LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสืออย่างเดียวให้ขาวเช่าอาคารเก็บสินค้าของแดงมีกําหนดเวลา 10 ปี โดยตกลงชําระค่าเช่าทุกวันที่ 20 ของแต่ละเดือนเป็นค่าเช่าเดือนละ 500,000 บาท ในวันทําสัญญาเช่า ขาวผู้เช่าได้ให้เงินประกันสัญญาเช่าเพื่อประกันความเสียหายที่เกิดจากการผิดสัญญาเช่าเป็นเงินหนึ่งล้านบาท โดยผู้ให้เช่าตกลงคืนเงินประกันให้กับผู้เช่าเมื่อมีการบอกเลิกสัญญาเช่าและไม่ทําผิดสัญญาเช่าต่อผู้ให้เช่า ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ขาวเช่าอาคารมาได้เพียง 1 ปีเท่านั้น แดงได้ยกอาคาร ที่เช่าซึ่งเป็นของแดงหลังนี้ให้กับมืดบุตรบุญธรรมของแดง การให้ได้ทําโดยชอบด้วยกฎหมาย ขาว ได้เช่าอาคารนี้มาจนถึงปีที่ 4 ซึ่งตรงกับปี 2558 นี้ โดยขาวไม่เคยทําสัญญาเช่าฉบับใหม่กับมืดเลย ครั้นถึงวันที่ 30 กันยายน 2558 มืดไม่ประสงค์ให้ขาวเช่าอาคารหลังนี้ มืดจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับ ขาวโดยที่ขาวมิได้กระทําผิดสัญญาและมืดบอกให้ขาวออกจากอาคารที่เช่านี้ในวันที่ 30 ตุลาคม 2558 ขาวจึงเรียกเอาเงินประกันสัญญาคืนจากมืดหนึ่งล้านบาท จงวินิจฉัยว่า

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าของมืดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด

(ข) ขาวมีสิทธิเรียกเอาเงินประกันสัญญาหนึ่งล้านบาทคืนจากมืดได้หรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 566 “ถ้ากําหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกันหรือไม่พึงสันนิษฐานได้ไซร้ ท่านว่าคู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกําหนดชําระค่าเช่าก็ได้ทุกระยะ แต่ต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไม่จําต้องบอกกล่าว ล่วงหน้ากว่าสองเดือน”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

มาตรา 570 “ในเมื่อสิ้นกําหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น ถ้าผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่ และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกําหนดเวลา”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และถ้าเป็นการเช่าที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

และตามบทบัญญัติมาตรา 569 ได้กําหนดไว้ว่า ในกรณีที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับสิ้นไป และมีผลทําให้ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน ตามสัญญาเช่าที่มีต่อผู้เช่าด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าอาคารเก็บสินค้าซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ระหว่างแดงกับขาว ซึ่งมีกําหนด 10 ปี ได้ทําสัญญาเช่าเป็นหนังสืออย่างเดียวโดยไม่จดทะเบียนการเช่า สัญญาเช่าดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย แต่จะใช้ฟ้องร้องบังคับกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้นตามมาตรา 538 และเมื่อขาวได้เช่าอาคารมาได้เพียง 1 ปี แดงได้ยกอาคารที่เช่าดังกล่าวให้แก่มืดบุตรบุญธรรมของแดง โดยการให้ทําโดยชอบด้วยกฎหมาย กรณีนี้ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่าระงับสิ้นไปตามมาตรา 569 วรรคแรก โดยมืดผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อผู้เช่าด้วย กล่าวคือ มืดจะต้องให้ขาวเช่าอาคารนั้นต่อไปอีก 2 ปี ตามสัญญาเช่า ตามมาตรา 569 วรรคสอง

ตามข้อเท็จจริง เมื่อขาวได้เช่าอาคารจนครบ 3 ปีแล้ว ขาวยังได้เช่าอาคารมาถึงปีที่ 4 โดย ขาวไม่เคยทําสัญญาเช่าฉบับใหม่กับมืดเลย ดังนี้ย่อมถือว่าขาวและมืดได้ทําสัญญาเช่ากันใหม่ และเป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดเวลาตามมาตรา 570 โดยสิทธิและหน้าที่เป็นไปตามสัญญาเดิม

และเมื่อเป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดเวลา มืดย่อมบอกเลิกสัญญาเช่าได้แม้ขาวจะมิได้กระทําผิดสัญญา ทั้งนี้ตามมาตรา 566 แต่การที่มืดได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับขาวในวันที่ 30 กันยายน 2558 และให้ขาวออกจากอาคารที่เช่าในวันที่ 30 ตุลาคม 2558 นั้น ย่อมถือเป็นการบอกเลิกที่ไม่ชอบตามมาตรา 566 เพราะตามกฎหมายการที่มืดบอกเลิกสัญญาเช่าในวันที่ 30 กันยายน 2558 ย่อมถือเป็นการบอกเลิกสัญญาในวันที่ 20 ตุลาคม 2558 ซึ่งเป็นวันชําระค่าเช่า และมืดจะต้องบอกกล่าวให้ขาวรู้ตัว และให้ขาวอยู่ในอาคารจนถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2558 ซึ่งเป็นช่วงกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่ง ดังนั้นการบอกเลิกสัญญาเช่าของมืดดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนข้อตกลงตามสัญญาเช่าเดิมที่ระบุว่า ผู้ให้เช่าตกลงคืนเงินประกันจํานวน 1 ล้านบาท ให้กับผู้เช่าเมื่อมีการบอกเลิกสัญญาเช่านั้น เป็นเพียงสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาอื่น ซึ่งมิใช่สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า จึงไม่มีผลผูกพันมืดผู้รับโอน ดังนั้นขาวจะเรียกเอาเงินประกันดังกล่าวคืนจากมืดไม่ได้

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าของมืดไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) ขาวไม่มีสิทธิเรียกเอาเงินประกันสัญญาหนึ่งล้านบาทคืนจากมืด

 

ข้อ 2.

(ก) น้ำเงินทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ม่วงเช่าบ้านของน้ำเงินมีกําหนดเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 20 ของเดือน เป็นค่าเช่าเดือนละ 50,000 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 2557 นั้น ม่วงได้ให้เงินประกันสัญญาเช่าเป็นเงินประกัน ความเสียหายไว้เป็นเงิน 50,000 บาท ม่วงได้อยู่ในบ้านเช่าและได้ชําระค่าเช่าให้ตามปกติ มาตลอด แต่ปรากฏว่าในปี 2558 ม่วงไม่ได้ชําระค่าเช่าของเดือนตุลาคม 2558 ดังนั้นในวันที่ 31 ตุลาคม 2558 น้ำเงินจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับม่วงทันที โดยให้ม่วงส่งมอบบ้านคืนในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2558 การบอกเลิกสัญญาเช่าของน้ำเงินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จงวินิจฉัย

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่ และน้ำเงินจะเรียกให้ม่วงชําระค่าเช่าซื้อที่ยังไม่ชําระนี้ทั้งหมดได้หรือไม่ จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งจึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

การบอกเลิกสัญญาเช่าในกรณีที่ผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า มีกําหนดไว้ในมาตรา 560 กล่าวคือ ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้ แต่ถ้าชําระค่าเช่าเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เช่น รายสองเดือนหรือรายปี ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระไม่น้อยกว่า 15 วันจึงจะบอกเลิกสัญญาได้ ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาทันทีไม่ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าที่ดินระหว่างน้ำเงินกับม่วงมีการตกลงชําระค่าเช่าเป็นรายเดือน ดังนั้นเมื่อม่วงไม่ได้ชําระค่าเช่าของเดือนตุลาคม 2558 น้ำเงินย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ แต่ถ้าน้ำเงินจะบอกเลิกสัญญาเช่า น้ำเงินจะต้องบอกกล่าวให้ม่วงนําค่าเช่ามาชําระก่อน และต้องให้เวลาม่วงไม่น้อยกว่า 15 วัน ซึ่งถ้าม่วงไม่นําค่าเช่ามาชําระน้ำเงินจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ (ตามมาตรา 560) ดังนั้น การที่น้ำเงินบอกเลิก สัญญาเช่ากับม่วงทันทีในวันที่ 31 ตุลาคม 2558 โดยให้ม่วงส่งมอบบ้านคืนในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2558 การบอกเลิก สัญญาเช่าของน้ำเงินจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนเงินประกันสัญญาเช่าซึ่งเป็นเงินประกันความเสียหายจํานวน 50,000 บาทนั้น จะนํามาหักเป็นค่าเช่าไม่ได้

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคแรก “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่ม่วงผิดนัดไม่ชําระค่าเช่าซื้อในเดือนตุลาคม 2558 เพียงเดือนเดียว ถือว่าเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินเพียงงวดเดียว น้ำเงินจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ มีสิทธิก็แต่เพียงเรียกให้ม่วงชําระค่าเช่าซื้อที่ค้างเท่านั้น ดังนั้นการที่น้ำเงินได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันทีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 574 วรรคแรก

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าของน้ำเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) ถ้าเป็นสัญญาเช่าซื้อ การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของน้ำเงินก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน แต่น้ำเงินมีสิทธิเรียกค่าเช่าซื้อที่ม่วงยังไม่ชําระได้

 

ข้อ 3.

(ก) นายอุทัยทําสัญญาจ้างนายพิจิตรเป็นลูกจ้างมีกําหนด 1 ปี ตั้งแต่เดือนมกราคม 2557 มีข้อตกลงให้ชําระสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือน ต่อมาเศรษฐกิจไม่ดีนักนายอุทัย ได้บอกเลิกสัญญาจ้างนายพิจิตรในวันที่ 30 กันยายน 2558 และให้ออกจากงานในวันที่ 31 ตุลาคม 2558 เช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

(ข) นายเจริญทําสัญญาจ้างนายชัยชนะซึ่งเป็นนักกฎหมายที่มีชื่อเสียงให้ดําเนินการเร่งรัดหนี้สินจากนายมนูญเป็นจํานวนเงิน 4 ล้านบาท โดยตกลงจะให้สินจ้าง 500,000 บาท นายชัยชนะได้ ดําเนินการเร่งรัดหนี้สินจากนายมนูญได้เป็นจํานวนเงิน 2 ล้านบาท ก็เกิดอุบัติเหตุถูกรถยนต์ชน บาดเจ็บสาหัส กลายเป็นคนพิการไม่สามารถทําการต่อไปได้ เช่นนี้ นายเจริญจะต้องชําระสินจ้างให้แก่นายชัยชนะหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 581 “ถ้าระยะเวลาที่ได้ตกลงว่าจ้างกันนั้นสุดสิ้นลงแล้ว ลูกจ้างยังคงทํางานอยู่ต่อไปอีก และนายจ้างรู้ดังนั้นก็ไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่ โดยความอย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม แต่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะเลิกสัญญาเสียได้ด้วยการบอกกล่าวตามความในมาตรา ต่อไปนี้”

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้า กว่าสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแต่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่าย จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นที่เดียวแล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอุทัยทําสัญญาจ้างนายพิจิตรเป็นลูกจ้างมีกําหนด 1 ปี ตั้งแต่ เดือนมกราคม 2557 นั้น สัญญาจ้างแรงงานดังกล่าวย่อมสิ้นสุดลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2557 แต่อย่างไรก็ดี เมื่อสัญญาจ้างแรงงานสิ้นสุดลงนายพิจิตรก็ยังคงทํางานต่อไปโดยนายอุทัยก็ไม่ได้ทักท้วง ดังนี้ตามมาตรา 581 ให้ สันนิษฐานว่าคู่สัญญาได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่ โดยมีข้อตกลงเป็นอย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม และเป็นสัญญาที่ ไม่มีกําหนดเวลา ดังนั้น ถ้ามีการบอกเลิกสัญญาจ้างก็ต้องปฏิบัติตามมาตรา 582

เมื่อในสัญญาจ้างได้ตกลงกันว่าจะจ่ายสินจ้างทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือน ดังนั้น การที่นาย อุทัยได้บอกเลิกสัญญาจ้างในวันที่ 30 กันยายน 2558 และให้นายพิจิตรออกจากงานในวันที่ 31 ตุลาคม 2558 จึงไม่ถูกต้อง เพราะการบอกเลิกสัญญาจ้างดังกล่าว ถือว่าเป็นการบอกกล่าวก่อนในการจ่ายสินจ้างของวันที่ 25 ตุลาคม 2558 และเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญาจ้างเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้า คือวันที่ 25 พฤศจิกายน 2558 ตามมาตรา 582 วรรคแรก

 

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จ แห่งการที่ทํานั้น”

มาตรา 606 “ถ้าสาระสําคัญแห่งสัญญาอยู่ที่ความรู้ความสามารถของตัวผู้รับจ้าง และผู้รับจ้างตายก็ดี หรือตกเป็นผู้ไม่สามารถทําการที่รับจ้างนั้นต่อไปได้ด้วยมิใช่ความผิดของตนก็ดี ท่านว่าสัญญานั้น ย่อมเป็นอันสิ้นลง

ถ้าและการส่วนที่ได้ทําขึ้นแล้วนั้นเป็นประโยชน์แก่ผู้ว่าจ้างไซร้ ท่านว่าผู้ว่าจ้างจําต้องรับเอาไว้ และใช้สินจ้างตามสมควรแก่ส่วนนั้น ๆ”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายเจริญทําสัญญาจ้างนายชัยชนะ ซึ่งเป็นนักกฎหมายให้ดําเนินการ เร่งรัดหนี้สินให้นั้น ถือว่าเป็นสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587 เมื่อนายชัยชนะเกิดอุบัติเหตุถูกรถยนต์ชน บาดเจ็บสาหัสจนเป็นคนพิการตกเป็นผู้ไม่สามารถทําการที่รับจ้างนั้นต่อไปได้ ดังนี้ถือว่าสัญญาจ้างนั้นย่อมสิ้นสุด ลงตามมาตรา 606 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายชัยชนะสามารถเร่งรัดหนี้สินได้เป็นจํานวนเงิน 2 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการที่ได้ทําขึ้นแล้ว และเป็นประโยชน์แก่นายเจริญผู้ว่าจ้าง นายเจริญจะต้องรับเอาไว้ และใช้สินจ้างตามสมควรแก่ส่วนนั้น ๆ ตามมาตรา 606 วรรคสอง ดังนั้นเมื่อนายชัยชนะได้ทําสําเร็จแล้ว ครึ่งหนึ่งของการงาน นายเจริญจึงต้องใช้สินจ้างให้แก่นายชัยชนะเป็นจํานวนเงิน 250,000 บาท

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาจ้างนายพิจิตรของนายอุทัยไม่ถูกต้อง

(ข) นายเจริญจะต้องชําระสินจ้างให้แก่นายชัยชนะเป็นเงิน 250,000 บาท

 

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือแต่ไม่ได้จดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าที่ดินซึ่งแดงเป็นเจ้าของมีกําหนดเวลา 10 ปี ตกลงชําระค่าเช่าทุกวันที่ 25 ของแต่ละเดือน ขาวเช่าที่ดินของแดงมาจนถึง ปีที่ 5 โดยแดงและขาวมิได้ไปจดทะเบียนการเช่าหรือทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือฉบับใหม่อีกเลย และในสัญญาเช่าที่แดงและขาวตั้งแต่เริ่มเช่ายังมีข้อตกลงระบุว่า หากการเช่าสิ้นสุดลงไม่ว่ากรณีใด ๆ ถ้าขาวเช่าที่ดินมาอย่างน้อย 3 ปี แดงตกลงจะให้ค่าขนย้ายสิ่งของออกไปจากที่ดินที่เช่าแก่ขาวเป็นเงิน หนึ่งแสนบาท ปรากฏว่าในปีที่ 5 นี้ ซึ่งตรงกับปี 2558 นี้ แดงได้ขายที่ดินให้กับม่วง การซื้อขายทําโดยชอบด้วยกฎหมาย ม่วงจึงบอกเลิกสัญญาโดยที่ขาวไม่ผิดสัญญาในวันที่ 31 มีนาคม 2558 และให้ขาวออกจาก ที่ดินในวันที่ 30 เมษายน 2558 แต่ขาวยังคงอยู่ในที่ดินจนถึงปัจจุบันนี้ ดังนี้ ม่วงจึงฟ้องขับไล่แล้วเรียกที่ดินคืนจากขาวในวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 ให้วินิจฉัยว่า

ก. การกระทําของม่วงขอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด

ข. ขาวจะเรียกให้ม่วงจ่ายเงินค่าขนย้ายของออกไปจากที่ดินเป็นเงินหนึ่งแสนบาทได้หรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 566 “ถ้ากําหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกันหรือไม่พึงสันนิษฐานได้ไซร้ ท่านว่าคู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกําหนดชําระค่าเช่าก็ได้ทุกระยะ แต่ต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไม่จําต้องบอกกล่าว ล่วงหน้ากว่าสองเดือน

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

มาตรา 570 “ในเมื่อสิ้นกําหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น ถ้าผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่ และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกําหนดเวลา”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และถ้าเป็นการเช่าที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

และตามบทบัญญัติมาตรา 569 ได้กําหนดไว้ว่า ในกรณีที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับสิ้นไป และมีผลทําให้ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน ตามสัญญาเช่าที่มีต่อผู้เช่าด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ระหว่างแดงกับขาวซึ่งมีกําหนด เวลา 10 ปี ได้ทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือแต่ไม่ได้จดทะเบียนการเช่า สัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมาย แต่จะใช้บังคับกัน ได้เพียง 3 ปีเท่านั้นตามมาตรา 538 และเมื่อปรากฏว่าขาวได้เช่าที่ดินของแดงมาจนถึงปีที่ 5 โดยแดงและขาวมิได้ ไปจดทะเบียนการเช่าหรือทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือฉบับใหม่เลย ย่อมถือว่าแดงและขาวได้ทําสัญญาเช่ากันใหม่ ต่อไปโดยไม่มีกําหนดเวลาตามมาตรา 570 และเมื่อแดงได้ขายที่ดินให้กับม่วงย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดง ผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่าระงับสิ้นไปตามมาตรา 569 วรรคแรก โดยม่วงผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของแดงผู้โอนที่มีต่อขาวผู้เช่าด้วยตามมาตรา 569 วรรคสอง

เมื่อสัญญาเช่าเป็นสัญญาที่ไม่มีกําหนดเวลา ม่วงจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ตามมาตรา 566 แต่ จะต้องบอกกล่าวให้ขาวได้รู้ตัวก่อนชั่วกําหนดระยะเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย เมื่อม่วงบอกเลิกสัญญาเช่า ในวันที่ 31 มีนาคม 2558 ย่อมถือเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าในวันชําระค่าเช่าคือวันที่ 25 เมษายน 2558 และมีผล เป็นการเลิกสัญญาเช่าในวันที่ 25 พฤษภาคม 2558 ดังนั้นแม้ม่วงจะบอกเลิกสัญญาเช่าในวันที่ 31 มีนาคม 2558 และให้ขาวออกจากที่ดินในวันที่ 30 เมษายน 2558 จะเป็นการไม่ชอบ แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าม่วงได้ฟ้องขับไล่ แล้วเรียกที่ดินคืนจากขาวในวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 ซึ่งเลยวันที่ 25 พฤษภาคม 2558 มาแล้ว กรณีนี้จึงถือว่า การกระทําของม่วงชอบด้วยมาตรา 566

ส่วนข้อตกลงตามสัญญาเช่าเดิมที่ระบุว่า หากการเช่าสิ้นสุดลงไม่ว่ากรณีใด ๆ ถ้าขาวเช่าที่ดิน มาอย่างน้อย 3 ปี แดงตกลงจะให้ค่าขนย้ายสิ่งของออกไปจากที่ดินที่เช่าแก่ขาวเป็นเงิน 100,000 บาทนั้น เป็นเพียง สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาอื่น ซึ่งไม่ใช่สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าจึงไม่มีผลผูกพันม่วงผู้รับโอน ดังนั้น ขาวจะเรียกเงิน 100,000 บาท จากม่วงเพื่อเป็นค่าขนย้ายของออกไปจากที่ดินไม่ได้

สรุป

ก. การกระทําของม่วงชอบด้วยกฎหมาย

ข. ขาวจะเรียกให้ม่วงจ่ายเงินค่าขนย้ายของออกไปจากที่ดินเป็นเงิน 100,000 บาทไม่ได้

 

ข้อ 2. (ก) แสดทําสัญญาเป็นหนังสือให้ดําเช่ารถยนต์ มีกําหนดเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 เป็นต้นไป ตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 20 ของเดือน ๆ ละ 25,000 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 2558 ดําได้จ่ายค่าเช่าให้กับแสดไว้ทั้งหมดเป็นเงิน 75,000 บาท (เจ็ดหมื่นห้าพันบาท) หลังจากนั้นจนถึงปัจจุบันนี้ ดําไม่ชําระค่าเช่าให้กับแสดเลย ดังนั้นในวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 แสดจึง บอกเลิกสัญญากับดํา และให้เวลาส่งรถยนต์คืนในวันที่ 5 มิถุนายน 2558 ดังนี้ การบอกเลิกสัญญาเช่าของแสดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ แสดมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้หรือไม่ และจะเรียกให้ดําชําระค่าเช่าซื้อที่ไม่ได้ชําระให้ทั้งหมดได้หรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึ่งกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

การบอกเลิกสัญญาเช่าในกรณีที่ผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า มีกําหนดไว้ในมาตรา 560 กล่าวคือ ถ้า ผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้ แต่ถ้าชําระค่าเช่าเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เช่น รายสองเดือนหรือรายปี ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระไม่น้อยกว่า 15 วันจึงจะบอกเลิกสัญญาได้ ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาทันทีไม่ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่ารถยนต์ระหว่างแสดและดํามีการตกลงชําระค่าเช่าเป็นรายเดือน โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 20 ของเดือน ๆ ละ 25,000 บาท และการที่ดําได้จ่ายค่าเช่าให้กับแสดไว้ ทั้งหมดเป็นเงิน 75,000 บาท ในวันที่ 1 มกราคม 2558 นั้น ถือว่าเป็นการจ่ายค่าเช่าให้แก่แสดแล้ว 3 เดือน คือ เดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม และการที่ดําไม่ชําระค่าเช่าให้แก่แสดอีกจนถึงปัจจุบันก็เท่ากับว่าดําไม่ได้ ชําระค่าเช่าในวันที่ 20 เมษายน และ 20 พฤษภาคม 2558 ซึ่งเป็นค่าเช่าของเดือนเมษายน และพฤษภาคม 2558 ดังนั้น ถ้าแสดจะบอกเลิกสัญญาเช่า แสดจะต้องบอกกล่าวให้ดํานำค่าเช่ามาชําระก่อน และต้องให้เวลาดําไม่น้อยกว่า 15 วัน ซึ่งถ้าดําไม่นําค่าเช่ามาชําระแสดจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ (ตามมาตรา 560) ดังนั้น การที่แสดบอกเลิก สัญญาเช่ากับดําในวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 และให้เวลาดําส่งรถยนต์คืนในวันที่ 5 มิถุนายน 2558 นั้น การบอกเลิก สัญญาเช่าของแสดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคแรก “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินขอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่ดําผิดนัดไม่ชําระค่าเช่าซื้อในเดือนเมษายน และเดือนพฤษภาคม 2558 นั้น ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กันแล้ว ดังนั้น แสด ผู้ให้เช่าซื้อจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ทันทีในวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 แต่จะเรียกให้ดําชําระค่าเช่าซื้อที่ ไม่ได้ชําระอีก 2 งวดเป็นเงิน 50,000 บาท ไม่ได้ ตามมาตรา 574 วรรคแรก

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าของแสดไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) ถ้าเป็นสัญญาเช่าซื้อแสดมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ แต่จะเรียกให้ดําชําระค่าเช่าซื้อที่ยังไม่ได้ชําระให้แก่แสดทั้งหมดไม่ได้

 

ข้อ 3. สัญญาจ้างระหว่างเขียวนายจ้างและเหลืองลูกจ้างซึ่งเป็นพนักงานทําบัญชีได้รับค่าจ้างทุก ๆ วันที่ 15 และวันสิ้นเดือน เป็นค่าจ้างคราวละ 10,000 บาท โดยตกลงจ้างมีกําหนด 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2556 แต่เหลืองยังคงทํางานมาจนถึงปัจจุบันนี้ หากเหลืองบอกเลิกสัญญาในวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 เหลืองต้องทํางานไปอีกจนถึงวันที่เท่าใด และเหลืองจะได้รับค่าจ้างจากเขียวนับตั้งแต่วันบอกเลิก สัญญาถึงวันสุดท้ายของการทํางานเป็นเงินเท่าใด จึงจะชอบด้วยกฎหมาย จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 581 “ถ้าระยะเวลาที่ได้ตกลงว่าจ้างกันนั้นสุดสิ้นลงแล้ว ลูกจ้างยังคงทํางานอยู่ต่อไปอีก และนายจ้างรู้ดังนั้นก็ไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่ โดยความอย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม แต่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะเลิกสัญญาเสียได้ด้วยการบอกกล่าวตามความในมาตรา ต่อไปนี้”

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้า กว่าสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแต่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่าย จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นที่เดียวแล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาจ้างระหว่างเขียวนายจ้างและเหลืองลูกจ้างมีกําหนด 1 ปี และได้ ครบกําหนดแล้วในวันที่ 1 มีนาคม 2557 แต่เหลืองยังคงทํางานมาจนถึงปัจจุบันนี้โดยเขียวนายจ้างก็ไม่ทักท้วงนั้น ตามมาตรา 581 ให้สันนิษฐานว่าคู่สัญญาได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่และเป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกําหนดเวลาโดยความ อย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม และคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจบอกเลิกสัญญาจ้างได้ตามมาตรา 582 โดยการบอกกล่าว เมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้าง คราวถัดไปข้างหน้า

ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่เหลืองบอกเลิกสัญญาในวันที่ 27 พฤษภาคม 2558 นั้น ถือว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาก่อนถึงกําหนดจ่ายสินจ้างในวันที่ 31 พฤษภาคม 2558 จึงต้องถือว่าเป็นการบอกกล่าว เลิกสัญญาจ้างในวันที่ 31 พฤษภาคม 2558 ซึ่งเป็นวันกําหนดจ่ายสินจ้างและจะมีผลเป็นการเลิกสัญญาจ้าง ในวันที่ 15 มิถุนายน 2558 ดังนั้นเหลืองจึงต้องทํางานต่อไปอีก จนถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2558 และเหลืองจะได้รับสินจ้างในวันที่ 31 พฤษภาคม 2558 และวันที่ 15 มิถุนายน 2558 รวมเป็นเงิน 20,000 บาท ตามมาตรา 582

สรุป เหลืองจะต้องทํางานต่อไปอีกจนถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2558 และเหลืองจะได้รับค่าจ้าง จากเขียวในวันที่ 31 พฤษภาคม 2558 และวันที่ 15 มิถุนายน 2558 รวมเป็นเงิน 20,000 บาท จึงจะชอบด้วยกฎหมาย

 

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือและจดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าอาคารพาณิชย์ของแดง มีกําหนด 6 ปีนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2552 ถึงวันที่ 1 เมษายน 2558 โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันสิ้นเดือน สัญญาเช่าอาคารมีข้อความสําคัญดังนี้ คือ

ข้อ 5 “ผู้ให้เช่าและผู้เช่าตกลงว่าค่าเช่าปีแรกผู้เช่าต้องชําระเดือนละ 50,000 บาท ส่วนค่าเช่าปีต่อ ๆ ไปต้องชําระเพิ่มขึ้นอีก 10 เปอร์เซ็นต์ของค่าเช่าเดิม”

ข้อ 6 “ถ้าครบกําหนดสัญญาเช่านี้แล้ว ผู้ให้เช่ายินยอมจะไปจดทะเบียนการเช่าให้ผู้เช่า ๆ การ ต่อไปอีก 6 ปี แต่ผู้เช่าต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบภายในวันที่ 15 เมษายน 2558 และผู้ให้เช่าจะปฏิเสธไม่จดทะเบียนการเช่าให้ผู้เช่าเช่ามิได้”

ปรากฏข้อเท็จจริงว่า แดงได้ยกอาคารที่ขาวเช่านี้ให้กับม่วงพี่ชายบุญธรรมของแดงในปลายปี 2553 การยกให้ทําโดยชอบด้วยกฎหมาย ครั้นถึงปี 2554 ม่วงจึงเรียกค่าเช่าเพิ่มจากขาวอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ของค่าเช่าเดิม แต่ขาวปฏิเสธไม่ยอมตามความต้องการของม่วง อ้างว่าขาวไม่ผูกพันกับม่วงตาม สัญญาข้อ 5

ให้วินิจฉัยว่าข้ออ้างของขาวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด และถ้าหากขาวอยู่ในอาคารมาจนครบกําหนดเวลา 6 ปี ขาวแจ้งให้ม่วงไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาว ในวันที่ 1 เมษายน 2558 ม่วงปฏิเสธไม่ไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาว ดังนี้ ข้อปฏิเสธของม่วงที่ไม่ ปฏิบัติตามสัญญาข้อ 6 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และถ้าเป็นการเช่าที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

และตามบทบัญญัติมาตรา 569 ได้กําหนดไว้ว่า ในกรณีที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับสิ้นไป และมีผลทําให้ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน ตามสัญญาเช่าที่มีต่อผู้เช่าด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ระหว่างแดงกับขาว ซึ่งมีกําหนดเวลา 6 ปี ได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนการเช่า สัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมายและสามารถใช้ บังคับกันได้ 6 ปี ตามมาตรา 538 และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า แดงได้ยกอาคารที่ขาวเช่านี้ให้กับม่วงพี่ชายบุญธรรมของแดงในปลายปี 2553 กรณีนี้ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่าระงับสิ้นไปแต่อย่างใด ตามมาตรา 569 วรรคแรก โดยม่วงผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของแดงผู้โอนที่มีต่อขาว ผู้เช่าด้วยตามมาตรา 569 วรรคสอง กล่าวคือ ม่วงจะต้องให้ขาวเช่าอาคารพาณิชย์นั้นต่อไปจนครบกําหนด 6 ปี ตามสัญญาเช่า

และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ในปี 2554 ม่วงได้เรียกเก็บค่าเช่าเพิ่มจากขาวอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ของค่าเช่าเดิม ดังนี้ ขาวย่อมไม่สามารถปฏิเสธความต้องการของม่วงได้ เพราะขาวต้องผูกพันตามสัญญาเช่าข้อ 5 ซึ่งถือเป็นสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าตามมาตรา 569 วรรคสอง ที่ม่วงสามารถบังคับขาวได้ ดังนั้น ข้ออ้างของขาวที่ว่า ขาวไม่ผูกพันกับม่วงตามสัญญาข้อ 5 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนข้อกําหนดตามสัญญาเช่าข้อ 6 ที่ว่า ถ้าครบกําหนดสัญญาเช่านี้แล้ว ผู้ให้เช่ายินยอมจะไปจดทะเบียนการเช่าให้ผู้เช่า ๆ ต่อไปอีก 6 ปี นั้น เป็นเพียงสิทธิและหน้าที่ตามคํามั่นจะให้เช่า ไม่ใช่สิทธิและหน้าที่ ตามสัญญาเช่า จึงไม่มีผลผูกพันม่วงผู้รับโอน ดังนั้น การที่ขาวอยู่ในอาคารมาจนครบกําหนดเวลา 6 ปี และ ได้แจ้งให้ม่วงไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาว ม่วงย่อมปฏิเสธไม่ไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาวได้ ข้อปฏิเสธของม่วง ที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญาข้อ 6 จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป ข้ออ้างของขาวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนข้ออ้างของม่วงชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. (ก) แสดทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้เหลืองเช่ารถยนต์บรรทุกของแสด มีกําหนดเวลา 4 ปีนับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นต้นไป ตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 25 ของแต่ละเดือน เป็นค่าเช่า เดือนละ 25,000 บาท แสดได้รับค่าเช่าล่วงหน้าในวันทําสัญญาเช่าเป็นเงิน 100,000 บาท เมื่อแสดส่งมอบรถยนต์ให้กับเหลือง เหลืองชําระค่าเช่ามาตลอด แต่เดือนพฤศจิกายน 2557 เหลืองขัดสนเงินจึงไม่ชําระค่าเช่าให้กับแสดจนถึงปัจจุบันนี้ ดังนั้น ในวันที่ 2 เมษายน 2558 แสดจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับเหลืองทันที เพราะเหตุที่เหลืองไม่ชําระค่าเช่าและให้เหลือง จ่ายค่าเช่าที่ค้างชําระให้ทั้งหมด และต้องส่งรถคืนให้แสดภายในวันที่ 15 เมษายน 2558

การบอกเลิกสัญญาของแสดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จงวินิจฉัย

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตาม (๑) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบจะแตกต่างไปหรือไม่ เพียงใด จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เหลืองไม่ชําระค่าเช่าให้แสดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2557 จนถึง เดือนมีนาคม 2558 นั้น เมื่อหักค่าเช่าออก 4 เดือน ที่เหลืองชําระล่วงหน้าไว้ ย่อมถือว่าเหลืองไม่ได้ชําระค่าเช่า เดือนมีนาคม 2558 ซึ่งมีผลให้แสดมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาเช่านั้นมีการกําหนด ชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน แสดจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้เหลืองนําค่าเช่ามา ชําระก่อน โดยต้องให้เวลาแก่เหลืองนค่าเช่ามาชําระอย่างน้อย 15 วัน ซึ่งถ้าเหลืองยังไม่ยอมชําระอีกแสดจึง จะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคสอง ดังนั้นการที่แสดบอกเลิกสัญญาทันทีในวันที่ 2 เมษายน 2558 และให้เหลืองส่งรถคืนให้แสดภายในวันที่ 15 เมษายน 2558 การบอกเลิกสัญญาเช่าของแสดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิแสดที่จะเรียกเอาค่าเช่าที่ค้างชําระจากเหลือง

 

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคแรก “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญาในข้อ ที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตาม (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ เมื่อได้หักค่าเช่าซื้อล่วงหน้าออก 4 เดือนแล้ว เท่ากับเหลืองไม่ได้ชําระค่าเช่าซื้อเพียง 1 คราว คือ ในเดือนมีนาคม 2558 จึงถือว่าเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงิน เพียง 1 คราว มิใช่เป็นการผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กันตามมาตรา 574 วรรคแรก ดังนั้น แสดจะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไม่ได้ แต่เรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระ 25,000 บาทได้ การที่แสดบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันทีในวันที่ 2 เมษายน 2558 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าทรัพย์ของแสดไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของแสดไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น คําตอบของข้าพเจ้าจึงไม่แตกต่างกัน

 

 

ข้อ 3. (ก) นายสุเทพได้รู้จักกับ น.ส.ปวีณา ซึ่งทําอาหารเก่ง จึงชักชวนให้มาทํางานเป็นแม่ครัวที่ร้านอาหารที่กรุงเทพฯ นายสุเทพได้ให้เงินค่าเดินทางจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯ โดยตกลงให้เป็นแม่ครัว 1 ปี ชําระสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันสิ้นเดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2557 ในระหว่างที่ เดินทางมาในรถโดยสารได้พบกับ น.ส.อรสา น.ส.ปวีณาจึงได้ชักชวนให้ไปทํางานเป็นแม่ครัวด้วยกัน โดยโทรศัพท์ตกลงกับนายสุเทพ เมื่อทํางานครบหนึ่งปีในวันที่ 31 มีนาคม 2558 น.ส.ปวีณา และ น.ส.อรสา ขอเงินค่าเดินทางกลับไปยังเชียงใหม่ แต่ น.ส.ปวีณาจะอยู่ช่วย ทํางานที่ร้านของพี่ชายที่กรุงเทพฯ ไปก่อน เช่นนี้ นายสุเทพจะต้องให้เงินค่าเดินทางขากลับแก่ น.ส.ปวีณา และ น.ส.อรสา หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

(ข) นายพินิจจะจัดงานมงคลสมรสกับ น.ส.นัยนา จึงได้ทําสัญญาจ้างนายสมบัติให้สร้างบ้านเรือนหอมีกําหนดเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 โดยตกลงชําระสินจ้างเป็นงวด ๆ ตามความสําเร็จของงาน โดยนายพินิจได้แจ้งให้นายสมบัติทราบว่าต้องการจัดงานมงคลสมรสที่บ้านนี้ ในวันที่ 20 มกราคม 2558 แต่เมื่อถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2557 ปรากฏว่านายสมบัติสร้างบ้านไม่เสร็จ แต่จะเสร็จสมบูรณ์ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2558 เมื่อทราบเช่นนั้นก็เสียใจมาก จึงอ้าง สาระสําคัญของสัญญาจ้างว่าจะจัดงานมงคลสมรสในวันที่ 20 มกราคม 2558 เมื่อเสร็จไม่ทันเวลา ก็ขอเลิกสัญญา เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 586 “ถ้าลูกจ้างเป็นผู้ซึ่งนายจ้างได้จ้างเอามาแต่ต่างถิ่นโดยนายจ้างออกเงินค่าเดินทางให้ไซร้ เมื่อการจ้างแรงงานสุดสิ้นลง และถ้ามิได้กําหนดกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาแล้ว ท่านว่านายจ้างจําต้องใช้เงินค่าเดินทางขากลับให้ แต่จะต้องเป็นดังต่อไปนี้ คือ

(1) สัญญามิได้เลิกหรือระงับเพราะการกระทําหรือความผิดของลูกจ้าง และ

(2) ลูกจ้างกลับไปยังถิ่นที่ได้จ้างเอามาภายในเวลาอันสมควร”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุเทพได้จ้างนางสาวปวีณาจากจังหวัดเชียงใหม่มาเป็นแม่ครัวที่กรุงเทพฯ โดยออกเงินค่าเดินทางจากเชียงใหม่มากรุงเทพฯ ให้นั้น โดยหลักแล้ว เมื่อสัญญาสิ้นสุดลงนายสุเทพ จะต้องออกเงินค่าเดินทางขากลับให้แก่นางสาวปวีณา เพราะถือเป็นกรณีที่นายจ้างได้จ้างลูกจ้างมาแต่ต่างถิ่น โดยนายจ้างได้ออกเงินค่าเดินทางให้ตามมาตรา 586 แต่เนื่องจากเมื่อสัญญาจ้างสิ้นสุดลงแล้ว นางสาวปวีณา จะอยู่ช่วยทํางานที่ร้านของพี่ชายที่กรุงเทพฯ จึงเป็นกรณีที่ลูกจ้างไม่กลับไปยังถิ่นที่ได้จ้างเอามาภายในเวลาอันสมควร ซึ่งไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 586 (2) ดังนั้น นายสุเทพไม่จําต้องใช้เงินค่าเดินทางขากลับให้แก่ นางสาวปวีณา

ส่วนนางสาวอรสานั้น ไม่ใช่กรณีที่นายสุเทพได้จ้างเอามาแต่ต่างถิ่นตามมาตรา 586 จึงไม่ต้องให้เงินค่าเดินทางกลับไปเชียงใหม่แก่นางสาวอรสาแต่อย่างใด

 

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะ ทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จ แห่งการที่ทํานั้น”

มาตรา 596 “ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทําไม่ทันเวลาที่ได้กําหนดไว้ในสัญญาก็ดี หรือถ้าไม่ได้กําหนดเวลาไว้ในสัญญาเมื่อล่วงพ้นเวลาอันควรแก่เหตุก็ดี ผู้ว่าจ้างชอบที่จะได้ลดสินจ้างลง หรือถ้าสาระสําคัญแห่งสัญญาอยู่ที่เวลา ก็ชอบที่จะเลิกสัญญาได้”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาจ้างทําของนั้น หากผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทําไม่ทันเวลาที่ได้กําหนดไว้ในสัญญา ตามกฎหมายมาตรา 596 กําหนดให้ผู้ว่าจ้างชอบที่จะลดสินจ้างที่จะต้องจ่ายให้แก่ผู้รับจ้างลงได้ หรือถ้าสาระสําคัญแห่งสัญญาอยู่ที่เวลา ผู้ว่าจ้างก็ชอบที่จะเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพินิจได้ทําสัญญาจ้างนายสมบัติให้สร้างบ้านเรือนหอให้นั้น ถือเป็นกรณีที่นายสมบัติตกลงจะทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่นายพินิจ และนายพินิจตกลงที่จะจ่าย สินจ้างให้นายสมบัติเพื่อผลสําเร็จของการที่ทํานั้น ดังนั้น สัญญาจ้างระหว่างนายพินิจกับนายสมบัติจึงเป็น สัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายสมบัติสร้างบ้านไม่เสร็จตามกําหนดเวลาคือวันที่ 31 ธันวาคม 2557 นายสมบัติย่อมต้องรับผิดตามมาตรา 596 คือ นายพินิจผู้ว่าจ้างชอบที่จะลดสินจ้างที่ต้องจ่ายลงได้ และถ้าสาระสําคัญของสัญญาสร้างบ้านเรือนหออยู่ที่เวลา นายพินิจก็ชอบที่จะบอกเลิกสัญญาได้

จากข้อเท็จจริง แม้นายพินิจจะกําหนดเวลาที่จะจัดงานมงคลสมรสในวันที่ 20 มกราคม 2558 ก็มิใช่กรณีที่สาระสําคัญแห่งสัญญาอยู่ที่เวลาตามมาตรา 596 อันจะทําให้นายพินิจมีสิทธิบอกเลิกสัญญาแต่อย่างใด ดังนั้น การที่นายพินิจขอเลิกสัญญากับนายสมบัติจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่นายพินิจชอบที่จะเรียกร้องให้ลดสินจ้างลงด้วยเหตุที่นายสมบัติส่งมอบการที่ทําล่าช้าตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้

สรุป

(ก) นายสุเทพไม่ต้องให้เงินค่าเดินทางขากลับแก่นางสาวปวีณาและนางสาวอรสา

(ข) การขอเลิกสัญญาของนายพินิจไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่นายพินิจชอบที่จะเรียกร้องให้ลดสินจ้างลงด้วยเหตุที่นายสมบัติส่งมอบการที่ทําล่าช้าได้

 

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าอาคารพาณิชย์ของแดง มีกําหนดเวลา 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2557 โดยขาวตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันสิ้นเดือนของ แต่ละเดือนเป็นคาเช่าเดือนละ 50,000 บาท ขาวอยู่ในอาคารนี้ได้เพียง 6 เดือน แดงเจ้าของอาคาร ได้ยกอาคารให้กับมืดบุตรชายของแดง การให้ทําโดยชอบด้วยกฎหมาย ขาวอยู่ในอาคารมาจนถึงปัจจุบันนี้โดยมิได้ทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือกับมืดอีกเลย จนถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2557 มืดได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับขาวขณะที่มืดพบขาวที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง และมืดให้ขาวอยู่ในอาคารที่เช่าถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2557 แต่ขาวไม่ยอมคืนอาคารให้มืด อ้างว่ามืดบอกเลิกสัญญาไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยที่ขาวมิได้ผิดสัญญา มืดจึงฟ้องขับไล่ขาวออกไปจากอาคารนี้ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2557 จงวินิจฉัยว่าการกระทําของมิดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 566 “ถ้ากําหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกันหรือไม่พึงสันนิษฐานได้ไซร้ ท่านว่าคู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกําหนดชําระค่าเช่าก็ได้ทุกระยะ แต่ต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไม่จําต้องบอกกล่าว ล่วงหน้ากว่าสองเดือน”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

มาตรา 570 “ในเมื่อสิ้นกําหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น ถ้าผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่ และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกําหนดเวลา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ ระหว่างแดงกับขาว ซึ่งมีกําหนดเวลา 1 ปี ได้ทําเป็นหนังสือ สัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 538 และสามารถใช้บังคับกันได้ และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าขาวเช่าอาคารซึ่งแดงเป็นเจ้าของมาได้เพียง 6 เดือนเท่านั้น แดงได้ยกอาคารนี้ให้กับมืดบุตรชายของแดงโดยการให้ทําโดยชอบด้วยกฎหมาย กรณีนี้ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่าระงับสิ้นไปตามมาตรา 569 วรรคแรก โดยมืดผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อผู้เช่านั้นด้วย กล่าวคือ มืดต้องให้ขาวเช่าอาคารนั้นต่อไปจนครบกําหนด 1 ปีตามสัญญาเช่าตามมาตรา 569 วรรคสอง

ตามข้อเท็จจริง เมื่อสัญญาเช่าครบ 1 ปีแล้ว ขาวได้อยู่ในอาคารมาจนถึงปัจจุบันนี้โดยมิได้ ทําสัญญาเช่ากับมืดอีก ซึ่งมืดเองก็มิได้ทักท้วงแต่อย่างใด ย่อมถือเป็นการทําสัญญาเช่ากันใหม่ต่อไปโดยเป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดระยะเวลาตามมาตรา 570 และให้นําสิทธิและหน้าที่ของสัญญาเดิมมาใช้บังคับ

ดังนั้น เมื่อเป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดระยะเวลา มืดย่อมบอกเลิกสัญญาได้แม้ขาวจะไม่เคย ผิดสัญญา ทั้งนี้ตามมาตรา 566 แต่การที่มีดได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับขาวในวันที่ 1 ตุลาคม 2557 และให้ขาวอยู่ใน อาคารที่เช่าถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2557 และเมื่อขาวไม่ยอมคืนอาคารให้มืด มืดจึงฟ้องขับไล่ขาวออกไปจากอาคารนี้ ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2557 นั้น ย่อมถือเป็นการบอกเลิกที่ไม่ชอบตามมาตรา 566 เพราะตามหลักกฎหมายดังกล่าว การที่มืดบอกเลิกสัญญาในวันที่ 1 ตุลาคม 2557 ย่อมถือเป็นการบอกเลิกในวันที่ 31 ตุลาคม 2557 (วันชําระค่าเช่า) และมืดจะต้องบอกกล่าวให้ขาวรู้ตัวและให้ขาวอยู่ในอาคารจนถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2557 ซึ่งเป็นช่วงกําหนดเวลา ชําระค่าเช่าระยะหนึ่ง โดยมืดจะมีสิทธิฟ้องขับไล่ขาวได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไป ดังนั้นการกระทํา ดังกล่าวของมืดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การกระทําของมีดไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2.

(ก) ดําทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ม่วงเช่าที่ดินของดํามีกําหนดเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2557 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2560 โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันสิ้นเดือน เดือนละ 40,000 บาท ในวันทําสัญญาม่วงได้ชําระค่าเช่าไว้ล่วงหน้าหนึ่งเดือน ปรากฏข้อเท็จจริงว่าม่วงไม่ได้ชําระค่าเช่า 3 ครั้งคือวันที่ 31 กรกฎาคม 2557 วันที่ 30 กันยายน 2557 และวันที่ 31 ตุลาคม 2557 ดังนั้น ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2557 ดําจึงบอกเลิกสัญญาเช่าเพราะม่วงไม่ชําระค่าเช่า และ ให้ม่วงส่งมอบที่ดินคืนในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2557 จงวินิจฉัยว่าการบอกเลิกสัญญาของดําชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบจะแตกต่างไปหรือไม่ และดําจะเรียกค่าเช่าซื้อที่ม่วงยังไม่ชําระทั้งหมดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึ่งกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ม่วงไม่ได้ชําระค่าเช่า 3 ครั้งนั้น เมื่อหักค่าเช่าออก 1 เดือน ที่ม่วงชําระล่วงหน้าไว้ ย่อมถือว่าม่วงไม่ได้ชําระค่าเช่า 2 เดือนติดต่อกัน คือ เดือนกันยายนและตุลาคม 2557 ซึ่งมีผล ทําให้ดํามีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน ดําจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ม่วงนําค่าเช่ามาชําระก่อน โดยต้องให้เวลาแก่ม่วง นําค่าเช่ามาชําระอย่างน้อย 15 วัน ซึ่งถ้าม่วงไม่ยอมชําระอีก ดําจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคสอง ดังนั้น การที่ดําบอกเลิกสัญญาเช่ากับม่วงทันทีในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2557 และให้ม่วงส่งมอบที่ดินคืน ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2557 การบอกเลิกสัญญาเช่าของดําจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคแรก “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญาในข้อ ที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่ดําผิดนัดไม่ชําระค่าเช่าในเดือนกันยายน และตุลาคม 2557 นั้น ย่อมถือเป็นกรณีที่ดําผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กันแล้ว ดังนั้น ดําผู้ให้เช่าซื้อ จึงบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ทันทีตามมาตรา 574 วรรคแรก การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของดําจึงชอบด้วยกฎหมาย

แต่อย่างไรก็ตาม ดําจะเรียกเงินค่าเช่าซื้อที่ม่วงยังไม่ชําระในเดือนกันยายนและตุลาคม 2557 จํานวน 80,000 บาท ไม่ได้ เพราะตามหลักกฎหมายมาตรา 574 วรรคแรก หากผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินค่าเช่าซื้อ สองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และริบเงินค่าเช่าซื้อ ที่ได้ใช้มาแล้วเท่านั้น จะเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระเพราะผิดนัดหรือผิดสัญญาดังกล่าวไม่ได้

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าทรัพย์ทันทีของดําไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันทีของดําชอบด้วยกฎหมาย แต่ดําจะเรียกค่าเช่าซื้อที่ม่วงยังไม่ชําระทั้งหมดไม่ได้ ดังนั้น คําตอบจึงแตกต่างกัน

 

ข้อ 3.

