมิใช่เกิดจาก พฤติการณ์ที่โจทก์ผู้อ้างอิงเอกสารต้องรับผิดชอบตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 93 (2) และเมื่อไม่ได้เอกสารนั้นมาสืบ ตามกําหนด เมื่อศาลเห็นสมควรก็ให้ศาลสืบพยานต่อไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 93 (2) (ป.วิ.แพ่ง มาตรา 123 วรรคสอง) กล่าวคือ ศาลจะสืบพยานต่อไปโดยอนุญาตให้นําสําเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็ได้

และตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 วรรคหนึ่ง (ก) ได้บัญญัติหลักไว้ว่า เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้อง มีพยานเอกสารมาแสดง ย่อมต้องห้ามมิให้นําพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสารในเมื่อไม่สามารถนําเอกสาร มาแสดง แต่อย่างไรก็ตามหลักดังกล่าวมีข้อยกเว้นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 วรรคสอง คือในกรณีที่ต้นฉบับเอกสาร สูญหายหรือถูกทําลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือไม่สามารถนําต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น (ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 93 (2)) ดังนี้ ย่อมสามารถนําพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสารได้

ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ เมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ ศาลมีหมายเรียกให้กํานันสมชายส่งเอกสาร มายังศาล แต่กํานันสมชายไม่ยอมส่งมา ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่นําต้นฉบับเอกสารมาไม่ได้เพราะสูญหายหรือ ไม่สามารถนํามาได้โดยประการอื่นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 93 (2) โจทก์จึงสามารถอ้างนายมงคลเป็นพยานเพื่อให้สืบว่ามีการกู้เงินโจทก์จริงเป็นจํานวนทั้งสิ้น 500,000 บาทได้ เพราะไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 และการที่จําเลยได้ทําการคัดค้านว่าการสืบพยานบุคคลดังกล่าวเป็นการสืบแทนพยานเอกสารต้องห้ามรับฟังนั้นการคัดค้านของจําเลยดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป โจทก์จะต้องดําเนินการตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 90 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 123 เพื่อให้กํานันสมชายส่งเอกสารดังกล่าวมายังศาล

และหากกํานันสมชายไม่ยอมส่งเอกสารมายังศาล โจทก์สามารถนํานายมงคลพยานบุคคลเข้าสืบแทนพยานเอกสารได้ การคัดค้านของจําเลยฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 3. ในคดีอาญาเรื่องหนึ่ง พนักงานอัยการโจทก์ยื่นฟ้องนายประพันธ์จําเลยในความผิดฐานยักยอก ทรัพย์โดยมีนายกวีเป็นผู้เสียหาย ในวันสืบพยานพนักงานอัยการนํานายมานะพยานโจทก์คนแรกเข้าสืบ โดยมีนายโจเซฟชาวฝรั่งเศสพยานโจทก์คนที่สองและนายมนัสพยานจําเลยนั่งฟังการ สืบพยานอยู่ด้วย เมื่อสืบพยานนายมานะเสร็จสิ้น พนักงานอัยการอ้าง น.ส.ทอฝันเป็นล่าม แปลภาษาให้กับนายโจเซฟซึ่งฟังและพูดภาษาไทยไม่ได้ ก่อนเบิกความนายโจเซฟได้สาบานตน เป็นภาษาอังกฤษ และมี น.ส.ทอฝันแปลคําถามและคําตอบให้ โดยที่ น.ส.ทอฝันไม่ได้ทําการ สาบานตนก่อนการทําหน้าที่เป็นล่าม เมื่อนายโจเซฟสืบพยานเสร็จ ฝ่ายจําเลยก็นํานายมนัส พยานจําเลยเข้าสืบต่อ โดยฝ่ายจําเลยได้ซักถามนายมนัสจนเสร็จ แต่ปรากฏว่าหมดเวลาทําการ เสียก่อน ศาลจึงเลื่อนการสืบพยานนายมนัสต่อในนัดหน้าเพื่อให้พนักงานอัยการโจทก์ได้ถามค้าน นายมนัสต่อ เมื่อถึงวันนัดนายมนัสพยานจําเลยไม่สามารถมาศาลได้เนื่องจากประสบอุบัติเหตุ ถูกรถชนถึงแก่ความตาย พนักงานอัยการจึงได้ทําการคัดค้านมิให้ศาลรับฟังคําซักถามที่นายมนัสเบิกความไว้ก่อนแล้วโดยมิได้มีการถามค้านจากฝ่ายโจทก์ ส่วนทนายฝ่ายจําเลยได้คัดค้านไม่ให้ศาลรับฟังคําเบิกความของนายโจเซฟพยานโจทก์คนที่สองที่ได้นั่งฟังคําเบิกความของนายมานะพยานโจทก์คนแรกด้วย

หากศาลเห็นว่า คําเบิกความของนายโจเซฟตามคําแปลของ น.ส.ทอฝัน มีน้ําหนักน่าเชื่อถือได้และการที่นายโจเซฟฟังคําเบิกความของพยานคนก่อนนั้นไม่มีผลต่อคําเบิกความของนายโจเซฟเนื่องจากนายโจเซฟไม่อาจเข้าใจในคําพูดของนายมานะพยานโจทก์คนแรกได้ จึงรับฟังคําเบิกความ ของนายโจเซฟ และคําเบิกความตอบคําซักถามของนายมนัสพยานจําเลย เช่นนี้การรับฟังคําเบิกความดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 112 “ก่อนเบิกความพยานทุกคนต้องสาบานตนตามลัทธิศาสนาหรือจารีตประเพณีแห่งชาติของตน หรือกล่าวคําปฏิญาณว่าจะให้การตามความสัตย์จริงเสียก่อน เว้นแต่…”

มาตรา 114 “ห้ามไม่ให้พยานเบิกความต่อหน้าพยานอื่นที่จะเบิกความภายหลัง และศาลมีอํานาจ ที่จะสั่งพยานอื่นที่อยู่ในห้องพิจารณาให้ออกไปเสียได้

