THA1003 การเตรียมเพื่อการพูดและการเขียน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา THA 1003 การเตรียมเพื่อการพูดและการเขียน
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. ทําไมการพูดจึงมีความสําคัญในชีวิตประจําวัน
(1) เพื่อการใช้ภาษาในการสื่อสาร
(2) เพื่อความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ
(3) เพื่อความเข้าใจระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3
การพูดนับเป็นการสื่อสารที่มีความสําคัญต่อชีวิตประจําวัน ชีวิตความเป็นอยู่ และการประกอบอาชีพของมนุษย์เป็นอันมาก เพราะมนุษย์จะต้องใช้การพูด โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง ซึ่งถ้าสื่อสารเข้าใจกันได้ดีการกระทํากิจการงานต่าง ๆ จะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

2. “คนที่เกิดมาพูดเก่ง หรือเสียงดีก็ใช่ว่าจะต้องเหนือกว่าคนพูดไม่เก่ง หรือเสียงไม่ดี ขอเพียงฝ่ายหลังมานะพยายาม ฝึกอบรมพูดอย่างมีหลักเกณฑ์ และเป็นไปตามขั้นตอนเท่านั้นก็พูดเก่งได้” เกี่ยวข้องกับ เรื่องใดเป็นสําคัญ
(1) วาทศาสตร์
(2) วาทศิลป์
(3) ศาสตร์และศิลป์ในการพูด
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
ข้อความที่ เรศ นโรปกรณ์ กล่าวไว้ข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การที่จะพูดให้ได้ผลจําเป็นต้องฝึกฝนโดยอาศัยหลักวิชาการพูดที่เรียกว่า “วาทการ วาทศาสตร์ หรือวาทศิลป์”ทั้งนี้เพราะการพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่สามารถเรียนรู้และฝึกทักษะได้ ยิ่งฝึกมากความชํานาญในการพูดยิ่งพัฒนาขึ้นตามลําดับ

3. ข้อใดถูกต้องที่สุด
(1) พูดดี คือ การใช้ภาษาได้ดี
(2) พูดดี คือ พูดแล้วทําให้ผู้ฟังเชื่อถือ
(3) พูดเป็นต้องทําให้ผู้ฟังนิยมชมชอบ
(4) พูดเป็น คือ การใช้ปิยวาจา
ตอบ 3
การพูดโดยทั่วไปมีอยู่ 3 ระดับ ได้แก่
1. พูดได้ คือ พูดเป็นประโยคได้ดี รู้จักพูดคุย ซักถาม หรือโต้ตอบได้ 2. พูดเป็น คือ พูดให้ผู้ฟังนิยมชมชอบ เชื่อถือ คล้อยตาม และนําไปปฏิบัติได้ 3. พูดดี คือ การใช้ปิยวาจา หรือวาจาเป็นที่รัก ดูดดื่มน้ําใจ ซาบซึ้งใจ ซึ่งนับว่าเป็นการพูดที่ดีที่สุด

4. ข้อใดคือจุดมุ่งหมายในการพูด
(1) พูดได้ พูดเป็น และพูดดี
(2) ให้ความรู้ โน้มน้าวใจ และสร้างความเพลิดเพลิน
(3) ให้ความรู้ ชี้แนะ และตอบคําถาม
(4) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 4
จุดมุ่งหมายในการพูดโดยทั่วไป มีดังนี้
1. ให้ความรู้หรือข้อเท็จจริง 2. โน้มน้าวจิตใจผู้ฟัง 3. สร้างความบันเทิง ความเพลิดเพลิน หรือจรรโลงใจ 4. แก้ปัญหาหรือตอบคําถามต่าง ๆ 5. แนะนําและชี้แนะเรื่องต่าง ๆ

5. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการทักทายผู้ฟัง
(1) เมื่อทักทายประธานในที่ประชุมสภาฯ ต้องพูดว่า “กราบเรียนท่านประธานที่เคารพ
(2) เมื่อทักทายแฟนเพลงควรใช้คําว่า “สวัสดี แฟนเพลงที่รักของชมพู่”
(3) ทักทายตามสถานการณ์
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
คําปฏิสันถารหรือการกล่าวทักทายผู้ฟังมีอยู่ 2 ชนิด คือ
1. ชนิดที่เป็นพิธีการ จะไม่นิยมใช้คําที่แสดงความรู้สึกปนเข้ามา เช่น คําว่า เคารพนับถือ ที่รัก ฯลฯ มักใช้ในงานที่เป็นทางการ งานรัฐพิธีและศาสนพิธีต่าง ๆ ได้แก่ งานวางศิลาฤกษ์งานแจกวุฒิบัตร คํากล่าวเปิดงาน การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ฯลฯ
2. ชนิดที่ไม่เป็นพิธีการ จะนิยมใช้คําที่แสดงความรู้สึกปนเข้ามาด้วย เพื่อแสดงความเป็นกันเองหรือความใกล้ชิดสนิทสนม มักใช้ในงานที่ไม่เป็นทางการมากนัก ได้แก่ การแสดงคอนเสิร์ตงานวันเกิด การรายงานหน้าชั้นเรียน การแสดงปาฐกถา ฯลฯ

6. เมื่อได้รับเชิญไปพูดในเรื่องที่ไม่ถนัด ท่านควรทําเช่นไร
(1) หาข้อมูลความรู้ในเรื่องนั้นให้มากที่สุด
(2) ขอโทษหรือออกตัวกับผู้ฟัง
(3) ปฏิเสธแล้วพยายามขอพูดในหัวข้อที่ถนัด
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1
เมื่อต้องพูดในเรื่องที่ไม่ถนัดหรือไม่เชี่ยวชาญ นักพูดไม่ควรขอโทษ หรือออกตัวกับผู้ฟังก่อนพูด แต่ควรเตรียมตัวค้นคว้าหาข้อมูลและความรู้ในเรื่องนั้น ๆ ให้พร้อมมากที่สุด โดยสามารถรวบรวมข้อมูลเพื่อการพูดที่ดีได้ ดังนี้ 1. ความรู้และประสบการณ์ของผู้พูดเอง 2. การอ่านหนังสือในห้องสมุด 3. การติดตามข่าวสารที่ทันสมัย ซึ่งเกี่ยวข้องกับหัวข้อที่จะพูด 4. การสนทนากับผู้รู้ 5. การสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่พูด หรือผู้รู้ที่เชี่ยวชาญ

7. ประโยชน์สําคัญของการพิจารณาวัตถุประสงค์ในการพูด คืออะไร
(1) ช่วยให้เตรียมเนื้อหาได้อย่างเพียงพอ
(2) ทําให้การพูดน่าสนใจ
(3) ช่วยในการประเมินผู้ฟัง
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1 ผู้พูดควรจะต้องกําหนดจุดมุ่งหมายในการพูดให้ชัดเจนว่า การพูดครั้งนั้นมีความมุ่งหมายอย่างไร เพราะประโยชน์สําคัญของการพิจารณาวัตถุประสงค์ในการพูดก็คือ เพื่อจะได้เตรียมเนื้อหา เหตุผล ข้ออ้างอิง ถ้อยคําภาษา ฯลฯ ได้อย่างเพียงพอและถูกต้องตาม วัตถุประสงค์ เพราะการพูดด้วยจุดประสงค์และโอกาสที่ต่างกัน ย่อมจะใช้คําปฏิสันถาร เนื้อหาคําลงท้าย และภาษาที่แตกต่างกันไป

8. “ท่านผู้ฟังทุกท่านครับ สําหรับผมเงินไม่สําคัญกับชีวิตแต่จําเป็นครับ” เป็นคํานําแบบใด
(1) กระตุ้นให้คิด
(2) ยกข้อความเร้าใจ
(3) จี้จุดสําคัญ
(4) สําแดงคุณโทษ
ตอบ 3
คํานําหรือการขึ้นต้นแบบจี้จุดสําคัญของเรื่องนั้น ๆ คือ การพุ่งเข้าสู่จุดโดยไม่ต้องอ้อมค้อม เพราะผู้ฟังก็รู้เรื่องอยู่แล้ว เป็นการแสดงทัศนะของผู้พูดเท่านั้น

9. “ท้ายที่สุดนี้ ผมขอย้ำว่าที่ผมอาสามาทํางานก็อาสามารับผิดชอบครับ” เป็นการสรุปเรื่องพูดแบบใด
(1) เชิญชวนให้เข้าใจ
(2) ทิ้งท้ายเป็นภาพเด่นชัด
(3) ประกาศเจตจํานง
(4) ยกอุทาหรณ์
ตอบ 3
การสรุปหรือลงท้ายแบบประกาศเจตจํานงส่วนตัวในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ผู้พูดต้องเป็นคนสําคัญ หรือคนที่กําหัวใจของเรื่องนั้น ๆ อยู่

10. ลักษณะทางจิตวิทยาข้อใดของผู้ฟังที่ผู้พูดต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
(1) กลุ่มอาชีพและกลุ่มสังคม
(2) เชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม
(3) ทัศนคติ ความเชื่อ และคุณค่าที่ผู้ฟังยึดถือ
(4) ความต้องการพื้นฐานของผู้ฟัง
ตอบ 2
ลักษณะทางจิตวิทยาของผู้ฟังที่ผู้พูดต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คือ เชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม เพราะผู้ที่มีเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมที่ต่างกัน ย่อมมีความรู้สึกนึกคิด อุดมการณ์ และความต้องการที่แตกต่างกัน ดังนั้นเวลาไปพูดผู้พูดจึงควรระมัดระวังไม่ไปโจมตีหรือดูหมิ่นถากถางความเชื่อที่ผู้ฟังยึดถือ

11. การฝึกพูดวิธีการใดดีที่สุด
(1) ฝึกพูดโดยมีผู้แนะนํา
(2) ฝึกพูดโดยศึกษาจากทฤษฎีการพูด
(3) ฝึกพูดคนเดียวหน้ากระจก
(4) ฝึกพูดจากบุคลิกของผู้ฝึกซ้อม
ตอบ 1
การฝึกพูดโดยมีผู้แนะนํา คือ มีพี่เลี้ยงหรือครูอาจารย์ดี ๆคอยแนะนําให้เป็นการส่วนตัว หรือจัดเป็นกลุ่ม มีการฝึกพูดกันเป็นประจํา หรือสมัครเข้ารับการอบรมหลักสูตรการพูด ดังนั้นจึงจัดเป็นวิธีฝึกพูดที่ดีที่สุด ทําให้นักพูดมีความก้าวหน้าและเห็นผลได้รวดเร็วที่สุด โดยเฉพาะเมื่อฝึกพูดครั้งแรก เพราะผู้แนะนําจะชี้แจงข้อบกพร่องและให้ข้อแนะนําวิธีพูดที่ถูกต้อง ซึ่งจะทําให้ทราบว่าผู้พูดยังบกพร่องในเรื่องใด และควรปรับปรุงแก้ไขตนเองในข้อใด

12. เคล็ดลับที่สําคัญในการฝึกพูด คือ
(1) กําจัดอาการตื่นเวที
(2) ฝึกนิสัยรักการอ่าน
(3) ปลูกฝังความกล้า
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3
เคล็ดลับในการฝึกหัดพูด ได้แก่ 1. จงปลูกฝังความกล้าหาญทุกขณะที่จะพูด 2. ฝึกหัดพูดคนเดียวให้คล่องและแพรวพราว โดยอาจจะฝึกหน้ากระจกบานใหญ่ 3. จงขจัดความกลัวออกไปจากจิตใจ

13. เมื่อท่านฝึกซ้อมการพูดในระยะเริ่มแรก ท่านจะ
(1) ซ้อมพูดโดยใช้เครื่องบันทึกเสียงตั้งแต่ต้นจนจบ
(2) ซ้อมพูดโดยใช้เครื่องบันทึกเสียงทีละขั้นตอน
(3) ซ้อมพูดโดยใช้วิดีโอตั้งแต่ต้นจนจบ
(4) ซ้อมพูดโดยใช้วิดีโอทีละขั้นตอน
ตอบ 2
การใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการซ้อมพูด มีดังนี้
1. การใช้เครื่องบันทึกเสียง เป็นวิธีฝึกซ้อมพูดในระยะเริ่มแรก ซึ่งจะทําให้ผู้พูดได้รู้ถึงน้ำเสียงของตน แต่ควรจํากัดเวลาด้วย โดยแบ่งการฝึกซ้อมออกเป็นตอนสั้น ๆ และควรฝึกซ้อมทีละขั้นตอนเริ่มจากการกล่าวเปิดก่อน 2. การใช้วิดีโอหรือวีดิทัศน์ เป็นวิธีที่สามารถไว้ใจได้มาก เพราะภาพจากวิดีโอหรือวีดิทัศน์จะบอกผู้ฝึกได้ทั้งลักษณะการพูด ท่าทาง และภาษาท่าทาง แต่วิธีนี้ควรใช้เมื่อได้ผ่านขั้นตอนการฝึกซ้อมอย่างอื่นมาแล้ว

14. ข้อใดคือหลักปฏิบัติในการฝึกพูด
(1) ฝึกหัดพูดคนเดียวให้คล่องและแพรวพราว
(2) ฝึกขจัดความกลัวออกไปจากจิตใจ
(3) ฝึกการพูดให้เป็นสําเนียงการพูด
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3
หลักปฏิบัติในการฝึกพูด มีดังนี้
1. ฝึกตนเองให้รู้จักแสวงหาความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอ 2. ฝึกการพูดให้เป็นสําเนียงภาษาพูด 3. ฝึกความเชื่อมั่นในตัวเอง 4. ฝึกตนให้เป็นคนมีความอดทนอดกลั้นต่ออารมณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ 5. ฝึกการพัฒนาบุคลิกภาพในการพูด

15. ข้อใดคือการฝึกพัฒนาบุคลิกภาพในการพูด
(1) ฝึกการควบคุมอารมณ์
(2) ฝึกการใช้เสียงและท่าทาง
(3) ฝึกจดจําเรื่องราวต่าง ๆ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
การฝึกพัฒนาบุคลิกภาพที่ดีในการพูดมีอยู่ 2 ประการ คือ
1. บุคลิกภาพภายนอก เป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัด จึงแก้ไขได้ง่าย ใช้เวลาฝึกฝนน้อย และ วัดผลได้ทันที ได้แก่ รูปร่าง หน้าตา สีหน้า การแต่งกาย การปรากฏตัว กิริยาท่าทางการสบสายตา การใช้น้ำเสียง จังหวะในการพูด และถ้อยคําภาษา ฯลฯ
2. บุคลิกภาพภายใน เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น จึงแก้ไขได้ค่อนข้างยาก ใช้เวลาฝึกฝนมาก และวัดผลลําบาก ได้แก่ ความมั่นใจ ความเชื่อมั่นในตนเอง ความกระตือรือร้น ความรอบรู้ ความคิดริเริ่ม ความจริงใจ ปฏิภาณไหวพริบ ความรับผิดชอบ ความจํา และอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ เช่น อารมณ์ขัน ฯลฯ

16. ข้อใดคือบุคลิกภาพภายใน
(1) กิริยาท่าทาง
(2) การแต่งกาย
(3) อารมณ์ขัน
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 15. ประกอบ

17. เมื่อท่านต้องขึ้นพูดเพื่อไว้อาลัยต่อการจากไปของบุคคลอันเป็นที่รัก ท่านจะ (1) ใช้สีหน้าสํารวม หรี่ตาลงเล็กน้อย
(2) ใช้สีหน้าวางเฉย ลดสายตาลงต่ำ
(3) ใช้สีหน้าวางเฉย หลับตาลงช้า ๆ
(4) ใช้สีหน้าสํารวม ลดสายตาลงต่ำ
ตอบ 4
เมื่อต้องขึ้นพูดเพื่อไว้อาลัยต่อการจากไปของบุคคลอันเป็นที่รัก ผู้พูดจะต้องแสดงสีหน้าสํารวมเพื่อบ่งบอกถึงความสุขุม ความเชื่อมั่นในการพูด และจะต้องลดสายตาลงเบื้องต่ำ เมื่อต้องการแสดงความสุภาพ ความนับถือ แต่จงระวังอย่าแสดงอาการหลุกหลิก เลิกคิ้ว หลิ่วตาขยับแก้มขยับคางหรือกัดริมฝีปาก เพราะเป็นอากัปกิริยาที่ไม่เรียบร้อย

18. ข้อใดคือการใช้ภาษาท่าทางแบบพื้นฐาน
(1) อย่าให้เสื้อผ้าพูดแทนเนื้อหา
(2) ยิ้ม ยิ้ม และยิ้ม
(3) ใช้ความสงบสยบทุกเหตุการณ์
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
การใช้ภาษาท่าทางในการพูดจะช่วยแก้ไขอาการตื่นเวทีของผู้พูด หรือสามารถเอาชนะความประหม่าได้ ดังนั้นเวลาพูดจึงควรมีการเคลื่อนไหวร่างกายบ้าง แต่ต้องไม่มาก จนก่อให้เกิดความรําคาญแก่ผู้ฟัง จงใช้ท่าทางไปตามธรรมชาติ และการใช้ภาษาท่าทางแบบพื้นฐานที่ผู้พูดจะละเลยไม่ได้ คือ การยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ ซึ่งนับเป็นการสร้างความอบอุ่นต่อการพูด ช่วยสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร และความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ฟัง

19. ข้อใดใช้ภาษามือถูกต้อง
(1) สรยุทธ์อ่านข่าวโทรทัศน์แล้วผายมือ
(2) เชอรี่ชี้หน้านักข่าวที่ตั้งคําถาม
(3) หนูนิดแสดงความจริงจังจึงกํามือ
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3
การใช้ภาษามือต้องใช้ให้เป็นจังหวะ เหมาะกับเรื่องและโอกาส เพื่อบอกจํานวน ขนาด รูปร่าง และทิศทาง ซึ่งจะทําให้การพูดมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น เช่น 1. เมื่อแสดงความหนาแน่นจริงจังให้กํามือ 2. เมื่อแสดงความเป็นมิตรหรือบริสุทธิ์ใจให้แบมือทั้ง 2 ข้างแล้วผายออก 3. เมื่อบอกทิศทางให้ชี้นิ้วไปในตําแหน่งที่ต้องการ ฯลฯ

20. วิธีการแก้ไขอาการตื่นเวทีได้ดีที่สุด คือ
(1) หายใจลึก ๆ แล้วนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ
(2) หายใจลึก ๆ แล้ววิ่งวนรอบเวที
(3) หายใจลึก ๆ แล้วนึกถึงคําพูดแรก ๆ ในการพูด
(4) ขึ้นอยู่กับบุคคลที่พูด
ตอบ 3
ข้อแนะนําเมื่อเกิดอาการตื่นเวที มีดังนี้
1. เตรียมตัวให้พร้อม ฝึกซ้อมพูดจนมั่นใจ ถือเป็นวิธีป้องกันแก้ไขอาการตื่นเวทีที่ดีที่สุดเพราะถ้าเตรียมสองประการนี้ไม่ดีก็เท่ากับประสบความล้มเหลวก่อนขึ้นเวทีเสียแล้ว 2. สร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง พยายามคิดว่าผู้ฟังทุกคนเป็นมิตรกับเรา 3. สร้างทัศนคติที่ดี ต้องคิดว่าเรามีความรู้ในเรื่องที่จะพูดมากเพียงพอ 4. สูดลมหายใจลึก ๆ ยาว ๆ เพื่อผ่อนคลาย แล้วนึกถึงคําพูดแรก ๆ ในการพูด

21. ข้อใดคือการพูดแบบไม่เป็นทางการ
(1) วรชัยรับโทรศัพท์ในที่ทํางาน
(2) กันยาอภิปรายเรื่องภาวะโลกร้อน
(3) อมรสัมภาษณ์ประธานสภาผู้แทนฯ
(4) สัญญากล่าวอวยพรคู่สมรส
ตอบ 1
การสื่อสารด้วยการพูดในสังคมมีรูปแบบสําคัญ 2 ประการ คือ
1. การพูดแบบไม่เป็นทางการ ได้แก่ การทักทาย การแนะนําตัว การสนทนา การเล่าเรื่อง การพูดและรับโทรศัพท์ และการสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ
2. การพูดแบบเป็นทางการ ได้แก่ การสัมภาษณ์ การบรรยาย การประชุม การอภิปรายการโต้วาที การพูดแบบปาฐกถา การกล่าวสุนทรพจน์ และการพูดในโอกาสสําคัญ(เช่น งานมงคลสมรส ฯลฯ)

22. การพูดแบบใดที่มักจะใช้แทรกในการพูดแบบต่าง ๆ
(1) การสนทนา
(2) การบรรยาย
(3) การเล่าเรื่อง
(4) การแนะนําตัว
ตอบ 3
การเล่าเรื่อง คือ การที่บุคคลหนึ่งได้เห็นหรือได้ยินเรื่องราวบางอย่างมา แล้วนํามาถ่ายทอดให้คนอื่นฟัง ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ฟังได้รับรู้เรื่องราวนั้นด้วย โดยศิลปะของการเล่าเรื่องก็คือ การทําให้ผู้ฟังติดใจ อยากฟัง ดังนั้นจึงเป็นวิธีการพูดที่สําคัญอย่างหนึ่ง และมักนํามาแทรกไว้ในการพูดแบบอื่น ๆ เพื่อทําให้การพูดนั้นน่าสนใจขึ้น

23. การพูดแบบใดที่มีบทบาทสําคัญในชีวิตประจําวันมากที่สุด
(1) มารยาทในการฟัง
(2) การสนทนา
(3) การสัมภาษณ์งาน
(4) การแนะนําตัว
ตอบ 2
การสนทนา จัดเป็นการส่งสารและรับสารที่ง่ายที่สุด สามารถทําได้รวดเร็วที่สุดและมีบทบาทสําคัญมากที่สุดในชีวิตประจําวัน เพราะมนุษย์เราจะต้องพบปะพูดคุยกับผู้อื่น เพื่อปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด หรือประสบการณ์ เพื่อความสนุกสนานและ ผ่อนคลายความเครียด

24. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) นักข่าวสัมภาษณ์พี่ดารา คือ การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ
(2) การสัมมนาต้องมีการนําผลไปเป็นแนวทางปฏิบัติ
(3) การอภิปรายต้องเป็นเรื่องทางวิชาการ
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3
การอภิปราย คือ การพูดแสดงความรู้ ความคิดเห็น และประสบการณ์ของบุคคลกลุ่มหนึ่งตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อปรึกษาหารือกันและออกความคิดเห็น เพื่อแก้ปัญหาที่มีอยู่ หรือเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดในเรื่องที่กําหนดให้ ดังนั้นความหมายของการอภิปราย ที่ครอบคลุมเนื้อหาสาระมากที่สุดน่าจะเป็น “กระบวนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข่าวสารของบุคคลจํานวนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป หรือมากกว่านั้น…”

25. ข้อใดคือการอภิปรายกลุ่ม
(1) นักศึกษาปี 1 ทุกคนรับฟังการอภิปรายทางวิชาการ
(2) สรพงษ์กล่าวอภิปรายที่สนามหลวง
(3) นักวิชาการแบ่งกลุ่มประชุมโลกร้อน
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3
การอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion) คือ การอภิปรายที่ทุกคนในกลุ่มเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการอภิปราย โดยทั่วไปจะมีจํานวนสมาชิกในกลุ่ม 5 – 20 คน ซึ่งสมาชิกใน กลุ่มทุกคนมีสิทธิ์พูดเพื่อแสดงความรู้ ความคิดเห็น โดยจะผลัดกันพูด ผลัดกันฟัง ไม่มีผู้ฟังที่เป็นบุคคลภายนอก จึงมักใช้ประชุมปรึกษาหารือเพื่อดําเนินงานในขอบเขตของผู้ร่วมอภิปราย

26. การพูดแบบใดที่ผู้พูดได้รับการยอมรับว่าเชี่ยวชาญในเรื่องที่พูด
(1) กล่าวปาฐกถา
(2) กล่าวสุนทรพจน์
(3) การบรรยาย
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1
การพูดแบบปาฐกถา คือ การพูดที่บุคคลคนเดียวแสดงถึงความรู้ความคิดเห็นของตนเองให้ผู้ฟังจํานวนมาก เป็นการพูดแบบบรรยาย หรืออธิบายขยายความให้ผู้ฟังได้ เข้าใจเรื่องที่พูดอย่างเจ่มแจ้ง โดยอาจเป็นการพูดเกี่ยวกับวิชาการหรือเป็นความรู้ทั่ว ๆ ไปก็ได้ ดังนั้นผู้พูดจึงต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องที่พูดอย่างเชี่ยวชาญ

27. การพูดแบบใดที่ผู้พูดสามารถอ่านตามต้นร่างได้โดยไม่เสียมารยาท
(1) พูดจากต้นร่าง
(2) กล่าวสุนทรพจน์
(3) กล่าวปาฐกถา
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
การพูดโดยอาศัยอ่านจากร่างหรือต้นฉบับ คือ การพูดโดยอ่านจากต้นฉบับที่มีการเตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วอย่างดี ส่วนมากจะเป็นการพูดที่เป็นพิธีการสําคัญต่าง ๆ เช่น การกล่าวเปิดงาน การกล่าวรายงาน การกล่าวเปิดประชุม การกล่าวรายงานการประชุม การกล่าวสดุดี การปราศรัย การให้โอวาท การกล่าวสุนทรพจน์ของบุคคลสําคัญ คําแถลงหรือประกาศต่าง ๆของทางราชการ ฯลฯ

28. วิธีการพูดแบบใดที่เหมาะสมสําหรับทุกโอกาส
(1) การพูดแบบท่องจําจากร่าง
(2) การพูดโดยอาศัยอ่านจากร่าง
(3) การพูดจากความทรงจํา
(4) การพูดแบบท่องจําจากร่าง
ตอบ 3
การพูดจากความทรงจํา ถือเป็นการพูดจากใจและจากความรู้สึกที่แท้จริงของผู้พูด จึงเป็นวิธีการพูดที่ดีที่สุด นิยมมากที่สุด และเหมาะสมที่สุดกับการพูดในทุก ๆ โอกาส ซึ่งคนที่จะพูดแบบนี้ได้ดีจะต้องเป็นตัวของตัวเอง มีความจําดี จดจําทุกสิ่งทุกอย่างไว้ ในสมอง มีปฏิภาณไหวพริบ มีความรอบรู้ และสามารถนําเรื่องราวต่าง ๆ มาประสานกันได้อย่างดี เช่น การเล่าเรื่องชีวิตของตนเอง หรือประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ประสบพบเจอ

ข้อ 29. – 30. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การพูดแบบให้ความรู้
(2) การพูดแบบจูงใจ
(3) การพูดแบบให้ความบันเทิง
(4) การพูดแบบให้กําลังใจ

29. การพูดแบบใดที่ผู้พูดต้องให้ความสําคัญกับผู้ฟังมากกว่าการพูดแบบอื่น
ตอบ 2
วิธีปฏิบัติในการพูดแบบจูงใจหรือชักชวน มีดังนี้
1. ผู้พูดต้องให้ความสําคัญกับผู้ฟังมากกว่าการพูดแบบอื่น โดยพูดยกย่องผู้ฟังหรืออธิบายว่าผู้ฟังจะได้ประโยชน์มากขึ้น
2. ผู้พูดต้องพูดให้ผู้ฟังเห็นว่า ผู้พูดอยู่ฝ่ายเดียวกับผู้ฟังและเห็นอกเห็นใจผู้ฟัง เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความไว้วางใจ
3. ผู้พูดต้องยกตัวอย่าง ยกเหตุผลข้อเท็จจริงต่าง ๆ มาอ้างอิง เพื่อให้ผู้ฟังเห็นด้วย
4. ผู้พูดต้องใช้ศิลปะการพูดต่าง ๆ พูดอย่างมีชีวิตจิตใจ ฯลฯ

30. การพูดแบบใดที่หากพูดคนเดียวต้องใช้เวลาไม่เกิน 45 นาที
ตอบ 3
หลักการพูดแบบให้ความบันเทิง มีข้อเสนอแนะดังนี้
1. ผู้พูดควรจํากัดเวลาในการพูด เพราะถ้าพูดนานจะทําให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่าย โดยถ้ามีผู้พูดหลายคน แต่ละคนไม่ควรพูดเกิน 10 นาที แต่ถ้าพูดคนเดียวก็อาจใช้เวลาประมาณ35 – 45 นาที
2. ผู้พูดต้องพูดให้ตรงเป้าหมายและพูดให้ได้เรื่องราวที่เหมาะสม
3. เรื่องที่พูดต้องเป็นเรื่องสนุกสนาน เบาสมอง และให้ความบันเทิงจริง ๆ ถ้าหากจะมีเรื่องตลกขบขันแทรกก็ต้องเป็นเรื่องที่ไม่หยาบโลน

31. องค์ประกอบหนึ่งของการพูดที่ดี คือ
(1) การฝึกซ้อมการพูดสม่ำเสมอ
(2) การพูดด้วยถ้อยคําที่ดี
(3) การแสวงหาข้อมูลให้ทันสมัยอยู่เสมอ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
ดร.นิพนธ์ ศศิธร กล่าวว่า การพูดที่ดี (การพูดต่อชุมนุมชน) มีองค์ประกอบที่สําคัญอยู่ 4 ประการ คือ 1. การพูดที่มีถ้อยคําดี 2. การพูดที่มีความเหมาะสม 3. การพูดที่มีความมุ่งหมาย 4. การพูดที่มีศิลปะการแสดงดี

32. ทัศนคติในทางลบที่ต้องกําจัดในเรื่องการพูด คืออะไร
(1) การใช้คําพูดซ้ำ ๆ
(2) การกล่าวย้ำคําพูดที่สําคัญ
(3) ความเบื่อหน่ายในการพูด
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3
ทัศนคติของผู้พูดแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. ทัศนคติในทางลบ ซึ่งมีผลเสียต่อผู้ฟัง ได้แก่ ความรู้สึกเบื่อหน่าย ความรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าผู้ฟัง และความรู้สึกกลัว
2. ทัศนคติในทางบวก ซึ่งช่วยให้ผู้พูดประสบความสําเร็จในการพูดมากขึ้น ได้แก่ความปรารถนาที่จะพูด ความสนใจในเรื่องที่พูดและความสนใจในคนฟัง รวมทั้งความมั่นใจของผู้พูด

33. ทัศนคติในทางบวกที่ต้องส่งเสริมในเรื่องการพูด คืออะไร
(1) การฝึกซ้อมการพูดอยู่เสมอ
(2) การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ฟัง
(3) ความสนใจในเรื่องที่พูดและสนใจในคนฟัง
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

34. การพูดในที่สาธารณะมีลักษณะเป็นรูปแบบไหน
(1) วงกลม
(2) เส้นตรง
(3) สามเหลี่ยม
(4) แล้วแต่สถานการณ์
ตอบ 1
การพูดในที่สาธารณะโดยทั่วไป ผู้พูดมักจะคิดว่ามีลักษณะการสื่อสารเป็นเส้นตรงคือ เป็นแบบที่ผู้พูดส่งสารทางเดียว แต่ความจริงแล้วมีลักษณะการสื่อสารเป็นวงกลมมากกว่าเป็นเส้นตรง คือ ผู้ฟังจะต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมาด้วย ซึ่งเรียกว่า การตอบสนองหรือผลที่เกิดจากการพูด คือ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้พูดถ่ายทอดสารมาให้ผู้ฟัง

35. Empathy หมายถึงอะไรในแวดวงการพูด
(1) ความสัมพันธ์ที่ผู้ฟังมีต่อผู้พูด
(2) การเข้าถึงจิตใจผู้อื่น
(3) ความสัมพันธ์ที่ดีของทุกฝ่าย
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
สิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการโต้ตอบระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ซึ่งจะทําให้กระบวนการพูดกับการฟังได้ผลดี มีอยู่ 2 ประการ ดังนี้ 1. การเข้าถึงจิตใจของผู้อื่น (Empathy) คือ ความพยายามของผู้พูดและผู้ฟังที่จะรับรู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่เหมือนกัน โดยต้องเห็นในสิ่งที่เขาเห็น รู้สึกในสิ่งที่เขารู้สึก 2. การมีความสัมพันธ์ที่ดี (Rapport) คือ การที่ทั้งผู้พูดและผู้ฟังเข้ากันได้ มีการยอมรับร่วมกัน ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าถึงจิตใจของผู้อื่น (Empathy)

36. ลีลาของการพูด หมายถึงอะไร
(1) ท่วงท่าในการสื่อสาร
(2) วิธีการสื่อสารของการพูด
(3) การใช้ภาษาท่าทาง
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
ลีลาของการพูด คือ วิธีการสื่อสารของการพูด หรือวิธีการที่จะส่งสารหรือคําพูดออกไป เป็นการแสดงถึงความคิดและบุคลิกลักษณะของตัวผู้พูดเอง ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้พูดที่เลียนแบบกันได้ยาก จึงเปรียบเสมือนเป็นลายเซ็นของมนุษย์ โดยมีลักษณะสําคัญก็คือ เป็นการแสดงออกซึ่งความคิด ความกระจ่างชัด ความน่าสนใจ และน่าจดจํา

37. การย่อความในการพูด หมายถึง
(1) พูดให้สั้น
(2) พูดให้ได้ใจความ
(3) พูดโดยใช้ภาษาได้น่าสนใจ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1
การย่อความ หมายถึง ลีลาการพูดให้สั้น รวบรัด สามารถรวมเอาความคิดต่าง ๆไว้ในข้อความสั้น ๆ ซึ่งมักทําให้ผู้ฟังพอใจมากกว่าผู้พูดที่พูดเพ้อเจ้อ ถ้าหากผู้พูดจะใช้ลีลาการพูดแบบนี้ก็ต้องมีความมั่นใจด้วยว่าผู้ฟังจะสามารถเข้าใจเรื่องราวไปพร้อม ๆ กับผู้พูด ดังนั้น การรวบรวมความคิดจึงควรตรงประเด็น กินความหมายได้มาก และน่าสนใจ

38. วิธีการอ้างอิงคําพูดของผู้อื่นทําอย่างไร
(1) ระบุที่มาของคําพูด
(2) บอกชื่อหนังสือที่ได้อ่านมา
(3) ไม่ต้องอ้างอิง
(4) บอกชื่อผู้เป็นเจ้าของคําพูด
ตอบ 4
ชาคริต อนันทราวัน ได้กล่าวถึงมารยาทในการพูด สรุปได้ดังนี้
1. ไม่ควรสูบบุหรี่ อมลูกอม เคี้ยวหมากฝรั่ง หรือหยิบยาอมขึ้นมาใส่ปากในขณะที่พูด
2. หากรู้สึกโกรธขึ้นมาในขณะที่พูด นักพูดควรหยุดนิ่งและระงับสติอารมณ์ให้ได้
3. ต้องตรงต่อเวลาในการพูด คือ พูดและสรุปให้จบก่อนหมดเวลา 1 – 2 นาที
4. ถ้ามีการอ้างอิงคําพูดของผู้อื่น ต้องบอกชื่อผู้เป็นเจ้าของคําพูดด้วย ฯลฯ

