LAW3010 กฎหมายล้มละลาย 2/2547

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3010 กฎหมายล้มละลาย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  (ก)  จงอธิบายความหมายของคำว่า  “เจ้าหนี้มีประกัน  ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย  พ.ศ. 2483 

ธงคำตอบ

มาตรา  6  ในพระราชบัญญัตินี้  เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

เจ้าหนี้มีประกัน  หมายความว่า  เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ในทางจำนอง  จำนำ  หรือสิทธิยึดหน่วงหรือเจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิที่บังคับได้ทำนองเดียวกับผู้รับจำนำ

มาตรา  10  ภายใต้บังคับมาตรา  9  เจ้าหนี้มีประกันจะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อ

(2) กล่าวในฟ้องว่า  ถ้าลูกหนี้ล้มละลายแล้ว  จะยอมสละหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย  หรือตีราคาหลักประกันมาในฟ้องซึ่งเมื่อหักกับจำนวนหนี้ของตนแล้ว  เงินยังขาดอยู่สำหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท  หรือลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าสองล้านบาท

อธิบาย

เจ้าหนี้มีประกัน  ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย  พ.ศ.  2483  มีบัญญัติไว้  4  ประเภท  คือ

1       เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ในทางจำนอง

2       เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้ในทางจำนำ

3       เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิยึดหน่วง  และ

4       เจ้าหนี้ผู้มีบุริมสิทธิที่บังคับได้ทำนองเดียวกับผู้รับจำนำ

และประการที่สำคัญ  ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันนั้น  ต้องเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้เท่านั้น  หากเป็นทรัพย์สินของบุคคลอื่นที่นำมาเป็นหลักประกันในหนี้ของลูกหนี้  เช่นนี้  เจ้าหนี้ไม่ถือว่าอยู่ในฐานะของเจ้าหนี้มีประกันตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  6

(ข)  คดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  โจทก์บรรยายฟ้องว่าศาลในคดีแพ่งพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย  หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์  ถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบแต่จำเลยไม่ชำระ  โจทก์จึงขอให้บังคับคดีนำยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดได้เงินชำระหนี้บางส่วน  เมื่อหัดยอดหนี้แล้วจำเลยยังค้างชำระอีก  2,500,000  บาท  ขอศาลพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย  ศาลล้มละลายกลางตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า  โจทก์เป็นเจ้าหนี้มีประกัน  แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่า  ถ้าจำเลยล้มละลายแล้วจะยอมสละหลักประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายหรือตีราคาหลักประกันมาในฟ้องฯ  ฟ้องโจทก์ไม่ชอบด้วย  พ.ร.บ.  ล้มละลายฯมาตรา  10(2)  จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้อง

ให้วินิจฉัยว่า  คำสั่งศาลล้มละลายกลางชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

คำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่ไม่รับฟ้องของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  แม้โจทก์จะเป็นผ็รับจำนอง  แต่เมื่อโจทก์ได้ฟ้องบังคับจำนองเป็นคดีแพ่ง  และได้บังคับคดีโดยนำยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดได้เงินมาชำระหนี้เพียงบางส่วนแล้ว การจำนองย่อมระงับสิ้นไปตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  744(5)  ผู้รับจำนองจึงไม่มีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่จำนองอีกต่อไป

การที่โจทก์นำหนี้สินที่เหลืออีก  2,500,000  บท   มาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย  คำฟ้องของโจทก์จึงมิได้ฟ้องจำเลยในฐานะเจ้าหนี้มีประกัน  เพราะในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีล้มละลายนี้  โจทก์หาใช่เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของจำเลยในทางใดๆตามที่บัญญัติในมาตรา  6  ไม่

ดังนั้น  เมื่อโจทก์ไม่ใช่เจ้าหนี้มีประกัน  โจทก์จึงหาจำต้องบรรยายฟ้องตามหลักเกณฑ์ของมาตรา  10(2)  ที่ว่า  ถ้าจำเลยล้มละลายแล้วจะยอมสละประกันเพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย  หรือตีราคาหักประกันมาในฟ้องด้วยไม่  การที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์  เพราะเหตุว่า  โจทก์มิได้บรรยายฟ้องตามหลักเกณฑ์มาตรา  10(2)  จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  (ฎ. 6756/2538)

สรุป  คำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์ของศาลล้มละลายกลางไม่ชอบด้วยกฎหมาย


ข้อ  2  เมื่อศาลได้พิพากษาให้ล้มละลายแล้ว  บุคคลล้มละลายอาจได้รับการปลดจากล้มละลายได้ในกรณีใดบ้าง  และการปลดจากล้มละลายมีผลต่อความรับผิดในหนี้สินของบุคคลล้มละลายอย่างไรบ้าง

อธิบาย

เมื่อศาลได้พิพากษาให้ล้มละลายแล้ว  บุคคลล้มละลายอาจได้รับการปลดจากล้มละลายได้  2  กรณี  กล่าวคือ

1       ศาลได้มีคำสั่งปลดจากล้มละลาย  ตามมาตรา  71  คือ  เมื่อได้แบ่งทรัพย์สินชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ที่ได้ขอชำระหนี้ไว้แล้วไม่น้อยกว่าร้อยละ  50  และไม่เป็นบุคคลล้มละลายทุจริต  โดยมาตรา  68  บัญญัติให้บุคคลล้มละลายอาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้อง  เพื่อขอให้ศาลมีสั่งปลดจากล้มละลายได้

2       มาตรา  81/1  บัญญัติให้บุคคลธรรมดาซึ่งศาลพิพากษาให้ล้มละลายได้รับการปลดจากล้มละลายทันทีที่พ้นกำหนดระยะเวลา  3  ปี  นับแต่วันที่ศาลได้พิพากษาให้ล้มละลาย  เว้นแต่

(1) บุคคลนั้นได้เคยถูกพิพากษาให้ล้มละลายมาก่อนแล้ว  และยังไม่พ้นระยะเวลา  5  ปี  นับแต่วันที่ศาลได้พิพากษาให้ล้มละลายครั้งก่อนจนถึงวันที่ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ครั้งหลัง  ให้ขยายระยะเวลาเป็น  5  ปี

(2) บุคคลนั้นเป็นบุคคลล้มละลายทุจริตที่ไม่มีลักษณะตาม  (3)  ให้ขยายระยะเวลาเป็น  10  ปี  เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุผลพิเศษและบุคคลนั้นถูกศาลพิพากษาให้ล้มละลายมาแล้วไม่น้อยกว่า  5  ปี  ศาลจะสั่งปลดจากล้มละลายก่อนครบกำหนด  10  ปี  ตามคำขอของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของบุคคลล้มละลายนั้นก็ได้

(3) บุคคลนั้นเป็นบุคคลล้มละลายอันเนื่องมาจากหรือเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดอันมีลักษณะเป็นการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน  ให้ขยายระยะเวลาเป็น  10  ปี

ในกรณีที่มีเหตุตาม  (1) (2)  หรือ (3)  มากกว่าหนึ่งเหตุให้ขยายระยะเวลาโดยอาศัยเหตุใดเหตุหนึ่งที่มีระยะเวลาสูงสุดเพียงเหตุเดียว

สำหรับผลของคำสั่งปลดจากล้มละลายนั้นเป็นไปตามมาตรา  77  กล่าวคือ  การปลดจากล้มละลายทำให้บุคคลล้มละลายหลุดพ้นจากหนี้ทั้งปวงอันพึงขอรับชำระได้  เว้นแต่  หนี้เกี่ยวกับภาษีอากร  และหนี้ซึ่งได้เกิดขึ้นโดยความทุจริตฉ้อโกงของบุคคลล้มละลายหรือหนี้ซึ่งเจ้าหนี้ไม่ได้เรียกร้อง  เนื่องจากความทุจริตฉ้อโกงซึ่งบุคคลล้มละลายมีส่วนเกี่ยวข้องสมรู้ตามมาตรา  81/1  วรรคท้าย


ข้อ  3  คดีฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้เรื่องหนึ่ง  ภายหลังจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ประกาศโฆษณาคำสั่งแต่งตั้งผู้ทำแผนแล้ว  ธนาคารสยามซึ่งเป็นเจ้าหนี้ไม่มีประกันของลูกหนี้  ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  ธนาคารลาว  ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้รายหนึ่งโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของธนาคารสยาม  ว่าเป็นหนี้ที่ธนาคารสยาม  ยอมให้ลูกหนี้ก่อขึ้นในขณะที่ธนาคารสยาม  ได้รู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว  ต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ได้  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำการสอบสวนแล้ว  ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามที่ธนาคารลาวโต้แย้งมา  แต่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งให้ธนาคารสยาม  ได้รับชำระหนี้ตามที่ขอมาได้

ให้ท่านวินิจฉัยว่าคำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  90/27  เจ้าหนี้อาจขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการได้  ถ้ามูลแห่งหนี้ได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ  แม้ว่าหนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดชำระหรือมีเงื่อนไขก็ตาม  เว้นแต่หนี้ที่เกิดขึ้นโดยฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย  หรือศีลธรรมอันดีหรือหนี้ที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้

วินิจฉัย

คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ให้ธนาคารสยามได้รับชำระหนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  หนี้ที่เจ้าหนี้จะขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการได้นั้น  บทบัญญัติมาตรา  90/27  วรรคแรก  กำหนดไว้ชัดแจ้งแล้วว่า  ต้องเป็นหนี้ที่มูลแห่งหนี้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้  แม้ว่าหนี้นั้นจะยังไม่ถึงกำหนดเวลาชำระหรือเป็นหนี้ที่ยังมีเงื่อนไขในการชำระหนี้ก็ตาม  แต่ทั้งนี้ก็มีข้อยกเว้นอยู่เพียง  2  กรณีคือ

1       หนี้ที่เกิดขึ้นโดยฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี  หรือ

2       หนี้ที่จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้

การที่ธนาคารสยามยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ  โดยหนี้ของธนาคารสยามเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนวันมีคำสั่งให้ฟื้ฟูกิจการ  แม้ธนาคารลาวจะโต้แย้งว่าหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่ธนาคารสยามเจ้าหนี้ยอมให้ลูกหนี้ก่อให้เกิดขึ้นในขณะที่ธนาคารสยามได้รู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวก็ตาม  ก็ไม่เป็นเหตุให้หนี้ของธนาคารสยามดังกล่าวต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการตามมาตรา  90/27 วรรคแรกดังกล่าวได้  เพราะมิได้เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นโดยฝ่าฝืนข้อห้ามตามกำหมายหรือศีลธรรมอันดี  หรือหนี้ที่จะฟ้องร้องบังคับไม่ได้  ดังนั้นแม้จากการสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะรับฟังได้ตามข้อโต้แย้งของธนาคารลาว  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็มีคำสั่งให้ธนาคารสยามได้รับชำระหนี้ตามที่ขอมาได้  คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

สรุป  คำสั่งของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ชอบด้วยกฎหมายแล้ว

หมายเหตุ  หนี้ซึ่งเจ้าหนี้ยอมให้ลูกหนี้กระทำขึ้นเมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว  เป็นข้อยกเว้นที่เจ้าหนี้จะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายตามมาตรา  94(2)  ไม่ได้เท่านั้น  มิได้เป็นข้อยกเว้นที่เจ้าหนี้จะขอรับชำระหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการตามมาตรา  90/27  วรรคแรกด้วยแต่อย่างใด

LAW3010 กฎหมายล้มละลาย S/2547

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3010 กฎหมายล้มละลาย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

 ข้อ  1  ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  นาย  ก  ฟ้องนาย  ข  ให้ล้มละลาย  ต่อมามีเจ้าหนี้คือนาย  ค  ฟ้องนาย  ข  ให้ล้มละลายด้วย  และศาลรับคดีของนาย  ค  ไว้พิจารณา  ต่อมานาย  ง  ฟ้องนาย  ข  ลูกหนี้  คนเดียวกันนี้ให้ล้มละลายอีก  แต่ศาลไม่รับคำฟ้องโดยอ้างว่าศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดคดีของนาย  ก  แล้ว  จึงให้นาย  ง  ไปรอขอรับชำระหนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ข้ออ้างของศาลฟังขึ้นหรือไม่  และคดีของนาย  ค  ที่ค้างพิจารณาอยู่จะต้องดำเนินการอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  15  ตราบใดที่ลูกหนี้ยังมิได้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดจะฟ้องลูกหนี้นั้นเป็นคดีล้มละลายอีกก็ได้  แต่เมื่อศาลได้สั่งให้คดีหนึ่งคดีใดให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  ให้จำหน่ายคดีล้มละลายซึ่งเจ้าหนี้อื่นฟ้องลูกหนี้คนเดียวกันนั้น

วินิจฉัย

ก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  เจ้าหนี้แต่ละรายจะฟ้องลูกหนี้เป็นคดีล้มละลายอีกคดีก็ได้  แต่เมื่อศาลเดียวกันหรือศาลหนึ่งศาลใดมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  ศาลจะต้องสั่งจำหน่ายคดีอื่นๆเสียคงเหลือไว้แต่คดีที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแต่เพียงคดีเดียวเท่านั้น  แต่ถ้าศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว  ดังนี้  ยังไม่ต้องจำหน่ายคดีอื่นๆแต่อย่างใด

การที่ศาลไม่รับคดีของนาย  ง  ไว้พิจารณา  โดยอ้างว่า  ศาลได้สั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดคดีของนาย  ก  แล้ว  ข้ออ้างของศาลเช่นนี้ฟังขึ้น เพราะเหตุว่า  ในคดีล้มละลายศาลสามารถพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดลูกหนี้คนเดียวกันได้เพียงคดีเดียว  และหากมีการฟ้องลูกหนี้คนเดียวโดยเจ้าหนี้หลายคนฟ้อง  หากศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดคดีใดแล้ว  เจ้าหนี้อื่นจะฟ้องลูกหนี้คนเดียวกันนั้นอีกไม่ได้  เจ้าหนี้อื่นนั้นต้องไปรอขอรับชำระหนี้  ตามมาตรา  27  ประกอบมาตรา  91

ส่วนคดีของนาย  ค  ที่ค้างพิจารณานั้น  เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีของนาย  ก  แล้ว  ศาลก็อยู่ในบังคับที่จะต้องสั่งจำหน่ายคดี  ตามมาตรา  15  เพื่อให้นาย  ค  ไปรอรับชำระหนี้เช่นกัน

สรุป  ข้ออ้างของศาลที่ไม่รับคดีของนาย  ง  ไว้พิจารณาฟังขึ้น  และในส่วนคดีของนาย  ค  ที่ค้างพิจารณาศาลต้องสั่งจำหน่ายคดี


ข้อ  2  ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  ศาลสั่งให้ลูกหนี้ล้มละลาย  และลูกหนี้ขอประนอมหนี้  ศาลอนุญาตแต่ปรากฏว่าลูกหนี้กระทำไม่สำเร็จเนื่องจากผิดนัดอย่างหนึ่งอย่างใดตาม  พ.ร.บ.  ล้มละลายฯมาตรา  60  ศาลจึงสั่งให้ลูกหนี้ล้มละลายตามมาตรา  61  ดังนี้  ลูกหนี้จะเริ่มต้นล้มละลายตั้งแต่เมื่อใด  ให้ท่านอธิบายพร้อมยกตัวบทกฎหมายประกอบด้วย

ธงคำตอบ

มาตรา  6  ในพระราชบัญญัตินี้  เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

พิทักษ์ทรัพย์  หมายความว่า  พิทักษ์ทรัพย์สินไม่ว่าเด็ดขาดหรือชั่วคราว

มาตรา  62  การล้มละลายของลูกหนี้เริ่มต้นมีผลตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์

อธิบาย

การล้มละลายของลูกหนี้จะเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อใดนั้น  เป็นไปตาม  พ.ร.บ.  ล้มละลายฯ  มาตรา  62  ซึ่งกำหนดว่า  ให้เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์  อย่างไรก็ตามเมื่อบทบัญญัติดังกล่าวมิได้ระบุไว้โดยชัดแจ้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น  จึงต้องนำบทนิยามตามมาตรา  6  ที่ว่า  พิทักษ์ทรัพย์  หมายความว่า  พิทักษ์ทรัพย์สินไม่ว่าเด็ดขาดหรือชั่วคราว  มาพิจารณาประกอบด้วย  กล่าวคือ

1       ถ้าศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว  การล้มละลายก็จะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว

2       ถ้าศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด (โดยไม่มีการพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว)  การล้มละลายก็จะเริ่มต้นตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด

ตัวอย่าง  ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ชั่วคราวตั้งแต่วันที่  15  มกราคม  2547  ต่อมาวันที่  22  มกราคม  2547  จึงมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาด  และวันที่  30  มกราคม  2547  ศาลได้พิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย  เช่นนี้ถือว่าลูกหนี้ล้มละลายตั้งแต่วันที่  15  มกราคม  2547  อันเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวแล้ว  ทั้งนี้ตามมาตรา  62 

อนึ่งจากตัวอย่างข้างต้น  หากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดอย่างเดียว  โดยไม่มีการพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ชั่วคราวแต่อย่างใด  ก็ต้องถือว่าลูกหนี้ล้มละลายตั้งแต่วันที่  22  มกราคม  2547  อันเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า  ผลของการล้มละลาย  ไม่ใช่เริ่มตั้งแต่วันที่ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย  แต่เริ่มตั้งแต่วันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์  ซึ่งอาจจะเป็นการพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวหรือเด็ดขาดก็ได้  แล้วแต่กรณี


ข้อ  3  ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีนี้  ซึ่งมีลูกหนี้เป็นบริษัทจำกัดและมีหนี้ที่ค้างชำระแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายเป็นจำนวนเงิน  24  ล้านบาท  ลูกหนี้ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการโดยอ้างว่ามีเหตุอันสมควรและมีช่องทางที่จะฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้  หากท่านเป็นศาล  ท่านจะสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้หรือไม่อย่างไร  ให้ท่านอธิบายพร้อมทั้งยกตัวบทกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  90/3  เมื่อลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวและเป็นหนี้เจ้าหนี้คนเดียวหรือหลายคนรวมกันเป็นจำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่าสิบล้านบาท  ไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำหนดชำระโดยพลันหรือในอนาคตก็ตาม  ถ้ามีเหตุอันสมควรและมีช่องทางที่จะฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้  บุคคลธรรมดาตามมาตรา  90/4  อาจยื่นคำร้องขอต่อศาลให้มีการฟื้นฟูกิจการได้

มาตรา  90/4  ภายใต้บังคับมาตรา  90/5  บุคคลซึ่งมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลให้ฟื้นฟูกิจการได้แก่บุคคลดังต่อไปนี้

(2) ลูกหนี้ซึ่งมีลักษณะตามมาตรา  90/3

มาตรา  90/5  บุคคลตามมาตรา  90/4  จะยื่นคำร้องขอให้มีการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ไม่ได้ในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด

วินิจฉัย

ศาลจะสั่งรับคำขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้หรือไม่  เห็นว่า  ตาม  พ.ร.บ.  ล้มละลายฯ  มาตรา  90/5  นั้น  บัญญัติห้ามมิให้บุคคลตามมาตรา 90/4  ยื่นคำร้องขอให้มีการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ในกรณีดังต่อไปนี้

1       ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  กล่าวคือ  กฎหมายจำกัดเฉพาะกรณีที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดเท่านั้นจะยื่นคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ไม่ได้  ถ้าลูกหนี้เพียงแต่ถูกฟ้องขอให้ล้มละลาย  ตราบใดที่ศาลยังไม่ได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  ก็อาจมีการยื่นคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ได้  อีกประการหนึ่งการที่ศาลมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ชั่วคราวก็ยังยื่นคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการได้

2       ศาลหรือนายทะเบียนได้มีคำสั่งให้เลิกหรือเพิกถอนทะเบียนนิติบุคคลที่เป็นลูกหนี้หรือมีการจดทะเบียนเลิกนิติบุคคลหรือนิติบุคคลต้องเลิกกันด้วยเหตุอื่น

กรณีนี้แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า  ลูกหนี้ซึ่งเป็นบริษัทจำกัดถูกฟ้องล้มละลายโดยมีมูลหนี้  24  ล้านบาท  จะเป็นบุคคลตามมาตรา  90/3 ประกอบมาตรา  90/4(2)  ก็ตาม  แต่เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  กรณีจึงต้องห้ามตามมาตรา  90/5(1)  ลูกหนี้จึงมายื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการไม่ได้  แม้จะยื่นคำร้องโดยอ้างว่ามีเหตุอันสมควรและมีช่องทางที่จะฟื้นฟูกิจการได้  ศาลก็ชอบที่จะมีคำสั่งไม่รับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้

สรุป  หากข้าพเจ้าเป็นศาลจะสั่งไม่รับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้

LAW3010 กฎหมายล้มละลาย 1/2548

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3010 กฎหมายล้มละลาย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนคำขอชำระหนี้ของธนาคารไทย  จำกัด  (มหาชน)  แล้วทำความเห็นเสนอต่อศาลว่า  ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้รายนี้  แต่หนี้ของเจ้าหนี้รายนี้ขาดอายุความไปก่อนวันที่นำมายื่นคำขอรับชำระหนี้  เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า  แม้หนี้ของเจ้าหนี้รายนี้จะขาดอายุความ  แต่ลูกหนี้และเจ้าหนี้รายอื่นไม่โต้แย้ง  ดังนั้น  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ย่อมไม่มีสิทธิโต้แย้งคัดค้าน  จึงอนุญาตให้ธนาคารไทย  จำกัด  (มหาชน)  ได้รับชำระหนี้ตามขอให้วินิจฉัยว่า  คำสั่งศาลล้มละลายกลางดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ธงคำตอบ

มาตรา  22  เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจดังต่อไปนี้

(3) ประนีประนอมยอมความ  หรือฟ้องร้อง  หรือต่อสู้คดีใดๆ  เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้

มาตรา  94  เจ้าหนี้ไม่มีประกันอาจขอรับชำระหนี้ได้  ถ้ามูลแห่งหนี้ได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์  แม้ว่าหนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดชำระหรือมีเงื่อนไขก็ตาม  เว้นแต่

(1) หนี้ที่เกิดขึ้นโดยฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย  หรือศีลธรรมอันดี  หรือหนี้ที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้

วินิจฉัย

คำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่อนุญาตให้ธนาคารไทย  จำกัด  (มหาชน)  ได้รับชำระหนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  พ.ร.บ.  ล้มละลาย  พ.ศ.2483  มาตรา  22(3)  บัญญัติให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นมีอำนาจฟ้องร้องหรือต่อสู้คดีใดๆเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้

การที่ธนาคารไทย  จำกัด (มหาชน)  เจ้าหนี้นำหนี้ที่ขาดอายุความซึ่งต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ตามมาตรา  94(1)  มายื่นคำขอรับชำระหนี้  กรณีเช่นนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ซึ่งมีอำนาจฟ้องร้องและต่อสู้คดีใดๆเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้  จึงมีอำนาจที่จะอ้างเอาอายุความมาต่อสู้เพื่อให้ศาลมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ได้  เมื่อเจ้าพนักงานพิทักทรัพย์ยกอายุความขึ้นต่อสู้  และทำความเห็นต่อศาลว่าควรยกคำขอรับชำระหนี้ที่เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตามมาตรา  94(1)  ศาลจึงไม่อาจมีคำสั่งอนุญาตให้ธนาคารไทย  จำกัด (มหาชน)  ได้รับชำระหนี้ได้  ดังนั้น  การที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งอนุญาตให้ธนาคารไทย  จำกัด  (มหาชน)  ได้รับชำระหนี้ตามคำขอ  จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  (ฎ. 980/2532, ฎ. 3960/2546)

สรุป  คำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่อนุญาตให้ธนาคารไทย  จำกัด  (มหาชน)  ได้รับชำระหนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

 


ข้อ  2  ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  หลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดทรัพย์ไพศาลเด็ดขาดแล้ว  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงยื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งให้นายไพบูลย์และนายพัลลภ  ซึ่งเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดล้มละลายตามห้างฯด้วย  และข้อเท็จจริงจากการไต่สวนฟังได้ยุติว่า  นายไพบูลย์และนายพัลลภเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดในห้างฯดังกล่าวจริง  แต่นายไพบูลย์มีทรัพย์สิน  มากกว่าหนี้สินของห้าง  ศาลจึงมีคำสั่งยกคำร้องสำหรับนายไพบูลย์เพราะมิได้มีหนี้สินล้นพ้นตัว  และพิพากษาให้นายพัลลภเป็นบุคคลล้มละลายทันที

ให้วินิจฉัยว่า  คำสั่งและคำพิพากษาของศาลล้มละลายกลางดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  89  เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งได้จดทะเบียนหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดแล้ว  เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อาจมีคำขอโดยทำเป็นคำร้อง  ให้บุคคลซึ่งนำสืบได้ว่าเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนนั้นล้มละลายได้  โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีขึ้นใหม่

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ในกรณีที่เจ้าหนี้เป็นโจทก์หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้หุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดล้มละลายตามห้างฯ  ตามมาตรา  89  นั้น  บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ให้พิจารณาแต่เพียงว่าผู้ถูกขอให้ล้มละลายตามห้างฯ  เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดหรือไม่  ถ้าได้ความว่าเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด  ศาลก็มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลายตามห้างฯได้เลย  โดยไม่ต้องคำนึงว่าหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดนั้นจะมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่  ทั้งนี้เพราะหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดต้องรับผิดในหนี้สินแทนห้างหุ้นส่วนตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1070  และ  1077  โดยไม่จำกัดจำนวนอยู่แล้ว  (ฎ. 7093/2545, ฎ. 1172/2521)

คำสั่งและคำพิพากษาของศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  ภายหลังจากที่ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดทรัพย์ไพศาลเด็ดขาดแล้ว  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งให้นายไพบูลย์และนายพัลลภหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดล้มละลายตามห้างฯด้วย  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยจึงมีเพียงว่า  นายไพบูลย์และนายพัลลภผู้ถูกขอให้ล้มละลายตามห้างฯเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดหรือไม่เท่านั้น  เอข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่านายไพบูลย์และนายพัลลภเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัดทรัพย์ไปศาล  ซึ่งศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดไปก่อนแล้ว  กรณีเช่นนี้  ศาลก็มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของนายไพบูลย์และนายพัลลภเด็ดขาดได้เลย  โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่  ทั้งนี้ตามมาตรา  89

ดังนั้น  กี่ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำพิพากษาให้นายพัลลภล้มละลายทันทีย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะศาลต้องมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก่อนจึงจะมีคำพิพากษาให้ล้มละลายได้  และคำสั่งยกคำร้องของนายไพบูลย์  โดยเห็นว่าไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัวก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน  เพราะประเด็นดังกล่าวไม่จำต้องวินิจฉัยแต่อย่างใด

สรุป  คำพิพากษาและคำสั่งของศาลไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 


ข้อ  3  ในกรณีที่มีการร้องขอฟื้นฟูกิจการและศาลได้ยอมให้ตามคำขอฟื้นฟูแล้ว  ต่อมาผู้ร้องขอมาขอถอนคำร้องขอ  หากท่านเป็นศาล  ท่านจะพิจารณาคำร้องขอนี้อย่างไร  ประการหนึ่ง  อีกประการหนึ่งถ้าภายหลังศาลสั่งรับคำร้องขอแล้ว  หากมีเหตุที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดี เช่นผู้ร้องขอขาดนัดพิจารณาก่อนศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี  ศาลมีหน้าที่จะต้องทำประการใดก่อน  ให้ท่านอธิบายพอสังเขป 

ธงคำตอบ

มาตรา  90/8  วรรคแรก  ผู้ร้องขอจะถอนคำร้องขอไม่ได้  เว้นแต่ศาลจะอนุญาตแต่ถ้าศาลได้มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการแล้ว  ศาลจะอนุญาตให้ถอนคำร้องขอไม่ได้

ในกรณีที่ผู้ร้องขอทิ้งคำร้องขอ  หรือขาดนัดพิจารณา  หรือศาลอนุญาตให้ถอนคำร้องขอ  ก่อนที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดี  ให้โฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันที่แพร่หลายอย่างน้อยหนึ่งฉบับ  เพื่อให้เจ้าหนี้ทั้งหลายและลูกหนี้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน

วินิจฉัย

ตาม  พ.ร.บ.  ล้มละลาย  มาตรา  90/8  วรรคแรก  กำหนดว่า  ผู้ร้องขอจะถอนคำร้องขอไม่ได้  เว้นแต่ศาลจะอนุญาตแต่ถ้าศาลได้มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการแล้ว  ศาลจะอนุญาตให้ถอนคำร้องขอไม่ได้  ซึ่งการร้องขอฟื้นฟูกิจการเป็นการร้องขอให้มีการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ภายใต้กรอบของกฎหมายฟื้นฟูกิจการ  เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย  มิใช่เรื่องระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้ผู้ร้องขอเท่านั้น  กฎหมายจึงกำหนดให้ศาลเข้ามาตรวจสอบในกรณีที่มีการถอนคำร้องขอดังกล่าว

ดังนั้นโดยหลักแล้ว  การร้องขอถอนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการจึงสามารถกระทำได้ทุกเมื่อ  ส่วนศาลจะอนุญาตให้ถอนคำร้องขอหรือไม่  เป็นดุลพินิจของศาล  ซึ่งต้องพิจารณาถึงสาเหตุที่ขอถอนคำร้องขอนั้นด้วยว่าเป็นเหตุอันสมควรหรือไม่  แต่อย่างไรก็ตามในกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการแล้ว  ศาลจะอนุญาตให้ถอนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการไม่ได้  เพราะถือว่าศาลมีคำสั่งโดยได้วินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีของการร้องขอฟื้นฟูกิจการแล้ว  ทำให้บุคคลที่เกี่ยวข้องต่างๆมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้  การยื่นคำร้องขอถอนคำร้องดังกล่าวจึงไม่อาจกระทำได้

กรณีนี้ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล  จะมีคำสั่งไม่อนุญาตตามคำขอตามมาตรา  90/8  วรรคแรก  เพราะศาลได้มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการแล้ว

กรณีที่ศาลจะจำหน่ายคดีภายหลังรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการแล้ว

เมื่อศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ไว้พิจารณาแล้ว  หากมีเหตุที่ศาลจะสั่งจำหน่ายคดี  เช่น

1       ผู้ร้องขอฟื้นฟูกิจการทิ้งคำร้องขอ

2       ผู้ร้องขอฟื้นฟูกิจการขาดนัดพิจารณา

3       ศาลอนุญาตให้ถอนคำร้องขอตามมาตรา  90/8  วรรคแรก  (กรณีอนุญาตให้ถอนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการก่อนมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ)

ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ  ศาลมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติมาตรา  90/8  วรรคสอง  กล่าวคือ  ให้ศาลโฆษณาในหนังสือพิมพ์รายวันที่แพร่หลายอย่างน้อย  1  ฉบับ  เพื่อให้เจ้าหนี้ทั้งหลายและลูกหนี้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า  7  วัน  ศาลจึงจะสั่งจำหน่ายคดีได้

LAW3010 กฎหมายล้มละลาย 2/2548

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3010 กฎหมายล้มละลาย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

 ข้อ  1  ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานต่อศาลว่า  ที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกลงมติไม่ยอมรับคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย  ซึ่งจำเลยขอชำระหนี้เพียงร้อยละ  50  ขอศาลพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย  ระหว่างนัดฟังคำพิพากษา  จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลว่าประสงค์จะขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายอีกครั้งหนึ่งโดยเสนอขอชำระหนี้ร้อยละ  75  ซึ่งเจ้าหนี้เสียงข้างมากและรวมจำนวนหนี้กันมากกว่า  3  ใน  4  ของจำนวนหนี้ทั้งหมดรับว่าจะตกลงยอมรับคำขอประนอมหนี้ครั้งใหม่ของจำเลย  ศาลล้มละลายกลางจึงมีคำสั่งให้งดการพิพากษาไว้ก่อนและให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไปเรียกประชุมเจ้าหนี้ว่าจะยอมรับคำขอประนอมหนี้ครั้งใหม่ของจำเลยหรือไม่  แล้วรายงานผลการประชุมเจ้าหนี้ต่อศาลโดยเร็วให้วินิจฉัยว่า  คำสั่งศาลล้มละลายกลางดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  31  เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้ทั้งหลายโดยเร็วที่สุด  เพื่อปรึกษาว่า  จะควรยอมรับคำขอประนอมหนี้ของลูกหนี้  หรือควรขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายและปรึกษาถึงวิธีที่จะจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อไป  การประชุมนี้ให้เรียกว่าประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก

มาตรา  45  เมื่อลูกหนี้ประสงค์จะทำความตกลงในเรื่องหนี้สินโดยวิธีขอชำระหนี้แต่เพียงบางส่วนหรือโดยวิธีอื่น  ให้ทำคำขอประนอมหนี้เป็นหนังสือยื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเจ็ดวัน  นับแต่วันยื่นคำชี้แจงเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินตามมาตรา  30  หรือภายในเวลาตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กำหนดให้

