LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558 ข้อสอบกระบวนวิชา

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายจันทร์บอกขายที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหนึ่งให้นายอังคารในราคา 5 ล้านบาท นายอังคารมาดูที่ดินแปลงนี้แล้วตอบตกลงซื้อ นายอังคารชําระราคาค่าที่ดินให้นายจันทร์ 1 ล้านบาท ส่วนที่ยังขาดอยู่ นายอังคารจะชําระให้ในวันที่นายจันทร์ไปจดทะเบียนโอน นายจันทร์ได้ส่งมอบที่ดินให้นายอังคาร ในวันทําสัญญา ในวันนัดนายจันทร์ก็หาได้ไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคารไม่ นายอังคาร อยู่ในที่ดินแปลงนี้ติดต่อกันมาอีก 12 ปี ที่ดินแปลงนี้มีราคาท้องตลาดสูงขึ้นกว่า 100 ล้านบาท นายจันทร์อยากได้ที่ดินแปลงนี้คืนและขอให้นายอังคารออกไปจากที่ดินแปลงนี้ นายอังคารไม่ยอมออก ดังนี้นายจันทร์จะเรียกที่ดินแปลงนี้คืนจากนายอังคารได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและ สัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคํามั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือได้วางประจําไว้ หรือได้ชําระหนี้ บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาด้ไม่”

วินิจฉัย

“สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด” (หรือสัญญาซื้อขายสําเร็จบริบูรณ์) หมายถึง สัญญาซื้อขาย ที่คู่กรณีคือผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงทําสัญญาซื้อขายกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ขายตกลงที่จะโอนกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ซื้อได้ตกลงที่จะชําระราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขายแล้ว โดยไม่ต้องคํานึงว่าในขณะที่ตกลงทําสัญญาซื้อขายกันนั้น ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินหรือได้มีการชําระราคากันแล้วหรือไม่

“สัญญาจะซื้อขาย” คือ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะที่ทําสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันก็ต่อเมื่อได้ไปกระทําตามแบบพิธีที่กฎหมายได้กําหนดไว้ในภายหน้า คือ เมื่อได้ไปทําสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วนั่นเอง

ตามอุทาหรณ์ การที่นายจันทร์บอกขายที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหนึ่งให้นายอังคารในราคา 5 ล้านบาท และนายอังคารตกลงซื้อโดยนายอังคารชําระราคาค่าที่ดินให้นายจันทร์ 1 ล้านบาท ส่วนที่ยังขาดอยู่ นายอังคารจะชําระให้ในวันที่นายจันทร์ไปจดทะเบียนโอน และนายจันทร์ได้ส่งมอบที่ดินให้นายอังคารในวันทําสัญญานั้น กรณีนี้ถือว่าสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายจันทร์กับนายอังคารเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินตาม มาตรา 456 วรรคสอง เพราะเป็นสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะทําสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันก็ต่อเมื่อ ได้ไปกระทําตามแบบที่กฎหมายได้กําหนดไว้ในภายหน้า

เมื่อเป็นเพียงลัญญาจะซื้อจะขาย การที่นายจันทร์ได้ส่งมอบที่ดินให้นายอังคารครอบครองนั้น นายอังคารย่อมรู้อยู่แล้วว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินยังเป็นของนายจันทร์ยังไม่โอนมาเป็นของนายอังคาร จะโอนก็ต่อเมื่อ นายจันทร์ได้ไปจดทะเบียนโอนให้แก่นายอังคารแล้ว การที่นายอังคารได้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าว ถือว่าเป็นการครอบครองยึดถือแทนนายจันทร์เท่านั้น ดังนั้นนายอังคารจึงไม่ได้ครอบครองแต่อย่างใด การที่นายอังคารครอบครองและอยู่ในที่ดินแปลงนี้ติดต่อกันเป็นเวลา 12 ปี จึงไม่ทำให้นายอังคารได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้แต่อย่างใด

เมื่อกรรมสิทธิ์ในที่ดินยังเป็นของนายจันทร์ และนายจันทร์อยากได้ที่ดินแปลงนี้คืนและขอให้นายอังคารออกไปจากที่ดินแปลงนี้ นายอังคารก็ต้องออกไปจากที่ดินแปลงนี้ จะไม่ยอมออกไปไม่ได้

สรุป นายจันทร์เรียกที่ดินแปลงนี้คืนจากนายอังคารได้

 

ข้อ 2. นายหนึ่งเป็นนักสะสมรถยนต์โบราณ เมื่อเก็บไว้มากก็ไม่มีสถานที่เพียงพอในการเก็บรักษาจึงต้องการ
นํารถยนต์ส่วนหนึ่งออกขายทอดตลาด หนึ่งในสิบคันเป็นรถยนต์ที่นายหนึ่งทราบดีว่าเป็นรถยนต์ ที่ขโมยมาขายแก่ตน และอีกคันหนึ่งหม้อน้ำชํารุดมีโอกาสจะรั่วได้เสมอ หลังจากการขายทอดตลาด มีการส่งมอบ ชําระราคากันเรียบร้อยแล้ว นายสองประมูลได้ไป 1 คัน ระหว่างขับกลับบ้านปรากฏว่า หม้อน้ำเกิดแตก ส่วนอีก 1 คัน นายสามครอบครองได้เพียงสองอาทิตย์ก็มีนายดํานําตํารวจพร้อม พยานหลักฐานมาแสดงต่อนายสามว่ารถยนต์คันนี้เป็นรถยนต์ของตนที่ถูกขโมยมาจึงมาขอติดตาม เอารถยนต์คืน นายสามก็ยอมคืนให้ไป

(1) นายสองจะฟ้องนายหนึ่งให้รับผิดในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้หรือไม่

(2) นายสามจะฟ้องนายหนึ่งให้รับผิดว่าตนถูกรอนสิทธิได้หรือไม่ และถ้าฟ้องได้ภายในกําหนดระยะเวลาเท่าใดนับแต่คืนรถยนต์ให้แก่นายดําไป

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่า ผู้ขายต้องรับผิด
ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชํารุดบกพร่องมีอยู่”

มาตรา 473 “ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด”

มาตรา 475 “หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สิน โดยปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น”

มาตรา 481 “ถ้าผู้ขายไม่ได้เป็นคู่ความในคดีเดิม หรือถ้าผู้ซื้อได้ประนีประนอมยอมความ กับบุคคลภายนอก หรือยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้องไซร้ ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิ เมื่อพ้นกําหนดสามเดือนนับแต่วันคําพิพากษาในคดีเดิมถึงที่สุด หรือนับแต่วันประนีประนอมยอมความ หรือวันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้องนั้น”

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชํารุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิด ถ้าทรัพย์สินที่ขายชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่ง และต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดีผู้ขายก็ไม่จําต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด เป็นต้น

ส่วนการรอนสิทธินั้นเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ใน เวลาซื้อขายได้เข้ามาขัดสิทธิให้ผู้ซื้อไม่สามารถครองทรัพย์สินโดยปกติสุขได้ ซึ่งตามมาตรา 475 กําหนดให้ผู้ขาย ต้องรับผิดเพราะเหตุการรอนสิทธินั้น แต่ถ้าหากผู้ซื้อได้ยอมตามที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือกว่านั้นเรียกร้องแล้ว ผู้ซื้อจะต้องฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธินั้นภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้อง มิฉะนั้นจะไม่สามารถฟ้องคดีได้ตามมาตรา 481

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้

(1) การที่นายสองได้ซื้อรถยนต์มาจากการขายทอดตลาดของนายหนึ่งมา 1 คัน และใน ระหว่างขับกลับบ้านปรากฏว่าหม้อน้ำเกิดแตกนั้น ถือว่ามีความชํารุดบกพร่องเกิดขึ้นกับทรัพย์สินที่นายสองซื้อมา อันเป็นเหตุให้ทรัพย์สินนั้นเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ โดยหลักแล้วนายหนึ่งผู้ขาย จะต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้นตามมาตรา 472

แต่อย่างไรก็ดี ถึงแม้นายหนึ่งจะต้องรับผิดต่อนายสองเพื่อความชํารุดบกพร่องนั้น แต่เมื่อปรากฏว่ารถยนต์ที่นายสองซื้อมานั้นเป็นการซื้อมาจากการขายทอดตลาด จึงเข้าข้อยกเว้นที่นายหนึ่งผู้ขายไม่ต้อง รับผิดในความชํารุดบกพร่องตามมาตรา 473 (3) ดังนั้น นายสองจะฟ้องนายหนึ่งให้รับผิดในความชํารุดบกพร่อง ที่เกิดขึ้นไม่ได้

(2) การที่นายสามได้ซื้อรถยนต์มาจากการขายทอดตลาดของนายหนึ่งมา 1 คัน แต่เมื่อได้ ครอบครองเพียง 2 อาทิตย์ก็มีนายดํานำตํารวจพร้อมพยานหลักฐานมาแสดงต่อนายสามว่ารถยนต์คันดังกล่าว เป็นของนายดําที่ถูกขโมยมาจึงขอติดตามเอารถยนต์คืน และนายสามก็ยอมคืนให้ไปนั้น ถือเป็นกรณีที่บุคคลภายนอก ซึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ในเวลาซื้อขายได้เข้ามาขัดสิทธิทําให้ผู้ซื้อคือนายสามไม่สามารถครอบครอง ทรัพย์สินโดยปกติสุข จึงเป็นกรณีที่ผู้ซื้อถูกรอนสิทธิตามมาตรา 475 ซึ่งผู้ขายจะต้องรับผิดต่อผู้ซื้อ ดังนั้นนายสาม จึงสามารถฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดที่ตนถูกรอนสิทธิได้ แต่นายสามจะต้องฟ้องภายในกําหนดเวลา 3 เดือน นับแต่วันที่ได้ยอมคืนรถยนต์ให้แก่นายดําไปตามมาตรา 481

สรุป

(1) นายสองจะฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นไม่ได้
(2) นายสามสามารถฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดในกรณีที่นายสามถูกรอนสิทธิได้ แต่จะต้องฟ้องภายในกําหนด 3 เดือน นับแต่วันที่ยอมคืนรถยนต์ให้แก่นายดําไป

 

ข้อ 3. นายไก่นําพ่อช้าง แม่ช้าง และลูกช้างไปขายฝากไว้กับนายไข่ มีกําหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี พ่อช้างแม่ช้าง ในราคาเชือกละ 5 แสนบาท ส่วนลูกช้างเชือกละ 1 แสนบาท ไถ่คืนพ่อช้างแม่ช้าง เชือกละ 6 แสนบาท และลูกช้าง 2 แสนบาท โดยทําสัญญากันเป็นหนังสือลงลายมือชื่อสองฝ่าย และมีพยาน 2 คน เมื่อเวลาผ่านไป 1 ปี 1 วัน นายไก่ไปขอใช้สิทธิไถ่โดยนําเงินจํานวน 1 ล้าน 1 แสน 5 หมื่นบาท ไปไถ่พ่อช้างแม่ช้าง และ 1 แสน 1 หมื่น 5 พันบาท สําหรับลูกช้าง แต่นายไข่ปฏิเสธ โดยอ้างว่า

(1) สิ้นสุดกําหนดไถ่แล้ว

(2) สินไถ่ไม่ครบ

ข้ออ้างของนายไข่รับฟังได้หรือไม่ นายไก่มีโอกาสจะได้พ่อช้างแม่ช้างคืนหรือไม่ด้วยเหตุผลใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคหนึ่ง “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย”

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 494 “ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ กําหนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย

(2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ กําหนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย

มาตรา 495 “ถ้าในสัญญามีกําหนดเวลาไถ่เกินไปกว่านั้น ท่านให้ลดลงมาเป็นสิบปีและสามปี ตามประเภททรัพย์

มาตรา 499 “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กําหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก
ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กําหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกิน อัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

สัญญาขายฝาก เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้ เมื่อเป็นสัญญาซื้อขาย จึงต้องนําบทบัญญัติว่าด้วยซื้อขายมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม ดังนั้น การขายฝาก อสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ เช่น เรือมีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป แพที่อยู่อาศัยและสัตว์พาหนะ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคหนึ่ง

กรณีตามอุทาหรณ์ ข้ออ้างของนายไข่รับฟังได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

(1) การที่นายไก่นําพ่อช้าง แม่ช้าง ซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ และลูกช้างไปขายฝากไว้ กับนายไข่ มีกําหนดไถ่คืนภายใน 1 ปีนั้น เมื่อกําหนดเวลาไถ่คืนไม่เกินไปกว่าที่กฎหมายกําหนดจึงสามารถตกลงกันได้ ตามมาตรา 494 และ 495 ดังนั้น นายไก่จึงต้องไถ่ทรัพย์สินคืนภายในกําหนด 1 ปี เมื่อนายไก่มาไถ่ทรัพย์สินคืน เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว 1 ปี 1 วัน นายไข่จึงสามารถปฏิเสธโดยอ้างว่าสิ้นสุดกําหนดไถ่แล้วได้ กรณีนี้ข้ออ้างของนายไข่ จึงรับฟังได้

(2) การที่นายไก่ขายฝากพ่อช้างและแม่ช้างไว้เชือกละ 5 แสนบาท ส่วนลูกช้างเชือกละ 1 แสนบาท รวมเป็นเงิน 1,100,000 บาท และตกลงว่าจะไถ่คืนพ่อช้างและแม่ช้างเชือกละ 6 แสนบาท และลูกช้าง อีก 2 แสนบาท รวมเป็นเงิน 1,400,000 บาทนั้น จะเห็นได้ว่าสินไถ่ที่กําหนดไว้นั้นสูงกว่าที่กฎหมายกําหนด ดังนั้น นายไก่สามารถใช้สิทธิไถ่คืนทรัพย์สินนั้นได้ในราคา 1,100,000 บาท บวกประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี ตามมาตรา 499 กล่าวคือ นายไก่สามารถไถ่คืนพ่อช้างและแม่ช้างได้ในราคา 1,150,000 บาท และไถ่คืนลูกช้างได้ ในราคา 115,000 บาท ดังนั้นการที่นายไข่ปฏิเสธโดยอ้างว่าสินไถ่ไม่ครบจึงรับฟังไม่ได้

ส่วนกรณีที่นายไก่จะมีโอกาสได้พ่อช้างแม่ช้างคืนได้หรือไม่นั้น เมื่อสัญญาขายฝากพ่อช้างแม่ช้าง เป็นการขายฝากสัตว์พาหนะซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ แต่ไม่ได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาขายฝากพ่อช้างแม่ช้างจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคหนึ่ง ดังนั้น กรรมสิทธิ์ในพ่อช้างแม่ช้างจึงยังคงเป็นของนายไก่ นายไก่สามารถเอาพ่อช้างแม่ช้างคืนได้ แต่ต้องคืนเงิน 1,000,000 บาท ให้แก่นายไข่ในฐานลาภมิควรได้

สรุป

(1) ข้ออ้างของนายไข่ที่ว่าสิ้นสุดกําหนดไถ่แล้วรับฟังได้
(2) ข้ออ้างของนายไข่ที่ว่าสินไถ่ไม่ครบรับฟังไม่ได้ นายไก่เอาพ่อช้างแม่ช้างคืนได้ แต่ต้องคืนเงิน 1,000,000 บาท ให้แก่นายไข่

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559 ข้อสอบกระบวนวิชา

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. หนังสือสัญญาซื้อขายอูฐระหว่างนายเมฆและนายหมอกข้อหนึ่งระบุว่า “นายเมฆได้ตกลงซื้ออูฐจากนายหมอกในราคา 50,000 บาท โดยชําระเงินให้แก่นายหมอกในวันทําสัญญานี้เป็นจํานวนเงิน 10,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 40,000 บาท จะชําระให้ภายใน 30 วัน” ครั้นเมื่อถึงกําหนดวันดังกล่าว นายเมฆไม่สามารถนําเงินมาชําระให้แก่นายหมอกได้

ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายหมอกสามารถฟ้องร้องบังคับคดีเรียกให้นายเมฆนําเงินมาชําระได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคํามั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้ มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือได้วางประจําไว้ หรือได้ชําระหนี้ บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกัน เป็นราคาสองหมื่นบาท หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 456 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ ชนิดพิเศษ ได้แก่ เรือมีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป แพ และสัตว์พาหนะ จะต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะ

แต่ถ้าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินตามมาตรา 456 วรรคหนึ่ง หรือเป็นสัญญาซื้อขาย สังหาริมทรัพย์ทั่ว ๆ ไป ไม่ต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด เพียงแต่ถ้าจะฟ้องร้องบังคับคดีกันเกี่ยวกับสัญญาจะซื้อจะขาย หรือสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาตั้งแต่ 20,000 บาท ขึ้นไป จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือมีการวางประจํา (มัดจํา) ไว้ หรือได้มีการชําระหนี้กันบางส่วนแล้ว (มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม)

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาซื้อขายอูฐระหว่างนายเมฆและนายหมอกเป็นสัญญาซื้อขาย ทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดาทั่วไป มิใช่เป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ กล่าวคือ มิใช่เป็น การซื้อขายสัตว์พาหนะ ซึ่งได้แก่ ช้าง ม้า โค กระบือ ลา ล่อ แต่อย่างใด ดังนั้น สัญญาซื้อขายอูฐระหว่างนายเมฆ และนายหมอกจึงไม่อยู่ภายใต้บังคับให้ต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 456 วรรคหนึ่ง สัญญาซื้อขายอูฐดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า หนังสือสัญญาซื้อขายอูฐระหว่างนายเมฆและนายหมอก มีข้อความระบุว่า “นายเมฆได้ตกลงซื้ออฐจากนายหมอกในราคา 50,000 บาท โดยชําระเงินให้แก่นายหมอกในวันทําสัญญานี้เป็นจํานวนเงิน 10,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 40,000 บาท จะชําระให้ภายใน 30 วัน” นั้น ย่อมถือว่า เป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาเป็นเงินเกินกว่า 20,000 บาท และมีหลักฐานในการฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ กล่าวคือ สัญญาซื้อขายดังกล่าวได้มีการทําเป็นหนังสือ และได้มีการชําระหนี้บางส่วนโดยนายเมฆ ผู้ซื้อได้ชําระเงินค่าอูฐให้นายหมอกแล้ว 10,000 บาท ดังนั้น เมื่อถึงกําหนดวันดังกล่าวนายเมฆไม่สามารถนําเงิน มาชําระให้แก่นายหมอกได้ นายหมอกย่อมสามารถฟ้องร้องบังคับคดีเรียกให้นายเมฆนําเงินมาชําระได้ (ตาม มาตรา 456 วรรคสอง ประกอบวรรคสาม)

สรุป นายหมอกสามารถฟ้องร้องบังคับคดีเรียกให้นายเมฆนําเงินมาชําระได้

 

ข้อ 2. นายยิ่งตกลงทําสัญญาซื้อที่ดินแปลงหนึ่งจากนายยงระบุที่ดินที่ซื้อขายกัน จํานวน 100 ไร่ ราคาไร่ละ10,000 บาท แต่เมื่อทําการรังวัดที่ดินแล้วเนื้อที่ดินตามโฉนดกลับมีมากถึง 108 ไร่ ดังนี้ ให้ท่าน
วินิจฉัยว่าในการส่งมอบมากกว่าเช่นนี้ นายยิ่งมีสิทธิที่จะทําอย่างไรได้บ้าง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 466 “ในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์นั้น หากว่าได้ระบุจํานวนเนื้อที่ทั้งหมดไว้ และผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินน้อยหรือมากไปกว่าที่ได้สัญญาไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะปัดเสีย หรือจะรับเอาไว้และใช้ราคา ตามส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก
อนึ่ง ถ้าขาดตกบกพร่องหรือจํานวนไม่เกินร้อยละห้าแห่งเนื้อที่ทั้งหมดอันได้ระบุไว้นั้นไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจําต้องรับเอาและใช้ราคาตามส่วน…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายยิ่งตกลงทําสัญญาซื้อที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ จากนายยงโดยระบุที่ดินที่ซื้อขายกันจํานวน 100 ไร่ ราคาไร่ละ 10,000 บาท แต่เมื่อทําการรังวัดที่ดินแล้วเนื้อที่ดิน ตามโฉนดกลับมีมากถึง 108 ไร่ นั้น กรณีดังกล่าวถือได้ว่า ผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินมีจํานวนมากไปกว่าที่ได้ตกลงไว้ ในสัญญา และเมื่อจํานวนส่วนที่มากกว่าที่ทั้งคู่ได้ตกลงซื้อขายกัน คือจํานวน 8 ไร่ นั้น มีจํานวนเกินกว่าร้อยละ 5 แห่งเนื้อที่ทั้งหมดที่ได้ระบุไว้ในสัญญา ดังนั้นนายยิ่งผู้ซื้อจึงมีสิทธิที่จะบอกปัดไม่รับมอบที่ดินทั้งแปลงไว้ หรือจะรับเอาไว้แล้วใช้ราคาที่ดินตามส่วนเป็นเงิน 1,080,000 บาทก็ได้ ตามแต่จะเลือก (มาตรา 466 วรรคหนึ่ง ประกอบวรรคสอง)

สรุป นายยิ่งมีสิทธิบอกปัดไม่รับมอบที่ดินทั้งแปลง หรือจะรับมอบเอาไว้แล้วใช้ราคาที่ดิน ให้แก่นายยงตามส่วนเป็นเงิน 1,080,000 บาทก็ได้ ตามแต่จะเลือก

 

ข้อ 3. นายอาทิตย์ได้ทําสัญญาขายฝากแจกันโบราณลายครามใบหนึ่งของนายอาทิตย์ไว้กับนายจันทร์ โดยทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อทั้งนายอาทิตย์และนายจันทร์ ในราคา 50,000 บาท กําหนดเวลาไถ่ 5 ปี และตกลงไว้ในสัญญาขายฝากว่านายจันทร์จะไม่นําแจกันใบนี้ไปขายต่อให้ผู้อื่น สินไถ่เท่ากับ ราคาขายฝาก เมื่อขายฝากไปได้เพียง 3 เดือน นายจันทร์ได้ขายแจกันใบนั้นไปให้นายศุกร์ในราคา 80,000 บาท ขายฝากไปได้ 2 ปีกับหกเดือน นายอาทิตย์ตาย นายพุธไม่ทราบว่าบิดาได้ขายฝาก แจกันใบนั้นไว้กับนายจันทร์ มาทราบเมื่อนายอาทิตย์ตายไปได้ 1 ปี นายพุธซึ่งเป็นทายาทคนเดียวของนายอาทิตย์ได้มาขอซื้อคืนแจกันใบนี้คืนจากนายจันทร์ แต่นายจันทร์ได้บอกว่าตนขายแจกัน ใบนั้นให้นายศุกร์ไปแล้ว นายพุธจึงมาขอไถ่คืนแจกันใบนั้นจากนายศุกร์ ถ้าท่านเป็นนายศุกร์จะปฏิเสธไม่ให้นายพุธไถ่ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และนายพุธจะฟ้องว่านายจันทร์ผิดสัญญาได้หรือไม่ ให้นักศึกษาอธิบายข้อกฎหมายให้ละเอียด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 493 “ในการขายฝากคู่สัญญาจะตกลงกันไม่ให้ผู้ซื้อจําหน่ายทรัพย์สินซึ่งขายฝากก็ได้ ถ้าและผู้ซื้อจําหน่ายทรัพย์สินนั้นฝ่าฝืนสัญญาไซร้ ก็ต้องรับผิดต่อผู้ขายในความเสียหายใด ๆ อันเกิดแต่การนั้น”

มาตรา 494 “ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้
(2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ กําหนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย”

มาตรา 495 “ถ้าในสัญญามีกําหนดเวลาไถ่เกินไปกว่านั้น ท่านให้ลดลงมาเป็นสิบปีและสามปี ตามประเภททรัพย์”

มาตรา 497 “สิทธิ์ในการไถ่ทรัพย์สินนั้น จะพึงใช้ได้แต่บุคคลเหล่านี้ คือ
(1) ผู้ขายเดิม หรือทายาทของผู้ขายเดิม…” มาตรา 498 “สิทธิ์ในการไถ่ทรัพย์สินนั้นจะพึงใช้ได้เฉพาะต่อบุคคลเหล่านี้ คือ
(2) ผู้รับโอนทรัพย์สิน หรือรับโอนสิทธิเหนือทรัพย์สินนั้น แต่ในข้อนี้ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ จะใช้สิทธิได้ต่อเมื่อผู้รับโอนได้รู้ในเวลาโอนว่าทรัพย์สินตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอาทิตย์ได้ทําสัญญาขายฝากแจกันโบราณลายครามใบหนึ่งของ นายอาทิตย์ไว้กับนายจันทร์ โดยทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายอาทิตย์และนายจันทร์ในราคา 50,000 บาท มีกําหนดเวลาไถ่ 5 ปีนั้น สัญญาขายฝากย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 491 เพียงแต่การขายฝากแจกันฯ ดังกล่าว เป็นการขายฝากทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ ซึ่งตามกฎหมายจะต้องกําหนดเวลาไถ่ไว้ไม่เกิน 3 ปี ดังนั้น เมื่อคู่สัญญาได้กําหนดเวลาไถ่ไว้ 5 ปี กําหนดเวลาไถ่จึงต้องลดลงมาเหลือเพียง 3 ปีนับแต่เวลาที่ได้ทําสัญญาซื้อขาย (ขายฝาก) ตามมาตรา 494 (2) และมาตรา 495

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลังจากที่ได้ทําสัญญาขายฝากได้เพียง 3 เดือน นายจันทร์ได้ขาย แจกันใบนั้นให้แก่นายศุกร์ในราคา 80,000 บาท และเมื่อขายฝากไปได้ 2 ปี กับ 6 เดือน นายอาทิตย์ตาย นายพุธ ซึ่งเป็นทายาทคนเดียวของนายอาทิตย์ได้ทราบว่าบิดาได้ขายฝากแจกันใบนั้นไว้กับนายจันทร์เมื่อนายอาทิตย์ได้ ตายไปแล้ว 1 ปี ดังนี้ แม้นายพุธจะเป็นทายาทของนายอาทิตย์ผู้ขายเดิมตามมาตรา 497 (1) จะมีสิทธิไถ่ทรัพย์สินคืนจากนายศุกร์ ซึ่งเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินตามมาตรา 498 (2) ก็ตาม แต่เมื่อนายพุธได้มาขอไถ่คืนแจกันใบนั้น จากนายศุกร์เมื่อพ้นกําหนดเวลา 3 ปีนับแต่วันทําสัญญาขายฝากแล้ว นายศุกร์จึงสามารถปฏิเสธไม่ให้นายพุธ ไถ่คืนแจกันใบนั้นได้ตามมาตรา 494 (2) ประกอบมาตรา 495

ส่วนตามข้อตกลงในการขายฝากที่ห้ามมิให้นายจันทร์นําแจกันใบนี้ไปขายต่อให้แก่ผู้อื่นนั้น คู่สัญญาสามารถตกลงกันได้ตามมาตรา 493 และเมื่อนายจันทร์นําแจกันไปขายต่อให้แก่นายศุกร์ ซึ่งถือว่านายจันทร์ ผิดข้อตกลงในสัญญาขายฝากก็ตาม แต่เมื่อนายพุธได้ไปขอไถ่คืนเมื่อพ้นกําหนดเวลาไถ่คืนแล้ว ดังนั้น เมื่อนายศุกร์ ปฏิเสธไม่ให้นายพุธไถ่คืน นายพุธจะฟ้องนายจันทร์ว่านายจันทร์ผิดสัญญาไม่ได้

สรุป นายศุกร์จะปฏิเสธไม่ให้นายพุธไถ่คืนแจกันได้ และนายพุธจะฟ้องว่านายจันทร์ ผิดสัญญาไม่ได้

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายหนึ่งนําบ้านและที่ดินของตนไปขายให้นายสองในราคา 1 ล้านบาท แต่นายสองไม่มีเงินสดครบ 1 ล้านบาท จึงตกลงกันว่าให้นายสองผ่อนชําระให้เดือนละ 1 แสนบาท เมื่อครบ 1 ล้านบาท นายหนึ่งก็จะไปโอนกรรมสิทธิ์ให้ เมื่อนายสองผ่อนไปได้ 2 งวด นายไก่ได้มาขอซื้อบ้านและที่ดินดังกล่าวในราคา 2 ล้านบาท โดย ไม่ทราบเลยว่านายหนึ่งได้ขายให้นายสองไปแล้ว นายหนึ่งได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนขายบ้าน และที่ดินให้นายไก่ และนายไก่ก็ได้ชําระราคาครบถ้วนพร้อมทั้งได้รับมอบบ้านและที่ดินไปเรียบร้อย แล้ว ดังนี้

1) สัญญาระหว่างนายหนึ่งและนายสองเป็นสัญญาประเภทไหนและมีผลในทางกฎหมายอย่างไร นายสองจะฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดชอบว่าผิดสัญญาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

2) สัญญาระหว่างนายหนึ่งและนายไก่เป็นสัญญาซื้อขายประเภทไหน และมีผลในทางกฎหมาย
อย่างไร

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 453 “อันว่าซื้อขายนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ขาย โอนกรรมสิทธิ์แห่ง ทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย

มาตรา 456 วรรคแรกและวรรคสอง “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและ สัตว์พาหนะด้วย
สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคํามั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มี หลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือได้วางประจําไว้ หรือได้ชําระหนี้ บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

วินิจฉัย

“สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด” (หรือสัญญาซื้อขายสําเร็จบริบูรณ์) หมายถึง สัญญาซื้อขาย ที่คู่กรณีคือผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงทําสัญญาซื้อขายกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ขายตกลงที่จะโอนกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ซื้อได้ตกลงที่จะชําระราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขายแล้ว โดยไม่ต้องคํานึงว่าในขณะที่ ตกลงทําสัญญาซื้อขายกันนั้น ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินหรือได้มีการชําระราคากันแล้วหรือไม่

“สัญญาจะซื้อขาย” คือ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่ คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะที่ทําสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันก็ต่อเมื่อได้ไปกระทําตามแบบพิธีที่กฎหมายได้กําหนดไว้ในภายหน้า คือ เมื่อได้ไปทําสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วนั่นเอง

และสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษนั้น จะต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรก ประกอบมาตรา 453 ส่วนสัญญาจะซื้อขายทรัพย์สินดังกล่าวนั้นกฎหมายมิได้กําหนดแบบไว้แต่อย่างใดเพียงแต่ได้กําหนดไว้ว่า ในกรณี ที่จะมีการฟ้องร้องบังคับคดีกัน จะต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้คือ

1. จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ

2. มีการวางประจํา (มัดจํา) ไว้ หรือ

3. มีการชําระหนี้บางส่วน

1) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งนําบ้านและที่ดินของตนไปขายให้นายสองในราคา 1 ล้านบาท โดยนายหนึ่งและนายสองตกลงกันว่าให้นายสองผ่อนชําระให้เดือนละ 1 แสนบาท เมื่อครบ 1 ล้านบาท นายหนึ่งก็จะไปโอนกรรมสิทธิ์ให้นั้น กรณีเช่นนี้ถือว่าสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินระหว่างนายหนึ่งและนายสอง เป็นสัญญาจะซื้อขาย (จะซื้อจะขาย) อสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นสัญญาที่คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะทําสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันเมื่อได้ ไปกระทําตามแบบที่กฎหมายได้กําหนดไว้ในภายหน้า คือ เมื่อได้ไปทําเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายและจดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั่นเอง และสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวถือเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ แม้จะตกลงกันด้วยวาจา เพราะ ในทางกฎหมายนั้น สัญญาจะซื้อขายเป็นสัญญาที่ไม่มีแบบแต่อย่างใด

ส่วนกรณีที่นายหนึ่งได้นําบ้านและที่ดินดังกล่าวไปทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนขาย ให้แก่นายไก่ นายสองจะฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดชอบว่าผิดสัญญาได้หรือไม่นั้น เห็นว่า ตามอุทาหรณ์ สัญญาจะซื้อขาย บ้านและที่ดินระหว่างนายหนึ่งและนายสองนั้น แม้จะมิได้ทําเป็นหนังสือ หรือมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อ นายหนึ่งซึ่งเป็นฝ่ายที่จะต้องรับผิดก็ตาม สัญญาจะซื้อขายดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย และเมื่อตามข้อเท็จจริง ปรากฏว่าสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีกันตามมาตรา 456 วรรคสอง คือ ได้มีการ ชําระหนี้บางส่วนโดยนายสองได้ชําระราคามาได้ 2 งวด เป็นเงิน 2 แสนบาทแล้ว ดังนั้น เมื่อนายหนึ่งผิดสัญญา ได้นําบ้านและที่ดินไปขายให้แก่นายไก่ นายสองจึงสามารถฟ้องนายหนึ่งให้รับผิดชอบเพราะผิดสัญญาได้

2) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งและนายไก่ได้ตกลงทําสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดิน ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์กันนั้น ทั้งสองได้ตกลงทําสัญญาซื้อขายกันเพียงครั้งเดียวและเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดย ไม่มีข้อตกลงกันว่าจะไปกระทําตามแบบพิธีใด ๆ ในภายหน้า ดังนั้น สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายไก่ จึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และเมื่อคู่กรณีได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงเป็นสัญญาซื้อขายที่สมบูรณ์ เพราะปฏิบัติถูกต้องตามมาตรา 456 วรรคแรก

สรุป

1) สัญญาระหว่างนายหนึ่งและนายสองเป็นสัญญาจะซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย นายสองจะฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดชอบว่าผิดสัญญาได้

2) สัญญาระหว่างนายหนึ่งและนายไก่เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

 

ข้อ 2. นายสามตกลงซื้อรถยนต์จากนายสี่ซึ่งเป็นเพื่อนกันในราคามิตรภาพ และยังเป็นรถใหม่ป้ายแดงในราคา 1 ล้านบาท มีการส่งมอบและชําระราคาเรียบร้อย แต่เมื่อนายสามนํารถยนต์ไปใช้งาน ปรากฏว่าบางวันสตาร์ทไม่ติด ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง นายสามจะฟ้องให้นายสี่รับผิดในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้หรือไม่ เมื่อนายสามแจ้งให้นายสี่ รับผิดชอบ นายสี่ปฏิเสธและอ้างว่าตนก็ไม่เคยทราบมาก่อนเช่นกันถึงเหตุดังกล่าว

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุ ให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่าผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชํารุดบกพร่องมีอยู่”

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชํารุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิด ถ้าทรัพย์สินที่ขายชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์ อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ หรือประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญา ไม่ว่าผู้ขายจะได้รู้หรือไม่รู้ว่าทรัพย์สินที่ขายนั้นมีความ ชํารุดบกพร่องอยู่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสามได้ตกลงซื้อรถยนต์จากนายสี่ซึ่งเป็นรถใหม่ป้ายแดง โดยมี การส่งมอบและชําระราคาเรียบร้อยแล้ว และเมื่อนายสามได้นํารถยนต์ไปใช้งานปรากฏว่าบางวันสตาร์ทไม่ติด ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงนั้น กรณีดังกล่าวถือได้ว่าทรัพย์สินที่ขายนั้นมีความชํารุดบกพร่อง เป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติแล้ว ดังนั้น นายสี่ผู้ขายจึงต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องที่ เกิดขึ้นนั้น และนายสี่จะปฏิเสธและอ้างว่าตนก็ไม่เคยทราบมาก่อนเช่นกันถึงเหตุดังกล่าวไม่ได้

สรุป นายสามสามารถฟ้องให้นายสี่รับผิดในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้

 

ข้อ 3. นายห้านําบ้านและที่ดินของตนที่ปลูกไว้ริมแม่น้ําในจังหวัดเชียงราย ไปทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนขายฝากไว้กับนายหกในราคา 1 ล้านบาท ไถ่คืนภายในกําหนด 1 ปี ในราคาเดิมบวก ประโยชน์อีก 15 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเวลาผ่านไปเพียง 5 เดือน เกิดแผ่นดินไหว ทําให้บ้านบางส่วนพังทลายลงแม่น้ำไป นายห้ามา ขอไถ่บ้านและที่ดินคืน โดยจะชําระสินไถ่เพียง 8 แสนบาท เพราะบ้านและที่ดินพังไปบางส่วน และเรียกค่าเสียหายจากนายหกอีก 3 แสนบาท ในความเสียหายของบ้าน นายหกปฏิเสธทั้ง 2 ข้อ และยืนยันว่า อยากไถ่คืนต้องเป็นไปตามสัญญา ดังนี้ การปฏิเสธของนายหกรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคแรก “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย”

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมี ข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 499 “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กําหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก

ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กําหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกิน อัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี”

มาตรา 501 “ทรัพย์สินซึ่งไถ่นั้น ท่านว่าต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ แต่ถ้าหากว่า ทรัพย์สินนั้นถูกทําลายหรือทําให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายห้าได้นําบ้านและที่ดินของตนไปขายฝากไว้กับนายหกในราคา 1 ล้านบาท มีกําหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี ในราคา 1 ล้านบาทบวกประโยชน์อีก 15 เปอร์เซ็นต์นั้น เมื่อสัญญาขายฝาก ดังกล่าวได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาขายฝากระหว่างนายห้าและนายหกจึงมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้ตามมาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคแรก

ดังนั้น ถ้านายห้ามาใช้สิทธิขอไถ่บ้านและ ที่ดินคืน นายห้าจึงต้องใช้เงิน 1 ล้านบาท บวกประโยชน์อีก 15 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญา เพราะสินไถ่ตามที่กําหนดไว้ในสัญญานั้นไม่เกินหรือสูงกว่าที่กฎหมายได้กําหนดไว้ (มาตรา 499)

และจากข้อเท็จจริง การที่บ้านซึ่งนายหกรับซื้อฝากไว้ได้พังทลายลงแม่น้ำไปบางส่วนนั้น เป็นเพราะเกิดแผ่นดินไหวมิได้เกิดจากความผิดของนายหกแต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องของภัยธรรมชาติที่พ้นวิสัยที่จะป้องกันได้ ดังนั้น เมื่อนายห้ามาใช้สิทธิขอไถ่บ้านและที่ดินคืนก็ต้องไถ่คืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ และต้องใช้สินไถ่ 1 ล้าน 1 แสน 5 หมื่นบาทถ้วน จะชําระสินไถ่เพียง 8 แสนบาทไม่ได้ และจะเรียกค่าเสียหายจาก นายหกอีก 3 แสนบาทก็ไม่ได้เช่นกัน (มาตรา 501) ดังนั้น การปฏิเสธของนายหกจึงรับฟังได้ทั้ง 2 กรณี

สรุป การปฏิเสธของนายหกรับฟังได้ทั้ง 2 กรณี

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเอกได้โทรศัพท์ไปสั่งซื้อวัวมีตั๋วรูปพรรณจากนายโทตัวหนึ่งตกลงราคาซื้อขายกัน 20,000 บาท
โดยนายเอกและนายโทต่างรู้ความมุ่งหมายของกันและกันว่า นายเอกจะซื้อวัวไปเพื่อทําลูกชิ้นเนื้อ ขายที่ร้านก๋วยเตี๋ยวของตน ในวันรุ่งขึ้น นายโทได้นําวัวมาส่งให้นายเอก นายเอกจึงได้รับปากนายโท ว่าจะชําระเงินจํานวน 20,000 บาท ให้ภายใน 7 วัน ครั้นเวลาได้ล่วงเลยไปกว่า 30 วัน นายโทก็ยัง ไม่ได้รับเงินจํานวนดังกล่าวจากนายเอกแต่อย่างใด

ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายโทจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเรียกให้นายเอกชําระราคาวัวให้แก่ตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 453 “อันว่าซื้อขายนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ขาย โอนกรรมสิทธิ์แห่ง ทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย”

มาตรา 456 “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคํามั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้ มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือได้วางประจําไว้ หรือได้ชําระหนี้ บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกัน เป็นราคาสองหมื่นบาท หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกได้โทรศัพท์ไปสั่งซื้อวัวมีตั๋วรูปพรรณจากนายโทตัวหนึ่งตกลงราคา ซื้อขายกัน 20,000 บาทนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านายเอกและนายโทต่างรู้ความมุ่งหมายของกันและกันว่านายเอก จะซื้อวัวไปเพื่อทําลูกชิ้นเนื้อขายที่ร้านก๋วยเตี๋ยวของตน ดังนี้ย่อมถือว่าสัญญาซื้อขายระหว่างนายเอกและนายโทนั้น เป็นการตกลงซื้อขายทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดาทั่วไปมิใช่การซื้อขายสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ เพราะ มิใช่การซื้อขายวัวในลักษณะที่จะนําไปใช้แรงงานแต่อย่างใด ดังนั้นสัญญาซื้อขายวัวดังกล่าวระหว่างนายเอกและ นายโทจึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ธรรมดานั้น ไม่ต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด (มาตรา 453 ประกอบมาตรา 456 วรรคแรก)

การที่นายโทได้นําวัวมาส่งให้นายเอกและนายเอกตกลงว่าจะชําระเงินให้แก่นายโทภายใน 7 วัน แต่เมื่อเวลาได้ล่วงเลยไปกว่า 30 วัน นายเอกก็ยังไม่ชําระนั้น เมื่อสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ระหว่างนายเอกและ นายโทนั้น เป็นการตกลงซื้อขายกันเป็นราคา 20,000 บาท และการที่นายโทได้นําวัวมาส่งมอบให้แก่นายเอกนั้น ถือว่าเป็นการชําระหนี้บางส่วน เมื่อสัญญาซื้อขายดังกล่าวมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ ดังนั้น นายโท ย่อมสามารถฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเรียกให้นายเอกชําระราคาวัวให้แก่ตนได้ (ตามมาตรา 456 วรรคสอง และวรรคสาม)

สรุป นายโทสามารถฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเรียกให้นายเอกชําระราคาวัวให้แก่ตนได้

 

ข้อ 2. นายหนึ่งเป็นคนชอบสะสม ตู้ โต๊ะ ตั่ง เตียง โบราณอย่างมากจึงสะสมไว้มากมายจนไม่มีสถานที่
จะเก็บรักษา จึงนําตู้จํานวน 10 ชุด ออกขายทอดตลาด โดยในการขายทอดตลาด นายหนึ่งประกาศ ให้ผู้เข้าสู้ราคาหรือผู้ซื้อจากการขายทอดตลาด ทราบว่าในการขายครั้งนี้หากทรัพย์สินซื้อไปนั้น เกิดความชํารุดบกพร่องอย่างใด ๆ ขึ้น นายหนึ่งผู้ขายจะไม่รับผิดชอบ ทั้ง ๆ ที่นายหนึ่งทราบดีว่า ตู้บางตู้ไม้ผุ หรือบางส่วนชํารุดบกพร่อง ต่อมานายสองประมูลซื้อตู้ไป 3 ชุด เมื่อรับมอบไปแล้วจึง ทราบว่าไม้บางชิ้นถูกปลวกกิน บางชิ้นส่วนหลุดร่วง จึงเรียกให้นายหนึ่งรับผิดชอบ แต่นายหนึ่ง ปฏิเสธไม่รับผิด คําปฏิเสธและคําบอกกล่าวก่อนขายของนายหนึ่งรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุให้ เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่า ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชํารุดบกพร่องมีอยู่”

มาตรา 473 “ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด”

มาตรา 483 “คู่สัญญาซื้อขายจะตกลงกันว่าผู้ขายจะไม่ต้องรับผิดเพื่อความชํารุดบกพร่อง หรือเพื่อการรอนสิทธิก็ได้”

มาตรา 485 “ข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดนั้น ไม่อาจคุ้มความรับผิดของผู้ขายในผลของการ อันผู้ขายได้กระทําไปเอง หรือผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย”

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชํารุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิด ถ้าทรัพย์สินที่ขายชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์ อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ หรือประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญา

อย่างไรก็ดีผู้ขายก็ไม่จําต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งได้นําตู้จํานวน 10 ชุด ออกขายทอดตลาด และในการขาย ทอดตลาดนั้น นายหนึ่งประกาศให้ผู้เข้าสู้ราคาหรือผู้ซื้อทราบว่าในการขายครั้งนี้หากทรัพย์สินที่ซื้อไปนั้นเกิด ความชํารุดบกพร่องอย่างใด ๆ ขึ้น นายหนึ่งผู้ขายจะไม่รับผิดชอบ กรณีเช่นนี้โดยหลักแล้วนายหนึ่งย่อมมีสิทธิตกลง กับผู้เข้าสู้ราคาหรือผู้ซื้อได้ตามมาตรา 483 แต่อย่างไรก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายหนึ่งได้ทราบดีอยู่แล้วว่า ตู้บางตู้ไม้ผุ หรือบางส่วนชํารุดบกพร่อง จึงเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 485 ที่ว่า ข้อสัญญาว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดนั้น ไม่อาจคุ้มครองความรับผิดของผู้ขายในผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย ดังนั้นคําบอกกล่าว ก่อนขายของนายหนึ่งจึงรับฟังไม่ได้

ส่วนกรณีที่นายสองได้ประมูลซื้อตู้ไป 3 ชุด และเมื่อรับมอบไปแล้วจึงทราบว่าไม้บางชิ้นถูก ปลวกกิน บางชิ้นส่วนหลุดร่วง ซึ่งถือว่าทรัพย์สินคือตู้ที่นายสองได้ซื้อไปนั้นมีความชํารุดบกพร่องเกิดขึ้นเป็นเหตุให้ ทรัพย์สินนั้นเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ ซึ่งโดยหลักแล้วนายหนึ่งผู้ขายจะต้องรับผิด แต่เมื่อปรากฏว่าการซื้อขายทรัพย์สินระหว่างนายสองกับนายหนึ่งนั้นเป็นกรณีที่ทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาดจึง เข้าข้อยกเว้นที่ผู้ขายไม่ต้องรับผิด (มาตรา 472 ประกอบมาตา 473 (3) ดังนั้น การที่นายหนึ่งปฏิเสธไม่รับผิดชอบ ต่อนายสอง คําปฏิเสธของนายหนึ่งจึงรับฟังได้

สรุป คําปฏิเสธของนายหนึ่งรับฟังได้ แต่คําบอกกล่าวก่อนขายของนายหนึ่งรับฟังไม่ได้

 

ข้อ 3. นายไก่เป็นเจ้าของบ้านซึ่งปลูกด้วยไม้มะค่าทั้งหลัง นายไก่ได้นําบ้านและที่ดินดังกล่าวไปทําเป็น
หนังสือจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ขายฝากไว้กับนายไข่ ในราคา 1 ล้านบาท มีกําหนดไถ่คืน ภายใน 1 ปี ในราคา 1 ล้านบวกประโยชน์อีก 15 เปอร์เซ็นต์ ก่อนครบกําหนด 1 ปี เกิดพายุฤดูร้อน พัดกระหน่ำทําให้บ้านซึ่งนายไข่รับซื้อฝากไว้พังทลายทั้งหลัง เมื่อนายไก่มาใช้สิทธิขอไถ่บ้านและ ที่ดินคืน เจอสภาพบ้านพังบางส่วน ลมพัดสูญหาย จึงขอไถ่ครึ่งราคา และจะเรียกค่าเสียหายจากนายไข่ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคแรก “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย”

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมี ข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 499 “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กําหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก
ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กําหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกิน อัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี”

มาตรา 501 “ทรัพย์สินซึ่งไถ่นั้น ท่านว่าต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ แต่ถ้าหากว่า ทรัพย์สินนั้นถูกทําลายหรือทําให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายไก่ได้นําบ้านและที่ดินของตนไปขายฝากไว้กับนายไข่ในราคา 1 ล้านบาท มีกําหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี ในราคา 1 ล้านบาทบวกประโยชน์อีก 15 เปอร์เซ็นต์นั้น เมื่อสัญญาขายฝาก ดังกล่าวได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาขายฝากระหว่างนายไก่และนายไข่จึงมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้ตามมาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคแรก ดังนั้น ถ้านายไก่มาใช้สิทธิขอไถ่บ้านและ ที่ดินคืน นายไก่จึงต้องใช้เงิน 1 ล้านบาท บวกประโยชน์อีก 15 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญา เพราะสินไถ่ตามที่กําหนดไว้ในสัญญานั้นไม่เกินหรือสูงกว่าที่กฎหมายได้กําหนดไว้ (มาตรา 499)

และจากข้อเท็จจริง การที่บ้านซึ่งนายไข่รับซื้อฝากไว้พังทลายทั้งหลังนั้น เป็นเพราะเกิดพายุฤดูร้อนพัดกระหน่ำ มิได้เกิดจากความผิดของนายไข่ผู้รับซื้อฝากแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น โดยจะโทษนายไข่ผู้รับซื้อฝากมิได้ และมิใช่ความเสียหายที่เกิดจากการกระทําของนายไข่ผู้รับซื้อฝาก แต่เกิดจาก ภัยธรรมชาติและเป็นเหตุสุดวิสัย ดังนั้น เมื่อนายไก่มาใช้สิทธิขอไถ่บ้านและที่ดินคืน ก็ต้องไถ่คืนตามสภาพที่เป็นอยู่ ในเวลาไถ่ นายไก่จะขอไถ่ครึ่งราคาและจะเรียกค่าสินไหมทดแทนหรือค่าเสียหายจากนายไข่ไม่ได้ (มาตรา 501)

สรุป นายไก่จะขอไถ่ครึ่งราคาและจะเรียกค่าเสียหายจากนายไข่ไม่ได้

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายหนึ่งตกลงขายบ้านและที่ดินให้นายสองในราคา 1 ล้านบาท โดยนายหนึ่งยอมให้นายสอง
ชําระราคาเดือนละ 1 แสนบาท เป็นเวลา 10 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ตกลงทําสัญญากัน เมื่อชําระ ราคาครบ 1 ล้านบาท นายหนึ่งก็จะโอนบ้านและที่ดินให้นายสองที่สํานักงานที่ดิน เมื่อนายสอง ผ่อนไปได้ 5 เดือน นายหนึ่งนําบ้านและที่ดินดังกล่าวไปทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนขายให้แก่ นายสามในราคา 2 ล้านบาท โดยนายสามไม่ทราบว่านายหนึ่งได้ตกลงขายให้นายสองไปแล้ว

(1) สัญญาซื้อขายบ้านเละที่ดินระหว่างนายหนึ่งและนายสอง นายหนึ่งและนายสาม เป็นสัญญา
ซื้อขายประเภทใด

(2) นายสองจะฟ้องนายหนึ่งว่าผิดสัญญาที่ทําไว้ด้วยกันได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและ สัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคํามั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มี หลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือได้วางประจําไว้ หรือได้ชําระหนี้ บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

วินิจฉัย

“สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด” (หรือสัญญาซื้อขายสําเร็จบริบูรณ์) หมายถึง สัญญาซื้อขาย ที่คู่กรณีคือผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงทําสัญญาซื้อขายกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ขายตกลงที่จะโอนกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ และผู้ซื้อได้ตกลงที่จะชําระราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขายแล้ว โดยไม่ต้องคํานึงว่าในขณะที่ ตกลงทําสัญญาซื้อขายกันนั้น ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินหรือได้มีการชําระราคากันแล้วหรือไม่

“สัญญาจะซื้อขาย” คือ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่ คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะที่ทําสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมี การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันก็ต่อเมื่อได้ไปกระทําตามแบบพิธีที่กฎหมายได้กําหนดไว้ในภายหน้า คือ เมื่อได้ไปทําสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วนั่นเอง

และสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษนั้น จะต้องทําเป็น หนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 455 ส่วนสัญญาจะซื้อขายทรัพย์สินดังกล่าวนั้นกฎหมายมิได้กําหนดแบบไว้แต่อย่างใดเพียงแต่ได้กําหนดไว้ว่า ในกรณี ที่จะมีการฟ้องร้องบังคับคดีกัน จะต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้คือ

1. จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ
2. มีการวางประจํา (มัดจํา) ไว้ หรือ
3. มีการชําระหนี้บางส่วน

(1) สัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินระหว่างนายหนึ่งและนายสอง นายหนึ่งและนายสาม เป็นสัญญา ซื้อขายประเภทใด แยกพิจารณาได้ดังนี้

1 สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งตกลงขายบ้านและที่ดินให้นายสองในราคา 1 ล้านบาท โดยนายหนึ่งยอมให้นายสองชําระราคาเดือนละ 1 แสนบาท เป็นเวลา 10 เดือน และเมื่อชําระครบ 1 ล้านบาท นายหนึ่งก็จะไปทําการโอนให้แก่นายสองนั้น กรณีเช่นนี้ถือว่าสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินระหว่างนายหนึ่งและ นายสองเป็นสัญญาจะซื้อขาย (จะซื้อจะขาย) อสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นสัญญาที่คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะทําสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน ให้แก่กันเมื่อได้ไปกระทําตามแบบที่กฎหมายได้กําหนดไว้ในภายหน้า คือ เมื่อได้ไปทําเป็นหนังสือสัญญาซื้อขาย และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั่นเอง และสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวถือเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ แม้จะตกลงกัน ด้วยวาจา เพราะในทางกฎหมายนั้น สัญญาจะซื้อขายเป็นสัญญาที่ไม่มีแบบแต่อย่างใด

1. สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสาม

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งและนายสามได้ตกลงทําสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดิน ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์กันนั้น ทั้งสองได้ตกลงทําสัญญาซื้อขายกันเพียงครั้งเดียวและเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีข้อตกลงกันว่าจะไปกระทําตามแบบพิธีใด ๆ ในภายหน้า ดังนั้น สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสาม จึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และเมื่อคู่กรณีได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงเป็นสัญญาซื้อขายที่สมบูรณ์ เพราะปฏิบัติถูกต้องตามมาตรา 456 วรรคหนึ่ง

(1) นายสองจะฟ้องนายหนึ่งว่าผิดสัญญาได้หรือไม่ เห็นว่า ตามอุทาหรณ์ สัญญาจะซื้อขายบ้านและ ที่ดินระหว่างนายหนึ่งและนายสองนั้น แม้จะมิได้ทําเป็นหนังสือ หรือมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายหนึ่ง ซึ่งเป็นฝ่ายที่จะต้องรับผิดก็ตาม สัญญาจะซื้อขายดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย และเมื่อตามข้อเท็จจริง ปรากฏว่าสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีกันตามมาตรา 456 วรรคสอง คือ ได้มีการชําระหนี้บางส่วนโดยนายสองได้ชําระราคามาได้ 5 เดือน เป็นเงิน 5 แสนบาทแล้ว ดังนั้น เมื่อนายหนึ่งผิดสัญญา ได้นําบ้านและที่ดินไปขายให้แก่นายสาม นายสองจึงสามารถฟ้องนายหนึ่งว่าผิดสัญญาได้

สรุป

(1) สัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสองเป็นสัญญาจะซื้อขายและมีผลสมบูรณ์
ตามกฎหมาย ส่วนสัญญาซื้อขายระหว่างนายหนึ่งและนายสามเป็นสัญญาซื้อขาย
เสร็จเด็ดขาดและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายเช่นกัน
(2) นายสองสามารถฟ้องนายหนึ่งว่าผิดสัญญาที่ทําไว้ต่อกันได้

 

ข้อ 2. นายห้าเป็นนักสะสมรถยนต์โบราณได้คัดเลือกรถยนต์ที่สะสมไว้ 5 คัน ออกขายทอดตลาดโดยนายห้าทราบดีว่า 1 ใน 5 ชํารุดบกพร่องคือเบรกไม่ค่อยดี และอีกคันหนึ่งเป็นรถยนต์ที่มีการขโมยมาขายให้แก่ตน หลังการขายทอดตลาดนายดําได้รถยนต์คันที่เบรกไม่ดีไป และนายแดงได้รถยนต์คัน ที่มีคนขโมยมาขายให้นายห้า นายดําและนายแดงมาทราบภายหลังการส่งมอบและชําระราคาแล้ว เพราะเบรกชํารุดบกพร่องชัดเจนขึ้น และนายไก่มาติดตามเอารถยนต์ของตนที่ถูกขโมยคืน ดังนี้

(1) นายดําจะฟ้องให้นายห้ารับผิดว่ารถยนต์ที่ตนซื้อมาชํารุดบกพร่องได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
(2) นายแดงจะฟ้องให้นายห้ารับผิดว่าตนถูกรอนสิทธิได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุให้ เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่า ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชํารุดบกพร่องมีอยู่” มาตรา 473 “ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด”

มาตรา 475 “หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สิน โดยปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี เพราะความผิดของ ผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น”

วินิจฉัย
ความรับผิดในความชํารุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิด ถ้าทรัพย์สินที่ขายชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่ง และต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดีผู้ขายก็ไม่จําต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด เป็นต้น
ส่วนการรอนสิทธินั้นเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ใน เวลาซื้อขายได้เข้ามาขัดสิทธิทําให้ผู้ซื้อไม่สามารถครองทรัพย์สินโดยปกติสุขได้ ซึ่งตามมาตรา 475 กําหนดให้ ผู้ขายต้องรับผิดเพราะเหตุการณ์รอนสิทธินั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้

(1) การที่นายดําได้ซื้อรถยนต์มาจากการขายทอดตลาดของนายห้ามา 1 คัน และมาทราบ ในภายหลังว่าเบรกไม่ดีนั้น กรณีนี้ถือว่ามีความชํารุดบกพร่องเกิดขึ้นกับทรัพย์สินที่นายดําซื้อมาอันเป็นเหตุให้ ทรัพย์สินนั้นเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ โดยหลักแล้วนายห้าผู้ขายจะต้องรับผิดใน ความชํารุดบกพร่องนั้นตามมาตรา 472

แต่อย่างไรก็ดี ถึงแม้นายห้าจะต้องรับผิดต่อนายดําเพื่อความชํารุดบกพร่องนั้น แต่เมื่อปรากฏว่ารถยนต์ที่นายดําซื้อมานั้นเป็นการซื้อมาจากการขายทอดตลาด จึงเข้าข้อยกเว้นที่นายห้าผู้ขายไม่ต้อง รับผิดในความชํารุดบกพร่องตามมาตรา 473 (3) ดังนั้น นายดําจะฟ้องนายห้าให้รับผิดในความชํารุดบกพร่อง ที่เกิดขึ้นไม่ได้

(2) การที่นายแดงได้ซื้อรถยนต์มาจากการขายทอดตลาดจากนายห้ามา 1 คัน แต่เมื่อภายหลังการส่งมอบและชําระราคาแล้ว นายแดงมาทราบว่ารถยนต์ที่ตนซื้อมานั้นเป็นรถยนต์ที่มีการขโมยมาขาย ให้แก่นายห้า เพราะได้มีนายไก่มาติดตามเอารถยนต์ของตนที่ถูกขโมยคืน ดังนี้ถือว่านายแดงผู้ซื้อได้ถูกบุคคลภายนอก ซึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ในเวลาซื้อขายได้เข้าขัดสิทธิทําให้นายแดงผู้ซื้อไม่สามารถครอบครอง ทรัพย์สินโดยปกติสุข จึงเป็นกรณีที่นายแดงผู้ซื้อถูกรอนสิทธิตามมาตรา 475 ซึ่งนายห้าผู้ขายต้องรับผิด ดังนั้น นายแดงย่อมสามารถฟ้องให้นายห้ารับผิดต่อตนในกรณีถูกรอนสิทธิได้

สรุป
(1) นายดําจะฟ้องให้นายห้ารับผิดในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นไม่ได้
(2) นายแดงสามารถฟ้องให้นายห้ารับผิดในกรณีที่ตนถูกรอนสิทธิได้

 

ข้อ 3. นายหกนํานาฬิกาข้อมือยี่ห้อดังของตนมูลค่า 1 ล้านบาท ไปขายฝากนายเจ็ดไว้ในราคา 1 แสนบาท มีกําหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี ในราคาเดิมบวกประโยชน์อีกสิบห้าเปอร์เซ็นต์ ต่อมาหลังจากขายฝาก ได้ 1 เดือน นายแปดขอซื้อนาฬิกาเรือนดังกล่าวจากนายเจ็ดในราคา 3 แสนบาท ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็น นาฬิกาที่นายหกนํามาขายฝากนายเจ็ดไว้ ก่อนครบ 1 ปี นายหกมาขอไถ่คืนจากนายแปด พร้อมเงิน 1 แสน 1 หมื่น 5 พันบาทถ้วน นายแปดปฏิเสธไม่ให้ไถ่โดยอ้างว่าตนไม่ใช่คู่สัญญาไม่มีหน้าที่ต้องรับไถ่ ถ้าหากไถ่ก็ต้องนําสินไถ่มาไถ่ 3 แสนบาท เท่ากับราคาที่ตนซื้อมา ดังนี้ คําปฏิเสธคําเสนอของนายแปด รับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 494 “ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้
(2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ กําหนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย”

มาตรา 498 “สิทธิ์ในการไถ่ทรัพย์สินนั้นจะพึงใช้ได้เฉพาะต่อบุคคลเหล่านี้ คือ

(2) ผู้รับโอนทรัพย์สิน หรือรับโอนสิทธิเหนือทรัพย์สินนั้น แต่ในข้อนี้ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ จะใช้สิทธิได้ต่อเมื่อผู้รับโอนได้รู้ในเวลาโอนว่าทรัพย์สินตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืน”

มาตรา 499 “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กําหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก
ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กําหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริง เกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหกได้นํานาฬิกาข้อมือไปขายฝากไว้กับนายเจ็ดในราคา 1 แสนบาท มีกําหนดไถ่คืนภายใน 1 ปีนั้น ถือว่ากําหนดเวลาไถ่ไม่เกินกว่าเวลาตามที่กฎหมายได้กําหนดไว้ตามมาตรา 494 (2) และการที่นายหกได้ตกลงกับนายเจ็ดว่า เวลาไถ่ให้ใช้สินไถ่ในราคาเดิมบวกประโยชน์ตอบแทนอีก 15 เปอร์เซ็นต์นั้น ข้อตกลงดังกล่าวถือว่าชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 499 วรรคสอง ดังนั้น เมื่อนายหกจะใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สิน จึงต้องไถ่ภายในกําหนด 1 ปี และต้องใช้สินไถ่ 1 แสนบาท รวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี รวมเป็นเงิน 1 แสน 1 หมื่น 5 พันบาท
และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหลังจากขายฝากได้ 1 เดือน นายเจ็ดได้ขายนาฬิกาเรือนดังกล่าว ให้แก่นายแปดในราคา 3 แสนบาท ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นนาฬิกาที่นายหกนํามาขายฝากไว้กับนายเจ็ด ดังนั้น เมื่อนายหก ได้มาขอไถ่นาฬิกาคืนจากนายแปดก่อนครบกําหนด 1 ปี พร้อมเงิน 1 แสน 1 หมื่น 5 พันบาทถ้วนนั้น นายแปด ในฐานะเป็นผู้รับโอนทรัพย์สินและได้รู้ในเวลาโอนว่าทรัพย์สินนั้นตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืน จึงต้องยอมให้ นายหกใช้สิทธิไถ่คืนตามมาตรา 498

(2) จะปฏิเสธไม่ให้นายหกไถ่โดยอ้างว่าตนไม่ใช่คู่สัญญาไม่มีหน้าที่ต้องรับไถ่ ไม่ได้ และจะเสนอว่าถ้านายหกอยากไถ่ก็ต้องนําสินไถ่มาไถ่ 3 แสนบาท เท่ากับราคาที่ตนซื้อมาก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะนายหกมีสิทธิไถ่ทรัพย์สินนั้นคืนได้ในราคา 1 แสนบาท พร้อมประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี รวมเป็นเงิน 1 แสน 1 หมื่น 5 พันบาทถ้วน ตามมาตรา 499 วรรคสอง

สรุป คําปฏิเสธและคําเสนอของนายแปดดังกล่าวรับฟังไม่ได้

THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2550

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2550

ข้อสอบกระบวนวิชา THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

ลักษณะภาษา

1 ข้อใดแสดงลักษณะภาษาคำโดดที่ว่าเป็นคำมีพยางค์เดียว

(1) สตางค์น่ะมีไหม

(2) เงินน่ะมีไหม

(3) ทรัพย์สินน่ะมีไหม

(4) สมบัติน่ะมีไหม

ตอบ (2) เงินน่ะมีไหม

ลักษณะของภาษาคำโดดประการหนึ่ง คือ คำแต่ละคำมีพยางค์เดียว ซึ่งถือเป็นคำพื้นฐานของภาษา มักเป็นคำที่ใช้เรียกสิ่งต่างๆ ตลอดจนกริยาอาการที่จำเป็นแก่มนุษย์ ใช้ในภาษาได้ทันทีโดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงคำ เช่น พ่อ มีด เงิน ฯลฯ (ส่วนคำว่า สตางค์ ทรัพย์สิน สมบัติ เป็นคำที่มี 2 พยางค์)

2 ข้อใดไม่มีการเปลี่ยนแปลงคำเพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำในประโยค

(1) ทีฆายุโก โหตุ มหาราชา

(2) ทีฆายุกา โหตุ มหาราชินี

(3) ทรงพระเจริญ

(4) ทุกข้อ

ตอบ (3) ทรงพระเจริญ

ในภาษาคำโดด คำแต่ละคำถือเป็นคำสำเร็จรูป เพราะมีความหมายสมบูรณ์ใช้เข้าประโยคได้ทันที โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงส่วนใดๆของคำ เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำในประโยค (ส่วนคำว่า ราชา = กษัตริย์ และ ราชินี = กษัตริย์หญิง เป็นคำภาษาบาลีที่มีการเปลี่ยนแปลงสระและพยัญชนะท้ายคำ เพื่อบอกให้ทราบว่าเป็นเพศใด)

3 ข้อใดแสดงให้เห็นว่า หน้าที่ดูได้ที่ตำแหน่งในประโยค

(1) หมากัด อย่ากัดตอบ (2) อย่าทำตนเป็นหมาลอบกัด

(3) รองเท้าใหม่กัดเจ็บจัง (4) ถ้ารองเท้ากัด เขาว่าให้กัดรองเท้าเสียก่อน

ตอบ (4) ถ้ารองเท้ากัด เขาว่าให้กัดรองเท้าเสียก่อน

ในภาษาคำโดด คำคำเดียวกันอาจมีความหมายใช้ได้หลายหน้าที่โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงรูปคำเลย จะรู้ความหมายและหน้าที่ได้ก็ด้วยดูตำแหน่งในประโยค เช่น ประโยคในตัวเลือกที่ 4 คำว่า “รองเท้า” ในวรรคแรกเป็นผู้กระทำ (ประธาน) เพราะมีตำแหน่งอยู่หน้า “กัด” ซึ่งเป็นคำกริยา ส่วน “รองเท้า” ในวรรคหลังเป็นผู้ถูกกระทำ (กรรม) เพราะมีตำแหน่งอยู่หลังคำกริยา เป็นต้น

4 ข้อใดแสดงวิธีบอกกาลตามแบบภาษาคำโดด

(1) เมื่อวานนี้เรายังดีกันอยู่ (2) เธอดีต่อผมมาก

(3) ดีแล้วที่เล่นโยคะ (4) ใครๆก็ชมว่าผมดี

ตอบ (1) เมื่อวานนี้เรายังดีกันอยู่

วิธีบอกกาลตามภาษาคำโดด คือ การแสดงเวลาที่กระทำกริยานั้นๆซึ่งจะใช้คำกริยารูปเดิม แต่มีคำอื่นๆมาช่วยประกอบเพื่อให้ทราบว่าเหตุการณ์ การกระทำ หรือสภาพนั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด เช่น เขากำลังกิน เขาจะกิน ฯลฯ แต่บางครั้งอาจไม่ต้องมีคำอื่นมาประกอบ ทั้งนี้อาศัยเหตุการณ์และสภาพแวดล้อมเป็นเครื่องชี้ เช่น เมื่อวานนี้เรายังดีกันอยู่ พรุ่งนี้เขากินข้าว

5 ข้อใดแสดงว่าภาษามีระบบเสียงสูงต่ำ

(1) ปั้นขนมให้เป็นก้อนก่อนซิ (2) แต่งกลอนให้ก่อนซิ

(3) ให้ช่างกล้อนผมเสียก่อน (4) เสียงกลองดังก้องไปหมด

ตอบ (1) ปั้นขนมให้เป็นก้อนก่อนซิ

ระบบเสียงสูงต่ำ (เสียงวรรณยุกต์) ในภาษาไทยคือ การกำหนดเสียงสูงต่ำไว้ตายตัวในคำแต่ละคำ เพื่อต้องการแยกความหมายโดยให้เสียงหนึ่งมีความหมายอย่างหนึ่ง หากเปลี่ยนเสียงความหมายก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย เช่น ก่อน (เสียงเอก) = เดิม เริ่ม ลำดับแรก ก้อน (เสียงโท) = คำบอกลักษณะของเล็กๆที่เกาะหรือติดรวมกันแน่น เป็นต้น

6 สระเดี่ยวปรากฏอยู่ในข้อใด

(1) ง่อย (2) งอม (3) งิ้ว (4) เหงา

ตอบ (2) งอม

เสียงสระในภาษาไทยมี 28 เสียง แบ่งออกเป็น

สระเดี่ยว 18 เสียง ได้แก่ อะ อา อึ อื เอะ เออ (สระกลาง) อิ อี เอะ เอ แอะ แอ (สระหน้า) อุ อู โอะ ออ (สระหลัง)

สระผสม 10 เสียง ได้แก่ เอือะ เอือ เอา อาว ไอ อาย (สระกลาง) เอียะ เอีย (สระหลัง) ส่วน “ง่อย” และ “งิ้ว” ถึงแม้จะมีสระเดี่ยว ออ และ อิ แต่ลงท้ายด้วย ย และ ว ซึ่งเป็นพยัญชนะกึ่งสระ จึงถือเป็นสระผสม 2 เสียง คือ ออ+ย (ออ+อี) = ง่อย อิ + ว (อิ + อุ) = งิ้ว)

