LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1. แสงขับรถยนต์มาตามถนน ป๋องขับขี่รถจักรยานยนต์ตามหลังรถยนต์ของแสง ป๋องเร่งเครื่องรถจักรยานยนต์แซงด้านซ้ายรถยนต์ของแสง รถจักรยานยนต์ของป๋องได้ชนกระจกมองข้างรถยนต์ ของแสงหักและป๋องได้ขับขี่รถจักรยานยนต์หนีไป แสงได้ใช้อาวุธปืนยิงไปที่ล้อรถจักรยานยนต์ของป๋องเพื่อให้หยุดรถ กระสุนปืนถูกล้อรถจักรยานยนต์เสียหาย และกระสุนปืนถูกป๋องตายด้วย ดังนี้ แสง ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แสงอยู่บนรถยนต์ได้ใช้อาวุธปืนยิงไปที่ล้อรถจักรยานยนต์ของป๋องนั้น แม้ว่าแสงจะมีความประสงค์กระทําต่อทรัพย์คือมีเจตนายิงไปที่ล้อรถจักรยานยนต์เพื่อให้ป๋องหยุดรถ แต่การกระทําดังกล่าวนั้นแสงย่อมเล็งเห็นได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกป๋องได้และอาจทําให้ป๋องถึงแก่ความตายได้ เมื่อแสงได้กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา การกระทําของแสงจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น ตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น เมื่อกระสุนปืนถูกล้อรถจักรยานยนต์เสียหาย และกระสุนปืนถูกป๋องตายด้วย แสงจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคแรก

สรุป แสงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่าป๋องตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคแรก

 

ข้อ 2. หาญต้องการฆ่าแห้ว หาญเห็นจ้อยยืนหันหลังให้เข้าใจว่าเป็นแห้วคนที่หาญต้องการฆ่า หาญใช้อาวุธปืนยิงไปที่จ้อย กระสุนปืนถูกจ้อยบาดเจ็บ และกระสุนปืนยังเลยไปถูกเดชตาย ดังนี้ หาญต้อง รับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสาม “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อ ได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดย ประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

ถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติ ให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นํากฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 61 “ผู้ใดเจตนาจะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทําต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสําคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสําคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทําโดยเจตนาหาได้ไม่”

มาตรา 80 วรรคแรก “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอด แล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ หาญต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของหาญต่อจ้อย
การที่หาญใช้อาวุธปืนยิงไปที่จ้อยนั้น ถือว่าหาญได้กระทําต่อจ้อยโดยเจตนา เพราะหาญได้ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันหาญได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง และหาญได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 59 วรรคสาม

และแม้ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์นั้น หาญจะมีเจตนาฆ่าแห้วแต่ได้ลงมือกระทําต่อจ้อยเพราะ เข้าใจผิดคิดว่าจ้อยเป็นแห้วคนที่หาญต้องการฆ่า หาญก็จะยกเอาความสําคัญผิดดังกล่าวมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทําต่อจ้อยไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องถือว่าหาญมีเจตนาฆ่าจ้อยด้วยตามมาตรา 61 และเมื่อกระสุนปืนถูกจ้อยบาดเจ็บ ไม่ทําให้จ้อยถึงแก่ความตาย จึงถือว่าหาญได้ลงมือกระทําความผิดและได้กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้น ไม่บรรลุผล หาญจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่าจ้อยโดยสําคัญผิดในตัวบุคคลตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 61 และมาตรา 80 วรรคแรก

ความรับผิดของหาญต่อเดช

การที่หาญใช้อาวุธปืนยิงไปที่จ้อย กระสุนปืนถูกจ้อยบาดเจ็บ และยังเลยไปถูกเดชตายนั้น ผลของการกระทําที่ไปเกิดกับเดชเป็นผลซึ่งเกิดขึ้นโดยพลาดไป จึงถือว่าหาญได้กระทําโดยเจตนาต่อเดชบุคคล ซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้นด้วยตามมาตรา 60 ดังนั้น เมื่อเดชถึงแก่ความตาย หาญจึงต้องรับผิดทางอาญา ฐานฆ่าเดชตายโดยเจตนาโดยพลาดตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 60

สรุป
หาญต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่าจ้อยโดยสําคัญผิดในตัวบุคคลตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 61 และมาตรา 80 วรรคแรก และต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่าเดชตายโดยเจตนาโดยพลาด ตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 60

 

ข้อ 3. โชคชักปืนขู่บังคับให้ธงตีศีรษะแก้ว หากไม่มีจะยิงธงให้ตาย ธงกลัวโชคยิงตนจึงเงื้อไม้ขึ้นตีไปที่ศีรษะแก้ว แก้วเห็นเข้าพอดีจึงเบนศีรษะหนีพร้อมกับชักมีดแทงสวนถูกธงได้รับบาดเจ็บ ดังนี้ โชค ธง และแก้ว ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 67 “ผู้ใดกระทําความผิดด้วยความจําเป็น
(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อํานาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ
(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้น โดยวิธีอื่นใดได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน
ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยง ส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด
ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ โชค ธง และ แก้ว จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณา ได้ดังนี้

ความรับผิดของโชค
การที่โชคใช้ปืนขู่บังคับธงให้ตีศีรษะแก้วนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดด้วย การบังคับขู่เข็ญแล้ว โชคจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคแรก และเมื่อความผิดที่ใช้ได้กระทําลง คือ ธงได้ใช้ไม้ตีไปที่แก้ว โชคผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84 วรรคสอง

ความรับผิดของธง
การที่ธงใช้ไม้ตีไปที่แก้ว ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน ผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของธงจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ธงจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ธงใช้ไม้ตีไปที่แก้วนั้น ธงได้กระทําไปเพราะอยู่ภายใต้อํานาจบังคับของโชค ซึ่งธงไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ เมื่อธงได้กระทําไปไม่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทําของธงจึงเป็น การกระทําความผิดด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67 (1) ดังนั้นธงจึงมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ

ความรับผิดของแก้ว
การที่แก้วใช้มีดแทงธง ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน ผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของแก้วจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง แก้วจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตามการที่แก้วใช้มีดแทงธงนั้น แก้วได้กระทําไปเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้น จากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายของธง และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง เมื่อแก้วได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทําของแก้วจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ดังนั้น แก้วจึงไม่ต้องรับผิดต่อธง

สรุป
โชคต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 และรับโทษเสมือนตัวการ
ธงต้องรับผิดทางอาญา แต่ไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 67 เพราะเป็นการกระทําความผิด ด้วยความจําเป็น
แก้วไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 เพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 4. กรต้องการฆ่าพล กรไปขอยืมอาวุธปืนจากดิเรกเพื่อใช้ยิงพล ดิเรกให้กรยืมอาวุธปืนโดยทราบดีว่ากรจะใช้ยิงพล กรได้อาวุธปืนจากดิเรกแล้วได้ไปดักยิงพล ก่อนกรลงมือยิงพล สมนึกมาพบกรและทราบจากกรว่ามาดักยิงพล สมนึกรับอาสาคอยดูต้นทางให้กรยิงพล พอพลเดินมาสมนึกให้สัญญาณกร กรยิงพลตาย ดังนี้ ดิเรกและสมนึกต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยง ส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใดๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการ ที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

การวินิจฉัย
ตามอุทาหรณ์ การที่กรใช้ปืนยิงพลตาย ถือว่ากรได้กระทําต่อพลโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น กรจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคแรก ส่วนดิเรกและสมนึกซึ่ง ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทําความผิดของกร จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของดิเรก
การที่ดิเรกให้กรยืมอาวุธปืนโดยทราบดีว่ากรจะใช้ยิงพล การกระทําของดิเรกถือเป็นการให้ ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อนหรือขณะกระทําความผิด เมื่อกรยิงพลตาย ดิเรกจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

ความรับผิดของสมนึก
การที่สมนึกมาพบกรและทราบจากกรว่ามาดักยิงพล สมนึกจึงรับอาสาคอยดูต้นทางให้กรยิงพล และพอพลเดินมาสมนึกได้ให้สัญญาณกร และกรยิงพลตายนั้น ถือว่าสมนึกมีเจตนาร่วมกันกระทําความผิดกับกร และการกระทําของสมนึกถือว่าเป็นส่วนหนึ่งเพื่อให้การฆ่าพลบรรลุผลสําเร็จ ดังนั้นเมื่อกรยิงพลตาย จึงถือว่า สมนึกร่วมกันกระทําความผิดกับกรฐานฆ่าพลตายโดยเจตนา และต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

สรุป
ดิเรกต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86
สมนึกต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายชัยและนางสมศรีเป็นสามีภริยามีบุตรด้วยกัน 3 คน นายชัยได้ไปราชการที่ชายแดน เมื่อกลับบ้านนางสมศรีภริยาได้เล่าให้นายชัยฟังว่า เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนายโก๋ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันได้บุกรุกขึ้นมา บนบ้านและข่มขืนกระทําชําเราตน นายชัยได้ฟังดังนั้นก็โกรธมากจึงพกปืนออกจากบ้านเพื่อจะไปฆ่า นายโก๋ เมื่อนายชัยพบนายโก๋จึงยกปืนขึ้นเล็งเพื่อจะยิงนายโก๋ แต่นายโก๋เหลือบเห็นเข้าพอดี จึงชักปืนยิงถูกนายชัยได้รับบาดเจ็บและกระสุนปืนยังเลยไปถูกนางสมศรีซึ่งตามนายชัยมาด้วยความเป็นห่วงถึงแก่ความตายอีกด้วย ดังนี้ นายชัยและนายโก๋จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา
การกระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

มาตรา 80 วรรคแรก “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ นายชัยและนายโก๋จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของนายชัย
การที่นายชัยได้ยกปืนขึ้นเล็งไปที่นายโก๋ ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายชัยจึงเป็นการกระทําโดยเจตนา ตามมาตรา 59 วรรคสอง นายชัยจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก แต่เมื่อปรากฏว่านายโก๋เหลือบเห็นเข้าพอดี จึงชักปืนยิงถูกนายชัยได้รับบาดเจ็บก่อนที่นายชัยจะยิงนายโก๋ การกระทําของนายชัยจึงถือเป็นการลงมือกระทําความผิดแล้วแต่กระทําไปไม่ตลอด จึงเป็นการพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 30

แต่อย่างไรก็ตาม การกระทําดังกล่าวของนายชัยนั้น ได้เกิดขึ้นเนื่องจากนายชัยทราบจาก นางสมศรีภริยาของตนว่าถูกนายโก๋บุกรุกขึ้นมาบนบ้านและข่มขืนกระทําชําเรา ซึ่งถือเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมต่อนายชัย และนายชัยได้กระทําความผิดต่ยนายโก๋ผู้ข่มเหงในขณะที่นายชัยยังโกรธอยู่ การกระทําของนายชัยดังกล่าว จึงเป็นการกระทําความผิดในขณะบันดาลโทสะ อันเป็นเหตุให้นายชัยได้รับการลงโทษให้น้อยลงตามมาตรา 72

ความรับผิดของนายโก๋
การที่นายโก๋ชักปืนยิงถูกนายชัยได้รับบาดเจ็บ ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทำของนายโก๋จึงเป็นการกระทําโดยเจตนา ตามมาตรา 59 วรรคสอง นายโก๋จึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

และเมื่อปรากฏว่ากระสุนปืนยังเลยไปถูกนางสมศรีซึ่งตามนายชัยมาด้วยความเป็นห่วงถึงแก่ความตายด้วย จึงเป็นกรณีที่นายโก๋เจตนากระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ซึ่งกฎหมายให้ถือว่านายโก๋เจตนากระทําต่อนางสมศรีโดยพลาดไปตามมาตรา 60 และทั้งสองกรณีนี้ นายโก๋จะอ้างว่าการกระทําของตนเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ไม่ได้ เพราะนายโก๋เป็น ผู้ก่อภัยขึ้นเองตั้งแต่แรก

สรุป นายชัยต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 แต่ได้รับการลดโทษให้น้อยลงตามมาตรา 72 เพราะเป็นการกระทําโดยบันดาลโทสะ นายโก๋ต้องรับผิดทางอาญาต่อนายชัยตามมาตรา 59 วรรคแรก และรับผิดทางอาญาต่อ นางสมศรีฐานกระทําโดยพลาดตามมาตรา 60

 

ข้อ 2. นายเอกใช้ปืนขู่ว่าจะยิงนางดวงดาวและ ด.ญ.ตุ๊กตาให้ตาย ถ้านายเชิดสามีของนางดวงดาวและบิดาของ ด.ญ.ตุ๊กตาไม่ยิงนายศักดิ์ให้ตาย นายเชิดไม่รู้จักนายศักดิ์เห็นนายสีเข้าใจว่าเป็นนายศักดิ์ จึงใช้ปืนยิงไปถูกนายสีถึงแก่ความตาย ดังนี้ นายเอกและนายเชิดจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 61 “ผู้ใดเจตนาจะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทําต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสําคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสําคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทําโดยเจตนาหาได้ไม่”

มาตรา 67 “ผู้ใดกระทําความผิดด้วยความจําเป็น
(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อํานาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ
(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้น โดยวิธีอื่นใดได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน

ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นการเป็นสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือ ยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด
ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายเอกและนายเชิดจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณา ได้ดังนี้

ความรับผิดของนายเอก
การที่นายเอกใช้ปืนขู่ว่าจะยิงนางดวงดาวและ ด.ญ.ตุ๊กตาให้ตาย ถ้านายเชิดสามีของนางดวงดาว และบิดาของ ด.ญ.ตุ๊กตาไม่ยิงนายศักดิ์ให้ตายนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดด้วยการบังคับขู่เข็ญแล้ว นายเอกจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคแรก และเมื่อผู้ถูกใช้คือ นายเชิด ได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว นายเอกผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84 วรรคสอง

ความรับผิดของนายเชิด
การที่นายเชิดใช้ปืนยิงถูกนายสีถึงแก่ความตาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายเชิดจึงเป็นการกระทําโดย เจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง นายเชิดจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก และกรณีนี้นายเชิดจะ อ้างความสําคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่ได้เจตนากระทําต่อนายสีไม่ได้ตามมาตรา 61

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายเชิดใช้ปืนยิงนายสีนั้น นายเชิดได้กระทําไปเพราะเพื่อให้ผู้อื่นพ้นจาก ภยันตรายที่ใกล้จะถึง ซึ่งนายเชิดไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ เมื่อนายเชิดได้กระทําไปไม่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทําของนายเชิดจึงเป็นการกระทําความผิดด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67 (2) ดังนั้น นายเชิดจึงมีความผิด แต่ไม่ต้องรับโทษ

สรุป
นายเอกต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 และรับโทษเสมือนตัวการ
นายเชิดต้องรับผิดทางอาญา แต่ไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 67 เพราะเป็นการกระทํา ความผิดด้วยความจําเป็น

 

ข้อ 3. เชิงชายเตะและต่อยบุญชูจนล้มลงแล้วเชิงชายวิ่งหนี บุญชูลุกขึ้นได้วิ่งไล่ตามพอทันกัน บุญชูชักมีดออกแทงเชิงชาย เชิงชายหลบทันและวิ่งหนีจะเข้าไปในบ้านของสมหวัง สมหวังขัดขวางไม่ยอมให้เชิงชายเข้าไปในบ้านเชิงชายเห็นบุญชูตามเข้ามาอีกจึงผลักสมหวังล้มลงและเข้าไปในบ้าน สมหวังใช้ไม้ตีเชิงชายได้รับบาดเจ็บ ดังนี้ บุญชู เชิงชาย และสมหวังต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 67 “ผู้ใดกระทําความผิดด้วยความจําเป็น
(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อํานาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ
(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้น โดยวิธีอื่นใดได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน

ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

มาตรา 80 วรรคแรก “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ บุญชู เชิงชาย และสมหวัง ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของบุญชู
การที่บุญชูชักมีดออกแทงเชิงชาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยสํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของบุญชูจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง บุญชูจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก แต่เมื่อปรากฏว่าเชิงชายหลบทันจึงไม่ถูกบุญชูแทง การกระทําของบุญชูจึงถือเป็นการลงมือกระทําความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล จึงเป็นการ พยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80

แต่อย่างไรก็ตาม การที่บุญชูถูกเชิงชายเตะและต่อยนั้น การกระทําของเชิงชายถือเป็นการข่มเหงบุญชูอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เมื่อปรากฏว่าบุญชูได้กระทําความผิดต่อเชิงชายในขณะที่บุญชูยังโกรธอยู่ การกระทําของบุญชุดังกล่าวจึงเป็นการกระทําความผิดในขณะบันดาลโทสะ ศาลจะลงโทษบุญชูน้อยเพียงใดก็ได้ตามมาตรา 72

ความรับผิดของเชิงชาย
การที่เชิงชายเตะและต่อยบุญชูนั้น ถือเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของเชิงชายจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตาม มาตรา 59 วรรคสอง เชิงชายจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อบุญชูตามมาตรา 59 วรรคแรก

และการที่เชิงชายผลักสมหวังล้มลง ก็ถือเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และใน ขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของเชิงชายจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตาม มาตรา 59 วรรคสอง เชิงชายจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อสมหวังตามมาตรา 59 วรรคแรก และต้องรับโทษ เชิงชายจะอ้างว่ากระทําผิดด้วยความจําเป็นเพราะเพื่อให้ตนเองพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง และไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้น โดยวิธีอื่นใดได้ เพื่อที่จะไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 67 (2) ไม่ได้ เพราะภยันตรายที่เกิดขึ้น เชิงชายได้ก่อให้เกิดขึ้น ด้วยการกระทําผิดของตนเอง

ความรับผิดของสมหวัง

การที่สมหวังใช้ไม้ตีเชิงชาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน ผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของสมหวังจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง โดยหลักแล้วสมหวังจะต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การที่สมหวังได้ใช้ไม้ตีไปที่เชิงชายเพื่อไม่ให้เชิงชายเข้าไปในบ้านนั้น สมหวัง ได้กระทําไปเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายของ เชิงชาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง เมื่อสมหวังได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทําของสมหวังจึงเป็น การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 58 ดังนั้นสมหวังจึงไม่ต้องรับผิดต่อเชิงชาย

สรุป
บุญชูต้องรับผิดทางอาญา แต่รับโทษน้อยลงเพราะกระทําไปโดยบันดาลโทสะ
เชิงชายต้องรับผิดทางอาญาจะอ้างว่ากระทําความผิดด้วยความจําเป็นเพื่อไม่ต้องรับโทษไม่ได้ สมหวังไม่ต้องรับผิดทางอาญา เพราะกระทําการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 4. เนวินได้บอกกับบรรจงลูกน้องว่า สุเทพกําแหงมากสมควรตายได้แล้ว บรรจงได้ยินเช่นนั้นทราบทันทีว่าเนวินต้องการให้ฆ่าสุเทพ บรรจงได้ร่วมกับสุขุมเพื่อนกันวางแผนฆ่าสุเทพ โดยบรรจงไปขอยืมอาวุธปืนจากสุขสม โดยบอกกับสุขสมว่าจะนําอาวุธปืนไว้ป้องกันตัวเพราะมีคนปองร้าย สุขสมทราบดีว่าบรรจงจะนําอาวุธปืนไปยิงสุเทพ แต่ไม่กล้าบอกความจริง สุขสมเองอยากให้สุเทพตายอยู่แล้ว จึงให้บรรจงยืมอาวุธปืน บรรจงได้อาวุธปืนจากสุขสมแล้วได้นั่งซ้อนรถจักรยานยนต์ที่สุขุมเป็นผู้ขับขี่ บรรจงใช้อาวุธปืนยิงสุเทพตาย ดังนี้ เนวิน สุขุม และสุขสมต้องรับผิดในการกระทําของบรรจงอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือ ยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บรรจงใช้อาวุธปืนยิงสุเทพตาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของบรรจงจึงเป็นการกระทํา โดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง บรรจงจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า เนวิน สุขุม และสุขสม ต้องรับผิดในการกระทําของบรรจงอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของเนวิน

การที่เนวินได้บอกกับบรรจงลูกน้องว่า สุเทพกําแหงมากสมควรตายได้แล้ว เมื่อบรรจงได้ยิน เช่นนั้นจึงทราบทันทีว่าเนวินต้องการให้ฆ่าสุเทพนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดแล้ว เนวินจึงต้อง รับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคแรก และเมื่อผู้ถูกใช้คือ บรรจง ได้ลงมือกระทําความผิดตามที่ก่อ เนวิน ผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84 วรรคสอง

ความรับผิดของสุขุม
การที่สุขุมได้ร่วมวางแผนกับบรรจงเพื่อฆ่าสุเทพ และได้ขี่รถจักรยานยนต์ให้บรรจงซ้อนท้ายไปยังสุเทพนั้น การกระทําของสุขุมถือเป็นการร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันกับบรรจง สุขุมจึงต้องรับผิดฐานเป็น ตัวการร่วมกับบรรจงตามมาตรา 83

ความรับผิดของสุขสม
การที่สุขสมให้บรรจงยืมอาวุธโดยรู้อยู่แล้วว่าบรรจงจะไปยิงสุเทพนั้น การกระทําของสุขสม ถือเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิด สุขสมจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ตามมาตรา 86

สรุป
เนวินต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้และต้องรับโทษเสมือนตัวการ
สุขุมต้องรับผิดฐานเป็นตัวการ สุขสมต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. พยายามกระทําความผิดท่านเข้าใจว่าอย่างไร มีหลักกฎหมายและโทษอย่างไรบ้าง จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 80 “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้วแต่ การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด
ผู้ใดพยายามกระทําความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้ สําหรับความผิดนั้น”
อธิบาย

ตามมาตรา 80 กรณีที่จะถือว่าเป็นพยายามกระทําความผิดจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ที่สําคัญ 3 ประการ คือ
(1) ผู้กระทําจะต้องมีเจตนากระทําความผิด
(2) ผู้กระทําจะต้องลงมือกระทําความผิดแล้ว กล่าวคือ ได้ผ่านขั้นตระเตรียมการไปแล้ว จนถึงขั้นลงมือกระทําการเพื่อให้บรรลุผลตามที่เจตนา
(3) ผู้กระทํากระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทําไม่บรรลุผล

ซึ่งหลักเกณฑ์ข้อ (3) นี้ จะเห็นได้ว่า การพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 อาจแบ่ง ออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. พยายามกระทําความผิดที่กระทําไปไม่ตลอด ซึ่งมีองค์ประกอบดังนี้

(1) ผู้กระทําจะต้องได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว หมายถึง ได้กระทําที่พ้นจากขั้น ตระเตรียมการไปแล้วจนถึงขั้นลงมือกระทํา

(2) กระทําไปไม่ตลอด หมายความว่า เมื่อผู้กระทําได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว ได้มีเหตุมาขัดขวางเสียไม่ให้กระทําไปได้ตลอด

ตัวอย่าง ก. ตั้งใจจะยิง ข. จึงยกปืนขึ้นประทับบ่าและจ้องไปที่ ข. พร้อมกับขึ้นนก ในขณะที่กําลังจะลั่นไก ค. ได้มาจับมือ ก. เสียก่อน ทําให้ ก. กระทําไปไม่ตลอด คือไม่สามารถยิง ข. ได้

2. พยายามกระทําความผิดที่กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ซึ่งมี องค์ประกอบ ดังนี้

(1) ผู้กระทําได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว

(2) การกระทํานั้นได้กระทําไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล เหตุที่ ไม่บรรลุผลก็เพราะว่ามีเหตุมาขัดขวางไม่ให้การกระทํานั้นบรรลุผลนั่นเอง

ตัวอย่าง ก. เจตนาฆ่า ข. และได้ยิงปืนไปที่ ข. แต่ลูกปืนไม่ถูก ข. หรือถูก ข. แต่ ข. ไม่ตาย ดังนี้ถือว่า ก. ได้ลงมือกระทําความผิด และได้กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทําไม่บรรลุผล คือ ข. ไม่ตาย ตามที่ ก. ประสงค์
โทษของการพยายามกระทําความผิด

โดยปกติ การพยายามกระทําความผิดนั้น ผู้กระทําจะต้องรับโทษสองในสามส่วนของโทษที่ กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น (มาตรา 80 วรรคสอง) เว้นแต่ การพยายามกระทําความผิดบางกรณี ซึ่งถือเป็น ข้อยกเว้น ได้แก่

1. การพยายามกระทําความผิดที่ผู้กระทําต้องรับโทษเท่าความผิดสําเร็จ เช่น การพยายาม กระทําความผิดตามมาตรา 107, มาตรา 108 เป็นต้น

2. การพยายามกระทําความผิดที่ผู้กระทําไม่ต้องรับโทษ เช่น การพยายามกระทําความผิดที่ ผู้กระทํายับยั้งเสียเองไม่กระทําการให้ตลอดหรือกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทํานั้นบรรลุผลตามมาตรา 82 หรือ การพยายามกระทําความผิดลหุโทษตามมาตรา 105 เป็นต้น

3. การพยายามกระทําความผิดที่ไม่สามารถจะบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ตามมาตรา 81 ที่ ผู้กระทําต้องรับโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย (มาตรา 68) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

อธิบาย

ตามบทบัญญัติมาตรา 68 การกระทําที่จะถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย อันจะมีผลทําให้ผู้กระทําไม่มีความผิด ต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ คือ

1. ต้องมีภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
“ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้าย” หมายความถึง ภยันตรายนั้นจะต้องเกิด จากการประทุษร้ายและการประทุษร้ายจะมีได้เฉพาะแต่การกระทําของบุคคลเท่านั้น
“ภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมาย” หมายความว่า เป็นภัยอันเกิดจากการกระทําของ บุคคลโดยไม่มีอํานาจอันถือได้ว่าเป็นการกระทําที่ผิดกฎหมาย ซึ่งอาจจะเป็นกฎหมายอาญาหรือกฎหมายแพ่งก็ได้

2. ภยันตรายนั้นเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ภยันตรายที่ใกล้จะถึงนี้มีความหมายอยู่ในตัว ว่าไม่จําเป็นที่จะต้องให้ภัยนั้นเกิดขึ้นแก่ตัวผู้ที่จะต้องประสบเสียก่อน การป้องกันเป็นการกระทําเพื่อมิให้ภัยนั้น เกิดขึ้นจริงแก่ผู้ต้องประสบภัยตามที่ผู้ก่อภัยประสงค์จะกระทํา กล่าวคือ ถ้าไม่กระทําการป้องกันเสียแต่ขณะใด ภัยอาจเกิดขึ้นแล้ว ก็ย่อมป้องกันได้ตั้งแต่ขณะนั้น

3. ผู้กระทําจําต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่น ให้พ้นภยันตรายนั้น

“จําต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองหรือผู้อื่น” คําว่า สิทธิ หมายความถึง ประโยชน์อันบุคคลมีอยู่โดยกฎหมายรับรองและคุ้มครองให้ สิทธินี้อาจจะเกี่ยวกับชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน เสรีภาพ หรือเกียรติยศชื่อเสียงก็ได้ เพราะบุคคลย่อมมีสิทธิในอันจะไม่ให้ผู้ใดมาละเมิดในสิ่งดังกล่าวของตน

“พ้นจากภยันตราย” หมายความว่า เมื่อมีผู้ก่อภัยขึ้น ผู้ประสบภัยชอบที่จะกระทําการ ป้องกันเพื่อให้ภัยนั้นพ้นจากตัวผู้ประสบภัย เช่น ดําเสื้อมีดจะฟันแดง แดงจึงใช้ไม้ตีที่ข้อมือดํา เพื่อให้มีดหลุดจากมือ ดังนี้ การที่แดงใช้ไม้ตีข้อมือดํา ก็เพื่อให้ภัยที่ก่อขึ้นพ้นไปจากตัวแดง

อย่างไรก็ดี ตามหลักเกณฑ์ข้อ 3. ดังกล่าว มีข้อยกเว้นอยู่ 3 ประการที่ผู้กระทําจะอ้างป้องกันไม่ได้ คือ

1) ผู้ที่เป็นต้นเหตุของภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมาย

2) ผู้ที่สมัครใจวิวาทต่อสู้กัน

3) ผู้ที่สมัครใจยินยอมให้ผู้อื่นกระทําความผิดต่อตน และอ้างว่าจําต้องกระทําต่อผู้อื่นเพื่อป้องกันตนเองไม่ได้

4) ต้องได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทําป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการคือ

1) ผู้ป้องกันได้ป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายนั้นด้วยวิถีทางที่ น้อยที่สุดเท่าที่จําต้องกระทํา เช่น ดําเป็นง่อยไปไหนไม่ได้ แดงจึงเขกศีรษะดําเล่น โดยเห็นว่าดําไม่มีทางกระทําตอบได้ ดําห้ามปรามเท่าใดแดงก็ไม่เชื่อฟัง ถ้าการที่ดําจะป้องกันมิให้แดงเขกศีรษะมีวิธีเดียวคือ ใช้มีดแทงแดง ต้องถือว่าการที่ดําใช้มีดแทงแดงนี้เป็นการกระทําพอสมควรแก่เหตุเพราะเป็นวิธีทางน้อยที่สุดที่จะป้องกันได้

2) ผู้ป้องกันได้กระทําการป้องกันโดยได้สัดส่วนกับภยันตราย ให้พิจารณาว่าอันตราย ที่จะบังเกิดขึ้นถ้าหากจะไม่ป้องกันจะได้สัดส่วนกับอันตรายที่ผู้กระทําได้กระทําเนื่องจากการป้องกันนั้นหรือไม่ เช่น คนเขาจะตบหน้าเราเราจะใช้มีดแทงเขาตายไม่ได้ เพราะความเจ็บอันเนื่องจากการถูกตบหน้า เมื่อมาเทียบกับ ความตายแล้วไม่ได้สัดส่วนกัน ฉะนั้นจึงถือว่าการเอามีดแทงเขาตายนี้เป็นการกระทําไปเกินสมควรแก่เหตุ จึงไม่มีอํานาจทําได้

 

ข้อ 3. วรชัยวิ่งไล่จับสุนัขของตนที่วิ่งหนีออกจากบ้านวรชัย วรชัยวิ่งไปชนเด็กชายตุ้มบุตรของโตล้มลงได้รับบาดเจ็บ วรชัยยังวิ่งตามสุนัขต่อไป โตเห็นบุตรของตนได้รับบาดเจ็บจึงวิ่งไล่ตามวรชัย พอทันกัน โตชักมีดออกแทงวรชัย วีรชนบุตรวรชัยเห็นโตใช้มีดแทงวรชัยจึงใช้ไม้ตีไปที่โต ต่อน้องชายโตอยู่ในเหตุการณ์เห็นวีรชนเงื้อไม้ขึ้นตีโต จึงเข้าไปผลักวีรชนล้มลงได้รับบาดเจ็บ ดังนี้ วรชัย วีรชน โต และต่อ ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่ และจะอ้างเหตุตามกฎหมายอะไรเพื่อไม่ต้องรับผิด ไม่ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงได้บ้าง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา
กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่ หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”
มาตรา 67 “ผู้ใดกระทําความผิดด้วยความจําเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อํานาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ

(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้น โดยวิธีอื่นใดได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน

ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทํา ความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วรชัย วีรชน โต และต่อ จะต้องรับผิดทางอาญาหรือไม่ และจะอ้างเหตุ เพื่อไม่ต้องรับผิด ไม่ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงได้อย่างไรหรือไม่นั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้ คือ

กรณีของวรชัย

การที่วรชัยวิ่งไล่จับสุนัขของตน แล้วไปชนถูกเด็กชายตุ้มบุตรของโตล้มลงได้รับบาดเจ็บนั้น วรชัยไม่ได้กระทําโดยเจตนา แต่ได้กระทําไปโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัย และพฤติการณ์ แต่วรชัยหาได้ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอไม่ จึงถือว่าวรชัยได้กระทําต่อเด็กชายตุ้มโดยประมาท ตามมาตรา 59 วรรคสี่ และต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

กรณีของโต

การที่โตเห็นบุตรของตนถูกวรชัยวิ่งชนจนได้รับบาดเจ็บ จึงได้วิ่งไล่ตามวรชัยจนทันแล้วชักมีดแทง วรชัยนั้น ถือว่าโตได้กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันโตประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของโตจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง โตจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อโตได้กระทําไปเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และได้กระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงไปในขณะนั้น จึงถือว่าโตได้กระทําความผิดเพราะเหตุบันดาลโทสะ ศาลจะลงโทษโต น้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ตามมาตรา 72 โดยโตจะอ้างว่าตนได้กระทําโดยเป็นการ ป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจึงไม่ต้องรับผิดตามมาตรา 68 ไม่ได้ เพราะภยันตรายที่เกิดขึ้นนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว

กรณีของวีรชน

การที่วีรชนบุตรของวรชัยเห็นโตแทงวรชัยบิดา จึงใช้ไม้ตีไปที่โต ถือว่าเป็นการที่วีรชนได้กระทํา ต่อโตโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทําและในขณะเดียวกัน วีรชนประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น วีรชนจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

และกรณีดังกล่าววีรชนจะอ้างว่าการกระทําของตนเป็นการป้องกันสิทธิของผู้อื่นโดยชอบ ด้วยกฎหมายเพื่อไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 ไม่ได้ เพราะการกระทําที่เป็นการป้องกันสิทธิของผู้อื่นนั้น ผู้อื่นต้องมีสิทธิป้องกันตนเองได้อยู่แล้ว แต่กรณีของวรชัยนั้น วรชัยได้ก่อให้เกิดภยันตรายขึ้นโดยประมาท วรชัยจึงไม่มีสิทธิป้องกันตนเอง แต่วีรชนสามารถอ้างได้ว่าตนได้กระทําความผิดด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67(2) เพื่อไม่ต้องรับโทษ เพราะเป็นการกระทําเพื่อให้ผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้น โดยวิธีอื่นใดได้และเป็นภยันตรายที่ตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้น

กรณีของต่อ

การที่ต่อน้องชายของโต เห็นวีรชนเงื้อไม้ขึ้นตีโต จึงเข้าไปผลักวีรชนล้มลงได้รับบาดเจ็บนั้น ถือว่าต่อได้กระทําต่อวีรชนโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทําและในขณะเดียวกันต่อก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น ต่อจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

และกรณีดังกล่าว ต่อจะอ้างว่าการกระทําของตน เป็นการป้องกันสิทธิของผู้อื่นโดยชอบ ด้วยกฎหมายเพื่อไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 ไม่ได้ เพราะโตได้ก่อให้เกิดภยันตรายขึ้นโดยเจตนา โตจึงไม่มีสิทธิป้องกันตนเอง (เช่นเดียวกับกรณีของวรชัย) แต่ต่อสามารถอ้างได้ว่าตนได้กระทําความผิด ด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67(2) เพื่อไม่ต้องรับโทษ (เช่นเดียวกับกรณีของวีรชน)

สรุป

วรชัยต้องรับผิดทางอาญา เพราะได้กระทําโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบวรรคสี่

วีรชนต้องรับผิดทางอาญา เพราะได้กระทําโดยเจตนา แต่ไม่ต้องรับโทษ เพราะได้กระทํา ความผิดด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67

โตต้องรับผิดทางอาญา เพราะได้กระทําโดยเจตนา แต่จะรับโทษน้อยลง เพราะได้กระทํา ความผิดเพราะเหตุบันดาลโทสะตามมาตรา 72

ต่อต้องรับผิดทางอาญา เพราะได้กระทําโดยเจตนา แต่ไม่ต้องรับโทษ เพราะได้กระทํา ความผิดด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67

 

ข้อ 4. สมยศต้องการฆ่าสมทรง สมยศจ้างสมเดชให้ไปจ้างหาญให้ไปฆ่าสมทรง ก่อนที่สมเดชจะไปจ้างหาญ สมยศเปลี่ยนใจไม่อยากฆ่าสมทรง จึงบอกเลิกการจ้างต่อสมเดช แต่สมเดชต้องการให้สมทรงตาย สมเดชจึงไปจ้างหาญให้ไปฆ่าสมทรง หาญไม่มีอาวุธ เก่งทราบว่า หาญจะไปฆ่าสมทรงแต่ไม่มีอาวุธปืน เก่งจึงให้หาญยืมอาวุธปืน ก่อนที่หาญจะไปฆ่าสมทรง สมเดชเกิดความกลัวว่าจะถูกจับด้วยหากหาญ ซัดทอด สมเดชจึงบอกเลิกการจ้างต่อหาญ หาญจึงไม่ทําการฆ่าสมทรง ดังนี้ สมยศ สมเดช และเก่ง ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือ ยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํายังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการ ที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความ สะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สมยศ สมเดช และเก่ง จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่ แยก พิจารณาได้ดังนี้คือ
กรณีของสมยศ

การที่สมยศต้องการฆ่าสมทรง สมยศจ้างสมเดชให้ไปจ้างหาญให้ไปฆ่าสมทรง แต่ก่อนที่สมเดช จะไปจ้างหาญ สมยศเปลี่ยนใจไม่อยากฆ่าสมทรง จึงบอกเลิกการจ้างต่อสมเดชนั้น ถือว่าสมยศไม่ต้องรับผิดต่อสมทรง ฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 เพราะความผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 นั้น จะต้องเป็น “การก่อให้ผู้อื่นกระทํา ความผิด” แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์สมยศเพียงแต่จ้างสมเดชให้ไปจ้างหาญให้ไปฆ่าสมทรงไม่ได้จ้างให้สมเดช ไปฆ่าสมทรง ดังนั้นสมเดชจึงมิใช่ “ผู้อื่น” ตามความหมายของบทบัญญัติมาตรา 84 และแม้ว่าต่อมาสมเดช จะได้ไปจ้างหาญให้ไปฆ่าสมทรง การกระทําของสมเดชก็ไม่ถือว่าเป็นเพราะการใช้ของสมยศ เพราะสมยศได้บอกเลิก การจ้างต่อสมเดชแล้วนั่นเอง

กรณีของสมเดช
การที่สมเดชต้องการให้สมทรงตาย สมเดชจึงไปจ้างหาญให้ไปฆ่าสมทรงนั้น ถือว่าเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิด สมเดชจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคแรก แต่เมื่อความผิดที่ใช้ยังมิได้กระทําลงเพราะสมเดชได้บอกเลิกการจ้างต่อหาญ หาญจึงไม่ทําการฆ่าสมทรง สมเดชจึงต้องรับโทษเพียง 1 ใน 3 ของโทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นตามมาตรา 84 วรรคสอง

กรณีของเก่ง
การที่เก่งให้หาญยืมอาวุธปืนนั้น ถึงแม้จะเป็นการกระทําอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวก แก่ผู้อื่นในการกระทําความผิด แต่เมื่อปรากฏว่าหาญยังไม่ได้ลงมือกระทําความผิด เก่งจึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็น ผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

สรุป

สมยศไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้
สมเดชต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้ โดยรับโทษ 1 ใน 3 ตามมาตรา 84
เก่งไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุน

RAM1000 ความรู้คู่คุณธรรม การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา RAM 1000 ความรู้คู่คุณธรรม
คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. “ความรู้สึกตระหนักถึงส่วนรวม’’ คือความหมายของแนวคิดใด
(1) การพัฒนาสังคม
(2) ความผูกพันสังคม
(3) ความเมตตา
(4) จิตสาธารณะ
ตอบ 4 จิตสาธารณะ (Public Mind) คือ ความรู้สึกตระหนักถึงส่วนรวม หรือ เป็นการตระหนักรู้ตนที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม

2. การมีภูมิคุ้มกันที่ดีเกี่ยวข้องกับเรื่องใดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
(1) การประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า
(2) ความพอประมาณ
(3) ความมีเหตุผล
(4) ความรับผิดชอบ
ตอบ 1 การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับกับ ผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม ที่จะเกิดขึ้น โดยต้องคำนึงถึงความเป็นไปได้และประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ ล่วงหน้าที่คาดว่า จะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล เพื่อให้สามารถปรับตัวและรับมือได้อย่างทันท่วงที

3. ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดคุณธรรมจริยธรรม คือข้อใด
(1) การสร้างในตนเอง
(2) การอบรม
(3) การได้รับรางวัล
(4) การลงโทษ
ตอบ 1 คุณธรรมจริยธรรมในมนุษย์แต่ละคนอาจเกิดจากลักษณะดังนี้
1. การเลียบแบบ 2. การสร้างในตนเอง
3. การบำเพ็ญประโยชน์และพันธสัญญาประชาคม

4. ขั้นที่สองของทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ เกี่ยวข้องกับการกระทำในข้อใด
(1) การแบ่งสรรทรัพยากรของชุมชน
(2) ถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการผลิต
(3) การรวมพลังคนในชุมชนในการผลิต
(4) แบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม
ตอบ 3 ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริขั้นที่ 2 หลังจากที่เกษตรกรได้ปฏิบัติตาม หลักการในขั้นที่ 1 จนได้ผลแล้ว ก็จะเริ่มพัฒนาไปสู่ขั้นของการรวมพลังเกษตรกรในชุมชน ให้เป็นกลุ่มหรือสหกรณ์ เพื่อร่วมแรงร่วมใจกันดำเนินกิจกรรมด้านต่าง ๆ ได้แก่
1. การผลิต 2. การตลาด 3. ความเป็นอยู่ของครอบครัว 4. สวัสดิการ
5. การศึกษา 6. สังคมและศาสนา

5. คำสำคัญของแนวคิดจิตสาธารณะคืออะไร
(1) ส่วนต่าง
(2) ส่วนได้เสีย
(3) ส่วนลึกของจิตใจ
(4) ส่วนรวม
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

6. การศึกษาแบบใดที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ
(1) การศึกษาเปลี่ยนระบบ
(2) การศึกษาตามท้องถิ่น
(3) การศึกษานอกระบบ
(4) การศึกษาเพื่อการพัฒนา
ตอบ 3 การศึกษาที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศมีหลักภารพื้นฐานว่า มนุษย์ที่มีคุณภาพต้องได้รับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย เพื่อให้สามารถพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องและตลอดชีวิต

7. ในการใช้สถานที่จัดตั้งแรกเริ่ม มหาวิทยาลัยรามคำแหงใช้สถานที่ร่วมกับหน่วยงานใด
(1) กรมเศรษฐสัมพันธ์
(2) กรมสามัญศึกษา
(3) กรมวิเทศสัมพันธ์
(4) สภาการศึกษาแห่งชาติ
ตอบ 1
สถานที่ตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหงตามที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติในคราวประชุมเมื่อ วันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 เป็นมติให้ใช้เป็นสถานที่ชั่วคราว โดยเป็นการใช้สถานที่ร่วมกันกับกรมเศรษฐสัมพันธ์ ซึ่งเป็นส่วนราชการที่ดูแลสถานที่แสดงสินค้าในขณะนั้น

8. ในการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยแหล่งใดหรือประสบการณใดที่เป็นเหตุการณตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า บุคคลในสังคมขาดคุณธรรม
(1) การเดินทางในชั่วโมงเร่งด่วน
(2) การซื้อของในห้างสรรพสินค้า
(3) อุบัติเหตุในท้องถนน
(4) หนังสือพิมพ์รายวันหน้าแรก
ตอบ 4 ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่าบุคคลในสังคมขาดคุณธรรม คือ หนังสือพิมพ์รายวัน หน้าแรกที่มีแต่ข่าวฆาตกรรม ข่มขืน จี้ปล้น ฉ้อโกง ฯลฯ ซึ่งหากคนในสังคมมีคุณธรรมและ จริยธรรมในการดำเนินชีวิต เหตุการณ์รุนแรงเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้น สังคมก็จะมีแต่ความสงบสุข

9. กรณีใดต่อไปนี้คือ บุคคลที่นำหลักคุณธรรมมาใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิต
(1) ชาติชายอดทนทุกอย่างเพื่อให้เพื่อนได้ดี
(2) ดำรงทำดีเฉพาะคนที่ทำดีกับเขาเท่านั้น
(3) สมสมรทำดีเมื่ออยู่ต่อหน้าคน
(4) สายสมรเข้าใจธรรมชาติของตนเองและผู้อื่น
ตอบ 4 บุคคลในตัวเลือกข้อ 4 นำหลักคุณธรรมมาใช้เป็นแนวทางการดำเนินชีวิต ดังนี้
1. หลักการครองตน คือ การรู้จักตนเองและทำตามที่ตนเองต้องการ เข้าใจธรรมชาติของตนเอง และสามารถควบคุมตนเองได้ เป็นผู้ที่มีเป้าหมายในชีวิตที่แน่นอน
2. หลักการครองคน คือ การรู้จักและเข้าใจธรรมชาติผู้อื่น โดยการมองคนอื่นในแง่ดีอยู่เสมอ และพร้อมให้โอกาส

10. สิ่งใดใช้เป็นหลักยึดในจิตใจหรือความคิดของผู้มีคุณธรรม
(1) ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
(2) สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ
(3) บุญและบาปมีจริง
(4) เขาดีเราดีตอบ เขาร้ายเราร้ายตอบ
ตอบ 3 สิ่งที่ใช้เป็นหลักยึดในจิตใจหรือความคิดของผู้มีคุณธรรมที่ครอบคลุมมากที่สุด คือ บุญและบาปมีจริง ซึ่งตามทัศนะของพุทธศาสนาถือว่า “บุญ” และ “บาป” เกิดจากจิต หากจิตคิดดีย่อมแสดงพฤติกรรมที่ดีออกมาทางกายและวาจา เรียกว่า “บุญ” แต่ถ้าจิตคิดชั่ว ย่อมแสดงพฤติกรรมที่ชั่วออกมาทางกายและวาจา เรียกว่า “บาป”

11. การคิดวิเคราะห์ พิจารณาตัดสินคุณค่าและความดีงาม เป็นปัจจัยใดที่ทำให้เกิดจิตสาธารณะ
(1) ปัจจัยสภาพแวดล้อม
(2) ปัจจัยภายนอก
(3) ปัจจัยภายใน
(4) เอกตปัจจัย
ตอบ 3 ไพบูลย์ วัฒนสิริธรรม และสังคม สัญจน กล่าวถึงปัจจัยแวดล้อมทั้งภายใน และภายนอกที่ก่อให้เกิดจิตสาธารณะไว้ดังนี้
1. ปัจจัยภายนอก หมายถึง ปัจจัยที่เกี่ยวกับภาวะทางสัมพันธภาพของมนุษย์ ภาวะทางสังคม
2. ปัจจัยภายใน หมายถึง การคิดวิเคราะห์ของแต่ละบุคคลในการพิจารณาตัดสินคุณค่าและ ความดีงาม ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมและการประพฤติปฏิบัติ โดยเฉพาะการปฏิบัติทางจิตใจ

12. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดใดเป็นผู้เสนอชื่อมหาวิทยาลัย “รามคำแหง”
(1) สมุทรสาคร
(2) หนองคาย
(3) ขอนแก่น
(4) พัทลุง
ตอบ 3 ในวาระที่ 2 มีประเด็นที่สำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ชื่อร่างพระราชบัญญัติ” เกี่ยวกับ ประเด็นนี้ได้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หลายคนอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง และมีการ เสนอชื่ออื่นอีก ได้แก่ มหาวิทยาลัยรัตนโกสินทร์ มหาวิทยาลัยราษฎร มหาวิทยาลัยประชาชน มหาวิทยาลัยของปวงชนชาวไทย และมหาวิทยาลัยรามคำแหง สำหรับชื่อมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นชื่อที่นายแคล้ว นรปติ ส.ส จังหวัดขอนแก่น เป็นผู้เสนอ

13. ข้อใดคือความหมายของจิตสาธารณะ
(1) ความรู้สึกตระหนักถึงส่วนรวม
(2) สัมพันธภาพในครอบครัว
(3) เอกลักษณ์แห่งตน
(4) การดูแลสิ่งแวดล้อม
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

14. ความหมายของ “จิตสาธารณะ” เป็นลักษณะใกล้เคียงกับสิ่งใดในจิตใจของมนุษย์
(1) จิตแฝงเร้น
(2) จิตภายนอก
(3) จิตส่วนบุคคล
(4) จิตสำนึก
ตอบ 4 คำว่า “จิตสาธารณะ” เป็นคำที่มีผู้ให้ความหมายไว้ต่าง ๆ นานา เนื่องจากยังเป็น คำใหม่ที่สังคมไทยเริ่มใช้กัน โดยภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Public Mind” และมีคำใกล้เคียงกัน คือ คำว่า “จิตสำนึกสาธารณะ” หรือ “Public Consciousness”

15. ชื่อใดที่เคยได้รับการเสนอก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรตัดสินใจเลือกชื่อ “มหาวิทยาลัยรามคำแหง”
(1) มหาวิทยาลัยประชาชน
(2) มหาวิทยาลัยตลาดวิชา
(3) มหาวิทยาลัยเปิดนอกระบบ
(4) มหาวิทยาลัยชาติไทย
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 12. ประกอบ

16. กลุ่มนักการเมืองที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหง ส่วนใหญ่สังกัดพรรคการเมืองใด
(1) เสรีมนังคศิลา
(2) ก้าวหน้า
(3) ประชาธิปัตย์
(4) สหประชาไทย
ตอบ 4 ในปี พ.ศ. 2512 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จากทุกภาคของประเทศ ที่สังกัดพรรคสหประชาไทยได้ร่วมลงชื่อเสนอร่างกฎหมายจัดตั้งมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ (มหาวิทยาลัยรามคำแหง) ได้แก่
1. นายประมวล กุลมาตย์ ส.ส. จังหวัดชุมพร เป็นผู้จัดทำร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย…..พ.ศ…..
2. นายสวัสดิ์ คำประกอบ ส.ส. จังหวัดนครสวรรค์
3. นายญวง เอี่ยมศิลา ส.ส. จังหวัดอุดรธานี
4. นายยศ อินทรโกมาลย์สุต ส.ส. จังหวัดนครราชสีมา
5. นายประสิทธิ์ ชูพินิจ ส.ส. จังหวัดกำแพงเพชร ฯลฯ

17. ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปจนขาดแคลนและไม่มากเกินศักยภาพ คืออะไร
(1) ความสมดุล
(2) ความสมถะ
(3) ความยืดหยุ่น
(4) ความพอประมาณ
ตอบ 4 ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปจนขาดแคลน และไม่มากเกินศักยภาพ โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เป็นความพอดีในการผลิตและการ บริโภคที่พิจารณาแล้วว่าจำเป็นและเหมาะสมกับสถานะของตนเอง สิ่งแวดล้อมโดยรอบ รวมทั้งสังคมและวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่

18. เนื่องจากจิตใจของคนเราอ่อนไหวผันแปรได้ง่าย จำเป็นต้องมีสิ่งใดเป็นตัวกำกับ
(1) ปัญหา
(2) ปัญญา
(3) ทัศนคติ
(4) ความเชื่อ
ตอบ 2 เมื่อพิจารณาให้ลึกลงไปแล้ว จิตใจของคนเราย่อมอ่อนไหวผันแปรได้ง่าย หากไม่มีปัญญาเป็นตัวกำกับ อาจมีสิ่งจูงใจให้จิตใจอ่อนไหวไปตามโลกธรรม คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ แต่ถาหากบุคคลผู้นั้นเป็นผู้มีปัญญารู้แจ้งในความเป็นจริงของโลกและชีวิตปัญญาก็จะเป็นตัวชี้นำไม่ให้จิตใจอ่อนไหวไปตามสิ่งที่มากระทบ จิตใจก็จะเข้มแข็งไม่อ่อนไหวปรวนแปร

19. กรรมาธิการในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. มหาวิทยาลัย…..พ.ศ…..ประกอบด้วยกรรมาธิการฝ่ายผู้แทนจำนวนกี่คน
(1) 6 คน
(2) 7 คน
(3) 8 คน
(4) 9 คน
ตอบ 3 นายประมวล กุลมาตย์ เจ้าของร่าง พ.ร.บ. มหาวิทยาลัย…..พ.ศ…..เสนอแต่งตั้งกรรมาธิการวิสามัญ ซึ่งที่ประชุมลงมติให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา 15 คน ประกอบด้วย กรรมาธิการฝ่ายรัฐบาลจำนวน 7 คน และกรรมาธิการฝ่ายผู้แทนจำนวน 8 คน

20. สถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำ เราควรนำหลักคุณธรรมข้อใดมาใช้ในการดำเนินชีวิต
(1) ความรอบคอบ
(2) ความอดทน
(3) ความกล้าหาญ
(4) ความเมตตา
ตอบ 2 หลักคุณธรรมที่ควรนำมาใช้ดำเนินชีวิตในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ได้แก่
1. ความอดทน (ขันติ) คือ อดทนอดกลั้นต่อความลำบากตรากตรำ อดทนต่อการทำหน้าที่ การงานด้วยความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน
2. การประหยัด คือ ใช้จ่ายแต่พอควรแก่ฐานะ ความเป็นอยู่ต้องไม่ฟุ้งเพ้อ ไม่ฟุ้มเฟือย ต้องประหยัดไปในทางที่ถูกต้อง

21. การศึกษาวิชา RAM 1000 ความรู้คู่คุณธรรม คือกระบวนการผลิตบัณฑิตให้สอดคล้องกับอะไร
(1) ความน่าเชื่อถือของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
(2) วิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
(3) พันธกิจของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
(4) อัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ตอบ 4 วัตถุประสงค์ของการเปิดสอนและการศึกษาวิชา RAM 1000 ความรู้คู่คุณธรรม ก็เพื่อผลิตบัณฑิตให้สอดคล้องกับอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง คือ มุ่งผลิตบัณฑิต ที่มีความรู้คู่คุณธรรม ซึ่งเป็นคุณลักษณะของบัณฑิตที่ทำให้สังคมยอมรับ

22. วัตถุประสงค์การเปิดสอนวิชา RAM 1000 ความรู้คู่คุณธรรม เพื่อให้การผลิตบัณฑิตของมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นไปตามอะไร
(1) อัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
(2) วิสัยทัศน์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
(3) พันธกิจของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
(4) เอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 21. ประกอบ

23. ข้อใดคือเป้าประสงค์ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
(1) สมดุล พร้อมรับการเปลี่ยนนปลง
(2) ทางสายกลาง
(3) ความพอเพียง
(4) หลักวิชา
ตอบ 1 เป้าประสงค์ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ ให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับ การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจาก โลกภายนอกได้เป็นอย่างดี

24. คณะกรรมการเตรียมการเปิดมหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งอธิบดีกรมพลศึกษาในขณะนั้นคือใคร
(1) นายก่อ สวัสดิพาณิชย์
(2) นายบุญสม มาร์ติน
(3) นายสุขุม นวพันธ์
(4) นายเรณู สุวรรณสิทธิ์
ตอบ 2 กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิชุดแรกในการเตรียมการเปิดมหาวิทยาลัยรามคำแหง มีรายนามและตำแหน่งในขณะนั้น คือ
1. นายเรณู สุวรรณสิทธิ์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ
2. นายบุญสม มาร์ติน อธิบดีกรมพลศึกษา
3. นายสุขุม นวพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารทหารไทย
4. นายก่อ สวัสดิพาณิชย์ อธิบดีกรมสามัญศึกษา

25. “คน” จัดว่าเป็นทรัพยากรประเภทใดที่ต้องพัฒนา
(1) ทรัพยากรมนุษย์
(2) ทรัพยากรธรรมชาติ
(3) ทรัพยากรคุณธรรม
(4) ทรัพยากรชีวิต
ตอบ 1 คนจัดเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่าและสำคัญต่อการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน โดยมนุษย์ ที่ได้รับการพัฒนาควบคู่ทั้งด้านความรู้และจิตใจ (สุขภาวะจิต) ถือได้ว่าเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ อย่างมีคุณภาพ

26. เมื่อมหาวิทยาลัยรามคำแหงได้เปิดทำการสอนมา 4 ปีเศษแล้ว มีผู้สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรี คณะที่มีผู้สำเร็จการศึกษาจำนวนน้อยที่สุดในวันพิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรก คือคณะใด
(1) คณะรัฐศาสตร์
(2) คณะบริหารธุรกิจ
(3) คณะวิทยาศาสตร์
(4) คณะมนุษยศาสตร์
ตอบ 3 เมื่อมหาวิทยาลัยรามคำแหงได้เปิดทำการสอนมา 4 ปีเศษ ในปีการศึกษา 2517 มีผู้สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีจำนวน 1,256 คน ซึ่งได้เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร ในวันพิธีพระราชทานปริญญาบัตรครั้งแรกของมหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยคณะที่มีผู้สำเร็จ การศึกษาจำนวนน้อยที่สุด คือ คณะวิทยาศาสตร์ มี 10 คน ส่วนคณะที่มีผู้สำเร็จการศึกษา จำนวนมากที่สุด คือ คณะนิติศาสตร์ มี 473 คน