(ก) นายจ้างทําสัญญาจ้างนายสุชาติให้เป็นลูกจ้างแบบไม่มีกําหนดเวลา โดยตกลงชําระสินจ้าง

เดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันสิ้นเดือน ต่อมานายสุชาติมาขอเบิกเงินก่อนกําหนดเวลา บ่อย ๆ นายจ้างจึงเปลี่ยนเป็นชําระสินจ้างให้ทุก ๆ วันที่ 15 และวันสิ้นเดือนแทน ปรากฏว่า นายจ้างมีปัญหาทางการเงินอย่างมากทําให้จําเป็นต้องเลิกสัญญาจ้าง นายจ้างจึงได้บอกกล่าว เลิกสัญญาในวันที่ 15 กันยายน และบอกเลิกสัญญาจ้างในวันที่ 30 กันยายน เช่นนี้ท่านเห็นว่าถูกต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

(ข) นายกําแหงได้ทําสัญญาจ้างนายชาติชายให้ขุดมันสําปะหลังในไร่ของนายกําแหงให้เสร็จสิ้นภายในหนึ่งเดือน และให้นายชาติชายดูแลมันสําปะหลังไม่ให้สูญหายจนกว่าจะส่งมอบให้แก่ นายกําแหงแล้วนายกําแหงจึงจะจ่ายสินจ้างให้แก่นายชาติชาย ข้อตกลงระหว่างนายกําแหงกับ นายชาติชายเป็นสัญญาอะไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าว ล่วงหน้ากว่าสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแก่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่าย จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียว แล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายจ้างให้นายสุชาติทํางานเป็นลูกจ้างโดยนายจ้างได้ตกลงทําสัญญาจ้างไม่มีกําหนดเวลาไว้กับนายสุชาติ จึงเข้าหลักของมาตรา 582 วรรคแรก คือถ้านายจ้างจะบอกเลิก สัญญาจ้างกับนายสุชาติก็จะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายค่าจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไป แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่า 3 เดือน

ตามข้อเท็จจริง การที่นายจ้างทําสัญญาจ้างนายสุชาติ โดยตกลงชําระสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันสิ้นเดือน แต่ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นชําระสินจ้างทุก ๆ วันที่ 15 และสิ้นเดือนแทนนั้นไม่ถือว่า เป็นการเปลี่ยนการชําระสินจ้างเป็นราย 15 วัน ยังถือว่าเป็นรายเดือนตามที่ตกลงในสัญญา (คําพิพากษาฎีกาที่ 521/2502) ดังนั้น เมื่อปรากฏว่านายจ้างได้บอกกล่าวเลิกสัญญาในวันที่ 15 กันยายน ย่อมถือว่าเป็นการบอกกล่าว ในวันที่ 30 กันยายน และนายจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างได้ในวันที่ 31 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันถึงกําหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปตามมาตรา 582 วรรคแรก การที่นายจ้างได้บอกกล่าวเลิกสัญญาในวันที่ 15 กันยายน และบอกเลิก สัญญาจ้างในวันที่ 30 กันยายน จึงไม่ถูกต้อง

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 575 “อันว่าจ้างแรงงานนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ลูกจ้าง ตกลงจะทํางาน ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า นายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทํางานให้”

มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จ แห่งการที่ทํานั้น”

วินิจฉัย

ตามหลักกฎหมายข้างต้น สัญญาจ้างแรงงาน เป็นสัญญาที่มีบุคคลอยู่สองฝ่าย ซึ่งฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า “นายจ้าง” และอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า “ลูกจ้าง” ซึ่งทางฝ่ายลูกจ้างตกลงจะทํางานให้แก่นายจ้าง และนายจ้าง ตกลงจ่ายสินจ้างเป็นค่าตอบแทนจากการทํางานนั้น โดยฝ่ายนายจ้างไม่ได้คํานึงถึงผลสําเร็จของงาน แต่ลูกจ้าง จะต้องทํางานให้ครบตามกําหนดระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ (มาตรา 575)

ส่วนสัญญาจ้างทําของ เป็นสัญญาที่มีบุคคลอยู่สองฝ่ายเช่นกัน ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า “ผู้รับจ้าง” และอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า “ผู้ว่าจ้าง” ซึ่งทางฝ่ายผู้รับจ้างตกลงจะทําการสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่ผู้ว่าจ้าง และ ผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จแห่งการที่ทํานั้น โดยฝ่ายนายจ้างจะมุ่งประสงค์ถึงผลสําเร็จของงานที่กระทํา โดยไม่คํานึงถึงแรงงานหรือระยะเวลาที่ลูกจ้างปฏิบัติงาน (มาตรา 587)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกําแหงได้ทําสัญญาจ้างนายชาติชายให้ขุดมันสําปะหลังในไร่ ของนายกําแหงให้เสร็จสิ้นภายในหนึ่งเดือน และให้นายชาติชายดูแลมันสําปะหลังไม่ให้สูญหายจนกว่าจะส่งมอบให้นายกําแหง แล้วนายกําแหงจึงจะจ่ายสินจ้างให้แก่นายชาติชายนั้น ถือเป็นกรณีที่นายชาติชายตกลงจะทําการงาน สิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่นายกําแหง และนายกําแหงตกลงที่จะจ่ายสินจ้างให้นายชาติชายเพื่อผลสําเร็จ ของการที่ทํานั้น คือ เมื่อมีการส่งมอบมันสําปะหลังให้แก่นายกําแหง ดังนั้น ข้อตกลงระหว่างนายกําแหงกับ นายชาติชายจึงเป็นสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587

สรุป

(ก) ข้าพเจ้าเห็นว่าการบอกเลิกสัญญาของนายจ้างไม่ถูกต้อง

(ข) ข้อตกลงระหว่างนายกําแหงกับนายชาติชายเป็นสัญญาจ้างทําของ

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ s/2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าโกดังเก็บสินค้ามีกําหนดเวลา 10 ปี โดยสัญญาเช่าโกดังครบกําหนดลงในวันที่ 31 พฤษภาคม 2557 ในสัญญาเช่ามีข้อความสําคัญดังต่อไปนี้

ข้อ 4 ผู้ให้เช่ามีหน้าที่ต้องซ่อมแซมโกดังเก็บสินค้า ไม่ว่าเป็นการซ่อมแซมใหญ่หรือซ่อมแซมเล็กน้อยก็ตาม

ข้อ 5 เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนด 10 ปีแล้ว ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 10 ปี และผู้ให้เช่าจะไปจดทะเบียนการเช่าให้ภายในวันที่ 10 มิถุนายน 2557

ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ขาวเช่ามาเพียง 3 ปี แดงได้ขายโกดังเก็บสินค้านี้ซึ่งแดงเป็นเจ้าของให้กับมืด โดยการซื้อขายทําถูกต้องตามกฎหมาย แต่ขาวก็ใช้โกดังเก็บสินค้าต่อมาจนสัญญาเช่าโกดังเกือบ ครบ 10 ปี ปรากฏว่าหลังคาโกดังเก็บสินค้าถูกลมพายุพัด ทําให้หลังคารั่วเป็นจํานวนมากและต้องรีบซ่อมแซมใหญ่ ขาวได้ซ่อมแซมใหญ่และจ่ายค่าซ่อมแซมไป 3 แสนบาท ครั้นสัญญาเช่าครบกําหนด 10 ปี ในวันที่ 31 พฤษภาคม 2557 ขาวได้ไปพบมืดและขอเช่าโกดังต่อไปอีก 10 ปี โดยให้มืดไปจดทะเบียนการเช่าให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 10 มิถุนายน 2557 ตามสัญญาข้อ 5 และขอให้มืดจ่ายเงิน ค่าซ่อมแซมใหญ่ให้กับขาวตามสัญญาข้อ 4 เป็นเงิน 3 แสนบาท

ให้วินิจฉัยว่า มืดจะต้องปฏิบัติตามสัญญาข้อ 4 และข้อ 5 ตามความต้องการของขาวหรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และ ถ้าเป็นการเช่าที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

และตามบทบัญญัติมาตรา 569 ได้กําหนดไว้ว่า ในกรณีที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับสิ้นไป และมีผลทําให้ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน ตามสัญญาเช่าที่มีต่อผู้เช่าด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าโกดังเก็บสินค้าซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ระหว่างแดงกับขาว ซึ่งมีกําหนดเวลา 10 ปี ได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนการเช่า สัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมายและสามารถใช้ บังคับกันได้ 10 ปี ตามมาตรา 538 และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าขาวได้เช่าโกดังเก็บสินค้าดังกล่าวได้เพียง 3 ปี แดงได้ขายโกดังเก็บสินค้านี้ให้กับมืด กรณีนี้ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่าระงับ สิ้นไปตามมาตรา 569 วรรคแรก โดยมืดผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของแดงผู้โอนที่มีต่อขาว ผู้เช่าด้วยตามมาตรา 569 วรรคสอง กล่าวคือ มืดจะต้องให้ดําเช่าโกดังเก็บสินค้านั้นต่อไปจนครบกําหนด 10 ปี ตามสัญญาเช่า

และตามอุทาหรณ์ เมื่อมืดได้ให้ขาวเช่าโกดังเก็บสินค้าดังกล่าวเกือบครบ 10 ปี ปรากฏว่า หลังคาโกดังเก็บสินค้าได้ถูกลมพายุพัด ทําให้หลังคารั่วเป็นจํานวนมากและต้องซ่อมแซมใหญ่ ดังนี้โดยหลักแล้ว มืดผู้ให้เช่าจะต้องเป็นผู้ซ่อมแซมตามสัญญาเช่าข้อ 4 ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ขาวได้ทําการซ่อมแซมหลังคา โกดังเก็บสินค้านั้น และต้องจ่ายค่าซ่อมแซมไป 3 แสนบาท มืดจึงต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าข้อ 4 คือต้องจ่ายค่าซ่อมแซมให้แก่ขาวจํานวน 3 แสนบาท เพราะข้อกําหนดตามสัญญาเช่าข้อ 4 เป็นสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า ตามมาตรา 569 วรรคสอง

ส่วนข้อกําหนดตามสัญญาเช่าข้อ 5 ที่ว่า เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนด 10 ปีแล้ว ผู้ให้เช่าให้คํามั่น จะให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 10 ปีนั้น เป็นเพียงสิทธิและหน้าที่ตามคํามั่นจะให้เช่า ไม่ใช่สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า จึงไม่มีผลผูกพันมืดผู้รับโอน ดังนั้น การที่ขาวขอเช่าโกดังต่อไปอีก 10 ปี โดยให้มืดไปจดทะเบียนการเช่าด้วยนั้น มืดจึงไม่ต้องทําตามความต้องการของขาวแต่อย่างใด

สรุป มืดจะต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าข้อ 4 แต่มืดไม่ต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าข้อ 5

 

ข้อ 2.

(ก) ม่วงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้เหลืองเช่ารถยนต์ของม่วงมีกําหนดเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุกวันที่ 20 ของแต่ละเดือน ๆ ละ 25,000 บาท ในวันทําสัญญาเหลืองได้ชําระค่าเช่าไว้ล่วงหน้าเป็นเงิน 75,000 บาท หลังจากนั้น เหลืองไม่เคยชําระค่าเช่าอีกเลย ดังนั้นเมื่อม่วงเห็นว่าเหลืองไม่ชําระค่าเช่าในวันที่ 31 พฤษภาคม 2557 ม่วงได้บอกเลิกสัญญากับเหลืองทันที ดังนี้ จงวินิจฉัยว่า การบอกเลิกสัญญาของม่วงชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึ่งกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เหลืองได้ชําระค่าเช่าล่วงหน้าเป็นเงิน 75,000 บาทนั้น ถือว่าเป็น การชําระค่าเช่าเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ และมีนาคม 2557 เมื่อปรากฏว่าหลังจากนั้นเหลืองไม่เคยชําระค่าเช่าอีกเลย ถือว่าเหลืองไม่ชําระค่าเช่า 2 เดือนติด ๆ กัน คือ เดือนเมษายน และเดือนพฤษภาคม 2557 ซึ่งมีผลทําให้ ม่วงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อตามสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน ดังนั้นม่วงจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้เหลืองนําค่าเช่ามาชําระก่อน โดยต้องให้เวลาเหลืองนําค่าเช่ามาชําระอย่างน้อย 15 วัน ซึ่งถ้าเหลืองไม่ยอมชําระค่าเช่าอีกม่วงจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตาม มาตรา 560 วรรคสอง ดังนั้นการที่ม่วงบอกเลิกสัญญาเช่ากับเหลืองทันทีในวันที่ 31 พฤษภาคม 2557 การบอกเลิก สัญญาเช่าของม่วงจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคแรก “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญาในข้อ ที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่เหลืองผิดนัดไม่ชําระค่าเช่าซื้อในเดือนเมษายน และเดือนพฤษภาคม 2557 นั้น ถือเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กันแล้ว ดังนั้นม่วงผู้ให้เช่าซื้อ จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ทันทีตามมาตรา 574 วรรคแรก การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของม่วงในกรณีนี้จึง ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าทรัพย์ทันทีของม่วงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันทีของม่วงชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นคําตอบของข้าพเจ้าจึงแตกต่างกัน

 

ข้อ 3. ดําจ้างให้แสดทํางานเป็นพนักงานจําหน่ายสินค้าในร้านค้าของดําโดยเริ่มจ้างตั้งแต่ 1 มกราคม 2557 เป็นสัญญาจ้างแรงงานไม่มีกําหนดเวลา ตกลงชําระสินจ้างทุกวันที่ 15 และวันสิ้นเดือนของแต่ละเดือน เป็นค่าจ้างคราวละ 13,000 บาท แสดทํางานมาถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2557 ในวันนี้เองดําไม่อยากจ้างแสดต่อไปโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ ดําได้จ่ายเงินให้แสด 13,000 บาท และบอกให้แสดออกจากงาน ไปเลยไม่ต้องมาทํางานอีก ท่านเห็นว่าการบอกเลิกสัญญาของดําเช่นนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าว ล่วงหน้ากว่าสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแต่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่าย จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียว แล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ดําจ้างให้แสดทํางานจําหน่ายสินค้าในร้านค้าของดํา โดยได้ทําเป็นสัญญาจ้างแรงงานไม่มีกําหนดเวลานั้น ย่อมเข้าหลักของมาตรา 582 วรรคแรก คือ ถ้าดําจะบอกเลิกสัญญาจ้าง กับแสดก็จะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายค่าจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไป แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่า 3 เดือน

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ดําได้บอกเลิกสัญญาจ้างในวันที่ 31 พฤษภาคม 2557 ซึ่งเป็นการบอกเลิกสัญญาในวันจ่ายค่าจ้าง กรณีนี้จึงให้ถือว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาล่วงหน้าเพื่อให้มีผลเป็นการเลิกสัญญากัน ในวันที่ 15 มิถุนายน 2557 ซึ่งเป็นวันถึงกําหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไป ดังนั้น แสดจึงมีสิทธิทํางานจนถึงวันสุดท้าย คือวันที่ 15 มิถุนายน 2557 และดําจะต้องจ่ายค่าจ้างให้กับแสดในวันที่ 31 พฤษภาคม 2557 เป็นเงิน 13,000 บาท และต้องจ่ายค่าจ้างในวันที่ 15 มิถุนายน 2557 อีก 13,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 26,000 บาท ตามมาตรา 582 วรรคแรก หรือดําจะจ่ายเงินค่าจ้างให้แก่แสดทั้งหมด 26,000 บาท แล้วให้แสดออกจากงานในทันทีเลยก็ได้ตาม มาตรา 582 วรรคสอง ดังนั้น การบอกเลิกสัญญาของดําดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การบอกเลิกสัญญาของดําไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าโกดังเก็บสินค้ามีกําหนดเวลา 10 ปี โดยสัญญาเช่าโกดังครบกําหนดลงในวันที่ 31 มกราคม 2557 ในสัญญาเช่ามีข้อความสําคัญ ดังต่อไปนี้คือ

ข้อ 4 ผู้เช่ามีหน้าที่ต้องซ่อมแซมโกดังเก็บสินค้า ไม่ว่าเป็นการซ่อมแซมใหญ่หรือซ่อมแซมเล็กน้อยก็ตาม และค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมใด ๆ ผู้เช่าต้องจ่ายให้กับผู้ให้เช่าด้วย

ข้อ 5 เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนด 10 ปีแล้ว ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 10 ปี และผู้ให้เช่าจะไปจดทะเบียนการเช่าให้ภายในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2557

ปรากฏข้อเท็จจริงว่าขาวเช่ามาเพียง 3 ปี แดงได้ขายโกดังเก็บสินค้านี้ ซึ่งแดงเป็นเจ้าของให้กับมืดโดยการซื้อขายทําถูกต้องตามกฎหมาย แต่ขาวก็ใช้โกดังเก็บสินค้าต่อมาจนสัญญาเช่าโกดังเกือบครบ 10 ปี ปรากฏว่าหลังคาโกดังเก็บสินค้าถูกลมพายุพัด ทําให้หลังคารั่วเป็นจํานวนมากและต้องรีบซ่อมแซมใหญ่ มืดได้ซ่อมแซมใหญ่และจ่ายค่าซ่อมแซมไป 3 แสนบาท ครั้นสัญญาเช่าครบกําหนด 10 ปีในวันที่ 31 มกราคม 2557 ขาวได้ไปพบมืดและขอเช่าโกดังต่อไปอีก 10 ปี โดยให้มืดไปจดทะเบียนการเช่า ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2557 ตามสัญญาข้อ 5 แต่มืดขอให้ขาวจ่ายเงินค่าซ่อมใหญ่ ให้กับมืดตามสัญญาข้อ 4 เป็นเงิน 3 แสนบาท ให้วินิจฉัยว่าขาวจะต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าข้อ 4 และมืดจะต้องปฏิบัติตามความต้องการของขาวหรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และถ้าเป็นการเช่าที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

และตามบทบัญญัติมาตรา 569 ได้กําหนดไว้ว่า ในกรณีที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับสิ้นไป และมีผลทําให้ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน ตามสัญญาเช่าที่มีต่อผู้เช่าด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าโกดังเก็บสินค้าซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ระหว่างแดงกับขาว ซึ่งมีกําหนดเวลา 10 ปี ได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนการเช่า สัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมายและสามารถใช้บังคับกันได้ 10 ปี ตามมาตรา 538 และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าขาวได้เช่าโกดังเก็บสินค้าดังกล่าวได้เพียง 3 ปี แดงได้ขายโกดังเก็บสินค้านี้ให้กับมืด กรณีนี้ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่าระงับสิ้นไป ตามมาตรา 569 วรรคแรก โดยมืดผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของแดงผู้โอนที่มีต่อขาวผู้เช่า ด้วยตามมาตรา 569 วรรคสอง กล่าวคือ มืดจะต้องให้ดําเช่าโกดังเก็บสินค้านั้นต่อไปจนครบกําหนด 10 ปีตาม สัญญาเช่า

และตามอุทาหรณ์ เมื่อมืดได้ให้ขาวเช่าโกดังเก็บสินค้าดังกล่าวเกือบครบ 10 ปี ปรากฏว่า หลังคาโกดังเก็บสินค้าได้ถูกลมพายุพัด ทําให้หลังคารั่วเป็นจํานวนมากและต้องซ่อมแซมใหญ่ ดังนี้โดยหลักแล้ว ขาวผู้เช่าจะต้องเป็นผู้ซ่อมแซม หรือถ้าผู้ให้เช่าเป็นผู้ซ่อมแซม ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมผู้เช่าจะต้องจ่ายให้แก่ผู้ให้เช่าตามสัญญาเช่าข้อ 4 ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า มืดได้ทําการซ่อมแซมหลังคาโกดังเก็บสินค้านั้น และต้องจ่ายค่าซ่อมแซมไป 3 แสนบาท ขาวจึงต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าข้อ 4 คือต้องจ่ายค่าซ่อมแซมให้แก่มืด จํานวน 3 แสนบาท เพราะข้อกําหนดตามสัญญาเช่าข้อ 4 เป็นสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าตามมาตรา 569 วรรคสอง

ส่วนข้อกําหนดตามสัญญาเช่าข้อ 5 ที่ว่า เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนด 10 ปีแล้ว ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 10 ปีนั้น เป็นเพียงสิทธิและหน้าที่ตามคํามั่นจะให้เช่า ไม่ใช่สิทธิและหน้าที่ตาม สัญญาเช่าจึงไม่มีผลผูกพันมืดผู้รับโอน ดังนั้น การที่ขาวขอเช่าโกดังต่อไปอีก 10 ปี โดยให้มืดไปจดทะเบียนการเช่าด้วยนั้น มืดจึงไม่ต้องทําตามความต้องการของขาวแต่อย่างใด

สรุป ขาวจะต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าข้อ 4 ส่วนมืดไม่ต้องปฏิบัติตามความต้องการของขาว

 

ข้อ 2.

(ก) ม่วงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้เหลืองเช่ารถยนต์ของม่วงมีกําหนดเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2557 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุกวันที่ 20 ของแต่ละเดือน ๆ ละ 25,000 บาท ในวันทําสัญญาเหลืองได้ชําระค่าเช่าไว้ล่วงหน้าเป็นเงิน 25,000 บาท หลังจากนั้นเหลืองไม่เคย ชําระค่าเช่าอีกเลยจนถึงเดือนมีนาคม 2557 ดังนั้นเมื่อม่วงเห็นว่าเหลืองไม่ชําระค่าเช่าใน วันที่ 25 มีนาคม 2557 ม่วงได้บอกเลิกสัญญากับเหลืองทันที ดังนี้ จงวินิจฉัยว่าการบอกเลิกสัญญาของม่วงชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่า กําหนดชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เหลืองได้ชําระค่าเช่าล่วงหน้าเป็นเงิน 25,000 บาทนั้น ถือว่าเป็น การชําระค่าเช่าเดือนมกราคม 2557 เมื่อปรากฏว่าหลังจากนั้นเหลืองไม่เคยชําระค่าเช่าอีกเลย ถือว่าเหลือง ไม่ชําระค่าเช่า 2 เดือนติด ๆ กัน คือ เดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคม 2557 ซึ่งมีผลทําให้ม่วงมีสิทธิบอกเลิก สัญญาเช่าได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อตามสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน ดังนั้นม่วงจะบอกเลิก สัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้เหลืองนําค่าเช่ามาชําระก่อน โดยต้องให้เวลาเหลืองนําค่าเช่ามาชําระ อย่างน้อย 15 วัน ซึ่งถ้าเหลืองไม่ยอมชําระค่าเช่าอีกม่วงจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคสอง ดังนั้น การที่ม่วงบอกเลิกสัญญาเช่ากับเหลืองทันทีในวันที่ 25 มีนาคม 2557 การบอกเลิกสัญญาเช่าของม่วงจึงไม่ชอบด้วย กฎหมาย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคแรก “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่เหลืองผิดนัดไม่ชําระค่าเช่าซื้อในเดือน กุมภาพันธ์และเดือนมีนาคม 2557 นั้น ถือเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กันแล้ว ดังนั้นม่วง ผู้ให้เช่าซื้อจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ทันทีตามมาตรา 574 วรรคแรก การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของม่วง ในกรณีนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าทรัพย์ทันทีของม่วงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันทีของม่วงชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นคําตอบของข้าพเจ้าจึงแตกต่างกัน

 

ข้อ 3.

(ก) นายชาติชายทําสัญญาจ้างนายสนั่นเป็นลูกจ้าง มีกําหนดระยะเวลา 1 ปี ตกลงชําระสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือน ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 ต่อมาเศรษฐกิจ ไม่ดีนายชาติชายได้บอกเลิกสัญญาจ้างทันทีกับนายสนั่นในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 โดยชําระสินจ้างให้ตามสัญญาคือ 15,000 บาท เช่นนี้ถูกต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

(ข) นายสมชาติทําสัญญาจ้างนายชาญชัยให้ก่อสร้างบ้าน 1 หลัง มีกําหนดเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 โดยมีข้อตกลงให้ชําระสินจ้างเป็นงวด ๆ ตามความสําเร็จของงาน แต่จนถึง วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 นายชาญชัยก็ยังก่อสร้างบ้านไม่เสร็จตามสัญญา เช่นนี้ ตามกฎหมาย นายสมชาติจะมีสิทธิอย่างไรกับผู้รับจ้าง และมีข้อยกเว้นหรือไม่ที่ผู้รับจ้างจะไม่ต้องรับผิด ถ้ามีการส่งมอบงานไม่ทันกําหนดเวลาในสัญญา จงอธิบาย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 581 “ถ้าระยะเวลาที่ได้ตกลงว่าจ้างกันนั้นสุดสิ้นลงแล้ว ลูกจ้างยังคงทํางานอยู่ต่อไปอีก และนายจ้างรู้ดังนั้นก็ไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่ โดยความอย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม แต่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะเลิกสัญญาเสียได้ด้วยการบอกกล่าวตามความในมาตราต่อไปนี้”

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าว ล่วงหน้ากว่าสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแต่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่าย จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นที่เดียวแล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายชาติชายทําสัญญาจ้างนายสนั่นมีกําหนดเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2556 นั้น เมื่อสัญญาจ้างสิ้นสุดลงก็ยังคงมีการทํางานต่อไปโดยไม่มีการ ทักท้วง ดังนี้ตามมาตรา 581 ให้สันนิษฐานว่า คู่สัญญาได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่ โดยมีข้อตกลงเป็นอย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม และเป็นสัญญาที่ไม่มีกําหนดเวลา ดังนั้นถ้าจะมีการบอกเลิกสัญญาก็ต้องปฏิบัติตามมาตรา 582

เมื่อในสัญญาได้ตกลงกันว่าจะจ่ายสินจ้างทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือน ดังนั้นการที่นายชาติชาย จะบอกเลิกสัญญาจ้างทันทีในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 จึงไม่ถูกต้อง การบอกเลิกสัญญาจ้างดังกล่าว จะต้องถือว่าเป็นการบอกกล่าวของการชําระสินจ้างวันที่ 25 มีนาคม 2557 และให้เป็นผลไปเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่าย สินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าคือวันที่ 25 เมษายน 2557 ตามมาตรา 582 วรรคแรก

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 591 “ถ้าความชํารุดบกพร่องหรือความชักช้าในการที่ทํานั้นเกิดขึ้นเพราะสภาพแห่ง สัมภาระซึ่งผู้ว่าจ้างส่งให้ก็ดี เพราะคําสั่งของผู้ว่าจ้างก็ดี ท่านว่าผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิดเว้นแต่จะได้รู้อยู่แล้วว่า สัมภาระนั้นไม่เหมาะ หรือว่าคําสั่งนั้นไม่ถูกต้องและมิได้บอกกล่าวตักเตือน”

มาตรา 596 “ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทําไม่ทันเวลาที่ได้กําหนดไว้ในสัญญาก็ดี หรือถ้าไม่ได้ กําหนดเวลาไว้ในสัญญา เมื่อล่วงพ้นเวลาอันควรแก่เหตุก็ดี ผู้ว่าจ้างชอบที่จะได้ลดสินจ้างลง หรือถ้าสาระสําคัญ แห่งสัญญาอยู่ที่เวลาก็ชอบที่จะเลิกสัญญาได้”

มาตรา 597 “ถ้าผู้ว่าจ้างยอมรับมอบการที่ทํานั้นแล้วโดยมิได้คิดเอื้อน ผู้รับจ้างก็ไม่ต้องรับผิด เพื่อการที่ส่งมอบเนิ่นช้า”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายสมชาติทําสัญญาจ้างนายชาญชัยให้ก่อสร้างบ้าน 1 หลัง มีกําหนด เวลา 1 ปี แต่เมื่อครบกําหนดนายชาญชัยก็ยังก่อสร้างบ้านไม่เสร็จตามสัญญานั้นตามมาตรา 596 ได้กําหนดให้ นายสมชาติผู้ว่าจ้างชอบที่จะได้ลดสินจ้างลง หรือถ้าสาระสําคัญแห่งสัญญาอยู่ที่เวลานายสมชาติผู้ว่าจ้างมีสิทธิ บอกเลิกสัญญาได้

แต่อย่างไรก็ดี หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 591 คือการก่อสร้างบ้านไม่เสร็จตามสัญญานั้น เกิดขึ้นเพราะสัมภาระซึ่งผู้ว่าจ้างได้ส่งให้ หรือเพราะคําสั่งของผู้ว่าจ้างเอง หรือตามมาตรา 597 คือ ถ้านายสมชาติ ผู้ว่าจ้างยอมรับมอบงานที่ทํานั้นโดยมิได้คิดเอื้อน ดังนี้นายชาญชัยผู้รับจ้างก็ไม่ต้องรับผิด

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาจ้างทันทีในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 ของนายชาติชายไม่ถูกต้อง

(ข) นายสมชาติผู้ว่าจ้างมีสิทธิที่จะได้ลดสินจ้างลง หรืออาจบอกเลิกสัญญาได้ตามมาตรา 596 เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 591 และมาตรา 597

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ 1/2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าอาคารพาณิชย์ของแดงมีกําหนดเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2553 ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2556 ตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 5 ของแต่ละเดือน สัญญาเช่ามีข้อความดังนี้คือ

ข้อ 5. “ผู้ให้เช่าอนุญาตให้ผู้เช่านําอาคารพาณิชย์ไปให้เช่าช่วงได้”

ปรากฏข้อเท็จจริงว่าในปี 2554 แดงได้ยกอาคารหลังนี้ให้กับม่วงพี่ชายของแดง การให้ทําถูกต้องตาม กฎหมาย ขาวอยู่ในอาคารที่เช่ามาจนสัญญาเช่าครบกําหนดและขาวยังคงอยู่ในอาคารที่เช่าต่อมา จนถึงปัจจุบันนี้ โดยขาวได้ชําระค่าเช่าให้กับม่วง แต่ขาวไม่ได้ทําสัญญาเช่ากับม่วงเป็นหนังสือแต่อย่างใด คงมีสัญญาเช่าที่ขาวได้ทําไว้กับแดงฉบับเดียวเท่านั้น และในเดือนกันยายน 2556 ขาวได้นําอาคารพาณิชย์ไปให้เหลืองเช่าช่วง ม่วงทราบว่าขาวนําอาคารไปให้เช่าช่วงในวันที่ 30 กันยายน 2556 ม่วงจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับขาวทันทีโดยอ้างว่าม่วงไม่ต้องผูกพันตามสัญญาข้อ 5. ที่แดงตกลงกับขาว

ให้วินิจฉัยว่าข้ออ้างของม่วงชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด และม่วงจะมีทางอื่นที่จะบอกเลิกสัญญากับขาวหรือไม่ เพียงใด จงวินิจฉัย (แยกตอบ 2 กรณีด้วย)

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 544 “ทรัพย์สินซึ่งเช่านั้น ผู้เช่าจะให้เช่าช่วงหรือโอนสิทธิของตนอันมีในทรัพย์สิน นั้นไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนให้แก่บุคคลภายนอก ท่านว่าหาอาจทําได้ไม่ เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ในสัญญาเช่า

ถ้าผู้เช่าประพฤติฝ่าฝืนบทบัญญัติอันนี้ ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

มาตรา 566 “ถ้ากําหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกันหรือไม่พึงสันนิษฐานได้ไซร้ ท่านว่าคู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกําหนดชําระค่าเช่าก็ได้ทุกระยะ แต่ต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไม่จําต้องบอกกล่าว ล่วงหน้ากว่าสองเดือน”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่าผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

มาตรา 570 “ในเมื่อสิ้นกําหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น ถ้าผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่ และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกําหนดเวลา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ระหว่างแดงกับขาวซึ่งมีกําหนดเวลา 3 ปี เมื่อ ได้มีการทําสัญญาเป็นหนังสือจึงมีผลสมบูรณ์และใช้ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ตามมาตรา 538 และเมื่อแดงได้ยกอาคารหลังนี้ให้กับม่วงและการให้ได้ทําถูกต้องตามกฎหมาย กรณีนี้ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่า ระงับสิ้นไปตามมาตรา 569 วรรคแรก และม่วงผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่ง มีต่อผู้เช่าด้วย กล่าวคือ ม่วงจะต้องให้ขาวเช่าอยู่ในอาคารหลังนี้ต่อไปจนครบกําหนดเวลา 3 ปี ตามสัญญาเช่า ตามมาตรา 569 วรรคสอง และม่วงต้องรับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าข้อ 5. ที่ว่า “ผู้ให้เช่าอนุญาตให้ ผู้เช่านําอาคารพาณิชย์ไปให้เช่าช่วงได้” ด้วย เพราะเป็นสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า (ตามมาตรา 544) กล่าวคือ ม่วงจะต้องอนุญาตให้ขาวนําอาคารพาณิชย์ไปให้เช่าช่วงได้นั่นเอง

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ขาวได้อยู่ในอาคารที่เช่ามาจนครบกําหนด 3 ปี และขาวยังคงอยู่ ในอาคารที่เช่าต่อมาจนถึงปัจจุบันโดยขาวได้ชําระค่าเช่าให้กับม่วง ดังนี้แม้ว่าขาวจะไม่ได้ทําสัญญาเช่ากับม่วงใหม่ก็ตาม ก็ถือว่าได้เกิดสัญญาเช่าขึ้นใหม่ระหว่างม่วงและขาว และเป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดเวลาตามมาตรา 570 โดยสิทธิและหน้าที่ของผู้เช่าและผู้ให้เช่าจะเป็นไปตามสัญญาเช่าเดิม และม่วงสามารถบอกเลิกสัญญาเช่าที่ไม่มี กําหนดเวลาในกรณีนี้ได้ตามมาตรา 566 แม้ขาวผู้เช่าจะไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาเลยก็ตาม แต่การบอกเลิกสัญญาเช่า ดังกล่าวนั้นม่วงจะต้องบอกกล่าวให้ขาวรู้ตัวก่อนชั่วกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไม่จําต้อง บอกกล่าวล่วงหน้ากว่า 2 เดือน

และเมื่อปรากฏว่าในเดือนกันยายน 2556 ขาวได้นําอาคารพาณิชย์ไปให้เหลืองเช่าช่วง และม่วง ได้ทราบว่าขาวนําอาคารไปให้เหลืองเช่าช่วงในวันที่ 30 กันยายน 2556 ม่วงจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับขาวทันทีนั้น ม่วงไม่สามารถบอกเลิกสัญญาเช่ากับขาวทันทีได้ เพราะ

  1. การที่ม่วงอ้างว่าม่วงไม่ต้องผูกพันตามสัญญาข้อ 5. ที่แดงตกลงกับขาวนั้น ข้ออ้างของม่วง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะตามสัญญาข้อ 5. ที่แดงตกลงกับขาวนั้น เป็นสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า ดังนั้นม่วง ผู้รับโอนต้องรับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ของแดงผู้โอนที่มีต่อขาวผู้เช่าด้วยตามมาตรา 569 ประกอบมาตรา 544
  2. ม่วงจะบอกเลิกสัญญาเช่ากับขาวทันทีโดยอ้างว่า ขาวฝ่าฝืนมาตรา 544 เพราะขาว เอาอาคารไปให้เหลืองเช่าช่วงนั้นไม่ได้ ถ้าม่วงจะบอกเลิกสัญญาเช่ากับขาว เมื่อเป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดเวลา ม่วงจึงต้องบอกเลิกสัญญาเช่าโดยอาศัยมาตรา 566 คือม่วงจะต้องบอกกล่าวให้ขาวรู้ตัวก่อนชั่วกําหนดเวลา ชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย ดังนั้นการที่ม่วงบอกเลิกสัญญาเช่าในวันที่ 30 กันยายน 2556 ซึ่งถือเป็น การบอกเลิกจริง ๆ ในวันที่ 5 ตุลาคม 2556 นั้น ม่วงจะต้องบอกกล่าวให้ขาวรู้ตัว และให้ขาวอยู่ในอาคารหลังนี้จนถึง วันที่ 5 พฤศจิกายน 2556 กล่าวคือให้สัญญาเช่าดังกล่าวมีผลเป็นการเลิกกันในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2556 นั่นเอง

สรุป

  1. ข้ออ้างของม่วงที่ว่าม่วงไม่ต้องผูกพันตามสัญญาข้อ 5. ที่แดงตกลงกับขาวนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
  2. ม่วงจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีไม่ได้ ถ้าม่วงจะบอกเลิกสัญญาเช่าจะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามมาตรา 566 ดังที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2.

(ก) น้ำเงินทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้เหลืองเช่าที่ดินมีกําหนดเวลา 3 ปีนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2556 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 1 ของแต่ละเดือน ๆ ละ 25,000 บาท ในวัน ทําสัญญาเช่าเหลืองได้ให้เงินมัดจําค่าเช่ากับน้ำเงินไว้เป็นเงิน 200,000 บาท (สองแสนบาท) และได้ชําระค่าเช่าสําหรับเดือนมกราคม 2556 ไว้อีก 25,000 บาท หลังจากเดือนมกราคม 2556 เหลืองไม่ได้ชําระค่าเช่าให้กับน้ำเงินอีกเลย จนถึงปัจจุบันนี้ ดังนั้นในวันที่ 3 ตุลาคม 2556 น้ําเงินจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับเหลืองทันที โดยอ้างว่าเหลืองไม่ชําระค่าเช่า และให้เหลืองส่งมอบ ที่ดินคืนในวันที่ 10 ตุลาคม 2556 จงวินิจฉัยว่า การบอกเลิกสัญญาเช่าของน้ำเงินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่ เพียงใด

จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

การบอกเลิกสัญญาเช่าในกรณีที่ผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า มีกําหนดไว้ในมาตรา 560 กล่าวคือ ถ้า ผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้ แต่ถ้าชําระค่าเช่าเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เช่น รายสองเดือนหรือรายปี ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระไม่น้อยกว่า 15 วันจึงจะบอกเลิกสัญญาได้ ผู้ให้เช่า จะบอกเลิกสัญญาทันทีไม่ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าที่ดินระหว่างน้ําเงินและเหลือง มีการตกลงชําระค่าเช่าเป็น รายเดือน โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 1 ของแต่ละเดือน และการที่เหลืองได้ให้เงินมัดจําค่าเช่ากับน้ำเงินไว้ เป็นเงิน 200,000 บาท และได้ชําระค่าเช่าสําหรับเดือนมกราคม 2556 ไว้อีก 25,000 บาทนั้น เท่ากับเหลืองได้ชําระ ค่าเช่าให้แก่น้ำเงินแล้ว 9 เดือน คือเดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน 2556 และการที่เหลืองไม่ได้ชําระค่าเช่าให้กับ น้ำเงินอีกเลยจนถึงปัจจุบัน ก็เท่ากับว่าเหลืองยังไม่ได้ชําระค่าเช่าในวันที่ 1 ตุลาคม 2556 ซึ่งเป็นค่าเช่าของเดือน ตุลาคม 2556 ดังนั้นถ้าน้ำเงินจะบอกเลิกสัญญาเช่า น้ำเงินจะต้องบอกกล่าวให้เหลืองนําค่าเช่ามาชําระก่อนและต้องให้เวลาเหลืองไม่น้อยกว่า 15 วัน ซึ่งถ้าเหลืองไม่นําค่าเช่ามาชําระน้ำเงินจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ (ตามมาตรา 560) ดังนั้น การที่น้ำเงินบอกเลิกสัญญาเช่ากับเหลืองทันทีในวันที่ 3 ตุลาคม 2556 โดยอ้างว่าเหลืองไม่ชําระค่าเช่า และให้เหลืองส่งมอบที่ดินคืนในวันที่ 10 ตุลาคม 2556 นั้น การบอกเลิกสัญญาเช่าของน้ําเงินจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคแรก “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ เมื่อได้หักค่าเช่าซื้อล่วงหน้าและค่าเช่าซื้อในเดือน มกราคม 2556 แล้ว เท่ากับเหลืองไม่ได้ชําระค่าเช่าซื้อเพียง 1 คราว คือในวันที่ 1 ตุลาคม 2556 จึงถือว่าเป็น กรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินเพียง 1 คราว มิใช่เป็นการผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กันตามมาตรา 574 วรรคแรก ดังนั้นน้ำเงินจะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไม่ได้ การที่น้ำเงินบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันทีในวันที่ 3 ตุลาคม 2556 การ บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของน้ำเงินจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าทรัพย์ทันทีของน้ำเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันทีของน้ำเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นคําตอบของข้าพเจ้าจึงไม่แตกต่างกัน

 

ข้อ 3. (ก) ช้างทําสัญญาจ้างเสือเป็นหัวหน้าคนงาน มีกําหนดเวลา 1 ปี ได้รับสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท (เฉลี่ยวันละ 500 บาท) ตกลงชําระสินจ้างทุก ๆ วันสิ้นเดือน เสือทํางานเรื่อยมาเป็นเวลา 1 ปี 8 เดือน เศรษฐกิจไม่ดี ช้างจึงชําระสินจ้างให้เสือ 7,500 บาท ในวันที่ 15 สิงหาคม และบอกเลิก สัญญาจ้างเสือในวันที่ 15 สิงหาคม แต่เสือเห็นว่าไม่ถูกต้อง เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

(ข) สัญญาจ้างทําของ ผู้รับจ้างสามารถเอาการงานที่จ้างไปจ้างช่วงต่อได้หรือไม่ มีกรณีที่ไม่สามารถจ้างช่วงได้ มีหรือไม่ จงอธิบาย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 581 “ถ้าระยะเวลาที่ได้ตกลงว่าจ้างกันนั้นสุดสิ้นลงแล้ว ลูกจ้างยังคงทํางานอยู่ต่อไปอีก และนายจ้างรู้ดังนั้นก็ไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่ โดยความ อย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม แต่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะเลิกสัญญาเสียได้ด้วยการบอกกล่าวตามความในมาตรา ต่อไปนี้”

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าว ล่วงหน้ากว่าสามเดือน

อนึ่งในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแต่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่าย จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นที่เดียวแล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ช้างทําสัญญาจ้างเสือเป็นหัวหน้าคนงานมีกําหนดเวลา 1 ปี โดยตกลง จ่ายสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท และตกลงจ่ายสินจ้างทุก ๆ วันสิ้นเดือนนั้น แต่เมื่อเสือได้ทํางานเรื่อยมาเป็นเวลา ใน 1 ปี 8 เดือน ดังนี้ ย่อมสันนิษฐานได้ว่าคู่สัญญาได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่โดยความอย่างเดียวกันกับสัญญาเดิมและเป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกําหนดเวลาตามมาตรา 581 ซึ่งคู่สัญญาจ้างอาจบอกเลิกสัญญาจ้างได้ตามมาตรา 582 ด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากัน เมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้า

เมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ ถือว่าสัญญาจ้างระหว่างช้างกับเสือเป็นสัญญาจ้างไม่มีกําหนดเวลา ดังนั้นการที่ช้างได้จ่ายสินจ้างให้เสือเป็นเงิน 7,500 บาท และบอกเลิกสัญญาจ้างเสือในวันที่ 15 สิงหาคม การบอกเลิก สัญญาจ้างของช้างจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 582 เพราะถ้าจะให้การบอกเลิกสัญญาจ้างของช้างถูกต้อง ตามกฎหมาย ในวันที่ 15 สิงหาคม ซึ่งเป็นวันที่ช้างบอกเลิกสัญญาจ้างนั้น ช้างจะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าว่าจะเลิกสัญญาจ้างโดยให้เสือทํางานจนถึงวันที่ 30 กันยายน (โดยให้ถือว่าเป็นการบอกกล่าวเลิกสัญญาจ้างในวันที่ 31 สิงหาคม และให้มีผลเป็นการเลิกสัญญาจ้างในวันที่ 30 กันยายน) โดยจ่ายสินจ้างให้เสือในเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายน เดือนละ 15,000 บาท หรือช้างอาจจะจ่ายสินจ้างให้แก่เสือทั้งหมดเป็นเงิน 30,000 บาท แล้วให้เสือออกจากงาน ในวันที่ 15 สิงหาคมเลยก็ได้ตามมาตรา 582 วรรคสอง

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 607 “ผู้รับจ้างจะเอาการที่รับจ้างทั้งหมดหรือแบ่งการแต่บางส่วนไปให้ผู้รับจ้างช่วง ทําอีกทอดหนึ่งก็ได้ เว้นแต่สาระสําคัญแห่งสัญญานั้นจะอยู่ที่ความรู้ความสามารถของตัวผู้รับจ้าง แต่ผู้รับจ้างคงต้องรับผิดเพื่อความประพฤติหรือความผิดอย่างใด ๆ ของผู้รับจ้างช่วง”

อธิบาย

จากหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น จะเห็นว่าโดยหลักแล้ว สัญญาจ้างทําของไม่ใช่สัญญาเฉพาะตัวของผู้รับจ้าง ผู้รับจ้างจึงสามารถเอาการที่รับจ้างทั้งหมดหรือแบ่งแต่บางส่วนไปให้ผู้รับจ้างช่วงทําก็ได้ ทั้งนี้ โดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ว่าจ้างแต่อย่างใดตามมาตรา 607 ตอนต้น เว้นแต่จะมีข้อตกลงห้ามมิให้รับจ้างช่วง

ตัวอย่างเช่น ก. ว่าจ้าง ข. ให้สร้างบ้านหนึ่งหลัง กําหนดให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน เช่นนี้ ข. ผู้รับจ้างสามารถให้ ค. สร้างบ้านดังกล่าวแทนตนได้ หรือ ข. สร้างบ้านเสร็จไปแล้วครึ่งหลัง ข. จะให้ ค. สร้างต่อ อีกครึ่งหลังให้แล้วเสร็จภายในเวลากําหนดก็ได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ก็มีข้อยกเว้นอยู่ว่า ถ้าสาระสําคัญแห่งสัญญาจ้างทําของนั้นอยู่ที่ความรู้ ความสามารถของตัวผู้รับจ้าง หรือต้องใช้ความรู้ความสามารถเฉพาะตัว ผู้รับจ้างจะให้บุคคลอื่นกระทําการแทนตน ไม่ได้ กล่าวคือจะเอาการที่จ้างนั้นไปให้บุคคลอื่นรับจ้างช่วงไม่ได้ ทั้งนี้เพราะสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้ชําระหนี้ แทนกันได้นั่นเอง

ตัวอย่างเช่น จ้างผู้รับจ้างวาดภาพเหมือนตัวผู้ว่าจ้าง หรือจ้างทําเครื่องประดับอัญมณีซึ่งผู้รับจ้างมีฝีมือดี ยังหาผู้มีฝีมือแข่งขันด้วยไม่ได้ เช่นนี้ถือว่าเป็นสัญญาจ้างทําของซึ่งมีสาระสําคัญอยู่ที่ความรู้ความสามารถ เฉพาะตัวของผู้รับจ้าง ผู้รับจ้างจึงไม่อาจเอาการที่รับจ้างนั้นไปให้ผู้อื่นกระทําแทนตนได้

 

THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา THA 1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. ข้อใดเป็นคําบอกเพศตรงตามรูปศัพท์
(1) แม่งาน
(2) แม่บ้าน
(3) แม่พิมพ์ของชาติ
(4) แม่ทัพ
ตอบ 2 คํานามในภาษาไทยบางคําก็แสดงเพศได้ชัดเจนในตัวของมันเอง เช่น คําที่บอกเพศชาย ได้แก่ พ่อ พระ เณร ทิด เขย ชาย หนุ่ม บ่าว ปู่ ตา ผม นาย ลุง ฯลฯ และคําที่บอกเพศหญิง ได้แก่ แม่ชี สะใภ้ หญิง สาว นาง ป้า ย่า ยาย ดิฉัน ฯลฯ แต่คําบางคําที่เป็นคํารวมทั้งสองเพศ เช่น พี่ น้อง เด็ก น้า อา ลูก หลาน เพื่อน ฯลฯ หากเราต้องการแสดงเพศให้ชัดเจนตามแบบภาษาคําโดดจะต้องใช้คําที่บ่งเพศมาประกอบเข้า ข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง หรือประสมกันตามแบบคําประสมบ้าง เช่น พี่สาว น้องชาย เด็กสาว น้าชาย อาหญิง ลูกชาย หลานสาว เพื่อนหญิง เพื่อนชาย ฯลฯ (คําว่า “แม่บ้าน” = ภรรยาของพ่อบ้าน, หญิงผู้จัดการงานในบ้าน ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคํารวมได้ทั้งสองเพศ)

2. “ปลาตัวนี้ว่ายวนไปมาในบ่อน้ำ” ข้อความนี้สะท้อนลักษณะของภาษาไทยประเภทใด
(1) คําคําเดียวมีหลายความหมาย
(2) บอกมาลา
(3) บอกพจน์
(4) มีคําลักษณนาม
ตอบ 4
ข้อความข้างต้นสะท้อนลักษณะของภาษาไทยประการหนึ่งคือ มีคําลักษณนาม ซึ่งในที่นี้คําที่มีลักษณนามขยายเป็นคํานาม และคําที่มากับลักษณนามเป็นคุณศัพท์บอกความเฉพาะเจาะจง เพื่อเน้นความให้แน่นอนขึ้น เช่น ปลาตัวนี้ เป็นต้น