แต่ถ้าพยานคนใดเบิกความโดยได้ฟังคําพยานคนก่อนเบิกความต่อหน้าตนมาแล้ว และคู่ความ อีกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าศาลไม่ควรฟังคําเบิกความเช่นว่านี้ เพราะเป็นการผิดระเบียบ ถ้าศาลเห็นว่าคําเบิกความ เช่นว่านี้เป็นที่เชื่อฟังได้ หรือมิได้เปลี่ยนแปลงไปโดยได้ฟังคําเบิกความของพยานคนก่อน หรือไม่สามารถทําให้ คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้ ศาลจะไม่ฟังว่าคําเบิกความเช่นว่านี้เป็นผิดระเบียบก็ได้”

มาตรา 117 “คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานชอบที่จะตั้งข้อซักถามพยานได้ในทันใดที่พยานได้สาบานตน และแสดงตนตามมาตรา 112 และ 116 แล้ว

เมื่อคู่ความฝ่ายที่อ้างพยานได้ซักถามพยานเสร็จแล้ว คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งชอบที่จะถามค้านพยานนั้นได้
เมื่อได้ถามค้านพยานเสร็จแล้ว คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานชอบที่จะถามติงได้ ….”

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 13 วรรคสี่ “เมื่อมีล่ามแปลคําให้การ คําพยานหรืออื่น ๆ ล่ามต้องแปลให้ถูกต้อง ล่าม ต้องสาบานหรือปฏิญาณตนว่าจะทําหน้าที่โดยสุจริตใจ จะไม่เพิ่มเติมหรือตัดทอนสิ่งที่แปล”

มาตรา 15 “วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้นําบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมานะพยานโจทก์คนแรกได้เบิกความต่อหน้านายโจเซฟพยานโจทก์ ซึ่งจะเบิกความเป็นคนที่สองนั้น แม้ว่าการเบิกความของนายมานะจะขัดต่อ ป.วิ.แพ่ง มาตรา 114 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อาญา มาตรา 15 และทนายฝ่ายจําเลยได้คัดค้านไม่ให้ศาลรับฟังแล้วก็ตาม แต่ถ้าศาลเห็นว่า คําเบิกความเช่นว่านี้เป็นที่เชื่อฟังได้ หรือมิได้เปลี่ยนแปลงไปโดยได้ฟังคําเบิกความของพยานคนก่อน หรือ
ไม่สามารถทําให้คําวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้ ศาลจะไม่ฟังว่าคําเบิกความเช่นว่านี้เป็นผิดระเบียบก็ได้ และศาลอาจรับฟังคําเบิกความของนายโจเซฟพยานโจทก์คนที่สองตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 114 วรรคสอง ประกอบ ป.วิ.อาญา มาตรา 15 ได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า คําเบิกความของนายโจเซฟตามคําแปลของ น.ส.ทอฝันนั้น มิได้ทําการสาบานตนก่อนการทําหน้าที่เป็นล่าม จึงถือว่าเป็นการขัดต่อ ป.วิ.อาญา มาตรา 13 วรรคสี่ ดังนั้น แม้ศาลเห็นว่า คําเบิกความของนายโจเซฟตามคําแปลของ น.ส. ทอฝัน มีน้ําหนักน่าเชื่อถือได้ก็ตาม ศาลก็จะรับฟัง คําแปลคําเบิกความนั้นไม่ได้

ส่วนคําเบิกความของนายมนัสพยานจําเลยที่ฝ่ายจําเลยได้ซักถามนายมนัสจนเสร็จ ปรากฏว่าเมื่อหมดเวลาทําการ ศาลจึงเลื่อนการสืบพยานนายมนัสต่อในนัดหน้า แต่เมื่อถึงวันนัดนายมนัสพยานจําเลย ไม่สามารถมาศาลได้เนื่องจากประสบอุบัติเหตุรถชนถึงแก่ความตาย ทําให้พนักงานอัยการโจทก์ไม่อาจถามค้าน นายมนัสได้นั้นก็มิได้มีบทบัญญัติใดตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 117 ที่กําหนดให้การถามพยานจะต้องทําครบถ้วน ทุกขั้นตอนก่อนจึงจะรับฟังได้ (ตามนัยคําพิพากษาฎีกาที่ 6333/2539) ดังนั้น ศาลสามารถรับฟังคําเบิกความ ของนายมนัสพยานจําเลยได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 117 ประกอบ ป.วิ.อาญา มาตรา 15

สรุป ศาลจะรับฟังคําเบิกความของนายโจเซฟตามคําแปลของ น.ส.ทอฝันไม่ได้ แต่สามารถรับฟัง คําเบิกความของนายมนัสพยานจําเลยได้

LAW3111 (LAW3011) กฎหมายลักษณะพยาน 1/2563

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2563
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3011 กฎหมายลักษณะพยาน
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

1. โจทก์ฟ้องจําเลยโดยได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์คือนายรพี่บิดานายพีระ เป็นผู้รับมอบอํานาจจาก นายพีระเพื่อฟ้องดําเนินคดีกับจําเลยในคดีละเมิดเรียกค่าสินไหมทดแทนจํานวน 500,000 บาท เนื่องจากจําเลยได้ใช้มีดยาวครึ่งฟุตแทงเข้าไปที่แผ่นหลังของนายพีระทําให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ปอดทะลุต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานกว่า 1 เดือน จําเลยให้การในคําให้การว่า นายรพี่จะ เป็นผู้รับมอบอํานาจจากนายพีระจริงหรือไม่ จําเลยไม่ทราบและไม่รับรอง จําเลยได้กระทําการแทง นายพีระจริงแต่เพราะนายพีระยินยอมให้กระทํา เพราะวันที่เกิดเหตุนายพีระอ้างว่านายพีระได้ไป สักยันต์หนังเหนียวแทงไม่เข้าจากพระอาจารย์ดัง และท้าให้จําเลยทดลองแทงเพื่อพิสูจน์ความขลัง ซึ่งจําเลยไม่อยากทําแต่นายพีระรบเร้าให้จําเลยทําการทดลองแทง 3 ครั้ง ใน 2 ครั้งแรกแทงไม่เข้า จนครั้งที่ 3 นายพีระก็บอกให้จําเลยแทงสุดแรง จําเลยจึงแทงมีดนั้นมิดแผ่นหลังนายพีระจน นายพีระบาดเจ็บสาหัส ทั้งหมดจึงไม่ใช่ความผิดจําเลย จําเลยไม่จําต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ให้กับโจทก์และขอให้ศาลยกฟ้อง คดีมีประเด็นข้อพิพาทและภาระการพิสูจน์อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 84 “การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีใดจะต้องกระทําโดยอาศัยพยานหลักฐานใน
สํานวนคดีนั้น เว้นแต่