27. การวางแผนเพื่อให้เกิดโอกาสความสำเร็จสูง ต้องใช้เงื่อนไขใดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
(1) เงื่อนไขคุณธรรม
(2) เงื่อนไขหลักวิชา
(3) เงื่อนไขชีวิต
(4) เงื่อนไขพื้นฐาน
ตอบ 2 เงื่อนไขหลักวิชาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ การดำเนินกิจกรรมใดต้องอาศัย ความรอบรู้เชิงวิชาการที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาวางแผนและปฏิบัติการตามแผน ด้วยความรอบคอบและระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในภารดำเนินการ เพราะการวางแผนที่อาศัยความรู้ที่เป็นหลักวิชาย่อมมีโอกาสประสบความสำเร็จสูง และหากได้ปฏิบัติตามแผนอย่างระมัดระวัง โอกาสผิดพลาดก็จะเกิดขึ้นน้อยมาก

28. เหตุผลสำคัญที่ประเทศไทยเกิดวิกฤติ “ต้มยำกุ้ง” ในปี พ.ศ. 2540
(1) การไม่ปฏิบัติตามแผนพัฒนาของประเทศ
(2) การพัฒนาประเทศไม่สมดุล
(3) การวางแผนอย่างไม่มีวิสัยทัศน์
(4) การใช้ทรัพยากรไม่ทั่วถึง
ตอบ 2 สาเหตุที่ประเทศไทยเกิดวิกฤติการเงินที่เรียกว่า “วิกฤติต้มยำกุ้ง” ในปี พ.ศ. 2540 คือ การพัฒนาประเทศไม่สมดุล เพราะไม่ได้คำนึงถึงความเหมาะสมของการพัฒนาที่หวังพึ่งองค์ความรู้และเงินทุนจากต่างประเทศ กับศักยภาพภายในประเทศทั้งในเรื่องของโครงสร้าง พื้นฐาน ความพร้อมของระบบและคน ทำให้การพัฒนาดำเนินไปอย่างไม่มีเสถียรภาพ

29. กรรมการจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหง เริ่มจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในสมัยนั้น ท่านใดที่เป็นผู้จัดทำร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย…..พ.ศ…..
(1) นายญวง เอี่ยมศิลา
(2) นายสุรินทร์ เทพกาญจนา
(3) นายสวัสดิ์ คำประกอบ
(4) นายประมวล กุลมาตย์
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

30. ตามหลักจิตวิทยา การเกิดจิตสำนึกของเด็กจากการอบรมเลี้ยงดูตั้งแต่ช่วงแรกเกิดจนถึงอายุประมาณเท่าใด
(1) 6 ปี
(2) 4 ปี
(3) 3 ปี
(4) 2 ปี
ตอบ 1 การปลูกฝังจิตสาธารณะควรเริ่มทำก่อนอายุ 6 ปี เพราะตามหลักการทางจิตวิทยา การเกิดจิตสำนึกของเด็กจะถูกพัฒนามาจากการอบรมเลี้ยงดูในช่วงแรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 6 ปี ซึ่งความซื่อสัตย์สุจริตและความเสียสละจะเกิดขึ้นตั้งแต่การอบรมบ่มเพาะในครอบครัว โดยพ่อแม่และบุคคลในครอบครัวจะเป็นตัวแบบในการดำเนินชีวิตตามหลักศีลธรรม

31. กล่าวโดยสรุป คำว่า “คุณธรรม’’ และ “จริยธรรม” เกี่ยวข้องกับอะไร
(1) พลวัตรของวัฒนธรรม
(2) การเปลี่ยนแปลงค่านิยมของสังคม
(3) คุณงามความดี
(4) การหล่อหลอมค่านิยมของโลก
ตอบ 3 ความหมายของคำว่า “คุณธรรม” และ “จริยธรรม” เป็นเรื่องที่ เกี่ยวพันกันในด้านคุณงามความดี แต่จะมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ
1. คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความดีที่อยู่ภายในจิตใจของบุคคล เช่น ความกตัญญูกตเวที ความซื่อสัตย์สุจริต ความมีน้ำใจ เสียสละ อดทน ฯลฯ
2. จริยธรรม หมายถึง ความประพฤติที่ถูกต้องดีงามทั้งกายและวาจา สมควรที่บุคคลจะประพฤติปฏิบัติเป็นพฤติกรรมภายนอก ดังนั้นจริยธรรมจึงเป็นเรื่องของการแสดงออก ให้เห็นเป็นประจักษ์

32. ความมีเหตุผล จัดอยู่ในข้อคิดใดของหลักเศรษฐกิจพอเพียง
(1) เป้าประสงค์
(2) แนวคิดหลัก
(3) เงื่อนไข
(4) หลักการ
ตอบ 4
หลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ ความพอเพียง ซึ่งหมายถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี พอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอก

33. สุภาษิตสอนหญิง เป็นตัวอย่างของวรรณคดีที่ผู้อ่านพัฒนาสิ่งใด
(1) ความงาม
(2) การแสดงออกทางอารมณ์
(3) คุณธรรมจริยธรรม
(4) จิตสาธารณะ
ตอบ 3 แหล่งที่มาของคุณธรรมและจริยธรรม ได้แก่
1. ปรัชญาต่าง ๆ 2. ศาสนาต่าง ๆ 3. วรรณคดี ซึ่งจะมีแนวคิดคำสอนที่เป็นแนวปฏิบัติได้ เช่น สุภาษิตพระร่วง โคลงโลกนิติ และสุภาษิตสอนหญิง 4. สังคม ได้แก่ ขนบธรรมเนียมประเพณี 5. การเมืองการปกครอง

34. ข้อใดคือหลักคุณธรรมสำหรับการทำหน้าที่ได้ถูกต้องเหมาะสม
(1) ทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ
(2) ทำหน้าที่เกินสิ่งที่ได้รับมอบหมาย
(3) ทำหน้าที่เมื่อได้รับมอบหมายเท่านั้น
(4) ทำหน้าที่เมื่อมีคนสั่ง
ตอบ 1 หลักคุณธรรมจริยธรรมสำหรับการทำหน้าที่ได้ถูกต้องเหมาะสม คือ การทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ หรือเต็มศักยภาพที่ตนเองมี โดยต้องเป็นการกระทำที่ เหมาะสมตามหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องสมบูรณ์ เว้นสิ่งที่ควรเว้น และทำสิ่งที่ควรทำด้วยความฉลาดรอบคอบ รู้เหตุรู้ผลถูกต้องตามกาลเทศะและบุคคล

35. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของบุคคลที่มีจิตสาธารณะ
(1) ความเฉลียวฉลาด
(2) มีความเชื่อใจ ไว้ใจผู้อื่น
(3) ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล
(4) มีความรัก เอื้ออาทร
ตอบ 1 คุณลักษณะของบุคคลทีมีจิตสาธารณะ มีดังนี้
1. มีความรัก ความเอื้ออาหร
2. มีความเชื่อใจ ไว้ใจผู้อื่น
3. มีการเรียนรู้ร่วมกันและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
4. สามารถยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล
5. มีปฏิสัมพันธ์ผ่านทางเครือข่ายและการมีส่วนร่วม

36. ศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ ผาสุกนิรันต์ เคยดำรงตำแหน่งทางการบริหารมหาวิทยาลัยของมหาวิทยาลัยใด
(1) มหาวิทยาลัยศิลปากร
(2) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(3) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(4) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ตอบ 3 ประวัติของศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ, ผาสุขนิรันต์มีดังนี้
1. สำเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ก่อนที่จะไป ศึกษาปริญญาเอก ณ ต่างประเทศ
2. เคยดำรงตำแหน่งทางการบริหารโดยเป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
3. ทำงานด้านการเมืองในตำแหน่งรองโฆษกรัฐบาลในรัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจร
4. เป็นประธานกรรมการเตรียมการเปิดมหาวิทยาลัยรามคำแหง
5. ดำรงตำแหน่งอธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัยรามคำแหง

37. ข้อใดไม่ใช่แหล่งที่มาของคุณธรรม
(1) ปรัชญาต่าง ๆ
(2) ศาสนาต่าง ๆ
(3) ขนบธรรมเนียมประเพณี
(4) ภัยพิบัติ
ตอบ 4 .ดูคำอธิบายข้อ 33. ประกอบ

38. การรักษาวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงาม คือคุณสมบัติที่ดีของใครตามหลักการความพอเพียงระดับครอบครัว
(1) บุตรชาย
(2) แม่บ้าน
(3) หัวหน้าครอบครัว
(4) ปู่ย่าตายาย
ตอบ 3 หน้า 68 คุณสมบัติของหัวหน้าครอบครัว มีดังนี้
1. รับผิดชอบดูแลครอบครัวด้วยการประกอบอาชีพสุจริต
2. บริหารจัดการรายรับและรายจ่ายให้เกิดความสมดุล
3. รู้จักประหยัดด้วยการใช้สิ่งของอย่างคุ้มค่า
4. มีการออมเงิน แต่ไม่ตระหนี่
5. มีการแบ่งปันตามสมควร
6. ลดละเลิกอบายมุข
7. รักษาวัฒนธรรม ประเพณีอันดีงาม ฯลฯ

39. หลักการในข้อใดที่ใช้ในการพัฒนาจิตสาธารณะ
(1) หลักจริยธรรม
(2) หลักคุณธรรม
(3) หลักศีลธรรม
(4) หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ตอบ 4 หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ถือเป็นหลักการที่ใช้พัฒนาจิตสาธารณะของบุคคลได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะหากเรานำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างจริงจัง เชื่อว่าทุกคนในชาติหรือในระดับโลกจะเป็นบุคคลที่มีจิตสาธารณะที่มองเห็นแต่ประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น อันจะนำมาซึ่งความสงบสุขของสังคมไทยและสังคมโลกได้อย่างแน่นอน

40. “การรู้จักเอาใจใส่เป็นธุระและเข้าร่วมในเรื่องส่วนรวมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ มีความสำนึก และยึดมั่นในระบบคุณธรรม และจริยธรรมที่ดีงาม ละอายต่อสิ่งผิด เน้นความเรียบร้อย ประหยัด และ มีความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ” คิอนิยามของแนวคิดหรือหลักการใด
(1) คุณธรรม
(2) จิตสาธารณะ
(3) จิตสำนึก
(4) จริยธรรม
ตอบ 2 สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ให้ความหมายของจิตสาธารณะว่า การรู้จักเอาใจใส่เป็นธุระและเข้าร่วมในเรื่องของส่วนรวมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ มีความสำนึก และยึดมั่นในระบบคุณธรรม และจริยธรรมที่ดีงาม ละอายต่อสิ่งผิด เน้นความเรียบร้อย ประหยัด และมีความสมดุลระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ

41. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
(1) คุณธรรมเกี่ยวข้องกับความประพฤติ และจริยธรรมเกี่ยวข้องกับจิตใจ
(2) คุณธรรมเกี่ยวข้องกับจินตนาการ และจริยธรรมเกี่ยวชข้องกับความประพฤติ
(3) คุณธรรมเกี่ยวข้องกับจิตใจ และจริยธรรมเกี่ยวข้องกับความประพฤติ
(4) คุณธรรมเกี่ยวช้องกับจิตใจ และจริยธรรมเกี่ยวข้องกับจินตนาการ
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ

42. ตามแนวคิดจิตสาธารณะ ถ้าบุคคลมองว่าทรัพยากร สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เป็นของตนเอง อะไรจะเกิดขึ้นในสังคม
(1) ความขัดแย้ง
(2) สังคมมีแต่ความเพ้อผัน
(3) บุคคลในสังคมขาดจินตนาการ
(4) สังคมมีขนาดเล็กลง
ตอบ 1 จิตสาธารณะเป็นแนวทางหนึ่งที่สังคมเริ่มมาให้ความสนใจ เพราะหากเราไม่มีจิตสาธารณะ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน คิดว่าทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมทุกอย่าง เป็นของตนเอง จนมองข้ามประโยชน์ส่วนรวมไป คงอีกไม่นานประเทศชาติก็คงถึงจุดที่มีแต่ความขัดแย้ง มีการสูญเสียทรัพยากรและสมบัติที่เป็นของชาติไป

43. การวัดระดับคุณธรรมทำได้สองระดับคืออะไร
(1) ด้านดี และด้านชั่ว
(2) ด้านสุข และด้านทุกข์
(3) ด้านโลกียธรรม และด้านโลกุตรธรรม
(4) ด้านตนเอง และด้านผู้อื่น
ตอบ 3 การวัดระดับของคุณธรรมจริยธรรมทำได้ 2 ระดับ ดังนี้
1. ระดับโลกียธรรม ได้แก่ ธรรมอันเป็นวิสัยของมนุษยโลก สภาวะเนื่องกับโลก เช่น ศีล 5
2. ระดับโลกุตรธรรม ได้แก่ ธรรมอันมิใช่โลก สภาวะพ้นโลก เช่น มรรค 4 ผล 4 นิพพาน 1

44. นายยศ อินทรโกมาลย์สุต เป็นสมาชิกสภาผู้แทนคนหนึ่งที่ร่วมลงชื่อเสนอร่างกฎหมายจัดตั้งมหาวิทยาลัย รามคำแหง ขณะนั้นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนจังหวัดใด
(1) หนองคาย
(2) ขอนแก่น
(3) อุดรธานี
(4) นครราชสีมา
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

45. ความหมายของคำว่า “จิตสาธารณะ (Public Mind)” กับ “จิตสำนึกสาธารณะ (Public Consciousness)” เมื่อพิจารณาทั้งภาษาไทยร่วมกับภาษาอังกฤษนั้นเป็นอย่างไร
(1) แตกต่างกันทั้งหมดไม่สามารถใช้แทนกันได้
(2) เกี่ยวข้องกันในบางกรณี
(3) คำว่า“จิตสาธารณะ”ใช้ในประเทศไทยเท่านั้น
(4) ใกล้เคียงกัน
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ

46. การช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มใจ ไม่หวังผลตอบแทน คือลักษณะใดของบุคคล
(1) ความหวังดี
(2) ความกรุณา
(3) จิตสาธารณะ
(4) ความซื่อสัตย์
ตอบ 3 ทิพมาศ เศวตวรโชติ กล่าวว่า การดำรงชีวิตในสังคมที่มีการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น อย่างเต็มใจ โดยไม่หวังผลตอบแทน ถึงแม้ว่าเรื่องราวหรือเหตุการณ์นั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเรา หรือเราไม่ได้เดือดร้อนด้วย แต่ก็เต็มใจที่จะแบ่งปันให้การช่วยเหลือเอื้ออาทรต่อกัน นั่นคือ การแสดงความมีจิตสาธารณะ

47. คุณธรรมจริยธรรมใช้เป็นอะไรในการพัฒนาคนด้านจิตใจและการกระทำ
(1) รางวัล
(2) แนวทางการลงโทษ
(3) การให้ความรู้
(4) บรรทัดฐาน
ตอบ 4 คุณธรรมจริยธรรมได้ถูกหยิบยกมาเป็นบรรทัดฐานอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาคน ในด้านจิตใจและการประพฤติปฏิบัติ (การกระทำ) เพราะคนหรือมนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องอยู่ร่วมกัน มีข้อตกลงและมีเป้าหมายร่วมกัน ซึ่งผลที่เกิดขึ้นสุดท้ายกับสังคมที่คนส่วนใหญ่มีคุณธรรมจริยธรรมก็คือ ความสงบสุขและมีสันติอย่างยั่งยืน

48. ข้อใดคือความเสี่ยงที่มักเกิดขึ้นกับเกษตรกรไทย
(1) การหาพันธุ์พืช
(2) การเสื่อมของปุ๋ย
(3) ขาดประสบการณ์
(4) การขาดแคลนแรงงาน
ตอบ 4 ความเสี่ยงที่เกษตรกรไทยมักพบอยู่เป็นประจำ ได้แก่
1. การขาดแคลนน้ำ ฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วง 2. ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
3. สภาพดินที่ไม่เหมาะสม 4. โรคระบาดและศัตรูพืช
5. การพึ่งพาปัจจัยการผลิตสมัยใหม่จากต่างประเทศที่มีราคาสูง
6. การขาดแคลนแรงงาน
7. มีหนี้สินจนต้องสุญเสียที่ดินทำกิน

49. เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 เลขาธิการองค์การสหประชาชาติได้ขอพระราชทานวโรกาสเข้าทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านใด
(1) การพัฒนามนุษย์
(2) ประวัติศาสตร์
(3) ภูมิศาสตร์
(4) ศึกษาศาสตร์
ตอบ 1 เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 นายโคฟี่ อันนัน ซึ่งเป็นเลขาธิการองค์) สหประชาชาติ (UN) ในขณะนั้นได้ขอพระราชทานพระราชวโรกาสเข้าเฝ้าทูลเกล้าฯ ถวายรางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UN) แด่ในหลวงรัชกาลที่ 9

50. วิกฤติต้มยำกุ้ง เป็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องใด
(1) การเมือง
(2) การเงิน
(3) การปกครอง
(4) การพัฒนา
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ

51. ระบบการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะใดหรือภาควิชาใดมีหน้าที่เกี่ยวกับสาขาวิชาใด ก็อำนวยการศึกษาและวิจัยในสาขาวิชานั้น ๆ แก่นักศึกษาทุกคนทั่วทั้งมหาวิทยาลัย เรียกว่าระบบการเรียนการสอนแบบใด
(1) Intermediate Program
(2) Interdivision Program
(3) International Program
(4) Interdisplinery Program
ตอบ 4 ร่างข้อบังคับฯ ว่าด้วยการศึกษาชั้นปริญญาตรี พ.ศ. 2514 ได้กำหนดระบบบการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งอำนวยการศึกษาด้วยวิธีประสานงาน ด้านวิชาการระหว่างสาขาวิชา (Interdisplinery Program) กล่าวคือ คณะใดหรือภาควิชาใด มีหน้าที่เกี่ยวกับสาขาวิชาใดก็อำนวยการศึกษาและวิจัยในสาขาวิชานั้น ๆ แก่นักศึกษา ทั่วทั้งมหาวิทยาลัย

52. การแก้ปัญหาของมนุษย์ควรใช้อะไรเป็นหลัก
(1) ข่าวสาร
(2) จิตสำนึก
(3) เหตุผล
(4) ความกรุณา
ตอบ 3 ตามหลักพุทธศาสนา การแก้ปัญหาของมนุษย์ควรมุ่งเน้นถึงการแก้ปัญหาที่เหตุปัจจัยด้วยปัญญาและเหตุผลอย่างเป็นระบบ เพื่อความพ้นทุกข์อย่างยั่งยืน เรียกว่า อริยสัจ 4 หมายถึง ความจริงหรือสัจธรรมอันประเสริฐ 4 ประการ ได้แก่ ทุกข์ (ปัญหา) สมุทัย (สาเหตุของปัญหา) นิโรธ (หนทางดับทุกข์) และมรรค (วิธีการแก้ทุกข์)

53. ใครคือผู้ประพันธ์คำกลอนข้างล่างนี้
เมื่อความรู้ยอดเยี่ยมสูงเทียมเมฆ แต่คุณธรรมต่ำเฉกยอดหญ้านั่น
อาจเสกสร้างมิจฉาสารพัน ด้วยจิตอันไร้อายในโลกา
แม้คุณธรรมเยี่ยมถึงเทียมเมฆ แต่ความรู้ต่ำเฉกเพียงยอดหญ้า
ย่อมเป็นเหยื่อทรชนจนระอา ด้วยปัญญาอ่อนด้อยน่าน้อยใจ
หากความรู้สูงล้ำคุณธรรมเลิศ แสนประเสริฐกอปรกิจวินิจฉัย
จะพัฒนาประชาราษฎร์ทั้งชาติไทย ต้องฝึกให้ความรู้คู่คุณธรรม
(1) วศิน อินทสระ
(2) พระพุทธทาสภิกขุ
(3) ร.อ.ไพบูลย์ ดีคง (4) อำไพ สุจริตกุล
ตอบ 4 จากคำกลอนของอำไพ สุจริตกุล ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า การจัดการศึกษาจะต้องยึดหลักที่สำคัญ คือ การให้ความรู้ควบคู่คุณธรรม สังคมไทยจึงจะมีสมาชิกของสังคมที่เป็น ทั้งคนเก่งและคนดี

54. การเป็นสมาชิกของสังคมไทย ท่านสามารถแสดงออกว่าท่านมีจิตสาธารณะได้อย่างไร
(1) ไม่ยอมรับความไม่ทัดเทียม เอารัดเอาเปรียบในสังคม
(2) ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดและคุ้มค่า
(3) ไปทำงานทุกวันโดยไม่หยุดงาน และไม่ใช้สิทธิในวันหยุดพักร้อน
(4) ขับรถโดยปฏิบัติตามกฎจราจร
ตอบ 2 ในฐานะสมาชิกของสังคมไทย เราสามารถนำจิตสาธารณะไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยเริ่มจากตนเองในกิจกรรมเล็ก ๆ ได้แก่ การใช้ทรัพยากรน้ำ น้ำมัน หรือไฟฟ้าอย่างประหยัด และคุ้มค่า ฯลฯ จนไปถึงกิจกรรมใหญ่ ๆ ในระดับชุมชน ได้แก่ การพัฒนาชุมชน, การรักษา สิ่งแวดล้อมในชุมชน (เช่น การไม่ทิ้งขยะลงแม่น้ำลำคลอง) ฯลฯ หรือจนถึงระดับประเทศชาติ เช่น การสร้างเครือข่ายอนุรักษ์ต่าง ๆ ฯลฯ

55. ข้อใดคือเหตุผลในการจัดตั้งคณะวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง
(1) กระจายนักศึกษาจากการกระจุกตัวไปเรียนในคณะที่จัดตั้งเพิ่ม
(2) สนองตอบความต้องการของรัฐ
(3) การขาดแคลนนักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ และนักสถิติ
(4) ให้โอกาสนักศึกษาเรียนรู้สิ่งใหม่
ตอบ 3 เหตุผลในการจัดตั้งคณะวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง คือ เพื่อให้สามารถผลิตบัณฑิตทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และสถิติได้โดยตรง ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาในเรื่อง การขาดแคลนนักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ และนักสถิติของประเทศไทยได้เป็นอย่างดี

56. นายแดงเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคําแหงไม่เคยทุจริตในการสอบ ถึงแม้จะทราบดีว่าเขาคงสอบไม่ผ่านหลายวิชา การตัดสินใจของนายแดงอยู่ในเงื่อนไขใด
(1) เงื่อนไขชีวิต
(2) เงื่อนไขความดี
(3) เงื่อนไขคุณธรรม
(4) เงื่อนไขหลักวิชา
ตอบ 3 หน้า 66 เงื่อนไขคุณธรรมตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ การเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของตนให้เป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์สุจริต รู้รักสามัคคี ไม่โลภ ไม่ตระหนี่ และรู้จักแบ่งปันให้กับผู้อื่น เช่น การที่นักศึกษาแบ่งปันความรู้ให้กับเพื่อน ไม่ทุจริตในการสอบ และพึงพอใจในผลสอบที่ตนเองได้รับ เป็นต้น

57. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบหลักของแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
(1) แนวคิดหลัก
(2) หลักการ
(3) เงื่อนไข
(4) อุปสงค์
ตอบ 4 สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ประมวลหลักแนวคิดการพัฒนาประเทศตามปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 โดยจําแนกออกเป็น 4 องค์ประกอบหลัก ดังนี้ 1. แนวคิดหลัก 2. เป้าประสงค์ 3. หลักการ 4. เงื่อนไขพื้นฐาน

58. วิชาใดที่เปิดสอนเป็นวิชาแรกของมหาวิทยาลัยรามคําแหง
(1) LS 103
(2) PS 110
(3) LW 103
(4) EN 101
ตอบ 1 กระบวนวิชาแรกที่สอนในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2514 ซึ่งเป็นวันเปิดเรียนครั้งแรกของมหาวิทยาลัยรามคําแหง คือ LS 103 วิชาการใช้ห้องสมุด สอนโดย อ.อัมพร วีระวัฒน์ และคาบต่อมาก็คือ กระบวนวิชา PS 110 วิชาการปกครองของไทย สอนโดยศาสตราจารย์ ดรศักดิ์ ผาสุขนิรันต์

59. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับประวัติของศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ ผาสุขนิรันต์
(1) อธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัยรามคําแหง
(2) ประธานกรรมการเตรียมการเปิดมหาวิทยาลัยรามคําแหง
(3) สําเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง
(4) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 36.

60. “หากคน ๆ หนึ่งมีจิตใจเสียสละเพื่อส่วนรวม แต่มักจะถูกสังคมเอาเปรียบอยู่เสมอ ในที่สุดเขาอาจจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว” ความเห็นแก่ตัวของบุคคลดังกล่าวเกิดจากปัจจัยใดเป็นเหตุ
(1) ปัจจัยภายในตัวบุคคลเองที่ขาดการวิเคราะห์
(2) ปัจจัยบังเอิญที่บุคคลนั้นตกในสถานะต้องไปคบหาสมาคมกับคนรอบข้างที่เห็นแก่ตัว
(3) ปัจจัยการเลี้ยงดูและปลูกฝังความเสียสละโดยครอบครัว และสถานศึกษาไม่เพียงพอ
(4) ปัจจัยภายนอกเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในสังคม
ตอบ 4 (ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ) การพัฒนาจิตสํานึกสาธารณะจะต้องกระทําควบคู่กันไปทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก เพราะหากคน ๆ หนึ่งเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คนรอบข้างมีจิตสาธารณะ แต่ตัวเขาเองขาดปัจจัยภายใน คือ ขาดการคิดวิเคราะห์ที่เหมาะสมเขาก็จะไม่นําเอาแบบอย่างที่ดีในสังคมมาปฏิบัติ ในทางตรงกันข้าม หากคน ๆ หนึ่งมีจิตใจที่ เสียสละเพื่อส่วนรวม แต่ปัจจัยภายนอกเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมในสังคมที่เขามักจะถูกเอาเปรียบอยู่เสมอ ในที่สุดเขาอาจจะกลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวได้

61. การศึกษาของใครและได้มาซึ่งข้อสรุปว่า จริยธรรมพัฒนาการตามวุฒิภาวะและสัมพันธ์กับระดับการศึกษา
(1) เพียเจต์ (Piaget)
(2) Stumpf
(3) โคลเบิร์ก (Kohlberg)
(4) มาสโลว์
ตอบ 3 โคลเบิร์ก (Kohlberg) กล่าวว่า การพัฒนาทางสติปัญญาและอารมณ์เป็นรากฐานของการพัฒนาทางจริยธรรม โดยจริยธรรมของมนุษย์มีพัฒนาการตามระดับวุฒิภาวะเพราะ เกิดจากกระบวนการทางปัญญาเมื่อมีการเรียนรู้มากขึ้น และจริยธรรมยังมีความสัมพันธ์กับระดับการศึกษา

62. ในการประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียง ภาคส่วนใดในสังคมที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มของทรัพยากร
(1) ครอบครัว
(2) ประเทศ
(3) ชุมชน
(4) องค์การธุรกิจ
ตอบ 4 ตามหลักของเศรษฐกิจพอเพียง ธุรกิจเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมที่มีความสําคัญยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะองค์การธุรกิจ คือ ภาคส่วนที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มของทรัพยากร ดังนั้น จึงต้องคํานึงถึงความพอเพียงระดับธุรกิจ ได้แก่
1. ธุรกิจควรมองถึงผลในระยะยาวมากกว่าระยะสั้น 2. แสวงหาผลกําไรบนพื้นฐานของการแบ่งปันประโยชน์ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม 3. พัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และสร้างคุณค่าตราสินค้าให้มีความน่าเชื่อถือ 4. แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

63. ข้อใดกล่าวถูกต้องที่สุด
(1) จริยธรรมสําคัญสําหรับทุกคน
(2) จริยธรรมนําไปสู่ความสําเร็จในชีวิต
(3) จริยธรรมเป็นรากฐานของความรุ่งเรือง
(4) จริยธรรมทําให้เราเข้าใจปรากฏการณ์ธรรมชาติ
ตอบ 3 วศิน อินทสระ ได้กล่าวไว้ว่า จริยธรรมเป็นรากฐานอันสําคัญแห่งความเจริญรุ่งเรือง ความมั่นคง และความสงบสุขของปัจเจกชน สังคมและประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นรัฐควรส่งเสริมประชาชนให้มีจริยธรรมเป็นอันดับแรก เพื่อให้เป็นแกนกลางในการพัฒนาด้านอื่น ๆ ทั้งเศรษฐกิจ การศึกษา การเมืองการปกครอง ฯลฯ

64. ข้อใดคือหลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
(1) สมดุล พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
(2) ทางสายกลาง
(3) ความพอเพียง
(4) หลักวิชา
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 32 ประกอบ

65. “ผลประโยชน์ทับซ้อน” (Conflict of Interest) เป็นรูปแบบหนึ่งของอะไร
(1) การทุจริต
(2) จิตสาธารณะ
(3) ความพอเพียง
(4) จริยธรรม
ตอบ 1 ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน ถือว่าเป็นมะเร็งร้ายแรงที่สุดในสังคมไทยปัจจุบันเพราะเป็นบ่อนทําลายกัดกร่อนสังคมไปสู่ความพินาศย่อยยับ และเป็นอุปสรรคสําคัญฉุดรั้ง การพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการโกงบ้านกินเมือง และหาผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) จากตําแหน่งในหมู่ข้าราชการและนักการเมือง

66. ปัญหาส่วนใหญ่ของมนุษย์เกิดจากอะไร
(1) การใช้คําพูด
(2) การลักทรัพย์
(3) การดื่มสุรา
(4) การนิ่งเฉย ๆ
ตอบ 1 จากผลงานวิจัยระบุว่า โดยส่วนใหญ่ที่มาปัญหาของมนุษย์นั้นจะมาจากการใช้คําพูด (วาจา) ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างมนุษย์ได้มากที่สุด เพราะมนุษย์เราจะได้สิ่งที่ต้องการหรือไม่ต้องการก็ขึ้นอยู่กับการใช้คําพูดหรือมธุรสวาจาทั้งสิ้น

67. การแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน ในอัตรา 30 : 30 : 30 : 10 นั้น พื้นที่อัตราส่วน 30 นั้นใช้ทําอะไร
(1) ขุดเป็นสระ
(2) ปลูกป่า
(3) เลี้ยงปลา
(4) ปลูกที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์
ตอบ 1 ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดําริขั้นที่ 1 คือ การแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน ด้วยอัตรา 30 : 30: 30 : 10 โดยบริหารจัดการดังนี้
1 ขุดเป็นสระสําหรับใช้เก็บกักน้ำฝนในฤดูฝน 30 %
2. ปลูกข้าวในฤดูฝน 30%
3. ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ 30%
4. ปลูกเป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนทางเดิน และโรงเรือนอื่น ๆ 10%

68. การวางแผนและปฏิบัติตามแผนด้วยความรอบคอบ เพื่อลดความเสี่ยง เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขใด
(1) เงื่อนไขจําเป็น
(2) เงื่อนไขชีวิต
(3) เงื่อนไขอนุมาน
(4) เงื่อนไขหลักวิชาการ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 27. ประกอบ

69. การมองคนอื่นในแง่ดี เป็นหลักการคุณธรรมข้อใด
(1) เข้าใจธรรมชาติตนเอง
(2) เข้าใจธรรมชาติผู้อื่น
(3) เข้าใจธรรมชาติโลก
(4) เข้าใจการอยู่ร่วมกัน
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

70. ข้อใดเป็นแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ตามทฤษฎีของเพียเจต์ (Piaget)
(1) การเรียนรู้ของมนุษย์เกิดจากไร้สติและปัญญา และพัฒนาจนเกิดสติและปัญญา
(2) การเรียนรู้ของมนุษย์เกิดจากการปรับตัว และการสร้างสมดุลระหว่างสติปัญญาและสภาพแวดล้อม
(3) การเรียนรู้ของมนุษย์เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างต่อเนื่องภายในโครงข่ายใกล้ชิด
(4) การเรียนรู้ของมนุษย์เกิดจากประสบการณ์ในวัยเด็กและวัยรุ่น และปลูกฝังไปตลอดชีวิต
ตอบ 2 หน้า 50 เพียเจต์ (Piaget) เชื่อว่า การเรียนรู้ของมนุษย์เกิดจากการปรับตัว และการสร้างสมดุลระหว่างสติปัญญาและสภาพแวดล้อมที่จะทําให้มนุษย์ดํารงชีวิตอยู่ โดยพัฒนาการของ มนุษย์มีความต่อเนื่อง เละเจริญขึ้นตามวุฒิภาวะ

71. ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง การเปลี่ยนแปลงอาจเกิดขึ้นได้กับสิ่งใด
(1) ร่างกาย
(2) วัตถุ
(3) ความเสื่อม
(4) การสื่อสาร
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 2. และ 23. ประกอบ

72.ก่อนการจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคําแหง การที่นักเรียนไม่มีที่เรียนต้องไปศึกษาต่างประเทศผลที่เกิดขึ้นคืออะไร
(1) การครอบงําทางวัฒนธรรม
(2) การสูญเสียเงินตราต่างประเทศ
(3) ความเท่าเทียมในคุณภาพการศึกษา
(4) การสูญเสียทรัพยากร
ตอบ 2 ส่วนหนึ่งของข้อความในบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติ มหาวิทยาลัย ….. (รามคําแหง) พ.ศ. ….. คือ เป็นการให้การศึกษาแก่ชนทุกชั้นเพื่อสร้างคุณภาพความรู้ความสามารถของประชาชนคนไทยให้สูงทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ และเป็นการสกัดกั้นมิให้นักศึกษาไปหาที่เล่าเรียนในต่างประเทศ อันเป็นการสูญเสียเงินตรา ต่างประเทศปีหนึ่ง ๆ มิใช่น้อย และเป็นการแก้ปัญหานักศึกษาไม่มีที่เล่าเรียนให้หมดสิ้นไป

73. ข้อใดอธิบายความหมายของเศรษฐกิจพอเพียงได้ถูกต้อง
(1) ทําอะไรให้เหมาะสมกับฐานะ
(2) เพิ่มฐานะทางเศรษฐกิจให้ทัดเทียมกัน
(3) การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส
(4) การพัฒนาชนบท
ตอบ 1 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ทรงมีพระราชดํารัสเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ความว่า “ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียง ความหมายคือ ทําอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง คือ ทําจากรายได้ 200 – 300 บาท ขึ้นไปเป็นสองหมื่น สามหมื่นบาท

74. การกระทําในข้อใดแสดงให้เห็นถึงการมีคุณธรรมจริยธรรม
(1) การถือศีล
(2) การประกอบศาสนกิจ ณ ศาสนสถาน
(3) การกระทําที่เหมาะสมตามหน้าที่การงาน
(4) การไม่รับประทานเนื้อสัตว์
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 34. ประกอบ

75. คุณธรรมหมายถึงข้อใด
(1) ความสมบูรณ์ทางร่างกายและมโนทัศน์
(2) ความสุขทางกาย
(3) สภาพคุณงามความดี
(4) สภาพจิตใจ
ตอบ 3 คุณธรรม (Morality) หมายถึง สภาพคุณงามความดี ซึ่งเป็นสภาพของคุณงามความดีทั้งทางความประพฤติและจิตใจ

76. พื้นฐานของเศรษฐกิจพอเพียงที่บุคคลต้องคํานึงถึงคือสิ่งใด
(1) การใช้จ่ายให้น้อย และออมให้มาก
(2) การใช้จ่ายตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
(3) ความมั่งมี และการอยู่รอดของครอบครัว
(4) ทางสายกลาง และความไม่ประมาท
ตอบ 4 ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีความสําคัญเด่นชัดในช่วงปี พ.ศ. 2540 เป็นต้นมา เพราะเป็นแนวคิดเศรษฐกิจที่พึ่งตนเองได้ ซึ่งคนไทยสามารถเลี้ยงชีพด้วยแนวคิดเศรษฐกิจ ในการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่ง “ทางสายกลาง และความไม่ประมาท”

77. การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของคนเราต้องมุ่งการพัฒนาสิ่งใดเป็นอันดับแรก
(1) โครงสร้างสังคม
(2) สภาพเศรษฐกิจ
(3) จิตใจ
(4) สภาพแวดล้อมทางวัฒนธรรม
ตอบ 3 หน้า 39 การเรียนรู้ตามหลักวิชาการหรือตามทฤษฎีมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งส่งเสริมทักษะผู้เรียนให้นําความรู้ไปใช้ในการปฏิบัติงานและประกอบอาชีพ ส่วนการพัฒนาด้านคุณธรรมจริยธรรมจะทําให้ผู้เรียนรู้เกิดการพัฒนาด้านจิตใจเป็นอันดับแรก ซึ่งเป็นสิ่งสําคัญยิ่งกว่า ดังนั้นแนวคิดความรู้คู่คุณธรรมจึงถูกนํามาใช้ในสังคมไทยอย่างแพร่หลาย

78. สององค์ประกอบของหลักการพัฒนามนุษย์ คือ ต้องพัฒนาให้มีความรู้ และอะไรคือองค์ประกอบที่สอง
(1) ระเบียบวินัย
(2) สุขอนามัย
(3) สุขภาวะจิต
(4) ประชาธิปไตย
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ

79. นายกสภามหาวิทยาลัยรามคําแหงคนแรก คือใคร
(1) จอมพลถนอม กิตติขจร
(2) นายสง่า ลีนะสมิต
(3) นายอภิรมย์ ณ นคร
(4) นายธนกาญจน์ ภัทรากาญจน์
ตอบ 1 วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2514 เป็นวันประชุมสภามหาวิทยาลัยรามคําแหงครั้งแรก ณ ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล โดยมีจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีในฐานะนายก สภามหาวิทยาลัยรามคําแหงคนแรก เป็นประธาน

80. ข้อใดคือส่วนหนึ่งของข้อความที่ปรากฏในหลักการและเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย ….. (รามคําแหง) พ.ศ…..
(1) เป็นการให้การศึกษาแก่ชนทุกชั้น
(2) เนื่องจากที่เรียนของคนไทยมีจํานวนลดลง
(3) นักศึกษาไม่จําเป็นต้องซื้อคําสอนเอง
(4) เพื่อให้เป็นการสูญเสียเงินตราต่างประเทศ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 72. ประกอบ

81. ลักษณะใดของบุคคลแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นบุคคลที่ไม่มีจิตสาธารณะ
(1) ชอบคุยโม้โอ้อวด
(2) ปลีกตัว ชอบอยู่ตามลําพัง
(3) เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม
(4) รักพวกพ้องในทางที่ผิด
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 42. ประกอบ

82. คณะใดไม่ใช่คณะที่จัดตั้งขึ้นในวาระเริ่มแรกของมหาวิทยาลัยรามคําแหง
(1) คณะนิติศาสตร์
(2) คณะศึกษาศาสตร์
(3) คณะบริหารธุรกิจ
(4) คณะรัฐศาสตร์
ตอบ 4 ในวาระเริ่มแรก (พ.ศ. 2514) มหาวิทยาลัยรามคําแหงได้จัดตั้งคณะวิชา4 คณะ ได้แก่ คณะนิติศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ คณะมนุษยศาสตร์ และคณะศึกษาศาสตร์ ต่อมามหาวิทยาลัยได้ขอจัดตั้งเพิ่มอีก 3 คณะ ได้แก่ คณะวิทยาศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ และ คณะเศรษฐศาสตร์ แต่สภาการศึกษาแห่งชาติไม่ให้จัดตั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2516 จอมพล ถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามโครงการจัดตั้งคณะใหม่ ทําให้ในปีการศึกษาพ.ศ. 2516 มหาวิทยาลัยรามคําแหงมีคณะวิชาที่จัดการเรียนการสอนทั้งหมด 7 คณะ

83. เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2515 ใครคือผู้อนุมัติให้มหาวิทยาลัยรามคําแหงใช้ที่ดินที่ใช้ในการแสดงสินค้านานาชาติเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย
(1) สภามหาวิทยาลัยรามคําแหง
(2) สภาการศึกษาแห่งชาติ
(3) สภาผู้แทนราษฎร
(4) สภาบริหารคณะปฏิวัติ
ตอบ 4 หน้า 23 สําหรับเรื่องสถานที่ตั้งมหาวิทยาลัยรามคําแหงเป็นการถาวร ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลในเวลาต่อมา โดยสภาบริหารคณะปฏิวัติได้มีมติเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2515ให้มหาวิทยาลัยรามคําแหงใช้ที่ดินที่ใช้ในการแสดงสินค้านานาชาติที่หัวหมากเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย

84. การเผยแพร่สาระความรู้ไปยังกลุ่มเยาวชนจํานวนมากพร้อม ๆ กัน เพื่อการสร้างจิตสาธารณะ เป็นหน้าที่หลักของใคร
(1) ผู้นําหมู่บ้าน และชุมชน
(2) โรงเรียนและสถาบันการศึกษา
(3) สื่อมวลชน
(4) กระทรวงวัฒนธรรม
ตอบ 3 สื่อมวลชนจัดเป็นสถาบันที่มีอิทธิพลอย่างยิ่งในการเผยแพร่สาระความรู้ไปยังกลุ่มเยาวชนจํานวนมากพร้อม ๆ กัน เพื่อการสร้างจิตสาธารณะ โดยสื่อมวลชนควรใช้บทบาทของตนเองที่มีในการส่งเสริมให้เด็กเป็นคนดี รู้จักสิทธิและหน้าที่ มีความรับผิดชอบ รู้ถูกรู้ผิด ด้วยวิธีการที่หลากหลาย

85. กรรมาธิการในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. มหาวิทยาลัย ประกอบด้วย
กรรมาธิการฝ่ายรัฐบาลกี่คน
(1) 8 คน
(2) 7 คน
(3) 6 คน
(4) 5 คน
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

86. อาคารเรียนกึ่งถาวรที่ก่อสร้างขึ้นในช่วงแรกของการเปิดสอนของมหาวิทยาลัยรามคําแหง เรียกว่าอะไร
(1) Educational Building (EB)
(2) Ramkhamhaeng Building (RB)
(3) New Building (NB)
(4) Opened Building (OB)
ตอบ 3 หน้า 28 ในช่วงแรกของการเปิดสอนของมหาวิทยาลัยรามคําแหง การก่อสร้างอาคารเรียนกึ่งถาวรและอาคารห้องสมุด รวมทั้งหมด 8 หลัง ได้ก่อสร้างแล้วเสร็จทันเปิดเรียนในภาค 1 ปีการศึกษา 2514 ซึ่งมหาวิทยาลัยรามคําแหงได้ตั้งชื่ออาคารเรียนกึ่งถาวรชั้นเดียวเหล่านี้ว่า อาคาร NB (New Bulding)

87. ข้อใดไม่ใช่คุณลักษณะของผู้มีจิตสาธารณะ
(1) อุทิศตน
(2) คํานึงถึงประโยชน์ส่วนรวม
(3) มีเมตตา
(4) เคารพความแตกต่างระหว่างบุคคล
ตอบ 3 ยุทธนา วรุณปิติกุล กล่าวถึง บุคคลที่มีจิตสาธารณะต้องมีคุณลักษณะดังนี้
1. การทุ่มเทและอุทิศตน 2. เคารพความแตกต่างระหว่างบุคคล 3. คํานึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม 4. การลงมือกระทํา

88. การสร้างเครือข่ายความร่วมมือจากภายนอกชุมชน อยู่ในขั้นใดเกี่ยวกับทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดําริ
(1) ขั้นที่ 1
(2) ขั้นที่ 2
(3) ขั้นที่ 3
(4) ขั้นที่ 4
ตอบ 3 ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดําริขั้นที่ 3 คือ การตระหนักถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือจากภายนอกชุมชนด้วยการติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ 1. หน่วยงานที่สนับสนุนด้านการวิจัย เพื่อการพัฒนาผลผลิตให้ได้คุณภาพดีขึ้น ต้นทุนต่ำลง
2. ธนาคารที่จะให้การสนับสนุนเงินทุนด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ไม่สูงเกินไปนัก
3. บริษัทเอกชนที่รับซื้อผลผลิตโดยตรง ไม่ต้องผ่านคนกลาง

89. ใครคือผู้กล่าวว่า “การพัฒนาบ้านเมืองต้องพัฒนาจิตใจคนก่อน หรืออย่างน้อยก็ให้พร้อม ๆ ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การศึกษาวิชาการอื่น ๆ เพราะการพัฒนาที่ไม่มีจริยธรรมเป็นแกนนํานั้น จะสูญเปล่า และเกิดผลเสียเป็นอันมาก ทําให้บุคคลลุ่มหลงในวัตถุและอบายมุข การที่เศรษฐกิจต้อง เสื่อมโทรม ประชาชนทุกข์ยาก เพราะคนในสังคมละเลยจริยธรรม กอบโกยทรัพย์สินเป็นประโยชน์ ส่วนตัวมากเกินไป ขาดความเมตตาปราณี แล้งน้ำใจในการดําเนินชีวิต”
(1) วศิน อินทสระ
(2) พระราชวรมุนี (ประยูร ธมมจิตโต)
(3) อริสโตเติล
(4) มหาตมะ คานธี
ตอบ 1
ข้อความข้างต้นเป็นของวศิน อินทสระ ซึ่งได้กล่าวถึงความสําคัญและประโยชน์ของจริยธรรมไว้ในหนังสือพุทธจริยศาสตร์เมื่อ พ.ศ. 2541

90. การมีสวัสดิการชุมชน ช่วยกันดูแลความสะอาด ความสงบปลอดภัย และช่วยเสริมสร้างภูมิปัญญาท้องถิ่น เป็นผลทําให้เกิดสิ่งใด
(1) ชุมชนมีชื่อเสียง
(2) ชุมชนเข้มแข็ง
(3) ชุมชนตัวอย่าง
(4) ชุมชนกว้างไกล
ตอบ 2 หน้า 69 ความพอเพียงระดับชุมชนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ การสร้างเครือข่ายเพื่อการพัฒนาชุมชน ซึ่งมีผลให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง ประกอบด้วย 1. สวัสดิการชุมชน 2. การช่วยกันดูแลความสะอาดและความเป็นระเบียบของสภาพแวดล้อมโดยรอบ 3. การช่วยกันดูแลความสงบและความปลอดภัย 4. การให้ความร่วมมือสร้างเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม

91. สถานที่ใดที่ใช้เป็นที่ประชุมสภามหาวิทยาลัยรามคําแหงครั้งแรก
(1) สนามศุภชลาศัย
(2) กระทรวงศึกษาธิการ
(3) ตึกไทยคู่ฟ้า
(4) ทบวงมหาวิทยาลัย
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 79. ประกอบ

92. ลักษณะใดบ่งบอกถึงผู้มีปัญญาในการประกอบอาชีพได้ถูกต้องที่สุด
(1) นายดําทํานาโดยการลองผิดลองถูก
(2) นายแดงทําสวนตามที่อ่านในตํารา
(3) นายขางปลูกมะม่วงแล้วออกผลตามฤดูกาล
(4) นายเขียวนําหลักทฤษฎีการเกษตรมาปรับใช้ในการปลูกถั่วได้สําเร็จ
ตอบ 4 (คําบรรยาย) ผู้มีปัญญาในการประกอบอาชีพต้องถึงพร้อมด้วยความขยันหมั่นเพียร รู้จักใช้ปัญญาไตร่ตรองพิจารณาหาวิธีการที่แยบคายในการทํางาน มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักค้นคว้าหาความรู้และนํามาประยุกต์ใช้ในการทํางาน ตลอดจนรู้จักดําเนินการด้านเศรษฐกิจ เพื่อทําการงานประกอบอาชีพให้ได้ผลดี

93. ใครคือผู้มีคุณธรรมจริยธรรมในการดําเนินชีวิตได้อย่างเหมาะสม
(1) อํานวยออกจากห้องเรียนก่อนเวลาเพื่อไปรอเพื่อนกลับบ้าน
(2) แดงตั้งใจสังเกตพฤติกรรมเพื่อนที่มาเรียนอย่างสม่ำเสมอ
(3) สีมักขึ้นรถประจําทางเป็นคนสุดท้ายเพื่อจะได้ยืนใกล้ทางลง
(4) ดําเข้าร่วมกิจกรรมของมหาวิทยาลัยอย่างต่อเนื่อง
ตอบ 4 บุคคลที่มีคุณธรรมจริยธรรมในจิตใจจะมีการดําเนินชีวิตที่เป็นไปอย่างเป็นระบบมีระเบียบแบบแผนว่าอะไรคือหน้าที่ อะไรไม่ใช่หน้าที่ อะไรควรทํา อะไรไม่ควรทํา อะไรคือ สิ่งที่ถูกต้อง และอะไรคือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

94. ข้อใดกล่าวถึงความซื่อสัตย์ได้
(1) สมหญิงเก็บสร้อยคอทองคําได้ที่ตลาดแล้วนํามาส่งคืนให้ครู
(2) สมนึกเก็บกระเป๋าสตางค์ได้ในห้องสอบวิชา RAM 1000 แล้วนําไปให้หัวหน้าตึกสอบ
(3) สมศรีทํางานได้เงินเดือนแล้วแบ่งส่วนหนึ่งให้บิดามารดาทุกเดือน
(4) สมสนุกทํางานทุกอย่างเมื่อมีคนว่าจ้าง
ตอบ 2 (คําบรรยาย) ความซื่อสัตย์สุจริต หมายถึง การประพฤติปฏิบัติอย่างเหมาะสมและตรงต่อความเป็นจริง ไม่คิดทรยศ ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง ทําทุกอย่างถูกต้องตามทํานองคลองธรรม เช่น เมื่อเราเก็บของมีค่าได้ควรติดตามหาเจ้าของและคืนของให้ หากไม่รู้ว่าเจ้าของอยู่ที่ไหน ให้นําส่งคืนแก่เจ้าพนักงานตํารวจ หรือพนักงานเจ้าหน้าที่อื่นภายใน 3 วัน ซึ่งในตัวเลือกข้อ 2 การนําไปให้หัวหน้าตึกสอบจะทําให้ติดตามหาตัวเจ้าของได้ง่ายกว่า เพราะกระเป๋าสตางค์ดังกล่าวหายในห้องสอบ เป็นต้น

95. จากกฎหมายจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคําแหงเพื่อสอน ทําการวิจัย ส่งเสริมวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง มหาวิทยาลัยรามคําแหงยังมีหน้าที่ใดนอกเหนือจากหน้าที่ที่กล่าวมาข้างต้น
(1) ทะนุบํารุงวัฒนธรรม
(2) ส่งเสริมประชาธิปไตย
(3) พัฒนาชุมชน
(4) ดํารงไว้ซึ่งค่านิยมทางการศึกษาชั้นสูง
ตอบ 1 จากกฎหมายจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคําแหง ได้กําหนดให้มหาวิทยาลัยรามคําแหงเป็นสถาบันการศึกษาเละวิจัยแบบตลาดวิชา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสอนให้การศึกษาวิชาการและวิชาชีพชั้นสูง และทะนุบํารุงวัฒนธรรม

96. ข้อใดกล่าวผิด
(1) พฤติกรรมที่ดีงามที่สั่งสมในจิตใจ คือ อุปนิสัย
(2) อุเบกขา คือ การวางตัววางใจเป็นกลาง
(3) ความรู้ทําให้คนมีความสุจริต
(4) คนทุกคนเป็นทรัพยากร
ตอบ 3 จากพระบรมราโชวาทในรัชกาลที่ 9 ในพระราชพิธีบวงสรวงสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราช ณ ท้องสนามหลวง เมื่อวันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2525 ความว่า “…การจะทํางานให้สัมฤทธิ์ผลที่พึงปรารถนา คือ ให้เป็นประโยชน์และเป็นธรรมด้วยนั้น จะอาศัยความรู้ แต่เพียงอย่างเดียวมิได้ จําเป็นต้องอาศัยความสุจริต ความบริสุทธิ์ใจ และความถูกต้องเป็นธรรม (คุณธรรม) ประกอบด้วย”

97. องค์การใดที่มีอํานาจหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของมหาวิทยาลัย เช่น จัดวางระเบียบและข้อบังคับเสนอจัดตั้ง พิจารณาหลักสูตร ยุบรวมและเลิกคณะ และอนุมัติปริญญา
(1) กระทรวงศึกษาธิการ
(2) คณะ
(3) สภามหาวิทยาลัย
(4) คณะรัฐมนตรี
ตอบ 3 หน้า 21 จากกฎหมายจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคําแหง ได้กําหนดให้มีสภามหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นองค์การที่มีอํานาจหน้าที่ควบคุมดูแลกิจการทั่วไปของมหาวิทยาลัย และมีอํานาจหน้าที่สําคัญ โดยเฉพาะ เช่น จัดวางระเบียบและข้อบังคับของมหาวิทยาลัย พิจารณาหลักสูตร เสนอจัดตั้ง ยุบรวมและเลิกคณะ อนุมัติให้ปริญญา พิจารณาแต่งตั้งและถอดถอนอธิการบดี รองอธิการบดี

98. ศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ ผาสุขนิรันต์ ดํารงตําแหน่งใดในรัฐบาลของจอมพลถนอม กิตติขจร
(1) รองโฆษกรัฐบาล
(2) รองโฆษกสภาผู้แทนราษฎร
(3) โฆษกสภาผู้แทนราษฎร
(4) โฆษกรัฐบาล
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 36. ประกอบ

99. การปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย คือหลักการในข้อใดของหลักธรรมาภิบาล
(1) หลักการกระจายอํานาจ
(2) หลักมุ่งเน้นฉันทามติ
(3) หลักความโปร่งใส
(4) หลักประสิทธิผล
ตอบ 4 (คําบรรยาย) หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) ประการหนึ่ง ได้แก่ หลักประสิทธิผล (Effectiveness) คือ ในการปฏิบัติงานด้านต่าง ๆ จะต้องประกอบด้วย 1. ผลเป็นไปตามที่คาดมุ่งหวัง 2. ผลเป็นไปตามวัตถุประสงค์ 3. ผลบรรลุตามเป้าหมายทั้งด้านเป้าหมายเชิงปริมาณ และเป้าหมายเชิงคุณภาพ

100. ในสังคมที่พัฒนา สมาชิกขององค์การทั้งภาครัฐ ภาคธุรกิจ และเอกชน สมาชิกขององค์การควรมีความรู้ ความเข้าใจในความเป็นมาขององค์การหรือหน่วยงาน เพื่อเข้าใจในหลักการ เหตุผลของการก่อตั้ง วัฒนธรรม องค์การ และเพื่อให้เกียรติแก่ผู้จัดตั้ง และผู้มีส่วนในการจัดตั้งองค์การ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดก็ตาม ความคิดดังกล่าวเป็นเหตุผลที่นักศึกษาต้องศึกษาในเรื่องใดของวิชา RAM 1000 ความรู้คู่คุณธรรม
(1) จิตสาธารณะ
(2) เศรษฐกิจพอเพียง
(3) คุณธรรมจริยธรรม
(4) มหาวิทยาลัยรามคําแหงยุคก่อตั้ง
ตอบ 4 ความคิดดังกล่าวเป็นเหตุผลที่นักศึกษาต้องศึกษาเรื่องมหาวิทยาลัยรามคําแหงยุคก่อตั้ง ซึ่งอยู่ในบทที่ 1 ของตําราเรียนวิชา RAM 1000 ความรู้คู่คุณธรรม เพื่อให้นักศึกษาเรียนรู้ถึงที่มาของมหาวิทยาลัยรามคําแหงเมื่อแรกตั้ง และให้นักศึกษาได้ตระหนักถึงการเปิดโอกาสทางการศึกษาในลักษณะมหาวิทยาลัยแบบตลาดวิชา ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง

101. รูปธรรมของการแสดงความมีจิตสาธารณะคือข้อใด
(1) ปล้นคนรวยมาช่วยคนจน
(2) ไม่ทิ้งขยะลงแม่น้ำลําคลอง
(3) ต่อต้านคนทุจริต
(4) เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก และเพื่อนบ้าน
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 54. ประกอบ

102. กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิชุดแรกของมหาวิทยาลัยรามคําแหง ในขณะนั้นดํารงตําแหน่งอธิบดีกรมสามัญศึกษาคือใคร
(1) นายสุขุม นวพันธ์
(2) นายบุญสม มาร์ติน
(3) นายเรณ สุวรรณสิทธิ์
(4) นายก่อ สวัสดิพาณิชย์
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 24. ประกอบ

103. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในยุคเริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยรามคําแหงมาจากวิธีการใด
(1) การแต่งตั้งทั้งหมด
(2) การเลือกตั้งและแต่งตั้งผสมกัน
(3) การแต่งตั้งมากกว่าการเลือกตั้ง
(4) การเลือกตั้ง
ตอบ 4 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในยุคเริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยรามคําแหง เป็น ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับ พ.ศ. 2511

104. ในเรื่องของความพอเพียงระดับชุมชน การช่วยเหลือดูแลความสงบ ความปลอดภัย และความสะอาด เป็นตัวอย่างของอะไร
(1) โครงสร้างความมั่นคงของชุมชน
(2) กลยุทธ์ในการพัฒนาการมีส่วนร่วม
(3) เครือข่ายเพื่อการพัฒนา
(4) ความพร้อมเพรียงของชุมชน
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 90. ประกอบ

105. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้อง
(1) จริยธรรม หมายถึง การถือศีล กินเพล ฟังธรรม จําศีลภาวนา
(2) จริยธรรมเป็นตัวกําหนดความประพฤติถูก ผิด
(3) จริยธรรมเป็นเรื่องของการฝึกให้เป็นนิสัย
(4) จริยธรรมมีความหมายกว้างกว่าศีลธรรม
ตอบ 1 หน้า 42 – 43, 45 ข้อสังเกตเกี่ยวกับจริยธรรม มีดังนี้
1. ในปัจจุบันจริยธรรมไม่แยกเด็ดขาดจากศีลธรรม แต่มีความหมายกว้างกว่าศีลธรรม 2. Stumpf อธิบายว่า จริยธรรมเป็นเครื่องกําหนดความประพฤติปฏิบัติเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าถูกหรือผิด ดีหรือเลว พึงประสงค์หรือไม่พึงประสงค์ มีคุณค่าหรือไร้คุณค่า 3. จริยธรรมเป็นเรื่องของการฝึกนิสัยที่ดี โดยกระทําอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย 4. จริยธรรม มิได้หมายถึง การถือศีล กินเพล เข้าวัดฟังธรรม จําศีลภาวนา โดยไม่ช่วยเหลือทําประโยชน์ให้แก่สังคม ฯลฯ

106. คุณธรรมจริยธรรมเกิดจากสิ่งใด
(1) การเลียนแบบ
(2) การตั้งสติ
(3) การนั่งสมาธิ
(4) การเรียนรู้ผลประโยชน์
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 3. ประกอบ

107. ลักษณะตลาดวิชาของมหาวิทยาลัยรามคําแหงคือข้อใด
(1) เปิดรับนักศึกษาที่อายุไม่เกิน 30 ปี
(2) เปิดรับเฉพาะผู้สมัครสาขาวิชาทางสังคมศาสตร์
(3) เปิดรับเฉพาะผู้สมัครที่จบการศึกษามัธยมปลาย
(4) เปิดรับไม่จํากัดจํานวน ไม่ต้องสอบคัดเลือก
ตอบ 4 ลักษณะตลาดวิชาของมหาวิทยาลัยรามคําแหง คือ การกําหนดคุณวุฒิและคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์สมัครเข้าเป็นนักศึกษาโดยไม่ต้องสอบคัดเลือก และยังเปิดรับไม่จํากัด จํานวน ซึ่งนับได้ว่าเป็นการเปิดโอกาสทางการศึกษาให้ประชาชนเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยรามคําแหงได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียมกัน และยังเป็นการให้ความเสมอภาคในโอกาสทางการศึกษาอย่างแท้จริง

108. บุคคลที่มีการดําเนินชีวิตได้อย่างเป็นแบบแผน ทราบว่าอะไรควรทํา อะไรไม่ควรทํา อะไรถูก อะไรผิดบุคคลนั้นมีสิ่งใดในจิตใจ
(1) จรรยาบรรณ
(2) วัฒนธรรม
(3) คุณธรรมจริยธรรม
(4) ความสงบ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 93. ประกอบ

109. ในการริเริ่มจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคําแหง ปัญหาที่ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารต้องพิจารณาคืออะไร
(1) ผู้ดํารงตําแหน่งอธิการบดี และคณบดี
(2) สถานที่ตั้ง อาจารย์ผู้สอน และงบประมาณ
(3) ประเภทของมหาวิทยาลัย
(4) จํานวนนักศึกษาที่สามารถรับได้ในแต่ละปี
ตอบ 2 หน้า 3 ในการริเริ่มจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคําแหง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้เสนอร่างฯ ได้ประสานกับฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลแล้ว พบว่า มีปัญหาสําคัญที่จะต้องร่วมกันพิจารณา ก่อนที่กระบวนการทางนิติบัญญัติจะดําเนินการต่อไป กล่าวคือ ปัญหาสถานที่ตั้ง อาจารย์ ผู้สอน และเงินงบประมาณ

110. คุณธรรมจริยธรรมอาจใช้เป็นตัวชี้วัดสิ่งใด
(1) ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี
(2) ความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติ
(3) การขยายตัวและย้ายถิ่นของประชากร
(4) การลดความแตกต่างของชนชั้นของคนในสังคม
ตอบ 2 หน้า 38 การเสริมสร้างคุณธรรมจริยธรรมจะเป็นรากฐานของความเข้มแข็งของประชาชนและเป็นดัชนีชี้วัดความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติที่บ่งบอกถึงคุณภาพทางด้านจิตใจและ พฤติกรรมของผู้คนที่แสดงออกมาได้อย่างเป็นรูปธรรม

111. ข้อใดคือหลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
(1) สมดุล พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
(2) ทางสายกลาง
(3) ความพอเพียง
(4) หลักวิชา
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

112. มหาวิทยาลัยรามคําแหงเปิดรับนักศึกษาโดยไม่จํากัดจํานวน โดยไม่ต้องสอบคัดเลือก หมายถึงหลักการใด
(1) การขยายชั้นเรียนให้กับนักเรียนและนักศึกษา
(2) การเพิ่มคุณวุฒิให้ปวงชนชาวไทย
(3) การเพิ่มช่องว่างทางการศึกษา
(4) การเปิดโอกาสทางการศึกษาให้ประชาชน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 107. ประกอบ

113. ความหมายของคุณธรรมที่ถูกต้องและตรงประเด็นมากที่สุดคือข้อใด
(1) สภาพความดีและความไม่ดี
(2) สภาพความมุ่งมั่นของจิตใจ
(3) สภาพของคุณงามความดี
(4) สภาพความกดดันตนเองเพื่อให้ได้ดี
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

114. การดําเนินชีวิตที่ดีในสังคมของบุคคลควรคํานึงถึงอะไรเป็นแนวทาง
(1) คุณธรรมจริยธรรม
(2) คติพจน์
(3) ความตระหนักรู้และจริงใจในตนเอง
(4) ความสุข
ตอบ 1 หน้า 39 คุณธรรมจริยธรรมสามารถนํามาเป็นแนวทางในการดําเนินชีวิตที่ดีในสังคมของบุคคล เพราะทําให้บุคคลทราบข้อปฏิบัติและสามารถแสดงพฤติกรรมได้อย่างถูกต้อง หากเกิดปัญหาต่าง ๆ หลักแนวคิดคุณธรรมจริยธรรมยังสามารถนํามาใช้เพื่อเป็นวิธีคิดในการตัดสินใจ
เรื่องต่าง ๆ ได้อย่างยุติธรรม

115. ปัญหานักเรียนที่จบมัธยมปลายและผู้ต้องการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐจํานวนมากไม่มีที่เรียน เริ่มจากเมื่อใด
(1) พ.ศ. 2503
(2) พ.ศ. 2523
(3) พ.ศ. 2533 8
(4) พ.ศ. 2513
ตอบ 1 ในช่วงระยะเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2503 เป็นต้นมา ก่อนที่จะมีมหาวิทยาลัยรามคําแหงมหาวิทยาลัยของรัฐทุกแห่งรับนักศึกษาเข้าเรียนจํากัดจํานวนและต้องสอบคัดเลือก ทําให้นักเรียนที่จบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า และผู้ต้องการเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐจํานวนมากไม่มีที่เรียน เมื่อสอบคัดเลือกเข้าเรียนไม่ได้ นักเรียนจํานวนมากต้องตกค้าง ไม่ได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยของรัฐ ซึ่งมีอยู่จํานวนน้อยในขณะนั้น

116. ผลที่เกิดขึ้นสุดท้ายกับสังคมที่คนส่วนใหญ่มีคุณธรรมจริยธรรมคืออะไร (1) การมีเศรษฐกิจดี
(2) การเอื้อเฟื้อ เห็นอกเห็นใจของคนในสังคม
(3) เกิดความรักชาติ
(4) ความสงบสุขและมีสันติอย่างยั่งยืน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 47. ประกอบ

117. คณะใดที่ได้เสนอให้พิจารณาเปิดสอนในร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคําแหง พ.ศ. 2514 แต่ได้ถูกยับยั้งให้เปิดสอนในภายหลัง
(1) คณะศึกษาศาสตร์
(2) คณะเศรษฐศาสตร์
(3) คณะวิศวกรรมศาสตร์
(4) คณะทัศมาตรศาสตร์
ตอบ 2 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยรามคําแหงพ.ศ. 2514 นั้น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหลายท่านได้เสนอให้เปิดคณะเศรษฐศาสตร์ด้วย แต่กรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวได้ชี้แจงแก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่า ขอให้มหาวิทยาลัยเปิดสอนเพียง 4 คณะ ไปสักระยะหนึ่งก่อน แล้วค่อยจัดตั้งคณะเศรษฐศาสตร์ภายหลัง ซึ่งเข้าใจว่าคงตั้งได้ภายใน 2 – 3 ปี

118. ในปีการศึกษา 2517 เมื่อมหาวิทยาลัยรามคําแหงเปิดสอนมา 4 ปีเศษแล้ว จํานวนผู้สําเร็จการศึกษาชั้นปริญญาตรีจํานวนเท่าใด
(1) 120 คน
(2) 120,000 คน
(3) 12,000 คน
(4) 1,200 คน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 26. ประกอบ

119. สถาบันใดมีความสําคัญเป็นอันดับแรกในบทบาทการสร้างจิตสํานึกต่อส่วนรวม
(1) สถาบันการศึกษา
(2) สื่อมวลชน
(3) สถาบันศาสนา
(4) ครอบครัว
ตอบ 4 ความอบอุ่นของสถาบันครอบครัวมีความสําคัญเป็นอันดับแรก เพราะเป็นจุดเริ่มต้นที่ช่วยให้ทารกเกิดจิตสํานึกเห็นความสําคัญของส่วนรวม ดังนั้นสถาบันครอบครัวจึงเป็นพื้นฐานของสังคม เพื่อปูพื้นฐานหรือฝังรากให้เด็กมีจิตสํานึกที่เป็นสัมมาทิฐิตั้งแต่ยังเด็ก และเด็กจะได้เป็นกําลังในการสร้างสรรค์สังคมที่มีความร่มเย็นเป็นสุขต่อไป

120. หลักศาสนาเป็นพื้นฐานของสิ่งใด
(1) ความแน่นิ่งของจิต
(2) ความล้ำเลิศ
(3) คุณธรรม
(4) ความประเสริฐ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ

RAM1000 ความรู้คู่คุณธรรม การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา RAM 1000 ความรู้คู่คุณธรรม

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงคือข้อใด

(1) ความรุ่งเรือง

(2) ทางสายกลาง

(3) การพัฒนา

(4) ความทันสมัย

ตอบ 2

แนวคิดหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ ทางสายกลาง ซึ่งหมายถึงแนวทางการดำรงอยู่และการปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับ ชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและการบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์

2. การมีจิตสำนึกที่ดีต่อความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการจะมีลักษณะในข้อใด

(1) ปล่อยมลพิษสู่บรรยากาศให้ได้ตามเกณฑ์

(2) ดำเนินธุรกิจที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสังคม

(3) ไม่เอาเปรียบสังคมมากเกินไป

(4) คำนึงถึงผลกำไรเป็นสำคัญ

ตอบ 2

การมีจิตสำนึกที่ดีต่อความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการ คือ การดำเนิน ธุรกิจที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสังคม หรือการทำธุรกิจที่หากำไรอย่างมีความรับผิดชอบ เช่น การป้องกันและกำจัดมลพิษในกระบวนการผลิตไม่ให้ส่งผลกระทบต่อชุมชน

3. ความรู้สึกตระหนักถึงส่วนรวม ตรงกับความหมายในข้อใด

(1) จิตสำนึก

(2) จิตสาธารณะ

(3) จิตนิยม

(4) จิตวิญญาณ

ตอบ 2

จิตสาธารณะ (Public Mind) คือ ความรู้สึกตระหนักถึงส่วนรวม หรือเป็นการตระหนักรู้ตนที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม

4. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 อยู่ในช่วงพุทธศักราชใด

(1) 2545 – 2549

(2) 2560 – 2564

(3) 2546 – 2550

(4) 2561 – 2565

ตอบ 2

แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับปัจจุบัน คือ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) ซึ่งไดัอัญเชิญ “ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” มาเป็นปรัชญานำทางในการจัดทำแผน ตั้งแต่ฉบับที่ 9 (พ.ศ. 2545 – 2549) จนถึงฉบับที่ 12 เพื่อนำสู่ “การพัฒนาที่ยั่งยืน”

5. สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมที่ส่งผลให้เกิดปัญหาอาชญากรรม คือส่วนใดมากที่สุด
(1) การว่างงาน
(2) การเปลี่ยนแปลงทางสังคม
(3) ความเครียด
(4) สภาพครอบครัว
ตอบ 1

สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมที่ส่งผลให้เกิดปัญหาอาชญากรรมมากที่สุดคือ การว่างงาน เพราะผู้ที่ว่างงานย่อมขาดรายได้สำหรับการดำรงชีวิต ทำให้สภาพจิตใจและ อารมณ์ไม่ปกติ ส่วนผู้ว่างงานที่อยู่ในชนบท มักใช้เวลาว่างไปในทางอบายมุข เที่ยวเตร่ ดื่มสุรา เล่นการพนัน จึงทำให้ขาดรายได้เลี้ยงชีพจนเป็นชนวนให้ก่อปัญหาอาชญากรรมในที่สุด

6. นายญวง เอี่ยมศิลา เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่งที่ร่วมลงชื่อเสนอร่างกฎหมายจัดตั้งมหาวิทยาลัย รามคำแหง ขณะนั้นเป็สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดใด
(1) ชุมพร
(2) อุดรธานี
(3) นครสวรรค์
(4) กาญจนบุรี
ตอบ 2

ในปี พ.ศ. 2512 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จากทุกภาคของประเทศ ที่สังกัดพรรคสหประชาไทยได้ร่วมลงชื่อเสนอร่างกฎหมายจัดตั้งมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ (มหาวิทยาลัยรามคำแหง) ได้แก่
1. นายประมวล กุลมาตย์ ส.ส. จังหวัดชุมพร เป็นผู้จัดทำร่าง
2. นายสวัสดิ์ คำประกอบ ส.ส. จังหวัดนครสวรรค์
3. นายญวง เอี่ยมศิลา ส.ส. จังหวัดอุดรธานี
4. นายประสิทธิ์ ชูพินิจ ส.ส. จังหวัดกำแพงเพชร ฯลฯ

7. ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีความสำคัญเด่นขัดในช่วงปีพุทธศักราชใดเป็นต้นมา
(1) 2540
(2) 2541
(3) 2542
(4) 2543
ตอบ 1

เมื่อเกิดวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย พ.ศ. 2540 หรือเรียกว่า วิกฤตต้มยำกุ้ง เป็นช่วงเวลาที่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีความสำคัญอย่างเด่นชัด และถูกนำมาพิจารณาเป็น แนวทางในการใช้ชีวิตให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนในกระแสโลกาภิวัตน์

8. ปัจจัยทางจิตในด้านเอกลักษณ์แห่งตน ก่อให้เกิดสิ่งใด
(1) ความฉลาดทางอารมณ์
(2) จิตสาธารณะ
(3) ความเสียสละ
(4) ความเป็นประชาธิปไตย
ตอบ 2

เรียม นมรักษ์ ได้ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อจิตสาธารณะ และพบว่าเกิดจาก 2 ปีจจัยหลักดังนี้ 1. ปัจจัยทางจิต ได้แก่ เอกลักษณ์แห่งตน ลักษณะการมุ่งอนาคต การคล้อยตามผู้อื่น ฯลฯ
2. ปัจจัยทางสังคม ได้แก่ สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน และการอบรมเลี้ยงดูแบบประชาธิปไตย

9. แนวทางที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาทุจริตคือข้อใด
(1) การบังคับอย่างเด็ดขาด
(2) การปลูกฝังค่านิยมที่ดี
(3) การลงโทษให้รุนแรง
(4) การใช้มาตรการทางสังคม
ตอบ 2

ปัญหาการทุจริตคดโกงที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากความต้องการที่เกินความพอดีมากที่สุด จนกลายเป็นกิเลสที่ทำให้มนุษย์เกิดความละโมบโลภมาก อยากได้อยากมี ไม่มีความพอดีในชีวิต ดังนั้นแนวทางที่เหมาะสมที่จะนำมาใช้ในการแก้ไขปัญหาทุจริตก็คือ การปลูกฝังค่านิยมที่ดี โดยเฉพาะการมีความซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งอาจได้ผลที่ยั่งยืนกว่าการใช้มาตรการทางสังคม หรือมาตรการทางกฎหมายที่เน้นการบังคับอย่างเด็ดขาดและการลงโทษที่รุนแรง เพราะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุมากกว่า

10. มหาวิทยาลัยของรัฐในส่วนภูมิภาคของไทย มหาวิทยาลัยใดจัดตั้งขึ้นก่อน
(1) มหาวิทยาลัยขอนแก่น
(2) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
(3) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(4) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ตอบ 3

ก่อนการจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหง มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐในส่วนภูมิภาคที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และที่ภาคใต้ 3 แห่ง เรียงตามลำดับ การจัดตั้งขึ้นก่อนไปหลังได้ดังนี้ 1. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 2. มหาวิทยาลัยขอนแก่น 3.มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

11. โดยส่วนใหญ่ที่มาปัญหาของมนุษย์นั้นมาจากอะไร
(1) การใช้คำพูด
(2) การลักทรัพย์
(3) การดื่มสุรา
(4) การนิ่งเฉย
ตอบ 1
จากผลงานวิจัยระบุว่า โดยส่วนใหญ่ที่มาปัญหาของมนุษย์นั้นจะมาจากการใช้ คำพูด (วาจา) ซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างมนุษย์ได้มากที่สุด เพราะคนเราจะได้สิ่งที่ต้องการหรือไม่ต้องการก็ขึ้นอยู่กับการใช้คำพูดหรือมธุรสวาจาทั้งสิ้น

12. สิ่งที่แสดงการยอมรับร่วมกันว่าเป็นสิ่งดีงามของคนในสังคม คือคำตอบในข้อใด
(1) ความเชื่อความศรัทธา
(2) วัฒนธรรม
(3) ประเพณี
(4) จารีต
ตอบ 2
วัฒนธรรม คือ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจากการเรียนรู้ และประสบการณ์ โดยถือว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม มีคุณค่า ควรที่จะประพฤติปฏิบัติ นอกจากนี้ ยังหมายถึง สิ่งที่แสดงความเจริญงอกงามทางด้านจิตใจ วัตถุ ความเป็นระเบียบ แบบแผนร่วมกันในการดำเนินชีวิต ความเจริญก้าวหน้าของประเทศ และศีลธรรมอันดีงามของประชาชน ดังนั้นวัฒนธรรมจึงสามารถวัดความเจริญหรือความเสื่อมของสังคมนั้นๆได้

13. กรรมาธิการวิสามัญในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย…..พ.ศ…..ในวาระที่หนึ่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎรเปิดโอกาสให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอภิปรายอย่างกว้างขวาง ซึ่งอาจแบ่งเป็นฝ่ายใดบ้าง
(1) ฝ่ายที่เห็นชอบ
(2) ฝ่ายที่เห็นชอบแต่มีข้อสังเกต
(3) ฝ่ายที่ไม่เห็นชอบ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
ในวาระที่หนึ่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้เปิดโอกาสให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร อภิปราย ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย คือ 1. ฝ่ายที่เห็นชอบ 2. ฝ่ายที่เห็นชอบแต่มีข้อสังเกต 3. ฝ่ายที่ไม่เห็นชอบ ในที่สุดสภาผู้แทนราษฎรลงมติรับหลักการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว

14. ข้อใดคือคุณลักษณะของผู้มีจิตสาธารณะ
(1) ความพอประมาณ
(2) ความอดทน
(3) ความมีเมตตา
(4) เคารพความแตกต่างระหว่างบุคคล
ตอบ 4
ยุทธนา วรุณปิติกุล กล่าวถึงบุคคลที่มีจิตสาธารณะต้องมีคุณลักษณะดังนี้
1. การทุ่มเทและอุทิศตน 2. เคารพความแตกต่างระหว่างบุคคล
3. คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนรวม 4. การลงมือกระทำ

15. เครื่องมือสำคัญในการพัฒนาสังคมไทยให้มั่นคง ได้แก่ข้อใดต่อไปนี้
(1) การศึกษาที่ดี
(2) การชี้นำที่ดี
(3) กฎหมายที่ดี
(4) คำสอนที่ดี
ตอบ 1
เครื่องมือสำคัญในการพัฒนาสังคมไทยให้มั่นคง ได้แก่ การศึกษาที่ดีทั้งการศึกษาตามหลักวิชาการหรือตามทฤษฎี และการศึกษาด้านคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งจะทำให้มนุษย์มีความสมบูรณ์อย่างมีคุณภาพ อันจะเป็นรากฐานสำคัญต่อการพัฒนาในทุกด้าน ของสังคมและประเทศชาติ

16. ก่อนการจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหง มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐในส่วนภูมิภาคกี่แห่ง
(1) 2 แห่ง
(2) 3 แห่ง
(3) 4 แห่ง
(4) 5 แห่ง
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 10. ประกอบ

17. การไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น ยอมรับผลจากการกระทำด้วยความใจกว้างอย่างมีเหตุผล เป็นการประยุกต์ใช้หลักการเศรษฐกิจพอเพียงด้านใด
(1) เศรษฐกิจ
(2) จิตใจ
(3) สังคมและวัฒนธรรม
(4) เทคโนโลยี
ตอบ 2
การประยุกต์ใช้หลักการเศรษฐกิจพอเพียงในด้านจิตใจ คือ มีจิตใจเข้มแข็งพอที่จะเผชิญหน้าต่อปัญหาและปฏิเสธการรับผลประโยชน์ที่ไม่ถูกต้อง มีจิตสำนึกที่ใฝ่ดี เห็นแก่ประโยชน์ ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน มีคุณธรรมในการดำรงอยู่ ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น ตลอดจนยอมรับผลที่เกิดจากการกระทำด้วยความใจกว้างและมีเหตุผล

18. ศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ ผาสุขนิรันต์ ได้ขอรับการสนับสนุนจากใคร เพื่อเสนอรัฐบาลแต่งตั้งคณะกรรมการ เตรียมการเปิดมหาวิทยาลัยรามคำแหงให้ทันปีการศึกษา2514
(1) จอมพลถนอม กิตติขจร
(2) พลเอกประภาส จารุเสถียร
(3) นายสุกิจ นิมมานเหมินทร์
(4) พลโทแสวง เสนาณรงค์
ตอบ 4
ศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ ผาสุขนิรันต์ ได้ขอรับการสนับสนุนจากพลโทแสวง เสนาณรงค์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงในสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอรัฐบาล แต่งตั้งคณะกรรมการตรียมภารเปิดมหาวิทยาลัยรามคำแหงให้ทันปีการศึกษา พ.ศ. 2514

19. การทุจริตที่เกิดขึ้นมาจากสาเหตุใดมากที่สุด
(1) ความท้าทาย
(2) ความต้องการที่เกินความพอดี
(3) ความสามารถส่วนตน
(4) กฎหมายหย่อนยาน
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 9. ประกอบ

20. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในปัจจุบัน เป็นแผนฉบับที่เท่าใด
(1) ฉบับที่ 9
(2) ฉบับที่ 10
(3) ฉบับที่ 11
(4) ฉบับที่ 12
ตอบ 4 .ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

21. ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช “เศรษฐกิจพอเพียง” หมายถึงอะไร
(1) ทำเศรษฐกิจให้พอเพียงกับตนเอง 100%
(2) มุ่งเน้นกิจกรรมเศรษฐกิจแบบก้าวหน้า
(3) ทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะตนเอง
(4) สร้างความสมดุลระหว่างความต้องการซื้อและความต้องการขาย
ตอบ 3
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ทรงมีพระราชดำรัส เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2542 ความว่า “…ฉันพูดเศรษฐกิจพอเพียง ความหมายคือ ทำอะไรให้เหมาะสมกับฐานะของตัวเอง คือ ทำจากรายได้ 200 – 300 บาท ขึ้นไปเป็นสองหมื่น สามหมื่นบาท…”

22. สถาบันการศึกษาสามารถช่วยในการพัฒนาจิตสาธารณะให้กับสังคมได้อย่างไร
(1) การพัฒนาจริยธรรมพื้นฐานทางวิชาชีพ
(2) อบรมขัดเกลานิสัยใจคอให้มีความรักในชุมชน
(3) การปลูกฝังจิตสำนึกสาธารณะ
(4) สร้างวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันแบบประชาธิปไตย
ตอบ 3
สถาบันการศึกษาสามารถช่วยพัฒนาจิตสาธารณะให้กับสังคม คือ การปลูกฝัง จิตสำนึกสาธารณะโดยการให้การศึกษาแก่เด็กและเยาวชนเพื่อเป็นพื้นฐานในการสร้างจิตสำนึก ทางจริยธรรมให้เข้มแข็งในทุกระดับการศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงอุดมศึกษา โดยมีจุดหมาย รวบยอดว่า การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาคนให้มีจิตสำนึกเป็นมนุษย์ที่เต็มที

23. นายกรัฐมนตรีในช่วงระยะเวลาก่อตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหงคือใคร
(1) จอมพล ป. พิบูลสงคราม
(2) จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
(3) จอมพลถนอม กิตติขจร
(4) จอมพลประภาส จารุเสถียร
ตอบ 3
นายกรัฐมนตรีในช่วงระยะเวลาก่อตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหง คือ จอมพลถนอม กิตติขจร อดีตหัวหน้าพรรคสหประชาไทย

24. นายสมขายขายสินค้าหมดอายุให้กับลูกค้า สะท้อนถึงการขาดคุณธรรมข้อใด
(1) ความไม่ซื่อสัตย์ในอาชีพ
(2) ความเห็นแก่ตัว
(3) ความมักง่าย
(4) เกิดความโลภ
ตอบ 1
ความซื่อสัตย์ในการประกอบอาชีพ หมายถึง การประกอบอาชีพด้วยความสุจริต ซื่อตรง จริงใจ รักในอาชีพที่ตนทำอยู่ ไม่คดโกงเอาเปรียบ ไม่นำสิ่งปลอมปนมาใช้ในการ ประกอบอาชีพ เช่น ไม่ขายของเหลือหรือสินค้าหมดอายุให้กับลูกค้า, ไม่นำสินค้าเกรดต่ำ ๆ มาขายในราคาสูง, ตรวจสอบคุณภาพของสินค้าก่อนส่งมอบทุกครั้ง ฯลฯ

25. นายประมวล กุลมาตย์ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นผู้จัดทำร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย……พ.ศ…… ซึ่งเป็นร่างกฎหมายจัดตั้งมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ ขณะนั้นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดใด
(1)นครสวรรค์
(2)ชุมพร
(3) อุดรธานี
(4) หนองคาย
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ

26. ปัจจัยภายในใดที่ทำให้เกิดจิตสาธารณะ
(1) การแยกแยะความดี ความชั่ว
(2) การประเมินพฤติกรรมที่เหมาะสมทางสังคม
(3) การตระหนักถึงส่วนรวม
(4) การคิดวิเคราะห์พิจารณาตัดสินคุณค่าและความดีงาม
ตอบ 4
ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม และสังคม สัญจน กล่าวถึงปัจจัยแวดล้อมทั้งภายใน และภายนอกที่ก่อให้เกิดจิตสาธารณะไว้ดังนี้
1. ปัจจัยภายนอก หมายถึง ปัจจัยที่เกี่ยวกับภาวะทางสัมพันธภาพของมนุษย์ ภาวะทางสังคม
2. ปัจจัยภายใน หมายถึง การคิดวิเคราะห์ของแต่ละบุคคลในการพิจารณาตัดสินคุณค่าและความดีงาม ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมและการประพฤติปฏิบัติ โดยเฉพาะการปฏิบัติทางจิตใจ

27. การแบ่งปันความรู้ให้เพื่อน ไม่ทุจริตในการสอบ พอใจในผลสอบที่ได้ เป็นเงื่อนไขในข้อใดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
(1) คุณธรรม
(2) หลักวิชา
(3) วัฒนธรรม
(4) ชีวิต
ตอบ 1
เงื่อนไขคุณธรรมตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ การเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของตนให้เป็นบุคคลที่มีความซื่อสัตย์สุจริต รู้รักสามัคคี ไม่โลภ ไม่ตระหนี่ และรู้จักแบ่งปันให้ผู้อื่น เช่น การที่นักศึกษาแบ่งบันความรู้ให้เพื่อน ไม่ทุจริตในการสอบ และพึงพอใจในผลสอบที่ ได้รับ เป็นตัน

28. ปัญหาสังคมอันเนื่องมาจากสิ่งเสพติดควรแก้ปัญหาอย่างไร
(1) การให้ความรู้เกี่ยวกับโทษยาเสพติด
(2) การใช้กฎหมายควบคุมอย่างเด็ดขาด
(3) การให้อิสระทางความคิด
(4) การลงโทษผู้ปกครองและผู้เกี่ยวข้องด้วย
ตอบ 1
แนวทางแก้ไขปัญหาสังคมอันเนื่องมาจากสิ่งเสพติดมีดังนี้
1. ให้ความรู้เกี่ยวกับโทษยาเสพติด
2. ป้องกันและปราบปรามผู้ซื้อและผู้ขายอย่างเด็ดขาด
3. ร่วมมือสอดส่องดูแลความประพฤติของเด็กอย่างใกล้ชิด
4. จัดให้มีการบำบัดและรักษาผู้ติดยาเสพติด ฯลฯ

29. ผู้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักบริการทางวิชาการและทดสอบประเมินผลคนแรกของมหาวิทยาลัย รามคำแหง คือใคร
(1) นายไพบูลย์ สุวรรณโพธิ์ศรี
(2) นายธนกาญจน์ ภัทรากาญจน์
(3) นายอภิรมย์ ณ นคร
(4) นายสง่า ลีนะสมิต
ตอบ 2
ในรายงานการประชุมสภามหาวิทยาลัยรามคำแหงครั้งแรกที่ประชุมมีมติและเสนอแต่งตั้งนายธนกาญจน์ ภัทรากาญจน์ รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการ สำนักบริการทางวิชาการและทดสอบประเมินผล ทั้งนี้นายกสภามหาวิทยาลัยได้มีคำสั่งแต่งตั้งรักษาการก่อน และได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งตามระเบียบของราชการในเวลาต่อมา

30. การที่นายสมประสงค์โฆษณาสินคาเกินความเป็นจริง แสดงถึงความบกพร่องในข้อใด
(1) การใช้สื่อผิดวัตถุประสงค์
(2) การหลอกลวงให้หลงเชื่อ
(3) การสร้างกระแสให้กับสินค้า
(4) การสกัดคู่แข่งทางธุรกิจ
ตอบ 2
การโฆษณาสินค้าเกินความเป็นจริง จะเข้าข่ายความผิดเรื่องการหลอกลวงให้ ผู้บริโภคหลงเชื่อ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 271 ผู้ใดขายของโดยหลอกลวงด้วย ประการใด ๆ ให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกำเนิด สภาพ คุณภาพหรือปริมาณแห่งของนั้นอันเป็นเท็จ ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกิน หกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

31. ข้อใดเป็นหลักการของความพอเพียง
(1) ความพอประมาณ
(2) ความมีเหตุผล
(3) การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
หลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ ความพอเพียง ซึ่งหมายถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี พอสมควรต่อการมีผลกระทบใด ๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในและภายนอก

32. แนวทางในการเสริมสร้างคุณธรรมที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือแนวทางใด
(1) การสอน
(2) การอบรม
(3) การฝึกฝน
(4) การเป็นแบบที่ดี
ตอบ 4
แนวทางในการเสริมสร้างคุณธรรมที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด คือ การส่งเสริมให้ครู เป็นตัวแบบที่ดี (Modeling) ให้แก่ผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความศรัทธาและอยากกระทำตาม เพราะกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม (Social Learning) เชื่อว่า ตัวแบบที่ดีเป็นเครื่องมือ สำคัญที่สุดในการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม

33. ก่อนการจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยแบบตลาดวิชาของไทยสิ้นสภาพการเป็นมหาวิทยาลัย แบบตลาดวิชาอย่างบริบูรณ์ตั้งแต่ พ.ศ. อะไร
(1) 2500
(2) 2501
(3) 2502
(4) 2503
ตอบ 4
มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก.) ได้ก่อตั้งขึ้นเป็น มหาวิทยาลัยแบบตลาดวิชาแห่งแรกในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยไทย แต่ด้วยเหตุผลทาง การเมืองบางประการในขณะนั้น การเป็นตลาดวิชาของมหาวิทยาลัยก็ค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนไป เป็นระบบมหาวิทยาลัยบปิด และสิ้นสภาพความเป็นตลาดวิชาอย่างบริบูรณ์ตั้งแต่ พ.ศ. 2503 จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2514 จึงได้เกิดมหาวิทยาลัยแบบตลาดวิชาแห่งที่สองในประวัติศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยไทย คือ มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ข้อ 34. – 35. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1) จริยธรรม
(2) คุณธรรม
(3) ศีลธรรม
(4) มโนธรรม

34. หากท่านพบว่าหัวหน้าตนเองแอบโกงเงินบริษัท ท่านจึงแจ้งเจ้าของบริษัทให้เอาผิด ถือว่าท่านมีสิ่งใด
ตอบ 1
ความหมายของคำว่า “คุณธรรม” และ “จริยธรรม” เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกันในด้านคุณงามความดี แต่จะมีความแตกต่างกัน กล่าวคือ
1. คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความดีที่อยู่ภายในจิตใจของบุคคล เช่น ความกตัญญู- กตเวที ความซื่อสัตย์สุจริต ความมีนํ้าใจ เสียสละ อดทน ฯลฯ
2. จริยธรรม หมายถึง ความประพฤติที่ถูกต้องดีงามทั้งกายและวาจา สมควรที่บุคคลจะประพฤติปฏิบัติเป็นพฤติกรรมภายนอก ดังนั้นจริยธรรมจึงเป็นเรื่องของการแสดงออก ให้เห็นเป็นประจักษั

35. หากท่านพบว่าหัวหน้าตนเองแอบโกงเงินบริษัท แต่หัวหน้าขอร้องไม่ให้บอกใคร ท่านจึงไม่บอกใครเพราะ หัวหน้าคนนี้มีบุญคุณต่อท่าน ถือว่าท่านมีสิ่งใด
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 34. ประกอบ

36. จริยธรรมของบุคคลมีองค์ประกอบอย่างน้อยสามประการคืออะไร
(1) ด้านความรู้ นำไปใช้ และเลี้ยงตนเอง
(2) ด้านความเข้าใจ นำไปใช้ และใช้สอน
(3) ด้านความรู้ ความเข้าใจ และสร้างทฤษฎี
(4) ด้านความรู้ อารมณ์ความรู้สึก และพฤติกรรม
ตอบ 4
กรมวิชาการ กล่าวถึงจริยธรรมของบุคคลว่ามีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ
1. ด้านความรู้ 2. ด้านอารมณ์ความรู้สึก 3. ด้านพฤติกรรม

37. ข้อใดต่อไปนี้คือหลักคุณธรรมสำหรับการทำหน้าที่ได้ถูกต้องและเหมาะสม
(1) ยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
(2) ยอมรับผลงานที่ตนเองได้ปฏิบัติ
(3) ยอมรับรางวัลที่ได้รับ
(4) ยอมรับการปฏิบัติเมื่อมีคนสั่ง
ตอบ 2
หลักคุณธรรมสำหรับการทำหน้าที่ได้ถูกต้องและเหมาะสม คือ การยอมรับ ผลงานที่ตนเองได้ปฏิบัติ หรือยอมรับผลการกระทำของตนเอง โดยไม่โยนความรับผิดชอบ ไปให้ผู้อื่น ไม่ว่างานที่ทำไปจะบรรลุตามเป้าหมายหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงถึง ความรับผิดชอบและนำมาปรับปรุงแก้ไขงานนั้นให้ดีขึ้นกว่าเดิม

38. ข้อใดคือความหมายของคำว่า “เมตตา”
(1) ความรักและปรารถนาดีต่อมิตร
(2) อยากให้ผู้อื่นพบความสุข
(3) บุญและบาปมีจริง
(4) เขาดีเราดีตอบ เขาร้ายเราร้ายตอบ
ตอบ 2
พระธรรมปีฎก (ป.อ. ปยุตโต) กล่าวว่า คุณธรรม คือ ธรรมที่เป็นคุณความดีงาม ประกอบด้วย
1. เมตตา คือ ความรักปรารถนาดีเป็นมิตร อยากให้ผู้อื่นพบความสุข
2. กรุณา คือ ความสงสารอยากช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นทุกข์
3. มุทิตา คือ ความพลอยยินดีพร้อมที่จะส่งเสริมสนับสนุนผู้ที่ประสบความสำเร็จให้มีความสุข
4. อุเบกขา คือ การวางตัว การวางใจเป็นกลางเพื่อรักษาธรรม
5. จาคะ คือ ความมีนํ้าใจ เสียสละ เอื้อเพื่อเผื่อแผ่ ไม่เห็นแก่ตัว

39. ข้อใดกล่าวถูกต้องที่สุด
(1) คุณธรรม คือ การวางใจเพื่อความดีงาม
(2) คุณธรรมไม่สัมพันธ์กับหน้าที่ของบุคคล
(3) คุณธรรม คือ เรื่องปล่อยวางและนิ่งเฉย
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 38. ประกอบ

40. ข้อใดกล่าวถึงหลักการครองตนได้ถูกต้องที่สุดตามหลักคุณธรรม
(1) แดงรับประทานมาม่าเพื่อช่วยพ่อแม่ประหยัด
(2) ดำทำความเคารพผู้อื่นเสมอ
(3) การรู้จักตนเองและทำตามที่ตนเองต้องการ
(4) สมศรีเรียนรู้การให้และการรับ
ตอบ 3
หลักในการครองตน คือ การรู้จักตนเองและทำตามที่ตนเองต้องการ เข้าใจ ตนเอง และสามารถควบคุมตนเองได้ เป็นผู้ที่มีเป้าหมายในชีวิตที่แน่นอน หรือเรียกกันว่า “มีเป้าหมายแห่งตน” ซึ่งหลักการครองตนตามหลักคุณธรรมนั้นจะต้องประกอบไปด้วย “ภูมิ” หรือคุณลักษณะ 3 ประการ ดังนี้
1. ภูมิรู้ คือ มีรากฐานความรู้ตามศาสตร์สาขาวิชาการที่ดีหรือมีเทคนิคความชำนาญเฉพาะอย่าง
2. ภูมิธรรม คือ มีคุณธรรมกำกับการทำงาน
3. ภูมิฐาน คือ มีพื้นฐานของบุคลิกลักษณะที่ดี

41. อะไรคือตัวควบคุมอารมณ์และความรู้สึกให้เป็นอิสระ เป็นสุขจากแรงกระทบที่เกิดขึ้น
(1) ปัญญา
(2) ปัญหา
(3) ปรัชญาชีวิต
(4) ความคาดหวัง
ตอบ 1
ปัญญาหรือความรู้ ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการส่งเสริมให้บุคคลแสดงพฤติกรรมในทางที่ถูกต้อง เพราะปัญญาเป็นตัวควบคุมอารมณ์และความรู้สึกให้เป็นอิสระ เป็นสุขจากแรงกระทบกระทั่งทั้งปวงนั้น

42. เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ส่วนหนึ่งมาจากสาเหตุใดมากที่สุด
(1) สภาพสังคม
(2) ความเชื่อที่ผิด
(3) ต้องการเอาชนะกัน
(4) ความขัดแย้ง
ตอบ 4
เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ส่วนหนึ่งมาจากสาเหตุความขัดแย้ง มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งทางเชื้อชาติและศาสนา ภาษา วัฒนธรรม วิถีชีวิต ผลประโยชน์ในพื้นที่ อุดมการณ์ในการปกครอง ฯลฯ

43. ข้อใดเป็นคุณสมบัติผู้ที่มีคุณธรรม
(1) ไม่เชื่อในการกระทำของบุคคลอื่น
(2) มีทัคนคติในทางบวกในทุก ๆ เรื่อง
(3) ไม่เกิดความทุกข์
(4) อยู่ในระบบการแข่งขันทางเศรษฐกิจได้
ตอบ 3
การที่คนในสังคมมีความรู้ความเข้าใจคุณธรรมจริยธรรม จิตใจก็ย่อมสูงส่ง มีความสะอาดและสว่างต่อจิตใจ จะปฏิบัติการงานชนิดใดก็ไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อน ไม่เกิดทุกข์ภัยทั้งต่อตนเองและผู้อื่นในสังคม

44. การมองคนอื่นในแง่ดีอยู่เสมอและพร้อมให้โอกาส เป็นหลักการของคุณธรรมข้อใด
(1) การครองงาน
(2) การครองตน
(3) การครองคน
(4) การครองตำแหน่ง
ตอบ 3
การครองคน คือ การรู้จักและเข้าใจธรรมชาติผู้อื่น โดยการมองคนอื่นในแง่ดีอยู่เสมอและพร้อมให้โอกาส ซึ่งในการทำงานร่วมกับคนอื่นนั้น การครองคนถือเป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะคนเรามีหลายประเภทหรือดอกบัว 4 เหล่า จึงควรยึดหลักการครองใจคนตามหลักการของพระพุทธศาสนา เช่น หลักสังคหวัตถุ 4

45. ข้อใดคือผลสุดท้ายที่เกิดขึ้นกับทุกหน่วยของสังคม ถ้าทุกหน่วยดำเนินการตามแนวคิดหลักเศรษฐกิจพอเพียง
(1) ความมีหน้ามีตา
(2) ความมั่งคั่ง
(3) ความน่าเชื่อถือ
(4) ความยั่งยืน
ตอบ 4
การประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียงในสังคมระดับต่าง ๆ นั้น หากทุกหน่วยสังคม สามารถดำเนินการได้ตามแนวคิดหลักเศรษฐกิจพอเพียง สังคมก็จะมีความมั่นคงและยั่งยืน เพราะทุกหน่วยในสังคมพึ่งพาตนเองได้อย่างมีความสุขตามสถานภาพของตน

46. ข้อใดต่อไปนี้กล่าวถึงวิธีครองงานได้ครอบคลุมที่สุด
(1) การครองงานตามความต้องการ
(2) การครองงานในอาชีพของตนเท่านั้น
(3) การครองงานโดยใช้ความรู้และปัญญา
(4) การครองงานตามที่หัวหน้าสั่ง
ตอบ 3
หลักในการครองงาน คือ การรู้จักงานที่ตนเองกำลังทำอยู่ และทำงานอย่าง มีความสุข รักและชอบในงานที่ตนเองกำลังทำอยู่ ซึ่งมีวิธีการครองงานดังนี้
1. การครองงานโดยใช้ความรู้และปัญญา
2. การครองงานโดยใช้หลักธรรมมุ่งมั่นสู่ความสำเร็จ คือ การมีใจรัก มีความพากเพียรทำ ตั้งใจฝักใฝ่ และใช้ปัญญาไตร่ตรอง
3. การให้ความรักและความเคารพในงานอาชีพของตน ไม่ดูถูกหรือให้ใครดูหมิ่นในงานของตน มีจริยธรรมในอาชีพ

47. ข้อใดกล่าวถูกต้องที่สุด
(1) การพัฒนาบ้านเมืองต้องพัฒนาจิตใจคนก่อน
(2) ทำวันนี้ให้ดีที่สุดวันหน้าเป็นเรื่องของกรรม
(3) วันนี้ยากจนวันหน้าต้องร่ำรวย
(4) อำนาจและวาสนาถ้าได้มาต้องรักษาไว้ให้ได้ทุกวิธี
ตอบ 1
วศิน อินทสระ กล่าวถึงความสำคัญและประโยชน์ของจริยธรรมไว้ดังนี้
1. จริยธรรมเป็นรากฐานอับสำคัญแห่งความเจริญรุ่งเรือง
2. การพัฒนาบ้านเมืองต้องพัฒนาจิตใจคนก่อน
3. จริยธรรมมิได้หมายถึง การถือศีล เข้าวัดฟังธรรม จำศีลภาวนา โดยไม่ช่วยเหลือทำประโยชน์ ให้แก่สังคม แต่จริยธรรม หมายถึง ความประพฤติ การกระทำ และความคิดที่ถูกต้องเหมาะสม ต่อการทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้องสมบูรณ์ ฯลฯ

48. การนำคุณธรรมมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต หมายถึงข้อใด
(1) ทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น
(2) เรียนหนังสือเท่าที่อาจารย์บรรยาย
(3) ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้
(4) วางใจเป็นและยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ตอบ 4
การนำคุณธรรมมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต หมายถึง การวางใจเป็น และยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากสภาพเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลาได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง

49. ข้อใดตอไปนี้กล่าวได้ถูกต้องที่สุด
(1) จริยธรรมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับบุคคล
(2) จริยธรรมนำไปสู่ความสำเร็จในการดำเนินชีวิตเท่านั้น
(3) จริยธรรมเป็นรากฐานแห่งความเจริญรุ่งเรือง
(4) จริยธรรมและคุณธรรมเป็นพื้นฐานของความจริง
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 47. ประกอบ

50. มหาวิทยาลัยของรัฐแห่งที่ห้าของไทย คืออะไร
(1) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(2) มหาวิทยาลัยศิลปากร
(3) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(4) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ตอบ 2
ก่อนการจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหง มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐที่กรุงเทพมหานคร 5 แห่ง เรียงตามลำดับการจัดตั้งขึ้นก่อนไปหลังได้ดังนี้
1. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
3. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 4. มหาวิทยาลัยมหิดล 5. มหาวิทยาลัยศิลปากร

51. คำกล่าวว่า “มหาวิทยาลัยแบบตลาดวิชา” เป็นข้อความอธิบายอะไรของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
(1) เอกลักษณ์
(2) รูปลักษณ์
(3) ลักษณะ
(4) อัตลักษณ์
ตอบ 1
เอกลักษณ์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง คือ เป็นมหาวิทยาลัยแบบ ตลาดวิชา ซึ่งมีลักษณะดังนี้ 1. รับไม่จำกัดจำนวน 2. ไม่จำเป็นต้องเข้าเรียน 3. มีอิสระในการเสือกสาขาวิชาที่เรียน 4. สนองตอบต่อการเรียนตลอดชีวิต

52. การปลูกฝังจริยธรรมควรเริ่มต้นจากที่ใดเป็นลำดับแรก
(1) สถานศึกษา
(2) ศาสนสถาน
(3) กลุ่มสังคม
(4) ครอบครัว
ตอบ 4
การปลูกฝังจริยธรรมควรเริ่มต้นจากสถาบันครอบครัวก่อนเป็นลำดับแรกเพราะเด็กในช่วงอายุก่อน 6 ปี จะสามารถเรียนรู้และซึมซับจริยธรรมในช่วงนั้นได้มากที่สุด ดังนั้นพ่อแม่ ญาติพี่น้อง และผู้ใกล้ชิดของเด็กในวัยนี้จึงมีบทบาทสำคัญมากในการปลูกฝัง จริยธรรม และควรกระทำอย่างต่อเนื่องผ่านทางกิจกรรมต่าง ๆ

53. การอาศัยองค์ความรู้ในการวางแผนและปฏิบัติงานตามแผนที่วางไว้ เป็นเงื่อนไขใดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
(1) คุณธรรม
(2) หลักวิชา
(3) วัฒนธรรม
(4) ชีวิต
ตอบ 2
เงื่อนไขหลักวิฃาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ การดำเนินกิจกรรมใดต้องอาศัย ความรอบรู้เชิงวิชาการที่เกี่ยวข้องมาประกอบการพิจารณาวางแผนและปฏิบัติการตามแผนด้วยความรอบคอบและระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เช่น การอาศัยองค์ความรู้ในการวางแผนและปฏิบัติงานตามแผนที่วางไว้อย่างระมัดระวัง โอกาสผิดพลาดก็จะเกิดขึ้นน้อยมาก เป็นต้น

54. ในฐานะ “สมาชิกของสังคม” ท่านจะสามารถนำจิตสาธารณะไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร
(1) การช่วยปลูกป่าที่เสื่อมโทรม
(2) การใช้น้ำ น้ำมัน ไฟฟ้าอย่างประหยัด
(3) การเรี่ยไรเงินเพื่อบริจาคสร้างโบสถ์
(4) การร่วมต่อต้านนักการเมืองทุจริต
ตอบ 2
ในฐานะสมาชิกของสังคม เราสามารถนำจิตสาธารณะไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ โดยเริ่มจากตนเองในกิจกรรมเล็ก ๆ เช่น การใช้ทรัพยากรน้ำ น้ำมัน หรือไฟฟ้าอย่างประหยัด ฯลฯ จนไปถึงกิจกรรมใหญ่ๆ ในระดับชุมชน เช่น การพัฒนาชุมชน การรักษาสิ่งแวดล้อมในชุมชน ฯลฯ หรือจนถึงระดับประเทศชาติ เช่น การสร้างเครือข่ายอนุรักษ์ต่าง ๆ ฯลฯ

55. วัฒนธรรมมีหน้าที่ตามข้อใดมากที่สุด
(1) แสดงถึงความเป็นตัวตน
(2) กำหนดกฎเกณฑ์ต่าง ๆ
(3) หล่อหลอมสมาชิกในสังคม
(4) สร้างความแตกต่างให้ชัดเจน
ตอบ 2
วัฒนธรรมทำหน้าที่ควบคุมสังคม โดยการกำหนดกฎเกณฑ์ ข้อบังคับต่าง ๆ ขนบธรรมเนียมประเพณี ฯลฯ เพื่อสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยให้แก่สังคม เพราะในวัฒนธรรมจะมีทั้งความเชื่อ ค่านิยม บรรทัดฐาน ตลอดจนผลตอบแทนในการปฏิบัติและบทลงโทษเมื่อฝ่าฝืน

56. ศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ ผาสุขนิรันต์ สอนกระบวนวิชาใดในวันเปิดเรียนครั้งแรกของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
(1) EN 101 วิชาภาษาอังกฤษ
(2) PS 110 วิชาการปกครองของไทย
(3) LS 103 วิชาการใช้ห้องสมุด
(4) TH 101 วิชาการใช้ภาษาไทย
ตอบ 2
กระบวนวิชาแรกที่สอนในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2514 ซึ่งเป็นวันเปิดเรียนครั้งแรก ของมหาวิทยาลัยรามคำแหง คือ LS 103 วิชาการใช้ห้องสมุด สอนโดย อ.อัมพร วีระวัฒน์ และคาบต่อมาก็คือ กระบวนวิชา PS 110 วิชาการปกครองของไทย สอนโดยศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ ผาสุกนิรันต์

57. ข้อใดต่อไปนี้แสดงถึงความซื่อสัตย์ในการประกอบอาชีพมากที่สุด
(1) อาทิตย์พยายามขายสินค้าให้หมดทุกวิธี
(2) จันทร์นำของเหลือมาขายเพื่อหารายได้เพิ่ม
(3) อังคารตรวจสอบสินค้าก่อนส่งมอบให้ลูกค้า
(4) พุธคัดเลือกสินค้าเกรดต่ำ ๆ เพื่อจะได้กำไรมากขึ้น
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 24. ประกอบ

58. ข้อใดคือการตระหนักถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือจากภายนอกชุมชน ตามหลักทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริขั้นที่สาม
(1) หน่วยงานให้ความรู้ด้านเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่
(2) ธนาคารที่จะให้การสนับสนุนด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ไม่สูงเกินไปนัก
(3) บริษัทเอกชนสนับสนุนด้านเงินทุนระยะสั้น
(4) พ่อค้าคนกลางที่อำนวยความสะดวกด้านการรับซื้อสินค้าเกษตร
ตอบ 2
ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริขั้นที่ 3 คือ การตระหนักถึงการสร้าง เครือข่ายความร่วมมือจากภายนอกชุมชนด้วยการติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่
1. หน่วยงานที่สนับสนุนุด้านการวิจัย เพื่อการพัฒนาผลผลิตให้ได้คุณภาพดีขึ้น ต้นทุนต่ำลง 2. ธนาคารที่จะให้การสนับสนุบเงินทุนด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ไม่สูงเกินไปนัก 3. บริษัทเอกชนที่รับซื้อผลผลิตโดยตรง ไม่ต้องผ่านคนกลาง

59. จิตสาธารณะเกิดจากสิ่งใด
(1) ประสบการณ์ในวัยเด็ก
(2) ประสบการณ์ในวัยรุ่น
(3) ประสบการณ์ในวัยผู้ใหญ่
(4) ประสบการณ์ในวัยชรา
ตอบ 1
จิตสาธารณะเป็นสิ่งที่เกิดจากการสะสมของประสบการณ์ในวัยเด็ก และจะพัฒนา ไปอย่างช้าๆ ในช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ โดยเกิดจากการสั่งสอนฝึกฝนจากบุคคล สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมของสังคมนั้น ๆ ดังนั้นการพัฒนาจิตสาธารณะจึงจำเป็นต้องอาศัยกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกันในสังคม

60. กรรมาธิการวิสามัญในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย…..พ.ศ…..ประกอบด้วย กรรมาธิการฝ่ายรัฐบาลจำนวนกี่คน
(1) 6 คน
(2) 7 คน
(3) 8 คน
(4) 9 คน
ตอบ 2
นายประมวล กุลมาตย์ เจ้าของร่างฯ เสนอแต่งตั้งกรรมาธิการวิสามัญ ซึ่งที่ประชุม ลงมติให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาจำนวน 15 คน ประกอบด้วย กรรมาธิการฝ่ายรัฐบาล จำนวน 7 คน และกรรมาธิการฝ่ายผู้แทนจำนวน 8 คน

61. ข้อใดไม่ใช่ความเสี่ยงที่เกษตรกรมักพบอยู่เป็นประจำ
(1) มีหนี้สินจนต้องสูญเสียที่ดิน
(2) ราคาสินค้าเกษตรตกตํ่า
(3) การไม่พึ่งพาปัจจัยการผลิตสมัยใหม่จากต่างประเทศที่มีราคาสูง
(4) การขาดแคลนน้ำ ฝนทิ้งช่วง ความแห้งแล้ง
ตอบ 3
ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ กล่าวถึงความเสี่ยงที่เกษตรกรมักพบอยู่เป็นประจำ ได้แก่ 1. การขาดแคลนน้ำ ฝนแล้ง ฝนทิ้งช่วง 2. ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ 3. สภาพดินที่ไม่เหมาะสม 4. โรคระบาดและศัตรูพืช 5. การพึ่งพาปัจจัยการผลิตสมัยใหม่ จากต่างประเทศที่มีราคาสูง 6. การขาดแคลนแรงงาน 7. มีหนี้สินจนต้องสูญเสียที่ดินทำกิน

62. เหตุผลสำคัญของความรู้ที่ต้องควบคู่คุณธรรม ตรงกับคำตอบข้อใคต่อไปนี้
(1) ความรู้ทำให้องอาจ
(2) การนำความรู้ไปใช้ในทางที่ถูกต้อง
(3) ความรู้กับคุณธรรมเป็นของคู่กัน
(4) ความรู้กับคุณธรรมทำให้เกิดการยอมรับ
ตอบ 2
ในวิชาความรู้คู่คุณธรรมนั้น บุคคลจะมีความรู้เพียงอย่างเดียว ไม่พอ หรือมีคุณธรรมอย่างเดียวก็ไม่พอเช่นกัน จะต้องมีทั้งสองสิ่งควบคู่กัน เพราะหากมี ความรู้แต่ไม่มีคุณธรรม เวลานำความรู้ไปใช้ก็อาจเกิดเหตุที่เป็นผลร้ายกับสังคมได้ ดังนั้น จึงต้องมีคุณธรรมประกอบด้วย เพื่อช่วยส่งเสริมให้บุคคลนำความรู้ไปใช้ในทางที่ถูกที่ควร หรือนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม

63. ในปีการศึกษา 2516 มหาวิทยาลัยรามคำแหงมีคณะวิชาที่จัดการเรียนการสอนกี่คณะ
(1) 4 คณะ
(2) 5 คณะ
(3) 6 คณะ
(4) 7 คณะ
ตอบ 4
ในวาระเริ่มแรก (พ.ศ. 2514) มหาวิทยาลัยรามคำแหงได้จัดตั้งคณะวิชา 4 คณะ ได้แก่ คณะนิติศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ คณะมนุษยศาสตร์ และคณะศึกษาศาสตร์ ต่อมามหาวิทยาลัยได้ขอจัดตั้งเพิ่มอีก 3 คณะ ได้แก่ คณะวิทยาศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ และ คณะเศรษฐศาสตร์ แต่สภาการศึกษาแห่งชาติไม่ให้จัดตั้ง จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2516 จอมพล ถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบตามโครงการจัดตั้งคณะใหม่ ทำให้ในปีการศึกษา พ.ศ. 2516 มหาวิทยาลัยรามคำแหงมีคณะวิชาที่จัดการเรียนการสอนทั้งหมด 7 คณะ