7 สระผสมปรากฏอยู่ในข้อใด

(1) มี (2) หมี (3) เมา (4) มุด

ตอบ (3) เมา ดูคำอธิบายข้อ 6 ประกอบ

8 พยัญชนะใดข้อใดมีกลุ่มลมตามออกมาด้วย

(1) หนาว (2) เหมา (3) เสา (4) เผา

ตอบ (4) เผา

พยัญชนะเสียงหนัก คือ พยัญชนะต้นที่เวลาออกเสียงจะมีกลุ่มลมตามออกมาด้วย หรือมีลมหายใจพุ่งออกมาจากหลอดลมโดยแรง (แรงกว่าพยัญชนะเสียงอื่น) และไม่ถูกขัดขวาง ได้แก่ ห (ฮ) รวมทั้งพยัญชนะที่มีเสียง ห ผสมอยู่ด้วย ได้แก่ (ข) ช (ฉ) ท (ถ) พ (ผ) เป็นต้น (ส่วน “หนาว” และ “เหมา” นั้น เสียง ห จะหายไป เพราะ พยัญชนะเสียงต่ำเดี่ยว (ง น ม ย ร ล ว) ที่มี ห นำ หรือ อ นำ จะไม่ออกเสียง ห หรือ อ)

9 หากอุดจมูก จะออกเสียงคำใดได้ยาก

(1) ยาม (2) ตาม (3) ราม (4) งาม

ตอบ (4) งาม

พยัญชนะนาสิก คือ พยัญชนะระเบิดที่เสียงออกทางจมูกซึ่งเกิดจากอวัยวะในการออกเสียงปิดสนิท ณ จุดใดจุดหนึ่งในปาก แต่เพดานอ่อนลดต่ำลง ทำให้ลมเปลี่ยนทางไปออกทางจมูกทันทีที่คลายการปิดกั้น ดังนั้นหากอุดจมูกก็จะออกเสียงได้ยาก ได้แก่ พยัญชนะต้น ง น ม

10 คำว่า “ราว” ออกเสียงใกล้เคียงกับข้อใด

(1) อา + อี (2) อา + อู (3) อี + อา (4) อู + อา

ตอบ (2) อา + อู

ถ้าออกเสียง อา ไม่ให้ขาดเสียง และแทนที่จะให้ลิ้นทอดราบกับปาก กลับค่อยๆกระดกลิ้นขึ้นจนเกือบชนเพดานในระดับของเสียง อู เสียงนั้นก็จะเป็นสระผสม อา + อู = อาว เช่น ราว สาว ชาว ฯลฯ แต่ถ้าออกเสียง อา แล้วกระดกลิ้นสูงไปจดเพดานอ่อนเข้า ก็จะกลายเป็นเสียง อา มี ว สะกด หรือ อา + ว = อาว เช่นกัน

11 แม่กบ ปรากฏอยู่ในข้อใด

(1) ชลบุรี

(2) ธนบุรี

(3) ลพบุรี

(4) กาญจนบุรี

ตอบ (3) ลพบุรี

พยัญชนะท้ายคำที่ทำหน้าที่เป็นตัวสะกดในภาษาไทยมีได้เพียงเสียงเดียว แม้ในคำที่ยืมจากภาษาอื่นจะมีพยัญชนท้ายคำเรียงกันมามากกว่าเสียงเดียวก็ตาม โดยพยัญชนะตัวสะกดของไทยจะมีทั้งหมด 8 เสียง ดังนี้

แม่กก ได้แก่ ก ข ค ฆ

แม่กด ได้แก่ จ ฉ ช ซ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส

แม่กบ ได้แก่ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ

แม่กน ได้แก่ น ณ ร ล ฬ ญ

แม่กง ได้แก่ ง

แม่กม ได้แก่ ม

แม่เกย ได้แก่ ย

แม่เกอว ได้แก่ ว

12 การออกเสียงแบบเคียงกันมาปรากฏอยู่ในข้อใด

(1) สบาย

(2) สมัย

(3) สลาย

(4) สวาย

ตอบ (1) สบาย

การออกเสียงแบบตามกันมา หรือเคียงกันมา (การออกเสียงแบบเรียงพยางค์) คือ การออกเสียงแต่ละเสียงเต็มเสียง และเสียงทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เช่น สบาย (สะ – บาย) เป็นต้น (ส่วน สมัย (สะ – ไหม) สลาย (สะ – หลาย) สวาย (สะ – หวาย) เป็นการออกเสียงแบบนำกันมา หรือแบบอักษรนำ)

13 การออกเสียงแบบนำกันมาปรากฏในข้อใด

(1) อรุณ (2) อรัญ (3) อร่อย (4) อรุโณทัย

ตอบ (3) อร่อย

การออกเสียงแบบนำกันมา (อักษรนำ) คือ พยัญชนะคู่ที่พยัญชนะตัวนำมีอำนาจเหนือพยัญชนะตัวหลัง โดยที่พยัญชนะตัวหน้าจะออกเสียงเพียงครึ่งเสียง และพยัญชนะตัวหลังก็จะเปลี่ยนเสียงตาม ซึ่งจะออกเสียงเหมือนกับเสียงที่มี ห นำ เช่น อร่อย (อะ – หร่อย) เป็นต้น (ส่วน อรุณ (อะ –รุน) อรัญ (อะ – รัน) อรุโณทัย (อะ – รุ – โน – ทัย) เป็นการออกเสียงแบบตามกันมา หรือเคียงกันมา) (ดูคำอธิบายข้อ 12 ประกอบ)

14 ข้อใดมีทั้งคำเป็นและคำตาย

(1) เพ็ญจันทร์ (2) เพ็ญพิศ (3) เพลินเพ็ญ (4) พรเพ็ญ

ตอบ (2) เพ็ญพิศ

คำเป็น คือ คำที่สะกดด้วย แม่กง แม่กน แม่กม แม่เกย และ แม่เกอว ส่วนคำตาย คือ คำที่สะกดด้วย แม่กก แม่กด และแม่กบ (ดูคำอธิบายข้อ 11 ประกอบ)

15 ข้อใดใช้รูปวรรณยุกต์ผิด

(1) ชอบม๊ากมาก (2) มันร้องจ๊าก (3) ไก่ร้องกะต๊าก (4) กระด๊ากกระดาก

ตอบ (1) ชอบม๊ากมาก

เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมี 5 เสียง 4 รูป คือ เสียงสามัญ เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี และเสียงจัตวา ซึ่งในคำบางคำรูปและเสียงวรรณยุกต์อาจไม่ตรงกัน เช่นคำว่า “ม๊าก” ในตัวเลือกข้อ 1 ใช้รูปวรรณยุกต์ผิด เพราะ “ม๊าก” เป็นพยัญชนะเสียงต่ำเดี่ยว (ง น ม ย ร ล ว) ที่มีตัวสะกดเป็นคำตาย (แม่กก) และสระเสียงยาว (สระอา) จึงผันได้ 3 เสียง คือ เสียงเอก (ไม่ใช้รูปวรรณยุกต์ แต่ให้ใช้พยัญชนะสียงกลางหรือเสียงสูงนำ = หมาก) เสียงโท (ไม่ใช้รูปวรรณยุกต์ = มาก ) และเสียงตรี (ใช้ไม้โท = ม้าก) ดังนั้นจึงควรแก้ไขเป็น ชอบม้ากมาก

16 ในภาษามาตรฐาน คำในข้อใดออกเสียงยาวกว่าข้ออื่น

(1) น้ำใจ (2) น้ำปลา (3) ตกน้ำ (4) สายน้ำ

ตอบ (3) ตกน้ำ

อัตราการออกเสียงสั้นยาวตามภาษามาตรฐานจะใช้มาตราในการวัดความยาวของเสียงคือ สระเสียงสั้นจะมีความยาวในการออกเสียง 1 มาตรา ส่วนสระเสียงยาวนั้นจะมีความยาว 2 มาตรา ทั้งนี้การลงเสียงเน้นในคำจะทำให้คำแต่ละคำมีอัตราเสียงสั้นยาวต่างกัน นั่นคือ คำหรือพยางค์ที่ลงเสียงเน้นจะออกเสียงยาว 2 มาตรา แต่ส่วนที่ไม่ได้ลงเสียงเน้นจะออกเสียงสั้นเพียง 1 มาตรา โดยถ้าเป็นคำหลายพยางค์หรือคำประสม มักจะเน้นที่พยางค์คำท้าย ส่วนคำที่ไม่เน้นก็มักจะสั้นลง เช่น คำว่า “น้ำใจ น้ำปลา สายน้ำ” เป็นคำประสมจึงออกเสียงพยางค์หลัง 2 มาตรา และพยางค์หน้าเพียง 1 มาตรา (ส่วน “ตกน้ำ” เป็นคำสองคำที่แยกกันจึงออกเสียงยาวเท่ากันพยางค์ละ 2 มาตรา)

17 ในภาษาพูด คำว่า “ตระ” ในข้อใดลงเสียงเน้น

(1) เขาตระเตรียมงานไว้พร้อม (2) เขาเที่ยวตระเวนไปทั่ว

(3) ตึกใหม่ตั้งตระหง่านอยู่ที่หัวมุม (4) ผู้คนพากันตระหนกตกใจ

ตอบ (1) เขาตระเตรียมงานไว้พร้อม (ดูคำอธิบายข้อ 16 ประกอบ)

การลงเสียงเน้นในภาษาพูดนอกจากจะออกเสียงสั้นยาวตามแบบแผนที่กำหนดไว้แล้ว บางครั้งอาจสังเกตได้จากการเว้นจังหวะระหว่างคำ เช่น เขาตระเตรียมงานไว้พร้อม จะลงเสียงเน้นที่ “ตระ” กับ “เตรียม” เสมอกัน เพราะระหว่าง “ตระ” กับ “เตรียม” มีจังหวะเว้นระหว่างคำ (ส่วน “ตระ” ในตัวเลือกข้ออื่น มักลงเสียงเน้นที่พยางค์หรือคำท้าย

18 ข้อใดมีคำที่ใช้ผิดไปจากความหมายแฝง

(1) หนุ่มรูปงาม (2) หนุ่มรูปหล่อ (3) หนุ่มอ้อนแอ้น (4) หนุ่มอารี

ตอบ (3) หนุ่มอ้อนแอ้น

ความหมายแฝง คือ ความหมายย่อยที่แฝงอยู่ในความหมายใหญ่ ซึ่งแนะรายระเอียดบางอย่างไว้ในความหมายนั้นๆ เช่น ความหมายแฝงที่บอกอาการหรือลักษณะของผู้หญิง ได้แก่ อ้อนแอ้น แช่มช้อย อ่อนหวาน ฯลฯ และความหมายแฝงที่บอกลักษณะของผู้ชาย ได้แก่ บึกบึน ล่ำสัน ทรหด ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นความหมายโดยตรง)

19 ข้อใดใช้คำอุปมาได้อย่างถูกต้องที่สุด

(1) เขาสั่งให้ตัดเชือกที่มัดของอยู่ออก (2) หัวหน้าสั่งให้ตัดเชือกลูกน้องเกเร

(3) ตัดเชือกที่มัดของอยู่ออกเสีย (4) ตัดเชือกไม่เหลือใย

ตอบ (2) หัวหน้าสั่งให้ตัดเชือกลูกน้องเกเร

คำอุปมา คือ คำที่ใช้เปรียบเทียบเพื่อพรรณนาบอกลักษณะให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น โดยอาจจะใช้คำที่มีอยู่เดิมในภาษาหรือสร้างคำใหม่ขึ้นมาโดยการประสมคำทำให้คำนั้นมีความหมายใหม่เกิดขึ้นอีกความหายหนึ่ง เช่น ตัดเชือก (ตัดความสัมพันธ์ไม่ยอมให้ความช่วยเหลืออีกต่อไป) ตบตา (หลอกลวงให้เข้าใจผิด) เป็นต้น

20 ข้อใดใช้คำในเชิงอุปมา

(1) เธอหยิบแป้งขึ้นมาตบแก้ม (2) ใช้แป้งตบหน้าเบาๆก็พอ

(3) พูดอย่างนี้ระวังจะโดนตบปาก (4) เขาคงจะตบตาคนดูไปได้ไม่นาน

ตอบ (4) เขาคงจะตบตาคนดูไปได้ไม่นาน (ดูคำอธิบายข้อ 19 ประกอบ)

21 ข้อใดแสดงคำที่แยกเสียงแยกความหมาย

(1) เทวี / เทพี

(2) วงศ์ / พงศ์

(3) วัชรา / พัชรา

(4) วาณิช / พาณิช

ตอบ (1) เทวี / เทพี

การแยกเสียงแยกความหมาย คือ การเปลี่ยนแปลงเสียงในคำบางคำที่มีความหมายหลายอย่างให้แตกต่างกันบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนว่าคำนั้นมีความหมายอย่างไรในที่นั้นๆ โดยความหมายย่อยและที่ใช้อาจจะแตกต่างกัน เช่น คำว่า “เทวี” กับ “เทพี” (มีเสียงพยัญชนะต่างกัน) เป็นคำที่ใช้กับเพศหญิง แต่จะใช้แทนกันไม่ได้เพราะ “เทพี”” หมายถึง หญิงที่ชนะการประกวดความงาม เช่น เทพีสงกรานต์ หรือเรียกหญิงที่ทำหน้าที่โปรยพืชพรรณธัญญาหารในพิธีแรกนาว่านางเทพี ส่วน “เทวี” หมายถึง เทวดาผู้หญิงนางพญา หรือนางกษัตริย์

22 ข้อใดแสดงคำที่ไม่แยกความหมาย

(1) วิธี / พิธี (2) กุมาร / กุมารี (3) วิยา / พิทยา (4) รัก / ลัก

ตอบ (3) วิยา / พิทยา ดูคำอธิบายข้อ 21 ประกอบ

คำที่ไม่แยกความหมาย (มีความหมายเดียวกัน) คือ วิทยา / พิทยา ซึ่งหมายถึง ความรู้ (ส่วนคำว่า วิธี หมายถึง ทำนองหรือหนทางที่จะทำ พิธี หมายถึง งานที่จัดขึ้นตามลัทธิหรือความเชื่อ กุมาร หมายถึง เด็กชาย กุมารี หมายถึง เด็กหญิง รัก หมายถึง มีใจผูกพันด้วยความห่วงใย ลัก หมายถึง ขโมย)

23 ข้อใดมีคำซ้อน

(1) คุณพี่ใจดีจัง (2) ใจคอหายหมด

(3) เขาเป็นคนใจบาป (4) อ่านแล้วรู้ใจความของเรื่องไหม

ตอบ (2) ใจคอหายหมด

คำซ้อน คือ คำเดียว 2 , 4 หรือ 6 คำ ที่มีความหมายหรือมีเสียงใกล้เคียงกัน หรือไปในทำนองเดียวกัน ซ้อนเข้าด้วยกันเพื่อทำให้เกิดคำใหม่ที่มีความหมายใหม่ขึ้น เช่น คำซ้อนที่ความหมายจะปรากฏที่คำต้นหรือคำท้ายคำใดคำเดียวตรงตามความหมายนั้นๆ ส่วนอีกคำหนึ่งไม่มีความหมายปรากฏ เช่น ใจคอ (จิตใจ เช่น ใจคอหายหมด ) ซึ่งความหมายจะอยู่ที่คำต้น (ส่วน “ใจ” ในตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำประสม)

24 “ดูถูก” ในข้อใดเป็นคำเดี่ยวเรียงกัน

(1) คนดูถูกหลอกแล้ว (2) กรรมการดูถูก จึงให้รางวัลเธอไป

(3) กรรมการดูถูกเธอมาก (4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ (4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

คำบางคำเป็นคำเดี่ยวแต่มีลักษณะเหมือนคำประสม หรือ เป็นคำประสมแต่มีลักษณะเหมือนกับคำเดี่ยว ซึ่งในภาษาเขียนเราไม่อาจทราบได้ถ้าไม่มีข้อความแวดล้อมมาช่วย แต่ในภาษาพูดเราใช้วิธีลงเสียงเน้น เช่น ประโยค คนดู / ถูกหลอกแล้ว กรรมการดู / ถูก จึงให้รางวัลเธอไป เป็นคำเดี่ยวเรียงกัน เสียงเน้นจึงลงที่ “ดู” (ส่วน “ดูถูก” (แสดงอาการเป็นเชิงดูหมิ่นหรือเหยียดหยามเขา) เป็นคำประสม เสียงเน้นลงที่ “ถูก”)

25 ข้อใดมีคำซ้ำ (ในที่นี้ไม่ใช้ไม้ยมกแสดง)

(1) เขาซื้อที่ที่หัวหมาก (2) เขาซื้อที่ที่สวยมาก

(3) กินอาหารเป็นที่ที่ซิ (4) ทุกข้อ

ตอบ (3) กินอาหารเป็นที่ที่ซิ

คำซ้ำ คือ คำคำเดียวกันที่นำมากล่าว 2 ครั้งเพื่อให้มีความหมายเน้นหนักขึ้น หรือเพื่อให้มีความหมายต่างจากคำเดี่ยว ซึ่งวิธีการสร้างคำซ้ำก็เหมือนกับการสร้างคำซ้อน แต่ใช้คำคำเดียวมาซ้อนกันโดยมีเครื่องหมายไม้ยมกกำกับ เช่น กินอาหารเป็นที่ๆซิ เป็นต้น (ส่วน “ที่ที่” ในตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำเดี่ยว เพราะ “ที่” คำแรกเป็นคำนาม ส่วน “ที่” คำหลังเป็นคำบุรพบท)

26 ข้อใดแยกความหมายออกเป็นส่วนๆ

(1) กินอาหารหลายจาน (2) กินอาหารเป็นจานๆไป (3) กินอาหารหลายอย่าง (4) กินอาหารเป็นอันมาก

ตอบ (2) กินอาหารเป็นจานๆไป

คำซ้ำที่ซ้ำคำนามหรือคำบอกจำนวนนับ ถ้ามีคำว่า “เป็น” มาข้างหน้า จะแยกความหมายออกเป็นส่วนๆคือ ถ้าใช้เป็นคำเดี่ยวจะหมายถึงจำนวนครั้งเดียว แต่ถ้าเป็นคำซ้ำจะมีจำนวนมากกว่าหนึ่ง และแยกเป็นทีละหนึ่ง เช่น กินอาหารเป็นจานๆไป

27 คำในข้อใดเป็นคำประสมที่มีโครงสร้างเหมือนกับคำว่า “พิมพ์ดีด”

(1) พิมพ์เขียว (2) พิมพ์ใจ (3) พิมพ์หนังสือ (4) พิมพ์สัมผัส

ตอบ (1) พิมพ์เขียว

คำประสมที่คำตัวตั้งไม่ใช่คำนาม และคำขยายก็ไม่จำกัด อาจเป็นเพราะพูดไม่เต็มความ คำนามที่เป็นตัวตั้งจึงหายไป กลายเป็นคำกริยาบ้าง กลายเป็นคำวิเศษณ์บ้าง เป็นตัวตั้ง เช่น “พิมพ์ดีด” หมายถึง เครื่องพิมพ์ดีด (คำว่า เครื่อง หายไปแต่ที่ยังใช้อยู่ก็มี) “พิมพ์เขียว” หมายถึง สำเนาที่ทำขึ้นด้วยวิธีการพิมพ์เขียว (คำว่า สำเนา หายไปในภายหลังเช่นเดียวกัน) “สามล้อ” หมายถึง รถสามล้อ (คำว่า รถ หายไป) ฯลฯ

28 ข้อใดไม่ใช่คำประสม

(1) เปลี่ยนแปลง (2) เปลี่ยนมือ (3) เปลี่ยนหน้า (4) เปลี่ยนใจ

ตอบ (1) เปลี่ยนแปลง (ดูคำอธิบายข้อ 23 ประกอบ)

คำว่า “เปลี่ยนแปลง” (ทำให้ลักษณะต่างไป) เป็นคำซ้อน (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำประสมที่มีคำตัวตั้งเป็นคำกริยา คำขยายเป็นคำนามที่เป็นชื่ออวัยวะของร่างกาย และมีความหมายเชิงอุปมา เช่น เปลี่ยนมือ (เปลี่ยนเจ้าของ) เปลี่ยนหน้า (ไม่ซ้ำคนเดิม) เปลี่ยนใจ (เลิกล้มความตั้งใจเดิม) เป็นต้น

29 คำประสมในข้อใดมีลักษณะเดียวกับคำว่า “โต๊ะกินข้าว”

(1) น้ำพริกเผา (2) น้ำมันหล่อลื่น (3) น้ำประสานทอง (4) น้ำประปา

ตอบ (3) น้ำประสานทอง

คำประสมที่ใช้เป็นคำนาม โดยมีคำตัวตั้งเป็นคำถาม คำขยายเป็นคำกริยาและมีกรรมมารองรับด้วย เช่น โต๊ะกินข้าว (โต๊ะสำหรับกินข้าว) รถบดถนน (รถที่ใช้สำหรับบดดินให้เรียบหรือบดถนนให้ราบ) ป่าผลัดใบ (ป่าไม้ที่ผลัดใบหรือสลัดใบในบางฤดู) น้ำประสานทอง (เกลือเคมีชนิดหนึ่งใช้เป็นตัวประสานในการเชื่อมหรือบัดกรีโลหะ) เป็นต้น

30 ข้อใดมีคำบ่งเพศ

(1) ชายน้ำ (2) ชายตา (3) ชายไหว (4) ชายโสด

ตอบ (4) ชายโสด

คำนามในภาษาไทยบางคำก็บอกเพศได้ ในตัวของมันเอง คำที่บอกเพศชาย ได้แก่ พ่อ พระ เขย ชาย ฯลฯ และคำที่บอกเพศหญิง เช่น แม่ ชี สะใภ้ หญิง ฯลฯ แต่คำบางคำที่เป็นคำรวมทั้งสองเพศ เช่น พี่ น้อง เด็ก น้า ฯลฯ เมื่อต้องการแสดงเพศจะต้องใช้คำบ่งเพศมาประกอบเข้าข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง หรือประสมกันตามแบบคำประสมบ้าง เช่น พี่สาว น้องชาย เด็กหนุ่ม น้าสาว ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นแม้จะมีคำว่า “ชาย” แต่เป็นคำประสมธรรมดา ไม่ใช่บ่งเพศ)

จงพิจารณาคำเกิดใหม่ต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 4 ข้อต่อไป

(1) กะจิบ กะสัง ตกกะใจ

(2) มะค่า ตะขาบ ฉะเฉื่อย

(3) กะเปิ๊บกะป๊าบ กะร่องกะแร่ง กะหนุงกะหนิง

(4) กะตุกกะติก กะโผลกกะเผลก กะเสือกกะสน

31 ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงไม่ให้คอนกัน

ตอบ (4) กะตุกกะติก กะโผลกกะเผลก กะเสือกกะสน

อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้คอนกัน คือ การเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ “กระ”) เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่หน้าพยางค์ต้นและหน้าพยางค์ท้าย ซึ่งมีเสียงเสมอกันและสะกดด้วย “ก” เหมือนกัน โดยเพิ่มเสียง “กะ” ทั้งหน้าพยางค์ต้นและหน้าพยางค์ท้ายเพื่อไม่ให้เสียงคอนกัน เช่น ตุกติก กระตุกกะติก โผลกเผลก กะโผลกะเผลก เสือกสน กะเสือกกะสน ฯลฯ

32 ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการแบ่งคำผิด

ตอบ (1) กะจิบ กะสัง ตกกะใจ

อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการแบ่งคำผิด เกิดจากการพูดเพื่อให้เสียงต่อเนื่องกัน โดยการเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ “กระ”) ในคำที่พยางค์แรกสะกดด้วย เสียง “กะ” เช่น ตกใจ ตกกะใจ ฯลฯ หรือหน้าคำที่เป็นชื่อนก เช่น นกจิบ กะจิบ ฯลฯ ชื่อผัก เช่น ผักสัง กะสัง ฯลฯ และชื่อสิ่งที่มีลักษณนามคำว่า “ลูก” นำหน้า เช่น ลุกดุม กะดุม ฯลฯ

33 ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิด

ตอบ (3) กะเปิ๊บกะป๊าบ กะร่องกะแร่ง กะหนุงกะหนิง

อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิด เป็นการเพิ่มเสียง “กะ” (หรือ “กระ”) เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่พยางค์ต้นและพยางค์ท้ายไม่ได้สะกดด้วย “ก” ซึ่งยึดการใช้อุปสรรคเทียมที่เพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกันมาเป็นแนวเทียบ แต่เป็นการเทียบแนวเทียบผิด เช่น เปิ๊บป๊าบ กะเปิ๊บกะป๊าบ ร่องแร่ง กะร่องกะแร่ง หนุงหนิง กะหนุงกะหนิง ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีคำอื่นๆ ที่ไม่ได้กำหนดอุปสรรคเทียมไว้แน่นอนแล้วแต่คำที่มาข้างหน้า เช่น ขโมยโจร ขโมยขโจร จมูกปาก จมูกจปาก ฯลฯ

34 ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียง

ตอบ (2) มะค่า ตะขาบ ฉะเฉื่อย

อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียง เป็นการกร่อนเสียงพยางค์ต้นให้เป็นเสีย “อะ” ได้แก่

1 “มะ” ที่นำหน้าชื่อผลไม้ ไม่ใช่ไม้ผล และหน้าคำบอกกำหนดวัน เช่น

หมากปราง มะปราง หมากขาม มะขาม หมากค่า มะค่า เมื่อรืน มะรืน

2 “ตะ” นำหน้าชื่อสัตว์ ต้นไม้ และคำที่มีลักษณะคล้ายตา เช่น

ตัวขาบ ตะขาบ ต้นขบ ตะขบ ตาวัน ตะวัน

3 “สะ” เช่น สายดือ สะดือ สาวใภ้ สะใภ้

4 “ฉะ” เช่น ฉันนั้น ฉะนั้น ฉาดๆ ฉะฉาด เฉื่อยๆ ฉะเฉื่อย

5 “ยะ / ระ / ละ” เช่น รื่นๆ ระรื่น ยิบๆยับๆ ยะยิบยะยับ เลาะๆ ละเลาะ

6 “อะ” เช่น อันไร / อันใด อะไร ส่วนคำอื่นๆที่ไม่ได้เป็นไปตามนี้ ได้แก่

ผู้ญาณ พยาน ช้าพลู ชะพลู เฌอเอม ชะเอม เป็นต้น

35 ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่มีความหมายแปลว่าทำให้

(1) ระย่อ ระคาย (2) ปรุ ปลด (3) ระคน พะเยิบ (4) สะสวย สะสาง

ตอบ (2) ปรุ ปลด

อุปสรรคเทียมเลียนแบบภาษาเขมร เป็นวิธีการแผลงคำของเขมรที่ใช้นำหน้าคำเพื่อประโยชน์ทางไวยากรณ์ ซึ่งจะทำให้ความหมายและหน้าที่ของคำเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ได้แก่

1 “ชะ / ระ / ปะ / พะ / สม / สะ” เช่น ชะดีชะร้าย ระคน ระคาย ระย่อ ปะปน ปะติดปะต่อ ประเดี๋ยว ประท้วง พะรุงพะรัง พะเยิบ สมยอม สะสาง สะพรั่ง สะสวย ฯลฯ

2 ใช้ “ข ค ป ผ พ” มานำหน้าคำนามและกริยาวิเศษณ์ เพื่อให้มีความหมายว่า “ทำให้” เช่น ขยิบ ขยี้ ขยำ ปลุก ปลด ปละ ปรุ ฯลฯ

จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 4 ข้อต่อไป

(1) ปลูกไม้ประดับ (2) ต้นไม้ประดับบ้าน (3) ไม้ดอกไม้ประดับ (4) ไม้ประดับสีสวยงาม

36 ข้อใดมี่สวนขยายประธาน

ตอบ (4) ไม้ประดับสีสวยงาม

ภาคประธาน หมายถึง ส่วนสำคัญของข้อความในประโยคที่ทำหน้าที่เป็นผู้กระทำกิริยาอาการ โดยประธานของไทยต้องอยู่หน้าคำกริยา ส่วนจะอยู่ที่ใดของประโยคไม่จำกัด อาจมีส่วนขยายประธานที่เรียกว่า คุณศัพท์ อยู่หลังประธานหรือไม่ก็ได้ เช่น ไม้ประดับ (ประธาน) สีสวยงาม (ส่วนขยายประธาน) เป็นต้น

37 ข้อใดประกอบด้วยภาคกริยาและกรรม

ตอบ (1) ปลูกไม้ประดับ

ภาคแสดง หมายถึง ส่วนที่แสดงกริยาอาการหรือการกระทำของภาคประธานให้ได้ความหมายสมบูรณ์ ประกอบด้วย ภาคกริยา และกรรม (ผู้ถูกกระทำ) กริยานั้นต้องมีกรรมมารองรับ โดยอาจจะมีภาคขยายทำหน้าที่ขยายกริยา (เรียกว่า กริยาวิเศษณ์) และขยายกรรม (เรียกว่า คุณศัพท์) หรือไม่ก็ได้ เช่น ปลูก (กริยา) ไม้ประดับ (กรรม) เป็นต้น

38 ประดับในข้อใดเป็นคำกริยา

ตอบ (2) ต้นไม้ประดับบ้าน

คำกริยา คือ คำที่กล่าวถึงการกระทำ หรือกิริยาอาการของคน สัตว์ สิ่งของ ซึ่งคำกริยาบางคำจะมีความหมายสมบูรณ์ในตัว เมื่อพูดก็เข้าใจความหมายได้ครบถ้วน แต่บางคำก็ต้องอาศัยกรรมหรือส่วนขยายมาช่วย เช่น คำว่า “ประดับ” ในประโยคตัวเลือกข้อ 2 เป็นคำกริยา หมายถึง ตกแต่งให้งามด้วบสิ่งต่างๆ

39 ประโยคในข้อใดสมบูรณ์ที่สุด

ตอบ (2) ต้นไม้ประดับบ้าน

ประโยคที่สมบูรณ์ในภาษาไทยจะมีการเรียงลำดับคำในประโยคดังนี้

ภาคประธาน เช่น ต้นไม้

ภาคแสดง ประกอบด้วย กริยา กรรม และคำขยาย (อาจมีหรือไม่มีก็ได้) เช่น ประดับบ้าน (กริยา + กรรม ) ดูคำอธิบายข้อ 36 – 38 ประกอบ)

จงพิจารณาประโยคต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 3 ข้อต่อไป

(1) ช่วยคิดแต่ไม่ช่วยทำ (2) ช่วยกันคิดหน่อยสิ (3) คิดอะไรอยู่ (4) คิดให้ได้

40 ข้อใดเป็นประโยคคำสั่ง

ตอบ (4) คิดให้ได้

ประโยคคำสั่ง หมายถึง ประโยคที่ต้องการให้ผู้ฟังทำตามความประสงค์ของผู้พูดอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง มักเป็นประโยคที่ละประธานหรือผู้ทำไว้ในฐานที่เข้าใจและขึ้นต้นด้วยคำกริยา บางครั้งอาจจะมีกริยาช่วย “อย่า ห้าม จง ต้อง” มานำหน้ากริยาแท้เพื่อแสดงการสั่งไม่ให้ทำหรือให้ทำก็ได้ แต่ถ้ามีประธานก็จะเป็นการระบุชื่อหรือเน้นตัวบุคคลเพื่อให้คนที่ถูกสั่งรู้ตัว

41 ข้อใดเป็นประโยคคำถาม

ตอบ (3) คิดอะไรอยู่

ประโยคคำถามหมายถึง ประโยคที่มีคำวิเศษณ์แสดงคำถามอยู่ด้วย เช่น ใคร อะไร ที่ไหน ทำไม เมื่อไร อย่างไร หรือ หรือเปล่า หรือไม่ ไหม ฯลฯ ซึ่งตำแหน่งของคำแสดงคำถามนี้อาจอยู่ต้นหรือท้ายประโยคก็ได้

42 ข้อใดเป็นประโยคบอกเล่า

ตอบ (1) ช่วยคิดแต่ไม่ช่วยทำ

ประโยคบอกเล่า หมายถึง ประโยคที่ใช้ในการบอกเล่าเรื่องราวตามธรรมดา ซึ่งอาจใช้ไปในทางตอบรับ หรือตอบปฏิเสธก็ได้

จงพิจารณาประโยคต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 3 ข้อต่อไป

(1) นักเรียนทุนได้รับการยกย่อง

(2) ครูใหญ่อบรมนักเรียนทุน

(3) วิมลนักเรียนทุนเรียนหนังสือเก่ง

(4) ครูใหญ่ถามหาวิมลนักเรียนทุน

43 นักเรียนทุนในข้อใดเป็นคำนามขยายประธาน

ตอบ (3) วิมลนักเรียนทุนเรียนหนังสือเก่ง

คำนามทำหน้าที่ต่างๆในประโยคได้ดังนี้

เป็นประธาน เช่น เด็กๆสมัยนี้ไม่ชอบออกกำลังกาย

เป็นกรรม เช่น ฉันอ่านหนังสือสอบแล้ว

ขยายประธาน เช่น วิมลนักเรียนทุนเรียนหนังสือเก่ง

ขยายกรรม เช่น ครูใหญ่ถามหาวิมลนักเรียนทุน

เสริมความให้สมบูรณ์ เช่น เขายังเป็นเด็ก

เป็นลักษณะนามทั้งที่กำหนดไว้โดยเฉพาะ กับที่ใช้ตามนามที่มาข้างหน้าเพราะไม่มีลักษณนามสำหรับคำนั้นๆ เช่น ห้องหลายห้อง ปากปากเดียว เหรียญทอง 1 เหรียญ เครื่องคิดเลข หลายเครื่อง ฯลฯ นอกจากนี้ก็ยังมีคำอื่นๆที่ทำหน้าที่ได้เช่นเดียวกับคำนาม เช่น คำกริยาที่ทำหน้าที่เป็นคำนาม (หาบดีกว่าคอน นอนดีกว่านั่ง)

44 นักเรียนทุนในข้อใดเป็นคำนามขยายกรรม

ตอบ (4) ครูใหญ่ถามหาวิมลนักเรียนทุน ดูคำอธิบายข้อ 43 ประกอบ

45 นักเรียนทุนในข้อใดแสดงการก

ตอบ (1) นักเรียนทุนได้รับการยกย่อง

การแสดงการก หมายถึง ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างคำในประโยค ซึ่งสามารถดูได้จากตำแหน่งของคำที่เรียงกันในประโยค แต่บางกรณีคำนามที่เป็นประธานหรือกรรมอาจเปลี่ยนที่ไปได้ คือ ประธานไปอยู่หลังกรรม กรรมมาอยู่หน้ากริยาได้ ถ้าต้องการเน้น เช่น ประโยคในตัวเลือกข้อ 1 ย้ายกรรมมาไว้หน้าคำกริยาแล้วละประธานของประโยคไว้ เพราะจริงๆแล้วต้องมีผู้ที่ยกย่องนักเรียนทุนเพียงแต่ว่าคนนั้นไม่ปรากฏในประโยค

46 สรรพนามในข้อใดขยายความเพื่อเน้นผู้กระทำ

(1) คุณแม่ท่านฝากของมาให้เธอ (2) ภรรยาท่านไม่มาหรือครับ

(3) คนขับรถท่านไม่สบาย (4) ท่านออกไปพร้อมกับภรรยา

ตอบ (1) คุณแม่ท่านฝากของมาให้เธอ

คำสรรพนามทำหน้าที่ต่างๆในประโยคดังนี้

เป็นประธาน เช่น เขามาแล้ว

เป็นกรรม เช่น เราเห็นเขาแล้ว

เสริมความให้สมบูรณ์ เช่น เขาเป็นใคร

เชื่อมประโยค เฉพาะคำว่า ที่ ซึ่ง อัน เช่น คนที่เธอเห็นเป็นเพื่อนฉัน

ขยายความเพื่อเน้นผู้กระทำ เช่น คุณแม่ท่านฝากของมาให้เธอ และเน้นผู้ถูกกระทำ เช่น เธอไปหา อาจารย์ท่านเถอะ

แสดงคำถาม เช่น อะไรดี ใครมา

47 ข้อใดไม่ใช่สรรพนามบุรุษที่ 3

(1) คุณพ่อไม่อยู่บ้าน (2) คุณแม่ไปซื้อของ (3) คุณตาถามหาเธอ (4) คุณยายเล่านิทานให้ฟังหน่อย

ตอบ (4) คุณยายเล่านิทานให้ฟังหน่อย

สรรพนามบุรุษที่ 3 คือ คำที่ใช้แทนผู้ที่พูดถึง ได้แก่ เขา มัน ท่าน แก นอกจากนั้นมักใช้เอ่ยชื่อเสียส่วนมาก ถ้าอยู่ในที่ที่จำเป็นต้องกล่าวคำดีงาม เช่น ต่อหน้าผู้ใหญ่ มักมีคำกล่าวว่า คุณ พ่อ แม่ นาย นาง นางสาว นำหน้าชื่อให้สมกับโอกาสด้วย (ส่วนตัวเลือกข้อ 4 เป็นสรรพนามบุรุษที่ 2 ใช้แทนผู้ที่พูดด้วย)

48 ข้อใดไม่ใช่สรรพนามแสดงคำถาม

(1) เกิดอะไรขึ้น (2) อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด (3) เกิดอะไรที่ไหน (4) เกิดอะไรกับใคร

ตอบ (2) อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด

สรรพนามที่แสดงคำถาม ได้แก่ ใคร อะไร ใด ไหน ซึ่งเป็นคำกลุ่มเดียวกันกับสรรพนามที่บอกความไม่เฉพาะเจาะจง แต่สรรพนามที่แสดงคำถามจะใช้สร้างประโยคคำถาม เช่น เกิดอะไรขึ้น เกิดอะไรที่ไหน เกิดอะไรกับใคร ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้อ 2 เป็นสรรพนามที่บอกความไม่จำเพาะเจาะจง ซึ่งจะกล่าวถึงบุคคล สิ่งของหรือสถานที่แบบลอยๆ ไม่ชี้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นใคร อะไรที่ไหน และไม่ได้เป็นการถาม)

49 ข้อใดมีคำกริยาแสดงภาวะของอารมณ์

(1) เขาจะมา (2) เขามาแล้ว (3) เขาคงจะมา (4) เขากำลังมา

ตอบ (3) เขาคงจะมา

คำที่แสดงมาลา (แสดงภาวะหรืออารมณ์) อาจใช้กริยาช่วย ได้แก่ คง พึง จง ต้อง อาจ โปรด ย่อม เห็นจะ ฯลฯ หรือใช้คำอื่นๆ ได้แก่ น่า นา เถอะ เถิด ชิ ซี ซินะ น่ะ ละ ล่ะ เล่า หรอก ดอก ฯลฯ มาช่วยแสดง เช่น เขาคงจะมา (คงจะ เป็นการคาดคะเนลอยๆว่า เขาอาจจะมาหรือไม่มาก็ได้ ใช้นำหน้ากริยาแท้) เป็นต้น

50 อยู่ในข้อใดไม่ใช่กริยาช่วย

(1) สุดานอนอยู่ (2) สุดาอยู่บ้าน (3) สุดาสนใจสุวิทย์อยู่ (4) สุดาเรียนหนังสืออยู่

ตอบ (2) สุดาอยู่บ้าน

คำว่า “อยู่” (พักอาศัย) เป็นได้ทั้งกริยาแท้และกริยาช่วย ดังนั้นถ้าจะดูว่าเป็นกริยาแท้หรือกริยาช่วยต้องดูที่ตำแหน่งในประโยค และเสียงหนักเบาของคำนั้น กล่าวคือ ถ้าเป็นกริยาช่วยจะอยู่หลังกริยาแท้ และจะมีเสียงเบาและสั้นกว่ากริยาแท้ เช่น “อยู่” ที่เป็นกริยาช่วยจะบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยังไม่ยุติลง ได้แก่ สุดานอนอยู่ สุดาสนใจสุวิทย์อยู่ สุดาเรียนหนังสืออยู่ ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้อ 2 “อยู่” เป็นกริยาแท้)

51 ข้อใดมีคำคุณศัพท์

(1) กินอิ่มนอนหลับ

(2) กินดีอยู่ดี

(3) ขาวบ้างดำบ้าง

(4) วิวสวยน้ำใส

ตอบ (4) วิวสวยน้ำใส

คำคุณศัพท์คือ คำวิเศษณ์ขยายนามหรือคำที่ทำหน้าที่ได้อย่างคำนาม ตามธรรมดาจะอยู่หลังคำที่ตนเองขยาย เช่น วิวสวยน้ำใส (คำว่า “สวย” (งามอย่างน่าพอใจ) และ “ใส” (แจ่มกระจ่าง ไม่ขุ่นมัว) เป็นคำคุณศัพท์บอกลักษณะ) เป็นต้น (ส่วน “อิ่ม หลับ ดี บ้าง” ในตัวเลือกข้อ 1 2 และ 3 เป็นกริยาวิเศษณ์)

52 ข้อใดมีคำกริยาวิเศษณ์บอกความแบ่งแยก

(1) กินพลางพูดพลาง (2) คิดเล็กคิดน้อย (3) พูดเร็วทำเร็ว (4) กินง่ายนอนง่าย

ตอบ (1) กินพลางพูดพลาง

คำกริยาวิเศษณ์ คือ คำวิเศษณ์ขยายกริยา ขยายคุณศัพท์และขยายกริยาวิเศษณ์ ซึ่งบางทีก็เป็นคำๆเดียวกับคุณศัพท์ จึงต้องสังเกตตำแหน่งและดูความในประโยค เช่น คำกริยาวิเศษณ์บอกความแบ่งแยก ได้แก่ บ้าง พลาง กัน ต่าง ต่างๆ ต่างหาก ฯลฯ เช่น กินพลางพูดพลาง (คำว่า “พลาง” ขยายกริยาแสดงว่าทำกริยา 2 อย่างขึ้นไปพร้อมกัน) เป็นต้น

53 ข้อใดสามารถละบุรพบทได้

(1) เขาทำตามเพื่อน (2) เขาเดินตามหาเธอ

(3) เขาเดินตามเธอมา (4) เขาปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม

ตอบ (2) เขาเดินตามหาเธอ

คำบุรพบทไม่สำคัญมากเท่ากับคำนาม คำกริยาและคำวิเศษณ์ ดังนั้นบางแห่งไม่ใช้บุรพบทเลยก็ยังฟังเข้าใจได้ ซึ่งบุพบทที่อาจละได้แล้ว ความหมายยังเหมือนเดิม ได้แก่ ของ แก่ ต่อ สู้ ยัง ที่ บน ฯลฯ แต่บุรพบทบางคำก็ละไม่ได้ จะละได้ก็ต้องดูความในประโยคว่าความหมายต้องไม่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น เขาเดินตามหาเธอ (เขาเดินหาเธอ) เป็นต้น

54 ข้อใดเป็นคำบุรพบทที่แสดงความเป็นเครื่องมือเครื่องใช้

(1) ตามเธอไปโดยด่วน (2) ปล่อยเธอไปตามทางของเธอ

(3) กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง (4) ขอความกรุณาเห็นแก่หน้าเขาบ้าง

ตอบ (3) กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง

คำบุรพบทที่นำหน้าคำที่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ ได้แก่ กับ โดย เพราะ ซึ่งคำกริยาที่มากับบุรพบทชนิดนี้มักเป็นกริยาที่มีกรรมมารับ เช่น เขียนด้วยมือ (มือเป็นเครื่องใช้ในการเขียน) ได้ยินกับหู (หูเป็นเครื่องทำให้ได้ยิน) กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง (ปากเป็นเครื่องใช้ในการกิน และท้องเป็นเครื่องทำให้เกิดความอยาก) เป็นต้น

จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 3 ข้อต่อไป

(1) ถ้าเธอมา ฉันก็จะรออยู่ (2) ถึงเธอจะมา ฉันก็ไม่อยู่รอ

(3) เธอจะมาหรือจะให้ฉันไปหา (4) เธอมาไม่ได้เพราะเธอไม่สบาย

55 ข้อใดใช้คำสันธานเชื่อมความขัดแย้งกัน

ตอบ (2) ถึงเธอจะมา ฉันก็ไม่อยู่รอ

คำสันธานที่เชื่อมความที่ขัดแย้งกันไปคนละทาง ได้แก่ แต่ แต่ว่า แต่ทว่า จริงอยู่…แต่ ถึง…ก็ กว่า…ก็

56 ข้อใดใช้คำสันธานเชื่อมความคาดคะแนน

ตอบ (1) ถ้าเธอมา ฉันก็จะรออยู่

คำสันธานที่เชื่อมความคาดคะเนหรือแบ่งรับแบ่งสู้ ได้แก่ ถ้า…ก็ ถ้า…จึง ถ้าหากว่า แม้…ก็ แม้.ว่า เว้นแต่ นอกจาก

57 ข้อใดใช้คำสันธานเชื่อมความให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง

ตอบ (3) เธอจะมาหรือจะให้ฉันไปหา

คำสันธานที่เชื่อมความให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ หรือ หรือไม่ หรือมิฉะนั้น มิฉะนั้น

58 ข้อใดเป็นคำอุทานที่เลื่อนเป็นคำกริยา

(1) เขาเป็นพ่อแม่ที่ชอบโอ๋ลูก (2) เขาเป็นพ่อแม่ที่ชอบทำเรื่องอื้อฉาว

(3) พ่อแม่คู่นี้มีข่าวครึกโครมตามหน้าหนังสือพิมพ์ (4) ผู้คนกล่าวถึงพ่อแม่คู่นี้อย่างครึกครื้น

ตอบ (1) เขาเป็นพ่อแม่ที่ชอบโอ๋ลูก

คำอุทาน คือ คำที่เปล่งออกมาด้วยอารมณ์สะเทือนใจ เมื่อตกใจ ดีใจ หรือแปลกใจ เช่น โธ่ พุทโธ่ โธ่เอ๊ย ต๊าย ว๊าย ตายจริง โอ้โฮ อุ๊ย ฯลฯ โดยมีคำบางคำที่เลื่อนมาเป็นคำกริยา ได้แก่ เออออห่อหมก เอออวย เอะอะ โอ๋ พุทโธ (สงสาร เห็นใจ) โอละพ่อ และบางคำก็เลื่อนมาเป็นคำกริยาวิเศษณ์ ได้แก่ อื้ออึง อื้อฉาว อึกทึก ครึกโครม ครืน ครื้นครั่น ครึกครื้น โครมคราม ฯลฯ

59 ข้อใดเป็นคำลักษณนามบอกน้ำหนักทั้งหมด

(1) กิโลกรัม ปอนด์ ปีบ (2) กรัม ทะนาน คัน (3) หาบ ชั่ง ขีด (4) คิว ช้อน ขวด

ตอบ (3) หาบ ชั่ง ขีด

คำลักษณนามบอกมาตราชั่ง ตวง วัด นับ ที่บอกน้ำหนัก ได้แก่ หาบ ชั่ง ขีด กรัม ปอนด์ กิโลกรัม (ก.ก) กิโล (โล)

60 ข้อใดใช้คำลักษณนามเดียวกันทั้งหมด

(1) ผม ไหม ยาฉุน (2) กอไผ่ หน่อไม้ ต้นเข็ม

(3) ตะกร้า แก้ว ขลุ่ย (4) ซีดี กุญแจ โทรศัพท์มือถือ

ตอบ (1) ผม ไหม ยาฉุน

คำลักษณนามสำหรับสิ่งที่มีลักษณะเล็กยาว ได้แก่ สาย (ใช้กับถนน สายสร้อย เข็มขัด ฯลฯ) เส้น (ใช้กับ ผม ไหม ด้าย ขน เชือก ยาจืด ยาฉุน ยาเส้น ฯลฯ)

การใช้ภาษา

ตั้งแต่ข้อ 61 – 70 อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถามโดยให้สัมพันธ์กับข้อความที่ให้อ่าน

สวัสดีค่ะ วันนี้ “ป้าหญิงใหญ่” (ม.ร.ว.สุพินดา จักรพันธุ์) และรายการโทรทัศน์ “เพื่อนแก้ว” มาพูดคุยกับน้องๆ เพื่อให้ความรู้และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากกองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค อ.ย.

ถ้าเด็กๆได้อ่านก่อนคุณพ่อคุณแม่ ก็ตัดคอลัมน์นี้ไปให้คุณพ่อคุณแม่ได้ทราบด้วยกันนะคะ

เรื่องที่ต้องเล่าให้เด็กๆทราบคือขณะนี้มักมีโฆษณาออกมาบรรยายถึง สรรพคุณของคลอโรฟิลล์ว่ามีประโยชน์มากมาย ถึงขั้นสามารถบำบัดโรคได้ ซึ่งป้าหญิงใหญ่จะบอกว่าความจริงเป็นเช่นไร?

คลอโรฟิลล์ คือสารสีเขียว ที่พบได้ในพืชที่มีสีเขียว โดยพืชใช้คลอโรฟิลล์ในการสังเคราะห์ซึ่งร่างกายของคนเราไม่สามารถที่จะสร้างคลอโรฟิลล์ได้เอง ถ้าหากเรารับประทานผักใบเขียวในปริมาณ 100 กรัมก็จะได้รับคลอโรฟิลล์เฉลี่ยประมาณ 500 มิลลิกรัม

ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์ ก็คงจะมีอยู่บ้างนะคะ เพราะมีแร่ธาตุธรรมชาติเป็นองค์ประกอบอยู่ แต่จะมีประโยชน์ขนาดบำบัด บรรเทา รักษาโรคต่างๆได้นั้น ยังไม่มีข้อมูลศึกษาวิจัยที่ชัดเจน

ปัจจุบัน อย. อนุญาตให้ใช้คลอโรฟิลล์ได้ในอาหาร 4 ประเภท คือ ใช้เป็นสีผสมอาหาร ใช้เป็นส่วนประกอบของหมากฝรั่งและลูกอม ใช้เป็นเครื่องดื่ม และใช้เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารซึ่งมีจำหน่ายในรูปผงแคปซูล หรือน้ำ

แต่ อย. ไม่เคยอนุญาตให้มีการโฆษณากล่าวอ้างสรรพคุณว่าสามารถบำบัดโรคนั้นโรคนี้ได้ ดังนั้นถ้าคุณพ่อคุณแม่และเด็กพบเห็น หรือได้ยินคำโฆษณาว่า รักษาโรคต่างๆได้ ก็ขอให้ทราบว่าเป็นการโฆษณาที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง และเข้าข่ายหลอกลวง ทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อ ซึ่งการโฆษณาดังกล่าวเป็นการกระทำผิดกฎหมาย โดยมีโทษปรับถึง 3 หมื่นบาท และอาจติดคุกถึง 3 ปี เชียวนะคะ

คุณพ่อคุณแม่บางท่านที่รับประธานคลอโรฟิลล์ อาจกังวลว่าจะเป็นพิษ เป็นอันตรายหรือไม่ก็ขอให้เบาใจได้ ถ้าอันตราย อย. คงไม่อนุญาตให้เป็นอาหารหรอกค่ะ เพราะมีการประเมินความปลอดภัยในการบริโภคโดยผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุเจือปนอาหารขององค์การอนามัยโลกว่า คนที่มีน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม สามารถรับประธานคลอโรฟิลล์ได้ 450 มิลลิกรัมต่อวัน โดยไม่มีผลข้างเคียงหรืออันตราย

คงจะมีข้อยกเว้นสำหรับบางคนที่แพ้เท่านั้นเอง

ปกติเราก็ได้รับคลอโรฟิลล์จากการรับประทานพืชผักที่มีสีเขียว และยังได้เส้นใยอาหารที่มีอยู่ในพืชผัก ช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ได้ด้วย แต่หากจะซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพวกคลอโรฟิลล์มารับประทาน ก็ขอให้พิจารณาฉลากว่ามีเลขสารบบอาหารในเครื่องหมาย อย. หรือไม่ ซึ่งแสดงว่าได้รับอนุญาตจาก อย.แล้ว

ที่สำคัญขอให้ระลึกว่าผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ก็คืออาหารที่เรารับประทานเพิ่มไปจากกการรับประทานอาหารปกติของเรา อย่าเอาคลอโรฟิลล์มารับประทานเป็นอาหารหลักนะคะ มิฉะนั้นอาจทำให้เป็นโรคขาดสารอาหารได้ เพราะคลอโรฟิลล์ไม่ได้มีสารอาหารครบตามที่ร่างกายต้องการ ท่านที่เจ็บป่วยอยู่อย่าละทิ้งการรักษา แล้วหันมาพึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอย่างเดียว อาจทำให้การรักษายุ่งยาก หรือโรคที่เป็นอยู่ทรุดหนักลงจนเกินเยียวยาได้ค่ะ

(จากหนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ ประจำวันที่ 19 สิหาคม พ.ศ.2550 หน้า28)

61 ข้อความที่ให้อ่านเป็นวรรณกรรมประเภทใด

(1) ข่าว (2) บทความ (3) เรื่องสั้นๆ (4) บทโทรทัศน์

ตอบ (2) บทความ

บทความ คือ งานเขียนที่มีการนำเสนอข้อมูลที่ได้มาจากเอกสารทางวิชาการหรือผลงานการวิจัย ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงหรือข้อคิดเห็นเพื่อให้ข้อมูลหรือความรู้ และมีการสรุปให้เห็นความสำคัญของเรื่อง พร้อมทั้งเสนอข้อคิดให้ผู้อ่านนำไปพิจารณา

62 จุดประสงค์ของผู้เขียนคืออะไร

(1) เสนอข่าว (2) ให้ข้อมูล (3) ให้ความรู้ (4) แสดงทัศนะ

ตอบ (3) ให้ความรู้

ผู้เขียนมีจุดประสงค์ในการเขียน คือ ต้องการให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านเป็นหลัก เพื่อให้ผู้อ่านได้รับข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับคลอโรฟิลล์ โดยมีการแทรกข้อมูลประกอบบ้าง

63 โวหารการเขียนเป็นแบบใด

(1) บรรยาย (2) พรรณนา (3) อธิบาย (4) อภิปราย

ตอบ (1) บรรยาย

โวหารเชิงบรรยาย เป็นโวหารที่ใช้ในการเล่าเรื่องตามที่ผู้เขียนได้รู้ได้เห็นมา เพื่อให้ผู้อ่านรับรู้และประทับใจราวกับว่าได้พบด้วยตนเอง ซึ่งโวหารแบบนี้มักใช้ในการเขียนบทความ นิทาน นิยาย ประวัติ ตำนาน รายงาน และจดหมายเหตุ เป็นต้น

64 ท่วงทำนองเขียนเป็นแบบใด

(1) กระชับรัดกุม (2) สละสลวย

(3) เป็นภาษาเขียนที่เรียบง่าย (4) เป็นภาษาพูดที่เรียบง่าย

ตอบ (4) เป็นภาษาพูดที่เรียบง่าย

ท่วงทำนองเขียนแบบเรียบง่าย คือ ท่วงทำนองเขียนที่ใช้คำง่ายๆ ชัดเจน การผูกประโยคไม่ซับซ้อน ทำให้อ่านและเข้าใจได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาขบคิดมากนักซึ่งในบทความนี้ผู้เขียนใช้ภาษาพูดที่เรียบง่ายเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้อ่านเข้าใจง่าย

65 คลอโรฟิลล์มีประโยชน์ต่อสิ่งใด

(1) พืช (2) คน (3) ทั้งคนและพืช (4) สิ่งมีชีวิตทั้งหมด

ตอบ (3) ทั้งคนและพืช

จากข้อความ คลอโรฟิลล์ คือ สารสีเขียวที่พบได้ในพืชที่มีสีเขียว โดยพืชใช้คลอโรฟิลล์ในการสังเคราะห์แสง ซึ่งร่างกายของครเราไม่สามารถที่จะสร้างคลอโรฟิลล์ได้เอง ปกติเราก็ได้รับคลอโรฟิลล์จากการรับประทานพืชผักที่มีสีเขียว และยังได้เส้นใยอาหารที่มีอยู่ในพืชผักช่วยลดความเสียงของมะเร็งลำไส้ได้ด้วย (จะเห็นว่าคลอโรฟิลล์มีประโยชน์ต่อทั้งคนและพืช)

66 คลอโรฟิลล์มีอันตรายได้เพราะเหตุใด

(1) ไม่สะอาด

(2) ไม่ผ่านกรรมวิธีที่ถูกต้อง

(3) ขนาดที่รับประทาน มีการแพ้ และเน้นรับประทานอย่างเดียว

(4) ถูกทั้งข้อ 1 2 และ 3

ตอบ (3) ขนาดที่รับประทาน มีการแพ้ และเน้นรับประทานอย่างเดียว

จากข้อความ คนที่มีน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม สามารถรับประทานคลอโรฟิลล์ได้ 450 มิลลิกรัม ต่อวัน โดยไม่มีผลข้างเคียงหรืออันตราย คงจะมีข้อยกเว้นสำหรับบางคนที่แพ้เท่านั้นเอง อย่าเอาคลอโรฟิลล์มารับประทานเป็นอาหารหลักนะคะ มิฉะนั้นอาจำให้เป็นโรคขาดสารอาหารได้ เพราะคลอโรฟิลล์ไม่ได้มีสารอาหารครบตามที่ร่างกายต้องการ (จะเห็นว่าคลอโรฟิลล์มีอันตรายได้ถ้ารับประทานเกินขนาด มีการแพ้ และเน้นรับประทานอย่างเดียว)

67 เหตุใดจึงไม่อาจสรุปได้ว่า คลอโรฟิลล์สามารถรักษาโรคต่างๆได้

(1) เพราะมีการโฆษณาที่เกินจริงมากมาย

(2) เพราะยังไม่มีข้อมูลการวิจัยที่แจ่มแจ้ง

(3) เพราะ อย. ยังไม่ได้รับรองอย่างเป็นทางการ

(4) เพราะโครงสร้างของคลอโรฟิลล์ไม่มีคุณสมบัติในการรักษา

ตอบ (2) เพราะยังไม่มีข้อมูลการวิจัยที่แจ่มแจ้ง

จากข้อความ ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์ก็คงจะมีอยู่บ้างนะคะ เพราะมีแร่ธาตุธรรมชาติเป็นองค์ประกอบอยู่ แต่จะมีขนาดบำบัด บรรเทา รักษาโรคต่างๆ ได้นั้น ยังไม่มีข้อมูลศึกษาวิจัยที่ชัดเจน (ดังนั้นจึงไม่อาจสรุปได้ว่า คลอโรฟิลล์สามารถรักษาโรคต่างๆได้)

68 เหตุใดเราควรรับประทานอาหารหรือผลิตภัณฑ์ที่มีคลอโรฟิลล์

(1) เป็นการบริโภคตามกระแสนิยม

(2) เพราะคลอโรฟิลล์มีประโยชน์มากกว่าโทษ

(3) เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างคลอโรฟิลล์ได้เอง

(4) เพราะอาหารและผลิตภัณฑ์ที่มีคลอโรฟิลล์มีราคาแพง

ตอบ (3) เพราะร่างกายไม่สามารถสร้างคลอโรฟิลล์ได้เอง ดูคำอธิบายข้อ 65 ประกอบ

69 อย. ย่อมาจากอะไร

(1) องค์การอนามัยแห่งชาติ (2) องค์การอนามัยแห่งสหประชาชาติ

(3) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (4) สำนักงานสาธารณสุข

ตอบ (3) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

อย. ย่อมาจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เป็นส่วนราชการที่มีหน้าที่ปกป้องและคุ้มครองสุขภาพประชาชนจากการบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพชนิดต่างๆ

70 ชื่อใดเหมาะสมกับเนื้อหาที่ให้อ่านมากที่สุด

(1) กระแสนิยมคลอโรฟิลล์ (2) คลอโรฟิลล์ในยุคบริโภคนิยม

(3) คลอโรฟิลล์มิใช่อาหารหลัก (4) สารพัดประโยชน์จากคลอโรฟิลล์

ตอบ (3) คลอโรฟิลล์มิใช่อาหารหลัก

ชื่อเรื่อง คือ สิ่งที่ผู้เขียนกล่าวถึงอย่างกว้างๆ เพื่อให้ผู้อ่านทราบว่าข้อความนั้นๆเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร แต่ก็ต้องไม่กว้างหรือแคบจนเกินไป ซึ่งสำหรับข้อความนี้ ควรตั้งชื่อเรื่องว่า คลอโรฟิลล์มิใช่อาหารหลัก จึงจะเหมาะสมกับเนื้อหามากที่สุด

ตั้งแต่ข้อ 71 – 80 จงเลือกราชาศัพท์หรือคำที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด เพื่อเติมลงในช่องว่างระหว่างข้อความต่อไปนี้

ประชาชนชาวไทย (71) สถาบันพระมหากษัตริย์ (72) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่เพราะบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ แต่เพราะ (73) (74) และคุณูปการที่ได้ทรงมี (75) ประชาชนชาวไทยและประเทศชาติมาโดยตลอด โชคดีของคนไทยอยู่ตรงที่ไม่ว่าจะ (76) ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มีพระมหากษัตริย์ (77) โดยเด็ดขาด หรือในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ (78) นับแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน (79) ทรงใช้ (80) โดยมีทศพิธราชธรรมและจักรวรรดิวัตรกำกับอยู่เสมอมา

71 (1) เคารพ

(2) นับถือ

(3) ทรงเคารพ

(4) ทรงนับถือ

ตอบ (1) เคารพ

บุคคลที่เป็นสามัญชนไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ ซึ่งในข้อนี้มีประชาชนชาวไทยเป็นประธานของประโยคจึงควรใช้คำว่า เคารพ หมายถึง แสดงอาการนับถือ

72 (1) เคารพบูชา

(2) นับถือบูชา

(3) ทรงเคารพบูชา

(4) ทรงนับถือบูชา

ตอบ (2) นับถือบูชา ดูคำอธิบายข้อ 71 ประกอบ

ซึ่งในที่นี้ควรใช้คำว่า นับถือบูชา หมายถึง เชื่อถือยึดมั่นเคารพ ยกย่องเทิดทูนด้วยความนับถือหรือเลื่อมใสในความรู้ความสามารถ

73 (1) พระจริยวัตร (2) พระกรณียวัตร (3) พระราชจริยวัตร (4) พระราชกรณียกิจ

ตอบ (3) พระราชจริยวัตร

ราชาศัพท์ที่มีคำว่า “ราช” เช่น พระราชดำริ (คิด) พระราชจริยวัตร (หน้าที่ที่พึงประพฤติปฏิบัติ ความประพฤติ ท่วงทีวาจา และกิริยามารยาท) พระราชอำนาจ (สิทธิ อิทธิพลที่จะบังคับให้ผู้อื่นต้องยอมทำตาม) ฯลฯ จะใช้กับเจ้านาย 5 พระองค์ในรัชกาลปัจจุบัน คือ

1 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

2 สมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ

3 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

4 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร

5 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

74 (1) พระเมตตาคุณ (2) พระมหากรุณาธิคุณ (3) พระกรุณาธิคุณ (4) พระปรีชาสามารถ

ตอบ (2) พระมหากรุณาธิคุณ

พระมหากรุณาธิคุณ หมายถึง คุณอันยิ่งใหญ่ (ยิ่งใหญ่กว่าพระกรุณาธิคุณ) คือ กรุณาหรือความสงสารคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์ (ส่วนพระเมตตาคุณ หมายถึง ความรักและเอ็นดูปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข พระปรีชาสามารถ หมายถึง มีปัญญาความสามารถ)

75 (1) กับ (2) แก่ (3) แด่ (4) ทั้ง

ตอบ (2) แก่

คำบุรพบทที่แสดงการให้และรับ ได้แก่ แก่ (ใช้เมื่อผู้รับมีศักดิ์ต่ำกว่าหรือเยาว์วัยกว่า) แด่ (ใช้เมื่อผู้รับเป็นผู้ที่เคารพนับถือ ผู้อาวุโสหรือผู้ที่สูงศักดิ์กว่า เช่น ถวายของแด่พระภิกษุ ฯลฯ) ต่อ (ใช้นำหน้าความที่เป็นผู้รับต่อหน้าเผชิญหน้า) เป็นต้น (ส่วน กับ ทั้ง เป็นบุรพบทที่ใช้เสริมความให้สมบูรณ์ โดยที่ความนั้นเกี่ยวเนื่องกัน)

76 (1) เป็น (2) อยู่ (3) ทรงเป็น (4) ทรงอยู่

ตอบ (2) อยู่

ดูคำอธิบายข้อ 50 และ 71 ประกอบ (ส่วนคำว่า “เป็น” เป็นคำกริยาที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำหน้าและคำหลังว่ามีภาวะ คือ ความมี ความเป็น เกี่ยวข้องกันอย่างไร)

77 (1) มีพระราชดำริ (2) ทรงพระราชดำริ (3) มีพระราชอำนาจ (4) ทรงมีพระราชอำนาจ

ตอบ (3) มีพระราชอำนาจ ดูคำอธิบายข้อ 73 ประกอบ

คำกริยา “มี” และ “เป็น” เมื่อใช้เป็นราชาศัพท์มีข้อสังเกตดังนี้ คือ

1 หากคำที่ตามหลัง “มี” และ “เป็น” เป็นนามราชาศัพท์อยู่แล้ว ไม่ต้องเติม “ทรง” หน้าคำว่า “มี” หรือ “เป็น” เช่น มีพระราชอำนาจ เป็นพระราชธิดา ฯลฯ

2 หากคำที่ตมหลัง “มี” และ “เป็น” เป็นคำสามัญให้เติม “ทรง” หน้าคำกริยา “มี” หรือ “เป็น” ก่อน เช่น ทรงมีพัฒนาการ (มีการเปลี่ยนแปลงในทางเจริญขึ้น ) ทรงเป็นประมุข (ผู้เป็นใหญ่ เป็นหัวหน้าของประเทศหรือศาสนา) ฯลฯ

78 (1) ประมุข (2) ทรงเป็นประมุข (3) ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดิน (4 ทรงเป็นผู้นำประเทศ

ตอบ (2) ทรงเป็นประมุข ดูคำอธิบายข้อ 77 ประกอบ

79 (1) พระองค์ (2) องค์ (3) พระองค์ท่าน (2) องค์ท่าน

ตอบ (1) พระองค์

คำสรรพนามราชาศัพท์ที่ใช้แทนผู้ที่พูดถึง (บุรุษที่ 3) ได้แก่

1 พระองค์ ใช้แทนพระเจ้าแผ่นดิน พระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้าขึ้นไป และสมเด็จพระสังฆราช

2 ทูลกระหม่อม ใช้แทนเจ้านายชั้นฟ้า

3 เสด็จ ใช้แทนเจ้านายชั้นพระองค์เจ้าที่เป็นลูกเขย และหลานเธอ ซึ่งมีพระอัยกาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

4 ท่าน ใช้แทนเจ้านายทั่วไป ขุนนาง พระสงฆ์ ฯลฯ

80 (1) พระราชดำริ (2) พระราชดำรัส (3) พระราขปณิธาน (4) พระราชอำนาจ

ตอบ (4) พระราชอำนาจ ดูคำอธิบายข้อ 73 ประกอบ

(ส่วนพระราชดำรัส หมายถึง พูด พระราชปณิธาน หมายถึง ตั้งความปรารถนา)

81 ข้อใดสะกดถูกทุกคำ

(1) สละสลวย สมุทัย สมุฏฐาน

(2) ลมสลาตัน ทะเลสาบ สาปสูญ

(3) สรรพางค์ สันมีด จัดสรร

(4) สรรหา สีสัน สรรค์สร้าง

ตอบ ข้อ 1 และ ข้อ 4 คำที่สะกดผิด ได้แก่ สาปสูญ จัดสรรค์ ซึ่งที่ถูกต้องคือ สาบสูญ จัดสรร

82 ข้อใดสะกดผิดทุกคำ

(1) ฮกเกี้ยน ฮวงซุ้ย ฮอร์โมน

(2) ไอศกรีม โอโซน แฮนด์บอล

(3) แร็กเกต แพลทินัม ลิปสติก

(4) สีสอร์ท พลาสติค คัท – เอาท์

ตอบ (4) สีสอร์ท พลาสติค คัท – เอาท์

คำที่สะกดผิดได้แก่ สีสอร์ท พลาสติค คัท – เอาท์ ซึ่งที่ถูกต้องคือ รีสอร์ต พลาสติก คัต – เอาต์

83 ข้อใดมีคำที่สะกดผิดปรากฏอยู่ด้วย

(1) ตกเรี่ยราย เรี่ยไรเงิน เรี่ยวแรง (2) แร้นแค้น ลำเค็ญ เลี้ยวรก

(3) โรยตัว แรมรอน เรื้อรัง (4) เรื่อยเปื่อย ไรฟัน ตัวเลือด

ตอบ ข้อ 2 และข้อ 4 คำที่สะกดผิด ได้แก่ เลี้ยวรก ตัวเลือด ซึ่งที่ถูกต้องคือ เรี้ยวรก ตัวเรือด

84 ข้อใดมีคำที่สะกดถูกสลับกับคำที่สะกดผิด

(1) โพล้เพล้ สนามเพลาะ เพลี้ยงพล้ำ ตัวเพลี้ย (2) โพนทะนา ไพร่พล ไพล่หลัง พะอืดพะอม

(3) แพร่งพราย เพิ่มพูล ขาวโพลน เพรียบพร้อม (4) พลุกพล่าน พานพบ พากย์หนัง พัลวัน

ตอบ (3) แพร่งพราย เพิ่มพูน ขาวโพลน เพรียบพร้อม

คำที่สะกดผิดได้แก่ เพลี้ยงพล้ำ เพิ่มพูล เพรียบพร้อม ซึ่งที่ถูกต้องคือ เพลี่ยงพล้ำ เพิ่มพูน เพียบพร้อม

85 ข้อใดมีคำที่สะกดผิดขนาบคำที่สะกดถูก

(1) ลักษณะนาม ลึกล้ำ สูงริ่ว (2) ไกลลิบ ลิ้มรส เลือนราง

(3) เลื่อยลอย โล้ชิงช้า และเล็ม (4) โลดแล่น ไม้ไล่หลายพันธุ์ ไล่เลี่ย

ตอบ (1) ลักษณะนาม ลึกล้ำ สูงริ่ว

คำที่สะกดผิด ได้แก่ ลักษณะนาม สูงริ่ว เลื่อยลอย ซึ่งที่ถูกต้องคือ ลักษณนาม สูงลิ่ว เลื่อนลอย

จงพิจารณาตัวเลือกต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 5 ข้อต่อไป

