LAW 3011 กฎหมายลักษณะพยาน 2/2551

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  (ก)  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  84  บัญญัติว่า  การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีใดจะต้องกระทำโดยอาศัยพยานหลักฐานในสำนวนคดีนั้น เว้นแต่  (3)  ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล  ให้นักศึกษาอธิบายว่า  ในคดีแพ่ง  ข้อเท็จจริงใดเป็นข้อเท็จจริงที่ถือว่าคู่ความรับกันแล้วในศาล

(ข)  โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยที่  1  ลูกจ้างของจำเลยที่  2  ได้ขับรถโดยสารของจำเลยที่  2  ด้วยความประมาทชนเสาไฟฟ้าข้างถนนเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งนั่งมาในรถโดยสารคันดังกล่าวได้รับอันตรายแก่กาย  ต้องเสียค่ารักษาพยาบาล  5,000  บาท  ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน  5,000  บาท  พร้อมดอกเบี้ย  จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่า  จำเลยที่  1  ไม่ได้ขับรถโดยสารด้วยความประมาท  ความเสียหายเกิดแต่เหตุสุดวิสัย  เพราะมีเด็กวิ่งข้ามถนนตัดหน้ารถโดยสารที่จำเลยที่  1  ขับ  โดยกะทันหัน  ในวันเกิดเหตุ  จำเลยที่  1  มาสมัครเข้าทำงานกับจำเลยที่  2  จำเลยที่  2  ให้ไปทดลองขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุ  ยังไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่  2  จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิด  ขอให้ยกฟ้อง

เช่นนี้  คดีมีประเด็นข้อพิพาทและภาระการพิสูจน์ประการใด

ธงคำตอบ

(ก)   อธิบาย

นคดีแพ่ง  ข้อเท็จจริงดังต่อไปนี้เป็นข้อเท็จจริงที่ถือว่าคู่ความรับกันแล้วในศาล

1       เมื่อจำเลยได้รับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแล้ว  จำเลยต้องทำคำให้การเป็นหนังสือยื่นต่อศาลภายใน  15  วัน  ซึ่งจำเลยจะต้องให้การโดยชัดแจ้งว่าจะยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนรวมทั้งเหตุแห่งการนั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  แต่อย่างไรก็ดี  ในกรณีดังต่อไปนี้  แม้จำเลยจะให้การโดยไม่ชัดแจ้ง  แต่ก็ถือได้ว่าจำเลยยอมรับแล้ว  หรือที่เรียกว่าเป็นการยอมรับโดยปริยาย  ดังนี้ 

จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธฟ้องข้อใด  กล่าวคือ  เมื่อจำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธฟ้องข้อใด  ก็ถือโดยปริยายว่าจำเลยยอมรับโดยปริยายในฟ้องข้อนั้นแล้ว  เว้นแต่ในเรื่องค่าเสียหายและในกรณีที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ  ซึ่งแม้จำเลยจะไม่ได้โต้แย้งในเรื่องค่าเสียหาย  หรือไม่ได้ยื่นคำให้การก็จะถือว่าจำเลยยอมรับในข้อนั้นไม่ได้

จำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์โดยไม่ชัดแจ้ง  เช่น  ให้การว่า  นอกจากที่จำเลยให้การต่อไปนี้ขอให้ถือว่าปฏิเสธฟ้องโจทก์  หรือ   นอกจากให้การไปแล้วให้ถือว่าปฏิเสธ  เป็นต้น  ซึ่งคำให้การในลักษณะนี้  ถือเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้ง  ต้องถือว่าจำเลยยอมรับตามฟ้อง 

2        คำรับตามที่ศาลสอบถามในการชี้สองสถาน  กล่าวคือ  ในการชี้สองสถานแต่ละฝ่ายจะต้องตอบคำถามที่ศาลถามเอง  หรือถามตามคำขอของคู่ความฝ่ายอื่น  อันเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายอื่นยกขึ้นอ้าง  ถ้าคู่ความฝ่ายใดไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงใด  หรือปฏิเสธข้อเท็จจริงใดโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร  ให้ถือว่ายอมรับข้อเท็จจริงนั้นแล้ว  เว้นแต่คู่ความฝ่ายนั้นไม่อยู่ในวิสัยที่จะตอบหรือแสดงเหตุผลแห่งการปฏิเสธได้ขณะนั้น  (ป.วิ.พ. มาตรา  183  วรรคสอง)

3       คำรับตามที่คู่ความสอบถาม  กล่าวคือ  คู่ความฝ่ายใดประสงค์จะอ้างข้อเท็จจริงใดและขอให้คู่ความฝ่ายอื่นตอบรับว่าจะรับรองข้อเท็จจริงนั้นว่าถูกต้องหรือไม่  เมื่อได้ร้องขอต่อศาลในวันสืบพยานให้ศาลสอบถามคู่ความฝ่ายอื่น  ว่าจะยอมรับข้อเท็จจริงตามที่ได้รับคำบอกกล่าวนั้นว่าถูกต้องหรือไม่  ถ้าคู่ความฝ่ายนั้นไม่ยอมตอบคำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงใด  หรือปฏิเสธข้อเท็จจริงใดโดยไม่มีเหตุผลแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้ง  ในขณะนั้น  ให้ถือว่าได้ยอมรับข้อเท็จจริงนั้นแล้ว  เว้นแต่ศาลจะเห็นว่าคู่ความฝ่ายนั้นไม่อยู่ในวิสัยที่จะตอบหรือแสดงเหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้งในขณะนั้น  กรณีเช่นนี้  ศาลจะมีคำสั่งให้คู่ความฝ่ายนั้นทำคำแถลงเกี่ยวกับข้อเท็จจริงมายื่นต่อศาลในเวลาที่ศาลเห็นสมควรก็ได้  (ป.วิ.พ.  มาตรา  100)

4       คำรับเกี่ยวกับเอกสาร  กล่าวคือ  การไม่ส่งต้นฉบับเอกสารในความครอบครองตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  123, 124  ให้ถือว่าข้อเท็จจริงแห่งข้ออ้างที่ผู้ขอจะต้องนำสืบโดยเอกสารนั้น  คู่ความฝ่ายที่ไม่ยื่นเอกสารดังกล่าวได้ยอมรับแล้ว  หรือการไม่คัดค้านเอกสารโดยเหตุที่ว่าไม่มีต้นฉบับหรือต้นฉบับนั้นปลอมทั้งฉบับหรือบางส่วน  หรือสำเนาไม่ถูกต้องกับต้นฉบับ  ก็ถือว่าคู่ความฝ่ายที่ไม่ได้คัดค้านได้ยอมรับความถูกต้องในเอกสารนั้นแล้วตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  125

5       คำรับตามข้อตกลง  (คำท้า)  กล่าวคือ  เป็นการกระทำในศาลโดยยอมรับข้อเท็จจริงตามที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้างโดยมีเงื่อนไขบังคับก่อน แต่เงื่อนไขนั้นจะต้องเป็นเงื่อนไขที่เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนการพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่ง  ถ้าผลแห่งการดำเนินกระบวนการพิจารณานั้นสมความประสงค์ของคู่ความฝ่ายใดตามที่ท้ากันอีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องยอมรับตามข้ออ้างของฝ่ายที่สมประสงค์นั้นทั้งหมด

(ข)  หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

มาตรา  84/1  คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตนให้คู่ความฝ่ายนั้นมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น  แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายหรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็นซึ่งปรากฏจากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  425  นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด  ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น

มาตรา  437  วรรคแรก  บุคคลใดครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใดๆอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลบุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย  หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง

มาตรา  438  ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น  ให้ศาลวินิจฉัยตามสมควรแก่พฤติการณ์และความร่ายแรงแห่งละเมิด

วินิจฉัย

ประเด็นข้อพิพาท  หมายถึง  ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ  และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ  ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว  ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท

กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อพิจารณาจากคำฟ้องและคำให้การของโจทก์จำเลยรับฟังได้ว่า  ขณะเกิดเหตุจำเลยที่  1  เป็นผู้ควบคุมดูแลรถโดยสารซึ่งเป็นยานพาหนะอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล  และโจทก์ได้รับความเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น  จำเลยที่  1  ไม่ได้ให้การปฏิเสธข้อเท็จจริงในส่วนนั้น  ต้องถือว่าจำเลยที่  1  ยอมรับข้อเท็จจริงในส่วนนี้แล้ว  จำเลยที่  1  จึงตองรับผิดในอันตรายแก่กายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า  ความเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยตามที่จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ไว้

ส่วนจำเลยที่  2  ให้การปฏิเสธแต่เพียงว่าจำเลยที่  2  ไม่ได้เป็นนายจ้างของจำเลยที่  1  หากข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  จำเลยที่  1  เป็นลูกจ้างของจำเลยที่  2  ก็ต้องถือว่าจำเลยที่  2  ยอมรับจำเลยที่  1  ได้กระทำไปในทางที่จ้างของจำเลยที่  2  นกจากนี้  จำเลยทั้งสองไม่ได้ปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ได้รับความเสียหายตามฟ้อง  จึงต้องถือว่าจำเลยทั้งสองรับกันว่าโจทก์ได้รับความเสียหายตามฟ้องด้วยเช่นกัน

ดังนั้น  คดีตามอุทาหรณ์จึงมีประเด็นข้อพิพาท  ดังนี้

1       ความเสียหายตามฟ้องเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือไม่

2       จำเลยที่  2  เป็นนายจ้างของจำเลยที่  1  หรือไม่

3       โจทก์เสียหายเพียงใด

สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84/1  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ  ซึ่งแยกพิจารณาตามประเด็นได้ดังนี้

ประเด็นแรก  ที่ว่า  ความเสียหายตามฟ้องเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือไม่  ในส่วนนี้เนื่องจากโจทก์ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  437  ที่ว่า  บุคคลใดครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะอย่างใดๆ  อันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล  บุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัย  หรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง  ดังนี้  ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลยทั้งสองที่ต้องพิสูจน์หักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเหตุตามฟ้องเกิดแต่เหตุสุดวิสัย  ซึ่งหากจำเลยทั้งสองพิสูจน์ไม่ได้  จำเลยทั้งสองก็ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่โจทก์

ประเด็นที่สอง  ที่ว่า  จำเลยที่  2  เป็นนายจ้างของจำเลยที่  1  หรือไม่  ในส่วนนี้เมื่อโจทก์กล่าวอ้างจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ  ในประเด็นดังกล่าวนี้  แม้จำเลยทั้งสองจะไม่ได้อ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่  แต่ความสัมพันธ์ในฐานะนายจ้างกับลูกจ้างเป็นเรื่องภายในของนายจ้างกับลูกจ้าง  ซึ่งบุคคลภายนอกย่อมไม่อาจรู้ดีกว่านายจ้างกับลูกจ้าง  ดังนี้  ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่จำเลยทั้งสอง

ประเด็นที่  3  ที่ว่า  โจทก์เสียหายเพียงใด  เมื่อโจทก์กล่าวอ้าง  แม้จำเลยจะไม่ได้ให้การโต้แย้งจำนวนเงินค่าเสียหายด้วย  ภาระการพิสูจน์ข้อนี้ก็ยังคงตกแก่โจทก์  (เป็นหน้าที่ของฝ่ายที่เรียกร้องจะต้องนำสืบถึงจำนวนค่าเสียหาย)  แต่โจทก์ไม่นำสืบหรือนำสืบไม่ได้ตามฟ้อง  ศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ได้เองตามสมควร  โดยพิจาณาจากพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตาม  ป.พ.พ. มาตรา  438  วรรคแรก

สรุป  คดีมีประเด็นข้อพิพาท  ดังนี้

1       ความเสียหายตามฟ้องเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือไม่  ภาระการพิสูจน์ข้อนี้ตกแก่จำเลยทั้งสอง

2       จำเลยที่  2  เป็นนายจ้างของจำเลยที่  1  หรือไม่  ภาระการพิสูจน์ข้อนี้ตกแก่จำเลยทั้งสอง

3       โจทก์เสียหายเพียงใด  ภาระการพิสูจน์ข้อนี้ตกแก่โจทก์

 


ข้อ  2  พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องว่า  จำเลยกับพวกที่หลบหนีร่วมกันทำร้ายร่างกายนายหนึ่งจนเป็นเหตุให้นายหนึ่งถึงแก่ความตาย  ขอให้ลงโทษ  จำเลยให้การปฏิเสธ  โจทก์อ้างนายสองกับนายสามซึ่งเห็นเหตุการณ์  และนายสี่มาเบิกความเป็นพยานในชั้นศาล  จำเลยคัดค้านว่า  ในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนได้ถามคำให้การนายสองและนายสามไปพร้อมๆกันต่อหน้ากันและกัน  คำเบิกความของนายสองและนายสามในชั้นศาลที่เบิกความตามคำให้การในชั้นสอบสวนจึงเป็นพยานที่รับฟังไมได้  ส่วนนายสี่ก็ร่วมกระทำผิดกับจำเลย  แต่ถูกกันไว้เป็นพยานจึงรับฟังไม่ได้  ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า  พนักงานสอบสวนได้สอบถามคำให้การนายสองและนายสามไปพร้อมๆกันต่อหน้ากันและกัน  และได้กันนายสี่ซึ่งร่วมกระทำผิดกับจำเลยไว้เป็นพยานจริง

ให้วินิจฉัยว่า  คำคัดค้านของจำเลยดังกล่าวฟังขึ้นหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  15  วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ  ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้

มาตรา  226  พยานวัตถุ  พยานเอกสาร  หรือพยานบุคคลซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมิผิดหรือบริสุทธิ์  ให้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้  แต่ต้องเป็นพยานชนิดที่มิได้เกิดขึ้นจากการจูงใจ  มีคำมั่นสัญญา  ขู่เข็ญ  หลอกลวงหรือโดยมิชอบประการอื่น  และให้สืบตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการสืบพยาน

มาตรา  232  ห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา   114  วรรคแรก  ห้ามไม่ให้พยานเบิกความต่อหน้าพยานอื่นที่จะเบิกความภายหลัง และศาลมีอำนาจที่จะสั่งพยานอื่นที่อยู่ในห้องพิจารณาให้ออกไปเสียได้

วินิจฉัย

เมื่อพนักงานสอบสวนได้ถามคำให้การนายสองและนายสามไปพร้อมๆกันต่อหน้ากันและกัน  คำเบิกความของนายสองและนายสามในชั้นศาลที่เบิกความตามคำให้การในชั้นสอบสวนเป็นพยานที่รับฟังได้หรือไม่  เห็นว่า  แม้ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  114  วรรคแรก  จะบัญญัติว่า ห้ามไม่ให้พยานเบิกความต่อหน้าพยานที่จะเบิกความภายหลัง  ซึ่งนำมาใช้บังคับกับคดีอาญาด้วยก็ตาม  (ป.วิ.อ. มาตรา  15)  แต่ก็เป็นบทบัญญัติที่ใช้บังคับเฉพาะในชั้นพิจารณาของศาลเท่านั้น  ไม่รวมถึงชั้นสอบสวนของพนักงานสอบสวนด้วยแต่ประการใด  ดังนั้น  การที่พนักงานสอบสวนถามคำให้การของนายสองและนายสามไปพร้อมๆกันต่อหน้ากันและกัน  จึงไม่ทำให้การสอบสวนพยานดังกล่าวเสียไป  เมื่อนายสองและนายสามเห็นเหตุการณ์จึงเป็นประจักษ์พยานที่จะนำพิสูจน์ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดจริง  ทั้งก็ไม่ปรากฏว่านายสองและนายสามเป็นพยานชนิดที่เกิดขึ้นจากการจูงใจ  มีคำมั่นสัญญา  ขู่เข็ญ  หลอกลวง  หรือโดยมิชอบประการอื่น  คำเบิกความของนายสองและนายสามในชั้นศาลที่เบิกความตามคำคัดค้านในชั้นสอบสวนจึงเป็นพยานที่ศาลรับฟังได้ตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  226  คำคัดค้านของจำเลยในประเด็นนี้จึงฟังไม่ขึ้น