3“นายหมูเห็นหมูตัวอ้วนอยู่ริมคอก จึงรีบเข้าไปจับอย่างหมู ๆ”คําว่า “หมู” ในข้อความข้างต้นปรากฏกี่ความหมาย
(1) 1 ความหมาย
(2) 2 ความหมาย
(3) 3 ความหมาย
(4) 4 ความหมาย
ตอบ 3
ข้อความข้างต้นสะท้อนลักษณะของภาษาไทยประการหนึ่ง คือ คําคําเดียวกันอาจมีหลายความหมาย ซึ่งในที่นี้คําว่า “หมู” มีอยู่ 3 ความหมาย ได้แก่
1. นายหมู = ชื่อคน
2. หมูตัวอ้วน = ชื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เป็นสัตว์กีบคู่ ตัวอ้วน
3. จับอย่างหมู ๆ = ง่าย ๆ สะดวก ไม่ยาก

4. ข้อใดไม่เป็นสระเดี่ยว
(1) ปล่อย
(2) ปลา
(3) แปลก
(4) ปลูก
ตอบ 1 เสียงสระในภาษาไทย แบ่งออกได้ดังนี้
1. สระเดี่ยว 18 เสียง แบ่งเป็นเสียงสั้น 9 เสียง ได้แก่ อะ อิ อี อุ เอะ แอะ เออะ โอะ เอาะ และเสียงยาว 9 เสียง ได้แก่ อา อี คือ อู เอ แอ เออ โอ ออ
2. สระผสม 10 เสียง แบ่งเป็นเสียงสั้น 5 เสียง ได้แก่ เอียะ เอือะ อัวะ เอา ไอ และเสียงยาว 5 เสียง ได้แก่ เอีย เอื้อ อัว อาว อาย (ยกเว้นคําใดที่ลงท้ายด้วย ย/ว ซึ่งเป็นพยัญชนะกึ่งสระ อาจเป็นได้ทั้งตัวสะกด ย/ว หรือเป็นสระผสม 2 เสียง หรือ 3 เสียงก็ได้)

5. “ผึ้ง มี คู่ ครอง” จัดเป็นสระเดี่ยวที่มีความสั้นยาวของเสียงใดบ้างตามลําดับ
(1) ยาว ยาว ยาว สั้น
(2) สั้น ยาว ยาว สั้น
(3) ยาว ยาว ยาว ยาว
(4) สั้น ยาว ยาว ยาว
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

6. ข้อใดเป็นสระหน้า
(1) นัด
(2) เส้น
(3) รูป
(4) ร้อน
ตอบ 2 สระเดี่ยวที่จําแนกตามส่วนต่าง ๆ ของลิ้นที่ทําหน้าที่ซึ่งจะต้องมีสภาพของริมฝีปากประกอบด้วย แบ่งออกได้ดังนี้
1. สระกลาง ได้แก่ อา อ๋อ เออ อะ อี เออะ
2. สระหน้า ได้แก่ อี เอ แอ อิเอะ แอะ
3. สระหลัง ได้แก่ อูโอ ออ อุ โอะ เอาะ
(คําว่า “เส้น” = สระเอะ, “นัด” – สระอะ, “รูป” = สระอู, “ร้อน” = สระออ)

7. “ชามะขามขายบนเครื่องบินลําใหญ่” ข้อความนี้มีสระเดี๋ยวเสียงสั้นที่เสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ)
(1) 1 เสียง
(2) 2 เสียง
(3) 3 เสียง
(4) 4 เสียง
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ) ข้อความข้างต้นมีสระเดี๋ยวเสียงสั้น 3 เสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ) ได้แก่
1. สระอะ = มะ/ลํา (เสียงสระอํา = อะ + ม)
2. สระโอะ = บน
3. สระอิ = บิน

8. “เราเลือกเจ็บเพื่อให้จบ แต่ยังจุกอยู่” ข้อความนี้ไม่ปรากฏสระเดี๋ยวเสียงใด
(1) อิ
(2) อุ
(3) อะ
(4) โอะ
ตอบ 1 (ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ)
ข้อความข้างต้นปรากฏสระเดี๋ยวดังนี้
1. สระเอะ = เจ็บ
2. สระโอะ = จบ
3. สระแอ = แต่
4. สระอะ = ยัง
5. สระอุ = จุก
6. สระอู = อยู่

9. ข้อใดเป็นสระผสม
(1) อ่าน
(2) เหล้า
(3) โดน
(4) เจ๋ง
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

10. ข้อใดไม่ประกอบด้วยเสียงสระอา
(1) เสย
(2) เนื้อ
(3) เครียด
(4) ลาย
ตอบ 1
คําว่า “เสย” ประกอบด้วย เออ + ย (เออ + อี) = เอย (ส่วนคําว่า “เนื้อ” ประกอบด้วย คือ + อา = เอื้อ, “เครียด” ประกอบด้วย อี + อา = เอีย, “ลาย” ประกอบด้วย อา + ย (อา + อี) = อาย)

11. ข้อใดประกอบด้วยเสียงสระอือ + อา + อี
(1) เลือด
(2) เพลีย
(3) เมื่อย
(4) เผือก
ตอบ 3
คําว่า “เมื่อย” ประกอบด้วย เอื้อ + ย (คือ 1 อา + อี) = เลื่อย

12. รูปพยัญชนะตัวที่ 6 ในภาษาไทยตรงกับข้อใด
(1) ศ
(2) ค
(3) ง
(4) ฆ
ตอบ 4
ฆ = รูปพยัญชนะตัวที่ 6 ในภาษาไทย นับเป็นพวกอักษรต่ำ ใช้เป็นตัวสะกดในแม่กกในคําที่มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต ส่วนที่ใช้เขียนในคําไทยมีบ้างเล็กน้อย เช่น ฆ่า เพี้ยน ฆ้อง ระฆัง ตะเฆ่ เป็นต้น

13. พยัญชนะต้นในข้อใดเกิดที่ฐานคอ
(1) ย้อย
(2) ร้อย
(3) อ้อย
(4) ก้อย
ตอบ 3
พยัญชนะต้นที่จําแนกตามฐานกรณ์ (ที่เกิดหรือที่ตั้งของเสียง) แบ่งออกได้ดังนี้
1. ฐานคอ (คอหอย) มี 2 เสียง คือ ห (ฮ) อ
2. ฐานเพดานอ่อน มี 3 เสียง คือ ก ค (ข ฆ) ง
3. ฐานเพดานแข็ง มี 5 เสียง คือ จ ช (ฉ ณ) ส (ซ ศ ษ) ย (ญ) ร
4. ฐานฟัน มี 5 เสียง คือ ด (ฎ) ต (ฏ) ท (ถ ฐ ฑ ฒ ธ) น (ณ) ล (ฬ)
5. ฐานริมฝีปาก ได้แก่ ริมฝีปากบนกับล่างประกบกัน มี 5 เสียง คือ บ ป พ (ผ ภ) มวและริมฝีปากล่างประกบกับฟันบน มี 1 เสียง คือ ฟ (ฝ)

14. พยัญชนะต้นในข้อใดเป็นประเภทนาสิก
(1) สุข
(2) มุข
(3) ลุก
(4) จุก
ตอบ 2
พยัญชนะต้นที่จําแนกตามรูปลักษณะของเสียง แบ่งออกได้ดังนี้
1. พยัญชนะระเบิด หรือพยัญชนะกัก ได้แก่ ก ค (ข ฆ) จ ด (ฎ) ต(ฏ) ท (ถ ฐ ฑ ฒ ธ) บ ป พ (ผ ภ) อ
2. พยัญชนะนาสิก ได้แก่ ง น (ณ) ม
3. พยัญชนะเสียดแทรก ได้แก่ ส (ซ ศ ษ) ฟ (ฝ)
4. พยัญชนะกึ่งเสียดแทรก ได้แก่ ช (ฉ ฌ)
5. พยัญชนะกึ่งสระ ได้แก่ ย ว
6. พยัญชนะเหลว ได้แก่ ร ล
7. พยัญชนะเสียงหนัก ได้แก่ ห (ฮ) รวมทั้งพยัญชนะที่มีเสียง ห ผสมอยู่ด้วย ได้แก่ ค (ข) ช (ฉ) ท (ถ) พ (ผ)

15. ข้อใดเป็นพยัญชนะเคียงกันมา
(1) พิธีกร
(2) สถิต
(3) ประชาชน
(4) โสน
ตอบ 1, 2
การออกเสียงแบบตามกันมา หรือเคียงกันมา (การออกเสียงแบบเรียงพยางค์) คือ พยัญชนะคู่ที่ออกเสียงแต่ละเสียงเต็มเสียง และเสียงทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เช่น สถิต (สะถิด) ฯลฯ นอกจากนี้คําใดที่มีเสียงสระอะ อา อิ อี อุ อู อยู่ตรงกลางคํา และพยางค์หน้าออกเสียงเต็มเสียงทุกคําให้ถือว่าเป็นพยัญชนะคู่แบบเคียงกันมา เช่น พิธีกร (พิธีกอน) ฯลฯ

16. ข้อใดเป็นพยัญชนะนํากันมา
(1) ขลัง
(2) สารภาพ
(3) ควาญ
(4) หนาม
ตอบ 4
การออกเสียงแบบนํากันมา (อักษรนํา) คือ พยัญชนะคู่ที่พยัญชนะตัวหน้ามีอํานาจเหนือพยัญชนะตัวหลัง โดยที่พยัญชนะตัวหน้าจะออกเสียงเพียง ครึ่งเสียง และพยัญชนะตัวหลังก็จะเปลี่ยนเสียงตาม ซึ่งจะออกเสียงเหมือนกับเสียงที่มี ห นํา เช่น หนาม ฯลฯ

17. “คราวนี้คงเข้าใจใช่หรือไม่ว่า ถนนเส้นนี้รถติดเหลือเกิน” ข้อความนี้ปรากฎพยัญชนะคู่ประเภทใดมากที่สุด
(1) ควบกันมา
(2) เคียงกันมา
(3) นํากันมา
(4) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3
(ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ) ข้อความข้างต้นปรากฎพยัญชนะคู่แบบนํากันมามากที่สุด คือ หรือ, ถนน (กะหนน), เหลือ ฯลฯ

18. “ฮาชุดใหญ่กับเจ้าแม่มุกแป้ก” ข้อความนี้ปรากฎพยัญชนะนํากันมากี่คํา
(1) 1 คํา
(2) 2 คํา
(3) 3 คํา
(4) 4 คํา
ตอบ 1
(ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ) ข้อความข้างต้นปรากฏพยัญชนะคู่แบบนํากันมา 1 คํา คือ ใหญ่

19. ข้อใดมีเสียงพยัญชนะสะกดครบทุกคํา
(1) รักแร้
(2) น้ำใจ
(3) ขาแข้ง
(4) ตาชั่ง
ตอบ 2
พยัญชนะสะกดของไทยจะมีเพียง 8 เสียงเท่านั้น คือ
1. แม่กก ได้แก่ ก ข ค ฆ
2. แม่กด ได้แก่ จ ฉ ช ซ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส
3. แม่กบ ได้แก่ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ
4. แม่กน ได้แก่ น ณ ร ล ฬ ญ
5. แม่กง ได้แก่ ง
6. แม่กม ได้แก่ ม
7. แม่เกย ได้แก่ ย
8. แม่เกอว ได้แก่ ว
(ส่วนสระอํา (อัม) = เมกม, สระ ไอ/ใอ (อัย) = แม่เกย, สระเอา (อาว) = แม่เกอว)

20. ข้อใดไม่ใช่เสียงพยัญชนะสะกดในภาษาไทย
(1) -ย
(2) -ม
(3) -ณ
(4) -ว
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

21. “ปากไม่เคยตรงกับใจ ทั้งที่มันร่ำร้องบอกว่ารักเสมอ” ข้อความนี้ไม่ปรากฎพยัญชนะสะกดเสียงใด
(1) – น
(2) – ก
(3) -ม
(4) -ด
ตอบ 4 (ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ) ข้อความข้างต้นปรากฎพยัญชนะสะกดดังนี้
1. แม่กก (ก) = ปาก/บอก/รัก
2. แม่เกย (ย) = ไม่/เคย/ใจ
3. แม่กง (ง) = ตรง/ทั้ง/ร้อง
4. แม่กบ (บ) = กับ
5. แม่กน (น) = มัน
6. แม่กม (ม) = ร่ำ

22. ข้อใดมีพยัญชนะสะกดที่เป็นคําเป็น 2 เสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ)
(1) เบื้องบน
(2) เบื้องลึก
(3) เบื้องหน้า
(4) เบื้องหลัง
ตอบ 1
(ดูคําอธิบายข้อ 4. และ 19. ประกอบ) ลักษณะของคําเป็นกับคําตาย มีดังนี้
1.คําเป็น คือ คําที่สะกดด้วยแม่กง กน กม เกย เกอว และคําที่ไม่มีตัวสะกด แต่ใช้สระเสียงยาวรวมทั้งสระอํา ใอ ไอ เอา (เพราะออกเสียงเหมือนมีตัวสะกดเป็นแม่กม เกย เกอว)
2. คําตาย คือ คําที่สะกดด้วยแม่กก กด กบ และคําที่ไม่มีตัวสะกด แต่ใช้สระเสียงสั้น (คําว่า “เบื้องบน” มีพยัญชนะสะกดที่เป็นคําเป็น 2 เสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ) คือ แม่กง = เบื้อง,แม่กน = บน)

23. “คนอะไรทําข้อสอบไม่ได้สักที” ข้อความนี้มีพยัญชนะสะกดที่เป็นคําเป็นที่เสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ)
(1) 1 เสียง
(2) 2 เสียง
(3) 3 เสียง
(4) 4 เสียง
ตอบ 3
(ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ) ข้อความข้างต้นมีพยัญชนะสะกดที่เป็นคําเป็น 3 เสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ) ได้แก่ 1. แม่กน = คน 2. แม่เกย = ไร/ไม่/ได้ 3. แม่กม = ทํา

24. ข้อใดมีพยัญชนะสะกดที่เป็นคําเป็น 3 เสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ)
(1) ยุทธการขยับเหงือก
(2) ทวงแค้นแสนลําเค็ญ
(3) เล่ห์รักสลับร่าง
(4) ภารกิจหัวใจรัก
ตอบ 2
(ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ) ข้อความ “ทวงแค้นแสนลําเค็ญ” มีพยัญชนะสะกดที่เป็นคําเป็น 3 เสียง (ไม่นับเสียงซ้ํา) ได้แก่
1. แม่กง = ทวง 2. แม่กน = แค้น/แสน/เค็ญ 3. แม่กม = ลํา

25. ข้อใดมีเสียงวรรณยุกต์ตรี
(1) เร็ว
(2) อย่า
(3) ยื้อ
(4) ที่
ตอบ 3
เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมี 5 เสียง 4 รูป คือ เสียงสามัญ (ไม่มีรูปวรรณยุกต์กํากับ), เสียงเอก , เสียงโท , เสียงตรี และเสียงจัตวา ซึ่งในคําบางคํา รูปและเสียงวรรณยุกต์อาจไม่ตรงกัน จึงควรเขียนรูปวรรณยุกต์ให้ถูกต้อง ได้แก่ คําว่า “ยื้อ” เป็นพยัญชนะเสียงต่ำเดี่ยว (ง ญ น ม ย ร ล ว) ที่ไม่มีตัวสะกด และใช้สระ เสียงยาว (สระอือ) จึงผันได้ 5 เสียง (ถ้าไม่นึกถึงเรื่องเขียน) เช่น ยื้อ = มีเสียงวรรณยุกต์ตรี แต่ใช้ไม้โท เป็นต้น

26. คําพยางค์ที่สองในข้อใดมีเสียงวรรณยุกต์ไม่ตรงตามรูปศัพท์
(1) รถเมล์
(2) รถพ่วง
(3) รถไฟ
(4) รถราง
ตอบ 2
(ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ) คําว่า “พ่วง” = มีเสียงวรรณยุกต์โท แต่ใช้ไม้เอก (ส่วนคําว่า“เมล์/ไฟ/ราง” มีเสียงวรรณยุกต์ตรงตามรูปศัพท์ = เสียงสามัญ ไม่มีรูปวรรณยุกต์กํากับ)

27. ข้อใดมีเสียงวรรณยุกต์เอกครบทุกเสียง
(1) อด สระ ผม
(2) ข้อ ต่อ เลข
(3) ไผ่ ไล่ ไต่
(4) ส่วน แบ่ง เปิด
ตอบ 4
(ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ) คําที่มีเสียงวรรณยุกต์เอก = ส่วน แบ่ง เปิด อด สระ ต่อ ไผ่ ไต่

28. “คนอะไรช่างดวงดีเสียจริง” ข้อความนี้มีเสียงวรรณยุกต์โทกี่คํา
(1) 0 คํา
(2) 1 คํา
(3) 2 คํา
(4) 3 คํา
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ) ข้อความข้างต้นมีเสียงวรรณยุกต์โท 1 คํา คือ คําว่า “ช่าง”= มีเสียงวรรณยุกต์โท แต่ใช้ไม้เอก

29. “วงแขนกล้ามเป็นมัด ๆ” ข้อความนี้มีเสียงวรรณยุกต์ใดมากที่สุด
(1) โท
(2) จัตวา
(3) เอก
4) ตรี
ตอบ 4 (ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ) ข้อความข้างต้นมีเสียงวรรณยุกต์ดังนี้
1. เสียงสามัญ = วง/เป็น
2. เสียงจัตวา = แขน
3. เสียงโท = กล้าม
4. เสียงตรี = มัด ๆ

30. “ใครบอกเธอว่าตอบข้อนี้ถูก” ข้อความนี้มีเสียงวรรณยุกต์ใดมากที่สุด (ไม่นับคําซ้ำ)
(1) โท
(2) ตรี
(3) เอก
(4) สามัญ
ตอบ 3
(ดูคําอธิบายข้อ 25. ประกอบ) ข้อความข้างต้นมีเสียงวรรณยุกต์ดังนี้ (ไม่นับคําซ้ำ)1. เสียงสามัญ = ใคร/เธอ
2. เสียงเอก = บอก/ตอบ/ถูก
3. เสียงโท = ว่า/ข้อ
4. เสียงตรี = นี้

31. ข้อใดเป็นความหมายแฝง
(1) ดิ่ง
(2) ไม่
(3) ชัด
(4) อืม
ตอบ 1
ความหมายแฝงบอกทิศทาง ได้แก่
1. ขึ้นบน เช่น ขึ้น ฟู “พอง เขย่ง
2. ลงล่าง เช่น ลง ตก ดิ่ง หล่น
3. เข้าใน เช่น เข้า ฉีด อัด ยัด
4. ออกนอก เช่น ออก ขย้อน บ้วน ถ่ม
5. ถอยหลัง เช่น ถอย ร่น ดึง
6. ก้าวหน้า เช่น ก้าว รุน ดุน ผลัก
7. เข้าใกล้ เช่น กราย เฉียด ประชิด
8. แยกไปคนละทาง เช่น ปะทุ ระเบิด เตลิด

32. คําที่ขีดเส้นใต้ในข้อใดมีความหมายอุปมา
(1) แก้วตาหาขนมในตู้เย็นกินทุกคืน
(2) ข้อสอบวิชานี้หินจริง ๆ
(3) เขารอฉันที่บ้านเสมอ
(4) ปลาทองว่ายวนในอ่างแก้ว
ตอบ 2
คําอุปมา คือ คําที่ใช้เปรียบเทียบเพื่อพรรณนาบอกลักษณะ โดยให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้มีความหมายใหม่เกิดขึ้นอีกความหมายหนึ่ง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1.คําอุปมาที่ได้มาจากคําที่มีใช้อยู่แล้ว เช่น เสือ (ดุและร้าย ฆ่าคนได้ไม่แพ้เสือ), ควาย (โง่ ทึ่ม ให้คนจูงจมูกได้ง่าย), ชะนี (ผู้หญิง), เต่า (ช้า งุ่มง่าม), หิน (ยากมาก) ฯลฯ
2. คําอุปมาที่สร้างขึ้นใหม่ ส่วนมากเป็นคําประสม เช่น แก้วตา (เป็นที่รักหวงแหน)ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นไม่มีความหมายอุปมา คือ แก้วตา = ชื่อคน, ที่บ้าน = บอกสถานที่,ปลาทอง = ชื่อปลา)

33. “เงินตรงหน้าเขาถูกรวบรวมไปวางไว้หน้าเจ้ามือ” ข้อความนี้ปรากฎการแยกเสียงแยกความหมายลักษณะใด
(1) พยัญชนะสะกดต่างกัน
(2) เสียงสูงต่ำต่างกัน
(3) เสียงสั้นยาวต่างกัน
(4) พยัญชนะต้นบางเสียงต่างกัน
ตอบ 1
การแยกเสียงแยกความหมาย คือ การเปลี่ยนแปลงเสียงในคําบางคําที่มีความหมายหลายอย่างให้แตกต่างกันบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนว่าคํานั้น มีความหมายว่าอย่างไรในที่นั้น ๆ โดยความหมายย่อยและที่ใช้อาจจะแตกต่างกัน ได้แก่ คําว่า “รวบรวม” (พยัญชนะตัวสะกดต่างกัน “แม่กบ” กับ “แม่กม”) หมายถึง นํามาไว้ด้วยกัน แต่ “รวบ” จะใช้มือทั้งสองกวาดเข้าหาตัว ส่วน “รวม” นั้นของอาจไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน หรือถ้าอยู่ที่เดียวกันก็ต้องห่าง ๆ กันขนาดเอามือกวาดเข้ามาไม่ได้

34. คําที่ขีดเส้นใต้ในข้อใดไม่ใช่คําซ้ำ
(1) ขอเสียงปรบมือรัวๆ ค่ะ
(2) คนไหนๆ ก็ทําข้อสอบข้อนี้ได้
(3) คิดๆ บวกเสมอแม้ว่าจะมีใครมาว่าก็ตาม
(4) ใครๆ ก็ไม่สนใจผมเลย
ตอบ 3
คําซ้ำ คือ คําคําเดียวกันที่นํามากล่าว 2 ครั้ง เพื่อให้มีความหมายเน้นหนักขึ้น หรือเพื่อให้มีความหมายต่างจากคําเดียว ซึ่งวิธีการสร้างคําซ้ำก็เหมือนกับการสร้างคําซ้อน แต่ใช้คําคําเดียวมาซ้อนกันโดยมีเครื่องหมายไม้ยมก (ๆ) กํากับ เช่น ขอเสียง ปรบมือรัว ๆ ค่ะ (ทําให้เกิดเสียงดังถี่ ๆ), คนไหน ๆ ก็ทําข้อสอบข้อนี้ได้ (คนไหนก็ได้ไม่เฉพาะ เจาะจง), ใคร ๆ ก็ไม่สนใจผมเลย (ผู้ใดผู้หนึ่งไม่เจาะจง) เป็นต้น ส่วนตัวเลือกข้อ 3 ไม่ใช่คําซ้ำ เพราะเป็นคําที่พูดติดต่อเป็นความเดียวกัน จึงไม่ควรใช้ไม้ยมก)

35. ข้อใดไม่เป็นคําซ้อน
(1) ยกเลิก
(2) จบสิ้น
(3) ลบเลือน
(4) ปิดตา
ตอบ 4
คําซ้อน คือ คําเดียว 2, 4 หรือ 6 คํา ที่มีความหมายหรือมีเสียงใกล้เคียงกัน หรือเป็นไปในทํานองเดียวกัน ซ้อนเข้าด้วยกันเพื่อทําให้เกิดคําใหม่ที่มีความหมายใหม่ขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. คําซ้อนเพื่อความหมาย (มุ่งที่ความหมายเป็นสําคัญ) ซึ่งอาจเป็นคําไทยซ้อนเข้าด้วยกัน เช่น จบสิ้น ลบเลือน พี่น้อง ฯลฯ หรืออาจเป็นคําไทยซ้อนกับคําภาษาอื่นก็ได้ เช่น ยกเลิก (ไทย + เขมร) ฯลฯ
2. คําซ้อนเพื่อเสียง (มุ่งที่เสียงเป็นสําคัญ) เช่น จริงจัง (อิ + อะ) ฯลฯ

36. ข้อใดเป็นคําซ้อน
(1) พี่น้อง
(2) พี่เขย
(3) พี่สะใภ้
(4) พี่ชาย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 35. ประกอบ

37. “คนเราต้องแข็งแกร่งขนาดไหนถึงอดทนกับถ้อยคําจากผู้ไม่หวังดี” ข้อความนี้มีคําซ้อนกี่คํา
(1) 2 คํา
(2) 3 คํา
(3) 4 คํา
(4) 5 คํา
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 35. ประกอบ)
ข้อความข้างต้นมีคําซ้อนเพื่อความหมาย 3 คํา ได้แก่
1. แข็งแกร่ง 2. อดทน 3. ถ้อยคํา

38. ข้อใดเป็นคําประสม
(1) นาข้าว
(2) นาดํา
(3) นาหว่าน
(4) นาธาน
ตอบ 2
คําประสม คือ คําตั้งแต่ 2 คําขึ้นไปมาประสมเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้คําใหม่ที่มีความหมายใหม่มาใช้ในภาษา ซึ่งความหมายสําคัญจะอยู่ที่คําต้น (คําตัวตั้ง) ส่วนที่ตามมาเป็นคําขยาย ซึ่งไม่ใช่คําที่ขยายคําต้นจริง ๆ แต่จะช่วยให้คําทั้งคํามีความหมายจํากัดเป็นนัยเดียว เช่น นาดํา = นาชนิดที่ใช้ถอนต้นกล้ามาปลูก เป็นต้น

39. ข้อใดเป็นคําประสมที่ต่างจากพวก
(1) ข้อต่อ
(2) ข้อคิด
(3) ข้อความ
(4) ข้อห้าม
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ) คําว่า “ข้อความ” (คํานาม + คํานาม) = เนื้อความตอนหนึ่งๆ, ใจความสั้น ๆ ของเรื่อง (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคําประสมที่ประกอบด้วยคํานาม + คํากริยา)

40. “ของชําร่วยมีไว้แจกคนที่มาร่วมงานเท่านั้น” ข้อความนี้มีคําประสมกี่คํา
(1) 1 คํา
(2) 2 คํา
(3) 3 คํา
(4) 4 คํา
ตอบ 1
(ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ) ข้อความข้างต้นมีคําประสม 1 คํา คือ คําว่า “ของชําร่วย” = ของตอบแทนผู้มาช่วยงาน เช่น งานแต่งงาน งานศพ เป็นต้น

41. “ชายชราใส่เสื้อกระดํากระด่างเดินเร่ร่อนโดยไม่มีเงินติดตัวสักกะบาท” ประโยคนี้ประกอบด้วยคําอุปสรรคเทียมชนิดใด
(1) กร่อนเสียงและแบ่งคําผิด
(2) เพิ่มเสียงไม่ให้คอนกันและกร่อนเสียง
(3) เทียบแนวเทียบผิดและแบ่งคําผิด
(4) เทียบแนวเทียบผิดและเพิ่มเสียงไม่ให้คอนกัน
ตอบ 3
ประโยคข้างต้นประกอบด้วยคําอุปสรรคเทียมดังนี้
1. คําอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิด ได้แก่ ดําด่าง = กระดํากระด่าง
2. คําอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการแบ่งคําผิด ได้แก่ สักบาท = สักกะบาท

42. คําในข้อใดเป็นคําอุปสรรคเทียมชนิดเทียบแนวเทียบผิดทุกคํา
(1) กระอึกกระอัก กระปอดกระแปด กะเร่อกะร่า
(2) กระย่องกระแย่ง กระแอมกระไอ
(3) กระวีกระวาด กระวนกระวาย
(4) กระหนุงกระหนิง กระเง้ากระงอด กระฟัดกระเฟียด
ตอบ 4
อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิด คือการเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ “กระ”) เข้าไปในคําซ้อนเพื่อเสียงที่พยางค์ต้นและพยางค์ท้าย ไม่ได้สะกดด้วย “ก” ซึ่งยึดการใช้อุปสรรคเทียมที่เพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกันมาเป็นแนวเทียบ แต่เป็นการเทียบแนวเทียบผิด เช่น หนุงหนิง = กระหนุงกระหนิง, เง้างอด = กระเง้ากระงอด, ฟัดเฟียด = กระฟัดกระเฟียด ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคําอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกัน เช่น กระอึกกระอัก, กระอักกระอ่วน, กระดักกระเดี้ย)

43. คําในข้อใดเป็นคําอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการแบ่งคําผิดทุกคํา
(1) สะดึง กระสัง ตุ๊กกะตา
(2) กระดุม กระจอก กระเฉด
(3) ชะพลู ชะดีชะร้าย กระยาง
(4) ตกกะใจ ตะม่อ กระสา
ตอบ 2
อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการแบ่งคําผิด เกิดจากการพูดเพื่อให้เสียงต่อเนื่องกัน โดยการเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ “กระ”) เข้าไป 1 เสียงในคําที่ พยางค์แรกสะกดด้วยเสียง “ก” เช่น นกจอก = นกกระจอก, ลูกดุม = ลูกกระดุม, ผักเฉด = ผักกระเฉด ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคําอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียง เช่น สะดึง, ชะพลู, ตะม่อ และมีคําอุปสรรคเทียมเลียนแบบภาษาเขมร เช่น ชะดีชะร้าย)

44. คําในข้อใดไม่ใช่คําอุปสรรคเทียมที่เลียนแบบภาษาเขมรทุกคํา
(1) ฉะฉาด ระเริง ชะตา
(2) ปลุก ระคน สมยอม
(3) ปลง ระย่อ ประเดี๋ยว
(4) สะพรั่ง สมสู่ ประท้วง
ตอบ 1 อุปสรรคเทียมเลียนแบบภาษาเขมร เป็นวิธีการแผลงคําของเขมรที่ใช้นําหน้าคําเพื่อประโยชน์ทางไวยากรณ์ ได้แก่
1. “ชะ/ระ/ปะ/ประ/พะ/สม/สะ” เช่น ชะดีชะร้าย, ระคน, ระคาย, ระย่อ, ปะปน, ปะติดปะต่อ,ประเดี๋ยว, ประท้วง, พะรุงพะรัง, พะเยิบ, สมรู้, สมยอม, สมสู่, สะสาง, สะพรั่ง, สะสวย ฯลฯ
2. ใช้ “ข ค ป ผ พ” มานําหน้าคํานามและกริยาวิเศษณ์ เพื่อให้มีความหมายเป็นการีต แปลว่า“ทําให้” เช่น ขยุกขยิก, ขยิบ, ขยี้, ขยํา, ปลุก, ปลง, ปลด, ปละ, ปรุ, ผละ, พร่ำ ฯลฯ
(ส่วนตัวเลือกข้อ 1 เป็นคําอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียงทุกคํา)

45. ข้อใดประกอบด้วยประโยคชนิดเดียวกันทั้ง 2 ประโยค
(1) คิดให้ดี คิดอะไรอยู่
(2) คิดให้ดีนะ คิดไปทําไม
(3) คิดมากไป คิดเล็กคิดน้อย
(4) คิดให้รอบคอบ ทําไมไม่รู้จักคิด
ตอบ 3 ประโยคบอกเล่า คือ ประโยคที่บอกเล่าเรื่องราวตามธรรมดา อาจใช้ในทางตอบรับหรือตอบปฏิเสธก็ได้ นอกจากนี้ประโยคที่มีคําแสดงคําถามว่า “ใคร/อะไร/ที่ไหน/เมื่อไหร่/อย่างไร” อาจใช้ในประโยคบอกเล่าได้ หากไม่ได้แสดงความสงสัยหรือไม่ต้องการคําตอบ แต่จะเป็นการกล่าวถึงสิ่งต่าง ๆ โดยทั่วไป ไม่เฉพาะเจาะจงเช่น คิดมากไป คิดเล็กคิดน้อย คิดไปทําไม ทําไมไม่รู้จักคิด ฯลฯ

46. ประโยคในข้อใดไม่ใช่ประโยคชนิดเดียวกันกับข้ออื่น ๆ
(1) ดูให้ดีนะ
(2) ดูไม่ได้เลย
(3) ดูซิไปทําอะไรมา
(4) ดูแล้วดูอีกอยู่นั่นแหละ
ตอบ 1
ประโยคขอร้องหรือชักชวน คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการขอร้องหรือชักชวนให้ผู้ฟังทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ตามที่ตนต้องการ ซึ่งการใช้คําพูดนั้นจะคล้ายกับ ประโยคคําสั่งแต่นุ่มนวลกว่า โดยในภาษาเขียนมักจะมีคําว่า “โปรด/กรุณา” อยู่หน้าประโยค ส่วนในภาษาพูดนั้นอาจมีคําลงท้ายประโยค ได้แก่ เถอะ เถิด น่ะ นะ หน่อย ซิ ซี ฯลฯ เช่น ดูให้ดีนะ คิดให้ดีนะ ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นประโยคบอกเล่า)

47. “รักกันไว้เถิด เราเกิดร่วมแดนไทย จะเกิดภาคไหน ๆ ก็ไทยด้วยกัน” ข้อใดเรียงลําดับประโยคในเครื่องหมายคําพูดได้ถูกต้อง
(1) คําสั่ง บอกเล่า คําถาม บอกเล่า
(2) คําสั่ง ขอร้อง คําถาม บอกเล่า
(3) ขอร้อง บอกเล่า บอกเล่า บอกเล่า
(4) ขอร้อง บอกเล่า คําถาม บอกเล่า
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 45. และ 46. ประกอบ)
จากข้อความเรียงลําดับประโยคได้ดังนี้ รักกันไว้เถิด (ขอร้อง) เราเกิดร่วมเดนไทย (บอกเล่า) จะเกิดภาคไหน ๆ (บอกเล่า) ก็ไทยด้วยกัน (บอกเล่า)

48. ข้อใดมีส่วนขยายกริยาทั้ง 2 ประโยค
(1) คนพายเรือ น้องขับรถเร็ว
(2) นกฮูกบินสูง หมาเห่าเสียงดัง
(3) แมวกระโดด หนังสืออ่านสนุก
(4) พ่อไปตลาด แม่ทํากับข้าวอร่อย
ตอบ 2
ภาคขยายแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
1. ส่วนขยายประธานหรือผู้กระทํา และส่วนขยายกรรมหรือผู้ถูกกระทํา ซึ่งเรียกว่า คุณศัพท์ เช่น พิธีกรสาวประกาศรายชื่อผู้โชคดี (ขยายประธาน), เราควรดื่มน้ำสะอาด/แดงชอบอากาศบริสุทธิ์ เขาเหม่อมองท้องฟ้ายามเย็น (ขยายกรรม) เป็นต้น

2. ส่วนขยายกริยา ซึ่งเรียกว่า กริยาวิเศษณ์ อาจมีตําแหน่งอยู่หน้าคํากริยา หรืออยู่หลังคํากริยาก็ได้ เช่น “นกฮูกบินสูง (ขยายกริยา “บิน”), หมาเห่าเสียงดัง (ขยายกริยา “เห่า”),ดําชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ (ขยายกริยา “ชอบอ่าน”) เป็นต้น

49. ประโยคในข้อใดไม่มีส่วนขยายกรรม
(1) เราควรดื่มน้ำสะอาด
(2) แดงชอบอากาศบริสุทธิ์
(3) เขาเหม่อมองท้องฟ้ายามเย็น
(4) ดําขอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 48. ประกอบ

50. ประโยคในข้อใดมีส่วนขยายประธาน
(1) หมอฉีดยาคนไข้
(2) เจ้าหน้าที่อ่านเอกสาร
(3) พนักงานกําลังต้อนรับลูกค้า
(4) พิธีกรสาวประกาศรายชื่อผู้โชคดี
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 48. ประกอบ

51. คํานามในข้อใดแสดงเพศเดียวกันขัดเจนทั้ง 2 คํา
(1) ลุงนพถวายของเณรน้อย
(2) ครูเดินจูงมือเด็กน้อยข้ามถนน
(3) สาวนิรนามโทรศัพท์หาพนักงานขาย
(4) บุรุษพยาบาลกําลังเข็นเตียงป้าสายหยุด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

52. ข้อใดมีคํานาม
(1) อยู่ดีไม่ว่าดี
(2) น้ำนิ่งไหลลึก
(3) ไม่รู้อิโหน่อิเหน่
(4) อดเปรี้ยวไว้กินหวาน
ตอบ 2
คํานาม คือ คําที่ใช้เรียกชื่อสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิตทั้งที่เป็นรูปธรรมและเป็นนามธรรม ทั้งชื่อเฉพาะเจาะจงและไม่เฉพาะเจาะจง เช่น คน หมู หมา โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ บางทีคํานามนั้นก็ใช้เป็นสํานวนได้ เช่น น้ำนิ่งไหลลึก = คนที่มีท่าหงิม ๆมักจะมีความคิดลึกซึ้ง ฯลฯ

53. ข้อใดเป็นสรรพนามไม่เฉพาะเจาะจง
(1) ถึงอย่างไรเธอก็ยังเป็นเพื่อน
(2) อะไรที่ทําให้เขาเปลี่ยนไป
(3) เขาหายไปอยู่ที่ไหน
(4) เมื่อไหร่เธอจะกลับมา
ตอบ 1
สรรพนามที่บอกความไม่เฉพาะเจาะจง ได้แก่“ใคร อะไร ใด ไหน” ซึ่งเป็นคํากลุ่มเดียวกันกับสรรพนามที่บอกคําถาม แต่สรรพนามที่บอก ความไม่เฉพาะเจาะจงจะกล่าวถึงบุคคล สิ่งของ หรือสถานที่แบบลอย ๆ ไม่ชี้เฉพาะเจาะจงว่า เป็นใคร อะไรหรือที่ไหน และไม่ได้เป็นการถาม เช่น ถึงอย่างไรเธอก็ยังเป็นเพื่อน (อย่างไร = อย่างใด อย่างไหน) ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นสรรพนามที่บอกคําถาม)

54. ข้อใดไม่ใช่คําสรรพนามบอกความแบ่งแยกเป็นส่วน ๆ
(1) คนนั้นเสียงดัง
(2) บ้างฟังบ้างคุย
(3) ต่างคนต่างอยู่
(4) กินด้วยกันนอนด้วยกัน
ตอบ 1
สรรพนามที่บอกความแบ่งแยกเป็นส่วน ๆได้แก่ คําว่า “ต่าง” (ใช้แทนผู้ทําหลายคนทํากริยาเดียวกัน แต่ไม่ได้ทําพร้อมกัน เช่น ต่างคน ต่างอยู่), “บ้าง” (ใช้แทนผู้ทําหลายคนแยกกันทํากริยาคนละอย่าง เช่น บ้างฟังบ้างคุย), “กัน”(ใช้แทนนามที่ต่างก็ทํากริยาเดียวกัน เกี่ยวข้องกัน เช่น กินด้วยกันนอนด้วยกัน) ฯลฯ

55. ข้อใดใช้คําสรรพนามไม่เหมาะสม
(1) พ่อสมชายหลานรักของย่า
(2) ยายส้มแกมาใกล้ ๆ ยายหน่อย
(3) ไอ้น้อยมันเป็นเพื่อนรักของผม
(4) พ่อแกให้ผมมาพบครูใหญ่ครับ
ตอบ 4
คําว่า “แก” เป็นสรรพนามบุรุษที่ 3 ซึ่งแสดงว่าไม่เคารพนับถือมากนัก มักหมายถึงบุคคลน่าเวทนา น่าสมเพชมากกว่าน่านับถือ แต่ถ้าใช้กับเด็กเล็ก ๆ กลับเป็นการแสดงความเอ็นดูรักใคร่ เช่น ยายส้มแกมาใกล้ ๆ ยายหน่อย ฯลฯ (ส่วนตัวเลือก ข้อ 4 ใช้คําสรรพนาม “แก” ไม่เหมาะสม จึงควรแก้ไขโดยใช้คําสรรพนาม “ท่าน” กับผู้ที่เราเคารพนับถือ)

56. ข้อใดเป็นกริยาที่มีกรรมมารับ
(1) ฝนตกหนัก
(2) นกบินสูง
(3) นกทํารังน่าอยู่
(4) นกร้องเสียงดัง
ตอบ 3
ภาคแสดงหรือกริยา เป็นส่วนที่แสดงกิริยาอาการหรือการกระทําของภาคประธาน ตามธรรมดาจะมีตําแหน่งอยู่หลังประธาน และอยู่หน้ากรรม เช่น นกทํารังน่าอยู่ (กริยาที่มีกรรมมารับ) ฯลฯ แต่กริยานั้นจะไม่มีกรรมก็ได้ เช่น ฝนตกหนัก/นกบินสูง/นกร้องเสียงดัง (มีเฉพาะกริยา + ส่วนขยายกริยา โดยไม่มีกรรม) ฯลฯ

57. คําว่า “มา” ในข้อใดเป็นกริยาแท้
(1) น้องเดินมา
(2) น้องมาสาย
(3) น้องไปไหนมา
(4) น้องกินข้าวมาแล้ว
ตอบ 2
คําว่า “มา” เป็นได้ทั้งกริยาแท้และกริยาช่วย ถ้าหากเป็นกริยาแท้จะหมายถึง เคลื่อนออกจากที่เข้าหาตัวผู้พูด เช่น น้องมาสาย/มานี้หน่อย ฯลฯ แต่ถ้า เป็นกริยาช่วยจะบอกกาล คือ บอกอดีตที่ผ่านไปแล้ว ส่วนใหญ่จะวางอยู่หลังกริยาแท้ เช่น น้องเดินมา/น้องไปไหนมา/น้องกินข้าวมาแล้ว ฯลฯ

58. ข้อใดใช้คํากริยาการีต
(1) โอไปเล่นฟุตบอล
(2) โอ้ไปดูหนัง
(3) เอ๋ไปขี่จักรยาน
(4) เอ้ไปทําฟัน
ตอบ 4
คํากริยาธรรมดาที่มีความหมายเป็นการีต (ทําให้) เป็นคําที่กําหนดขึ้นเป็นพิเศษ และมีความหมายเฉพาะเป็นที่รู้กัน ซึ่งดูเหมือนว่าประธานเป็นผู้กระทํากริยานั้นเอง แต่ที่จริงแล้วประธานเป็นผู้ถูกกระทํา เช่น ไปดูหมอ (ที่จริงคือ ให้หมอดูโชคชะตาให้ตน), ไปตรวจโรค (ที่จริงคือ ให้หมอยาตรวจโรคให้ตน), ไปตัดเสื้อทําผม (ที่จริงคือ ให้ช่างตัดเสื้อและทําผมให้ตน), ไปทําฟัน (ที่จริงคือ ให้หมอฟันทําฟันให้ตน) ฯลฯ

59. ข้อใดเป็นคํากริยาวิเศษณ์บอกคําถาม
(1) นอนอย่างไรก็ไม่หลับ
(2) กินเท่าไหร่ก็ไม่โต
(3) คิดอะไรกันอยู่
(4) ทําอะไรก็ไม่ผิด
ตอบ 3
คํากริยาวิเศษณ์บอกคําถาม ได้แก่ ทําไม เมื่อไร เท่าไร อย่างไร แค่ไหน ไหน กระไร อะไร เหตุไร เหตุใด หรือ หรือไม่ ไหม หรือเปล่า ฯลฯ ซึ่งเป็นคํากลุ่มเดียวกันกับคํากริยาวิเศษณ์บอกความไม่ชี้เฉพาะ แต่คํากริยาวิเศษณ์บอกคําถาม จะใช้สร้างประโยคคําถาม และมักวางอยู่หลังคํากริยา เช่น คิดอะไรกันอยู่ เป็นต้น ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคํากริยาวิเศษณ์บอกความไม่ชี้เฉพาะ)

60. ข้อใดเป็นคําคุณศัพท์บอกจํานวนนับไม่ได้
(1) นักกีฬาทั้งหมดเดินเข้าสนาม
(2) นักกีฬาบางคนวิ่งบางคนเดิน
(3) กล้องเสียตังค์แสดงความดีใจ
(4) นักกีฬาไทยวิ่งเข้าสู่เส้นชัยเป็นที่ 1
ตอบ 1
คําคุณศัพท์บอกจํานวนนับไม่ได้ (ประมาณคุณศัพท์)หรือคําคุณศัพท์บอกจํานวนประมาณ ได้แก่ มาก น้อย นิดหน่อย ครบ พอ เกิน เหลือ ขาด ถ้วน ครบถ้วน หมด หลาย ทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งสิ้น ทั้งนั้น ทั้ง ฯลฯ เช่น นักกีฬาทั้งหมดเดินเข้าสนาม เป็นต้น

61. “กินไม่ได้นอนไม่หลับ” เป็นคํากริยาวิเศษณ์ชนิดใด
(1) บอกประมาณ
(2) บอกความชี้เฉพาะ
(3) บอกความไม่ชี้เฉพาะ
(4) บอกการตอบรับหรือตอบปฏิเสธ
ตอบ 4
คํากริยาวิเศษณ์บอกการตอบรับหรือตอบปฏิเสธ ได้แก่ ใช่ ใช่แล้ว ใช่ซิ จะ ค่ะ ครับ เจ้าคะ ขอรับ เพคะ ไม่ ไม่ได้ อย่า ฯลฯ เช่น กินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นต้น

62. ข้อใดไม่สามารถละบุรพบทได้
(1) หนังสือของเขาหายไป
(2) ครูให้หนังสือแก่นักเรียน
(3) การเรียนเก่งกว่าดํา
(4) เขากลับไปบ้านที่ต่างจังหวัด
ตอบ 3
คําบุรพบทไม่สําคัญมากเท่ากับคํานาม คํากริยาและคําวิเศษณ์ ดังนั้นบางแห่งไม่ใช้บุรพบทเลยก็ยังฟังเข้าใจได้ ซึ่งบุรพบทที่อาจละได้แล้ว ความหมายยังเหมือนเดิม ได้แก่ ของ แก่ ต่อ สู่ ยัง ที่ บน ฯลฯ แต่บุรพบทบางคําก็ละไม่ได้ เพราะละแล้วความจะเสีย ไม่รู้เรื่อง เช่น การเรียนเก่งกว่าดํา (คําบุรพบท “กว่า” ใช้นําหน้า คําที่มาเปรียบเทียบ) เป็นต้น หากจะละบุรพบทก็ต้องดูความในประโยคว่าความหมายต้องไม่เปลี่ยนไปจากเดิม

63. “เวลาไปต่างถิ่น ผมมักจะเรียนรู้ภาษาถิ่น 1. ท้องถิ่นนั้น ๆ 2. เริ่มต้นจากประโยคง่าย ๆ เช่น สวัสดีและขอบคุณ” ข้อใดเลือกคําบุรพบทมาเติมได้ถูกต้องที่สุด อาหาร
(1) 1. ใน 2. ซึ่ง
(2) 1. ของ 2. โดย
(3) 1. ของ 2. ซึ่ง
(4) 1. ใน 2. โดย
ตอบ 3
คําบุรพบท “ของ” ใช้นําหน้าคําแสดงความเป็นเจ้าของ ส่วนคําบุรพบท “ซึ่ง” ใช้นําหน้านามที่เป็นผู้ถูกกระทํา หรืออาจใช้เป็นคําสรรพนามแทนนามหรือข้อความที่อยู่ข้างหน้า

64. “ชีวิตคนไทยไม่ว่าจะยากจนอย่างไรก็ยังดํารงอยู่ได้โดยไม่อดอยาก เพราะยังมีพืชผลอีกหลายอย่างที่ยังชีวิตได้” ข้อความนี้ใช้คําสันธานชนิดใด
(1) เชื่อมความสอดคล้องกัน
(2) เชื่อมความขัดแย้งกัน
(3) เชื่อมความเป็นเหตุเป็นผล
(4) เชื่อมความคาดคะเนหรือแบ่งรับแบ่งสู้
ตอบ 3
คําสันธานที่เชื่อมความเป็นเหตุเป็นผลกัน ได้แก่ เพราะ เพราะว่า, ด้วย, ด้วยว่า เหตุว่า, อาศัยที่, ค่าที่, เพราะฉะนั้น ดังนั้น จึง, เลย, เหตุฉะนี้

65. “ใบหม่อนเป็นใบไม้ที่ให้คุณประโยชน์แก่มนุษย์ ซึ่งเป็นได้ทั้งอาหารและยา” ข้อความนี้ใช้คําสันธานชนิดใด
(1) เชื่อมความสอดคล้องกัน
(2) เชื่อมความขัดแย้งกัน
(3) เชื่อมความเป็นเหตุเป็นผล
(4) เชื่อมความคาดคะเนหรือแบ่งรับแบ่งสู้
ตอบ 1
คําสันธานที่เชื่อมความคล้อยตามกัน ทํานองเดียวกัน ไม่ขัดแย้งกัน โดยทําหน้าที่เชื่อมความที่เกี่ยวกับเวลา ได้แก่ ก็, แล้ว….ก็, แล้ว….จึง ครั้น…..ก็, เมื่อ, เมื่อ…..ก็, ครั้น….., เมื่อ….จึง, พอ….ก็ ส่วนที่ทําหน้าที่เชื่อมความให้สอดคล้องหรือรวมเข้าด้วยกัน ได้แก่ ทั้ง, ทั้ง…..ก็, ทั้ง……และ, ก็ได้, ก็ดี, กับ, และ