คำขอประนอมหนี้ต้องแสดงข้อความแห่งการประนอมหนี้  หรือวิธีจัดกิจการหรือทรัพย์สินและรายละเอียดแห่งหลักประกันหรือผู้ค้ำประกัน  ถ้ามี

ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้เพื่อปรึกษาลงมติพิเศษว่าจะยอมรับคำขอนั้นหรือไม่

มาตรา  61  เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานว่า  เจ้าหนี้ได้ลงมติในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกหรือในคราวที่ได้เลื่อนไป  ขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายก็ดี  หรือไม่ลงมติประการใดก็ดี  หรือไม่มีเจ้าหนี้ไปประชุมก็ดี  หรือการประนอมหนี้ไม่ได้รับความเห็นชอบก็ดี  ให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย  และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของบุคคลล้มละลายเพื่อแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย

มาตรา  63  วรรคแรก  เมื่อศาลพิพากษาให้ล้มละลายแล้ว  ลูกหนี้จะเสนอคำขอประนอมหนี้ก็ได้  ในกรณีนี้ให้นำบทบัญญัติในส่วนที่  6  ว่าด้วยการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายมาใช้บังคับโดยอนุโลม  แต่ถ้าลูกหนี้ได้เคยประนอมหนี้ไม่เป็นผลมาแล้ว  ห้ามมิให้ลูกหนี้ขอประนอมหนี้ภายในกำหนดเวลาสามเดือนนับแต่วันที่ขอประนอมหนี้ครั้งสุดท้ายไม่เป็นผล

วินิจฉัย

การขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายนั้นตามมาตรา  45  กำหนดให้จำเลยหรือลูกหนี้ทำคำประนอมหนี้เป็นหนังสือยื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนด  7  วัน  นับแต่วันยื่นคำชี้แจงเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินตามมาตรา  30  หรือภายในเวลาตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กำหนดให้  และให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้เพื่อปรึกษาลงมติพิเศษว่าจะยอมรับคำขอประนอมหนี้นั้นหรือไม่  และมาตรา  31  วรรคแรก  กำหนดว่าเมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้ทั้งหลายโดยเร็วที่สุด  เพื่อปรึกษาว่าควรจะยอนรับคำขอประนอมหนี้ของลูกหนี้  หรือควรพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย  และปรึกษาถึงวิธีที่จะจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อไป  การประชุมนี้ให้เรียกว่าการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกตามมาตรา  31

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  คำสั่งศาลล้มละลายกลางชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้รายงานต่อศาลว่า  เจ้าหนี้ได้ลงมติในที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกไม่ยอมรับคำขอประนอมหนี้  ซึ่งจำเลยขอประนอมหนี้เพียงร้อยละ  50  และขอศาลพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย  กรณีเช่นนี้  ศาลต้องอยู่ในบังคับที่ต้องพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายทันทีตามมาตรา  61  ซึ่งมีหลักคือ   เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานว่า  เจ้าหนี้ได้ลงมติในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกหรือในคราวที่ได้เลื่อนไป  ขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายก็ดี  หรือไม่ลงมติประการใดก็ดี  หรือไม่มีเจ้าหนี้ไปประชุมก็ดี  หรือการประนอมหนี้ไม่ได้รับความเห็นชอบก็ดี  ให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย  ทั้งนี้เป็นบทบังคับเด็ดขาดศาลจะงดพิพากษา  หรือรอการพิพากษา  หรือพิพากษาเป็นอย่างอื่นไม่ได้   และกฎหมายมีเจตนารมณ์ให้ขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายได้เพียงครั้งเดียว  หากจำเลยจะขอประนอมหนี้อีกก็ชอบที่จะเสนอคำขอได้ในตอนหลังเมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยล้มละลายแล้วตามมาตรา  63  วรรคแรก

การที่จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลว่าประสงค์จะขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายเข้ามาอีก  ซึ่งการที่จำเลยยื่นคำร้องดังกล่าว  นอกจากจะมิใช่เป็นการแก้ไขคำขอประนอมหนี้ตามมาตรา  47  และยังเป็นการพ้นระยะเวลาตามมาตรา  45  แล้ว  การยื่นคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายอีกครั้งจะทำให้คดีล้มละลายไม่อาจดำเนินไปได้โดยรวดเร็ว  ผิดวัตถุประสงค์ของกฎหมายล้มละลาย  จึงเป็นการไม่ชอบ

ดังนั้น  การที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้งดการพิจารณาและให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไปเรียกประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาว่าจะยอมรับคำขอประนอมหนี้ของจำเลยอีกครั้ง  จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  (ฎ. 1350/2546)

สรุป  คำสั่งของศาลล้มละลายกลางไม่ชอบด้วยกฎหมาย


ข้อ  2  ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้ธนาคารไทย  จำกัด  (มหาชน)  ได้รับชำระหนี้เงินกู้จำนวน  
100,000  บาท  จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้  และคำสั่งดังกล่าวถึงที่สุดแล้วต่อมาลูกหนี้ตรวจสอบพบใบเสร็จค่าผ่อนชำระเงินกู้จำนวน  2  งวด  งวดละ  10,000  บาท  ที่ธนาคารออกให้

ดังนี้  ให้ท่านให้คำแนะนำแก่ลูกหนี้ว่าควรดำเนินการอย่างไรบ้าง  เพื่อให้ศาลมีคำสั่งแก้ไขคำสั่งเดิมที่อนุญาตให้

ธนาคารได้รับชำระหนี้จำนวน  100,000  บาท  ดังกล่าว

ธงคำตอบ

มาตรา  108  คำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ซึ่งศาลได้สั่งอนุญาตแล้วนั้น  ถ้าต่อมาปรากฏว่าศาลได้สั่งไปโดยผิดหลง  เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอโดยทำเป็นคำร้อง  ศาลมีอำนาจยกคำขอรับชำระหนี้หรือลดจำนวนหนี้ที่ได้สั่งอนุญาตไปแล้วได้

วินิจฉัย

ตามมาตรา  108  ได้ให้อำนาจศาลในการแก้ไขคำสั่งของศาลที่อนุญาตตามคำขอชำระหนี้ของเจ้าหนี้ได้  แม้คำสั่งศาลจะถึงที่สุดแล้วก็ตาม  ถ้าต่อมาปรากฏว่าศาลได้สั่งไปโดยหลงผิดตามจำนวนที่อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้  โดยความจริงลูกหนี้ไม่ได้เป็นหนี้  หรือเป็นหนี้ไม่ถึงจำนวนตามที่อนุญาตไปแล้ว  แต่ทั้งนี้  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องเป็นผู้ยื่นคำร้องต่อศาล

ภายหลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งถึงที่สุดให้ธนาคารไทย  จำกัด  (มหาชน)  ได้รับชำระหนี้เงินกู้จำนวน  100,000  บาท  จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้  ลูกหนี้ได้ตรวจพบใบเสร็จค่าผ่อนชำระเงินกู้  จำนวน  2  งวด  งวดละ  10,000  บาท  ที่ธนาคารออกให้   จึงเป็นกรณีที่ศาลสั่งไปโดยผิดหลงตามจำนวนที่อนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้  โดยความจริงลูกหนี้เป็นหนี้ไม่ถึงจำนวนตามที่อนุญาตไปแล้ว  ซึ่งกรณีเช่นนี้ศาลก็มีอำนาจลดลงจำนวนที่ได้สั่งอนุญาตไปแล้ว  คือ  100,000  บาท  มาเป็นจำนวนเงินที่ถูกต้อง  คือ  80,000  บาท  ได้ ตามมาตรา  108  แต่อย่างไรก็ตาม  คำร้องตามมาตรา  108  นี้  กฎหมายให้อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เท่านั้นที่มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้แก้ไขคำสั่งศาลที่อนุญาตให้ชำระหนี้โดยผิดหลง  ลูกหนี้เองไม่มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลตามมาตรานี้  ดังนั้นลูกหนี้จะต้องนำใบเสร็จค่าผ่อนชำระเงินกู้จำนวน  2  งวดดังกล่าว  ที่ธนาคารออกให้ไปมอบให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งแก้ไขคำสั่งเดิมที่สั่งไปโดยผิดหลงที่อนุญาตให้ธนาคารไทย  จำกัด  (มหาชน)  ได้รับชำระหนี้มากเกินความจริง  (ฎ.5198/2547)

สรุป  ข้าพเจ้าจะแนะนำให้ลูกหนี้นำใบเสร็จค่าผ่อนชำระเงินกู้จำนวน  2  งวดดังกล่าวไปมอบให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลให้ศาลมีคำสั่งแก้ไขคำสั่งเดิม 


ข้อ  3  ในการประชุมเจ้าหนี้เพื่อเลือกบุคคลเป็นผู้ทำแผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้  ลูกหนี้เสนอนายดำซึ่งเป็นผู้บริหารของลูกหนี้เป็นผู้ทำแผน  นายแดงซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของลูกหนี้เสนอตัวเองเป็นผู้ทำแผนที่ประชุมเจ้าหนี้พิจารณาแล้วลงมติเลือกนายแดงเป็นผู้ทำแผนด้วยคะแนนเสียงหกสิบในร้อยของจำนวนหนี้ของเจ้าหนี้ที่มาประชุมและออกเสียงลงคะแนนในมติดังกล่าว  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานให้ศาลพิจารณาว่าจะมีคำสั่งแต่งตั้งนายดำเป็นผู้ทำแผนหรือไม่  นายแดงไม่เห็นด้วยกับรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และมาปรึกษาท่าน  ท่านจะให้คำปรึกษาแก่นายแดงประการใด 

ธงคำตอบ

มาตรา  90/17  วรรคแรก  วรรคสองและวรรคหก  ในการพิจารณาตั้งผู้ทำแผน  ถ้าลูกหนี้หรือเจ้าหนี้ผู้คัดค้านไม่ได้เสนอบุคคลอื่นเป็นผู้ทำแผนด้วย  เมื่อศาลสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ  ศาลจะมีคำสั่งตั้งบุคคลที่ผู้ร้องขอเสนอเป็นผู้ทำแผนก็ได้  ถ้าศาลเห็นว่าบุคคลที่ผู้ร้องขอเสนอไม่สมควรเป็นผู้ทำแผนก็ดี  หรือลูกหนี้  เจ้าหนี้ผู้คัดค้านเสนอบุคคลอื่นเป็นผู้ทำแผนด้วยก็ดี  ให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้ทั้งหลายโดยเร็วที่สุดเพื่อพิจารณาเลือกว่าบุคคลใดสมควรเป็นผู้ทำแผน

ในกรณีที่ลูกหนี้มิได้เสนอผู้ทำแผน  มติเลือกผู้ทำแผนต้องเป็นมติของเจ้าหนี้ฝ่ายที่มีจำนวนหนี้ข้างมากซึ่งได้ออกเสียงลงคะแนนในมตินั้น  แต่ในกรณีที่ลูกหนี้เสนอผู้ทำแผนด้วย  ให้ผู้ทำแผนที่ลูกหนี้เสนอเป็นผู้ทำแผน  เว้นแต่จะมีมติของเจ้าหนี้ฝ่ายที่มีจำนวนหนี้ไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนหนี้ทั้งหมดของเจ้าหนี้ซึ่งได้ออกเสียงลงคะแนนในมตินั้นกำหนดให้บุคคลอื่นเป็นผู้ทำแผนในการลงมติตามมาตรานี้  ให้เจ้าหนี้มีประกันออกเสียงได้เต็มตามจำนวนหนี้

ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานผลของการประชุมเจ้าหนี้ที่พิจารณาเลือกผู้ทำแผนทุกครั้งต่อศาลภายในสามวันนับแต่วันประชุม  เพื่อให้ศาลพิจารณาและมีคำสั่งต่อไป 

วินิจฉัย

ตามมาตรา  90/17  วรรคสอง  ได้กำหนดกลักเกณฑ์เกี่ยวกับมติในการประชุมเจ้าหนี้เพื่อพิจารณาเลือกผู้ทำแผนในกรณีที่ลูกหนี้เสนอผู้ทำแผน  โดยให้ผู้ทำแผนที่ลูกหนี้เสนอเป็นผู้ทำแผน  เว้นแต่จะมีมติของเจ้าหนี้ที่มีจำนวนหนี้ไม่น้อยกว่า  2  ใน  3  ของจำนวนหนี้ทั้งหมดของเจ้าหนี้  ซึ่งได้ออกเสียงลงคะแนนด้วยในมตินั้น  กำหนดให้บุคคลอื่นเป็นผู้ทำแผน

กรณีตามอุทาหรณ์  ลูกหนี้ได้เสนอชื่อนายดำซึ่งเป็นผู้บริหารของลูกหนี้เป็นผู้ทำแผน  และนายแดงซึ่งเป็นเจ้าหนี้ได้เสนอชื่อตัวเองเป็นผู้ทำแผน  ที่ประชุมเจ้าหนี้พิจารณาแล้วลงมติเลือกนายแดงเป็นผู้ทำแผนด้วยคะแนนเสียงหกสิบในร้อย  ซึ่งไม่ถึง  2  ใน  3  ของจำนวนหนี้ทั้งหมดของเจ้าหนี้  ซึ่งได้ออกเสียงลงคะแนนในมตินั้น  กรณีเช่นนี้จึงต้องถือว่านายดำซึ่งลูกหนี้เป็นผู้เสนอชื่อ  เป็นบุคคลที่ได้รับมติเลือกเป็นผู้ทำแทน  ตามมาตรา  90/17  วรรคสอง

การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานให้ศาลพิจารณาว่าจะมีคำสั่งแต่งตั้งนายดำเป็นผู้ทำแผนหรือไม่จึงชอบแล้ว  เพราะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหน้าที่ต้องรายงานผลของการประชุมเจ้าหนี้ที่พิจารณาเลือกผู้ทำแผนทุกครั้งต่อศาลภายใน  3  วัน  นับแต่วันประชุม  เพื่อให้ศาลพิจารณาและมีคำสั่งต่อไปตามมาตรา  90/17  วรรคหก

สรุป  ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่นายแดงว่า  ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานให้ศาลพิจารณาว่าจะมีคำสั่งแต่งตั้งนายดำเป็นผู้ทำแผนหรือไม่นั้น  ชอบแล้ว

LAW3010 กฎหมายล้มละลาย ซ่อม 1/2549

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3010 กฎหมายล้มละลาย 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

 ข้อ  1  ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  โจทก์ฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายและศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดชาดแล้ว  ต่อมาโจทก์กับจำเลยตกลงกันได้ในข้อตกลงมีว่าจำเลยจะชำระหนี้ให้กับโจทก์ทั้งหมด  โดยขอให้โจทก์ถอนฟ้องและจำเลยยังได้ชำระหนี้ให้โจทก์ไปก่อนแล้ว  30%  ส่วนที่เหลือจะชำระหนี้ให้ต่อเมื่อโจทก์ถอนฟ้องแล้ว  โจทก์ตกลงจึงมาขอถอนฟ้องต่อศาล  ดังนี้หากท่านเป็นศาล  ท่านจะพิจารณาคำขอถอนฟ้องของโจทก์อย่างไร  ให้ท่านตอบพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบในการตอบให้ครบถ้วนด้วย

ธงคำตอบ

มาตรา 11  เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ต้องวางเงินประกันค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนห้าพันบาทในขณะยื่นฟ้องคดีล้มละลาย  และจะถอนคำฟ้องนั้นไม่ได้  เว้นแต่ศาลจะอนุญาต

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  11  แห่ง  พ.ร.บ.  ล้มละลาย  พ.ศ. 2483  นั้น  เมื่อได้ยื่นฟ้องคดีล้มละลายต่อศาลแล้ว  ห้ามมิให้ถอนฟ้อง  เว้นแต่เข้าหลักเกณฑ์ทั้ง  3  ประการดังต่อไปนี้คือ

1       ศาลอนุญาตให้ถอนฟ้อง  ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลว่าจะอนุญาตหรือไม่

2       การถอนฟ้องจะกระทำได้เฉพาะแต่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นเท่านั้น  ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่  1636/2532

3       จะต้องขอถอนฟ้องก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดเท่านั้น  ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่  3286/2530

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  ศาลจะพิจารณาคำขอถอนฟ้องของโจทก์อย่างไร  เห็นว่า  แม้โจทก์กับจำเลยจะตกลงกันได้  โดยจำเลยจะยอมชำระหนี้ให้กับโจทก์ทั้งหมด  และได้ชำระหนี้ให้โจทก์ไปก่อนแล้ว  30%  ส่วนที่เหลือจะยอมชำระหนี้ให้ต่อเมื่อโจทก์ถอนฟ้องแล้ว  อันถือว่ามีเหตุอันสมควรและได้กระทำในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นก็ตาม  แต่เมื่อคดีนี้โจทก์มาขอถอนฟ้องต่อศาลหลังจากที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  ถือว่าศาลได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีแล้ว  โจทก์จึงขอถอนฟ้องไม่ได้  ตามมาตรา 11  วรรคแรก  ศาลจึงต้องมีคำสั่งยกคำขอถอนฟ้องของโจทก์