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยคำคัดค้านของจำเลยประการต่อมามีว่า  นายสี่ที่ได้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยแต่ถูกกันไว้เป็นพยานจะรับฟังคำเบิกความได้หรือไม่  เห็นว่า  การห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยานตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  232  หมายความว่า  ในขณะที่เบิกความ  พยานที่ห้ามต้องอยู่ในฐานะจำเลย  หากพยานที่โจทก์อ้างมิได้อยู่ในฐานะจำเลยแล้วก็ย่อมไม่ต้องห้าม  เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  นายสี่กระทำความผิดกับจำเลยแต่นายสี่ได้ถูกกันไว้เป็นพยาน  แสดงว่า  ในขณะที่นายสี่เบิกความ  นายสี่ไม่ได้อยู่ในฐานะจำเลย  กรณีจึงไม่ต้องด้วย  ป.วิ.อ.  มาตรา  232  อันจะต้องห้ามมิให้รับฟังแต่อย่างใด  คำคัดค้านของจำเลยในประเด็นนี้ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน  (ฎ. 534/2512)

สรุป  คำเบิกความของนายสองและนายสามในชั้นศาลที่เบิกความตามคำในชั้นสอบสวน  จึงเป็นพยานที่ศาลรับฟังได้  และศาลก็สามารถรับฟังคำเบิกความของนายสี่ได้  คำคัดค้านของจำเลยฟังไม่ขึ้นทั้งสองกรณี

 


ข้อ  3  นายแก้วฟ้องนายขวดให้ชำระหนี้เงินกู้จำนวน  
200,000  บาท  พร้อมทั้งดอกเบี้ยที่ระบุไว้ในสัญญากู้  นายขวดจำเลยให้การว่าได้ทำสัญญากู้ตามฟ้องจริง  และในสัญญาได้ระบุว่า  นายขวดยอมให้ดอกเบี้ยร้อยละ  15  แก่นายแก้วทุกเดือน  เป็นการกำหนดอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด  จึงตกเป็นโมฆะ  นายชวดขอชำระหนี้เฉพาะเงินต้นคือ  200,000  บาท  ตามสัญญาเท่านั้น  ในชั้นสืบพยานนายแก้วแถลงว่าอัตราดอกเบี้ยตามที่ระบุไว้ในสัญญาดังกล่าวคิดกันเป็นร้อยละ  15  ต่อปี  ขอนำพยานบุคคลมาสืบถึงข้อตกลงนี้

ดังนี้  ศาลจะอนุญาตให้นายแก้วนำสืบพยานบุคคลได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  94  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้  แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ก)  ขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร  เมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง

(ข)  ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า  ยังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้  มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา  (2)  แห่งมาตรา  93  และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า  พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด  หรือแต่บางส่วน  หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์  หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ย่อมต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสาร  ในเมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง  หรือขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก  เว้นแต่กรณีอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ที่สามารถนำสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารได้  คือ

1       กรณีต้นฉบับเอกสารสูญหาย  หรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย  หรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น

2       พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอม

3       พยานเอกสารที่แสดงนั้นไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือบางส่วน

4       สัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารไม่สมบูรณ์

5       คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด

การที่นายแก้วประสงค์จะนำสืบถึงอัตราดอกเบี้ยที่ระบุไว้ในสัญญาดังกล่าวคิดเป็นร้อยละ  15  ต่อปี  ไม่ใช่ร้อยละ  15  ต่อเดือน  กรณีจึงถือว่าเป็นการสืบว่านายขวดตีความหมายของข้อความในเอกสารผิดไป  และเป็นการนำสืบอธิบายความหมายที่แท้จริงในสัญญา  ไม่ถือว่าเป็นการนำพยานบุคคลมาสืบเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  นายแก้งจึงนำพยานบุคคลมาสืบได้ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94  วรรคท้าย  ศาลจึงอนุญาตให้นำพยานบุคคลมาสืบได้  (เทียบ  ฎ. 1601/2520)

สรุป  ศาลอนุญาตให้นายแก้วนำสืบพยานบุคคลได้ 

LAW 3011 กฎหมายลักษณะพยาน S/2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่  1234  เป็นของโจทก์  ถูกฝ่ายจำเลยบุกรุกเข้าครอบครอง  จำเลยปฏิเสธไม่ยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์  ทั้งยังต่อสู้ว่าเป็นที่ดินตามโฉนดเลขที่  1342  อันเป็นที่ดินของฝ่ายจำเลย  คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทอย่างไร  และฝ่ายใดมีหน้าที่นำสืบ  จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  84/1  คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตนให้คู่ความฝ่ายนั้นมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น  แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายหรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็น

ซึ่งปรากฏจากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  1373  ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดิน  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง

วินิจฉัย

ประเด็นข้อพิพาท  หมายถึง  ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ  และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ  ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว  ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท

กรณีตามอุทาหรณ์  คดีมีประเด็นข้อพิพาทอย่างไรนั้น  เห็นว่า  เมื่อพิจารณาจากคำฟ้องของโจทก์ที่ว่า  ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่  1234  เป็นของโจทก์  ถูกฝ่ายจำเลยบุกรุกเข้าครอบครอง  และจากคำให้การต่อสู้ของจำเลยที่ไม่ยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์  ทั้งยังต่อสู้ว่า  เป็นที่ดินตามโฉนดเลขที่  1342  อันเป็นที่ดินของฝ่ายจำเลย  ดังนี้ประเด็นข้อพิพาทจึงมีเพียงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใด  (ฎ. 1992/2511)

สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้น  ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84/1  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใดผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ  เมื่อโจทก์เป็นผู้กล่าวอ้าง  จำเลยให้การปฏิเสธ  โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบตามหลัก  ป.วิ.พ.  มาตรา  84/1  และในกรณีดังกล่าวนี้  ย่อมไม่อาจปรับเข้าข้อสันนิษฐานตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1373  ที่ว่า  ผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครองได้  เพราะกรณีไม่ใช่เป็นการพิพาทกันว่า  ใครมีสิทธิดีกว่ากันในที่ดินที่มีโฉนด  แต่เป็นการพิพาทกันว่าที่พิพาทอยู่ในโฉนดของฝ่ายใด  (ฎ. 2227/2533)

สรุป  คดีมีประเด็นพิพาท  คือ  ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่อยู่ในโฉนดของฝ่ายใด  และหน้าที่นำสืบตามประเด็นข้อพิพาทตกแก่โจทก์

หมายเหตุ  กรณีนี้ทั้งโจทก์และจำเลยต่างมีชื่อในโฉนดที่ดิน  แต่พิพาทกันว่าที่พิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใด  ในกรณีเช่นนี้โจทก์และจำเลยต่างไม่ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐาน  เพราะผู้มีชื่อในโฉนดหรือ  น.ส. 3จะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม  ป.พ.พ. มาตรา  1373  ก็ต่อเมื่อข้อเท็จจริงยุติแล้วว่า  ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินอยู่ในเขตโฉนดของฝ่ายใด  เป็นของโจทก์หรือจำเลยแล้ว  แต่เมื่อข้อเท็จจริงยังไม่ยุติว่าเป็นของฝ่ายใดเป็นการพิพาทกันก่อนที่ข้อสันนิษฐานจะมีผลใช้บังคับ  จึงต้องกลับไปใช้หลักทั่วไปที่ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างผู้นั้นมีภาระการพิสูจน์  ดังนั้น  คดีนี้โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้าง  จำเลยให้การปฏิเสธ  โจทก์ก็ต้องมีภาระการพิสูจน์  (ฎ. 2227/2533  ฎ.467/2548)

 


ข้อ  2  การสืบพยานหลักฐานในคดีอาญานั้น  มีกรณีใดบ้างที่ไม่ได้กระทำในศาลที่รับฟ้องคดี

อธิบาย

การสืบพยานหลักฐานในคดีอาญานั้น  มีกรณีที่ไม่ได้ทำในศาลที่รับฟ้องคดีดังต่อไปนี้  คือ

1       ศาลเห็นสมควรให้เดินเผชิญสืบ  กล่าวคือ  โดยหลักแล้ว  ศาลซึ่งเป็นผู้สืบพยานจะสืบพยานในศาลหรือนอกศาลก็ได้  แต่ถ้ามีคู่ความที่เกี่ยวข้องร้องขอ  หรือเมื่อศาลเห็นว่าเป็นการสมควร  ศาลก็อาจเดินเผชิญสืบพยานหลักฐานก็ได้  (ป.วิ.อ.  มาตรา  229  ประกอบมาตรา  230  วรรคแรก)

2       ศาลเห็นสมควรให้ส่งประเด็นไปสืบที่ศาลอื่น  กล่าวคือ  เมื่อมีเหตุจำเป็นไม่สามารถนำพยานหลักฐานมาสืบที่ศาลซึ่งกำลังพิจารณาคดีได้  และการสืบพยานหลักฐานโดยวิธีอื่นก็ไม่สามารถกระทำได้  กรณีเช่นนี้  ศาลมีอำนาจส่งประเด็นให้ศาลอื่นสืบพยานหลักฐานแทน  ทั้งให้ศาลที่รับประเด็นมีอำนาจและหน้าที่ดังศาลเดิม  รวมทั้งมีอำนาจส่งประเด็นต่อไปยังศาลอื่นได้  (ป.วิ.อ.  มาตรา  230  วรรคแรก)

3       ศาลอนุญาตให้พยานเบิกความนอกศาล  กล่าวคือ  ในกรณีที่มีเหตุจำเป็นอันไม่อาจนำพยานมาเบิกความในศาลได้  เมื่อคู่ความร้องขอหรือศาลเห็นสมควร  กรณีเช่นนี้  ศาลก็อาจอนุญาตให้พยานดังกล่าวเบิกความที่ศาลอื่น  หรือสถานที่ทำการของทางราชการหรือสถานที่แห่งอื่นนอกจากศาลนั้น  โดยจัดให้มีการถ่ายทอดภาพและเสียงในลักษณะการประชุมทางจอภาพได้  (ป.วิ.อ.  มาตรา  230/1)

4       ศาลอนุญาตให้คู่ความเสนอบันทึกถ้อยคำของบุคคลซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศแทนการนำพยานบุคคลมาเบิกความต่อศาล  กล่าวคือ  เป็นกรณีที่พยานอยู่ต่างประเทศและไม่อาจสืบพยานตาม  ข้อ  3  ได้  กรณีเช่นนี้  เมื่อคู่ความร้องขอหรือศาลเห็นสมควร  ศาลจะอนุญาตให้เสนอบันทึกคำยืนยันข้อเท็จจริงหรือความเห็นของผู้ให้ถ้อยคำซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศแทนการนำพยานบุคคลมาเบิกความต่อศาลได้  แต่ก็ไม่ตัดสิทธิผู้ให้ถ้อยคำที่จะมาศาลเพื่อให้การเพิ่มเติม  (ป.วิ.อ.  มาตรา  230/2)

 


ข้อ  3  โจทก์ฟ้องว่า  เมื่อเดือนมีนาคม  2540  โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อบ้านพร้อมที่ดินซึ่งจำเลยจัดสรรขายจำนวน  1  หลัง  เป็นเงิน  
2,500,000  บาท  ผ่อนชำระเป็นรายเดือน  รวม  20  เดือน  โจทก์ชำระราคาครบถ้วนแล้ว  แต่จำเลยผิดสัญญา  เพิ่งจะก่อสร้างบ้านได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น  จึงขอเลิกสัญญาและให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์  จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า  สัญญาจะซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยไม่ได้กำหนดเวลาส่งมอบบ้านไว้  จำเลยไม่ได้ผิดสัญญา  ขอให้ยกฟ้อง  ระหว่างสืบพยาน  โจทก์อ้างตนเองและแผ่นพับโฆษณาของจำเลยที่มีข้อความว่า  จำเลยจะเริ่มก่อสร้างบ้านในโครงการ  ในต้นเดือนมกราคม  2540  และจะก่อสร้างบ้านให้แก่ผู้ซื้อเสร็จภายในสิ้นปี  2541 เป็นพยานโดยโจทก์เบิกความว่าตามที่จำเลยลงโฆษณาไว้ได้ล่วงเลยกำหนดเวลาส่งมอบบ้านไปแล้ว  ส่วนจำเลยอ้างนายจันทร์เป็นพยานเบิกความว่า  โครงการก่อสร้างของจำเลยมีปัญหาสินเอกับสถาบันการเงิน  จึงเริ่มต้นก่อสร้างล่าช้า  จำเลยได้ตกลงกับลูกค้าว่าขอเลื่อนกำหนดเวลาส่งมอบบ้านเป็นภายในสิ้นปี  2542  ซึ่งขณะที่โจทก์ฟ้องยังไม่ครบกำหนดเวลาส่งมอบบ้านตามที่ตกลงกัน

ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยที่นำสืบดังกล่าวต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา 94 (ข)  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  94  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้  แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ข)  ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า  ยังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

วินิจฉัย

พยานหลักฐานของโจทก์และของจำเลยที่นำสืบดังกล่าวต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  หรือไม่  เห็นว่า  แม้ได้ความว่าสัญญาจะซื้อจะขายบ้านพร้อมที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลย  จะเป็นกรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ซึ่งโดยหลักแล้ว  ศาลย่อมไม่อาจรับฟังพยานบุคคลในกรณีที่ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า  ยังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก  แต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  สัญญาดังกล่าวมิได้กำหนดเวลาส่งมอบบ้านอันเป็นสาระสำคัญไว้  จึงเป็นสัญญาที่ไม่ชัดแจ้งโจทก์และจำเลยจึงมีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานอื่นมาสืบอธิบานให้เห็นถึงกำหนดระยะเวลาส่งมอบอันเป็นการนำสืบถึงข้อตกลงต่างหากจากสัญญาจะซื้อขายเพื่อให้สัญญาชัดเจนว่ากำหนดเวลาสร้างแล้วเสร็จจะเป็นเวลาใดและปฏิบัติตามสัญญาได้  หาใช่เป็นการนำพยานบุคคลมาสืบเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  แต่ประการใด  (ฎ. 851/2544)

สรุป  พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยที่นำมาสืบดังกล่าวไม่ต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)   

LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 1/2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตโฉนดที่ดินของโจทก์  โจทก์ขอรังวัดตรวจสอบแนวเขต  แต่จำเลยคัดค้าน  โจทก์ได้รับความเสียหาย  ขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และห้ามจำเลยคัดค้านการรังวัดสอบเขต  จำเลยให้การว่า  โจทก์นำรังวัดไม่ถูกต้อง ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยเนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามโฉนดที่ดิน  เลขที่  5555  ซึ่งจำเลยซื้อมาจากพี่สาวของจำเลยตั้งแต่ปี  2540  และในปีเดียวกันนั้นเอง  จำเลยได้ให้น้องสาวปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่ดินซึ่งส่วนหนึ่งเป็นที่ดินพิพาท  อย่างไรก็ดี  หากฟังว่าที่ดินพิพาทอยู่ในโฉนดที่ดินของโจทก์  จำเลยก็ได้ครอบครองที่ดินพิพาทโดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลานานกว่า  10  ปี  จนจำเลยได้กรรมสิทธ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว  ขอให้ยกฟ้อง  ให้วินิจฉัยว่า

(1) คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทและภาระการพิสูจน์ประการใด  กับคู่ความฝ่ายใดควรมีหน้าที่นำสืบก่อน

(2) ถ้าในวันชี้สองสถาน  โจทก์และจำเลยแถลงร่วมกันต่อศาลชั้นต้นขอให้สั่งเจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดทำแผนที่พิพาทโดยให้รังวัดตามหลักวิชาการ  หากผลการทำรังวัดปรากฏว่าบ้านของน้องสาวจำเลยปลูกอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์  จำเลยยอมแพ้  หากปลูกอยู่นอกเขตที่ดินของโจทก์  โจทก์ยอมแพ้  ต่อมาเจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการรังวัดทำแผนที่พิพาทด้วยวิธีการส่องกล้องถูกต้องตามหลักวิชาการแล้ว  มีความเห็นว่า  ที่ดินพิพาทน่าจะอยู่ในแนวเขตที่ดินของโจทก์แต่จำเลยอ้างว่า  การที่เจ้าพนักงานที่ดินให้ความเห็นว่า  น่าจะ  นั้นไม่เป็นไปตามคำท้า  ขอให้ศาลสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป  ดังนี้  ข้ออ้างของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  84  การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีใดจะต้องกระทำโดยอาศัยพยานหลักฐานในสำนวนคดีนั้น  เว้นแต่