66. คําสันธานในข้อใดเชื่อมความให้รวมเข้าด้วยกัน
(1) แดดออกนกบินกลับรัง
(2) นอนเสียหรือไม่ก็ลุกมาอ่านหนังสือ
(3) เขารวยก็จริงอยู่แต่ก็หาความสุขไม่ได้
(4) แม่ครัวไปซื้อกับข้าวมีทั้งผักและเนื้อ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 65. ประกอบ

67. คําอุทานใดไม่ใช่คําวิเศษณ์
(1) อึกทึก
(2) อื้อฉาว
(3) เอะอะ
(4) ครึกโครม
ตอบ 3
คําอุทานที่ได้เลื่อนมาเป็นคําวิเศษณ์ ได้แก่
1. อื้ออึง หมายถึง ลั่น ดังลั่น
2. อื้อฉาว หมายถึง เซ็งแซ่ โจษจัน
3. อึกทึก หมายถึง เอ็ดอึง
4. ครึกโครม หมายถึง ดังตึงตัง น่าตื่นเต้น
5. ครืน หมายถึง เสียงดังลั่น
6. ครั้นครั่น หมายถึง กึกก้อง
7. ครึกครื้น หมายถึง เอิกเกริก
(ส่วนคําว่า “เอะอะ” = ทําเสียงดังโวยวาย เป็นคําอุทานที่ได้เลื่อนมาเป็นคํากริยา)

68. ข้อใดคือคําลักษณนามของภูษาโยง
(1) เส้น
(2) สาย
(3) ผืน
(4) พับ
ตอบ 2
คําลักษณนาม คือ คําที่ตามหลังคําบอกจํานวนนับเพื่อบอกรูปลักษณะและชนิดของคํานามที่อยู่ข้างหน้าคําบอกจํานวนนับ มักจะเป็นคําพยางค์เดียว แต่เป็นคําที่สร้างขึ้นใหม่โดยอาศัยการอุปมาเปรียบเทียบ การเลียนเสียงธรรมชาติ การเทียบ แนวเทียบ และการใช้คําซ้ำกับคํานามนั้นเอง (ในกรณีที่ไม่มีลักษณนามโดยเฉพาะ) เช่น ภูษาโยง = สาย, ตะกรุด/กะตรุด = ดอก, สมอเรือ/ลอดช่อง (ขนม) = ตัว, แคน = เต้า,
ฆ้องวง = ลูก/วง, คันไถ = คัน ฯลฯ

69. ข้อใดคือคําลักษณนามของตะกรุด
(1) ดอก
(2) เส้น
(3) สาย
(4) ตะกรุด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 68. ประกอบ

70. ข้อใดใช้คําลักษณนามเดียวกับสมอเรือ
(1) แคน
(2) ฆ้องวง
(3) คันไถ
(4) ลอดช่อง (ขนม)
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 68. ประกอบ

ข้อ 71. – 80. ให้นักศึกษาเลือกคําราชาศัพท์ที่ถูกต้องเติมในช่องว่าง

เมื่อเวลา 17.15 น. วันที่ 23 พฤษภาคม 2560 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชอนุสรณ์ คํานึงถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร 71. และสมเด็จพระนางเจ้า 72. พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี จึง 73, 74. ให้จัด 75. บําเพ็ญ 76. อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร และ 77. ถวาย สมเด็จ 78. พระสยามเทวาธิราช และ 79. มงคล สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ โดยมี 80. สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นประธานสงฆ์

71.
(1) พระบรมชนกนาถ
(2) สมเด็จพระชนกนาถ
(3) สมเด็จพระบรมชนกนาถ
(4) พระมหาชนกนาถ
ตอบ 3
สมเด็จพระบรมชนกนาถ = พ่อที่เป็นพระมหากษัตริย์ (ใช้กับพระมหากษัตริย์)

72.
(1) สิริกิต
(2) สิริกิติ
(3) สิริกิติ์
(4) สิริกิตติ์
ตอบ 3 พระนามที่ถูกต้อง คือ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ

73.
(1) ทรงพระกรุณา
(3) ทรงกรุณา
(2) ทรงพระมหากรุณา
(4) พระกรุณา
ตอบ 1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ/ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม = ทรงพระเมตตาและพอพระราชหฤทัย (ใช้กับพระมหากษัตริย์)

74.
(1) โปรด
(2) ทรงโปรด
(3) โปรดเกล้า
(4) โปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 73. ประกอบ

75.
(1) พระราชพิธี
(2) มหาราชพิธี
(3) พระราชพิธีมงคล
(4) พิธีมหามงคล
ตอบ 4
พิธีมหามงคล = งานมงคลที่ยิ่งใหญ่ (คําว่า “พิธี” ในที่นี้จะมีความหมายถึง พิธีสําคัญของพระมหากษัตริย์หรือรัฐบาล แต่มิได้กําหนดเป็นพระราชพิธีหรือรัฐพิธี ส่วนคําว่า “พระราชพิธี หมายถึง งานที่พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กําหนดไว้ตามราชประเพณี ซึ่งจะเสด็จพระราชดําเนินไปทรงประกอบพิธีด้วยพระองค์เอง)

76.
(1) พระกุศล
(2) พระราชกุศล
(3) พระมหากุศล
(4) พระราชมหากุศล
ตอบ 2
พระราชกุศล = บุญ (ใช้กับพระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระราชวงศ์ลําดับ 2) ซึ่งในที่นี้เป็นพิธีทําบุญอันยิ่งใหญ่จึงใช้ว่า พิธีมหามงคลบําเพ็ญพระราชกุศล

77.
(1) ทรงเจริญพระพุทธมนต์
(2) เจริญพระพุทธมนต์
(3) ทรงพระพุทธมนต์
(4) พระพุทธมนต์
ตอบ 2
เจริญพระพุทธมนต์ = สวดสาธยายพระพุทธมนต์ ให้ใช้เมื่องานนั้นเกี่ยวกับงานมงคลอันจะนํามาซึ่งความเจริญ

78.
(1) พระกษัตริยาธิราช
(2) พระมหากษัตริยาธิราช
(3) พระบูรพกษัตริย์ยาธิราช
(4) พระบูรพมหากษัตริยาธิราช
ตอบ 4
สมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราช = พระมหากษัตริย์และพระบรมราชินีในราชวงศ์ก่อนหน้าและสมเด็จพระบรมราชบูรพการี คือ พระมหากษัตริย์และพระบรมราชินีรัชกาลก่อนแห่งราชวงศ์ปัจจุบัน

79.
(1) ถวายพระพรชัย
(2) ทรงถวายพระพรชัย
(3) ถวายพระพร
(4) ทรงถวายพระพร
ตอบ 1
ถวายพระพรชัยมงคล = ให้พร ปัจจุบันอนุโลมให้ใช้หากว่างานนั้นมีผู้แสดงความจงรักภักดีและร่วมลงนาม โดยมีทั้งพระและสามัญชน

80.
(1) พระอริยวงศาคตญาณ
(2) สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ
(3) พระสมเด็จอริยวงศาคตญาณ
(4) สมเด็จอริยวงศาคตญาณ
ตอบ 2
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ = ราชทินนามของสมเด็จพระสังฆราชที่เป็นสามัญชน ซึ่งสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก พระองค์ที่ 20 (พระองค์ ปัจจุบัน) ทรงเริ่มดํารงตําแหน่งเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 และทรงเป็นเจ้าอาวาส วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร

ข้อ 81 – 90. อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคําถาม
ประเด็นเรื่องการแต่งตัววาบหวิวของนักศึกษาไทยในปัจจุบันยังคงเป็นข้อถกเถียงจนยากที่จะหาที่สิ้นสุด ซึ่งแนวความคิดด้านการจัดระเบียบชุดนักศึกษาตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ได้มีการพัฒนากัน อย่างต่อเนื่องจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ แต่ปัญหากลับอยู่ที่การเอาจริงเอาจัง ความเด็ดขาด และการ มีกฎเกณฑ์หรือกฎหมายออกมารองรับอีกที่หนึ่ง

อย่างไรก็ตามประเด็นดังกล่าวทําให้เกิดความคิดซึ่งแบ่งออกได้เป็น 2 ขั้วด้วยกันฝ่ายแรกเห็นว่า ควรมีการจัดระเบียบอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเครื่องแบบนักศึกษาที่ฟิตรัดติ้วจนถึงขั้นโป๊ ซึ่งเน้นการโชว์สรีระ ส่วนอีกฟากหนึ่งกลับมีความคิดเห็นว่าเป็นเรื่องของสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งไม่ได้สร้าง ความเดือดร้อนให้แก่ใคร

วันนี้ผมขออนุญาตนําเสนอผลงานวิจัยที่จะช่วยให้ท่านผู้อ่านพิจารณาว่า หลักการดังกล่าว มีความเหมาะสมมากน้อยเพียงใด

ทั้งนี้ก่อนจะพูดในเชิงสถิติ ขอพูดถึงความหมายของคําว่า “ยูนิฟอร์ม” (Uniform) ซึ่งเป็นประเด็น สําคัญที่ต้องทําความเข้าใจชัดเจนเสียก่อนว่า ยูนิฟอร์มนั้นมีความสําคัญอย่างไรต่อองค์กรหรือสถาบันต่าง ๆ

สําหรับตัวผมเอง ยูนิฟอร์ม คือ เครื่องแบบที่นําเสนอความเป็นมาตรฐาน กล่าวคือ ผู้ใดที่สวมใส่ ยูนิฟอร์มจะทราบกันดีว่าสังกัดกลุ่มใด สถาบันไหน เป็นคนของมหาวิทยาลัยที่ไหน และที่สําคัญคือ เป็นการนําเสนอความเป็นเอกภาพของสถาบันนั้น ๆ

ส่วนในด้านสปิริตแล้วนั้นยูนิฟอร์มมีความสัมพันธ์กับศักดิ์ศรี เป็นการให้เกียรติต่อสถาบันที่เราพึ่งพาอาศัย ซึ่งครอบคลุมไปถึงการแสดงออกในด้านการจงรักภักดีนั่นเองครับ

ดังนั้นยูนิฟอร์มจึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์สําคัญดั่งธงชาติของประเทศนั้น ๆ แต่ในปัจจุบัน ความหมายของยูนิฟอร์มกลับผิดเพี้ยนไปเพราะเป็นเรื่องของการออกนอกกรอบ การสร้างความแตกต่าง กลายเป็นกระแสแฟชั่น

แต่ถ้าจะให้พูดตามเนื้อผ้าแล้วนั้นยูนิฟอร์มใช่ว่าต้องอยู่ในกฎระเบียบที่เคร่งครัดซะทีเดียว แน่นอนที่สุดว่ายุคสมัยย่อมเปลี่ยนไป ความคิดของคนและความเชื่อในอิสรเสรีภาพเป็นสิ่งสําคัญท่ามกลาง สังคมยุคปัจจุบัน ดังนั้นถ้าโป๊เกินไปอาจดูไม่เหมาะสม ส่วนเข้มงวดเกินไปอาจเป็นการบังคับ ผมว่าเจอกันตรงกลางน่าจะเหมาะสมมากกว่า จึงพอสรุปได้ว่ายูนิฟอร์มสามารถเปลี่ยนเป็นแฟชั่นได้ แต่ต้องมีมาตรฐาน เหมาะสมต่อคนส่วนมาก

นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ค่านิยมของการแต่งชุดนักศึกษาที่วาบหวิวนั้น ทางสถาบันการศึกษาทั้งหลายต่างพยายามปรับเปลี่ยน ส่งเสริมให้นักศึกษาแต่งกายให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น แต่ปัญหาคือควบคุม ไม่ได้เพราะสถาบันไม่เข้มงวด สถาบันบางแห่งก็มีความเป็นทุนนิยมมากเกินไป

กล่าวคือ มองนักศึกษาเป็นดังลูกค้าที่ต้องตามใจ มิเช่นนั้นถ้าใครพูดว่าสถาบันแห่งนี้เชย ไม่ทันสมัยแล้ว ใครจะมาเรียน

ทั้งนี้เรื่องราวและเหตุการณ์ดังกล่าวทําให้กระทรวงวัฒนธรรมเกิดการตื่นตัว และเร่งแก้ไขปัญหา ดังกล่าวเพื่อให้อยู่ในวาระแห่งชาติเลยทีเดียว

ส่วนในเชิงสถิติที่เป็นผลงานวิจัยของสถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพได้ให้ข้อสรุปว่า การแต่งกาย ของนิสิตนักศึกษาจะก่อให้เกิดผลเสียหรือปัญหาอาชญากรรม อาทิการล่วงละเมิดทางเพศ การข่มขืนมากถึงร้อยละ 59.9 รองลงมาคือ เสื่อมเสียต่อสถาบันและตนเองร้อยละ 17.8 และก่อปัญหาจี้ปล้นวิ่งราวทรัพย์ ร้อยละ 5.10

ส่วนมาตรการที่จะนํามาใช้ในการแก้ไขนั้น นิสิตนักศึกษาร้อยละ 47.5 เห็นว่าควรใช้กฎระเบียบ สถาบันการศึกษามาเป็นตัวบังคับอย่างจริงจัง ร้อยละ 30.2 ใช้การรณรงค์หรือชักจูงใจให้นิสิตนักศึกษาหันมา แต่งกายให้เหมาะสม ร้อยละ 15.7 เห็นควรใช้มาตรการทางกฎหมายในการบังคับให้ผู้ผลิตเลิกผลิตเสื้อนักศึกษา ที่ฟิตโป็ หรือมีขนาดเล็กเกินไป

แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกเมื่อร้อยละ 60 กลับเชื่อว่า ปัญหาเรื่องการแต่งกายไม่เหมาะสมยังคงมีอยู่ ซึ่งร้อยละ 22.3 เชื่อว่าปัญหาดังกล่าวจะไม่สามารถหมดไปได้

ส่วนผลงานวิจัยอีกประเภทหนึ่งในหัวข้อ “ความคิดเห็นต่อปัญหาการแต่งกายของนิสิต” โดยเก็บ ข้อมูลจากนิสิตนักศึกษาระดับอนุปริญญาและปริญญาจากสถาบันการศึกษารัฐและเอกชนทั่วประเทศ 19 แห่ง จํานวน 1,743 คน เพศชายร้อยละ 36.9 เพศหญิง 63.1 ระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 18 กรกฎาคม 2550 สรุปผลได้ดังนี้

การแต่งกายนิสิตนักศึกษาในปัจจุบันเป็นปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน มีนิสิตนักศึกษา เห็นด้วยร้อยละ 72.6 ไม่เห็นด้วยร้อยละ 12.8 ไม่แสดงความคิดเห็นร้อยละ 14.6 และถือว่าเป็นปัญหาที่ ค่อนข้างน่าเป็นห่วงร้อยละ 54.2

สุดท้ายก่อนจากกันไปในวันนี้ผมขอแสดงความคิดเห็นว่าเรื่องของความเหมาะสมเป็นสิ่งที่ควร เจอกันตรงกลาง ไม่เคร่งเกินไป และไม่ฟรีจนเกินไป

แต่อย่างน้อยขอให้เรารับรู้ว่า ความหมายของยูนิฟอร์มภายใต้สถาบันการศึกษาที่สังกัดอยู่นั้น มีความสําคัญมากกว่าค่านิยมที่ผิด ๆ ดังที่เป็นแฟชั่นอยู่ทุกวันนี้ เพราะการที่เราไม่ได้ให้เกียรติยูนิฟอร์ม อาจทําให้คนอื่นเขามองว่า เราไม่ให้เกียรติต่อตนเองและสถาบันการศึกษาที่เราสังกัดอยู่นะครับ

(จากคอลัมน์ วัยทวีนส์ โดยเอกลักษณ์ ยิ้มวิไล หนังสือพิมพ์มติชน ประจําวันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2550 หน้า 20)

81. ข้อความที่อ่านจัดเป็นวรรณกรรมประเภทใด
(1) ข่าว
(2) วิจัย
(3) บทความ
(4) วิจารณ์
ตอบ 3
บทความ คือ งานเขียนที่มีการนําเสนอข้อมูลที่ได้มาจากเอกสารทางวิชาการหรือผลงานการวิจัย ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงหรือข้อคิดเห็นเพื่อให้ข้อมูลหรือความรู้ และมีการสรุปให้เห็นความสําคัญของเรื่อง พร้อมทั้งเสนอข้อคิดให้ผู้อ่านนําไปพิจารณา

82. จุดประสงค์ของผู้เขียนคืออะไร
(1) โน้มน้าวใจ
(2) สื่อความเข้าใจ
(3) ให้ความรู้และแสดงทัศนะ
(4) ให้ข้อมูลและแสดงทัศนะ
ตอบ 4
ผู้เขียนมีจุดประสงค์ในการนําเสนอ คือ ให้ข้อมูลและแสดงทัศนะของตนเองเกี่ยวกับประเด็นเรื่องการแต่งชุดนักศึกษาที่วาบหวิวของนักศึกษาไทยในปัจจุบัน พร้อมทั้งเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อให้ผู้อ่านนําไปคิดพิจารณา

83. โวหารการเขียนเป็นแบบใด
(1) บรรยาย
(2) อภิปราย
(3) อธิบายและอภิปราย
(4) บรรยายและอภิปราย
ตอบ 3
ผู้เขียนใช้โวหารการเขียนผสมผสานกัน 2 รูปแบบ ดังนี้
1. โวหารเชิงอธิบาย คือ โวหารที่ใช้ชี้แจงเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งซึ่งเป็นการให้ความรู้หรือข้อมูลเพียงด้านเดียว โดยจะต้องมีการชี้แจงแสดงเหตุผลการยกตัวอย่างประกอบ การเปรียบเทียบ และการจําแนกแจกแจง

2. โวหารเชิงอภิปราย คือ โวหารที่ใช้แสดงความคิดเห็นซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ โดยผู้เขียนจะแสดงทัศนะรอบด้านทั้งในด้านบวกและลบ เพื่อนําไปสู่ข้อสรุปอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทิ้งท้ายให้ผู้อ่านเก็บไปคิด

84. ท่วงทํานองเขียนเป็นแบบใด
(1) กระชับรัดกุม
(2) สละสลวย
(3) เรียบง่ายเป็นภาษาเขียน
(4) เรียบง่ายเป็นภาษาพูด
ตอบ 4
ผู้เขียนใช้ท่วงทํานองเขียนแบบเรียบง่าย คือ ท่วงทํานองเขียนที่ใช้คําง่าย ๆ ชัดเจน การผูกประโยคไม่ซับซ้อน ทําให้อ่านง่ายและเข้าใจได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาขบคิดมากนัก แต่จะมีการใช้ภาษาพูดปะปนบ้างในบางย่อหน้า และมีการใช้คําทับศัพท์ (คําภาษาต่างประเทศที่นํามาใช้ในภาษาไทยโดยวิธีถ่ายเสียงและถอดอักษร) เช่น ฟิต (Fit),โชว์ (Show), ยูนิฟอร์ม (Uniform), สปิริต (Spirit), แฟชั่น (Fashion), ฟรี (Free) เป็นต้น

85. ข้อความใดถูกต้องตรงกับข้อความที่ให้อ่าน
(1) นักศึกษาในอดีตแต่งกายได้ถูกต้องตามระเบียบของสถาบัน
(2) การเดินสายกลางอย่างมีเหตุผลเป็นเรื่องที่สมควรทํา
(3) การแก้ปัญหาการแต่งกายของนักศึกษามีพัฒนาการจนจบกระบวนการ
(4) นักศึกษาส่วนใหญ่ไม่เห็นสมควรที่จะให้เรื่องการแต่งเครื่องแบบเป็นวาระแห่งชาติ
ตอบ 2
จากข้อความ….. แต่ถ้าจะให้พูดตามเนื้อผ้าแล้วนั้นยูนิฟอร์มใช่ว่าต้องอยู่ในกฎระเบียบที่เคร่งครัดซะทีเดียว แน่นอนที่สุดว่ายุคสมัยย่อมเปลี่ยนไป ความคิดของคนและความเชื่อในอิสรเสรีภาพ เป็นสิ่งสําคัญท่ามกลางสังคมยุคปัจจุบัน ดังนั้นถ้าโป๊เกินไปอาจดูไม่เหมาะสม ส่วนเข้มงวดเกินไป อาจเป็นการบังคับ ผมว่าเจอกันตรงกลางน่าจะเหมาะสมมากกว่า จึงพอสรุปได้ว่า ยูนิฟอร์มสามารถเปลี่ยนเป็นแฟชั่นได้ แต่ต้องมีมาตรฐานเหมาะสมต่อคนส่วนมาก

86. ยูนิฟอร์มมีความสําคัญต่อองค์กรหรือสถาบันต่าง ๆ ในด้านใด
(1) รูปธรรม
(2) ทั้งรูปธรรมและนามธรรม
(3) นามธรรม
(4) เกียรติและศักดิ์ศรี
ตอบ 4
จากข้อความ ยูนิฟอร์มนั้นมีความสําคัญอย่างไรต่อองค์กรหรือสถาบันต่าง ๆ สําหรับตัวผมเองยูนิฟอร์ม คือ เครื่องเเบบที่นําเสนอความเป็นมาตรฐาน กล่าวคือ ผู้ใดที่สวมใส่ยูนิฟอร์มจะทราบกันดีว่าสังกัดกลุ่มใด สถาบันไหน เป็นคนของมหาวิทยาลัยที่ไหน และที่สําคัญคือ เป็นการนําเสนอความเป็นเอกภาพของสถาบันนั้น ๆ ส่วนในด้านสปิริตแล้วนั้นยูนิฟอร์มมีความสัมพันธ์กับศักดิ์ศรี เป็นการให้เกียรติต่อสถาบันที่เราพึ่งพาอาศัย

87. สิ่งใดที่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย
(1) แฟชั่น
(2) ค่านิยม
(3) ธรรมเนียมนิยม
(4) ความคิดและความเชื่อ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 85. ประกอบ

88. สิ่งที่เป็นปัญหาต่อการแก้ไขเรื่องการแต่งเครื่องแบบคืออะไร
(1) วัยของนักศึกษาและกระแสแฟชั่น
(2) การไม่มีกฎหมายมารองรับ
(3) ความไม่เด็ดขาดของสถาบัน
(4) ความเป็นทุนนิยมและความไม่เข้มงวด
ตอบ 4
จากข้อความ… นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ค่านิยมของการแต่งชุดนักศึกษาที่วาบหวิวนั้นทางสถาบันการศึกษาทั้งหลายต่างพยายามปรับเปลี่ยน ส่งเสริมให้นักศึกษาแต่งกายให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น แต่ปัญหาคือควบคุมไม่ได้เพราะสถาบันไม่เข้มงวด สถาบันบางแห่งก็มีความเป็นทุนนิยมมากเกินไป

89. ข้อใดเป็นคําทับศัพท์ทั้งหมด
(1) ฟรี แฟชั่น ยูนิฟอร์ม
(2) โป๊ ฟิต รัดติ้ว
(3) จี้ ปล้น วิ่งราว
(4) เอกภาพ สถิติ สถาบัน
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 84. ประกอบ

90. ข้อความใดเหมาะสมที่จะเป็นข้อสรุปของข้อความดังกล่าว
(1) เกียรติและศักดิ์ศรีย่อมอยู่ที่สถาบัน
(2) เครื่องแบบที่ถูกต้องทุกสังคมย่อมยอมรับ
(3) การแต่งกายที่งดงามย่อมเป็นไปตามกฎระเบียบ
(4) เคารพตนเอง เคารพสถาบัน พร้อมใจกันแต่งกายให้สุภาพ
ตอบ 4 ข้อความที่เหมาะสมจะเป็นข้อสรุปของข้อความที่ให้อ่านทั้งหมด คือ เคารพตนเอง เคารพสถาบันพร้อมใจกันแต่งกายให้สุภาพ เพราะการที่เราไม่ได้ให้เกียรติยูนิฟอร์มอาจทําให้คนอื่นเขามองว่าเราไม่ให้เกียรติต่อตนเองและสถาบันการศึกษาที่เราสังกัดอยู่

91. ข้อใดมีคําที่สะกดถูกขนาบคําที่สะกดผิด
(1) ทะเลสาบ สีสัน หยากไย่
(2) ผัดผ่อน สาปแช่ง สิงโต
(3) บังสุกุล รื่นรมย์ ภาพยนตร์
(4) หลับใหล หงษ์ ไอศกรีม
ตอบ 4
คําที่สะกดผิด ได้แก่ หงษ์ ซึ่งที่ถูกต้องคือ หงส์

92. ข้อใดสะกดผิดทุกคํา
(1) ขนมเค้ก นะคะ เสื้อเชิ้ต
(2) มาตราฐาน เบรก ถนนลาดยาง
(3) ขนมคุ้กกี้ ล็อกประตู รสชาด
(4) เสื้อเชิ้ต ทะเลสาบ เกร็ดความรู้
ตอบ 3 คําที่สะกดผิด ได้แก่ มาตราฐาน ขนมคุ้กกี้ ล็อกประตู รสชาด ซึ่งที่ถูกต้องคือ มาตรฐาน ขนมคุกกี้ ล็อกประตู รสชาติ

93. ข้อใดมีคําที่สะกดถูกสลับกับคําที่สะกดผิด
(1) คํานวณ เข็ญใจ ข้นแค้น เกร็ดความรู้
(2) ขะมักเขม้น ซ่าหริ่ม เหลวไหล หลุดลุ่ย
(3) ลําไย เหม็นสาบ หลุมพราง รู้เท่าไม่ถึงการณ์
(4) ต้มโคล้ง ลาดยางถนน ผัดวันประกันพรุ่ง จตุรัส
ตอบ 4 คําที่สะกดผิด ได้แก่ ลาดยางถนน จตุรัส ซึ่งที่ถูกต้องคือ ถนนลาดยาง จัตุรัส

94. ข้อใดเขียนประโยคได้ถูกต้อง
(1) ฉันไปซื้อของกับเพื่อนที่ตลาด
(2) ฉันกับเพื่อนไปซื้อของที่ตลาด
(3) ฉันไปซื้อของที่ตลาดกับเพื่อน
(4) ที่ตลาดฉันไปซื้อของกับเพื่อน
ตอบ 2
การเรียงลําดับประโยคให้ถูกที่ คือ การวางประธาน กริยา กรรม และส่วนขยายให้ตรงตามตําแหน่ง เพราะหากวางไม่ถูกที่จะทําให้ข้อความนั้นไม่ชัดเจน หรือมีความหมาย
ไม่ตรงกับที่เราต้องการ ซึ่งตัวอย่างการเขียนประโยคที่เรียงลําดับได้ถูกต้อง เช่น ฉันกับเพื่อนไปซื้อของที่ตลาด (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเรียงลําดับประโยคไม่ถูกต้อง)

95. ข้อใดเขียนคําถูกทุกคํา
(1) กะเพรา รื่นรมย์ ไม่ไยดี แมงกะพรุน
(2) กระทันหัน พลัดพราก เจ็กลากรถ พังทะลาย
(3) ลมหวล กงศุล เครื่องยนต์ ลายเซ็น
(4) กระโหลก เพทภัย ริดรอน กะทัดรัด
ตอบ 1
คําที่สะกดผิด ได้แก่ กระทันหัน เจ็กลากรถ ฟังทะลาย ลมหวน กงศุล นางสาว กระโหลก เพทภัย ริดรอน

ซึ่งที่ถูกต้องคือ กะทันหัน เจ๊กลากรถ พังทลาย ลมหวน กงสุล กะโหลก เภทภัย ลิดรอน

ข้อ 96, – 98, ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้แล้วตอบคําถาม
(1) อุ้มชู เป็นแพะรับบาป แพแตก
(2) แกะดํา ไข่ในหิน ฆ้องปากแตก
(3) คว่ำบาตร ดินพอกหางหมู รักวัวให้ผูกรักลูกให้ดี
(4) ชักใบให้เรือเสีย จุดไต้ตําตอ ฆ่าควายอย่าเสียดายพริก

96. ข้อใดเป็นคําพังเพยทั้งหมด
ตอบ 4
ข้อแตกต่างของสํานวน คําพังเพย และสุภาษิต มีดังนี้
1. สํานวน หมายถึง ถ้อยคําที่เรียบเรียงขึ้นอย่างกะทัดรัด ใช้คําน้อยแต่กินความหมายมากและเป็นความหมายโดยนัยหรือโดยเปรียบเทียบ เช่น แพะรับบาป (คนที่รับเคราะห์กรรม แทนผู้อื่นที่ทํากรรมนั้น), แพแตก (ครอบครัวที่แตกแยกย้ายกันไปเพราะหัวหน้าครอบครัว ประสบความวิบัติหรือเสียชีวิต), แกะดํา (คนที่ทําอะไรผิดเพื่อนฝูงในกลุ่ม), ไข่ในหิน (ของที่ต้องระมัดระวังทะนุถนอมอย่างยิ่ง), ฆ้องปากแตก (ปากโป้ง เก็บความลับไม่อยู่),คว่ำบาตร (ไม่ยอมคบค้าสมาคมด้วย) เป็นต้น

2. คําพังเพย หมายถึง ถ้อยคําที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อตีความ สรุปเหตุการณ์ สภาวการณ์ บุคลิกและอารมณ์ให้เข้ากับเรื่อง มีความหมายกลาง ๆ ไม่เน้นการสั่งสอน แต่แฝงคติเตือนใจ ให้นําไปปฏิบัติหรือไม่ให้นําไปปฏิบัติ เช่น ดินพอกหางหมู (ที่คั่งค้างพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ), ชักใบให้เรือเสีย (ทูดหรือทําขวาง ๆ ให้การสนทนาหรือการงานเขวออกนอกเรื่องไป), จุดไต้ตําตอ (พูดหรือทําสิ่งใดบังเอิญไปโดนเอาผู้ที่เป็นเจ้าของเรื่องโดยไม่รู้ตัว), ฆ่าควายอย่าเสียดายพริก (ทําการใหญ่ไม่ควรตระหนี่) เป็นต้น

3. สุภาษิต หมายถึง ถ้อยคําที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อสั่งสอนโดยตรง ซึ่งอาจเป็นคติ ข้อติติง คําจูงใจหรือคําห้าม และเนื้อความที่สั่งสอนก็เป็นความจริง เป็นความดีที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เช่น รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี (รักสิ่งใดก็ต้องระวังสิ่งนั้นให้ดี อย่าปล่อยตามใจ มิฉะนั้นจะต้อง เสียใจภายหลัง) เป็นต้น ส่วนคําว่า “อุ้มชู” เป็นคํากริยา หมายถึง ประคับประคอง)

97. ข้อใดเป็นสํานวนทั้งหมด
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 96. ประกอบ

98. ข้อใดเรียงลําดับถูกต้องตั้งแต่สํานวน คําพังเพย และสุภาษิต
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 96. ประกอบ

99. “หมาในรางหญ้า” มีความหมายตรงกับข้อใด
(1) คนที่ลอบทําร้ายผู้อื่น
(2) คนที่ทําตัวเข้าด้วยทั้งสองฝ่าย
(3) คนที่ชอบพูดเอะอะแสดงว่าเก่ง แต่ไม่กล้าจริง
(4) คนที่หวงแหนสิ่งที่ตนเองกินหรือใช้ไม่ได้ แต่ไม่ยอมให้คนอื่นกินหรือใช้
ตอบ 4
หมาในรางหญ้า = คนที่หวงแหนสิ่งที่ตนเองกินหรือใช้ไม่ได้ แต่ไม่ยอมให้คนอื่นกินหรือใช้

100. “เนื้อเต่ายำเต่า” มีความหมายตรงกับข้อใด
(1) กล่าวสั่งสอนไม่รู้จักหยุด
(2) ดูเหมือนถี่ถ้วน แต่ไม่ถี่ถ้วนจริง
(3) นําผลกําไรหรือดอกเบี้ยไปลงทุนต่อไป
(4) แสวงหาผลประโยชน์โดยไม่ต้องลงทุน
ตอบ 3
เนื้อเต่ายำเต่า = นําเอาทรัพย์สินส่วนที่เป็นกําไรหรือดอกเบี้ยกลับไปลงทุนต่อไปอีกโดยไม่ต้องใช้ทุนเดิม

101. “เรื่องที่ไม่พอใจพูดกันแล้วก็ให้จบ ๆ กันไป เธอจะไปทําให้มันมีเรื่องมีราวขึ้นมาอีกทําไม เหมือนกับ 2 คําโบราณเขาว่าแท้ ๆ”
(1) ปลูกเรือนคร่อมตอ
(2) ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง
(3) ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า
(4) บนข้าวผี ตีข้าวพระ
ตอบ 2
ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง = พยายามทําให้มีเรื่องมีราวขึ้นมา (ส่วนปลูกเรือนคร่อมตอ = กระทําสิ่งที่ล่วงล้ำ ก้าวก่าย หรือทับสิทธิของผู้อื่น, ข่มเขาโคขึ้นให้กินหญ้า = บังคับขืนใจผู้อื่นให้ทําตาม ที่ตนต้องการ, บนข้าวผี ตีข้าวพระ = ขอร้องให้ผีสางเทวดาช่วยเหลือโดยจะแก้บนเมื่อประสบผลสําเร็จแล้ว)

102. ข้อใดใช้คําถูกต้อง
(1) เธอมีกริยามารยาทดี
(2) เกษรของดอกไม้นี้นําไปปลูกได้
(3) ฉันชอบกินปลากระพงนึ่งมะนาว
(4) แม่กําลังขลิบลูกไม้ที่ชายกระโปรง
ตอบ 4
คําว่า “ขลิบ” = เย็บหุ้มริมผ้าและของอื่น ๆ เพื่อกันลุ่ยหรือเพื่อให้งาม (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นใช้คําผิด จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น เธอมีกิริยามารยาทดี, เกสรของดอกไม้นี้นําไปปลูกได้,ฉันชอบกินปลากะพงนึ่งมะนาว)

103. ข้อใดใช้คําถูกต้อง
(1) นําไม้ลวกไปลวกน้ำร้อน
(2) คนงานกําลังขุดรอกคูคลอง ก็เห็นงูกําลังลอกคราบ
(3) เราไม่ควรร่วงล้ำเข้าไปเก็บของที่ร่วงหล่นในบ้านคนอื่น
(4) เขานําลวดมากั้น แล้วบอกว่าค่าผ่านประตู 10 บาทรวด
ตอบ 4 คําว่า “ลวด” = โลหะที่เอามารีดเป็นเส้น และ “รวด” = เสมอเท่ากันหมด (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นใช้คําผิด จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น นําไม้รวกไปลวกน้ำร้อน, คนงานกําลังขุดลอกคูคลอง ก็เห็นงูกําลังลอกคราบ, เราไม่ควรล่วงล้ำเข้าไปเก็บของที่ร่วงหล่นในบ้านคนอื่น)

104. ขอบผ้ามีด้าย………………ออกมา นุ่งดี ๆ นะเดี๋ยวจะหลุด………………..
(1) รุ่ย ลุ่ย
(2) ลุ่ย รุ่ย
(3) ลุย ลุ่ย
(4) ปุย ปุย
ตอบ 1
คําว่า “รุ่ย” = หลุดออกจากที่เดิมทีละเล็กทีละน้อย เช่น ด้ายชายผ้ารุ่ยไปทีละเส้นสองเส้น,
“หลุดลุ่ย” = คลายตัวหลุดเลือนไปจากสภาพเดิม เช่น เสื้อผ้าหลุดลุ่ย (ส่วนคําว่า “ลุ่ย” =เลือนหลุดจากที่เพราะคลายตัวไม่แน่นเหมือนเดิม)

105. เขารีบวิ่งพรวด……..เข้ามาในห้อง จนชนถูกคนที่ยืนเอามือ…….หลัง
(1) พาด ไพ่
(2) พลาด ไพล่
(3) พราด ไพ่
(4) พราด ไพล่
ตอบ 4
คําว่า “พรวดพราด” = อาการที่เป็นไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ยับยั้ง, “ไพล่” = ไขว้ เช่น เอามือไพล่หลัง (ส่วนคําว่า “ พาด” = ก่าย, “ไพ่” = เครื่องเล่นการพนันชนิดหนึ่ง ทําด้วยกระดาษค่อนข้างแข็งหรือพลาสติก, “พลาด” = ไม่ตรงที่หมายในลักษณะเพลี่ยงไป เลี่ยงไป)

106. เขาถูกต่อยจนเลือด………ปาก พอกลับถึงบ้านแม่ก็…….ใส่เขาทันที
(1) กบ เกรี้ยวกราด
(2) กรบ เกรี้ยวกราด
(3) กลบ เกลี้ยวกลาด
(4) กลบ เกรี้ยวกราด
ตอบ 1
คําว่า “กบ” = เต็มมาก เต็มแน่น เช่น ข้าวกบหม้อ เลือดกบปาก, “เกรี้ยวกราด” = การแสดงกิริยาท่าทางพร้อมทั้งดุด่าว่ากล่าวอย่างรุนแรงด้วยความโกรธ (ส่วนคําว่า “กรบ” = เครื่องแทง ปลา ทําด้วยไม้ 3 อัน มัดติดกัน, “กลบ” = กิริยาที่เอาสิ่งซึ่งเป็นผงโรยทับข้างบนเพื่อปิดบัง,“เกลี้ยวกลาด” เป็นคําที่เขียนผิด)

107. เด็กวัยรุ่นคนที่หน้าแดง………คนนั้นแหละเป็นคนลั่น……..ปืนใสนักเรียน
(1) ก่ำ ไกร
(2) ก่ำ ไก
(3) กล่ำ ไก
(4) กร่ำ ไก
ตอบ 2
คําว่า “ก่ำ” = สุกใส เข้ม จัด (มักใช้กับสีแดงหรือทองที่สุก) เช่น หน้าแดงก่ำ, “ไก” – ที่สําหรับเหนี่ยวให้ลูกกระสุนลั่นออกไป เช่น ไกปืน ไกหน้าไม้ (ส่วนคําว่า “ไกร” = ยิ่ง มาก ใหญ่ เก่ง, “กล่ำ” = เครื่องที่ใช้ดักปลาชนิดหนึ่ง, “กร่ำ” – ใช้ประกอบกับอาการเมา เช่น เมาเหล้าว่าเมากร่ำ)

108. เขาชอบ………วันประกันพรุ่ง วันนี้ก็……….ผ่อนการชําระหนี้อีกแล้ว
(1) ผัด ผัด
(2) ผัด ผลัด
(3) ผลัด ผัด
(4) ผลัด ผลัด
ตอบ 1
คําว่า “ผัดวันประกันพรุ่ง” = ขอเลื่อนเวลาออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า, “ผัดผ่อน” = ผัดพอให้ทุเลา หรือหย่อนคลายลง ส่วนคําว่า “ผลัด” = เปลี่ยนแทนที่ เช่น ผลัดเสื้อผ้า ผลัดเวร ผลัดใบ ผลัดขน)

109. การศึกษายุค……ต้องสร้างคนให้มี……กว้างไกล
(1) โลกาภิวัตน์ วิสัยทัศน์
(2) โลกาภิวัฒน์ วิสัยทัศน์
(3) โลกาภิวัฒน์ โลกทัศน์
(4) โลกาภิวัตน์ ทัศนวิสัย
ตอบ 1 คําว่า “โลกาภิวัตน์” การแพร่กระจายไปทั่วโลก, “วิสัยทัศน์” = การมองการณ์ไกล (ส่วนคําว่า“โลกาภิวัฒน์” เป็นคําที่เขียนผิด, “โลกทัศน์” = การมองโลก การรู้จักโลก, “ทัศนวิสัย” = ระยะทางไกลที่สุด ซึ่งสามารถมองเห็นวัตถุด้วยตาเปล่าและบอกได้ว่าวัตถุนั้นเป็นอะไร)

110. กํานัน……..เงินจากชาวบ้าน เพื่อสร้างศาลา………
(1) เรี่ยราย การเปลียญ
(2) เรี่ยราย การเปรียญ
(3) เรี่ยไร การเปรียญ
(4) เรี่ยไร การเปลียญ
ตอบ 3
คําว่า “เรี่ยไร” = ขอร้องให้ช่วยออกเงินทําบุญตามสมัครใจ, “ศาลาการเปรียญ” – ศาลาวัด สําหรับพระสงฆ์แสดงธรรม (ส่วนคําว่า “เรี่ยราย” = กระจายเกลื่อนไป, “การเปลียญ” เป็นคํา ที่เขียนผิด)

111. ข้อใดเขียนคําถูกต้อง
(1) ฉันฝันเห็นเครื่องรางของขลังเป็นภาพราง ๆ
(2) เขาชอบกินหมูกระทะกับข้าวผัดกระเพราไก่
(3) วันนี้เขาถวายบาตรแด่พระภิกษุที่มาบิณฑบาตร
(4) ปีนี้น้องอายุครบเบญจเพศ เธอกลัวอาเพสจะเกิดขึ้น
ตอบ 1 คําที่สะกดผิด ได้แก่ กระเพรา บิณฑบาตร เบญจเพศ อาเพส ซึ่งที่ถูกต้องคือ กะเพรา บิณฑบาต เบญจเพส อาเพศ

112. “ฉันไปซื้อผักผลไม้ที่ตลาดสดหลายอย่าง” ประโยคนี้ไม่ถูกต้องเพราะเหตุใด (1) ใช้คําฟุ่มเฟือย
(2) วางส่วนขยายผิดที่
(3) ใช้คํากํากวม
(4) ใช้สํานวนต่างประเทศ
ตอบ 2
(ดูคําอธิบายข้อ 94. ประกอบ) ประโยคข้างต้นเรียงลําดับประโยคไม่ถูกต้องเพราะวางส่วนขยายผิดที่ จึงควรแก้ไขเป็น ฉันไปซื้อผักผลไม้หลายอย่างที่ตลาดสด

113. “การจราจรในกรุงเทพฯ แน่นหนามาก” ประโยคนี้ไม่ถูกต้องเพราะเหตุใด
(1) ใช้สํานวนต่างประเทศ
(2) ใช้คํากํากวม
(3) ใช้คําไม่ตรงความหมาย
(4) ใช้คําที่มีความหมายขัดแย้งกัน
ตอบ 3
การใช้คําในการพูดและเขียนจะต้องรู้จักเลือกคํามาใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสม คือ จะต้องมีความรู้ว่าคําที่จะนํามาใช้นั้นมีความหมายอย่างไร ใช้แล้วเหมาะสม ไม่ผิดความหมาย และจะเป็นที่เข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งเพียงไร เช่น การจราจรในกรุงเทพฯ แน่นหนามาก (ใช้คําไม่ตรงความหมาย) จึงควรแก้ไขเป็น การจราจรในกรุงเทพฯ หนาแน่นมาก (คําว่า “หนาแน่น” = คับคั่ง แออัด ส่วนคําว่า “แน่นหนา” – มั่นคง แข็งแรง)

114. “ฉันไม่รู้จะตอบแทนเขาอย่างไรดี” ประโยคนี้ไม่ถูกต้องเพราะเหตุใด
(1) ใช้คําฟุ่มเฟือย
(2) ใช้คํากํากวม
(3) วางส่วนขยายผิดที่
(4) ใช้สํานวนต่างประเทศ
ตอบ 2
การใช้คําที่มีความหมายหลายอย่างจะต้องคํานึงถึงถ้อยคําแวดล้อมด้วยเพื่อให้เกิดความแจ่มชัด ไม่กํากวม เพราะคําชนิดนี้ต้องอาศัยถ้อยคําซึ่งแวดล้อมอยู่เป็น เครื่องช่วยกําหนดความหมาย เช่น ฉันไม่รู้จะตอบแทนเขาอย่างไรดี (ใช้คํากํากวม) จึงควร แก้ไขให้มีความหมายแน่ชัดลงไปเป็น ฉันไม่รู้จะตอบคําถามแทนเขาอย่างไรดี/ฉันไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณเขาอย่างไรดี

115. “ผู้ประท้วงภายใต้การนําของเกษตรกร” ประโยคนี้ไม่ถูกต้องเพราะเหตุใด (1) ประโยคไม่มีเอกภาพ
(2) วางส่วนขยายผิดที่
(3) ใช้คําไม่ตรงความหมาย
(4) ใช้สํานวนต่างประเทศ
ตอบ 4
การใช้คําตามแบบภาษาไทย คือ การให้ข้อความที่ผูกขึ้นมีลักษณะเป็นภาษาไทย ไม่เลียนแบบภาษาต่างประเทศ ซึ่งจะทําให้ข้อความกะทัดรัด เข้าใจง่าย และ ไม่เคอะเขิน เช่น ผู้ประท้วงภายใต้การนําของเกษตรกร (ใช้สํานวนต่างประเทศ) จึงควรแก้ไขเป็น เกษตรกรเป็นผู้นําการประท้วง

116. “ห้องเรียนที่เต็มไปด้วยนักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์” ประโยคนี้ไม่ถูกต้องเพราะเหตุใด
(1) ใช้สํานวนต่างประเทศ
(2) ใช้คํากํากวม
(3) วางส่วนขยายผิดที่
(4) ใช้คําฟุ่มเฟือย
ตอบ 1
(ดูคําอธิบายข้อ 115. ประกอบ) ประโยคข้างต้นไม่ถูกต้องเพราะใช้สํานวนต่างประเทศ(ซึ่งก็คือ เต็มไปด้วย) จึงควรแก้ไขเป็น นักศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตร์อยู่เต็มห้องเรียน

117. “บัณฑิตผู้มีความรู้และความคิดไม่พึงขาดสติ” ประโยคนี้ไม่ถูกต้องเพราะเหตุใด
(1) ประโยคไม่มีเอกภาพ
(2) ใช้คําฟุ่มเฟือย
(3) วางส่วนขยายผิดที่
(4) ใช้สํานวนต่างประเทศ
ตอบ 1
การจํากัดความให้ประโยคมีเอกภาพ คือ การใช้ประโยคหรือข้อความซ้อนกันต้องให้ใจความมีความเกี่ยวข้องหรือเป็นเหตุเป็นผลกัน ไม่ควรให้กระจัดกระจายไปเป็นคนละเรื่อง หากใจความใดไม่สัมพันธ์กันก็ควรแยกออกเป็นคนละข้อความเสียเลย เช่น บัณฑิตผู้มีความรู้และความคิดไม่พึงขาดสติ (ประโยคไม่มีเอกภาพ) จึงควรแก้ไขเป็น บัณฑิตผู้มีความรู้และความคิดพึงมีสติ

118. “เรื่องนี้ฉันได้ยินมากับหู ได้เห็นมากับตาตัวเอง” ประโยคนี้ไม่ถูกต้องเพราะเหตุใด
(1) ประโยคไม่สมบูรณ์
(2) ประโยคกํากวม
(3) เรียงคําในประโยคผิด
(4) ประโยคที่ใช้คําฟุ่มเฟือย
ตอบ 4
การใช้คําฟุ่มเฟือยหรือการใช้คําที่ไม่จําเป็น จะทําให้คําโดยรวมไม่มีน้ำหนักและข้อความก็จะขาดความหนักแน่น ไม่กระชับรัดกุม เพราะเป็นคําที่ไม่มีความหมาย อะไร แม้ตัดออกไปก็ไม่ได้ทําให้ความหมายของข้อความนั้นเปลี่ยนแปลงไป แต่กลับทําให้ดูรุงรัง ยิ่งขึ้น เช่น เรื่องนี้ฉันได้ยินมากับหู ได้เห็นมากับตาตัวเอง (ใช้คําฟุ่มเฟือย) จึงควรแก้ไขเป็น เรื่องนี้ฉันได้ยิน ได้เห็นมา (คําว่า “ได้ยิน” = รับรู้เสียงด้วยหู ส่วนคําว่า “ได้เห็น” = รับรู้ภาพด้วยตา)

119. ข้อความใดใช้คําว่า “ถูก” ได้ถูกต้อง
(1) เพลงนี้ถูกขอมามากในรายการ
(2) ฉันถูกหัวหน้าว่าทํางานไม่เรียบร้อย
(3) หนังสือถูกยืมไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้
(4) น้ำถูกทําให้เย็นด้วยการนําไปแช่ตู้เย็น
ตอบ 2
ในภาษาไทยไม่นิยมใช้คํากริยา “ถูก” แสดงกรรมวาจก นอกจากจะใช้ในเรื่องไม่ดีเท่านั้น เช่น ฉันถูกหัวหน้าว่าทํางานไม่เรียบร้อย ฯลฯ หากเป็นเรื่องดีมักจะละ คํากริยา “ถูก” ไว้ หรือไม่ก็ใช้คําอื่นหรือเปลี่ยนรูปประโยคเป็นอย่างอื่นไป (ส่วนตัวเลือก ข้ออื่นใช้คํากริยา “ถูก” ไม่ถูกต้อง จึงควรแก้ไขเป็น เพลงนี้มีผู้ขอมามากในรายการ/หนังสือมีคนยืมไปแล้วตั้งแต่เมื่อวานนี้ น้ำเย็นเพราะนําไปแช่ตู้เย็น)