(3) ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล”

มาตรา 84/1 “คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคําคู่ความของตนให้คู่ความฝ่ายนั้น มีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายหรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็นซึ่งปรากฏ
จากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติ ตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว”

มาตรา 177 วรรคสอง “ให้จําเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคําให้การว่า จําเลยยอมรับหรือปฏิเสธ ข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น”

มาตรา 183 วรรคหนึ่ง “ในวันชี้สองสถาน ให้คู่ความมาศาล และให้ศาลตรวจคําคู่ความและ คําแถลงของคู่ความ แล้วนําข้ออ้าง ข้อเถียงที่ปรากฏในคําคู่ความและคําแถลงของคู่ความเทียบกันดู และสอบถาม คู่ความทุกฝ่ายถึงข้ออ้าง ข้อเถียงและพยานหลักฐานที่จะยื่นต่อศาลว่าฝ่ายใดยอมรับหรือโต้แย้งข้ออ้าง ข้อเถียงนั้น อย่างไร ข้อเท็จจริงใดที่คู่ความยอมรับกันก็เป็นอันยุติไปตามนั้น ส่วนข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่ง ยกขึ้นอ้าง แต่คู่ความฝ่ายอื่นไม่รับและเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับประเด็นข้อพิพาทตามคําคู่ความ ให้ศาลกําหนดไว้เป็น ประเด็นข้อพิพาท และกําหนดให้คู่ความฝ่ายใดนําพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นข้อใดก่อนหรือหลังก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัย ดังนี้คือ
1. คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทว่าอย่างไร
2. ภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นําสืบตกแก่คู่ความฝ่ายใด

ประเด็นที่ 1 คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทว่าอย่างไร

คําว่า “ประเด็นข้อพิพาท” หมายถึง ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่าย หนึ่งยกขึ้นอ้างในคําคู่ความ และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีก ฝ่ายหนึ่งรับแล้ว ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท (ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84 (3), มาตรา 177 วรรคสอง และ มาตรา 183 วรรคหนึ่ง)

กรณีตามอุทาหรณ์ จากคําฟ้องของโจทก์และคําให้การของจําเลยดังกล่าว แยกพิจารณาได้ดังนี้

1. การที่นายรพี่บิดาขางนายพีระเป็นโจทก์ฟ้องจําเลยโดยอ้างว่า จําเลยได้ใช้มีดยาวครึ่งฟุต แทงเข้าไปที่แผ่นหลังของนายพีระทําให้บาดเจ็บสาหัส ปอดทะลุต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานกว่า 1 เดือน นั้น เมื่อจําเลยให้การว่านายรพี่จะเป็นผู้รับมอบอํานาจนายพีระจริงหรือไม่ จําเลยไม่ทราบและไม่รับรอง คําให้การเช่นนี้ถือว่า เป็นคําให้การที่ไม่ชัดแจ้งว่าจําเลยไม่ทราบไม่รับรองในเรื่องอํานาจฟ้องของโจทก์ อย่างไร จึงเป็นคําให้การที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.แพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง จึงถือว่าจําเลยได้ยอมรับว่านายรพี บิดาของนายพีระมีอํานาจฟ้องคดีนี้ จึงไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทในเรื่องอํานาจฟ้อง

2. การที่จําเลยให้การว่าได้กระทําการแทงนายพีระจริง แต่เป็นเพราะนายพีระยินยอมให้ กระทํานั้น เมื่อจําเลยให้การว่าได้กระทําการแทงนายพีระจริง ย่อมถือเป็นการรับชัดแจ้งตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84 (3) จึงไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทว่าจําเลยได้แทงนายพีระจริงหรือไม่ และแม้จําเลยจะให้การว่าที่แทงนายพีระ
เป็นเพราะนายพีระยินยอมให้กระทําก็ตาม ก็ไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทที่จะต้องนําสืบแต่อย่างใด เพราะแม้ จากการนําสืบจะปรากฏว่า นายพีระได้ยินยอมให้กระทําจริง ศาลก็จะพิพากษายกฟ้องเพราะเหตุดังกล่าวไม่ได้

3. การที่โจทก์ฟ้องให้จําเลยรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจํานวน 500,000 บาทนั้น แม้จําเลยจะไม่ได้ให้การเกี่ยวกับค่าเสียหายไว้ ก็ต้องถือว่าจําเลยไม่ยอมรับในส่วนนี้ จึงก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับค่าเสียหายว่า “ค่าเสียหาย 500,000 บาท จริงหรือไม่”

ประเด็นที่ 2 ภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นําสืบตกแก่คู่ความฝ่ายใด

สําหรับภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นําสืบนั้น ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84/1 ได้กําหนดหลักเกณฑ์ ไว้ว่า ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด ผู้นั้นมีหน้าที่นําสืบ

ดังนั้น เมื่อคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทประเด็นเดียวว่า “ค่าเสียหาย 500,000 บาท จริงหรือไม่” เมื่อโจทก์กล่าวอ้าง แม้จําเลยจะไม่ได้ให้การโต้แย้งจํานวนเงินค่าเสียหาย ภาระการพิสูจน์ข้อนี้ยังคงตกแก่โจทก์ (เป็นหน้าที่ของฝ่ายที่เรียกร้องจะต้องนําสืบถึงจํานวนค่าเสียหาย) แต่หากโจทก์ไม่นําสืบหรือนําสืบไม่ได้ตามฟ้อง ศาลก็มีอํานาจกําหนดค่าเสียหายให้โจทก์ได้เองตามสมควร โดยพิจารณาจากพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่ง ละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 วรรคหนึ่ง