(3) ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล

มาตรา  84/1  คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตนให้คู่ความฝ่ายนั้นมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น  แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายหรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะเป็นซึ่งปรากฏจากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว

มาตรา  183  ข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างแต่คู่ความฝ่ายอื่นไม่รับและเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับประเด็นข้อพิพาทตามคำคู่ความให้ศาลกำหนดไว้เป็นประเด็นพิพาท  และกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดนำพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นก่อนหรือหลังก็ได้

วินิจฉัย

(1) ประเด็นข้อพิพาท  หมายถึง  ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ  และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ  ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว  ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท

กรณีตามอุทาหรณ์  คดีมีประเด็นข้อพิพาทอย่างไรนั้น  เห็นว่า  เมื่อโจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท  จำเลยให้การตอนแรกว่าจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยซื้อมาจากพี่สาวของจำเลยตั้งแต่ปี  2540  ถือเป็นคำให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้งพร้อมด้วยเหตุแห่งการปฏิเสธตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  คดีจึงมีประเด็นพิพาทที่ว่าที่ดินเป็นของโจทก์หรือไม่

ส่วนข้อที่จำเลยให้การในตอนท้ายว่า  หากฟังได้ว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์จำเลยที่  1  ก็ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้วนั้น  เป็นคำให้การขัดแย้งกับคำให้การตอนแรก  ซึ่งอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยเพราะซื้อมา  จึงไม่มีประเด็นเรื่องการครอบครองปรปักษ์ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1382  เพราะการครอบครองปรปักษ์จะมีได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น  (ฎ. 5473/2548)

นอกจากนี้ข้อที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ได้รับความเสียหายนั้น  เนื่องจากโจทก์ไม่ได้มีคำขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายมาด้วย  จึงไม่มีประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัย  ไม่ต้องกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาท

สำหรับภาระการพิสูจน์หรือหน้าที่นำสืบนั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84/1  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใดเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตน  ผู้นั้นมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น  ดังนั้นเมื่อโจทก์กล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์  และจำเลยให้การปฏิเสธ  ภาระการพิสูจน์ย่อมตกแก่โจทก์ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว

อนึ่งหน้าที่นำสืบก่อนนั้น  เป็นหน้าที่ของคู่ความในการนำเสนอพยานหลักฐานตามลำดับก่อนหลังซึ่งเป็นกระบวนการหรือขั้นตอนการนำข้อเท็จจริงเข้าสู่สำนวนคดีของศาลเพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการดำเนินกระบวนพิจารณาตามมาตรา  183  บัญญัติให้ศาลกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดนำพยานหลักฐานมาสืบในประเด็นข้อพิพาทข้อใดก่อนหรือหลังก็ได้  กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อโจทก์มีภาระการพิสูจน์  ศาลก็สมควรสั่งให้โจทก์นำพยานหลักฐานเข้าสืบก่อนแล้วห้ำเลยสืบแก้

(2) คำท้า  คือ  การที่คู่ความแถลงว่าจะรับในข้อเท็จจริงอย่างใดอย่างหนึ่งถ้าอีกฝ่ายหนึ่งจะยอมดำเนินกระบวนการพิจารณาเพียงเท่าที่ท้ากันนั้นได้  ถ้าไม่ได้  อีกฝ่ายหนึ่งก็จะยอมรับข้อเท็จจริงตามที่ฝ่ายนั้นกล่าวอ้าง  กรณีนี้  เมื่อโจทก์และจำเลยตกลงท้ากันให้ถือเอาผลการรังวัดสอบเขตที่ดินพิพาทตามหลักวิชาการเป็นข้อชี้ขาดปัญหา  เมื่อเจ้าพนักงานที่ดินได้ดำเนินการรังวัดทำแผนที่พิพาทโดยถูกต้องตามหลักวิชาการแล้ว  ละให้ความเห็นว่า  ที่ดินพิพาทน่าจะอยู่ในแนวเขตที่ดินของโจทก์  ย่อมถือได้ว่าผลของการรังวัดสอบเขตสมความประสงค์ของคู่ความและตรงตามคำท้าของโจทก์และจำเลยที่ตกลงกันแล้วตามมาตรา  84(3)  การที่เจ้าพนักงานที่ดินให้ความเห็นว่า  น่าจะ  นั้น  เป็นเพราะความเห็นที่ให้นั้นเกิดจากข้อเท็จจริงที่พบเห็นจากพยานหลักฐานในขณะกำลังทำการรังวัด  หาใช่เป็นการไม่ยืนยันมั่นคงแต่อย่างใดไม่  จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีตามคำท้า  ข้ออ้างของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  จึงฟังไม่ขึ้น  (ฎ. 4476/2544, ฎ.5992/2545)

สรุป

(1) ประเด็นข้อพิพาทมีว่า  ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่  และภาระการพิสูจน์เป็นของโจทก์  ดังนั้นโจทก์จึงควรมีหน้าที่นำสืบก่อน

(2) ข้ออ้างของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ฟังไม่ขึ้น

 


ข้อ  2  คดีมีประเด็นข้อพิพาทว่า  จำเลยกู้เงินโจทก์ตามฟ้องหรือไม่  ชั้นพิจารณาโจทก์นำสืบมีตัวโจทก์  ทนายโจทก์  และผู้เขียนสัญญากู้เป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า  จำเลยกู้เงินโจทก์โดยลงชื่อในช่องผู้กู้เงินในสัญญากู้ที่อ้างส่งเป็นพยาน  ส่วนจำเลยนำสืบโดยอ้างว่าส่งรายงานความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ทำการตรวจพิสูจน์ลายเซ็นของจำเลยในช่องผู้กู้ในสัญญากู้เป็นพยาน  ซึ่งผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นว่า  ลายเซ็นของจำเลยในช่องผู้กู้ในสัญญากู้ไม่ใช่ลายเซ็นของจำเลย  แลละมาเบิกความประกอบความเห็นดังกล่าว  กับข้อเท็จจริงฟังได้อีกว่า  ลายเซ็นของจำเลยในใบรับหมายเรียกมีลักษณะการเขียนและขนาดของตัวหนังสือคล้ายคลึงกันกับลายเซ็นของจำเลยในช่องผู้กู้ในสัญญากู้ 

ให้วินิจฉัยว่า  พยานหลักฐานของฝ่ายใดมีน้ำหนักดีกว่ากัน

ธงคำตอบ

มาตรา  104  วรรคแรก  ให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอ  ให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่  แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น

มาตรา  130  วรรคแรก  ผู้เชี่ยวชาญที่ศาลแต่งตั้งอาจแสดงความเห็นด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือก็ได้  แล้วแต่ศาลจะต้องการ  ถ้าศาลยังไม่เป็นที่พอใจในความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ทำเป็นหนังสือนั้น  หรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดเรียกร้องโดยทำเป็นคำร้อง  ให้ศาลเรียกให้ผู้เชี่ยวชาญทำความเห็นเพิ่มเติมเป็นหนังสือหรือเรียกให้มาศาลเพื่ออธิบายด้วยวาจา  หรือให้ตั้งผู้เชี่ยวชาญคนอื่นอีก

วินิจฉัย

ในการรับฟังพยานความเห็นนั้น  โดยหลักแล้วตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  95  ห้ามมิให้รับฟังพยานบุคคลใด  เว้นแต่บุคคลนั้นเป็นผู้ได้เห็น  ได้ยิน  หรือได้ทราบข้อความในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นด้วยตนเอง  ดังนั้นจึงห้ามมิให้รับฟังถ้อยคำของพยานในลักษณะที่เป็นความเห็นหรือการคาดคะเน  เว้นแต่

1       ให้อำนาจศาลในการรับฟัง  หรือปฏิเสธพยานหลักฐานใด  (มาตรา  86)

2       ให้อำนาจศาลในการรับฟังความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญ  (มาตรา  99,  130  วรรคแรก)

สำหรับในเรื่องการชั่งน้ำหนักความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญนั้น  ศาลมีอำนาจเต็มที่ในการที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็นและเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่  แล้วพิพากษาไปตามนั้นตามมาตรา  104  วรรคแรก  แม้รายงานความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจะเป็นพยานที่ศาลรับฟังได้ก็จริง  แต่มิใช่ว่าผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นอย่างไรแล้ว  ศาลต้องรับฟังและเชื่อได้เป็นยุติในการวินิจฉัยคดีเสมอไป  เพราะความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นเพียงพยานหลักฐานชิ้นหนึ่งในการที่ศาลจะใช้ดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักประกอบกับพยานหลักฐานอื่นในการวินิจฉัยชี้ขาดคดีเท่านั้น  เว้นแต่ในกรณีที่คู่ความท้ากันให้เอาความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นยุติ  เช่นนี้ถือว่าความเห็นของผู้เชี่ยวชาญมีน้ำหนักมากและถือเป็นข้อยุติ  ศาลต้องพิจารณาให้เป็นไปตามคำท้านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์และจำเลยตกลงท้ากัน  ให้ถือเอาความเห็นของผู้เชี่ยวชาญในการตรวจพิสูจน์เป็นข้อแพ้ชนะ  แม้ความคิดเห็นของตามหลักวิชาของพยานผู้เชี่ยวชาญจะเป็นพยานที่ศาลรับฟังได้  แต่ก็มิใช่ว่าจะต้องถือตามนั้นเสมอไป  เมื่อลายเซ็นของจำเลยในใบรับหมายเรียกมีลักษณะการเขียนและขนาดของตัวหนังสือคล้ายคลึงกับลายเซ็นของจำเลยในช่องผู้กู้ในสัญญากู้ และโจทก์มีพยานบุคคลที่เป็นประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่าจำเลยกู้เงินโจทก์โดยลงชื่อในช่องผู้กู้ในสัญญากู้  กับอ้างส่งสัญญากู้เป็นพยานต่อศาล  สนับสนุนข้อกล่าวอ้างของตน  ส่วนจำเลยคงมีแต่รายงานความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเป็นพยานเท่านั้น  ดังนั้นพยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย  (ฎ. 3117/2535)

สรุป  พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลย 


ข้อ  3  โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินกู้ตามสัญญากู้ยืม  โดยเบิกความยืนยันว่า  จำเลยยังไม่ชำระเงินกู้คืน  ส่วนจำเลยนำสืบว่าจำเลยชำระเงินกู้คืนแล้วโดยโจทก์ตักหน้าดินในที่ดินของจำเลยไปขายและนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้จนหมดแล้ว  แต่จำเลยยังไม่ได้รับสัญญากู้คืนมา  และในการสืบพยานนั้นจำเลยได้นำนางแพงศรีมาเบิกความสนับสนุนจำเลยด้วย  ดังนี้  การที่ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลมาสืบดังกล่าวข้างต้นนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  94  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้  แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ข)  ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า  ยังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  321  วรรคแรก  ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้  ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป

มาตรา  653  วรรคสอง  ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น  ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง  ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว  หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ย่อมต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสาร  ในเมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง  หรือขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก  ซึ่งจะเห็นว่ากฎหมายห้ามมิให้รับฟังพยานบุคคลเฉพาะกรณีที่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงเท่านั้น  ดังนั้นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  แม้จะมีการทำสัญญากันไว้เป็นหลักฐาน  คู่สัญญาก็อาจนำพยานบุคคลมาสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้  ไม่ต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  กรที่ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลมาสืบดังกล่าวข้างต้นนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  653  วรรคสอง  วางหลักในเรื่องการนำสืบการใช้เงินกู้ยืมในกรณีที่การกู้ยืมมีหลักฐานเป็นหนังสือ  ซึ่งจะทำได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง  หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว  หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้น  หมายถึง  กรณีชำระหนี้ด้วยการใช้เงินตราเท่านั้น  ดังนั้นการที่จำเลยอ้างนางแพงศรีมาสืบสนับสนุนว่ามีการชำระหนี้ให้โจทก์ครบถ้วนตามสัญญาแล้ว  โดยยอมให้โจทก์ตักหน้าดินไปขายและนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้เป็นการชำระหนี้อย่างอื่นตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  321  วรรคแรก  ไม่ใช่การนำสืบการชำระหนี้ด้วยเงินตราตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  653  วรรคสอง  จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าว

และการนำสืบเช่นว่านี้ไม่ใช่เป็นกรณีที่กฎหมายบังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94  เช่นกัน  ดังนั้นจำเลยสามารถอ้างนางแพงศรีเป็นพยานบุคคลเพื่อนำสืบว่ามีการชำระหนี้โดยขุดดินไปขายได้  การสืบพยานบุคคลดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย  (ฎ. 4742/2550)

สรุป  การที่ศาลรับฟังพยานบุคคลมาสืบดังกล่าวข้างต้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว

LAW3010 กฎหมายล้มละลาย 1/2545

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3010 กฎหมายล้มละลาย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  เอกถูกเจ้าหนี้ฟ้องล้มละลาย  จนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว  ปรากฏว่าเอกเป็นหนี้ค่าภาษีค้างชำระอยู่เป็นเงินหนึ่งแสนบาท  กรมสรรพากรยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ค่าภาษีดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  ต่อมาเอกขอประนอมหนี้ร้อยละ  40  ที่ประชุมเจ้าหนี้ลงมติพิเศษยอมรับคำขอประนอมหนี้ของเอกโดยกรมสรรพากรออกเสียงคัดค้านไม่เห็นชอบด้วยคำขอประนอมหนี้นั้นแต่แพ้มติในที่ประชุม  และศาลได้มีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ของเอกแล้ว  ต่อมาอีก  6  เดือนเอกได้รับมรดกหนึ่งล้านบาท  กรมสรรพากรซึ่งได้รับส่วนแบ่งจากการประนอมหนี้ของเอกในคดีล้มละลายร้อยละ  40  เป็นเงินสี่หมื่นบาทแล้ว  ได้ติดตามทวงถามค่าภาษีส่วนที่ค้างอีกหกหมื่นบาทจากเอก  เอกไม่ยอมชำระ  ดังนี้  กรมสรรพากรจะมีสิทธิฟ้องคดีแพ่งเรียกหนี้ค่าภาษีที่ค้างอยู่อีกหกหมื่นบาทจากเอกได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  56  การประนอมหนี้ซึ่งที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ยอมรับและศาลเห็นชอบด้วยแล้ว  ผู้มัดเจ้าหนี้ทั้งหมดในเรื่องหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ได้  แต่ไม่ผูกมัดเจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดในเรื่องหนี้ซึ่งตามพระราชบัญญัตินี้ลูกหนี้ไม่อาจหลุดพ้นโดยคำสั่งปลดจากล้มละลายได้  เว้นแต่เจ้าหนี้คนนั้นได้ยินยอมด้วยในการประนอมหนี้

มาตรา  77  คำสั่งปลดจากล้มละลายทำให้บุคคลล้มละลายหลุดพ้นจากหนี้ทั้งปวงอันพึงขอรับชำระได้เว้นแต่

(1) หนี้เกี่ยวกับภาษีอากร  หรือจังกอบของรัฐบาลหรือเทศบาล

วินิจฉัย

การประนอมหนี้ซึ่งที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ยอมรับและศาลเห็นชอบด้วยแล้ว  ย่อมผูกมัดเจ้าหนี้ทั้งหมดในเรื่องหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ได้  แต่ไม่ผูกมัดเจ้าหนี้  ในเรื่องหนี้ที่ไม่อาจหลุดพ้นโดยคำสั่งปลดจากล้มละลาย  (คือ  เจ้าหนี้ตามมาตรา  77)  เว้นแต่  เจ้าหนี้นั้นจะยินยอมด้วยในการประนอมหนี้  (มาตรา  56)

กรมสรรพากรจะมีสิทธิฟ้องคดีแพ่งเรียกหนี้ภาษีที่ค้างอยู่อีก  60,000  บาท  จากเอกได้หรือไม่  เห็นว่า  หนี้เกี่ยวกับภาษีอากรของรัฐบาลถือเป็นหนี้ที่ไม่อาจหลุดพ้นโดยคำสั่งปลดจากล้มละลายได้ตามมาตรา  77(1)  และในที่ประชุมเจ้าหนี้  กรมสรรพากรก็ได้ออกเสียงคัดค้านไม่เห็นชอบด้วยคำขอประนอมหนี้แต่แพ้มติในที่ประชุม  กรณีเช่นนี้  จึงถือไม่ได้ว่ากรมสรรพากรได้เห็นชอบหรือยินยอมด้วยในการประนอมหนี้แต่อย่างใด  การประนอมหนี้ของเอกดังกล่าวจึงไม่ผูกมัดกรมสรรพากรตามมาตรา  56

