หน้าแรก บล็อก

POL3302 การวางแผนในภาครัฐ s/2566

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2566
ข้อสอบกระบวนวิชา POL3302 การวางแผนในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว
1. ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติจะมีผลต่อความสําเร็จของนโยบายมากในกรณีใด
(1) ทรัพยากรไม่เพียงพอ
(2) สังคมไม่สนับสนุนนโยบาย
(3) เวลาไม่เอื้ออํานวย
(4) วัตถุประสงค์ของนโยบายไม่ชัดเจน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติจะมีผลต่อความสําเร็จของนโยบายมากในกรณีวัตถุประสงค์ของนโยบายไม่ชัดเจน

2. ความเป็นไปได้ทางการเมืองของนโยบายขึ้นอยู่กับสิ่งใด
(1) อัตราส่วนของ ส.ส. ในสภา
(2) ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลและข้าราชการ
(3) การสนับสนุนจากสาธารณชน
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 19, 74, (คําบรรยาย) ความเป็นไปได้ทางการเมืองของนโยบายขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
1. เสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อัตราส่วนของ ส.ส. ในสภา เป็นต้น
2. ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล หน่วยงานของรัฐ (ข้าราชการ) และเอกชน
3. การสนับสนุนจากสาธารณชน

3.องค์การลักษณะใดมีโอกาสนํานโยบายไปปฏิบัติได้สําเร็จสูง
(1) องค์การแบบยึดกฎระเบียบ
(2) องค์การแบบกระจายอํานาจ
(3) องค์การแบบแนวดิ่ง
(4) องค์การแบบแนวราบ
(5) ขึ้นอยู่กับลักษณะของนโยบาย
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ลักษณะขององค์การที่มีโอกาสนํานโยบายไปปฏิบัติได้สําเร็จสูงนั้นขึ้นอยู่กับ ลักษณะของนโยบายเป็นสําคัญ บางนโยบายอาจจะต้องใช้องค์การแบบยึดกฎระเบียบจึงจะสําเร็จ บางนโยบายอาจจะต้องใช้องค์การแบบกระจายอํานาจจึงจะสําเร็จ ดังนั้นการนํา นโยบายไปปฏิบัติจะสําเร็จหรือล้มเหลวจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับลักษณะขององค์การแบบใดแบบหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับลักษณะของนโยบายที่จะต้องมีความเหมาะสมกับองค์การที่นํานโยบายไปปฏิบัติ

4. ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติหมายถึงอะไร
(1) วัฒนธรรม
(2) การจัดองค์การ
(3) ความรู้สึกต่อนโยบาย
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 78 ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง
1. ความสามารถ ลักษณะนิสัย บุคลิกภาพ
2. วัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ
3. ประสบการณ์
4. ความรู้สึกต่อนโยบาย

5.ข้าราชการเกียร์ว่าง เป็นปัญหาด้านใด
(1) ทรัพยากร
(2) ความเป็นไปได้ทางการเมือง
(3) ความถูกต้องทางทฤษฎี
(4) วัตถุประสงค์ของนโยบาย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ข้าราชการเกียร์ว่าง เป็นปัญหาด้านความเป็นไปได้ทางการเมือง ซึ่งก็คือเรื่องของ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับข้าราชการ ทําให้ข้าราชการปฏิบัติตามนโยบายอย่างไม่เต็มที่ ซึ่งส่งผลให้การนํานโยบายไปปฏิบัติอาจไม่ประสบความสําเร็จ

6. ศรีธนนชัยนําข้าวของในบ้านไปทิ้งเพราะรู้สึกขี้เกียจ เมื่อแม่บอกให้ทําความสะอาดบ้านให้เตียนโล่ง
แสดงให้เห็นถึงปัญหาอะไร
(1) ความขัดแย้งในตัวเองของนโยบาย
(2) วัตถุประสงค์ของนโยบาย
(3) ทัศนคติของศรีธนนชัย
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การที่ศรีธนนชัยนําข้าวของในบ้านไปทิ้งเพราะรู้สึกขี้เกียจ เมื่อแม่บอกให้ ทําความสะอาดบ้านให้เตียนโล่งนั้น แสดงให้เห็นถึงปัญหาด้านทัศนคติของศรีธนนชัยและ วัตถุประสงค์ของนโยบายที่ไม่ชัดเจน ทําให้เกิดการตีความนโยบายหรือเข้าใจในนโยบาย ไม่ตรงกับที่ผู้กําหนดนโยบายกําหนดไว้

7. โรงเรียนยังคงเก็บค่าบํารุงกิจกรรม แม้มีนโยบายเรียนฟรี เป็นปัญหาด้านใด
(1) ทรัพยากร
(2) ตัวชี้วัด
(3) เป้าหมายของนโยบาย
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 19, 76, (คําบรรยาย) โรงเรียนยังคงเก็บค่าบํารุงกิจกรรม แม้มีนโยบายเรียนฟรี เป็นปัญหาด้านทรัพยากรซึ่งก็คือเรื่องของเงินทุนที่ไม่เพียงพอ ซึ่งทรัพยากรนี้ถือเป็นปัจจัยสําคัญของการนํานโยบายไปปฏิบัติ หากทรัพยากรมีไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของการปฏิบัติตามนโยบาย

8. มีการฉีดน้ำใส่เครื่องวัดละอองฝุ่น เพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาด้านใด
(1) เป้าหมายของนโยบาย
(2) ความถูกต้องทางทฤษฎี
(3) ความเป็นไปได้ทางการเมือง
(4) ตัวชี้วัด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การฉีดน้ําใส่เครื่องวัดละอองฝุ่น เพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาเรื่อง ตัวชี้วัด ดังนั้นการกําหนดตัวชี้วัดจะต้องครอบคลุมและรัดกุม จึงจะทําให้นํานโยบายไปปฏิบัติ
เป็นไปตามเป้าหมายของนโยบายที่กําหนดไว้

9.ข้อใดไม่ใช่ลักษณะทั่วไปของแผน
(1) ข้อเสนอกว้าง ๆ เพื่อปัจจุบัน
(2) มีการปฏิบัติ
(3) เกี่ยวข้องกับบุคคลและองค์การ
(4) มีการแก้ปัญหา
(5) มีมาตรฐานและถือหลักประหยัด
ตอบ 1 หน้า 21, 81 ลักษณะทั่วไปของแผน มีดังนี้
1. ความเป็นอนาคต (Future Oriented)
2. มีการปฏิบัติ (Action Oriented)
3. เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือองค์การ (Organization Oriented)
4. มีการแก้ปัญหาหรือข้อขัดแย้ง (Problem Solving Oriented)
5. มีมาตรฐาน (Standardized Oriented)
6. ถือหลักประหยัด (Economical Oriented)

10. การวางแผนต้องการจัดเตรียมสิ่งใดเพื่ออนาคต
(1) ปัญหา
(2) แนวทางการปฏิบัติ
(3) ข้อจํากัด
(4) กิจกรรม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 25, (คําบรรยาย) การวางแผน (Planning) เป็นการเสนอแนะแนวทางในการทํางาน หรือแนวทางการปฏิบัติ โดยการวิเคราะห์และการตัดสินใจที่จะเสนอข้อเสนอแนะในการทํางาน
ในอนาคตเพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้วยวิธีที่ดีที่สุด และถือว่ากระบวนการวางแผนเป็นเรื่องที่ต้อง ใช้เหตุผลและต้องใช้ความคิดเชิงประยุกต์อย่างมาก

11. ข้อใดคือลักษณะของแผนที่ดี
(1) มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
(2) ยืดหยุ่นได้
(3) ปฏิบัติได้จริง
(4) มีความต่อเนื่อง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 21 – 22, 81 ลักษณะของแผนที่ดี มีดังนี้
1. มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน (Clear Objective)
2. ยืดหยุ่นได้ (Flexible)
3. ปฏิบัติได้จริง (Applicable)
4. มีความต่อเนื่อง (Continuous)

ตั้งแต่ข้อ 12. – 14. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ป้องกัน
(2) แก้ไข
(3) พัฒนา
(4) การรบ
(5) ถูกทั้งข้อ 1 และ 3

12. ข้อใดเป็นการวางแผนเชิงรุก
ตอบ 5 หน้า 25, (คําบรรยาย) ปัญหาของแผน อาจจําแนกได้ 3 ประเภท ดังนี้
1. ปัญหาแก้ไข คือ ปัญหาที่ปรากฏผลเสียหายให้เห็นอยู่แล้ว จึงต้องรีบวางแผนหาทางแก้ไข ปัญหาชนิดนี้แก้ไขได้ง่ายที่สุดและมักทําให้เกิดแผนเร่งด่วนซึ่งนับเป็นแผนเชิงรับ
2. ปัญหาป้องกัน คือ ปัญหาที่ยังไม่ปรากฏผลเสียหายขึ้นในขณะวางแผน แต่สามารถรู้ได้ว่า หากไม่รีบวางแผนแก้ไขก็จะปรากฏผลเสียหายในอนาคตได้ ซึ่งปัญหาชนิดนี้มักทําให้เกิดแผนเชิงรุก
3. ปัญหาพัฒนา คือ ปัญหาที่ไม่ปรากฏผลเสียหายทั้งในปัจจุบันและอนาคต แต่ต้องมี การวางแผนเพื่อปรับปรุงแก้ไขให้มีคุณภาพดีขึ้น ซึ่งนักวางแผนต้องใช้ความสามารถ ในการมองการณ์ไกลมากเป็นพิเศษ ปัญหาชนิดนี้จึงมักทําให้เกิดแผนเชิงรุก

13.ข้อใดเป็นการวางแผนเชิงรับ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

14. ปัญหาข้อใดแก้ไขได้ง่ายที่สุด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

15. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการวางแผน
(1) ควรเป็นงานของผู้บริหารระดับสูงเท่านั้น
(2) ควรเป็นงานระดับกลุ่ม
(3) ควรเป็นงานของผู้ที่จะต้องนําแผนไปดําเนินการ
(4) เป็นการคาดคะเนอนาคต
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 26, 84 – 85 สิ่งที่ต้องเข้าใจสําหรับการวางแผน มีดังนี้
1. ควรเป็นงานของผู้ชํานาญการ
2. ควรเป็นงานของผู้ที่จะต้องนําแผนไปดําเนินการ
3. ควรเป็นงานระดับกลุ่ม
4. องค์การต้องมีโครงสร้างเหมาะสมให้เกิดการวางแผน
5. เป็นการคาดคะเนอนาคต การคัดเลือกภารกิจ วัตถุประสงค์ และแนวทางกลยุทธ์
6. ต้องจูงใจให้ผู้จัดการวางแผนเห็นความสําคัญ
7. ความถูกต้องของการวางแผนต้องตั้งอยู่บนความถูกต้องเพียงพอของฐานข้อมูล ฯลฯ

16. ข้อใดเป็นหน้าที่ของผู้บริหารระดับสูงในการวางแผน
(1) จัดโครงสร้างเหมาะสมต่อการวางแผน
(2) จูงใจให้ผู้จัดการวางแผนเห็นความสําคัญ
(3) กําหนดแผนงานหลัก
(4) คัดเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 26, (คําบรรยาย) หน้าที่ของผู้บริหารระดับสูงในการวางแผน มีดังนี้
1. การพัฒนาวัฒนธรรมกลยุทธ์ในองค์การ
2. การคัดเลือกทางเลือกกลยุทธ์สุดท้าย
3. การกําหนดแผนงานหลัก
4. การจัดโครงสร้างให้เหมาะสมต่อการวางแผน
5. การจูงใจให้ผู้จัดการวางแผนเห็นความสําคัญของการกําหนดกลยุทธ์การวางแผน ฯลฯ

17. ข้อใดสําคัญที่สุดต่อความถูกต้องของการวางแผน
(1) เวลา
(2) งบประมาณ
(3) ข้อมูล
(4) การจูงใจ
(5) องค์การ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 15. ประกอบ

18. ข้อใดเป็นทักษะของนักวางแผนที่ดี
(1) มีจินตนาการที่กว้างไกล
(2) มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
(3) มีความรู้ในหลายสาขา
(4) มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 27, 35, (คําบรรยาย) การวางแผนเป็นการใช้สติปัญญาเพื่อกําหนดแนวทางสําหรับ การดําเนินงานขององค์การในอนาคต ดังนั้นนักวางแผนที่ดีจะต้องอาศัยทักษะหลาย ๆ ด้าน ประกอบกัน เช่น ต้องใช้ทั้งจินตนาการที่กว้างไกล มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่ดี ต้องมีความรู้ ในหลักวิชาการหลาย ๆ สาขาหรือนําหลักสหวิทยาการมาใช้ ต้องรู้จักใช้เทคนิค ทฤษฎี การพยากรณ์ให้เหมาะสม เป็นต้น จึงจะช่วยให้การวางแผนสมบูรณ์ได้มากขึ้น

19. การวางแผนโดยปกติเป็นหน้าที่ของใคร
(1) นักบริหารระดับสูง
(2) นักบริหารระดับกลาง
(3) นักบริหารระดับล่าง
(4) ประชาชน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 27, 35, (คําบรรยาย) นักวางแผน (Planner) หมายถึง บุคคลหรือคณะบุคคลซึ่งได้รับ มอบหมายให้มีหน้าที่วางแผนเพื่อสร้างสรรค์แผนงานตามแนวทางที่องค์การต้องการ โดยปกติ หน้าที่ในการวางแผนในระดับองค์การนั้นจะถือเป็นหน้าที่ของนักบริหารระดับกลาง (Middle Level Administrator)

20. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับโครงการ
(1) มีความยืดหยุ่นมากกว่าแผน
(2) มุ่งหมายให้เกิดผลิตผล
(3) เป็นหน่วยเล็กที่สุดในกระบวนการ
(4) ระบุวิธี เวลา และสถานที่
(5) กล่าวถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 36, 88 – 89, (คําบรรยาย) โครงการมีความแตกต่างจากแผน ดังนี้
1. โครงการไม่มีความยืดหยุ่นอย่างแผน เพราะโครงการมีการระบุวิธี เวลา และสถานที่อย่างเจาะจงและชัดเจน
2. โครงการมีความมุ่งหมายให้เกิดผลิตผลมากกว่าแผน
3. โครงการเป็นหน่วยเล็กที่สุดในโครงสร้าง

21. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับกระบวนการวางโครงการ
(1) ใช้หลักการวางแผนทั่วไป
(2) ต้องสัมพันธ์กับโครงการอื่นเสมอ
(3) มีเป้าหมายกว้าง ๆ
(4) ระบุรายละเอียดในการปฏิบัติ
(5) กล่าวถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 36 – 39, (คําบรรยาย) กระบวนการวางโครงการ (Program Planning Processes) เป็นขั้นตอนการก่อตัวของโครงการ ซึ่งโดยทั่วไปมีแนวคิดและขั้นตอนที่สําคัญ ดังนี้
1. ใช้หลักการวางแผนทั่วไป
2. โครงการทั้งหลายจะต้องสัมพันธ์กับโครงการอื่นเสมอ
3. การวางโครงการต้องมีรายละเอียดซึ่งสามารถมองเห็นเป็นรูปธรรมได้เพื่อฝ่ายปฏิบัติและฝ่ายติดตามประเมินผลจะได้ปฏิบัติตามได้โดยสะดวก
4. การกําหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการต้องมีความชัดเจนและกระทัดรัด ตอบสนองปัญหาและความต้องการได้ และปฏิบัติได้จริง ฯลฯ

22. ข้อใดคือลักษณะของโครงการที่ดี
(1) มีความเป็นอุดมคติ
(2) มีความยืดหยุ่น
(3) มีความเจาะจง
(4) มีความเป็นนามธรรม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 20. และ 21. ประกอบ

23. รายละเอียดของโครงการต้องประกอบด้วยอะไร
(1) ใคร
(2) ทําอะไร
(3) ที่ไหน
(4) อย่างไร
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) โครงการเป็นการมุ่งดําเนินกิจกรรมเพื่อให้เกิดผลิตผลตามแนวทางที่แผนวางไว้ดังนั้นรายละเอียดของโครงการจึงต้องมีความเจาะจง เพื่อให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจและสามารถปฏิบัติ ตามได้ รายละเอียดของโครงการจึงต้องประกอบไปด้วย ใคร ทําอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร

ตั้งแต่ข้อ 24 – 27. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การศึกษาว่าโครงการมีความสมบูรณ์เหมาะสมที่จะนําไปปฏิบัติหรือไม่
(2) การก่อตัวของโครงการ
(3) การดําเนินงานเพื่อให้เกิดผลตามต้องการ
(4) การตรวจสอบผลการดําเนินโครงการที่ผ่านไปแล้ว
(5) การปรับปรุงและพัฒนาความสามารถในการดําเนินงาน

24. การวางโครงการ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

25. การวิเคราะห์โครงการ
ตอบ 1 หน้า 39, 91 การวิเคราะห์และประเมินโครงการ (Program Analysis and Appraisal) มีความหมาย 2 ลักษณะ คือ
1. การศึกษาว่าโครงการมีความสมบูรณ์เหมาะสมที่จะนําไปปฏิบัติหรือไม่
2. การจําแนกแยกแยะ “ผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้น” หากมีการนําโครงการไปปฏิบัติจริงว่าสมควรแก่การดําเนินโครงการต่อไปหรือไม่

26. การประเมินผลโครงการ
ตอบ 4 หน้า 45, (คําบรรยาย) การประเมินผลโครงการ หมายถึง การตรวจสอบผลการดําเนิน โครงการที่ผ่านไปแล้ว โดยการเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นจริง (Exact Results) จากการ ดําเนินการกับผลที่คาดว่าจะได้รับ (Expected Results) จากโครงการ หรือหมายถึง การเปรียบเทียบผลการปฏิบัติงานกับเป้าหมายหลังสิ้นสุดการปฏิบัติงานว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดไว้หรือไม่ ดังนั้นการประเมินผลโครงการจึงทําให้ทราบว่าโครงการที่ได้ดําเนินการไปแล้วนั้นประสบความสําเร็จมากน้อยเพียงไร

27. การนําโครงการไปปฏิบัติ
ตอบ 3 หน้า 42, 94 การนําโครงการไปปฏิบัติ (Program Implementation) มีความหมายดังนี้
1. การจัดเตรียม จัดหา วิธีการต่าง ๆ ที่จะดําเนินการให้สิ่งที่ต้องการเกิดผลขึ้นมา ซึ่งรวมถึง ความพยายามอย่างต่อเนื่องที่จะปรับปรุง และพัฒนาความสามารถที่จะดําเนินงานตามโครงการ
2. การดําเนินงานเพื่อให้เกิดผลตามต้องการซึ่งอาจเป็นความพยายามเฉพาะเรื่องในการทําให้การตัดสินใจขององค์การเป็นไปตามแผนหรือนโยบาย

28. ข้อใดไม่ใช่ภารกิจที่สําคัญในการวิเคราะห์และประเมินโครงการ
(1) การวิเคราะห์ด้านการบริหาร
(2) การวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจ
(3) การวิเคราะห์ด้านการเมือง
(4) การวิเคราะห์ด้านสังคม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 40 – 42, (คําบรรยาย) ภารกิจที่สําคัญในการวิเคราะห์และประเมินโครงการ มีดังนี้
1. การวิเคราะห์ด้านการเงิน
2. การวิเคราะห์ด้านการบริหาร
3. การวิเคราะห์ทางเทคนิค
4. การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของวิชาการ
5. การวิเคราะห์ด้านสังคม
6. การวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจ
7. การการวิเคราะห์ด้านการตลาด

29. การควบคุมโครงการครอบคลุมถึงอะไร
(1) เวลา
(2) ค่าใช้จ่าย
(3) คุณภาพ
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 3
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 44, (คําบรรยาย) การควบคุมโครงการโดยทั่วไปมักจะกระทําใน 3 ด้าน คือ
1. ควบคุมเวลา (Time Control) คือ ควบคุมให้เสร็จตรงตามเวลาที่ได้วางโครงการไว้ โดยใช้เทคนิค PERT
2. ควบคุมค่าใช้จ่าย (Cost Control) เป็นการควบคุมรายจ่ายของโครงการให้อยู่ใน กรอบงบประมาณที่ตั้งไว้ โดยใช้เทคนิค PPBS
3. ควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน (Quality Control) เป็นการควบคุมให้เกิดผลงาน ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการอย่างครบถ้วนและเคร่งครัด เทคนิคที่ใช้อาจกระทําได้ โดยการกําหนดมาตรฐาน (Standard) ของงาน

30. การวิเคราะห์ทางด้านการบริหารโครงการคืออะไร
(1) วิเคราะห์ความคุ้มทุน
(2) วิเคราะห์ความสามารถในการบรรลุวัตถุประสงค์
(3) วิเคราะห์เศรษฐกิจ
(4) วิเคราะห์ความเหมาะสมกับสภาพสังคม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 41, 92 การวิเคราะห์ทางด้านการบริหารโครงการ คือ การวิเคราะห์ความสามารถในการนําทรัพยากรที่มีอยู่จํากัดมาผสมผสานกันอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพเพื่อให้บรรลุ วัตถุประสงค์ที่ต้องการ ดังนั้นการวิเคราะห์ทางด้านการบริหารจึงต้องวิเคราะห์ในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ตัวผู้บริหาร
2. ลักษณะการจัดหน่วยงาน
3. ระเบียบวิธี และกระบวนการในการปฏิบัติงาน
4. พฤติกรรมการบริหาร

31. การวิเคราะห์ทางด้านการบริหารโครงการไม่ได้วิเคราะห์อะไร
(1) ตัวผู้บริหาร
(2) ลักษณะการจัดหน่วยงาน
(3) กระบวนการในการปฏิบัติ
(4) สังคมในภาพรวม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 30. ประกอบ

32. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ
(1) มักใช้ในกรณีที่มีเวลาและทรัพยากรมาก
(2) มักประเมินสภาพแวดล้อม
(3) มักประเมินด้านเทคนิค
(4) มักประเมินด้านการบริหาร
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 42, 93 การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) เป็นการศึกษา โอกาสสําเร็จของโครงการ เพื่อตัดสินใจว่าจะดําเนินโครงการหรือไม่ การศึกษาความเป็นไปได้ ของโครงการนี้มักใช้ในกรณีที่เป็นโครงการเร่งด่วน มีเวลาประเมินจํากัด โดยมักจะประเมินเพียง ตัวแปรหลัก ๆ ดังนี้
1. ประเมินด้านการบริหาร
2. ประเมินด้านความคุ้มทุนของโครงการ
3. ประเมินด้านเทคนิคของโครงการ .
4. ประเมินด้านสภาพแวดล้อมของโครงการ

33. เมื่อสิ้นสุดการปฏิบัติงานโครงการแล้วต้องทําสิ่งใด
(1) บํารุงขวัญผู้ร่วมงาน
(2) ส่งรายงาน
(3) เก็บหลักฐาน
(4) ส่งคืนสิ่งต่าง ๆ ที่จําเป็น
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 45 การสิ้นสุดการปฏิบัติงาน เมื่อใกล้จะเสร็จสิ้นขั้นตอนการปฏิบัติ ผู้รับผิดชอบโครงการ ต้องบํารุงขวัญผู้ร่วมงานแต่เนิ่น ๆ เมื่อที่จะลดปริมาณคนทํางานลงตามงานที่เริ่มลดน้อยลง นอกจากนี้ยังจะต้องเตรียมการปิดโครงการ หรืองาน “เก็บกวาด” เช่น ส่งรายงานครั้งสุดท้าย เก็บหลักฐานข้อมูลต่าง ๆ ที่จําเป็น ส่งคืนสิ่งต่าง ๆ เช่น เครื่องมือ บุคลากร สถานที่ เป็นต้น

ตั้งแต่ข้อ 34 – 36. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ผลโดยตรง
(2) ผลโดยอ้อม
(3) ผลทางกายภาพ
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 3
(5) ถูกทุกข้อ

34. ผลที่เกิดขึ้นตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
ตอบ 1 หน้า 45, (คําบรรยาย) ผลที่เกิดขึ้นจริงจากโครงการ (Exact Results) หมายถึง ผลที่เกิดขึ้น จากการนําโครงการไปปฏิบัติ ซึ่งจําแนกอย่างกว้าง ๆ ได้ 2 ประเภท คือ
1. ผลโดยตรง (Direct Results) คือ ผลที่เกิดขึ้นตามวัตถุประสงค์ของโครงการ
2. ผลโดยอ้อม (Indirect Results) คือ ผลพลอยได้จากวัตถุประสงค์ของโครงการ

35. ผลพลอยได้จากวัตถุประสงค์ของโครงการ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 34. ประกอบ

36. ผลที่มักจะได้จากการประเมินโครงการทันทีหลังเสร็จสิ้น
ตอบ 4 หน้า 46, 99 การประเมินผลโครงการทันทีหลังเสร็จสิ้น มักเป็นการประเมินผลโดยตรง (Direct Results) ของโครงการและมีลักษณะผลทางกายภาพ (Physical Results) เป็นส่วนใหญ่ เช่น เมื่อสร้างถนนเสร็จจะวัดความยาว ความแข็งแรงของถนนได้ทันที เป็นต้น

37. การประเมินผลโครงการมีประโยชน์อย่างไร
(1) ทราบว่าโครงการประสบความสําเร็จมากน้อยเพียงใด
(2) ทราบสาเหตุที่ทําให้โครงการสําเร็จ
(3) ทราบสาเหตุที่ทําให้โครงการล้มเหลว
(4) เป็นข้อมูลสําหรับการวางโครงการในอนาคต
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 50, 101, (คําบรรยาย) การประเมินผลโครงการมีประโยชน์ ดังนี้
1. ทําให้ทราบว่าการดําเนินโครงการประสบความสําเร็จมากน้อยเพียงใด
2. ทําให้ทราบสาเหตุที่ทําให้โครงการประสบความสําเร็จหรือล้มเหลว
3. เป็นข้อมูลสําหรับการวางโครงการในอนาคต

38. การประเมินผลโครงการทําเมื่อใด
(1) ก่อนวางโครงการ
(2) ขณะดําเนินโครงการ
(3) เมื่อโครงการสําเร็จแล้ว
(4) เมื่อถึงปีงบประมาณ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 46, 98 – 99, (คําบรรยาย) การประเมินผลโครงการตามลักษณะเวลาในการประเมินผลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. การประเมินผลก่อนวางโครงการ (Intrinsic/Ext-ante Evaluation)
2. การประเมินผลเมื่อมีการปฏิบัติแล้ว (Pay-off Evaluation) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ การประเมินผลขณะดําเนินโครงการ และการประเมินผลเมื่อโครงการสําเร็จแล้ว

ตั้งแต่ข้อ 39 – 43. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การประเมินทรัพยากรที่ใช้ไป
(2) การประเมินผลผลิตที่ได้
(3) การประเมินประสิทธิภาพ
(4) การประเมินประสิทธิผล
(5) การประเมินกระบวนการ

39. แยกแยะสาเหตุของความสําเร็จหรือล้มเหลวของโครงการ
ตอบ 5 หน้า 47, 99, (คําบรรยาย) Suchman ได้แบ่งประเภทของการประเมินผลโครงการ ออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้
1. Effort Evaluation เป็นการประเมิน Input หรือทรัพยากรที่ใช้ไปในโครงการ เช่น คน เงิน วัสดุ อุปกรณ์ เวลา เป็นต้น
2. Performance Evaluation เป็นการประเมิน Output หรือผลผลิตที่ได้ของโครงการ
3. Adequacy of Performance เป็นการประเมินประสิทธิผลของโครงการ โดยการ เปรียบเทียบเป้าหมายกับผลที่ได้ของโครงการ
4. Efficiency Evaluation เป็นการประเมินประสิทธิภาพของโครงการ โดยดูอัตราส่วน ระหว่าง Input : Output ซึ่งอาจออกมาในรูป Benefit Cost Ratio เป็นต้น
5. Process Evaluation เป็นการประเมินกระบวนการปฏิบัติงานของโครงการ เพื่อแยกแยะให้เห็นสาเหตุของความสําเร็จหรือความล้มเหลวของโครงการ

40.ประเมิน Input ของโครงการ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

41. ประเมิน Output ของโครงการ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

42. เปรียบเทียบเป้าหมายและผลที่ได้ของโครงการ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

43. ประเมินอัตราส่วน Input : Output ของโครงการ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

44.คน วัสดุ อุปกรณ์ที่ใช้ไปในโครงการ คืออะไร
(1) Input
(2) Output
(3) Outcome
(4) ผลกระทบข้างเคียง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

45. ตัวบ่งชี้ความสําเร็จในการดําเนินงาน คืออะไร
(1) ผลผลิต
(2) ความนิยม
(3) ตัวชี้วัด
(4) กลุ่มเป้าหมาย
(5) ต้นทุน
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ตัวชี้วัด คือ ตัวบ่งชี้ความสําเร็จในการดําเนินงาน ซึ่งคุณสมบัติของตัวชี้วัดที่ดีมีดังนี้
1. Validity คือ สมเหตุสมผล อธิบายได้
2. Availability คือ ความมีอยู่ของข้อมูล
3. Reliability คือ ความเชื่อถือได้
4. Sensitivity คือ ความไวต่อการเปลี่ยนแปลง

ตั้งแต่ข้อ 46. – 50. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) จํานวนผู้มาใช้สิทธิในการรับบริการ
(2) งบประมาณที่รัฐบาลใช้ไปในโครงการ
(3) ความเสมอภาคในการได้รับบริการทางสาธารณสุขของคนไทย
(4) ความยากจนและความเหลื่อมล้ําของรายได้ในประเทศไทย
(5) อัตราการลาออกของบุคลากรทางการแพทย์ที่สูงขึ้น

46. ข้อใดเป็น Input ของโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ตัวอย่างการวิเคราะห์โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
1. สภาพปัญหาที่ทําให้เกิดการก่อตัวขึ้นของโครงการ ได้แก่ ความยากจนและความเหลื่อมล้ำของรายได้ในประเทศไทย
2. Input ของโครงการ ได้แก่ งบประมาณที่รัฐบาลใช้ไปในโครงการ
3. Output ของโครงการ ได้แก่ จํานวนผู้มาใช้สิทธิในการรับบริการ
4. ประสิทธิผลของโครงการ ได้แก่ ความเสมอภาคในการได้รับบริการทางสาธารณสุขของคนไทย
5. ผลกระทบข้างเคียงของโครงการ ได้แก่ อัตราการลาออกของบุคลากรทางการแพทย์ที่สูงขึ้น

47. ข้อใดเป็น Output ของโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 46. ประกอบ

48. ข้อใดเป็นผลกระทบข้างเคียงของโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 46. ประกอบ

49. ข้อใดเป็นประสิทธิผลของโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 46. ประกอบ

50. ข้อใดเป็นสภาพปัญหาที่ทําให้เกิดการก่อตัวขึ้นของโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 46. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 51. – 57. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) แผน
(2) นโยบาย
(3) โครงการ
(4) กลยุทธ์
(5) Job

51. สิ่งที่รัฐเลือกจะกระทําหรือไม่กระทํา
ตอบ 2 หน้า 1 Thomas R. Dye กล่าวว่า นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราว
หรือกิจกรรมที่รัฐบาลเลือกจะกระทําหรือไม่กระทํา และเกี่ยวข้องกับเหตุผลว่าทําไมจึงเลือกเช่นนั้น

52. วิถีทางของการดําเนินการซึ่งได้กําหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว
ตอบ 1 หน้า 21 Le Breton กล่าวว่า แผน คือ วิถีทางของการดําเนินการซึ่งได้กําหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว
(Plan is a predetermined course of action)

53. รูปแบบอันเจาะจงในการดําเนินกิจกรรม
ตอบ 3 หน้า 36, 38 สหประชาชาติ (UN) ได้นิยามความหมายของโครงการว่าหมายถึง รูปแบบ อันเจาะจงในการดําเนินกิจกรรมทางสังคม ซึ่งได้มีการจัดเตรียมไว้แล้ว โดยมีวัตถุประสงค์ ที่เจาะจง มีการจํากัดในด้านสถานที่และเวลา

54. ข้อเสนอกว้าง ๆ ไม่เจาะจง
ตอบ 2 หน้า 1, 60, (คําบรรยาย) ลักษณะทั่วไปของนโยบาย มีดังนี้
1. เป็นข้อเสนอหรือแนวทางกว้าง ๆ ในการปฏิบัติงาน คือ ไม่เจาะจงและยืดหยุ่นสูง
2. มีจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ ซึ่งอาจเป็นวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดที่สําคัญมาก ๆ เช่น เป็นประโยชน์ขององค์การ เป็นต้น
3. เป็นข้อเสนอเกี่ยวกับการปฏิบัติ คือ นโยบายจะเป็นเครื่องชี้นําให้มีการปฏิบัติตาม นโยบาย ต้องเสนอแนะแนวทางที่สามารถปฏิบัติเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ด้วย

55. มีความชัดเจนในด้านวิธีการ เวลา สถานที่
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 20. ประกอบ

56. การกระทําที่นําไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ
ตอบ 1 หน้า 25 Jose Villamit กล่าวว่า การวางแผนเป็นการกระทําที่เป็นกระบวนการ (Set of Temporally Linked Actions) ที่นําไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ (Desired end State) โดยการ ตัดสินใจแต่ละครั้งนั้นมุ่งให้เกิดการรวมชาติหรือการเปลี่ยนแปลง โดยมีการผิดพลาดน้อยที่สุด

57. เป็นหน้าที่ของนักบริหารระดับกลาง
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

58. ข้อใดมีอํานาจหน้าที่ในการกําหนดนโยบายสาธารณะตามกฎหมาย
(1) รัฐบาล
(2) กลุ่มผลประโยชน์
(3) พรรคการเมือง
(4) ศาลยุติธรรม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 54, (คําบรรยาย) รัฐบาลมีอํานาจหน้าที่ในการกําหนดนโยบายสาธารณะตามกฎหมายส่วนระบบราชการหรือหน่วยงานของรัฐมีหน้าที่ในการนํานโยบายสาธารณะไปปฏิบัติให้บรรลุผลสําเร็จตามเป้าหมายที่กําหนดไว้

59. ข้อใดถือว่าเป็นนโยบายสาธารณะ
(1) นโยบายการจ้างพนักงานของบริษัทซีพี
(2) นโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทย
(3) เจตนารมณ์ต่อต้านการทุจริตของนายกรัฐมนตรี
(4) ทุกข้อเป็นนโยบายสาธารณะ
(5) ทุกข้อไม่ใช่นโยบายสาธารณะ

ตอบ 5 หน้า 59 ลักษณะของนโยบายสาธารณะ (Public Policy) มีดังนี้
1. เป็นกิจกรรมที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา ไม่ใช่การแสดงเจตนารมณ์
2. เป็นชุดของการกระทําที่มีแบบแผน ระบบและกระบวนการอย่างชัดเจน มีความสม่ําเสมอ และต่อเนื่อง
3. มีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายเพื่อผลประโยชน์ของสาธารณะ

60. ลักษณะทั่วไปของนโยบายข้อใดกล่าวผิด
(1) ไม่เจาะจง และยืดหยุ่นได้มาก
(2) มีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่สําคัญ
(3) เป็นข้อเสนอเกี่ยวกับการปฏิบัติ
(4) เป็นวิธีปฏิบัติที่กําหนดไว้ล่วงหน้า
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 54. ประกอบ

61. ข้อใดไม่ใช่รูปร่างของนโยบาย
(1) กฎหมาย
(2) แผน
(3) โครงการ
(4) พระราชบัญญัติ
(5) คําบอกกล่าวที่เสนอผู้บังคับบัญชาขึ้นไป
ตอบ 5 หน้า 2 นโยบายมีรูปร่างและรูปแบบหลายลักษณะตามการใช้ประโยชน์ของนโยบาย ดังนี้
1. มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง
2. มีรูปเป็นแผนงาน โครงการ
3. มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ เพื่อแจ้งข่าวสารหรือเชิญชวน ซึ่งมีลักษณะบังคับน้อยที่สุด
4. มีรูปเป็นสัญญา
5. มีรูปเป็นอื่น ๆ หรืออาจไม่มีรูปร่างให้เห็นชัดเจน เช่น คําแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี และมติคณะรัฐมนตรี เป็นต้น

62. กระบวนการของนโยบายเรียงลําดับได้อย่างไร
(1) กําหนด วิเคราะห์ ปฏิบัติ ประเมิน
(2) วิเคราะห์ กําหนด ปฏิบัติ ประเมิน
(3) ประเมิน วิเคราะห์ กําหนด ปฏิบัติ
(4) กําหนด ปฏิบัติ วิเคราะห์ ประเมิน
(5) กําหนด วิเคราะห์ ประเมิน ปฏิบัติ
ตอบ 1 หน้า 3 กระบวนการของนโยบาย (Processes of Policy) ประกอบด้วยขั้นตอนที่สําคัญ ดังนี้
1. การกําหนดนโยบาย (Policy Formulation)
2. การวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis)
3. การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation)
4. การติดตามประเมินผลการปฏิบัตินโยบาย (Policy Evaluation)

63. ใครมีบทบาทมากที่สุดในการนํานโยบายสาธารณะไปปฏิบัติ
(1) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(2) สมาชิกวุฒิสภา
(3) ระบบราชการ
(4) กลุ่มทุน
(5) ประชาชน
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 58. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 64 – 70. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ตัวแบบผู้นํา
(2) ตัวแบบกลุ่ม
(3) ตัวแบบสถาบัน
(4) ตัวแบบระบบ
(5) ตัวแบบเกม

64. หน่วยงานของรัฐและประชาชนมีบทบาทในการกําหนดนโยบายน้อย
ตอบ 1 หน้า 3 – 4, 66, (คําบรรยาย) ตัวแบบผู้นํา (Elite Model) เชื่อว่า
1. กลุ่มผู้นํา (นายกรัฐมนตรี) มีบทบาทในการกําหนดนโยบายมาก ในขณะที่หน่วยงานของรัฐและประชาชนมีบทบาทในการกําหนดนโยบายน้อย
2. นโยบายสาธารณะเป็นการสะท้อนค่านิยมและผลประโยชน์ของกลุ่มผู้นํา จึงมักไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง
3. สถานการณ์ที่จะเกิดนโยบายตามตัวแบบนี้ต้องเป็นสถานการณ์ที่ผู้นํามีอํานาจสูงมาก ในทางการเมืองหรือทางสังคม เช่น ในภาวะการปฏิวัติรัฐประหาร ฯลฯ

65. นายกรัฐมนตรีมีบทบาทมากในการกําหนดนโยบาย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 64. ประกอบ

66. นโยบายมักไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 64. ประกอบ

67. หน้าที่ของรัฐคือการเป็นเหมือนกับกรรมการ
ตอบ 2 หน้า 4 – 5, 66 – 67, (คําบรรยาย) ตัวแบบกลุ่ม (Group Model) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะ คือจุดดุลยภาพระหว่างผลประโยชน์ของกลุ่มต่าง ๆ หรือเป็นผลผลิตที่เกิดจากดุลยภาพของ การแข่งขันระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม ซึ่งแต่ละกลุ่มต่างดิ้นรนแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิ อ้านาจในการเป็นผู้คุมกลไกนโยบายของรัฐ ดังนั้นรัฐหรือระบบการเมืองจึงมีหน้าที่ 4 ประการ ได้แก่
1. สร้างกติกาการแข่งขันและเป็นกรรมการหรือผู้ควบคุมการแข่งขันให้เกิดความ ยุติธรรม
2. แสวงหาลู่ทางในการประนีประนอม เพื่อทําให้เกิดดุลยภาพของการแข่งขัน
3. จัดสรรผลประโยชน์หรือกําหนดนโยบาย
4. นํานโยบายไปปฏิบัติ

68. นโยบาย คือ จุดดุลยภาพระหว่างผลประโยชน์ของกลุ่มต่าง ๆ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 67. ประกอบ

69. ระบบการเมืองทําหน้าที่ภายใต้แรงกดดันของระบบอื่น ๆ
ตอบ 4 หน้า 6, 67 ตัวแบบระบบ (System Model) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะเป็นผลของปฏิกิริยา ที่ระบบการเมืองมีต่อแรงกดดันจากสภาพแวดล้อมภายนอก หรือกล่าวอีกนัย ระบบการเมือง ทําหน้าที่กําหนดนโยบายสาธารณะภายใต้แรงกดดันของระบบอื่น ๆ ที่มิใช่ระบบการเมืองหรือ เรียกว่าสภาพแวดล้อมภายนอก ดังนั้นตัวระบบการเมืองจะทําหน้าที่เป็นตัวกระทําของระบบ (Conversion Process) ขณะที่สภาพแวดล้อมภายนอก เช่น ข้อเรียกร้องความต้องการ หรือ การสนับสนุนของประชาชนจะเป็นปัจจัยนําเข้าของระบบ (Inputs) และนโยบายสาธารณะ จะเป็นปัจจัยนําออกของระบบ (Outputs) ซึ่งถูกส่งออกสู่สภาพแวดล้อมภายนอกและกลายเป็น ปัจจัยนําเข้าสู่ระบบการเมืองเป็นวงจร ดังนั้นสภาพแวดล้อมภายนอกและระบบการเมืองจึงเป็นปัจจัยสําคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของนโยบายสาธารณะ

70. สภาพแวดล้อม คือ ปัจจัยที่จะส่งผลต่อนโยบายสาธารณะ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 69. ประกอบ

71. ปัจจัยใดส่งผลต่อนโยบายที่ถูกกําหนดโดยตัวแบบผู้นํา
(1) คุณสมบัติของผู้นํา
(2) เสถียรภาพของกลุ่มผู้นํา
(3) ค่านิยมและผลประโยชน์ของประชาชน
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 4, 66 ปัจจัยที่ส่งผลต่อนโยบายที่ถูกกําหนดโดยตัวแบบผู้นํา (Elite Model) ได้แก่
1. ค่านิยมและผลประโยชน์ของกลุ่มผู้นํา
2. เสถียรภาพของกลุ่มผู้นํา
3. คุณสมบัติของผู้นํา

72. ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ของกลไกรัฐในตัวแบบกลุ่ม
(1) สร้างกติกา
(2) ริเริ่มนโยบาย
(3) หาลู่ทางประนีประนอม
(4) จัดสรรผลประโยชน์
(5) นํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 67. ประกอบ

73. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายที่ถูกกําหนดโดยตัวแบบกลุ่ม
(1) การประนีประนอม
(2) ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม
(3) ดุลยภาพของผลประโยชน์
(4) เสถียรภาพของกลุ่มผู้นํา
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 4 – 5, 66 – 67 ปัจจัยที่ส่งผลต่อนโยบายสาธารณะที่ถูกกําหนดโดยตัวแบบกลุ่ม (Group Model) ได้แก่
1. จุดดุลยภาพระหว่างผลประโยชน์ของกลุ่มต่าง ๆ
3. ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม ฯลฯ
2. การประนีประนอม

74. ปัจจัยใดส่งผลต่ออิทธิพลของกลุ่ม
(1) จํานวนสมาชิก
(2) ฐานะทางเศรษฐกิจ
(3) ลักษณะของผู้นํากลุ่ม
(4) ความสามัคคีของกลุ่ม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 5 ปัจจัยที่ส่งผลต่ออิทธิพลของกลุ่ม มีดังนี้
1. จํานวนสมาชิกของกลุ่ม
2. ฐานะทางเศรษฐกิจของกลุ่ม
3. ความเข้มแข็งในการจัดองค์การของกลุ่ม
4. ลักษณะของผู้นํากลุ่ม
5. ความใกล้ชิดกับผู้มีอํานาจในการกําหนดนโยบายของกลุ่มหรืออยู่ใกล้ศูนย์กลางของอํานาจ
6. ความสามัคคีของกลุ่ม

75. นโยบายตามตัวแบบสถาบันจะให้ประโยชน์กับใครมากที่สุด
(1) ประชาชน
(2) หน่วยงานของรัฐ
(3) นายทุน
(4) ภูมิภาค
(5) พรรคการเมือง
ตอบ 2 หน้า 5, (คําบรรยาย) ตัวแบบสถาบัน (Institution Model) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะ เป็นผลผลิตของโครงสร้างสถาบันการปกครอง กล่าวคือ นโยบายใด ๆ ก็ตามจะได้ชื่อว่าเป็น นโยบายสาธารณะก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองโดยสถาบันแล้วเท่านั้น ซึ่งนโยบายก็มักจะเป็นไป ตามที่สถาบันการปกครองกําหนดเองหรือให้ประโยชน์กับสถาบันการปกครอง ตัวอย่างสถาบัน การปกครอง ได้แก่ สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) สถาบันบริหาร (นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี) สถาบันราชการ (หน่วยงานของรัฐ) สถาบันตุลาการ (ศาล) สถาบันการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น

76. ปัจจัยนําเข้าในตัวแบบระบบคือข้อใด
(1) นโยบายสาธารณะ
(3) การสนับสนุนของประชาชน
(2) ข้อเรียกร้องของประชาชน
(4) สภาพแวดล้อม
(5) ถูกทั้งข้อ 2, 3 และ 4
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 69. ประกอบ

77. ปัจจัยนําออกในตัวแบบระบบคือข้อใด
(1) นโยบายสาธารณะ
(2) ข้อเรียกร้องของประชาชน
(3) การสนับสนุนของประชาชน
(4) สภาพแวดล้อม
(5) ถูกทั้งข้อ 2, 3 และ 4
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 69. ประกอบ

78. สิ่งแวดล้อมแบบใดควบคุมไม่ได้
(1) จํานวนคน
(2) ค่านิยม
(3) เทคโนโลยี
(4) ลักษณะทางภูมิศาสตร์
(5) งบประมาณ
ตอบ 2 หน้า 12, (คําบรรยาย) สิ่งแวดล้อมของนโยบาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมได้ (Controlled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่สามารถควบคุม หรือกําหนดได้อย่างแน่นอน เช่น จํานวนคนที่จะเข้ามาบริหารนโยบาย เทคโนโลยีที่ใช้ ในนโยบาย งบประมาณ/เงิน การจัดการ สถานที่ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrolled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถ ควบคุมหรือกําหนดได้อย่างชัดเจน เช่น ความเชื่อ ค่านิยมของคนในสังคม ภาวะทางธรรมชาติ ภาวะโลกร้อน แผ่นดินไหว เป็นต้น

79. สิ่งแวดล้อมแบบใดควบคุมได้
(1) เงิน
(2) จํานวนคน
(3) การจัดการ
(4) สถานที่
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

80. ศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากสภาพที่แท้จริง หรือข้อมูลภาคสนามเพื่อจะทราบปัญหา คือขั้นตอนใดในการกําหนดนโยบาย
(1) การระบุปัญหา
(2) กําหนดขอบเขตและกรอบของนโยบาย
(3) ศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(4) ออกแบบทางเลือกนโยบาย
(5) การตัดสินใจทางเลือก
ตอบ 1 หน้า 12, (คําบรรยาย) การระบุปัญหา คือ การศึกษาว่าอะไรคือปัญหาหรือความจริงของปัญหา คืออะไร โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากสถานที่จริงหรือข้อมูลภาคสนามหรือข้อมูลปฐมภูมิ หรือข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ หรือข้อมูลทุติยภูมิ เพื่อที่จะทราบปัญหาและจําแนกว่าปัญหาใด เร่งด่วนกว่า มีสาเหตุจากอะไร และประชาชนรับรู้เพียงใด ดังนั้นการระบุปัญหาจึงเป็นขั้นตอน ที่มีความสําคัญที่สุดในกระบวนการกําหนดนโยบาย เพราะการระบุปัญหาที่ถูกต้องจะนําไปสู่ การกําหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป

81. ขั้นตอนใดมีความสําคัญที่สุดในกระบวนการนโยบาย
(1) การระบุปัญหาที่ถูกต้อง
(2) กําหนดขอบเขตและกรอบของนโยบายที่รัดกุม
(3) ศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบายอย่างครบถ้วน
(4) ออกแบบทางเลือกนโยบายที่หลากหลาย
(5) การตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 80. ประกอบ

82. ข้อมูลประเภทใดที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย
(1) ข้อมูลทุกประเภท
(2) ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts)
(3) ข้อมูลที่ยังไม่ได้กรอง
(4) ข้อมูลที่เป็นความเชื่อ (Values)
(5) ข้อมูลที่เกี่ยวกับโครงการเดิม
ตอบ 4 หน้า 11 การระบุสาเหตุของปัญหาในกระบวนการกําหนดนโยบายต้องอาศัย “ข้อมูล”เป็นสําคัญ โดยข้อมูลในการระบุสาเหตุของปัญหาต้องประกอบด้วย
1. ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts) เป็นข้อมูลที่มีลักษณะคงที่ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ลักษณะของดินฟ้าอากาศ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
2. ข้อมูลที่เป็นความเชื่อหรือค่านิยม (Values) เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับความยึดมั่น ความเชื่อถือ ของประชาชน ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก

83. ข้อใดคือปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจน
(1) การสร้างที่ทําการขององค์การ
(2) ความยากจนในสังคมไทย
(3) ความแตกต่างทางความคิดเห็น
(4) การแพร่ระบาดของโควิด-19
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 10, (คําบรรยาย) ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจน (Well-Structured Problem) คือ ปัญหา ที่มีผู้เกี่ยวข้องจํานวนน้อย และมีทางออกในการแก้ไขปัญหาเพียงไม่กี่ทางเลือก ซึ่งแต่ละทางเลือก สามารถมองเห็นผลประโยชน์ของทางเลือกได้ชัดเจนไม่เป็นที่ถกเถียงได้แต่อย่างใด เช่น ปัญหา
ในการจัดสร้างที่ทําการขององค์การ ซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องคือผู้ที่อยู่ในองค์การนั้น ทางออกคือสร้าง หรือไม่สร้าง และประโยชน์จากการสร้างคือได้ที่ทําการใหม่ เป็นต้น ดังนั้นในการวางแผน ที่ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจนจึงสามารถคาดผลที่จะเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม

84. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการระบุปัญหา
(1) สาเหตุของปัญหา
(2) อาการของปัญหา
(3) การประเมินผลนโยบาย
(4) ความเร่งด่วน
(5) ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ตอบ 3 หน้า 11, 70 ขั้นตอนการระบุปัญหา ประกอบด้วย
1. การระบุสาเหตุของปัญหา เป็นการระบุต้นตอของปัญหา เพราะการแก้ปัญหาใด ๆ นั้นต้อง รู้ถึงต้นตอของปัญหาจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาได้หมดสิ้น ทั้งนี้การระบุสาเหตุของปัญหา ต้องอาศัย “ข้อมูล” เป็นสําคัญ
2. การระบุอาการของปัญหา เป็นการนิยามหรืออธิบายว่าอะไรคือปัญหา ผลกระทบของปัญหา คืออะไร ใครคือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และปัญหามีความรุนแรงหรือเร่งด่วนเพียงไร

85. อะไรคือสิ่งสําคัญในขั้นตอนการระบุสาเหตุของปัญหาในกระบวนการกําหนดนโยบาย
(1) เป้าหมาย
(2) วัตถุประสงค์
(3) การนําไปปฏิบัติ
(4) ข้อมูล
(5) การประเมินผล
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 82. และ 34. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 86 – 88. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน
(2) มีความเป็นพลวัต
(3) มีความเป็นปรนัย
(4) อาจไม่มีตัวตนที่แท้จริง
(5) กล่าวถูกทุกข้อ

86. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับลักษณะของปัญหาในกระบวนการนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 3 – 9, 69 ลักษณะของปัญหาในกระบวนการนโยบายมี 4 ลักษณะ ดังนี้
1. มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน (Integration)
2. มีความเป็นพลวัต (Dynamic)
3. มีความเป็นอัตนัย (Subjective)
4. อาจไม่มีตัวตนที่แท้จริง (Artificiality)

87. ปัญหามักเปลี่ยนแปลงไปตามแรงกระตุ้นของสิ่งแวดล้อม คือลักษณะใดของปัญหา
ตอบ 2 หน้า 9 ปัญหาที่มีความเป็นพลวัต (Dynamic) หมายถึง การที่ปัญหามักแปรเปลี่ยน ลักษณะอาการไปได้ตามแรงกระตุ้นของสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจนําไปสู่การแปรเปลี่ยนให้เกิด ปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกได้ ดังนั้นการกําหนดปัญหาของนโยบายจึงไม่มีข้อสรุปที่ถาวร

88. ปัญหาถูกรับรู้ไม่เหมือนกัน
ตอบ ไม่มีข้อถูก หน้า 9 ปัญหาที่มีลักษณะเป็นอัตนัย (Subjectivity) หมายถึง การมีความหมาย ในตัวของปัญหาเอง ซึ่งผู้รับรู้ความเป็นปัญหาจะรับรู้ได้หรือไม่อยู่ที่ความสามารถในการ “ตระหนักได้” ของผู้กําหนดนโยบาย ดังนั้นปัญหาในลักษณะนี้จึงถูกรับรู้ไม่เหมือนกันแต่การรับรู้ปัญหาได้เร็วหรือรับรู้ปัญหาได้ก่อนก็เป็นคุณสมบัติที่ดีของผู้กําหนดนโยบายเพราะจะทําให้สามารถกําหนดนโยบายได้ทันการณ์

89. การกําหนดเป้าหมายของนโยบายควรมีลักษณะแบบใด
(1) เที่ยงตรง
(2) เปิดช่องให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตีความได้
(3) ครอบคลุมประเด็นปัญหา
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 70 การกําหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบายควรมีลักษณะดังนี้
1. มีความเที่ยงตรง
2. มีความชัดเจน เข้าใจตรงกันไม่ต้องตีความ
3. มีความเป็นไปได้
4. ครอบคลุมประเด็นปัญหา
5. วัดผลได้

90. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์
(1) เป็นวิธีการ
(2) เจาะจง
(3) เป็นรูปธรรม
(4) สิ่งสุดท้ายที่ต้องการบรรลุ
(5) กล่าวถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 70 เป้าหมาย (Goal) และวัตถุประสงค์ (Objective) มีความแตกต่างกันดังนี้

ตั้งแต่ข้อ 91 – 95. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การระบุปัญหา
(2) การพัฒนาทางเลือกนโยบาย
(3) กําหนดขอบเขตและกรอบของนโยบาย
(4) ศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(5) ทดสอบทางเลือก

91. ขั้นตอนศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากสภาพที่แท้จริงหรือข้อมูลภาคสนาม คือขั้นตอนใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 80. ประกอบ

92. ขั้นตอนการกําหนดว่าจะเริ่มที่ใด สิ้นสุด ณ จุดใด
ตอบ 3 หน้า 13 การกําหนดขอบเขตและกรอบของนโยบาย เป็นการกําหนดว่านโยบายจะมีขอบเขต กว้างไกลแค่ไหน จะเริ่มที่ใด สิ้นสุด ณ จุดใด จะแก้ไขปัญหาในส่วนใดได้บ้าง โดยพิจารณา ความเหมาะสมให้สอดคล้องกับอํานาจหน้าที่และความสามารถของหน่วยงาน ตลอดจน ความสมบูรณ์ของทรัพยากรที่สามารถระดมมาใช้ในการปฏิบัติได้

93. ศึกษาความขัดแย้งด้านผลประโยชน์จากนโยบาย รวมทั้งการยอมรับต่อนโยบาย คือขั้นตอนใด
ตอบ 4 หน้า 13 การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย คือการศึกษาข้อจํากัดด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ข้อมูล
2. ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์จากนโยบาย
3. การรับรู้และการยอมรับต่อนโยบาย
4. สิ่งแวดล้อมทั่วไป

94. การพิจารณาทางเลือกที่เป็นไปได้ทั้งหมดของนโยบาย คือขั้นตอนใด
ตอบ 2 หน้า 13, 71 การออกแบบทางเลือกนโยบายหรือการพัฒนาทางเลือกนโยบาย คือ การใช้ความรู้ ประสบการณ์ของผู้กําหนดนโยบายร่วมกับข้อมูลที่รวบรวมและการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ เพื่อกําหนดว่าทางเลือกซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถแก้ไขปัญหาได้นั้นควรเป็นทางเลือกใดบ้าง โดยพิจารณาว่ามีทางเลือกใดที่สามารถปฏิบัติตามแล้วให้ผลสําเร็จดังวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้บ้าง ซึ่งในขั้นนี้ต้องพิจารณาทางเลือกที่เป็นไปได้ทั้งหมดของนโยบายให้ครบถ้วน

95.การตรวจสอบทางความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบต่าง ๆ ที่ใช้ เทคนิควิเคราะห์และการประยุกต์ทั้งหลายคือขั้นตอนใด
ตอบ 5 หน้า 14 การทดสอบทางเลือก คือ การทบทวนความเหมาะสมของขั้นตอนและข้อมูลที่ใช้ ทั้งทางด้านหลักการเหตุผล ทางเลือกของนโยบาย คุณภาพและปริมาณของข้อมูลว่ายังพอเพียง และดีอยู่ ตลอดจนตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบวิธีต่าง ๆ ที่ใช้ เทคนิควิธีวิเคราะห์ และการประยุกต์ทั้งหลายว่าเป็นระบบและสอดคล้องต้องกันอย่างแท้จริง

96. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์นโยบาย
(1) วิเคราะห์ปัญหา
(2) วิเคราะห์เป้าหมาย
(3) วิเคราะห์ทางเลือก
(4) วิเคราะห์วัตถุประสงค์
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 16, 72 การวิเคราะห์นโยบาย มีหลายลักษณะดังนี้
1. วิเคราะห์สภาพปัญหาของนโยบาย
2. วิเคราะห์เป้าหมายของนโยบาย
3. วิเคราะห์ทางเลือกของนโยบาย
4. วิเคราะห์แนวปฏิบัติของนโยบาย
5. วิเคราะห์ผลลัพธ์ของนโยบาย

97. การส่งมอบงานตึก 12 ชั้น คณะรัฐศาสตร์ เป็นขั้นตอนใดของนโยบาย
(1) การกําหนดนโยบาย
(2) การวิเคราะห์นโยบาย
(3) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(4) การประเมินผลนโยบาย
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 17, (คําบรรยาย) การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอน ของการแปลงวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ในนโยบาย ซึ่งอาจเป็นกฎหมาย คําสั่ง หรือมติของ คณะรัฐมนตรีให้เป็นแผนงาน โครงการ และกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม โดยจะต้องมีการจัดหา การตระเตรียมวิธีการ ตลอดจนทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อดําเนินการให้สําเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ ที่กําหนดไว้

98. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(1) มีผู้เกี่ยวข้องจํานวนมาก
(2) ความต้องการต่อนโยบายหลากหลายและแตกต่างกัน
(3) นโยบายมักจะรวบรัดและมีรายละเอียดน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป
(4) ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 17 – 18, 72 Randall Ripley และ Grace Franklin กล่าวว่า ในการนํานโยบาย ไปปฏิบัตินั้นมีประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้นํานโยบายไปปฏิบัติต้องทําความเข้าใจอยู่ 5 ประการ ได้แก่
1. มีผู้เกี่ยวข้องจํานวนมาก
2. ความต้องการต่อนโยบายหลากหลายและแตกต่างกัน
3. นโยบายมักมีขนาดใหญ่โตขึ้นตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป
4. ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย
5. มีปัจจัยจํานวนมากที่ไม่สามารถควบคุมได้

99. เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป นโยบายของรัฐมักจะเป็นอย่างไร
(1) มีขนาดใหญ่โต หน้าเวลา
(2) คงที่เหมือนเดิม
(3) มีขนาดใหญ่โตตามกาลเวลา
(4) มีขนาดเล็กลง
(5) มีขนาดเล็กลงหรือโตขึ้นตามจํานวนประชากร
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 98. ประกอบ

100. ลักษณะของนโยบายแบบใดที่มีโอกาสนําไปปฏิบัติได้สําเร็จสูง
(1) สร้างการเปลี่ยนแปลงมาก
(2) เห็นผลชัดเจน
(3) มีข้อมูลที่ยืนยันได้ชัดเจน
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 18 อาจารย์ศุภชัย ยาวะประภาษ กล่าวว่า ลักษณะของนโยบายที่มีแนวโน้มจะ ประสบความสําเร็จหรือมีโอกาสนําไปปฏิบัติได้สําเร็จสูงมีลักษณะดังนี้
1. เป็นนโยบายที่ไม่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งต่าง ๆ มากเกินไป
2. เห็นผลได้ชัดเจน
3. มีข้อมูลที่ยืนยันได้ชัดเจน

POL3302 การวางแผนในภาครัฐ s/2565

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3302 การวางแผนในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.ข้อใดไม่ใช่วิธีการวิเคราะห์การวางแผน
(1) การควบคุม
(2) การพรรณนา
(3) การประเมินผล
(4) การชี้แนะแนวทาง
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 15, (คําบรรยาย) วิธีการวิเคราะห์การวางนโยบายหรือแผน มีดังนี้
1. การพยากรณ์ (Prediction)
2. การพรรณนา (Description)
3. การประเมินผล (Evaluation)
4. การชี้แนะแนวทาง (Prescription)

2. วัตถุประสงค์ชนิดใดของการวางแผนเป็นอุปสรรคต่อความสําเร็จของแผนมากที่สุด
(1) วัตถุประสงค์ที่ชัดเจนมาก ๆ
(2) วัตถุประสงค์ที่สอดคล้องกัน
(3) วัตถุประสงค์ที่เข้าใจยาก
(4) วัตถุประสงค์ที่อ่านเข้าใจได้ง่าย
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ลักษณะวัตถุประสงค์ของการวางแผนที่จะช่วยให้การปฏิบัติประสบผลสําเร็จ ได้ดีนั้นจะต้องมีความชัดเจน มีความสอดคล้องกัน และสามารถรับรู้หรือเข้าใจได้ง่าย ดังนั้น ในทางตรงกันข้ามถ้าวัตถุประสงค์ของการวางแผนขาดความชัดเจน มีความขัดแย้งกัน หรือ เข้าใจยากก็จะเป็นอุปสรรคต่อความสําเร็จของแผนได้

3. การกล่าวว่าปัญหาของการวางแผนมีความเป็นอัตนัยสูง หมายความว่าอย่างไร
(1) การรับรู้ปัญหาได้ไม่เท่าเทียมกันในหมู่ประชาชน
(2) ไม่มีวิธีการแก้ไขปัญหาวิธีใดที่จะใช้ได้ในทุกกรณีปัญหา
(3) ปัญหาของนโยบายจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
(4) ปัญหาของนโยบายจะเปลี่ยนแปลงไปตามบุคคลผู้กําหนด
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 9, (คําบรรยาย) ปัญหาที่มีความเป็นอัตนัย (Subjectivity) สูง หมายถึง ในปัญหาหนึ่ง ๆ นั้น ต่างก็มีความหมายในตัวของปัญหาเอง ขึ้นอยู่กับผู้วางแผนว่าจะสามารถรับรู้หรือตระหนักได้ถึง ความเป็นปัญหาหรือไม่ การตระหนักปัญหาได้เร็วหรือรับรู้ปัญหาได้ก่อนจึงเป็นคุณสมบัติที่ดี ของผู้วางแผน เพราะจะทําให้สามารถวางแผนได้ทันการณ์

4. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะแนวคิดในการวิเคราะห์
(1) คําตอบซ้ำ
(2) ต้องใช้หลายวิธี
(3) ต้องใช้หลักเหตุผล
(4) เป็นสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ประยุกต์
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 15 – 16 แนวคิดในการวิเคราะห์นโยบาย มีลักษณะสําคัญดังนี้
1. เป็นสาขาวิชาทางสังคมศาสตร์ประยุกต์
2. ใช้วิธีการหลายวิธี
3. เป็นการใช้เหตุผล
4. มุ่งผลิตและแปรสภาพข่าวสาร
5. ข่าวสารที่ได้สามารถนําไปใช้ประโยชน์ในสภาพความเป็นจริงทางการเมือง

5. การจัดทําโครงการจะต้องสอดคล้องกับเรื่องใดมากที่สุด
(1) งานและกิจกรรม
(2) นโยบายและแผน
(3) โครงงาน
(4) กิจกรรม
(5) ผิดทุกข้อ ๆ
ตอบ 2 หน้า 45, (คําบรรยาย) ในนโยบายหนึ่ง ๆ จะประกอบไปด้วยแผนหลายแผน เพื่อทําให้ ตัวนโยบายมีความชัดเจนขึ้น และในแต่ละแผนก็จะประกอบไปด้วยโครงการหลายโครงการ เพื่อทําให้ตัวแผนมีความชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นในการจัดทํานโยบาย แผน และโครงการ ต่าง ๆ จะต้องกําหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายให้ชัดเจนสอดคล้องกันเป็นลําดับ ซึ่งจะ ส่งผลให้การปฏิบัติตามนโยบาย แผน และโครงการ มีความเป็นเอกภาพและมีโอกาสที่จะ ประสบผลสําเร็จมากขึ้น

6.การวางแผนที่ดีควรใช้หลักการใดในการวางแผน
(1) หลักการที่เป็นที่นิยมในสหรัฐอเมริกา
(2) หลักการที่เกิดจากกรณีศึกษา
(3) หลักการนําหลักสหวิทยาการมาใช้
(4) หลักการที่เป็นที่นิยมใช้ในหมู่นักรัฐศาสตร์
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 27, (คําบรรยาย) การวางแผนเป็นการใช้สติปัญญาเพื่อกําหนดแนวทางสําหรับ การดําเนินงานขององค์การในอนาคต ดังนั้นการวางแผนต้องอาศัยลักษณะหลายด้าน ประกอบกัน เช่น ต้องใช้ทั้งจินตนาการที่กว้างไกล มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ที่ดี ต้องมี ความรู้ในหลักวิชาการหลาย ๆ สาขาหรือนําหลักสหวิทยาการมาใช้ ต้องรู้จักใช้เทคนิค ทฤษฎีการพยากรณ์ให้เหมาะสม เป็นต้น จึงจะช่วยให้การวางแผนสมบูรณ์ได้มากขึ้น

7. ใครคือผู้มีหน้าที่กําหนดการวางแผนน้อยที่สุด
(1) ปลัดกระทรวง
(2) อธิบดี
(3) ผู้อํานวยการกองวิชาการ
(4) ผู้อํานวยการสํานัก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอน 1 หน้า 27 (คําบรรยาย) โดยปกติหน้าที่ในการวางแผนในระดับองค์การนั้นจะถือเป็นหน้าที่ ของนักบริหารระดับกลาง (Middle Level Administrator) เช่น อธิบดี ผู้อํานวยการสํานัก ผู้อํานวยการกอง ส่วนนักบริหารระดับสูง เช่น ปลัดกระทรวง จะทําหน้าที่ในการวางนโยบาย ดังนั้นผู้ที่มีหน้าที่ในการกําหนดการวางแผนน้อยที่สุดก็คือ ปลัดกระทรวง นั่นเอง

8. การวางแผนในรูปใดที่มีลักษณะบังคับใช้ในทางปฏิบัติที่น้อยที่สุด
(1) กฎหมาย
(2) แผนงาน
(3) ประกาศ
(4) คําแถลงนโยบาย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ประกาศ คือ บรรดาข้อความที่ทางราชการประกาศหรือชี้แจงให้ทราบหรือแนะแนวทางให้ปฏิบัติ จึงมีลักษณะบังคับใช้ในทางปฏิบัติน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับ กฎหมาย คําแถลงนโยบาย และแผนงาน

9.การควบคุมคุณภาพ (Quality Control) ของแผนจะคุมอย่างไร
(1) คุมให้เสร็จตรงตามเวลา
(2) คุมให้เกิดผลงานตรงตามวัตถุประสงค์ของแผน
(3) คุมให้บุคลากรทุกคนทํางานอย่างเต็มความสามารถ
(4) คุมให้มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าที่ตั้งไว้
(5) คุมให้ใกล้ชิดทุกขั้นตอนของการปฏิบัติ
ตอบ 2 หน้า 44, (คําบรรยาย) การควบคุมแผน/โครงการโดยทั่วไปมักจะกระทําใน 3 ด้าน คือ
1. ควบคุมเวลา (Tirne Control) คือ ควบคุมให้เสร็จตรงตามเวลาที่ได้วางแผน/โครงการไว้ โดยใช้เทคนิค PERT
2. ควบคุมค่าใช้จ่าย (Cost Control) เป็นการควบคุมรายจ่ายของแผน/โครงการให้อยู่ใน กรอบงบประมาณที่ตั้งไว้ โดยใช้เทคนิค PPBS
3. ควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน (Quality Control) เป็นการควบคุมให้เกิดผลงานตรงตาม วัตถุประสงค์ของแผน/โครงการอย่างครบถ้วนและเคร่งครัด เทคนิคที่ใช้อาจกระทําได้ โดยการกําหนดมาตรฐาน (Standard) ของงาน

10. เมื่อเวลาเปลี่ยนไปการวางแผนโครงการควรมีลักษณะอย่างไร
(1) ลดขนาดลง
(2) เหมือนเดิม
(3) มีขนาดใหญ่โตตามกาลเวลา
(4) ใหญ่โตล้าหน้าเวลา
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 18, (คําบรรยาย) ธรรมชาติของนโยบาย แผน หรือโครงการนั้นมักจะมีขนาดใหญ่โตขึ้น ตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป กล่าวคือ เมื่อองค์การมีอายุยาวนานขึ้น มีหน้าที่มากขึ้น มีสมาชิก เพิ่มขึ้น ก็จะมีความต้องการต่าง ๆ เพิ่มขึ้น จึงทําให้นโยบาย แผน หรือโครงการมีขนาดใหญ่ขึ้น เรื่อย ๆ และมีความซับซ้อนมากขึ้นด้วย

11. การวางแผนและการประเมินผลควรเป็นหน้าที่ของใคร
(1) ผู้บริหารโครงการ
(2) ผู้ร่างโครงการ
(3) ผู้บริหารองค์กรของโครงการ
(4) ผู้ที่ได้รับผลกระทบ
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ผู้บริหารโครงการ (Project Manager) มีหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารจัดการ วางแผนงาน มอบหมายงาน ควบคุม ติดตามประเมินผลและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในโครงการ รวมถึงเป็นผู้รับผิดชอบต่อผลงานทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการดําเนินงานในโครงการ

12. ข้อใดเป็นนิยามของการประเมินผลที่ดี
(1) การวัดความสําเร็จของผลการดําเนินการ
(2) การเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นจริงจากการดําเนินการกับผลที่คาดหวังไว้
(3) การวิเคราะห์ระดับความสําเร็จของการปฏิบัติตามแผน
(4) การหาความพึงพอใจจากผลของการปฏิบัติตามแผน
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 45, (คําบรรยาย) การประเมินผลแผน/โครงการ หมายถึง การเปรียบเทียบผลที่เกิดขึ้นจริง (Exact Results) จากการดําเนินการกับผลที่คาดว่าจะได้รับ (Expected Results) จากแผน/ โครงการ หรือหมายถึงการเปรียบเทียบผลการปฏิบัติงานกับเป้าหมายหลังสิ้นสุดการปฏิบัติงานว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดไว้หรือไม่ ดังนั้นการประเมินผลแผน/โครงการจึงทําให้ทราบว่าแผน/โครงการที่ได้ดําเนินการไปแล้วนั้นประสบความสําเร็จมากน้อยเพียงไร

13. การวางแผนโครงการอาจจะสําเร็จหรือล้มเหลวส่วนมากแล้วขึ้นอยู่กับขั้นตอนใดมากเป็นพิเศษ
(1) ขั้นร่างโครงการ
(2) ขั้นประเมินโครงการ
(3) ขั้นจัดการโครงการ
(4) ขั้นประเมินผล
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) โดยทั่วไปแล้วการวางแผนโครงการจะประสบความสําเร็จหรือล้มเหลวนั้นจะขึ้นอยู่กับขั้นตอนการวางโครงการหรือการร่างโครงการเป็นสําคัญ กล่าวคือ ถ้าวางโครงการ ได้ดีมีรายละเอียดครอบคลุม มีการเก็บข้อมูลอย่างถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ ย่อมส่งผลให้ โครงการมีประสิทธิภาพ การนําไปปฏิบัติ ตลอดจนการประเมินผลสามารถทําได้โดยง่าย และโอกาสที่โครงการนั้นจะประสบความสําเร็จก็จะมีสูง

14. โครงการให้ประโยชน์อย่างมากที่สุดกับงานชนิดใด
(1) งานพัฒนา
(2) งานประจําวัน
(3) งานที่ไม่มีการแข่งขัน
(4) งานทั่วไป
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) เนื่องจากโครงการมีลักษณะเป็นงานชั่วคราวที่มุ่งดําเนินกิจกรรมเพื่อให้เกิด ผลิตผลตามแนวทางที่แผนได้วางไว้ ดังนั้นโครงการจึงให้ประโยชน์อย่างมากที่สุดกับงานพัฒนาเพราะงานพัฒนาเป็นงานที่เน้นให้มีการเปลี่ยนแปลงตามที่กําหนดไว้ในแผนนั่นเอง

15. กระบวนการใดมิใช่กระบวนการในการประเมินผลโครงการ
(1) การเก็บรวบรวมข้อมูล
(2) การวางแผนการประเมินผล
(3) การกําหนดวัตถุประสงค์ของการประเมินผล
(4) การวิเคราะห์และแปลความหมายข้อมูล
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) กระบวนการในการประเมินผลโครงการ มีดังนี้
1. การกําหนดวัตถุประสงค์ในการประเมินผลโครงการ
2. การพิจารณารายละเอียดในตัวโครงการ โดยเฉพาะวัตถุประสงค์ของโครงการ
3. การคัดเลือกเครื่องมือหรือเกณฑ์ที่จะใช้ในการประเมินผลโครงการ
4. การเก็บ วิเคราะห์ และแปลความหมายของข้อมูล
5. การสรุปผลการประเมินผลโครงการและทํารายงานการประเมินผล

16. ข้อใดมิใช่เกณฑ์ในการประเมินผลของการวางแผน
(1) ด้านประสิทธิภาพ
(2) ด้านคุณภาพ
(3) การมีส่วนร่วมในโครงการ
(4) การบรรลุผลตามเป้าหมาย
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 49, (คําบรรยาย) เกณฑ์ในการประเมินผลการวางแผนโครงการ อาจพิจารณาได้จาก ปัจจัย 5 ประการ ดังนี้
1. ด้านประสิทธิภาพ (Efficiency)
2. ด้านคุณภาพ (Quality)
3. ด้านเศรษฐกิจและการเงิน (Economic and Financial)
4. ด้านการบรรลุผลตามเป้าหมาย (Goat Attainment)
5. ด้านความสําคัญของโครงการ (Significance)

17. เมื่อเสร็จสิ้นการวางแผนโครงการแล้ว โครงการจะเข้าสู่กระบวนการใดต่อไป
(1) การวางโครงการ
(2) การบริหารโครงการ
(3) การวิเคราะห์โครงการ
(4) การศึกษาความเป็นไปได้
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 36 กระบวนการของโครงการ ประกอบด้วย 4 กระบวนการ ดังนี้
1. การวางแผนโครงการ (Program Planning)
2. การวิเคราะห์และประเมินโครงการ (Program Analysis and Appraisal)
3. การนําโครงการไปปฏิบัติ (Program Implementation)
4. การติดตามประเมินผลโครงการ (Program Evaluation)

18. การประเมินผลของการวางแผนควรพิจารณาจากสิ่งใด
(1) ทําให้รู้ความสําเร็จของโครงการ
(2) เพื่อความมั่นใจของนักบริหาร
(3) เพื่อกําหนดทิศทางของโครงการได้
(4) เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้บริหารตัดสินใจต่อไป
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

19. ความเป็นธรรมของการวางแผนสามารถพิจารณาจากอะไร
(1) ความพึงพอใจของประชาชนโดยส่วนรวม
(2) การกระจายรายได้สู่ประชาชน
(3) ความเท่าเทียมกันของผลประโยชน์
(4) ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของแผน
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การพิจารณาด้านความเป็นธรรมของนโยบาย แผน หรือโครงการนั้น อาจพิจารณา หรือวัดได้จากประโยชน์ของนโยบาย แผน หรือโครงการว่าประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับประโยชน์ จากนโยบาย แผน หรือโครงการอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่ เพราะนโยบาย แผน หรือโครงการ ที่ดีนั้นจะต้องคํานึงถึงประโยชน์ของสาธารณชนส่วนใหญ่เป็นหลัก

20. การศึกษาปัญหาต้องอาศัยองค์ประกอบอะไรของผู้วางแผน
(1) ความอดทน
(2) ความพากเพียร
(3) ภาวะผู้นํา
(4) ความคิดริเริ่ม
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 11 – 12, (คําบรรยาย) การศึกษาปัญหาเป็นการศึกษาวิเคราะห์เพื่อกําหนดปัญหา ที่ถูกต้อง และศึกษาค่านิยมที่เกี่ยวข้องสอดคล้องกับปัญหาเพื่อกําหนดแนวทางของแผน ที่เหมาะสมกับความเป็นจริง ดังนั้นการศึกษาปัญหาจึงจําเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบ หลายประการของผู้วางแผน เช่น ความรู้ ความชํานาญ ประสบการณ์ และความคิดริเริ่ม จึงจะทําให้การวางแผนสมบูรณ์ได้

21. ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในการวางแผน คืออะไร
(1) อัตราการว่างงาน
(2) อัตราเงินเฟ้อ
(3) ความหนาแน่นของประชากร
(4) สภาวะโลกร้อน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 12, (คําบรรยาย) สิ่งแวดล้อมในการวางนโยบายหรือแผน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมได้ (Controlled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่สามารถควบคุม หรือกําหนดได้อย่างแน่นอน เช่น จํานวนคนที่จะเข้ามาบริหารนโยบาย เทคโนโลยีที่ใช้ ในนโยบาย งบประมาณ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrolled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถ ควบคุมหรือกําหนดได้อย่างชัดเจน เช่น เศรษฐกิจ การเมือง ความเชื่อ ค่านิยมของคน ในสังคม ภาวะทางธรรมชาติ สภาวะโลกร้อน แผ่นดินไหว อัตราการว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ ความหนาแน่นของประชากร เป็นต้น

22. ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจนจะมีผลอย่างไรต่อการวางแผน
(1) ผลประโยชน์เป็นที่ถกเถียงได้
(2) มีประชาชนจํานวนมากได้รับประโยชน์
(3) ผลที่คาดว่าจะเกิดมีความเป็นรูปธรรม
(4) มีแนวทางดําเนินการให้เลือกได้หลายวิธี
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 10, (คําบรรยาย) ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจน (Well-Structured Problem) คือ ปัญหา ที่มีผู้เกี่ยวข้องจํานวนน้อย และมีทางออกในการแก้ไขปัญหาเพียงไม่กี่ทางเลือก ซึ่งแต่ละทางเลือก สามารถมองเห็นผลประโยชน์ของทางเลือกได้ชัดเจนไม่เป็นที่ถกเถียงได้แต่อย่างใด ดังนั้น ในการวางแผนที่ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจนจึงสามารถคาดผลที่จะเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม

23. หน่วยงานที่ร่วมกันวางแผนควรมีลักษณะอย่างไร
(1) มีจุดตัดสินใจน้อย
(2) มีความสัมพันธ์กันมาแต่เดิม
(3) ได้รับอิสระในการตัดสินใจ
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 หน้า 26 (คําบรรยาย) หน่วยงานที่ร่วมกันวางแผนต้องมีโครงสร้างเหมาะสมกับแผนงาน ที่จะวาง ซึ่งต้องเหมาะสมทั้งบรรยากาศและกลไก และต้องเปิดโอกาสให้สมาชิกได้มีอิสระในการตัดสินใจและมีส่วนร่วมในการกําหนดอนาคตขององค์การได้อย่างเต็มที่

24. ข้อใดเรียงลําดับที่ถูกต้อง
(1) นโยบาย แผน โครงการ โครงงาน
(2) แผน นโยบาย โครงการ โครงงาน
(3) โครงการ โครงงาน แผน นโยบาย
(4) โครงงาน โครงการ นโยบาย แผน
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) รูปแบบของกิจกรรมที่ใช้ในการบริหารโดยทั่วไปมี 5 รูปแบบ ซึ่งสามารถ เรียงลําดับได้ดังนี้
1. นโยบาย (Policy)
2. แผนหรือแผนงาน (Plan)
3. โครงการ (Program)
4. โครงงาน (Project)
5. งาน (Job)

25. การระบุปัญหาเป็นการอธิบายถึงปัญหาเพื่อแสดงให้เห็นอะไรต่อการนําไปใช้เพื่อการวางแผน
(1) แหล่งกําเนิดของปัญหา
(2) ความจริงของปัญหา
(3) จุดเด่นของปัญหา
(4) ความไม่มีอยู่จริงของปัญหา
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 12, (คําบรรยาย) การระบุปัญหา คือ การศึกษาว่าอะไรคือปัญหาหรือความจริงของปัญหา คืออะไร โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากสถานที่จริงหรือข้อมูลภาคสนามหรือข้อมูลปฐมภูมิ หรือข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ หรือข้อมูลทุติยภูมิ เพื่อที่จะทราบปัญหาและจําแนกว่าปัญหาใด เร่งด่วนกว่า มีสาเหตุจากอะไร และประชาชนรับรู้เพียงใด ดังนั้นการระบุปัญหาจึงเป็นขั้นตอน ที่มีความสําคัญที่สุดในกระบวนการกําหนดนโยบาย เพราะการระบุปัญหาที่ถูกต้องจะนําไปสู่ การกําหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป

26. สภาพแวดล้อมของการวางแผนที่ไม่สามารถควบคุมได้ คือ
(1) เงินเดือน
(2) เวลาทํางาน
(3) เศรษฐกิจ
(4) กําลังการผลิต
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

27. ข้อใดคือวิธีการวัดประสิทธิผลของการวางแผน
(1) แผนการรายงาน
(2) แผนตรวจงาน
(3) แผนประเมินผลงาน
(4) แบบวิธีทดลอง
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การประเมินผลโดยการวัดประสิทธิผล (Effectiveness Evaluation) ของ การวางนโยบายหรือแผน คือ การประเมินผลโดยการพิจารณาว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการดําเนินการตามนโยบายหรือแผนนั้นตรงกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่วางไว้หรือไม่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ
1. แบบธรรมดาหรือแบบที่ไม่ใช่วิธีการทดลอง
2. แบบวิธีกึ่งทดลอง
3. แบบวิธีทดลอง

28. การวางแผนเชิงกลยุทธ์มักจะใช้การวิเคราะห์แบบ SWOT ซึ่ง SWOT หมายถึงอะไร
(1) หน่วยงานในการวางนโยบายที่มีชื่อเสียง
(2) องค์กรที่มักจะถูกอ้างอิงเสมอในการวางนโยบาย
(3) เทคนิคที่ใช้ในการประเมินผลความสําเร็จ
(4) เทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การวางแผนเชิงกลยุทธ์มักจะใช้การวิเคราะห์แบบ SWOT โดย SWOT นั้น ถือเป็นเทคนิคสําคัญที่ใช้ในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมขององค์การ ซึ่งประกอบด้วย
1. การวิเคราะห์จุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน (Weaknesses) ขององค์การ ซึ่งเป็น การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในองค์การ
2. การวิเคราะห์โอกาส (Opportunities) และอุปสรรค (Treats) ขององค์การ ซึ่งเป็น การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกองค์การ

29. การกําหนดเป้าหมายของนโยบายควรมีลักษณะแบบใด
(1) เที่ยงตรง
(2) เปิดช่องให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตีความได้
(3) ครอบคลุมประเด็นปัญหา
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 70 การกําหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบายควรมีลักษณะดังนี้
1. มีความเที่ยงตรง
2. มีความชัดเจน เข้าใจตรงกันไม่ต้องตีความ
3. มีความเป็นไปได้
4. ครอบคลุมประเด็นปัญหา
5. วัดผลได้

30. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับความจําเป็นในการวางแผน
(1) เพื่อสร้างความยอมรับการดําเนินงาน
(2) เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของนโยบาย
(3) เพื่อเรียนรู้ถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
(4) เพื่อประหยัดงบประมาณ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ความจําเป็นในการวางแผน มีดังนี้
1. เพื่อสร้างความยอมรับการดําเนินงาน
2. เพื่อป้องกันมิให้เกิดปัญหาและความผิดพลาด หรือลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในการปฏิบัติงานในอนาคต
3. เพื่อเรียนรู้ถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
4. เพื่อให้เกิดการประหยัดทรัพยากรทางการบริหาร เช่น บุคลากร งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ เวลา เป็นต้น
5. เพื่อให้การปฏิบัติงานรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ สามารถควบคุมติดตามการปฏิบัติงานตาม นโยบายได้ง่าย ฯลฯ

31. ข้อใดเป็นสิ่งที่ทําให้บุคลากรรู้รายละเอียดของแต่ละคนว่ามีบทบาทหน้าที่เป็นอย่างไร
(1) ระบบสายงาน
(2) ความยืดหยุ่น
(3) การจัดแบ่งลักษณะพิเศษ
(4) การรวมศูนย์อํานาจ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย ) ระบบสายงาน (Configuration) เป็นโครงสร้างที่ทําให้รู้รายละเอียดของแต่ละคน ว่ามีบทบาทหน้าที่และการสังกัดส่วนงานเป็นอย่างไร มีความเชื่อมโยงกับผู้บังคับบัญชาและ ส่วนงานต่าง ๆ อย่างไร ระบบสายงานนี้สามารถแสดงให้เห็นได้ด้วยแผนภูมิขององค์การ

32. สิ่งที่องค์การคาดหวังให้เกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าคือข้อใด
(1) ภารกิจ
(2) วิสัยทัศน์
(3) เป้าหมาย
(4) กลยุทธ์ธุรกิจ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) วิสัยทัศน์ (Vision) คือ สิ่งที่องค์การต้องการจะเป็น หรือเป็นสิ่งที่องค์การคาดหวัง ให้เกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้า เช่น วิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง คือ เป็นสถาบันหลัก ที่มุ่งขยายโอกาสทางการศึกษาเพื่อพัฒนาคนให้พัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน เป็นต้น

33. ข้อใดเป็นการทําให้มีกฎระเบียบ และคําสั่งที่ออกมานั้นมีผลบังคับใช้จึงต้องเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร
(1) การรวมศูนย์อํานาจ
(2) ระบบสายงาน
(3) การทําให้เป็นทางการ
(4) การจัดแบ่งลักษณะพิเศษ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การทําให้เป็นทางการ (Formalization) คือ การทําให้กฎระเบียบ และคําสั่ง ที่ออกมานั้นมีผลบังคับใช้โดยการเขียนออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร

34. การร่วมมือกันในการจัดวางโครงการต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้าว่าจะต้องทําอะไรบ้างและทําอย่างไร เพื่อให้งาน บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ หมายถึงข้อใด
(1) การวางแผน
(2) การจัดองค์กร
(3) การจัดคนเข้าทํางาน
(4) การควบคุม
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) การวางแผน (Planning) หมายถึง การร่วมมือกันในการจัดวางโครงการต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้าว่าจะต้องทําอะไรบ้างและทําอย่างไร เพื่อให้งานบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

35. ข้อใดเป็นผลลัพธ์ที่คาดหวังที่ต้องการให้เกิดขึ้นจากการวางแผน
(1) เป้าหมาย
(2) ภารกิจ
(3) วิสัยทัศน์
(4) วัตถุประสงค์
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) เป้าหมาย (Goal) เป็นผลลัพธ์ (Outcomes) ที่คาดหวังที่ต้องการให้เกิดขึ้น ในอนาคตจากการวางนโยบาย แผน หรือโครงการ

36. ข้อใดไม่ใช่ผู้กําหนดนโยบายสาธารณะอย่างไม่เป็นทางการ
(1) พรรคการเมือง
(2) นักวิชาการ
(3) กลุ่มผลประโยชน์
(4) สื่อมวลชน
(5) รัฐสภา
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ผู้กําหนดนโยบายสาธารณะ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ผู้กําหนดนโยบายสาธารณะอย่างเป็นทางการ เช่น รัฐสภา รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ศาล เป็นต้น
2. ผู้กําหนดนโยบายสาธารณะอย่างไม่เป็นทางการ เช่น พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มนักวิชาการ สื่อมวลชน เป็นต้น

37.Bazi จําแนกกิจกรรมการนําโครงการไปปฏิบัติเป็น 3 กระบวนการ ข้อใดไม่ใช่กระบวนการทั้ง 3 นั้น
(1) เขียนโครงการอีกครั้ง
(2) วิเคราะห์โครงการอีกครั้ง
(3) เริ่มต้นการทํางาน
(4) กําหนดรูปแบบการทํางาน
(5) ผิดทุกข้อ ตอบ 1 หน้า 42 – 43 Bazzi ได้จําแนกกิจกรรมการนําโครงการไปปฏิบัติออกเป็น 3 กระบวนการ ได้แก่
1. การวิเคราะห์โครงการอีกครั้งหนึ่ง (Project Reappraisal)
2. การเริ่มต้นการทํางาน (Action Initiation)
3. การกําหนดรูปแบบการทํางาน

38. จุดมุ่งหมายของการประเมินผลโครงการคืออะไร
(1) เพื่อทราบถึงความก้าวหน้าของการปฏิบัติงานตามโครงการ
(2) เพื่อปรับปรุงงาน
(3) เพื่อสนับสนุน ขยายโครงการ หรือยกเลิกโครงการ
(4) เพื่อศึกษาทางเลือก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) จุดมุ่งหมายของการประเมินผลโครงการ มีดังนี้
1. เพื่อทราบถึงความก้าวหน้าของการปฏิบัติงานตามโครงการ
2. เพื่อปรับปรุงงาน
3. เพื่อสนับสนุน ขยายโครงการ หรือยกเลิกโครงการ
4. เพื่อศึกษาทางเลือก

39. ความหมายของการประเมินผลโครงการ หมายถึง
(1) การติดตามผลการปฏิบัติงาน
(2) การเปรียบเทียบผลการปฏิบัติงานกับเป้าหมายหลังสิ้นสุดการปฏิบัติงาน
(3) การรายงานความก้าวหน้า หรือความล้มเหลวของโครงการ
(4) การประเมินสมรรถนะของผู้รับผิดชอบโครงการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

40. ขั้นตอนแรกในการวางแผนโครงการในการปฏิบัติงานคืออะไร
(1) ขั้นการกําหนดโครงการ
(2) ขั้นการจัดทํารายละเอียดของโครงการ
(3) ขั้นการดําเนินงานตามโครงการ
(4) การติดตามประเมินผลโครงการ
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ขั้นตอนของการวางแผนโครงการ มีดังนี้
1. การรวบรวมข้อมูลและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ทําให้รับรู้ถึงปัญหาและความต้องการต่าง ๆ และสามารถประเมินสถานการณ์ที่แท้จริงได้อย่างถูกต้อง
2. การวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ
3. การกําหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย คือ การระบุสภาพของผลลัพธ์ที่ต้องการจะให้เกิดขึ้น
4. การเสนอเพื่อพิจารณา จะอนุมัติหรือไม่อนุมัติ
5. การคิดค้นทางเลือก เป็นขั้นตอนที่ต้องทํารายละเอียด 6W 2H
6. การวิเคราะห์เปรียบเทียบทางเลือก โดยการใช้ข้อมูลจากผลการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการมาพิจารณา
7. การเสนอเพื่อพิจารณาอีกรอบหนึ่ง จะอนุมัติหรือไม่อนุมัติ
8. การจัดทําข้อเสนอโครงการ

41. องค์ประกอบของแผนปฏิบัติการมีอะไรบ้าง
(1) วัตถุประสงค์ เป้าหมาย กิจกรรม ขั้นตอนการปฏิบัติ งบประมาณ ผู้รับผิดชอบ
(2) คํานํา วัตถุประสงค์ ขั้นตอน ตารางการทํางาน งบประมาณ
(3) การกําหนดปัญหา วัตถุประสงค์ นิยามศัพท์ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
(4) การกําหนดปัญหา วัตถุประสงค์ ขอบเขตของโครงการ ระยะเวลาที่ใช้
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1 (คําบรรยาย) แผนปฏิบัติการหรือแผนการดําเนินงาน (Operation Plan) เป็นการวางแผนที่ กําหนดจุดมุ่งหมายระยะสั้น ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี ซึ่งถ่ายทอดมาจากแผนกลยุทธ์ องค์ประกอบ ของแผนปฏิบัติการจะประกอบด้วย วัตถุประสงค์ เป้าหมาย กิจกรรม ขั้นตอนการปฏิบัติ งบประมาณ และผู้รับผิดชอบในการดําเนินงาน โดยแผนปฏิบัติการนี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แผนประจํา (Standing Plan) และแผนใช้เฉพาะครั้ง (Single-Use Plan)

42. แผนปฏิบัติการได้แก่อะไรบ้าง
(1) แผนประจําวัน และแผนตามระยะเวลา
(2) แผนปฏิบัติการประจําวัน และแผนฉุกเฉิน
(3) แผนประจํา และแผนใช้เฉพาะครั้ง
(4) แผนตามระยะเวลา และแผนปฏิบัติการรายเดือน
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ

43. แผนปฏิบัติการแบ่งออกเป็นกี่ประเภท
(1) 1 ประเภท
(2) 2 ประเภท
(3) 3 ประเภท
(4) 4 ประเภท
(5) 5 ประเภท
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ

44. แนวทางกว้าง ๆ ไม่เจาะจง ยืดหยุ่นสูง เป็นลักษณะของอะไร
(1) วัตถุประสงค์
(2) โครงการ
(3) แผน
(4) นโยบาย
(5) ยุทธวิธี
ตอบ 4 หน้า 1, 60 ลักษณะทั่วไปของนโยบาย มีดังนี้
1. เป็นแนวทางกว้าง ๆ ในการปฏิบัติงาน คือ ไม่เจาะจงและยืดหยุ่นสูง
2. มีจุดมุ่งหมายหรือวัตถุประสงค์ ซึ่งอาจเป็นวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดที่สําคัญมาก ๆ เช่น เป็นประโยชน์ขององค์การ เป็นต้น
3. เป็นข้อเสนอเกี่ยวกับการปฏิบัติ คือ นโยบายจะเป็นเครื่องชี้นําให้มีการปฏิบัติตาม นโยบายต้องเสนอแนะแนวทางที่สามารถปฏิบัติเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ด้วย

45. แผนโครงการ หมายถึง
(1) แผนงานย่อยที่ประกอบด้วยกิจกรรมหลายกิจกรรม ระบุรายละเอียดชัดเจน
(2) แผนงานเพื่อการแก้ไขปัญหาสังคม
(3) แผนงานเพื่อการแก้ไขปัญหาองค์การ
(4) แผนงานเพื่อการกําหนดผู้รับผิดชอบ
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1 (คําบรรยาย) แผนโครงการ หมายถึง แผนงานย่อยที่ประกอบด้วยกิจกรรมหลายกิจกรรมระบุรายละเอียดชัดเจน

46. การวางแผนแบบใดเป็นการวางแผนที่กําหนดจุดมุ่งหมายระยะสั้น ระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี
(1) แผนปฏิบัติการ
(2) การวางแผนโครงการ
(3) การวางแผนฉุกเฉิน
(4) การวางแผนงานด่วน
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ

47. การวางแผนแบบใดเป็นการวางแผนครอบคลุมกิจกรรมทั้งหมดขององค์การ
(1) การวางแผนประจําปี
(2) การวางแผนการประเมินผล
(3) การวางแผนโครงการ
(4) การวางแผนกลยุทธ์
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning) เป็นการวางแผนที่ครอบคลุม กิจกรรมทั้งหมดขององค์การ ซึ่งมักจะเป็นแผนระยะยาว 5 – 10 ปี โดยแผนกลยุทธ์นี้ จะต้องสอดคล้องกับแผนระดับนโยบาย

48. การแบ่งระดับของการวางแผนตามลักษณะของการบริหารงานในองค์การได้แก่อะไรบ้าง
(1) การวางแผนนโยบาย การวางแผนกําหนดเป้าหมาย และการประเมินผล
(2) การวางแผนกําหนดเป้าหมาย การวางแผนกําหนดวิธีการ และการวางแผนกระบวนการ
(3) การวางแผนนโยบาย การวางแผนกลยุทธ์ และแผนการดําเนินงาน
(4) การวางแผนกําหนดกระบวนการ การวางแผนกําหนดทรัพยากร และการวางแผนเพื่อนําไปปฏิบัติ
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การแบ่งระดับของการวางแผนตามลักษณะของการบริหารงานในองค์การ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
1. การวางแผนนโยบาย (Policy Planning)
2. การวางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning)
3. การวางแผนปฏิบัติการหรือแผนการดําเนินงาน (Operation Planning)

49. การแบ่งระดับของการวางแผนตามลักษณะของการบริหารงานในองค์การ สามารถแบ่งออกเป็นกี่ระดับ
(1) 2 ระดับ
(2) 3 ระดับ
(3) 4 ระดับ
(4) 5 ระดับ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 48. ประกอบ

50.การวางแผน หมายถึงอะไร
(1) การกําหนดจุดหมายหรือเป้าหมาย
(2) วิธีการและกระบวนการ
(3) ทรัพยากรและงบประมาณ
(4) การนําแผนไปปฏิบัติ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) องค์ประกอบของการวางแผน มีดังนี้
1. การกําหนดจุดหมายหรือเป้าหมาย
2. วิธีการและกระบวนการ
3. ทรัพยากรและงบประมาณ
4. การนําแผนไปปฏิบัติ
5. การประเมินผลแผน

51. ข้อใดไม่ใช่รูปร่างของนโยบายสาธารณะ
(1) เป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ
(2) มติ ครม
(3) แผน โครงการ
(4) ประกาศของธนาคารกรุงเทพ
(5) ผิดทุกข้อที่กล่าวมา
ตอบ 4 หน้า 2 นโยบายมีรูปร่างและรูปแบบหลายลักษณะตามการใช้ประโยชน์ของนโยบาย ดังนี้
1. มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง
2. มีรูปเป็นแผนงาน โครงการ
3. มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ เพื่อแจ้งข่าวสารหรือเชิญชวน ซึ่งมีลักษณะบังคับน้อยที่สุด
4. มีรูปเป็นสัญญา
5. มีรูปเป็นอื่น ๆ หรืออาจไม่มีรูปร่างให้เห็นชัดเจน เช่น คําแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี และมติคณะรัฐมนตรี เป็นต้น

52. การศึกษาแนววิเคราะห์นโยบายได้มีจุดเริ่มต้นที่ใด
(1) เมื่อ Max Weber ได้ศึกษาระบบราชการ
(2) ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
(3) เมื่อ Mayo ได้ทดลองค้นคว้าที่เรียกว่า Hawthorne Study
(4) เมื่อมีกลุ่มนักทฤษฎีสมัยใหม่
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 6 – 7 การศึกษาแนววิเคราะห์นโยบาย ถือเป็นแนวทางที่นักรัฐประศาสนศาสตร์ นิยมใช้กันมาก โดยเป็นการศึกษาที่เน้นการวิเคราะห์โดยทั่วไป (ในภาพรวม) มิใช่เป็น การศึกษารายกรณี และมีเทคนิควิธีการศึกษาที่ใช้หลักสหวิทยาการหรือหลักการของวิชาการหลายสาขามาศึกษาวิเคราะห์ ซึ่งการศึกษาตามแนวนี้ได้มีจุดเริ่มต้นระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ริเริ่ม

53. ข้อมูลที่ต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก คือ
(1) ข้อมูลที่ยังไม่ได้กรอง
(2) ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts)
(3) ข้อมูลที่เป็นความเชื่อ (Values)
(4) ข้อมูลทุกประเภท
(5) ข้อมูลที่เกี่ยวกับโครงการของดิน
ตอบ 3 หน้า 11 การระบุสาเหตุของปัญหาในกระบวนการกําหนดนโยบายต้องอาศัย “ข้อมูล” เป็นสําคัญ โดยข้อมูลในการระบุสาเหตุของปัญหาต้องประกอบด้วย
1. ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts) เป็นข้อมูลที่มีลักษณะคงที่ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ลักษณะของดินฟ้าอากาศ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
2. ข้อมูลที่เป็นความเชื่อหรือค่านิยม (Values) เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับความยึดมั่น ความเชื่อถือ ของประชาชน ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก

54. ผู้มีหน้าที่หลักในการกําหนดนโยบายสาธารณะ
(1) ฝ่ายการเมือง
(2) ข้าราชการประจํา
(3) เอกชน
(4) นักธุรกิจ
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ฝ่ายการเมืองมีหน้าที่หลักในการกําหนดนโยบายสาธารณะ ส่วนข้าราชการประจํา มีหน้าที่ในการนํานโยบายสาธารณะไปปฏิบัติให้บรรลุผลสําเร็จตามเป้าหมายที่กําหนดไว้