39. Be Complete ในการตอบคําถาม หมายถึงอะไร
(1) ตอบให้สมบูรณ์
(2) ตอบให้ถูกต้อง
(3) ตอบให้มั่นใจ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1
กฏเกณฑ์ของการตอบคําถาม ซึ่งเรียกว่า 4 BS มีดังนี้
1. มีความถูกต้อง (Be Accurate) 2. มีความสมบูรณ์ (Be Complete)
3. มีความสุภาพ (Be Polite) 4. มีความมั่นใจ (Be Confident)

40. จงใช้ภาษาของผู้ฟัง หมายถึงสิ่งใด
(1) ใช้ภาษาเดียวกับเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่ของผู้ฟัง
(2) ใช้ภาษาให้เหมาะกับการรับฟังของกลุ่มผู้ฟัง
(3) ใช้ภาษาที่ถูกต้องตามหลักการใช้ภาษา
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
จงใช้ภาษาของผู้ฟัง หมายถึง ผู้พูดใช้ภาษาให้เหมาะกับการรับฟังของกลุ่มผู้ฟัง หรือใช้ภาษาให้สอดคล้องกับพื้นฐานของผู้ฟัง โดยผู้พูดต้องศึกษาว่าผู้ฟังเป็นใคร เพื่อปรับความยากง่ายของถ้อยคําภาษาของตนให้เข้ากับผู้ฟัง หรือเป็นภาษาของกลุ่มผู้ฟัง ไม่ใช้ศัพท์ยากเกินไป ถ้าใช้ศัพท์ยากหรือใช้ภาษาที่ผู้ฟังไม่อาจเข้าใจก็จะทําให้การพูดนั้นไร้ประโยชน์

ข้อ 41, – 45.
ข้อใดเป็นภาษาพูดให้เลือกข้อ 1
ข้อใดเป็นภาษาเขียนให้เลือกข้อ 2

41. ทมยันตี เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงและมีผลงานมากมายเป็นที่ยอมรับของผู้อ่าน ตอบ 2
การใช้คําในภาษาเขียนย่อมพิถีพิถันมากกว่าภาษาพูด โดยเฉพาะภาษาเขียนในระดับแบบแผนด้วยแล้ว ผู้เขียนย่อมทบทวนกันอย่างละเอียดเพื่อที่จะใช้คําให้หมดจด เช่น ทมยันตี เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงและมีผลงานมากมายเป็นที่ยอมรับของผู้อ่าน, ชาวบ้านผูกพันกับวิถีการผลิตตามแบบธรรมชาติ ดังนั้นการเกษตรกรรมจึงทําให้ชาวบ้านรู้สึกว่าตนเองใกล้ชิดกับธรรมชาติ เป็นต้น

42. ชาวบ้านผูกพันกับวิถีการผลิตตามแบบธรรมชาติ ดังนั้นการเกษตรกรรมจึงทําให้ชาวบ้านรู้สึกว่าตนเองใกล้ชิดกับธรรมชาติ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ

43. สมัยนี้ความงามดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ผู้หญิงทุกคนสนใจเป็นพิเศษ
ตอบ 1
ภาษาพูดเป็นภาษาที่มุ่งสื่อเพื่อความเข้าใจระหว่างกันอย่างรวดเร็วจึงอาจไม่คํานึงถึงหลักไวยากรณ์มากนัก และอาจมีการใช้คําซ้ำ คําสแลง คําภาษาปาก ฯลฯ เช่น สมัยนี้ความงามดูจะเป็นเรื่องใหญ่ที่ผู้หญิงทุกคนสนใจเป็นพิเศษ, พรุ่งนี้คุณแม่นัดเพื่อนที่ ห้างสรรพสินค้าเวลาเก้าโมงเช้า, ที่มหาวิทยาลัยรามคําแหงมีรถเมล์วิ่งผ่านหลายสาย เป็นต้น

44. พรุ่งนี้คุณแม่นัดเพื่อนที่ห้างสรรพสินค้าเวลาเก้าโมงเช้า
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ

45. ที่มหาวิทยาลัยรามคําแหงมีรถเมล์วิ่งผ่านหลายสาย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 43. ประกอบ

46. ข้อใดไม่ใช่ข้อบกพร่องเกี่ยวกับการฟัง
(1) เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
(2) ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด
(3) สีซอให้ควายฟัง
(4) ไปไหนมาสามวาสองศอก
ตอบ 3
สํานวน “สีซอให้ควายฟัง” = สั่งสอนแนะนําคนโง่มักจะไม่ได้ผล เสียเวลาเปล่า (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นข้อบกพร่องเกี่ยวกับการฟัง ได้แก่ “เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา” = บอกหรือสอนไม่ได้ผล “ ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด” = ฟังไม่ได้ความแจ่มชัดแล้วเอาไปพูดต่อ, “ไปไหนมาสามวาสองศอก” = ถามอย่างหนึ่งตอบไปอีกอย่างหนึ่ง)

47. ข้อใดแสดงอารมณ์ไม่พอใจของผู้พูดที่เด่นชัดที่สุด
(1) จะทําอะไรก็รีบไปทําให้เสร็จ
(2) ฉันทําอะไรให้คุณก็ไม่ถูกใจสักที
(3) คุณใช้เวลาทํางานชิ้นนี้นานไปหน่อยนะ
(4) แหม…ให้ดิฉันรอตั้งครึ่งวัน แล้วมาบอกให้กลับก่อน
ตอบ 4
ข้อความในตัวเลือกข้อ 4 แสดงอารมณ์ไม่พอใจของผู้พูดเด่นชัดที่สุด เพราะมีการใช้คําอุทาน(แหม) และบอกสาเหตุที่ไม่พอใจอย่างชัดเจน

48. ข้อใดเป็นคําพูดที่เหมาะสมที่สุด
(1) ท่านที่ยังไม่ได้ตอบแบบสอบถาม ขอความกรุณาตอบด้วยค่ะ ส่วนท่านที่ตอบแล้วแต่ยังไม่ได้ส่งเชิญส่งได้ที่หน้าโต๊ะลงทะเบียนนะคะ
(2) ดิฉันดีใจ และดีใจที่การอบรมในครั้งนี้สําเร็จลุล่วงไปด้วยดี และขอกราบขอบพระคุณท่านผู้ฟังทุกท่านที่อุตส่าห์นั่งฟังจนจบรายการ ขอขอบพระคุณอีกครั้ง ขอบพระคุณค่ะ
(3) ในฐานะที่ดิฉันเป็นผู้ดําเนินรายการ ดิฉันจะให้เวลาท่านวิทยากรแต่ละคนพูด 2 รอบ ๆ ละ 10 นาทีหากเกินเวลาดิฉันจะขอตัดทันที การอภิปรายจะได้เสร็จทันตามเวลา
(4) เอกสารที่อาจารย์แจกให้ อาจารย์จัดทํามาเอง มีจํานวนจํากัด หมดแล้วหมดเลย ไม่ต้องมาขอกับอาจารย์อีกนะ
ตอบ 1 ข้อความในตัวเลือกข้อ 1 ใช้คําพูดเหมาะสมที่สุด เพราะเป็นการพูดให้ผู้ฟังปฏิบัติตามอย่างสุภาพ จนก่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง

ข้อ 49. – 50. จงเลือกคําเติมในช่องว่างให้ถูกต้อง

49. คุณครูประจําชั้นกําลังพูด………..ให้นักเรียนที่ทะเลาะวิวาทหันมาปรองดอง อีกทั้งยังกําลังพยายาม……….ให้ปฏิบัติตนตามกฎระเบียบของโรงเรียน
(1) เกลี้ยกล่อม, ไกล่เกลี่ย
(2) ไกล่เกลี่ย, เกลี้ยกล่อม
(3) ชักชวน, เกลี้ยกล่อม
(4) เกลี้ยกล่อม, ชักชวน
ตอบ 2
คําว่า “ไกล่เกลี่ย” = พูดจาให้ปรองดองกัน พูดจาให้ตกลงกัน, “เกลี้ยกล่อม” = ชักชวนจูงใจให้ร่วมพวก พูดจูงใจให้คล้อยตามหรือปฏิบัติตาม (ส่วนคําว่า “ชักชวน” = ชวนให้ทําด้วยกัน)

50. สมชายเป็นคนนิสัยไม่ค่อยดี ชอบ…………ในขณะที่ฉันกําลังพิมพ์งาน บางครั้งก็คอย………..ฉันในขณะที่พูดกับเจ้านาย
(1) ขัดจังหวะ, ขัดขวาง
(2) ขัดคอ, ขัดจังหวะ
(3) ขัดจังหวะ, ขัดคอ
(4) ขัดจังหวะ, ขัด
ตอบ 3
คําว่า “ขัดจังหวะ” = แทรกเข้ามาในขณะที่คนอื่นกําลังทําอะไรอยู่, “ขัดคอ” = พูดแย้งขวางเข้ามา พูดแทรก ไม่ให้พูดได้โดยสะดวก (ส่วนคําว่า “ขัดขวาง” = ทําให้ไม่สะดวก ทําให้ติดขัด, “ขัด” = ไม่ทําตาม ฝ่าฝืน ขึ้นไว้)

ข้อ 51. – 54. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การประชุมปรึกษา
(2) การประชุมปฏิบัติงาน
(3) การประชุมซินดิเคต
(4) การประชุมแบบโต้แย้ง

51. การประชุมเพื่อการพัฒนาบุคคล ตลอดจนแก้ไขปัญหาของหน่วยงานนั้น
ตอบ 3
การประชุมซินดิเคต (Syndicate) คือ การประชุมแบบที่ใช้เพื่อการพัฒนาบุคคลและแก้ไขปัญหาที่มีลักษณะเฉพาะเจาะจงของหน่วยงานหรือสถาบันแห่งนั้น เป็นการมุ่งแก้ไขปัญหาเป็นจุด

52. การประชุมโดยมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมประชุม
ตอบ 1
การประชุมปรึกษา (Conference) คือ การประชุมปรึกษาหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมประชุม โดยมีจุดประสงค์คือ วางหลักการเพื่อให้ผู้เข้าร่วมประชุมนําไปใช้เป็นหลักปฏิบัติต่อไป

53. การประชุมที่มีลักษณะคล้ายกับการโต้วาที คือ มีระเบียบหัวข้อ ผู้เสนอ ผู้ค้าน ตอบ 4
การประชุมแบบโต้แย้ง (Debate) คือ การประชุมที่มีลักษณะคล้ายกับการโต้วาทีโดยเป็นการประชุมโต้เถียงกันอย่างมีระเบียบตามหัวข้อที่กําหนด มีการตัดสินแพ้ชนะ มีผู้เสนอ ผู้ค้าน และมีประธานเป็นผู้รักษาระเบียบในการโต้ ซึ่งแต่ละฝ่ายต่างก็ยกเหตุผลมาโต้เถียงและหักล้างกัน

54. การประชุมที่สถาบันจัดขึ้นโดยเอื้อวัสดุอุปกรณ์เพื่อให้ผู้ประชุมได้ใช้แก้ไขปัญหา ตอบ 2
การประชุมปฏิบัติงาน (Work Shop) คือ การประชุมที่สถาบันจัดให้มีขึ้น และจัดอํานวยความสะดวาในด้านวัสดุและอุปกรณ์การศึกษาให้พร้อม เพื่อให้ผู้เข้าประชุมได้ใช้แก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่งโดยเฉพาะ และให้ได้ร่วมปฏิบัติการหรือลงมือทําเพื่อให้ได้ผลงานตามที่กําหนดไว้

55. การประชุมแบบแผง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
(1) Convention
(2) Debate
(3) Seminar
(4) Panel
ตอบ 4
ประเภทของการประชุม มีดังนี้
1. การประชุมปรึกษา (Conference)
2. การประชุมมีกําหนด (Convention)
3. การประชุมคณะอภิปราย หรือการประชุม แบบแผง (Panel)
4. การประชุมแลกความรู้ (Symposium)
5. การประชุมปฏิบัติงาน (Work Shop)
6. การประชุมแบบโต้แย้ง (Debate)
7. การประชุมซินดิเคต (Syndicate)
8. การสัมมนา (Seminar)

56. บุคคลใดมีบทบาทสําคัญที่สุดในการอภิปราย
(1) ผู้ดําเนินการอภิปราย
(2) ผู้อภิปราย
(3) ผู้ร่วมอภิปราย
(4) ผู้สังเกตการณ์
ตอบ 1
บุคคลผู้ทําหน้าที่ต่าง ๆ ในการอภิปราย ประกอบด้วย
1. ผู้ดําเนินการอภิปราย เป็นผู้ที่มีบทบาทสําคัญที่สุด ทําหน้าที่เป็นประธานในการอภิปราย
2. ผู้อภิปราย หมายถึง บุคคลในคณะที่ขึ้นเวทีอภิปราย
3. ผู้ร่วมอภิปราย หมายถึง บุคคลภายนอกคณะผู้อภิปราย ซึ่งเป็นผู้ที่มาฟังการอภิปราย

57. คําตอบข้อใดคือ “วลีฆาตกร” มากที่สุด
(1) สีนี้สวยนะแต่ยังไม่เห็นเหมาะ
(2) ไม่ควรเอาไว้นะเพราะไม่มีประโยชน์
(3) ใครเลือกมานี่ ไร้รสนิยมสิ้นดี
(4) เขาไม่เอาแต่เราเอานะ
ตอบ 3
อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท ได้เรียกการใช้ภาษาที่จะทําลายบรรยากาศอันดีในที่ประชุม และทําลายความคิดสร้างสรรค์ของผู้เข้าประชุมว่า “วลีฆาตกร” (Killer Phrases) คือ การใช้ภาษาที่อาจทําให้เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบในทางปฏิปักษ์ นอกจากนี้วลีฆาตกรยังสามารถ เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจําวัน หากเป็นการใช้วาจาที่ก้าวร้าว ไม่สุภาพ จนก่อให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง เช่น ใครเลือกมานี่ ไร้รสนิยมสิ้นดี เป็นต้น

58. การอภิปรายรูปแบบใดที่มีจุดมุ่งหมายมุ่งไปทางวิชาการมากที่สุด
(1) การอภิปรายแบบระดมสมอง
(2) การอภิปรายแบบแลกเปลี่ยนความรู้
(3) การอภิปรายเป็นคณะ
(4) การอภิปรายแบบโต๊ะกลม
ตอบ 2
การอภิปรายแบบแลกเปลี่ยนความรู้ (Symposium Discussion) เป็นการอภิปรายทางวิชาการมากกว่าการอภิปรายอื่น ๆ โดยจะมุ่งถ่ายทอดความรู้ ทัศนะและประสบการณ์ ของผู้รอบรู้ในสาขาต่าง ๆ ให้แก่ผู้ฟัง ซึ่งผู้อภิปรายแต่ละคนจะมีความรู้อย่างลึกซึ้งในแง่มุม หรือเรื่องราวเฉพาะเรื่องเป็นอย่างดี และจะพูดเฉพาะเรื่องที่ตนมีความรู้ความชํานาญ หรือเรื่องที่ได้รับมอบหมายให้พูดเพียงประเด็นใดประเด็นหนึ่งของการอภิปรายเท่านั้น

ข้อ 59, 60. จงเติมคําในช่องว่างให้เหมาะสม

59. การประชุมนี้ดูท่าทางน่าจะ……….
(1) ยืดยาว
(2) ยืดเยื้อ
(3) ยืดยาด
(4) ยืดหยุ่น
ตอบ 2
คําว่า “ยืดเยื้อ” = ยาวนาน ไม่ใคร่จะจบสิ้นง่าย ๆ เช่น คดียืดเยื้อ การประชุมยืดเยื้อ ฯลฯ (ส่วนคําว่า “ยืดยาว” = ยาวมาก (ใช้ประกอบถ้อยคํา ข้อความ หรือเรื่องราวต่าง ๆ), “ยืดยาด” = ชักช้า นานเวลา, “ยึดหยุ่น” = รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว ไม่ตายตัว)

60. สังคมไทยในเวลานี้กําลังเข้าสู่ยุค……………..
(1) โลกาภิวัตน์
(2) โลกาภิวัฒน์
(3) โลกานุวัตร
(4) โลกานุวัตน์
ตอบ 1
คําว่า “โลกาภิวัตน์” = การแพร่กระจายไปทั่วโลก การที่ประชาคมโลกไม่ว่าจะอยู่ ณ จุดใด ก็สามารถรับรู้ สัมพันธ์ หรือรับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว กว้างขวาง ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากการพัฒนาระบบสารสนเทศ (ส่วนคําว่า “โลกานุวัตร” = ความประพฤติตามโลก, “โลกาภิวัฒน์ โลกานุวัตน์” เป็นคําที่เขียนผิด)

61. ข้อใดอธิบายลักษณะของการเลือกหัวข้อเรื่องผิด
(1) การเลือกหัวข้อเรื่อง หมายถึง การตั้งชื่อเรื่องให้โก้เก๋
(2) การเลือกหัวข้อเรื่องต้องพิจารณาเนื้อหาใดเหมาะสมนํามากล่าว
(3) การเลือกหัวข้อเรื่องไม่ต้องคํานึงถึงประโยคใจความสําคัญของเรื่อง
(4) การเลือกหัวข้อเรื่อง คือ ขั้นตอนแรกก่อนการเขียนหรือพูด
ตอบ 1
ก่อนที่จะพูดหรือเขียน เราต้องเลือกหัวข้อเรื่องที่จะพูดหรือเขียนก่อนสิ่งอื่นใดซึ่งการเลือกหัวข้อเรื่อง หมายถึง การพิจารณาเนื้อหาสาระของเรื่องว่ามีความเหมาะสมที่จะ นํามากล่าวหรือไม่ ดังนั้นการเลือกหัวข้อเรื่องจึงไม่ใช่สิ่งเดียวกับประโยคใจความ และไม่ได้หมายถึง การเลือกชื่อเรื่องหรือการตั้งชื่อเรื่องให้โก้เก๋ แต่ต้องคํานึงถึงเนื้อหาหรือสาระสําคัญของเรื่องเป็นหลัก

62. หัวข้อเรื่องใดที่เหมาะสมมากที่สุดสําหรับวัยรุ่นทั้งเพศชายและหญิง
(1) เรียนอย่างไรให้ได้เกียรตินิยม
(2) สไตล์แต่งตัวโดนใจวัยรุ่น
(3) การค้นหาความสําเร็จของชีวิต
(4) สวยใสบาดตา คมเข้มบาดใจ
ตอบ 1
หลักการเลือกหัวข้อเรื่องประการหนึ่ง คือ หัวข้อเรื่องนั้นเหมาะกับผู้ฟังผู้อ่านหรือไม่ ซึ่งหัวข้อเรื่องที่เลือกควรมีเนื้อหาที่ตรงกับความสนใจ รสนิยม อารมณ์ และระดับ สติปัญญาของผู้รับสารนั้น ๆ เพราะการเลือกหัวข้อเรื่องที่มีเนื้อหาซึ่งผู้ฟังและผู้อ่านไม่เข้าใจ ย่อมไม่ต่างกับการยัดเยียดสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้แก่เขา ผลการสื่อสารย่อมจะได้ประโยชน์น้อยกว่าที่คาดคิดเอาไว้

63. ขั้นตอนใดเป็นขั้นตอนที่ต่อมาจากการจัดลําดับความคิด
(1) ขั้นจัดหมวดหมู่ความคิด
(2) ขั้นระดมความคิด
(3) ขั้นขยายความคิด
(4) ขั้นเขียนโครงเรื่อง
ตอบ 3
ขั้นตอนการจัดระเบียบความคิด มีดังนี้
1. ขั้นวิเคราะห์ความคิด เป็นขั้นตอนแรกที่ทําต่อเนื่องจากการเขียนประโยคกล่าวนํา 2. ขั้นเลือกสรรความคิด
3. ขั้นจัดหมวดหมู่ความคิดของเรื่อง
4. ขั้นจัดลําดับความคิด
5. ขั้นขยายความคิดของเรื่อง

64. การอ่านหนังสือชนิดใดจะต้องอาศัยการสร้างภาพในใจในขณะที่อ่าน
(1) นวนิยาย
(2) สารคดี
(3) เรื่องย่อละคร
(4) กวีนิพนธ์
ตอบ 4
นิสัยการอ่านที่ดีประการหนึ่ง ได้แก่ มีนิสัยสร้างภาพพจน์ขึ้นในใจ คือ หลับตานึกดูภาพที่เกิดขึ้นตามเนื้อเรื่องที่ได้อ่านมา หรือเขียนแผนภาพเพื่อประกอบความคิดซึ่งมักใช้ในการอ่านบทกวีนิพนธ์ที่มีการเปรียบเทียบ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดภาพในใจในขณะที่อ่าน

65. ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ของประโยคกล่าวนํา
(1) บอกวัตถุประสงค์ของสิ่งที่จะเขียน
(2) อนุมานเนื้อหาสําคัญของเรื่อง
(3) คาดการณ์ล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องที่จะเขียน
(4) คลุมความคิดหรือใจความสําคัญ
ตอบ 1
ประโยคกล่าวนําจะทําหน้าที่ในการอนุมานหรือคาดการณ์เนื้อหาสําคัญของเรื่องไว้ล่วงหน้าว่าจะเป็นอย่างไร นอกจากนี้ประโยคกล่าวนํายังบอกสาระสําคัญของเรื่องที่จะเขียนโดยต้องคลุมความคิดหรือใจความสําคัญของเรื่องทั้งหมด

66. ถ้านักศึกษาได้รับคัดเลือกให้เป็นตัวแทนกล่าวคําอําลา นักศึกษาจะต้องใช้โครงเรื่องแบบใดในการเตรียมตัว
(1) โครงเรื่องแบบหัวข้อ
(2) โครงเรื่องแบบไม่มีพิธีรีตอง
(3) โครงเรื่องแบบย่อหน้า
(4) โครงเรื่องแบบประโยค
ตอบ 2
โครงเรื่องแบบไม่มีพิธีรีตอง จะเขียนอย่างคร่าว ๆ ด้วยคําหรือวลีแบบหยาบ ๆ เพื่อวางแนวเรื่องที่สั้น ๆ หรือเรื่องที่ต้องพูดหรือเขียนอย่างทันควันในเวลาอันจํากัด โดยไม่ต้องคํานึงถึงระเบียบแบบแผนใด ๆ เพียงแต่ต้องการให้เรื่องที่จะกล่าวเรียงลําดับกัน ไม่สับสนเท่านั้น เช่น การเตรียมตอบคําถามหรือทําข้อสอบแบบอัตนัย หรือการถูกเชิญให้กล่าวในเวลาอันกะทันหัน ฯลฯ

67. คําตอบในข้อใดอธิบายหลักในการเขียนโครงเรื่องผิด
(1) หัวข้อที่มีความสําคัญให้เขียนระดับตรงกัน
(2) ใช้ตัวเลขหรืออักษรย่อของหัวข้อแบบเดียวกันจนจบ
(3) หัวข้อที่มีรายละเอียดสนับสนุนข้อเดียว ไม่ต้องแยกอีกหัวข้อ
(4) ขึ้นต้นหัวข้อใหม่ให้เว้นวรรค 3 เคาะ เพื่อความเป็นระเบียบ
ตอบ 4
หลักในการเขียนโครงเรื่องแบบหัวข้อและแบบประโยค มีดังนี้
1. หัวข้อที่มีความสําคัญเท่ากันให้เขียนระดับตรงกัน ส่วนหัวข้อที่มีความสําคัญรองลงไปหรือหัวข้อที่สนับสนุนหัวข้ออื่น ให้เขียนย่อเว้าเข้าไปทางขวามือนิดหนึ่ง
2. ใช้ตัวเลขหรืออักษรย่อของหัวข้อแบบเดียวกันจนจบการรายงาน
3. หัวข้อย่อยที่แบ่งออกมาต้องมี 2 หัวข้อเป็นอย่างน้อย ถ้าหัวข้อใดที่มีรายละเอียดสนับสนุนข้อเดียว ไม่ต้องแยกอีกหัวข้อ ฯลฯ

ข้อ 68. – 70. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) โครงเรื่องแบบย่อหน้า
(2) โครงเรื่องแบบประโยค
(3) โครงเรื่องแบบไม่มีพิธีรีตอง
(4) โครงเรื่องแบบหัวข้อ

68. โครงเรื่องที่เขียนด้วยข้อความที่เป็นประโยคสมบูรณ์
ตอบ 2
โครงเรื่องแบบประโยค จะเขียนด้วยข้อความที่เป็นประโยคสมบูรณ์และชัดเจน มีเลขหรืออักษรย่อกํากับทุกประโยคที่เป็นประเด็นของเรื่องนั้น จึงเป็นโครงเรื่องที่บอกขอบข่ายและรายละเอียดของแต่ละประเด็นไว้ครบถ้วน ง่ายต่อการนําไปเขียนขยายเป็นย่อหน้าหรือเนื้อความ จึงเหมาะสําหรับผู้เริ่มหัดเขียน และมักใช้กับเรื่องที่มีรายละเอียดมากซึ่งต้องใช้เวลานานในการศึกษาค้นคว้า เช่น การทํารายงานทางวิชาการ การวิจัย ฯลฯ

69. โครงเรื่องที่รวมกลุ่มประโยคหลาย ๆ ประโยคเป็นย่อหน้า
ตอบ 1
โครงเรื่องแบบย่อหน้า ประกอบด้วยกลุ่มประโยคหลายกลุ่มประโยครวมกันในรูปของย่อหน้า โดยไม่ต้องแยกเป็นหัวข้อลงในบรรทัดใหม่ แต่จะกล่าวถึงทุกประเด็นปนกันไปในย่อหน้าเดียวกัน เนื่องจากโครงเรื่องแบบนี้ไม่แยกประเด็นความคิดของเนื้อหาออกอย่างชัดเจน จึงไม่เป็นที่นิยมกันโดยทั่วไป

70. โครงเรื่องที่มีตัวเลขหรืออักษรย่อกํากับทุกประเด็นด้วยคําวลี
ตอบ 4
โครงเรื่องแบบหัวข้อ จะเขียนด้วยคําหรือวลีสั้น ๆ หรืออาจเป็นอนุประโยคที่ไม่ได้ความครบถ้วนในตัวเอง โดยมีตัวเลขหรืออักษรย่อกํากับทุกประเด็นที่สังเขปด้วยคําวลีหรืออนุประโยคนั้น ๆ จึงเป็นโครงเรื่องที่ไม่ได้บอกแนวทางไว้ชัดเจน และผู้เขียนต้องรีบเขียนด้วยเวลาอันจํากัด เพราะหากทิ้งไว้นาน ๆ อาจลืมได้ว่าหัวข้อนั้นจะขยายความอย่างไร ทั้งนี้โครงเรื่องแบบหัวข้อควรใช้ถ้อยคําให้ขนานเป็นแนวเดียวกันโดยตลอด คือ ถ้าหัวข้อแรกขึ้นต้นด้วยคํานามหรือคํากริยา หัวข้อต่อไปก็ควรขึ้นต้นด้วยคํานามหรือคํากริยาด้วย

71. ประโยคใจความมีหน้าที่ทําอะไร
(1) ควบคุมการเขียนย่อหน้า
(2) ควบคุมเนื้อหาในย่อหน้า
(3) ควบคุมโครงเรื่องให้กระชับ
(4) ควบคุมการเขียนประโยคกล่าวนํา
ตอบ 2
ประโยคใจความไม่ควรทําหน้าที่แต่เพียงว่าในย่อหน้ากล่าวถึงเรื่องอะไร แต่จะต้องทําหน้าที่ชัดเจนลงไปว่าในย่อหน้าไม่ควรกล่าวถึงอะไรด้วย ดังนั้นการเขียนประโยคใจความ ที่ดีจึงต้องสามารถควบคุมเนื้อหาในย่อหน้าได้เป็นอย่างดี โดยต้องพยายามเขียนให้แคบและจํากัดประเด็นที่จะกล่าวอย่างแท้จริง

ข้อ 72 – 73. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมมียอดบรรจบกัน
(2) ย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมมีฐานบรรจบกัน
(3) ย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว
(4) ย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่วหัวกลับ

72. ย่อหน้าที่เริ่มต้นด้วยการให้รายละเอียดกว้าง ๆ แล้วสรุปใจความสําคัญ ก่อนจะขยายเป็นข้อความต่อไปเราเรียกย่อหน้านี้ว่าอะไร
ตอบ 1
ย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมมียอดบรรจบกัน คือ ย่อหน้าที่เริ่มต้นด้วยการให้รายละเอียดกว้าง ๆ แล้วสรุปใจความสําคัญลงกลางย่อหน้า ก่อนจะค่อย ๆ ขยายความจากกลางย่อหน้า เป็นข้อความต่อไป กล่าวคือ มีประโยคใจความอยู่กลาง ๆ ย่อหน้า และมีประโยคสนับสนุนอยู่ตอนต้นกับตอนท้ายย่อหน้า

73. ย่อหน้าที่เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงรายละเอียดต่าง ๆ อย่างคลุม ๆ จากนั้นจึงค่อยขมวดความคิด เราเรียกย่อหน้านี้ว่าอะไร
ตอบ 4
ย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่วหัวกลับ คือ ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนท้าย เป็นการสรุปเอาสาระสําคัญทั้งหมดลงในตอนท้าย โดยกล่าวถึงรายละเอียดต่าง ๆ อย่างคลุม ๆ ได้แก่ กล่าวถึงประโยคสนับสนุนหลักและประโยคสนับสนุนรองไว้ก่อนในตอนต้น แล้วจึงค่อยขมวดความคิดหรือใจความสําคัญเอาไว้ในตอนจบ ซึ่งจะตรงข้ามกับย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว

ข้อ 74 – 75. จงอ่านข้อความต่อไปนี้และหาประโยคใจความสําคัญว่าอยู่ส่วนใดของย่อหน้า

74. เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการแปลวรรณกรรมของประเทศเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงออกเป็นภาษาไทย ดังนั้นจึงมีการประชุมนักปราชญ์ ราชบัณฑิต แปลพงศาวดารจีนเรื่องสามก๊กและไซ่ฮั่น และพงศาวดารมอญเรื่องราชาธิราช น่าสังเกตว่า วรรณกรรมแปลในสมัยรัชกาลที่ 1 มักเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสงครามและยุทธวิธีในการรบ
(1) ใจความสําคัญอยู่ตอนต้น
(2) ใจความสําคัญอยู่ตอนท้าย
(3) ใจความสําคัญอยู่ตอนต้นและท้าย
(4) ไม่ปรากฏใจความสําคัญ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 73. ประกอบ

75. การสร้างสรรค์ภาษาหรือการเปลี่ยนแปลงการใช้ภาษาของคนรุ่นใหม่ยังคงมีอยู่เสมอ กลุ่มวัยรุ่นรุ่นเก่าเมื่อก้าวสู่วัยผู้ใหญ่คงลดความคึกคะนองลง มีความสุขุมลุ่มลึกขึ้น เด็กรุ่นใหม่ที่ก้าวเป็นวัยรุ่นใหม่คงมีความคึกคะนองตามอุปนิสัยของคนในวัยนี้เหมือนเดิม สื่อมวลชนยังคงมุ่งมั่นสร้างความเร้าใจในการใช้ ภาษาแก่ผู้ใช้บริการอยู่ทุก ๆ วัน นักวิชาการก็คงทําหน้าที่วิพากษ์วิจารณ์ตําหนิติเตียนอยู่ร่ำไป
(1) ใจความสําคัญอยู่ตอนต้น
(2) ใจความสําคัญอยู่ตอนท้าย
(3) ใจความสําคัญอยู่ตอนต้นและท้าย
(4) ใจความสําคัญอยู่ตรงกลาง
ตอบ 1
ย่อหน้าข้างต้นเป็นแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว คือ ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้นย่อหน้า แล้วมีประโยคสนับสนุนหลักและประโยคสนับสนุนรองวางอยู่ในตําแหน่งถัดไป จึงทําให้จัดลําดับความคิดได้ง่ายที่สุด เพราะเป็นการขยายความคิดจากประโยคใจความสําคัญไปสู่รายละเอียดที่จะนํามาสนับสนุน

ข้อ 76, – 90. ข้อความต่อไปนี้เป็นเนื้อเรื่องเดียวกัน แต่แบ่งไว้เป็นข้อ ๆ จํานวน 15 ข้อ จงอ่านให้ติดต่อเป็นเรื่องเดียวกัน แล้วพิจารณาว่าแต่ละข้อเข้าลักษณะใด
จากคําตอบข้างล่างนี้ ให้ระบายข้อที่เลือกในกระดาษคําตอบ

คําตอบ
– ถ้าข้อความนั้นเป็นประโยคใจความให้เลือกตอบข้อ 1
– ถ้าข้อความนั้นเป็นประโยคสนับสนุนหลักให้เลือกตอบข้อ 2
– ถ้าข้อความนั้นเป็นประโยคสนับสนุนรองให้เลือกตอบข้อ 3
– ถ้าข้อความนั้นทําให้เสียเนื้อความในย่อหน้าให้เลือกตอบข้อ 4

(1) การจะสอนเด็กให้ปฏิบัติตามคําสอนของผู้ใหญ่ได้อย่างถูกต้องและเป็นระบบระเบียบ สิ่งสําคัญที่สุด คือ แนวการสอน (2) แนวการสอนของผู้ใหญ่อาจมีหลายรูปแบบ เช่น (3) การยกนิทาน อุทาหรณ์ (4) หรือตัวอย่างที่พบเห็นในประจําวันมากล่าวประกอบการสอน (5) การใช้เครื่องมือประเภท รูปภาพ (6) หรือการกล่าวสุภาษิต (7) และภาษิตแทรกในระหว่างการสอน (8) อาจกล่าวได้ว่าตัวอย่าง แนวการสอนเหล่านี้มิได้เป็นอุปกรณ์ในการที่สอนให้เด็กเชื่อฟัง (9) หรือปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเพียง เท่านั้น (10) หากยังต้องเข้าถึงเด็กด้วยวิธีการสอนอันชาญฉลาด (11) กล่าวคือ ผู้ใหญ่จะต้องเข้าใจ ธรรมชาติและวิสัยของเด็กว่ามักไม่ชอบการบังคับ (12) หรือการใช้อารมณ์รุนแรง (13) ผู้ใหญ่จึงต้องมีลีลาการสอนที่นุ่มนวล มีน้ำเสียงในการสอนที่อ่อนโยน (14) ไม่แสดงการบังคับให้เด็กคิดว่าคําสอน เป็นเหมือนคําสั่ง (15) ทําให้เด็กตระหนักถึงประโยชน์ของคําสอนและนําไปปฏิบัติ
(สหะโรจน์ กิตติมหาเจริญ, “ทุคคตะสอนบุตรกับเศรษฐีสอนบุตร” : สาระคําสอนและกลวิธีการสอน จาก “พ่อ” ถึง “ลูก”. วารสารภาษาและวรรณคดีไทย ปีที่ 25 ธันวาคม 2551), หน้า 167)

76. ข้อความหมายเลข 1
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 1
ประโยคใจความหรือประโยคสําคัญ คือ ข้อความที่เป็นตอนนําซึ่งเป็นส่วนที่มีความหมายครอบคลุมข้อความทั้งหมดในย่อหน้า หรือเป็นส่วนที่มีความหมาย เด่นชัดและมีน้ำหนักมากที่สุด โดยจะกล่าวถึงสาระสําคัญของเนื้อความในย่อหน้านั้นทั้งหมด หรือจํากัดขอบข่ายประเด็นที่จะพูดถึงในย่อหน้า อาจมีตําแหน่งอยู่ในตอนต้น ตอนกลาง หรือ ตอนปลายของย่อหน้าก็ได้