สรุป

ประเด็นที่ 1 คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทประเด็นเดียวว่า “ค่าเสียหาย 500,000 บาท จริงหรือไม่”

ประเด็นที่ 2 : ภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นําสืบในคดีนี้ตกแก่โจทก์

 

ข้อ 2. นายเอกได้ยื่นคําฟ้องว่าได้ให้นายโทกู้ยืมเงินไปทั้งสิ้น 1,000,000 บาท โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ร้อยละ 15 ต่อปี โดยมีเอกสารเป็นสัญญากู้ยืมเงินมาแสดง และในสัญญาดังกล่าวระบุว่านายโท “ได้รับเงินไปทั้งหมดแล้ว” นายโทยื่นคําให้การว่าได้ทําสัญญากู้ยืมเงินจริง แต่ตนได้รับเงินไปเพียง 800,000 บาท ไม่ใช่ 1,000,000 บาท ตามที่เขียนในสัญญากู้ยืมเงิน

ในการสืบพยาน นายโทได้อ้างนายตรีเป็นพยานบุคคล (มีการยื่นบัญชีพยานระบุชื่อนายตรี เรียบร้อยแล้ว โดยนายตรีได้เบิกความด้วยวาจาว่า “ตนเห็นนายโทรับเงินจากนายเอกไปทั้งสิ้น 800,000 บาท ไม่ใช่ 1,000,000 บาท แต่นายเอกโต้แย้งอ้างว่าคําเบิกความของนายตรีนี้รับฟังไม่ขึ้น ห้ามรับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพราะเป็นการสืบหักล้างพยานเอกสาร ให้ท่านวินิจฉัยว่า ศาลจะสามารถรับฟังคําเบิกความตามถ้อยคํานี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 94 “เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟัง พยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ก) ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร เมื่อไม่สามารถนําเอกสารมาแสดง

(ข) ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อได้นําเอกสารมาแสดงแล้วว่า
ยังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้ มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา (2) แห่งมาตรา 93
และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนําพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่าพยานเอกสาร ที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด หรือแต่บางส่วน
เอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด”
หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ใน

มาตรา 113 “พยานทุกคนต้องเบิกความด้วยวาจาและห้ามไม่ให้พยานอ่านข้อความที่เขียนมา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล หรือเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ย่อมต้องห้ามไม่ให้นําพยาน บุคคลมาสืบแทนพยานเอกสาร ในเมื่อไม่สามารถนําเอกสารมาแสดง หรือขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้าง อย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อได้นําเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความ ในเอกสารนั้นอยู่อีก เว้นแต่กรณีอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ที่สามารถนําสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารได้ คือ

1. กรณีต้นฉบับเอกสารสูญหาย หรือถูกทําลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือไม่สามารถนําต้นฉบับมาได้ โดยประการอื่น

2. พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอม

3. พยานเอกสารที่แสดงนั้นไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือบางส่วน

4. สัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารไม่สมบูรณ์

5. คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด (ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกได้ยื่นคําฟ้องว่าได้ให้นายโทกู้ยืมเงินไปทั้งสิ้น 1,000,000 บาท โดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี โดยมีเอกสารเป็นสัญญากู้ยืมเงินมาแสดง และในสัญญาดังกล่าวระบุว่า นายโท “ได้รับเงินไปทั้งหมดแล้ว” นายโทยื่นคําให้การว่าได้ทําสัญญากู้ยืมเงินจริง แต่ตนได้รับเงินไปเพียง 800,000 บาท ไม่ใช่ 1,000,000 บาท ตามที่เขียนในสัญญากู้ยืมเงิน และในวันสืบพยาน นายโทได้อ้างนายตรีเป็น พยานบุคคลมาสืบ และนายตรีได้เบิกความด้วยวาจาว่า “ตนเห็นนายโทรับเงินจากนายเอกไปทั้งสิ้น 800,000 บาท ไม่ใช่ 1,000,000 บาท” นั้น เป็นการนําสืบโต้แย้งเกี่ยวกับจํานวนเงินที่กู้ยืมจากนายเอกว่าไม่ได้รับเงินจํานวน ดังกล่าว อันถือเป็นการนําสืบถึงความไม่สมบูรณ์แห่งหนี้ ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย ไม่ใช่การนําสืบ เปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร ดังนั้น นายโทย่อมมีสิทธินําพยานบุคคลมาสืบได้ไม่ต้องห้าม ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 และศาลสามารถรับฟังคําเบิกความตามถ้อยคําดังกล่าวได้

สรุป ศาลสามารถรับฟังคําเบิกความตามถ้อยคําของนายตรีพยานบุคคลได้

 

ข้อ 3. เมื่อท่านต้องไปเบิกความเป็นพยานต่อศาล ท่านมีหน้าที่อย่างไรบ้าง

ธงคําตอบ

ในกรณีที่ข้าพเจ้าต้องไปเบิกความเป็นพยานต่อศาล ข้าพเจ้ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติดังนี้ คือ

1. ต้องไปเบิกความต่อศาลตามความเป็นจริง เพราะเมื่อบุคคลใดได้รับหมายเรียกให้ไป เป็นพยานต่อศาลแล้ว ถ้าบุคคลนั้นมิใช่บุคคลที่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย และไม่ใช่บุคคลที่มีสถานะพิเศษ ตามกฎหมาย หรือมีข้อแก้ตัวอันจําเป็นหรือเจ็บป่วยแล้ว บุคคลนั้นก็จะต้องไปเบิกความตามวัน เวลา และสถานที่ ที่ปรากฏอยู่ในหมายเรียก ถ้ามีการขัดขืนโดยไม่ยอมไปเบิกความตามวัน เวลา และสถานที่ที่ปรากฏอยู่ใน หมายเรียกนั้น บุคคลนั้นก็จะมีความผิดฐานขัดขืนหมายเรียกและต้องรับโทษทางอาญาตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 170