สรุป  หากข้าพเจ้าเป็นศาลจะสั่งยกคำขอของโจทก์

 


ข้อ  2  ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว  จำเลยทำคำขอประนอมหนี้เข้ามาที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก  อยากทราบว่าการประชุมหนี้ครั้งแรกที่ว่านี้ประชุมกันเพื่ออะไร

ธงคำตอบ

มาตรา  31  เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้ทั้งหลายโดยเร็วที่สุด  เพื่อปรึกษาว่า  จะควรยอมรับคำขอประนอมหนี้ของลูกหนี้  หรือควรขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายและปรึกษาถึงวิธีที่จะจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อไป  การประชุมนี้ให้เรียกว่าประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต้องโฆษณากำหนดเวลา  และสถานที่ๆจะประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์รายวันไม่น้อยกว่าหนึ่งฉบับ  ล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน  และต้องแจ้งไปยังเจ้าหนี้ทั้งหลายเท่าที่ทราบด้วย

อธิบาย

การประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  ตามมาตรา  31  มีวัตถุประสงค์เพื่อปรึกษากันว่า

1       ถ้าลูกหนี้ขอประนอมหนี้ควรจะยอมรับคำขอประนอมหนี้ของลูกหนี้หรือไม่  หรือ

2       ควรขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย  และ

3       หากขอศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย  จะจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้อย่างไรต่อไป

สำหรับการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกนี้ต้องมีในคดีล้มละลายทุกคดี  และมติในเรื่องขอประนอมหนี้ต้องใช้มติพิเศษเสมอ  ตามมาตรา  45  วรรคสาม  กล่าวคือ  เป็นมติของเจ้าหนี้ฝ่ายข้างมาก  และมีจำนวนหนี้เท่ากับ  3  ใน  4  แห่งจำนวนหนี้ทั้งหมดของเจ้าหนี้  ซึ่งได้เข้าประชุมด้วยตนเองหรือมอบฉันทะให้ผู้อื่นเข้าประชุมแทนในที่ประชุมเจ้าหนี้  และได้ออกเสียงลงคะแนนในมตินั้น

อนึ่งการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกนี้  มีเฉพาะเพื่อปรึกษากันในเรื่องดังกล่าวข้างต้นเท่านั้น  ดังนั้นหากลูกหนี้มิได้ขอประนอมหนี้ก็เป็นอันว่าจะต้องถูกพิพากษาให้ล้มละลายต่อไป  เจ้าหนี้จะลงมติให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายไม่ได้  การที่เจ้าหนี้ฝ่ายข้างมากลงมติเช่นนั้นย่อมเป็นการนอกเหนือไปจากบทบัญญัติมาตรา  31  จึงเป็นการฝ่าฝืนและขัดต่อกฎหมายล้มละลาย  ฉะนั้นเมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ร้องขอ  ศาลจึงสั่งให้ทำลายมติดังกล่าวตามมาตรา  36 ได้  และเมื่อได้สั่งให้ทำลายมติที่ประชุมเจ้าหนี้ดังกล่าวแล้ว  จึงมีผลเท่ากับเจ้าหนี้ไม่ได้ลงมติประการใด  ศาลย่อมพิพากษาให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลายได้  ตามมาตรา  61  (ฎ. 955/2505 (ประชุมใหญ่)) 

 


ข้อ  3  ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  ลูกหนี้ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนโดนฟ้องล้มละลายโดยมีมูลหนี้กว่า  15  ล้านบาท  ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว  ลูกหนี้มาขอฟื้นฟูกิจการ  ดังนี้หากท่านเป็นศาล  ท่านจะอนุญาตให้ลูกหนี้ฟื้นฟูกิจการหรือไม่  อย่างไร  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วย

ธงคำตอบ

มาตรา  90/3  เมื่อลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวและเป็นหนี้เจ้าหนี้คนเดียวหรือหลายคนรวมกันเป็นจำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่าสิบล้านบาท  ไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำหนดชำระโดยพลันหรือในอนาคตก็ตาม  ถ้ามีเหตุอันสมควรและมีช่องทางที่จะฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้  บุคคลธรรมดาตามมาตรา  90/4  อาจยื่นคำร้องขอต่อศาลให้มีการฟื้นฟูกิจการได้

มาตรา  90/4  ภายใต้บังคับมาตรา  90/5  บุคคลซึ่งมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลให้ฟื้นฟูกิจการได้แก่บุคคลดังต่อไปนี้

(2) ลูกหนี้ซึ่งมีลักษณะตามมาตรา  90/3

มาตรา  90/5  บุคคลตามมาตรา  90/4  จะยื่นคำร้องขอให้มีการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ไม่ได้ในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด

(2) ศาลหรือนายทะเบียนได้มีคำสั่งให้เลิกหรือเพิกถอนทะเบียนนิติบุคคลที่เป็นลูกหนี้หรือมีการจดทะเบียนเลิกนิติบุคคลนั้น  หรือนิติบุคคลที่เป็นลูกหนี้ต้องเลิกกันด้วยเหตุอื่น  ทั้งนี้ไม่ว่าการชำระบัญชีของนิติบุคคลดังกล่าวจะเสร็จแล้วหรือไม่

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  ศาลจะสั่งอนุญาตให้ลูกหนี้ฟื้นฟูกิจการหรือไม่  เห็นว่า  ตาม  พ.ร.บ.  ล้มละลายฯ  มาตรา  90/5  นั้น  บัญญัติห้ามมิให้บุคคลตามมาตรา  90/4  ยื่นคำร้องขอให้มีการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ในกรณีต่อไปนี้

1       ศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด  กล่าวคือ  กฎหมายจำกัดเฉพาะกรณีที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดเท่านั้นจะยื่นคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ไม่ได้  ถ้าลูกหนี้เพียงแต่ถูกฟ้องขอให้ล้มละลาย  ตราบใดที่ศาลยังไม่ได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  ก็อาจมีการยื่นคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ได้  อีกประการหนึ่งการที่ศาลมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ชั่วคราวก็ยังยื่นคำร้องขอให้ฟื้นฟูกิจการได้

2       ศาลหรือนายทะเบียนได้มีคำสั่งให้เลิกหรือเพิกถอนทะเบียนนิติบุคคลที่เป็นลูกหนี้หรือมีการจดทะเบียนเลิกนิติบุคคลหรือนิติบุคคลต้องเลิกกันด้วยเหตุอื่น

กรณีแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า  ลูกหนี้ซึ่งเป็นบริษัทมหาชนถูกฟ้องล้มละลายโดยมีมูลหนี้กว่า  15  ล้านบาท  จะเป็นบุคคลตามมาตรา  90/3  ประกอบมาตรา  90/4(2)  ก็ตาม  แต่เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  กรณีจึงต้องห้ามตามมาตรา  90/5(1) ลูกหนี้จึงยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการไม่ได้  ศาลชอบที่จะมีคำสั่งยกคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ได้

สรุป  หากข้าพเจ้าเป็นศาลจะสั่งไม่อนุญาตให้ฟื้นฟูกิจการตามคำขอของลูกหนี้ 

LAW3010 กฎหมายล้มละลาย 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3010 กฎหมายล้มละลาย 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

 ข้อ  1  ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  หลังจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามรุ่งโรจน์เด็ดขาดแล้ว  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งให้นายดำและนายแดงหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดล้มละลายตามห้างฯด้วย  และข้อเท็จจริงจากการไต่สวนฟังได้ยุติว่า  นายดำและนายแดงเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดในห้างฯดังกล่าวจริง  แต่นายแดงมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินของห้างฯ  ศาลจึงคำพิพากษาให้นายดำเป็นบุคคลล้มละลายทันทีและมีคำสั่งยกคำร้องสำหรับนายแดงเพราะมิได้มีหนี้สินล้นพ้นตัว  ให้วินิจฉัยว่าคำพิพากษาและคำสั่งของศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  89  เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งได้จดทะเบียนหรือห้างหุ้นส่วนจำกัดแล้ว  เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อาจมีคำขอโดยทำเป็นคำร้อง  ให้บุคคลซึ่งนำสืบได้ว่าเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนนั้นล้มละลายได้  โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีขึ้นใหม่

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ในกรณีที่เจ้าหนี้เป็นโจทก์หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขอให้หุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดล้มละลายตามห้างฯ  ตามมาตรา  89  นั้น  บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ให้พิจารณาแต่เพียงว่าผู้ถูกขอให้ล้มละลายตามห้างฯ  เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดหรือไม่  ถ้าได้ความว่าเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิด  ศาลก็มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลายตามห้างฯได้เลย โดยไม่ต้องคำนึงว่าหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดนั้นจะมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่  ทั้งนี้เพราะหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดต้องรับผิดในหนี้สินแทนห้างหุ้นส่วนตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1070  และ  1077  โดยไม่จำกัดจำนวนอยู่แล้ว  (ฎ. 7093/2545, ฎ. 1172/2521)

กรณีตามอุทาหรณ์  คำพิพากษาและคำสั่งของศาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  ภายหลังจากที่ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามรุ่งโรจน์เด็ดขาดแล้ว  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งให้นายดำและนายแดงหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดล้มละลายตามห้างฯด้วย  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยจึงมีเพียงว่า  นายดำและนายแดงผู้ถูกขอให้ล้มละลายตามห้างฯ  เป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดหรือไม่เท่านั้น  เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่านายดำและนายแดงเป็นหุ้นส่วนจำพวกไม่จำกัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามรุ่งโรจน์  ซึ่งศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดไปก่อนแล้ว  กรณีเช่นนี้  ศาลก็มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของนายแดงและนายดำเด็ดขาดได้เลย  โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่  ทั้งนี้ตามมาตรา  89

ดังนั้น  การที่ศาลมีคำสั่งพิพากษาให้นายดำล้มละลายทันทีย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เพราะศาลต้องมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดก่อนจึงจะมีคำพิพากษาให้ล้มละลายได้  และคำสั่งยกคำร้องของนายแดง  โดยเห็นว่าไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัวก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน  เพราะประเด็นดังกล่าวไม่จำต้องวินิจฉัยแต่อย่างใด

สรุป  คำพิพากษาและคำสั่งของศาลไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 


ข้อ  2  ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  นายดำลูกหนี้ขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายโดยขอชำระหนี้ร้อยละ  50  แก่เจ้าหนี้ที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ทุกๆราย  ที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกมีมติพิเศษยอมรับและศาลเห็นชอบด้วย  นายดำผ่อนชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ทุกๆราย  เพียงร้อยละ  25  แล้วผิดนัดไม่ชำระหนี้อีก  ศาลจึงมีคำสั่งยกเลิกการประนอมหนี้และพิพากษาให้นายดำเป็นบุคคลล้มละลาย  หลังจากนั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของนายดำที่ยึดไว้ออกขายจนหมดแล้วนำเงินแบ่งชำระให้แก่เจ้าหนี้ทุกๆราย  ได้อีกร้อยละ  25  นายดำจึงยื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายอ้างว่าเจ้าหนี้ทุกรายได้รับชำระหนี้ร้อยละ  50  เต็มจำนวนคำขอประนอมหนี้แล้ว  ให้วินิจฉัยว่า  ศาลล้มละลายกลางจะมีคำสั่งคำร้องของนายดำอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  60  วรรคแรก  ถ้าลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามที่ได้ตกลงไว้ในการประนอมหนี้ก็ดี  หรือปรากฏแก่ศาลโดยมีพยานหลักฐานว่าการประนอมหนี้นั้นไม่อาจดำเนินไปได้โดยปราศจากอยุติธรรมหรือจะเป็นการเนิ่นช้าเกินสมควรก็ดี  หรือการที่ศาลได้มีคำสั่งเห็นชอบด้วยนั้นเป็นเพราะถูกหลอกลวงทุจริตก็ดี  เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานหรือเจ้าหนี้คนใดมีคำขอโดยทำเป็นคำร้อง  ศาลมีอำนาจยกเลิกการประนอมหนี้และพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย  แต่ทั้งนี้ไม่กระทบถึงการใดที่ได้กระทำไปแล้วตามข้อประนอมหนี้นั้น

มาตรา  135  เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอ  ศาลมีอำนาจสั่งยกเลิกการล้มละลายได้  ถ้าปรากฏเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้

(3) หนี้สินของบุคคลล้มละลายได้ชำระเต็มจำนวนแล้ว

วินิจฉัย

ศาลล้มละลายกลางจะมีคำสั่งคำร้องของนายดำอย่างไร  เห็นว่า  ภายหลังจากที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกมีมติพิเศษยอมรับการขอประนอมหนี้ของนายดำและศาลเห็นชอบด้วยในการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายโดยนายดำขอชำระหนี้ร้อยละ  50  แต่นายดำกลับผ่อนชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ทุกรายเพียงร้อยละ  25  และผิดนัดไม่ชำระหนี้อีก  จึงเป็นกรณีที่นายดำผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามที่ตกลงไว้ในการประนอมหนี้  ศาลจึงมีอำนาจยกเลิกการประนอมหนี้และพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายได้ตามมาตรา  60  วรรคแรก

หลังจากนั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้นำทรัพย์สินของนายที่ยึดไว้ออกขายทอดตลาด  แล้วนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ทุกรายได้อีกร้อยละ  25  นายดำจึงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายโดยอ้างว่าเจ้าหนี้ทุกรายได้รับชำระหนี้ร้อยละ  50  เต็มจำนวนตามคำขอประนอมหนี้แล้ว  ปัญหาจึงมีว่าเมื่อศาลมีคำสั่งยกเลิกการประนอมหนี้แล้ว  นายดำจะถือเอาประโยชน์จากข้อตกลงในการประนอมหนี้ได้หรือไม่  เห็นว่า  เมื่อศาลมีคำสั่งให้ยกเลิกการประนอมหนี้และพิพากษาให้นายดำเป็นบุคคลล้มละลายแล้ว  ข้อตกลงตามข้อประนีประนอมก็เป็นอันยกเลิกไป  ลูกหนี้จึงมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ตามจำนวนหนี้เดิม  ซึ่งอาจจะมีจำนวนมากกว่าที่ได้ประนอมหนี้  ลูกหนี้จะย้อนกลับไปขอให้บังคับตามข้อตกลงในคำขอประนอมหนี้ไม่ได้  (ฎ. 2071/2535)

ดังนั้น  เมื่อหนี้สินของนายดำบุคคลล้มละลายเพิ่งจะมีการชำระหนี้ไปเพียงรอยละ  50  ศาลจึงไม่อาจสั่งให้ยกเลิกการล้มละลายตามมาตรา  135(3)  ได้  ดังนี้  ศาลล้มละลายกลางจึงต้องมีคำสั่งยกคำร้องของนายดำ

สรุป  ศาลล้มละลายกลางต้องมีคำสั่งยกคำร้องของนายดำ

 


ข้อ  3  แผนฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการเรื่องหนึ่ง  กำหนดให้เจ้าหนี้ที่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการทุกคนต้องลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ในอัตราคนละสามสิบในร้อยของหนี้ที่มีสิทธิได้รับชำระหนี้  และกำหนดให้ลูกหนี้ผู้ค้ำประกันของลูกหนี้หลุดพ้นจากหนี้ทั้งหมดที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ดังกล่าวทุกคน  ที่ประชุมเจ้าหนี้ลงมติยอมรับแผน  และศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนแล้ว  นายแดงซึ่งเป็นเจ้าหนี้ที่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในการฟื้นฟูและได้ลงมติยอมรับแผนดังกล่าวยื่นฟ้องนายดำซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันของลูกหนี้  ขอให้ศาลบังคับบังคับให้นายดำชำระหนี้ในส่วนที่ลุกหนี้ได้รับการลดหนี้ตามแผนในอัตราสามสิบในร้อยของหนี้ทั้งหมด  นายดำให้การยกข้อต่อสู้ว่าแผนฟื้นฟูกิจการกำหนดให้ผู้ค้ำประกันของลูกหนี้หลุดพ้นจากหนี้ทั้งหมดที่ได้ค้ำประกันไว้  อีกทั้งนายแดงก็ได้ลงมติยอมรับแผนดังกล่าวด้วย  เท่ากับนายแดงตกลงยอมรับให้ผู้ค้ำประกันของลูกหนี้หลุดพ้นจากหนี้ดังกล่าว  นายแดงจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้นายดำต้องรับผิดตามคำฟ้องแต่ประการใด

ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของนายดำรับฟังได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  90/27  เจ้าหนี้อาจขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการได้  ถ้ามูลแห่งหนี้ได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ  แม้ว่าหนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดชำระหรือมีเงื่อนไขก็ตาม  เว้นแต่หนี้ที่เกิดขึ้นโดยฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย  หรือศีลธรรมอันดีหรือหนี้ที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้

มาตรา  90/60  แผนซึ่งศาลมีคำสั่งเห็นชอบแล้ว  ผูกมัดเจ้าหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการได้และเจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ  ทั้งนี้ตามมาตรา  90/27

คำสั่งของศาลซึ่งเห็นชอบด้วยแผนไม่มีผลเปลี่ยนแปลงความรับผิดของบุคคลซึ่งเป็นหุ้นส่วนกับลูกหนี้  หรือผู้รับผิดร่วมกับลูกหนี้  หรือผู้ค้ำประกัน  หรืออยู่ในลักษณะอย่างผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ในหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน  และไม่มีผลให้บุคคลเช่นว่านั้นต้องรับผิดในหนี้ที่ก่อขึ้นตามแผนตั้งแต่วันดังกล่าว  เว้นแต่บุคคลเช่นว่านั้นจะยินยอมโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  150  การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย  เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน  การนั้นเป็นโมฆะ

วินิจฉัย

คำสั่งเห็นชอบด้วยแผนมีผลเฉพาะตัวลูกหนี้เท่านั้นที่จะหลุดพ้นจากหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน  แล้วมาผูกพันตามหนี้ที่กำหนดไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการ  ส่วนบุคคลภายนอกซึ่งต้องร่วมรับผิดกับลูกหนี้ตาม  พ.ร.บ.  ล้มละลาย  พ.ศ.2483  มาตรา  90/60  วรรคสอง  อันได้แก่  บุคคลซึ่งเป็นหุ้นส่วนกับลูกหนี้หรือผู้รับผิดร่วมกับลูกหนี้  หรือผู้ค้ำประกันหรือผู้อยู่ในลักษณะอย่างผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ คำสั่งของศาลที่เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการย่อมไม่มีผลเปลี่ยนแปลงความรับผิดของบุคคลเหล่านั้นที่มีอยู่ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน  ความรับผิดของบุคคลดังกล่าวจะต้องรับผิดอีกเช่นไรต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง  กล่าวโดยเฉพาะในส่วนของผู้ค้ำประกันเมื่อหนี้ที่ค้ำประกันมิได้ระงับสิ้นไปตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  698  ผู้ค้ำประกันก็ยังไม่หลุดพ้นจากความรับผิดต่อเจ้าหนี้  เจ้าหนี้ยังมีสิทธิฟ้องผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ได้เช่นเดิม

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  ข้อต่อสู้ของนายดำรับฟังได้หรือไม่  เห็นว่า  การที่แผนฟื้นฟูกิจการกำหนดให้เจ้าหนี้ทุกคนต้องลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ในอัตราคนละสามสิบในร้อย  และให้ผู้ค้ำประกันของลูกหนี้หลุดพ้นจากความรับผิดจากหนี้ทั้งหมดนั้น  กรณีเช่นนี้เมื่อศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนแล้ว  แผนฟื้นฟูกิจการนั้นคงผูกมัดเจ้าหนี้ตามมาตรา  90/60  วรรคแรก  แต่ทั้งนี้เฉพาะในเรื่องหนี้ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้เท่านั้น

แต่ในส่วนของผู้ค้ำประกัน  คำสั่งเห็นชอบด้วยแผนไม่มีผลให้ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดเพียงเท่าจำนวนหนี้ตามที่กำหนดไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการด้วยแต่อย่างใด  เจ้าหนี้ยังคงมีสิทธิฟ้องผู้ค้ำประกันให้รับผิดในหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนอยู่เช่นเดิม  การที่แผนฟื้นฟูกิจการกำหนดว่าให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากหนี้ทั้งหมดที่ได้ค้ำประกันไว้  โดยมิได้คำนึงว่าเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ครบถ้วนแล้วหรือไม่  ย่อมขัดต่อบทบัญญัติมาตรา  90/60  วรรคสอง  อันเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน  ข้อกำหนดดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  150  ดังนั้น  นายดำซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยังคงต้องรับผิดในหนี้ที่ลูกหนี้ได้รับการปรับลดในอัตราสามสิบในร้อยตามแผนฟื้นฟูกิจการดังกล่าว  และในส่วนที่ขาดต่อนายแดงซึ่งเป็นเจ้าหนี้ต่อไปจนกว่าจะครบตามจำนวนที่ตนได้เข้าทำสัญญาค้ำประกัน  แม้นายแดงจะได้ลงมติยอมรับแผนนั้นด้วยก็ตาม  ข้อต่อสู้ที่นายดำยกขึ้นในคำให้การจึงไม่อาจรับฟังได้  (ฎ. 3704/2546)

สรุป  นายดำซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยังคงต้องรับผิดในหนี้ที่ลูกหนี้ได้รับการปรับลดในอัตราสามสิบในร้อยตามแผนฟื้นฟูกิจการดังกล่าว  ข้อต่อสู้ที่นายดำยกขึ้นในคำให้การจึงไม่อาจรับฟังได้

LAW3010 กฎหมายล้มละลาย 2/2549

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3010 กฎหมายล้มละลาย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  เมื่อวันที่  3  ตุลาคม  2549  ศาลแพ่งพิพากษาตามยอมให้นายดนัย  จำเลยที่  1  และนายภราดร  จำเลยที่  2  ร่วมกันชำระเงิน  3 ล้านบาท  แก่นายโรเจอร์  โจทก์  ภายในกำหนด  1  ปี  นับแต่วันทำยอม  ต่อมาวันที่  8  ธันวาคม  2549  นายโรเจอร์นำหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวมาฟ้องนายดนัยให้ล้มละลาย  นายดนัยให้การรับว่าเป็นหนี้โจทก์จริงตามฟ้องและมีหนี้สินล้นพ้นตัว  แต่หนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวยังไม่ครบกำหนดชำระ  โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง  อีกทั้งนายภราดรซึ่งเป็นลูกหนี้ร่วมตามคำพิพากษามีฐานะร่ำรวยสามารถชำระหนี้ทั้งหมดแก่โจทก์ได้ขอให้ยกฟ้อง  ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้วข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยอ้าง  จึงพิพากษายกฟ้องให้วินิจฉัยว่า  คำพิพากษาของศาลล้มละลายกลางชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  9  เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ต่อเมื่อ

(1) ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว

(2) ลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียวหรือหลายคนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท  หรือลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียวหรือหลายคนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าสองล้านบาท  และ

(3) หนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำหนดชำระโดยพลัน  หรือในอนาคตก็ตาม

มาตรา  14  ในการพิจารณาคดีล้มละลายตามคำฟ้องของเจ้าหนี้นั้น  ศาลต้องพิจารณาเอาความจริงตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  9  หรือมาตรา  10  ถ้าศาลพิจารณาได้ความจริง  ให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด  แต่ถ้าไม่ได้ความจริง  หรือลูกหนี้นำสืบได้ว่าอาจชำระหนี้ได้ทั้งหมดหรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลายให้ศาลยกฟ้อง

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  คำพิพากษายกฟ้องของศาลล้มละลายกลางชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่าโดยหลัก  การฟ้องบุคคลธรรมดาเป็นคดีล้มละลายโดยเจ้าหนี้ไม่มีประกัน  ตาม  พ.ร.บ.  ล้มละลาย พ.ศ. 2483  มาตรา  9  มีหลักเกณฑ์  3  ประการ  คือ

1       ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว

2       ลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาเป็นหนี้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์คนเดียวหรือหลายคนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท 

3       หนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำหนดชำระโดยพลัน  หรือในอนาคตก็ตาม

เมื่อศาลพิจารณาเอาความจริงได้ทั้ง  3  ประการดังกล่าวข้างต้น  ศาลก็ต้องมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  ตามมาตรา  14  ทั้งนี้ในกรณีที่หนี้ที่นำมาฟ้องให้ล้มละลายมีลูกหนี้ร่วมหลายคน  การพิจารณาว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่  คงพิจารณาทรัพย์สินและหนี้สินของลูกหนี้แต่ละคนเป็นการเฉพาะตัว  เมื่อปรากฏว่าลูกหนี้ร่วมคนหนึ่งมีหนี้สินล้นพ้นตัว  ศาลก็พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลายได้ แม้ลูกหนี้ร่วมคนอื่นจะมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สินก็ตาม  และกรณีเช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวล้มละลาย

เมื่อข้อเท็จจริงในกรณีนี้ปรากฏว่า  นายดนัยให้การรับว่าเป็นหนี้โจทก์จริงตามฟ้องจำนวน  3  ล้านบาท  ตามมาตรา  9(2)  และมีหนี้สินล้นพ้นตัว  ตามมาตรา  9(1)  แล้ว  และหนี้ที่เกิดขึ้นโดยผลของคำพิพากษาแม้จะยังไม่ถึงกำหนดชำระ  แต่ก็ถือได้ว่าเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน  ตามมาตรา  9(3)  เพราะคู่ความต้องผูกพันในผลของคำพิพากษานั้นจนกว่าคำพิพากษาจะถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดเสีย  (ฎ. 24/2536)  เมื่อพิจารณาได้ความจริงครบหลักเกณฑ์ทั้ง  3  ประการดังกล่าว  ศาลจึงต้องมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์นายดนัยเด็ดขาด  ตามมาตรา  14  ที่นายดนัยจำเลยให้การต่อสู้ว่าหนี้ตามคำพิพากษายังไม่ครบกำหนดชำระ  โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง  จึงรับฟังไม่ได้

ส่วนข้อที่จำเลยให้การต่อสู้ว่านายภราดรลูกหนี้ร่วมมีฐานะร่ำรวย  สามารถชำระหนี้ทั้งหมดแก่โจทก์ก็รับฟังไม่ได้เช่นกัน  เพราะการพิจารณาว่าลูกหนี้ร่วมคนใดมีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่สามารถชำระหนี้ได้  หรือมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ลูกหนี้ล้มละลายหรือไม่นั้น  เป็นเรื่องเฉพาะตัวของลูกหนี้ร่วมแต่ละคน  (ฎ. 1866/2548)  นายดนัยจึงไม่อาจอ้างเอาการที่นายภราดรสามารถชำระหนี้แก่โจทก์ได้ทั้งหมด  มาเป็นประโยชน์แก่ตนว่าไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัวได้  อีกทั้งการที่นายภราดรมีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ได้  ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นเหตุอื่นที่ไม่ควรให้นายดนัยล้มละลายที่ศาลจะมีอำนาจยกฟ้องตามมาตรา  14  ตอนท้ายได้  (ฎ. 4287/2543)  การที่ศาลล้มละลายกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยอ้างและพิพากษายกฟ้อง  คำพิพากษาดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ศาลต้องมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของนายดนัยเด็ดขาดเท่านั้น  จะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นประการอื่นไม่ได้


ข้อ  2  ให้นักศึกษาอธิบายว่า  เมื่อศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย

ก  จะมีผลต่อคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด  และอำนาจในการจัดการทรัพย์สินและกิจการของลูกหนี้อย่างไร

ข  จะมีผลต่อความรับผิดในหนี้สินของลูกหนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  56  การประนอมหนี้ซึ่งที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ยอมรับและศาลเห็นชอบด้วยแล้ว  ผู้มัดเจ้าหนี้ทั้งหมดในเรื่องหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ได้  แต่ไม่ผูกมัดเจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดในเรื่องหนี้ซึ่งตามพระราชบัญญัตินี้ลูกหนี้ไม่อาจหลุดพ้นโดยคำสั่งปลดจากล้มละลายได้  เว้นแต่เจ้าหนี้คนนั้นได้ยินยอมด้วยในการประนอมหนี้

มาตรา  77  คำสั่งปลดจากล้มละลายทำให้บุคคลล้มละลายหลุดพ้นจากหนี้ทั้งปวงอันพึงขอรับชำระได้เว้นแต่

(1) หนี้เกี่ยวกับภาษีอากร  หรือจังกอบของรัฐบาลหรือเทศบาล

(2) หนี้ซึ่งได้เกิดขึ้นโดยความทุจริตฉ้อโกงของบุคคลล้มละลาย  หรือหนี้ซึ่งเจ้าหนี้ไม่ได้เรียกร้องเนื่องจากความทุจริตฉ้อโกงซึ่งบุคคลล้มละลายมีส่วนเกี่ยวข้องสมรู้

มาตรา  91  เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายอาจจะเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทย์หรือไม่ก็ตาม  ต้องยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  แต่ถ้าเจ้าหนี้อยู่นอกราชอาณาจักร  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขยายกำหนดเวลาให้อีกได้ไม่เกินสองเดือน

อธิบาย

เมื่อศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย  ตามมาตรา  56  แล้วจะมีผลดังต่อไปนี้

ก  ทำให้คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นอันยกเลิกไปในตัวลูกหนี้หลุดพ้นจากการล้มละลาย  และลูกหนี้กลับมีอำนาจจัดการทรัพย์สินและกิจการของตนหรือต่อสู้คดีได้ดังเดิม  (ฎ. 2649/2541)  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ย่อมหมดอำนาจหน้าที่กระทำการแทนดังกล่าว

ข  คำสั่งศาลที่เห็นชอบด้วยการประนอมหนี้นั้นผูกมัดเจ้าหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ได้ทุกคน  ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้เสียงข้างน้อยที่ไม่ได้ยอมรับการขอประนอมหนี้  หรือเจ้าหนี้ที่มีสิทธิขอรับชำระหนี้แต่ไม่ได้ขอรับชำระหนี้ไว้ตามมาตรา  91  ก็ตาม  เจ้าหนี้จะมาฟ้องลูกหนี้ให้ต้องรับผิดในหนี้นั้นภายหลังอีกไม่ได้  (ฎ. 1001/2509)  (ประชุมใหญ่)

เมื่อลูกหนี้ชำระหนี้ตามข้อตกลงในการประนอมหนี้ครบถ้วน  ลูกหนี้ย่อมหลุดพ้นจากหนี้สินที่เหลือที่อาจขอรับชำระได้  คงมีแต่หนี้ที่ปรากฏตามข้อตกลงในการประนอมหนี้เท่านั้น  และลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในหนี้ต่อเจ้าหนี้มากไปกว่าจำนวนตามที่ปรากฏในข้อตกลงประนอมหนี้ที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแล้ว  (ฎ. 6084/2548)

แต่อย่างไรก็ดี  แม้ศาลจะเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ลูกหนี้ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากหนี้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  77  ซึ่งได้แก่ 

(1) หนี้เกี่ยวกับภาษีอากร

(2) หนี้ซึ่งเกิดขึ้นโดยการทุจริตฉ้อโกงของลูกหนี้หรือที่ลูกหนี้มีส่วนสมรู้ด้วยในการทุจริตฉ้อโกงนั้น

เพราะนี้ทั้ง  2  ประเภทดังกล่าวนี้  ลูกหนี้จะต้องรับผิดชำระต่อไปจนกว่าจะครบถ้วนหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์  โดยไม่ต้องคำนึงว่าเจ้าหนี้ทั้ง  2 ประเภทดังกล่าวนี้จะได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  ตามมาตรา  91  ตั้งแต่แรกหรือไม่  (ฎ. 4955/2536)  แต่ถ้าเจ้าหนี้ทั้ง  2  ประเภทได้ยินยอมด้วยในการประนอมหนี้คือได้ลงมติเห็นชอบด้วยในการประนอมหนี้ของลูกหนี้  ก็จะถูกผูกมัดด้วยการประนอมหนี้ให้ได้รับชำระหนี้เพียงจำนวนที่ปรากฏในข้อตกลงประนอมหนี้ที่ศาลเห็นชอบเท่านั้น


ข้อ  3  ศาลในคดีแพ่งมีคำพิพากษาให้บริษัท  กรุงเทพ  จำกัด  ผู้กู้  และนายสยาม  ผู้ค้ำประกัน  ร่วมกันรับผิดชำระเงินให้แก่  นายไทย ต่อมาบริษัท  กรุงเทพ  จำกัด  ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทกรุงเทพ  จำกัด  ต่อศาลล้มละลายกลาง  ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้พิจารณา  นายไทยยื่นคำขอให้ศาลในคดีแพ่งออกหมายบังคับคดี  เพื่อดำเนินการบังคับคดีแก่นายสยาม  นายสยามยื่นคำคัดค้านว่าศาลในคดีล้มละลายมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัท  กรุงเทพ  จำกัดไว้พิจารณาแล้ว  ศาลในคดีแพ่งจะต้องงดการบังคับคดีแก่บริษัท  กรุงเทพ  จำกัด  ลูกหนี้และนายสยาม  ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันไว้