(1) ยกตนข่มท่าน ยกตัวขึ้นเหนือลม ยกหางตนเอง

(2) รู้ยาวรู้สั้น รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม

(3) ลิ้นสองแฉก ลิ้นไม่มีกระดูก ลิ้นกระดาษทราย น้ำลายเชลแล็ก

(4) ลิ้นอ่อน ลิ้นกระบือ ลิ้นไก่สั้น

86 ข้อใดมีแต่สำนวน

ตอบ (3) ลิ้นสองแฉก ลิ้นไม่มีกระดูก ลิ้นกระดาษทราย น้ำลายเชลแล็ก

1 สำนวน หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นอย่างกะทัดรัด ใช้คำน้อยแต่กินความหมายมาก และเป็นความหมายโดยนัยหรือโดยเปรียบเทียบ เช่น ลิ้นสองแฉก (พูดสับปลับเชื่อถือไม่ได้) ลิ้นไม่มีกระดูก (พูดสลับ กลับกลอก เอาแน่ไม่ได้) ลิ้นกระดาษทราย นำลายเชลแล็ก (ประจบประแจง สอพลอ) รู้ยาวรู้สั้น (รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว) ฯลฯ

2 คำพังเพย หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อตีความ สรุปเหตุการณ์ สภาวการณ์ บุคลิกและอารมณ์ให้เข้ากับเรื่อง มีความหมายกลางๆ ไม่เน้นการสั่งสอน แต่แฝงคติเตือนใจให้นำไปปฏิบัติหรือไม่ให้นำไปปฏิบัติ เช่น ยกตนข่มท่าน (ยกย่องตัวเองและข่มผู้อื่น พูดทับถมผู้อื่น แสดงให้เห็นว่าตนเหนือกว่า) ยกตัวขึ้นเหนือลม (ปัดความผิดให้พ้นตัว ยกตนเหนือคนอื่น) ยกหางตนเอง (ยกตนเองดีว่าเก่ง) รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง (รู้จักเอาตัวรอด หรือปรับตัวให้เข้ากับเหตุการณ์) ฯลฯ

3 สุภาษิต หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อสั่งสอนโดยตรง ซึ่งอาจเป็นคติ ข้อติติง คำจูงใจ หรือคำห้าม และเนื้อความที่สั่งสอนก็เป็นความจริง เป็นความดีที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เช่น รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม (เรียนรู้ไว้ไม่หนักเรี่ยวหนักแรง หรือเสียหายอะไร) ฯลฯ

87 ข้อใดมีแต่คำพังเพย

ตอบ (1) ยกตนข่มท่าน ยกตัวขึ้นเหนือลม ยกหางตนเอง

ดูคำอธิบายข้อ 86 ประกอบ

88 ข่อใดเรียงลำดับถูกต้อง ตั้งแต่สำนวน คำพังเพย และสุภาษิต

ตอบ (2) รู้ยาวรู้สั้น รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม

ดูคำอธิบายข้อ 86 ประกอบ

89 ข้อใดไม่ปรากฏว่ามีสำนวน คำพังเพย หรือสุภาษิตเลย

ตอบ (4) ลิ้นอ่อน ลิ้นกระบือ ลิ้นไก่สั้น

คำในตัวเลือกข้อ 4 เป็นคำประสมทั้งหมด โดยคำว่า ลิ้นอ่อน หมายถึง อาการที่พูดออกสำเนียงได้ชัดเจน ลิ้นกระบือ หมายถึง ไม้แผ่นบางๆ สำหรับสอดเพลาะกระดานเป็นระยะๆ ให้สนิทแข็งแรง ลิ้นไก่สั้น หมายถึง อาการที่พูดอ้อแอ้ หรือพูดไม่ชัดอย่างคนเมาเหล้า

90 ข้อใดมีความหมายเหมือนกันทุกข้อความ

ตอบ (1) ยกตนข่มท่าน ยกตัวขึ้นเหนือลม ยกหางตนเอง

ดูคำอธิบายข้อ 86 ประกอบ

จงเลือกคำที่มีความหมายคนละพวกกับคำอื่นๆ แล้วตอบคำถาม 5 ข้อต่อไป

91 (1) เรื่องสั้น

(2) สารคดี

(3) วารสาร

(4) บทความ

ตอบ (1) เรื่องสั้น หมายถึง บันเทิงคดีร้อยแก้วรูปแบบหนึ่ง มีลักษณะคล้ายนวนิยาย แต่สั้นกว่า โดยมุ่งให้ความบันเทิงแก่ผู้อ่านเป็นหลัก (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นวรรณกรรมที่มุ่งให้ความรู้มากกว่าความบันเทิง)

92 (1) พริกไทย (2) ยี่หร่า (3) กระวาน (4) ดอกจัน

ตอบ (4) ดอกจัน หมายถึง รูปกลมๆ เป็นจักๆ เช่น ใช้เป็นเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์เพื่อเน้นข้อความที่สำคัญ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นพืชที่นิยมนำมาปรุงอาหาร ทำยา และเป็นเครื่องเทศ)

93 (1) พัดชา (2) สวมแว่น (3) สวมเสื้อ (4) สวมหมวก

ตอบ (1) พัดชา หมายถึง ชื่อเพลงไทยทำนองหนึ่ง ชื่อท่ารำท่าหนึ่ง (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นเครื่องมือสำหรับใช้โบกลม หรือพัดให้เย็น)

94 (1) สวมรอย (2) สวมแว่น (3) สวมเสื้อ (4) สวมหมวก

ตอบ (1) สวมรอย หมายถึง เข้าแทนที่คนอื่นโดยทำเป็นทีให้เข้าใจว่าตนเองเป็นตัวจริง (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นปฏิกิริยาที่เอาของที่เป็นโพรงเป็นวงครอบลงบนอีกสิ่งหนึ่ง เช่น สวมหมวก นุ่ง เช่น สวมกางเกง ใส่ เช่น สวมเสื้อ สวมแว่น ฯลฯ)

95 (1) สีเขียว (2) สีขาบ (3) สีเข้ม (4) สีขาว

ตอบ (3) สีเข้ม หมายถึง ลักษณะของสีที่แก่จัด (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นชนิดของสี เช่น สีเขียว (มีสีอย่างใบไม้สด ) สีขาบ (สีน้ำเงินแก่ม่วง) สีขาว (มีสีอย่างสำลี) เป็นต้น)

96 ลักษณนามของเหรียญทองคืออะไร

(1) อัน (2) วง (3) เหรียญ (4) เหรียญทอง

ตอบ (3) เหรียญ ดูคำอธิบายข้อ 43 ประกอบ

97 ลักษณนามของเครื่องคิดเลขคืออะไร

(1) อัน (2) ราง (3) ลูก (4) เครื่อง

ตอบ (4) เครื่อง ดูคำอธิบายข้อ 43 ประกอบ

98 “เขาไม่ย่อท้อ… ความลำบาก” ต้องใช้คำใด

(1) กับ (2) แก่ (3) ใน (4) ต่อ

ตอบ (4) ต่อ ดูคำอธิบายข้อ 75 ประกอบ

99 “ผู้ปรารถนา…ต้องแสวงหาความรู้” ต้องใช้วลีใด

(1) การก้าวหน้า (2) การรุดหน้า (3) ความก้าวหน้า (4) ความรุดหน้า

ตอบ (3) ความก้าวหน้า

อาการนาม คือ คำนามที่เกิดจากการเติมคำว่า “การ” (ถ้าหมายถึงการกระทำ) หรือคำว่า “ความ” (ถ้าหมายถึงความเป็นอยู่ ) หน้าคำกริยาหรือคำวิเศษณ์ ซึ่งจะต้องเลือกใช้ให้ถูกต้อง เช่น การเรียน (การเข้ารับความรู้จากผู้สอน) ความก้าวหน้า (ความเจริญพัฒนาเร็วกว่าปกติ) ฯลฯ

100 “เขามามหาวิทยาลัย…ไม่เรียนหนังสือจึงสอบตก” ต้องใช้คำใด

(1) ด้วย (2) กับ (3) แต่ (4) มิฉะนั้น

ตอบ (3) แต่

คำสันธาน คือ คำที่เชื่อมความให้ต่อเนื่องเป็นความเดียวกัน ซึ่งอาจเชื่อมคำกับคำ เช่น พี่กับน้อง ฯลฯ หรือเชื่อมประโยคกับประโยค เช่น เขามามหาวิทยาลัยแต่ไม่เรียนหนังสือ จึงสอบตก ฯลฯ (ดูคำอธิบายข้อ 55 ประกอบ)

101 “อาจารย์ถึงวัย…แล้ว” ต้องใช้คำใด

(1) เกษียน

(2) เกษียณ

(3.) เกษียร

(4) เกศียน

ตอบ (2) เกษียณ หมายถึง สิ้นไป (ใช้เกี่ยวกับการกำหนดอายุ) เช่น เกษียณอายราชการ (ส่วนเกษียน หมายถึง ข้อความที่เขียนแทรกไว้ เช่น ในใบลาน เกษียร หมายถึง น้ำนม เกศียน เป็นคำ ที่สะกดผิด จึงไม่มีบัญญัติไว้ในพจนานุกรม)

102 “ฉันไปเที่ยวงาน…พระพุทธบาท” ต้องใช้คำใด

(1) สมโภช (2) สมโพธิ (3) สมโภชน์ (4) สมโภชก์

ตอบ (1) สมโภช หมายถึง งานฉลองในพิธีมงคลสมรสเพื่อความยินดีเริงร่า เช่น งานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี เป็นต้น (ส่วนสมโพธิ หมายถึง การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า สมโภชน์/ สมโภชก์ เป็นคำที่สะกดผิด จึงไม่มีบัญญัติไว้ในพจนานุกรม)

103 “นายกรัฐมนตรีคนก่อน…แล้ว” ต้องใช้คำใด

(1) ถึงแก่กรรม (2) ถึงแก่อนิจกรรม (3) ถึงแก่อสัญกรรม (4) สิ้นชีพิตักษัย

ตอบ (3) ถึงแก่อสัญกรรม หมายถึง ความตาย ใช้กับผู้ตายที่มีบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยา หรือผู้ที่ดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรี นายกรัฐมนตรี ประธานสภา (ส่วนถึงแก่กรรม หมายถึง ตาย ใช้แก่คนทั่วไป ถึงแก่อนิจกรรม หมายถึง ตาย ใช้แก่พระยาพานทองหรือเทียบเท่า สิ้นชีพิตักษัย หมายถึง ตาย ใช้เฉพาะหม่อมเจ้า)

104 “วันนี้มีคนมาสอบ…” ต้องใช้คำใด

(1) เยอะ (2) เยอะมาก (3) มากมาย (4) จำนวนมาก

ตอบ (4) จำนวนมาก หมายถึง มียอดรวมมาก มักใช้ในภาษาสุภาพระดับทางการ หรือใช้ในภาษาเขียน (ส่วน เยอะ/เยอะมาก หมายถึง มากเหลือหลาย ใช้ในภาษาปากระดับไม่เป็นทางการ มากมาย หมายถึง มากเหลือหลาย ล้นหลาม ใช้ในภาษาระดับกึ่งทางการ)

105 “เธอไม่ปล่อยให้เขา…สายตาไปได้” ต้องใช้คำใด

(1) คลาด (2) เคลื่อน (3) คลาดเคลื่อน (4) เคลื่อนคล้อย

ตอบ (1) คลาด หมายถึง เคลื่อนจากที่หมาย เคลื่อนจากกำหนดเวลา ไม่พบ เช่น คลาดกัน คลาดสายตา ฯลฯ (ส่วนเคลื่อน หมายถึง ออกจากที่หรือทำให้ออกจากที่ คลาดเคลื่อน หมายถึง ผิดจากความเป็นจริง เคลื่อนคล้อย หมายถึง เคลื่อนหรือเลื่อนในลักษณะหย่อนลง ลดต่ำ)

106 “เขาถวายของ…พระภิกษุ” ต้องใช้คำใด

(1) แก่ (2) ให้ (3) แด่ (4) เพื่อ

ตอบ (3) แด่ ดูคำอธิบายข้อ 75 ประกอบ

107 ประสิทธิภาพของการใช้ภาษาขึ้นอยู่กับสิ่งใด

(1) ผู้รับภาษา (2) ผู้ส่งภาษา (3) ลักษณะของภาษา (4) ทุกข้อ

ตอบ (4) ทุกข้อ

ประสิทธิภาพของการใช้ภาษาย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบดังต่อไปนี้

1 ผู้ส่งภาษา ซึ่งจะใช้ภาษาโดยการพูดและการเขียน

2 สาร (ลักษณะของภาษา)

3 ผู้รับภาษา ซึ่งจะใช้ภาษาโดยการฟังและการอ่าน

108 ผู้รับภาษาใช้ภาษาในลักษณะใด

(1) พูดและฟัง (2) ฟังและเขียน (3) อ่านและฟัง (4) เขียนและอ่าน

ตอบ (3) อ่านและฟัง ดูคำอธิบายข้อ 107 ประกอบ

109 ปัญหาดารใช้ภาษาลักษณะใดที่เห็นได้ชัดเจน

(1) อ่านและเขียน (2) เขียนและพูด (3) ฟังและอ่าน (4) พูดและฟัง

ตอบ (2) เขียนและพูด

ปัญหาการใช้ภาษาที่สามารถเห็นได้ชัดเจน คือ การพูดและเขียนซึ่งถือเป็นกระบวนการภายนอก เพราะเป็นการใช้ภาษาที่ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ส่วนการฟังและอ่านถือเป็นกระบวนการภายใน เพราะเป็นการใช้ภาษาที่สังเกตเห็นได้ยาก กล่าวคือ ผู้พูดและผู้เขียนมิอาจทราบได้ว่า ผู้ฟังและผู้อ่านเข้าใจสารที่ตนส่งหรือสื่อออกไปหรือไม่ เพียงไร

110 พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ใด ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

(1) พ.ศ. 2493 (2) พ.ศ. 2525 (3) พ.ศ. 2542 (4) พ.ศ. 2550

ตอบ (3) พ.ศ. 2542

พจนานุกรมที่ใช้อย่างเป็นทางการในปัจจุบัน คือ พจนานุกรมฉบับบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมคำที่มีใช้อยู่ในภาษาไทย โดยให้ความรู้และกำหนดในเรื่องอักขรวิธี (คำเขียน) การออกเสียงอ่านและนิยามความหมาย ตลอดจนบอกประวัติของคำเท่าที่จำเป็น

111 การศึกษาระดับของคำเกี่ยวข้องกับเรื่องใด

(1) ความคิด

(2) สัญลักษณ์

(3) สังคม

(4) ทุกข้อ

ตอบ (3) สังคม

คำในภาษาไทยมีระดับต่างกัน นั่นคือ มีการกำหนดคำให้ใช้แตกต่างกันไปตามความเหมาะสมแก่บุคคลและกาลเทศะ ซึ่งจะต้องรู้ว่าในโอกาสใด สถานที่เช่นไรและกับบุคคลใดจะใช้คำหรือข้อความใดจึงจะเหมาะสม ดังนั้นจึงมีการแบ่งคำเพื่อนำไปใช้ในที่สูงต่ำกันตามความเหมาะสมหรือตามการยอมรับของสังคมเป็น 2 ระดับ คือ

1 คำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ ได้แก่ คำราชาศัพท์ คำสุภาพ และคำเฉพาะวิชาหรือศัพท์บัญญัติ

2 คำที่ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ สามารถใช้คำได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคำปากหรือคำตลาด คำแสลง คำเฉพาะอาชีพ คำโฆษณา ฯลฯ และคำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ

112 หน้าที่ของคำในประโยคเกี่ยวข้องกับเรื่องใด

(1) น้ำหนัก (2) ระดับ (3) ความหมาย (4) ทุกข้อ

ตอบ (3) ความหมาย

หน้าที่ของคำในประโยคจะเกี่ยวข้องกับความหมายของคำ เพราะตามปกติคำจะมีความหมายอย่างไรนั้นย่อมขึ้นอยู่กับตำแหน่งหรือหน้าที่ของคำในข้อความที่เรียบเรียงขึ้น นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความเข้าใจหรือการแปลความหมายของผู้ใช้อีกด้วย

113 การใช้ภาษาให้ถูกระดับเกี่ยวข้องกับเรื่องใด

(1) กาละ (2) เทศะ (3) บุคคล (4) ทุกข้อ

ตอบ (4) ทุกข้อ ดูคำอธิบายข้อ 111 ประกอบ

114 คำแสลงเป็นคำที่ใช้ในภาษาระดับใด

(1) ทางการ (2) กึ่งทางการ (3) ไม่เป็นทางการ (4) ทุกข้อ

ตอบ (3) ไม่เป็นทางการ ดูคำอธิบายข้อ 111 ประกอบ

คำแสลง เป็นคำที่ใช้กันในหมู่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง มักจะได้รับความนิยมเป็นครั้งคราวแล้วก็เลิกใช้กันไป มีน้อยคำที่จะอยู่คงทนจึงถือกันว่าเป็นคำที่ไม่สู้สุภาพนัก และจะไม่นำมาใช้ในการพูดหรือเขียนอย่างเป็นทางการเด็ดขาด เช่น นิ้ง ซ่า จุ๊ย เจ๋ง ปึ๊ก เอ๊าะ กิ๊ก ส.บ.ม. เป็นต้น

115 ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการสามารถใช้คำประเภทใดได้

(1) คำปาก (2) คำสุภาพ (3) คำเฉพาะวิชา (4) ทุกข้อ

ตอบ (4) ทุกข้อ ดูคำอธิบายข้อ 111 ประกอบ

116 การเว้นวรรคไม่ถูกต้องทำให้ประโยคมีลักษณะอย่างไร

(1) ไม่ชัดเจน (2) ไม่รัดกุม (3) ไม่มีน้ำหนัก (4) ไม่มีภาพพจน์

ตอบ (1) ไม่ชัดเจน

การผูกประโยคให้ถูกต้องชัดเจนจะขึ้นอยู่กับ

1 การเรียงคำให้ถูกที่ 2 การขยายความให้ถูกที่ 3 การใช้คำตามแบบภาษาไทย

4 การใช้คำให้สิ้นกระแสความ 5 การเว้นวรรคตอนให้ถูกต้อง

(พี่หม่อนขอยกตัวอย่างสักหนึ่งเรื่องเกี่ยวกับคำอวยพร)

ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็ง (เว้นวรรค) แรงไม่มีโรคภัยเบียดเบียน

จะเห็นได้ว่าพอเว้นวรรคแล้ว แทนที่จะเป็นคำอวยพร แต่ความหมายกลับเป็นตรงกันข้าม เพราะฉะนั้นเวลาใช้ขอให้น้องๆระวังด้วย

117 การเขียนแบบใดที่ควรใช้ประโยคที่มีภาพพจน์

(1) ข่าว (2) ตำรา (3) จดหมาย (4) บทความ

ตอบ (4) บทความ

ประโยคที่มีน้ำหนักและภาพพจน์นั้นมักนำไปใช้กับข้อเขียนประเภทบทความ โดยควรนำไปใช้ก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าทำให้เรื่องราวดีขึ้น และควรใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะถ้านำไปใช้อย่างพร่ำเพรื่อและใช้อย่างไม่พิจารณาแล้วจะทำให้เฝือและรู้สึกขัดเขิน

118 การรวบความทำให้ประโยคมีลักษณะอย่างไร

(1) ถูกต้อง (2) รัดกุม (3) มีน้ำหนัก (4) มีภาพพจน์

ตอบ (2) รัดกุม

การผูกประโยคให้กระชับรัดกุม มีสิ่งที่จะต้องพิจารณา คือ 1 การรวบความให้กระชับ 2 การลำดับความให้รัดกุม 3 การจำกัดความ

119 ประโยคที่มีน้ำหนักควรนำไปใช้อย่างไร

(1) ใช้เขียน (2) ใช้พูด (3) ใช้ได้ทั่วไป (4) ใช้เท่าที่จำเป็น

120 การใช้ประโยคต้องคำนึงถึงด้านใด

(1) ความถูกต้อง (2) ความเหมาะสม (3) ความมีน้ำหนัก (4) ความรัดกุม

ตอบ (1) ความถูกต้อง

สิ่งที่ควรเพ่งเล็งและคำนึงถึงมากที่สุดในการใช้ประโยคทั้งในการพูดและการเขียน คือ ความถูกต้องชัดเจน เพราะถ้าหากใช้คำหรือประโยคไม่ถูกต้องจะทำให้ไม่สามารถสื่อความหมายตามที่ต้องการได้ รวมทั้งยังทำให้ผู้ฟังและผู้อ่านไม่เข้าใจหรือไม่เข้าใจตรงกันกับผู้พูดและผู้เขียนอีกด้วย

 

THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย
คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. ข้อใดมีคำที่บอกอาการหรือลักษณะของคน
1. ว่องไว้ ซุบซิบ กระแทก
2. เตลิด กระเตื้อง ขวักไขว่
3. แช่มช้อย ล่ำสัน คล่องแคล่ว
4. อ่อนหวาน ทรหด พลุกพล่าน

ตอบ 3 หน้า 44, 47 (52067), 62 – 63 (H) ความหมายแฝง คือ ความ หมายย่อยที่แฝงอยู่ในความหมายใหญ่ ซึ่งจะแนะรายละเอียดบางอย่างไว้ในความหมายนั้น ๆ เช่น ความหมายแฝงที่บอกอาการหรือลักษณะของคนบางจำพวก ได้แก่
1. ลักษณะของผู้หญิง เช่น อ้อนแอ้น, แช่มช้อย,อ่อนหวาน, นิ่มนวล ฯลฯ
2. ลักษณะของผู้ชาย เช่น บึกบึน,ล่ำสัน,ทรหด ฯลฯ
3. ลักษณะของเด็ก เช่น งอแง,โยเย,จ้ำม่ำ ฯลฯ
4. ลักษณะของคนแก่ เช่น งกเงิ่น,หง่อม,ง่องแง่ง ฯลฯ
5. ลักษณะของคนที่แข็งแรงและขยันขันแข็ง เช่น ว่องไว,คล่องแคล่ว,กระฉับกระเฉง ฯลฯ

2. ข้อใดไม่ใช่คำที่แยกเสียงแยกความหมาย
1. กวด – ขวด
2. กว้าง – ขว้าง
3. กริบ – ขลิบ
4. กำจัด – ขจัด

ตอบ 4 หน้า 51 – 58 (52067), 65 – 66 (H) การ แยกเสียงแยกความหมาย คือ การเปลี่ยนแปลงเสียงในคำบางคำที่มีความหมายหลายอย่างให้แตกต่างกันบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความสันสนว่าคำนั้นมีความหมายว่าอย่างไรในที่นั้น ๆ โดยความหมายย่อมและที่ใช้อาจจะแตกต่างกัน ได้แก่ คำว่า กวด – ขวด, กว้าง –ขว้าง, กริบ – ขลิบ เป็นต้น (ส่วนคำว่า กำจัด – ขจัด เป็นคำที่ไม่แยกความหมาย หรือมีความหมายอย่างเดียวกัน คือ ขับไล่ ปราบ หรือทำให้สิ้นไป)

3. ข้อใดมีคำซ้อนเพื่อความหมาย
1. เขาเป็นคนหนักแน่
2. เขาเป็นคนโลเล
3. เขาเป็นแม่งาน
4. เขาเป็นทหารผ่านศึก

ตอบ 1 หน้า 62 – 63, 67 – 73 (52067), 67 – 74 (H) คำซ้อน คือ คำ เดี่ยว 2, 4 หรือ 6 คำ ที่มีความหมายหรือมีเสียงใกล้เคียงกัน หรือเป็นไปในทำนองเดียวกัน ซ้อนเข้าด้วยกันเพื่อทำให้เกิดคำใหม่ที่มีความหมายใหม่ขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้

1. คำ ซ้อนเพื่อความหมาย (มุ่งที่ความหมายเป็นสำคัญ) ซึ่งอาจเป็นคำไทยซ้อนเข้าด้วยกัน เช่น หน้าตา,เล็กน้อย, หนักแน่น ฯลฯ หรืออาจเป็นคำไทยซ้อนกับคำภาษาอื่น เช่น เงียบสงัด (ไทย + เขรม),ทรัพย์สิน (สันสกฤต + ไทย) ฯลฯ
2. คำซ้อนเพื่อเสียง (มุ่งที่เสียงเป็นสำคัญ) เช่น โลเล (สระโอ + เอ), เอะอะ (สระเอะ + อะ) ฯลฯ

4. ข้อใดใช้คำซ้อนเพื่อเสียง
1. เธอไม่ชอบกู้หนี้ยืมสิน
2. เธอเป็นแม่ครัวมือหนึ่ง
3. เธอมีทรัพย์สินมากมาย
4. เธอชอบเอะอะโวยวาย

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

5. ข้อใดใช้ไม้ยมก (ๆ) ถูกต้อง
1. มีของนา ๆ ชนิด
2. มีเด็กชายตัวดำ ๆ ใส่เสื้อสีแดง ๆ
3. มีผ้าลาย ๆ เรขาคณิต
4. มีเจ้าหน้าที่ ๆ รับผิดชอบเรื่องนี้

ตอบ 2 หน้า 76 – 77 (52067), 76 (H) คำซ้ำ คือ คำ คำเดียวกันที่นำมากล่าว 2 ครั้ง เพื่อให้มีความหมายเน้นหนักขึ้น หรือเพื่อให้มีความหมายต่างจากคำเดี่ยว ซึ่งวิธีการสร้างคำซ้ำก็เหมือนกับการสร้างคำซ้อน แต่ใช้คำคำเดียวมาซ้อนกันโดยมีเครื่องหมายไม้ยมกกำกับ เช่น คำซ้ำที่ซ้ำคำขยาย ได้แก่ ตัวดำ ๆ (ตัวไม่ดำเสียทีเดียว แต่มีลักษณะไปทางดำ),เสื้อสีแดง ๆ (เสื้อไม่แดงทั้งตัว แต่มีสีแดงมากและเห็นชัดกว่าสีอื่น) เป็นต้น

6. ประโยคใดเป็นคำประสม
1. น้ำแข็งแล้ว
2. น้ำ / แข็ง / แล้ว
3. น้ำ / แข็งหมดแล้ว
4. น้ำแข็ง / หมดแล้ว

ตอบ 4 หน้า 80 – 81 (52067), 78 – 81 (H) คำประสม คือ คำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปมาประสมเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้คำใหม่ที่มีความหมายใหม่มาใช้ในภาษา ซึ่ง ความหมายสำคัญจะอยู่ที่คำต้น (คำตัวตั้ง)ส่วนที่ตามมาเป็นคำขยาย ซึ่งไม่ใช่คำที่ขยายคำต้นจริง ๆ แต่จะช่วยให้คำทั้งคำมีความหมายจำกัดเป็นนับเดียว เช่น คำประสมที่ใช้เป็นคำนาม โดยมีคำตัวตั้งเป็นนามและคำขยายเป็นวิเศษณ์ ได้แก่ น้ำแข็ง หมายถึง น้ำชนิดหนึ่งที่แข็งเป็นก้อนด้วยความเย็นจัดตามธรรมชาติหรือทำขึ้น เป็นต้น หรืออาจเป็นคำประสมที่นำคำไทยมาประสมกับคำอังกฤษ ได้แก่ รถเมล์ ตู้โชว์ เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำเดี่ยวเรียงกัน)

7. ข้อใดมีคำประสมทุกคำ
1. ในตู้โชว์มีเสื้อลายสีสวย
2. เขาขึ้นรถเมล์ไปซื้อน้ำแข็ง
3. เขาอยู่กินกับภรรยามาหลายปี
4. มีคนอยู่ในบ้านพักอย่างหนาแน่น

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ

8. ข้อใดใช้คำว่า “ผลัด” ไม่ถูกต้อง
1. ผลัดเวร
2. ผลัดเสื้อ
3. ผลัดเปลี่ยน
4. ผัดวันประกันพรุ่ง

ตอบ 4 คำว่า “ผลัด” หมายถึง เปลี่ยนแทนที่ เช่น ผลัดเสื้อผ้า ผลัดเวร หรือ เป็นลักษณนามเรียกการผลัดเปลี่ยนเวรยาม เช่น เปลี่ยนเวรวันละ 3 ผลัด (ส่วนคำว่า “ผัด” หมายถึง ขอเลื่อนเวลาไป เช่น ผัดวัน ผัดหนี้ หรือขอเลื่อนเวลาออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า เช่น ดวันประกันพรุ่ง)

9. “น้องปันกำลังปั่นจักรยาน ส่วนน้องปั๋นกำลังปั้นดิน” ข้อความนี้แสดงลักษณะใดของภาษาไทย
1. มีระบบเสียงสูงต่ำ
2. มีการใช้คำสุภาพตามฐานะของบุคคล
3. คำเดียวกันใช้ได้หลายหน้าที่
4. มีลักษณนามกับคำขยายบอกจำนวนนับ

ตอบ 1 หน้า 2, 33 – 37 (52067), 10, 55 , 59 (H) ระบบเสียงสูงต่ำ (เสียง วรรณยุกต์) ในภาษาไทย คือ การกำหนดเสียงสูงต่ำไว้ตายตัวในคำแต่ละคำ เพื่อต้องการแยกความหมาย โดยให้เสียงหนึ่งมีความหมายอย่างหนึ่ง หากเปลี่ยนเสียงความหมายก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย เช่น ปัน (เสียงสามัญ) = แบ่ง แต่ในที่นี้ใช้เป็นเชื่อคน,ปั่น (เสียงเอก) = ทำให้หมุน,ปั้น (เสียงโท) = เอาสิ่งอ่อน ๆ เช่น ขี้ผึ้ง ดินเหนียว มาปั้นให้เป็นรูปตามที่ต้องการ เป็นต้น

10. ประโยคใดแสดงกาล
1. เขากำลังกินข้าว
2. เขากินข้าวหรือยัง
3. เขายังไม่ได้กินข้าว
4. เขากินข้าวกับอะไร

ตอบ 1 หน้า 121 – 123 (52067) การแสดงกาล คือ การแสดงให้รู้ว่ากริยากระทำเมื่อไรซึ่งต้องอาศัยกริยาช่วยเพื่อบอกกาลเวลาที่ต่างกันดังนี้

1. บอกปัจจุบัน ได้แก่ อยู่, กำลัง, กำลัง..อยู่, กำลัง….อยู่แล้ว
2. บอกอนาคต ได้แก่ จะ, กำลังจะ, กำลังจะ..อยู่,กำลังจะ..อยู่แล้ว
3. บอกอดีต ได้แก่ ได้, ได้..แล้ว, ได้..อยู่แล้ว , เพิ่ง,มา

11. ข้อใดใช้สระเดี่ยวเสียงสั้น
1. ใจ
2. จด
3. จิ๋ว
4. จ้อง

ตอบ 2 หน้า 8 -14 (52067), 17 , 25 (H) เสียงสระในภาษาไทย ถ้านับทั้งเสียงสั้นและเสียงยาวจะมีอยู่ 28 เสียง คือ
1. สระเดี่ยว 18 เสียง ได้แก่ อะ อิ อึ อุ เอะ แอะ เออะ โอะ เอาะ (เสียงสั้น) อา อี อื อู เอ แอ เออ โอ ออ (เสียงยาว)
2. สระผสม 10 เสียง ได้แก่ เอียะ เอือะ อัวะ เอา ไอ (เสียงสั้น) เอีย เอือ อัว อาว อาย (เสียงยาว)
(ส่วน “จิ๋ว” ถึงแม้จะมีสระเดี่ยว อิ แต่ลงท้ายด้วย ว ซึ่งเป็นพยัญชนะกึ่งสระจึงถือเป็นสระผสม 2 เสียง คือ อิ + ว (อิ + อุ) = จิ๋ว)

12. คำใดสะกดด้วยสระ อื + อา + อี
1. มวย
2. ไม้
3. แมว
4. เมื่อย

ตอบ 4 หน้า 14 (52067), 24, 28 (H) คำ ว่า “เมื่อย” ลงท้ายด้วย ย ซึ่งเป็นพยัญชนะกึ่งสระจึงอาจพิจารณาได้ 2 ลักษณะ คือ อาจเป็นตัวสะกด ย เช่น เอือ + ย หรือเป็นสระผสม 3 เสียงก็ได้ เช่น อื + อา +อี =เมื่อย

13. ข้อใดใช้สระเดี่ยวเสียงยาวทุกคำ
1. เจ้า
2. แจว
3. เจือ
4. เจี๊ยบ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 11. ประกอบ

14. คำใดใช้สระผสมเสียงสั้น
1. ไล่
2. ลุก
3. ลาย
4. เลือน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 11. ประกอบ

15. คำใดใช้สระผสมเสียงยาว
1. โลภ
2. เลข
3. ลึก
4. ลวด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 11.ประกอบ

16. คำว่า “เที่ยว”มีเสียงสระใด
1. อี +อา + อุ
2. อู + อา + อี
3. อี + อา +อู
4. อื + อา + อี

ตอบ 3 หน้า 14 (52067), 24, 26 (H) คำว่า “เที่ยว” ลงท้ายด้วย ว ซึ่งเป็นพยัญชนะกึ่งสระจึงอาจพิจารณาได้ 2 ลักษณะ คือ อาจเป็นตัวสะกด ว เช่น เอีย + ว หรือเป็นสระผสม 3 เสียงก็ได้ เช่น อี + อา + อู = เที่ยว

17. คำว่า “น้ำ” ข้อใดออกเสียงยาวกว่าคำอื่น
1. น้ำตาตกใน
2. แม่น้ำเจ้าพระยา
3. น้ำดื่มน้ำใช้
4. น้ำใจคนไทย

ตอบ 2 หน้า 15 – 16, 40 – 42, 90 – 91 (52067), 33 – 34, 60 – 61, 80 – 81 (H) อัตรา การออกเสียงสั้นยาวตามภาษาพุดมาตรฐานจะใช้มาตราในการวัดความยาวของเสียง คือ สระเสียงสั้นออกเสียง 1 มาตร สระเสียงยาวออกเสียง 2 มาตรา นอกจากนี้ถ้าเป็นคำหลายพยางค์หรือคำประสม มักจะลงเสียงเน้นที่พยางค์หรือคำท้าย (ออกเสียงยาว 2 มาตรา) ส่วนคำพยางค์หน้าที่ไม่ได้ลงเสียงเน้นก็มักจะสั้นลง (ออกเสียงสั้นเพียง 1 มาตรา) เช่น คำว่า “น้ำ” ใน น้ำตา น้ำดื่มน้ำใช้ น้ำใจ ซึ่งเป็นคำประสมจะออกเสียงพยางค์หน้าสั้นราว 1 มาตรา ส่วนคำว่า “น้ำ” ใน แม่น้ำ จะออกเสียงพยางค์หรือคำท้ายยาวราว 2 มาตรา เป็นต้น

18. ข้อใดกระจายคำว่า “สรรค์” ไม่ถูกต้อง
1. พยัญชนะต้น = สร
2. สระ = สระอะ
3. ตัวสะกด = แม่กน
4. วรรณยุกต์ = เสียงจัตวา ไม่มีรูปวรรณยุกต์

ตอบ 1 หน้า 28 – 29 (52067) คำว่า “สรรค์” (ออกเสียงว่า สัน) เป็นคำยืมมาจากภาษาสันสกฤตมีความหมายว่า สร้างให้มีให้เป็นขึ้น โดยมี “ส” เป็นพยัญชนะต้น ใช้สระอะ ใช้วรรณยุกต์เสียงจัตวา (ไม่มีรูปวรรณยุกต์) และใช้ตัวสะกดแม่กน (น ณ ร ล ฬ ญ ) ซึ่งในที่นี้คือ สรรค์ (ส่วนเสียงที่ไม่ต้องการออกเสียงจะใส่เครื่องหมายทัณฑฆาตฆ่าเสียงเสีย)

19. พยัญชนะต้นข้อใดเป็นเสียงเสียดแทรก
1. เคว้งคว้าง
2. เก้งก้าง
3. ฟุ่มเฟือย
4. ขวนขวาย

ตอบ 3 หน้า 19 (52067), 40 – 41 (H) พยัญชนะเสียงเสียดแทรก คือ พยัญชนะที่เสียงถูกขัดขวางบางส่วน เพราะเมื่อลมหายใจผ่านช่องอวัยวะที่เบียดชิดกันมาก แล้วถูกกักไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของปาก แต่ก็ยังมีทางเสียดแทรกออกมาได้ เป็นเสียงที่ออกติดต่อกันได้นานกว่าเสียงระเบิด ได้แก่ พยัญชนะต้น ส (ซ ศ ษ ) และ ฟ (ฝ)

20. ข้อใดมีพยัญชนะที่เป็นอักษรควบแท้
1. จริงจัง
2. ขวักไขว่
3. สร้างสรรค์
4. ทรวดทรง

ตอบ 2 หน้า 22 – 26 (52067), 44 – 49 (H) การออกเสียงควบกล้ำในภาษาไทยมีอยู่ 2 ลักษณะดังนี้
1. เสียงกล้ำ กันสนิท (อักษรควบแท้) คือ พยัญชนะคู่ที่ออกเสียงสองเสียงควบกล้ำไปพร้อมกันโดยเสียงทั้งสองจะร่วมเสียง สระและเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน ซึ่งมีเพียงประเภทเดียวคือเมื่อพยัญชนะระเบิดนำแล้วตามด้วยพยัญชนะเหลวหรือ กึ่งสระ (ร ล ว) เช่น กวาง, ขวักไขว่, ขวาน, ผลุด ฯลฯ
2. เสียงกล้ำ กันไม่สนิท (อักษรควบไม่แท้) คือ พยัญชนะคู่ที่มาด้วยกันแต่ไม่ได้ออกเสียงทั้งสองเสียงกล้ำไปพร้อมกัน และไม่ได้ร่วมเสียงสระและเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน เช่น จริง (จิง), สร้าง (ส้าง),ทรวดทรง (ชวดซง), แทรก (แซก) ฯลฯ

21. ข้อใดเขียนตัวควบกล้ำ ไม่ถูกต้อง
1. เธอรูปร่างกะทัดรัด
2. เธอรีบไปกะทันหัน
3. เธอเป็นคนกะป้ำกะเป๋อ
4. เธอชอบกินหมูกะทะ

ตอบ 4 ข้อความในตัวเลือกข้างต้นเขียนตัวควบกล้ำไม่ถูกต้อง จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น เธอชอบกินหมูกระทะ

22. ข้อใดใช้ตัวสะกดเดียวกับคำว่า “มารค”
1. ราก
2. ราด
3. ราง
4. ราน

ตอบ 1 หน้า 27 – 29 (52067), 50 – 53 (H) พยัญชนะ ท้ายคำที่ทำหน้าที่เป็นตัวสะกดในภาษาไทยจะมีได้เพียงเสียงเดียว แม้ในคำที่ยืมมาจากภาษาอื่นจะมีพยัญชนะท้ายคำเรียงกันมามากกว่าเสียงเดียวก็ ตามโดยพยัญชนะตัวสะกดของไทยจะมีทั้งหมดเพียง 8 เสียงเท่านั้น ดังนั้น
1. แม่กก ได้แก่ ก ข ค ฆ
2. แม่กด ได้แก่ จ ฉ ช ซ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส
3.แม่กบ ได้แก่ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ
4. แม่กน ได้แก่ น ณ ร ล ฬ ญ
5. แม่กง ได้แก่ ง
6. แม่กม ได้แก่ ม
7. แม่เกย ได้แก่ ย
8. แม่เกอว ได้แก่ ว

23. คำว่า “แทรก” อ่านออกเสียงแบบใด
1. อ่านแบบอักษรนำ
2. อ่านแบบเรียงพยางค์
3. อ่านแบบควบกล้ำแท้
4. อ่านแบบควบกล้ำไม่แท้

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 20. ประกอบ

24. ข้อใดเขียนรูปวรรณยุกต์ถูกต้อง
1. ขนมคุ้กกี้ของฉัน
2. โน้ตบุ๊คของเธอ
3. เสื้อเชิ้ตของเขา
4. ขนมเค๊กของน้อง

ตอบ 2 หน้า 33 – 37 (56067), 55 – 60 (H) เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมี 5 เสียง 4 รูป คือ เสียงสามัญ (ไม่มีรูปวรรณยุกต์กำกับ), เสียงเอก ( ก่ ),เสียงโท ( ก้ ),เสียงตรี( ก๊ ),และเสียงจัตวา ( ก๋ )ซึ่งในคำบางคำ รูปและเสียงวรรณยุกต์อาจไม่ตรงกัน จึงควรเขียนรูปวรรณยุกต์ให้ถูกต้อง เช่น โน้ตบุ๊คของเธอ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นใช้รูปวรรณยุกต์ผิดจึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น ขนมคุกกี้ของฉัน, เสื้อเชิ้ตของเขา,ขนมเค้กของน้อง)

25. ข้อใดออกเสียงแบบเคียงกันมา
1. สมุด สนอง สนิท
2. เสม็ด แสลง สยอง
3. สดับ สบาย เสบียง
4. สลวย สยาม สนาม

ตอบ 3 หน้า 22 (52067), 44 (H) การ ออกเสียงแบบตามกันมา หรือเคียงกันมา (การออกเสียงแบบเรียงพยางค์) คือ การออกเสียงแต่ละเสียงเต็มเสียง และเสียงทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เช่น สดับ ( สะ – ดับ), สบาย ( สะ – บาย), เสบียง (สะ – เบียง) เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นออกเสียงแบบนำกันมา หรืออักษรนำ (เสียง ห นำ) ได้แก่ สะ – หมดุ, สะ – หนอง, สะ – หนิด, สะ – เหม็ด,สะ – แหลง, สะ – หยอง, สะ – หลวย, สะ – หยาม, สะ – หนาม)

26. ข้อใดออกเสียงแบบนำกันมา (อักษรนำ)

1. สระว่ายน้ำ
2. ชุดรุดทรุดโทรม
3. ซากปรักหักพัง
4. ปลักวัวปลักควาย

ตอบ 3 หน้า 22 (52067), 44 (H) การ ออกเสียงแบบนำกันมา (อักษรนำ) คือ พยัญชนะคู่ที่พยัญชนะตัวหน้ามีอำนาจเหนือพยัญชนะตัวหลัง โดยที่พยัญชนะตัวหน้าจะออกเสียงเพียงครึ่งเสียง และพยัญชนะตัวหลังก็จะเปลี่ยนเสียงตาม ซึ่งจะออกเสียงเหมือนกับเสียงที่มี ห นำ เช่น ปรัก (ปะ – หรัก) ในคำว่า “ซากปรักหักพัง” เป็นต้น

27. ข้อใดมีคำเป็นมากว่าคำตาย
1. นัด แนะ นึก นับ
2. นอน ใน นาฎ แนบ
3. นัก เน่า นาก นอน
4. น้ำ หนาว นก น้อย

ตอบ 4 หน้า 28 (52067), 51 – 53 (H) คำเป็น คือ คำที่สะกดด้วยแม่กง แม่กน แม่กม แม่เกย และแม่เกอว ส่วนคำตาย คือ คำที่สะกดด้วยแม่กก แม่กด และแม่กบ (ดูคำอธิบายข้อ 22. ประกอบ)

28. ข้อใดมีคำตายทุกคำ
1. กัก เกิด เก็บ เกลียด
2. กอด กับ เก้า กิน
3. ไก่ กบ กัด กราย
4. เกรียบ แก้ม ก้อง แก้ว

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 27. ประกอบ

29. ข้อใดใช้คำถูกต้อง
1. เขาเลิกราจากกันไป
2. รักจึงได้แรมรา
3. จะมัวร่ำลากันทำไม่
4. รักแท้ไม่มีวันแรมลา

ตอบ 2 คำว่า “แรมรา) หมายถึง ค่าย ๆ เหินห่างและทอดทิ้งไปในที่สุด (ส่วนตัวเลือกอื่นใช้คำไม่ถูกต้องจึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น เขาเลิกราจากกันไป,จะมัวล่ำลากันทำไม่,รักแท้ไม่มีวันแรมรา)

30. ข้อใดคำอุปมาสื่อความหมาย
1. แม่ซื้อตุ๊กตาให้น้อง
2. น้องสาวฉันชื่อตุ๊กตา
3. ตุ๊กตาตัวนี้น่ารักจัง
4. ไม่อยากเป็นตุ๊กตาหน้ารถใคร

ตอบ 4 หน้า 48 – 49 (52067), 64 (H) คำอุปมา คือ คำ ที่ใช้เปรียบเทียบเพื่อพรรณนาบอกลักษณะให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้มีความหมายใหม่เกิดขึ้นอีกความหมายหนึ่งซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. คำอุปมาที่ได้มาจากคำที่มีใช้อยู่แล้ว เช่น ตุ๊กตา ( นิ่ง ไม่กระดุกกระดิก), ปลิง (เกาะไม่ยอมปล่อยเพื่อถือประโยชน์จากคนอื่น โดยที่ตัวเองไม่ต้องทำอะไร) ฯลฯ
2. คำอุปมาที่สร้างขึ้นใหม่ เช่น กลับเนื้อกลับตัว (เลิกทำชั่วหันมาทำดี),แมวนอนหวด(ซื่อจนเซ่อ),แมวขโมย (คอยจ้องฉกฉวยลูกเมียงเขาเวลาเขาเผลอ) ฯลฯ

31. ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียงทั้ง 2 คำ
1. ตอม่อ อนึ่ง
2. ระรื่น ลูกกระดุม
3. ฉะฉาน กระเฉด
4. ยะยิบยะยับ ตกกะใจ

ตอบ 1 หน้า 93 – 95 (52067), 83 – 84 (H) อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียง เป็นการกร่อนเสียงพยางค์ต้นให้เป็นเสียง “อะ” ได้แก่
1. “มะ” ที่นำหน้าชื่อไม้ผล ไม่ใช้ไม้ผล และหน้าคำบอกกำหนดวัน เช่น หมากแว้ง มะแว้ง,หมากขาม มะขาม,หมากค่า มะค่า, เมื่อรืน มะรืน
2. “ตะ” นำหน้าชื่อสัตว์ ต้นไม้ และคำที่มีลักษณะคล้ายตา เช่น ตัวขาบ ตะขาบ, ตัวโขง ตะโขง,ตัวเข็บ ตะเข็บ,ตัวปลิง ตะปลิง,ตอม่อ ตะม่อ
3. “สะ” เช่น สายดือ สะดือ,สาวใภ้ สะใภ้,สายดึง สะดึง
4. “ฉะ” เช่น ฉันนั้น ฉะนั้น,ฉาน ๆ ฉะฉาน,เฉื่อย ๆ ฉะเฉื่อย
5. “ยะ” / ระ / ละ เช่น รื่น ๆ ระรื่น,ยิบ ๆ ยับ ๆ ยะยิบยะยับ,เลาะ ๆ ละเลาะ
6. “อะ” เช่น อันไร / อันใด อะไร,อันหนึ่ง อนึ่ง ส่วนคำอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นไปตามนี้ได้แก่ ช้าพลู ชะพลู,เฌอเอม ชะเอม,ชีผ้าขาว ชีปะขาว เป็นต้น

32. ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงไม่ให้คอนกันทั้ง 2 คำ
1. กระดุกกระดิก กระฟัดกระเฟียด
2. กระชากกระชั้น กระออดกระแอด
3. กระเสือกกระสน กระแอมกระไร
4. กระโตกกระตาก กระจุกกระจิก

ตอบ 4 หน้า 95 (52067), 85 (H) อุปสรรค เทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกัน คือ การเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ “กระ”)เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่หน้าพยางค์ต้นและหน้าพยางค์ท้าย ซึ่งมีเสียงเสมอกันและสะกดด้วย “กะ” เหมือนกัน เช่น
โตกตาก กระโตกกระตาก,จุกจิก กระจุกกระจิก, ดุกดิก กระดุกกระดิก, ชากชั้น กระชากกระชั้น, เสือกสน กระเสือกกระสน , อักอ่วน กระอักกระอ่วน ฯลฯ

33. ข้อใดไม่ใช่อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิด
1. กระสับการส่าย
2. กระอักกระอ่วน
3. กระปอดกระแปด
4. กระเสาะกระแสะ

ตอบ 2 หน้า 94 – 96 (52067), 85 – 86 (H) อุปสรรค เทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิดเป็นการเพิ่มเสียง “กะ” (หรือ “กระ”)เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่พยางค์ต้นและพยางค์ท้ายไม่ได้สะกดด้วย “กะ” ซึ่งยึดการใช้อุปสรรคเทียมที่เพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกันมาเป็นแนว เทียบแต่เป็นการเทียมแนวเทียบผิด สับส่าย กระสับกระส่าย,ปอดแปด กระปอดกระแปด,เสาะแสะ กระเสาะกระแสะ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีคำอื่น ๆที่ไม่ได้กำหนดอุปสรรคเทียมไว้แน่นอน แล้วแต่คำที่มาข้างหน้า เช่น ขโมยโจร ขโมยขโจร, จมูกปาก จมูกจะปาก ฯลฯ (ดูคำอธิบายข้อ 32. ประกอบ)

34. คำอุปสรรคเทียมคำใดที่ไม่ได้เป็นชื่อสัตว์
1. ตะโขง
2. ตะเข็บ
3. ตะปลิง
4. ตะขาบ

ตอบ 3 หน้า 93 (52067), (ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ) คำว่า “ตะ” เป็นคำอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียงมาจากคำว่า “ตัว” ส่วนใหญ่มักใช้นำหน้าชื่อสัตว์ เช่น ตะโขง ตะเข็บ ตะขาบ ฯลฯ แต่ที่นำมาใช้เรียกของอื่นโดยอนุโลมก็มี เช่น ตะปลิง หมายถึง เหล็กที่ใช้เกาะวัตถุที่แยกให้ติดกัน โดยมากเรียกคำเต็มว่า ตัวปลิง

ตั้งแต่ข้อ 35. – 37. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม
1. ทำอะไรอยู่
2. ทำอะไรเกินตัว
3. ทำอะไรสักอย่าง
4. ทำอะไรให้หน่อย

35. ข้อใดเป็นประโยคบอกเล่า
ตอบ 2 หน้า 103 (52067), 90 (H) ประโยคบอกเล่า หมายถึง ประโยคที่ใช้ในการบอกเล่าเรื่องราวตามธรรมดา ซึ่งอาจใช้ไปในทางตอบรับ หรือตอบปฏิเสธก็ได้

36. ข้อใดเป็นประโยคคำถาม
ตอบ 1 หน้า 102 – 103 (52067), 93 (H) ประโยคคำถาม หมายถึง ประโยคที่มีคำวิเศษณ์แสดงคำถามอยู่ด้วย เช่น ใคร อะไร ที่ไหน ทำไม เมื่อไร อย่างไร หรือ หรือเปล่า หรือไม่ ไหม ฯลฯ ซึ่งตำแหน่งของคำแสดงคำถามนี้อาจอยู่ต้นหรือท้ายประโยคก็ได้

37. ข้อใดเป็นประโยคคำสั่ง
ตอบ 3 หน้า 102 (52067), 91 – 92 (H) ประโยคคำสั่ง หมายถึง ประโยค ที่ต้องการให้ผู้ฟังทำตามความประสงค์ของผู้พูดอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง มักเป็นประโยคที่ละประธานหรือผู้ทำไว้ในฐานที่เข้าใจและขึ้นต้นด้วยคำกริยา บางครั้งอาจจะมีกริยาช่วย “ อย่า ห้าม จง ต้อง” มา นำหน้ากริยาแท้เพื่อแสดงการสั่งไม่ให้ทำหรือให้ทำก็ได้ แต่ถ้ามีประธานก็จะเป็นการระบุชื่อหรือเน้นตัวบุคคลเพื่อให้คนที่ถูกสั่งรู้ ตัว

ตั้งแต่ข้อ 38. – 40. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม

1. แม่ทำขนม 2. แม่ชอบทำขนม 3. แม่ทำขนมหม้อแกง 4. แม่ทำขนมหม้อแกงเก่ง

38. ข้อใดไม่มีภาคขยาย
ตอบ 1 หน้า 94 (H) ประโยค ที่สมบูรณ์ในภาษาไทยจะมีการเรียงลำดับคำ ประกอบไปด้วย ภารประธาน + ภาคแสดง (กริยา และกรรม) ซึ่งทั้ง 2 ภาคอาจมีคำขยายเข้ามาเสริมความให้สมบูรณ์ด้วยหรือไม่ก็ได้ เช่น แม่ทำขนม (ประธาน + กริยา + กรรม)

39. ข้อใดมีทั้งภาคขยายกริยาและกรรม
ตอบ 4 หน้า 105 (52067), 95 – 96 (H) ภาคขยายแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
1. ส่วนขยายประธานหรือผู้กระทำ และส่วนขยายกรรมหรือผู้ถูกกระทำ ซึ่งเรียกว่าคุณศัพท์ เช่น แม่ของฉันทำขนม (ขยายประธาน),แม่ทำขนมหม้อแกงเก่ง (ขยายกรรม)
2. ส่วนขยายกริยา ซึ่งเรียกว่า กริยาวิเศษณ์ อาจมีตำแหน่งอยู่หน้าคำกริยา เช่น แม่ชอบทำขนม (ขยายกริยา “ทำ”) หรือมีตำแหน่งอยู่หลังคำกริยาก็ได้ เช่น แม่ทำขนมหม้อแกงเก่ง (ขยายกริยา “ทำ”)

40. ภาคขยายกริยาในข้อใดอยู่หน้าคำกริยา
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 39. ประกอบ

41. ประโยคในข้อใดไม่มีประธาน
1. น้องถูกดุ
2. น้องร้องไห้
3. น้องเล่นซุกซน
4. พี่แกล้งน้อง

ตอบ 1 หน้า 110 (52067), (คำบรรยาย) การ แสดงการก หมายถึง ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างคำในประโยค ซึ่งสามารถดูได้จากตำแหน่งของคำที่เรียงกันในประโยค แต่บางกรณีคำนามที่เป็นประธานหรือกรรมอาจเปลี่ยนที่ไปได้ คือ ประธานไปอยู่หลังกรรม กรรมมาอยู่หน้ากริยาได้ถ้าต้องการเน้น เช่น ประโยค “น้องถูกดุ” ย้ายกรรมมาไว้ที่ต้นประโยคหน้าคำกริยา แล้วละประธานของประโยคไว้ เพราะจริง ๆ แล้วต้องมีผู้ที่ดุน้อง เพียงแต่ว่าคนนั้นไม่ปรากฏในประโยค

42. ข้อใดไม่มีคำนามที่ทำหน้าที่กรรมของประโยค
1. พ่อตื่นนอน
2. พ่อชงกาแฟ
3. พ่อแปรงฟัน
4. พ่อกินข้าว

ตอบ 1 หน้า 108 (52067), 97 (H) คำนามทำหน้าที่ต่าง ๆ ในประโยคได้ดังนี้
1. เป็นประธาน เช่น พ่อตื่นนอน
2. เป็นกรรม เช่น พ่อชงกาแฟ พ่อแปรงฟัน พ่อกินข้าว
3. ขยายประธาน เช่น ครูใหญ่ญาติเธอลาออก
4. ขยายกรรม เช่น ฉันเห็นเด็กชุ่มคนใช้เธอ
5. เสริมความให้สมบูรณ์ เช่น เขายังเป็นเด็ก
6. เป็นลักษณนามทั้งที่กำหนดไว้โดยเฉพาะ กับที่ใช้ตามนามที่มาข้างหน้าเพราะไม่มีลักษณนามสำหรับคำนั้น ๆ เช่น ห้องหลายห้อง ปากปากเดียว ฯลฯ

43. คำนามในข้อใดแสดงเพศไม่ชัดเจน
1. พระสวดมนต์
2. ยายช้อยชอบกินหมาก
3. ป้าแช่มไปซื้อของ
4. น้ามีไปตลาด

ตอบ 2 หน้า 2, 109 – 110 (52067), 6 – 7, 97 – 98 (H) คำ นามในภาษาไทยบางคำก็ระบุเพศได้ชัดเจนในตัวของมันเอง เช่น คำที่บอกเพศชาย ได้แก่ พ่อ พระ เณร ทิด เขย ชาย ตา ฯลฯ และคำที่บอกเพศหญิง ได้แก่ แม่ ชี สะใภ้ หญิง สาว ป้า ยาย ฯลฯ แต่คำบางคำที่เป็นคำรวมทั้งสองเพศ เช่น พี่ น้อง เด็ก น้า ฯลฯ เมื่อตองการแสดงเพศให้ชัดเจนจะต้องใช้คำบ่งเพศมาประกอบเข้าข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง หรือประสมกันตามแบบคำประสมบ้าง เช่น พี่สาว น้องชาย เด็กหนุ่ม เด็กสาว น้าสาว ฯลฯ

44. คำสรรพนามใดแสดงความเฉพาะเจาะจงมากที่สุด
1. นั่นของเธอ
2. นั้นของฉัน
3. นี่ของเธอ
4. นี้ของเธอ

ตอบ 4 หน้า 111, 115 – 116 (52067), 99 (H) คำ สรรพนามที่บอกความจำเพาะเจาะจง ได้แก่ นี้,นั้น,โน้น,นี่,นั่น,โน่น, นั่นแน่,นั่นแน่ะ,นั่นซิ,นั่นไง,นั่นเป็นไร,นั่นแหละ ฯลฯ ซึ่งตามธรรมดาจะใช้ “นั่น / นี่”แทนของอะไรก็ได้สุดแต่ใกล้ตัวหรือไกลตัว แต่ถ้าใช้ “นั้น / นี้” จะต้องเจาะจงลงไปว่าของนั้นคืออะไร เช่น นี่ของเธอ (ของอาจมีมากกว่าหนึ่ง) แต่ถ้าต้องการเจาะจงลงไปให้มากที่สุดก็ใช้ว่า นี้ของเธอ (ของอาจมีเพียงหนึ่ง)

ตั้งแต่ข้อ 45. – 46. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม
1. นิดชอบพี่เป้ค่ะ
2. พี่เป้เป็นนักร้องรูปหล่อนะ
3. นิดไปดูคอนเสิร์ตกับพี่ไหม
4. นิดขอไปด้วยคนค่ะ

45. ข้อใดมีเฉพาะสรรพนามบุรุษที่ 3

ตอบ 2 หน้า 112 – 113 (52067), 99 (H) สรรพนาม บุรุษที่ 3 คือ คำที่ใช้แทนผู้ที่พูดถึง ได้แก่ เขา มัน ท่าน แก นอกจากนั้นมักใช้เอ่ยชื่อเสียงส่วนมาก ถ้าอยู่ในที่ที่จำเป็นต้องกล่าวคำดีงาม เช่น ต่อหน้าผู้ใหญ่ มักมีคำว่า คุณ พ่อ แม่ นาย นาง นางสาว นำหน้าชื่อให้เหมาะสมกับโอกาสด้วย

46. ประโยคในข้อใดมีสรรพนามกำกวม อาจเป็นได้ทั้งสรรพนามบุรุษที่ 2 หรือ 3

ตอบ 1 หน้า 112 – 113 (52067), 99 (H) สรรพนาม บุรุษที่ 2 คือ คำที่ใช้แทนตัวผู้ที่พูด้วย เช่น คุณ เธอ ท่าน เรา เจ้า แก ฯลฯ นอกจากนี้ยังอาจใช้คำนามอื่น ๆ แทนตัวผู้ที่พูดด้วยเพื่อแสดงความสนิทสนมรักใคร่ ได้แก่
1. ใช้ตำแหน่งเครือญาติแทน เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก ตา ยาย ฯลฯ
2. ใช้ตำแหน่งหน้าที่แทน เช่น ครู อาจารย์ หัวหน้า ฯลฯ
3. ใช้เรียกบรรดาศักดิ์แทน เช่น ท่านขุน คุณหลวง เจ้าคุณ คุณหญิง ฯลฯ
4. ใช้ชื่อผู้พูดทั้งชื่อเล่นชื่อจริงแทน เช่น คุณน้อย ติ๋ว ต๋อย นุช แดง เป้ ฯลฯ(คำว่า “พี่เป้” ในตัวเลือกข้อ 1 อาจเป็นได้ทั้งสรรพนามบุรุษที่ 2 หรือ 3 ก็ได้)(ดูคำอธิบายข้อ 45. ประกอบ)

47. ข้อใดมีกริยาช่วยแสดงกาล
1. เขามาหาเธอ
2. เขาไปเที่ยวมา
3. เขามาทำงานสาย
4. เขาไม่มาสอบ

ตอบ 2 (ดูคำอธิบายข้อ 10. ประกอบ) โดยประโยค “เขาไปเที่ยวมา” ย่อมแสดงอดีตว่า ได้กลับจากที่อื่นมาถึงที่พัก

48. ข้อใดมีกริยาช่วยแสดงภาวะของอารมณ์
ตอบ 3 หน้า 123 – 126 (52067), 101 (H) คำที่แสดงมาลา (แสดงภาวะหรืออารมณ์) อาจใช้กริยาช่วยได้แก่ คง พึง จง ต้อง อาจ โปรด ย่อม เห็นจะ ฯลฯ หรือใช้คำอื่น ๆ ได้แก่ น่า นา เถอะ เถิด ซิ ซี ซินะ นะ น่ะ ละ ล่ะ เล่า หรอก ดอก ฯลฯ มาช่วยแสดง เช่น เขาต้องไปหาเธอเป็นการแสดงความแน่ใจมั่นใจของผู้พูด (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีกริยาช่วยแสดงกาล) (ดูคำอธิบายข้อ 10.ประกอบ)

49. ข้อใดไม่มีกริยาช่วย
1. จอยร้องเพลงเพราะมาก
2. เจี๊ยบกำลังเต้น
3. เชอรี่จะไปดูหนัง
4. แอนนาอยากไปวัด

ตอบ 1 หน้า 120 (52067), 100 – 101 (H) คำ กริยาช่วย คือ คำที่ช่วยบอกเนื้อความของกริยาให้แจ่มแจ้งชัดเจน โดยจะบอกให้รู้เกี่ยวกับกาล (เวลา) มาลา (ภาวะหรืออารมณ์) และวาจก(ความสัมพันธ์ระหว่างคำกริยากับคำอื่นในประโยค)ซึ่งแต่ละคำจะมีความ หมายต่างกันไป ได้แก่ คง อาจ น่าจะ กำลัง ควร ต้อง ได้ จะ แล้ว อยู่ อยาก ฯลฯ

ตั้งแต่ข้อ 50. – 51. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม

1. สมชายเป็นคนโสด
2. มากหมอมากความ
3. บ้านนี้ส่งเสียงดัง
4. บางคืนมืด บางคืนสว่าง

50. ข้อใดมีคำคุณศัพท์บอกจำนวนนับ

ตอบ 1 หน้า 130 – 131 (52067), 102 (H) คำคุณศัพท์บอกจำนวนนับ ได้แก่ หนึ่ง สอง สาม สี่ ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ ฯลฯ นอก จากนี้ยังมีคำคุณศัพท์บอกจำนวนนับที่เป็น “หนึ่ง” กับ “สอง” อีกหลายคำแต่ก็มีความต่างกัน ซึ่งจะนำมาใช้แทนกันไม่ได้ เช่น เดียว เดี่ยว คี่ โสด คู่ ฯลฯ (ส่วนคำว่า “มาก”ในตัวเลือกข้อ 2 เป็นคำคุณศัพท์บอกจำนวนนับไม่ได้)

51. ข้อใดมีคำคุณศัพท์บอกความแบ่งแยก

ตอบ 4 หน้า 133 (52067), 102 (H) คำคุณศัพท์บอกจำนวนแบ่งแยก ได้แก่ ต่าง ต่าง ๆ ละ ทุก บ้าง บาง ฯลฯ เช่น บางคืนมืด บางคืนสว่าง (ไม่ได้หมายความว่าทุกคืนหรือตลอดไป)

52. ข้อใดมีคำคุณศัพท์บอกความไม่ชี้เฉพาะเจาะจง
1. เธออยากไปวัดไหน
2. คนไหนคนรักเธอ
3. คนอะไรไม่รักดี
4. เธอบอกรักเขาวิธีใด

ตอบ 3 หน้า 137 (52067), 102 (H) คำ คุณศัพท์บอกความไม่ชี้เฉพาะเจาะจง ได้แก่ ใด ไหน อะไร ซึ่งเป็นคำกลุ่มเดียวกันกับคำคุณศัพท์บอกคำถาม แต่คำคุณศัพท์บอกความไม่ชี้เฉพาะเจาะจงจะกล่าวถึงบุคคล สิ่งของ หรือสถานที่แบบลอย ๆ ไม่เจาะจงว่าเป็นใคร อะไรหรือที่ไหนและไม่ได้เป็นการถาม เช่น อย่างใดอย่างหนึ่ง คนอะไรไม่รักดี คนไหนก็เหมือนกัน ฯลฯ

53. ข้อใดไม่สามารถละบุรพบทได้
1. คบคนให้ดูหน้า ซื้อผ้าให้ดูเนื้อ
2. กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง
3. วัวของใครเข้าคอกคนนั้น
4. ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว

ตอบ 2 หน้า 143 – 144 (52067), 104 – 105 (H) คำ บุรพบทไม่สำคัญมาเท่ากับคำนาม คำกริยาและคำวิเศษณ์ ดังนั้นบางแห่งไม่ใช้บุรพบทเลยก็ยังฟังเข้าใจได้ ซึ่งบุรพบทที่อาจละได้แล้วความหมายยังเหมือนเดิม ได้แก่ ของ แก่ ต่อ สู่ ยัง ที่ บน ฯลฯ เช่น วัวของใครเข้าคอกคนนั้น(วัวใครเข้าคอกคนนั้น), ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว (ให้ทุกข์ท่านทุกข์นั้นถึงตัว) ฯลฯ แต่บุรพบทบางคำก็ละไม่ได้ เพราะละแล้วความจะเสีย ไม่รู้เรื่อง เช่น กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง จะละบุรพบทได้ก็ต้องดูความในประโยคว่าความหมายต้องไม่เปลี่ยนไปจากเดิม (ส่วนตัวเลือกข้อ 1 ไม่มีคำบุรพบท)

54. ข้อใดใช้คำบุรพบทตามแทนได้
1. ของ ๆ ใครของใครก็ห่วง
2. สุดแต่ใจจะไขว่คว้า
3. รักเธอด้วยหัวใจบริสุทธิ์
4. ฉันกับเธอคือสุขนิรันดร์

ตอบ 2 หน้า 144 – 145 (52067) คำว่า “ตาม” เป็น คำบุรพบทที่นำหน้าคำวิเศษณ์ คำนามหรือคำบุรพบทเองเพื่อขยายความให้ชัดเจนขึ้น ซึ่งจะใช้ในความว่า “แล้วแต่ / สุดแต่ / ตามใจ” คือ สุดแต่ใจ แล้วแต่ใจ เช่น สุดแต่ใจจะไขว่คว้า / ตามใจจะไขว่คว้า เป็นต้น

ตั้งแต่ข้อ 55. – 57. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม

1. ฝนตกรถจึงติด2. ถ้าฝนไม่ตกรถคงไม่ติด
3. ฝนตกราวกับฟ้ารั่ว
4. ฉันจะไปหาเธอแม้รถจะติด

55. คำสันธานใดเชื่อมความขัดแย้งกัน
ตอบ 4 หน้า 155 – 156 (52067), 106 (H) คำ สันธานที่เชื่อมความที่ขัดแย้งกันไปคนละทาง ได้แก่ แต่,แต่ว่า,แต่ทว่า,จริงอยู่…แต่,ถึง…ก็, กว่า…ก็ (ประโยค “ฉันจะไปหาเธอแม้รถจะติด” มีความหมายเหมือนกับสันธานที่เชื่อมความแบ่งรับแบ่งสู้หรือคาดคะเน แต่คำว่า “แม้” มีความหมายขัดแย้งกันมากกว่า)

56. คำสันธานใดเชื่อมความแบ่งรับแบ่งสู้
ตอบ 2 หน้า 156 – 157(52067), 107 (H) คำสันธานที่เชื่อมความคาดคะเนหรือแบ่งรับแบ่งสู้ ได้แก่ ถ้า, ถ้า…ก็,ถ้า…จึง, ถ้าหากว่า, แม้…แต่, แม้ว่า,เว้นแต่,นอกจาก

57. คำสันธานใดเชื่อมความคล้อยตามกัน
ตอบ 3 หน้าที่ 153 – 154 (52067), 106 (H) คำ สันธานที่เชื่อมความคล้อยตามกัน ทำนองเดียวกันไม่ขัดแย้งกัน โดยทำหน้าที่เชื่อมความที่เกี่ยวกับเวลา ได้แก่ ก็, แล้ว…ก็, แล้ว….จึง, ครั้น….ก็, เมื่อ…ก็,ครั้น….จึง,เมื่อ….จึง,พอ….ก็ ส่วนที่ทำหน้าที่เชื่อมความให้รวมเข้าด้วยกัน ได้แก่ ทั้ง,ทั้ง..ก็, ทั้ง..และ, ก็ได้, ก็ดี,กับ,และ

58. ข้อใดไม่ใช่คำอุทาน
ตอบ 2 หน้า 159 (52067), 109 (H) คำอุทาน คือ คำที่เปล่งออกมาด้วยอารมณ์สะเทือนใจ ได้แก่
1. อารมณ์ตกใจ เช่น อ๊ะ,โอ๊ะ,อุ๊ย,ว้าย,ตายเชียว,ตายแล้ว,ตายจริง (อาจอุทานแสดงความตกใจหรือแปลกใจก็ได้)ฯลฯ
2. อารมณ์ดีใจ เช่น โอ้โฮ,เอ้อเฮอ,อุ๋ย,แหม ฯลฯ
3. อารมณ์แปลกใจ เช่น เอ๋อ,เอ๋,เอ๊ะ,อุ๊,อื้อฮือ ฯลฯ
4. อารมณ์เสียใจ เช่น โธ่,โถ,โธ่เอ๋ย,พุทโธ่ ฯลฯ
5. อารมณ์โกรธ เช่น ฮึ,เฮอะ,เชอะ.เอออุเหม่ ฯลฯ

59. ข้อใดคือลักษณนามของไม้ไต่คู้
1. ไม้
2. ต้น
3. ตัว
4. เครื่องหมาย

ตอบ 3 หน้า 160 – 167 (52067), 109 – 110 (H) คำลักษณนาม คือ คำ ที่ตามหลังคำบอกจำนวนนับเพื่อบอกรูปลักษณะและชนิดของคำนามที่อยู่ข้างหน้าคำ บอกจำนวนนับ มักจะเป็นคำพยางค์เดียวแต่เป็นคำที่สร้างขึ้นใหม่โดยอาศัยการอุปมาเปรียบ เทียบ การเลียนเสียงธรรมชาติ และการเทียบแนวเทียบ เช่น พันธบัตร พินัยกรรม บริคณห์สนธิ ปริญญาบัตร (ฉบับ), ไม้เอก ไม้โท ไม้ตรี ไม้จัตวาไม้ไต่คู้ ไม้ทัณฑฆาต ไม้หันอากาศ (ตัว) ฯลฯ

60. ข้อใดคือลักษณนามของพันธบัตร
1. ใบ
2. แผ่น
3. ฉบับ
4. พันธบัตร

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 59. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 61. – 70. อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม โดยให้สัมพันธ์กับข้อความที่ให้อ่าน

เราคงจะสังเกตได้นะครับว่า ทุกวันนี้คนไทยให้ความสำคัญกับประเด็นด้าน “ความเป็นไทย” มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ครั้งหนึ่งผมมีโอกาสไปบรรยายให้กับครูทั่วประเทศในประเด็นด้านเอกลักษณ์แห่งชาติ ซึ่งหลากหลายคนเมื่อถามไปว่า
ความเป็นไทยคืออะไร ? หรือ ความเป็นไทยเป็นอย่างไร ?