64. ข้อใดไม่ใช่ความสำคัญของทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริ
(1) มีการบริหารและจัดแบ่งที่ดินแปลงเล็ก ๆ ออกเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด แก่เกษตรกร
(2) มีการคำนวณปริมาณน้ำที่จะต้องจัดเก็บให้เพียงพอต่อการเพาะปลูกพืชนานาชนิดได้อย่างเหมาะสมตลอดทั้งปี
(3) มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบสำหรับเกษตรกรรายย่อยโดยแยกเป็นสามขั้นตอน
(4) สร้างผลผลิตที่สามารถทำกำไรสูงสุด
ตอบ 4
ความสำคัญของทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริมีดังนี้
1. มีการบริหารและจัดแบ่งที่ดินแปลงเล็ก ๆ ออกเป็นสัดส่วนอย่างชัดเจน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่เกษตรกร
2. มีการคำนวณปริมาณน้ำที่จะต้องจัดเก็บไว้ให้เพียงพอต่อการเพาะปลูกพืชนานาชนิด ได้อย่างเหมาะสมตลอดทั้งปี โดยใช้หลักวิชาการที่ถูกต้อง
3. มีการวางแผนที่สมบูรณ์แบบสำหรับเกษตรกรรายย่อยโดยแยกเป็น 3 ขั้นตอน ได้แก่ ทฤษฎีใหม่ขั้นที่ 1, 2 และ 3

65. กลไกในข้อใดที่เหมาะสมที่สุดในการใช้ควบคุมจริยธรรมนักการเมือง
(1) การสอนหรืออบรม
(2) การสร้างความรับรู้
(3) การสร้างความตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับปัญหาการขาดจริยธรรม
(4) การตรวจสอบที่เข้มงวดกวดขันในการปฎิบ้ติหน้าที่
ตอบ 4
ปัญหาจริยธรรมของนักการเมืองได้ส่งผลต่อปัญหาการแสวงหาผลประโยชน์ ในหน้าที่โดยมิชอบมากที่สุด เช่น การทุจริตเลือกตั้ง, การช่วยเหลือพวกพ้องให้ได้ดำแหน่ง, การใช้ทรัพย์สินงบประมาณราชการเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ฯลฯ ดังนั้นกลไกที่เหมาะสมที่สุด ในการใช้ควบคุมจริยธรรมนักการเมืองก็คือ การตรวจสอบที่เข้มงวดกวดขันในการปฏิบัติ หน้าที่ โดยมีบทลงโทษที่รุนแรงและบังคับใช้อย่างจริงจัง ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่สองมาตรฐาน

66. ข้อใดไม่ใช่การประยุกต์ใช้เศรษฐกิจพอเพียงในด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
(1) จัดการทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด
(2) ทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
(3) ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อสภาพแวดล้อมที่ทันสมัย
(4) รักษาสมดุลระหว่างวัตถุกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ตอบ 3
การประยุกต์ใช้หลักการเศรษฐกิจพอเพียงในด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คือ การรู้จักใช้และจัดการทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยทำลายสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด รวมทั้งการฟื้นฟูเพื่อทดแทนสิ่งเก่าที่ถูกทำลายไป จึงจะสามารถรักษาสมดุลระหว่าง วัตถุกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่ตราบนานเท่านาน

67. คุณธรรมที่สะท้อนถึงความเอื้อเฟื้อ คือคุณธรรมข้อใด
(1) สังคหวัตถุ
(2) อิทธิบาท
(3) ฆารวาสธรรม
(4) สัปปุริสธรรม
ตอบ 1
สังคหวัตถุ 4 คือ หลักคุณธรรมที่ช่วยรักษาความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ช่วยสะสมมิตรไมตรี ทำให้มนุษย์ในสังคมดำรงอยู่ร่วมกันได้อย่างเอื้อเพื่อเผื่อแผ่ เอื้ออาทร หรือช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกัน มีอยู่ 4 ประการ ได้แก่
1. ทาน หมายถึง การให้ การบริจาค การเสียสละแบ่งปันวัตถุ สิ่งของ ทรัพย์สิน
2. ปิยวาจา หมายถึง การพูดด้วยความปรารถนาดี จริงใจ พูดจาสุภาพไพเราะอ่อนหวาน
3. อัตถจริยา หมายถึง ประพฤติตนให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นและสังคม มีจิตอาสา สละแรงกาย แรงใจเพื่อช่วยเหลือกิจกรรมสาธารณะ
4. สมานัตตา หมายถึง การวางตนเสมอต้นเสมอปลาย เมื่อเกิดปัญหาต่อส่วนรวมก็ต้องร่วมกัน แก้ปัญหา

68. นายประสิทธิ์ ชูพินิจ เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่งที่ร่วมลงชื่อเสนอร่างกฎหมายจัดตั้งมหาวิทยาลัย รามคำแหง ขณะนั้นเป็สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดใด
(1) นครสวรรค์
(2) อุดรธานี
(3) กำแพงเพชร
(4) นครราชสีมา
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ

69. ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง เป้าประสงค์ คือ การสร้างความสมดุลและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในด้านใด
(1) วัตถุ สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม
(2) วัตถุ สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม
(3) วัตถุ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม
(4) วัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรม
ตอบ 4
เป้าประสงค์ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คือ ความสมดุลและพร้อมรับการ เปลี่ยนแปลง ซึ่งหมายถึง การสร้างสมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว และกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี

70. ความรุนแรงในสังคมจะเป็นเหตุให้ต้องเข่นฆ่ากันส่วนหนึ่งเพราะขาดคุณธรรมข้อใด
(1) เมตตา
(2) กรุณา
(3)มุทิตา
(4)อุเบกขา
ตอบ 1 (ดูคำอธิบายข้อ 38. ประกอบ) เมตตา หมายถึง ความรักที่จะทำให้เป็นสุข ตรงกันข้ามกับความเกลียดที่จะทำให้เป็นทุกข์ จึงเป็นความรักและปรารถนาดีต่อผู้อื่น ไม่เข่นฆ่าหรือเบียดเบียนทำร้ายใครแม้สัตว์เล็กเพียงไหนให้เดือดร้อนทรมานด้วยความโกรธ เกลียด หรือสนุก ดังนั้นเมตตาจึงเป็นคุณธรรมค้ำจุนให้โลกมีแต่สันติสุข ถ้าขาดเมตตาก็จะเต็ม ไปด้วยความโหดเหี้ยมทารุณ เบียดเบียนซึ่งกันและกัน อันเป็นเหตุให้เกิดความรุนแรงในสังคม

71. รูปธรรมของการแสดงความมีจิตสาธารณะคืออะไร
(1) การสร้างฝายน้ำล้นในพื้นที่แห้งแล้ง
(2) การต่อต้านนายทุนที่บุกรุกป่าสงวน
(3) การปัดกวาดลานวัด
(4) การเป็นแบบอย่างที่ดีให้น้อง ๆ
ตอบ 1
การแสดงความมีจิตสาธารณะอาจทำได้ทั้งแบบรูปธรรม (วัตถุสิ่งของ)ได้แก่ การสร้างฝายน้ำล้นในพื้นที่แห้งแล้ง การสร้างโรงเรียนให้แก่เด็กในพื้นที่ห่างไกล เป็นต้น และ แบบนามธรรม (การกระทำ) ได้แก่ การต่อต้านนายทุนที่บุกรุกป่าสงวน การปัดกวาดลานวัด การเป็นแบบอย่างที่ดีให้น้อง ๆ เป็นต้น

72. องค์กรใดเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมการเปิดมหาวิทยาลัยรามคำแหงให้ทันปีการศึกษา 2514 ก่อนพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยรามคำแหงประกาศใช้
(1) วุฒิสภา
(2) สภาผู้แทนราษฎร
(3) กรรมาธิการสามัญของวุฒิสภา
(4) คณะรัฐมนตรี
ตอบ 4
คณะรัฐมนตรีได้ประชุมปรึกษาเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2513 มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมการเปิดมหาวิทยาลัยรามคำแหงให้ทันปีการศึกษา พ.ศ. 2514 มีรายนามดังต่อไปนี๋ 1. นายศักดิ์ ผาสุขนิรันต์ เป็นประธานกรรมการ 2.นายประภาศน์ อวยชัย เป็นกรรมการ 3. นายไพบูลย์ สุวรรณโพธิ์ศรี เป็นกรรมการ ฯลฯ

73. ผู้ดำเนินการแปรญัตติขอตั้งงบประมาณปี 2513 จำนวน 5 ล้านบาท ตัดฝากไว้สำหรับเตรียมการเปิดมหาวิทยาลัยรามคำแหง คือใคร
(1) นายศักดิ์ ผาสุขนิรันต์
(2) นายประภาศน์ อวยชัย
(3) นายประมวล กุลมาตย์
(4) นายสวัสดิ์ คำประกอบ
ตอบ 3
นายประมวล กุลมาตย์ ส.ส. จังหวัดชุมพร เบ็เนผู้ดำเนินการแปรญัตติขอตั้ง งบประมาณปี พ.ศ. 2513 จำนวน 5 ล้านบาท ตัดฝากไว้สำหรับเตรียมเปิดมหาวิทยาลัย รามคำแหง

74. เพราะอะไรธุรกิจเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมที่มีความสำคัญยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
(1) ช่วยให้ประชาชนมีกินมีใช้ตลอดเวลาของทุกช่วงชีวิต
(2) ช่วยสร้างนวัตกรรมสินค้าและบริการให้ทันสมัย
(3) ภาคส่วนช่วยให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปสู่ความมั่งคังได้ดีอย่างรวดเร็วขึ้น
(4) ภาคส่วนที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มของทรัพยากร
ตอบ 4
ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ธุรกิจเป็นหน่วยหนึ่งของสังคมที่มีความสำคัญยิ่งต่อ ระบบเศรษฐกิจ เพราะธุรกิจ คือ ภาคส่วนที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มของทรัพยากร ดังนั้นจึงต้อง คำนึงถึงความพอเพียงระดับธุรกิจ ได้แก่
1. ธุรกิจควรมองถึงผลในระยะยาวมากกว่าระยะสั้น
2. แสวงหาผลกำไรบนพื้นฐานของการแบ่งปันประโยชน์ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อย่างเหมาะสมและเป็นธรรม
3. พัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์และสร้างคุณค่าตราสินค้าให้มีความน่าเชื่อถือ
4. แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม

75. ข้อใดคือเงื่อนไขพื้นฐานของเศรษฐกิจพอเพียง
(1) น้ำใจ
(2) วัฒนธรรม
(3) ชีวิต
(4) มีอาชีพสุจริต
ตอบ 3
เงื่อนไขพื้นฐานของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่
1. เงื่อนไขคุณธรรม 2. เงื่อนไขหลักวิชา 3. เงื่อนไขชีวิต

76. ศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ ผาสุขนิรันต์ ก่อนดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง เคยดำรง ตำแหน่งทางบริหารมหาวิทยาลัยใด
(1) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(2) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
(3) มหาวิทยาลัยศิลปากร
(4) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ตอบ 4 หน้า 2 ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง ศาสตราจารย์ ดร.ศักดิ์ ผาสุขนิรันต์ เคยดำรงดำแหน่งทางบริหารโดยการเป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ และยังได้ทำงานด้านการเมืองในตำแหน่งรองโฆษกรัฐบาลในขณะนั้นด้วย

77. ปัญหาจริยธรรมของนักการเมืองส่งผลต่อปัญหาใดมากที่สุด
(1) การแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
(2) การละเว้นการปฏินัติหน้าที่
(3) ขาดความรับผิดชอบ
(4) คำนึงถึงประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 65. ประกอบ

78. ในวาระเริ่มแรกมหาวิทยาลัยรามคำแหงมีคณะวิชาที่จัดการเรียนการสอน คือคณะใด
(1) คณะนิติศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ คณะศึกษาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์
(2) คณะนิติศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ คณะรัฐศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์
(3) คณะนิติศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ คณะรัฐศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์
(4) คณะนิติศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ คณะมนุษยศาสตร์ คณะศึกษาศาสตร์
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ

79. หลักทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริขั้นที่หนึ่ง ให้แบ่งพื้นที่ออกเป็นสี่ส่วนด้วยอัตรา 30 : 30 : 30 : 10 เพื่อการบริหารจัดการอย่างไร
(1) ปลูกที่อยู่อาศัย : ปลูกข้าว : ปลูกผลไม้ : ขุดเป็นสระ
(2) ขุดเป็นสระ : ปลูกข้าว : ปลูกผลไม้ : ปลูกที่อยู่อาศัย
(3) ปลูกข้าว : ปลูกผลไม้ : ปลูกที่อยู่อาศัย : ขุดเป็นสระ
(4) ปลูกที่อยู่อาศัย : ขุดเป็นสระ : ปลูกข้าว : ปลูกผลไม้
ตอบ 2
ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริขั้นที่ 1 คือ การแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน ด้วยอัตรา 30 : 30 : 30 : 10 โดยบริหารจัดการดังนี้
1. ขุดเป็นสระสำหรับใช้เก็บกักน้ำฝนในฤดูฝน 30%
2. ปลูกข้าวในฤดูฝน 30%
3. ปลูกไม้ผล ไม้ยืนต้น พืชผัก พืชไร่ พืชสมุนไพร ฯลฯ 30%
4. ปลูกเป็นที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ ถนนทางเดิน และโรงเรือนอื่น ๆ 10%

80. หลักคำสอนเกี่ยวกับความรักในศาสนาคริสต์ ตรงกับคำตอบข้อใด
(1) ความรักในทุกสิ่ง
(2) ความรักระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า
(3) ความรักระหว่างคนกับความดี
(4) ความรักระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
ตอบ 2
หลักคำสอนของศาสนาคริสต์เน้นเรื่องความรัก โดยให้ความสำคัญว่าความรัก เป็นสิ่งที่อยู่สูงสุด ความรักเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และจำเป็นต่อผู้คนที่อยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งความรักใน ศาสนาคริสต์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. ความรักระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า 2. ความรักระหว่างมนุษย์กับมนุษย์

81. ในวาระที่สามในการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย…..พ.ศ…..ที่ประชุมได้ลงมติอย่างไร
(1) ลงมติโดยเสียงข้างมาก
(2) ลงมติเป็นเสียงเอกฉันท์
(3) ลงมติโดยเสียงไม่เป็นเอกฉันท์
(4) ลงมติโดยมีเสียงคัดค้านเพียงสองเสียง
ตอบ 2
ในวาระที่สามในคราวประชุมสภาผู้แทน ครั้งที่ 4/2513 (สามัญ) วันพฤหัสบดีที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2513 ที่ประชุมได้ลงมติเป็นเสียงเอกฉันท์ให้ใช้ได้ และให้เสนอต่อ วุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไปตามรัฐธรรมนูญ ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้วุฒิสภาได้รับไว้พิจารณา วันที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2513

82. สถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำ เราควรนำหลักคุณธรรมข้อใดมาใช้ในการดำเนินชีวิตมากที่สุด
(1) การรู้จักกินรู้จักใช้
(2) ความกล้าหาญ
(3) การรู้จักพึ่งผู้อื่น
(4) ความอดทนและประหยัด
ตอบ 4
หลักคุณธรรมที่ควรนำมาใช้ดำเนินชีวิตในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ได้แก่
1. ความอดทน (ขันติ) คือ อดทนอดกลั้นต่อความลำบากตรากตรำ อดทนต่อการทำหน้าที่ การงานด้วยความขยันหมันเพียร ไม่เกียจคร้าน
2. การประหยัด คือ ใช้จ่ายแต่พอควรแก่ฐานะ ความเป็นอยู่ต้องไม่ฟุ้งเฟ้อ ไม่ฟุ่มเฟือย ต้องประหยัดไปในทางที่ถูกต้อง

83. การวัดระดับของคุณธรรมและจริยธรรม สามารถวัดได้ด้านใดบ้าง
(1) ด้านดีและด้านชั่ว
(2) ด้านทุกข์และด้านสุข
(3) ด้านความประพฤติและด้านจิตใจ
(4) ด้านตนเองและด้านผู้อื่น
ตอบ 3 (ดูคำอธิบายข้อ 34. ประกอบ) การวัดระดับของคุณธรรมและจริยธรรมสามารถวัดได้ 2 ด้านดังนี้ 1. ด้านความประพฤติ (จริยธรรม) 2. ด้านจิตใจ (คุณธรรม)

84. นายแคล้ว นรปติ ผู้เสนอชื่อมหาวิทยาลัยในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย…..พ.ศ……ว่ามหาวิทยาลัยรามคำแหง ขณะนั้นเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดใด
(1) นครราชสีมา
(2) นครสวรรค์
(3) ขอนแก่น
(4) หนองคาย
ตอบ 3
ในวาระที่สองมีประเด็นที่สำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ชื่อร่างพระราชบัญญัติ”เกี่ยวกับประเด็นนี้ได้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หลายคนอภิปรายอย่างกว้างขวาง สำหรับชื่อมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นชื่อที่นายแคล้ว นรปติ ส.ส. จังหวัดขอนแก่น เป็นผู้เสนอ

85. ข้อใดกล่าวถึงประโยชน์ของจริยธรรมได้ถูกต้อง
(1) เป็นรากฐานของความเจริญรุ่งเรือง
(2) ทำให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการของตน
(3) ทำให้เกิดความสงบสุขต่อตนเอง
(4) ทำให้เกิดการยอมรับทางสังคมโดยทั่วไป
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 47. ประกอบ

86. การวิเคราะห์และจัดการความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและสามารถรับได้ เป็นการประยุกต์ใช้ หลักการเศรษฐกิจพอเพียงด้านใด
(1)จิตใจ
(2) เศรษฐกิจ
(3)เทคโนโลยี
(4)สังคมและวัฒนธรรม
ตอบ 2
การประยุกต์ใช้หลักการเศรษฐกิจพอเพียงในด้านเศรษฐกิจ คือ ต้องมีการสร้าง งบประมาณสมดุล ไม่ใช้จ่ายเกินตัว ไม่ลงทุนเกินขนาด มีความรู้ในการบริหารจัดการ วางแผน ด้วยความรอบคอบ มีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีด้านการวิเคราะห์และจัดการความเสี่ยงให้อยู่ในระดับ ที่เหมาะสมและสามารถรับได้

87. การมองคนอื่นในแง่ดี เป็นหลักการของคุณธรรมข้อใดต่อไปนี้
(1) เข้าใจธรรมชาติของตนเอง
(2) เข้าใจธรรมชาติผู้อื่น
(3) เข้าใจธรรมชาติของโลก
(4) เข้าใจหลักของการอยู่ร่วมกัน
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 44. ประกอบ

88. คณะใดไม่ใช่คณะที่จัดตั้งในวาระแรกของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
(1) คณะนิติศาสตร์
(2) คณะมนุษยศาสตร์
(3) คณะเศรษฐศาสตร์
(4) คณะบริหารธุรกิจ
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ

89. แหล่งที่มาของคุณธรรมและจริยธรรมคือข้อใด
(1) สังคม
(2) การเมืองการปกครอง
(3) ศาสนาต่าง ๆ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
แหล่งที่มาของคุณธรรมและจริยธรรม ได้แก่
1. ปรัชญา 2. ศาสนาต่างๆ 3.วรรณคดี 4.สังคม 5.การเมืองการปกครอง

90. มหาวิทยาลัยแบบตลาดวิชาแห่งที่สองในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยไทย คืออะไร
(1) มหาวิทยาลัยธรรมศาลตร์
(2) มหาวิทยาลัยศิลปากร
(3) มหาวิทยาลัยรามคำแหง
(4) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 33. ประกอบ

91. ร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย…..พ.ศ…..ได้เข้าสู่วาระในการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ประธานสภาผู้แทบราษฎรได้เปิดโอกาสให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอภิปรายและลงมติรับหลักการ โดยเจ้าของร่างฯ เสนอแต่งตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาจำนวนกี่คน
(1) 10 คน
(2) 15 คน
(3) 18 คน
(4) 20 คน
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 60. ประกอบ

92. ข้อใดคือการดำเนินกิจกรรมด้านการตลาดในทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริขั้นที่สอง
(1) เตรียมผลผลิตที่มีคุณภาพสูง แล้วกำหนดราคาให้สูงเพื่อกระตุ้นความต้องการตลาด
(2) เตรียมผลผลิตให้มีคุณลักษณะสอดคล้องกับความต้องการตลาด
(3) การผลิตผลผลิตให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ต้นทุนต่ำ
(4) ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อให้ได้ผลผลิตจำนวนมาก
ตอบ 2
ทฤษฎีใหม่ตามแนวพระราชดำริขั้นที่ 2 ในด้านการดำเนินกิจกรรมทาง การตลาด คือ เมื่อเกิดผลิตผลทางการเกษตรแล้ว ต้องร่วมมือกันในการเตรียมผลผลิตให้มี คุณลักษณะสอดคล้องกับความต้องการของตลาดทั้งในเรื่องคุณภาพ ปริมาณ และเวลาที่ เหมาะสม

93. คำกล่าวว่า “ผลิตบัณฑิตที่มีความรู้คู่คุณธรรม” เป็นข้อความอธิบายอะไรของมหาวิทยาลัยรวมคำแหง
(1) อัตลักษณ์
(2) นโยบาย
(3) เอกลักษณ์
(4) พันธกิจ
ตอบ 1
อัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหงที่สะท้อนถึงคุณลักษณะของบัณฑิตที่ทำให้สังคมยอมรับ คือ มุ่งผลิตบัณฑิตที่มีความรู้คู่คุณธรรม นั่นคือ นอกจากจะเป็นคนเก่ง มีความรู้ดี เก่งเรียน เก่งงาน เก่งวิชาการ เฉลียวฉลาด มีเหตุผลแล้ว บัณฑิตรามคำแหงยังต้องเป็นคนดี มีจิตใจดีงาม มีคุณธรรม มีจริยธรรม มีความกตัญญูรู้คุณ ซื่อสัตย์สุจริต ขยันอดทน และที่สำคัญที่สุดคือ การมีสำนึกนำรับผิดชอบดูแลบ้านเมือง โดยต้องนำวิชาการหรือความรู้ที่ได้ศึกษามาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ

94. การปลูกฝังจิตสาธารณะควรเริ่มทำในวัยใด
(1) ก่อนอายุ6ปี
(2) อายุ6-12ปี
(3)อายุ 12-15ปี
(4)หลังอายุ5ปี
ตอบ 1 หน้า 85 การปลูกฝังจิตสาธารณะควรเริ่มทำก่อนอายุ 6 ปี เพราะการเกิดจิตสำนึกตามหลักการทางจิตวิทยาจะถูกพัฒนามาจากการอบรมเลี้ยงดูในช่วงแรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 6 ปี ซึ่งความซื่อสัตย์สุจริตและความเสียสละจะเกิดขึ้นตั้งแต่การอบรมบ่มเพาะในครอบครัว โดยพ่อแม่และบุคคลในครอบครัวจะเป็นตัวแบบในการดำเนินชีวิตตามหลักศีลธรรม

95. พลโทแสวง เสนาณรงค์ เป็นบุคดลที่ร่วมในรัฐบาลใบช่วงระยะเวลาก่อตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหง ดำรงตำแหน่งใดในขณะนั้น
(1) เลขาธิการนายกรัฐมนตรี
(2) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(3) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสำนักนายกรัฐมนตรี
(4) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงในสำนักนายกรัฐมนตรี
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 18. ประกอบ

96. การประเมินสถานการณ์ล่วงหน้า อยู่ในหัวข้อใดตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
(1) ความพอประมาณ
(2) ความมีเหตุผล
(3) การมีภูมิคุ้มกันที่ดี
(4) ความรับผิดชอบ
ตอบ 3
การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว หมายถึง การเตรียมตัวให้ พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ตั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และ วัฒนธรรมที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้และประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ ล่วงหน้าที่ คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตทั้งใกล้และไกล เพื่อให้สามารถปรับตัวและรับมือได้อย่างทันท่วงที

97. การใช้หลักธรรมาภิบาลในการบริหารประเทศหรือบริหารองค์กร สอดคล้องกับข้อใด
(1) การรักษาความถูกต้อง
(2) การรักษามาตรฐาน
(3) การคำนึงถึงผลกระทบ
(4) การใช้ดุลพินิจที่ดี
ตอบ 1
หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) มาจากคำว่า “ธรรมะ” แปลว่า ความถูกต้อง งดงาม และคำว่า “อภิบาล” แปลว่า การปกครองหรือการปกปักรักษา ดังนั้นหลักธรรมาภิบาล จึงหมายถึง การปกครองที่รักษาความถูกต้องชอบธรรมเป็นหลักหรือ การปกครองโดยธรรม ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ทั้งในการบริหาร1ประเทศหรือบริหารองค์กรต่าง ๆ

98. ข้อใดเป็นคุณสมบดีของหัวหน้าครอบครัว
(1) รู้จักประหยัดด้วยการใช้สิ่งของอย่างคุ้มค่า
(2) ให้ความร่วมมือเสริมสร้างภูมิปัญญาท้องถิ่น
(3) ดูแลความสะอาดและความปลอดภัยของชุมชน
(4) ช่วยกันดูแลความสะอาดและความเป็นระเบียบของสภาพแวดล้อมโดยรอบ
ตอบ 1
คุณสมบัติของหัวหน้าครอบครัวมีดังนี้
1. รับผิดชอบดูแลครอบครัวด้วยการประกอบอาชีพสุจริต
2. บริหารจัดการรายรับและรายจ่ายให้เกิดความสมดุล
3. รู้จักประหยัดด้วยการใช้สิ่งของอย่างคุ้มค่า
4. มีการออมเงิน แต่ไม่ตระหนี่
5. มีการแน่งปันตามสมควร
6. ลดละเลิกอบายมุข ฯลฯ

99. แนวคิดธรรมาธิปไตยเป็นแนวคิดตรงตามข้อใด
(1) ประชาชนเป็นใหญ่
(2) ผู้นำเป็นใหญ่
(3) สังคมเป็นใหญ่
(4) มีธรรมเป็นใหญ่
ตอบ 4
คนที่มีส่วนร่วมในการปกครองที่ดี ต้องมีหลักอธิปไตย 3 ประการ คือ
1. อัตตาธิปไตย ถือตนเป็นใหญ่ เว้นชั่ว ทำดี ด้วยความเคารพตน
2. โลกาธิปไตย ถือโลกเป็นใหญ่ เว้นชั่ว ทำดี ด้วยความเคารพเสียงหมู่ชน
3. ธรรมาธิปไตย ถือธรรมเป็นใหญ่ ถือความถูกต้อง ดีงาม มีเหตุผล ชอบธรรม ซึ่งเป็น หลักการปกครองทีดีที่สุด เพราะจะทำให้ประชาชนมีความร่มเย็นเป็นสุขได้อย่างแท้จริง

100. ข้อใดคือความหมายที่ดีที่สุดของ “จริยธรรม”
(1) การถือศีล
(2) การเข้าวัดฟังธรรม
(3) การกระทำที่ถูกต้องเหมาะสมตามหน้าที่
(4) การไม่รับประทานเนื้อสัตว์
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 47. ประกอบ

101. สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในยุคเริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นสมาขิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใด
(1) ฉบับ พ.ศ. 2889
(2) ฉบับ พ.ศ. 2490
(3) ฉบับ พ.ศ. 2502
(4) ฉบับ พ.ศ. 2511
ตอบ 4
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)ในยุคเริ่มก่อตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็น ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับ พ.ศ. 2511 และส่วนใหญ่จะสังกัดพรรคสหประชาไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยมี จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นหัวหน้าพรรคและขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น

102. “ความเป็นหนึ่งเดียวของมนุษยชาติ” เป็นหลักคำสอนของศาสนาใด
(1) พุทธ
(2) คริสต์
(3) อิสลาม
(4) พราหมณ์
ตอบ 4
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเป็นศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกโดยมีหลักคำสอนที่ ถือว่าเป็นอุดมคติสูงสุด คือ ปรมาตมัน หรือการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวของมนุษยชาติ ซึ่งเป็นสภาวะที่การแบ่งแยกหรือความแตกต่างถูกทำให้หมดไปและความเป็นหนึ่งเดียวได้เข้ามา แทนที่ ดังนั้นในความคิดของศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู จึงไม่มีที่ว่างหลงเหลืออยู่สำหรับการ คิดถึงปัจเจกบุคคลในลักษณะแยกส่วน

103. ข้อใดไม่ใช่ความพอเพียงระดับธุรกิจ
(1) ธุรกิจควรมองถึงผลในระยะสั้นมากกว่าผลระยะยาว
(2) แสวงหาผลกำไรบนพื้นฐานของการแบ่งปันประโยชน์ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย
(3) พัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ สร้างคุณค่าตราสินค้าให้มีความน่าเชื่อถือ
(4) แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 74. ประกอบ

104. การตีความ “กตัญญู” สะท้อนถึงคุณลักษณะที่สำคัญของบุคคลตามข้อใด
(1) ความเป็นคนเข้มแข็ง
(2) ความยุติธรรม
(3) ความเป็นคนดี
(4) ความเป็นคนสงบสุข
ตอบ 3
คำว่า “กตัญญู” หมายถึง รู้คุณท่าน รู้ว่าใครมีบุญคุณต่อตน โดยเป็นความรู้สึกในการอุปการคุณหรือบุญคุณที่ผู้อื่นหรือสิ่งอื่นมีต่อเรา ซึ่งถือเป็นพื้นฐานของความเป็นคนดี จึงมักใช้คู่กับคำว่า “กตเวที” แปลว่า สนองคุณท่านหรือการแสดงออกและรู้จัก ตอบแทนบุญคุณต่อผู้มีพระคุณนั้น ทั้งนี้ผู้ที่ได้ชื่อว่ามีความกตัญญูกตเวทีนั้น ต้องสามารถแสดงความกตัญญกตเวทีต่อผู้มีพระคุณได้ทุกเวลา ไม่ควรมีข้อแม้ในการกระทำ

105. ใครคือผู้ดำรงดำแหน่งคณบดีคณะบริหารธุรกิจคนแรกของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
(1) นายศักดิ์ ผาสุขนิรันต์
(2) นายไพบูลย์ สุวรรณโพธิ์ศรี
(3) นายสง่า ลีนะสมิต
(4) นายอภิรมย์ ณ นคร
ตอบ 2
ในรายงานการประชุมสภามหาวิทยาลัยรามคำแหงครั้งแรก ที่ประชุม มีมติและเสนอแต่งตั้งนายไพบูลย์ สุวรรณโพธิ์ศรี ดำรงตำแหน่งคณบดีคณะบริหารธุรกิจ

ข้อ 106. – 109. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1) สมดุล พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง
(2) ทางสายกลาง
(3) ความพอเพียง
(4) หลักวิชา

106. ข้อใดคือแนวคิดหลักของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

107. ข้อใดคือหลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ

108. ข้อใดคือเป้าประสงค์ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 69. ประกอบ

109. ข้อใดคือเงื่อนไขของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 75. ประกอบ

110. หลักการในข้อใดที่ใช้ในการพัฒนาจิตสาธารณะ
(1) หลักจริยธรรม
(2) หลักคุณธรรม
(3) หลักศีลธรรม
(4) หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ตอบ 4
หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ถือเป็นหลักการที่ใช้พัฒนาจิตสาธารณะของ บุคคลได้อย่างหลากหลาย โดยเฉพาะหากเรานำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างจริงจัง เชื่อว่าทุกคนในชาติหรือในระดับโลกจะเป็นบุคคลที่มีจิตสาธารณะที่มองเห็นแต่ประโยชน์ของ ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่น อันจะนำมาซึ่งความสงบสุขของสังคมไทยและ สังคมโลกได้อย่างแน่นอน

111. ตามหลักการของกรรมการตราพระราชบัญญัติ ร่างพระราชบัญญัติที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวข้องกับการเงิน ต้องได้รับความเห็นชอบหรือยินยอมจากผู้ใดจึงจะถูกต้องสมบูรณ์
(1) ประธานรัฐสภา
(2) ประธานวุฒิสภา
(3) นายกรัฐมนตรี
(4) ประธานสภาผู้แทนราษฎร
ตอบ 3
ร่างพระราชบัญญัติที่เสนอโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ในการจัดตั้ง มหาวิทยาลัยรามคำแหงครั้งนี้ เป็นร่างฯ ที่เกี่ยวข้องกับการเงิน ซึ่งฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล (นายกรัฐมนตรี) ต้องเห็นชอบด้วยตามหลักการของกระบวนการตราพระราชบัญญัติจึงจะถูกต้องสมบูรณ์

112. “อำนาจ” ในทางการเมืองนั้นต้องมาพร้อมกับสิ่งใด
(1) ความเหมาะสม
(2) ความยุติธรรม
(3) ความสง่างาม
(4) ความสงบสุข
ตอบ 2
แนวคิดที่สำคัญในทางการเมืองของเพลโต (Plato) ประการหนึ่ง คือ อุตมรัฐ (The Republic) ประกอบด้วย
1. อำนาจและความยุติธรรม คือ อำนาจต้องมาพร้อมกับความยุติธรรม
2. การปกครองเป็นศิลปะ คือ การใช้ศาสตร์และศิลป์ในการบริหารจัดการ
3. ธาตุแท้ของบุคคลในสังคม คือ การยอมรับกันของบุคคลในสังคม
4. การศึกษาเป็นสิงที่มีคุณค่าสำหรับสังคม
5. ราชาปราชญ์ควรเป็นผู้ทรงคุณธรรม คือ เป็นผู้เสียสละ ไม่ควรมีทรัพย์สินและครอบครัว
6. ผู้ปกครองเป็นปราชญ์ที่ทรงคุณธรรมจึงปกครองด้วยปัญญา

113. เหตุผลบางประการของการเสนอบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย…..พ.ศ…..คือ
(1) เนื่องจากประเทศไทยมีพลเมืองเพิ่มมากขึ้นเป็นเหตุให้นักเรียน นักศึกษาไม่มีที่เรียน
(2) เพื่อให้มีมหาวิทยาลัยของรัฐในกรุงเทพอีกแห่งหนึ่ง
(3) เพื่อให้มีมหาวิทยาลัยของรัฐมากขึ้น และขยายโอกาสการศึกษา
(4) เพื่อให้มีมหาวิทยาลัยแบบตลาดวิชาอย่างเพียงพอ
ตอบ 1
บันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่างฯ ข้างต้น คือ เนื่องจากประเทศไทยมีพลเมือง เพิ่มมากขึ้นเป็นเหตุให้นักเรียน นักศึกษาไม่มีที่เล่าเรียน ดังปรากฏปัญหาเป็นประจำมาทุก ๆ ปี เพราะมหาวิทยาลัยต่าง ๆ มีนักศึกษาเป็นจำนวนมาก แต่ที่เล่าเรียนคับแคบ ไม่อาจรับนักศึกษา ที่เพิ่มจำนวนขึ้นได้

114. สิ่งที่ช่วยในการควบคุมให้บุคคลปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ในทางสังคม คือคำตอบในข้อใด
(1) ประเพณี
(2) ระเบียบวินัย
(3) ธรรมเนียมปฏิบัติ
(4) กฎหมาย
ตอบ 4
กฎหมาย หมายถึง กฎเกณฑ์ในทางสังคมที่สถาบันหรือผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐ ได้ตราขึ้น หรืออาจเกิดจากจารีตประเพณีอันเป็นที่ยอมรับนับถือ เพื่อใช้ในการบริหารประเทศ และใช้บังคับควบคุมให้บุคคลปฏิบัติตาม โดยมีการบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร หากผู้ใดฝ่าฝืน ย่อมต้องถูกลงโทษตามที่ได้กำหนดไว้

115. จริยธรรมตรงกับข้อใดมากที่สุด
(1) นักศึกษาถือศีลห้า
(2) พ่อค้าขายปลาด้วยความยุติธรรม
(3) แดงต้องการเลิกสูบบุหรี่
(4) ส้มขับรถในเลนขวาสุด
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 34. ประกอบ

116. หนึ่งในคณะกรรมการเตรียมการเปิดมหาวิทยาลัยรามคำแหงให้ทันปีการศึกษา 2514 คือใคร
(1) นายประมวล กุลมาตย์
(2) พลโทแสวง เสนาณรงค์
(3) นายประภาศน์ อวยชัย
(4) นายสง่า ลีนะสมิต
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 72. ประกอบ

117. คุณธรรมจริยธรรมในมนุษย์แต่ละคนเกิดจากสิ่งใด
(1) การเลียนแบบ
(2) การอบรม
(3) การได้รับรางวัล
(4) การถูกลงโทษ
ตอบ 1
คุณธรรมจริยธรรมในมนุษย์แต่ละคนอาจเกิดจากลักษณะดังนี้ 1. การเลียนแบบ 2. การสร้างในตนเอง 3.การบำเพ็ญประโยชน์และพันธสัญญาประชาคม

118. ข้อใดไม่เป็นการสร้างเครือข่ายเพื่อการพัฒนาชุมชน
(1) การให้ความร่วมมือสร้างเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม
(2) สวัสดิการชุมชน
(3) รักษาวัฒนธรรมประเพณีอันดงาม
(4) การดูแลความสงบและความปลอดภัย
ตอบ 3
ความพอเพียงระดับชุมชนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือ การสร้างเครือข่าย เพื่อการพัฒนาชุมชน ประกอบด้วย
1. สวัสดิการชุมชน
2. การช่วยกันดูแลความสะอาดและความเป็นระเบียบของสภาพแวดล้อม
3. การช่วยกันดูแลความสงบและความปลอดภัย
4. การให้ความร่วมมือสร้างเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม

119. วิธีการที่ทำให้นักศึกษาสามารถฝึกจิตให้บริสุทธิ์ได้นั้น ตรงกับคำตอบใด
(1) การทำจิตให้หลุดพ้น
(2) การทำจิตให้ร่าเริงแจ่มใส
(3) การทำจิตให้สงบสุข
(4) การควบคุมจิตจากกิเลส
ตอบ 4
การฝึกจิตใจให้บริสุทธิ์ หมายถึง การชำระหรือล้างจิตใจให้สะอาดหมดจดจาก สิ่งอันเป็นเครื่องเศร้าหมองที่เรียกว่า “กิเลส” หรือหมายถึงการควบคุมจิตจากกิเลส อันได้แก่ โลภะ โทสะ และโมหะ ซึ่งรวมเรียกว่า “อกุศลมูล”

120. มหาวิทยาลัยรามคำแหงเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐในประเทศไทยอันดับที่เท่าใด
(1) 6
(2) 7
(3) 8
(4) 9
ตอบ 4 (ดูคำอธิบายข้อ 10. และ 50. ประกอบ) หลังจากที่มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐที่กรุงเทพมหานคร 5 แห่ง และจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐในส่วนภูมิภาค อีก 3 แห่ง ก็ได้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยรามคำแหงขึ้นเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514 ดังนั้นมหาวิทยาลัยรามคำแหงจึงเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐในประเทศไทยอันดับที่ 9

 

RAM1000 ความรู้คู่คุณธรรม การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา RAM 1000 ความรู้คู่คุณธรรม

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. เป็นเรืออย่าทิ้งท่า เป็นเสืออย่าทิ้งป่า สอนให้มีธรรมอะไร

(1) สติสัมปชัญญะ

(2) กตัญญูกตเวที

(3) หิริโอตตัปปะ

(4) ขันติโสรัจจะ

ตอบ 2

สุภาษิต “เป็นเรืออย่าทิ้งท่า เป็นเสืออย่าทิ้งป่า” หมายถึง เป็นลูกหลานเมื่อได้ดีและมีความเจริญก้าวหน้าอย่าได้ลืมบุญคุณของพ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ของตัวเอง ดังนั้นจึงเป็นสุภาษิตที่สอนให้บุคคลมีความกตัญญูกตเวที (การรู้คุณและตอบแทนบุญคุณ)

2. ฆ่ากันโดยบันดาลโทสะ เป็นการผิดศีลลักษณะใด

(1) โดยจงใจ

(2) โดยไม่จงใจ

(3) โดยไตร่ตรอง

(4) โดยใคร่ครวญ

ตอบ 2

ศีล 5 หรือหลักเบญจศีลข้อ 1 ห้ามฆ่าสัตว์ ไม่ทําร้ายร่างกายทําลายชีวิตทั้งมนุษย์และสัตว์เดียรัจฉาน (ปาณาติปาตา เวรมณี) คือ เว้นจากการทําร้ายร่างกาย การทรมาน และการฆ่า ซึ่งการฆ่ามนุษย์โดยต่างเจตนามีอยู่ 2 ประเภท ดังนี้ 1. ฆ่าโดยจงใจ ได้แก่ คิดไว้ทีแรกว่าจะฆ่าในขณะที่ใจไม่งุ่นง่าน เช่น โจรปล้นบ้านแล้วฆ่าเจ้าทรัพย์ตาย, ลอบฆ่าคนที่มีเวรต่อกัน ฯลฯ ดับ  2. ฆ่าโดยไม่จงใจ ได้แก่ ไม่ได้คิดไว้ก่อน แต่เพราะเหตุบังเอิญหรือบันดาลโทสะขึ้นมาแล้วฆ่ากันตาย และประสงค์ที่จะป้องกันตัว

3. กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี บัญญัติขึ้นเพื่อป้องกันตนจากความเสียหายในเรื่องใด

(1) โหดร้าย

(2) มือไว

(3) ใจง่าย

(4) ขาดสติ

ตอบ 3

ศีล 5 หรือหลักเบญจศีลข้อ 3 ห้ามประพฤติผิดในกามด้วยอํานาจแห่งตัณหา (กาเมสุมิจฉาจารา เวรมณี) คือ เว้นจากการประพฤติที่ไม่เหมาะสมทางเพศ เช่น การประพฤติผิดประเวณี, ความใจง่าย นอกใจด้วยการคบชู้หรือมีกิ๊ก ฯลฯ ซึ่งไม่ใช่ห้ามแต่เฉพาะการร่วมประเวณีเท่านั้น แม้แต่การเคล้าคลึง การพูดจาเกี้ยวพาราสี หรือการแสดงอาการปฏิพัทธ์ ด้วยสายตา (เช่น การดูสื่อลามกอนาจาร) ก็ถือว่าละเมิดศีลข้อนี้แล้ว

4. ของของใคร ใครก็รักก็หวง มีความหมายตรงกับศีลข้อใด

(1) ข้อ 2 ไม่ลักทรัพย์

(2) ข้อ 3 ไม่ประพฤติผิดในกาม

(3) ข้อ 4 ไม่พูดเท็จ

(4) ข้อ 5 ไม่ดื่มของมึนเมา

ตอบ 1

ศีล 5 หรือหลักเบญจศีลข้อ 2 ห้ามลักทรัพย์ละเมิดทรัพย์สิน(อทินนาทานา เวรมณี) คือ เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เพราะของของใคร ใครก็รักก็หวง จึงไม่ควรลักขโมย ปล้นจี้ ฉกชิง หรือวิ่งราวทรัพย์สินของผู้อื่น อันจะเป็นการทําลายทรัพย์สมบัติและทําลายซึ่งจิตใจกัน

5 การกล่าววาจาที่ไพเราะมีประโยชน์ ตรงกับศีล 5 ข้อใด

(1) ข้อ 2

(2) ข้อ 3

(3) ข้อ 4

(4) ข้อ 5

ตอบ 3

ศีล 5 หรือหลักเบญจศีลข้อ 4 ห้ามพูดเท็จโกหกหลอกลวง (มุสาวาทาเวรมณี) คือ เว้นจากการมุสาวาทหรือการพูดปด รวมไปถึงห้ามพูดคําหยาบ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ เหลวไหลไร้สาระ และห้ามพูดส่อเสียดยุยงให้แตกสามัคคี ดังนั้นจึงควรประพฤติชอบทางวาจา(วจีสุจริต) ได้แก่ พูดความจริง พูดจาไพเราะอ่อนหวาน พูดในสิ่งที่มีประโยชน์ และพูดสมานไมตรี

6. ตัวเองติดยาเสพติด จึงชักชวนเพื่อน ๆ ให้ร่วมทดลองเสพด้วย จัดเป็นมิตรประเภทใด

(1) มิตรมีอุปการะ

(2) มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์

(3) เพื่อนตาย

(4) มิตรชักชวนในทางฉิบหาย

ตอบ 4

มิตรเทียม หรือศัตรูผู้มาในร่างมิตรประเภทที่ 4 ได้แก่ มิตรชักชวนในทางฉิบหายซึ่งมีลักษณะ 4 ประการ คือ 1. ชวนกันดื่มน้ำเมา หรือเสพสิ่งมึนเมา 2. ชวนกันเที่ยวกลางคืน 3. ชวนกันเที่ยวดูการละเล่น 4. ชวนกันเล่นการพนัน

7. หากจะเปรียบศีล 5 กับส่วนประกอบของบ้าน คือข้อใด

(1) หลังคา

(2) เสา

(3) ประตู

(4) หน้าต่าง

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ศีล 5 หรือหลักเบญจศีล เป็นศีลพื้นฐานที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้ชาวพุทธทุกคนยึดถือปฏิบัติเป็นหลักของชีวิต เพื่อทําให้โลกหรือสังคมเกิดความสงบสุข ดังนั้น หากจะเปรียบพระนิพพานเหมือนกับการสร้างบ้านแล้ว ศีล 5 ก็คือ เสาบ้าน ซึ่งเป็นหลักเป็นฐานที่สําคัญที่จะทําให้สร้างบ้านได้สําเร็จ

8. ข้อใดไม่เข้าลักษณะการเลี้ยงชีวิตในทางที่ชอบ

(1) กู้เงินกองทุนหมู่บ้านทําขนมขาย

(2) คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น

(3) ทําลําไยอบแห้งส่งต่างประเทศ

(4) ทํางานเก็บกวาดขยะตามท้องถนน

ตอบ 2

สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ) หมายถึง การเลี้ยงชีวิตในทางที่ชอบ การประกอบอาชีพที่ถูกต้อง เลี้ยงชีพโดยสุจริต หรือสําเร็จชีวิตด้วยอาชีพ ที่ชอบด้วยกฎหมายและธรรมะ คือ ไม่ผิดกฎหมายและไม่ผิดศีลธรรม ไม่ประกอบอาชีพที่มี การเบียดเบียนก่อความเดือดร้อนเสียหายให้แก่ชีวิตอื่น สังคม หรือที่จะทําให้ชีวิต จิตใจ และสังคมเสื่อมโทรมตกต่ำ รวมถึงการเว้นจากมิจฉาอาชีวะ (อาชีพที่ผิด) เช่น การโกงหรือ หลอกลวง การต่อลาภด้วยลาภโดยไม่อาศัยกําลังแห่งสติปัญญาและแรงกาย ฯลฯ

9. สุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้คนอื่น ตรงกับข้อใด

(1) ไม่มีเจ้าหนี้มาคอยรบกวนให้รําคาญใจ

(2) ไม่ต้องคอยหลบหน้าซ่อนตัวจากเจ้าหนี้

(3) ไม่ต้องคอยหลบหน้าเพราะกลัวถูกจับ

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4

สุขของคฤหัสถ์ (กามโภคีสุข) หรือคนที่มีความสุขประการที่ 3 ได้แก่ อนณสุข คือ สุขเกิดจากการไม่เป็นหนี้คนอื่น ไม่ต้องทุกข์ใจ จิตใจสบายไม่กังวล เพราะไม่มีเจ้าหนี้ มาคอยรบกวนให้รําคาญใจ ไม่ต้องคอยหลบหน้าซ่อนตัวจากเจ้าหนี้ และไม่ต้องคอยหลบหน้า เพราะกลัวถูกตํารวจจับ

10. คนที่ชอบพูดแต่เรื่องเหลวไหลไร้สาระ จัดว่าผิดศีลข้อมุสาวาทลักษณะใด

(1) พูดปด

(2) พูดเพ้อเจ้อ

(3) พูดส่อเสียด

(4) พูดคําหยาบ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

11. พื้นฐานของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มาจากคําตอบในข้อใดต่อไปนี้

(1) นโยบายของประเทศ

(2) การปรับตัวของเศรษฐกิจสมัยใหม่

(3) วิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย

(4) วิถีชีวิตยุคใหม่ของสังคมไทย

ตอบ 3

กรอบแนวคิดของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางในการดํารงชีวิตและการปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย ซึ่งสามารถนํามาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกในเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด โดยมุ่งเน้นให้รอดพ้นจากภัยและวิกฤติ เพื่อความมั่นคงและความยั่งยืนของการพัฒนา

12. คําตอบในข้อใดต่อไปนี้ถือได้ว่าเป็นหลักคุณธรรมในการประกอบธุรกิจ

(1) การกําหนดเป้าหมายที่เป็นไปได้

(2) การมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้า

(3) การรับผิดชอบต่อสังคม

(4) การแสวงหากําไรสูงสุด

ตอบ 3

หลักคุณธรรมสําหรับการดําเนินธุรกิจในยุคปัจจุบันและอนาคต นอกจากความขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย สุภาพ สะอาด สามัคคี และมีน้ำใจแล้ว ยังมีอยู่อีกหลายประการ ได้แก่ 1. ความซื่อตรง 2. ความซื่อสัตย์สุจริต (ถือเป็นหลักธรรมที่สําคัญที่สุดในการครองใจลูกค้าได้) 3. ความมีศีลธรรม 4. ความยุติธรรม 5. ความรับผิดชอบต่อสังคมและการรักษาคํามั่นสัญญา 6. การไม่ขัดแย้งผลประโยชน์ 7. การปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับ 8. การรักษาชื่อเสียงและศักดิ์ศรี

13. ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นที่เกิดขึ้นในสังคมในปัจจุบัน เนื่องจากมนุษย์ขาดคุณธรรมในข้อใดต่อไปนี้

(1) สติและสัมปชัญญะ

(2) ขันติและโสรัจจะ

(3) หิริและโอตตัปปะ

(4) สมาธิและปัญญา

ตอบ 3

โลกบาลธรรม หรือธรรมโลกบาล คือ คุณธรรมสําหรับคุ้มครองโลก หรือทําให้โลกดํารงอยู่ได้ เพราะจะเป็นแนวทางปฏิบัติที่ช่วยควบคุมจิตใจของมนุษย์ให้อยู่ในความดี ทําให้มนุษย์ดําเนินชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างสงบสุข มีระเบียบไม่สับสน ดังนั้นหากคนในสังคมใด ขาดหลักธรรมนี้จะสามารถทําชั่วได้ทุกอย่าง ซึ่งย่อมส่งผลเสียหายต่อสังคมมากที่สุด ได้แก่ 1. หิริ หมายถึง ความละอายแก่ใจต่อการที่จะทําความชั่วหรือบาปทุกชนิด 2. โอตตัปปะ หมายถึง ความเกรงกลัวต่อบาป เกรงกลัวต่อผลจากการทําชั่ว

14. “ความอดทน” สะท้อนถึงพฤติกรรมในข้อใดต่อไปนี้

(1) ความสามารถ

(2) ความงดงาม

(3) ความเรียบง่าย

(4) ความพร้อม

ตอบ 2

ธรรมอันทําให้งาม เป็นคุณธรรมที่ทําให้ผู้ปฏิบัติมีความงดงามอยู่เสมอในทุกที่ ทุกเวลา และทุกสถานการณ์ มีอยู่ 2 ประการ ได้แก่ 1. ขันติ คือ ความอดทน ซึ่งมีหลายอย่าง เช่น อดทนต่อราคะ (ความกําหนัดยินดี) อดทนต่อโทสะ (การประทุษร้ายผู้อื่น) อดทนต่อโมหะ (ความโง่เขลาเบาปัญญาที่เกิดขึ้น) อดทนต่อการล่วงเกินหรือคําด่าว่าของผู้อื่น อดทนอดกลั้นต่อความยากลําบาก ฯลฯ ) 2. โสรัจจะ คือ ความเสงี่ยมทางกาย วาจา และใจ ซึ่งบางครั้งจะใช้คําว่า “อวิโรธนัง” (ความไม่มีอะไรพิรุธ) นอกจากนี้ความไม่โกรธหรือใจเย็นก็ทําให้งดงามได้เหมือนกัน

15. ข้อใดกล่าวถึงประโยชน์ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงครอบคลุมมากที่สุด

(1) พึ่งพาตนเองได้

(2) ความมั่นคงปลอดภัย

(3) การอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข

(4) ความสมดุลด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

ตอบ 4

ประโยชน์ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ครอบคลุมมากที่สุด คือ ความสมดุลด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาที่สมดุลและยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี

16. พฤติกรรมใดต่อไปนี้ที่สะท้อนถึงความพอเพียง

(1) กินน้อย

(2) พักผ่อนน้อย

(3) โลภน้อย

(4) ทํางานพอประมาณ

ตอบ 3

โลภน้อย คือ พอเพียง ดังพระราชดํารัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เกี่ยวกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตอนหนึ่งความว่า “คนเราถ้าพอในความต้องการก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อยก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย ถ้าทุกประเทศมีความคิด อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ มีความคิดว่าทําอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า พอประมาณ ไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข”

17. น่านน้ำแห่งคุณธรรมในการดําเนินธุรกิจ คือน่านน้ำในคําตอบใดต่อไปนี้

(1) Green Ocean

(2) Blue Ocean

(3) White Ocean

(4) Pink Ocean

ตอบ 3

น่านน้ำแห่งคุณธรรมในการดําเนินธุรกิจ (White Ocean) คือ การประกอบธุรกิจสีขาว หรือองค์กรธุรกิจสีขาว ซึ่งเป็นองค์กรที่ยึดมั่นในหลักของคุณธรรมทางธุรกิจ มีจริยธรรม ซื่อสัตย์สุจริต รวมถึงการคิดแบ่งปันต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อทรัพยากร และต่อสิ่งแวดล้อม โดยการมีอยู่ขององค์กรจะต้องสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมไปในทางที่ดีขึ้นได้

18. การจัดความละอายแก่ใจและความเกรงกลัวต่อบาปให้เป็นคุณธรรมที่คุ้มครองโลก เพราะเหตุใด

(1) เป็นอุบายให้เกิดความกลัว

(2) เป็นการสร้างจิตสํานึกที่ถูกต้อง

(3) เป็นแนวทางให้คนปฏิบัติ

(4) เป็นการปรับมุมมองให้ชีวิตมีความชัดเจนยิ่งขึ้น

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

19. ข้อใดกล่าวถึงการพัฒนาชีวิตได้ครอบคลุมที่สุด

(1) การทําให้ชีวิตมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

(2) การทําให้ชีวิตทันสมัยมากขึ้น

(3) การทําให้ชีวิตสะดวกสบายเพิ่มขึ้น

(4) การทําให้ชีวิตเจริญงอกงามขึ้นไป

ตอบ 4

การพัฒนาตนเองและพัฒนาชีวิต คือ การทําให้ชีวิตเจริญงอกงามขึ้นไปจนถึงจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของชีวิต ได้แก่ อิสรภาพหรือภาวะไร้ปัญหา ไร้ทุกข์ ความเต็มอิ่มของชีวิตที่ไม่มีความบกพร่อง ไม่มีความขาดแคลน เป็นชีวิตที่มีความเต็มในตัวของตัวเอง

20. ความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับคนนั้น ตรงกับคําตอบในข้อใดต่อไปนี้

(1) สมรรถภาพทางร่างกาย

(2) ความรู้ความสามารถ

(3) คุณธรรมทางด้านจิตใจ

(4) ผลงานจากการปฏิบัติหน้าที่

ตอบ 3

ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้กล่าวถึง การเป็นมนุษย์หรือเป็นคนว่ามีส่วนที่แตกต่างกัน คือ คุณธรรมทางด้านจิตใจ ดังบทกลอนที่ว่า “เป็นมนุษย์เป็นได้เพราะใจสูง เหมือนหนึ่งยูง มีดีที่แววขน ถ้าใจต่ำเป็นได้แต่เพียงคน ย่อมเสียทีที่ตนได้เกิดมา”

21. “สัปปุริสธรรม” เป็นคุณธรรมที่สะท้อนถึงคุณลักษณะในข้อใดต่อไปนี้

(1) การครองตนที่เหมาะสม

(2) การเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

(3) การมีอาชีพที่ดี

(4) การใช้ชีวิตที่ดีงาม

ตอบ 2

สัปปุริสธรรม แปลว่า ธรรมของสัปปุริสชน (คนดี หรือคนที่แท้) ซึ่งเป็นหลักคุณธรรมที่ทําให้ผู้ปฏิบัติเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์มีอยู่ 7 ประการ ได้แก่ 1. ธัมมัญญุตา (รู้หลักและรู้จักเหตุ) 2. อัตถัญญุตา (รู้ความมุ่งหมายและรู้จักผล)
3. อัตตัญญุตา (รู้จักตน) 4. มัตตัญญูุตา (รู้จักประมาณ) 5. กาลัญญุตา (รู้จักกาล) 6. ปริสัญญุตา (รู้จักชุมชน)
7. บุคคลญญุตา (รู้จักบุคคล รู้ว่าแต่ละคนแตกต่างกันอย่างไร ควรคบเป็นมิตรหรือไม่)

22. การรู้จักเลือกคบเพื่อนที่ดีนั้น เสมือนการมีหลักความพอเพียงในด้านใด

(1) ความมีภูมิคุ้มกัน

(2) ความมีเหตุผล

(3) ความพอประมาณ

(4) การมีความรู้

ตอบ 1

การวิเคราะห์หลักความพอเพียงกับการคบเพื่อน มีดังนี้ 1.ความพอประมาณ คือ พอประมาณกับเวลาที่จะมีให้เพื่อนในการทํากิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกันโดยไม่ทําให้งานอื่น ๆ เสียหาย 2. ความมีเหตุผล คือ คบเพื่อนเพื่อเป็นที่ปรึกษาในการเรียน การทํางาน หรือการทํากิจกรรมต่าง ๆ 3. ความมีภูมิคุ้มกัน คือ การเลือกคบเพื่อนที่ดี หรือเพื่อนที่ชักจูงแนะนําเราไปในทางที่ดี ฯลฯ