ดังนั้น  แม้เอกจะหลุดพ้นจากการล้มละลายโดยการประนอมหนี้  กรมสรรพากรก็ยังคงมีสิทธิติดตามฟ้องเรียกค่าภาษีที่เอกค้างอยู่จำนวน  60,000  บาทได้  (ฎ. 1001/2509)

สรุป  กรมสรรพากรมีสิทธิฟ้องคดีแพ่งเรียกหนี้ภาษีที่ค้างอยู่อีก  60,000  บาท  จากเอกได้


ข้อ  2  พยอมกู้ยืมเงินลำใยไป  
150,000  บาท  โดยนำเครื่องเพชรของตนมามอบให้ลำไยไว้เป็นประกันเงินกู้โดยไม่มีหลักฐานการจำนำเป็นหนังสือและไม่ได้ทำหลักฐานการกู้ยืมเงินกันไว้เป็นหนังสือแต่อย่างใด  ต่อมาพยอมถูกเจ้าหนี้อื่นฟ้องล้มละลายและศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์พยอมเด็ดขาด  ลำใยขอรับชำระหนี้ดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยตีราคาเครื่องเพชรของลำใยเป็นเงิน  100,000  บาท แล้วขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่อีก  50,000  บาทถ้าท่านเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะสั่งคำขอรับชำระหนี้ของลำใยอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  95  เจ้าหนี้มีประกันย่อมมีสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันซึ่งลูกหนี้ได้ให้ไว้ก่อนถูกพิทักษ์ทรัพย์โดยไม่ต้องขอรับชำระหนี้  แต่ต้องยอมให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตรวจดูทรัพย์สินนั้น

มาตรา  96  วรรคแรกและวรรคท้าย  เจ้าหนี้มีประกันอาจขอรับชำระหนี้ภายในเงื่อนไขดังต่อไปนี้

(4) เมื่อตีราคาทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแล้ว  ขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่  ในกรณีเช่นนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจไถ่ถอนทรัพย์สินตามราคานั้นได้ถ้าเห็นว่าราคานั้นไม่สมควรเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจขายทรัพย์สินนั้นตามวิธีการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเจ้าหนี้ตกลงกัน  ถ้าไม่ตกลงกัน  จะขายทอดตลาดก็ได้แต่ต้องไม่ให้เสียหายแก่เจ้าหนี้และเจ้าหนี้หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจเข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดได้  เมื่อขายได้เงินจำนวนสุทธิเท่าใดให้ถือว่าเป็นราคาที่เจ้าหนี้ได้ตีมาในคำขอ

บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ไม่ให้ใช้บังคับในกรณีที่ตามกฎหมายลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าราคาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  (จ.พ.ท.)  จะสั่งคำขอรับชำระหนี้ของแดงอย่างไร  เห็นว่า  ตามกฎหมายแล้ว  เจ้าหนี้มีประกันมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้  2  วิธี  คือ

1       ใช้สิทธิตามมาตรา  95  โดยไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา  91  เพียงแต่แจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบว่าจะถือเอาสิทธิเหนือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน  และยอมให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าตรวจดูทรัพย์สิน

2       ใช้สิทธิตามมาตรา  96  โดยยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา  91  ภายใต้เงื่อนไขดังที่ระบุไว้ในมาตรา  96  แต่อย่างไรก็ตาม  ถ้ามีกรณีใดที่ตามกฎหมาย  ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าราคาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน  เจ้าหนี้มีประกันจะยื่นคำขอรับชำระหนี้ไม่ได้  ทั้งนี้ตามบทบัญญัติมาตรา  96  วรรคท้าย

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  พยอมกู้เงินลำใยไป  150,000  บาท  โดยได้นำเครื่องเพชรของตนมามอบให้ลำใยไว้เป็นประกันเงินกู้  แม้การจำนำจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ  แต่เมื่อมีการส่งมอบทรัพย์สินที่จำนำ  การจำนำย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว  (ป.พ.พ. มาตรา 747)  กรณีนี้ถือว่าลำใยผู้รับจำนำอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา  6  แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อหนี้เงินกู้ยืมของพยอมและลำใยเป็นการกู้ยืมเงินเกินกันกว่า  2,000  บาท  แต่ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  ลำใยเจ้าหนี้จึงไม่อาจฟ้องบังคับให้พยอมลูกหนี้ชำระหนี้ได้ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  653  วรรคแรก  ดังนั้นในกรณีนี้  พยอมลูกหนี้จึงไม่ต้องรับผิดเกินกว่าราคาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน

การที่ลำใยตีราคาเครื่องเพชรเป็นเงิน  100,000  บาท  และขอรับชำระหนี้จำนวนที่ยังขาดอยู่อีก  50,000  บาท  อันถือว่าเป็นกรณีที่เจ้าหนี้มีประกันใช้สิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา  96(4)  แต่เมื่อลำใยเป็นเจ้าหนี้มีประกันที่ตามกฎหมายลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าราคาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน  ลำใยจึงไม่มีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา  96  วรรคท้ายได้  ดังนี้  หากข้าพเจ้าเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  จะสั่งไม่รับคำขอรับชำระหนี้ของลำใย

อย่างไรก็ตาม  แม้ลำใยจะยื่นคำขอรับชำระหนี้ไม่ได้  ลำใยก็ยังคงมีสิทธิเหนือเครื่องเพชรที่จำนำอันเป็นหลักประกัน  ซึ่งลูกหนี้ได้ให้ไว้ก่อนถูกพิทักษ์ทรัพย์โดยไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้  แต่ต้องยอมให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตรวจดูทรัพย์สินตามมาตรา  95

สรุป  หากข้าพเจ้าเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  จะสั่งไม่รับคำขอรับชำระหนี้ของลำใย


ข้อ  3  แดงยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งฟื้นฟูกิจการของบริษัทเหลือง  จำกัด  โดยเสนอให้เขียวเป็นผู้ทำแผน  เมื่อถึงวันที่ศาลนัดไต่สวนคำร้องขอ  ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดคัดค้านคำร้องขอ  ศาลเห็นสมควรงดการไต่สวนและมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัทเหลือง  จำกัด  ตามคำร้องขอของแดงดังกล่าว  แต่ศาลเห็นว่าเขียวที่แดงเสนอมาไม่สมควรเป็นผู้ทำแผน  จึงมีคำสั่งให้แดงเสนอผู้ทำแผนคนใหม่  เพื่อศาลจะได้พิจารณามีคำสั่งตั้งเป็นผู้ทำแผนต่อไป

คำสั่งของศาลดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  90/17  วรรคแรก  ในการพิจารณาตั้งผู้ทำแผน  ถ้าลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ผู้คัดค้านไม่ได้เสนอบุคคลอื่นเป็นผู้ทำแผนด้วย  เมื่อศาลสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ  ศาลจะมีคำสั่งตั้งบุคคลที่ผู้ร้องขอเสนอเป็นผู้ทำแผนก็ได้  ถ้าศาลเห็นว่าบุคคลที่ผู้ร้องขอเสนอไม่สมควรเป็นผู้ทำแผนก็ดี  หรือลูกหนี้  เจ้าหนี้ผู้คัดค้านเสนอบุคคลอื่นเป็นผู้ทำแผนด้วยก็ดี  ให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้ทั้งหลายโดยเร็วที่สุดเพื่อพิจารณาเลือกว่าบุคคลใดสมควรเป็นผู้ทำแผน

วินิจฉัย

พ.ร.บ.  ล้มละลาย  พ.ศ.  2483  มาตรา  90/17  วรรคแรก  ได้กำหนดหลักเกณฑ์การตั้งผู้ทำแผนไว้ดังนี้คือ

1       กรณีลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ผู้คัดค้านไม่ได้เสนอบุคคลอื่นมาเป็นผู้ทำแผน  ศาลอาจมีคำสั่งตั้งบุคคลที่ผู้ร้องขอเสนอเป็นผู้ทำแผนก็ได้

2       กรณีที่ศาลเห็นว่าบุคคลที่ผู้ร้องขอเสนอไม่สมควรเป็นผู้ทำแผน  หรือลูกหนี้เจ้าหนี้ผู้คัดค้านเสนอบุคคลอื่นเป็นผู้ทำแผนด้วย  ให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้ทั้งหลายโดเร็วที่สุด  เพื่อพิจารณาเลือกว่าบุคคลใดสมควรเป็นผู้ทำแผน  ศาลจะมีคำสั่งตั้งผู้ทำแผนไปเลยทีเดียวไม่ได้

กรณีนี้เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  แดงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งฟื้นฟูกิจการของบริษัทเหลืองจำกัด  ลูกหนี้  โดยเสนอให้เขียวเป็นผู้ทำแผนด้วย  เมื่อศาลเห็นว่าเขียวที่แดงเสนอมาไม่สมควรเป็นผู้ทำแผน  ศาลจะต้องมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้ทั้งหมด  เพื่อพิจารณาเลือกว่าบุคคลใดสมควรเป็นผู้ทำแผนตามมาตรา  90/17  วรรคแรก  ดังนั้น  การที่ศาลมีคำสั่งให้แดงเสนอผู้ทำแผนคนใหม่ทันที  เพื่อศาลจะพิจารณามีคำสั่งตั้งเป็นผู้ทำแผนต่อไปโดยไม่มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้ก่อนนั้น  จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  คำสั่งของศาลที่ให้แดงเสนอผู้ทำแผนคนใหม่  เพื่อศาลจะได้พิจารณามีคำสั่งแต่งตั้งเป็นผู้ทำแผนต่อไปไม่ชอบด้วยกฎหมาย

LAW3010 กฎหมายล้มละลาย 2/2545

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3010 กฎหมายล้มละลาย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

 ข้อ  1  เหตุใดจึงตองมีการไต่สวนลูกหนี้โดยเปิดเผย  การไต่สวนลูกหนี้โดยเปิดเผยจะกระทำเมื่อใด  และมีวิธีการอย่างไร  ลูกหนี้จะให้ทนายความเข้าทำการแทนได้หรือไม่

ธงคำตอบ

เหตุใดจึงตองมีการไต่สวนลูกหนี้โดยเปิดเผย 

เหตุที่ต้องมีการไต่สวนลูกหนี้โดยเปิดเผยในคดีล้มละลายนั้น  มีความประสงค์เพื่อต้องการทราบถึงเหตุ  3  ประการดังนี้

1       เพื่อทราบกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้  เช่น  ลูกหนี้ทำอะไรและมีทรัพย์สินอยู่แห่งใด  เท่าใด

2       เพื่อทราบถึงสาเหตุที่ทำให้มีหนี้สินล้นพ้นตัว  เช่น  ค้าขายขาดทุน

3       เพื่อทราบถึงความประพฤติของลูกหนี้  ว่าได้กระทำการหรือละเว้นกระทำการใด  อันเป็นความผิดตามกฎหมายล้มละลาย  หรือเป็นข้อบกพร่องอันจะเป็นเหตุให้ศาลไม่ยอมปลดจากล้มละลายโดยไม่มีเงื่อนไข

ทั้งนี้เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาคำขอประนอมหนี้ของลูกหนี้  หรือพิจารณาคำขอปลดจากล้มละลายตามมาตรา  51  และมาตรา  70  (มาตรา  42  วรรคแรก)

การไต่สวนลูกหนี้โดยเปิดเผยจะกระทำเมื่อใด  และมีวิธีการอย่างไร

การไต่สวนลูกหนี้โดยเปิดเผยนี้  กฎหมายบังคับไว้แต่เพียงว่า  ต้องกระทำภายหลังประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกแล้วเท่านั้น  จะกระทำก่อนหรือหลังพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายก็ได้  (ฎ. 2181/2535)  ทั้งนี้ศาลจะต้องทำการไต่สวนทุกคดี  จะงดเสียมิได้  เว้นแต่ศาลเห็นว่าไม่สามารถไต่สวนได้เพราะลูกหนี้

1       วิกลจริต

2       จิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ

3       กายพิการ

กรณีเช่นนี้ศาลมีอำนาจสั่งงดการไต่สวนโดยเปิดเผย  หรือจะสั่งให้มีการไต่สวนโดยวิธีอื่นใด  ณ  ที่ใดตามที่เห็นสมควรก็ได้  (มาตรา  44)

สำหรับวิธีการไต่สวนลูกหนี้โดยเปิดเผยนั้น  ต้องกระทำเป็นการด่วน  โดยให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่งประกาศแจ้งความกำหนดวันเวลานัดไต่สวนให้ลูกหนี้และเจ้าหนี้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า  7  วัน  และต้องโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันไม่น้อยกว่า  1  ฉบับ  ทั้งนี้เพื่อให้เจ้าหนี้ทั้งหลายได้มีโอกาสซักถามลูกหนี้ได้เต็มที่  (มาตรา  42  วรรคสอง)

ลูกหนี้จะให้ทนายความเข้าทำการแทนได้หรือไม่

การไต่สวนโดยเปิดเผยนั้น  ลูกหนี้จะต้องมาศาลด้วยตนเองเพราะจะต้องสาบานตัวและตอบคำถามแก่ศาล  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเจ้าหนี้ซึ่งได้ขอรับชำระหนี้แล้วหรือบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้  ในเรื่องที่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์  3  ประการดังที่กล่าวมาข้างต้น  ลูกหนี้จะตั้งตัวแทนให้มาตอบคำถามแทนตน  หรือจะตั้งทนายความให้มาตอบคำถามแทนตนเหมือนอย่างคดีแพ่งสามัญไม่ได้  แต่ทั้งนี้มิได้ห้ามลูกหนี้ที่จะตั้งทนายความเข้ามาช่วยเหลืออย่างอื่นที่ไม่ใช่การตอบคำถาม  เช่น  เขียนคำร้อง  คำขอต่างๆ  (มาตรา  43)


ข้อ  2  แดงกับขาวร่วมกันกู้เงินเหลืองไป  
500,000  บาท  โดยทำหนังสือสัญญากู้ให้ไว้เป็นหลักฐาน  ต่อมาแดงถูกเจ้าหนี้อื่นฟ้องให้ล้มละลาย  ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แดงเด็ดขาด  ขาวออกเงินชำระหนี้ให้เหลืองไปจนครบทั้ง  500,000  บาท  ขาวจะขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายที่แดงเป็นจำเลยได้เพียงไร  หรือไม่  อนึ่ง  ถ้าขาวยังมิได้ออกเงินชำระหนี้ให้เหลืองเลย  ขาวจะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายนั้นได้เพียงไรหรือไม่  ถ้าคดีล้มละลายที่แดงเป็นจำเลยนั้น  รวบรวมทรัพย์สินได้พอที่จะจ่ายส่วนแบ่งให้เจ้าหนี้  20%  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะจ่ายส่วนแบ่งให้ขาวในกรณีแรกและกรณีหลังต่างกันหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  101  ถ้าลูกหนี้ร่วมบางคนถูกพิทักษ์ทรัพย์  ลูกหนี้ร่วมคนอื่นอาจยื่นคำขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ตนอาจใช้สิทธิไล่เบี้ยในเวลาภายหน้าได้  เว้นแต่เจ้าหนี้ได้ใช้สิทธิขอรับชำระหนี้ไว้เต็มจำนวนแล้ว

บทบัญญัติในวรรคก่อนให้ใช้บังคับแก่ผู้ค้ำประกัน  ผู้ค้ำประกันร่วม  หรือบุคคลที่อยู่ในลักษณะเดียวกันนี้โดยอนุโลม

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  296  ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น  ท่านว่าต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน  เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

วินิจฉัย

แยกพิจารณาได้ดังนี้

1       กรณีที่ขาวออกเงินชำระหนี้ให้เหลืองไปจนครบ  500,000  บาท  ในกรณีเช่นนี้ขาวมีสิทธิขอรับชำระหนี้ได้เท่ากับจำนวนที่ตนอาจใช้สิทธิไล่เบี้ยจากแดงในฐานะลูกหนี้ร่วม  คือ  250,000  บาท  ตามมาตรา  101  ซึ่งแดงกับขาวต้องรับผิดในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วมเป็นจำนวนเท่าๆกัน  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  296