สิ่งที่ได้รับกลับคืนมาคือเสียงเงียบสงัด หรือไม่ก็คำตอบประมาณว่าธงชาติไทยหรือศิลปวัฒนธรรมไทย
ทั้งนี้ในมุมมองของผม ความเป็นไทยนั้นต้องศึกษาเชิงประวัติศาสตร์ กล่าวคือ เข้าใจที่มาและที่ไปของเชื้อชาติและความดิ้นรนของบรรพบุรุษหลายร้อยปีกว่าจะสามารถสร้างแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นดั่งทุกวันนี้
การที่เราจะเข้าใจประวัติศาสตร์ได้ผู้ศึกษามีความจำเป็นต้องมีทักษะในการเรียนรู้ และที่สำคัญก็คือเข้าใจการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง

คือ อ่านออกเขียนได้ แต่เท่านี้ยังไม่พ่อ ผมขอเพิ่มเติมไว้ด้วยว่าต้องสามารถใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้องด้วยเช่นกัน
เราคงต้องยอมรับว่าภาษาไทยในวันนี้ผิดเพี้ยนและแตกต่างไปจากเดิมไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะมี
คำศัพท์แปลก ๆ ออกมาแบบที่ตั้งตัวไม่ติด อาทิ เดี๋ยวนี้ได้รับ เอสเอ็มเอสแปลก ๆ ประมาณว่าใช้ภาษาไทยแบบ
วัยรุ่น อาทิ จิ่งดิ แปลว่า จริงเหรอ มาแว้ว แปลว่า มาแล้ว หรือ ชิมิ ชิมิ ซึ่งตีความหมายออกมาเป็นใช่ไหมใช่ไหม
บางทีคุยกับเด็กรุ่นใหม่เวลาเห็นผู้หญิงสวยก็พูดออกมาว่า “ โอ้โฮแหล่มจริง ๆ เธอคนนั้นห่านมาก ๆ ”แปลว่าเธอคนนั้นสุดยอด สวยจริง ๆ

แต่ที่ฮิตล่าสุดคือพูดแบบเหวงเหวง ซึ่งไม่รู้ว่าอ้างอิงจากใคร แต่มีความหมายสะท้อนถึงความไม่ชัดเจนไม่ตรงประเด็น โหวงเหวง นั่นแหละครับ

ทั้ง หมดนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างการใช้ภาษาไทยในสังคมยุคปัจจุบันแต่จะว่าไปแล้ว แทบจะทุกสังคมและทุกวัฒนธรรมย่อมมีความผิดเพี้ยนทางด้านภาษาอยู่แล้ว
เพียงแต่จะมากหรือน้อยก็เท่านั้นเอง

เพราะภาษามีความเป็นพลวัตของตัวเอง ต้องทันตามบริบทของสังคม และปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมและการแสดงออกของผู้คนในสังคม

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่ภาษาไทยจะผิดเพี้ยนไปบ้าง แต่ประเด็นที่ผมต้องการนำเสนอคือแก่นของความเป็นภาษาไทยจะถูกทำลายและละเลยไปมากกว่านี้หรือไม่

สุด ท้ายเราคงได้แต่หวังว่าภาษาไทยที่ถูกต้องอย่างเป็นทางการควรที่จะได้รับการ ดำรงรักษาให้ลูกหลานในอนาคตได้สืบทอดต่อไป มิใช่ค่อย ๆ ถูกกลืนด้วยแนวทางและการใช้ศัพท์ใหม่ ๆ

วันภาษาไทยแห่งชาติ ตรงกับวันที่ ๒๙ กรกฎาคมของทุกปี เพื่อ ระลึกถึงเหตุการณ์ในวันที่ ๒๙ กรกฎคม พ.ศ. ๒๕๐๕ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินไปทรงอภิปรายเรื่อง “ปัญหาการใช้คำไทย” ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิ ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรง มีพระราชดำรัสตอนหนึ่งความว่า “ เราโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้ ปัญหาเฉพาะในด้านรักษาภาษานี้ก็มีหลายประการ อย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในทางออกเสียงคือ ให้ออกเสียงให้ถูกต้อง ชัดเจน อีกอย่างหนึ่งต้องรักษาให้บริสุทธิ์ในวิธีใช้ หมายความว่า วิธีใช้คำมาประกอบประโยคนับเป็นปัญหาที่สำคัญ

ปัญหาที่สาม คือ ความร่ำรวยในคำของภาษาไทย ซึ่งพวกเรานึกว่าไม่ร่ำรวยพอ จึงต้องมีการบัญญัติศัพท์ใหม่มาใช้ สำหรับคำใหม่ที่ตั้งขึ้นมีความจำเป็นในทางวิชาการไม่น้อย แต่บางคำที่ง่ายๆ ก็ควรจะมี ควรจะใช้คำเก่า ๆ ที่เรามีอยู่แล้ว ไม่ควรจะมาตั้งศัพท์ใหม่ให้ยุ่งยาก

ดังนั้นวัตถุประสงค์ของวันภาษาไทยแห่งชาติได้แลเห็นว่าเป็นวันที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาเพื่อกระตุ้น และปลุกจิตสำนึกของคนไทยทั้งชาติ ให้ตะหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือร่วมใจทำนุบำรุงส่งเสริมและอนุรักษ์ภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเป็นสมบัติวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป

สังคมไทยในปัจจุบันอยู่ท่ามกลางยุคโลกาภิวัตน์ที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม และไม่ใช่วัฒนธรรมของประเทศไทยเราอย่างเดียว แต่เป็นวัฒนธรรมต่างแดน เราคงบอกไม่ได้ว่าห้ามให้คนรุ่นใหม่บริโภควัฒนธรรมของเขา

แต่คำถามสำคัญก็คือ เราจะสามารถทำให้คนรุ่นใหม่และเห็นถึงความสำคัญของความเป็นไทยได้อย่างไร
เพราะบางทีมันเป็นเรื่องยาก ในการดำรงรักษาภาษาไทยให้ดี มันเป็นความขัดแย้งระหว่างสิ่งที่เราบริโภคทุกวัน กับสิ่งที่เราควรระลึกถึง ซึ่ง เป็นเรื่องของการสร้างความสมดุลระหว่างโลกที่เปลี่ยนแปลงกับความสวยงามใน อดีต เอาแคนักร้องบางคนเมื่อก่อนร้องเพลงไทยชัดมากเสียเหมือเกิน

แต่เดี๋ยวนี้ต้องลากเสียงจะได้ฟังแล้วเนียนซึ่งบางทีมันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะขนาดบทความของผมชิ้นนี้ก็ยังมีการใช้ภาษาที่แตกต่างและอาจจะไม่มีในพจนานุกรรมก็ได้ แต่อย่างน้อยสิ่งสำคัญอยู่ที่การเข้าใจ ความสำคัญของภาษาไทย การใช้ภาษาไทยอย่างถูกวิธี ถูกกาลเทศะ

ซึ่งเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ควรให้ความสำคัญมากกว่านี้

(จากคอลัมน์ “วัยทวีนส์” โดยเอกลักษณ์ ยิ้มวิไล หนังสือพิมพ์มติชน ประจำวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ หน้า ๒๐)

61. ความที่ให้อ่านเป็นวรรณกรรมประเภทใด
1. ข่าว
2. บทความ
3. ความเรียง
4. ปาฐกถา

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ความเรียง คือ งาน เขียนที่มีการนำเสนอข้อมูลที่ได้มาจากการสังเกตหรือประสงการณ์ซึ่งอาจจะเป็น ข้อเท็จจริง ทัศนคติ ข้อคิดเห็น หรือข้อความที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกจากนั้นจึงสรุปให้เห็นความสำคัญของ เรื่อง พร้อมทั้งเสนอข้อคิดให้ผู้อ่านนำไปพิจารณา

62. จุดประสงค์ที่ผู้เขียนนำเสนอคืออะไร
1. ให้ความรู้
2. ให้ความรู้และความรู้สึก
3. ให้ข้อมูลและความคิด
4. วิเคราะห์และวิจารณ์

ตอบ 3 ผู้เขียนมีจุดประสงค์ในการนำเสนอ คือ ให้ข้อมูลและแสดงความคิดของตนเองเกี่ยวกับปัญหาเรื่องการใช้ภาษาไทยในปัจจุบัน พร้อมทั้งทิ้งประเด็นเพื่อให้ผู้อ่านนำไปคิดพิจารณา

63. โวหารการเขียนเป็นแบบใด
1. บรรยาย
2. อธิบาย
3. อภิปราย
4. พรรณนา

ตอบ 3 หน้า 74 (46134), (คำบรรยาย) โวหารเชิงอภิปราย คือ โวหารที่ใช้ในการแสดงความคิดเห็นซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ เพื่อ นำไปสู่ข้อสรุปอย่างใดอย่างหนึ่ง และเพื่อโน้มน้าวจิตใจผู้อ่านให้คล้อยตามความคิดเห็นนั้น ๆ โดยผู้เขียนจะแสดงทัศนะรอบด้านทั้งในด้านบอกและลบเพื่อทิ้งท้ายให้ผู้อ่าน เก็บไปคิด แต่แท้จริงแล้วผู้เขียนมีประเด็นไว้ในใจแล้ว มักใช้ในการสั่งสอนชักจูงใจ และการตอบโต้กันทางหน้าหนังสือพิมพ์

64. ทำนองเขียนเป็นแบบใด
1. ภาษาเขียน
2. ภาษาพูด
3. ภาษาปาก
4. ทั้ง 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 58 (46134) ผู้เขียนใช้ท่วงทำนองเขียนแบบเรียบง่าย คือ ท่วง ทำนองเขียนที่ใช้คำ ง่าย ๆ ชัดเจน การผูกประโยคไม่ซับซ้อน ทำให้อ่านง่ายและเข้าใจได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาขบคิดมากนัก แต่จะมีการใช้ภาษาพูดหรือภาษาปากเป็นส่วนใหญ่

65. สารัตถะสำคัญของเรื่องคืออะไร
1. ภาษาไทยสำคัญกว่าธงชาติไทย
2. ภาษาไทยสำคัญกว่าศิลปวัฒนธรรมไทย
3. การใช้ภาษาไทยให้ถูกตามหลักภาษาและกาลเทศะเป็นเรื่องควรคำนึง
4. ความสำคัญของความเป็นไทยท่ามกลางอิทธิพลวัฒนธรรมต่างชาติเป็นเรื่องสำคัญ

ตอบ 3 (คำบรรยาย) แนวคิดหลัก (Theme) คือ สารัตถะ แก่นเรื่อง หรือสาระสำคัญของเรื่องที่ผู้เขียนมุ่งจะสื่อถึงผู้อ่าน เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชื่อเรื่อง โดยจะมีใจความครอบคลุมรายละเอียดทั้งหมดและมีลักษณะเป็นนามธรรม ซึ่งแนวคิดหลักหรือสารัตถะสำคัญของเรื่องนี้ ได้แก่ การใช้ภาษาไทยให้ถูกตามหลักภาษาและกาลเทศะเป็นเรื่องควรคำนึง

66. คำใดใช้ผิดจากความหมายเดิม
1. ซึ่งเป็นสิ่งดี
2. ตระหนักถึง
3. และเห็นว่า
4. ประมาณว่า

ตอบ 4 คำว่า “ประมาณ” หมายถึง กะหรือคะเนให้ใกล้เคียงจำนวนจริงหรือให้พอเหมาะพอควร เช่นประมาณราคาไม่ถูก,ราว ๆ เช่น ประมาณ 3 – 4 เดือน แต่ปัจจุบันได้มีการนำคำว่า “ประมาณว่า”มาใช้ผิดจากความหมายเดิม และกลายเป็นคำฟุ่มเฟือยไป

67. ข้อความที่ให้อ่านเป็นผลงานของผู้ใด
1. เอกลักษณ์ ยิ้มวิไล
2. บรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชน
3. เอกลักษณ์ ยิ้มวิไล และอาจารย์ผู้บรรยาย
4. เอกลักษณ์ ยิ้มวิไล และผู้ออกข้อสอบ

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ข้อความในวงเล็บท้ายสุดมีคำว่า “จาก…” หมายถึง ข้อความที่ให้อ่านเป็นผลงานของผู้เขียนเดิมทั้งหมด คือ เอกลักษณ์ ยิ้มวิไล โดยผู้ออกข้อสอบไม่ได้มีส่วนร่วม ใด ๆ ในข้อความที่นำมาให้อ่าน

68. คำตอบของผู้รับฟังคำบรรยาย เรื่องเอกลักษณ์ไทยเป็นอย่างไร
1. ถูกต้อง 50%
2. ถูกต้องเกินครึ่ง
3. แตกต่างจากทัศนะของผู้บรรยาย
4. แตกต่างจากความเชื่อที่สือต่อกันมา

ตอบ 3 จากข้อความ….ครั้งหนึ่งผมมีโอกาสไปบรรยายให้กับครูทั่วประเทศในประเด็นด้านเอกลักษณ์แห่งชาติ ซึ่งหลากหลายคนเมื่อถามไปว่า ความเป็นไทยคืออะไร ? หรือ ความเป็นไทยเป็นอย่างไร ? สิ่งที่ได้รับกลับคืนมาคือเสียงเงียบสงัด หรือไม่ก็คำตอบ ประมาณว่าธงชาติไทยหรือศิลปวัฒนธรรมไทย ทั้งนี้ในมุมมองของผม ความเป็นไทยนั้นต้องศึกษาเชิงประวัติศาสตร์กล่าวคือ เข้าใจที่มาและที่ไปของเชื้อชาติและความดิ้นรนของบรรพบุรุษหลายร้อยปีกว่าจะ สามารถสร้างแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นดั่งทุกวันนี้

69. ข้อความใดไม่ถูกต้อง
1. ทุกภาษาย่อมมีความผิดเพี้ยน
2. ภาษาต้องเปลี่ยนตามบริบทของสังคม
3. วันภาษาไทยแห่งชาติคือวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2505
4. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยการใช้ภาษาไทย

ตอบ 3 จากข้อความ….วันภาษาไทยแห่งชาติ ตรงกับวันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ ใน วันที่ 29 กรกฎคม พ.ศ. 2505 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชดำเนินไปทรงอภิปรายเรื่อง “ปัญหาการใช้คำไทย” ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิ ที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

70. ภาษาไทยในปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงเรื่องใดบ้าง
1. ความหมายและการออกเสียง
2. โครงสร้างของประโยค
3. การสะกดการันต์
4. ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 จากข้อความ…เราคงต้องยอมรับว่าภาษาไทยในวันนี้ผิดเพี้ยนและแตกต่างไปจากเดิมไม่มากก็น้อย โดย เฉพาะมีคำศัพท์แปลก ๆ ออกมาแบบที่ตั้งตัวไม่ติด… อาทิ จิ่งดิ แปลว่า จริงเหรอ มาแว้ว แปลว่า มาแล้ว หรือ ชิมิ ชิมิ ซึ่งตีความหมายออกมาเป็นใช่ไหมใช่ไหม…ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างการ ใช้ภาษาไทยในสังคมยุคปัจจุบัน

ตั้งแต่ข้อ 71. – 80. เลือกคำที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุด เพื่อเติมลงในช่องว่าระหว่างข้อความต่อไปนี้

ใน 71. เดือน 72. ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เพื่อเผยแพร่ความรู้และความงดงามของผ้าชาวเขาทั้ง 6 เผ่า ที่ทอโดยสมาชิกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ร้านมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ จึงได้จัดนิทรรศการ 73. โดยมีท่านผู้หญิงจรุงจิตทีขะระ และท่านผู้หญิงอรนุช อิศรางกูร 74. ในพิธีเปิด ที่มาของผลิตภัณฑ์ของชาวเขา เริ่มจากการ 75. เยี่ยมราษฎรในภาคเหนือของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทั้งสอง 76. 77. ที่จะให้มูลนิธิฯ 78. อาชีพเพื่อเป็น 79. สำหรับชาวไทยภูเขาเพื่อให้ชาวเขา 80.

71. 1. โอกาส
2. พระโอกาส
3. วโรกาส
4. พระวโรกาส

ตอบ 1 คำว่า “โอกาส” และ “วโรกาส” เป็น คำที่มีความหมายไปในทางเดียวกัน แต่ “วโรกาส” จะใช้เฉพาะเมื่อขอโอกาสจากพระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์ และเมื่อพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์ให้โอกาสเท่านั้น ส่วน กรณีอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากนี้แล้วไม่ว่าจะเป็นโอกาสพิเศษหรือโอกาสอันยิ่งใหญ่ของพระมหา กษัตริย์หรือเจ้านายพระองค์ใด ให้ใช้คำว่า “โอกาส”ทั้งหมด

72. 1. สิงหาคม
2. ประสูติ
3. พระราชสมภพ
4. พระบรมราชสมภพ

ตอบ 3 พระราชสมภพ หมายถึง เกิด ใช้กับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พระบรมโอรสาธิราชและพระบรมราชกุมารี (ส่วนคำว่า “พระบรมราชสมภพ” ใช้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ”ประสูติ” ใช้กับสมเด็จเจ้าฟ้าและพระองค์เจ้า

73. 1. ผ้าไหมไทย
2. ผ้าไหมนานาชาติ
3. ผ้าชาวเขา
4. ผ้าสวยงาม

ตอบ 3 ข้อ ความดังกล่าวควรเติมคำว่า “ผ้าชาวเขา” เนื่องจากข้อความก่อนหน้ามีว่า…เพื่อเผยแพร่ความรู้และความงดงามของผ้าชาว เขาทั้ง 6 เผ่า… ร้านมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ จึงได้จัดนิทรรศการผ้าชาวเขา

74. เป็นประธาน
2. ทรงเป็นประธาน
3. เป็นองค์ประธาน
4. ทรงเป็นองค์ประธาน

ตอบ 1 หน้า 111 – 112 (H) คำว่า “ท่านผู้หญิง” ปัจจุบัน เป็นคำนำหน้าชื่อสตรีที่สมรสแล้ว และได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าฝ่ายในชั้นทุติยจุล จอมเกล้าวิเศษขึ้นไปจึงไม่ต้องใช้ราชาศัพท์ เพราะราชาศัพท์เป็นถ้อยคำที่ใช้กับบุคคลต่อไปนี้
1. พระบรมวงศานุวงศ์ไทยในระดับหม่อมเจ้า
2. เจ้านายในราชวงศ์ต่างประเทศ
3. ตัวละครที่สมมุติว่าเป็นเจ้านาย
4. สมเด็จพระสังฆราช

75. 1. ทรงพระดำเนิน
2. เสด็จพระดำเนิน
3. เสด็จพระราชดำเนิน
4. ทรงเสด็จพระราชดำเนิน

ตอบ 3 หน้า 113 (H) เสด็จพระราชดำเนิน / เสด็จฯ หมายถึง เดินทางไปโดยยานพาหนะ ใช้กับพระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระราชวงศ์ลำดับ 2 โดยห้ามเติม “ทรง” ซ้อนคำที่เป็นราชาศัพท์อยู่แล้ว จะเติม “ทรง” เฉพาะหน้าคำกริยาสามัญเพื่อทำให้คำนั้นเป็นราชาศัพท์เท่านั้น

76. 1. ท่าน
2. องค์
3. พระองค์
4. พระองค์ท่าน

ตอบ 3 หน้า 174 (52067) คำสรรพนามราชาศัพท์ที่ใช้แทนผู้ที่พูดถึง (บุรุษที่ 3 )ได้แก่
1. พระองค์ ใช้แทนพระเจ้าแผ่นดิน พระราชินี พระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้า เจ้าฟ้าและเหนือขึ้นไป (จะไม่ใช้คำว่า พระองค์ท่าน)
2. ทูลกระหม่อม ใช้แทนเจ้านายชั้นเจ้าฟ้าที่มีพระราชชนนีเป็นอัครมเหสี
3. เสด็จ ใช้แทนเจ้านายชั้นพระองค์เจ้าที่เป็นลูกเธอและหลานเธอ ซึ่งมีพระอัยการเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
4. ท่าน ใช้แทนเจ้านายทั่วไป ขุนนาง พระสงฆ์ ฯลฯ

77. 1. มีพระราชดำรัส
2. ทรงมีพระราชดำรัส
3. มีพระราชดำริ
4. ทรงมีพระราชดำริ

ตอบ 3 หน้า 117 (H) คำกริยา มี / เป็น เมื่อใช้เป็นราชาศัพท์มีข้อสังเกตดังนี้
1. หากคำที่ตามหลัง มี / เป็น เป็น นามราชาศัพท์อยู่แล้ว ไม่ต้องเติม “ทรง” หน้าคำกริยา มี / เป็น อีก เช่น มีพระราชดำริ (มีคำพูด), มีพระราชดำริ (มีความคิด), เป็นพระราชธิดา เป็นลูกสาว) ฯลฯ
2. หากคำที่ตามหลัง มี / เป็น เป็นคำสามัญ ให้เติม “ทรง” หน้าคำกริยา มี / เป็น เพื่อทำให้เป็นราชาศัพท์ เช่น ทรงมีลูกสุนัข, ทรงเป็นผู้แทนพระองค์ ฯลฯ

78. 1. อนุรักษ์
2. ส่งเสริม
3. เผยแพร่
4. รักษา

ตอบ 2 คำว่า “ส่งเสริม” หมายถึง ช่วย เหลือสนับสนุนให้ดีขึ้น (ส่วน “อนุรักษ์” หมายถึง ให้คงเดิม, “เผยแพร่” หมายถึง โฆษณาให้แพร่หลาย, รักษา” หมายถึง ระวัง ดูแล ป้องกัน สงวนไว้)

79. 1. คุณค่า
2. ศิลปะ
3. รายได้เสริม
4. ผลประโยชน์

ตอบ 3 คำ ว่า “รายได้เสริม” หมายถึง เงินหรือผลประโยชน์ที่ได้รับเพิ่มขึ้นจากเดิม (ส่วน “คุณค่า” หมายถึงสิ่งที่มีประโยชน์หรือมีมูลค่าสูง, “ศิลปะ” หมายถึง ฝีมือทางการช่าง การทำให้วิจิตรพิสดดาร, “ผลประโยชน์” หมายถึง ประโยชน์ที่ได้รับ)

80. 1. กินอิ่มนอนอุ่น
2. กินดีอยู่ดี
3. มีภูมิปัญญา
4. รักษาวัฒนธรรม
ตอบ 2 คำว่า “กินดีอยู่ดี” หมายถึง มีความเป็นอยู่อย่างสุขสบาย ไม่ขัดสนฝืดเคือง

ตั้งแต่ข้อ 81. – 85. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

1. พูดเป็นไฟ พูดเป็นต่อยหอย พูดอย่างมะนาวไม่มีน้ำ
2. ได้แกงเทน้ำพริก ได้ทีขี่แพะไล่ ได้คืบจะเอาศอก
3. ได้สติ ได้ฤกษ์ ได้หน้าลืมหวัง
4. ได้ดิบได้ดี เด็ดปลีไม่มีใย เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด

81. ข้อใดเป็นสำนวนทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 119 – 121 (H) ข้อแตกต่างของสำนวน คำพังเพย และสุภาษิต มีดังนี้
1. สำนวน หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นอย่างกะทัดรัด ใช้คำน้อยแต่กินความหมายมากและเป็นความหมายโดยนัยหรือโดยเปรียบเทียบ เช่น พูดเป็นไฟ (พูดคล่องเหลือเกิน), พูดเป็นต่อยหอย (พูดฉอด ๆ ไม่หยุดปาก), พูดอย่างมะนาวไม่มีน้ำ (พูดห้วน ๆ), ได้ดับได้ดี (ได้ดี)
2. คำ พังเพย หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อตีความ สรุปเหตุการณ์ สภาวการณ์ บุคลิกและอารมณ์ให้เขากับเรื่อง มีความหมายกลาง ๆ ไม่เน้นการสั่งสอน แต่แฝงคติเตือนใจให้นำไปปฏิบัติหรือไม่ให้นำไปปฏิบัติ เช่น ได้แกงเทน้ำพริก (ได้ใหม่ลืมเก่า), ได้ทีขี่แพะไล่(ซ้ำเติมเมื่อผู้อื่นเพลี๋ยงพล้ำลง), ได้คืบจะเอาศอก (ต้องการได้มากกว่าที่ได้มาแล้ว),เด็ดปลีไม่มีใย (ตัดขาด ตัดญาติขาดมิตรกันเด็ดขาด)
3. สุภาษิต หมาย ถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อสั่งสอนโดยตรง ซึ่งอาจเป็นคติ ข้อติติงคำจูงใจ หรือคำห้าม และเนื้อความที่สั่งสอนก็เป็นความจริง เป็นความดีที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เช่น เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด (ประพฤติตามอย่างผู้ใหญ่ย่อมปลอดภัย)

82. ข้อใดเป็นคำพังเพยทั้งหมด
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ

83. ข้อใดเรียบลำดับถูกต้องตั้งแต่สำนวน คำพังเพย และสุภาษิต

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ

84. ข้อใดไม่ปรากฏว่ามีสำนวน คำพังเพย หรือสุภาษิตเลย

ตอบ 3 ข้อ ความในตัวเลือกข้อ 3 เป็นคำกริยาทั้งหมด ได้แก่ ได้สติ (ได้คิด กลับระลึกขึ้นได้),ได้กฤษ์ (ถึงเวลาอันเป็นมลคล),ได้หน้าลืมหลัง (หลง ๆ ลืม ๆ)

85. ข้อใดมีความหมายที่เหมือนกันปรากฏอยู่มากที่สุด

ตอบ 1 ดูคำอธิบาย 81. ประกอบ

86. ข้อใดสะกดถูกทุกคำ

1. แค็ตตาล็อก เคาน์เตอร์ เครดิท
2. เคลิบเคลื้อม เครื่องกล เคียบฟัน
3. คำกริยา คำวิเศษณ์ ลักษณะนาม
4. เดียรดาษ เดียรัจฉาน ไดโนเสาร์
ตอบ 4 คำที่สะกดผิด ได้แก่ เครดิท เคลิบเคลื้อม เคือบฟัน ลักษณะนาม ซึ่งที่ถูกต้องคือ เครดิต เคลิบเคลิ้ม เคลือบฟัน ลักษณะนาม

87. คำทับศัพท์ต่อไปนี้ข้อใดสะกดผิดทุกคำ
1. เฮลิคอปเตอร์ อินเตอร์เน็ต ฮอร์โมน
2. โหวด มอเตรอร์ไซด์ แฮนบอล
3. อะตอม อะลูมิเนียม ฝรั่งเศส
4. สเปน ชาวสวิส เมืองสวิต

ตอบ 2 คำที่สะกดผิด ได้แก่ โหวต มอเตอร์ไซต์ แฮนบอล ซึ่งที่ถูกต้องคือ โหวด มอเตอร์ไซต์ แฮนต์บอล

88. ข้อใดมีคำที่สะกดถูกขนาบคำที่สะกดผิด
1. ใบโหระพา ใบแมงรัก ใบกระเพรา
2. แมลงสาบ แมงดา หอยแมลงภู่
3. ถั่วลิสง ถั่วพู ถามไถ่
4. เถลือกถลน เถลไถล แถลงการณ์
ตอบ 1 คำที่สะกดผิด ได้แก่ ใบแมงรัก ซึ่งที่ถูกต้องคือ ใบแมงลัก

89. ข้อใดมีคำที่สะกดถูกสลับด้วยคำที่สะกดผิด
1. ลูกกระพราวน พลุกพล่าน พาลรีพาลขวาง พึมพำ
2. พระภูมิ พระหทัย พระหฤทัย พระทับ
3. พรวดพราด พร้อมมูน บกพร่อง ไหมพรหม
4. พบพาน พานหยากไย่ พานจะเป็นลม พานทอง

ตอบ 3 คำที่สะกดผิด ได้แก่ พร้อมมูน ไหมพรหม ซึ่งที่ถูกต้องคือ พร้อมมูล ไหมพรม

90. ข้อใดสะกดผิดทุกคำ
1. ลิขสิทธิ์ ลิงโลด ลำเลิก
2. ลิปสติก ลิฟต์ โลดลิ่ว
3. ไล่เลียง ไล่เลี่ย ไม้ไล่
4. ริดรอน ลำไย รำไพ่

ตอบ 4 คำที่สะกดผิด ได้แก่ ริดรอน ลำไย รำไพ่ ซึ่งที่ถูกต้องคือ ลิดรอน ลำไย ลำไพ่

91. การใช้ภาษาคือการใช้สิ่งใด
1. ภาพ
2. เสียงพูด
3. ตัวอักษร
4. ระบบสัญลักษณ์

ตอบ 4 หน้า 1 (46134), (คำบรรยาย) การ ใช้ภาษา หมายถึง การสื่อสารทำความเข้าใจกันโดยใช้ภาษาพูดหรือภาษาเขียน อันเป็นระบบสัญลักษณ์ที่มนุษย์ใช้เป็นสื่อหรือเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร ถึงกัน ดังนั้นการใช้ภาษาจึงหมายถึงการใช้ระบบสัญลักษณ์ ซึ่งก็คือ หลักภาษาลักษณะภาษา หรือไวยกรณ์ต่าง ๆ ที่จัดขึ้นอย่างมีระบบระเบียบ

92. การสื่อความหมายทางภาษาหมายถึงการกระทำอย่างไร
1. อ่านและเขียน
2. พูดและเขียน
3. อ่านและฟัง
4. พูดและอ่าน

ตอบ 2 หน้า 2, 81 (46134) การ พูดและการเขียนเป็นการสื่อความหมายทางภาษาเพื่อนำความรู้ ความคิด หรือความต้องการของเราถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจ ส่วนการอ่านและการฟังเป็นการใช้ภาษาในการรับรู้เรื่องราวเพื่อจะได้เกิดความ จำ ความเข้าใจ ความรู้ ความคิด และความบันเทิง

93. การใช้ภาษาอย่างใดที่ทำให้เกิดความรู้ความคิด
1. เขียนและฟัง
2. เขียนและอ่าน
3. ฟังและพูด
4. อ่านและฟัง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ

94. การใช้ภาษาให้ถูกระดับเกี่ยวข้องกับเรื่องใด
1. กาละ
2. เทศะ
3. บุคคล
4. ทุกข้อที่กล่าวแล้ว

ตอบ 4 หน้า 6 – 10, 15 – 16 (46134) คำ ในภาษาไทยมีระดับต่างกัน นั่นคือ มีการกำหนดคำให้ใช้แตกต่างกันไปตามความเหมาะสมแก่บุคคลและกาลเทศะ ซึ่งจะต้องรู้ว่าในโอกาสใด สถานที่เช่นไร และกับบุคคลใดจะใช้คำหรือข้อความใดจึงจะเหมาะสม ดังนั้นจึงมีการแบ่งคำเพื่อนำไปใช้ในที่สูงต่ำต่างกันตามความเหมาะสมหรือตามการยอมรับของสังคมเป็น 2 ระดับ คือ

1. คำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ ได้แก่ คำราชศัพท์ คำสุภาพ และคำเฉพาะวิชาหรือศัพท์บัญญัติ
2. คำ ที่ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ สามารถใช้คำได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคำปากหรือคำตลาด คำสแลง คำเฉพาะอาชีพ คำโฆษณา ฯลฯ และคำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ

95. การใช้ภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นอยู่กับการกระทำอย่างไร
1. การฝึกฝน
2. การสังเกต
3. การเรียนรู้
4. การเอาใจใส่

ตอบ 1 หน้า 1, 81 (46134) การจะใช้ภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ประการ แรกจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องส่วนประกอบหรือระบบของภาษาเสียก่อน จากนั้นจึงต้องรู้จักใช้ภาษาให้ถูกต้องเหมาะสม และทดลองฝึกฝนจนกระทั่งใช้ภาษาได้ผลตามความมุ่งหมาย เพราะการที่จะใช้ภาษาได้ดีหรือไม่เพียงไรนั้น จะขึ้นอยู่กับการฝึกฝนเป็นสิ่งสำคัญ

96. หน้าที่ของคำในประโยคเกี่ยวข้องกับเรืองใดมากที่สุด
1. ระดับ
2. น้ำหนัก
3. ความหมาย
4. ภาพพจน์

ตอบ 3 หน้า 5 (46134) หน้าที่ ของคำในประโยคจะเกี่ยวข้องกับความหมายของคำ เพราะตามปกติคำจะมีความหมายอย่างไรนั้นย่อมขึ้นอยู่กับตำแหน่งหรือหน้าที่ ของคำในข้อความที่เรียบเรียงขึ้นนอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความเข้าใจหรือการ แปลความหมายของผู้ใช้อีกด้วย

97. การศึกษาลักษณะภาษาไทย เพื่อประโยชน์อย่างไร
1. สอบได้คะแนนดี
2. ใช้ภาษาได้ถูกต้อง
3. ความรู้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น
4. เพิ่มประสบการณ์ให้มากขึ้น

ตอบ 2 หน้า 1 (46134) ความ สำคัญของการศึกษาลักษณะภาษาไทยอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรจึงจะสามารถใช้ภาษได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ คือ สามารถพูด เขียน ฟัง และอ่านอย่างได้ผลสมความมุ่งหมาย

98. ข้อใดคือลักษณะของคำสแลงที่เกี่ยวกับระดับของคำ
1. ภาษาไม่สุภาพ
2. ภาษาที่มีความหมายแคบ
3. ภาษาที่เกิดง่ายตายเร็ว
4. ภาษาที่มีความหมายกว้าง

ตอบ 1 หนา 8 – 9 (46134), (คำบรรยาย) คำสแลง คือ คำที่ใช้กันในหมู่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งความหมายของคำจะไม่ชัดเจนและไม่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป เพราะ เป็นความหายที่กลุ่มกำหนดขึ้นใช้กันเองภายในกลุ่ม โดยมักจะได้รับความนิยมเป็นครั้งคราวแล้วก็เลิกใช้กันไปจึงถือเป็นคำภาษาปาก ที่ไม่สุภาพ ซึ่งไม่ควรนำมาใช้ในการพูดหรือเขียนอย่างเป็นทางการและกึ่งทางการเด็ดขาด เช่น กิ๊ก แอ๊บแบ๊ว วีน ชิวชิว เด็กแว้น งานเข้า ฯลน

99. “ปาดหน้า ฉุน ยิงดับ” เป็นภาษาประเภทใด
1. ภาษาเขียน
2. ภาษาโฆษณา
3.ภาษาพูด
4. ภาษาหนังสือพิมพ์

ตอบ 4 หน้า 9 (46134) ภาษาหนังสือพิมพ์ เป็นคำที่ใช้กันในวงการหนังสือพิมพ์ มักจะเป็นคำแปลก ๆ ที่สะดุดตาและเร้าความสนใจ ซึ่งผู้อ่านจะเข้าใจได้ด้วยความเคยชิน เช่น เทกระจาด สาดกระสุน สังหารโหด บินด่วน ปาดหน้า ฉุน ยิงดับ ฯลฯ

100. “นายมงคลขับรถชนช้างตาย” เป็นภาษาประเภทใด
1. ภาษาฟุ่มเฟือย
2. ภาษากำกวม
3. ภาษาสแลง
4. ภาษาที่ใช้สำนวนต่างประเทศ

ตอบ 2 หน้า 11 (46134) การ ใช้คำที่มีความหมายหลายอย่างจะต้องคำนึงถึงถ้อยคำแวดล้อม เพื่อให้เกิดความแจ่มชัด ไม่กำกวม เพราะคำชนิดนี้ต้องอาศัยถ้อยคำซึ่งแวดล้อมอยู่เป็นเครื่องช่วยกำหนดความหมาย เช่น นายมงคลขับรถชนช้างตาย (คำว่า “ช้าง” อาจหมายถึงสัตว์หรือชื่อคนก็ได้)ดังนั้นจึงควรแก้ไขให้มีความหมายแจ่มชัดลงไปเป็น นายมงคลขับรถชนช้างตัวนั้นตาย

101. ข้อใดเป็นภาษาไม่เป็นทางการ
1. ราคาเท่าใด
2. ราคาเท่าไร
3. ราคาเท่าไหร่
4. ราคาเป็นอย่างไร

ตอบ 3 หน้า 15 (46134) คำ บางคำจะต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับกาลเทศะ กล่าวคือ ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการก็ควรใช้ภาษาที่ไม่เป็นทางการ เช่น ราคาเท่าไหร่ ฯลฯ แต่ถ้าในโอกาสที่เป็นทางการก็ควรใช้คำให้เหมาะสม จะใช้คำระดับอื่นไม่ได้เป็นอันขาด เช่น ราคาเท่าใด ราคาเท่าไร ราคาเป็นอย่างไร ฯลฯ ดูคำอธิบายข้อ 94. ประกอบ

102. คำว่า “เพลารถ เพลาเช้า” เป็นคำประเภทใด
1. คำพ้องรูป
2. คำพ้องเสียง
3. คำพ้องพยางค์
4. คำพ้องความหมาย

ตอบ 1 หน้า 14 (46134) คำพ้องรูป คือ คำที่เขียนเหมือนกัน แต่ความหมายและการออกเสียงจะต่างกัน ดังนั้นจึงต้องออกเสียงให้ถูกต้อง เพราะหากออกเสียงผิด ความหมายก็จะผิดไปด้วย เช่น “เพลา”อาจจะอ่านว่า “เพ – ลา” (กาล คราว) หรือ “เพลา” (แกนสำหรับสอดในดุมรถหรือดุมเกวียน) ฯลฯ

103. คำว่า “สัน สรร สรรค์ สัณฑ์” เป็นคำประเภทใด
1. คำพ้องรูป
2. คำพ้องเสียง
3. คำพ้องความหมาย
4. คำพ้องพยางค์

ตอบ 2 หน้า 14 (46134) คำพ้องเสียง คือ คำที่ออกเสียงเหมือนกัน แต่ความหมายและการเขียน (รูป) ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเวลาเขียนจึงต้องเขียนให้ถูกต้อง เพราะถ้าเขียนผิด ความหมายก็จะผิดไปด้วย เช่น สัน (สิ่งที่มีลักษณะนูนสูงขึ้นเป็นแนวยาว),สรร (เลือก คัด),สรรค์ (สร้างให้มีให้เป็นขึ้น), สัณฑ์ (ชัฏ ดง ที่รก) ฯลฯ

104. การใช้คำเปรียบเทียบมุ่งให้เกิดผลอย่างไร
1. มีน้ำหนัก
2. มีความเหมาะสม
3. มีความถูกต้อง
4. มีความชัดเจน

ตอบ 1 หน้า 19 (46134) การใช้คำเปรียบเทียบ คำพังเพย และสุภาษิต จะ ช่วยให้ข้อความกะทัดรัดและมีน้ำหนักมากขึ้น เนื่องจากคำประเภทนี้เป็นคำหรือข้อความที่มีความหมายหนักแน่นและเป็นที่เข้า ใจกันดีอยู่แล้ว แต่ต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับข้อความนั้น ๆ ดังนั้นผู้ใช้จึงต้องรู้จักและเข้าใจความหมายของคำเหล่านั้นให้ดีเสียก่อน

105. หนังสือของราชบัณฑิตยสถานเล่มใดที่ใช้ค้นคำ
1. พจนานุกรม พ.ศ. 2525
2. พจนานุกรม พ.ศ. 2542
3. พจนานุกรม พ.ศ. 2550
4. พจนานุกรม พ.ศ. 2553

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ราช บัณฑิตยสถาน เป็นหน่วยงานที่จัดทำพจนานุกรม ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมคำที่มีใช้อยู่ในภาษาไทย โดยจะให้ความรู้และกำหนดในเรื่องอักขรวิธี (บอกคำเขียน) การออกเสียงคำอ่าน (บอกคำอ่าน) และนิยามความหมาย (บอกความหมาย) ตลอดจนบอกประวัติของคำเท่าที่จำเป็น ซึ่งพจนานุกรรมฉบับทางการที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542

106. ประโยคใดใช้คำฟุ่มเฟือย
1. เขาถูกเลือกเป็นหัวหน้าชั้น
2. เขาเป็นคนดีจึงได้เป็นหัวหน้าชั้น
3. มันเป็นอะไรที่ดีมากที่เขาได้เป็นหัวหน้าชั้น
4. เขาพึ่งได้รับคัดเลือกมาเป็นหัวหน้าชั้นคนใหม่

ตอบ 3 หน้า 18 – 19 (46134) การ ใช้คำฟุ่มเฟือยหรือการใช้คำที่ไม่จำเป็น จะทำให้คำโดยรวมไม่มีน้ำหนักและข้อความก็จะขาดความหนักแน่น เพราะเป็นคำที่ไม่มีความหมายอะไร แม้ตัดออกไปก็ไม่ได้ทำให้ความหมายของข้อความนั้นเปลี่ยนแปลงไป แต่กลับทำให้ดูรุงรังยิ่งขึ้น เช่น มันเป็นอะไรที่ดีมากที่เขาได้เป็นหัวหน้าชั้น, แพทย์ทำการตรวจรักษาคนไข้ ฯลฯ

107. การใช้คำที่ไม่จำเป็นทำให้บกพร่องเรื่องใด
1. ชัดเจน
2. น้ำหนัก
3. ถูกต้อง
4. เหมาะสม
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 106. ประกอบ

108. การใช้ภาษาเพื่อตกลงทางธุรกิจ ควรเพ่งเล็งแง่ใดมากที่สุด
1. ภาษากระชับรัดกุม
2. ภาษามีน้ำหนัก
3. ภาษาที่ใช้ถูกต้องชัดเจน
4. ภาษาที่ใช้ความเหมาะสม

ตอบ 3 หน้า 35 – 36, 44 (46134) สิ่ง ที่ควรเพ่งเล็งและคำนึงถึงมากที่สุดในการใช้ประโยคทั้งในภาษาพูดและภาษา เขียน คือ ความถูกต้อง เพราะถ้าหากใช้คำหรือประโยคไม่ถูกต้องจะทำให้ไม่สามารถสื่อความหมายตามที่ ต้องการได้ รวมทั้งยังทำให้ผู้ฟังและผู้อ่านไปเข้าใจหรือเข้าใจไม่ตรงกันกับผู้พูดและ ผู้เขียนอีกด้วย

109. การลำดับความทำให้ประโยคมีลักษณะ
1. ถูกต้อง
2. รัดกุม
3. ชัดเจน
4. เหมาะสม

ตอบ 2 หน้า 39 – 40, 47 (46134) การผูกประโยคให้กระชับรัดกุมมีสิ่งที่จะต้องพิจารณา คือ
1. การรวบความให้กระชับ 2. การลำดับความให้รัดกุม 3. การจำกัดความ

110. การเว้นวรรคทำให้ประโยคมีลักษณะอย่างไร
1. รัดกุม
2. มีน้ำหนัก
3. ชัดเจน
4. มีภาพพจน์

ตอบ 3 หน้า 37 – 38, 47 (46134) การผูกประโยคให้ถูกต้องชัดเจนขึ้นอยู่กับการกระทำดังนี้คือ
1. การเรียงคำให้ถูกที่
2. การขยายความให้ถูกที่
3. การใช้คำหรือประโยคตามแบบภาษาไทย
4. การใช้คำให้สิ้นกระแสความ
5. การเว้นวรรคตอนให้ถูกต้อง

111. “แพทย์ทำการตรวจรักษาคนไข้” เป็นการใช้คำในลักษณะใด
1. ใช้คำกำกวม
2. ใช้คำผิดความหมาย
3. ใช้คำฟุ่มเฟือย
4. ใช้ภาษาหนังสือพิมพ์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 106. ประกอบ

112. การทำประโยคให้รัดกุมทำได้ด้วยวิธีใด
1. ตัดคำ
2. ถ่วงคำ
3. ถ่วงความ
4. รวบความ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 109. ประกอบ

113. การใช้คำ “รุมกันเป็นห่วง” เป็นการใช้คำไม่เหมาะแก่สิ่งใด
1. กาละ
2. บุคคล
3. เทศะ
4. ข้อความ

ตอบ 4 หน้า 16 – 17 (46134) การใช้คำให้เหมาะกับข้อความ คือ คำ บางคำจะเหมาะกับข้อความอย่างหนึ่ง แต่อาจจะไม่เหมาะกับข้อความอีกอย่างหนึ่งก็ได้ ทั้ง ๆ ที่ความหมายก็ไม่ต่างกันดังนั้นจึงต้องเลือกใช้ให้เหมาะสม เช่น ควรใช้ว่า พากันเป็นห่วง, รุมกันเข้าไปซื้อของ, ชนะอย่างท่วมท้น, แพ้อย่างยับเยิน เป็นต้น

114. “มีคนล้มตาย บาดเจ็บ เป็นจำนวนมาก” เป็นประโยคไม่เหมาะสมด้วยเหตุใด
1. เรียงลำดับคำ
2. ใช้คำฟุ่มเฟือย
3. ใช้คำกำกวม
4. ใช้คำผิดความหมาย

ตอบ 1 หน้า 37 (46134) การ เรียงลำดับคำให้ถูกที่ คือ ต้องวางประธาน กริยา หรือกรรมให้ตรงตามตำแหน่ง เพื่อให้ข้อความถูกต้องชัดเจน เช่น มีคนล้มตาย บาดเจ็บ เป็นจำนวนมาก เป็นประโยค ที่เรียบลำดับคำไม่ชัดเจน จึงควรแก้ไขโดยเรียงลำดับคำให้ถูกที่เป็นมีคนบาดเจ็บ ล้มตายเป็นจำนวนมาก

115. หน่วยงานใดที่กำหนดเรื่องคำเขียนคำอ่าน
1. มหาวิทยาลัย
2. ราชบัณฑิตยสถาน
3. สำนักนายกฯ
4. กรมประชาสัมพันธ์

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 105. ประกอบ

116. เดือนใดเป็นเดือนสำคัญสำหรับภาษาไท
1. กรกฎาคม
2. มิถุนายน
3. กันยายน
4. สิงหาคม

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 69. ประกอบ

117. “พระสงฆ์บิณฑบาตรตอนเช้าตรู่ทุกวัน” ประโยคนี้บกพร่องด้วยเหตุใด
1. เขียนคำผิด
2. ใช้คำผิดความหมาย
3. ใช้คำฟุ่มเฟือย
4. วางส่วนขยายผิดที่

ตอบ 1 ประโยคดังกล่าวเขียนคำผิด จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น พระสงฆ์บิณฑบาตตอนเช้าตรู่ทุกวัน(คำว่า “บิณฑบาต” หมายถึง กิริยาที่พระภิกษุสามเณรรับของที่เขานำมาใส่บาตร)

118. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อวงการภาษาไทยอย่างไร
1. ทรงประดิษฐ์อักษรไทย
2. ทรงก่อให้เกิดวันภาษาไทยแห่งชาติ
3. ทรงก่อตั้งหน่วยงานบัญญัติคำภาษาไทย
4. ทรงคิดคำศัพท์ภาษาไทยและให้ใช้อย่างเป็นทางการ
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 69. ประกอบ

119. ภาษาไทยและตัวอักษรไทยสะท้อนให้เห็นสิ่งใดมากที่สุด
1. ประเพณีของชาติไทย
2. วัฒนธรรมทางภาษาของชาติไทย
3. พัฒนาการทางภาษาของชาติไทย
4. ศิลปะและวัฒนธรรมของชาติไทย

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ภาษา ไทยและตัวอักษรไทยสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการทางภาษาของชนชาติไทยซึ่งมีภาษา ที่เป็นของเราเองมาตั้งแต่พ่อขุนรวมคำแหงทรงเริ่มประดิษฐ์ตัวอักษรและตัวเลข ไทยขึ้นเมื่อพ.ศ. 1826 จากนั้นก็พัฒนามาเป็นภาษาที่สวยงาม มีศิลปะในการนิพนธ์ จนกลายเป็นหนังสือที่เรียกว่า “วรรณคดี” เช่น ร้อยแก้วเรื่องสามก๊ก ของเจ้าพระยาพระคลัง (หน)

120. “ภาษาไทยเป็นภาษาที่สวยงาม” สอดคล้องกับข้อใด
1. ภาษาหนังสือพิมพ์
2. ร้อยแก้วเรื่องสามก๊ก
3. อักษรพ่อขุนรามคำแหง
4. การคัดอักษรไทยตัวบรรจง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 119. ประกอบ

THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554
ข้อสอบกระบวนวิชา THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย
คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด) 120 ข้อ)

1. คำว่า “น้ำ” ข้อใดออกเสียงยาวกว่าข้ออื่น ๆ
1. น้ำตา
2. ห้องน้ำ
3. น้ำแข็ง
4. น้ำประปา

ตอบ 2 หน้า 15 – 16 , 40 – 42 , 90 -91 (52067), 33 – 34, 60 – 61, 80 81 (H) อัตราการออกเสียงสั้นยาวตามภาษาพูดมาตรฐานจะใช้มาตราในการวัดความยาวของ เสียงคือ สระเสียงสั้นออกเสียง 1 มาตรา สระเสียงยาวออกเสียง 2 มาตรา นอกจากนี้ถ้าเป็นคำหลายพยางค์หรือคำประสม มักจะลงเสียงเน้นที่พยางค์หรือคำท้าย (ออกเสียงยาว 2 มาตรา) ส่วนคำที่ไม่ได้ลงเสียงเน้นก็มักจะสั้นลง (ออกเสียงสั้นเพียง 1 มาตรา) และหากเป็นคำเดี่ยวที่มีจังหวะเว้นระหว่างคำ น้ำหนักเสียงจะเสมอกัน เช่น คำว่า “ห้องน้ำ” เป็นคำประสม จึงลงเสียงเน้นที่พยางค์ท้ายยาว 2 มาตรา (ส่วนตัวเลือกข้ออื่น คำว่า “น้ำ” ที่อยู่พยางค์หน้าไม่ได้ลงเสียงเน้นจึงออกเสียงสั้นเพียง 1 มาตรา)

2. ข้อใดมีพยัญชนะที่เป็นอักษรควบแท้
1. จริงจัง
2. ทรงผม
3. สร้างสรรค์
4. ขวนขวาย

ตอบ 4 หน้า 22 – 26 (52067), 44 – 49 (H) การออกเสียงควบกล้ำในภาษาไทยมีอยู่ 2 ลักษณะดังนี้
1. เสียงกล้ำ กันสนิท (อักษรควบแท้) คือพยัญชนะคู่ที่ออกเสียงสองเสียงควบกล้ำไปพร้อมกันโดยเสียงทั้งสองจะร่วม เสียงสระและเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน ซึ่งมีเพียงประเภทเดียวคือเมื่อพยัญชนะระเบิดนำแล้วตามด้วยพยัญชนะเหลวหรือ กึ่งสระ (ร ล ว) เช่น กราบกราน,เขลา,ขวาย,คลุกเคล้า,ตรอง,ปลา,ผลุด ฯลฯ
2. เสียงกล้ำ กันไม่สนิท (อักษรควบไม่แท้) คือ พยัญชนะคู่ที่มาด้วยกันแต่ไม่ได้ออกเสียงทั้งสองเสียงกล้ำไปพร้อมกัน และไม่ได้ร่วมเสียงสระและเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน เช่น จริง (จิง), สร้าง (ส้าง), สระ (สะ), แทรก (แซก),ทราบ (ซาบ), ทรง (ซง) ฯลฯ

3. ข้อใดเขียนตัวควบกล้ำไม่ถูกต้อง
1. เขาชอบกินหมูกระทะ
2. เธอรีบไปกะทันหัน
3. เธอใช้คำกะทัดรัดดี
4. เขาทำงานกระตือรือร้นดี

ตอบ 1 คำที่เขียนตัวควบกล้ำผิด ได้แก่ กระทะ ซึ่งที่ถูกต้องคือ กระทะ

4. ข้อใดเขียนรูปวรรณยุกต์ถูกต้อง
1. ขนมคุกกี้หอมหวาน
2. ขนมเค้กร้านอร่อย
3. เสียงโน้ตดนตรีไพเราะ
4. เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโปรด

ตอบ 2 หน้า 33 – 37 (56067), 55 – 60 (H) เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมี 5 เสียง 4 รูป คือ เสียงสามัญ (ไม่มีรูปวรรณยุกต์กำกับ), เสียงเอก ( ก่ ),เสียงโท ( ก้ ),เสียงตรี( ก๊ ),และเสียงจัตวา ( ก๋ )ซึ่งในคำบางคำ รูปและเสียงวรรณยุกต์อาจไม่ตรงกัน จึงควรเขียนรูปวรรณยุกต์ให้ถูกต้อง เช่น ขนมเค้กร้านอร่อย (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นใช้รูปวรรณยุกต์ผิดจึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น ขนมคุกกี้หอมหวาน เสียงโน้ตดนตรีไพเราะ เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโปรด

5. “นายจางเป็นลูกจ้างที่ร้านละจ่างเขาชอบเรียกช้างว่า จ๊าง จ๊าง” ข้อความนี้แสดงลักษณะใดของภาษาไทย
1. มีระบบเสียงสูงต่ำ
2. มีคำขยายบอกจำนวนนับ
3. คำเดียวกันใช้ได้หลายหน้าที่
4. มีการใช้คำสุภาพตามฐานะของบุคคล

ตอบ 1 หน้า 2, 33 – 37 (52067),10,55, 58 (H) ระบบ เสียงสูงต่ำ (เสียงวรรณยุกต์)ในภาษาไทยคือ การกำหนดเสียงสูงต่ำไว้ตายตัวในคำแต่ละคำ เพื่อต้องการแยกความหมาย โดยให้เสียงหนึ่งมีความหมายอย่างหนึ่ง หากเปลี่ยนเสียงความหมายก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย เช่น จาง (เสียงสามัญ)=น้อยไป แต่ในที่นี้ใช้เป็นชื่อคน,จ่าง (เสียงเอก) = สว่าง แต่ในที่นี้เป็นชื่ออาหารจีน (บะจ่าง),จ้าง(เสียงโท)= ผู้รับทำงาน เรียกลูกจ้างหรือผู้รับจ้าง เป็นต้น

6. ประโยคใดแสดงกาล
1.ไปกินข้าวกันไหม
2. กินข้าวกันเถอะ
3. กินข้าวแล้ว
4. กินข้าวเวลาใด

ตอบ 3 หน้า 2, 121 –123 (52067),7 – 8 (H) การ แสดงกาล คือ การแสดงให้รู้ว่ากริยากระทำเมื่อไรซึ่งนอกจากจะต้องอาศัยกริยาช่วยเพื่อบอก กาลเวลาที่ต่างกันแล้ว เช่น จะ (บอกอนาคต),กำลัง/อยู่(บอกปัจจุบัน,ได้/แล้ว (บอกอดีต) ฯลฯ ยังมีคำกริยาวิเศษณ์หรือกิยาบางคำช่วยแสดงกาล โดยอาศัยเหตุการณ์และสภาแวดล้อมเป็นเครื่องชี้ดังนี้
1. บอกปัจจุบัน ได้แก่ เดี๋ยวนี้, ขณะนี้, ตอนนี้, วันนี้ ฯลฯ
2. บอกอนาคต ได้แก่ พรุ่งนี้, มะรืนนี้, ปีหน้า, เดือนหน้า, ฯลฯ
3. บอกอดีต ได้แก่ เมื่อวานนี้, เมื่อก่อนนี้, เมื่อปีก่อน, เพิ่ง, มา ฯลฯ

7. ข้อใดมีคำบ่งบอกเพศ
1. เป็นแม่ทัพคนเก่ง
2. เป็นแม่ครัวโรงแรม
3. เป็นแม่พิมพ์ของชาติ
4. เป็นแม่กองการทำงาน

ตอบ 2 หน้า 2, 85,109 –110 (52067),6 – 7, 97 – 98 (H) คำ นามในภาษาไทยบางคำก็ระบุเพศได้ชัดเจนในตัวของมันเอง เช่น คำที่บอกเพศชาย ได้แก่ พ่อ พระ เณร ทิด เขย ชาย ตา ฯลฯ และคำที่บอกเพศหญิง ได้แก่ แม่ชี สะใภ้ หญิง สาว ป้า ยาย ฯลฯ นอกจากนี้คำประสมบางคำก็สามารถบ่งบอกเพศได้แจ่มแจ้งอยู่ในตัว เช่น แม่ครัว (ผู้หญิงที่ทำครัว), พ่อครัว (ผู้ชายที่ทำครัว)แต่บางคำก็ไม่สามารถบ่งบอกเพศได้ต้องอาศัยความแวดล้อม ประกอบ เช่น แม่ทัพ (ผู้คุมกองทัพ),แม่พิมพ์ (ครูอาจารย์ที่ถือเป็นแบบอย่างความประพฤติ),แม่กอง (ผู้เป็นนายกอง หัวหน้างาน) ฯลฯ

8. ข้อใดใช้สระเดี่ยวเสียงยาวทุกคำ
1.กอง แกง กิน
2. ไก่ เกลียด กลัง
3. เก่า ก้าว แกะ
4. แก้ว ก้อย โกง

ตอบ 1 หน้า 8-14 (52067),17, 26, 29 (H) เสียงสระในภาษาไทย ถ้านับทั้งเสียงสั้นและเสียงยาวจะมีอยู่ 28 เสียง คือ 1. สระเดี่ยว 18 เสียง ได้แก่ อะ อิ อึ อุ เอะ แอะ เออะ โอะ เอาะ (เสียงสั้น) อา อี อื อู เอ แอ เออ โอ ออ (เสียงยาว) 2. สระ ผสม 10 เสียง ได้แก่ เอียะ เอือะ อัวะ เอา ไอ (เสียงสั้น) เอีย เอือ อัว อาว อาย (เสียงยาว) (ส่วนคำว่า “แก้ว” กับ “ก้อย” ลงท้ายด้ายพยัญชนะกึ่งสระ ย/ว จึงอาจเป็นได้ทั้งสระเดี่ยวเสียงยาว และสระผสม 2 เสียง คือ สระแอ + ว (แอ + อู) = แก้ว และสระออ + ย (ออ + อี) = ก้อย

9. ข้อใดใช้สระเดี่ยวเสียงสั้นมากที่สุด
1. เพื่อน พู่ เพลา พอง พรุ่ง
2.พิง ไพร่ พอ เพลิน พัง
3. พัน ไพ่ พลุ พราน เพียง
4. พัก พูด เพราะ พริก แพะ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 8 ประกอบ (คำที่ใช้สระเดี่ยวเสียงสั้น ได้แก่ พรุ่ง พิง พัง พัน พลุ พัก เพราะ พริก แพะ

10. คำใดใช้สระผสมเสียงสั้น
1. เขิน
2. แข็ง
3. เขา
4. ขัด

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 8 ประกอบ

11. คำใดใช้สระผสมเสียงยาว
1.ไล่
2. ลาว
3. เล่า
4. เลิศ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 8 ประกอบ

12. คำใดสะกดด้วยสระ อื + อา + อี
1. เมิน
2. แมว
3. เมีย
4. เมื่อย

ตอบ 4 หน้า 14 (52067),24, 28, (H) คำ ว่า “เมื่อย” ลงท้ายด้วย ย ซึ่ง เป็นพยัญชนะกึ่งสระจึงอาจพิจารณาได้ 2 ลักษณะ คือ อาจเป็นตัวสะกด ย เช่น เอือ + ย หรือเป็นสระผสม 3 เสียงก็ได้ เช่น อื + อา + อี = เอือย เช่น เมื่อย

13.คำใดสะกดด้วยสระ อี + อา + อู
1. เปรี้ยว
2. เปล่า
3. ปลุก
4. เปลี่ยน

ตอบ 1 หน้า 14 (52067),24, 26, (H) คำว่า “เปรี้ยว” ลงท้ายด้วย ว ซึ่งเป็นพยัญชนะกึ่งสระจึงอาจพิจารณาได้ 2 ลักษณะ คือ อาจเป็นตัวสะกด ว เช่น เอีย + ว หรือเป็นสระผสม 3 เสียงก็ได้ เช่น อี + อา + อู = เอียว เช่น เปรี้ยวเคี้ยว

14. “คำว่าไทยซึ้งใจมิใช่ทาสเขา” ประโยคนี้คำใดใช้สระผสม
1. คำ ไทย ใช่ เขา
2 . ว่า ซึ้ง ใจ ทาส
3. ไทย ใจ ใช่ เขา
4. ซึ้ง ใจ ใช่ ทาส

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 8 ประกอบ

15.พยัญชนะต้นข้อใดเป็นเสียงเสียดแทรก
1. กึกก้อง
2. จ๋อมแจ๋ม
3. ฟองฟู่
4. มอมแมม

ตอบ 3 หน้า 19 (52067), 41 (H) พยัญชนะ เสียงเสียดแทรก คือ พยัญชนะต้นที่เสียงถูกขัดขวางบางส่วนเพราะเมื่อลมหายใจผ่านช่องอวัยวะที่ เบียดชิดกันมาก แล้วถูกกักไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของปากแต่ก็ยังมีทางเสียดแทรกออกมาได้ เป็นเสียงที่ออกติดต่อกันได้นานกว่าเสียงระเบิด ได้แก่ พยัญชนะต้น ส (ซ ศ ษ) และ ฟ (ฝ) เป็นต้น

16. “เสด็จทางชลมารค” ข้อใดอ่านถูกต้อง
1. สะ – เด็ด –ทาง – ชน – มาด
2. สะ – เด็ด – ทาง – ชน – มาก
3. สะ – เด็ด –ทาง – ชน – ละ – มาด
4. สะ – เด็ด –ทาง – ชน – ละ – มาก

ตอบ 4 คำว่า “เสด็จทางชลมารค” อ่านว่า สะ – เด็ด –ทาง – ชน – ละ – มาก

17. ข้อใดออกเสียงแบบเคียงกันมา
1. วาสนา
2. ปริศนา
3. นาตยา
4. สยาม

ตอบ 3 หน้า 22 (52067), 44 (H) การ ออกเสียงแบบตามกันมา หรือเคียงกันมา (การออกเสียงแบบเรียงพยางค์) คือ การออกเสียงแต่ละเสียงเต็มเสียง และเสียงทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เช่น นาตยา (นาด – ตะ – ยา), ขจร (ขะ – จอน), ขจี (ขะ – จี), ทวี (ทะ – วี) เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นออกเสียงแบบนำกันมา หรืออักษรนำ (มีเสียง ห นำ)ได้แก่ วาด – สะ – หนา,ปริด – สะ – หนา,สะ – หยาม)

18. ข้อใดออกเสียงเป็นอักษรนำ (นำกันมา) ทุกคำ
1. สละ ขจร ปลัด
2. สมุด ขยะ จริต
3. ขจี สมุน ถนัด
4. ขยี้ สมาน ทวี

ตอบ 2 หน้า 22 (52067), 44 (H) การ ออกเสียงแบบนำกันมา (อักษรนำ) คือ พยัญชนะคู่ที่พยัญชนะตัวหน้ามีอำนาจเหนือพยัญชนะตัวหลัง โดยที่พยัญชนะตัวหน้าจะออกเสียงเพียงครึ่งเสียง และพยัญชนะตัวหลังก็จะเปลี่ยนเสียงตาม ซึ่งจะออกเสียงเหมือนกับเสียงที่มี ห นำ เช่น สมุด (สะ- หมุด),ขยะ (ขะ – หยะ),จริต (จะ – หริด), สละ (สะ –หละ), ปลัด (ปะ – หลัด), สมุน (สะ – หมุน), ถนัด (ถะ – หนัด), ขยี้ (ขะ – หยี้), สนาม (สะ – หนาม) เป็นต้น (ดูคำอธิบายข้อ 17 ประกอบ)

19. “บุญนำพา กลับมาถึงถิ่น ทรุดกายลงจูบดิน” ข้อความนี้มีคำตายกี่คำ
1. 2 คำ
2. 3 คำ
3. 4 คำ
4. 5 คำ

ตอบ 2 หน้า 28 (52067), 51 (H) (คำบรรยาย), (ดูคำอธิบายข้อ 8 ประกอบ)
คำ เป็น คือ คำที่สะกดด้วยแม่กง กน กม เกย เกอว และคำที่ไม่มีตัวสะกด แต่ใช้สระเสียงยาวรวมทั้งสระอำ ใอ ไอ เอา (เพราะออกเสียงเหมือนมีตัวสะกดเป็นแม่กม เกย เกอว) เช่น บุญ นำ พา มา ถึง ถิ่น กาย ลง ดิน เป็นต้น ส่วนคำตาย คือ คำที่สะกดด้วยแม่กก กด กบ และคำที่ไม่มีตัวสะกด แต่ใช้สระเสียงนั้น (ยกเว้นสระอำ ใอ ไอ เอา) เช่น กลับ ทรุด เป็นต้น

20. ข้อใดมีคำตายมากว่าคำเป็น
1. พระ ตัก น้ำ รด บาตร
2. พระ ดัง เสก น้ำ มนต์
3. พระ หาย ไป จาก วัด
4. พระ สงฆ์ กวาด ลาน วัด

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 19 ประกอบ (คำตาย เช่น พระ ตัก รด บาตร เสก จาก วัด กวาด)

21. ข้อใดกระจายคำว่า “โหล” ถูกต้อง
1. พยัญชนะต้น = ห
2. สระ = สระโอะ
3. ตัวสะกด = ล
4. วรรณยุกต์ = เสียงจัตวา

ตอบ 4 หน้า 8, 17 , 35 – 36 (52067), 17, 37 (H) คำ ว่า “โหล” (ออกเสียงว่า โหล) มีพยัญชนะต้นคือ “หละ”เป็นพยัญชนะคู่เรียงกัน 2 ตัว และออกเสียงทั้งคู่ ใช้สระโอ ไม่มีตัวสะกด และมีวรรณยุกต์เสียงจัตวา(แต่ไม่ใช้รูปวรรณยุกต์)

22. ข้อใดใช้คำถูกต้อง
1. พระสงฆ์ออกบิณฑบาตร
2. เธอชอบผัดวันประกันพรุ่ง
3. เขามีเครื่องรางของขลัง
4. คุณยายไปบังสุกุลที่วัด

ตอบ 2 คำที่เขียนผิด ได้แก่ บิณฑบาต เครื่องลาง บังสุกุล ซึ่งที่ถูกต้องคือ บิณฑบาต เครื่องราง บังสุกุล

23. ข้อใดไม่ใช่คำอุปาสื่อความหมาย
1. เพลงนี้ถูกใจจริง ๆ
2. อาหารร้านนี้ถูกปากฉันมาก
3. วันนี้ฉันถูกหวย
4. ฉันคุยกันเขาถูกคอกันเหลือกิน

ตอบ 3 หน้า 48 – 49, 86 (52067), 64, 80 (H) คำ อุปมา คือ คำที่ใช้เปรียบเทียบเพื่อพรรณนาบอกลักษณะให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้มีความหมายใหม่เกิดขึ้นอีกความหมายหนึ่งซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. คำ อุปมาที่ได้มาจากคำที่มีใช้อยู่แล้ว เช่น ตุ๊กตา (นิ่ง ไม่กระดุกกระดิก),ปลิง (เกาะไม่ยอมปล่อยเพื่อถือประโยชน์จากคนอื่น โดยที่ตัวเองไม่ต้องทำอะไร) เป็นต้น
2. คำ อุปมาที่สร้างขึ้นใหม่ ซึ่งส่วนมากเป็นคำประสม เช่น ถูกใจ (ชอบ ต้องใจ), ถูกปาก (อร่อย),ถูกคอ (ชอบพอ ถูกอัธยาศัยกัน) เป็นต้น (ส่วนคำว่า “ถูกหวย” เป็นความหมายโดยตรงไม่ใช่คำเปรียบเทียบ)

24. คำว่า “ราด – ลาด” จัดเป็นคำประเภทใด
1. คำที่มีความหมายเหมือนกัน
2. คำแยกเสียงแยกความหมาย
3. เป็นคำอุปสรรคเทียม
4. คำพ้องเสียงพ้องความหมาย

ตอบ 2 หน้า 51, 53 – 55 (52067), 65 – 66 (H) การ แยกเสียงแยกความหมาย คือ การเปลี่ยนแปลงเสียงในคำบางคำที่มีความหมายหลายอย่างให้แตกต่างกันบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนว่าคำนั้นมีความหมายว่าอย่างไรในที่นั้น ๆ โดยความหมายย่อยและที่ใช้อาจจะแตกต่างกัน ได้แก่ พยัญชนะต้น ร กับ ล มีเสียงต่างกัน เช่น “ราด- ลาด” แปลว่า ทำให้แผ่กระจายออกไปเหมือนกันแต่ “ราด” เป็นการเทของเหลว เช่น น้ำให้กระจายแผ่ไป หรือให้เรี่ยรวดไปทั่ว ส่วน “ลาด” เป็นการปูให้แผ่ออกไป เช่น ลาดพรม ปูลาดอาสนะ เป็นต้น

25. “ข้างนอกฝนตก………ในบ้านน้ำประปาก็ไหล……..” ควรเติมคำใดลงในประโยค
1. กะปริบกะปรอย/ กะปริดกะปรอย
2. กะปริดกะปรอย/กะปริบกะปรอย
3. กระปริดกระปรอย/ กระปริบกระปรอย
4. กระปริบกระปรอย/ กระปริดกระปรอย

ตอบ 1 หน้า 56 – 57 (52067), (ดูคำอธิบายข้อ 24 ประกอบ) การ แยกเสียงแยกความหมายที่พยัญชนะตัวสะกดต่างกัน ได้แก่ แม่กดกับแม่กบ เช่น “กะปริบประปรอย- กะปริดกะปรอย” แปลว่า มีลักษณะไหล ๆ หยุด ๆ ทีละเล็กทีละน้อย คล้าย ๆ กัน แต่คำว่า “กะปริบกะปรอย” มักใช้กับฝนที่หยาดลงมาทีละน้อย

26. ข้อใดมีคำประสมอยู่ในประโยค
1. พี่น้องของฉันไปท่องเที่ยว
2. พ่อแม่ขึ้นรถไปเที่ยววัด
3. ฉันขึ้นรถไฟฟ้าไปลงที่สยาม
4. ลูกหลานไปเยี่ยมคุณย่า

ตอบ 3 หน้า 65, 80, 82 (52067), 69, 78 – 79 (H) คำ ประสม คือ คำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปมาประสมเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้คำใหม่ที่มีความหมายใหม่มาใช้ในภาษา ซึ่งความหมายสำคัญจะอยู่ที่คำต้น(คำตัวตั้ง)ส่วนที่ตามมาเป็นคำขยาย ซึ่งไม่ใช่คำที่ขยายคำต้นจริง ๆ แต่จะช่วยให้คำทั้งคำมีความหมายจำกัดเป็นนัยเดียว ได้แก่ คำประสมที่ใช้เป็นคำนาม โดยมีคำตัวตั้งเป็นคำนามและคำขยายเป็นคำนามด้วยกัน เช่น รถไฟฟ้า หมายถึง รถที่พ่วงกันเป็นขบวนยาวโดยขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า แล่นไปตามราง เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคำซ้อนเพื่อความหมาย ได้แก่ พี่น้อง พ่อแม่ ลูกหลาน)

27. ประโยคใดมีคำซ้อนเพื่อความหมาย
1. เขาอยู่กับพ่อตาแม่ยาย
2. ชาวบ้านอำเภอนี้สามัคคีกันดี
3. เธอเป็นคนหงุดหงิดตลอดเวลา
4. แถวนี้คนอยู่หนาแน่นต้องระมัดระวังให้ดี

ตอบ 4 หน้า 62 – 75 (52067), 67- 74 (H) คำซ้อน คือ คำเดี่ยว 2, 4 หรือ 6 คำ ที่มีความหมายหรือมีเสียงใกล้เคียงกัน หรือเป็นไปในทำนองเดียวกัน ซ้อนเข้าด้วยกันเพื่อทำให้เกิดคำใหม่ที่มีความหมายใหม่ขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้ 1. คำซ้อนเพื่อความหมาย(มุ่งที่ ความหมายเป็นสำคัญ) ซึ่งอาจเป็นคำไทยซ้อนเข้าด้วยกัน เช่น หนาแน่น,ฆ่าฟัน,เดือดร้อน ฯลฯ หรืออาจเป็นคำไทยซ้อนกับคำภาษาอื่น เช่น เงียบสงัด (ไทย + เขมร) ฯลฯ หรือเป็นคำภาษาอื่นซ้อนกันเอง เช่น รูปภาพ (บาลีสันสกฤต + บาลีสันสกฤต) ฯลฯ 2. คำซ้อนเพื่อเสียง(มุ่งที่เสียงเป็นสำคัญ) เช่น หงุดหงิด (สระอุ + อิ), เหวอะหวะ (สระเออะ + อะ) ฯลฯ

28. ข้อใดใช้คำซ้อนเพื่อเสียง
1. ผู้ร้ายฆ่าฟันชาวบ้าน
2. ผู้รายทำให้ชาวบ้านเดือนร้อน
3. ผู้ร้ายถูกตำรวจจับเข้าคุก
4. ผู้ร้ายถูกทำร้ายจนมีแผลเหวอะหวะ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 27 ประกอบ

29. “แต่ละวัน ๆ คนหน้าขาว ๆ ที่ชอบสวมเสื้อสีดำ ๆ จะออกไปวิ่งที่หน้าบ้าน”
ข้อใดอ่านคำที่เขียนด้วยไม้ยมกถูกต้อง
1. แต่ละวัน ละวัน คนหน้าขาว ขาว ที่ชอบสวมเสื้อสีดำ ดำ…..
2. แต่ละวัน ละวัน คนหน้าขาว ขาว ที่ชอบสวมเสื้อสีดำ สีดำ…..
3. แต่ละวัน แต่ละวัน คนหน้าขาว ขาว ที่ชอบสวมเสื้อสีดำ ดำ…..
4. แต่ละวัน แต่ละวัน คนหน้าขาว หน้าขาว ที่ชอบสวมเสื้อสีดำ สีดำ…..