23. นักศึกษาที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับของมหาวิทยาลัย แสดงว่านักศึกษาปฏิบัติตนตามคุณลักษณะใด

(1) เป็นผู้มีศีล

(2) เป็นผู้มีสมาธิ

(3) เป็นผู้มีปัญญา

(4) เป็นผู้มีสติ

ตอบ 1

คําว่า “ศีล” แปลว่า ปกติ ระเบียบทางกาย วาจา ซึ่งหากผู้ใดรักษาศีลได้ก็จะทําให้การกระทําทางกาย วาจา ที่ผู้อื่นได้รู้เห็นเป็นระเบียบ งดงาม , เจริญตาเจริญใจ ดังนั้นความหมายที่ถูกต้องที่สุดของ “ศีล” จึงหมายถึง ระเบียบวินัยที่กําหนด ให้ยึดถือปฏิบัติเพื่อความเป็นระเบียบและความงามแห่งหมู่คณะ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้รักษาศีลกลายเป็นผู้มีระเบียบวินัย และมีชีวิตที่เป็นระเบียบ

24. “การควบคุมตนเอง” เป็นหลักคุณธรรมทางการเมืองตามแนวคิดของโสเครติสเพื่อให้เกิดสิ่งใดต่อไปนี้

(1) การเข้าใจตนเอง

(2) การเข้าใจบุคคลอื่น

(3) การยอมรับความแตกต่าง

(4) การไม่ใช้อํานาจเอาเปรียบผู้อื่น

ตอบ 4

หลักคุณธรรมในทางการเมืองที่สําคัญตามแนวคิดของโสเครติส (Socrates) มีดังนี้ 1. ปัญญา (Wisdom) หรือความรอบรู้ 2. ความกล้าหาญ (Courage) หรือกล้าต่อสู้กับ ความไม่ถูกต้อง 3. การควบคุมตนเอง (Temperance) หรือการไม่ใช้อํานาจเอาเปรียบผู้อื่น 4. ความยุติธรรม (Justice) หรือความเที่ยงธรรม
5. การกระทําความดี (Piety) และยกย่องคนดี

25. อัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยรามคําแหง ตรงกับคําตอบในข้อใดต่อไปนี้

(1) เปลวเทียนให้แสง รามคําแหงให้ทาง

(2) ความรู้คู่คุณธรรม

(3) บูชาพ่อขุน สนองคุณชาติ

(4) ยึดมั่นกตัญญ

ตอบ 2

อัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยรามคําแหงที่สะท้อนถึงคุณลักษณะของบัณฑิตที่ทําให้สังคมยอมรับ คือ มุ่งผลิตบัณฑิตที่มีความรู้คู่คุณธรรม นั่นคือ นอกจากจะเป็น คนเก่ง มีความรู้ดี เก่งเรียน เก่งงาน เก่งวิชาการ เฉลียวฉลาด มีเหตุผลแล้ว บัณฑิตรามคําแหง ยังต้องเป็นคนดี มีจิตใจดีงาม มีคุณธรรม มีจริยธรรม มีความกตัญญูรู้คุณ ซื่อสัตย์สุจริต ขยัน อดทน และที่สําคัญที่สุดคือ การมีสํานึกนํารับผิดชอบดูแลบ้านเมือง โดยต้องนําวิชาการหรือ ความรู้ที่ได้ศึกษามาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ

26. “เราเป็นครูกันคนละอย่าง” เป็นคํากล่าวของท่านใด

(1) รองศาสตราจารย์สุขุม นวลสกุล

(2) รองศาสตราจารย์รังสรรค์ แสงสุข

(3) รองศาสตราจารย์ ดร.โฆษิต อินทวงศ์

(4) ผู้ช่วยศาสตราจารย์วุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์

ตอบ 2

อดีตอธิการบดี รองศาสตราจารย์รังสรรค์ แสงสุข กล่าวไว้ว่า“เราเป็นครูกันคนละอย่าง” หมายถึง การแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และแนวความคิด ซึ่งกันและกัน เพราะคนเรามีความรู้ไม่เท่ากัน เราจึงไม่ได้รู้อะไรไปทุกเรื่อง หรือเราอาจรู้ในบางเรื่องที่คนอื่นไม่รู้ ในขณะที่คนอื่นก็รู้บางเรื่องที่เราไม่รู้เช่นกัน ดังนั้นเป้าหมายที่สําคัญที่สุด ก็คือ การรู้จักให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ยกตนข่มท่านเพราะว่าการเป็นครูกันคนละอย่าง โดยต่างคนต้องยอมรับในความรู้ความสามารถของแต่ละบุคคล

27.“ครู” ในความหมายที่อดีตอธิการบดี รองศาสตราจารย์รังสรรค์ แสงสุข กล่าวไว้หมายความว่าอะไร

(1) ผู้สั่งสอนศิษย์ให้เก่ง

(2) ผู้ถ่ายทอดวิทยาการ

(3) ผู้ให้ ผู้เติมเต็ม ผู้เมตตา

(4) พ่อและแม่คนที่ 2

ตอบ 3

อดีตอธิการบดี รองศาสตราจารย์รังสรรค์ แสงสุข กล่าวไว้ว่า ครู คือ ผู้ให้ ผู้เติมเต็ม และผู้มีเมตตาในการอบรมสั่งสอนความรู้และคุณธรรมให้กับศิษย์ทุกคน ซึ่งการให้ เติมเต็ม และมีเมตตานี้ไม่ได้มีขอบเขตเฉพาะลูกศิษย์รามคําแหงเท่านั้น ยังหมายถึงบุคลากรและผู้ร่วมงานในมหาวิทยาลัย รวมทั้งสังคมภายนอก ปวงชนชาวไทย และประเทศชาติโดยรวมอีกด้วย

28. “จิต” มีหน้าที่อย่างไรตามแนวคิดของท่านพุทธทาสภิกขุ

(1) สั่งกาย

(2) ควบคุมกาย

(3) คิด

(4) สัมผัส

ตอบ 3

ท่านพุทธทาสภิกขุ กล่าวไว้ว่า มนุษย์ที่สมบูรณ์จะประกอบด้วยกาย (Body) จิต (Mind) และวิญญาณ (Spirit) โดยจิตมีหน้าที่คิดนึกได้ สร้างเรื่องราวขึ้นมาได้ทุกเรื่อง ซึ่งเมื่อทําหน้าที่คิดก็เรียกว่า “จิต” แต่เมื่อทําหน้าที่รู้ เป็นความรู้หรือความรู้สึกชั่วดีก็จะเรียกว่า “มโน” (มโนธรรมสํานึก) และเมื่อทําหน้าที่รู้แจ้งทางอายตนะ (ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) ก็เรียกว่า “วิญญาณ”

29. “มนุษย์” ที่สมบูรณ์ประกอบด้วยปัจจัยอะไรบ้าง

(1) กาย จิต วิญญาณ

(2) ดิน น้ำ ลม

(3) กาย ความรู้สึกนึกคิด

(4) ธาตุทั้ง 4

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 28. ประกอบ

30. “ความรู้ระดับวิญญาณ” มีกี่ประเภท

(1) 3 ประเภท

(2) 4 ประเภท

(3) 5 ประเภท

(4) 6 ประเภท

ตอบ 4

ความรู้ระดับวิญญาณแบ่งออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่ 1. จักขุวิญญาณ คือ ความรู้จากการเห็นและการจําได้
2. โสตวิญญาณ คือ ความรู้จากการได้ยินเสียงดัง เบา ไพเราะ 3. ฆานวิญญาณ คือ ความรู้จากการได้กลิ่นเหม็น หอม 4. ชิวหาวิญญาณ คือ ความรู้จากการรู้รสหวาน มัน เค็ม 5. กายวิญญาณ คือ ความรู้จากการสัมผัสว่าแข็ง นิ่ม หรือกระด้าง 6. มโนวิญญาณ คือ ความรู้จากการนึกคิดว่าดี ชั่ว หรือหยาบ

31. “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” นั้น เป็นคํากล่าวของพระราชา
พระองค์ใด

(1) พ่อขุนรามคําแหงมหาราช

(2) ภูมิพลมหาราช

(3) พระปิยมหาราช

(4) พระมหาชนก

ตอบ 2

ธรรมของพระราชาในความหมายของทศพิธราชธรรม คือ ธรรมที่พระราชาใช้เป็นแนวทางในการปกครองบ้านเมืองให้มีความเป็นไปโดยธรรมและยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชน ดังพระปฐมบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ซึ่งได้พระราชทานไว้ในวันพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม
พ.ศ. 2493 ความว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ซึ่งครองแผ่นดินโดย “ธรรม” ในที่นี้ หมายถึง ครองแผ่นดินโดย “ทศพิธราชธรรม” นั่นเอง

32. ธรรมของพระราชาในความหมายของทศพิธราชธรรมกล่าวถึงพระราชาพระองค์ใด

(1) พ่อขุนรามคําแหงมหาราช

(2) พระปิยมหาราช

(3) ภูมิพลมหาราช

(4) พระมหาชนก

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ

33. “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” นั้น คําว่าธรรมในความหมายนี้คืออะไร

(1) ทศพิธราชธรรม

(2) เบญจศีล

(3) คุณธรรม ศีลธรรม

(4) พระธรรมคําสั่งสอน

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ

34. การให้ การเสียสละ นอกจากเสียสละทรัพย์สิ่งของแล้ว ยังหมายถึงการให้น้ำใจแก่ผู้อื่นด้วย หมายถึง
การมีทศพิธราชธรรมในข้อใด

(1) ตะปัง

(2) ปะริจจาคัง

(3) ทานัง

(4) อักโกทัง

ตอบ 3

หลักทศพิธราชธรรมข้อ 1 ทานัง (ทาน) คือ การให้ปันช่วยประชา ซึ่งการให้ในที่นี้ หมายถึง การให้หรือเสียสละวัตถุภายนอกเป็นทรัพย์สิ่งของอะไร ต่าง ๆ โดยต้องมีผู้รับโดยตรง รวมไปถึงการให้ธรรมะ การให้ความรู้ การให้อภัย และการให้น้ำใจแก่ผู้อื่นด้วย ซึ่งเมื่อให้แล้วก็มีผลเป็นความผูกพัน เป็นการสร้างสรรค์ความสงบสุข

35. ความหนักแน่น ถือความถูกต้องเที่ยงธรรมเป็นหลัก ไม่เอนเอียงหวั่นไหวด้วยคําพูด อารมณ์ หรือ
ลาภสักการะใด ๆ และไม่ผิดไปจากแนวแห่งความถูกต้อง แสดงถึงการมีทศพิธราชธรรมในข้อใด

(1) อวิโรธนะ

(2) ขันติ

(3) อะวิหิงสา

(4) ตะปัง

ตอบ 1

หลักทศพิธราชธรรมข้อ 10 อวิโรธนัง (อวิโรธนะ : ความไม่มีอะไรที่พิรุธ) คือ มิปฏิบัติคลาดจากธรรม ซึ่งเป็นความหนักแน่น ถือความถูกต้อง เที่ยงธรรมเป็นหลัก ไม่เอนเอียงหวั่นไหวด้วยคําพูด อารมณ์ หรือลาภสักการะใด ๆ ก็ตาม และไม่ผิดไปจากแนวแห่งความถูกต้องไม่ผิดไปจากทางที่ควรจะเป็น มีความถูกต้องครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่างทุกประการ อันเป็นสิ่งที่บ่งชี้ถึงความมีคุณธรรมสูงสุด เพราะเป็นเรื่องของปัญญา

36. การมีภาวะปกติ ไม่มีอะไรวุ่นวาย รวมทั้งการปฏิบัติตนเพื่อให้เกิดภาวะปกติ แสดงถึงการมีทศพิธราชธรรม
ในข้อใด

(1) อาชชะวัง

(2) อะวิหิงสา

(3) ตะปัง

(4) สีลัง

ตอบ 4

หลักทศพิธราชธรรมข้อ 2 สีลัง (ศีล) คือ รักษาความสุจริต โดยคําว่า “สีลัง” แปลว่า การมีภาวะปกติ ไม่มีอะไรวุ่นวาย รวมทั้งการปฏิบัติเพื่อให้เกิดสภาวะปกติ เช่นนั้นด้วย

37. การเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อความสุขส่วนรวม รวมถึงการให้ที่เป็นการให้ภายในทางจิตใจ และ
ไม่จําเป็นต้องมีผู้รับก็ได้ แสดงถึงการมีทศพิธราชธรรมในข้อใด

(1) ขันติ

(2) ปะริจจาคัง

(3) อักโกธัง

(4) อะวิหิงสา

ตอบ 2

หลักทศพิธราชธรรมข้อ 3 ปะริจจาคัง (บริจาค) คือบําเพ็ญกิจด้วยความเสียสละ ซึ่งบริจาคในที่นี้ หมายถึง การให้ภายในทางจิตใจ ไม่จําเป็นต้องมี SHEMALE ผู้รับก็ได้ โดยเป็นการบริจาคสิ่งที่ไม่ควรมีอยู่ในตนออกไป หรือสละสิ่งที่ไม่ต้องมีผู้รับ ดังนั้น จึงเป็นการสละที่มุ่งกําจัดกิเลสในตัวเองเพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น เช่น การเสียสละความสุขส่วนตนเพื่อความสุขส่วนรวม, การเสียสละความเห็นแก่ตัว ฯลฯ

38. จากข่าวที่ผ่านมามีผู้ขับรถแท็กซี่พบกระเป๋าเงินแล้วตัดสินใจแจ้งเจ้าหน้าที่ตํารวจเพื่อนําส่งคืนเจ้าของ แสดงถึงการมีทศพิธราชธรรมในข้อใด

(1) อาชชะวัง

(2) อะวิหิงสา

(3) ตะปัง

(4) สีลัง

ตอบ 1

หลักทศพิธราชธรรมข้อ 4 อาชชะวัง (ความซื่อตรง) คือ ปฏิบัติภาระ โดยซื่อตรง เปิดเผย ไม่เกิดโทษภัย เป็นที่ไว้ใจได้ โดยต้องซื่อตรงทั้งต่อตนเองและผู้อื่น หรือซื่อตรงต่อหน้าที่ที่จะต้องทํา ทําหน้าที่ให้ถูกต้อง ให้เพียงพอ ให้เหมาะสมแก่ความเป็นมนุษย์

39. การอ่อนโยนต่อบุคคลซึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เป็นการสร้างสรรค์ซึ่งความรัก ความสามัคคี แสดงถึงการมีทศพิธราชธรรมในข้อใด

(1) อะวิหิงสา

(2) ตะปัง

(3) มันทะวัง

(4) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3

หลักทศพิธราชธรรมข้อ 5 มันทะวัง (ความอ่อนโยน) คือ ทรงมีความอ่อนโยนเข้าถึงธรรม ทั้งที่เป็นความอ่อนโยนภายนอก หมายถึง การอ่อนโยนต่อบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เป็นการสร้างสรรค์ ซึ่งความรัก ความสามัคคี และความอ่อนโยนภายใน หมายถึง ความอ่อนโยนของจิตใจที่อบรมไว้ดีแล้ว มีความเหมาะสมถูกต้องที่จะปฏิบัติธรรมะ
อันสูงขึ้นไปได้ทุกอย่างทุกประการจนสําเร็จประโยชน์

40. “ดูกรเทพธิดา เมื่อบุคคลทําความเพียรอยู่ ถึงจะตายไปก็ได้ชื่อว่าไม่เป็นที่ติเตียนของบิดามารดา วงศาคณาญาติ
ตลอดถึงเทพธิดาทั้งหลาย อีกประการหนึ่งเมื่อบุคคลตั้งใจทําหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถแล้ว ย่อมจะไม่เสียใจภายหลัง” เป็นคํากล่าวในบทนิพนธ์เรื่องใด

(1) พระรถเมรี

(2) ปลาบู่ทอง

(3) พระมหาชนก

(4) ไกรทอง

ตอบ 3

คํากล่าวข้างต้นอยู่ในบทพระราชนิพนธ์เรื่อง “พระมหาชนก”ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ตอนที่พระมหาชนก ตอบคําถามนางมณีเมขลา ซึ่งเป็นนางฟ้าประจํามหาสมุทร ในระหว่างที่พระองค์เพียรพยายามว่ายน้ำอยู่ในทะเลเป็นเวลานาน 7 วัน

41. การมีความพากเพียร ความบากบัน ความก้าวหน้า ไม่ถอยหลัง ความไม่หยุดอยู่กับที่ มีคุณสมบัติเผาผลาญ
กิเลสและความชั่วด้วยประการทั้งปวง แสดงถึงการมีทศพิธราชธรรมในข้อใด

(1) อะวิหิงสา

(2) ตะปัง

(3) มันทะวัง

(4) สีลัง

ตอบ 2

หลักทศพิธราชธรรมข้อ 6 ตะบัง (ความพากเพียร) คือ พ้นมัวเมาด้วยเผากิเลส โดยคําว่า “ตะปัง” แปลว่า วิริยะหรือความพากเพียร ความบากบั่น ความก้าวหน้า ไม่ถอยหลัง ความไม่หยุดอยู่กับที่ มีคุณสมบัติเผาผลาญกิเลสและความชั่ว ด้วยประการทั้งปวง ในที่นี้จะระบุไปยังสิ่งที่เรียกว่า อิทธิบาททั้ง 4 ประการ (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา) ก็ได้

42. ความไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏ ไม่มุ่งร้ายผู้อื่น แม้จะลงโทษผู้ทําผิดก็ทําตามเหตุผล แสดงถึงการมีทศพิธราชธรรมในข้อใด

(1) ปะริจจาคัง

(2) อักโกธัง

(3) อะวิหิงสา

(4) มันทะวัง )

ตอบ 2

หลักทศพิธราชธรรมข้อ 7 อักโกธัง (ไม่โกรธ) คือ ถือเหตุผลไม่โกรธา ไม่มีความกําเริบทั้งภายใน (กลุ้มอยู่ในใจ) และไม่มีความกําเริบภายนอก (ประทุษร้ายบุคคลอื่น) โดยจะไม่แสดงความโกรธให้ปรากฏ ไม่มุ่งร้ายผู้อื่น แม้จะลงโทษผู้ที่ทําผิดก็ทําตามเหตุผล

43. การไม่เบียดเบียน ไม่มีการกระทําอันเบียดเบียนกระทบกระทั่งตนเองหรือผู้อื่น แสดงถึงการมีทศพิธราชธรรมในข้อใด

(1) อะวิหิงสา

(2) ตะปัง

(3) มันทะวัง

(4) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1

หลักทศพิธราชธรรมข้อ 8 อะวิหิงสา (ไม่เบียดเบียน) คือ มีอหิงสานําร่มเย็น ไม่มีการกระทําอันเบียดเบียนกระทบกระทั่งตนเองหรือผู้อื่น หมายถึง ปฏิบัติให้ตัวเองไม่มีความเดือดร้อนหรือลําบาก และไม่เบียดเบียนผู้อื่น

44. การมีความอดทนต่อสิ่งทั้งปวง รักษาอาการกาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อย แสดงถึงการมีทศพิธราชธรรมในข้อใด

(1) อะวิหิงสา

(2) ตะปัง

(3) มันทะวัง

(4) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4

หลักทศพิธราชธรรมข้อ 9 ขันติ (อดทน) คือ ชำนะเข็ญด้วยขันติ มีความอดทนต่อสิ่งทั้งปวง รอคอยได้ และรักษาอาการกาย วาจา และใจให้เรียบร้อย ก็สมควรแก่ความเป็นผู้ที่จะทําอะไรได้สําเร็จ

45. การตั้งกระทู้ถามในเว็บบอร์ดต่าง ๆ มีลักษณะตรงกับข้อใดในหลัก “สุ จิ ปุ ลิ”

(1) สุ

(2) จิ

(3) ปุ

(4) ลิ

ตอบ 3

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ได้กล่าวปาฐกถาด้านการศึกษาเกี่ยวกับหลักการ “สุจิ ปุ ลิ” ไว้ดังนี้ 1. สุ-สุตมยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการฟัง ซึ่งเป็นปัญญาในการรับสารหรือสาระทั้งปวง รวมทั้งการได้รู้ ได้เห็น และการอ่านหนังสือ 2. จิ-จินตมยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการคิดไตร่ตรอง 3. ปุ-ปุจฉา คือ การถามเพื่อหาคําตอบเพิ่มเติม 4 ลิ-ลิขิต คือ การจดบันทึก

46. หลักราชการ เป็นบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลใด

(1) สมเด็จพระปิยมหาราช รัชกาลที่ 5

(2) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6

(3) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

(4) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9

ตอบ 2 หลักราชการ เป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) มีอยู่ 10 ข้อ ได้แก่ 1. ความสามารถ 2. ความเพียร 3. ความมีไหวพริบ 4. ความรู้เท่าถึงการ 5. ความซื่อตรงต่อหน้าที่การงาน 6. ความซื่อตรงต่อคนทั่วไป 7. ความรู้จักนิสัยคน 8. ความรู้จักผ่อนผัน 9. ความมีหลักฐาน และ 10. ความจงรักภักดี

47. คําอธิบายที่ว่า “ความเพียรเป็นเครื่องพาตนข้ามพ้นความทุกข์ ความเพียรเราได้ใช้แล้ว เราจึงได้มีวิชาความรู้
ได้ถึงปานนี้ ถ้าเราไม่ได้มีความเพียรมาแล้ว เรามิยังคงเป็นคนโง่อยู่อย่างเดิมหรือ ?” เป็นการอธิบายในเรื่องใด

(1) ความสามารถ

(2) ความมีไหวพริบ

(3) ความรู้จักผ่อนผัน

(4) ความเพียรพยายาม

ตอบ 4 (ดูคําอธิบายข้อ 46. ประกอบ)

หลักราซการข้อ 2. ความเพียร หมายถึง กล้าหาญไม่ย่อท้อต่อความยากลําบากและบากบั่นเพื่อจะข้ามความขัดข้องให้จงได้ โดยใช้ความอุตสาหวิริยภาพมิได้ลดหย่อน ดังคํากล่าวที่ว่า “ความเพียรเป็นเครื่องพาตนข้ามพ้น ความทุกข์ ความเพียรเราได้ใช้แล้ว เราจึงได้มีวิชาความรู้ได้ถึงปานนี้ ถ้าเราไม่ได้มีความเพียรมาแล้ว เรามิยังคงเป็นคนโง่อยู่อย่างเดิมหรือ

48. การศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนั้น มีลักษณะอย่างไร

(1) ผู้เรียนกําหนดประเด็นการเรียนรู้ แล้วให้ผู้สอนสอนตามที่ผู้เรียนอยากเรียน

(2) ผู้เรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาข้อมูลที่ต้องการเรียนรู้เอง โดยผู้สอนทําหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและคอยแนะนํา

(3) ผู้สอนจัดเตรียมข้อมูลทุกอย่างเพื่ออํานวยความสะดวกแก่ผู้เรียน ทําให้การเรียนไม่ติดขัด

(4) ผู้สอนอยู่เฉย ๆ ให้ผู้เรียนค้นคว้าอิสระตามต้องการ

ตอบ 2

การศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student Centered) คือ การเรียนที่ให้ความสําคัญกับผู้เรียนว่ามีความสามารถทางสมองที่จะเรียนรู้ได้ โดยจัดกิจกรรมการเรียนที่สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน ทั้งนี้ผู้เรียนจะเป็นผู้ค้นคว้าหาข้อมูลที่ต้องการเรียนรู้ด้วยตนเอง ส่วนผู้สอนจะทําหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและคอยแนะนํา เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนหมั่นคิดวิเคราะห์และฝึกปฏิบัติ

49. “เราเป็นครูกันคนละอย่าง” ข้อความดังกล่าวให้ความสําคัญกับสิ่งใดมากที่สุด

(1) ครู

(2) ผู้เรียน

(3) ความสัมพันธ์ที่ดีของครูกับผู้เรียน

(4) ความรู้ความสามารถ

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 26. ประกอบ

50. ข้อใดอธิบายความหมายของ “อวิชชา” ได้ดีที่สุด

(1) รู้ในสิ่งที่ควรรู้

(2) รู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้

(3) ไม่รู้ในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง

(4) ไม่รู้ถึงแม้จะเรียนเท่าไหร่ก็ตาม

ตอบ 2

ผู้เป็นบัณฑิตพึงหลีกเลี่ยงอวิชชา หมายถึง การไม่รู้ในสิ่งที่สมควรรู้ มีความโง่เขลา ความคับแคบ ความตื้นเขินทางปัญญา และรวมถึงการรู้ในสิ่งที่ไม่สมควรรู้หรือรู้ไม่ถูกทาง เพราะตามหลักการศึกษาเรียนรู้เพื่อพัฒนาไปสู่ความเป็นบัณฑิตนั้นต้องเป็นกระบวนการสร้างสติปัญญาไตร่ตรองเหตุและผล เพื่อขจัดหรือทําลายกองแห่งความมืด (อวิชชา)
เรียนเพื่อเติมเต็มความรู้ให้มากขึ้น และเป็นผู้มีปัญญาลึกซึ้ง

51. รายการโทรทัศน์ที่ขึ้นหน้าจอว่า “โปรดใช้วิจารณญาณในการรับชม” นั้น สัมพันธ์กับคําตอบข้อใดที่สุด

(1) โยนิโสมนสิการ

(2) ปรโตโฆสะ

(3) จิตตะ

(4) อุเบกขา

ตอบ 1

โยนิโสมนสิการ คือ การคิดเป็น รู้จักคิดไตร่ตรองพิจารณาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงด้วยตนเอง ซึ่งเป็นความสามารถที่บุคคลรู้จักมอง รู้จักใช้วิจารณญาณพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ตามสภาวะ โดยวิธีคิดหาเหตุปัจจัยสืบค้นจากต้นเหตุตลอดทาง จนถึงผลสุดท้ายที่เกิด แยกแยะเรื่องออกให้เห็นตามสภาวะที่เป็นจริง จนก่อให้เกิดปัญญาที่เข้าถึงความจริง

52. เราสามารถกําจัดอวิชชาได้อย่างไร

(1) ทําบุญมาก ๆ

(2) เข้าวัดเป็นประจํา

(3) สอบถามผู้รู้จากแหล่งต่าง ๆ

(4) ใช้สติปัญญาไตร่ตรองเหตุและผล

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 50. ประกอบ

53. การเรียนรู้จากสื่อออนไลน์ เช่น Youtube สัมพันธ์กับข้อใด

(1) โยนิโสมนสิการ

(2) จักขุวิญญาณ

(3) ปรโตโฆสะ

(4) โสตวิญญาณ

ตอบ 3

ปัจจัยภายนอก เรียกว่า “ปรโตโฆสะ” ได้แก่ สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ และกัลยาณมิตรที่ดี เช่น ครู พ่อแม่ เพื่อน สื่อมวลชน และสื่อออนไลน์ ฯลฯ ซึ่งการศึกษาทั้งหลายที่จัดกันมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันทํากันอย่างเป็นงานเป็นการ เป็นระบบระเบียบ จะถือว่าเป็นปรโตโฆสะก่อนในเบื้องต้น

54. ข้อใดไม่ใช่ไสยศาสตร์

(1) ถือผีสางเทวดา

(2) เชื่อได้หากมีวิจารณญาณ

(3) อธิบายไม่ได้

(4) ไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์

ตอบ 2

ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้กล่าวถึงจิตของมนุษย์ในระดับที่ 2 คือ รู้สูงขึ้นมากกว่าสัตว์เดรัจฉาน หมายถึง รู้ในระดับคนป่าคนโง่ ยังนับถือผีสางเทวดา ไม่เข้าถึงธรรมะ เรียกว่า “ระดับไสยศาสตร์” ซึ่งเป็นเพียงแต่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่มนุษย์สูงสุด ยังหลับอยู่ เพราะไสยศาสตร์จะเกณฑ์ให้เชื่อให้ยึดถือ ไม่ให้วิพากษ์วิจารณ์ และอธิบายไม่ได้

55. ข้อใดไม่ใช่ความรู้ที่เปิดเผย (Explicit Knowledge)

(1) ตํารา หนังสือ

(2) ประสบการณ์การทํางาน

(3) กฎระเบียบของบริษัทฯ

(4) คู่มือปฏิบัติงาน

ตอบ 2

ความรู้แบ่งออกได้ 2 ประเภท ดังนี้ 1. ความรู้ฝังลึก หรือความรู้ที่ซ่อนเร้นไม่เปิดเผย (Tacit Knowledge) คือ ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคนหรืออยู่ในสมองของคน โดยเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของบุคคลที่สั่งสมมาอย่าง ยาวนาน จึงเป็นความรู้ติดตัวที่เรียนรู้จากการสั่งสมประสบการณ์การทํางานต่าง ๆ รวมทั้งความเชื่อ ค่านิยม ซึ่งจะไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ทั้งหมด 2. ความรู้ชัดแจ้ง หรือความรู้ที่เปิดเผย (Explicit Knowledge) คือ ความรู้ชัดแจ้งที่สามารถสัมผัสหรือจับต้องได้ ซึ่งจะอยู่ในรูปของตํารา/หนังสือ เอกสาร วารสาร คู่มือ กฎระเบียบ รวมทั้งสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น วีซีดี คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และฐานข้อมูล

56. “แม่ครัวที่ทําอาหารอร่อย ส่วนใหญ่มักมีเคล็ดลับในการปรุงอาหารที่ไม่บอกใครง่าย ๆ” จากข้อความ ดังกล่าว นักศึกษาคิดว่าตรงกับคําตอบในข้อใด

(1) Tacit Knowledge

(2) Explicit Knowledge

(3) Secret Knowledge

(4) Private Knowledge

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 55. ประกอบ

57. การบริหารบ้านเมืองในภาวะปัจจุบันควรใช้หลักคิดข้อใด

(1) การคิดเปรียบเทียบ

(2) การคิดเชิงบูรณาการ

(3) การคิดนิรนัย

(4) การคิดวิเคราะห์

ตอบ 2

การคิดเชิงบูรณาการ (Integrative Thinking) คือ การคิดในลักษณะของการขยายขอบเขตการคิด จึงเหมาะที่จะนํามาใช้เป็นหลักคิดในการบริหารบ้านเมืองในภาวะปัจจุบัน เพราะเป็นการขยายมุมมองออกไป 5 ด้าน ได้แก่ 1. การมององค์รวม 2. การมองสหวิทยาการ 3. การมองอย่างอุปนัย 4. การมองประสานขั้วตรงข้าม (สร้างดุลยภาพ) เอากลาง 5. การมองทุกฝ่ายชนะ

58. ข้อใดไม่ใช่วิธีคิดแบบรู้คุณค่าแท้-คุณค่าเทียม ตามหลักโยนิโสมนสิการ

(1) หนูหนิงดีใจที่ถูกหวยเลยซื้อเสื้อแบรนด์เนมมาใส่เป็นรางวัลชีวิต

(2) หนูดีช่วยแม่เก็บผักที่ริมรั้วมาทํากับข้าว

(3) หนูเบลชอบบ้านหลังใหญ่ที่พ่อซื้อใหม่เพราะจะได้ไปรับคุณปู่และคุณย่ามาอยู่ด้วยกัน

(4) แม่พาหนูปุ๊กขึ้นเครื่องบินไปเยี่ยมยายเพราะได้ตั๋วราคาถูก

ตอบ 1

วิธีคิดตามหลักโยนิโสมนสิการข้อ 7 คือ วิธีคิดแบบ รู้คุณค่าแท้-คุณค่าเทียม เป็นวิธีคิดถึงคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ เพื่อมุ่งให้เกิดความเข้าใจ จนสามารถที่จะแยกแยะและเลือกเสพคุณค่าแท้ที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต ดังนี้ 1. คุณค่าแท้ คือ คุณค่าของสิ่งที่มีประโยชน์แก่ร่างกายโดยตรง อาศัยปัญญาที่ราคา จึงเป็นคุณค่าสนองปัญญา เพื่อพ้นจากการเป็นทาสของวัตถุ 2. คุณค่าเทียม คือ คุณค่าที่พอกเสริมสิ่งจําเป็นโดยตรง อาศัยตัณหาตีราคา จึงเป็นคุณค่า
สนองตัณหา ทําให้มนุษย์มุ่งตอบสนองแต่ความต้องการ (ตัณหา) ที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ

59. ผู้ใดมี EQ ที่ดี

(1) วิชาสอบได้ที่ 1 ทุกเทอม

(2)วิญญูไม่โกรธเพื่อนที่ล้อว่าเป็นลูกภารโรง

(3) ปัญญาถูกเลือกให้เป็นหัวหน้าชั้น

(4) ชัญญาส่งคืนกระเป๋าที่เก็บได้ให้เจ้าของ

ตอบ 2

ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Quotient : EQ) หมายถึง ความสามารถในการรับรู้และเข้าใจอารมณ์ทั้งของตนเองและผู้อื่น ตลอดจนสามารถปรับหรือ ควบคุมอารมณ์ของตนให้สามารถแสดงพฤติกรรมออกมาได้อย่างเหมาะสมกับสภาวการณ์ ทําให้ประสบผลสําเร็จในการทํางานและดําเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข

60. ข้อใดไม่ใช่หลักการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี (Good Governance)

(1) ความโปร่งใส

(2) การมีส่วนร่วม

(3) ความอยู่ดีกินดี

(4) ความน่าเชื่อถือและมีกฎเกณฑ์ชัดเจน

ตอบ 3

พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษได้กล่าวถึงหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองและสังคมที่ดี หรือหลักสําคัญของธรรมาภิบาล (Good Governance) ไว้ดังนี้ 1. Accountability คือ ความน่าเชื่อถือและมีกฎเกณฑ์ชัดเจน 2. Transparency คือ ความโปร่งใส 3. Participation คือ การมีส่วนร่วม 4. Predictability คือ ความสามารถในการคาดการณ์ได้ 5. ความสอดคล้องของ 4 หลักการข้างต้น

61. ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามไม่ต้องทํากิจใดดังต่อไปนี้

(1) นมัสการ 5 เวลา

(2) กล่าวคําปฏิญาณตน

(3) ถือศีลอดหลังพระอาทิตย์ตก

(4) บริจาคทรัพย์ตามศาสนบัญญัติ

ตอบ 3

ศาสนาอิสลามนับถืออัลเลาะห์เป็นพระเจ้า โดยมีศาสดาผู้เผยแผ่หลักศาสนาของอิสลามพระองค์สุดท้าย คือ นบีมูฮัมหมัด ส่วนผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามจะเรียกว่า มุสลิมหรืออิสลามิกชน มีหน้าที่ต้องปฏิบัติศาสนกิจตามมุขยบัญญัติ 5 ประการ ได้แก่ 1.การกล่าวคําปฏิญาณตน 2. การนมัสการ (ละหมาด) 5 เวลา คือ เช้า บ่าย เย็น ค่ำ และกลางคืน 3. การบริจาคทรัพย์ตามศาสนบัญญัติ 4. การถือศีลอดในเดือนรอมดอน 5. การประกอบพิธีฮัจญ์ หรือการไปจาริกแสวงบุญที่เมืองมักกะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย

62. ข้อใดคือแนวทางที่ควรนํามาใช้ในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม

(1) เลือกโดยตัดสินจากความชอบใจ

(2) ใช้อัตตาเป็นหลัก และไม่พิจารณาถึงผลที่จะติดตามมาด้วย

(3) เลือกประพฤติตนให้ถูกต้องด้วยการรู้จักประมาณตน

(4) เลือกโดยการกระทําในสิ่งที่นําความสุขทางกายมาให้มากที่สุด

ตอบ 3

การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม คือ การสร้างความตระหนักในคุณธรรมจริยธรรม เพื่อช่วยให้บุคคลเกิดความรู้ ความเข้าใจ เห็นความสําคัญ รู้ประโยชน์ที่จะเกิดจากการประพฤติปฏิบัติตามคุณธรรมจริยธรรมที่พึงประสงค์ ได้แก่
1. การรู้จักประมาณตน มีความพอดี พอเพียง พอประมาณ 2. รู้เหตุผล รู้เท่าทัน คิดแบบโยนิโสมนสิการ
3. มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ 4. รักษาระเบียบวินัย ประพฤติตนตามจารีตประเพณีไทย 5. รู้จักละกิเลสตัณหา (ละความอยากได้ อยากมี อยากเป็น) ฯลฯ

63. ข้อใดไม่ใช่คุณลักษณะของคุณธรรมจริยธรรมที่พึงประสงค์

(1) ความมีเหตุผล รู้เท่าทัน คิดแบบโยนิโสมนสิการ

(2) ความไม่สํานึกต่อผู้มีพระคุณทั้งคน สัตว์ และสิ่งของ

(3) การรักษาระเบียบวินัย ประพฤติตนตามจารีตประเพณีไทย

(4) ความพอดี พอเพียง พอประมาณ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 62. ประกอบ

64. ข้อใดคือคุณลักษณะของบุคคลที่มีความซื่อสัตย์

(1) มีบุคลิกภาพและมนุษยสัมพันธ์ดี ชอบพูดยกยอชื่นชมเพื่อน ๆ

(2) รักสงบ ไม่เล่นโซเชียล ไม่สุงสิงกับใครเลย

(3) ประพฤติปฏิบัติอย่างเหมาะสมและตรงต่อความเป็นจริง ประพฤติปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมาทั้งกาย วาจา และใจ

(4) มีวินัยเคร่งครัดต่อกฎระเบียบองค์กรจนน่าแปลกใจ

ตอบ 3

ความซื่อสัตย์สุจริต หมายถึง การประพฤติปฏิบัติอย่างเหมาะสมและตรงต่อความเป็นจริง ประพฤติปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมาทั้งกาย วาจา และใจ มีความซื่อตรงจริงใจ ทั้งทางความคิด คําพูด และการกระทําต่อตนเองและผู้อื่น ไม่คิดคดทรยศ ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง ทําทุกอย่างถูกต้องตามทํานองคลองธรรม

65. ความรู้สึกในการอุปการคุณหรือบุญคุณที่ผู้อื่นหรือสิ่งอื่นที่มีต่อเรา รวมไปจนถึงการแสดงออกและการตอบแทนบุญคุณนั้น คือความหมายของข้อใด

(1) การมีขันติ

(2) ความมีเหตุผล

(3) ความกตัญญูกตเวที

(4) การมีความยุติธรรม

ตอบ 3

คําว่า “กตัญญ” หมายถึง รู้คุณท่าน รู้ว่าใครมีบุญคุณต่อตนโดยเป็นความรู้สึกในการอุปการคุณหรือบุญคุณที่ผู้อื่นหรือสิ่งอื่นที่มีต่อเรา จึงมักใช้คู่กับคําว่า “กตเวที” แปลว่า สนองคุณท่านหรือการแสดงออกและรู้จักตอบแทนบุญคุณต่อผู้มีพระคุณนั้น ทั้งนี้ผู้ที่ได้ชื่อว่ามีความกตัญญูกตเวทีนั้น ต้องสามารถแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ ได้ทุกเวลา ไม่ควรมีข้อแม้ในการกระทํา

66. ปฏิกิริยาของจิตใจที่ตอบสนองต่อเรื่องราวที่มากระทบตามธรรมชาติของมนุษย์ หรือที่เราเรียกว่าอารมณ์นั้น
ข้อใดเป็นอารมณ์ที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดนาน

(1) อารมณ์อิ่มเอมใจ มีปีติ

(2) อารมณ์สนุกสนาน เอื้อต่อการเรียนรู้

(3) อารมณ์ดีใจเป็นสุข

(4) อารมณ์หลงใหลในสิ่งใดสิ่งหนึ่งนาน ๆ

ตอบ 4

อารมณ์ หมายถึง ปฏิกิริยาของจิตใจที่ตอบสนองต่อเรื่องราวที่มากระทบตามธรรมชาติของมนุษย์ โดยผู้ที่มีอารมณ์ทางบวก ได้แก่ อารมณ์ขัน, อารมณ์ดีใจเป็นสุข หรือ อิ่มเอมใจ มีปีติ, อารมณ์สนุกสนาน ฯลฯ จะทําให้เกิดฮอร์โมนชื่อว่า “แอนเดอร์ฟิน” ซึ่งจะเป็น อาวุธต่อสู้กับความกลัวและความเครียดของคนได้ ส่วนผู้ที่มีอารมณ์ทางลบ ได้แก่ อารมณ์หดหู่ เบื่อหน่าย, อารมณ์หลงใหลหมกมุ่นในสิ่งใดสิ่งหนึ่งนาน ๆ ฯลฯ จะทําให้เกิดฮอร์โมนชื่อว่า “แอดรีนาลีน” ออกมาในปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งจะทําให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ แก่ร่างกายได้

67. ข้อใดคือบุคลิกภาพที่ดีเหมาะกับการทํางานในโลกยุคปัจจุบัน

(1) มีมนุษยสัมพันธ์ดี ชอบเอาของที่ทํางานกลับมาใช้ส่วนตัว

(2) มีรูปร่างหน้าตาดี แต่ชอบแต่งกายไม่สุภาพ

(3) มีความกระฉับกระเฉง และดูแลรักษาความสะอาดเครื่องแต่งกายดี

(4) ไม่มีความอ่อนน้อมในทุกครั้งที่นั่ง ยืน เดิน สนทนา และในทุกอิริยาบถ

ตอบ 3

บุคลิกภาพ หมายถึง ลักษณะของบุคคลที่แสดงออกหรือมิได้แสดงออก โดยเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองทั้งทางด้านพฤติกรรมและทางด้านจิตใจ ทั้งนี้บุคลิกภาพที่ดีเหมาะกับการทํางานในโลกยุคปัจจุบัน ได้แก่ 1. มีมนุษยสัมพันธ์ดี
2. มีรูปร่างหน้าตาสะอาดสะอ้าน 3. มีความกระฉับกระเฉง และดูแลรักษาความสะอาดเครื่องแต่งกายดี
4. มีความอ่อนน้อมถ่อมตน 5. มีกิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อย ฯลฯ

68. ข้อใดไม่ใช่ความหมายของการเสียสละ

(1) การละความเห็นแก่ตัว

(2) การแบ่งปันแก่คนที่ควรให้ด้วยกําลังกาย กําลังทรัพย์ และกําลังสติปัญญา

(3) การรู้จักสลัดทิ้งอารมณ์ร้ายในตนเอง

(4) การผูกพันกับอารมณ์ และความยึดมั่นถือมั่นของตนเองที่มีอยู่เดิม

ตอบ 4

จาคะ (ความเสียสละ) หมายถึง การตัดใจจากกรรมสิทธิ์หรือการตัดใจจากความยึดครองของตนไปให้ผู้อื่น ซึ่งเป็นการเสียสละแบ่งปันแก่คนที่ควรให้ด้วย กําลังกาย กําลังทรัพย์ และกําลังสติปัญญา โดยความเสียสละมีอยู่ 2 ประการ คือ 1. สละวัตถุ คือ การสละทรัพย์หรือสิ่งของของตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น 2. สละอารมณ์ คือ การปล่อยวางหรือรู้จักสลัดทิ้งอารมณ์ร้ายในตนเองที่ทําให้จิตใจไม่สงบ รวมไปถึงการสละความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ ความโลภ โกรธ หลง ฯลฯ

69. ข้อใดไม่ใช่พื้นฐานของบุคลิกภาพที่สง่างาม

(1) สิ่งแวดล้อมในทุกด้านของชีวิตที่ดีนับตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบัน

(2) ค่านิยมการใช้ของแบรนด์เนม

(3) ความเชื่อที่ดี

(4) การมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสาในการทํางาน

ตอบ 2

พื้นฐานของบุคลิกภาพที่สง่างามเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
1. สิ่งแวดล้อมในทุกด้านของชีวิตที่ดีนับตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบัน  2. การสะสมข้อมูล รวมทั้งการกระทําตามความเคยชิน และข้อมูลที่ได้รับรู้มาจากแหล่งต่าง ๆประกอบกัน 3. ความเชื่อที่ดีและค่านิยมที่พึงประสงค์ 4. การยึดมั่นในหลักคุณธรรม ทางศาสนา เช่น อิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสาในการทํางาน) ฯลฯ

70. ข้อใดไม่ใช่การพัฒนาบุคลิกภายนอกในด้านบุคลิกภาพการแต่งกาย

(1) วิเคราะห์บุคลิกและรูปลักษณ์รายบุคคลเพื่อการเลือกสรรเสื้อผ้า รองเท้า

(2) การแต่งกายในลักษณะตามแฟชั่นสมัยนิยมจนเกินพอดี

(3) การใช้ความรู้พื้นฐานในเรื่องลายเส้นและแบบที่เหมาะสมกับรูปร่าง

(4) การแต่งกายตามวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม

ตอบ 2

วิธีการพัฒนาบุคลิกภายนอกในด้านบุคลิกภาพการแต่งกายที่ดี มีดังนี้
1. วิเคราะห์บุคลิกและรูปลักษณ์เป็นรายบุคคลเพื่อการเลือกสรรเสื้อผ้าและรองเท้าที่เหมาะสม 2. ใช้ความรู้พื้นฐานในเรื่องลายเส้นและแบบที่เหมาะสมกับรูปร่าง 3. แต่งกายให้สุภาพ เหมาะสมกับสถานภาพ วัย และกาลเทศะ
4. แต่งกายให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรม ฯลฯ

71. ข้อใดเป็นมารยาทในการเข้าสังคมอย่างมั่นใจ และการปฏิบัติตัวในการเข้าสังคมที่ถูกต้องตามกาลเทศะ

(1) ปัญญามีบุคลิกภาพดี แนะนำตัวและพูดคุยตามความเหมาะสม

(2) แทมมี่พูดแต่เรื่องที่ตนเองสนใจ ไม่ฟังใคร

(3) ว่านมีความจริงใจ เปิดใจ พูดทุกเรื่อง

(4) ประสานชอบนินทา พูดความลับของผู้อื่นกับคนที่พึ่งรู้จัก

ตอบ 1 (คำบรรยาย) มารยาทในการเข้าสังคมอย่างมั่นใจและถูกต้องตามกาลเทศะ มีดังนี้
1. มีบุคลิกภาพและมนุษยสัมพันธ์ดี
2. แนะนำตัวและพูดคุยตามความเหมาะสม
3. พูดในเรื่องที่คู่สนทนาสนใจ ไม่ใช่พูดแต่เรื่องที่ตนสนใจฝ่ายเดียว
4. ไม่ควรพูดนินทาให้ร้ายคนอื่น หรือพูดความลับของผู้อื่นกับคนที่พึ่งรู้จัก
5. ไม่ควรพูดอวดตน ยกตนข่มท่าน หรือแสดงอาการว่าตนเหนือกว่าผู้ฟัง ฯลฯ

72. ข้อใดคือทักษะในการพูดและการสื่อสารที่ดีในด้านทักษะในการสร้างประสิทธิภาพของเสียง

(1) การใช้น้ำเสียงตามที่ตัวเองมี

(2) มีความเสมอต้นเสมอปลาย ใช้น้ำเสียงโทนเดียว (Monotone)

(3) การใช้เสียงสร้างเสริมบุคลิกภาพ ฝึกหัดการพูดด้วยการบันทึกวิดีโอเทปเพื่อการพัฒนา

(4) เป็นคนตัวใหญ่ฝึกฝนการพูดน้ำเสียงที่แหลมเล็ก

ตอบ 3

ทักษะในการสร้างประสิทธิภาพของเสียงเพื่อการพูดและการสื่อสารที่ดี มีดังนี้
1. ใช้น้ำเสียงให้เป็นธรรมชาติ อย่าดัดเสียงหรือเลียนแบบเสียงของผู้อื่น
2. ใช้เสียงสร้างเสริมบุคลิกภาพ โดยมีการฝึกหัดพูดเพื่อการพัฒนา เช่น การฝึกพูดโดยมีผู้เชี่ยวชาญแนะนำ หรือบันทึกเนินวิดีโอเทปเพื่อดูความบกพร่อง ฯลฯ
3. หลีกเลี่ยงการใช้น้ำเสียงโทนเดียว (Monotone) เพราะการพูดเสียงเดียวราบเรียบ เสมอกันหมดจะทำให้ผู้ฟังง่วงและเกิดความเบื่อหน่าย ฯลฯ

73. เวลาที่เราต้องแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะนั้น ไม่ควรมีความรู้สึกแบบใด

(1) รวบรวมใจให้มีสติและสมาธิ

(2) ใช้ความคิดค้นหาจุดเด่นของตัวเอง

(3) คิดว่าตัวเองทำได้อยู่แล้วเลยไม่ซักซ้อม

(4) สร้างบุคลิกภาพที่ดีตามแบบของตนเองให้เป็นธรรมชาติ

ตอบ 3 หลักปฏิบัติเมื่อต้องแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ มีดังนี้
1. เตรียมตัวให้พร้อม โดยการอ่านหนังสือเยอะ ๆ เพื่อเก็บสะสมข้อมูลไว้ใช้อ้างอิงหรือเสริม คำพูดของตน และมีการซักซ้อมการพูดมาเป็นอย่างดี 2. หมั่นสนทนาแลกเปลี่ยนทัศนะกับผู้คนที่หลากหลาย 3. ใช้ความคิดค้นหาจุดเด่นหรือเอกลักษณ์ของตัวเอง 4. รวบรวมจิตใจให้มีสติและสมาธิ ไม่ประหม่าหรือตื่นกลัวเมือต้องแสดงความคิดเห็น 5. สร้างบุคลิกภาพที่ดีตามแบบของตนเองให้เป็นธรรมชาติ ฯลฯ

74. ข้อใดไม่ใช่วิธีฝึกตัวเองให้พร้อมสำหรับการแสดงความคิดเห็นต่อที่สาธารณะ

(1) อ่านหนังสือเยอะ ๆ เก็บสะสมข้อมูล เวลาพูดคุยจะได้ดูเก๋ ๆ เท่ ๆ

(2) เริ่มสร้างบุคลิกภาพที่ดีตามแบบของคุณให้เป็นธรรมชาติ

(3) หมั่นสนทนาแลกเปลี่ยนทัศนะกับผู้คนที่หลากหลาย

(4) ฝึกความไวในการพูดแซง พูดแทรกคนอื่น

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 73. ประกอบ

75. ข้อใดไม่ใช่วิธีการดูแลสุขภาพร่างกายและรูปร่างที่ดี

(1) เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

(2) การรับประทานวิตามินอาหารเสริมชนิดเม็ด ฉีดโบท็อก

(3) การออกกำลังกายอย่างสมํ่าเสมอสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง

(4) เลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่

ตอบ 2
วิธีการดูแลสุขภาพร่างกายและรูปร่างที่ดี มีดังนี้
1. เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบ 5 หมู่ 2. ขับถ่ายทุกวันและให้เป็นเวลา 3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ 4. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6 แก้ว 5. หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่ 6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสัปดาห์ละ 3 – 4 ครั้ง 7. ทำจิตใจและอารมณ์ให้แจ่มใส ฯลฯ

76. ข้อใดไม่ใช่วจีจริยาหรือการพูดจาให้เรียบร้อย
(1) ประศักดิ์กล่าวขอโทษก่อนแล้วจึงคัดด้าน ไม่หักหาญน้ำใจ
(2) จิรพันธ์พูดด้วยน้ำเสียงกำลังดี ได้ยินชัดเจนชัดถ้อยชัดคำ
(3) เวหาชอบพูดแทรกในขณะที่คนอื่นกำลังพูดอยู่
(4) ประวิทย์ไม่ว่าจะพูดกับใคร ในเวลาใด สถานที่ใด ก็มีนํ้าเสียงนุ่มนวลสุภาพ อ่อนหวาน

ตอบ 3
หนังสือสมบัติของผู้ดี ภาค 1 ผู้ดีย่อมรักษาความเรียบร้อยด้านวจีจริยา (การพูดจา) ได้แก่ 1. ย่อมไม่สอดสวนวาจาไม่พูดแทรกหรือแย่งชิงพูด
2. ย่อมไม่พูดด้วยเสียงอันดังเหลือเกิน 3. ย่อมไม่ใช้เสียงตวาดหรือพูดจากระโชกกระชาก 4. ย่อมไม่ใช้วาจาอันหักหาญดึงดัน 5. ย่อมไมใช้ถ้อยคำอันหยาบคาย

77. “การตื่นรู้” ในทางพระพุทธศาสนาคือข้อใด
(1) การตื่นจากความฝัน
(2) พ้นจากความไม่รู้ พ้นจากความหลง เข้าถึงความจริง
(3) การเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
(4) การตื่นจากความไม่รู้
ตอบ 2
“การตื่นรู้” ในทางพระพุทธศาสนา คือ การพ้นจากความไม่รู้ ซึ่งเป็นต้นตอของ อัตตา และพ้นจากความหลงงมงาย จากการหลอกลวงของกิเลสตัณหา ดังนั้นการตื่นรู้จึงเป็น สภาพจิตที่หลุดพ้นจากการถูกกิเลสครอบงำทั้งปวง จนกระทั่งเข้าถึงความจริงของสรรพสิ่ง

78. “ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น” พระพุทธเจ้าท่านเห็นอะไร
(1) จักรวาลกับพุทธศาสนา
(2) อริยสัจสี่
(3) ความว่างภายในอะตอม
(4) ความมหัศจรรย์ของไสยศาสตร์
ตอบ 2
อริยสัจ 4 หมายถึง ความจริงหรือสัจธรรมอันประเสริฐ 4 ประการ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเห็นและได้แสดงสัจจะของผู้ประเสริฐ (หรือผู้เจริญ) นี้ไว้ โดยมุ่งเน้นถึงการแก้ปัญหาที่เหตุปัจจัยด้วยบัญญาและเหตุผลอย่างเป็นระบบ เพื่อความพ้นทุกข์อย่างยั่งยืน มีขั้นตอนตามลำดับ ดังนี้
1. ทุกข์ คือ ปัญหาที่ทำให้บุคคลรู้สึกไม่สบายกายหรือไม่สบายใจ
2. สมุทัย คือ สาเหตุของปัญหาหรือบ่อเกิดแห่งทุกข์
3. นิโรธ คือ หนทางในการดับทุกข์ (ดับตัณหา) หรือความพ้นทุกข์
4. มรรค คือ ทางแก้ทุกข์หรือวิธีการดับทุกข์

79. ท่านพุทธทาสภิกขุ เปรียบเทียบวิถีชีวิตของมนุษย์ที่สมบูรณ์ว่า “ชีวิตต้องเทียมด้วยควายสองตัว” มีแบบใดบ้าง
(1) ตัวรู้กับตัวแรง
(2) ตัวแรงกับตัวชน
(3) ตัวตื่นกับตัวเบิกบาน
(4) ตัวมีปัญหากับตัวมีปัญญา
ตอบ 1
ท่านพุทธทาสภิกขุ เปรียบเทียบวิถีชีวิตของมนุษย์ที่สมบูรณ์ว่า “ชีวิตต้องเทียม ด้วยควายสองตัว” กล่าวคือ 1. ควายตัวต้นเป็นตัวรู้ คือ ตัวฉลาด ได้แก่ รู้คุณธรรม ทำให้มนุษย์มีความสว่างไสวทางวิญญาณ (Spiritual Enlightenment) 2. ควายตัวปลายเป็นตัวแรง คือ ตัวโง่ แต่แข็งแรงมาก ได้แก่ รู้เทคโนโลยี ซึ่งมีแต่เรี่ยวแรง ทำให้มนุษย์ตกเป็นทาสของเทคโนโลยี ไม่มีความสว่างไสวทางวิญญาณ

80. คำคมข้อคิดจากสตีฟจอบส์ กล่าวว่า “หน้าที่ของผมไม่ใช่การทำตัวดีกับผู้คน หน้าที่ของผมคือช่วยให้ พวกเขาดีขึ้น” แสดงว่าสตีฟจอบส์ต้องการวางตัวเข้ากับสังคมแบบใด
(1) อมิตร
(2) รวมมิตร
(3) บาปมิตร
(4) กัลยาณมิตร
ตอบ 4
กัลยาณมิตร (กัลยาณมิตตตา) คือ รู้จักคบคนดี ซึ่งลักษณะของกัลยาณมิตร (เพื่อนที่ดี) มีอยู่ 7 ประการ คือ 1. ทำตัวน่ารัก มีไมตรี 2. วางตัวน่าเคารพนับถือ 3. ทำตนน่าเจริญตาเจริญใจ คือ คิดดี พูดดี ทำดี 4. พูดจาอ่อนหวาน ไม่ใส่ร้าย 5. มีความอดทน อดกลั้น ข่มใจ 6. รู้จักแนะนำการประพฤติที่ดี หรือช่วยแก้ปัญหาให้ชีวิตเราดีขึ้น 7. ชักนำเราให้ไปในทางที่ถูกที่ควร ไม่ชักจูงในสิ่งผิด