77. ข้อความหมายเลข 2
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 2
ประโยคสนับสนุนหลัก คือ ข้อความส่วนที่เป็นตอนอภิปราย หรือประเด็นความคิดหลัก ซึ่งจะทําหน้าที่นํารายละเอียดของเนื้อหาไปสนับสนุนหรือขยายประโยคใจความ ของย่อหน้า ดังนั้นการเขียนประโยคชนิดนี้จึงต้องวิเคราะห์ประโยคใจความ และจํากัดความคิดที่จําเป็นต้องนํามาสนับสนุนใจความในย่อหน้าเสียก่อน

78. ข้อความหมายเลข 3
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3
ประโยคสนับสนุนรอง คือ ข้อความที่เป็นตอนอภิปราย หรือความคิดย่อยในประเด็นความคิดหลัก ซึ่งจะให้รายละเอียดหรือขยายความในประเด็นความคิดหลักหรือประโยคสนับสนุนหลัก (ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ)

79. ข้อความหมายเลข 4
(1) ข้อ 1.
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

80. ข้อความหมายเลข 5
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

81. ข้อความหมายเลข 6
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

82. ข้อความหมายเลข 7
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

83. ข้อความหมายเลข 8
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 4
ประเด็นความคิดที่อยู่นอกขอบข่ายเนื้อหา คือ รายการความคิดที่ไม่เกี่ยวข้องกับประโยคใจความหรือประโยคสําคัญ ประโยคสนับสนุนหลักหรือประเด็นความคิดหลัก และประโยคสนับสนุนรองหรือประเด็นความคิดย่อย เพราะเมื่อปนเข้ามาก็จะทําให้เนื้อความของเรื่องหรือของย่อหน้านั้นเสียไป

84. ข้อความหมายเลข 9
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 83. ประกอบ

85. ข้อความหมายเลข 10
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ

86. ข้อความหมายเลข 11
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

87. ข้อความหมายเลข 12
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

88. ข้อความหมายเลข 13
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

89. ข้อความหมายเลข 14
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

90. ข้อความหมายเลข 15
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

91. ข้อใดเป็นประโยคไม่สมบูรณ์
(1) บริษัทมีเฉพาะพนักงานผู้ชาย
(2) ผู้ชายก็มีหัวใจนะจะบอกให้
(3) ฉันผู้ชายนะยะ
(4) ฉันก็เป็นผู้หญิงนะคะ
ตอบ 3
ประโยคไม่สมบูรณ์ คือ ประโยคที่ขาดคํานามหรือคําสรรพนามที่ทําหน้าที่เป็นประธานในประโยค หรือขาดคํากริยา เช่น ฉันผู้ชายนะยะ (ขาดคํากริยา) จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น ฉันเป็นผู้ชายนะยะ

92. ข้อใดเป็นประโยคสมบูรณ์
(1) แมวมอง
(2) นกต่อ
(3) ไก่ชน
(4) ยุงลาย
ตอบ 3
ประโยคที่สมบูรณ์ในภาษาไทยแบ่งออกเป็น 2 ภาค คือ ภาคประธานหรือผู้กระทํา และภาคแสดง (กริยา + กรรม) ซึ่งอาจมีโครงสร้างเป็นประโยค 2 ส่วน ได้แก่ ประธาน + กริยา (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) หรือเป็นประโยค 3 ส่วน ได้แก่ ประธาน + กริยา + กรรม (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) เช่น ไก่ชน อาจเป็นได้ทั้งประโยค 2 ส่วน ได้แก่ ไก่ (ประธาน) + ชน (กริยา หมายถึง ให้ต่อสู้กัน) หรืออาจใช้เป็นคํานามที่เอาไว้เรียกไก่อูที่เลี้ยงไว้ชนกันก็ได้ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีแต่คํานามที่เป็นภาคประธาน ไม่มีภาคแสดง)

93. ข้อใดมีความหมายตรงกับคําว่า “เทวดา”
(1) สุระ
(2) คเชนทร์
(3) หิรัญ
(4) ดาเรศ
ตอบ 1
คําว่า “สุร-” (สุระ) = เทวดา (ส่วนคําว่า “คเชนทร์” = พญาช้าง, “หิรัญ” = เงิน, “ดาเรศ” = ไม่มีบัญญัติในพจนานุกรม)

94. ข้อต่อไปนี้หมายถึง “สวย” ยกเว้นข้อใด
(1) สิริ
(2) รางชาง
(3) อันแถ้ง
(4) มาศ
ตอบ 4
คําว่า “สิริ/รางชาง/อันแถ้ง” = สวย, งาม (ส่วนคําว่า “มาศ” = ทอง, กํามะถัน)

95. ข้อใดมีความหมายไม่ตรงกัน
(1) หัวเรื่อง = ชื่อเรื่อง
(2) หัวเรือ = หัวของเรือ
(3) โซม = เปียกทั่ว
(4) ขลิบ = ตัดให้เสมอกัน
ตอบ 4
คําว่า “ขลิบ” = เย็บหุ้มริมผ้าและของอื่น ๆ เพื่อกันลุ่ยหรือเพื่อให้งาม

96. ข้อใดเป็นประโยคไม่มีกริยา
(1) คุณครูอายุราว 90 ปี
(2) ครูก้าวลงจากรถด้วยความดีใจ
(3) ครูของฉันเป็นคนใจดี
(4) ฉันชอบแกล้งครู
ตอบ 1
(ดูคําอธิบายข้อ 91. ประกอบ) ประโยค “คุณครูอายุราว 90 ปี” (ขาดคํากริยา) จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น คุณครูมีอายุราว 90 ปี

97. ข้อต่อไปนี้ใช้สํานวนต่างประเทศยกเว้นข้อใด
(1) ครูอ้อยทําโทษนักเรียนที่ขี้เกียจ
(2) นักเรียนที่ขี้เกียจถูกทําโทษโดยครูอ้อย
(3) บันทึกของครูอ้อยง่ายต่อการเข้าใจ
(4) สองนักศึกษาชักชวนกันไปเที่ยวต่างจังหวัด
ตอบ 1
ประโยคในตัวเลือกข้อ 2 – 4 เรียงคําไม่เป็นสํานวนไทย หรือใช้ประโยคที่เลียนแบบสํานวนต่างประเทศ (สํานวนพันทาง) จึงควรเรียงคําให้เป็นสํานวนไทย โดยใช้ว่า ครูอ้อยทําโทษนักเรียนที่ขี้เกียจ, บันทึกของครูอ้อยเข้าใจง่าย, นักศึกษา 2 คน ชักชวนกันไปเที่ยวต่างจังหวัด

98. ข้อต่อไปนี้เป็นประโยคฟุ่มเฟือยยกเว้นข้อใด
(1) เขาให้ความช่วยเหลือเพื่อนในการทําการบ้าน
(2) อาจารย์มีความยินดีมากที่เธอสอบผ่าน
(3) ความสามัคคีนํามาซึ่งความหายนะ
(4) เราชื่นชมความซื่อสัตย์ของคุณมาก
ตอบ 4
ประโยคในตัวเลือกข้อ 1 – 3 เรียงคําไม่กระชับ ใช้คําฟุ่มเฟือยหรือใช้คําอย่างไม่ประหยัด เพราะว่าคําบางคํามีความหมายสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว จึงไม่จําเป็นต้อง ใช้คําขยายมาเพิ่มเติมอีก เนื่องจากจะทําให้ประโยคยืดยาด ดังนั้นจึงควรใช้คําอย่างประหยัด เพื่อให้กระชับ โดยใช้ว่า เขาช่วยเหลือเพื่อนทําการบ้าน, อาจารย์ยินดีมากที่เธอสอบผ่าน,ความสามัคคีนําความหายนะ

99. ข้อใดไม่ใช่ประโยคกรรม
(1) หนังสือเล่มนี้เขาชอบมาก
(2) ฉันถูกแม่ตีอีกแล้ว
(3) ปากกาด้ามนี้ใครซื้อ
(4) ฉันซื้อหนังสือเล่มนี้เมื่อวาน
ตอบ 4
ประโยคกรรม คือ กรรมทําหน้าที่เป็นประธานในประโยค และมักมีกริยาวลี “ถูก” ตามหลังประธาน เช่น ฉันถูกแม่ตีอีกแล้ว, ฉันถูกนายจ้างไล่ออกจากงาน ฯลฯ หรือกรรมมีตําแหน่งอยู่หน้าประธานและกริยา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อต้องการเน้นกรรมมากกว่า เช่น หนังสือเล่มนี้เขาชอบมาก, ปากกาด้ามนี้ใครซื้อ, ปากกาด้ามนี้คุณแม่จะทิ้งทําไม ฯลฯ

100. ข้อใดเป็นประโยคการิต
(1) ฉันและเธอต่างให้อภัยกัน
(2) การให้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์
(3) แม่ให้ฉันตักบาตรในวันเกิด
(4) เพื่อนซื้อนาฬิกาเป็นของขวัญให้ฉัน
ตอบ 3
ประโยคการิต คือ ประโยคประธานหรือประโยคกรรมซึ่งมีผู้รับใช้แทรกเข้ามา เรียกว่า การิตการก (เป็นทั้งผู้ถูกกระทําและผู้กระทํา) กล่าวคือ ในประโยคจะมีบุคคล 2 คน คนหนึ่งจะเป็นผู้สั่งหรือผู้ชี้แนะ (ผู้กระทํา) ในขณะที่อีกคนหนึ่งจะเป็นผู้รับใช้ (ผู้ถูกกระทํา) เช่น แม่ให้ฉันตักบาตรในวันเกิด ฯลฯ

ข้อ 101. – 107. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ประโยคความเดียว
(2) ประโยคความรวม
(3) ประโยคความซ้อน
(4) ประโยคกรรม

101. ปากกาด้ามนี้คุณแม่จะทิ้งทําไม
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 99. ประกอบ

102. ของที่หายเพราะเธอวางไม่เป็นที่
ตอบ 2
ประโยคความรวม (อเนกรรถประโยค) คือ ประโยคที่มีใจความสําคัญหลายใจความ เพราะเป็นประโยคที่รวมเอาประโยคความเดียวเข้าด้วยกัน แล้วเชื่อมด้วยคําสันธาน ซึ่งประกอบด้วยคําต่อไปนี้
1. เนื้อความคล้อยตามกัน ได้แก่ แล้ว, และ, กับ, ถ้า…ก็, เมื่อ…ก็, พอ…ก็, ครั้น…จึง ฯลฯ
2. เนื้อความขัดแย้งกัน ได้แก่ แต่, แต่ทว่า, ถึง…ก็, กว่า…ก็ ฯลฯ
3. เนื้อความเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ หรือ, หรือไม่, หรือไม่เช่นนั้น, มิฉะนั้น ฯลฯ
4. เนื้อความเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน ได้แก่ เพราะ จึง, ดังนั้น เพราะฉะนั้น เพราะฉะนั้น…จึง เพราะ…จึง ฯลฯ

103. เขามองแหวนที่คุณสวมใส่
ตอบ 3
ประโยคความซ้อน หรือประโยคปรุงแต่ง (สังกรประโยค) หมายถึง ประโยคความเดียวที่มีประโยคย่อยเข้ามาแทรกอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อแยกประโยคความซ้อน ออกจากกันสองประโยคจะมีน้ำหนักไม่เท่ากัน กล่าวคือ ประโยคความเดียวที่เป็นประโยคหลัก (มุขยประโยค) จะมีใจความสําคัญเพียงประโยคเดียว และมีประโยคย่อย (อนุประโยค) มาช่วย ขยายความ เช่น เขามองแหวนที่คุณสวมใส่ (ประโยคย่อยขยายนาม “แหวน”), ฉันกลับถึงบ้านเมื่อเธอกําลังหลับ (ประโยคย่อยขยายกริยา “กลับ”) ฯลฯ

104. เด็กผู้หญิงคนนั้นจูงสุนัขสีดําสนิท
ตอบ 1
ประโยคความเดียว (เอกรรถประโยค) คือ ประโยคเล็ก ๆ หรือประโยคสามัญที่มีความหมายอย่างเดียว หรือมีความหมายเฉพาะอย่างหนึ่ง มักมีโครงสร้างประกอบด้วย ประธาน + กริยา (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) หรือประกอบด้วย ประธาน + กริยา + กรรม (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) เช่น เด็กผู้หญิงคนนั้นจูงสุนัขสีดําสนิท เป็นต้น

105. กว่าคุณพ่อจะกลับมาคุณแม่ก็หลับไปแล้ว
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 102. ประกอบ

106. ฉันกลับถึงบ้านเมื่อเธอกําลังหลับ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 103. ประกอบ

107. ฉันถูกนายจ้างไล่ออกจากงาน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 99. ประกอบ

108. ข้อใดไม่มีความหมายกํากวม
(1) คุณแม่ชอบอ่านหนังสือพิมพ์ใหม่ ๆ
(2) ขนมจีนร้านนี้อร่อยมาก
(3) ผู้จัดการบริษัทสัมภาษณ์ผู้สมัครงานคนเดียว
(4) กลิ่นน้ำหอมอบอวลไปทั่วห้องประชุม ,
ตอบ 4
ประโยคในตัวเลือกข้อ 1 – 3 ใช้คําที่ไม่ชัดเจนหรือใช้คําไม่กระจ่าง จึงทําให้สื่อความหมายกํากวม และตีความหมายได้หลายทาง จนก่อให้เกิดความเข้าใจที่ไขว้เขว ดังนั้น จึงควรเขียนให้ชัดเจนและกระจ่าง โดยใช้ว่า คุณแม่ชอบอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับใหม่ ๆ, ขนมจีนกับน้ำยาของร้านนี้อร่อยมาก, ผู้จัดการบริษัทเพียงคนเดียวสัมภาษณ์ผู้สมัครงาน ฯลฯ

109. ข้อใดมีความหมายกํากวม
(1) คนเจ็บถูกส่งโรงพยาบาลอย่างกะทันหัน
(2) เจ้าหน้าที่เข็นรถคนไข้ออกไปแล้ว
(3) แพทย์อนุญาตให้คนไข้ที่บาดเจ็บเล็กน้อยกลับบ้านได้
(4) ผู้ป่วยใหม่กรุณาทําบัตรก่อนเข้ารับรักษา
ตอบ 2
ประโยคในตัวเลือกข้อ 2 ควรเขียนให้ชัดเจนและกระจ่างโดยใช้ว่า เจ้าหน้าที่เข็นรถเข็นของคนไข้ออกไปแล้ว

110. ข้อใดใช้สํานวนต่างประเทศ
(1) ผู้บริโภคในจังหวัดเชียงใหม่เห็นว่าน้ำยาล้างจานที่ทํามาจากสมุนไพรคุณภาพดีที่สุด
(2) การสื่อสารเป็นกิจกรรมที่สําคัญที่สุดของมนุษย์
(3) สุขุมวิทเป็นย่านที่ปนเปื้อนไปด้วยมลพิษทางอากาศมากที่สุด
(4) มนุษย์เป็นทรัพยากรที่สําคัญที่สุดของโลก
ตอบ 3
ประโยคในตัวเลือกข้อ 3 ควรเรียงคําให้เป็นสํานวนไทยโดยใช้ว่า สุขุมวิทเป็นย่านที่มีมลพิษทางอากาศมากที่สุด

111. ข้อใดใช้ภาษาไม่เหมาะสมในการเขียนงานทางวิชาการ
(1) ผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งส่วนใหญ่มาจากความเครียด
(2) ปัจจุบันเมืองไทยมีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในหลายสถานที่
(3) มีการห้ามสูบบุหรี่ในร้านอาหาร ในโรงพยาบาล และในสถานศึกษา
(4) ผู้ใดฝ่าฝืนกฎหมาย กําหนดโทษทั้งจําและปรับไว้อย่างชัดเจน
ตอบ 2
ภาษาระดับแบบแผน คือ คําที่ใช้ในระดับทางการ ซึ่งเป็นคําที่เลือกสรรใช้ด้วยความประณีต มีความถูกต้องทั้งในด้านหลักภาษา ความชัดเจน และมารยาท ในการใช้โดยสมบูรณ์ ได้แก่ ภาษาที่ใช้ในการเขียนเชิงวิชาการและการเขียนเป็นทางการจะนิยมใช้ ภาษาแบบแผนและคําศัพท์บาลี สันสกฤต หรือเขมร แทนคําไทยที่เป็นภาษาพูด แต่ไม่นิยมใช้คําซ้ำ เช่น ปัจจุบันเมืองไทยมีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในหลายสถานที่ (ใช้ภาษาเขียนไม่เหมาะสม)จึงควรแก้ไขให้ถูกต้องเป็น ปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายห้ามสูบบุหรีในหลายสถานที่ ฯลฯ

112. ข้อความต่อไปนี้เรียงลําดับชนิดของประโยคตามข้อใด
“กว่าฉันกับพี่จะเก็บของเสร็จก็มืดค่ำแล้ว ฟ้ามืดสนิทไปทุกทิศทาง พี่สาวของฉันปูเสื่อลงตรงมุมห้อง แล้วหลับสนิทไปด้วยความอ่อนเพลีย”
(1) ประโยคความซ้อน ประโยคความเดียว ประโยคความรวม
(2) ประโยคความรวม ประโยคความเดียว ประโยคความรวม
(3) ประโยคความซ้อน ประโยคความรวม ประโยคความเดียว
(4) ประโยคความเดียว ประโยคความรวม ประโยคความซ้อน
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 102. และ 104. ประกอบ

113. คําในข้อใดมีความหมายตรงข้าม
(1) ขึ้น – ลง, เข้า – ออก
(2) เช็ด – ถู, ขุด – กลบ
(3) เพิ่ม – เติม, ชาย – หญิง
(4) แคะ – แงะ, ยืด – หด
ตอบ 1 คําที่มีความหมายตรงข้าม ได้แก่ ขึ้น – ลง, เข้า – ออก, ขุด – กลบ, ชาย – หญิง, ยืด – หด

114. ส่วนใดแบ่งส่วนภาคประธานและภาคแสดงได้ถูกต้อง
(1) แม่ของเพื่อนคนสวยของฉันคนนี้/สนิทกับแม่ของฉันมาก
(2) แม่ของเพื่อนคนสวยของฉันคนนี้สนิทกับแม่ของฉันมาก
(3) แม่ของเพื่อนคนสวยของฉันคนนี้สนิท/กับแม่ของฉันมาก
(4) แม่ของเพื่อนคนสวย/ของฉันคนนี้สนิทกับแม่ของฉันมาก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 92. ประกอบ

115. “คนไทยรุ่นใหม่ทุกคนในทศวรรษนี้ต้องเก่งเทคโนโลยี” ประโยคที่กําหนดให้ส่วนใดเป็นส่วนขยายประธาน
(1) รุ่นใหม่ทุกคน
(2) ทุกคนในทศวรรษนี้
(3) รุ่นใหม่ทุกคนในทศวรรษนี้
(4) รุ่นใหม่ทุกคนในทศวรรษนี้ต้อง
ตอบ 3
ส่วนขยาย ทําหน้าที่เสริมความในประโยคให้สมบูรณ์และชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งจะมีหรือไม่มีก็ได้ แบ่งออกเป็น
1. ส่วนขยายประธาน หรือส่วนขยายกรรม เรียกว่า “คุณศัพท์” จะอยู่หลังประธาน หรืออยู่หลังกรรม เช่น คนไทยรุ่นใหม่ทุกคนในทศวรรษนี้ต้องเก่งเทคโนโลยี (ส่วนขยายประธาน“คนไทย”), พนักงานทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมสวมเสื้อสีฟ้า (ส่วนขยายกรรม “เสื้อ”) ฯลฯ
2. ส่วนขยายกริยา เรียกว่า “กริยาวิเศษณ์” มักอยู่หลังกริยาที่ไปขยาย หรืออยู่หลังกรรมก็ได้ เช่น ลุงสมพงษ์กับป้าสมศรีกําลังปลูกต้นไม้อย่างขะมักเขม้น (ส่วนขยายกริยา “ปลูก”) ฯลฯ

116. ข้อใดมีส่วนขยายกริยา
(1) ลุงสมพงษ์กับป้าสมศรีกําลังปลูกต้นไม้อย่างขะมักเขม้น
(2) เด็กนักเรียนสองสามคนกําลังเล่นฟุตบอล
(3) เรือของคุณพ่อกําลังเดินทางไปสร้างฐานขุดเจาะในอ่าวไทย
(4) ฉันกับเพื่อน ๆ กําลังจะไปเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 115. ประกอบ

117. ข้อใดมีส่วนขยายกรรม
(1) เลขานุการบริษัทกําลังรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
(2) พนักงานทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องประชุมสวมเสื้อสีฟ้า
(3) เลขานุการของคุณพ่อเหมือนคุณครูของฉัน
(4) พนักงานหลายคนกําลังจัดนิทรรศการ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 115. ประกอบ

118. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการเรียงลําดับคําในพจนานุกรม
(1) รูปสระ ตัวอักษร และวรรณยุกต์
(2) ตัวอักษร รูปสระ และวรรณยุกต์
(3) วรรณยุกต์ รูปสระ และตัวอักษร
(4) ตัวอักษร วรรณยุกต์ และรูปสระ
ตอบ 2
119. การเรียงพจนานุกรมตามรูปสระ สระใดเป็นสระตัวแรก และสระใดเป็นสระตัวสุดท้าย
(1) สระอะ, สระโอ
(2) สระเอ, สระใอ
(3) สระอา, สระเอื้อ
(4) สระอะ, สระไอ
ตอบ 4

120. คําอธิบายอักษรย่อที่อยู่ในวงเล็บในพจนานุกรมข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) (บ.) หมายถึง คําที่รับมาจากภาษาบาลี
(2) (ข.) หมายถึง คําที่รับมาจากภาษาเขมร
(3) (ญิ.) หมายถึง คําที่รับมาจากภาษาญี่ปุ่น
(4) (ล.) หมายถึง คําที่รับมาจากภาษาละติน
ตอบ 1 พจนานุกรมจะบอกที่มาหรือประวัติของคํา ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคํายืมที่รับมาจากชนชาติอื่น โดยใช้อักษรย่ออยู่ในวงเล็บ วางไว้หลังข้อความที่บอกความหมาย ดังนี้

1. (ข.) = คําที่รับมาจากภาษาเขมร
2. (ญิ.) = คําที่รับมาจากภาษาญี่ปุ่น
3. (ฝ.) = คําที่รับมาจากภาษาฝรั่งเศส
4. (อ.) = คําที่รับมาจากภาษาอังกฤษ
5. (จ.) = คําที่รับมาจากภาษาจีน
6. (ป.) = คําที่รับมาจากภาษาบาลี – บาลี
7. (บ.) = คําที่รับมาจากภาษาเบงคอลี
8. (ล.) = คําที่รับมาจากภาษาละติน
9. (ญ.) = คําที่รับมาจากภาษาญวน
10. (ส.) = คําที่รับมาจากภาษาสันสกฤต ฯลฯ

THA1003 การเตรียมเพื่อการพูดและการเขียน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา THA 1003 การเตรียมเพื่อการพูดและการเขียน
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. หัวข้อเรื่องใดต่อไปนี้เหมาะสําหรับพูดหรือเขียนให้นักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปี 1 ได้ฟังหรืออ่าน
(1) เรียนเพิ่มปริญญาตรีอีก 1 ใบ
(2) เรียนและทํากิจกรรมเสริมประสบการณ์
(3) เรียนอย่างไรให้ได้ทุน
(4) เรียนและหางานพิเศษทํา
ตอบ 2
หลักการเลือกหัวข้อเรื่องประการหนึ่ง คือ หัวข้อเรื่องนั้นเหมาะกับผู้ฟังผู้อ่านหรือไม่ซึ่งหัวข้อเรื่องที่เลือกควรมีเนื้อหาตรงกับความสนใจ รสนิยม อารมณ์ และระดับสติปัญญาของ ผู้รับสารนั้นๆ เพราะการเลือกหัวข้อเรื่องที่มีเนื้อหาซึ่งผู้ฟังและผู้อ่านไม่เข้าใจ ย่อมไม่ต่างกับการยัดเยียดสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้แก่เขา ผลการสื่อสารย่อมจะได้ประโยชน์น้อยกว่าที่คาดคิดเอาไว้

2. ข้อใดที่ไม่ใช่นิสัยการอ่านที่ดี
(1) ช่างถาม
(2) ช่างค้นคว้า
(3) ทดสอบคุณค่าเรื่องที่อ่าน
(4) สร้างภาพขึ้นในใจ
ตอบ 2 นิสัยการอ่านที่ดีมีดังนี้ 1. มีนิสัยช่างถาม 2. มีนิสัยสร้างภาพพจน์ขึ้นในใจ 3. มีนิสัยต่อเติมใจความที่บกพร่อง 4. มีนิสัยบันทึกข้อความสําคัญไว้ 5. มีนิสัยทดสอบคุณค่าของเรื่องที่ตนอ่าน

3. หัวข้อเรื่องใดที่จํากัดขอบเขตได้แคบที่สุด
(1) พัฒนาการวรรณกรรมยุคแรกเริ่ม
(2) พัฒนาการวรรณกรรมยุครัชกาลที่ 5
(3) พัฒนาการวรรณกรรมยุค พ.ศ. 2475
(4) พัฒนาการวรรณกรรมยุค 14 ตุลา
ตอบ 3
ขั้นตอนสําคัญในการปรับปรุงหัวข้อเรื่อง คือ การจํากัดขอบข่ายเนื้อหาของหัวข้อเรื่องให้แคบลง เพื่อให้พอเหมาะกับความยาวที่กําหนดให้ โดยพยายามซอยเนื้อหาที่กว้างขวาง เกินไปของหัวข้อเรื่องนั้นให้แยกออกเป็นส่วน ๆ แล้วพิจารณาดูว่าส่วนที่ถูกซอยย่อยออกไปนั้น มีส่วนใดซึ่งมีเนื้อหาพอเหมาะที่จะใช้เป็นหัวข้อเรื่องใหม่ให้พอดีกับความยาวที่จะเขียนได้ (ตัวเลือกข้อ 3 เป็นหัวข้อเรื่องที่จํากัดขอบเขตได้แคบที่สุดเพราะระบุเวลาเอาไว้อย่างชัดเจน)

4. การแบ่งความคิดเป็นประโยคกล่าวนําควรแบ่งเป็นที่ส่วน เพื่อนําความคิดไปสู่รายละเอียดได้เร็วขึ้น
(1) หนึ่งหรือสองส่วน
(2) สองหรือสามส่วน
(3) สามหรือสี่ส่วน
(4) สี่หรือห้าส่วน
ตอบ 2 หลักการเขียนประโยคกล่าวนําที่ดีมีดังนี้
1. เขียนให้เป็นประโยคที่สมบูรณ์เสมอ มีความชัดเจนแจ่มแจ้ง
2. เขียนให้กระชับรัดกุมและแม่นตรงที่สุด อย่าเขียนให้เยิ่นเย้อ และงดใช้คําฟุ่มเฟือย 3. เขียนให้ขยายรายละเอียดได้ง่าย คือ แบ่งความคิดประโยคกล่าวนําออกเป็นสองหรือสามส่วนเพื่อนําความคิดไปสู่รายละเอียดได้เร็วขึ้น
4. ไม่ควรเขียนเป็นประโยคบอกเล่าและไม่สามารถบ่งชี้เหตุผลที่จะนํามาสนับสนุนได้

5. การเขียนประโยคกล่าวนําข้อใดผิด
(1) เขียนเป็นประโยคบอกเล่า
(2) เขียนให้กระชับรัดกุม
(3) ไม่ควรเขียนให้เยิ่นเย้อ
(4) งดใช้คําฟุ่มเฟือย
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

6. ถ้านักศึกษาได้รับเชิญให้กล่าวในเวลากะทันหัน ควรเตรียมโครงเรื่องแบบใด
(1) แบบประโยค
(2) แบบหัวข้อ
(3) แบบย่อหน้า
(4) แบบไม่มีพิธีรีตอง
ตอบ 4
โครงเรื่องแบบไม่มีพิธีรีตอง จะเขียนอย่างคร่าว ๆ ด้วยคําหรือวลีแบบหยาบ ๆ เพื่อวางแนวเรื่องที่สั้น ๆ หรือเรื่องที่ต้องพูดหรือเขียนอย่างทันควันในเวลาอันจํากัด โดยไม่ต้องคํานึงถึงระเบียบแบบแผนใด ๆ เพียงแต่ต้องการให้เรื่องที่จะกล่าวเรียงลําดับกัน ไม่สับสนเท่านั้น เช่น การเตรียมตอบคําถามหรือทําข้อสอบแบบอัตนัย หรือการถูกเชิญให้กล่าวในเวลาอันกะทันหัน ฯลฯ

7. ข้อใดไม่ใช่หลักการเขียนประโยคใจความ
(1) เขียนให้เป็นข้อความที่สมบูรณ์
(2) เขียนให้เป็นข้อความสละสลวย
(3) เขียนให้กระจ่างชัดเจน
(4) เขียนให้แคบหรือเจาะจงลงไป
ตอบ 2
หลักการเขียนประโยคใจความที่ดีมีดังนี้
1. เขียนให้เป็นข้อความที่สมบูรณ์ ไม่ขาดห้วน หรือกล่าวลอย ๆ
2. เขียนให้กระจ่างชัดเจน ต้องแสดงความคิดสําคัญเพียงอย่างเดียวให้กระชับแน่นอนลงไป
3. เขียนให้แคบหรือเฉพาะเจาะจงลงไป จนพอเหมาะที่จะเขียนได้ใน 1 ย่อหน้า
4. ใช้คําให้ถูกต้อง ซึ่งเป็นคําที่ดีที่สุดที่จะใช้สื่อความหมายให้ผู้อื่นเข้าใจได้ตรงจุดและควรเป็นคําที่แจ่มแจ้ง เห็นจริงเห็นจัง

8. ประโยคใจความสําคัญตําแหน่งใดที่ลําดับความคิดได้ง่าย
(1) ตอนต้นย่อหน้า
(2) ตอนท้ายย่อหน้า
(3) ตอนกลางย่อหน้า
(4) ตอนต้นและท้ายย่อหน้า
ตอบ 1 การเขียนประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้นย่อหน้า จะเหมาะกับนักเขียนหน้าใหม่ที่เริ่มต้นฝึกหัดเขียน เพราะจัดลําดับความคิดได้ง่ายที่สุดและฝึกฝนได้สะดวกกว่าแบบอื่น ทั้งยังทําให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายอีกว่าเราจะกล่าวถึงประเด็นสําคัญอะไร โดยขมวดประเด็นนั้นลงไปในประโยคใจความตอนต้นย่อหน้า ผู้อ่านก็สามารถจับประเด็นของย่อหน้าได้

9. การเขียนประโยคใจความสําคัญแบบใดที่เหมาะสําหรับนักเขียนหน้าใหม่
(1) ตอนต้นย่อหน้า
(2) ตอนท้ายย่อหน้า
(3) ตอนกลางย่อหน้า
(4) ตอนต้นและท้ายย่อหน้า
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 8. ประกอบ

ข้อ 10. – 11. ข้อความให้มายังไม่ได้เรียงลําดับ ให้นักศึกษาเรียงลําดับข้อความต่อไปนี้ให้มีความต่อเนื่องและสัมพันธ์กัน

10.
(1) ปัจจุบันนิยมพนันมวยหรือฟุตบอลทางจอโทรทัศน์
(2) เพราะการชนไก่สามารถเล่นได้ตลอดปี
(3) โดยเฉพาะผู้ชายที่มีความถนัดทางช่างหรือความรู้ติดตัว
(4) การชนไก่เป็นการพนันอีกประเภทหนึ่งที่นิยมกัน
(5) มีการเลี้ยงไก่เป็นงานอดิเรก
(6) แต่กิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ของชายล้านนาก็มีเช่นกัน
(1) (4)(2)(1)(5)(6)(3)
(2) (1)(4)(2)(3)(5)(6)
(3) (4)(5)(2)(1)(6)(3)
(4) (1)(3)(6)(5)(4)(2)
ตอบ 2
ย่อหน้าควรมีความสัมพันธ์และความต่อเนื่องกัน ซึ่งความสัมพันธ์ในที่นี้ หมายถึงแต่ละส่วนของย่อหน้าต้องเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกันตามเหตุผลได้เรื่องได้ราว โดยมีการจัดระเบียบและวางลําดับเนื้อหาได้เหมาะเจาะตามลําดับ ส่วนความต่อเนื่อง หมายถึง ส่วนต่าง ๆ ในย่อหน้ามาปะติดปะต่อกันอย่างราบรื่น และมีคําเชื่อมโยงส่วนต่าง ๆ ของเนื้อหาให้ประสานกลมกลืนกัน

11.
(1) ทั้ง ๆ ที่การรับรู้ดนตรีใช้การฟังมากกว่าการดู
(2) การรับรู้ดนตรีสามารถเกิดสุนทรียะได้หลายระดับ
(3) บางครั้งเราใช้คําพูดเกี่ยวกับการรับรู้ดนตรีที่ไม่สอดคล้องกัน
(4) ดนตรีเป็นศิลปะที่มีคุณลักษณะพิเศษ หลายประการ
(5) ทั้งนามธรรมและรูปธรรม
(6) เช่น ไปดูคอนเสิร์ต
(1) (2)(1)4(5(3)(6)
(2) (4)(2)(5)(3)(1)(6)
(3) (4)(3)(2)(5)(1)(6)
(4) (2)(3)(4)(5)(1)(6)
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 10. ประกอบ

ข้อ 12. – 15. จงใช้คําตอบต่อไปนี้จับคู่กับลักษณะของข้อบกพร่องในการเขียนย่อหน้า
(1) คิดนอกเรื่อง
(2) คิดขาดตอน
(3) คิดสับสน
(4) คิดไม่สัมพันธ์กัน

12. พูดหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน จนลําดับไม่ถูกว่ากําลังพูดถึงเรื่องอะไร
ตอบ 3
ข้อบกพร่องในการเขียนย่อหน้ามีดังนี้
1. คิดนอกเรื่องหรือนอกประเด็นที่กําหนดให้ คือ เขียนผิดประเด็นหรือเฉียดประเด็นของเรื่องไม่ตรงกับจุดมุ่งหมายและเจตนารมณ์ของคําสั่งหรือสิ่งที่กําหนดให้ทํา
2. คิดสับสน คือ พูดหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน จนลําดับไม่ถูกว่ากําลังพูดถึงเรื่องอะไร
3. คิดขาดตอน คือ มีความคิดอื่นมาแทรกจึงทําให้ความคิดที่กําลังเขียนค้างอยู่ และความคิดที่แทรกเข้ามานั้นทําให้เรื่องราวขาดความสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
4. คิดไม่สัมพันธ์กัน คือ พูดถึงเรื่องสองเรื่องที่เข้ากันไม่ได้หรือไม่กลมกลืนกัน แต่ไม่ถึงกับขัดแย้งกัน ฯลฯ

13. มีความคิดอื่นมาแทรกจึงทําให้ความคิดที่กําลังเขียนค้างอยู่
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