ตอบ 3 ข้อความนี้ อ่านว่า แต่ละวัน แต่ละวัน คนหน้าขาว ขาว ที่ชอบสวมเสื้อสีดำ ดำ จะออกไปวิ่งที่หน้าบ้าน

30. ข้อใดใช้ไม้ยมก (ๆ) ถูกต้อง
1. เจ้าหน้าที่ ๆ รับผิดชอบ
2. คนดี ๆ เขาไม่พูดเช่นนี้
3. พื้นที่ ๆ ใช้เพาะปลูก
4. คนมั่งมี ๆ เงินทองมากมาย

ตอบ 2 หน้า 76 – 77 (52067), 76 (H) คำ ซ้ำ คือ คำคำเดียวกันที่นำมากล่าว 2 ครั้ง เพื่อให้มีความหมายเน้นหนักขึ้น หรือเพื่อให้มีความหมายต่างจากคำเดี่ยว ซึ่งวิธีการสร้างคำซ้ำก็เหมือนกับการสร้างคำซ้อน แต่ใช้คำคำเดียวมาซ้อนกันโดยมีเครื่องหมายไม้ยมกกำกับ เช่น คำซ้ำที่ซ้ำคำขยายนามแสดงพหูพจน์หรือเน้นลักษณะ ได้แก่ คนดี ๆ เขาไม่พูดเช่นนี้,มีแต่ปลาเป็น ๆ เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นไม่ใช้คำซ้ำ เพราะเป็นคำที่พูดติดต่อเป็นความเดียวกัน และเป็นคำคนละประเภทกัน)

31. ยะยิบยะยับ เป็นคำอุปสรรคเทียมชนิดใด
1. กร่อนเสียง
2. แบ่งคำผิด
3. เพิ่มเสียงไม่ให้คอนกัน
4. เทียบแนวเทียบผิด

ตอบ 1 หน้า 93 – 95 (52067), 83 – 84 (H) อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียง เป็นการกร่อนเสียงพยางค์ต้นให้เป็นเสียง “อะ” ได้แก่
1. “มะ” ที่นำหน้าชื่อไม้ผล ไม่ใช้ไม้ผล และหน้าคำบอกกำหนดวัน เช่น หมากอึก มะอึก,หมากขาม มะขาม,เมื่อรืน มะรืน
2. “ตะ” นำหน้าชื่อสัตว์ ต้นไม้ และคำที่มีลักษณะคล้ายตา เช่น ตอม้อ ตะม่อ,
ตาราง ตะราง,ต้นเคียน ตะเคียน,ต้นขบ ตะขบ
3. “สะ” เช่น สายดือ สะดือ,สาวใภ้ สะใภ้,สายดึง สะดึง
4. “ฉะ” เช่น ฉันนั้น ฉะนั้น,ฉาด ๆ ฉะฉาด,เฉื่อย ๆ ฉะเฉื่อย
5. “ยะ” / ระ / ละ เช่น รื่น ๆ ระรื่น,ยิบ ๆ ยับ ๆ ยะยิบยะยับ,เลาะ ๆ ละเลาะ
6. “อะ” เช่น อันไร / อันใด อะไร,อันหนึ่ง อนึ่ง ส่วนคำอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นไปตามนี้ได้แก่ ผู้ญาณ พยาน, ชาตา ชะตา,เฌอเอม ชะเอม,ชีผ้าขาว ชีปะขาว เป็นต้น

32. คำใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิด
1. กระโดกกระแดก
2. กระโผลกกระเผลก
3. กระชุ่มกระชวย
4. กระโชกกระชาก

ตอบ 3 หน้า 94 – 96 (52067), 85 – 86 (H) อุปสรรค เทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิดเป็นการเพิ่มเสียง “กะ” (หรือ “กระ”)เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่พยางค์ต้นและพยางค์ท้ายไม่ได้สะกดด้วย “กะ” ซึ่งยึดการใช้อุปสรรคเทียมที่เพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกันมาเป็นแนว เทียบแต่เป็นการเทียมแนวเทียบผิด เช่นชุ่มชวย กระชุ่มกระชวย,ปรี้เปร่า กระปรี้กระเปร่า,ดี๋ด๋า กระดี๋กระด๋า,จุ๋มจิ๋ม กระจุ๋มกระจิ๋ม,เจิดเจิง กระเจิดกระเจิง

33. ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียงทุกคำ
1. สะดือ กระดุม สะใภ้
2. ตะม่อ ตะราง มะอึก
3. ตะเคียน มะขาม กระจอก
4. ฉะนั้น กระโฉม ละเลาะ

ตอบ 2 หน้า 94 (52067), 84 – 85 (H), (ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ)ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคำอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการแบ่งคำผิด ซึ่งเกิดจากการพูดเพื่อให้เสียงต่อเนื่องกันโดยการเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ “กระ”) ในคำที่พยางค์แรกสะกดด้วยเสียง “กะ” เช่น ลูกดุม ลูกกระดุม , นกจอก นกกระจอก,ผักโฉม ผักกระโฉม,จักจั่น จักกะจั่น,ผักสัง ผักกระสัง,ผักเฉด ผักกระเฉด,ตุ๊กตา ตุ๊กกะตา

34. ข้อใดเรียงลำดับคำอุปสรรคเทียมจากการกร่อนเสียง แบ่งคำผิด เพิ่มเสียงไม่ให้คอนกัน และเทียบแนวเทียบผิด
1. จักจั่น ตะขบ กระดุกกระดิก กระปรี้กระเปร่า
2. กระสัง มะรืน กระจุกกระจิก กระดี๋กระด๋า
3. ชะตา ผักกระเฉด กระปลกกระเปลี้ย กระจุ๋มกระจิ๋ม
4. ฉะฉาด ตุ๊กตา กระเจิดกระเจิง กระอักกระอ่วน

ตอบ 3 หน้า 95 (52067), 85 (H),(ดู คำอธิบายข้อ 31,32และ 33 ประกอบ) อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกัน คือ การเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ “กระ”)เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่หน้าพยางค์ต้นและหน้าพยางค์ท้าย ซึ่งมีเสียงเสมอกันและสะกดด้วย “กะ” เหมือนกัน เช่น ดุกดิก กระดุกกระดิก,จุกจิก กระจุกกระจิก,ปลกเปลี้ย กระปลกกระเปลี้ย,อักอ่วน กระอักกระอ่วน

ข้อ 35 – 36 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม
1. แมวจับหนู

2. หนูวิ่งเร็ว

3. แมวจับหนูตัวเล็ก

4. แมวสีดำกระโดด

35. ข้อใดมีส่วนขยายกรรม

ตอบ 3 หน้า 105 (52067), 95 – 96 (H) ภาคขยายแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
1. ส่วนขยายประธานหรือผู้กระทำ และส่วนขยายกรรมหรือผู้ถูกกระทำ ซึ่งเรียกว่า คุณศัพท์ เช่น แมวสีดำกระโดด (ขยายประธาน),แมวจับหนูตัวเล็ก (ขยายกรรม)
2. ส่วนขยายกริยา ซึ่งเรียกว่า กริยาวิเศษณ์ อาจมีตำแหน่งอยู่หน้าคำกริยา เช่น แม่ชอบทำขนม(ขยายกริยา “ทำ”)หรือมีตำแหน่งอยู่หลังคำกริยาก็ได้ เช่น หนูวิ่งเร็ว (ขยายกริยา “วิ่ง”)

36. ข้อใดมีส่วนขยายกริยา

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 35 ประกอบ

37. ข้อใดมีครบทั้งภาคประธาน กริยา และกรรม
1. ฟ้าร้องครืน ๆ
2. ฝนตกทั้งคืน
3. นกกระจอกเทศวิ่งเร็ว
4. ผีเสื้อกันน้ำหวาน

ตอบ 4 หน้า 94 (H) ประโยค ที่สมบูรณ์ในภาษาไทยจะมีการเรียงลำดับคำ ประกอบไปด้วยภาคประธาน + ภาคแสดง (กริยา และกรรม) ซึ่งทั้ง 2 ภาคอาจมีคำขยายเข้ามาเสริมความให้สมบูรณ์ด้วยหรือไม่ก็ได้ เช่น ผีเสื้อ (ประธาน) กิน (กริยา) น้ำหวาน (กรรม) เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นไม่มีกรรม มีแต่ภาคประธาน กริยา และส่วนขยายกริยาเท่านั้น)

38. ข้อใดไม่มีภาคประธาน
1. นักเรียนเข้าแถว
2. นักเรียนวิ่งเร็ว
3. นักเรียนชอบวิชาพละ
4. นักเรียนถูกตี

ตอบ 4 หน้า 110 (52067), (คำบรรยาย) การแสดงการก หมายถึง ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างคำในประโยค ซึ่งสามารถดูได้จากตำแหน่งของคำที่เรียงกันในประโยค แต่บางกรณีคำนามที่เป็นประธานหรือกรรมอาจเปลี่ยนที่ไปได้ คือ ประธานไปอยู่หลังกรรม กรรมมาอยู่หน้ากริยาได้ถ้าต้องการเน้น เช่น ประโยค “นักเรียนถูกตี” ย้ายกรรมมาไว้ที่ต้นประโยคหน้าคำกริยาแล้วละภาคประธานของประโยคไว้ เพราะจริง ๆ แล้วต้องมีผู้ที่ตีนักเรียน เพียงแต่ว่าคนนั้นไม่ปรากฏในประโยค (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นคำนาม “นักเรียน” เป็นประธานของประโยค)

ข้อ 39 – 41 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม

1. ไม่ใกล้ไม่ไกล

2. ใกล้เข้าไปอีกนิด

3. ใกล้ไปไหม

4. อย่ามาเข้าใกล้นะ

39. ข้อใดเป็นประโยคคำสั่ง

ตอบ 4 หน้า 102 (52067), 91 – 92 (H) ประโยคคำสั่ง หมายถึง ประโยคที่ต้องการให้ผู้ฟังทำตามความประสงค์ของผู้พูดอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง มักเป็นประโยคที่ละประธานหรือผู้ทำไว้ในฐานที่เข้าใจและขึ้นต้นด้วนคำกริยา บางครั้งอาจจะมีกริยาช่วย “อย่า ห้าม จง ต้อง” มานำหน้ากริยาแท้เพื่อแสดงการสั่งไม่ให้ทำหรือให้ทำก็ได้ แต่ถ้ามีประธานก็จะเป็นการระบุชื่อหรือเน้นตัวบุคคลเพื่อให้คนที่ถูกสั่งรู้ ตัว

40. ข้อใดเป็นประโยคคำถาม

ตอบ 3 หน้า 102 – 103 (52067), 93 (H) ประโยคคำถาม หมายถึง ประโยคที่มีคำวิเศษณ์แสดงคำถามอยู่ด้วย เช่น ใคร อะไร ที่ไหน ทำไม เมื่อไร อย่างไร หรือ หรือเปล่า หรือไม่ ไหม ฯลฯ ซึ่งตำแหน่งของคำแสดงคำถามนี้อาจอยู่ต้นหรือท้ายประโยคก็ได้

41. ข้อใดเป็นประโยคบอกเล่า

ตอบ 1 หน้า 103 (52067), 90 (H) ประโยคบอกเล่า หมายถึง ประโยคที่ใช้ในการบอกเล่าเรื่องราวตามธรรมดา ซึ่งอาจใช้ไปในทางตอบรับ หรือตอบปฏิเสธก็ได้

42. ข้อใดมีคำนามทั้งเพศชายและเพศหญิง
1. แม่ชวนคุณป้าไปซื้อของ
2. พ่อไปหาพระที่วัด
3. เณรกับแม่ชีช่วยกันกวาดล้านวัด
4. แม่ผัวรักลูกสะใภ้มาก

ตอบ 3 ดูคำอธิบานข้อ 7 ประกอบ

43. “กล้วยทอดกินอร่อย” กล้วยเป็นคำนามที่ทำหน้าที่ใดของประโยค
1. ประธาน
2. ส่วนขยายประธาน
3. กรรม
4. ส่วนขยายกรรม

ตอบ 3 ดูคำอธิบาย ข้อ 38 ประกอบ (ประโยค “กล้วยทอดกินอร่อย” ย้ายกรรมมาไว้ที่ต้นประโยคหน้าคำกริยา แล้วละประธานของประโยคไว้ เพราะจริง ๆ แล้วต้องมีผู้ที่กินกล้วย เพียงแต่ว่าคนนั้นไม่ปรากฏในประโยค)

44. ข้อใดไม่ใช่สรรพนามแสดงคำถาม
1. เขาหายไปไหน
2. เรื่องไปถึงไหนแล้ว
3. ไหนล่ะเพลงที่เธอชอบ
4. ไหน ๆ เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว

ตอบ 4 หน้า 111,116 – 1118 (52067), 99 (H) สรรพนาม ที่บอกคำถาม ได้แก่ ใคร อะไร ใด ไหนซึ่งเป็นคำกลุ่มเดียวกันกับสรรพนามที่บอกความไม่จำเพาะเจาะจง แต่สรรพนามที่แสดงคำถามจะใช้สร้างประโยคคำถาม เช่น เขาหายไปไหน, เรื่องไปถึงไหนแล้ว, ไหนล่ะ เพลงที่เธอชอบ ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้อ 4 เป็นสรรพนามที่บอกความไม่จำเพาะเจาะจง ซึ่งจะกล่าวถึงบุคคล สิ่งของหรือสถานที่แบบลอย ๆ ไม่ชี้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นใคร อะไรหรือที่ไหน และไม่ได้เป็นการถาม)

45. ข้อใดมีสรรพนามเชื่อมประโยค
1. ต่างรักต่างชอบ
2. ที่ใดมีรักที่นั้นมีทุกข์
3. นี่แหละรัก
4. ไหนล่ะคือรัก

ตอบ 2 หน้าที่ 111,119 (52067), 98,100 (H) สรรพนาม ที่ใช้แทนนามและเชื่อมประโยค ได้แก่ ที่ ซึ่ง อัน ซึ่งจะใช้ในรูปประโยคที่มีประโยคเล็กซ้อนกับประโยคใหญ่ และสามารถทำให้คำที่ตามหลังมาทั้งหมดกลายเป็นคำขยายได้ เช่น ฉันรักคนที่ไม่เห็นแก่ตัว, ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์,ครูซึ่งใจดีย่อมไม่ดู,ความจริงอันปรากฏขึ้นมา ฯลฯ

46. คำว่าพ่อในข้อใดเป็นสรรพนามบุรุษที่ 1
1. ไปหาพ่อเถอะ
2. ฟังพ่อนะ
3. พ่อได้ยินไหม
4. พ่อนอนหลับแล้ว

ตอบ 2 หน้า 112 (52067), 99 (H) สรรพนาม บุรุษที่ 1 คือ คำที่ใช้แทนตัวผู้พูดเอง เช่น ฉัน ดิฉัน อิฉัน กระผม ข้าพเจ้า เรา ฯลฯ นอกจากนี้ยังอาจใช้คำนามอื่น ๆ แทนตัวผู้พูดเพื่อความสนิทสนมรักใคร่ได้แก่ 1. ใช้ตำแหน่งเครือญาติแทน เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก ตา ยาย ฯลฯ 2. ใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานแทน เช่น ครู อาจารย์ หัวหน้า ฯลฯ 3. ใช้ชื่อผู้พูดทั้งชื่อเล่นจริงแทน เช่น น้อย ติ๋ว ต๋อย นุช แดง ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่น คำว่า “พ่อ” เป็นสรรพนามบุรุษที่ 2 และ 3)

47. ข้อใดไม่มีคำกริยาช่วยแสดงกาล
1. เขาชอบกินข้าวคนเดียว
2. เขาจะไปกินข้าวกับเธอ
3. เขากินข้าวอยู่ที่บ้าน
4. เขาเพิ่มกินข้าว

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 6 ประกอบ

48. ข้อใดเป็นกริยาการีต
1. ไปไหว้พระ
2. ไปดูหนัง
3. ไปตรวจโรค
4. ไปซื้อของ

ตอบ 3 หน้า 128 (52067), (คำบรรยาย) คำ กริยาธรรมดาที่มีความหมายเป็นการีต (ทำให้) เป็นคำที่กำหนดขึ้นเป็นพิเศษ และมีความหมายเฉพาะเป็นที่รู้กัน ซึ่งดูเหมือนว่าประธานเป็นผู้กระทำกริยานั้นเอง แต่ที่จริงแล้วประธานเป็นผู้ถูกกระทำ เช่น ไปดูหมอ (ที่จริงคือ ให้หมอดูโชคชะตาให้ตน),ไปตรวจโรค (ที่จริงคือ ให้หมอยาตรวจโรคให้ตน),ไปตัดเสื้อทำผม (ที่จริงคือ ให้ช่างตัดเสื้อและทำผมให้ตน)เป็นต้น

49. คำว่า “มา” ในข้อใดไม่ใช่กริยาแท้
1. เขามาช้า
2. เขาไปเที่ยวมา
3. เขาไม่มานานแล้ว
4. เขาน่าจะมา

ตอบ 2 หน้าที่ 123 (52067), (ดูคำอธิบายข้อ 6 ประกอบ) คำว่า “มา” เป็นได้ทั้งกริยาแท้และกริยาช่วยถ้าเป็นกริยาช่วยจะมีตำแหน่งอยู่หลังกริยา แท้ โดยจะมีเสียงเบาและสั้นกว่ากริยาแท้ ได้แก่ “มา” ที่เป็นกริยาช่วยจะแสดงอดีต เช่น เขาไปเที่ยวมา (แสดงอดีตว่า ได้กลับจากที่อื่นมาถึงที่พัก) หรือแสดงทิศทางเข้าหาตัวผู้พูด เช่น หันมาทางนี้ เอามานี่ ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่น คำว่า “มา” เป็นกริยาแท้หมายถึง เคลื่อนออกจากที่เข้าหาตัวผู้พูด)

50. คำคุณศัพท์ในข้อใดแสดงความชี้เฉพาะมากกว่าข้ออื่น ๆ
1. เขาอยู่นี่ไง
2. เขาอยู่ตรงนี้
3. เขาอยู่นั่นไง
4. เขาอยู่ตรงนั้น

ตอบ 2 หน้า 135 (52067), 102 (H) คำ คุณศัพท์ขยายนามที่ชี้เฉพาะได้แก่ นี้ นั้น โน้น นี่ นั่น โน่น ซึ่งเป็นคำเดียวกับคำสรรพนามที่บอกความจำเพาะเจาะจง แต่ถ้าใช้เป็นคำคุณศัพท์จะต้องอยู่หลังคำนาม โดยคำว่า “นี่/นั่น/โน่น” จะใช้ขยายนามที่ไม่รู้แน่ว่าเป็นใคร ชื่ออะไร หรือเป็นของชนิดไหน แต่ถ้าใช้ “นี้/นั้น/โน้น” จะขยายนามที่ชี้เฉพาะมากกว่า เช่น เขาอยู่ตรงนี้ (ชี้เฉพาะที่ที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด),เขาอยู่ตรงนั้น (ชี้เฉพาะที่ที่อยู่ไกลตัวออกไป)ฯลฯ

51. “ทุกวันฉันฝันถึงเธอ” ประโยคนี้มีคำคุณศัพท์ชนิดใด
1. ขอกจำนวนแบ่งแยก
2. บอกจำนวนนับไม่ได้
3. ขยายนามชี้เฉพาะ
4. บอกความไม่ชี้เฉพาะ

ตอบ 1 หน้า 133 – 134 (52067), 102 (H) คำ คุณศัพท์บอกจำนวนแบ่งแยก ได้แก่ ต่าง ต่าง ๆ ละ ทุก บ้าง บาง ฯลฯ เช่น ทุกวันฉันฝันถึงเธอ (คำว่า “ทุก” ใช้ไว้หน้านามเพื่อขยายนามนั้นบอกจำนวนที่เป็นสองหรือมากกว่านั้น แยกกันไปที่ละจำนวน เป็นจำนวนที่กำหนดแน่ไม่มีเว้นอาจแยกเป็นทีละหนึ่งเช่น ทุกวัน)

52. “ฉันฝันถึงเธอเสมอ” ประโยคนี้มีคำกริยาวิเศษณ์ชนิดใด
1. บอกประมาณ
2. บอกความแบ่งแยก
3. บอกอาการและภาวะ
4. บอกเวลา

ตอบ 1 หน้า 139 (52067), 103 (H) คำ กริยาวิเศษณ์บอกประมาณ ได้แก่ มาก น้อย นิดหน่อย มากมาย เหลือเกิน พอ ครบ ขาด หมด สิ้น แทบ เกือบ จวน เสมอ บ่อย ฯลฯ ซึ่งคำเหล่านี้สามารถใช้เป็นคุณศัพท์ได้แทบทุกคำ เช่น ฉันฝันถึงเธอเสมอ (คำว่า “เสมอ” ใช้ขยายเพื่อบอกเวลาหลายครั้ง หรือบอกประมาณหลายครั้ง)

53. ข้อใดสามารถละบุรพบทใด
1. เขาเป็นคนของประชาชน
2. คำบอกรักของเขามีค่ามาก
3. น้ำตาของเขาเหือดหายไปกับความรัก
4. คำว่ารักของเขาก้องอยู่ในใจฉันเสมอ

ตอบ 3 หน้า 143 – 144 (52067), 104 – 105 (H) คำ บุรพบทไม่สำคัญมากเท่ากับคำนาม คำกริยาและคำวิเศษณ์ ดังนั้นบางแห่งไม่ใช้บุรพบทเลยก็ยังฟังเข้าใจได้ ซึ่งบุรพบทที่อาจละได้แล้วความหมายยังเหมือนเดิม ได้แก่ ของ แก่ ต่อ สู่ ยัง ที่ บน ฯลฯ เช่น น้ำตาของเขาเหือดหายไปกับความรัก (น้ำตาเขาเหือดหายไปกับความรัก) เป็นต้น แต่บุรพบทบางคำก็ละไม่ได้เพราะละแล้วความจะเสีย ไม่รู้เรื่อง จะละบุรพบทได้ก็ต้องดูความในประโยคว่าความหมายต้องไม่เปลี่ยนไปจากเดิม

54. ขอใดไม่สามารถใช้คำบุรพบทอื่นแทนได้
1. เขาใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง
2. ดอกไม้ช่อนี้สำหรับเธอ
3. เยาอยากคุยกับเธอสองต่อสอง
4. เราควรพูดจากันด้วนดี

ตอบ 4 หน้า 144 – 146(52067), 105 – 106 (H) คำบุรพบท “ด้วยดี” กับ “โดยดี” จะมีความหมายคล้ายกัน แต่บางกรณีก็ใช้แทนกันไม่ได้ เช่น พูดจากกันด้วยดี (พูดกันด้วยอัธยาศัยไมตรี),พูดจากันโดยดี (ยอมพูดจากปรึกษาหารือ หรือประนีประนอมกันเมื่อเกิดการขัดแย้ง) เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นใช้คำบุรพบทอื่นแทนได้ เช่น เขาใช้ชีวิตอยู่ตาม/โดยลำพัง,ดอกไม้ช่อนี้สำหรับ/เพื่อเธอ,เขาอยากคุยกับเธอ สองต่อสอง ซึ่งคำว่า “ต่อ” ในที่นี้มีความหมายเท่ากับ “กับ/และ”)

ข้อ 55. – 57 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม
1. น้ำท่วมเพราะฝนตกหนัก

2. ฝนหยุดตกแล้ว แต่น้ำยังคงท่วมอยู่

3. ถ้าฝนไม่ตก น้ำคงไม่ท่วม

4. ครั้นฝนตก ดินก็ถล่มลงมา

55. คำสันธานใดเชื่อมความคล้อยตามกัน

ตอบ 4 หน้าที่ 153 – 154 (52067), 106 (H) คำ สันธานที่เชื่อมความคล้อยตามกัน ทำนองเดียวกันไม่ขัดแย้งกัน โดยทำหน้าที่เชื่อมความที่เกี่ยวกับเวลา ได้แก่ ก็, แล้ว…ก็, แล้ว….จึง, ครั้น….ก็, เมื่อ….ก็,ครั้น….จึง,เมื่อ….จึง,พอ….ก็ ส่วนที่ทำหน้าที่เชื่อมความให้รวมเข้าด้วยกัน ได้แก่ ทั้ง,ทั้ง…ก็, ทั้ง…และ, ก็ได้, ก็ดี,กับ,และ

56. คำสันธานใดเชื่อมความแบ่งรับแบ่งสู้

ตอบ 3 หน้า 156 – 157(52067), 107 (H) คำสันธานที่เชื่อมความคาดคะเนหรือแบ่งรับแบ่งสู้ ได้แก่ ถ้า, ถ้า…ก็,ถ้า…จึง, ถ้าหากว่า, แม้…แต่, แม้ว่า,เว้นแต่,นอกจาก

57. คำสันธานใดเชื่อมความขัดแย้งกัน

ตอบ 2 หน้า 155 – 156 (52067), 106 (H) คำสันธานที่เชื่อมความที่ขัดแย้งกันไปคนละทาง ได้แก่ แต่,แต่ว่า,แต่ทว่า,จริงอยู่…แต่,ถึง…ก็, กว่า…ก็

58. คำอุทานใดมีความหมายว่าเอิกเกริก
1. อื้ออึง
2. อึกทึก
3. ครื้นครั่น
4. ครึกครื้น

ตอบ 4 หน้า 159 – 160 (52067), 109 (H) คำอุทานที่ได้เลื่อนมาเป็นคำวิเศษณ์ ได้แก่
1.อื้ออึง หมายถึง ลั่น ดังลั่น
2. อื้อฉาว หมายถึง เซ็งแซ่ โจษจัน
3. อึกทึก หมายถึง เอ็ดอึง
4.ครึกโครม หมายถึง ดังตึงตัง น่าตื่นเต้น
5.ครืน หมายถึง เสียงดังลั่น
6.ครื้นครั่น หมายถึง กึงก้อง 7.ครึกครื้น หมายถึง เอิกเกริก

59. ข้อใดจับคู่คำนามกับคำลักษณะนามไม่ถูกต้อง
1. แว่นตา – คู่
2. จอบ – เล่ม
3. คำร้อง – ฉบับ
4. เข็มทิศ – อัน

ตอบ 1 หน้า 160 – 165 (52067), 109 – 110 (H) คำ ลักษณะนาม คือคำที่ตามหลังคำบอกจำนวนนับเพื่อบอกรูปลักษณะและชนิดของคำนามที่อยู่ข้าง หน้าคำบอกจำนวนนับ มักจะเป็นคำพยางค์เดียวแต่เป็นคำที่สร้างขึ้นใหม่โดยอาศัยการอุปมาเปรียบ เทียบ การเลียนเสียงธรรมชาติ และการเทียบแนวเทียบ เช่น แว่นตา เข็มทิศ ใบพัด (อัน),จอบ (เล่ม),คำร้อง ใบรับรอง ใบลา ใบสำคัญคู่จ่าย (ฉบับ), ใบเสมา ใบขับขี่ ใบสั่ง ใบมีดโกน ใบเลื่อย (ใบ),ใบสุทธิ ใบเสร็จ(ฉบับ/ใบ),ใบปลิว (ใบ/แผ่น)เป็นต้น

60. ข้อใดใช้คำลักษณะนามใบทุกคำ
1. ใบเสมา ใบขับขี่ ใบสั่ง
2. ใบรับรอง ใบลา ใบมีดโกน
3. ใบเลื่อย ใบสุทธิ ใบพัด
4. ใบปลิว ใบสำคัญคู่จ่าย ใบเสร็จ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 59 ประกอบ

ข้อ 61 – 70 อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม โดยให้สัมพันธ์กับข้อความนี้

ที่ อำเภอหนึ่งเขามีงานเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่ออนุรักษ์และสืบสานศิลปะการทอผ้า ตีนจกเอกไว้ไม่ให้สูญไปเป็นประจำทุกปีมาหลายปีแล้วละ งานนี้เป็นงานที่น่ารักมาก ชื่อว่างาน (นามสมมุติอีกเช่นกัน) “เทศกาลฮู้รักษาผ้าซิ่นตีนจก” อะไรทำนองนี้ ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่างานชื่ออะไร แต่อยู่ที่ว่างานนี้มีคำว่า “ตีน” และ “ซิ่น” อยู่ด้วย
ที นี้นายอำเภอ (ซึ่ง “มะสะลุม” สันนิษฐานเอาเองว่าท่านคงไม่ใช้คนท้องถิ่น) ท่านก็เกิดนิมิตคิดใหม่ทำใหม่ขึ้นมาว่า งานนี้น่ะชื่อน่าเกลียดแท้ มีคำว่า “ตีน” ซึ่งไม่สุภาพแล้วยังไม่พอ ซ้ำยังมีคำว่า “ซิ่น” ซึ่งฟังดูแล้วไม่เพราะไม่เป็นมงคล (ฟังแล้วเหมือน “สิ้น”) อีกด้วย น่าจะเปลี่ยนชื่อเสียงใหม่ ให้ฟังดูไพเราะเสนาะหู อย่างเช่น “งานเทศกาลเบิกฟ้าผ้าเชิงจกกนกพัสตราภรณ์” อะไรบ้า ๆ ทำนองนี้ (นี่ก็นามสมมุติอีกเหมือนกัน..เดี๋ยวนี้ไม่ได้…จะพูดอะไรต้องระวังปาก)

พวกเราพลพรรคนักจ้อทั้งหลายฟังแล้วก็อดวิพากษ์กันไม่ได้ว่ามันเรื่องอะไรของแกวะ ทำไมถึงได้มีความคิดสร้างสรรค์ถึงขนาดนั้น ทำไมถึงไม่เอาเวลาไปคิดอย่างอื่นที่มันประเทืองปัญญา และมีประโยชน์มากกว่านี้ ไปวุ่นวายกับชื่อที่ชาวบ้านเค้าตั้งมาดีแล้ว ถูกต้องชัดเจนทำไมกัน ชื่อเดิมของเขาฟังดูก็ตรงประเด็นไม่เห็นจะหยาบคายตรงไหนเลย ทั้งยังได้กลิ่นอายพื้นบ้านอีกด้วย

“มะสะลุม” นั้นมาคิดดูแล้วก็ให้นึกเสียดายว่า ในอดีตชื่อสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นภาษาถิ่นและแสดงออกถึงประวัติศาสตร์ ตลอดจนวัฒนธรรมท้องถิ่นได้ถูกฝ่ายราชการทำลายไปด้วยความหวังดีเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์มากแล้ว ทำให้สูญเสียงความหมายและรากภาษาดั้งเดิม จน ในบางครั้งคนในท้องถิ่นรุ่นหลัง ๆ นั้นเอง ก็ยอมรับเอาชื่อและความหมายใหม่ซึ่งเพี้ยนไปแล้วนั้นเข้าไว้โดยเข้าใจผิดและ บางครั้งถึงกับเอาความหมายผิด ๆ นั้น ไปใช้ออกแบบตามสัญลักษณ์ประจำท้องถิ่นเสียด้วย

อย่างเช่น อำเภอ “ร้องกวาง” เดี๋ยวนี้ก็เข้าใจกันว่า หมาย ถึง ที่ซึ่งมีกวางมา “ร้อง” ถึงกับเขียนไว้ในประวัติอำเภอและทำเป็นรูปกวางกำลังร้อง (ถ้าดูไม่ดีอาจนึกว่าเป็นรูปหมาหอน) แต่ความจริงคำที่ถูกต้องนั้นคือ “ล้องกวาง” คำว่า “ล้อง” เป็นคำที่ใช้เรียกภูมิประเทศชนิดหนึ่งในภาษาเหนือ (เช่นเดียวกับภาษากลางมีคำว่า “บาง” เป็นต้น) และที่ “ล้อง” แห่งนี้มันมี “กวาง” เขาจึงเรียกว่า “ล้องกวาง” (ส่วนกวางมันจะ “ร้อง” หรือไม่ร้องนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องของมนุษย์)
บ้าน “สงเปลือย” นี่ก็อีก…บางทีก็เพี้ยนหนักเป็น “สงฆ์เปลือย” (อุ๊ยตายว้านกรี๊ด! ทั้งโป๊ ทั้งบาป)ที่จริงเขาชื่อ “สงเปือย” ต่างหาก “เปือย” เป็นภาษาอีสาน เป็นชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่ง

คนไทยเดี๋ยวนี้เป็นอะไรกันไปหมดนะ อายเรื่องที่ไม่ควรจะอาย แต่เรื่องที่ควรจะอาย กลับไม่อาย “ซิ่นตีนจก” แล้วมันจะเป็นไรไปหรือครับ คำว่า “ซิ่น” ก็เขียนต่างจาก “สิ้น” ความหมายก็ต่างกันเป็นคำพ้องเสียง ใคร ๆ ก็รู้ ส่วนคำว่า “ตีน” ก็ไม่เห็นจะหยาบคายตรงไหนเลย มันต้องดู “บริบท ( Contex)” ด้วย คำว่า “ตีน” นั้นมันจะอยู่ส่วนไหนของประโยค ถ้า อยู่อย่างที่กล่าวมาแล้ว คนทั่ว ๆ ไปเขาก็เข้าใจว่าหมายถึงอะไร (ไม่ใช่อยู่ดี ๆ พูดว่า “ตีนแน่ะ” อย่างนี้ก็ค่อนข้างหยาบคายนะครับ..ไม่ควรพูด)

คำว่า “ตีน” นั้น คนไทยเราใช้พูดกันมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว ในศิลาจารึกหลักที่หนึ่งของพ่อขุนรามคำแหงฯ ก็ยังกล่าวถึง “เบื้องตีนนอน” ของกรุงสุโขทัยว่ามีอะไรบ้าง (ลองไปหาอ่านกันเองนะครับ)แปลกที่เบื้องตีนนอนของคนไทยสมัยสุโขทัยนั้นน่ะ หมายถึง “ทิศเหนือ” ไม่ยักใช่ทิศใต้ หรือทิศตะวันตกแสดงว่าคนไทยสมัยก่อนมีความนิยมนอนเอาหัวไปทางทิศใต้ เอาตีนไปทางทิศเหนือ ต่างจากความนิยมในปัจจุบันที่นิยมนอนเอาหัวไปทางทิศเหนือ หรือทิศตะวันออก แล้วเอาตีนไปทางทิศใต้ หรือทิศตะวันตก

ต่อมาคนไทยเราก็เริ่ม (ดัดจริต) เปลี่ยนคำว่า “ตีน” บางคำมาเป็น “เท้า” แทน เช่น คำพังเพยว่า “มือไม่พาย เอาตีนราน้ำ” (เหมือน บางคน) เดี๋ยวนี้ก็นิยมพูดกันว่า “มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ” นัยว่าสุภาพขึ้น หรือบางทีก็หลบไปใช้คำว่า “เชิง” (ซึ่งความจริงนั้นเป็นภาษาเขมร) แทน เช่น “ตีนดอย” “ตีนเขา” ก็ว่า “เชิงเขา” แต่ก็ยังมีอีกหลายคำที่เปลี่ยนจาก “ตีน” เป็นคำอื่นไม่ได้ ฟังแล้วไม่เป็นภาษาคนเลยทีเดียว อย่างเช่น “ตีนกา” (ที่ปรากฏอยู่บนหน้าคุณทั้งหลายที่อายุอ่อนกว่าหน้านั่นแหละ) จะให้เปลี่ยนเป็น “เท้ากา” หรือ “เชิงกา” ก็ฟังดูบ้า ๆ บอ ๆ ถึงมีที่เปลี่ยนไปเป็นภาษาบาลีเลยว่า “กากบาท”(ซึ่งแปลตรงตัวว่าตีนกา) แต่เราก็ใช้กันในคนละความหมายมานานแล้ว (แหมก็ใครอยากมี “กากบาท” ขึ้นเต็มหน้าบ้างล่ะแย่ยิ่งกว่า “ตีนกา” อีกนะ)

(เรียบเรียงและตัดจากเรื่อง อายตีน คอลัมน์ เลียบท่าพาที โดย “มะสะลุม” หนังสืออนุสาร อ.ส.ท. ปีที่ 44 ฉบับที่ 3)

61. แนวคิดหลักของข้อความที่ให้อ่านคืออะไร
1. ภาษาถิ่นและภาษากลางสื่อวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ต่างกัน
2. ความหวังดีแต่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ทำให้ชื่อที่ถูกต้องกับความหมายเดิมถูกเปลี่ยนไป
3. ภาษาเป็นเรื่องยากที่จะทำให้อยู่ในระนาบเดียวกัน
4. ภาษาต่างถิ่นต่างสมัยย่อมมีเอกลักษณ์เฉพาะ

ตอบ 2 (คำบรรยาย) แนวคิดหลัก (Theme) คือ สารัตถะ แก่นเรื่อง หรือสาระสำคัญของเรื่องที่ผู้เขียนมุ่งจะสื่อถึงผู้อ่าน เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชื่อเรื่อง โดยจะมีใจความครอบคลุมรายละเอียดทั้งหมดและมีลักษณะเป็นนามธรรม ซึ่งแนวคิดหลักหรือสารัตถะสำคัญของเรื่องนี้ ได้แก่ ความหวังดีแต่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ทำใช้ชื่อที่ถูกต้องกับความหมายเดิมถูกเปลี่ยนไป

62. ผู้เขียนมีความเห็นอย่างไรต่อชื่องาน “เทศกาลฮู้รักษาผ้าซิ่นตีนจก”
1. ไม่น่าฟัง ไม่สุภาพ ไม่เป็นมลคล
2. ไม่สามารถสื่อความหมายให้กับคนในภูมิภาคอื่น ๆ ทำให้นักท่องเที่ยวลดลง
3. ตรงประเด็น ไม่หยาบคาย มีกลิ่นอายพื้นบ้าน
4. ชัดเจน มีประโยชน์ ประเทืองปัญญา

ตอบ 3 จาก ข้อความ…ไปวุ่นวายกับชื่อที่ชาวบ้านเค้าตั้งมาดีแล้ว ถูกต้องชัดเจนทำไมกัน ชื่อเดิมของเขาฟังดูก็ตรงประเด็น ไม่เห็นจะหยาบคายตรงไหนเลย ทั้งยังได้กลิ่นอายพื้นบ้านอีกด้วย

63. ชื่อสถานที่ที่เป็นที่ต้องเป็นภาษาบ่งบอกลักษณะใด
1. สื่อความหมายแคบ
2. ต้องอาศัยบริบทจึงจะเข้าใจได้
3. สื่อความหมายได้เฉพาะรุ่น
4. สื่อวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์

ตอบ 4 จาก ข้อความ…. ในอดีตชื่อสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งเป็นภาษาถิ่นและประวัติศาสตร์ตลอดจนวัฒนธรรมท้องถิ่นได้ถูกฝ่ายราชการ ทำลายไปด้ายความหวังดีเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์มามากแล้ว ทำให้สูญเสียงความหมายและรากภาษาดั้งเดิม จนในบางครั้งคนในท้องถิ่นรุ่นหลัง ๆ นั้นเอง ก็ยอมรับเอาชื่อและความหมายใหม่ซึ่งเพี้ยนไปแล้วนั้นเข้าไว้โดยเข้าใจผิด

64. ชื่อสถานที่บางแห่งในปัจจุบันอยู่ในลักษณะใด
1. มีความเป็นสากล
2. ใช้สื่อความหมายได้เข้าใจทั่วประเทศ
3. สูญเสียความหมายและรากภาษาดั้งเดิม
4. ออกเสียงและเข้าใจความหมายได้ง่ายขึ้น

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 63 ประกอบ

65. เบื้องตีนนอน ในสมัยสุโขทัยแสดงถึงอะไร
1. การใช้ภาษาบริสุทธิ์ในสมัยนั้น
2. คนไทยในอดีตเห็นความสำคัญของเท้า
3. คนไทยในอดีตไม่อายในเรื่องที่ไม่ควรอาย
4. ความนิยมในการกำหนดทิศทางนอนของอดีตและปัจจุบันตรงกันข้ามกัน

ตอบ 4 จากข้อความ…. แปลกที่เบื้องตีนนอนของคนไทยสมัยสุโขทัยนั้นน่ะ หมายถึง “ทิศเหนือ” ไม่ยักใช่ทิศใต้ หรือทิศตะวันตกแสดงว่าคนไทยสมัยก่อนมีความนิยมนอนเอาหัวไปทางทิศใต้ เอาตีนไปทางทิศเหนือ ต่างจากความนิยมในปัจจุบันที่นิยมนอนเอาหัวไปทางทิศเหนือ หรือทิศตะวันออก แล้วเอาตีนไปทางทิศใต้ หรือทิศตะวันตก

66. การเลี่ยงใช้คำว่า ตีน ในภาษาปัจจุบันอยู่ในลักษณะใด
1. ไม่สามารถทำได้กับทุกคำเพราะไม่สื่อความหมายชัดเหมือนเดิม
2. ทำให้ภาษามีความหลากหลายจากการใช้คำพ้องความหมาย
3. ทำให้สื่อความหมายระหว่างภาคให้เข้าใจสะดวกขึ้น
4. ยังมีความลักลั่นเพราะพื้นฐานการศึกษาของผู้ใช้ภาษาต่างกัน

ตอบ 1 จากข้อความ… ต่อมาคนไทยเราก็เริ่ม (ดัดจริต) เปลี่ยนคำว่า “ตีน” บางคำมาเป็น “เท้า” แทน… แต่ก็ยังมีอีกหลายคำที่เปลี่ยนจาก “ตีน” เป็นคำอื่นไม่ได้ ฟังแล้วไม่เป็นภาษาคนเลยทีเดียว อย่างเช่น “ตีนกา” (ที่ปรากฏอยู่บนหน้าคุณทั้งหลายที่อายุอ่อนกว่าหน้านั่นแหละ) จะให้เปลี่ยนเป็น “เท้ากา” หรือ “เชิงกา” ก็ฟังดูบ้า ๆ บอ ๆ

67. ข้อความที่ให้อ่านจัดเป็นวรรณกรรมประเภทใด
1. ข่าว
2. บทความ
3. เรื่องสั้น ๆ
4. ปาฐกถา

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ปาฐกถา หมายถึง งานเขียนที่แสดงความคิดเห็นโดยคนคนเดียว หรืออาจจะเป็นความรู้และความคิดที่ได้มาจากวิทยากรเพียงคนเดียว

68. โวหารที่ใช้เป็นการเขียนแบบใด
1. บรรยาย
2. อธิบาย
3. อภิปราย
4. พรรณนา

ตอบ 2 หน้า 72 (46134),(คำบรรยาย) โวหาร เชิงอธิบาย คือโวหารที่ใช้ในการชี้แจงเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง ซึ่งเป็นการให้ความรู้หรือข้อมูลเพียงด้านเดียวอาจจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบ ก็ได้ โดยมีการชี้แจงแสดงเหตุและผล การยกตัวอย่างประกอบการเปรียบเทียบ และการจำแนกแจกแจง เช่น การอธิบายความหมายของคำ กฎเกณฑ์ ทฤษฎีและวิธีการต่าง ๆ

69. ท่วงทำนองเขียนแบบใด
1. เรียบง่าย เป็นภาษาเขียน
2. กระชับรัดกุม
3. สละสลวย เป็นภาษาพูด
4. ชัดเจน เป็นภาษาพูด

ตอบ 4 หน้า 62 (46134) ผู้เขียนใช้ท่วงทำนองเขียนแบบชัดเจนแจ่มแจ้ง คือ อ่านเข้าใจง่ายไม่คลุมเครือซึ่งขึ้นอยู่กับการเลือกใช้คำง่าย ๆ ตรงความหมาย ผูกประโยคและเรียบเรียงข้อความดี มีเว้นวรรคและย่อหน้าถูกต้อง ทั้งนี้จะมีการใช้ภาษาพูดเป็นส่วนใหญ่ เพื่อให้เกิดความเป็นกันเอง

70. ข้อความที่ให้นักศึกษาอ่านเป็นการนำเสนอจากผู้ใด
1. “มะสะลุม”
2. ผู้เขียนเดิมและผู้ออกข้อสอบ
3. “มะสะลุม”
4. ผู้เขียนเดิมและผู้บรรยาย

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ข้อ ความในวงเล็บท้ายสุดมีคำว่า “เรียบเรียงและตัดจาก..” หมายถึง ข้อความที่ให้อ่านเป็นการนำเสนอจากผู้เขียนเดิมและผู้ออกข้อสอบ โดยผู้ออกข้อสอบได้ตัดข้อความของผู้เขียนเดิมมกเรียบเรียงใหม่ ซึ่งอาจจะมีการปรับถ้อยคำ หรือตัดข้อความบางตอนที่ยาวเกินไปออก

ข้อ 71.-80. เลือกราชาศัพท์หรือคำที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุดของแต่ละข้อ เพื่อเติมลงในช่วงว่างระหว่างข้อความที่เว้นไว้

ที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท พสกนิการยัง 71. 72. เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดาสิริโสภาพัณณวดีอย่างต่อเนื่อง ด้วยความสำนึกใน 73. ของ 74.
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี 75. ให้สำนักการสังคีต กรมศิลปากรซึ่งเป็นวงดนตรีไทยที่มาประโคมย่ำยาม 76. 77. ของพระบาทสมเด็จพระมลกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 78. 79. สมเด็จฯเจ้าฟ้าเพชรรัตน์นำมาใส่ทำนองไทยเดิม 80. วันละเพลงที่งานดังกล่าวด้วย

71. 1. เข้าเฝ้าฯ พระศพ
2. เข้าถวายอาลัยพระศพ
3. เข้าสักการะพระศพ
4 เข้าถวายสักการะพระศพ

ตอบ 3 เข้าสักการะพระศพ หมาย ถึง ทำความเคารพพระศพ ซึ่งคำว่าสักการะนั้นถวายกันไม่ได้ ถ้าจะใช้คำว่า “ถวาย” ควรเป็นการมอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ เช่น วางพวงมาลาถวายสักการะพระศพ

72. 1. สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ
2. สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ
3. สมเด็จพระมาตุจฉา
4. สมเด็จพระปิตุจฉา

ตอบ 2 สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ หมาย ถึง พี่สาว น้องสาว ที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระมหากษัตริย์ (ส่วนคำว่า “สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ” หมายถึง พี่สาวของพระมหากษัตริย์, “สมเด็จพระมาตุจฉา” หมายถึง น้าที่เป็นน้องสาวแม่, “สมเด็จพระปิตุจฉา” หมายถึง อาที่เป็นน้องสาวของพ่อ)

73. 1. พระกรุณา

2. พระกรุณาธิคุณ

3. พระมหากรุณา

4. พระมหากรุณาธิคุณ

ตอบ 2 พระกรุณาธิคุณ หมาย ถึง พระคุณอันยิ่งที่มีความกรุณา ซึ่งหากต้องการเน้นว่าเป็นพระคุณที่ใหญ่หลวง ก็ให้ใช้ว่าพระมหากรุณาธิคุณ แต่ในที่นี้ใช้เพียงพระกรุณาธิคุณจะเป็นการสมควรกว่า (ส่วนคำว่า “พระกรุณา” หมายถึง ความกรุณา, “พระมหากรุณา” หมายถึง ความกรุณาที่ใหญ่หลวง)

74. 1. ท่าน
2. องค์ท่าน
3. พระองค์
4. พระองค์ท่าน

ตอบ 3 หน้า 174 (52067) คำสรรพนามราชาศัพท์ที่ใช้แทนผู้ที่พูดถึง (บุรุษที่ 3) ได้แก่
1. พระองค์ ใช้แทนพระเจ้าแผ่นดิน พระราชินี พระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้า เจ้าฟ้าและเหนือขึ้นไป (จะไม่ใช้คำว่า พระองค์ท่าน ซึ่งเป็นภาษาปาก)
2. ทูลกระหม่อม ใช้แทนเจ้านายชั้นเจ้าฟ้าที่มีพระราชชนนีเป็นอัครมเหสี
3. เสด็จ ใช้แทนเจ้านายชั้นพระองค์เจ้าที่เป็นลูกเธอและหลานเธอ ซึ่งมีพระอัยกาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
4. ท่าน ใช้แทนเจ้านายทั่วไป ขุนนาง พระสงฆ์ ฯลฯ
5

75. 1. โปรด
2.ทรงโปรด
3. โปรดเกล้า
4. โปรดเกล้าฯ
ตอบ 4 หน้า 113 (H) โปรดเกล้าฯ (โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม) หมายถึง ทรงมีพระเมตตาและพอพระราชหฤทัยให้ (ส่วนคำว่า “โปรด” หมายถึง ชอบ รัก เป็นคำราชาศัพท์อยู่แล้วจึงไม่ควรเติม “ทรง” ซ้อนราชาศัพท์เข้าไปอีก)

76. 1. นำ
2. คัด
3. เชิญ
4. อัญเชิญ

ตอบ 4 อัญเชิญ หมายถึง เชิญด้วยความเคารพนับถือ (ส่วนคำว่า “นำ” หมายถึง พา เช่น นำมา, “คัด” หมายถึง ลอกข้อความหรือลวดลายออกมาจากต้นฉบับ, “เชิญ” หมายถึง แสดงความปรารถนาเพื่อขอให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยความเคารพหรืออ่อนน้อม)

77. 1. บทประพันธ์
2. บทพระนิพนธ์
3. บทพระราชนิพนธ์
4. เรื่องที่ทรงแต่ง

ตอบ 3 หน้า 113 (H) บทพระราชนิพนธ์ หมายถึง เรื่องที่แต่งขึ้นเอง ใช้กับพระมหากษัตริย์ พระราชินีและพระราชวงศ์ลำดับ 2 (ส่วนคำว่า “บทประพันธ์” หมายถึง เรื่องที่แต่งขึ้นเป็นร้อยแก้วหรือร้อยกรอง, “บทพระนิพนธ์”หมายถึง เรื่องที่แต่งขึ้นเอง ใช้กับสมเด็จเจ้าฟ้าและพระองค์เจ้า, “เรื่องที่ทรงแต่ง” ใช้กับเจ้านายชั้นรองลงมาถึงหม่อมเจ้า)

78. 1. ชนก
2. พระบิดา
3. พระชนก
4. พระราชชนก

ตอบ 4 พระราชชนก หมายถึง พ่อ ใช้กับพระมหากษัตริย์ ซึ่งในที่นี้ก็คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

79. 1. ของ
2. ใน
3. แห่ง
4. ไม่ต้องใช้คำใด ๆ

ตอบ 2 หน้า 151 – 152 (52067) คำ ว่า “ใน” หมายถึง แห่ง ของ ใช้เป็นคำสุภาพนำหน้าคำแสดงความเป็นเจ้าของสำหรับเจ้านายในราชวงศ์ (ส่วนคำว่า “ของ” ใช้นำหน้านามที่เป็นผู้ครอบครองซึ่งเป็นบุคคลสามัญ, “แห่ง” ใช้นำหน้าคำแสดงความเป็นเจ้าของโดยเฉพาะที่เป็นนามธรรม)

80. 1. บรรเลง
2. ขับร้อง
3. ทรงบรรเลง
4. ทรงขับร้อง

ตอบ 2 ขับ ร้อง หมายถึง ร้องเพลงเป็นทำนอง ซึ่งในที่นี้สำนักการสังคีต กรมศิลปากรเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดหาบุคคลที่เป็นสามัญชนมาขับร้อง จึงไม่ต้องเติม “ทรง” เพื่อทำให้เป็นคำราชาศัพท์ (ส่วนคำว่า “บรรเลง” หมายถึง ทำเพลงด้วยเครื่องดุริยางค์ให้เป็นที่เจริญใจ)

81. ข้อใดมีคำที่สะกดถูกสลับกับคำที่สะกดผิด
1. เหล็กใน เหล็กกล้า เหล็กไหล เหลือเข็ญ
2. เหลาะแหละ เหิรห่าง แห่แหน เหี้ยมเกียม
3. แหนงหน่าย ใบโหระพา ใบกระเพาะ ใบแมงลัก
4. แหลกลาญ โหวงเหวง หมิ่นเหม่ หนุบหนับ

ตอบ 2 คำที่สะกดผิด ได้แก่ เหิรห่าง แห่แหน เหี้ยมเกียม ซึ่งที่ถูกต้อง คือ เหินห่าง เหี้ยมเกรียม

82. ข้อใดมีคำที่สะกดถูกขนาบคำที่สะกดผิด
1. แสลงโรค สเน่ห์ เสถียรภาพ
2. คำสแลง สุลุ่ย สุร่าย สุลต่าน
3. สุญญากาศ สุขภัณฑ์ สัญลักษณ์
4. สัณฐาน สัญชาตญาณ สันนิษฐาน

ตอบ 1 คำที่สะกดผิด ได้แก่ สเน่ห์ ซึ่งที่ถูกต้อง คือ เสน่ห์

83. ข้อใดมีคำที่สะกดผิดปรากฏอยู่ด้วย
1. ยุคเข็ญ ยีราฟ เยินยอ
2. ไยดี เยื่อใย ผ้าเยียรบับ
3. แยบยล โยนกลอง เยื้องกาย
4. กลิ่นยี่หร่า ไม่ยี่หระ ยิ้มกริ่ม

ตอบ 3 คำที่สะกดผิด ได้แก่ ไข่พะโร้ พอกพูล พ้องพาล ซึ่งที่ถูกต้องคือ สัมพันธ์ ผูกพัน พันธกรณี

ข้อ 86. – 90. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม

1.ร้อนตัว ร้อน ๆ หนาว ๆ ร้อนผ้าเหลือ 2. หน้าซื่อใจคต หน้าเนื้อในเสือ หน้าสิ่วหน้าขวาน
3. นกรู้ ไม่ร่มนกจับ ไก่อ่อนสอนขับ
4. ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ซื้อความหน้านา ซื้อผ้าหน้าตรุษ

86. ข้อใดเป็นคำพังเพยทั้งสิ้น

ตอบ 2 หน้า 199- 121 (H) ข้อแตกต่างของสำนวน คำพังเพย และสุภาษิต มีดังนี้

1. สำนวน หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นอย่างกะทัดรัด ใช้คำน้อยแต่กินความหมายมากและเป็นความหมายโดยนัยหรือโดยเปรียบเทียบ เช่น นกรู้ (ผู้ที่มีไหวพริบ รู้เท่าทันเหตุการณ์หรือภัยที่จะมาถึงตน), ไม้ร่มนกจับ (ผู้มีวาสนาย่อมมีคนมาพึ่งบารมี),ไก่อ่อนสอนขับ(ผู้มีประสบการณ์น้อย ยังไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของคน)

2. คำพังเพย หมาย ถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อตีความ สรุปเหตุการณ์ สภาวการณ์ บุคลิกและอารมณ์ให้เข้ากับเรื่อง มีความหมายกลาง ๆ ไม่เน้นการสั่งสอน แต่แฝงคติเตือนใจให้นำไปปฏิบัติหรือไม่ให้นำไปปฏิบัติ เช่น หน้าซื่อใจคด (มีสีหน้าดูซื่อ ๆ แต่มีนิสัยคดโกง),หน้าเนื้อใจเสือ (มีหน้าตาแสดงความเมตตาแต่ใจเหี้ยมโหด), หน้าสิ่วหน้าขวาน (อยู่ในระยะอันตรายเพราะอีกฝ่ายหนึ่งกำลังโกรธหรือมีเหตุการณ์วิกฤต), ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ (ไม่ว่าผู้มีอำนาจจะว่าอย่างใด ผู้น้อยก็ต้องคล้อยตามไปอย่างนั้นเพราะกลัวหรือประจบ),ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ (ต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน)

3. สุภาษิต หมาย ถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อสั่งสอนโดยตรง ซึ่งอาจเป็นคติ ข้อติติง คำจูงใจ หรือคำห้าม และเนื้อความที่สั่งสอนก็เป็นความจริง เป็นความดีที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เช่น ซื้อควายหน้านา ซื้อผ้าหน้าตรุษ (ซื้อของไม่คำนึงถึงกาลเวลาย่อมได้ของแพง หรือทำอะไรไม่เหมาะกับกาลเวลาย่อมได้รับความเดือดร้อน)

87. ข้อใดมีแต่สำนวน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 86. ประกอบ

88. ข้อใดมีความหมายไปในทางลบทั้งหมด

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 86. ประกอบ

89. ข้อความที่มีความหมายตรงกันข้ามปรากฏอยู่

ตอบ 3 ข้อความที่มีความหมายตรงกันข้าม ได้แก่ นกรู้กับไก่อ่อนสอนขับ (ดูคำอธิบายข้อ 86.ประกอบ)

90. ข้อใดไม่ปรากฏว่ามีสำนวน คำพังเพย หรือสุภาษิตปรากฏอยู่เลย

ตอบ 1 ข้อ ความในตัวเลือกข้อ 1 เป็นคำกริยาทั้งหมด ได้แก่ ร้อนตัว (กลัวว่าโทษหรือความเดือดร้อนจะมาถึงตัว), ร้อน ๆ หนาว ๆ (ครั่นเนื้อครั่นตัว มีอาการคล้ายจะเป็นไข้เพราะเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวหรือมีความเร่าร้อนใจกลัว ว่าจะถูกลงโทษหรือถูกตำหนิ), ร้อนผ้าเหลือง (อยากสึก)

ข้อ 91 – 95 จงเลือกคำที่มีความหมายต่างจากคำอื่น ๆ

91. 1. บทความ
2. สารคดี
3. วารสาร
4. นวนิยาย

ตอบ 3 คำ ว่า “วารสาร” หมายถึง หนังสือที่ออกตามกำหนดเวลา เช่น วารสารราชบัณฑิตยสถานวารสารศิลปากร วารสารกรมการแพทย์ ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นวรรณกรรมหรือข้อเขียนในรูปร้อยแก้วประเภทต่างๆ)

92. 1.สามแว่น
2. สวมรอย
3. สวมเสื้อ
4. สวมหมวก

ตอบ 2 คำ ว่า “สวมรอย” หมายถึง เข้าแทนที่คนอื่นโดยทำเป็นทีให้เข้าใจว่าตนเองเป็นตัวจริง(ส่วนตัวเลือกข้อ อื่นเป็นกิริยาที่เอาของที่เป็นโพรงเป็นวงครอบลงบนอีกสิ่งหนึ่ง เช่น สวมหมวก,นุ่ง เช่น สวมกางเกง,ใส่ เช่น สวมเสื้อ สวมแว่น ฯลฯ)

93. 1. พัดชา
2. พัดชัด
3. พัดโบก
4. พัดยศ

ตอบ 1 คำว่า “พัดชา” หมายถึง ชื่อเพลงไทยทำนองหนึ่ง ชื่อท่ารำท่าหนึ่ง (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นเครื่องมือสำหรับใช้โบกลม หรือพัดให้เย็น

94. 1. สีขาว
2. สีเข้ม
3. สีขาบ
4. สีเขียว

ตอบ 2 คำว่า “สีเข้ม” หมายถึง ลักษณะของสีที่แก่จัด (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นชนิดของสี เช่น สีขาว = มีสีอย่างสำลี, สีขาบ = สีน้ำเงินแก่อบม่วง, สีเขียว = มีสีอย่างใบไม้สด ฯลฯ)

95. 1. ทำนา
2. ทำไร่
3. ทำสวน
4. ทำเหมือง

ตอบ 4 คำว่า “ทำเหมือง” หมายถึง การประกอบอาชีพขุดแร่หรือหาแร่ในลักษณะที่เป็นอุตสาหกรรมซึ่งต้องใช้ทุนและแรงงานในการผลิตจำนวนมาก (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งเป็นการใช้ที่ดินเพาะปลูกพืชชนิดต่าง ๆ)

96. ข้อใดใช้ลักษณนามเดียวกับ “ซอ”
1. หนังสือ
2. ดินสอ
3. รถ
4. ปากกา

ตอบ 3 หน้า 162,164 (52067), (ดูคำอธิบายข้อ 59. ประกอบ) คำลักษณนามที่เป็นการอนุโลมตามแนวเทียบ เช่น คำลักษณนาม “คัน” ใช้สำหรับรถยนต์ ไวโอลิน ช้อน เบ็ด จักร ร่ม ซอ ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นใช้ลักษณนามดังนี้ หนังสือ เล่ม, ดินสอ แท่ง, ปากกา ด้าม)

97. ลักษณนามของ “ลูกคิด” คืออะไร
1. ลูก
2. เครื่อง
3. อัน
4. ราง

ตอบ 4 (ดู คำอธิบายข้อ 59. ประกอบ) คำลักษณนาม “ราง” จะใช้เฉพาะสิ่งที่มีลักษณะเป็นราง เช่น ลูกคิดรางหนึ่ง,ระนาด 2 ราง, รางรถไฟ 3 ราง เป็นต้น

98. “คนขยันไม่ย่อท้อ…ความยากลำบาก” ใช้บุรพบทคำใด
1. กับ
2. ต่อ
3. ใน
4. แก่

ตอบ 2 หน้า 146 (52067), 105 – 106 (H) คำ ว่า “ต่อ” เป็นบุรพบทที่ใช้นำหน้าคำที่เกี่ยวกับการให้การรับ แต่มักจะใช้นำหน้าความที่เป็นผู้รับต่อหน้า เผชิญหน้าเป็นที่ประทุษร้าย เช่น คนขยันไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก (ความยากลำบากที่เห็นอยู่ต่อหน้า)

99. “เขาเน้นเสมอว่ากลัวอะไร…ความจน” ใช้บุรพบทคำใด
1. ต่อ
2. ซึ่ง
3. ใน
4. กับ

ตอบ 4 หน้า 144 (52067),105 (H) คำว่า “กับ” เป็นบุรพบทที่ใช้นำหน้าคำที่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น ได้ยินกับหู เขียนกับมือ ฯลฯ หรือใช้นำหน้าทำที่เป็นเครื่องประกอบ เครื่องเกี่ยวเนื่องกัน เช่น พูดกับเพื่อน กลัวอะไรกับความยากจน ฯลฯ

100. “เขามาโรงเรียน…ไม่เรียนหนังสือจึงสอบตก” ใช้สันธานใด
1. กับ
2. ด้วย
3. แต่
4. มิฉะนั้น

ตอบ 3 หน้า 155 – 156 (52067), (ดูคำอธิบาย) 57. ประกอบ) คำ ว่า “แต่” เป็นสันธานที่ใช้เชื่อมความที่ขัดแย้งกัน ซึ่งใช้เชื่อมได้ทั้งที่ประธานคนเดียวกันทำกริยาต่างกัน เช่น เขามาโรงเรียนแต่ไม่เรียนหนังสือจึงสอบตกฯลฯ หรือประธานคนละคนกันก็ได้ เช่น ฉันชอบแมวแต่น้องชอบหมา ฯลฯ

101. ความสำเร็จของการใช้ภาษาขึ้นอยู่กับสิ่งใด
1. ผู้ส่งสาร
2. ผู้รับสาร
3. ลักษณะของสาร
4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 1 (46134) ประสิทธิภาพหรือความสำเร็จของการใช้ภาษาย่อมขึ้นอยู่กันองค์ประกอบต่อไปนี้
1.ผู้ส่งภาษา (ผู้ส่งสาร) ซึ่งจะใช้ภาษาโดยการพูดและการเขียน 2. สาร (ลักษณะของภาษา) 3.ผู้รับภาษา (ผู้รับสาร) ซึ่งจะใช้ภาษาโดยการฟังและการอ่าน

102. ผู้รับภาษาใช้ภาษาในลักษณะใด
1. พูดและฟัง
2. ฟังและเขียน
3. อ่านและฟัง
4. เขียนและอ่าน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 101 ประกอบ

103. ปัญหาการใช้ภาษาที่เห็นได้ชัดเจนคือข้อใด
1. อ่านและเขียน
2. เขียนและพูด
3. ฟังและอ่าน
4. พูดและฟัง

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ปัญหา การใช้ภาษาที่สามารถเห็นได้ชัดเจน คือ การเขียนและพูด ซึ่งถือเป็นกระบวนการภายนอก เพราะเป็นการใช้ภาษาที่ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ส่วนการฟังและอ่านถือเป็นกระบวนการภายใน เพราะเป็นการใช้ภาษาที่สังเกตเห็นได้อยาก กล่าวคือ ผู้พูดและผู้เขียนมิอาจทราบได้ว่าผู้ฟังและผู้อ่านเข้าใจสารที่ตนส่งหรือ สื่อออกไปหรือไม่ เพียงไร

104. การใช้ภาษาลักษณะใดที่ทำให้เกิดความรู้ความคิด
1. เขียนและอ่าน
2. ฟังและอ่าน
3. พูดและฟัง
4. ฟังและเขียน

ตอบ 2 หน้า 2, 81 (46134) การ ฟังและการอ่านเป็นการใช้ภาษาในการรับรู้เรื่องราวเพื่อจะได้เกิดความจำ ความเข้าใจ ความรู้ ความคิด และความบันเทิง ส่วนการพูดและการเขียนนั้นเป็นการใช้ภาษาในการนำความรู้ ความรู้ หรือความต้องการของเราถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจ

105. การใช้ภาษาคือการใช้สิ่งใด
1. ภาพ
2. เสียงพูด
3. ตัวอักษร
4. ระบบสัญลักษณ์

ตอบ 4 หน้า 1 (46134), (คำบรรยาย) การใช้ภาษา หมายถึง การสื่อสารทำความเข้าใจกันโดยใช้ภาษาพูดหรือภาษาเขียน อันเป็นระบบสัญลักษณ์ที่มนุษย์ใช้เป็นสื่อหรือเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร ถึงกันดังนั้นการใช้ภาษาจึงหมายถึงการใช้ระบบสัญลักษณ์ ซึ่งก็คือ หลักภาษา ลักษณะภาษา หรือไวยากรณ์ต่าง ๆ ที่จัดขึ้นอย่างมีระบบระเบียบ

106. หน้าที่ของคำในประโยคเกี่ยวข้องกับเรื่องใด

1. ระดับของคำ
2. น้ำหนักของคำ
3. ความหมายของคำ
4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 5 (46134) หน้าที่ ของคำในประโยคจะเกี่ยวข้องกับความหมายของคำ เพราะตามปกติคำจะมีความหมายอย่างไรนั้นย่อมขึ้นอยู่กับตำแหน่งหรือหน้าที่ ของคำในข้อความที่เรียบเรียบขึ้นนอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความเข้าใจหรือการ แปลความหมายของผู้ใช้อีกด้วย