120. ข้อใดเป็นประโยคไม่ฟุ่มเฟือย
(1) เขาได้รับความเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
(2) ธนาคารเปิดทําการเวลา 9.00 น.
(3) โปรดกรุณาตรวจสิ่งของก่อนลุก
(4) วันเพ็ญวันพระจันทร์เต็มดวง
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 118. ประกอบ) ประโยค “ธนาคารเปิดทําการเวลา 9.00 น.” ไม่ฟุ่มเฟือยเพราะคําว่า “เปิดทําการ” = เปิดทํางาน (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นประโยคฟุ่มเฟือย จึงควรแก้ไขเป็น เขาเสียใจเป็นอย่างยิ่ง/โปรดตรวจสิ่งของก่อนลุก/วันเพ็ญ)

THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา THA 1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. ข้อใดมีคําบอกพจน์ที่มีจํานวนอยู่ในระดับกลางของจํานวน 4 ข้อ
(1) เขาซื้อทุเรียนมาโหลหนึ่ง
(2) นักศึกษา 2 คู่นี้แอบกินขนม
(3) ฝูงลิงกระโดดลงมาจากเขา
(4) ขนมครก 4 ฝานี้เต็มไป
ตอบ 1
การแสดงพจน์ (จํานวน) มีอยู่หลายวิธี แต่ก็ต้องดูความหมายของประโยคด้วย ดังนี้ 1. ใช้คําบอกจํานวนหนึ่ง (เอกพจน์) ได้แก่ โสด เดียว หนึ่ง โทน ฯลฯ
2. ใช้คําบอกจํานวนมากกว่าหนึ่ง (พหูพจน์) ได้แก่ คู่/แฝด (จํานวนสองที่กําหนดไว้เป็นชุด), กลุ่ม/ฝูง/ขบวน/ช่อ (มีจํานวนมากกว่าสองขึ้นไป) ฯลฯ นอกจากนี้ยังสามารถใช้คําขยาย ได้แก่ มาก หลาย ฯลฯ, ใช้คําบอกจํานวนนับ ได้แก่ สอง สี โหล ฯลฯ, ใช้คําซ้ํา ได้แก่ เด็ก ๆ หนุ่ม ๆ สาว ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ฯลฯ และใช้คําซ้อน ได้แก่ ลูกเด็กเล็กแดง (เด็กเล็ก ๆ หลายคน) ฯลฯ

(คําบอกพจน์ที่มีจํานวนอยู่ในระดับกลางของจํานวน 4 ข้อ คือ โหล ซึ่งเรียงจํานวนจากมากไปน้อย ได้แก่ ฝูง, โหล = 12, 4 ฝา, 2 คู่ = 4)

2. “ผมเห็นผีจะจะเลย” จากข้อความปรากฏลักษณะของภาษาไทยแบบใด
(1) บอกเพศ
(2) บอกกาล
(3) คําคําเดียวมีหลายความหมาย
(4) มีระบบเสียงสูงต่ำ
ตอบ 1
คํานามในภาษาไทยบางคําก็แสดงเพศได้ชัดเจนในตัวของมันเอง เช่น คําที่บอกเพศชาย ได้แก่ พ่อ พระ เณร ทิด เขย ชาย หนุ่ม บ่าว ปู่ ตา ผม นาย ลุง พลาย (ช้างตัวผู้) ฯลฯ และคําที่บอกเพศหญิง ได้แก่ แม่ ชี สะใภ้ หญิง สาว นาง ป้า ย่า ยาย ดิฉัน พัง (ช้างตัวเมีย) ฯลฯ แต่คําบางคําที่เป็นคํารวมทั้งสองเพศ เช่น พี่ น้อง เด็ก น้า อา ลูก หลาน เพื่อน ฯลฯ เมื่อต้องการแสดงเพศให้ชัดเจนตามแบบภาษาคําโดดจะต้อง ใช้คําที่บ่งเพศมาประกอบเข้าข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง หรือประสมกันตามแบบคําประสมบ้าง เช่น พี่สาว น้องชาย เด็กสาว น้าชาย อาหญิง ลูกชาย หลานสาว เพื่อนหญิง เพื่อนชาย ฯลฯ

3. ข้อใดสะท้อนลักษณะของภาษาไทยที่ปรากฏประเภทน้อยที่สุด
(1) ดอกไม้ช่อนี้ขายหน้าบ้านยาย
(2) นายทองนั่งท่องชื่อลูกค้าทั้งคืน
(3) ตาคว้าต้นกล้าไปปลูกบนภูเขา
(4) ชมพู่ผลสีชมพูวางบนลังไม้หลายลูก
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 1. และ 2. ประกอบ) ข้อความที่สะท้อนลักษณะของภาษาไทยเรียงจากน้อยไปมาก มีดังนี้
1. ตาคว้าต้นกล้าไปปลูกบนภูเขา (บอกเพศ = ตา)
2. ดอกไม้ช่อนี้ขายหน้าบ้านยาย (บอกพจน์ = ช่อ, บอกเพศ = ยาย)
3. ชมพู่ผลสีชมพูวางบนลังไม้หลายลูก (มีระบบเสียงสูงต่ำ = พู/พู่, บอกพจน์ = หลาย)
4. นายทองนั่งท่องชื่อลูกค้าทั้งคืน (บอกเพศ = นาย, มีระบบเสียงสูงต่ำ = ทอง/ท่อง, บอกกาล (เวลา) = ทั้งคืน)

4. “ข้าวตังหน้าตั้งวางหน้าตั่งของคุณยาย” จากข้อความปรากฏลักษณะของภาษาไทยแบบใด
(1) คําคําเดียวมีหลายความหมาย
(2) บอกพจน์
(3) บอกมาลา
(4) มีระบบเสียงสูงต่ำ
ตอบ 4 ระบบเสียงสูงต่ำ (เสียงวรรณยุกต์) ในภาษาไทย คือ การกําหนดเสียงสูงต่ำไว้ตายตัวในคําแต่ละคํา เพื่อต้องการแยกความหมาย โดยให้เสียงหนึ่ง มีความหมายอย่างหนึ่ง หากเปลี่ยนเสียงความหมายก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย เช่น ตัง (เสียงสามัญ) ในคําว่า “ข้าวตัง” = ข้าวสุกที่ติดเป็นแผ่นเกรียมอยู่ก้นหม้อหรือกระทะ, ตั้ง (เสียงโท) ในคําว่า “ หน้าตั้ง” – ของว่างซึ่งทําด้วยหมู กุ้ง และกะทิ สําหรับกินกับข้าวตั้งทอด, ตั่ง (เสียงเอก) = ที่สําหรับนั่ง ไม่มีพนัก อาจมีขาหรือไม่มีขาก็ได้

5. ข้อใดเป็นสระเดี่ยว
(1) ค้าง
(2) เคียง
(3) เคือง
(4) ครัว
ตอบ 1
เสียงสระในภาษาไทย แบ่งออกได้ดังนี้
1. สระเดี่ยว 18 เสียง แบ่งเป็นเสียงสั้น 9 เสียง ได้แก่ อะ อิ อี อุเอะ แอะ เออะ โอะ เอาะ และเสียงยาว 9 เสียง ได้แก่ อา อี คือ อู เอ แอ เออ โอ ออ
2. สระผสม 10 เสียง แบ่งเป็นเสียงสั้น 5 เสียง ได้แก่ เอียะ เอือะ อัวะ เอา ไอ และเสียงยาว 5 เสียง ได้แก่ เอีย เอื้อ อัว อาว อาย (ยกเว้นคําใดที่ลงท้ายด้วย ย/ว ซึ่งเป็นพยัญชนะถึงสระ อาจเป็นได้ทั้งตัวสะกด ย/ว หรือเป็นสระผสม 2 เสียง หรือ 3 เสียงก็ได้)

6. “อาหารอีสานรสแซบหลาย” มีสระเดี่ยวที่เสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ)
(1) 3 เสียง
(2) 4 เสียง
(3) 5 เสียง
(4) 6 เสียง
ตอบ 2
(ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ) จากข้อความมีสระเดี่ยว 4 เสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ) ได้แก่
1. สระอา (อาหาร, ลาน)
2. สระอี (อี)
3. สระโอะ (รส)
4. สระแอ (แซบ)

7. ข้อใดมีสระเดี่ยวเสียงยาวมากที่สุด (ไม่นับเสียงซ้ำ)
(1) บ้านบนดิน
(2) รถสิบล้อ
(3) เห็ดหูหนู
(4) คลองน้ำแคบ
ตอบ 4
(ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ) ข้อความ “คลองน้ำแคบ” มีสระเดี่ยวเสียงยาวมากที่สุดคือ 2 เสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ) ได้แก่
1. สระออ (คลอง)
2. สระแอ (แคบ)

8. ข้อใดเป็นสระหน้า
(1) ท่าน
(2) เก็บ
(3) ซบ
(4) เสริม
ตอบ 2
สระเดี่ยวที่จําแนกตามส่วนต่าง ๆ ของลิ้นที่ทําหน้าที่ซึ่งจะต้องมีสภาพของริมฝีปากประกอบด้วย แบ่งออกได้ดังนี้
1.สระกลาง ได้แก่ อา อ๋อ เออ อะ อี เออะ
2. สระหน้า ได้แก่ อี เอ แอ อิ เอะ แอะ
3. สระหลัง ได้แก่ อู โอ ออ อุ โอะ เอาะ
(คําว่า “เก็บ” = สระเอะ, “ท่าน” = สระอา, “ซบ” = สระโอะ, “เสริม” – สระเออ)

9. ข้อใดไม่ประกอบด้วยเสียงสระอา
(1) เที่ยง
(2) เสือ
(3) เร็ว
(4) บวบ
ตอบ 3
คําว่า “เร็ว” ประกอบด้วย เอะ + ว (เอะ + อุ) = เอ็ว (ส่วนคําว่า “เที่ยง” ประกอบด้วย อี + อา = เอีย, “เสือ” ประกอบด้วย คือ + อา = เอื้อ, “บวบ” ประกอบด้วย อู + อา = ตัว)

10. ข้อใดมีคําประกอบด้วยเสียงสระอี
(1) นิ่ว รับ
(2) ปุ๋ย เข้า
(3) โดน เหว
(4) ท้อง หอย
ตอบ 4 คําว่า “หอย” ประกอบด้วย ออ + ย (ออ + อี) = ออย

11. ข้อใดมีคําที่ประกอบด้วยเสียงสระ 2 เสียง
(1) ดํา
(2) แก้ว
(3) เดือย
(4) สวย
ตอบ 2 คําว่า “แก้ว” ประกอบด้วยเสียงสระ 2 เสียง คือ แอ + ว (แอ + อู) = แอว (ส่วนคําว่า “ดํา” = สระอะ, “เดือย” ประกอบด้วย เอื้อ + ย (อ๋อ + อา + อี) = เอื้อย, “สวย” ประกอบด้วย อัวะ + ย (อุ + อะ + อิ) = อ็วย)

12. “ควายเดินเคี้ยวเอื้องอย่างช้า ๆ นาน ๆ จนใคร ๆ พากันขบขัน” จากข้อความมีสระผสมที่เสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ)
(1) 2 เสียง
(2) 3 เสียง
(3) 4 เสียง
(4) 5 เสียง
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ)
จากข้อความมีสระผสม 4 เสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ) ได้แก่
1. สระอาย (ควาย) 2. สระเอีย (เคี้ยว) 3. สระเอื้อ เอื้อง) 4. สระไอ (ใคร)

13. รูปพยัญชนะในภาษาไทยลําดับที่ 17 ตรงกับข้อใด
(1) ฑ
(2) ถ
(3) ต
(4) ฌ
ตอบ 1
(คําบรรยาย) รูปพยัญชนะในภาษาไทยลําดับที่ 17 คือ ฑ ซึ่งเป็นพวกอักษรต่ำ มักใช้เป็นตัวสะกดในแม่กดในคําที่มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต เช่น ษัฑ

14. พยัญชนะต้นในข้อใดเป็นประเภทเสียงหนัก
(1) ร้อง
(2) บอก
(3) เห็น
(4) สูง
ตอบ 3
(คําบรรยาย) พยัญชนะต้นที่จําแนกตามรูปลักษณะของเสียง แบ่งออกได้ดังนี้
1. พยัญชนะระเบิด หรือพยัญชนะกัก ได้แก่ กค (ข ฆ) จด(ภู) ต() ท (ถ ฐ ฑ ฒ ธ) บ ป พ (ผ ภ) อ
2. พยัญชนะนาสิก ได้แก่ ง น (ณ) ม
3. พยัญชนะเสียดแทรก ได้แก่ ส (ซ ศ ษ) ฟ (ฝ)
4. พยัญชนะถึงเสียดแทรก ได้แก่ ช (ฉ ณ)
5. พยัญชนะถึงสระ ได้แก่ ย ว
6. พยัญชนะเหลว ได้แก่ ร ล
7. พยัญชนะเสียงหนัก ได้แก่ ห (ฮ) รวมทั้ง พยัญชนะที่มีเสียง ห ผสมอยู่ด้วย ได้แก่ ค (ข) ช (ฉ) ท (ถ) พ (ผ)

15. พยัญชนะต้นในข้อใดเกิดที่ฐานริมฝีปาก
(1) ร้อง
(2) บอก
(3) เห็น
(4) สูง
ตอบ 2
พยัญชนะต้นที่จําแนกตามฐานกรณ์ (ที่เกิดหรือที่ตั้งของเสียง) แบ่งออกได้ดังนี้
1. ฐานคอ (คอหอย) มี 2 เสียง คือ ห (ฮ) อ
2. ฐานเพดานอ่อน มี 3 เสียง คือ ก ค (ข ฆ) ง
3. ฐานเพดานแข็ง มี 5 เสียง คือ จ ช (ฉ ฌ) ส (ซ ศ ษ) ย (ญ) ร
4. ฐานฟัน มี 5 เสียง คือ ด (ฎ) ต (ภู) ท (ถ ฐ ฑ ฒ ธ) น (ณ) ล (ฬ)
5. ฐานริมฝีปาก ได้แก่ ริมฝีปากบนกับล่างประกบกัน มี 5 เสียง คือ บ ป พ (ผ ภ) มว และริมฝีปากล่างประกบกับฟันบน มี 1 เสียง คือ ฟ (ฝ)

16. “บางระจันฉายแล้ววันจันทร์” จากข้อความไม่ปรากฎพยัญชนะต้นเกิดที่ฐานใด
(1) เพดานอ่อน
(2) เพดานแข็ง
(3) ริมฝีปาก
(4) ฟัน
ตอบ 1
(ดูคําอธิบายข้อ 15. ประกอบ) จากข้อความไม่ปรากฏพยัญชนะต้นเกิดที่ฐานเพดานอ่อนและฐานคอ

17. ข้อใดเป็นพยัญชนะเคียงกันมา
(1) สิ้นฤทธิ์
(2) รูปการณ์
(3) กากบาท
(4)เวทมนตร์
ตอบ 3
การออกเสียงแบบตามกันมา หรือเคียงกันมา (การออกเสียงแบบเรียงพยางค์) คือ พยัญชนะคู่ที่ออกเสียงแต่ละเสียงเต็มเสียง และเสียงทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน เช่น อัศจรรย์ (อัดสะจัน) ฯลฯ นอกจากนี้คําใดที่มี เสียงสระอะ อา อิ อี อุ อู อยู่ตรงกลางคํา และพยางค์หน้าออกเสียงเต็มเสียงทุกคําให้ถือว่าเป็นพยัญชนะคู่แบบเคียงกันมา เช่น กากบาท (กากะบาด) ฯลฯ

18. ข้อใดเป็นพยัญชนะนํากันมา
(1) ละโมบ
(2) สําแดง
(3) แสดง
(4) หมอก
ตอบ 4
การออกเสียงแบบนํากันมา (อักษรนํา) คือ พยัญชนะคู่ที่พยัญชนะตัวหน้ามีอํานาจเหนือพยัญชนะตัวหลัง โดยที่พยัญชนะตัวหน้าจะออกเสียงเพียงครึ่งเสียง และ พยัญชนะตัวหลังก็จะเปลี่ยนเสียงตาม ซึ่งจะออกเสียงเหมือนกับเสียงที่มี ห นํา เช่น หมอก,วาสนา (วาดสะหนา), อย่าง (หย่าง) ฯลฯ

19. “วาสนาของนักปราชญ์อย่างเขา ช่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก” จากข้อความปรากฎพยัญชนะคู่ประเภทใดมากที่สุด
(1) นํากันมา
(2) เคียงกันมา
(3) ควบกันมา
(4) เรียงกันมา
ตอบ 1
จากข้อความปรากฎพยัญชนะคู่ ดังนี้
1. นํากันมา 2 คํา ได้แก่ วาสนา, อย่าง (ดูคําอธิบายข้อ 18. ประกอบ)
2. ควบกันมา 1 คํา ได้แก่ ปราชญ์ (อักษรควบกล้ำแท้)
3. เคียงกันมา 1 คํา ได้แก่ อัศจรรย์ (ดูคําอธิบายข้อ 17. ประกอบ)

20. ข้อใดเป็นพยัญชนะคู่ประเภทเดียวกัน
(1) จวก กระดูก
(2) อรอย กลอน
(3) ไกล เพลง
(4) เหมือน พริก
ตอบ 3
การออกเสียงแบบควบกันมา (อักษรควบ) คือ พยัญชนะคู่ที่ออกเสียง 2 เสียงควบกล้ำไปพร้อมกัน แบ่งออกเป็น
1. อักษรควบกล้ำแท้ หรือเสียงกล้ำกันสนิท โดยเสียงทั้งสองร่วมเสียงสระและวรรณยุกต์เดียวกัน เช่น ไกล เพลง ใคร กลับ ฯลฯ
2. อักษรควบกล้ำไม่แท้ หรือเสียงกล้ำกันไม่สนิท เช่น สร้อย (ร้อย) ฯลฯ

21. “หอยหวานเป็นของดีเมืองชล ใคร ๆ ก็ซื้อติดมือกลับมาทั้งนั้น”จากข้อความปรากฎพยัญชนะควบกันมากี่คํา (ไม่นับคําซ้ำ)
(1) 1 คํา
(2) 2 คํา
(3) 3 คํา
(4) 4 คํา
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 20. ประกอบ) จากข้อความปรากฎพยัญชนะควบกันมา 2 คํา (ไม่นับคําซ้ำ)ได้แก่ 1. ใคร 2. กลับ

22. ข้อใดไม่มีพยัญชนะสะกด
(1) ให้
(2) น้ำ
(3) ทั่ว
(4) โจทก์
ตอบ 3
พยัญชนะสะกดของไทยจะมีเพียง 8 เสียงเท่านั้น คือ
1. แม่กก ได้แก่ ก ข ค ฆ
2. แม่กด ได้แก่ จฉ ช ซ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส
3. แม่กบ ได้แก่ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ
4. แม่กน ได้แก่ น ณ ร ล ท ญ
5. แม่กง ได้แก่ ง
6. แม่กม ได้แก่ ม
7. แม่เกย ได้แก่ ย
8. แม่เกอว ได้แก่ ว (คําว่า “ทั่ว” ไม่มีพยัญชนะสะกด, “ให้” (หัย) = แม่เกย, “น้ำ” (นม) = แม่กม, “โจทก์” (โจด) = แม่กด)

23. ข้อใดมีพยัญชนะสะกด 2 เสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ)
(1) จับจด
(2) ซื่อสัตย์
(3) นับถือ
(4) พรรคพวก
ตอบ 1
(ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ) คําว่า “จับจด” มีพยัญชนะสะกด 2 เสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ)ได้แก่
1. แม่กบ (จบ)
2. แม่กด (จุด)

24. “บอกว่าความรักเรานั้นยังมีสิทธิ์จะเดินต่อไหม บอกเถอะบอกกับฉันว่าควรตั้งความหวังไปถึงเมื่อไหร่” จากข้อความมีพยัญชนะสะกดเสียงใดน้อยที่สุด (ไม่นับคําซ้ำ)
(1) -ง
(2) -ย
(3) -น
(4) -ก
ตอบ 4
(ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ) จากข้อความมีพยัญชนะสะกดเสียง ก (แม่กก) 2 คํา(ไม่นับคําซ้ำ) = บอก รัก (ส่วนเสียง ง (แม่กง) มี 4 คํา = ยัง ตั้ง หวัง ถึง, เสียง ย (แม่เกย) มี 3 คํา = ไหม ไป ไหร่, เสียง น (แม่กน) มี 4 คํา = นั้น เดิน ฉัน ควร)

25. “จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ครองราชย์มาเป็นเวลา 10 ปี” จากข้อความไม่ปรากฏพยัญชนะสะกดเสียงใด
(1) -ย
(2) -ม
(3) -น
(4) -บ
ตอบ 2
(ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ) จากข้อความไม่ปรากฎพยัญชนะสะกดเสียง ม หรือ แม่กม (ส่วนเสียง ย (แม่เกย) = ใหญ่, เสียง น (แม่กน) = เป็น, เสียง บ (แม่กบ) = สิบ)

26. ข้อใดเป็นคําเป็นทุกคํา
(1) หวาดกลัว
(2) กระป๋อง
(3) เข้มงวด
(4) สั่งสอน
ตอบ 4 (ดูคําอธิบายข้อ 5. และ 22. ประกอบ)ลักษณะของคําเป็นกับคําตาย มีดังนี้
1. คําเป็น คือ คําที่สะกดด้วยแม่กง กน กม เกย เกอว และคําที่ไม่มีตัวสะกด แต่ใช้สระเสียงยาวรวมทั้งสระอํา ใอ ไอ เอา (เพราะออกเสียงเหมือนมีตัวสะกดเป็นแม่กม เกย เกอว)
2. คําตาย คือ คําที่สะกดด้วยแม่กก กด กบ และคําที่ไม่มีตัวสะกด แต่ใช้สระเสียงสั้น

27. “เสือครัวเป็นสากกะเบือหรือสากไม้ที่ใช้กับครกดินเผา” จากข้อความมีคําตายเสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ)
(1) 2 เสียง
(2) 3 เสียง
(3) 4 เสียง
(4) 5 เสียง
ตอบ 3
(ดูคําอธิบายข้อ 26. ประกอบ) จากข้อความมีคําตาย 4 เสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ) ได้แก่ 1. สาก 2. กะ 3. กับ 4. ครก

28. ข้อใดมีเสียงวรรณยุกต์โท
(1) เล็ก
(2) เผ็ด
(3) เพื่อน
(4) น้า
ตอบ 3
เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมี 5 เสียง 4 รูป คือ เสียงสามัญ (ไม่มีรูปวรรณยุกต์กํากับ), เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี และเสียงจัตวา ซึ่งในคําบางคํา รูปและเสียงวรรณยุกต์อาจไม่ตรงกัน จึงควรเขียนรูปวรรณยุกต์ให้ถูกต้อง เช่น คําว่า “เพื่อน” เป็นพยัญชนะเสียงต่ำคู่ (ค ช ท พ ฟ ซ ฮ) ที่มีตัวสะกดเป็นคําเป็น (แม่กน) และ สระเสียงยาว (สระเอือ) จึงผันได้ 3 เสียง คือ เสียงสามัญ (ไม่มีรูปวรรณยุกต์), เสียงโท (ใช้ไม้เอก) = เพื่อน และเสียงตรี (ใช้ไม้โท)

29. ข้อใดไม่ใช่เสียงวรรณยุกต์เอก
(1) เท่า
(2) เดือด
(3) อย่าง
(4) จบ
ตอบ 1 (
ดูคําอธิบายข้อ 28. ประกอบ) คําว่า “เท่า” มีเสียงวรรณยุกต์โท แต่ใช้ไม้เอก (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีเสียงวรรณยุกต์เอกทั้งหมด)

30. “เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย” จากข้อความมีวรรณยุกต์กี่เสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ)
(1) 2 เสียง
(2) 3 เสียง
(3) 4 เสียง
(4) 5 เสียง
ตอบ 2
(ดูคําอธิบายข้อ 28. ประกอบ) จากข้อความมีวรรณยุกต์ 3 เสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ) ได้แก่ 1. เสียงโท = เข้า 2. เสียงสามัญ = กัน เป็น 3. เสียงเอก = ปี่ ขลุ่ย

31. ข้อใดมีเสียงวรรณยุกต์น้อยเสียงที่สุด (ไม่นับเสียงซ้ำ)
(1) เก็บหอมรอมริบ
(2) เก็บเบี้ยใต้ถุนร้าน
(3) ก่อแล้วต้องสาน
(4) ไก่แก่แม่ปลาช่อน
ตอบ 4
(ดูคําอธิบายข้อ 28. ประกอบ) ข้อความ “ไก่แก่แม่ปลาช่อน” มีเสียงวรรณยุกต์น้อยเสียงที่สุดคือ 3 เสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ) ได้แก่
1. เสียงเอก = ไก่ แก่
2. เสียงโท = แม่ ช่อน
3. เสียงสามัญ = ปลา (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีเสียงวรรณยุกต์ 4 เสียง)

32. “น้ำใจของเธอช่างตราตรึงหัวใจผมยิ่งนัก” จากข้อความมีเสียงวรรณยุกต์เอกกี่คํา (ไม่นับคําซ้ำ)
(1) 0 คํา
(2) 1 คํา
(3) 2 คํา
(4) 3 คํา
ตอบ 1
(ดูคําอธิบายข้อ 28. ประกอบ) จากข้อความไม่มีเสียงวรรณยุกต์เอกเลย แต่มีเสียงวรรณยุกต์อื่น 4 เสียง (ไม่นับคําซ้ำ) ได้แก่
1. เสียงตรี = น้ำ นัก
2. เสียงสามัญ = ใจ เธอ ตรา ตรึง
3. เสียงจัตวา = ของ หัว ผม
4. เสียงโท = ช่าง ยิ่ง

33. ข้อใดเป็นความหมายแฝงที่มีเสียงดังน้อยที่สุด
(1) ตะโกน
(2) ตะเบ็ง
(3) คําราม
(4) ตะคอก
ตอบ 3
คําว่า “คําราม” = ทําเสียงขู่ เป็นความหมายแฝงที่มีเสียงดังน้อยที่สุดจากตัวเลือกทั้งหมด (ส่วนความหมายแฝงซึ่งเป็นคํากริยาที่ใช้กับเสียงดัง ได้แก่ คําว่า “ตะโกน” = เรียกด้วยเสียงดังกว่าปกติเพื่อให้ได้ยิน, “ตะเบ็ง” = เบ่งเสียงออกให้ดังเกินสมควร, “ตะคอก” – ขู่ตลาดเสียงดัง)

34. “นายเดียวเดินโดดเดี่ยวท่ามกลางสายฝน” จากข้อความปรากฏความหมายในลักษณะใด
(1) ความหมายแฝง
(2) ความหมายอุปมา
(3) ความหมายสัมพันธ์กับเสียง
(4) การแยกเสียงแยกความหมาย
ตอบ 4 การแยกเสียงแยกความหมาย คือ การเปลี่ยนแปลงเสียงในคําบางคําที่มีความหมายหลายอย่างให้แตกต่างกันบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนว่าคํานั้น มีความหมายว่าอย่างไรในที่นั้น ๆ โดยความหมายย่อยและที่ใช้อาจจะแตกต่างกัน ได้แก่ คําว่า “เดียว-เดี่ยว” (เสียงสูงต่ำต่างกัน) ต่างก็แปลว่าหนึ่ง เช่น มาเดี่ยว มาคนเดียว แต่จะใช้แทนกัน ย่อมไม่ได้ เพราะ “เดียว” หมายถึง หนึ่งเท่านั้น แต่ “เดี่ยว” หมายถึง ไม่มีคู่ ไม่ได้นําคู่ของตนมาด้วย เป็นต้น

35. ข้อใดเป็นความหมายเชิงอุปมาไม่ได้
(1) เสือ
(2) ด้วง
(3) ควาย
(4) ชะนี
ตอบ 2
คําอุปมา คือ คําที่ใช้เปรียบเทียบเพื่อพรรณนาบอกลักษณะให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อให้มีความหมายใหม่เกิดขึ้นอีกความหมายหนึ่ง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. คําอุปมาที่ได้มาจากคําที่มีใช้อยู่แล้ว เช่น เสือ (ดุและร้าย ฆ่าคนได้ไม่แพ้เสือ), ควาย (โง่ ทึ่ม ให้คนจูงจมูกได้ง่าย), ชะนี (ผู้หญิง), เต่า (ช้า งุ่มง่าม) ฯลฯ
2. คําอุปมาที่สร้างขึ้นใหม่ ส่วนมากเป็นคําประสม เช่น แก้วตา (เป็นที่รักหวงแหน) ฯลฯ

36. ข้อใดไม่เป็นคําประสม
(1) ยาถ่าย
(2) ยาหมด
(3) ยาสั่ง
(4) ยาสลบ
ตอบ 2
คําประสม คือ คําตั้งแต่ 2 คําขึ้นไปมาประสมเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้คําใหม่ที่มีความหมายใหม่มาใช้ในภาษา ซึ่งความหมายสําคัญจะอยู่ที่คําต้น (คําตัวตั้ง) ส่วนที่ตามมาเป็นคําขยาย ซึ่งไม่ใช่คําที่ขยายคําต้นจริง ๆ แต่จะช่วยให้คําทั้งคํามีความหมายจํากัด เป็นนัยเดียว ได้แก่ คําประสมที่ใช้เป็นคํานาม โดยมีคําตัวตั้งเป็นคํานาม และคําขยายเป็นกริยา เช่น ยาถ่าย (ยาที่กินเพื่อให้ถ่ายอุจจาระ), ยาสั่ง (ยาพิษจําพวกหนึ่ง), ยาสลบ (สารเคมีที่ใช้ในการแพทย์เพื่อทําให้สลบ) เป็นต้น ส่วนคําว่า “ยา/หมด” เป็นคําเดียวเรียงกัน ไม่ใช่คําประสม)

37. “ชาวนาซื้อผ้าขาวแถวประตูน้ำ” จากข้อความมีคําประสมกี่คํา
(1) 1 คํา
(2) 2 คํา
(3) 3 คํา
(4) 4 คํา
ตอบ 2
(ดูคําอธิบายข้อ 36. ประกอบ) จากข้อความมีคําประสม 2 คํา ได้แก่
1. ชาวนา (ผู้ที่ประกอบอาชีพทํานา)
2. ประตูน้ำ (ชื่อสถานที่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ)

38. ข้อใดเป็นการสร้างคําประเภทเดียวกันทั้งหมด
(1) ใจคอ ช้านาน เกรงกลัว
(2) สอดแนม เข็ดขยาด แกะดํา
(3) ท้อถอย แม่นยํา บีบคั้น
(4) การค้า การรายงาน ขัดคอ
ตอบ 1
คําซ้อน คือ คําเดียว 2, 4 หรือ 6 คํา ที่มีความหมายหรือมีเสียงใกล้เคียงกัน หรือเป็นไปในทํานองเดียวกัน ซ้อนเข้าด้วยกันเพื่อทําให้เกิดคําใหม่ที่มี ความหมายใหม่ขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. คําซ้อนเพื่อความหมาย (มุ่งที่ความหมายเป็นสําคัญ) ซึ่งอาจเป็นคําไทยซ้อนเข้าด้วยกัน เช่น ใจคอ ช้านาน เกรงกลัว ฯลฯ หรืออาจเป็นคําไทยซ้อนกับคําภาษาอื่นก็ได้ เช่น รูปร่าง (บาลีสันสกฤต + ไทย) ฯลฯ
2. คําซ้อนเพื่อเสียง (มุ่งที่เสียงเป็นสําคัญ) เช่น จริงจัง (อิ + อะ) ฯลฯ

39. ข้อใดใช้คําซ้ำได้ถูกต้อง
(1) เสื้อลายๆตาผมไปหมด
(2) ชมๆแดงจนเขินอาย
(3) คนเรามักว่าคนอื่นต่างๆนานา
(4) ผึ้งหลายๆ ตัวรุมต่อยเขา
ตอบ 3
คําซ้ำ คือ คําคําเดียวกันที่นํามากล่าว 2 ครั้ง เพื่อให้มีความหมายเน้นหนักขึ้น หรือเพื่อให้มีความหมายต่างจากคําเดียว ซึ่งวิธีการสร้างคําซ้ำก็เหมือนกับการสร้างคําซ้อน แต่ใช้คําคําเดียวมาซ้อนกันโดยมีเครื่องหมายไม้ยมก (ๆ) กํากับ ได้แก่ คําซ้ำที่ซ้ำคําขยาย ความหมายต่างออกไปไม่เกี่ยวเนื่องกับความหมายเดิม โดยมักใช้เป็นคําขยาย เช่น คนเรามักว่าคนอื่นต่าง ๆ นานา (หลายอย่างที่ไม่เหมือนกัน) เป็นต้น ส่วนตัวเลือกข้ออื่นไม่ใช่คําซ้ำ เพราะเป็นคําที่พูดติดต่อเป็นความเดียวกัน จึงไม่ควรใช้ไม้ยมก)

40. “หนุ่ม ๆ หน้าตาดีแถว ๆ นั้นชอบสวมเสื้อสีชมพู ๆ น่าแปลกจัง” จากข้อความไม่ปรากฏคําซ้ำที่มีความหมายในลักษณะใด ๆ
(1) แบบไม่เจาะจง
(2) แบบแยกเป็นส่วน ๆ
(3) แบบพหูพจน์
(4) แบบเน้นน้ำหนักความหมาย
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ) จากข้อความปรากฏลักษณะของคําซ้ำ ดังนี้
1. คําซ้ำที่ซ้ำคํานาม แสดงพหูพจน์บอกว่านามนั้นมีจํานวนมาก เช่น หนุ่ม ๆ
2. คําซ้ำที่ซ้ำคําขยายนามเพื่อเน้นน้ำหนักความหมาย โดยเสียงวรรณยุกต์ของคําต้นจะเปลี่ยนเป็นเสียงตรี เช่น ดีดี
3. คําซ้ำที่ซ้ำคํานาม เช่น แถว ๆ หรือซ้ำคําขยายนาม เช่น ชมพู ๆ เพื่อแสดงความไม่เจาะจง

41. คําใดกร่อนเสียงมาจากคําเดิมว่า “ต้น”
(1) ตะแบก
(2) ตะโขง
(3) ตะปลิง
(4) ตะปู
ตอบ 1
อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียง เป็นคําที่กร่อนเสียงพยางค์ต้นให้เป็นเสียง “อะ” ได้แก่
1. “มะ” ที่นําหน้าชื่อไม้ผล ไม่ใช่ไม้ผล และหน้าคําบอกกําหนดวัน เช่น หมากม่วง มะม่วง,หมากนาว – มะนาว, หมากพร้าว – มะพร้าว, เมื่อรืน – มะรืน
2. “ตะ” นําหน้าชื่อสัตว์ ต้นไม้ และคําที่มีลักษณะคล้ายตา เช่น ตาปู – ตะปู, ตัวขาบ – ตะขาบ, ต้นแบก – ตะแบก, ต้นไคร้ – ตะไคร้, ตัวโขง – ตะโขง, ตัวปลิง- ตะปลิง
3. “สะ” เช่น สายดือ ) สะดือ, สาวใภ้ – สะใภ้, สายดึง – สะดึง
4. “ฉะ” เช่น ฉันนั้น – ฉะนั้น, ฉันนี้ – ฉะนี้, เฉื่อย ๆ – ฉะเฉื่อย, ฉ่ำ ๆ – ฉะฉ่ำ
5. “ยะ/ระ/ละ” เช่น ยิบ ๆ ยับ ๆ – ยะยิบยะยับ, รื่น ๆ – ระรื่น, เลาะ ๆ – ละเลาะ
6. “อะ” เช่น อันไร/อันใด – อะไร, อันหนึ่ง – อนึ่ง
ส่วนคําอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นไปตามนี้ ได้แก่ ผู้ญาณ + พยาน, ชาตา – ชะตา, ช้าพลู – ชะพลู, เฌอเอม – ชะเอม, ชีผ้าขาว – ชีปะขาว เป็นต้น

42. “กระอึกกระอัก” เป็นคําอุปสรรคเทียมชนิดใด
(1) กร่อนเสียง
(2) แบ่งคําผิด
(3) เพิ่มเสียงไม่ให้คอนกัน
(4) เทียบแนวเทียบผิด
ตอบ 3
อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกัน คือ การเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ “กระ”) เข้าไป 2 เสียงในคําซ้อนเพื่อเสียงที่หน้าพยางค์ต้น และหน้าพยางค์ท้าย ซึ่งมีเสียงเสมอกันและเป็นคําที่สะกดด้วย “ก” เหมือนกัน เช่น อึกอัก – กระอึกกระอัก, โดกเดก – กระโดกกระเดก, จุกจิก – กระจุกกระจิก, อักอ่วน – กระอักกระอ่วน ฯลฯ

43. คําใดเป็นคําอุปสรรคเทียมชนิดเทียบแนวเทียบผิด
(1) กระโดกกระเดก
(2) กระจุกกระจิก
(3) กระดุกกระดิก
(9) กระชุ่มกระชวย
ตอบ 4
อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิด คือ การเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ “กระ”) เข้าไปในคําซ้อนเพื่อเสียงที่พยางค์ต้นและพยางค์ท้าย ไม่ได้สะกดด้วย “ก” ซึ่งยึดการใช้อุปสรรคเทียมที่เพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกันมาเป็นแนวเทียบ แต่เป็นการเทียบแนวเทียบผิด เช่น ชุ่มชวย – กระชุ่มกระชวย, ดําด่าง – กระดํากระด่าง,ยิ้มย่อง – กระยิ้มกระย่อง, ตุ้งติ้ง – กระตุ้งกระติ้ง, ชดช้อย – กระชดกระช้อย ฯลฯ

44. “สมชายกระอักกระอ่วนใจที่จะไปพบสมบัติในวันมะรืน” ประโยคนี้ประกอบด้วยคําอุปสรรคเทียมชนิดใด
(1) เพิ่มเสียงไม่ให้คอนกันและแบ่งคําผิด
(2) เพิ่มเสียงไม่ให้คอนกันและกร่อนเสียง
(3) เทียบแนวเทียบผิดและแบ่งคําผิด
(4) เทียบแนวเทียบผิดและกร่อนเสียง
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 41. และ 42. ประกอบ)
ประโยคข้างต้นประกอบด้วยคําอุปสรรคเทียมชนิดเพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกัน คือ กระอักกระอ่วน และชนิดกร่อนเสียง คือ มะรืน

45. ประโยคใดมีคําอุปสรรคเทียมชนิดกร่อนเสียงอยู่ 2 คํา
(1) นกกระยางตกกะใจบินสู่ท้องฟ้า
(2) เขาซื้อลูกกระดุมสีกระดํากระด่าง
(3) เขาชอบกินเมี่ยงตะไคร้กับใบชะพลู
(4) เขากระยิ้มกระย่องเมื่อเห็นแสงยะยิบยะยับ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ

46. ข้อใดเป็นคําอุปสรรคเทียมชนิดเลียนแบบภาษาเขมรทั้ง 2 คํา
(1) พะรุงพะรัง สะพรั่ง
(2) กระจิบ ตะขาบ (3) กระตุ้งกระติ้ง ปะติดปะต่อ
(4) ชะดีชะร้าย กระชดกระช้อย
ตอบ 1
อุปสรรคเทียมเลียนแบบภาษาเขมร เป็นวิธีการแผลงคําของเขมรที่ใช้นําหน้าคําเพื่อประโยชน์ทางไวยากรณ์ ได้แก่
1. “ชะ/ระ/ปะ/ประ/พะ/สม/สะ” เช่น ชะดีชะร้าย, ระคน, ระคาย, ระย่อ, ปะปน, ปะติดปะต่อ,ประเดี๋ยว, ประท้วง, พะรุงพะรัง, พะเยิบ, สมรู้, สมยอม, สะสาง, สะพรั่ง, สะสวย ฯลฯ
2. ใช้ “ข ค ป ผ พ” มานําหน้าคํานามและกริยาวิเศษณ์ เพื่อให้มีความหมายเป็นการีต แปลว่า “ทําให้” เช่น ขยุกขยิก, ขยิบ, ขยี้, ขยํา, ปลุก, ปลด, ปละ, ปรุ, ผละ, พร่ำ ฯลฯ

47. ข้อใดเป็นประโยคคําถาม
(1) ห่วงใยตัวเองบ้างนะ
(2) อาการเขาน่าเป็นห่วง
(3) ใคร ๆ พากันเป็นห่วงเขา
(4) เคยห่วงตัวเองบ้างไหม
ตอบ 4
ประโยคคําถาม คือ ประโยคที่ต้องการคําตอบ อาจมีคําแสดงคําถาม ได้แก่ ใคร อะไร ที่ไหน ทําไม เมื่อไร อย่างไร หรือ หรือเปล่า หรือไม่ ไหม บ้าง ฯลฯ

48. ข้อใดไม่ใช่ประโยคบอกเล่า
(1) พึงรู้รักสามัคคี
(2) รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา
(3) รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม
(4) รู้แล้วแสร้งทําเป็นไม่รู้
ตอบ 1
ประโยคคําสั่ง คือ ประโยคที่ต้องการให้ผู้ฟังทําตามคําสั่งมักละประธานและขึ้นต้นด้วยคํากริยา เช่น ไปได้แล้ว แต่ถ้าหากจะมีประธานก็จะระบุชื่อหรือ เน้นตัวบุคคลเพื่อให้คนที่ถูกสั่งรู้ตัว เช่น แดงออกไป นอกจากนี้ประโยคคําสั่งอาจมีกริยาช่วย “อย่า/ห้าม/จง/ต้อง” เพื่อสั่งให้ทําหรือไม่ให้ทําก็ได้ เช่น พึงรู้รักสามัคคี (คําว่า “ฟัง” ในที่นี้ แปลว่า ต้อง)

49. เนื้อเพลงท่อนใดเป็นประโยคขอร้องหรือชักชวน
(1) ควรคิดพินิจให้ดี ค่าน้ำนมแม่นี้ จะมีอะไรเหมาะสม
(2) แต่เล็กจนโตโอ้แม่ถนอม แม่ผายผอมย่อมเกิดแต่รักลูกปักดวงใจ
(3) เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่ นี่แหละหนาอะไร มิใช่ใดหนา เพราะค่าน้ำนม
(4) โอ้ว่าแม่จ๋าลูกคิดถึงค่าน้ำนม เลือดในอกผสม กลั่นเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน
ตอบ 1
ประโยคขอร้องหรือชักชวน คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการขอร้องหรือชักชวนให้ผู้ฟังทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ตามที่ตนต้องการ ซึ่งการใช้คําพูดนั้นจะคล้ายกับประโยคคําสั่งแต่นุ่มนวลกว่า โดยในภาษาเขียนมักจะมีคําว่า “โปรด/กรุณา” อยู่หน้าประโยค ส่วนในภาษาพูดนั้นอาจมีคําลงท้ายประโยค ได้แก่ เถอะ เถิด นะ นะ หน่อย ซิ ซี ฯลฯ

50. ประโยคใดไม่มีประธาน
(1) แม่ชอบซื้อขนม
(2) ขนมนี้น่ากิน
(3) แดงชอบกินขนม
(4) เขาซื้อขนมให้แม่
ตอบ 2
การแสดงการก หมายถึง ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างคําในประโยค ซึ่งสามารถดูได้จากตําแหน่งของคําที่เรียงกันในประโยค แต่บางกรณีคํานามที่เป็นประธานหรือกรรมอาจเปลี่ยนที่ไปได้ คือ ประธานไปอยู่หลังกรรม กรรมมาอยู่หน้ากริยา ได้ถ้าต้องการเน้น เช่น ประโยค “ขนมนี้น่ากิน” ย้ายกรรม (ในที่นี้คือ ขนม) มาไว้ที่ต้นประโยค หน้าคํากริยา แล้วละภาคประธานของประโยคไว้ เพราะจริง ๆ แล้วต้องมีคนที่อยากกินขนมเพียงแต่ว่าคนนั้นไม่ปรากฏในประโยค

51. ประโยคใดมีส่วนขยายกรรม
(1) กานดาร้องเพลง
(2) กานดาร้องเพลงเพราะ
(3) กานดาร้องเพลงไทยเดิม
(4) กานดาเด็กน้อยชอบร้องเพลง
ตอบ 3
ภาคขยายแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
1. ส่วนขยายประธานหรือผู้กระทํา และส่วนขยายกรรมหรือผู้ถูกกระทํา ซึ่งเรียกว่า คุณศัพท์ เช่น กานดาร้องเพลงไทยเดิม (ขยายกรรม), นักเรียนเกเรไม่ชอบเรียนหนังสือ (ขยายประธาน) เป็นต้น
2. ส่วนขยายกริยา ซึ่งเรียกว่า กริยาวิเศษณ์ อาจมีตําแหน่งอยู่หน้าคํากริยา หรืออยู่หลังคํากริยาก็ได้ เช่น นักเรียนเกเรไม่ชอบเรียนหนังสือ (ขยายกริยา “เรียน”) เป็นต้น

52. ประโยคใดมีส่วนขยายประธานและส่วนขยายกริยา
(1) ครูทําโทษนักเรียนเกเร
(2) นักเรียนเกเรไม่ชอบเรียนหนังสือ
(3) หนังสือตลกหาซื้อได้ง่าย
(4) นักเรียนชอบอ่านหนังสือตลก
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

53. คํานามในข้อใดแสดงเพศชัดเจนทั้ง 2 คํา
(1) เจ้าบ่าวเป็นลูกลุงชัย
(2) ย่าเล็กเลี้ยงหลานอยู่บ้าน
(3) น้าพรไปเยี่ยมเณรแดง
(4) ลุงมีไปงานวันเกิดเพื่อน
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

54. “คุณแม่” ในข้อใดเป็นสรรพนามบุรุษที่ 3
(1) คุณแม่ทําอะไรอยู่
(2) คุณแม่ออกไปทํางานแล้ว
(3) คุณแม่คอยฟังข่าวดีนะ
(4) คุณแม่อยากได้อะไรบ้าง
ตอบ 2
สรรพนามบุรุษที่ 3 ใช้แทนผู้ที่พูดถึง ได้แก่ เขา มัน ท่าน แก นอกจากนั้นมักใช้เอ่ยชื่อเสียส่วนมาก ถ้าอยู่ในที่ที่จําเป็นต้องกล่าวคําดีงามหรือต่อหน้าผู้ใหญ่ มักมีคําว่า คุณ นาย นาง นางสาว นําหน้าชื่อให้สมแก่โอกาสด้วย เช่น คุณแม่ออกไปทํางานแล้ว(ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นสรรพนามบุรุษที่ 2 ใช้แทนผู้ที่พูดด้วย)

55. ข้อใดไม่ใช่สรรพนามแสดงคําถาม
(1) ใครทําให้เธอทุกข์ใจ
(2) ใครบ้างที่เธอรู้จัก
(3) เธอไปกับใครมา
(4) ใคร ๆ พากันถามถึงเธอ
ตอบ 4
สรรพนามที่บอกคําถาม ได้แก่ ใคร อะไร ใด ไหน ซึ่งเป็นคํากลุ่มเดียวกันกับสรรพนามที่บอกความไม่เฉพาะเจาะจง แต่สรรพนามที่บอกคําถาม จะใช้สร้างประโยคคําถาม เช่น ใครทําให้เธอทุกข์ใจ/ใครบ้างที่เธอรู้จัก (เป็นประธานหรือผู้ทํา), เธอไปกับใครมา (เป็นกรรมหรือผู้ถูกกระทํา) ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้อ 4 เป็นสรรพนามที่บอก ความไม่เฉพาะเจาะจง ซึ่งจะกล่าวถึงบุคคล สิ่งของ หรือสถานที่แบบลอย ๆ ไม่ชี้เฉพาะเจาะจงว่าเป็นใคร อะไรหรือที่ไหน และไม่ได้เป็นการถาม)

56. ข้อใดมีเฉพาะกริยาโดยไม่มีกรรม
(1) หิวข้าวจังเลย
(2) นานแค่ไหนก็รอได้
(3) คิดถึงเธอทุกวันนะ
(4) ฝากเพลงนี้ให้เธอ
ตอบ 2
ภาคแสดงหรือกริยา เป็นส่วนที่แสดงกิริยาอาการหรือการกระทําของภาคประธาน ตามธรรมดาจะมีตําแหน่งอยู่หลังประธาน และอยู่หน้ากรรม แต่จะไม่มีกรรมก็ได้ และกริยาอาจมีมากกว่าหนึ่งก็ได้ เช่น นานแค่ไหนก็รอได้ (มีเฉพาะกริยาโดยไม่มีกรรม) เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมี กริยา + กรรม ได้แก่ หิวข้าวจังเลย, คิดถึงเธอทุกวันนะ, ฝากเพลงนี้ให้เธอ)

57. “ให้” ในข้อใดเป็นกริยาแท้
(1) ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี
(2) เขามอบหนังสือให้เธอ
(3) เขาให้ความรักแก่สัตว์เลี้ยง
(4) เขาขอร้องให้เธออยู่เป็นเพื่อน
ตอบ 3
คําว่า “ให้” เป็นได้ทั้งกริยาแท้และกริยาช่วยถ้าเป็นกริยาแท้จะหมายถึง มอบสิ่งที่เป็นของตนแก่อีกผู้หนึ่ง เช่น เขาให้ความรักแก่สัตว์เลี้ยง แต่ถ้าเป็นกริยาช่วยจะหมายถึง ทําให้ (การิตวาจก) ซึ่งถ้าหาก “ให้” วางอยู่หน้ากริยาแท้ อาจมีกรรมตามหลังมาด้วยก็ได้ เช่น แม่ให้ลูกกินข้าว แต่ถ้า “ให้” อยู่หลังกริยาแท้อาจใช้ไปในทางดี หรือไม่ดีก็ได้ เช่น ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี, เขามอบหนังสือให้เธอ, เขาขอร้องให้เธออยู่เป็นเพื่อน ฯลฯ