14. เขียนผิดประเด็นหรือเฉียดประเด็นของเรื่อง
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

15. พูดสองเรื่องที่เข้ากันไม่ได้ แต่ไม่ถึงกับขัดแย้งกัน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 12. ประกอบ

ข้อ 16. – 30. ข้อความต่อไปนี้เป็นเนื้อเรื่องเดียวกัน แต่แบ่งไว้เป็นข้อ ๆ จํานวน 15 ข้อ จงอ่านข้อความทั้งหมดนี้ให้ต่อเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน แล้วพิจารณาว่าแต่ละข้อจะเข้าลักษณะใดจากคําตอบข้างล่างนี้ ให้ระบายข้อที่เลือกในกระดาษคําตอบ
คําตอบ
– ถ้าข้อความนั้นเป็นประโยคใจความ ให้เลือกตอบข้อ 1
– ถ้าข้อความนั้นเป็นประโยคสนับสนุนหลักให้เลือกตอบข้อ 2
– ถ้าข้อความนั้นเป็นประโยคสนับสนุนรอง ให้เลือกตอบข้อ 3
– ถ้าข้อความนั้นปนเข้ามาทําให้เสียเนื้อความของย่อหน้า ให้เลือกตอบข้อ 4

(1) สังคมไทยเป็นสังคมที่มีพระมหากษัตริย์ต่อเนื่องมาหลายร้อยปี (2) พระมหากษัตริย์ทรงมีบทบาทในการรักษาบ้านเมือง (3) คุ้มครองประชาชนและเป็นศูนย์รวมจิตใจประชาชน (4) พุทธศาสนา ถือว่าพระมหากษัตริย์มีลักษณะ 3 ประการตามบทบาทต่อสังคมดังนี้คือ (5) ประการที่ 1 ทรงเป็น “มหาชนสมมติ” (6) คือ พระราชอํานาจมีฐานมาจากความพร้อมใจของประชาชน (7) ต้องทรงเป็นที่ ยอมรับของคนในสังคมนั้น (8) ประการที่ 2 ทรงเป็น “ผู้นําของแคว้น” (9) ทรงดูแลบ้านเมืองให้สงบเรียบร้อย (10) จึงทรงเป็นศูนย์กลางของประเทศ (11) ประการที่ 3 ทรงเป็น “หัวหน้าที่มีธรรม” (12) ทรงปกครองด้วยธรรมเพื่อให้ประชาชนเป็นสุข (13) คติของคนไทยเกี่ยวแก่พระมหากษัตริย์ แยกออกเป็น 2 คติ (14) คติแรก คือ การเห็นว่าพระมหากษัตริย์เป็นหัวหน้าครอบครัวใหญ่ (15) คติที่ 2 คือ การเห็นว่าพระมหากษัตริย์เป็นประมุขรัฐทางการเมือง

(ข้อมูล : เสาวณิต วิงวอน. “เทวราชาและธรรมราชาในวรรณกรรมยอพระเกียรติ” ใน อักษรสรรค์กรุงเทพฯ : บริษัท โรงพิมพ์เดือนตุลา จํากัด, 2555 หน้า 57)

16. ข้อความหมายเลข
1 (1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 4
ประเด็นความคิดที่อยู่นอกขอบข่ายเนื้อหา คือ รายการความคิดที่ไม่เกี่ยวข้องกับประโยคใจความหรือประโยคสําคัญ ประโยคสนับสนุนหลักหรือประเด็นความคิดหลัก และประโยคสนับสนุนรองหรือประเด็นความคิดย่อย เพราะเมื่อปนเข้ามาก็จะทําให้เนื้อความของเรื่องหรือของย่อหน้านั้นเสียไป

17. ข้อความหมายเลข 2
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

18. ข้อความหมายเลข 3
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

19. ข้อความหมายเลข 4
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 1
ประโยคใจความหรือประโยคสําคัญ คือ ข้อความที่เป็นตอนนําซึ่งเป็นส่วนที่มีความหมายครอบคลุมข้อความทั้งหมดในย่อหน้า หรือเป็นส่วนที่มีความหมาย เด่นชัดและมีน้ำหนักมากที่สุด โดยจะกล่าวถึงสาระสําคัญของเนื้อความในย่อหน้านั้นทั้งหมด หรือจํากัดขอบข่ายประเด็นที่จะพูดถึงในย่อหน้า อาจมีตําแหน่งอยู่ในตอนต้น ตอนกลาง หรือตอนปลายของย่อหน้าก็ได้

20. ข้อความหมายเลข 5
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 2
ประโยคสนับสนุนหลัก คือ ข้อความที่เป็นตอนอภิปราย หรือประเด็นความคิดหลัก ซึ่งจะทําหน้าที่นํารายละเอียดของเนื้อหาไปสนับสนุนหรือขยายประโยคใจความ ของย่อหน้า ดังนั้นการเขียนประโยคชนิดนี้จึงต้องวิเคราะห์ประโยคใจความ และจํากัดความคิดที่จําเป็นต้องนํามาสนับสนุนใจความในย่อหน้าเสียก่อน

21. ข้อความหมายเลข 6
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3
ประโยคสนับสนุนรอง คือ ข้อความที่เป็นตอนอภิปราย หรือความคิดย่อยในประเด็นความคิดหลัก ซึ่งจะให้รายละเอียดหรือขยายความในประเด็นความคิดหลักหรือ ประโยคสนับสนุนหลัก (ดูคําอธิบายข้อ 20. ประกอบ)

22. ข้อความหมายเลข 7
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

23. ข้อความหมายเลข 8
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 20. ประกอบ

24. ข้อความหมายเลข 9
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

25. ข้อความหมายเลข 10
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

26. ข้อความหมายเลข 11
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 20. ประกอบ

27. ข้อความหมายเลข 12
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

28. ข้อความหมายเลข 13
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

29.ข้อความหมายเลข 14
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

30. ข้อความหมายเลข 15
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

31. ข้อใดจํากัดความหมายของคําได้ถูกต้อง
(1) ภาษาพูด/มีความหมาย/จํากัดพยางค์/สื่อสารกันได้
(2) ภาษาพูดหรือภาษาเขียน/มีความหมาย/ไม่จํากัดพยางค์/สื่อสารกันได้
(3) ภาษาเขียนมีความหมาย/จํากัดพยางค์/สื่อสารกันได้
(4) ภาษาพูดและภาษาเขียน/มีความหมาย/จํากัดหรือไม่จํากัดพยางค์/สื่อสารกันได้ ตอบ 2
ความหมายของคํามีดังนี้
1. คํา คือ การสื่อสารด้วยภาษาพูด (เสียงพูด) หรือภาษาเขียน (การใช้อักษรเป็นสัญลักษณ์)
2. คําต้องมีความหมายจึงจะสื่อสารเข้าใจกันได้ชัดเจน
3. คํา คือ หน่วยเล็กที่สุดในภาษา ประกอบด้วย พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์
4. คําไม่จํากัดพยางค์ มีอย่างน้อยตั้งแต่ 1 พยางค์ขึ้นไป

32. คําว่า “นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคําแหง” มีกี่คํา
(1) 2 คํา
(2) 3 คํา
(3) 4 คํา
(4) 5 คำ
ตอบ 2 หน้า 109 – 110 คําว่า “นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคําแหง” มี 3 คํา ได้แก่
1. นักศึกษา = ผู้ที่เข้ารับการศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา
2. มหาวิทยาลัย = สถาบันอุดมศึกษาที่ให้การศึกษาในด้านวิชาการและวิชาชีพชั้นสูงหลายสาขาวิชา
3. รามคําแหง = ในที่นี้เป็นชื่อมหาวิทยาลัย

33. ข้อใดคือความหมายของคําว่า “พยางค์”
(1) เสียงที่เปล่งออกมา 1 ครั้ง จะมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้
(2) เสียงที่เปล่งออกมา 1 ครั้ง จะต้องมีความหมาย
(3) เสียงที่เปล่งออกมา 1 ครั้งหรือ 2 หรือ 3 ครั้ง และจะต้องมีความหมาย
(4) เสียงที่เปล่งออกมาหลาย ๆ ครั้งติดกัน และต้องมีความหมาย
ตอบ 1
พยางค์ คือ เสียงที่เปล่งออกมา 1 ครั้ง จะมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้ซึ่งพยางค์เกิดจากการเปล่งเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ตามกันออกมาอย่างกระชั้นชิด จนฟังดูเหมือนกับเปล่งเสียงออกมาในครั้งเดียวกัน เรียกว่า การประสมเสียงในภาษา ดังนั้น เสียงที่เกิดจากการประสมเสียงจึงเรียกว่า “พยางค์”

34. ข้อใดออกเสียงแล้วมีจํานวนพยางค์น้อยที่สุด
(1) บรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์
(2) เบญจราชกกุธภัณฑ์
(3) เบญจมบพิตรดุสิตวนาราม
(4) เชตุพนวิมลมังคลาราม
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ) คําที่ออกเสียงแล้วมีจํานวนพยางค์เรียงจากน้อยที่สุดไปมากได้แก่ เบญจราชกกุธภัณฑ์ (8 พยางค์), เชตุพนวิมลมังคลาราม (9 พยางค์), เบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (10 พยางค์), บรมราชากาญจนาภิเษกอนุสรณ์ (12 พยางค์)

35. ข้อใดไม่มีเสียงพยัญชนะท้ายทุกคํา
(1) ปู่แกตามัว
(2) ไม้หลักปักดิน
(3) กินของมองข้าง
(4) น้ำขึ้นให้รีบตัก
ตอบ 1
(คําบรรยาย) เสียงพยัญชนะท้ายพยางค์ คือ เสียงพยัญชนะสะกด ซึ่งในภาษาไทยมี 8 เสียง ได้แก่ แม่กก กด กบ กง กน กม เกย และเกอว นอกจากนี้คําที่มีเสียงสระอํา (อัม) = แม่กม, สระไอ/ไอ (อัย) = แม่เกย, สระเอา (อาว) = แม่เกอว (คําว่า “ปู่แกตามัว” มีแต่เสียงพยัญชนะ ต้นเท่านั้น ไม่มีเสียงพยัญชนะท้ายทุกคํา)

36. ข้อใดใช้สํานวนการเขียนต่างประเทศ
(1) ฉันถูกแม่ตี
(2) พ่อถูกหวย
(3) นวนิยายเรื่องนี้ถูกเขียนโดยฉัน
(4) ธนาคารถูกโจรปล้น
ตอบ 3
ประโยคดังกล่าวเรียงคําไม่เป็นสํานวนไทย หรือใช้ประโยคที่เลียนแบบสํานวนต่างประเทศ (สํานวนพันทาง) คือ เป็นประโยคกรรมการกในภาษาอังกฤษ ทําให้กริยาวลี “ถูก” กลับนิยมในข้อความที่ดี ทั้ง ๆ ที่ตามหลักภาษาไทยถือว่ามีความหมายไปในทางไม่ดี จึงควรเรียงคําให้เป็นสํานวนไทย โดยใช้ว่า ฉันเขียนนวนิยายเรื่องนี้ (คําว่า “ถูก” ในภาษาไทย หากใช้เป็นกริยาช่วยจะใช้ในเรื่องที่ไม่ดีเท่านั้น เช่น ฉันถูกแม่ตี, ธนาคารถูกโจรปล้น ฯลฯ แต่ถ้าเป็นกริยาแท้ เช่น พ่อถูกหวย ฯลฯ คําว่า “ถูก” ในที่นี้หมายถึง ตรงกันกับ)

37. ข้อใดเป็นประโยคความร้อน
(1) แม่ไปซื้อกับข้าวที่ตลาดบางกะปิทุกเช้า
(2) แม่ไปซื้อกับข้าวที่ฉันชอบ
(3) แม่ทอดไข่ด้วยกระทะไฟฟ้ารุ่นใหม่จากญี่ปุ่น
(4) ฉันไม่ชอบดื่มน้ำหวาน
ตอบ 2
ประโยคความซ้อน หรือประโยคปรุงแต่ง (สังกรประโยค) หมายถึง ประโยคความเดียวที่มีประโยคย่อยเข้ามาแทรกอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อแยกประโยคความซ้อน ออกจากกันสองประโยคจะมีน้ำหนักไม่เท่ากัน กล่าวคือ ประโยคความเดียวที่เป็นประโยคหลัก (มุขยประโยค) จะมีใจความสําคัญเพียงประโยคเดียว และมีประโยคย่อย (อนุประโยค) มาช่วย ขยายความ เช่น แม่ไปซื้อกับข้าวที่ฉันชอบ ฯลฯ (คําที่ขีดเส้นใต้เป็นประโยคย่อยทําหน้าที่ ขยายนาม โดยมีคําว่า “ที่” ซึ่งในที่นี้ไม่ใช่คําบุรพบทบอกสถานที่ แต่เป็นคําเชื่อมแทนคํานามที่อยู่ข้างหน้า)

38. ข้อใดไม่ใช่ประโยคความเดียว
(1) คนรูปร่างอ้วนมักจะมีน้ำตาลมากกว่าคนรูปร่างผอม
(2) ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงเกิดจากการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป
(3) การควบคุมอาหารมีความสําคัญมากเพราะจะทําให้ผอม
(4) การลดความอ้วนในขั้นแรกควรจะควบคุมอาหารโดยเฉพาะของหวาน
ตอบ 3
ประโยคความเดียว (เอกรรถประโยค) คือ ประโยคเล็ก ๆ หรือประโยคสามัญที่มีความหมายอย่างเดียว หรือมีความหมายเฉพาะอย่างหนึ่ง มักมีโครงสร้างที่ประกอบด้วย ประธาน + กริยา อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้ หรือประกอบด้วย ประธาน + กริยา + กรรม อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้ (ส่วนตัวเลือกข้อ 3 เป็นประโยคความรวมที่มีเนื้อความเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน มักมีคําสันธาน เพราะ, จึง, ดังนั้น เพราะฉะนั้น ฯลฯ)

39. ข้อใดไม่ใช่ประโยคสองส่วน
(1) แม่ไก่วิ่งเล่นนอกชาน
(2) แม่ไก่และลูกไก่ร้องเสียงดังมาก
(3) ลูกไก่และแม่ไก่เดินเรียงแถวอย่างสวยงาม
(4) ไก่ฟักไข่สองฟอง
ตอบ 4
ประโยคที่สมบูรณ์ในภาษาไทยแบ่งออกเป็น 2 ภาค คือ ภาคประธานหรือผู้กระทํา และภาคแสดง (กริยา + กรรม) ซึ่งอาจมีโครงสร้างเป็นประโยค 2 ส่วน ได้แก่ ประธาน + กริยา (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) หรือเป็นประโยค 3 ส่วน ได้แก่ ประธาน + กริยา + กรรม (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) เช่น ไก่ฟักไข่สองฟอง (ประธาน + กริยา + กรรม + ส่วนขยายกรรม) เป็นต้น ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นประโยค 2 ส่วน)

40. ข้อใดใช้ภาษาเขียนไม่ถูกต้อง
(1) บ้านของฉันมีรถเมล์วิ่งผ่านหลายสาย
(2) ฉันชอบภาพยนตร์เรื่องนี้มาก
(3) เราไม่ควรดูโทรทัศน์ตลอดทั้งวัน
(4) ภาพยนตร์เรื่องนี้เธอดูแล้วใช่ไหม
ตอบ 1
การใช้คําในภาษาเขียนย่อมพิถีพิถันมากกว่าภาษาพูด โดยเฉพาะภาษาเขียนระดับแบบแผนด้วยแล้ว ผู้เขียนย่อมทบทวนกันอย่างละเอียดเพื่อที่จะใช้คําให้หมดจด เช่น บ้านของฉันมีรถเมล์วิ่งผ่านหลายสาย (ใช้ภาษาเขียนไม่ถูกต้อง) จึงควรแก้ไขเป็น บ้านของฉันมี รถประจําทางวิ่งผ่านหลายสาย

41. “หมอถือว่าคนป่วยเป็นคนไข้ของหมอเหมือนกัน” ประโยคดังกล่าวบกพร่องในเรื่องใด
(1) ใช้คําไม่คงที่
(2) ใช้สํานวนต่างประเทศ
(3) ใช้คําฟุ่มเฟือย
(4) ใช้คํากํากวม
ตอบ 4
ประโยคดังกล่าวใช้คําไม่ชัดเจนหรือใช้คําไม่กระจ่าง ทําให้สื่อความหมายกํากวมและตีความหมายได้หลายทาง จนก่อให้เกิดความเข้าใจที่ไขว้เขว ดังนั้นจึงควรเขียนให้ชัดเจนและกระจ่าง โดยใช้ว่า หมอถือว่าคนป่วยยากไร้ที่มารักษาโรคเป็นคนไข้ของหมอเหมือนกัน

ข้อ 42, 46. ข้อใดตรงกับความหมายของตัวเลือกที่กําหนดให้ต่อไปนี้
(1) ความหมายโดยตรง
(2) ความหมายโดยแฝง
(3) ความหมายโดยบริบท
(4) ไม่ตรงกับความหมายใด ๆ

42. สมสีเป็นดาวเด่นในการประกวดร้องเพลงครั้งนี้
ตอบ 2
ความหมายโดยแฝง (Connotation) หมายถึง ความหมายโดยนัย ความหมายเปรียบเทียบ ความหมายเพิ่มหรือความหมายสมทบ เช่น ดาวเด่น = บุคคลที่เด่นในทางใด ทางหนึ่ง, ใจนักเลง = มีใจกล้าสู้, หมู = ง่าย สะดวก, เข้าฌาน = นั่งหลับหรือนั่งเหม่อใจลอย ไม่รับรู้อะไร ฯลฯ

43. สมชายเป็นคนใจนักเลงเมื่อทําผิดก็ยอมรับผิดแต่โดยดี
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 42. ประกอบ

44. เมื่อคืนสมชายนอนตกหมอนจนคอเคล็ด
ตอบ 1
ความหมายโดยตรง (Denotation) หมายถึง ความหมายเดิมความหมายประจํา หรือความหมายกลาง ซึ่งเป็นความหมายตามปกติของคําที่เข้าใจได้ทันที โดยไม่ต้องทําการเปรียบเทียบ หรือดูข้อความแวดล้อมประกอบ ดังนั้นจึงเป็นความหมายตามพจนานุกรมที่ทุกคนเข้าใจได้ตรงกัน

45. ข้อสอบวิชาภาษาไทยปีนี้หมูมาก ๆ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 42. ประกอบ

46. นักศึกษาห้องนี้ชอบนั่งเข้าฌานเรียนทุกวัน
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 42. ประกอบ

ข้อ 47. – 52. ข้อใดตรงกับความหมายของตัวเลือกที่กําหนดให้ต่อไปนี้
(1) ใช้คําไม่ถูกต้องตรงความหมาย
(2) ใช้คําฟุ่มเฟือย
(3) ใช้สํานวนต่างประเทศ
(4) ใช้ประโยคกํากวม

47. เมื่อเกิดอุบัติเหตุเข็มขัดนิรภัยจะช่วยเหนี่ยวรั้งคนขับให้ติดอยู่กับเก้าอี้
ตอบ 1
ประโยคดังกล่าวใช้คําไม่ถูกต้องตรงความหมาย หรือใช้คําผิดความหมาย เพราะคําบางคํามีความหมายคล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกัน แต่ละคํามีความหมายโดยตรงที่ใช้เฉพาะความหมายคํานั้น จึงควรใช้คําให้ถูกต้องตรงความหมาย โดยใช้ว่า เมื่อเกิดอุบัติเหตุเข็มขัดนิรภัยจะช่วยรั้งคนขับให้ติดอยู่กับเก้าอี้ (คําว่า “รั้ง” = หน่วงเหนี่ยวไว้ ส่วนคําว่า “เหนี่ยวรั้ง” – ดึงไว้ ประวิงไว้ ชะลอไว้)

48. ตํารวจยิงโจรปล้นทองตายหมดไม่มีใครรอด
ตอบ 2
ประโยคดังกล่าวเรียงคําไม่กระชับ ใช้คําอย่างไม่ประหยัดหรือใช้คําฟุ่มเฟือย เพราะว่าคําบางคํามีความหมายสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว จึงไม่จําเป็นต้องใช้คําขยายมา เพิ่มเติมอีก เนื่องจากจะทําให้ประโยคมีความยืดยาด ดังนั้นจึงควรใช้คําอย่างประหยัดเพื่อให้กระชับ โดยใช้ว่า ตํารวจยิงโจรปล้นทองตายหมด

49. สมชายจะไปเรียนต่อต่างประเทศในอนาคตอันใกล้นี้
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 36. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวใช้สํานวนต่างประเทศ คือในอนาคตอันใกล้ (in the near future) จึงควรเรียงคําให้เป็นสํานวนไทย โดยใช้ว่า สมชายจะไปเรียนต่อต่างประเทศในเร็ว ๆ นี้

50. สุเชาว์พยายามมั่วสุมอยู่กับชาวบ้านหวังว่าจะได้เป็นผู้แทน
ตอบ 1 (ดูคําอธิบายข้อ 47. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวควรใช้คําให้ถูกต้องตรงความหมาย โดยใช้ว่าสุเชาว์พยายามคลุกคลีอยู่กับชาวบ้านหวังว่าจะได้เป็นผู้แทน (คําว่า “คลุกคลี” = เข้าปะปนระคนกัน เข้าใกล้ชิดกัน ส่วนคําว่า “มั่วสุม” = ชุมนุมกันเพื่อกระทําการในทางไม่ดี)

51. ชาวบ้านมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลให้ความสนใจในโครงการนี้
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 48. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวควรใช้คําอย่างประหยัดเพื่อให้กระชับโดยใช้ว่า ชาวบ้านยินดีเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลสนใจในโครงการนี้

52. นางเอกดาวรุ่งมีคดีความกับสาวนอกวงการ
ตอบ 4 (ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวควรเขียนให้ชัดเจนและกระจ่าง โดยใช้ว่านางเอกดาวรุ่งมีคดีความกับสาวนอกวงการบันเทิง

53. ข้อใดมีคําสะกดผิดทุกคํา
(1) กะเทย, โควตา
(2) ต่าง ๆ นา ๆ, ผัดวันประกันพรุ่ง
(3) พะแนง, อย่าร้าง
(4) ทนง, โลกาภิวัฒน์
ตอบ 4 คําที่สะกดผิด ได้แก่ ต่าง ๆ นา ๆ อย่าร้าง ทนง โลกาภิวัฒน์ซึ่งที่ถูกต้องคือ ต่าง ๆ นานา หย่าร้าง ทะนง โลกาภิวัตน์

54. ข้อใดมีคําทับศัพท์ที่เขียนถูก
(1) วอลเล่ย์บอล
(2) บุฟเฟต์
(3) คอร์รัปชั่น
(4) อิเล็กทรอนิก
ตอบ 3 คําทับศัพท์ที่เขียนผิด ได้แก่ วอลเล่ย์บอล บุฟเฟต์ อิเล็กทรอนิก ซึ่งที่ถูกต้องคือ วอลเลย์บอล บุฟเฟต์ อิเล็กทรอนิกส์

55. ข้อใดใช้คําทับศัพท์ได้
(1) ลิฟต์แก้ว
(2) กงสุลอเมริกา
(3) ออฟฟิศไปรษณีย์
(4) แบงก์กรุงไทย
ตอบ 1
คําต่างประเทศที่เป็นภาษาอังกฤษ หากมีการบัญญัติศัพท์เป็นภาษาไทยใช้แพร่หลายอยู่แล้วก็ควรใช้ภาษาไทย เช่น กงสุล (Consul), ที่ทําการ (Office), ธนาคาร (Bank) ฯลฯ ยกเว้นหากคํานั้นยังไม่มีคําบัญญัติเป็นภาษาไทยก็สามารถใช้คําทับศัพท์ได้ เช่น ลิฟต์ (Lift) ฯลฯ

56. ข้อใดใช้ลักษณนามผิด
(1) สวิง, แห, อวน = ปาก
(2) เปียโน, บ้าน = เรือน
(3) เทียน, มีด, ขวาน, หนังสือ = เล่ม
(4) จระเข้, ขิม = ตัว
ตอบ 2
คําลักษณนาม คือ คําที่ตามหลังคําบอกจํานวนนับ ซึ่งควรใช้ให้ถูกต้องตามหลักภาษา เช่น เปียโน, บ้าน = หลัง (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นใช้คําลักษณนามถูกต้อง)

57. เมื่อเครื่องหมาย “ฯลฯ” อยู่ท้ายข้อความจะอ่านว่าอย่างไร
(1) เป็นต้น
(2) ยาวไปเลย
(3) ละถึง
(4) ละ
ตอบ 4
เครื่องหมายไปยาลใหญ่ “ ฯลฯ” หากอยู่ท้ายข้อความ เช่น ในป่ามีช้าง เสือ ลิง ค่าง ฯลฯ จะอ่านว่า “ละ” แต่ถ้าอยู่ระหว่างข้อความ เช่น เพลงสรรเสริญพระบารมีที่ว่าข้าวรพุทธเจ้า ฯลฯ ดุจถวายชัย ชโย จะอ่านว่า “ละถึง”

58. ข้อใดอ่านไม่ถูกต้อง
(1) เด็กเล็ก ๆ อ่านว่า เด็ก-เล็ก-เล็ก
(2) ในวันหนึ่ง ๆ อ่านว่า ใน-วัน หนึ่ง-วัน-หนึ่ง
(3) เสียงอ่อย ๆ อ่านว่า เสียง-อ่อย-อ่อย
(4) แต่ละวัน ๆ อ่านว่า แต่-ละ-วัน-ละ-วัน
ตอบ 4
การอ่านเครื่องหมายไม้ยมก (ๆ) ที่เขียนหลังคํา วลี หรือประโยค ให้อ่านซ้ำคําวลี หรือประโยคอีกครั้งหนึ่ง เช่น แต่ละวัน ๆ อ่านว่า แต่-ละ-วัน-แต่-ละ-วัน เป็นต้น
(ส่วนตัวเลือกข้ออื่นอ่านถูกต้อง)

59. ข้อใดอ่านต่างจากข้ออื่น
(1) ชาติพันธุ์
(2) ซอมซ่อ
(3) ชักเย่อ
(4) ฐานกรณ์
ตอบ 4 คําว่า “ฐานกรณ์” อ่านว่า ถาน-กอน (ส่วนคําว่า “ ชาติพันธุ์” อ่านว่า ชาด-ติ-พัน,“ซอมซ่อ” อ่านว่า ซอม-มะ-ซ่อ, “ชักเย่อ” อ่านว่า ชัก-กะ-เย่อ)

60. ข้อใดมีคําไวพจน์ทุกคํา
(1) มโนมัย, ไอยรา, อาชาไนย
(2) หัสดิน, สาร, กุญชร
(3) รัชนีกร, ทิวากร, ประภากร
(4) ไตรทศ, ไตรทิพย์, เทวัญ
ตอบ 2
การหลากคํา หรือเรียกว่า “คําไวพจน์” คือ คําที่เขียนต่างกันแต่มีความหมายเหมือนกัน หรือใกล้เคียงกันมาก ซึ่งจัดเป็นคําพ้องความหมาย เช่น คําว่า “หัสดิน, สาร, กุญชร, ไอยรา” – ช้าง, “มโนมัย, อาชาไนย” = ม้า, “ทิวากร, ประภากร” – พระอาทิตย์ (ส่วนคําว่า “รัชนีกร” = พระจันทร์, “ไตรทศ” = เทวดา, “ไตรทิพย์” = สวรรค์, “เทวัญ” = พวกชาวสวรรค์ที่มีตาทิพย์ หูทิพย์ และกินอาหารทิพย์)

61. คนแตกต่างจากสัตว์โลกชนิดอื่น ๆ อย่างไร
(1) คนมีสมอง แต่สัตว์ชนิดอื่น ๆ ไม่มีสมอง
(2) คนสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้ดีกว่าสัตว์
(3) คนสามารถพูดจาโต้ตอบกันได้ด้วยภาษา
(4) คนมีจิตใจ แต่สัตว์ไม่มีจิตใจ
ตอบ 3
สัตว์สังคมทุกชนิดยกเว้นมนุษย์จะสื่อสารกันด้วยอวัจนภาษา (ภาษาที่ไม่ต้องใช้คําพูด)แต่มนุษย์จะสื่อสารกันได้ทั้งวัจนภาษา (ภาษาที่เป็นภาษาพูด) และอวัจนภาษา จึงเห็นได้ว่า มนุษย์สามารถสื่อสารกันได้ดีกว่าสัตว์ประเภทอื่นมาก ด้วยเหตุที่มนุษย์แตกต่างจากสัตว์โลกชนิดอื่น ๆ คือ สามารถพูดจาโต้ตอบกันได้ด้วยภาษานั่นเอง

62. “การพูดเป็น” แตกต่างจาก “การพูดได้” อย่างไร เพราะ
(1) “พูดได้” เป็นศิลป์ในการพูด
(2) “พูดเป็น” อาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ในการพูด
(3) “พูดได้” อาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ในการพูด
(4) “พูดเป็น” เป็นศาสตร์ในการพูด
ตอบ 2
ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ ได้ให้แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการพูดไว้ว่า ทุกคน“พูดได้” แต่บางคน “พูดเป็น” โดยการพูดเป็น หมายถึง พูดให้คนฟังชื่นชอบ เชื่อถือ คล้อยตาม ปฏิบัติตาม เข้าใจง่าย และสนุกสนาน ซึ่งต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ในการพูด คือ เรียนกันได้แต่จะเก่งเท่ากันหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับศิลป์ อันเป็นความสามารถเฉพาะคน

63. การสื่อสารด้วยการพูดมีข้อดีอย่างไร
(1) มีโอกาสฟังซ้ำได้
(2) ผู้พูดสามารถพิสูจน์ผลของการพูดนั้น ๆ ทันที
(3) ผู้พูดสามารถเลือกพูดในสิ่งที่ดีได้
(4) ผู้พูดสามารถพัฒนาบุคลิกภาพได้ทันที
ตอบ 2
การสื่อสารด้วยคําพูดมีข้อดีดังนี้ 1. ทําให้ผู้ฟังเข้าใจได้รวดเร็วเพราะเป็นการสื่อสารสองทาง 2. เป็นเครื่องมือสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ได้ผลดีที่สุด 3. สามารถพิสูจน์ผลของการพูดได้ทันที โดยสังเกตจากปฏิกิริยาโต้ตอบของผู้ฟังในขณะที่พูด 4. สามารถดัดแปลงแก้ไขคําพูดหรือยืดหยุ่นให้เหมาะกับเวลา โอกาส หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้

64. ทําไมสถาบันการศึกษาต่าง ๆ จึงสอนวิชาที่เกี่ยวกับการพูด
(1) นักพูดหรือพิธีกร เป็นอาชีพที่มีรายได้ดี
(2) ปัจจุบันผู้คนพิสูจน์กันด้วยการพูดมากกว่าความสามารถ
(3) ต้องการสอนมารยาท และความเหมาะสมในการพูด
(4) วิชาความรู้ต้องใช้ควบคู่กับศิลปะในการพูด
ตอบ 4
ในสถาบันการศึกษาชั้นสูงจํานวนมากมักจะมีการสอนวิชาการพูดโดยเฉพาะการพูดต่อหน้าชุมชนกันอย่างกว้างขวาง เพราะเป็นวิชาความรู้ที่ต้องใช้ควบคู่กับศิลปะในการพูด เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีการพูด และฝึกฝนให้ผู้ศึกษาเป็นนักพูดที่ดีให้รู้จักพูดในสิ่งที่ควรพูด คือ สอนให้พูดแต่ดี ไม่ใช่ดีแต่พูด

65. องค์ประกอบ 5 ประการของการพูดให้ประสบความสําเร็จ คืออะไร
(1) ผู้พูด ผู้ฟัง สาร ภูมิปัญญา และสื่อ
(2) ผู้พูด ผู้ฟัง สาร สถานการณ์ และการวิเคราะห์การพูด
(3) ผู้พูด ผู้ฟัง สาร สถานการณ์ในการพูด และสื่อ
(4) ผู้พูด ผู้ฟัง สื่อ สถานการณ์ และการวิเคราะห์การพูด
ตอบ 3 องค์ประกอบของการพูดให้ประสบความสําเร็จมี 5 ประการ คือ
1. ผู้พูด 2. สาร 3. สื่อ 4. สถานการณ์การพูด 5. ผู้ฟัง

66. หากท่านต้องไปพูดให้วัยรุ่นอายุ 18 ปี ข้อใดที่ท่านไม่ควรพูดที่สุด
(1) ยุยงส่งเสริมให้แตกความสามัคคี
(2) สั่งสอนโดยใช้คําพูดดูถูก เพื่อให้วัยรุ่นอยากเอาชนะ
(3) สั่งสอนให้วัยรุ่นเรียนรู้ชีวิตด้วยประสบการณ์ตรงในทุกเรื่อง
(4) ใช้คําพูดปลุกระดม เพราะวัยรุ่นต้องการการปลุกเร้า
ตอบ 2
การพูดกับวัยรุ่น ต้องคํานึงถึงจิตวิทยาวัยรุ่นให้มาก พยายามทําตัวให้ผู้ฟังเลื่อมใสใช้เหตุผลง่าย ๆ แต่ชัดแจ้ง แทรกเรื่องสนุกสนานหรือตลกขบขันเป็นระยะ ๆ ถ้าเป็นการสั่งสอน โดยตรงควรปรับปรุงให้เป็นแนวแนะนําอย่างมีเหตุผล อย่าพูดแบบดูถูกเหยียดหยามคนฟังเพราะคนวัยนี้จะมีปฏิกิริยาที่ไม่ดีสะท้อนกลับมาทันที

67. ข้อใดบอกจุดมุ่งหมายของการพูดได้ครบถ้วน
(1) ให้ความรู้โน้มน้าวใจ และพูดเพื่อความบันเทิง
(2) ให้ความรู้ พูดเพื่อตอบคําถาม และพูดเพื่อชี้แนะเรื่องราวต่าง ๆ
(3) ให้ความรู้ โน้มน้าวใจ สร้างความบันเทิง เพื่อแก้ไขสถานการณ์ และชี้แนะเรื่องราวต่าง ๆ
(4) ให้ความรู้ โน้มน้าวใจ สร้างความบันเทิง พูดเพื่อตอบคําถาม และชี้แนะเรื่องราวต่าง ๆ
ตอบ 4 จุดมุ่งหมายในการพูดโดยทั่วไปมีดังนี้ 1. ให้ความรู้หรือข้อเท็จจริง 2. โน้มน้าวจิตใจผู้ฟัง 3. สร้างความบันเทิง ความเพลิดเพลิน หรือจรรโลงใจ 4. แก้ปัญหาหรือตอบคําถามต่าง ๆ 5. แนะนําและชี้แนะเรื่องราวต่าง ๆ