และการไปเบิกความต่อศาลนั้น ก็จะต้องเบิกความตามความเป็นจริง เพราะถ้าหากมีการ เบิกความอันเป็นเท็จแล้ว ก็อาจมีความผิดและต้องรับโทษทางอาญาฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 177

2. ต้องสาบานตนหรือกล่าวคําปฏิญาณตนก่อนเบิกความ ทั้งนี้เพราะตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 112 ได้บัญญัติว่า “ก่อนเบิกความ พยานทุกคนต้องสาบานตนตามลัทธิศาสนา หรือจารีตประเพณีแห่งชาติตน หรือกล่าวคําปฏิญาณว่าจะให้การตามสัตย์จริงเสียก่อน…” เว้นแต่จะเป็นบุคคลที่ได้รับยกเว้นตามกฎหมายเท่านั้น ที่ไม่ต้องสาบานตนหรือกล่าวคําปฏิญาณตนก่อนเบิกความ

3. ต้องเบิกความด้วยวาจา เพราะตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 113 บัญญัติว่า “พยานทุกคนต้อง เบิกความด้วยวาจาและห้ามไม่ให้พยานอ่านข้อความที่เขียนมา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล หรือเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ”

แต่กรณีดังกล่าว มีข้อยกเว้นดังต่อไปนี้คือ

(1) ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 120/1 วรรคหนึ่ง คือในกรณีที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคําร้องและคู่ความอีกฝ่ายไม่คัดค้าน และศาลอนุญาตให้คู่ความนั้นเสนอบันทึกถ้อยคําของผู้ที่ตนประสงค์จะอ้างเป็นพยานยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นต่อศาลแทนการซักถามเป็นพยานต่อหน้าศาลได้

(2) ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 120/2 วรรคหนึ่ง คือกรณีที่คู่ความมีคําร้องร่วมกัน และศาล เห็นสมควรอนุญาตให้เสนอบันทึกถ้อยคํายืนยันข้อเท็จจริง หรือความเห็นผู้ให้ถ้อยคํา (พยาน) ซึ่งมีถิ่นที่อยู่ใน ต่างประเทศต่อศาลแทนการนําพยานบุคคลมาเบิกความต่อหน้าศาลได้

(3) ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 115 คือ กรณีที่เป็นพยานบุคคลที่อยู่ในฐานะพิเศษ เช่น พระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนา แม้มาเป็นพยานแต่จะไม่ยอมเบิกความหรือตอบคําถามใด ๆ ก็ได้

4. ต้องไม่เบิกความต่อหน้าพยานคนอื่นของฝ่ายตนที่จะเบิกความภายหลัง เพราะตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 114 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ห้ามมิให้พยานเบิกความต่อหน้าพยานอื่นที่จะเบิกความภายหลัง…” คําว่า “พยานอื่น” ที่จะเบิกความภายหลังนั้นหมายความถึงเฉพาะ “พยานของฝ่ายตน” เท่านั้น ถ้าเป็นพยาน บุคคลของคู่ความฝ่ายอื่นก็ไม่ต้องห้าม

5. ต้องลงชื่อในบันทึกคําเบิกความของตนที่ศาลทําขึ้น เพราะตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 121 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ในการนั่งพิจารณาทุกครั้ง เมื่อพยานคนใดเบิกความแล้ว ให้ศาลอ่านคําเบิกความนั้น ให้พยานฟัง และให้พยานลงลายมือชื่อไว้…” เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้น เช่น กรณีการเสนอบันทึกถ้อยคําของผู้ที่ มีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศแทนการเบิกความต่อศาล หรือการสืบพยานบุคคลโดยใช้ระบบการประชุมทางจอภาพ หากลงลายมือชื่อในคําเบิกความไม่ได้ ก็ให้ลงลายพิมพ์นิ้วมือต่อหน้าศาลแทน โดยไม่ต้องมีพยานสองคน ลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือนั้นตามมาตรา 50 (1)

LAW3111 (LAW3011) กฎหมายลักษณะพยาน s/2562

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2562
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3011 กฎหมายลักษณะพยาน
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. โจทก์ยื่นคําฟ้องว่า “จําเลยทําสัญญากู้เงินกับโจทก์ไว้ 500,000 บาท ไม่ยอมชําระ ขอให้จําเลย ชําระเงินกู้” โดยแนบเอกสารสัญญากู้ไปในคําฟ้อง จําเลยยื่นคําให้การว่า “หนี้ดังกล่าวไม่ใช่การกู้เงินแต่เกิดจากการเล่นการพนันเป็นโมฆะขอให้ศาลยกฟ้อง”

ต่อมาในวันชี้สองสถาน จําเลยให้การด้วยวาจาเพิ่มเติมว่า “หนี้ดังกล่าวเกิดตั้งแต่ 11 ปีที่แล้ว การฟ้องคดีนี้จึงเป็นกรณีที่ขาดอายุความ”

ให้ท่านจงตั้งประเด็นข้อพิพาท และกําหนดภาระการพิสูจน์ในคดีนี้

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 84 “การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีใดจะต้องกระทําโดยอาศัยพยานหลักฐานใน
สํานวนคดีนั้น เว้นแต่

(3) ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล

มาตรา 84/1 “คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคําคู่ความของตนให้คู่ความฝ่ายนั้น มีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายหรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็นซึ่งปรากฏ
จากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติ ตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว”

มาตรา 177 วรรคสอง “ให้จําเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคําให้การว่า จําเลยยอมรับหรือปฏิเสธ ข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น”

มาตรา 183 วรรคหนึ่ง “ในวันชี้สองสถาน ให้คู่ความมาศาล และให้ศาลตรวจคําคู่ความและ คําแถลงของคู่ความ แล้วนําข้ออ้าง ข้อเถียงที่ปรากฏในคําคู่ความและคําแถลงของคู่ความเทียบกันดู และสอบถาม คู่ความทุกฝ่ายถึงข้ออ้าง ข้อเถียงและพยานหลักฐานที่จะยื่นต่อศาลว่าฝ่ายใดยอมรับหรือโต้แย้งข้ออ้าง ข้อเถียงนั้น อย่างไร ข้อเท็จจริงใดที่คู่ความยอมรับกันก็เป็นอันยุติไปตามนั้น ส่วนข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่ง ยกขึ้นอ้าง แต่คู่ความฝ่ายอื่นไม่รับและเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับประเด็นข้อพิพาทตามคําคู่ความ ให้ศาลกําหนดไว้เป็น ประเด็นข้อพิพาท และกําหนดให้คู่ความฝ่ายใดนําพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นข้อใดก่อนหรือหลังก็ได้”