ให้ท่านวินิจฉัยว่าคำคัดค้านของนายสยามรับฟังได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  90/12  ภายใต้บังคับมาตรา  90/13  และมาตรา  90/14  นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณาจนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผน  หรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผนหรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้องขอหรือจำหน่ายคดีหรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการหรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดตามความในหมวดนี้

(5) ห้ามมิให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของลูกหนี้  ถ้ามูลแห่งหนี้ตามคำพิพากษานั้นเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน  ในกรณีที่ได้ดำเนินการบังคับคดีไว้ก่อนแล้ว  ให้ศาลงดการบังคับคดีนั้นไว้  เว้นแต่ศาลที่รับคำร้องขอจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น  หรือการบังคับคดีได้สำเร็จบริบูรณ์แล้วก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีจะทราบว่าได้มีการยื่นคำร้องขอ  หรือการบังคับคดีตามคำพิพากษาให้ลูกหลานส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่งเสร็จก่อนวันดังกล่าวนั้น

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  คำคัดค้านของนายสยามรับฟังได้หรือไม่  เห็นว่า  คำสั่งของศาลล้มละลายที่ให้ฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้  มีผลเป็นการเฉพาะตัวแก่ลูกหนี้ในอันที่จะได้รับความคุ้มครองตาม  พ.ร.บ.  ล้มละลาย  พ.ศ. 2483  มาตรา  90/12  หาได้มีผลต่อบุคคลอื่นซึ่งมิได้เป็นลูกหนี้ที่มีการขอให้มีการขอให้ฟื้นฟูกิจการด้วยไม่

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทกรุงเทพ  จำกัด  ลูกหนี้ไว้พิจารณาแล้ว  กรณีจึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  90/12(5)  ที่ห้ามมิให้นายไทยเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งบังคับคดีแก่ทรัพย์สินของบริษัท  กรุงเทพ จำกัด  ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา  และมีการขอให้ฟื้นฟูกิจการ

ส่วนการที่นายไทยเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งยื่นคำขอให้ศาลในคดีแพ่งออกหมายบังคับคดี  เพื่อดำเนินการบังคับคดีแก่นายสยามผู้ค้ำประกันนั้น  สามารถกระทำได้  เพราะแม้บริษัท  กรุงเทพ  จำกัด  จะได้รับความคุ้มครองตามบทบัญญัติดังกล่าวที่ให้ศาลต้องงดการบังคับคดีนั้นไว้ก็ตาม  ก็มีผลแต่เฉพาะให้งดการบังคับคดีแก่บริษัท  กรุงเพท  จำกัด  ซึ่งเป็นลูกหนี้ที่มีการขอให้ฟื้นฟูกิจการเท่านั้น  หาได้มีผลไปถึงนายสยาม  ผู้ค้ำประกันซึ่งมิได้ยื่นขอให้มีการฟื้นฟูกิจการด้วยไม่  ศาลในคดีแพ่งจึงบังคับคดีแก่นายสยามได้  ไม่ต้องห้ามตามมาตรา  90/12(5)  นายสยามไม่อาจยกเหตุเฉพาะตัวของบริษัท  กรุงเทพ  จำกัด  ดังกล่าวขึ้นมาอ้างให้ศาลในคดีแพ่งงดการบังคับคดีแก่ตน  เพื่อรอฟังผลในคดีฟื้นฟูกิจการของบริษัท  กรุงเทพ  จำกัด  ได้  คำคัดค้านของนายสยามไม่อาจรับฟังได้  (ฎ. 5773/2548)

LAW3010 กฎหมายล้มละลาย 2/2550

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2550

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3010 กฎหมายล้มละลาย

ข้อ 1 ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง ลูกหนี้ยื่นคำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย  โดยขอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ทุกรายที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้แล้วในอัตราร้อยละ  50  ที่ประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกมีมติไม่ให้ลูกหนี้ล้มละลายโดยเจ้าหนี้ฝ่ายข้างมาก  และมีจำนวนหนี้เท่ากับสองในสาม  ยอมรับคำประนอมหนี้ของลูกหนี้หากท่านเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์  ท่านจะดำเนินการอย่างไรเกี่ยวกับมติที่ประชุมเจ้าหนี้ดังกล่าว

ธงคำตอบ

หลักกฎหมายพระราชบัญญัติล้มละลาย  พ.ศ. 2483

มาตรา  6  บัญญัติว่า  ในพระราชบัญญัตินี้  เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

มติพิเศษ  หมายถึง  มติของเจ้าหนี้ฝ่ายข้างมากและมีจำนวนหนี้เท่ากับสามในสี่แห่งจำนวนหนี้ทั้งหมดของเจ้าหนี้ซึ่งได้เข้าประชุมด้วยตนเองหรือมอบฉันทะให้ผู้อื่นเข้าประชุมแทนในที่ประชุมเจ้าหนี้  และได้ออกเสียงลงคะแนนในมตินั้น

มาตรา  31  เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้ทั้งหลายโดยเร็วที่สุด  เพื่อปรึกษาว่า  จะควรยอมรับคำขอประนอมหนี้ของลูกหนี้  หรือควรขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายและปรึกษาถึงวิธีที่จะจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อไป  การประชุมนี้ให้เรียกว่าประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต้องโฆษณากำหนดเวลา  และสถานที่ๆจะประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกในหนังสือพิมพ์รายวันไม่น้อยกว่าหนึ่งฉบับ  ล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน  และต้องแจ้งไปยังเจ้าหนี้ทั้งหลายเท่าที่ทราบด้วย

มาตรา  45  เมื่อลูกหนี้ประสงค์จะทำความตกลงในเรื่องหนี้สินโดยวิธีขอชำระหนี้แต่เพียงบางส่วนหรือโดยวิธีอื่น  ให้ทำคำขอประนอมหนี้เป็นหนังสือยื่นต่อพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเจ็ดวัน  นับแต่วันยื่นคำชี้แจงเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินตามมาตรา  30  หรือภายในเวลาตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กำหนดให้

คำขอประนอมหนี้ต้องแสดงข้อความแห่งการประนอมหนี้  หรือวิธีจัดกิจการ  หรือทรัพย์สินและรายละเอียดแห่งหลักประกัน  หรือผู้ค้ำประกัน ถ้ามี

ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้เพื่อปรึกษาลงมติพิเศษว่า จะยอมคำขอนั้นหรือไม่

มาตรา  61  เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานว่า  เจ้าหนี้ได้ลงมติในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกหรือในคราวที่ได้เลื่อนไป  ขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายก็ดี  หรือไม่ลงมติประการใดก็ดี  หรือไม่มีเจ้าหนี้ไปประชุมก็ดี  หรือการประนอมหนี้ไม่ได้รับความเห็นชอบก็ดี  ให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย  และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของบุคคลล้มละลายเพื่อแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย

ให้พนักงานพิทักษ์ทรัพย์โฆษณาคำพิพากษาในราชกิจจานุเบกษาและในหนังสือพิมพ์รายวันไม่น้อยกว่าหนึ่งฉบับ  ในคำโฆษณาให้ระบุชื่อ  ตำบลที่อยู่  อาชีพของลูกหนี้และวันที่ศาลได้มีคำพิพากษา

วินิจฉัย

มาตรา  45  วรรคสาม  บัญญัติให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก  เพื่อปรึกษาลงมติพิเศษว่า  จะยอมรับคำขอประนอมหนี้หรือไม่ และมาตรา  6  บัญญัติว่า  มติพิเศษหมายความว่า  มติของเจ้าหนี้ฝ่ายข้างมาก  และมีจำนวนหนี้เท่ากับสามในสี่  แห่งจำนวนหนี้ทั้งหมดของเจ้าหนี้ซึ่งได้เข้าประชุมด้วนตนเอง  หรือมอบฉันทะให้ผู้อื่นเข้าประชุมแทนและได้ออกเสียงลงคะแนนในมตินั้น

การที่ๆประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกในคดีนี้มีมติโดยเจ้าหนี้ฝ่ายข้างมาก  และมีจำนวนหนี้เท่ากับสองในสามยอมรับคำขอประนอมหนี้ของลูกหนี้  มติดังกล่าวย่อมไม่ใช่มติพิเศษ  เพราะมีจำนวนหนี้ไม่ถึงสามในสี่ของมาตรา  6  บัญญัติไว้  ซึ่งที่ประชุมเจ้าหนี้จะต้องมีมติขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายตามมาตรา  31  ดังนั้น  มติยอมรับคำขอประนอมหนี้ดังกล่าวย่อมขัดต่อกฎหมาย  จึงเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนมติที่ประชุมดังกล่าวตามมาตรา  36  และขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายตามมาตรา  61  ต่อไป

ดังนั้น  ข้าพเจ้าจะยื่นคำร้องต่อศาลให้เพิกถอนมติที่ประชุมดังกล่าวและขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายต่อไป


ข้อ  2
  นายดำเป็นหนี้ค่าสินค้านายแดงจำนวนห้าแสนบาท  กำหนดชำระค่าสินค้าในวันที่  21  ธันวาคม  2551  และนายดำเป็นหนี้เงินกู้ธนาคาร  ไทยเอก จำกัด  จำนวนแปดแสนบาท  โดยมีนายดีเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว  และเป็นหนี้เจ้าหนี้อื่นอีกหลายราย  ต่อมาวันที่ 2  กุมภาพันธ์  2550  ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของนายดำเด็ดขาด  ปรากฏว่าธนาคารไทยเอกจำกัดและเจ้าหนี้อื่นๆ  ยื่นคำขอรับชำระหนี้  ส่วนนายแดงไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เนื่องจากเห็นว่าหนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระ  นายดำได้ขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลาย  โดยจะชำระหนี้ให้ร้อยละ  70  ของจำนวนหนี้ที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติพิเศษยอมรับคำขอประนอมหนี้  โดยในการประชุมดังกล่าวธนาคารไทยเอกจำกัด  ลงมติไม่ยอมรับคำขอประนอมหนี้  และศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้

ให้วินิจฉัยว่า  คำสั่งศาลที่เห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ผูกมัดนายแดงและธนาคารไทยเอก  จำกัดหรือไม่เพียงใด  และหากต่อมานายดำได้ชำระหนี้ตามคำขอประนอมหนี้ครบถ้วนแล้ว  ธนาคารไทยเอกจำกัด  จะเรียกร้องให้นายดีในฐานะผู้ค้ำประกันชำระหนี้ส่วนที่ยังขาดได้หรือไม่

ธงคำตอบ 

หลักกฎหมายพระราชบัญญัติล้มละลาย  พ.ศ. 2483

มาตรา  56  การประนอมหนี้ซึ่งที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ยอมรับและศาลเห็นชอบด้วยแล้ว  ผู้มัดเจ้าหนี้ทั้งหมดในเรื่องหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ได้  แต่ไม่ผูกมัดเจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดในเรื่องหนี้ซึ่งตามพระราชบัญญัตินี้ลูกหนี้ไม่อาจหลุดพ้นโดยคำสั่งปลดจากล้มละลายได้  เว้นแต่เจ้าหนี้คนนั้นได้ยินยอมด้วยในการประนอมหนี้

มาตรา  59  การประนอมหนี้ไม่ทำให้บุคคลซึ่งเป็นหุ้นส่วนกับลูกหนี้หรือรับผิดร่วมกับลูกหนี้  หรือค้ำประกันหรืออยู่ในลักษณะอย่างผู้ค้ำประกันของลูกหนี้  หลุดพ้นจากความผิดไปด้วย

มาตรา  91  เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายอาจจะเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทย์หรือไม่ก็ตาม  ต้องยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  แต่ถ้าเจ้าหนี้อยู่นอกราชอาณาจักร  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขยายกำหนดเวลาให้อีกได้ไม่เกินสองเดือน

คำขอรับชำระหนี้นั้นต้องทำตามแบบพิมพ์  โดยมีบัญชีแสดงรายละเอียดแห่งหนี้สิน  และข้อความระบุถึงหลักฐานประกอบหนี้และทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดของลูกหนี้ที่ยึดไว้เป็นหลักประกันหรือตกอยู่ในความครอบครองของเจ้าหนี้

มาตรา  94  เจ้าหนี้ไม่มีประกันอาจขอรับชำระหนี้ได้  ถ้ามูลแห่งหนี้ได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์  แม้ว่าหนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดชำระหรือมีเงื่อนไขก็ตามเว้นแต่

1         หนี้ที่เกิดขึ้นโดยฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย  หรือศีลธรรมอันดี หรือหนี้ที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้

2         หนี้ที่เจ้าหนี้ยอมให้ลูกหนี้กระทำขึ้นเมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว   แต่ไม่รวมถึงหนี้ที่เจ้าหนี้ยอมให้กระทำขึ้นเพื่อให้กิจการของลูกหนี้ดำเนินต่อไปได้

วินิจฉัย

นายแดงเจ้าหนี้ค่าสินค้าในมูลหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ แม้ว่าหนี้ดังกล่าวจะยังไม่ถึงกำหนดชำระ  ก็ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในกำหนดเวลา  2  เดือน  นับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย  พ.ศ. 2483 มาตรา  9  และมาตรา  94  เมื่อนายแดงไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้และศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายแล้ว  นายแดงจะต้องผูกมัดด้วยการประนอมหนี้ดังกล่าว  โดยนายแดงหมดสิทธิ์ที่จะได้รับชำระหนี้จากนายดำอีก

ธนาคารไทยเอกจำกัด  เจ้าหนี้ในมูลหนี้กู้ยืม  ซึ่งเป็นหนี้ที่อาจขอรับชำระได้  และได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้แล้ว  แม้ว่าจะมีมติไม่ยอมรับคำขอประนอมหนี้  แต่เมื่อที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติพิเศษยอมรับ  และศาลเห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายแล้ว  ธนาคารไทยเอก จำกัด  ก็ต้องผูกมัดตามคำขอประนอมหนี้นั้น  กล่าวคือ  จะได้รับชำระหนี้จากนายดำเพียงร้อยละ  70  ตามาตรา  56 

อย่างไรก็ตาม  การประนอมหนี้มีผลเฉพาะตัวลูกหนี้ในคดีล้มละลายเท่านั้นที่หลุดพ้นจากหนี้ที่อาจขอรับชำระได้แล้วมาผูกพันชำระหนี้ตามคำขอประนอมหนี้  การประนอมหนี้ไม่ทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดไปด้วยตามมาตรา  59  เมื่อธนาคารไทยเอก จำกัด  ได้รับชำระหนี้จากนายดำเพียงร้อยละ  70  หนี้ในส่วนที่ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดจึงเป็นอันระงับไปเพียงบางส่วนเท่าที่เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้  ธนาคารไทยเอก จำกัด  จึงสามารถเรียกร้องหนี้  ส่วนที่ยังขาดจากนายดีผู้ค้ำประกันได้

ดังนั้น  คำสั่งของศาลดังกล่าวผูกมัดนายแดงหมดสิทธิ์ที่จะได้รับชำระหนี้จากนายดำอีก  และธนาคารไทยเอกก็ต้องผูกมัดตามคำขอประนอมหนี้นั้น  กล่าวคือ  จะได้รับชำระหนี้จากนายดำเพียงร้อยละ  70  แต่ธนาคารไทยเอก  สามารถเรียกร้องหนี้ส่วนที่ยังขาดจากนายดีผู้ค้ำประกันได้


ข้อ  3
  คดีฟื้นฟูกิจการเรื่องหนึ่ง  ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัทลูกหนี้และตั้งนายก้องเป็นผู้ทำแผน  ธนาคารแบงค์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกัน  โดยเป็นเจ้าหนี้จำนองที่บริษัทลูกหนี้ได้นำที่ดินพร้องสิ่งปลูกสร้างได้แก่  โรงงานประกอบกิจการของบริษัทลูกหนี้จดทะเบียนจำนองให้แก่ธนาคารแบงค์  ธนาคารแบงค์ประสงค์จะฟ้องบริษัทลูกหนี้เพื่อบังคับจำนองเอาชำระหนี้แก่ที่ดินพร้องสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวมาปรึกษาท่าน  ท่านจะให้คำปรึกษาแก่ธนาคารแบงค์ประการใด