55. ข้อใดเป็นคํากล่าวที่ถูกต้องในเรื่องประเภทของแผน
(1) แผนระยะยาว 5 ปีขึ้นไป
(2) แผนระยะสั้น 3 ปี
(3) แผนระยะปานกลาง 6 ปี
(4) แผนระยะสั้น 4 ปี
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 23 (คําบรรยาย) การจําแนกประเภทของแผนหรือแผนงาน (Plan) โดยใช้เกณฑ์ ระยะเวลา (Time Scan) อาจจําแนกได้ดังนี้
1. แผนระยะสั้น เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 1 – 2 ปี ซึ่งสามารถวางแผนได้ง่าย เนื่องจากข้อมูลมีลักษณะกว้าง ๆ ง่าย ๆ
2. แผนระยะปานกลาง เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 2 – 5 ปี ซึ่งนิยมใช้เป็นแผนพัฒนาประเทศ
3. แผนระยะยาว เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป

56.TP. หมายถึง
(1) เวลาที่ผ่านไป
(2) Target Planning
(3) Team Planning
(4) การทํางานเป็นทีม
(5) ทฤษฎีการวางแผน
ตอบ 3 หน้า 33 – 34, (คําบรรยาย) การวางแผนแบบทีมวางแผน (Team Planning : TP.) คือ การวางแผนเป็นทีมที่เน้นหลักการมีส่วนร่วมและการระดมสมอง (Brain Storm) ซึ่งมี 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. ร่วมกันกําหนดเป้าหมาย (Targets) ของหน่วยงานให้ชัดเจนตรงกัน
2. ร่วมกันกําหนดอนาคต (Scenario) หรือวิสัยทัศน์ (Vision) ที่ต้องการโดยคิดล่วงหน้า 3 – 5 ปี
3. ร่วมกันหาสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางหรือข้อจํากัด (Obstructions) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
4. ร่วมกันกําหนดแผน (Plan) หรือกลยุทธ์ (Strategies) โดยใช้การวิเคราะห์ SWOT เข้าช่วย
5. ร่วมกันกําหนดกลวิธี (Tactics) หรือโครงการให้สอดคล้องกับแผนที่วางไว้
6. ร่วมกันจัดทําแผนปฏิบัติ (Action Plan) ของโครงการ โดยเน้นให้เกิดผลภายใน 90 วัน หรือที่เรียกว่า 90 Day Implementation Plan

57. วิธีการวางแผนทั้งหลายจําแนกเป็นขั้นตอนในการวางแผนได้ 2 ระยะ คือ การวางแผนกลยุทธ์กับอะไร
(1) การวางแผนรวม
(2) การวางแผนบริหาร
(3) การวางแผนดําเนินการ
(4) การวางแผนสังคม
(5) การวางแผนพัฒนา
ตอบ 3 หน้า 37, (คําบรรยาย) กระบวนการวางแผน/โครงการ อาจจําแนกได้เป็น 2 ระยะ คือ
1. การวางแผน/โครงการกลยุทธ์ (Strategic Planning) มีเป้าหมายที่สําคัญที่สุด คือ การกําหนดกรอบเค้าโครง ทิศทางและแนวทางสําคัญของแผน/โครงการอย่างกว้าง หรือคร่าว ๆ ซึ่งประกอบด้วยงานที่ต้องทําหลายอย่าง เช่น การคัดเลือกข้อมูล วัตถุประสงค์ ภารกิจ และแนวทางกลยุทธ์ รวมทั้งการคาดคะเนแนวโน้ม เพื่อนําไปสู่ การวิเคราะห์หาทางเลือกหรือแนวทางที่เหมาะสมที่สุด (The Best Alternative)
2. การวางแผน/โครงการดําเนินการ (Operational Planning) เป็นการนําเอาทางเลือกที่ เหมาะสมที่สุดมากําหนดรายละเอียดในวิธีการปฏิบัติที่ผู้ปฏิบัติจําเป็นต้องรู้ให้ครบถ้วน

58. การส่งมอบงานตึกการกีฬาแห่งประเทศไทย
(1) Policy Formulation
(2) Policy Analysis
(3) Policy Evaluation
(4) Policy Implementation
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 17, (คําบรรยาย) การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอนของ การแปลงวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ในนโยบาย ซึ่งอาจเป็นกฎหมาย คําสั่ง หรือมติของคณะรัฐมนตรี ให้เป็นแผนงาน โครงการ และกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม โดยจะต้องมีการจัดหา/การตระเตรียม วิธีการ ตลอดจนทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อดําเนินการให้สําเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้

59. สถาบันที่มีหน้าที่ริเริ่มกําหนดนโยบายและมีอํานาจอิทธิพลต่อนโยบายมาก คือ
(1) สถาบันทหาร
(2) สถาบันศาล
(3) สถาบันทางรัฐสภา
(4) สถาบันการปกครอง
(5) สถาบันการปกครองท้องถิ่น
ตอบ 4 หน้า 6, (คําบรรยาย) ตัวแบบสถาบัน (Institution Model) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะ เป็นผลผลิตของโครงสร้างสถาบันการปกครอง กล่าวคือ นโยบายใด ๆ ก็ตามจะได้ชื่อว่าเป็น นโยบายสาธารณะก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองโดยสถาบันแล้วเท่านั้น ซึ่งนโยบายก็มักจะเป็นไป ตามที่สถาบันการปกครองกําหนดเองหรือให้ประโยชน์กับสถาบันการปกครอง ตัวอย่างสถาบัน การปกครอง ได้แก่ สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) สถาบันบริหาร (นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี) สถาบันราชการ (หน่วยงานของรัฐ) สถาบันตุลาการ (ศาล) สถาบันการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น

60. คํากล่าวที่ว่า “การวางแผน คือ Set of Temporally Linked Actions” เป็นของใคร
(1) Jose Villamil
(2) ดร.อมร รักษาสัตย์
(3) Albert Waterston
(4) William Dunn
(5) Gulick and Urwick
ตอบ 1 หน้า 25 Jose Vittamil กล่าวว่า “การวางแผนเป็นการกระทําที่เป็นกระบวนการ (Set of Temporally Linked Actions) ที่นําไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ (Desired end State) โดยการ ตัดสินใจแต่ละครั้งนั้นมุ่งให้เกิดการรวมชาติหรือการเปลี่ยนแปลง โดยมีการผิดพลาดน้อยที่สุด”

ตั้งแต่ข้อ 61 – 65. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Lasswell
(2) Yehezkel Dror
(3) David Easton
(4) Well-Structured
(5) Uncontrolled Environment

61. สิ่งแวดล้อมของนโยบายซึ่งควบคุมไม่ได้
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

62. โครงสร้างปัญหาที่มองได้ชัดเจน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ

63. นโยบายต้องเป็นศาสตร์ที่นําไปสู่การปฏิบัติได้จริง
ตอบ 1 หน้า 7 Harrold Lasswell ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งนโยบายศาสตร์” เห็นว่า นโยบายไม่ใช่เพียงต้องการความเป็นศาสตร์เท่านั้น แต่ต้องสามารถเป็นศาสตร์ที่นําไปสู่การปฏิบัติได้จริง โดยหนทางสู่ความเป็นศาสตร์นั้นต้องเริ่มต้นด้วยการมีนโยบายสาธารณะที่ดี ซึ่งต้องพัฒนามาจากระบวนการตัดสินใจที่ถูกต้องเหมาะสม มีหลักการ เต็มเปี่ยมด้วยเหตุผล และยึดมั่นในหลักการของวิชาการในเรื่องนั้น ๆ

64. เสนอตัวแบบประโยชน์สูงสุด
ตอบ 2 หน้า 7 Yehezket Dror นักวิชาการแนวนโยบายศาสตร์ ได้เสนอตัวแบบที่เรียกว่า “ตัวแบบประโยชน์สูงสุด” (Optimal Model)

65. ผู้คิดค้นและเสนอ System Model
ตอบ 3 หน้า 7, (คําบรรยาย) David Easton เป็นผู้คิดค้นและเสนอ “ตัวแบบหรือทฤษฎีระบบ” (System Model Theory) ซึ่งตัวแบบนี้เชื่อว่า นโยบายสาธารณะเป็นผลของปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสิ่งแวดล้อมภายนอกกับระบบการเมือง โดยตัวระบบการเมืองจะทําหน้าที่เป็น ตัวกระทําของระบบ (Conversion Process) ขณะที่สิ่งแวดล้อมนอกระบบการเมือง เช่น ข้อเรียกร้อง/ความต้องการ หรือการสนับสนุนของประชาชนจะเป็นปัจจัยนําเข้าของระบบ (Inputs) และนโยบายสาธารณะจะเป็นผลผลิต (Outputs) ของระบบ ดังนั้นประสิทธิภาพ ของนโยบายสาธารณะจึงขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมภายนอกและระบบการเมือง

ตั้งแต่ข้อ 66. – 70. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
หากสรุปว่ากระบวนการของแผนประกอบด้วยกระบวนการ ได้แก่
(1) กําหนดปัญหา
(2) ตั้งเป้าหมาย
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) ลงมือวางแผน
(5) ประเมินผล

66. กระบวนการใดทําให้เกิดผลงานที่ประชาชนใช้ประโยชน์ได้
ตอบ ไม่มีข้อถูก (คําบรรยาย) อาจสรุปได้ว่ากระบวนการของแผน ประกอบด้วย 7 กระบวนการ ดังนี้
1. กําหนดปัญหา
2. การตั้งเป้าหมาย/วัตถุประสงค์
3. การศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
4. ลงมือวางแผน เป็นการลงมือเขียนแผนให้ถูกต้อง โดยหน้าที่ของผู้วางแผนจะสิ้นสุดที่กระบวนการนี้
5. การประเมินแผน เป็นกระบวนการที่เราจะได้รับแผนที่สมบูรณ์ โดยการศึกษาวิเคราะห์แผนว่ามีความสมบูรณ์ เหมาะสมที่จะนําไป ปฏิบัติได้จริงหรือไม่ จากนั้นจึงน่าเสนอแผนให้ผู้มีอํานาจพิจารณาอนุมัติ เพื่อนําแผนไปปฏิบัติ
6. การนําแผนไปปฏิบัติ เป็นกระบวนการที่ทําให้เกิดผลงานที่ประชาชนใช้ประโยชน์ได้
7. การประเมินผล (Evaluation) เป็นกระบวนการที่ทําให้ทราบถึงผลสําเร็จและเก็บเป็น ข้อมูลสะสมเพื่อการวางแผนในโอกาสต่อ ๆ ไป

67. กระบวนการใดต้องใช้ผู้ที่เชี่ยวชาญหลายสาขามากที่สุด
ตอบ 4 หน้า 27 งานวางแผนเป็นงานระดับกลุ่ม ดังนั้นการลงมือวางแผนจึงต้องประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ สาขามาร่วมกันสร้างแผน โดยมีนักวางแผนเป็นผู้ประสานให้การวางแผน ไปสู่จุดหมายร่วมกันขององค์การได้

68. กระบวนการใดทําให้ได้รับข้อมูลสะสมเพื่อการวางแผนในโอกาสต่อ ๆ ไป
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 66. ประกอบ

69. ขั้นตอนใดที่เราจะได้รับแผนที่สมบูรณ์
ตอบ ไม่มีข้อถูก ดูคําอธิบายข้อ 66. ประกอบ

70. หน้าที่ของผู้วางแผนจะสิ้นสุดที่กระบวนการใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 66. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 71 – 75. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Authorization
(2) Formality
(3) Specificity
(4) Completeness
(5) Efficiency

71. แผนต้องถือหลักประสิทธิภาพ
ตอบ 5 หน้า 21 – 23 ลักษณะของแผน มีดังนี้
1. Efficiency คือ แผนต้องถือหลักประสิทธิภาพ
2. Specificity คือ การวางแผนต้องมีความชัดเจน ไม่คลุมเครือ
3. Completeness คือ ทรัพยากรในการวางแผนต้องพร้อม
4. Formality คือ กระบวนการของแผนต้องใช้เป็นทางการเป็นหลัก
5. Authorization คือ การกระจายอํานาจให้หน่วยวางแผนมีอิสระในการวางแผน ฯลฯ

72. ทรัพยากรในการวางแผนต้องพร้อม
ตอบ 4 : ดูคําอธิบายข้อ 71. ประกอบ

73. การกระจายอํานาจให้หน่วยวางแผนมีอิสระ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 71. ประกอบ

74. กระบวนการของแผนต้องใช้เป็นทางการเป็นหลัก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 71. ประกอบ

75. การวางแผนต้องไม่คลุมเครือ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 71. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 76 – 80. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Elite Model
(2) Group Model
(3) Institution Model
(4) System Model
(5) Game Theory

76. เป็นผลผลิตของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร เป็นต้น
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 59. ประกอบ

77. นโยบายสาธารณะที่กําหนดขึ้นมาตามความต้องการของผู้มีอํานาจ
ตอบ 1 หน้า 3 – 4 ตัวแบบผู้นํา (Elite Model) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะเกิดขึ้นจากความต้องการ ของผู้นําหรือผู้มีอํานาจ หรือเป็นแนวทางที่สะท้อนค่านิยมที่เลือกสรรแล้วของผู้นํา โดยไม่จําเป็นต้องสนใจว่าสาธารณชนจะสนใจหรือพึงพอใจหรือไม่ ซึ่งนโยบายที่ออกมาก็มักจะให้ประโยชน์แก่ผู้นําและผู้ใกล้ชิดเอง ดังนั้นสถานการณ์ที่จะเกิดนโยบายตามตัวแบบนี้ได้จึงต้องเป็นสถานการณ์ ที่ผู้นํามีอํานาจสูงมากในทางการเมืองหรือทางสังคม เช่น การปกครองในระบอบสมบูรณาญา สิทธิราชย์ หรือในภาวะการปฏิวัติรัฐประหาร เป็นต้น

78. ในการกําหนดนโยบายรู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ตัวแบบทฤษฎีเกม (Game Theory) เชื่อว่า การกําหนดนโยบายเป็นการตัดสินใจ ภายใต้ภาวะของการต่อสู้และแข่งขัน โดยมีแนวคิดพื้นฐานว่า “รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”จึงเป็นตัวแบบที่เหมาะสมกับการกําหนดนโยบายในภาวะสงคราม

79. แสวงหาลู่ทางในการประนีประนอมเพื่อทําให้เกิดดุลยภาพของการแข่งขัน
ตอบ 2 หน้า 4 – 5, 66 – 67, (คําบรรยาย) ตัวแบบกลุ่ม (Group Model) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะ เป็นผลผลิตที่เกิดจากดุลยภาพของการแข่งขันระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม ซึ่งแต่ละกลุ่ม ต่างดิ้นรนแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิอํานาจในการเป็นผู้คุมกลไกนโยบายของรัฐ ดังนั้น รัฐหรือระบบการเมืองจึงมีหน้าที่ 4 ประการ ได้แก่
1. สร้างกติกาการแข่งขันและเป็นกรรมการหรือผู้ควบคุมการแข่งขันให้เกิดความยุติธรรม
2. แสวงหาลู่ทางในการประนีประนอมเพื่อทําให้เกิดดุลยภาพของการแข่งขัน
3. จัดสรรผลประโยชน์หรือกําหนดนโยบาย
4. นํานโยบายไปปฏิบัติ

80. ประสิทธิภาพของนโยบายสาธารณะขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมภายนอก
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 65. ประกอบ

81. ข้อใดมิใช่ภารกิจที่สําคัญในการประเมินโครงการ
(1) การวิเคราะห์ความอยู่รอดของโครงการ
(2) การวิเคราะห์ความคุ้มทุนของโครงการ
(3) การคาดคะเนสิ่งแวดล้อมในอนาคตของโครงการ
(4) การทําความเข้าใจกับตัวโครงการให้ถ่องแท้
(5) การวิเคราะห์หาความเชื่อมั่นว่าโครงการเหมาะสมที่สุดหรือยัง
ตอบ 1 หน้า 39 – 40, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการ มีความหมาย 2 ลักษณะ คือ
1. เป็นการศึกษาถึงโอกาสความสําเร็จในการดําเนินโครงการ โดยการวิเคราะห์และประเมินหาความเชื่อมั่นว่าตัวโครงการที่ร่างเสร็จแล้วนั้นมีความสมบูรณ์เหมาะสมที่จะนําไปปฏิบัติ ได้จริงหรือไม่ เช่น การวิเคราะห์หรือการคาดคะเนสิ่งแวดล้อมในอนาคตของโครงการ การวิเคราะห์ความคุ้มทุนของโครงการ เป็นต้น
2. เป็นการศึกษาทําความเข้าใจกับตัวโครงการให้ถ่องแท้ โดยการวิเคราะห์จําแนกแยกแยะ เปรียบเทียบข้อดีข้อด้อยและผลที่คาดว่าจะได้รับ หากมีการนําโครงการไปดําเนินการหรือนําไปปฏิบัติจริง พร้อมกับศึกษาว่าผลที่คาดว่าจะได้รับหรือผลที่จะเกิดขึ้นนั้นเหมาะสม มีคุณค่า มีประโยชน์ สมควรแก่การลงทุนดําเนินโครงการต่อไปหรือไม่

82. ข้อมูลที่นับว่ามีอิทธิพลหรือเป็นกลไกสําคัญในการวางแผน ได้แก่ ข้อมูลทางการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษาอิทธิพลของธรรมชาติ และอะไร
(1) กลุ่มผลประโยชน์
(2) พรรคการเมือง
(3) ศาสนาและความเชื่อ
(4) กลไกราคา
(5) ความร่วมมือระหว่างองค์การที่เกี่ยวข้อง
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ข้อมูลที่นับว่ามีอิทธิพลหรือเป็นกลไกสําคัญในการวางแผน ได้แก่ ข้อมูลทาง ด้านการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา อิทธิพลของธรรมชาติ ศาสนาและความเชื่อ เป็นต้น

83.การวางแผนแบบรายโครงการถือเป็นการวางแผนในกระสวน (Pattern) ชนิดใด
(1) Bottom-up Process
(2) Top-down Process
(3) Comprehensive Planning
(4) Aggregative Planning
(5) Global Planning
ตอน 1 หน้า 28 (คําบรรยาย) การวางแผนแบบรายโครงการ (Program-by-Program or Project-by- Project Planning) เป็นเทคนิคการวางแผนพัฒนารูปแบบแรก โดยเป็นการวางแผนในกระสวน
ที่เรียกว่า “Bottom-up Process” กล่าวคือ รัฐบาลจะเป็นผู้กําหนดให้หน่วยปฏิบัติการใน ระดับล่างร่างโครงการของตนเสนอขึ้นมา โดยที่ไม่ได้มีการกําหนดรายรับรายจ่ายก่อนว่าเป็นเท่าไร แต่จะมากําหนดหลังจากหน่วยงานย่อยต่าง ๆ เสนอโครงการขึ้นมาแล้ว เพื่อรวบรวมโครงการ เหล่านั้นรวมเป็นแผนเดียวกัน (แผนรวมของชาติ) ซึ่งวิธีการวางแผนในรูปแบบนี้จะไม่กล่าวถึง บทบาทของภาคเอกชนไว้เลย และใช้หลักการมีส่วนร่วมน้อยที่สุด แต่จะเหมาะสําหรับการวางแผน ในภาวะขาดแคลนข้อมูลหรือขาดความชํานาญในการวางแผน เช่น การวางแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 1 เพราะหน่วยงานวางแผนยังมีข้อมูลไม่เพียงพอและเป็นการวางแผนที่สะดวกที่สุด การวางแผนจัดทําไร่นาสวนผสม เป็นต้น

84. การวางแผนอาจทําได้ 3 วิธี วิธีที่เหมาะสมที่สุดในสถานการณ์ที่หน่วยวางแผนเริ่มมีการสะสมข้อมูลได้พอประมาณ คือวิธีใด
(1) Project-by-Project Planning
(2) Integrated Public Investment Planning
(3) Comprehensive Planning
(4) Aggregative Planning
(5) Global Planning
ตอบ 2 หน้า 28, (คําบรรยาย) การวางแผนแบบประสานการลงทุนภาคสาธารณะ (Integrated Public Investment Planning) เป็นการวางแผนที่เริ่มต้นด้วยการประมาณการรายได้หรือรายรับ ของประเทศก่อน โดยคํานึงถึงการลงทุนของภาครัฐเป็นหลักว่าการลงทุนไปนั้นจะมีรายรับเท่าไร แล้วจึงไปกําหนดรายจ่ายทีหลัง โดยที่การลงทุนนั้นจะต้องคํานึงถึงภาวะเศรษฐกิจทั้งปัจจัย ภายในและภายนอกประเทศด้วย ซึ่งการวางแผนในรูปแบบนี้มีจุดประสงค์เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง (ความไม่พอดี) ของการวางแผนแบบรายโครงการ (Program-by-Program or Project-by- Project Planning) เช่น การกําหนดงบประมาณของแต่ละโครงการที่มักกําหนดสูงเกินกว่า ความเป็นจริง ความขัดแย้งกันของโครงการทั้งหลายโดยเฉพาะในเรื่องของความไม่ลงตัวของวงเงิน งบประมาณ รวมถึงความไม่มีเอกภาพและการขาดทิศทางที่ชัดเจนในการกําหนดเป้าหมายของแผน ซึ่งเป็นการวางแผนที่เหมาะสมในสถานการณ์ที่หน่วยงานเริ่มมีการสะสมข้อมูลได้พอประมาณแล้ว

85. กล่าวโดยสรุปขั้นตอนในการวางแผนอาจจําแนกได้ 3 ขั้นตอนสําคัญ ได้แก่ การเก็บรวบรวมประมวลข้อมูล การลงมือวางแผน และอะไร
(1) การวิเคราะห์ข้อมูล
(2) การปฏิบัติตามแผน
(3) การประเมินผลแผน
(4) การขออนุมัติใช้แผน
(5) การตระเตรียมที่จะวางแผน
ตอบ 5 หน้า 29 – 30 ขั้นตอนในการวางแผนอาจจําแนกได้ 3 ขั้นตอนสําคัญ ดังนี้
1. การตระเตรียมการที่จะวางแผน เป็นการกําหนดเค้าโครงกลยุทธ์ของแผน โดยการกําหนด วัตถุประสงค์และแนวทางของแผน
2. การศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ความถูกต้อง ของงานในขั้นตระเตรียมการ
3. การลงมือวางแผน เป็นการเขียนแผนให้ถูกต้องตามรูปแบบที่ควรจะเป็นของแผน

86. ปัญหาชนิดใดที่ต้องใช้ทักษะในการมองการณ์ไกลเป็นพิเศษ จึงจะวางแผนได้
(1) ปัญหาแก้ไข
(2) ปัญหาพัฒนา
(3) ปัญหาป้องกัน
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 25, (คําบรรยาย) ปัญหาของแผน อาจจําแนกได้ 3 ประเภท ดังนี้
1. ปัญหาแก้ไข คือ ปัญหาที่ปรากฏผลเสียหายให้เห็นอยู่แล้ว จึงต้องรีบวางแผนหาทางแก้ไข ซึ่งปัญหาชนิดนี้มักจะแก้ไขได้ง่ายที่สุด
2. ปัญหาป้องกัน คือ ปัญหาที่ยังไม่ปรากฏผลเสียหายขึ้นในขณะวางแผน แต่สามารถรู้ได้ว่าหากไม่รีบวางแผนแก้ไขก็จะปรากฏผลเสียหายในอนาคตได้
3.ปัญหาพัฒนา คือ ปัญหาที่ไม่ปรากฏผลเสียหายทั้งในปัจจุบันและอนาคต แต่ต้องมี การวางแผนเพื่อปรับปรุงแก้ไขให้มีคุณภาพดีขึ้น ซึ่งนักวางแผนต้องใช้ความสามารถ ในการมองการณ์ไกลมากเป็นพิเศษ

87.แผนที่มีลักษณะ Ease of Control จะแสดงให้เห็นได้อย่างไร
(1) เห็นได้จากการผ่านขั้นตอนของแผนอย่างครบถ้วนไม่ข้ามขั้นตอน
(2) เห็นได้จากการกําหนดที่มีเหตุผลและเป็นจริงในทางปฏิบัติ
(3) เห็นได้จากการมีมาตรฐานสําหรับการปฏิบัติอย่างชัดเจน
(4) เห็นได้จากการจัดทีมผู้วางแผนอย่างมีประสิทธิภาพ
(5) เห็นได้จากการจัดทีมผู้ปฏิบัติตามแผนอย่างมีประสิทธิภาพ
ตอบ 3 หน้า 23 (คําบรรยาย) แผนที่มีลักษณะง่ายในการควบคุม (Ease of Control) หมายถึง แผน ที่มีมาตรฐานสําหรับการวัดและการปฏิบัติอย่างชัดเจน และโดยทั่วไปหากเป็นแผนที่มีลักษณะ ง่ายในการดําเนินการ (Ease of Implementation) ก็จะมีลักษณะง่ายในการควบคุมด้วย

88. การวางแผนแบบใดที่เป็นวิธีที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน
(1) ทุกแบบของการวางแผน
(2) Integrated Public Investment Planning
(3) Comprehensive Planning
(4) Project-by-Project Planning
(5) ข้อ 3 และ 4 ถูก
ตอบ 3 หน้า 29, (คําบรรยาย) การวางแผนแบบสมบูรณ์แบบหรือประสมประสานหรือแผนรวม (Comprehensive Planning) เป็นการวางแผนที่กล่าวถึงเป้าหมายที่ต้องการก่อนเป็นอันดับแรก โดยเริ่มจากการสร้างแบบจําลองการเจริญเติบโต (Growth Model) ของแผนก่อน ซึ่งเป็น การคํานวณอัตราการเจริญเติบโตที่คาดหวังไว้ในรูปของการบริโภค เงินออม การลงทุน การนําเข้า-ส่งออก การจ้างงาน ความต้องการ (Demand) และความสามารถในการตอบสนอง (Supply) ของภาครัฐและภาคเอกชนรวมกัน โดยการวางแผนในรูปแบบนี้จะมีการวางแผน ทั้งแบบ Forward และ Backward และมีการกล่าวถึงบทบาทของภาคเอกชนไว้อย่างครบถ้วน จึงนับว่าเป็นวิธีที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งเหมาะสมสําหรับการวางแผนภาครัฐด้านเศรษฐกิจ และในสถานการณ์ที่หน่วยงานวางแผนมีความชํานาญแล้ว

89. หน่วยงานใดมีหน้าที่กําหนดนโยบายสาธารณะและวางแผนพัฒนาประเทศไทยในปัจจุบัน
(1) กรมการเร่งรัดพัฒนาชนบท
(2) กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรม
(3) สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
(4) สํานักงาน ก.พ.
(5) สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นหน่วยงาน ที่จัดตั้งขึ้นตาม ตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2561 มีหน้าที่หลัก ในการกําหนดนโยบายสาธารณะและวางแผนแม่บทในการพัฒนาประเทศของไทยในปัจจุบันหรือที่เรียกว่า “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ”

90. นักวิชาการที่กล่าวว่า การวางแผนจะมีลักษณะร่วมกันหลายประการ เช่น ต้องมองล่วงหน้า มีการเลือกสรรต้องเตรียมวิธีการกระทํา คือใคร
(1) เนรู
(2) วิลลามิล
(3) วอเตอร์สตัน
(4) ดรอ
(5) เลอ เบรอตัน
ตอบ 3 หน้า 25 Albert Waterston กล่าวว่า “การวางแผนทุกชนิดจะต้องมีลักษณะร่วมกัน หลายประการ เช่น ต้องประกอบด้วยการมองล่วงหน้า (Looking Ahead) ต้องมีทางเลือก (Making Choices) และหากเป็นไปได้ต้องจัดเตรียมวิธีการกระทํา (Actions) ที่แน่นอน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หรืออย่างน้อยที่สุดต้องกําหนดข้อจํากัด (Setting Limits)
ที่อาจจะเกิดจากการกระทําดังกล่าวไว้ด้วย”

91. ใครกล่าวว่านโยบายคือ “สิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา
(1) Thomas R. Dye
(2) David Easton
(3) Woodrow Wilson
(4) William Dunn
(5) ดร.อมร รักษาสัตย์
ตอบ 1 หน้า 1 Thomas R. Dye กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวหรือกิจกรรมหรือสิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา และเกี่ยวข้องกับเหตุผลว่าทําไมจึงเลือกเช่นนั้น”

92. ข้อใดเป็นลักษณะเด่นของนโยบายสาธารณะในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ที่แตกต่างจากแผนอื่น
(1) เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยแยกจากกันให้ชัดเจน
(2) เน้นการกระจายรายได้และการถือครองทรัพย์สิน
(3) เน้นการพัฒนาจิตใจ วัฒนธรรม และสังคม
(4) เน้นการพัฒนาการบริหารและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
(5) เน้นการพัฒนาคนเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาและเศรษฐกิจพอเพียง
ตอบ 5 (คําบรรยาย) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) เป็นการวางแผนที่ยังคงน้อมนํา และประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ยึดคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาอย่างมี ส่วนร่วม การพัฒนาที่ยึดหลักสมดุล ยั่งยืน โดยให้ความสําคัญกับการกําหนดทิศทางการพัฒนา ที่มุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และสังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

93. ข้อใดเป็นความจริงเกี่ยวกับแผนระยะยาว
(1) มีระยะเวลามากกว่า 3 ปีขึ้นไป
(2) วางแผนได้ง่ายเนื่องจากข้อมูลมีลักษณะกว้าง ๆ ง่าย ๆ
(3) มีระยะเวลาไม่จํากัด
(4) ความเชื่อมั่นจะแปรผันกับระยะเวลาของแผน
(5) ใช้แก้ปัญหาได้เพียงผิวเผิน
ตอบ 4 หน้า 23 (คําบรรยาย) แผนระยะยาว คือ แผนที่มีระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป เป็นแผนที่มี ความเชื่อมั่นได้น้อยและจะแปรผันกับระยะเวลาของแผน กล่าวคือ ความเชื่อมั่นจะลดต่ําลง ตามระยะเวลาที่ยาวออกไป แต่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป (แผนนั้นเริ่มเห็นผล คือ สามารถ แก้ปัญหาได้ ความเชื่อมั่นที่มีต่อแผนก็จะเพิ่มมากขึ้น) และแผนระยะยาวนับว่าเป็นแผนที่ แก้ปัญหาได้ลึกซึ้งที่สุด แต่เห็นผลช้า (ดูคําอธิบายข้อ 55. ประกอบ)

94. ความเป็นธรรมของนโยบายวัดได้อย่างไร
(1) วัดจากความพึงพอใจของประชาชนโดยส่วนรวม
(2) วัดจากการกระจายรายได้ของนโยบายสู่ประชาชน
(3) วัดจากประโยชน์ที่มีต่อประชาชนกลุ่มต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกัน
(4) วัดจากประสิทธิภาพและประสิทธิผลของนโยบาย
(5) วัดจากการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมในกระบวนการของนโยบายให้มากที่สุด
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

95. แผนงบประมาณของไทยซึ่งเป็นแผนประจําทุกปีนั้น จัดเป็นแผนประเภทใด
(1) แผนรายปี
(2) แผนงบประมาณ
(3) แผนการเงิน
(4) แผนโครงการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สําหรับแผนงบประมาณของไทยซึ่งเป็นแผนประจําทุกปีนั้น อาจเรียกได้ว่า เป็นแผนประเภทแผนรายปี แผนงบประมาณ แผนการเงิน แผนระยะสั้น หรือแผนโครงการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการจําแนก

96. นโยบายตามตัวแบบสถาบันจะให้ประโยชน์กับใครมากที่สุด
(1) ให้ประโยชน์กับสังคม
(2) ให้คํานึงถึงรัฐสภา
(3) ประโยชน์โดยทั่วไป
(4) ผู้นําและผู้ใกล้ชิด
(5) ถูกทุกข้อที่กล่าวมา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 59. ประกอบ

97.Controlled Environment หมายถึง
(1) ภาวะทางธรรมชาติ
(2) ค่านิยมของคนภาคใต้ของประเทศไทย
(3) เทคโนโลยีที่ใช้ในนโยบาย
(4) ความเชื่อของคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

98. ในแนวคิดการศึกษานโยบายศาสตร์ในแนววิเคราะห์นโยบายนิยมใช้ในนักวิชาการกลุ่มใด
(1) นักรัฐศาสตร์
(2) นักสังคมวิทยา
(3) นักรัฐประศาสนศาสตร์
(4) นักวิทยาศาสตร์
(5) นักเศรษฐศาสตร์
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประอบ

99. ในเรื่องเกี่ยวกับรูปร่างและรูปแบบของนโยบาย ข้อความในข้อใดกล่าวผิด
(1) มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ
(2) มีรูปเป็นแบบแผน โครงการ
(3) มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ
(4) มีรูปแบบเป็นสัญญา
(5) เป็นคําบอกกล่าวที่เสนอผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นไป
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

100. เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป นโยบายของรัฐจะเป็นอย่างไร
(1) มีขนาดเล็กลง
(2) คงที่เหมือนเดิม
(3) มีขนาดใหญ่โตตามกาลเวลา
(4) มีขนาดใหญ่โตหน้าเวลา
(5) มีขนาดจะเล็กลงหรือจะโตขึ้นเป็นไปตามจํานวนประชากร
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 10. ประกอบ

POL3302 การวางแผนในภาครัฐ 1/2565

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3302 การวางแผนในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1. การวางแผนเชิง “ยุทธศาสตร์” มีที่มาจากวงการใด
(1) วิทยาศาสตร์
(2) การทหาร
(3) การแพทย์
(4) การวิจัย
(5) การเมือง
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ที่มาของการวางแผนกลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์ มีดังนี้
1. ข้อเสนอของธนาคารโลก (World Bank) และองค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ แห่งสหรัฐอเมริกา (USAID)
2. การวางแผนทางการทหาร
3. เครื่องมือทางการบริหารจัดการของภาคเอกชน
4. แนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่(New Public Management : NPM)

2.ข้อใดคือที่มาของการวางแผนกลยุทธ์
(1) ข้อเสนอของ World Bank
(2) ข้อเสนอของ USAID
(3) แนวคิดการจัดการภาครัฐแนวใหม่
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3. “ปัจจุบัน” (ปี 2565) หน่วยงานใดมีบทบาทในการกําหนดตัวชี้วัดตามแผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติ
(1) สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
(2) สํานักงานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ
(3) สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(4) สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(5) สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
ตอบ 4 (คําบรรยาย) สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งมีฐานะเป็น เลขานุการของคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทในการกําหนด ตัวชี้วัดตามแผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติในปัจจุบัน

4.ท่านจะหาแผนหลักในการพัฒนาประเทศ “ระยะยาว” ได้จากที่ใด
(1) แผนระดับ 2
(2) แผนระดับ 3
(3) คําแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา
(4) แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(5) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) เป็นแผนหลักในการพัฒนาประเทศ ระยะยาวให้ประเทศเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยมียุทธศาสตร์ที่สําคัญ เช่น ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม เป็นต้น

5. แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติมีทั้งหมดที่ด้าน
(1) 10 ด้าน
(2) 22 ด้าน
(3) 23 ด้าน
(4) 25 ด้าน
(5) 30 ด้าน
ตอบ 3 (คําบรรยาย) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ เป็นแผนแม่บทเพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่ กําหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งประกอบด้วยแผนแม่บททั้งหมด 23 ด้าน เช่น ความมั่นคง การต่างประเทศ การเกษตร อุตสาหกรรรมและบริการแห่งอนาคต การท่องเที่ยว พื้นที่และ เมืองน่าอยู่อัจฉริยะ โครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์และดิจิทัล ผู้ประกอบการและวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อมยุคใหม่ เขตเศรษฐกิจพิเศษ การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม ศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต การพัฒนาการเรียนรู้ เป็นต้น

6.การวางแผนกลยุทธ์สัมพันธ์กับระบบงบประมาณแบบใด
(1) ระบบงบประมาณแบบแสดงรายการ
(2) ระบบงบประมาณแบบแผนงานโครงการ
(3) ระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน
(4) ระบบงบประมาณแบบฐานศูนย์
(5) ระบบงบประมาณแบบสะสม
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การวางแผนกลยุทธ์สัมพันธ์กับระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน(Performance-Based Budgeting) ซึ่งเป็นระบบงบประมาณที่ให้ความสําคัญกับ ความสําเร็จตามเป้าประสงค์และวัตถุประสงค์ของแผนงาน รวมทั้งการบ่งชี้หรือ การวัดผลที่เกิดจากการทํางาน ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล

7. ข้อใดตรงที่สุดเกี่ยวกับการวางแผนเชิงกลยุทธ์
(1) รัฐที่ชี้นํามากกว่าลงมือทําเอง
(2) การมุ่งเน้นแสวงหากําไร
(3) รัฐที่เน้นกลไกการตลาด
(4) การมีมาตรฐานและระบบการวัดผลการทํางานที่ชัดเจน
(5) การแบ่งหน่วยงานย่อยเพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การมีมาตรฐานและระบบการวัดผลการทํางานที่ชัดเจน ถือเป็นองค์ประกอบที่สําคัญของการวางแผนเชิงกลยุทธ์ เพราะเป็นสิ่งที่บอกว่าหน่วยงานปฏิบัติงานเป็นไปตาม เป้าประสงค์ที่วางไว้ในแผนหรือไม่

8.ข้อใดตรงกับ Mission-Driven Government รัฐที่มุ่งขับเคลื่อนด้วยภารกิจ
(1) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(2) การกําหนดวิสัยทัศน์
(4) การกําหนดตัวชี้วัด
(3) การกําาหนดพันธกิจ
(5) การประเมินผล
ตอบ 3 (คําบรรยาย) รัฐที่มุ่งขับเคลื่อนด้วยภารกิจ (Mission-Driven Government) เป็นการกําหนด ภารกิจหรือพันธกิจให้ชัดเจน เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนอง ความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

9. ภาพที่องค์การฝันหรืออยากจะเป็น คืออะไร
(1) วัตถุประสงค์
(2) พันธกิจ
(3) วิสัยทัศน์
(4) ยุทธศาสตร์
(5) ตัวชี้วัด
ตอบ 3 (คําบรรยาย) วิสัยทัศน์ (Vision) คือ ภาพที่องค์การหวังหรือฝันหรืออยากจะเป็น เป็นการกําหนดทิศทางขององค์การในอนาคต เช่น เป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพในการควบคุม แก้ไข และพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังเพื่อคืนคนดีมีคุณค่าสู่สังคม, เป็นองค์กรป้องกันควบคุมโรคและ ภัยสุขภาพระดับมาตรฐานสากล, เป็นองค์กรแห่งความยุติธรรมของสังคมเพื่อความมั่นคง ของชาติและความผาสุกของประชาชน เป็นต้น

10. ข้อใดตรงกับ Result-Oriented Government รัฐที่มุ่งเน้นผลการดําเนินงาน
(1) มุ่งเน้นเฉพาะผลผลิต (Output)
(2) มุ่งเน้นผลลัพธ์ (Outcome)
(3) การคํานึงถึงว่าผู้รับบริการจะได้อะไร
(4) ถูกเฉพาะข้อ 1
(5) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 5 (คําบรรยาย) รัฐที่มุ่งเน้นผลการดําเนินงาน (Result-Oriented Government) หมายถึง การมุ่งเน้นผลลัพธ์ (Outcome) หรือการคํานึงถึงว่าผู้รับบริการ/ประชาชนจะได้ประโยชน์ อะไร

ตั้งแต่ข้อ 11. – 21. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การกําหนดวิสัยทัศน์
(2) การกําหนดพันธกิจ
(3) การกําหนดเป้าประสงค์
(4) การกําหนดกลยุทธ์
(5) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(6) การนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ
(7) การควบคุมกลยุทธ์

11. ข้อใดเรียงลําดับกระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์ที่ถูกต้อง
(1) 1, 2, 3, 4, 5, 6, 7
(2) 4, 1, 2, 3, 5, 6, 7
(3) 4, 1, 2, 5, 3, 6, 7
(4) 5, 4, 1, 2, 3, 6, 7
(5) 5, 1, 2, 3, 4, 6, 7
ตอบ 5 (คําบรรยาย) กระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์ มี 7 ขั้นตอน ดังนี้
1. การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (วิเคราะห์ SWOT)
2. การกําหนดวิสัยทัศน์
3. การกําหนดพันธกิจ
4. การกําหนดเป้าประสงค์
5. การกําหนดกลยุทธ์
6. การนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ
7. การควบคุมกลยุทธ์

12.PEST Analysis คือเครื่องมือในข้อใด
(1) 4
(2) 5
(3) 6
(4) 7
(5) 1
ตอบ 2 (คําบรรยาย) เครื่องมือวิเคราะห์สภาพแวดล้อมขององค์การ มีดังนี้
1. 2’S 4’M
2. 7’S
3. PMQA
4. PEST Analysis
5. STEPP Model
6. Five-Forces Model
7. SWOT Analysis

13. ข้อใดคือขั้นตอนที่บอกถึงกิจกรรมที่องค์การจะต้องทํา
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การกําหนดพันธกิจหรือภารกิจ (Mission) คือ การบอกถึงกิจกรรมที่องค์การ จะต้องทํา เช่น จัดเก็บภาษีให้ได้ตามประมาณการ, การพัฒนานโยบาย มาตรการ และบริการ ด้านการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ, เตรียมความพร้อมในการจัดการภาวะคุกคาม และภัยสุขภาพใหม่ ๆ ได้ทันการณ์, อํานวยความยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส พึ่งพิงได้ บนพื้นฐานของความเสมอภาค เป็นต้น

14. “อํานวยความยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส พึ่งพิงได้ บนพื้นฐานของความเสมอภาค” ประโยค ดังกล่าวเป็นการกําหนดอะไร
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

15. ข้อใดเป็นสิ่งที่บอกว่า “ใคร” ได้ประโยชน์จากการกระทําขององค์การ
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การกําหนดเป้าประสงค์ (Goal) คือ การบอกว่า “ใคร” ได้ประโยชน์จาก การกระทําหรือการดําเนินตามพันธกิจขององค์การ เช่น ประชาชนและชุมชนในพื้นที่ ชายแดนและพื้นที่เฉพาะอื่น ๆ มีโอกาสได้รับการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต, ผู้ต้องขัง เป็นคนดีพร้อมกลับคืนสู่สังคม, ประชาชนมีความปลอดภัยและได้รับคนดีคืนสู่สังคม, ประชาชนมีความปลอดภัยจากภาวะคุกคามและภัยสุขภาพใหม่ ๆ, ประชาชนเข้าถึง และได้รับความยุติธรรมบนฐานของความเสมอภาค เป็นต้น

16. “เป็นองค์กรแห่งความยุติธรรมของสังคมเพื่อความมั่นคงของชาติและความผาสุกของประชาชน” ประโยค
ดังกล่าวคือการกําหนดอะไร
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

17. “ประชาชนเข้าถึงและได้รับความยุติธรรมบนฐานของความเสมอภาค” ประโยคดังกล่าวคือการกําหนดอะไร
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 15. ประกอบ

18. การกําหนดทิศทางขององค์การ อยู่ในขั้นตอนใด
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

19. “การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุและอัตราการเกิดของประชากรลดลง ส่งผลให้มหาวิทยาลัยมีจํานวน นักศึกษาลดลง” ประโยคดังกล่าวจะปรากฏอยู่ในขั้นตอนใด
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม คือ การประเมินสถานภาพขององค์การ โดยการ พิจารณาสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกเพื่อให้ทราบจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคขององค์การ เพื่อนําไปประกอบในการกําหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับองค์การต่อไป

20.การกําหนดรายละเอียด/กิจกรรม หรือโครงการ คือขั้นตอนใด
(1) 3
(2) 4
(3) 5
(4) 6
(5) 7
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ คือ กระบวนการแปลงกลยุทธ์ไปสู่แผนการดําเนินงาน กําหนดรายละเอียด/กิจกรรม หรือโครงการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถดําเนินการตามกลยุทธ์ได้ อย่างเป็นรูปธรรม

21. การติดตามประเมินผล คือขั้นตอนใด
(1) 1
(2) 3
(3) 5
(4) 6
(5) 7
ตอน 5 (คําบรรยาย) การควบคุมกลยุทธ์ คือ การติดตามประเมินผลการดําเนินงานทั้งหมดตาม แผนกลยุทธ์ที่กําหนดไว้ว่าการดําเนินงานบรรลุผลสําเร็จตามแผนมากน้อยเพียงใด ซึ่งต้องอาศัย การเปรียบเทียบผลที่ได้จากการปฏิบัติจริงกับผลการดําเนินงานที่ตั้งเป้าหมายไว้ หากปรากฏ ผลที่ได้จากการดําเนินงานจริงต่ํากว่าเป้าหมายที่กําหนดไว้ในแผน ผู้บริหารก็จะต้องหาทางปรับปรุงแก้ไขต่อไป

22. ข้อใดไม่ใช่เครื่องมือวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(1) 7’S
(2) OOCT
(3) SWOT Analysis
(4) STEPP Model
(5) PEST Analysis
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

23. ข้อใดคือปัจจัยในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน
(1) Strengths, Weaknesses
(2) Strengths, Social
(3) Strengths, Politics
(4) Opportunities, Treats
(5) Opportunities, Technology
ตอบ 1 (คําบรรยาย) SWOT Analysis เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมขององค์การ ซึ่งประกอบด้วย
1. การวิเคราะห์จุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน (Weaknesses) ขององค์การ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในองค์การ
2. การวิเคราะห์โอกาส (Opportunities) และอุปสรรค (Treats) ขององค์การ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ภายนอกองค์การ

24. ข้อใดคือปัจจัยในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก
(1) Strengths, Weaknesses
(2) Strengths, Social
(3) Strengths, Politics
(4) Opportunities, Treats
(5) Opportunities, Technology
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ

25. โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง วิเคราะห์สภาพแวดล้อมว่า
1. การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจึงมีแนวโน้มผู้เข้ารับบริการมากขึ้นส่งผลให้หน่วยงานได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้น
2. การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจึงมีแนวโน้มผู้เข้ารับบริการมากขึ้นส่งผลให้บริการได้ไม่ทั่วถึง
การวิเคราะห์ดังกล่าวถูกต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด
(1) ถูกต้อง เพราะสมเหตุสมผล
(2) ถูกต้อง เพราะสถานการณ์เป็นเช่นนั้น
(3) ไม่ถูกต้อง เพราะรัฐมีงบประมาณจํากัด
(4) ไม่ถูกต้อง เพราะขัดแย้งกันเอง กําหนดทิศทางกลยุทธ์ได้ยาก
(5) ถูกทั้งข้อ 3 และ 4
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมดังกล่าวไม่ถูกต้อง เพราะขัดแย้งกันเองทําให้กําหนดทิศทางกลยุทธ์ขององค์การได้ยาก

26. ตัวบ่งชี้ความสําเร็จในการดําเนินงาน หมายถึงอะไร
(1) ผลผลิต
(2) ผลลัพธ์
(3) ตัวชี้วัด
(4) กลุ่มเป้าหมาย
(5) ต้นทุน
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ตัวชี้วัด คือ ตัวบ่งชี้ความสําเร็จในการดําเนินงาน ซึ่งคุณสมบัติของตัวชี้วัดที่ดี มีดังนี้
1. Validity คือ สมเหตุสมผล อธิบายได้
2. Availability คือ ความมีอยู่ของข้อมูล
3. Reliability คือ ความเชื่อถือได้
4. Sensitivity คือ ความไวต่อการเปลี่ยนแปลง

27. ข้อใดคือคุณสมบัติของตัวชี้วัดที่ดี
(1) Validity
(2) Availability
(3) Reliability
(4) Sensitivity
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 26. ประกอบ

28. กรมควบคุมมลพิษกําหนดตัวชี้วัดว่า “รสและกลิ่นของน้ำบริโภค ค่ามาตรฐานไม่เป็นที่รังเกียจ” การกําหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานใด
(1) มาตรฐานเชิงนโยบาย
(2) เกณฑ์สัมบูรณ์
(3) มาตรฐานเชิงวิทยาศาสตร์
(4) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การกําหนดตัวชี้วัดตามมาตรฐานเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Criteria) เป็น การกําหนดเกณฑ์ตัวชี้วัดโดยใช้ค่ามาตรฐานกลางซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงการว่าอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เช่น กรมควบคุมมลพิษกําหนดตัวชี้วัดว่า “ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน มีค่าเฉลี่ยไม่เกิน 0.025 มก./ลบ.ม. ใน 24 ซม.”, “รสและกลิ่นของน้ําบริโภคมีค่ามาตรฐาน ไม่เป็นที่รังเกียจ” เป็นต้น

ตั้งแต่ข้อ 29 – 34. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) Impact
(2) Output
(3) Outcome
(4) QQCT
(5) 2Q2T1P

29. ข้อใดเรียงลําดับระดับของตัวชี้วัดจากใหญ่ไปเล็กได้ถูกต้อง
(1) 1, 2, 3
(2) 1, 3, 2
(3) 2, 3, 1
(4) 3, 2, 1
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ระดับของตัวชี้วัดเรียงลําดับจาก “ใหญ่ไปเล็ก” ได้ดังนี้
1. ผลกระทบ (Impact) เป็นตัวชี้วัดระดับกระทรวงและรัฐบาล
2. ผลลัพธ์ (Outcorne) เป็นตัวชี้วัดระดับกรม
3. ผลผลิต (Output) เป็นตัวชี้วัดระดับสํานัก (หน่วยปฏิบัติ)

30. ข้อใดคือตัวชี้วัดระดับกรม
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 29. ประกอบ

31. ข้อใดคือตัวชี้วัดระดับกระทรวง
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 29. ประกอบ

32. ข้อใดคือเทคนิคการกําหนดตัวชี้วัดระดับกระทรวง
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 5 (คําบรรยาย) 2Q2T1P เป็นเทคนิคการกําหนดตัวชี้วัดระดับรัฐบาล กระทรวง และกรม ซึ่งมีองค์ประกอบดังนี้
1. Quantity (ปริมาณ)
2. Quality (คุณลักษณะ)
3. Time (เวลา)
4. Target Group (กลุ่มเป้าหมาย)
5. Place (สถานที่)

33. ข้อใดคือเทคนิคการกําหนดตัวชี้วัดระดับกรม
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

34.ข้อใดคือเทคนิคการกําหนดตัวชี้วัดระดับสํานัก (หน่วยปฏิบัติ)
(1) 1
(2) 2
(3) 3
(4) 4
(5) 5
ตอบ 4 (คําบรรยาย) QQCT เป็นเทคนิคการกําหนดตัวชี้วัดระดับสํานัก (หน่วยปฏิบัติ) ซึ่งมีองค์ประกอบดังนี้
1. Quantity (ปริมาณ)
2. Quality (คุณลักษณะ)
3. Cost (ต้นทุน)
4. Time (เวลา)

35. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของโครงการ
(1) งานสร้างสรรค์
(2) งานประจํา
(3) งานทําซ้ำ
(4) งานซับซ้อนเชี่ยวชาญเฉพาะ
(5) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ลักษณะของโครงการ มีดังนี้
1. เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง และความท้าทายบางอย่าง
2. มีข้อจํากัดด้านเวลา มีระยะเวลาที่แน่นอน
3. เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
4. มีความซับซ้อน
5. ต้องใช้ความร่วมมือหลากหลายสาขาเพื่อการเปลี่ยนแปลง
6. ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะ
7. มีความชัดเจนแน่นอนสูง
8. มีความสําคัญเร่งด่วน
9. ต้องการความเป็นองค์การในการขับเคลื่อน ฯลฯ

36. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับลักษณะของโครงการ
(1) งานที่ท้าทาย ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะ เป็นเรื่องใหม่ ๆ มีระยะเวลาที่แน่นอน
(2) งานสร้างสรรค์ ต้องใช้ความร่วมมือหลากหลายสาขาเพื่อการเปลี่ยนแปลง มีระยะเวลาที่แน่นอน
(3) งานที่มีความซับซ้อน มีการลงทุนสูง ใช้ความเชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ไม่กําหนดระยะเวลา
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 35. ประกอบ

37. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของโครงการภาครัฐ
(1) รัฐเป็นเจ้าของโครงการ
(2) มาจากสภาพปัญหาของสังคม
(3) มีผลกระทบต่อสังคมสูง
(4) ได้รับผลตอบแทนสูง
(5) ใช้เงินภาษี
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ลักษณะของโครงการภาครัฐ มีดังนี้
1. รัฐเป็นเจ้าของโครงการ
2. มาจากปัญหาข้อเรียกร้องของประชาชนหรือสภาพปัญหาของสังคม
3. เป็นประโยชน์สาธารณะ
4. มีระยะเวลาแน่นอน งบประมาณสาธารณะ
5. ใช้เงินภาษีหรือ
6. ประเมินผลตอบแทนยาก
7. มีผลกระทบต่อสังคมสูง

38. ข้อใดคือขอบเขตและคุณภาพของการบริหารโครงการ
(1) เวลา ต้นทุน แผนงาน
(2) เวลา ต้นทุน นโยบาย
(3) เวลา ต้นทุน หนี้ ความเสี่ยง
(4) เวลา ต้นทุน กําไร ความเสี่ยง
(5) เวลา ต้นทุน ความพร้อมของทรัพยากร ความเสี่ยง
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ขอบเขตและคุณภาพของการบริหารโครงการ มีองค์ประกอบดังนี้
1. เวลา (Time)
2. ต้นทุน (Cost)
3. ความพร้อมของทรัพยากร (Resource Availability)
4. ความเสี่ยง (Risk)

39. ข้อใดถูกต้อง
(1) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการมีเสถียรภาพสูงและคล่องตัว
(2) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการประหยัด มีประสิทธิภาพ
(3) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการมักขาดการประสานงาน ไม่คล่องตัว
(4) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการประสานงานได้รวดเร็วคล่องตัว
(5) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการมีต้นทุนสูง
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การจัดโครงสร้างแบบดั้งเดิม (Traditional Bureaucracy) เป็นการจัดโครงสร้าง โครงการที่อยู่ในโครงสร้างเดิมแบบราชการ ข้อดีของการจัดโครงสร้างแบบนี้คือ ประหยัด ไม่ต้องปรับโครงสร้างใหม่ และมีผู้รับผิดชอบหรือเจ้าของผลงานชัดเจน ส่วนข้อจํากัดคือ ขาดการประสานงาน ไม่คล่องตัว และไม่เหมาะกับโครงการขนาดใหญ่หรือซับซ้อน

40. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดโครงสร้างแบบโครงการ
(1) จัดตั้งขึ้นใหม่เป็นการเฉพาะหรือแยกออกมาจากโครงสร้างเดิม
(2) โครงสร้างเป็นแบบแนวราบ มีความคล่องตัว
(3) มีทรัพยากรเป็นของตัวเอง
(4) ประหยัด มีประสิทธิภาพ
(5) สนับสนุนการทํางานเป็นทีม
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การจัดโครงสร้างแบบโครงการ (Project Organization) เป็นการจัดโครงสร้าง ขึ้นใหม่เป็นการเฉพาะหรือแยกออกมาจากโครงสร้างเดิม โดยเน้นโครงสร้างแบบแนวราบและ เน้นการทํางานเป็นทีม ซึ่งข้อดีของการจัดโครงสร้างแบบนี้คือ มีความคล่องตัวและสะดวก ในการบริหารจัดการ มุ่งเน้นผลลัพธ์ และมีทรัพยากรเป็นของตัวเอง ส่วนข้อจํากัดคือ สิ้นเปลืองทรัพยากรหากมีโครงการจํานวนมาก

41. ประยุทธ์มีตําแหน่งวิศวกร ประจําสํานักสํารวจวิศวกรรมและธรณีวิทยา, ประวิตรตําแหน่งนักบัญชี ประจํากองการเงินและบัญชี, อนุพงษ์ ประจําสํานักกฎหมายและที่ดิน สังกัดกรมชลประทาน ทั้งสามคน เป็นคณะทํางานในโครงการออกแบบเรือดําน้ํา… ลักษณะที่กล่าวมาเป็นการจัดโครงสร้างโครงการแบบใด
(1) โครงสร้างแบบราชการ
(2) โครงสร้างตามแนวตั้ง
(3) โครงสร้างแบบโครงการ
(4) โครงสร้างแบบราบ
(5) โครงสร้างแบบแมทริกซ์
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การจัดโครงสร้างแบบแมทริกซ์ (Matrix Organization) เป็นการจัดโครงสร้าง ที่ผสมระหว่างโครงสร้างแบบเดิมกับโครงสร้างแบบโครงการ โดยใช้กําลังคนในโครงสร้างเดิมมาร่วมในโครงการโดยไม่ละทิ้งหน้าที่เดิม ซึ่งในภาครัฐของไทยมักใช้วิธีการตั้งเป็นคณะกรรมการ โดยมีองค์ประกอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ข้อดีของการจัดโครงสร้างแบบนี้คือ ประสานงาน ได้รวดเร็วและประหยัด ส่วนข้อจํากัดคือ ขาดความเป็นเจ้าของผลงาน

42.ข้อใดคือข้อจํากัดของการจัดโครงสร้างการบริหารโครงการแบบแมทริกซ์
(1) ประสานงานล่าช้า
(2) สิ้นเปลือง
(3) ไม่เหมาะกับโครงการขนาดใหญ่
(4) ลําดับขั้นการบังคับบัญชาสูง
(5) ขาดความเป็นเจ้าของผลงาน
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ

43. ข้อใดเรียงลําดับวงจรชีวิตโครงการได้ถูกต้อง
(1) วางแผนกําลังคน สํารวจสถานะ ดําเนินการ สิ้นสุดโครงการ
(2) สํารวจสถานะ วางแผน ดําเนินการ สิ้นสุดโครงการ
(3) กําหนดโครงการ วางแผน ดําเนินการ สิ้นสุดโครงการ
(4) รายงานสถานะโครงการ วางแผน ดําเนินการ สิ้นสุดโครงการ
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 (คําบรรยาย) วงจรชีวิตโครงการ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. การกําหนดโครงการ
2. การวางแผน
3. การดําเนินการ ซึ่งเป็นขั้นที่มีระดับความพยายามสูงสุด
4. การสิ้นสุดโครงการ

44. วงจรชีวิตโครงการขั้นใดมีระดับความพยายามสูงสุด
(1) สํารวจสภาพแวดล้อม
(2) กําหนดโครงการ
(3) วางแผน
(4) ดําเนินการ
(5) สิ้นสุดโครงการ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ

45. ผลสําเร็จจากการดําเนินกิจกรรมของโครงการเป็นผลสําเร็จในระดับใด
(1) Input
(2) Impact
(3) Outcome
(4) Output
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ผลสําเร็จจากการดําเนินกิจกรรมของโครงการ เป็นผลสําเร็จในระดับ ผลผลิต (Output)

46. ชุดรวมของบรรดาโครงการต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์เดียวกัน คืออะไร
(1) Mega Project
(2) Program
(3) Policy
(4) Indicator
(5) Planning
ตอบ 2 (คําบรรยาย) แผนงาน (Program) คือ ชุดรวมของบรรดาโครงการ (Project) ต่าง ๆที่อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์เดียวกัน

47. ข้อใดคือหัวข้อแรกในการเขียนโครงการ
(1) ความเป็นมาและความสําคัญ
(2) ชื่อโครงการ
(3) วัตถุประสงค์ของโครงการ
(4) เป้าหมาย
(5) วิธีดําเนินการ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การเขียนโครงการแบบบรรยาย เป็นการเขียนบรรยายรายละเอียดและ องค์ประกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในโครงการไล่เรียงไปตามลําดับ ดังนี้
1. ชื่อโครงการ
2. ความเป็นมาและความสําคัญ
3. วัตถุประสงค์
4. เป้าหมาย
5. กิจกรรม/วิธีดําเนินการ
6. ทรัพยากร/งบประมาณที่ใช้ดําเนินโครงการ
7. ระยะเวลาดําเนินการ
8. หน่วยงาน/ผู้รับผิดชอบ
9. อื่น ๆ

48. ข้อใดไม่ใช่หลักในการเขียนวัตถุประสงค์โครงการ
(1) สัน กระชับ
(2) เขียนเป็นรายข้อ
(3) ไม่ควรเกิน 3 ข้อ
(4) เรียงตามความสําคัญมากไปน้อย
(5) เรียงตามความสําคัญน้อยไปมาก
ตอบ 5 (คําบรรยาย) หลักในการเขียนวัตถุประสงค์โครงการ มีดังนี้
1. เขียนเป็นรายข้อว่าทําเพื่ออะไร
2. เรียงลําดับตามความสําคัญจากมากไปน้อย
3. เขียนสั้นกระชับได้ใจความ
4. ไม่ควรมีมากเกินไป ส่วนใหญ่ไม่เกิน 3 ข้อ

49. การเขียนแผนผัง/ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมในโครงการกับระยะเวลามักเขียนในรูปแบบใด
(1) Grand Chart
(2) Growth Chart
(3) Gantt Chart
(4) Great Chart
(5) Grace Chart
ตอบ 3 (คําบรรยาย) Gantt Chart คือ แผนผัง/ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมในโครงการ กับระยะเวลาดําเนินการ ซึ่งจะทําให้ทราบจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานในแต่ละขั้นตอน

50. ข้อใดคือการประเมินเพื่อหาความจําเป็นหรือความต้องการของโครงการ
(1) Pre-evaluation
(2) Post-evaluation
(3) Ongoing-evaluation
(4) Monitoring
(5) Strategic Assessment
ตอบ 1(คําบรรยาย) การประเมินผลก่อนเริ่มโครงการ (Pre-evaluation) เป็นการประเมิน เพื่อหาความจําเป็นหรือความต้องการของโครงการ (Need Assessment) และการประเมิน ความเป็นไปได้ของโครงการ (Project Appraisal/Project Feasibility Study)

57. ใครมีบทบาทมากที่สุดในการนํานโยบายสาธารณะไปปฏิบัติ
(1) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
(2) สมาชิกวุฒิสภา
(3) ระบบราชการ
(4) กลุ่มทุน
(5) ประชาชน
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 58 – 59. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ตัวแบบผู้นํา
(2) ตัวแบบสถาบัน
(3) ตัวแบบระบบ
(4) ตัวแบบเผด็จการ
(5) ถูกทุกข้อ

58. ตัวแบบการกําหนดนโยบายใดเห็นว่าหน่วยงานของรัฐและประชาชนมีบทบาทในการกําหนดนโยบายน้อย
ตอบ 1 หน้า 3 – 4, 66, (คําบรรยาย) ตัวแบบผู้นํา (Elite Model) เชื่อว่า
1.กลุ่มผู้นํา (นายกรัฐมนตรี) มีบทบาทในการกําหนดนโยบายมาก ในขณะที่หน่วยงานของรัฐ และประชาชนมีบทบาทในการกําหนดนโยบายน้อย
2. นโยบายสาธารณะเป็นการสะท้อนค่านิยมและผลประโยชน์ของกลุ่มผู้นํา จึงมักไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง
3. สถานการณ์ที่จะเกิดนโยบายตามตัวแบบนี้ต้องเป็นสถานการณ์ที่ผู้นํามีอํานาจสูงมาก ในทางการเมืองหรือทางสังคม เช่น ในภาวะการปฏิวัติรัฐประหาร ฯลฯ

59. นายกรัฐมนตรีจะมีบทบาทในการกําหนดนโยบายมากในตัวแบบใด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 58. ประกอบ

60. ปัจจัยใดส่งผลต่อนโยบายที่ถูกกําหนดโดยตัวแบบผู้นํา
(1) คุณสมบัติของผู้นํา
(2) เสถียรภาพของกลุ่มผู้นํา
(3) ค่านิยมและผลประโยชน์ของกลุ่มผู้นํา
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 4, 66 ปัจจัยที่ส่งผลต่อนโยบายที่ถูกกําหนดโดยตัวแบบผู้นํา (Elite Model) ได้แก่
1. ค่านิยมและผลประโยชน์ของกลุ่มผู้นํา
2. เสถียรภาพของกลุ่มผู้นํา
3. คุณสมบัติของผู้นํา

ตั้งแต่ข้อ 61. – 65. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ตัวแบบผู้นํา
(2) ตัวแบบกลุ่ม
(3) ตัวแบบสถาบัน
(4) ตัวแบบระบบ
(5) ตัวแบบเกมส์

61. นโยบายจากตัวแบบใดมักไม่ค่อยเปลี่ยนแปลง
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 58. ประกอบ

62. ตัวแบบการกําหนดนโยบายใดเห็นว่าหน้าที่ของรัฐคือการเป็นเหมือนกับกรรมการ
ตอบ 2 หน้า 4 – 5, 66 – 67, (คําบรรยาย) ตัวแบบกลุ่ม (Group Model) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะ เป็นผลผลิตที่เกิดจากดุลยภาพของการแข่งขันระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม ซึ่งแต่ละกลุ่ม ต่างดิ้นรนแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิอํานาจในการเป็นผู้คุมกลไกนโยบายของรัฐ ดังนั้น รัฐหรือระบบการเมืองจึงมีหน้าที่ 4 ประการ ได้แก่
1. สร้างกติกาการแข่งขันและเป็นกรรมการหรือผู้ควบคุมการแข่งขันให้เกิดความยุติธรรม
2. แสวงหาลู่ทางในการประนีประนอม เพื่อทําให้เกิดดุลยภาพของการแข่งขัน
3. จัดสรรผลประโยชน์หรือกําหนดนโยบาย
4. นํานโยบายไปปฏิบัติ

63. จุดดุลยภาพระหว่างผลประโยชน์ของกลุ่มต่าง ๆ จะส่งผลต่อนโยบายสาธารณะในตัวแบบใด
ตอบ 2 หน้า 4 – 5, 66 – 67 ปัจจัยที่ส่งผลต่อนโยบายสาธารณะที่ถูกกําหนดโดยตัวแบบกลุ่ม (Group Model) ได้แก่
1. จุดดุลยภาพระหว่างผลประโยชน์ของกลุ่มต่าง ๆ
2. การประนีประนอม
3. ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม ฯลฯ

64. ระบบการเมืองทําหน้าที่ภายใต้แรงกดดันของระบบอื่น ๆ
ตอบ 4 หน้า 6, 67 ตัวแบบระบบ (System Model) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะเป็นผลของปฏิกิริยา ที่ระบบการเมืองมีต่อแรงกดดันจากสภาพแวดล้อมภายนอก หรือกล่าวอีกนัย ระบบการเมือง ทําหน้าที่กําหนดนโยบายสาธารณะภายใต้แรงกดดันของระบบอื่น ๆ ที่มิใช่ระบบการเมืองหรือ เรียกว่าสภาพแวดล้อมภายนอก ดังนั้นตัวระบบการเมืองจะทําหน้าที่เป็นตัวกระทําของระบบ (Conversion Process) ขณะที่สภาพแวดล้อมภายนอก เช่น ข้อเรียกร้องความต้องการ หรือ การสนับสนุนของประชาชนจะเป็นปัจจัยนําเข้าของระบบ (Inputs) และนโยบายสาธารณะ จะเป็นปัจจัยนําออกของระบบ (Outputs) ซึ่งถูกส่งออกสู่สภาพแวดล้อมภายนอกและกลายเป็น ปัจจัยนําเข้าสู่ระบบการเมืองเป็นวงจร ดังนั้นสภาพแวดล้อมภายนอกและระบบการเมืองจึงเป็นปัจจัยสําคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของนโยบายสาธารณะ

65. ตัวแบบใดมองว่าสภาพแวดล้อม คือ ปัจจัยที่จะส่งผลต่อนโยบายสาธารณะ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 64. ประกอบ

66. ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ของกลไกรัฐในตัวแบบกลุ่ม
(1) สร้างกติกา
(2) ริเริ่มนโยบาย
(3) หาลู่ทางประนีประนอม
(4) จัดสรรผลประโยชน์
(5) นํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 62. ประกอบ

67. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับนโยบายที่ถูกกําหนดโดยตัวแบบกลุ่ม
(1) การประนีประนอม
(2) ความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม
(3) ดุลยภาพของผลประโยชน์
(4) เสถียรภาพของกลุ่มผู้นํา
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 63. ประกอบ

68. ปัจจัยใดส่งผลต่ออิทธิพลของกลุ่ม
(1) จํานวนสมาชิก
(2) ฐานะทางเศรษฐกิจ
(3) ลักษณะของผู้นํากลุ่ม
(4) ความสามัคคีของกลุ่ม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 5 ปัจจัยที่ส่งผลต่ออิทธิพลของกลุ่ม มีดังนี้
1. จํานวนสมาชิกของกลุ่ม
2. ฐานะทางเศรษฐกิจของกลุ่ม
3. ความเข้มแข็งในการจัดองค์การของกลุ่ม
4. ลักษณะของผู้นํากลุ่ม
5. ความใกล้ชิดกับผู้มีอํานาจในการกําหนดนโยบายของกลุ่มหรืออยู่ใกล้ศูนย์กลางของอํานาจ
6. ความสามัคคีของกลุ่ม

69. นโยบายตามตัวแบบสถาบันจะให้ประโยชน์กับใครมากที่สุด
(1) ประชาชน
(2) หน่วยงานของรัฐ
(3) นายทุน
(4) ภูมิภาค
(5) พรรคการเมือง
ตอบ 2 หน้า 6, (คําบรรยาย) ตัวแบบสถาบัน (Institution Model) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตของโครงสร้างสถาบันการปกครอง กล่าวคือ นโยบายใด ๆ ก็ตามจะได้ชื่อว่าเป็น
นโยบายสาธารณะก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองโดยสถาบันแล้วเท่านั้น ซึ่งนโยบายก็มักจะเป็นไป ตามที่สถาบันการปกครองกําหนดเองหรือให้ประโยชน์กับสถาบันการปกครอง ตัวอย่างสถาบัน การปกครอง ได้แก่ สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) สถาบันบริหาร (นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี) สถาบันราชการ (หน่วยงานของรัฐ) สถาบันตุลาการ (ศาล) สถาบันการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น

ตั้งแต่ข้อ 70 – 71. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) นโยบายสาธารณะ
(2) ข้อเรียกร้องของประชาชน
(3) การสนับสนุนของประชาชน
(4) สภาพแวดล้อม
(5) ถูกทั้งข้อ 2, 3 และ 4

70. ตัวแบบระบบมองว่าอะไรคือปัจจัยนําเข้า
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 64. ประกอบ

71. ตัวแบบระบบมองว่าอะไรคือปัจจัยนําออก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 64. ประกอบ

72. สิ่งแวดล้อมแบบใดควบคุมไม่ได้
(1) จํานวนคน
(2) ค่านิยม
(3) เทคโนโลยี
(4) ลักษณะทางภูมิศาสตร์
(5) งบประมาณ
ตอบ 2 หน้า 12, (คําบรรยาย) สิ่งแวดล้อมของนโยบาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมได้ (Controlled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่สามารถควบคุม หรือกําหนดได้อย่างแน่นอน เช่น จํานวนคนที่จะเข้ามาบริหารนโยบาย เทคโนโลยีที่ใช้ ในนโยบาย งบประมาณ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrolled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถ ควบคุมหรือกําหนดได้อย่างชัดเจน เช่น ความเชื่อ ค่านิยมของคนในสังคม ภาวะทางธรรมชาติ ภาวะโลกร้อน แผ่นดินไหว เป็นต้น

73.Controlled Environment หมายถึง
(1) ภาวะทางธรรมชาติ
(2) ค่านิยมของคนภาคใต้ของประเทศไทย
(3) เทคโนโลยีที่ใช้ในนโยบาย
(4) ความเชื่อของคนในภาคอีสาน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 72. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 74 – 75. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การระบุปัญหาที่ถูกต้อง
(2) กําหนดขอบเขตและกรอบของนโยบายที่รัดกุม
(3) ศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบายอย่างครบถ้วน
(4) ออกแบบทางเลือกนโยบายที่หลากหลาย
(5) การตัดสินใจเลือกทางเลือกที่ดีที่สุด

74. ขั้นตอนใดมีความสําคัญที่สุดในกระบวนการนโยบาย
ตอบ 1 หน้า 12 (คําบรรยาย) การระบุปัญหา คือ การศึกษาว่าอะไรคือปัญหา โดยการเก็บรวบรวม ข้อมูลจากสถานที่จริงหรือข้อมูลภาคสนามหรือข้อมูลปฐมภูมิ หรือข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ หรือข้อมูลทุติยภูมิ เพื่อที่จะทราบปัญหาและจําแนกว่าปัญหาใดเร่งด่วนกว่า มีสาเหตุจากอะไร และประชาชนรับรู้เพียงใด ดังนั้นการระบุปัญหาจึงเป็นขั้นตอนที่มีความสําคัญที่สุดในกระบวนการ กําหนดนโยบาย เพราะการระบุปัญหาที่ถูกต้องจะนําไปสู่การกําหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป

75. ศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากสภาพที่แท้จริง หรือข้อมูลภาคสนามเพื่อจะทราบปัญหา คือขั้นตอนใดในการกําหนดนโยบาย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 74. ประกอบ

76. ข้อมูลประเภทใดที่เปลี่ยนแปลงได้ง่าย
(1) ข้อมูลทุกประเภท
(2) ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts)
(3) ข้อมูลที่ยังไม่ได้กรอง
(4) ข้อมูลที่เป็นความเชื่อ (Values)
(5) ข้อมูลที่เกี่ยวกับโครงการเดิม
ตอบ 4 หน้า 11 การระบุสาเหตุของปัญหาในกระบวนการกําหนดนโยบายต้องอาศัย “ข้อมูล” เป็นสําคัญ โดยข้อมูลในการระบุสาเหตุของปัญหาต้องประกอบด้วย
1. ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts) เป็นข้อมูลที่มีลักษณะคงที่ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ลักษณะของดินฟ้าอากาศ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
2. ข้อมูลที่เป็นความเชื่อหรือค่านิยม (Values) เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับความยึดมั่น ความเชื่อถือ ของประชาชน ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก

ตั้งแต่ข้อ 77 – 78. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน
(2) มีความเป็นพลวัต
(3) มีความเป็นปรนัย
(4) อาจไม่มีตัวตนที่แท้จริง
(5) กล่าวถูกทุกข้อ

77. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับลักษณะของปัญหาในกระบวนการนโยบาย
ตอบ 3 หน้า 8 – 9, 69 ลักษณะของปัญหาในกระบวนการนโยบายมี 4 ลักษณะ ดังนี้
1. มีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน (Integration)
2. มีความเป็นพลวัต (Dynamic)
3. มีความเป็นอัตนัย (Subjective)
4. อาจไม่มีตัวตนที่แท้จริง (Artificiality)

78. ปัญหามักเปลี่ยนแปลงไปตามแรงกระตุ้นของสิ่งแวดล้อม คือลักษณะใดของปัญหา
ตอบ 2 หน้า 9 ปัญหาที่มีความเป็นพลวัต (Dynamic) หมายถึง การที่ปัญหามักแปรเปลี่ยน ลักษณะอาการไปได้ตามแรงกระตุ้นของสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจนําไปสู่การแปรเปลี่ยนให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาอีกได้ ดังนั้นการกําหนดปัญหาของนโยบายจึงไม่มีข้อสรุปที่ถาวร

79. ข้อใดคือปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจน
(1) การสร้างที่ทําการขององค์การ
(2) ความยากจนในสังคมไทย
(3) ความแตกต่างทางความคิดเห็น
(4) การแพร่ระบาดของโควิด-19
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 10 ปัญหาที่มีโครงสร้างชัดเจน (Well-Structured Problem) คือ ปัญหาที่มีผู้เกี่ยวข้อง จํานวนน้อย และมีทางออกในการแก้ไขปัญหาเพียงไม่กี่ทางเลือก ซึ่งแต่ละทางเลือกสามารถ มองเห็นผลประโยชน์ของทางเลือกได้ชัดเจน เช่น ปัญหาในการจัดสร้างที่ทําการขององค์การ ซึ่งมีผู้เกี่ยวข้องคือผู้ที่อยู่ในองค์การนั้น ทางออกคือสร้างหรือไม่สร้าง และประโยชน์จาก การสร้างคือได้ที่ทําการใหม่ เป็นต้น

80. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการระบุปัญหา
(1) สาเหตุ
(2) อาการ
(3) การประเมินผลนโยบาย
(4) ความเร่งด่วน
(5) ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
ตอบ 3 หน้า 11, 70 ขั้นตอนการระบุปัญหา ประกอบด้วย
1. การระบุสาเหตุของปัญหา เป็นการระบุต้นตอของปัญหา เพราะการแก้ปัญหาใด ๆ นั้นต้อง รู้ถึงต้นตอของปัญหาจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาได้หมดสิ้น ทั้งนี้การระบุสาเหตุของปัญหา ต้องอาศัย “ข้อมูล” เป็นสําคัญ
2. การระบุอาการของปัญหา เป็นการนิยามหรืออธิบายว่าอะไรคือปัญหา ผลกระทบของปัญหา คืออะไร ใครคือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และปัญหามีความรุนแรงหรือเร่งด่วนเพียงไร

81. อะไรคือสิ่งสําคัญในขั้นตอนการระบุสาเหตุของปัญหาในกระบวนการกําหนดนโยบาย
(1) เป้าหมาย
(2) วัตถุประสงค์
(3) การนําไปปฏิบัติ
(4) ข้อมูล
(5) การประเมินผล
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 76. ประกอบ

82. การกําหนดเป้าหมายของนโยบายควรมีลักษณะแบบใด
(1) เที่ยงตรง
(2) เปิดช่องให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตีความได้
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(3) ครอบคลุมประเด็นปัญหา
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 70 การกําหนดเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบายควรมีลักษณะดังนี้
1. มีความเที่ยงตรง
2. มีความชัดเจน เข้าใจตรงกันไม่ต้องตีความ
3. มีความเป็นไปได้
4. ครอบคลุมประเด็นปัญหา
5. วัดผลได้

83. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์
(1) เป็นวิธีการ
(2) เจาะจง
(3) สิ่งสุดท้ายที่ต้องการบรรลุ
(4) เป็นรูปธรรม
(5) กล่าวถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 70 เป้าหมาย (Goal) และวัตถุประสงค์ (Objective) มีความแตกต่างกันดังนี้

ตั้งแต่ข้อ 84 – 87. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การระบุปัญหา
(2) ทดสอบทางเลือก
(3) กําหนดขอบเขตและกรอบของนโยบาย
(4) ศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(5) การพัฒนาทางเลือกนโยบาย

84. ขั้นตอนการกําหนดว่าจะเริ่มที่ใด สิ้นสุด ณ จุดใด
ตอบ 3 หน้า 13 การกําหนดขอบเขตและกรอบของนโยบาย เป็นการกําหนดว่านโยบายจะมีขอบเขตกว้างไกลแค่ไหน จะเริ่มที่ใด สิ้นสุด ณ จุดใด จะแก้ไขปัญหาในส่วนใดได้บ้าง โดยพิจารณา ความเหมาะสมให้สอดคล้องกับอํานาจหน้าที่และความสามารถของหน่วยงาน ตลอดจน ความสมบูรณ์ของทรัพยากรที่สามารถระดมมาใช้ในการปฏิบัติได้

85. ศึกษาความขัดแย้งด้านผลประโยชน์จากนโยบาย รวมทั้งการยอมรับต่อนโยบาย คือขั้นตอนใด
ตอบ 4 หน้า 13 การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย คือการศึกษาข้อจํากัดด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ข้อมูล
2. ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์จากนโยบาย
3. การรับรู้และการยอมรับต่อนโยบาย
4. สิ่งแวดล้อมทั่วไป

86. การพิจารณาทางเลือกที่เป็นไปได้ทั้งหมดของนโยบาย คือขั้นตอนใด
ตอบ 5 หน้า 13, 71 การออกแบบทางเลือกนโยบายหรือการพัฒนาทางเลือกนโยบาย คือ การใช้ ความรู้ ประสบการณ์ของผู้กําหนดนโยบายร่วมกับข้อมูลที่รวบรวมและการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ เพื่อกําหนดว่าทางเลือกซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถแก้ไขปัญหาได้นั้นควรเป็นทางเลือกใดบ้าง โดยพิจารณาว่ามีทางเลือกใดที่สามารถปฏิบัติตามแล้วให้ผลสําเร็จดังวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้บ้าง ซึ่งในขั้นนี้ต้องพิจารณาทางเลือกที่เป็นไปได้ทั้งหมดของนโยบายให้ครบถ้วน

87.การตรวจสอบทางความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบต่าง ๆ ที่ใช้ เทคนิควิเคราะห์และการประยุกต์ทั้งหลายคือขั้นตอนใด
ตอบ 2 หน้า 14 การทดสอบทางเลือก คือ การทบทวนความเหมาะสมของขั้นตอนและข้อมูลที่ใช้ ทั้งทางด้านหลักการเหตุผล ทางเลือกของนโยบาย คุณภาพและปริมาณของข้อมูลว่ายังพอเพียง และดีอยู่ ตลอดจนตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบวิธีต่าง ๆ ที่ใช้ เทคนิควิธีวิเคราะห์ และการประยุกต์ทั้งหลายว่าเป็นระบบและสอดคล้องต้องกันอย่างแท้จริง

88. ข้อใดเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์นโยบาย
(1) วิเคราะห์ปัญหา
(2) วิเคราะห์เป้าหมาย
(3) วิเคราะห์ทางเลือก
(4) วิเคราะห์แนวปฏิบัติ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 16, 72 การวิเคราะห์นโยบาย มีหลายลักษณะดังนี้
1. วิเคราะห์สภาพปัญหาของนโยบาย
2. วิเคราะห์เป้าหมายของนโยบาย
3. วิเคราะห์ทางเลือกของนโยบาย
4. วิเคราะห์แนวปฏิบัติของนโยบาย
5. วิเคราะห์ผลลัพธ์ของนโยบาย

89.การส่งมอบงานตึก 12 ชั้น คณะรัฐศาสตร์ เป็นขั้นตอนใดของนโยบาย
(1) Policy Formulation
(2) Policy Analysis
(3) Policy Evaluation
(4) Policy Implementation
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 17, (คําบรรยาย) การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอนของ การแปลงวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ในนโยบาย ซึ่งอาจเป็นกฎหมาย คําสั่ง หรือมติของคณะรัฐมนตรี ให้เป็นแผนงาน โครงการ และกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม โดยจะต้องมีการจัดหา/การตระเตรียม วิธีการ ตลอดจนทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อดําเนินการให้สําเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้

90. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับการนํานโยบายไปปฏิบัติ
(1) มีผู้เกี่ยวข้องจํานวนมาก
(2) ความต้องการต่อนโยบายหลากหลายและแตกต่างกัน
(3) นโยบายมักจะรวบรัดและมีรายละเอียดน้อยลงเมื่อเวลาผ่านไป
(4) ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 17 – 18, 72 Randall Ripley และ Grace Franklin กล่าวว่า ในการนํานโยบาย ไปปฏิบัตินั้นมีประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้นํานโยบายไปปฏิบัติต้องทําความเข้าใจอยู่ 5 ประการ ได้แก่
1. มีผู้เกี่ยวข้องจํานวนมาก
2. ความต้องการต่อนโยบายหลากหลายและแตกต่างกัน
3. นโยบายมักมีขนาดใหญ่โตขึ้นตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป
4. ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย
5. มีปัจจัยจํานวนมากที่ไม่สามารถควบคุมได้

91. เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป นโยบายของรัฐจะเป็นอย่างไร
(1) มีขนาดใหญ่โตหน้าเวลา
(2) คงที่เหมือนเดิม
(3) มีขนาดใหญ่โตตามกาลเวลา
(4) มีขนาดเล็กลง
(5) มีขนาดเล็กลงหรือโตขึ้นตามจํานวนประชากร
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 90. ประกอบ

92. ลักษณะของนโยบายแบบใดที่มีโอกาสนําไปปฏิบัติได้สําเร็จสูง
(1) สร้างการเปลี่ยนแปลงมาก
(2) เห็นผลชัดเจน
(3) มีข้อมูลที่ยืนยันได้ชัดเจน
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 18 อาจารย์ศุภชัย ยาวะประภาษ กล่าวว่า ลักษณะของนโยบายที่มีแนวโน้มจะ ประสบความสําเร็จหรือมีโอกาสนําไปปฏิบัติได้สําเร็จสูงมีลักษณะดังนี้
1. เป็นนโยบายที่ไม่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งต่าง ๆ มากเกินไป
2. เห็นผลได้ชัดเจน
3. มีข้อมูลที่ยืนยันได้ชัดเจน

93. ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติจะมีผลต่อความสําเร็จของนโยบายมากในกรณีใด
(1) ทรัพยากรไม่เพียงพอ
(2) สังคมไม่สนับสนุนนโยบาย
(3) เวลาไม่เอื้ออํานวย
(4) วัตถุประสงค์ของนโยบายไม่ชัดเจน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติจะมีผลต่อความสําเร็จของนโยบายมากในกรณีวัตถุประสงค์ของนโยบายไม่ชัดเจน

94. ความเป็นไปได้ทางการเมืองของนโยบายขึ้นอยู่กับสิ่งใด
(1) อัตราส่วนของ ส.ส. ในสภา
(2) ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลและข้าราชการ
(3) การสนับสนุนจากสาธารณชน
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 19, 74, (คําบรรยาย) ความเป็นไปได้ทางการเมืองของนโยบายขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
1. เสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อัตราส่วนของ ส.ส. ในสภา เป็นต้น
2. ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล หน่วยงานของรัฐ (ข้าราชการ) และเอกชน
3. การสนับสนุนจากสาธารณชน

95. องค์การลักษณะใดมีโอกาสนํานโยบายไปปฏิบัติได้สําเร็จสูง
(1) องค์การแบบยึดกฎระเบียบ
(2) องค์การแบบกระจายอํานาจ
(3) องค์การแบบแนวดิ่ง
(4) องค์การแบบแนวราบ
(5) ขึ้นอยู่กับลักษณะของนโยบาย
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ลักษณะขององค์การที่มีโอกาสนํานโยบายไปปฏิบัติได้สําเร็จสูงนั้นขึ้นอยู่กับ ลักษณะของนโยบายเป็นสําคัญ บางนโยบายอาจจะต้องใช้องค์การแบบยึดกฎระเบียบจึงจะสําเร็จ บางนโยบายอาจจะต้องใช้องค์การแบบกระจายอํานาจจึงจะสําเร็จ ดังนั้นการนํา นโยบายไปปฏิบัติจะสําเร็จหรือล้มเหลวจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับลักษณะขององค์การแบบใดแบบหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับลักษณะของนโยบายที่จะต้องมีความเหมาะสมกับองค์การที่นํานโยบายไปปฏิบัติ

96. ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติหมายถึงอะไร
(1) วัฒนธรรม
(2) การจัดองค์การ
(3) ความรู้สึกต่อนโยบาย
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 78 ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติ หมายถึง
1. ความสามารถ ลักษณะนิสัย บุคลิกภาพ
2. วัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่อ
3. ประสบการณ์
4. ความรู้สึกต่อนโยบาย

97. ข้าราชการเกียร์ว่าง เป็นปัญหาด้านใด
(1) ทรัพยากร
(2) ความเป็นไปได้ทางการเมือง
(3) ความถูกต้องทางทฤษฎี
(4) วัตถุประสงค์ของนโยบาย
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ข้าราชการเกียร์ว่าง เป็นปัญหาด้านความเป็นไปได้ทางการเมือง ซึ่งก็คือเรื่องของ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับข้าราชการ ทําให้ข้าราชการปฏิบัติตามนโยบายอย่างไม่เต็มที่ ซึ่งส่งผลให้การนํานโยบายไปปฏิบัติอาจไม่ประสบความสําเร็จ

98. ศรีธนนชัยนําข้าวของในบ้านไปทิ้งเพราะรู้สึกขี้เกียจ เมื่อแม่บอกให้ทําความสะอาดบ้านให้เตียนโล่งแสดงให้เห็นถึงปัญหาอะไร
(1) ความขัดแย้งในตัวเองของนโยบาย
(2) วัตถุประสงค์ของนโยบาย
(3) ทัศนคติของศรีธนนชัย
(4) ข้อ 2 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การที่ศรีธนนชัยนําข้าวของในบ้านไปทิ้งเพราะรู้สึกขี้เกียจ เมื่อแม่บอกให้ ทําความสะอาดบ้านให้เตียนโล่งนั้น แสดงให้เห็นถึงปัญหาด้านทัศนคติของศรีธนนชัยและ วัตถุประสงค์ของนโยบายที่ไม่ชัดเจน ทําให้เกิดการตีความนโยบายหรือเข้าใจในนโยบาย ไม่ตรงกับที่ผู้กําหนดนโยบายกําหนดไว้

99. โรงเรียนยังคงเก็บค่าบํารุงกิจกรรม แม้มีนโยบายเรียนฟรี เป็นปัญหาด้านใด
(1) ทรัพยากร
(2) ตัวชี้วัด
(3) เป้าหมายของนโยบาย
(4) ข้อ 1 และ 3 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 19, 76, (คําบรรยาย) โรงเรียนยังคงเก็บค่าบํารุงกิจกรรม แม้มีนโยบายเรียนฟรี เป็นปัญหาด้านทรัพยากรซึ่งก็คือเรื่องของเงินทุนที่ไม่เพียงพอ ซึ่งทรัพยากรนี้ถือเป็นปัจจัยสําคัญของการนํานโยบายไปปฏิบัติ หากทรัพยากรมีไม่เพียงพอก็จะส่งผลต่อประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของการปฏิบัติตามนโยบาย

100. มีการฉีดน้ําใส่เครื่องวัดละอองฝุ่น เพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาด้านใด
(1) เป้าหมายของนโยบาย
(2) ความถูกต้องทางทฤษฎี
(3) ความเป็นไปได้ทางการเมือง
(4) ตัวชี้วัด
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การฉีดน้ําใส่เครื่องวัดละอองฝุ่น เพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นปัญหาเรื่อง ตัวชี้วัด ดังนั้นการกําหนดตัวชี้วัดจะต้องครอบคลุมและรัดกุม จึงจะทําให้นํานโยบายไปปฏิบัติเป็นไปตามเป้าหมายของนโยบายที่กําหนดไว้

POL3302 การวางแผนในภาครัฐ s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3302 การวางแผนในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1. การกําหนดวัตถุประสงค์ในการวางแผนโครงการคือข้อใด
(1) การกําหนดบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน
(2) การระบุสภาพของผลลัพธ์ที่ต้องการจะให้เกิดขึ้น
(3) การกําหนดตัวชี้วัดของผลการปฏิบัติงาน
(4) การกําหนดระยะเวลาการดําเนินงานโครงการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ขั้นตอนของการวางแผนโครงการ มีดังนี้
1. การรวบรวมข้อมูลและข้อเท็จจริงต่าง ๆ ทําให้รับรู้ถึงปัญหาและความต้องการต่าง ๆ และสามารถประเมินสถานการณ์ที่แท้จริงได้อย่างถูกต้อง
2. การวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ
3. การกําหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย คือ การระบุสภาพของผลลัพธ์ที่ต้องการจะให้เกิดขึ้น
4. การเสนอเพื่อพิจารณา จะอนุมัติหรือไม่อนุมัติ
5. การคิดค้นทางเลือก เป็นขั้นตอนที่ต้องทํารายละเอียด 6W 2H
6. การวิเคราะห์เปรียบเทียบทางเลือก โดยการใช้ข้อมูลจากผลการศึกษาความเป็นไปได้ของ
โครงการมาพิจารณา
7. การเสนอเพื่อพิจารณาอีกรอบหนึ่ง จะอนุมัติหรือไม่อนุมัติ
8. การจัดทําข้อเสนอโครงการ

2. ข้อใดเป็นคํากล่าวที่ถูกต้องในเรื่องประเภทของแผน
(1) แผนระยะยาว 5 ปีขึ้นไป
(2) แผนระยะสั้น 3 ปี
(3) แผนระยะปานกลาง 6 ปี
(4) แผนระยะสั้น 4 ปี
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 23, (คําบรรยาย) การจําแนกประเภทของแผนหรือแผนงาน (Plan) โดยใช้เกณฑ์
ระยะเวลา (Time Span) อาจจําแนกได้ดังนี้
1. แผนระยะสั้น เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 1 – 2 ปี ซึ่งสามารถวางแผนได้ง่ายเนื่องจากข้อมูลมีลักษณะกว้าง ๆ ง่าย ๆ
2. แผนระยะปานกลาง เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 2 – 5 ปี ซึ่งนิยมใช้เป็นแผนพัฒนาประเทศ
3. แผนระยะยาว เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป

3.คํากล่าวที่ว่านโยบายหมายถึง “การตัดสินใจขั้นต้นที่กําหนดแนวทางทั่วไปอย่างกว้าง ๆ เพื่อนําไปสู่ การปฏิบัติเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้” เป็นของผู้ใด
(1) ดร.กระมล ทองธรรมชาติ
(2) Gulick and Urwick
(3) William T. Greenwood
(4) William Dunn
(5) Thomas R. Dye
ตอบ 3 หน้า 1 William T. Greenwood กล่าวว่า นโยบาย (Policy) หมายถึง การตัดสินใจขั้นต้นที่กําหนดแนวทางทั่วไปอย่างกว้าง ๆ เพื่อนําไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้

4.แผนงบประมาณของไทยซึ่งเป็นแผนประจําทุกปีนั้น จัดเป็นแผนประเภทใด
(1) แผนรายปี
(2) แผนงบประมาณ
(3) แผนการเงิน
(4) แผนโครงการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สําหรับแผนงบประมาณของไทยซึ่งเป็นแผนประจําทุกปีนั้น อาจเรียกได้ว่า เป็นแผนประเภทแผนรายปี แผนงบประมาณ แผนการเงิน แผนระยะสั้น หรือแผนโครงการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการจําแนก

5. ทรัพยากรในการบริหารงานภาครัฐมีลักษณะอย่างไรในปัจจุบัน
(1) ทรัพยากรมีมูลค่าสูงขึ้นมาก
(2) การใช้ทรัพยากรควรคํานึงถึงมูลค่า
(3) ทรัพยากรมีลักษณะคงที่เหมือนเช่นในอดีต
(4) ข้อ 1 และข้อ 2
(5) ข้อ 2 และข้อ 3
ตอบ 4 (คําบรรยาย) สถานการณ์ที่ผู้บริหารองค์การภาครัฐต้องเผชิญอยู่เสมอ ได้แก่
1. ปัญหาทางการบริหารมีความสลับซับซ้อน ซึ่งหน่วยงานเดียวไม่สามารถจัดการกับปัญหาทางการบริหารได้ การละเลยการแก้ไขปัญหาจะนําความเสียหายมาสู่องค์การ และควรมีการจัดหน่วยงานโครงการเข้ามารับผิดชอบในการแก้ไขปัญหา
2. ความต้องการของลูกค้าและผู้รับบริการมีความหลากหลาย และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว บางครั้งความต้องการเกินกว่าความสามารถในการตอบสนองของภาครัฐ
3. ทรัพยากรมีมูลค่าสูงขึ้น การใช้ทรัพยากรควรคํานึงถึงมูลค่าด้วย
4. การใช้เทคโนโลยีก้าวหน้ามีความจําเป็นและสําคัญมากขึ้น ควรคํานึงถึงเรื่องความเหมาะสมของเทคโนโลยีที่จะใช้ และผลกระทบที่จะได้รับจากการใช้เทคโนโลยี
5. การเพิ่มความรวดเร็วและความถูกต้องในการให้บริการลูกค้า
6. การแข่งขันระหว่างกิจการต่าง ๆ มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
7. การพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์
8. การเผชิญกับภาวะวิกฤติและความเสี่ยงต่าง ๆ

6.ลักษณะของตัวแบบในแนวการอธิบายนโยบาย “ใช้ในภาวะการปฏิวัติรัฐประหาร”
(1) Group Model
(2) Institution Model
(3) System Model
(4) Elite Model
(5) Incremental Model
ตอบ 4 หน้า 3 – 4 ตัวแบบหรือทฤษฎีผู้นํา (Elite Model Theory) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะ เกิดขึ้นจากความต้องการของผู้นําหรือผู้มีอํานาจ หรือเป็นแนวทางที่สะท้อนค่านิยมที่เลือกสรรแล้วของผู้นํา โดยไม่จําเป็นต้องสนใจว่าสาธารณชนจะสนใจหรือพึงพอใจหรือไม่ ซึ่งนโยบายที่ออกมาก็มักจะให้ประโยชน์แก่ผู้นําและผู้ใกล้ชิดเอง ดังนั้นสถานการณ์ที่จะเกิดนโยบายตามตัวแบบนี้ได้ จึงต้องเป็นสถานการณ์ที่ผู้นํามีอํานาจสูงมากในทางการเมืองหรือทางสังคม เช่น การปกครอง ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือในภาวะการปฏิวัติรัฐประหาร เป็นต้น

7. การมีความหมายในตัวของปัญหาเอง
(1) Dynamic
(2) Artificiality
(3) Subjectivity
(4) Integration
(5) ปัญหามีตัวตนและมีโครงสร้างชัดเจน
ตอบ 3 หน้า 9 ปัญหาที่มีลักษณะเป็นอัตนัย (Subjectivity) หมายถึง ในปัญหาหนึ่ง ๆ นั้น ต่างก็มีความหมายในตัวของปัญหาเอง ขึ้นอยู่กับผู้รับรู้หรือผู้กําหนดนโยบายว่าจะสามารถรับรู้หรือ ตระหนักได้ถึงความเป็นปัญหาหรือไม่ การตระหนักปัญหาได้เร็วหรือรับรู้ปัญหาได้ก่อนจึงเป็น คุณสมบัติที่ดีของผู้กําหนดนโยบาย เพราะจะทําให้สามารถกําหนดนโยบายได้ทันการณ์

8.Controlled Environment หมายถึง
(1) ภาวะทางธรรมชาติ
(2) ค่านิยมของคนในภาคใต้ของประเทศไทย
(3) เทคโนโลยีที่ใช้ในนโยบาย
(4) ความเชื่อของคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 12 สิ่งแวดล้อมของนโยบาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมได้ (Controlled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่สามารถควบคุม หรือกําหนดได้อย่างแน่นอน เช่น จํานวนคนที่จะเข้ามาบริหารนโยบาย เทคโนโลยีที่ใช้ ในนโยบาย ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrolled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถ ควบคุมหรือกําหนดได้อย่างชัดเจน เช่น ความเชื่อ ค่านิยมของคนในสังคม ภาวะทางธรรมชาติ ภาวะโลกร้อน แผ่นดินไหว เป็นต้น

9. ขั้นตอนสุดท้ายของวงจรโครงการของภาครัฐ คือ
(1) การจัดทําข้อเสนอโครงการ
(2) การประเมินผลและปรับปรุงแก้ไข
(3) การส่งมอบงานโครงการ
(4) การอนุมัติโครงการ
(5) การลงทุนในโครงการ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) วงจรโครงการขององค์การภาครัฐ มี 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. การวางแผน การประเมิน และการจัดทําข้อเสนอโครงการ ประกอบด้วย
1.1 การกําหนดแนวคิดโครงการ เช่น การกําหนดเงื่อนไขของโครงการ (Terms of Reference : TOR)
1.2 การศึกษาความเป็นไปได้และประเมินโครงการ ซึ่งมีประโยชน์เพื่ออนุมัติโครงการ ให้มีการดําเนินการต่อไปได้หรือไม่
1.3 การจัดทําข้อเสนออันเป็นรายละเอียด หรือการออกแบบโครงการ
2. การคัดเลือก การอนุมัติ และการเตรียมความพร้อม
3. การปฏิบัติการ การควบคุม การยุติและส่งมอบ เช่น การนําโครงการขององค์การภาครัฐ ไปปฏิบัติ ซึ่งเป็นการทํางานของผู้จัดโครงการและผู้ร่วมงาน
4. การประเมินผลและปรับปรุงแก้ไข เช่น การวัดความสําเร็จหรือความล้มเหลวของโครงการ

10.การวางแผนแบบประสมประสาน มีขั้นตอนสําคัญอยู่ที่ใด
(1) การวิเคราะห์สถานการณ์แบบก้าวหน้า
(2) การทําแบบจําลอง (Model) ของแผน
(3) การเก็บข้อมูลที่กว้างขวาง
(4) การสร้างเศรษฐกิจของแผน
(5) การขออนุมัติหลักการของแผนก่อนเขียนแผนขั้นตอนสุดท้าย
ตอบ 2 หน้า 29 (คําบรรยาย) การวางแผนแบบสมบูรณ์แบบหรือประสมประสานหรือแผนรวม(Comprehensive Planning) เป็นการวางแผนที่กล่าวถึงเป้าหมายที่ต้องการก่อนเป็นอันดับแรก โดยเริ่มจากการสร้างแบบจําลองการเจริญเติบโต (Growth Model) ของแผนก่อน ซึ่งเป็น การคํานวณอัตราการเจริญเติบโตที่คาดหวังไว้ในรูปของการบริโภค เงินออม การลงทุน การนําเข้า-ส่งออก การจ้างงาน ความต้องการ (Demand) และความสามารถในการตอบสนอง (Supply) ของภาครัฐและภาคเอกชนรวมกัน โดยการวางแผนในรูปแบบนี้จะมีการวางแผน ทั้งแบบ Forward และ Backward และมีการกล่าวถึงบทบาทของภาคเอกชนไว้อย่างครบถ้วน จึงนับว่าเป็นวิธีที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งเหมาะสมสําหรับการวางแผนภาครัฐด้านเศรษฐกิจ และในสถานการณ์ที่หน่วยงานวางแผนมีความชํานาญแล้ว