2       กรณีที่ขาวยังมิได้ออกเงินชำระหนี้ให้เหลืองเลย  ขาวก็สมารถขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายได้  ทั้งนี้เพียงเท่าจำนวนที่ขาวอาจใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากแดงได้ในอนาคตเท่านั้น  คือ  250,000  บาท  ตามมาตรา  101  ประกอบ  ป.พ.พ.  มาตรา  296  แต่อย่างไรก็ตาม  ถ้าเหลืองเจ้าหนี้ใช้สิทธิขอรับชำระหนี้ไว้เต็มจำนวน  500,000  บาทแล้ว  ขาวก็หมดสิทธิขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายนั้น

3       ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รวบรวมทรัพย์สินของแดงได้พอที่จะจ่ายส่วนแบ่งให้เจ้าหนี้ได้เพียง  20%  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องจ่ายส่วนแบ่งให้ขาวในกรณีแรกและกรณีหลังเท่ากัน  คือ  50,000  บาท  (20%  ของ  250,000)  เพราะไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด  ขาวก็มีสิทธิได้รับชำระหนี้เพียง  250,000  บาท  เพียงเท่าที่ตนอาจใช้สิทธิไล่เบี้ยในฐานะลูกหนี้ร่วมเท่านั้น

สรุป

1       กรณีที่ขาวชำระหนี้ครบทั้งหมด  ขาวมีสิทธิขอรับชำระหนี้ได้เพียง  250,000  บาท

2       กรณีที่ขาวยังมิได้ชำระหนี้  ขาวก็มีสิทธิขอรับชำระหนี้ได้  250,000  บาทเช่นกัน

3       เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต้องจ่ายส่วนแบ่งให้แก่ขาวไม่ว่าในกรณีแรกและกรณีหลังเท่ากัน  คือ  50,000  บาท


ข้อ  3  เจ้าหนี้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้  ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอและนัดไต่สวนคำร้องขอในวันที่  1  มีนาคม  2546  เมื่อถึงวันนัดไต่สวนศาลมีคำสั่งให้เลื่อนการไต่สวนไปในวันที่  10  มีนาคม  2546  ลูกหนี้ประสงค์จะยื่นคำคัดค้านคำร้องขอดังกล่าว  และมาปรึกษาท่าน  ท่านจะให้คำปรึกษาแก่ลูกหนี้ประการใด

ธงคำตอบ

มาตรา  90/9  วรรคสาม  ลูกหนี้หรือเจ้าหนี้อาจยื่นคำคัดค้านก่อนวันนัดไต่สวนนัดแรกไม่น้อยกว่าสามวัน  ในกรณีที่เป็นการคัดค้านผู้ทำแผน  ลูกหนี้หรือเจ้าหนี้จะเสนอชื่อบุคคลอื่นเป็นผู้ทำแผนด้วยหรือไม่ก็ได้  การเสนอชื่อผู้ทำแผนต้องเสนอหนังสือยินยอมของผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ทำแผนด้วย

วินิจฉัย

การที่ลูกหนี้จะยื่นคำคัดค้านขอฟื้นฟูกิจการได้นั้น  ลูกหนี้ต้องยื่นเสียก่อนวันนัดไต่สวนนัดแรกไม่น้อยกว่า  3  วัน (มาตรา  90/9  วรรคสาม)

กรณีตามอุทาหรณ์  ภายหลังจากที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอแล้ว  ศาลได้นัดไต่สวนคำร้องขอนัดแรกในวันที่  1  มีนาคม  พ.ศ. 2546  กรณีเช่นนี้  หากลูกหนี้ประสงค์จะยื่นคำคัดค้านคำร้อง  ลูกหนี้จะต้องยื่นเสียก่อนที่จะถึงวันที่  1  มีนาคม  พ.ศ. 2546  ไม่น้อยกว่า  3  วัน  ตามมาตรา  90/9  วรรคสาม  และแม้ศาลจะมีคำสั่งให้เลื่อนการไต่สวนไปในวันที่  10  มีนาคม  พ.ศ.2546  วันนัดไต่สวนนัดแรกก็ยังคงเป็นวันที่  1  มีนาคม  พ.ศ. 2546  อยู่เช่นเดิม  การที่ศาลมีคำสั่งเลื่อนการไต่สวนไปก็เป็นเพียงการสะดวกแก่การพิจารณาเท่านั้น  หาทำให้วันนัดไต่สวนนัดแรกเปลี่ยนแปลงไปไม่

ดังนั้น  เมื่อล่วงเลยเวลาดังกล่าวมาแล้ว  ลูกหนี้จึงไม่มีสิทธิยื่นคำคัดค้านได้  เมื่อลูกหนี้มาปรึกษาข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาดังกล่าวแก่ลูกหนี้

สรุป  ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่ลูกหนี้ว่า  ลูกหนี้ไม่มีสิทธิยื่นคำคัดค้านได้  เพราะล่วงเลยเวลาที่จะยื่นมาแล้ว  

LAW3010 กฎหมายล้มละลาย S/2545

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3010 กฎหมายล้มละลาย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

 ข้อ  1  คดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  หลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพ้นกำหนดเวลายื่นคำขอรับชำระหนี้แล้ว  ปรากฏว่าเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้เพียงรายเดียว  ก่อนวันประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกโจทก์กับจำเลยตกลงกันได้  โจทก์จึงยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แถลงไม่คัดค้าน  ศาลอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ  ดังนี้คำสั่งของศาลดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา 11  เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ต้องวางเงินประกันค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนห้าพันบาทในขณะยื่นฟ้องคดีล้มละลาย  และจะถอนคำฟ้องนั้นไม่ได้  เว้นแต่ศาลจะอนุญาต

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  11  แห่ง  พ.ร.บ.  ล้มละลาย  พ.ศ. 2483  นั้น  เมื่อได้ยื่นฟ้องคดีล้มละลายต่อศาลแล้ว  ห้ามมิให้ถอนฟ้อง  เว้นแต่เข้าหลักเกณฑ์ทั้ง  3  ประการดังต่อไปนี้คือ

1       ศาลอนุญาตให้ถอนฟ้อง  ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลว่าจะอนุญาตหรือไม่

2       การถอนฟ้องจะกระทำได้เฉพาะแต่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นเท่านั้น  ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่  1636/2532

3       จะต้องขอถอนฟ้องก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดเท่านั้น  ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่  3286/2530

คำสั่งของศาลที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้และจำหน่ายคดีออกจากสารบบความชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  กรณีนี้เมื่อปรากฏว่าศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว  ถือว่าศาลได้วินิจฉัยชี้ขาดคดีแล้ว  อีกทั้งคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดย่อมก่อให้เกิดสิทธิและหน้าที่แก่บุคคลหลายฝ่ายแล้ว  แม้จะปรากฏว่ามีเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ยื่นขอรับชำระหนี้เพียงรายเดียวก็ตาม  ก็ไม่มีเหตุอันสมควรให้ศาลอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องในชั้นนี้ได้  การที่ศาลอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีภายหลังจากศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว  จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  11

สรุป  คำสั่งของศาลที่อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  2  นายต้นกู้เงินนายรองไป  100,000  บาท  โดยนำแหวนเพชรของตนมามอบให้นายรองไว้เป็นประกันหนี้  โดยไม่มีหลักฐานการจำนำเป็นหนังสือและมิได้มีหลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือแต่อย่างใด  ต่อมานายต้นถูกเจ้าหนี้อื่นฟ้องล้มละลายและศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  นายรองขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยตีราคาแหวนเพชรเป็นเงิน  60,000  บาท  แล้วขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่อีก  40,000  บาท  ดังนี้  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะสั่งคำขอรับชำระหนี้ของนายรองอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  95  เจ้าหนี้มีประกันย่อมมีสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันซึ่งลูกหนี้ได้ให้ไว้ก่อนถูกพิทักษ์ทรัพย์โดยไม่ต้องขอรับชำระหนี้ แต่ต้องยอมให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตรวจดูทรัพย์สินนั้น

มาตรา  96  วรรคแรกและวรรคท้าย  เจ้าหนี้มีประกันอาจขอรับชำระหนี้ภายในเงื่อนไขดังต่อไปนี้

(4) เมื่อตีราคาทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแล้ว  ขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่  ในกรณีเช่นนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจไถ่ถอนทรัพย์สินตามราคานั้นได้ถ้าเห็นว่าราคานั้นไม่สมควรเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจขายทรัพย์สินนั้นตามวิธีการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเจ้าหนี้ตกลงกัน  ถ้าไม่ตกลงกัน  จะขายทอดตลาดก็ได้แต่ต้องไม่ให้เสียหายแก่เจ้าหนี้และเจ้าหนี้หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจเข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดได้  เมื่อขายได้เงินจำนวนสุทธิเท่าใดให้ถือว่าเป็นราคาที่เจ้าหนี้ได้ตีมาในคำขอ

บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ไม่ให้ใช้บังคับในกรณีที่ตามกฎหมายลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าราคาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  (จ.พ.ท.)  จะสั่งคำขอรับชำระหนี้ของแดงอย่างไร  เห็นว่า  ตามกฎหมายแล้ว  เจ้าหนี้มีประกันมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้  2  วิธี  คือ

1       ใช้สิทธิตามมาตรา  95  โดยไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา  91  เพียงแต่แจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบว่าจะถือเอาสิทธิเหนือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน  และยอมให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าตรวจดูทรัพย์สิน

2       ใช้สิทธิตามมาตรา  96  โดยยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา  91  ภายใต้เงื่อนไขดังที่ระบุไว้ในมาตรา  96  แต่อย่างไรก็ตาม  ถ้ามีกรณีใดที่ตามกฎหมาย  ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าราคาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน  เจ้าหนี้มีประกันจะยื่นคำขอรับชำระหนี้ไม่ได้  ทั้งนี้ตามบทบัญญัติมาตรา  96  วรรคท้าย

นายต้นกู้ยืมเงินนายรองไป  100,000  บาท  โดยได้นำแหวนเพชรของตนมามอบให้นายรองไว้เป็นประกันเงินกู้  แม้การจำนำจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ  แต่เมื่อมีการส่งมอบทรัพย์สินที่จำนำ  การจำนำย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว  (ป.พ.พ.  มาตรา  747)  กรณีนี้ถือว่านายรองผู้รับจำนำอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้มีประกัน  ตามมาตรา  6  แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อหนี้เงินกู้ยืมของนายต้นและนายรองเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า  2,000  บาท  แต่ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  นายรองเจ้าหนี้จึงไม่อาจฟ้องบังคับให้นายต้นลูกหนี้ชำระหนี้ได้ตาม  ป.พ.พ. มาตรา  653  วรรคแรก  ดังนั้นในกรณีนี้  นายต้นลูกหนี้จึงไม่ต้องรับผิดเกินกว่าราคาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน

การที่นายรองตีราคาแหวนเพชรเป็นเงิน  60,000  บาท  และขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่อีก  40,000  บาท  อันถือว่าเป็นกรณีที่เจ้าหนี้มีประกันจะใช้สิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา  96(4)  แต่เมื่อนายรองเป็นเจ้าหนี้มีประกันที่ตามกฎหมายลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าราคาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน  นายรองจึงไม่มีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา  96  วรรคท้ายได้  ดังนี้  หากข้าพเจ้าเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะสั่งไม่รับคำขอรับชำระหนี้ของนายรอง

อย่างไรก็ตาม  แม้นายรองจะยื่นคำขอรับชำระหนี้ไม่ได้  นายรองก็ยังคงมีสิทธิเหนือแหวนเพชรที่จำนำอันเป็นหลักประกัน  ซึ่งลูกหนี้ได้ให้ไว้ก่อนถูกพิทักษ์ทรัพย์โดยไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้  แต่ต้องยอมให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตรวจดูทรัพย์สินตามมาตรา  95

สรุป  หากข้าพเจ้าเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  จะสั่งไม่รับคำขอรับชำระหนี้ของนายรอง


ข้อ  3  คดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  ลูกหนี้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  ลูกหนี้ได้ยื่นคำขอประนอมหนี้โดยการขอชำระหนี้เป็นบางส่วน  ซึ่งที่ประชุมเจ้าหนี้ลงมติพิเศษยอมรับ  และศาลสั่งเห็นชอบด้วย  จนกระทั่งลูกหนี้ชำระหนี้ตามข้อตกลงในการประนอมหนี้แล้ว  หลังจากนั้นเจ้าหนี้รายหนึ่งซึ่งได้ให้ลูกหนี้กู้เงินไปตั้งแต่ก่อนศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์  แต่ไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายที่ลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดนั้นได้ยื่นฟ้องลูกหนี้และผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้ร่วมกันรับผิดชำระเงินต้นทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย  ให้ท่านวินิจฉัยว่าเจ้าหนี้รายนี้จะฟ้องลูกหนี้และผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้รับผิดได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  56  การประนอมหนี้ซึ่งที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ยอมรับและศาลเห็นชอบด้วยแล้ว  ผู้มัดเจ้าหนี้ทั้งหมดในเรื่องหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ได้  แต่ไม่ผูกมัดเจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดในเรื่องหนี้ซึ่งตามพระราชบัญญัตินี้ลูกหนี้ไม่อาจหลุดพ้นโดยคำสั่งปลดจากล้มละลายได้  เว้นแต่เจ้าหนี้คนนั้นได้ยินยอมด้วยในการประนอมหนี้

มาตรา  59  การประนอมหนี้ไม่ทำให้บุคคลซึ่งเป็นหุ้นส่วนกับลูกหนี้หรือรับผิดร่วมกับลูกหนี้  หรือค้ำประกันหรืออยู่ในลักษณะอย่างผู้ค้ำประกันของลูกหนี้  หลุดพ้นจากความผิดไปด้วย

มาตรา  94  เจ้าหนี้ไม่มีประกันอาจขอรับชำระหนี้ได้  ถ้ามูลแห่งหนี้ได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์  แม้ว่าหนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดชำระหรือมีเงื่อนไขก็ตามเว้นแต่

1        หนี้ที่เกิดขึ้นโดยฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย  หรือศีลธรรมอันดี หรือหนี้ที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้

2        หนี้ที่เจ้าหนี้ยอมให้ลูกหนี้กระทำขึ้นเมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว   แต่ไม่รวมถึงหนี้ที่เจ้าหนี้ยอมให้กระทำขึ้นเพื่อให้กิจการของลูกหนี้ดำเนินต่อไปได้

วินิจฉัย

เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้และผู้ค้ำประกันให้รับผิดได้หรือไม่  เห็นว่า  หนี้ของเจ้าหนี้เป็นหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ได้  เพราะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามมาตรา  94  วรรคแรก  เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าลูกหนี้ได้ยื่นคำขอประนอมหนี้ซึ่งที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ลงมติยอมรับและศาลสั่งเห็นชอบด้วยแล้ว  จนกระทั่งลูกหนี้ชำระหนี้ตามข้อตกลงในการประนอมหนี้แล้ว  กรณีเช่นนี้เจ้าหนี้ดังกล่าวย่อมต้องผูกมัดตามผลของการประนอมหนี้ด้วยแม้จะไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ก็ตาม  กรณีเช่นนี้เจ้าหนี้ดังกล่าวย่อมต้องผูกมัดตามผลของการประนอมหนี้ด้วยแม้จะไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ก็ตาม  เจ้าหนี้รายนี้จึงไม่สามารถฟ้องลูกหนี้ให้รับผิดได้อีกตามมาตรา  56  (ฎ.1243/2519)

แต่อย่างไรก็ตาม  การประนอมหนี้ย่อมไม่ทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดไปด้วย  เจ้าหนี้จึงมีสิทธิฟ้องผู้ค้ำประกันให้รับผิดได้ ภายในขอบเขตความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันตามมาตรา  59  แม้เจ้าหนี้จะไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้ก็ตาม  (ฎ. 1808/2512)

สรุป  เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ให้รับผิดไม่ได้  แต่สามารถฟ้องให้ผู้ค้ำประกันรับผิดได้

LAW3010 กฎหมายล้มละลาย 1/2546

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3010 กฎหมายล้มละลาย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