ธงคำตอบ

มาตรา  90/2(6)  ภายใต้บังคับของมาตรา  90/13  และมาตรา  90/14  นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอไว้เพื่อพิจารณาจนถึงวันครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผน  หรือวันที่ดำเนินการเป็นผลสำเร็จตามแผนหรือวันที่ศาลมีคำสั่งยกคำร้อง  หรือจำหน่ายคดีหรือยกเลิกคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการหรือยกเลิกการฟื้นฟูกิจการหรือพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดตามความในหมวดนี้

(6)     ห้ามมิให้เจ้าหนี้มีประกันบังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน  เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาลที่รับคำร้องขอ

วินิจฉัย

ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย  พุทธศักราช  2483  มาตรา  90/12(6)  บัญญัติห้ามมิให้เจ้าหนี้มีประกันบังคับชำระหนี้เอาแก่ทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน  ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งรับคำร้องขอฟื้นฟูกิจการไว้พิจารณาแล้ว  และมาตรา  90/13  บัญญัติให้สิทธิ์แก่บุคคลที่ถูกจำกัดสิทธิ์ตามมาตรา  90/12  ได้  หากการจำกัดสิทธิ์นั้น  ไม่มีความจำเป็นต่อการฟื้นฟูกิจการ  หรือมิได้ให้ความคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้มีประกันอย่างเพียงพอ  กรณีที่ธนาคารแบงค์  ซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันประสงค์จะฟ้องบริษัทลูกหนี้เพื่อบังคับจำนองเอาชำระหนี้แก่ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทรัพย์ที่เป็นหลักประกัน  ธนาคารแบงค์ย่อมมีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายกลางให้มีคำสั่งยกเลิกข้อจำกัดสิทธิหรือข้อห้ามมิให้ธนาคารแบงค์บังคับชำระหนี้เอาทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน  ตามมาตรา  90/12  ถ้าปรากฏว่าทรัพย์สินดังกล่าวไม่มีความจำเป็นต่อการฟื้นฟูกิจการ  หรือธนาคารแบงค์มิได้รับความคุ้มครองอย่างเพียงพอตามมาตรา  90/13  เมื่อธนาคารแบงค์มาปรึกษาข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาดังกล่าวแก่ธนาคารแบงค์

ดังนั้น  ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาดังกล่าวข้างต้นแก่ธนาคารแบงค์ 

LAW3010 กฎหมายล้มละลาย 1/2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3010 กฎหมายล้มละลาย 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นำที่ดินของลูกหนี้ที่ยึดไว้แล้วให้นายคำแหงเช่า  มีกำหนด  6  เดือน  ค่าเช่าเดือนละ  5,000  บาท  โดยมีการทำหนังสือสัญญาเช่าถูกต้องตามกฎหมาย  แต่นายคำแหงผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าทั้งหมด  นอกจากนี้จากการสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์พบว่า  นายคำแหงเคยทำสัญญาเช่าที่ดินแปลงเดียวกันนี้มาก่อนที่ลูกหนี้จะถูกพิทักษ์ทรัพย์ในคดีนี้และค้างชำระค่าเช่าเดิมอีก  3  เดือน  เดือนละ  5,000  บาท  เช่นเดียวกันให้วินิจฉัยว่า  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจนำที่ดินของลูกหนี้ให้นายคำแหงเช่าได้หรือไม่  และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมีวิธีการอย่างไรเพื่อบังคับให้นายคำแหงชำระค่าเช่าที่ค้างชำระดังกล่าวทั้งหมด

ธงคำตอบ

มาตรา 22  เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจดังต่อไปนี้

(1) จัดการและจำหน่ายทรัพย์สินของลูกหนี้  หรือกระทำการที่จำเป็นเพื่อให้กิจการของลูกหนี้ที่ค้างอยู่เสร็จสิ้นไป

(3) ประนีประนอมยอมความ  หรือฟ้องร้อง  หรือต่อสู้คดีใดๆ  เกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้

มาตรา  119  วรรคแรก  เมื่อปรากฏว่าลูกหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดชำระเงินหรือส่งมอบทรัพย์สินแก่ลูกหนี้  ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แจ้งความเป็นหนังสือไปยังบุคคลนั้นให้ชำระเงินหรือส่งมอบทรัพย์สินตามจำนวนที่ได้แจ้งไปและให้แจ้งไปด้วยว่าถ้าจะปฏิเสธ  ให้แสดงเหตุผลประกอบข้อปฏิเสธเป็นหนังสือมายังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาสิบสี่วันนับแต่วันได้รับแจ้งความ  มิฉะนั้น  จะถือว่าเป็นหนี้กองทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ตามจำนวนที่แจ้งไปเป็นการเด็ดขาด

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจนำที่ดินของลูกหนี้ให้นายคำแหงเช่าได้หรือไม่  เห็นว่า  ตามบทบัญญัติมาตรา  22  แห่ง  พ.ร.บ.  ล้มละลาย  พ.ศ. 2483  นั้น  ได้กำหนดไว้โดยแจ้งชัดแล้วว่า  เมื่อลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์แล้ว  ไม่ว่าชั่วคราวหรือเด็ดขาด  (ฎ. 324/2518)  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เท่านั้นมีอำนาจจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้  ลูกหนี้หามีอำนาจต่อสู้คดีใดๆหรือกระทำการใดๆเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนไม่  ดังนั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีอำนาจนำที่ดินของลูกหนี้ที่ได้ยึดไว้แล้วออกให้นายคำแหงเช่าได้  เป็นการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ประการหนึ่งตามมาตรา  22(1)

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะมีวิธีการอย่างไรเพื่อบังคับให้นายคำแหงชำระค่าเช่าที่ค้างชำระดังกล่าวทั้งหมด  เห็นว่า  การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะใช้วิธีการทวงหนี้โดยแจ้งความเป็นหนังสือ  ตามมาตรา  119  นั้นจะต้องเป็นกรณีที่ลูกหนี้  (ผู้ถูกพิทักษ์ทรัพย์)  มีสิทธิเรียกร้องต่อบุคคลอื่นอยู่แล้วก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ชั่วคราวหรือเด็ดขาด  เพราะเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว  ลูกหนี้ไม่มีอำนาจจัดการกิจการและทรัพย์สินของตนเอง  ดังนั้นกิจการที่ลูกหนี้กระทำภายหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะใช้วิธีการทวงหนี้ตามมาตรา  119  ไม่ได้  ประเด็นนี้จึงแยกพิจารณาได้  2  กรณีคือ

1       สำหรับค่าเช่าเดิมที่นายคำแหงค้างชำระ  3  เดือน  เดือนละ  5,000  บาท  รวมเป็นเงิน  15,000  บาทนั้น  เป็นสิทธิเรียกร้องที่ลูกหนี้มีอยู่ก่อนที่ลูกหนี้จะถูกพิทักษ์ทรัพย์  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงชอบที่จะมีหนังสือทวงหนี้ค่าเช่าจำนวน  15,000  บาท  ให้นายคำแหงชำระค่าเช่าได้  ตามมาตรา  119  วรรคแรก  ทั้งนี้จะต้องแจ้งไปด้วยว่าถ้านายคำแหงจะปฏิเสธให้แสดงเหตุผลประกอบข้อปฏิเสธเป็นหนังสือมายังเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน  14  วันนับแต่วันได้รับแจ้งความ  มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นหนี้กองทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่ตามจำนวนที่แจ้งไปเป็นการเด็ดขาด

2       สำหรับค่าเช่าใหม่จำนวน  6  เดือน  เดือนละ  5,000  บาท  รวมเป็นเงิน  30,000  บาทนั้น  ถือเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นจากการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นำที่ดินของลูกหนี้ออกให้เช่าหลังจากลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์แล้ว  เมื่อนายคำแหงไม่ชำระค่าเช่า  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงไม่อาจใช้อำนาจตามมาตรา  119  เพื่อทวงให้นายคำแหงชำระค่าเช่าได้  แต่อย่างไรก็ตาม  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจที่จะดำเนินการฟ้องร้องเป็นคดีแพ่งต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อเรียกเก็บค่าเช่าที่ค้างชำระเป็นคดีต่างหากได้  โดยอาศัยบทบัญญัติมาตรา  22(3)  เพราะเป็นการฟ้องร้องคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้  (ฎ. 1998/2538, ฎ. 5858/2538)

สรุป  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจนำที่ดินของลูกหนี้ออกให้เช่าได้  และสำหรับค่าเช่าที่เกิดขึ้นก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์  ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีหนังสือทวงหนี้ตามมาตรา  199  วรรคแรก  ส่วนค่าเช่าที่เกิดขึ้นหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์  ให้ยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่งต่างหาก  ตามมาตรา  22(3)    


ข้อ  2  กรมสรรพากรเป็นโจทก์ฟ้องนายสนธิเป็นจำเลยให้ชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา  ประจำปีภาษี  2548  พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มจำนวน  
100,000  บาท  จำเลยให้การว่า  จำเลยเคยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  หนี้ภาษีอากรตามฟ้องเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์  แต่กรมสรรพากรมิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้  ต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายทรัพย์สินของจำเลยชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้  และศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้ครบถ้วนทุกรายจนศาลมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายแล้ว  จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์  ขอให้ยกฟ้อง

ให้วินิจฉัยว่า  หากข้อเท็จจริงฟังได้ยุติตามคำให้การของจำเลย  ข้อต่อสู้ของจำเลยฟังขึ้นหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  91  เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายอาจจะเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทย์หรือไม่ก็ตาม  ต้องยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  แต่ถ้าเจ้าหนี้อยู่นอกราชอาณาจักร  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขยายกำหนดเวลาให้อีกได้ไม่เกินสองเดือน

คำขอรับชำระหนี้นั้นต้องทำตามแบบพิมพ์  โดยมีบัญชีแสดงรายละเอียดแห่งหนี้สิน  และข้อความระบุถึงหลักฐานประกอบหนี้และทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดของลูกหนี้ที่ยึดไว้เป็นหลักประกันหรือตกอยู่ในความครอบครองของเจ้าหนี้

มาตรา  135  เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอ  ศาลมีอำนาจสั่งยกเลิกการล้มละลายได้  ถ้าปรากฏเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้

(3) หนี้สินของบุคคลล้มละลายได้ชำระเต็มจำนวนแล้ว

มาตรา  136  คำสั่งยกเลิกการล้มละลายตามมาตรา  135(1)  หรือ  (2)  นั้นไม่ทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นหนี้สินแต่อย่างใด

วินิจฉัย

ข้อต่อสู้ของนายสนธิ (จำเลย)  ฟังขึ้นหรือไม่  เห็นว่า  ตามบทบัญญัติมาตรา  136  นั้นได้จำกัดไว้โดยเฉพาะแล้วว่า  การยกเลิกการล้มละลาย  ตามมาตรา  135(1)  หรือ  (2)  เท่านั้น  ที่ไม่ทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้สิน  เจ้าหนี้จึงนำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องหรือขอรับชำระหนี้ในคดีที่ลูกหนี้ถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลายในคดีใหม่ได้  ดังนั้นหากเป็นการยกเลิกการล้มละลายตามมาตรา  135(3)  และ  (4)  แม้  พ.ร.บ.  ล้มละลาย  พ.ศ. 2483  มาตรา  136  จะมิได้กำหนดถึงผลของการยกเลิกการล้มละลายเอาไว้  แต่เมื่อพิจารณาถ้อยคำในมาตรา  135(3) และ (4)  ก็เห็นได้ว่าเมื่อศาลมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายด้วยเหตุตามอนุมาตราดังกล่าวแล้ว  ลูกหนี้ย่อมหลุดพ้นหนี้สินไปทั้งหมด  กรณีจึงไม่อาจนำมาตรา  77  ซึ่งเป็นบทบัญญัติเรื่องผลของการปลดจากการล้มละลายมาใช้บังคับได้  (ฎ. 136/2540, ฎ.1915/2536) 

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  หนี้ภาษีอากรตามฟ้องเกิดขึ้นก่อนวันศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์  แต่กรมสรรพากรเจ้าหนี้มิได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาตามมาตรา  91  กรมสรรพากรย่อมหมดสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของนายสนธิลูกหนี้ในคดีล้มละลาย

เมื่อกรมสรรพากรเจ้าหนี้ไม่ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้  แม้ต่อมาศาลจะมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายเพราะหนี้สินของลูกหนี้ได้ชำระเต็มจำนวนแล้วตามมาตรา  135(3)  ก็มีผลทำให้นายสนธิหลุดพ้นจากบรรดาหนี้สินทั้งปวงรวมทั้งหนี้ภาษีอากร  และหลุดพ้นจากการเป็นบุคคลล้มละลาย  กรมสรรพากรจะนำหนี้ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี  2548  พร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มจำนวน  100,000  บาท  ซึ่งเกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์มาฟ้องนายสนธิเป็นคดีแพ่งหรือคดีล้มละลายอีกไม่ได้  กรณีไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา  77  มาใช้บังคับแก่กรณีดังกล่าวได้  ข้อต่อสู้ของสนธิ  จึงฟังขึ้น  (ฎ. 6084/2548,  ฎ. 806/2538)

สรุป  ข้อต่อสู้ของนายสนธิ (จำเลย) ฟังขึ้น


ข้อ  3  ธนาคารสยาม  จำกัด  ยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการของบริษัทอเมริกา  จำกัด  ต่อมาธนาคารสยาม  จำกัด  ไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีต่อไป  ต้องการถอนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ  และมาปรึกษาท่าน  ท่านจะให้คำปรึกษาแก่ธนาคารสยาม  จำกัด  ประการใด

ธงคำตอบ

มาตรา  90/8  วรรคแรก  ผู้ร้องขอจะถอนคำร้องขอไม่ได้  เว้นแต่ศาลจะอนุญาตแต่ถ้าศาลได้มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการแล้ว  ศาลจะอนุญาตให้ถอนคำร้องขอไม่ได้

วินิจฉัย

ธนาคารสยามจะถอนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการได้หรือไม่  เห็นว่า  ตาม  พ.ร.บ.  ล้มละลาย  มาตรา  90/8  วรรคแรก  กำหนดว่า  ผู้ร้องขอจะถอนคำร้องขอไม่ได้  เว้นแต่ศาลจะอนุญาตแต่ถ้าศาลได้มีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการแล้ว  ศาลจะอนุญาตให้ถอนคำร้องขอไม่ได้  ซึ่งการร้องขอฟื้นฟูกิจการเป็นการร้องขอให้มีการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ภายใต้กรอบของกฎหมายฟื้นฟูกิจการ  เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย มิใช่เรื่องระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้ผู้ร้องขอเท่านั้น  กฎหมายจึงกำหนดให้ศาลเข้ามาตรวจสอบในกรณีที่มีการถอนคำร้องขอดังกล่าว

เมื่อธนาคารสยาม  จำกัด  ผู้ร้องจอจะดำเนินคดีต่อไป  ก็ต้องขอถอนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ  โดยยื่นคำร้องเพื่อขอถอนคำร้องขอดังกล่าวก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ  ส่วนศาลจะมีอำนาจที่จะอนุญาตให้ถอนคำร้องขอหรือไม่  เป็นดุลพินิจของศาล  ซึ่งต้องพิจารณาถึงสาเหตุที่ขอถอนคำร้องขอนั้นด้วยว่า  เป็นเหตุอันสมควรหรือไม่

แต่อย่างไรก็ตาม  หากศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการแล้ว  ศาลจะอนุญาตให้ถอนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการไม่ได้  เพราะถือว่าศาลมีคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นคดีของการร้องขอฟื้นฟูกิจการแล้ว  ทำให้บุคคลที่เกี่ยวข้องต่างๆมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนดไว้  การยื่นคำร้องขอถอนคำร้องดังกล่าวหลังจากศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการแล้ว  จึงไม่อาจกระทำได้

สรุป  ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่ธนาคารสยามว่า  ต้องยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการก่อนศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการ  เพราะหากศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการแล้ว  ศาลจะอนุญาตให้ถอนคำร้องขอฟื้นฟูกิจการไม่ได้

LAW3010 กฎหมายล้มละลาย S/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550 

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3010 กฎหมายล้มละลาย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ประกาศให้เจ้านี้ทั้งหลายที่มีหนี้ที่อาจขอรับชำระได้  ให้มาขอรับชำระหนี้ในวันเวลาและสถานที่ตามที่กำหนดไว้ในประกาศนี้  สำหรับเจ้าหนี้ที่จะมาขอรับชำระหนี้ในระยะเวลาธรรมดา  ในคดีล้มละลายนี้ลูกหนี้ได้ขอประนอมหนี้ไว้  60%  โดยผ่านการประชุมเจ้าหนี้ยอมรับและศาลได้เห็นชอบแล้ว  โดยมีเจ้าหนี้ดังนี้คือ