68. “ท่านผู้ฟังครับ อาหารไทยใคร ๆ ก็ทําได้ แต่ลงมือทําอาหารไทยให้อร่อยนั้น ไม่ใช่ทุกคนที่ทําได้ครับ…” คําพูดนี้มีการขึ้นต้นการพูดด้วยวิธีไหน
(1) ขึ้นต้นด้วยการจี้จุดสําคัญของเรื่องนั้น ๆ
(2) ขึ้นต้นด้วยการยกตัวอย่างให้เห็นจริง
(3) ขึ้นต้นด้วยการยกข้อความที่เร้าใจ
(4) ขึ้นต้นด้วยการไล่ลําดับความสําคัญ
ตอบ 1
คํานําหรือการขึ้นต้นแบบจี้จุดสําคัญของเรื่องนั้น ๆ คือ การพุ่งเข้าสู่จุดโดยไม่ต้องอ้อมค้อม เพราะผู้ฟังก็รู้เรื่องอยู่แล้ว เป็นการแสดงทัศนะของผู้พูดเท่านั้น

69. ข้อใดที่ไม่ควรกระทําอย่างยิ่งในการใช้คํานําเพื่อการพูด
(1) ถ่อมตน
(2) ดูถูก ก้าวร้าวผู้พูด
(3) ออกตัวว่าไม่รู้เรื่องที่จะพูด
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 ข้อบกพร่องในการใช้คํานําเพื่อการพูดมีดังนี้
1. อย่าพูดนอกเรื่องหรือพูดอ้อมค้อม 2. อย่าออกตัว เช่น เตรียมมาพูดไม่พร้อม กะทันหัน เป็นผู้รู้น้อยไม่รู้เรื่องที่จะพูด ฯลฯ 3. อย่าขอโทษ 4. อย่าถ่อมตน 5. อย่าดูถูกหรือก้าวร้าวผู้ฟังด้วยคําพูด ท่าที่หรือท่าทาง อย่าทะเลาะ โต้เถียง ขุ่นมัวกับผู้ฟัง

70. ข้อใดเป็นยุทธการสําคัญของการพูด
(1) การเลือกเรื่องที่จะพูด
(2) การเตรียมโครงเรื่องในการพูด
(3) การเตรียมข้อมูลในการพูด
(4) การสร้างบุคลิกภาพและความพร้อมในการพูด
ตอบ 2 การเตรียมโครงเรื่องในการพูด เป็นยุทธการสําคัญของการพูด ซึ่งถ้าวางโครงเรื่องดี การพูดจะดี มีความต่อเนื่องเป็นระเบียบ ผู้ฟังไม่เบื่อหน่าย จึงควรยึดหลักในการวางโครงเรื่องดังนี้ 1. วางโครงเรื่องตามลําดับเวลา 2. วางโครงเรื่องตามลําดับ สถานที่หรือภูมิศาสตร์ 3. วางโครงเรื่องตามลําดับเนื้อหา 4. วางโครงเรื่องตามลําดับข้อความหรือเรื่อง 5. วางโครงเรื่องให้มีเงื่อนงําแก่ผู้ฟัง

71. การฝึกพูดเกี่ยวข้องกับการเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ของการพูดอย่างไร
(1) พูดดีเป็นศรีแก่ปาก
(2) การพูดสามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้
(3) ผู้ฝึกหัดเห็นความสามารถของตนเอง
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
การพูดจะมีประสิทธิภาพเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้พูดเอง คือผู้พูดต้องมีความสามารถหลายอย่างประกอบกัน และต้องหมั่นฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ เพราะการฝึกพูดเกี่ยวข้องกับการเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ นั่นคือ การพูดสามารถเรียนรู้และฝึกฝนทักษะได้ ยิ่งฝึกมากความชํานาญในการพูดยิ่งพัฒนาขึ้นตามลําดับ

72. หลักการสําคัญของการฝึกพูดให้เป็นสําเนียงการพูด คืออะไร
(1) ฝึกพูดให้เป็นธรรมชาติของผู้พูดมากที่สุด
(2) ฝึกพูดให้มีความมั่นใจในการพูด
(3) ฝึกการออกเสียงภาษาพูดให้ถูกต้องชัดเจน
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3
หลักการสําคัญของการฝึกพูดให้เป็นสําเนียงภาษาพูด คือ ฝึกการออกเสียงภาษาที่พูดให้ชัดเจนถูกต้อง ดังนี้ 1. ออกเสียงอักษร ร ล และเสียงควบกล้ำให้ถูกต้อง 2. ฝึกออกเสียงคําศัพท์ต่าง ๆ เช่น คําสมาส คําสนธิ คําซ้อน คําประสม ฯลฯ ให้ถูกต้อง ตามหลักภาษา 3. ฝึกใช้ถ้อยคําให้ตรงกับความหมายโดยเฉพาะคําพ้องเสียง 4. ฝึกพูดโดยใช้ถ้อยคําง่าย ๆ อย่าใช้ศัพท์ยาก 5. ฝึกพูดให้มีเสียงดังฟังชัด ฯลฯ

73. นักพูดมือใหม่ควรใช้วิธีฝึกพูดแบบใดดีที่สุด
(1) ใช้ตําราประกอบ
(2) มีผู้เชี่ยวชาญแนะนํา
(3) ฝึกพูดหน้ากระจก
(4) บันทึกภาพและเสียงซ้ำ ๆ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง
ตอบ 2
การฝึกพูดโดยมีผู้แนะนํา คือ มีพี่เลี้ยงหรือครูอาจารย์ดี ๆคอยแนะนําให้เป็นการส่วนตัว หรือจัดเป็นกลุ่ม มีการฝึกพูดกันเป็นประจํา หรือสมัครเข้ารับการอบรมหลักสูตรการพูด จัดเป็นวิธีฝึกพูดที่ประสบความสําเร็จและได้ผลดีที่สุด โดยเฉพาะ นักพูดมือใหม่ที่ฝึกพูดครั้งแรก เพราะผู้แนะนําจะชี้แจงข้อบกพร่องและให้ข้อแนะนําวิธีพูดที่ถูกต้อง ซึ่งจะทําให้ทราบว่าผู้พูดยังบกพร่องในเรื่องใด และควรปรับปรุงแก้ไขตนเองในข้อใด

74. ข้อใดเกี่ยวข้องกับหลักปฏิบัติในการฝึกพูดน้อยที่สุด
(1) หัดสร้างพลังใหม่ ๆ
(2) หัดทําสมาธิ
(3) หัดแสวงหาเครื่องแต่งตัวที่สวยงาม
(4) ฝึกระงับอารมณ์ต่าง ๆ
ตอบ 3
หลักปฏิบัติในการฝึกพูด มีดังนี้ 1. ฝึกตนเองให้รู้จักแสวงหาความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอ (เช่น ฝึกนิสัยรักการอ่าน รักการฟัง ฝึกจิตให้มีสมาธิ ฯลฯ) 2. ฝึกการพูดให้เป็นสําเนียงภาษาพูด 3. ฝึกความเชื่อมั่นในตัวเอง 4. ฝึกตนให้มีความอดทนอดกลั้นต่ออารมณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ (เช่น ฝึกระงับอารมณ์ต่าง ๆ ฝึกสร้างพลังใหม่ ๆ เลฯ)5. ฝึกการพัฒนาบุคลิกภาพในการพูด

75. “บุคลิกภาพ” เกี่ยวข้องกับ “การฝึกพูด” อย่างไร
(1) การฝึกพูดเป็นการฝึกบุคลิกภาพภายนอก
(2) บุคลิกภาพสะท้อนจากการพูด
(3) เมื่อผ่านการฝึกพูด บุคลิกภาพย่อมดีขึ้น
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3
การฝึกพูดถือว่าเป็นการพัฒนาบุคลิกภาพทั้งภายนอกและภายใน โดยเฉพาะผู้ที่มีโอกาสได้ฝึกพูดในที่ชุมชนบ่อย ๆ จะทําให้มีการพัฒนาบุคลิกภาพดีขึ้น การวางตัวดีขึ้นกิริยาท่าทางไม่เคอะเขิน แต่งกายได้เหมาะสม มีความเชื่อมั่น กระตือรือร้น ฯลฯ
76. เมื่อเราพูดในเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ ควรใช้ภาษาท่าทางอย่างไร (1) ศีรษะตั้งตรง นัยน์ตาเบิกกว้าง
(2) ผงกศีรษะเข้าหาผู้ฟัง นัยน์ตาตื่นเต้น
(3) ผงกศีรษะไปเบื้องหลัง นัยน์ตาเบิกกว้าง
(4) ส่ายศีรษะ นัยน์ตาตื่นเต้น
ตอบ 3
การวางท่าของศีรษะที่ใช้ประกอบการพูด ควรใช้ภาษาท่าทางดังนี้
1. ในการพูดปกติ ศีรษะควรตั้งตรง เพื่อแสดงว่าผู้พูดเป็นคนจริง เข้มแข็ง กล้าหาญ และมีอํานาจ
2. ถ้าพูดถึงข้อความที่เป็นการขอร้อง ขอความเห็นใจ หรือขอความเห็น ควรยื่นศีรษะไปข้างหน้าเล็กน้อย
3. ถ้าพูดถึงเรื่องตื่นเต้น น่าหวาดกลัว หรือสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ ให้ผงกศีรษะไปเบื้องหลังเล็กน้อย นัยน์ตาเบิกกว้าง
4. ถ้ากล่าวปฏิเสธ แสดงความไม่พอใจ ไม่เห็นด้วย ควรสั่นศีรษะช้า ๆ ขณะกล่าวเน้น

77. ภาษามือมีประโยชน์ในการพูดอย่างไร
(1) บอกขนาด หรือทิศทาง
(2) ประกอบการพูดอย่างเป็นทางการ
(3) ช่วยให้การพูดน่าสนใจ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1
การใช้ภาษามือควรใช้ให้เป็นประโยชน์ในการพูดมากที่สุด และควรใช้ให้เป็นธรรมชาติใช้ให้เป็นจังหวะเหมาะกับเรื่องและโอกาส เพื่อบอกจํานวน ขนาด รูปร่าง และทิศทาง ซึ่งจะทําให้การพูดมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น แต่อย่าใช้ภาษามือมากเกินไปหรือใช้อยู่ตลอดเวลาเหมือนกับ การแสดงละคร นอกจากนี้การพูดในบางโอกาสห้ามใช้มือประกอบ เช่น การกล่าวรายงานอย่างเป็นพิธีการ การให้โอวาท การกล่าวเปิดงาน และการอ่านข่าวทางโทรทัศน์ เป็นต้น

78. เมื่อผู้พูดใช้เสียงต่ำเป็นการพูดในลักษณะใด
(1) โน้มน้าวใจคนฟัง
(2) แสดงความเสียใจ
(3) แสดงการท้าทาย
(4) อธิบายหรือให้ความรู้
ตอบ 2
การใช้เสียงต้องให้เหมาะกับเนื้อหาและอารมณ์ โดยพิจารณาว่าเนื้อหาที่พูดเป็นอย่างไร ควรใช้เสียงอย่างไรจึงจะเหมาะกับเรื่อง ได้แก่ การบรรยายธรรมดาหรืออธิบาย ความรู้ให้ใช้เสียงเรียบ ๆ ธรรมดา, ถ้าต้องการโน้มน้าวจิตใจควรใช้เสียงที่เชิญชวน, ถ้าพูดเรื่อง ที่มีอารมณ์ต่าง ๆ ต้องใช้เสียงให้ถูกต้อง เช่น การพูดที่แสดงการท้าทายให้ใช้น้ำเสียงแข็งกร้าว แต่ถ้าแสดงความเสียใจให้ใช้เสียงต่ำ ฯลฯ

79. ข้อใดถูกต้อง
(1) การตื่นเวทีจะไม่เกิดขึ้นกับคนที่ฝึกซ้อมการพูดมาอย่างดี
(2) การตื่นเวทีระดับ Audience Fear มีประโยชน์
(3) การตื่นเวทีทุกชนิดไม่ช่วยให้การพูดดีขึ้น
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1
การตื่นเวทีจะไม่เกิดขึ้นกับคนที่ฝึกซ้อมการพูดมาอย่างดีโดยเฉพาะการฝึกพูดในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นวิธีเอาชนะความสะทกสะท้าน และยังเป็นการปลูกฝังเสริมสร้างความกล้าหาญ และความเชื่อมั่นในตนเองที่ดีที่สุด เพราะผู้พูดสามารถควบคุมความกลัว ความเก้อเขินเอาไว้ได้ นอกจากนี้การตื่นเวทีระดับ Audience Tensionยังมีประโยชน์ เพราะเป็นสัญชาตญาณในการเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับการท้าทายที่ไม่คุ้นเคย

80. วิธีการไหนสามารถแก้ไขอาการตื่นเวทีได้ดีที่สุด
(1) สร้างความมั่นใจให้กับตนเอง
(2) เขียนโน้ตย่อให้ชัดเจน
(3) ซ้อมการพูดจนมั่นใจ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3
ข้อแนะนําเมื่อเกิดอาการตื่นเวทีมีดังนี้
1. เตรียมตัวให้พร้อม ฝึกซ้อมการพูดจนมั่นใจ ถือเป็นวิธีป้องกันแก้ไขอาการตื่นเวทีที่ดีที่สุดเพราะถ้าเตรียมสองประการนี้ไม่ดีก็เท่ากับประสบความล้มเหลวก่อนขึ้นเวทีเสียแล้ว
2. สร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง พยายามคิดว่าผู้ฟังทุกคนเป็นมิตรกับเรา
3. สร้างทัศนคติที่ดี ต้องคิดว่าเรามีความรู้ในเรื่องที่จะพูดมากเพียงพอ
4. สูดลมหายใจลึก ๆ ยาว ๆ เพื่อผ่อนคลาย แล้วนึกถึงคําพูดแรก ๆ ในการพูด

81. การพูดแบบไหนที่มีผลต่อการใช้ชีวิตของคนเรามากที่สุด
(1) การพูดจาทักทาย
(2) การพูดแบบไม่เป็นทางการ
(3) การพูดแบบเป็นทางการ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
การพูดแบบไม่เป็นทางการ คือ การสื่อสารระหว่างบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปแต่ไม่ควรเกิน 4 – 5 คน ส่วนใหญ่จะเป็นการพูดแบบตัวต่อตัว ซึ่งมีผลต่อการใช้ชีวิตประจําวัน ของคนเรามากที่สุด แบ่งออกได้ดังนี้ 1. การทักทาย 2. การแนะนําตัว 3. การสนทนา 4. การเล่าเรื่อง 5. การพูดโทรศัพท์ 6. การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ

82. ข้อใดหมายถึงการสนทนาที่ถูกต้อง
(1) พยายามแลกเปลี่ยนความคิด
(2) พูดเป็นและฟังเป็น
(3) พยายามเล่าเรื่องที่ตนเองประสบมา
(4) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2
การสนทนาเป็นกิจกรรมการพูดระหว่างบุคคล 2 คนหรือมากกว่านั้นซึ่งถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง โดยการสนทนาที่ถูกต้องไม่ได้หมายถึงการพูดเท่านั้น แต่หมายถึง การฟังด้วย ดังนั้นผู้สนทนาที่ดีจึงไม่ใช่ผู้ที่พูดเป็นอย่างเดียว แต่ต้องฟังเป็นด้วย คือ ตั้งใจฟัง ยอมรับฟัง และทนฟังผู้อื่นได้ ซึ่งก็ใช้หลักการพูดทั่ว ๆ ไปนั่นเอง คือ ต้องพิจารณาผู้ฟังจุดประสงค์ในการพูด โอกาสและเรื่องที่จะพูด

ข้อ 83 – 86. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การอภิปราย
(2) การสนทนา
(3) การโต้วาที
(4) การปาฐกถา

83. เมื่อผู้คนมีความคิดเห็นแบ่งเป็นเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ควรใช้การพูดแบบใด ตอบ 3
การโต้วาที (Debate) คือ การพูดเสนอความคิดเห็นที่ขัดแย้งกัน แบ่งเป็นเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยมีฝ่ายที่เสนอความคิดเห็นฝ่ายหนึ่งและฝ่ายที่ค้านความคิดเห็นนั้นอีกฝ่ายหนึ่ง แต่ละฝ่ายจะใช้วาทศิลป์กล่าวค้านความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยใช้เหตุผล ข้อเท็จจริง และหลักวิชาการมาชี้ให้เห็นว่าความคิดของฝ่ายตนถูก เพื่อหักล้างอีกฝ่ายหนึ่งอย่างมีเหตุผล และคมคาย

84. เมื่อบุคคลหนึ่งซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน พูดอธิบายให้คนจํานวนมากฟัง ตอบ 4
การพูดแบบปาฐกถา คือ การพูดที่บุคคลคนเดียวแสดงถึงความรู้ ความคิดเห็นของตนเองให้ผู้ฟังจํานวนมาก จึงเป็นการพูดแบบบรรยาย หรืออธิบายขยายความให้ผู้ฟังได้ เข้าใจเรื่องที่พูดอย่างแจ่มแจ้ง ดังนั้นผู้พูดจึงต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้และประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ อย่างเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

85. การพูดแสดงความรู้ ความคิดเห็นของบุคคลกลุ่มหนึ่ง
ตอบ 1
การอภิปราย คือ การพูดแสดงความรู้ ความคิดเห็น และประสบการณ์ของบุคคลกลุ่มหนึ่งตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อปรึกษาหารือกันและออกความคิดเห็น เพื่อแก้ปัญหาที่มีอยู่ หรือเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดในเรื่องที่กําหนดให้ ดังนั้นความหมายของการอภิปรายที่ครอบคลุมเนื้อหาสาระมากที่สุดน่าจะเป็น “กระบวนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข่าวสารของบุคคลจํานวนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป หรือมากกว่านั้น…”

86. กิจกรรมการพูดระหว่างบุคคล 2 คนหรือมากกว่านั้น
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 82. ประกอบ

ข้อ 87. – 90. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การพูดแบบบอกเล่าหรือบรรยาย
(2) การพูดโดยอาศัยอ่านจากร่าง
(3) การพูดแบบให้ความบันเทิง
(4) การพูดจากความทรงจํา

87. วิธีการพูดแบบใดที่เหมาะกับทุกโอกาส
ตอบ 4
การพูดจากความทรงจํา ถือเป็นการพูดจากใจและจากความรู้สึกที่แท้จริงของผู้พูด จึงเป็นวิธีการพูดที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับการพูดในทุกโอกาส โดยมักจะใช้ได้ดีกับการเล่าเรื่องจากประสบการณ์ที่ตนเองประสบมา หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ๆ ซึ่งคนที่จะพูดแบบนี้ได้ดีจะต้องเป็นตัวของตัวเอง มีความจําดี จดจําทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในสมองมีปฏิภาณไหวพริบ มีความรอบรู้ และสามารถนําเรื่องราวต่าง ๆ มาประสานกันได้อย่างดี

88. วิธีการพูดแบบใดเหมาะสมกับเนื้อหาที่เกี่ยวกับตัวเลข สถิติ
ตอบ 2
การพูดโดยอาศัยอ่านจากร่างหรือต้นฉบับ คือ การพูดโดยอ่านจากต้นฉบับที่เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วอย่างดี ถือเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ส่วนมากจะเป็นการพูดที่เป็นพิธีการต่าง ๆ และอาจนำมาใช้กับการพูดที่ต้องเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเงิน ตัวเลข การอ้างสถิติ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในการเสนอรายงานต่าง ๆ ได้อีกด้วย

89. การพูดแบบใดเหมาะกับการกล่าวรายงานหรือประกาศ
ตอบ 1
การพูดแบบบอกเล่าหรือบรรยาย มีจุดมุ่งหมายให้ผู้ฟังเกิดความรู้และความเข้าใจต้องการให้ผู้ฟังได้รับทราบเรื่องราวต่าง ๆ หรือเป็นการสาธิตการทําสิ่งของบางอย่าง โดยทั่วไปจะเป็นการพูดแบบอบรม ชี้แจง ปฐมนิเทศ บรรยายสรุป การกล่าวรายงาน การพูดแถลงการณ์ ประกาศ การบรรยายหรือสอนในชั้นเรียน ฯลฯ

90. เมื่อพูดหลายคนจะใช้เวลาไม่เกินคนละ 10 นาที
ตอบ 3
หลักการพูดแบบให้ความบันเทิง มีข้อเสนอแนะดังนี้ 1. ผู้พูดควรจํากัดเวลาในการพูด เพราะถ้าพูดนานจะทําให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่าย โดยถ้ามีผู้พูดหลายคน แต่ละคนไม่ควรพูดเกิน 10 นาที หากพูดคนเดียวก็อาจใช้เวลาประมาณ 35 – 45 นาที 2. ผู้พูดต้องพูดให้ตรงเป้าหมายและพูดให้ได้เรื่องราวที่เหมาะสม
3. เรื่องที่พูดต้องเป็นเรื่องสนุกสนาน เบาสมอง และให้ความบันเทิงจริง ๆ ถ้ามีเรื่องตลกขบขัน การแทรกก็ต้องเป็นเรื่องที่ไม่หยาบโลน

91. ปัญหาอย่างหนึ่งที่มักเกิดขึ้นในการพูด คือข้อใด
(1) ผู้พูดพลั้งปากไปโดยไม่ตั้งใจ
(2) ผู้พูดอาจทําให้ผู้ฟังเข้าใจผิด
(3) ผู้พูดแก้ไขสิ่งที่พูดไปไม่ทัน
(4) ผู้พูดไม่มีศิลปะในการพูดพอ
ตอบ 2
ปัญหาอย่างหนึ่งที่มักเกิดขึ้นในการพูดสื่อสารแต่ละครั้ง คือ ผู้พูดอาจทําให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจผิดได้บ่อย ๆ ซึ่งมีสาเหตุดังนี้ 1. ผู้พูดมีความสามารถไม่เพียงพอที่จะพูดให้ผู้ฟังเข้าใจได้ชัดเจน หรือพูดบางสิ่งบางอย่างผิดไปโดยพลั้งเผลอ ไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่ทันรู้สึกว่าตนผิดพลาดไป 2. ผู้พูดไม่ทราบว่าสิ่งที่พูดนั้นมีผลกระทบต่อผู้ฟัง หรือไม่คิดว่าผู้ฟังจะเข้าใจผิดและตีความหมายผิดไปจึงไม่ได้แก้ไข
3. ภาษาพูดไม่ค่อยปรากฏหลักฐานเหมือนภาษาเขียน เมื่อพูดแล้วก็จบไปเลย ไม่มีการทบทวนใหม่ในสิ่งที่พูด

92. การพูดต่อหน้าผู้ฟังมีผลดีกว่าพูดโดยไม่เห็นผู้ฟัง คือ
(1) ผู้พูดรู้สึกมีชีวิตชีวามากกว่า
(2) ผู้พูดมีโอกาสได้เห็นปฏิกิริยาของผู้ฟัง
(3) ผู้พูดสามารถประสานสายตากับผู้ฟัง
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 การพูดต่อหน้าผู้ฟังมีข้อดี คือ ผู้พูดจะมีชีวิตชีวามากกว่าเพราะว่ากําลังพูดกับสิ่งมีชีวิตที่สามารถแสดงอาการโต้ตอบกลับมาได้ นอกจากนี้ผู้พูดยังสามารถประสาน สายตากับผู้ฟัง และมองเห็นปฏิกิริยาโต้ตอบของผู้ฟังว่ามีความเข้าใจหรือไม่เข้าใจในเรื่องราวที่พูดมากน้อยเพียงใด แต่ก็อาจมีข้อเสีย คือ การได้เห็นปฏิกิริยาโต้ตอบของผู้ฟัง หรือการมี สายตาของผู้อื่นมาจับจ้องอยู่ อาจทําให้ผู้พูดเกิดความประหม่า เก้อเขิน หรือเกิดความรู้สึกเครียดเพราะต้องระมัดระวังกิริยาท่าทางและคําพูดของตนเองมากเกินไปจนไม่เป็นธรรมชาติ

93. การพูดที่ดีควรจะต้องมีสิ่งใดสําคัญที่สุด
(1) มีถ้อยคําดี
(2) มีความมุ่งหมาย
(3) มีศิลปะการแสดง
(4) มีบุคลิกภาพดี
ตอบ 1
การพูดที่มีถ้อยคําดี คือ การพูดที่ประกอบด้วยถ้อยคําที่เป็นความจริง ซึ่งเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นและสําคัญที่สุดของการพูดที่ดี โดยควรเป็นถ้อยคําที่จริงใจหรือออกมาจาก ใจจริง และควรให้เป็นประโยชน์ต่อผู้พูดและผู้ฟัง นอกจากนี้ถ้อยคําที่พูดนี้ควรทําให้ผู้ฟังพึงพอใจด้วย

94. การมีปฏิกิริยาโต้ตอบของผู้ฟัง คือสิ่งที่ใช้วัดอะไร
(1) ความจริงใจของผู้ฟัง
(2) ประสบการณ์ของผู้พูด
(3) ความสนใจของผู้ฟัง
(4) คุณภาพของการพูด
ตอบ 4
โดยทั่วไปแล้วการพูดมีจุดประสงค์ที่จะให้คนฟังมีความเข้าใจในเรื่องราวที่พูดและปฏิบัติตามคําแนะนําหรือคําชักชวนนั้น นั่นก็คือ การได้รับปฏิกิริยาโต้ตอบจากผู้ฟัง จึงกล่าวได้ว่าคุณภาพของการพูดสามารถวัดได้จากการมีปฏิกิริยาโต้ตอบของผู้ฟัง

95. ข้อใดเป็นการแสดงในการพูด
(1) ความรู้สึกของผู้พูด
(2) การใช้น้ำเสียงของผู้พูด
(3) การแต่งกายของผู้พูด
(4) การรักษาเวลาในการพูด
ตอบ 2
การพูดที่มีศิลปะการแสดงดี ซึ่งสิ่งที่สําคัญที่สุดของการแสดงในการพูด คือ การใช้ศิลปะในด้านน้ำเสียงของผู้พูดมากที่สุด นอกจากนี้ก็มีการใช้มือ และกิริยาท่าทาง ของผู้พูดประกอบ ได้แก่ การแสดงสีหน้า การเคลื่อนไหว การวางท่า และการสบสายตากับผู้ฟัง เพื่อสร้างอารมณ์ สร้างบรรยากาศ ฯลฯ โดยจะต้องแสดงออกมาให้เป็นธรรมชาติ ไม่ประหม่าเพื่อช่วยเน้นความรู้สึก และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง

96. ข้อใดเป็นทัศนคติในทางบวกของผู้พูด
(1) เตรียมตัวพอประมาณ ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร
(2) กลัวผู้ฟังนิด ๆ แต่ก็ไม่เป็นไร
(3) มั่นใจว่าทําได้แม้จะหวาด ๆ อยู่บ้าง
(4) ฉันเก่งมากไม่ต้องทําการบ้านมาก็ได้
ตอบ 3
ทัศนคติของผู้พูดแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้ 1. ทัศนคติในทางลบ ซึ่งมีผลเสียต่อผู้ฟัง ได้แก่ ความรู้สึกเบื่อหน่าย ความรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าผู้ฟัง และความรู้สึกกลัว 2. ทัศนคติในทางบวก ซึ่งช่วยให้ผู้พูดประสบความสําเร็จในการพูดมากขึ้น ได้แก่ ความปรารถนาที่จะพูด ความสนใจในเรื่องที่พูดและความสนใจในคนฟัง ตลอดจนความมั่นใจของผู้พูด

97. การเข้าถึงจิตใจของผู้อื่น เกี่ยวข้องกับอะไรมากที่สุด
(1) Audience
(2) Empathy
(3) Rapport
(4) Speaker
ตอบ 2
สิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการโต้ตอบระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ซึ่งจะทําให้กระบวนการพูดกับการฟังได้ผลดี มีอยู่ 2 ประการ ดังนี้ 1. การเข้าถึงจิตใจของผู้อื่น (Empathy) คือ ความพยายามของผู้พูดและผู้ฟังที่จะรับรู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่เหมือนกัน โดยต้องเห็นในสิ่งที่เขาเห็น รู้สึกในสิ่งที่เขารู้สึก 2. การมีความสัมพันธ์ที่ดี (Rapport) คือ การที่ทั้งผู้พูดและผู้ฟังเข้ากันได้ มีการยอมรับร่วมกัน ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าถึงจิตใจของผู้อื่น (Empathy)

98. ข้อใดคือสิ่งรบกวนที่ดึงความสนใจของผู้ฟังไปจากผู้พูด
(1) ผู้พูดเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
(2) ผู้พูดใช้ภาษาขยะซ้ำซากน่าเบื่อ
(3) ผู้พูดแต่งตัวเว่อร์มากแต่ไม่สวย
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
ผู้พูดควรพยายามหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนที่ดึงความสนใจของผู้ฟังไปจากผู้พูดดังนี้ 1. ผู้พูดเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เช่น โยกตัวไปมา ขยับตัวขึ้น ๆ ลง ๆ ฯลฯ 2. ผู้พูดใช้ภาษาขยะซ้ำซากน่าเบื่อตลอดเวลา เช่น เอ้อ อ้า แบบว่า นะครับ นะคะ ฯลฯ 3. ผู้พูดแต่งตัวโดดเด่นไม่เหมาะสมกับงาน หรือแต่งตัวแฟชั่นจัดเกินไป ฯลฯ

99. เรื่องใดเป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้พูดซึ่งเลียนแบบกันได้ยาก
(1) มารยาทในการพูด
(2) บุคลิกภาพในการพูด
(3) ลีลาของการพูด
(4) ท่าทางที่แสดงออก
ตอบ 3
ลีลาของการพูด คือ วิธีการที่จะส่งสารหรือคําพูดออกไป เป็นการแสดงถึงความคิดและบุคลิกลักษณะของตัวผู้พูดเอง ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้พูดที่เลียนแบบกันได้ยาก เปรียบเสมือนเป็นลายเซ็นของมนุษย์ โดยมีลักษณะสําคัญคือ เป็นการแสดงออกซึ่งความคิด ความกระจ่างชัด ความน่าสนใจ และน่าจดจํา

100. วิธีช่วยให้ผู้ฟังตั้งคําถามให้ชัดเจน คือข้อใด
(1) ตั้งคําถามย้อนกลับ
(2) เปลี่ยนเรื่องอย่างระมัดระวัง
(3) ชมผู้ถามและถามว่าเขาต้องการอะไร
(4) จับประเด็นคําถามและอธิบายเพิ่มเติม
ตอบ 4
การช่วยผู้ฟังให้ตั้งคําถามให้ชัดเจน คือ การที่ผู้พูดพยายามจับประเด็นเนื้อหาเอาจากคําถามนั้นและอธิบายเพิ่มเติมเพื่อให้ความกระจ่าง ถึงแม้ว่าผู้ฟังจะไม่ได้ถามตรงจุด แต่การถามนั้นก็ทําให้เราสามารถเดาได้ว่าเขาสงสัยเรื่องใด เราก็อธิบายได้โดยไม่ต้องรอให้เขาถามให้ตรงจุดเสียก่อน

101. เวลาพูดในที่ชุมนุมชนมีข้อแนะนําอยู่อย่างหนึ่ง คืออะไร
(1) รู้จักเว้นจังหวะในการพูด
(2) ใช้สํานวนโวหารเปรียบเทียบบ่อย ๆ
(3) ห้ามใช้คําภาษาต่างประเทศ
(4) คิดถึงประสิทธิผลของการพูดอยู่ตลอดเวลา
ตอบ 1 ข้อแนะนําเวลาพูดในที่ชุมนุมชนประการหนึ่ง คือ การรู้จักเว้นจังหวะในการพูดเป็นการเว้นวรรคตอนตรงข้อความที่ควรจะหยุด ซึ่งการเว้นจังหวะโดยทั่วไปคือ การหยุดพูด เมื่อพูดจบหัวข้อหนึ่ง ๆ ก่อนที่จะพูดในหัวข้อใหม่ต่อไป นอกจากนี้ก็ให้หยุดท้ายคําถาม หยุดท้ายกลุ่มคํา หยุดก่อนที่จะกล่าวคําหรือเรื่องสําคัญ และหยุดเมื่อถึงคําสันธาน

102. ข้อใดที่มีความหมายโดยตรง
(1) พอเธอเป็นดาว สกาวก็ลอยฟ้า
(2) โรงเรียนสีขาว คือ โรงเรียนปลอดยาเสพติด
(3) ต้นไม้ในอีสานก็เขียวเหมือนต้นไม้ที่อื่น
(4) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 44. ประกอบ)
ข้อความในตัวเลือกข้อ 3 มีความหมายโดยตรงคือ คําว่า “เขียว” = สี (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีความหมายโดยนัย คือ คําว่า “ดาว” =ผู้มีชื่อเสียง, “สีขาว” = การปลอดยาเสพติด)

103. ข้อใดเป็นความหมายแฝงของการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว
(1) เขารั้งเธอไปเที่ยวด้วยจนได้
(2) ลูกโป่งลอยลิบ ๆ อยู่บนโน้น
(3) เดินลิวไปเลยนะไม่รอกันด้วย
(4) ฉันฉิวแล้วนะเดี๋ยวจะว่าไม่บอก
ตอบ 3
ความหมายแฝงที่บอกการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ได้แก่ ฉิว ปลิว จิ๋ว เช่น แล่นฉิว,เดินตัวปลิว, เดินลิวไปเลยนะไม่รอกันด้วย ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้อ 4 คําว่า “นิว” ในประโยคหมายถึง รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที)

104. คําว่า “ร้อน” ในข้อใดเป็นคํากริยา
(1) น้ำร้อนหรือยังจะได้ชงกาแฟ
(2) เส้นแกงร้อนใช้ต้มทําแกงจืดได้
(3) ในฤดูร้อนทุกสิ่งทุกอย่างจะดูแห้งแล้ง
(4) เสื้อตัวนี้ต้องใส่วันที่อากาศร้อน
ตอบ 1 คําว่า “ร้อน” ในตัวเลือกข้อ 1 เป็นคํากริยา หมายถึง น้ำทําอาการร้อนโดยผ่านกรรมวิธีต่าง ๆ(ส่วนตัวเลือกข้ออื่นคําว่า “ร้อน” เป็นคําคุณศัพท์ เช่น ฤดูร้อน, อากาศร้อน และเป็นคํานามเช่น เส้นแกงร้อน = วุ้นเส้น)

105. หากจะกล่าวว่า ความลับที่ปกปิด ไว้ถูกเปิดเผย จะใช้ข้อความใด
(1) เรื่องเผยออกมาแล้ว
(2) เรื่องเปิดเผยออกมาแล้ว
(3) เรื่องโผล่ออกมาแล้ว
(4) เรื่องแดงออกมาแล้ว
ตอบ 4
เรื่องแดงออกมาแล้ว = ลักษณะของความลับที่ปกปิดไว้ถูกเปิดเผยออกมา(คําว่า “แดง” ในที่นี้เป็นคํากริยา หมายถึง อาการเปิดเผยออกมาของเรื่องที่ปกปิด)

ข้อ 106. – 110. ข้อความใดที่จัดว่าเป็น “วลีฆาตกร”