 ข้อ  1  เอกถูกเจ้าหนี้คนหนึ่งฟ้องให้ล้มละลาย  และขอพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว  ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวเอก  หลังจากนั้นต่อมาโทฟ้องเอกเป็นคดีแพ่งให้ชำระหนี้เงินกู้  500,000  บาท  ตรีเป็นหนี้อีกคนหนึ่งฟ้องเอกเป็นคดีล้มละลายโดยอ้างว่าเอกเป็นหนี้ค่าสินค้า  1 ล้านบาท  และไม่ชำระหนี้เพราะเป็นคนมีหนี้สินล้นพ้นตัว  เอกได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีแพ่งของโท  และจำหน่ายคดีของตรีเสียเพราะเอกถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวแล้ว  และอ้างว่าทั้งโทและตรีชอบที่จะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายได้  ไม่มีสิทธิฟ้องเอกเป็นคดีแพ่งหรือคดีล้มละลายอีก  หากท่านเป็นศาล  จะสั่งคำร้องของเอกประการใด

ธงคำตอบ

มาตรา  15  ตราบใดที่ลูกหนี้ยังมิได้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดจะฟ้องลูกหนี้นั้นเป็นคดีล้มละลายอีกก็ได้  แต่เมื่อศาลได้สั่งให้คดีหนึ่งคดีใดให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  ให้จำหน่ายคดีล้มละลายซึ่งเจ้าหนี้อื่นฟ้องลูกหนี้คนเดียวกันนั้น

มาตรา  26  ตราบใดที่ศาลยังมิได้สั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด  เจ้าหนี้จะฟ้องคดีแพ่งอันเกี่ยวกับหนี้ขอรับชำระได้ตามพระราชบัญญัตินี้ก็ได้  ในกรณีเช่นนี้ให้นำบทบัญญัติในมาตราก่อนมาใช้บังคับโดยอนุโลม

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  เจ้าหนี้แต่ละรายจะฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลายอีกคดีก็ได้  แต่เมื่อศาลเดียวกันหรือศาลหนึ่งศาลใดมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  ศาลจะต้องสั่งจำหน่ายคดีอื่นๆเสียคงเหลือไว้แต่คดีที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแต่เพียงคดีเดียวเท่านั้น  แต่ถ้าศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว  ดังนี้  ยังไม่ต้องจำหน่ายคดีอื่นๆแต่อย่างใด

การที่เอกถูกเจ้าหนี้คนหนึ่งฟ้องให้ล้มละลาย  และขอพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว  ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวเอก  แต่เมื่อเอกยังไม่ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  จึงไม่ตัดสิทธิเจ้าหนี้คนอื่นที่จะยื่นฟ้องเอกได้อีก  ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีล้มละลาย

ดังนั้น  ที่เอกยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งจำหน่ายคดีแพ่งของโทและจำหน่ายคดีล้มละลายของตรีเสีย  หากข้าพเจ้าเป็นศาลจะสั่งยกคำร้องของเอกเสียทั้งสองเรื่อง  เพราะตราบใดที่ศาลยังไม่ได้สั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  โทเจ้าหนี้ก็ยังมีสิทธิฟ้องคดีแพ่งอันเกี่ยวกับหนี้ที่อาจขอชำระได้  ตามมาตรา  26  และตรีเจ้าหนี้ก็ยังมีสิทธิที่จะฟ้องคดีล้มละลายได้เช่นกัน  ตามมาตรา  15

สรุป  หากข้าพเจ้าเป็นศาล  จะสั่งยกคำร้องของเอกเสียทั้งสองคดี


ข้อ  2  ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  นางทุเรียนเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  อ้างว่าลูกหนี้ยืมเงินนางทุเรียนไป  
100,000  บาท  โดยมีหลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือและลูกหนี้นำแหวนเพชรวงหนึ่งมาจำนำกับนางทุเรียนไว้เป็นประกันด้วย  นางทุเรียนตีราคาแหวนเพชรวงนั้นเป็นเงิน  60,000  บาท  และขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนเงินที่ยังขาดอยู่อีก  40,000  บาท  โดยนางทุเรียนได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เมื่อวันที่  10  เมษายน  2546  หลังจากนั้น  ปรากฏว่าราคาเพชรในท้องตลาดมีราคาสูงขึ้นมาก  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือถึงนางทุเรียนตีราคาไว้  นางทุเรียนมาปรึกษาท่านว่า  อยากได้แหวนเพชรวงนั้นไว้เป็นกรรมสิทธิ์ของตนโดยไม่ต้องการให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไถ่ถอน  ท่านจะให้คำปรึกษาแก่นางทุเรียนว่าอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  96  วรรคแรกและวรรคท้าย  เจ้าหนี้มีประกันอาจขอรับชำระหนี้ภายในเงื่อนไขดังต่อไปนี้

(4) เมื่อตีราคาทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแล้ว  ขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่  ในกรณีเช่นนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจไถ่ถอนทรัพย์สินตามราคานั้นได้ถ้าเห็นว่าราคานั้นไม่สมควรเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจขายทรัพย์สินนั้นตามวิธีการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเจ้าหนี้ตกลงกัน  ถ้าไม่ตกลงกัน  จะขายทอดตลาดก็ได้แต่ต้องไม่ให้เสียหายแก่เจ้าหนี้และเจ้าหนี้หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจเข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดได้  เมื่อขายได้เงินจำนวนสุทธิเท่าใดให้ถือว่าเป็นราคาที่เจ้าหนี้ได้ตีมาในคำขอ

ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่แจ้งโดยหนังสือให้เจ้าหนี้ทราบว่าจะใช้สิทธิไถ่ถอนหรือตกลงให้ขายทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันภายในกำหนดเวลาสี่เดือนนับแต่วันที่เจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้  ให้ถือว่ายินยอมให้ทรัพย์สินนั้นเป็นกรรมสิทธิ์แก่เจ้าหนี้ตามราคาที่เจ้าหนี้ได้ตีมา  และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หมดสิทธิไถ่ถอนหรือขายทรัพย์สินนั้น

วินิจฉัย

ภายหลังจากที่นางทุเรียนเจ้าหนี้มีประกัน  มายื่นคำขอชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในวันที่  10  เมษายน  พ.ศ. 2546  โดยได้ตีราคาแหวนเพชรที่จำนำเป็นประกันเป็นเงิน  60,000  บาท  และยื่นขอรับชำระหนี้ที่ยังขาดอยู่อีก  40,000  บาท  ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  กรณีเช่นนี้  หากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ประสงค์จะใช้สิทธิไถ่ถอน  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต้องแจ้งเป็นหนังสือไปยังเจ้าหนี้เพื่อทราบว่าจะใช้สิทธิไถ่ถอนภายในกำหนดเวลา  4  เดือน  นับแต่เวลาที่เจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอชำระหนี้  แต่ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่แจ้งให้เจาหนี้ทราบภายในกำหนดเวลาดังกล่าว  ให้ถือว่าทรัพย์สินนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่เจ้าหนี้ตามราคาที่เจ้าหนี้ได้ตีมา  และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็หมดสิทธิที่จะไถ่ถอนหรือขายทรัพย์สินนั้นตามมาตรา  96(4)  ประกอบวรรคสอง  ซึ่งตามข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้แจ้งความประสงค์ว่าจะใช้สิทธิไถ่ถอนตามราคาที่เจ้าหนี้ตีมา  ในวันที่  7  ตุลาคม  พ.ศ.2546  อันถือว่าระยะเวลาแจ้งความประสงค์ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ล่วงเลยมาเกิน  4  เดือนแล้ว  กรณีจึงต้องถือว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยินยอมให้แหวนเพชรนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์  แก่นางทุเรียนเจ้าหนี้ตามราคาที่ได้ตีมา  ตามมาตรา  96(4)  ประกอบวรรคสอง

ดังนั้น  ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่นางทุเรียนว่า  กรณีเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่แจ้งเป็นหนังสือให้เจ้าหนี้ทราบว่าจะใช้สิทธิไถ่ถอนภายในกำหนดเวลา  4  เดือนนับแต่วันที่เจ้าหนี้ได้ยื่นคำขอชำระหนี้  ต้องถือว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยินยอมให้แหวนเพชรตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่เจ้าหนี้ตามราคาที่ได้ตีมา  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงหมดสิทธิไถ่ถอนแล้ว

สรุป  ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่นางทุเรียนว่ากรรมสิทธิ์ในแหวนเพชรตกเป็นของนางทุเรียนแล้ว

 


ข้อ  3  นายแดงยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งฟื้นฟูกิจการของบริษัท  ก  จำกัด  ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัท  ก  จำกัด  แต่ไม่เห็นสมควรตั้งนายแดงเป็นผู้ทำแผนตามที่นายแดงเสนอมาในคำร้องขอและมีคำสั่งแต่งตั้งบริษัท  ก  จำกัด  ซึ่งเป็นลูกหนี้เป็นผู้ทำแผน  คำสั่งของศาลดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  90/17  วรรคแรก  ในการพิจารณาตั้งผู้ทำแผน  ถ้าลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ผู้คัดค้านไม่ได้เสนอบุคคลอื่นเป็นผู้ทำแผนด้วย  เมื่อศาลสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ  ศาลจะมีคำสั่งตั้งบุคคลที่ผู้ร้องขอเสนอเป็นผู้ทำแผนก็ได้  ถ้าศาลเห็นว่าบุคคลที่ผู้ร้องขอเสนอไม่สมควรเป็นผู้ทำแผนก็ดี  หรือลูกหนี้  เจ้าหนี้ผู้คัดค้านเสนอบุคคลอื่นเป็นผู้ทำแผนด้วยก็ดี  ให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้ทั้งหลายโดยเร็วที่สุดเพื่อพิจารณาเลือกว่าบุคคลใดสมควรเป็นผู้ทำแผน

วินิจฉัย

พ.ร.บ.  ล้มละลาย  พ.ศ.  2483  มาตรา  90/17  วรรคแรก  ได้กำหนดหลักเกณฑ์การตั้งผู้ทำแผนไว้ดังนี้คือ

1       กรณีลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ผู้คัดค้านไม่ได้เสนอบุคคลอื่นมาเป็นผู้ทำแผน  ศาลอาจมีคำสั่งตั้งบุคคลที่ผู้ร้องขอเสนอเป็นผู้ทำแผนก็ได้

2       กรณีที่ศาลเห็นว่าบุคคลที่ผู้ร้องขอเสนอไม่สมควรเป็นผู้ทำแผน  หรือลูกหนี้เจ้าหนี้ผู้คัดค้านเสนอบุคคลอื่นเป็นผู้ทำแผนด้วย  ให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้ทั้งหลายโดเร็วที่สุด  เพื่อพิจารณาเลือกว่าบุคคลใดสมควรเป็นผู้ทำแผน  ศาลจะมีคำสั่งตั้งผู้ทำแผนไปเลยทีเดียวไม่ได้

นายแดงได้ยื่นคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัท  ก  จำกัด  และศาลได้มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ  แต่ไม่เห็นสมควรตั้งนายแดงเป็นผู้ทำแผน ในกรณีเช่นนี้  ศาลอยู่ในบังคับที่จะต้องมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้ทั้งหลายโดยเร็วที่สุด  เพื่อพิจารณาเลือกว่าบุคคลใดสมควรเป็นผู้ทำแผน  การที่ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งบริษัท  ก  จำกัด  ลูกหนี้เป็นผู้ทำแผนทันที  โดยมิได้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้ก่อน  ตามมาตรา  90/17  วรรคแรก  จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  คำสั่งของศาลที่ให้แต่งตั้งบริษัท  ก  จำกัดเป็นผู้ทำแผน  ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

LAW3010 กฎหมายล้มละลาย 2/2546

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3010 กฎหมายล้มละลาย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

 ข้อ  1  ในกรณีที่มติของที่ประชุมเจ้าหนี้ขัดต่อกฎหมายก็ดี  การนัดประชุมเจ้าหนี้ของพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เช่นส่งหมายนัดประชุมแก่เจ้าหนี้ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งก็ดี  พระราชบัญญัติล้มละลาย  พ.ศ. 2483  ให้สิทธิแก่บุคคลใดบ้างในการที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้ปฏิบัติตามมตินั้นหรือยกเลิกเพิกถอนการประชุมดังกล่าว

ธงคำตอบ

มาตรา  36  เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่า  มติของที่ประชุมเจ้าหนี้ขัดต่อกฎหมาย  หรือประโยชน์อันร่วมกันของเจ้าหนี้ทั้งหลาย  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาล  และศาลอาจมีคำสั่งห้ามมิให้ปฏิบัติการตามมตินั้นได้  แต่ต้องยื่นต่อศาลภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ที่ประชุมเจ้าหนี้ลงมติ

มาตรา  146  ถ้าบุคคลล้มละลาย  เจ้าหนี้  หรือบุคคลใดได้รับความเสียหายโดยการกระทำหรือคำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ บุคคลนั้นอาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลภายในกำหนดเวลาสิบสี่วันนับแต่วันที่ได้ทราบการกระทำหรือคำวินิจฉัยนั้น  ศาลมีอำนาจสั่งยืนตาม  กลับหรือแก้ไข  หรือสั่งประการใดตามที่เห็นสมควร

อธิบาย

ตาม  พ.ร.บ.  ล้มละลาย  พ.ศ. 2483  ได้ให้สิทธิแก่บุคคลดังต่อไปนี้ที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้ปฏิบัติตามมติหรือยกเลิกเพิกถอนการประชุม  กล่าวคือ

กรณีที่มติของที่ประชุมเจ้าหนี้ขัดต่อกฎหมาย

ในกรณีที่มติของที่ประชุมเจ้าหนี้ขัดต่อกฎหมายตามมาตรา  36  ได้กำหนดให้  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาล  ภายใน  7  วัน  นับแต่วันที่ที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ลงมติ  และกรณีนี้ศาลอาจมีคำสั่งห้ามมิให้ปฏิบัติตามมตินั้นได้  ทั้งนี้  เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยเฉพาะที่เป็นผู้ยื่นคำขอ  (ฎ. 1295/2540)

กรณีการนัดประชุมเจ้าหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ในกรณีการนัดประชุมเจ้าหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เช่น  การส่งหมายนัดประชุมแก่เจ้าหนี้ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  กรณีเช่นนี้  บทบัญญัติมาตรา  146  กำหนดสิทธิแก่ลูกหนี้หรือบุคคลล้มละลาย  เจ้าหนี้  หรือบุคคลใดที่ได้รับความเสียหาย  เนื่องจากการกระทำของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  เป็นผู้ยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลภายใน  14  วัน  นับแต่วันที่ได้รับทราบการกระทำนั้นหรือคำวินิจฉัยนั้น  ซึ่งศาลมีอำนาจสั่งยืนตาม  กลับหรือแก้ไข  หรือสั่งประการใดตามที่เห็นสมควรได้

สำหรับในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ยกเลิกหรือเพิกถอนการประชุมดังกล่าวก็เท่ากับเป็นการเพิกถอนมติของที่ประชุมไปด้วย  (ฎ. 423/2518)

 


ข้อ  2  เขียวกู้ยืมเงินแดงไป  
100,000  บาท  โดยนำเครื่องเพชรของตนมามอบให้แดงไว้เป็นประกันหนี้  โดยไม่มีหลักฐานการจำนำเป็นหนังสือและไม่ได้ทำหลักฐานการกู้ยืมเงินกันไว้เป็นหนังสือแต่อย่างใด  ต่อมาเขียวถูกเจ้าหนี้อื่นฟ้องล้มละลายและศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เขียวเด็ดขาด  แดงขอรับชำระหนี้ดังกล่าวต่อ  จ.พ.ท.  โดยตีราคาเครื่องเพชรของเขียวเป็นเงิน  80,000  บาท  แล้วขอรับชำระหนี้  สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่อีก  20,000  บาท  ถ้าท่านเป็น  จ.พ.ท.  จะสั่งคำขอรับชำระหนี้ของแดงอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  95  เจ้าหนี้มีประกันย่อมมีสิทธิเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันซึ่งลูกหนี้ได้ให้ไว้ก่อนถูกพิทักษ์ทรัพย์โดยไม่ต้องขอรับชำระหนี้ แต่ต้องยอมให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตรวจดูทรัพย์สินนั้น

มาตรา  96  วรรคแรกและวรรคท้าย  เจ้าหนี้มีประกันอาจขอรับชำระหนี้ภายในเงื่อนไขดังต่อไปนี้