107. การใช้ภาษาให้ถูกระดับเกี่ยวข้องกับสิ่งใด
1. กาละ
2. เทศะ
3. บุคคล
4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 6-10, 15 – 16 (46134) คำ ในภาษาไทยมีระดับต่างกัน นั่นคือ มีการกำหนดคำให้ใช้แตกต่างกันไปตามความเหมาะสมแก่บุคคลและกาลเทศะ ซึ่งจะต้องรู้ว่าในโอกาสใด สถานที่เช่นไร และกับบุคคลใดจะใช้คำหรือข้อความใดจึงจะเหมาะสม ดังนั้นจึงมีการแบ่งคำเพื่อนำไปใช้ในที่สูงต่ำต่างกันตามความเหมาะสมหรือตาม การยอมรับของสังคมเป็น 2 ระดับ คือ

1. คำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ ได้แก่ คำราชาศัพท์ คำสุภาพ และคำเฉพาะวิชาหรือศัพท์บัญญัติ

2. คำ ที่ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ สามารถใช้คำได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคำปากหรือคำตลาดคำสแลง คำเฉพาะอาชีพ คำโฆษณา คำภาษาถิ่น ฯลฯ และคำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ

108. คำสแลงเป็นคำที่ใช้ในภาษาระดับใด
1. ทางการ
2. กึ่งทางการ
3. ไม่เป็นทางการ
4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 107. ประกอบ

109. ในโอกาสไม่เป็นทางการสามารถใช้คำประเภทใดได้
1. คำปาก
2. คำสุภาพ
3. คำภาษาถิ่น
4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 107. ประกอบ

110. ข้อใดใช้ภาษาเขียน
1. เมื่อไหร่เขาจะมา
2. อย่างไรก็ตาม
3. เธอจะมายังไง
4. ของราคาเท่าไหร่

ตอบ 2 หน้า 6 – 7 (46134) ระดับ ของคำในภาษาไทยมีศักดิ์ต่างกัน เวลานำไปใช้ก็ใช้ในที่ต่างกัน ดังนั้นจึงต้องพิจารณาใช้คำให้เหมาะสม กล่าวคือ คำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ ได้แก่ คำที่ใช้ในภาษาแบบแผน หรือภาษาเขียนของทางราชการ เช่น เมื่อใด เมื่อไร เท่าไร อย่างไร ฯลฯ ส่วนคำที่ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ ได้แก่ คำที่ใช้ในการพูดหือการเขียนอย่างไม่เป็นทางการ เช่น เมื่อไหร่ เท่าไหร่ ยังไง ฯลฯ

111. คำว่า “เพลาเช้า เพลารถ” เป็นคำประเภทใด
1. คำเหมือน
2. คำพ้องเสียง
3. คำพ้องความหมาย
4. คำพ้องรูป

ตอบ 4 หน้า 14 (46134) คำ พ้องรูป คือ คำที่เขียนเหมือนกัน แต่ความหมายและการออกเสียงจะต่างกันดังนั้นจึงต้องออกเสียงให้ถูกต้อง เพราะหากออกเสียงผิด ความหมายก็จะผิดไปด้วย เช่น “เพลา” อาจจะอ่านว่า “เพ – ลา” (กาล คราว เช่น เพลาเช้า เพลาเย็น) หรือ “เพลา” (แกนสำหรับสอดในดุมรถหรือดุมเกวียน เช่น เพลารถ)ฯลฯ

112. คำว่า “สรร สรรค์ สัน สันต์” เป็นคำประเภทใด
1. คำเหมือน
2. คำพ้องรูป
3. คำพ้องเสียง
4. คำเปรียบเทียบ

ตอบ 3 หน้า 14 (46134) คำ พ้องเสียง คือ คำที่ออกเสียงเหมือนกัน แต่ความหมายและการเขียน (รูป)ไม่เหมือนกัน ดังนั้นเวลาเขียนจึงต้องเขียนให้ถูกต้อง เพราะถ้าเขียนผิด ความหมายก็จะผิดไปด้วย เช่น สรร (เลือก คัด),สรรค์ (สร้างให้มีให้เป็นขึ้น),สัน (สิ่งที่มีลักษณะนูนสูงขึ้นเป็นแนวยาว),สันต์ (เงียบ สงบ สงัด) ฯลฯ

113. การใช้ประโยคควรเพ่งเล็งแง่ใดมากที่สุด
1. มีน้ำหนัก
2. รัดกุม
3. ถูกต้อง
4. กระชับ

ตอบ 3 หน้า 35 – 36, 44 (46134) สิ่ง ที่ควรเพ่งเล็กและคำนึงถึงมากที่สุดในการใช้ประโยคทั้งในการพูดและการเขียน คือความถูกต้อง เพราะถ้าหากใช้คำหรือประโยคไม่ถูกต้องจะทำให้ไม่สามารถสื่อความหมายตามที่ ต้องการได้ รวมทั้งยังทำให้ผู้ฟังและผู้อ่านไม่เข้าใจหรือเข้าใจไม่ตรงกันกับผู้พูดและ ผู้เขียนอีกด้วย

114. การรวบความทำให้ประโยคมีลักษณะอย่างไร
1. ถูกต้อง
2. รัดกุม
3. มีน้ำหนัก
4. มีภาพพจน์

ตอบ 2 หน้า 39 – 40, 47 (46134) การผูกประโยคให้กระชับรัดกุมมีสิ่งที่จะต้องพิจารณา คือ

1. การรวบความให้กระชับ
2. การจำกัดความ

115. ความถูกต้องชัดเจนของประโยคขึ้นอยู่กับสิ่งใด
1. การเรียงคำ
2. การเว้นวรรค
3. การขยายความ
4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 37 – 38, 47 (46134) การผูกประโยคให้ถูกต้องชัดเจนขึ้นอยู่กับการกระทำดังนี้ คือ
1.การเรียงคำให้ถูกที่
2. การขยายความให้ถูกที่
3.การใช้คำตามแบบภาษาไทย
4. การใช้คำให้สิ้นกระแสความ
5.การเว้นวรรคตอนให้ถูกต้อง

116. ข้อเขียนใดที่ควรใช้ประโยคที่มีน้ำหนักและภาพพจน์
1. ข่าว
2. ตำรา
3. บทความ
4. หนังสือเรียน

ตอบ 3 หน้า 44 (46134), (คำบรรยาย) ประโยค ที่มีน้ำหนักและภาพพจน์นั้นมักนำไปใช้กับข้อเขียนประเภทบทความ โดยควรนำไปใช้ก็ต่อเมื่อรู้ลึกว่าจะทำให้เรื่องราวดีขึ้น และควรใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะถ้านำไปใช้อย่างพร่ำเพรื่อและใช้อย่างไม่พิจารณาแล้วจะทำให้เฝือและ รู้สึกขัดเขิน

117. “ตำรวจตามจับ 5 คนร้าย” ข้อความนี้มีลักษณะอย่างไร
1. เรียงคำไม่ถูก
2. ขยายความไม่ถูก
3. ไม่มีกริยาสำคัญ
4. ไม่ใช้ลักษณนาม

ตอบ 4 หน้า 167 (52067), 12 – 13 (46134) การ ใช้ลักษณนามจะต้องใช้ให้ถูกต้องตามหลัก คือ รู้ว่าจะใช้กับคำนามคำใดและใช้ที่ใด ซึ่งลักษณนามจะใช้ตามหลังจำนวนนับ เช่น หนังสือ 5 เล่ม ฯลฯและใช้ตามหลังนามเมื่อต้องการเน้นข้อความนั้น เช่น หนังสือเล่มนั้น ฯลฯ

118. “เขาเป็นนักเรียนและทุกเช้าจะไปตลาด” ข้อความนี้มีลักษณะอย่างไร
1. ไม่มีกริยาสำคัญ
2. ไม่กระชับ
3. ไม่รัดกุม
4. ไม่เกี่ยวข้องกัน

ตอบ 4 หน้า 40 (46134) ข้อ ความในประโยคหนึ่ง ๆ ควรจะมีเพียงอย่างเดียว หรือควรจะต้องเกี่ยวข้องกันไม่ควรให้กระจัดกระจายไปเป็นคนละเรื่อง ดังนั้นการใช้ประโยคหรือข้อความซ้อนกันจึงต้องระมัดระวังเรื่องใจความให้ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เช่น เขาเป็นนักเรียนและทุกเช้าจะไปตลาด(ข้อความไม่เกี่ยวข้องกัน)จึงควรแก้ไข เป็น เข้าเป็นนักเรียนและทุกเช้าจะไปโรงเรียน

119. “ห้ามคนอย่าให้เข้าไปในเขตก่อสร้าง” ข้อความนี้มีลักษณะอย่างไร
1. ขยายความไม่ถูก
2. ใช้คำฟุ่มเฟือย
3. ไม่เกี่ยวข้องกัน
4. ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 18 – 19 (46134) การ ใช้คำฟุ่มเฟือยหรือการใช้คำที่ไม่จำเป็น จะทำให้คำโดยรวมไม่มีน้ำหนักและข้อความก็จะขาดความหนักแน่น เพราะเป็นคำที่ไม่มีความหมายอะไร แม้ตัดออกไปก็ไม่ได้ทำให้ความหมายของข้อความนั้นเปลี่ยนแปลงไป แต่กลับทำให้ดูรุงรังยิ่งขึ้น เช่น ห้ามคนอย่าให้เข้าไปในเขตก่อสร้าง (ใช้คำฟุ่มเฟือย)จึงควรแก้ไขเป็น ห้ามคนเข้าไปในเขตก่อสร้าง)

120. “เขาพบตัวเองอยู่ในบ้างร้าง” ประโยคนี้ลักษณะอย่างไร
1. ถูกต้อง
2. เรียงคำไม่ถูก
3. ใช้คำขยายไม่ถูก
4. ไม่ใช้คำตามแบบภาษาไทย

ตอบ 4 หน้า 38 (46134), (ดูคำอธิบายข้อ 115.ประกอบ) การ ใช้คำตามแบบภาษาไทย คือ การให้ข้อความที่ผู้ขึ้นมีลักษณะเป็นภาษาไทย ไม่เลียนแบบภาษาต่างประเทศ เช่น เขาพบตัวเองอยู่ในบ้างร้าง (เป็นสำนวนภาษาต่างประเทศ) จึงควรแก้ไขเป็น เขาอยู่ในบ้านร้าง ซึ่งจะทำให้ข้อความกะทัดรัด เข้าใจง่าย และไม่เคอะเขิน

THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553

ข้อสอบกระบวนวิชา THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องทีสุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ

  1. “สายหยุดหยุดกลิ่นฟุ้งยามสาย” ข้อความนี้แสดงลักษณะใดของภาษาไทย
  2. มีระบบเสียงสูงต่ำ
  3. มีการใช้คำสุภาพตามฐานะของบุคคล
  4. คำเดียวกันใช้ได้หลายหน้าที่
  5. มีลักษณนามมากับคำขยายบอกจำนวนนับ

ตอบ 3 หน้า 2 (52067), 4 – 5 (H) ลักษณะ ภาษาไทที่เป็นภาษาคำโดดประการหนึ่ง คือ คำคำเดียวกันอาจมีความหายใช้ได้หลายหน้าที่โดยไม่ต้องเปลี่ยนแปลงรูปคำเลย จะรู้ความหมายและหน้าที่ได้ก็ด้วยการดูตำแหน่งในประโยค เช่น ข้อความข้างต้นมีคำว่า “สาย” และ “หยุด” อย่างละ 2 คำ ซึ่งแต่ละคำจะมีความหมายและหน้าที่แตกต่างกันไป

  1. ประโยคใดแสดงกาล
  2. ทำไมไม่ไปกินข้าว
  3. เขากินข้าวแล้ว
  4. เขายังไม่ได้กินข้าว
  5. เขากินข้าวกับใคร

ตอบ 2 หน้า 212 – 123 (52067) การแสดงกาล คือ การแสดงให้รู้ว่ากริยากระทำเมื่อไร ซึ่งต้องอาศัยกริยาช่วยเพื่อบอกกาลเวลาที่ต่างกันดังนี้

  1. บอกปัจจุบัน ได้แก่ อยู่, กำลัง, กำลัง.. อยู่, กำลัง…อยู่แล้ว
  2. บอกอนาคต ได้แก่ จะ, กำลังจะ, กำลังจะ..อยู่, กำลังจะ…อยู่แล้ว
  3. บอกอดีต ได้แก่ ได้, แล้ว, ได้..แล้ว, ได้…อยู่แล้ว, เพิ่ง, มา
  4. ข้อใดใช้สระเดี่ยวเสียงสั้น
  5. ใต้
  6. เต่า
  7. ต้อง
  8. ตก

ตอบ 4 หน้า 8 -14 (52067), 17 (H) เสียงสระในภาษาไทย ถ้านับทั้งเสียงสั้นและเสียงยาวจะมีอยู่28 เสียง คือ 1. สระเดี่ยว 18 เสียง ได้แก่ อะ อิ อึ อุ เอะ แอะ เออะ โอะ เอาะ (เสียงสั้น) อา อี อื อู เอ แอ เออ โอ ออ (เสียงยาว) 2. สระผสม 10 เสียง ได้แก่ เอียะ เอือะ อัวะ เอา ไอ (เสียงสั้น) เอีย เอือ อัว อาว อาย (เสียงยาว)

  1. ข้อใดใช้สระเดี่ยวเสียงยาวทุกคำ
  2. เรือ รอด
  3. รีด แรง
  4. ไร่ ร้าย
  5. เรื่อย ร้อง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

  1. คำใดสะกดด้วยสระ อา + อี
  2. ขาด
  3. เขา
  4. ไข่
  5. ขาย

ตอบ 4 หน้า 14 (52067), 24,27 (H) คำว่า “ขาย” ลงท้ายด้วย ย ซึ่งเป็นพยัญชนะกึ่งสระ จึงอาจพิจารณาได้ 2 ลักษณะ คือ อาจเป็นตัวสะกด ย เช่น อา + ย หรือเป็นสระผสม 2 เสียงก็ได้ เช่น อา + อี = อาย เช่น ขาย ราย (ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ)

  1. คำใดใช้สระผสมเสียงสั้น
  2. ใส่
  3. สาย
  4. สูญ
  5. เสื่อม

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

  1. คำใดใช้สระผสมเสียงยาว
  2. โกรธ
  3. กรีด
  4. กรอบ
  5. เกรียม

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

  1. คำว่า “เปรี้ยว” มีเสียงสระใด
  2. อี + อา + อุ
  3. อี + อา + อู
  4. อู + อา + อี
  5. อื + อา + อี

ตอบ 2 หน้า 14 (52067), 24,26 (H) คำว่า “เปรี้ยว” ลงท้ายด้วย ว ซึ่งเป็นพยัญชนะกึ่งสระ จึงอาจพิจารณาได้ 2 ลักษณะ คือ อาจเป็นตัวสะกด ว เช่น เอีย + ว หรือเป็นสระผสม 3 เสียงก็ได้ เช่น อี + อา + อู = เอียว เช่น เปรี้ยว เคี้ยว

  1. คำว่า “กระ” ข้อใดออกเสียงยาวกว่าคำอื่น
  2. กระดาษ
  3. ผิดตกกระ
  4. กระดำกระด่าง
  5. กระกานดำ

ตอบ 2 หน้า 15 – 16 , 40 – 42, 90 – 91 (52067), 33 – 34 , 60 – 61 , 80 – 81 (H) อัตรา การออกเสียงสั้นยาวตามภาษาพูดมาตรฐานจะใช้มาตราในการวัดความยาวของเสียง คือ สระเสียงสั้นออกเสียง 1 มาตรา สระเสียงยาวออกเสียง 2 มาตรา นอกจากนี้ถ้าเป็นคำหลายพยางค์หรือคำประสม มักจะลงเสียงเน้นที่พยางค์หรือคำท้าย (ออกเสียงยาว 2 มาตรา) ส่วนคำที่ไม่ได้ลงเสียงเน้นก็มักจะสั้นลง (ออกเสียงสั้นเพียง 1 มาตรา) เช่น คำว่า “ผิวตกกระ” เป็นคำประสม จึงออกเสียงพยางค์หลัง คือ “กระ” ยาว 2 มาตรา (ส่วนคำว่า “กระ” ในตัวเลือกข้ออื่นไม่ใช่ประสม และเป็นสระเสียงสั้นจึงออกเสียงเพียง 1 มาตรา)

  1. ข้อใดกล่าวถึงคำว่า “แหนหวง” ถูกต้อง
  2. พยางค์แรกใช้ “หน” เป็นพยัญชนะต้น
  3. พยางค์ที่สองใช้ “หว” เป็นพยัญชนะต้น
  4. ทั้งสองพยางค์ใช้ “ห” เป็นพยัญชนะต้น
  5. พยางค์แรกใช้ “หน” พยางค์ที่สองใช้ “ห” เป็นพยัญชนะต้น

ตอบ 3 หน้า 17 – 18, 21 – 22 (52067),37 , 44 (H) พยัญชนะต้น คือ พยัญชนะที่วางอยู่ต้นพยางค์หรือหน้าพยางค์ แบ่งเป็น 2 ประเภทดังนี้

  1. พยัญชนะเดี่ยว คือ พยัญชนะต้นที่มีเสียงเดียว เช่น คำว่า “แหนหวง” จะใช้ “ห” เป็นพยัญชนะต้นทั้งสองพยางค์ และออกเสียง “ห” เพียงเสียงเดียว
  2. พยัญชนะ คู่ คือ พยัญชนะต้น 2 ตัวเรียงกันและออกเสียงทั้งคู่ หรือออกเสียงเพียงเสียงเดียวก็ได้ เช่น คำว่า “หนาม” จะใช้ “หน” เป็นพยัญชนะต้นและออกเสียงทั้งคู่
  3. พยัญชนะต้นข้อใดเป็นเสียงเสียดแทรก
  4. ฟ้า
  5. ค้า
  6. ม้า
  7. ล้า

ตอบ 1 หน้า 19 (52067), 40 – 41 (H) พยัญชนะเสียงเสียดแทรก คือ พยัญชนะต้นที่เสียงถูกขัดขวางบางส่วน เพราะเมื่อลมหายใจผ่านช่องอวัยวะที่เบียดชิดกันมาก แล้วถูกกักไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของปาก แต่ก็ยังมีทางเสียดแทรกออกมาได้ เป็นเสียงที่ออกติดต่อกันได้นานกว่าเสียงระเบิด ได้แก่ พยัญชนะต้น ส (ซ ศ ษ) และ ฟ (ฝ)

  1. ข้อใดมีพยัญชนะที่เป็นอักษรควบแท้
  2. จริง
  3. สร้าง
  4. ขวาน
  5. ทราบ

ตอบ 3 หน้า 22 – 26 (52067), 44 – 49 (H) การออกเสียงควบกล้ำในภาษาไทยมีอยู่ 2 ลักษณะดังนี้

  1. เสียงกล้ำ กันสนิท (อักษรควบแท้) คือ พยัญชนะคู่ที่ออกเสียงสองเสียงควบกล้ำไปพร้อมกันโดยเสียงทั้งสองจะร่วมเสียง สระและเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน ซึ่งมีเพียงประเภทเดียวคือเมื่อพยัญชนะระเบิดนำแล้วตามด้วยพยัญชนะเหลวหรือ กึ่งสระ (ร ล ว) เช่น กวาง,ขวักไขว่,ขวาน,ขลัง,ขลาด,โขลง,ผลุด ฯลฯ
  2. เสียงกล้ำกันไม่สนิท (อักษรควบไม่แท้) คือ พยัญชนะคู่ที่มาด้วยกันแต่ไม่ได้ออกเสียงทั้งสองเสียงกล้ำไปพร้อมกัน และไม่ได้ร่วมเสียงสระและเสียงวรรณยุกต์เดียวกัน เช่น จริง (จิง),สร้าง,(ส้าง),สระ (สะ),แทรก (แซก),ทราบ (ซาบ) ฯลฯ
  3. ข้อใดเขียนตัวควบกล้ำถูกต้อง
  4. เธอรูปร่างกระทัดรัด
  5. เธอรีบไปกะทันหัน
  6. ฝนตกกระปริบประปรอย
  7. เธอชอบกินหมูกระทะ

ตอบ 2 คำที่เขียนตัวควบกล้ำผิด ได้แก่ กะทัดรัด กระปริบกระปรอย กระทะ ซึ่งที่ถูกต้องคือ กะทัดรัด กะปริบกะปรอย กระทะ

  1. ข้อใดใช้ตัวสะกดเดียวกับคำว่า “รัก”
  2. มาส
  3. มาร
  4. มารค
  5. มาตร

ตอบ 3 หน้า 27 – 29 (52067), 50 – 53 (H) คำ ว่า “เกียรติ์” (ออกเสียงว่า เกียน)และคำว่า(ส่วนเสียงที่ไม่ต้องการออกเสียงจะใส่เครื่องหมายทัณฑฆาตฆ่า เสียงเสีย)โดยพยัญชนะตัวสะกดของไทยจะมีทั้งหมดเพียง 8 เสียงเท่านั้น ดังนั้น

  1. แม่กก ได้แก่ ก ข ค ฆ
  2. แม่กด ได้แก่ จ ฉ ช ซ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส

3.แม่กบ ได้แก่ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ

  1. แม่กน ได้แก่ น ณ ร ล ฬ ญ
  2. แม่กง ได้แก่ ง
  3. แม่กม ได้แก่ ม
  4. แม่เกย ได้แก่ ย
  5. แม่เกอว ได้แก่ ว
  6. ข้อใดเขียนรูปวรรณยุกต์ถูกต้อง
  7. ที่นี่ขายขนมคุกกี้
  8. ที่นี่ขายโน๊ตบุ๊ค
  9. ที่นี่ขายเสื้อเชิ๊ต
  10. ที่นี่ขายขนมเค๊ก

ตอบ 1 หน้า 33 – 37 (56067), 55 – 60 (H) เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมี 5 เสียง 4 รูป คือ เสียงสามัญ (ไม่มีรูปวรรณยุกต์กำกับ), เสียงเอก ( ก่ ),เสียงโท ( ก้ ),เสียงตรี( ก๊ ),และเสียงจัตวา ( ก๋ )ซึ่งในคำบางคำ รูปและเสียงวรรณยุกต์อาจไม่ตรงกัน จึงควรเขียนรูปวรรณยุกต์ให้ถูกต้อง เช่น ที่นี่ขายขนมคุกกี้(ส่วนตัวเลือกข้ออื่นใช้รูปวรรณยุกต์ผิดจึงควรแก้ไขให้ ถูกต้องเป็น ที่นี่ขายโน้ตบุ๊ค,ที่นี่ขายเสื้อเชิ้ต,ที่นี่ขายขนมเค้ก

  1. “สระว่ายน้ำ” คำว่า สระ อ่านออกเสียงแบบใด
  2. อ่านแบบอักษรนำ
  3. อ่านแบบเรียงพยางค์
  4. อ่านแบบควบกล้ำแท้
  5. อ่านแบบอักษรนำ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 12. ประกอบ

  1. ข้อใดออกเสียงแบบเคียงกันมา
  2. สง่า ฉวี สนอง
  3. พิทยา นิรชา รจนา
  4. ปริศนา ดลยา สยาม
  5. วาสนา มรกต สนิท

ตอบ 2 หน้า 22 (52067), 44 (H) การออกเสียงแบบตามกันมา หรือเคียงกันมา (การออกเสียงแบบเรียบพยางค์) คือ การออกเสียงแต่ละเสียงเต็มเสียง และเสียงทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เช่น พิทยา (พิด –ทะ-ยา),นิรชา (นิ- ระ- ชา), รจนา (รด- จะ –นา),ดลยา (ดน – ละ- ยา),มรกต (มอ – ระ –กด) เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคำที่ออกเสียงแบบนำกันมาหรืออักษรนำหรือมีเสียง ห นำ)

  1. ข้อใดออกเสียงแบบนำกันมา (อักษรนำ)
  2. เขม่น ขลัง ขยาด ขมัง
  3. ขนม ขนาด ขนาน แขนง
  4. เขม่า ขยาย โขมง ขลาด
  5. โขลง ขนุน เขยื้อน ขยี้

ตอบ 2 หน้า 22 (52067), 44 (H) การออกเสียงแบบนำกันมา (อักษร) คือ พยัญชนะคู่ที่พยัญชนะตัวหน้าทีอำนาจเหนือพยัญชนะตัวหลัง โดยที่พยัญชนะตัวหน้าจะออกเสียงเพียงครึ่งเสียง และพยัญชนะตัวหลังก็จะเปลี่ยนเสียงตาม ซึ่งจะออกเสียงเหมือนกับเสียงที่มี ห นำ เช่น ขนม (ขะ – หนม),ขนาด (ขะ –หนาด), ขนาน (ขะ – หนาน), แขนง (ขะ – แหนง), เขม่น (ขะ –เหม่น), ขยาด (ขะ – หยาด), ขมัง (ขะ – หมัง), เขม่า (ขะ – เหม่า), ขยาย (ขะ – หยาย),โขมง (ขะ – โหมง), ขนุน (ขะ – หนุน), เขยื้อน (ขะ – เหยื้อน), ขยี้ (ขะ – หยี้) เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคำที่ออกเสียงแบบควบกล้ำแท้) (ดูคำอธิบายข้อ 12. ประกอบ)

  1. ข้อใดมีคำเป็นทุกคำ
  2. ยืด ยัน ยาม
  3. ยาง แยม ย่อย
  4. ยักษ์ ยศ ยับ
  5. ใย ยูง ยอด

ตอบ 2 หน้า 28 (52067), 51 – 53 (H) คำเป็น คือ คำที่สะกดด้วยแม่กง แม่กน แม่กม แม่เกย และแม่เกอว ส่วนคำตาย คือ คำที่สะกดด้วยแม่กก แม่กด และแม่กบ (ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ)

  1. ข้อใดมีคำตายมากที่สุด
  2. เปลี่ยนเคราะห์เป็นโชคลาภ
  3. เปลี่ยนโรคเป็นครู
  4. เปลี่ยนแพ้เป็นสู้
  5. เปลี่ยนหดหู่เป็นกำลัง

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ

  1. จากข้อ 20. คำตอบข้อใดมีคำเป็นทุกคำ
  2. ข้อ 1
  3. ข้อ 2
  4. ข้อ 3
  5. ข้อ 4

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 19. ประกอบ

  1. “ฉันเห็นใบไม้จำนวนมากร่วง….ลงไปในน้ำ”ควรเติมคำใดลงในช่องว่าง
  2. กรู
  3. พรู
  4. ตก
  5. หล่น

ตอบ 2 คำ ว่า “พรู” หมายถึง ร่วมลงมาพร้อมกันมาก ๆ เช่น ดอกพิกุลร่วงพรู (ส่วนคำวา “กรู” หมายถึง อาการที่ไปพร้อม ๆกันโดยเร็ว เช่น วิ่งกรูกันไป, “ตก” หมายถึง กิริยาที่ลดลงสู่ระดับต่ำในอาการอย่างพลัดลง หล่นลง, “หล่น” หมายถึง ตกลงมา ร่วงลง)

  1. ข้อใดใช้คำอุปมาสื่อความหมาย
  2. กินใจ
  3. กินข้าว
  4. กินมาก
  5. กินมูมมาม

ตอบ 1 หน้า 48 – 49 , 86 (52067), 64, 80 (H) คำอุปมา คือ คำที่ใช้เปรียบเทียบเพื่อพรรณนาบอกลักษณะให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้มีความหมายใหม่เกิดขึ้นอีกความหมายหนึ่งซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

  1. คำ อุปมาที่ได้มาจากคำที่มีใช้อยู่แล้ว เช่น ตุ๊กตา (นิ่ง ไม่กระดุกกระดิก), ปลิง (เกาะไม่ยอมปล่อยเพื่อถือประโยชน์จากคนอื่น โดยที่ตัวเองไม่ต้องทำอะไร)ฯลฯ
  2. คำอุปมาที่สร้างขึ้นใหม่ เช่น กินใจ (แคลงใจ สงสัย ไม่วางใจสนิท), แมวนอนหวด (ซื่อจนเซ่อ),แมวขโมย (คอยจ้องฉกฉวยลูกเมียเขาเวลาเขาเผลอ)ฯลฯ
  3. คำว่า “ราด – ลาด” เป็นคำประเภทใด
  4. คำประสม
  5. คำไม่แยกเสียงไม่แยกความหมาย
  6. คำแยกเสียงแยกความหมาย
  7. คำไม่แยกเสียงแต่แยกความหมาย

ตอบ 3 หน้า 51, 53 – 55 (52067), 65 – 66 (H) การแยกเสียงแยกความหมาย คือ การ เปลี่ยนแปลงเสียงในคำบางคำที่มีความหมายหลายอย่างให้แตกต่างกันบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนว่าคำนั้นมีความหมายว่าอย่างไรในที่นั้น ๆ โดยความหมายย่อยและที่ใช้อาจจะแตกต่างกัน ได้แก่ พยัญชนะต้น ร กลับ ล มีเสียงต่างกัน เช่น “ราด – ลาด” แปลว่าทำให้แผ่กระจายออกไปเหมือนกัน แต่ “ราด”เป็นการเทของเหลว เช่น น้ำให้กระจายแผ่ไปหรือให้เรี่ยราดไปทั่ว ส่วน “ลาด” เป็นการปูให้แผ่ออกไป เช่น ลาดพรม ปูลาดอาสนะ เป็นต้น

  1. ข้อใดมีคำซ้อนเพื่อความหมาย
  2. ดูเนื้อตัวซิสกปรกน่าดู
  3. อย่าเป็นคนเกะกะเกเร
  4. ไปตัดเสื้อที่หน้าปากซอย
  5. มัวแต่บ่นงึมงำอยู่นั้นแหละ

ตอบ 1 หน้า 62 – 64, 67 – 70 (52067), 67 – 74 (H) คำซ้อน คือ คำ เดี่ยว 2, 4 หรือ 6 คำ ที่มีความหมายหรือมีเสียงใกล้เคียงกัน หรือเป็นไปในทำนาองเดียวกัน ซ้อนเข้าด้วยกันเพื่อทำให้เกิดคำใหม่ขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้

  1. คำ ซ้อนเพื่อความหมาย (มุ่งที่ความหมายเป็นสำคัญ)ซึ่งอาจเป็นคำไทยซ้อนเข้าด้วยกัน เช่น เนื้อตัว,เดือดร้อน ฯลฯ หรืออาจเป็นคำไทยซ้อนกับคำภาษาอื่น เช่น เงียบสงัด (ไทย + เขมร)ฯลฯ หรือเป็นคำภาษาอื่นซ้อนกันเอง เช่น สนุกสนาน (เขมร + บาลีสันสกฤต)ฯลฯ
  2. คำ ซ้อนเพื่อเสียง (มุ่งที่เสียงเป็นสำคัญ) เช่น เกะกะ (สระเอะ + อะ), เกเร (สระเอ + เอ), งึมงำ (สระอึ + อำ), โอ้เอ้ (สระโอ + เอ) ฯลฯ
  3. ข้อใดใช้คำซ้อนเพื่อเสียง
  4. อย่าเป็นคนหลายใย
  5. อย่ามัวสนุกสนานให้มากนัก
  6. อย่ามัวโอ้เอ้อยู่เลย
  7. อย่าสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 25. ประกอบ

  1. ข้อใดใช้ไม้ยมก (ๆ) ถูกต้อง
  2. แผนที่ ๆ จะเดินทาง
  3. คนดี ๆ น้ำใจใช้ใบหน้า
  4. วันหนึ่ง ๆ เธอทำอะไรบ้าง
  5. เจ้าหน้าที่ ๆ จะเดินทาง

ตอบ 3 หน้า 76 – 78, 132 (52067), 76 – 77 (H) คำ ซ้ำ คือ คำคำเดียวกันที่นำมากล่าว 2 ครั้ง เพื่อให้มีความหมายเน้นหนักขึ้น หรือเพื่อให้มีความหมายต่างจากคำเดี่ยว ซึ่งวิธีการสร้างคำซ้ำก็เหมือนกับการสร้างคำซ้อน แต่ใช้คำคำเดียวมาซ้อนกันโดยมีเครื่องหมายไม้ยมกกำกับ ได้แก่ คำซ้ำที่ซ้ำคำนามหรือคำบอกจำนวนนับ เช่น วันหนึ่ง ๆ หมายถึง ทีละวัน ๆ ไป และมีหลายวัน (แต่ถ้าใช้ “วันหนึ่ง” เป็นคำเดี่ยวจะหมายถึงวันเดียว แต่ไม่กำหนดแน่ว่าวันไหน)

  1. ประโยคใดใช้คำประสม
  2. เขานั่งรถไฟตู้นอน
  3. เขานั่งรถไปท่องเที่ยว
  4. เขานั่งเรือข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา
  5. เขาชอบเดินทางทางเรือ

ตอบ 1,3 หน้า 80 – 81, 85 – 86, 88 (52067), 78 – 81 (H) คำประสม คือ คำตั้งแต่ 2 คำ ขึ้นไปมาประสมเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้คำใหม่ที่มีความหมายใหม่มาใช้ในภาษา ซึ่งความหมายสำคัญจะอยู่ที่คำต้น (คำตัวตั้ง) ส่วนที่ตามมาเป็นคำขยาย ซึ่งไม่ใช่คำที่ขยายคำต้นจริง ๆ แต่จะช่วยให้คำทั้งคำมีความหมายจำกัดเป็นนัยเดียว ได้แก่

  1. คำประสมที่ใช้เป็นคำนาม เช่น รถไฟตู้นอน แม่น้ำ ฯลฯ
  2. คำประสมที่ใช้เป็นคำกริยา และมีความหมายไปในเชิงอุปมา เช่น ตัดเสื้อ อกหัก ฯลฯ
  3. คำประสมที่ใช้เป็นคำกริยาวิเศษณ์ เช่น นอกหน้า คอตก ฯลฯ
  4. “ชาดคนตัดเสื้อนั่งคอตกเพราะอกหัก” มีคำประเภทใดอยู่มากที่สุด
  5. คำซ้อน
  6. คำประสม
  7. คำซ้ำ
  8. คำภาษาต่างประเทศ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ

  1. ข้อใดใช้คำว่า “ผัด” ไม่ถูกต้อง
  2. ผัดเวร
  3. ผัดหน้า
  4. ผัดผ่อน
  5. ผัดวันประกันพรุ่ง

ตอบ 1 คำ ว่า “ผัด” หมายถึง ขอเลื่อนเวลาไป เช่น ผัดวัน ผัดหนี้, เอาแป้งลูบหน้าเพื่อให้หน้านวล เช่น ผัดหน้า, ผัดพอให้ทุเลาหรือหย่อนคลายลง เช่น ผัดผ่อน,ขอเลื่อนเวลาออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า เช่น ผัดวันประกันพรุ่ง ( ส่วนคำว่า “ผลัด” หมายถึง เปลี่ยนแทนที่ เช่น ผลัดเสื้อผ้า ผลัดเวร ผลัดใบ ผลัดขน)

  1. กระป้ำประเป๋อ เป็นคำอุปสรรคเทียมชนิดใด
  2. กร่อนเสียง
  3. แบ่งคำผิด
  4. เพิ่มเสียงไม่ให้คอนกัน
  5. เทียบแนวเทียบผิด

ตอบ 4 หน้า 94 – 96 (52067), 85 – 86 (H) อุปสรรค เทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิดเป็นการเพิ่มเสียง “กะ” (หรือ “กระ”) เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่พยางค์ต้นและพยางค์ท้ายไม่ได้สะกดด้วย “กะ” ซึ่งยึดการใช้อุปสรรคเทียมที่เพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกันมาเป็นแนว เทียบแต่เป็นการเทียบแนวเทียบผิด เช่น ป้ำเป๋อ กระป้ำประเป๋อ, ปุ่มป่ำ กระปุ่มกระป่ำ,ทบทั่ง กระทบกระทั่ง,ฉับเฉง กระฉับกระเฉง, ฯลฯ

  1. ข้อใดเป็นคำอุปสรรคเทียมชนิดกร่อนเสียงทั้ง 2 คำ
  2. อนึ่ง กระเฉด
  3. ละลิบ ระคน
  4. ตะคร้อ อะไร
  5. ฉะฉาด ขยิก

ตอบ 3 หน้า 93 – 95 (52067), 83 – 84 (H) อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียง เป็นการกร่อนเสียงพยางค์ต้นให้เป็นเสียง “อะ”ได้แก่

  1. “มะ” ที่นำหน้าชื่อไม้ผล ไม่ใช้ไม้ผล และหน้าคำบอกกำหนดวัน เช่น หมากแว้ง มะแว้ง,หมากขาม มะขาม,หมากค่า มะค่า, เมื่อรืน มะรืน
  2. “ตะ” นำหน้าชื่อสัตว์ ต้นไม้ และคำที่มีลักษณะคล้ายตา เช่น ตัวขาบ ตะขาบ,

ต้นขบ ตะขบ,ตาวัน ตะวัน,ต้นคร้อ ตะคร้อ

  1. “สะ” เช่น สายดือ สะดือ,สาวใภ้ สะใภ้,สายดึง สะดึง
  2. “ฉะ” เช่น ฉันนั้น ฉะนั้น,ฉาด ๆ ฉะฉาด,เฉื่อย ๆ ฉะเฉื่อย
  3. “ยะ” / ระ / ละ เช่น รื่น ๆ ระรื่น,ยิบ ๆ ยับ ๆ ยะยิบยะยับ,ลิบ ๆ ละลิบ
  4. “อะ” เช่น อันไร / อันใด อะไร,อันหนึ่ง อนึ่ง ส่วนคำอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นไปตามนี้ได้แก่ ผู้ญาณ พยาน, ช้าพลู ชะพลู,เฌอเอม ชะเอม,ชีผ้าขาว ชีปะขาว เป็นต้น
  5. ข้อใดเป็นคำอุปสรรคชนิดเดียวกันทั้ง 2 คำ
  6. กระทบกระทั่ง กระโชกกระชาก
  7. กระดุกกระดิก กระฉับกระแฉง
  8. กระปุ่มกระป่ำ กระจู๋กระจี๋
  9. กระปอดดกระแปด กระอักกระอ่วน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคำอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกัน คือ การเพิ่มเสียง “กะ หรือกระ” เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่หน้าพยางค์ต้นและหน้าพยางค์ท้าย ซึ่งมีเสียงเสมอกันและสะกดด้วย “กะ” เหมือนกัน เช่นโชกชาก กระโชกกระชาก, ดุกดิก กระดุกกระดิก, อักอ่วน กระอักกระอ่วน ฯลฯ)

  1. คำอุปสรรคในข้อใดมีความหมายเป็นการีต ที่แปลว่าทำให้
  2. ขยุกขยิก
  3. ชะดีชะร้าย
  4. ประเดี๋ยว
  5. สะสวย

ตอบ 1 หน้า 96 – 98 (52067), 86 – 87 (H) อุปสรรค เทียมเลียนแบบภาษาเขมร เป็นวิธีการแผลงคำของเขมรที่ใช้นำหน้าคำเพื่อประโยชน์ทางไวยากรณ์ ซึ่งจะทำให้ความหมายและหน้าที่ของคำเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ได้แก่

  1. “ชะ / ระ / ปะ / ประ / พะ / สม / สะ” เช่น ชะดีชะร้าย,ระคน,ระคาย,ระย่อ,ปะปน, ปะติดปะต่อ,ประเดี๋ยว,ประท้วง,พะรุงพะรัง,พะเยิบ,สมยอม,สะสาง,สะพรั่ง,สะสวย ฯลฯ
  2. ใช้ “ ข ค ป ผ พ๐ มานำหน้าคำนามและกริยาวิเศษณ์ เพื่อให้มีความหมายเป็นการีต แปลว่า “ทำให้” เช่น ขยุกขยิก,ขยิบ,ขยี้,ขยำ,ปลุก,ปลด,ปละ,ปรุ ฯลฯ
  3. ข้อใดเป็นประโยคคำสั่ง
  4. ลูกชิ้นกินอร่อย
  5. ลวกลูกชิ้นให้สุก ๆ
  6. ลูกชิ้นอะไรน่ะ
  7. ใส่ลูกชิ้นด้วยนะ

ตอบ 2 หน้า 102 (52067), 91 – 92 (H) ประโยค คำสั่ง หมายถึง ประโยคที่ต้องการให้ผู้ฟังทำตามความประสงค์ของผู้พูดอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง มักเป็นประโยคที่ละประธานหรือผู้ทำไว้ในฐานที่เข้าใจและขึ้นต้นด้วยคำกริยา บางครั้งอาจจะมีกริยาช่วย “อย่า ห้าม จง ต้อง” มานำหน้ากริยาแท้เพื่อแสดงการสั่งไม่ให้ทำหรือให้ทำก็ได้ แต่ถ้ามีประธานก็จะเป็นการระบุชื่อหรือเน้นตัวบุคคลเพื่อให้คนที่ถูกสั่งรู้ ตัว

  1. ข้อใดเป็นประโยคขอร้องหรือชักชวน
  2. ห้ามกลับรถ
  3. อย่าแซงทางโค้ง
  4. ขับรถถูกกฎ ลดอุบัติเหตุ
  5. ม.รามคำแหง 100 เมตร

ตอบ 3 หน้า 102 (52067), 92 – 93 (H) ประโยค ขอร้องหรือชักชวน คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการขอร้องหรือชักชวนให้ผู้ฟังทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ตาม ที่ตนต้องการ ซึ่งการใช้คำพูดนั้นจะคล้ายกับประโยคคำสั่ง แต่นุ่มนวลกว่า โดยในภาษาเขียนมักจะมีคำว่า “โปรด,กรุณา” อยู่ข้างหน้าประโยคส่วนในภาษาพูดนั้นมักจะมีคำว่า “เถอะ,น่ะ,นะ,ซิ,ซี, เถอะนะ,น่า ฯลฯ” อยู่ในประโยคด้วย

  1. ข้อใดเป็นประโยคชนิดเดียวกันทั้ง 2 ประโยค
  2. เล่นเกมแก้กลุ้ม – ไม่ไปไม่ได้หรือ
  3. เล่นเกมทำไม – ไปด้วยกันหน่อย
  4. เล่นเกมด้วนกันนะ – อย่าออกไป
  5. เลิกเล่นเกมเดี๋ยวนี้ – ออกไปได้แล้ว

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 35. ประกอบ

ข้อ 38. – 40. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม

  1. เจาะสนาม 2. ข่าวภาคค่ำ 3. คุณพระช่วย 4. ชิมไปบ่นไป
  2. ข้อใดมีภาคกรรม

ตอบ 1 หน้า 105 (52067), 94 – 96 (H) คำในประโยคแบ่งออกเป็น 4 ภาค ได้แก่

  1. ภาคผู้กระทำหรือประธาน มักอยู่หน้าคำกริยา ส่วนจะอยู่ที่ใดของประโยคไม่จำกัด เช่น คุณพระช่วย ฯลฯ
  2. ภาคแสดงหรือกริยา มักอยู่หลังประธานและอยู่หน้ากรรม แต่จะไม่มีกรรมก็ได้ เช่น คุณพระช่วย,เจาะสนาม ฯลฯ และกริยาอาจมีมากกว่าหนึ่งก็ได้ เช่น ชิมไปบ่นไป (มีเฉพาะภาคกริยา)
  3. ภาคผู้ถูกกระทำหรือกรรม มักอยู่หลังกริยา เช่น เจาะสนาม ฯลฯ ภาคขยาย แบ่งออกเป็น ส่วนขยายประธานหรือกรรม (คุณศัพท์) เช่น ข่าวภาคค่ำ (ขยายประธาน),นักร้องร้องเพลงไทยเดิม (ขยายกรรม) ฯลฯ และส่วนขยายกริยา (กริยาวิเศษณ์) เช่น นักร้องร้องเพลงเพราะ ฯลฯ
  4. ข้อใดมีภาคประธานกับกริยา

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 38. ประกอบ

  1. ข้อใดมีเฉพาะภาคกริยาเพียงอย่างเดียว

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 38. ประกอบ

  1. คำกริยาในข้อใดทำหน้าที่คำนาม
  2. ขี้เกียจได้ดี
  3. ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์
  4. ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม
  5. รักแท้ย่อมแพ้เงิน

ตอบ 4 หน้า 108 – 109 (52067), คำกริยาที่ทำหน้าที่ได้อย่างคำนาม เช่น หาบดีกว่าคอน นอนดีกว่านั่ง รักแท้ย่อมแพ้เงิน ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำวิเศษณ์ที่ทำหน้าที่ได้อย่างคำนาม เช่น ขี้เกียจได้ดี,ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์,ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม ฯลฯ )

  1. คำนาม “แดง” ในข้อใดเป็นกรรมของประโยค
  2. แดงดีใจมาก
  3. แดงได้รับคำชม
  4. แดงขอบคุณครู
  5. แดงเป็นเด็กดี

ตอบ 2 หน้า 110 (52067), (คำบรรยาย) การแสดงการก หมายถึง ความ สัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างคำในประโยค ซึ่งสามารถดูได้จากตำแหน่งของคำที่เรียงกันในประโยค แต่บางกรณีคำนามที่เป็นประธานหรือกรรมอาจเปลี่ยนที่ไปได้ คือ ประธานไปอยู่หลังกรรม กรรมมาอยู่หน้ากริยาได้ถ้าต้องการเน้น เช่น ประโยค “แดงได้รับคำชม” ย้ายกรรมมาไว้ที่ต้นประโยคหน้าคำกริยาแล้วละประธานของประโยคไว้ เพราะจริง ๆ แล้วต้องมีผู้ที่ให้คำชมแดง เพียงแต่ว่าคนนั้นไม่ปรากฏในประโยค(ส่วนตัวเลือกข้ออื่นคำนาม “แดง” เป็นประธานของประโยค)

  1. “นิด” ในข้อใดเป็นสรรพนามบุรุษที่ 2
  2. พ่อไปหานิดมา
  3. นิดกินข้าวหรือยัง
  4. นิดอยู่บ้านยายน้อย
  5. นิดแกเป็นเด็กเรียนเก่ง

ตอบ 2 หน้า 112 – 113 (52067), 99 (H) สรรพนามบุรุษที่ 2 คือ คำที่ใช้แทนตัวผู้ที่พูดด้วย เช่น คุณ เธอ ท่าน เรา เจ้า แก ฯลฯ นอกจากนี้ยังอาจใช้คำนามอื่น ๆ แทนตัวผู้ที่พูดด้วยเพื่อแสดงความสนิทสนมรักใคร่ ได้แก่

  1. ใช้ตำแหน่งเครือญาติแทน เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก ตา ยาย ฯลฯ
  2. ใช้ตำแหน่งหน้าที่แทน เช่น ครู อาจารย์ หัวหน้า ฯลฯ
  3. ใช้เรียกบรรดาศักดิ์แทน เช่น ท่านขุน คุณหลวง เจ้าคุณ คุณหญิง ฯลฯ
  4. ใช้ชื่อผู้พูดทั้งชื่อเล่นชื่อจริงแทน เช่น ติ๋ว ต๋อย นิด แดง เป้ ฯลฯ

(ส่วนตัวเลือกข้ออื่น “นิด” เป็นสรรพนามบุรุษที่ 3 ใช้แทนผู้ที่พูดถึง)

  1. ข้อใดเป็นสรรพนามที่บอกคำถาม
  2. ทำอะไรถึงมาสาย
  3. ใคร ๆ ก็ไม่รักผม
  4. อะไรก็ดูดีไปหมด
  5. ไหน ๆ เรื่องก็แดงขึ้นแล้ว

ตอบ 1 หน้า 111, 116 – 118 (52067), 99 (H) สรรพนาม ที่บอกคำถาม ได้แก่ ใคร อะไร ใด ไหน ซึ่งเป็นคำกลุ่มเดียวกันกับสรรพนามที่บอกความไม่จำเพาะเจาะจง แต่สรรพนามที่แสดงคำถามจะใช้สร้างประโยคคำถาม เช่น ใครมา, ทำอะไร, ข้อใดผิด, ไปไหนมา ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นสรรพนามที่บอกความไม่จำเพาะเจาะจง ซึ่งจะกล่าวถึงบุคคล สิ่งของ หรือสถานที่แบบลอย ๆ ไม่ชี้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นใคร อะไรหรือที่ไหน และไม่ได้เป็นการถาม)

  1. ข้อใดเป็นสรรพนามที่บอกความเฉพาะเจาะจง
  2. บ้างร้องบ้างเต้น
  3. ต่างคนต่างอยู่
  4. ที่เธอพูดมาเป็นเรื่องจริง
  5. นั่นแหละเธอควรรับไปพิจารณา

ตอบ 4 หน้า 111, 116 – 118 (52067), 99 (H) สรรพนามที่บอกความเฉพาะเจาะจง ได้แก่ นี้, นั้น, โน้น, นี่,นั่น, โน่น ฯลฯ ซึ่งคำทั้งหมดนี้ใช้แทนสิ่งที่พูดถึง อะไรก็ได้เพราะไม่ได้ระบุชื่อในขณะนั้นนอกจากนี้ยังมีคำที่สร้างขึ้นใหม่ ได้แก่ นั่นแน่, นั่นแน่ะ,นั่นซิ,นั่นแหละ,นั่นไง,นั่นเป็นไร ฯลฯ ซึ่งใช้เป็นคำอุทานโดยส่วนมาก และแต่ละคำก็มีความหมายเฉพาะเจาะจงแตกต่างกันไป

  1. คำว่า “ไป” ในข้อใดเป็นกริยาช่วย
  2. จะไปไหม
  3. เป็นอะไรไป
  4. ไปด้วยกันไหม
  5. ฉันไปไม่ได้

ตอบ 2 หน้า 120 – 122 (52067), 100 – 101 (H) คำ ว่า “ไป” เป็นได้ทั้งกริยาแท้และกริยาช่วยดังนั้นถ้าจะดูว่าเป็นกริยาแท้หรือกริยา ช่วยต้องดูที่ตำแหน่งในประโยค และเสียงหนักเบาของคำนั้น ๆ กล่าวคือ ถ้าเป็นกริยาช่วยจะมีตำแหน่งอยู่หลังกริยาแท้ และจะมีเสียงเบาและสั้นกว่ากริยาแท้ เช่น เป็นอะไรไป,ทำไป,กินไป ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นคำว่า “ไป” เป็นกริยาแท้ หมายถึง เคลื่อนออกจากที่)

  1. ข้อใดไม่มีกริยาช่วย
  2. เด็กดีต้องตั้งใจเรียน
  3. น้องจะสอบพรุ่งนี้
  4. ครูสอนหนังสือ
  5. แดงกำลังอ่านหนังสือ

ตอบ 3 หน้า 120 (52067), 100 – 101 (H) คำ กริยาช่วย คือ คำที่ช่วยบอกเนื้อความของกริยาแท้ให้แจ่มแจ้งชัดเจน โดยจะบอกให้รู้เกี่ยวกับกาล (เวลา) มาลา (ภาวะหรืออารมณ์) และวาจา (ความสัมพันธ์ระหว่างคำกริยากับคำอื่นในประโยค) ซึ่งแต่ละคำจะมีความหมายต่างกันไป ได้แก่ คง อาจ น่าจะ กำลัง ควร ต้อง ได้ จะ แล้ว อยู่ อยาก ฯลฯ

  1. คำกริยาในข้อใดไม่ได้ความบริบูรณ์
  2. ฝนตก
  3. นกร้อง
  4. แมวกิน
  5. รถวิ่ง

ตอบ 3 หน้า 120 (52067), 100 (H) คำกริยาแท้แบ่งออกได้ 2 ชนิด คือ 1. คำกริยาที่ได้ความบริบูรณ์อยู่ในตัว ไม่ต้องมีกรรมมาช่วย เช่น ฝนตก , น้องร้อง, รถวิ่ง, ฯลฯ 2. คำกริยาที่ยังไม่ได้ความบริบูรณ์ ต้องมีกรรมมาช่วย เช่น แมวกิน (ปลา) ฯลฯ หรือต้องมีส่วนเสริมความ ถ้าเป็นกริยา “เป็น / เหมือน / คล้าย / เท่า” เช่น เขาเป็นคน, เราเหมือนแม่, เธอคล้ายพ่อ, ตัวเขาสูงเท่าเธอ ฯลฯ

ข้อ 49. – 50 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม

  1. ของเหลือ เกลือขาด
  2. หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์

3.ฟ้าสูง แผ่นดินต่ำ

  1. บางคนร้อง บางคนเต้น
  2. ข้อใดมีคำคุณศัพท์บอกภาวะ

ตอบ 4 หน้า 130 (52067), 102 (H) คำคุณศัพท์บอกลักษณะหรือภาวะ (ลักษณคุณศัพท์) แบ่งออกเป็น

  1. บอกลักษณะ ได้แก่ สูง ต่ำ ดำ ขาว ดี เลว งาม สวย น่ารัก แข็ง อ้วน ผอม ล่ำสัน กำยำ อดทน ฯลฯ
  2. บอกภาวะ ได้แก่ เจ็บ ป่วย ตาย เป็น หัก พัง แตก เดาะ ทรุด เซ เท เอียง บอบช้ำ ฟกช้ำ ร้อง เต้น ฯลฯ ซึ่งบางคำอาจใช้เป็นคำกริยาได้
  3. ข้อใดมีคำคุณศัพท์บอกจำนวนนับไม่ได้

ตอบ 1 หน้า 130 – 132 (52067), 102 (H) คำคุณศัพท์บอกจำนวนนับ แบ่งออกเป็น 1. บอกจำนวนนับได้ ได้แก่ หนึ่ง สอง สาม สี่ ที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่ เดียว เดี่ยว คี่ โสด คู่ ฯลฯ 2. บอกจำนวนนับไม่ได้ หรือบอกจำนวนประมาณ ได้แก่ มาก น้อย นิด หน่อย ครบ พอ เกิน เหลือ ขาด ถ้วน ครบถ้วน หมด ทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งสิ้น ทั้งนั้น ฯลฯ

  1. “รักน้อย ๆ แต่รักนาน ๆ” ประโยคนี้ใช้คำกริยาวิเศษณ์ชนิดใด
  2. บอกเวลา
  3. บอกประมาณ
  4. บอกความแบ่งแยก
  5. บอกความชี้เฉพาะ

ตอบ 2 หน้า 139 (52067), 103 (H) คำ กริยาวิเศษณ์บอกประมาณ ได้แก่ มาก น้อย นิดหน่อย มากมาย เหลือเกิน พอ ครบ ขาด หมด สิ้น แทบ เกือบ จวน เสมอ บ่อย นาน ฯลฯ ซึ่งคำเหล่านี้สามารถใช้เป็นคุณศัพท์ได้แทบทุกคำ

  1. ข้อใดละบุรพบทได้
  2. เธอต้องไปกับฉัน
  3. แดงกำลังคุยกับครู
  4. เขาชอบกินข้าวกับแกงจืด
  5. เขาชอบอยู่กับบ้าน

ตอบ 4 หน้า 143 – 144 (52067), 104 – 105 (H) คำ บุรพบทไม่สำคัญมากเท่ากับคำนาม คำกริยาและคำวิเศษณ์ ดังนั้นบางแห่งไม่ใช้บุรพบทเลยก็ยังฟังเข้าใจได้ ซึ่งบุรพบทที่อาจละได้แล้วความหมายยังเหมือนเดิม ได้แก่ ของ แก่ ต่อ สู่ ยัง ที่ บน ฯลฯ แต่บุรพบทบางคำก็ละไม่ได้เพราะละแล้วความจะเสีย ไม่รู้เรื่อง เช่น เธอต้องไปกับฉัน, แดงกำลังคุยกับครู, เขาชอบกินข้าวกับแกงจืด ฯลฯ จะละบุรพบทได้ก็ต้องดูความในประโยคว่าความหมายต้องไม่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่น เขาชอบอยู่กับบ้าน (เขาชอบอยู่บ้าน) เป็นต้น

  1. ข้อใดใช้คำบุรพบทอื่นแทนได้
  2. เรื่องนี้จบลงด้วยดี
  3. หนังสือของเธอหายไป
  4. ครูให้ขนมแก่นักเรียน
  5. ปล่อยมันไปตามยถากรรม

ตอบ 1 หน้า 144 – 145 (52067), คำบุรพบทที่นำหน้าคำวิเศษณ์ “ด้วยดี” จะมีความหมายคล้าย “โดยดี” จึงสามารถใช้แทนกันได้ เช่น เรื่องนี้จบลงด้วย / โดยดี ฯลฯ แต่ในบางกรณี “ด้วยดี” กับ “โดยดี” ก็ยังไม่เหมือนกันทีเดียวนัก เช่น พูดจากกันด้วยดี (พูดกันด้วยสันถวไมตรีด้วยอัธยาศัยไมตรี), พูดจากกันโดยดี (ยอมพูดจาปรึกษาหารือ หรือประนีประนอมกันในกรณีที่เกิดการขัดแย้งกันขึ้น) เป็นต้น

ข้อ 54. – 56. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม

  1. เมื่อเห็นหน้าเพื่อน เขาก็นึกถึงเรื่องเก่า ๆ
  2. ถ้าเพื่อนไม่โทรมา เขาก็อาจเป็นฝ่ายโทรไป
  3. เขาคิดถึงเพื่อน เพราะไม่ได้พบกันมานาน
  4. กว่าเพื่อนจะมาถึงบ้าน เขาก็หลับไปแล้ว
  5. คำสันธานใดเชื่อมความขัดแย้งไปคนละทาง

ตอบ 4 หน้า 155 – 156 (52067), 106 (H) คำสันธานที่เชื่อมความที่ขัดแย้งกันไปคนละทาง ได้แก่ แต่, แต่ว่า, แต่ทว่า, จริงอยู่…แต่, ถึง..ก็, กว่า…ก็

  1. คำสันธานใดเชื่อมความแบ่งรับแบ่งสู้

ตอบ 2 หน้า 156 – 157 (52067), 107 (H) คำสันธานที่เชื่อมความคาดคะเนหรือแบ่งรับแบ่งสู้ ได้แก่ ถ้า, ถ้า..ก็, ถ้า..จึง, ถ้าหากว่า, แม้…แต่, แม้ว่า, เว้นแต่ , นอกจาก

  1. คำสันธานใดเชื่อมความคล้อยตามกัน

ตอบ 1 หน้า 153 – 154 (52067), 106 (H) คำ สันธานที่เชื่อมความคล้อยตามกัน ทำนองเดียวกันไม่ขัดแย้งกัน โดยทำหน้าที่เชื่อมความที่เกี่ยวกับเวลา ได้แก่ ก็, แล้ว..ก็, แล้ว..จึง,ครั้น..ก็, เมื่อ..ก็, ครั้น..จึง, เมื่อ..จึง, พอ..ก็ ส่วนที่ทำหน้าที่เชื่อมความให้รวมเข้าด้วยกัน ได้แก่ ทั้ง, ทั้ง..ก็, ทั้ง..และ, ก็ได้, ก็ดี, กับ, และ

  1. ข้อใดใช้คำอุทานในฐานะคำกริยาไม่ถูกต้อง
  2. ชาวบ้านพากันพุทโธที่ผู้ร้ายใจอำมหิตถูกจับ
  3. ฉันไม่อยากขัดใจเพื่อนจึงเออออไปด้วย
  4. เขาเสียคนเพราะถูกผู้ใหญ่โอ๋มาตั้งแต่เด็ก
  5. ผู้คนต่างตกใจที่ได้ยินเสียงเอะอะ

ตอบ 1 หน้า 159 (52067), 109 (H) คำอุทานที่ได้เลื่อนมาเป็นคำกริยา ได้แก่

  1. เออออห่อหมก หมายถึง ตกลงเห็นคล้อยตามไปด้วย
  2. เอออวย หมายถึง พลอยเห็นตามไปด้วย 3. เอะอะ หมายถึง ทำเสียงดังโวยวาย
  3. โอ๋ หมายถึง เอาใจ อย่างเอาใจเด็ก
  4. พุทโธ หมายถึง สงสาร เห็นใจ (ใช้เป็นปฏิเสธว่า ไม่พุทโธ)
  5. โอละพ่อ หมายถึง กลับตรงกันข้าม ผิดคาด
  6. ข้อใดคือลักษณนามของคำว่า “โครงการ”
  7. เรื่อง
  8. บท
  9. สำนวน
  10. โครงการ

ตอบ 4 หน้า 162 (52067), 110 (H) คำ ลักษณนามที่เป็นคำซ้ำกันคำที่มาข้างหน้าคำบอกจำนวนนับเนื่องจากมีคำเป็นอัน มากที่ไม่มีลักษณนามโดยเฉพาะ จึงต้องใช้คำคำเดียวกับคำที่มาข้างหน้าคำบอกจำนวนนับนั้น เช่น โครงการ 1 โครงการ, สะพาน 2 สะพาน ฯลฯ

  1. คำใดใช้คำลักษณนามเดียวกันคำว่ารถยนต์
  2. ไวโอลิน
  3. เลื่อย
  4. เคียว
  5. เครื่องยนต์

ตอบ 1 หน้า 162, 164 (52067), คำลักษณนามที่เป็นการอนุโลมตามแนวเทียบ เช่น คำลักษณนาม “คัน”ใช้สำหรับรถยนต์ ไวโอลัน ช้อน เบ็ด จักร ร่ม ซอ ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นใช้ลักษณนามดังนี้ เลื่อย ปื้น, เคียว เล่ม, เครื่องยนต์ เครื่อง)

  1. ข้อใดใช้คำลักษณนามเดียวกันทั้ง 2 คำ
  2. คูหา – ห้องนอน
  3. สักวา – ลำนำ
  4. เครื่องแบบ – เครื่องบันทึกเสียง
  5. คำร้อง – คำขวัญ

ตอบ 2 คำลักษณนาม “บท” ใช้สำหรับสักวา (กลอน) ลำนำ สุภาษิต เสภา กาพย์ โคลง บทเรียน บทเพลง ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นใช้ลักษณนามดังนี้ คูหา คูหา , ห้องนอน ห้อง, เครื่องแบบ ชุด,เครื่องบันทึกเสียง เครื่อง, คำร้อง ฉบับ, คำขวัญ คำขวัญ)

ข้อ 61. – 65. จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม

  1. พลอยฟ้าพลอยฝน, ฝนตกก็แช่ง ฝนแล้งก็ด่า, ฝนตกอย่าเชื่อดาว มีเมียสาวอย่าเชื่อแม่ยาย
  2. น้ำไหลไฟดับ, น้ำซึมบ่อทราย, น้ำหนึ่งใจเดียวกัน
  3. น้ำมาปลากันมด น้ำลดมดกินปลา, ฝนตกขี้หมูไหล คนจัญไรมาพบกัน, ฝนทั่งให้เป็นเข็ม
  4. น้ำน้อยแพ้ไฟ, น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ, น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก
  5. ข้อใดเป็นสำนวนทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 119 – 121 (H) ข้อแตกต่างของสำนวน คำพังเพย และสุภาษิต มีดังนี้

  1. สำนวน หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นอย่างกะทัดรัด ใช้คำน้อยแต่กินความหมายมากและเป็นความหมายโดยนัยหรือโดยเปรียบเทียบ เช่น น้ำไหลไฟดับ (เร็วและคล่องใช้กับกริยาพูด), น้ำซึมบ่อทราย (หามาได้เรื่อย ๆ),น้ำหนึ่งใจเดียวกัน (มีความคิดเห็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน),พลอยฟ้าพลอยฝน(ไม่ได้เกี่ยวข้องแต่ ก็ร่วมรับเคราะห์ไปกับเขาด้วย)
  2. คำ พังเพย หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อตีความ สรุปเหตุการณ์ สภาวการณ์ บุคลิกและอารมณ์ให้เขากับเรื่อง มีความหมายกลาง ๆ ไม่เน้นการสั่งสอน แต่แฝงคติเตือนใจให้นำไปปฏิบัติหรือไม่ให้นำไปปฏิบัติ เช่น น้ำมาปลากันมด น้ำลดมดกินปลา (ทีใครทีมัน),ฝนตกขี้หมู่ไหล คนจัญไรมาพบกัน (พลอยเหลวไหลไปด้วยกัน),ฝนทั่งให้เป็นเข็ม(เพียรพยายามสุดความสามารถจนกว่า จะสำเร็จผล),ฝนตกก็แช่ง ฝนแล้งก็ด่า (การทำอะไร ๆ จะให้ถูกใจคนทั้งหมดนั้นเป็นไปไม่ได้)
  3. สุภาษิต หมาย ถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อสั่งสอนโดยตรง ซึ่งอาจเป็นคติ ข้อติติงคำจูงใจ หรือคำห้าม และเนื้อความที่สั่งสอนก็เป็นความจริง เป็นความดีที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เช่น น้ำน้อยแพ้ไฟ (ฝ่ายข้างน้อยย่อมแพ้ฝ่ายข้างมาก),น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ(อย่าขัดขวางผู้ที่ มีอำนาจ), น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก (แม้จะไม่พอใจก็ต้องแสดงสีหน้ายิ้มแย้ม),ฝนตกอย่าเชื่อดาว มีเมียสาวอย่าเชื่อแม่ยาย (อย่าไว้วางใจใครหรืออะไรจนเกินไป)
  4. ข้อใดมีแต่คำพังเพย

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

  1. ข้อใดล้วนเป็นสุภาษิตทั้งสิ้น

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

  1. ข้อใดเรียงลำดับตั้งแต่สำนวน คำพังเพย และสุภาษิต

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

  1. “ฝน” ในข้อใดที่มีความหมายแตกต่างจาก “ฝน”อื่น ๆ ในกลุ่มตัวเลือกข้อ 1. กับ 3. ข้างต้น

ตอบ 3 “ฝน”ในตัวเลือกข้อ 3 คือ “ฝนทั่งให้เป็นเข็ม” เป็นคำกริยาที่มีความหมายว่า ลับ เช่น ฝนมีด ฝนทั่ง (ทั่ง : แท่งเหล็กสำหรับช่างใช้รองรับในการตีโลหะ) ส่วน “ฝน” ในประโยคอื่นเป็นคำนามที่มีความหมายว่า น้ำที่ตกลงมาจากเมฆเป็นเม็ด ๆ

ข้อ 66. – 75. อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม โดยให้สัมพันธ์กับข้อความที่ให้อ่าน

น้ำเหนือหลากมาไหลบ่าพัดวนเจิ่งล้นท่วมฝั่ง

สายชลไหลหลั่งระลอกพลิ้วลงใต้

ฝนเหนือตั้งเค้าทั่วไป เมฆดำคร่ำฟ้ารำไร

แมกไม้ผลิใบรอฝนมา

เพลง น้ำเหนือบ่า

ประพันธ์เพลง ไพบูลย์ บุตรขัน

ขับร้อง ทูล ทองใจ

บทเพลงแห่งฤดูน้ำหลาก เปลี่ยน ความลำบากเป็นเสียงเพลง บรรเลงอารมณ์สุนทรีย์ไปกับสายน้ำในยามหลากหลั่งประเดประดัง ทั้งน้ำเหนือหลากมา น้ำทะเลหนุนดัน และน้ำฝนดีเปรสชั่นฉ่ำโชก กรุงเทพฯซึ่งอยู่เกือบปลายสุดของแม่น้ำเจ้าพระยาจึงถึงเวลาได้เล่นเพลงเรือ บนทางด่วน..ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า

สมัยยังไม่มีเขื่อน ฤดูน้ำหลากเป็นฤดูหนึ่งเมื่อถึงเวลากลางหรือปลายฤดูฝน น้ำหลากต้องมาท่วมท้นคนก็ถือเป็นปกติ เป็นปกติคือมีการปรับชีวิตความเป็นอยู่ให้ไม่เดือดร้อนกับน้ำท่วม เช่น เตรียมโคกหรือดินดอนไว้เป็นที่อพยพหมูหมาวัวควายไก่กาไปไว้ หมู่บ้านของผมที่ปทุมธานีอันเป็นที่ราบลุ่มตอนล่างพื้นที่จะต่ำกว่าที่ราบลุ่มตอนบนกลางหมู่บ้านเขาจะขุดดินมาถมเป็นโคกสูงกว้าง พอน้ำท่วมมาทุกครัวเรือนก็สามารถไปใช้บริการโคกเนินนี้ได้

ยังไม่นับการเป็นอยู่ที่สอดคล้องกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม ปลูกบ้านใต้ถุนสูง – สูงมาก ในฤดูอื่นก็ใช้ใต้ถุนบ้านเป็นที่อาศัยอยู่สบาย อากาศเย็น ราวกับติดแอร์ด้วยความเย็นจากพื้นดินและไอน้ำในคลอง เดินทางไปไหนมาไหนก็ใช้เรือพายหรือเรือหางยาวอยู่แล้ว น้ำจะท่วมไม่ท่วมก็ไม่เดือดร้อนเรื่องเดินทาง ตรงกันข้ามในฤดูน้ำหลาก การเดินทางทางเรือยิ่งสะดวก เพราะไปได้ถึงไหนๆ ไม่ติดกั้นคันคูคลอง

ฤดูน้ำหลากยังมีผักหญ้าปลาปูอุดมสมบูรณ์ ชดเชยกับผักหญ้าที่ถูกท่วมไป เช่น มีบัวสายนานาชนิดดอกสันตะวาที่แกงส้มเสนอร่อย มีดอกโสน ผักบุ้ง กระจับ ฯลฯ ส่วนปลานั้นหายห่วง มีชุกชุมชนิดแทบจะเอื้อมหยิบเอาตรงข้างสำรับได้เลย เพราะน้ำท่วม ปลา ก็จะว่ายเวียนมาเลาะหากินอยู่แถวข้างครัวปลาสร้อยว่ายมาเป็นฝูง ๆ เป็นพันเป็นหมื่นตัวให้ยกยอเอามาหมักทำน้ำปลา เด็ดกว่าอื่นใดคือ มีกุ้งก้ามกรามตัวโต ๆ ก้ามสีคราม ๆ ม่วง ๆ ว่ายมาตามแม่น้ำให้คนจับกินจับขาย

เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าน้ำท่วมบางปีถึงขั้นนาล่ม พืชผักเสียหาย แต่ขณะเดียวกันธรรมชาติก็ชดเชยให้ด้วยผักปลาที่มีมากับน้ำหลาก ใช้ชีวิตพออยู่ได้ไม่อับจน