58. คําว่า “มา” ในข้อใดเป็นคําบอกกาล
(1) เขาไปต่างจังหวัดมา
(2) เขามาโรงเรียนสาย
(3) เธอจะมาวันไหน
(4) พวกเขามากันแล้ว
ตอบ 1
คําว่า “มา” เป็นคํากริยาช่วยที่บอกกาลได้ คือ บอกอดีตที่ผ่านไปแล้ว ส่วนใหญ่มักวางอยู่หลังกริยาแท้ เช่น เขาไปต่างจังหวัดมา ฯลฯ (ส่วนคําว่า “มา”ในตัวเลือกข้ออื่นไม่ได้บอกกาล แต่เป็นคํากริยาแท้ หมายถึง เคลื่อนออกจากที่เข้าหาตัวผู้พูด)

59. “บ้านโน้นเสียงดัง” ข้อใดตอบถูกต้อง
(1) เป็นคําคุณศัพท์บอกลักษณะ
(2) เป็นคําคุณศัพท์บอกความไม่ชี้เฉพาะ
(3) เป็นคําคุณศัพท์บอกความชี้เฉพาะ
(4) เป็นคําคุณศัพท์บอกความแบ่งแยกเป็นส่วน ๆ
ตอบ 3
คําคุณศัพท์ขยายนามบอกความชี้เฉพาะ ได้แก่ นี้ นั้น โน้น นี่ นั่น โน่น ซึ่งคําเหล่านี้ต้องวางอยู่หลังคํานามจึงจะถือว่าเป็นคําคุณศัพท์ เช่น บ้านโน้นเสียงดัง ฯลฯ (ถ้าไม่มีนามมาด้วย คํานั้นเป็นคําสรรพนาม)

60. ข้อใดมีคําคุณศัพท์บอกความแบ่งแยกเป็นส่วน ๆ
(1) ต่างจิตต่างใจ
(2) ใจจืดใจดํา
(3) ใจเกินร้อย
(4) ดวงใจหนึ่งดวง
ตอบ 1
คําคุณศัพท์บอกจํานวนแบ่งแยก ได้แก่ ต่าง ต่าง ๆ ละ ทุก บ้าง บาง เช่น ต่างจิตต่างใจ (ต่างคนก็ต่างความคิด) ฯลฯ

61. ข้อใดมีคํากริยาวิเศษณ์บอกประมาณ
(1) กินพลางพูดพลาง
(2) กินนิดกินหน่อย
(3) ไปกินอะไรมา
(4) กินไม่ได้นอนไม่หลับ
ตอบ 2
คํากริยาวิเศษณ์บอกประมาณ ได้แก่ มาก น้อย นิดหน่อย มากมาย เหลือเกิน พอ ครบ ขาด หมด สิ้น แทบ เกือบ จวน เสมอ บ่อย ฯลฯ ซึ่งคําเหล่านี้ต้องวางอยู่หลังคํากริยา เช่น กินนิดกินหน่อย ฯลฯ

62. ข้อใดสามารถละบุรพบทได้
(1) เขาไม่พูดกับฉัน
(2) เขาชอบพูดแต่เรื่องคนอื่น
(3) เขาหัวเราะหลังเธอพูดจบ
(4) เขายืนอยู่หน้าเธอ
ตอบ 2
คําบุรพบทไม่สําคัญมากเท่ากับคํานาม คํากริยาและคําวิเศษณ์ ดังนั้นบางแห่งไม่ใช้บุรพบทเลยก็ยังฟังเข้าใจได้ ซึ่งบุรพบทที่อาจละได้แล้ว ความหมายยังเหมือนเดิม ได้แก่ ของ แก่ ต่อ สู่ ยัง ที่ บน ฯลฯ แต่บุรพบทบางคําก็ละไม่ได้ เพราะละแล้วความจะเสีย ไม่รู้เรื่อง เช่น สมบัติเป็นคนขับรถของเธอ (ไม่สามารถละบุรพบทได้) เป็นต้น หากจะละบุรพบทก็ต้องดูความในประโยคว่าความหมายต้องไม่เปลี่ยนไปจากเดิม เช่นเขาชอบพูดแต่เรื่องคนอื่น – เขาชอบพูดเรื่องคนอื่น (ละบุรพบทได้) เป็นต้น

63. ข้อใดไม่สามารถละบุรพบทได้
(1) สมชายเป็นน้องของฉัน
(2) บ้านของเธออยู่ไม่ไกล
(3) รถของเธอสีแดง
(4) สมบัติเป็นคนขับรถของเธอ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 62. ประกอบ

64. คําสันธานใดเชื่อมความขัดแย้งกัน
(1) เขาป่วยจึงไปทํางานไม่ได้
(2) เขาไปทํางานทั้งที่ยังป่วยอยู่
(3) เขาคงไม่ไปทํางานถ้ายังมีไข้
(4) พอไปถึงที่ทํางานเขาก็รู้สึกดีขึ้น
ตอบ 2 คําสันธานที่เชื่อมความที่ขัดแย้งกันไปคนละทาง ได้แก่ แต่, แต่ว่า, แต่ทว่า, จริงอยู่…..แต่, ถึง…..ก็, กว่า…..ก็, ทั้งที่, ทั้ง ๆ ที่

65. คําสันธานใดเชื่อมความเป็นเหตุเป็นผลกัน
(1) รถติดทั้ง ๆ ที่ฝนไม่ตก
(2) พอฝนตกรถก็ติด
(3) รถติดเพราะฝนตกหนัก
(4) รถคงจะไม่ติดถ้าฝนไม่ตก
ตอบ 3
คําสันธานที่เชื่อมความเป็นเหตุเป็นผลกัน ได้แก่ เพราะ เพราะว่า, ด้วย, ด้วยว่า เหตุว่า, อาศัยที่, ค่าที่, เพราะฉะนั้น ดังนั้น จึง, เลย, เหตุฉะนี้

66. คําสันธานใดเชื่อมความคาดคะเน
(1) เขาตื่นสายจึงมาทํางานช้า
(2) เขามาทํางานช้าเพราะรถติด
(3) ถึงรถจะไม่ติดเขาก็ยังมาทํางานช้า
(4) เขาคงถึงที่ทํางานได้เร็วขึ้นถ้ารถไม่ติด
ตอบ 4
คําสันธานที่เชื่อมความคาดคะเนหรือแบ่งรับแบ่งสู้ ได้แก่ ถ้า, ถ้า…..ก็, ถ้า…..จึง, ถ้าหากว่า, แม้… แต่, แม้ว่า, เว้นแต่, นอกจาก

67. ประโยคในข้อใดไม่มีคําอุทาน
(1) อุ้ยคําคนแก่ท่าทางใจดี
(2) อุ้ยตายอายเขาบ้างซิพี่
(3) วัยว้ายดูซิซ้ำไปเป็นกอง
(4) ว้าย ๆ นี่มันประเทืองนี่หว่า
ตอบ 1
คําอุทาน คือ คําที่เปล่งออกมาเพื่อแสดงอารมณ์ต่าง ๆ ซึ่งบางคําก็กําหนดไม่ได้ว่าคําไหนใช้แสดงอารมณ์อะไรแน่นอน แล้วแต่การออกเสียงและ สถานการณ์ เช่น คําว่า “อุ้ยตาย/อุ้ย” แสดงอาการตกใจ, “อุ้ย” แสดงอาการตกใจ เก้อเขิน และไม่พอใจ, “ว้าย” แสดงอาการตกใจหรือดีใจ เป็นต้น ส่วนคําว่า “อุ้ยคํา” ไม่ใช่คําอุทานแต่เป็นภาษาเหนือ แปลว่า คนแก่)

68. ข้อใดคือคําลักษณนามของ “ทางม้าลาย”
(1) อัน
(2) ที่
(3) แห่ง
(4) ทางม้าลาย
ตอบ 3
คําลักษณนาม คือ คําที่ตามหลังคําบอกจํานวนนับเพื่อบอกรูปลักษณะและชนิดของคํานามที่อยู่ข้างหน้าคําบอกจํานวนนับ มักจะเป็นคําพยางค์เดียว แต่เป็นคําที่สร้างขึ้นใหมโดยอาศัยการอุปมาเปรียบเทียบ การเลียนเสียงธรรมชาติ การเทียบ แนวเทียบ และการใช้คําซ้ำกับคํานามนั้นเอง (ในกรณีที่ไม่มีลักษณนามโดยเฉพาะ) เช่น ทางม้าลาย (แห่ง), ไฟ (ใบ, สํารับ), ศาล/ศาลเจ้า/ศาลเทพารักษ์ (ศาล) ฯลฯ

69. ข้อใดคือคําลักษณนามของ “ไพ่”
(1) ไพ่
(2) สํารับ
(3) ชุด
(4) กล่อง
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 68. ประกอบ

70. ข้อใดคือคําลักษณนามของ “ศาลเทพารักษ์”
(1) ที่
(2) แห่ง
(3) ศาล
(4) ศาลเทพารักษ์
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 68. ประกอบ

ข้อ 71. – 80. ให้นักศึกษาเลือกคําราชาศัพท์เติมในช่องว่างที่เว้นไว้นี้

เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ (71.)….. (72.) ……(73.)…… ไป ทอดพระเนตรการทํางานของหน่วยงานแพทย์เคลื่อนที่ มูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ณ โรงเรียนบางดีวิทยาคม อ.ห้วยยอด จ.ตรัง โอกาสนี้ (74.)…… เกี่ยวกับ (75.)…… ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า ตอนนี้เป็นที่น่ายินดีสําหรับ ประชาชนคนไทย พระอาการทรงดีขึ้นมากทั้งสองพระองค์ การ (76.).…. ไปยัง (77.)…… หัวหิน เป็นที่ที่ทั้งสองพระองค์โปรดพักผ่อนหย่อนพระทัยมานานแสนนานแล้ว (78.) …… ของทั้งสองพระองค์ อยู่ในเกณฑ์ดี ปลอดภัย เชื่อว่าที่พูดวันนี้จะทําให้คนไทยหลายคนสบายใจว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ (79.)….. และ (80.) …… ราษฎรทุกคนเหมือนเดิม ไม่ผิดเพี้ยนเลย

71.
(1) เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์
(2) เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์
(3) เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์
(4) เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณวลัยลักษณ์
ตอบ 2 พระนามที่ถูกต้อง คือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี (Her Royal Highness Princess Chulabhorn)

72.
(1) อัครกุมารี
(2) อัครราชกุมารี
(3) อัครมหากุมารี
(4) อัครมหาราชกุมารี
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 71. ประกอบ

73.
(1) เสด็จ
(2) เสด็จฯ
(3) ทรงเสด็จ
(4) ทรงเสด็จฯ
ตอบ 1
การเติม “ทรง” หน้ากริยาราชาศัพท์ตามหลักเกณฑ์จะเติม “ทรง” หน้าคํานามหรือคํากริยาสามัญเพื่อทําให้คํานั้นเป็นราชาศัพท์ เช่น ทรงห่วงใย ทรงช่วยเหลือ ฯลฯ และเติม “ทรง” หน้านามราชาศัพท์เพื่อทําให้เป็นกริยาราชาศัพท์ เช่น ทรงพระสําราญดี (สบายดี) ฯลฯ แต่ห้ามเติม “ทรง” ซ้อนคํากริยาที่เป็นราชาศัพท์อยู่แล้ว เช่น เสด็จ (เดินทางไปโดยยานพาหนะ ใช้กับพระบรมวงศ์ชั้นเจ้าฟ้าลงมา), เสด็จพระราชดําเนินเสด็จฯ (ใช้กับพระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระราชวงศ์ลําดับ 2) ฯลฯ

74.
(1) มีพระดํารัส
(2) ทรงมีพระดํารัส
(3) มีพระราชดํารัส
(4) ทรงมีพระราชดํารัส
ตอบ 1
คํากริยา มี/เป็น เมื่อใช้เป็นราชาศัพท์มีข้อสังเกตดังนี้
1. หากคําที่ตามหลัง มี/เป็น เป็นนามราชาศัพท์อยู่แล้ว ไม่ต้องเติม “ทรง” หน้าคํากริยา มี/เป็น อีก เช่น มีพระดํารัส (คําพูด ใช้กับพระบรมวงศ์ชั้นเจ้าฟ้าลงมา), มีพระราชดํารัส (ใช้กับพระมหากษัตริย์ พระราชินี และพระราชวงศ์ลําดับ 2) ฯลฯ
2. หากคําที่ตามหลัง มี/เป็น เป็นคําสามัญ ให้เติม “ทรง” หน้าคํากริยา มี/เป็น เพื่อทําให้เป็นราชาศัพท์ เช่น ทรงมีลูกสุนัข, ทรงเป็นประธาน ฯลฯ

75.
(1) สุขภาพ
(2) พระสุขภาพ
(3) พลานามัย
(4) พระพลานามัย
ตอบ 4 พระพลานามัย = สุขภาพ

76.
(1) เสด็จไปพํานัก
(2) เสด็จฯ ไปพํานัก
(3) เสด็จแปรพระราชฐาน
(4) เสด็จฯ แปรพระราชฐาน
ตอบ 4
(ดูคําอธิบายข้อ 73. ประกอบ) เสด็จฯ แปรพระราชฐาน = เดินทางไปโดยยานพาหนะเพื่อเปลี่ยนสถานที่ประทับไปอยู่ที่อื่นเป็นการชั่วคราว

77.
(1) วังไกลกังวล
(2) มหาราชวังไกลกังวล
(3) พระราชวังไกลกังวล
(4) พระมหาราชวังไกลกังวล
ตอบ 1 วังไกลกังวล สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 7 เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2469 โดยทรงออกพระนามเรียกวังแห่งนี้ว่า “สวนไกลกังวล” และในตราสัญลักษณ์ของวังเมื่อ พ.ศ. 2472 ได้ออกนามว่า “พระราชวังไกลกังวล” แต่เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีพระบรมราชโองการประกาศยกเป็นพระราชวัง ดังนั้นจึงยังคงเรียกว่า “วังไกลกังวล”

78.
(1) สุขภาพ
(2) พระสุขภาพ
(3) พลานามัย
(4) พระพลานามัย
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 75. ประกอบ

79.
(1) สําราญดี
(2) พระสําราญดี
(3) ทรงสําราญดี
(4) ทรงพระสําราญดี
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 73. ประกอบ

80.
(1) ห่วงใย
(2) พระห่วงใย
(3) ทรงห่วงใย
(4) ทรงพระห่วงใย
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 73. ประกอบ

ข้อ 81 – 90, อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคําถาม
เพลง น้ำเหนือบ่า ประพันธ์เพลง ไพบูลย์ บุตรขัน
ขับร้อง ทูล ทองใจ

บทเพลงแห่งฤดูน้ำหลาก เปลี่ยนความลําบากเป็นเสียงเพลง บรรเลงอารมณ์สุนทรีย์ไปกับสายน้ำ ในยามหลากหลั่งประเดประดัง ทั้งน้ำเหนือหลากมา น้ำทะเลหนุนดัน และน้ำฝนดีเปรสชั่นโชก กรุงเทพฯ ซึ่งอยู่เกือบปลายสุดของแม่น้ำเจ้าพระยาจึงถึงเวลาได้เล่นเพลงเรือบนทางด่วน…ยังไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า

สมัยยังไม่มีเขื่อน ฤดูน้ำหลากเป็นฤดูหนึ่งเมื่อถึงเวลากลางหรือปลายฤดูฝน น้ำหลากต้องมา ท่วมท้น คนก็ถือเป็นปกติ เป็นปกติคือมีการปรับชีวิตความเป็นอยู่ให้ไม่เดือดร้อนกับน้ำท่วม เช่น เตรียมโคก หรือดินดอนไว้เป็นที่อพยพหมูหมาวัวควายไก่กาไปไว้ หมู่บ้านของผมที่ปทุมธานีอันเป็นที่ราบลุ่มตอนล่าง พื้นที่จะต่ำกว่าที่ราบลุ่มตอนบน กลางหมู่บ้านเขาจะขุดดินมาถมเป็นโคกสูงกว้าง พอน้ำท่วมมาทุกครัวเรือน ก็สามารถไปใช้บริการโคกเนินนี้ได้

ยังไม่นับการเป็นอยู่ที่สอดคล้องกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อม ปลูกบ้านใต้ถุนสูง-สูงมาก ในฤดูอื่น ก็ใช้ใต้ถุนบ้านเป็นที่อาศัยอยู่สบาย อากาศเย็น ราวกับติดแอร์ด้วยความเย็นจากพื้นดินและไอน้ำในคลอง เดินทางไปไหนมาไหนก็ใช้เรือพายหรือเรือหางยาวอยู่แล้ว น้ำจะท่วมไม่ท่วมก็ไม่เดือดร้อนเรื่องเดินทาง ตรงกันข้ามในฤดูน้ำหลาก การเดินทางทางเรือยิ่งสะดวก เพราะไปได้ถึงไหน ๆ ไม่ติดกั้นคันคูคลอง

ฤดูน้ำหลากยังมีผักหญ้าปลาปูอุดมสมบูรณ์ ชดเชยกับผักหญ้าที่ถูกท่วมไป เช่น มีบัวสายนานาชนิด ดอกสันตะวาที่แก่งส้มแสนอร่อย มีดอกโสน ผักบุ้ง กระจับ ฯลฯ ส่วนปลานั้นหายห่วง มีชุกชุมชนิดแทบ จะเอื้อมหยิบเอาตรงข้างสํารับได้เลย เพราะน้ำท่วม ปลาก็จะว่ายเวียนมาเลาะหากินอยู่แถวข้างครัว ปลาสร้อย ว่ายมาเป็นฝูง ๆ เป็นพันเป็นหมื่นตัวให้ยกยอเอามาหมักทําน้ำปลา เด็ดกว่าอื่นใดคือ มีกุ้งก้ามกรามตัวโต ๆ ก้ามสีคราม ๆ ม่วง ๆ ว่ายมาตามแม่น้ำให้คนจับกินจับขาย

เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าน้ำท่วมบางปีถึงขั้นนาล่ม พืชผักเสียหาย แต่ขณะเดียวกันธรรมชาติก็ ชดเชยให้ด้วยผักปลาที่มีมากับน้ำหลาก ใช้ชีวิตพออยู่ได้ไม่อับจน

และหากน้ำท่วมนานเป็นเดือน คนเราก็คิดหาวิธีปลูกพริกผักสวนครัว โดยเอาผักตบชวามา ถมทับกันเป็นแพหนา ๆ แล้วงมดินเลนมาโปะทับอีกที กลายเป็นแปลงดินลอยน้ำอยู่ได้เป็น 2 – 3 เดือน พอจะปลูกพืชผักสวนครัว หรือกระทั่งปลูกอ้อยก็ยังได้ ผักตบชวาที่เน่าเปื่อยก็เป็นปุ๋ยไปในตัว ฉลาดดีไหม ภูมิปัญญาชาวบ้านยุคไม่มีเขื่อน

ไม่ว่าปทุมธานี หรือกรุงเทพฯ ผู้คนยุคก่อนก็ตั้งหลักปักฐานบนพื้นฐานความคิดว่า เราเป็นเมืองลุ่ม ถึงฤดูน้ำต้องหลากท่วม ยิ่งเป็นเมืองลุ่มต่ำเท่าไรน้ำยิ่งท่วมสูง

แต่เมื่อเปลี่ยนจากเดินทางด้วยเรือมาใช้รถใช้ถนน จากไม่มีเพื่อนมามีเพื่อนที่บางปีน้ำก็ไม่หลาก หากฝนไม่ตกมากพอ ครั้นปีใดน้ำหลากท่วมมันจึงเป็นเรื่องผิดปกติ เดือดร้อนลําเค็ญแล้วจะเป็นเช่นใด

กลายเป็นความอีหลักอีเหลื่อของคนร่วมยุคสมัย บ้างก็เสนอให้สร้างเขื่อน ถ้าสร้างอีกสักสิบเขื่อน น้ำจะยังท่วมอีกไหม…ก็ยังท่วมอยู่ดีแหละถ้าฝนตกหนัก ๆ อีกฝ่ายก็บอกสร้างเขื่อนแต่ละครั้ง ป่าเขาก็จมน้ำ เป็นแถบ ๆ สายชีวิตสัตว์น้ำก็ถูกทําลาย ฯลฯ
อีหลักอีเหลื่ออย่างนี้ยังจะมีอารมณ์ร้องเพลง น้ำเหนือบ่า ตามทูล ทองใจ อีกไหมนี่ (จากคอลัมน์ คมเคียวคมปากกา โดยไผ่เสี้ยว นาน้ำใส หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก)

81. ในเรื่องน้ำหลากประเด็นใดที่แตกต่างกันระหว่างอดีตกับปัจจุบัน
(1) ฤดูกาล
(2) ความรู้
(3) ความรู้สึก
(4) ความคิด
ตอบ 4 จากข้อความไม่ว่าปทุมธานี หรือกรุงเทพฯ ผู้คนยุคก่อนก็ตั้งหลักปักฐานบนพื้นฐานความคิดว่าเราเป็นเมืองลุ่ม ถึงฤดูน้ำต้องหลากท่วม ยิ่งเป็นเมืองลุ่มต่ำเท่าไรน้ำยิ่งท่วมสูง แต่เมื่อเปลี่ยนจากเดินทางด้วยเรือมาใช้รถใช้ถนน จากไม่มีเพื่อนมามีเพื่อนที่บางปีน้ำก็ไม่หลากหากฝนไม่ตกมากพอ
ครั้นปีใดน้ำหลากท่วมมันจึงเป็นเรื่องผิดปกติ เดือดร้อนลําเค็ญแล้วจะเป็นเช่นใด

82. ข้อใดสรุปพฤติกรรมของคนในอดีตเมื่อถึงฤดูน้ำหลากได้อย่างถูกต้อง
(1) เป็นฤดูที่อากาศดีที่สุด
(2) เป็นฤดูที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด
(3) เป็นช่วงที่สามารถปรับวิกฤตให้เป็นโอกาสได้
(4) เป็นโอกาสเดียวที่ชาวบ้านจะได้แสดงภูมิปัญญาท้องถิ่น
ตอบ 3 จากข้อความฤดูน้ำหลากยังมีผักหญ้าปลาปอุดมสมบูรณ์ ชดเชยกับผักหญ้าที่ถูกท่วมไป เช่น มีบัวสายนานาชนิด ดอกสันตะวาที่แกงส้มแสนอร่อย มีดอกโสน ผักบุ้ง กระจับ ฯลฯ ส่วนปลานั้น หายห่วง มีชุกชุม เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าน้ำท่วมบางปีถึงขั้นนาล่ม พืชผักเสียหาย แต่ขณะเดียวกัน ธรรมชาติก็ชดเชยให้ด้วยผักปลาที่มีมากับน้ำหลาก ใช้ชีวิตพออยู่ได้ไม่อับจน

83. ผู้เขียนมีทัศนะต่อ “บ้านใต้ถุนสูง” อย่างไร
(1) เป็นที่นิยมแต่ในต่างจังหวัด
(2) ล้าสมัยเหมาะสมเฉพาะในอดีต
(3) ปรับให้เป็นประโยชน์ได้ทุกฤดู
(4) สิ้นเปลืองทั้งค่าวัสดุและแรงงานก่อสร้าง
ตอบ 3 จากข้อความ..ปลูกบ้านใต้ถุนสูง สูงมาก ในฤดูอื่นก็ใช้ใต้ถุนบ้านเป็นที่อาศัยอยู่สบาย อากาศเย็นราวกับติดแอร์ด้วยความเย็นจากพื้นดินและไอน้ำในคลอง เดินทางไปไหนมาไหนก็ใช้เรือพาย หรือเรือหางยาวอยู่แล้ว น้ำจะท่วมไม่ท่วมก็ไม่เดือดร้อนเรื่องเดินทาง ตรงกันข้ามในฤดูน้ำหลากการเดินทางทางเรือยิ่งสะดวก เพราะไปได้ถึงไหน ๆ ไม่ติดกั้นคันคูคลอง

84. น้ำหลากมีผลอย่างไรต่อพืชพันธุ์ธัญญาหาร
(1) ฤดูน้ำท่วมเสียหาย
(2) ได้ประโยชน์จากพันธุ์ไม้น้ำ
(3) มีทั้งที่งอกงามและเสียหาย
(4) ชาวบ้านใช้ภูมิปัญญาปลูกพืชลอยน้ำ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 82. ประกอบ

85. สิ่งใดในโลกปัจจุบันที่มีใช้ต่างจากอดีตและได้รับผลกระทบจากฤดูน้ำหลากมากที่สุด
(1) อาหาร
(2) อากาศ
(3) พาหนะ
(4) พาหะนําโรค
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 81. และ 83. ประกอบ

86. ผู้เขียนมีทัศนะอย่างไรต่อเขื่อน
(1) ช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม
(2) ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ
(3) ธรรมชาติยังมีอิทธิพลมากกว่าเพื่อน
(4) เป็นปัญหาต่อสิ่งแวดล้อมบริเวณเขื่อน
ตอบ 3
จากข้อความ…กลายเป็นความอีหลักอีเหลื่อของคนร่วมยุคสมัย บ้างก็เสนอให้สร้างเขื่อน ถ้าสร้างอีกสักสิบเขื่อน น้ำจะยังท่วมอีกไหม ก็ยังท่วมอยู่ดีแหละถ้าฝนตกหนัก ๆ อีกฝ่าย ก็บอกสร้างเขื่อนแต่ละครั้ง ป่าเขาก็จมน้ำเป็นแถบ ๆ สายชีวิตสัตว์น้ำก็ถูกทําลาย ฯลฯ

87. แนวคิดหลักของข้อความที่ให้อ่านคืออะไร
(1) ความสัมพันธ์ระหว่างเพลงกับฤดูกาล
(2) ธรรมชาติเป็นแรงบันดาลใจในการประพันธ์
(3) ความเข้าใจธรรมชาติย่อมเป็นการปรับตัวที่ให้ผลดี
(4) ธรรมชาติก็คือธรรมชาติหาความแน่นอนใด ๆ มิได้
ตอบ 3
(คําบรรยาย) แนวคิดหลัก (Theme) คือ สารัตถะ แก่นเรื่อง หรือสาระสําคัญของเรื่องที่ผู้เขียนมุ่งจะสื่อถึงผู้อ่าน เพื่อให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับชื่อเรื่อง โดยจะมีใจความครอบคลุมรายละเอียด ทั้งหมดและมีลักษณะเป็นนามธรรม ซึ่งแนวคิดหลักหรือสารัตถะสําคัญของเรื่องนี้ ได้แก่ ความเข้าใจธรรมชาติย่อมเป็นการปรับตัวที่ให้ผลดี

88. วรรณกรรมที่ให้อ่านจัดเป็นประเภทใด
(1) ข่าว
(2) บทวิจารณ์
(3) ปาฐกถา
(4) ความเรียง
ตอบ 4
(คําบรรยาย) ความเรียง คือ งานเขียนที่มีการนําเสนอข้อมูลที่ได้มาจากการสังเกตหรือประสบการณ์ ซึ่งอาจจะเป็นข้อเท็จจริง ทัศนคติ ข้อคิดเห็น หรือข้อความที่แสดงอารมณ์ความรู้สึก จากนั้นจึงสรุปให้เห็นความสําคัญของเรื่อง พร้อมทั้งเสนอข้อคิดให้ผู้อ่านนําไปพิจารณา

89. โวหารการเขียนส่วนใหญ่เป็นแบบใด
(1) บรรยาย
(2) อธิบาย
(3) อภิปราย
(4) พรรณนา
ตอบ 2
โวหารเชิงอธิบาย คือ โวหารที่ใช้ในการชี้แจงเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ซึ่งเป็นการให้ความรู้หรือข้อมูลเพียงด้านเดียว อาจจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบก็ได้ โดยมีการชี้แจงแสดงเหตุและผล การยกตัวอย่างประกอบการเปรียบเทียบ และการจําแนกแจกแจง เช่น การอธิบายกฎเกณฑ์ ทฤษฎี และวิธีการต่าง ๆ

90. ท่วงทํานองเขียนจัดเป็นแบบใด
(1) สละสลวย
(2) เรียบง่าย
(3) กระชับรัดกุม
(4) เป็นภาษาพูด ใช้คํามีภาพพจน์
ตอบ 4
ผู้เขียนมีท่วงทํานองเขียนแบบที่ใช้ภาษาพูดหรือภาษาปากเป็นส่วนใหญ่ และมีการใช้คําที่มีภาพพจน์ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกนึกเห็นเป็นภาพขึ้นในใจส่งผลให้ท่วงทํานองเขียนมีน้ำหนัก สามารถเร้าให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกสนใจและประทับใจ

91. ข้อใดสะกดถูกทุกคํา
(1) จัตุรัส อนุญาต ปิกนิก
(2) เซ็นต์ชื่อ สังเกตุ ลําใย
(3) สีสัน ถนนราดยาง ผัดเวร
(4) สาบแช่ง บังสกุล โลกาภิวัฒน์
ตอบ 1 คําที่สะกดผิด ได้แก่ เซ็นต์ชื่อ สังเกตุ – ลําใย ถนนลาดยาง ผัดเวร สาบแช่ง บังสกุล โลกาภิวัฒน์ ซึ่งที่ถูกต้องคือ เซ็นชื่อ สังเกต ลําไย ถนนลาดยาง ผลัดเวร สาปแช่ง บังสุกุล โลกาภิวัตน์

92. ข้อใดสะกดผิดทุกคํา
(1) กังวาน ไข่มุก คลินิก
(2) โชว์ห่วย ทูลหัว นัยตา
(3) โควตา เจตนารมณ์ บอระเพ็ด
(4) เกษียณอายุ เกร็ดความรู้ กะหรี่ปั๊บ
ตอบ 2 คําที่สะกดผิด ได้แก่ โชว์ห่วย ทูลหัว นัยตา ซึ่งที่ถูกต้องคือ การโชห่วย ทูนหัว นัยน์ตา

93. ข้อใดมีคําที่สะกดถูกขนาบคําที่สะกดผิด
(1) เค้ก หงษ์ กะเพรา
(2) โครงการณ์ คุ้กกี้ บังสกุล
(3) บิณฑบาตร กระทะ ผัดเปลี่ยน
(4) ถั่วพู กะโหลก ตกล่องปล่องชิ้น
ตอบ 1 คําที่สะกดผิด ได้แก่ หงษ์ โครงการณ์ คุ้กกี้ บังสกุล บิณฑบาตร ผลัดเปลี่ยน ซึ่งที่ถูกต้องคือ หงส์ โครงการ คุกกี้ บังสุกุล บิณฑบาต ผลัดเปลี่ยน

94. ข้อใดมีคําที่สะกดผิดปรากฏอยู่ด้วย
(1) เบรก บิณฑบาต รื่นรมย์
(2) ผาสุก ผุดลุกผุดนั่ง เบญจเพส
(3) ผลัดวันประกันพรุ่ง บิดพลิ้ว กะทัดรัด
(4) เครื่องรางของขลัง อานิสงส์ บาดทะยัก
ตอบ 3
คําที่สะกดผิด ได้แก่ ผัดวันประกันพรุ่ง ซึ่งที่ถูกต้องคือ ผัดวันประกันพรุ่ง

95. ข้อใดมีคําที่สะกดผิดสลับกับคําที่สะกดถูก
(1) คุกกี้ เกล็ดปลา มืดมน ร่ำลือ
(2) พรรณนา พังทลาย พิสดาร ลิดรอน
(3) โน๊ตดนตรี รื่นรมย์ ปราณีต ไล่เลี่ย
(4) บรรทุก แบ่งสันปันส่วน เผ่าพันธุ์ พังทลาย
ตอบ 3
คําที่สะกดผิด ได้แก่ โน้ตดนตรี ปราณีต ซึ่งที่ถูกต้องคือ โน้ตดนตรี ประณีต

96 – 98, ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) เบี้ยล่าง ถ่านไฟเก่า เป็นหน้าเป็นตา
(2) นกพิราบขาว ขี่ช้างจับตั๊กแตน เกลือจิ้มเกลือ
(3) โยนหินถามทาง พุ่งหอกเข้ารก พายเรือทวนน้ำ
(4) หนอนหนังสือ ไปไหนมาสามวาสองศอก พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตําลึงทอง

96. ข้อใดเป็นคําพังเพยทั้งหมด
ตอบ 3
ข้อแตกต่างของสํานวน คําพังเพย และสุภาษิต มีดังนี้

1. สํานวน หมายถึง ถ้อยคําที่เรียบเรียงขึ้นอย่างกะทัดรัด ใช้คําน้อยแต่กินความหมายมาก และเป็นความหมายโดยนัยหรือโดยเปรียบเทียบ เช่น เบี้ยล่าง (คนที่ตกอยู่ใต้อํานาจของคนอื่น), ถ่านไฟเก่า (ชายหญิงที่เคยรักกันแต่เลิกร้างไป เมื่อมาพบกันใหม่ย่อมรักใคร่กันได้ง่ายขึ้น), เป็นหน้าเป็นตา (เป็นที่เชิดหน้าชูตา), นกพิราบขาว (การมีสันติภาพหรือความสงบสุข), หนอนหนังสือ (คนที่ชอบหมกมุ่นอยู่กับการอ่านหนังสือ) เป็นต้น

2. คําพังเพย หมายถึง ถ้อยคําที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อตีความ สรุปเหตุการณ์ สภาวการณ์ บุคลิกและอารมณ์ให้เข้ากับเรื่อง มีความหมายกลาง ๆ ไม่เน้นการสั่งสอน แต่แฝงคติเตือนใจ ให้นําไปปฏิบัติหรือไม่ให้นําไปปฏิบัติ เช่น ขี่ช้างจับตักแตน (ลงทุนมากแต่ได้ผลนิดหน่อย),เกลือจิ้มเกลือ (ไม่ยอมเสียเปรียบกัน), โยนหินถามทาง (ปล่อยข่าวเพื่อหยั่งปฏิกิริยาของ คนรอบข้าง), พุ่งหอกเข้ารก (ทําพอให้เสร็จไปโดยไม่มีเป้าหมาย), พายเรือทวนน้ำ (ทําด้วยความยากลําบาก), ไปไหนมาสามวาสองศอก (ถามอย่างหนึ่งตอบไปอีกอย่างหนึ่ง) เป็นต้น

3. สุภาษิต หมายถึง ถ้อยคําที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อสั่งสอนโดยตรง ซึ่งอาจเป็นคติ ข้อติติง คําจูงใจ หรือคําห้าม และเนื้อความที่สั่งสอนก็เป็นความจริง เป็นความดีที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เช่น พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตําลึงทอง (พูดไปไม่มีประโยชน์ นิ่งเสียดีกว่า) เป็นต้น

97. ข้อใดเป็นสํานวนทั้งหมด
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 96. ประกอบ
98. ข้อใดเรียงลําดับถูกต้องตั้งแต่สํานวน คําพังเพย และสุภาษิต
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 96. ประกอบ

99. “เมื่อหมดอํานาจความชั่วที่ทําไว้ก็ปรากฏ” มีความหมายตรงกับข้อใด
(1) น้ำลดตอผุด
(2) น้ำนิ่งไหลลึก
(3) น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก
(4) น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา
ตอบ 1
น้ำลดตอผุด = เมื่อหมดอํานาจความชั่วที่ทําไว้ก็ปรากฏ (ส่วนน้ำนิ่งไหลลึก = คนที่มีท่าหงิม ๆ มักจะมีความคิดลึกซึ้ง, น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก = แม้จะไม่พอใจก็ควรแสดงสีหน้ายิ้มแย้ม, น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา = ทีใครทีมัน)

100. “หมาในรางหญ้า” มีความหมายตรงกับข้อใด
(1) คนที่ลอบทําร้ายผู้อื่น
(2) คนที่ทําตัวเข้าด้วยทั้งสองฝ่าย
(3) คนที่ชอบพูดเอะอะแสดงว่าเก่ง แต่ไม่กล้าจริง
(4) คนที่หวงแหนสิ่งที่ตนเองกินหรือใช้ไม่ได้ แต่ไม่ยอมให้คนอื่นกินหรือใช้
ตอบ 4
หมาในรางหญ้า = คนที่หวงแหนสิ่งที่ตนเองกินหรือใช้ไม่ได้ แต่ไม่ยอมให้คนอื่นกินหรือใช้

101. เด็กวัยรุ่นที่ทําความผิดควรส่งตัวไป……ที่ศูนย์ควบคุมความประพฤติ
(1) กัก
(2) กักกัน
(3) กักขัง
(4) จําคุก
ตอบ 3
คําว่า “กักขัง” = โทษทางอาญาสถานหนึ่งที่ให้กักตัวผู้ต้องโทษไว้ในสถานที่ซึ่งกําหนดไว้อันมิใช่เรือนจํา (ส่วนคําว่า “กัก” = ไม่ให้ล่วงพ้นเขตที่กําหนดไว้,
“กักกัน” = วิธีการเพื่อความปลอดภัยอย่างหนึ่งที่ศาลใช้ในกรณีที่ให้ควบคุมผู้กระทําความผิดติดนิสัยไว้ภายในเขตกําหนด เพื่อป้องกันการกระทําความผิด เพื่อดัดนิสัย และเพื่อฝึกหัดอาชีพ,
“จําคุก” = โทษทางอาญาสถานหนึ่งที่ให้เอาตัวผู้ต้องโทษไปคุมขังไว้ในเรือนจํา)

102. แม่โมโหจึงแสดงอาการ…….ใส่ลูกชายที่กลับบ้านดึก
(1) เกลี้ยวกลาด
(2) เกี้ยวกลาด
(3) เกี้ยวกราด
(4) เกรี้ยวกราด
ตอบ 4
คําว่า “เกรี้ยวกราด” = แสดงกิริยาท่าทางพร้อมทั้งดุด่าว่ากล่าวอย่างรุนแรงด้วยความโกรธหรือใช้ว่า “กราดเกรี้ยว” ก็ได้ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคําที่เขียนผิด)

103. เด็กวัยรุ่นลั่น…….ปืนใส่คู่อริ
(1) ไก
(2) ไกร
(3) ไกล
(4) ไกล่
ตอบ 1 คําว่า “ไก” = ที่สําหรับเหนี่ยวให้ลูกกระสุนลั่นออกไป เช่น ไกปืน ไกหน้าไม้ (ส่วนคําว่า “ไกร” = ยิ่ง มาก ใหญ่ เก่ง, “ไกล” = ห่าง ยึดยาว นาน, “ไกล” = ทา ไล้)

104. การเตรียมงานไม่ดีจะทําให้เกิดความ……..ขึ้นมาได้
(1) ขุขะ
(2) ขุกขัก
(3) ขลุกขลัก
(4) ขรุกขรัก
ตอบ 3
คําว่า “ขลุกขลัก” = ติดกุกกักอยู่ในที่แคบ ติดขัด ไม่สะดวก เสียงดังอย่างก้อนดินกลิ้งอยู่ในหม้อหรือในไห (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคําที่เขียนผิด)

105. เขาถูกต่อยจนเลือด…………….ปาก
(1) กบ
(2) กด
(3) กรบ
(4) กลบ
ตอบ 1
คําว่า “กบ” = เต็มมาก เต็มแน่น เช่น ข้าวกบหม้อ เลือดกบปาก (ส่วนคําว่า “กด” = ข่มบังคับลง ใช้กําลังดันให้ลง, “กรบ” = เครื่องแทงปลา ทําด้วยไม้ 3 อัน มัดติดกัน, “กลบ” =กิริยาที่เอาสิ่งซึ่งเป็นผงโรยทับข้างบนเพื่อปิดบัง)

106. วันนี้ฝนตก……ข้าว……สดชื่นขึ้นมาได้
(1) ปอย ๆ นาปลัง
(2) ปอย ๆ นาปรัง
(3) ปรอย ๆ นาปรัง
(4) ปรอย ๆ นาปลัง
ตอบ 3
คําว่า “ปรอย ๆ” = ที่ตกเป็นระยะ ๆ ไม่หนาเม็ด (ใช้กับฝน) เช่น ฝนตกปรอย ๆ, “นาปรัง”= นาที่ทําในฤดูแล้งนอกฤดูทํานา (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคําที่เขียนผิด)

107. คุณขอ…….เงินมาหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ผมไม่ยอมให้……..อีกแล้ว
(1) ผัด ผัด
(2) ผัด ผลัด
(3) ผลัด ผัด
(4) ผลัด ผลัด
ตอบ 1
คําว่า “ผัด” – ขอเลื่อนเวลาไป เช่น ผัดวัน ผัดหนี้ ผัดเงิน (ส่วนคําว่า “ผลัด” = เปลี่ยนแทนที่ เช่น ผลัดเสื้อผ้า ผลัดเวร ผลัดใบ ผลัดขน)

108. เด็กวัยรุ่นมักจะ…….และ…….ดาราเกาหลี
(1) ครั่งไคล้ หลงไหล
(2) คลั่งไคล้ หลงไหล
(3) ครั่งไคร้ หลงใหล
(4) คลั่งไคล้ หลงใหล
ตอบ 4 คําว่า “คลั่งไคล้” = หลงใหลในบุคคลหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หมกมุ่นอยู่กับงานหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และ “หลงใหล” = คลั่งไคล้ในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น หลงใหลนักร้อง (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคําที่เขียนผิด)

ข้อ 109. – 111. ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ใช้คํากํากวม
(2) ใช้คําผิดความหมาย
(3) ใช้คําฟุ่มเฟือย
(4) ใช้สํานวนต่างประเทศ

109. “ประชากรผึ้งมีเป็นจํานวนมาก” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
ตอบ 2
การใช้คําในการพูดและเขียนจะต้องรู้จักเลือกคํามาใช้ให้ถูกต้องและเหมาะสม คือ จะต้องมีความรู้ว่าคําที่จะนํามาใช้นั้นมีความหมายอย่างไร ใช้แล้วเหมาะสม ไม่ผิดความหมาย และจะเป็นที่เข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งเพียงไร เช่น ประชากรผึ้งมีเป็นจํานวนมาก (ใช้คําไม่ถูกต้อง หรือใช้คําผิดความหมาย) จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น ฝูงผึ้งมีเป็นจํานวนมาก (คําว่า “ฝูง” = พวก หมู่ ซึ่งสามารถใช้กับสัตว์ได้ (ยกเว้นช้าง) เช่น ฝูงมด ฝูงผึ้ง ฝูงควาย ฯลฯส่วนคําว่า “ประชากร” = หมู่คน หมู่พลเมือง)

110. “แม่ค้าขายปลาตายในตลาด” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
ตอบ 1
การใช้คําที่มีความหมายหลายอย่างจะต้องคํานึงถึงถ้อยคําแวดล้อมด้วยเพื่อให้เกิดความแจ่มชัด ไม่กํากวม เพราะคําชนิดนี้ต้องอาศัยถ้อยคําซึ่งแวดล้อมอยู่เป็นเครื่องช่วย กําหนดความหมาย เช่น แม่ค้าขายปลาตายในตลาด (ใช้คํากํากวม) จึงควรแก้ไขให้มีความหมาย แน่ชัดลงไปเป็น แม่ค้าขายปลาถูกคนร้ายฆ่าตายในตลาด

111. “เขามีความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
ตอบ 3 การใช้คําฟุ่มเฟือยหรือการใช้คําที่ไม่จําเป็น จะทําให้คําโดยรวมไม่มีน้ำหนักและข้อความก็จะขาดความหนักแน่น ไม่กระชับรัดกุม เพราะเป็นคําที่ไม่มีความหมาย อะไร แม้ตัดออกไปก็ไม่ได้ทําให้ความหมายของข้อความนั้นเปลี่ยนแปลงไป แต่กลับทําให้ดูรุงรังยิ่งขึ้น เช่น เขามีความเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก (ใช้คําฟุ่มเฟือย) จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น เขาเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก

112. “เพลงนี้ถูกขอมามากในรายการ” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
(1) ใช้คําขยายไม่ถูกต้อง
(2) วางส่วนขยายผิดที่
(3) ใช้สํานวนต่างประเทศ
(4) ใช้คําต่างศักดิ์กัน
ตอบ 3
การใช้คําตามแบบภาษาไทย คือ การให้ข้อความที่ผูกขึ้นมีลักษณะเป็นภาษาไทย ไม่เลียนแบบภาษาต่างประเทศ ซึ่งจะทําให้ข้อความกะทัดรัด เข้าใจง่าย และไม่เคอะเขิน เช่น เพลงนี้ถูกขอมามากในรายการ (ใช้สํานวนต่างประเทศ) จึงควรแก้ไขให้ ถูกต้องเป็น เพลงนี้มีผู้ขอมามากในรายการ (คําว่า “ถูก” ในภาษาไทยมักใช้ในความหมายที่ไม่น่ายินดี เช่น เขาถูกด่า เธอถูกไล่ออก)

113. “พ่อแม่ย่อมรักบุตรทุกคน” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
(1) ใช้คําขยายไม่ถูกต้อง
(2) วางส่วนขยายผิดที่
(3) ใช้สํานวนต่างประเทศ
(4) ใช้คําต่างศักดิ์กัน
ตอบ 4
คําในภาษาไทยมีระดับไม่เท่ากัน หรือเรียกว่ามีศักดิ์ต่างกัน หมายถึง มีการแบ่งคําออกไปใช้ในที่สูงต่ำต่างกันตามความเหมาะสม เช่น พ่อแม่ย่อมรักบุตรทุกคน (ใช้คำต่างศักดิ์กัน) จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น บิดามารดาย่อมรักบุตรทุกคน/พ่อแม่ย่อมรักลูกทุกคน

114. “ฉันไปเยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาลซึ่งบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
(1) ใช้คําขยายไม่ถูกต้อง
(2) ใช้สํานวนต่างประเทศ
(3) วางส่วนขยายผิดที่
(4) ใช้คําต่างศักดิ์กัน
ตอบ 3
การเรียงลําดับประโยคให้ถูกที่ คือ การวางประธาน กริยา กรรม และส่วนขยายให้ตรงตามตําแหน่ง เพราะหากวางไม่ถูกที่จะทําให้ข้อความนั้นไม่ชัดเจน หรือมีความหมาย ไม่ตรงกับที่เราต้องการ เช่น ฉันไปเยี่ยมผู้ป่วยที่โรงพยาบาลซึ่งบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ (เรียงลําดับประโยคไม่ถูก หรือวางส่วนขยายผิดที่) จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น ฉันไปเยี่ยมผู้ป่วยซึ่งบาดเจ็บจากอุบัติเหตุที่โรงพยาบาล

115. “ฉันไม่รู้จะตอบแทนเธออย่างไรดี” ข้อความนี้บกพร่องอย่างไร
(1) ใช้คํากํากวม
(2) ใช้คําไม่เป็นเหตุเป็นผล
(3) ใช้คําฟุ่มเฟือย
(4) ใช้คําขยายความผิดที่
ตอบ 1 (ดูคําอธิบายข้อ 110. ประกอบ)
ข้อความที่ว่า ฉันไม่รู้จะตอบแทนเธออย่างไรดี (ใช้คํากํากวม)จึงควรแก้ไขให้มีความหมายแน่ชัดลงไป เช่น ฉันไม่รู้จะตอบคําถามแทนเธออย่างไรดี/ฉันไม่รู้จะตอบแทนบุญคุณเธออย่างไรดี

116. “ฉันรายงานในห้องประชุมเรื่องการเรียนการสอน” ข้อความนี้บกพร่องอย่างไร (1) ใช้คํากํากวม
(2) ใช้คําฟุ่มเฟือย
(3) เรียงลําดับประโยคไม่ถูก
(4) ใช้สํานวนต่างประเทศ
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 114. ประกอบ)
ข้อความที่ว่า ฉันรายงานในห้องประชุมเรื่องการเรียนการสอน (เรียงลําดับประโยคไม่ถูก) จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น ฉันรายงานเรื่องการเรียนการสอนในห้องประชุม

117. “วันนี้ฉันมาคนเดียวไม่มีใครมาเป็นเพื่อน” ข้อความนี้บกพร่องอย่างไร
(1) ใช้คํากํากวม
(2) ใช้คําฟุ่มเฟือย
(3) ใช้สํานวนต่างประเทศ
(4) ใช้คําขยายความผิดที่
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 111. ประกอบ)
ข้อความที่ว่า วันนี้ฉันมาคนเดียวไม่มีใครมาเป็นเพื่อน (ใช้คําฟุ่มเฟือย) จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น วันนี้ฉันมาคนเดียว

118. “เขาทําการปิดประตูใส่กุญแจอย่างรอบคอบ” ข้อความนี้บกพร่องอย่างไร (1) ใช้คํากํากวม
(2) ใช้คําฟุ่มเฟือย
(3) เรียงลําดับประโยคไม่ถูก
(4) ใช้สํานวนต่างประเทศ
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 111. ประกอบ)
ข้อความที่ว่า เขาทําการปิดประตูใส่กุญแจอย่างรอบคอบ(ใช้คําฟุ่มเฟือย) จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น เขาปิดประตูใส่กุญแจอย่างรอบคอบ