81. ไวรัสคอมพิวเตอร์ส่งผลกระทบอย่างไรต่อสังคม
(1) เกิดความไม่เสมอภาค
(2) เพิ่มปัญหาสิ่งแวดล้อม
(3) เกิดความเสียหายแก่ข้อมูล
(4) เพิ่มจำนวนผู้ใช้คอมพิวเตอร์
ตอบ 3
ไวรัสคอมพิวเตอร์เมื่อเข้ามาในคอมพิวเตอร์จะส่งผลกระทบต่อสังคม ดังนี้
1. เกิดความเสียหายแก่ข้อมูล ไม่สามารถเปิดใช้งานได้หรือสูญหาย
2. ขโมยข้อมูลสำคัญ โดยเฉพาะข้อมูลของทางราชการ และข้อมูลที่เป็นความลับทางการค้า
3. ทำให้โปรแกรมในเครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานผิดพลาด
4. ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าหรือทำงานต่อไม่ได้ ฯลฯ

82. ในการใช้สื่อและเทคโนโลยี ควรตระหนักรู้ถึงจริยธรรมและจรรยาบรรณในข้อใดมากที่ลุด
(1) ปาณาติปาตา
(2) อทินนาทานา
(3) กาเมสุมิจฉาจารา
(4) สุราเมระยะมัชชะปมาทัฏฐานา
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

83. บุคคลใดใช้เทคโนโลยีหรือมีพฤติกรรมที่เหมาะสมตามหลักจริยธรรมและจรรยาบรรณ
(1) นายแดงชอบใช้คอมพิวเตอร์ดูรูปอนาจาร
(2) นางเขียวชอบขับรถซิ่งแข่งกับผู้ชาย
(3) นางขาวชอบปิดไฟเวลาเลิกใช้
(4) นายดำชอบดัดฟันเพราะดูเท่ดี
ตอบ 3
ตัวอย่างพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมตามหลักจริยธรรมและจรรยาบรรณในการ ใช้สื่อและเทคโนโลยี เช่น การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์, การใช้คอมพิวเตอร์ดูเนื้อหาหรือ ภาพลามกอนาจาร, การโจรกรรมข้อมูลหรือความลับของบริษัท, การให้ข้อมูลเท็จ การฉ้อโกง หรือบิดเบือนข้อมูล เพื่อให้เกิดความเข้าใจผิด ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้อ 3 เป็นพฤติกรรมที่เหมาะสม เพราะช่วยประหยัดพลังงานและลดภาวะโลกร้อน)

84. ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติในการใช้สื่อและเทคโนโลยี เป็นความหมายของข้อใด
(1) คุณธรรม
(2) จริยธรรม
(3) ศีลธรรม
(4) ค่านิยม
ตอบ 2
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ให้ความหมายของ จริยธรรมว่า คือ ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ ศีลธรรม กฎศีลธรรม หรือคุณความดีที่พึงยึด เป็นข้อประพฤติปฏินัฅที่ดีต่อสังคม

85. นายแดงรู้สึกละอายแก่ใจตนเองในการกระทำความผิดที่ได้เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ของนางขาว โดยไม่ได้ ขออนุญาต เป็นความหมายของธรรมะข้อใด
(1) ศีล
(2) สมาธิ
(3) หิริ
(4) โอตตัปปะ
ตอบ 3
ดูคำอธิบายข้อ 13. ประกอบ

86. ผู้สอนใช้ Facebook Live สอนผ่านทางไกล และใช้ภาษาพูดที่มีแต่ความจริงใจอ่อนโยน ทำให้ผู้เรียน เกิดความเคารพนับถือ แสดงว่าครูมีคุณธรรมในข้อใด
(1) สัมมาทิฐิ
(2) สัมมาสังกัปปะ
(3) สัมมาวาจา
(4) สัมมากัมมันตะ
ตอบ3
สัมมาวาจา (เจรจาชอบ) คือ มีการเจรจาถูกต้องพูดด้วยความจริงใจในสิ่งที่มีประโยชน์ มีสาระ พูดไพเราะอ่อนหวาน อ่อนโยน และพูดให้ถูก กาลเทศะ โดยแสดงในทางเว้น ได้แก่ เว้นจากการพูดเท็จ เว้นจากการพูดส่อเสียดให้แตกร้าวกัน เว้นจากการพูดคำหยาบ และเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อไม่เป็นประโยชน์

87. การรู้จักใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อค้นหาความรู้ เพื่อนำไปใช้ในการทำงาน ตรงกับหลักธรรมในข้อใด
(1) สัมมาอาชีวะ
(2) สัมมาวายามะ
(3) สัมมาสติ
(4) สัมมาสมาธิ
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 8. ประกอบ

88. สังคมก้มหน้า ยุคที่คนเรามีสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต ทำให้คนเราไม่ค่อยใส่ใจคนรอบข้าง เป็นความหมายของค่านิยมใด
(1) ค่านิยมทางสังคม
(2) ค่านิยมทางวัตถุ
(3) ค่านิยมทางจริยธรรม
(4) ค่านิยมทางความจริง
ตอบ 2
ค่านิยม (Values) แบ่งออกได้ดังนี้
1. ค่านิยมทางสังคม (Social Values) เป็นค่านิยมที่ช่วยให้เกิดความรักความเข้าใจ และเกิด ความต้องการทางสังคมของบุคคล
2. ค่านิยมทางวัตถุ (Material Values) เป็นค่านิยมที่ช่วยให้ชีวิตร่างกายของคนเราสามารถ ดำรงอยู่ได้ต่อไป ได้แก่ ปัจจัยสี่ (อาหาร ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า และยารักษาโรค) รวมไปถึง วัตถุอื่น ๆ ที่ช่วยให้ชีวิตของมนุษย์สะดวกสบายขึ้น เช่น รถยนต์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ ฯลฯ
3. ค่านิยมทางจริยธรรม (Moral Values) เป็นค่านิยมที่ทำให้เกิดความรับผิดชอบชั่วดี
4. ค่านิยมทางความจริง (Truth Values) เป็นค่านิยมที่เกี่ยวกับความจริง ซึ่งมีความสำคัญยิ่ง สำหรับผู้ที่ต้องการความรู้ และนักวิทยาศาสตร์ที่ต้องการค้นหากฎของธรรมชาติ ฯลฯ

89. ค่านิยมที่กำหนดให้เกิดความรักความเข้าใจ ความต้องการทางสังคมของบุคคล เป็นความหมายของค่านิยมใด
(1) ค่านิยมทางสังคม
(2) ค่านิยมทางวัตถุ
(3) ค่านิยมทางจริยธรรม
(4) ค่านิยมทางความจริง
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 88. ประกอบ

90. ค่านิยมที่ทำให้เกิดความรับผิดชอบชั่วดีในการใช้สื่อและเทคโนโลยี เป็นความหมายของค่านิยมใด
(1) ค่านิยมทางสังคม
(2) ค่านิยมทางวัตถุ
(3) ค่านิยมทางจริยธรรม
(4) ค่านิยมทางความจริง
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 88. ประกอบ

91. ข้อใดเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในการใช้งาน Internet
(1) การรับส่ง E-mail
(2) การดาวน์โหลดฟรีแวร์
(3) การอัพโหลดข่าวการศึกษา
(4) การให้ข้อมูลเท็จเพื่อให้เสียภาษีน้อยลง
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 83. ประกอบ

92. ข้อใดกล่าวถึงคุณค่าของภูมิปัญญาไทยไม่ถูกต้อง
(1) ส่งเสริมการอนุรักษ์จารีตประเพณี
(2) ส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรม
(3) ส่งเสริมการประดิษฐ์คิดค้นใหม่
(4) ส่งเสริมอาชีพให้แก่ต่างชาติ
ตอบ 4
คุณค่าของภูมิปัญญาไทย มีดังนี้
1. ส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมและจารีตประเพณี 2. ช่วยจรรโลงวิถีชีวิตของชุมชน 3. ก่อให้เกิดเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น 4. สามารถประยุกต์หลักคำสอนทางศาสนามาใช้กับวิถีการดำเนินชีวิต 5. ส่งเสริมให้เกิดการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ 6. สร้างอาชีพใหม่ให้กับคนไทย ฯลฯ

93. ข้อใดหมายถึงภูมิปัญญาไทยที่ก่อให้เกิดศิลปะของชาติและแสดงความเป็นอารยธรรมของชาติ
(1) นวดแผนไทย
(2) สมุนไพรไทย
(3) เกษตรกรรม
(4) จิตรกรรมลายไทย
ตอบ 4 (คำบรรยาย) ภูมิปัญญาไทยที่ก่อให้เกิดศิลปะของชาติและแสดงความเป็นอารยธรรมของชาติ ซึ่งได้รับมรดกตกทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของไทย เช่น ศิลปะการต่อสู้ มวยไทย, งานจิตรกรรมลายไทย, การฟ้อนรำมโนราห์ ฯลฯ

94. ข้อใดเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมทางด้านวรรณกรรมพื้นบ้าน
(1) ตำนานหลวงปู่ทวด
(2) ละครดึกดำบรรพ์
(3) เทศน์มหาชาติ
(4) สารทเดือนสิบ
ตอบ 1
มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมทางด้านวรรณกรรมพื้นบ้าน หมายถึง วรรณกรรมที่ถ่ายทอดอยู่ในวิถีชีวิตชาวบ้านโดยครอบคลุมวรรณกรรมที่ถ่ายทอดโดยวิธีการบอกเล่า และที่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรได้แก่ 1.นิทานพื้นบ้านเช่นนิทานเข้าแบบ,นิทานจักร ๆวงศ์ๆ ฯลฯ
2. ตำนานพื้นบ้าน เช่น ตำนานหลวงปู่ทวด, ตำนานพระร่วง ฯลฯ
3. บทสวดหรือบทกล่าวในพิธีกรรม เช่น บททำขวัญ, บทประกอบการรักษาโรคพื้นบ้าน ฯลฯ
4. บทร้องพื้นบ้าน เช่น บทกล่อมเด็ก, บทร้องเล่น ฯลฯ

95. ข้อใดจัดเป็นกระบวนการสืบสานและถ่ายทอดภูมิปัญญาไทยอย่างไม่เป็นทางการ
(1) ได้รับการถ่ายทอดวิธีการแกะสลักจากโรงเรียน
(2) ได้รับการถ่ายทอดวิธีการแกะสลักจากการอบรมหลักสูตรระยะสั้น
(3) ได้รับการถ่ายทอดวิธีการแกะสลักจากบรรพบุรุษ
(4) ได้รับการถ่ายทอดวิธีการแกะสลักจากวิทยากร
ตอบ 3
กระบวนการสืบสานและถ่ายทอดภูมิปัญญาไทยมีทั้งแบบที่เป็นทางการ เช่นการถ่ายทอดภูมิปัญญาไทยเรื่องต่าง ๆ ในสถานศึกษา หรือหน่วยงานภาครัฐ, การเข้ารับการฝึกอบรมจากวิทยากรที่เชี่ยวชาญ ฯลฯ และแบบที่ไม่เป็นทางการ เช่น การสืบสานภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษ ครอบครัว สื่อมวลชน และสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ฯลฯ

96. ข้อใดไม่ใช่แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้
(1) บุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อทำไร่เลื่อนลอย
(2) ปิดเกาะเพื่อฟื้นฟูอุทยานทางทะเล
(3) ขยายพื้นที่ป่าอนุรักษ์ให้ครอบคลุมมากขึ้น
(4) รณรงค์การปลูกป่าโดยผ่านทางเฟสบุ๊ก
ตอบ 1
การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้สามารถกระทำได้ ดังนี้
1. การกำหนดนโยบายป่าไม้แห่งชาติ 2. การปลูกต้นไม้ทดแทน หรือส่งเสริมให้มีการสร้างสวนป่าทุกรูปแบบ 3. การขยายพื้นที่ป่าอนุรักษให้ครอบคลุมมากขึ้น 4. ป้องกันการบุกรุกทำลายป่า 5. ฟื้นฟูป่าที่เสื่อมโทรม รวมถึงอุทยานทางทะเล 6. รณรงค์การปลูกป่าโดยผ่านทางสื่อต่าง ๆ ฯลฯ

97. ข้อใดเป็นการแก้ไขปัญหาสื่งแวดล้อมได้ดีที่สุด
(1) เปลี่ยนแปลงแก้ไขพฤติกรรมมนุษย์
(2) ปรับเปลียนเทคโนโลยีให้ทันสมัย
(3) ส่งเสริมให้ภูมิปัญญาชาวบ้านมีส่วนร่วมมากขึ้น
(4) ออกพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค
ตอบ 1
การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมให้ตรงประเด็นและดีที่สุด คือ การเปลี่ยนแปลงแก้ไข พฤติกรรมซองมนุษย์ ซึ้งอาจได้ผลดีกว่าการใช้เทคโนโลยีในการแก้ปัญหา แต่ประชาชนทุกคน และทุกระดับภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เพราะเรื่องของสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่ประชาชนทุกคน ต้องช่วยกันรักษา ไมใช่บทบาทหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง

98. ข้อใดมิใช่มรดกโลกทางวัฒนธรรม
(1) แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง
(2) แหล่งโบราณคดีเวียงท่ากานต์
(3) อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย
(4) อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา
ตอบ 2
ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมในประเทศไทยไว้ 3 แหล่ง ดังนี้
1. อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาและเมืองบริวาร (Historic City of Ayutthaya) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขึ้นทะเบียนเมื่อ พ.ศ. 2534
2. อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย-ครีสัชนาลัยและเมืองบริวาร (Historic Town of Sukhorthai and Associated Historic Towns) จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดกำแพงเพชร ขึ้นทะเบียนเมื่อ พ.ศ. 2534
3. แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง (Ban Chiang Archaeological Site) จังหวัดอุดรธานี ขึ้นทะเบียนเมื่อ พ.ศ. 2535

99. การใช้ปุ๋ยชีวภาพแทนปุ๋ยเคมี จัดเป็นการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเช่นเดียวกับหลักการในข้อใด
(1) ใช้ใบตองแทนโฟม
(2) บำบัดน้ำเสีย
(3) ปลูกป่าชายเลน
(4) ปิดอุทยานเพื้อฟื้นฟูสภาพ
ตอบ 1
หลักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติแบบการใช้วัสดุหรือสิ่งอื่นทดแทนหมายถึง การนำสิ่งอื่นมาใช้ทดแทนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบางชนิด เช่น การนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ทดแทนพลังงานไฟฟ้า การนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ทดแทนน้ำมันเชื้อเพลิง ในรถยนต์, การใช้ใบตองแทนโฟม, การใช้ปุ๋ยชีวภาพ ซึ่งเป็นการนำจุลินทรีย์ที่มีชีวิตมาช่วยเพิ่มปริมาณธาตุอาหารในดินแทนการใช้ปุ๋ยเคมี เป็นต้น

100. ข้อใดมิใช่สาเหตุหลักของการเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม
(1) ขาดจิตสำนึก
(2) ขยายตัวทางการศึกษา
(3) ขยายตัวทางอุตสาหกรรม
(4) เพิ่มจำนวนประชากร
ตอบ 2
สาเหตุสำคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมก็คือ มนุษย์หรือการกระทำที่ขาดจิตสำนึกของมนุษย์ เช่น การเพิ่มจำนวนของประชากร ซึ่งนำไปสู่ปัญหา การขยายตัวของเมืองและกิจการด้านอุตสาหกรรม, การขยายตัวทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้า ด้านเทคโนโลยี, การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสิ้นเปลืองโดยไม่ถูกวิธีและไม่มีการบำรุงรักษา รวมทั้งการบริโภคที่เกินความจำเป็น ฯลฯ

101. การปฏิบัติตนในข้อใดช่วยผ่อนคลายความเครียดได้น้อยที่สุด
(1) พยายามปรับความคิดทัศนคติของผู้อื่น
(2) พยายามพิจารณาปรับปรุงแก้ไขตนเอง
(3) พยายามจัดลำดับความสำคัญของงาน
(4) เจริญสติ เจริญสมาธิเป็นประจำ
ตอบ 1
วิธีปฏิบัติเพื่อช่วยคลายเครียดในการทำงาน มีดังนี้
1. ออกกำลังกาย สมองจะได้หยุดคิดเรื่องที่เครียดชั่วคราว
2. พักผ่อนหย่อนใจด้วยการเลือกกิจกรรมที่ตรงข้ามกับงานประจำที่ทำอยู่
3. บริหารเวลา โดยพยายามจัดลำดับความสำคัญของงาน
4. แก้ปัญหาอย่างถูกวิธี โดยให้ปรับปรุงแก้ไขตนเอง เพราะย่อมง่ายกว่าที่จะไปปรับเปลี่ยนผู้อื่น
5. ฝึกบริหารจิต โดยการเจริญสติ เจริญสมาธิเป็นประจำ ฯลฯ

102. ข้อใดกล่าวถึงคุณค่าของภูมิปัญญาไทยได้ถูกต้อง
(1)ไม่ช่วยจรรโลงวิถีชีวิตชุมชน
(2)ก่อให้เกิดการสร้างอาชีพใหม่
(3) ไม่สามารถประยุกต์คำสอนทางศาสนามาใช้กับวิถีชีวิต
(4) ต่อต้านการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ

103. ข้อใดไม่ได้หมายถึงภูมิปัญญาไทยที่ก่อให้เกิดศิลปะของชาติไทย
(1) สมุนไพรไทย
(2) จิตรกรรมไทย
(3) การฟ้อนรำ
(4) ศิลปะการต่อสู้มวยไทย
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 93. ประกอบ

104. ข้อใดเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมทางด้านวรรณกรรมพื้นบ้าน
(1) โคมล้านนา
(2) ตำนานพระร่วง
(3) ละครดึกดำบรรพ์
(4) ผ้าทอไทยลื้อ
ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 94. ประกอบ

105. ข้อใดจัดเป็นกระบวนการสืบสานและถ่ายทอดภูมิปัญญาไทยอย่างเป็นทางการ
(1) ถ่ายทอดวิธีการทอผ้าภายในครอบครัว
(2) ถ่ายทอดวิธีการทอผ้าผ่านเฟสบุ๊ก
(3) ถ่ายทอดวิธีการทอผ้าทางทีวี
(4) ถ่ายทอดวิธีการทอผ้าจากโรงเรียน
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 95. ประกอบ

106. การสะเดาะเคราะห์ทางพุทธศาสตร์กับการสะเดาะเคราะห์ทางไสยศาสตร์ต่างกันอย่างไร
(1) พุทธ-แก้ปัญหา, ไสยศาสตร์-เพื่อสบายใจ
(2) พุทธ-ไม่ลงทุน, ไสยศาสตร์-ลงทุน
(3) พุทธ-ล้าสมัย, ไสยคาสตร์-ทันสมัย
(4) พุทธ-คนกลุ่มน้อย, ไสยศาสตร์-คนกลุ่มใหญ่
ตอบ 1
คำว่า “เคราะห์’’ มาจาก คฺรห แปลว่า ความยึดมั่น ถือมั่น หรือปัญหา ส่วนการสะเดาะเคราะห์ หมายถึง การทำให้ปัญหานั้นหลุดออกไป แบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้
1. แบบโหราศาสตร์ที่เจือด้วยไสยศาสตร์ (ได้ความสบายใจที่เจือด้วยอวิชชา ผ่านกรรมวิธีตาม ความเชื่อ) เช่น การไหว้พระเก้าวัด เผาฮู้ไล่โชคร้าย และบวชต่ออายุ เป็นต้น
2. แบบพุทธศาสตร์ (ได้ความสบายใจที่แท้จริง ผ่านกระบวนการของเหตุและผลตามหลักของพระพุทธศาสนา) คือ การรู้ถึงสาเหตุของปัญหาที่เกิดกับตนเองแล้วหาทางแก้ปัญหา เช่น การรู้จักระมัดระวังตัวเองมากขึ้นหลังจากเคยถูกปล้น เป็นต้น

107. หลักกาลามสูตรสามารถปรับใช้กับสังคมปัจจุบันในด้านใด
(1) รู้จักพิจารณาข้อมูลข่าวสาร
(2) ให้รู้จักการเลือกใช้สื่อ
(3) รู้จักระวังตนไม่ไว้ใจใครง่าย ๆ
(4) ให้เป็นคนเชื่อมั่นในตนเอง
ตอบ 1
หลักกาลามสูตร 10 ในพุทธศาสนา เป็นหลักการคิดที่ มีเหตุมีผลอยู่ในตัว เป็นเรื่องที่ต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรอง และมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่ทดลองได้ตรวจสอนพิสูจน์ได้ ไม่ใช่ใครมาพูดอะไรก็เชื่อทันที หรือเชื่อตาม ๆ กันมา โดยไม่วิเคราะห์เหตุผลว่าเป็นไปได้หรือไม่ ดังนั้นหลักกาลามสูตรจึงสามารถนำมาปรับใช้กับสังคมปัจจุบัน คือ การรู้จักพิจารณาข้อมูลข่าวสาร เพื่อให้เกิดป้ญญารู้เท่าทัน

108. ข้อใดถือว่าเป็นผู้มีความสันโดษตามหลักมงคลชีวิต
(1) กัลยาไม่สุงสิงกับใคร
(2) กิริณาชอบทำงานเดี่ยว ไม่ชอบงานกลุ่ม
(3) กุสุมารักเดียวใจเดียว ไม่นอกใจสามี
(4) กษมาชอบอยู่ในที่เงียบ ๆ
ตอบ 3
พระพุทธเจ้าได้แสดงมงคล 38 ประการไว้ในข้อ 24 ว่า มีความสันโดษ ซึ่งไม่ได้หมายถึง การอยู่ลำพังคนเดียว แต่หมายถึง การพอใจในสิ่งที่ตนมีลยู่ ในของของตัว เช่น พอใจในหน้าตาและคู่ครองของตนเอง ฯลฯ แบ่งออกเป็น3ลักษณะได้แก่
1. ยถาลาภสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามมีตามเกิด มีแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น
2. ยถาพลสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามกำลัง มีกำลังแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น
3. ยถาสารูปสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามควรในรูปลักษณ์ของตนเอง และฐานะที่เป็นอยู่

109. กตัญพูตามหลักมงคลชีวิตนั้น ไม่ได้สอนให้กตัญญต่อสิ่งใด
(1) คน
(2) สัตว์
(3) สถานที่
(4) สิ่งของ
ตอบ 3 (ดูคำอธิบายข้อ 65. ประกอบ) พระพุทธเจ้าได้แสดงมงคล 38 ประการ ไว้ในข้อ 25 ว่า มีความกตัญญ ได้แก่ 1. กตัญญต่อบุคคล เช่น บุตรธิดาเคารพเชื่อฟังพ่อแม่, นักเรียนเชื่อฟังคำสั่งสอนของครูอาจารย์ ฯลฯ 2. กตัญพูต่อสัตว์ เช่น ข้าง ม้า วัว ควาย ซึ่งช่วยทำงานให้เรา, สุนัขที่ช่วยเฝ้าบ้าน ฯลฯ 3. กตัญญต่อสิ่งของ ได้แก่ สิ่งของทุกอย่าง ที่มีคุณต่อเรา เช่น หนังสือที่ให้ความรู้, อุปกรณ์ทำมาหากินต่าง ๆ ฯลฯ

110. โทษของกิเลสในข้อใดให้โทษหนักและละได้ยากที่สุด
(1) ราคะ
(2) โทสะ
(3) โมหะ
(4) โลภะ
ตอบ 3
พระพุทธเจ้าได้แสดงมงคล 38 ประการไว้ในข้อ 37 ว่า มีจิตปราศจากกิเลส คือ สิ่งที่ทำให้เกิดความเศร้าหมอง ได้แก่ ความโลภ โกรธ หลง ซึ่งแบ่งประเภทของกิเลสออกเป็น
1. ราคะ (ความกำหนัดยินดี) มีโทษน้อย แต่คลายช้า
2. โทสะ (ความโกรธ) มีโทษมาก แต่คลายเร็ว
3. โมหะ (ความหลงผิด) มีโทษหนักมาก แต่คลายช้าและละได้ยากที่สุด

111. ข้อใดเป็นโทษเกิดจากการดื่มสุราเมรัย
(1) อายุสั้น
(2) ยากจน
(3) เสียสัตย์
(4) เสียสติ
ตอบ 4
พระพุทธเจ้าได้แสดงมงคล 38 ประการไว้ในข้อ 20 ว่า สำรวมจากการดื่มน้ำเมา (สุราเมรัย) ซึ่งเป็นอบายมุขที่ก่อให้เกิดโทษ ดังนี้ 1. ทำให้เสียทรัพย์ 2. ก่อการทะเลาะวิวาท 3. ทำให้เกิดโรค 4. ทำให้เสียชื่อเสียง 5. ทำให้เสียสติลืมตัว ไม่รู้จักอาย 6. ทอนกำลังปัญญา

112. สามีภรรยาจะซื่อสัตย์ต่อกัน ต้องปฏิบัติตามกัลยาณธรรมข้อใด
(1) เมตตา-กรุณา
(2) อาชีพสุจริต
(3) สำรวมในกาม
(4) กตัญญ
ตอบ 3
กัลยาณธรรม (หรือเรียกว่า เบญจกัลยาณธรรม) หมายถึง ธรรมอันดีงาม ธรรมของ กัลยาณชน เพราะกำจัดธรรมที่ไม่สะอาดอันมีราคะ โทสะ และโมหะได้ มีอยู่ 5 ประการ ได้แก่
1. เมตตา-กรุณา คือ ความรักใคร่และความสงสารคิดช่วยเหลือให้พ้นทุกข์
2. สัมมาอาชีวะ คือ การหาเลี้ยงชีพในทางสุจริต
3. กามสังวร คือ ความสำรวมในกาม ซื่อสัตย์ในสามีและภรรยาของตน
4. สัจจะ คือ ความสัตย์ ความซื่อตรง
5. สติสัมปชัญญะ คือ ระลึกได้และรู้ตัวอยู่เสมอ

113. การเคารพเชื่อฟังพ่อแม่ จัดเข้าในความมีสัตย์ข้อใด
(1) สวามิภักดิ์
(2) ซื่อตรง
(3) เที่ยงธรรม
(4) กตัญญ
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 109. ประกอบ

114. ข้อใดเป็นลักษณะของคนมีขันติธรรม
(1) ทนดื่มเหล้า
(2) ทนเล่นการพนัน
(3) ทนลำบาก
(4) ทนเล่นเกม
ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ

115. กตัญญูกตเวที เป็นหน้าที่ของใคร
(1) บิดามารดา
(2) พระมหากษัตริย์
(3) ครูอาจารย์
(4) บุตรธิดา
ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 109. ประกอบ

116. คนทั่วไปเป็นบุพการีไม่ได้ เพราะเหตุใด

(1) มักโกรธ
(2) ริษยา
(3) ไม่เสียสละ
(4) หึงหวง
ตอบ 3
สาเหตุที่คนทั่วไปเป็นบุพการีไม่ได้ คือ ไม่มีความเสียสละ เนื่องจากคนที่เสียสละ ทำเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนถือว่าเป็นบุพการี เพราะมีบุญคุณ ดังคำกล่าวที่ว่า “พ่อแม่เป็นพระพรหมของลูก” หมายถึง พ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิด เป็นผู้ประเสริฐต่อชีวิตของลูก เพราะพ่อแม่มีความรักอันบริสุทธิ์ใจ สามารถเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างได้เพื่อลูก

117. การฝึกสมาธิ เชื่อว่าปฏิบัติตามโอวาทของพระพุทธเจ้าข้อใด
(1) เว้นทุจริต
(2) ประกอบสุจริต
(3) ทำใจให้ผ่องใส
(4) เว้นอบายมุข
ตอบ 3
โอวาทปาติโมกข์ เป็นหลักธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงไว้ในวันมาฆบูชา ซึ่งถือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาที่แสดงถึงหลักการและแนวทาง ที่พุทธศาสนิกชนควรนำไปประพฤติปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ คือ การไม่ทำบาปทั้งปวง (การละเว้นความชั่ว), การทำกุศลให้ถึงพร้อม (การทำแต่ความดี) และการทำจิตของตนให้ผ่องใส (การทำจิตใจให้บริสุทธิ์)การฝึกสมาธิ หรือการคิดถึงกรรมดีแล้วสบายใจ)

118. โยนิโสมนสิการ มีความหมายตรงกับข้อใด
(1) คิดไตร่ตรอง
(2) คิดวางแผน
(3) คิดเผื่อแผ่
(4) คิดจดจำ
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 51. ประกอบ

119. ก่อการทะเลาะวิวาท ตรงกับโทษของอบายมุขใดมากที่สุด
(1) ดื่มน้ำเมา
(2) เที่ยวกลางคืน
(3) ดูการละเล่น
(4) เล่นการพนัน
ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 111. ประกอบ

120. ข้อใดตรงกับโทษของการคบคนชั่วเป็นมิตรมากที่สุด
(1) ไม่มีใครเชื่อถือ
(2) ถูกหวาดระแวง
(3) ถูกติเตียน
(4) เป็นนักเลงหัวไม้
ตอบ 4
อบายมุขหรือหนทางแห่งความเสื่อมข้อ 5 คือ พัวพันมั่วสุมมิตรชั่ว หรือคบคนชั่วเป็นมิตร ซึ่งก่อให้เกิดโทษ ดังนี้ 1. เป็นนักเลงการพนัน 2. เป็นนักเลงเจ้าชู้ 3. เป็นนักเลงเหล้า 4. เป็นคนหลอกลวงเขาด้วยของปลอม 5. เป็นคนหลอกลวงเขาซึ่งหน้า 6.เป็นนักเลงหัวไม้

 

RAM1000 ความรู้คู่คุณธรรม การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา RAM 1000 ความรู้คู่คุณธรรม

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. ข้อใดคือความหมายของจริยธรรม

(1) สภาพคุณงามความดี

(2) ความประพฤติ กิริยาที่ควรประพฤติ

(3) คุณสมบัติที่ดีของจิตใจ

(4) หลักแห่งความประพฤติ หรือแนวทางการปฏิบัติ

ตอบ 4

คําว่า “จริยธรรม” (Ethical) จะมาจากคําว่า“จริย (จรรยา) + ธรรม” ซึ่งคําว่า “จริย” หมายถึง ความประพฤติหรือกริยาที่ควรประพฤติ ส่วนคําว่า “ธรรม” มีความหมายหลายอย่าง เช่น คุณความดี หลักปฏิบัติ หลักคําสอนของศาสนา ดังนั้นเมื่อนําทั้งสองคํามารวมกันเป็น “จริยธรรม” จึงมีความหมายว่า หลักแห่งความประพฤติหรือแนวทางของการประพฤติปฏิบัติ

2. การศึกษาที่พึงมีในสังคมควรประกอบด้วยข้อใด

(1) การศึกษาเฉพาะคดีโลก

(2) การศึกษาเฉพาะคดีธรรม

(3) การศึกษาคดีโลกและคดีธรรม

(4) การศึกษาความรู้ในวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

ตอบ 3

หลักจริยธรรมของพระราชวรมุนีข้อ 2 ได้แก่ ต้องได้รับการศึกษาคือ ประชากรในสังคม จะต้องได้รับการศึกษาทั้งคดีโลกและคดีธรรม ซึ่งการศึกษาคดีโลก ก็เพื่อแก้ปัญหาปากท้อง ส่วนการศึกษาคดีธรรมก็เพื่อแก้ปัญหาทางจิตใจไม่ให้ตกต่ำและคอยประคับประคองชีวิตให้ดําเนินตามครรลองคลองธรรม

3. ข้อใดเป็นหลักคําสอนของพระพุทธศาสนา

(1) สอนให้พึ่งตนเอง

(2) สอนให้พึ่งผู้อื่น

(3) สอนให้พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์

(4) สอนให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว

ตอบ 1

หลักคําสอนของพระพุทธศาสนานั้น เป็นหลักความจริงตามธรรมชาติและมีความสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ เพราะศาสนาพุทธสอนให้เชื่อตามหลักเหตุและผลโดยใช้ปัญญาวิเคราะห์ไตร่ตรอง สอนให้รู้จักพึ่งตนเองไม่ใช่พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ยังสอนให้ลดกิเลสตัณหาของตนเองและไม่เบียดเบียนผู้อื่น เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ

4. “จน เครียด กินเหล้า แล้วไม่ทํางาน” จัดเป็นคนที่ขาดคุณธรรมในด้านใด

(1) ทรัพย์สิน

(2) ความขยันหมั่นเพียร

(3) โลภะ

(4) เมตตา

ตอบ 2 หน้า

หลักจริยธรรมของพระราชวรมุนีข้อ 7 ได้แก่ มีความขยันหมั่นเพียร คือ ประชาชนในสังคมรัฐใดมีแต่คนขยันไม่เกียจคร้าน สังคมนั้นจะไม่ลําบาก ระบบเศรษฐกิจจะดีและเจริญก้าวหน้า ทุกคนจะไม่ยากจน เหมือนดังพระพุทธพจน์ที่ว่า “ไม่มีความยากจนในหมู่ชนผู้ขยัน”

5. ผู้ใดจัดว่าเป็นคนไม่มีความสันโดษ

(1) นาย ก ตั้งใจประกอบอาชีพค้าขายให้มีรายได้และผลกําไรเพียงพอต่อการใช้จ่าย

(2) นาย ข ทํางานหนักเพื่อหาเงินไปเที่ยวต่างประเทศแบบคนอื่น ๆ

(3) นาย ค รู้สึกว่ารถยนต์ของตนเป็นรถที่ดี และสามารถใช้งานได้ตามที่ต้องการ

(4) นาย ง ตั้งใจปฏิบัติงานของตนเองให้สําเร็จตามที่ได้รับมอบหมาย

ตอบ 2 ความสันโดษ หมายถึง การพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ พอใจในสิ่งที่เรียบง่าย หรือเป็นอยู่อย่างสมถะ ดังพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า “ความสันโดษเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง” คือ ความพอใจจะทําให้เรามีความสุข หรือความสุขเกิดจากความพอใจ และความสันโดษนั้นเอง คือ ทรัพย์อันล้ำค่าของมนุษย์ ซึ่งความสันโดษแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่

1. ยถาลาภสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามมีตามเกิด มีแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น

2. ยถาพลสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามกําลัง มีกําลังแค่ไหนก็พอใจเท่านั้น

3. ยถาสารูปสันโดษ หมายถึง ความยินดีตามควรในรูปลักษณ์ของตนเอง และฐานะที่เป็นอยู่

6. ข้อใดหมายถึง “กัลยาณมิตร”

(1) ให้คําแนะนําที่ดีในการซื้อของมียี่ห้อ

(2) ให้ทําตามใจปรารถนาในเรื่องที่ต้องการ

(3) แนะนําการประพฤติที่ดี

(4) แนะนําให้ทําบุญครั้งละมาก ๆ

ตอบ 3

กัลยาณมิตร (กัลยาณมิตตตา) คือ รู้จักคบคนดีหรือคบหาบัณฑิต ซึ่งรูปแบบของกัลยาณมิตร (คนดีหรือบัณฑิต) มีดังนี้

1. ชักนําเราให้ไปในทางที่ถูกที่ควร

2. ชอบทําในสิ่งที่เป็นธุระ เช่น การทําหน้าที่ของตนให้ลุล่วง

3. ให้คําแนะนําการประพฤติที่ดีและถูกต้อง เช่น แนะนําให้ทําบุญและปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่อัตภาพ

4. รับฟังดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ถือโทษหรือโกรธเคือง ฯลฯ

7. เด็กชายหมีเป็นกะเทย ไม่มีนักเรียนชายอยากเป็นเพื่อน วันหนึ่งหมีเก็บเงินได้และนําไปให้ครูประกาศหาเจ้าของจนเจอ ครูประกาศความดีหน้าเสาธง ทุกคนยอมรับเด็กชายหมี สถานการณ์นี้ตรงกับข้อใด

(1) ทําดีได้ดี

(2) ทําชั่วได้ชั่ว

(3) พูดไปสิบไพเบี้ย นิ่งเสียตําลึงทอง

(4) คนดีผีคุ้ม

ตอบ 1

สุภาษิต “ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว” หมายถึง คนเราทําอย่างไรก็จะได้อย่างนั้นซึ่งในสมัยโบราณได้ใช้สอนคนให้กระทําแต่ความดี ละเว้นความชั่ว เพราะเมื่อเราทําดีก็จะได้ผลดี เป็นการตอบแทน ดังสุภาษิตท่อนแรก “ทําดีได้ดี” แต่ในทางกลับกันถ้าเราทําแต่ความชั่วก็จะได้สิ่งที่ไม่ดีเป็นการตอบแทน ดังสุภาษิตท่อนหลัง “ทําชั่วได้ชั่ว”

8. คุณธรรมสําหรับครู ตรงกับข้อใด

(1) เป็นแบบอย่างที่ดีในเวลางาน

(2) มีพฤติกรรมที่ดี เป็นที่ยอมรับของสังคม

(3) ต้องการให้นักเรียนสอบผ่านทุกคน

(4) ยอมรับทุกสิ่งที่ผู้ปกครองต้องการ

ตอบ 2

คุณธรรมสําหรับครู คือ คุณงามความดีของบุคคลที่เป็นครู ซึ่งได้กระทําไปด้วยความสํานึกในจิตใจ โดยมีเป้าหมายว่าเป็นการกระทําความดี หรือเป็นพฤติกรรมที่ดี เป็นที่ยอมรับของสังคม เช่น ครูที่รักเด็กและรักเพื่อนมนุษย์ มีความเสียสละ มีน้ำใจงาม มีความเกรงใจ มีความยุติธรรม มีความเห็นอกเห็นใจลูกศิษย์ และมีมารยาทที่งดงาม ก็จะถือว่าเป็นครูที่มีคุณธรรมทั้งสิ้น

9. ข้อใดไม่ใช่ศาสนกิจของผู้นับถือศาสนาอิสลาม

(1) กล่าวปฏิญาณตน

(2) การบริจาคทรัพย์ตามศาสนบัญญัติ

(3) การนมัสการ 5 เวลา

(4) เว้นบริโภคเนื้อสัตว์ในเดือนรอมดอน

ตอบ 4

ศาสนาอิสลามนับถืออัลเลาะห์เป็นพระเจ้า โดยมีศาสดาผู้เผยแผ่หลักศาสนาของอิสลามพระองค์สุดท้าย คือ นบีมูฮัมหมัด ซึ่งผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามจะเรียกว่า มุสลิมหรืออิสลามิกชน มีหน้าที่ต้องปฏิบัติศาสนกิจตามมุขยบัญญัติ 5 ประการ ได้แก่ 1. การกล่าวคําปฏิญาณตน 2. การนมัสการ (ละหมาด) 5 เวลา คือ เช้า บ่าย เย็น ค่ำ และกลางคืน 3. การบริจาคทรัพย์ตามศาสนบัญญัติ 4. การถือศีลอดในเดือนรอมดอน 5. การประกอบพิธีฮัจญ์ หรือการไปจาริกแสวงบุญที่เมืองมักกะห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย

10. ข้อใดไม่ใช่พระบัญญัติ 10 ประการในศาสนาคริสต์

(1) อย่าลักทรัพย์

(2) อย่าฆ่าคน

(3) อย่าลืมสวดมนต์

(4) ให้ความนับถือบิดามารดา

ตอบ 3

พระบัญญัติ 10 ประการในศาสนาคริสต์ มีดังนี้
1. อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา 2. อย่าทํารูปเคารพสําหรับตน 3. อย่าออกพระนามของพระเจ้าอย่างไม่สมควร 4. จงระลึกถึงวันสะบาโต 5. จงนับถือให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า 6. อย่าฆ่าคน 7. อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา 8. อย่าลักทรัพย์ 9. อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายเพื่อนบ้าน 10. อย่าโลภครัวเรือนของเพื่อนบ้าน

11. วันเข้าพรรษาเกิดขึ้นเพราะวัตถุประสงค์ในข้อใด

(1) ต้องการให้พระสงฆ์พักผ่อน

(2) เป็นช่วงเวลาให้พระสงฆ์แสดงธรรมต่อศาสนิกชน

(3) ไม่ต้องการให้เบียดเบียนผู้อื่น

(4) เพื่อให้พระสงฆ์ปฏิบัติศาสนกิจอย่างเคร่งครัด

ตอบ 3

วันเข้าพรรษา เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ํา เดือน 8 ถึงวันขึ้น 15 ค่ํา เดือน 11 รวม 3 เดือน เป็นวันสําคัญในพุทธศาสนาที่พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจํา ณ วัดใดวัดหนึ่ง ตลอดฤดูฝน เพื่อมิให้พระภิกษุสงฆ์สัญจรไปมาจนไปเหยียบข้าวกล้าเสียหาย ทําให้ สัตว์เล็กน้อยตาย อันเป็นการเบียดเบียนผู้อื่นให้ได้รับความเดือดร้อน ซึ่งกิจกรรมที่พุทธศาสนิกชนพึงปฏิบัติในวันเข้าพรรษา มีดังนี้ 1. นําดอกไม้ ธูปเทียน พุ่มต้นไม้ เทียนพรรษาขนาดใหญ่ และเครื่องใช้ของพระสงฆ์ไปถวายที่วัด 2. ทําบุญตักบาตร ฟังพระธรรมเทศนา และรักษาอุโบสถศีล 3. งดเว้นอบายมุขต่าง ๆ และเว้นการเลี้ยงฉลองรื่นเริงที่มีแอลกอฮอล์ ฯลฯ

12. การพัฒนาตนเองโดยรู้จักพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ด้วยปัญญาของตนจนพบคําตอบ ตรงกับหลักในข้อใด

(1) โยนิโสมนสิการ

(2) ทิฐิสัมปทา

(3) อัตตสัมปทา

(4) ฉันทสัมปทา

ตอบ 1

หลักการพัฒนาตนเองประการแรก ได้แก่ โยนิโสมนสิการ คือ การคิดเป็นรู้จักคิดพิจารณาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงด้วยปัญญาของตนจนพบคําตอบ ทําให้เกิดปัญญาที่เข้าถึงความจริงได้ประโยชน์ สนองความใฝ่รู้และใฝ่สร้างสรรค์โดยสมบูรณ์

13. “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” จากข้อความดังกล่าวข้อใดถูกต้องที่สุดในหลักสัปปุริสธรรม 7

(1) อัตถัญญุตา

(2) มัตตัญญุตา

(3) ปริสัญญุตา

(4) ปุคคลัญญุตา

ตอบ 3

ตามหลักคุณธรรมของสัปปุริสธรรม 7 นั้น การรู้จักชุมชน (ปริสัญญตา) คือ การรู้จักถิ่น รู้จักสังคมหรือชุมชนที่ตนอยู่ รู้ว่าเมื่อตนอยู่ในสังคมหรือชุมชนนั้นๆ เขามีระเบียบ ปฏิบัติหรือประเพณีวัฒนธรรมอย่างไร เมื่อเราจะเข้าร่วมในชุมชนหรือสังคมนั้น เราก็ต้องทําความเข้าใจวิถีชีวิต ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมปฏิบัติต่าง ๆ และประเพณีวัฒนธรรมของ ชุมชน เพื่อให้ประพฤติหรือปฏิบัติตนให้เข้ากับบุคคลและอยู่ในสังคมนั้นได้อย่างมีความสุขดังสํานวนไทยที่ว่า “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม” นั่นเอง

14. บริหารจัดการสูงกว่า 20 ล้านบาทนั้น นักศึกษาคิดว่าคนในสังคมมุ่งเน้นในการตรวจสอบรัฐบาลในเรื่องใด

(1) หลักจริยธรรมองค์กร

(2) หลักการบริหารสมัยใหม่

(3) หลักการบริหารงานคุณภาพ

(4) หลักธรรมาภิบาล

ตอบ 4

หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) หรืออาจเรียกได้ว่าการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี หลักธรรมรัฐ และบรรษัทภิบาล ฯลฯ หมายถึง การปกครอง ที่เป็นธรรม ซึ่งมีองค์ประกอบสําคัญ 6 ประการ ได้แก่
1. หลักนิติธรรม 2. หลักคุณธรรม 3. หลักความโปร่งใส สามารถตรวจสอบความถูกต้องได้ 4. หลักความมีส่วนร่วม 5. หลักความรับผิดชอบ 6. หลักความคุ้มค่า

15. “นายหมีซื้อน้ำมันพรายจากอินเทอร์เน็ตเพราะมีความเชื่อว่าจะทําให้ผู้หญิงที่ตนชอบหันมาสนใจ และ
อยู่กับตนในที่สุด” จากข้อความดังกล่าวแสดงว่านายหมียังมีสิ่งใดอยู่มาก

(1) โมหะ

(2) อวิชชา

(3) อบายมุข

(4) โยนิโสมนสิการ

ตอบ 1

ความหลงผิด (โมหะ) คือ ความขาดปัญญาในลักษณะต่าง ๆ จนถึงการถือเอาความผิดด้วยความเข้าใจผิดและความงุนงง ไม่พบทางออกเหมือนอย่างคนหลงทาง ซึ่งคนเราหากเผลอสติ เผลอปัญญาเมื่อใด ความหลงก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น และคนที่ถูกหลอกลวงได้ก็เพราะไปเชื่อในคําหลอกลวง เรียกว่าเป็นคนหลงอย่างหนึ่ง นั่นคือ หลงเชื่อ
ในสิ่งที่หลอกลวง ดังนั้นจึงไม่ควรด่วนเชื่อใคร หรือแม้แต่ใจตนเองทันที

16. ผู้ร้ายที่ขาดสติก่อเหตุข่มขืนพยาบาลสาวตามที่ตกเป็นข่าวนั้น แสดงว่าผู้ข่มขืนขาดวุฒิภาวะด้านใด

(1) IQ

(2) CQ

(3) EQ

(4) MQ

ตอบ 4

MQ (Morality Quotient) คือ ความฉลาดหรือวุฒิภาวะทางด้านคุณธรรม จริยธรรม และศีลธรรมของบุคคล ซึ่งเป็นความสามารถในการควบคุมตนเอง มีความโปร่งใส ยุติธรรม ซื่อสัตย์สุจริต มีความกตัญญู เป็นคนดี มีระเบียบวินัย มีสํานึกผิดชอบชั่วดี เคารพนับถือผู้อื่น ตลอดจนมีความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองต่อสังคม และต่อมนุษยชาติ

17. “จุดมุ่งหมายและความฝันมีไว้ให้ชน” จากข้อความดังกล่าวตรงกับหลักธรรมข้อใด

(1) ทุกข์

(2) สมุทัย

(3) นิโรธ

(4) มรรค

ตอบ 2

สมุทัย (ธรรมที่ควรละ) คือ สาเหตุของปัญหาหรือบ่อเกิดแห่งทุกข์ ได้แก่ ตัณหา หรือความดิ้นรนทะยานอยากของจิตใจมนุษย์ที่อยากจะได้ใน กาม (กามตัณหา) อยากจะเป็นอะไรต่าง ๆ ตามที่ใฝ่ฝันไว้ (ภวตัณหา) และอยากที่จะไม่เป็น ในภาวะที่ไม่ชอบต่าง ๆ (วิภวตัณหา) โดยสิ่งที่ควรละเลิกหรือละทิ้งเพื่อไม่ให้เกิดทุกข์ มีดังนี้ 1. หลักกรรม (วิบัติ 4 หรือความบกพร่อง) 2. อกุศลกรรมบถ 10 หรือกรรมชั่วอันเกิดจาก โลภะ โทสะ และโมหะ 3. อบายมุข 6 หรือทางแห่งความเสื่อม

18. การที่ข้าราชการไม่ทุจริตคอร์รัปชั่น แสดงให้เห็นว่ามีการพัฒนาตนในด้านใดตามหลักไตรสิกขา

(1) ศีล

(2) ปัญญา

(3) สมาธิ

(4) จริยธรรม

ตอบ 1

หลักไตรสิกขา เป็นหลักการสําคัญของการพัฒนามนุษย์ทําให้บุคคลพัฒนาอย่างมีบูรณาการและเป็นองค์รวมที่มีคุณภาพ ประกอบด้วย 1. ศีล คือ การควบคุมกายและวาจาให้เรียบร้อยเป็นปกติสุข หรือข้อละเว้นการทําชั่วทั้งปวง หรือกฎระเบียบวินัยที่กําหนดให้ยึดถือปฏิบัติเพื่อความเป็นระเบียบและความงามแห่งหมู่คณะ 2. สมาธิ คือ การทําจิตใจให้สงบตั้งมั่น แน่วแน่ในสิ่งที่กระทํา 3. ปัญญา คือ ความรอบรู้ การรู้แจ้งเห็นจริง รู้ถึงสภาวะความจริงแท้ของสิ่งต่าง ๆ

19. การมีจิตคิดดี ไม่ริษยา ยินดีเมื่อเห็นเพื่อนร่วมงานได้เลื่อนตําแหน่งที่สูงขึ้น ถือว่ามีหลักธรรมข้อใด

(1) เมตตา

(2) กรุณา

(3) มุทิตา

(4) อุเบกขา

ตอบ 3

พรหมวิหาร 4 แปลว่า ธรรมสําหรับเป็นที่อาศัยของจิตใจที่ดี หรือธรรมของผู้มีจิตใจประเสริฐ มีจิตใจกว้างขวาง ซึ่งเป็นคุณธรรม ที่สร้างสวรรค์ให้เกิดขึ้นบนดิน จึงเหมาะสําหรับผู้นํา ผู้บริหาร หรือหัวหน้างานที่ปกครอง ผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อครองใจคนอื่นหรือบริหารคนให้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ดังนี้ 1. เมตตา คือ ความรักใคร่ ความหวังดี ปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข ดังนั้นเมตตาจึงเป็นเครื่องปลูกอัธยาศัยเอื้ออารี ทําให้มีความหนักแน่นในอารมณ์ ไม่โกรธแม้จะถูกด่าว่าเสียหาย 2. กรุณา คือ ความสงสารเห็นใจ ปรารถนาที่จะช่วยเหลือให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ 3. มุทิตา คือ ความมีมุทิตาจิต ซึ่งต้องมีพื้นฐานมาจากจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องใส รู้สึกปลาบปลื้มใจ เบิกบาน พลอยชื่นชมยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดีมีสุข ไม่คิดอิจฉาริษยาในความดีของผู้อื่น 4. อุเบกขา คือ ความรู้จักวางเฉย มีใจเป็นกลาง ปราศจากอคติในการตัดสิน ไม่เอนเอียงด้วยรักและชัง โดยพิจารณาเห็นกรรมที่ได้กระทําว่าควรได้รับผลดีหรือชั่ว

20. การได้มาซึ่งตําแหน่งหัวหน้าโดยการทําร้าย ทําลาย กล่าวร้ายหัวหน้าคนเก่านั้น แสดงว่าผู้ที่กระทํา
พฤติกรรมดังกล่าวมีจิตใจเป็นเช่นไร

(1) อิจฉา

(2) ริษยา

(3) ทะเยอทะยาน

(4) อกตัญญู

ตอบ 4

อกตัญญู แปลว่า ผู้ที่ไม่รู้สึกถึงบุญคุณที่ผู้อื่นทําแก่ตน หรือผู้ไม่มีความกตัญญู โดยจะมีลักษณะลบหลู่บุญคุณหรือเนรคุณ ทรยศ หักหลัง ไม่ปรารถนาที่จะตอบแทนความดีของใคร ชอบลืมเรื่องที่เขาเคยทําเคยช่วยเหลือตน แต่ก็ไม่มีความรู้สึกอิ่มที่จะรับจากคนอื่น หากยังมีช่องทางจะได้จากเขาอีกก็จะพอใจ แต่ถ้าเห็นว่าหมดโอกาสแล้วก็จะตีจากไปทันที หรือไม่ก็แสดงกิริยาพูดจาให้ร้ายต่าง ๆ

21. ข้อใดไม่ใช่หลักธรรมคําสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันมาฆบูชา “โอวาทปาติโมกข์”

(1) การไม่ทําบาปทั้งปวง

(2) การไม่ให้ทาน

(3) การทําจิตให้ผ่องใส

(4) การทํากุศลให้ถึงพร้อม

ตอบ 2

โอวาทปาติโมกข์ เป็นหลักธรรมคําสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้ในวันมาฆบูชา ซึ่งถือเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาที่แสดงถึงหลักการและแนวทางที่พุทธศาสนิกชนควรนําไปประพฤติปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ คือ การไม่ทําบาปทั้งปวง (การละเว้นความชั่ว), การทํากุศลให้ถึงพร้อม (การทําแต่ความดี) และการทําจิตของตนให้ผ่องใส (การทําจิตใจให้บริสุทธิ์ หรือคิดถึงกรรมดีแล้วสบายใจ)

22. ตามหลักคําสอนของพระพุทธศาสนา ผู้ที่มี “ศรัทธา” ควรมีสิ่งใดควบคู่ไปด้วยเพื่อให้ไม่หลงทาง

(1) ปัญญา

(2) ความหลง

(3) ความเพียร

(4) ความเป็นกลาง

ตอบ 1

ศรัทธา (สัทธา) หมายถึง ความเชื่อที่ถูกต้อง หรือสิ่งที่ควรเชื่อ ซึ่งต้องอาศัยปัญญาควบคู่ไปด้วย เพื่อเป็นตัวกํากับความเชื่อที่ถูกต้อง ไม่ให้หลงทาง หรือเกิดความหลงงมงายจนถูกผู้อื่นหลอกลวงได้ง่าย เช่น ความเชื่อที่ถูกต้องว่าบุญมีจริง บาปมีจริง, ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว, คุณของบิดามารดามีจริง คุณของครูอาจารย์มีจริง ตลอดจนความเชื่อมั่น
ในคุณของพระรัตนตรัย (พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์) ความเชื่อมั่นในกฎแห่งกรรม เป็นต้น

23. การเรียนรู้ด้วยการนําตนเองเหมาะสมกับข้อใดในยุคปัจจุบัน

(1) มีความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาตนเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี

(2) มีความรับผิดชอบต่อการปฏิบัติของผู้อื่น

(3) สามารถปรับปรุงและโน้มน้าวผู้อื่นได้

(4) นําไปใช้สร้างฐานะให้กับตนเองได้

ตอบ 1

ลักษณะของการเรียนรู้ด้วยการนําตนเอง มีอยู่ 8 ประการ คือ
1. การเปิดโอกาสต่อการเรียนรู้ 2. มโนคติของตนเองในด้านการเป็นผู้เรียน ที่มีประสิทธิภาพ 3. มีความคิดริเริ่มและเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง 4. มีความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตน 5. มีความรักในการเรียน 6. มีความคิดสร้างสรรค์ พัฒนาตนเองให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี 7. มองอนาคตในแง่ดี 8. สามารถใช้ทักษะในการศึกษาหาความรู้และทักษะในการแก้ปัญหาด้วยตนเอง

24. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับ “โลกียธรรม”

(1) พรหมวิหาร 4

(2) ธรรมที่เป็นประโยชน์ในการดํารงอยู่ในสังคม

(3) สังสารวัฏ

(4) ชีวิตหลังความตาย

ตอบ 4

โลกียธรรม เป็นธรรมที่เป็นประโยชน์ในการดํารงอยู่ในสังคม ทําให้บุคคลมีประสิทธิภาพ เป็นคนดีและมีความสุข ประเทศชาติมีความมั่นคง แข็งแรง อยู่ด้วยกัน อย่างเอื้ออาทรและสมัครสมานสามัคคี ได้แก่

ศีลสัมปทา

ฉันทสัมปทา

อัตตสัมปทา

ทิฐิสัมปทา

โยนิโสมนสิการสัมปทา

อัปปามาทสัมปทา

สังสารวัฏ

อิทธิบาท 4

พรหมวิหาร 4

สังคหวัตถุ 4

กัลยาณมิตร 7

อปริหานิยธรรม 7

ฆราวาสธรรม 4

อธิษฐาน 4

สัปปุริสธรรม 7

สุจริต 3

และทศพิธราชธรรม 10

25. ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของการมีสุจริต 3

(1) พ้นจากความเดือดร้อน

(2) มีทรัพย์สินมากมาย

(3) มีความสุขทางโลก

(4) มีความสุขทางธรรม

ตอบ 2

คําว่า “สุจริต” แปลว่า การประพฤติดีงาม และมีความประพฤติดีประพฤติชอบ 3 ประการ ได้แก่ กายสุจริต (ประพฤติชอบ) วจีสุจริต (วาจาชอบ) และมโนสุจริต (ดําริชอบ) ซึ่งประโยชน์ของการมีสุจริต 3 มีดังนี้ 1. พ้นจากความเดือดร้อน 2. มีแต่คนสรรเสริญ 3. มีความสุขทางโลก 4. มีความสุขทางธรรม

26. ข้อใดไม่ใช่คุณธรรมของคํากล่าวที่ว่า “ไม่มีความยากจนในหมู่ชนผู้ขยัน”

(1) ความขยันหมั่นเพียร

(2) ความเมตตา

(3) ความมุ่งมั่นในการทํางาน

(4) สัมมาอาชีวะ

ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ)

คุณธรรมของคํากล่าวข้างต้นตรงกับเรื่องความขยันหมั่นเพียรมากที่สุด รองลงมาคือ ความมีจิตมุ่งมั่นในการทํางาน (จิตตะ) และ การหาเลี้ยงชีพในทางสุจริต (สัมมาอาชีวะ)

27. ความรู้จริยธรรม หมายถึงข้อใด

(1) ความรู้เกี่ยวกับสังคม บอกได้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี

(2) การแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ต่อสังคม

(3) สอนให้พึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์

(4) สอนให้อยู่อย่างโดดเดี่ยว

ตอบ 1

คําว่า “หลักคุณธรรมจริยธรรม” หมายถึงหลักความประพฤติที่ถูกต้อง ดีงาม และเหมาะสม โดยความรู้ในเชิงคุณธรรมจริยธรรมจะต้องเป็นความรู้เกี่ยวกับสังคมที่สะท้อนถึงการกระทําใดดี การกระทําใดไม่ดี สิ่งใดควรประพฤติ
สิ่งใดควรงดเว้นประพฤติ และประพฤติปฏิบัติไปในทางที่ถูกที่ควรให้เป็นปกติวิสัย

28. ทุกข้อคือความหมายของจริยธรรม ยกเว้นข้อใด

(1) ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ

(2) การประพฤติที่ดีต่อสังคม

(3) กฎศีลธรรม

(4) ข้อห้ามที่ควรกระทําให้ถูกต้อง

ตอบ 4

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ให้ความหมายของจริยธรรมว่า คือ ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ ศีลธรรม กฎศีลธรรม หรือคุณความดีที่พึงยึดเป็นข้อประพฤติปฏิบัติที่ดีต่อสังคม

29. ผู้ที่ทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีคุณธรรมตรงกับด้านใดมากที่สุด

(1) สังคหวัตถุ 4

(2) อริยสัจ 4

(3) มรรค

(4) อิทธิบาท 4

ตอบ 4

อิทธิบาท 4 คือ หลักคุณธรรมที่เป็นพื้นฐานสําคัญให้ผู้ประพฤติปฏิบัติประสบความสําเร็จตามเป้าหมายทั้งในการครองชีวิต การศึกษา และหน้าที่ การทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย 1. ฉันทะ (มีใจรัก) คือ รักในงานที่ตนทํา พอใจจะทํางานด้วยใจรัก 2. วิริยะ (มีความเพียร) คือ สู้งาน มีความวิริยะอุตสาหะ ขยันหมั่นกระทําด้วยความเพียรพยายามในทางที่ชอบธรรม เช่น เพียรพยายามทําความดี เพียรพยายามเอาชนะอุปสรรค และเพียรทําถูกต้องตามทํานองคลองธรรม 3. จิตตะ (มีความฝักใฝ่) คือ ใส่ใจงาน เอาใจใส่ในสิ่งที่ทําด้วยความอุทิศตัวและใจ 4. วิมังสา (ใช้ปัญญาสอบสวน) คือ ทํางานด้วยปัญญา หมั่นตริตรองพิจารณาหาเหตุผลก่อนกระทํา ตรวจสอบข้อบกพร่อง รู้จักทดลอง วางแผน วัดผล คิดค้นวิธีแก้ไขปรับปรุง

30. กิจกรรมใดเป็นกิจกรรมที่พุทธศาสนิกชนไม่ควรปฏิบัติในวัน “เข้าพรรษา”

(1) ถวายเทียนพรรษา

(2) งดเว้นอบายมุขต่าง ๆ

(3) ทําบุญตักบาตร และเลี้ยงฉลองใหญ่

(4) ฟังธรรมเทศนา และรักษาอุโบสถศีล

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

31. การ “เกิด แก่ เจ็บ ตาย” ไม่มีความเกี่ยวข้องกับข้อใด

(1) สัจธรรม

(2) ฉันทะ

(3) สมุทัย

(4) สังขาร

ตอบ 2

การ “เกิด แก่ เจ็บ ตาย” ซึ่งเป็นธรรมดาของชีวิตที่ทุกคนต้องประสบพบเจอ จะเกี่ยวข้องกับหลักธรรมทางศาสนาพุทธ ดังนี้ 1. สัจธรรม คือ ความจริงแท้ของชีวิต หรือความจริงตามธรรมชาติ 2. สมุทัย คือ สาเหตุของปัญหา หรือสาเหตุที่ทําให้เกิด แก่ เจ็บ ตาย 3. สังขาร คือ ร่างกาย ตัวตน สิ่งที่ประกอบและปรุงแต่งขึ้นเป็นร่างกายและจิตใจรวมกัน

32. ผู้ที่ขายยาบ้า เพราะมีข้อใดเป็นมูล

(1) โลภะ

(2) โทสะ

(3) โมหะ

(4) ราคะ

ตอบ 1

อกุศลมูล หมายถึง รากเหง้าหรือเหตุแห่งความชั่ว มีอยู่ 3 ประการ ดังนี้
1. โลภะ (ความอยากได้) คือ ความเป็นผู้มีความต้องการ ทะยานอยากได้ของที่ไม่ใช่ของตนซึ่งคนที่โลภมากอาจทําทุกอย่างไม่ว่าถูกหรือผิดเพื่อตอบสนองความอยากของตนเอง 2. โทสะ (การคิดประทุษร้าย) คือ ความโกรธหรือไม่พอใจอย่างแรง ผูกพยาบาท คิดร้ายต่อผู้อื่น 3. โมหะ (ความหลง) คือ ความประมาท ความหลง ความสงสัย ความโง่งมงาย มัวเมาในอบายมุข อันเป็นสาเหตุให้เกิดความชั่วทั้งปวง

33. ข้อใดไม่ใช่ความคาดหวังของผู้ว่าจ้างที่มีต่อพนักงาน

(1) มีบุคลิกภาพและมนุษยสัมพันธ์ดี

(2) มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง ไม่ฟังใคร

(3) มีความกระตือรือร้นและไม่เลือกงาน

(4) มีวินัยเคร่งครัดต่อกฎระเบียบองค์กร

ตอบ 2

ผู้ว่าจ้างมีความคาดหวังให้พนักงานของตนมีคุณสมบัติ ดังนี้
1. มีบุคลิกภาพและมนุษยสัมพันธ์ดี 2. มีความกระตือรือร้นและไม่เลือกงาน 3. มีวินัยเคร่งครัดต่อกฎระเบียบขององค์กร 4. มีความอ่อนน้อมถ่อมตน รู้จักรับฟังคําสั่งสอนของผู้อื่น ไม่หยิ่งยโสอวดดี ฯลฯ

34. ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่ทําให้เกิดการพัฒนาบุคลิกภายนอก

(1) การเลือกสรรเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย

(2) อิริยาบถที่สุภาพสง่างามในการยืน เดิน

(3) มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง มุทะลุ วู่วาม

(4) การดูแลและบํารุงรักษาผิวหน้าอย่างถูกวิธี

ตอบ 3

การพัฒนาบุคลิกภาพแบ่งออกเป็น 2 ประการ ดังนี้
1. การพัฒนาบุคลิกภายนอก เป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัด ได้แก่ การเลือกสรรเสื้อผ้าและ เครื่องแต่งกาย การมีอิริยาบถที่สุภาพสง่างามในการยืน เดิน การดูแลและบํารุงรักษาผิวหน้าอย่างถูกวิธี ฯลฯ 2. การพัฒนาบุคลิกภายใน เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น จึงต้องใช้เวลาในการพัฒนา ได้แก่ การฝึกเป็นคนใจเย็น ไม่ใจร้อน มุทะลุ รู่วาม, การฝึกให้มีความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ต้องไม่เชื่อมั่นสูงเกินไปจนไม่ฟังใครหรือยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง ฯลฯ

35. ข้อใดกล่าวถึงความหมายของ “คุณธรรม” ได้ครอบคลุมมากที่สุด

(1) ความถูกต้องเหมาะสม

(2) หลักความประพฤติที่ดีงาม

(3) คุณค่าทางสังคม

(4) การยอมรับนับถือ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 27. ประกอบ

36. กรอบแนวคิดของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสอดคล้องกับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด

(1) การชี้แนะแนวทางการดํารงชีวิต

(2) ปฏิบัติตนในแนวทางที่ตนเองต้องการ

(3) การวางตนที่เหมาะสม

(4) การยกระดับตนให้สูงขึ้น

ตอบ 1

กรอบแนวคิดของหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่ชี้แนะแนวทางในการดํารงชีวิตและการปฏิบัติตนในทางที่ควรจะเป็น โดยมีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย ซึ่งสามารถนํามาประยุกต์ใช้ได้ตลอดเวลา และเป็นการมองโลกในเชิงระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด โดยมุ่งเน้นให้รอดพ้นจากภัยและวิกฤติ เพื่อความมั่นคงและความยั่งยืนของการพัฒนา

37. หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมีพื้นฐานมาจากคําตอบในข้อใดต่อไปนี้

(1) ความเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย

(2) การปรับตัวของสังคมไทย

(3) วิถีชีวิตดั้งเดิมของสังคมไทย

(4) วิถีชีวิตยุคใหม่ของสังคมไทย

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 36. ประกอบ

38. “ความพอประมาณ” มีความหมายตรงกับข้อใดต่อไปนี้

(1) แดงยึดทางสายกลางเป็นสําคัญ

(2) ดําทําในสิ่งที่ตนพึงปรารถนา

(3) ขาวจัดหาสิ่งของดี ๆ ที่มีคุณค่า

(4) เขียวเลือกในสิ่งที่ตนพึงพอใจ

ตอบ 1

ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่มากและไม่น้อยเกินไปพอควรแก่อัตภาพโดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ซึ่งสอดคล้องกับหลักพุทธศาสนา คือ มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ

39. ข้อใดต่อไปนี้เป็นเงื่อนไขของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

(1) พอประมาณ

(2) คุณธรรม

(3) ภูมิคุ้มกัน

(4) มีเหตุผล

ตอบ 2

การตัดสินใจและการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียง ต้องอาศัยเงื่อนไขที่สําคัญของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเป็นพื้นฐาน ดังนี้ 1. เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนําความรู้เหล่านั้น มาพิจารณาให้เชื่อมโยงกันเพื่อประกอบการวางแผน และความระมัดระวังในขั้นตอนการปฏิบัติ 2. เงื่อนไขคุณธรรม ประกอบด้วย มีความตระหนักในคุณธรรม ซื่อสัตย์สุจริต อดทน พากเพียร
มีสติและปัญญาในการดําเนินชีวิต ไม่โลภ ไม่ตระหนี่

40. เงื่อนไขด้านคุณธรรมตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ประกอบด้วยส่วนใดต่อไปนี้มากที่สุด

(1) เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

(2) ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

(3) ซื่อสัตย์สุจริต อดทน พากเพียร มีสติและปัญญา

(4) รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ และรู้กาล

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

41. ข้อใดกล่าวถึงประโยชน์ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงครอบคลุมมากที่สุด

(1) พึ่งพาตนเองได้

(2) ความสมดุลด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

(3) ความมั่นคงปลอดภัย

(4) การอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุข

ตอบ 2

ประโยชน์ของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ครอบคลุมมากที่สุด คือ ความสมดุลด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาที่สมดุล และยั่งยืน พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี

42. ความรู้อันเกิดจากการทดลองปฏิบัติ เป็นความรู้ที่มาจากส่วนใดต่อไปนี้

(1) ตํารา

(2) ประสบการณ์

(3) คําบอกเล่า

(4) การคิดไตร่ตรอง

ตอบ 2

ความรู้มีบ่อเกิดหรือที่มา ดังนี้ 1. ประสบการณ์ คือ ความรู้อันเกิดจากการทดลองและการฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ หรือความรู้ที่ได้จากการสรุปบทเรียน 2. คําบอกเล่า คือ ความรู้อันเกิดจากการแลกเปลี่ยนความรู้ 3. ตํารา เอกสาร หรือคู่มือ คือ ความรู้อันเกิดจากนักวิชาการในสาขาต่าง ๆ 4. การคิดไตร่ตรองจากที่มาของความรู้ 3 ข้อข้างต้น

43. ข้อใดไม่ใช่ที่มาของปัญญาตามหลักปัญญา 3

(1) การฟัง

(2) การคิด

(3) การกระทํา

(4) การเจริญภาวนา

ตอบ 3

ปัญญา แปลว่า ความรอบรู้ ซึ่งจะเกิดประกอบกับจิต โดยที่มาหรือบ่อเกิดของหลักปัญญาในทางพุทธศาสนา มีอยู่ 3 ระดับ ได้แก่ 1. สุตมยปัญญา คือ ปัญญาความรอบรู้ที่เกิดจากการฟัง หรือศึกษาเล่าเรียนจากการอ่าน 2. จินตมยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการคิดไตร่ตรอง คิดใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบคอบ 3. ภาวนามยปัญญา คือ ปัญญาที่เกิดจากการเจริญภาวนา หรือลงมือฝึกปฏิบัติอบรมจิต

44. ความรู้ที่อยู่ในรูปของตํารา เอกสาร คู่มือ จัดเป็นความรู้ประเภทใด

(1) ความรู้ชัดแจ้ง

(2) ความรู้ฝังลึก

(3) ความรู้นามธรรม

(4) ความรู้รูปธรรม

ตอบ 1

ความรู้แบ่งออกได้ 2 ประเภท ดังนี้
1. ความรู้ฝังลึก หรือความรู้ที่ซ่อนเร้นไม่เปิดเผย (Tacit Knowledge) คือ ความรู้ที่ฝังลึกอยู่ในตัวคนหรืออยู่ในสมองของคน โดยเชื่อมโยงกับประสบการณ์ของบุคคลที่สั่งสมมาอย่างยาวนาน จึงเป็นความรู้ติดตัวที่เรียนรู้จากการสั่งสมประสบการณ์การทํางานต่าง ๆ รวมทั้งความเชื่อ ค่านิยม ซึ่งจะไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ทั้งหมด 2. ความรู้ชัดแจ้ง หรือความรู้ที่เปิดเผย (Explicit Knowledge) คือ ความรู้ชัดแจ้งที่สามารถสัมผัสหรือจับต้องได้ ซึ่งจะอยู่ในรูปของตํารา/หนังสือ เอกสาร วารสาร คู่มือ กฎระเบียบรวมทั้งสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น วีซีดี คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และฐานข้อมูล

45. ลักษณะของความรู้ที่สําคัญ ตรงกับข้อใดต่อไปนี้

(1) ความรู้ทั่วไป

(2) ความรู้เฉพาะทาง

(3) ความรู้ที่เป็นสัจจะ

(4) ความรู้ใหม่ ๆ

ตอบ 3

คุณลักษณะของความรู้ที่สําคัญที่สุด คือ ความรู้ที่เป็นสัจจะ หมายถึง ความรู้ในสิ่งที่ควรรู้ โดยมนุษย์จะแสวงหาสัจจะจาก 2 ส่วน ได้แก่ 1. ความรู้ที่เป็นสัจจะโลก คือ การแสวงหาความรู้ตามศาสตร์สาขาวิชาหรือตามสรรพวิชาต่าง ๆ 2. ความรู้ที่เป็นสัจจะธรรม คือ การแสวงหาความรู้ตามหลักความเชื่อของแต่ละลัทธิศาสนา ซึ่งมีเป้าหมายสูงสุดในการแสวงหาความรู้เพื่อทําให้เกิดความสงบสุข

46. เป้าหมายสูงสุดในการแสวงหาความรู้ตามหลักความเชื่อ ตรงกับข้อใดต่อไปนี้

(1) ทําให้เข้าใจตนเอง

(2) ทําให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ

(3) ทําให้เกิดความสงบสุข

(4) ทําให้เกิดการยอมรับทางสังคม

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 45. ประกอบ

47. ความรู้ที่มีลักษณะเป็นสัจจะ ตรงกับข้อใดต่อไปนี้

(1) รู้ในเรื่องทั่ว ๆ ไป

(2) รู้ในสิ่งที่ควรรู้

(3) รู้ในทุก ๆ เรื่อง

(4) รู้ในสิ่งที่ไม่ควรรู้

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 45. ประกอบ

48. ความรู้ที่เป็นสัจจะธรรม คือความรู้ในลักษณะใด

(1) ความรู้ตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ

(2) ความรู้ตามศาสตร์ต่าง ๆ

(3) ความรู้ตามหลักความเชื่อ

(4) ความรู้ตามแนวคิดทฤษฎี

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 45. ประกอบ

49. ความรู้ที่เป็นสัจจะโลก คือความรู้ในลักษณะใด

(1) ความรู้ตามหลักความเชื่อ

(2) ความรู้ตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ

(3) ความรู้ตามศาสตร์สาขาวิชาต่าง ๆ

(4) ความรู้ตามสมัยนิยม

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 45. ประกอบ

50. ศรัทธาคือความเชื่อ ข้อใดต่อไปนี้คือสิ่งที่ไม่ควรเชื่อในทันที

(1) บุญและบาปมีจริง

(2) ทําดีได้ดี

(3) ทําชั่วได้ชั่ว

(4) ทําในสิ่งที่ทําตามกันมา

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ

51. “การกระทําความดีและยกย่องคนดี” เป็นแนวคิดด้านคุณธรรมทางการเมืองของใคร

(1) โสเครติส (Socrates)

(2) เพลโต (Plato)

(3) อริสโตเติล (Aristotle)

(4) ออกัสก๊อง (Orguskong)

ตอบ 1

หลักคุณธรรมในทางการเมืองที่สําคัญตามแนวคิดของโสเครติส (Socrates) มีดังนี้
1. ปัญญา (Wisdom) หรือความรอบรู้ 2. ความกล้าหาญ (Courage) หรือกล้าต่อสู้กับ ความไม่ถูกต้อง 3. การควบคุมตนเอง (Temperance) หรือการไม่ใช้อํานาจเอาเปรียบผู้อื่น 4. ความยุติธรรม (Justice) หรือความเที่ยงธรรม 5. การกระทําความดี (Piety) และยกย่องคนดี

52. คําตอบในข้อใดคือหลักธรรมที่ทําให้โลกดํารงอยู่ได้

(1) อิทธิบาท

(2) พรหมวิหาร

(3) ธรรมโลกบาล

(4) สังคหวัตถุ

ตอบ 3

โลกบาลธรรม หรือธรรมโลกบาล คือ คุณธรรมสําหรับคุ้มครองโลก หรือทําให้โลกดํารงอยู่ได้ เพราะจะเป็นแนวทางปฏิบัติที่ช่วยควบคุมจิตใจของมนุษย์ให้อยู่ในความดี ทําให้ มนุษย์ดําเนินชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างสงบสุข มีระเบียบไม่สับสน ดังนั้นหากคนใน สังคมใดขาดหลักธรรมนี้จะสามารถทําชั่วได้ทุกอย่าง ซึ่งย่อมส่งผลเสียหายต่อสังคมมากที่สุด ได้แก่ 1. หิริ หมายถึง ความละอายแก่ใจต่อการที่จะทําความชั่วหรือบาปทุกชนิด 2. โอตตัปปะ หมายถึง ความเกรงกลัวต่อบาป เกรงกลัวต่อผลจากการทําชั่ว

53. ผู้ที่ต้องการจะประสบความสําเร็จจะต้องประพฤติปฏิบัติตามหลักคุณธรรมในข้อใด

(1) อิทธิบาท

(2) พรหมวิหาร

(3) สังคหวัตถุ

(4) สัปปุริสธรรม

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 29. ประกอบ

54. ข้อใดกล่าวถึงความหมายของเศรษฐกิจได้ครอบคลุมมากที่สุด

(1) ระบบการผลิตที่ครบวงจร

(2) การพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่า

(3) งานอันเกี่ยวกับการผลิต การจําหน่าย และการบริโภค

(4) การลงทุนที่ต้องการผลกําไร

ตอบ 3

ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายของเศรษฐกิจที่ครอบคลุมมากที่สุดคือ งานอันเกี่ยวกับการผลิต การจําหน่ายจ่ายแจก และการบริโภคใช้สอยสิ่งต่าง ๆ ในชุมชนและในสังคมทั่วไป

55. “การได้ทํางานที่ตนรัก และรักในงานที่ตนทํา” ตรงกับหลักใดในอิทธิบาท 4

(1) ฉันทะ

(2) วิริยะ

(3) จิตตะ

(4) วิมังสา

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 29. ประกอบ

56. “เรามีความทุกข์ก็ไม่ใช่จะทุกข์ตลอดไป ถึงแม้จะมีความสุข ความสุขก็ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอดกาลเช่นกัน” จากข้อความดังกล่าวตรงกับหลักคําสอนใด

(1) กาลามสูตร

(2) ไตรสิกขา

(3) ไตรลักษณ์

(4) อริยสัจ

ตอบ 3

ไตรลักษณ์ คือ ลักษณะทั่วไปแก่สังขารทั้งปวง หรือสามัญลักษณะ 3 ประการ คือ 1. อนิจจัง (อนิจจตา) ความเป็นของไม่เที่ยง คือ ไม่ดํารงอยู่เป็นนิตย์นิรันดร์ เพราะทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ต้องดับไปในที่สุด 2. ทุกขัง (ทุกขตา) ความเป็นทุกข์ คือ ทนอยู่คงที่ไม่ได้ ต้องผันแปรหรือเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ 3. อนัตตา (ความไม่มีตัวตน) คือ ความไม่ยึดมั่นถือมั่นกับตนเองจนเกินไป

57. “คุณอุบลในละครเรื่องพิศวาส ท้ายที่สุดยอมเสียสละอุทิศตัวเพื่อทําหน้าที่เฝ้าสมบัติของชาติต่อไป” จากละครเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าคุณอุบลยึดถือสิ่งใดเป็นสําคัญ

(1) สัจจะ

(2) ทมะ

(3) ขันติ

(4) จาคะ

ตอบ 4

ฆราวาสธรรม 4 เป็นหลักคุณธรรมสําหรับฆราวาส หรือหลักการครองชีวิตให้มีความสุข ถูกต้องและเหมาะสม ประกอบด้วย 1. สัจจะ คือ ความจริง ความซื่อสัตย์ ดังคํากล่าวที่ว่า “เสียชีพอย่าเสียสัตย์” 2. ทมะ คือ การข่มใจ ควบคุมอารมณ์ ยับยั้งหรือฝืนใจตนไม่ให้ปฏิบัติสิ่งที่ไม่ดีหรือสิ่งที่ผิด 3. ขันติ คือ ความอดทน ตั้งใจทํางานด้วยความขยันหมั่นเพียร 4. จาคะ คือ เสียสละ มีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเกื้อกูล บําเพ็ญประโยชน์

58. ผู้ที่วิเคราะห์ข้อมูลจาก Facebook ก่อนที่จะโพสต์ต่อนั้น ถือว่าคนผู้นั้นมีความเข้าใจหลักธรรมใด

(1) กาลามสูตร

(2) พรหมวิหาร 4

(3) อิทธิบาท 4

(4) สังคหวัตถุ 4

ตอบ 1

หลักกาลามสูตร 10 ในพุทธศาสนา เป็นหลักการคิดที่มีเหตุมีผลอยู่ในตัว เป็นเรื่องที่ต้องใช้สติปัญญาไตร่ตรอง และมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ที่ทดลองได้ ตรวจสอบพิสูจน์ได้ ไม่ใช่ใครมาพูดอะไรก็เชื่อทันที หรือเชื่อตาม ๆ กันมาโดยไม่วิเคราะห์เหตุผลว่าเป็นไปได้หรือไม่

59. ข้อใดไม่ใช่สมุทัย

(1) ตัณหา

(2) อหิงสา

(3) อบายมุข

(4) โมหะ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 17. ประกอบ

60. อเนกเห็นเพื่อนซื้อกระทะ Korea King แล้วเกิดอยากได้บ้าง แสดงว่าอเนกยังละเว้นสิ่งใดไม่ได้

(1) กามตัณหา

(2) อิจฉา

(3) ริษยา

(4) โลภะ

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

61. การทําบุญที่ถูกต้องควรมีลักษณะเช่นใด

(1) ทําบุญโดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

(2) อยากได้บุญมากก็ต้องทําบุญมาก ให้สมเหตุสมผล

(3) ชวนคนทําบุญเยอะ ๆ เราจะได้ขึ้นสวรรค์

(4) วัดไหนที่เขาว่าดีก็ทําให้หมด สะสมบุญไปเรื่อย ๆ

ตอบ 1

พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า การทําบุญที่ถูกต้องนั้นควรมีลักษณะที่เรียกว่า “บุญกิริยาวัตถุ 3” ได้เก่ 1. ทาน เป็นการทําบุญชั้นต่ำสุด หรือทําบุญด้วยการเผื่อแผ่แบ่งปันผู้อื่น 2. ศีล เป็นการทําบุญที่สูงขึ้นไปอีกชั้น หรือทําบุญเพื่อให้ประพฤติสุจริตโดยไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น 3. ภาวนา เป็นบุญชั้นสูงขึ้นไปอีก หรือทําบุญด้วยการฝึกอบรมจิตใจให้เจริญด้วยปัญญา

62. นบีหรือศาสดาผู้เผยแผ่หลักศาสนาของอิสลามพระองค์สุดท้าย มีพระนามว่าอะไร

(1) นบีอาดัม

(2) นบีมูฮัมหมัด

(3) นบีมูซา

(4) นบีอีซา

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

63. ข้อใดไม่ใช่การกระทําที่ไม่ประพฤติชั่วของผู้ดี

(1) ย่อมไม่เสพสุราจนถึงเมาและติด

(2) ย่อมไม่มั่วสุมกับสิ่งอันเลวทราม

(3) ย่อมไม่หมกมุ่นในการพนันเพื่อจะปรารถนาทรัพย์

(4) ย่อมไม่มีสัจจะในสิ่งที่ตนได้สัญญากับผู้อื่น

ตอบ 4

ผู้ดีย่อมไม่ประพฤติชั่ว ได้แก่ 1. ย่อมไม่เป็นพาลเที่ยวเกะกะระรานและทําร้ายคน 2. ย่อมไม่ข่มเหงผู้อ่อนแอกว่า เช่น เด็กหรือผู้หญิง 3. ย่อมไม่เสพสุราจนถึงเมาและติด 4. ย่อมไม่มั่วสุมกับสิ่งอันเลวทราม 5. ย่อมไม่หมกมุ่นในการพนันเพื่อจะปรารถนาทรัพย์ ฯลฯ

64. ข้อใดไม่ใช่คุณลักษณะของคุณธรรมจริยธรรมที่พึงประสงค์

(1) ความมีเหตุผล

(2) ความกตัญญูกตเวที

(3) การรักษาระเบียบวินัย

(4) ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น

ตอบ 4

การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม คือ การสร้างความตระหนักในคุณธรรมจริยธรรม เพื่อช่วยให้บุคคลเกิดความรู้ ความเข้าใจ เห็นความสําคัญ รู้ประโยชน์ที่จะเกิดจาก การประพฤติปฏิบัติตามคุณธรรมจริยธรรมที่พึงประสงค์ เช่น การรู้จักประมาณตน รู้เหตุรู้ผล มีความกตัญญูกตเวที รักษาระเบียบวินัย และรู้จักละกิเลสตัณหา (ละความอยากได้ อยากมี
อยากเป็น) เป็นต้น

65. ข้อใดคือคุณลักษณะของบุคคลที่มีความซื่อสัตย์

(1) มีบุคลิกภาพและมนุษยสัมพันธ์ดี ชอบพูดยกยอชื่นชมเพื่อน ๆ

(2) รักสงบ ไม่เล่นโซเชียล ไม่สุงสิงกับใครเลย

(3) ประพฤติปฏิบัติอย่างเหมาะสมและตรงต่อความเป็นจริง ประพฤติปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมาทั้งกาย วาจา และใจ

(4) มีวินัยเคร่งครัดต่อกฎระเบียบองค์กรจนน่าแปลกใจ

ตอบ 3

ความซื่อสัตย์สุจริต หมายถึง การประพฤติปฏิบัติอย่างเหมาะสมและตรงต่อความเป็นจริง ประพฤติปฏิบัติอย่างตรงไปตรงมาทั้งกาย วาจา และใจ มีความซื่อตรงจริงใจ ทั้งทางความคิด คําพูด และการกระทําต่อตนเองและผู้อื่น ไม่คิดคดทรยศ ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง
ทําทุกอย่างถูกต้องตามทํานองคลองธรรม

66. ความรู้สึกในการอุปการคุณหรือบุญคุณที่ผู้อื่นหรือสิ่งอื่นที่มีต่อเรา รวมไปจนถึงการแสดงออกและการตอบแทนบุญคุณนั้น คือความหมายของข้อใด

(1) การมีขันติ

(2) ความมีเหตุผล

(3) ความกตัญญูกตเวที

(4) การมีความยุติธรรม

ตอบ 3

คําว่า “กตัญญ” หมายถึง รู้คุณท่าน รู้ว่าใครมีบุญคุณต่อตนโดยเป็นความรู้สึกในการอุปการคุณหรือบุญคุณที่ผู้อื่นหรือสิ่งอื่นที่มีต่อเรา จึงมักใช้คู่กับคําว่า “กตเวที” แปลว่า สนองคุณท่านหรือการแสดงออกและรู้จักตอบแทนบุญคุณต่อผู้มีพระคุณนั้น ทั้งนี้ผู้ที่ได้ชื่อว่ามีความกตัญญูกตเวทีนั้น ต้องสามารถแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ ได้ทุกเวลา ไม่ควรมีข้อแม้ในการกระทํา

67. ข้อใดไม่ใช่ความหมายของการเสียสละ

(1) การละความเห็นแก่ตัว

(2) การแบ่งปันแก่คนที่ควรให้ด้วยกําลังกาย กําลังทรัพย์ และกําลังสติปัญญา

(3) การรู้จักสลัดทิ้งอารมณ์ร้ายในตนเอง

(4) การผูกพันกับอารมณ์ และความยึดมั่นถือมั่นของตนเองที่มีอยู่เดิม

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ความเสียสละ หมายถึง การตัดใจจากกรรมสิทธิ์หรือการตัดใจจากความยึดครองของตนไปให้ผู้อื่น ซึ่งเป็นการเสียสละแบ่งปันแก่คนที่ควรให้ด้วยกําลังกาย กําลังทรัพย์ และกําลังสติปัญญา โดยความเสียสละมีอยู่ 2 ประการ คือ 1. สละวัตถุ คือ การสละทรัพย์หรือสิ่งของของตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น 2. สละอารมณ์ คือ การปล่อยวางหรือรู้จักสลัดทิ้งอารมณ์ร้ายในตนเองที่ทําให้จิตใจไม่สงบ รวมไปถึงการสละความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ ความโลภ โกรธ หลง ฯลฯ

68. ความเมตตากรุณานั้น คําว่าเมตตาคือความรักใคร่ปรารถนาจะให้ผู้อื่นเป็นสุข กรุณาคือความสงสารคิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ข้อใดไม่ใช่ความมีเมตตากรุณา

(1) แมททิวสงสารขอทานเลยซื้อข้าวกล่องให้

(2) มโนมีความเชื่อมั่นในตนเองสูง ชอบให้อาหารสุนัขจรจัด

(3) หลิงหลิงมีความกระตือรือร้นในงาน และชอบช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน

(4) บัณฑิตเป็นคนชอบเข้าวัดไปขโมยเงินบริจาค

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

69. ข้อใดคือบุคลิกภาพที่ดีเหมาะกับโลกในยุคปัจจุบัน

(1) มีมนุษยสัมพันธ์ดี แต่ชอบเดินหลังค่อมโกง

(2) มีรูปร่างหน้าตาดี แต่ชอบแต่งกายไม่สุภาพ

(3) มีความกระฉับกระเฉง และดูแลรักษาความสะอาดเครื่องแต่งกายดี

(4) ไม่มีความอ่อนน้อมในทุกครั้งที่นั่ง ยืน เดิน สนทนา และในทุกอิริยาบถ

ตอบ 3

บุคลิกภาพ หมายถึง ลักษณะของบุคคลที่แสดงออกหรือมิได้แสดงออก โดยเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองทั้งทางด้านพฤติกรรมและทางด้านจิตใจ ทั้งนี้บุคลิกภาพที่ดีเหมาะกับโลกในยุคปัจจุบัน ได้แก่ 1. มีมนุษยสัมพันธ์ดี 2. มีรูปร่างหน้าตาสะอาดสะอ้าน 3. มีความกระฉับกระเฉง และดูแลรักษาความสะอาดเครื่องแต่งกายดี 4. มีความอ่อนน้อมถ่อมตน 5. มีกิริยามารยาทสุภาพเรียบร้อย ฯลฯ

70. ปฏิกิริยาของจิตใจที่ตอบสนองต่อเรื่องราวที่มากระทบตามธรรมชาติของมนุษย์ หรือที่เราเรียกว่าอารมณ์นั้น ข้อใดเป็นอารมณ์ที่ไม่ควรปล่อยให้เกิดนาน

(1) อารมณ์ขัน

(2) อารมณ์ดีใจเป็นสุข

(3) อารมณ์หดหูเบื่อหน่าย

(4) อารมณ์สนุกสนาน

ตอบ 3

อารมณ์ หมายถึง ปฏิกิริยาของจิตใจที่ตอบสนองต่อเรื่องราวที่มากระทบตามธรรมชาติของมนุษย์ โดยผู้ที่มีอารมณ์ทางบวก ได้แก่ อารมณ์ขัน อารมณ์ดีใจเป็นสุข และ อารมณ์สนุกสนาน ฯลฯ จะทําให้เกิดฮอร์โมนชื่อแอนเดอร์ฟิน ซึ่งจะเป็นอาวุธต่อสู้กับความกลัว และความเครียดของคนได้ ส่วนผู้ที่มีอารมณ์ทางลบ ได้แก่ อารมณ์หดหูเบื่อหน่าย อารมณ์โกรธ อารมณ์เศร้าเสียใจ ฯลฯ หากปล่อยให้เกิดขึ้นนานจะทําให้เกิดฮอร์โมนชื่อแอดรีนาลีนออกมา ในปริมาณที่มากเกินไป ซึ่งจะทําให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ แก่ร่างกายได้

71. ข้อใดไม่ใช่พื้นฐานของบุคลิกภาพที่สง่างาม

(1) สิ่งแวดล้อมในทุกด้านของชีวิตที่ดีนับตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบัน

(2) การสะสมข้อมูล รวมทั้งการกระทําตามความเคยชิน และข้อมูลที่ได้รับรู้มาจากแหล่งต่าง ๆประกอบกัน

(3) ความเชื่อที่ดี

(4) ค่านิยมการใช้ของแบรนด์เนม

ตอบ 4

พื้นฐานของบุคลิกภาพที่สง่างามเกิดจากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ 1. สิ่งแวดล้อมในทุกด้านของชีวิตที่ดีนับตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบัน 2. การสะสมข้อมูล รวมทั้งการกระทําตามความเคยชิน และข้อมูลที่ได้รับรู้มาจากแหล่งต่าง ๆ ประกอบกัน 3. ความเชื่อที่ดีและค่านิยมที่พึงประสงค์ ฯลฯ

72. ข้อใดไม่ใช่การพัฒนาบุคลิกภายนอกในด้านบุคลิกภาพการแต่งกาย

(1) วิเคราะห์บุคลิกและรูปลักษณ์รายบุคคลเพื่อการเลือกสรรเสื้อผ้า รองเท้า

(2) การแต่งกายตามวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม

(3) การใช้ความรู้พื้นฐานในเรื่องลายเส้นและแบบที่เหมาะสมกับรูปร่าง

(4) การแต่งกายในลักษณะนุ่งน้อยห่มน้อย

ตอบ 4

วิธีการพัฒนาบุคลิกภายนอกในด้านบุคลิกภาพการแต่งกายที่ดี มีดังนี้
1. วิเคราะห์บุคลิกและรูปลักษณ์เป็นรายบุคคลเพื่อการเลือกสรรเสื้อผ้าและรองเท้าที่เหมาะสม 2. ใช้ความรู้พื้นฐานในเรื่องลายเส้นและแบบที่เหมาะสมกับรูปร่าง 3. แต่งกายให้สุภาพ เหมาะสมกับสถานภาพ วัย และกาลเทศะ 4. แต่งกายให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต ประเพณี และวัฒนธรรม ฯลฯ

73. ข้อใดคือแนวทางที่ควรนํามาใช้ในการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม

(1) ใช้อัตตาเป็นหลัก และไม่พิจารณาถึงผลที่จะติดตามมาด้วย

(2) เลือกโดยตัดสินจากความชอบใจ

(3) เลือกประพฤติตนให้ถูกต้องด้วยการรู้จักประมาณตน

(4) เลือกโดยการกระทําในสิ่งที่นําความสุขทางกายมาให้มากที่สุด

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 64. ประกอบ

74. ธรรมของพระราชาในความหมายของทศพิธราชธรรม คือ

(1) ธรรมที่พระราชายึดถือ

(2) ธรรมที่พระราชาใช้สอนประชาชน

(3) ธรรมที่พระราชาใช้เป็นแนวทางในการปกครอง

(4) ธรรมของศาสนาพุทธ

ตอบ 3

ธรรมของพระราชาในความหมายของทศพิธราชธรรม คือ ธรรมที่พระราชาใช้เป็นแนวทางในการปกครองบ้านเมืองให้มีความเป็นไปโดยธรรมและยังประโยชน์สุขให้เกิดแก่ประชาชน ดังพระปฐมบรมราชโองการที่ได้พระราชทานไว้ใน วันพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ความว่า “เราจะครองแผ่นดิน โดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” ซึ่งครองแผ่นดินโดยธรรมในที่นี้ หมายถึง ครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรมนั่นเอง

75. การศึกษาเรื่อง “การตามรอยพระยุคลบาทโดยทศพิธราชธรรม” ท่านใดเป็นผู้นําเสนอแนวคิดในเรื่องดังกล่าว

(1) พระธรรมนิเทศ

(2) พุทธทาสภิกขุ

(3) พระเทพมหามุนี

(4) พระพยอม

ตอบ 2

การศึกษาเรื่อง “การตามรอยพระยุคลบาทโดยทศพิธราชธรรม” ของท่านพุทธทาสภิกขุ ได้กล่าวถึงหลักสําคัญของทศพิธราชธรรมที่เป็นพรหมจรรย์ใน พระพุทธศาสนา คือ ไตรสิกขา ได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา ดังนั้นทศพิธราชธรรม จึงประกอบอยู่ด้วยไตรสิกขาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้ 1. ในหมวดศีลของทศพิธราชธรรม ได้แก่ ทานัง สีลัง อวิหิงสัง 2. ในหมวดสมาธิของทศพิธราชธรรม ได้แก่ ปริจจาทั้ง อาชชะวัง มัททะวัง ตะบัง อักโกธัง ขันติ 3. ในหมวดปัญญาของทศพิธราชธรรม ได้แก่ อะวิโรธนะ (ความไม่มีอะไรที่เป็นพิรุธ)

76. “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” นั้น คําว่า ธรรมในความหมายนี้คืออะไร

(1) ทศพิธราชธรรม

(2) ศีล 5 ในพระพุทธศาสนา

(3) คุณธรรม ศีลธรรม

(4) โลกธรรม 8

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 74. ประกอบ

77. “การตามรอยพระยุคลบาทโดยทศพิธราชธรรม” เป็นหลักการที่จะนํามาในเรื่องใด

(1) ความสุข ความสําเร็จ

(2) ความเจริญรุ่งเรือง

(3) ความมุ่งมั่น ตั้งใจ

(4) ความยิ่งใหญ่ ก้าวหน้า

ตอบ 2

การตามรอยพระยุคลบาทโดยทศพิธราชธรรม กล่าวไว้เป็นหลักการสําคัญ 10 ข้อ เพื่อเป็นสิ่งที่จะนํามาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง ความสงบสุข สันติภาพ และความเป็นผู้เป็นอิสระ
เหนือความทุกข์เหนือปัญหาทุกอย่างทุกประการ

78. ข้อใดไม่ใช่หลักของการตามรอยพระยุคลบาทโดยทศพิธราชธรรม

(1) ทานัง สีลัง อวิหิงสัง

(2) อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

(3) ปริจจาทั้ง อาชชะวัง สัททะวัง

(4) ตะปัง อักโกธัง ขันติ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

79. การตามรอยพระยุคลบาทโดยทศพิธราชธรรมในหมวดของศีล ได้แก่ข้อใด

(1) อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

(2) ทานัง สีลัง อวิหิงสัง

(3) ปริจจาทั้ง อาชชะวัง มัททะวัง

(4) ตะบัง อักโกธัง ขันติ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

80. การตามรอยพระยุคลบาทโดยทศพิธราชธรรมในหมวดของสมาธิ ได้แก่ข้อใด

(1) อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

(2) ตะบัง อักโกธัง ขันติ

(3) อะวิโรธนะ

(4) ปริจจาทั้ง อาชชะวัง มัททะวัง

ตอบ 2, 4 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

81. ทศพิธราชธรรมในหมวดปัญญา คําว่า “อะวิโรธนะ” หมายถึงอะไร

(1) ความไม่มีอะไรที่พิรุธ

(2) ความไม่มีอะไรไม่ดี

(3) ความไม่มีอะไรเที่ยงแท้

(4) ความไม่มีอะไรเลย

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

82 “ปุญญกิริยา 3” มีความหมายว่าอย่างไร

(1) บุญ ทาน กุศล

(2) ใส่บาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรม

(3) พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

(4) ทาน ศีล ภาวนา

ตอบ 4

การศึกษาเรื่อง “การตามรอยพระยุคลบาทโดยทศพิธราชธรรม”ของท่านพุทธทาสภิกขุ ได้กล่าวว่าหลักสําคัญทั้งหมดที่มีอยู่ในทศพิธราชธรรม ขยายไปเป็น ความถูกต้อง 10 ประการ แม้ว่าจะดูเป็น “ปุญญกิริยา 3” หมายถึง ทาน ศีล ภาวนา ก็ครบ แม้จะดูเป็น “กุศลกรรมบถ” ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ก็มีอยู่ครบ

83. “ในหมวดศีล” ในความหมายตามหลักการของทศพิธราชธรรม หมายถึงข้อใด

(1) การโมโห

(2) การมีน้ำใจเสียสละ

(3) การรักษาความสุจริต

(4) การรู้จักเหตุผล

ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ)

หลักทศพิธราชธรรม 10 ประกอบด้วย
1. ทานัง (ทาน) คือ การให้ปันช่วยประชา 2. สีลัง (ศีล) คือ การรักษาความสุจริต 3. ปริจจาคัง (ปริจจาคะ) คือ บําเพ็ญกิจด้วยความเสียสละ 4. อาชชะวัง (อาชชวะ) คือ ปฏิบัติภาระโดยซื่อตรง 5. มัททะวัง (มัททวะ) คือ ทรงความอ่อนโยนเข้าถึงธรรม 6. ตะปัง (ตปะ) คือ พ้นมัวเมาด้วยเผากิเลส 7. อักโกธัง (อักโกธะ) คือ ถือเหตุผลไม่โกรธา 8. อวิหิงสัง (อวิหิงสา) คือ มีอหิงสานําร่มเย็น 9. ขันติ คือ ชำนะเข็ญด้วยขันติ 10. อะวิโรธนะ คือ มิปฏิบัติคลาดจากธรรม

84. “ในหมวดทาน” ในความหมายตามหลักการของทศพิธราชธรรม หมายถึงข้อใด

(1) รับประทานอย่างสุภาพ

(2) การรักษาความสุจริต

(3) ความไม่มัวเมา

(4) การให้ปันช่วยประชา

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 83. ประกอบ

85. หลักสําคัญของทศพิธราชธรรมที่เป็นพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนา คือข้อใด

(1) ไตรสิกขา

(2) กาลามสูตร

(3) สัจธรรม

(4) โลกุตรธรรม

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

86. โลกธรรม 8 กล่าวถึงเรื่องใด

(1) สุข ทุกข์

(2) ความดี ความไม่ดี

(3) มีลาภ เสื่อมลาภ

(4) บริสุทธิ์

ตอบ 3

โลกธรรม 8 หมายถึง วิถีโลก ธรรมชาติของโลกที่ครอบงําสัตว์โลก และสัตว์โลกต้องเป็นไปตามธรรมดา ดังนั้นโลกธรรมจึงเป็นความจริง ที่สัตว์โลกต้องประสบด้วยกันทั้งนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือ 1. ข้างชื่นชม (อิฏฐารมณ์) ได้แก่ มีลาภ (ได้ทรัพย์สินเงินทอง), มียศ (ได้ตําแหน่ง), สรรเสริญ (ได้คําชื่นชม) และสุข (ได้ความสบายกายและใจ) 2. ข้างขมขื่น (อนิฏฐารมณ์) ได้แก่ เสื่อมลาภ (เสียลาภที่ได้มา), เสื่อมยศ (ถูกถอดออกจากตําแหน่ง), นินทา (ถูกตําหนิติเตียน) และทุกข์ (ได้รับความทรมานกายและใจ)

87. หลักราชการ เป็นบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลใด

(1) สมเด็จพระปิยมหาราช รัชกาลที่ 5

(2) พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6

(3) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

(4) พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9

ตอบ 2

หลักราชการ เป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) มีอยู่ 10 ข้อ ได้แก่ 1. ความสามารถ 2. ความเพียร 3. ความมีไหวพริบ 4. ความรู้เท่าถึงการ 5. ความซื่อตรงต่อหน้าที่ 6. ความซื่อตรงต่อคนทั่วไป 7. ความรู้จักนิสัยคน
8. ความรู้จักผ่อนผัน 9. ความมีหลักฐาน 10. ความจงรักภักดี

88. หลักราชการในบทพระราชนิพนธ์นั้นมีกี่ข้อ

(1) 10 ข้อ

(2) 11 ข้อ

(3) 12 ข้อ

(4) 13 ข้อ

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ

89. ข้อใดไม่ใช่หลักราชการในบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

(1) ความฉลาด เก่ง รอบรู้

(2) ความเพียร

(3) ความซื่อตรงต่อหน้าที่ และความซื่อตรงต่อคนทั่วไป

(4) ความจงรักภักดี

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ

90. คํากล่าวที่ว่า “ป่าพึ่งเสือ เรือพึ่งพาย นายพึ่งบ่าว เจ้าพึ่งข้า” เป็นคํากล่าวที่ตรงกับหลักราชการในข้อใด

(1) ความซื่อตรงต่อคนทั่วไป

(2) ความรู้รักสามัคคี

(3) ความเพียรอันบริสุทธิ์

(4) ความจงรักภักดี

ตอบ 1 (ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ)

หลักราชการข้อ 6. ความซื่อตรงต่อคนทั่วไปคือ ความประพฤติซื่อตรงที่มีต่อคนทั่วไป โดยการรักษาวาจาสัตย์ ไม่คิดเอาเปรียบใคร ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่หาดีใส่ตัวหาชั่วใส่เขา เมื่อผู้ใดมีไมตรีต่อก็ตอบแทนด้วยไมตรีโดยสม่ำเสมอ ไม่ใช้ความรักใคร่ไมตรีซึ่งผู้อื่นมีต่อเรานั้นเพื่อเป็นเครื่องประหารเขาเองหรือใคร ๆ ทั้งสิ้นดังคํากล่าวที่ว่า “ป่าพึ่งเสือ เรือพึ่งพาย นายพึ่งบ่าว เจ้าพึ่งข้า”

91. ในหลักราชการในเรื่อง “ความมีหลักฐาน” หมายถึงข้อใด

(1) มีบ้านเป็นสํานักมั่นคง ครอบครัวอันมั่นคง ตั้งตนไว้ในที่ชอบ

(2) ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมั่งคั่ง มิตรภาพ AEC

(3) เก็บเอกสารดี เก็บข้อมูลได้ เรียกใช้งานสะดวก

(4) การมีพื้นฐานที่ดี

ตอบ 1 (ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ)

หลักราชการข้อ 9. ความมีหลักฐานแบ่งเป็น 3 ประการ ดังนี้ 1. มีบ้านเป็นสํานักมั่นคง 2. มีครอบครัวอันมั่นคง 3. ตั้งตนไว้ในที่ชอบ

92. “จริยธรรมของการบริหารภาครัฐ” เป็นแนวคิดแนะนําของอดีตนายกรัฐมนตรีท่านใด

(1) นายทักษิณ ชินวัตร

(2) นายอานันท์ ปันยารชุน

(3) พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์

(4) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ตอบ 3

พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แนะว่า ผู้นําต้องมีมาตรฐานจริยธรรมของการบริหารงานภาครัฐและภาคเอกชน 7 ประการ ดังนี้ 1. ความซื่อสัตย์ 2. กฎหมาย 3. ความเป็นธรรม 4. ประสิทธิภาพ 5. ความโปร่งใส 6. ความมั่นคงของรัฐ 7. ค่านิยม

93. “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” เป็นคํากล่าวชนิดใด

(1) คํากล่าวชื่นชม

(2) คํากล่าวแสดงความคิดเห็น

(3) คํากล่าวเสนอแนะ

(4) คํากล่าวติเตียน

ตอบ 4 (ดูคําอธิบายข้อ 87. ประกอบ)

หลักราชการข้อ 4. ความรู้เท่าถึงการหมายถึง รู้จักปฏิบัติกิจการให้เหมาะด้วยประการทั้งปวง หรือรู้ว่าอะไรควรทํา อะไรไม่ควรทํา ซึ่งเป็นคํากล่าวชื่นชม ส่วนคําว่า “รู้เท่าไม่ถึงการณ์” หมายถึง เขลา คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้น ซึ่งเป็นคําติเตียนว่าเป็นความบกพร่อง (คําว่า “การ/การณ์” ใช้ต่างกันตามราชบัณฑิตยสถาน)

94. รามไม่เชื่อข่าวสารเรื่องพระนามรัชกาลที่ 10 ที่ส่งมาทางไลน์ ถือว่ารามยึดถือหลักกาลามสูตรข้อใด

(1) อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างคัมภีร์

(2) อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ

(3) อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเป็นของเก่าเล่าสืบกันมา

(4) อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง

ตอบ 2

หลักกาลามสูตรข้อ 3 อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ (มา อิติกิราย)คือ อย่ารับถือเอาเพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่กําลังเล่าลือกันอยู่อย่างกระฉ่อน หรือตื่นข่าว หมายถึง สิ่งน่าอัศจรรย์ที่กําลังลือกระฉ่อนกันอยู่ในขณะนั้น โดยต้องรู้จักวิเคราะห์และตรวจสอบหาแหล่งที่มาของข่าวที่น่าเชื่อถือก่อนตัดสินใจเชื่อหรือทําสิ่งต่าง ๆ

95. วิภามาเรียนสายทุกวัน คุณครูจึงคิดว่าวิภาเป็นเด็กเกียจคร้าน แสดงว่าครูขาดหลักกาลามสูตรในข้อใด

(1) อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง

(2) อย่าเพิ่งเชื่อเพราะอนุมานเอา

(3) อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ

(4) อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเล่าสืบต่อกันมา

ตอบ 1

หลักกาลามสูตรข้อ 5 อย่าเพิ่งเชื่อโดยคิดเดาเอาเอง (มา ตกฺกเหตุ) คือ อย่ารับถือเอาด้วยการใคร่ครวญตามวิธีที่เรียกว่า “ตรรกะ” หรือปัจจุบันนี้ เรียกว่า “Logic โดยตรรกวิทยาเป็นวิชาที่แสดงเรื่องความคิดเห็น อ้างหาเหตุผลซึ่งอาจจะผิดก็ได้ ไม่ใช่ว่าจะถูก ไปเสียทุกอย่าง ทั้งนี้คําว่า “เดา” ในที่นี้ หมายถึง การใช้เหตุผลชั่วแล่นชั่วขณะตามวิสัยของคนธรรมดาทั่วไป

96. หลักกาลามสูตรไม่ยึดถือสิ่งใดเป็นเกณฑ์ตัดสิน

(1) เหตุผล

(2) ปัญญา

(3) หลักฐาน

(4) ประสบการณ์

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 58. ประกอบ

97. ข้อใดเป็นมารยาทในการเข้าสังคมอย่างมั่นใจ และการปฏิบัติตัวในการเข้าสังคมที่ถูกต้องตามกาลเทศะ

(1) มีบุคลิกภาพดี แนะนําตัวและพูดคุยตามความเหมาะสม

(2) พูดแต่เรื่องที่ตนเองสนใจ ไม่ฟังใคร

(3) มีความจริงใจ เปิดใจ พูดทุกเรื่อง

(4) นินทา พูดความลับของผู้อื่นกับคนที่พึ่งรู้จัก

ตอบ 1

มารยาทในการเข้าสังคมอย่างมั่นใจและถูกต้องตามกาลเทศะ มีดังนี้ 1. มีบุคลิกภาพและมนุษยสัมพันธ์ดี 2. แนะนําตัวและพูดคุยตามความเหมาะสม 3. พูดในเรื่องที่คู่สนทนาสนใจ ไม่ใช่พูดแต่เรื่องที่ตนสนใจฝ่ายเดียว 4. ไม่ควรพูดนินทาให้ร้ายคนอื่น หรือพูดความลับของผู้อื่นกับคนที่พึ่งรู้จัก 5. ไม่ควรพูดอวดตน ยกตนข่มท่าน หรือแสดงอาการว่าตนเหนือกว่าผู้ฟัง ฯลฯ

98. ข้อใดคือทักษะในการพูดและการสื่อสารที่ดีในด้านทักษะในการสร้างประสิทธิภาพของเสียง

(1) การใช้น้ำเสียงตามที่ตัวเองมี

(2) การใช้เสียงสร้างเสริมบุคลิกภาพ ฝึกหัดการพูดด้วยการบันทึกวิดีโอเทปเพื่อการพัฒนา

(3) มีความเสมอต้นเสมอปลาย ใช้น้ำเสียงโทนเดียว (Monotone)

(4) เป็นคนตัวใหญ่ฝึกฝนการพูดน้ำเสียงที่แหลมเล็ก

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ทักษะในการสร้างประสิทธิภาพของเสียงเพื่อการพูดและการสื่อสารที่ดี มีดังนี้ 1. ใช้น้ำเสียงให้เป็นธรรมชาติ อย่าดัดเสียงหรือเลียนแบบเสียงของผู้อื่น 2. ใช้เสียงสร้างเสริมบุคลิกภาพ โดยมีการฝึกหัดพูดเพื่อการพัฒนา เช่น การฝึกพูดโดยมี
ผู้เชี่ยวชาญแนะนํา หรือบันทึกเป็นวิดีโอเทปเพื่อดูความบกพร่อง ฯลฯ 3. หลีกเลี่ยงการใช้น้ำเสียงโทนเดียว (Monotone) เพราะการพูดเสียงเดียวราบเรียบเสมอกันหมดจะทําให้ผู้ฟังง่วงและเกิดความเบื่อหน่าย ฯลฯ

99. เวลาที่เราต้องแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะนั้น ไม่ควรมีความรู้สึกแบบใด

(1) รวบรวมใจให้มีสติและสมาธิ

(2) ใช้ความคิดค้นหาจุดเด่นของตัวเอง

(3) ประหม่า ไม่กล้าแสดงออก

(4) สร้างบุคลิกภาพที่ดีตามแบบของตนเองให้เป็นธรรมชาติ

ตอบ 3

หลักปฏิบัติเมื่อต้องแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ มีดังนี้ 1. เตรียมตัวให้พร้อม โดยการอ่านหนังสือเยอะ ๆ เพื่อเก็บสะสมข้อมูลไว้ใช้อ้างอิงหรือ เสริมคําพูดของตน 2. หมั่นสนทนาแลกเปลี่ยนทัศนะกับผู้คนที่หลากหลาย 3. ใช้ความคิดค้นหาจุดเด่นหรือเอกลักษณ์ของตัวเอง 4. รวบรวมจิตใจให้มีสติและสมาธิ ไม่ประหม่าหรือตื่นกลัวเมื่อต้องแสดงความคิดเห็น 5. สร้างบุคลิกภาพที่ดีตามแบบของตนเองให้เป็นธรรมชาติ ฯลฯ

100. ข้อใดไม่ใช่วิธีฝึกตัวเองให้พร้อมสําหรับการแสดงความคิดเห็นต่อที่สาธารณะ

(1) อ่านหนังสือเยอะ ๆ เก็บสะสมข้อมูลไว้เป็นทุน เวลาจะต้องพูดคุยจะได้ดูเก๋ ๆ เท่ ๆ

(2) เริ่มสร้างบุคลิกภาพที่ดีตามแบบของคุณให้เป็นธรรมชาติ

(3) ฝึกความอดทนจากการลงแข่งไตรกีฬา

(4) หมั่นสนทนาแลกเปลี่ยนทัศนะกับผู้คนที่หลากหลาย

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 99. ประกอบ

101. ข้อใดไม่ใช่คําที่ควรพูดเพื่อใช้สร้างทัศนคติที่ดี

(1) ขอโทษค่ะ

(2) ขอบคุณค่ะ

(3) ไม่ต้องค่ะ

(4) ไม่เป็นไรค่ะ

ตอบ 3 (คําบรรยาย) คําที่ควรพูดเพื่อใช้สร้างทัศนคติที่ดี และถือเป็นมารยาทในการพูด ได้แก่การหมั่นฝึกพูดคําว่า “ขอบคุณ” เมื่อมีผู้แสดงคุณต่อตน, “ขอโทษ” เมื่อตนทําพลาดพลั้งสิ่งใดแก่บุคคลใด และ “ไม่เป็นไร” ซึ่งแสดงถึงการให้อภัยเมื่อมีผู้ทําพลาดพลั้งสิ่งใดแก่ตัวเรา