106.
(1) ไม่สบายหรือ ดูซีด ๆ ไปนะ ไปหาหมอรึยัง
(2) เป็นอะไร หน้าซีดเซียวไปหาหมอไหม
(3) เธอเป็นอะไรนี่ เซียวสุด ๆ เลย
(4) ดูหน้าเหมือนปลาสําลักน้ำเลยนะนี่ ไม่สบายใช่ไหม
ตอบ 4
อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท ได้เรียกการใช้ภาษาที่จะทําลายบรรยากาศอันดีในที่ประชุม และทําลายความคิดสร้างสรรค์ของผู้เข้าประชุมว่า “วลีฆาตกร” (Killer Phrases) คือ ภาษาที่อาจทําให้เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบในทางปฏิปักษ์ นอกจากนี้วลีฆาตกรยังสามารถ เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจําวัน หากเป็นการใช้วาจาที่ก้าวร้าว ไม่สุภาพ จนก่อให้เกิดความรู้สึกที่ ไม่ดีระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง เช่น ดูหน้าเหมือนปลาสําลักน้ำเลยนะนี่ ไม่สบายใช่ไหม, เธอน่ะ อวบระดับสุดท้ายแล้วนะ, เธอมันน่าเกลียดน่าชังจนน่าทุเรศ, อย่าบอกนะว่าเด็กคนนี้เป็นออ, เดินงุ่มง่ามอย่างนี้ซิคนแก่ ฯลฯ

107.
(1) เธอนะอวบระดับสุดท้ายแล้วนะ
(2) ทําไมปล่อยตัวให้อ้วนมาก สุขภาพจะแย่นะ
(3) อ้วนมาก ๆ ก็ไม่ดีนะ ทําให้โรคภัยไข้เจ็บถามหา
(4) ลดน้ำหนักบ้างน่าจะดีไหม
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 106. ประกอบ

108.
(1) ฝ้าย เด็กคนนี้น่าเกลียดน่าชังจัง
(2) ทําตัวให้น่าเกลียดน่าชังนะไม่ดีนะ
(3) ถ้ารู้ว่าเราเป็นที่เกลียดชัง ก็ควรปรับตัว
(4) เธอมันน่าเกลียดน่าชังจนน่าทุเรศ
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 106. ประกอบ

109.
(1) อย่าบอกนะว่าเด็กคนนี้เป็นออ
(2) เด็กออทิสติกจริง ๆ แล้วน่าสงสาร
(3) เด็กพิเศษจึงได้รับการช่วยเหลือจากโรงเรียน
(4) เด็กออทิสติกต้องการความรักความเอาใจใส่
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 106. ประกอบ

110.
(1) เดินช้าหน่อยก็จะเป็นไรไป
(2) เดินไปคุยไปก็ยังได้ไม่ช้าหรอก
(3) เดินงุ่มง่ามอย่างนี้ซิคนแก่
(4) เดินดี ๆ นะคะ ถนนขรุขระมาก
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 106. ประกอบ

111. การประชุมแบบใดที่นิยมกันมากในหน่วยงานต่าง ๆ
(1) การอภิปราย
(2) การโต้วาที
(3) การสัมมนา
(4) การปฏิบัติ
ตอบ 3
การสัมมนา (Seminar) เป็นการประชุมที่นิยมใช้ในหน่วยงานหรือองค์กรต่าง ๆ มากที่สุดในปัจจุบัน มีลักษณะสําคัญดังนี้ 1. เป็นการประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็น เพื่อนําไปสู่การตัดสินใจ หรือกําหนดนโยบายและแนวทางการทํางาน 2. การประชุมจะรวมสมาชิกที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 3. มีวิทยากรหรือผู้ทรงคุณวุฒิมาบรรยายหรืออภิปรายให้ความรู้ มีการซักถามปัญหา และแบ่งกลุ่มเพื่อพิจารณาปัญหาหรือนโยบาย 4. มีการพิมพ์สรุปผลการสัมมนาไว้เป็นหลักฐาน เพื่อนําผลการประชุมไปใช้เป็นแนวปฏิบัติต่อไป

112. การประชุมปฏิบัติงาน ตรงกับภาษาอังกฤษว่าอย่างไร
(1) Work Shop
(2) Work Permit
(3) Work Hard
(4) Work Point
ตอบ 1
การประชุมปฏิบัติงาน (Work Shop) คือ การประชุมที่สถาบันจัดให้มีขึ้น และจัดอํานวยความสะดวกในด้านวัสดุและอุปกรณ์การศึกษาให้พร้อม เพื่อให้ผู้เข้าประชุมได้ศึกษาปัญหาใดปัญหาหนึ่งโดยเฉพาะ และให้ได้ร่วมปฏิบัติการหรือลงมือทําเพื่อให้ได้ผลงานตามที่กําหนดไว้

113. การอภิปรายกลุ่มมีลักษณะพิเศษอย่างไร
(1) มีสมาชิกจํานวนไม่จํากัด
(2) สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการอภิปราย
(3) มีเพื่อแก้ปัญหาและกําหนดนโยบายเท่านั้น
(4) ต้องมีประธานและเลขากลุ่มทุกครั้ง
ตอบ 2
การอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion) มีลักษณะพิเศษ คือ การอภิปรายที่สมาชิกทุกคนในกลุ่มเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการอภิปราย โดยทั่วไปจะมีจํานวนสมาชิกในกลุ่ม 5 – 20 คน ซึ่งสมาชิกในกลุ่มทุกคนมีสิทธิ์พูดเพื่อแสดงความรู้ ความคิดเห็น โดยจะผลัดกันพูด ผลัดกันฟัง ไม่มีผู้ฟังที่เป็นบุคคลภายนอก จึงมักใช้ประชุมปรึกษาหารือเพื่อดําเนินงานในขอบเขตของผู้ร่วมอภิปราย

114. การอภิปรายแบบ Debate Discussion เป็นการอภิปรายที่คล้ายกับการพูดแบบใด
(1) การสนทนา
(2) การกล่าวบรรยาย
(3) การโต้วาที
(4) การแลกเปลี่ยนความรู้
ตอบ 3
การอภิปรายแบบโต้วาที (Debate Discussion) คือ การอภิปรายเพื่อแสดง ความเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่งระหว่างบุคคล 2 กลุ่มที่มีความคิดเห็นขัดแย้งกันตามหัวข้อที่กําหนด ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับการโต้วาที โดยกลุ่มหนึ่งจะเป็นฝ่ายเสนอและอีกกลุ่มหนึ่งจะเป็นฝ่ายคัดค้าน มีประธานเป็นผู้รักษาระเบียบการโต้

115. การอภิปรายที่สมาชิกทุกคนต้องช่วยกันแก้ปัญหาอย่างไม่ขัดแย้งกัน คือการอภิปรายแบบใด
(1) แบบโต๊ะกลม
(2) แบบฟิลิปส์ 66
(3) แบบระดมสมอง
(4) แบบเป็นคณะ
ตอบ 3
การอภิปรายกลุ่มแบบระดมสมอง (Brainstorming Discussion) คือการอภิปรายที่ต้องการระดมความรู้จากสมาชิกทุกคนในกลุ่ม โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกในกลุ่มทุกคนได้พูดแสดงความคิดเห็นและความรู้ออกมาอย่างเสรีเพื่อช่วยกันแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่ง อย่างไม่ขัดแย้งกัน ไม่มีการวิพากษ์วิจารณ์หรือโต้เถียงกัน

ข้อ 116. – 120. จงเติมคําที่เหมาะสมลงในช่องว่าง

116. ฝนตก………อย่างนี้ชาวนาก็แย่นะ
(1) กะปริดกะปรอย
(2) กะพร่องกะแพร่ง
(3) กะบ่อนกะแบ่น
(4) กะโตงกะเตง
ตอบ 1
คําว่า “กะปริดกะปรอย” = อาการออกหรือไหลออกน้อย ๆ หยุดบ้างออกบ้าง,อาการที่ฝนตกน้อย ๆ ตก ๆ หยุด ๆ (ส่วนคําว่า “กะพร่องกะแพร่ง” = ขาด ๆ วิน ๆ มีบ้าง ขาดบ้าง, “กะบ่อนกะแบ่น” = กระท่อนกระแท่น ไม่เสมอทั่วกัน, “กะโตงกะเตง” = โตง ๆ เตง ๆ ติดอยู่รุงรัง)

117. ผู้สูงอายุหลายคนพอออกกําลังกายแล้วจะมีท่าทาง………………..
(1) กะปลกกะเปลี้ย
(2) กระตือรือร้น
(3) กะหนุงกะหนิง
(4) กระชุ่มกระชวย
ตอบ 4
คําว่า “กระชุ่มกระชวย” = มีผิวพรรณสดใสหรือมีอาการกระปรี้กระเปร่า มักใช้กับลักษณะของคนแก่ (ส่วนคําว่า “กะปลกกะเปลี้ย” = อ่อนเพลีย, “กระตือรือร้น” – รีบร้อน เร่งรีบ, “กะหนุงกะหนิง” = เสียงพูดจู่ระหว่างคู่รัก)

118. แม่ต้องรีบ………ไม่ให้พ่อตีลูก
(1) ขัดขืน
(2) ขัดคอ
(3) ขัดขวาง
(4) ขัดบท
ตอบ 3
คําว่า “ขัดขวาง” = ทําให้ไม่สะดวก ทําให้ติดขัด (ส่วนคําว่า “ขัดขืน” = ไม่ทําตามไม่ประพฤติตาม, “ขัดคอ” = พูดแย้งขวางเข้ามา พูดแทรก, “ขัดบท” = แทรกเข้ามาเมื่อเขาพูดยังไม่จบ ขัดคอ ขัดจังหวะ) ,

119, หน้า ม. รามคําแหง การจราจร………………..มาก
(1) คับขัน
(2) คับคั่ง
(3) คับแค้น
(4) คับแคบ
ตอบ 2
คําว่า “คับคั่ง” = แออัด ยัดเยียด มากจนต้องเบียดเสียดยัดเยียดกัน ส่วนคําว่า “คับขัน” = จําเป็นเฉพาะหน้าที่จะต้องทําหรือต้องสู้ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้, “คับแค้น” = ลําบากยากไร้ ฝืดเคือง, “คับแคบ” = ไม่กว้างขวางพอ)

120. เมื่อหมา………….แล้วมันก็หันหน้าเข้าสู้ทั้งนั้นแหละ
(1) จนแต้ม
(2) จนมุม
(3) จนตรอก
(4) จนด้วยเกล้า
ตอบ 3
คําว่า “จนตรอก” = ไม่มีทางไป หมดทางไป ไม่มีทางหนี ดังสํานวนไทยที่ว่า “หมาจนตรอก” (ส่วนคําว่า “จนแต้ม” = ไม่มีทางเดิน หมดทางสู้, “จนมุม” = ไม่มีทางหนี หมดทางสู้, “จนด้วยเกล้า” = หมดปัญญาคิด)

THA1003 การเตรียมเพื่อการพูดและการเขียน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา THA 1003 การเตรียมเพื่อการพูดและการเขียน

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. เมื่อเป็นเด็ก ทุกคนต้องหัดพูด การพูดขั้นนี้เรียกว่า
(1) พูดเพื่อสื่อสาร
(2) พูดได้
(3) พูดเป็น
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
คนที่เกิดมาถ้าไม่เป็นใบ้ย่อมจะ “พูดได้” ทั้งนั้น โดยสถิติทางการแพทย์บันทึกไว้ว่าเด็กจะเริ่มพูดได้ตั้งแต่อายุเพียง 10 เดือน และพัฒนาไปเรื่อย ๆ จนอายุได้ 3 ขวบจึงจะสามารถพูดเป็นประโยคได้ดี รู้จักพูดคุย ซักถาม หรือโต้ตอบได้

2. คําว่า “ศาสตร์ในการพูด” หมายถึง
(1) ศาสตร์และศิลป์ในการพูด
(2) การพูดต้องมีวัตถุประสงค์ที่แน่ชัด
(3) การฝึกฝนตามทฤษฎีการพูด
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3
การพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ในส่วนที่เป็นศาสตร์ หมายถึง ต้องมีการศึกษาเล่าเรียน มีความมุมานะ หมั่นฝึกฝนตามทฤษฎีการพูดจนเกิดความชํานาญ และมีความมั่นใจ จนพูดได้คล่องแคล่ว ทั้งนี้จะต้องมีศิลป์ประกอบด้วย หมายถึง มีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ใช้ถ้อยคํา น้ำเสียง กิริยามารยาทที่สอดคล้องเหมาะกับเวลาและโอกาส พูดด้วยความจริงใจ มีความรับผิดชอบต่อการพูดของตน มีวิจารณญาณที่ดี รู้จักใช้เหตุผล มีหลักฐานอ้างอิงและแสดงออกด้วยความเห็นที่ดี

3. ข้อใดไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการพูด
(1) เพื่อการวางรากฐานระบอบประชาธิปไตย
(2) สร้างมนุษยสัมพันธ์
(3) พัฒนาบุคลิกภาพ
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 4
วัตถุประสงค์ของการพูดมีอยู่ 5 ประการ คือ
1. เพื่อให้รู้จักการสื่อสารกันด้วยคําพูดที่ถูกต้องและเข้าใจตรงกัน 2. เพื่อเตรียมตัวเป็นผู้นําที่ดี 3. เพื่อวางรากฐานระบอบประชาธิปไตย 4. เพื่อสร้างมนุษยสัมพันธ์ 5. เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ

4. ถ้อยคําที่ว่า “พูดกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น” สอดคล้องกับเรื่องใดของการพูด (1) ความสําคัญของการพูด
(2) วัตถุประสงค์ของการพูด
(3) ถูกข้อ 1 และ 2
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3
(ดูคําอธิบายข้อ 3. ประกอบ) การพูดเป็นการสื่อสารของมนุษย์ที่มีความสําคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่และการประกอบอาชีพเป็นอันมาก เพราะมนุษย์จะต้องใช้การพูดเพื่อการสื่อสารให้บุคคลที่เกี่ยวข้องเข้าใจกันก่อน ถ้าสื่อสารกันได้ดี การกระทํากิจการงานต่าง ๆจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

5. คําพูดของชายหนุ่มต่อหญิงสาวที่ว่า “ผมเคยสัญญาไว้ตอนไหนว่าผมจะรักคุณไปตลอด” เกี่ยวข้องกับเรื่องใดในการพูด
(1) คุณสมบัติของผู้พูด
(2) การบิดเบือนเนื้อหาของการพูด
(3) ข้อจํากัดของการสื่อสารด้วยคําพูด
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3
ข้อจํากัดของการสื่อสารด้วยคําพูดมีดังนี้ 1. ถูกจํากัดด้วยสภาพแวดล้อม เช่น เสียงรบกวน เวลาในการพูด ฯลฯ 2. ถ้าเรื่องที่พูดมีข้อความสลับซับซ้อน หรือมีข้อมูลที่จะนําเสนอมาก อาจทําให้ผู้ฟังเข้าใจได้ไม่หมดหรือไม่ดี 3. สารจากคําพูดอยู่ได้ไม่นาน ผู้ฟังไม่มีโอกาสฟังซ้ำ ทําให้หลงลืมจึงไม่อาจนํามาเป็นหลักฐานได้ 4. ถ้าผู้พูดเผอเรอ อาจมีโอกาสผิดพลาดในแง่ข้อเท็จจริง หรือเจตนาของผู้พูดที่ตั้งไว้

6. ข้อใดคือองค์ประกอบในการพูด
(1) ผู้พูด ผู้ฟัง สาร
(2) ผู้พูด ผู้ฟัง สาร สื่อ และสถานการณ์ในการพูด
(3) ผู้พูด ผู้ฟัง สื่อ และสถานการณ์ในการพูด
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 2
องค์ประกอบของการพูดให้ประสบความสําเร็จมี 5 ประการ คือ 1. ผู้พูด 2. สาร 3. สื่อ 4. สถานการณ์การพูด 5. ผู้ฟัง

7. ข้อใดคือประเด็นในการวิเคราะห์ผู้ฟังอย่างครบถ้วน
(1) เพศ วัย จํานวน
(2) เพศ วัย จํานวน ทัศนคติ
(3) ไม่มีข้อถูก
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 สิ่งที่ผู้พูดควรพิจารณาในการวิเคราะห์ผู้ฟังมีดังนี้
1. ลักษณะทางกายภาพ ได้แก่ วัย, เพศ และจํานวนผู้ฟัง
2. ลักษณะทางจิตวิทยา ได้แก่ ทัศนคติ ความเชื่อ และคุณค่าที่ผู้ฟังยึดถือ, ความต้องการพื้นฐานของผู้ฟัง, พื้นความรู้และประสบการณ์ของผู้ฟัง, ฐานะอาชีพของผู้ฟัง, เชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม, สถานภาพการสมรส, กลุ่มอาชีพและกลุ่มสังคมของผู้ฟัง

8. จํานวนผู้ฟังเท่าไหร่ที่จําเป็นต้องพูดแบบเป็นทางการ
(1) 15 คนขึ้นไป
(2) 50 คนขึ้นไป
(3) 30 คนขึ้นไป
(4) แล้วแต่ลักษณะผู้ฟัง
ตอบ 2
การทราบจํานวนผู้ฟังจะทําให้ผู้พูดเตรียมวิธีพูดหรือการนําเสนอ ภาษาที่ใช้และอุปกรณ์ประกอบการพูดไว้ล่วงหน้าได้ คือ 1. ถ้ามีผู้ฟังจํานวนมากตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป การเตรียมวิธีพูดและภาษาที่ใช้ต้องตรงตามรูปแบบที่เป็นทางการ การเตรียมคําขึ้นต้นต้องถูกต้องตามแบบแผน 2. ถ้ามีผู้ฟังจํานวนน้อยประมาณ 10 – 15 คน ผู้พูดจะต้องใช้วิธีพูดอย่างเป็นกันเองไม่ต้องรักษาบรรยากาศที่เป็นแบบทางการให้มากนัก

9. ข้อใดกล่าวคําทักทายได้ถูกต้องในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร
(1) เรียนท่านประธานสภาผู้แทนฯ และสมาชิกสภาผู้แทนฯ ที่เคารพ
(2) เรียนท่านประธานสภาผู้แทนฯ และสมาชิกสภาผู้แทนฯ
(3) ถูกข้อ 1 และ 2
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 2
คําปฏิสันถารหรือการกล่าวทักทายผู้ฟังมีอยู่ 2 ชนิด คือ
1. ชนิดที่เป็นพิธีการ จะไม่นิยมใช้คําที่แสดงความรู้สึกบ่นเข้ามา เช่น คําว่า เคารพ นับถือที่รัก ฯลฯ มักใช้ในงานที่เป็นทางการ งานรัฐพิธีและศาสนพิธีต่าง ๆ ได้แก่ งานวางศิลาฤกษ์งานแจกวุฒิบัตร คํากล่าวเปิดงาน การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ฯลฯ
2. ชนิดที่ไม่เป็นพิธีการ จะนิยมใช้คําที่แสดงความรู้สึกปนเข้ามาด้วย เพื่อแสดงความเป็นกันเองหรือความใกล้ชิดสนิทสนม มักใช้ในงานที่ไม่เป็นทางการมากนัก ได้แก่ งานวันเกิด การแสดงคอนเสิร์ต การรายงานหน้าชั้นเรียน การแสดงปาฐกถา ฯลฯ

10. การทําโครงเรื่องในการพูดคือ
(1) การคิดและเรียงประเด็นในการพูด
(2) การจัดทําประเด็นในการพูด
(3) การกําหนดจุดมุ่งหมายในการพูด
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1
การทําโครงเรื่องในการพูด คือ การคิดและเรียงประเด็นในการพูด เป็นการจัดระเบียบของเรื่องโดยแสดงความสัมพันธ์ของความคิดหลักกับความคิดย่อย หรือหัวข้อใหญ่กับหัวข้อย่อย ให้ดําเนินไปตามลําดับขั้นตอน เพื่อให้การพูดดําเนินไปได้โดยสะดวก เป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะเส้นทางเดินของการพูดก็คือ โครงเรื่องนั้นเอง

11. ข้อใดคือวิธีการฝึกพูด
(1) ฝึกพูดหน้ากระจก
(2) ฝึกโดยศึกษาจากตํารา
(3) ฝึกโดยใช้เครื่องบันทึกเสียง
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
วิธีการฝึกพูดแบ่งออกเป็น 3 วิธี คือ 1. ฝึกฝนด้วยตนเอง 2. ฝึกฝนโดยศึกษาจากตํารา 3. ฝึกโดยมีผู้แนะนํา

ข้อ 12. – 20. ถ้าข้อความนั้นถูกต้องให้เลือกข้อ 1 ถ้าไม่ถูกต้องให้เลือกข้อ 2
12. ซ้อมพูดโดยบันทึกเสียงและท่าทางไว้ดูตั้งแต่แรกเริ่มจะช่วยแก้ไขข้อบกพร่อง ตอบ 2
การฝึกซ้อมพูดโดยบันทึกเสียงและท่าทาง ควรใช้เมื่อได้ผ่านขั้นตอนการฝึกซ้อมอย่างอื่นมาแล้ว โดยควรแบ่งการฝึกซ้อมออกเป็นตอน ๆ และฝึกซ้อม แต่ละขั้นตอนจนจบ เมื่อบันทึกเรียบร้อยแล้วให้กรอกลับเพื่อเปิดหาจุดที่จะต้องปรับปรุงแก้ไขหากพบว่ามีปัญหาเรื่องใดให้ฝึกพูดและบันทึกภาพกับเสียงใหม่ จนเกิดความชํานาญและมั่นใจ

13. ซ้อมพูดกับผู้เชี่ยวชาญคือวิธีการที่ดีที่สุด
ตอบ 1
การฝึกพูดโดยมีผู้แนะนํา คือ มีพี่เลี้ยง ครูอาจารย์ดี ๆ หรือมีผู้เชี่ยวชาญคอย แนะนําให้เป็นการส่วนตัว หรือจัดเป็นกลุ่ม มีการฝึกพูดกันเป็นประจํา หรือสมัครเข้ารับการอบรมหลักสูตรการพูดจัดเป็นวิธีฝึกพูดที่ดีที่สุด ทําให้นักพูดมีความก้าวหน้า และเห็นผลเร็วที่สุด โดยเฉพาะเมื่อฝึกพูดครั้งแรก เพราะผู้แนะนําจะชี้แจงข้อบกพร่องและให้ข้อแนะนําวิธีพูดที่ถูกต้อง ซึ่งจะทําให้ทราบว่าผู้พูดยังบกพร่องในเรื่องใด และควรปรับปรุงแก้ไขตนเองในข้อใด

14. ฝึกเป็นคนหาความรู้อยู่เสมอไม่เกี่ยวกับการฝึกพูด
ตอบ 2
เพียรศักย์ ศรีทอง ได้ให้หลักปฏิบัติในการฝึกพูดไว้ดังนี้
1. ฝึกตนเองให้รู้จักแสวงหาความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอ 2. ฝึกการพูดให้เป็นสําเนียงภาษาพูด 3. ฝึกความเชื่อมั่นในตัวเอง 4. ฝึกตนให้เป็นคนมีความอดทนอดกลั้นต่ออารมณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ 5. ฝึกการพัฒนาบุคลิกภาพในการพูด

15. การฝึกท่าทางเพื่อประกอบการพูด ต้องพยายามฝึกพูดในเรื่องขนาด ทิศทาง รูปร่าง
ตอบ 1
การฝึกท่าทางเพื่อประกอบการพูด นักพูดต้องรู้จักใช้ท่าทางให้เหมาะกับการพูดอย่าใช้ท่าทางประกอบเกินความจําเป็น โดยเฉพาะการใช้มือประกอบการพูดจะมีส่วนสําคัญ ในการสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้พูดและผู้ฟัง เช่น การอธิบายรูปร่าง ทิศทาง ขนาด และจํานวน

16. เมื่อพูดถึงความยินดีปรีดาให้เบิกตากว้างเต็มที่
ตอบ 2
หลักเกณฑ์ในการฝึกใช้สายตามีดังนี้ 1. เมื่อพูดถึงความเหนื่อยหน่ายอ่อนเพลียให้หลับตาลงช้า ๆ 2. เมื่อพูดถึงเรื่องที่ควรพิจารณา หรือความเกลียดชัง ไม่ไว้วางใจ ให้หรี่ตา 3. เมื่อพูดถึงความยินดีปรีดา ให้เปิดตาและมีประกายยิ้มแย้มแจ่มใส 4. เมื่อพูดถึงความกลัว ประหลาดใจ ให้เบิกตากว้างเต็มที่ ฯลฯ

17. การนั่งพูดหากมีโต๊ะวางข้างหน้า ไม่ควรวางข้อศอกบนโต๊ะ เพราะไม่สุภาพ
ตอบ 2
การนั่งพูดให้นั่งลําตัวตรง อย่าปล่อยให้ท่อนแขนช่วงบนกดชิดลําตัวตลอดเวลาเพราะจะทําให้อึดอัดที่ทรวงอก ถ้ามีโต๊ะอยู่ด้านหน้าควรวางข้อศอกไว้บนโต๊ะ และอาจโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย

18. การตื่นเวทีทุกชนิดไม่มีประโยชน์ต่อการพูด
ตอบ 2
การตื่นเวทีมีประโยชน์ต่อการพูด คือ เป็นสัญชาตญาณทางธรรมชาติในการเตรียมพร้อมเพื่อเผชิญกับการท้าทายที่ไม่คุ้นเคย โดยเมื่อมีอาการของชีพจรเต้นเร็ว หรือเหงื่อซึมออกมา อย่าได้ตกใจ เพราะนั่นคือ การกระตุ้นของร่างกายเพื่อให้พร้อมที่จะมีปฏิกิริยาตอบสนอง

19. เกิดอาการสั่น พูดติดตะกุกตะกัก ปวดท้อง ลืมสิ่งที่จะพูด หรือพูดออกนอกลู่นอกทางไปเลย คือ การตื่นเวที่ประเภท Audience Fear
ตอบ 1
ระดับของการตื่นเวทีมี 3 ระดับ ได้แก่ 1. Audience Tension เป็นระดับที่ผู้พูดมีความรู้สึกเครียดและตื่นกลัวเพียงเล็กน้อย แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพูด 2. Audience Fear เป็นระดับที่ผู้พูดมีความหวาดกลัวตลอดเวลาที่พูด เกิดอาการสั่น พูดติด ตะกุกตะกัก ปวดท้อง ลืมสิ่งที่จะพูด หรือพูดออกนอกลู่นอกทาง ซึ่งนับเป็นอุปสรรคต่อการพูด 3. Audience Panic เป็นระดับที่ผู้พูดแสดงออกถึงความหวาดกลัวจนสุดจะระงับไว้ได้อาจถึงขั้นเป็นลม พูดไม่ออก คลื่นไส้ พูดไม่จบ ควบคุมระบบขับถ่ายไม่ได้

20. การใช้ภาษาท่าทางจะช่วยแก้ไขอาการตื่นเวทีของผู้พูด
ตอบ 1
การใช้ภาษาท่าทางจะช่วยแก้ไขอาการตื่นเวทีของผู้พูด หรือสามารถเอาชนะความประหม่าได้ เวลาพูดจึงควรมีการเคลื่อนไหวร่างกายบ้าง แต่ต้องไม่มากจนก่อให้เกิด ความรําคาญแก่ผู้ฟัง จงใช้ท่าทางไปตามธรรมชาติ และสิ่งที่ละเลยไม่ได้ก็คือ การยิ้ม ซึ่งนับเป็นการสร้างความอบอุ่นต่อการพูด ช่วยสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ฟัง

21. ข้อใดคือการพูดแบบไม่เป็นทางการ
(1) การสนทนาในรายการโทรทัศน์
(2) การทักทายผู้ฟัง
(3) การโทรศัพท์คุยกับลูกค้า
(4) การเล่าเรื่อง
ตอบ 4
การพูดแบบไม่เป็นทางการ เป็นการสื่อสารระหว่าง 2 คนขึ้นไป แต่ไม่ควรเกิน 4 – 5 คน มักเป็นการพูดแบบตัวต่อตัว ไม่จํากัดเวลา สถานที่ โดยผู้พูดและผู้ฟังไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน เนื้อหาการพูดก็ไม่แน่นอนและไม่มีขอบเขต แต่เป็นการพูดที่ใช้กันมากที่สุด แบ่งออกเป็น 1. การทักทาย 2. การแนะนําตัว 3. การสนทนา 4. การเล่าเรื่อง 5. การพูดโทรศัพท์ 6. การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นการพูดที่ค่อนข้างเป็นทางการ เพราะจํากัดเวลา สถานที่ และบุคคล ที่พูดด้วย ซึ่งผู้พูดต้องมีการเตรียมตัวมาก่อนล่วงหน้า)

22. ข้อใดคือการแนะนําตนเองได้ถูกต้องเมื่อพบปะกันเป็นครั้งแรก
(1) “ผมชื่อนายสมพล เกียรติแจ่ม ทํางานในทําเนียบรัฐบาล หน่วยงานที่เป็นหัวใจสําคัญครับ”
(2) “ผมชื่อนายสมพล เกียรติแจ่ม รับราชการอยู่ในกรุงเทพฯ ครับ”
(3) “ผมชื่อนายสมพล ทํางานสําคัญอยู่ในทําเนียบรัฐบาลครับ”
(4) “ผมชื่อนายสมพล เกียรติแจ่ม คนราชบุรี ตอนนี้รับราชการอยู่ในกรุงเทพฯ ครับ” ตอบ 2
การแนะนําตนเองเมื่อพบปะกันเป็นครั้งแรก ควรเริ่มด้วยอวัจนภาษาก่อน เช่น การแสดงสีหน้าท่าทางที่เป็นมิตร แล้วจึงแนะนําตัวด้วยการกล่าวชื่อของตนเองให้ชัดเจน อาจบอกนามสกุล สถานที่เรียน หรือสถานที่ทํางาน แต่ควรระวังว่าไม่ควรบอกตําแหน่งหน้าที่การงาน หรือสถานที่ทํางานที่จะทําให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกด้อย

23. หัวข้อใดต่อไปนี้ควรหลีกเลี่ยงที่สุดในการสนทนา
(1) “คุณว่านักข่าวกับรัฐบาลใครแย่กว่ากัน”
(2) “ได้ข่าวว่าสามีคุณไปมีภรรยาน้อยเหรอ”
(3) “ศาสนาที่คุณนับถือ เขาสอนอะไรบ้าง”
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4 เรื่องที่จะนํามาสนทนากัน ควรเป็นเรื่องที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีความสนใจร่วมกัน เป็นเรื่องที่เหมาะกับกาลเทศะและเหตุการณ์ ไม่ใช่เรื่องที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง เช่น เรื่องการเมือง ศาสนา เรื่องส่วนตัวของทั้ง 2 ฝ่าย เรื่องนินทาผู้อื่น เรื่องโอ้อวดตน ฯลฯ โดยเวลาสนทนาควรใช้ภาษาที่สุภาพ มีมารยาทดี ไม่พูดเสียคนเดียว มีกิริยาสุภาพอ่อนโยน

24. ข้อใดคือลักษณะสําคัญของการประชุมประเภท “สัมมนา”
(1) มีการแบ่งกลุ่มเพื่อพิจารณาปัญหาหรือนโยบาย
(2) มีการเชิญวิทยากรมาให้ความรู้
(3) มีการพิมพ์สรุปผลการสัมมนาไปปฏิบัติต่อไป
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
การสัมมนา (Seminar) เป็นการประชุมที่นิยมใช้ในหน่วยงานหรือองค์กรต่าง ๆ มากที่สุดในปัจจุบัน มีลักษณะสําคัญดังนี้ 1. เป็นการประชุมเพื่อแก้ไขปัญหาร่วมกัน โดยมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และความคิดเห็นเพื่อนําไปสู่การตัดสินใจ หรือกําหนดนโยบายและแนวทางการทํางาน ” 2. การประชุมจะรวมสมาชิกที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 3. มีวิทยากรหรือผู้ทรงคุณวุฒิมาบรรยายหรืออภิปรายให้ความรู้ มีการซักถามปัญหา และแบ่งกลุ่มเพื่อพิจารณาปัญหาหรือนโยบาย
4. มีการพิมพ์สรุปผลการสัมมนาไว้เป็นหลักฐาน เพื่อนําผลการประชุมไปใช้เป็นแนวปฏิบัติต่อไป

25. การอภิปราย คือ
(1) นายแสวงและพรรคพวกไม่เกิน 20 คน พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน (2) นายบรรหารและนายสนั่นอภิปรายปัญหาการเมืองในรายการโทรทัศน์
(3) ถูกข้อ 1 และ 2
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1
การอภิปราย คือ การพูดแสดงความรู้ ความคิดเห็น และประสบการณ์ของบุคคลกลุ่มหนึ่งตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อปรึกษาหารือกันและแสดงความคิดเห็น เพื่อแก้ปัญหา ที่มีอยู่ หรือเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดในเรื่องที่กําหนดให้ ดังนั้นความหมายของการอภิปรายที่ครอบคลุมเนื้อหาสาระมากที่สุดน่าจะเป็น “กระบวนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และข่าวสารของบุคคลจํานวนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป หรือมากกว่านั้น”

26. การพูดแบบใดเหมาะกับการนําเสนอความคิดของผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านให้ประชาชนทั่วไปได้รับฟัง
(1) การอภิปราย
(2) การปาฐกถา
(3) การกล่าวสุนทรพจน์
(4) การบรรยาย
ตอบ 2
การพูดแบบปาฐกถา คือ การพูดที่บุคคลคนเดียวแสดงถึงความรู้ความคิดเห็นของตนเองให้ผู้ฟังจํานวนมาก เป็นการพูดแบบบรรยาย หรืออธิบายขยายความให้ผู้ฟังได้เข้าใจ เรื่องที่พูดอย่างแจ่มแจ้ง โดยอาจเป็นการพูดเกี่ยวกับวิชาการหรือเป็นความรู้ทั่ว ๆ ไปก็ได้ ดังนั้นผู้พูดจึงต้องมีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องที่พูดอย่างเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

27. ข้อใดอนุโลมให้ใช้วิธีการพูดโดยอ่านจากต้นร่างหรือต้นฉบับ
(1) การให้โอวาท
(2) การอภิปราย
(3) การโต้วาที
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1
การพูดโดยอาศัยอ่านจากร่างหรือต้นฉบับ คือ การพูดโดยอ่านจากต้นฉบับที่เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วอย่างดี ส่วนมากจะเป็นการพูดที่เป็นพิธีการสําคัญต่าง ๆ เช่น การกล่าวเปิดงาน การกล่าวรายงาน การกล่าวเปิดประชุม การกล่าวรายงานการประชุม การกล่าวสดุดี การปราศรัย การให้โอวาท การกล่าวสุนทรพจน์ของบุคคลสําคัญ คําแถลงหรือประกาศต่าง ๆ ของทางราชการ ฯลฯ

28. วิธีการพูดโดยท่องจําจากต้นร่าง ควรใช้เวลาในการพูดนานเท่าไร
(1) 5 – 10 นาที
(2) 10 – 15 นาที
(3) 3 – 4 นาที
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3
การพูดแบบท่องจําจากต้นร่าง ผู้พูดจะต้องจดจําเนื้อความที่จะพูดอย่างแม่นยํา และต้องมีเวลาในการเตรียมตัว ควรใช้เฉพาะในโอกาสพิเศษหรือ พิธีการที่สําคัญ และควรพูดสั้น ๆ เพียง 3 – 4 นาที โดยมีข้อควรปฏิบัติดังนี้ 1. มีเวลาเตรียมเพียงพอ 2. ใช้วิธีจดจําตามลําดับ เช่น จําจากหัวข้อสําคัญไปหาหัวข้อย่อย 3. ควรทําด้วยความเต็มใจ ไม่ฝืนตัวเอง 4. เวลาพูด พูดอย่างเป็นธรรมชาติ มีชีวิตชีวา