119. คําว่า “ทัศนวิสัย วิสัยทัศน์ ทัศนียภาพ” เป็นคําประเภทใด
(1) คําไวพจน์
(2) คําภาษาต่างประเทศ
(3) คําศัพท์บัญญัติ
(4) คําทับศัพท์
ตอบ 3
(คําบรรยาย) คําศัพท์บัญญัติ หรือคําเฉพาะวิชา คือ คําศัพท์ที่ราชบัณฑิตยสถานบัญญัติจากภาษาต่างประเทศ เพื่อกําหนดใช้เป็นมาตรฐานในการเขียนเอกสารทางราชการและการเรียนการสอนสําหรับสาขาวิชาแขนงหนึ่งแขนงใดโดยเฉพาะ ซึ่งจะแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ ต่าง ๆ เช่น ทัศนวิสัย (Visibility), วิสัยทัศน์ (Vision), ทัศนียภาพ (Vista), โลกทัศน์ (World View), วีดิทัศน์ (Video), โลกาภิวัตน์ (Globalization) เป็นต้น

120. ข้อใดใช้ภาษาเขียน
(1) เมื่อไหร่จะมาซะที
(2) มะม่วงโลละเท่าไหร่
(3) ฉันเรียนอยู่ที่คณะวิศวะ
(4) ธนาคารปิดทําการแล้ว
ตอบ 4
ระดับของคําในภาษาไทยมีศักดิ์ต่างกัน เวลานําไปใช้ก็ใช้ในที่ต่างกัน ดังนั้นจึงต้องพิจารณาใช้คําให้เหมาะสม กล่าวคือ
1. คําที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ ได้แก่ คําที่ใช้ในภาษาแบบแผน หรือภาษาเขียนของทางราชการ เช่น ธนาคารปิดทําการแล้ว ฯลฯ
2. คําที่ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ ได้แก่ คําที่ใช้ในภาษาพูด หรือการเขียนจดหมายส่วนตัวถึงบุคคลที่สนิทสนมกัน ซึ่งในบางครั้งก็มักจะตัดคําให้สั้นลง เช่น เมื่อไหร่จะมาซะที, มะม่วงโลละเท่าไหร่, ฉันเรียนอยู่ที่คณะวิศวะ ฯลฯ

THA1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา THA 1001 ลักษณะและการใช้ภาษาไทย
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. ข้อใดสะท้อนลักษณะของภาษาไทยที่เป็นคําโดดชัดเจนที่สุด
(1) หล่อนเดินทอดน่องริมชายหาด
(2) เขาดื่มโค้กหมดแล้ว
(3) ย่าทําต้มยํากุ้งหลายหม้อ
(4) หนุ่มขับรถเร็วเกินไป
ตอบ 3
ลักษณะของภาษาไทยที่เป็นคําโดด มีดังนี้
1. คําแต่ละคําต้องออกเสียงพยางค์เดียว และอาจเป็นคําควบกล้ำก็ได้ 2. ต้องเป็นภาษาไทย เท่านั้น ไม่ใช่คํายืมจากภาษาอื่น 3. มีตัวสะกดตรงตามมาตรา 4. มีระบบวรรณยุกต์ ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคํายืมจากภาษาอังกฤษ = โค้ก (Coke), ภาษาเขมร = เดิน (เฎิร) และมีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตรา = รถ)

2. ข้อใดมีคําบอกกาล
(1) คําแก้วกําลังกลายเป็นงู
(2) ก๋วยเตี๋ยวชามนี้ใส่พริกสด
(3) นิดฉุนจัดเมื่อมีรถขับปาดหน้า
(4) ทองนั่งหลับหลังห้อง
ตอบ 1
การแสดงกาล คือ การแสดงให้รู้ว่ากริยากระทําเมื่อไร ซึ่งนอกจากจะต้องอาศัยกริยาช่วยเพื่อบอกกาลเวลาที่ต่างกันแล้ว เช่น คําว่า “จะ/กําลังจะ” (บอกอนาคต), “กําลัง/อยู่” (บอกปัจจุบัน), “ได้/แล้ว” (บอกอดีต) ฯลฯ ก็ยังมีคํากริยาวิเศษณ์หรือกริยาบางคําที่ช่วยแสดงกาล โดยอาศัยเหตุการณ์และสภาพแวดล้อม เป็นเครื่องชี้ ดังนี้
1. บอกปัจจุบัน ได้แก่ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ตอนนี้ วันนี้ ฯลฯ
2. บอกอนาคต ได้แก่ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ ปีหน้า เดือนหน้า ฯลฯ
3. บอกอดีต ได้แก่ เมื่อวานนี้ เมื่อก่อนนี้ เมื่อปีก่อน เพิ่ง มา ฯลฯ

3. ข้อใดไม่มีคําบอกพจน์
(1) เพื่อน ๆ พี่หลับกันหมดแล้ว
(2) หนูดีร้องเพลงเพราะเหลือเกิน
(3) ฝูงแกะกําลังถูกตอนขน
(4) ลิลลี่ชอบซื้อทองหนัก 2 บาท
ตอบ 3
การแสดงพจน์ (จํานวน) มีอยู่หลายวิธี แต่ก็ต้องดูความหมายของประโยคด้วย ดังนี้ 1. ใช้คําบอกจํานวนหนึ่ง (เอกพจน์) ได้แก่ โสด เดียว หนึ่ง โทน ฯลฯ 2. ใช้คําบอกจํานวนมากกว่าหนึ่ง (พหูพจน์) ได้แก่ คู่/แฝด (จํานวนสองที่กําหนดไว้เป็นชุด), กลุ่ม/ฝูง/ขบวน (มีจํานวนมากกว่าสองขึ้นไป) ฯลฯ นอกจากนี้ยังสามารถใช้คําขยาย ได้แก่ มาก หลาย เหลือ เกิน ฯลฯ, ใช้คําบอกจํานวนนับ ได้แก่ สอง สี ฯลฯ, ใช้คําซ้ำ ได้แก่ เด็ก ๆหนุ่ม ๆ สาว ๆ เพื่อน ๆ ฯลฯ และใช้คําซ้อน ได้แก่ ลูกเด็กเล็กแดง (เด็กเล็ก ๆ หลายคน) ฯลฯ

4. ข้อใดเป็นสระเดี่ยว
(1) เอื้อย
(2) เอื้อม
(3) แอบ
(4) อ้วน
ตอบ 3 เสียงสระในภาษาไทย แบ่งออกได้ดังนี้
1. สระเดี่ยว 18 เสียง แบ่งเป็นเสียงสั้น 9 เสียง ได้แก่ อะ อิ อี อุ เอะ แอะ เออะ โอะ เอาะ และเสียงยาว 9 เสียง ได้แก่ อา อี คือ อู เอ แอ เออ โอ ออ
2. สระผสม 10 เสียง แบ่งเป็นเสียงสั้น 5 เสียง ได้แก่ เอียะ เอือะ อัวะ เอา ไอ และเสียงยาว 5 เสียง ได้แก่ เอีย เอื้อ อัว อาว อาย (ยกเว้นคําใดที่ลงท้ายด้วย ย/ว ซึ่งเป็นพยัญชนะกึ่งสระ อาจเป็นได้ทั้งตัวสะกด ย/ว หรือเป็นสระผสม 2 เสียง หรือ 3 เสียงก็ได้)

5. ข้อใดไม่เป็นสระเดี่ยว
(1) ชุด
(2) ใช้
(3) ซ้ำ
(4) เชิญ
ตอบ 2
คําว่า “ใช้” = สระไอ, “ชด” = สระโอะ, “ซ้ำ” = สระอะ, “เชิญ” = สระเออ

6. ข้อใดเป็นสระเดี่ยวเสียงยาว
(1) ตรง
(2) ตน
(3) ตุ่น
(4) ต่อ
ตอบ 4
คําว่า “ต่อ” = สระออ, “ตรง/ตน” – สระโอะ, “ตูน” – สระอุ

7. ข้อใดเป็นสระหน้า
(1) แขก
(2) จับ
(3) กบ
(4) โหด
ตอบ 1
สระเดี่ยวที่จําแนกตามส่วนต่าง ๆ ของลิ้นที่ทําหน้าที่ซึ่งจะต้องมีสภาพของริมฝีปากประกอบด้วย แบ่งออกได้ดังนี้
1.สระกลาง ได้แก่ อา คือ เออ อะ อี เออะ
2. สระหน้า ได้แก่ อี เอ แอ อิ เอะ แอะ
3. สระหลัง ได้แก่ อู โอ ออ อุ โอะ เอาะ (คําว่า “แขก” = สระแอ, “จับ” = สระอะ, “กบ” = สระโอะ, “โหด” = สระโอ)

8. ข้อใดเป็นสระสูง หน้า ริมฝีปากไม่ห่อ เสียงยาว
(1) หู
(2) สี
(3) ท่าน
(4) โรค
ตอบ 2
ดูคําอธิบายข้อ 4. และ 7. ประกอบ) คําว่า “สี” = สระอี ซึ่งเป็นสระเดี๋ยวเสียงยาว และเป็นสระหน้า มีระดับของลิ้นสูง เพราะปลายลิ้นจะกระดกขึ้นเกือบจดเพดานแข็ง แต่ยังไม่จด ทําให้ช่องว่างในปากแคบ เรียกว่า ลักษณะปิด และริมฝีปากไม่ห่อแต่จะแบะออกเป็นรูปยิ้ม

9. ข้อใดไม่มีเสียงสระอู
(1) เขย หัว
(2) คิว นวล
(3) เร็ว ปุ๋ย
(4) เปลว ย้าย
ตอบ 3
คําว่า “เร็ว” ประกอบด้วย เอะ + ว (เอะ + อุ) = เอ็ว, “ปุ๋ย” ประกอบด้วย อุ + ย (อุ + อิ) = อุย (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคําที่มีเสียงสระอู ได้แก่ คําว่า “หัว/นวล” ประกอบด้วย อู + อา = อัว, “เปลว” ประกอบด้วย เอ + ว (เอ + อู) = เอว)

10. ข้อใดไม่เป็นสระผสม
(1) ผล
(2) ขวบ
(3) ปลิว
(4) อ้อย
ตอบ 1 (ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ) คําว่า “ผล” = สระโอะ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นสระผสม ได้แก่ คําว่า “ขวบ” ประกอบด้วย อู + อา = ตัว, “ปลิว” ประกอบด้วย อิ + ว (อิ + อุ) = อิว, “อ้อย” ประกอบด้วย ออ + ย (ออ + อี) = ออย)

11. “คนบนฟ้า สบายดีไหม” จากข้อความไม่ปรากฏสระเสียงใด
(1) โอะ
(2) อะ
(3) อะ + อิ
(4) อา + อิ
ตอบ 4
จากข้อความปรากฏสระดังนี้
1. สระโอะ (คน/บน)
2. สระอา (ฟ้า)
3. สระอะ (สะ)
4. สระอา + ย (อา + อี) = อาย (บาย)
5. สระอี (ดี)
6. สระอะ + ย (อะ + อิ) = ไอ (ไหม)

12. “การรอคอยเขากําลังใกล้จะสิ้นสุด” จากข้อความปรากฏสระผสมเสียง (ไม่นับเสียงซ้ำ)
(1) 1 เสียง
(2) 2 เสียง
(3) 3 เสียง
(4) 4 เสียง
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ) จากข้อความปรากฏสระผสม 3 เสียง(ไม่นับเสียงซ้ำ) ได้แก่
1. สระออ + ย (ออ + อี) = ออย (คอย)
2. สระเอา (เขา)
3. สระไอ (ใกล้)

13. พยัญชนะต้นในข้อใดเกิดที่ฐานฟัน
(1) ยม
(2) งม
(3) ดม
(4) ผม
ตอบ 3
พยัญชนะต้นที่จําแนกตามฐานกรณ์ (ที่เกิดหรือที่ตั้ง ของเสียง) แบ่งออกได้ดังนี้
1. ฐานคอ (คอหอย) มี 2 เสียง คือ ห (ฮ) อ
2. ฐานเพดานอ่อน มี 3 เสียง คือ ก ค (ข ฆ) ง
3. ฐานเพดานแข็ง มี 5 เสียง คือ จ ช (ฉ ฌ) ส (ซ ศ ษ) ย (ญ) ร
4. ฐานฟัน มี 5 เสียง คือ ด (ฎ) ต (ภู) ท (ถ ฐ ฑ ฒ ธ) น (ณ) ล (ฬ)
5. ฐานริมฝีปาก ได้แก่ ริมฝีปากบนกับล่างประกบกัน มี 5 เสียง คือ บ ป พ (ผ ภ) มวและริมฝีปากล่างประกบกับฟันบน มี 1 เสียง คือ ฟ (ฝ)

14. พยัญชนะต้นในข้อใดไม่ใช่ประเภทนาสิก
(1) อ้าง
(2) แน่น
(3) ง่าย
(4) เมฆ
ตอบ 1
พยัญชนะต้นที่จําแนกตามรูปลักษณะของเสียง แบ่งออกได้ดังนี้
1. พยัญชนะระเบิด หรือพยัญชนะกัก ได้แก่ ก ค (ข ฆ) จ ด (ภู) ต (ฎ) ท (ถ ฐ ฑ ฒ ธ) บ ป พ (ผ ภ) อ
2. พยัญชนะนาสิก ได้แก่ งน (ณ) ม
3. พยัญชนะเสียดแทรก ได้แก่ ส (ซ ศ ษ) ฟ (ฝ)
4. พยัญชนะถึงเสียดแทรก ได้แก่ ช (ฉ ฌ)
5. พยัญชนะกึ่งสระ ได้แก่ ย ว
6. พยัญชนะเหลว ได้แก่ รล
7. พยัญชนะเสียงหน้า ได้แก่ ห (ฮ) รวมทั้งพยัญชนะที่มีเสียง ห ผสมอยู่ด้วย ได้แก่ ค (ข) ช (ฉ) ท (ถ) พ (ผ)

15. รูปพยัญชนะไทยลําดับที่ 5 ตรงกับข้อใด
(1) ข
(2) ค
(3) ฆ
(4) ง
ตอบ 2
รูปพยัญชนะไทยลําดับที่ 5 คือ ศ ซึ่งนับเป็นพวกอักษรต่ำ แต่ปัจจุบันนี้เลิกใช้แล้ว

16. “มิตรภาพไม่สําคัญเท่ากับใครมาก่อนมาหลังนะ” จากข้อความไม่ปรากฎพยัญชนะประเภทใด
(1) นํากันมา
(2) เคียงกันมา
(3) ควบกันมา
(4) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4
พยัญชนะคู่ คือ พยัญชนะต้นที่มาด้วยกัน 2 เสียงซึ่งมี 3 ลักษณะดังนี้
1. เคียงกันมา (เรียงพยางค์) คือ แต่ละเสียงจะออกเสียงเต็มเสียง และไม่มีความสัมพันธ์ เกี่ยวข้องกัน เช่น มิตรภาพ (มิดตระพาบ), เวทนา (เวดทะนา), พิสดาร (พิดสะดาน), นาคราช (นากคะราด) ฯลฯ
2. นํากันมา (อักษรนํา คือ พยัญชนะตัวหน้ามีอํานาจเหนือพยัญชนะตัวหลัง โดยพยัญชนะตัวหน้าจะออกเสียงเพียงครึ่งเสียง และพยัญชนะตัวหลังก็จะเปลี่ยนเสียงตาม ซึ่งจะออกเสียงเหมือนกับเสียงที่มี ห นํา เช่น หลัง, สยบ (สะหยบ), แหลม, วาสนา (วาดสะหนา), ถลอก (ถะหลอก), อยู่ (หยู่) ฯลฯ
3. ควบกันมา (อักษรควบ) แบ่งออกเป็น อักษรควบกล้ำแท้ หรือเสียงกล้ำกันสนิท เช่น ใคร,กลัว, คลอง ฯลฯ และอักษรควบกล้ำไม่แท้ หรือเสียงกล้ำกันไม่สนิท เช่น แทรก (แซก) ฯลฯ

17. ข้อใดเป็นพยัญชนะคู่ประเภทเดียวกัน
(1) สยบ แหลม
(2) วาสนา เวทนา
(3) ถลอก แทรก
(4) กลัว พิสดาร
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

18. ข้อใดเป็นพยัญชนะเคียงกันมา
(1) โชติช่วง
(2) นาคราช
(3) ใบบัว
(4) ชาติหน้า
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

19. ข้อใดเป็นพยัญชนะนํากันมา
(1) บุกเบิก
(2) ประกวด
(3) คลอง
(4) อยู่
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

20. พยัญชนะสะกดในข้อใดไม่ใช่คําเป็น
(1) -ม
(2) -ย
(3) -ด
(4) -ว
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ) ลักษณะของคําเป็นกับคําตาย มีดังนี้
1. คําเป็น คือ คําที่สะกดด้วยแม่กง กน กม เกย เกอว และคําที่ไม่มีตัวสะกด แต่ใช้สระเสียงยาว รวมทั้งสระอํา ใอ ไอ เอา เพราะออกเสียงเหมือนมีตัวสะกดเป็นแม่กม เกย เกอว)
2. คําตาย คือ คําที่สะกดด้วยแม่กก กด กบ และคําที่ไม่มีตัวสะกด แต่ใช้สระเสียงสั้น

21. ข้อใดเป็นคําเป็นทุกคํา
(1) จิตใจ
(2) เจ้าบ้าน
(3) ตะกร้า
(4) เหล็กแหลม
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 20. ประกอบ

22. “ทิวลิปออกดอกบานสะพรั่งเต็มท้องทุ่ง” จากข้อความไม่ปรากฏพยัญชนะสะกดเสียงใด
(1) -ป
(2) -ก
(3) -ง
(4) -บ
ตอบ 1 หน้า พยัญชนะสะกดของไทยจะมีเพียง 8 เสียงเท่านั้น คือ
1. แม่กก ได้แก่ ก ข ค ฆ
2. แม่กด ได้แก่ จ ฉ ช ซ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส
3. แม่กบ ได้แก่ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ
4. แม่กน ได้แก่ น ณ ร ล ท ญ
5. แม่กง ได้แก่ ง
6. แม่กม ได้แก่ ม
7. แม่เกย ได้แก่ ย
8. แม่เกอว ได้แก่ ว (ส่วนสระอํา (อัม) = แม่กม, สระ ไอ/ไอ (อัย) = แม่เกย, สระเอา (อาว) = แม่เกอว)

23. “น้ำตาลไหม้เกินไปเลยต้องนําไปเททิ้ง แล้วก็ทําใหม่” จากข้อความมีพยัญชนะสะกดเสียง -ย กี่คํา (ไม่นับคําซ้ำ)
(1) 2 คํา
(2) 3 คํา
(3) 4 คํา
(4) 5 คํา
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ) จากข้อความมีพยัญชนะสะกดเสียง ย (แม่เกย) 4 คํา (ไม่นับคําซ้ำ) ได้แก่ 1. ไหม้ 2. ไป 3. เลย 4. ใหม่

24. ข้อใดมีเสียงวรรณยุกต์ตรงกับคําว่า “เหนื่อย”
(1) ช่าง
(2) ปิ้ง
(3) บ่อย
(4) คลิป
ตอบ 3
เสียงวรรณยุกต์ในภาษาไทยมี 5 เสียง 4 รูป คือ เสียงสามัญ (ไม่มีรูปวรรณยุกต์กํากับ), เสียงเอก เสียงโท เสียงตรี และเสียงจัตวา ซึ่งในคําบางคํา รูปและเสียงวรรณยุกต์อาจไม่ตรงกัน จึงควรเขียนรูปวรรณยุกต์ให้ถูกต้อง เช่น คําว่า “เหนื่อย” และ “บ่อย” มีเสียงวรรณยุกต์เอกตรงกัน (ส่วนคําว่า “ช่าง/ผึ้ง/คลิป” มีเสียงวรรณยุกต์โท/โท/ตรี)

25. ข้อใดมีเสียงวรรณยุกต์สามัญ
(1) กบ
(2) งาม
(3) นัด
(4) ขวาน
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 24. ประกอบ) คําว่า “งาม” มีเสียงวรรณยุกต์สามัญ ส่วนคําว่า “กบ/นัด/ขวาน” มีเสียงวรรณยุกต์เอก/ตรี/จัตวา)

26. ข้อใดมีเสียงวรรณยุกต์ตรี
(1) ถ่าน
(2) เชื่อม
(3) หล่อน
(4) ล้ำ
ตอบ 4 (ดูคําอธิบายข้อ 24. ประกอบ) คําว่า “ล้ำ” มีเสียงวรรณยุกต์ตรี (ส่วนคําว่า “ถ่าน/เชื่อม/หล่อน”มีเสียงวรรณยุกต์เอกโท/เอก)

27 ข้อใดมีเสียงวรรณยกต์เหมือนกัน
(1) น้ำโค้ก
(2) น้ำเต้า
(3) น้ำตก
(4) น้ำตา
ตอบ 1 (ดูคําอธิบายข้อ 24. ประกอบ) คําว่า “น้ำโค้ก” มีเสียงวรรณยุกต์ตรีเหมือนกัน (ส่วนคําว่า “น้ำ/เต้า” = ตรี/โท, “น้ำ/ตก” – ตรี/เอก, “น้ำ/ตา” = ตรี/สามัญ)

28. “หมดเขตวันไหนคะ” จากข้อความไม่ปรากฎวรรณยุกต์เสียงใด
(1) สามัญ
(2) เอก
(3) โท
(4) ตรี
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 24. ประกอบ) จากข้อความปรากฏเสียงวรรณยุกต์ ดังนี้
1. เสียงเอก = หมด เขต
2. เสียงสามัญ = วัน
3. เสียงจัตวา = ไหน
4. เสียงตรี = คะ

29. ข้อใดมีเสียงวรรณยุกต์ต่างจากพวก
(1) หอบ
(2) รอบ
(3) สอบ
(4) จอบ
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 24. ประกอบ) คําว่า “รอบ” มีเสียงวรรณยุกต์โท (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีเสียงวรรณยุกต์เอกทั้งหมด)

30. “คนข้างหลังมักเล่นไลน์เสมอ” จากข้อความข้อใดกล่าวถูก
(1) มีเสียงวรรณยุกต์ไม่ครบ 5 เสียง
(2) มีเสียงวรรณยุกต์เอกน้อยที่สุด
(3) มีเสียงวรรณยุกต์เอกและตรีที่มี 1 เสียง
(4) มีเสียงวรรณยุกต์โทมากที่สุด
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 24. ประกอบ) จากข้อความปรากฏเสียงวรรณยุกต์ ดังนี้
1. เสียงสามัญ = คน ไลน์ 2. เสียงโท = ข้าง เล่น 3. เสียงจัตวา = หลัง เหมอ
4 เสียงตรี = มัก 5. เสียงเอก = สะ

31. ข้อใดเป็นความหมายแฝงที่เคลื่อนไปมาแบบสับสน
(1) กรู
(2) รุม
(3) ไหว
(4) ขวักไขว่
ตอบ 4
ความหมายแฝงที่บอกการเคลื่อนไหวไปมาแบบสับสน ได้แก่ ขวักไขว่ (เดินไปบ้างมาบ้าง), พลุกพล่าน (ขวักไขว่ เกะกะ), สับสน (ไปบ้างมาบ้างปะปนกันยุ่ง), สวน (ไปบ้างมาบ้างในทางที่ตรงข้ามกัน) ฯลฯ

32. ข้อใดสะท้อนลักษณะการแยกเสียงแยกความหมาย
(1) ฟาดฟัน
(2) แจ้ง-แล้ง
(3) แมว-แก้ว
(4) บ้านเรือน
ตอบ 1
การแยกเสียงแยกความหมาย คือ การเปลี่ยนแปลงเสียงในคําบางคําที่มีความหมายหลายอย่างให้แตกต่างกันบ้าง เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนว่าคํานั้น มีความหมายว่าอย่างไรในที่นั้น ๆ โดยความหมายย่อยและที่ใช้อาจจะแตกต่างกัน ได้แก่ คําว่า “ฟาดฟัน” (พยัญชนะตัวสะกดต่างกัน “แม่กด” กับ “แม่กน”) คือ เอาอาวุธเหวี่ยงลงไปเช่นเดียวกัน แต่ “ฟาด” มักใช้ทางแบนของอาวุธหวดเหวี่ยงลงไป ส่วน “ฟัน” นั้นใช้ทางคมหวด

33. คําที่ขีดเส้นใต้ในข้อใดไม่ใช่คําซ้ำ
(1) เด็ก ๆ ไปโรงเรียน
(2) คํา ๆ เดียวมีหลายความหมาย
(3) ชมเดินอยู่ริม ๆ หาด
(4) เขาชอบดื่มน้ำชาร้อน ๆ
ตอบ 2
คําซ้ำ คือ คําคําเดียวกันที่นํามากล่าว 2 ครั้ง เพื่อให้มีความหมายเน้นหนักขึ้น หรือเพื่อให้มีความหมายต่างจากคําเดียว ซึ่งวิธีการสร้างคําซ้ำก็ เหมือนกับการสร้างคําซ้อน แต่ใช้คําคําเดียวมาซ้อนกันโดยมีเครื่องหมายไม้ยมก (ๆ) กํากับ เช่น เด็ก ๆ ไปโรงเรียน (ซ้ำคํานามแสดงพหูพจน์), ชมเดินอยู่ริม ๆ หาด (ซ้ำคําบุรพบท ใช้ขยายกริยาบอกความเน้น), เขาชอบดื่มน้ำชาร้อน ๆ (ซ้ำคําขยายแสดงความไม่เจาะจง) ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้อ 2 ไม่ใช่คําซ้ำ เพราะเป็นคําที่พูดติดต่อเป็นความเดียวกัน จึงไม่ควรใช้ไม้ยมก)

34. ข้อใดไม่เป็นคําซ้อน
(1) จบสิ้น
(2) หมดสิ้น
(3) สิ้นสูญ
(4) สิ้นใจ
ตอบ 4
คําซ้อน คือ คําเดี่ยว 2, 4 หรือ 6 คํา ที่มีความหมายหรือมีเสียงใกล้เคียงกัน หรือเป็นไปในทํานองเดียวกัน ซ้อนเข้าด้วยกันเพื่อทําให้เกิดคําใหม่ ที่มีความหมายใหม่ขึ้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. คําซ้อนเพื่อความหมาย มุ่งที่ความหมายเป็นสําคัญ) ซึ่งอาจเป็นคําไทยซ้อนเข้าด้วยกัน เช่น จบสิ้น, หมดสิ้น, ดูดดื่ม, ทิ่มแทง, กักตุน, ทดแทน, ว่ากล่าว, แก่เฒ่า ฯลฯ หรืออาจเป็น คําไทยซ้อนกับคําภาษาอื่นก็ได้ เช่น สิ้นสูญ (ไทย + บาลีสันสกฤต) ฯลฯ
2. คําซ้อนเพื่อเสียง (มุ่งที่เสียงเป็นสําคัญ) เช่น ขึงขัง (อี + อะ), มัวเมา (อัว + เอา) ฯลฯ(ส่วนคําว่า “สิ้นใจ” = ขาดใจ ตาย เป็นคําประสม)

35. “ความทรงจําอันดูดดื่มของเรายังคงทิ่มแทงอยู่ในอกของฉันอยู่เสมอ” จากข้อความมีคําซ้อนกี่คํา
(1) 0 คํา
(2) 1 คํา
(3) 2 คํา
(4) 3 คํา
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 34. ประกอบ

36. “เธอกักตุนเสบียงอาหารไว้ให้ใคร” จากข้อความมีคําซ้อนกี่คํา
(1) 1 คํา
(2) 2 คํา
(3) 3 คํา
(4) 4 คํา
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 34. ประกอบ

37. ข้อใดเป็นคําประสม
(1) ลูกน้อง
(2) ทดแทน
(3) ว่ากล่าว
(4) แก่เฒ่า
ตอบ 1
คําประสม คือ คําตั้งแต่ 2 คําขึ้นไปมาประสมเข้าด้วยกันเพื่อให้ได้คําใหม่ที่มีความหมายใหม่มาใช้ในภาษา ซึ่งความหมายสําคัญจะอยู่ที่คําต้น (คําตัวตั้ง) ส่วนที่ตามมาเป็นคําขยาย ซึ่งไม่ใช่คําที่ขยายคําต้นจริง ๆ แต่จะช่วยให้คําทั้งคํามีความหมายจํากัด เป็นนัยเดียว เช่น ลูกน้อง, นักเรียน, กุ้งเผา, น้ำฝน, บ้านเช่า, ของกิน, ของฝาก, ของนอก ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคําซ้อน) (ดูคําอธิบายข้อ 34. ประกอบ)

38. คําประสมในข้อใดประกอบด้วยคํานามกับคํานาม
(1) นักเรียน
(2) กุ้งเผา
(3) น้ำฝน
(4) บ้านเช่า
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 37. ประกอบ) คําว่า “น้ำฝน” (คํานาม + คํานาม) = น้ำที่ตกลงมาจากเมฆเป็นเม็ด ๆ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคําประสมที่ประกอบด้วยคํานามกับคํากริยา)

39. ข้อใดไม่เป็นคําประสม
(1) ของกิน
(2) ของฝาก
(3) ของนอก
(4) ของเธอ
ตอบ 4 (ดูคําอธิบายข้อ 37. ประกอบ) คําว่า “ของเธอ” ไม่เป็นคําประสม แต่เป็นคําเดี่ยวเรียงกัน

40. “นกสองหัวอย่างหล่อนคงไม่มีที่ยืนในสังคม” จากข้อความมีคําประสมกี่คํา
(1) 1 คํา
(2) 2 คํา
(3) 3 คํา
(4) 4 คํา
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 37. ประกอบ) จากข้อความมีคําประสม 2 คํา ได้แก่
1. นกสองหัว (คนที่ทําตัวฝักใฝ่เข้าด้วยทั้ง 2 ฝ่าย ซึ่งไม่เป็นมิตรกัน โดยหวังผลประโยชน์เพื่อตน)
2. ที่ยืน (พื้นที่หรือตําแหน่งที่สังคมให้การยอมรับ)

41. ข้อใดเป็นคําอุปสรรคชนิดกร่อนเสียงทั้ง 2 คํา
(1) กระดุม กระเดือก
(2) ระเริง ระรื่น
(3) ระคน ระคาย
(4) สมสู่ สมรู้
ตอบ 2
อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียง เป็นคําที่กร่อนเสียงพยางค์ต้นให้เป็นเสียง “อะ” ได้แก่
1. “มะ” ที่นําหน้าชื่อไม้ผล ไม่ใช้ไม้ผล และหน้าคําบอกกําหนดวัน เช่น หมากม่วง -มะม่วง,หมากนาว – มะนาว, หมากพร้าว – มะพร้าว, เมื่อรีน – มะรืน
2. “ตะ” นําหน้าชื่อสัตว์ ต้นไม้ และคําที่มีลักษณะคล้ายตา เช่น ตาปู – ตะปู,ตาราง – ตะราง, ต้นไคร้ – ตะไคร้, ต้นขบ – ตะขบ, ตัวเข้ – ตะเข้
3. “สะ” เช่น สายคือ – สะดือ, สาวใภ้ – สะใภ้ – สายดึง – สะดึง
4. “ฉะ” เช่น ฉันนั้น – ฉะนั้น, ฉันนี้ – ฉะนี้, เฉื่อย ๆ – ฉะเฉื่อย, ฉาด ๆ – ฉะฉาด
5. “ยะ/ระ/ละ” เช่น ยิบ ๆ ยับ ๆ – ยะยิบยะยับ, รื่น ๆ – ระรื่น, เริง ๆ – ระเริง, เลาะ ๆ – ละเลาะ
6. “อะ” เช่น อันไร/อันใด อะไร, อันหนึ่ง – อนึ่ง ส่วนคําอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นไปตามนี้ ได้แก่ ผู้ญาณ + พยาน, ชาตา – ชะตา, ช้าพลู – ชะพลู,เฌอเอม – ชะเอม, ชีผ้าขาว – ชีปะขาว เป็นต้น

42. “ลูกสะใภ้ท่าทางกระโดกกระเดกเดินถือตุ๊กกะตาหน้าตากระจุ๋มกระจิ๋ม”
ข้อใดเรียงลําดับคําอุปสรรคเทียมในประโยคนี้จากหน้าไปหลังได้ถูกต้อง
(1) กร่อนเสียง แบ่งคําผิด เพิ่มเสียงไม่ให้คอนกัน เทียบแนวเทียบผิด
(2) กร่อนเสียง แบ่งคําผิด เทียบแนวเทียบผิด เพิ่มเสียงไม่ให้คอนกัน
(3) กร่อนเสียง เพิ่มเสียงไม่ให้คอนกัน แบ่งคําผิด เทียบแนวเทียบผิด
(4) กร่อนเสียง เพิ่มเสียงไม่ให้คอนกัน เทียบแนวเทียบผิด แบ่งคําผิด
ตอบ 3
คําอุปสรรคเทียมในประโยคนี้เรียงลําดับจากหน้าไปหลังได้ดังนี้
1. คําอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการกร่อนเสียง ได้แก่ สะใภ้ (ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ)
2. คําอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกัน ได้แก่ โดกเดก – กระโดกกระเดก
3. คําอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการแบ่งคําผิด ได้แก่ ตุ๊กตา – ตุ๊กกะตา
4. คําอุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิด ได้แก่ จุ๋มจิ๋ม – กระจุ๋มกระจิ๋ม

43. ข้อใดเป็นคําอุปสรรคเทียมชนิดเทียบแนวเทียบผิดทั้ง 2 คํา
(1) กระอิดกระเปื้อน กระเสือกกระสน
(2) กระวนกระวาย กระดุกกระดิก
(3) กระเสาะกระแสะ กระดี๊กระด๊า
(4) กระหืดกระหอบ กระอึกกระอัก
ตอบ 3
อุปสรรคเทียมที่เกิดจากการเทียบแนวเทียบผิด คือ การเพิ่มเสียง “กะ” (ปัจจุบันใช้ “กระ”) เข้าไปในคําซ้อนเพื่อเสียงที่พยางค์ต้นและพยางค์ท้าย ไม่ได้สะกดด้วย “ก” ซึ่งยึดการใช้อุปสรรคเทียมที่เพิ่มเสียงเพื่อไม่ให้เสียงคอนกันมาเป็นแนวเทียบ แต่เป็นการเทียบแนวเทียบผิด เช่น เสาะแสะ – กระเสาะกระแสะ, ดีด้า – กระดึกระด้า, อิดเอื้อน – กระอิดกระเอื้อน, วนวาย + กระวนกระวาย, หืดหอบ > กระหืดกระหอบ ฯลฯ (ส่วนคําอื่น ๆ เป็นอุปสรรคเทียมชนิดเพิ่มเสียงไม่ให้คอนกัน)

44. ข้อใดเป็นคําอุปสรรคที่เลียนแบบภาษาเขมรทั้ง 2 คํา
(1) ปลุก ฉะฉาด
(2) เคลื่อน ตะราง
(3) ประเดี๋ยว มะรืน
(4) สะพรั่ง ระย่อ
ตอบ 4
อุปสรรคเทียมเลียนแบบภาษาเขมร เป็นวิธีการแผลงคําของเขมรที่ใช้นําหน้าคําเพื่อประโยชน์ทางไวยากรณ์ ได้แก่
1. “ชะ/ระ/ปะ/ประ/พะ/สม/สะ” เช่น ชะดีซะร้าย, ระคน, ระคาย, ระย่อ, ปะปน, ปะติดปะต่อ,ประเดี๋ยว, ประท้วง, พะรุงพะรัง, พะเยิบ, สมรู้, สมยอม, สะสาง, สะพรั่ง, สะสวย ฯลฯ
2. ใช้ “ข ค ป ผ พ” มานําหน้าคํานามและกริยาวิเศษณ์ เพื่อให้มีความหมายเป็นการีต แปลว่า “ทําให้” เช่น ขยุกขยิก, ขยิบ, ขี่, ขยํา, เคลื่อน, ปลุก, ปลด, ปละ, ปรุ, ผละ, พรํา ฯลฯ (ส่วนคําอื่น ๆ เป็นอุปสรรคเทียมชนิดกร่อนเสียง) (ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ)

ข้อ 45, 46, จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) อย่าทํานะ
(2) ทําได้ไหม
(3) ทําดีที่สุดแล้ว
(4) ทําอะไรสักอย่างซิ

45. ข้อใดเป็นประโยคขอร้องหรือชักชวน
ตอบ 4
ประโยคขอร้องหรือชักชวน คือ ประโยคที่ผู้พูดต้องการขอร้องหรือชักชวนให้ผู้ฟังทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ตามที่ตนต้องการ ซึ่งการใช้คําพูดนั้นจะคล้ายกับ ประโยคคําสั่งแต่นุ่มนวลกว่า โดยในภาษาเขียนมักจะมีคําว่า “โปรด/กรุณา” อยู่หน้าประโยคส่วนในภาษาพูดนั้นอาจมีคําลงท้ายประโยค ได้แก่ เถอะ เถิด น่ะ นะ หน่อย ซิ ซี ฯลฯ

46. ข้อใดเป็นประโยคคําสั่ง
ตอบ 1
ประโยคคําสั่ง คือ ประโยคที่ต้องการให้ผู้ฟังทําตามคําสั่ง มักละประธานและขึ้นต้นด้วยคํากริยา เช่น ทําเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าหากจะมีประธานก็จะระบุชื่อหรือ เน้นตัวบุคคลเพื่อให้คนที่ถูกสั่งรู้ตัว เช่น แดงออกไป นอกจากนี้ประโยคคําสั่งอาจมีกริยาช่วย “อย่า/ห้าม/จง/ต้อง” เพื่อสั่งให้ทําหรือไม่ให้ทําก็ได้

47. “แม้ว่าคนจะกลัวผี หากแต่คนก็ชอบเล่าและฟังเรื่องผี และนี่คงเป็นเหตุผลสําคัญประการหนึ่งที่ว่าเพราะเหตุใดความเชื่อเรื่องผีจึงดํารงอยู่ได้จวบจนกระทั่งทุกวันนี้” ประโยคที่ปรากฏในข้อความนี้เน้นหนัก ไปในทางประโยคชนิดใด
(1) ประโยคคําสั่ง
(2) ประโยคขอร้องหรือชักชวน
(3) ประโยคคําถาม
(4) ประโยคบอกเล่า
ตอบ 4
ประโยคบอกเล่า คือ ประโยคที่บอกเล่าเรื่องราวตามธรรมดา อาจใช้ในทางตอบรับหรือตอบปฏิเสธก็ได้ นอกจากนี้ประโยคที่มีคําแสดง คําถามว่า “ใคร/อะไร ที่ไหน/เมื่อไหร่/อย่างไร” อาจใช้ในประโยคบอกเล่าได้ หากไม่ได้แสดงความสงสัยหรือไม่ต้องการคําตอบ แต่จะเป็นการกล่าวถึงสิ่งต่าง ๆ โดยทั่วไป ไม่ชี้เฉพาะเจาะจง

ข้อ 48, – 49. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ดําพี่แดงเรียนเก่ง
(2) แดงคือคนที่ผมรู้จัก
(3) แดงชอบทําขนม
(4) แดงอ่านหนังสือการ์ตูน

48. ประโยคในข้อใดมีส่วนขยายกรรม
ตอบ 4
ภาคขยายแบ่งออกได้ 2 ประเภท คือ
1. ส่วนขยายประธานหรือผู้กระทํา และส่วนขยายกรรมหรือผู้ถูกกระทํา ซึ่งเรียกว่า คุณศัพท์ เช่น ดําพี่แดงเรียนเก่ง (ขยายประธาน), แดงอ่านหนังสือการ์ตูน/เขาเป็นนักเขียนอารมณ์ดี(ขยายกรรม) เป็นต้น
2. ส่วนขยายกริยา ซึ่งเรียกว่า กริยาวิเศษณ์ อาจมีตําแหน่งอยู่หน้าคํากริยา หรืออยู่หลังคํากริยาก็ได้ เช่น เนาวรัตน์เขียนกลอนเก่ง (ขยายกริยา “เขียน”) เป็นต้น

49. แดงในข้อใดทําหน้าที่เป็นกรรมของประโยค
ตอบ 2
การแสดงการก หมายถึง ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องระหว่างคําในประโยค ซึ่งสามารถดูได้จากตําแหน่งของคําที่เรียงกันในประโยค แต่บางกรณีคํานามที่ เป็นประธานหรือกรรมอาจเปลี่ยนที่ไปได้ คือ ประธานไปอยู่หลังกรรม กรรมมาอยู่หน้ากริยา ได้ถ้าต้องการเน้น เช่น ประโยค “แดงคือคนที่ผมรู้จัก” ย้ายกรรม (ในที่นี้คือ แดง) มาไว้ที่ ต้นประโยคหน้าคํากริยา (คือ) และประธาน (ผม) เพื่อต้องการเน้นกรรม (แดง)

50. ในข้อใดมีส่วนขยายกรรม
(1) นักเขียนชอบเขียน
(2) เขาเป็นนักเขียนอารมณ์ดี
(3) เนาวรัตน์เขียนกลอนเก่ง
(4) เนาวรัตน์กวีรัตนโกสินทร์ชอบเขียนกลอน
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 48. ประกอบประกอบ

51. คํานามในข้อใดที่แสดงเพศเดียวกันชัดเจนที่สุดทั้ง 2 คํา
(1) ป้าองุ่นซื้อเสื้อให้น้าทุเรียน
(2) ลุงสมชายไปพบนายอําเภอ
(3) ทิดบุญมาไปกราบลาสมภารวัด
(4) ตํารวจกําลังสอบสวนผู้ต้องหา
ตอบ 3
คํานามในภาษาไทยบางคําก็แสดงเพศได้ชัดเจนในตัวของมันเอง เช่น คําที่บอกเพศชาย ได้แก่ พ่อ พระ เณร ทิด เขย ชาย หนุ่ม บ่าว ปู ตา ผม สมภาร (พระที่เป็นเจ้าอาวาส) ฯลฯ และคําที่บอกเพศหญิง ได้แก่ แม่ ชี สะใภ้ หญิง สาว นาง ป้า ย่า ยาย ดิฉัน ฯลฯ แต่คําบางคําที่เป็นคํารวมทั้งสองเพศ เช่น พี่ น้อง เด็ก น้า อา ลูก หลาน เพื่อน ฯลฯ เมื่อต้องการแสดงเพศให้ชัดเจนตามแบบภาษาคําโดดจะต้องใช้คําที่ บ่งเพศมาประกอบเข้าข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง หรือประสมกันตามแบบคําประสมบ้าง เช่น พี่สาว น้องชาย เด็กสาว น้าชาย อาหญิง ลูกชาย หลานสาว เพื่อนหญิง เพื่อนชาย ฯลฯ

52. คํานามคําว่า หลัง ในข้อใดทําหน้าที่เป็นคําลักษณนาม
(1) เขาปลูกเรือนที่หลังใคร
(2) หลังเรือนปลูกต้นไม้
(3) เรือนหลังใหญ่
(4) เรือนอยู่หลังบ้าน
ตอบ 3
คํานามที่ทําหน้าที่เป็นคําลักษณนามที่กําหนดไว้เฉพาะ โดยมักใช้ไว้ท้ายคําบอกจํานวนหรือบอกประมาณ เช่น เรือน 2 หลัง ฯลฯ หรือใช้ขยายเป็นคํานามและ คําที่มากับลักษณนามเป็นคุณศัพท์บอกความเฉพาะเจาะจง หรือคุณศัพท์บอกลักษณะเพื่อเน้นความให้แน่นอนขึ้น เช่น เรือนหลังใหญ่ ฯลฯ

53. ข้อใดใช้คํานามแตกต่างจากข้ออื่น ๆ
(1) น้องโทรศัพท์หาพี่
(2) นักเรียนไปพบครู
(3) ป้าช้อยไปเที่ยวกับหลานสาว
(4) น้ามีไปเยี่ยมพ่อ
ตอบ 3
(ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ) คํานามในตัวเลือกข้อ 3 แตกต่างจากข้ออื่น ๆ เพราะแสดงเพศเดียวกันชัดเจน คือ เพศหญิง ได้แก่ ป้า, หลานสาว

ข้อ 54, 55, จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ฉันถามถึงเธอคนนั้น
(2) เธอคนไหนชอบร้องเพลง
(3) เธอกับฉันร้องเพลงคู่กัน
(4) คิดถึงเธอที่อยู่เชียงใหม่

54. ข้อใดมีคําสรรพนามเชื่อมประโยค
ตอบ 4
สรรพนามที่ใช้แทนนามและเชื่อมประโยค ได้แก่ “ที่ ซึ่ง อัน” ซึ่งจะใช้ในรูปประโยคที่มีประโยคเล็กซ้อนกับประโยคใหญ่ และสามารถทําให้คําที่ ตามหลังมาทั้งหมดกลายเป็นคําขยายได้ เช่น คิดถึงเธอที่อยู่เชียงใหม่, ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์, ครูซึ่งใจดีย่อมไม่ดู, ชอบเรื่องที่กล่าวมา, โจรย่ามใจกระทําการอันอุกอาจ ฯลฯ

55. ข้อใดมีคําสรรพนามแสดงความเฉพาะเจาะจง
ตอบ 1
สรรพนามที่แสดงความเฉพาะเจาะจง ได้แก่ “นี้นั้นโน้น นี่ นั่น โน่น” ซึ่งใช้แทนสิ่งที่พูดถึง อะไรก็ได้เพราะไม่ได้ระบุชื่อในขณะนั้น นอกจากนี้ก็ยังมีคําที่ใช้เป็นคําอุทานโดยมาก แต่ละคําก็มีความหมายเฉพาะอย่างหนึ่ง ๆ ต่างกันไป ได้แก่ “นั่นแน่ นั่นแน่ะ นั่นซี นั่นแหละ นี่ซิ นี่แหละ นั่นไง นั่นเป็นไง”

56. ข้อใดมีกรรม
(1) นกร้องเพลง
(2) ฝนตกหนัก
(3) ฝนกําลังตก
(4) คนหัวเราะเสียงดัง
ตอบ 1 (คําบรรยาย) โครงสร้างประโยคในภาษาไทย แบ่งออกเป็น
1. ประโยค 2 ส่วน คือ ประธาน + กริยา (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) เช่น ฝนตกหนัก, ฝนกําลังตก, คนหัวเราะเสียงดัง ฯลฯ
2. ประโยค
3 ส่วน คือ ประธาน + กริยา + กรรม (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) เช่น นก (ประธาน) ร้อง (กริยา) เพลง (กรรม) ฯลฯ

57. คําว่า มา ในข้อใดเป็นคําบอกกาล
(1) ครูเรียกนักเรียนมาพบ
(2) นักเรียนไปพบครูมา
(3) นักเรียนมากันหลายคน
(4) นักเรียนมาสาย
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ) คําว่า “มา” เป็นคํากริยาช่วยที่บอกกาลได้ คือ บอกอดีตที่ผ่านไปแล้ว ส่วนใหญ่มักวางอยู่หลังกริยาแท้ เช่น นักเรียนไปพบครูมา, เขาไปเที่ยวมา, น้อง ๆ ไปเยี่ยมคุณยายมา ฯลฯ

58. ข้อใดมีกริยาที่บอกให้รู้กาล
(1) ฝนตกน้ำท่วม
(2) ฝนตกหนักมาก
(3) ฝนกําลังตก
(4) ฝนตกแดดออก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

59. ข้อใดเป็นคํากริยาวิเศษณ์บอกความไม่ชี้เฉพาะเจาะจง
(1) ทําอะไรไปบ้าง
(2) ทําอะไรเขาจึงหลงใหล
(3) ทําอะไรข้ามหน้าข้ามตา
(4) ไปทําอะไรมาดูสวยขึ้น
ตอบ 3
คํากริยาวิเศษณ์ที่บอกความไม่ชี้เฉพาะเจาะจงได้แก่ อย่างไร อย่างใด เหตุไร เหตุใด เช่นไร เช่นใด กระไร ทําไม เมื่อไร เมื่อใด เท่าไร เท่าใด อะไร ไหน ฯลฯ ซึ่งคําเหล่านี้จะวางอยู่หลังคํากริยา และมักเป็นคํากลุ่มเดียวกันกับคํากริยา วิเศษณ์บอกคําถาม แต่คํากริยาวิเศษณ์บอกความไม่ชีเฉพาะเจาะจงไม่ได้เป็นการถาม แต่จะ กล่าวถึงสิ่งต่าง ๆ อย่างลอย ๆ ไม่เจาะจง เช่น อยากทําอะไรก็เชิญ, ทําอะไรข้ามหน้าข้ามตา ฯลฯ(ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคํากริยาวิเศษณ์บอกคําถาม)

60. “เขาต้องมาแน่เทียว” ประโยคนี้มีคํากริยาวิเศษณ์ชนิดใด
(1) บอกประมาณ
(2) บอกความแบ่งแยก
(3) บอกความชี้เฉพาะ
(4) บอกความไม่ชี้เฉพาะ
ตอบ 3
คํากริยาวิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะ ได้แก่ จริง แท้ เทียว แน่เทียว ทีเดียว ดอก หรอก แน่ เฉพาะ ฯลฯ ซึ่งมักวางอยู่หลังคํากริยา