11.ดร.สมพร แสงชัย กล่าวว่า การพิจารณาสภาพแวดล้อมนั้นต้องพิจารณาอะไรบ้าง
(1) พิจารณาเหตุการณ์ต่าง ๆ
(2) พิจารณาปัญหา
(3) พิจารณาความต้องการของประชาชน
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 37 – 39 ดร.สมพร แสงชัย กล่าวว่า กระบวนการวางโครงการมีขั้นตอนสําคัญ ๆ 8 ขั้นตอน ดังนี้
1. การพิจารณาสภาพแวดล้อมและเหตุการณ์ต่าง ๆ เพื่อศึกษาปัญหาหรือความต้องการของประชาชน
2. การกําหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
3. การหาวิธีการแก้ไข
4. การจัดทําโครงการตามวิธีการที่ดีที่สุด ซึ่งประกอบด้วย การกําหนดเป้าหมายให้ละเอียด การระบุชื่อผู้รับผิดชอบโครงการ (Project Manager) และ การจัดทําโครงการปฏิบัติหรือการจัดทํา “Project Programming
5. การเสนอโครงการเพื่อพิจารณาอนุมัติ
6. การเสนอของบประมาณ
7. การนําโครงการไปปฏิบัติ
8. การประเมินผลโครงการ

12. สถานการณ์ที่ผู้บริหารองค์การภาครัฐต้องเผชิญอยู่เสมอ ได้แก่
(1) หน่วยงานเดียวไม่สามารถจัดการกับปัญหาทางการบริหารได้
(2) ควรจัดหน่วยงานโครงการเข้ามารับผิดชอบในการแก้ไขปัญหา
(3) การละเลยการแก้ไขปัญหาจะนําความเสียหายมาสู่องค์การ
(4) ปัญหาทางการบริหารมีความสลับซับซ้อน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

13. แนวล่าสุดในการศึกษานโยบายสาธารณะคือแนวใด
(1) การวิเคราะห์นโยบาย
(2) กระบวนการทางนโยบาย
(3) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(4) เนื้อหาสาระของนโยบาย
(5) การประเมินนโยบาย
ตอบ 1 (คําบรรยาย) แนวทางการศึกษานโยบายสาธารณะตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันมีวิวัฒนาการ ตามลําดับ ดังนี้
1. การศึกษาเนื้อหาทางด้านนโยบายสาธารณะ (Policy-Issue Knowledge)
2. การศึกษากระบวนการทางนโยบายสาธารณะ (Policy Process)
3. การศึกษาแนวทางการวิเคราะห์นโยบายสาธารณะ (Policy Analysis)

14.การตอบคําถาม “ทําไม” ในกระบวนการวางแผนโครงการรวมถึงขั้นตอนใด
(1) การอธิบายถึงหลักการและเหตุผลของโครงการ
(2) การกําหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการ
(3) การระบุตัวชี้วัดด้านปริมาณงานและคุณภาพของงาน
(4) การระบุตัวชีวัดด้านเวลา
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) 6W 2H คือ การจัดวางรายละเอียดของวิธีการวางแผนโครงการ ซึ่งเป็นการตอบคําถามต่าง ๆ ดังนี้
1. Why (จะทําทําไม) คือ การอธิบายถึงหลักการและเหตุผลของโครงการ การกําหนด วัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการ (ได้แก่ SMART Principle) การระบุตัวชี้วัด ด้านเวลา ด้านปริมาณงานและคุณภาพของงาน
2. What (จะทําอะไร) คือ การระบุกิจกรรมหลักที่ต้องทํา
3. When (จะทําเมื่อไหร่) คือ การกําหนดกรอบเวลาในการดําเนินโครงการ
4. Where (จะทําที่ไหน) คือ การพิจารณาสถานที่ดําเนินโครงการ
5. Who (จะทําโดยใคร) คือ การคาดการณ์กําลังคนที่ต้องการ
6. Whom (จะทําเพื่อใคร) คือ กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผล
7. How (จะทําอย่างไร) คือ กฎระเบียบ เทคโนโลยีและมาตรการปฏิบัติงาน
8. How Much (จะจ่ายเท่าไหร่) คือ งบประมาณ ค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงและทางอ้อม

15. “การพิจารณาแหล่งที่มาของงบประมาณ” เป็นการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการในด้านใด
(1) ด้านสิ่งแวดล้อม
(2) ด้านการเงิน
(3) ด้านเทคนิค
(4) ด้านเศรษฐกิจ
(5) ด้านการตลาด
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการในด้านการเงิน มีดังนี้
1. การพิจารณาแหล่งที่มาของงบประมาณ
2. การวิเคราะห์การใช้จ่ายทางการเงินล่วงหน้า ฯลฯ

16. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “การระดมสมอง/เทคนิคพยากรณ์”
(1) การสิ้นสุดของนโยบาย
(2) การประเมินผลนโยบาย
(3) การก่อตัวของนโยบาย
(4) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(5) การกําหนดนโยบาย
ตอบ 3 (คําบรรยาย) เทคนิควิธีการวิเคราะห์นโยบายที่ควรนํามาใช้วิเคราะห์นโยบายในช่วงต่าง ๆ อาจแยกพิจารณาได้ดังนี้
1. ในช่วงการก่อตัวของนโยบาย เทคนิคที่ใช้คือ การระดมสมอง เทคนิคพยากรณ์ และ การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติและเนื้อหา
2. ในช่วงการกําหนดนโยบาย เทคนิคที่ใช้คือ การวิเคราะห์ความเสี่ยงในการตัดสินใจ และ การวิเคราะห์ต้นทุนผลประโยชน์
3. ในช่วงการนํานโยบายไปปฏิบัติ เทคนิคที่ใช้คือ การวิเคราะห์ข่ายงาน การบริหารคุณภาพ เช่น การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์/ผลสําเร็จ
4. ในช่วงการประเมินผลนโยบาย เทคนิคที่ใช้คือ การวิจัยประเมินผล
5. ในช่วงการสิ้นสุดของนโยบาย เทคนิคที่ใช้คือ การจัดสร้างองค์การใหม่ เป็นต้น

17. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “การวิเคราะห์และประเมินความเป็นไปได้”
(1) Output Monitoring
(2) Feasibility Study
(3) Process Monitoring
(4) Effectiveness Evaluation
(5) Efficiency Measurement
ตอบ 2(คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินความเป็นไปได้ (Feasibility Study) ของนโยบาย คือ การศึกษาวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของนโยบาย โดยมุ่งศึกษาหาคําตอบว่านโยบาย มีโอกาสประสบผลสําเร็จมากน้อยเพียงใด

18. โครงการประเภท “ริเริ่มหรือนวัตกรรม” ได้แก่ข้อใด
(1) การให้บริการทางอินเทอร์เน็ต
(2) การเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่
(3) การก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่
(4) การใช้อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักรใหม่
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ประเภทของโครงการ จําแนกเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. โครงการปรับปรุงหรือแก้ไขปัญหา เช่น โครงการ One Stop Service เป็นการให้บริการ แบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว และการจัดหน่วยบริการประชาชนนอกสถานที่ทํางาน
2. โครงการริเริ่มหรือนวัตกรรม เช่น การเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ การก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ การสร้างอาคารสํานักงานใหม่ การให้บริการทางอินเทอร์เน็ต และการใช้อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักรใหม่
3. โครงการวิจัยและพัฒนา มีลักษณะเป็นโครงการใหม่หรือโครงการบุกเบิก อาจใช้ชื่อเรียกว่า โครงการนําร่อง (Pitot Project) หรือเป็นโครงการค้นคว้าทดลอง

19. เหตุใดรัฐสภาเป็นผู้กําหนดนโยบายสาธารณะ
(1) เฉพาะประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา
(2) รัฐสภามีหน้าที่ออกกฎหมาย
(3) ผู้แทนราษฎรในรัฐสภามาจากประชาชน
(4) รัฐสภาไม่ใช่ผู้กําหนดนโยบาย
(5) เป็นอํานาจของรัฐสภาในการบริหารประเทศ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) นโยบายสาธารณะ หมายถึง แนวทางที่รัฐกระทําเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เพื่อประโยชน์สุขของสังคม โดยนโยบายสาธารณะจะมีรูปร่างที่แตกต่างกัน เช่น เป็นกฎหมาย กฎระเบียบ ข้อบังคับประกาศ สัญญา แผนงาน เป็นต้น ดังนั้นนโยบายสาธารณะจึงอาจ มีที่มาจากสถาบันที่มีบทบาทหน้าที่ที่แตกต่างกัน เช่น นโยบายสาธารณะอาจจะถูกกําหนด มาจากรัฐสภา เนื่องจากรัฐสภามีหน้าที่ออกกฎหมาย เป็นต้น

20. การกลั่นกรองข้อเสนอโครงการภาครัฐ ต้องตรวจสอบประเด็นอะไรบ้าง
(1) เหตุผลความจําเป็นของโครงการ
(2) ความสอดคล้องของโครงการกับแผนพัฒนาประเทศ
(3) วัตถุประสงค์ของโครงการ
(4) ความเหมาะสมของการศึกษาความเป็นไปได้
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การกลั่นกรองข้อเสนอโครงการภาครัฐ ต้องตรวจสอบประเด็น ดังนี้
1. เหตุผลความจําเป็นของโครงการ
2. วัตถุประสงค์ของโครงการ
3. ความสอดคล้อง ของโครงการกับแผนพัฒนาประเทศ
4. ความเหมาะสมของการศึกษาความเป็นไปได้

21. ความเห็นพ้องต้องกันระหว่างรัฐบาลกับเอกชน นโยบายที่ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายเอกชนด้วยดีจะได้รับความสําเร็จได้ดีกว่า
(1) ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติ
(2) ลักษณะของหน่วยงานที่นํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) ความสัมพันธ์ระหว่างกลไกต่าง ๆ ที่ร่วมกัน
(4) ความเป็นไปได้ทางการเมือง
(5) การมีทรัพยากรที่เพียงพอ
ตอบ 4 หน้า 19 นโยบายที่มีความเป็นไปได้ทางการเมือง ควรมีลักษณะดังนี้
1. มีความเห็นพ้องต้องกันระหว่างรัฐบาลกับเอกชน ซึ่งนโยบายที่ได้รับการสนับสนุนจาก ฝ่ายเอกชนด้วยดีจะได้รับความสําเร็จได้ดีกว่า
2. ได้รับการสนับสนุนจากสาธารณชน เช่น ประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง สื่อมวลชน กลุ่มชนชั้นนํา และกลุ่มอิทธิพลต่าง ๆ ในสังคม เป็นต้น

22. ข้อใดเป็นวิธีการสร้างการมีส่วนร่วมของประชาสังคม
(1) การจัดทําประชาพิจารณ์
(2) การประชาสัมพันธ์โครงการในชุมชน
(3) การสํารวจความต้องการของคนในชุมชน
(4) การจัดให้มีกล่องรับความคิดเห็นจากประชาชน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การสร้างการมีส่วนร่วมของประชาสังคม อาจทําได้โดยวิธีดังนี้
1. การประชาสัมพันธ์โครงการในชุมชน
2. การสํารวจความต้องการของคนในชุมชน
3. การจัดให้มีกล่องรับความคิดเห็นจากประชาชน
4. การจัดทําประชาพิจารณ์

23. คํากล่าวที่ว่า “การวางแผน คือ Set of Temporally Linked Actions” เป็นของใคร
(1) Jose Villamil
(2) Albert Waterston
(3) William Dunn
(4) Gulick and Urwick
(5) ดร.อมร รักษาสัตย์
ตอบ 1 หน้า 25 Jose Villamit กล่าวว่า “การวางแผนเป็นการกระทําที่เป็นกระบวนการ (Set of Temporally Linked Actions) ที่นําไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ (Desired end State) โดยการ ตัดสินใจแต่ละครั้งนั้นมุ่งให้เกิดการรวมชาติหรือการเปลี่ยนแปลง โดยมีการผิดพลาดน้อยที่สุด”

24. ใครได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งนโยบายศาสตร์”
(1) Herbert Simon
(2) Harold Lasswell
(3) Thomas R. Dye
(4) Dwight Waldo
(5) Woodrow Wilson
ตอบ 2 หน้า 7 Harrold Lasswell ผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งนโยบายศาสตร์” เห็นว่า นโยบายไม่ใช่เพียงต้องการความเป็นศาสตร์เท่านั้น แต่ต้องสามารถเป็นศาสตร์ที่นําไปสู่การปฏิบัติได้จริง โดยหนทางสู่ความเป็นศาสตร์นั้นต้องเริ่มต้นด้วยการมีนโยบายสาธารณะที่ดี ซึ่งต้องพัฒนามาจากระบวนการตัดสินใจที่ถูกต้องเหมาะสม มีหลักการ เต็มเปี่ยมด้วยเหตุผล และยึดมั่นในหลักการของวิชาการในเรื่องนั้น ๆ

25. ขั้นตอนกระบวนการนโยบายประกอบด้วยอะไร
(1) วิเคราะห์นโยบาย กําหนดนโยบาย ติดตามประเมินผลการปฏิบัตินโยบาย การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(2) การติดตามประเมินผลการปฏิบัตินโยบาย การนํานโยบายไปปฏิบัติ การวิเคราะห์นโยบายการกําหนดนโยบาย
(3) การนํานโยบายไปปฏิบัติ การวิเคราะห์นโยบาย การกําหนดนโยบาย การติดตามประเมินผล การปฏิบัตินโยบาย
(4) การกําหนดนโยบาย การวิเคราะห์นโยบาย การนํานโยบายไปปฏิบัติ การติดตามประเมินผล การปฏิบัตินโยบาย
(5) การนํานโยบายไปปฏิบัติ การติดตามประเมินผลนโยบาย การกําหนดนโยบาย การวิเคราะห์นโยบาย
ตอบ 4 หน้า 8 กระบวนการของนโยบาย (Processes of Policy) ประกอบด้วยขั้นตอนที่สําคัญดังนี้
1. การกําหนดนโยบาย (Policy Formulation)
2. การวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis)
3. การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation)
4. การติดตามประเมินผลการปฏิบัติ นโยบาย (Policy Evaluation)

26. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “การวิจัยประเมินผล
(1) การสิ้นสุดของนโยบาย
(2) การก่อตัวของนโยบาย
(3) การกําหนดนโยบาย
(4) การประเมินผลนโยบาย
(5) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

27. เป็นปัญหาที่ไม่มีรูปร่างหรือลักษณะใด ๆ อย่างแน่ชัดว่าคือปัญหา ทั้ง ๆ ที่ความจริงมีปัญหาแล้ว
(1) Dynamic
(2) Artificiality
(3) Integration
(4) Subjectivity
(5) ปัญหามีตัวตนและมีโครงสร้างชัดเจน
ตอบ 2 หน้า 9 ปัญหาที่มีลักษณะไม่มีตัวตนที่แท้จริง (Artificiality) หมายถึง ปัญหาเป็นสิ่งที่ไม่มี รูปร่างหรือลักษณะใด ๆ อย่างแน่ชัดว่าคือปัญหา ทั้ง ๆ ที่ความจริงมีปัญหาแล้ว ซึ่งปัญหานั้น อาจเป็นที่ยอมรับหรือตระหนักได้ของคนบางกลุ่มในขณะที่คนบางกลุ่มอาจไม่ยอมรับก็ได้

28. เหตุผลที่จําเป็นต้องศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ คือ
(1) เพื่อประเมินว่าควรลงทุนในโครงการหรือไม่
(2) เพื่อกําหนดจุดเริ่มต้นโครงการ
(3) เพื่อกําหนดรายละเอียดในการวางแผนดําเนินงาน
(4) ข้อ 1 และข้อ 2
(5) ข้อ 1 และข้อ 3
ตอบ 5 (คําบรรยาย) เหตุผลที่จําเป็นต้องศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ มีดังนี้
1. เพื่อตรวจสอบว่าสิ่งต่าง ๆ ที่กําหนดไว้ในโครงการมีความเป็นไปได้ที่จะประสบผลสําเร็จ ตามวัตถุประสงค์หรือไม่
2. เพื่อประเมินว่าควรลงทุนในโครงการหรือไม่
3. เพื่อกําหนดรายละเอียดในการวางแผนดําเนินงาน

29. อาจารย์ศุภชัย ยาวะประภาษ กล่าวว่า ลักษณะของนโยบายที่มีแนวโน้มจะประสบความสําเร็จเป็นอย่างไร
(1) ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
(2) มีข้อมูลยืนยันชัดเจน
(3) เห็นผลได้ในระยะยาว
(4) เห็นผลได้ในระยะสั้น
(5) มีข้อมูลจํานวนมาก
ตอบ 2 หน้า 18 อาจารย์ศุภชัย ยาวะประภาษ กล่าวว่า ลักษณะของนโยบายที่มีแนวโน้มจะ ประสบความสําเร็จ ควรมีลักษณะดังนี้
1. เป็นนโยบายที่ไม่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขสิ่งต่าง ๆ มากเกินไป
2. การเห็นผลได้ชัดเจนของนโยบาย
3. การมีข้อมูลที่ยืนยันได้ชัดเจน

30.TP. หมายถึง
(1) ทฤษฎีการวางแผน
(2) Team Planning
(3) การทํางานเป็นทีม
(4) เวลาที่ผ่านไป
(5) Target Planning
ตอบ 2 หน้า 33 – 34, (คําบรรยาย) การวางแผนแบบทีมวางแผน (Team Planning : TP.) คือ การวางแผนเป็นทีมที่เน้นหลักการมีส่วนร่วมและการระดมสมอง (Brain Storm) ซึ่งมี 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. ร่วมกันกําหนดเป้าหมาย (Targets) ของหน่วยงานให้ชัดเจนตรงกัน
2. ร่วมกันกําหนดอนาคต (Scenario) หรือวิสัยทัศน์ (Vision) ที่ต้องการโดยคิดล่วงหน้า 3 – 5 ปี
3. ร่วมกันหาสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางหรือข้อจํากัด (Obstructions) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
4. ร่วมกันกําหนดแผน (Plan) หรือกลยุทธ์ (Strategies) โดยใช้การวิเคราะห์ SWOT เข้าช่วย
5. ร่วมกันกําหนดกลวิธี (Tactics) หรือโครงการให้สอดคล้องกับแผนที่วางไว้
6. ร่วมกันจัดทําแผนปฏิบัติ (Action Plan) ของโครงการ โดยเน้นให้เกิดผลภายใน 90 วัน หรือที่เรียกว่า 90 Day Implementation Plan

31. สิ่งที่จําเป็นสําหรับข้อเสนอโครงการด้านการก่อสร้างที่แตกต่างจากโครงการชนิดอื่น คือ
(1) การจัดทําพิมพ์เขียวการก่อสร้าง
(2) การประมวลสถานการณ์แวดล้อม
(3) การกําหนดคุณลักษณะเฉพาะของงาน มาตรฐานของอุปกรณ์
(4) ข้อ 1 และข้อ 2
(5) ข้อ 1 และข้อ 3
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สิ่งจําเป็นสําหรับข้อเสนอโครงการด้านการก่อสร้างที่แตกต่างจากโครงการชนิดอื่น คือ การจัดทําพิมพ์เขียวการก่อสร้าง และการกําหนดคุณลักษณะเฉพาะของงาน มาตรฐาน ของอุปกรณ์ไว้อย่างชัดเจน

32. การกําหนดแนวคิดโครงการของภาคเอกชน กําหนดโดยผู้ใด
(1) เจ้าของกิจการ
(2) ผู้บริหารสูงสุด
(3) ผู้บริหารระดับกลาง
(4) ข้อ 1 และข้อ 2
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การกําหนดแนวคิดโครงการของภาคเอกชน จะถูกกําหนดโดยเจ้าของกิจการ หรือผู้บริหารระดับสูง ซึ่งการกําหนดแนวคิดโครงการจะเป็นจุดศูนย์กลางของวงจรโครงการ ของภาคเอกชน รวมถึงข้อกําหนดเงื่อนไขโครงการ (Terms of Reference : TOR) ก็พัฒนา มาจากแนวคิดโครงการ เพื่อให้เป็นไปตามความต้องการของเจ้าของกิจการ

33. ข้อใด “ไม่ใช่” ผู้กําหนดนโยบายสาธารณะอย่างไม่เป็นทางการ
(1) พรรคการเมือง
(2) นักวิชาการ
(3) กลุ่มผลประโยชน์
(4) สื่อมวลชน
(5) รัฐสภา
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ผู้กําหนดนโยบายสาธารณะ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ผู้กําหนดนโยบายสาธารณะอย่างเป็นทางการ เช่น รัฐสภา รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ศาล เป็นต้น
2. ผู้กําหนดนโยบายสาธารณะอย่างไม่เป็นทางการ เช่น พรรคการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ กลุ่มนักวิชาการ สื่อมวลชน เป็นต้น

34. ใครคือผู้มีหน้าที่กําาหนดนโยบายมากที่สุด
(1) ปลัดกระทรวง
(2) หัวหน้างาน
(3) อธิบดี
(4) ผู้อํานวยการกองวิชาการ
(5) ผู้อํานวยการสํานัก
ตอบ 1 หน้า 2, (คําบรรยาย) นโยบายสาธารณะเป็นเรื่องในระดับองค์การ ดังนั้นผู้มีหน้าที่กําหนด นโยบายสาธารณะจึงต้องเป็นผู้บริหารระดับสูงสุดขององค์การ (Top-Level Administrator)เท่านั้น ซึ่งผู้มีตําแหน่งสูงกว่าย่อมมีอํานาจในการกําหนดนโยบายมากกว่าผู้มีตําแหน่งน้อยกว่า ทั้งนี้หากมีตําแหน่งเท่ากัน ตําแหน่งที่จะกําหนดนโยบายมากกว่าย่อมเป็นตําแหน่งที่เกี่ยวกับ นโยบาย แผน และโครงการ

35. ลักษณะของตัวแบบในแนวการอธิบายนโยบาย “ไม่จําเป็นต้องสนใจว่าสาธารณชนจะพึงพอใจหรือไม่”
(1) Institution Model
(2) Incremental Model
(3) Group Model
(4) Elite Model
(5) System Model
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ

36. การตอบคําถาม “ใคร” ในกระบวนการวางแผนโครงการรวมถึงขั้นตอนใด
(1) การคาดการณ์กําลังคนที่ต้องการ
(2) การอธิบายหลักการและเหตุผลของโครงการ
(3) การพิจารณาสถานที่ดําเนินโครงการ
(4) การกําหนดกรอบเวลาในการดําเนินโครงการ
(5) การระบุกิจกรรมตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดสุดท้าย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 14. ประกอบ

37. การตอบคําถาม “อะไร” ในกระบวนการวางแผนโครงการรวมถึงขั้นตอนใด
(1) การคาดการณ์กําลังคนที่ต้องการ
(2) การอธิบายหลักการและเหตุผลของโครงการ
(3) การพิจารณาสถานที่ดําเนินโครงการ
(4) การกําหนดกรอบเวลาในการดําเนินโครงการ
(5) การระบุกิจกรรมตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดสุดท้าย
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 14. ประกอบ

38. ข้อใดเป็นความจริงเกี่ยวกับแผนระยะยาว
(1) มีระยะเวลามากกว่า 3 ปีขึ้นไป
(2) ใช้แก้ปัญหาได้เพียงผิวเผิน
(3) วางแผนได้ง่ายเนื่องจากข้อมูลมีลักษณะกว้าง ๆ ง่าย ๆ
(4) มีระยะเวลาไม่จํากัด
(5) ความเชื่อมั่นจะแปรผันกับระยะเวลาของแผน
ตอบ 5 หน้า 23 (คําบรรยาย) แผนระยะยาว คือ แผนที่มีระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป เป็นแผนที่มี ความเชื่อมั่นได้น้อยและจะแปรผันกับระยะเวลาของแผน กล่าวคือ ความเชื่อมั่นจะลดต่ําลง ตามระยะเวลาที่ยาวออกไป แต่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป (แผนนั้นเริ่มเห็นผล คือ สามารถ แก้ปัญหาได้ ความเชื่อมั่นที่มีต่อแผนก็จะเพิ่มมากขึ้น) และแผนระยะยาวนับว่าเป็นแผนที่ แก้ปัญหาได้ลึกซึ้งที่สุด แต่เห็นผลช้า

39.วงจรโครงการของภาคเอกชน แบ่งออกเป็นงานสําคัญที่ขั้นตอน
(1) 3 ขั้นตอน
(2) 4 ขั้นตอน
(3) 5 ขั้นตอน
(4) 6 ขั้นตอน
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) วงจรโครงการของภาคเอกชน มี 4 ขั้นตอน คือ
1. การกําหนดแนวคิดโครงการ
2. การวางแผนโครงการ ซึ่งเป็นบันไดขั้นแรกที่มีผลต่อความสําเร็จของโครงการ
3. การดําเนินงานโครงการ
4. การยุติและส่งมอบโครงการ

40. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะแนวคิดในการวิเคราะห์
(1) คําตอบซ้ำ
(2) ต้องใช้หลายวิธี
(3) ต้องใช้หลักเหตุผล
(4) เป็นสาขาวิชาทางวิทยาศาสตร์ประยุกต์
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 15 – 16 แนวคิดในการวิเคราะห์นโยบาย มีลักษณะสําคัญดังนี้
1. เป็นสาขาวิชาทางสังคมศาสตร์ประยุกต์
2. ใช้วิธีการหลายวิธี
3. เป็นการใช้เหตุผล
4. มุ่งผลิตและแปรสภาพข่าวสาร
5. ข่าวสารที่ได้สามารถนําไปใช้ประโยชน์ในสภาพความเป็นจริงทางการเมือง

41. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “การสร้างองค์การใหม่”
(1) การก่อตัวของนโยบาย
(2) การกําหนดนโยบาย
(3) การประเมินผลนโยบาย
(4) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(5) การสิ้นสุดของนโยบาย
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

42. โครงการประเภท “ปรับปรุงและแก้ไขปัญหา” ได้แก่ข้อใด
(1) การสร้างอาคารสํานักงานใหม่
(2) การใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ทันสมัยยิ่งขึ้น
(3) การแก้ไขปัญหาครอบครัว
(4) การจัดหน่วยบริการประชาชนนอกสถานที่ทํางาน
(5) การแก้ไขปัญหาส่วนตัว
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 18. ประกอบ

43. การที่ปัญหาอาจแปรเปลี่ยนลักษณะอาการไปได้ตามแรงกระตุ้นของสิ่งแวดล้อม
(1) Subjectivity
(2) ปัญหามีตัวตนและมีโครงสร้างชัดเจน
(3) Dynamic
(4) Artificiality
(5) Integration
ตอบ 3 หน้า 9 ปัญหาที่มีความเป็นพลวัต (Dynamic) หมายถึง การที่ปัญหาอาจแปรเปลี่ยน ลักษณะอาการไปได้ตามแรงกระตุ้นของสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจนําไปสู่การแปรเปลี่ยนให้เกิด ปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกได้ ดังนั้นการกําหนดปัญหาของนโยบายจึงไม่มีข้อสรุปที่ถาวร

44. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “การวิเคราะห์ต้นทุนผลประโยชน์”
(1) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
(2) การสิ้นสุดของนโยบาย
(3) การกําหนดนโยบาย
(4) การประเมินผลนโยบาย
(5) การก่อตัวของนโยบาย
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

45. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “มุ่งเน้นในการเปรียบเทียบต้นทุนค่าใช้จ่ายและผลผลิตที่ได้รับ”
(1) Feasibility Study
(2) Process Monitoring
(3) Efficiency Measurement
(4) Output Monitoring
(5) Effectiveness Evaluation
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การประเมินผลโดยการวัดประสิทธิภาพ (Efficiency Measurement) ของนโยบาย คือ การประเมินผลโดยการพิจารณาว่าเมื่อดําเนินการตามนโยบายเสร็จแล้ว ได้ผลคุ้มค่าหรือไม่ ประหยัดหรือไม่ มีต้นทุนต่อหน่วยเท่าใด ซึ่งกระทําได้โดยการเปรียบเทียบ ต้นทุนค่าใช้จ่าย (Cost) ทั้งหมดกับผลผลิตหรือผลตอบแทน (Benefit) ที่ได้รับ

46. ข้อใดไม่ใช่ปัญหาอุปสรรคในการประเมินนโยบายสาธารณะ
(1) กลัวว่าการประเมินอาจจะนําไปสู่การยกเลิกสิ้นสุดนโยบาย
(2) เกิดการต่อต้านจากบุคคลต่าง ๆ
(3) เป็นสิ่งที่ไม่จําเป็นและไม่มีประโยชน์
(4) ไม่มีระเบียบทางราชการให้ประเมินได้
(5) กลัวว่าข้อมูลบางอย่างที่ได้รับจากการประเมินผลอาจจะถูกบิดเบือนและปรุงแต่ง
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ปัญหาและอุปสรรคในการประเมินผลนโยบายสาธารณะ ได้แก่
1. คิดว่าการประเมินผลเป็นสิ่งที่ไม่จําเป็นและไม่มีประโยชน์
2. มองว่าเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ
3. กลัวว่าการประเมินผลอาจจะนําไปสู่การยกเลิกสิ้นสุดนโยบาย
4. กลัวว่าข้อมูลบางอย่างที่ได้รับจากการประเมินผลอาจจะถูกบิดเบือนและปรุงแต่ง
5. เกิดการต่อต้านจากบุคคลต่าง ๆ ฯลฯ

47. ลักษณะของตัวแบบในแนวการอธิบายนโยบาย “แสวงหาลู่ทางในการประนีประนอมเพื่อทําให้เกิดดุลยภาพของการแข่งขัน”
(1) Incremental Model
(2) Elite Model
(3) Institution Modet
(4) System Model
(5) Group Model
ตอบ 5 หน้า 4 – 5 ตัวแบบหรือทฤษฎีกลุ่ม (Group Mode Theory) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะ เป็นผลผลิตที่เกิดจากดุลยภาพของการแข่งขันระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ในสังคม ซึ่งแต่ละกลุ่ม ต่างดิ้นรนแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิอํานาจในการเป็นผู้คุมกลไกนโยบายของรัฐ ดังนั้น ระบบการเมืองจึงมีหน้าที่ 4 ประการ ได้แก่
1. ตั้งกติกาการแข่งขันระหว่างกลุ่มทั้งหลายให้เกิดการแข่งขันที่ยุติธรรมบนพื้นฐานที่ยอมรับ
2. แสวงหาลู่ทางในการประนีประนอมเพื่อทําให้เกิดดุลยภาพของการแข่งขัน
3. เมื่อระบบการเมืองแสวงหาดุลยภาพได้แล้ว จึงนําดุลยภาพนั้นมากําหนดนโยบาย
4. นํานโยบายไปปฏิบัติ

48. ข้อมูลที่ต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก คือ
(1) ข้อมูลทุกประเภท
(2) ข้อมูลที่เป็นความเชื่อ (Values)
(3) ข้อมูลที่เกี่ยวกับโครงการของดิน
(4) ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts)
(5) ข้อมูลที่ยังไม่ได้กรอง
ตอบ 2 หน้า 11 ข้อมูลในการวางนโยบายหรือแผน อาจจําแนกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1. ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts) เป็นข้อมูลที่มีลักษณะคงที่ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ลักษณะของดินฟ้าอากาศ และภูมิศาสตร์
2. ข้อมูลที่เป็นความเชื่อหรือค่านิยม (Values) เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับความยึดมั่น ความเชื่อถือ ของประชาชน ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก

49. “การพิจารณาสภาพความต้องการสินค้าหรือบริการโดยรวม” เป็นการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการในด้านใด
(1) ด้านการเงิน
(2) ด้านเศรษฐกิจ
(3) ด้านการตลาด
(4) ด้านสิ่งแวดล้อม
(5) ด้านเทคนิค
ตอบ 3(คําบรรยาย) การวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการในด้านการตลาด มีดังนี้
1. การพิจารณาสภาพความต้องการสินค้าหรือบริการโดยรวม
2. ศึกษาสภาพความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ฯลฯ

50. ลักษณะเฉพาะที่สําคัญของโครงการ คือ
(1) ผลลัพธ์ของโครงการตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
(2) ขอบข่ายของงานมีลักษณะเป็นเอกเทศ แตกต่างจากงานประจํา
(3) มีองค์การรับผิดชอบโดยเฉพาะ
(4) องค์การที่รับผิดชอบทําหน้าที่เป็นการชั่วคราว
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ลักษณะเฉพาะของโครงการ มีดังนี้
1. ขอบข่ายของงานมีลักษณะเป็นเอกเทศ หรือมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างไปจากงานประจํา
2. มีองค์การรับผิดชอบในการบริหารโดยเฉพาะ และทําหน้าที่เป็นการชั่วคราว
3. ผลลัพธ์ของโครงการตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
4. ในการบริหารโครงการ ผู้บริหารโครงการต้องคํานึงถึงข้อจํากัดด้านเวลา ค่าใช้จ่ายและคุณภาพตามที่กําหนดไว้ในเงื่อนไขของโครงการ
5. ในการบริหารโครงการ จําเป็นต้องเน้นความสําคัญของการบูรณาการกับองค์การหลักหรือหน่วยงานหลักของเจ้าของโครงการ ฯลฯ

51. ปัญหา “การจราจรติดขัดในชั่วโมงเร่งด่วน” เป็นปัญหาประเภทใด
(1) ปัญหาทั่วไป
(2) ปัญหาที่ต้องปรับปรุงแก้ไข
(3) ปัญหาในเชิงป้องกัน
(4) ปัญหาที่ต้องการสร้างโอกาสในการพัฒนา
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 25, (คําบรรยาย) ปัญหาที่ต้องปรับปรุงแก้ไข (Solved Problem) เป็นปัญหาที่ปรากฏ ผลเสียหายให้เห็นอยู่แล้วจึงต้องรีบวางแผนหาแนวทางขจัดปัดเป่าเพื่อให้มีผลเสียหายน้อยที่สุดปัญหาชนิดนี้มักทําให้เกิดแผนเร่งด่วนซึ่งนับเป็นแผนในเชิงรับ เช่น ปัญหาการจราจรติดขัด ในชั่วโมงเร่งด่วน ปัญหาน้ําท่วม เป็นต้น

52. ในเรื่องเกี่ยวกับรูปร่างและรูปแบบของนโยบาย ข้อความในข้อใด “กล่าวผิด”
(1) มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ
(2) มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ
(3) มีรูปแบบเป็นสัญญา
(4) เป็นคําบอกกล่าวที่เสนอผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นไป
(5) มีรูปเป็นแบบแผน โครงการ
ตอบ 4 หน้า 2 นโยบายมีรูปร่างและรูปแบบหลายลักษณะตามการใช้ประโยชน์ของนโยบาย ดังนี้
1. มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง
2. มีรูปเป็นแผนงาน โครงการ
3. มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ เพื่อแจ้งข่าวสารหรือเชิญชวน ซึ่งมีลักษณะบังคับน้อยที่สุด
4. มีรูปเป็นสัญญา
5. มีรูปเป็นอื่น ๆ หรืออาจไม่มีรูปร่างให้เห็นชัดเจน เช่น คําแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี และมติคณะรัฐมนตรี เป็นต้น

53. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “ผลลัพธ์ตรงกับวัตถุประสงค์ที่วางไว้หรือไม่”
(1) Effectiveness Evaluation
(2) Efficiency Measurement
(3) Output Monitoring
(4) Feasibility Study
(5) Process Monitoring
ตอบ 1 (คําบรรยาย) การประเมินผลโดยการวัดประสิทธิผล (Effectiveness Evaluation) ของนโยบาย คือ การประเมินผลโดยการพิจารณาว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการดําเนินการตามนโยบายนั้นตรงกับเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่วางไว้หรือไม่

54. การประเมินโครงการมีประโยชน์อย่างไร
(1) เป็นภาพสะท้อนให้ผู้บริหารโครงการปรับปรุงการบริหารได้
(2) เป็นข้อมูลเพื่อแก้ไขโครงการนั้นได้
(3) เป็นข้อมูลเพื่อการวางโครงการในโอกาสต่อไป
(4) เป็นข้อมูลเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
(5) เป็นการวางแผนขั้นสุดท้ายที่โครงการต้องทํา
ตอบ 3 หน้า 50, (คําบรรยาย) การประเมินโครงการมีประโยชน์ ดังนี้
1. ทําให้ทราบว่าการดําเนินโครงการประสบความสําเร็จมากน้อยเพียงใด
2. ทําให้ทราบถึงเหตุผลสําคัญที่ทําให้โครงการประสบความสําเร็จหรือล้มเหลว
3. ช่วยปรับปรุงการดําเนินงานให้ดีขึ้น
4. เก็บเป็นข้อมูลสําหรับการวางโครงการในโอกาสต่อ ๆ ไป ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ ของผู้ร่างหรือผู้วางโครงการให้สูงขึ้นด้วย

55. ความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ในองค์การ ได้แก่อะไร
(1) การฝึกอบรม
(2) การสอนงาน
(3) การให้คําแนะนํา
(4) การสาธิต
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ในองค์การ ได้แก่ การสอนงาน การให้คําแนะนําการสาธิต การฝึกอบรม การวิจัยและการพัฒนาในองค์การ เป็นต้น

56. การนําโครงการขององค์การภาครัฐไปปฏิบัติเป็นการทํางานของผู้ใด
(1) ปลัดกระทรวง
(2) อธิบดี
(3) ผู้จัดการโครงการ
(4) ข้าราชการระดับล่าง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

57. ลักษณะของผู้ปฏิบัติงานในงานประจํา คือ
(1) มีทักษะเก่งงานด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว
(2) มีทักษะในการตัดสินใจ
(3) มีทักษะรอบด้านในการทํางานให้สําเร็จ
(4) ไม่จําเป็นต้องมีทักษะใด ๆ
(5) มีทักษะในด้านการใช้ภาษาในการสื่อสาร
ตอบ 1 (คําบรรยาย) การบริหารงานประจํามักมีสภาพแวดล้อมไม่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากนัก และไม่สลับซับซ้อนจนเกินไป และลักษณะของผู้ปฏิบัติงานในงานประจําก็มักจะมีทักษะเก่งงาน ด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียว

58. “ความคิดสร้างสรรค์” จําเป็นสําหรับขั้นตอนใด
(1) การประเมินผลโครงการ
(2) การริเริ่มโครงการ
(3) การคิดทางเลือกในการแก้ไขปัญหา
(4) การดําเนินโครงการ
(5) การวิเคราะห์โครงการ
ตอบ 3(คําบรรยาย) การคิดทางเลือกในการแก้ไขปัญหา คือ การใช้ความรู้ ประสบการณ์ และ ความคิดสร้างสรรค์ร่วมกับข้อมูลที่รวบรวมและการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ เพื่อกําหนดว่าทางเลือก ซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถแก้ไขปัญหาได้นั้นควรเป็นทางเลือกใดบ้าง โดยพิจารณาว่ามีทางเลือกใด ที่สามารถปฏิบัติตามแล้วให้ผลสําเร็จดังวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้บ้าง ซึ่งในขั้นตอนนี้ต้องรวบรวม ทางเลือกทุก ๆ ทางเลือกที่เป็นไปได้ให้ครบถ้วน

59. ในการบริหารโครงการ ผู้บริหารควรคํานึงถึงเรื่องอะไร
(1) ข้อจํากัดด้านเวลา
(2) ค่าใช้จ่าย
(3) คุณภาพของงาน
(4) ข้อ 1 – 3
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 50. ประกอบ

60. ในแนวคิดการศึกษานโยบายศาสตร์ในแนววิเคราะห์นโยบายนิยมใช้ในนักวิชาการกลุ่มใด
(1) นักวิทยาศาสตร์
(2) นักรัฐศาสตร์
(3) นักสังคมวิทยา
(4) นักเศรษฐศาสตร์
(5) นักรัฐประศาสนศาสตร์
ตอบ 5 หน้า 6 – 7 การศึกษาแนววิเคราะห์นโยบาย ถือเป็นแนวทางที่นักรัฐประศาสนศาสตร์ นิยมใช้กันมาก โดยเป็นการศึกษาที่เน้นการวิเคราะห์โดยทั่วไป (ในภาพรวม) มิใช่เป็น การศึกษารายกรณี และมีเทคนิควิธีการศึกษาที่ใช้หลักสหวิทยาการหรือหลักการของ วิชาการหลายสาขามาศึกษาวิเคราะห์ ซึ่งการศึกษาตามแนวนี้ได้มีจุดเริ่มต้นระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ริเริ่ม

61.Bazi จําแนกกิจกรรมการนําโครงการไปปฏิบัติเป็น 3 กระบวนการ ข้อใด “ไม่ใช่” กระบวนการทั้ง 3 นั้น
(1) เขียนโครงการอีกครั้ง
(2) วิเคราะห์โครงการอีกครั้ง
(3) เริ่มต้นการทํางาน
(4) กําหนดรูปแบบการทํางาน
(5) ไม่มีคําตอบที่ถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 42 – 43 Bazi ได้จําแนกกิจกรรมการนําโครงการไปปฏิบัติออกเป็น 3 กระบวนการ ได้แก่
1. การวิเคราะห์โครงการอีกครั้งหนึ่ง (Project Reappraisal)
2. การเริ่มต้นการทํางาน (Action Initiation)
3. การกําหนดรูปแบบการทํางาน

62. การระบุอาการของปัญหาเป็นการอธิบายถึงปรากฏการณ์ของปัญหา พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงประจักษ์พยานเพื่อยืนยันอะไร
(1) จุดเด่นของปัญหา
(2) ความมีอยู่จริงของปัญหา
(3) วิธีแก้ไขปัญหา
(4) ความไม่มีอยู่จริงของปัญหา
(5) ลักษณะของปัญหา
ตอบ 2 หน้า 11 การระบุอาการของปัญหา เป็นการอธิบายถึงปรากฏการณ์ของปัญหา พร้อมทั้ง แสดงให้เห็นถึงประจักษ์พยานเพื่อยืนยันถึง “ความมีอยู่จริงของปัญหา” โดยปัญหาที่มีอาการ อยู่มากก็จะแสดงว่าเป็นปัญหาที่มีความรุนแรง หรือมีความเร่งด่วนที่จะต้องได้รับการแก้ไขก่อน

63. ความเป็นธรรมของนโยบายวัดได้อย่างไร
(1) วัดจากการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมในกระบวนการของนโยบายให้มากที่สุด
(2) วัดจากการกระจายรายได้ของนโยบายสู่ประชาชน
(3) วัดจากความพึงพอใจของประชาชนโดยส่วนรวม
(4) วัดจากประโยชน์ที่มีต่อประชาชนกลุ่มต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกัน
(5) วัดจากประสิทธิภาพและประสิทธิผลของนโยบาย
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การพิจารณาด้านความเป็นธรรมของนโยบาย แผน หรือโครงการนั้น อาจพิจารณา หรือวัดได้จากประโยชน์ของนโยบาย แผน หรือโครงการว่าประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับประโยชน์ จากนโยบาย แผน หรือโครงการอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่ เพราะนโยบาย แผน หรือโครงการ ที่ดีนั้นจะต้องคํานึงถึงประโยชน์ของสาธารณชนส่วนใหญ่เป็นหลัก

64. กระบวนการใดเป็นกระบวนการที่นับว่ามีอิทธิพลต่อทุกกระบวนการมากที่สุด
(1) การวิเคราะห์โครงการ
(2) การนําโครงการไปปฏิบัติ
(3) การประเมินโครงการ
(4) การประเมินผลโครงการ
(5) การวางโครงการ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ในกระบวนการของแผน/โครงการนั้น กระบวนการหรือขั้นตอนที่ใช้ข้อมูลมากที่สุด และมีอิทธิพลต่อทุก ๆ กระบวนการมากที่สุดก็คือ การวางแผน/โครงการ เพราะโดยทั่วไปแล้ว การที่แผน/โครงการจะประสบความสําเร็จหรือล้มเหลวนั้นจะขึ้นอยู่กับกระบวนการหรือขั้นตอน ที่ว่านี้เป็นสําคัญ กล่าวคือ ถ้าวางแผน/โครงการได้ดีมีรายละเอียดครอบคลุม มีการเก็บข้อมูล อย่างถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ ย่อมส่งผลให้การวางโครงการมีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์และ ประเมิน การนําไปปฏิบัติ ตลอดจนการประเมินผลสามารถทําได้โดยง่าย และโอกาสที่แผน/ โครงการนั้นจะประสบความสําเร็จก็จะมีสูง

65. ความต้องการของผู้รับบริการจากองค์การภาครัฐในปัจจุบันเป็นอย่างไร
(1) ความต้องการเกินกว่าความสามารถในการตอบสนองของภาครัฐ
(2) ความต้องการมีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น
(3) ความต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
(4) บางครั้งความต้องการลดลงอย่างรวดเร็ว
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

66. สภาพแวดล้อมของการบริหารงานประจํา คือ
(1) สภาพแวดล้อมไม่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมากนัก
(2) สภาพแวดล้อมไม่สลับซับซ้อนจนเกินไป
(3) สภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงมาก
(4) ข้อ 1 และข้อ 2
(5) ข้อ 2 และข้อ 3
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 57. ประกอบ

67. ความเป็น Dynamic ของปัญหาคืออะไร
(1) การเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันของปัญหา
(2) การที่ปัญหามีความหมายในตัวของปัญหาเอง
(3) การที่ปัญหาไม่มีตัวตนของปัญหาเอง
(4) การมีปัญหาหลายปัญหาในเวลาเดียวกัน
(5) การที่ปัญหาอาจแปรเปลี่ยนลักษณะอาการไปได้ตามแรงกระตุ้นของสิ่งแวดล้อม
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ

68. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “การตรวจสอบการดําเนินกิจกรรมว่าเป็นไปตามแผนการดําเนินงานหรือไม่”
(1) Output Monitoring
(2) Effectiveness Evaluation
(3) Process Monitoring
(5) Feasibility Study
(4) Efficiency Measurement
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การกํากับติดตามการดําเนินกิจกรรมหรือกระบวนงาน (Activity/Process Monitoring) คือ การตรวจสอบการดําเนินกิจกรรมของนโยบายในแต่ละขั้นตอนว่าเป็นไป ตามแผนการดําเนินงานหรือไม่

69. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “การตรวจสอบผลการดําเนินงานว่าได้รับผลผลิต ซึ่งแสดงออกมา ในรูปของหน่วยวัดต่าง ๆ ตรงตามเป้าหมายที่กําหนดไว้หรือไม่”
(1) Output Monitoring
(2) Process Monitoring
(3) Efficiency Measurement
(4) Feasibility Study
(5) Effectiveness Evaluation
ตอบ 1 (คําบรรยาย) การกํากับติดตามผลผลิต (Output Monitoring) ของนโยบาย คือ การตรวจสอบผลการดําเนินงานของนโยบายว่าได้รับผลผลิต ซึ่งแสดงออกมาในรูปของ หน่วยวัดต่าง ๆ ตรงตามเป้าหมายที่กําหนดไว้หรือไม่

70. ข้อใดเป็นลักษณะเด่นของนโยบายสาธารณะในแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 ที่แตกต่างจากแผนอื่น
(1) เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยแยกจากกันให้ชัดเจน
(2) เน้นการกระจายรายได้และการถือครองทรัพย์สิน
(3) เน้นการพัฒนาจิตใจ วัฒนธรรม และสังคม
(4) เน้นการพัฒนาการบริหารและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) เป็นการวางแผนที่ยังคงน้อมนําและ ประยุกต์ใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ยึดคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม การพัฒนาที่ยึดหลักสมดุล ยั่งยืน โดยให้ความสําคัญกับการกําหนดทิศทางการพัฒนาที่มุ่งสู่ การเปลี่ยนผ่านจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูง มีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และสังคมอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

71. การนํานโยบายไปปฏิบัติต้องใช้หน่วยงานหลายหน่วย หลายระดับ หลายสังกัด ดังนั้นกลไกหน่วยงานจะเกี่ยวข้องกัน
(1) ลักษณะของหน่วยงานที่นํานโยบายไปปฏิบัติ
(2) การมีทรัพยากรที่เพียงพอ
(3) ความสัมพันธ์ระหว่างกลไกต่าง ๆ ที่ร่วมกัน
(4) ความเป็นไปได้ทางการเมือง
(5) ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 3 หน้า 20 ความสัมพันธ์ระหว่างกลไกต่าง ๆ ที่ร่วมกันนํานโยบายไปปฏิบัติ คือ ในการนํา นโยบายไปปฏิบัตินั้นจะต้องใช้หน่วยงานหลายหน่วย หลายระดับ และหลายสังกัด ดังนั้นกลไก ความสัมพันธ์เหล่านี้ เช่น จํานวนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จํานวนจุดตัดสินใจ ความสัมพันธ์ดั้งเดิม ของหน่วยงานทั้งหลาย รวมถึงการเข้าแทรกแซงของหน่วยงานระดับบน ล้วนมีผลต่อความสําเร็จ ของนโยบายทั้งสิ้น

72. การควบคุมคุณภาพ (Quality Control) ของแผนจะคุมอย่างไร
(1) คุมให้เสร็จตรงตามเวลา
(2) คุณให้เกิดผลงานตรงตามวัตถุประสงค์ของแผน
(3) คุมให้บุคลากรทุกคนทํางานอย่างเต็มความสามารถ
(4) คุมให้มีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าที่ตั้งไว้
(5) คุมให้ใกล้ชิดทุกขั้นตอนของการปฏิบัติ
ตอบ 2 หน้า 44, (คําบรรยาย) การควบคุมแผน/โครงการโดยทั่วไปมักจะกระทําใน 3 ด้าน คือ
1. ควบคุมเวลา (Time Control) คือ ควบคุมให้เสร็จตรงตามเวลาที่ได้วางแผน/โครงการไว้ โดยใช้เทคนิค PERT
2. ควบคุมค่าใช้จ่าย (Cost Control) เป็นการควบคุมรายจ่ายของแผน/โครงการให้อยู่ใน กรอบงบประมาณที่ตั้งไว้ โดยใช้เทคนิค PPBS
3. ควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน (Quality Control) เป็นการควบคุมให้เกิดผลงานตรงตาม วัตถุประสงค์ของแผน/โครงการอย่างครบถ้วนและเคร่งครัด เทคนิคที่ใช้อาจกระทําได้ โดยการกําหนดมาตรฐาน (Standard) ของงาน

73. กติกาใหม่ในการแข่งขันระหว่างประเทศได้แก่เรื่องใด
(1) ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(2) ทรัพย์สินทางปัญญา
(3) สิทธิมนุษยชน
(4) ธรรมาภิบาล
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) กติกาใหม่ในการแข่งขันระหว่างประเทศ ได้แก่
1. ทรัพย์สินทางปัญญา
2. สิทธิมนุษยชน
3. ธรรมาภิบาล
4. ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

74. การพิจารณาความเหมาะสมในการประมาณการค่าใช้จ่ายโครงการ ควรครอบคลุมเรื่องใด
(1) อัตราเงินเฟ้อ
(2) ค่าดอกเบี้ยระหว่างการดําเนินโครงการ
(3) ค่าภาษีนําเข้าอุปกรณ์ต่าง ๆ
(4) เงินทุนหมุนเวียนในการดําเนินโครงการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การพิจารณาความเหมาะสมในการประมาณการค่าใช้จ่ายโครงการควรครอบคลุมถึงเรื่องค่าดอกเบี้ยระหว่างการดําเนินโครงการ ค่าภาษีนําเข้าอุปกรณ์ต่าง ๆ อัตราเงินเฟ้อ และเงินทุนหมุนเวียนในการดําเนินโครงการ เพราะงบประมาณโครงการ มีจํากัดตามวงเงินที่กําหนดไว้

75. ลักษณะของตัวแบบในการอธิบายนโยบาย “ต่างดิ้นรนแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิอํานาจในการเป็นผู้คุมกลไกนโยบายของรัฐ
(1) Elite Model
(2) Incremental Model
(3) Institution Modet
(4) System Model
(5) Group Model
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 47. ประกอบ

76. ข้อใดเป็นขั้นตอนการยุติและส่งมอบโครงการที่เรียงลําดับถูกต้อง
(1) การตรวจการจ้าง การส่งผลงาน การตรวจรับงาน การปิดโครงการ
(2) การปิดโครงการ การส่งผลงาน การตรวจรับงาน การตรวจการจ้าง
(3) การปิดโครงการ การตรวจการจ้าง การตรวจรับงาน การส่งผลงาน
(4) การส่งผลงาน การตรวจการจ้าง การตรวจรับงาน การปิดโครงการ
(5) การตรวจรับงาน การปิดโครงการ การตรวจการจ้าง การส่งผลงาน
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ขั้นตอนการยุติและส่งมอบโครงการ เรียงลําดับได้ดังนี้
1. การตรวจรับงาน
2. การปิดโครงการ
3. การตรวจการจ้าง
4. การส่งผลงาน

77. “การเปรียบเทียบความเหมาะสมของโครงการกับโครงการอื่น ๆ ประเภทเดียวกัน” เป็นการประเมินโครงการในด้านใด
(1) การประเมินโครงการในภาพรวม
(2) การประเมินด้านการเงิน
(3) การประเมินด้านการจัดการ
(4) การประเมินด้านสิ่งแวดล้อม
(5) การประเมินด้านการตลาด
ตอบ 1(คําบรรยาย) การประเมินโครงการในภาพรวม (Project Appraisal) คือ
1. การเปรียบเทียบความเหมาะสมของโครงการกับโครงการอื่น ๆ ประเภทเดียวกันโครงการนี้เหมาะสมกว่าหรือไม่
2. โครงการที่เสนอจะสามารถดําเนินการให้สําเร็จตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้หรือไม่ รวมทั้งจะบรรลุจุดมุ่งหมายของแผนงาน ตลอดจนนโยบายของหน่วยงานระดับสูงมากน้อยเพียงใด

78. ลักษณะของตัวแบบในแนวการอธิบายนโยบาย “เป็นผลผลิตของโครงสร้างสถาบันการปกครอง”
(1) Group Model
(2) System Model
(3) Incremental Model
(4) Institution Model
(5) Elite Model
ตอบ 4 หน้า 6, (คําบรรยาย) ตัวแบบหรือทฤษฎีสถาบัน (Institution Model Theory) เชื่อว่านโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตของโครงสร้างสถาบันการปกครอง กล่าวคือ นโยบายใด ๆ ก็ตาม จะได้ชื่อว่าเป็นนโยบายสาธารณะก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองโดยสถาบันแล้วเท่านั้น ซึ่งนโยบาย ก็มักจะเป็นไปตามที่สถาบันการปกครองกําหนดเองหรือให้ประโยชน์กับสถาบันการปกครอง ตัวอย่างสถาบันการปกครอง ได้แก่ สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) สถาบันบริหาร (นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี) สถาบันราชการ สถาบันตุลาการ (ศาล) สถาบันการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น

79. การเตรียมความพร้อมที่สําคัญของโครงการขององค์การภาครัฐ คือ
(1) การจัดทําแนวทางการประเมินผล
(2) การจัดทําแผนการดําเนินงานล่วงหน้า
(3) การจัดทําแผนกําลังคน
(4) การจัดทําแผนการเงิน
(5) การจัดทําแผนดําเนินงาน แผนเงิน และแผนกําลังคน
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การเตรียมความพร้อมที่สําคัญของโครงการขององค์การภาครัฐ คือ การจัดทําแผนดําเนินงาน แผนเงิน และแผนกําลังคน

80. การมีบุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ และจํานวนเพียงพอ รวมทั้งมีงบประมาณและสถานที่พร้อม
(1) ความสัมพันธ์ระหว่างกลไกต่าง ๆ ที่ร่วมกัน
(2) ความเป็นไปได้ทางการเมือง
(3) ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติ
(4) การมีทรัพยากรที่เพียงพอ
(5) ลักษณะของหน่วยงานที่นํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 4 หน้า 19 การมีทรัพยากรที่เพียงพอ ทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ เช่น การมีบุคลากรที่มี ความรู้ ความสามารถ และจํานวนเพียงพอ รวมทั้งมีงบประมาณและสถานที่พร้อม ถือเป็น อีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อความสําเร็จของนโยบาย อีกทั้งยังเป็นดัชนีวัดประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลของการปฏิบัติงานได้เป็นอย่างดีด้วย

81. ทางราชการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ ไม่มีที่ทําการต้องเช่าอาคารเอกชนเป็นที่ทําการชั่วคราว
(1) Integration
(2) Dynamic
(3) Artificiality
(4) Subjectivity
(5) ปัญหามีตัวตนและมีโครงสร้างชัดเจน
ตอบ 5 หน้า 10 ปัญหาที่มีตัวตนและมีโครงสร้างชัดเจนแน่นอน (Well-Structured Problem) หมายถึง ปัญหาที่มีผลลัพธ์แน่นอน มีผู้เกี่ยวข้องจํานวนน้อย มีทางออกในการแก้ไขปัญหา เพียงไม่กี่ทางเลือก (1 – 3 ทาง) ซึ่งแต่ละทางเลือกสามารถมองเห็นผลประโยชน์ของทางเลือก ได้ชัดเจน ไม่เป็นที่ถกเถียงกันได้แต่อย่างใด เช่น ปัญหาในการจัดสร้างที่ทําการของหน่วยงาน หรือองค์การ เป็นต้น

82. การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับความรู้และวิทยาการของขั้นตอนต่าง ๆ เป็นการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการในด้านใด
(1) ด้านการจัดการ
(2) ด้านเทคนิค
(3) ด้านการตลาด
(4) ข้อ 1 และข้อ 2
(5) ข้อ 1 – 3
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการในด้านเทคนิค คือ การศึกษาข้อมูล เกี่ยวกับความรู้และวิทยาการของขั้นตอนต่าง ๆ อันจําเป็นต่อการทํางานในแต่ละกิจกรรมให้สมบูรณ์

83. ผู้นํานโยบายไปปฏิบัติที่ไม่มีผลประโยชน์ทั้งทางบวกหรือทางลบกับนโยบาย เช่น ไม่กระทบต่อค่านิยม ศักดิ์ศรี อํานาจ และพฤติกรรมของตนเอง
(1) การมีทรัพยากรที่เพียงพอ
(2) ลักษณะของหน่วยงานที่นํานโยบายไปปฏิบัติ
(3) ความสัมพันธ์ระหว่างกลไกต่าง ๆ ที่ร่วมกัน
(4) ความเป็นไปได้ทางการเมือง
(5) ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 5 หน้า 20 ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติที่ไม่มีผลประโยชน์ทั้งทางบวกหรือทางลบกับนโยบาย เช่น ไม่กระทบต่อค่านิยม ศักดิ์ศรี อํานาจ และพฤติกรรมของตนเอง ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผล ต่อความสําเร็จของนโยบาย เนื่องจากผู้นํานโยบายไปปฏิบัติที่มีทัศนคติดังกล่าวจะจริงใจและ ตั้งใจปฏิบัติตามนโยบายอย่างเคร่งครัด โดยไม่ต้องกังวลกับผลประโยชน์และสถานะความต้องการของตนเองแต่อย่างใด

84. การวัดความสําเร็จหรือความล้มเหลวของโครงการอยู่ในขั้นตอนใด
(1) การวางแผนและวิเคราะห์โครงการ
(2) การประเมินผลและปรับปรุงแก้ไข
(3) การปรับปรุงนโยบายและแผนงาน
(4) การบริหารโครงการ
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

85. โครงการประเภท “วิจัยและพัฒนา” มีลักษณะอย่างไร
(1) เป็นโครงการบุกเบิก
(2) เป็นโครงการนําร่อง
(3) เป็นโครงการค้นคว้าทดลอง
(4) ข้อ 1 – 3
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 18. ประกอบ

86. ขั้นตอนแรกของการวางแผนโครงการ คือ
(1) การวิเคราะห์ปัญหาและความต้องการ
(2) การจัดทําข้อเสนอโครงการ
(4) การรวบรวมข้อมูลและข้อเท็จจริงต่าง ๆ
(3) การคิดค้นทางเลือก
(5) การกําหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

87. ขั้นตอนสําคัญในการดําเนินโครงการของภาคเอกชน คือ
(1) การจัดการโครงการของสํานักงานโครงการ
(2) การจัดทําแผนดําเนินงาน
(3) การจัดตั้งองค์กรโครงการ
(4) การควบคุมงาน
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ขั้นตอนสําคัญในการดําเนินโครงการของภาคเอกชน คือ การจัดทําแผน ดําเนินงาน (Operation Plan) มีการจัดตั้งองค์กรโครงการ มีการจัดการโครงการของ สํานักงานโครงการ และมีผู้จัดการโครงการ (Project Manager) เป็นผู้รับผิดชอบหลัก รวมถึงการควบคุมงาน เป็นต้น

88. จุดศูนย์กลางของวงจรโครงการของภาคเอกชน คือ
(1) การกําหนดแนวคิดโครงการ
(2) การส่งมอบโครงการ
(3) การควบคุมงาน
(4) การดําเนินโครงการ
(5) การวางแผนและวิเคราะห์โครงการ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

89. การศึกษาเพื่อรู้อาการของปัญหาต้องอาศัยองค์ประกอบอะไรของผู้กําหนดนโยบาย
(1) ความอดทน
(2) ความคิดริเริ่ม
(3) ความละเอียดรอบคอบ
(4) ความพากเพียร
(5) ภาวะผู้นํา
ตอบ 2 หน้า 11 การกําหนดสาเหตุและอาการของปัญหานั้นจําเป็นต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการ เช่น ความรู้ ความชํานาญ ประสบการณ์ และความคิดริเริ่มของผู้กําหนดนโยบายอย่างมากจึงจะ ทําให้นโยบายสมบูรณ์ที่สุดได้ และหากสามารถกําหนดสาเหตุและอาการของปัญหาได้ชัดเจนแล้วก็จะทําให้การกําหนดนโยบายเป็นไปได้อย่างสะดวกและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย

90. ประเด็นที่ควรศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ได้แก่
(1) ด้านเทคนิค การจัดการ
(2) ด้านการตลาด การเงิน
(3) ด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง
(4) ด้านสิ่งแวดล้อม
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5(คําบรรยาย) ประเด็นที่ควรศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ได้แก่
1. การศึกษาด้านเทคนิคหรือด้านวิชาการ
2. การศึกษาด้านการจัดการ
3. การศึกษาด้านการตลาด
4. การศึกษาด้านการเงิน
5. การศึกษาด้านเศรษฐกิจ
6. การศึกษาด้านสังคมและการเมือง
7. การศึกษาด้านสภาพแวดล้อมและสภาวะนิเวศ

91. ให้เลือกคําตอบที่มีความสัมพันธ์กันกับ “การบริหารโดยยึดวัตถุประสงค์/ผลสําเร็จ”
(1) การประเมินผลนโยบาย
(2) การก่อตัวของนโยบาย
(3) การกําหนดนโยบาย
(4) การสิ้นสุดของนโยบาย
(5) การนํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

92. เราสามารถรับรู้นโยบายสาธารณะได้จากสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้ ยกเว้น
(1) กฎหมาย
(2) แผนงานและโครงการ
(3) ระเบียบข้อบังคับขององค์การ
(4) คําสั่งของผู้บังคับบัญชา
(5) การตรวจงานของสํานักงบประมาณ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

93. นโยบายตามตัวแบบผู้นําจะให้ประโยชน์กับใครมากที่สุด
(1) ผู้นําและผู้ใกล้ชิด
(2) ผู้ใต้บังคับบัญชา
(3) ให้ประโยชน์กับสังคม
(4) ประชาชนโดยทั่วไป
(5) ให้กับผู้ด้อยโอกาส
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ

94. ความสามารถของผู้นํา ผู้นําที่เข้มแข็งจะเป็นปัจจัยผลักดันให้นโยบายประสบความสําเร็จได้มากกว่า เพราะสามารถระดมความสนับสนุนจากฝ่ายต่าง ๆ ได้มากกว่า
(1) ความเป็นไปได้ทางการเมือง
(2) การมีทรัพยากรที่เพียงพอ
(3) ความสัมพันธ์ระหว่างกลไกต่าง ๆ ที่ร่วมกัน
(4) ลักษณะของหน่วยงานที่นํานโยบายไปปฏิบัติ
(5) ทัศนคติของผู้นํานโยบายไปปฏิบัติ
ตอบ 4 หน้า 19 ลักษณะของหน่วยงานที่นํานโยบายไปปฏิบัติ ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่กําหนดความสําเร็จ ของนโยบาย ซึ่งลักษณะดังกล่าวได้แก่
1. มีการจัดองค์การของหน่วยงานโดยมีระดับชั้นการบังคับบัญชาน้อย และแต่ละชั้นมีผู้ใต้บังคับบัญชามาก
2. ความสามารถของผู้นํา คือ ผู้นําที่เข้มแข็งจะเป็นปัจจัยผลักดันให้นโยบายประสบความสําเร็จ ได้มากกว่า เพราะสามารถระดมความสนับสนุนจากฝ่ายต่าง ๆ ได้มากกว่า

95. ผลประโยชน์ของโครงการจะพิจารณาอย่างไร
(1) พิจารณาว่าผลประโยชน์เกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายใด
(2) พิจารณาเฉพาะสิ่งที่เป็นตัวเงิน
(3) พิจารณาเฉพาะสิ่งที่จับต้องได้
(4) ข้อ 1 และข้อ 2
(5) ข้อ 1 และข้อ 3
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ผลประโยชน์ของโครงการ จะพิจารณาในเรื่องดังนี้
1. พิจารณาว่าผลประโยชน์เกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายใด
2. พิจารณาเฉพาะสิ่งที่จับต้องได้

96. จะกําหนดนโยบายเศรษฐกิจจะต้องพิจารณาผลกระทบด้านเทคนิค การเมือง สังคม
(1) Dynamic
(2) Integration
(3) Subjectivity
(4) Artificiality
(5) ปัญหามีตัวตนและมีโครงสร้างชัดเจน
ตอบ 2 หน้า 9 ปัญหาทั้งหลายมักมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน (Integration) อยู่เสมอ ดังนั้น ในการพิจารณาปัญหาของนโยบายจึงพิจารณาเพียงด้านหนึ่งด้านใดเป็นเอกเทศไม่ได้ เช่น ในการกําหนดนโยบายทางเศรษฐกิจจะพิจารณาเพียงปัจจัยทางเศรษฐกิจเท่านั้นไม่ได้ จะต้อง พิจารณาถึงปัจจัยทางด้านเทคนิคการเมือง สังคม หรืออื่น ๆ อีกตามแต่สถานการณ์ที่เผชิญอยู่

97.การถาม What เพื่อหาคําตอบอะไร
(1) ค้นหาปัญหา
(2) ค้นหาวิธีแก้ปัญหา
(3) ค้นหาทางเลือกในการแก้ปัญหา
(4) ผิดทุกข้อ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 39 การวางโครงการตามแนวดั้งเดิมหรือประเพณีนิยม (Traditional Model) จะประกอบด้วยการตอบคําถามต่าง ๆ ดังนี้
1. What – การค้นหาปัญหาหรือวิธีแก้ปัญหา จนเกิดทางเลือกต่าง ๆ
2. When – การระบุเวลาที่ควรแก้ไขปัญหา
3. Where – การกําหนดสถานที่และขอบเขตของโครงการ
4. Why – การระบุถึงความต้องการ
5. How – การกําหนดวิธีแก้ไขปัญหาหรือวิธีการดําเนินงาน
6. Who – บุคคลหรือองค์การที่ต้องรับผิดชอบในกระบวนการของโครงการ

98. ความไม่แน่นอนหรือความเสี่ยงในการบริหารโครงการ ได้แก่ข้อใด
(1) การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
(2) การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
(3) การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
(4) การต่อต้านและคัดค้านโครงการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ความไม่แน่นอนหรือความเสี่ยงในการบริหารโครงการ ได้แก่
1. การต่อต้านและคัดค้านโครงการ
2. การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
3. การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
4. การเปลี่ยนแปลงทางสังคม

99. คํากล่าวที่กล่าวว่า “การวิเคราะห์นโยบายเป็นสาขาทางสังคมศาสตร์ประยุกต์ ซึ่งใช้วิธีการมากมาย หลายวิธีในการค้นหา แสดงเหตุผลเพื่อที่จะผลิตและเปลี่ยนสภาพของข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย”
(1) William Dunn
(2) James Wilde
(3) Duncan Macrae
(4) Mel Dubnick
(5) ของทุกคนที่กล่าวมา
ตอบ 1 หน้า 15 William Dunn กล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายเป็นสาขาทางสังคมศาสตร์ประยุกต์ ซึ่งใช้วิธีการมากมายหลายวิธีในการค้นหา แสดงเหตุผลเพื่อที่จะผลิตและเปลี่ยนสภาพของ ข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย

100. นักวิชาการที่กล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายมีจุดสําคัญอยู่ที่การวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายเป็นสําคัญ คือ
(1) Thomas R. Dye
(2) Walter
(3) Harry Harty
(4) Theodore Poister
(5) William Dunn
ตอบ 4 หน้า 16 Theodore Poister กล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายมีจุดสําคัญอยู่ที่การวิเคราะห์ ผลกระทบของนโยบายเป็นสําคัญ ดังนั้นจําเป็นต้องมีการศึกษาอย่างจริงจังถึงความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาของนโยบายกับผลกระทบทั้งปวงที่จะเกิดขึ้น

POL3302 การวางแผนในภาครัฐ 1/2564

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2564
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3302 การวางแผนในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.ข้อใดเป็นความจริงเกี่ยวกับแผนระยะยาว
(1) ความเชื่อมั่นจะแปรผันกับระยะเวลาของแผน
(2) มีระยะเวลาไม่จํากัด
(3) มีระยะเวลามากกว่า 3 ปีขึ้นไป
(4) ใช้แก้ปัญหาได้เพียงผิวเผิน
(5) วางแผนได้ง่ายเนื่องจากข้อมูลมีลักษณะกว้าง ๆ ง่าย ๆ
ตอบ 1 หน้า 23 (คําบรรยาย) แผนระยะยาว คือ แผนที่มีระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป เป็นแผนที่มี ความเชื่อมั่นได้น้อยและจะแปรผันกับระยะเวลาของแผน กล่าวคือ ความเชื่อมั่นจะลดต่ําลง ตามระยะเวลาที่ยาวออกไป แต่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป (แผนนั้นเริ่มเห็นผล คือ สามารถ แก้ปัญหาได้ ความเชื่อมั่นที่มีต่อแผนก็จะเพิ่มมากขึ้น) และแผนระยะยาวนับว่าเป็นแผนที่ แก้ปัญหาได้ลึกซึ้งที่สุด แต่เห็นผลช้า

2. ขั้นตอนใดที่เราจะได้รับแผนที่สมบูรณ์
(1) ตั้งเป้าหมาย
(2) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(3) ลงมือวางแผน
(4) กําหนดปัญหา
(5) ประเมินผล
ตอบ ไม่มีข้อถูก (คําบรรยาย) อาจสรุปได้ว่ากระบวนการของแผน ประกอบด้วย 7 กระบวนการ ดังนี้
1. กําหนดปัญหา
2. การตั้งเป้าหมาย/วัตถุประสงค์
3. การศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
4. ลงมือวางแผน เป็นการลงมือเขียนแผนให้ถูกต้อง โดยหน้าที่ของผู้วางแผนจะสิ้นสุดที่กระบวนการนี้
5. การประเมินแผน เป็นกระบวนการ ที่เราจะได้รับแผนที่สมบูรณ์ โดยการศึกษาวิเคราะห์แผนว่ามีความสมบูรณ์ เหมาะสมที่จะนําไป ปฏิบัติได้จริงหรือไม่ จากนั้นจึงนําเสนอแผนให้ผู้มีอํานาจพิจารณาอนุมัติ เพื่อนำแผนไปปฏิบัติ
6. การนําแผนไปปฏิบัติ เป็นกระบวนการที่ทําให้เกิดผลงานที่ประชาชนใช้ประโยชน์ได้
7. การประเมินผล (Evaluation) เป็นกระบวนการที่ทําให้ทราบถึงผลสําเร็จและเก็บเป็น ข้อมูลสะสมเพื่อการวางแผนในโอกาสต่อ ๆ ไป

3.การประเมินโครงการมีประโยชน์อย่างไร
(1) เป็นภาพสะท้อนให้ผู้บริหารโครงการปรับปรุงการบริหารได้
(2) เป็นข้อมูลเพื่อแก้ไขโครงการนั้นได้
(3) เป็นข้อมูลเพื่อการวางโครงการในโอกาสต่อไป
(4) เป็นข้อมูลเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
(5) เป็นการวางแผนขั้นสุดท้ายที่โครงการต้องทํา
ตอบ 3 หน้า 50, (คําบรรยาย) การประเมินโครงการมีประโยชน์ ดังนี้
1. ทําให้ทราบว่าการดําเนินโครงการประสบความสําเร็จมากน้อยเพียงใด
2. ทําให้ทราบถึงเหตุผลสําคัญที่ทําให้โครงการประสบความสําเร็จหรือล้มเหลว
3. ช่วยปรับปรุงการดําเนินงานให้ดีขึ้น
4. เก็บเป็นข้อมูลสําหรับการวางโครงการในโอกาสต่อ ๆ ไป ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ ของผู้ร่างหรือผู้วางโครงการให้สูงขึ้นด้วย

4.ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของโครงการ
(1) งานออกแบบสิ่งใหม่
(2) งานตามหน้าที่ประจํา
(3) งานความรู้เฉพาะทาง
(4) งานทําซ้ำ
(5) ถูกทั้งข้อ 2 และ 4
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ลักษณะของโครงการ มีดังนี้
1. เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลง และความท้าทายบางอย่าง
2. มีข้อจํากัดด้านเวลา มีระยะเวลาที่แน่นอน
3. เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
4. มีความซับซ้อน
5. ต้องใช้ความร่วมมือหลากหลายสาขาเพื่อการเปลี่ยนแปลง
6. ต้องใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะ
7. มีความชัดเจนแน่นอนสูง
8. มีความสําคัญเร่งด่วน
9. ต้องการความเป็นองค์การในการขับเคลื่อน ฯลฯ

5. ข้อใดคือขั้นตอนที่บอกถึงกิจกรรมที่องค์การจะต้องทํา
(1) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(2) การกําหนดเป้าประสงค์
(3) การกําหนดวิสัยทัศน์
(4) การกําหนดกลยุทธ์
(5) การกําหนดพันธกิจ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การกําหนดพันธกิจหรือภารกิจ (Mission) คือ การบอกถึงกิจกรรมที่องค์การ จะต้องทํา เช่น จัดเก็บภาษีให้ได้ตามประมาณการ, บําบัดฟื้นฟูและแก้ไขพฤตินิสัยของผู้ต้องขังอย่างมีประสิทธิภาพ, การพัฒนานโยบาย มาตรการ และบริการด้านการป้องกันควบคุมโรค และภัยสุขภาพ, เตรียมความพร้อมในการจัดการภาวะคุกคามและภัยสุขภาพใหม่ ๆ ได้ ทันการณ์ เป็นต้น

6.การวิเคราะห์โครงการกระทําได้ 2 แนวทาง ได้แก่
(1) วิเคราะห์ทั่วไป กับวิเคราะห์แบบเจาะจง
(2) วิเคราะห์ผลลัพธ์ กับผลที่คาดหวังไว้
(3) วิเคราะห์ต้นทุน กับวิเคราะห์กําไร
(4) วิเคราะห์ปัจจุบัน กับวิเคราะห์อนาคต
(5) วิเคราะห์เชิงคุณภาพ กับวิเคราะห์เชิงปริมาณ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การวิเคราะห์โครงการสามารถกระทําได้ 2 แนวทาง ได้แก่ การวิเคราะห์ต้นทุน (Cost) และการวิเคราะห์กําไรหรือผลตอบแทน (Benefit)

7. ข้อใดเป็นคํากล่าวที่ถูกต้องในเรื่องประเภทของแผน
(1) แผนระยะยาว 5 ปีขึ้นไป
(2) แผนระยะสั้น 3 ปี
(3) แผนระยะปานกลาง 6 ปี
(4) แผนระยะสั้น 4 ปี
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 23 (คําบรรยาย) การจําแนกประเภทของแผนหรือแผนงาน (Plan) โดยใช้เกณฑ์ระยะเวลา (Time Span) อาจจําแนกได้ดังนี้
1. แผนระยะสั้น เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 1 – 2 ปี ซึ่งสามารถวางแผนได้ง่ายเนื่องจากข้อมูลมีลักษณะกว้าง ๆ ง่าย ๆ
2. แผนระยะปานกลาง เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 2 – 5 ปี ซึ่งนิยมใช้เป็นแผนพัฒนาประเทศ
3. แผนระยะยาว เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป

8.การกําหนดรายละเอียด/กิจกรรม หรือโครงการ คือขั้นตอนใด
(1) การกําหนดกลยุทธ์
(2) การกําหนดเป้าประสงค์
(3) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(4) การนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ
(5) การควบคุมกลยุทธ์
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ คือ กระบวนการแปลงกลยุทธ์ไปสู่แผนการดําเนินงาน กําหนดรายละเอียด/กิจกรรม หรือโครงการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถดําเนินการตามกลยุทธ์ได้ อย่างเป็นรูปธรรม

9. ข้อใดถูกต้อง
(1) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการมีต้นทุนสูง
(2) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการประหยัด มีประสิทธิภาพ
(3) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการมักขาดการประสานงาน ไม่คล่องตัว
(4) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการประสานงานได้รวดเร็วคล่องตัว
(5) โครงการที่อยู่ในโครงสร้างแบบราชการมีเสถียรภาพสูงและคล่องตัว
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การจัดโครงสร้างแบบดั้งเดิม (Traditional Bureaucracy) เป็นการจัดโครงสร้าง โครงการที่อยู่ในโครงสร้างเดิมแบบราชการ ข้อดีของการจัดโครงสร้างแบบนี้คือ ประหยัด ไม่ต้องปรับโครงสร้างใหม่ และมีผู้รับผิดชอบหรือเจ้าของผลงานชัดเจน ส่วนข้อจํากัดคือ ขาดการประสานงาน ไม่คล่องตัว และไม่เหมาะกับโครงการขนาดใหญ่หรือซับซ้อน

10. ผลสําเร็จจากการดําเนินกิจกรรมของโครงการเป็นผลสําเร็จในระดับใด
(1) Input
(2) Impact
(3) Output
(4) Outcome
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ผลสําเร็จจากการดําเนินกิจกรรมของโครงการ เป็นผลสําเร็จในระดับ ผลผลิต (Output)

11. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับลักษณะของโครงการ
(1) งานที่ท้าทาย ต้องใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะ เป็นเรื่องใหม่ ๆ มีระยะเวลาที่แน่นอน
(2) งานสร้างสรรค์ ต้องใช้ความร่วมมือหลากหลายสาขาเพื่อการเปลี่ยนแปลง มีระยะเวลาที่แน่นอน
(3) งานที่มีความซับซ้อน มีการลงทุนสูง ใช้ความเชี่ยวชาญหลากหลายสาขา ไม่กําหนดระยะเวลา
(4) งานประจํา ทําซ้ํา ซับซ้อน มีต้นทุนสูง ใช้เวลานาน
(5) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

12. ท่านจะหาแผนหลักในการพัฒนาประเทศ “ระยะยาว” ได้จากที่ใด
(1) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(2) คําแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา
(3) แผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
(4) ยุทธศาสตร์กระทรวงมหาดไทย พ.ศ. 2560 – 2564
(5) แผนยุทธศาสตร์กระทรวง
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 – 2580) เป็นแผนหลักในการพัฒนาประเทศ ระยะยาวให้ประเทศเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน โดยมียุทธศาสตร์ที่สําคัญ เช่น ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม เป็นต้น

13.เทคนิคการกําหนดตัวชี้วัดแบบ 2Q2T1P เหมาะกับการกําหนดตัวชี้วัดหน่วยงานใด
(1) กองสุขภาพจิตสังคม กรมสุขภาพจิต
(2) สํานักโภชนาการ กรมอนามัย
(3) กระทรวงสาธารณสุข
(4) สํานักกฎหมายการแพทย์ กรมการแพทย์
(5) สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด
ตอบ 3 (คําบรรยาย) 2Q2T1P เป็นเทคนิคการกําหนดตัวชี้วัดระดับรัฐบาล กระทรวง และกรม ซึ่งมีองค์ประกอบดังนี้
1. Quantity (ปริมาณ)
2. Quality (คุณลักษณะ)
3. Time (เวลา)
4. Target Group (กลุ่มเป้าหมาย)
5. Place (สถานที่)

14. เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป นโยบายของรัฐจะเป็นอย่างไร
(1) มีขนาดใหญ่โตหน้าเวลา
(2) คงที่เหมือนเดิม
(3) มีขนาดใหญ่โตตามกาลเวลา
(4) มีขนาดเล็กลง
(5) มีขนาดจะเล็กลงหรือจะโตขึ้นเป็นไปตามจํานวนประชากร
ตอบ 3 หน้า 17 – 18 Randall Ripley และ Grace Franklin กล่าวว่า ในการนํานโยบายไปปฏิบัตินั้น มีประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้นํานโยบายไปปฏิบัติต้องทําความเข้าใจอยู่ 5 ประการ ได้แก่
1.มีผู้เกี่ยวข้องจํานวนมากมาย
2. มีความต้องการหลากหลายต่อนโยบาย
3. ธรรมชาติของนโยบายมักจะมีขนาดที่ใหญ่โตขึ้นตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป
4. ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในหลายระดับ หลายสังกัด และหลายหน่วยเสมอ
5. มีปัจจัยมากมายที่นโยบายไม่สามารถควบคุมได้

15. ศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลจากสภาพที่แท้จริง หรือข้อมูลภาคสนาม หรือข้อมูลปฐมภูมิ ข้อมูลทุติยภูมิเพื่อจะทราบปัญหา
(1) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การวิเคราะห์ทางเลือก
(4) การระบุปัญหา
(5) การทดสอบทางเลือก
ตอบ 4 หน้า 12 การระบุปัญหา คือ การศึกษาว่าอะไรคือปัญหา โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจาก สถานที่จริงหรือข้อมูลภาคสนามหรือข้อมูลปฐมภูมิ หรือข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ หรือข้อมูล ทุติยภูมิ เพื่อที่จะทราบปัญหาและจําแนกว่าปัญหาใดเร่งด่วนกว่า มีสาเหตุจากอะไร และ ประชาชนรับรู้เพียงใด ดังนั้นโดยสรุปการระบุปัญหาก็คือ การศึกษาวิเคราะห์เพื่อกําหนด ปัญหาที่ถูกต้องและศึกษาค่านิยมที่เกี่ยวข้องสอดคล้องกับปัญหาเพื่อกําหนดแนวทางของนโยบายที่เหมาะสมกับความเป็นจริงต่อไป

16. ข้อใดสอดคล้องเหมาะสมกับขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม
(1) Social Analysis
(2) Financial Analysis
(3) Alternative
(4) Process
(5) Feasibility Study
ตอบ 1 หน้า 41, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการด้านสังคม (Social Analysis) จะพิจารณาในประเด็นดังต่อไปนี้
1. ความเหมาะสมสอดคล้องต้องกันระหว่างแนวทางของโครงการกับปัจจัยทางสังคม เช่น ศาสนา การศึกษา ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ ค่านิยม กฎหมาย การเมืองและการปกครอง เป็นต้น
2. โอกาสที่สังคมจะยอมรับ/สนับสนุน หรือต่อต้านคัดค้านโครงการ

17. วงจรชีวิตโครงการขั้นใดมีระดับความพยายามสูงสุด
(1) วางแผน
(2) ดําเนินการ
(3) สิ้นสุดโครงการ
(4) กําหนดโครงการ
(5) สํารวจสภาพแวดล้อม
ตอบ 2 (คําบรรยาย) วงจรชีวิตโครงการ ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. การกําหนดโครงการ
2. การวางแผน
3. การดําเนินการ ซึ่งเป็นขั้นที่มีระดับความพยายามสูงสุด
4. การสิ้นสุดโครงการ

18. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการจัดโครงสร้างแบบโครงการ
(1) โครงสร้างเป็นแบบแนวราบ มีความคล่องตัว
(2) มีทรัพยากรเป็นของตัวเอง
(3) ประหยัด มีประสิทธิภาพ
(4) สนับสนุนการทํางานเป็นทีม
(5) จัดตั้งขึ้นใหม่เป็นการเฉพาะหรือแยกออกมาจากโครงสร้างเดิม
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การจัดโครงสร้างแบบโครงการ (Project Organization) เป็นการจัดโครงสร้าง ขึ้นใหม่เป็นการเฉพาะหรือแยกออกมาจากโครงสร้างเดิม โดยเน้นโครงสร้างแบบแนวราบและ เน้นการทํางานเป็นทีม ซึ่งข้อดีของการจัดโครงสร้างแบบนี้คือ มีความคล่องตัวและสะดวก ในการบริหารจัดการ มุ่งเน้นผลลัพธ์ และมีทรัพยากรเป็นของตัวเอง ส่วนข้อจํากัดคือ สิ้นเปลืองทรัพยากรหากมีโครงการจํานวนมาก

19. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับสถานะของวิชาการวางแผนภาครัฐ
(1) การวางแผนเป็นแนวคิดและทฤษฎีทางการบริหาร
(2) การวางแผนเป็นตัวแบบทางการบริหาร
(3) การวางแผนเป็นเครื่องมือในการอธิบายปรากฏการณ์
(4) การวางแผนเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้
(5) การวางแผนเป็นเครื่องมือทางการบริหาร
ตอบ 5 (คําบรรยาย) วิชาการวางแผนภาครัฐในทางรัฐประศาสนศาสตร์มีสถานะเป็นเครื่องมือทางการบริหาร

20.“ร้อยละ 90 ของผู้รับบริการมีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” ประโยคดังกล่าวแสดงถึงปัญหาของ การใช้ตัวชี้วัดอย่างไร
(1) ขาดความน่าเชื่อถือ
(2) เป็นอุดมคติมากเกินไป
(3) ค่าเป้าหมายต่ำเกินไป
(4) ค่าเป้าหมายสูงเกินไป
(5) เป็นนามธรรม
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ประโยคดังกล่าวเป็นค่าเป้าหมายที่สูงเกินไป ถือเป็นค่าเป้าหมายในระดับท้าทาย ซึ่งมีความยากค่อนข้างมาก ทั้งนี้การกําหนดค่าเป้าหมายที่ดีควรอยู่ในระดับที่เหมาะสมและสามารถทําให้สําเร็จได้

21. “ประชาชนมีความปลอดภัยจากภาวะคุกคามและภัยสุขภาพใหม่ ๆ” ประโยคดังกล่าวเป็นการกําหนดอะไร
(1) การกําหนดวิสัยทัศน์
(2) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(3) การกําหนดกลยุทธ์
(4) การกําหนดเป้าประสงค์
(5) การกําหนดพันธกิจ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การกําหนดเป้าประสงค์ (Goal) คือ การบอกว่า “ใคร” ได้ประโยชน์จากการกระทําหรือการดําเนินตามพันธกิจขององค์การ เช่น ประชาชนและชุมชนในพื้นที่ ชายแดนและพื้นที่เฉพาะอื่น ๆ มีโอกาสได้รับการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต, ผู้ต้องขัง เป็นคนดีพร้อมกลับคืนสู่สังคม, ประชาชนมีความปลอดภัยและได้รับคนดีคืนสู่สังคม, ประชาชนมีความปลอดภัยจากภาวะคุกคามและภัยสุขภาพใหม่ ๆ เป็นต้น

22. ข้อใดคือการประเมินเพื่อติดตามความคืบหน้าของโครงการ
(1) Strategic Assessment
(2) Ongoing-evaluation
(3) Monitoring
(4) Pre-evaluation
(5) Post-evaluation
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การประเมินผลระหว่างดําเนินโครงการ (Ongoing-evaluation) เป็นการประเมินในระหว่างที่ทําโครงการเพื่อติดตามความคืบหน้าของโครงการว่าเป็นไปตามแผน หรือกําหนดการหรือไม่ มีอุปสรรคอะไร และควรแก้ไขอย่างไร เพื่อให้บรรดากิจกรรมที่ทํา สอดคล้องและมุ่งสู่เป้าหมาย วัตถุประสงค์ที่ได้วางไว้

23. การเขียนแผนผัง/ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมในโครงการกับระยะเวลามักเขียนในรูปแบบใด
(1) Grant Chart
(2) Great Chart
(3) Grand Chart
(4) Growth Chart
(5) Gantt Chart
ตอบ 5 (คําบรรยาย) Gantt Chart คือ แผนผัง/ตารางแสดงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมในโครงการ กับระยะเวลาดําเนินการ ซึ่งจะทําให้ทราบจุดเริ่มต้นและสิ้นสุดของงานในแต่ละขั้นตอน

24. แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติมีทั้งหมดกี่ด้าน
(1) 21 ด้าน
(2) 10 ด้าน
(3) 23 ด้าน
(4) 20 ด้าน
(5) 15 ด้าน
ตอบ 3 (คําบรรยาย) แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ เป็นแผนแม่บทเพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่ กําหนดไว้ในยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งประกอบด้วยแผนแม่บททั้งหมด 23 ด้าน เช่น ความมั่นคง การต่างประเทศ การเกษตร อุตสาหกรรรมและบริการแห่งอนาคต การท่องเที่ยว พื้นที่และ เมืองน่าอยู่อัจฉริยะ โครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์และดิจิทัล ผู้ประกอบการและวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อมยุคใหม่ เขตเศรษฐกิจพิเศษ การปรับเปลี่ยนค่านิยมและวัฒนธรรม ศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต การพัฒนาการเรียนรู้ เป็นต้น

25. ข้อใดเป็นการวิเคราะห์ประเมินโครงการไม่ใช่ราชการ
(1) Process
(2) Feasibility Study
(3) Alternative
(4) Social Analysis
(5) Financial Analysis
ตอบ 5 หน้า 40, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการด้านการเงิน (Financial Analysis) เป็นแนวทางการประเมินโครงการทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน โดยใช้วิธีการวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย กับผลประโยชน์ที่ได้รับ (Cost-Benefit) เพื่อดูว่าโครงการที่จัดทําขึ้นมานั้นมีลักษณะคุ้มทุนหรือไม่

26. ข้อใดเรียงลําดับวงจรชีวิตโครงการได้ถูกต้อง
(1) วางแผนกําลังคน สํารวจสถานะ ดําเนินการ ยกเลิกโครงการ
(2) สํารวจสถานะ วางแผน ดําเนินการ ปิดโครงการ
(3) รายงานสถานะโครงการ วางแผน ดําเนินการ สิ้นสุดโครงการ
(4) กําหนดโครงการ วางแผน ดําเนินการ สิ้นสุดโครงการ
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 17. ประกอบ

27. นายอนุทินมีตําแหน่งนักวิชาการสาธารณสุข นายประยุทธ์ตําแหน่งนายแพทย์ นายประวิตรตําแหน่ง นักวิทยาศาสตร์ ทั้งสามคนสังกัดกรมควบคุมโรค นายพริษฐ์ตําแหน่งเภสัชกร นายธนาธรตําแหน่ง นักวิทยาศาสตร์ ทั้งสองสังกัดองค์การเภสัชกรรม และ น.ส.ธิติมา ตําแหน่งนักพยาธิวิทยา สังกัดโรงพยาบาล รามาธิบดี ทั้งหมดได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคณะทํางานในโครงการศึกษาวัคซีนรักษาไวรัสโคโรนา……
ลักษณะที่กล่าวมาเป็นการจัดโครงสร้างโครงการแบบใด
(1) โครงสร้างตามวิชาชีพ
(2) โครงสร้างแบบสาขา
(3) โครงสร้างแบบราชการ
(4) โครงสร้างแบบแมทริกซ์
(5) โครงสร้างแบบโครงการ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การจัดโครงสร้างแบบแมทริกซ์ (Matrix Organization) เป็นการจัดโครงสร้าง ที่ผสมระหว่างโครงสร้างแบบเดิมกับโครงสร้างแบบโครงการ โดยใช้กําลังคนในโครงสร้างเดิมมาร่วมในโครงการโดยไม่ละทิ้งหน้าที่เดิม ซึ่งในภาครัฐของไทยมักใช้วิธีการตั้งเป็นคณะกรรมการ โดยมีองค์ประกอบจากหน่วยงานต่าง ๆ ข้อดีของการจัดโครงสร้างแบบนี้คือ ประสานงาน ได้รวดเร็วและประหยัด ส่วนข้อจํากัดคือ ความเป็นเจ้าของผลงานไม่ชัดเจน

28. การติดตามประเมินผล คือขั้นตอนใด
(1) การควบคุมกลยุทธ์
(2) การกําหนดเป้าประสงค์
(3) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(4) การกําหนดกลยุทธ์
(5) การนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) การควบคุมกลยุทธ์ คือ การติดตามประเมินผลการดําเนินงานทั้งหมดตาม แผนกลยุทธ์ที่กําหนดไว้ว่าการดําเนินงานบรรลุผลสําเร็จตามแผนมากน้อยเพียงใด ซึ่งต้องอาศัย การเปรียบเทียบผลที่ได้จากการปฏิบัติจริงกับผลการดําเนินงานที่ตั้งเป้าหมายไว้ หากปรากฏ ผลที่ได้จากการดําเนินงานจริงต่ำกว่าเป้าหมายที่กําหนดไว้ในแผน ผู้บริหารก็จะต้องหาทางปรับปรุงแก้ไขต่อไป

29. ข้อใดเรียงลําดับระดับของตัวชี้วัดจากเล็กไปใหญ่ได้ถูกต้อง
(1) Impact, Output, Outcome
(2) Impact, Outcome, Output
(3) Output, Outcome, Impact
(4) Outcome, Output, Impact
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ระดับของตัวชี้วัดเรียงลําดับจากเล็กไปใหญ่ได้ดังนี้
1. ผลผลิต (Output) เป็นตัวชี้วัดระดับสํานัก หน่วยปฏิบัติ)
2. ผลลัพธ์ (Outcome) เป็นตัวชี้วัดระดับกรม
3. ผลกระทบ (Impact) เป็นตัวชี้วัดระดับกระทรวงและรัฐบาล

30. “การพัฒนานโยบาย มาตรการ และบริการด้านการป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพ” ประโยคดังกล่าวเป็นการกำหนดอะไร
(1) การกําหนดวิสัยทัศน์
(2) การกําหนดเป้าประสงค์
(3) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(4) การกําหนดพันธกิจ
(5) การกําหนดกลยุทธ์
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

31. ข้อใดคือที่มาของการวางแผนกลยุทธ์
(1) ข้อเสนอของ World Bank
(2) ข้อเสนอของ USAID
(3) คําสั่งของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ
(4) เครื่องมือทางการบริหารของเอกชน
(5) ถูกทุกข้อยกเว้นข้อ 3
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ที่มาของการวางแผนกลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์ มีดังนี้
1. ข้อเสนอของธนาคารโลก (World Bank) และองค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ แห่งสหรัฐอเมริกา (USAID)
2. การวางแผนทางการทหาร
3. เครื่องมือทางการบริหารจัดการของภาคเอกชน

32. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของโครงการภาครัฐ
(1) มาจากสภาพปัญหาของสังคม
(2) มีผลกระทบต่อสังคมสูง
(3) ใช้งบประมาณสาธารณะ
(4) รัฐเป็นเจ้าของโครงการ
(5) คุ้มค่า ให้ผลตอบแทนสูง
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ลักษณะของโครงการภาครัฐ มีดังนี้
1. รัฐเป็นเจ้าของโครงการ
2. มาจากปัญหาข้อเรียกร้องของประชาชนหรือสภาพปัญหาของสังคม
3. เป็นประโยชน์สาธารณะ
4. มีระยะเวลาแน่นอน
5. ใช้เงินภาษีหรืองบประมาณสาธารณะ
6. ประเมินผลตอบแทนยาก
7. มีผลกระทบต่อสังคมสูง

33. กําหนดทางเลือกซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ และรวบรวมทางเลือกทุก ๆ ทางเลือกให้ครบถ้วน
(1) การวิเคราะห์ทางเลือก
(2) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(3) การระบุปัญหา
(4) การทดสอบทางเลือก
(5) ศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
ตอบ 2 หน้า 13 การออกแบบทางเลือกนโยบาย คือ การใช้ความรู้ ประสบการณ์ของผู้กําหนดนโยบาย ร่วมกับข้อมูลที่รวบรวมและการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ เพื่อกําหนดว่าทางเลือกซึ่งเป็นแนวทาง ที่สามารถแก้ไขปัญหาได้นั้นควรเป็นทางเลือกใดบ้าง โดยพิจารณาว่ามีทางเลือกใดที่สามารถ ปฏิบัติตามแล้วให้ผลสําเร็จดังวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้บ้าง ซึ่งในขั้นนี้ต้องรวบรวมทางเลือกทุก ๆ ทางเลือกที่เป็นไปได้ให้ครบถ้วน

34.การส่งมอบงานตึก 12 ชั้น คณะรัฐศาสตร์
(1) Policy Formulation
(2) Policy Analysis
(3) Policy Evaluation
(4) Policy Implementation
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 17, (คําบรรยาย) การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอนของ การแปลงวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ในนโยบาย ซึ่งอาจเป็นกฎหมาย คําสั่ง หรือมติของคณะรัฐมนตรี ให้เป็นแผนงาน โครงการ และกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม โดยจะต้องมีการจัดหา/การตระเตรียม วิธีการ ตลอดจนทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อดําเนินการให้สําเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้

35. การวางแผนกลยุทธ์ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดทางการบริหารแนวคิดใด
(1) New Public Administration
(2) New Public Service
(3) New Prime Minister
(4) New Public Management
(5) Neo-Classic Administration
ตอบ 4 (คําบรรยาย) แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการวางแผนกลยุทธ์ มีดังนี้
1. การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management : NPM)
2. Reinventing Government 10 David Osborne & Ted Gaebler
3. การบริหารการเปลี่ยนแปลง (Change Management)
4. ทฤษฎีระบบ (System Theory)

36. ในแนวคิดการศึกษานโยบายศาสตร์ในแนววิเคราะห์นโยบายนิยมใช้ในนักวิชาการกลุ่มใด
(1) นักวิทยาศาสตร์
(2) นักเศรษฐศาสตร์
(3) นักรัฐศาสตร์
(4) นักสังคมวิทยา
(5) นักรัฐประศาสนศาสตร์
ตอบ 5 หน้า 6 – 7 การศึกษาแนววิเคราะห์นโยบาย ถือเป็นแนวทางที่นักรัฐประศาสนศาสตร์ นิยมใช้กันมาก โดยเป็นการศึกษาที่เน้นการวิเคราะห์โดยทั่วไป (ในภาพรวม) มิใช่เป็น การศึกษารายกรณี และมีเทคนิควิธีการศึกษาที่ใช้หลักสหวิทยาการหรือหลักการของ วิชาการหลายสาขามาศึกษาวิเคราะห์ ซึ่งการศึกษาตามแนวนี้ได้มีจุดเริ่มต้นระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ริเริ่ม

37. ความสําเร็จในการบริหารโครงการขึ้นอยู่กับปัจจัยใดมากที่สุด
(1) เวลาดําเนินการที่เหมาะสม
(2) ความถูกต้องของตัวโครงการ
(3) สถานที่ดําเนินการที่เหมาะสม
(4) ผู้ร่วมงานในโครงการ
(5) ผู้บริหารโครงการ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ความสําเร็จในการบริหารโครงการขึ้นอยู่กับความถูกต้องของตัวโครงการมากที่สุด ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้บริหารโครงการแต่อย่างใด แต่ถ้าเป็นการ วางโครงการให้ประสบความสําเร็จต้องอาศัยความถูกต้องของข้อมูลเป็นสําคัญที่สุด

38. การศึกษาแนววิเคราะห์นโยบายได้มีจุดเริ่มต้นที่ใด
(1) เมื่อ Max Weber ได้ศึกษาระบบราชการ
(2) ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
(3) เมื่อ Mayo ได้ทดลองค้นคว้าที่เรียกว่า Hawthorne Study
(4) เมื่อมีกลุ่มนักทฤษฎีสมัยใหม่
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 36. ประกอบ