วินิจฉัย

คําว่า “ประเด็นข้อพิพาท” หมายถึง ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่ง ยกขึ้นอ้างในคําคู่ความ และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง รับแล้ว ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท (ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84 (3), มาตรา 177 วรรคสอง และมาตรา 183 วรรคหนึ่ง)

สําหรับภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นําสืบนั้น ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84/1 ได้กําหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า
ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่โจทก์ยื่นคําฟ้องว่า “จําเลยทําสัญญากู้เงินกับโจทก์ไว้ 500,000 บาท ไม่ยอมชําระ ขอให้จําเลยชําระเงินกู้” โดยแนบเอกสารสัญญากู้ไปในคําฟ้อง จําเลยยื่นคําให้การว่า “หนี้ดังกล่าวไม่ใช่การกู้เงิน แต่เกิดจากการเล่นการพนันเป็นโมฆะขอให้ศาลยกฟ้อง” นั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าจําเลยกู้เงินจากโจทก์จริงหรือไม่ ย่อมเป็นอันยุติตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84 (3) จึงไม่ต้องสืบพยานเพราะมิใช่ประเด็นข้อพิพาทในคดี แต่การที่จําเลย ให้การว่าหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่เกิดจากการเล่นการพนันเป็นโมฆะนั้น ถือเป็นข้อเท็จจริงที่จําเลยกล่าวอ้างขึ้นใหม่ และเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ไม่รับ กรณีนี้จึงเกิดประเด็นข้อพิพาทว่า “สัญญากู้เป็นโมฆะเนื่องจากเล่นการพนันหรือไม่” และเมื่อจําเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้าง ภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นําสืบจึงตกแก่จําเลยตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84/1

(2) ในวันชี้สองสถาน การที่จําเลยให้การด้วยวาจาเพิ่มเติมว่า “หนี้ดังกล่าวเกิดตั้งแต่ 11 ปีที่แล้ว การฟ้องคดีจึงเป็นกรณีที่ขาดอายุความ” นั้น เมื่อประเด็นเรื่องอายุความไม่อยู่ในคําคู่ความ เพราะมิใช่คําให้การ ที่ยื่นต่อศาลเพื่อตั้งประเด็นระหว่างคู่ความ จึงไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาทในคดีตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 84 (3)
มาตรา 177 วรรคสอง และมาตรา 183 วรรคหนึ่ง

ดังนั้น ประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้จึงมีประเด็นเดียวคือ “สัญญากู้เป็นโมฆะเนื่องจากเล่นการพนัน
หรือไม่” และเมื่อจําเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้าง ภาระการพิสูจน์ในคดีนี้จึงตกแก่ฝ่ายจําเลย

สรุป คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทว่า “สัญญากู้เป็นโมฆะเนื่องจากเล่นการพนันหรือไม่” และภาระ การพิสูจน์ในคดีนี้ตกแก่ฝ่ายจําเลย

 

ข้อ 2. ให้ท่านอธิบายและวินิจฉัยดังต่อไปนี้

2.1 จากโจทก์ข้อ 1. ถ้าโจทก์ไม่ได้ระบุเอกสารสัญญากู้ในบัญชีพยานของโจทก์ ศาลจะรับฟัง เอ เสารสัญญากู้ได้หรือไม่

2.2 หากจําเลยต้องการจะนําพยานบุคคลเข้าสืบว่าหนี้ดังกล่าวมิได้เป็นหนี้จากการกู้แต่เป็นหนี้ การพนัน พยานบุคคลนั้นจะต้องห้ามรับฟังตามมาตรา 94 หรือไม่

2.3 หากเอกสารอยู่กับบุคคลภายนอกคดีแล้วจําเลยต้องการนํามาเป็นพยานหลักฐานจะมีวิธีการ
ขอให้ศาลเรียกพยานเอกสารนั้นมายังศาลได้อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 87 “ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใด เว้นแต่

(2) คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจํานงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติ ไว้ในมาตรา 88 และมาตรา 90 แต่ถ้าศาลเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจําเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐาน อันสําคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสําคัญในคดี โดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้ ให้ศาลมีอํานาจรับฟังพยาน หลักฐานเช่นว่านั้นได้”

มาตรา 88 “เมื่อคู่ความฝ่ายใดมีความจํานงที่จะอ้างอิงเอกสารฉบับใด….เพื่อเป็นพยานหลักฐาน สนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของตน ให้คู่ความฝ่ายนั้นยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน…”

มาตรา 94 “เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟัง พยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ก) ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร เมื่อไม่สามารถนําเอกสารมาแสดง
(ข) ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อได้นําเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมี ข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้ มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา (2) แห่งมาตรา 93
และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนําพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่าพยานเอกสาร ที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด หรือแต่บางส่วน หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด”

มาตรา 123 “ถ้าต้นฉบับเอกสารซึ่งคู่ความฝ่ายหนึ่งอ้างอิงเป็นพยานหลักฐานนั้นอยู่ในความ ครอบครองของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง คู่ความฝ่ายที่อ้างจะยื่นคําขอโดยทําเป็นคําร้องต่อศาลขอให้สั่งคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง
ส่งต้นฉบับเอกสารแทนการที่ตนจะต้องส่งสําเนาเอกสารนั้นก็ได้ ถ้าศาลเห็นว่าเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานสําคัญและคําร้องนั้นฟังได้ให้ศาลมีคําสั่งให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยื่นต้นฉบับเอกสารต่อศาลภายในเวลาอันสมควรแล้วแต่ศาลจะกําหนด…