และหากน้ำท่วมนานเป็นเดือน คนเราก็คิดหาวิธีปลูกพริกผักสวนครัว โดยเอาผักตบชวามาถมทับกันเป็นแพหนา ๆ แล้วงมดินเลนมาโปะทับอีกที กลายเป็นแปลงดินลอยน้ำอยู่ได้เป็น 2 – 3 เดือน พอจะปลูกพืชผักสวนครัว หรือกระทั่งปลูกอ้อยก็ยังได้ ผักตบชวาที่เน่าเปื่อยก็เป็นปุ๋ยไปในตัว…ฉลาดดีไหมภูมิปัญญาชาวบ้านยุคไม่มีเขื่อน

ไม่ว่าปทุมธานี หรือกรุงเทพฯ ผู้คนยุคก่อนก็ตั้งหลักปักฐานบนพื้นฐานความคิดว่า เราเป็นเมืองลุ่มถึงฤดูน้ำต้องหลากท่วม ยิ่งเป็นเมืองลุ่มต่ำเท่าไรน้ำยิ่งท่วมสูง

แต่เมื่อเปลี่ยนจากเดินทางด้วยเรือมาใช้รถใช้ถนน จากไม่มีเขื่อนมามีเขื่อนที่บางปีน้ำก็ไม่หลากหากฝนไม่ตกมากพอ ครั้นปีใดน้ำหลากท่วมมันจึงเป็นเรื่องผิดปกติ เดือดร้อนลำเค็ญแล้วจะเป็นเช่นใด

กลายเป็นความอีหลักอีเหลื่อของคนร่วมยุคสมัย บ้างก็เสนอให้สร้างเขื่อน ถ้า สร้างอีกสักสิบเขื่อนน้ำจะยังท่วมอีกไหม…ก็ยังท่วมอยู่ดีแหละถ้าฝนตกหนัก ๆ อีกฝ่ายก็บอกสร้างเขื่อนแต่ละครั้ง ป่าเขาก็จมน้ำเป็นแถบ ๆ สายชีวิตสัตว์น้ำก็ถูกทำลาย ฯลฯ

อีหลักอีเหลื่ออย่างนี้ยังจะมีอารมณ์ร้องเพลง น้ำเหนือบ่า ตามทูล ทองใจ อีกไหมนี่

(จากคอลัมน์ คมเคียวคมปากกา โดยไผ่เสี้ยว นาน้ำใส หนังสือพิมพ์ คม – ชัด – ลึก ประจำวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2545)

  1. ในเรื่องน้ำหลากประเด็นใดที่แตกต่างกันระหว่างอดีตกับปัจจุบัน
  2. ฤดูกาล
  3. ความรู้
  4. ความรู้สึก
  5. ความคิด

ตอบ 4 จากข้อความ…. ไม่ว่าปทุมธานี หรือกรุงเทพฯ ผู้คนยุคก่อนก็ตั้งหลักปักฐานบนพื้นฐานความคิดว่าเราเป็นเมืองลุ่ม ถึงฤดูน้ำต้องหลากท่วม ยิ่งเป็นเมืองลุ่มต่ำเท่าไรน้ำยิ่งท่วมสูง แต่ เมื่อเปลี่ยนจากเดินทางด้วยเรือมาใช้รถใช้ถนน จากไม่มีเขื่อนมามีเขื่อนที่บางปีน้ำก็ไม่หลากหากฝนไม่ตกมากพอครั้นปีใดน้ำ หลากท่วมมันจึงเป็นเรื่องผิดปกติ เดือดร้อนลำเค็ญแล้วจะเป็นเช่นใด

  1. ข้อใดสรุปพฤติกรรมของคนในอดีตเมื่อถึงฤดูน้ำหลากได้อย่างถูกต้อง
  2. เป็นฤดูที่อากาศดีที่สุด
  3. เป็นฤดูที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด
  4. เป็นช่วงที่สามารถปรับวิกฤตให้เป็นโอกาสได้
  5. เป็นโอกาสเดียวที่ชาวบ้านจะได้แสดงภูมิปัญญาท้องถิ่น

ตอบ 3 จากข้อความ.. ฤดูน้ำหลากยังมีผักหญ้าปลาปูอุดมสมบูรณ์ ชดเชยกับผักหญ้าที่ถูกท่วมไป เช่น มีบัวสายนานาชนิดดอกสันตะวาที่แกงส้มเสนอร่อย มีดอกโสน ผักบุ้ง กระจับ ฯลฯ ส่วนปลานั้นหายห่วง มีชุกชุม…เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าน้ำท่วมบางปีถึงขั้นนาล่ม พืชผักเสียหาย แต่ขณะเดียวกันธรรมชาติก็ชดเชยให้ด้วยผักปลาที่มีมากับน้ำหลาก ใช้ชีวิตพออยู่ได้ไม่อับจน

  1. ผู้เขียนมีทัศนะต่อ “บ้านใต้ถุนสูง”อย่างไร
  2. ล้าสมัยเหมาะสมเฉพาะในอดีต
  3. ปรับให้เป็นประโยชน์ได้ทุกฤดู
  4. เป็นที่นิยมแต่ในต่างจังหวัด
  5. สิ้นเปลืองทั้งค่าวัสดุและแรงงานก่อสร้าง

ตอบ 2 จากข้อความ…ปลูกบ้านใต้ถุนสูง – สูงมาก ในฤดูอื่นก็ใช้ใต้ถุนบ้านเป็นที่อาศัยอยู่สบาย อากาศเย็น ราวกับติดแอร์ด้วยความเย็นจากพื้นดินและไอน้ำในคลอง เดินทางไปไหนมาไหนก็ใช้เรือพายหรือเรือหางยาวอยู่แล้ว น้ำจะท่วมไม่ท่วมก็ไม่เดือดร้อนเรื่องเดินทาง ตรงกันข้ามในฤดูน้ำหลาก การเดินทางทางเรือยิ่งสะดวก เพราะไปได้ถึงไหน ๆ ไม่ติดกั้นคันคูคลอง

  1. น้ำหลากมีผลอย่างไรต่อพืชพันธุ์ธัญญาหาร
  2. ฤดูน้ำท่วมเสียหาย
  3. ได้ประโยชน์จากพันธุ์ไม้น้ำ
  4. มีทั้งที่งอกงามและเสียหาย
  5. ชาวบ้านใช้ภูมิปัญญาปลูกพืชลอยน้ำ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 67. ประกอบ

  1. สิ่งใดในโลกปัจจุบันที่มีใช้ต่างจากอดีตและได้รับผลกระทบจากฤดูน้ำหลากมากที่สุด
  2. อาหาร
  3. อากาศ
  4. พาหนะ
  5. พาหะนำโรค

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 66. และ 68. ประกอบ

  1. ผู้เขียนมีทัศนะอย่างไรต่อเขื่อน
  2. ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม
  3. ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ
  4. ธรรมชาติยังมีอิทธิพลมากกว่าเขื่อน
  5. เป็นปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมบริเวณเขื่อน

ตอบ 3 จากข้อความ….กลายเป็นความอีหลักอีเหลื่อของคนร่วมยุคสมัย บ้างก็เสนอให้สร้างเขื่อน ถ้า สร้างอีกสักสิบเขื่อนน้ำจะยังท่วมอีกไหม…ก็ยังท่วมอยู่ดีแหละถ้าฝนตกหนัก ๆ อีกฝ่ายก็บอกสร้างเขื่อนแต่ละครั้ง ป่าเขาก็จมน้ำเป็นแถบ ๆ สายชีวิตสัตว์น้ำก็ถูกทำลาย ฯลฯ

  1. แนวคิดหลักของข้อความที่ให้อ่านคืออะไร
  2. ความสัมพันธ์ระหว่างเพลงกับฤดูกาล
  3. ธรรมชาติเป็นแรงบันดาลใจในการประพันธ์
  4. ความเข้าใจธรรมชาติย่อมเป็นการปรับตัวที่ให้ผลดี
  5. ธรรมชาติก็คือธรรมชาติหาความแน่นอนใด ๆ มิได้

ตอบ 3 (คำบรรยาย) แนวคิดหลัก (Theme) คือ สารัตถะ แก่นเรื่อง หรือสาระสำคัญของเรื่องที่ผู้เขียนมุ่งจะสื่อถึงผู้อ่าน เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชื่อเรื่อง โดยจะมีใจความครอบคลุมรายละเอียดทั้งหมดและมีลักษณะเป็นนามธรรม ซึ่งแนวคิดหลักหรือสารัตถะสำคัญของเรื่องนี้ ได้แก่ ความเข้าใจธรรมชาติย่อมเป็นการปรับตัวที่ให้ผลดี

  1. วรรณกรรมที่ให้อ่านจัดเป็นประเภทใด
  2. ข่าว
  3. บทวิจารณ์
  4. ปาฐกถา
  5. ความเรียง

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ความเรียง คือ งานเขียนที่มีการนำเสนอข้อมูลที่ได้มาจากการสังเกตหรือประสบการณ์ ซึ่งอาจจะเป็นข้อเท็จจริง ทัศนคติ ข้อคิดเห็น หรือข้อความที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกจากนั้นจึงสรุปให้เห็นความสำคัญของเรื่อง พร้อมทั้งเสนอข้อคิดให้ผู้อ่านนำไปพิจารณา

  1. โวหารการเขียนส่วนใหญ่เป็นแบบใด
  2. บรรยาย
  3. อธิบาย
  4. อภิปราย
  5. พรรณนา

ตอบ 2 หน้า 72 (46134), (คำบรรยาย) โวหารเชิงอธิบาย คือ โวหารที่ใช้ในการชี้แจงเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ซึ่งเป็นการให้ความรู้หรือข้อมูลเพียงด้านเดียวอาจจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบก็ได้ โดยมีการชี้แจงแสดงเหตุและผล การยกตัวอย่างประกอบการเปรียบเทียบ และการจำแนกแจกแจง เช่น การอธิบายกฎเกณฑ์ ทฤษฎี และวิธีการต่าง ๆ

  1. ท่วงทำนองเขียนจัดเป็นแบบใด
  2. เป็นภาษาพูด ใช้คำมีภาพพจน์
  3. เรียบง่าย
  4. กระชับรัดกุม
  5. สละสลวย

ตอบ 1 หน้า 42,57,63(46134), ผู้เขียนมีท่วงทำนองเขียนแบบที่ใช้ภาษาพูดหรือภาษาปากเป็นส่วนใหญ่และมีการใช้คำที่มีภาพพจน์ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกนึกเห็นเป็นภาพขึ้นในใจ ส่งผลให้ท่วงทำนองเขียนมีน้ำหนัก สามารถเร้าให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกสนใจและประทับใจ

  1. ข้อใดสะกดถูกทุกคำ
  2. การประปา ปราชญ์เปรื่อง
  3. ประสีประสา ปราศัย ปฏิสันถาร
  4. ปกฏิหาริย์ ไปรษณียบัตร ประสบการณ์
  5. ปล้นสะดม ปลาสเตอร์ ปะแล่ม ๆ

ตอบ 4 คำที่สะกดผิด ได้แก่ ปราชญ์เปรื่อง ปราศัย ไปรษณีย์บัตร ซึ่งที่ถูกต้องคือ ปราดเปรื่อง ปราศรัย ไปรษณียบัตร

  1. ข้อใดสะกดผิดทุกคำ
  2. บำเหน็จ สูจิบัตร บรรเทา
  3. บุคคลากร บิณฑบาต เบญจเพศ
  4. เบรก แบ่งสันปันส่วน บูรณปฏิสังขรณ์
  5. บังสุกุล บันลือ บาดทะยัก

ตอบ 2 คำที่สะกดผิด ได้แก่ บุคคลากร บิณฑบาตร เบญจเพศ บูรณปฏิสังขรณ์ ซึ่งที่ถูกต้องคือ บุคลากร บิณฑบาต เบญจเพส บูรณปฏิสังขรณ์

  1. ข้อใดมีคำที่สะกดถูกขนาบคำที่สะกดผิด
  2. สเปน เวิร์ลด์ อิเล็กโทน
  3. ไอศกรีม เอเชีย วิดีโอ
  4. อาคเนย์ อาเซีย วีดิทัศน์
  5. หญ้าฝรั่น สนุกเกอร์ เทคนิค

ตอบ 1 คำที่สะกดผิด ได้แก่ เวิร์ลด์ วิดีโอ ซึ่งที่ถูกต้องคือ เวิลด์ วีดิโอ

  1. ข้อใดมีคำที่สะกดถูกสลับกับคำที่สะกดผิด
  2. มหรสพ มัธยัสถ์ มุขเด็จ มุตเกิด
  3. เรื่องมโนสาเร่ ภูตผี อยู่ในภวังค์ ภารกิจ
  4. เภทภัย แมงกะพรุน เชือกมนิลา มลทิน
  5. มลายู ยุงก้นปล่อง มาตรการ มังสะวิรัติ

ตอบ 4 คำที่สะกดผิด ได้แก่ ยุงก้นป่อง มังสะวิรัติ ซึ่งที่ถูกต้องคือ ยุงก้นปล่อง มังสวิรัติ

  1. ข้อใดมีคำที่สะกดผิดขนาบคำที่สะกดถูก
  2. วิกฤตการณ์ รักษาการ อุบัติการณ์
  3. ปรากฏการณ์ รักษาการณ์ โครงการ
  4. เห็นกาลไกล แผนการ อุดมการณ์
  5. ดนตรีการ สถานการณ์ สังเกตการณ์

ตอบ 3 คำที่สะกดผิด ได้แก่ เห็นกาลไกล อุดมการ ซึ่งที่ถูกต้องคือ เห็นการณ์ไกล อุดมการณ์

ข้อ 81. – 90. เลือกราชาศัพท์หรือคำที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุดในแต่ละข้อเพื่อเติมลงในช่องว่างระหว่างข้อความต่อไปนี้

การแข่งขันกีฬา (81.) ไม่เพียงแต่จะเป็นที่สนใจของคนรักที่กีฬาจากทั่วโลก บรรดาเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงในยุโรปก็ (82.) เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น (83.) ของกษัตริย์ (84.) ซึ่ง (85.) ในประเทศกรีซไต้ (86.) เพื่อ (87.) ฟุตบอล เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ (88.) (89.) (90.) สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2แห่งอังกฤษเสด็จทรงเชียร์การแข่งขันเรือแคนู

  1. 1. โอลิมปิค
  2. โอริมปิค
  3. โอลิมปิก
  4. โอริมปิก

ตอบ 3 โอลิมปิก หมายถึง การแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศซึ่งจัดให้มีขึ้นทุก ๆ 4 ปี ในประเทศต่าง ๆ ตามแต่จะตกลงกัน

  1. 1. สนใจ
  2. ทรงสนใจ
  3. สนพระทัย
  4. ทรงสนพระหทัย

ตอบ 3 หน้า 111 , 113 (H) (คำบรรยาย) การเติม “ทรง” หน้ากริยาราชาศัพท์ ตามหลักเกณฑ์จะเติมเพื่อทำให้เป็นกริยาราชาศัพท์ เช่น ทรงพระราชสมภพ (เกิด), ทรงพระดำเนิน (เดิน) ฯลฯ แต่ห้ามเติม “ทรง” ซ้อนคำกริยาที่เป็นราชาศัพท์อยู่แล้ว เช่น สนพระทัย (สนใจ),เสด็จ พระราชดำเนิน / เสด็จฯ(เดินทางไปโดยยานพาหนะ), ทอดพระเนตร (ดู/ชม) เป็นต้น (ซึ่งในข้อนี้บรรดาเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงยุโรป เป็นเจ้านายในราชวงศ์ต่างประเทศ จึงต้องใช้คำราชาศัพท์)

  1. 1. ชายา
  2. พระชายา
  3. มเหสี
  4. พระมเหสี

ตอบ 4 พระมเหสี หมายถึง ชายาของพระเจ้าแผ่นดิน โดยต้องมีคำว่า “พระ” นำหน้าคำนามสามัญเพื่อให้แตกต่างจากสามัญชนโดยทั่วไป (ส่วนคำว่า “พระชายา” หมายถึง พระองค์เจ้าหญิงซึ่งเป็นภรรยาของพระราชวงศ์)

  1. 1. เสปน
  2. เสปญ
  3. สเปน
  4. สเปญ

ตอบ 3 สเปน เป็นชื่อเรียกประเทศประเทศหนึ่งในยุโรปใต้ มีเมืองหลวงชื่อ มาดริด และมีประชากรประมาณ 40.1 ล้านคน (ข้อมูล ปี พ.ศ. 2553)

  1. 1. ทรงประสูติ
  2. ทรงพระราชสมภพ
  3. มีพระประสูติกาล
  4. มีพระประสูติการ

ตอบ 2 (ดูคำอธิบายข้อ 82. ประกอบ) คำว่า “ทรงพระราชสมภพ” หมายถึง เกิด ใช้กับพระมหากษัตริย์พระราชินี และพระราชวงศ์ลำดับ 2 (ส่วนคำว่า “ประสูติ” = เกิด ใช้กับสมเด็จเจ้าฟ้าลงไป, “มีพระประสูติกาล” = เวลาเกิด, “มีพระประสูติการ” = การเกิด)

  1. 1. เสด็จ
  2. เสด็จฯ
  3. ทรงพระดำเนิน
  4. ทรงเสด็จพระราชดำเนิน

ตอบ 2 (ดูคำอธิบายข้อ 82. ประกอบ) คำว่า “เสด็จพระราชดำเนิน / เสด็จฯ” หมายถึง เดินทางไปโดยยานพาหนะ ใช้กับพระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระราชวงศ์ลำดับ 2 (ส่วนคำว่า “เสด็จ” = เดินทางไปโดยยานพาหนะ ใช้กับสมเด็จเจ้าฟ้าลงไป)

  1. 1. ทรงชม
  2. ทรงดู
  3. ทอดพระเนตร
  4. ทรงทอดพระเนตร

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 82. ประกอบ

  1. 1. ธิดา
  2. พระธิดา
  3. พระราชธิดา
  4. สมเด็จพระราชธิดา

ตอบ 3 พระราชธิดา หมายถึง ลูก สาวของพระเจ้าแผ่นดิน โดยต้องมีคำว่า “พระราช” นำหน้าคำนามสามัญเพื่อใช้เฉพาะพระมหากษัตริย์และพระราชินี (ซึ่งในข้อนี้มีความหมายว่าเป็นธิดาของสมเด็จพระราชินีนาถ จึงต้องใช้ราชาศัพท์ว่า พระราชธิดา)

  1. 1. ท่านเดียว
  2. องค์เดียว
  3. องก์เดียว
  4. พระองค์เดียว

ตอบ 4 หน้า 174 (52067) คำสรรพนามราชาศัพท์ที่ใช้แทนผู้ที่พูดถึง (บุรุษที่ 3) ได้แก่

  1. พระองค์ ใช้แทนพระเจ้าแผ่นดิน พระราชินี พระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้า เจ้าฟ้าและเหนือขึ้นไป (จะไม่ใช้คำว่า พระองค์ท่าน)
  2. ทูลกระหม่อม ใช้แทนเจ้านายชั้นเจ้าฟ้าที่มีพระราชชนนีเป็นอัครมเหสี
  3. เสด็จ ใช้แทนเจ้านายชั้นพระองค์เจ้าที่เป็นลูกเธอและหลานเธอ ซึ่งมีพระอัยการเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
  4. ท่าน ใช้แทนเจ้านายทั่วไป ขุนนาง พระสงฆ์ ฯลฯ
  5. 1. แห่ง
  6. ของ
  7. ใน

ตอบ 3 หน้า 151 – 152 (52067) คำว่า “ใน” หมายถึง แห่ง ของ ใช้เป็นคำสุภาพนำหน้าคำแสดงความเป็นเจ้าของสำหรับเจ้านายในราชวงศ์ (ส่วนคำว่า “ของ” ใช้นำหน้านามที่เป็นผู้ครอบครองซึ่งเป็นบุคคลสามัญ “แห่ง” ใช้นำหน้าคำแสดงความเป็นเจ้าของโดยเฉพาะที่เป็นนามธรรม, “ณ” เป็นคำบ่งเวลาหรือสถานที่ว่าตรงนั้นตรงนี้)

ข้อ 91. – 95. จงเลือกคำที่มีความหมายต่างจากคำอื่น ๆ

  1. 1. บทความ
  2. สารคดี
  3. วารสาร
  4. นวนิยาย

ตอบ 3 คำว่า “วารสสาร” หมายถึง หนังสือ ที่ออกตามกำหนดเวลา เช่น วารสารราชบัณฑิตยสถานวารสารศิลปากร วารสารกรมการแพทย์ ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นวรรณกรรมหรือข้อเขียนในรูปร้อยแก้วประเภทต่าง ๆ)

  1. 1. สวมแว่น
  2. สวมรอย
  3. สวมเสื้อ
  4. สวมหมวก

ตอบ 2 คำว่า “สวมรอย” หมายถึง เข้าแทนที่คนอื่นโดยทำเป็นทีให้เข้าใจว่าตนเองเป็นตัวจริง (ส่วน ตัวเลือกข้ออื่นเป็นกิริยาที่เอาของที่เป็นโพรงเป็นวงครอบลงบนอีกสิ่งหนึ่ง เช่น สวมหมวก, นุ่ง, เช่น สวมกางเกง, ใส่ เช่น สวมเสื้อ สวมแว่น ฯลฯ)

  1. 1. พัดชา
  2. พัดชัก
  3. พัดโบก
  4. พัดยศ

ตอบ 1 คำว่า “พัดชา” หมายถึง ชื่อเพลงไทยทำนองหนึ่ง ชื่อท่ารำท่าหนึ่ง (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นเครื่องมือสำหรับใช้ใบกลม หรือพัดให้เย็น)

  1. 1. สีขาว
  2. สีเข้ม
  3. สีขาบ
  4. สีเขียว

ตอบ 2 คำว่า “สีเข้ม” หมายถึง ลักษณะของสีที่แก่จัด (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นชนิดของสี เช่น สีขาว = มีสีอย่างสำลี, สีขาบ = สีน้ำเงินแก่อมม่วง, สีเขียว = มีสีอย่างใบไม้สด เป็นต้น)

  1. 1. ทำนา
  2. ทำไร่
  3. ทำสวน
  4. ทำเหมือง

ตอบ 4 คำว่า “ทำเหมือง” หมายถึง การ ประกอบอาชีพขุดแร่หรือหาแร่ในลักษณะที่เป็นอุตสาหกรรมซึ่งต้องใช้ทุนและแรง งานในการผลิตจำนวนมาก (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งเป็นการใช้ที่ดินเพาะปลูกพืชชนิดต่าง ๆ)

  1. ลักษณนามของ “ซอ” คืออะไร
  2. เล่ม
  3. อัน
  4. คัน
  5. ด้าม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 59. ประกอบ

  1. ลักษณนามของ “ลูกคิด” คืออะไร
  2. ลูก
  3. เครื่อง
  4. อัน
  5. ราง

ตอบ 4 คำลักษณนาม “ราง” จะใช้เฉพาะสิ่งที่มีลักษณะเป็นราง เช่น ลูกคิดรางหนึ่ง, ระนาด 2 ราง, รางรถไฟ 3 ราง เป็นต้น

  1. “คนขยันไม่ย่อท้อ…..ความยกลำบาก” ใช้บุรพบทคำใด
  2. กับ
  3. ต่อ
  4. ใน
  5. แก่

ตอบ 2 หน้า 146 (52067), 105 – 106 (H) คำ ว่า “ต่อ” เป็นบุรพบทที่ใช้นำหน้าคำที่เกี่ยวกับการใช้การรับแต่มักจะใช้นำหน้าความที่ เป็นผู้รับต่อหน้า เผชิญหน้าเป็นที่ประทุษร้าย เช่น คนขยันไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก (ความยากลำบากที่เห็นอยู่ต่อหน้า)

  1. “เขาเน้นเสมอว่ากลัวอะไร..ความจน” ใช้บุรพบทใด
  2. ต่อ
  3. ซึ่ง
  4. ใน
  5. กับ

ตอบ 4 หน้า 144 (52067), 105 (H) คำว่า “กับ” เป็นบุรพบทที่ใช้นำหน้าคำที่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น ได้ยินกับหู เขียนกับมือ ฯลฯ หรือใช้นำหน้าคำที่เป็นเครื่องประกอบ เครื่องเกี่ยวเนื่องกัน เช่น พูดกับเพื่อน กลัวอะไรกับความจน ฯลฯ

  1. “เขามาโรงเรียน…ไม่เรียนหนังสือจึงสอบตก” ใช้สันธานใด
  2. กับ
  3. ด้วย
  4. แต่
  5. มิฉะนั้น

ตอบ 3 (ดูคำอธิบายข้อ 54. ประกอบ) คำว่า “แต่” เป็นสันธานที่ใช้เชื่อมความที่ขัดแย้งกัน ซึ่งใช้เชื่อมได้ทั้งที่ประธานคนเดียวกันทำกริยาต่างกัน เช่น เขามาโรงเรียนแต่ไม่เรียนหนังสือ ฯลฯ หรือประธานคนละคนกันก็ได้ เช่น ฉันชอบแมวแต่น้องชอบหมา ฯลฯ

  1. ความสำเร็จของการใช้ภาษาขึ้นอยู่กับสิ่งใด
  2. ผู้รับภาษา
  3. ผู้ส่งภาษา
  4. ลักษณะของภาษา
  5. ทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 1 (46134) ประสิทธิภาพหรือความสำเร็จของการใช้ภาษาย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่อไปนี้

  1. ผู้ส่งภาษา ซึ่งจะใช้ภาษาโดยการพูดและการเขียน
  2. สาร (ลักษณะของภาษา)
  3. ผู้รับภาษา ซึ่งจะให้ภาษาโดยการฟังและการอ่าน
  4. ผู้รับภาษาใช้ภาษาในลักษณะใด
  5. พูดและฟัง
  6. ฟังและเขียน
  7. อ่านและฟัง
  8. เขียนและอ่าน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 101. ประกอบ

  1. ปัญหาการใช้ภาษาที่เห็นได้ชัดเจนคือข้อใด
  2. อ่านและเขียน
  3. เขียนและพูด
  4. ฟังและอ่าน
  5. พูดและฟัง

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ปัญหาการใช้ภาษาที่สามารถเห็นได้ชัดเจน คือ การ เขียนและพูดซึ่งถือเป็นกระบวนการภายนอก เพราะเป็นการใช้ภาษาที่ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ส่วนการฟังและอ่านถือเป็นกระบวนการภายใน เพราะเป็นการใช้ภาษา ที่สังเกตเห็นได้ยาก กล่าวคือ ผู้พูดและผู้เขียนมิอาจทราบได้ว่าผู้ฟังและผู้อ่านเข้าใจสารที่ตนส่งหรือ สื่อออกไปหรือไม่ เพียงไร

  1. การใช้ภาษาลักษณะใดที่ทำให้เกิดความรู้ความคิด
  2. เขียนและอ่าน
  3. ฟังและอ่าน
  4. พูดและฟัง
  5. ฟังและเขียน

ตอบ 2 หน้า 2, 81 (46134) การฟังและการอ่านเป็นการใช้ภาษาในการรับรู้เรื่องราวเพื่อจะได้เกิดความจำ ความเข้าใจ ความรู้ ความ คิด และความบันเทิง ส่วนการพูดและการเขียนนั้นเป็นการใช้ภาษาในการนำความรู้ ความคิด หรือความต้องการของเราถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจ

  1. การใช้ภาษาคือการใช้สิ่งใด
  2. ภาพ
  3. เสียงพูด
  4. ตัวอักษร
  5. ระบบสัญลักษณ์

ตอบ 4 หน้า 1 (46134), (คำบรรยาย) การใช้ภาษา หมายถึง การ สื่อสารทำความเข้าใจกันโดยใช้ภาษาพูดหรือภาษาเขียน อันเป็นระบบสัญลักษณ์ที่มนุษย์ใช้เป็นสื่อหรือเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร ถึงกันดังนั้นการใช้ภาษาจึงหมายถึงการใช้ระบบสัญลักษณ์ ซึ่งก็คือ หลักภาษา ลักษณะภาษาหรือไวยากรณ์ต่าง ๆ ที่จัดขึ้นอย่างมีระบบระเบียบ

  1. หน้าที่ของคำในประโยคเกี่ยวข้องกับเรื่องใด
  2. ระดับของคำ
  3. น้ำหนักของคำๆ
  4. ความหมายของคำ
  5. ทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 5 (46134) หน้าที่ ขอคำในประโยคจะเกี่ยวข้องกับความหมายของคำ เพราะตามปกติคำมีความหมายอย่างไรนั้นย่อมขึ้นอยู่กับตำแหน่งหรือหน้าที่ของ คำในข้อความที่เรียบเรียงขึ้นนอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความเข้าใจหรือการแปล ความหมายของผู้ใช้อีกด้วย

  1. การใช้ภาษาให้ถูกระดับเกี่ยวข้องกับสิ่งใด
  2. กาละ
  3. เทศะ
  4. บุคคล
  5. ทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 6 – 10 , 15 – 16 (46134) คำในภาษาไทยมีระดับต่างกัน นั่นคือ มี การกำหนดคำให้ใช้แตกต่างกันไปตามความหมายเหมาะสมแก่บุคคลและการเทศะ ซึ่งจะต้องรู้ว่าในโอกาสใด สถานที่เช่นไร และกับบุคคลใดจะใช้คำหรือข้อความใดจึงจะเหมาะสม ดังนั้นจึงมีการแบ่งคำเพื่อนำไปใช้ในที่สูงต่ำต่างหันตามความหมายเหมาะสมหรือตามการยอมรับของสังคมเป็น 2 ระดับ คือ

  1. คำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ ได้แก่ คำราชาศัพท์ คำสุภาพ และคำเฉพาะวิชาหรือศัพท์บัญญัติ
  2. คำที่ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ สามารถใช้คำได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคำปากหรือคำตลาด คำสแลง คำเฉพาะอาชีพ คำโฆษณา คำภาษาถิ่น ฯลฯ และคำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ
  3. คำสแลงเป็นคำที่ใช้ในภาษาระดับใด
  4. ทางการ
  5. กึ่งทางการ
  6. ไม่เป็นทางการ
  7. ทุกข้อ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 107. ประกอบ

  1. ในโอกาสไม่เป็นทางการสามารถใช้คำประเภทใดได้
  2. คำปาก
  3. คำสุภาพ
  4. คำภาษาถิ่น
  5. ทุกข้อ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 107. ประกอบ

  1. ภาษาระดับใดที่มีปัญหาในการใช้มากที่สุด
  2. ทางการ
  3. กึ่งทางการ
  4. ไม่เป็นทางการ
  5. ข้อ 1 และ 2

ตอบ 1 หน้า 7 (46134),(คำบรรยาย) ภาษาระดับทางการ คือ คำ ที่ใช้กันในภาษาที่เป็นแบบแผนหรือภาษาของทางราชการ เช่น การแสดงปาฐกถา การเขียนหนังสือราชการ ฯลฯ จึงเป็นระดับภาษาที่มีปัญหาในการใช้มากที่สุด เพราะผู้ใช้ต้องคำนึงถึงหลักภาษาและมีระเบียบแบบแผนในการใช้อย่างเคร่งครัด (ดูคำอธิบายข้อ 107. ประกอบ)

  1. การใช้คำเปรียบเทียบมุ่งให้เกิดผลอย่างไร
  2. ชัดเจน
  3. ถูกต้อง
  4. เหมาะสม
  5. มีน้ำหนัก

ตอบ 4 หน้า 19 (46134) การใช้คำเปรียบเทียบ คำพังเพย และสุภาษิต จะ ช่วยให้ข้อความกะทัดรัดและมีน้ำหนักมากขึ้น เนื่องจากคำประเภทนี้เป็นคำหรือข้อความที่มีความหมายหนักแน่นและเป็นที่เข้า ใจกันดีอยู่แล้ว แต่ต้องเลือกใช้ให้เหมาะกับข้อความนั้น ๆ ดังนั้นผู้ใช้จึงต้องรู้จักและเข้าใจความหมายของคำเหล่านั้นให้ดีเสียก่อน

  1. คำชนิดใดที่ความหมายขึ้นอยู่กับการออกเสียง
  2. คำพ้อง
  3. คำพ้องรูป
  4. คำพ้องเสียง
  5. คำเปรียบเทียบ

ตอบ 2 หน้า 14 (46134) คำพ้องรูป คือ คำ ที่เขียนเหมือนกัน แต่ความหมายและการออกเสียงจะต่างกัน ดังนั้นจึงต้องออกเสียงให้ถูกต้อง เพราะหากออกเสียงผิด ความหมายก็จะผิดไปด้วย เช่น “เพลา” อาจจะอ่านว่า “ เพ – ลา” (กาล คราว) หรือ “เพลา” (แกนสำหรับสอดในดุมรถหรือดุมเกวียน) ฯลฯ

  1. “ตำรวจตามจับ 2 มหาโจร” ข้อความนี้มีลักษณะอย่างไร
  2. เรียงคำไม่ถูก
  3. ขยายความไม่ถูก
  4. ไม่มีกริยาสำคัญ
  5. ไม่ใช้ลักษณนาม

ตอบ 4 หน้า 167 (52067), 12 – 13 (46134) การใช้ลักษณนามจะต้องใช้ให้ถูกต้องตามหลัก คือ รู้ว่าจะใช้กับคำนามคำใดและใช้ที่ใด ซึ่งลักษณนามจะใช้ตามหลังจำนวนนับ เช่น หนังสือ 5 เล่ม ฯลฯ และใช้ตามหลังนามเมื่อต้องการเน้นข้อความนั้น เช่น หนังสือเล่มนั้น ฯลฯ หากใช้ลักษณนามไม่ถูกต้องก็จะทำให้เข้าใจความหมายผิดและทำให้เสียลักษณะ เฉพาะของภาษา เช่น ตำรวจตามจับ 5 มหาโจร (ไม่ใช้ลักษณนาม) จึงควรแก้ไขเป็น ตำรวจตามจับมหาโจร 5 คน

  1. “เขาเป็นนักกีฬาและทุกเช้าจะไปตลาด” ข้อความนี้มีลักษณะอย่างไร
  2. ไม่มีกริยาสำคัญ
  3. ไม่กระชับ
  4. ไม่รัดกุม
  5. ไม่เกี่ยวข้องกัน

ตอบ 4 หน้า 40 (46134) ข้อ ความในประโยคหนึ่ง ๆ ควรจะมีเพียงอย่างเดียว หรือควรจะต้องเกี่ยวข้องกันไม่ควรให้กระจังกระจายไปเป็นคนละเรื่อง ดังนั้นการใช้ประโยคหรือข้อความซ้อนกันจึงต้องระมัดระวังเรื่องใจความให้ เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เช่น เขาเป็นนักกีฬาและทุกเช้าจะไปตลาด (ข้อความไม่เกี่ยวข้องกัน) จึงควรแก้ไขเป็น เขาเป็นนักกีฬาและทุกเช้าจะไปวิ่งออกกำลังกาย

  1. “ห้ามคนอย่าให้เข้าไปในเขตนั้น” ข้อความนี้มีลักษณะอย่างไร
  2. ขยายความไม่ถูก
  3. ใช้คำฟุ่มเฟือย
  4. ไม่เกี่ยวข้องกัน
  5. ทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 18 – 19 (46134) การ ใช้คำฟุ่มเฟือยหรือการใช้คำที่ไม่จำเป็น จะทำให้คำโดยรวมไม่มีน้ำหนักและข้อความก็จะขาดความหนักแน่น เพราะเป็นคำที่ไม่มีความหมายอะไร แม้ตัดออกไปก็ไม่ได้ทำให้ความหมายของข้อความนั้นเปลี่ยนแปลงไป แต่กลับทำให้ดูรุงรังยิ่งขึ้น เช่น ห้ามคนอย่าให้เข้าไปในเขตนั้น (ใช้คำฟุ่มเฟือย) จึงควรแก้ไขเป็น ห้ามคนเข้าไปในเขตนั้น

  1. การใช้ประโยคเพ่งเล็งแง่ใดมากที่สุด
  2. มีน้ำหนัก
  3. รัดกุม
  4. ถูกต้อง
  5. กระชับ

ตอบ 3 หน้า 35 – 36, 44 (46134) สิ่ง ที่ควรเพ่งเล็งและคำนึงถึงมากที่สุดในการใช้ประโยคทั้งในการพูดและการเขียน คือ ความถูกต้อง เพราะถ้าหากใช้คำหรือประโยคไม่ถูกต้องจะทำให้ไม่สามารถสื่อความหมายตามที่ ต้องการได้ รวมทั้งยังทำให้ผู้ฟังและผู้อ่านไม่เข้าใจหรือเข้าใจไม่ตรงกันกับผู้พูดและ ผู้เขียนอีกด้วย

  1. การรวบความทำให้ประโยคมีลักษณะอย่างไร
  2. ถูกต้อง
  3. รัดกุม
  4. มีน้ำหนัก
  5. มีภาพพจน์

ตอบ 2 หน้า 39 – 40, 47 (46134) การผูกประโยคให้กระชับรัดกุมมีสิ่งที่จะต้องพิจารณา คือ

  1. การรวบความให้กระชับ
  2. การลำดับความให้รัดกุม
  3. การจำกัดความ
  4. ความถูกต้องชัดเจนของประโยคขึ้นอยู่กับสิ่งใด
  5. การเรียงคำ
  6. การเว้นวรรค
  7. การขยายความ
  8. ทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 37 – 38 , 47 (46134) การผูกประโยคให้ถูกต้องชัดเจนขึ้นอยู่กับการกระทำดังนี้คือ

  1. การเรียงคำให้ถูกที่
  2. การขยายความให้ถูกที่
  3. การใช้คำตามแบบภาษาไทย
  4. การใช้คำให้สิ้นกระแสความ
  5. การเว้นวรรคตอนให้ถูกต้อง
  6. ข้อเขียนใดที่ควรใช้ประโยคที่มีน้ำหนักและภาพพจน์
  7. ข่าว
  8. ตำรา
  9. บทความ
  10. ทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 44 (46134), (คำบรรยาย) ประโยค ที่มีน้ำหนักและภาพพจน์นั้นมักนำไปใช้กับข้อเขียนประเภทบทความ โดยควรน้ำไปใช้ก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าจะทำให้เรื่องราวดีขึ้น และควรใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะถ้านำไปใช้อย่างพร่ำเพรื่อและใช้อย่างไม่พิจารณาแล้วจะทำให้เฝือและรู้สึกขัดเขิน

  1. “เขาพบตัวเองอยู่ในบ้างร้าง” ประโยคนี้มีลักษณะอย่างไร
  2. ถูกต้อง
  3. เรียงคำไม่ถูก
  4. ใช้คำขยายไม่ถูก
  5. ไม่ใช้คำตามแบบภาษาไทย

ตอบ 4 หน้า 38 (46134), (ดูคำอธิบายข้อ 118. ประกอบ) การ ใช้คำตามแบบภาษาไทย คือ การให้ข้อความที่ผูกขึ้นมีลักษณะเป็นภาษาไทย ไม่เลียนแบบภาษาต่างประเทศ เช่น เขาพบตัวเองอยู่ในบ้านร้าง(เป็นสำนวนภาษาต่างประเทศ) จึงควรแก้ไขเป็น เขาอยู่ในบ้านร้าง ซึ่งจะทำให้ข้อความกะทัดรัดเข้าใจง่าย และไม่เคอะเขิน

 

THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2550

ข้อสอบกระบวนวิชา THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

ลักษณะภาษา

1 เมื่อเรียนภาษาไทยทำไมจึงมีการเปรียบเทียบภาษาไทยกับภาษาต่างประเทศ

(1) ทำให้เรียนภาษาต่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น

(2) ทำให้ฟังและพูดภาษาไทยได้ดียิ่งขึ้น

(3) ทำให้เขียนและอ่านภาษาไทยได้ดียิ่งขึ้น

(4) ทำให้เข้าใจลักษณะของภาษาไทยมากยิ่งขึ้น

ตอบ (4) ทำให้เข้าใจลักษณะของภาษาไทยมากยิ่งขึ้น

จุดมุ่งหมายในการเรียนเรื่องลักษณะภาษาไทยประการหนึ่ง คือ เพื่อให้สามารถนำไปเปรียบเทียบกับภาษาอื่น โดยเฉพาะภาษาที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น ภาษาบาลี สันสกฤต เขมร และอังกฤษ ซึ่งนอกจากจะทำให้เข้าใจลักษณะภาษาอื่นแต่ละภาษาแล้ว ก็ยังทำให้เห็นและเข้าใจลักษณะภาษาไทยได้ดียิ่งขึ้นด้วย

2 ภาษาซึ่งอาจจะถือได้ว่าเป็น “แม่ภาษาไทย”ควรมีลักษณะอย่างไร

(1) เป็นภาษาที่คนไทยยืมคำมาใช้มาก

(2) เป็นภาษาในสังคมที่มีวัฒนธรรมสูงกว่าวัฒนธรรมไทย

(3) เป็นภาษาในสังคมที่มีวัฒนธรรมใกล้เคียงกับวัฒนธรรมไทย

(4) เป็นภาษาที่มีลักษณะภาษาส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับภาษาไทย

ตอบ (4) เป็นภาษาที่มีลักษณะภาษาส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับภาษาไทย

ภาษาที่ถือเป็น “แม่ภาษาไทย” คือ ภาษาที่มีลักษณะภาษาส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับภาษาไทย ซึ่งถึงแม้ว่าภาษาไทยจะมีความเกี่ยวข้องกับภาษาต่างๆแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าภาษาไทยจะมีลักษณะเช่นเดียวกับภาษาเหล่านั้น และก็ไม่ถือว่าภาษาเหล่านั้นเป็นแม่ของภาษาไทยด้วย เพราะภาษาแต่ละภาษาก็มีลักษณะเฉพาะตนเอง

3 ทำไมภาษาไทยจึงมีคำยืมจากภาษาต่างประเทศมาก

(1) เพราะมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับสังคมต่างภาษา (2) เพราะภาษาไทยมีคำน้อยจึงไม่พอใช้

(3) เพราะคนไทยนิยมวัฒนธรรมต่างชาติ (4) เพราะสังคมไทยยังด้อยพัฒนา

ตอบ (2) เพราะภาษาไทยมีคำน้อยจึงไม่พอใช้

ในปัจจุบันสภาพบ้านเมืองและความเป็นอยู่เปลี่ยนแปลงไปทำให้ความจำเป็นในการใช้คำใหม่ให้เพียงพอแก่การพูดจามีมากยิ่งขึ้น ประกอบกับภาษาไทยมีพัฒนาการทางด้านคำน้อย ทำให้คำเดิมของไทยซึ่งเป็นคำโดดไม่พอใช้ในภาษา จึงต้องยืมคำภาษาอื่นมาใช้ สร้างคำใหม่ขึ้น หรืออาจจะเกิดคำใหม่ เพราะความเปลี่ยนแปลงทางภาษาบางประการ

4 ข้อใดแสดงวิธีการบอกเพศตามแบบภาษาคำโดด

(1) เด็กหนุ่ม (2) น้ำพริกหนุ่ม (3) หนุ่มเมืองจันท์ (4) ทุกข้อ

ตอบ (1) เด็กหนุ่ม

คำนามในภาษาไทยบางคำก็แสดงเพศได้ในตัวของมันเอง เช่น คำที่บอกเพศชาย ได้แก่ พ่อ พระ ลูกเขย ชาย หนุ่ม ฯลฯ และคำที่บอกเพศหญิง ได้แก่ แม่ ชี ลูกสะใภ้ หญิง สาว นางพยาบาล แม่พิมพ์ของชาติ ฯลฯ แต่คำในภาษาคำโดดบางคำที่เป็นคำรวมทั้งสองเพศ เช่น พี่ น้อง เด็ก น้า ฯลฯ เมื่อต้องการแสดงเพศจะต้องใช้คำบ่งเพศมาประกอบเข้าข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง หรือประสมกันตามแบบคำประสมบ้าง เช่น พี่สาว น้องชาย เด็กหนุ่ม เด็กสาว น้าชาย ฯลฯ

5 ข้อใดมีหลักฐานแสดงว่าภาษามีระบบสูงต่ำ

(1) อย่าเอากล่องไปคั่นไว้ที่ขั้นบันได (2) นี่คือขันใส่น้ำอย่างธรรมดา คุณขันอะไร

(3) ในขั้นนี้ ต้องขันน็อตก่อน (4) พอไก่ตัวผู้ขัน ไก่ตัวเมียก็ขานรับ

ตอบ (3) ในขั้นนี้ ต้องขันน็อตก่อน

ระบบสูงต่ำ (เสียงวรรณยุกต์)ในภาษาไทย คือ การกำหนดเสียงสูงต่ำไว้ตายตัวในแต่ละคำ เพื่อต้องการแยกความหมายโดยให้เสียงหนึ่งมีความหมายอย่างหนึ่ง หากเปลี่ยนเสียงความหมายก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย เช่น ขั้น (เสียงโท) = ชั้นที่ทำลดหลั่นกันเป็นลำดับ ขัน (เสียงจัตวา) = ทำให้ตึงหรือแน่นด้วยวิธีหมุนกวดเร่งเข้าไป เป็นต้น

6 สระเดี่ยวปรากฏอยู่ในข้อใด

(1) บ่อน (2) บ่อย (3) เบี้ยว (4) เบา

ตอบ (1) บ่อน

เสียงสระในภาษาไทยมี 28 เสียง แบ่งออกเป็น

1 สระเดี่ยว 18 เสียง ได้แก่ อะ อา อึ อื เออะ เออ (สระกลาง) อิ อี เอะ เอ แอะ แอ (สระหน้า) อุ อู โอะ โอ เอาะ ออ (สระหลัง)

2 สระผสม 10 เสียง ได้แก่ เอือะ เอือ เอา อาว ไอ อาย (สระกลาง) เอียะ เอีย (สระหน้า) อัวะ อัว (สระหลัง) (ส่วน “บ่อย” ถึงแม้จะมีสระเดี่ยว ออ แต่ลงท้ายด้วย ย ซึ่งเป็นพยัญชนะกึ่งสระ จึงถือเป็นสระผสม 2 เสียง คือ ออ+ย (ออ+อี) = บ่อย

7 สระผสมปรากฏอยู่ในข้อใด

(1) หมี (2) เหมา (3) โหมด (4) หมู

ตอบ (2) เหมา

ดูคำอธิบายข้อ 6 ประกอบ

8 พยัญชนะต้นในข้อใดมีกลุ่มลมตามออกมาด้วย

(1) หนี (2) สี (3) พี่ (4) จี๋

ตอบ (3) พี่

พยัญชนะเสียงหนัก คือ พยัญชนะต้นที่เวลาออกเสียงจะมีกลุ่มลมตามออกมาด้วย หรือมีลมหายใจพุ่งออกมาจากหลอดลมโดยแรง (แรงกว่าพยัญชนะเสียงอื่น) และไม่ถูกขัดขวาง ได้แก่ ห (ฮ) รวมทั้งพยัญชนะที่มีเสียง ห ผสมอยู่ด้วย ได้แก่ ค (ข) ช (ฉ) ท (ถ) พ (ผ) เป็นต้น (ส่วน “หนี” เสียง ห จะหายไป เพราะพยัญชนะเสียงต่ำเดี่ยว (ง น ม ย ร ล ว ) ที่มี ห หรือ อ นำหน้า จะไม่ออกเสียง ห หรือ อ)

9 หากอุดจมูก จะออกเสียงคำใดได้ยาก

(1) สอง (2) ของ (3) ตอง (4) น้อง

ตอบ (4) น้อง

พยัญชนะนาสิก คือ พยัญชนะระเบิดที่เสียงออกทางจมูกซึ่งเกิดจากอวัยวะในการออกเสียงปิดสนิท ณ จุดใดจุดหนึ่งในปาก แต่เพดานอ่อนลดต่ำลงทำให้ลมเปลี่ยนทางไปออกทางจมูกทันทีที่คลายการปิดกั้น ดังนั้นหากอุดจมูกก็จะออกเสียงได้ยาก ได้แก่ พยัญชนะต้น ง น ม

10 คำว่า “ลาว” ออกเสียงใกล้เคียงกับข้อใด

(1) อา+อี (2) อา+อู (3) อี+อา (4) อู+อา

ตอบ (2) อา+อู

ถ้าออกเสียง อา ไม่ให้ขาดเสียง และแทนที่จะให้ลิ้นทอดราบกับปาก กลับค่อยๆกระดกลิ้นขึ้นจนเกือบจดเพดานในระดับของ อู เสียงนั้นก็จะเป็นสระผสม อา + อู เช่น ลาว ราว สาว ชาว ฯลฯ แต่ถ้าออกเสียง อา แล้วกระดกลิ้นสูงไป จดเพดานอ่อนเข้า ก็จะกลายเป็นเสียง อา มี ว สะกด หรือ อา+ว = อาว เช่นกัน

11 แม่กด ปรากฏอยู่ในข้อใด

(1) เพศ

(2) เกตุ

(3) เศษ

(4) ทุกข้อ

ตอบ (4) ทุกข้อ

พยัญชนะท้ายคำที่ทำหน้าที่เป็นตัวสะกดในภาษาไทยมีได้เพียงเสียงเดียว แม้ในคำที่ยืมจากภาษาอื่นจะมีพยัญชนะท้ายคำเรียงกันมามากกว่าเสียงเดียวก็ตาม โดยพยัญชนะตัวสะกดของไทยจะมีทั้งหมด 8 เสียงดังนี้

1 แม่กก ได้แก่ ก ข ค ฆ

2 แม่กด ได้แก่ จ ฉ ช ซ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส

3 แม่กบ ได้แก่ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ

4 แม่กน ได้แก่ น ณ ร ล ฬ ญ

5 แม่กง ได้แก่ ง

6 แม่กม ได้แก่ ม

7 แม่เกย ได้แก่ ย

8 แม่เกอว ได้แก่ ว

12 พยางค์ที่สองของคำว่า “สมานฉันท์” ถ้าออกเสียงแบบเคียงกันจะมีวรรณยุกต์ใด

(1) สามัญ

(2) เอก

(3) โท

(4) จัตวา

ตอบ (1) สามัญ

การออกเสียงแบบตามกันมา หรือเคียงกันมา (การออกเสียงแบบเรียงพยางค์) คือ การออกเสียงแต่ละเสียงเต็มเสียง และเสียงทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เช่น คำว่า สมานฉันท์ (สะ-มา-นะ-ฉัน) มีพยางค์ที่ 2 คือ มา ซึ่งเป็นพยัญชนะเสียงต่ำเดี่ยว (ง น ม ย ร ล ว) ที่ไม่มีตัวสะกด และสระเสียงยาว (สระอา) จึงผันเสียงวรรณยุกต์ได้ครบทั้ง 5 เสียง แต่เวลาเขียนต้องมีอักษรเสียงกลาง (เสียง อ) หรือเสียงสูง (เสียง ห) ช่วยนำ ได้แก่ มา (เสียงสามัญ) หม่า (เสียงเอก) ม่า (เสียงโท) ม้า (เสียงตรี) และหมา (เสียงจัตวา) เป็นต้น

13 พยางค์ที่สองของคำว่า “สมานฉันท์” ถ้าออกเสียงแบบนำกันมาจะมีเสียงวรรณยุกต์ใด

(1) สามัญ (2) เอก (3) โท (4) จัตวา

ตอบ (4) จัตวา

การออกเสียงแบบนำกันมา (อักษรนำ) คือ พยัญชนะคู่ที่พยัญชนะตัวหน้ามีอำนาจเหนือพยัญชนะตัวหลังก็จะเปลี่ยนเสียงตาม ซึ่งจะออกเสียงเหมือนกับเสียงที่มี ห นำ เช่น คำว่า สมานฉันท์ (สะ-หมาน-นะ-ฉัน) มีพยางค์ที่ 2 คือ หมาน ซึ่งเป็นพยัญชนะเสียงต่ำเดี่ยว ( ง น ม ย ร ล ว ) ที่มีตัวสะกดคำเป็น (แม่กน) และสระเสียงยาว (สระอา) จึงผันเสียงวรรณยุกต์ได้ครบทั้ง 5 เสียง แต่เวลาเขียนต้องมีอักษรเสียงกลาง (เสียง อ ) หรือเสียงสูง (เสียง ห ) ช่วยนำ เช่น มาน (เสียงสามัญ) หม่าน (เสียงเอก) ม่าน (เสียงโท) ม้าน (เสียงตรี) และหมาน (เสียงจัตวา)

14 ข้อใดมีการออกเสียงพยางค์ทั้งแบบคำเป็นและคำตาย

(1) นายจ้าง (2) นายตรวจ (3) นายทุน (4) นายเวร

ตอบ (2) นายตรวจ

คำเป็น คือ คำที่สะกดด้วยแม่กง แม่กน แม่กม แม่เกย และ แม่เกอว ส่วนคำตาย คือ คำที่สะกดด้วยแม่กก แม่กด และแม่กบ (ดูคำอธิบายข้อ 11 ประกอบ)

15 ข้อใดใช้วรรณยุกต์ผิด

(1) ไปนะคะ (2) ไปละค่ะ (3) ไปนะค่ะ (4) ไปไหมค๊ะ

ตอบ (4) ไปไหมค๊ะ

เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมี 5 เสียง 4 รูป คือ เสียงสามัญ เอก โท ตรี และจัตวา ซึ่งในคำบางคำรูปและเสียงวรรณยุกต์อาจไม่ตรงกัน เช่นคำว่า คะ ในตัวเลือกข้างต้นใช้รูปวรรณยุกต์ผิด เพราะค๊ะ เป็นพยัญชนะเสียงคู่ (ค ฆ ช ฌ ท ฑ ฒ ธ พ ภ ฟ ซ ฮ ) ที่ไม่มีตัวสะกด และสระเสียงสั้น (สระอะ) จึงผันได้ 2 เสียง คือ เสียงโท (ใช้ไม้เอก) และเสียงตรี (ไม่ใช้รูปวรรณยุกต์) ดังนั้นจึงควรแก้ไขเป็น ไปไหมคะ

16 ในภาษามาตรฐาน คำว่า “น้ำมัน” ในข้อใดออกเสียงสั้นกว่าข้ออื่น

(1) น้ำมันหมดแล้ว รถวิ่งต่อไปไม่ได้ (2) น้ำมันหมดแล้ว คอแห้งจริงๆ

(3) น้ำมันไปหมดแล้ว คงเอามาดื่มไม่ได้ (4) ออกเสียงเท่ากันทุกข้อ

ตอบ (1) น้ำมันหมดแล้ว รถวิ่งต่อไปไม่ได้

อัตราการออกเสียงสั้น ยาวตามภาษามาตรฐานจะใช้มาตราในการวัดความยาวของเสียง คือ สระเสียงสั้นจะมีความยาวในการออกเสียง 1 มาตรา ส่วนสระเสียงยาวนั้นจะมีความยาว 2 มาตรา ทั้งนี้การลงเสียงเน้นในคำจำทำให้คำแต่ละคำมีอัตราเสียงสั้นยาวต่างกัน นั่นคือ คำหรือพยางค์ ที่ลงเสียงเน้นจะออกเสียงยาว 2 มาตรา แต่ส่วนที่ไม่ได้ลงเสียงเน้นจะออกเสียงสั้นเพียง 1 มาตรา โดยถ้าเป็นคำหลายพยางค์หรือคำประสม มักจะเน้นที่พยางค์หรือคำท้าย ส่วนคำที่ไม่เน้นก็มักจะสั้นลง เช่นคำว่า “น้ำมัน” ในตัวเลือกข้อ 1 เป็นคำประสมจึงออกเสียงพยางค์หลัง 2 มาตรา และพยางค์หน้าเพียง 1 มาตรา (ส่วน “น้ำ / มัน” ในตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำดี่ยวที่แยกกันจึงออกเสียงยาวเท่ากัน พยางค์ละ 2 มาตรา

17 ในภาษาพูด คำว่า “ระ” ในข้อใดลงเสียงเน้น

(1) ปีระกา (2) ระงมไพร (3) ลูกระนาด (4) ตึกระฟ้า

ตอบ (4) ตึกระฟ้า

(ดูคำอธิบายข้อ 16 ประกอบ) การลงเสียงเน้นในภาษาพูด นอกจากจะออกเสียงสั้นยาวตามแบบแผนที่กำหนดไว้แล้ว บางครั้งอาจสังเกตได้จากการเว้นจังหวะระหว่างคำ เช่น คำว่า ตึกระฟ้า จะลงเสียงเน้นที่ “ระ” กับ “ฟ้า” เสมอกัน เพราะระหว่างคำทั้งสองมีจังหวะเว้นระหว่างคำ ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมักลงเสียงเน้นที่พยางค์หรือคำท้าย

18 ข้อใดมีคำที่มีความหมายแฝง

(1) ปูหลน (2) ปูอัด (3) ปูดำ (4) ปูจ๋า

ตอบ (2) ปูอัด

ความหมายแฝง คือ ความหมายย่อยที่แฝงอยู่ในความหมายใหญ่ ซึ่งแนะรายละเอียดบางอย่างไว้ในความหมายนั้นๆ เช่น ความหมายแฝงที่บอกทิศทางเข้าใน หรือเข้าข้างใน เช่น ฉีด (เอายาฉีดเข้าไปในร่างกาย) บุกรุก (ล่วงล้ำเข้าไป) อัด ยัด (ดันเข้าไปให้แน่น) ฯลฯ

19 ข้อใดใช้คำในเชิงอุปมา

(1) หมอใช้ปลิงเกาะแผลเพื่อดูดพิษ (2) เขาช่วยดึงปลิงที่เกาะขาเธอทิ้ง

(3) เขาเกาะเธอเหมือนปลิง (4) ทุกข้อ

ตอบ (3) เขาเกาะเธอเหมือนปลิง

คำอุปมาคือ คำที่ใช้เปรียบเทียบเพื่อพรรณนาบอกลักษณะให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้มีความหมายใหม่เกิดขึ้นอีกความหมายหนึ่ง ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1 คำอุปมาที่ได้มาจากคำที่มีใช้อยู่แล้ว เช่น เต่า (ช้า งุ่มง่าม) ปลิง (เกาะไม่ยอมปล่อย เพื่อถือประโยชน์จากคนอื่น โดยที่ตัวเองไม่ต้องทำอะไร) ฯลฯ

2 คำอุปมาที่สร้างขึ้นใหม่ เช่น กินน้ำเห็นปลิง (รู้สึกตะขิดตะขวงใจ เหมือนจะกินน้ำเห็นปลิงอยู่ในน้ำก็กินไม่ลง) ฯลฯ

20 ข้อใดใช้คำอุปมาได้อย่างถูกต้องที่สุด

(1) กินน้ำเห็นลิง (2) กินน้ำเห็นปลิง (3) กินน้ำเห็นสิงห์ (4) กินน้ำเห็นจริง

ตอบ (2) กินน้ำเห็นปลิง

ดูคำอธิบายข้อ 19 ประกอบ

21 ข้อใดใช้คำแยกเสียงแยกความหมาย

(1) คุณพจีมีวจีอันไพเราะ

(2) เขาช่วยบอกวิธีทำพิธีให้เรา

(3) คุณวัชราเป็นเพื่อนกับคุณพัชรา

(4) เขาตั้งชื่อลูกสาวฝาแฝดว่าพนาลีกับวนาลี

ตอบ (2) เขาช่วยบอกวิธีทำพิธีให้เรา

การแยกเสียงแยกความหมาย คือ การเปลี่ยนแปลงเสียงในคำบางคำที่มีความหมายหลายอย่างให้แตกต่างกันบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนว่าคำนั้นมีความหมายว่าอย่างไรในที่นั้นๆ โดยความหมายย่อยและที่ใช้อาจจะแตกต่างกัน เช่น คำว่า “วิธี” กับ “พิธี” (มีพยัญชนะต้นบางเสียงต่างกัน) หมายถึง ทำให้ถูกตามแบบอย่าง ธรรมเนียม แต่ “วิธี” เป็นการทำให้ถูกตามทำนอง กฎเกณฑ์ หรือหนทางที่จะทำ ส่วน “พิธี” เป็นการทำให้ถูกตามลัทธิ หรือความเชื่อถือตามขนบธรรมเนียมประเพณี เพื่อความขลังหรือสิริมงคล

22 ข้อใดมีคำที่ใช้แม่กดกับแม่กนเพื่อแยกความหมาย

(1) เสียงออด เสียงอ่อย (2) เสียงอ่อย เสียงอ้อน

(3) เสียงออด เสียงอ้อน (4) เสียงอ่อน เสียงอ้อน

ตอบ (3) เสียงออด เสียงอ้อน

(ดูคำอธิบายข้อ 21 ประกอบ) คำว่า “ออด” กับ “อ้อน” (มีพยัญชนะ ตัวสะกดต่างกัน คือ แม่กด กับแม่กน) หมายถึง ทำอาการพร่ำร้องขอคล้ายกัน แต่ “ออด” เป็นอาการพร่ำอ้อนวอนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ส่วน “อ้อน” เป็นอาการพร่ำรำพันในลักษณะงอแงอย่างเด็ก

23 ข้อใดมีคำซ้อน

(1) ปลาแก้มช้ำรูปร่างคล้ายปลาตะเพียน (2) แก้มคางเปื้อนหมด

(3) เขาชอบกินชมพู่แก้มแหม่ม (4) เธอเคยเห็นมะม่วงแก้มแดงไหม

ตอบ (2) แก้มคางเปื้อนหมด

คำซ้อน คือ คำเดี่ยว 2 , 4 หรือ 6 คำ ที่มีความหมายหรือมีเสียงใกล้เคียงกัน หรือไปในทำนองเดียวกัน ซ้อนเข้าด้วยกันเพื่อทำให้เกิดคำใหม่ที่มีความหมายใหม่ขึ้น เช่น คำซ้อนที่ความหมายจะปรากฏที่คำต้นหรือคำท้ายคำใดคำเดียวตรงตามความหมายนั้นๆ ส่วนอีกคำหนึ่งไม่มีความหมายปรากฏ เช่น แก้มคาง (ในความแก้มคางเปื้อนหมด) เป็นการพูดแบบไม่จำเพาะเจาะจง ซึ่งความหมายจะอยู่ที่คำต้น (ส่วน “แก้ม” ในตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำประสม)

24 ข้อใดมีคำเดี่ยวเรียงกัน

(1) อยู่กินข้าวกันก่อนนะ อย่าเพิ่งไป (2) เขาและเธออยู่กินกันมานาน

(3) ที่นี่ไม่ค่อยสะดวกนะกินอยู่ลำบาก (4) ทุกข้อ

ตอบ (1) อยู่กินข้าวกันก่อนนะ อย่าเพิ่งไป

คำบางคำเป็นคำเดี่ยว แต่มีลักษณะเหมือนคำซ้อน คำซ้ำ และคำประสม ซึ่งในภาษาเขียนเราไม่อาจทราบได้ ถ้าไม่มีข้อความแวดล้อมเข้ามาช่วย แต่ในภาษาพูดเราใช้วิธีลงเสียงเน้น เช่น คำว่า “อยู่ / กิน” มนตัวเลือกข้อ 1 เป็นคำเดี่ยวเรียงกันมีความหมายเพียงอยู่และกิน (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำซ้อนเพื่อความหมายที่สับคำกันโดยคำว่า “อยู่กิน” หมายถึง การดำเนินชีวิตฉันสามีภรรยา ส่วน “กินอยู่” หมายถึง พักอาศัย)

25 ข้อใดมีคำซ้ำ (ในที่นี่ไม่ใช้ไม้ยมกแสดง)

(1) เขามีที่ที่สุวรรณภูมิ (2) เขามีที่ที่สวยมาก (3) กินอาหารเป็นที่ที่สิ (4) ทุกข้อ

ตอบ (3) กินอาหารเป็นที่ที่สิ

คำซ้ำ คือ คำคำเดียวกันที่นำมากล่าว 2 ครั้ง เพื่อให้มีความหมายเน้นหนักขึ้น หรือเพื่อให้มีความหมายต่างจากคำเดี่ยว ซึ่งวิธีการสร้างคำซ้ำก็เหมือนกับการสร้างคำซ้อนแต่ใช้คำคำเดียวมาซ้อนกันโดยมีเครื่องหมายไม้ยมกกำกับ เช่น กินอาหารเป็นที่ๆสิ เป็นต้น (ส่วน “ที่ที่” ในตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำเดี่ยว เพราะ “ที่” คำแรกเป็นคำนาม ส่วน “ที่” คำหลังเป็นคำบุรพบท)

26 ข้อใดแสดงจำนวนมากกว่าหนึ่ง (ในที่นี้ไม่ใช้ไม้ยมกแสดง)

(1) หน้าตาออกจะบ้านบ้าน (2) ตรวจเป็นบ้านบ้านไปซิ (3) บ้านบ้านนี้แพงมาก (4) ทุกข้อ

ตอบ (2) ตรวจเป็นบ้านบ้านไปซิ

คำซ้ำที่ซ้ำคำนามหรือคำบอกจำนวนนับ ถ้ามีคำว่า “เป็น” มาข้างหน้า นอกจากจะบอกว่าจำนวนนั้นมีมากกว่าหนึ่งแล้ว ยังแยกความหมายออกไปเป็นทีละหนึ่งด้วย เช่น ตรวจเป็นบ้านๆไปซิ (ตรวจทีละบ้าน แต่มีหลายบ้าน) ฯลฯ (ส่วน “บ้านๆ” ในตัวเลือกข้อ 1 หมายถึง ธรรมดาๆ ชาวบ้านทั่วไป ซึ่งเป็นคำซ้ำที่ซ้ำคำนามแล้วความหมายต่างออกไปจากความหมายเดิม เราจึงใช้เป็นคำขยาย และ “บ้าน” ในตัวเลือกข้อ 3 ไม่ใช่คำซ้ำ แต่เป็นคำเดี่ยว เพราะ “บ้าน” คำแรกเป็นคำนาม ส่วน “บ้าน” คำหลังเป็นคำลักษณะนาม ซึ่งควรแก้ไขเป็น บ้านหลังนี้แพงมาก จึงจะถูกต้อง)

27 คำในข้อใดเป็นคำที่มีโครงสร้างเหมือนกับคำว่า “แก้วเก้าเนาวรัตน์”

(1) รูปเขียน (2) รูปภาพ (3) รูปถ่าย (4) รูปสี

ตอบ (2) รูปภาพ

คำว่า “แก้วเก้าเนาวรัตน์” “อิทธิฤทธิ์ และรูปภาพ เป็นคำซ้อนเพื่อความหมายที่มีโครงสร้างเหมือนกัน กล่าวคือ เป็นการนำคำที่คนยังไม่สู้เข้าใจความหมายดีนัก เช่น เนาวรัตน์ (แก้ว 9 อย่าง ) อิทธิ (ฤทธิ์) ภาพ (รูป) ฯลฯ มาซ้อนกับคำที่มีความหมายเป็นที่เข้าใจและคุ้นเคยดีอยู่แล้วเป็นแก้วเก้าเนาวรัตน์ อิทธิฤทธิ์ รูปภาพ จึงทำให้เข้าใจความหมายของคำที่ไม่รู้ได้ทันที เพราะคำที่นำมาซ้อนกันต้องมีความหมายคล้ายกัน

28 ข้อใดไม่ใช่คำประสม

(1) ปลุกใจ (2) ปลุกลูก (3) ปลุกระดม (4) ปลุกผี

ตอบ (2) ปลุกลูก

คำประสม คือ คำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไป มาประสมเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้คำใหม่ที่มีความหมายใหม่มาใช้ในภาษา ซึ่งความหมายสำคัญจะอยู่ที่คำต้น (คำตัวตั้ง) ส่วนที่ตามมาเป็นคำขยาย ซึ่งไม่ใช่คำที่ขยายคำต้นจริงๆ แต่จะช่วยให้คำทั้งคำมีความหมายจำกัดเป็นนัยเดียว เช่น คำประสมที่ใช้เป็นคำกริยา โดยคำตัวตั้งเป็นคำกริยา มีคำอื่นๆตามมีความหมายไปในเชิงอุปมา และมีที่ใช้เฉพาะ ได้แก่ ปลุกใจ (เร้าใจให้กล้าหาญหรือกระตือรือร้น) ปลุกระดม (เร้าใจและยุยงให้ประชาชนลุกฮือขึ้น) ปลุกผี (รื้อฟื้นเรื่องที่ยุติแล้วขึ้นมาใหม่) ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกที่ 2 เป็นคำเดี่ยวเรียงกันมา

29 คำประสมในข้อใดมีลักษณะเดียวกับคำว่า “เรียงเบอร์”

(1) เข้าวิน (2) รถซิ่ง (3) เช็กบิล (4) โกอินเตอร์

ตอบ (2) รถซิ่ง

คำสร้างใหม่นอกจากจะสร้างจากคำไทยด้วยกันแล้ว ก็ยังมีคำอีกจำนวนมากที่สร้างขึ้นโดยอาศัยคำต่างประเทศมาประสมกัน หรือใช้คำไทยประสมกับคำต่างประเทศ เช่น เรียงเบอร์ ประกอบด้วยคำไทย (เรียง) + คำอังกฤษ (เบอร์ มาจากพยางค์หลังของ Number) รถซิ่ง ประกอบด้วยคำไทย (รถ) + คำอังกฤษ (ซิ่ง มาจากพยางหลังของ Racing ) ฯลฯ

30 คำประสมในข้อใดประกอบด้วยคำกริยา 2 คำ

(1) คิดเลข (2 ) เผาขน (3) วาดเขียน (4) กำลังเขียน

ตอบ (3) วาดเขียน

คำประสมที่ใช้เป็นคำกริยา โดยมีคำตัวตั้งและมีคำขยายเป็นคำกริยามีความสำคัญเท่ากันเหมือนเชื่อด้วย “และ” อาจสับหน้าสับหลังกันได้ ซึ่งคำใดอยู่ต้นถือเป็น ตัวตั้ง ส่วนคำท้ายเป็นคำขยาย เช่น เที่ยวเดิน – เดินเที่ยว พิมพ์ดีด – ดีดพิมพ์ ติดต่อ – ต่อติด ให้หา – หาให้ วาดเขียน – เขียนวาด เป็นต้น

ตั้งแต่ข้อ 31 – 34 จงพิจารณาคำเกิดใหม่ต่อไปนี้ แล้วตอบคำถาม 4 ข้อต่อไป

(1) มะขาม ตะวัน สะดือ

(2) จักกะจั่น กะปู กระโฉม

(3) กระโดกกระเดก กระโตกกระตาก กระแทกกระทั้น

(4) กระจู๋กระจี๋ กระชุ่มกระชวย กระซุบกระซิบ

31 ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงไม่ให้คอนกัน

ตอบ (3) กระโดกกระเดก กระโตกกระตาก กระแทกกระทั้น

อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้คอนกัน คือ การเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ “กระ”) เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่หน้าพยางค์ต้นและหน้าพยางค์ท้าย ซึ่งมีเสียงเสมอกันและสะกดด้วย “ก” เหมือนกัน เช่น โดกเดก กระโดกกระเดก โตกตาก กระโตกกระตาก แทกทั้น กระแทกกระทั้น