(4) เมื่อตีราคาทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแล้ว  ขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่  ในกรณีเช่นนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจไถ่ถอนทรัพย์สินตามราคานั้นได้ถ้าเห็นว่าราคานั้นไม่สมควรเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจขายทรัพย์สินนั้นตามวิธีการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเจ้าหนี้ตกลงกัน  ถ้าไม่ตกลงกัน  จะขายทอดตลาดก็ได้แต่ต้องไม่ให้เสียหายแก่เจ้าหนี้และเจ้าหนี้หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจเข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดได้  เมื่อขายได้เงินจำนวนสุทธิเท่าใดให้ถือว่าเป็นราคาที่เจ้าหนี้ได้ตีมาในคำขอ

บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ไม่ให้ใช้บังคับในกรณีที่ตามกฎหมายลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าราคาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  (จ.พ.ท.)  จะสั่งคำขอรับชำระหนี้ของแดงอย่างไร  เห็นว่า  ตามกฎหมายแล้ว  เจ้าหนี้มีประกันมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้  2  วิธี  คือ

1       ใช้สิทธิตามมาตรา  95  โดยไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา  91  เพียงแต่แจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบว่าจะถือเอาสิทธิเหนือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน  และยอมให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้าตรวจดูทรัพย์สิน

2       ใช้สิทธิตามมาตรา  96  โดยยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา  91  ภายใต้เงื่อนไขดังที่ระบุไว้ในมาตรา  96  แต่อย่างไรก็ตาม  ถ้ามีกรณีใดที่ตามกฎหมาย  ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าราคาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน  เจ้าหนี้มีประกันจะยื่นคำขอรับชำระหนี้ไม่ได้  ทั้งนี้ตามบทบัญญัติมาตรา  96  วรรคท้าย

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  เขียวกู้ยืมเงินแดงไป  100,000  บาท  โดยนำเครื่องเพชรของตนมามอบให้แดงไว้เป็นประกันเงินกู้  แม้การจำนำจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ  แต่เมื่อมีการส่งมอบทรัพย์สินที่จำนำ  การจำนำย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว  (ป.พ.พ.  มาตรา  747)   กรณีนี้ถือว่าแดงผู้รับจำนำอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา  6  แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อหนี้เงินกู้ยืมของเขียวและแดงเป็นการกู้ยืมเงินกันเกินกว่า  2,000  บาท  แต่ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  แดงเจ้าหนี้จึงไม่อาจฟ้องบังคับให้เขียวลูกหนี้ชำระหนี้ได้  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  653  วรรคแรก  ดังนั้นในกรณีนี้  เขียวลูกหนี้จึงไม่ต้องรับผิดเกินกว่าราคาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน

การที่แดงตีราคาเครื่องเพชรเป็นเงิน  80,000  บาท  และขอรับชำระหนี้จำนวนที่ยังขาดอยู่อีก  20,000  บาท  อันถือว่าเป็นกรณีที่เจ้าหนี้มีประกันใช้สิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา  96(4)  แต่เมื่อแดงเป็นเจ้าหนี้มีประกันที่ตามกฎหมายลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าราคาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน  แดงจึงไม่มีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมาตรา  96  วรรคท้ายได้  ดังนี้  หากข้าพเจ้าเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  จะสั่งไม่รับคำขอรับชำระหนี้ของแดง

อย่างไรก็ตาม  แม้แดงจะยื่นคำขอรับชำระหนี้ไม่ได้  แดงก็ยังคงมีสิทธิเหนือเครื่องเพชรที่จำนำอันเป็นหลักประกัน  ซึ่งลูกหนี้ได้ให้ไว้ก่อนถูกพิทักษ์ทรัพย์โดยไม่ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้  แต่ต้องยอมให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตรวจดูทรัพย์สินตามมาตรา  95

สรุป  หากข้าพเจ้าเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  จะสั่งไม่รับคำขอรับชำระหนี้ของแดง


ข้อ  3  ธนาคารสยาม  ฟ้องบริษัทเอ  จำกัด  ซึ่งยืมเงินจากธนาคารสยาม  กับแสงซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันการยืมขอให้ศาลแพ่งบังคับให้บริษัท  เอ  จำกัด  และแสงร่วมกันชำระเงินยืมดังกล่าว  ในระหว่างที่ศาลพิจารณาคดีนั้น  บริษัทเอ  จำกัด  ยื่นคำร้องขอให้ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งฟื้นฟูกิจการของบริษัทเอ  จำกัด  เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้พิจารณา  บริษัทเอ  จำกัด  และแสงยื่นคำขอให้ศาลแพ่งงดการพิจารณาคดีที่ถูกธนาคารสยามฟ้องเนื่องจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัท  เอ  จำกัด  ไว้พิจารณาแล้ว  ธนาคารสยามยื่นคำคัดค้านว่าศาลจะงดการพิจารณาคดีดังกล่าวไม่ได้

ให้ท่านวินิจฉัยว่าศาลแพ่งจะมีคำสั่งประการใด

ธงคำตอบ

มาตรา  90/12  ภายใต้บังคับมาตรา  90/13  และมาตรา  90/14  นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณาจนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผน  หรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผนหรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอหรือจำหน่ายคดีหรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการหรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดตามความในหมวดนี้

(4) ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้หรือเสนอข้อพิพาทที่ลูกหนี้อาจต้องรับผิดหรือได้รับความเสียหายให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด  ถ้ามูลแห่งหนี้นั้นเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน  และห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลาย  ในกรณีที่มีการฟ้องคดีหรือเสนอข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาดไว้ก่อนแล้ว  ให้งดการพิจารณาไว้เว้นแต่ศาลที่รับคำร้องขอจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น

วินิจฉัย

ตามบทบญญัติมาตรา  90/12(4)  นั้นกำหนดว่า  เมื่อศาลรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการไว้พิจารณาจนถึงครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผน  ห้ามมิให้ฟ้องลูกหนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้หรือถ้าฟ้องคดีไว้แล้ว  ก็ให้งดการพิจารณาไว้  ถ้ามูลแห่งหนี้นั้นเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน  ทั้งนี้เป็นการห้ามฟ้องเฉพาะตัวลูกหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการหรือลูกหนี้ที่ยื่นคำขอร้องขอฟื้นฟูกิจการเท่านั้น  ส่วนจำเลยอื่นแม้จะต้องร่วมรับผิดกับลูกหนี้ในคดีแพ่งด้วย  แต่เมื่อมิใช่ผู้ร่วมร้องขอหรือเป็นลูกหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการด้วย  ย่อมไม่ได้รับประโยชน์ตามมาตรา  90/12(4)  ด้วย  เจ้าหนี้จึงฟ้องให้ลูกหนี้อื่นให้รับผิดทางแพ่งต่อไปได้

ศาลแพ่งจะมีคำสั่งประการใด  เห็นว่า การที่ธนาคารสยามฟ้องบริษัทเอ  จำกัด  ให้ชำระเงินกู้ยืมซึ่งเป็นการฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของบริษัทเอ  จำกัด  เมื่อบริษัทเอ  จำกัด  ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของตน  และศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้พิจารณาแล้ว  ศาลในคดีแพ่งดังกล่าวต้องงดการพิจารณาคดีแพ่งนั้นไว้สำหรับบริษัทเอ  จำกัด  ซึ่งเป็นลูกหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการ  ตามมาตรา  90/12(4) 

ส่วนการพิจารณาคดีในส่วนของแสงนั้น  แม้แสงจะถูกธนาคารสยามฟ้องให้รับผิดร่วมกับบริษัทเอ  จำกัด  ในฐานะผู้ค้ำประกันเป็นคดีเดียวกันกับคดีของบริษัทเอ  จำกัด  แสงไม่อาจได้รับความคุ้มครองตามมาตรา  90/12(4)  เช่นเดียวกับบริษัทเอ  จำกัด  เพราะแสงมิได้มีฐานะเป็นผู้ร่วมร้องขอหรือลูกหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการดังกล่าวด้วย  ศาลจึงต้องพิจารณาคดีในส่วนของแสงต่อไป  (ฎ. 3403/2545 (ประชุมใหญ่))

สรุป  ศาลแพ่งจะมีคำสั่งให้งดการพิจารณาคดีแพ่งเฉพาะบริษัทเอ  จำกัด  และยกคำคัดค้านของแสง

LAW3010 กฎหมายล้มละลาย S/2546

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3010 กฎหมายล้มละลาย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  นาย  ก  กู้เงินนาย  ข  เป็นจำนวนเงิน  500,000  บาท  โดยทำสัญญากู้ไว้ต่อกัน  ต่อมานาย  ก  โดนเจ้าหนี้อื่นฟ้องล้มละลาย  และศาลได้สั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว  หลังจากนั้นนาย  ก  ได้มาพบนาย  ข  และขอกู้เงินจากนาย  ข  ไปเป็นจำนวนเงิน  200,000  บาท  นาย  ข  ให้กู้เงินไปเพราะสงสาร  เห็นว่านาย  ก  ไม่มีเงินเลย  และการกู้เงินครั้งหลังที่ว่านี้  นาย  ก  อ้างว่าเพื่อจะนำไปเลี้ยงลูกเมียให้มีชีวิตรอดต่อไปได้  ต่อมาเมื่อมีประกาศของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าให้เจ้าหนี้ทั้งหลายที่มีหนี้ที่อาจขอรับชำระได้มาขอรับชำระหนี้ตามวันเวลาที่กำหนดไว้ในมาตรา  91  นาย  ข  จึงนำหนี้ทั้ง  2  จำนวนไปขอรับชำระหนี้กับเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  หากท่านเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  ท่านจะรับคำขอรับชำระหนี้ของนาย  ข  ไว้พิจารณาหรือไม่  อย่างไร  ให้ท่านวินิจฉัย

ธงคำตอบ

มาตรา  94  เจ้าหนี้ไม่มีประกันอาจขอรับชำระหนี้ได้  ถ้ามูลแห่งหนี้ได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์  แม้ว่าหนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดชำระหรือมีเงื่อนไขก็ตาม  เว้นแต่

(1) หนี้ที่เกิดขึ้นโดยฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย  หรือศีลธรรมอันดีหรือหนี้ที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้

(2) หนี้ที่เจ้าหนี้ยอมให้ลูกหนี้กระทำขึ้นเมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว  แต่ไม่รวมถึงหนี้ที่เจ้าหนี้ยอมให้กระทำขึ้นเพื่อให้กิจการของลูกหนี้ดำเนินต่อไปได้

วินิจฉัย

เจ้าหนี้ไม่มีประกันอาจยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ได้  ถ้ามูลแห่งหนี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์  แม้ว่าหนี้นั้นจะยังไม่ถึงกำหนดชำระหรือมีเงื่อนไขก็ตาม  เว้นแต่  หนี้อย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้ที่ไม่สามารุนำมาขอชำระหนี้ได้  คือ

1       หนี้ที่เกิดขึ้นโดยฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย  หรือศีลธรรมอันดี  หรือหนี้ที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้  (มาตรา  94(1))

2       หนี้ที่เจ้าหนี้ยอมให้ลูกหนี้กระทำขึ้นเมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว  แต่ไม่รวมถึงหนี้ที่เจ้าหนี้ยอมให้กระทำขึ้นเพื่อให้กิจการของลูกหนี้ดำเนินต่อไปได้  (มาตรา  94(2))

หนี้เงินที่นาย  ก  กู้มาจากนาย  ข  ในจำนวนแรกเป็นจำนวน  500,000  บาท  เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  อันถือว่ามูลแห่งหนี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จึงเป็นหนี้ที่นำมาขอชำระหนี้ได้ตามมาตรา  94  ตอนต้น  ดังนี้  หากข้าพเจ้าเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  จะต้องรับหนี้จำนวนนี้ไว้พิจารณาต่อไป

ส่วนหนี้จำนวน  200,000  บาท  เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นภายหลังที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว  จึงเป็นหนี้ที่ต้องห้ามมิให้นำมาขอรับชำระหนี้ตามมาตรา  94  ตอนต้น  ดังนี้  หากข้าพเจ้าเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะไม่รับหนี้จำนวน  200,000  บาท  ไว้พิจารณา  ทั้งกรณีดังกล่าวไม่จำต้องพิจารณาว่าในขณะที่นาย  ข  ให้นาย  ก  กู้เงินไปในครั้งหลังนี้นาย  ข  จะรู้ว่านาย  ก  เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่  เพราะหนี้ดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์อันต้องด้วยหลักทั่วไปตามมาตรา  94  ตอนต้นแล้ว  จึงไม่จำต้องพิจารณาถึงข้อยกเว้นตามมาตรา  94(2)  แต่อย่างใด

สรุป  หากข้าพเจ้าเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  จะรับหนี้จำนวน  500,000  บาท  ที่เกิดขึ้นก่อนที่ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเท่านั้นไว้พิจารณา  ส่วนหนี้จำนวน  200,000  บาท  ที่เกิดขึ้นภายหลังศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจะไม่รับพิจารณา

 

 

ข้อ  2  (ก)  นายเอกเป็นผู้รับจำนองที่ดินของนายโทไว้เป็นจำนวนเงิน  1,200,000  บาท  โดยในสัญญาจำนองไม่มีข้อตกลงพิเศษในสัญญาจำนองว่า  หากบังคับจำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้  นายโทจักต้องรับผิดใช้หนี้ในส่วนที่ขาด  ต่อมาปรากฏว่านายโทมีหนี้สินล้นพ้นตัว  ดังนี้นายเอกผู้รับจำนองจะฟ้องนายโทตามสัญญาจำนองนั้นให้ล้มละลายได้หรือไม่  ประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่ง

(ข)  กรณีตามข้อ  (ก)  หากนายเอกไม่ฟ้องเอง  แต่มีเจ้าหนี้รายอื่นฟ้องนายโทให้ล้มละลาย  และศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว

ดังนี้  นายเอกจะยื่นคำขอรับชำระหนี้จำนองจำนวน  1,200,000  บาท  ตามประกาศของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายนั้นได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  10  ภายใต้บังคับมาตรา  9  เจ้าหนี้มีประกันจะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อ

(1) มิได้เป็นผู้ต้องห้ามมิให้บังคับการชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้เกินกว่าตัวทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน  และ

(2) กล่าวในฟ้องว่า  ถ้าลูกหนี้ล้มละลายแล้ว  จะยอมสละหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย  หรือตีราคาหลักประกันมาในฟ้องซึ่งเมื่อหักกับจำนวนหนี้ของตนแล้ว  เงินยังขาดอยู่สำหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท  หรือลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าสองล้านบาท

มาตรา  96  วรรคแรกและวรรคท้าย  เจ้าหนี้มีประกันอาจขอรับชำระหนี้ภายในเงื่อนไขดังต่อไปนี้

(1) เมื่อยินยอมสละทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายแล้ว  ขอรับชำระหนี้ได้เต็มจำนวน

บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ไม่ให้ใช้บังคับในกรณีที่ตามกฎหมายลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าราคาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  733  ถ้าเอาทรัพย์จำนองหลุด  และราคาทรัพย์สินนั้นมีประมาณต่ำกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่ก็ดี  หรือถ้าเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองออกขายทอดตลาดใช้หนี้  ได้เงินจำนวนสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่นั้นก็ดี  เงินยังขาดอยู่จำนวนเท่าใด  ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินนั้น

(ก)  วินิจฉัย

การที่เจ้าหนี้มีประกันจะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้นั้น  นอกจากจะต้องประกอบด้วยหลัดเกณฑ์ตามมาตรา  9  แล้ว  ยังต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้  คือ

1       มิได้เป็นผู้ต้องห้ามมิให้บังคับการชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้เกินกว่าตัวทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน  และ

2       กล่าวในฟ้องว่า  ถ้าลูกหนี้ล้มละลายแล้ว  จะยอมสละหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย  หรือตีราคาหลักประกันมาในฟ้องซึ่งเมื่อหักกับจำนวนหนี้ของตนแล้ว  เงินยังขาดอยู่สำหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า  1  ล้านบาท