ถ้าต้นฉบับเอกสารอยู่ในความครอบครองของบุคคลภายนอก หรือในครอบครองของทางราชการ หรือของเจ้าหน้าที่ซึ่งคู่ความที่อ้างไม่อาจร้องขอโดยตรงให้ส่งเอกสารนั้นมาได้ ให้นําบทบัญญัติในวรรคก่อน ว่าด้วยการที่คู่ความฝ่ายที่อ้างเอกสารยื่นคําขอ และการที่ศาลมีคําสั่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ทั้งนี้ฝ่ายที่อ้าง ต้องส่งคําสั่งศาลแก่ผู้ครอบครองเอกสารนั้นล่วงหน้าอย่างน้อยเจ็ดวัน ถ้าไม่ได้เอกสารนั้นมาสืบตามกําหนด เมื่อศาลเห็นสมควรก็ให้ศาลสืบพยานต่อไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 93 (2)

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

2.1 จากโจทก์ข้อ 1. ถ้าโจทก์ไม่ได้ระบุเอกสารสัญญากู้ในบัญชีพยานของโจทก์นั้น โดยหลักแล้ว ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานคือเอกสารสัญญากู้นั้น แต่อย่างไรก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในขณะที่ โจทก์ฟ้องจําเลยนั้น โจทก์ได้แนบเอกสารสัญญากู้ไปในคําฟ้องด้วย แสดงให้เห็นว่าโจทก์ได้แสดงความจํานงที่จะ อ้างอิงพยานหลักฐานนั้น ดังนั้น แม้ว่าโจทก์จะไม่ได้ระบุเอกสารสัญญากู้ในบัญชีพยานของโจทก์ แต่ถ้าศาลเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จําเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานนั้นเนื่องจากเป็นพยานหลักฐานที่สําคัญเกี่ยวกับ ประเด็นสําคัญในคดี ศาลย่อมมีอํานาจรับฟังพยานหลักฐานคือเอกสารสัญญากู้นั้นได้ตาม ป.วิแพ่ง มาตรา 87 (2) ประกอบมาตรา 88

2.2 การที่จําเลยต้องการจะนําพยานบุคคลเข้าสืบว่าหนี้ดังกล่าวมิได้เป็นหนี้จากการกู้แต่เป็น หนี้การพนันนั้น ไม่ถือว่าเป็นการนําสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งเมื่อได้นําเอกสารมาแสดง แล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 (ข) แต่อย่างใด แต่เป็นการนําพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่าหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์ ดังนั้น จําเลยจึงสามารถนําพยานบุคคลเข้าสืบได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 วรรคสอง

2.3 ในกรณีที่เอกสารอยู่กับบุคคลภายนอกคดีแล้วจําเลยต้องการนํามาเป็นพยานหลักฐานนั้น จําเลยย่อมสามารถทําได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 123 โดยยื่นคําขอโดยทําเป็นคําร้องต่อศาลให้สั่งให้บุคคลภายนอก ส่งต้นฉบับเอกสารนั้นได้ และถ้าศาลเห็นว่าเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานสําคัญและคําร้องนั้นฟังได้ให้ศาลมีคําสั่งให้บุคคลภายนอกยื่นต้นฉบับเอกสารต่อศาลภายในเวลาอันสมควรแล้วแต่ศาลจะกําหนด แต่จําเลยจะต้องส่ง คําสั่งศาลให้แก่บุคคลภายนอกผู้ครอบครองเอกสารนั้นล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน

สรุป
2.1 ศาลสามารถรับฟังเอกสารสัญญากู้ได้
2.2 จําเลยสามารถนําพยานบุคคลเข้าสืบว่าหนี้ตามเอกสารสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ได้
2.3 จําเลยจะต้องขอให้ศาลเรียกเอกสารนั้นโดยปฏิบัติตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 123

 

ข้อ 3. ในคดีอาญาเรื่องหนึ่ง พนักงานอัยการโจทก์ยื่นฟ้องนายประพันธ์จําเลยในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ โดยมีนายกวีเป็นผู้เสียหาย ในวันสืบพยานพนักงานอัยการนํานายมานะพยานโจทก์คนแรกเข้าสืบโดยมีนายโจเซฟชาวฝรั่งเศสพยานโจทก์คนที่สอง และนายมนัสพยานจําเลยนั่งฟังการสืบพยาน อยู่ด้วย เมื่อสืบพยานนายมานะเสร็จสิ้น พนักงานอัยการอ้าง น.ส.ทอฝัน เป็นล่ามแปลภาษาให้กับ นายโจเซฟซึ่งฟังและพูดภาษาไทยไม่ได้ ก่อนเบิกความนายโจเซฟได้สาบานตนเป็นภาษาอังกฤษ และมี น.ส.ทอฝันแปลคําถามและคําตอบให้โดยที่ น.ส.ทอฝันไม่ได้ทําการสาบานตนก่อนการ ทําหน้าที่เป็นล่าม เมื่อนายโจเซฟสืบพยานเสร็จ ทนายจําเลยก็นํานายมนัสพยานจําเลยเข้าสืบต่อโดยฝ่ายจําเลยได้ซักถามนายมนัสจนเสร็จ ปรากฏว่าหมดเวลาทําการ ศาลจึงเลื่อนสืบพยานนายมนัส ต่อในนัดหน้า ปรากฏว่าเมื่อถึงวันนัดนายมนัสพยานจําเลยไม่สามารถมาศาลได้เนื่องจากประสบ อุบัติเหตุถูกรถชนถึงแก่ความตาย พนักงานอัยการจึงได้ทําการคัดค้านมิให้ศาลรับฟังคําซักถามที่ นายมนัสเบิกความไว้ก่อนแล้ว โดยมิได้มีการถามค้านจากฝ่ายโจทก์ ส่วนทนายฝ่ายจําเลยได้คัดค้าน ไม่ให้ศาลรับฟังคําเบิกความของนายโจเซฟพยานโจทก์คนที่สองที่ได้รับฟังคําเบิกความของนายมานะพยานโจทก์คนแรกด้วย