39. หลักการบริหารใดที่ต้องใช้มากที่สุดในการจัดการโครงการ
(1) การจัดทีมงาน (Team Building)
(2) การรายงาน (Reporting)
(3) การจัดองค์การ (Organizing)
(4) การควบคุม (Controlling)
(5) การวางแผน (Planning)
ตอบ 4 หน้า 44, (คําบรรยาย) ในการบริหารหรือการจัดการโครงการนั้น หลักการบริหารที่จะต้องใช้ มากที่สุดก็คือ การควบคุม (Controlling) ซึ่งโดยทั่วไปการควบคุมโครงการจะเน้นการควบคุม
3 ด้าน คือ
1. ควบคุมเวลา (Time Control)
2. ควบคุมค่าใช้จ่าย (Cost Control)
3. ควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน (Quality Control)

40. ข้อใดตรงกับ Result-Oriented Government รัฐที่มุ่งเน้นผลการดําเนินงาน
(1) มุ่งเน้นเฉพาะผลผลิต (Output)
(2) มุ่งเน้นผลลัพธ์ (Outcome)
(3) การคํานึงถึงว่าผู้รับบริการจะได้ประโยชน์อะไร
(4) ลูกเฉพาะข้อ 1
(5) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 5 (คําบรรยาย) รัฐที่มุ่งเน้นผลการดําเนินงาน (Result-Oriented Government) หมายถึง การมุ่งเน้นผลลัพธ์ (Outcome) หรือการคํานึงถึงว่าผู้รับบริการ/ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร

41.นักวิชาการที่กล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายมีจุดสําคัญอยู่ที่การวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายเป็นสําคัญ คือ
(1) Thomas R. Dye
(2) Walter
(3) Harry Harty
(4) Theodore Poister
(5) William Durin
ตอบ 4 หน้า 16 Theodore Poister กล่าวว่า “การวิเคราะห์นโยบายมีจุดสําคัญอยู่ที่การวิเคราะห์ ผลกระทบของนโยบายเป็นสําคัญ ดังนั้นจําเป็นต้องมีการศึกษาอย่างจริงจังถึงความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาของนโยบายกับผลกระทบทั้งปวงที่จะเกิดขึ้น”

42. ชุดรวมของบรรดาโครงการต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์เดียวกัน คืออะไร
(1) Policy
(2) Micro Project
(3) Planning
(4) Program
(5) Process
ตอบ 4 (คําบรรยาย) แผนงาน (Program) คือ ชุดรวมของบรรดาโครงการ (Project) ต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์เดียวกัน

43. สถาบันที่มีหน้าที่ริเริ่มกําหนดนโยบายและมีอํานาจอิทธิพลต่อนโยบายมาก คือ
(1) สถาบันการปกครองท้องถิ่น
(2) สถาบันศาล
(3) สถาบันการปกครอง
(4) สถาบันทหาร
(5) สถาบันทางรัฐสภา
ตอบ 3 หน้า 6, (คําบรรยาย) ตัวแบบหรือทฤษฎีสถาบัน (Institution Model Theory) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตของโครงสร้างสถาบันการปกครอง กล่าวคือ นโยบายใด ๆ ก็ตาม ๆ จะได้ชื่อว่าเป็นนโยบายสาธารณะก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองโดยสถาบันแล้วเท่านั้น ซึ่งนโยบายก็มักจะเป็นไปตามที่สถาบันการปกครองกําหนดเองหรือให้ประโยชน์กับสถาบันการปกครอง ตัวอย่างสถาบันการปกครอง ได้แก่ สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) สถาบันบริหาร (นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี) สถาบันราชการ สถาบันตุลาการ (ศาล) สถาบันการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น

44. ข้อใดเป็นกระบวนการต่าง ๆ ทางวิชาการ
(1) Social Analysis
(2) Alternative
(3) Feasibility Study
(4) Process
(5) Financial Analysis
ตอบ 4 (คําบรรยาย) กระบวนการ (Process) หมายถึง ขั้นตอนวิธีปฏิบัติ หรือกิจกรรมการดําเนินงาน ที่กระทําอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงขั้นตอนสุดท้าย

45. การกําหนดโครงการ หมายถึงอะไร
(1) การศึกษาความสมบูรณ์ของโครงการที่ร่างเสร็จแล้ว
(2) การตรวจสอบความสามารถของผู้ร่างโครงการซ้ําอีกครั้ง
(3) การตรวจสอบผลของการดําเนินโครงการที่ผ่านไปแล้ว
(4) การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ
(5) การตรวจสอบข้อมูลของโครงการ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การกําหนดโครงการ หมายถึง การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ หรือ การเสาะหาลู่ทางการลงทุนที่ดีและมีความเป็นไปได้ เช่น โครงการลงทุนของภาคเอกชน ที่มีแววว่าจะสามารถทํากําไร หรือให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่คุ้มค่า และถ้าเป็นโครงการลงทุน ของภาครัฐก็เป็นโครงการลงทุนที่มีศักยภาพและความสําคัญสูงต่อการแก้ไขปัญหาหรือตอบสนอง ความต้องการและโอกาสในการพัฒนาทางด้านต่าง ๆ ของประเทศ เป็นต้น

46. การวางโครงการให้ประสบผลสําเร็จต้องอาศัยองค์ประกอบตัวใดเป็นสําคัญที่สุด
(1) เวลาที่เหมาะสม
(2) เครื่องมือที่เพียบพร้อม
(3) ข้อมูล
(4) การสนับสนุนจากผู้มีอํานาจ
(5) คนวางโครงการ
ตอบ 3 (คําบรรยาย) ในกระบวนการของแผน/โครงการนั้น กระบวนการหรือขั้นตอนที่ใช้ข้อมูลมากที่สุด และมีอิทธิพลต่อทุก ๆ กระบวนการมากที่สุดก็คือ การวางแผน/โครงการ เพราะโดยทั่วไปแล้ว การที่แผน/โครงการจะประสบความสําเร็จหรือล้มเหลวนั้นจะขึ้นอยู่กับกระบวนการหรือขั้นตอน ที่ว่านี้เป็นสําคัญ กล่าวคือ ถ้าวางแผน/โครงการได้ดีมีรายละเอียดครอบคลุม มีการเก็บข้อมูล อย่างถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ ย่อมส่งผลให้การวางโครงการมีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์และ ประเมิน การนําไปปฏิบัติ ตลอดจนการประเมินผลสามารถทําได้โดยง่าย และโอกาสที่แผน โครงการนั้นจะประสบความสําเร็จก็จะมีสูง

47. หากเราต้องการผลการทํางานที่ตรงตามต้องการที่สุดต้องใช้รูปแบบใดในการบริหาร
(1) การตัดสินใจเฉพาะหน้า
(2) โครงการ
(3) นโยบาย
(4) แผน
(5) การใช้ประสบการณ์ที่ยาวนาน
ตอบ 2 (คําบรรยาย) หากเราต้องการผลการทํางานที่ตรงตามต้องการที่สุดต้องใช้โครงการเป็นรูปแบบ ในการบริหาร โดยโครงการมีขึ้นเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งถือเป็นหลักพื้นฐานของการวางโครงการด้วย กล่าวคือ ถ้าไม่มีปัญหาก็จะไม่มีการวางโครงการ เพื่อทําหน้าที่ค้นหาวิธีแก้ปัญหานั้น ๆ

48. ใครกล่าวว่านโยบายคือ “สิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา
(1) David Easton
(2) ดร.อมร รักษาสัตย์
(3) William Dunn
(4) Woodrow Wilson
(5) Thomas R. Dye
ตอบ 5 หน้า 1 Thomas R. Dye กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวหรือ กิจกรรมหรือสิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา และเกี่ยวข้องกับเหตุผลว่าทําไมจึงเลือกเช่นนั้น”

49. หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมของรัฐแห่งหนึ่ง วิเคราะห์ SWOT ว่า
1. คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติตั้งเป้าการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยให้ได้ 100% ของกําลังการผลิต ทําให้สามารถแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้สําเร็จมากขึ้น
2. คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติตั้งเป้าการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทยให้ได้ 100% ของกําลังการผลิต ทําให้ประชาชนมีภาระต้นทุนในการเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
การวิเคราะห์ดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่ เพราะเหตุใด
(1) ควรปรับปรุงเพราะไม่สามารถประเมินได้ว่าเป็นโอกาสหรือภัยคุกคาม
(2) เหมาะสมถูกต้องแล้วเพราะเป็นเรื่องเดียวกัน
(3) เหมาะสมถูกต้องแล้วเพราะเป็นไปได้ทั้ง 2 แบบ
(4) ควรปรับปรุงเพราะไม่สามารถประเมินได้ว่าเป็นจุดแข็งหรือจุดอ่อน
(5) ควรปรับปรุงเพราะไม่เป็นธรรมกับประชาชน
ตอบ 1 (คําบรรยาย) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมดังกล่าวควรปรับปรุง เพราะไม่สามารถประเมินได้ว่า เป็นโอกาสหรือภัยคุกคาม ทําให้นําไปกําหนดทิศทางกลยุทธ์ขององค์การได้ยาก

50. เทคนิคการกําหนดตัวชี้วัดแบบ QQCT เหมาะกับการกําหนดตัวชี้วัดหน่วยงานใด
(1) สํานักงานเลขานุการ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
(2) กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค
(3) สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด
(4) กระทรวงสาธารณสุข
(5) ถูกทุกข้อยกเว้นข้อ 4
ตอบ 5 (คําบรรยาย) QQCT เป็นเทคนิคการกําหนดตัวชี้วัดระดับสํานัก (หน่วยปฏิบัติ) ซึ่งมีองค์ประกอบดังนี้
1. Quantity (ปริมาณ)
2. Quality (คุณลักษณะ)
3. Cost (ต้นทุน)
4. Time (เวลา)

51. การวางแผนเชิงกลยุทธ์สอดคล้องกับ Reinventing Government ข้อใด
(1) รัฐที่ชี้นํามากกว่าลงมือทําเอง
(2) รัฐประกอบการ
(3) รัฐที่เน้นกลไกการตลาด
(4) รัฐที่คาดการณ์ล่วงหน้า เน้นป้องกันมากกว่าแก้ปัญหา
(5) การแบ่งหน่วยงานย่อยเพื่อความคล่องตัวในการบริหารจัดการ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) แนวคิด Reinventing Government ของ David Osborne & Ted Gaebler ที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนเชิงกลยุทธ์โดยตรง ได้แก่
1. รัฐที่มุ่งขับเคลื่อนด้วยภารกิจ (Mission-Driven Government)
2. รัฐที่มุ่งเน้นผลการดําเนินงาน (Result-Oriented Government)
3. รัฐที่คาดการณ์ล่วงหน้า เน้นป้องกันมากกว่าแก้ปัญหา (Anticipatory Government)

52. การวางแผนแตกต่างจากการวางโครงการ เพราะการวางแผนไม่มีกิจกรรมใดต่อไปนี้ แต่โครงการมี
(1) การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(2) การวิเคราะห์ปัญหา
(3) การจัดทํา Project Programming
(4) การจัดทํา Feasibility Study
(5) การเก็บรวบรวมข้อมูล
ตอบ 3 หน้า 38 – 39, (คําบรรยาย) ในกระบวนการวางโครงการจําเป็นต้องมีการจัดทําโครงการปฏิบัติ (Operation Plan) เป็นการกําหนดรายละเอียดของวิธีดําเนินการโครงการ หรือที่เรียกว่า การจัดทํา “Project Programming” ซึ่งไม่มีในการวางแผน ดังนี้
1. กําหนดบุคลากร (Man Power) คือ การจัดคนที่ต้องรับผิดชอบงานต่าง ๆ ให้เหมาะสม ซึ่งถือเป็นงานที่จําเป็นมากที่สุด
2. วัสดุอุปกรณ์ และสิ่งอํานวยความสะดวกต่าง ๆ (Materials/Equipments and Facilities)
3. ตารางเวลาการปฏิบัติงาน (Work Scheduling) คือ การกําหนดขั้นตอนของงานประกอบกับช่วงเวลาที่ต้องปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอน นับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนสิ้นสุดกระบวนการ
4. งบประมาณ (Budgeting)
5. สถานที่ (Location)
6. องค์การที่จะต้องดูแลผลของโครงการเมื่อดําเนินการเสร็จสิ้นแล้ว(Future Organization)
7. การประเมินผลโครงการ (Evaluation)

53. องค์การสหประชาชาตินิยามโครงการว่าหมายถึง
(1) รูปแบบที่สําคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหา
(2) รูปแบบทั่ว ๆ ไปในการดําเนินงานในองค์กร
(3) รูปแบบการดําเนินการชนิดหนึ่ง
(5) รูปแบบอันเจาะจงในการดําเนินกิจกรรมทางสังคม
(4) รูปแบบการบริหารกิจกรรมอันสลับซับซ้อน
ตอบ 5 หน้า 36 องค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) ได้นิยามความหมายของโครงการ ว่าหมายถึง รูปแบบอันเจาะจงในการดําเนินกิจกรรมทางสังคม ซึ่งได้มีการจัดเตรียมไว้แล้ว (Organized Social Activities) โดยมีวัตถุประสงค์ที่เจาะจง (Specific Objectives) มีการ จํากัดในด้านสถานที่และเวลา (Limited in Space and Time) โครงการมักประกอบด้วย โครงงานย่อย (Project) ที่เกี่ยวข้องกันหลาย ๆ โครงงาน (Group of Projects)

54. ข้อใดคือปัจจัยในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใน
(1) Strengths, Weaknesses
(2) Strengths, Weekend
(3) Strengths, Wellness
(4) Opportunities, Technology
(5) STEPP, Treats
ตอบ 1 (คําบรรยาย) SWOT Analysis เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมขององค์การ ซึ่งประกอบด้วย
1. การวิเคราะห์จุดแข็ง (Strengths) และจุดอ่อน (Weaknesses) ขององค์การ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายในองค์การ
2. การวิเคราะห์โอกาส (Opportunities) และอุปสรรค (Treats) ขององค์การ ซึ่งเป็นการวิเคราะห์สภาพแวดล้อม ภายนอกองค์การ

55. หน่วยงานระดับ “กระทรวง” ใช้ตัวชี้วัดระดับใด
(1) Impact
(2) Output
(3) Outcome
(4) QQCT
(5) 2Q2T1P
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 29. ประกอบ

56. การทํา Feasibility ของโครงการมีจุดมุ่งหมายสําคัญเพื่อสิ่งใด
(1) เพื่อประเมินโอกาสในการบรรลุผลสําเร็จของโครงการ
(2) เพื่อประเมินผลที่เกิดจากโครงการ
(3) เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของโครงการ
(4) เพื่อดูความพร้อมของโครงการ
(5) เพื่อตระเตรียมการแก้ปัญหาแต่เนิ่น ๆ
ตอบ 1 หน้า 40 – 42, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. การวิเคราะห์เปรียบเทียบโครงการ (Program/Project Analysis) เป็นเทคนิคการวิเคราะห์และ ประเมินโครงการในระบบปิด ซึ่งจะให้ความสําคัญกับปัจจัยภายในองค์การ/โครงการเป็นหลักโดยจะนําเอาโครงการที่มีอยู่ทั้งหมดมาทําการวิเคราะห์เปรียบเทียบถึงข้อดีข้อด้อยของแต่ละโครงการ เพื่อเลือกเอาโครงการที่ดีที่สุด ซึ่งเหมาะสําหรับโครงการที่ไม่เร่งด่วน
2. การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) เป็นเทคนิคการวิเคราะห์และ ประเมินโครงการในระบบเปิด ซึ่งจะให้ความสําคัญกับสภาพแวดล้อมภายนอกที่มากระทบโครงการโดยจะนําเอาโครงการที่ได้เลือกสรรไว้แล้วเพียงโครงการเดียวมาทําการศึกษาถึง ความเป็นไปได้ เพื่อประเมินโอกาสในการบรรลุผลสําเร็จของโครงการว่ามีโอกาสที่จะ ประสบผลสําเร็จมากน้อยเพียงใด ซึ่งมักจะใช้ในกรณีที่เป็นโครงการเร่งด่วน

57. ปัญหาชนิดใดวางโครงการง่ายที่สุด
(1) ปัญหาการเมืองของชาติ
(2) ปัญหาประมงนอกน่านน้ำไทย
(3) ปัญหาความแห้งแล้งในทุ่งนา
(4) ปัญหาจราจรใน กทม.
(5) ปัญหาความแตกแยกในสังคมหมู่บ้าน
ตอบ 4 หน้า 25, (คําบรรยาย) ปัญหาแก้ไข (Solvec Problem) เป็นปัญหาที่ปรากฏผลเสียหาย ให้เห็นอยู่แล้ว เห็นตัวตนของปัญหามีรูปธรรมชัดเจน และสังคมเห็นพ้องต้องกันว่านี้คือปัญหา ที่ต้องแก้ไข ซึ่งจะนํามาเป็นแนวคิดในการวางโครงการได้ง่ายที่สุดเพื่อแก้ปัญหา เช่น ปัญหา จราจรใน กทม. แก้ไขปัญหาโดยการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน ปัญหาน้ําท่วมเมื่อปี 2554 เป็นต้น

58. ข้อใดไม่ใช่เครื่องมือวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(1) SWOT Analysis
(2) QQCT
(3) STEPP
(4) 7’S
(5) Five-Forces Model
ตอบ 2 (คําบรรยาย) เครื่องมือวิเคราะห์สภาพแวดล้อมขององค์การ มีดังนี้
1. 2’S 4’M
2. 7’S
3. PMQA
4. PEST Analysis
5. STEPP Model
6. Five-Forces Model
7. SWOT Analysis

59. ข้อใดคือปัจจัยในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอก
(1) STEPP, Weaknesses
(2) STEPP, Weakishness
(3) Opportunities, Treats
(4) Opportunism, Theater
(5) Optimistic, Treats
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 54. ประกอบ

60. นโยบายตามตัวแบบสถาบันจะให้ประโยชน์กับใครมากที่สุด
(1) ให้ประโยชน์กับสังคม
(2) ให้คํานึงถึงรัฐสภา
(3) ประโยชน์โดยทั่วไป
(4) ผู้นําและผู้ใกล้ชิด
(5) ถูกทุกข้อที่กล่าวมา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ

61. “ปัจจุบัน” (ปี 2564) หน่วยงานใดมีบทบาทในการกําหนดตัวชี้วัดตามแผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติ
(1) สํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
(2) สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(3) สํานักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
(4) สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
(5) สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งมีฐานะเป็น เลขานุการของคณะกรรมการจัดทํายุทธศาสตร์ชาติ เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทในการกําหนด ตัวชี้วัดตามแผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติในปัจจุบัน

62.Controtted Environment หมายถึง
(1) ภาวะทางธรรมชาติ
(2) ค่านิยมของคนในภาคใต้ของประเทศไทย
(3) เทคโนโลยีที่ใช้ในนโยบาย
(4) ความเชื่อของคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 12 สิ่งแวดล้อมของนโยบาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมได้ (Controlled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่สามารถควบคุม หรือกําหนดได้อย่างแน่นอน เช่น จํานวนคนที่จะเข้ามาบริหารนโยบาย เทคโนโลยีที่ใช้ ในนโยบาย ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrolled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถ ควบคุมหรือกําหนดได้อย่างชัดเจน เช่น ความเชื่อ ค่านิยมของคนในสังคม ภาวะทางธรรมชาติ ภาวะโลกร้อน แผ่นดินไหว เป็นต้น

63. “การระบาดมีความรุนแรงจากเชื้อกลายพันธุ์ ข้อมูลการศึกษายังก้าวตามไม่ทัน ทําให้ขาดข้อมูลในการกําหนด มาตรการรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ประโยคดังกล่าวจะปรากฏอยู่ในขั้นตอนใด
(1) การวิเคราะห์ปัจจัยภายนอก
(2) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(3) การกําหนดพันธกิจ
(4) การกําหนดเป้าประสงค์
(5) การกําหนดวิสัยทัศน์
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม คือ การประเมินสถานภาพขององค์การ โดยการ พิจารณาสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกเพื่อให้ทราบจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และอุปสรรคขององค์การ เพื่อนําไปประกอบในการกําหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับองค์การต่อไป

64. การวางแผนกลยุทธ์สัมพันธ์กับระบบงบประมาณแบบใด
(1) ระบบงบประมาณแบบแสดงรายการ
(2) ระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลกระทบ
(3) ระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน
(4) ระบบงบประมาณแบบแผนงานโครงการ
(5) ระบบงบประมาณแบบฐานศูนย์
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การวางแผนกลยุทธ์สัมพันธ์กับระบบงบประมาณแบบมุ่งเน้นผลงาน(Performance-Based Budgeting) ซึ่งเป็นระบบงบประมาณที่ให้ความสําคัญกับ ความสําเร็จตามเป้าประสงค์และวัตถุประสงค์ของแผนงาน รวมทั้งการบ่งชี้หรือ การวัดผลที่เกิดจากการทํางาน ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล

65. แบบอะไรที่ถูกต้องในการวัดประสิทธิผล (Effectiveness Evaluation) ของนโยบายหรือแผน
(1) แบบการวัดประสิทธิภาพ
(2) แผนประเมินผลงาน
(3) แผนการรายงาน
(4) แผนตรวจงาน
(5) แบบวิธีทดลอง
ตอบ 5 (คําบรรยาย) การประเมินผลโดยการวัดประสิทธิผล (Effectiveness Evaluation) ของนโยบาย คือ การประเมินผลโดยการพิจารณาว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการดําเนินการตามนโยบายนั้นตรงกับ เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่วางไว้หรือไม่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ
1. แบบธรรมดา หรือแบบที่ไม่ใช่วิธีการทดลอง
2. แบบวิธีกึ่งทดลอง
3. แบบวิธีทดลอง

66. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ OKR
(1) ระบบการวัดผลที่มีความยืดหยุ่นกว่า KPI
(2) ระบบการวัดผลที่เน้นการสร้างตัวชี้วัดจํานวนมาก
(3) ระบบการวัดผลที่กําหนดวัตถุประสงค์หลากหลาย
(4) ระบบการวัดผลที่เปลี่ยนตัวชี้วัดปีละครั้ง
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 (คําบรรยาย) OKR (Objective Key Result) เป็นระบบการวัดผลที่นํามาใช้แทนระบบ KPI (Key Performance Indicator) เพราะมีความยืดหยุ่นมากกว่า โดยลักษณะสําคัญของระบบนี้ คือ มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน มีตัวชี้วัดจํานวนน้อยและจะเปลี่ยนทุก ๆ 3 เดือน ทําให้สามารถปรับเปลี่ยนองค์การได้ตามสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

67. หน่วยงานระดับ “กรม” ใช้ตัวชี้วัดระดับใด
(1) QQCT
(2) Output
(3) Impact
(4) Outcome
(5) 2Q2T1P
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 29. ประกอบ

68. หน้าที่ของผู้วางแผนจะสิ้นสุดที่กระบวนการใด
(1) กําหนดปัญหา
(2) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(3) ลงมือวางแผน
(4) ประเมินผล
(5) ตั้งเป้าหมาย
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

69. ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์จากนโยบาย รวมทั้งการยอมรับต่อนโยบาย
(1) การระบุปัญหา
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(4) การทดสอบทางเลือก
(5) การวิเคราะห์ทางเลือก
ตอบ 2 หน้า 13 การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย คือการศึกษาข้อจํากัดด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ข้อมูล
2. ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์จากนโยบาย
3. การรับรู้และการยอมรับต่อนโยบาย
4. สิ่งแวดล้อมทั่วไป

70. “จํานวนผู้รับบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 80” ประโยคดังกล่าวแสดงถึงปัญหาของการใช้ตัวชี้วัดอย่างไร
(1) วัดได้เฉพาะ Output
(2) ขาดความยืดหยุ่น
(3) ขาดความน่าเชื่อถือ
(4) วัดได้เฉพาะ Outcome
(5) วัดได้เฉพาะ Impact
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ประโยคดังกล่าวนั้นวัดได้เฉพาะผลผลิต หรือ Output ซึ่งหมายถึง ผลที่เกิดขึ้น ทันที เป็นผลโดยตรงที่เกิดจากการดําเนินกิจกรรมของโครงการเสร็จสิ้น

71.TP. หมายถึง
(1) ทฤษฎีการวางแผน
(2) Team Planning
(3) Target Planning
(4) เวลาที่ผ่านไป
(5) การทํางานเป็นทีม
ตอบ 2 หน้า 33 – 34, (คําบรรยาย) การวางแผนแบบทีมวางแผน (Team Planning : TP.) คือ การวางแผนเป็นทีมที่เน้นหลักการมีส่วนร่วมและการระดมสมอง (Brain Storm) ซึ่งมี 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. ร่วมกันกําหนดเป้าหมาย (Targets) ของหน่วยงานให้ชัดเจนตรงกัน
2. ร่วมกันกําหนดอนาคต (Scenario) หรือวิสัยทัศน์ (Vision) ที่ต้องการโดยคิดล่วงหน้า 3 – 5 ปี
3. ร่วมกันหาสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางหรือข้อจํากัด (Obstructions) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
4. ร่วมกันกําหนดแผน (Plan) หรือกลยุทธ์ (Strategies) โดยใช้การวิเคราะห์ SWOT เข้าช่วย
5. ร่วมกันกําหนดกลวิธี (Tactics) หรือโครงการให้สอดคล้องกับแผนที่วางไว้
6. ร่วมกันจัดทําแผนปฏิบัติ (Action Plan) ของโครงการ โดยเน้นให้เกิดผลภายใน 90 วัน หรือที่เรียกว่า 90 Day Implementation Plan

72. การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเน้นหลักในด้านใดบ้าง
(1) ผลตอบแทน สิ่งแวดล้อม การเมือง
(2) สังคม เศรษฐกิจ การเมือง
(3) การเงิน การคลัง เทคโนโลยี และการจัดการ
(4) เศรษฐกิจ การจัดการ เทคโนโลยี
(5) เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม การเมือง
ตอบ 4 หน้า 42 การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) มักจะประเมินเพียง ตัวแปรหลัก ๆ ดังนี้
1. ด้านเศรษฐกิจ ความคุ้มทุนหรือผลตอบแทนของโครงการ (นิยมประเมิน ในด้านนี้เป็นประจํา)
2. ด้านการบริหารหรือการจัดการ
3. ด้านเทคนิค เช่น สถานที่ตั้ง วัตถุดิบ และเทคโนโลยีของโครงการ
4. ด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการ

73. กระบวนการใดทําให้ได้รับข้อมูลสะสมเพื่อการวางแผนในโอกาสต่อ ๆ ไป
(1) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(2) ประเมินผล
(3) ลงมือวางแผน
(4) ตั้งเป้าหมาย
(5) กําหนดปัญหา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

74. ข้อใดคือการกําหนดตัวชี้วัดตามมาตรฐานวิทยาศาสตร์
(1) ผู้รับบริการมีความพึงพอใจไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของผู้มาใช้บริการทั้งหมดในรอบปี
(2) ปริมาณรถยนต์ไฟฟ้าที่จดทะเบียนในเมืองหลวงเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 ภายใน 1 ปี
(3) ร้อยละ 90 ของข้อเสนอโครงการได้รับการอนุมัติภายในระยะเวลาที่กําหนด
(4) รสและกลิ่นของน้ำบริโภค ค่ามาตรฐานไม่เป็นที่รังเกียจ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การกําหนดตัวชี้วัดตามมาตรฐานวิทยาศาสตร์ (Scientific Criteria) เป็น การกําหนดเกณฑ์ตัวชี้วัดโดยใช้ค่ามาตรฐานกลางซึ่งเป็นที่ยอมรับในวงการว่าอยู่ในระดับที่ ยอมรับได้ เช่น กรมควบคุมมลพิษกําหนดตัวชี้วัดว่า “ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน มีค่าเฉลี่ยไม่เกิน 0.025 มก./ลบ.ม. ใน 24 ชม.”, “รสและกลิ่นของน้ําบริโภคมีค่ามาตรฐาน ไม่เป็นที่รังเกียจ” เป็นต้น

75. การตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบต่าง ๆ ที่ใช้ เทคนิควิเคราะห์ และการประยุกต์ทั้งหลายเป็นระบบ
(1) การทดสอบทางเลือก
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การวิเคราะห์ทางเลือก
(4) การระบุปัญหา
(5) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
ตอบ 1 หน้า 14 การทดสอบทางเลือก คือ การทบทวนความเหมาะสมของขั้นตอนและข้อมูลที่ใช้ ทั้งทางด้านหลักการเหตุผล ทางเลือกของนโยบาย คุณภาพและปริมาณของข้อมูลว่ายังพอเพียง และดีอยู่ ตลอดจนตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบวิธีต่าง ๆ ที่ใช้ เทคนิควิธีวิเคราะห์ และการประยุกต์ทั้งหลายว่าเป็นระบบและสอดคล้องต้องกันอย่างแท้จริง

76. การจัดการโครงการ (Program Management) มีเป้าหมายสําคัญอย่างไร
(1) เพื่อให้ได้ผลงานตามที่วางโครงการไว้
(2) เพื่อให้ครบกระบวนการของโครงการ
(3) เพื่อจัดองค์การให้เหมาะสมกับโครงการที่วางไว้
(4) เพื่อพัฒนาประเทศ
(5) เพื่อรวบรวมปัญหาและอุปสรรคไว้เป็นแนวทางในภายหน้า
ตอบ 1 (คําบรรยาย) การบริหารหรือการจัดการโครงการหรือการปฏิบัติตามโครงการ (Program Management) เป็นขั้นตอนของการนําโครงการไปปฏิบัติ ซึ่งมีเป้าหมายสําคัญเพื่อนําเอา โครงการที่วิเคราะห์และประเมินแล้วมาดําเนินการให้เกิดผลงานตามที่วางโครงการไว้

77. คํากล่าวที่ว่า “การวางแผน คือ Set of Temporally Linked Actions” เป็นของใคร
(1) Gulick and Urwick
(2) Albert Waterston
(3) ดร.อมร รักษาสัตย์
(4) William Dunn
(5) Jose Villamil
ตอบ 5 หน้า 25 Jose Villamil กล่าวว่า “การวางแผนเป็นการกระทําที่เป็นกระบวนการ (Set of Temporally Linked Actions) ที่นําไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ (Desired end State) โดยการ ตัดสินใจแต่ละครั้งนั้นมุ่งให้เกิดการรวมชาติหรือการเปลี่ยนแปลง โดยมีการผิดพลาดน้อยที่สุด”

78. ข้อมูลที่ต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก คือ
(1) ข้อมูลทุกประเภท
(2) ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts)
(3) ข้อมูลที่ยังไม่ได้กรอง
(4) ข้อมูลที่เป็นความเชื่อ (Values)
(5) ข้อมูลที่เกี่ยวกับโครงการของดิน
ตอบ 4 หน้า 11 ข้อมูลในการวางนโยบายหรือแผน อาจจําแนกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1. ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts) เป็นข้อมูลที่มีลักษณะคงที่ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ลักษณะของดินฟ้าอากาศ และภูมิศาสตร์
2. ข้อมูลที่เป็นความเชื่อหรือค่านิยม (Values) เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับความยึดมั่น ความเชื่อถือ ของประชาชน ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก

79. การกําหนดทิศทางขององค์การ อยู่ในขั้นตอนใด
(1) การกําหนดพันธกิจ
(2) การกําหนดกลยุทธ์
(3) การกําหนดวิสัยทัศน์
(4) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(5) การกําหนดเป้าประสงค์
ตอบ 3 (คําบรรยาย) วิสัยทัศน์ (Vision) คือ ภาพที่องค์การหวังหรือฝันจะเป็น เป็นการกําหนด ทิศทางขององค์การในอนาคต เช่น เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) ที่มี สมรรถนะสูง (High Performance Organization) มุ่งผลิตบัณฑิตในอุดมคติไทยที่มีความรู้ คู่คุณธรรม เพื่อสร้างสรรค์สังคมไทยพัฒนาอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง,เป็นองค์กรที่มีประสิทธิภาพในการควบคุม แก้ไขและพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขังเพื่อคืนคนดีมีคุณค่าสู่สังคม, เป็นองค์กรป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพระดับมาตรฐานสากล เป็นต้น

80. ข้อใดประเมินดู Cost-Benefit
(1) Process
(2) Social Analysis
(3) Alternative
(4) Financial Analysis
(5) Feasibility Study
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ

81. “เตรียมความพร้อมในการจัดการภาวะคุกคามและภัยสุขภาพใหม่ ๆ ได้ทันการณ์” ประโยคดังกล่าวเป็นการกําหนดอะไร
(1) การกําหนดกลยุทธ์
(2) การกําหนดวิสัยทัศน์
(3) การกําหนดพันธกิจ
(4) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(5) การกําหนดเป้าประสงค์
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

82. ข้อใดมิใช่ภารกิจที่สําคัญในการประเมินโครงการ
(1) การวิเคราะห์หาความเชื่อมั่นว่าโครงการเหมาะสมที่สุดหรือยัง
(2) การวิเคราะห์ความคุ้มทุนของโครงการ
(3) การทําความเข้าใจกับตัวโครงการให้ถ่องแท้
(4) การคาดคะเนสิ่งแวดล้อมในอนาคตของโครงการ
(5) การวิเคราะห์ความอยู่รอดของโครงการ
ตอบ 5 หน้า 39 – 40, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการ มีความหมาย 2 ลักษณะ คือ
1. เป็นการศึกษาถึงโอกาสความสําเร็จในการดําเนินโครงการ โดยการวิเคราะห์และประเมินหาความเชื่อมั่นว่าตัวโครงการที่ร่างเสร็จแล้วนั้นมีความสมบูรณ์เหมาะสมที่จะนําไปปฏิบัติ ได้จริงหรือไม่ เช่น การวิเคราะห์หรือการคาดคะเนสิ่งแวดล้อมในอนาคตของโครงการ การวิเคราะห์ความคุ้มทุนของโครงการ เป็นต้น
2. เป็นการศึกษาทําความเข้าใจกับตัวโครงการให้ถ่องแท้ โดยการวิเคราะห์จําแนกแยกแยะ เปรียบเทียบข้อดีข้อด้อยและผลที่คาดว่าจะได้รับ หากมีการนําโครงการไปดําเนินการหรือนําไปปฏิบัติจริง พร้อมกับศึกษาว่าผลที่คาดว่าจะได้รับหรือผลที่จะเกิดขึ้นนั้นเหมาะสม มีคุณค่า มีประโยชน์ สมควรแก่การลงทุนดําเนินโครงการต่อไปหรือไม่

83. กระบวนการใดต้องใช้ผู้ที่เชี่ยวชาญหลายสาขามากที่สุด
(1) ประเมินผล
(2) กําหนดปัญหา
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) ลงมือวางแผน
(5) ตั้งเป้าหมาย
ตอบ 4 หน้า 27 งานวางแผนเป็นงานระดับกลุ่ม ดังนั้นการลงมือวางแผนจึงต้องประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ สาขามาร่วมกันสร้างแผน โดยมีนักวางแผนเป็นผู้ประสานให้การวางแผน ไปสู่จุดหมายร่วมกันขององค์การได้

84. ข้อใดเป็นทางเลือกในการวางแผน โครงการ
(1) Feasibility Study
(2) Process
(3) Financial Analysis
(4) Alternative
(5) Social Analysis
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ทางเลือก (Alternative) หมายถึง มาตรการหรือแนวทางการดําเนินงานที่สามารถ บรรลุวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ ซึ่งอาจมีหลายทางเลือกในการบรรลุวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ

85. ข้อใดตรงกับ Mission-Driven Government รัฐที่มุ่งขับเคลื่อนด้วยภารกิจ
(1) การกําหนดตัวชี้วัด
(2) การกําหนดพันธกิจ
(3) การประเมินผล
(4) การกําหนดวิสัยทัศน์
(5) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐที่มุ่งขับเคลื่อนด้วยภารกิจ (Mission-Driven Government) เป็นการกําหนดภารกิจหรือพันธกิจให้ชัดเจน เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนอง ความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

86. ข้อใดไม่ใช่หลักในการเขียนวัตถุประสงค์โครงการ
(1) ไม่ควรเกิน 3 ข้อ
(2) เรียงตามความสําคัญน้อยไปมาก
(3) เรียงตามความสําคัญมากไปน้อย
(4) เขียนเป็นรายข้อ
(5) สั้น กระชับ
ตอบ 2 (คําบรรยาย) หลักในการเขียนวัตถุประสงค์โครงการ มีดังนี้
1. เขียนเป็นรายข้อว่าทําเพื่ออะไร
2. เรียงลําดับตามความสําคัญจากมากไปน้อย
3. เขียนสั้นกระชับได้ใจความ
4. ไม่ควรมีมากเกินไป ส่วนใหญ่ไม่เกิน 3 ข้อ

87. ความเป็นธรรมของนโยบายสามารถวัดได้อย่างไร
(1) วัดจากการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมในกระบวนการของนโยบายให้มากที่สุด
(2) วัดจากการกระจายรายได้ของนโยบายสู่ประชาชน
(3) วัดจากประโยชน์ที่มีต่อประชาชนกลุ่มต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกัน
(4) วัดจากประสิทธิภาพและประสิทธิผลของนโยบาย
(5) วัดจากความพึงพอใจของประชาชนโดยส่วนรวม
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การพิจารณาด้านความเป็นธรรมของนโยบาย แผน หรือโครงการนั้น อาจพิจารณาหรือวัดได้จากประโยชน์ของนโยบาย แผน หรือโครงการว่าประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับประโยชน์ จากนโยบาย แผน หรือโครงการอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่ เพราะนโยบาย แผน หรือโครงการ ที่ดีนั้นจะต้องคํานึงถึงประโยชน์ของสาธารณชนส่วนใหญ่เป็นหลัก

88. กระบวนการใดทําให้เกิดผลงานที่ประชาชนใช้ประโยชน์ได้
(1) ลงมือวางแผน
(2) ประเมินผล
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) กําหนดปัญหา
(5) ตั้งเป้าหมาย
ตอบ ไม่มีข้อถูก ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

89. ข้อใดคือขอบเขตและคุณภาพของการบริหารโครงการ
(1) เวลา ต้นทุน นโยบาย ความเสี่ยง
(2) เวลา ต้นทุน แผนงาน กําลังคน
(3) เวลา ต้นทุน กําไร ความเสี่ยง
(4) เวลา ต้นทุน ทรัพยากรมนุษย์ ความเสี่ยง
(5) เวลา ต้นทุน ความพร้อมของทรัพยากร ความเสี่ยง
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ขอบเขตและคุณภาพของการบริหารโครงการ มีองค์ประกอบดังนี้
1. เวลา (Time)
2. ต้นทุน (Cost)
3. ความพร้อมของทรัพยากร (Resource Availability)
4. ความเสี่ยง (Risk)

90. แผนงบประมาณของไทยซึ่งเป็นแผนประจําทุกปีนั้น จัดเป็นแผนประเภทใด
(1) แผนรายปี
(2) แผนงบประมาณ
(3) แผนการเงิน
(4) แผนโครงการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สําหรับแผนงบประมาณของไทยซึ่งเป็นแผนประจําทุกปีนั้น อาจเรียกได้ว่า เป็นแผนประเภทแผนรายปี แผนงบประมาณ แผนการเงิน แผนระยะสั้น หรือแผนโครงการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการจําแนก

91. ข้อใดคือข้อจํากัดของการจัดโครงสร้างการบริหารโครงการแบบราชการ
(1) ขาดความรู้สึกเป็นเจ้าของผลงาน
(2) ต้นทุนสูง
(3) ไม่เหมาะกับโครงการขนาดใหญ่
(4) มีลําดับขั้นตอนมาก
(5) มีลําดับชั้นการบังคับบัญชาน้อย
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

92. ในเรื่องเกี่ยวกับรูปร่างและรูปแบบของนโยบาย ข้อความในข้อใดกล่าวผิด
(1) มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ
(2) มีรูปแบบเป็นสัญญา
(3) มีรูปเป็นแบบแผน โครงการ
(4) มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ
(5) เป็นคําบอกกล่าวที่เสนอผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นไป
ตอบ 5 หน้า 2 นโยบายมีรูปร่างและรูปแบบหลายลักษณะตามการใช้ประโยชน์ของนโยบาย ดังนี้
1. มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง
2. มีรูปเป็นแผนงาน โครงการ
3. มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ เพื่อแจ้งข่าวสารหรือเชิญชวน ซึ่งมีลักษณะบังคับน้อยที่สุด
4. มีรูปเป็นสัญญา
5. มีรูปเป็นอื่น ๆ หรืออาจไม่มีรูปร่างให้เห็นชัดเจน เช่น คําแถลงการณ์ ของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี และมติคณะรัฐมนตรี เป็นต้น

93. “เป็นองค์กรป้องกันควบคุมโรคและภัยสุขภาพระดับมาตรฐานสากล” ประโยคดังกล่าวคือการกําหนดอะไร
(1) การกําหนดพันธกิจ
(2) การกําหนดเป้าประสงค์
(3) การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม
(4) การกําหนดวิสัยทัศน์
(5) การกําหนดกลยุทธ์
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 79. ประกอบ

94. โครงการต้องเจาะจงอะไรให้ชัดเจนกว่าแผน
(1) เวลาที่จะเกิดผลสําเร็จ
(2) ความต้องการของประชาชน
(3) คู่แข่งขัน
(4) เวลาดําเนินการ
(5) รูปร่าง (Form)
ตอบ 4 หน้า 36, (คําบรรยาย) รูปแบบอันเฉพาะเจาะจงที่ทําให้โครงการมีความแตกต่างจากแผน มีดังนี้
1. โครงการมีความชัดเจนและเจาะจงกว่า ทั้งรูปแบบ/รายละเอียดของวิธีดําเนินการ สถานที่
และระยะเวลาในการดําเนินการ
2. โครงการมีความมุ่งหมายให้เกิดผลิตผล (Products) มากกว่าแผน
3. โครงการเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในโครงสร้างของการกําหนดแนวทางในการบริหาร

95. ข้อใดเรียงลําดับกระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์ที่ถูกต้อง
(1) วิเคราะห์สภาพแวดล้อม, กําหนดวิสัยทัศน์, กําหนดพันธกิจ, กําหนดเป้าประสงค์, กําหนดกลยุทธ์, นํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ, ควบคุมกลยุทธ์
(2) กําหนดกลยุทธ์, กําหนดวิสัยทัศน์, กําหนดพันธกิจ, วิเคราะห์ SWOT, กําหนดเป้าประสงค์, นํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ, ควบคุมกลยุทธ์
(3) กําหนดกลยุทธ์, กําหนดวิสัยทัศน์, กําหนดพันธกิจ, กําหนดเป้าประสงค์, วิเคราะห์ SWOT, นํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ, ควบคุมกลยุทธ์
(4) กําหนดวิสัยทัศน์, กําหนดพันธกิจ, กําหนดเป้าประสงค์, กําหนดกลยุทธ์, วิเคราะห์ SWOT, นำกลยุทธ์ไปปฏิบัติ, ควบคุมกลยุทธ์
(5) วิเคราะห์สภาพแวดล้อม, กําหนดกลยุทธ์, กําหนดวิสัยทัศน์, กําหนดพันธกิจ, กําหนดเป้าประสงค์, นํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ, ควบคุมกลยุทธ์
ตอบ 1 (คําบรรยาย) กระบวนการจัดการเชิงกลยุทธ์ มี 7 ขั้นตอน ดังนี้
1. การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม (วิเคราะห์ SWOT)
2. การกําหนดวิสัยทัศน์
3. การกําหนดพันธกิจ
4. การกําหนดเป้าประสงค์
5. การกําหนดกลยุทธ์
6. การนํากลยุทธ์ไปปฏิบัติ
7. การควบคุมกลยุทธ์

96. ข้อใดคือหัวข้อแรกในการเขียนโครงการ
(1) ความเป็นมาและความสําคัญ
(2) วัตถุประสงค์ของโครงการ
(3) เป้าหมาย
(4) ชื่อโครงการ
(5) วิธีดําเนินการ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การเขียนโครงการแบบบรรยาย เป็นการเขียนบรรยายรายละเอียดและ องค์ประกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในโครงการไล่เรียงไปตามลําดับ ดังนี้
1. ชื่อโครงการ
2. ความเป็นมาและความสําคัญ
3. วัตถุประสงค์
4. เป้าหมาย
5. กิจกรรม/วิธีดําเนินการ
6. ทรัพยากร งบประมาณที่ใช้ดําเนินโครงการ
7. ระยะเวลาดําเนินการ
8. หน่วยงาน/ผู้รับผิดชอบ
9. อื่น ๆ

97. ข้อใดคือการประเมินเพื่อหาความจําเป็นหรือความต้องการของโครงการ
(1) Monitoring
(2) Pre-evaluation
(3) Post-evaluation
(4) Ongoing-evaluation
(5) Strategic Assessment
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การประเมินผลก่อนเริ่มโครงการ (Pre-evaluation) เป็นการประเมิน เพื่อหาความจําเป็นหรือความต้องการของโครงการ (Need Assessment) และการประเมิน ความเป็นไปได้ของโครงการ (Project Appraisal/Project Feasibility Study)

98. มิติ Complexity ของแผน หมายถึงอะไร
(1) ความยากของแผน
(2) ความลับของแผน
(3) ความจําเพาะเจาะจงของแผน
(4) ความครอบคลุมของแผน
(5) ความสําคัญของแผน
ตอบ 1 หน้า 22, (คําบรรยาย) ความสลับซับซ้อนหรือความยาก (Complexity) ของแผนพิจารณา ได้จากตัวแปรต่าง ๆ ดังนี้ ๆ
1. ระดับของแผน
2. จํานวนองค์ประกอบของแผน เช่น ตัวแปร หน่วยงาน บุคลากร
3. วัตถุประสงค์ของแผน
4. ระดับทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง

99. ในการวางโครงการนั้น ทุกขั้นตอนของการกระทําต้องตอบคําถามใดได้เสมอ
(1) What
(2) When
(3) Where
(4) Why
(5) How
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ในการวางโครงการนั้น ทุกขั้นตอนของการกระทําต้องตอบคําถามคําว่า Why (ทําไม) ให้ได้เสมอว่าทําไมต้องทําเช่นนั้นในแต่ละขั้นตอน ซึ่งเป็นการทําให้นักวางโครงการได้ตระหนักว่าทุกขั้นตอนของการวางโครงการนั้นต้องกระทําอย่างมีข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์แม่นยํา และยืนยันได้ว่าถูกต้องมีเหตุมีผล

100. ข้อใดมิใช่ขอบเขตของโครงการ
(1) เวลา
(2) คู่แข่งขัน
(3) ภูมิศาสตร์
(4) การปฏิบัติ
(5) เทคโนโลยี
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ขอบเขตของโครงการ มีดังนี้
1. ขอบเขตเรื่องเวลา
2. ขอบเขตทางภูมิศาสตร์
3. ขอบเขตในทางปฏิบัติ
4. ขอบเขตในลักษณะอื่นๆ เช่น ขอบเขตที่สืบเนื่องมาจากความรู้ทางวิชาการ หรือเทคโนโลยี ที่มีอยู่ในประเทศ เป็นต้น

POL3302 การวางแผนในภาครัฐ s/2563

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2563
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 3302 การวางแผนในภาครัฐ
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1.กระบวนการใดทําให้เกิดผลงานที่ประชาชนใช้ประโยชน์ได้
(1) กําหนดปัญหา
(2) ตั้งเป้าหมาย
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) ลงมือวางแผน
(5) ประเมินผล
ตอบ ไม่มีข้อถูก (คําบรรยาย) อาจสรุปได้ว่ากระบวนการของแผน ประกอบด้วย 7 กระบวนการ ดังนี้
1. กําหนดปัญหา
2. การตั้งเป้าหมาย/วัตถุประสงค์
3. การศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
4. ลงมือวางแผน เป็นการลงมือเขียนแผนให้ถูกต้อง โดยหน้าที่ของผู้วางแผนจะสิ้นสุดที่กระบวนการนี้
5. การประเมินแผน เป็นกระบวนการที่เราจะได้รับแผนที่สมบูรณ์ โดยการศึกษาวิเคราะห์แผนว่ามีความสมบูรณ์ เหมาะสมที่จะนําไป ปฏิบัติได้จริงหรือไม่ จากนั้นจึงนําเสนอแผนให้ผู้มีอํานาจพิจารณาอนุมัติ เพื่อนําแผนไปปฏิบัติ
6. การนําแผนไปปฏิบัติ เป็นกระบวนการที่ทําให้เกิดผลงานที่ประชาชนใช้ประโยชน์ได้
7. การประเมินผล (Evaluation) เป็นกระบวนการที่ทําให้ทราบถึงผลสําเร็จและเก็บเป็น ข้อมูลสะสมเพื่อการวางแผนในโอกาสต่อ ๆ ไป

2.คํากล่าวที่ว่า “การวางแผน คือ Set of Temporally Linked Actions” เป็นของใคร
(1) José Villamil
(2) ดร.อมร รักษาสัตย์
(3) Albert Waterston
(4) William Dunn
(5) Gulick and Urwick
ตอบ 1 หน้า 25 José Villamit กล่าวว่า “การวางแผนเป็นการกระทําที่เป็นกระบวนการ (Set of Temporally Linked Actions) ที่นําไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ (Desired end State) โดยการ ตัดสินใจแต่ละครั้งนั้นมุ่งให้เกิดการรวมชาติหรือการเปลี่ยนแปลง โดยมีการผิดพลาดน้อยที่สุด”

3. การศึกษาแนววิเคราะห์นโยบายได้มีจุดเริ่มต้นที่ใด
(1) เมื่อ Mayo ได้ทดลองค้นคว้าที่เรียกว่า Hawthorne Study
(2) ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
(3) เมื่อ Max Weber ได้ศึกษาระบบราชการ
(4) เมื่อมีกลุ่มนักทฤษฎีสมัยใหม่
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 6 – 7 การศึกษาแนววิเคราะห์นโยบาย ถือเป็นแนวทางที่นักรัฐประศาสนศาสตร์ นิยมใช้กันมาก โดยเป็นการศึกษาที่เน้นการวิเคราะห์โดยทั่วไป (ในภาพรวม) มิใช่เป็น การศึกษารายกรณี และมีเทคนิควิธีการศึกษาที่ใช้หลักสหวิทยาการหรือหลักการของวิชาการหลายสาขามาศึกษาวิเคราะห์ ซึ่งการศึกษาตามแนวนี้ได้มีจุดเริ่มต้นระหว่าง สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ริเริ่ม

4.เมื่อกาลเวลาเปลี่ยนไป นโยบายของรัฐจะเป็นอย่างไร
(1) มีขนาดเล็กลง
(2) คงที่เหมือนเดิม
(3) มีขนาดใหญ่โตตามกาลเวลา
(4) มีขนาดใหญ่โตหน้าเวลา
(5) มีขนาดจะเล็กลงหรือจะโตขึ้นเป็นไปตามจํานวนประชากร
ตอบ 3 หน้า 17 – 18 Randall Ripley และ Grace Franklin กล่าวว่า ในการนํานโยบายไปปฏิบัตินั้น มีประเด็นต่าง ๆ ที่ผู้นํานโยบายไปปฏิบัติต้องทําความเข้าใจอยู่ 5 ประการ ได้แก่
1. มีผู้เกี่ยวข้องจํานวนมากมาย
2. มีความต้องการหลากหลายต่อนโยบาย
3. ธรรมชาติของนโยบายมักจะมีขนาดที่ใหญ่โตขึ้นตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป
4. ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในหลายระดับ หลายสังกัด และหลายหน่วยเสมอ
5. มีปัจจัยมากมายที่นโยบายไม่สามารถควบคุมได้

5. หน้าที่ของผู้วางแผนจะสิ้นสุดที่กระบวนการใด
(1) กําหนดปัญหา
(2) ตั้งเป้าหมาย
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) ลงมือวางแผน
(5) ประเมินผล
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

6. ใครกล่าวว่านโยบายคือ “สิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา”
(1) Thomas R. Dye
(2) David Easton
(3) Woodrow Wilson
(4) William Dunn
(5) ดร.อมร รักษาสัตย์
ตอบ 1 หน้า 1 Thomas R. Dye กล่าวว่า “นโยบายสาธารณะเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวหรือ กิจกรรมหรือสิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกที่จะกระทําหรือไม่กระทํา และเกี่ยวข้องกับเหตุผลว่าทําไมจึงเลือกเช่นนั้น”

7.แผนงบประมาณของไทยซึ่งเป็นแผนประจําทุกปีนั้น จัดเป็นแผนประเภทใด
(1) แผนรายปี
(2) แผนงบประมาณ
(3) แผนการเงิน
(4) แผนโครงการ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สําหรับแผนงบประมาณของไทยซึ่งเป็นแผนประจําทุกปีนั้น อาจเรียกได้ว่า เป็นแผนประเภทแผนรายปี แผนงบประมาณ แผนการเงิน แผนระยะสั้น หรือแผนโครงการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้ในการจําแนก

8.TP. หมายถึง
(1) เวลาที่ผ่านไป
(2) Target Planning
(3) Team Planning
(4) การทํางานเป็นทีม
(5) ทฤษฎีการวางแผน
ตอบ 3 หน้า 33 – 34, (คําบรรยาย) การวางแผนแบบทีมวางแผน (Team Planning : TP.) คือ การวางแผนเป็นทีมที่เน้นหลักการมีส่วนร่วมและการระดมสมอง (Brain Storm) มากที่สุด ซึ่งมี 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. ร่วมกันกําหนดเป้าหมาย (Targets) ของหน่วยงานให้ชัดเจนตรงกัน
2. ร่วมกันกําหนดอนาคต (Scenario) หรือวิสัยทัศน์ (Vision) ที่ต้องการโดยคิดล่วงหน้า 3 – 5 ปี
3. ร่วมกันหาสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางหรือข้อจํากัด (Obstructions) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
4. ร่วมกันกําหนดแผน (Plan) หรือกลยุทธ์ (Strategies) โดยใช้การวิเคราะห์ SWOT เข้าช่วย
5. ร่วมกันกําหนดกลวิธี (Tactics) หรือโครงการให้สอดคล้องกับแผนที่วางไว้ เช่น การจัดตั้ง สาขาวิทยบริการเฉลิมพระเกียรติของมหาวิทยาลัยรามคําแหง เป็นต้น
6. ร่วมกันจัดทําแผนปฏิบัติ (Action Plan) ของโครงการ โดยเน้นให้เกิดผลภายใน 90 วัน หรือที่เรียกว่า 90 Day Implementation Plan

9.การกําหนดโครงการ หมายถึงอะไร
(1) การศึกษาความสมบูรณ์ของโครงการที่ร่างเสร็จแล้ว
(2) การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ
(3) การตรวจสอบข้อมูลของโครงการ
(4) การตรวจสอบผลของการดําเนินโครงการที่ผ่านไปแล้ว
(5) การตรวจสอบความสามารถของผู้ร่างโครงการซ้ําอีกครั้ง
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การกําหนดโครงการ หมายถึง การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ หรือ การเสาะหาลู่ทางการลงทุนที่ดีและมีความเป็นไปได้ เช่น โครงการลงทุนของภาคเอกชน ที่มีแววว่าจะสามารถทํากําไร หรือให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่คุ้มค่า และถ้าเป็นโครงการลงทุน ของภาครัฐก็เป็นโครงการลงทุนที่มีศักยภาพและความสําคัญสูงต่อการแก้ไขปัญหาหรือตอบสนอง ความต้องการและโอกาสในการพัฒนาทางด้านต่าง ๆ ของประเทศ เป็นต้น

10. ข้อใดเป็นคํากล่าวที่ถูกต้องในเรื่องประเภทของแผน
(1) แผนระยะยาว 5 ปีขึ้นไป
(2) แผนระยะสั้น 3 ปี
(3) แผนระยะปานกลาง 6 ปี
(4) แผนระยะสั้น 4 ปี
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 23, (คําบรรยาย) การจําแนกประเภทของแผนหรือแผนงาน (Plan) โดยใช้เกณฑ์ระยะเวลา (Time Span) อาจจําแนกได้ดังนี้
1. แผนระยะสั้น เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 1 – 2 ปี ซึ่งสามารถวางแผนได้ง่าย เนื่องจากข้อมูลมีลักษณะกว้าง ๆ ง่าย ๆ
2. แผนระยะปานกลาง เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 2 – 5 ปี ซึ่งนิยมใช้เป็นแผนพัฒนาประเทศ
3. แผนระยะยาว เป็นแผนที่มีระยะเวลาตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป

11. นโยบายตามตัวแบบสถาบันจะให้ประโยชน์กับใครมากที่สุด
(1) ให้ประโยชน์กับสังคม
(2) ให้คํานึงถึงรัฐสภา
(3) ประโยชน์โดยทั่วไป
(4) ผู้นําและผู้ใกล้ชิด
(5) ถูกทุกข้อที่กล่าวมา
ตอบ 2 หน้า 6, (คําบรรยาย) ตัวแบบหรือทฤษฎีสถาบัน (Institution Model Theory) เชื่อว่า นโยบายสาธารณะเป็นผลผลิตของโครงสร้างสถาบันการปกครอง กล่าวคือ นโยบายใด ๆ ก็ตาม จะได้ชื่อว่าเป็นนโยบายสาธารณะก็ต่อเมื่อได้รับการรับรองโดยสถาบันแล้วเท่านั้น ซึ่งนโยบายก็มักจะเป็นไปตามที่สถาบันการปกครองกําหนดเองหรือให้ประโยชน์กับสถาบันการปกครอง ตัวอย่างสถาบันการปกครอง ได้แก่ สถาบันนิติบัญญัติ (รัฐสภา) สถาบันบริหาร (นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี) สถาบันราชการ สถาบันตุลาการ (ศาล) สถาบันการปกครองท้องถิ่น เป็นต้น

12. ในแนวคิดการศึกษานโยบายศาสตร์ในแนววิเคราะห์นโยบายนิยมใช้ในนักวิชาการกลุ่มใด
(1) นักรัฐศาสตร์
(2) นักสังคมวิทยา
(3) นักรัฐประศาสนศาสตร์
(4) นักวิทยาศาสตร์
(5) นักเศรษฐศาสตร์
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 3. ประกอบ

13. กระบวนการใดทําให้ได้รับข้อมูลสะสมเพื่อการวางแผนในโอกาสต่อ ๆ ไป
(1) กําหนดปัญหา
(2) ตั้งเป้าหมาย
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) ลงมือวางแผน
(5) ประเมินผล
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

14. สถาบันที่มีหน้าที่ริเริ่มกําหนดนโยบายและมีอํานาจอิทธิพลต่อนโยบายมาก คือ
(1) สถาบันทหาร
(2) สถาบันศาล
(3) สถาบันทางรัฐสภา
(4) สถาบันการปกครอง
(5) สถาบันการปกครองท้องถิ่น
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

15. ข้อใดเป็นความจริงเกี่ยวกับแผนระยะยาว
(1) มีระยะเวลามากกว่า 3 ปีขึ้นไป
(2) วางแผนได้ง่ายเนื่องจากข้อมูลมีลักษณะกว้าง ๆ ง่าย ๆ
(3) มีระยะเวลาไม่จํากัด
(4) ความเชื่อมั่นจะแปรผันกับระยะเวลาของแผน
(5) ใช้แก้ปัญหาได้เพียงผิวเผิน
ตอบ 4 หน้า 23 (คําบรรยาย) แผนระยะยาว คือ แผนที่มีระยะเวลา 5 ปีขึ้นไป เป็นแผนที่มี ความเชื่อมั่นได้น้อยและจะแปรผันกับระยะเวลาของแผน กล่าวคือ ความเชื่อมั่นจะลดต่ําลง ตามระยะเวลาที่ยาวออกไป แต่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป (แผนนั้นเริ่มเห็นผล คือ สามารถ แก้ปัญหาได้ ความเชื่อมั่นที่มีต่อแผนก็จะเพิ่มมากขึ้น) และแผนระยะยาวนับว่าเป็นแผนที่ แก้ปัญหาได้ลึกซึ้งที่สุด แต่เห็นผลช้า (ดูคําอธิบายข้อ 10. ประกอบ)

16. ขั้นตอนใดที่เราจะได้รับแผนที่สมบูรณ์
(1) กําหนดปัญหา
(2) ตั้งเป้าหมาย
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) ลงมือวางแผน
(5) ประเมินผล
ตอบ ไม่มีข้อถูก ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

17.Controlled Environment หมายถึง
(1) ภาวะทางธรรมชาติ
(2) ค่านิยมของคนในภาคใต้ของประเทศไทย
(3) เทคโนโลยีที่ใช้ในนโยบาย
(4) ความเชื่อของคนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 12 สิ่งแวดล้อมของนโยบาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมได้ (Controlled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่สามารถควบคุม หรือกําหนดได้อย่างแน่นอน เช่น จํานวนคนที่จะเข้ามาบริหารนโยบาย เทคโนโลยีที่ใช้ ในนโยบาย ลักษณะทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น
2. สิ่งแวดล้อมที่ควบคุมไม่ได้ (Uncontrolled Environment) เป็นสิ่งแวดล้อมที่ไม่สามารถ ควบคุมหรือกําหนดได้อย่างชัดเจน เช่น ความเชื่อ ค่านิยมของคนในสังคม ภาวะทางธรรมชาติ ภาวะโลกร้อน แผ่นดินไหว เป็นต้น

18.การส่งมอบงานตึก 12 ชั้น คณะรัฐศาสตร์
(1) Policy Formulation
(2) Policy Analysis
(3) Policy Evaluation
(4) Policy Implementation
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 17, (คําบรรยาย) การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation) เป็นขั้นตอนของ การแปลงวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ในนโยบาย ซึ่งอาจเป็นกฎหมาย คําสั่ง หรือมติของคณะรัฐมนตรี ให้เป็นแผนงาน โครงการ และกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม โดยจะต้องมีการจัดหา/การตระเตรียม วิธีการ ตลอดจนทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อดําเนินการให้สําเร็จลุล่วงตามวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้

19. ความเป็นธรรมของนโยบายสามารถวัดได้อย่างไร
(1) วัดจากความพึงพอใจของประชาชนโดยส่วนรวม
(2) วัดจากการกระจายรายได้ของนโยบายสู่ประชาชน
(3) วัดจากประโยชน์ที่มีต่อประชาชนกลุ่มต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมกัน
(4) วัดจากประสิทธิภาพและประสิทธิผลของนโยบาย
(5) วัดจากการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมในกระบวนการของนโยบายให้มากที่สุด
ตอบ 3 (คําบรรยาย) การพิจารณาด้านความเป็นธรรมของนโยบาย แผน หรือโครงการนั้น อาจพิจารณา หรือวัดได้จากประโยชน์ของนโยบาย แผน หรือโครงการว่าประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ได้รับประโยชน์ จากนโยบาย แผน หรือโครงการอย่างเท่าเทียมกันหรือไม่ เพราะนโยบาย แผน หรือโครงการ ที่ดีนั้นจะต้องคํานึงถึงประโยชน์ของสาธารณชนส่วนใหญ่เป็นหลัก

20. แบบอะไรที่ถูกต้องในการวัดประสิทธิผล (Effectiveness Evaluation) ของนโยบายหรือแผน
(1) แผนการรายงาน
(2) แผนตรวจงาน
(3) แผนประเมินผลงาน
(4) แบบวิธีทดลอง
(5) แบบการวัดประสิทธิภาพ
ตอบ 4(คําบรรยาย) การประเมินผลโดยการวัดประสิทธิผล (Effectiveness Evaluation) ของนโยบาย คือ การประเมินผลโดยการพิจารณาว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการดําเนินการตามนโยบายนั้นตรงกับ เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่วางไว้หรือไม่ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ
1. แบบธรรมดา หรือแบบที่ไม่ใช่วิธีการทดลอง
2. แบบวิธีกึ่งทดลอง
3. แบบวิธีทดลอง

21. ข้อมูลที่ต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก คือ
(1) ข้อมูลที่ยังไม่ได้กรอง
(2) ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts)
(3) ข้อมูลที่เป็นความเชื่อ (Values)
(4) ข้อมูลทุกประเภท
(5) ข้อมูลที่เกี่ยวกับโครงการของดิน
ตอบ 3 หน้า 11 ข้อมูลในการวางนโยบายหรือแผน อาจจําแนกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1. ข้อมูลที่เป็นความจริง (Facts) เป็นข้อมูลที่มีลักษณะคงที่ ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลง เช่น ลักษณะของดินฟ้าอากาศ และภูมิศาสตร์
2. ข้อมูลที่เป็นความเชื่อหรือค่านิยม (Values) เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับความยึดมั่น ความเชื่อถือ ของประชาชน ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการอ้างอิงให้มาก

22.นักวิชาการที่กล่าวว่า การวิเคราะห์นโยบายมีจุดสําคัญอยู่ที่การวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายเป็นสําคัญ คือ
(1) Harry Harty
(2) Walter
(3) Thomas R. Dye
(4) William Dunn
(5) Theodore Poister
ตอบ 5 หน้า 16 Theodore Poister กล่าวว่า “การวิเคราะห์นโยบายมีจุดสําคัญอยู่ที่การวิเคราะห์ ผลกระทบของนโยบายเป็นสําคัญ ดังนั้นจําเป็นต้องมีการศึกษาอย่างจริงจังถึงความสัมพันธ์ระหว่างเนื้อหาของนโยบายกับผลกระทบทั้งปวงที่จะเกิดขึ้น”

23. กระบวนการใดต้องใช้ผู้ที่เชี่ยวชาญหลายสาขามากที่สุด
(1) กําหนดปัญหา
(2) ตั้งเป้าหมาย
(3) ศึกษาวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
(4) ลงมือวางแผน
(5) ประเมินผล
ตอบ 4 หน้า 27 งานวางแผนเป็นงานระดับกลุ่ม ดังนั้นการลงมือวางแผนจึงต้องประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ สาขามาร่วมกันสร้างแผน โดยมีนักวางแผนเป็นผู้ประสานให้การวางแผน ไปสู่จุดหมายร่วมกันขององค์การได้

24. ในเรื่องเกี่ยวกับรูปร่างและรูปแบบของนโยบาย ข้อความในข้อใดกล่าวผิด
(1) มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ
(2) มีรูปเป็นแบบแผน โครงการ
(3) มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ
(4) มีรูปแบบเป็นสัญญา
(5) เป็นคําบอกกล่าวที่เสนอผู้บังคับบัญชาตามลําดับชั้นไป
ตอบ 5 หน้า 2 นโยบายมีรูปร่างและรูปแบบหลายลักษณะตามการใช้ประโยชน์ของนโยบาย ดังนี้
1. มีรูปเป็นกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คําสั่ง
2. มีรูปเป็นแผนงาน โครงการ
3. มีรูปเป็นประกาศ แจ้งความ เพื่อแจ้งข่าวสารหรือเชิญชวน ซึ่งมีลักษณะบังคับน้อยที่สุด
4. มีรูปเป็นสัญญา
5. มีรูปเป็นอื่น ๆ หรืออาจไม่มีรูปร่างให้เห็นชัดเจน เช่น คําแถลงการณ์ของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี และมติคณะรัฐมนตรี เป็นต้น

25. กระบวนการของนโยบาย (Processes of Policy) เรียงตามลําดับได้อย่างไร
(1) กําหนด-วิเคราะห์-ปฏิบัติ-ประเมิน
(2) กําหนด-ปฏิบัติ-วิเคราะห์ ประเมิน
(3) ประเมิน-ปฏิบัติ-วิเคราะห์-กําหนด
(4) ถูกทุกข้อ
(5) ผิดทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 8 – 20 กระบวนการของนโยบาย (Processes of Policy) ประกอบด้วยกระบวนการ ที่สําคัญเรียงตามลําดับ ดังนี้
1. การกําหนดนโยบาย (Policy Formulation)
2. การวิเคราะห์นโยบาย (Policy Analysis)
3. การนํานโยบายไปปฏิบัติ (Policy Implementation)
4. การติดตามประเมินผลการปฏิบัติตามนโยบาย (Policy Evaluation)

26. กําหนดทางเลือกซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ และรวบรวมทางเลือกทุก ๆ ทางเลือกให้ครบถ้วน
(1) การระบุปัญหา
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(4) การวิเคราะห์ทางเลือก
(5) การทดสอบทางเลือก
ตอบ 3 หน้า 13 การออกแบบทางเลือกนโยบาย คือ การใช้ความรู้ ประสบการณ์ของผู้กําหนดนโยบาย ร่วมกับข้อมูลที่รวบรวมและการวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ เพื่อกําหนดว่าทางเลือกซึ่งเป็นแนวทาง ที่สามารถแก้ไขปัญหาได้นั้นควรเป็นทางเลือกใดบ้าง โดยพิจารณาว่ามีทางเลือกใดที่สามารถ ปฏิบัติตามแล้วให้ผลสําเร็จดังวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้บ้าง ซึ่งในขั้นนี้ต้องรวบรวมทางเลือกทุก ๆ ทางเลือกที่เป็นไปได้ให้ครบถ้วน

27. ข้อใดเป็นทางเลือกในการวางแผน โครงการ
(1) Alternative
(2) Social Analysis
(3) Feasibility Study
(4) Financial Analysis
(5) Process
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ทางเลือก (Alternative) หมายถึง มาตรการหรือแนวทางการดําเนินงานที่สามารถ บรรลุวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ ซึ่งอาจมีหลายทางเลือกในการบรรลุวัตถุประสงค์หนึ่ง ๆ

28. การวางโครงการให้ประสบผลสําเร็จต้องอาศัยองค์ประกอบตัวใดเป็นสําคัญที่สุด
(1) คนวางโครงการ
(2) ข้อมูล
(3) การสนับสนุนจากผู้มีอํานาจ
(4) เวลาที่เหมาะสม
(5) เครื่องมือที่เพียบพร้อม
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ในกระบวนการของแผน/โครงการนั้น กระบวนการหรือขั้นตอนที่ใช้ข้อมูลมากที่สุด และมีอิทธิพลต่อทุก ๆ กระบวนการมากที่สุดก็คือ การวางแผน/โครงการ เพราะโดยทั่วไปแล้ว การที่แผน/โครงการจะประสบความสําเร็จหรือล้มเหลวนั้นจะขึ้นอยู่กับกระบวนการหรือขั้นตอน ที่ว่านี้เป็นสําคัญ กล่าวคือ ถ้าวางแผน/โครงการได้ดีมีรายละเอียดครอบคลุม มีการเก็บข้อมูล อย่างถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ ย่อมส่งผลให้การวางโครงการมีประสิทธิภาพ การวิเคราะห์และ ประเมิน การนําไปปฏิบัติ ตลอดจนการประเมินผลสามารถทําได้โดยง่าย และโอกาสที่แผน/ โครงการนั้นจะประสบความสําเร็จก็จะมีสูง

29. ปัญหาชนิดใดวางโครงการง่ายที่สุด
(1) ปัญหาการเมืองของชาติ
(2) ปัญหาความแตกแยกในสังคมหมู่บ้าน
(3) ปัญหาประมงนอกน่านน้ําไทย
(4) ปัญหาความแห้งแล้งในทุ่งนา
(5) ปัญหาจราจรใน กทม.
ตอบ 5 หน้า 25, (คําบรรยาย) ปัญหาแก้ไข (Solved Problem) เป็นปัญหาที่ปรากฏผลเสียหาย ให้เห็นอยู่แล้ว เห็นตัวตนของปัญหามีรูปธรรมชัดเจน และสังคมเห็นพ้องต้องกันว่านี้คือปัญหา ที่ต้องแก้ไข ซึ่งจะนํามาเป็นแนวคิดในการวางโครงการได้ง่ายที่สุดเพื่อแก้ปัญหา เช่น ปัญหา จราจรใน กทม. แก้ไขปัญหาโดยการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน ปัญหาน้ําท่วมเมื่อปี 2554 เป็นต้น

30. การจัดการโครงการ (Program Management) มีเป้าหมายสําคัญอย่างไร
(1) เพื่อพัฒนาประเทศ
(2) เพื่อให้ได้ผลงานตามที่วางโครงการไว้
(3) เพื่อให้ครบกระบวนการของโครงการ
(4) เพื่อจัดองค์การให้เหมาะสมกับโครงการที่วางไว้
(5) เพื่อรวบรวมปัญหาและอุปสรรคไว้เป็นแนวทางในภายหน้า
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การบริหารหรือการจัดการโครงการหรือการปฏิบัติตามโครงการ (Program Management) เป็นขั้นตอนของการนําโครงการไปปฏิบัติ ซึ่งมีเป้าหมายสําคัญเพื่อนําเอา โครงการที่วิเคราะห์และประเมินแล้วมาดําเนินการให้เกิดผลงานตามที่วางโครงการไว้

31. ศึกษาถึงความเหมาะสมระหว่างทางเลือกกับสภาพแวดล้อม รวมทั้งศึกษาถึงประโยชน์ ข้อดี ข้อเสีย
(1) การระบุปัญหา
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(4) การวิเคราะห์ทางเลือก
(5) การทดสอบทางเลือก
ตอบ 4 หน้า 14 การวิเคราะห์ทางเลือก คือ การนําเอาทางเลือกที่มีทั้งหมดมาทําการศึกษาถึงปัจจัย ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ในแต่ละทางเลือกทีละทางเลือก เช่น ศึกษาความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ศึกษาถึงความเหมาะสมระหว่างทางเลือกกับสถานการณ์แวดล้อม ศึกษาถึงผลประโยชน์ข้อดี ข้อเสียของแต่ละทางเลือก ทั้งนี้เพื่อให้ได้รับทางเลือกที่ดีและเหมาะสมที่สุด

32. การกําหนดกิจกรรมที่โครงสร้างต้องดําเนินการไว้ให้ชัดเจน ถือเป็นการกําหนดขอบเขตของโครงการด้านใด
(1) ขอบเขตด้านเวลา
(2) ด้านปฏิบัติการ
(3) ด้านเทคนิค
(4) ด้านวิชาการ
(5) ด้านภูมิศาสตร์
ตอบ 2 (คําบรรยาย) การกําหนดกิจกรรมที่โครงสร้างต้องดําเนินการไว้ให้ชัดเจน ถือเป็นการกําหนด ขอบเขตของโครงการด้านปฏิบัติการ เพื่อให้โครงการนั้น ๆ สะท้อนถึงความเป็นจริงในทางปฏิบัติอย่างแท้จริงมากขึ้น

33. ข้อใดประเมินดู Cost-Benefit
(1) Alternative
(2) Social Analysis
(3) Feasibility Study
(4) Financial Analysis
(5) Process
ตอบ 4 หน้า 40, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการด้านการเงิน (Financial Analysis) เป็นแนวทางการประเมินโครงการทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน โดยใช้วิธีการวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย กับผลประโยชน์ที่ได้รับ (Cost-Benefit) เพื่อดูว่าโครงการที่จัดทําขึ้นมานั้นมีลักษณะคุ้มทุนหรือไม่

34.การทํา Feasibility ของโครงการมีจุดมุ่งหมายสําคัญเพื่อสิ่งใด
(1) เพื่อดูความพร้อมของโครงการ
(2) เพื่อประเมินผลที่เกิดจากโครงการ
(3) เพื่อตระเตรียมการแก้ปัญหาแต่เนิ่น ๆ
(4) เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของโครงการ
(5) เพื่อประเมินโอกาสในการบรรลุผลสําเร็จของโครงการ
ตอบ 5 หน้า 40 – 42, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. การวิเคราะห์เปรียบเทียบโครงการ (Program/Project Analysis) เป็นเทคนิคการวิเคราะห์และ ประเมินโครงการในระบบปิด ซึ่งจะให้ความสําคัญกับปัจจัยภายในองค์การ/โครงการเป็นหลักโดยจะนําเอาโครงการที่มีอยู่ทั้งหมดมาทําการวิเคราะห์เปรียบเทียบถึงข้อดีข้อด้อยของแต่ละโครงการ เพื่อเลือกเอาโครงการที่ดีที่สุด ซึ่งเหมาะสําหรับโครงการที่ไม่เร่งด่วน
2. การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) เป็นเทคนิคการวิเคราะห์และ ประเมินโครงการในระบบเปิด ซึ่งจะให้ความสําคัญกับสภาพแวดล้อมภายนอกที่มากระทบโครงการโดยจะนําเอาโครงการที่ได้เลือกสรรไว้แล้วเพียงโครงการเดียวมาทําการศึกษาถึง ความเป็นไปได้ เพื่อประเมินโอกาสในการบรรลุผลสําเร็จของโครงการว่ามีโอกาสที่จะ ประสบผลสําเร็จมากน้อยเพียงใด ซึ่งมักจะใช้ในกรณีที่เป็นโครงการเร่งด่วน

35. หลักการบริหารใดที่ต้องใช้มากที่สุดในการจัดการโครงการ
(1) การวางแผน (Planning)
(2) การจัดองค์การ (Organizing)
(3) การจัดทีมงาน (Team Building)
(4) การรายงาน (Reporting)
(5) การควบคุม (Controlling)
ตอบ 5 หน้า 44, (คําบรรยาย) ในการบริหารหรือการจัดการโครงการนั้น หลักการบริหารที่จะต้องใช้ มากที่สุดก็คือ การควบคุม (Controlling) ซึ่งโดยทั่วไปการควบคุมโครงการจะเน้นการควบคุม 3 ด้าน คือ
1. ควบคุมเวลา (Time Control)
2. ควบคุมค่าใช้จ่าย (Cost Control)
3. ควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน (Quality Control)

36. การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการเน้นหลักในด้านใดบ้าง
(1) เศรษฐกิจ การจัดการ เทคโนโลยี
(2) สังคม เศรษฐกิจ การเมือง
(3) เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม การเมือง
(4) ผลตอบแทน สิ่งแวดล้อม การเมือง
(5) การเงิน การคลัง เทคโนโลยี และการจัดการ
ตอบ 1 หน้า 42 การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility Study) มักจะประเมินเพียง ตัวแปรหลัก ๆ ดังนี้
1. ด้านเศรษฐกิจ ความคุ้มทุนหรือผลตอบแทนของโครงการ (นิยมประเมิน ในด้านนี้เป็นประจํา)
2. ด้านการบริหารหรือการจัดการ
3. ด้านเทคนิค เช่น สถานที่ตั้ง วัตถุดิบ และเทคโนโลยีของโครงการ
4. ด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการ

37.การวางแผนแตกต่างจากการวางโครงการ เพราะการวางแผนไม่มีกิจกรรมใดต่อไปนี้ แต่โครงการมี
(1) การวิเคราะห์ปัญหา
(2) การเก็บรวบรวมข้อมูล
(3) การจัดทํา Project Programming
(4) การจัดทํา Feasibility Study
(5) การวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม
ตอบ 3 หน้า 38 – 39, (คําบรรยาย) ในกระบวนการวางโครงการจําเป็นต้องมีการจัดทําโครงการปฏิบัติ (Operation Plan) เป็นการกําหนดรายละเอียดของวิธีดําเนินการโครงการ หรือที่เรียกว่า การจัดทํา “Project Programming” ซึ่งไม่มีในการวางแผน ดังนี้
1. กําหนดบุคลากร (Man Power) คือ การจัดคนที่ต้องรับผิดชอบงานต่าง ๆ ให้เหมาะสม ซึ่งถือเป็นงานที่จําเป็นมากที่สุด
2. วัสดุอุปกรณ์ และสิ่งอํานวยความสะดวกต่าง ๆ (Materials/Equipments and Facilities)
3. ตารางเวลาการปฏิบัติงาน (Work Scheduling) คือ การกําหนดขั้นตอนของงานประกอบกับช่วงเวลาที่ต้องปฏิบัติอย่างเป็นขั้นตอน นับตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนสิ้นสุดกระบวนการ
4. งบประมาณ (Budgeting)
5. สถานที่ (Location)
6. องค์การที่จะต้องดูแลผลของโครงการเมื่อดําเนินการเสร็จสิ้นแล้ว (Future Organization)
7. การประเมินผลโครงการ (Evaluation)

38. โครงการต้องเจาะจงอะไรให้ชัดเจนกว่าแผน
(1) รูปร่าง (Form)
(2) ความต้องการของประชาชน
(3) คู่แข่งขัน
(4) เวลาดําเนินการ
(5) เวลาที่จะเกิดผลสําเร็จ
ตอบ 4 หน้า 36, (คําบรรยาย) รูปแบบอันเฉพาะเจาะจงที่ทําให้โครงการมีความแตกต่างจากแผน มีดังนี้
1. โครงการมีความชัดเจนและเจาะจงกว่า ทั้งรูปแบบ/รายละเอียดของวิธีดําเนินการ สถานที่และระยะเวลาในการดําเนินการ
2. โครงการมีความมุ่งหมายให้เกิดผลิตผล (Products) มากกว่าแผน
3. โครงการเป็นหน่วยที่เล็กที่สุดในโครงสร้างของการกําหนดแนวทางในการบริหาร

39. ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์จากนโยบาย รวมทั้งการยอมรับต่อนโยบาย
(1) การระบุปัญหา
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(4) การวิเคราะห์ทางเลือก
(5) การทดสอบทางเลือก
ตอบ 2 หน้า 13 การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย คือการศึกษาข้อจํากัดด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ข้อมูล
2. ความขัดแย้งด้านผลประโยชน์จากนโยบาย
3. การรับรู้และการยอมรับต่อนโยบาย
4. สิ่งแวดล้อมทั่วไป

40. ข้อใดเป็นการวิเคราะห์ประเมินโครงการไม่ใช่ราชการ
(1) Alternative
(2) Social Analysis
(3) Feasibility Study
(4) Financial Analysis
(5) Process
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ

41. การประเมินโครงการมีประโยชน์อย่างไร
(1) เป็นข้อมูลเพื่อแก้ไขโครงการนั้นได้
(2) เป็นข้อมูลเพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน
(3) เป็นข้อมูลเพื่อการวางโครงการในโอกาสต่อไป
(4) เป็นภาพสะท้อนให้ผู้บริหารโครงการปรับปรุงการบริหารได้
(5) เป็นการวางแผนขั้นสุดท้ายที่โครงการต้องทํา
ตอบ 3 หน้า 50, (คําบรรยาย) การประเมินโครงการมีประโยชน์ ดังนี้
1. ทําให้ทราบว่าการดําเนินโครงการประสบความสําเร็จมากน้อยเพียงใด
2. ทําให้ทราบถึงเหตุผลสําคัญที่ทําให้โครงการประสบความสําเร็จหรือล้มเหลว
3. ช่วยปรับปรุงการดําเนินงานให้ดีขึ้น
4. เก็บเป็นข้อมูลสําหรับการวางโครงการในโอกาสต่อ ๆ ไป ซึ่งจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ ของผู้ร่างหรือผู้วางโครงการให้สูงขึ้นด้วย

42. ข้อใดสอดคล้องเหมาะสมกับขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม
(1) Alternative
(2) Social Analysis
(3) Feasibility Study
(4) Financial Analysis
(5) Process
ตอบ 2 หน้า 41, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการด้านสังคม (Social Analysis) จะพิจารณาในประเด็นดังต่อไปนี้
1. ความเหมาะสมสอดคล้องต้องกันระหว่างแนวทางของโครงการกับปัจจัยทางสังคม เช่น ศาสนา การศึกษา ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ ค่านิยม กฎหมาย การเมืองและการปกครอง เป็นต้น
2. โอกาสที่สังคมจะยอมรับ/สนับสนุน หรือต่อต้าน/คัดค้านโครงการ

43. องค์การสหประชาชาตินิยามโครงการว่าหมายถึง
(1) รูปแบบอันเจาะจงในการดําเนินกิจกรรมทางสังคม
(2) รูปแบบทั่ว ๆ ไปในการดําเนินงานในองค์กร
(3) รูปแบบที่สําคัญที่สุดในการแก้ไขปัญหา
(4) รูปแบบการดําเนินการชนิดหนึ่ง
(5) รูปแบบการบริหารกิจกรรมอันสลับซับซ้อน
ตอบ 1 หน้า 36 องค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) ได้นิยามความหมายของโครงการ ว่าหมายถึง รูปแบบอันเจาะจงในการดําเนินกิจกรรมทางสังคม ซึ่งได้มีการจัดเตรียมไว้แล้ว (Organized Social Activities) โดยมีวัตถุประสงค์ที่เจาะจง (Specific Objectives) มีการ จํากัดในด้านสถานที่และเวลา (Limited in Space and Time) โครงการมักประกอบด้วย โครงงานย่อย (Project) ที่เกี่ยวข้องกันหลาย ๆ โครงงาน (Group of Projects)

44. ศึกษาและเก็บรวบรวมข้อมูลจากสภาพที่แท้จริง หรือข้อมูลภาคสนาม หรือข้อมูลปฐมภูมิ ข้อมูลทุติยภูมิเพื่อจะทราบปัญหา
(1) การระบุปัญหา
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(4) การวิเคราะห์ทางเลือก
(5) การทดสอบทางเลือก
ตอบ 1 หน้า 12 การระบุปัญหา คือ การศึกษาว่าอะไรคือปัญหา โดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจาก สถานที่จริงหรือข้อมูลภาคสนามหรือข้อมูลปฐมภูมิ หรือข้อมูลจากเอกสารต่าง ๆ หรือข้อมูล ทุติยภูมิ เพื่อที่จะทราบปัญหาและจําแนกว่าปัญหาใดเร่งด่วนกว่า มีสาเหตุจากอะไร และ ประชาชนรับรู้เพียงใด ดังนั้นโดยสรุปการระบุปัญหาก็คือ การศึกษาวิเคราะห์เพื่อกําหนด ปัญหาที่ถูกต้องและศึกษาค่านิยมที่เกี่ยวข้องสอดคล้องกับปัญหาเพื่อกําหนดแนวทางของนโยบายที่เหมาะสมกับความเป็นจริงต่อไป

45. การวิเคราะห์โครงการกระทําได้ 2 แนวทาง ได้แก่
(1) วิเคราะห์ปัจจุบัน กับวิเคราะห์อนาคต
(2) วิเคราะห์ผลลัพธ์ กับผลที่คาดหวังไว้
(3) วิเคราะห์เชิงคุณภาพ กับวิเคราะห์เชิงปริมาณ
(4) วิเคราะห์ต้นทุน กับวิเคราะห์กําไร
(5) วิเคราะห์ทั่วไป กับวิเคราะห์แบบเจาะจง
ตอบ 4 (คําบรรยาย) การวิเคราะห์โครงการสามารถกระทําได้ 2 แนวทาง ได้แก่ การวิเคราะห์ต้นทุน (Cost) และการวิเคราะห์กําไรหรือผลตอบแทน (Benefit)

46. หากเราต้องการผลการทํางานที่ตรงตามต้องการที่สุดต้องใช้รูปแบบใดในการบริหาร
(1) นโยบาย
(2) แผน
(3) โครงการ
(4) การตัดสินใจเฉพาะหน้า
(5) การใช้ประสบการณ์ที่ยาวนาน
ตอบ 3 (คําบรรยาย) หากเราต้องการผลการทํางานที่ตรงตามต้องการที่สุดต้องใช้โครงการเป็นรูปแบบ ในการบริหาร โดยโครงการมีขึ้นเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งถือเป็นหลักพื้นฐานของการวางโครงการด้วย กล่าวคือ ถ้าไม่มีปัญหาก็จะไม่มีการวางโครงการ เพื่อทําหน้าที่ค้นหาวิธีแก้ปัญหานั้น ๆ

47. ข้อใดมิใช่ภารกิจที่สําคัญในการประเมินโครงการ
(1) การวิเคราะห์ความอยู่รอดของโครงการ
(2) การวิเคราะห์ความคุ้มทุนของโครงการ
(3) การคาดคะเนสิ่งแวดล้อมในอนาคตของโครงการ
(4) การทําความเข้าใจกับตัวโครงการให้ถ่องแท้
(5) การวิเคราะห์หาความเชื่อมั่นว่าโครงการเหมาะสมที่สุดหรือยัง
ตอบ 1 หน้า 39 – 40, (คําบรรยาย) การวิเคราะห์และประเมินโครงการ มีความหมาย 2 ลักษณะ คือ
1. เป็นการศึกษาถึงโอกาสความสําเร็จในการดําเนินโครงการ โดยการวิเคราะห์และประเมินหาความเชื่อมั่นว่าตัวโครงการที่ร่างเสร็จแล้วนั้นมีความสมบูรณ์เหมาะสมที่จะนําไปปฏิบัติ ได้จริงหรือไม่ เช่น การวิเคราะห์หรือการคาดคะเนสิ่งแวดล้อมในอนาคตของโครงการ การวิเคราะห์ความคุ้มทุนของโครงการ เป็นต้น
2. เป็นการศึกษาทําความเข้าใจกับตัวโครงการให้ถ่องแท้ โดยการวิเคราะห์จําแนกแยกแยะ เปรียบเทียบข้อดีข้อด้อยและผลที่คาดว่าจะได้รับ หากมีการนําโครงการไปดําเนินการหรือนําไปปฏิบัติจริง พร้อมกับศึกษาว่าผลที่คาดว่าจะได้รับหรือผลที่จะเกิดขึ้นนั้นเหมาะสม มีคุณค่า มีประโยชน์ สมควรแก่การลงทุนดําเนินโครงการต่อไปหรือไม่

48. ความสําเร็จในการบริหารโครงการขึ้นอยู่กับปัจจัยใดมากที่สุด
(1) ความถูกต้องของตัวโครงการ
(2) ผู้บริหารโครงการ
(3) ผู้ร่วมงานในโครงการ
(4) เวลาดําเนินการที่เหมาะสม
(5) สถานที่ดําเนินการที่เหมาะสม
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ความสําเร็จในการบริหารโครงการขึ้นอยู่กับความถูกต้องของตัวโครงการ มากที่สุด ซึ่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้บริหารโครงการแต่อย่างใด แต่ถ้าเป็นการ วางโครงการให้ประสบความสําเร็จต้องอาศัยความถูกต้องของข้อมูลเป็นสําคัญที่สุด(ดูคําอธิบายข้อ 28. ประกอบ)

49. ข้อใดเป็นกระบวนการต่าง ๆ ทางวิชาการ
(1) Alternative
(2) Social Analysis
(3) Feasibility Study
(4) Financial Analysis
(5) Process
ตอบ 5 (คําบรรยาย) กระบวนการ (Process) หมายถึง ขั้นตอนวิธีปฏิบัติ หรือกิจกรรมการดําเนินงาน ที่กระทําอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงขั้นตอนสุดท้าย

50.การตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบต่าง ๆ ที่ใช้ เทคนิควิเคราะห์ และการประยุกต์ทั้งหลายเป็นระบบ
(1) การระบุปัญหา
(2) การศึกษาข้อจํากัดที่เกี่ยวข้องกับนโยบาย
(3) การออกแบบทางเลือกนโยบาย
(4) การวิเคราะห์ทางเลือก
(5) การทดสอบทางเลือก
ตอบ 5 หน้า 14 การทดสอบทางเลือก คือ การทบทวนความเหมาะสมของขั้นตอนและข้อมูลที่ใช้ ทั้งทางด้านหลักการเหตุผล ทางเลือกของนโยบาย คุณภาพและปริมาณของข้อมูลว่ายังพอเพียง และดีอยู่ ตลอดจนตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างระเบียบวิธีต่าง ๆ ที่ใช้ เทคนิควิธีวิเคราะห์ และการประยุกต์ทั้งหลายว่าเป็นระบบและสอดคล้องต้องกันอย่างแท้จริง

51. การควบคุมคุณภาพของโครงการนั้นมีความหมายครอบคลุมเพียงใด
(1) ทํางานให้ตรงเวลาที่วางโครงการไว้
(2) ทํางานให้มากกว่าที่วางโครงการไว้
(3) ทํางานให้น้อยกว่าที่วางโครงการไว้
(4) ทํางานตามวัตถุประสงค์ให้ครบถ้วน
(5) ทํางานตามขั้นตอนที่มีในโครงการให้ครบถ้วน
ตอบ 4 หน้า 44, (คําบรรยาย) การควบคุมแผน/โครงการโดยทั่วไปมักจะกระทําใน 3 ด้าน คือ
1. ควบคุมเวลา (Time Control) คือ ควบคุมให้เสร็จตรงตามเวลาที่ได้วางแผน/โครงการไว้ โดยใช้เทคนิค PERT
2. ควบคุมค่าใช้จ่าย (Cost Control) เป็นการควบคุมรายจ่ายของแผน/โครงการให้อยู่ใน กรอบงบประมาณที่ตั้งไว้ โดยใช้เทคนิค PPBS
3. ควบคุมคุณภาพและมาตรฐาน (Quality Control) เป็นการควบคุมให้เกิดผลงานตรงตาม วัตถุประสงค์ของแผน/โครงการอย่างครบถ้วนและเคร่งครัด เทคนิคที่ใช้อาจกระทําได้ โดยการกําหนดมาตรฐาน (Standard) ของงาน

52.Suchman จําแนกการประเมินผลโครงการเป็น 5 ประเภท ได้แก่ Effort, Performance, Adequacy of Performance, Efficiency Evaluation และอีก 1 ด้าน ได้แก่อะไร
(1) Materials Evaluation
(2) Personal Evaluation
(3) Process Evaluation
(4) Side-Effect Evaluation
(5) Outcomes Evaluation
ตอบ 3 หน้า 47 Suchman ได้จําแนกประเภทการประเมินผลโครงการไว้ 5 ประเภท คือ
1. Effort Evaluation เป็นการประเมินดู Input ของโครงการ
2. Performance Evaluation เป็นการศึกษาดูผลผลิต (Output) ของโครงการ
3. Adequacy of Performance เป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ของโครงการ (Effectiveness)
4. Efficiency Evaluation เป็นการประเมินดูอัตราส่วนระหว่าง Output : Input
5. Process Evaluation เป็นการวิเคราะห์กระบวนการปฏิบัติงานของโครงการ

53. ในงานการบริหารงานในโครงการนั้นต้องใช้เทคนิคการบริหารแบบใดเป็นสําคัญ
(1) การตรวจสอบ
(2) การประสานงาน
(3) การประชาสัมพันธ์
(4) การประเมินผลงาน
(5) การจูงใจผู้ร่วมงาน
ตอบ 5 (คําบรรยาย) เนื่องจากการบริหารหรือการจัดการโครงการ (Program Management) มีลักษณะเป็นงานชั่วคราวที่ใช้หลักความร่วมมือหรือหลักการทํางานร่วมกันเป็นทีม ซึ่งจําเป็นต้องมีการปรึกษาหารือกันเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นอํานาจการบริหารจึงควรเน้นไปที่การจูงใจผู้ร่วมงาน ให้เกิดความรู้สึกกระตือรือร้น ตื่นตัว และการสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมในการทํางานเพื่อให้ ทุกคนพร้อมที่จะใช้สติปัญญาอย่างเต็มที่ มากกว่าที่จะเน้นไปที่การบังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด หรือการให้คุณให้โทษพนักงาน หรืออาจกล่าวได้ว่า การจัดการโครงการมักจะไม่คํานึงถึงรูปแบบ องค์การอย่างเป็นทางการมากนักเหมือนอย่างการบริหารงานองค์การทั่ว ๆ ไป (Traditional Management) ทั้งนี้นอกจากงานดังกล่าวแล้วก็ยังมีงานอย่างอื่นที่ต้องทําอีก เช่น การควบคุม โครงการ การประสานงานในโครงการ การประชาสัมพันธ์โครงการ การประเมินผลโครงการ เป็นต้น

54. ต้องระบุถึงที่ตั้งและระยะเวลาอย่างเจาะจงแน่นอน
(1) Policy
(2) Plan
(3) Program
(4) Project
(5) Job
ตอบ 3 หน้า 36, (คําบรรยาย) โครงการ (Program) ถือเป็นเครื่องมือที่สําคัญสําหรับการปฏิบัติงาน ตามแผน เนื่องจากโครงการเป็นรูปแบบอันจําเพาะเจาะจงในการดําเนินกิจกรรมทางสังคม ที่ได้มีการจัดเตรียมไว้ โดยมีวัตถุประสงค์ที่เจาะจงเกี่ยวกับสถานที่ เวลา และมีรายละเอียด ของวิธีการดําเนินงานที่ชัดเจน ซึ่งไม่มีความยืดหยุ่นและเปลี่ยนแปลงได้ยาก

55. นักวิชาการที่กล่าวว่า การวางแผนจะมีลักษณะร่วมกันหลายประการ เช่น ต้องมองล่วงหน้า มีการเลือกสรร ต้องเตรียมวิธีการกระทํา คือใคร
(1) เนรู
(2) วิลลามิล
(3) วอเตอร์สตัน
(4) ดรอ
(5) เลอ เบรอตัน
ตอบ 3 หน้า 25 Albert Waterston กล่าวว่า “การวางแผนทุกชนิดจะต้องมีลักษณะร่วมกัน หลายประการ เช่น ต้องประกอบด้วยการมองล่วงหน้า (Looking Ahead) ต้องมีทางเลือก (Making Choices) และหากเป็นไปได้ต้องจัดเตรียมวิธีการกระทํา (Actions) ที่แน่นอน เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หรืออย่างน้อยที่สุดต้องกําหนดข้อจํากัด (Setting Limits)ที่อาจจะเกิดจากการกระทําดังกล่าวไว้ด้วย”

56. เป็นภารกิจระดับระบุกิจกรรม
(1) Policy
(2) Plan
(3) Program
(4) Project
(5) Job
ตอบ 5 (คําบรรยาย) รูปแบบของกิจกรรมที่ใช้ในการบริหารโดยทั่วไป มี 5 รูปแบบ คือ
1. นโยบาย (Policy) เป็นข้อเสนอสําหรับแนวทางการดําเนินงานเพื่อสนองตอบต่อปัญหาต่าง ๆ
2. แผนหรือแผนงาน (Plan) หมายถึง วิถีทางของการดําเนินการซึ่งได้กําหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว กล่าวคือ จุดเน้นหลักของแผน คือ เพื่อแสดงแนวทางของการบรรลุเป้าหมาย
3. โครงการ (Program) เป็นกิจกรรมที่ระบุถึงวิธีดําเนินการของแผนเพื่อผลักดันให้เป้าหมาย ของแผนประสบผลสําเร็จ
4. โครงงาน (Project) เป็นส่วนย่อย ๆ ของโครงการ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดผลผลิต 1 ผลผลิต
5. งาน (Job) เป็นส่วนย่อยของโครงงานที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อระบุกิจกรรมหรือขั้นตอน การปฏิบัติงานเป็นสําคัญ ทั้งนี้รายละเอียดในการดําเนินการของแต่ละกิจกรรมนั้น จะมีเพิ่มขึ้นตามลําดับ คือ จากนโยบาย (ส่วนที่อยู่บนสุด) ซึ่งมีรายละเอียดน้อยที่สุด ไล่ลงไปจนถึงงาน ซึ่งมีรายละเอียดมากที่สุด

57. ในการพัฒนาประเทศส่วนมากนิยมระยะปานกลาง
(1) Policy
(2) Plan
(3) Program
(4) Project
(5) Job
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 10. ประกอบ

58. เป้าหมายคือแสดงแนวทางการบรรลุเป้าหมาย
(1) Policy
(2) Plan
(3) Program
(4) Project
(5) Job
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 56. ประกอบ

59. กล่าวโดยสรุปว่าการวางแผนต้องจัดเตรียมนําเสนอสิ่งใดเพื่ออนาคต
(1) ปัญหา (Problem)
(2) แนวทางดําเนินการ (Alternatives)
(3) ข้อจํากัด (Constraints)
(4) ผล (Result)
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 หน้า 25, (คําบรรยาย) การวางแผน (Planning) เป็นการเสนอแนะแนวทางดําเนินการ (Alternatives) โดยการวิเคราะห์และการตัดสินใจที่จะเสนอข้อเสนอแนะ (Proporsals) ในการทํางานในอนาคต เพื่อให้บรรลุเป้าหมายด้วยวิธีที่ดีที่สุด และถือว่ากระบวนการวางแผน เป็นเรื่องที่ต้องใช้เหตุผลและต้องใช้ความคิดเชิงประยุกต์อย่างมาก

60. มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดผลผลิต 1 ผลผลิต
(1) Policy
(2) Ptan
(3) Program
(4) Project
(5) Job
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 56. ประกอบ