ข้อ 29. – 30. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การพูดแบบจูงใจ
(2) การพูดแบบให้ความบันเทิง
(3) การพูดแบบบอกเล่าหรือบรรยาย
(4) ถูกทุกข้อ

29. การพูดในที่สาธารณะแบบใดที่ใช้หลักจิตวิทยามากที่สุด
ตอบ 1
การพูดแบบจูงใจหรือชักชวน จะมีเนื้อหาที่ชักชวนให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกคล้อยตาม เป็นลักษณะการโน้มน้าว เกลี้ยกล่อม จูงใจ ปลุกเร้าให้ผู้ฟังเชื่อถือและปฏิบัติตาม ดังนั้นจึงเป็นการพูดที่ต้องใช้หลักจิตวิทยาในการพูดมากที่สุด เพื่อที่จะเร้าอารมณ์และต้องการการสนองตอบจากผู้ฟังให้ได้มากที่สุดด้วย เช่น การโฆษณาชักชวนให้ซื้อสินค้า การหาเสียงการชักชวนให้ร่วมกิจกรรม การปลุกเร้าปฏิกิริยามวลชน ฯลฯ

30. การพูดในที่สาธารณะแบบใดไม่ควรใช้เวลานานในการพูด
ตอบ 2
หลักการพูดแบบให้ความบันเทิงมีข้อเสนอแนะดังนี้
1. ผู้พูดควรจํากัดเวลาในการพูด เพราะถ้าพูดนานจะทําให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่าย โดยถ้ามีผู้พูดหลายคน แต่ละคนไม่ควรพูดเกิน 10 นาที แต่ถ้าพูดคนเดียวก็อาจใช้เวลาประมาณ 35 – 45 นาที
2. ผู้พูดต้องพูดให้ตรงเป้าหมายและพูดให้ได้เรื่องราวที่เหมาะสม 3. เรื่องที่พูดต้องเป็นเรื่องสนุกสนาน เบาสมอง และให้ความบันเทิงจริง ๆ แต่ถ้ามีเรื่องตลกขบขันแทรกก็ต้องเป็นเรื่องที่ไม่หยาบโลน

31. ในการสนทนากับผู้อื่น ควรปฏิบัติตามข้อใดมากที่สุด
(1) พูดด้วยความจริงใจ
(2) ชมเชยยกย่องคู่สนทนาบ่อย ๆ
(3) ยิ้มและหัวเราะอย่างอารมณ์ดีตลอดเวลา
(4) ใช้วาจาและท่าทางสงบเสงี่ยมเรียบร้อย
ตอบ 1
ในการสนทนากับผู้อื่น ผู้พูดควรพูดด้วยความจริงใจให้มากที่สุด โดยควรเป็นการพูดจากใจจริงให้มีประโยชน์และผู้ฟังพึงพอใจ ซึ่งต้องผสมผสานกันอย่างกลมกลืนทุกครั้งไม่ควรพูดเรื่องที่ไม่จริง เพราะแสดงถึงความไม่รับผิดชอบ และผู้ฟังก็จะไม่เชื่อถืออีกต่อไป

32. การพูดต่อหน้าผู้ฟังมีข้อดีอย่างไร
(1) ได้เห็นปฏิกิริยาของผู้ฟัง
(2) ผู้พูดมีชีวิตชีวามากกว่า
(3) ผู้พูดรู้สึกเป็นมิตรกับผู้ฟัง
(4) ข้อ 1 และ 2
ตอบ 4
การพูดต่อหน้าผู้ฟังมีข้อดี คือ ผู้พูดจะมีชีวิตชีวามากกว่าเพราะกําลังพูดกับสิ่งมีชีวิตที่สามารถแสดงอาการโต้ตอบกลับมาได้ นอกจากนี้ผู้พูดยังสามารถมองเห็น ปฏิกิริยาโต้ตอบของผู้ฟังว่ามีความเข้าใจหรือไม่เข้าใจในเรื่องราวที่พูดมากน้อยเพียงใด แต่ก็อาจมีข้อเสีย คือ การได้เห็นปฏิกิริยาโต้ตอบของผู้ฟัง หรือการมีสายตาของผู้อื่นมาจับจ้องอยู่ อาจทําให้ผู้พูดเกิดความประหม่า เก้อเขิน หรือเกิดความรู้สึกเครียดเพราะต้องระมัดระวังกิริยาท่าทางและคําพูดของตนเองมากเกินไปจนไม่เป็นธรรมชาติ

33. การพูดจากความทรงจํามีข้อเสียหรือไม่อย่างไร
(1) ไม่มีข้อเสีย เพราะเป็นธรรมชาติ
(2) มีข้อเสีย เพราะอาจลําดับความคิดไม่ดี
(3) ไม่มีข้อเสีย เพราะมีข้อมูลสะสมไว้มาก
(4) มีข้อเสีย เพราะผู้พูดมักไม่เตรียมตัว
ตอบ 2
การพูดจากความทรงจํา ถือเป็นการพูดจากใจและจากความรู้สึกที่แท้จริงของผู้พูด จึงเป็นวิธีการพูดที่ดีที่สุด นิยมมากที่สุด และเหมาะสมที่สุดกับการพูดในทุกโอกาส แต่ก็มีข้อเสีย คือ หากผู้พูดใช้วิธีท่องจําสิ่งที่จะนํามาพูดก็จะทําให้การพูดน่าเบื่อหน่าย ผู้พูดมีลักษณะเหมือนหุ่นยนต์ ทั้งยังอาจจะลืมสิ่งที่เตรียมมาพูด จนทําให้การลําดับความคิดไม่ดีไม่สามารถเล่าออกมาให้ต่อเนื่องกันได้

34. การพูดที่มีถ้อยคําดี คือการใช้ถ้อยคําแบบใด
(1) เป็นความจริง
(2) เป็นประโยชน์
(3) มีความจริงใจ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
การพูดที่มีถ้อยคําดี คือ การพูดที่ประกอบด้วยถ้อยคําที่เป็นความจริง ซึ่งเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นและสําคัญที่สุดของการพูด โดยควรเป็นถ้อยคําที่จริงใจหรือออกมาจากใจจริงและควรให้เป็นประโยชน์ต่อผู้พูดและผู้ฟัง นอกจากนี้ถ้อยคําที่พูดนี้ควรทําให้ผู้ฟังพึงพอใจด้วย

35. การพูดในข้อใดที่มีลักษณะเป็นการสื่อสารสองทาง
(1) การบรรยาย
(2) การเล่าเรื่อง
(3) การประชุม
(4) การโฆษณา
ตอบ 3
การประชุม คือ การที่คนเรามาพบปะพูดคุยกันในลักษณะของการสื่อสารสองทางแบบเผชิญหน้า (Face to Face Communication) เพื่อที่จะแลกเปลี่ยน ข่าวสาร ความรู้ ข้อเท็จจริง และประสบการณ์ในการทํางาน และยังเป็นการช่วยในด้าน การตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ เช่น การวินิจฉัย ตัดสิน และแก้ปัญหา ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องของกลุ่ม มากกว่าปัจเจกบุคคล

36. นักพูดทุกคนควรมีทัศนคติข้อใด
(1) ความมั่นใจ
(2) การเข้าถึงจิตใจของผู้อื่น
(3) ความมีมนุษยสัมพันธ์
(4) ความอดทนอดกลั้น
ตอบ 1
ความมั่นใจ เป็นทัศนคติในทางบวกซึ่งเป็นสิ่งสําคัญที่สุดที่นักพูดทุกคนควรมีโดยนักพูดที่ดีจะต้องเด็ดเดี่ยว เชื่อมั่นในตนเอง สามารถเผชิญเหตุการณ์ได้ทุกอย่าง ควบคุมสติและแก้ไขสถานการณ์ได้ ไม่ท้อถอย ไม่ท้อแท้ มีความอดทน และตั้งสติได้มั่นคง

37. สิ่งใดที่มีผลต่อการพูดและนักพูดมากที่สุด
(1) การตอบกลับของผู้ฟัง
(2) อารมณ์ร่วมของผู้ฟัง
(3) บรรยากาศในการพูดและการฟัง
(4) ความสนุกสนานในการฟัง
ตอบ 1
ในระหว่างการพูด ปฏิกิริยาโต้ตอบหรือการตอบกลับของผู้ฟังนับว่ามีผลต่อการพูดและนักพูดมากที่สุด เพราะทําให้นักพูดทราบว่าการพูดของตนประสบความสําเร็จ มากน้อยเพียงไร เป็นแนวทางให้นักพูดได้มีโอกาสปรับปรุงการพูดของตนให้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการสร้างอารมณ์ร่วมระหว่างนักพูดกับผู้ฟังอีกด้วย

38. ขณะที่พูด นักพูดสามารถใช้ตัวช่วยข้อใดช่วยให้ผู้ฟังสนใจฟังยิ่งขึ้น
(1) การทักทายเรียกชื่อผู้ฟัง
(2) การดึงผู้ฟังเข้ามาอยู่ในบรรยากาศเดียวกัน
(3) การใช้อารมณ์ขันแทรกในการพูด
(4) การเล่าประสบการณ์ของตนเพื่อคั่นเวลา
ตอบ 4
ในขณะที่พูด นักพูดควรพยายามหาตัวอย่างมาประกอบเรื่องที่พูด เพราะการยกตัวอย่างประกอบที่เข้ากับเรื่องพูดจะทําให้การพูดนั้นมีความน่าสนใจมากขึ้น และผู้ฟังก็จะกระตือรือร้นที่จะสนใจฟังยิ่งขึ้นไปด้วย โดยตัวอย่างที่ยกมาประกอบนั้นอาจทําได้ด้วยการเล่าประสบการณ์ของตนเพื่อคั่นเวลา หรือจากการฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่มีผู้พูดหรือเล่าให้ฟัง ฯลฯ

39. กฎเกณฑ์ของการตอบคําถาม เรียกว่าอย่างไร
(1) 4 Bs
(2) 4 BS
(3) 4 bs
(4) 4 bS
ตอบ 1 หน้า 241 กฎเกณฑ์ของการตอบคําถาม ซึ่งเรียกว่า 4 Bs มีดังนี้
1. มีความถูกต้อง (Be Accurate) 2. มีความสมบูรณ์ (Be Complete)
3. มีความสุภาพ (Be Polite) 4. มีความมั่นใจ (Be Confident)

40. การใช้ภาษาของผู้ฟัง หมายความว่าอย่างไร
(1) ถ้าไปพูดในท้องถิ่น ต้องใช้ภาษาถิ่น
(2) ต้องใช้ภาษาให้สอดคล้องกับพื้นฐานของผู้ฟัง
(3) ใช้วัจนภาษาและอวัจนภาษาให้เหมาะสม
(4) ปรับบุคลิกภาพของตนให้เข้ากับบุคลิกภาพของผู้ฟัง
ตอบ 2
การใช้ภาษาของผู้ฟัง หมายถึง ผู้พูดต้องใช้ภาษาให้สอดคล้องกับพื้นฐานของผู้ฟัง โดยต้องศึกษาว่าผู้ฟังเป็นใคร เพื่อปรับความยากง่ายของถ้อยคําภาษาของตน ให้เข้ากับผู้ฟัง หรือเป็นภาษาของกลุ่มผู้ฟัง ไม่ใช้ศัพท์ยากเกินไป เพราะถ้าใช้ศัพท์ยากหรือใช้ภาษาที่ผู้ฟังไม่อาจเข้าใจ ก็จะทําให้การพูดนั้นไร้ประโยชน์

41. องค์ประกอบที่ทําให้เกิดวัฒนธรรมในการใช้ภาษาพูด มีอะไรบ้าง
(1) เพศ วัย
(2) ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล โอกาส และสถานที่
(3) อาชีพ และสถานภาพทางสังคม
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
การใช้ภาษาพูดของบุคคลจะแตกต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบที่ทําให้เกิดวัฒนธรรมในการใช้ภาษาพูด ได้แก่ 1. เพศ ซึ่งทําให้การใช้ภาษาของบุคคลแตกต่างกันมากที่สุด และยังทําให้สามารถแยกการใช้ภาษาพูดของเพศหญิงและเพศชายได้ชัดเจน 2. วัยหรืออายุ 3. ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล 4. โอกาสและสถานที่ 5. อาชีพ 6. สถานภาพทางสังคม 7. เนื้อหาในการพูด

42. ข้อใดเป็นการออกเสียงสูงต่ำเพี้ยนมากที่สุด
(1) ขอบคุณค่ะ สวัสดีค่ะ
(2) ขอบคุณคะ สวัสดีค่ะ
(3) ขอบคุณคะ สวัสดีคะ
(4) ขอบคุณนะคะ สวัสดีค่ะ
ตอบ 3
การออกเสียงที่ผิดแบบอีกอย่างหนึ่ง คือ เสียงสูงต่ำเพี้ยนไป โดยเสียงพูดของคนเราบางครั้งจะไม่ตรงกับภาษาเขียน และการพูดของคนบางคนก็จะผิดไปจากคนอื่น ๆ พอมาเขียนเป็นภาษาเขียน ก็เขียนตามเสียงที่ตนเองพูดจนชิน เช่น ดิฉัน ออกเสียงเพี้ยนเป็น ดิชั้น/เดี้ยน/ดั๊น, เร็ว ออกเสียงเพี้ยนเป็น เร้ว ริ้ว, หนังสือ ออกเสียงเพี้ยนเป็น นังสือ/นั้งสือ, สวัสดีค่ะ ออกเสียงเพี้ยนเป็น สวัสดีคะ, ขอบคุณค่ะ ออกเสียงเพี้ยนเป็น ขอบคุณคะ เป็นต้น

43. ข้อใดเป็นเสียงควบกล้ำที่ไม่ปรากฏในภาษาไทย
(1) ทร ใน ทรัสต์, บร ใน แบรนด์
(2) ฟล ใน แฟลต, ปร ใน ปรุ
(3) ดร ใน ดรัม, บล ใน บิล
(4) กร ใน กรัก, ตร ใน ตรอก
ตอบ 1
หน่วยเสียงควบกล้ำในภาษาไทย มีดังนี้
1. เสียง ร และ ล ควบกล้ำกับพยัญชนะ ก/ข/ค/ต/ป/ผ/พ เช่น กร — กรัก, ขร — ขริบ, ตร — ตรอก, ปร — ปรุ, พร — พรู ฯลฯ 2. เสียง ว ควบกล้ำกับพยัญชนะ ก/ข/ค เช่น กว — กวัก, ขว — ไขว้เขว, คว — ควาย ฯลฯ (ส่วนหน่วยเสียงควบกล้ำที่ไม่ปรากฏในภาษาไทย แต่เป็นเสียงควบกล้ำที่มาจากคําทับศัพท์ใน ภาษาอังกฤษ เช่น ดร — ดราฟต์ (Draft/ดรัมเมเยอร์ (Drum major), ทร — ทรัสต์ (Trust), บร — แบรนด์ (Brand), ฟล — แฟลต (Flat) ฯลฯ)

44. คําในข้อใดที่หากออกเสียงควบกล้ำผิด ผู้ฟังจะเข้าใจผิดไปเลย
(1) ขวนขวาย
(2) ข้างขวา
(3) ขวัญข้าว
(4) ขวาบเขวียว
ตอบ 2
คําว่า “ข้างขวา” หากออกเสียงควบกล้ำผิดเป็น “ข้างฝา” จะทําให้ผู้ฟังเข้าใจผิดไปเลย เพราะมีความหมายต่างกัน ซึ่งคําว่า “ข้างขวา” = ด้านที่ตรงข้าม กับซ้าย ส่วนคําว่า “ข้างฝา” = เครื่องกั้นด้านนอกหรือเครื่องกั้นแบ่งห้องของตัวเรือน เช่น ข้างฝาบ้าน ข้างฝาห้อง ฯลฯ

45. ข้อใดไม่มีความหมายแฝงว่า “เร็ว”
(1) พลิ้ว
(2) ปลิว
(3) ฉิว
(4) ลิ่ว
ตอบ 1
ความหมายแฝงที่บอกการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ได้แก่ ฉิว ปลิว ลิ่ว เช่น แล่นฉิว, เดินตัวปลิว, วิ่งตรงลิ่วเข้าไป เป็นต้น ส่วนคําว่า “พลิ้ว” = บิดเบี้ยว เช่น คมมีดพลิ้ว)

46. การประชุมที่นิยมใช้กันมากที่สุด คือการประชุมแบบใด
(1) การอภิปราย
(2) การระดมสมอง
(3) การสัมมนา
(4) การแลกเปลี่ยนความรู้
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 24. ประกอบ

47. การอภิปรายแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ 2 ประเภท คืออะไร
(1) การอภิปรายแบบแผงและการอภิปรายเป็นคณะ
(2) การอภิปรายกลุ่มและการอภิปรายในที่ประชุมชน
(3) การอภิปรายแบบคณะและการอภิปรายเดียว
(4) การอภิปรายแบบโต้วาที่และการอภิปรายแบบระดมสมอง
ตอบ 2
การอภิปรายแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ 2 ประเภท คือ 1. การอภิปรายกลุ่ม 2. การอภิปรายในที่ประชุมชน

48. มารยาทในการพูดที่ควรปฏิบัติมากที่สุด คือข้อใด
(1) พูดในสิ่งที่ตนสนใจ
(2) เป็นตัวของตัวเอง
(3) อดทนหนักแน่น
(4) มีอารมณ์ขัน
ตอบ 2
มารยาทในการพูดที่ควรปฏิบัติมากที่สุด คือ เป็นตัวของตัวเองเพราะการพูดที่ดีที่สุดนั้นต้องเป็นลักษณะการพูดที่เป็นตัวของเราเอง ซึ่งผู้พูดควรมีความมั่นใจ ในตัวเอง พยายามเป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด อย่าเลียนแบบผู้อื่น หากเกิดความรู้สึกประทับใจในการพูดของผู้อื่นก็อาจนํามาปรับปรุงให้เข้ากับตนเองมากที่สุด และให้เป็นธรรมชาติ

49. ปัญหาในการใช้ภาษาพูดแบ่งเป็น 2 เรื่องใหญ่ ๆ คืออะไร
(1) การเรียบเรียงคําและประโยค
(2) การออกเสียงสูงต่ำและการใช้วรรณยุกต์
(3) การออกเสียงและการใช้ถ้อยคํา
(4) การพูดตามหลักการพูดและจูงใจผู้ฟัง
ตอบ 3
ปัญหาในการใช้ภาษาพูดแบ่งเป็นเรื่องใหญ่ ๆ 2 เรื่อง ดังนี้
1. การออกเสียง ซึ่งเป็นปัญหาที่สําคัญที่สุด และถือเป็นปัญหาใหญ่ในการพูดปัจจุบันโดยเฉพาะการออกเสียง ร ที่เป็นเสียงพยัญชนะต้นเป็นเสียง ล และออกเสียง รลว ที่เป็น เสียงควบกล้ำไม่ชัดเจน
2. การใช้ถ้อยคํา ซึ่งภาษาพูดที่ดีต้องเป็นถ้อยคําที่ชัดเจน สื่อความหมายได้ดี มีประสิทธิภาพถูกต้องและเหมาะสม

50. การใช้ภาษาท่าทางประกอบการพูดมีผลดีอย่างไร
(1) ดึงดูดผู้ฟัง
(2) ผู้พูดคลายความเครียด
(3) การพูดมีชีวิตชีวา
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
การใช้ท่าทางประกอบการพูดจะช่วยส่งเสริมให้การใช้ถ้อยคําพูดมีความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น ทําให้การพูดมีชีวิตชีวาและช่วยดึงดูดใจผู้ฟัง นอกจากนี้ ยังช่วยทําให้ผู้พูดเกิดความมั่นใจ และสามารถลดความตึงเครียดทั้งของผู้พูดและผู้ฟัง แต่ผู้พูด ต้องระวังให้การใช้ท่าทางสอดคล้องกับความคิด คําพูดหรือเรื่องที่จะพูด และวิธีการถ่ายทอดโดยควรใช้ท่าทางให้พอดีและเป็นไปตามธรรมชาติ

ข้อ 51. – 55. ให้พิจารณาว่าข้อใดเป็น “วลีฆาตกร”

51.
(1) ของชิ้นนี้ราคาสูงไปหน่อยนะ
(2) จะซื้อหรือไม่ซื้อก็แล้วแต่เธอเถอะ
(3) โตจนแก่แล้วยังไม่รู้หรือคะ
(4) อุตส่าห์สอบเข้าได้แล้วทําไมถึงไม่เรียน
ตอบ 3
อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท ได้เรียกการใช้ภาษาที่จะทําลายบรรยากาศอันดีในที่ประชุมและทําลายความคิดสร้างสรรค์ของผู้เข้าประชุมว่า “วลีฆาตกร” (Kitter Phrases) คือ ภาษาที่อาจทําให้เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบในทางปฏิปักษ์ เช่น เราไม่เคยทําแบบนี้มาก่อน,คุณคิดว่าเขาจะรับข้อเสนอของคุณหรือ ฯลฯ นอกจากนี้วลีฆาตกรยังสามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจําวัน หากเป็นการใช้วาจาที่ก้าวร้าว ไม่สุภาพ จนก่อให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีระหว่าง ผู้พูดและผู้ฟัง เช่น โตจนแก่แล้วยังไม่รู้หรือคะ, หน้าอย่างเธอเนี่ยนะ สอบชิงทุนได้, แหม!ลูกคุณกินนมอะไรคะ ตัวเล็กจัง, กินอะไรก็ไม่รู้ ฉันกินด้วยไม่ได้ ฯลฯ

52.
(1) สอบได้ที่หนึ่งอีกแล้วหรือนี่ เก่งจริง ๆ
(2) จะสอบชิงทุนไปอเมริกาหรือ เอาสิ พยายามหน่อยนะ
(3) หน้าอย่างเธอเนี่ยนะ สอบชิงทุนได้
(4) หน้าอย่างฉันคงเอาไปเสนอไม่ได้
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

53.
(1) แหม! ลูกคุณกินนมอะไรคะนี่ ตัวเล็กจัง
(2) ลูกคุณกินนมแม่หรือเปล่าคะ มีประโยชน์มากนะ
(3) ถ้าให้ลูกกินนมแม่ แม่ควรจะต้องใช้เวลาหยุดงานดูแล
(4) ลูกคุณกินนมวัวก็มีประโยชน์นะคะ ขอให้เป็นนมเถอะ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

54.
(1) คุณคิดว่าเขาจะรับข้อเสนอของคุณไหม
(2) คุณคิดว่าเขาจะรับข้อเสนอของคุณหรือของผม
(3) คุณคิดว่าเขาจะรับข้อเสนอของคุณหรือ
(4) คุณคิดว่าข้อเสนอของผมดีไหม
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

55.
(1) กิน กินเข้าไปจะได้โตเร็ว ๆ
(2) กินอะไรก็ไม่รู้ ฉันกินด้วยไม่ได้
(3) ฉันกินกับเธอได้ไหม ฉันไม่มีตังค์
(4) ถ้าไม่กินก็ทิ้งไว้บนโต๊ะนั่นแหละ ฉันกินเอง
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ 3

ข้อ 56. – 60, จงพิจารณาว่าคําหรือข้อความที่ขีดเส้นใต้ข้อใดใช้ถูก

56.
(1) ตํารวจสืบสวนคดีฆ่าหั่นศพได้เบาะแสแล้ว
(2) ผู้ร้ายสืบสวนหาคนที่เขาต้องการฆ่าพบแล้ว
(3) พอถูกสืบสวนเข้าหน่อยก็พูดไม่ออกเลยเชียว
(4) สืบสวนกันไปสืบสวนกันมาเสียเวลาจริง ๆ
ตอบ 1
คําว่า “สืบสวน” = แสวงหาข้อเท็จจริงซึ่งพนักงานฝ่ายปกครองหรือตํารวจได้ปฏิบัติไปตามอํานาจและหน้าที่ เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเพื่อที่จะ ทราบรายละเอียดแห่งความผิด มักใช้ในกรณีที่ยังหาตัวผู้ต้องหาไม่ได้ เช่น ตํารวจสืบสวน คดีฆ่าหั่นศพได้เบาะแสแล้ว เป็นต้น

57.
(1) นักศึกษาสอบไล่ตกกระจุยกระจายเพราะข้อสอบยาก
(2) คนวิ่งแตกกระเจิดกระเจิงเมื่อได้ยินเสียงปืน
(3) มีของกระจุกกระจุยมาขาย สนใจไหม
(4) อาหารกระจุบกระจิบอย่างนี้อย่ากินเข้าไปเลย
ตอบ 2
คําว่า “กระเจิดกระเจิง” = แตกหมู่เพ่นพ่านไป เตลิดไป เช่น คนวิ่งแตกกระเจิดกระเจิงเมื่อได้ยินเสียงปืน เป็นต้น ส่วนคําว่า “กระจุยกระจาย” = กระจาย ยุ่งเหยิง, “กระจุกกระจุย” = กระจายจากกันอย่างสับสนไม่เป็นระเบียบ, “จุบจิบ/ กระจุบกระจิบ” = การกินน้อย ๆ ไม่เป็นมื้อเป็นคราว กินพร่ำเพรื่อทีละเล็กทีละน้อย)

58.
(1) คนชราเดินกะโผลกกะเผลกเพราะขาเจ็บ
(2) เด็กมีท่าทางกระชุ่มกระชวยที่ได้กินขนม
(3) รถไฟวิ่งกระฉึกกระฉักไปตามราง
(4) ลมพัดกระโชกกระชากอย่างน่ากลัว
ตอบ 1
คําว่า “กะโผลกกะเผลก” = อาการเดินไม่ปรกติ คือ ยกขาข้างหนึ่งไม่ได้ระดับกับอีกข้างหนึ่งอย่างคนขาพิการเดิน, อาการที่เดินไปด้วยความลําบาก เช่น คนชราเดิน กะโผลกกะเผลกเพราะขาเจ็บ เป็นต้น (ส่วนคําว่า “กระชุ่มกระชวย” = มีผิวพรรณสดใส คล่องแคล่ว และท่าทางกระปรี้กระเปร่า มักใช้กับผู้สูงอายุ, “กระฉึกกระฉัก” ไม่มีบัญญัติไว้ในพจนานุกรม, “กระโชกกระชาก” = อาการพูดอย่างตวาดหรือกระแทกเสียง)

59.
(1) เขาโมโหที่ถูกขัดใจ
(2) อย่าขัดขวางหมาบ้า มันจะกัดเอา
(3) จอมขัดเบาเพราะไม่สบาย
(4) เธอขัดบทของตํารวจได้ยังไง
ตอบ 1
คําว่า “ขัดใจ” = โกรธเพราะทําไม่ถูกใจ, ไม่ยอมให้ทําตามใจ เช่น เขาโมโหที่ถูกขัดใจ เป็นต้น ส่วนคําว่า “ขัดขวาง” = ทําให้ไม่สะดวก ทําให้ติดขัด เช่น ผู้ร้ายขัดขวาง การไล่ล่าของตํารวจ, “ขัดเบา” = ถ่ายปัสสาวะไม่ค่อยออก, “ขัดบท” = แทรกเข้ามาเมื่อเขาพูดยังไม่จบ ขัดคอ ขัดจังหวะ)

60.
(1) เอาผ้ามาขริบริมให้ทนทานและดูสวย
(2) มีดคมขริบอย่างนี้ น่ากลัวจริง ๆ
(3) ขนมปั้นขริบไส้ปลาอร่อยนะ
(4) ใช้กรรไกรขริบผมออกอีกหน่อยจะได้ดูดี
ตอบ 4
คําว่า “ขริบ” = ตัดเล็มด้วยกรรไกร เช่น ใช้กรรไกรขริบผมออกอีกหน่อยจะได้ดูดี เป็นต้น

61. การเตรียมเนื้อหาขั้นตอนใดที่ใช้เวลามากกว่าตอนที่พูดหรือเขียน
(1) การเขียนประโยคกล่าวนํา
(2) การเขียนย่อหน้า
(3) การเลือกหัวข้อเรื่อง
(4) การเขียนโครงเรื่อง
ตอบ 3
หน้า 1 การเลือกหัวข้อเรื่อง หมายถึง การพิจารณาเนื้อหาสาระของเรื่องว่ามีความเหมาะสมที่จะนํามากล่าวหรือไม่ โดยคํานึงถึงเนื้อหาหรือสาระสําคัญของเรื่องเป็นหลัก ดังนั้นการเตรียมเนื้อหาในขั้นตอนการเลือกหัวข้อเรื่องนี้บางครั้งต้องใช้เวลามากกว่าตอนที่ต้องพูดหรือเขียน เรื่องนั้นจริง ๆ เพราะจะต้องประมวลความรู้ความคิดที่เกี่ยวกับเนื้อหาของเรื่องนั้นให้เห็นแจ้งเสียก่อน จึงจะลงมือเขียนได้

62. นิสัยการอ่านในข้อใดที่แตกต่างไปจากข้ออื่น
(1) มีการบันทึกข้อความที่สําคัญ ๆ ไว้
(2) ทดสอบคุณค่าเรื่องที่อ่าน
(3) สร้างภาพพจน์ขึ้นในใจ
(4) ช่างสังเกตและค้นคว้า
ตอบ 4
นิสัยการอ่านที่ดีมีดังนี้ 1. มีนิสัยช่างถาม 2. มีนิสัยสร้างภาพพจน์ขึ้นในใจ 3. มีนิสัยต่อเติมใจความที่บกพร่อง 4. มีนิสัยบันทึกข้อความสําคัญไว้ 5. มีนิสัยทดสอบคุณค่าของเรื่องที่ตนอ่าน

63. ประโยคกล่าวนําคืออะไร
(1) ประโยคเกริ่นนํา
(2) ประโยคสังเขปความคิด
(3) ประโยคสรุป
(4) ประโยคใจความสําคัญ
ตอบ 2
ประโยคกล่าวนํา คือ ประโยคที่เจาะจงขมวดเนื้อหาของหัวข้อเรื่องนั้นเอาไว้ทั้งหมดโดยรวม ๆ อาจเรียกว่า ประโยคจํากัดขอบข่ายความคิด หรือประโยคสังเขปความคิด ซึ่งมีประโยชน์ดังนี้ 1. เพื่อเจาะจงขมวดเนื้อหาทั้งหมดในภาพรวม 2. เพื่อช่วยเลือกสรร เนื้อหาที่จะมาเขียนได้ถูกต้อง 3. เพื่อช่วยเตือนความคิดของผู้เขียนให้มั่นคง 4. เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เขียนเนื้อหาออกนอกเรื่อง

64. คําตอบในข้อใดของขั้นตอนการเขียนโครงเรื่องที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ
(1) ถ้อยคํา
(2) ประโยค
(3) ตัวเลข
(4) อักษรย่อ
ตอบ 1 หน้า 38 เมื่อจัดลําดับประเด็นและเขียนประโยคกล่าวนําเรียบร้อยแล้ว ต่อมาก็เขียนเป็นตัวโครงเรื่องจริง ๆ คือ ใส่ตัวเลขหรืออักษรย่อกํากับหัวข้อให้ถูกต้อง ซึ่งในขั้นตอนการเขียนโครงเรื่องนี้จะต้องเอาใจใส่กับการใช้ถ้อยคําเป็นพิเศษ

65. ข้อใดไม่ใช่หลักการจัดหมวดหมู่ความคิด
(1) ความคล้ายคลึง
(2) ความแตกต่าง
(3) การถือเกณฑ์เป็นหลัก
(4) การใช้คํากลุ่มเดียวกัน
ตอบ 4
การจัดหมวดหมู่ความคิดต้องอาศัยความคล้ายคลึงและความแตกต่างเป็นหลักในการจัด และต้องมีหลักสําคัญอีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ ถือเอาเกณฑ์ของอะไรเป็นหลักในการจัดแต่ละครั้ง คือ ถ้าสิ่งนั้นมีลักษณะที่คล้ายคลึงหรือเหมือนกันตามเกณฑ์นั้นก็อยู่ในพวกเดียวกันแต่ถ้ามีลักษณะแตกต่างออกไปตามเกณฑ์นั้นก็จัดว่าอยู่คนละพวกหรือคนละประเภท

66. ถ้านักศึกษาจะต้องทํารายงาน 1 ฉบับ นักศึกษาจะใช้หลักการเขียนโครงเรื่องแบบใด
(1) โครงเรื่องแบบประโยค
(2) โครงเรื่องแบบหัวข้อ
(3) โครงเรื่องแบบไม่มีพิธีรีตอง
(4โครงเรื่องแบบย่อหน้า
ตอบ 1
โครงเรื่องแบบประโยค จะเขียนด้วยข้อความที่เป็นประโยคสมบูรณ์และชัดเจน มีเลขหรืออักษรย่อกํากับทุกประโยคที่เป็นประเด็นของเรื่องนั้น จึงเป็นโครงเรื่องที่บอกขอบข่ายและรายละเอียดของแต่ละประเด็นไว้ครบถ้วน ง่ายต่อการนําไปเขียนขยายเป็นย่อหน้าหรือเนื้อความ จึงเหมาะสําหรับผู้เริ่มหัดเขียน และมักใช้กับเรื่องที่มีรายละเอียดมากซึ่งต้องใช้เวลานานในการศึกษาค้นคว้า เช่น การทํารายงานทางวิชาการ การวิจัย ฯลฯ

ข้อ 67. – 70. จงพิจารณาว่าเป็นการขยายความแบบใด

(1) ขยายความตามเวลา
(2) ขยายความตามสถานที่และทิศทาง
(3) ขยายความส่วนรวมไปหาส่วนย่อย
(4) ขยายความหมวดหมู่

67. การพรรณนาลักษณะบุคคลที่สะดุดตาและบุคลิกอื่น ๆ
ตอบ 3
การขยายความจากส่วนรวมไปหาส่วนย่อย คือ พูดถึงส่วนรวมหรือส่วนใหญ่ที่เห็นได้ชัดเจนก่อน แล้วค่อย ๆ กล่าวถึงส่วนย่อย ๆ อันเป็นรายละเอียดของส่วนรวมนั้นตามลําดับ เช่น การพรรณนาลักษณะบุคคลก็พูดถึงบุคลิกที่สะดุดตาก่อน แล้วจึงกล่าวถึงบุคลิกปลีกย่อยอื่น ๆ เป็นต้น

68. การกล่าวเนื้อหาเป็นประเภท ชนิด ตามเรื่องราวที่กล่าวถึง
ตอบ 4
การขยายความตามหมวดหมู่ คือ แยกแยะเนื้อหาออกเป็นพวก ๆ เป็นหมวดเป็นหมู่เป็นประเภท เป็นชนิด เป็นวิธี ฯลฯ ตามลักษณะของเรื่องราวที่กล่าวถึง

69. การกล่าวถึงเรื่องราวหรือเหตุการณ์โดยเรียงตามลําดับที่เกิดขึ้น
ตอบ 1
การขยายความตามเวลา คือ การกล่าวถึงเรื่องราวหรือเหตุการณ์โดยเรียงตามลําดับที่เกิดขึ้น หากเรื่องราวหรือเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นก่อนก็กล่าวก่อน ส่วนเรื่องราวหรือเหตุการณ์ใด ที่เกิดขึ้นภายหลังก็กล่าวที่หลังเรียงกันตามลําดับ