102. ข้อใดไม่ใช่วิธีการดูแลสุขภาพร่างกายและรูปร่างที่ดี

(1) เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์

(2) เลี้ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่

(3) การออกกําลังกายอย่างสม่ำเสมอ

(4) การรับประทานวิตามินอาหารเสริมชนิดเม็ด ฉีดโบท็อก

ตอบ 4 (คําบรรยาย) วิธีการดูแลสุขภาพร่างกายและรูปร่างที่ดี มีดังนี้

1. เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบ 5 หมู่

2. ขับถ่ายทุกวันและให้เป็นเวลา

3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

4. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 6 แก้ว

5. หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และบุหรี่

6. ออกกําลังกายอย่างสม่ำเสมอ

7. ทําจิตใจและอารมณ์ให้แจ่มใส ฯลฯ

103. ผู้ใดถือว่ามีความสันโดษ

(1) วิวพอใจในหน้าตาของตน

(2) แววชอบอยู่คนเดียว

(3) วิมชอบอยู่เงียบ ๆ

(4) วัฒน์ชอบเข้าป่า

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

104. ข้อใดเป็นงานไม่มีโทษ

(1) งานสบาย

(2) งานรายได้ดี

(3) งานไม่ผิดกฎหมาย

(4) งานมีเกียรติ

ตอบ 3

พระพุทธเจ้าได้แสดงมงคล 38 ประการไว้ในข้อ 18 ว่า การทํางานที่ไม่มีโทษ ได้แก่
1.งานไม่ผิดกฎหมาย คือ ทําให้ถูกต้องตามกฎหมายของบ้านเมือง 2. งานไม่ผิดประเพณี คือ แบบแผนที่ปฏิบัติกันมาแต่เดิม ควรดําเนินตาม 3. งานไม่ผิดศีล คือ ข้อห้ามที่บัญญัติไว้ในศีล 5 4. งานไม่ผิดธรรม คือ หลักธรรมทั้งหลาย เช่น งานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการพนัน การหลอกลวง ฯลฯ

105. ผู้ใดถือเป็นผู้ที่ได้กุศลสูงสุดจากการทําทาน

(1) ฟางยกโทษให้โจรปล้นจี้

(2) ฟูช่วยคนเป็นลม

(3) ฟิวส์สอนหนังสือธรรมะให้เพื่อน

(4) ฟ้าบริจาคเงินสร้างวัด

ตอบ 3

พระพุทธเจ้าได้แสดงมงคล 38 ประการไว้ในข้อ 15 ว่า การให้ทาน คือ การให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน เพื่อชําระความโลภในจิตใจให้หมดสิ้นไป โดยมีความมุ่งหมายให้ผู้รับได้พ้นจากความทุกข์ แบ่งออกเป็น 3 อย่าง ดังนี้ 1. อามิสทาน คือ การให้วัตถุ สิ่งของ ทรัพย์สินหรือเงินเป็นทาน 2. ธรรมทาน คือ การสอนให้ธรรมะ (หลักคุณธรรม) เป็นความรู้เป็นทาน ซึ่งถือเป็นคุณธรรมสูงสุด เพราะเป็นการให้ที่สําคัญที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุด และได้กุศลสูงสุด ดังพุทธศาสนสุภาษิตบทหนึ่งที่ว่า “สพพทานํ ธมมทานํ ชินาติ” แปลว่า การให้ธรรมะ ย่อมชนะการให้ทั้งปวง 3. อภัยทาน คือ การให้อภัยแก่บุคคลที่ทําไม่ดีกับเรา หรือล่วงเกินเราด้วยกาย วาจา และใจ ไม่จองเวรหรือพยาบาทกัน ซึ่งถือเป็นการให้ที่ยากที่สุดสําหรับคนในสังคมยุคปัจจุบัน

106. ข้อใดเป็นลักษณะของ “พหูสูต”

(1) รู้ทุกเรื่อง

(2) รู้ลึก รู้กว้าง

(3) รู้ในเรื่องที่ผู้อื่นไม่รู้

(4) รู้ดี

ตอบ 2

พระพุทธเจ้าได้แสดงมงคล 38 ประการไว้ในข้อ 7 ว่า ความเป็นพหูสูต คือ เป็นผู้ฟังมาก เล่าเรียนมาก เป็นผู้รอบรู้ ซึ่งมีลักษณะดังนี้ 1. รู้ลึก คือ การรู้ในเรื่องนั้น ๆ อย่างหมดจดทุกแง่ทุกมุม 2. รู้รอบ คือ การรู้จักสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบตัว 3. รู้กว้าง คือ การรู้ในสิ่งใกล้เคียงกับเรื่องนั้น ๆ ที่เกี่ยวข้องกัน สัมพันธ์กัน 4. รู้ไกล คือ การศึกษาถึงความเป็นไปได้ ผลในอนาคต

107. ข้อใดไม่จัดว่าเป็น “อาวาสเป็นที่สบาย”

(1) อยู่ใกล้แหล่งชุมชน

(2) เดินทางสะดวก

(3) โอ่อ่ากว้างขวาง

(4) สะอาด

ตอบ 3

พระพุทธเจ้าได้แสดงมงคล 38 ประการไว้ในข้อ 4 ว่า การอยู่ในถิ่นอันสมควรซึ่งประกอบด้วยสิ่งแวดล้อม 4 อย่าง ได้แก่ 1. อาวาสเป็นที่สบาย หมายถึง อยู่แล้วสบาย เช่น สะอาด เดินทางไปมาสะดวก อากาศดีเป็นแหล่งชุมชน ไม่มีแหล่งอบายมุข เป็นต้น 2. อาหารเป็นที่สบาย หมายถึง อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ 3. บุคคลเป็นที่สบาย หมายถึง ที่ที่มีคนดี จิตใจโอบอ้อมอารี ถ้อยทีถ้อยอาศัย 4. ธรรมะเป็นที่สบาย หมายถึง มีที่พึงด้านธรรมะ มีที่ฟังธรรม เช่น มีวัด มีโรงเรียน หรือแหล่งศึกษาหาความรู้อยู่ในละแวกนั้น เป็นต้น

108. การบูชาบุคคลที่ดีที่สุดควรบูชาด้วยสิ่งใด

(1) เงินทอง

(2) การปฏิบัติตามคําสอน

(3) พวงมาลัย

(4) กราบไหว้

ตอบ 2

พระพุทธเจ้าได้แสดงมงคล 38 ประการไว้ในข้อ 3 ว่า การบูชาบุคคลที่ควรบูชา คือ การแสดงความเคารพบุคคลที่เรานับถือยกย่องเลื่อมใสในบุคคลนั้น แบ่งออกเป็น 2 อย่าง ดังนี้ 1. อามิสบูชา คือ การบูชาด้วยสิ่งของ เช่น การนําเงินทองหรือทรัพย์สินไว้ให้พ่อแม่ใช้จ่าย การกราบไหว้พระด้วยพวงมาลัย ฯลฯ 2. ปฏิบัติบูชา ซึ่งเป็นการบูชาบุคคลที่ดีที่สุด คือ การบูชาด้วยการเจริญสมาธิภาวนา การปฏิบัติตามคําสอนของศาสนา การฝึกจิตไม่ให้ฟุ้งซ่าน เห็นความจริงในความเป็นไปของโลก ฯลฯ

109. ผู้ใดถือว่ามีมงคล 38 ประการว่าด้วย “การคบบัณฑิต”

(1) สุคบแต่คนจบมหาวิทยาลัย

(2) สนคบเพื่อนที่มีความรับผิดชอบ

(3) สินคบแต่คนฉลาด

(4) สันต์คบคนเรียบร้อย

ตอบ 2

พระพุทธเจ้าได้แสดงมงคล 38 ประการไว้ในข้อ 2 ว่า ให้คบคนดีเป็นเพื่อนหรือคบบัณฑิต หมายถึง ผู้ทรงความรู้ มีปัญญา มีจิตใจที่งาม และมีการดําเนินชีวิตที่ถูกต้อง รู้ดีรู้ชั่ว (ไม่ใช่คนที่จบปริญญาโดยนัย) ซึ่งมีลักษณะดังนี้ 1. เป็นคนคิดดี คือ ไม่คิดละโมบ ไม่พยาบาทปองร้ายใคร รู้จักให้อภัย ฯลฯ 2. เป็นคนพูดดี คือ มีวจีสุจริต พูดจริงทําจริง ไม่โกหก ฯลฯ 3. เป็นคนทําดี คือ ทําอาชีพสุจริต มีเมตตา มีความรับผิดชอบ ฯลฯ

110. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของคนพาล

(1) พูดจาไร้สาระ

(2) เกียจคร้าน

(3) ขี้อิจฉา

(4) ชอบยุแยง

ตอบ 2

พระพุทธเจ้าได้แสดงมงคล 38 ประการไว้ในข้อ 1 ว่า การไม่คบคนพาลซึ่งมีลักษณะ 3 ประการ ดังนี้ 1. คิดชั่ว คือ มีจิตคิดอยากได้ในทางทุจริต มีความพยาบาท ขี้อิจฉา และมีมิจฉาทิฐิ (เห็นผิดเป็นชอบ) 2. พูดชั่ว คือ คําพูดที่ประกอบไปด้วยวจีทุจริต ได้แก่ พูดเท็จ พูดส่อเสียดยุแยงให้แตกแยกพูดคําหยาบ และพูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระ 3. ทําชั่ว คือ ทําอะไรที่ประกอบไปด้วยกายทุจริต เช่น การฆ่าสัตว์ ลักขโมย ฉ้อโกง ฯลฯ

111. เคราะห์ หมายถึงข้อใด

(1) น้ำทําธุรกิจขาดทุน

(2) นนท์เกิดปีชง

(3) หนึ่งหน้าตาหมองคล้ำ

(4) นันท์ถูกจิ้งจกทัก

ตอบ 1 คําว่า “เคราะห์” มาจาก คฺรห แปลว่า ยึด ความยึดมั่น ถือมั่น หรือปัญหา เช่น การทําธุรกิจแล้วเกิดปัญหาขาดทุน เป็นต้น ส่วนการสะเดาะเคราะห์ หมายถึง การทําให้ปัญหานั้นหลุดออกไป แบ่งออกเป็น 2 แบบ ดังนี้ 1. แบบโหราศาสตร์ที่เจือด้วยไสยศาสตร์ (ได้ความสบายใจที่เจือด้วยอวิชชา ผ่านกรรมวิธีตามความเชื่อ) เช่น การไหว้พระเก้าวัด เผาฮู้ไล่โชคร้าย และบวชต่ออายุ เพราะเชื่อว่าจะทําให้พ้นจากทุกข์ หรือได้รับในสิ่งที่ตนปรารถนาไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า เป็นต้น 2. แบบพุทธศาสตร์ (ได้ความสบายใจที่แท้จริง ผ่านกระบวนการของเหตุและผลตามหลักพระพุทธศาสนา) คือ การรู้ถึงสาเหตุของปัญหาที่เกิดกับตนเองแล้วหาทางแก้ไข เช่นการรู้จักระมัดระวังตัวเองมากขึ้นหลังจากเคยถูกปล้น เป็นต้น

112. บุคคลใดสะเดาะเคราะห์ตามหลักพระพุทธศาสนา

(1) ปิ่นไหว้พระเก้าวัด

(2) ป่านเผาฮู้ไล่โชคร้าย

(3) ปีปถูกปล้น จึงระวังตัวมากขึ้น

(4) ปอนด์บวชต่ออายุ

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 111. ประกอบ

113. ข้อใดไม่ใช่ภูมิปัญญาไทย

(1) ลูกประคบ

(2) หนังตะลุง

(3) การลอยโคม

(4) ตาข่ายดักฝัน

ตอบ 4

ภูมิปัญญาไทย หมายถึง องค์ความรู้ ความสามารถ และทักษะด้านต่าง ๆ ในการดํารงชีวิตของคนไทย อันเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ทั้งทางตรง และทางอ้อมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยมีลักษณะเป็นองค์รวมทางความรู้ที่มีคุณค่าทาง วัฒนธรรม และเป็นพื้นฐานสําคัญในการดํารงชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคนไทย เช่น การทําลูกประคบสมุนไพร การทําหนังตะลุง ประเพณีลอยโคมยี่เป็ง ฯลฯ

114. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของภูมิปัญญาไทย

(1) เป็นเรื่องของการแก้ปัญหา การจัดการ

(2) เป็นทักษะ ความรู้ ความเชื่อ และพฤติกรรม

(3) มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

(4) ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ตอบ 4

ลักษณะของภูมิปัญญาไทย มีดังนี้ 1. มีลักษณะเป็นทั้งความรู้ ทักษะ ความเชื่อ และพฤติกรรม 2. เป็นองค์รวมหรือกิจกรรมทุกอย่างในวิถีชีวิตของคน 3. แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน คนกับธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ 4. มีลักษณะเฉพาะหรือมีเอกลักษณ์ในตัวเอง 5. เป็นเรื่องของการแก้ปัญหา การจัดการ การปรับตัว และการเรียนรู้ เพื่อความอยู่รอดของบุคคล ชุมชน และสังคม 6. มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อการปรับสมดุลในพัฒนาการทางสังคม ฯลฯ

115. ภูมิปัญญาไทยมีความสําคัญอย่างไร

(1) ทําให้คนดูฉลาด

(2) เป็นสัญลักษณ์ของความศิวิไลซ์

(3) ช่วยปรับปรุงวิถีชีวิตคนไทยให้ดีขึ้น

(4) ใช้แยกแยะจําแนกชาติพันธุ์

ตอบ 3

เมื่อปี พ.ศ. 2541 คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ ได้สรุปความสําคัญของภูมิปัญญาไทยไว้ ดังนี้ 1. ช่วยสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง 2. สร้างความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีเกียรติภูมิให้แก่คนไทย 3. สามารถปรับประยุกต์หลักธรรมคําสอนทางศาสนามาใช้กับชีวิตได้อย่างเหมาะสม 4. สร้างความสมดุลระหว่างคนกับสังคมและธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน
5. ช่วยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนไทยให้ดีขึ้นและเหมาะสมกับยุคสมัย

116. ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทย

(1) ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ

(2) อิทธิพลของวัฒนธรรมภายนอก

(3) รายได้

(4) ศาสนา ความเชื่อ

ตอบ 3

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทย มีดังนี้ 1. การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยที่เกิดจากการดํารงชีวิต 2. การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยที่เกิดจากความเชื่อและศาสนา และ 3. การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยที่เกิดจากสภาพภูมิศาสตร์ ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม 4. การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยที่เกิดจากอิทธิพลของวัฒนธรรมภายนอก 5. การสร้างสรรค์ภูมิปัญญาไทยโดยอาศัยประสบการณ์

117. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะความสัมพันธ์ของภูมิปัญญาไทย

(1) คนกับวัตถุ

(2) คนกับคน

(3) คนกับสิ่งแวดล้อม

(4) คนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 114. ประกอบ

118. ข้อใดคือภูมิปัญญาไทยสาขาศิลปกรรม

(1) ยาแผนโบราณ

(2) มโนราห์

(3) ประเพณีลอยโคม

(4) บุญบั้งไฟ

ตอบ 2

ภูมิปัญญาไทยสาขาศิลปกรรม หมายถึง ความสามารถในการผลิตผลงานทางศิลปะสาขาต่าง ๆ ได้แก่ จิตรกรรม ประติมากรรม วรรณกรรม ทัศนศิลป์ และคีตศิลป์ เช่น การรํามโนราห์ ศิลปะมวยไทย การร้องลําตัด ฯลฯ

119. พิณไม่แชร์ข้อความทางไลน์โดยไม่ตรวจสอบ ถือว่าพิณมีคุณธรรมเรื่องใด

(1) กาลามสูตร

(2) ศีลธรรม

(3) สังคหวัตถุ 4

(4) พรหมวิหาร 4

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 58. ประกอบ

120. ข้อใดไม่ใช่การวางตัวที่เหมาะสมในสังคมด้านการแต่งกายที่ดี

(1) เหมาะสมกับแฟชั่นแนวอินดี้ที่วัยรุ่นกําลังนิยม

(2) เหมาะสมกับสถานภาพ

(3) เหมาะสมกับวัย

(4) เหมาะสมกับกาลเทศะ

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 72. ประกอบ

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560 ข้อสอบกระบวนวิชา

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายจันทร์บอกขายที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหนึ่งให้นายอังคารในราคา 5 ล้านบาท นายอังคารมาดู
ที่ดินแปลงนี้แล้วพอใจตอบตกลงซื้อ โดยนายอังคารจ่ายเงินค่าที่ดินให้นายจันทร์ 1 ล้านบาท ส่วนที่ยังขาดอยู่นายอังคารจะชําระให้ในวันที่นายจันทร์กลับจากต่างประเทศและไปจดทะเบียนโอนให้ นายจันทร์ได้ส่งมอบที่ดินให้นายอังคาร นายอังคารอยู่มา 3 ปี นายจันทร์กลับจากต่างประเทศก็หาได้ไปโอนให้ นายอังคารอยู่ติดต่อมาอีก 12 ปี ที่ดินแปลงนี้มีราคาท้องตลาดสูงขึ้นกว่า 100 ล้านบาท นายจันทร์อยากได้คืนและขอให้นายอังคารคืนที่ดินแปลงนี้ นายอังคารไม่คืน ดังนี้ นายจันทร์จะมีสิทธิเรียกที่ดินแปลงนี้คืนจากนายอังคารได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้มีกําหนดสิบปี”

มาตรา 456 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพ และสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคํามั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้ มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือได้วางประจําไว้ หรือได้ชําระหนี้ บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายจันทร์บอกขายที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหนึ่งให้นายอังคารใน ราคา 5 ล้านบาทและนายอังคารตอบตกลงซื้อ โดยนายอังคารจ่ายเงินค่าที่ดินให้นายจันทร์ 1 ล้านบาท ส่วนที่ยังขาดอยู่นายอังคารจะชําระให้ในวันที่นายจันทร์กลับจากต่างประเทศและไปจดทะเบียนโอนให้นั้น สัญญาซื้อขาย ที่ดินระหว่างนายจันทร์และนายอังคารดังกล่าวย่อมเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย เพราะเป็นการตกลงซื้อขายทรัพย์สิน ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์และคู่สัญญาไม่มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่กันในขณะทําสัญญาซื้อขาย แต่มีเจตนาที่จะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่กันในภายหน้า

และจากข้อเท็จจริง การที่นายจันทร์ได้ส่งมอบที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคารครอบครอง และนายอังคารได้อยู่ในที่ดินแปลงนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายนั้น จะถือว่านายอังคารเจตนาจะยึดถือที่ดินเพื่อตนไม่ได้ แต่ต้องถือว่าเป็นการยึดถือแทนนายจันทร์ และแม้นายอังคารจะอยู่ในที่ดินมาได้ 15 ปี ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ (ตามมาตรา 1382) ดังนั้น เมื่อนายจันทร์ผิดนัดไม่ไปจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญา นายอังคารย่อมมีสิทธิเรียกร้องและบังคับให้นายจันทร์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้ให้ตนได้ตามมาตรา 456 วรรคสอง แต่นายอังคารต้องใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวภายในอายุความ 10 ปีนับแต่วันที่นายจันทร์ผิดสัญญาตามมาตรา 193/30

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อนายจันทร์ผิดสัญญาจะซื้อจะขาย นายอังคารก็ปล่อยเวลา ให้ล่วงเลยไปโดยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องบังคับให้นายจันทร์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้ให้แก่ตน จนพ้น 10 ปีนับ แต่วันผิดสัญญา ทําให้สิทธิเรียกร้องของนายอังคารขาดอายุความ และมีผลทําให้นายอังคารต้องเสียสิทธิในที่ดินแปลงนี้ ดังนั้น นายจันทร์จึงมีสิทธิเรียกที่ดินแปลงนี้คืนจากนายอังคารได้

สรุป นายจันทร์มีสิทธิเรียกที่ดินแปลงนี้คืนจากนายอังคารได้

 

ข้อ 2. นายมะม่วงตกลงซื้อกระป๋องสําหรับบรรจุปลาซาดีนกับน้ำซอสมะเขือเทศจากนายมะยม เมื่อ
นายมะม่วงได้รับมอบกระป๋องจากพนักงานส่งสินค้าของนายมะยมแล้วพบว่ากระป๋องที่สั่งซื้อ เป็นสนิมและมีความชํารุดบกพร่องอย่างอื่นอันเป็นผลเนื่องมาจากกระบวนการผลิตของนายมะยม ทําให้ไม่อาจใช้บรรจุปลาซาดีนกับน้ำซอสมะเขือเทศเพื่อนําออกจําหน่ายได้ นายมะม่วงรับเอากระป๋องไว้ก่อนแต่ได้เรียกให้นายมะยมนํากระป๋องที่มีสภาพสมบูรณ์มาเปลี่ยนให้ใหม่ในภายหลัง ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่านายมะยมจะต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่าผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชํารุดบกพร่องมีอยู่”

มาตรา 473 “ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชํารุดบกพร่อง หรือควรจะได้รู้เช่นนั้น หากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน

(2) ถ้าความชํารุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ และผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อน

(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด”

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชํารุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิด ถ้าทรัพย์สินที่ขายชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่ง และต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดี ผู้ขายก็ไม่จําต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าความชํารุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ แต่ผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้คิดเอื้อน เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมะม่วงตกลงซื้อกระป๋องสําหรับบรรจุปลาซาดีนกับน้ำซอส มะเขือเทศจากนายมะยม เมื่อนายมะม่วงได้รับกระป๋องแล้วพบว่ากระป๋องที่สั่งซื้อเป็นสนิมและมีความชํารุดบกพร่อง อย่างอื่นอันมีผลมาจากกระบวนการผลิตของนายมะยม ทําให้ไม่อาจใช้บรรจุปลาซาดีนกับน้ำซอสมะเขือเทศ เพื่อนําออกจําหน่ายได้นั้น ถือว่าทรัพย์สินที่ตกลงซื้อกันมีความชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งหมายโดยสัญญา ดังนี้นายมะยมผู้ขายย่อมต้องรับผิดในความชํารุด บกพร่องนั้นต่อนายมะม่วงผู้ซื้อตามมาตรา 472
และการที่ความชํารุดบกพร่องนั้นได้เห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ และนายมะม่วงได้รับเอากระป๋องไว้ก่อนแต่ได้เรียกให้นายมะยมนํากระป๋องที่มีสภาพสมบูรณ์มาเปลี่ยนให้ใหม่ในภายหลังนั้น กรณีดังกล่าวไม่ถือว่านายมะม่วงผู้ซื้อได้รับเอาทรัพย์สินนั้นโดยมิได้คิดเอื้อนหรือโต้แย้งไว้ตามนัยของมาตรา 473 (2) อันจะทําให้ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้นแต่อย่างใด แต่เป็นกรณีที่ผู้ซื้อได้รับเอาทรัพย์สินนั้นไว้ โดยมีการอิดเอื้อนหรือโต้แย้งไว้แล้ว ดังนั้น นายมะยมผู้ขายจึงยังคงต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้นตาม มาตรา 472 จะอ้างมาตรา 473 (2) เพื่อให้ตนหลุดพ้นจากความรับผิดไม่ได้

สรุป นายมะยมจะต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นนั้น

 

ข้อ 3. ดําทําสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนขายฝากที่ดินแปลงหนึ่งของดําไว้กับแดงในราคา 400,000 บาท
โดยไม่ได้กําหนดค่าสินไถ่และไม่ได้กําหนดเวลาไถ่คืน ขายฝากไปได้ 3 ปี ดําต้องการจะไปขอไถ่ที่ดินคืนจากแดง แต่แดงขอผัดผ่อน ดําและแดงจึงได้ทําเอกสารบันทึกข้อตกลงเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อ ทั้งดําและแดง ว่าทั้งคู่ตกลงขยายกําหนดเวลาไถ่คืน แต่ก็ไม่ได้กําหนดเวลาที่ขยายไว้แน่นอนในสัญญาข้อตกลง เมื่อครบ 2 ปีหลังจากทําข้อตกลง ดําได้นําเงิน 400,000 บาท มาขอไถ่ที่ดินแปลงนี้ คืนจากแดง แต่แดงไม่ยอมให้ไถ่อ้างว่าถ้าจะไถ่ต้องจ่ายดอกเบี้ยอีกร้อยละ 15 ต่อปีจากเงินต้น 400,000 บาท เป็นระยะเวลาที่ขายฝาก 5 ปี แต่คราวนี้ ดําไม่ยอม ดําจึงได้นําเงิน 400,000 บาท ไปวางทรัพย์ต่อสํานักงานวางทรัพย์ทันทีในวันนั้น โดยสละสิทธิถอนทรัพย์ที่ได้วาง

ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ที่ดําขายฝากไว้กับแดงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของดําแล้วหรือยัง เพราะเหตุใด และถ้าแดงไม่ยอมไปเพิกถอนทะเบียนให้กับดํา ดําจะมีสิทธิอย่างไร ภายในอายุความเท่าใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้มีกําหนดสิบปี”

มาตรา 492 วรรคหนึ่ง “ในกรณีที่มีการไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากภายในเวลาที่กําหนดไว้ ในสัญญาหรือภายในเวลาที่กฎหมายกําหนด หรือผู้ไถ่ได้วางทรัพย์อันเป็นสินไถ่ต่อสํานักงานวางทรัพย์ภายใน กําหนดเวลาไถ่โดยสละสิทธิถอนทรัพย์ที่ได้วางไว้ให้ทรัพย์สินซึ่งขายฝากตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ไถ่ตั้งแต่เวลาที่ผู้ไถ่ได้ชําระสินไถ่หรือวางทรัพย์อันเป็นสินไถ่ แล้วแต่กรณี

มาตรา 494 “ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ กําหนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย”

มาตรา 496 วรรคหนึ่ง “กําหนดเวลาไถ่นั้น อาจทําสัญญาขยายกําหนดเวลาไถ่ได้ แต่กําหนดเวลาไถ่รวมกันทั้งหมด ถ้าเกินกําหนดเวลาตามมาตรา 494 ให้ลดลงมาเป็นกําหนดเวลาตามมาตรา 494”

มาตรา 499 “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กําหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก
ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กําหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริง เกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ดําทําสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนขายฝากที่ดินแปลงหนึ่ง ของดําไว้กับแดงในราคา 400,000 บาท โดยไม่ได้กําหนดค่าสินไถ่และไม่ได้กําหนดเวลาไถ่คืนไว้นั้น ดังนี้ดําย่อม มีสิทธิไถ่ที่ดินคืนได้ภายในกําหนด 10 ปีนับแต่เวลาขายฝากตามมาตรา 494 (1) และสามารถไถ่คืนได้ตามราคา ขายฝากคือ 400,000 บาท ตามมาตรา 499 วรรคหนึ่ง

เมื่อขายฝากไปได้ 3 ปี ดําต้องการขอไถ่ที่ดินคืนจากแดง แต่แดงขอผัดผ่อน โดยดําและแดง ได้ทําเอกสารบันทึกข้อตกลงเป็นหนังสือว่าทั้งคู่ตกลงขยายกําหนดเวลาไถ่คืนนั้น เมื่อไม่ได้กําหนดเวลาที่ขยายไว้ เป็นที่แน่นอนในสัญญาข้อตกลง การใช้สิทธิไถ่คืนจึงต้องเป็นไปตามมาตรา 494 (1) ประกอบมาตรา 496 วรรคหนึ่ง คือภายใน 10 ปีนับแต่เวลาขายฝาก ดังนั้น เมื่อครบกําหนด 2 ปีหลังจากทําข้อตกลง ดําได้นําเงิน 400,000 บาท มาขอไถ่ที่ดินคืนจากแดง ดําย่อมสามารถใช้สิทธิไถ่คืนได้ เพราะเป็นการใช้สิทธิไถ่คืนภายในกําหนดตาม มาตรา 494 (1) และเป็นการใช้สินไถ่ที่ถูกต้องตามมาตรา 499 วรรคหนึ่ง แดงจะไม่ยอมให้ไถ่โดยอ้างว่า ถ้าจะไถ่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยอีกร้อยละ 15 ต่อปีจากเงินต้น 400,000 บาท เป็นระยะเวลาที่ขายฝาก 5 ปีนั้นไม่ได้ เพราะมิใช่เป็นกรณีที่มีการกําหนดสินไถ่หรือราคาขายฝากไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามมาตรา 499 วรรคสองแต่อย่างใด

และเมื่อดําได้นําเงิน 400,000 บาท ไปวางทรัพย์ต่อสํานักงานวางทรัพย์ทันทีในวันนั้น โดยสละสิทธิถอนทรัพย์ที่ได้วางไว้ ย่อมถือว่าดําได้ใช้สิทธิไถ่ถูกต้องตามกฎหมายตามมาตรา 492 วรรคหนึ่งแล้ว ดังนั้น กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ที่ดําขายฝากไว้กับแดงจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของดําแล้ว และถ้าแดงไม่ยอมไปเพิกถอนทะเบียนให้กับดํา ดําย่อมมีสิทธิฟ้องต่อศาลภายในอายุความ 10 ปีตามมาตรา 193/30 และนําคําพิพากษามาแทนการแสดงเจตนาของแดงได้

สรุป กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ที่ดําขายฝากไว้กับแดงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของดําแล้ว และถ้าแดงไม่ยอมไปเพิกถอนทะเบียนให้ดํา ดําย่อมมีสิทธิฟ้องต่อศาลได้ภายในอายุความ ตามเหตุผลและหลักกฎหมาย ดังกล่าวข้างต้น

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. สัญญาเช่าที่ดินระหว่างนายหนุ่มและนางสวยมีข้อความตอนหนึ่งระบุว่า “นายหนุ่มผู้ให้เช่าขอให้สัญญาว่าหากนางสวยผู้เช่ามีความประสงค์จะซื้อที่ดินแปลงนี้เมื่อใด นายหนุ่มจะขายให้ในราคา 1,000,000 บาท และเมื่อนางสวยยอมซื้อนายหนุ่มจะขายที่ดินให้ผู้อื่นไม่ได้จะต้องขายให้นางสวย และจะโอนกรรมสิทธิ์กันทันที” เมื่อนายหนุ่มผู้ให้เช่าได้ส่งจดหมายบอกกล่าวให้นางสวยทราบแล้วว่า ถ้าประสงค์จะซื้อที่ดินให้แจ้งให้นายหนุ่มทราบภายใน 15 วัน นางสวยผู้เช่าได้รับหนังสือแล้วจึง ตอบกลับมาในวันที่ 16 ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าการที่นายหนุ่มปฏิเสธที่จะขายที่ดินให้นางสวยรับฟัง ได้หรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 454 “การที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งให้คํามั่นไว้ก่อนว่าจะซื้อหรือขายนั้น จะมีผลเป็นการซื้อขาย ต่อเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งได้บอกกล่าวความจํานงว่าจะทําการซื้อขายนั้นให้สําเร็จตลอดไปและคําบอกกล่าวเช่นนั้นได้ ไปถึงบุคคลผู้ให้คํามั่นแล้ว
ถ้าในคํามั่นมิได้กําหนดเวลาไว้เพื่อการบอกกล่าวเช่นนั้นไซร้ ท่านว่าบุคคลผู้ให้คํามั่นจะ กําหนดเวลาพอสมควร และบอกกล่าวไปยังคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งให้ตอบมาเป็นแน่นอนภายในเวลากําหนดนั้นก็ได้ ว่าจะทําการซื้อขายให้สําเร็จตลอดไปหรือไม่ ถ้าและไม่ตอบเป็นแน่นอนภายในกําหนดเวลานั้นไซร้ คํามั่นซึ่งได้ให้ ไว้ก่อนนั้นก็เป็นอันไร้ผล”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สัญญาเช่าที่ดินระหว่างนายหนุ่มและนางสวยมีข้อความตอนหนึ่งว่า “นายหนุ่มผู้ให้เช่าขอให้สัญญาว่า หากนางสวยผู้เช่ามีความประสงค์จะซื้อที่ดินแปลงนี้เมื่อใด นายหนุ่มจะขายให้ ในราคา 1,000,000 บาท” นั้น ข้อความดังกล่าวถือว่าเป็นคํามั่นในการซื้อขาย เพราะเป็นความผูกพันก่อนเกิด สัญญาซื้อขายที่นายหนุ่มผู้ให้คํามั่นผูกพันตนแต่เพียงฝ่ายเดียวว่าจะขายที่ดินให้แก่นางสวยผู้รับการแสดงเจตนา ตามคํามั่นที่นายหนุ่มให้ไว้ ซึ่งโดยหลักแล้ว ถ้านางสวยได้ตอบรับและคํามั่นได้มาถึงนายหนุ่มแล้วย่อมเกิดเป็นสัญญาซื้อขายขึ้นตามมาตรา 454 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายหนุ่มได้บอกกล่าวให้นางสวยทราบแล้วว่า ถ้าประสงค์จะซื้อที่ดิน ให้แจ้งให้นายหนุ่มทราบภายใน 15 วัน แต่นางสวยผู้เช่าได้รับหนังสือแล้วได้ตอบกลับมาในวันที่ 16 ซึ่งล่วงเลยเวลาที่นายหนุ่มได้กําหนดขึ้น ย่อมทําให้คํามั่นที่นายหนุ่มได้ให้ไว้ดังกล่าวนั้นเป็นอันไร้ผลตามมาตรา 454 วรรคสอง ดังนั้น การที่นายหนุ่มปฏิเสธที่จะขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นางสวยจึงสามารถรับฟังได้

สรุป การที่นายหนุ่มปฏิเสธที่จะขายที่ดินให้แก่นางสวยรับฟังได้

 

ข้อ 2. นายหนึ่งนักสะสมรถยนต์มินิคาร์นํารถยนต์ออกขายทอดตลาด จํานวน 10 คัน นายสามประมูล
ซื้อไป 1 คัน นายสองประมูลซื้อไป 1 คัน ภายหลังจากการส่งมอบชําระราคา ปรากฏว่ารถยนต์ ซึ่งนายสองซื้อไปสตาร์ทให้รถยนต์เครื่องติดลําบากมาก ติด ๆ ดับ ๆ ส่วนคันที่นายสามซื้อไปต่อมามี นายดํานําพยานหลักฐานพร้อมมูลมาแสดงทําให้นายสามเชื่อว่าเป็นรถยนต์ของนายดําซึ่งถูกขโมย มาจึงยอมคืนรถยนต์ให้แก่นายดําไป นายสองจะฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดชอบในความชํารุดบกพร่อง และนายสามจะฟ้องนายหนึ่งให้ รับผิดชอบว่าตนถูกรอนสิทธิได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ถ้าฟ้องได้จะต้องฟ้องภายในกําหนดระยะเวลา เท่าใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุให้ เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่า ผู้ขายต้องรับผิด
ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชํารุดบกพร่องมีอยู่”

มาตรา 473 “ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด”

มาตรา 475 “หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สิน โดยปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น”

มาตรา 481 “ถ้าผู้ขายไม่ได้เป็นคู่ความในคดีเดิม หรือถ้าผู้ซื้อได้ประนีประนอมยอมความ กับบุคคลภายนอก หรือยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้องไซร้ ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิ เมื่อพ้นกําหนดสามเดือนนับแต่วันคําพิพากษาในคดีเดิมถึงที่สุด หรือนับแต่วันประนีประนอมยอมความ หรือวันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้องนั้น”

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชํารุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิด ถ้าทรัพย์สินที่ขายชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่ง และต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดีผู้ขายก็ไม่จําต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด เป็นต้น

ส่วนการรอนสิทธินั้นเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ในเวลาซื้อขายได้เข้ามาขัดสิทธิให้ผู้ซื้อไม่สามารถครองทรัพย์สินโดยปกติสุขได้ ซึ่งตามมาตรา 475 กําหนดให้ผู้ขาย ต้องรับผิดเพราะเหตุการรอนสิทธินั้น แต่ถ้าหากผู้ซื้อได้ยอมตามที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือกว่านั้นเรียกร้องแล้ว ผู้ซื้อจะต้องฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธินั้นภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้อง มิฉะนั้นจะไม่สามารถฟ้องคดีได้ตามมาตรา 481

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีนายสอง การที่นายสองได้ซื้อรถยนต์มาจากการขายทอดตลาดของนายหนึ่งมา 1 คัน และเมื่อสตาร์ทรถยนต์เครื่องติดลําบากมาก คือ ติด ๆ ดับ ๆ นั้น ถือว่ามีความชํารุดบกพร่องเกิดขึ้นกับทรัพย์สิน ที่นายสองซื้อมาอันเป็นเหตุให้ทรัพย์สินนั้นเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ โดยหลักแล้ว นายหนึ่งผู้ขายจะต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้นตามมาตรา 472

แต่อย่างไรก็ดี ถึงแม้นายหนึ่งจะต้องรับผิดต่อนายสองเพื่อความชํารุดบกพร่องนั้น แต่เมื่อปรากฏว่ารถยนต์ที่นายสองซื้อมานั้นเป็นการซื้อมาจากการขายทอดตลาด จึงเข้าข้อยกเว้นที่นายหนึ่งผู้ขายไม่ต้อง รับผิดในความชํารุดบกพร่องตามมาตรา 473 (3) ดังนั้น นายสองจะฟ้องนายหนึ่งให้รับผิดในความชํารุดบกพร่อง ที่เกิดขึ้นไม่ได้

กรณีนายสาม การที่นายสามได้ซื้อรถยนต์มาจากการขายทอดตลาดของนายหนึ่งมา 1 คัน แต่ต่อมานายดําได้นําพยานหลักฐานพร้อมมูลมาแสดง ทําให้นายสามเชื่อว่าเป็นรถยนต์ของนายดําซึ่งถูกขโมยมา จึงยอมคืนรถยนต์ให้แก่นายดําไปนั้นถือว่าเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ใน เวลาซื้อขายได้เข้ามาขัดสิทธิทําให้ผู้ซื้อคือนายสามไม่สามารถครอบครองทรัพย์สินโดยปกติสุข จึงเป็นกรณีที่ผู้ซื้อ ถูกรอนสิทธิตามมาตรา 475 ซึ่งผู้ขายจะต้องรับผิดต่อผู้ซื้อ ดังนั้นนายสามจึงสามารถฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดที่ตน ถูกรอนสิทธิได้ แต่นายสามจะต้องฟ้องภายในกําหนดเวลา 3 เดือน นับแต่วันที่ได้ยอมคืนรถยนต์ให้แก่นายดําไป ตามมาตรา 481

สรุป

(1) นายสองจะฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นไม่ได้
(2) นายสามสามารถฟ้องให้นายหนึ่งรับผิดในกรณีที่นายสามถูกรอนสิทธิได้ แต่จะต้องฟ้องภายในกําหนด 3 เดือน นับแต่วันที่ยอมคืนรถยนต์ให้แก่นายดําไป

 

ข้อ 3. นายไก่นําช้างแม่และช้างลูกไปทําเป็นหนังสือจดทะเบียนขายฝากช้างแม่ในราคา 5 แสนบาท ไถ่คืนภายในกําหนด 1 ปี ในราคา 4 แสนบาท ส่วนช้างลูกทําสัญญาเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายไข่ ผู้รับซื้อฝากไว้เป็นสําคัญในราคา 3 แสนบาท ไถ่คืนภายใน 1 ปี ไถ่คืนในราคา 5 แสนบาท เมื่อเวลาผ่านไปใกล้ครบ 1 ปี นายไก่ไปขอใช้สิทธิในการไถ่ช้างแม่ลูกคืน โดยนําเงิน 4 แสนบาท สําหรับช้างแม่ และ 3 แสน 4 หมื่น 5 พันบาทถ้วน ไปไถ่สําหรับช้างลูก แต่นายไข่ผู้รับซื้อฝาก ปฏิเสธโดยอ้างว่า

1) ช้างแม่และช้างลูก ทําสัญญาขายฝากไว้ 1 ปี ยังไม่ถึงกําหนดไถ่

2) สินไถ่ช้างแม่ไม่ควรรับซื้อไว้ 5 แสน ก็ต้องไถ่คืน 5 แสน ช้างลูกรับซื้อฝากไว้ 3 แสน กําหนด
ไถ่คืน 5 แสน ก็ต้องเป็นไปตามนั้น

3) สัญญารับซื้อฝากช้างลูกทําไม่ถูกต้องเป็นโมฆะ

คําปฏิเสธและข้ออ้างของนายไข่รับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคหนึ่ง “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย”

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 494 “ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ กําหนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย

(2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ กําหนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย”

มาตรา 499 “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กําหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก

ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กําหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกิน อัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

สัญญาขายฝาก เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์ นั้นคืนได้ เมื่อเป็นสัญญาซื้อขาย จึงต้องนําบทบัญญัติว่าด้วยซื้อขายมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม ดังนั้น การขายฝาก อสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ เช่น เรือมีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป แพที่อยู่อาศัยและสัตว์พาหนะ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคหนึ่ง

กรณีตามอุทาหรณ์ คําปฏิเสธและข้ออ้างของนายไข่รับฟังได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

1) การที่นายไก่นําช้างแม่ซึ่งเป็นสัตว์พาหนะไปทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนขายฝากไว้ กับนายไข่ และนําช้างลูกไปทําสัญญาเป็นหนังสือขายฝากไว้กับนายไข่นั้น สัญญาขายฝากช้างแม่และช้างลูกย่อม มีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคหนึ่ง

และเมื่อตามสัญญาขายฝากได้กําหนดเวลาไถ่คืนไว้ 1 ปี ซึ่งไม่เกินกําหนดเวลาตามที่ กฎหมายได้กําหนดไว้ (มาตรา 494) จึงต้องเป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ และเมื่อเวลาผ่านไปใกล้ครบ 1 ปี การที่นายไก่ ไปขอใช้สิทธิในการไถ่ช้างแม่และช้างลูกคืนนั้น นายไก่ย่อมสามารถทําได้ เพราะเป็นสิทธิของนายไก่ผู้ขายฝากแต่เพียง ฝ่ายเดียวที่จะเลือกไถ่เมื่อใดก็ได้ภายในกําหนด 1 ปี ตามมาตรา 491 และ 494 ดังนั้น การที่นายไข่ผู้รับซื้อฝาก ปฏิเสธโดยอ้างว่ายังไม่ถึงกําหนดไถ่นั้น คําปฏิเสธและข้ออ้างของนายไข่จึงรับฟังไม่ได้

2) การที่นายไก่นําช้างแม่ขายฝากไว้กับนายไข่ในราคา 5 แสนบาท และไถ่คืนในราคา 4 แสนบาทนั้น แม้สินไถ่ที่กําหนดไว้จะต่ำกว่าราคาขายฝากก็สามารถตกลงกันได้ และเมื่อตกลงกันไว้อย่างไรก็ต้อง เป็นไปตามนั้น ดังนั้น นายไก่จึงสามารถไถ่ช้างแม่ได้ในราคา 4 แสนบาท การที่นายไข่ปฏิเสธโดยอ้างว่าต้องไถ่คืน ในราคา 5 แสนบาท นั้น คําปฏิเสธและข้ออ้างของนายไข่กรณีนี้จึงรับฟังไม่ได้

ส่วนช้างลูกเมื่อขายฝากไว้ในราคา 3 แสนบาท และไถ่คืนในราคา 5 แสนบาทนั้น สินไถ่ ที่กําหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นายไก่จึงสามารถไถ่ช้างลูกได้ในราคา 3 แสนบาท บวกประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี ตามมาตรา 499 กล่าวคือ นายไก่สามารถไถ่คืนช้างลูกได้ในราคา 3 แสน 4 หมื่น 5 พันบาท ดังนั้นการที่นายไข่ปฏิเสธโดยอ้างว่าต้องไถ่คืน 5 แสนบาทนั้น คําปฏิเสธและข้ออ้างของนายไข่ กรณีนี้จึงรับฟังไม่ได้เช่นเดียวกัน

3) การที่นายไข่อ้างว่าสัญญารับซื้อฝากช้างลูกทําไม่ถูกต้องคือไม่ได้ทําเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะนั้นรับฟังไม่ได้ เพราะช้างลูกไม่ใช่สัตว์พาหนะ คือไม่ใช่สังหาริมทรัพย์ ชนิดพิเศษ ดังนั้น การขายฝากช้างลูกที่ทําเป็นหนังสือจึงสมบูรณ์

สรุป

1) คําปฏิเสธและข้ออ้างของนายไข่ที่ว่ายังไม่ถึงกําหนดไถ่รับฟังไม่ได้

2) คําปฏิเสธและข้ออ้างของนายไข่ที่ว่าช้างแม่และช้างถูกต้องไถ่คืนในราคา 5 แสนบาท รับฟังไม่ได้

3) คําปฏิเสธและข้ออ้างของนายไข่ที่ว่าสัญญารับซื้อฝากช้างลูกทําไม่ถูกต้องเป็นโมฆะรับฟังไม่ได้

LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายไก่ตกลงขายอูฐแม่ลูกให้กับนายไข่ อูฐแม่ 3 แสนบาท อูฐลูก 1 แสนบาท โดยนายไก่ส่งมอบอูฐทั้ง
2 ตัวให้แก่นายไข่ และนายไก่ยินยอมให้นายไข่ชําระราคา 2 แสนบาทก่อน ส่วนที่เหลืออีก 2 แสนบาท ให้ชําระภายใน 10 วัน นับแต่ส่งมอบอูฐ รุ่งขึ้นมีนายดํามาขอซื้ออูฐแม่ลูกจากนายไก่เสนอซื้อ 5 แสนบาท นายไก่เลยมาขออฐคืนโดยอ้างว่าสัญญาเป็นโมฆะเพราะเป็นการซื้อขายสัตว์พาหนะ

(1) สัญญาซื้อขายอฐระหว่างนายไก่และนายไข่เป็นสัญญาซื้อขายประเภทไหน

(2) ใครเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์อูฐแม่ลูก

(3) ข้ออ้างของนายไก่ที่ว่าสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะรับฟังได้หรือไม่

(4) ถ้านายไข่ไม่ยอมชําระค่าอูฐที่เหลือ 2 แสนบาท นายไก่จะฟ้องบังคับได้หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคํามั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้ มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือได้วางประจําไว้ หรือได้ชําระหนี้ บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกัน เป็นราคาสองหมื่นบาท หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย”

มาตรา 458 “กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้น ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทําสัญญา ซื้อขายกัน”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา 456 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ได้แก่ เรือมีระวางตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป แพ และสัตว์พาหนะ จะต้องทําเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะ

แต่ถ้าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายทรัพย์สินตามมาตรา 456 วรรคหนึ่ง หรือเป็นสัญญาซื้อขาย สังหาริมทรัพย์ทั่ว ๆ ไป ไม่ต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด เพียงแต่ถ้าจะ ฟ้องร้องบังคับคดีกันเกี่ยวกับสัญญาจะซื้อจะขาย หรือสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาตั้งแต่ 20,000 บาท ขึ้นไป จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสําคัญ หรือมีการวางประจํา (มัดจํา) ไว้ หรือได้มีการชําระหนี้กันบางส่วนแล้ว (มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม)

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้

(1) สัญญาซื้อขายอฐระหว่างนายไก่และนายไข่เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เพราะเป็นการตกลงซื้อขายทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดาทั่วไป มิใช่เป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ กล่าวคือ มิใช่เป็นการซื้อขายสัตว์พาหนะ ซึ่งได้แก่ ช้าง ม้า โค กระบือ ลา ล่อ แต่อย่างใด

(2) เมื่อเป็นสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ธรรมดา กรรมสิทธิ์ในอูฐแม่ลูกย่อมโอนไปยังผู้ซื้อ นับตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทําสัญญาซื้อขายกันตามมาตรา 458 ดังนั้น นายไข่ผู้ซื้อจึงเป็นเจ้าของอูฐแม่ลูก

(3) สัญญาซื้อขายอูฐระหว่างนายไก่และนายไข่ เมื่อเป็นสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ทั่ว ๆ ไป จึงไม่ต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 456 วรรคหนึ่ง แต่อย่างใด ดังนั้น สัญญาซื้อขายอูฐระหว่างนายไก่และนายไข่จึงมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆะ การที่นายไก่อ้างว่าสัญญาซื้อขาย เป็นโมฆะเพราะเป็นการซื้อขายสัตว์พาหนะนั้น ข้ออ้างของนายไก่จึงรับฟังไม่ได้

(4) ถ้านายไข่ไม่ยอมชําระค่าอูฐที่เหลือ 2 แสนบาท นายไก่ย่อมสามารถฟ้องบังคับนายไข่ได้ เพราะการตกลงซื้อขายอฐระหว่างนายไก่และนายไข่นั้น เป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาเกินกว่า 20,000 บาท และมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ กล่าวคือ การที่นายไก่ได้ส่งมอบอูฐทั้ง 2 ตัวให้แก่นายไข่ และนายไข่ ได้ชําระค่าอูฐให้แก่นายไก่แล้วเป็นเงิน 200,000 บาท นั้น ถือว่าได้มีการชําระหนี้บางส่วนแล้ว (ตามมาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม)

สรุป

(1) สัญญาซื้อขายอูฐระหว่างนายไก่และนายไข่เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด

(2) นายไข่ผู้ซื้อเป็นเจ้าของอูฐแม่ลูก

(3) ข้ออ้างของนายไก่ที่ว่าสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะรับฟังไม่ได้

(4) นายไก่ฟ้องบังคับให้นายไข่ชําระค่าอูฐที่เหลือ 2 แสนบาทได้

 

ข้อ 2. นายหนึ่งเป็นพ่อค้าขายสินค้าใช้แล้วที่ตลาดโรงเกลือประเภทรองเท้า นายสองไปเลือกซื้อรองเท้าคัชชูประเภท 2 คู่ 100 บาท มา 6 คู่ หลังจากรับมอบมาแล้ว และชําระราคา นายสองใส่ไปทํางานปรากฏว่า พื้นหลุด บางคู่ปากอ้า นายสองฟ้องนายหนึ่งให้รับผิดชอบในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นกับรองเท้าที่ซื้อมาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 “ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด อันเป็นเหตุให้ เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่า ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชํารุดบกพร่องมีอยู่”

มาตรา 473 “ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชํารุดบกพร่อง หรือควรจะได้รู้เช่นนั้น หากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน

(2) ถ้าความชํารุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ และผู้ซื้อรับเรา ทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้คิดเอื้อน

(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด”

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชํารุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิด ถ้าทรัพย์สินที่ขายชํารุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่ง และต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดี ผู้ขายก็ไม่จําต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชํารุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้เช่นนั้น หากได้ใช้ความระมัดระวัง อันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสองซื้อรองเท้า 6 คู่ จากนายหนึ่ง และเมื่อนายสองใส่ไปทํางาน ปรากฏว่าพื้นหลุด บางคู่ปากอ้านั้น ย่อมถือว่ารองเท้าที่ตกลงซื้อขายกันนั้นมีความชํารุดบกพร่องเป็นเหตุให้เสื่อม ความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ ซึ่งโดยหลักแล้ว นายหนึ่งผู้ขายจะต้องรับผิดต่อนายสองผู้ซื้อ ตามมาตรา 472
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายหนึ่งเป็นพ่อค้าขายสินค้าใช้แล้วที่ตลาดโรงเกลือ ประเภทรองเท้า นายสองในฐานะวิญญูชนย่อมทราบดีว่าเป็นของใช้แล้ว และนายสองก็เลือกด้วยตนเอง โดยซื้อ รองเท้าประเภท 2 คู่ 100 บาท ตกคู่ละ 50 บาท ย่อมมีโอกาสชํารุดได้มาก จึงเป็นกรณีที่นายสองผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ ในเวลาซื้อขายว่ามีความชํารุดบกพร่อง หรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมาย ได้แต่วิญญูชน จึงเข้าข้อยกเว้นที่นายหนึ่งผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องตามมาตรา 473 (1)

ดังนั้น นายสองผู้ซื้อจึงไม่สามารถฟ้องนายหนึ่งให้รับผิดชอบในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นกับรองเท้าที่ซื้อมาได้

สรุป นายสองฟ้องนายหนึ่งให้รับผิดชอบในความชํารุดบกพร่องที่เกิดขึ้นกับรองเท้าที่ซื้อมาไม่ได้

 

ข้อ 3. นายห้านําบ้านเรือนไทยสร้างด้วยไม้สักทองมูลค่าหลายล้านบาท พร้อมที่ดินไปทําเป็นหนังสือ
จดทะเบียนขายฝากไว้กับนายหก ในราคา 5 ล้านบาท ไถ่คืนในราคาเดิมบวกประโยชน์อีก 15 เปอร์เซ็นต์ มีกําหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี เมื่อนายหกรับซื้อฝากไว้ได้เพียง 1 เดือน เกิดพายุฝนลมแรงทําให้เรือนไทย ซึ่งนายหกรับซื้อฝากไว้พังทลายลงมาทั้งหลัง บางส่วนก็ถูกลมพัดปลิวหายไป เมื่อเหตุการณ์สงบลง นายหกไปบังคับให้นายห้ามาไถ่บ้านและที่ดินคืนแต่นายห้าปฏิเสธ และเสนอว่าถ้าอยากให้ไถ่คืนนัก จะมาไถ่คืนในราคา 1 ล้านบาทเท่านั้น และนายหกต้องซ่อมบ้านให้เหมือนเดิม ตามกฎหมายขายฝาก

(1) นายหกมีสิทธิจะไปบังคับให้นายห้ามาไถ่บ้านคืนได้หรือไม่

(2) ข้อเสนอของนายห้าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 491 “อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้”

มาตรา 499 “สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กําหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก
ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กําหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกิน อัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี”

มาตรา 501 “ทรัพย์สินซึ่งไถ่นั้น ท่านว่าต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ แต่ถ้าหากว่า ทรัพย์สินนั้นถูกทําลายหรือทําให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน”

วินิจฉัย กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

(1) ตามกฎหมาย สัญญาขายฝากนั้น คือ สัญญาซื้อขายอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อทําสัญญากันแล้ว กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่า ผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์สินนั้นคืนได้ ซึ่งสิทธิในการไถ่นี้ เป็นสิทธิหรืออํานาจของผู้ขายหรือเจ้าของเดิมที่จะใช้สิทธิในการไถ่คืนหรือไม่ก็ได้ (มาตรา 491)

ตามอุทาหรณ์ การที่นายห้านําบ้านเรือนไทยพร้อมที่ดินไปทําเป็นหนังสือและจดทะเบียน ขายฝากไว้กับนายหกโดยมีกําหนดไถ่คืนภายใน 1 ปีนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหลังจากนายหกรับซื้อฝากไว้ได้ เพียง 1 เดือน เกิดพายุฝนลมแรงทําให้บ้านเรือนไทยซึ่งนายหกรับซื้อฝากไว้พังทลายลงมาทั้งหลัง บางส่วนก็ถูก ลมพัดปลิวหายไป ดังนี้ เมื่อสิทธิในการไถ่เป็นสิทธิหรืออํานาจของนายห้าเจ้าของเดิม นายห้าจึงมีสิทธิที่จะเลือก ไถ่บ้านและที่ดินคืนหรือไม่ก็ได้ตามมาตรา 491 ดังนั้นเมื่อนายห้าปฏิเสธที่จะใช้สิทธิไถ่ นายหกจึงไม่มีสิทธิที่จะไป บังคับให้นายห้ามาไถ่บ้านคืน

(2) ตามบทบัญญัติมาตรา 501 ได้กําหนดหน้าที่ของผู้ซื้อฝากเอาไว้ว่า ผู้ซื้อฝากจะต้อง สงวนรักษาทรัพย์สินที่ซื้อฝากอย่างวิญญชนทั่วไปจะพึงสงวนรักษาและใช้ทรัพย์สินของตน และต้องส่งคืนตามสภาพ ที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ ถ้าหากว่าทรัพย์สินนั้นถูกทําลายหรือทําให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อฝาก ผู้ซื้อฝาก ก็จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

ตามอุทาหรณ์ การที่บ้านเรือนไทยได้พังทลายลงทั้งหลังนั้นเป็นเพราะเกิดพายุฝนลมแรง มิได้เกิดจากความผิดของนายหกผู้ซื้อฝากแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นโดยจะโทษนายหกผู้มีหน้าที่ รับไถ่มิได้ และมิใช่ความเสียหายที่เกิดจากการกระทําของนายหก แต่เกิดจากภัยธรรมชาติและเป็นเหตุพ้นวิสัย ดังนั้น ถ้านายห้าจะไถ่บ้านและที่ดินคืน นายห้าจึงต้องใช้เงิน 5 ล้านบาท บวกประโยชน์อีก 15 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญา เพราะสินไถ่ตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญานั้นไม่เกินหรือสูงกว่าที่กฎหมายได้กําหนดไว้ (มาตรา 499) การที่นายห้าเสนอว่าถ้าจะให้ไถ่คืนจะขอไถ่คืนในราคา 1 ล้านบาท และให้นายหกซ่อมบ้านให้เหมือนเดิมด้วยนั้น ข้อเสนอของนายห้าดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(1) นายหกไม่มีสิทธิจะไปบังคับให้นายห้ามาไถ่บ้านคืน
(2) ข้อเสนอของนายห้าไม่ชอบด้วยกฎหมาย

WordPress Ads
error: Content is protected !!