1       นาย  ก  มาขอรับชำระหนี้  และการกู้เงินรายนี้มี  จ  เป็นผู้ค้ำประกัน

2       นาย  ข  ไม่มาขอรับชำระหนี้  แต่มีนาย  ส  เป็นผู้ค้ำประกัน

3       นาย  ค  ไม่มาขอรับชำระหนี้  และการกู้เงินไม่มีผู้ค้ำประกัน

4       นาย  ง  ไม่ทันได้ฟ้องคดี  เพราะศาลได้สั่งพิทักษ์ทรัพย์  คดีล้มละลายที่เจ้าหนี้คนอื่นฟ้องไว้เสียก่อนจึงฟ้องไม่ทัน  แต่ก็ได้มาขอรับชำระหนี้  และในการกู้เงินครั้งนี้  อ  เป็นผู้ค้ำประกัน

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า  เจ้าหนี้ทั้ง  4  ท่านนี้  จะได้รับหรือไม่ได้รับชำระหนี้อย่างไร  และผู้ค้ำประกันจะต้องผิดด้วยหรือไม่  อย่างไร  (ให้ท่านตอบพร้อมหลักกฎหมายประกอบให้ครบถ้วนด้วย)

ธงคำตอบ

มาตรา  56  การประนอมหนี้ซึ่งที่ประชุมเจ้าหนี้ได้ยอมรับและศาลเห็นชอบด้วยแล้วผูกมัดเจ้าหนี้ทั้งหมดในเรื่องหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ได้  แต่ไม่ผูกมัดเจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดในเรื่องหนี้ซึ่งตามพระราชบัญญัตินี้  ลูกหนี้ไม่อาจหลุดพ้นโดยคำสั่งปลดจากล้มละลายได้  เว้นแต่เจ้าหนี้คนนั้นได้ยินยอมด้วยในการประนอมหนี้

มาตรา  59  การประนอมหนี้ไม่ทำให้บุคคลซึ่งเป็นหุ้นส่วนกับลูกหนี้หรือรับผิดร่วมกับลูกหนี้หรือค้ำประกัน  หรืออยู่ในลักษณะอย่างผู้ค้ำประกันลูกหนี้  หลุดพ้นจากความรับผิดไปด้วย

มาตรา  91  วรรคแรก  เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายจะเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์หรือไม่ก็ตาม  ต้องยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลาสองเดือนนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  แต่ถ้าเจ้าหนี้อยู่นอกราชอาณาจักร  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขยายกำหนดเวลาให้อีกได้ไม่เกินสองเดือน

มาตรา  94  เจ้าหนี้ไม่มีประกันอาจขอรับชำระหนี้ได้  ถ้ามูลแห่งหนี้ได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์  แม้ว่าหนี้นั้นยังไม่ถึงกำหนดชำระหรือมีเงื่อนไขก็ตาม  เว้นแต่

 (1) หนี้ที่เกิดขึ้นโดยฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมาย  หรือศีลธรรมอันดีหรือหนี้ที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีไม่ได้

 (2) หนี้ที่เจ้าหนี้ยอมให้ลูกหนี้กระทำขึ้นเมื่อเจ้าหนี้ได้รู้ถึงการที่ลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว  แต่ไม่รวมถึงหนี้ที่เจ้าหนี้ยอมให้กระทำขึ้นเพื่อให้กิจการของลูกหนี้ดำเนินต่อไปได้

วินิจฉัย

เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาด  ตามมาตรา  14  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต้องประกาศให้เจ้าหนี้ทั้งหลายที่มีหนี้อันอาจขอรับชำระได้  ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์หรือไม่ก็ตาม  และหนี้นั้นเกิดขึ้นก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์  แม้หนี้จะยังไม่ถึงกำหนดชำระหรือมีเงื่อนไขก็ตาม  ตามมาตรา  94  มายื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนดเวลา  2  เดือน สำหรับเจ้าหนี้ผู้อยู่ในราชอาณาจักรหรือภายใน  4  เดือน  สำหรับเจ้าหนี้ผู้อยู่นอกราชอาณาจักรนับแต่วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  ตามมาตรา  91  วรรคแรก  และเมื่อลูกหนี้ขอประนอมหนี้ไว้เพียงใด  ถ้าที่ประชุมเจ้าหนี้โดยมติพิเศษยอมรับและศาลเห็นชอบด้วยแล้ว  การประนอมหนี้ย่อมผูกมัดเจ้าหนี้ทั้งหมดในเรื่องหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ได้  ตามมาตรา  56  เว้นแต่เป็นเจ้าหนี้ตามมาตรา  77

เมื่อข้อเท็จจริงในกรณีนี้ปรากกว่า  ลูกหนี้ได้ขอประนอมหนี้ไว้  60%  โดยมติพิเศษของที่ประชุมเจ้าหนี้ยอมรับและศาลได้เห็นชอบแล้ว ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยจึงมีว่าเจ้าหนี้ทั้ง  4  ราย  จะได้รับชำระหนี้หรือไม่  และผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดหรือไม่อย่างไร  กรณีจึงแยกพิจารณาได้ดังนี้

1       กรณีของนาย  ก  เจ้าหนี้  เมื่อมาขอรับชำระหนี้ตามมาตรา  91  วรรคแรกประกอบมาตรา  94  ย่อมต้องผูกมัดด้วยกับการประนอมหนี้ตามมาตรา  56  กล่าวคือ  นาย  ก  มีสิทธิได้รับชำระหนี้ร้อยละ  60  ของจำนวนหนี้ทั้งหมด  ส่วนหนี้ที่เหลืออีกร้อยละ  40  นาย  ก  สามารถเรียกให้นาย  จ  ผู้ค้ำประกันชำระได้   เพราะการประนอมหนี้ไม่ทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด  ตามมาตรา  59

2       กรณีของนาย  ข  เจ้าหนี้  เมื่อไม่ได้มาขอรับชำระหนี้ย่อมเป็นอันหมดสิทธิได้รับชำระหนี้ร้อยละ  60  จากการประนอมหนี้  และการประนอมหนี้ก็ยังผูกมัดนาย  ข  ตามมาตรา  56  คือจะมาฟ้องให้ลูกหนี้รับผิดอีกไม่ได้  (ฎ. 1243/2519)  อย่างไรก็ตามการประนอมหนี้ไม่ใช่การปลดหนี้และมีผลผูกพันเฉพาะเจ้าหนี้และลูกหนี้ในคดีล้มละลายเท่านั้น  ดังนั้นนาย  ส  ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันยังคงต้องรับผิดต่อนาย  ข  ในหนี้ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ  40  ตามมาตรา  59  (ฎ. 1808/2512)

3       กรณีของนาย  ค  เจ้าหนี้  เมื่อไม่มาขอรับชำระหนี้ก็ไม่ได้รับชำระหนี้และต้องผูกมัดด้วยการประนอมหนี้  ตามมาตรา  56  อีกทั้งหนี้รายนี้ไม่มีผู้ค้ำประกัน  นาย  ค  จึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้เลย

4       กรณีของนาย  ง  เจ้าหนี้  เมื่อมาขอรับชำระหนี้  ย่อมต้องผูกมัดด้วยกับการประนอมหนี้ตามมาตรา  56  กล่าวคือ  นาย  ง  มีสิทธิได้รับชำระหนี้ร้อยละ  60  ของจำนวนหนี้ทั้งหมด  แม้จะมิได้ฟ้องคดีก็ตาม  ส่วนหนี้ที่เหลืออีกร้อยละ  40  นาย  ง  สามารถเรียกให้นาย  อ  ผู้ค้ำประกันชำระได้  เพราะการประนอมหนี้ไม่ทำให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิด  ตามมาตรา  59

สรุป 

1       นาย  ก  ได้รับชำระหนี้ร้อยละ  60  และเรียกจากนาย  จ  ได้อีกร้อยละ  40

2       นาย  ข  ไม่ได้รับชำระหนี้ร้อยละ  60  แต่เรียกจากนาย  ส  ได้ร้อยละ  40

3       นาย  ค  ไม่ได้รับชำระหนี้เลย

4       นาย  ง  ได้รับชำระหนี้ร้อยละ  60  และเรียกจากนาย  อ  ได้อีกร้อยละ  40

 


ข้อ  2  ในคดีล้มละลายเรื่องหนึ่ง  ศาลสั่งประทับรับฟ้องไว้แล้ว  คดีอยู่ระหว่างพิจารณา  โจทก์จำเลยประนีประนอมยอมความกันได้  โดยจำเลยจะยอมชำระหนี้ที่ค้างไว้ให้โจทก์ทั้งหมด  ขอให้โจทก์ถอนฟ้อง  เมื่อโจทก์มาขอถอนฟ้อง  ถ้าท่านเป็นศาลท่านจะส่งคำขอถอนฟ้องโจทก์อย่างไร  (ให้ท่านตอบพร้อมยกหลักกฎหมาย  และฎีกาประกอบในการตอบให้ครบถ้วนด้วย)

ธงคำตอบ

มาตรา 11  เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ต้องวางเงินประกันค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนห้าพันบาทในขณะยื่นฟ้องคดีล้มละลาย  และจะถอนคำฟ้องนั้นไม่ได้  เว้นแต่ศาลจะอนุญาต

ศาลมีอำนาจเรียกให้เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์วางเงินประกันค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควร

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  11  แห่ง  พ.ร.บ.  ล้มละลาย  พ.ศ. 2483  นั้น  เมื่อได้ยื่นฟ้องคดีล้มละลายต่อศาลแล้ว  ห้ามมิให้ถอนฟ้อง  เว้นแต่เข้าหลักเกณฑ์ทั้ง  3  ประการดังต่อไปนี้คือ

 1       ศาลอนุญาตให้ถอนฟ้อง  ซึ่งเป็นดุลพินิจของศาลว่าจะอนุญาตหรือไม่

2       การถอนฟ้องจะกระทำได้เฉพาะแต่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นเท่านั้น  ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่  1636/2532

3       จะต้องขอถอนฟ้องก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดเท่านั้น  ตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่  3286/2530

เมื่อศาลสั่งประทับรับฟ้องไว้แล้ว  คดีจึงอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น  การที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันได้  และโจทก์มาขอถอนฟ้อง  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยจึงมีว่า  ศาลจะสั่งขอถอนฟ้องของโจทก์อย่างไร  เห็นว่า  เมื่อโจทก์ได้ยื่นคำขอถอนฟ้องในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นและก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด  ทั้งการขอถอนฟ้องเพราะจำเลยยอมรับชำระหนี้ที่ค้างไว้ให้แก่โจทก์ทั้งหมดก็ถือว่ามีเหตุผลอันสมควร  และไม่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมาย  ศาลจึงต้องมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้  ตามมาตรา  11

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องตามคำร้องได้


ข้อ  3  
มติพิเศษ  มีหลักเกณฑ์ว่าอย่างไร  จะมีขึ้นเมื่อไร  และถ้ามีมติพิเศษที่ขัดต่อข้อกฎหมาย  ในฐานะที่ท่านเป็นประธานในการประชุมเจ้าหนี้  ท่านจะแก้ไขประการใด  และเมื่อเรื่องนั้นส่งมายังศาล  ถ้าท่านเป็นศาลท่านจะสั่งอย่างไรบ้าง  (ให้ท่านตอบพร้อมยกหลักกฎหมาย  และถ้าท่านเป็นศาลจะต้องสั่งตามขั้นตอนด้วย) 

ธงคำตอบ

มาตรา  6  ในพระราชบัญญัตินี้  เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

มติพิเศษ  หมายความว่า  มติของเจ้าหนี้ฝ่ายข้างมาก  และมีจำนวนหนี้เท่ากับสามในสี่แห่งจำนวนหนี้ทั้งหมดของเจ้าหนี้  ซึ่งได้เข้าประชุมด้วยตนเองหรือมอบฉันทะให้ผู้อื่นเข้าประชุมแทนในที่ประชุมเจ้าหนี้และได้ออกเสียงลงคะแนนในมตินั้น

มาตรา  31  วรรคแรก  เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้ทั้งหลายโดยเร็วที่สุด  เพื่อปรึกษาว่าจะควรยอมรับคำขอประนีประนอมหนี้ของลูกหนี้หรือควรขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายและปรึกษาถึงวิธีที่จะจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้ต่อไป  การประชุมนี้ให้เรียกว่าประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรก

มาตรา  33  ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นประธานในการประชุมเจ้าหนี้ทุกคราว  และให้มีรายงานการประชุม  ลงลายมือชื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เก็บไว้เป็นหลักฐาน

มาตรา  33  ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นประธานในการประชุมเจ้าหนี้ทุกคราว  และให้มีรายงานการประชุม  ลงลายมือชื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เก็บไว้เป็นหลักฐาน

มาตรา  36  เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นว่า  มติของที่ประชุมเจ้าหนี้ขัดต่อกฎหมาย  หรือประโยชน์อันร่วมกันของเจ้าหนี้ทั้งหลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อาจยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาล  และศาลอาจมีคำสั่งห้ามมิให้ปฏิบัติการตามมตินั้นได้  แต่ต้องยื่นต่อศาลภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ที่ประชุมเจ้าหนี้ลงมติ

มาตรา  45  วรรคสาม  ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เรียกประชุมเจ้าหนี้เพื่อปรึกษาลงมติพิเศษว่าจะยอมรับคำขอนั้นหรือไม่

มาตรา  61  วรรคแรก  เมื่อศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว  และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รายงานว่า  เจ้าหนี้ได้ลงมติในการประชุมเจ้าหนี้ครั้งแรกหรือในคราวที่ได้เลื่อนไป  ขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายก็ดี  หรือไม่ลงมติประการใดก็ดี  หรือไม่มีเจ้าหนี้ไปประชุมก็ดี  หรือการประนอมหนี้ไม่ได้รับความเห็นชอบก็ดี  ให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย  และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจจัดการทรัพย์สินของบุคคลล้มละลายเพื่อแบ่งแก่เจ้าหนี้ทั้งหลาย

อธิบาย

มติพิเศษ  ตามคำนิยามมาตรา  6  ดังกล่าวข้างต้น  จะเห็นว่าต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์สำคัญ  2  ประการ  ดังนี้  คือ

1       เป็นมติของเจ้าหนี้ฝ่ายข้างมาก  กล่าวคือ  ต้องมีเสียงของเจ้าหนี้มากกว่ากึ่งหนึ่งของเจ้าหนี้ที่ออกเสียงลงคะแนน  และ

2       มีจำนวนหนี้ไม่น้อยกว่า  3  ใน  4  ของจำนวนหนี้ทั้งหมดของเจ้าหนี้ที่ได้ออกเสียงลงคะแนน

สำหรับมติพิเศษนี้จะมีขึ้นก็ต่อเมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด  และลูกหนี้ประสงค์จะทำความตกลง  ในเรื่องหนี้สินโดยวิธีขอชำระแต่บางส่วนหรือโดยวิธีอื่น  โดยทำคำขอประนอมหนี้เป็นหนังสือยื่นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามกลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายบัญญัติไว้  แล้วต่อมาเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการเรียกประชุมเจ้าหนี้ทั้งหลายครั้งแรก  ตามมาตรา  31  เพื่อที่จะปรึกษาลง  มติพิเศษ  ว่าจะยอมรับคำขอประนอมหนี้นั้นหรือไม่  ตามมาตรา  45  วรรคสาม

อนึ่งถ้ามติพิเศษที่ออกมาในที่ประชุมเจ้าหนี้ตามมาตรา  31  ขัดต่อกฎหมาย  เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในฐานะที่เป็นประธานในที่ประชุมเจ้าหนี้ตามมาตรา  33  จะต้องทำคำร้องยื่นต่อศาลภายใน  7  วันนับแต่วันที่ที่ประชุมเจ้าหนี้ลงมติที่จัดต่อกฎหมายนั้นเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามมิให้ปฏิบัติการตามมตินั้น  ตามมาตรา  36

อย่างไรก็ดี  เมื่อเรื่องนั้นได้ส่งมายังศาล  ศาลจะต้องมีคำสั่งตามขั้นตอนดังต่อไปนี้

1       มีคำสั่งทำลายมติที่ประชุมเจ้าหนี้นั้นเสีย  เพราะมติพิเศษของที่ประชุมเจ้าหนี้ขัดต่อกฎหมาย  ตามมาตรา  36

2       เมื่อมีคำสั่งทำลายมติพิเศษที่ขัดต่อกฎหมายดังกล่าวแล้วเท่ากับการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายไม่ได้รับความเห็นชอบ  ศาลจึงอยู่ในบังคับของกฎหมายที่จะต้องพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายต่อไป  ตามมาตรา  61  วรรคแรก  จะงดพิพากษาหรือพิพากษาเป็นอย่างอื่นไม่ได้ 

WordPress Ads
error: Content is protected !!