32 ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียง

ตอบ (1) มะขาม ตะวัน สะดือ

อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียง เป็นการกร่อนเสียงพยางค์ต้นให้เป็นเสีย “อะ” ได้แก่

1 “มะ” ที่นำหน้าชื่อผลไม้ ไม่ใช่ไม้ผล และหน้าคำบอกกำหนดวัน เช่น

หมากปราง มะปราง หมากขาม มะขาม หมากค่า มะค่า เมื่อรืน มะรืน

2 “ตะ” นำหน้าชื่อสัตว์ ต้นไม้ และคำที่มีลักษณะคล้ายตา เช่น

ตัวขาบ ตะขาบ ต้นขบ ตะขบ ตาวัน ตะวัน

3 “สะ” เช่น สายดือ สะดือ สาวใภ้ สะใภ้

4 “ฉะ” เช่น ฉันนั้น ฉะนั้น ฉาดๆ ฉะฉาด เฉื่อยๆ ฉะเฉื่อย

5 “ยะ / ระ / ละ” เช่น รื่นๆ ระรื่น ยิบๆยับๆ ยะยิบยะยับ เลาะๆ ละเลาะ

6 “อะ” เช่น อันไร / อันใด อะไร ส่วนคำอื่นๆที่ไม่ได้เป็นไปตามนี้ ได้แก่

ผู้ญาณ พยาน ช้าพลู ชะพลู เฌอเอม ชะเอม เป็นต้น

33 ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิด

ตอบ (4) กระจู๋กระจี๋ กระชุ่มกระชวย กระซุบกระซิบ

อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิด เป็นการเพิ่มเสียง “กะ” (หรือ “กระ”) เข้าไปในคำซ้อนเพื่อเสียงที่พยางค์ต้นและพยางค์ท้ายไม่ได้สะกดด้วย “ก” ซึ่งยึดการใช้อุปสรรคเทียมที่เพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกันมาเป็นแนวเทียบ แต่เป็นการเทียบแนวเทียบผิด เช่น จู๋จี๋ กระจู๋กระจี๋ ชุ่มชวย กระชุ่มกระชวย ซุบซิบ กระซุบกระซิบ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีคำอื่นๆ ที่ไม่ได้กำหนดอุปสรรคเทียมไว้แน่นอนแล้วแต่คำที่มาข้างหน้า เช่น ขโมยโจร ขโมยขโจร จมูกปาก จมูกจปาก ฯลฯ

34 ข้อใดเป็นอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการแบ่งคำผิด

ตอบ (2) จักกะจั่น กะปู กระโฉม

อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการแบ่งคำผิด เกิดจากการพูดเพื่อให้เสียงต่อเนื่องกัน โดยการเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ “กระ”) ในคำที่พยางค์แรกสะกดด้วย เสียง “กะ” เช่น จักจั่น จักกะจั่น ตกใจ ตกกะใจ ฯลฯ หรือหน้าคำที่เป็นชื่อนก เช่น นกปูด กะปูด นกจิบ กะจิบ ฯลฯ ชื่อผัก เช่น ผักโฉม กระโฉม ผักสัง กะสัง ฯลฯ

และชื่อสิ่งที่มีลักษณนามคำว่า “ลูก” นำหน้า เช่น ลูกดุม กะดุม ฯลฯ

35 ข้อใดไม่ใช่คำอุปสรรคเทียมที่เลียนแบบภาษาเขมร

(1) สะสวย (2) ประเดี๋ยว ประท้วง

(3) ปะติดปะต่อ พะรุงพะรัง (4) ฉะฉาน ละเลาะ

ตอบ (4) ฉะฉาน ละเลาะ (ดูคำอธิบายข้อ 32 ประกอบ)

อุปสรรคเทียมเลียนแบบภาษาเขมร เป็นวิธีการแผลงคำของเขมรที่ใช้นำหน้าคำเพื่อประโยชน์ทางไวยากรณ์ ซึ่งจะทำให้ความหมายและหน้าที่ของคำเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ได้แก่

1 “ชะ / ระ / ปะ / พะ / สม / สะ” เช่น ชะดีชะร้าย ระคน ระคาย ระย่อ ปะปน ปะติดปะต่อ ประเดี๋ยว ประท้วง พะรุงพะรัง พะเยิบ สมยอม สะสาง สะพรั่ง สะสวย ฯลฯ

2 ใช้ “ข ค ป ผ พ” มานำหน้าคำนามและกริยาวิเศษณ์ เพื่อให้มีความหมายว่า “ทำให้” เช่น ขยิบ ขยี้ ขยำ ปลุก ปลด ปละ ปรุ ฯลฯ

ตั้งแต่ข้อ 36 – 39 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 4 ข้อต่อไป

(1) ทนายคนเก่ง (2) นายดำปรึกษาทนาย

(3) เขาไม่ชอบอาชีพทนาย (4) ทนายแดงว่าความชนะ

36 คำว่าทนายในข้อใดเป็นกรรมของประโยค

ตอบ (2) นายดำปรึกษาทนาย

ภาคผู้ถูกกระทำ เรียกว่า กรรมของประโยค มักจะมีตำแหน่งอยู่หลังกริยา และอาจมีคำขยายกรรมหรือไม่ก็ได้ เช่น นายดำ (ประธาน) ปรึกษา (กริยา) ทนาย (กรรม) ฯลฯ แต่กรรมก็สามารถอยู่หน้ากริยาได้ ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายประธานแต่ไม่ใช่ประธาน เช่น เสื้อตัวนี้ (กรรม + ขยายกรรม) ใคร (ประธาน) ตัด (กริยา) ฯลฯ

37 คำว่าทนายในข้อใด เป็นส่วนขยายกรรมของประโยค

ตอบ (3) เขาไม่ชอบอาชีพทนาย

ภาคขยายแบ่งออกได้ 2 ประเภท ได้แก่

1 คุณศัพท์ขยายผู้กระทำกริยา (ประธาน) หรือขยายผู้ถูกกระทำ (กรรม) เช่น นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง (ประธาน+ขยายประธาน) เขา (ประธาน) ไม่ชอบ (กริยา) อาชีพทนาย (กรรม+ขยายกรรม)

2 กริยาวิเศษณ์ขยายกริยา เช่น ทนายแดง (ประธาน) ว่าความชนะ (กริยา+ขยายกริยา) ฯลฯ

38 ข้อใดมีส่วนขยายกริยา

ตอบ (4) ทนายแดงว่าความชนะ (ดูคำอธิบายข้อ 37 ประกอบ)

39 ข้อใดมีเฉพาะส่วนประธาน

ตอบ (1) ทนายคนเก่ง

ภาคผู้แสดงหรือผู้กระทำกริยา เรียกว่า ประธานของประโยค มักจะมีตำแหน่งอยู่หน้ากริยา ส่วนจะอยู่ที่ใดของประโยคไม่จำกัด และอาจมีคำขยายประธานหรือไม่ก็ได้ เช่น ทนายคนเก่ง (ประธาน+ขยายประธาน) ฯลฯ

ตั้งแต่ข้อ 40 – 42 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 3 ข้อต่อไป

(1) ฟังทางนี้ (2) โปรดฟังอีกครั้ง (3) ฟังอยู่รึเปล่า (4) ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด

40 ข้อใดเป็นประโยคบอกเล่า

ตอบ (4) ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียด

ประโยคบอกเล่า หมายถึง ประโยคที่ใช้ในการบอกเล่าเรื่องราวตามธรรมดา ซึ่งอาจใช้ไปในทางตอบรับ หรือตอบปฏิเสธก็ได้

41 ข้อใดเป็นประโยคคำสั่ง

ตอบ (1) ฟังทางนี้

ประโยคคำสั่ง หมายถึง ประโยคที่ต้องการให้ผู้ฟังทำตามความประสงค์ของผู้พูดอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง มักเป็นประโยคที่ละประธานหรือผู้ทำไว้ในฐานที่เข้าใจและขึ้นต้นด้วยคำกริยา บางครั้งอาจจะมีกริยาช่วย “อย่า ห้าม จง ต้อง” มานำหน้ากริยาแท้เพื่อแสดงการสั่งไม่ให้ทำหรือให้ทำก็ได้ แต่ถ้ามีประธานก็จะเป็นการระบุชื่อหรือเน้นตัวบุคคลเพื่อให้คนที่ถูกสั่งรู้ตัว

42 ข้อใดเป็นประโยคคำถาม

ตอบ (3) ฟังอยู่รึเปล่า

ประโยคคำถามหมายถึง ประโยคที่มีคำวิเศษณ์แสดงคำถามอยู่ด้วย เช่น ใคร อะไร ที่ไหน ทำไม เมื่อไร อย่างไร หรือ หรือเปล่า หรือไม่ ไหม ฯลฯ ซึ่งตำแหน่งของคำแสดงคำถามนี้อาจอยู่ต้นหรือท้ายประโยคก็ได้

43 “นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหงชอบออกกำลังกาย” คำนาม มหาวิทยาลัยรามคำแหง ทำหน้าที่ใดของประโยค

(1) ผู้ทำกริยา (2) ผู้ถูกกระทำ (3) ขยายผู้ทำกริยา (4) ขยายผู้ถูกกระทำ

ตอบ (3) ขยายผู้ทำกริยา ดูคำอธิบายข้อ 37 ประกอบ

44 คำนามในข้อใดแสดงเพศไม่ชัดเจนทั้ง 2 คำ

(1) ลูกเขย กำนัน (2) ผู้ใหญ่บ้าน สะใภ้

(3) แม่พิมพ์ของชาติ นางพยาบาล (4) นายทะเบียน คนขับรถประจำทาง

ตอบ (4) นายทะเบียน คนขับรถประจำทาง ดูคำอธิบายข้อ 4 ประกอบ

45 คำนามแสดงพจน์ข้อใดขัดกับความหมายของประโยค

(1) เด็กๆนั่งเล่นอยู่คนเดียว (2) แดงกับดำมาคู่กัน

(3) นักศึกษาหลายคนจับกลุ่มคุยกัน (4) ผึ้งบินมาเป็นฝูง

ตอบ (1) เด็กๆนั่งเล่นอยู่คนเดียว

การแสดงพจน์ (จำนวน) มีดังนี้

1 ใช้คำบอกจำนวนหนึ่ง (เอกพจน์) เช่น โสด เดียว หนึ่ง ฯลฯ

2 ใช้คำบอกจำนวนสอง (พหูพจน์ ) เช่น สอง คู่ ฯลฯ

3 ใช้คำบอกจำนวนมากกว่าสอง (พหูพจน์) เช่น กลุ่ม หมู่ ฝูง พวก โขลง ครอก ฯลฯ นอกจากนี้ยังสามารถใช้วิธีต่างๆเพื่อบอกพหูพจน์ ได้แก่ ใช้คำขยาย เช่น มาก มากมาย หลาย ฯลฯ ใช้คำบอกจำนวนนับ เช่น สาม สี่ ฯลฯ และใช้คำซ้ำ เช่น เด็กๆ หนุ่มๆ ฯลฯ ดังนั้นคำว่า เด็กๆ (หลายคน) จึงขัดกับคำว่า คนเดียว

46 ข้อใดเป็นสรรพนามแทนตัวผู้พูด

(1) ติ๋วมาโน่นแล้ว (2) ติ๋วอยากพบเธอ (3) ติ๋วขอกลับก่อนนะ (4) ฝากบอกติ๋วด้วยนะ

ตอบ (3) ติ๋วขอกลับก่อนนะ

สรรพนามบุรุษที่ 1 คือ คำที่ใช้แทนตัวผู้พูด เช่น ฉัน ดิฉัน อิฉัน กระผม ข้าพเจ้า ฯลฯ นอกจากนี้ยังอาจใช้คำนามอื่นๆ แทนตัวผู้พูด เพื่อแสดงความสนิทสนมรักใคร่ ได้แก่

1 ใช้ตำแหน่งเครือญาติแทนตัวผู้พูด เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลูก ฯลฯ

2 ใช้ตำแหน่งในการงานแทนตัวผู้พูด เช่น ครู อาจารย์ หัวหน้า ฯลฯ

3 ใช้ชื่อผู้พูดทั้งชื่อเล่นชื่อจริงแทนตัวผู้พูด เช่น ติ๋ว ต๋อย นุช ฯลฯ (ส่วน “ติ๋ว” ในตัวเลือกข้ออื่นเป็นสรรพนามบุรุษที่ 3 ใช้แทนผู้ที่พูดถึง)

47 ข้อใดใช้สรรพนามไม่เหมาะสมกับฐานะขอบุคคล

(1) ศรรามเขาเป็นนักแสดง (2) อาจารย์ท่านไม่สบาย

(3) ยายแจ๋วแกไม่อยากเป็นคนใช้ (4) นายกรัฐมนตรีสมัครแกชอบทำกับข้าว

ตอบ (4) นายกรัฐมนตรีสมัครแกชอบทำกับข้าว

สรรพนามบุรุษที่ 3 ใช้แทนผู้ที่พูดถึง มีที่ใช้ต่างๆกันดังนี้

1 เขา ใช้ได้ทั้งชายและหญิง อาจใช้ขยายนามข้างหน้าเพื่อให้ฟังสนิทเป็นกันเอง

2 มัน ใช้แทนผู้ที่พูดถึงต่ำกว่าผู้พูด โดยเฉพาะผู้ที่ไม่ถูกใจ หรืออาจใช้ด้วยความถือสนิทเมื่อผู้นั้นเป็นลูกศิษย์ ลูกน้อง คนสนิท

3 แก ใช้แทนบุคคลน่าเวทนาที่ไม่เคารพนับถือนักแต่ถ้าใช้กับเด็กเล็กๆจะแสดงความเอ็นดูรักใคร่

4 ท่าน ใช้แทนผู้ที่พูดถึงที่เคารพนับถือ

48 ข้อใดเป็นสรรพนามแสดงความไม่เฉพาะเจาะจง

(1) อะไรที่เธอถือมา (2) อันไหนเป็นของเธอ (3) ใครๆก็ไม่รักผม (4) ผู้ใดยังไม่ได้รับของขวัญ

ตอบ (3) ใครๆก็ไม่รักผม

สรรพนามที่บอกความไม่เฉพาะเจาะจง ได้แก่ ใคร อะไร ใด ไหน ซึ่งเป็นคำกลุ่มเดียวกันกับสรรพนามที่แสดงคำถาม แต่สรรพนามที่บอกความไม่เฉพาะเจาะจงจะกล่าวถึงบุคคล สิ่งของ หรือสถานที่แบบลอยๆ ไม่ชี้เฉพาะว่าเป็นใคร อะไร หรือที่ไหน (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นสรรพนามที่แสดงคำถาม ซึ่งต้องการคำตอบ)

49 ข้อใดใช้คำกริยาซ้อนคำกริยา

(1) ถวายพระพร (2) ถวายอาลัย (3) ถวายของที่ระลึก (4) ถวายความจงรักภักดี

ตอบ (2) ถวายอาลัย

คำกริยา คือ คำที่กล่าวถึงการกระทำหรือกิริยาอาการของคน สัตว์ สิ่งของ ซึ่งคำกริยาบางคำจะมีความหมายสมบูรณ์ในตัว เมื่อพูดก็เข้าใจความหมายได้ครบถ้วน แต่บางคำก็ต้องอาศัยกรรมหรือส่วนขยายมาช่วย เช่น คำว่า “ถวายอาลัย” (แสดงความระลึกถึงด้วยความเสียดาย) เป็นคำกริยาซ้อนคำกริยา คือ ถวาย (มอบให้) + อาลัย (ห่วงใย ระลึกถึง) (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำกริยา + คำนาม)

50 ข้อใดเป็นกริยาเดี่ยว

(1) เขาวิ่งราวกับจรวด (2) โจรวิ่งราวกระเป๋าถือ

(3) หนังสือเล่มนี้กินใจผู้อ่าน (4) แดงกับดำกินใจกัน

ตอบ (1) เขาวิ่งราวกับจรวด

ประโยค “เขาวิ่ง / ราวกับจรวด” ในตัวเลือกข้อ 1 เป็นคำเดี่ยวเรียงกันโดยมีคำว่า “วิ่ง” (ก้าวไปโดยเร็วยิ่งกว่าเดิน) เป็นคำกริยาเดี่ยวๆ และมีคำว่า “ราวกับ” เป็นคำสันธานเชื่อมความเปรียบเทียบกัน (ส่วน “วิ่งราว” และ “กินใจ” ในตัวเลือกข้ออื่นเป็นคำประสมที่ทำหน้าที่ได้อย่างกริยา)

51 ข้อใดเป็นคำลงท้ายคำกริยา

(1) กินเข้าไปได้

(2) กินเข้าไปเถอะ

(3) กินได้แล้ว

(4) กำลังกินอยู่

ตอบ (2) กินเข้าไปเถอะ

คำอื่นๆที่ไม่ใช่กริยาช่วย แต่เป็นคำลงท้ายประโยคหรือเป็นคำลงท้ายคำกริยา ได้แก่ เถอะ เถิด นะ น่ะ น่า เถอะนะ เถอะน่า นา ละ ล่ะ ซิ ซี ซิน่ะ หรอก ดอก ฯลฯ

52 ข้อใดมีทั้งคำคุณศัพท์และคำกริยาวิเศษณ์

(1) รถเก่าวิ่งช้า (2) เด็กอ้วนชอบกิน (3) น้ำน้อยแพ้ไฟ (4) วันใสวัยสวย

ตอบ (1) รถเก่าวิ่งช้า

คำวิเศษณ์ คือ คำที่ทำหน้าที่ขยายความให้ชัดเจนสมบูรณ์ขึ้น แบ่งเป็น 2 ประเภทดังนี้

1 คำวิเศษณ์ขยายนาม เรียกว่า คำคุณศัพท์ เช่น รถเก่า เด็กอ้วน น้ำน้อย วันใสวัยสวย ฯลฯ

2 คำวิเศษณ์ขยายกริยา ขยายคุณศัพท์ หรือขยายกริยาวิเศษณ์ เรียกว่า คำกริยาวิเศษณ์ ซึ่งบางทีก็เป็นคำๆเดียวกับคุณศัพท์ จึงต้องสังเกตตำแหน่งและดูความในประโยค เช่น วิ่งช้า กินมูมมาม ฯลฯ

53 “เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นคำคุณศัพท์ประเภทใด

(1) บอกภาวะ (2) บอกจำนวนนับ (3) บอกจำนวนนับไม่ได้ (4) บอกจำนวนแบ่งแยก

ตอบ (3) บอกจำนวนนับไม่ได้

คำคุณศัพท์บอกจำนวนนับไม่ได้ (ประมาณคุณศัพท์) ได้แก่ มาก น้อย นิด หน่อย ครบ พอ เกิน เหลือ ขาด ถ้วน ครบถ้วน หมด หลาย ทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งสิ้น ทั้งนั้น ทั้ง ฯลฯ

54 “ของของใคร ของใครก็ห่วง ของใครใครก็ต้องหวง”

ประโยคที่ยกมานี้ปรากฏคำบุรพบทกี่แห่ง

(1) 1 แห่ง (2) 2 แห่ง (3) 3 แห่ง (4) 4 แห่ง

ตอบ (1) 1 แห่ง

คำว่า “ของ” ที่เป็นคำ บุรพบทใช้นำหน้าคำแสดงความเป็นเจ้าของ จะมีความหมายอย่างเดียวกับคำว่า “แห่ง” แต่ในภาษไทยไม่สู้จะได้ใช้คำนี้แสดงความเป็นเจ้าของนัก เพราะถ้าพูดโดยละ “ของ” เสีย ความหมายก็จะไม่ผิดไปจากเดิม (ยกเว้นแต่ในกรณีที่ละไม่ได้) เช่น ประโยค “ของของใคร ของใครก็ห่วง ของใครใครก็ต้องหวง” มีคำว่า “ของ” เป็นคำบุรพบทเพียง 1 แห่ง นอกจากนั้น “ของ” จะเป็นคำนาม หมายถึง สิ่งต่างๆ (โดยละ “ของ” ที่เป็นคำบุรพบทออกเสีย)

55 ข้อใดสามารถละบุรพบทได้

(1) ณ ราตรีหนึ่ง (2) คืนหนังสือโดยด่วน

(3) เป็นกำลังใจให้แก่เธอ (4) โทรศัพท์คุยกับเพื่อน

ตอบ (3) เป็นกำลังใจให้แก่เธอ

คำบุรพบทไม่สำคัญมากเท่ากับคำนาม คำกริยา และคำวิเศษณ์ ดังนั้นบางแห่งไม่ใช้บุรพบทเลยก็ยังฟังเข้าใจได้ ซึ่งบุรพบทที่อาจละได้แล้วความหมายยังเหมือนเดิม ได้แก่ ของ แก่ ต่อ สู่ ยัง ที่ บน ฯลฯ เช่น เป็นกำลังใจให้แก่เธอ (เป็นกำลังใจให้เธอ) เป็นต้น แต่บุรพบทบางคำก็ละไม่ได้ จะละได้ก็ต้องดูความในประโยคว่าความหมายต้องไม่เปลี่ยนไปจากเดิม

ตั้งแต่ข้อ 56 – 57 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 2 ข้อต่อไป

(1) เขาไม่ได้เข้าเรียนเพราะต้องทำงาน (2) เขาอาจจะเรียนไปทำงานไป

(2) เขาเรียนเก่งแต่หางานทำไม่ได้ (4) พอเรียนจบเขาก็ได้งานทำ

56 ข้อใดใช้คำสันธานเชื่อมความเป็นเหตุเป็นผลกัน

ตอบ (1) เขาไม่ได้เข้าเรียนเพราะต้องทำงาน

คำสันธานที่เชื่อมความเป็นเหตุเป็นผลกัน ได้แก่ เพราะ เพราะว่า ด้วย ด้วยว่า เหตุว่า อาศัยที่ ค่าที่ เพราะฉะนั้น ดังนั้น จึง เลย เหตุฉะนี้ ฯลฯ

57 ข้อใดใช้คำสันธานเชื่อมความคล้อยตามกัน

ตอบ (4) พอเรียนจบเขาก็ได้งานทำ

คำสันธานที่เชื่อมความคล้อยตามกัน ทำนองเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน โดยทำหน้าที่เชื่อมความที่เกี่ยวกับเวลา ได้แก่ ก็ แล้ว แล้ว…ก็ แล้ว…จึง ครั้น…ก็ เมื่อ…..ก็ ครั้น…จึง เมื่อ…จึง พอ….ก็

58 คำอุทานในข้อใดแสดงความตกใจ

(1) ตายจริงๆหรือ (2) ตายจริงเป็นผู้หญิงหรือนี่

(3) ตายจริงลืมของไว้ที่บ้าน (4) ตายจริง ดูเปลี่ยนไปมากเลยนะ

ตอบ (3) ตายจริงลืมของไว้ที่บ้าน

คำอุทาน คือ คำที่เปล่งออกมาด้วยอารมณ์สะเทือนใจเมื่อตกใจ ดีใจ เสียใจ หรือแปลกใจ ซึ่งคำอุทานแต่ละคำจะกำหนดได้ยากว่าใช้แสดงอารมณ์อะไร จึงต้องดูข้อความแวดล้อมประกอบด้วย เช่น คำว่า “ตายจริง” อาจอุทานแสดงความตกใจ เช่น ตายจริงลืมของไว้ที่บ้าน ฯลฯ หรือแสดงความแปลกใจก็ได้ เช่น ตายจริงเป็นผู้หญิงหรือนี่ ตายจริง ดูเปลี่ยนไปมากเลยนะ ฯลฯ

59 ข้อใดคือคำลักษณนามของพระเมรุ

(1) องค์ (2) หลัง (3) แท่น (4) ชุด

ตอบ (1) องค์

คำลักษณนาม คือ คำที่ตามหลังคำบอกจำนวนเพื่อบอกรูปลักษณะและชนิดของคำนามที่อยู่ข้างหน้าคำบอกจำนวนนับ มักจะเป็นคำพยางค์เดียว แต่เป็นคำที่สร้างขึ้นใหม่โดยอาศัยการอุปมาเปรียบเทียบ การเลียนเสียงธรรมชาติ และ การเทียบแนวเทียบ เช่น พระเมรุ (องค์) เทวดา (องค์) เทวสถาน (หลัง / แห่ง) ธำมรงค์ (วง)

ธรรมจักร (วง) บายศรี (สำรับ) บาตร (ใบ / ลูก) นกหวีด (ตัว) นางไม้ (ตน) ฯลฯ

60 ข้อใดใช้คำลักษณนามเดียวกันทั้ง 2 คำ

(1) เทวดา เทวสถาน

(2) ธำมรงค์ ธรรมจักร

(3) บายศรี

(4) นกหวีด นางไม้

ตอบ (2) ธำมรงค์ ธรรมจักร ดูคำอธิบายข้อ 59 ประกอบ

การใช้ภาษา

ตั้งแต่ข้อ 61 – 70 อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถามโดยให้สัมพันธ์กับข้อความที่ให้อ่าน

มะเขือพวงแก้เบาหวาน วิจัยพบสรรพคุณเจ๋ง เตือนอย่ากินมากเกินไป

ผ.ศ.ดร. ไชยวัฒน์ ไชยสุต อาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หัวหน้าโครงการศึกษาวิจัยพืชสมุนไพรเพื่อสุขภาพ สถาบันนวัตกรรมสุขภาพก้าวหน้า เปิดเผยผลการวิจัยเกี่ยวกับมะเขือพวงว่า มะเขือพวงเป็นพืชที่อยู่คู่ครัวไทยมาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นแกงเขียวหวาน แกงเนื้อ แกงป่า น้ำพริกกะปิ หรือผัดเผ็ดบางชนิด ซึ่งตำรับอาหารที่เราได้รับการสืบทอดมาแต่โบราณกาลนั้น บรรพบุรุษของเรามิได้คำนึงถึงรสชาติแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมองถึงทางด้านสรรพคุณของเครื่องเทศและสมุนไพรที่ใช้ไว้อีกด้วย

ทั้งนี้มะเขือพวงมีสรรพคุณตามตำราแพทย์แผนไทยหลายประการ คือ ช่วยเจริญอาหารและย่อยอาหาร ช่วยระบบขับถ่าย บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้ไอ ช่วยให้โลหิตหมุนเวียนดี แก้ปวด ฟกช้ำ ปวดกระเพาะ ฝีบวมหนอง อาการบวมอักเสบ ขับปัสสาวะ

มะเขือพะวงมีสารจำพวกไฟโตนิวเทรียนท์ที่จะช่วยร่างกายในสภาวะขาดแคลนสารอาหารให้สามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ และกลุ่มสารทอร์โวไซด์ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเทอรอลในกระแสเลือดได้และกระตุ้นให้ตับนำคอเลสเทอรอลในเลือดไปใช้ได้มากขึ้น รวมทั้งยับยั้งการดูดซึมกลับของคอเลสเทอรอลในลำไส้ด้วย จึงอาจช่วยป้องกันโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้อีกทางหนึ่ง สารอีกตัวหนึ่งที่ค้นพบในมะเขือพะวงคือซาโปนิน ทำให้มะเขือพวงมีฤทธิ์ขับเสมหะ

จากการศึกษาพบว่า มะเขือพวงนั้นเป็นพืชที่มีเส้นใยสูงมาก โดยมีเส้นใยมากกว่ามะเขือยาว 3 เท่า และมากกว่ามะเขือเปราะถึง 65 เท่า แม้ว่าจะมีผักหลายชนิดที่มีสารเส้นใยสูง แต่มะเขือพวง ก็ยังได้รับสมญานามเป็น “ราชาแห่งผักพื้นบ้านในเรื่องของสารเส้นใย” เนื่องจากมะเขือพวงมีสารเส้นใยมากที่สุดเมื่อเทียบกับผักพื้นบ้านของไทยเกือบทั้งหมด เส้นใยในมะเขือพวงมีชื่อเรียกว่า เพกติน เป็นสารที่ละลายน้ำได้ สารนี้จะสามารถเปลี่ยนเป็นวุ้นไปเคลือบที่ผิวของลำไส้ ทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้อีกด้วย

“เพกตินในมะเขือพวงนั้น ยังช่วยในการดูดซับไขมันส่วนเกินจากอาหารได้ นี่คือเหตุผลหนึ่งของบรรพบุรุษของไทย มักจะทำแกงกะทิใส่มะเขือพวง ซึ่งน่าจะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดหัวใจได้”

ผู้ป่วยโรคเบาหวานมักเกิดโรคแทรกซ้อนอันเนื่องมาจากอนุมูลอิสระที่เข้าไปทำลายเซลล์ในอวัยวะต่างๆ และโดยมากมักจะเป็นโรคไตร่วมด้วยในภายหลัง ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจะต้องมีการคุมพฤติกรรมการกินการอยู่อย่างเคร่งครัด เพื่อจะทำให้ร่างกายของผู้ป่วยเป็นปกติ แต่จากที่พบมานั้นค่อนข้างเป็นเรื่องที่ยาก เพราะผู้ป่วยยังติดนิสัยการกินการอยู่แบบเดิมๆ จึงทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนเพิ่มขึ้นมา และในบางรายอาการลุกลามจนถึงต้องตัดอวัยวะต่างๆ เรื่องเหล่านี้มีผลกระทบต่อทางจิตใจของผู้ป่วยและญาติเป็นอย่างยิ่ง (จากผลวิจัยในหนูที่เป็นเบาหวาน พบว่า น้ำตาลและอนุมูลอิสระในเลือดของหนูลดลง ซึ่งนับว่าเป็นข่าวดีเพราะอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการช่วยป้องกันภาวะแทรกซ้อนสำหรับผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน)

ผ.ศ.ดร.ไชยวัฒน์กล่าวเตือนด้วยว่า แม้ว่ามะเขือพวงจะมีฤทธิ์ช่วยลดอนุมูลอิสระได้จริงและช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดของหนูทดลองที่เป็นเบาหวานได้ แต่จากการวิจัยของเรายังค้นพบสารที่อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย หากได้รับในปริมาณที่มาก นั่นคือ สารอัลคาลอยด์ในมะเขือพวงเป็นสารที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทและมีผลต่ออวัยวะอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้บริโภคในปริมาณที่มากเกินไป ในปัจจุบันมีการศึกษาพัฒนามะเขือพวงโดยนำมาอบแห้งและผ่านกรรมวิธีลดปริมาณสารอัลคาลอยด์ได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ในรูปแบบของชามะเขือพวง จากการทดสอบกับอาสาสมัครที่เป็นเบาหวาน โดยให้ดื่มชามะเขือพวงในปริมาณที่เหมาะสมต่อวัน พบว่า ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี เมื่อร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค นอกจากนี้ยังช่วยลดภาวะโรคแทรกซ้อนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ผู้ที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสรรพคุณของมะเขือพวงขอรายละเอียดได้ที่สถาบันนวัตกรรมสุขภาพก้าวหน้า โทร. 0-2251-8008

(ตัดจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ประจำวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2551 หน้า 1 และ 2)

61 ข้อความที่ให้อ่านจัดเป็นวรรณกรรมประเภทใด

(1) ข่าว (2) บทความ (3) บทวิจัย (4) บทวิเคราะห์

ตอบ (1) ข่าว

ข่าว คือ เหตุการณ์ ความรู้ หรือความเห็น ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่สำคัญน่าสนใจและได้รับการเผยแพร่ไปสู่ผู้อ่าน โดยมีการอ้างอิงที่มาของผู้ให้ข้อมูล (แหล่งข่าว) และมีโปรยหัว (พาดหัวข่าว) ประกอบอยู่ด้วยทุกครั้ง (ในหนังสือพิมพ์รายวัน หน้า 1 และ 2 โดยทั่วไปจะเป็นข่าว)

62 จุดประสงค์ในการนำเสนอคืออะไร

(1) แสดงทัศนะ (2) ให้ข้อมูล (3) วิเคราะห์อาการ (4) วิจารณ์โรคภัย

ตอบ (2) ให้ข้อมูล

ผู้เขียนมีจุดประสงค์ในการนำเสนอ คือ ต้องการให้ข้อมูล เพื่อให้ผู้อ่านได้รับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสรรพคุณของมะเขือพวง และโทษที่ผู้บริโภคจะได้รับหากบริโภคมากเกินไป

63 โวหารที่ใช้คืออะไร

(1) บรรยาย (2) อธิบาย (3) บรรยายและอธิบาย (4) อภิปราย

ตอบ (3) บรรยายและอธิบาย

โวหารที่ใช้ในการเขียนข้อความนี้ ได้แก่

1 โวหารเชิงบรรยาย เป็นโวหารที่ใช้ในการเล่าเรื่องตามที่ผู้เขียนได้รู้ได้เห็นมา ซึ่งเป็นการสื่อสารในแนวกว้าง คือ ให้ข้อมูลอย่างกว้างๆ และมีหลายประเด็น

2 โวหารเชิงอธิบาย เป็นโวหารที่ใช้ชี้แจงเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน โดยมีการชี้แจงแสดงเหตุผล การยกตัวอย่างประกอบ การเปรียบเทียบ และการจำแนกแจกแจง

64 ท่วงทำนองเขียนเป็นแบบใด

(1) ภาษาแบบแผน (2) ภาษากึ่งแบบแผน

(3) เรียบง่ายมีคำสแลงปน (4) มีทั้งภาษาพูดและภาษาปาก

ตอบ (3) เรียบง่ายมีคำสแลงปน

ผู้เขียนใช้ท่วงทำนองเขียนแบบเรียบง่าย คือ ท่วงทำนองเขียนที่ใช้คำง่ายๆ ชัดเจน การผูกประโยคไม่ซับซ้อน ทำให้อ่านง่ายและเข้าใจได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาขบคิดมากนัก แต่จะมีคำสแลงปนในส่วนของโปรยหัว (พาดหัวข่าว) เช่น คำว่า เจ๋ง (ดีมาก) เป็นต้น

65 สารัตถะสำคัญของข้อความคืออะไร

(1) สิ่งใดมีคุณก็ย่อมมีโทษ (2) สมุนไพรไทยให้คุณมากกว่าโทษ

(3) ประโยชน์และโทษของมะเขือพวง (4) มะเขือพวงสามรถบริโภคได้ทั้งสดๆและเป็นสินค้าแปรรูป

ตอบ (3) ประโยชน์และโทษของมะเขือพวง

แนวคิด (Theme) คือ สารัตถะ แก่นเรื่อง หรือสาระสำคัญของเรื่องที่ผู้เขียนมุ่งจะสื่อถึงผู้อ่าน เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชื่อเรื่อง โดยจะมีใจความครอบคลุมรายละเอียดทั้งหมด ซึ่งแนวคิดหลักหรือสารัตถะของเรื่องนี้ ได้แก่ ประโยชน์และโทษของมะเขือพวง

66 “มะเขือพวงอยู่คู่ครอบครัวไทยมาช้านาน” แสดงถึงอะไร

(1) วัฒนธรรมการกินของไทย (2) ความสามารถของบรรพบุรุษไทย

(3) ภูมิปัญญาของคนไทยในอดีต (4) คุณประโยชน์ของสมุนไพรไทย

ตอบ (4) คุณประโยชน์ของสมุนไพรไทย

จากข้อความ มะเขือพวงเป็นพืชที่อยู่คู่ครัวไทยมาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นแกงเขียวหวาน แกงเนื้อ แกงป่า น้ำพริกกะปิ หรือผัดเผ็ดบางชนิด ซึ่งตำรับอาหารที่เราได้รับการสืบทอดมาแต่โบราณกาลนั้น บรรพบุรุษของเรามิได้คำนึงถึงรสชาติแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมองถึงทางด้านสรรพคุณของเครื่องเทศและสมุนไพรที่ใช้ไว้อีกด้วย

67 สารใดให้ผลแตกต่างจากสารอื่นๆ

(1) เพกติน (2) อัลคาลอยด์ (3) ทอร์โวไซด์ (4) ไฟโตนิวเทรียนท์

ตอบ (2) อัลคาลอยด์

จากข้อความ (มะเขือพะวงมีสารจำพวกไฟโตนิวเทรียนท์ที่จะช่วยร่างกายในสภาวะขาดแคลนสารอาหารให้สามารถกลับมาทำงานได้อย่างปกติ และกลุ่มสารทอร์โวไซด์ซึ่งช่วยลดระดับคอเลสเทอรอลในกระแสเลือดได้)

(เพกตินในมะเขือพวงนั้น ยังช่วยในการดูดซับไขมันส่วนเกินจากอาหารได้ )

(แต่จากการวิจัยของเรายังค้นพบสารที่อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย หากได้รับในปริมาณที่มาก นั่นคือ สารอัลคาลอยด์ในมะเขือพวงเป็นสารที่มีฤทธิ์ต่อระบบประสาทและมีผลต่ออวัยวะอื่นๆ ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้บริโภคในปริมาณที่มากเกินไป )

68 เหตุใดจึงต้องใส่มะเขือพวงลงในอาหารไทยหลายชนิด

(1) เป็นพืชสวนครัวปลูกริมรั้วได้

(2) เพิ่มความสวยงามเพราะมีสีและขนาดที่เหมาะสม

(3) สามารถลดทอนสิ่งที่จะให้ผลเสียจากเครื่องปรุงนั้นๆ

(4) มีเส้นใยมากกว่ามะเขือยาวและมะเขือเปราะ

ตอบ (3) สามารถลดทอนสิ่งที่จะให้ผลเสียจากเครื่องปรุงนั้นๆ

จากข้อความ (เพกตินในมะเขือพวงนั้น ยังช่วยในการดูดซับไขมันส่วนเกินจากอาหารได้ นี่คือเหตุผลหนึ่งของบรรพบุรุษของไทย มักจะทำแกงกะทิใส่มะเขือพวง ซึ่งน่าจะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคความดันโลหิตสูง และโรคหลอดเลือดหัวใจได้)

69 สิ่งที่ผู้บริโภคควรระวังคืออะไร

(1) เครื่องปรุง (2) รสชาติ (3) ความสะอาด (4) ปริมาณ

ตอบ (4) ปริมาณ ดูคำอธิบายข้อ 67 ประกอบ

70 ข้อความในวงเล็บสื่อความหมายใด

(1) นำมาจากหนังสือพิมพ์รายวัน (2) นำบางตอนมาจากสื่ออื่น

(3) นำข้อมูลจากหนังสือพิมพ์มาเขียนใหม่ (4) แต่งข้อความจากเรื่องที่อ่านมา

ตอบ (2) นำบางตอนมาจากสื่ออื่น

ข้อความในวงเล็บท้ายสุดมีคำว่า (ตัดจาก) หมายถึง นำบางตอนมาจาก…. โดยจะนำเรื่องของผู้เขียนเดิมมาตัดออกบางส่วน แต่ไม่ได้ปรับแต่งถ้อยคำหรือดัดแปลงสำนวนภาษาของผู้เขียนเดิม

ตั้งแต่ข้อ 71 – 80 จงเลือกราชาศัพท์ที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุดในแต่ละข้อ เพื่อเติมลงในช่องว่างระหว่างข้อความต่อไปนี้

แม้สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (71) ของพระมหากษัตริย์ 2 พระองค์ ได้ (72) แล้ว แต่ (73) และ (74) ในด้านต่างๆ ยังเป็นที่ประจักษ์แก่พสกนิกรทั้งปวง นอกจาก (75) จะได้ทรงสืบสาน (76) ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีด้านการแพทย์และสาธารณสุขในส่วนภูมิภาคแล้ว ยังได้ (77) ความช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์เพื่อการส่งเสริมวิชาการทั้งทางด้านวิทยาศาสตร์ ภาษา และดนตรี (78) มีจำนวนไม่น้อยทั้งด้านประวัติศาสตร์ การท่องเที่ยว และเรื่องของ (79) และ (80) ทั้งสองพระองค์ ได้แก่ เรื่องเวลาเป็นของมีค่า และเจ้านายเล็กๆยุวกษัตริย์

71 (1) พระพี่นาง

(2) พระภคินี

(3) พระกนิษฐภคินี

(4) พระเชษฐภคินี

ตอบ (4) พระเชษฐภคินี

พระเชษฐภคินี หมายถึง พี่สาว ซึ่งในที่นี้จะเหมาะสมที่สุดกับความหมายของคำว่า (4) พระเชษฐภคินีของพระมหากษัตริย์ 2 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช (ส่วนพระพี่นาง หมายถึง พี่สาว พระภคินี หมายถึง พี่หญิง น้องหญิง พระกนิษฐภคินี หมายถึง น้องสะใภ้)

72 (1) สวรรคต (2) ทิวงคต (3) สิ้นพระชนม์ (4) สิ้นชีพิตักษัย

ตอบ (3) สิ้นพระชนม์

สิ้นพระชนม์ หมายถึง ตาย มักใช้กับเจ้าฟ้า พระองค์เจ้า สมเด็จพระสังฆราชเจ้า และสมเด็จพระสังฆราช (ส่วนตัวเลือกอื่นหมายถึงตายเช่นกัน แต่สวรรคตใช้กับพระมหากษัตริย์ ทิวงคตใช้กับพระยุพราช และสิ้นชีพิตักษัยใช้กับหม่อมเจ้า)

73 (1) พระกรณียกิจ (2) พระราชกรณียกิจ (3) พระปณิธาน (4) พระราชปณิธาน

ตอบ (1) พระกรณียกิจ

พระกรณียกิจ หมายถึง กิจที่พึงทำ ซึ่งในที่นี้จะเหมาะสมที่สุด เพราะราชาศัพท์ที่มีคำว่า “ราช” จะใช้กับเจ้านาย 5 พระองค์ในรัชกาลปัจจุบัน คือ

1 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

2 สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ

3 สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

4 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร

5 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

(ส่วนพระปณิธาน หมายถึง ตั้งความปรารถนา)

74 (1) พระอัจฉริยภาพ (2) พระราชภารกิจ (3) พระราชกรณียกิจ (4) พระราชดำรัส

ตอบ (1) พระอัจฉริยภาพ

พระอัจฉริยภาพ หมายถึง ความเป็นผู้มีปัญญาความสามารถเกินกว่าระดับปกติมาก (ส่วน พระราชภารกิจ / พระราชกรณียกิจ หมายถึง กิจที่พึงทำ พระราชดำรัส หมายถึง พูด ) ดูคำอธิบายข้อ 73 ประกอบ

75 (1) ท่าน (2) พระองค์ (3) พระองค์ท่าน (4) องค์ท่าน

ตอบ (2) พระองค์

คำสรรพนามราชาศัพท์ ที่ใช้แทนผู้ที่พูดถึง (บุรุษที่ 3) ได้แก่

1 พระองค์ ใช้แทนพระเจ้าแผ่นดิน พระราชวงศ์ตั้งแต่ชั้นพระองค์เจ้า เจ้าฟ้า และเหนือขึ้นไป

2 ทูลกระหม่อม ใช้แทนเจ้านายชั้นเจ้าฟ้าที่มีราชชนนีเป็นอัครมเหสี

3 เสด็จ ใช้แทนเจ้านายชั้นพระองค์เจ้าที่เป็นลูกเธอและหลานเธอ ซึ่งมีพระอัยกาเป็นพระเจ้าแผ่นดิน

4 ท่าน ใช้แทนเจ้านายทั่วไป ขุนนาง พระสงฆ์ ฯลฯ

76 (1) พระดำรัส (2) พระปณิธาน (3) พระราชดำริ (4) พระราชปณิธาน

ตอบ (4) พระราชปณิธาน

พระราชปณิธาน หมายถึง ตั้งความปรารถนา ซึ่งในที่นี้จะเหมาะสมที่สุด เพราะข้อความกล่าวถึง สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จึงควรใช้ราชาศัพท์ที่มีคำว่า “ราช” (ส่วนพระราชดำริหมายถึง คิด) ดูคำอธิบายข้อ 73 ประกอบ

77 (1) ประทาน (2) ทรงประทาน (3) พระราชทาน (4) ทรงพระราชทาน

ตอบ (1) ประทาน

ประทาน หมายถึง ให้ ซึ่งในที่นี้จะเหมาะสมที่สุด เพราะห้ามเติม “ทรง” :ซ้อนคำที่เป็นราชาศัพท์อยู่แล้ว เช่น ทรงประทาน ทรงพระราชทาน ฯลฯ แต่ให้เติม “ทรง” เฉพาะหน้าคำกริยาสามัญเพื่อทำให้คำนั้นเป็นราชาศัพท์ เช่น ทรงวิ่ง ทรงเป็นประธาน ฯลฯ คำอธิบายข้อ 73 ประกอบ

78 (1) นิพนธ์ (2) พระนิพนธ์ (3) พระราชนิพนธ์ (4) พระราชดำรัส

ตอบ (2) พระนิพนธ์

พระนิพนธ์ หมายถึง แต่งหนังสือ (ดูคำอธิบายข้อ 73 ประกอบ)

79 (1) เสด็จแม่ (2) สมเด็จแม่ (3) ทูลกระหม่อมแม่ (4)พระองค์แม่

ตอบ (2) สมเด็จแม่

สมเด็จ หมายถึง คำยกย่องหน้าฐานันดรศักดิ์โดยกำเนิดหรือแต่งตั้ง ใช้นำหน้าคำนามสามัญที่เป็นคำไทยและบอกตำแหน่งพระญาติ ซึ่งเป็นเจ้านายด้วยกัน เช่น สมเด็จแม่ (ใช้กับสมเด็จพระบรมราชชนนี) เป็นต้น

80 (1) พระเชษฐา (2) พระอนุชา (3) พระชามาดา (4) พระปิตุลา

ตอบ (2) พระอนุชา

พระอนุชา หมายถึง น้องชาย (ส่วนพระเชษฐา หมายถึง พี่ชาย พระชามาดา หมายถึง ลูกเขย พระปิตุลา หมายถึง ลุง ซึ่งเป็นพี่ของพ่อ)

ตั้งแต่ข้อ 81 – 85 จงพิจารณาข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม 5 ข้อต่อไป

(1) ข้าวก้นบาตร ข้าวแดงแกงร้อน ไข่ในหิน

(2) ข้าวใหม่ปลามัน ข้าวยากหมากแพง ข้าวเหลือเกลืออิ่ม

(3) เสียการเสียงาน เสียกำช้ำกอบ ก่อแล้วต้องสาน

(4) สามใบเถา สามวันดีสี่วันไข้ สามเพลงตกม้าตาย

81 ข้อใดเป็นสำนวนทั้งหมด

ตอบ (4) สามใบเถา สามวันดีสี่วันไข้ สามเพลงตกม้าตาย

ข้อแตกต่างของสำนวน คำพังเพย และสุภาษิตมีดังนี้

1 สำนวน หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นอย่างกะทัดรัด ใช้คำน้อยแต่กินความหมายมาก และเป็นความหมายโดยนัยหรือโดยเปรียบเทียบ เช่น สามใบเถา (เรียกพี่น้องผู้หญิง 3 คนว่าสามใบเถา) สามวันดีสี่วันไข้ (เจ็บออดๆแอดๆอยู่เสมอ) สามเพลงตกม้าตาย (แพ้ ยุติเร็ว) เสียการเสียงาน (ทำให้งานที่มุ่งหวังไว้บกพร่องหรือเสียหาย) ข้าวแดงแกงร้อน (บุญคุณ) ไข่ในหิน (ของที่ต้องระมัดระวังทะนุถนอมอย่างยิ่ง) ฯลฯ

2 คำพังเพย หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อตีความ สรุปเหตุการณ์ สภาวการณ์ บุคลิกและอารมณ์ให้เข้ากับเรื่อง มีความหมายกลางๆ ไม่เน้นการสั่งสอน แต่แฝงคติเตือนใจให้นำไปปฏิบัติหรือไม่ให้นำไปปฏิบัติ เช่น ข้าวใหม่ปลามัน (อะไรที่เป็นของใหม่ก็ถือว่าดี) ข้าวยากหมากแพง (ภาวะขาดแคลนอาหาร) ข้าวเหลือเกลืออิ่ม (บ้านเมืองที่บริบูรณ์ด้วยข้าวปลาอาหาร) เสียกำช้ำกอบ (เสียน้อยแล้วยังต้องเสียมากอีก) ฯลฯ

3 สุภาษิต หมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อสั่งสอนโดยตรง ซึ่งอาจเป็นคติ ข้อติติง คำจูงใจ หรือคำห้าม และเนื้อความที่สั่งสอนก็เป็นความจริง เป็นความดีที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เช่น ก่อแล้วต้องสาน (เริ่มอะไรแล้วต้องทำต่อให้เสร็จ) ฯลฯ

82 ข้อใดมีแต่คำพังเพย

ตอบ (2) ข้าวใหม่ปลามัน ข้าวยากหมากแพง ข้าวเหลือเกลืออิ่ม

ดูคำอธิบายข้อ 81 ประกอบ

83 ข้อใดเรียงลำดับถูกต้องตั้งแต่สำนวน คำพังเพย และสุภาษิต

ตอบ (3) เสียการเสียงาน เสียกำช้ำกอบ ก่อแล้วต้องสาน

ดูคำอธิบายข้อ 81 ประกอบ

84 ข้อใดมีข้อความที่ไม่ใช่สำนวน คำพังเพย หรือสุภาษิตปรากฏอยู่ด้วย

ตอบ (1) ข้าวก้นบาตร ข้าวแดงแกงร้อน ไข่ในหิน

ข้าวก้นบาตร หมายถึง อาหารที่เหลือจากพระฉันแล้วที่ศิษย์วัดได้อาศัยกิน (ดูคำอธิบายข้อ 81 ประกอบ)

85 ข้อใดมีความหมายที่สื่อสภาวะตรงกันข้ามอยู่ในข้อเดียวกัน

ตอบ (2) ข้าวใหม่ปลามัน ข้าวยากหมากแพง ข้าวเหลือเกลืออิ่ม

ดูคำอธิบายข้อ 81 ประกอบ ข้าวยากหมากแพง ตรงข้ามกับ ข้าวเหลือเกลืออิ่ม

86 ข้อใดมีคำที่สะกดถูกขนาบคำที่สะกดผิด

(1) รณรงค์ รกร้าง ลายรดน้ำ (2) ระเห็จ รกราก ละเลียด

(3) ร่องแร่ง รกเลี้ยว รองเง็ง (4) ร่อนทอง ร้อนรน รกชัฏ

ตอบ (3) ร่องแร่ง รกเลี้ยว รองเง็ง

คำที่สะกดผิด ได้แก่ รกเลี้ยว ซึ่งที่ถูกต้องคือ รกเรี้ยว

87 ข้อใดมีคำที่สะกดผิดขนาบคำที่สะกดถูก

(1) ลำเลิก หาลำไผ่ เสื่อลำแพน

(2) ล็อกเกต ลองกอง ละหมาด

(3) ลัคนา ลังถึง ลัดเลาะ

(4) ลักกะปิดลักกะเปิด ละลาบละล้วง ผลลัพท์

ตอบ (4) ลักกะปิดลักกะเปิด ละลาบละล้วง ผลลัพท์

คำที่สะกดผิด ได้แก่ ลักกะปิดลักกะเปิด ผลลัพท์ ซึ่งที่ถูกต้องคือ ลักปิดลักเปิด ผลลัพธ์

88 ข้อใดสะกดถูกทุกคำ

(1) โพล้เพล้ แตกโพละ โพนทะนา

(2) พิศวาส พิรี้พิไร พินาส

(3) พิษสง พุทธมามกะ เพชฆาต

(4) เพียบพร้อม แพขนานยนตร์ แพร่งพราย

ตอบ (1) โพล้เพล้ แตกโพละ โพนทะนา

คำที่สะกดผิด ได้แก่ พินาส เพชฆาต แพขนานยนตร์ ซึ่งที่ถูกต้องคือ พินาศ เพชฌฆาต แพขนานยนต์

89 ข้อใดสะกดผิดทุกคำ

(1) ปล้องไผ่ จอมปลวก ปลดเกษียณ

(2) นาฏดนตรี เนรเทศ เนรมิต

(3) ต้นปามล์ ปลาปั๊กเป้า หวานปะแหล่มๆ

(4) ปลาบปลื้ม ปลั๊กไฟ ปลอมแปลง

ตอบ (3) ต้นปามล์ ปลาปั๊กเป้า หวานปะแหล่มๆ

คำที่สะกดผิดได้แก่ ต้นปามล์ ปลาปั๊กเป้า หวานปะแหล่มๆ ซึ่งที่ถูกต้องคือ ต้นปาล์ม ปลาปักเป้า หวานปะแล่มๆ

90 ข้อใดสะกดถูกทุกคำ

(1) ลอตเตอรี่ ล้างสต๊อก ส่งแฟ๊กซ์

(2) มอร์ฟีน มักกะโรนี คัท – เอ๊าท์

(3) โคม่า เคาน์เตอร์ เซรามิค

(4) อินเทอร์เน็ต ฮ็อตไลน์ เว็บไซต์

ตอบ (4) อินเทอร์เน็ต ฮ็อตไลน์ เว็บไซต์

คำที่สะกดผิด ได้แก่ ส่งแฟ๊กซ์ คัท – เอ๊าท์ เซรามิค ซึ่งที่ถูกต้องคือ ส่งแฟกซ์ คัตเอาท์ เซรามิก

91 วันภาษาไทยแห่งชาติคือวันที่ 29 เดือนใด

(1) กรกฎาคม

(2) กันยายน

(3) สิงหาคม

(4) ธันวาคม

ตอบ (1) กรกฎาคม

วันภาษาไทยแห่งชาติตรงกับวันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปี โดยรัฐบาลได้ประกาศให้วันนี้เป็นวันสำคัญตั้งแต่ พ.ศ. 2542 เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ในวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงอภิปรายเรื่องภาษาไทยร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

92 วันภาษาไทยแห่งชาติกำหนดขึ้นเนื่องมาจากพระองค์ใด

(1) พระเจ้าอยู่หัว (2) สมเด็จพระนางเจ้าฯ (3) สมเด็จพระเทพรัตนฯ (4) ทุกข้อ

ตอบ (1) พระเจ้าอยู่หัว ดูคำอธิบายข้อ 91 ประกอบ

93 สิ่งใดเกิดขึ้นหลังสุดในประเทศไทย

(1) ภาษา (2) ตัวอักษร (3) ตัวเลข (4) วรรณคดี

ตอบ (4) วรรณคดี

ประเทศไทยเรามีภาษาใช้ที่เป็นของเราเองมาช้านานแล้ว ซึ่งเริ่มตั้งแต่พ่อขุนรามคำแหงทรงเริ่มประดิษฐ์ตัวอักษรและตัวเลขไทยขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1826 จากนั้นก็พัฒนามาเป็นภาษาเขียน และมีการเรียบเรียงให้สละสลวย มีศิลปะของการนิพนธ์จนกลายเป็นหนังสือที่เรียกว่า วรรณคดี

94 ประสิทธิภาพของการใช้ภาษาขึ้นอยู่กับสิ่งใด

(1) ผู้รับภาษา (2) ผู้ส่งภาษา (3) ลักษณะของภาษา (4) ทุกข้อ

ตอบ (4) ทุกข้อ

ประสิทธิภาพของการใช้ภาษาย่อมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบต่อไปนี้

1 ผู้ส่งภาษา ซึ่งจะใช้ภาษาโดยการพูดและการเขียน

2 สาร (ลักษณะของภาษา)

3 ผู้รับภาษา ซึ่งจะใช้ภาษาโดยการฟังและการอ่าน

95 ผู้รับภาษาใช้ภาษาลักษณะใด

(1) พูดและฟัง (2) ฟังและเขียน (3) อ่านและฟัง (4) เขียนและอ่าน

ตอบ (3) อ่านและฟัง ดูคำอธิบายข้อ 94 ประกอบ

96 การใช้ภาษาหมายถึงการใช้สิ่งใด

(1) เสียง (2) ตัวหนังสือ (3) ระบบสัญลักษณ์ (4) ทุกข้อ

ตอบ (3) ระบบสัญลักษณ์

การใช้ภาษา หมายถึง การสื่อสารทำความเข้าใจกันโดยใช้ภาษาพูดหรือภาษาเขียนอันเป็นระบบสัญลักษณ์ที่มนุษย์ใช้เป็นสื่อหรือเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารถึงกัน ดังนั้นการใช้ภาษาจึงหมายถึงการใช้ระบบสัญลักษณ์ ซึ่งก็คือ หลักภาษา ลักษณะภาษา หรือไวยากรณ์ต่างๆที่จัดขึ้นมาอย่างมีระบบระเบียบ

97 ผู้ส่งภาษาใช้ภาษาในลักษณะใด

(1) เขียนและพูด (2) พูดและฟัง (3) อ่านและฟัง (4) เขียนและอ่าน

ตอบ (1) เขียนและพูด ดูคำอธิบายข้อ 94 ประกอบ

98 ปัญหาการใช้ภาษาลักษณะใดที่สามารถเห็นได้ชัดเจน

(1) อ่านและเขียน (2) พูดและเขียน (3) อ่านและฟัง (4) เขียนและอ่าน

ตอบ (2) พูดและเขียน

ปัญหาการใช้ภาษาที่สามารถเห็นได้ชัดเจน คือ การพูดและเขียนซึ่งถือว่าเป็นกระบวนการภายนอก เพราะเป็นการใช้ภาษาที่ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด ส่วนการฟังและอ่านถือเป็นกระบวนการภายใน เพราะเป็นการใช้ภาษาที่สังเกตเห็นได้ยาก กล่าวคือ ผู้พูดและผู้เขียนมิอาจทราบได้ว่าผู้ฟังและผู้อ่านเข้าใจสารที่ตนส่งหรือสื่อออกไปหรือไม่ เพียงไร

99 พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ใด ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

(1) 2525 (2) 2542 (3) 2545 (4) 2551

ตอบ (2) 2542

พจนานุกรมที่ใช้อย่างเป็นทางการในปัจจุบัน คือ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมคำที่มีใช้อยู่ในภาษาไทย โดยให้ความรู้และกำหนดในเรื่องอักขรวิธี (คำเขียน) การออกเสียงอ่านและนิยามความหมาย ตลอดจนบอกประวัติของคำเท่าที่จำเป็น

100 การใช้ภาษาลักษณะใดที่ทำให้เกิดความรู้ความคิด

(1) อ่านและฟัง (2) เขียนและพูด (3) ฟังและเขียน (4) พูดและอ่าน

ตอบ (1) อ่านและฟัง

การอ่านและการฟังเป็นการใช้ภาษาในการรับรู้เรื่องราวเพื่อจะได้เกิดความจำ ความเข้าใจ ความรู้ ความคิด และความบันเทิง ส่วนการพูดและการเขียนนั้นเป็นการใช้ภาษาในการนำความรู้ ความคิด หรือความต้องการของเราถ่ายทอดให้ผู้อื่นเข้าใจ

101 การศึกษาระดับของคำเกี่ยวข้องกับเรื่องใด

(1) ความคิด

(2) สังคม

(3) สัญลักษณ์

(4) ทุกข้อ

ตอบ (2) สังคม

คำในภาษาไทยมีระดับต่างกัน นั่นคือ มีการกำหนดคำให้ใช้แตกต่างกันไปตามความเหมาะสมแก่บุคคลและกาลเทศะ ซึ่งจะต้องรู้ว่าในโอกาสใด สถานที่เช่นไร และกับบุคคลใดจะใช้คำหรือข้อความใดจึงจะเหมาะสม ดังนั้นจึงมีการแบ่งคำเพื่อนำไปใช้ในที่สูงต่ำต่างกันตามความเหมาะสมหรือตามการยอมรับของสังคมเป็น 2 ระดับ คือ

1 คำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ ได้แก่ คำราชาศัพท์ คำสุภาพ และคำเฉพาะวิชาหรือศัพท์บัญญัติ

2 คำที่ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ สามารถใช้คำได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นคำปากหรือคำตลาด คำสแลง คำเฉพาะอาชีพ คำโฆษณา ฯลฯ และคำที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ

102 หน้าที่ของคำในประโยคเกี่ยวข้องกับเรื่องใด

(1) น้ำหนัก

(2) ระดับ

(3) ความหมาย

(4) ทุกข้อ

ตอบ (3) ความหมาย

หน้าที่ของคำในประโยคจะเกี่ยวข้องกับความหมายของคำ เพราะตามปกติคำจะมีความหมายอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งหรือหน้าที่ของคำในข้อความที่เรียบเรียงขึ้น นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับความเข้าใจหรือการแปลความหมายของผู้ใช้อีกด้วย

103 การใช้ภาษาให้ถูกระดับเกี่ยวข้องกับสิ่งใด

(1) กาละ (2) เทศะ (3) บุคคล (4) ทุกข้อ

ตอบ (4) ทุกข้อ ดูคำอธิบายข้อ 101 ประกอบ

104 คำประเภทใดที่ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการได้

(1) คำปาก (2) คำสุภาพ (3) คำเฉพาะวิชา (4) ทุกข้อ

ตอบ (4) ทุกข้อ ดูคำอธิบายข้อ 101 ประกอบ

105 คำสแลงเป็นคำที่ใช้ในภาษาระดับใด

(1) ทางการ (2) กึ่งทางการ (3) ไม่เป็นทางการ (4) ทุกข้อ

ตอบ (3) ไม่เป็นทางการ ดูคำอธิบายข้อ 101 ประกอบ

106 ความหมายของคำสแลงมีลักษณะอย่างไร

(1) ชัดเจน (2) ไม่ชัดเจน (3) มีน้ำหนัก (4) มีภาพพจน์

ตอบ (2) ไม่ชัดเจน

คำสแลง คือ คำที่ใช้กันในหมู่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ความหมายของคำจะไม่ชัดเจนและไม่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป เพราะเป็นความหมายที่กลุ่มกำหนดขึ้นใช้กันเองภายในกลุ่ม โดยมักจะได้รับความนิยมเป็นครั้งคราวแล้วก็เลิกใช้กันไปจึงถือเป็นคำภาษาปากที่ไม่สุภาพ ซึ่งไม่ควรนำมาใช้ในการพูดหรือเขียนอย่างเป็นทางการและกึ่งทางการเด็ดขาด เช่น กิ๊ก ซ่า โจ๋ ฯลฯ

107 คำโฆษณาสามารถนำไปใช้อย่างไร

(1) ใช้พูด (2) ใช้เขียน (3) ใช้เป็นทางการ (3) ใช้อย่างไม่เป็นทางการ

ตอบ (3) ใช้อย่างไม่เป็นทางการ ดูคำอธิบายข้อ 101 ประกอบ

108 การใช้คำเปรียบเทียบมุ่งให้เกิดผลอย่างไร

(1) ชัดเจน (2) ถูกต้อง (3) เหมาะสม (4) มีน้ำหนัก

ตอบ (4) มีน้ำหนัก

การใช้คำเปรียบเทียบ คำพังเพย และสุภาษิต จะช่วยให้ข้อความกะทัดรัดและมีน้ำหนักมากขึ้น เนื่องจากคำประเภทนี้เป็นคำหรือข้อความที่มีความหมายหนักแน่นและเป็นที่เข้าใจกันดีอยู่แล้ว แต่ต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับข้อความนั้นๆ ดังนั้นผู้ใช้จึงต้องรู้จักและเข้าใจความหมายของคำเหล่านั้นให้ดีเสียก่อน

109 คำชนิดใดความหมายขึ้นอยู่กับการออกเสียง

(1) คำพ้อง (2) คำพ้องรูป (2) คำพ้องเสียง (4) คำเปรียบเทียบ

ตอบ (2) คำพ้องรูป

คำพ้องรูป คือ คำที่เขียนเหมือนกัน แต่ความหมายและการออกเสียงจะต่างกัน ดังนั้นจึงต้องออกเสียงให้ถูกต้อง เพราะหากออกเสียงผิด ความหมายก็จะผิดไปด้วย เช่น “เพลา” อาจจะอ่านว่า “เพ-ลา” (กาล คราว) หรือ “เพลา” (แกนสำหรับสอดในดุมรถหรือดุมเกวียน) ฯลฯ

110 คำชนิดใดที่ความหมายขึ้ยอยู่กับการเขียน

(1) คำพ้อง (2) คำพ้องรูป (2) คำพ้องเสียง (4) คำเปรียบเทียบ

ตอบ (2) คำพ้องเสียง

คำพ้องเสียง คือ คำที่ออกเสียงเหมือนกัน แต่ความหมายและการเขียน (รูป) ไม่เหมือนกัน เช่น กันย์ (สาวรุ่น) กัน (กีดขวาง โกนให้เป็นเขตเสมอกัน) กรรณ (หู) ฯลฯ ดังนั้นเวลาเขียนจึงต้องเขียนให้ถูกต้อง เพราะถ้าเขียนผิด ความหมายก็จะผิดไปด้วย

111 การใช้คำตามแบบภาษาไทยทำให้ประโยคมีลักษณะอย่างไร

(1) มีน้ำหนัก

(2) ถูกต้อง

(3) กระชับ

(4) ทุกข้อ

ตอบ (2) ถูกต้อง

การผูกประโยคให้ถูกต้องชัดเจนขึ้นอยู่กับการกระทำดังนี้คือ

1 การเรียงคำให้ถูกที่ 2 การขยายความให้ถูกที่ 3 การใช้คำตามแบบภาษาไทย

4 การใช้คำให้สิ้นกระแสความ 5 การเว้นวรรคตอนให้ถูกต้อง

112 การเขียนประโยคควรคำนึงถึงข้อใดมากที่สุด

(1) ความรัดกุม

(2) ความถูกต้อง

(2) ความมีน้ำหนัก

(4) ความมีภาพพจน์

ตอบ (2) ความถูกต้อง

สิง่ที่ควนเพ่งเล็งและคำนึงถึงมากที่สุดในการใช้ประโยคทั้งในการพูดและเขียน คือ ความถูกต้องชัดเจน เพราะถ้าหากใช้คำหรือประโยคไม่ถูกต้องจะทำให้ไม่สามารถสื่อความหมายตามที่ต้องการได้ รวมทั้งยังทำให้ผู้ฟังและผู้อ่านไม่เข้าใจหรือเข้าในไม่ตรงกันกับผู้พูดและผู้เขียนอีกด้วย

113 ประโยคที่มีน้ำหนักควรนำไปใช้อย่างไร

(1) ใช้พูด (2) ใช้เขียน (3) ใช่ได้ทั่วไป (4) ใช่เท่าที่จำเป็น

ตอบ (4) ใช่เท่าที่จำเป็น

ประโยคที่มีน้ำหนักและภาพพจน์นั้น มักนำไปใช้กับข้อเขียนประเภทบทความ โดยควรนำไปใช้ก็ต่อเมื่อรู้สึกว่าจะทำให้เรื่องราวดีขึ้น และควรใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น เพราะถ้านำไปใช้อย่างพร่ำเพรื่อและใช้อย่างไม่พิจารณาแล้ว จะทำให้เฝือและรู้สึกขัดเขิน

114 การรวบความทำให้ประโยคมีลักษณะอย่างไร

(1) รัดกุม (2) มีน้ำหนัก (3) มีความหมาย (4) มีภาพพจน์

ตอบ (1) รัดกุม

การผูกประโยคให้กระชับรัดกุมมีสิ่งที่จะต้องพิจารณา คือ

1 การรวบความให้กระชับ 2 การลำดับความให้รัดกุม 3 การจำกัดความ

115 การเขียนประโยคให้กระชับทำได้ด้วยวิธีใด

(1) ถ่วงความ (2) เล่นความ (3) จำกัดความ (4) ทุกข้อ

ตอบ (3) จำกัดความ ดูคำอธิบายข้อ 114 ประกอบ

116 การเขียนแบบใดที่ควรใช้ประโยคที่มีน้ำหนักและมีภาพพจน์

(1) ข่าว (2) ตำรา (3) บทความ (4) หนังสือราชการ

ตอบ (3) บทความ ดูคำอธิบายข้อ 113 ประกอบ

117 การเว้นวรรคไม่ถูกต้องทำให้ประโยคมีลักษณะอย่างไร

(1) ไม่ชัดเจน (2) ไม่รัดกุม (3) ไม่มีน้ำหนัก (4) ไม่มีภาพพจน์

ตอบ (1) ไม่ชัดเจน ดูคำอธิบายข้อ 111 ประกอบ

118 การเขียนตอบข้อสอบควรใช้ภาษาระดับใด

(1) ทางการ (2) กึ่งทางการ (3) ไม่เป็นทางการ (4) ทุกข้อ

ตอบ (2) กึ่งทางการ

ในโอกาสกึ่งทางการ เช่น การเขียนตอบข้อสอบอัตนัย การใช้คำจะไม่เคร่งครัดเหมือนโอกาสที่เป็นทางการ แต่ก็ไม่ปล่อยปละเหมือนการใช้คำในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งควรจะต้องพิจารณาใช้คำให้เหมาะสม เช่น อาจใช้คำเฉพาะวิชา (ศัพท์บัญญัติ) และคำเฉพาะอาชีพได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการใช้คำปากหรือคำตลาด คำสแลง คำต่ำหรือคำหยาบ คำหนังสือพิมพ์ คำโฆษณา คำภาษาถิ่น และคำโบราณ

119 บุคคลระดับใดที่ต้องใช้ราชาศัพท์ด้วย

(1) หม่อมเจ้า (2) หม่อมหลวง (3) หม่อมราชวงศ์ (4) ทุกข้อ

ตอบ (1) หม่อมเจ้า

ราชาศัพท์ คือ ศัพท์หรือถ้อยคำสุภาพที่ใช้เพื่อแสดงความเคารพนับถือ โดยจะใช้กับพระพุทธเจ้า พระราชวงศ์ไทยในระดับหม่อมเจ้าและเหนือขึ้นไป (พระองค์เจ้า เจ้าฟ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ) พระภิกษุสงฆ์ในระดับสมเด็จพระสังฆราช (เจ้า) เจ้านายในราชวงศ์ต่างประเทศ และตังละครที่สมมุติว่าเป็นเจ้านาย

120 คำประเภทใดที่ไม่ควรใช้ในการตอบข้อสอบ

(1) คำเฉพาะวิชา (2) คำเฉพาะอาชีพ (3) คำสแลง (4) ทุกข้อ

ตอบ (3) คำสแลง ดูคำอธิบายข้อ 106 และ 118 ประกอบ

 

WordPress Ads
error: Content is protected !!