61. การประเมินโครงการต่างจากการวิเคราะห์โครงการที่ใด
(1) ไม่แตกต่าง
(2) มีวิธีการคิด/เทคนิคที่แตกต่าง
(3) เป็นการนําผลการวิเคราะห์ไปกําหนดคุณค่า
(4) ผู้รับผิดชอบคนละคนกัน
(5) ใช้ข้อมูลต่างประเภทกันอย่างชัดเจน
ตอบ 3 หน้า 40 การประเมินโครงการอาจถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าการวิเคราะห์โครงการ ทั้งนี้เพราะ การประเมินโครงการนั้นต้องใช้เทคนิคการวิเคราะห์ (Analysis Technique) เป็นสําคัญ อย่างไรก็ตามการประเมินโครงการจะมีความหมายมากกว่าการวิเคราะห์ทั่ว ๆ ไป เพราะในขณะที่ การวิเคราะห์เป็นวิธีการจําแนกแยกแยะโดยอาศัยหลักทฤษฎีเป็นเครื่องมือในการจําแนกนั้น การประเมินโครงการยังหมายรวมไปถึงการกําหนดคุณค่า (Value) ของสิ่งที่วิเคราะห์ว่ามีคุณค่ามากน้อยเพียงใดอีกด้วย

62. ผลของโครงการในช่องใดที่แสดงว่าโครงการประสบความสําเร็จแล้ว
(1) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(2) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(3) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(4) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(5) ไม่มีคําตอบที่ถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 50, (คําบรรยาย) หากผลที่ประเมินได้ตรงกับช่องที่ 1 คือ เป็นผลที่ต้องการและคาดว่า จะเกิดขึ้น ถือเป็นผลสําเร็จโดยตรง (Outputs) หรือความสําเร็จปกติของโครงการ และถือเป็น ผลที่โครงการต้องการมากที่สุด เนื่องจากเป็นผลที่ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ดังนั้นเมื่อมีผลในช่องนี้เกิดขึ้นจึงถือเป็นความสําเร็จที่น่าภาคภูมิใจของโครงการที่สามารถบริหารโครงการได้ประสบผลสําเร็จตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้

63. เครื่องมือที่ควรใช้ในการควบคุมโครงการมีหลายอย่าง เครื่องมือในการบริหารใดต่อไปนี้ทําให้ได้ข้อมูลละเอียดที่สุด
(1) การประชุม
(2) การรายงาน
(3) การอํานวยการ
(4) การกระจายอํานาจการบังคับบัญชา
(5) การตรวจสอบผล
ตอบ 1 หน้า 44, (คําบรรยาย) เครื่องมือที่ใช้ในการควบคุมการปฏิบัติตามแผน/โครงการ ประกอบด้วย
1. การประชุม (Meeting) ถือเป็นเครื่องมือที่ทําให้ได้ข้อมูลละเอียดที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทําให้สิ้นเปลืองเวลาและเสียค่าใช้จ่ายมากที่สุดเช่นกันด้วย
2. การอํานวยการ (Directing)
3. การตรวจสอบงาน (Inspecting)
4. การรายงาน (Reporting) ฯลฯ

64. ผลของโครงการในช่องใดที่แสดงว่ามาตรฐานโครงการต่ํากว่าที่ควรจะเป็น
(1) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(2) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(3) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(4) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(5) ไม่มีคําตอบที่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 50, (คําบรรยาย) หากผลที่ประเมินได้ตรงกับช่องที่ 2 คือ เป็นผลที่ต้องการและไม่คาดว่า จะเกิดขึ้น ถือเป็นผลที่โครงการต้องการแต่ไม่ได้วางไว้ในโครงการ ผลชนิดนี้นับว่าเป็นผลพลอยได้ หรือผลโดยอ้อม (Outcomes) ของโครงการ ซึ่งเป็นผลทางสังคมหรือผลทางจิตวิทยา หากมีผล ลักษณะนี้มากเกินไป แสดงว่าวางมาตรฐานโครงการต่ํากว่าที่ควรจะเป็นเพราะผลที่ออกมา ไม่ตรงตามที่วางโครงการเอาไว้ ถึงแม้ผลนั้นจะเป็นผลที่ต้องการก็ตาม

65. หลักการสําคัญในการจัดการ (Management) โครงการ ได้แก่หลักการใด
(1) ใช้หลักผู้นําอย่างเคร่งครัด
(2) การลงโทษเป็นหลักที่จําเป็นกับโครงการมาก
(3) ต้องใช้หลักขององค์การอย่างเป็นทางการมาก
(4) ใช้หลักการบริหารแบบมีส่วนร่วม
(5) ผู้ร่วมงานทั้งหลายต้องอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาที่เคร่งครัด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 53. ประกอบ

66. กระบวนการใดเป็นกระบวนการแรกของการบริหารโครงการ
(1) การมอบหมายอํานาจหน้าที่
(2) การปิดโครงการ
(3) การประชาสัมพันธ์
(4) การส่งคืนบุคลากรในโครงการคืนสังกัดเดิม
(5) การวางแผนการดําเนินงาน
ตอบ 5 (คําบรรยาย) กระบวนการแรกของการบริหารหรือการจัดการโครงการก็คือ การจัดเตรียมแผนหรือการวางแผนการดําเนินงาน ซึ่งเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้รับผิดชอบโครงการหรือผู้บริหาร โครงการ (Project Manager) กล่าวคือ ผู้บริหารโครงการต้องลงมือจัดเตรียมแผนปฏิบัติงาน หรือแผนการบริหารโครงการ โดยกําหนดวิธีปฏิบัติต่าง ๆ ตามขั้นตอน และอาจใช้เทคนิค การควบคุมต่าง ๆ เช่น PERT, CPM, MAP ฯลฯ มาเป็นเครื่องมือในการควบคุมให้ผู้ปฏิบัติงาน แต่ละฝ่ายดําเนินงานไปตามแนวทางหรือวิธีปฏิบัติของแผนหรือโครงการอย่างเป็นระบบ

67. แผนการศึกษาของชาติเป็นแผนชนิดใด
(1) Social Plan
(2) Physical Plan
(3) Economic Plan
(4) Community Plan
(5) Comprehensive Plan
ตอบ 1 (คําบรรยาย) แผนแบ่งตามรูปแบบทางราชการหรือการใช้ทรัพยากรได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. Physical Plan คือ แผนเกี่ยวกับการก่อสร้างและการพัฒนาเมือง
2. Social Plan หรือ Socio-Economic Plan คือ แผนด้านเศรษฐกิจและสังคม เช่น แผนการด้านแรงงาน แผนการศึกษาแห่งชาติ แผนอบรมความรู้เรื่องเอดส์ เป็นต้น

68. ผลของโครงการในช่องใดที่แสดงว่าแนวทางโครงการผิดพลาด
(1) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(2) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(3) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(4) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(5) ไม่มีคําตอบที่ถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 50 – 51, (คําบรรยาย) หากผลที่ประเมินได้ตรงกับช่องที่ 3 คือ เป็นผลที่ไม่ต้องการ และคาดว่าจะเกิดขึ้น ถือเป็นผลที่โครงการได้วางเอาไว้แล้วว่าจะต้องมีผลที่ไม่ต้องการเกิดขึ้นโดยผลที่ไม่ต้องการนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อันแสดงถึงปัญหาและอุปสรรคตามปกติของ โครงการ ดังนั้นเมื่อมีผลในช่องนี้เกิดขึ้นก็ถือได้ว่าเป็นผลที่เกิดจากเหตุบกพร่องธรรมดาของ โครงการ ซึ่งผู้บริหารโครงการ (Project Manager) ต้องพยายามหลีกเลี่ยง โดยให้เกิดขึ้น น้อยที่สุด แต่ถ้าหากผลในช่องนี้เกิดมากเกินไปก็แสดงว่าวางแนวทางโครงการผิดพลาด

69. การควบคุมโครงการโดยทั่วไปเน้นการควบคุมด้านใดเป็นพิเศษ
(1) ด้านเวลา คุณภาพ ค่าใช้จ่าย
(2) ด้านคุณภาพ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล
(3) ด้านคน เงิน วัสดุอุปกรณ์
(4) ด้านเวลา ค่าใช้จ่าย ประสิทธิภาพ
(5) ข้อ 2 และ 3 ถูก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 35. และ 51. ประกอบ

70. ผลของโครงการในช่องใดที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยในการดําเนินโครงการ
(1) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(2) ผลที่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(3) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่คาดว่าจะเกิด
(4) ผลที่ไม่ต้องการและเป็นผลที่ไม่คาดว่าจะเกิด
(5) ไม่มีคําตอบที่ถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 51, (คําบรรยาย) หากผลที่ประเมินได้ตรงกับช่องที่ 4 คือ เป็นผลที่ไม่ต้องการและ ไม่คาดว่าจะเกิดขึ้น ถือเป็นผลที่โครงการไม่ได้วางเอาไว้และเป็นผลที่ผู้บริหารโครงการ (Project Manager) ต้องไม่ทําให้เกิดขึ้นเด็ดขาด แต่ถ้าเกิดขึ้นแล้วก็ถือเป็นความล้มเหลวของโครงการ มากที่สุด เพราะเกิดความผิดพลาดขึ้นทั้งการบริหารโครงการและการวางมาตรฐานโครงการ ที่สูงกว่าความเป็นจริง

71. การวางแผนแบบใดที่เป็นวิธีที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน
(1) ทุกแบบของการวางแผน
(2) Integrated Public Investment Planning
(3) Comprehensive Planning
(4) Project-by-Project Planning
(5) ข้อ 3 และ 4 ถูก
ตอบ 3 หน้า 29, (คําบรรยาย) การวางแผนแบบสมบูรณ์แบบหรือประสมประสานหรือแผนรวม(Comprehensive Planning) เป็นการวางแผนที่กล่าวถึงเป้าหมายที่ต้องการก่อนเป็นอันดับแรก โดยเริ่มจากการสร้างแบบจําลองการเจริญเติบโต (Growth Model) ของแผนก่อน ซึ่งเป็นการคํานวณอัตราการเจริญเติบโตที่คาดหวังไว้ในรูปของการบริโภค เงินออม การลงทุน การนําเข้า-ส่งออก การจ้างงาน ความต้องการ (Demand) และความสามารถในการตอบสนอง (Supply) ของภาครัฐและภาคเอกชนรวมกัน โดยการวางแผนในรูปแบบนี้จะมีการวางแผน ทั้งแบบ Forward และ Backward และมีการกล่าวถึงบทบาทของภาคเอกชนไว้อย่างครบถ้วน จึงนับว่าเป็นวิธีที่ทันสมัยที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งเหมาะสมสําหรับการวางแผนภาครัฐด้านเศรษฐกิจ และในสถานการณ์ที่หน่วยงานวางแผนมีความชํานาญแล้ว

72. คําใดต่อไปนี้มีความหมายถึงการวางแผน
(1) Plan
(2) Planning
(3) Project Manager
(4) Project Purpose
(5) Program Goal
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 59. ประกอบ

73. การวิเคราะห์โครงการมีลักษณะอย่างไร
(1) วิเคราะห์ว่าโครงการจะสําเร็จเมื่อใด
(2) วิเคราะห์ถึงข้อดี ข้อด้อยของโครงการ
(3) เป็นวิธีร่วมกันคิด
(4) เป็นวิธีการในการหาข้อมูลชนิดหนึ่ง
(5) เป็นวิธีคิดแบบต้องอาศัยหลักการเชิงปริมาณ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 47. ประกอบ

74. มิติ Complexity ของแผน หมายถึงอะไร
(1) ความยากของแผน
(2) ความลับของแผน
(3) ความจําเพาะเจาะจงของแผน
(4) ความครอบคลุมของแผน
(5) ความสําคัญของแผน
ตอบ 1 หน้า 22 (คําบรรยาย) ความสลับซับซ้อนหรือความยาก (Complexity) ของแผนพิจารณา ได้จากตัวแปรต่าง ๆ ดังนี้
1. ระดับของแผน
2. จํานวนองค์ประกอบของแผน เช่น ตัวแปร หน่วยงาน บุคลากร
3. วัตถุประสงค์ของแผน
4. ระดับทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง

75. การเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อสรุปปัญหาในการวางแผนนั้น ข้อมูลที่ได้จะทําประโยชน์อย่างไรบ้าง
(1) ใช้กําหนดแนวทางแก้ไขปัญหา
(2) ใช้กําหนดแนวทางปฏิบัติที่ประชาชนจะยอมรับ
(3) ใช้ระบุระดับการให้ความร่วมมือของประชาชนต่อแผน
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 31 การเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อสรุปปัญหาในการวางแผนนั้น ข้อมูลที่ได้จะนําไปใช้ ประโยชน์ ดังนี้
1. กําหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหา
2. กําหนดแนวทางปฏิบัติที่ประชาชนพอจะยอมรับได้
3. ระบุระดับการให้ความร่วมมือของประชาชน

76. ปัญหาชนิดใดของแผนที่น่าจะแก้ไขได้ง่ายที่สุด เพราะมองเห็นอาการได้ง่ายกว่า
(1) ปัญหาแก้ไข
(2) ปัญหาพัฒนา
(3) ปัญหาป้องกัน
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 หน้า 25 (คําบรรยาย) ปัญหาของแผน อาจจําแนกได้ 3 ประเภท ดังนี้
1. ปัญหาแก้ไข คือ ปัญหาที่ปรากฏผลเสียหายให้เห็นอยู่แล้ว จึงต้องรีบวางแผนหาทางแก้ไข ซึ่งปัญหาชนิดนี้มักจะแก้ไขได้ง่ายที่สุด
2. ปัญหาป้องกัน คือ ปัญหาที่ยังไม่ปรากฏผลเสียหายขึ้นในขณะวางแผน แต่สามารถรู้ได้ว่าหากไม่รีบวางแผนแก้ไขก็จะปรากฏผลเสียหายในอนาคตได้
3. ปัญหาพัฒนา คือ ปัญหาที่ไม่ปรากฏผลเสียหายทั้งในปัจจุบันและอนาคต แต่ต้องมี การวางแผนเพื่อปรับปรุงแก้ไขให้มีคุณภาพดีขึ้น ซึ่งนักวางแผนต้องใช้ความสามารถ ในการมองการณ์ไกลมากเป็นพิเศษ

77.Cleland และ King กล่าวว่า กระบวนการวางแผนควรเป็นหน้าที่ของใคร
(1) นักวิชาการที่ชํานาญการ
(2) ผู้เชี่ยวชาญเรื่ององค์การ
(3) ผู้นําในการบริหาร
(4) ผู้ชํานาญการในการวางแผนโดยเฉพาะ
(5) ผู้ที่จะเป็นผู้นําแผนไปปฏิบัติเอง
ตอบ 4 หน้า 26 Cleland และ King ได้สรุปหลักสําคัญของการวางแผนไว้ ดังนี้
1. กระบวนการวางแผนควรเป็นหน้าที่ของผู้ชํานาญการในการวางแผนโดยเฉพาะ
2. งานวางแผนควรเป็นหน้าที่ของผู้ที่จะต้องนําแผนไปดําเนินการ
3. การวางแผนกลยุทธ์ต้องประกอบด้วยการคาดคะเนแนวโน้ม การคัดเลือกภารกิจ การคัดเลือกวัตถุประสงค์ และการคัดเลือกแนวทางกลยุทธ์
4. ความถูกต้องของกระบวนการวางแผนขึ้นอยู่กับความถูกต้องเพียงพอของฐานข้อมูล ทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ฯลฯ

78. ปัญหาโครงสร้างของปัญหาไม่ชัดเจน หมายถึง
(1) จํานวนบุคลากรที่เข้ามาบริหารนโยบาย
(2) เทคโนโลยีที่ใช้ในนโยบาย
(3) ลักษณะในทางภูมิศาสตร์
(4) ค่านิยมของคนในสังคม
(5) วัสดุอุปกรณ์ที่จะนํามาใช้กับนโยบาย
ตอบ 4 หน้า 10, (คําบรรยาย) ปัญหาที่มีโครงสร้างไม่ชัดเจน (Ill-Structured Problem) หมายถึง ปัญหาที่เป็นค่านิยมของคนในสังคม ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับผู้คนจํานวนมาก เป็นปัญหาที่มีทางออกได้ หลายหนทาง โดยแต่ละหนทางไม่สามารถมองเห็นผลประโยชน์ได้ชัดเจน จึงเป็นที่ถกเถียงกันได้ และมีผลลัพธ์ที่ไม่แน่นอน

79.การวางแผนแบบประสมประสาน มีขั้นตอนสําคัญอยู่ที่ใด
(1) การเก็บข้อมูลที่กว้างขวาง
(2) การวิเคราะห์สถานการณ์แบบก้าวหน้า
(3) การทําแบบจําลอง (Model) ของแผน
(4) การสร้างเศรษฐกิจของแผน
(5) การขออนุมัติหลักการของแผนก่อนเขียนแผนขั้นตอนสุดท้าย
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 71. ประกอบ

80. ในการวางโครงการนั้นคําว่า Where ทําหน้าที่อะไร
(1) ค้นหาคนปฏิบัติ
(2) ค้นหาเวลา
(3) ค้นหาสถานที่
(4) ค้นหาวิธีแก้ปัญหา
(5) ค้นหาปัญหา
ตอบ 3 หน้า 39 การวางโครงการตามแนวดั้งเดิมหรือประเพณีนิยม (Traditional Model) จะประกอบด้วยการตอบคําถามต่าง ๆ ดังนี้
1. What – การค้นหาปัญหาหรือวิธีแก้ปัญหา จนเกิดทางเลือกต่าง ๆ
2. When – การระบุเวลาที่ควรแก้ไขปัญหา
3. Where – การกําหนดสถานที่และขอบเขตของโครงการ
4. Why – การระบุถึงความต้องการ
5. How – การกําหนดวิธีแก้ไขปัญหาหรือวิธีการดําเนินงาน
6. Who – บุคคลหรือองค์การที่ต้องรับผิดชอบในกระบวนการของโครงการ

81. การจัดทําโครงการตามวิธีการที่ดีที่สุด เป็นขั้นตอนใดในกระบวนการของ ดร.สมพร แสงชัย
(1) ขั้นวางโครงการ
(2) ขั้นประเมินโครงการ
(3) ขั้นวิเคราะห์โครงการ
(4) ขั้นบริหารโครงการ
(5) ขั้นประเมินผลโครงการ
ตอบ 1 หน้า 37 – 39 ดร.สมพร แสงชัย กล่าวว่า กระบวนการวางโครงการมีขั้นตอนสําคัญ ๆ 8 ขั้นตอน ดังนี้
1. การพิจารณาสภาพแวดล้อมและเหตุการณ์ต่าง ๆ
2. การกําหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
3. การหาวิธีการแก้ไข
4. การจัดทําโครงการตามวิธีการที่ดีที่สุด ซึ่งประกอบด้วย การกําหนดเป้าหมายให้ละเอียด การระบุชื่อผู้รับผิดชอบโครงการ (Project Manager) และการจัดทําโครงการปฏิบัติหรือ การจัดทํา “Project Programming”
5. การเสนอโครงการเพื่อพิจารณาอนุมัติ
6. การเสนอของบประมาณ
7. การนําโครงการไปปฏิบัติ
8. การประเมินผลโครงการ

82. เป้าหมายสําคัญที่สุดของการวางแผนกลยุทธ์ของแผนคือสิ่งใด
(1) กําหนดกรอบเค้าโครงของแผน
(2) กําหนดขอบเขตของแผน
(3) กําหนดปัญหาของแผน
(4) กําหนดทรัพยากรในแผน
(5) กําหนดโครงการของแผน
ตอบ 1 หน้า 37, (คําบรรยาย) กระบวนการวางแผน/โครงการ อาจจําแนกได้เป็น 2 ระยะ คือ
1. การวางแผน/โครงการกลยุทธ์ (Strategic Planning) มีเป้าหมายที่สําคัญที่สุด คือ การกําหนดกรอบเค้าโครง ทิศทางและแนวทางสําคัญของแผน/โครงการอย่างกว้าง หรือคร่าว ๆ ซึ่งประกอบด้วยงานที่ต้องทําหลายอย่าง เช่น การคัดเลือกข้อมูล วัตถุประสงค์ ภารกิจ และแนวทางกลยุทธ์ รวมทั้งการคาดคะเนแนวโน้ม เพื่อนําไปสู่ การวิเคราะห์หาทางเลือกหรือแนวทางที่เหมาะสมที่สุด (The Best Alternative)
2. การวางแผน/โครงการดําเนินการ (Operational Planning) เป็นการนําเอาทางเลือกที่ เหมาะสมที่สุดมากําหนดรายละเอียดในวิธีการปฏิบัติที่ผู้ปฏิบัติจําเป็นต้องรู้ให้ครบถ้วน

83. ในการวางโครงการนั้น ทุกขั้นตอนของการกระทําต้องตอบคําถามใดได้เสมอ
(1) What
(2) When
(3) Where
(4) Why
(5) How
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ในการวางโครงการนั้น ทุกขั้นตอนของการกระทําต้องตอบคําถามคําว่า Why (ทําไม) ให้ได้เสมอว่าทําไมต้องทําเช่นนั้นในแต่ละขั้นตอน ซึ่งเป็นการทําให้นักวางโครงการได้ตระหนักว่าทุกขั้นตอนของการวางโครงการนั้นต้องกระทําอย่างมีข้อมูลที่ครบถ้วนสมบูรณ์แม่นยํา และยืนยันได้ว่าถูกต้องมีเหตุมีผล

84.การจัดทํา Project Programming อยู่ในภารกิจใด
(1) การวางแผน
(2) การนําแผนไปปฏิบัติ
(3) การประเมินแผน
(4) การวางโครงการ
(5) การประเมินผลโครงการ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 37. และ 81. ประกอบ

85.ดร.สมพร แสงชัย เสนอว่าการระบุว่าใครควรเป็นผู้รับผิดชอบโครงการจะอยู่ในขั้นตอนใดของกระบวนการโครงการ
(1) ขั้นวางโครงการ
(2) ขั้นประเมินโครงการ
(3) ขั้นวิเคราะห์โครงการ
(4) ขั้นบริหารโครงการ
(5) ขั้นประเมินผลโครงการ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 81. ประกอบ

86. การวางแผนแบบประสานการลงทุนภาคสาธารณะมีจุดประสงค์หลักเพื่อแก้ไขปัญหาอะไรของวิธีการวางแผนแบบรายโครงการ
(1) แก้ความขัดแย้งของแผนงานย่อย
(2) แก้ความขัดแย้งของหน่วยงานวางแผน
(3) แก้ความขัดแย้งในเรื่องงบประมาณ
(4) แก้ปัญหาเรื่องความไม่ลงตัวของวงเงินงบประมาณ
(5) แก้ปัญหาเรื่องขอบเขตของแผน
ตอบ 4 หน้า 28, (คําบรรยาย) การวางแผนแบบประสานการลงทุนภาคสาธารณะ (Integrated Public Investment Planning) เป็นการวางแผนที่เริ่มต้นด้วยการประมาณการรายได้หรือรายรับ ของประเทศก่อน โดยคํานึงถึงการลงทุนของภาครัฐเป็นหลักว่าการลงทุนไปนั้นจะมีรายรับเท่าไร แล้วจึงไปกําหนดรายจ่ายทีหลัง โดยที่การลงทุนนั้นจะต้องคํานึงถึงภาวะเศรษฐกิจทั้งปัจจัย ภายในและภายนอกประเทศด้วย ซึ่งการวางแผนในรูปแบบนี้มีจุดประสงค์เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง (ความไม่พอดี) ของการวางแผนแบบรายโครงการ (Program-by-Program or Project-by- Project Planning) เช่น การกําหนดงบประมาณของแต่ละโครงการที่มักกําหนดสูงเกินกว่า ความเป็นจริง ความขัดแย้งกันของโครงการทั้งหลายโดยเฉพาะในเรื่องของความไม่ลงตัวของวงเงิน งบประมาณ รวมถึงความไม่มีเอกภาพและการขาดทิศทางที่ชัดเจนในการกําหนดเป้าหมายของแผน ซึ่งเป็นการวางแผนที่เหมาะสมในสถานการณ์ที่หน่วยงานเริ่มมีการสะสมข้อมูลได้พอประมาณแล้ว

87. ข้อมูลที่นับว่ามีอิทธิพลหรือเป็นกลไกสําคัญในการวางแผน ได้แก่ ข้อมูลทางการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษาอิทธิพลของธรรมชาติ และอะไร
(1) กลุ่มผลประโยชน์
(2) พรรคการเมือง
(3) ความร่วมมือระหว่างองค์การที่เกี่ยวข้อง
(4) ศาสนาและความเชื่อ
(5) กลไกราคา
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ข้อมูลที่นับว่ามีอิทธิพลหรือเป็นกลไกสําคัญในการวางแผน ได้แก่ ข้อมูล ทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา อิทธิพลของธรรมชาติ ศาสนาและความเชื่อ เป็นต้น

88. ในกระบวนการวางแผนของ Le Breton นั้น ถือได้ว่าขั้นการวางกลยุทธ์ของแผนนั้นอยู่ในขั้นตอนที่เท่าใด
(1) ขั้นที่ 1
(2) ขั้นที่ 1 – 2
(3) ขั้นที่ 1 – 3
(4) ขั้นที่ 1 – 4
(5) ขั้นที่ 1 – 5
ตอบ 3 หน้า 30 (คําบรรยาย) ในขั้นการวางกลยุทธ์ของแผนนั้น ถือเป็นการกําหนดวัตถุประสงค์และ กําหนดกรอบเค้าโครงของแผนอย่างกว้าง ๆ ซึ่งตามกระบวนการวางแผนของ Le Breton นั้น จะปรากฏอยู่ในขั้นตอนที่ 1 – 3 คือ การพิจารณาความจําเป็น การกําหนดวัตถุประสงค์ และการกําหนดกรอบเค้าโครงเบื้องต้นของแผน

89. ถ้าต้องการค้นหาปัญหา คําใดคือคําถามที่ต้องใช้ในการวางโครงการ
(1) What
(2) When
(3) Where
(4) Why
(5) How
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 80. ประกอบ

90. การวางแผนแบบรายโครงการถือเป็นการวางแผนในกระสวน (Pattern) ชนิดใด
(1) Bottom-up Process
(2) Top-down Process
(3) Comprehensive Planning
(4) Aggregative Planning
(5) Global Planning
ตอบ 1 หน้า 28 (คําบรรยาย) การวางแผนแบบรายโครงการ (Program-by-Program or Project-by- Project Planning) เป็นเทคนิคการวางแผนพัฒนารูปแบบแรก โดยเป็นการวางแผนในกระสวน ที่เรียกว่า “Bottom-up Process” กล่าวคือ รัฐบาลจะเป็นผู้กําหนดให้หน่วยปฏิบัติการใน ระดับล่างร่างโครงการของตนเสนอขึ้นมา โดยที่ไม่ได้มีการกําหนดรายรับรายจ่ายก่อนว่าเป็นเท่าไร แต่จะมากําหนดหลังจากหน่วยงานย่อยต่าง ๆ เสนอโครงการขึ้นมาแล้ว เพื่อรวบรวมโครงการ เหล่านั้นรวมเป็นแผนเดียวกัน (แผนรวมของชาติ) ซึ่งวิธีการวางแผนในรูปแบบนี้จะไม่กล่าวถึง บทบาทของภาคเอกชนไว้เลย และใช้หลักการมีส่วนร่วมน้อยที่สุด แต่จะเหมาะสําหรับการวางแผน ในภาวะขาดแคลนข้อมูลหรือขาดความชํานาญในการวางแผน เช่น การวางแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 1 เพราะหน่วยงานวางแผนยังมีข้อมูลไม่เพียงพอและเป็นการวางแผนที่สะดวกที่สุด การวางแผนจัดทําไร่นาสวนผสม เป็นต้น

91. ปัญหาชนิดใดที่ต้องใช้ทักษะในการมองการณ์ไกลเป็นพิเศษ จึงจะวางแผนได้
(1) ปัญหาแก้ไข
(2) ปัญหาพัฒนา
(3) ปัญหาป้องกัน
(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 76. ประกอบ

92. ข้อใดมิใช่ขอบเขตของโครงการ
(1) เวลา
(2) คู่แข่งขัน
(3) ภูมิศาสตร์
(4) การปฏิบัติ
(5) เทคโนโลยี
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ขอบเขตของโครงการ มีดังนี้
1. ขอบเขตเรื่องเวลา
2. ขอบเขตทางภูมิศาสตร์
3. ขอบเขตในทางปฏิบัติ
4. ขอบเขตในลักษณะอื่นๆ เช่น ขอบเขตที่สืบเนื่องมาจากความรู้ทางวิชาการ หรือเทคโนโลยี ที่มีอยู่ในประเทศ เป็นต้น

93.แผนที่มีลักษณะ Ease of Control จะแสดงให้เห็นได้อย่างไร
(1) เห็นได้จากการผ่านขั้นตอนของแผนอย่างครบถ้วนไม่ข้ามขั้นตอน
(2) เห็นได้จากการกําหนดที่มีเหตุผลและเป็นจริงในทางปฏิบัติ
(3) เห็นได้จากการมีมาตรฐานสําหรับการปฏิบัติอย่างชัดเจน
(4) เห็นได้จากการจัดทีมผู้วางแผนอย่างมีประสิทธิภาพ
(5) เห็นได้จากการจัดทีมผู้ปฏิบัติตามแผนอย่างมีประสิทธิภาพ
ตอบ 3 หน้า 23, (คําบรรยาย) แผนที่มีลักษณะง่ายในการควบคุม (Ease of Control) หมายถึง แผน ที่มีมาตรฐานสําหรับการวัดและการปฏิบัติอย่างชัดเจน และโดยทั่วไปหากเป็นแผนที่มีลักษณะ ง่ายในการดําเนินการ (Ease of Implementation) ก็จะมีลักษณะง่ายในการควบคุมด้วย

94. วิธีการวางแผนทั้งหลายจําแนกเป็นขั้นตอนในการวางแผนได้ 2 ระยะ คือ การวางแผนกลยุทธ์กับอะไร
(1) การวางแผนรวม
(2) การวางแผนบริหาร
(3) การวางแผนดําเนินการ
(4) การวางแผนสังคม
(5) การวางแผนพัฒนา
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 82. ประกอบ

95. Cleland และ King เห็นว่า ความถูกต้องของกระบวนการวางแผนขึ้นอยู่กับอะไร
(1) ระยะเวลาที่เหมาะสม
(2) ทรัพยากรที่สมบูรณ์
(3) การจูงใจผู้จัดการวางแผน
(4) ความถูกต้องเพียงพอของฐานข้อมูล
(5) องค์การเพื่อการวางแผน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ

96. การวางแผนอาจทําได้ 3 วิธี วิธีที่เหมาะสมที่สุดในสถานการณ์ที่หน่วยวางแผนเริ่มมีการสะสมข้อมูล ได้พอประมาณ คือวิธีใด
(1) Project-by-Project Planning
(2) Integrated Public Investment Planning
(3) Comprehensive Planning
(4) Aggregative Planning
(5) Global Planning
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 86. ประกอบ

97. กล่าวโดยสรุปขั้นตอนในการวางแผนอาจจําแนกได้ 3 ขั้นตอนสําคัญ ได้แก่ การเก็บรวบรวมประมวลข้อมูลการลงมือวางแผน และอะไร
(1) การวิเคราะห์ข้อมูล
(2) การปฏิบัติตามแผน
(3) การประเมินผลแผน
(4) การขออนุมัติใช้แผน
(5) การตระเตรียมที่จะวางแผน
ตอบ 5 หน้า 29 – 30 ขั้นตอนในการวางแผนอาจจําแนกได้ 3 ขั้นตอนสําคัญ ดังนี้
1. การตระเตรียมการที่จะวางแผน เป็นการกําหนดเค้าโครงกลยุทธ์ของแผน โดยการกําหนด วัตถุประสงค์และแนวทางของแผน
2.การศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์ เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ความถูกต้อง ของงานในขั้นตระเตรียมการ
3. การลงมือวางแผน เป็นการเขียนแผนให้ถูกต้องตามรูปแบบที่ควรจะเป็นของแผน

98. อะไรไม่ใช่งานในการทํา Project Programming
(1) Scheduling
(2) เป้าหมายและวัตถุประสงค์
(3) Opening
(4) แนวทางประเมินผล
(5) Future Organization
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 37. ประกอบ

99. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบของโครงการ
(1) ความสําคัญและที่มาของโครงการ
(2) Budgeting
(3) วิธีดําเนินการ
(4) Man Power Planning
(5) แนวทางการวิเคราะห์โครงการ
ตอบ 4 (คําบรรยาย), องค์ประกอบของโครงการ มีดังนี้
1. ความสําคัญและที่มาของโครงการ
2. เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของโครงการ
3. ขอบเขตของโครงการ
4. วิธีดําเนินงานตามโครงการ
5. ความสัมพันธ์กับโครงการอื่น
6. ขั้นตอนการดําเนินงาน
7. ทรัพยากรที่ต้องใช้ในโครงการ
8. งบประมาณของโครงการ
9. แนวทางการวิเคราะห์โครงการ

100. การกําหนดกลยุทธ์ของโครงการต้องทําหลายอย่าง สิ่งใดมิใช่งานกําหนดกลยุทธ์ดังกล่าว
(1) การคาดคะเนแนวโน้ม
(2) การคัดเลือกโครงการ
(3) การคัดเลือกภารกิจ
(4) การคัดเลือกวัตถุประสงค์
(5) การคัดเลือกข้อมูล
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 82. ประกอบ

POL2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น s/2566

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2566
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว
ตั้งแต่ข้อ 1. – 8. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร

1.การเรียกร้องให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน
ตอบ 4 หน้า 135 เรามีเสรีภาพหรือไม่ เป็นคําถามสําคัญประการหนึ่งของปรัชญาการเมืองที่มักจะมีการถกเถียงกันอยู่ในชีวิตประจําวันของมนุษย์ทุกคนทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยเสรีภาพ (Liberty) ในที่นี้หมายถึง การที่คน ๆ หนึ่งสามารถทําอะไรได้โดยปราศจากการควบคุมบังคับ ตลอดจนไม่ถูกกีดกันไม่ให้ทําอะไรจากผู้อื่น หรือกล่าวง่าย ๆ ก็คือ การกระทําอะไรก็ได้ตาม ความปรารถนาของตนเองและไม่มีคนอื่นมาบงการควบคุม ซึ่งเสรีภาพที่ว่านี้จะเน้นไปในทาง เสรีภาพทางการเมือง อันได้แก่ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพที่จะมีส่วนร่วม ทางการเมือง เสรีภาพในการชุมนุมสมาคมกัน และเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ผู้ปกครอง

2.การจัดสรรเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับประชาชนที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน
ตอบ 5 หน้า 159 – 160 เราควรจะกระจายทรัพย์สินหรือความมั่งคั่งในสังคมอย่างไร เป็นคําถาม ในเรื่องของการจัดสรรหรือการกระจายทรัพยากรให้กับสมาชิกในสังคม เช่น ควรจัดสรร ทรัพยากรในสังคมอย่างไรให้เกิดความยุติธรรม การจัดการทรัพยากรในสังคมควรจะมีหลักการ จัดการในรูปแบบลักษณะใด ใครบ้างควรจะเป็นผู้ถือครองทรัพยากร การถือครองทรัพยากร ควรจะมีได้มากน้อยเท่าไร การได้มาของทรัพยากรควรจะได้มาด้วยวิธีการในลักษณะใด

3.เนื่องจากสภาวะธรรมชาติไม่มีความสมบูรณ์ มนุษย์มีความจําเป็นต้องมาอยู่รวมกันเพื่อสร้างรัฐและผู้ปกครองขึ้นมา
ตอบ 1 หน้า 25, 195, (คําบรรยาย) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง เป็นคําถามพื้นฐานที่สุด ในทางปรัชญาการเมือง ซึ่งในประเด็นนี้อาจมีการตั้งคําถามหรือข้อถกเถียงกันว่าทําไมต้องมีรัฐ หรือสังคมการเมือง มนุษย์มีความจําเป็นหรือไม่ที่จะต้องอยู่ในรัฐหรือสังคมการเมือง รัฐหรือ สังคมการเมืองมีที่มาหรือเกิดขึ้นได้อย่างไร รัฐหรือสังคมการเมืองมีความสําคัญอย่างไร เป็นต้น

4. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการบังคับใช้พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ข้อถกเถียงดังกล่าวสอดคล้องกับประเด็นคําถามที่ว่า “ทําไมเราต้องเชื่อฟัง กฎหมาย” หรือ “ทําไมเราต้องทําตามกฎหมาย” โดยกฎหมายนั้นถือเป็นคําสั่งของรัฐ หากเราไม่เชื่อฟังหรือไม่ทําตามจะต้องถูกลงโทษตามตัวบทกฎหมาย

5. ข้อเรียกร้องเกี่ยวกับการจัดสรรนโยบายโฉนดชุมชนของรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

6. กลุ่มขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมให้สิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ที่หน้าทําเนียบรัฐบาล
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

7. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการจัดซื้อเครื่องบินรบ 1 ฝูง ของกองทัพอากาศ
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

8. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการบังคับใช้พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

9. ปรัชญา (Philosophy) มีความหมายถึง
(1) ความรู้
(2) ความสามารถ
(3) ความรัก
(4) ถูกข้อ 1 และ 2
(5) ถูกข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 5 คําว่า “ปรัชญา” (Philosophy) เกิดมาจากการผสมกันของคํา 2 คํา คือ คําว่า “ความรัก” (Love) กับคําว่า “ความรู้” (Wisdom) ดังนั้น ปรัชญาจึงหมายถึง “ความรัก ในความรู้” (Love of Wisdom) นั่นเอง

10. การเมือง (Politics) มีความหมายถึง
(1) กิจการของนครรัฐ
(2) เรื่องส่วนรวม
(3) เรื่องสาธารณะ
(4) วิถีแห่งการอยู่ร่วมกันของมนุษย์
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 6 (คําบรรยาย) การเมือง (Politics) มีรากศัพท์มาจากคําในภาษากรีกคือ “Politika ซึ่งหมายถึง เรื่องราวหรือกิจการของ Polis หรือเมืองหรือนครรัฐ (Affairs of the Cities) สําหรับ พวกกรีกเอง คําว่าการเมืองนั้นเป็นคําที่ใช้สื่อความหมายสะท้อนถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ส่วนรวม หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม เรื่องนั้นก็เป็นเรื่องที่ เกี่ยวข้องกับทุกคนที่อยู่ใน Polis ด้วย ด้วยเหตุนี้คําว่าการเมืองจึงเป็นเรื่องราวที่หมายถึง ส่วนรวม คนทุกคน เรื่องสาธารณะ อันจะตรงข้ามกับเรื่องส่วนตัว ผลประโยชน์เฉพาะ หรือ ในความหมายที่กว้างที่สุด การเมืองหมายถึง กิจกรรมหรือวิถีแห่งการอยู่ร่วมกันของมนุษย์

ตั้งแต่ข้อ 11. – 15. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics

11. การโกหกเป็นสิ่งที่ผิดทุกครั้งหรือไม่ หรือว่าผิดในบางกรณี เช่น เราโกหกเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ผิด หรือไม่ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าถูกเพราะเป็นความผิดที่สุจริต แต่บางคนก็บอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันก็ผิดแม้จะทําด้วยจุดมุ่งหมายอะไรก็ตาม
ตอบ 5 หน้า 3, (คําบรรยาย) จริยศาสตร์ (Ethics) เป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาที่มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่ควร จะเป็น ตลอดจนพฤติกรรมของมนุษย์ที่ควรจะเป็น ดังนั้นจริยศาสตร์จึงเป็นสาขาที่ศึกษาว่า ความดีคืออะไร ความประพฤติแบบใดเป็นความประพฤติที่ดี อะไรคือสิ่งที่ควรกระทํา อะไรคือ สิ่งที่ไม่ควรกระทํา อะไรคือสิ่งที่ผิด อะไรคือสิ่งที่ถูก เช่น ในสาขาความรู้นี้อาจจะตั้งคําถามว่า การโกหกเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี หรือการโกหกเป็นสิ่งที่ผิดทุกครั้งหรือไม่ หรือว่าผิดในบางกรณี เช่น การโกหกเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ผิดหรือไม่ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าถูกเพราะเป็นความผิดที่สุจริต แต่บางคนก็บอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันก็ผิดแม้จะทําด้วยจุดมุ่งหมายอะไรก็ตาม

12. ความงามคืออะไร ความไพเราะคืออะไร สิ่งที่เรียกความงามนั้นมันงามในตัวเองหรือว่ามันงามเพราะคนไปให้ค่ามัน ซึ่งอาจจะแปรผันกันไปได้แต่ละสังคมอีก
ตอบ 3 หน้า 2 – 3 (คําบรรยาย) สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) เป็นสาขาที่มุ่งพยายามหาคําตอบ ในแง่มุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความงาม ดังนั้นคําถามของสาขานี้จึงมักจะถามกันว่า ความงาม คืออะไร ความไพเราะคืออะไร สิ่งที่เรียกความงามนั้นมันงามในตัวเองหรือว่ามันงามเพราะคน ไปให้ค่ามัน ศิลปะคืออะไร เป็นศิลปะเพื่อชีวิตหรือศิลปะเพื่อศิลปะ เป็นต้น

13. มนุษย์นั้นรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร เช่น คุณเห็นตัวหนังสือในหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร คุณก็อาจจะตอบว่าตาผมไม่บอด ผมก็ย่อมมองเห็นนะซิ
ตอบ 2 หน้า 2 ญาณวิทยา (Epistemology) หรือบางครั้งก็เรียกว่า ทฤษฎีความรู้ (Theory of Knowledge) ในสาขาย่อยของความรู้ทางด้านปรัชญานี้ จะมุ่งศึกษาในประเด็นเกี่ยวกับว่า มนุษย์นั้นรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร เช่น คุณเห็นตัวหนังสือในหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร คุณก็อาจจะ ตอบว่า “ตาผมไม่บอด ผมก็ย่อมมองเห็นนะซิ” ซึ่งการตอบว่า “ตาผมไม่บอด” ก็หมายความว่า ผมเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ตา” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมนุษย์สามารถรู้ถึง สิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยประสาทสัมผัสนั่นเอง

14. การศึกษาถึงสิ่งที่เป็นแก่นสารของสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้มีที่มาจากอะไร เช่น บางคนอาจจะเสนอว่า สิ่งที่ เป็นแก่นแท้ของความเป็นจริง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นจริง ๆ แล้วไม่ใช่สสารหรือวัตถุ (Materialisrn) แต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า จิต ซึ่งพวกนี้เราก็จะเรียกว่า พวกจิตนิยม (Idealism)
ตอบ 1 หน้า 1 – 2, (คําบรรยาย) อภิปรัชญา (Metaphysics) เป็นสาขาที่มุ่งศึกษาถึงแก่นแท้หรือ ความเป็นจริงสูงสุดของสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ เช่น ในสาขานี้อาจจะตั้งคําถามว่า ความจริงแท้ คืออะไร อะไรคือความจริงแท้สูงสุด หรืออาจจะมีการตั้งคําถามกันว่า สิ่งที่เป็นแก่นสารของ สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้มีที่มาจากอะไร เช่น บางคนอาจจะเสนอว่าสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของความเป็นจริง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นจริง ๆ แล้วไม่ใช่สสารหรือวัตถุ (Materialism) แต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า จิต ซึ่งพวกนี้เรียกว่า พวกจิตนิยม (Idealism)

15. มักจะเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญา
ตอบ 4 หน้า 3 ตรรกวิทยา (Logic) เป็นสาขาที่ไม่ได้มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่เป็นพื้นฐานเหมือนสาขาอื่น ๆ แต่เป็นการศึกษาถึงวิธีการให้เหตุผลหรือการอ้างเหตุผลในเรื่องต่าง ๆ ของมนุษย์ว่ามีลักษณะ สมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร โดยทั่วไปแล้วสิ่งที่เรียกว่าตรรกวิทยานั้นมักจะเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญาเสียมากกว่า

16. “พฤติกรรม ลักษณะการกระทํา หรือพฤติกรรมที่เหมาะสม” หมายถึง
(1) เสรีภาพ
(2) เสมอภาค
(3) ภราดรภาพ
(4) คุณธรรม
(5) ศีลธรรม
ตอบ 5 หน้า 3 ศีลธรรม (Morality) หมายถึง พฤติกรรม ลักษณะการกระทํา หรือพฤติกรรมที่เหมาะสม

17. Philosophia Perennis คืออะไร
(1) แนวทางการดําเนินชีวิตของนักปรัชญา
(2) แนวทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนักปรัชญา
(3) อาวุธทางปัญญาของนักปรัชญา
(4) คําถามทางปรัชญา
(5) คําตอบทางปรัชญา
ตอบ 4 หน้า 7 คําถามอมตะ (Philosophia Perennis) เป็นคําถามทางปรัชญา โดยนักคิดหรือ นักปรัชญาการเมืองมีความเชื่อว่า ในโลกใบนี้มีความจริงหรือสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปเท่าใด และมีปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายเพียงใด แต่ภายใต้ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่พบเห็นมันมีความรู้ที่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ ดังนั้นนักคิดที่คิดว่า ตัวเองเป็นนักปรัชญาการเมืองจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะหาความรู้อันจริงแท้ด้วยการพยายาม หาคําตอบจากคําถามอมตะต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ทําไมมนุษย์ต้องมีการเมือง สังคมการเมือง หรือรัฐคืออะไร ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมืองหรือรัฐ กฎหมายคืออะไร ทําไมเราต้อง เชื่อฟังกฎหมาย มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพหรือไม่ ผู้ปกครองที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ใครควร ที่จะเป็นผู้ปกครอง เป็นต้น

18.“Demos” ที่เป็นที่มาของคําว่า “Democracy” ในภาษากรีก หมายถึง
(1) คนชั้นสูง
(2) คนชั้นกลาง
(3) คนชั้นล่าง
(4) ประชาชน
(5) พลเมือง
ตอบ 3หน้า 106 ศัพท์ดั้งเดิมของคําว่า “Democracy” มาจากภาษากรีกคําว่า “Demokratia ซึ่งเป็นการผสมกันของรากศัพท์ 2 คํา คือ คําว่า “Demos” ที่แปลว่า ฝูงชน ชนชั้นต่ํา คนชั้นล่าง คนจน และคําว่า “Kratia” ที่แปลว่า การปกครอง โดยเมื่อนํามาผสมกันจึงแปลว่า การปกครองของพวกคนจนคนชั้นต่ํา

19. ประชาธิปไตยแบบเอเธนส์เน้นความเท่าเทียมโดยกลไกใดในการได้มาซึ่งผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง
(1) เลือกตั้ง
(2) สรรหา
(3) สอบคัดเลือก
(4) สภาแต่งตั้ง
(5) จับสลาก
ตอบ 5หน้า 8 (คําบรรยาย) ในรูปแบบการปกครองประชาธิปไตยแบบเอเธนส์ที่เน้นความเสมอภาค เท่าเทียมกันนั้น กลไกในการได้มาซึ่งผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองหรือผู้บริหารกิจการสาธารณะ จะไม่ใช้วิธีการเลือกตั้งหรือแต่งตั้ง เพราะการเลือกตั้งและแต่งตั้งนั้นเป็นวิธีการของการปกครอง แบบชนชั้นสูง แต่วิธีการแบบประชาธิปไตยของเอเธนส์จะใช้วิธีการ “จับสลาก” (By Lot) มีเพียงไม่กี่ตําแหน่งเท่านั้นที่ยังคงใช้การแต่งตั้งตามความสามารถ เช่น การเป็นแม่ทัพ หรือ การเป็นทูตที่จ่าต้องไปเจรจากับรัฐอื่น ๆ

20. วาทวิทยาหรือวาทศิลป์ (Rhetoric) หมายถึงอะไร
(1) การสนทนาหาคําตอบทางการเมือง
(2) การชักจูงหรือโน้มน้าวคนด้วยถ้อยคํา
(3) คุณธรรมของชาวเอเธนส์ที่ต้องบรรลุถึง
(4) ศิลปะการแสดงแขนงหนึ่งในยุคกรีก
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2 หน้า 9, (คําบรรยาย) วาทวิทยาหรือวาทศิลป์ (Rhetoric) หมายถึง ศิลปะในการใช้ถ้อยคํา สํานวนโวหารให้ประทับใจ หรือเป็นศิลปะในการชักจูงหรือโน้มน้าวคนด้วยถ้อยคํา

ตั้งแต่ข้อ 21 – 30. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา

21.Patriarcha or the Natural Power of Kings
ตอบ 3 หน้า 70 โรเบิร์ต ฟิลเมอร์ (Sir Robert Filmer) เป็นนักคิดสําคัญคนหนึ่งที่พยายามอธิบาย ว่า “เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า” เขาได้ประพันธ์หนังสือเรื่อง “แพทริอาคา หรือว่าด้วยอํานาจตามธรรมชาติของกษัตริย์” (Patriarcha or the Natural Power of Kings) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1680 โดยในหนังสือเล่มนี้เขาพยายามที่จะชี้ให้เห็นว่า การปกครองของกษัตริย์ในลักษณะพ่อปกครองลูก คือการปกครองที่เป็นธรรมชาติมากที่สุดและการปกครองแบบนี้เป็นการปกครองที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้ตั้งแต่สร้างโลก โดยเขาได้อ้าง เหตุผลมาจากคัมภีร์ปฐมกาล (Genesis) ในไบเบิ้ล

22. ยามเมื่อรัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ท่าน ก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้นจะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอมทนทุกข์ทรมาน ตามคําสั่งอย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะสั่งให้ท่านถูกเฆี่ยน ถูกจําคุก หรือถูกสั่งให้ไปสงคราม เพื่อจะได้รับ บาดเจ็บหรือถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้องทําตามเจตนารมณ์นั้นของประเทศ นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 61 – 62, (คําบรรยาย) ไครโต (Crito) เป็นบทสนทนาที่เขียนขึ้นในยุคกรีกโบราณ โดยเพลโต (Plato) ซึ่งเป็นส่วนที่จะนํามาอธิบายในประเด็นที่ว่า “เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว” โดยเนื้อหาในงานเขียนเป็นบทสนทนา ตอนที่โสเตรตีสกําลังรอประหารชีวิตอยู่ ซึ่งในเวลานั้นไครโตผู้เป็นเพื่อนสนิทได้พยายาม หว่านล้อมให้โสเครตีสหนีออกจากคุกแต่เขาไม่ยอมหนี โดยโสเครตีสได้ให้เหตุผลว่าทําไม เราต้องเชื่อฟังรัฐ และเชื่อฟังกฎหมายที่ออกโดยรัฐไว้ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่ การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่าบรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือท่านควรแสดงความเคารพนับถือประเทศและถ่อมตนยิ่งกว่าที่แสดงต่อบิดามารดา ยามเมื่อ รัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ ท่านก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้นจะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอม ทนทุกข์ทรมานตามคําสั่งอย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะให้ท่านถูกเฆี่ยนตี ถูกจําคุก หรือถูกสั่ง ให้ไปสงคราม เพื่อที่จะได้รับบาดเจ็บหรือถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้องทําตามเจตนารมณ์นั้น ของประเทศ นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง…”

23.Divine Right Theory
ตอบ 3 หน้า 66 – 67, 69 “เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า” เป็นความคิด ที่แพร่หลายในยุคกลาง (Middle Age) ของยุโรป โดยรากฐานของความคิดดังกล่าวมาจาก ความเชื่อความคิดในทางศาสนาคริสต์ที่ว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง สร้างโลก สร้างมนุษย์ สร้างแม้แต่เศษหินดินทราย ดังนั้นเอง กฎหมาย สังคม และรัฐของมนุษย์ก็เกิดขึ้นตามพระประสงค์ ของพระเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งวิธีคิดนี้ได้กลายมาเป็นรากฐานให้กับ “ลัทธิเทวสิทธิ์” (Divine Right)

24. ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรจะเป็นมนุษย์ก่อนสิ่งอื่นใด และเป็นพลเมืองของรัฐในอันดับถัดไป มันคงไม่ถูกต้องนัก ที่จะมอบความเคารพให้แก่กฎหมายยิ่งกว่าความถูกต้องเที่ยงธรรม พันธะหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามก็คือ การกระทําในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องในทุกสถานการณ์
ตอบ 5 หน้า 80 – 81 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) เคยถูกจับขังคุกเนื่องจากเขา ปฏิเสธการจ่ายภาษีให้กับรัฐ โดยเขาอ้างว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นสิ่งที่ขัดกับมโนธรรมของเขา เขาจึงไม่ต้องเชื่อฟัง ซึ่งภายหลังจากที่ธอโรออกจากคุกก็ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ใน
บทความชื่อว่า “Resistance to Civil Government” (การขัดขืนต่อรัฐบาลพลเรือน) โดยมี เนื้อหาบางส่วนดังนี้ “ ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรจะเป็นมนุษย์ก่อนสิ่งอื่นใด และเป็นพลเมืองของรัฐ ในอันดับถัดไป มันคงไม่ถูกต้องนักที่จะมอบความเคารพให้แก่กฎหมายยิ่งกว่าความถูกต้อง เที่ยงธรรม พันธะหน้าที่เพียงหนึ่งเดีย งหนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามก็คือ การกระทําในสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าถูกต้องในทุกสถานการณ์”

25. Two Treatises of Government
ตอบ 4 หน้า 39, 73 – 75 จอห์น ล็อค (John Locke) นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษ ได้เสนอ แนวคิดเรื่อง “สิทธิแห่งการปฏิวัติ” (Right of Revolution) ไว้ในหนังสือเรื่อง “Two Treatises of Government” (ตําราสองเล่มเกี่ยวกับการปกครอง) โดยล็อคเห็นว่า พลเมืองต้องเชื่อฟัง กฎหมายเฉพาะเรื่องที่ได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ต้องเชื่อฟัง และเมื่อใดก็ตาม ที่รัฐบาลทําหน้าที่บกพร่องหรือไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ประชาชนให้ไว้ ประชาชนก็มีสิทธิที่จะ ไม่เชื่อฟังกฎหมายหรือรัฐบาล และสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ โดยประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน ว่ารัฐบาลทําหน้าที่บกพร่องหรือไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ประชาชนให้ไว้หรือไม่ ดังที่ล็อค ได้กล่าวว่า “ใครจะเป็นคนตัดสินในกรณีที่ผู้ปกครอง หรือผู้ออกกฎหมายกระทําการขัดแย้งกับ ความไว้วางใจที่ได้รับมอบมา…เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอตอบว่า ประชาชนนั่นเองที่จะเป็น ผู้ตัดสิน คนที่จะต้องถูกตัดสินไม่ว่าจะในกรณีที่ผู้ได้รับมอบหมายความไว้วางใจหรือตัวแทนจะ ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือไม่ก็ตาม แม้ว่าอํานาจในการไว้วางใจนั้นจะยังคงอยู่กับเขา แต่ผู้ที่แต่งตั้งตัวแทนโดยการมอบอํานาจความไว้วางใจให้จะต้องมีอํานาจในการเรียกคืนความไว้วางใจ จากตัวแทนในกรณีที่เขาละเมิดความไว้วางใจ…”

26. ใครจะเป็นคนตัดสินในกรณีที่ผู้ปกครอง หรือผู้ออกกฎหมายกระทําการขัดแย้งกับความไว้วางใจที่ได้รับ มอบมา เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอตอบว่า ประชาชนนั่นเองที่จะเป็นผู้ตัดสิน คนที่จะต้องถูกตัดสิน ไม่ว่าจะในกรณีที่ผู้ได้รับมอบหมายความไว้วางใจหรือตัวแทนจะปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือไม่ก็ตาม
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ

27. Command Theory of Law
ตอบ 1 หน้า 58 จอห์น ออสติน (John Austin) นักปรัชญากฎหมายชาวอังกฤษ ได้เสนอทฤษฎี การบังคับบัญชาของกฎหมาย (Command Theory of Law) โดยอธิบายว่า “คําสั่งใด ๆ ของ ผู้มีอํานาจนั้นจะเป็นกฎหมายหรือไม่ ต้องพิจารณาจากประเด็นในเรื่องที่ว่า ถ้ามีคนใดคนหนึ่ง ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายนั้นสามารถลงโทษได้หรือไม่ ถ้าลงโทษได้ คําสั่งนั้นก็คือกฎหมาย” ซึ่ง ทฤษฎีนี้เองเป็นรากฐานของคําอธิบายที่ว่า มนุษย์จําเป็นต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะถ้าไม่เชื่อฟัง กฎหมายก็จะลงโทษผู้นั้นตามบทบัญญัติ

28. พลเมืองไม่ต้องเชื่อฟังรัฐ ถ้ารัฐมาบังคับให้พลเมืองนับถือศาสนาตามรัฐ หรือรัฐมาออกกฎหมายไม่ให้ เพศเดียวกันแต่งงาน หรือแม้แต่ถ้ารัฐออกกฎหมายเกณฑ์แรงงาน
ตอบ 4 หน้า 74 จอห์น ล็อค (John Locke) เห็นว่า พลเมืองต้องเชื่อฟังกฎหมายเฉพาะเรื่องที่ตกลง กับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ต้องเชื่อฟัง ซึ่งข้อตกลงที่ประชาชนทําไว้กับรัฐก็คือการให้ รัฐปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน และเป็นคนกลางตัดสินในกรณีที่เกิดข้อพิพาทระหว่างประชาชน ดังนั้นเองข้อตกลงระหว่างประชาชนกับรัฐจึงมีเพียงหลักการในสองเรื่องนี้เป็นหลัก ส่วนเรื่องอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้รัฐไม่มีสิทธิที่จะมาบังคับประชาชนได้ ตัวอย่างเช่น ถ้ารัฐมาบังคับให้ พลเมืองนับถือศาสนาตามรัฐ หรือรัฐมาออกกฎหมายไม่ให้เพศเดียวกันแต่งงาน หรือแม้แต่ ถ้ารัฐออกกฎหมายเกณฑ์แรงงาน พลเมืองก็ไม่จําเป็นต้องเชื่อฟัง

29. Euthyphro, Apology, Crito
ตอบ 2 หน้า 60 – 61 แนวคิดของโสเครตีส (Socrates) ที่อธิบายว่า “เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว” นั้น แสดงออกมาผ่านบทสนทนาเรื่อง “ยูไธโฟร” (Euthyphro) “อโพโลจี” (Apology) และ “ไครโต” (Crito) ที่เขียนโดยเพลโต (Plato) ทั้งนี้โสเครตีสไม่เคยเขียนหนังสือทิ้งไว้ให้ศึกษาเลย แต่เราสามารถทราบแนวคิดและ เรื่องราวต่าง ๆ ของโสเครตีสได้โดยผ่านงานเขียนของเพลโตผู้เป็นลูกศิษย์ของเขานั่นเอง

30.Martin Luther King, Jr.
ตอบ 5 หน้า 78 – 79 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) เห็นว่า เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา โดยแนวคิดนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อมหาตมะ คานธี (Mahatma Gandhi) ผู้นําของอินเดียในการเรียกร้องเอกราชจากอังกฤษ และมาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ (Martin Luther King, Jr.) ผู้นําทางการเมืองที่เรียกร้องความเท่าเทียมกันของ พลเมืองในอเมริกา โดยแนวคิดของธอโรในปัจจุบันถูกเรียกว่า “อารยะขัดขืน” หรือ “การขัดขืน ในฐานะที่เป็นพลเมือง” (Civil Disobedience)

ตั้งแต่ข้อ 31. – 35. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Liberal Democracy
(2) Dictatorship
(3) Direct Democracy
(4) Socialism
(5) Capitalism

31. การปกครองที่มีการรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญ
ตอบ 1 หน้า 85, (คําบรรยาย) การปกครองแบบประชาธิปไตย (Democracy) หรือเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democracy) เป็นการปกครองที่ประชาชนเจ้าของอํานาจอธิปไตยจะเป็นผู้เลือกผู้แทน ไปทําหน้าที่เป็นผู้ปกครองแทนตน และประชาชนมีสิทธิที่จะเรียกอํานาจคืนจากผู้ปกครองได้ หากผู้ปกครองไม่ทําตามพันธะสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน นอกจากนี้ยังเป็นการปกครองที่มี การรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด รวมทั้งมีการเคารพ ในสิทธิมนุษยชน และมีการแบ่งแยกอํานาจของผู้ปกครองด้วย

32. ผู้มีสิทธิทางการเมืองจะต้องทําทุกอย่างในทางการเมืองด้วยตนเอง
ตอบ 3 หน้า 8, (คําบรรยาย) การปกครองประชาธิปไตยแบบเอเธนส์ (Athenian Democracy) เป็นการปกครองที่ผู้มีสิทธิทางการเมืองจะต้องทําทุกอย่างในทางการเมืองด้วยตนเอง ซึ่งการปกครองแบบนี้พลเมืองชายเท่านั้นที่มีสิทธิทางการเมือง ส่วนเด็ก ผู้หญิง และ คนต่างชาติไม่มี เป็นการปกครองที่เหมาะกับเมืองที่มีขนาดเล็ก ไม่เหมาะกับรัฐสมัยใหม่ที่มีขนาดใหญ่และมีพลเมืองจํานวนมาก บางคนเรียกระบอบการปกครองแบบนี้ว่าเป็น “ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy)

33. ประชาธิปไตยแบบเอเธนส์
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

34. ระบบเศรษฐกิจที่เชื่อในเรื่องกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ทุนนิยม (Capitalism) เป็นระบบเศรษฐกิจที่เอกชนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตและมีเสรีภาพในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่โดยที่รัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซง
ในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในระบบทุนนิยมนี้จะยินยอมให้ประชาชนมีกรรมสิทธิ์ใน ทรัพย์สินส่วนบุคคล (Private Property) รวมทั้งมีสิทธิและเสรีภาพในการเลือกบริโภคสินค้า และบริการได้อย่างเต็มที่

35. การปล่อยให้เศรษฐกิจดําเนินไปอย่างเสรีนั้นจะทําให้เกิดความอยุติธรรมในสังคม ดังนั้นรัฐบาลจะต้องเข้ามาแทรกแซง
ตอบ 4 (คําบรรยาย) สังคมนิยม (Socialism) เป็นระบบเศรษฐกิจที่รัฐบาลเข้าไปควบคุมการดําเนิน กิจกรรมทางเศรษฐกิจเองทั้งหมด เพราะมองว่าการปล่อยให้เศรษฐกิจดําเนินไปอย่างเสรีนั้น จะทําให้เกิดความอยุติธรรมในสังคม ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเข้าไปแทรกแซงเพื่อให้เกิดความ ยุติธรรมในการกระจายผลผลิตแก่ประชาชน

ตั้งแต่ข้อ 36 – 45. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Jean Jacques Rousseau
(2) Montesquieu
(3) John Locke
(4) Thomas Jefferson
(5) ไม่มีตัวเลือกใดสัมพันธ์กับโจทย์คําถาม

36. นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษที่เสนอเรื่องสิทธิในการปฏิวัติ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ

37. นักปรัชญาการเมืองชาวเจนีวาเชื่อว่าอํานาจอธิปไตยต้องเป็นของประชาชน
ตอบ 1 (คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักปรัชญาการเมืองชาวเจนีวา ได้เสนอแนวคิดไว้ในหนังสือเรื่อง “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) โดยมีความเชื่อว่า อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน หรืออํานาจจะต้องอยู่ที่ประชาชน โดยรุสโซได้อธิบายเรื่องนี้ ผ่านแนวคิดเรื่องเจตจํานงทั่วไป (General Will) ที่สนับสนุนให้ประชาชนทุก ๆ คนมีอํานาจ ในการปกครองโดยตรงผ่านการออกเจตจํานงทั่วไป ซึ่งหมายถึงการตัดสินใจของปัจเจกบุคคลที่คํานึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมหรือผลประโยชน์สาธารณะในฐานะที่ประชาชนแต่ละคนนั้น เป็นส่วนหนึ่งขององคาพยพทั้งหมดของสังคมที่ไม่สามารถแบ่งแยกออกจากกันได้

38. นักปรัชญาการเมืองที่เสนอให้แบ่งแยกอํานาจออกจากกันเพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ
ตอบ 2 หน้า 120, (คําบรรยาย) มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) เป็นนักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศส ที่เสนอให้แบ่งแยกอํานาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่ อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และ อํานาจตุลาการ เพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ โดยมงเตสกิเออร์ได้เสนอแนวคิดดังกล่าวไว้ใน หนังสือเรื่อง “The Spirit of Laws” (De l’esprit des lois) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1748

39. คําประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา
ตอบ 4 หน้า 77 – 78 โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) หนึ่งในบรรดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกาได้นําแนวคิดสิทธิแห่งการปฏิวัติของจอห์น ล็อค (John Locke) มาใช้ในการประกาศอิสรภาพ ของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1776 ซึ่งมีข้อความดังนี้ “เรายึดถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระเจ้า ผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการอันเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดาสิทธิเหล่านั้น ได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข เพื่อที่จะคุ้มครองสิทธิเหล่านั้นให้มั่นคง รัฐบาลจึงถูก สถาปนาขึ้นในหมู่มวลมนุษย์ โดยได้อํานาจที่ยุติธรรมอันเนื่องมาจากความยินยอมของผู้ที่อยู่ใต้ การปกครอง…. แต่เมื่อการใช้อํานาจไปในทางที่ผิดและการช่วงชิงอํานาจมีอยู่อย่างยาวนาน โดยมุ่งหมายต่อวัตถุประสงค์เดิมอย่างไม่เสื่อมคลาย จนชี้ให้เห็นว่ามีแผนการที่จะกดพวกเขาลง ภายใต้การปกครองโดยเด็ดขาดของคน ๆ เดียวแล้ว ย่อมเป็นสิทธิ ย่อมเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะ ล้มล้างรัฐบาลเช่นนั้น และจัดหาเครื่องป้องกันใหม่สําหรับความมั่นคงในอนาคตของพวกเขา”

40. เรายึดถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระเจ้าผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการอันเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดา สิทธิเหล่านั้น ได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

41. เมื่อการใช้อํานาจไปในทางที่ผิดและการช่วงชิงอํานาจมีอยู่อย่างยาวนาน โดยมุ่งหมายต่อวัตถุประสงค์เดิม อย่างไม่เสื่อมคลาย จนชี้ให้เห็นว่ามีแผนการที่จะกดพวกเขาลงภายใต้การปกครองโดยเด็ดขาดของคน ๆ เดียว แล้ว ย่อมเป็นสิทธิ ย่อมเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะล้มล้างรัฐบาลเช่นนั้น และจัดหาเครื่องป้องกันใหม่ สําหรับความมั่นคงในอนาคตของพวกเขา
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

42. ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้น จํานวนผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะเกินไป ผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไปและก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้
ตอบ 5 หน้า 122 – 123 เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ได้กล่าวเตือนเกี่ยวกับการปกครองแบบ ตัวแทนไว้ว่า จํานวนผู้แทนนั้นไม่ควรจะมีมากหรือน้อยเกินไป กล่าวคือ ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้นจํานวน ผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะ เกินไปผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไป และก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้

43. นักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศสที่เสนอว่าประชาชนควรมีอํานาจปกครองทางตรงในท้องถิ่น แต่ในระดับประเทศควรเลือกผู้แทนไปปกครอง
ตอบ 2 (คําบรรยาย) มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) นักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศส เสนอว่า ประชาชนควรมีอํานาจปกครองทางตรงในท้องถิ่น แต่ในระดับประเทศควรเลือกผู้แทนไปปกครอง

44. มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกหนทุกแห่งอยู่ภายใต้พันธนาการ
ตอบ 1 หน้า 137, (คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ได้กล่าวไว้ใน บรรทัดแรกของหนังสือ “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ว่า “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหนเขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน (Man is born free but everywhere is in chains)… การละทิ้งเสรีภาพนั้นก็คือการละทิ้งความเป็นคน ตลอดจนเป็นการละทิ้งสิทธิและ หน้าที่แห่งมนุษยชาติ ไม่มีการชดเชยใด ๆ เป็นไปได้สําหรับผู้ที่ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนี้ การละทิ้งนี้ขัดต่อธรรมชาติของมนุษย์ และการลบล้างเสรีภาพทั้งหมดออกจากเจตจํานงของเขา ก็คือการลบล้างศีลธรรมทั้งหมดออกจากการกระทําของเขา”

45. เสรีภาพคือสิ่งที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์
ตอบ 1 หน้า 136 – 137 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เสนอว่า ธรรมชาตินั้น กําหนดให้สัตว์ทุกตัวดํารงชีวิตหรือทําอะไรก็แล้วแต่เป็นไปตามแรงกระตุ้นจากสัญชาตญาณและแม้ว่ามนุษย์นั้นจะได้รับแรงกระตุ้นดังกล่าวเหมือนกับสัตว์อื่น ๆ แต่มนุษย์ก็มีเสรีภาพ ในการเลือกที่จะทําตามหรือไม่ทําตาม (Liberty to Acquiesce or Resist) มนุษย์เป็น สัตว์ประเภทเดียวที่มีเสรีภาพนี้ และเสรีภาพดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากสัตว์ หรือทําให้มนุษย์มีความแตกต่างจากสัตว์ โดยรุสโซเรียกคุณสมบัตินี้ว่า “Quality of Free Agency”

ตั้งแต่ข้อ 46. – 50. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Edmund Burke
(2) John Stuart Mill
(3) Jean Paul Sartre
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) Niccolo Machiavelli

46. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “ผู้ปกครองเป็นใครก็ได้ ขอให้รักษาอํานาจรัฐและอํานาจผู้ปกครองไว้ได้ก็พอ”
ตอบ 5 หน้า 128, 130, (คําบรรยาย) นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) ผู้เขียนหนังสือ เรื่อง “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) กล่าวว่า ผู้ปกครองที่ดีคือผู้ปกครองที่สามารถรักษารัฐ รักษาอํานาจ หรือคงสถานะในการเป็นผู้ปกครองไว้ได้ ดังนั้นผู้ปกครองตามความคิดของ แมคคิอาเวลลีจึงเป็นใครก็ได้ แต่ขอให้รักษาอํานาจรัฐและอํานาจผู้ปกครองไว้ได้ก็พอ

47. นักปรัชญาการเมืองที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมสมัยใหม่
ตอบ 1 หน้า 124, 155 เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) บิดาแห่งแนวคิดอนุรักษนิยมสมัยใหม่ วิจารณ์เสรีภาพที่หมายถึงการทําอะไรก็ได้ตามอําเภอใจและไม่ถูกพันธนาการด้วยอะไรเลยนั้น เป็นเสรีภาพที่ไม่ต่างอะไรกับเสรีภาพของคนบ้า โจรลักทรัพย์ และพวกฆาตกร ซึ่งตามความคิด ของเบิร์กมองว่า เสรีภาพที่อยู่ภายในสังคมภายใต้กฎเกณฑ์หรือระเบียบของสังคมคือเสรีภาพ ที่แท้จริงต่างหาก หรือกล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือ เสรีภาพที่ดีต้องเป็นเสรีภาพที่ผ่านการจัดระเบียบ ของสังคม ผ่านการลองผิดลองถูก หรือผ่านการวิวัฒนาการมาอย่างยาวนานจนสถาปนาให้กลาย มาเป็นบรรทัดฐานหรือกฎหมายต่างหากคือเสรีภาพที่แท้จริง ดังนั้นเสรีภาพตามความคิด ของเบิร์กจึงเป็นเสรีภาพที่สังคมหรือรัฐเป็นผู้กําหนดขึ้นมา ไม่ใช่เสรีภาพที่ติดตัวมาตั้งแต่กําเนิดหรือเป็นสิทธิตามธรรมชาติที่ไม่มีใครสามารถพรากไปได้ตามแบบความคิดของพวกเสรีนิยม

48. นักปรัชญาการเมืองคนใดกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “ข้าพเจ้ามองประโยชน์สุขว่าเป็นสิ่งดึงดูดใจอันสูงสุด ในปัญหาทางจริยธรรมทั้งหมด แต่กระนั้นมันต้องเป็นประโยชน์สุขในความหมายที่กว้างที่สุด ซึ่งมีพื้นฐาน
อยู่บนผลประโยชน์อันถาวรของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ก้าวหน้า….”

ตอบ 2 หน้า 149 – 150 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ต้องการให้สังคมนั้นมีเสรีภาพ กว้างขวางออกไปอย่างมากที่สุด เพราะเขามองว่าการที่สังคมยินยอมให้เสรีภาพมีการขยายออกไปอย่างกว้างขวางมันจะก่อให้เกิดประโยชน์สุขกับคนจํานวนมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น ในเรื่องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งมิลล์ได้กล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้ามองประโยชน์สุขว่า เป็นสิ่งดึงดูดใจอันสูงสุดในปัญหาทางจริยธรรมทั้งหมด แต่กระนั้นมันต้องเป็นประโยชน์สุขในความหมายที่กว้างที่สุด ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนผลประโยชน์อันถาวรของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต ที่ก้าวหน้า…. ถ้ามนุษยชาติทั้งมวล ยกเว้นคนเพียงคนเดียวจะมีความเห็นเป็นอย่างเดียวกัน และคน ๆ เดียวนั้นเองกลับมีความเห็นไปในทางตรงกันข้าม ถึงกระนั้นมนุษยชาติก็ไม่มีเหตุผล อันสมควรที่จะปิดปากคน ๆ นั้น… การไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นเนื่องจากแน่ใจว่ามันผิด ก็คือ การสรุปเอาเองว่า ความแน่ใจของพวกเขาเป็นสิ่งเดียวกันกับความจริงขั้นเด็ดขาด การปิดปาก ไม่ให้โต้เถียงกันทุกประการนั้นเป็นข้อสมมุติฐานว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ เราอาจ ยอมให้การประณามคัดค้านความคิดเห็นดังกล่าวมาจากการโต้เถียงร่วมกันเช่นนี้ได้ แต่ไม่ใช่จะให้เกิดความคิดเห็นร่วมกันไปหมดทุกอย่างจนถูกประณามไปในที่สุด”

49. นักปรัชญาการเมืองคนใดกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “การไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นเนื่องจากแน่ใจว่ามันผิดก็คือการสรุปเอาเองว่า ความแน่ใจของพวกเขาเป็นสิ่งเดียวกันกับความจริงขั้นเด็ดขาด การปิดปากไม่ให้ โต้เถียงกันทุกประการนั้นเป็นข้อสมมุติฐานว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ เราอาจยอมให้การประณาม คัดค้านความคิดเห็นดังกล่าวมาจากการโต้เถียงร่วมกันเช่นนี้ได้ แต่ไม่ใช่จะให้เกิดความคิดเห็นร่วมกันไปหมดทุกอย่างจนถูกประณามไปในที่สุด”
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 48. ประกอบ

50. นักปรัชญาการเมืองคนใดกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมา อย่างเสรี โดยมีเงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปรายอย่าง เป็นธรรม…. หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน คําพาดพิงถึงเรื่องส่วนตัว และอะไรทํานองนั้น…. และตราบเท่าที่สิ่งที่เราทําไปมิได้ทําอันตรายแก่เพื่อนร่วมโลกคนอื่น แม้ว่าคนอื่นอาจจะคิดว่าความประพฤติ ของเราเป็นสิ่งที่โง่เขลา วิปริตหรือผิดก็ตาม”
ตอบ 2 หน้า 152 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เสนอว่า สังคมควรมีการอนุญาตให้เสรีภาพ ต่อมนุษย์ทุกคนอย่างกว้างขวางที่สุด แต่กระนั้นการให้เสรีภาพตามความคิดของมิลล์ใช่ว่าจะ ไม่มีข้อจํากัด โดยมิลล์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างเสรี โดยมีเงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปราย อย่างเป็นธรรม… หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน คําพาดพิงถึงเรื่องส่วนตัว และอะไร ทํานองนั้น และตราบเท่าที่สิ่งที่เราทําไปมิได้ทําอันตรายแก่เพื่อนร่วมโลกคนอื่น แม้ว่าคนอื่นอาจจะคิดว่าความประพฤติของเราเป็นสิ่งที่โง่เขลา วิปริตหรือผิดก็ตาม”

51.ลองวาดภาพเรื่องที่เกิดขึ้นบนเรือทั้งหลายหรือบนเรือสักลําหนึ่ง วาดกัปตันเรือให้สูงและแข็งแรงกว่า ใคร ๆ ทุกคนบนเรือ แต่หูอื้อตาฟาง ตลอดจนมีความรู้ในการเดินเรือพอ ๆ กับหูและตาของเขา และต่อมาขอให้วาดภาพลูกเรือที่ทะเลาะวิวาทกันเพื่อแย่งกันถือหางเสือ ต่างคนก็อ้างว่าตนมีสิทธิจะถือหางเสือเรือได้ แม้ไม่เคยจะเรียนวิชาดังกล่าว และไม่อาจบอกได้ว่าใครเป็นครูสอนพวกเขา และเคยเรียนมาตั้งแต่เมื่อไร… สถานการณ์เปรียบเทียบรัฐเหมือนกับเรือ (Ship of State) ข้อใดถือเป็นทางแก้ไขและตัดสินว่าใครควรจะ เป็นผู้ปกครองเรือ (รัฐ)
(1) บุคคลที่ได้รับการคัดสรรมาแล้ว
(2) บุคคลที่ปกครองเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
(3) บุคคลที่มาจากประชาชน
(4) บุคคลที่ประชาชนเชื่อฟัง
(5) ใครก็ได้ที่สามารถรักษาเรือ (รัฐ) ไว้ได้
ตอบ 1 หน้า 87 – 88, (คําบรรยาย) จากอุปมาดังกล่าว เพลโต (Plato) มองว่า รัฐก็เหมือนกับเรือ (Ship of State) ซึ่งการเดินเรือหรือการนํารัฐให้เดินหน้าหรือไปในทิศทางที่ต้องการได้นั้น จําเป็นที่จะต้องมีผู้ควบคุมเรือหรือผู้ควบคุมรัฐ ดังนั้นคนที่ควรทําหน้าที่เป็นคนเดินเรือหรือกัปตันเรือก็ควรที่จะต้องมีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับการเดินเรือ ไม่ใช่กะลาสีเรือหรือคนงานบนเรือจะสามารถมาทําหน้าที่เดินเรือได้ ซึ่งก็เหมือนกับการปกครองรัฐที่ควรนําคนที่มีความรู้ความสามารถหรือคนที่ถูกฝึกมาอย่างเฉพาะทางในเรื่องการปกครองรัฐมาเป็นผู้ปกครอง ดังนั้นตามความคิดของเพลโตผู้ปกครองจึงควรเป็นบุคคลที่ได้รับการคัดสรรมาแล้วว่ามีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับการเป็นผู้ปกครอง ไม่ใช่เอาประชาชนหรือใครมาเป็นก็ได้

52. รัฐที่กําเนิดขึ้นมาจากความบังเอิญตามปรัชญาการเมืองของฌอง ฌากส์ รุสโซ เป็นรัฐที่เลวและต้องก่อตั้ง สังคมใหม่ด้วยการทําสัญญาประชาคมเพราะเหตุใด
(1) รัฐมีรูปแบบการปกครองแบบทรราช
(2) รัฐมีรูปแบบการปกครองแบบคณาธิปไตย
(3) รัฐมีรูปแบบการปกครองแบบประชาธิปไตย
(4) รัฐมีรูปแบบการปกครองแบบชนชั้นน่า
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 94, 140, (คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) อธิบายว่า รัฐตาม ความคิดของเขาเกิดขึ้นมาจากความบังเอิญและเป็นรัฐที่เลว ซึ่งจําเป็นต้องก่อตั้งสังคมใหม่ด้วย การทําสัญญาประชาคม เพราะรัฐดังกล่าวมีรูปแบบการปกครองแบบชนชั้นนํา ดังนั้นประชาชน ต้องยกเลิกรัฐเดิมและมาตกลงกันว่าจะรวมตัวภายใต้หลักการใหม่คือ ทุกคนยอมยกเสรีภาพ ตามธรรมชาติทั้งหมดที่แต่ละคนมีให้กับการรวมตัวแบบใหม่ ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้เสรีภาพแบบใหม่ ที่เป็นเสรีภาพในสังคมขึ้นมาแทน ซึ่งเสรีภาพที่ว่านี้ก็คือ การที่คน ๆ หนึ่งได้รับการปกป้องชีวิต และทรัพย์สินของเขา หรือการมีรัฐบาลที่ปกป้องทรัพย์สินของประชาชนนั่นเอง

53. ข้อใดคือเกณฑ์ของอริสโตเติลที่ใช้สําหรับการจําแนกรูปแบบการปกครอง
(1) คุณธรรมของพลเมืองในรัฐ
(2) การตัดสินโดยประชาชนในรัฐ
(3) จํานวนผู้ใช้อํานาจกับเป้าหมาย
(4) ธรรมชาติของผู้ปกครอง
(5) คุณธรรมของผู้ปกครอง
ตอบ 3หน้า 103 – 104 อริสโตเติล (Aristotle) ได้จําแนกรูปแบบการปกครองโดยใช้เกณฑ์ 2 ประการ คือ
1. จํานวนของผู้ใช้อํานาจทางการเมืองการปกครอง
2. เป้าหมายของการใช้อํานาจ ในการปกครอง

54. ข้อใดเป็นทางแก้ไขปัญหาเพื่อยุติวงจรหรือวัฏจักรรูปแบบการปกครอง
(1) ยึดอํานาจรัฐ
(2) คัดสรรบุคคลด้วยระบบการศึกษา
(3) ทําสัญญาประชาคมใหม่
(4) แสวงหาเจตจํานงทั่วไป
(5) แสวงหารูปแบบปกครองแบบผสม
ตอบ 5 หน้า 110 – 112, (คําบรรยาย) ซิเซโร (Cicero) รัฐบุรุษชาวโรมัน มองว่า รูปแบบการปกครอง ของรัฐต่าง ๆ มีการหมุนเวียนเป็นวงจรหรือวัฏจักร (Cycle) ดังนั้นเพื่อที่จะยุติวงจรดังกล่าวนี้ รัฐจะต้องเอารูปแบบการเมืองทั้งสามแบบมาผสมกัน อันได้แก่ รูปแบบการปกครองคนเดียวหรือราชาธิปไตย (Monarchy) การปกครองโดยกลุ่มหรืออภิชนาธิปไตย (Aristocracy) และ การปกครองโดยคนจํานวนมากหรือประชาธิปไตย (Democracy) เพื่อดึงส่วนที่แต่ละอย่างออกมา และสร้างเป็นรูปแบบการปกครองใหม่ที่เรียกว่า “การปกครองแบบผสม” (Mixed Constitution/ Mixed Government) เพราะเขาเชื่อว่าการปกครองแบบผสมจะสร้างความเจริญรุ่งเรืองและ ความมั่นคงทางการเมืองให้กับรัฐได้

55.ประชาธิปไตยนั้นคือ การปกครองของนักการเมือง คํากล่าวข้างต้นเป็นของนักปรัชญาการเมืองท่านใด
(1) ฌอง ฌากส์ รุสโซ
(2) คาร์ล มาร์กซ์
(3) โจเซฟ ชุมปีเตอร์
(4) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(5) โจเซฟ สตาลิน
ตอบ 3 หน้า 124 – 125 โจเซฟ ชุมปีเตอร์ (Joseph Schumpeter) นักปรัชญาการเมืองชาวออสเตรีย เป็นผู้เขียนงานเรื่อง “Capitalism, Socialism and Democracy” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1942 เขาได้เสนอทฤษฎีประชาธิปไตยว่าเป็นการปกครองด้วยตัวแทนที่ถูกเลือกเข้ามา ไม่ใช่การปกครองของประชาชน การปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นเพียงแค่กลไกในการให้ผู้นําทางการเมือง มาแข่งขันเพื่อเข้าไปใช้อํานาจเท่านั้น ดังที่เขากล่าวว่า “คําว่าประชาธิปไตย ไม่ได้หมายความ และสามารถหมายความถึง การปกครองที่ประชาชนเข้าไปทําหน้าที่ปกครองจริง ๆ ตามตัวอักษร ของคําที่ว่า “ประชาชน” กับ “การปกครอง” แต่ประชาธิปไตยนั้นหมายถึงแค่การปกครองที่ ประชาชนนั้นมีโอกาสในการที่จะยอมรับหรือปฏิเสธคนใดคนหนึ่งที่จะมาเป็นผู้ปกครองพวกเขาเท่านั้น… ดังนั้นเองในด้านหนึ่งเราอาจจะกล่าวได้ว่า ประชาธิปไตยนั้นคือ การปกครองของ นักการเมือง (Democracy is the Rule of the Politician)” ทั้งนี้วิธีคิดดังกล่าวภายหลัง ถูกเรียกว่าเป็น “ประชาธิปไตยแบบชุมปีเตอร์” (Schumpeterian Democracy)

56. ข้อใดเป็นคําถามเชิงปทัสถาน (Normative)
(1) ใครควรจะเป็นผู้ปกครอง
(2) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(3) รูปแบบการปกครองที่ดีที่สุดเป็นอย่างไร
(4) เราควรกระจายทรัพยากรในสังคมอย่างไร
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) คําถามเชิงปทัสถาน (Normative) เป็นคําถามที่นักปรัชญาการเมืองตั้งขึ้นมา เพื่อหาคําตอบถึงสิ่งที่ควรจะเป็นหรือสิ่งที่ควรจะทําในทางการเมือง เช่น ทําไมเราต้องอยู่ใน สังคมการเมือง ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย ใครควรจะเป็นผู้ปกครอง รูปแบบการปกครอง ที่ดีที่สุดเป็นอย่างไร เรามีเสรีภาพหรือไม่ เราควรจะกระจายทรัพย์สินหรือทรัพยากรในสังคม อย่างไร เป็นต้น

57. ประชาชนจะตัดสินทุกอย่างตามเสียงข้างมาก ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสิทธิและทรัพย์สินของเอกชน และไม่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของผลประโยชน์ส่วนรวมเพราะการให้ประชาชนดําเนินการในทุกเรื่องจะเกิดความวุ่นวาย หรือบางครั้งประชาชนขาดวาทศิลป์หรือเงียบเฉย ประชาชนไม่สามารถคิดถึงประโยชน์ของ คนส่วนใหญ่ได้ จึงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ “ผู้แทน” คําถามคือปรัชญาการเมืองดังกล่าวเป็นของ นักปรัชญาท่านใด
(1) เจมส์ เมดิสัน
(2) เจเรมี เบนแม
(3) โจเซฟ ชุมปีเตอร์
(4) เอ็ดมันด์ เบิร์ก
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1 (คําบรรยาย) เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ไม่เห็นด้วยที่จะให้ประชาชนเป็นผู้ออกกฎหมาย เพราะประชาชนจะตัดสินทุกอย่างตามเสียงข้างมาก ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสิทธิและทรัพย์สินของเอกชน และไม่สามารถสะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของผลประโยชน์ส่วนรวม การให้ประชาชนดําเนินการในทุกเรื่องจะเกิดความวุ่นวาย หรือบางครั้งประชาชนขาดวาทศิลป์หรือเงียบเฉย ประชาชนไม่สามารถคิดถึงประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ได้ จึงต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ “ผู้แทน”

58. นักปรัชญาการเมืองท่านใดเสนอว่าเสรีภาพต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบ
(1) ฌอง ฌากส์ รุสโซ
(2) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(3) เอ็ดมันด์ เบิร์ก
(4) เจเรมี เบนแธม
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 2 หน้า 148 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) มองว่า เสรีภาพไม่ใช่เรื่องของการที่มนุษ จะกระทําอะไรก็ได้ตามใจปรารถนาโดยไม่ต้องสนใจสิ่งใด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นมนุษย์ก็คง ไม่ต่างกับพวกคนป่าเถื่อนไร้อารยธรรมที่อยากจะฆ่าใครก็ได้ ทําอะไรก็ได้ ซึ่งมิลล์มองว่าการจะทําอะไรก็ได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแบบพวกคนป่าเถื่อนไร้อารยธรรมไม่ควรที่จะเรียกว่ามันคือเสรีภาพ แต่ควรจะเรียกว่าเป็นพฤติกรรมแบบเผด็จการของแต่ละคนที่กระทําต่อกัน ดังนั้นเองมิลล์จึงเสนอว่า เสรีภาพควรจะอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเสรีภาพก็ควรจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบด้วย

59. นักปรัชญาการเมืองท่านใดเสนอว่าเสรีภาพเป็นแค่เครื่องมือที่ทําให้มนุษย์พัฒนาไปได้
(1) ฌอง ฌากส์ รุสโซ
(2) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(3) ฌอง ปอล ซาร์ต
(4) เอ็ดมันด์ เบิร์ก
(5) เจเรมี เบนแม
ตอบ 2 หน้า 147 – 149, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เสนอว่า รัฐหรือสังคม จําต้องสถาปนาเสรีภาพให้เกิดขึ้นหรืออนุญาตให้มีอย่างกว้างขวางในสังคม เพราะเสรีภาพนั้น เป็นเครื่องมือที่จะทําให้มนุษย์สามารถพัฒนาตัวเองออกไปได้ ดังนั้นเสรีภาพจึงเป็นสิ่งสําคัญ และรัฐก็ไม่ควรที่จะมาละเมิดหรือพรากเสรีภาพของคนใดคนหนึ่ง ตัวอย่างของการแสดงออก ซึ่งเสรีภาพที่สังคมควรอนุญาตให้มีและให้การสนับสนุน เช่น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เป็นต้น

60. แนวคิดใดของฌอง ฌากส์ รุสโซที่ทําให้มนุษย์มีความแตกต่างจากสัตว์และเป็นศักยภาพที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กําเนิด
(1) ทรัพย์สิน
(2) ความรับผิดชอบ
(3) การเลือกที่จะทําหรือไม่ทําตาม
(4) ความปรารถนา
(5) ความเสมอภาค
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 45. ประกอบ

61. วิธีการทดลองทางความคิด “ม่านแห่งความไม่รู้” (Veit of Ignorance) ของจอห์น รอลส์ เสนอให้เรากระจายทรัพยากรเพื่อช่วยเหลือใครในสังคมการเมือง
(1) กลุ่มคนทุกกลุ่มในสังคม
(2) กลุ่มคนด้อยโอกาสที่สุดในสังคม
(3) กลุ่มคนที่มีความสามารถมากที่สุด
(4) กลุ่มคนที่มีทรัพย์สิน
(5) กลุ่มคนที่ใช้แรงงาน
ตอบ 2 หน้า 179 – 180, 186 – 187 จอห์น รอลส์ (John Rawts) ได้ใช้วิธีการทดลองทางความคิด (Thought Experiment) ในการอธิบายหลักการกระจายทรัพยากร โดยเขาได้จําลองสถานการณ์ หนึ่งขึ้นมาเพื่อให้ใครก็ได้ไปตัดสินใจภายใต้สภาวะดังกล่าวว่าเขาต้องการสังคมแบบใด และได้วาง เงื่อนไขภายใต้สภาวะของม่านแห่งความไม่รู้ (Veil of Ignorance) ซึ่งผู้ตัดสินใจจะไม่ทราบว่า ตนเป็นใคร มีสถานะอะไร ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ตัดสินใจเลือกหลักการทางสังคมใด ๆ ที่ เข้าข้างตนเอง โดยรอลส์เชื่อว่าถ้าคนตัดสินจากสภาวะดังกล่าวคนจะเลือกเอาหลักการแบบรัฐสวัสดิการที่รัฐจะต้องเข้ามาแทรกแซงช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาสในสังคม เพราะเป็นวิธีการ ที่ปลอดภัยที่สุดสําหรับผู้ตัดสินใจเมื่อเทียบกับหลักการความยุติธรรมอื่น ๆ

62. ข้อใดจัดว่าเป็นการแสดงออกซึ่งเสรีภาพที่สังคมควรอนุญาตให้มีและให้การสนับสนุนตามปรัชญาการเมืองของจอห์น สจ๊วต มิลล์
(1) เสรีภาพในการกระทําอะไรก็ได้ตามที่ตนต้องการ
(2) เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
(3) เสรีภาพในการมีทรัพย์สิน
(4) เสรีภาพที่ผ่านการจัดระเบียบของสังคม
(5) เสรีภาพที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 59. ประกอบ

63. นักปรัชญาการเมืองท่านใดวิจารณ์แนวคิดเรื่องเสรีภาพที่หมายถึง การกระทําอะไรก็ได้ตามอําเภอใจและไม่ถูกพันธนาการด้วยอะไรเลย
(1) ฌอง ฌากส์ รุสโซ
(2) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(3) ฌอง ปอล ซาร์ต
(4) เอ็ดมันด์ เบิร์ก
(5) เจเรมี เบนแธม
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 47. ประกอบ

64. สถานการณ์สมมติใดที่จะเกิดขึ้นภายหลังจากที่ทุกคนทําสัญญาประชาคมกันของฌอง ฌากส์ รุสโซ
(1) รัฐที่ผู้ปกครองมีอํานาจเด็ดขาด
(2) รัฐบาลที่มีอํานาจจํากัด
(3) รัฐบาลที่จัดสวัสดิการให้คนยากไร้
(4) รัฐบาลที่ปกครองตามเจตจํานงทั่วไป
(5) รัฐบาลที่ปกป้องทรัพย์สินของประชาชน
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

65. นักปรัชญาการเมืองท่านใดที่เสนอให้จํากัดอํานาจรัฐอยู่ในขอบเขตเฉพาะการดูแลประชาชนมิให้ละเมิดกติกา การโจรกรรม และการใช้กําลังระหว่างกัน
(1) โรเบิร์ต โนซิค
(2) เอ็ดมันด์ เบิร์ก
(3) โทมัส ฮอบส์
(4) ฌอง ปอล ซาร์ต
(5) ฌอง ฌากส์ รุสโซ
ตอบ 1 หน้า 188, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โนซิค (Robert Nozick) ได้เขียนหนังสือเรื่อง “Anarchy, State and Utopia” ในปี ค.ศ. 1974 โดยโนซิคได้แถลงจุดประสงค์ในหนังสือว่าเขาต้องการ จะหักล้างข้ออ้างที่เสนอโดยจอห์น รอลล์ที่ว่า รัฐขนาดใหญ่เป็นรัฐที่ชอบธรรมได้ก็เพราะว่า ความใหญ่โตของรัฐจะมีประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ซึ่งโนซิคไม่เห็นด้วย และเห็นว่ารัฐขนาดเล็ก (Minimal State) ต่างหากที่เป็นรัฐที่ชอบธรรม ซึ่งรัฐขนาดเล็กตาม ความคิดของโนซิคนั้นเป็นรัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนในระดับน้อยที่สุด ไม่ว่าจะในทางเศรษฐกิจหรือในทางการเมือง โดยรัฐจะทําหน้าที่เป็นเพียงคนเฝ้ายามคอยดูแลไม่ให้ ประชาชนละเมิดกติกาหรือข้อตกลงพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันเท่านั้น เช่น ป้องกันการฉ้อฉลการโจรกรรม หรือการใช้กําลังระหว่างกัน เป็นต้น

66. ข้อใดคือเหตุผลของเพลโตที่เสนอว่าผู้ปกครองควรจะเป็นบุคคลที่ได้รับการคัดสรรมาแล้ว
(1) ผู้ปกครองทําเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
(2) ผู้ปกครองเป็นบุคคลที่สามารถบรรลุเป้าหมายของการเป็นมนุษย์
(3) ผู้ปกครองมีธรรมชาติของการเป็นผู้ปกครอง
(4) ผู้ปกครองเป็นบุคคลที่สามารถรักษารัฐเอาไว้ได้
(5) ผู้ปกครองเป็นบุคคลที่ทําตามเจตจํานงของประชาชน
ตอบ 3 หน้า 85, 87, 132 เพลโต (Plato) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “The Republic” ว่า ผู้ปกครองนั้นควรเป็นบุคคลที่ได้รับการคัดสรรมาแล้ว ไม่ใช่เอาประชาชนหรือใครมาเป็นก็ได้ ซึ่งตามความคิดของเพลโตนั้นมองว่ามนุษย์แต่ละคนมีความถนัดที่ถูกกําหนดมาจากธรรมชาติแตกต่างกัน ซึ่งรวมถึงผู้ปกครองด้วยเพราะการปกครองก็ถือว่าเป็นทักษะหนึ่งที่เฉพาะทางไม่ต่างกับช่าง หมอ หรือการงานหน้าที่อื่น ๆ ดังนั้นผู้ปกครองจึงไม่ควรที่จะเป็นใครก็ได้ แต่ควรเป็นคนที่มี ธรรมชาติเป็นผู้ปกครอง และมีทักษะ ตลอดจนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี

67. ข้อใดเป็นคุณธรรมสําหรับผู้ปกครองตามปรัชญาการเมืองของแมคคอาเวลลี
(1) ความสุขุมรอบคอบ
(2) ความมีไหวพริบ
(3) ทําตนเป็นที่หวาดกลัวมากกว่าเป็นที่รัก
(4) ทําดีละเว้นชั่ว หรือทําชั่วหากรักษารัฐไว้ได้
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 130 – 132, (คําบรรยาย) ตามปรัชญาการเมืองของนิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) คุณธรรมสําหรับผู้ปกครอง (Virtue) หมายถึง คุณสมบัติบางประการที่เหมาะสม สําหรับผู้ปกครองที่จะรักษารัฐไว้ได้ ซึ่งได้แก่
1. ทําดีละเว้นชั่ว หรือทําชั่วหากรักษารัฐไว้ได้
2. ทําตนเป็นที่หวาดกลัวมากกว่าเป็นที่รัก
3. ความสุขุมรอบคอบ (Prudenzia/Prudence) 4. ความมีไหวพริบ (Astuzia/Astuteness)

68. ข้อใดเป็นทางแก้ไขให้กรรมกรสามารถหลุดพ้นจากความสัมพันธ์ทางการผลิตที่ขูดรีดมูลค่าส่วนเกิน โดยคาร์ล มาร์กซ์
(1) การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
(2) การจัดสวัสดิการโดยรัฐบาล
(3) การปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพ
(4) การจัดตั้งสหภาพแรงงาน
(5) การออกกฎหมายเพื่อควบคุมกิจการของนายทุนโดยรัฐบาล
ตอบ 3 หน้า 174 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ได้เสนอแนวคิดการปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพเพื่อให้ กรรมกรหลุดพ้นจากความสัมพันธ์ทางการผลิตที่ขูดรีดมูลค่าส่วนเกิน โดยการปฏิวัติที่ว่าก็คือ พวกกรรมกรจะต้องเข้ายึดครองปัจจัยการผลิตและสถาปนารัฐสังคมนิยมที่เป็นรัฐของชนชั้น แรงงานขึ้นมา เพื่อปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางการผลิตอันกดขี่ที่มีมาในระบบทุนนิยม โดยแนวคิดของมาร์กซ์นี้ปรากฏอยู่ใน “แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์” (The Communist Manifesto) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1848

69. นักปรัชญาการเมืองท่านใดเสนอว่า การกระจายทรัพยากรควรจะกระจายอย่างเสรี
(1) ฌอง ฌากส์ รุสโซ
(2) จอห์น ล็อค
(3) ฌอง ปอล ซาร์ต
(4) เอ็ดมันด์ เบิร์ก
(5) เจเรมี เป็นแฮม
ตอบ 2 หน้า 162 จอห์น ล็อค (John Locke) เสนอว่า การกระจายทรัพย์สินหรือทรัพยากรในสังคม ควรจะกระจายอย่างเสรี คือ ใครทํา ใครหา ใครลงแรง คนนั้นก็ควรที่จะเป็นผู้ครอบครองทรัพยากร

70. แนวคิดใดของคาร์ล มาร์กซ์ที่ใช้วิจารณ์การกระจายทรัพย์สินอย่างเสรี
(1) ความสัมพันธ์ทางการเมือง
(2) ความสัมพันธ์ทุนทางสังคม
(3) ความสัมพันธ์ทางการผลิต
(4) ปัจจัยการผลิต
(5) ปัจจัยการสะสมทุน
ตอบ 3 หน้า 170 – 171, (คําบรรยาย) คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ได้วิจารณ์ระบบการกระจาย ทรัพยากรหรือทรัพย์สินอย่างเสรีว่าทําให้ชีวิตของผู้ใช้แรงงานหรือกรรมาชีพมีสภาพที่ย่ําแย่ อย่างมาก ซึ่งสภาพดังกล่าวเป็นผลมาจากรูปแบบความสัมพันธ์ทางการผลิตระหว่างชนชั้นนายทุนและกรรมกรไม่ความเป็นธรรมในการกระจายทรัพยากร นั่นก็เพราะเครื่องมือที่ใช้ในการผลิต สินค้าไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ต่าง ๆ เครื่องจักร ที่ดิน สถานประกอบการ ฯลฯ มีนายทุนเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครอง ส่วนกรรมกรนั้นมีเพียงแรงงานที่ติดตัวมาของแต่ละคนเท่านั้นที่ใช้ในการผลิต ด้วยความสัมพันธ์ในการผลิตเช่นนี้เอง นายทุนได้จ่ายค่าแรงหรือค่าจ้างให้กรรมกรเพื่อแลกกับแรงงานของพวกเขา และนายทุนก็ได้กําไรจากการผลิตสินค้าของแรงงาน โดย “กําไร” นี้เอง ที่เป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม เพราะนายทุนได้ไปขูดรีดเอา “มูลค่าส่วนเกิน” (Surplus Value)มาจากกรรมกรที่ใช้แรงงานในการผลิตสินค้า