นายเอกผู้รับจำนองจะฟ้องนายโทตามสัญญาจำนองนั้นให้ล้มละลายได้หรือไม่  เห็นว่า  นายเอกเป็นผู้รับจำนองที่ดินของนายโทอันถือว่านายเอกเป็นเจ้าหนี้มีประกัน  ตามนัยมาตรา  6  เมื่อปรากฏว่านายโทมีหนี้สินล้นพ้นตัว  กรณีเช่นนี้นายเอกเจ้าหนี้มีประกันก็ไม่สามารถฟ้องนายโทตามสัญญาจำนองให้ล้มละลายได้  เนื่องจากสัญญาจำนองระหว่างนายเอกและนายโทบังคับได้ภายใต้มาตรา  733  เท่านั้น  กล่าวคือ  ถ้าบังคับจำนองเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองออกขายทอดตลาดใช้หนี้  ได้เงินจำนวนสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่  เงินยังขาดอยู่เท่าใด  ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินนั้น  อันถือว่านายเอกเป็นผู้ต้องห้ามมิให้บังคับการชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้เกินกว่าตัวทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน  ทั้งกรณีนี้ก็ไม่มีสัญญาพิเศษยกเว้น  ป.พ.พ.  มาตรา  733  นายเอกจึงนำคดีมาฟ้องนายโทไม่ได้  เพราะเป็นผู้ต้องห้ามตามมาตรา  10(1)  ประกอบ  ป.พ.พ.  มาตรา  733

(ข)  วินิจฉัย

กรณีตาม  (ก)  หากนายเอกไม่ฟ้องเอง  นายเอกจะยื่นคำขอรับชำระหนี้จำนวน  1,2000,000  บาท  ตามประกาศของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายได้หรือไม่  เห็นว่า  เมื่อสัญญาจำนองระหว่างนายเอกและนายโทบังคับได้ภายใต้มาตรา  733  อันถือว่านายโทลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันตามมาตรา  96  วรรคท้าย  ดังนั้น  นายเอกจึงไม่สามารถยินยอมสละทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแล้วมายื่นขอรับชำระหนี้เต็มจำนวนตามมาตรา  96(1)  ได้  เพราะมูลหนี้ที่นายเอกมายื่นขอชำระหนี้ต้องห้ามตามมาตรา  96 วรรคท้าย  ทั้งกรณีก็ไม่มีสัญญาพิเศษยกเว้น  ป.พ.พ.  มาตรา  733  แต่อย่างใด

สรุป

(ก)  นายเอกผู้รับจำนองจะฟ้องนายโทตามสัญญาจำนองให้ล้มละลายไม่ได้

(ข)  หากนายเอกไม่ฟ้องเอง  นายเอกก็จะยื่นคำขอรับชำระหนี้จำนวน  1,200,000  บาท  ตามประกาศของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายไม่ได้เช่นกัน

 

 

ข้อ  3  นายหนึ่งฟ้องนายสองให้ล้มละลาย  พร้อมทั้งยื่นคำขอฝ่ายเดียวโดยทำเป็นคำร้อง  ขอให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยชั่วคราว  ศาลได้ไต่สวนคำร้องของโจทก์ที่ขอให้พิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวนั้นแล้ว  ศาลเห็นว่าคดีไม่มีมูล  ดังนี้  ศาลจะสั่งคำร้องของโจทก์ว่าอย่างไร  และศาลจะดำเนินกระบวนพิจารณาคดีล้มละลายคดีนี้อย่างไรต่อไป

ธงคำตอบ

มาตรา  14  ในการพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องของเจ้าหนี้นั้น  ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  9  หรือมาตรา  10  ถ้าศาลพิจารณาได้ความจริง  ให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด  แต่ถ้าไม่ได้ความจริง  หรือลูกหนี้นำสืบได้ว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดหรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลายให้ศาลยกฟ้อง

มาตรา  17  ก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด  เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์จะยื่นคำขอฝ่ายเดียวโดยทำเป็นคำร้องขอให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ชั่วคราวก็ได้  เมื่อศาลได้รับคำร้องนี้แล้วให้ดำเนินการไต่สวนต่อไปโดยทันที  ถ้าศาลเห็นว่าคดีมีมูล  ก็ให้สั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ชั่วคราว  แต่ก่อนจะสั่งดังว่านี้จะให้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ให้ประกันค่าเสียหายของลูกหนี้ตามจำนวนที่เห็นสมควรก็ได้

วินิจฉัย

เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์จะยื่นคำขอฝ่ายเดียวโดยทำเป็นคำร้องขอให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ชั่วคราวก็ได้  ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด  ถ้าศาลเห็นว่าคดีมีมูลก็ให้ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ชั่วคราว  (มาตรา  17)

เมื่อนายหนึ่งยื่นฟ้องนายสองให้ล้มละลายแล้ว  ได้ยื่นคำขอฝ่ายเดียวโดยทำเป็นคำร้อง  ขอให้พิทักษ์ทรัพย์ของนายสองจำเลยชั่วคราว  เมื่อศาลไต่สวนคำร้องของนายหนึ่งแล้ว  เห็นว่าคดีไม่มีมูล  กรณีเช่นนี้ศาลต้องมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ที่ขอให้พิทักษ์ทรัพย์ของนายสองจำเลย  แล้วดำเนินการพิจารณาคดีล้มละลายเรื่องนั้นต่อไป  ตามมาตรา  14  จนกระทั่งศาลชี้ขาดตัดสินคดี

สรุป  ศาลต้องยกคำร้องของนายหนึ่ง  และดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปจนกระทั่งชี้ขาดตัดสินคดี

LAW3010 กฎหมายล้มละลาย 2/2547

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3010 กฎหมายล้มละลาย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  (ก)  จงอธิบายความหมายของคำว่า  “เจ้าหนี้มีประกัน  ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย  พ.ศ. 2483 

ธงคำตอบ

มาตรา  6  ในพระราชบัญญัตินี้  เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

เจ้าหนี้มีประกัน  หมายความว่า  เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ในทางจำนอง  จำนำ  หรือสิทธิยึดหน่วงหรือเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิที่บังคับได้ทำนองเดียวกับผู้รับจำนำ

มาตรา  10  ภายใต้บังคับมาตรา  9  เจ้าหนี้มีประกันจะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อ

(2) กล่าวในฟ้องว่า  ถ้าลูกหนี้ล้มละลายแล้ว  จะยอมสละหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย  หรือตีราคาหลักประกันมาในฟ้องซึ่งเมื่อหักกับจำนวนหนี้ของตนแล้ว  เงินยังขาดอยู่สำหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท  หรือลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าสองล้านบาท

อธิบาย

เจ้าหนี้มีประกัน  ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย  พ.ศ.  2483  มีบัญญัติไว้  4  ประเภท  คือ

1       เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ในทางจำนอง

2       เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ในทางจำนำ

3       เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิยึดหน่วง  และ

4       เจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิที่บังคับได้ทำนองเดียวกับผู้รับจำนำ

และประการที่สำคัญ  ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันนั้น  ต้องเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้เท่านั้น  หากเป็นทรัพย์สินของบุคคลอื่นที่นำมาเป็นหลักประกันในหนี้ของลูกหนี้  เช่นนี้  เจ้าหนี้ไม่ถือว่าอยู่ในฐานะของเจ้าหนี้มีประกันตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  6

(ข)  คดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  โจทก์บรรยายฟ้องว่าศาลในคดีแพ่งพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย  หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์  ถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบแต่จำเลยไม่ชำระ  โจทก์จึงขอให้บังคับคดีนำยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดได้เงินชำระหนี้บางส่วน  เมื่อหัดยอดหนี้แล้วจำเลยยังค้างชำระอีก  2,500,000  บาท  ขอศาลพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย  ศาลล้มละลายกลางตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า  โจทก์เป็นเจ้าหนี้มีประกัน  แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า  ถ้าจำเลยล้มละลายแล้วจะยอมสละหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายหรือตีราคาหลักประกันมาในฟ้องฯ  ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วย  พ.ร.บ.  ล้มละลายฯมาตรา  10(2)  จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้อง

ให้วินิจฉัยว่า  คำสั่งศาลล้มละลายกลางชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

คำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่ไม่รับฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  แม้โจทก์จะเป็นผ็รับจำนอง  แต่เมื่อโจทก์ได้ฟ้องบังคับจำนองเป็นคดีแพ่ง  และได้บังคับคดีโดยนำยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดได้เงินมาชำระหนี้เพียงบางส่วนแล้ว การจำนองย่อมระงับสิ้นไปตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  744(5)  ผู้รับจำนองจึงไม่มีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่จำนองอีกต่อไป

การที่โจทก์นำหนี้สินที่เหลืออีก  2,500,000  บท   มาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย  คำฟ้องของโจทก์จึงมิได้ฟ้องจำเลยในฐานะเจ้าหนี้มีประกัน  เพราะในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีล้มละลายนี้  โจทก์หาใช่เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของจำเลยในทางใดๆตามที่บัญญัติในมาตรา  6  ไม่

ดังนั้น  เมื่อโจทก์ไม่ใช่เจ้าหนี้มีประกัน  โจทก์จึงหาจำต้องบรรยายฟ้องตามหลักเกณฑ์ของมาตรา  10(2)  ที่ว่า  ถ้าจำเลยล้มละลายแล้วจะยอมสละประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย  หรือตีราคาหักประกันมาในฟ้องด้วยไม่  การที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์  เพราะเหตุว่า  โจทก์มิได้บรรยายฟ้องตามหลักเกณฑ์มาตรา  10(2)  จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  (ฎ. 6756/2538)

สรุป  คำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์ของศาลล้มละลายกลางไม่ชอบด้วยกฎหมาย


ข้อ  2  เมื่อศาลได้พิพากษาให้ล้มละลายแล้ว  บุคคลล้มละลายอาจได้รับการปลดจากล้มละลายได้ในกรณีใดบ้าง  และการปลดจากล้มละลายมีผลต่อความรับผิดในหนี้สินของบุคคลล้มละลายอย่างไรบ้าง

อธิบาย

เมื่อศาลได้พิพากษาให้ล้มละลายแล้ว  บุคคลล้มละลายอาจได้รับการปลดจากล้มละลายได้  2  กรณี  กล่าวคือ

1       ศาลได้มีคำสั่งปลดจากล้มละลาย  ตามมาตรา  71  คือ  เมื่อได้แบ่งทรัพย์สินชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ที่ได้ขอชำระหนี้ไว้แล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ  50  และไม่เป็นบุคคลล้มละลายทุจริต  โดยมาตรา  68  บัญญัติให้บุคคลล้มละลายอาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้อง  เพื่อขอให้ศาลมีสั่งปลดจากล้มละลายได้

2       มาตรา  81/1  บัญญัติให้บุคคลธรรมดาซึ่งศาลพิพากษาให้ล้มละลายได้รับการปลดจากล้มละลายทันทีที่พ้นกำหนดระยะเวลา  3  ปี  นับแต่วันที่ศาลได้พิพากษาให้ล้มละลาย  เว้นแต่

(1) บุคคลนั้นได้เคยถูกพิพากษาให้ล้มละลายมาก่อนแล้ว  และยังไม่พ้นระยะเวลา  5  ปี  นับแต่วันที่ศาลได้พิพากษาให้ล้มละลายครั้งก่อนจนถึงวันที่ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ครั้งหลัง  ให้ขยายระยะเวลาเป็น  5  ปี

(2) บุคคลนั้นเป็นบุคคลล้มละลายทุจริตที่ไม่มีลักษณะตาม  (3)  ให้ขยายระยะเวลาเป็น  10  ปี  เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุผลพิเศษและบุคคลนั้นถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลายมาแล้วไม่น้อยกว่า  5  ปี  ศาลจะสั่งปลดจากล้มละลายก่อนครบกำหนด  10  ปี  ตามคำขอของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของบุคคลล้มละลายนั้นก็ได้

(3) บุคคลนั้นเป็นบุคคลล้มละลายอันเนื่องมาจากหรือเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน  ให้ขยายระยะเวลาเป็น  10  ปี

ในกรณีที่มีเหตุตาม  (1) (2)  หรือ (3)  มากกว่าหนึ่งเหตุให้ขยายระยะเวลาโดยอาศัยเหตุใดเหตุหนึ่งที่มีระยะเวลาสูงสุดเพียงเหตุเดียว

สำหรับผลของคำสั่งปลดจากล้มละลายนั้นเป็นไปตามมาตรา  77  กล่าวคือ  การปลดจากล้มละลายทำให้บุคคลล้มละลายหลุดพ้นจากหนี้ทั้งปวงอันพึงขอรับชำระได้  เว้นแต่  หนี้เกี่ยวกับภาษีอากร  และหนี้ซึ่งได้เกิดขึ้นโดยความทุจริตฉ้อโกงของบุคคลล้มละลายหรือหนี้ซึ่งเจ้าหนี้ไม่ได้เรียกร้อง  เนื่องจากความทุจริตฉ้อโกงซึ่งบุคคลล้มละลายมีส่วนเกี่ยวข้องสมรู้ตามมาตรา  81/1  วรรคท้าย


ข้อ  3  คดีฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้เรื่องหนึ่ง  ภายหลังจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ประกาศโฆษณาคำสั่งแต่งตั้งผู้ทำแผนแล้ว  ธนาคารสยามซึ่งเป็นเจ้าหนี้ไม่มีประกันของลูกหนี้  ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  ธนาคารลาว  ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้รายหนึ่งโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของธนาคารสยาม  ว่าเป็นหนี้ที่ธนาคารสยาม  ยอมให้ลูกหนี้ก่อขึ้นในขณะที่ธนาคารสยาม  ได้รู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว  ต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ได้  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำการสอบสวนแล้ว  ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่ธนาคารลาวโต้แย้งมา  แต่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้ธนาคารสยาม  ได้รับชำระหนี้ตามที่ขอมาได้

ให้ท่านวินิจฉัยว่าคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  90/27  เจ้าหนี้อาจขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการได้  ถ้ามูลแห่งหนี้ได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ  แม้ว่าหนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดชำระหรือมีเงื่อนไขก็ตาม  เว้นแต่หนี้ที่เกิดขึ้นโดยฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย  หรือศีลธรรมอันดีหรือหนี้ที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้

วินิจฉัย

คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ให้ธนาคารสยามได้รับชำระหนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  หนี้ที่เจ้าหนี้จะขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการได้นั้น  บทบัญญัติมาตรา  90/27  วรรคแรก  กำหนดไว้ชัดแจ้งแล้วว่า  ต้องเป็นหนี้ที่มูลแห่งหนี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้  แม้ว่าหนี้นั้นจะยังไม่ถึงกำหนดเวลาชำระหรือเป็นหนี้ที่ยังมีเงื่อนไขในการชำระหนี้ก็ตาม  แต่ทั้งนี้ก็มีข้อยกเว้นอยู่เพียง  2  กรณีคือ

1       หนี้ที่เกิดขึ้นโดยฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี  หรือ

2       หนี้ที่จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้

การที่ธนาคารสยามยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ  โดยหนี้ของธนาคารสยามเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนวันมีคำสั่งให้ฟื้ฟูกิจการ  แม้ธนาคารลาวจะโต้แย้งว่าหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่ธนาคารสยามเจ้าหนี้ยอมให้ลูกหนี้ก่อให้เกิดขึ้นในขณะที่ธนาคารสยามได้รู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวก็ตาม  ก็ไม่เป็นเหตุให้หนี้ของธนาคารสยามดังกล่าวต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการตามมาตรา  90/27 วรรคแรกดังกล่าวได้  เพราะมิได้เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นโดยฝ่าฝืนข้อห้ามตามกำหมายหรือศีลธรรมอันดี  หรือหนี้ที่จะฟ้องร้องบังคับไม่ได้  ดังนั้นแม้จากการสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะรับฟังได้ตามข้อโต้แย้งของธนาคารลาว  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็มีคำสั่งให้ธนาคารสยามได้รับชำระหนี้ตามที่ขอมาได้  คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

สรุป  คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

หมายเหตุ  หนี้ซึ่งเจ้าหนี้ยอมให้ลูกหนี้กระทำขึ้นเมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว  เป็นข้อยกเว้นที่เจ้าหนี้จะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายตามมาตรา  94(2)  ไม่ได้เท่านั้น  มิได้เป็นข้อยกเว้นที่เจ้าหนี้จะขอรับชำระหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการตามมาตรา  90/27  วรรคแรกด้วยแต่อย่างใด

WordPress Ads
error: Content is protected !!