61. ข้อใดเป็นคําคุณศัพท์บอกจํานวนนับไม่ได้
(1) ต่างคนต่างมา
(2) คนนั้นมากับคนนี้
(3) คนไหนที่มากับเธอ
(4) คนทั้งหมดมาด้วยใจรัก
ตอบ 4
คําคุณศัพท์บอกจํานวนนับไม่ได้ (ประมาณคุณศัพท์)หรือคําคุณศัพท์บอกจํานวนประมาณ ได้แก่ มาก น้อย นิด หน่อย ครบ พอ เกิน เหลือ ขาด ถ้วน ครบถ้วน หมด หลาย ทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งสิ้น ทั้งนั้น ทั้ง ฯลฯ

62. “เราใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน” ประโยคนี้ใช้คําบุรพบทชนิดใด
(1) เกี่ยวเนื่องกัน
(2) การให้และการรับ
(3) การเปรียบเทียบ
(4) การแสดงความเป็นเจ้าของ
ตอบ 1 คําบุรพบทที่นําหน้าคําที่เป็นเครื่องประกอบ หรือเครื่องเกี่ยวเนื่องกัน ได้แก่ ทั้ง กับ ฯลฯ เช่น นอนทั้งรองเท้า, อยู่กับญาติ, พูดกับครู, ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน ฯลฯ

63. ข้อใดสามารถละบุรพบทได้
(1) เขาเดินลงมาจากระเบียงบ้าน
(2) เขาพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเย็นชา
(3) เขามองออกไปนอกหน้าต่าง
(4) ลมหายใจของเขาติดขัด
ตอบ 4
คําบุรพบทไม่สําคัญมากเท่ากับคํานามคํากริยา และคําวิเศษณ์ ดังนั้นบางแห่งไม่ใช้บุรพบทเลยก็ยังฟังเข้าใจได้ ซึ่งบุรพบทที่อาจละได้ แต่ความหมายยังเหมือนเดิม ได้แก่ ของ แก่ ต่อ สู่ ยัง ที่ บน ฯลฯ เช่น ลมหายใจของเขา ติดขัด – ลมหายใจเขาติดขัด ฯลฯ แต่บุรพบทบางคําก็ละไม่ได้ เพราะละแล้วความจะเสีย ไม่รู้เรื่อง หากจะละบุรพบทได้ก็ต้องดูความในประโยคว่าความหมายต้องไม่เปลี่ยนไปจากเดิม (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นไม่สามารถละบุรพบท “จาก/กับ/นอก” ได้)

64. “อย่างไรก็ดี การจะเรียนรู้ภาษาใดภาษาหนึ่งให้ถ่องแท้ไม่สามารถทําได้ในระยะเวลาอันสั้น” ข้อความที่ยกมานี้มีคําสันธานชนิดใด
(1) เชื่อมความให้ไพเราะสละสลวย
(2) เชื่อมความเปรียบเทียบกัน
(3) เชื่อมความคาดคะเนหรือแบ่งรับแบ่งสู้
(4) เชื่อมความตอนหนึ่งที่ยังกล่าวไม่จบกับตอนที่เริ่มต้นกล่าว
ตอบ 1
คําสันธานที่เชื่อมความให้ได้เนื้อความบริบูรณ์และได้ความไพเราะสละสลวย ได้แก่ อย่างไรก็ดี, อย่างไรก็ตาม, อันว่า, อัน

65. ข้อใดใช้คําสันธานเป็นเหตุเป็นผลกัน
(1) ฝนตกหนักจึงทําให้น้ำท่วมขัง
(2) ถ้าฝนไม่ตกน้ำคงไม่ท่วม
(3) น้ำท่วมทั้ง ๆ ที่ฝนไม่ตก
(4) ฝนตกหนักแต่น้ำไม่ท่วม
ตอบ 1
คําสันธานที่เชื่อมความเป็นเหตุเป็นผลกัน ได้แก่ เพราะ เพราะว่า, ด้วย, ด้วยว่า เหตุว่า, อาศัยที่, ค่าที่, เพราะฉะนั้น ดังนั้น จึง, เลย, เหตุฉะนี้

66. “ถ้าอยากมีร่างกายแข็งแรงต้องหมั่นออกกําลังกาย” ประโยคนี้ใช้คําสันธานชนิดใด
(1) คล้อยตามกัน
(2) แบ่งรับแบ่งสู้
(3) เป็นเหตุเป็นผลกัน
(4) ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
ตอบ 2
คําสันธานที่เชื่อมความคาดคะเนหรือแบ่งรับแบ่งสู้ ได้แก่ ถ้า, ถ้าก็, ถ้าจึง, ถ้าหากว่า, แม้แต่, แม้ว่า, เว้นแต่, นอกจาก

67. คําอุทานใดแสดงอารมณ์ตกใจ
(1) บ๊ะ ไอ้นี่
(2) ต๊ายตาย
(3) โธ่ถัง
(4) เออน่า
ตอบ 2
คําอุทาน คือ คําที่เปล่งออกมาเพื่อแสดงอารมณ์ต่าง ๆซึ่งบางคําก็กําหนดไม่ได้ว่าคําไหนใช้แสดงอารมณ์อะไรแน่นอน แล้วแต่การออกเสียงและ สถานการณ์ เช่น คําว่า “บ๊ะ” แสดงอารมณ์ไม่พอใจหรือประหลาดใจ, “เฮ้ย/อุ้ย/อุ้ยตาย/ ตายแล้ว/ตายจริง/ต๊ายตาย” แสดงอารมณ์ตกใจหรือแปลกใจ, “โธ่ถัง/โธ่/โถ” แสดงอารมณ์ เสียใจ, “เออน่ะ/เออน่า” แสดงคํารับอย่างรู้สึกรําคาญ เป็นต้น

68. ข้อใดคือคําลักษณนามของ “เศวตฉัตร”
(1) ฉัตร
(2) องค์
(3) ชั้น
(4) เศวตฉัตร
ตอบ 2
คําลักษณนาม คือ คําที่ตามหลังคําบอกจํานวนนับเพื่อบอกรูปลักษณะและชนิดของคํานามที่อยู่ข้างหน้าคําบอกจํานวนนับ มักจะเป็นคําพยางค์เดียว แต่เป็นคําที่สร้างขึ้นใหม่โดยอาศัยการอุปมาเปรียบเทียบ การเลียนเสียงธรรมชาติ การเทียบ แนวเทียบ และการใช้คําซ้ำกับคํานามนั้นเอง (ในกรณีที่ไม่มีลักษณนามโดยเฉพาะ) เช่นเศวตฉัตร (องค์), สถานี (สถานี), เห็ด/กุญแจ (ดอก), หัวปลี (หัว), หวี (เล่ม), ว่าว (ตัว) เป็นต้น

69. ข้อใดคือคําลักษณนามของ “สถานี”
(1) แห่ง
(2) ที่
(3) หลัง
(4) สถานี
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 68. ประกอบ

70. คําใดใช้ลักษณนามเดียวกับคําว่า “เห็ด”
(1) กุญแจ
(2) หัวปลี
(3) หวี
(4) ว่าว
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 68. ประกอบ ข้อ

71. – 80. ให้นักศึกษาเลือกคําราชาศัพท์ที่ถูกต้องเติมในช่องว่าง
ในปีพุทธศักราช 2499 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมี 71. ที่จะเสด็จออก 72. โดย 73. ให้ตั้งการพระราชพิธี ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2499 โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ม.ร.ว.ชื่น นพวงศ์) วัดบวรนิเวศวิหาร เป็น 74. และทรงได้รับ 75. ว่า “ภูมิพโล”

สํานักพระราชวังแจ้ง 76. พระราชพิธี 77. 78. 79. (100 วัน) 80. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง

71.
(1) ศรัทธา
(2พระศรัทธา
(3) พระราชศรัทธา
(4) พระมหาราชศรัทธา
ตอบ 3
พระราชศรัทธา = ความเชื่อ ความเลื่อมใส (คําว่า “พระราช” ใช้นําหน้าคํานามสามัญที่สําคัญรองลงมาจาก “พระบรม” ซึ่งจะใช้เฉพาะพระมหากษัตริย์และพระราชินี)

72.
(1) ผนวช
(2) พระผนวช
(3) ทรงผนวช
(4) ทรงพระผนวช
ตอบ 4
ทรงพระผนวช = บวช ใช้กับพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศ์ชั้นสมเด็จเจ้าฟ้า, ทรงผนวช ใช้กับพระบรมวงศ์ชั้นพระองค์เจ้าลงมาจนถึง พระอนุวงศ์ชั้นหม่อมเจ้า (คําว่า “ทรงผนวช” เป็นคํายกเว้นที่ใช้ “ทรง” นําหน้าคํากริยาที่เป็นราชาศัพท์อยู่แล้ว เพราะตามปกติห้ามเติมทรงซ้อนราชาศัพท์)

73.
(1) โปรดเกล้า
(2) โปรดเกล้าฯ
(3) พระกรุณาโปรดเกล้าฯ
(4) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ตอบ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ = ทรงพระเมตตาและพอพระราชหฤทัย ใช้กับพระมหากษัตริย์

74.
(1) พระมหาราชอุปัชฌายาจารย์
(2) พระราชอุปัชฌายาจารย์
(3) พระอุปัชฌายาจารย์
(4) พระอุปัชฌาย์
ตอบ 2
พระราชอุปัชฌายาจารย์ = พระเถระผู้เป็นประธานการบวชในพระพุทธศาสนา (ในที่นี้สมเด็จพระสังฆราชเจ้าทรงเป็นพระอุปัชฌาย์ให้กับพระมหากษัตริย์ จึงต้องมีคําว่า “พระราช” นําหน้าคํานามสามัญที่มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต)

75.
(1) นาม
(2) พระนาม
(3) ฉายา
(4) พระฉายา
ตอบ 4
พระฉายา = ชื่อที่พระอุปัชฌาย์ตั้งให้เป็นภาษาบาลีเมื่ออุปสมบท (ส่วนคําว่า “นาม/ฉายา”ใช้กับสามัญชน, “พระนาม” = ชื่อ ใช้กับพระบรมวงศานุวงศ์)

76.
(1) กําหนด
(2) หมายกําหนด
(3) กําหนดการ
(4) หมายกําหนดการ
ตอบ 4
หมายกําหนดการ = หมายรับสั่งที่ใช้กับงานพระราชพิธีที่มีเอกสารแจ้งกําหนดขั้นตอนของงาน โดยอ้างถึงพระบรมราชโองการ (ส่วนคําว่า “กําหนด” = หมายไว้ ตราไว้, “หมายกําหนด” ไม่มีบัญญัติไว้ในพจนานุกรม, “กําหนดการ” = รายการต่าง ๆ ที่กําหนดไว้ในงานหรือพิธี ใช้กับงานทั่วไปที่พระราชวงศ์ บุคคลสําคัญ ราชการหรือเอกชนจัดขึ้น)

77.
(1) บําเพ็ญ
(2) ทรงบําเพ็ญ
(3) พระราชบําเพ็ญ
(4) ทรงพระราชบําเพ็ญ
ตอบ 2
พระราชพิธีทรงบําเพ็ญพระราชกุศลสตมวาร (100 วัน) ถวายพระบรมศพ = พระราชวงศ์ชั้นสูงทําบุญถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระมหากษัตริย์ที่เสด็จสวรรคตครบ 100 วัน

78.
(1) กุศล
(2) พระกุศล
(3) พระราชกุศล
(4) พระมหากุศล
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ

79.
(1) สตมวาร
(2) สัตตมวาร
(3) ปัณรสมวาร
(4) ปัญญาสมวาร
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ

80.
(1) ถวายพระบรมศพ
(2) ถวายพระศพ
(3) ทรงถวายพระบรมศพ
(4) ทรงถวายพระศพ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ

ข้อ 81 – 91. อ่านข้อความต่อไปนี้แล้วตอบคําถาม

จากความใกล้ชิดกับบรรดาพ่อแม่ที่มีลูกโต (7 ปีขึ้นไปถึงวัยรุ่น) นิตยสาร Life & family บ่อยครั้งก็ได้รับเสียงสะท้อนจากพ่อแม่ว่า ลูกยิ่งโตยิ่งได้รับอิทธิพลจากสื่อทั้งทีวี เพลง มิวสิกวิดีโอ นิตยสาร และอื่น ๆ ทําให้ค่านิยมเปลี่ยนไปในทางที่น่าเป็นห่วงโดยเฉพาะลูกสาววัยรุ่น

เราจึงได้นําเสนอประเด็นนี้ในคอลัมน์รู้จักใจลูกวัย 13 ปีขึ้นไปถึงวัยรุ่น เพื่อสะกิดเตือนพ่อแม่ และผู้ใหญ่ให้เห็นอิทธิพลของสื่อเละทางป้องกัน และนํามาส่งสัญญาณเตือนกันอีกครั้ง ณ ที่นี้ค่ะ

สังคมทุกวันนี้ผสมผสานคลุกเคล้าทั้งวัฒนธรรมไทยวัฒนธรรมต่างชาติจนทั้งเด็กผู้ใหญ่ก็สับสนกัน พอสมควร โดยเฉพาะค่านิยมทางเพศ ผู้หญิงกล้าแสดงออกมากขึ้น เปิดเผยมากขึ้น และก็มีเซ็กซ์กันง่ายขึ้นด้วย

มีงานวิจัยออกมามากว่า วัยรุ่นมากกว่าครึ่งยอมรับว่าการมีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนเป็นเรื่องธรรมดา หรือค่านิยมใหม่นักศึกษาสาวชอบหลอกฟันหนุ่มบําเรอกาม

ค่านิยมเหล่านี้เข้ามาในสังคมบ้านเราในยุคที่เปิดกว้างรับทุกอย่าง โดยไหลผ่านสื่อเข้ามา และความสามารถในการกรองสื่อของเด็กก็เป็นไปแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ

เรื่องนี้คุณหมอสุกมล วิภาวิพลกุล ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเพศศึกษาได้กล่าวว่า ที่น่าห่วงคือ สื่อต่าง ๆ มีอิทธิพลต่อเด็กและวัยรุ่นในเรื่องของทัศนคติทางเพศ โดยเฉพาะในรูปแบบของโฆษณา ซึ่งสมัยก่อนหญิงชาย จะแตะเนื้อต้องตัวกันไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้ในโฆษณามีภาพการเล้าโลมสัมผัสหรือฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายเริ่มต้นจีบผู้ชาย ซึ่งตรงนี้จะทําให้ทัศนคติของวัยรุ่นค่อย ๆ เปลี่ยนไป ค่อย ๆ ซึมซับ มองเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา
แล้วในขณะที่สื่อพวกนี้มาแรง สื่อทางวัฒนธรรมไทยก็อ่อนกําลังลง คําพูดที่ว่า อย่าชิงสุกก่อนห่าม ให้อดเปรี้ยวไว้กินหวาน หมดความหมายไปแล้ว ความงาม ที่น่าห่วงคือเด็กยังคิดไปไม่ได้ไกล คิดแต่โป๊อีกนิดสิอินเทรนด์ หรือแค่จีบเล่น ๆ ไม่เห็นเป็นไร แต่ยังไม่ทันคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

คุณหมอแนะว่า ต้องสอนลูกวัยรุ่นให้มีความเป็นตัวของตัวเอง รู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง และมีวุฒิภาวะ ซึ่งเป็นความสามารถของสมองส่วนคิดที่มีเหนือกว่าสมองส่วนหยาบ เด็กต้องได้รับการพัฒนา ความสามารถของสมองส่วนคิด ซึ่งเกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ การศึกษาที่โรงเรียน วัฒนธรรม และ สื่อมวลชน

เพราะสิ่งเร้าอารมณ์ทั้งหลายมันกระตุ้นสมองส่วนหยาบ
ดังนั้นพ่อแม่ต้องเลี้ยงดูลูกให้รู้จักควบคุมสมองส่วนหยาบ ถ้าเด็กอยากได้อะไรแล้วได้ทันที รอไม่เป็น จะสอนให้เขาควบคุมในเรื่องเพศได้อย่างไร ฝึกลูกให้มีวิจารณญาณต่อเรื่องต่าง ๆ รอบตัว โดยเฉพาะที่มากับสื่อรายการ และต้องเลี้ยงลูกให้ตระหนักในคุณค่าของตัวเอง ไม่ให้ลูกรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่าเพราะเพื่อน ๆ มีแฟนกันหมดแล้วตัวเองไม่มี หรือต้องให้มีผู้ชายมารับเพื่อจะได้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า หรือเกิดผู้ชายทิ้งไปแล้ว รู้สึกคุณค่าในตัวเองลดลงจนต้องฆ่าตัวตาย

ความรักความอบอุ่นของพ่อแม่จะทําให้ลูกรู้สึกตัวเองมีคุณค่า และยิ่งพ่อแม่ทําตัวเป็นเพื่อนกับลูก ลูกก็จะกล้าคุยปรึกษาหารือปัญหาต่าง ๆ กับพ่อแม่ โดยเฉพาะเรื่องเพศ พ่อแม่อาจบอกลูกสาวว่า “ลูกคือ เด็กผู้หญิงที่พ่อแม่รักที่สุดในโลก พ่อแม่จึงอยากให้ลูกรักษาเนื้อรักษาตัว โดยการไม่พาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง เพราะถ้าลูกเป็นอะไรไปคุณพ่อคุณแม่หัวใจแตกสลาย”
และกับลูกชายอาจบอกว่า “ลูกคือเด็กหนุ่มที่พ่อแม่ภาคภูมิใจ เพราะฉะนั้นจึงอยากให้ลูกตั้งใจ เรียนเพื่อรับผิดชอบตัวเองและสามารถรับผิดชอบคนที่จะมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกันกับเราได้ รักพี่สาว รักคุณแม่ อย่างไรเราต้องให้เกียรติสุภาพสตรีคนอื่นเช่นเดียวกัน”

เราสามารถใช้สื่อต่าง ๆ เป็นตัวจุดชนวนเปิดประเด็นที่จะคุยกับลูก แล้วฟังเขา หรือฉวยโอกาส สอน เช่น เมื่อมีฉากกอดจูบ เราอาจบอกลูกสาวว่าการกอดจูบเป็นวัฒนธรรมต่างประเทศ เราไม่กอดกัน เพราะว่าเราเป็นเมืองร้อน แล้วเราก็ไม่จูบกันเพราะว่าคนไทยกินอาหารรสจัด แล้วก็แลกเปลี่ยนความคิดกัน

หากลูกมองเห็นคุณค่าในตัวเอง และมีวิจารณญาณกับเรื่องต่าง ๆ รอบตัวแล้ว แม้สิ่งเร้า ภายนอกจะแรงแค่ไหนก็ไหวได้แค่กิ่งใบ ไม่สามารถหักกลางลําได้แน่ค่ะ

(จากเรื่อง วัยรุ่นหญิงไทยใจกล้า เกินงาม)? คอลัมน์ Life & Family หนังสือพิมพ์มติชน)

81. สิ่งใดมีผลต่อค่านิยมที่เปลี่ยนไปของวัยรุ่น
(1) การศึกษาขั้นพื้นฐาน
(2) การศึกษาในระดับอุดมศึกษา
(3) สังคมวัตถุนิยม
(4) ความสามารถในการกรองสื่อ
ตอบ 4 จากข้อความ ลูกยิ่งโตยิ่งได้รับอิทธิพลจากสื่อทั้งทีวี เพลง มิวสิกวิดีโอ นิตยสาร และอื่น ๆทําให้ค่านิยมเปลี่ยนไปในทางที่น่าเป็นห่วงโดยเฉพาะลูกสาววัยรุ่น ค่านิยมเหล่านี้เข้ามาในสังคมบ้านเราในยุคที่เปิดกว้างรับทุกอย่าง โดยไหลผ่านสื่อเข้ามา และความสามารถในการกรองสื่อของเด็กก็เป็นไปแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ

82. สังคมที่คลุกเคล้าวัฒนธรรมมีผลเชิงลบต่อกลุ่มใด
(1) เด็ก
(2) เยาวชน
(3) ผู้ใหญ่
(4) ทุกกลุ่ม
ตอบ 4 จากข้อความ สังคมทุกวันนี้ผสมผสานคลุกเคล้าทั้งวัฒนธรรมไทยวัฒนธรรมต่างชาติจนทั้งเด็กผู้ใหญ่ก็สับสนกันพอสมควร โดยเฉพาะค่านิยมทางเพศ ผู้หญิงกล้าแสดงออกมากขึ้นเปิดเผยมากขึ้น และก็มีเซ็กซ์กันง่ายขึ้นด้วย

83. ความสามารถในการกรองสื่อ หมายถึงลักษณะใด
(1) การวิจารณ์
(2) การวิเคราะห์
(3) การประเมิน
(4) การประมาณ
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 81. ประกอบ) ความสามารถในการกรองสื่อ หมายถึง การรู้จักวิเคราะห์ใคร่ครวญ กลั่นกรองเนื้อหาของสื่อต่าง ๆ เพื่อแยกแยะค่านิยมที่ดี-ไม่ดีให้ถ่องแท้

84. สิ่งใดมีผลต่อพฤติกรรมที่สมควรของวัยรุ่น
(1) สติ
(2) ความรู้
(3) การคิดเป็น
(4) ความสามารถในการรับรู้
ตอบ 3 จากข้อความ เด็กต้องได้รับการพัฒนาความสามารถของสมองส่วนคิด ซึ่งเกิดจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ การศึกษาที่โรงเรียน วัฒนธรรม และสื่อมวลชน (สมองส่วนคิดในที่นี้คือ การคิดเป็น ซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมที่สมควรของวัยรุ่น)

85. เราควรทําอย่างไรกับสมองส่วนหยาบ
(1) จํากัด
(2) กําจัด
(3) พัฒนา
(4) ฝึกทักษะ
ตอบ 1 จากข้อความ เพราะสิ่งเร้าอารมณ์ทั้งหลายมันกระตุ้นสมองส่วนหยาบ ดังนั้นพ่อแม่ต้องเลี้ยงดูลูกให้รู้จักควบคุมสมองส่วนหยาบ ถ้าเด็กอยากได้อะไรแล้วได้ทันที รอไม่เป็น จะสอนให้เขาควบคุม ในเรื่องเพศได้อย่างไร… (การควบคุมสมองส่วนหยาบในที่นี้คือ การกํากับดูแลหรือจํากัดความสามารถของสมองส่วนหยาบไม่ให้เหนือกว่าสมองส่วนคิด)

86. ผู้ที่ทําร้ายจนถึงขั้นทําลายตนเองได้เกิดจากอะไร
(1) สังคมกดดัน
(2) พ่อแม่บีบคั้น
(3) ความรู้สึกว่าตนด้อยค่า
(4) การไม่รักตนเอง
ตอบ 3 จากข้อความ และต้องเลี้ยงลูกให้ตระหนักในคุณค่าของตัวเอง ไม่ให้ลูกรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า เพราะเพื่อน ๆ มีแฟนกันหมดแล้วตัวเองไม่มี หรือต้องให้มีผู้ชายมารับเพื่อจะได้รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า หรือเกิดผู้ชายทิ้งไปแล้วรู้สึกคุณค่าในตัวเองลดลงจนต้องฆ่าตัวตาย

87. ข้อใดตรงกับข้อสรุปของข้อความที่ให้อ่าน
(1) เลี้ยงลูกให้ถูกวิธีจะปิดกั้นอิทธิพลลบจากสื่อได้เด็ดขาด
(2) วัยรุ่นอาจหวั่นไหวด้วยอิทธิพลจากสื่อได้บ้าง แต่การเลี้ยงดูที่ถูกต้องจะป้องกันได้ (3) สื่อในทางผิด ๆ และวัฒนธรรมไทยที่อ่อนแอลงมีผลต่อพฤติกรรมวัยรุ่นอย่างไม่มีทางป้องกัน
(4) การแก้ไขพฤติกรรมวัยรุ่นเป็นเรื่องสายเกินแก้เสียแล้ว
ตอบ 2
จากข้อความ หากลูกมองเห็นคุณค่าในตัวเอง และมีวิจารณญาณกับเรื่องต่าง ๆ รอบตัวแล้ว แม้สิ่งเร้าภายนอกจะแรงแค่ไหนก็ไหวได้แค่กิ่งใบ ไม่สามารถหักกลางลําได้แน่ค่ะ

88. ข้อความที่ให้อ่านจัดเป็นวรรณกรรมประเภทใด
(1) ข่าว
(2) บทความ
(3) บทอภิปราย
(4) เรื่องสั้น
ตอบ 2
บทความ คือ งานเขียนที่มีการนําเสนอข้อมูลที่ได้มาจากเอกสารทางวิชาการหรือผลงานการวิจัย ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงหรือข้อคิดเห็นเพื่อให้ข้อมูลหรือให้ความรู้ และมีการสรุปให้เห็นความสําคัญของเรื่อง พร้อมทั้งเสนอข้อคิดให้ผู้อ่านนําไปพิจารณา

89. แนวเรื่องเป็นไปในลักษณะใด
(1) ให้ข้อมูล
(2) แสดงทัศนะ
(3) วิพากษ์วิจารณ์
(4) ให้ข้อมูลและแสดงทัศนะ
ตอบ 4
แนวเรื่อง คือ จุดประสงค์ของผู้เขียนในเรื่องนี้จะเป็นไปในลักษณะของการให้ข้อมูลและแสดงทัศนะหรือความคิดเห็นไปพร้อม ๆ กัน

90. โวหารการเขียนเป็นแบบใด
(1) บรรยาย
(2) อธิบาย
(3) พรรณนา
(4) อภิปราย
ตอบ 2
โวหารเชิงอธิบาย คือ โวหารที่ใช้ในการชี้แจงเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความรู้ความเข้าใจอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ซึ่งเป็นการให้ความรู้หรือข้อมูลเพียงด้านเดียว อาจจะเป็นด้านบวกหรือด้านลบก็ได้ โดยมีการชี้แจงแสดงเหตุและผล การยกตัวอย่างประกอบ การเปรียบเทียบ และการจําแนกแจกแจง เช่น การอธิบายกฎเกณฑ์ ทฤษฎี และวิธีการต่าง ๆ

91. ท่วงทํานองเขียนเป็นแบบใด
(1) กระชับรัดกุม
(2) เรียบง่ายใช้ภาษาพูดปะปน
(3) สละสลวยสื่อภาพพจน์
(4) มีภาษาต่างประเทศปนอยู่
ตอบ 2
ผู้เขียนใช้ท่วงทํานองเขียนแบบเรียบง่าย คือ ท่วงทํานองเขียนที่ใช้คําง่ายๆชัดเจน การผูกประโยคไม่ซับซ้อน ทําให้อ่านง่ายและเข้าใจได้ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาขบคิดมากนัก แต่จะมีการใช้ภาษาพูดปะปนบ้างในบางย่อหน้า

92. ข้อใดมีคําที่สะกดถูกนําคําที่สะกดผิด
(1) สาปแช่ง ผัดเวร เบญจเพศ
(2) สังเกตุ กระเพรา สิงห์โต
(3) วัยเยาว์ จัดสรร กระเพาะ
(4) บังสกุล บิณฑบาตร เหม็นสาบ
ตอบ 1 คําที่สะกดผิด ได้แก่ ผัดเวร เบญจเพศ สังเกตุ กระเพรา สิงห์โต บังสกุลซึ่งที่ถูกต้องคือ ผลัดเวร เบญจเพส สังเกต กะเพรา สิงโต บังสุกุล

93. ข้อใดสะกดถูกทุกคํา
(1) แค็ตตาล็อก เคาน์เตอร์ เครดิท
(2) เคลิบเคลื้อม ล็อคล้อ บังสกุล
(3) กะทัดรัด เดียรัจฉาน ไดโนเสาร์
(4) คํากิริยา คําวิเศษณ์ ผลัดวันประกันพรุ่ง
ตอบ 3 คําที่สะกดผิด ได้แก่ เครดิท เคลิบเคลื้อม ล็อคล้อ บังสกุล คํากริยา ผัดวันประกันพรุ่ง ซึ่งที่ถูกต้องคือ เครดิต เคลิบเคลิ้ม ล็อกล้อ บังสุกุล คํากริยา ผัดวันประกันพรุ่ง

94. ข้อใดสะกดผิดทุกคํา
(1) ลิขสิทธิ์ ลิงโลด ลําเลิก
(2) ลิปสติก ลิฟต์ โลดลิ่ว
(3) โลกาภิวัฒน์ ลําใย กระทันหัน
(4) ไล่เลียง ไล่เลี่ย ผัดหนี้
ตอบ 3
คําที่สะกดผิด ได้แก่ โลกาภิวัฒน์ ลําใย กระทันหัน ซึ่งที่ถูกต้องคือ โลกาภิวัตน์ ลําไย กะทันหัน

95. ข้อใดมีคําที่สะกดถูกขนาบคําที่สะกดผิด
(1) ออกซิเจน เบรก เต็นท์
(2) กงศุล เทคนิค ไนต์คลับ
(3) ไอศกรีม คอนเสิร์ต สปาเกตตี
(4) โควตา โน๊ตบุ๊ก ช็อกโกแลต
ตอบ 4
คําที่สะกดผิด ได้แก่ กงศุล โน๊ตบุ๊ก ซึ่งที่ถูกต้องคือ กงสุล โน้ตบุ๊ก

96. ข้อใดมีคําที่สะกดถูกสลับกับคําที่สะกดผิด
(1) อนุญาติ ผาสุข กะเพรา เผอเรอ
(2) คลินิก จตุรัส เกล็ดปลา ภาพยนต์
(3) ลายเซ็นต์ ปิคนิค มาตราฐาน ละเอียดละออ
(4) สีสัน รื่นรมย์ โลกาภิวัตน์ ขะมักเขม้น
ตอบ 2
คําที่สะกดผิด ได้แก่ อนุญาติ ผาสุข จตุรัส ภาพยนต์ ลายเซ็นต์ ปิคนิค มาตราฐาน ละเอียดละออ ซึ่งที่ถูกต้องคือ อนุญาต ผาสุก จัตุรัส ภาพยนตร์ ลายเซ็น ปิกนิก มาตรฐาน ละเอียดลออ

ข้อ 97. – 100. ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้แล้วตอบคําถาม
(1) ร้อนอาสน์ นกสองหัว ฆ้องปากแตก
(2) ดีดลูกคิดรางแก้ว ชิงสุกก่อนห่าม ปิ้งปลาประชดแมว
(3) ชั่วนาตาปี ฆ่าควายอย่าเสียดายพริก น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก
(4) น้ำขึ้นให้รีบตัก หมากัดอย่ากัดตอบ รักดีหามชั่ว รักชั่วหามเสา

97. ข้อใดมีแต่สํานวน
ตอบ 1
ข้อแตกต่างของสํานวน คําพังเพย และสุภาษิต มีดังนี้

1. สํานวน หมายถึง ถ้อยคําที่เรียบเรียงขึ้นอย่างกะทัดรัด ใช้คําน้อยแต่กินความหมายมากและเป็นความหมายโดยนัยหรือโดยเปรียบเทียบ เช่น ร้อนอาสน์ (มีเรื่องเดือดร้อนทําให้ อยู่เฉยไม่ได้), นกสองหัว (คนที่ทําตัวฝักใฝ่เข้าด้วยทั้ง 2 ฝ่ายที่ไม่เป็นมิตรกัน โดยหวังเพื่อประโยชน์ตน), ฆ้องปากแตก (ปากโป้ง เก็บความลับไม่อยู่), ชั่วนาตาปี (ตลอดปี) เป็นต้น

2. คําพังเพย หมายถึง ถ้อยคําที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อตีความ สรุปเหตุการณ์ สภาวการณ์ บุคลิกและอารมณ์ให้เข้ากับเรื่อง มีความหมายกลาง ๆ ไม่เน้นการสั่งสอน แต่แฝงคติเตือนใจ ให้นําไปปฏิบัติหรือไม่ให้นําไปปฏิบัติ เช่น ดีดลูกคิดรางแก้ว (คิดถึงผลที่จะได้อยู่ทางเดียว), ชิงสุกก่อนห่าม (ทําสิ่งที่ยังไม่สมควรแก่วัยหรือยังไม่ถึงเวลา มักหมายถึงการลักลอบได้เสียกันก่อนแต่งงาน), ปิ้งปลาประชดแมว (ทําประชดหรือแดกดัน ซึ่งรังแต่จะเสียประโยชน์), ฆ่าควายอย่าเสียดายพริก (ทําการใหญ่ไม่ควรตระหนี่) เป็นต้น

3. สุภาษิต หมายถึง ถ้อยคําที่เรียบเรียงขึ้นเพื่อสั่งสอนโดยตรง ซึ่งอาจเป็นคติ ข้อติติง คําจูงใจ หรือคําห้าม และเนื้อความที่สั่งสอนก็เป็นความจริง เป็นความดีที่ยอมรับกันโดยทั่วไป เช่น น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก (แม้ไม่พอใจก็ควรแสดงสีหน้ายิ้มแย้ม), น้ำขึ้นให้รีบตัก (มีโอกาสดี ควรรีบทํา), หมากัดอย่ากัดตอบ (อย่าลดตัวลงไปต่อสู้หรือต่อปากต่อคํากับคนพาลหรือ คนที่มีศักดิ์ต่ำกว่า), รักดีหามชั่ว รักชั่วหามเสา (ใฝ่ดีมีความสุขความเจริญ ใฝ่ชั่วก็จะได้รับ ความลําบาก) เป็นต้น

98. ข้อใดมีแต่คําพังเพย
ตอบ 2
ดูคําอธิบายข้อ 97. ประกอบ

99. ข้อใดเป็นสุภาษิตทั้งหมด
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 97. ประกอบ

100. ข้อใดเรียงลําดับถูกต้องตั้งแต่สํานวน คําพังเพย และสุภาษิต
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 97. ประกอบ

101. ข้อใดมีความหมายว่า “คนที่ชอบพูดเอะอะแสดงว่าเก่งแต่ไม่กล้าจริง”
(1) หมาในรางหญ้า
(2) หมาเห่าใบตองแห้ง
(3) เอามือซุกหีบ
(4) ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก
ตอบ 2
หมาเห่าใบตองแห้ง = คนที่ชอบพูดเอะอะแสดงว่าเก่งแต่ไม่กล้าจริง (ส่วนหมาในรางหญ้า =คนที่หวงแหนสิ่งที่ตนเองกินหรือใช้ไม่ได้ แต่ไม่ยอมให้คนอื่นกินหรือใช้, เอามือซุกหีบ = หาเรื่องเดือดร้อนหรือความลําบากใส่ตัวโดยใช่ที่, ละเลงขนมเบื้องด้วยปาก = ดีแต่พูดแต่ทําไม่ได้)

102. ข้อใดมีความหมายว่า “ทํางานไม่ประสานกัน”
(1) พายเรือทวนน้ำ
(2) พายเรือในอ่าง
(3) พายเรือคนละที
(4) พายเรือในหนอง
ตอบ 3
พายเรือคนละที่ = ทํางานไม่ประสานกัน (ส่วนพายเรือทวนน้ำ = ทําด้วยความยากลําบาก พายเรือในอ่าง/พายเรือในหนอง = คิด ทํา หรือพูดวกวนกลับไปกลับมา)

103. “น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ” มีความหมายตรงกับข้อใด
(1) อย่าขวางผู้ที่มีอํานาจหรือผู้ที่กําลังโกรธจัด
(2) อย่าพูดหรือทําขวาง ๆ ให้งานเขวออกนอกเรื่อง
(3) อย่าทําอะไรที่ไม่ถูกต้องในทํานองคลองธรรม
(4) อย่าทําอะไรที่ไม่ถูกวิธีอาจทําให้ได้รับความลําบาก
ตอบ 1
น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ = อย่าขัดขวางผู้ที่มีอํานาจหรือผู้ที่กําลังโกรธจัด

104. ตํารวจ…………ไม่ให้ประชาชนเข้าไปในที่เกิดเหตุไฟไหม้
(1) กัน
(2) กั้น
(3) กีดกัน
(4) กีดกั้น
ตอบ 1
คําว่า “กัน” = กีดขวางไว้ไม่ให้เข้ามาหรือออกไป หรือไม่ให้เกิดมีขึ้น (ส่วนคําว่า “กั้น”= กีดขวางหรือทําสิ่งกีดขวางเพื่อบัง คั่น หรือกันไว้ไม่ให้เข้ามา, “กีดกัน” = กันไม่ให้ทําได้โดยสะดวก, “กีดกั้น” – ขัดขวางไว้)

105. อาการที่กินของพร่ำเพรื่อทีละเล็กทีละน้อย เรียกว่า
(1) กินจุกจิก
(2) กินจุกกินจิก
(3) กินจุบกินจิบ
(4) กินกระจุกกระจิก
ตอบ 3
คําว่า “จุบจิบ/กินจุบกินจิบ” = อาการที่กินของพร่ำเพรื่อทีละเล็กทีละน้อย(ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคําที่เขียนผิด)

106. ผู้ใหญ่บ้าน……. เงินสร้างศาลา
(1) เรี่ยไร การเปรียน
(2) เรี่ยราย การเปรียน
(3) เรี่ยไร การเปรียญ
(4) เรี่ยราย การเปรียญ
ตอบ 3
คําว่า “เรี่ยไร” = ขอร้องให้ช่วยออกเงินทําบุญตามสมัครใจ, “ศาลาการเปรียญ” = ศาลาวัดสําหรับพระสงฆ์แสดงธรรม (ส่วนคําว่า “เรี่ยราย” = กระจายเกลื่อนไป, “การเปรียน” เป็นคําที่เขียนผิด)

107. เจ้าหน้าที่กําลัง………เพื่อทํา…………
(1) ลาดยางถนน ถนนลาดยาง
(2) ราดยางถนน ถนนราดยาง
(3) ลาดยางถนน ถนนราดยาง
(4) ราดยางถนน ถนนลาดยาง
ตอบ 4
คําว่า “ราดยางถนน” = อาการที่เทยางมะตอยที่ผสมกับหินหรือทรายให้กระจายแผ่ไปหรือให้เรี่ยรายไปทั่วเพื่อทําถนน, “ถนนลาดยาง” = ใช้เรียกถนนที่ปูผิวจราจรด้วยยางมะตอยผสม กับหินหรือทราย (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคําที่เขียนผิด)

108. ฉันจะรีบไป…….แต่งหน้า…….เดี๋ยวจะได้มากับเธอ
(1) ผลัดแป้ง ผลัดเปลี่ยน
(2) ผลัดแป้ง ผัดเปลี่ยน
(3) ผัดแป้ง ผลัดเปลี่ยน
(4) ผัดแป้ง ผลัดเปลี่ยน
ตอบ 4
คําว่า “ผัดแป้ง/ผัดหน้า” = เอาแป้งลูบที่หน้าเพื่อให้หน้านวล, “ผลัดเปลี่ยน” = ผลัดกันประจําหน้าที่ เช่น ผลัดเปลี่ยนเวรยาม (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคําที่เขียนผิด)

109. มี………เล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับการขอด……….มาเล่าให้ฟัง
(1) เกร็ด เกล็ดปลา
(2) เกร็ด เกร็ดปลา
(3) เกล็ด เกล็ดปลา
(4) เกล็ด เกร็ดปลา
ตอบ 1
คําว่า “เกร็ด” = ส่วนย่อยหรือส่วนเบ็ดเตล็ด ซึ่งเป็นเรื่องสนุกหรือน่าสนใจที่เล่าหรือเขียนถึงเหตุการณ์สั้น ๆ “เกล็ดปลา” = ส่วนที่เป็นแผ่น ๆ ซ้อนเหลื่อมกันห่อหุ้มตัวปลา(ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคําที่เขียนผิด)

110. เขามีรูปร่างสูง……….มีฐานะดี คุณสมบัติ……….ทุกอย่าง
(1) เพียว เพียบพร้อม
(2) เพียว เพรียบพร้อม
(3) เพรียว เพียบพร้อม
(4) เพรียว เพรียบพร้อม
ตอบ 3
คําว่า “เพรียว” = เปรียว ฉลวย เรียว เช่น รูปร่างสูงเพรียว, “เพียบพร้อม” = เต็มเปี่ยมครบทุกอย่าง (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคําที่เขียนผิด)

111. วันนี้ฝนตก…….ข้าว…….. คงสดชื่นขึ้นมาได้
(1) ปรอย ๆ นาปรัง
(2) ปอย ๆ นาปรัง
(3) ปรอย ๆ นาปลัง
(4) บ่อย ๆ นาปลัง
ตอบ 1
คําว่า “ปรอย ๆ” = ที่ตกเป็นระยะ ๆ ไม่หนาเม็ด (ใช้กับฝน) เช่น ฝนตกปรอย ๆ, “นาปรัง” = นาที่ทําในฤดูแล้งนอกฤดูทํานา (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นคําที่เขียนผิด)

ข้อ 112. – 114. ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้แล้วตอบคําถาม

(1) ใช้คํากํากวม
(2) ใช้คําฟุ่มเฟือย
(3) ใช้คําผิดความหมาย
(4) ใช้สํานวนต่างประเทศ

112. “เพลงนี้ถูกขอมามากในรายการ ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
ตอบ 4
การใช้คําตามแบบภาษาไทย คือ การให้ข้อความที่ผูกขึ้นมีลักษณะเป็นภาษาไทย ไม่เลียนแบบภาษาต่างประเทศ ซึ่งจะทําให้ข้อความกะทัดรัด เข้าใจง่าย และไม่เคอะเขิน เช่น เพลงนี้ถูกขอมามากในรายการ (ใช้สํานวนต่างประเทศ) จึงควรแก้ไขให้ ถูกต้องเป็น เพลงนี้มีผู้ขอมามากในรายการ (คําว่า “ถูก” ในภาษาไทยมักใช้ในความหมาย ที่ไม่น่ายินดี เช่น เขาถูกด่า เธอถูกไล่ออก)

113. “นักมวยฝ่ายแดงชกเข้าตากรรมการ” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
ตอบ 1
การใช้คําที่มีความหมายหลายอย่างจะต้องคํานึงถึงถ้อยคําแวดล้อมด้วยเพื่อให้เกิดความแจ่มชัด ไม่กํากวม เพราะคําชนิดนี้ต้องอาศัยถ้อยคําซึ่งแวดล้อมอยู่เป็น เครื่องช่วยกําหนดความหมาย เช่น นักมวยฝ่ายแดงชกเข้าตากรรมการ (ใช้คํากํากวม) จึงควรแก้ไขให้มีความหมายแน่ชัดลงไปเป็น นักมวยฝ่ายแดงชกคู่ต่อสู้ได้อย่างเข้าตากรรมการ (คําว่า “เข้าตา” = เห็นว่าดีและพอใจ)

114. “วันเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำ วันพระจันทร์เต็มดวง” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
ตอบ 2
การใช้คําฟุ่มเฟือยหรือการใช้คําที่ไม่จําเป็น จะทําให้คําโดยรวมไม่มีน้ำหนักและข้อความก็จะขาดความหนักแน่น ไม่กระชับรัดกุม เพราะเป็นคําที่ไม่มีความหมาย อะไร แม้ตัดออกไปก็ไม่ได้ทําให้ความหมายของข้อความนั้นเปลี่ยนแปลงไป แต่กลับทําให้ดูรุงรัง ยิ่งขึ้น เช่น วันเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำ วันพระจันทร์เต็มดวง (ใช้คําฟุ่มเฟือย) จึงควรแก้ไขให้ถูกต้อง โดยใช้เพียง วันเพ็ญขึ้นสิบห้าค่ำ (คําว่า “วันเพ็ญ” = วันกลางเดือนนับตามจันทรคติ คือ วันที่พระจันทร์ขึ้นเต็มดวง)

115. ประโยคใดวางส่วนขยายผิดที่
(1) ข้อสอบวิชาภาษาไทยไม่ง่ายเหมือนที่ฉันคิดไว้เลย
(2) มหาวิทยาลัยรามคําแหงมีการเรียนการสอนแบบตลาดวิชา
(3) อาทิตย์หน้าฉันกับเพื่อน ๆ จะไปทัศนศึกษาที่จังหวัดเพชรบูรณ์
(4) กรรมการประจําตึกสอบแจ้งให้นักศึกษาทราบเรื่องกฎระเบียบในห้องสอบ
ตอบ 4
การเรียงลําดับประโยคให้ถูกที่ คือ การวางประธาน กริยา กรรม และส่วนขยายให้ตรงตามตําแหน่ง เพราะหากวางไม่ถูกที่จะทําให้ข้อความนั้นไม่ชัดเจน หรือมีความหมายไม่ตรงกับที่เราต้องการ เช่น กรรมการประจําตึกสอบแจ้งให้นักศึกษาทราบเรื่องกฎระเบียบในห้องสอบ (เรียงลําดับประโยคไม่ถูก หรือวางส่วนขยายผิดที่) จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น กรรมการประจําตึกสอบแจ้งเรื่องกฎระเบียบในห้องสอบให้นักศึกษาทราบ

116. “ข้าพเจ้าจะตั้งใจเรียนหนังสือ” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
(1) ใช้คําขยายไม่ถูกต้อง
(2) วางส่วนขยายผิดที่
(3) ใช้สํานวนต่างประเทศ
(4) ใช้คําต่างศักดิ์กัน
ตอบ 4 หน้า 6 (54351) คําในภาษาไทยมีระดับไม่เท่ากัน หรือเรียกว่ามีศักดิ์ต่างกัน หมายถึง มีการแบ่งคําออกไปใช้ในที่สูงต่ำต่างกันตามความเหมาะสม เช่น ข้าพเจ้าจะตั้งใจเรียนหนังสือ (ใช้คําต่างศักดิ์กัน) จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น ฉันจะตั้งใจเรียนหนังสือ

117. ข้อใดใช้ภาษาเขียน
(1) เธอเป็นคนดีมาก ๆ
(2) ยังไงฉันก็จะรอเขาอยู่ที่นี่
(3) เขาเป็นเพื่อนของฉัน
(4) เมื่อไหร่เขาจะมาเสียที
ตอบ 3 ระดับของคําในภาษาไทยมีศักดิ์ต่างกัน เวลานําไปใช้ ก็ใช้ในที่ต่างกัน ดังนั้นจึงต้องพิจารณาใช้คําให้เหมาะสม กล่าวคือ
1. คําที่ใช้ในโอกาสที่เป็นทางการ ได้แก่ คําที่ใช้ในภาษาแบบแผน หรือภาษาเขียนของทางราชการ เช่น เขาเป็นเพื่อนของฉัน ฯลฯ
2. คําที่ใช้ในโอกาสที่ไม่เป็นทางการ ได้แก่ คําที่ใช้ในภาษาพูด หรือการเขียนจดหมายส่วนตัวถึงบุคคลที่สนิทสนมกัน เช่น ยังไงฉันก็จะรอเขาอยู่ที่นี่, เมื่อไหร่เขาจะมาเสียที ฯลฯ ซึ่งใน บางครั้งก็มักจะใช้คําซ้ำ เช่น เธอเป็นคนดีมาก ๆ ฯลฯ หรือตัดคําให้สั้นลง เช่น มะม่วงสุกโลละกี่บาท, ฉันเรียนอยู่ที่คณะวิศวะ ฯลฯ

118. “ถนนในกรุงเทพฯ เต็มไปด้วยรถยนต์ส่วนตัว” ประโยคนี้ตรงกับข้อใด
(1) ใช้คําขยายไม่ถูกต้อง
(2) วางส่วนขยายผิดที่
(3) ใช้สํานวนต่างประเทศ
(4) ใช้คําผิดความหมาย
ตอบ 3
(ดูคําอธิบายข้อ 112. ประกอบ) ข้อความที่ว่า ถนนในกรุงเทพฯ เต็มไปด้วยรถยนต์ส่วนตัว (ใช้สํานวนต่างประเทศ) จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น ถนนในกรุงเทพฯ มีรถยนต์ส่วนตัวเต็มไปหมดเป็นต้น

119. คําว่า “สร้างสระน้ำเป็นรูปสระโอ” คําที่ขีดเส้นใต้เป็นคําประเภทใด
(1) คําเหมือน
(2) คําพ้องรูป
(3) คําพ้องเสียง
(4) คําไวพจน์
ตอบ 2
คําพ้องรูป คือ คําที่เขียนเหมือนกัน แต่ความหมายและการออกเสียงจะต่างกันดังนั้นจึงต้องออกเสียงให้ถูกต้อง เพราะหากออกเสียงผิด ความหมายก็จะผิดไปด้วย เช่น คําว่า “สระ” คําแรก (อ่านว่า สะ) = แอ่งน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเองหรือคนขุด, “สระ” คําต่อมา (อ่านว่า สะหระ) = ตัวอักษรที่ใช้แทนเสียงสระ เช่น ะ า เรียกว่า รูปสระ เป็นต้น

120. หน่วยงานใดเป็นผู้จัดทําพจนานุกรม
(1) สํานักนายกรัฐมนตรี
(2) ราชบัณฑิตยสภา
(3) ราชบัณฑิตยสถาน
(4) กระทรวงศึกษาธิการ
ตอบ 3
ราชบัณฑิตยสถาน เป็นส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรีมีฐานะเป็นกรม เป็นหน่วยงานที่จัดทําพจนานุกรม ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมคําที่มีใช้อยู่ใน ภาษาไทย โดยจะให้ความรู้และกําหนดในเรื่องอักขรวิธี (บอกคําเขียน) การออกเสียงคําอ่าน (บอกคําอ่าน) และนิยามความหมาย (บอกความหมาย) ตลอดจนบอกประวัติของคําเท่าที่จําเป็น ซึ่งพจนานุกรมฉบับทางการที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554

WordPress Ads
error: Content is protected !!