71. ข้อใดคือปัจจัยการผลิตของกรรมกรตามปรัชญาการเมืองของคาร์ล มาร์กซ์
(1) ที่ดิน
(2) เครื่องจักร
(3) สถานประกอบการ
(4) แรงงาน
(5) ค่าจ้าง
ตอบ 4 หน้า 170, (คําบรรยาย) ตามปรัชญาการเมืองของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) นั้น ปัจจัย การผลิตของนายทุน ได้แก่ ที่ดิน แรงงาน วัสดุ เครื่องมือ เครื่องจักร สถานประกอบการ เป็นต้น ส่วนปัจจัยการผลิตของกรรมกร ได้แก่ แรงงานที่ติดตัวมาของกรรมกรแต่ละคน

72.“การเอาส่วนใดส่วนหนึ่งจากสิ่งที่เป็นของส่วนรวม (สิ่งที่เป็นอยู่อย่างสภาพธรรมชาติ) และนำมัน ออกมาจากสภาวะธรรมชาติ นั่นก็คือ การเริ่มต้นที่จะกลายมาเป็นทรัพย์สิน…” ข้อความดังกล่าว เป็นปรัชญาการเมืองของนักคิดท่านใด
(1) ฌอง ฌากส์ รุสโซ
(2) จอห์น ล็อค
(3) ฌอง ปอล ซาร์ต
(4) เอ็ดมันด์ เบิร์ก
(5) เจเรมี เป็นแรม
ตอบ 2 หน้า 162 – 163 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้อธิบายไว้ว่า สิ่งใด ๆ ก็ตามบนโลกนี้ที่มนุษย์ ได้นํามันออกมาจากสภาพธรรมชาติดั้งเดิม หรือทําการเปลี่ยนรูปแบบของมันให้ต่างออกไปจาก ลักษณะดั้งเดิม กล่าวคือ ด้วยการที่เขานําแรงงานของตัวเองไปผสมร่วมกับสิ่งนั้น ๆ ที่เคยเป็น สิ่งตามธรรมชาติจนมันมีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยวิธีการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนรูป ดัดแปลง ตัดต่อ ฯลฯ สิ่งของนั้น ๆ ก็จะกลายมาเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาโดยชอบธรรม และ คนอื่น ๆ ก็ไม่มีสิทธิต่อสิ่งนั้นอีกต่อไป ดังที่เขาได้กล่าวไว้ว่า “การเอาส่วนใดส่วนหนึ่งจากสิ่งที่ เป็นของส่วนรวม (สิ่งที่เป็นอยู่อย่างสภาพธรรมชาติ) และนํามันออกมาจากสภาวะธรรมชาติ นั่นก็คือ การเริ่มต้นที่จะกลายมาเป็นทรัพย์สิน… สิ่งต่าง ๆ จะกลายมาเป็นทรัพย์สินของข้าพเจ้า โดยไม่ต้องมีการยินยอมหรือได้รับมอบหมายจากบุคคลใด ๆ ก็ตาม เพราะว่าแรงงานเป็นของ ข้าพเจ้าที่ใช้ในการนําสิ่งนั้น ๆ ออกมาจากสภาวะธรรมชาติที่เป็นส่วนรวม…”

73. ข้อใดคือผลเสียที่เกิดขึ้นตามมาภายหลังจากการปล่อยให้เกิดการกระจายทรัพยากรอย่างเสรี
(1) ความยากจน
(2) ปัญหาเรื่องการกระจายรายได้
(3) ปัญหาคุณภาพชีวิต
(4) ค่าแรงขั้นต่ําไม่พอต่อการดํารงชีวิต
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) ผลเสียที่เกิดขึ้นตามมาภายหลังจากการปล่อยให้เกิดการกระจายทรัพยากร อย่างเสรี ได้แก่ ปัญหาความยากจน ปัญหาเรื่องการกระจายรายได้ ปัญหาคุณภาพชีวิต ปัญหาค่าแรงขั้นต่ําไม่พอต่อการดํารงชีวิต เป็นต้น

74. หลักความยุติธรรมในข้อใดตรงกับหลักการเรื่องรัฐเล็ก (Minimal State) ของโรเบิร์ต โนซิค
(1) หลักความยุติธรรมในการเก็บภาษี
(2) หลักความยุติธรรมในการจัดสรรความแตกต่าง
(3) หลักความยุติธรรมในการจัดสวัสดิการ
(4) หลักความยุติธรรมในการครอบครองตั้งต้น
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 หน้า 189, (คําบรรยาย) หลักความยุติธรรมที่ตรงกับหลักการเรื่องรัฐเล็ก (Minimal State) ของโรเบิร์ต โนซิค (Rebert Nozick) มี 2 ประการ คือ
1. หลักความยุติธรรมในการครอบครองตั้งต้น (Principle of Justice in Entitlement)
2. หลักความยุติธรรมในการถ่ายโอน (Principle of Justice in Transfer)

75. ข้อใดต่อไปนี้สัมพันธ์กับสภาวะธรรมชาติของรุสโซมากที่สุด
(1) มนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยว
(2) มนุษย์โหดร้ายป่าเถื่อน
(3) มนุษย์มีจิตใจโอบอ้อมอารี
(4) มนุษย์ชอบอยู่รวมกันเป็นสัตว์สังคม
(5) มนุษย์รักความยุติธรรมและเสรีภาพ
ตอบ 1 หน้า 50 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) มองว่า ในสภาวะธรรมชาติ มนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่ยุ่งเกี่ยวสัมพันธ์กับใคร ไม่มีใครสนใจใครหรือเปรียบเทียบระหว่างกัน สิ่งนี้เองที่ทําให้มนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาคกัน ไม่ใช่ว่ามีความเหมือนกันในความเป็นมนุษย์ แต่เพราะว่าทุก ๆ คนต่างก็อยู่คนเดียว ไม่มีใครสนใจใคร ทุกคนต่างก็เป็นนายตัวเอง มีอิสระ ต่อกัน และมีเสรีภาพอย่างเต็มที่

76. นายพลฟรังโก้ (Francisco Franco) มีคําสั่งห้ามนักเรียนศึกษาปรัชญาการเมืองของนักคิดท่านใด
(1) โรเบิร์ต โนซิค
(2) จอห์น รอลส์
(3) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(4) ฌอง ปอล ซาร์ต
(5) โจเซฟ ชุมปีเตอร์
ตอบ 3 หน้า 147 นายพลฟรังโก้ (Francisco Franco) มีคําสั่งห้ามนักเรียนศึกษาปรัชญาการเมือง ของจอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ซึ่งจากงานเขียนของโจนาธาน วูล์ฟ (Jonathan Wolff) ชี้ให้เห็นว่า นายพลฟรังโก้ไม่ได้กลัวความคิดของนักคิดเสรีนิยมคนอื่น หรือแม้แต่ ความคิดอันรุนแรงของมาร์กซ์เลย แต่กลับกลัวความคิดของมิลล์ เนื่องจากพลังของมิลล์ในการสนับสนุนเรื่องเสรีภาพนั้นมีความชัดเจนและยากที่จะโต้แย้งได้

77. การกําหนดคุณสมบัติการเลือกตั้งของบุคคลว่าต้องมีอายุขั้นต่ําจึงมีสิทธิในการเลือกตั้งขัดแย้งกับปรัชญาการเมืองข้อใด
(1) เสรีภาพ คือ สิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาแต่กําเนิด
(2) เสรีภาพเป็นสิ่งที่รัฐต้องให้การสนับสนุน
(3) เสรีภาพเป็นเครื่องมือทําให้มนุษย์พัฒนาไปได้
(4) เสรีภาพมีขอบเขตภายใต้กฎหมาย
(5) เสรีภาพเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดประโยชน์สุขกับคนจํานวนมากที่สุด
ตอบ 1 หน้า 148, (คําบรรยาย) การกําหนดคุณสมบัติการเลือกตั้งของบุคคลว่าต้องมีอายุขั้นต่ํา จึงมีสิทธิในการเลือกตั้งนั้นขัดแย้งกับปรัชญาการเมืองที่ว่า “เสรีภาพ คือ สิ่งที่ติดตัวมนุษย์ มาแต่กําเนิด” ตัวอย่างนี้สอดคล้องกับแนวคิดของจอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ถ้ามนุษย์ทุกคนนั้นมีเสรีภาพติดตัวมาตั้งแต่กําเนิดมันก็ไม่จําเป็นจะต้องไปห้าม หรือจํากัดพฤติกรรมของเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะในการทําเรื่องใดเรื่องหนึ่งทั้งสิ้น เพราะถ้าเชื่อว่าคนทุกคนมีเสรีภาพติดตัวมาตั้งแต่กําเนิด เขาต้องมีเสรีภาพในการเลือกผู้ปกครองหรือ ทําอะไรก็ได้ตามที่เขาอยากจะทํา ใครก็ไม่มีสิทธิที่จะไปห้ามหรือพรากเสรีภาพนั้นไปได้

78. รูปแบบการปกครองประชาธิปไตยตัวแทนของจอห์น สจ๊วต มิลล์ พัฒนามาจากหลักจริยศาสตร์ข้อใด
(1) อัตถิภาวะนิยม
(2) อรรถประโยชน์นิยม
(3) อัตตาณัติ
(4) อิสรเสรีนิยม
(5) อัตสุขนิยม
ตอบ 2 หน้า 116 – 117 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mitt) ได้เสนอรูปแบบการปกครอง โดยผู้แทน (Representative Government) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ประชาธิปไตยแบบ ตัวแทน” (Representative Democracy) เพราะมองว่า การให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม ในการปกครองนั้นเป็นวิธีการเดียวที่จะทําให้เกิดความสุขแก่คนจํานวนมากที่สุด โดยแนวคิด การปกครองประชาธิปไตยแบบตัวแทนของมิลล์นี้พัฒนามาจากหลักอรรถประโยชน์นิยม (Utilitarianism) อันเป็นหลักการที่คํานึงถึง “ความสุข” “ความรื่นรมย์” หรือ “อรรถประโยชน์” เป็นหลัก หรือยึดถือหลักการพื้นฐานที่ว่า “การกระทําทุกอย่างต้องเป็นไปเพื่อหลักการ ความสุขที่มากที่สุดของคนจํานวนมากที่สุด” นั่นเอง

79. ข้อใดกล่าวถูกต้องในเรื่องข้อเสนอแนะวิธีการปกครอง
(1) ความสุขเป็นสิ่งเดียวที่ประชาชนพึงปรารถนาเพราะเป็นหนทางไปสู่ความหลุดพ้น
(2) รูปแบบการปกครองที่บริสุทธิ์เท่านั้นทําให้รักษาอํานาจไว้ได้นาน
(3) เสรีภาพจะเกิดขึ้นต่อเมื่อสังคมทําสัญญาประชาคมเพื่อแสวงหาเจตจํานงเฉพาะ
(4) คนที่ควรเป็นผู้ปกครองที่ดีที่สุด คือ ผู้พิทักษ์รัฐ
(5) ถ้าการทําดีนั้นทําให้เขาต้องสูญเสียรัฐไป แต่การทําชั่วทําให้เขารักษารัฐไว้ได้ เขาควรจะเลือกทําชั่ว
ตอบ 5 หน้า 130 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองนั้นไม่ควรจะ คํานึงแต่การทําดีละเว้นความชั่ว โดยเฉพาะในกรณีที่ว่าถ้าการทําดีนั้นทําให้เขาต้องสูญเสียรัฐ แต่การทําชั่วสามารถทําให้เขารักษารัฐได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นผู้ปกครองก็ควรจะเลือกการทําชั่ว ดังที่เขากล่าวว่า “ผู้ปกครองไม่ควรจะเป็นกังวลกับการก่อให้เสียชื่อเสียงในเรื่องของความชั่ว ต่าง ๆ ซึ่งถ้าไม่มีมันเสียแล้วก็จะเป็นการยากที่จะรักษารัฐเอาไว้ เพราะถ้าบุคคลใดไตร่ตรองทุกสิ่ง ทุกอย่างเป็นอย่างดี เขาจะพบว่าบางสิ่งบางอย่างซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความดีนั้น หากปฏิบัติตาม ก็จะกลายเป็นความพินาศของเขา และสิ่งอื่นซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความชั่วนั้น หากปฏิบัติตาม ก็จะสัมฤทธิ์ผลในด้านความมั่นคง และความเป็นอยู่ที่ดี”

80. ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับแนวคิดของนักปรัชญาการเมืองเรื่องเสรีภาพ
(1) เสรีภาพคือการทําอะไรก็ได้ตามอําเภอใจ
(2) เสรีภาพเป็นปัจจัยทําให้มนุษย์พัฒนา
(3) เสรีภาพมาพร้อมกับทรัพย์สิน
(4) เสรีภาพมาพร้อมกับความรับผิดชอบ
(5) กล่าวถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 144, 147 – 148, 156, (คําบรรยาย) แนวคิดของนักปรัชญาการเมืองเรื่องเสรีภาพ มีดังนี้
1. เสรีภาพคือการทําอะไรก็ได้ตามอําเภอใจ เป็นแนวคิดของฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau)
2. เสรีภาพเป็นปัจจัยทําให้มนุษย์พัฒนา เป็นแนวคิดของจอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill)
3. เสรีภาพมาพร้อมกับทรัพย์สิน เป็นแนวคิดของรัสเซลล์ เคิร์ก (Russell Kirk)
4. เสรีภาพมาพร้อมกับความรับผิดชอบ เป็นแนวคิดของฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) และจอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill)

81. สัญญาระหว่างบริษัทกีฬากับนักกีฬามีข้อตกลงระบุว่า นักกีฬาจะไม่ขอรับเงินเดือน แต่จะขอรับส่วนแบ่ง จากค่าตั๋วที่ผู้ชมเข้ามาดูในแต่ละการแข่งขัน ข้อตกลงดังกล่าวเป็นไปตามหลักปรัชญาการเมืองข้อใด
(1) อิสรเสรีนิยม
(2) สัญญาประชาคม
(3) อรรถประโยชน์นิยม
(4) หลักความแตกต่าง
(5) ชุมชนนิยม
ตอบ 1 หน้า 190 – 191, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โนซิค (Robert Nozick) เป็นนักปรัชญาการเมือง แนวเสรีนิยมหรืออิสรเสรีนิยม (Libertarianism) เห็นว่าการเสียภาษีเพื่อนําไปช่วยคนที่ยากไร้ หรือคนที่เสียโอกาสในสังคมนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ชอบธรรม โดยได้ยกตัวอย่างนักกีฬาอเมริกันคนหนึ่ง ชื่อว่า วิลท์ แชมเบอร์เลน (Wilt Chamberlain) ซึ่งเป็นนักบาสเกตบอลที่ได้ตกลงกับสโมสรที่ สังกัดอยู่ว่า เขาจะไม่ขอรับเงินเดือน แต่จะขอรับเป็นส่วนแบ่งจากค่าตัวที่ผู้ชมเข้ามาดูในแต่ละ การแข่งขัน เป็นต้น โดยโนซิคได้ตั้งคําถามว่า วิลท์ แชมเบอร์เลน หาเงินนี้ได้มาโดยสุจริต จากน้ําพักน้ําแรงและความสามารถของตนเองแล้วรัฐบาลมีเหตุผลอันใดที่ชอบธรรมจะมายึด เงินบางส่วน หรือบังคับให้เขาเสียภาษีเพื่อนําไปช่วยคนที่ยากไร้หรือคนที่เสียโอกาสในสังคม เพราะในเมื่อเขาหาเงินมาโดยสุจริตเขาก็มีสิทธิเหนือเงินก้อนนั้นของเขาอย่างเต็มที่

82. ในสังคมทุนนิยมจะมีความสัมพันธ์ทางการผลิตที่นายทุนจะขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากกรรมกร สาเหตุใดที่กรรมกรจึงไม่ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อรัฐบาล
(1) ค่าแรงเป็นความยุติธรรมในการถ่ายโอน
(2) รัฐจะเข้ามาจัดสวัสดิการให้กรรมกร
(3) ค่าแรงเป็นไปตามหลักการครอบครองตั้งต้น
(4) รัฐเป็นเครื่องมือของชนชั้นนายทุน
(5) รัฐมีบทบาทเฉพาะการบังคับใช้อํานาจเพื่อป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน
ตอบ 4 หน้า 173 – 174 สาเหตุที่กรรมกรไม่ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อรัฐบาล เพราะในสังคมทุนนิยมนั้น รัฐจะเป็นเครื่องมือของนายทุนที่ใช้ครอบงํา ปกป้อง และควบคุมให้สังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ดําเนินไปตามแนวทางที่นายทุนต้องการ เมื่อใดก็ตามที่รัฐจําเป็นจะต้องเลือกระหว่างผลประโยชน์ ของนายทุนกับผลประโยชน์ของกลุ่มคนหรือชนชั้นอื่น ๆ ในสังคม รัฐก็จะเลือกปกป้องและ เอื้อประโยชน์ต่อชนชั้นนายทุนอยู่เสมอ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่กรรมกรเรียกร้องขอเพิ่มค่าแรง กับนายทุนด้วยการใช้วิธีนัดหยุดงานหรือกดดันในรูปแบบอื่น ๆ รัฐจะยื่นมือเข้ามาไกล่เกลี่ย เพื่อให้คนงานกลับเข้าทํางาน และถ้าคนงานยังดื้อดึงอยู่ รัฐก็จะใช้เจ้าหน้าที่ตํารวจเข้าจัดการ กับกลุ่มคนงาน หรือไม่ก็ออกกฎหมายควบคุมห้ามคนงานนัดหยุดงาน รัฐมักไม่สนใจกับการเรียกร้องค่าแรงที่ไม่พอกับค่าครองชีพของกรรมกร แต่จะสนใจว่าถ้าขึ้นค่าแรงมันจะส่งผลให้นายทุนถอนการผลิตหรือย้ายฐานการผลิตออกไปจากรัฐของตนหรือไม่

83. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับข้อเสนอของคาร์ล มาร์กซ์ เรื่องการพัฒนาสังคมสู่สังคมคอมมิวนิสต์
(1) ล้มเลิกกรรมสิทธิ์ที่ดิน
(2) ยกเลิกการสืบทอดมรดก
(3) ยึดทรัพย์สินของพวกนายทุน
(4) ถ่ายโอนโรงงานและปัจจัยการผลิตทั้งหมดเป็นของรัฐ
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 174 – 176, (คําบรรยาย) คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เสนอว่า การพัฒนาสังคมสู่สังคม คอมมิวนิสต์ควรใช้มาตรการดังนี้
1. เลิกล้มกรรมสิทธิ์ถือครองที่ดิน และให้นําเอาค่าเช่าที่ดินทั้งหมดไปใช้เป็นรายจ่ายเพื่อจุดประสงค์ในทางสาธารณะให้หมด
2. ทําการจัดเก็บภาษีรายได้ในอัตราก้าวหน้า หรือจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมตามรายได้ในระดับที่สูง
3. ยกเลิกสิทธิในการสืบมรดกของเอกชนทั้งหมด
4. จัดการยึดทรัพย์สินของพวกนายทุนที่หลบหนีออกไปต่างประเทศรวมทั้งพวกกบฏทุกคน
5. ถ่ายโอนโรงงานและปัจจัยการผลิตทั้งหมดเป็นของรัฐ
6. จัดการให้ทุก ๆ คนทํางานตามหน้าที่โดยทั่วหน้า และรัฐจะต้องจัดการให้ทุกคนทํางาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเกษตรกรรม ฯลฯ

84. ข้อใดเป็นสาเหตุที่ทําให้ชนชั้นกรรมาชีพต้องจัดการช่วยเหลือตนเองด้วยการโค่นล้มระบบทุนนิยมและสถาปนารัฐสังคมนิยมขึ้นมา
(1) การกดขี่ขูดรีด
(2) ปัจจัยการผลิต
(3) มูลค่าส่วนเกิน
(4) รัฐบาล
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 170 – 174, (คําบรรยาย) สาเหตุที่ทําให้ชนชั้นกรรมาชีพต้องจัดการช่วยเหลือตนเอง ด้วยการโค่นล้มระบบทุนนิยมและสถาปนารัฐสังคมนิยมขึ้นมา ได้แก่
1. การกดขี่ขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากกรรมกร
2. ค่าแรงขั้นต่ําไม่เพียงพอต่อการดํารงชีวิต
3. ปัจจัยการผลิตเป็นของชนชั้นนายทุน
4. รัฐบาลเป็นเครื่องมือของชนชั้นนายทุน

85. ตัวเลือกในข้อใดถูกต้องตามหลักความยุติธรรมในการถ่ายโอน
(1) ซื้อพระคนที่ไม่ทราบในราคาถูกเพื่อไปขายต่อให้กับคนไม่รู้ในราคาแพง
(2) เก็บภาษีคนรวยไปช่วยคนจน
(3) ยกเลิกสิทธิในการครอบครองมรดกของเอกชน
(4) รับซื้อของโจร
(5) ยึดทรัพย์สินของนายทุนมาเป็นของรัฐบาล
ตอบ 1 หน้า 189 – 190 โรเบิร์ต โนซิค (Rebert Nozick) ได้เสนอหลักความยุติธรรมในการถ่ายโอน (Principle of Just ce in Transfer) โดยอธิบายว่า ถ้าคน ๆ หนึ่งได้รับสิ่งของใดก็ตามไม่ว่า จะเป็นในฐานะของขวัญ มรดก หรือด้วยความเสน่หาใด ๆ และรวมทั้งกําไรรายได้จากการ แลกเปลี่ยนในตลาดอย่างเสรี ทรัพย์สินที่ได้มาหรือรายได้นั้น ๆ ก็เป็นสิ่งที่ชอบธรรม เช่น ซื้อพระ จากคนที่ไม่ทราบในราคาถูกเพื่อไปขายต่อให้กับคนไม่รู้ในราคาแพง การแลกเปลี่ยนดังกล่าว ไม่มีการบังคับและคนทั้งสองฝ่ายก็ยอมตกลงกันอย่างเสรี ดังนั้นการแลกเปลี่ยนดังกล่าวจึงเป็นสิ่งที่ชอบธรรมแม้ว่าคนที่นําพระไปขายต่อจะสามารถทํากําไรจากความไม่รู้ของคนที่นําพระมาขายให้อย่างมหาศาลก็ตาม

86. นักปรัชญาการเมืองท่านใดที่เสนอว่า “ใครเป็นผู้ปกครองก็ได้ แต่ขอให้แค่ปกครองเพื่อประโยชน์ส่วนรวม”
(1) แมคคิอาเวลลี
(2) อริสโตเติล
(3) จอห์น สจ๊วต มิลล์
(4) ซิเซโร
(5) โพลิบิอุส
ตอบ 2หน้า 102 – 103, 109 อริสโตเติล (Aristotle) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “The Politics” ว่า ใครจะมาเป็นผู้ปกครองก็ได้ แต่ขอให้แค่ปกครองเพื่อประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ หมายความว่า จํานวนของผู้ปกครองจะมีกี่คนก็ได้ เป็นระบอบอะไรก็ได้ ใครเป็นก็ได้ แต่ขอ เพียงอย่างเดียวคือผู้ปกครองเหล่านั้นควรจะปกครองเพื่อประโยชน์สาธารณะ ดังนั้นตามทัศนะ ของอริสโตเติลจึงเป็นการพิจารณาจุดมุ่งหมายของการปกครองว่าเอื้อประโยชน์ต่อใคร ถ้าเพื่อ ประโยชน์สาธารณะแล้ว การปกครองนั้นก็ถือว่าเป็นการปกครองที่ดี

87. มีอยู่ครอบครัวหนึ่งประกอบไปด้วยคุณแม่และลูก ๆ อีกสี่คน ในวันหยุดทุกคนตกลงกันว่าจะทําเค้กทานกัน เมื่อทําเสร็จแล้วเกิดปัญหาว่า จะแบ่งเค้กอย่างไรให้เกิดความยุติธรรมที่สุด ลูกชายคนโตเสนอว่า ควรจะ แบ่งเค้กให้เขาเพราะเขาเป็นคนที่ช่วยคุณแม่มากที่สุด แนวคิดในการแบ่งเค้กของลูกชายคนโตสอดคล้องกับ แนวคิดการกระจายทรัพยากรของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) คาร์ล มาร์กซ์
(2) จอห์น รอลส์
(3) จอห์น ล็อค
(4) โรเบิร์ต โนซิค
(5) จอห์น สจ๊วต มิลล์
ตอบ 3 หน้า 162, (คําบรรยาย) แนวคิดในการแบ่งเค้กของลูกชายคนโตสอดคล้องกับแนวคิด การกระจายทรัพยากรของจอห์น ล็อค (John Locke) ซึ่งเสนอว่า การกระจายทรัพยากร ในสังคมนั้นควรจะเป็นไปอย่างเสรี คือ ใครทํา ใครหา ใครลงแรง คนนั้นก็ควรที่จะเป็น ผู้ครอบครองทรัพยากร

88. รูปแบบการปกครองที่เหมาะสมในกรณีของซิเซโร คือ
(1) ราชาธิปไตย
(2) อภิชนาธิปไตย
(3) ประชาธิปไตย
(4) ผสมกันระหว่างข้อ 1 และ 2
(5) ผสมกันระหว่างข้อ 1, 2 และ 3
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 54. ประกอบ

89. งานเขียนชิ้นใดที่เชื่อว่าประชาชนไม่ควรเป็นผู้ปกครอง แต่ผู้ปกครองควรมาจากการคัดสรรอย่างดี
(1) The Republic
(2) The Prince
(3) The Politics
(4) The Social Contract
(5) Crito
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 66. ประกอบ

90. ข้อใดไม่จัดเป็นปัจจัยการผลิตตามปรัชญาการเมืองของคาร์ล มาร์กซ์
(1) ที่ดิน
(2) แรงงาน
(3) เครื่องจักร
(4) สถานประกอบการ
(5) กําไร
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 71. ประกอบ

91. “ ไม่มีทางเดินเล่นสําหรับคนทั่วไป หรือสถานหย่อนใจให้ผู้ใช้แรงงานที่มีอยู่หลายพันคนและครอบครัว ได้บรรเทาความเหนื่อยยากจากความจําเจในการทํางาน การถูกจํากัดให้อยู่ในสถานที่ที่แออัดเต็มไปด้วยฝุ่น ตั้งแต่ตีห้าจนถึงทุ่มหรือสองทุ่ม ทุก ๆ สัปดาห์โดยไม่เปลี่ยนแปลง จึงเป็นเรื่องธรรดาที่พวกเขาจะต้อง วิ่งหาร้านเหล้า ร้านเบียร์หรือโรงเต้นระบํา…” จากข้อความดังกล่าวข้อใดเป็นเงื่อนไขทําให้ชีวิตกรรมกร อยู่ในสภาพทรุดโทรม
(1) ความสัมพันธ์ทางการผลิต
(2) มูลค่าส่วนเกิน
(3) ค่าแรงขั้นต่ำ
(4) สภาวะแปลกแยก
(5) ถูกทุกข้อ
ตอบ 5 หน้า 168, 170 – 173, (คําบรรยาย) จากข้อความดังกล่าว เงื่อนไขที่ทําให้ชีวิตกรรมกรอยู่ใน สภาพทรุดโทรมก็คือ ความสัมพันธ์ทางการผลิตที่ทําให้นายทุนไปขูดรีดเอามูลค่าส่วนเกินมาจาก กรรมกรและจ่ายค่าแรงขั้นต่ําให้กรรมกรเพียงเท่าที่กรรมกรจะมีชีวิตรอดไปวัน ๆ ทําให้กรรมกร ยากจนและต้องมีชีวิตอยู่ในสภาพทรุดโทรม นอกจากนี้ความสัมพันธ์ทางการผลิตยังทําให้กรรมกร เกิดสภาวะแปลกแยก (Alienation) คือ กรรมกรขาดความเคารพตนเอง ขาดความภาคภูมิใจ ต่อสิ่งที่ตนเองผลิตขึ้นมา แต่กรรมกรก็จําเป็นต้องผลิตเพื่อต้องการจะได้รับค่าจ้างมาดํารงชีวิต

92. ข้อใดจัดเป็นเสรีภาพตามปรัชญาการเมืองของฌอง ฌากส์ รุสโซ
(1) สามีเลิกสูบบุหรี่เพราะภริยาสั่งให้เลิก
(2) สามีเลิกสูบบุหรี่เพราะอยากมีชีวิตอยู่กับครอบครัว
(3) สามีไม่คาดเข็มขัดนิรภัยให้ตนเองและภริยาเพราะไม่มีตํารวจจราจรยืนอยู่
(4) สามีรีบคาดเข็มขัดนิรภัยให้ภริยาเพราะเห็นตํารวจจราจรยืนอยู่
(5) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 2 หน้า 100, (คําบรรยาย) กรณีสามีเลิกสูบบุหรี่เพราะอยากมีชีวิตอยู่กับครอบครัว การกระทํา ของสามีดังกล่าวถือว่ามีเสรีภาพ เพราะเขาคิดด้วยตัวเขาเองไม่มีใครบังคับ เขาอยากเลิกสูบ บุหรี่เอง ซึ่งเป็นการกระทําที่สอดคล้องกับแนวคิดเสรีภาพตามปรัชญาการเมืองของฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ที่ให้ประชาชนทุกคนเป็นคนออกกฎหมายด้วยตนเองและ กฎหมายนั้นก็จะนํามาใช้กับพวกเขาเอง เขาไม่ต้องเชื่อฟังใครนอกจากตัวเอง ซึ่งในมุมมองของ รุสโซถือว่าวิธีการดังกล่าวนั้นมีเสรีภาพมาก

93. ถ้านักศึกษาจําเป็นต้องตัดสินใจภายใต้หลังม่านแห่งความไม่รู้ หลักการในข้อใดจะไม่ได้รับการคัดเลือกมาเพื่อเป็นหลักการพื้นฐานทางสังคม
(1) เสรีภาพ
(2) หลักความแตกต่าง
(3) ประโยชน์ของตนเอง
(4) ความปลอดภัยของตนเอง
(5) ความเท่าเทียมกัน
ตอบ 5 หน้า 182 – 184, (คําบรรยาย) หากเราต้องตัดสินใจภายใต้หลังม่านแห่งความไม่รู้ตามแนวคิดของจอห์น รอลส์ (John Rawls) หลักการที่จะได้รับการคัดเลือกมาเป็นหลักการพื้นฐานทาง สังคม ได้แก่
1. ประโยชน์ของตนเอง
2. ความปลอดภัยของตนเอง
3. หลักเสรีภาพ
4. หลักความแตกต่าง

94. นักปรัชญาการเมืองท่านใดเปรียบเทียบเสรีภาพที่จะทําอะไรก็ได้ตามอําเภอใจไม่ต่างจากคนบ้า โจรลักทรัพย์และพวกฆาตกร
(1) คาร์ล มาร์กซ์
(2) จอห์น รอลส์
(3) เอ็ดมันด์ เบิร์ก
(4) โรเบิร์ต โนซิค
(5) จอห์น สจ๊วต มิลล์
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 47. ประกอบ

95. นักรัฐศาสตร์ท่านใดที่นิยามคําว่า “การเมือง” ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรหรือกระจายทรัพยากรให้กับสมาชิกในสังคม
(1) เดวิด อีสตัน
(2) โจเซฟ ซุมปีเตอร์
(3) ฟรานซิส ฟูกูยาม่า
(4) ซามูเอล ฮันติงตัน
(5) เซมูร์ มาติน ลิปเซต
ตอบ 1 หน้า 159 ฮาโรลด์ ดี. แลสเวลล์ (Harold D. Lasswell) และเดวิด อีสตัน (David Easton) เป็นนักรัฐศาสตร์ที่นิยามคําว่า “การเมือง” ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรหรือ กระจายทรัพยากรให้กับสมาชิกในสังคม โดยแลสเวลล์ได้นิยามว่า การเมือง คือ เรื่องของการที่ ใครได้อะไร เมื่อไร และอย่างไร (Politics is who gets what, when, and how) ส่วนอีสตัน ได้นิยามว่า การเมือง คือ การใช้อํานาจหน้าที่ในการจัดสรรแจกแจงสิ่งที่มีคุณค่าต่าง ๆ ให้แก่สังคม (Authoritative atlocation of values to a society)

96. “โพลิตี้” (Polity) เป็นคําที่มาจากภาษากรีก คําว่า Politeia (โพ-ลิ-เท-อา) ที่อริสโตเติลเรียกการใช้อํานาจ เพื่อประโยชน์สาธารณะนั้นมีการแปลเป็นภาษาไทยว่าอะไร
(1) ระบอบการปกครอง
(2) รูปแบบการปกครอง
(3) ระบบการปกครอง
(4) รัฐ
(5) นครรัฐ
ตอบ 2 หน้า 107 อริสโตเติล (Aristotle) เรียกรูปแบบการปกครองที่อํานาจอยู่ในมือมหาชนและ ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะว่า “โพลิตี้” (Polity) ซึ่งคําดังกล่าวมาจากภาษากรีก คือ Politeia (โพ-ลิ-เท–อา) ที่แปลว่า “รูปแบบการปกครอง”

97. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับองค์รัฏฐาธิปัตย์
(1) ผู้ที่มีอํานาจสูงสุดในรัฐ
(2) เราสามารถเรียกว่าองค์อธิปัตย์ได้
(3) ผู้นําเผด็จการทหารเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ไม่ได้
(4) ผู้ถือครองอ้านาจอธิปไตย
(5) ประชาชนสามารถถือครองอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศได้
ตอบ 3 หน้า 57, (คําบรรยาย) องค์อธิปัตย์ หรือองค์รัฏฐาธิปัตย์ (Sovereign) หมายถึง ผู้ที่มีอํานาจ สูงสุดในรัฐหรือสังคมการเมือง โดยคําว่าผู้มีอํานาจสูงสุดนี้หมายถึง คนที่เป็นเจ้าของอํานาจ อธิปไตย ซึ่งอาจจะหมายถึง ประชาชนทุกคน รัฐบาล หรือผู้นําเผด็จการทหาร หรือใครก็ได้ ที่เป็นเจ้าของและเป็นผู้ใช้อํานาจดังกล่าว

98. ข้อใดคือหลักการของปรัชญาการเมืองสํานักอรรถประโยชน์นิยม
(1) ปกครองให้เกิดความสุขแก่คนจํานวนมากที่สุด
(2) ปกครองให้เกิดเสรีภาพ
(3) ปกครองให้เกิดประโยชน์สาธารณะ
(4) ปกครองให้เกิดความเท่าเทียม
(5) ปกครองให้เกิดประโยชน์กับคนด้อยโอกาสที่สุดในสังคม
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

99. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง
(1) ผู้ที่สมควรเป็นผู้ปกครองตามปรัชญาการเมืองของเพลโต คือ ราชาปราชญ์
(2) ผู้ที่สมควรเป็นผู้ปกครองตามปรัชญาการเมืองของคาร์ล มาร์กซ์ ก่อนพัฒนาไปสู่สังคมไร้ชนชั้น คือ ชนชั้นกรรมาชีพ
(3) ผู้ที่สมควรเป็นผู้ปกครองตามปรัชญาการเมืองของจอห์น สจ๊วต มิลล์ คือ ผู้แทนในระบอบประชาธิปไตย
(4) ผู้ที่สมควรเป็นผู้กระจายทรัพยากรสู่สังคมของจอห์น รอลส์ คือ รัฐบาลที่จัดสวัสดิการ
(5) ผู้ที่สมควรเป็นผู้กระจายทรัพยากรสู่สังคมของโรเบิร์ต โนซิค คือ เอกชนที่เสียภาษี
ตอบ 5 หน้า 187, 192, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โนซิค (Robert Nozick) โต้แย้งแนวคิดของจอห์น รอลส์ (John Rawls) โดยเขาเห็นว่า การกระจายทรัพยากรนั้นควรจะปล่อยให้เอกชนจัดการกันเอง โดยเสรี ใครทํา ใครหา ใครลงแรง คนนั้นก็ควรที่จะเป็นผู้ครอบครองทรัพยากร การที่รัฐเข้ามา แทรกแซงด้วยการกระจายทรัพยากรจากคนใดคนหนึ่งเพื่อนําไปช่วยเหลือคนด้อยโอกาสในรูปของ การเก็บภาษี หรือด้วยรูปแบบการกระจายทรัพยากรอื่น ๆ มันก็เป็นสิ่งที่ไม่แตกต่างกับการขโมย หรือการก่ออาชญากรรม นั่นก็เพราะว่ามันเป็นการใช้กําลังบังคับเอาของจากคนหนึ่ง ๆ ที่เขามีสิทธิต่อทรัพย์สินนั้นอย่างเต็มที่ไปโดยที่เขาไม่ได้ยินยอม

100. เอ็ดมันด์ เบิร์ก สนับสนุนความคิดทางการเมืองใด
(1) เผด็จการ
(2) คอมมิวนิสต์
(3) สังคมนิยม
(4) เสรีนิยม
(5) อนุรักษนิยม
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 47. ประกอบ

POL2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น s/2565

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1. ผู้มีสิทธิทางการเมืองจะต้องทําทุกอย่างในทางการเมืองด้วยตนเอง
(1) Liberal Democracy
(2) Direct Democracy
(3) Dictatorship
(5) Socialism
(4) Capitalism
ตอบ 2 หน้า 8 (คําบรรยาย) การปกครองประชาธิปไตยแบบเอเธนส์ (Athenian Democracy) เป็นการปกครองที่ผู้มีสิทธิทางการเมืองจะต้องทําทุกอย่างในทางการเมืองด้วยตนเองซึ่งการปกครองแบบนี้พลเมืองชายเท่านั้นที่มีสิทธิทางการเมือง ส่วนเด็ก ผู้หญิง และ คนต่างชาติไม่มี เป็นการปกครองที่เหมาะกับเมืองที่มีขนาดเล็ก ไม่เหมาะกับรัฐสมัยใหม่ที่มีขนาดใหญ่และมีพลเมืองจํานวนมาก บางคนเรียกระบอบการปกครองแบบนี้ว่าเป็น “ประชาธิปไตยทางตรง (Direct Democracy)

2. การปกครองที่อํานาจอยู่ที่บุคคลเพียงคนเดียวหรือกลุ่มบุคคล ไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อํานาจ และไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพทางการเมือง
(1) Liberal Democracy
(2) Direct Democracy
(3) Dictatorship
(4) Capitalism
(5) Socialism
ตอบ 3(คําบรรยาย) การปกครองแบบเผด็จการ (Dictatorship) คือ การปกครองที่อํานาจอยู่ที่ บุคคลเพียงคนเดียวหรือกลุ่มบุคคล ไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อํานาจ และไม่เปิดโอกาส ให้ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม

3. ระบบเศรษฐกิจที่เชื่อในเรื่องกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล
(1) Liberal Democracy
(2) Direct Democracy
(3) Dictatorship
(4) Capitalism
(5) Socialism
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ทุนนิยม (Capitalism) เป็นระบบเศรษฐกิจที่เอกชนเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตและมีเสรีภาพในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่โดยที่รัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซง
ในการดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในระบบทุนนิยมนี้จะยินยอมให้ประชาชนมีกรรมสิทธิ์ใน ทรัพย์สินส่วนบุคคล (Private Property) รวมทั้งมีสิทธิและเสรีภาพในการเลือกบริโภคสินค้า และบริการได้อย่างเต็มที่

4.การปกครองที่มีการการันตีเสรีภาพของประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญ เคารพสิทธิมนุษยชน มีการแบ่งแยก อํานาจของผู้ปกครอง คือหัวใจสําคัญของการปกครองระบอบใด
(1) Liberal Democracy
(2) Direct Democracy
(3) Dictatorship
(4) Capitalism
(5) Socialism
ตอบ 1 หน้า 85, (คําบรรยาย) การปกครองแบบประชาธิปไตย (Democracy) หรือเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democracy) เป็นการปกครองที่ประชาชนเจ้าของอํานาจอธิปไตยจะเป็นผู้เลือกผู้แทน ไปทําหน้าที่เป็นผู้ปกครองแทนตน และประชาชนมีสิทธิที่จะเรียกอํานาจคืนจากผู้ปกครองได้หากผู้ปกครองไม่ทําตามพันธะสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน นอกจากนี้ยังเป็นการปกครองที่มี การรับรองสิทธิเสรีภาพของประชาชนไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายสูงสุด รวมทั้งมีการเคารพ ในสิทธิมนุษยชน และมีการแบ่งแยกอํานาจของผู้ปกครองด้วย

5. การปล่อยให้เศรษฐกิจดําเนินไปอย่างเสรีนั้นจะทําให้เกิดความอยุติธรรมในสังคม ดังนั้นรัฐบาลจะต้องเข้ามาแทรกแซง
(1) Liberal Democracy
(2) Direct Democracy
(3) Dictatorship
(4) Capitalism
(5) Sociatism
ตอบ 5 (คําบรรยาย) สังคมนิยม (Socialism) เป็นระบบเศรษฐกิจที่รัฐบาลเข้าไปควบคุมการดําเนิน กิจกรรมทางเศรษฐกิจเองทั้งหมด เพราะมองว่าการปล่อยให้เศรษฐกิจดําเนินไปอย่างเสรีนั้น จะทําให้เกิดความอยุติธรรมในสังคม ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเข้าไปแทรกแซงเพื่อให้เกิดความ ยุติธรรมในการกระจายผลผลิตแก่ประชาชน

6. นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษคนใดที่เสนอเรื่องสิทธิในการปฏิวัติ
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 3 หน้า 39, 73 – 75 จอห์น ล็อค (John Locke) นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษ ได้เสนอ แนวคิดเรื่อง “สิทธิแห่งการปฏิวัติ” (Right of Revolution) ไว้ในหนังสือเรื่อง “Two Treatises of Government” (ตําราสองเล่มเกี่ยวกับการปกครอง) โดยล็อคเห็นว่า พลเมืองต้องเชื่อฟัง กฎหมายเฉพาะเรื่องที่ได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ต้องเชื่อฟัง และเมื่อใดก็ตาม ที่รัฐบาลทําหน้าที่บกพร่องหรือไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ประชาชนให้ไว้ ประชาชนก็มีสิทธิที่จะ ไม่เชื่อฟังกฎหมายหรือรัฐบาล และสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ โดยประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน ว่ารัฐบาลทําหน้าที่บกพร่องหรือไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ประชาชนให้ไว้หรือไม่ ดังที่ล็อค ได้กล่าวว่า “ใครจะเป็นคนตัดสินในกรณีที่ผู้ปกครอง หรือผู้ออกกฎหมายกระทําการขัดแย้งกับ ความไว้วางใจที่ได้รับมอบมา…เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอตอบว่า ประชาชนนั่นเองที่จะเป็น ผู้ตัดสิน คนที่จะต้องถูกตัดสินไม่ว่าจะในกรณีที่ผู้ได้รับมอบหมายความไว้วางใจหรือตัวแทนจะ ปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือไม่ก็ตาม แม้ว่าอํานาจในการไว้วางใจนั้นจะยังคงอยู่กับเขา แต่ผู้ที่แต่งตั้งตัวแทนโดยการมอบอํานาจความไว้วางใจให้จะต้องมีอํานาจในการเรียกคืนความไว้วางใจ จากตัวแทนในกรณีที่เขาละเมิดความไว้วางใจ…”

7. นักปรัชญาการเมืองชาวเจนีวาคนใดที่เชื่อว่าอํานาจอธิปไตยต้องเป็นของประชาชน
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักปรัชญาการเมืองชาวเจนีวา ได้เสนอแนวคิดไว้ในหนังสือเรื่อง “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) โดยมีความเชื่อว่า อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชน หรืออํานาจจะต้องอยู่ที่ประชาชน โดยรุสโซได้อธิบายเรื่องนี้ ผ่านแนวคิดเรื่องเจตจํานงทั่วไป (General Wilt) ที่สนับสนุนให้ประชาชนทุก ๆ คนมีอํานาจ
ในการปกครองโดยตรงผ่านการออกเจตจํานงทั่วไป ซึ่งหมายถึงการตัดสินใจของปัจเจกบุคคลที่คํานึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวมหรือผลประโยชน์สาธารณะในฐานะที่ประชาชนแต่ละคนนั้น เป็นส่วนหนึ่งขององคาพยพทั้งหมดของสังคมที่ไม่สามารถแบ่งแยกออกจากกันได้

8.นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอให้แบ่งแยกอํานาจออกจากกันเพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 1 หน้า 120, (คําบรรยาย) มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) เป็นนักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศส ที่เสนอให้แบ่งแยกอํานาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่ อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และ อํานาจตุลาการ เพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ โดยมงเตสกิเออร์ได้เสนอแนวคิดดังกล่าวไว้ใน หนังสือเรื่อง “The Spirit of Laws” (De L’esprit des tois) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1748

9.“เรายึดถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระเจ้าผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการอันเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดา สิทธิเหล่านั้น ได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 2 หน้า 77 – 78 โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) หนึ่งในบรรดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา ได้นําแนวคิดสิทธิแห่งการปฏิวัติของจอห์น ล็อค (John Locke) มาใช้ในการประกาศเอกราช ของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1776 ซึ่งมีข้อความดังนี้ “เรายึดถือว่าความจริงต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ ประจักษ์แจ้งอยู่ในตัวเอง นั่นคือมนุษย์ทุกคนถูกสร้างขึ้นมาอย่างเท่าเทียมกัน และพระเจ้า ผู้สร้างได้มอบสิทธิบางประการอันเพิกถอนมิได้ไว้ให้แก่มนุษย์ ในบรรดาสิทธิเหล่านั้น ได้แก่ ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข เพื่อที่จะคุ้มครองสิทธิเหล่านั้นให้มั่นคง รัฐบาลจึงถูก สถาปนาขึ้นในหมู่มวลมนุษย์ โดยได้อํานาจที่ยุติธรรมอันเนื่องมาจากความยินยอมของผู้ที่อยู่ใต้ การปกครอง…. แต่เมื่อการใช้อํานาจไปในทางที่ผิดและการช่วงชิงอํานาจมีอยู่อย่างยาวนาน โดยมุ่งหมายต่อวัตถุประสงค์เดิมอย่างไม่เสื่อมคลาย จนชี้ให้เห็นว่ามีแผนการที่จะกดพวกเขาลง ภายใต้การปกครองโดยเด็ดขาดของคน ๆ เดียวแล้ว ย่อมเป็นสิทธิ ย่อมเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะ ล้มล้างรัฐบาลเช่นนั้น และจัดหาเครื่องป้องกันใหม่สําหรับความมั่นคงในอนาคตของพวกเขา”

10. “ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้น จํานวนผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะเกินไป ผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไปและก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 5 หน้า 122 – 123 เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ได้กล่าวเตือนเกี่ยวกับการปกครองแบบตัวแทนไว้ว่า จํานวนผู้แทนนั้นไม่ควรจะมีมากหรือน้อยเกินไป กล่าวคือ ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้นจํานวน ผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะ เกินไปผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไป และก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้

11. “เมื่อการใช้อํานาจไปในทางที่ผิดและการช่วงชิงอํานาจมีอยู่อย่างยาวนาน โดยมุ่งหมายต่อวัตถุประสงค์เดิม อย่างไม่เสื่อมคลาย จนชี้ให้เห็นว่ามีแผนการที่จะกดพวกเขาลงภายใต้การปกครองโดยเด็ดขาดของคน ๆ เดียว แล้ว ย่อมเป็นสิทธิ ย่อมเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะล้มล้างรัฐบาลเช่นนั้น และจัดหาเครื่องป้องกันใหม่ สําหรับความมั่นคงในอนาคตของพวกเขา” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

12. นักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศสคนใดที่เสนอว่าประชาชนควรมีอํานาจปกครองทางตรงในท้องถิ่นแต่ในระดับประเทศควรเลือกผู้แทนไปปกครอง
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 1 (คําบรรยาย) มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) นักปรัชญาการเมืองชาวฝรั่งเศส เสนอว่า ประชาชนควรมีอํานาจปกครองทางตรงในท้องถิ่น แต่ในระดับประเทศควรเลือกผู้แทนไปปกครอง

13.“Man is born free but everywhere is in chains” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 4หน้า 137, (คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ได้กล่าวไว้ใน บรรทัดแรกของหนังสือ “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ว่า “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหนเขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน (Man is born free but everywhere is in chains)… การละทิ้งเสรีภาพนั้นก็คือการละทิ้งความเป็นคน ตลอดจนเป็นการละทิ้งสิทธิและ หน้าที่แห่งมนุษยชาติ ไม่มีการชดเชยใด ๆ เป็นไปได้สําหรับผู้ที่ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนี้ การละทิ้งนี้ขัดต่อธรรมชาติของมนุษย์ และการลบล้างเสรีภาพทั้งหมดออกจากเจตจํานงของเขา ก็คือการลบล้างศีลธรรมทั้งหมดออกจากการกระทําของเขา”

14. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “รัฐบาลต้องมีอํานาจจํากัด ควรปล่อยให้เอกชนสามารถดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเสรี”
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 3 (คําบรรยาย) จอห์น ล็อค (John Locke) นักปรัชญาการเมืองสกุลเสรีนิยม เสนอว่า รัฐบาล ต้องมีอํานาจจํากัด ควรปล่อยให้เอกชนสามารถดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างเสรี

15. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “เสรีภาพคือสิ่งที่แยกมนุษย์ออกจากสัตว์”
(1) Montesquieu
(2) Thomas Jefferson
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) James Madison
ตอบ 4 หน้า 136 – 137 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เสนอว่า ธรรมชาตินั้นกําหนดให้สัตว์ทุกตัวดํารงชีวิตหรือทําอะไรก็แล้วแต่เป็นไปตามแรงกระตุ้นจากสัญชาตญาณและแม้ว่ามนุษย์นั้นจะได้รับแรงกระตุ้นดังกล่าวเหมือนกับสัตว์อื่น ๆ แต่มนุษย์ก็มีเสรีภาพ ในการเลือกที่จะทําตามหรือไม่ทําตาม (Liberty to Acquiesce or Resist) มนุษย์เป็นสัตว์ประเภทเดียวที่มีเสรีภาพนี้ และเสรีภาพดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากสัตว์ โดยรุสโซเรียกคุณสมบัตินี้ว่า “Quality of Free Agency” ตัวอย่างเช่น สุนัขหิวก็กิน อยากขับถ่ายก็ไม่ต้องรอ แต่มนุษย์เราเลือกที่จะทําเช่นนี้หรือไม่ก็ได้

16. “เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างเสรี โดยมีเงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปรายอย่างเป็นธรรม…. หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน คําพาดพิงถึง เรื่องส่วนตัว และอะไรทํานองนั้น… และตราบเท่าที่สิ่งที่เราทําไปมิได้ทําอันตรายแก่เพื่อนร่วมโลกคนอื่น แม้ว่าคนอื่นอาจจะคิดว่าความประพฤติของเราเป็นสิ่งที่โง่เขลา วิปริตหรือผิดก็ตาม” เป็นคํากล่าวของ
นักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 1 หน้า 152 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เสนอว่า สังคมควรมีการอนุญาตให้เสรีภาพ ต่อมนุษย์ทุกคนอย่างกว้างขวางที่สุด แต่กระนั้นการให้เสรีภาพตามความคิดของมิลล์ใช่ว่าจะ ไม่มีข้อจํากัด โดยมิลล์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมา อย่างเสรี โดยมีเงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปราย อย่างเป็นธรรม…. หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน คําพาดพิงถึงเรื่องส่วนตัว และอะไร ทํานองนั้น และตราบเท่าที่สิ่งที่เราทําไปมิได้ทําอันตรายแก่เพื่อนร่วมโลกคนอื่น แม้ว่าคนอื่นอาจจะคิดว่าความประพฤติของเราเป็นสิ่งที่โง่เขลา วิปริตหรือผิดก็ตาม”

17. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “ผู้ปกครองปรารถนาจะคงรักษาตนเองไว้ก็จําเป็นที่เขาจะต้องเรียนรู้ ให้สามารถไม่เป็นคนดีได้ และจะใช้หรือไม่ใช้มันสุดแล้วแต่ความจําเป็น
(1) John Stuart Millt
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 4 หน้า 128 – 129, (คําบรรยาย) นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เป็นนักปรัชญา การเมืองชาวอิตาเลียนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งปรัชญาการเมืองสมัยใหม่” เขาได้ เสนอแนวคิดไว้ในหนังสือเรื่อง “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) ว่า “หากผู้ปกครองปรารถนา จะคงรักษาตนเองไว้ก็จําเป็นที่เขาจะต้องเรียนรู้ให้สามารถไม่เป็นคนดีได้ และจะใช้หรือไม่ใช้มันสุดแล้วแต่ความจําเป็น”

18. “เสรีภาพในสภาวะธรรมชาติเป็นเสรีภาพที่ไม่มีคุณค่า และไม่สามารถนํามาใช้อ้างอิงได้ เพราะเสรีภาพ ดังกล่าวเป็นเสรีภาพที่มนุษย์นั้นอยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่รวมกับคนอื่น ๆ ซึ่งเสรีภาพแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับ เสรีภาพของคนบ้า หรือของโจรปล้นทรัพย์ หรือของฆาตกรที่หนีออกมาจากกรงขังได้” ข้อความดังกล่าว
เป็นแนวคิดของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 3 หน้า 124, 155 เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) บิดาแห่งแนวคิดอนุรักษนิยมสมัยใหม่ กล่าวว่า “เสรีภาพในสภาวะธรรมชาติเป็นเสรีภาพที่ไม่มีคุณค่า และไม่สามารถนํามาใช้อ้างอิงได้ เพราะเสรีภาพดังกล่าวเป็นเสรีภาพที่มนุษย์นั้นอยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่รวมกับคนอื่น ๆ ซึ่งเสรีภาพ แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับเสรีภาพของคนบ้า หรือของโจรปล้นทรัพย์ หรือของฆาตกรที่หนีออกมาจากกรงขังได้”

19. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “เสรีภาพคือคุณสมบัติที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กําเนิด และไม่ว่าใครก็ตาม จะมาพรากเอาเสรีภาพนี้ไปอย่างชอบธรรมไม่ได้เว้นแต่ได้รับการยินยอมจากเจ้าของเสียก่อน ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่ผู้ให้กําเนิดอย่างบิดามารดาก็ไม่มีสิทธิใด ๆ จะมาพรากเอาเสรีภาพของลูกไป”
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 5 หน้า 142 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เสนอว่า เสรีภาพคือคุณสมบัติ ที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กําเนิด และไม่ว่าใครก็ตามจะมาพรากเอาเสรีภาพนี้ไปอย่างชอบธรรม ไม่ได้เว้นแต่ได้รับการยินยอมจากเจ้าของเสียก่อน ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่ผู้ให้กําเนิด อย่างบิดามารดาก็ไม่มีสิทธิใด ๆ จะมาพรากเอาเสรีภาพของลูกไป

20. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “เสรีภาพคือคุณสมบัติของมนุษย์ มนุษย์ไม่อาจจะเป็นทาสบางเวลา และเป็นเสรีบางเวลาได้ เขาเป็นเสรีภาพอย่างเต็มที่ตลอดกาล หรือมิฉะนั้นก็ไม่เป็นเสรีภาพตลอดกาล เพราะมนุษย์ถูกสาปให้เป็นเสรีภาพ
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 หน้า 142, 144, (คําบรรยาย) ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) เป็นนักปรัชญาการเมือง ชาวฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 20 สกุลอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) เขามีความเชื่อว่า มนุษย์นั้น ถูกกําหนดให้มีเสรีภาพ ดังที่เขากล่าวไว้ว่า “เสรีภาพคือคุณสมบัติของมนุษย์ มนุษย์ไม่อาจจะ เป็นทาสบางเวลาและเป็นเสรีบางเวลาได้ เขาเป็นเสรีภาพอย่างเต็มที่ตลอดกาล หรือมิฉะนั้น ก็ไม่เป็นเสรีภาพตลอดกาล เพราะมนุษย์ถูกสาปให้เป็นเสรีภาพ

21. ประชาชนไม่ควรเป็นผู้ปกครอง แต่ผู้ปกครองควรมาจากการคัดสรรอย่างดี
(1) Crito
(2) The Republic
(3) The Social Contract
(4) The Politics
(5) The Prince
ตอบ 2 หน้า 85, 87, 132 เพลโต (Plato) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “The Republic” ว่า ผู้ปกครองนั้น ควรเป็นคนที่ได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดี และเหมาะสมกับหน้าที่ ไม่ใช่เอาประชาชนหรือใครมาเป็นก็ได้ ซึ่งตามความคิดของเพลโตนั้นมองว่ามนุษย์แต่ละคนมีความถนัดที่ถูกกําหนดมาจากธรรมชาติแตกต่างกัน ซึ่งรวมถึงผู้ปกครองด้วย เพราะการปกครองก็ถือว่าเป็นทักษะหนึ่ง ที่เฉพาะทางไม่ต่างกับช่าง หมอ หรือการงานหน้าที่อื่น ๆ ดังนั้นผู้ปกครองจึงไม่ควรที่จะเป็นใคร ก็ได้ แต่ควรเป็นคนที่มีธรรมชาติเป็นผู้ปกครอง และมีทักษะ ตลอดจนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี

22. งานเขียนชิ้นสําคัญที่เชื่อในเรื่องของการที่อํานาจจะต้องอยู่ที่ประชาชน
(1) Crito
(2) The Republic
(3) The Social Contract
(4) The Politics
(5) The Prince
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

23. ใครจะมาเป็นผู้ปกครองก็ได้ ไม่เกี่ยวกับจํานวนของผู้ปกครอง แต่ควรพิจารณาจากจุดมุ่งหมายของ ผู้ปกครองว่าทําเพื่อประโยชน์สาธารณะหรือไม่
(1) Crito
(2) The Republic
(3) The Social Contract
(4) The Politics
(5) The Prince
ตอบ 4 หน้า 102 – 103, 109 อริสโตเติล (Aristotle) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “The Politics” ว่า ใครจะมาเป็นผู้ปกครองก็ได้ แต่ขอให้แค่ปกครองเพื่อประโยชน์ส่วนรวมหรือประโยชน์สาธารณะ หมายความว่า จํานวนของผู้ปกครองจะมีกี่คนก็ได้ เป็นระบอบอะไรก็ได้ ใครเป็นก็ได้ แต่ขอ เพียงอย่างเดียวคือผู้ปกครองเหล่านั้นควรจะปกครองเพื่อประโยชน์สาธารณะ ดังนั้นตามทัศนะ ของอริสโตเติลจึงเป็นการพิจารณาจุดมุ่งหมายของการปกครองว่าเอื้อประโยชน์ต่อใคร ถ้าเพื่อ ประโยชน์สาธารณะแล้ว การปกครองนั้นก็ถือว่าเป็นการปกครองที่ดี

24. ผู้ปกครองต้องทําทุกอย่างเพื่อรักษาอํานาจไว้ให้ได้
(1) Crito
(2) The Republic
(3) The Social Contract
(4) The Politics
(5) The Prince
ตอบ 5 หน้า 128 – 130, 132 – 133, (คําบรรยาย) นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) ว่า ผู้ปกครองที่ดีนั้นจะต้องทําทุกอย่าง เพื่อรักษารัฐหรือรักษาอํานาจไว้ให้ได้ ดังนั้นผู้ปกครองจึงเป็นใครก็ได้ แต่ขอเพียงอย่างเดียว ให้คน ๆ นั้นมีความสามารถในการรักษารัฐหรือรักษาอํานาจไว้ได้ก็พอ

25. งานเขียนชิ้นสําคัญที่กล่าวถึงความยุติธรรม ความอยุติธรรม หลังการจําคุกของโสเครตีส
(1) Crito
(2) The Republic
(3) The Social Contract
(4) The Politics
(5) The Prince
ตอบ 1 หน้า 61, (คําบรรยาย) ไครโต (Crito) เป็นบทสนทนาที่เขียนขึ้นในยุคกรีกโบราณโดยเพลโต (Plato) ในงานชิ้นนี้ได้แสดงให้เห็นถึงการสนทนาระหว่างโสเครตีสและไครโตผู้เป็นเพื่อนสนิท เกี่ยวกับความยุติธรรม ความอยุติธรรม และการตอบสนองที่เหมาะสมต่อความอยุติธรรม หลังจากการจําคุกของโสเครตีส

26.ชีวิตเป็นของเรา เวรกรรมไม่มี มนุษย์เป็นคนกําหนดชีวิตตัวเอง วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2หน้า 142 – 143 ของ ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) ได้อธิบายวิธีคิดเกี่ยวกับเสรีภาพของ เขาว่า มนุษย์นั้นเกิดมาพร้อมกับความว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งแบบหรือแก่นสาร (Essence) ใด ๆ ที่ติดตัวมากับมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นผู้กําหนดชะตาชีวิตของตัวเอง ไม่มีพระเจ้า เวรกรรม กฎแห่งกรรม หรือธรรมชาติใด ๆ มากําหนด ชีวิตเป็นของมนุษย์ มนุษย์จะเป็นผู้กําหนดว่า ตัวเองจะเป็นอย่างไร ดังที่ชาร์ตกล่าวว่า “การมีอยู่มาก่อนสาระหมายความว่าอย่างไร เรา หมายความว่าก่อนอื่นใดทั้งหมด มนุษย์มีอยู่ ค้นพบตัวเอง ปรากฏตัวในโลก และนิยามตัวเอง ภายหลัง…. ถ้ามนุษย์นิยามไม่ได้ ก็เป็นเพราะว่า ก่อนอื่นใดมนุษย์ไม่ใช่อะไรเลย เขาจะเป็น อะไรก็ตามหลังจากนั้น และเขาจะเป็นตามที่เขาสร้างตัวเองให้เป็น…. เนื่องจากมนุษย์คิดสร้าง ตัวเองภายหลังการมีอยู่ และเนื่องจากเขาต้องการสร้างให้ตัวเองเป็นภายหลังการมีอยู่ มนุษย์จึงมิใช่อะไรอื่นนอกจากผลิตผลที่เขาสร้างขึ้นให้แก่ตัวเอง…”

27. มนุษย์นั้นเกิดมาพร้อมกับความว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งแบบหรือแก่นสาร (Essence) ใด ๆ ที่ติดตัว มากับมนุษย์ วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 26. ประกอบ

28. การที่มนุษย์มีเสรีภาพ มนุษย์ก็ต้องมีความรับผิดชอบในเสรีภาพนั้นด้วย วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 หน้า 144 – 145, (คําบรรยาย) ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) มองว่า การที่มนุษย์ มีเสรีภาพ มนุษย์ก็ต้องมีความรับผิดชอบในเสรีภาพนั้นด้วย ดังที่เขากล่าวว่า “มนุษย์ถูกสาป ให้มีเสรีภาพ (Man is condemned to be free)… เมื่อมนุษย์เกิดขึ้นบนโลกนี้ เขาก็ต้อง รับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่เขากระทํา และพวกที่เชื่อในแนวคิดอัตถิภาวะนิยมจะไม่ยอมรับในอํานาจ แห่งอารมณ์ เขาจะไม่มีทางเห็นด้วยว่า อารมณ์ที่รุนแรงคือสายน้ำเชี่ยวกรากที่นํามนุษย์ให้ กระทําการต่าง ๆ เสมือนหนึ่งถูกลิขิตไว้ และมนุษย์จะถืออารมณ์เป็นข้อแก้ตัวให้ตนเองไม่ได้ เพราะมนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่ออารมณ์ของตนเอง”

29. เมื่อเด็กโตขึ้นและแข็งแรงเพียงพอ เขาก็อาจจะออกจากครอบครัวไปโดยที่พ่อแม่ไม่สามารถทวงบุญคุณ ในการเลี้ยงดูได้ วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 5 หน้า 139 – 140, (คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีแกนกลางอยู่ที่เสรีภาพ ด้วยเหตุนี้เองการรวมตัวกันของครอบครัวต้องเกิดจาก การตกลงยินยอมของพ่อแม่ลูก การยินยอมนี้หมายความว่าแต่ละคนเลือกที่จะอยู่รวมกันหรือ เลือกที่จะแยกกันอยู่ กล่าวง่าย ๆ ก็คือ การรวมตัวกันต้องเป็นไปโดยเสรีและเกิดจากการยินยอม ระหว่างกัน ดังนั้นเมื่อเด็กโตขึ้นและแข็งแรงเพียงพอ เขาก็อาจจะออกจากครอบครัวไปโดยที่ พ่อแม่ไม่สามารถทวงบุญคุณได้ เพราะการทวงบุญคุณมีค่าเท่ากับการบังคับ และเป็นการละเมิดเสรีภาพ ซึ่งนั่นก็หมายความว่ามันเป็นการละเมิดความเป็นมนุษย์

30.Existentialism เป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 20. ประกอบ

31. ผู้ปกครองไม่ควรจะเป็นกังวลกับการก่อให้เสียชื่อเสียงในเรื่องของความชั่วต่าง ๆ ซึ่งถ้าไม่มีมันเสียแล้วก็จะเป็นการยากที่จะรักษารัฐเอาไว้ วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 4 หน้า 130 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองนั้นไม่ควรจะ คํานึงแต่การทําดีละเว้นความชั่ว โดยเฉพาะในกรณีที่ว่าถ้าการทําดีนั้นทําให้เขาต้องสูญเสียรัฐ แต่การทําชั่วสามารถทําให้เขารักษารัฐได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นผู้ปกครองก็ควรจะเลือกการทําชั่ว ดังที่เขากล่าวว่า “ผู้ปกครองไม่ควรจะเป็นกังวลกับการก่อให้เสียชื่อเสียงในเรื่องของความชั่ว ต่าง ๆ ซึ่งถ้าไม่มีมันเสียแล้วก็จะเป็นการยากที่จะรักษารัฐเอาไว้ เพราะถ้าบุคคลใดไตร่ตรองทุกสิ่ง ทุกอย่างเป็นอย่างดี เขาจะพบว่าบางสิ่งบางอย่างซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความดีนั้น หากปฏิบัติตาม ก็จะกลายเป็นความพินาศของเขา และสิ่งอื่นซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความชั่วนั้น หากปฏิบัติตาม ก็จะสัมฤทธิ์ผลในด้านความมั่นคง และความเป็นอยู่ที่ดี”

32. เสรีภาพมีไว้เพื่อเป็นเครื่องมือที่ก่อให้เกิดประโยชน์สุขแก่คนจํานวนมากที่สุด วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 1 หน้า 116, 149, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ต้องการให้สังคมนั้น มีเสรีภาพกว้างขวางออกไปอย่างมากที่สุด แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้อ้างว่าเสรีภาพนี้มีที่มาจาก สิทธิติดตัวของมนุษย์ตั้งแต่กําเนิด แต่การที่สังคมยินยอมให้เสรีภาพมีการขยายออกไปอย่างกว้างขวางมันจะก่อให้เกิดประโยชน์สุขกับคนจํานวนมากที่สุด ซึ่งแนวคิดของมิลล์นี้เป็นไปตาม หลักการของประโยชน์นิยม (Utilitarianism) ซึ่งคํานึงถึง “ความสุข” “ความรื่นรมย์” หรือ “อรรถประโยชน์” เป็นหลัก โดยนักคิดที่ยึดถือหลักการประโยชน์นิยมนั้นจะมีหลักการพื้นฐาน ร่วมกันที่ว่า “การกระทําทุกอย่างต้องเป็นไปเพื่อหลักการความสุขที่มากที่สุดของคนจํานวน มากที่สุด” หรือถือว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างวัดกันที่อรรถประโยชน์เป็นหลัก”

33.Utilitarianism เป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

34. เสรีภาพควรจะอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเสรีภาพก็ควรจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบด้วยวิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavetti
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 1 หน้า 148 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) มองว่า เสรีภาพไม่ใช่เรื่องของการที่มนุษย์ จะกระทําอะไรก็ได้ตามใจปรารถนาโดยไม่ต้องสนใจสิ่งใด เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นมนุษย์ก็คง ไม่ต่างกับพวกคนป่าเถื่อนไร้อารยธรรมที่อยากจะฆ่าใครก็ได้ ทําอะไรก็ได้ ซึ่งมิลล์มองว่าการจะทําอะไรก็ได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแบบพวกคนป่าเถื่อนไร้อารยธรรมไม่ควรที่จะเรียกว่ามันคือเสรีภาพ แต่ควรจะเรียกว่าเป็นพฤติกรรมแบบเผด็จการของแต่ละคนที่กระทําต่อกัน ดังนั้นเองมิลล์จึงเสนอว่า เสรีภาพควรจะอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายและเสรีภาพก็ควรจะมาพร้อมกับความรับผิดชอบด้วย

35. ความเรียงว่าด้วยเสรีภาพ (On Liberty) เป็นงานเขียนของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 1 หน้า 146 – 148 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษ ที่ได้รับฉายาว่าเป็น “แชมป์เปี้ยนแห่งเสรีภาพ” (Champion of Liberty) เขาได้เขียนงาน ชิ้นสําคัญออกมาในปี ค.ศ. 1859 ชื่อว่า “ความเรียงว่าด้วยเสรีภาพ” (On Liberty)

36. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “เสรีภาพที่ดีต้องเป็นเสรีภาพที่ผ่านการจัดระเบียบของสังคม ผ่านการลองผิดลองถูก หรือผ่านการวิวัฒนาการมาอย่างยาวนานจนสถาปนาให้กลายมาเป็นบรรทัดฐาน
หรือกฎหมายต่างหากคือเสรีภาพที่แท้จริง”
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 3 หน้า 155 เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) เสนอว่า เสรีภาพที่ดีต้องเป็นเสรีภาพที่ผ่าน การจัดระเบียบของสังคม ผ่านการลองผิดลองถูก หรือผ่านการวิวัฒนาการมาอย่างยาวนาน จนสถาปนาให้กลายมาเป็นบรรทัดฐานหรือกฎหมายต่างหากคือเสรีภาพที่แท้จริง ดังนั้น เสรีภาพตามความคิดของเบิร์กจึงเป็นเสรีภาพที่สังคมหรือรัฐเป็นผู้กําหนดขึ้นมา ไม่ใช่เสรีภ ที่ติดตัวมาตั้งแต่กําเนิดหรือเป็นสิทธิตามธรรมชาติที่ไม่มีใครสามารถพรากไปได้ตามแบบความคิดของพวกเสรีนิยม

37.“การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อมปรารถนาจะเป็นทั้ง ผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 4 หน้า 130 – 131 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองควรทํา ตนเองให้เป็นที่หวาดกลัวมากกว่าเป็นที่รัก ถ้าในกรณีที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังที่เขา กล่าวว่า “การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อม ปรารถนาจะเป็นทั้งผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก แต่เนื่องจากยากที่จะผสมคุณสมบัติ เหล่านี้เข้าด้วยกัน ถ้าอันใดอันหนึ่งในสองอันนี้จะต้องขาดไป การเป็นที่หวาดกลัวจึงเป็นการ ปลอดภัยมากกว่าการเป็นที่รัก เพราะธรรมชาติมนุษย์นั้น อกตัญญู เปลี่ยนใจง่าย เป็นพวก มือถือสาก ปากถือศีล และพวกอําพราง พวกหลีกเลี่ยงอันตราย ผู้รักผลได้…”

38. ถ้าอยากจะเข้าใจถึงธรรมชาติอันแท้จริงของมนุษย์ที่เปี่ยมไปด้วยเสรีภาพนั้น จําเป็นจะต้องพิจารณามนุษย์ ในสภาวะธรรมชาติ วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavetti
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 5 หน้า 136 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) อธิบายว่า ถ้าอยากจะเข้าใจ… ธรรมชาติอันแท้จริงของมนุษย์ที่เปี่ยมไปด้วยเสรีภาพนั้น จําเป็นจะต้องพิจารณามนุษย์ในสภาวะ ธรรมชาติ (State of Nature) หรือในสภาวะก่อนที่มนุษย์จะเข้ามาอยู่รวมกันเป็นสังคมหรือรัฐเนื่องจากรุสโซมองว่าถ้าเกิดทําการพิจารณามนุษย์จากในสภาวะที่เป็นสังคมแล้วก็จะไม่สามารถพบธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ได้ เพราะเขาเชื่อว่าถ้าเมื่อใดที่มนุษย์เข้ามาอยู่รวมกัน เมื่อนั้น ธรรมชาติที่ดีของมนุษย์ก็จะสูญหายไป ดังนั้นเองถ้าหากต้องการที่จะทราบว่าธรรมชาติของ มนุษย์เป็นเช่นไร หรืออีกนัยหนึ่งคือ มนุษย์มีเสรีภาพหรือไม่ จําเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณา มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ

39. “ในช่วงเวลาหนึ่งมนุษย์เราอาจจะเห็นว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องผิด แต่ในภายหลังมันอาจจะกลับกลายมาเป็นสิ่งที่ถูกหรือได้รับการยอมรับได้ ดังนั้นสังคมไม่ควรที่จะด่วนปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น หรือแสดงออกของคนใดคนหนึ่ง” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 1 หน้า 151 – 152, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) กล่าวว่า ในช่วงเวลาหนึ่งมนุษย์อาจจะเห็นว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องผิด แต่ในภายหลังมันอาจจะกลับกลายมาเป็นสิ่งที่ ถูกต้องหรือได้รับการยอมรับได้ ดังนั้นสังคมไม่ควรที่จะปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
หรือแสดงออกของคนใดคนหนึ่งเพราะถ้าความคิดเห็นที่แสดงออกมานั้นเป็นสิ่งที่ผิดในท้ายที่สุด คนก็จะไม่เชื่อถือ แต่ถ้าเกิดความเห็นนั้นถูกต้องขึ้นมาภายหลังเราก็จะเสียโอกาสที่จะได้ทราบ ความจริงไป ทั้งนี้มิลล์ได้ยกตัวอย่างเรื่องโสเครตีส (Socrates) และพระเยซู (Jesus) มาเป็น ข้อสนับสนุนความคิดของตน

40. ผู้ปกครองจะต้องมีคุณธรรม 2 ประการที่สําคัญเหนือคุณธรรมทั้งหมดทั้งปวง คือ ความสุขุมรอบคอบ และความมีไหวพริบ วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 4 หน้า 131 – 132 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เห็นว่า ผู้ปกครองจะต้องมี คุณธรรม 2 ประการที่สําคัญเหนือคุณธรรมทั้งหมดทั้งปวง คือ ความสุขุมรอบคอบ (Prudenzia/Prudence) และความมีไหวพริบ (Astuzia/Astuteness)

41. รัฐไม่ควรเข้ามาแทรกแซงเรื่องใด ๆ ของประชาชนเลย วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของใคร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 2 หน้า 187 – 189, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โนซิค (Robert Nozick) นักปรัชญาการเมือง ชาวอเมริกันเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง “Anarchy, State and Utopia” เขาเห็นว่ารัฐไม่ควร เข้ามาแทรกแซงเรื่องใด ๆ ของประชาชนเลย โดยเฉพาะเรื่องการกระจายทรัพยากร เพราะ มองว่าการตัดสินใจต่าง ๆ ในสังคมควรจะเป็นไปอย่างเสรีโดยไม่ต้องมีการกํากับหรือวางแผน อย่างตายตัวจากรัฐ เหตุผลที่โนซิคเสนอเช่นนี้ก็เนื่องมาจากเขามีฐานคิดที่ว่า ถ้าคน ๆ หนึ่งได้รับทรัพยากรมาด้วยความชอบธรรมแล้ว รัฐหรือเอกชนคนใดก็ไม่มีสิทธิที่จะมาพรากเอา ทรัพย์สินนั้น ๆ ไปจากเจ้าของได้อย่างชอบธรรม

42. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เขียนหนังสือเรื่อง Anarchy, State and Utopia
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ

43. นักปรัชญาการเมืองคนใดไม่เชื่อเรื่องกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 1 (คําบรรยาย) คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เป็นนักปรัชญาการเมืองที่ไม่เห็นด้วยกับระบบทุนนิยม เขาได้เขียนหนังสือว่าด้วยทุน (Das Kapital) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1867 ซึ่งมีเนื้อหา เป็นการวิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์ระบบทุนนิยมที่เน้นแต่เรื่องของกําไร-ขาดทุน การจ้างงาน การสะสมทุน กรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล การขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากแรงงาน ฯลฯ

44. การปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพ เป็นวิธีคิดของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawis
(5) John Locke
ตอบ 1 หน้า 174 – 176 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ได้เสนอแนวคิดการปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพโดยเขาเรียกร้องให้ชนชั้นกรรมาชีพรวมกลุ่มกันปฏิวัติโค่นล้มรัฐนายทุนและสถาปนารัฐสังคมนิยม
ที่เป็นรัฐของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นมา เพื่อปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางการผลิตของชนชั้นนายทุน ให้กลายมาเป็นของชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งแนวคิดของมาร์กซ์นี้ปรากฏอยู่ใน “แถลงการณ์ พรรคคอมมิวนิสต์” (The Communist Manifesto) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1848

45. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอแนวคิดเรื่องม่านแห่งความไม่รู้
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 4 หน้า 179 – 180, 186 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้ใช้วิธีการทดลองทางความคิด (Thought Experiment) ในการอธิบายหลักการกระจายทรัพยากร โดยเขาได้จําลองสถานการณ์หนึ่งขึ้นมา เพื่อให้ใครก็ได้ไปตัดสินใจภายใต้สภาวะดังกล่าวว่าเขาต้องการสังคมแบบใด และได้วางเงื่อนไข ภายใต้สภาวะของม่านแห่งความไม่รู้ (Veit of Ignorance) ซึ่งผู้ตัดสินใจจะไม่ทราบว่าตนเป็นใคร มีสถานะอะไร ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ตัดสินใจเลือกหลักการทางสังคมใด ๆ ที่เข้าข้างตนเอง โดยรอลส์เชื่อว่าสถานการณ์ที่ว่านี้จะเป็นการตัดสินอันยุติธรรมเพราะผู้ตัดสินใจจะใช้แต่เหตุผล และไม่นําสิ่งต่าง ๆ เช่น สถานะของตนเองมาเป็นปัจจัยในการตัดสิน

46. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่สํารวจชีวิตของชนชั้นล่างอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 และเขียนออกมาเป็นรายงาน ว่า “คนจนทั่วไปไม่มีเงินเช่าบ้านอยู่อาศัยเป็นครอบครัว ซึ่งคนพวกนี้จะต้องไปเช่าอยู่ในโรงแรมที่ห้องหนึ่ง มีคนอาศัยอยู่หลาย ๆ คน
(1) Kart Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 3 หน้า 168, (คําบรรยาย) เซอร์เอ็ดวิน แซดวิก (Sir Edwin Chadwick) นักปรัชญาการเมือง ชาวอังกฤษได้ไปสํารวจชีวิตของชนชั้นล่างอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 และเขียนเป็นรายงาน เสนอรัฐสภา โดยเขาเล่าว่า คนจนทั่วไปไม่มีเงินเช่าบ้านอยู่อาศัยเป็นครอบครัว ซึ่งคนพวกนี้ จะต้องไปเช่าอยู่ในโรงแรมที่ห้องหนึ่งมีคนอาศัยอยู่หลาย ๆ คน ซึ่งเป็นสภาพชีวิตของคนจน ในเมืองที่ย่ําแย่มาก ๆ

47. “ด้วยการที่มนุษย์เชื่อฟังคําสั่งของพระเจ้า จึงบุกเบิกที่ดิน ทําไร่ไถนา หว่านทุก ๆ ที่บนแผ่นดินโลก และ ด้วยวิธีการดังกล่าว ก็ผนวกสิ่งต่าง ๆ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของเขา ซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิอ้างกรรมสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิแย่งสิ่งนั้นไปจากเจ้าของโดยปราศจากการต่อสู้จนถึงขั้นบาดเจ็บ” เป็นคํากล่าวของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 5 หน้า 162 – 163 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้อธิบายไว้ว่า สิ่งใด ๆ ก็ตามบนโลกนี้ที่มนุษย์ ได้นํามันออกมาจากสภาพธรรมชาติดั้งเดิม หรือทําการเปลี่ยนรูปแบบของมันให้ต่างออกไปจาก ลักษณะดั้งเดิม กล่าวคือ ด้วยการที่เขานําแรงงานของตัวเองไปผสมร่วมกับสิ่งนั้น ๆ ที่เคยเป็น สิ่งตามธรรมชาติจนมันมีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยวิธีการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนรูป ดัดแปลง ตัดต่อ ฯลฯ สิ่งของนั้น ๆ ก็จะกลายมาเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาโดยชอบธรรม และคนอื่น ๆ ง ก็ไม่มีสิทธิต่อสิ่งนั้นอีกต่อไป ดังที่เขาได้กล่าวไว้ว่า “สิ่งต่าง ๆ จะกลายมาเป็นทรัพย์สินของ ข้าพเจ้า โดยไม่ต้องมีการยินยอมหรือได้รับมอบหมายจากบุคคลใด ๆ ก็ตาม เพราะว่าแรงงาน เป็นของข้าพเจ้าที่ใช้ในการนําสิ่งนั้น ๆ ออกมาจากสภาวะธรรมชาติที่เป็นส่วนรวม… ด้วยการที่มนุษย์เชื่อฟังคําสั่งของพระเจ้า จึงบุกเบิกที่ดิน ทําไร่ไถนา หว่านทุก ๆ ที่บนแผ่นดินโลก และ ด้วยวิธีการดังกล่าว ก็ผนวกสิ่งต่าง ๆ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของเขา ซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิอ้าง กรรมสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิแย่งสิ่งนั้นไปจากเจ้าของโดยปราศจากการต่อสู้จนถึงขั้นบาดเจ็บ”

48. “ในรูปแบบความสัมพันธ์ทางการผลิต (Relation of Production) ระหว่างชนชั้นนายทุน (Bourgeoisie) และชนชั้นผู้ผลิต กรรมกร หรือผู้ลงแรงในการผลิต (Proletariat) จะมีความไม่เป็นธรรมในการกระจาย ทรัพยากรอยู่เสมอ” เป็นวิธีคิดของนักปรัชญาการเมืองคนใด
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 1 หน้า 170 – 171, (คําบรรยาย) คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) อธิบายว่า ในรูปแบบความสัมพันธ์ ทางการผลิต (Relation of Production) ระหว่างชนชั้นนายทุน (Bourgeoisie) และชนชั้นผู้ผลิต กรรมกร หรือผู้ลงแรงในการผลิต (Proletariat) จะมีความไม่เป็นธรรมในการกระจายทรัพยากร อยู่เสมอ นั่นก็เพราะเครื่องมือที่ใช้ในการผลิตสินค้าไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ต่าง ๆ เครื่องจักร ที่ดิน สถานประกอบการ ฯลฯ มีนายทุนเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครอง ส่วนกรรมกรนั้นมีเพียงแรงงาน ที่ติดตัวมาของแต่ละคนเท่านั้นที่ใช้ในการผลิต ด้วยความสัมพันธ์ในการผลิตเช่นนี้เอง นายทุน ได้จ่ายค่าแรงหรือค่าจ้างให้กรรมกรเพื่อแลกกับแรงงานของพวกเขา และนายทุนก็ได้กําไรจาก การผลิตสินค้าของแรงงาน โดย “กําไร” นี้เองที่เป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรม เพราะนายทุนได้ไปขูดรีดเอา “มูลค่าส่วนเกิน” (Surplus Value) มาจากกรรมกรที่ใช้แรงงานในการผลิตสินค้า

49. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เขียนหนังสือเรื่อง A Theory of Justice
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 4 หน้า 177 – 178 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้เขียนหนังสือเรื่อง “A Theory of Justice (ทฤษฎีหนึ่งว่าด้วยความยุติธรรม) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1971 เพื่อเสนอหลักความยุติธรรมใน การกระจายทรัพยากร โดยรอลส์มองว่าการกระจายทรัพยากรนั้นไม่ควรปล่อยเสรี รัฐจะต้อง เข้าไปแทรกแซงและจัดสวัสดิการให้กับคนที่ด้อยโอกาส คนยากจน และคนทุกข์ยาก

50. นักปรัชญาการเมืองคนใดที่เสนอว่า “รัฐจะต้องเข้าไปแทรกแซงและจัดสวัสดิการให้กับคนด้อยโอกาสคนยากจน คนทุกข์ยาก”
(1) Kart Marx
(2) Robert Nozick
(3) Sir Edwin Chadwick
(4) John Rawls
(5) John Locke
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 49. ประกอบ

51. การเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนของที่มาของสมาชิกวุฒิสภา
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 4 หน้า 135 เรามีเสรีภาพหรือไม่ เป็นคําถามสําคัญประการหนึ่งของปรัชญาการเมืองที่มักจะมีการถกเถียงกันอยู่ในชีวิตประจําวันของมนุษย์ทุกคนทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยเสรีภาพ (Liberty) ในที่นี้หมายถึง การที่คน ๆ หนึ่งสามารถทําอะไรได้โดยปราศจากการควบคุมบังคับ ตลอดจนไม่ถูกกีดกันไม่ให้ทําอะไรจากผู้อื่น หรือกล่าวง่าย ๆ ก็คือ การกระทําอะไรก็ได้ตาม ความปรารถนาของตนเองและไม่มีคนอื่นมาบงการควบคุม ซึ่งเสรีภาพที่ว่านี้จะเน้นไปในทาง เสรีภาพทางการเมือง อันได้แก่ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพที่จะมีส่วนร่วม ทางการเมือง เสรีภาพในการชุมนุมสมาคมกัน และเสรีภาพในการวิพากษ์วิจารณ์ผู้ปกครอง

52. นโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐปีละ 12,000 บาทของพรรครวมไทยสร้างชาติ
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 5 หน้า 159 – 160 เราควรจะกระจายทรัพย์สินหรือความมั่งคั่งในสังคมอย่างไร เป็นคําถาม ในเรื่องของการจัดสรรหรือการกระจายทรัพยากรให้กับสมาชิกในสังคม เช่น ควรจัดสรร ทรัพยากรในสังคมอย่างไรให้เกิดความยุติธรรม การจัดการทรัพยากรในสังคมควรจะมีหลักการ จัดการในรูปแบบลักษณะใด ใครบ้างควรจะเป็นผู้ถือครองทรัพยากร การถือครองทรัพยากร ควรจะมีได้มากน้อยเท่าไร การได้มาของทรัพยากรควรจะได้มาด้วยวิธีการในลักษณะใด

53. ข้อถกเถียงเรื่องการเกิดขึ้นของรัฐ
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 1 หน้า 25, 195, (คําบรรยาย) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง เป็นคําถามพื้นฐานที่สุด ในทางปรัชญาการเมือง ซึ่งในประเด็นนี้อาจมีการตั้งคําถามหรือข้อถกเถียงกันว่าทําไมต้องมีรัฐ หรือสังคมการเมือง มนุษย์มีความจําเป็นหรือไม่ที่จะต้องอยู่ในรัฐหรือสังคมการเมือง รัฐหรือ สังคมการเมืองมีที่มาหรือเกิดขึ้นได้อย่างไร รัฐหรือสังคมการเมืองมีความสําคัญอย่างไร เป็นต้น

54. นโยบายเงินดิจิตอล 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

55. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับการประกาศใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ข้อถกเถียงดังกล่าวสอดคล้องกับประเด็นคําถามที่ว่า “ทําไมเราต้องเชื่อฟัง กฎหมาย” หรือ “ทําไมเราต้องทําตามกฎหมาย” โดยกฎหมายนั้นถือเป็นคําสั่งของรัฐ หากเราไม่เชื่อฟังหรือไม่ทําตามจะต้องถูกลงโทษตามตัวบทกฎหมาย

56. การประกาศวันเลือกตั้ง ส.ส. วันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2566
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 3 หน้า 7, 85, (คําบรรยาย) “ใครควรเป็นผู้ปกครอง” เป็นคําถามหนึ่งในทางปรัชญาการเมืองที่มีความสําคัญและเป็นประเด็นในการถกเถียงกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งในประเด็นนี้อาจจะมี การถกเถียงหรือตั้งคําถามว่าผู้ปกครองที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ใครควรจะเป็นผู้ปกครอง การเข้ามามีอํานาจของผู้ปกครองมีความชอบธรรมหรือไม่ เป็นต้น

57. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับนโยบายประชานิยมกับนโยบายประชารัฐ
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 52. ประกอบ

58. ข้อถกเถียงเกี่ยวกับความชอบธรรมของการรัฐประหารในซูดานของนายพลอัลบูร์ฮาน
(1) ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมือง
(2) ทําไมเราต้องเชื่อฟังกฎหมาย
(3) ใครควรเป็นผู้ปกครอง
(4) เรามีเสรีภาพหรือไม่
(5) ควรจะกระจายทรัพย์สินในสังคมอย่างไร
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 56. ประกอบ

59. ปรัชญา (Philosophy) มีความหมายถึง
(1) ความรู้
(2) ความสามารถ
(3) ความรัก
(4) ถูกข้อ 1 และ 2
(5) ถูกข้อ 1 และ 3
ตอบ 5 หน้า 5 คําว่า “ปรัชญา” (Philosophy) เกิดมาจากการผสมกันของคํา 2 คํา คือ คําว่า “ความรัก” (Love) กับคําว่า “ความรู้” (Wisdom) ดังนั้นปรัชญาจึงหมายถึง “ความรัก ในความรู้” (Love of Wisdom) นั่นเอง

60. การเมือง (Politics) ในภาษากรีก คือ
(1) Political
(2) Politika
(3) Politico
(4) Politician
(5) Politicos
ตอบ 2 หน้า 6, (คําบรรยาย) การเมือง (Politics) มีรากศัพท์มาจากคําในภาษากรีกคือ “Politika ซึ่งหมายถึง เรื่องราวหรือกิจการของ Polis (Affairs of the Cities) สําหรับพวกกรีกเอง คําว่าการเมืองนั้นเป็นคําที่ใช้สื่อความหมายสะท้อนถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม เรื่องนั้นก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ทุกคนที่อยู่ใน Polis ด้วย ด้วยเหตุนี้คําว่าการเมืองจึงเป็นเรื่องราวที่หมายถึงส่วนรวม คนทุกคน เรื่องสาธารณะ อันจะตรงกันข้ามกับเรื่องส่วนตัว ผลประโยชน์เฉพาะ หรือในความหมาย ที่กว้างที่สุด การเมืองหมายถึง กิจกรรมหรือวิถีแห่งการอยู่ร่วมกันของมนุษย์

61. “การโกหกเป็นสิ่งที่ผิดทุกครั้งหรือไม่ หรือว่าผิดในบางกรณี เช่น เราโกหกเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ผิด หรือไม่ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าถูกเพราะเป็นความผิดที่สุจริต แต่บางคนก็บอกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันก็ผิดแม้จะทําด้วยจุดมุ่งหมายอะไรก็ตาม” ข้อความดังกล่าวคือสาขาใดของวิชาปรัชญา
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 5 หน้า 3, (คําบรรยาย) จริยศาสตร์ (Ethics) เป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาที่มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่ควร จะเป็น ตลอดจนพฤติกรรมของมนุษย์ที่ควรจะเป็น ดังนั้นจริยศาสตร์จึงเป็นสาขาที่ศึกษาว่า ความดีคืออะไร ความประพฤติแบบใดเป็นความประพฤติที่ดี อะไรคือสิ่งที่ควรกระทํา อะไรคือ สิ่งที่ไม่ควรกระทํา อะไรคือสิ่งที่ผิด อะไรคือสิ่งที่ถูก เช่น ในสาขาความรู้นี้อาจจะตั้งคําถามว่า การโกหกเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี หรือการโกหกเป็นสิ่งที่ผิดทุกครั้งหรือไม่ หรือว่าผิดในบางกรณี เช่น การโกหกเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ผิดหรือไม่ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าถูกเพราะเป็นความผิดที่สุจริต แต่บางคนก็บอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันก็ผิดแม้จะทําด้วยจุดมุ่งหมายอะไรก็ตาม

62. “ความงามคืออะไร ความไพเราะคืออะไร สิ่งที่เรียกความงามนั้นมันงามในตัวเองหรือว่ามันงามเพราะคน ไปให้ค่ามัน ซึ่งอาจจะแปรผันกันไปได้แต่ละสังคมอีก” ข้อความดังกล่าวคือสาขาใดของวิชาปรัชญา
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 3 หน้า 2 – 3 (คําบรรยาย) สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) เป็นสาขาที่มุ่งพยายามหาคําตอบ ในแง่มุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความงาม ดังนั้นคําถามของสาขานี้จึงมักจะถามกันว่า ความงาม คืออะไร ความไพเราะคืออะไร สิ่งที่เรียกความงามนั้นมันงามในตัวเองหรือว่ามันงามเพราะคน ไปให้ค่ามัน ศิลปะคืออะไร เป็นศิลปะเพื่อชีวิตหรือศิลปะเพื่อศิลปะ เป็นต้น

63. “มนุษย์นั้นรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร เช่น คุณเห็นตัวหนังสือในหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร คุณก็อาจจะตอบว่า ตาผมไม่บอด ผมย่อมมองเห็นนะซิ” ข้อความดังกล่าวคือสาขาใดของวิชาปรัชญา
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 2 หน้า 2 ญาณวิทยา (Epistemology) หรือบางครั้งก็เรียกว่า ทฤษฎีความรู้ (Theory of Knowledge) ในสาขาย่อยของความรู้ทางด้านปรัชญานี้ จะมุ่งศึกษาในประเด็นเกี่ยวกับว่า มนุษย์นั้นรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร เช่น คุณเห็นตัวหนังสือในหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร คุณก็อาจจะ ตอบว่า “ตาผมไม่บอด ผมย่อมมองเห็นนะซิ” ซึ่งการตอบว่า “ตาผมไม่บอด” ก็หมายความว่า ผมเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ตา” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมนุษย์สามารถรู้ถึง สิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยประสาทสัมผัสนั่นเอง

64. “การศึกษาถึงสิ่งที่เป็นแก่นสารของสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้มีที่มาจากอะไร เช่น บางคนอาจจะเสนอว่า สิ่งที่ เป็นแก่นแท้ของความเป็นจริง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นจริง ๆ แล้วไม่ใช่สสารหรือวัตถุ (Materialism) แต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า จิต ซึ่งพวกนี้เรียกว่า พวกจิตนิยม (Idealism)” ข้อความ ดังกล่าวคือสาขาใดของวิชาปรัชญา
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 1 หน้า 1 – 2 (คําบรรยาย) อภิปรัชญา (Metaphysics) เป็นสาขาที่มุ่งศึกษาถึงแก่นแท้หรือ ความเป็นจริงสูงสุดของสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ เช่น ในสาขานี้อาจจะตั้งคําถามว่า ความจริงแท้ คืออะไร อะไรคือความจริงแท้สูงสุด หรืออาจจะมีการตั้งคําถามกันว่า สิ่งที่เป็นแก่นสารของ สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้มีที่มาจากอะไร เช่น บางคนอาจจะเสนอว่าสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของความเป็นจริง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นจริง ๆ แล้วไม่ใช่สสารหรือวัตถุ (Materialism) แต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่เรียกว่า จิต ซึ่งพวกนี้เรียกว่า พวกจิตนิยม (Idealism)

65. เครื่องมือในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญา
(1) Metaphysics
(2) Epistemology
(3) Aesthetics
(4) Logic
(5) Ethics
ตอบ 4 หน้า 3 ตรรกวิทยา (Logic) เป็นสาขาที่ไม่ได้มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่เป็นพื้นฐานเหมือนสาขาอื่น ๆแต่เป็นการศึกษาถึงวิธีการให้เหตุผลหรือการอ้างเหตุผลในเรื่องต่าง ๆ ของมนุษย์ว่ามีลักษณะ สมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร โดยทั่วไปแล้วสิ่งที่เรียกว่าตรรกวิทยานั้นมักจะเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญาเสียมากกว่า

66. พฤติกรรม ลักษณะการกระทํา หรือพฤติกรรมที่เหมาะสม หมายถึง
(1) Liberty
(2) Equality
(3) Fraternity
(4) Solidarity
(5) Morality
ตอบ 5 หน้า 3 ศีลธรรม (Morality) หมายถึง พฤติกรรม ลักษณะการกระทํา หรือพฤติกรรมที่เหมาะสม

67. Philosophia Perennis คืออะไร
(1) แนวทางการดําเนินชีวิตของนักปรัชญา
(2) แนวทางการเคลื่อนไหวทางการเมืองของนักปรัชญา
(3) อาวุธทางปัญญาของนักปรัชญา
(4) คําถามทางปรัชญา
(5) คําตอบทางปรัชญา
ตอบ 4 หน้า 7 คําถามอมตะ (Philosophia Perennis) เป็นคําถามทางปรัชญา โดยนักคิดหรือ นักปรัชญาการเมืองมีความเชื่อว่า ในโลกใบนี้มีความจริงหรือสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปเท่าใด และมีปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายเพียงใด แต่ภายใต้ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่พบเห็นมันมีความรู้ที่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ ดังนั้นนักคิดที่คิดว่า ตัวเองเป็นนักปรัชญาการเมืองจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะหาความรู้อันจริงแท้ด้วยการพยายาม หาคําตอบจากคําถามอมตะต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ทําไมมนุษย์ต้องมีการเมือง สังคมการเมือง หรือรัฐคืออะไร ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมืองหรือรัฐ กฎหมายคืออะไร ทําไมเราต้อง เชื่อฟังกฎหมาย มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพหรือไม่ ผู้ปกครองที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ใครควร ที่จะเป็นผู้ปกครอง เป็นต้น

68.“Demos” ที่เป็นที่มาของคําว่า “Democracy” ในภาษากรีก หมายถึง
(1) คนชั้นสูง
(2) คนชั้นกลาง
(3) คนชั้นล่าง
(4) ประชาชน
(5) พลเมือง
ตอบ 3 หน้า 106 ศัพท์ดั้งเดิมของคําว่า “Democracy” มาจากภาษากรีกคําว่า “Demokratia ซึ่งเป็นการผสมกันของรากศัพท์ 2 คํา คือ คําว่า “Dermos” ที่แปลว่า ฝูงชน ชนชั้นต่ํา คนชั้นล่าง คนจน และคําว่า “Kratia” ที่แปลว่า การปกครอง โดยเมื่อนํามาผสมกันจึงแปลว่า การปกครองของพวกคนจนคนชั้นต่ำ

69. ประชาธิปไตยแบบเอเธนส์เน้นความเท่าเทียมโดยกลไกใดในการได้มาซึ่งผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง
(1) เลือกตั้ง
(2) สรรหา
(3) สอบคัดเลือก
(4) สภาแต่งตั้ง
(5) จับสลาก
ตอบ 5หน้า 8, คําบรรยาย) ในรูปแบบการปกครองประชาธิปไตยแบบเอเธนส์ที่เน้นความเสมอภาค เท่าเทียมกันนั้น กลไกในการได้มาซึ่งผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองหรือผู้บริหารกิจการสาธารณะ จะไม่ใช้วิธีการเลือกตั้งหรือแต่งตั้ง เพราะการเลือกตั้งและแต่งตั้งนั้นเป็นวิธีการของการปกครอง แบบชนชั้นสูง แต่วิธีการแบบประชาธิปไตยของเอเธนส์จะใช้วิธีการ “จับสลาก” (By Lot) มีเพียงไม่กี่ตําแหน่งเท่านั้นที่ยังคงใช้การแต่งตั้งตามความสามารถ เช่น การเป็นแม่ทัพ หรือ การเป็นทูตที่จําต้องไปเจรจากับรัฐอื่น ๆ

70. บุคคลใดต่อไปนี้ไม่ใช่พวกโซฟิสต์
(1) Protagoras
(2) Gorgias
(3) Xerophon
(4) Thrasymachus
(5) Hippias
ตอบ 3 หน้า 9 – 10 โซฟิสต์ (Sophist) เป็นชื่อของกลุ่มคนในยุคกรีกโบราณที่มีอาชีพสอนพลเมือง ให้มีความรู้ต่าง ๆ ทางการเมือง เช่น สอนพลเมืองให้มีทักษะในการโต้เถียงหรือพูดในที่สาธารณะ โดยพวกโซฟิสต์มักจะเป็นชาวต่างด้าวหรือไม่ใช่พลเมืองชาวเอเธนส์ โซฟิสต์คนสําคัญที่มีชื่อเสียง ในยุคกรีกโบราณ ได้แก่ โปรทากอรัส (Protagoras), กอร์เกียส (Gorgias), ฮิปปิอัส (Hippias), ทราไซมาคุส (Thrasymachus) เป็นต้น

ตั้งแต่ข้อ 71 – 78. จงใช้คําตอบต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะว่าถ้าไม่เชื่อเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราควรเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราเชื่อฟังกฎหมายตราบเท่าที่เราได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นเราไม่เชื่อ
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา

71. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ Command Theory of Law
ตอบ 1 หน้า 58 จอห์น ออสติน (John Austin) นักปรัชญากฎหมายชาวอังกฤษ ได้เสนอทฤษฎี การบังคับบัญชาของกฎหมาย (Command Theory of Law) โดยอธิบายว่า “คําสั่งใด ๆ ของ ผู้มีอํานาจนั้นจะเป็นกฎหมายหรือไม่ ต้องพิจารณาจากประเด็นในเรื่องที่ว่า ถ้ามีคนใดคนหนึ่ง ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายนั้นสามารถลงโทษได้หรือไม่ ถ้าลงโทษได้ คําสั่งนั้นก็คือกฎหมาย” ซึ่ง ทฤษฎีนี้เองเป็นรากฐานของคําอธิบายที่ว่า มนุษย์จําเป็นต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะถ้าไม่เชื่อฟัง กฎหมายก็จะลงโทษผู้นั้นตามบทบัญญัติ

72. “ยามเมื่อรัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ท่าน ก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้นจะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอมทนทุกข์ทรมานตาม คําสั่งอย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะสั่งให้ท่านถูกเฆี่ยน ถูกจําคุก หรือถูกสั่งให้ไปสงคราม เพื่อจะได้รับบาดเจ็บ หรือถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้องทําตามเจตนารมณ์นั้นของประเทศ” ข้อความดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับข้อใด
ตอบ 2 หน้า 61 – 62, (คําบรรยาย) ไครโต (Crito) เป็นบทสนทนาที่เขียนขึ้นในยุคกรีกโบราณ โดยเพลโต (Plato) ซึ่งเป็นส่วนที่จะนํามาอธิบายในประเด็นที่ว่า “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว” โดยเนื้อหาในงานเขียนเป็นบทสนทนา ตอนที่โสเตรตีสกําลังรอประหารชีวิตอยู่ ซึ่งในเวลานั้นไครโตผู้เป็นเพื่อนสนิทได้พยายาม หว่านล้อมให้โสเครตีสหนีออกจากคุกแต่เขาไม่ยอมหนี โดยโสเครตีสได้ให้เหตุผลว่าทําไม เราต้องเชื่อฟังรัฐ และเชื่อฟังกฎหมายที่ออกโดยรัฐไว้ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่ การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่าบรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือท่านควรแสดงความเคารพนับถือประเทศและถ่อมตนยิ่งกว่าที่แสดงต่อบิดามารดา ยามเมื่อ รัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ ท่านก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้นจะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอม ทนทุกข์ทรมานตามคําสั่งอย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะให้ท่านถูกเฆี่ยนตี ถูกจําคุก หรือถูกสั่ง ให้ไปสงคราม เพื่อที่จะได้รับบาดเจ็บหรือถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้องทําตามเจตนารมณ์นั้น ของประเทศ นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง….”

73. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ Paul the Apostle
ตอบ 3 หน้า 66 – 68 เปาโล หรือเซนต์พอล หรือนักบุญพอล (Saint Paul Paul the Apostle) หมอสอนศาสนาคนแรกในประวัติศาสตร์ของคริสเตียน เห็นว่า “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้าหรือตัวแทนของพระเจ้า” ดังที่เปาโลได้เขียนไว้ในตอนหนึ่ง ของพระคัมภีร์โรมว่า “ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอํานาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอํานาจ ใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่ทรงอํานาจนั้นพระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น เหตุฉะนั้นผู้ที่ขัดขืน อํานาจนั้น ก็ขัดขืนผู้ที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งขึ้น และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ…”

74. การที่ซาอูล (Saul) ในฐานะกษัตริย์ที่ชั่วร้ายแต่กลับไม่ถูกฆ่า สอดคล้องกับข้อใดมากที่สุด
ตอบ 3 หน้า 66, 68 – 69 ตัวอย่างหนึ่งที่ถูกนํามาอธิบายในประเด็นเรื่อง “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า” ก็คือ กรณีของซาอูล (Saul) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้าย แต่กลับไม่ถูกดาวิด (David) ฆ่าแม้จะพยายามฆ่าดาวิดอยู่หลายหน โดยสาเหตุที่ดาวิดตัดสินใจ ไม่ฆ่ากษัตริย์ซาอูลเพราะมองว่ากษัตริย์ซาอูลคือคนที่พระเจ้าตั้งใจให้เป็นผู้ปกครองจากการ ร้องขอของพวกยิว คนที่จะเอาชีวิตของกษัตริย์ซาอูลได้มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น มนุษย์ไม่มีสิทธิจะไปล้มล้างผู้ปกครองแม้จะชั่วร้ายแค่ไหนก็ตาม

75. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ Antigone
ตอบ 3 หน้า 71 – 72 ตัวอย่างหนึ่งของการอธิบายเรื่อง “เราเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่ง ที่มาจากพระเจ้าหรือตัวแทนของพระเจ้า” เช่น กรณีของแอนธิกอน (Antigone) เธอได้ละเมิด คําสั่งของกษัตริย์คลอน (Creon) ที่ห้ามฝังศพของโพลินีซิส (Polyneices) ซึ่งเป็นกบฏ โดยเธอ เห็นว่ามันเป็นเรื่องประหลาดและฝืนมโนธรรมอย่างมากที่จะไม่ฝังศพญาติสนิทของตนเอง ซึ่งการกระทําของแอนธิกอนนั้นมีลักษณะคล้ายกับแนวคิดของคริสเตียนที่ว่า ถ้ากฎหมายที่ กําหนดโดยมนุษย์สั่งให้ทําสิ่งที่ขัดต่อพระเจ้า มนุษย์ก็ไม่จําเป็นที่จะต้องเชื่อฟัง เพราะกฎของ พระเจ้ายิ่งใหญ่กว่ากฎของมนุษย์ แต่กระนั้นเธอก็ยอมถูกลงโทษตามคําสั่งของกษัตริย์

76. “ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรจะเป็นมนุษย์ก่อนสิ่งอื่นใด และเป็นพลเมืองของรัฐในอันดับถัดไป มันคงไม่ถูกต้องนัก ที่จะมอบความเคารพให้แก่กฎหมายยิ่งกว่าความถูกต้องเที่ยงธรรม พันธะหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้า มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามก็คือ การกระทําในสิ่งที่คิดว่าถูกต้องในทุกสถานการณ์” ข้อความดังกล่าว มีความสัมพันธ์กับข้อใด
ตอบ 5 หน้า 80 – 81 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) เคยถูกจับขังคุกเนื่องจากเขา ปฏิเสธการจ่ายภาษีให้กับรัฐ โดยเขาอ้างว่ากฎหมายดังกล่าวเป็นสิ่งที่ขัดกับมโนธรรมของเขา เขาจึงไม่ต้องเชื่อฟัง ซึ่งภายหลังจากที่ธอโรออกจากคุกก็ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ใน บทความชื่อว่า “Resistance to Civil Government” (การขัดขืนต่อรัฐบาลพลเรือน) โดยมี เนื้อหาบางส่วนดังนี้ “ ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรจะเป็นมนุษย์ก่อนสิ่งอื่นใด และเป็นพลเมืองของรัฐ ในอันดับถัดไป มันคงไม่ถูกต้องนักที่จะมอบความเคารพให้แก่กฎหมายยิ่งกว่าความถูกต้อง เที่ยงธรรม พันธะหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวที่ข้าพเจ้ามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามก็คือ การกระทําในสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าถูกต้องในทุกสถานการณ์”

77. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ Two Treatises of Government
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ

78. “ใครจะเป็นคนตัดสินในกรณีที่ผู้ปกครอง หรือผู้ออกกฎหมายกระทําการขัดแย้งกับความไว้วางใจที่ได้รับ มอบมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอตอบว่า ประชาชนนั่นเองที่จะเป็นผู้ตัดสิน คนที่จะต้องถูกตัดสิน ไม่ว่าจะในกรณีที่ผู้ได้รับมอบหมายความไว้วางใจหรือตัวแทนจะปฏิบัติหน้าที่ได้ดีหรือไม่ก็ตาม” ข้อความดังกล่าวมีความสัมพันธ์กับข้อใด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ

79. ใครคือผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง Patriarcha or the Natural Power of Kings
(1) John Austin
(2) Robert Filmer
(3) John Locke
(4) Henry David Thoreau
(5) Thomas Hobbes.
ตอบ 2 หน้า 70 โรเบิร์ต ฟิลเมอร์ (Sir Robert Filmer) เป็นผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง “แพทริอาคา หรือว่าด้วยอํานาจตามธรรมชาติของกษัตริย์” (Patriarcha or the Natural Power of Kings) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1680 โดยในหนังสือเล่มนี้เขาพยายามที่จะชี้ให้เห็นว่า การปกครองของ กษัตริย์ในลักษณะพ่อปกครองลูก คือการปกครองที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด และการปกครอง แบบนี้เป็นการปกครองที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้ตั้งแต่สร้างโลก โดยเขาได้อ้างเหตุผลมาจาก คัมภีร์ปฐมกาล (Genesis) ในไบเบิ้ล

80. ตามความคิดของ Thomas Hobbes หากผู้ปกครองไม่ลงโทษอาชญากรตามกฎหมายอาจนําไปสู่สภาวะใดมากที่สุด
(1) สันติภาพที่ถาวร
(2) สภาวะต่างคนต่างอยู่
(3) การฆ่าฟันกันจนตายโหง
(4) กฎหมายสลายตัวไป
(5) ความรักใคร่สามัคคีกัน
ตอบ 3 หน้า 59, (คําบรรยาย) ตามความคิดของโทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) หากองค์อธิปัตย์หรือผู้ปกครองไม่ลงโทษอาชญากรตามกฎหมายอาจนําไปสู่สภาวะธรรมชาติก่อนที่มนุษย์จะ เข้ามาอยู่ในรัฐ นั่นก็คือ การที่มนุษย์สามารถจะทําอะไรก็ได้ตามที่เขาอยากจะทํา สุดท้ายก็จะเกิดความวุ่นวายและนําไปสู่สภาวะสงครามที่ต่างฝ่ายต่างฆ่าฟันกันจนตายโหง

81.คําว่า “Political Society” ใกล้เคียงกับคําศัพท์ในข้อใดมากที่สุด
(1) Anarchy
(2) State of Nature
(3) Modern Nation-State
(4) Royal Palace
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 25, (คําบรรยาย) คําว่า “Political Society” หรือ “สังคมการเมือง” นั้น เป็นคําที่มี ความหมายใกล้เคียงกับคําว่า “รัฐ” (State) หรือ “รัฐชาติสมัยใหม่” (Modern Nation-State)

82. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับอริสโตเติล
(1) อริสโตเติลมีชีวิตในช่วงประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล
(2) อริสโตเติลเป็นลูกศิษย์ของเพลโต
(3) อริสโตเติลเป็นชาวมาซิโดเนีย
(4) อริสโตเติลเป็นเจ้าของผลงานที่ชื่อว่า The Prince
(5) ทุกข้อเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 25, (คําบรรยาย) อริสโตเติล (Aristotle) เป็นนักปรัชญาการเมืองชาวมาซิโดเนีย ลูกศิษย์ของเพลโต (Plato) เขามีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล โดยมี ผลงานที่สําคัญ ได้แก่ งานเขียนเรื่อง “The Politics” และ “Nicomachean Ethics

83. ข้อใดต่อไปนี้ไม่สอดคล้องกับคําว่า “จุดหมายปลายทาง” ในความหมายของอริสโตเติล
(1) Goal
(2) Primary
(3) Final Cause
(4) Telos
(5) Purpose
ตอบ 2 หน้า 25 – 28 อริสโตเติล (Aristotle) ได้อธิบายธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ โดยใช้วิธีการ ที่เรียกว่า “Teleology” หรือการอธิบายว่าของทุกสิ่งนั้นมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่มันจะต้อง คลี่คลายไปเสมอ โดยจุดมุ่งหมายปลายทางของสิ่งต่าง ๆ นั้น อริสโตเติลเรียกว่า “เทลอส” (Telos) ซึ่งเป็นคําภาษากรีก แปลว่า “จุดมุ่งหมายปลายทาง” “จุดมุ่งหมาย” “เป้าประสงค์” “จุดประสงค์” (Final Cause/End/Purpose/Goat) เช่น มีดปอกแอปเปิลจุดมุ่งหมายปลายทาง หรือ Telos ก็คือ การปอกแอปเปิลเป็นชิ้น ๆ ได้เป็นอย่างดี และการที่มีดดังกล่าวจะทําหน้าที่ ในการปอกได้ดีนั้น มีดจะต้องมีคุณสมบัติเฉพาะที่จะทําให้บรรลุจุดมุ่งหมายปลายทางนั้นได้ โดยอริสโตเติลเรียกคุณสมบัติดังกล่าวว่า “Arete” หรือ “Virtue” ซึ่ง Arete ของมีดปอก
แอปเปิลก็คือ ความคมที่เหมาะแก่การปอกแอปเปิลนั่นเอง

84.การที่มีดปอกแอปเปิลสามารถใช้ในการปอกแอปเปิลเป็นชิ้น ๆ ได้ อริสโตเติลเห็นว่ามีดปอกแอปเปิลนั้นมีคุณสมบัติข้อใดดังต่อไปนี้
(1) Virtue
(2) Telos
(3) Barred
(4) Quality
(5) Strong
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 83. ประกอบ

85.หากกล่าวว่า “สิงโตที่สมบูรณ์คือสิงโตที่เป็นเจ้าป่า ดุดัน และเป็นนักล่า” คําว่า Arete ในความหมายของ อริสโตเติลที่สอดคล้องกับคํากล่าวข้างต้นตรงกับข้อใดต่อไปนี้
(1) สวนสัตว์ปิด
(2) ตัวสิงโต
(3) นายพราน
(4) กระต่ายและแมว
(5) ป่าตามธรรมชาติ
ตอบ 5 หน้า 26 – 27 อริสโตเติล (Aristotle) ได้อธิบายธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ โดยยกตัวอย่างจาก สิงโต ซึ่งตามความคิดของอริสโตเติลนั้นมองว่า Telos ของสิงโตก็คือ การเป็นสิงโตที่สมบูรณ์ อย่างที่รับรู้ทั่วไป ส่วน Arete ของสิงโตก็คือ ความแข็งแรง ความดุดัน ความเป็นสัตว์ป่า ความเป็นนักล่า ฯลฯ และการที่สิงโตจะสามารถเป็นสิงโตที่สมบูรณ์หรือบรรลุ Telos ของ ความเป็นสิงโตได้ สิงโตนั้นจะต้องอยู่ในป่าตามธรรมชาติ (ดูคําอธิบายข้อ 83. ประกอบ)

86. วิธีการที่เรียกว่า “Teleology” ของอริสโตเติลตรงกับข้อใดต่อไปนี้
(1) ปรัชญาการเมืองเป็นศาสตร์ของเทวดา
(2) ทุกสิ่งมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่จะต้องคลี่คลายไปเสมอ
(3) พระผู้เป็นเจ้ามีอํานาจสูงสุดในการออกกฎหมาย
(4) คุณสมบัติของสรรพสิ่งมีความสําคัญน้อยกว่าจุดมุ่งหมาย
(5) มนุษย์ที่สมบูรณ์คือมนุษย์ที่เติบโตจากธรรมชาติในป่า
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 83. ประกอบ

87.Thomas Hobbes, John Locke and Jean Jacques Rousseau เป็นนักปรัชญาการเมืองสกุลใด
(1) Existentialism
(2) Sophist
(3) Philosopher
(4) Social Contract
(5) Nihilism
ตอบ 4 หน้า 30 – 32, (คําบรรยาย) นักปรัชญาการเมืองสกุลสัญญาสังคมหรือสัญญาประชาคม (Social Contract) ที่สําคัญ ได้แก่
1. โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes)
2. จอห์น ล็อค (John Locke)
3. ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau)
4. จอห์น รอลส์ (John Rawls)

88. ข้อใดคือสาเหตุที่ทําให้มนุษย์มาอยู่รวมกันในสังคมการเมืองในความคิดของ Thomas Hobbes
(1) Safety
(2) Comfortable
(3) Technology
(4) Political Animal
(5) Freedom
ตอบ 1 หน้า 32, 36 – 38 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักปรัชญาการเมืองชาวอังกฤษได้อธิบายถึงสาเหตุที่ทําให้มนุษย์ต้องเข้ามาอยู่ในรัฐหรือสังคมการเมืองว่าถ้ามนุษย์ไม่มีรัฐ มนุษย์ก็จะทะเลาะเบาะแว้งเข่นฆ่ากันไม่รู้จบหรือเรียกว่าอยู่ในสภาวะสงคราม ซึ่งมนุษย์ จะไม่ความปลอดภัยใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นจึงเกิดรัฐและมนุษย์ต้องมาอยู่รวมกันในรัฐเพราะรัฐ จะช่วยให้มนุษย์มีความปลอดภัย (Safety) และมีชีวิตอยู่รอด

89. ข้อใดต่อไปนี้สัมพันธ์กับคําว่า “Thought Experiment” มากที่สุด
(1) ศิลาจารึก
(2) เอกสารใบลาน
(3) จินตนาการ
(4) คัมภีร์
(5) สื่อสังคมออนไลน์
ตอบ 3 หน้า 33 – 34 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ใช้วิธี “การทดลองทางความคิด” (Thought Experiment) ในการตอบคําถามว่าทําไมมนุษย์ต้องมาอยู่รวมกันเป็นรัฐหรือสังคมการเมืองซึ่งวิธีดังกล่าวจะไม่ใช้การเก็บข้อมูลทางประวัติศาสตร์แบบนักประวัติศาสตร์ หรือสืบค้นผ่านหลักฐานทางโบราณคดีแบบพวกนักโบราณคดี แต่จะใช้การจินตนาการโดยใช้เหตุผลถึงพฤติกรรม ของมนุษย์ว่าถ้าพวกเขาอยู่ในสภาวะที่ไม่มีรัฐหรือสังคมการเมือง ไม่มีกฎหมาย ไม่มีรัฐบาล แต่ละคนอยู่กันอย่างเป็นอิสระ มนุษย์จะเป็นอย่างไร ซึ่งสภาวะจําลองดังกล่าวนี้พวกนักปรัชญา การเมืองสกุลสัญญาประชาคมเรียกว่า “สภาวะธรรมชาติ” (State of Nature) และเมื่อทราบ แล้วว่ามนุษย์อยู่อย่างไร พวกเขาก็จะสามารถเข้าใจว่าทําไมมนุษย์จึงออกจากสภาวะธรรมชาติ เพื่อมาอยู่รวมกันเป็นรัฐหรือสังคมการเมือง

90. จากประโยคที่ว่า “มนุษย์อยู่ในสภาวะที่ไม่มีรัฐหรือสังคมการเมือง ไม่มีกฎหมาย ไม่มีรัฐบาล แต่ละคน อยู่กันอย่างเป็นอิสระ” ตรงกับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด
(1) รัฐธรรมนูญ
(2) อํานาจอธิปไตย
(3) สภาวะธรรมชาติ
(4) เสรีภาพทางความคิด
(5) ทุกข้อเป็นส่วนหนึ่งของประโยคนี้
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 89. ประกอบ

91. ประโยคที่ว่า “By all means we can, to defend ourselves” สัมพันธ์กับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด
(1) สิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์ในการทําสิ่งที่ดีที่สุดต่อตนเอง
(2) การฆ่าฟันกันโดยไม่มีเหตุผลของมนุษย์
(3) การปกป้องตนเองภายใต้การดํารงอยู่ของรัฐ
(4) การปกป้องตนเองภายใต้รัฐธรรมนูญ
(5) การใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อยึดอํานาจการปกครอง
ตอบ 1 หน้า 34 – 35 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) กล่าวว่า มนุษย์มีสิทธิตามธรรมชาติ (Natural Right) ที่จะทําอะไรก็ได้ตามการตัดสินหรือเหตุผลส่วนตัวของเขา ซึ่งสิ่งที่เรียกว่า “สิทธิตามธรรมชาติ” ตามความคิดของฮอบส์นั้นเป็นสิ่งที่ได้มาจากกฎธรรมชาติ (Law of Nature) อันเป็นกฎสากลทั่วไป ซึ่งกฎธรรมชาติพื้นฐานตามความคิดของฮอบส์ก็คือ มนุษย์ จะถูกห้ามไม่ให้ทําอันตรายใด ๆ ต่อชีวิตของตนเอง หรือถูกบังคับให้ไม่ใช้วิธีการใด ๆ หรือ การละเว้นที่จะทําให้เขามีชีวิตรอด โดยทั้งหมดนี้เป็นไปตามสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งเขาคิดว่าจะธํารงไว้ ซึ่งชีวิตของเขา (By all means we can, to defend ourselves)

92. เพราะเหตุใดมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติของจอห์น ล็อค จึงไม่ทําร้ายคนอื่นในแบบข้อเสนอของโทมัส ฮอบส์
(1) มีศาลทําหน้าที่ในการตัดสิน
(2) มีกฎหมายเป็นตัวกํากับบทลงโทษ
(3) มนุษย์ไม่มีเสรีภาพอย่างแท้จริง
(4) มนุษย์พยายามทําแล้วแต่ไม่ประสบความสําเร็จ
(5) เป็นการหาเรื่องให้ตนเองตายและไม่ปกป้องตนเอง
ตอบ 5 หน้า 40 – 41 สาเหตุที่ทําให้มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติของจอห์น ล็อค (John Locke) ไม่ไปทําร้ายคนอื่นในแบบเดียวกันกับมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติของโทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นั้น ก็เพราะว่ามนุษย์ตามความคิดของล็อคอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติที่ว่า แต่ละคน ต้องปกป้องรักษาตนเอง ซึ่งด้วยการใช้เหตุผลเข้าใจหลักการตามกฎธรรมชาติดังกล่าว จึงทําให้ มนุษย์ไม่คิดจะไปทําร้ายคนอื่น เพราะการทําร้ายคนอื่นเท่ากับเป็นการหาเรื่องให้ตนเอง บาดเจ็บหรืออาจจะเสียชีวิตได้ ซึ่งก็หมายถึงการไม่ปกป้องรักษาตนเองนั่นเอง

93. ข้อใดต่อไปนี้ตรงกับคําว่า “คุณธรรม” ภายใต้ State of Nature ของโทมัส ฮอบส์
(1) การพูดความจริง
(2) การยึดถือทางสายกลาง
(3) ความกล้าหาญ
(4) การใช้กําลังและความฉ้อฉล
(5) ราชาธิปไตย
ตอบ 4 หน้า 36 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) กล่าวว่า สภาวะธรรมชาติ (State of Nature) ก็คือสภาวะเดียวกันกับสภาวะสงคราม (State of War) ซึ่งเป็นสภาวะที่มนุษย์ทุกคนจะเป็น ศัตรูต่อกัน ทุกคนพร้อมที่จะทําร้ายกันและกัน (Every man against every man) โดยไม่เกี่ยง วิธีการ ในสภาวะสงครามไม่มีคําว่ายุติธรรมหรืออยุติธรรม ไม่มีผิดไม่มีถูก คุณธรรมอย่างเดียว ที่มีก็คือ การใช้กําลังและการหลอกลวง ฉ้อฉล (Force and Fraud)

94. ข้อใดต่อไปนี้ตรงกับบทบาทของ Leviathan มากที่สุด
(1) Sustaining Anarchy
(2) Keeping them all in Awe
(3) Promoting State of War
(4) Being Judge and Executioner
(5) Protecting Property
ตอบ 2 หน้า 37 – 38 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) มองว่า การเกิดสภาวะสงครามทําให้มนุษย์ จําเป็นต้องแสวงหาสันติภาพเพื่อจะทําให้ทุกคนมีชีวิตรอด โดยต้นเหตุของสภาวะสงครามก็คือสิทธิตามธรรมชาติอันไม่จํากัดที่มีเหนือร่างกายของมนุษย์ทุกคนและมนุษย์ทุกคนก็สามารถใช้ มันได้ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงมีความจําเป็นที่ต้องสละสิทธิตามธรรมชาติดังกล่าวให้ Leviathan หรือองค์อธิปัตย์มีอํานาจเด็ดขาดสูงสุดอย่างไม่จํากัด เพื่อให้มนุษย์ทุกคนตกอยู่ภายใต้ความกลัว (Keeping them all in Awe) และไม่ให้เขาเหล่านั้นกลับไปอยู่ในสภาวะธรรมชาติอันเป็นสภาพของสงครามอีกต่อไป

95. สําหรับจอห์น ล็อค ข้อใดต่อไปนี้เป็นคุณลักษณะของการลงโทษที่อาจตามมาจาก “Self-Love”
(1) Benevolence
(2) Charity
(3) Supportive
(4) Violent Death
(5) Revenge
ตอบ 5 หน้า 42 – 43 จอห์น ล็อค (John Locke) กล่าวว่า มนุษย์ทุกคนในสภาวะธรรมชาตินั้น เป็นทั้งคนตัดสินและใช้อํานาจลงโทษโดยลําพังตามกฎธรรมชาติ (Judge and Executioner)แต่การตัดสินลงโทษผู้ที่ละเมิดอาจจะไม่เป็นไปตามโทษที่สมควรได้รับทั้งนี้ก็เนื่องจากการรักตนเอง (Self-Love) หรือรักพวกพ้องของตนเอง จึงอาจทําให้มนุษย์ตัดสินเข้าข้างตนเองหรือ เข้าข้างพวกพ้องที่ตนรัก หรืออาจจะตัดสินลงโทษไปด้วยความต้องการที่จะล้างแค้น (Revenge) ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวจึงจําเป็นอย่างยิ่งที่มนุษย์จะต้องยกอํานาจในการตัดสินและ การลงโทษดังกล่าวให้กับรัฐบาลหรือสังคมการเมืองเป็นผู้ทําหน้าที่แทน

96. ข้อใดต่อไปนี้คือคุณลักษณะการทําหน้าที่ของสังคมการเมืองในแบบจอห์น ล็อค
(1) Moderate Scarcity
(2) Leviathan
(3) Utopia
(4) Judge and Executioner
(5) Maximizing Utility
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 95. ประกอบ

97. ข้อใดต่อไปนี้สัมพันธ์กับสภาวะธรรมชาติของรุสโซมากที่สุด
(1) มนุษย์โหดร้ายป่าเถื่อน
(2) มนุษย์ชอบอยู่รวมกันเป็นสัตว์สังคม
(3) มนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยว
(4) มนุษย์รักความยุติธรรมและเสรีภาพ
(5) มนุษย์มีจิตใจโอบอ้อมอารี
ตอบ 3 หน้า 50 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) มองว่า ในสภาวะธรรมชาติมนุษย์อยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่ยุ่งเกี่ยวสัมพันธ์กับใคร ไม่มีใครสนใจใครหรือเปรียบเทียบระหว่างกัน สิ่งนี้เองที่ทําให้มนุษย์ทุกคนมีความเสมอภาคกัน ไม่ใช่ว่ามีความเหมือนกันในความเป็นมนุษย์ แต่เพราะว่าทุก ๆ คนต่างก็อยู่คนเดียว ไม่มีใครสนใจใคร ทุกคนต่างก็เป็นนายตัวเอง มีอิสระ ต่อกัน และมีเสรีภาพอย่างเต็มที่

ตั้งแต่ข้อ 98 – 99. จงใช้คําตอบต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) John Locke
(2) Joseph Schumpeter
(3) Jean Jacques Rousseau
(4) John Rawls
(5) John Austin

98.ผลงานที่ชื่อว่า “Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men” เป็นผลงานของ นักปรัชญาการเมืองคนใด
ตอบ 3 หน้า 45 – 46, 94, คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เป็นบิดา แห่งลัทธิ Romanticism และแนวคิดของเขาก็มีอิทธิพลอย่างมากต่อการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 โดยผลงานที่สําคัญของรุสโซ มีดังนี้
1. หนังสือเรื่อง “ความเรียงว่าด้วยต้นกําเนิดและรากฐานแห่งความไม่เสมอภาคของ มวลมนุษยชาติ” หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ “Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men” “On the Origin and Foundation of Inequality of Mankind” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1755
2. หนังสือเรื่อง “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1762 เป็นงานเขียนที่นําแนวคิดสัญญาประชาคมมาเป็นชื่องานของตน

99.“ประชาธิปไตยคือการปกครองของนักการเมือง” วิธีคิดดังกล่าวเป็นแนวคิดของนักคิดคนใด
ตอบ 2 หน้า 124 – 125 โจเซฟ ชุมปีเตอร์ (Joseph Schumpeter) นักคิดชาวออสเตรีย เป็นผู้เขียน งานเรื่อง “Capitalism, Socialism and Democracy” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1942 เขาได้เสนอ ทฤษฎีประชาธิปไตยว่าเป็นการปกครองด้วยตัวแทนที่ถูกเลือกเข้ามา ไม่ใช่การปกครองของประชาชน การปกครองระบอบประชาธิปไตยนั้นเป็นเพียงแค่กลไกในการให้ผู้นําทางการเมือง มาแข่งขันเพื่อเข้าไปใช้อํานาจเท่านั้น ดังที่เขากล่าวว่า “คําว่าประชาธิปไตย ไม่ได้หมายความ และสามารถหมายความถึง การปกครองที่ประชาชนเข้าไปทําหน้าที่ปกครองจริง ๆ ตามตัวอักษร ของคําที่ว่า “ประชาชน” กับ “การปกครอง” แต่ประชาธิปไตยนั้นหมายถึงแค่การปกครองที่ ประชาชนนั้นมีโอกาสในการที่จะยอมรับหรือปฏิเสธคนใดคนหนึ่งที่จะมาเป็นผู้ปกครองพวกเขาเท่านั้น…. ดังนั้นเองในด้านหนึ่งเราอาจจะกล่าวได้ว่า ประชาธิปไตยนั้นคือ การปกครองของ นักการเมือง (Democracy is the Rule of the Politician)” ทั้งนี้วิธีคิดดังกล่าวภายหลัง ถูกเรียกว่าเป็น “ประชาธิปไตยแบบชุมปีเตอร์” (Schumpeterian Democracy)

100. Democracy is the Rule of the Politician มีความสัมพันธ์กับข้อใด
(1) Lockean Democracy
(2) Jeffersonian Democracy
(3) Madisonian Democracy
(4) Schumpeterian Democracy
(5) Athenian Democracy
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 99. ประกอบ

POL2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น 1/2565

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2565
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1. ข้อความดังกล่าวนี้ตรงกับตัวเลือกใดมากที่สุด “ตั้งคําถามเกี่ยวกับเรื่องการโกหกว่าเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี
(1) อภิปรัชญา
(2) อุดมการณ์ทางการเมือง
(3) สุนทรียศาสตร์
(4) จริยศาสตร์
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 3, (คําบรรยาย) จริยศาสตร์ (Ethics) เป็นสาขาหนึ่งของปรัชญาที่มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่ควร จะเป็น ตลอดจนพฤติกรรมของมนุษย์ที่ควรจะเป็น ดังนั้นจริยศาสตร์จึงเป็นสาขาที่ศึกษาว่า ความดีคืออะไร ความประพฤติแบบใดเป็นความประพฤติที่ดี อะไรคือสิ่งที่ควรกระทํา อะไรคือ สิ่งที่ไม่ควรกระทํา อะไรคือสิ่งที่ผิด อะไรคือสิ่งที่ถูก เช่น ในสาขาความรู้นี้อาจจะตั้งคําถามว่า การโกหกเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี หรือการโกหกเป็นสิ่งที่ผิดทุกครั้งหรือไม่ หรือว่าผิดในบางกรณี เช่น การโกหกเพื่อช่วยผู้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่ผิดหรือไม่ ซึ่งบางคนก็อาจจะบอกว่าถูกเพราะเป็นความผิดที่สุจริต แต่บางคนก็บอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันก็ผิดแม้จะทําด้วยจุดมุ่งหมายอะไรก็ตาม

2. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับความหมายของคําว่า Political Ideology
(1) บางครั้งมีผู้เรียกว่ามันคือ ศาสนาทางการเมือง
(2) Liberalism
(3) ไม่จําเป็นต้องเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือยึดหลักศีลธรรมหรือคุณธรรมทางการเมือง
(4) เป็นความเชื่อที่ไม่เป็นระบบมากนัก มักเป็นเรื่องที่ใครคนใดคนหนึ่งเชื่อ
(5) มีจุดมุ่งหมายเพื่อกล่อมเกลาสมาชิกที่ยึดถือให้มีแนวคิดไปในทิศทางเดียวกัน
ตอบ 4 (คําบรรยาย) อุดมการณ์ทางการเมือง (Political Ideology) หรือบางครั้งมีผู้เรียกว่ามันคือ ศาสนาทางการเมือง เป็นความเชื่อทางการเมืองที่เป็นระบบ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อกล่อมเกลา สมาชิกที่ยึดถือให้มีแนวคิดไปในทิศทางเดียวกัน โดยอุดมการณ์ทางการเมืองนี้ไม่จําเป็นต้อง เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือยึดหลักศีลธรรมหรือคุณธรรมทางการเมือง ตัวอย่างของอุดมการณ์ทาง การเมือง เช่น เสรีนิยม (Liberalism) อนุรักษ์นิยม (Conservatism) ฟาสซิสต์ (Fascism) คอมมิวนิสต์ (Communism) เป็นต้น ส่วนความคิดทางการเมือง (Political Thought) นั้น เป็นความเชื่อที่ไม่เป็นระบบมากนัก มักเป็นเรื่องที่ใครคนใดคนหนึ่งเชื่อ

3. ข้อใดเกี่ยวข้องกับข้อความดังต่อไปนี้ “มุ่งศึกษาถึงวิธีการให้เหตุผลหรือการอ้างเหตุผลในเรื่องต่าง ๆ ว่ามีลักษณะสมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร”
(1) Ethics
(2) Political Philosophy
(3) Logic
(4) Political Ideology
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 3 หน้า 3 ตรรกวิทยา (Logic) เป็นสาขาที่ไม่ได้มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่เป็นพื้นฐานเหมือนสาขาอื่น ง ๆ แต่เป็นการศึกษาถึงวิธีการให้เหตุผลหรือการอ้างเหตุผลในเรื่องต่าง ๆ ของมนุษย์ว่ามีลักษณะ สมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไร โดยทั่วไปแล้วสิ่งที่เรียกว่าตรรกวิทยานั้นมักจะเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญาเสียมากกว่า

4. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ Normative Political Theory
(1) ไม่ใช่สิ่งเดียวกับปรัชญาการเมือง
(2) ประชาธิปไตยคือการปกครองที่ดีที่สุดจริงหรือไม่
(3) ไม่ปลอดจากค่านิยม
(4) เป็นแนวทางหลักในยุคคลาสสิก :
(5) ทุกข้อกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ Normative Political Theory
ตอบ 1 หน้า 12 – 13 จุดมุ่งหมายของปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) คือ การศึกษาถึง ธรรมชาติ หรือสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด หรือความจริงแท้สูงสุดอันเป็นสากลในทางการเมือง แต่จะไม่มุ่งอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง ด้วยเหตุนี้รูปแบบการศึกษาปรัชญาการเมือง จึงถูกเรียกว่า “การศึกษาการเมืองแบบปทัสถานนิยม” (Normative Political Theory) คือ เป็นการศึกษาถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นพื้นฐานในทางการเมือง เพื่อที่จะนําความรู้นั้นไปสร้างบรรทัดฐาน หรือการเมืองที่ควรจะเป็นขึ้นมา ดังนั้นวิธีการศึกษาปรัชญาการเมืองจึงมีความแตกต่างกับวิธี การศึกษาของรัฐศาสตร์กระแสหลักอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากปรัชญาการเมืองไม่ได้มีการพยายาม หาคําตอบหรือมีการหาความรู้ด้วยระเบียบวิธีวิจัยแบบวิทยาศาสตร์ แต่ปรัชญาการเมืองจะใช้ทัศนคติ ค่านิยม ประสบการณ์ของตัวนักคิดมาอธิบาย

5. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ Empirical Political Theory
(1) เน้นอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง
(2) เน้นทํานายปรากฏการณ์ทางการเมือง
(3) เป็นเครื่องมือหลักของนักปรัชญาการเมือง
(4) รัฐศาสตร์กระแสหลักแบบอเมริกัน
(5) ฐานคิดอยู่บนหลักการแบบวิทยาศาสตร์ตอบ 3
ตอบ 3 หน้า 11 – 12, (คําบรรยาย) ทฤษฎีการเมืองเชิงประจักษ์ (Empirical Political Theory) เป็นการศึกษารัฐศาสตร์ปัจจุบันที่มุ่งเน้นการอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมืองต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ตลอดจนมุ่งเน้นทํานายถึงผลลัพธ์ทางการเมืองของปรากฏการณ์ต่าง ๆ โดยเน้นการพรรณนาให้เห็นว่าปรากฏการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุหรือกลไกใดที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ นั้น ๆ ขึ้นมา เป็นแนวคิดที่ได้รับอิทธิพลมาจากการศึกษาการเมืองแบบอเมริกัน โดยการศึกษาดังกล่าวจะมีระเบียบการหาความรู้แบบเดียวกับวิทยาศาสตร์

ข้อ 6. – 10. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Philosophia Perennis
(2) Aesthetics
(3) Love of Wisdom
(4) Democracy
(5) Sophist

6.“ความสวย ความหล่อ ขึ้นอยู่กับการให้คุณค่าของคนในแต่ละสังคม” คําพูดดังกล่าวนี้น่าจะตรงกับสาขาใดของปรัชญา
ตอบ 2 หน้า 2 – 3, (คําบรรยาย) สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) เป็นสาขาที่มุ่งพยายามหาคําตอบใน แง่มุมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความงาม ดังนั้นคําถามของสาขานี้จึงมักจะถามกันว่า ความงามคือ อะไร ความไพเราะคืออะไร สิ่งที่เรียกความงาม ความสวย ความหล่อขึ้นอยู่กับการให้คุณค่าของ คนในแต่ละสังคมหรือขึ้นอยู่กับอะไร ศิลปะคืออะไร เป็นศิลปะเพื่อชีวิตหรือศิลปะเพื่อศิลปะ ฯลฯ

7.คือความหมายของคําว่า Philosophy
ตอบ 3 หน้า 5 คําว่า “ปรัชญา” (Philosophy) เกิดมาจากการผสมกันของคํา 2 คํา คือ คําว่า “ความรัก” (Love) กับคําว่า “ความรู้” (Wisdom) ดังนั้นปรัชญาจึงหมายถึง “ความรัก ในความรู้” (Love of Wisdom) นั่นเอง

8.Thrasymachus
ตอบ 5 หน้า 9 – 10 โซฟิสต์ (Sophist) เป็นชื่อของกลุ่มคนในยุคกรีกโบราณที่มีอาชีพสอนพลเมือง ให้มีความรู้ต่าง ๆ ทางการเมือง เช่น สอนพลเมืองให้มีทักษะในการโต้เถียงหรือพูดในที่สาธารณะ โดยพวกโซฟิสต์มักจะเป็นชาวต่างด้าวหรือไม่ใช่พลเมืองชาวเอเธนส์ โซฟิสต์คนสําคัญที่มีชื่อเสียง ในยุคกรีกโบราณ ได้แก่ โปรทากอรัส (Protagoras), กอร์เกียส (Gorgias), ฮิปปิอัส (Hippias), ทราไซมาคุส(Thrasymachus) เป็นต้น

9.หัวใจคือ Equality
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ประชาธิปไตย (Democracy) เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีหัวใจ หรือให้ความสําคัญกับสิทธิ (Right) เสรีภาพ (Liberty) และความเสมอภาค (Equality) ของ ประชาชน โดยเชื่อว่าสมาชิกของสังคมทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในกิจกรรม ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เช่น การออกเสียงเลือกตั้ง การรวมกลุ่ม การพูดและแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ เป็นต้น

10. เป็นคําถามหนึ่งที่นักปรัชญาการเมืองชอบถามนั่นก็คือ มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพหรือไม่
ตอบ 1 หน้า 7 คําถามอมตะ (Philosophia Perennis) เป็นคําถามทางปรัชญา โดยนักคิดหรือ นักปรัชญาการเมืองมีความเชื่อว่า ในโลกใบนี้มีความจริงหรือสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปเท่าใด และมีปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายเพียงใด แต่ภายใต้ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่พบเห็นมันมีความรู้ที่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ ดังนั้นนักคิดที่คิดว่า ตัวเองเป็นนักปรัชญาการเมืองจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะหาความรู้อันจริงแท้ด้วยการพยายาม หาคําตอบจากคําถามอมตะต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ทําไมมนุษย์ต้องมีการเมือง สังคมการเมือง หรือรัฐคืออะไร ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมืองหรือรัฐ กฎหมายคืออะไร ทําไมเราต้อง เชื่อฟังกฎหมาย มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพหรือไม่ ผู้ปกครองที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ใครควร ที่จะเป็นผู้ปกครอง เป็นต้น

ข้อ 11. – 15. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Telos
(2) Liberty to Acquiesce or Resist
(3) Existentialism
(4) Utilitarianism
(5) David Hume

11. สุนัขหิวก็กิน อยากขับถ่ายก็ไม่ต้องรอ แต่มนุษย์เราเลือกที่จะทําเช่นนี้หรือไม่ก็ได้
ตอบ 2 หน้า 136 – 137 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักคิดชาวเจนีวา กล่าวว่า ธรรมชาตินั้นกําหนดให้สัตว์ทุกตัวดํารงชีวิตหรือทําอะไรก็แล้วแต่เป็นไปตามแรงกระตุ้นจาก สัญชาตญาณ และแม้ว่ามนุษย์นั้นจะได้รับแรงกระตุ้นดังกล่าวเหมือนกับสัตว์อื่น ๆ แต่มนุษย์ ก็มีเสรีภาพในการเลือกที่จะทําตามหรือไม่ทําตาม (Liberty to Acquiesce or Resist) มนุษย์ เป็นสัตว์ประเภทเดียวที่มีเสรีภาพนี้ และเสรีภาพดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่แบ่งแยกมนุษย์ออกจากสัตว์ โดยรุสโซเรียกคุณสมบัตินี้ว่า “Quality of Free Agency” ตัวอย่างเช่น สุนัขหิวก็กิน อยาก ขับถ่ายก็ไม่ต้องรอ แต่มนุษย์เราเลือกที่จะทําเช่นนี้หรือไม่ก็ได้

12. “สังคมควรมีเสรีภาพกว้างขวางออกไปอย่างมากที่สุด แต่กระนั้นก็ไม่ควรอ้างว่าเสรีภาพนี้มีที่มาจาก สิทธิติดตัวของมนุษย์ตั้งแต่กําเนิด แต่การที่สังคมยินยอมให้เสรีภาพมีการขยายออกไปอย่างกว้างขวาง มันจะก่อให้เกิดประโยชน์สุขกับคนจํานวนมากที่สุด” เป็นแนวคิดในเรื่องใด
ตอบ 4 หน้า 116, 149, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) นักคิดชาวอังกฤษ ต้องการให้สังคมนั้นมีเสรีภาพกว้างขวางออกไปอย่างมากที่สุด แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้อ้างว่า เสรีภาพนี้มีที่มาจากสิทธิติดตัวของมนุษย์ตั้งแต่กําเนิด แต่การที่สังคมยินยอมให้เสรีภาพมีการขยายออกไปอย่างกว้างขวางมันจะก่อให้เกิดประโยชน์สุขกับคนจํานวนมากที่สุด ซึ่งแนวคิด ของมิลล์นี้เป็นไปตามหลักการของประโยชน์นิยม (Utilitarianism) ซึ่งคํานึงถึง “ความสุข” “ความรื่นรมย์” หรือ “อรรถประโยชน์” เป็นหลัก โดยนักคิดที่ยึดถือหลักการประโยชน์นิยมนั้น จะมีหลักการพื้นฐานร่วมกันที่ว่า “การกระทําทุกอย่างต้องเป็นไปเพื่อหลักการความสุขที่มาก ที่สุดของคนจํานวนมากที่สุด” หรือถือว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างวัดกันที่อรรถประโยชน์เป็นหลัก”

13. เป็นแนวคิดของนักคิดฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 20
ตอบ 3 หน้า 142, 144, (คําบรรยาย) ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) เป็นนักคิดชาวฝรั่งเศส ในศตวรรษที่ 20 สกุลอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) เขามีความเชื่อว่า มนุษย์นั้นถูกกําหนด ให้มีเสรีภาพ ดังที่เขากล่าวไว้ว่า “เสรีภาพคือคุณสมบัติของมนุษย์ มนุษย์ไม่อาจจะเป็นทาส บางเวลาและเป็นเสรีบางเวลาได้ เขาเป็นเสรีภาพอย่างเต็มที่ตลอดกาล หรือมิฉะนั้นก็ไม่เป็น เสรีภาพตลอดกาล เพราะมนุษย์ถูกสาปให้เป็นเสรีภาพ

14. มนุษย์ถูกกําหนดให้มีเสรีภาพ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

15. นักคิดชาวสกอตแลนด์ที่ไม่เชื่อเรื่องสิทธิตามธรรมชาติ
ตอบ 5 (คําบรรยาย) เดวิด ฮิวม์ (David Hume) เป็นนักคิดชาวสกอตแลนด์ที่ไม่เชื่อในเรื่องสิทธิ
ตามธรรมชาติ (Natural Right)

ข้อ 16. – 25. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Jean Jacques Rousseau

16. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมาอย่างเสรี โดยมี เงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปรายอย่างเป็นธรรม…. หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน คําพาดพิงถึงเรื่องส่วนตัว และอะไรทํานองนั้น…. และตราบเท่าที่สิ่งที่เรา ทําไปมิได้ทําอันตรายแก่เพื่อนร่วมโลกคนอื่น แม้ว่าคนอื่นอาจจะคิดว่าความประพฤติของเราเป็นสิ่งที่โง่เขลา วิปริตหรือผิดก็ตาม”
ตอบ 1 หน้า 152 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เสนอว่า สังคมควรมีการอนุญาตให้เสรีภาพ ต่อมนุษย์ทุกคนอย่างกว้างขวางที่สุด แต่กระนั้นการให้เสรีภาพตามความคิดของมิลล์ใช่ว่าจะ ไม่มีข้อจํากัด โดยมิลล์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “เราควรยินยอมให้มีการแสดงความคิดเห็นออกมา อย่างเสรี โดยมีเงื่อนไขว่า ท่าทีที่แสดงออกควรพอประมาณ และต้องไม่เกินไปกว่าการอภิปราย อย่างเป็นธรรม… หมายถึง คําผรุสวาท การประชดประชัน คําพาดพิงถึงเรื่องส่วนตัว และอะไร ทํานองนั้น…. และตราบเท่าที่สิ่งที่เราทําไปมิได้ทําอันตรายแก่เพื่อนร่วมโลกคนอื่น แม้ว่าคนอื่นอาจจะคิดว่าความประพฤติของเราเป็นสิ่งที่โง่เขลา วิปริตหรือผิดก็ตาม”

17. ใครเป็นผู้เขียนงานเรื่องเจ้าผู้ปกครอง
ตอบ 4 หน้า 128, (คําบรรยาย) นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เป็นนักคิดในยุคแห่ง การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ชาวอิตาเลียน มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1469 – 1527 เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งปรัชญาการเมืองสมัยใหม่” และได้เขียนหนังสือสําคัญ เล่มหนึ่งเพื่อเป็นคําแนะนําการปกครองให้ผู้ปกครองที่ชื่อว่า “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1532

18. ต่อต้านการปฏิวัติฝรั่งเศสอย่างแข็งขัน
ตอบ 3 หน้า 124, (คําบรรยาย) เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) เป็นบิดาแห่งแนวคิดอนุรักษนิยม สมัยใหม่ (Modern Conservative) มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1729 – 1797 เขาเป็นนักคิดที่มีชีวิต อยู่ร่วมสมัยกับการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 แต่มีความคิดต่อต้านการปฏิวัติดังกล่าวอย่างแข็งขัน

19. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “การไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นเนื่องจากแน่ใจว่ามันผิดก็คือการสรุปเอาเองว่า ความแน่ใจของพวกเขาเป็นสิ่งเดียวกันกับความจริงขั้นเด็ดขาด การปิดปากไม่ให้โต้เถียงกัน ทุกประการนั้นเป็นข้อสมมุติฐานว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ เราอาจยอมให้การประณามคัดค้าน ความคิดเห็นดังกล่าวมาจากการโต้เถียงร่วมกันเช่นนี้ได้ แต่ไม่ใช่จะให้เกิดความคิดเห็นร่วมกันไปหมด ทุกอย่างจนถูกประณามไปในที่สุด”
ตอบ 1 หน้า 149 – 150 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ไม่เห็นด้วยกับการที่คนส่วนใหญ่หรือ คนใดคนหนึ่งจะไปปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของคนอีกคนหนึ่งโดยอ้างว่าความคิดเห็นนั้นเป็นสิ่งที่ผิด โดยมิลล์ได้กล่าวไว้ว่า “การไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นเนื่องจากแน่ใจว่ามันผิดก็คือ การสรุปเอาเองว่า ความแน่ใจของพวกเขาเป็นสิ่งเดียวกันกับความจริงขั้นเด็ดขาด การปิดปาก ไม่ให้โต้เถียงกันทุกประการนั้นเป็นข้อสมมุติฐานว่าจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ เราอาจ ยอมให้การประณามคัดค้านความคิดเห็นดังกล่าวมาจากการโต้เถียงร่วมกันเช่นนี้ได้ แต่ไม่ใช่จะให้เกิดความคิดเห็นร่วมกันไปหมดทุกอย่างจนถูกประณามไปในที่สุด”

20. “Champion of Liberty” คือฉายาของใคร
ตอบ 1 หน้า 147 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดที่ได้รับฉายาว่าเป็น “แชมป์เปี้ยน แห่งเสรีภาพ” (Charnpion of Liberty) โดยเขาได้เขียนงานชิ้นสําคัญเกี่ยวกับเสรีภาพออกมา ในปี ค.ศ. 1859 ชื่อว่า “On Liberty”

21. บิดาแห่งลัทธิ Romanticism
ตอบ 5 หน้า 45 – 46, 94, (คําบรรยาย) ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เป็นบิดา แห่งลัทธิ Romanticism และแนวคิดของเขาก็มีอิทธิพลอย่างมากต่อการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 โดยผลงานที่สําคัญของรุสโซ มีดังนี้
1. หนังสือเรื่อง “ความเรียงว่าด้วยต้นกําเนิดและรากฐานแห่งความไม่เสมอภาคของ มวลมนุษยชาติ” หรือชื่อภาษาอังกฤษคือ “Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men” ve “On the Origin and Foundation of Inequality of Mankind” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1755
2. หนังสือเรื่อง “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1762 เป็นงานเขียนที่นําแนวคิดสัญญาประชาคมมาเป็นชื่องานของตน

22. ทุกสิ่งทุกอย่างวัดกันที่อรรถประโยชน์เป็นหลัก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

23. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “มนุษย์คิดสร้างตัวเองภายหลังการมีอยู่ และเนื่องจากเขาต้องการ สร้างให้ตัวเองเป็นภายหลังการมีอยู่ มนุษย์จึงมิใช่อะไรอื่นนอกจากผลิตผลที่เขาสร้างขึ้นให้แก่ตัวเอง”
ตอบ 2 หน้า 142 – 143 ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) ได้อธิบายวิธีคิดเกี่ยวกับเสรีภาพของ เขาว่า มนุษย์นั้นเกิดมาพร้อมกับความว่างเปล่า ไม่มีแม้กระทั่งแบบหรือแก่นสาร (Essence) ใด ๆ ที่ติดตัวมากับมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นผู้กําหนดชะตาชีวิตของตัวเอง ไม่มีพระเจ้า เวรกรรม กฎแห่งกรรม หรือธรรมชาติใด ๆ มากําหนด ชีวิตเป็นของมนุษย์ มนุษย์จะเป็นผู้กําหนดว่า ตัวเองจะเป็นอย่างไร ดังที่ซาร์ตกล่าวว่า “การมีอยู่มาก่อนสาระหมายความว่าอย่างไร เรา หมายความว่าก่อนอื่นใดทั้งหมด มนุษย์มีอยู่ ค้นพบตัวเองปรากฏตัวในโลก และนิยามตัวเอง ภายหลัง…. ถ้ามนุษย์นิยามไม่ได้ ก็เป็นเพราะว่า ก่อนอื่นใดมนุษย์ไม่ใช่อะไรเลย เขาจะเป็น อะไรก็ตามหลังจากนั้น และเขาจะเป็นตามที่เขาสร้างตัวเองให้เป็น… เนื่องจากมนุษย์คิดสร้าง ตัวเองภายหลังการมีอยู่ และเนื่องจากเขาต้องการสร้างให้ตัวเองเป็นภายหลังการมีอยู่ มนุษย์
จึงมิใช่อะไรอื่นนอกจากผลิตผลที่เขาสร้างขึ้นให้แก่ตัวเอง…”

24. ความคิดของเขานําไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศส
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

25. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหนเขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน”
ตอบ 5 หน้า 137 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ได้กล่าวไว้ในบรรทัดแรกของ หนังสือ “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ว่า “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหน เขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน…. การละทิ้งเสรีภาพนั้นก็คือการละทิ้งความเป็นคน ตลอดจน เป็นการละทิ้งสิทธิและหน้าที่แห่งมนุษยชาติ ไม่มีการชดเชยใด ๆ เป็นไปได้สําหรับผู้ที่ละทิ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนี้ การละทิ้งนี้ขัดต่อธรรมชาติของมนุษย์ และการลบล้างเสรีภาพทั้งหมด ออกจากเจตจํานงของเขา ก็คือการลบล้างศีลธรรมทั้งหมดออกจากการกระทําของเขา”

ข้อ 26 – 35. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) John Stuart Mill
(2) James Madison
(3) Edmund Burke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) Plato

26. ใครเป็นผู้เขียน “Federalist Papers No. 10
ตอบ 2 หน้า 121 – 122, (คําบรรยาย) เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ประธานาธิบดีคนที่ 4 ของ สหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งชาติของสหรัฐอเมริกา (American Founding Fathers) และถือได้ว่ามีส่วนสําคัญในการร่างรัฐธรรมนูญอเมริกัน เขาพยายามที่จะเสนอรูปแบบการ ปกครองสําหรับสหรัฐอเมริกาให้เป็นการปกครองด้วยตัวแทน โดยเสนอความคิดดังกล่าวไว้ใน งานเขียนชื่อว่า “The Federalist Papers No. 10” ซึ่งมีข้อความดังนี้ “สําหรับประชาธิปไตย แบบบริสุทธิ์ ซึ่งข้าพเจ้าหมายถึง สังคมที่ประกอบด้วยพลเมืองจํานวนหนึ่งผู้ซึ่งมารวมตัวกัน และบริหารรัฐบาลด้วยตนเองนั้น…. เป็นปรากฏการณ์แห่งความวุ่นวายและการโต้แย้ง อันเป็น สิ่งซึ่งเข้ากันไม่ได้กับความมั่นคงส่วนบุคคลหรือสิทธิในทรัพย์สิน และโดยทั่วไปรูปแบบการปกครองลักษณะนี้มักจะมีชีวิตสั้นและสิ้นสุดลงด้วยความรุนแรง…. ส่วนมหาชนรัฐ (Republic) ซึ่งข้าพเจ้าหมายถึง รัฐบาลที่มีระบบการแทนตนนั้น ได้ก่อให้เกิดลู่ทางที่แตกต่างกันออกไป… จุดแตกต่างใหญ่สองจุดระหว่างประชาธิปไตยและมหาชนรัฐคือ ประการแรก การมอบอํานาจ การปกครองให้กับพลเมืองจํานวนน้อยซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากพลเมืองที่เหลือ ประการที่สอง การที่จํานวนพลเมืองและขอบเขตของประเทศสามารถจะขยายออกไปได้มากกว่า…”

27. ใครเป็นผู้กล่าวคําพูดดังต่อไปนี้ “ประชาธิปไตยแบบบริสุทธิ์ เป็นปรากฏการณ์แห่งความวุ่นวายและ การโต้แย้ง อันเป็นสิ่งซึ่งเข้ากันไม่ได้กับความมั่นคงส่วนบุคคลหรือสิทธิในทรัพย์สิน และโดยทั่วไป รูปแบบการปกครองลักษณะนี้มักจะมีชีวิตสั้นและสิ้นสุดลงด้วยความรุนแรง”
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 26. ประกอบ

28. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “มหาชนรัฐ (Republic) ซึ่งข้าพเจ้าหมายถึง รัฐบาลที่มีระบบ การแทนตนนั้น ได้ก่อให้เกิดลู่ทางที่แตกต่างกันออกไป…”
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 26. ประกอบ

29. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “จุดแตกต่างใหญ่สองจุดระหว่างประชาธิปไตยและมหาชนรัฐคือ ประการแรก การมอบอํานาจการปกครองให้กับพลเมืองจํานวนน้อยซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากพลเมืองที่เหลือ ประการที่สอง การที่จํานวนพลเมืองและขอบเขตของประเทศสามารถจะขยายออกไปได้มากกว่า”
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 26. ประกอบ

30. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “ผู้แทนของท่านมีหน้าที่ต่อท่านไม่เฉพาะในเรื่องความขยันขันแข็ง พากเพียรอุตสาหะเท่านั้น แต่ในเรื่องการใช้วิจารณญาณ มันก็ถือว่าเป็นหน้าที่ที่เขาต้องมีต่อท่านด้วย และเมื่อใดก็ตามที่เขาใช้วิจารณญาณตัดสินไปตามความคิดเห็นของพวกท่าน เมื่อนั้นเองพวกเขาก็ได้ชื่อว่าทรยศต่อท่านและไม่ได้เป็นผู้รับใช้ท่านอีกต่อไปแล้ว”
ตอบ 3 หน้า 124 เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) ได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องผู้แทนไว้ใน “Speech to the Electors of Bristol” ว่า “ผู้แทนของท่านมีหน้าที่ต่อท่านไม่เฉพาะในเรื่องความขยัน ขันแข็งพากเพียรอุตสาหะเท่านั้น แต่ในเรื่องการใช้วิจารณญาณ มันก็ถือว่าเป็นหน้าที่ที่เขา ต้องมีต่อท่านด้วย และเมื่อใดก็ตามที่เขาใช้วิจารณญาณตัดสินไปตามความคิดเห็นของพวกท่านเมื่อนั้นเองพวกเขาก็ได้ชื่อว่าทรยศต่อท่านและไม่ได้เป็นผู้รับใช้ท่านอีกต่อไปแล้ว”

31. บุคคลใดถือว่าเป็นหนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งชาติของสหรัฐอเมริกา (Founding Fathers)
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 26. ประกอบ

32.หนังสือเรื่อง “The Republic” ใครเป็นคนเขียน
ตอบ 5 หน้า 85, 87, 132 เพลโต (Plato) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “The Republic” ว่า ผู้ปกครองนั้นควรเป็นคนที่ได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดี และเหมาะสมกับหน้าที่ ไม่ใช่เอาประชาชนหรือใครมาเป็นก็ได้ ซึ่งตามความคิดของเพลโตนั้นมองว่ามนุษย์แต่ละคนมีความถนัดที่ถูกกําหนด มาจากธรรมชาติแตกต่างกัน ซึ่งรวมถึงผู้ปกครองด้วย เพราะการปกครองก็ถือว่าเป็นทักษะหนึ่ง ที่เฉพาะทางไม่ต่างกับช่าง หมอ หรือการงานหน้าที่อื่น ๆ ดังนั้นผู้ปกครองจึงไม่ควรที่จะเป็นใคร ก็ได้ แต่ควรเป็นคนที่มีธรรมชาติเป็นผู้ปกครอง และมีทักษะ ตลอดจนได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี

33. คนที่ปกครองควรเป็นคนที่ได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดี และเหมาะสมกับหน้าที่ แนวคิดนี้เป็นของใคร
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

34. ใครเป็นคนที่เขียนงานเรื่อง “Considerations on Representative Government”
ตอบ 1 หน้า 115 – 116, 120, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) ได้เสนอ รูปแบบการปกครองโดยผู้แทน (Representative Government) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ประชาธิปไตยแบบตัวแทน” (Representative Democracy, เพราะมองว่าผู้ปกครองที่ มาจากระบบตัวแทนนั้นคือ ผู้ปกครองที่ดีที่สุด โดยแนวคิดดังกล่าวนี้ปรากฏอยู่ในงานเขียน ของเขาเรื่อง “Considerations on Representative Government”

35. นักคิดในศตวรรษที่ 18 คนใดที่กล่าวคําพูดดังต่อไปนี้ “เมื่อต้องไปประชุมสภาหรือ พวกเขาก็แต่งตั้ง ตัวแทนขึ้นมาแล้วก็นอนอยู่บ้าน ด้วยเหตุแห่งความเกียจคร้านและเงินทอง ชีวิตของพวกเขาจึงจบลง ด้วยการที่มีทหารเพื่อกดขี่ปิตุภูมิตนเอง และมีผู้แทนเพื่อจะขายชาติตนเอง”
ตอบ 4 หน้า 125 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักคิดในศตวรรษที่ 18 ได้โจมตี ระบอบผู้แทนไว้อย่างรุนแรง โดยกล่าวว่า “ทันทีที่การรับใช้สาธารณะไม่ได้กลายมาเป็นหน้าที่หลัก ของพลเมือง และเมื่อพวกเขาชอบรับใช้ถุงเงินของตนมากกว่าตัวตนของตน เมื่อนั้นรัฐก็เข้าใกล้ ความพินาศ เมื่อต้องถึงเวลาไปรบ พวกเขากลับจ่ายเงินให้กองทหารแล้วก็นอนอยู่บ้าน เมื่อต้องไป ประชุมสภาหรือ พวกเขาก็แต่งตั้งตัวแทนขึ้นมาแล้วก็นอนอยู่บ้าน ด้วยเหตุแห่งความเกียจคร้าน และเงินทอง ชีวิตของพวกเขาจึงจบลงด้วยการที่มีทหารเพื่อกดขี่ปิตุภูมิตนเอง และมีผู้แทน เพื่อจะขายชาติตนเอง”

ข้อ 36 – 42. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Machiavelli
(2) Montesquieu
(3) Joseph Schumpeter
(4) John Locke
(5) Aritstotle

36. เป็นลูกศิษย์ของเพลโต
ตอบ 5 หน้า 25, (คําบรรยาย) อริสโตเติล (Aristotle) เป็นนักคิดชาวมาซิโดเนีย ลูกศิษย์ของเพลโต (Plato) เขามีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีผลงานที่สําคัญ ได้แก่ งานเขียนเรื่อง “Politics” และ “Nicomachean Ethics”

37. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “คําว่าประชาธิปไตย ไม่ได้หมายความและสามารถหมายความถึง การปกครองที่ประชาชนเข้าไปทําหน้าที่ปกครองจริง ๆ ตามตัวอักษรของคําที่ว่า “ประชาชน” กับ “การปกครอง” แต่ประชาธิปไตยนั้นหมายถึงแค่การปกครองที่ประชาชนนั้นมีโอกาสในการที่จะยอมรับ
หรือปฏิเสธคนใดคนหนึ่งที่จะมาเป็นผู้ปกครองพวกเขาเท่านั้น”
ตอบ 3 หน้า 124 – 125 โจเซฟ ชุมปีเตอร์ (Joseph Schumpeter) นักคิดชาวออสเตรีย เป็นผู้เขียน งานเรื่อง “Capitalism, Socialism and Democracy” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1942 เขาได้เสนอ ทฤษฎีประชาธิปไตย โดยกล่าวว่า “คําว่าประชาธิปไตย ไม่ได้หมายความและสามารถหมายความถึง การปกครองที่ประชาชนเข้าไปทําหน้าที่ปกครองจริง ๆ ตามตัวอักษรของคําที่ว่า “ประชาชน” กับ “การปกครอง” แต่ประชาธิปไตยนั้นหมายถึงแค่การปกครองที่ประชาชนนั้นมีโอกาสในการที่จะยอมรับหรือปฏิเสธคนใดคนหนึ่งที่จะมาเป็นผู้ปกครองพวกเขาเท่านั้น… ดังนั้นเองในด้านหนึ่ง เราอาจจะกล่าวได้ว่า ประชาธิปไตยนั้นคือ การปกครองของนักการเมือง (Democracy is the Rule of the Politician)”

38. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของ มนุษย์ทุกคนจะสามารถนํามัน มาใช้ประโยชน์ได้ หรือนํามันมาเป็นเจ้าของได้ภายใต้เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่ง ด้วยการที่เขานําแรงงานของ ตัวเขาเองไปผสมร่วมกับสิ่งนั้นๆ”
ตอบ 4 หน้า 162 จอห์น ล็อค (John Locke) กล่าวว่า สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของ มนุษย์ทุกคนจะสามารถนํามันมาใช้ประโยชน์ได้ หรือนํามันมาเป็นเจ้าของได้ภายใต้เงื่อนไขใด เงื่อนไขหนึ่ง ด้วยการที่เขานําแรงงานของตัวเขาเองไปผสมร่วมกับสิ่งนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นไป ด้วยวิธีการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนรูป ดัดแปลง ตัดต่อ ฯลฯ สิ่งของนั้น ๆ ก็จะกลายมาเป็น กรรมสิทธิ์ของเขาโดยชอบธรรม

39. นักคิดคนใดที่กล่าวคําพูดดังต่อไปนี้ “การเป็นที่หวาดกลัวจึงเป็นการปลอดภัยมากกว่าการเป็นที่รัก”
ตอบ 1 หน้า 130 – 131 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองควรทํา ตนเองให้เป็นที่หวาดกลัวมากกว่าเป็นที่รัก ถ้าในกรณีที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังที่เขา กล่าวว่า “การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อม ปรารถนาจะเป็นทั้งผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก แต่เนื่องจากยากที่จะผสมคุณสมบัติ เหล่านี้เข้าด้วยกัน ถ้าอันใดอันหนึ่งในสองอันนี้จะต้องขาดไป การเป็นที่หวาดกลัวจึงเป็นการ ปลอดภัยมากกว่าการเป็นที่รัก เพราะธรรมชาติมนุษย์นั้น อกตัญญู เปลี่ยนใจง่าย เป็นพวก มือถือสาก ปากถือศีล และพวกอําพราง พวกหลีกเลี่ยงอันตราย ผู้รักผลได้…”

40. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “ผู้ปกครองไม่ควรจะเป็นกังวลกับการก่อให้เสียชื่อเสียงในเรื่องของ ความชั่วต่าง ๆ ซึ่งถ้าไม่มีมันเสีย แล้วก็จะเป็นการยากที่จะรักษารัฐเอาไว้ เพราะถ้าบุคคลใดไตร่ตรอง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างดี เขาจะพบว่าบางสิ่งบางอย่างซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความดีนั้น หากปฏิบัติตามก็จะ กลายเป็นความพินาศของเขา และสิ่งอื่นซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความชั่วนั้น หากปฏิบัติตามก็จะสัมฤทธิ์ผล ในด้านความมั่นคง และความเป็นอยู่ที่ดี”
ตอบ 1 หน้า 130 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองนั้นไม่ควรจะ คํานึงแต่การทําดีละเว้นความชั่ว โดยเฉพาะในกรณีที่ว่าถ้าการทําดีนั้นทําให้เขาต้องสูญเสียรัฐ แต่การทําชั่วสามารถทําให้เขารักษารัฐได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นผู้ปกครองก็ควรจะเลือกการทําชั่ว ดังที่เขากล่าวว่า “ผู้ปกครองไม่ควรจะเป็นกังวลกับการก่อให้เสียชื่อเสียงในเรื่องของความชั่ว ต่าง ๆ ซึ่งถ้าไม่มีมันเสียแล้วก็จะเป็นการยากที่จะรักษารัฐเอาไว้ เพราะถ้าบุคคลใดไตร่ตรองทุกสิ่ง ทุกอย่างเป็นอย่างดี เขาจะพบว่าบางสิ่งบางอย่างซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความดีนั้น หากปฏิบัติตาม ก็จะกลายเป็นความพินาศของเขา และสิ่งอื่นซึ่งดูเหมือนว่าเป็นความชั่วนั้น หากปฏิบัติตาม ก็จะสัมฤทธิ์ผลในด้านความมั่นคง และความเป็นอยู่ที่ดี”

41. นักคิดชาวฝรั่งเศสที่เสนอเรื่องการแบ่งแยกอํานาจ
ตอบ 2 หน้า 120, (คําบรรยาย) มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) เป็นนักคิดชาวฝรั่งเศสที่เสนอให้ แบ่งแยกอํานาจอธิปไตยออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่ อํานาจนิติบัญญัติ อํานาจบริหาร และอํานาจ ตุลาการ เพื่อป้องกันการเป็นเผด็จการ โดยมงเตสกิเออร์ได้เสนอแนวคิดดังกล่าวไว้ในหนังสือ เรื่อง “The Spirit of Laws” (De L’esprit des lois) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1748

42. ใครเป็นคนกล่าวประโยคดังต่อไปนี้ “ธรรมชาติมนุษย์นั้น อกตัญญู เปลี่ยนใจง่าย เป็นพวกมือถือสาก ปากถือศีล และพวกอําพราง พวกหลีกเลี่ยงอันตราย ผู้รักผลได้”
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

ข้อ 43 – 47. จงเติมรูปแบบการปกครองตามความคิดของอริสโตเติลลงในตารางข้างล่างตามข้อที่กําหนดโดยใช้ตัวเลือกดังต่อไปนี้
(1) Democracy
(2) Polity
(3) Oligarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy

43.ตอบ 4 หน้า 104 – 105 อริสโตเติล (Aristotle) ได้แบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็น 6 รูปแบบ ดังนี้

44.ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ

45.ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ

46.ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ

47. ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ

ข้อ 48 – 60. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) Harold D. Lasswell
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick

48. กรรมกรต้องรวมกลุ่มกันโค่นล้มรัฐนายทุน
ตอบ 1 หน้า 174 – 176 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เป็นผู้สนับสนุนการยึดครองรัฐโดยชนชั้นกรรมาชีพ (กรรมกร) โดยเขาเรียกร้องให้ชนชั้นกรรมาชีพรวมกลุ่มกันปฏิวัติโค่นล้มรัฐนายทุนและสถาปนารัฐสังคมนิยมที่เป็นรัฐของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นมา เพื่อปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางการผลิตของชนชั้นนายทุนให้กลายมาเป็นของชนชั้นกรรมาชีพ ซึ่งแนวคิดของมาร์กซ์นี้ปรากฏอยู่ใน “แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์” (The Communist Manifesto) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1848

49. ผู้เขียน “A Theory of Justice
ตอบ 4 หน้า 177 – 178 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้เขียนหนังสือเรื่อง “A Theory of Justice” (ทฤษฎีหนึ่งว่าด้วยความยุติธรรม) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1971 จากผลงานนี้เอง ที่ทําให้อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บิล คลินตัน (Bill Clinton) กล่าวยกย่องรอลส์ ว่าเป็นนักปรัชญาการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20

50. “กรรมกรนั้นยิ่งทํางานมากขึ้น ๆ กลับมีแต่ยากจนลง และไม่มีวันจะเก็บหอมรอมริบสร้างเนื้อสร้างตัวได้ เพราะว่าค่าแรงที่กรรมกรได้รับในแต่ละวันนั้นเพียงพอแค่ที่กรรมกรจะมีชีวิตรอดไปวัน ๆ” วิธีคิดดังกล่าวนี้
เป็นความคิดของใครที่ใช้อธิบายระบบทุนนิยม
ตอบ 1 หน้า 172 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) อธิบายว่า ในระบบทุนนิยมนั้นกรรมกรยิ่งทํางาน มากขึ้น ๆ กลับมีแต่ยากจนลง และไม่มีวันจะเก็บหอมรอมริบสร้างเนื้อสร้างตัวได้ เพราะว่า ค่าแรงที่กรรมกรได้รับในแต่ละวันนั้นเพียงพอแค่ที่กรรมกรจะมีชีวิตรอดไปวัน ๆ ไม่นับถึง ครอบครัวที่กรรมกรผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวต้องเลี้ยงดู ซึ่งในส่วนนั้นนายจ้างไม่ได้บวกเพิ่มให้ไปในค่าแรงของกรรมกร เพราะนายจ้างถือว่าแรงงานคนเดียวแลกกับค่าจ้างของคน ๆ เดียว

51. รัฐควรมีหน้าที่เหมือนนักดับเพลิง หรือไม่ก็คนเฝ้ายามก็เพียงพอแล้ว
ตอบ 2 หน้า 188, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โนซิค (Robert Nozick) ได้เขียนหนังสือเรื่อง “Anarchy, State and Utopia” ในปี ค.ศ. 1974 โดยโนซิคได้แถลงจุดประสงค์ในหนังสือว่าเขาต้องการ จะหักล้างข้ออ้างที่เสนอโดยจอห์น รอลล์ที่ว่า รัฐขนาดใหญ่เป็นรัฐที่ชอบธรรมได้ก็เพราะว่า ความใหญ่โตของรัฐจะมีประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ซึ่งโนซิคไม่เห็นด้วย และเห็นว่ารัฐขนาดเล็ก (Minimal State) ต่างหากที่เป็นรัฐที่ชอบธรรม ซึ่งรัฐขนาดเล็กตาม ความคิดของโนซิคนั้นเป็นรัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนในระดับน้อยที่สุด ไม่ว่าจะ ในทางเศรษฐกิจหรือในทางการเมือง โดยรัฐจะทําหน้าที่เหมือนนักดับเพลิง หรือไม่ก็คนเฝ้ายาม คอยดูแลไม่ให้ประชาชนละเมิดกติกาหรือข้อตกลงพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันเท่านั้น

52. ใครเป็นผู้เขียน “Anarchy, State and Utopia” ตีพิมพ์ออกมาปี ค.ศ. 1974
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

53. สนับสนุน Minimal State
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

54. “ร่างกาย แรงงาน และทรัพย์สินเป็นของเรา ใครจะมายึดไปอย่างชอบธรรมไม่ได้” เป็นวิธีคิดของใคร
ตอบ 2 หน้า 189, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โนซิค (Rebert Nozick) ได้เสนอ “หลักความยุติธรรม ในการครอบครองตั้งต้น” (Principle of Justice in Entitlement) ซึ่งเป็นหลักการที่เสนอว่า ถ้าทรัพยากรที่คน ๆ หนึ่งใช้ในการหารายได้มาตั้งแต่ต้นนั้นเป็นสิ่งที่ชอบธรรม สิ่งที่หามาได้ โดยทรัพยากรนั้นก็ถือว่าชอบธรรมไปด้วย ซึ่งคําว่าชอบธรรมนี้มีความหมายในลักษณะที่ว่า คน ๆ นั้นใช้ร่างกาย แรงงาน สติปัญญา หรือทรัพย์สินของตนเพื่อที่จะได้รายได้หรือสิ่งของ ต่าง ๆ มาอย่างชอบธรรม ทรัพย์สินหรือรายได้ที่ได้มานั้นก็จะเป็นสิ่งที่ชอบธรรมไปด้วยใครจะมาพรากหรือยึดเอาทรัพย์สินหรือรายได้เหล่านั้นไปอย่างชอบธรรมไม่ได้

55. บุคคลใดเขียนงานขึ้นมาส่วนหนึ่งเพื่อโจมตีแนวคิดเรื่อง “หลักการความแตกต่าง (Difference Principle)” ของ John Rawls
ตอบ 2 หน้า 192 โรเบิร์ต โนซิค (Robert Nozick) ได้เขียนงานขึ้นมาเพื่อโจมตีแนวคิดเรื่อง “หลักการ ความแตกต่าง” (Difference Principle) ของจอห์น รอลส์ (John Rawis) โดยโนซิคมองว่า การที่คน ๆ หนึ่งได้รับทรัพย์สินมาด้วยวิธีการอันชอบธรรม หรือได้มาโดยการแลกเปลี่ยนอย่าง เสรี ทรัพย์สินหรือดอกผลที่เกิดขึ้นนั้น ๆ ก็ถือว่าชอบธรรม และการที่รัฐจะนําไปแจกจ่ายให้กับ คนที่เสียเปรียบก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะนํามาสร้างความชอบธรรมได้ มากไปกว่านั้นการที่รัฐเข้ามาแทรกแซงด้วยการกระจายทรัพยากรจากคนใดคนหนึ่งเพื่อนําไปช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาส ในรูปของการเก็บภาษี หรือด้วยรูปแบบการกระจายทรัพยากรอื่น ๆ มันก็เป็นสิ่งที่ไม่แตกต่างกับ การขโมยหรือการก่ออาชญากรรม นั่นก็เพราะว่ามันเป็นการใช้กําลังบังคับเอาของจากคน ๆ หนึ่ง ที่เขามีสิทธิต่อทรัพย์สินนั้นอย่างเต็มที่ไปโดยที่เขาไม่ได้ยินยอม

56. ใครเป็นคนกล่าวว่า “การเมือง คือ เรื่องของการที่ใครได้อะไร เมื่อไร และอย่างไร”
ตอบ 3 หน้า 159 ฮาโรลด์ ดี. แลสเวลล์ (Harold D. Lasswell) กล่าวว่า การเมือง คือ เรื่องของ การที่ใครได้อะไร เมื่อไร และอย่างไร (Politics is who gets what, when, and how)

57. นําเรื่องความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นของคนจนอังกฤษนําไปเสนอรัฐสภา
ตอบ 5 หน้า 168, (คําบรรยาย) เซอร์เอ็ดวิน แชดวิก (Sir Edwin Chadwick) เป็นนักปฏิรูปสังคม ชาวอังกฤษซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1800 – 1890) เขาได้ไปสํารวจชีวิตของ คนจนอังกฤษซึ่งมีความเป็นอยู่ที่แร้นแค้นและเขียนเป็นรายงานเสนอรัฐสภา โดยเขาเล่าว่าคนจนทั่วไปไม่มีเงินเช่าบ้านอยู่อาศัยเป็นครอบครัว คนพวกนี้จะต้องไปเช่าอยู่ในโรงแรม ที่ห้องหนึ่งมีคนอาศัยอยู่หลาย ๆ คน ซึ่งเป็นสภาพชีวิตของคนจนในเมืองที่ย่ําแย่มาก ๆ

58. เป็นบุคคลที่มีแนวโน้มสนับสนุนการยึดครองรัฐโดยกรรมาชีพมากที่สุด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 48. ประกอบ

59. ผู้เขียน “The Communist Manifesto” ตีพิมพ์ ค.ศ. 1848
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 48. ประกอบ

60. บุคคลใดแนวโน้มเห็นด้วยมากที่สุดกับแนวคิดเรื่องการที่เราได้มรดกมาอย่างถูกต้องเราก็จะนําไปใช้ อย่างไรก็ได้ รัฐบาลไม่ควรมีสิทธิมาเก็บเงินนั้นเพื่อนําไปกระจายให้กับคนจน
ตอบ 2 หน้า 189, (คําบรรยาย) โรเบิร์ต โนซิค (Rebert Nozick) มีแนวคิดว่า การที่เราได้มรดก มาอย่างถูกต้องชอบธรรมเราก็จะนําไปใช้อย่างไรก็ได้ รัฐบาลไม่ควรมีสิทธิมาเก็บเงินหรือ นําทรัพย์สินนั้น ๆ ไปกระจายให้กับคนจนหรือคนด้อยโอกาสได้อย่างชอบธรรม ซึ่งแนวคิดนี้ เป็นไปตาม “หลักความยุติธรรมในการถ่ายโอน” (Principle of Justice in Transfer) ของ โนซิคที่เสนอไว้ว่า ถ้าคน ๆ หนึ่งได้รับสิ่งของใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นในฐานะของขวัญ มรดก หรือ ด้วยความเสน่หาใด ๆ และรวมทั้งกําไรรายได้จากการแลกเปลี่ยนในตลาดอย่างเสรี ทรัพย์สิน ที่ได้มาหรือรายได้นั้น ๆ ก็เป็นสิ่งที่ชอบธรรม รัฐหรือเอกชนคนใดก็ไม่มีสิทธิจะมาพรากเอา ทรัพย์สินหรือรายได้นั้น ๆ ไปจากเจ้าของได้อย่างชอบธรรม

ข้อ 61. – 80. จงเลือกคําตอบต่อไปนี้ไปตอบในแต่ละข้อโดยให้มีความสัมพันธ์มากที่สุดกับโจทย์คําถาม
(1) Aristotle
(2) Thomas Hobbes
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง

61. บุคคลมองว่า รัฐนั้นเกิดขึ้นมาจากการที่มนุษย์นั้นเข่นฆ่ากัน
ตอบ 2 หน้า 32, 36 – 38 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักคิดชาวอังกฤษ ได้อธิบายถึงเหตุผล ที่มนุษย์ต้องเข้ามาอยู่ในรัฐหรือสังคมการเมืองก็เนื่องจากถ้ามนุษย์ไม่มีรัฐ มนุษย์ก็จะทะเลาะ เบาะแว้งเข่นฆ่ากันไม่รู้จบหรือเรียกว่าอยู่ในสภาวะสงคราม ซึ่งมนุษย์จะไม่ความปลอดภัยใด ๆทั้งสิ้น ดังนั้นจึงเกิดรัฐและมนุษย์ต้องมาอยู่รวมกันในรัฐเพราะรัฐจะช่วยให้มนุษย์มีความปลอดภัย (Safety) และมีชีวิตอยู่รอด

62. นักคิดคนใดในตัวเลือกข้างต้นเชื่อว่า รัฐบาลไม่ควรมีอํานาจจํากัด
ตอบ 2 หน้า 37 – 38 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) มองว่า การเกิดสภาวะสงครามทําให้มนุษย์ จําเป็นต้องแสวงหาสันติภาพเพื่อจะทําให้ทุกคนมีชีวิตรอด โดยต้นเหตุของสภาวะสงครามก็คือสิทธิตามธรรมชาติอันไม่จํากัดที่มีเหนือร่างกายของมนุษย์ทุกคนและมนุษย์ทุกคนก็สามารถใช้ มันได้ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงมีความจําเป็นที่ต้องสละสิทธิตามธรรมชาติดังกล่าวให้ Leviathan หรือ องค์อธิปัตย์ (ผู้ปกครองหรือรัฐบาล) มีอํานาจเด็ดขาดสูงสุดอย่างไม่จํากัด เพื่อให้มนุษย์ทุกคน ตกอยู่ภายใต้ความกลัวและไม่ให้เขาเหล่านั้นกลับไปอยู่ในสภาวะสงครามอีก แต่ฮอบส์ก็มี ข้อยกเว้นว่าประชาชนหรือผู้ที่อยู่ภายใต้อํานาจอาจจะไม่เชื่อฟังองค์อธิปัตย์ได้ ถ้าองค์อธิปัตย์ ใช้อํานาจแบบทรราชสังหารผู้ที่อยู่ภายใต้ปกครองตามอําเภอใจ ดังที่ฮอบส์กล่าวไว้ว่า “ถ้า องค์อธิปัตย์สั่งให้ผู้ที่อยู่ภายใต้อํานาจสังหาร หรือทําร้ายตัวเขาเองนั้น…. ตลอดจนสิ่งอื่น ที่ถ้าขาดสิ่งเหล่านั้นแล้วจะทําให้เขาไม่สามารถดํารงชีวิตอยู่ต่อไปได้ การบังคับทั้งหมดนี้มนุษย์ แม้จะอยู่ภายใต้อํานาจขององค์อธิปัตย์ก็ตาม เขาก็จะยังมีเสรีภาพอย่างสมบูรณ์ในการที่จะไม่เชื่อฟังคําสั่งดังกล่าว”

63. นักคิดคนใดนําแนวคิดสัญญาประชาคมมาเป็นชื่องานของตน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

64. นักคิดเจนีวาคนใดที่มองว่าเสรีภาพเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์
ตอบ 4 หน้า 135 – 136, 142, 157 นักคิดที่มองว่าเสรีภาพคือสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กําเนิด หรือเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ได้แก่
1. ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักคิดชาวเจนีวา
2. ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) นักคิดชาวฝรั่งเศส

65. นักคิดคนใดที่เน้นการอธิบายถึงการที่มนุษย์เข้ามาอยู่ภายในสังคมการเมืองนั้นก็ด้วยจุดประสงค์ เรื่องความปลอดภัย (Safety) เป็นประเด็นสําคัญ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 61. ประกอบ

66. งานเขียนของนักคิดอังกฤษคนใดที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการปฏิวัติอเมริกัน
ตอบ 3 หน้า 39, 73 – 77 จอห์น ล็อค (John Locke) นักคิดชาวอังกฤษ ได้เสนอแนวคิดเรื่อง “สิทธิแห่งการปฏิวัติ” (Right of Revolution) ไว้ในหนังสือเรื่อง “Two Treatises of Government” (ตําราสองเล่มเกี่ยวกับการปกครอง) โดยล็อคเห็นว่า พลเมืองต้องเชื่อฟังกฎหมายเฉพาะเรื่องที่ได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ต้องเชื่อฟัง และเมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลทําหน้าที่ บกพร่องหรือไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ประชาชนให้ไว้ ประชาชนก็มีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังกฎหมาย หรือรัฐบาล และสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ซึ่งแนวคิดของล็อคนี้ได้กลายมาเป็นฐานคิดสําคัญ ของแนวคิดเสรีนิยมที่มองว่าการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนั้นเป็นสิ่งที่ทําได้ และเป็นอํานาจอัน ชอบธรรมของประชาชน และวิธีคิดนี้ก็มีอิทธิพลอย่างมากต่อการปฏิวัติอเมริกันในปี ค.ศ.1776

67. นักคิดคนใดที่เสนอว่า รัฐควรมีหน้าที่ระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในสังคมเท่านั้น
ตอบ 3 หน้า 42 – 43 จอห์น ล็อค (John Locke) เห็นว่า มนุษย์ทุกคนในสภาวะธรรมชาตินั้นเป็นทั้ง คนตัดสินและใช้อํานาจลงโทษโดยลําพังตามกฎธรรมชาติ แต่การตัดสินลงโทษผู้ที่ละเมิดอาจจะไม่เป็นไปตามโทษที่สมควรได้รับทั้งนี้ก็เนื่องจากการรักตนเองหรือรักพวกพ้องของตนเอง จึงอาจทําให้มนุษย์ตัดสินเข้าข้างตนเองหรือเข้าข้างพวกพ้องที่ตนรัก หรืออาจจะตัดสินลงโทษไปด้วย ความต้องการที่จะล้างแค้น ดังนั้นรัฐจึงควรมีหน้าที่ระงับข้อพิพาทที่เกิดขึ้นในสังคม ดังที่ล็อค กล่าวว่า “ในสภาวะธรรมชาติ ทุก ๆ คนมีอํานาจในการบังคับใช้กฎธรรมชาติ… แต่บางครั้งมันก็ ไม่เป็นไปตามเหตุตามผลสําหรับมนุษย์ที่จะต้องตัดสินกรณีพิพาทเมื่อตัวเองต้องมีส่วนได้ส่วนเสีย นั่นก็เพราะว่า ความรักตนเองจะทําให้เขาตัดสินเอนเอียงเข้าข้างตน หรือเข้าข้างพวกพ้องของตนได้… ดังนั้นเอง พระผู้เป็นเจ้าจึงได้ตั้งรัฐบาลขึ้นมาเพื่อที่จะจัดการความอยุติธรรม และการใช้ ความรุนแรงระหว่างมนุษย์ ซึ่งข้าพเจ้าก็เห็นด้วยอย่างมากว่า รัฐบาลคือหนทางที่เหมาะสมที่สุดเพื่อใช้แก้ไขปัญหาอันติดขัดของมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ…

68. ใครเป็นคนกล่าวว่า “สภาพของมนุษย์ในสภาวะธรรมชาตินั้นจะมีความเท่าเทียมระหว่างกันเป็นอย่างมาก (Equality) ความเท่าเทียมที่เขาหมายถึงนี้ คือ ความสามารถในการอ้างต่อสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็นของตนได้
อย่างเท่าเทียมกัน”
ตอบ 2 หน้า 34 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) กล่าวว่า สภาพของมนุษย์ในสภาวะธรรมชาตินั้น จะมีความเท่าเทียมระหว่างกันเป็นอย่างมาก (Equality) ซึ่งความเท่าเทียมที่เขาหมายถึงนี้ คือ ความสามารถในการอ้างต่อสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็นของตนได้อย่างเท่าเทียมกัน

69. นักคิดอังกฤษคนใดที่เสนอเรื่องสิทธิในการปฏิวัติ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 66. ประกอบ

70.“By all means we can, to defend ourselves” เป็นแนวคิดของนักคิดคนใด
ตอบ 2 หน้า 34 – 35 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) กล่าวว่า มนุษย์มีสิทธิตามธรรมชาติ (Natural Right) ที่จะทําอะไรก็ได้ตามการตัดสินหรือเหตุผลส่วนตัวของเขา ซึ่งสิ่งที่เรียกว่า “สิทธิตามธรรมชาติ” ตามความคิดของฮอบส์นั้นเป็นสิ่งที่ได้มาจากกฎธรรมชาติ (Law of Nature) อันเป็นกฎสากลทั่วไป ซึ่งกฎธรรมชาติพื้นฐานตามความคิดของฮอบส์ก็คือ มนุษย์ จะถูกห้ามไม่ให้ทําอันตรายใด ๆ ต่อชีวิตของตนเอง หรือถูกบังคับให้ไม่ใช้วิธีการใด ๆ หรือ การละเว้นที่จะทําให้เขามีชีวิตรอด โดยทั้งหมดนี้เป็นไปตามสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งเขาคิดว่าจะธํารงไว้ ซึ่งชีวิตของเขา (By all means we can, to defend ourselves)

71. นักคิดคนใดที่เชื่อมั่นในเรื่องของอํานาจในการปกครองประชาชนควรจะเป็นผู้ใช้เอง
ตอบ 4 หน้า 94, 101, 132 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เห็นว่า ประชาชนคือ ผู้ปกครองที่ดีที่สุด ถ้าปรารถนาจะได้รูปแบบการเมืองที่ชอบธรรมหรือเป็นรูปแบบการเมือง ที่มีเสรีภาพและเสมอภาคก็ควรจะให้ประชาชนเป็นผู้ใช้อํานาจในการปกครองด้วยตนเอง

72. นักคิดคนใดที่กล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าจึงได้ตั้งรัฐบาลขึ้นมาเพื่อที่จะจัดการความอยุติธรรม และการใช้ ความรุนแรงระหว่างมนุษย์ ซึ่งข้าพเจ้าก็เห็นด้วยอย่างมากว่า รัฐบาลคือหนทางที่เหมาะสมที่สุดเพื่อใช้แก้ไขปัญหาอันติดขัดของมนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ”
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 67. ประกอบ

73. ใครเป็นคนกล่าวว่า “ถ้าองค์อธิปัตย์สั่งให้ผู้ที่อยู่ภายใต้อํานาจสังหาร หรือทําร้ายตัวเขาเองนั้น…. ตลอดจน สิ่งอื่น ๆ ที่ถ้าขาดสิ่งเหล่านั้นแล้วจะทําให้เขาไม่สามารถดํารงชีวิตอยู่ต่อไปได้ การบังคับทั้งหมดนี้มนุษย์
แม้จะอยู่ภายใต้อํานาจขององค์อธิปัตย์ก็ตาม เขาก็จะยังมีเสรีภาพอย่างสมบูรณ์ในการที่จะไม่เชื่อฟังคําสั่งดังกล่าว”
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 62. ประกอบ

74. รัฐคือสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นแนวคิดของใคร
ตอบ 1 หน้า 25, 29, (คําบรรยาย) อริสโตเติล (Aristotle) ได้ใช้วิธีคิดเรื่อง Telos มาอธิบายว่า ทําไมมนุษย์ต้องอยู่ในรัฐหรือสังคมการเมือง โดยอริสโตเติลมองว่า รัฐหรือสังคมการเมืองนั้น คือสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ และไม่ว่าอย่างไรมนุษย์ก็ต้องอยู่ในรัฐ เพราะการอยู่ในรัฐนั้น เป็นทางเดียวที่จะทําให้มนุษย์มีชีวิตที่ดีและสามารถบรรลุความประเสริฐหรือความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้

75. ใครเป็นผู้กล่าวว่า “กฎธรรมชาตินี้เป็นกฎที่สอนมนุษย์ว่า ทุกคนเท่าเทียมกันและเป็นอิสระต่อกัน ดังนั้น มนุษย์ไม่ควรที่จะทําร้ายมนุษย์คนอื่น ทั้งในด้านชีวิต สุขภาพ เสรีภาพ หรือทรัพย์สมบัติ เพราะว่ามนุษย์นั้น เป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าเหมือน ๆ กัน”
ตอบ 3 หน้า 40 จอห์น ล็อค (John Locke) เห็นว่า มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติยังอยู่ภายใต้กฎหนึ่งเสมอ นั่นก็คือ “กฎธรรมชาติ” (Law of Nature) ซึ่งกฎธรรมชาตินี้เป็นกฎที่สอนมนุษย์ว่า ทุกคน เท่าเทียมกันและเป็นอิสระต่อกัน ดังนั้นมนุษย์ไม่ควรที่จะทําร้ายมนุษย์คนอื่น ทั้งในด้านชีวิต สุขภาพ เสรีภาพ หรือทรัพย์สมบัติ เพราะว่ามนุษย์นั้นเป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าเหมือน ๆ กัน

76. นักคิดคนใดที่นําวิธีคิดเรื่อง Telos มาอธิบายว่าทําไมมนุษย์ต้องอยู่ในรัฐ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 74. ประกอบ

77. ใครเป็นผู้แต่ง On the Origin and Foundation of Inequality of Mankind
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

78. นักคิดคนใดที่กล่าวว่า “มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ พวกเขามีเพศสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามนั้นมนุษย์ไม่ได้ คิดอะไรไปมากกว่าการได้กินผลไม้เพียงลูกหนึ่ง”
ตอบ 4 หน้า 50 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) กล่าวว่า มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติ พวกเขามีเพศสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามนั้นมนุษย์ไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าการได้กินผลไม้เพียงลูกหนึ่ง หรือสายตาที่เขามองเพศตรงข้ามนั้นไม่ต่างอะไรกับที่เขามองสัตว์ตัวหนึ่ง

79. นักคิดคนใดเป็นชาวมาซิโดเนีย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 36. ประกอบ

80. นักคิดคนใดเป็นชาวฝรั่งเศสโดยกําเนิด
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 36., 51., 64. และ 66. ประกอบ

81. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับองค์รัฏฐาธิปัตย์
(1) ผู้ที่มีอํานาจสูงสุดในรัฐ
(2) บางทีเราสามารถเรียกว่าองค์อธิปัตย์ได้
(3) Leviathan ในความหมายของ Hobbes
(4) ประชาชนสามารถถือครองอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศได้
(5) ขุนนางคือองค์รัฎฐาธิปัตย์ในงานของรุสโซ
ตอบ 5 หน้า 57, (คําบรรยาย) องค์อธิปัตย์ หรือองค์รัฏฐาธิปัตย์ (Sovereign) หมายถึง ผู้ที่มีอํานาจ สูงสุดในการปกครองรัฐหรือสังคมการเมือง โดยคําว่าผู้มีอํานาจสูงสุดนี้หมายถึง คนที่เป็นเจ้าของ อํานาจอธิปไตย ซึ่งอาจจะหมายถึง ประชาชนทุกคน รัฐบาล ผู้นําเผด็จการทหาร หรือใครก็ได้ ที่เป็นเจ้าของและเป็นผู้ใช้อํานาจดังกล่าว ทั้งนี้ในงานของฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ประชาชนคือองค์รัฏฐาธิปัตย์ (ดูคําอธิบายข้อ 62. ประกอบ)

82. คําว่า “Free Gift” ตามความหมายของ Thomas Hobbes ใช้กับบุคคลในข้อใด
(1) ผู้ปกครอง – พระเจ้า
(2) ผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย – ผู้ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
(3) คนรวย – คนจน
(4) ผู้ปกครอง – ผู้ใต้ปกครอง
(5) พระเจ้า – บุตรแห่งพระเจ้า
ตอบ 2 หน้า 59 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) อธิบายว่า ถ้าคนหนึ่งปฏิบัติตามกฎหมาย แต่อีกคนไม่ปฏิบัติตามทั้ง ๆ ที่ได้ตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วว่าทุก ๆ คนจะมอบอํานาจที่แต่ละคนมี ตามธรรมชาติให้คนกลางคนหนึ่งตัดสินและออกกฎหมายในทุก ๆ เรื่อง และจะเชื่อฟังคนดังกล่าว ซึ่งถ้าคนหนึ่งเชื่อฟังอีกคนไม่เชื่อฟังและไม่ถูกลงโทษ เหตุการณ์แบบนี้ก็เหมือนกับการที่ คนปฏิบัติตามกฎหมายได้ให้ของขวัญเปล่า ๆ แก่คนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและไม่ถูกลงโทษ โดยฮอบส์เรียกการกระทํานี้ว่า “ของขวัญที่ให้กันฟรี ๆ” (Free Gift) หรือในปัจจุบันมักเรียกว่า “Free Rider”

83. ใครเป็นผู้เสนอคําอธิบายที่ว่า กฎหมายจะเป็นกฎหมายได้ก็ต้องมีการบังคับลงโทษผู้ที่ไม่ทําตามคําสั่ง
(1) John Austin
(2) Thomas Hobbes
(3) Immanuel Kant
(4) Aristotle
(5) Socrates
ตอบ 1 หน้า 58 จอห์น ออสติน (John Austin) นักปรัชญากฎหมายชาวอังกฤษ ได้เสนอทฤษฎี การบังคับบัญชาของกฎหมาย (Command Theory of Law) โดยอธิบายว่า กฎหมายจะเป็น กฎหมายได้นั้นก็ต้องมีการบังคับลงโทษผู้ที่ไม่ทําตามคําสั่งหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งเขา ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “คําสั่งใด ๆ ของผู้มีอํานาจนั้นจะเป็นกฎหมายหรือไม่ ต้องพิจารณา จากประเด็นในเรื่องที่ว่า ถ้ามีคนใดคนหนึ่งไม่ปฏิบัติตามกฎหมายนั้นสามารถลงโทษได้หรือไม่ ถ้าลงโทษได้ คําสั่งนั้นก็คือกฎหมาย”

84. ข้อใดต่อไปนี้คือผลงานชิ้นสําคัญของ Robert Nozick
(1) Two Treatises of Government
(2) On Liberty
(3) Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men
(4) Politics
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

85. ตามความคิดของ Thomas Hobbes หากผู้ปกครองไม่ลงโทษอาชญากรตามกฎหมายอาจนําไปสู่สภาวะใดมากที่สุด
(1) สันติภาพที่ถาวร
(2) สภาวะต่างคนต่างอยู่
(3) การฆ่าฟันกันจนตายโหง
(4) กฎหมายสลายตัวไป
(5) ความรักใคร่สามัคคีกัน
ตอบ 3 หน้า 59, (คําบรรยาย) ตามความคิดของโทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) หากองค์อธิปัตย์ หรือผู้ปกครองไม่ลงโทษอาชญากรตามกฎหมายอาจนําไปสู่สภาวะธรรมชาติก่อนที่มนุษย์จะ เข้ามาอยู่ในรัฐ นั่นก็คือ การที่มนุษย์สามารถจะทําอะไรก็ได้ตามที่เขาอยากจะทํา สุดท้ายก็จะเกิดความวุ่นวายและนําไปสู่สภาวะสงครามที่ต่างฝ่ายต่างฆ่าฟันกันจนตายโหง

86. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับ “ไครโต” (Crito)
(1) พยายามหว่านล้อมให้โสเครตีสหนีออกจากคุกภายหลังโดนสั่งประหารชีวิต
(2) ผู้สั่งประหารชีวิตโสเครตีส
(3) บิดาของโสเครตีส
(4) ญาติที่ให้การเลี้ยงดูโสเครตีส
(5) ผู้ที่ขัดขวางการหนีออกจากคุกของโสเครตีส
ตอบ 1 หน้า 61 – 62, (คําบรรยาย) ไครโต (Crito) เป็นบทสนทนาที่เขียนขึ้นในยุคกรีกโบราณ โดยเพลโต (Plato) ซึ่งเป็นส่วนที่จะนํามาอธิบายในประเด็นที่ว่า “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว” โดยเนื้อหาในงานเขียนเป็นบทสนทนา ตอนที่โสเตรตีสกําลังรอประหารชีวิตอยู่ ซึ่งในเวลานั้นไครโตผู้เป็นเพื่อนสนิทได้พยายาม หว่านล้อมให้โสเครตีสหนีออกจากคุกแต่เขาไม่ยอมหนี โดยโสเครตีสได้ให้เหตุผลว่าทําไม เราต้องเชื่อฟังรัฐ และเชื่อฟังกฎหมายที่ออกโดยรัฐไว้ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่ การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่าบรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือ ท่านควรแสดงความเคารพนับถือประเทศและถ่อมตนยิ่งกว่าที่แสดงต่อบิดามารดา ยามเมื่อ รัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ ท่านก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้นจะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอม ทนทุกข์ทรมานตามคําสั่งอย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะให้ท่านถูกเฆี่ยนตี ถูกจําคุก หรือถูกสั่ง ให้ไปสงคราม เพื่อที่จะได้รับบาดเจ็บหรือถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้องทําตามเจตนารมณ์นั้น ของประเทศ นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง….”