หากศาลเห็นว่า คําเบิกความของนายโจเซฟตามคําแปลของ น.ส.ทอฝัน มีน้ําหนักน่าเชื่อถือได้และการที่นายโจเซฟฟังคําเบิกความของพยานคนก่อนนั้นไม่มีผลต่อคําเบิกความของนายโจเซฟเนื่องจากนายโจเซฟไม่อาจเข้าใจในคําพูดของนายมานะพยานโจทก์คนแรกได้ จึงรับฟังคําเบิกความ ของนายโจเซฟ และคําเบิกความของนายมนัสพยานจําเลย เช่นนี้การรับฟังคําเบิกความดังกล่าว ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา 112 “ก่อนเบิกความพยานทุกคนต้องสาบานตนตามลัทธิศาสนาหรือจารีตประเพณีแห่งชาติของตน หรือกล่าวคําปฏิญาณว่าจะให้การตามความสัตย์จริงเสียก่อน เว้นแต่

มาตรา 114 “ห้ามไม่ให้พยานเบิกความต่อหน้าพยานอื่นที่จะเบิกความภายหลัง และศาลมี อํานาจที่จะสั่งพยานอื่นที่อยู่ในห้องพิจารณาให้ออกไปเสียได้

แต่ถ้าพยานคนใดเบิกความโดยได้ฟังคําพยานคนก่อนเบิกความต่อหน้าตนมาแล้ว และคู่ความอีก ฝ่ายหนึ่งอ้างว่าศาลไม่ควรฟังคําเบิกความเช่นว่านี้ เพราะเป็นการผิดระเบียบ ถ้าศาลเห็นว่าคําเบิกความเช่นว่านี้ เป็นที่เชื่อฟังได้ หรือมิได้เปลี่ยนแปลงไปโดยได้ฟังคําเบิกความของพยานคนก่อน หรือไม่สามารถทําให้คําวินิจฉัย ชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้ศาลจะไม่ฟังว่าคําเบิกความเช่นว่านี้เป็นผิดระเบียบก็ได้”

มาตรา 117 “คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานชอบที่จะตั้งข้อซักถามพยานได้ในทันใดที่พยานได้สาบานตน และแสดงตนตามมาตรา 112 และ 116 แล้ว

เมื่อคู่ความฝ่ายที่อ้างพยานได้ซักถามพยานเสร็จแล้ว คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งชอบที่จะถามค้านพยานนั้นได้
เมื่อได้ถามค้านพยานเสร็จแล้ว คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานชอบที่จะถามติงได้ ….”

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

มาตรา 13 วรรคสี่ “เมื่อมีล่ามแปลคําให้การ คําพยานหรืออื่น ๆ ล่ามต้องแปลให้ถูกต้อง ล่ามต้อง สาบานหรือปฏิญาณตนว่าจะทําหน้าที่โดยสุจริตใจ จะไม่เพิ่มเติมหรือตัดทอนสิ่งที่แปล”

มาตรา 15 “วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้นําบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมานะพยานโจทก์คนแรกได้เบิกความต่อหน้านายโจเซฟพยานโจทก์ ซึ่งจะเบิกความเป็นคนที่สองนั้น แม้ว่าการเบิกความของนายมานะจะขัดต่อ ป.วิ.แพ่ง มาตรา 114 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อาญา มาตรา 15 และทนายฝ่ายจําเลยได้คัดค้านไม่ให้ศาลรับฟังแล้วก็ตาม แต่ถ้าศาลเห็นว่าคําเบิกความเช่นว่านี้ เป็นที่เชื่อฟังได้ หรือมิได้เปลี่ยนแปลงไปโดยได้ฟังคําเบิกความของพยานคนก่อน หรือไม่สามารถทําให้คําวินิจฉัยชี้ขาด ของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้ ศาลจะไม่ฟังว่าคําเบิกความเช่นว่านี้เป็นผิดระเบียบก็ได้ และศาลอาจรับฟังคําเบิกความ ของนายโจเซฟพยานโจทก์คนที่สองตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 114 วรรคสอง ประกอบ ป.วิ.อาญา มาตรา 15 ได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า คําเบิกความของนายโจเซฟตามคําแปลของ น.ส.ทอฝัน นั้น มิได้ทําการสาบานตนก่อนการทําหน้าที่เป็นล่าม จึงถือว่าเป็นการขัดต่อ ป.วิ.อาญา มาตรา 13 วรรคสี่ ดังนั้น แม้ศาลเห็นว่า คําเบิกความของนายโจเซฟตามคําแปลของ น.ส. ทอฝัน มีน้ําหนักน่าเชื่อถือได้ก็ตาม ศาลก็จะรับฟัง คําแปลคําเบิกความนั้นไม่ได้

ส่วนคําเบิกความของนายมนัสพยานจําเลยที่ฝ่ายจําเลยได้ซักถามนายมนัสจนเสร็จ ปรากฏว่าเมื่อหมดเวลาทําการ ศาลจึงเลื่อนการสืบพยานนายมนัสต่อในนัดหน้า แต่เมื่อถึงวันนัดนายมนัสพยานจําเลย ไม่สามารถมาศาลได้เนื่องจากประสบอุบัติเหตุรถชนถึงแก่ความตาย ทําให้พนักงานอัยการโจทก์ไม่อาจถามค้าน นายมนัสได้นั้นก็มิได้มีบทบัญญัติใดตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 117 ที่กําหนดให้การถามพยานจะต้องทําครบถ้วน ทุกขั้นตอนก่อนจึงจะรับฟังได้ (ตามนัยคําพิพากษาฎีกาที่ 6333/2539) ดังนั้น ศาลสามารถรับฟังคําเบิกความ ของนายมนัสพยานจําเลยได้ตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 117 ประกอบ ป.วิ.อาญา มาตรา 15

สรุป ศาลจะรับฟังคําเบิกความของนายโจเซฟตามคําแปลของ น.ส.ทอฝันไม่ได้ แต่สามารถรับฟัง คําเบิกความของนายมนัสพยานจําเลยได้

WordPress Ads
error: Content is protected !!