87. ประโยคที่ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่า บรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือ…” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) ไครโต
(2) เพลโต
(3) โสเครตีส
(4) อริสโตเติล
(5) นักบุญพอล
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 86. ประกอบ

88. ประโยคที่ว่า “ ประเทศของท่านมีค่าควรแก่การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่า บรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือ…” ผู้พูดต้องการสื่อความหมายอย่างไร
(1) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะถ้าไม่เชื่อฟังกฎหมายเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4)เราต้องเชื่อฟังกฎหมายตราบที่มันไม่ขัดกับที่เราได้ตกลงกับรัฐเอาไว้แล้ว
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 86. ประกอบ

89. ผู้ใดต่อไปนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหมอสอนศาสนาคนแรกในประวัติศาสตร์ของคริสเตียน
(1) Saint Paul’
(2) Saint Peter
(3) Saint Philip
(4) Saint Matthews
(5) Saint Thomas
ตอบ 1 หน้า 67 เปาโลหรือนักบุญพอล (Saint Paul) ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของพระเยซูสิบสองคนโดยตรง เหมือนกับนักบุญปีเตอร์ แต่ตามตํานานกล่าวว่าหลังพระเยซูเสียชีวิตที่กางเขนแล้ว พระเยซู ได้มาปรากฏให้เปาโลเห็นเพื่อเลือกเปาโลให้มารับใช้พระองค์ จึงทําให้เปาโลซึ่งเป็นผิวที่คอยข่มเหงพวกคริสเตียนอยู่ตลอดเวลา กลับใจหันมาอุทิศชีวิตป่าวประกาศเรื่องราวของพระเยซู จนได้ชื่อว่าเป็นผู้วางรากฐานให้กับศาสนาคริสต์ที่สําคัญคนหนึ่ง หรือกล่าวง่าย ๆ ก็คือ เปาโล คือหมอสอนศาสนาคนแรกในประวัติศาสตร์ของคริสเตียน

90. คําว่า Explicit Consent มีความหมายว่าอย่างไร
(1) การตกลงแบบเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ
(2) การตกลงโดยปริยายว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ
(3) การปฏิเสธการปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐแบบเป็นลายลักษณ์อักษร
(4) การปฏิเสธการปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐโดยปริยาย
(5) การไม่ใช้ประโยชน์จากสิ่งของสาธารณะของรัฐเพื่อเลี่ยงกฎหมาย
ตอบ 1 หน้า 63 – 64 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้อธิบายในเรื่องการเชื่อฟังกฎหมายว่า การที่ พลเมืองเชื่อฟังกฎหมายและยอมปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐก็เนื่องจากเขาได้ตกลงทําสัญญาที่จะอยู่ร่วมกันภายใต้รัฐ โดยหวังว่ารัฐจะช่วยปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของผู้เข้าทําสัญญาตลอดจนทําหน้าที่ไกล่เกลี่ยเมื่อมีข้อพิพาทระหว่างกัน ซึ่งตามความคิดของล็อคนั้นการตกลง ทําสัญญามี 2 ลักษณะ คือ
1. การตกลงแบบชัดแจ้ง (Express Consent/Explicit Consent) เป็นการตกลงแบบเป็นลายลักษณ์อักษรที่จะเข้ามาอยู่ในรัฐและปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ
2. การตกลงแบบปริยาย (Tacit Consent) เป็นการตกลงที่ผู้ตกลงได้มาใช้ประโยชน์จาก รัฐหนึ่ง ๆ เช่น ใช้ทางหลวง ใช้สิ่งของสาธารณะ หรือได้ประโยชน์จากการที่เข้ามาอยู่ภายในรัฐ จึงทําให้คน ๆ นั้นมีพันธะที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐนั้น ๆ โดยปริยาย

91. ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ ใครเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมนุษย์ตั้งแต่เศษหินดินทราย ไปจนกระทั่งถึงตัวมนุษย์
(1) พระเยซู
(2) โมเสส
(3) โนอาห์
(4) พระยะโฮวา
(5) ไม่มีผู้ใดสร้าง สรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ
ตอบ 4 หน้า 66 – 67, (คําบรรยาย) ความเชื่อหรือความคิดในทางศาสนาคริสต์ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ไบเบิ้ล (Bible) โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่า พระเจ้า (พระยะโฮวา) เป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง สร้างโลก สร้างมนุษย์ สร้างแม้แต่เศษหินดินทราย ดังนั้นเอง กฎหมาย สังคม และรัฐของมนุษย์ ก็เกิดขึ้นตามพระประสงค์ของพระเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งวิธีคิดนี้ได้กลายเป็นรากฐานให้กับคริสเตียน ที่คิดว่ากฎหมายเป็นสิ่งที่มาจากพระเจ้า ดังนั้นเราจึงต้องเชื่อฟังกฎหมาย

92. หากต้องการศึกษาความคิดของศาสนาคริสต์ ต้องศึกษาจากเอกสารชิ้นใด
(1) Quran
(2) Avesta
(3) Rigveda
(4) Nihongi
(5) Bible
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 91. ประกอบ

93. แนวคิดที่เสนอว่า “ประชาชนมีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังรัฐบาลหรือกฎหมายได้ถ้าไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ประชาชนให้ไว้…” เป็นแนวคิดของใคร
(1) จอห์น ล็อค
(2) โรเบิร์ต ฟิลเมอร์
(3) จอห์น ออสติน
(4) ซิเซโร
(5) แมคคิอาเวลลี
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 66. ประกอบ

94. การที่ซาอูล (Saul) ในฐานะกษัตริย์ที่ชั่วร้ายแต่กลับไม่ถูกฆ่า สอดคล้องกับข้อใดมากที่สุด
(1) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะถ้าไม่เชื่อฟังกฎหมายเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราต้องเชื่อฟังกฎหมายตราบที่มันไม่ขัดกับที่เราได้ตกลงกับรัฐเอาไว้แล้ว
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 3. หน้า 66, 68 – 69 ตัวอย่างหนึ่งที่ถูกนํามาอธิบายในประเด็นเรื่อง “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า” ก็คือ กรณีของซาอูล (Saul) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้าย แต่กลับไม่ถูกดาวิด (David) ฆ่าแม้จะพยายามฆ่าดาวิดอยู่หลายหน โดยสาเหตุที่ดาวิดตัดสินใจ ไม่ฆ่ากษัตริย์ซาอูลเพราะมองว่ากษัตริย์ซาอูลคือคนที่พระเจ้าตั้งใจให้เป็นผู้ปกครองจากการ ร้องขอของพวกยิว คนที่จะเอาชีวิตของกษัตริย์ซาอูลได้มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น มนุษย์ไม่มีสิทธิจะไปล้มล้างผู้ปกครองแม้จะชั่วร้ายแค่ไหนก็ตาม

95. หากท่านได้อ่านถึงบทบาทของแอนธิกอน (Antigone) ในการฝังศพโพลินีซิส (Polyneices) แล้ว ท่านเห็นด้วยกับแอนธิกอน แปลว่าท่านเห็นด้วยกับตัวเลือกในข้อใด
(1) กฎของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่ากฎของมนุษย์
(2) กฎของมนุษย์ยิ่งใหญ่กว่ากฎของพระเจ้า
(3) กฎของพระเจ้าสําคัญเทียบเท่ากับกฎของมนุษย์
(4) กฎของพระเจ้าหรือมนุษย์สําคัญน้อยกว่าเสรีภาพส่วนบุคคล
(5) กฎของพระเจ้าสําคัญน้อยกว่าหลักการทางวิทยาศาสตร์
ตอบ 1 หน้า 71 – 72 กรณีของแอนธิกอน (Antigone) นั้น เธอได้ละเมิดคําสั่งของกษัตริย์คลื่อน (Creon) ที่ห้ามฝังศพของโพลินีซิส (Polyneices) ซึ่งเป็นกบฏ โดยเธอเห็นว่ามันเป็นเรื่อง ประหลาดและฝืนมโนธรรมอย่างมากที่จะไม่ฝังศพญาติสนิทของตนเอง ซึ่งการกระทําของ แอนธิกอนนั้นมีลักษณะคล้ายกับแนวคิดของคริสเตียนที่ว่า ถ้ากฎหมายที่กําหนดโดยมนุษย์ สั่งให้ทําสิ่งที่ขัดต่อพระเจ้า มนุษย์ก็ไม่จําเป็นที่จะต้องเชื่อฟัง เพราะกฎของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่า กฎของมนุษย์

96. ใครคือผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง “แพทริอาคา หรือว่าด้วยอํานาจตามธรรมชาติของกษัตริย์
(1) อริสโตเติล
(2) จอห์น รอลส์
(3) จอห์น ล็อค
(4) แมคคิอาเวลลี
(5) โรเบิร์ต ฟิลเมอร์
ตอบ 5 หน้า 70 โรเบิร์ต ฟิลเมอร์ (Sir Robert Filmer) เป็นผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง “แพทริอาคา หรือว่าด้วยอํานาจตามธรรมชาติของกษัตริย์” (Patriarcha or the Natural Power of Kings) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1680 โดยในหนังสือเล่มนี้เขาพยายามที่จะชี้ให้เห็นว่า การปกครองของ กษัตริย์ในลักษณะพ่อปกครองลูก คือการปกครองที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด และการปกครอง แบบนี้เป็นการปกครองที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้ตั้งแต่สร้างโลก โดยเขาได้อ้างเหตุผลมาจาก คัมภีร์ปฐมกาล (Geresis) ในไบเบิ้ล

97. ใครคือผู้ที่เปรียบเปรยว่า “รัฐบาลมีฐานะเป็นคนรับใช้ของประชาชน”
(1) จอห์น ล็อค
(2) จอห์น รอลส์
(3) ฌอง ฌากส์ รุสโซ
(4) จอห์น ออสติน
(5) แมคคิอาเวลลี
ตอบ 3 หน้า 76 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เห็นว่า รัฐบาลมีฐานะเป็นแค่ คนรับใช้ของประชาชนและประชาชนนั้นเป็นเจ้านายของรัฐบาล แม้ตําแหน่งของรัฐบาลจะเรียกว่า “เจ้าผู้ปกครอง” (Prince) แต่รัฐบาลก็ไม่ มีสิทธิออกกฎหมายใด ๆ ตามความต้องการของตนเอง รัฐบาลเป็นแค่หน่วยงานในการที่จะกระทําการตามเจตจํานงของกฎหมายที่ประชาชนเป็นผู้ออกอํานาจที่รัฐบาลใช้ก็เป็นอํานาจที่ประชาชนฝากไว้ ซึ่งอาจจะถูกจํากัด ปรับเปลี่ยน หรือเอาคืนเมื่อไรก็ได้หากประชาชนพอใจ

98. คําประกาศเอกราชของโทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) ได้อิทธิพลทางความคิดมาจากนักคิด
ของประเทศใด
(1) สหรัฐอเมริกา
(2) ออสเตรีย-ฮังการี
(3) ฝรั่งเศส
(4) ปรัสเซีย
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 77 โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) หนึ่งในบรรดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา (American Founding Fathers) ได้นําแนวคิดสิทธิแห่งการปฏิวัติของจอห์น ล็อค (John Locke) นักคิดชาวอังกฤษ มาใช้ในการประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1776

99. เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) เห็นด้วยกับสงครามในข้อใด
(1) World War I (1914 – 1919)
(2) World War II (1939 – 1945)
(3) Mexican-American War (1846 – 1848)
(4) Cayuse War (1847 – 1855)
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 หน้า 80 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ไม่เห็นด้วยกับ “สงครามเม็กซิกัน- อเมริกัน” (Mexican-American War : 1846 – 1848) ที่อเมริกาไปรบกับเม็กซิโกเพื่อผนวก ดินแดนเท็กซัส เพราะมันเป็นการเพิ่มรัฐที่มีทาสให้กับอเมริกา โดยธอโรมีความเห็นว่าการมี ทาสนั้นเป็นสิ่งชั่วช้าและในอเมริกาก็ไม่ควรที่จะยอมให้เกิดขึ้นมากไปกว่าที่เป็นอยู่อีกต่อไปดังนั้นธอโรจึงปฏิเสธการจ่ายภาษีให้กับรัฐ เพราะการจ่ายภาษีให้กับรัฐก็หมายความว่า รัฐจะนําเงินไปใช้จ่ายในสงครามที่ทํากับเม็กซิโก

100. เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) เสนอแนวคิดใด
(1) การเรียกร้องให้สร้างโรงพยาบาล
(2) การส่งเสริมอารยะขัดขืน
(3) การต่อต้านการเหยียดผิว
(4) การหนีภาษีและการหนีคดีออกนอกประเทศ
(5) การบริจาคเงินให้กับรัฐบาลโดยระบุวัตถุประสงค์
ตอบ 2 หน้า 80 – 82 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ได้เสนอแนวคิดอารยะขัดขืน ไว้ในบทความเรื่อง “Resistance to Civil Government” (การขัดขืนต่อรัฐบาลพลเรือน) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1849 โดยธอโรพยายามชี้ให้เห็นว่าบางครั้งกฎหมายอาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกับ ความยุติธรรมหรือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง กฎหมายเองอาจจะเป็นสิ่งที่ผิดก็ได้ ซึ่งธอโรเชื่อว่ามนุษย์นั้น มีสิ่งที่เรียกว่า “มโนธรรม” หรือ “จิตสํานึก” ดังนั้นถ้ากฎหมายใดที่พลเมืองมองว่ามันเป็น การขัดกับจิตสํานึกของตน พลเมืองไม่จําเป็นที่จะต้องเชื่อฟัง

POL2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น s/2564

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2564
ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2106 ปรัชญาการเมืองเบื้องต้น
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว

1. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับองค์รัฏฐาธิปัตย์
(1) ผู้ที่มีอํานาจสูงสุดในรัฐ
(2) เราสามารถเรียกว่าองค์อธิปัตย์ได้
(3) ผู้นําเผด็จการทหารเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์ไม่ได้
(4) ผู้ถือครองอํานาจอธิปไตย
(5) ประชาชนสามารถถือครองอํานาจสูงสุดในการปกครองประเทศได้
ตอบ 3 หน้า 57, (คําบรรยาย) องค์อธิปัตย์ หรือองค์รัฏฐาธิปัตย์ (Sovereign) หมายถึง ผู้ที่มีอํานาจ สูงสุดในการปกครองรัฐหรือสังคมการเมือง โดยคําว่าผู้มีอํานาจสูงสุดนี้หมายถึง คนที่เป็นเจ้าของ อํานาจอธิปไตย ซึ่งอาจจะหมายถึง ประชาชนทุกคน รัฐบาล ผู้นําเผด็จการทหาร หรือใครก็ได้ ที่เป็นเจ้าของและเป็นผู้ใช้อํานาจดังกล่าว

2. “คุณธรรมของผู้ปกครอง (Virtue) หมายถึง คุณสมบัติบางประการที่เหมาะสมสําหรับผู้ปกครองที่จะ รักษารัฐไว้ได้” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 4 หน้า 128, 130 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) กล่าวว่า ผู้ปกครองที่ดีคือผู้ปกครองที่สามารถรักษารัฐ รักษาอํานาจ หรือคงสถานะในการเป็นผู้ปกครองไว้ได้ ดังนั้นผู้ปกครองตามความคิดของ แมคคิอาเวลลีจึงเป็นใครก็ได้ แต่ขอให้รักษารัฐหรือรักษาอํานาจไว้ได้ก็พอ ซึ่งผู้ปกครอง ที่จะสามารถรักษารัฐไว้ได้ก็คือ ผู้ปกครองที่มีคุณธรรม (Virtue) โดยคุณธรรมของผู้ปกครอง ตามความหมายของแมคคิอาเวลลีนั้น หมายถึง คุณสมบัติบางประการที่เหมาะสมสําหรับ ผู้ปกครองที่จะรักษารัฐไว้ใต้

3.Montesquieu มีความเห็นว่า อํานาจไม่ควรอยู่ในมือใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น จะเป็นการปกครองแบบทรราช
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 1 (คําบรรยาย) มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) มีความเห็นว่า อํานาจไม่ควรอยู่ในมือใคร คนใดคนหนึ่งเท่านั้น เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจะเป็นการปกครองแบบทรราช (Tyranny)

4. บุคคลผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งแนวคิดอนุรักษนิยมสมัยใหม่
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 3 หน้า 124, 155 เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) บิดาแห่งแนวคิดอนุรักษนิยมสมัยใหม่ กล่าวว่า “เสรีภาพในสภาวะธรรมชาติเป็นเสรีภาพที่ไม่มีคุณค่า และไม่สามารถนํามาใช้อ้างอิงได้ เพราะเสรีภาพดังกล่าวเป็นเสรีภาพที่มนุษย์นั้นอยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่รวมกับคนอื่น ๆ ซึ่งเสรีภาพ แบบนี้ไม่ต่างอะไรกับเสรีภาพของคนบ้า หรือของโจรปล้นทรัพย์ หรือของฆาตกรที่หนีออกมาจากกรงขังได้”

5. “เราลองนึกถึงในแง่ดีที่สุดแล้วก็ตาม เราก็จะพบว่า มันเป็นการปกครองแบบที่ให้คนซึ่งไม่มีประสบการณ์เลย มาตัดสินเรื่องราวที่ต้องใช้ประสบการณ์ เอาคนที่ไม่รู้มานั่งตัดสินเรื่องที่ต้องใช้ความรู้ ความไม่รู้ที่ว่านี้หมายถึง ขนาดที่ว่าแม้ไม่รู้ก็ไม่ใส่ใจในสิ่งที่ไม่รู้เพื่อที่จะให้รู้ นอกจากจะไม่ใส่ใจแล้ว ประชาชนมักขาดความระมัดระวัง และยังโอหังทะนงตัวอีกด้วย” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 1 หน้า 118 – 119 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดที่ชื่นชมยกย่องและนิยม ให้ประชาชนมีอํานาจในการปกครองตนเอง แต่ก็ไม่เห็นด้วยถ้าจะให้ประชาชนทุกคนมาเป็น คนออกกฎหมายหรือทําอะไรด้วยตนเอง โดยมิลล์ได้ให้เหตุผลไว้ว่า “เราลองนึกถึงในแง่ดีที่สุด แล้วก็ตาม เราก็จะพบว่า มันเป็นการปกครองแบบที่ให้คนซึ่งไม่มีประสบการณ์เลยมาตัดสิน เรื่องราวที่ต้องใช้ประสบการณ์ เอาคนที่ไม่รู้มานั่งตัดสินเรื่องที่ต้องใช้ความรู้ ความไม่รู้ที่ว่านี้ หมายถึงขนาดที่ว่าแม้ไม่รู้ก็ไม่ใส่ใจในสิ่งที่ไม่รู้เพื่อที่จะให้รู้ นอกจากจะไม่ใส่ใจแล้ว ประชาชน มักขาดความระมัดระวังและยังโอหังทะนงตัวอีกด้วย”

6.มีดปอกผลไม้ก็มีไว้ปอกผลไม้ มีดปอกสายไฟก็มีไว้ปอกสายไฟ
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 4 หน้า 25 – 28 อริสโตเติล (Aristotle) ได้อธิบายธรรมชาติของสิ่งต่าง ๆ โดยใช้วิธีการที่เรียกว่า Teleology หรือการอธิบายว่าของทุกสิ่งนั้นมีจุดมุ่งหมายปลายทางที่มันจะต้องคลี่คลายไปเสมอ โดยจุดมุ่งหมายปลายทางของสิ่งต่าง ๆ นั้น อริสโตเติลเรียกว่า “เทลอส” (Telos) ซึ่งเป็นคํา ภาษากรีก แปลว่า “จุดมุ่งหมายปลายทาง” “จุดมุ่งหมาย” “เป้าประสงค์” “จุดประสงค์ (Final Cause/End/Purpose/Goal) เช่น มีดปอกผลไม้จุดมุ่งหมายปลายทางหรือ Telos ก็คือ การปอกผลไม้ มีดปอกสายไฟจุดมุ่งหมายปลายทางหรือ Telos ก็คือ การปอกสายไฟ เป็นต้น

7. นักคิดชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 17 ที่คิดว่า รัฐช่วยปกป้องรักษาทรัพย์สิน ชีวิต และตัดสินข้อพิพาทต่าง ๆ
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 3 หน้า 39 จอห์น ล็อค (John Locke) เป็นนักคิดชาวอังกฤษ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 17 (ค.ศ. 1632 – 1704) เขาได้เสนอแนวคิดไว้ในหนังสือเรื่อง “Two Treatises of Government” (ตําราสองเล่มว่าด้วยการปกครอง) ว่า รัฐเกิดขึ้นมาเพื่อช่วยปกป้องรักษาทรัพย์สิน ชีวิต และ ตัดสินข้อพิพาทต่าง ๆ

8.แนวคิดที่เสนอว่า “ประชาชนมีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังรัฐบาลหรือกฎหมายได้ถ้าไม่เป็นไปตามเจตจํานง ที่ประชาชนให้ไว้” เป็นแนวคิดของใคร
(1) John Locke
(2) John Rawls
(3) Jean Jacques Rousseau
(4) John Austin
(5) Niccolo Machiavelli
ตอบ 1 หน้า 73 – 75 จอห์น ล็อค (John Locke) กล่าวว่า พลเมืองต้องเชื่อฟังกฎหมายเฉพาะเรื่อง ที่ได้ตกลงกับรัฐไว้เท่านั้น นอกเหนือจากนั้นไม่ต้องเชื่อฟัง และเมื่อใดก็ตามที่รัฐบาลทําหน้าที่ บกพร่องหรือไม่เป็นไปตามเจตจํานงที่ประชาชนให้ไว้ ประชาชนก็มีสิทธิที่จะไม่เชื่อฟังกฎหมาย หรือรัฐบาล และสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ ซึ่งสิทธิดังกล่าวนี้เรียกว่า “สิทธิแห่งการปฏิวัติ” (Right of Revolution)

9.นักคิดคนใดใช้ตัวอย่างของนักกีฬามาเป็นเครื่องมือในการอธิบายเกี่ยวกับหลักความยุติธรรมในการกระจาย
ทรัพยากร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 2 หน้า 187 – 191 โรเบิร์ต โนซิค (Rebert Nozick) นักคิดชาวอเมริกัน ได้อธิบายเกี่ยวกับ หลักความยุติธรรมในการกระจายทรัพยากรไว้ในหนังสือเรื่อง “Anarchy, State and Utopia” โดยได้กล่าวถึง “หลักความยุติธรรมในการครอบครองตั้งต้น” (Principle of Justice in Entitlement) ซึ่งเป็นหลักการที่เสนอว่า ถ้าทรัพยากรที่คน ๆ หนึ่งใช้ในการหา รายได้มาตั้งแต่ต้นนั้นเป็นสิ่งที่ชอบธรรม สิ่งที่หามาได้โดยทรัพยากรนั้นก็ถือว่าชอบธรรมไปด้วย ซึ่งคําว่าชอบธรรมนี้มีความหมายในลักษณะที่ว่า คน ๆ นั้นใช้ร่างกายของตน แรงงานของตน สติปัญญาของตน หรือทรัพย์สินของตนเพื่อที่จะได้รายได้หรือสิ่งของต่าง ๆ มา และถ้าการหา รายได้นั้น ๆ เป็นไปอย่างชอบธรรมตั้งแต่ต้น ทรัพย์สินหรือรายได้ที่ได้มานั้นก็จะเป็นสิ่งที่ ชอบธรรมไปด้วย นั่นก็หมายความว่าคนอื่นก็ไม่มีสิทธิที่จะแย่งชิงทรัพย์สินหรือรายได้เหล่านั้นโดยเขาได้ยกตัวอย่างของนักกีฬามาเป็นเครื่องมือในการอธิบาย

10. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับ “ไครโต” (Crito)
(1) พยายามหว่านล้อมให้โสเครตีสหนีออกจากคุกภายหลังโดนสั่งประหารชีวิต
(2) ผู้สั่งประหารชีวิตโสเครตีส
(3) บิดาของโสเครตีส
(4) ญาติที่ให้การเลี้ยงดูโสเครตีส
(5) ผู้ที่ขัดขวางการหนีออกจากคุกของโสเครตีส
ตอบ 1 หน้า 61 – 62, (คําบรรยาย) ไครโต (Crito) เป็นบทสนทนาที่เขียนขึ้นในยุคกรีกโบราณ โดยเพลโต (Plato) ซึ่งเป็นส่วนที่จะนํามาอธิบายในประเด็นที่ว่า “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว” โดยเนื้อหาในงานเขียนเป็นบทสนทนา ตอนที่โสเตรตีสกําลังรอประหารชีวิตอยู่ ซึ่งในเวลานั้นใครโตผู้เป็นเพื่อนสนิทได้พยายาม หว่านล้อมให้โสเครตีสหนีออกจากคุกแต่เขาไม่ยอมหนี โดยโสเครตีสได้ให้เหตุผลว่าทําไม เราต้องเชื่อฟังรัฐ และเชื่อฟังกฎหมายที่ออกโดยรัฐไว้ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่ การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่าบรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือท่านควรแสดงความเคารพนับถือประเทศและถ่อมตนยิ่งกว่าที่แสดงต่อบิดามารดา ยามเมื่อ รัฐทําให้ท่านไม่พอใจ ทางเลือกของท่านก็คือ ควรชักจูงให้คนในรัฐเห็นด้วยกับท่าน หรือไม่ ท่านก็ต้องทําตามคําสั่งของรัฐ ซึ่งไม่ว่าคําสั่งนั้นจะให้ท่านทนทุกข์ทรมานท่านก็ต้องยอม ทนทุกข์ทรมานตามคําสั่งอย่างไม่ปริปากบ่น รัฐจะให้ท่านถูกเฆี่ยนตี ถูกจําคุก หรือถูกสั่ง ให้ไปสงคราม เพื่อที่จะได้รับบาดเจ็บหรือถูกฆ่าโดยศัตรู ท่านก็ต้องทําตามเจตนารมณ์นั้น ของประเทศ นี่คือสิ่งที่ถูกต้อง….”

11.Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men เป็นงานเขียนของ Thomas Hobbes
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 45, 94 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) มีผลงานที่สําคัญ ได้แก่ 1. หนังสือเรื่อง “ความเรียงว่าด้วยต้นกําเนิดและรากฐานแห่งความไม่เสมอภาคของ มวลมนุษยชาติ” (Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men) หรือบางครั้งก็เรียกงานชิ้นนี้ว่า “ความเรียงชิ้นที่ 2 ของรุสโซ” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1755 2. หนังสือเรื่อง “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1762

12. การปกครองที่ชอบธรรมและเป็นไปได้มากที่สุดสําหรับ John Stuart Mill คือ การปกครองที่ให้ประชาชน
เป็นผู้ปกครองด้วยตนเอง
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 116 – 120 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดที่ชื่นชมยกย่องและนิยม ให้ประชาชนมีอํานาจในการปกครองตนเอง แต่เขาก็ไม่เห็นด้วยถ้าจะให้ประชาชนทุกคนมาเป็น คนออกกฎหมายหรือทําอะไรด้วยตนเองเพราะมองว่าการที่ประชาชนจะเข้าไปมีส่วนร่วมใน ทุก ๆ เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะรัฐสมัยใหม่มีปัญหาที่สลับซับซ้อนหรือต้องใช้ความรู้ มากมายในการไตร่ตรองและตัดสินใจกว่าจะกําหนดนโยบายได้ ดังนั้นเขาจึงเสนอรูปแบบ การปกครองโดยผู้แทน (Representative Government) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ประชาธิปไตย แบบตัวแทน” (Representative Democracy) เพราะมองว่าการปกครองโดยผู้แทนที่มาจาก ประชาชนนั้นคือการปกครองที่ชอบธรรมและเหมาะสมที่สุดสําหรับรัฐสมัยใหม่

13. อํานาจอยู่ในมือคน ๆ เดียว (The One) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy
ตอบ 3 หน้า 104 – 105 อริสโตเติล (Aristotle) ได้แบ่งรูปแบบการปกครองออกเป็น 6 รูปแบบ ดังนี้

14. อํานาจอยู่ในมือมหาชนทั้งหมด (The Many) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(5) Aristocracy
(4) Tyranny
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

15. “การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อมปรารถนาจะเป็นทั้ง ผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก” เป็นคํากล่าวของนักคิดคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 4 หน้า 130 – 131 นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) เสนอว่า ผู้ปกครองควรทํา ตนเองให้เป็นที่หวาดกลัวมากกว่าเป็นที่รัก ถ้าในกรณีที่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังที่เขา กล่าวว่า “การเป็นที่รักนั้นดีกว่าการเป็นที่หวาดกลัว หรือว่ากลับกันเราอาจจะตอบว่า เราย่อม ปรารถนาจะเป็นทั้งผู้ที่คนหวาดกลัวและเป็นผู้ที่คนอื่นรัก แต่เนื่องจากยากที่จะผสมคุณสมบัติ เหล่านี้เข้าด้วยกัน ถ้าอันใดอันหนึ่งในสองอันนี้จะต้องขาดไป การเป็นที่หวาดกลัวจึงเป็นการ ปลอดภัยมากกว่าการเป็นที่รัก…”

16.“ตําราสองเล่มว่าด้วยการปกครอง” นักคิดชาวอังกฤษคนใดเป็นคนเขียนขึ้น
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 7. ประกอบ

17. มนุษย์จะบรรลุความประเสริฐได้จะต้องอยู่ในสังคมการเมืองเท่านั้น
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 1 หน้า 25, 29, (คําบรรยาย) อริสโตเติล (Aristotle) ได้อธิบายไว้ในหนังสือเรื่อง “Politics” ว่า รัฐหรือสังคมการเมืองเป็นสิ่งที่เป็นไปโดยธรรมชาติ และไม่ว่าอย่างไรมนุษย์ก็ต้องอยู่ในรัฐเพราะการอยู่ในรัฐนั้นเป็นทางเดียวที่จะทําให้มนุษย์มีชีวิตที่ดีและสามารถบรรลุความประเสริฐหรือความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ได้

18. นักคิดคนใดเป็นผู้ต่อต้าน Laissez-faire หรือ “หลักการมือใครยาวสาวได้สาวเอา” มากที่สุด
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 1 หน้า 170 – 173 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) เป็นนักคิดที่ต่อต้านระบบทุนนิยม (Capitalism) ที่มีการกระจายทรัพย์สินหรือทรัพยากรอย่างเสรี หรือระบบ “มือใครยาวสาวได้สาวเอา (Laissez-faire) เป็นอย่างมาก เพราะมองว่าในระบบดังกล่าวทําให้ชีวิตของผู้ใช้แรงงานหรือ กรรมาชีพมีสภาพชีวิตที่ย่ําแย่มากเพราะการถูกขูดรีดค่าแรง และในทางด้านจิตใจผู้ใช้แรงงานก็ยังถูกทําให้แปลกแยกจากตนเองและไม่ได้มีความภาคภูมิใจต่อสิ่งที่ตนเองได้ผลิตขึ้นมาเลย

19. วิธีคิดของนักคิดคนใดได้กลายเป็นรากฐานของอุดมการณ์ Communism
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 1 หน้า 174 – 176, (คําบรรยาย) วิธีคิดของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ได้กลายมาเป็นรากฐานของอุดมการณ์สังคมนิยม (Socialism) หรือคอมมิวนิสต์ (Communism) โดยเฉพาะ ในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ (The Communist Manifesto) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1848 ที่มาร์กซ์ได้เรียกร้องให้ชนชั้นกรรมาชีพปฏิวัติโค่นล้มระบบทุนนิยม โดยการเข้ายึดครอง ปัจจัยการผลิตและสถาปนารัฐสังคมนิยมที่เป็นรัฐของชนชั้นกรรมาชีพขึ้นมา เพื่อปรับเปลี่ยน ความสัมพันธ์ทางการผลิตของชนชั้นนายทุนให้กลายมาเป็นของชนชั้นกรรมาชีพ

20. เป็นรากศัพท์ของคําว่าการเมือง
(1) Philosophia Perennis
(2) Logic
(3) Polis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 3 หน้า 6, (คําบรรยาย) การเมือง (Politics) มีรากศัพท์มาจากคําในภาษากรีกคือ “Politika” ซึ่งหมายถึง เรื่องราวหรือกิจการของ Polis (Affairs of the Cities) สําหรับพวกกรีกเอง คําว่าการเมืองนั้นเป็นคําที่ใช้สื่อความหมายสะท้อนถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับส่วนรวม เรื่องนั้นก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ทุกคนที่อยู่ใน Polis ด้วย ด้วยเหตุนี้คําว่าการเมืองจึงเป็นเรื่องราวที่หมายถึงส่วนรวม คนทุกคน เรื่องสาธารณะ อันจะตรงกันข้ามกับเรื่องส่วนตัว ผลประโยชน์เฉพาะ หรือในความหมาย ที่กว้างที่สุด การเมืองหมายถึง กิจกรรมหรือวิถีแห่งการอยู่ร่วมกันของมนุษย์

21. นักคิดสกุลสัญญาประชาคมคนใดที่อธิบายว่าการทําสัญญายอมยกอํานาจให้แล้วเอาคืนไม่ได้ ตลอดจนอธิบายว่าองค์อธิปัตย์ต้องมีอํานาจสูงสุด
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 หน้า 30 – 32, 36 – 38, 58, 60 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) เป็นนักคิดสกุลสัญญา ประชาคมชาวอังกฤษ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1588 – 1679 เขาได้เขียนหนังสือเรื่อง “Leviathan” โดยกล่าวถึงสภาวะธรรมชาติของมนุษย์ว่าเป็นสภาวะเดียวกันกับสภาวะสงคราม (State of War) มนุษย์ทุกคนจะเป็นศัตรูต่อกัน ทุกคนพร้อมที่จะทําร้ายซึ่งกันและกันโดยไม่เกี่ยง วิธีการ สภาวะดังกล่าวเป็นสภาวะที่มนุษย์อยู่อย่างไม่มีความปลอดภัยใด ๆ ทั้งสิ้น มนุษย์กลัว การตายโหง (Fear of Violent Death) ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว ลําเค็ญ น่ารังเกียจ ป่าเถื่อน และอายุสั้น (Solitary, poor, nasty, brutish and short) ซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่น่าพึงปรารถนา ด้วยเหตุดังกล่าวจึงทําให้เกิดรัฐ และมนุษย์ต้องมาอยู่รวมกันในรัฐและตกลงทําสัญญายอมยกอํานาจที่ตนเองมีทั้งหมดให้องค์อธิปัตย์หรือผู้ปกครองมีอํานาจเด็ดขาดสูงสุดเพื่อที่จะไม่ต้องอยู่ในสภาวะสงครามอีก ซึ่งการมอบอํานาจให้องค์อธิปัตย์ดังกล่าวเป็นการมอบแล้วมอบเลยไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม

22. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง
(1) Moralitas แปลว่า “พฤติกรรมอันเหมาะสม”
(2) Ethics ก็มาจากภาษากรีกคําว่า “Ethos” ที่แปลว่า “นิสัย”
(3) Ethics เป็นสาขาย่อยสาขาหนึ่งของ Philosophy
(4) Moralitas มีความหมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับความสวยงาม
(5) Aesthetics เป็นส่วนหนึ่งของ Philosophy
ตอบ 4 หน้า 3 คําว่า ศีลธรรม (Morality) มาจากภาษาละตินคําว่า “Moralitas” ซึ่งแปลว่า “พฤติกรรมอันเหมาะสม” (Proper Behavior)

23. ประโยคที่ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่า บรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือ…” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) ไครโต
(2) เพลโต
(3) โสเครตีส
(4) อริสโตเติล
(5) นักบุญพอล
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 10. ประกอบ

24. เป็นนักคิดคนสําคัญคนหนึ่งใน Utilitarianism หรือแนวคิดประโยชน์นิยม
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 1 หน้า 116, (คําบรรยาย) จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดในสกุลประโยชน์นิยม (Utilitarianism) ซึ่งหลักการของประโยชน์นิยมนั้นมีหัวใจสําคัญอยู่ที่ “ความสุข” หรือ “ความรื่นรมย์” หรือ “อรรถประโยชน์” จากหลักการนี้ทําให้นักคิดสกุลประโยชน์นิยมยึดถือ หลักการพื้นฐานทางสังคมร่วมกันที่ว่า “การกระทําทุกอย่างต้องเป็นไปเพื่อหลักการความสุข ที่มากที่สุดของคนจํานวนมากที่สุด” (Greatest Happiness for the Greatest Numbers) หรือถือว่า “เวลาเราจะทําอะไรจะต้องคํานึงถึงอรรถประโยชน์สูงสุด” นั่นเอง

25. เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองแบบหนึ่ง
(1) Philosophia Perennis
(2) Logic
(3) Potis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ประชาธิปไตย (Democracy) เป็นอุดมการณ์ทางการเมืองรูปแบบหนึ่ง ซึ่งให้ความสําคัญกับสิทธิ (Right) เสรีภาพ (Liberty) และความเสมอภาค (Equality) ของ ประชาชน โดยเชื่อว่าสมาชิกของสังคมทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันที่จะเข้ามามีส่วนร่วมใน กิจกรรมทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เช่น การออกเสียงเลือกตั้ง การรวมกลุ่ม การพูดและแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ เป็นต้น

26. “สิ่งที่ดีทั้งหลายซึ่งธรรมชาติได้มอบให้กับส่วนรวม ที่ทุก ๆ คนมีสิทธิที่จะได้มากเท่าที่เขาสามารถจะใช้ได้ และการครอบครองทรัพย์สินทั้งหมดที่เขาสามารถสร้างมาด้วยแรงงานของเขา และด้วยความขยันขันแข็ง ที่จะขยายทรัพย์สินออกไป สิ่งต่าง ๆ ที่ถูกทําให้เปลี่ยนแปลงออกจากสภาพธรรมชาติและสิ่งที่ถูกเปลี่ยนนั้น ก็ตกเป็นของเขา” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawts
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 3 หน้า 164 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้กล่าวถึงหลักการครอบครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ไว้ว่า “สิ่งที่ดีทั้งหลายซึ่งธรรมชาติได้มอบให้กับส่วนรวม ที่ทุก ๆ คนมีสิทธิที่จะได้มากเท่าที่เขา สามารถจะใช้ได้ และการครอบครองทรัพย์สินทั้งหมดที่เขาสามารถสร้างมาด้วยแรงงานของเขา และด้วยความขยันขันแข็งที่จะขยายทรัพย์สินออกไป สิ่งต่าง ๆ ที่ถูกทําให้เปลี่ยนแปลงออกจาก สภาพธรรมชาติและสิ่งที่ถูกเปลี่ยนนั้นก็ตกเป็นของเขา ยกตัวอย่างเช่น บุคคลใด ๆ ออกไปเก็บ ผลต้นโอ๊คหรือแอปเปิ้ลมาหนึ่งร้อยบุชเชล สิ่งเหล่านี้ก็ตกเป็นของเขา มันตกเป็นกรรมสิทธิ์ ของเขาตั้งแต่เมื่อเขาเก็บมันมา….”

27. หากนักศึกษาได้อ่านถึงบทบาทของแอนธิกอน (Antigone) ในการฝังศพโพลินีซิส (Polyneices) แล้ว นักศึกษาเห็นด้วยกับแอนธิกอน แปลว่านักศึกษาเห็นด้วยกับตัวเลือกในข้อใด
(1) กฎของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่ากฎของมนุษย์
(2) กฎของมนุษย์ยิ่งใหญ่กว่ากฎของพระเจ้า
(3) กฎของพระเจ้าสําคัญเทียบเท่ากับกฎของมนุษย์
(4) กฎของพระเจ้าหรือมนุษย์สําคัญน้อยกว่าเสรีภาพส่วนบุคคล
(5) กฎของพระเจ้าสําคัญน้อยกว่าหลักการทางวิทยาศาสตร์
ตอบ 1 หน้า 71 – 72 กรณีของแอนธิกอน (Antigone) นั้น เธอได้ละเมิดคําสั่งของกษัตริย์คลื่อน (Creon) ที่ห้ามฝังศพของโพลินีซิส (Polyneices) ซึ่งเป็นกบฏ โดยเธอเห็นว่ามันเป็นเรื่อง ประหลาดและฝืนมโนธรรมอย่างมากที่จะไม่ฝังศพญาติสนิทของตนเอง ซึ่งการกระทําของ แอนธิกอนนั้นมีลักษณะคล้ายกับแนวคิดของคริสเตียนที่ว่า ถ้ากฎหมายที่กําหนดโดยมนุษย์ สั่งให้ทําสิ่งที่ขัดต่อพระเจ้า มนุษย์ก็ไม่จําเป็นที่จะต้องเชื่อฟัง เพราะกฎของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่า กฎของมนุษย์

28. อํานาจอยู่ในมือมหาชนทั้งหมด (The Many) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้ปกครอง
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

29. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับปรัชญาการเมือง
(1) สามารถเรียกสลับไปมากับคําว่า “รัฐศาสตร์” ได้
(2) เป็นการศึกษาที่พยายามปลอดจากอคติและทัศนคติ
(3) ไม่จัดว่าเป็นแนวทางการศึกษาแรกของการศึกษาการเมือง
(4) ใช้วิธีการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์
(5) Political Philosophy
ตอบ 5 หน้า 11, (คําบรรยาย) ปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) คือสาขาวิชาย่อยในรัฐศาสตร์ (Political Science) ถือเป็นแนวทางการศึกษาที่เก่าแก่ที่สุดสาขาหนึ่งของรัฐศาสตร์หรือเป็น แนวทางการศึกษาแรกของการศึกษาการเมือง และรูปแบบวิธีการศึกษานี้ก็ยังสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

30. ใครคือผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง “แพทริอาคา หรือว่าด้วยอํานาจตามธรรมชาติของกษัตริย์”
(1) Aristotle
(2) John Rawls
(3) John Locke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Robert Filmer
ตอบ 5 หน้า 70 โรเบิร์ต ฟิลเมอร์ (Sir Robert Filmer) เป็นผู้ประพันธ์หนังสือเรื่อง “แพทริอาคา หรือว่าด้วยอํานาจตามธรรมชาติของกษัตริย์” (Patriarcha or the Natural Power of Kings) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1680 โดยในหนังสือเล่มนี้เขาพยายามที่จะชี้ให้เห็นว่า การปกครองของ กษัตริย์ในลักษณะพ่อปกครองลูก คือการปกครองที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด และการปกครอง แบบนี้เป็นการปกครองที่พระเจ้าทรงแต่งตั้งไว้ตั้งแต่สร้างโลก โดยเขาได้อ้างเหตุผลมาจาก คัมภีร์ปฐมกาล (Genesis) ในไบเบิ้ล

31. “เวลาเราจะทําอะไรจะต้องคํานึงถึงอรรถประโยชน์สูงสุด” เป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 24. ประกอบ

32. นักคิดคนใดยึดถือหลักการที่ว่า Greatest Happiness for the Greatest Numbers
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavetti
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 24. ประกอบ

33. “ประชาธิปไตยคือการปกครองของนักการเมือง” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 5 หน้า 124 โจเซฟ ชุมปีเตอร์ (Joseph Schumpeter) นักคิดชาวออสเตรีย เป็นผู้เขียนงานเรื่อง “Capitalism, Socialism and Democracy” ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1942 เขาได้เสนอทฤษฎี ประชาธิปไตย โดยกล่าวว่า “คําว่าประชาธิปไตย ไม่ได้หมายความและสามารถหมายความถึง การปกครองที่ประชาชนเข้าไปทําหน้าที่ปกครองจริง ๆ ตามตัวอักษรของคําที่ว่า “ประชาชน” กับ “การปกครอง” แต่ประชาธิปไตยนั้นหมายถึงแค่การปกครองที่ประชาชนนั้นมีโอกาสในการที่จะยอมรับหรือปฏิเสธคนใดคนหนึ่งที่จะมาเป็นผู้ปกครองพวกเขาเท่านั้น…. ดังนั้นเองในด้านหนึ่ง เราอาจจะกล่าวได้ว่า ประชาธิปไตยนั้นคือ การปกครองของนักการเมือง (Democracy is the Rule of the Politician)”

34. ตามความคิดของ Thomas Hobbes หากผู้ปกครองไม่ลงโทษอาชญากรตามกฎหมายอาจนําไปสู่สภาวะใดมากที่สุด
(1) สันติภาพที่ถาวร
(2) สภาวะต่างคนต่างอยู่
(3) การฆ่าฟันกันจนตายโหง
(4) กฎหมายสลายตัวไป
(5) ความรักใคร่สามัคคีกัน
ตอบ 3 หน้า 59, (คําบรรยาย) ตามความคิดของโทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) หากองค์อธิปัตย์ หรือผู้ปกครองไม่ลงโทษอาชญากรตามกฎหมายอาจนําไปสู่สภาวะธรรมชาติก่อนที่มนุษย์จะ เข้ามาอยู่ในรัฐ นั่นก็คือ การที่มนุษย์สามารถจะทําอะไรก็ได้ตามที่เขาอยากจะทํา สุดท้ายก็จะเกิดความวุ่นวายและนําไปสู่สภาวะสงครามที่ต่างฝ่ายต่างฆ่าฟันกันจนตายโหง

35. Speech to the Electors of Bristol เป็นผลงานของนักคิดคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 3 หน้า 124 เอ็ดมันด์ เบิร์ก (Edmund Burke) ได้กล่าวถึงประเด็นเรื่องผู้แทนไว้ใน “Speech to the Electors of Bristol” ว่า “ผู้แทนของท่านมีหน้าที่ต่อท่านไม่เฉพาะในเรื่องความขยัน ขันแข็งพากเพียรอุตสาหะเท่านั้น แต่ในเรื่องการใช้วิจารณญาณ มันก็ถือว่าเป็นหน้าที่ที่เขา ต้องมีต่อท่านด้วย และเมื่อใดก็ตามที่เขาใช้วิจารณญาณตัดสินไปตามความคิดเห็นของพวกท่านเมื่อนั้นเองพวกเขาก็ได้ชื่อว่าทรยศต่อท่านและไม่ได้เป็นผู้รับใช้ท่านอีกต่อไปแล้ว”

36. ความเชื่อที่ว่าทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันในการพูดและแสดงความคิดเห็น
(1) Philosophia Perennis
(2) Logic
(3) Polis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ

37. นักคิดคนใดได้นําวิธีคิดเรื่อง ความกลัวตายอย่างรุนแรง มาใช้ในการอธิบายการเกิดขึ้นของรัฐ
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

38. “การปล่อยให้ประชาชนมีสิทธิที่จะลงมติในกฎหมายจริง ๆ และประชาชนสามารถที่จะนํามติบางประการ เอาไปปฏิบัติได้ ซึ่งการกระทําเช่นนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนไร้ความสามารถเป็นอย่างมาก ในความเป็นจริง ประชาชนควรจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการปกครองก็เพียงแต่ในเรื่องการเลือกผู้แทนของตนเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในความสามารถของพวกเขาอย่างแน่นอน” ข้อเขียนดังกล่าวปรากฏอยู่ในงานของนักคิดชาวฝรั่งเศสคนใด
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 1 หน้า 120 – 121 มงเตสกิเออร์ (Montesquieu) นักคิดชาวฝรั่งเศส ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ การปกครองโดยตัวแทนไว้ในหนังสือเรื่อง “The Spirit of Laws” (De l’esprit des lois) ว่า มีความเลวร้ายอันยิ่งใหญ่อยู่ประการหนึ่งในบรรดาสาธารณรัฐโบราณนั่นก็คือ รัฐดังกล่าวปล่อยให้ประชาชนมีสิทธิที่จะลงมติในกฎหมายจริง ๆ และประชาชนสามารถที่จะนํามติ บางประการเอาไปปฏิบัติได้ ซึ่งการกระทําเช่นนี้เป็นสิ่งที่ประชาชนไร้ความสามารถเป็นอย่างมากในความเป็นจริงประชาชนควรจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการปกครองก็เพียงแต่ในเรื่องการเลือก ผู้แทนของตนเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในความสามารถของพวกเขาอย่างแน่นอน”

39. ใครเป็นผู้กล่าวว่า “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกหนทุกแห่งอยู่ภายใต้พันธนาการ
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 2 หน้า 137 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) ได้กล่าวไว้ในบรรทัดแรก? : หนังสือ “สัญญาประชาคม” (The Social Contract) ว่า “มนุษย์เกิดมาเสรี แต่ทุกแห่งหน เขาถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน… การละทิ้งเสรีภาพนั้นก็คือการละทิ้งความเป็นคน ตลอดจน เป็นการละทิ้งสิทธิและหน้าที่แห่งมนุษยชาติ ไม่มีการชดเชยใด ๆ เป็นไปได้สําหรับผู้ที่ละทิ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างเช่นนี้ การละทิ้งนี้ขัดต่อธรรมชาติของมนุษย์ และการลบล้างเสรีภาพทั้งหมด ออกจากเจตจํานงของเขา ก็คือการลบล้างศีลธรรมทั้งหมดออกจากการกระทําของเขา”

40. ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ ใครเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกมนุษย์ตั้งแต่เศษหินดินทราย
ไปจนกระทั่งถึงตัวมนุษย์
(1) พระเยซู
(2) พระพุทธเจ้า
(3) พระนบีมูฮัมหมัด
(4) พระเจ้า
(5) ไม่มีผู้ใดสร้าง สรรพสิ่งล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ
ตอบ 4 หน้า 66 – 67 ความเชื่อหรือความคิดในทางศาสนาคริสต์ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล โดยเฉพาะความเชื่อที่ว่า พระเจ้าเป็นผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่าง สร้างโลก สร้างมนุษย์ สร้างแม้แต่ เศษหินดินทราย ดังนั้นเอง กฎหมาย สังคม และรัฐของมนุษย์ก็เกิดขึ้นตามพระประสงค์ของ พระเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งวิธีคิดนี้ได้กลายเป็นรากฐานให้กับคริสเตียนที่คิดว่ากฎหมายเป็นสิ่งที่มาจาก พระเจ้า ดังนั้นเราจึงต้องเชื่อฟังกฎหมาย

41. “แต่ละคนมีเสรีภาพที่จะใช้อํานาจของตนเองตามที่ตนปรารถนา หรือใช้เพื่อปกป้องรักษาชีวิตของตนเองไว้ โดยมนุษย์แต่ละคนจะทําทุกวิถีทางตามวิจารณญาณและเหตุผลของตนเอง ซึ่งเป็นทางที่ตนเชื่อว่าดีที่สุด และเหมาะสมที่สุดกับตนเอง” ใครเป็นผู้กล่าวคําพูดนี้
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 หน้า 34 – 35 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) มองว่า มนุษย์มีสิทธิตามธรรมชาติ (Natural Right) หรือเสรีภาพที่จะทําอะไรก็ได้ตามการตัดสินหรือเหตุผลส่วนตัวของเขา ดังที่ฮอบส์ กล่าวว่า “มนุษย์แต่ละคนมีเสรีภาพที่จะใช้อํานาจของตนเองตามที่ตนปรารถนา หรือใช้เพื่อปกป้องรักษาชีวิตของตนเองไว้ โดยมนุษย์แต่ละคนจะทําทุกวิถีทางตามวิจารณญาณและเหตุผล ของตนเอง ซึ่งเป็นทางที่ตนเชื่อว่าดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดกับตนเอง”

42.Henry David Thoreau เสนอแนวคิดใด
(1) การเรียกร้องให้สร้างโรงพยาบาล
(2) การบริจาคเงินให้กับรัฐบาลโดยระบุวัตถุประสงค์
(3) การต่อต้านการเหยียดผิว
(4) การหนีภาษีและการหนีคดีออกนอกประเทศ
(5) การส่งเสริมอารยะขัดขืน
ตอบ 5 หน้า 80 – 82 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ได้เสนอแนวคิดอารยะขัดขืน ไว้ในบทความเรื่อง “Resistance to Civil Government” (การขัดขืนต่อรัฐบาลพลเรือน) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1849 โดยธอโรพยายามชี้ให้เห็นว่าบางครั้งกฎหมายอาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกับ ความยุติธรรมหรือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง กฎหมายเองอาจจะเป็นสิ่งที่ผิดก็ได้ ซึ่งธอโรเชื่อว่ามนุษย์นั้น มีสิ่งที่เรียกว่า “มโนธรรม” หรือ “จิตสํานึก” ดังนั้นถ้ากฎหมายใดที่พลเมืองมองว่ามันเป็น การขัดกับจิตสํานึกของตน พลเมืองไม่จําเป็นที่จะต้องเชื่อฟัง

43. สิทธิติดตัวมาตั้งแต่กําเนิด ใครจะมาพรากไปก็ไม่ได้
(1) State of Nature
(2) Natural Right
(3) State of War
(4) Private Property
(5) Sovereign
ตอบ 2 หน้า 34 – 35 สิทธิตามธรรมชาติ (Natural Right) เป็นสิทธิติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่กําเนิด ใครจะมาพรากไปก็ไม่ได้ เป็นเสรีภาพที่มนุษย์แต่ละคนจะทําอะไรก็ได้ตามการตัดสินใจหรือเหตุผลส่วนตัวของตนตามที่ตนเห็นว่าเหมาะสมที่สุดอันจะนํามาซึ่งการรักษาชีวิตของตนเอง

44. นักคิดคนใดมีความคิดปฏิเสธการให้ผู้แทนไปทําหน้าที่ในการออกกฎหมายอย่างสิ้นเชิง
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 4 หน้า 125 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เป็นนักคิดที่ปฏิเสธการให้ผู้แทน ไปทําหน้าที่ในการออกกฎหมายอย่างสิ้นเชิง เพราะเขาเห็นว่าการปกครองที่มีเสรีภาพและ เสมอภาค ตลอดจนชอบธรรมที่สุดก็คือ การให้ประชาชนเป็นคนออกกฎหมายด้วยตนเอง

45.Niccolo Machiavelli มีความคิดว่าผู้ปกครองคือใครก็ได้ แต่ขอให้รักษารัฐ รักษาอํานาจไว้ได้ก็พอ
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

46.Veil of Ignorance หรือม่านแห่งความไม่รู้ เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการทดลองทางความคิดของ John Rawis
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 179 – 180, 186 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้ใช้วิธีการทดลองทางความคิด (Thought Experiment) ในการอธิบายหลักการกระจายทรัพยากร โดยเขาได้จําลองสถานการณ์หนึ่งขึ้นมา เพื่อให้ใครก็ได้ไปตัดสินใจภายใต้สภาวะดังกล่าวว่าเขาต้องการสังคมแบบใด และได้วางเงื่อนไข ภายใต้สภาวะของม่านแห่งความไม่รู้ (Veil of Ignorance) ซึ่งผู้ตัดสินใจจะไม่ทราบว่าตนเป็นใคร มีสถานะอะไร ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ตัดสินใจเลือกหลักการทางสังคมใด ๆ ที่เข้าข้างตนเอง โดยรอลส์เชื่อว่าสถานการณ์ที่ว่านี้จะเป็นการตัดสินอันยุติธรรมเพราะผู้ตัดสินใจจะใช้แต่เหตุผล และไม่นําสิ่งต่าง ๆ เช่น สถานะของตนเองมาเป็นปัจจัยในการตัดสิน

47. ประโยคที่ว่า “ประเทศของท่านมีค่าควรแก่การเคารพสักการะยิ่งกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่าและสูงส่งกว่า บรรพบุรุษของท่านเองไม่ใช่หรือ….” ผู้พูดต้องการสื่อความหมายอย่างไร
(1) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะถ้าไม่เชื่อฟังกฎหมายเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราต้องเชื่อฟังกฎหมายตราบที่มันไม่ขัดกับที่เราได้ตกลงกับรัฐเอาไว้แล้ว
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 10. ประกอบ

48. การที่ซาอูล (Saul) ในฐานะกษัตริย์ที่ชั่วร้ายแต่กลับไม่ถูกฆ่า สอดคล้องกับข้อใดมากที่สุด
(1) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะถ้าไม่เชื่อฟังกฎหมายเราก็จะต้องถูกลงโทษ
(2) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะเราตกลงกับรัฐไปแล้วทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
(3) เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า
(4) เราต้องเชื่อฟังกฎหมายตราบที่มันไม่ขัดกับที่เราได้ตกลงกับรัฐเอาไว้แล้ว
(5) เราไม่ต้องเชื่อฟังกฎหมาย ถ้ากฎหมายนั้นขัดกับมโนธรรมของเรา
ตอบ 3 หน้า 66, 68 – 69 ตัวอย่างหนึ่งที่ถูกนํามาอธิบายในประเด็นเรื่อง “เราต้องเชื่อฟังกฎหมาย เพราะมันคือคําสั่งที่มาจากพระเจ้า” ก็คือ กรณีของซาอูล (Saul) ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ชั่วร้าย แต่กลับไม่ถูกดาวิด (David) ฆ่าแม้จะพยายามฆ่าดาวิดอยู่หลายหน โดยสาเหตุที่ดาวิดตัดสินใจ ไม่ฆ่ากษัตริย์ซาอูลเพราะมองว่ากษัตริย์ซาอูลคือคนที่พระเจ้าตั้งใจให้เป็นผู้ปกครองจากการ ร้องขอของพวกยิว คนที่จะเอาชีวิตของกษัตริย์ซาอูลได้มีเพียงพระเจ้าเท่านั้น มนุษย์ไม่มีสิทธิจะไปล้มล้างผู้ปกครองแม้จะชั่วร้ายแค่ไหนก็ตาม

49. “มนุษย์คือผู้เลือกชะตาชีวิตของตนเอง ไม่มีหรอกกฎแห่งกรรมหรือธรรมชาติกําหนด ชีวิตเป็นของเราเรากําหนดเอง แต่กระนั้นก็ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เราได้เลือกเองด้วย” เป็นแนวคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 2 หน้า 142 – 145 ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) นักคิดชาวฝรั่งเศส สกุลอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) เชื่อว่า มนุษย์มีเสรีภาพติดตัวมาตั้งแต่กําเนิด ดังนั้นมนุษย์จึงเป็นผู้เลือก ชะตาชีวิตของตนเอง ไม่มีพระเจ้า เวรกรรม กฎแห่งกรรม หรือธรรมชาติใด ๆ มากําหนด ชีวิต เป็นของมนุษย์ มนุษย์จะเป็นผู้กําหนดว่าตนเองจะเป็นอย่างไร และมนุษย์ก็ต้องรับผิดชอบใน สิ่งที่ตนได้เลือกเองด้วย

50. บุคคลใดคือประธานาธิบดีคนที่ 4 ของสหรัฐอเมริกา
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 2 หน้า 121 – 122, (คําบรรยาย) เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ประธานาธิบดีคนที่ 4 ของ อเมริกา เป็นหนึ่งในบรรดาผู้สร้างชาติอเมริกา (American Founding Fathers) และถือได้ว่า มีส่วนสําคัญในการร่างรัฐธรรมนูญอเมริกัน เขาพยายามที่จะเสนอรูปแบบการปกครองสําหรับ อเมริกาให้เป็นการปกครองด้วยตัวแทน โดยเสนอความคิดดังกล่าวไว้ในงานเขียนชื่อว่า “The Federalist Papers” ซึ่งมีข้อความดังนี้ “สําหรับประชาธิปไตยแบบบริสุทธิ์ ซึ่งข้าพเจ้า หมายถึง สังคมที่ประกอบด้วยพลเมืองจํานวนหนึ่งผู้ซึ่งมารวมตัวกัน และบริหารรัฐบาล ด้วยตนเองนั้น…. เป็นปรากฏการณ์แห่งความวุ่นวายและการโต้แย้ง อันเป็นสิ่งซึ่งเข้ากันไม่ได้ กับความมั่นคงส่วนบุคคลหรือสิทธิในทรัพย์สิน และโดยทั่วไปรูปแบบการปกครองลักษณะนี้ มักจะมีชีวิตสั้นและสิ้นสุดลงด้วยความรุนแรง นักการเมืองผู้รู้ทางทฤษฎีซึ่งสนับสนุนรัฐบาล ประเภทนี้ได้เข้าใจผิด ๆ มาว่า โดยการลดสภาพของมนุษยชาติลงมาจนเสมอภาคกันอย่าง สมบูรณ์ในสิทธิการเมืองนั้น จะทําให้มนุษย์นั้นมีความเสมอภาคและประสานกลมกลืนกัน อย่างสมบูรณ์ ทั้งในทรัพย์สิน ความคิดเห็น และกิเลสในเวลาเดียวกันด้วย…”

51. “เมื่อมนุษย์กลัวผู้อื่นจะมาทําอันตรายตน เขาจึงจําเป็นที่จะต้องแสร้งทําว่าเขาเป็นผู้ที่แข็งแรงที่สุด ดุร้าย ที่สุด โหดเหี้ยมที่สุด (Glory) เพื่อให้คนอื่นเกรงกลัวและไม่กล้ามาตอแยกับเขา” เป็นความคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 5 หน้า 35 – 36 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) ได้กล่าวไว้ในหนังสือ “Leviathan” ว่า“เมื่อมนุษย์กลัวผู้อื่นจะมาทําอันตรายตน เขาจึงจําเป็นที่จะต้องแสร้งทําว่าเขาเป็นผู้ที่แข็งแรง ที่สุด ดุร้ายที่สุด โหดเหี้ยมที่สุด (Glory) เพื่อให้คนอื่นเกรงกลัวและไม่กล้ามาตอแยกับเขา”

52.Politeia แปลว่า “รูปแบบการปกครอง”
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 1 หน้า 107 อริสโตเติล (Aristotle) เรียกรูปแบบการปกครองที่อํานาจอยู่ในมือมหาชนและ ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะว่า “โพลิตี้” (Polity) ซึ่งคําดังกล่าวมาจากภาษากรีก คือ Politeia (โพ-ลิ-เท-อา) ที่แปลว่า “รูปแบบการปกครอง” (ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ)

53. นักคิดสัญญาประชาคมบางคนใช้อธิบายถึงสภาวะที่มนุษย์เป็นศัตรูต่อกัน
(1) State of Nature
(2) Natural Right
(3) State of War
(4) Private Property
(5) Sovereign
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

54. “ถ้าคน ๆ หนึ่งได้รับสิ่งของใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นในฐานะของขวัญ มรดก หรือด้วยความเสน่หาใด ๆ และรวมทั้งกําไรรายได้จากการแลกเปลี่ยนในตลาดอย่างเสรี ทรัพย์สินที่ได้มาหรือรายได้นั้น ๆ ก็เป็น สิ่งที่ชอบธรรม” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 2 หน้า 189 โรเบิร์ต โนซิค (Rebert Nozick) ได้เสนอ “หลักความยุติธรรมในการถ่ายโอน (Principle of Justice in Transfer) ซึ่งเป็นอีกหลักการหนึ่งที่โนซิคนํามาอธิบายเกี่ยวกับ หลักความยุติธรรมในการกระจายทรัพยากร โดยหลักการนี้ได้เสนอว่า ถ้าคน ๆ หนึ่งได้รับ สิ่งของใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นในฐานะของขวัญ มรดก หรือด้วยความเสน่หาใด ๆ และรวมทั้ง กําไรรายได้จากการแลกเปลี่ยนในตลาดอย่างเสรี ทรัพย์สินที่ได้มาหรือรายได้นั้น ๆ ก็เป็น สิ่งที่ชอบธรรม (ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ)

55. “Capitalism, Socialism and Democracy” ซึ่งตีพิมพ์ปี ค.ศ. 1942 เป็นงานของนักคิดคนใด
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Joseph Schumpeter
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ

56. “ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้น จํานวนผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะเกินไป ผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไปและก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้” เป็นคํากล่าวของนักคิดคนใด
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Joseph Schumpeter
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 หน้า 122 – 123 เจมส์ เมดิสัน (James Madison) ได้กล่าวเตือนเกี่ยวกับการปกครองแบบ ตัวแทนไว้ว่า จํานวนผู้แทนนั้นไม่ควรจะมีมากหรือน้อยเกินไป กล่าวคือ ถ้าผู้แทนน้อยเกินไป ผู้แทนก็จะร่วมกันสมคบคิดวางอุบายออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์กับตนเอง ดังนั้นจํานวน ผู้แทนก็ต้องมีให้มากในระดับที่พวกนี้จะไม่ “สมรู้ร่วมคิด” กันเองได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งถ้ามีเยอะ เกินไปผู้แทนก็จะไม่สามารถเป็นตัวแทนของผู้ที่เลือกขึ้นมาได้ เพราะมีจํานวนมากจนเกินไป และก็อาจจะก่อให้เกิดความวุ่นวายในการประชุมได้

57. นักปฏิรูปสังคมชาวอังกฤษช่วงศตวรรษที่ 19
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 5 หน้า 168 เซอร์เอ็ดวิน แซดวิก (Sir Edwin Chadwick) เป็นนักปฏิรูปสังคมชาวอังกฤษ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1800 – 1890) เขาได้ไปสํารวจชีวิตของชนชั้นล่าง ของอังกฤษและเขียนออกมาเป็นรายงาน โดยเขาเล่าว่าคนจนทั่วไปไม่มีเงินเช่าบ้านอยู่อาศัยเป็นครอบครัว คนพวกนี้จะต้องไปเช่าอยู่ในโรงแรมที่ห้องหนึ่งมีคนอาศัยอยู่หลาย ๆ คน ซึ่งเป็นสภาพชีวิตของคนจนในเมืองที่ย่ําแย่มาก ๆ

58.Edmund Burke มีฉายาว่า “แชมป์เปี้ยนแห่งเสรีภาพ
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 147 จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill) เป็นนักคิดที่ได้รับฉายาว่าเป็น “แชมป์เปี้ยน แห่งเสรีภาพ” (Champion of Liberty) โดยเขาได้เขียนงานชิ้นสําคัญเกี่ยวกับเสรีภาพออกมา ในปี ค.ศ. 1859 ชื่อว่า “On Liberty”

59. นักคิดคนใดคือคนที่อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บิล คลินตัน (Bill Clinton) ได้กล่าวถึงว่าเป็น นักปรัชญาการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 4 หน้า 177 – 178 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้เขียนหนังสือเรื่อง “A Theory of Justice” (ทฤษฎีหนึ่งว่าด้วยความยุติธรรม) ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1971 จากผลงานนี้เอง ที่ทําให้อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บิล คลินตัน (Bill Clinton) กล่าวยกย่องรอลส์ ว่าเป็นนักปรัชญาการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 20

60. ข้อใดต่อไปนี้คือผลงานชิ้นสําคัญของ Thomas Hobbes
(1) Two Treatises of Government
(2) On Liberty
(3) Discourse on the Origin and Basis of Inequality Among Men
(4) Politics
(5) ไม่มีข้อใดถูกต้อง
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

61. เป็นสภาวะที่อธิบายถึงเวลาก่อนที่มนุษย์จะมารวมตัวกันเป็นสังคมการเมือง
(1) State of Nature
(2) Natural Right
(3) State of War
(4) Private Property
(5) Sovereign
ตอบ 1 หน้า 30, 33 – 34 สภาวะธรรมชาติ (State of Nature) ตามแนวคิดของนักคิดสกุลสัญญา ประชาคมนั้น เป็นช่วงเวลาก่อนที่มนุษย์จะมารวมตัวกันเป็นรัฐหรือสังคมการเมือง ในสภาวะ ดังกล่าวจะไม่มีกฎหมาย ไม่มีรัฐบาล แต่ละคนอยู่กันอย่างเป็นอิสระ

62. คนที่มีหรือเป็นเจ้าของอํานาจสูงสุดในการปกครองสังคมการเมือง
(1) State of Nature
(2) Natural Right
(3) State of War
(4) Private Property
(5) Sovereign
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

63. “สถานะเริ่มแรกที่เท่าเทียมกันในทฤษฎีความยุติธรรมในฐานะที่เที่ยงธรรมนั้นก็ตรงกับสภาวะธรรมชาติในทฤษฎีสัญญาสังคมแบบดั้งเดิม ในประวัติศาสตร์ซึ่งแน่นอนว่าสภาวะเริ่มแรกนี้มันจะไม่ใช่สถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงและมันก็ไม่ใช่ในลักษณะที่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่สุดทางวัฒนธรรม ดังนั้นเราต้องเข้าใจมันในฐานะที่เป็นสถานการณ์อันถูกสมมุติขึ้นมาอย่างแท้จริง” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 4 หน้า 179 จอห์น รอลส์ (John Rawls) ได้ใช้วิธีการทดลองทางความคิด (Thought Experiment) ในการอธิบายหลักความยุติธรรมในการกระจายทรัพยากร ซึ่งเป็นการลองสมมุติสถานการณ์ ขึ้นมาเพื่อหาคําตอบใดคําตอบหนึ่งโดยจํากัดเงื่อนไขบางอย่างไว้ โดยรอลส์ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “สถานะเริ่มแรกที่เท่าเทียมกันในทฤษฎีความยุติธรรมในฐานะที่เที่ยงธรรมนั้นก็ตรงกับสภาวะธรรมชาติในทฤษฎีสัญญาสังคมแบบดั้งเดิม ซึ่งแน่นอนว่าสภาวะเริ่มแรกนี้มันจะไม่ใช่ สถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ และมันก็ไม่ใช่ในลักษณะที่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่สุดทางวัฒนธรรม ดังนั้นเราต้องเข้าใจมันในฐานะที่เป็นสถานการณ์อันถูกสมมุติขึ้นมาอย่างแท้จริงทั้งนี้ก็เพื่อที่จะนําไปสู่ข้อสรุปอะไรบางอย่างอันเกี่ยวข้องกับความยุติธรรม…”

64.Robert Nozick เป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Prince
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 2. และ 9. ประกอบ

65. คําว่า “Free Gift” ตามความหมายของ Thomas Hobbes ใช้กับบุคคลในข้อใด
(1) ผู้ปกครอง – พระเจ้า
(2) ผู้ปฏิบัติตามกฎหมาย – ผู้ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
(3) คนรวย – คนจน
(4) ผู้ปกครอง – ผู้ใต้ปกครอง
(5) พระเจ้า – บุตรแห่งพระเจ้า
ตอบ 2 หน้า 59 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) อธิบายว่า ถ้าคนหนึ่งปฏิบัติตามกฎหมาย แต่อีกคนไม่ปฏิบัติตามทั้ง ๆ ที่ได้ตกลงกันตั้งแต่แรกแล้วว่าทุก ๆ คนจะมอบอํานาจที่แต่ละคนมี ตามธรรมชาติให้คนกลางคนหนึ่งตัดสินและออกกฎหมายในทุก ๆ เรื่อง และจะเชื่อฟังคนดังกล่าว ซึ่งถ้าคนหนึ่งเชื่อฟังอีกคนไม่เชื่อฟังและไม่ถูกลงโทษ เหตุการณ์แบบนี้ก็เหมือนกับการที่ คนปฏิบัติตามกฎหมายได้ให้ของขวัญเปล่า ๆ แก่คนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและไม่ถูกลงโทษ โดยฮอบส์เรียกการกระทํานี้ว่า “ของขวัญที่ให้กันฟรี ๆ” (Free Gift) หรือในปัจจุบันมักเรียกว่า“Free Rider”

66. นักคิดคนใดอธิบายว่า สภาวะธรรมชาติเป็นสภาวะที่ไม่น่าพึงปรารถนา (Solitary, poor, nasty, brutish and short)
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

67. นักคิดคนใดอธิบายว่าทําไมในระบบทุนนิยม (Capitalism) หรือระบบที่มีการกระจายทรัพยากรอย่างเสรีนั้นชีวิตของผู้ใช้แรงงานหรือกรรมาชีพจึงมีสภาพชีวิตที่ย่ําแย่อย่างมาก
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 18. ประกอบ

68. “มนุษย์ทุกคนต่างก็เป็นศัตรูกับมนุษย์ทุกคน ทุกคนพร้อมจะทําร้ายกันและกัน (Every man against every man) โดยไม่เกี่ยงวิธีการ ในสภาวะสงครามไม่มีคําว่ายุติธรรม หรืออยุติธรรม ไม่มีผิดไม่มีถูก คุณธรรมอย่างเดียวที่มีก็คือ การใช้กําลังและการหลอกลวง ฉ้อฉล” เป็นวิธีคิดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 5 หน้า 36 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) กล่าวว่า สภาวะธรรมชาติ (State of Nature) ก็คือสภาวะเดียวกันกับสภาวะสงคราม (State of War) ซึ่งเป็นสภาวะที่มนุษย์ทุกคนต่างก็เป็น ศัตรูกับมนุษย์ทุกคน ทุกคนพร้อมที่จะทําร้ายกันและกัน (Every man against every man) โดยไม่เกี่ยงวิธีการ ในสภาวะสงครามไม่มีคําว่ายุติธรรมหรืออยุติธรรม ไม่มีผิดไม่มีถูก คุณธรรม อย่างเดียวที่มีก็คือ การใช้กําลังและการหลอกลวง ฉ้อฉล (Force and Fraud)

69. หากต้องการศึกษาความคิดของศาสนาคริสต์นักศึกษาต้องศึกษาจากเอกสารชิ้นใด
(1) บันทึกใบลานของพระเจ้า
(2) ตําราขงจื้อ
(3) พระไตรปิฎก
(4) พระคัมภีร์อัลกุรอาน
(5) พระคัมภีร์ไบเบิ้ล
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 40. ประกอบ

70.Aristotle เป็นนักคิดสกุลสัญญาประชาคม
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 30 – 32, 39, 45, (คําบรรยาย) นักคิดสกุลสัญญาสังคมหรือสัญญาประชาคม
(Social Contract) ที่สําคัญ ได้แก่
1. โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) นักคิดชาวอังกฤษ
2. จอห์น ล็อค (John Locke) นักคิดชาวอังกฤษ
3. ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักคิดชาวเจนีวา
4. จอห์น รอลส์ (John Rawls) นักคิดชาวอเมริกัน

71. เป็นนักคิดชาวเจนีวา เขียนหนังสือเรื่อง “The Social Contract”
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Jean Jacques Rousseau
(5) Joseph Schumpeter
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 11. และ 70. ประกอบ

72.Henry David Thoreau ไม่เห็นด้วยกับสงครามในข้อใด
(1) World War I (1914 – 1919)
(2) World War II (1939 – 1945)
(3) Mexican-American War (1846 – 1848)
(4) Cayuse War (1847-1855)
(5) Utah War (1857 – 1858)
ตอบ 3 หน้า 80 เฮนรี่ เดวิด ธอโร (Henry David Thoreau) ไม่เห็นด้วยกับ “สงครามเม็กซิกัน- อเมริกัน” (Mexican-American War : 1846 – 1848) ที่อเมริกาไปรบกับเม็กซิโกเพื่อผนวก ดินแดนเท็กซัส เพราะมันเป็นการเพิ่มรัฐที่มีทาสให้กับอเมริกา โดยธอโรมีความเห็นว่าการมี ทาสนั้นเป็นสิ่งชั่วช้าและในอเมริกาก็ไม่ควรที่จะยอมให้เกิดขึ้นมากไปกว่าที่เป็นอยู่อีกต่อไป ดังนั้นธอโรจึงปฏิเสธการจ่ายภาษีให้กับรัฐ เพราะการจ่ายภาษีให้กับรัฐก็หมายความว่า รัฐจะนําเงินไปใช้จ่ายในสงครามที่ทํากับเม็กซิโก

73. แนวคิดเรื่องค่าแรงขั้นต่ํา (Minimum Wage) คือ วิธีการหนึ่งในการรีดเอามูลค่าส่วนเกินออกมาจากกรรมกร ใครเป็นคนที่คิดเรื่องดังกล่าว
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 1 หน้า 172 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) อธิบายว่า ค่าแรงขั้นต่ํา (Minimum Wage) คือ วิธีการหนึ่งของนายทุนในการรีดเอามูลค่าส่วนเกินออกมาจากกรรมกรเพื่อให้ตนเองได้กําไรมากที่สุด โดยนายทุนจะจ่ายค่าแรงให้ต่ําที่สุดเท่าที่กรรมกรจะสามารถดํารงชีวิตอยู่ได้ เพื่อที่ว่าแรงงานนั้นจะกลับมาทําการผลิตให้กับนายทุนได้ต่อไปอีกเรื่อย ๆ

74. “สําหรับประชาธิปไตยแบบบริสุทธิ์… เป็นปรากฏการณ์แห่งความวุ่นวายและการโต้แย้ง อันเป็นสิ่งซึ่งเข้ากันไม่ได้กับความมั่นคงส่วนบุคคลหรือสิทธิในทรัพย์สิน และโดยทั่วไปรูปแบบการปกครอง ลักษณะนี้มักจะมีชีวิตสั้นและสิ้นสุดลงด้วยความรุนแรง” เป็นความคิดของใคร
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Joseph Schumpeter
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 50. ประกอบ

75. นักคิดชาวอังกฤษผู้มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1588 – 1679 ปัจจุบันได้รับการยกย่องว่าเป็นนักคิดสกุลสัญญาประชาคมคนสําคัญ
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 21. และ 70. ประกอบ

76. นักคิดกรีกโบราณคนใดเป็นผู้เขียนงานเรื่อง Nicomachean Ethics
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 1 หน้า 25, (คําบรรยาย) อริสโตเติล (Aristotle) นักคิดชาวมาซิโดเนีย เป็นนักคิดในยุคกรีกโบราณ ซึ่งมีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณ 300 ปีก่อนคริสตกาล เขาเป็นผู้เขียนงานเรื่อง “Politics” และ “Nicomachean Ethics”

77. ราชาปราชญ์ (Philosopher King) คือแนวคิดสําคัญของฌอง ฌากส์ รุสโซ
(1) ข้อความดังกล่าวถูกต้อง
(2) ข้อความดังกล่าวไม่ถูกต้อง
ตอบ 2 หน้า 90 เพลโต (Plato) เสนอว่า ผู้ปกครองที่ดีที่สุดก็คือ “ราชาปราชญ์” (Philosopher King) โดยบุคคลดังกล่าวนี้จะต้องรักในความรู้อันแท้จริง (Wisdom Lover) และชีวิตส่วนตัวนั้น จะต้องมีชีวิตเรียบง่าย เนื่องจากตัวเขาจะต้องอุทิศให้แก่รัฐที่เขาปกครอง

78. เป็นนักคิดชาวอิตาเลียน และเป็นผู้ใช้อุปมาเรื่องสิงโตกับสุนัขจิ้งจอก
(1) John Stuart Mil
(2) Jean Paul Sartrel
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 4 หน้า 128, (คําบรรยาย) นิโคโล แมคคิอาเวลลี (Niccolo Machiavelli) นักคิดชาวอิตาเลียน ได้อธิบายถึงคุณสมบัติของผู้ปกครองที่ดีไว้ในหนังสือเรื่อง “เจ้าผู้ปกครอง” (The Prince) โดยอุปมาถึงลักษณะของผู้ปกครองว่าควรจะต้องเป็นอย่างสิงโตและสุนัขจิ้งจอก นั่นคือ จะต้อง มีพละกําลังที่เข้มแข็งดุจสิงโต และมีความเฉลียวฉลาดดุจสุนัขจิ้งจอก ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะสามารถผจญกับเล่ห์เหลี่ยมและปราบปรามผู้ที่ตนปกครองได้นั่นเอง

79. เป็นหัวใจและเป็นสิ่งสําคัญของระบบทุนนิยม แต่เป็นสิ่งที่ในระบบคอมมิวนิสต์ต้องการกําจัด
(1) State of Nature
(2) Natural Right
(3) State of War
(4) Private Property
(5) Sovereign
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ระบบทุนนิยม (Capitalism) จะให้ความสําคัญกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนบุคคล (Private Property) ซึ่งตรงกันข้ามกับระบบคอมมิวนิสต์ (Communism) ที่ต้องการกําจัดระบบ กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนบุคคลแล้วให้ความสําคัญกับทรัพย์สินส่วนรวม (Public Property)

80. ใครคือผู้ที่เปรียบเปรยว่า “รัฐบาลมีฐานะเป็นคนรับใช้ของประชาชน”
(1) John Locke
(2) John Rawls
(3) Jean Jacques Rousseau
(4) John Austin
(5) Niccolo Machiavelli
ตอบ 3 หน้า 76 ฌอง ฌากส์ รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) เห็นว่า รัฐบาลมีฐานะเป็นแค่ คนรับใช้ของประชาชนและประชาชนนั้นเป็นเจ้านายของรัฐบาล แม้ตําแหน่งของรัฐบาลจะเรียกว่า “เจ้าผู้ปกครอง” (Prince) แต่รัฐบาลก็ไม่มีสิทธิออกกฎหมายใด ๆ ตามความต้องการของตนเอง รัฐบาลเป็นแค่หน่วยงานในการที่จะกระทําการตามเจตจํานงของกฎหมายที่ประชาชนเป็นผู้ออกอํานาจที่รัฐบาลใช้ก็เป็นอํานาจที่ประชาชนฝากไว้ ซึ่งอาจจะถูกจํากัด ปรับเปลี่ยน หรือเอาคืนเมื่อไรก็ได้หากประชาชนพอใจ

81. “ด้วยการที่มนุษย์เชื่อฟังคําสั่งของพระเจ้า จึงบุกเบิกที่ดิน ทําไร่ไถนา หว่านทุก ๆ ที่บนแผ่นดินโลก และ ด้วยวิธีการดังกล่าว ก็ผนวกสิ่งต่าง ๆ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของเขา ซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิอ้างกรรมสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิแย่งสิ่งนั้นไปจากเจ้าของโดยปราศจากการต่อสู้จนถึงขั้นบาดเจ็บ” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 3 หน้า 162 – 163 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้อธิบายไว้ว่า สิ่งใด ๆ ก็ตามบนโลกนี้ที่มนุษย์ ได้นํามันออกมาจากสภาพธรรมชาติดั้งเดิม หรือทําการเปลี่ยนรูปแบบของมันให้ต่างออกไปจาก ลักษณะดั้งเดิม กล่าวคือ ด้วยการที่เขานําแรงงานของตัวเองไปผสมร่วมกับสิ่งนั้น ๆ ที่เคยเป็น สิ่งตามธรรมชาติจนมันมีการเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็นไปด้วยวิธีการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนรูป ดัดแปลง ตัดต่อ ฯลฯ สิ่งของนั้น ๆ ก็จะกลายมาเป็นกรรมสิทธิ์ของเขาโดยชอบธรรม และคนอื่น ๆ ก็ไม่มีสิทธิต่อสิ่งนั้นอีกต่อไป ดังที่เขาได้กล่าวไว้ว่า “สิ่งต่าง ๆ จะกลายมาเป็นทรัพย์สินของ ข้าพเจ้า โดยไม่ต้องมีการยินยอมหรือได้รับมอบหมายจากบุคคลใด ๆ ก็ตาม เพราะว่าแรงงาน เป็นของข้าพเจ้าที่ใช้ในการนําสิ่งนั้น ๆ ออกมาจากสภาวะธรรมชาติที่เป็นส่วนรวม… ด้วยการที่ มนุษย์เชื่อฟังคําสั่งของพระเจ้า จึงบุกเบิกที่ดิน ทําไร่ไถนา หว่านทุก ๆ ที่บนแผ่นดินโลก และ ด้วยวิธีการดังกล่าว ก็ผนวกสิ่งต่าง ๆ ให้กลายเป็นทรัพย์สินของเขา ซึ่งคนอื่น ๆ ไม่มีสิทธิอ้าง กรรมสิทธิ์ หรือไม่มีสิทธิแย่งสิ่งนั้นไปจากเจ้าของโดยปราศจากการต่อสู้จนถึงขั้นบาดเจ็บ”

82. “ผู้รู้ทางทฤษฎีซึ่งสนับสนุนรัฐบาลประเภทนี้ได้เข้าใจผิด ๆ มาว่า โดยการลดสภาพของมนุษยชาติลงมาจน เสมอภาคกันอย่างสมบูรณ์ในสิทธิการเมืองนั้น จะทําให้มนุษย์นั้นมีความเสมอภาคและประสานกลมกลืนกัน อย่างสมบูรณ์ ทั้งในทรัพย์สิน ความคิดเห็น และกิเลสในเวลาเดียวกันด้วย” เป็นคํากล่าวของใคร
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Joseph Schumpeter
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 50. ประกอบ

83. “ถ้าทรัพยากรที่คน ๆ หนึ่งใช้ในการหารายได้มาตั้งแต่ต้นนั้นเป็นสิ่งที่ชอบธรรม สิ่งที่หามาได้โดยทรัพยากรนั้น ก็ถือว่าชอบธรรมไปด้วย ซึ่งคําว่าชอบธรรมนี้มีความหมายในลักษณะที่ว่า คน ๆ นั้นใช้ร่างกายของตน แรงงานของตน สติปัญญาของตน หรือทรัพย์สินของตนเพื่อที่จะได้รายได้หรือสิ่งของต่าง ๆ มา และถ้า การหารายได้นั้น ๆ เป็นไปอย่างชอบธรรมตั้งแต่ต้น ทรัพย์สินหรือรายได้ที่ได้มานั้นก็จะเป็นสิ่งที่ชอบธรรม ไปด้วย” เป็นคํากล่าวของนักคิดชาวอเมริกันคนใด
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

84. บุคคลใดเป็นผู้ก่อร่างสร้างชาติอเมริกา และถือได้ว่ามีส่วนสําคัญในการร่างรัฐธรรมนูญอเมริกัน
(1) Montesquieu
(2) James Madison
(3) John Locke
(4) Joseph Schumpeter
(5) Jean Jacques Rousseau
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 50. ประกอบ

85. คําว่า Explicit Consent มีความหมายว่าอย่างไร
(1) การตกลงแบบเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ
(2) การตกลงโดยปริยายว่าจะปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ
(3) การปฏิเสธการปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐแบบเป็นลายลักษณ์อักษร
(4) การปฏิเสธการปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐโดยปริยาย
(5) การไม่ใช้ประโยชน์จากสิ่งของสาธารณะของรัฐเพื่อเลี่ยงกฎหมาย
ตอบ 1 หน้า 63 – 64 จอห์น ล็อค (John Locke) ได้อธิบายในเรื่องการเชื่อฟังกฎหมายว่า การที่พลเมืองเชื่อฟังกฎหมายและยอมปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐก็เนื่องจากเขาได้ตกลงทําสัญญาที่จะอยู่ร่วมกันภายใต้รัฐ โดยหวังว่ารัฐจะช่วยปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของผู้เข้าทําสัญญา ตลอดจนทําหน้าที่ไกล่เกลี่ยเมื่อมีข้อพิพาทระหว่างกัน ซึ่งตามความคิดของล็อคนั้น การตกลงทําสัญญามี 2 ลักษณะ คือ
1. การตกลงแบบชัดแจ้ง (Express Consent / Explicit Consent) เป็นการตกลงแบบเป็น ลายลักษณ์อักษรที่จะเข้ามาอยู่ในรัฐและปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐ
2. การตกลงแบบปริยาย (Tacit Consent) เป็นการตกลงที่ผู้ตกลงได้มาใช้ประโยชน์จาก รัฐหนึ่ง ๆ เช่น ใช้ทางหลวง ใช้สิ่งของสาธารณะ หรือได้ประโยชน์จากการที่เข้ามาอยู่ ภายในรัฐ จึงทําให้คน ๆ นั้นมีพันธะที่จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายของรัฐนั้น ๆ โดยปริยาย

86. อํานาจอยู่ในมือคน ๆ เดียว (The One) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้ปกครอง
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

87. “สิ่งต่าง ๆ จะกลายมาเป็นทรัพย์สินของข้าพเจ้า โดยไม่ต้องมีการยินยอมหรือได้รับมอบหมายจากบุคคลใด ๆ ก็ตาม เพราะว่าแรงงานเป็นของข้าพเจ้าที่ใช้ในการนําสิ่งนั้น ๆ ออกมาจากสภาวะธรรมชาติที่เป็นส่วนรวม”ใครเป็นผู้กล่าวคําพูดดังต่อไปนี้
(1) Karl Marx
(2) Robert Nozick
(3) John Locke
(4) John Rawls
(5) Sir Edwin Chadwick
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 81. ประกอบ

88.คําประกาศเอกราชของ Thomas Jefferson ได้อิทธิพลทางความคิดมาจากนักคิดของประเทศใด
(1) สหรัฐอเมริกา
(2) อังกฤษ
(3) ฝรั่งเศส
(4) ปรัสเซีย
(5) เยอรมนี
ตอบ 2 หน้า 77 โทมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) หนึ่งใน รรดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกา (American Founding Fathers) ได้นําแนวคิดสิทธิแห่งการปฏิวัติของจอห์น ล็อค (John Locke) นักคิดชาวอังกฤษ มาใช้ในการประกาศเอกราชของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1776

89. ข้อใดเกี่ยวข้องกับ Philosophy
(1) ความรักในความรู้
(2) Love of Wisdom
(3) Logic คือสาขาย่อยของ Philosophy
(4) สนใจต่อสิ่งที่เป็นธรรมชาติของสิ่งต่างๆ
(5) ทุกข้อล้วนเกี่ยวข้องกับ Philosophy
ตอบ 5 หน้า 1 – 5 ปรัชญา (Philosophy) คือ องค์ความรู้ที่มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่เป็นธรรมชาติของ สิ่งต่าง ๆ หรือปัญหาพื้นฐานของสิ่งต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาถึงการดํารงอยู่ของสิ่งต่าง ๆ การรับรู้ของมนุษย์ ความดีคืออะไร มนุษย์เกิดมาทําไม ฯลฯ โดยคําว่า “ปรัชญา” เกิดมาจาก การผสมกันของคํา 2 คํา คือ คําว่า “ความรัก” (Love) กับคําว่า “ความรู้” (Wisdom) ดังนั้น ปรัชญาจึงหมายถึง “ความรักในความรู้” (Love of Wisdom) สําหรับองค์ความรู้ทางปรัชญานั้น สามารถแบ่งสาขาย่อยออกได้เป็น 5 สาขา ได้แก่ อภิปรัชญา(Metaphysics) ญาณวิทยา (Epistemology) สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics) จริยศาสตร์ (Ethics) และตรรกวิทยา (Logic)

90. ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับ Normative Political Theory
(1) เน้นอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง
(2) เน้นทํานายปรากฏการณ์ทางการเมือง
(3) มีฐานคิดอยู่บนหลักการแบบวิทยาศาสตร์
(4) คือสิ่งเดียวกับการศึกษาแบบปทัสถานนิยม
(5) ไม่มีตัวเลือกใดกล่าวถูกต้อง
ตอบ 4 หน้า 12 – 13 จุดมุ่งหมายของปรัชญาการเมือง (Political Philosophy) คือ การศึกษาถึง ธรรมชาติ หรือสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่สุด หรือความจริงแท้สูงสุดอันเป็นสากลในทางการเมือง แต่จะไม่มุ่งอธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง ด้วยเหตุนี้รูปแบบการศึกษาปรัชญาการเมือง จึงถูกเรียกว่า “การศึกษาการเมืองแบบปทัสถานนิยม” (Normative Political Theory) คือ เป็นการศึกษาถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นพื้นฐานในทางการเมือง เพื่อที่จะนําความรู้นั้นไปสร้างบรรทัดฐาน หรือการเมืองที่ควรจะเป็นขึ้นมา ดังนั้นวิธีการศึกษาปรัชญาการเมืองจึงมีความแตกต่างกับวิธี การศึกษาของรัฐศาสตร์กระแสหลักอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากปรัชญาการเมืองไม่ได้มีการพยายามหาคําตอบหรือมีการหาความรู้ด้วยระเบียบวิธีวิจัยแบบวิทยาศาสตร์ แต่ปรัชญาการเมืองจะใช้ ทัศนคติ ค่านิยม ประสบการณ์ของตัวนักคิดมาอธิบาย

91. อัตถิภาวะนิยม (Existentialism)
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 49. ประกอบ

92. อํานาจอยู่ในมือกลุ่มคน (The Few) ใช้อํานาจเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ
(1) Polity
(2) Democracy
(3) Monarchy
(4) Tyranny
(5) Aristocracy
ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

93. ข้อความดังกล่าวนี้ตรงกับตัวเลือกใดมากที่สุด “บางครั้งก็เรียกว่าทฤษฎีความรู้ (Theory of Knowledge) ในสาขาย่อยของความรู้ทางด้านปรัชญานี้ จะมุ่งศึกษาในประเด็นเกี่ยวกับว่ามนุษย์นั้นรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร”
(1) อภิปรัชญา
(2) อุดมการณ์ทางการเมือง
(3) ปรัชญาการเมือง
(4) จริยศาสตร์
(5) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 5 หน้า 2 ญาณวิทยา (Epistemology) หรือบางครั้งก็เรียกว่า ทฤษฎีความรู้ (Theory of Knowledge) ในสาขาย่อยของความรู้ทางด้านปรัชญานี้ จะมุ่งศึกษาในประเด็นเกี่ยวกับว่า มนุษย์นั้นรู้ถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างไร เช่น คุณเห็นตัวหนังสือในหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไร คุณก็อาจจะ ตอบว่า “ตาผมไม่บอด ผมย่อมมองเห็นนะซิ” ซึ่งการตอบว่า “ตาผมไม่บอด” ก็หมายความว่า ผมเห็นได้ด้วยประสาทสัมผัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “ตา” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือมนุษย์สามารถรู้ถึง สิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยประสาทสัมผัสนั่นเอง

94. “เสรีภาพในสภาวะธรรมชาติเป็นเสรีภาพที่ไม่มีคุณค่า และไม่สามารถนํามาใช้อ้างอิงได้ เพราะเสรีภาพ ดังกล่าวเป็นเสรีภาพที่มนุษย์นั้นอยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่รวมกับคนอื่น ๆ ซึ่งเสรีภาพแบบนี้ไม่ต่างอะไรกับ เสรีภาพของคนบ้า หรือของโจรปล้นทรัพย์ หรือของฆาตกรที่หนีออกมาจากกรงขังได้” เป็นคํากล่าว ของนักคิดคนใด
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

95. ใครเป็นผู้เสนอคําอธิบายที่ว่า กฎหมายจะเป็นกฎหมายได้ก็ต้องมีการบังคับลงโทษผู้ที่ไม่ทําตามคําสั่ง
(1) John Austin
(2) Thomas Hobbes
(3) Immanuet Kant
(4) Aristotle
(5) Socrates
ตอบ 1 หน้า 58 จอห์น ออสติน (John Austin) นักปรัชญากฎหมายชาวอังกฤษ ได้เสนอทฤษฎี การบังคับบัญชาของกฎหมาย (Command Theory of Law) โดยอธิบายว่า กฎหมายจะเป็น กฎหมายได้นั้นก็ต้องมีการบังคับลงโทษผู้ที่ไม่ทําตามคําสั่งหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งเขา ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า “คําสั่งใด ๆ ของผู้มีอํานาจนั้นจะเป็นกฎหมายหรือไม่ ต้องพิจารณา จากประเด็นในเรื่องที่ว่า ถ้ามีคนใดคนหนึ่งไม่ปฏิบัติตามกฎหมายนั้นสามารถลงโทษได้หรือไม่ ถ้าลงโทษได้ คําสั่งนั้นก็คือกฎหมาย”

96. คําถามประเภทที่ว่า กฎหมายคืออะไร มนุษย์มีเสรีภาพหรือไม่
(1) Philosophia Perennis
(2) Logic
(3) Polis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 1 หน้า 7 คําถามอมตะ (Philosophia Perennis) เป็นคําถามทางปรัชญา โดยนักคิดหรือ นักปรัชญาการเมืองมีความเชื่อว่า ในโลกใบนี้มีความจริงหรือสัจธรรมที่ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ แม้ว่าโลกจะเปลี่ยนไปเท่าใด และมีปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมากมายเพียงใด แต่ภายใต้ ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่พบเห็นมันมีความรู้ที่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ ดังนั้นนักคิดที่คิดว่า ตัวเองเป็นนักปรัชญาการเมืองจึงพยายามอย่างยิ่งที่จะหาความรู้อันจริงแท้ด้วยการพยายาม หาคําตอบจากคําถามอมตะต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น ทําไมมนุษย์ต้องมีการเมือง สังคมการเมือง หรือรัฐคืออะไร ทําไมเราต้องอยู่ในสังคมการเมืองหรือรัฐ กฎหมายคืออะไร ทําไมเราต้อง เชื่อฟังกฎหมาย มนุษย์มีเสรีภาพหรือไม่ ผู้ปกครองที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ใครควรที่จะเป็น ผู้ปกครอง เป็นต้น

97. เป็นสาขาความรู้ที่ในด้านหนึ่งสนใจเรื่องการใช้เหตุผลของมนุษย์
(1) Philosophia Perennis
(2) Logic
(3) Polis
(4) Democracy
(5) Sophist
ตอบ 2 หน้า 3 ตรรกวิทยา (Logic) เป็นสาขาที่ไม่ได้มุ่งศึกษาถึงสิ่งที่เป็นพื้นฐานเหมือนสาขาอื่น ๆ แต่เป็นการศึกษาถึงวิธีการให้เหตุผลหรือการอ้างเหตุผลในเรื่องต่าง ๆ ของมนุษย์ว่ามีลักษณะ โดยทั่วไปแล้วสิ่งที่เรียกว่าตรรกวิทยานั้นมักจะเป็นเครื่องมือสมเหตุสมผลหรือไม่อย่างไรในการแสวงหาความรู้ของนักคิดนักปรัชญาเสียมากกว่า

98.“Man is condemned to be free” เป็นคําพูดของใคร
(1) John Stuart Mill
(2) Jean Paul Sartre
(3) Edmund Burke
(4) Niccolo Machiavelli
(5) Thomas Hobbes
ตอบ 2 หน้า 144 – 145, (คําบรรยาย) ฌอง ปอล ซาร์ต (Jean Paul Sartre) มองว่า การที่มนุษย์ มีเสรีภาพ มนุษย์ก็ต้องมีความรับผิดชอบในเสรีภาพนั้นด้วย ดังที่เขากล่าวว่า “มนุษย์ถูกสาป ให้มีเสรีภาพ (Man is condemned to be free)… เมื่อมนุษย์เกิดขึ้นบนโลกนี้ เขาก็ต้อง รับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่เขากระทํา และพวกที่เชื่อในแนวคิดอัตถิภาวะนิยมจะไม่ยอมรับในอํานาจ แห่งอารมณ์ เขาจะไม่มีทางเห็นด้วยว่า อารมณ์ที่รุนแรงคือสายน้ําเชี่ยวกรากที่นํามนุษย์ให้ กระทําการต่าง ๆ เสมือนหนึ่งถูกลิขิตไว้ และมนุษย์จะถืออารมณ์เป็นข้อแก้ตัวให้ตนเองไม่ได้ เพราะมนุษย์จะต้องรับผิดชอบต่ออารมณ์ของตนเอง”

99. ผู้ใดต่อไปนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นหมอสอนศาสนาคนแรกในประวัติศาสตร์ของคริสเตียน
(1) Saint Paul
(2) Saint Peter
(3) Saint Pancras
(4) Saint Petersburg
(5) Saint Augustine
ตอบ 1 หน้า 67 เปาโลหรือนักบุญพอล (Saint Paul) ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของพระเยซูสิบสองคนโดยตรง เหมือนกับนักบุญปีเตอร์ แต่ตามตํานานกล่าวว่าหลังพระเยซูเสียชีวิตที่กางเขนแล้ว พระเยซู ได้มาปรากฏให้เปาโลเห็นเพื่อเลือกเปาโลให้มารับใช้พระอง จึงทําให้เปาโลซึ่งเป็นยิว อย ข่มเหงพวกคริสเตียนอยู่ตลอดเวลา กลับใจหันมาอุทิศชีวิตป่าวประกาศเรื่องราวของพระเยซู จนได้ชื่อว่าเป็นผู้วางรากฐานให้กับศาสนาคริสต์ที่สําคัญคนหนึ่ง หรือกล่าวง่าย ๆ ก็คือ เปาโล คือหมอสอนศาสนาคนแรกในประวัติศาสตร์ของคริสเตียน

100. ใครเชื่อว่าสังคมการเมืองเป็นสิ่งที่เป็นไปโดยธรรมชาติ
(1) Aristotle
(2) Jean Jacques Rousseau
(3) Thomas Hobbes
(4) Telos
(5) Arete
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 17. ประกอบ

WordPress Ads
error: Content is protected !!