70. การกล่าวสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ไกลตัว
ตอบ 2
การขยายความตามสถานที่และทิศทาง คือ การกล่าวจากเรื่องหรือสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวออกไปหาสิ่งหรือเรื่องที่อยู่ไกลตัว จากข้างในไปข้างนอกหรือจากข้างนอกไปข้างใน จากสิ่งที่อยู่ข้างบนลงมาข้างล่างหรือจากข้างล่างขึ้นมาข้างบน จากซ้ายมือไปขวามือ จากทิศเหนือไปทิศใต้ และจากทิศตะวันออกไปทิศตะวันตก

ข้อ 71 – 74. ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้เติมคําในช่องว่าง
(1) แกะ
(2) แคะ
(3) แงะ
(4) คว้าน

71. นายดําไปซื้อทุเรียนที่พ่อค้าได้……….ไว้สําเร็จรูปแล้ว
ตอบ 3
คําว่า “แงะ” = งัดให้เผยอขึ้น เช่น นายดําไปซื้อทุเรียนที่พ่อค้าได้แงะไว้สําเร็จรูปแล้ว เป็นต้น

72. คุณแม่กําลัง……….เงาะเพื่อนําเงาะไปทําลอยแก้ว
ตอบ 4
คําว่า “คว้าน” = เอาสิ่งที่มีคมแหวะให้กว้าง, แขวะให้เป็นช่องเพื่อเอาส่วนข้างในออก เช่น คุณแม่กําลังคว้านเงาะเพื่อนําเงาะไปทําลอยแก้ว เป็นต้น
73. งานไม้ที่…………สลักเป็นลายเครือเถางดงามมาก
ตอบ 1
คําว่า “แกะ” = ทําเป็นลวดลายหรือรูปต่าง ๆ ด้วยเครื่องมือโดยวิธีแกะ เช่น งานไม้ที่แกะสลักเป็นลายเครือเถางดงามมาก เป็นต้น

74. น้องนิดกําลัง……….ขนมครกออกจากเตาหลุม
ตอบ 2
คําว่า “แคะ” = ใช้เล็บหรือสิ่งมีปลายแหลมเป็นต้น ทําให้สิ่งที่ติดอยู่ข้างในหรือในซอก ในรูหลุดออกมา เช่น น้องนิดกําลังแคะขนมครกออกจากเตาหลุม เป็นต้น

ข้อ 75, – 90, ข้อความต่อไปนี้แบ่งออกเป็นข้อ ๆ จงอ่านให้เป็นเนื้อเรื่องเดียวกัน แล้วพิจารณาว่าแต่ละข้อความเข้าลักษณะใด จากคําตอบข้างล่างนี้ ให้ระบายข้อที่เลือกในกระดาษคําตอบ

คําตอบ
– ถ้าข้อความนั้นเป็นประโยคใจความ ให้เลือกตอบข้อ 1
– ถ้าข้อความนั้นเป็นประโยคสนับสนุนหลัก ให้เลือกตอบข้อ 2
– ถ้าข้อความนั้นเป็นประโยคสนับสนุนรอง ให้เลือกตอบข้อ 3
– ถ้าข้อความนั้นทําให้เสียเนื้อความในย่อหน้า ให้เลือกตอบข้อ 4

(1) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสําคัญแก่ภาษาไทยมาก (2) แม้พระองค์เสด็จ พระราชสมภพที่ต่างประเทศ (3) พระองค์เกือบไม่ได้ทรงเรียนที่เมืองไทยเลย (4) ทรงศึกษาที่ต่างประเทศ ทั้งหมด (5) แต่พอเสด็จกลับมาถึง (6) ทรงนําความรู้และวัฒนธรรมตะวันตกตะวันออกผสมผสานเข้าหากัน (7) เชื่อมโยงกันอย่างเนียนสนิทที่สุด (8) โดยมีฐานเป็นไทยอยู่ตลอดเวลา (9) ลองสังเกตเวลาพระองค์ทรงมี พระราชดํารัสในวันที่ 4 ธันวาคมของทุกปีที่ศาลาดุสิดาลัย (10) พระองค์ตรัสคําภาษาอังกฤษน้อยมาก นอกจากทรงเจตนา (11) จําได้ว่าทรงกําชับให้ระวัง (12) ผู้ที่ชอบพูดภาษาอังกฤษคําหนึ่งไทยคําหนึ่ง (13) เพราะพูดไปเสร็จแล้วพอสื่อออกไปถึงอีกคนหนึ่ง (14) เขาฟังเขาอาจจะแปลอีกอย่างหนึ่งก็ได้ (15) พระองค์ทรงกําชับพวกเราถ้าพูดคําภาษาอังกฤษร่วมด้วยต้องแปลทันที (16) ทรงระมัดระวังเรื่องภาษามาก

(สุเมธ ตันติเวชกุล, “ครูแห่งแผ่นดิน” ใน ตามรอยพระยุคลบาท ครูแห่งแผ่นดิน, กรุงเทพฯ : สํานักพิมพ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, หน้า 15 – 16)

75. ข้อความหมายเลข (1)
(1) ข้อ ก
(2) ข้อ ข
(3) ข้อ ค
(4) ข้อ ง
ตอบ 1
(คําบรรยาย) ประโยคใจความหรือประโยคสําคัญ คือ ข้อความที่เป็นตอนนําซึ่งเป็นส่วนที่มีความหมายครอบคลุมข้อความทั้งหมดในย่อหน้า หรือเป็นส่วนที่มีความหมายเด่นชัดและมีน้ำหนักมากที่สุด โดยจะกล่าวถึงสาระสําคัญของเนื้อความในย่อหน้านั้นทั้งหมด หรือจํากัดขอบข่ายประเด็นที่จะพูดถึงในย่อหน้า ทั้งนี้ย่อหน้าข้างต้นเป็นแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ซึ่งมีประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้น

76. ข้อความหมายเลข (2)
(1) ข้อ ก
(2) ข้อ ข
(3) ข้อ ค
(4) ข้อ ง
ตอบ 4
ประเด็นความคิดที่อยู่นอกขอบข่ายเนื้อหา คือ รายการความคิดที่ไม่เกี่ยวข้องกับประโยคใจความหรือประโยคสําคัญ ประโยคสนับสนุนหลักหรือประเด็นความคิดหลัก และประโยคสนับสนุนรองหรือประเด็นความคิดย่อย เพราะเมื่อปนเข้ามาก็จะทําให้เนื้อความของเรื่องหรือของย่อหน้านั้นเสียไป

77. ข้อความหมายเลข (3)
(1) ข้อ ก.
(2) ข้อ ข
(3) ข้อ ค
(4) ข้อ ง
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 76. ประกอบ

78. ข้อความหมายเลข (4)
(1) ข้อ ก
(2) ข้อ ข
(3) ข้อ ค
(4) ข้อ ง
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 76. ประกอบ

79. ข้อความหมายเลข (5)
(1) ข้อ ก
(2) ข้อ ข.
(3) ข้อ ค
(4) ข้อ ง
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 76. ประกอบ

80. ข้อความหมายเลข (6)
(1) ข้อ ก
(2) ข้อ ข
(3) ข้อ ค
(4) ข้อ ง
ตอบ 2
ประโยคสนับสนุนหลัก คือ ข้อความที่เป็นตอนอภิปราย หรือประเด็นความคิดหลัก ซึ่งจะทําหน้าที่นํารายละเอียดของเนื้อหาไปสนับสนุนหรือขยายประโยคใจความของย่อหน้า ดังนั้นการเขียนประโยคชนิดนี้จึงต้องวิเคราะห์ประโยคใจความ และจํากัดความคิดที่จําเป็นต้องนํามาสนับสนุนใจความในย่อหน้าเสียก่อน

81. ข้อความหมายเลข (7)
(1) ข้อ ก
(2) ข้อ ข
(3) ข้อ ค
(4) ข้อ ง
ตอบ 3
ประโยคสนับสนุนรอง คือ ข้อความที่เป็นตอนอภิปราย หรือความคิดย่อยในประเด็นความคิดหลัก ซึ่งจะให้รายละเอียดหรือขยายความในประเด็นความคิดหลักหรือประโยคสนับสนุนหลัก (ดูคําอธิบายข้อ 80. ประกอบ)

82. ข้อความหมายเลข (8)
(1) ข้อ ก
(2) ข้อ ข
(3) ข้อ ค
(4) ข้อ ง
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 81. ประกอบ

83. ข้อความหมายเลข (9)
(1) ข้อ ก
(2) ข้อ ข
(3) ข้อ ค
(4) ข้อ ง
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 76. ประกอบ

84. ข้อความหมายเลข (10)
(1) ข้อ ก
(2) ข้อ ข
(3) ข้อ ค
(4) ของ
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 80. ประกอบ

85. ข้อความหมายเลข (11)
(1) ข้อ ก
(2) ข้อ ข
(3) ข้อ ค
(4) ข้อ ง
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 81. ประกอบ

86. ข้อความหมายเลข (12)
(1) ข้อ ก
(2) ข้อ ข
(3) ข้อ ค.
(4) ข้อ ง
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 81. ประกอบ

87. ข้อความหมายเลข (13)
(1) ข้อ ก
(2) ข้อ ข
(3) ข้อ ค
(4) ข้อ ง
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 81. ประกอบ

88. ข้อความหมายเลข (14)
(1) ข้อ ก
(2) ข้อ ข
(3) ข้อ ค
(4) ข้อ ง
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 81. ประกอบ

89. ข้อความหมายเลข (15)
(1) ข้อ ก
(2) ข้อ ข
(3) ข้อ ค
(4) ข้อ ง
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 81. ประกอบ

90. ข้อความหมายเลข (16)
(1) ข้อ ก
(2) ข้อ ข
(3) ข้อ ค
(4) ข้อ ง
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 81. ประกอบ

91. ข้อความในข้อใดต่อไปนี้มีจํานวน 8 คํา 10 พยางค์
(1) พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตําลึงทอง
(2) เราเลี้ยงสัตว์ไว้ใช้งานและเป็นอาหาร
(3) โรงงานผลิตผลไม้และอาหารปศุสัตว์
(4) ผู้ประกอบการต้องซื่อสัตย์
ตอบ 2
คํา คือ หน่วยเล็กที่สุดในภาษา ประกอบด้วย พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ซึ่งคําจะไม่จํากัดพยางค์ มีอย่างน้อยตั้งแต่ 1 พยางค์ขึ้นไป เช่น เราเลี้ยงสัตว์ไว้ใช้งานและ เป็นอาหาร (มี 8 คํา 10 พยางค์), พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตําลึงทอง (มี 9 คํา 10 พยางค์), โรงงานผลิตผลไม้และอาหารปศุสัตว์ (มี 6 คํา 13 พยางค์), ผู้ประกอบการต้องซื่อสัตย์ (มี 3 คํา 7 พยางค์) เป็นต้น

92. ข้อใดเป็นวลี
(1) ดอกไม้สีแดงสลับขาวแซมชมพู
(2) ดอกไม้เป็นทรัพยากรที่สําคัญ
(3) สมศรีเก็บดอกไม้ในสวน
(4) การอนุรักษ์ดอกไม้ธรรมชาติ
ตอบ 4
วลีหรือกลุ่มคํา คือ คําตั้งแต่ 2 คําขึ้นไปมาเรียงติดต่อกัน มีความหมายไปในทางเดียวกัน แต่ยังไม่สมบูรณ์เป็นประโยค เพราะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งในภาคประธานหรือ ภาคแสดง แต่ก็สามารถสื่อความหมายได้ และใช้ประกอบคําหรือกลุ่มคําอื่น ๆ จนกลายเป็นประโยค เช่น การอนุรักษ์ดอกไม้ธรรมชาติ เป็นต้น ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นประโยค)

93. ข้อใดเป็นประโยค
(1) แก้วบรรจุน้ำ
(2) ภาชนะจําพวกแก้ว
(3) แก้วใสสะอาดตา
(4) แก้วกลางดง
ตอบ 1
ประโยคที่สมบูรณ์ในภาษาไทยแบ่งออกเป็น 2 ภาค คือ ภาคประธานหรือผู้กระทํา และภาคแสดง (กริยา + กรรม) ซึ่งอาจมีโครงสร้างเป็นประโยค 2 ส่วน ได้แก่ ประธาน + กริยา (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) เช่น นักศึกษาทุกคนกําลังต่อแถวลงทะเบียน เรียน ฯลฯ หรือเป็นประโยค 3 ส่วน ได้แก่ ประธาน + กริยา + กรรม (อาจมีคําขยายหรือ ไม่มีก็ได้) เช่น แก้วบรรจุน้ำ (ประธาน + กริยา + กรรม), เราควรเลือกซื้อเครื่องตัดหญ้าขนาดพอเหมาะ (ประธาน + กริยา + กรรม + ส่วนขยายกรรม) ฯลฯ

94. ข้อใดต่อไปนี้ประกอบด้วย ประธาน กริยา กรรม ขยายกรรม
(1) เราควรเลือกซื้อเครื่องตัดหญ้าขนาดพอเหมาะ
(2) นักกีฬาทุกคนแจ้งรายละเอียดต่อคณะกรรมการ
(3) นายสมชายเรียกประชุมสมาชิกอย่างเร่งด่วน
(4) ครอบครัวนี้อบอวลด้วยมิตรภาพ
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 93. ประกอบ

95. ข้อใดเป็นประโยค 2 ส่วน
(1) การผลิตไฟฟ้าต้องใช้พลังน้ำ
(2) หมู่บ้านนี้เต็มไปด้วยความสามัคคี
(3) นักศึกษาทุกคนกําลังต่อแถวลงทะเบียนเรียน
(4) ชายหนุ่มร่างผอมหลังโก่งใบหน้าเหี่ยวย่น
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 93. ประกอบ

96. ข้อใดมีความหมายโดยตรง
(1) เขาพูดจาภาษาดอกไม้
(2) ขอมอบดอกไม้ให้ด้วยใจเสน่หา
(3) ดอกไม้จากสรวงสวรรค์วรรณาวี
(4) เธอเป็นดอกไม้ประดับใจฉัน
ตอบ 2
ความหมายโดยตรง (Denotation) หมายถึง ความหมายเดิม ความหมายประจํา หรือความหมายกลาง ซึ่งเป็นความหมายตามปกติของคําที่เข้าใจได้ทันที โดยไม่ต้องทําการเปรียบเทียบ หรือดูข้อความแวดล้อมประกอบ ดังนั้นจึงเป็นความหมายตาม พจนานุกรมที่ทุกคนเข้าใจได้ตรงกัน เช่น คําว่า “ดอกไม้” = ส่วนหนึ่งของพรรณไม้ที่ผลิออกจากต้นหรือกิ่ง มีหน้าที่ทําให้เกิดผลและเมล็ดเพื่อสืบพันธุ์ มีเกสรและเรณูเป็นเครื่องสืบพันธุ์ เป็นต้น ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นความหมายโดยนัย)

97. คําในข้อใดไม่มีความหมายเชิงอุปมา
(1) ม้ามืด ม้าใช้ แกะดํา ขี้กบ
(2) แมวมอง กาฝาก นางพญา หน้าม้า
(3) ลูกหม้อ เทกระจาด ตกกระป๋อง แฉโพย
(4) มือมืด นกต่อ กระดูกแข็ง กระดูกขัดมัน
ตอบ 1 หน้า 258 ความหมายโดยนัย หมายถึง ความหมายที่เปลี่ยนไปจากความหมายเดิม โดยใช้นัยแห่งความเดิมมาเปลี่ยนความหมาย บางทีก็เรียกว่า “ความหมายเชิงอุปมา” คือ การนําคําที่ ใช้สําหรับสิ่งหนึ่งตามปกติ ไปใช้กับอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นว่ามีลักษณะคล้ายกันหรือเข้ากันได้ เช่น ม้ามืด ม้าใช้ แกะดํา, แมวมอง กาฝาก นางพญา หน้าม้า, ลูกหม้อ เทกระจาด ตกกระป๋อง แฉโพย, มือมืด นกต่อ กระดูกแข็ง (ไม่ตายง่าย ๆ) กระดูกขัดมัน (ตระหนี่มาก) เป็นต้น
(ส่วนคําว่า “ขี้กบ” = เศษไม้ที่ออกมาด้วยการไสกบ เป็นความหมายโดยตรง)

98. ข้อใดใช้ภาษาต่างระดับจากข้ออื่น
(1) ปัญหาของวัยรุ่นเป็นปัญหาใหญ่ที่รัฐบาลกําลังแก้ไขอยู่ในขณะนี้
(2) สารกันบูดเป็นสารเคมีประเภทหนึ่งที่นิยมนํามาใช้ในการถนอมอาหาร
(3) ธนาคารพาณิชย์ปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากลงมาอย่างต่อเนื่องและยังไม่มีทีท่าว่าจะสะดุดหยุดลง
(4) โครงการผู้นําเยาวชนเป็นโครงการนําร่องที่ดี สร้างระเบียบวินัยให้กลุ่มวัยรุ่นที่บาดหมางกันให้กลับมาปรองดองกัน
ตอบ 3
ประโยคดังกล่าวใช้ภาษาต่างระดับจากข้ออื่น ซึ่งข้ออื่นจะใช้ภาษาระดับแบบแผน คือ คําที่ใช้ในระดับทางการ ซึ่งเป็นคําที่เลือกสรรใช้ด้วยความประณีต มีความถูกต้องทั้งในด้านหลักภาษา ความชัดเจน และมารยาทในการใช้โดยสมบูรณ์ แต่ว่าประโยคในตัวเลือกข้อ 3 มีการใช้ระดับภาษาปากหรือภาษาพูดปะปน ได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากลงมาอย่างต่อเนื่องและยังไม่มีทีท่าว่าจะสะดุดหยุดลง

99. ข้อใดมีความหมายมากกว่าหนึ่งความหมายทุกคํา
(1) เจ้าบ้าน ลายคราม
(2) สับหลีก ตามน้ำ
(3) ขึ้นหม้อ ทอดเสียง
(4) หน้าบัน หน้าไม้
ตอบ 2
คําที่มีความหมายมากกว่าหนึ่งความหมายทุกคํา ได้แก่
1. สับหลีก = เปลี่ยนทางหลีกของรถไฟ, โดยปริยายหมายความว่าเปลี่ยนหรือกําหนดนัดไม่ให้ผู้มาหาตนพบกับอีกคนหนึ่ง (มักใช้ในทางชู้สาว)
2. ตามน้ำ = ไม่ทวนกระแสน้ำ, โดยปริยายหมายความว่าไม่ฝ่าฝืน ปล่อยให้เป็นไปตามนั้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคําที่มีเพียงความหมายเดียว ได้แก่ คําว่า “เจ้าบ้าน” = บุคคลผู้เป็นหัวหน้าซึ่งครอบครองบ้านในฐานะเป็นเจ้าของ ผู้เช่า หรือในฐานะอื่น เช่น ผู้ดูแลบ้าน, “ทอดเสียง” = เอื้อนเสียงให้ยาวกว่าปรกติ, “หน้าบัน” = นิ้ว ใช้กับปราสาท โบสถ์ วิหาร)

100. คําที่ขีดเส้นใต้ในประโยคต่อไปนี้มีความหมายตรงกับข้อใด “นายพูดจี้เส้นดีจัง”
(1) ทําให้จักจี้
(2) ทําให้หวาดเสียว
(3) ทําให้ตื่นเต้น
(4) ทําให้ขบขัน
ตอบ 4
คําว่า “จี้เส้น” = พูดหรือแสดงท่าทางให้เกิดอารมณ์ขัน หรือทําให้ขบขัน

101. ข้อใดต่อไปนี้เป็นประโยคกรรม
(1) รถแล่นบนถนนอย่างรวดเร็ว
(2) จักรยานของฉันถูกขโมยไปแล้ว
(3) สมชายกําลังคิดถึงสมศรี
(4) สมศรีซื้อสินค้าราคาถูก
ตอบ 2
ประโยคกรรม คือ กรรมทําหน้าที่เป็นประธานในประโยค และมีกริยาวลี “ถูก” ตามหลังประธาน เช่น ฉันถูกครูตําหนิอีกแล้ว, จักรยานของฉันถูกขโมยไปแล้ว ฯลฯ หรือกรรมมีตําแหน่งอยู่หน้าประธานและกริยา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อต้องการเน้นกรรมมากกว่า เช่น เสื้อยืดตัวนี้ฉันซื้อไว้เอง ฯลฯ

102. ข้อใดเป็นประโยคกริยา
(1) เกิดพายุหมุนที่ใต้ต้นไม้ใกล้บ้านฉัน
(2เกิดเป็นคนจนต้องเจียมตัว
(3) เขาเกิดมาเป็นเด็กฉลาดที่สุดในครอบครัว
(4) เกิดเป็นพ่อของกําเนิดและเป็นลุงของกําแหง
ตอบ 1
ประโยคกริยา คือ ประโยคประธานที่มีคํากริยานําหน้า โดยคํากริยาที่นําหน้านั้นมักจะขึ้นต้นด้วยคําว่า “มี”, “เกิด”, “ปรากฏ” ฯลฯ เช่น มีข่าวแจ้งว่าอากาศจะเย็นมากกว่านี้ เกิดพายุหมุนที่ใต้ต้นไม้ใกล้บ้านฉัน, ปรากฏว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลเป็นไปตามที่เราคาดหมาย คือ ฝ่ายค้านเป็นฝ่ายแพ้ เป็นต้น

103. ข้อใดเป็นประโยคการิต
(1) คุณพ่อบอกให้คุณแม่รีบกลับบ้านทันที
(2) จะถูกหรือผิดก็รู้อยู่แก่ใจของแต่ละบุคคล
(3) ฉันถูกลิดรอนสิทธิส่วนบุคคล
(4) คุณแม่ซื้อของมาในราคาถูก
ตอบ 1
ประโยคการิต คือ ประโยคประธานหรือประโยคกรรมซึ่งมีผู้รับใช้แทรกเข้ามา เรียกว่า การิตการก (เป็นทั้งผู้ถูกกระทําและผู้กระทํา) กล่าวคือ ในประโยคจะมีบุคคล 2 คน คนหนึ่งจะเป็นผู้สั่งหรือผู้ชี้แนะ (ผู้กระทํา) ในขณะที่อีกคนหนึ่งจะเป็นผู้รับใช้(ผู้ถูกกระทํา) เช่น คุณพ่อบอกให้คุณแม่รีบกลับบ้านทันที ฯลฯ

104. ข้อใดเป็นประโยคประธาน
(1) ขนมนี้กินอร่อยมาก
(2) พ่อรักลูกลูกก็รู้อยู่ว่ารัก
(3) เกิดอุบัติเหตุนอกเส้นทาง
(4) เขาถูกนายจ้างรังแกตั้งแต่เด็ก
ตอบ 2
ประโยคประธาน คือ ประโยคที่ประธานมักเป็นคํานามหรือสรรพนาม โดยประธานจะทําหน้าที่เป็นผู้กระทํา และวางอยู่หน้าประโยค เช่น พ่อรักลูกลูกก็รู้อยู่ว่ารัก, คุณแม่ซื้อของมา กางเกงในราคาถูก, สมชายกําลังคิดถึงสมศรี ฯลฯ

105. ข้อใดไม่ใช่ประโยคความรวม
(1) ฉันอยากให้ ส.ค.ส. แด่ครูแต่ฉันไม่มีเงิน
(2) ครั้นรถออกจากสถานีเขาจึงเดินทาง
(3) เขาสอบผ่านเพราะเขาขยัน
(4) นักศึกษาสาวคนสวยไปห้องสมุดทุกวัน
ตอบ 4
ประโยคความรวม (อเนกรรถประโยค) คือ ประโยคที่มีใจความสําคัญหลายใจความ เพราะเป็นประโยคที่รวมเอาประโยคความเดียวเข้าด้วยกัน แล้วเชื่อมด้วยคําสันธาน ซึ่งประกอบด้วยคําต่อไปนี้
1. เนื้อความคล้อยตามกัน ได้แก่ แล้ว, และ, กับ, ถ้าก็, เมื่อก, พอก, ครั้นจึง ฯลฯ
2. เนื้อความขัดแย้งกัน ได้แก่ แต่, แต่ทว่า, ถึงก็, กว่าก็ ฯลฯ
3. เนื้อความเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ หรือ, หรือไม่, หรือไม่เช่นนั้น,มิฉะนั้น ฯลฯ เราไม่ได้มาจากกา
4. เนื้อความเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน ได้แก่ เพราะ, จึง, ดังนั้น เพราะฉะนั้น เพราะฉะนั้นจึง รายงานการ เพราะ…จึง ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้อ 4 เป็นประโยคความเดียว)

106. ข้อใดเป็นประโยคความซ้อน
(1) ความเมตตาของพระมหากษัตริย์ไทยและพระบรมวงศานุวงศ์ต่อพสกนิกร
(2) นักกีฬาทุกคนมีความพยายามอย่างยิ่งยวดในการต่อสู้ในครั้งนี้
(3) เขาเป็นนักศึกษาที่เก่งทั้งด้านกีฬาและการเรียน
(4) นักบริหารที่ขาดความมั่นใจในตัวเองย่อมประสบความสําเร็จได้ยาก
ตอบ 4
ประโยคความซ้อน หรือประโยคปรุงแต่ง (สังกรประโยค) หมายถึง ประโยคความเดียวที่มีประโยคย่อยเข้ามาแทรกอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อแยกประโยคความซ้อนออกจากกันสองประโยคจะมีน้ำหนักไม่เท่ากัน กล่าวคือ ประโยคความเดียวที่เป็นประโยคหลัก (มุขยประโยค) จะมีใจความสําคัญเพียงประโยคเดียว และมีประโยคย่อย (อนุประโยค) มาช่วยขยายความ เช่น นักบริหารที่ขาดความมั่นใจในตัวเองย่อมประสบความสําเร็จได้ยาก, สุนัขที่เห่ามาก ๆ มักไม่กัดคน, อาหารที่มีสีสวย ๆ อาจเป็นอันตรายได้, ฉันชอบบ้านที่ตั้งอยู่บนเนินเขา เป็นต้น (คําที่ขีดเส้นใต้เป็นประโยคย่อยทําหน้าที่ขยายนาม โดยมีคําว่า “ที่” เป็นคําเชื่อมแทนคํานามที่อยู่ข้างหน้า)

107. ข้อใดไม่ใช่ประโยคความซ้อน
(1) สุนัขที่เห่ามาก ๆ มักไม่กัดคน
(2) อาหารที่มีสีสวย ๆ อาจเป็นอันตรายได้
(3) ฉันชอบบ้านที่ตั้งอยู่บนเนินเขา
(4) ฉันนัดพบเพื่อนที่ตลาดสี่มุมเมือง
ตอบ 4
ประโยคความเดียว (เอกรรถประโยค) คือ ประโยคเล็ก ๆ หรือประโยคสามัญที่มีความหมายอย่างเดียว หรือมีความหมายเฉพาะอย่างหนึ่ง มักมีโครงสร้างประกอบด้วย ประธาน + กริยา (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) หรือประกอบด้วย ประธาน + กริยา + กรรม (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) เช่น ฉันนัดพบเพื่อนที่ตลาดสี่มุมเมือง เป็นต้น (คําว่า “ที่” ในประโยคข้างต้นเป็นคําบุรพบทบอกสถานที่ ไม่ใช่ประโยคย่อยที่ช่วยขยายนาม จึงเป็นประโยคความเดียว ไม่ใช่ประโยคความซ้อน) (ดูคําอธิบายข้อ 106. ประกอบ)

108. ข้อใดใช้คํามีความหมายชัดเจน
(1) สมชายไม่กินข้าวเย็น
(2) ปลามันมากจริง ๆ
(3) สมรักษ์ตัวสูงเกินไป
(4) รำถูกอย่างนี้ไม่มีปัญหา
ตอบ 3
ประโยคในตัวเลือกข้อ 3 ใช้คําที่มีความหมายชัดเจน ทําให้สื่อความหมายไม่กํากวม (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นควรใช้คําให้ชัดเจนและกระจ่าง เพื่อไม่ให้ตีความหมายได้ หลายทางจนอาจก่อให้เกิดความเข้าใจที่ไขว้เขว โดยใช้ว่า สมชายไม่กินข้าวมื้อเย็น,ปลามันมีจํานวนมากจริง ๆ, ท่ารําถูกอย่างนี้ไม่มีปัญหา)

109. ข้อใดใช้คําไม่ถูกต้องตามความหมาย
(1) หล่อนน้ำตาคลอเบ้า เมื่อฟังเรื่องเศร้าสะเทือนใจ
(2) คุณยายโกนผมไฟหลานเมื่ออายุครบเดือน
(3) ที่บ้านคุณยายตอนเย็น ๆ จะได้ยินเสียงจิ้งหรีดเซ็งแซ่
(4) ท่านสามารถบริจาคเงินเท่าไหร่ก็ได้ ทางวัดไม่ได้กะเกณฑ์
ตอบ 4
ประโยคดังกล่าวใช้คําไม่ถูกต้องตามความหมาย หรือใช้คําผิดความหมายเพราะว่าคําบางคํามีความหมายคล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกัน แต่ละคํามีความหมายโดยตรงที่ใช้ เฉพาะความหมายคํานั้น จึงควรใช้คําให้ถูกต้องตรงความหมาย โดยใช้ว่า ท่านสามารถบริจาคเงินเท่าไหร่ก็ได้ ทางวัดไม่ได้กําหนด (คําว่า “กําหนด” = หมายไว้ ตราไว้ ส่วนคําว่า “กะเกณฑ์” = บังคับ กําหนดเป็นเชิงบังคับ มักใช้กับการปฏิบัติงาน การร่วมมือกันทํางาน ไม่ใช่กับ การบริจาคเงิน)

ข้อ 110. – 112. คําใดเหมาะสมเติมในช่องว่างจากประโยคต่อไปนี้
110. “นายช่าง………..ให้คนงานทํางานให้เสร็จและส่งมอบงานในวันนี้”
(1) เร่งรัด
(2) เร่งรีบ
(3) เร่งเร้า
(4) เร่งมือ
ตอบ 1
คําว่า “เร่งรัด” = เร่งอย่างกวดขัน เช่น เร่งรัดลูกหนี้ให้ใช้เงินคืน, เร่งรัดให้ทํางานให้เสร็จวันนี้ ฯลฯ (ส่วนคําว่า “เร่งรีบ” = รีบด่วน, “เร่งเร้า” = รบเร้าให้รีบทํา รบเร้าให้ทําโดยเร็ว วิงวอนอย่าง เร่งร้อน, “เร่งมือ” = เร่งทําให้เร็วขึ้น)

111. เกิดอุบัติเหตุขึ้นทําให้รถบรรทุก………การจราจรและทําให้การเดินรถ………
(1) กีดขวาง ขัดข้อง
(2) ขัดขวาง ติดขัด
(3) กีดขวาง ติดขัด
(4) ขัดขวาง ขัดข้อง
ตอบ 3
คําว่า “กีดขวาง” = ขวางกั้นไว้ ขวางเกะกะ และคําว่า “ติดขัด” = ขัดข้อง (ส่วนคําว่า “ขัดข้อง” = ไม่ยอมให้ทํา ไม่ตกลงด้วย ติดขัด, “ขัดขวาง” = ทําให้ไม่สะดวก ทําให้ติดขัด)

112. สมศรี ……….. ชุดทํางานเก่าออกแล้วเอาชุดใหม่มาสวมเพื่อไปทํางานใน……… ที่สองของวันเสาร์
(1) ผัด ผลัด
(2) ผลัด ผัด
(3) ผัด ผัด
(4) ผลัด ผลัด
ตอบ 4
คําว่า “ผลัด” = เปลี่ยนแทนที่กัน เช่น ผลัดเสื้อผ้า ผลัดเวร ผลัดใบ ผลัดขน, ลักษณนามเรียกการผลัดเปลี่ยนเวรยาม เช่น เปลี่ยนเวรวันละ 2 ผลัด (ส่วนคําว่า “ผัด” = ย้ายไปย้ายมา ขอเลื่อนเวลาไป เช่น ผัดวันประกันพรุ่ง (ขอเลื่อนเวลาออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า),ผัดผ่อน (ผัดพอให้ทุเลาหรือหย่อนคลายลง), ผัดเพี้ยน (ขอเลื่อนเวลาให้ผิดไป) เป็นต้น)

ข้อ 113. – 116. ประโยคใดมีข้อบกพร่องตรงกับตัวเลือกต่อไปนี้
(1) เรียงคําไม่เป็นสํานวนไทย
(2) เรียงคําขยายไม่ถูกตําแหน่ง
(3) เรียงคําไม่กระชับ
(4) เรียงคําไม่ครบโครงสร้างประโยค

113. สมชายนํากระเช้ามาแสดงความยินดีในการกลับมาจากต่างประเทศของเขา
ตอบ 1
ประโยคดังกล่าวเรียงคําไม่เป็นสํานวนไทย หรือใช้ประโยคที่เลียนแบบสํานวนต่างประเทศ (สํานวนพันทาง) จึงควรเรียงคําให้เป็นสํานวนไทย โดยใช้ว่า สมชายถือกระเช้ามายินดีที่เขากลับมาจากต่างประเทศ

114. มีผู้ใจบุญให้ทุนช่วยเหลือนักศึกษามหาวิทยาลัยต่าง ๆ ที่ยากจน
ตอบ 3
ประโยคดังกล่าวเรียงคําไม่กระชับ ใช้คําอย่างไม่ประหยัดหรือใช้คํา ฟุ่มเฟือย เพราะว่าคําบางคํามีความหมายสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว จึงไม่จําเป็นต้องใช้คําขยายมา เพิ่มเติมอีก เนื่องจากจะทําให้ประโยคมีความยืดยาด ดังนั้นจึงควรใช้คําอย่างประหยัดเพื่อให้ กระชับ โดยใช้ว่า มีผู้ใจบุญให้ทุนช่วยเหลือนักศึกษาที่ยากจน (ตัด “มหาวิทยาลัยต่าง ๆ” ออกไป เพราะนักศึกษาก็คือ ผู้ที่ศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาหรือมหาวิทยาลัย)

115. วันนี้อาจารย์สุภาวดีบรรยายให้ฟังวิชาภาษาไทย
ตอบ 2
ประโยคดังกล่าวเรียงคําขยายไม่ถูกตําแหน่ง เพราะตําแหน่งของคําขยายย่อมอยู่ใกล้กับคําที่ต้องการขยายความ จึงควรเรียงลําดับคําขยายให้ถูกตําแหน่ง โดยใช้ว่า วันนี้อาจารย์สุภาวดีบรรยายวิชาภาษาไทยให้ฟัง

116. การกินบะหมี่สําเร็จรูปนั้นง่ายมาก หลังจากเทบะหมี่ใส่ชามแล้วก็กดน้ำร้อนเทใส่
ตอบ 4
ประโยคดังกล่าวเรียงคําไม่ครบโครงสร้างประโยค ทําให้เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ เพราะมีแต่ภาคแสดงเพียงอย่างเดียว ไม่มีภาคประธานหรือ ผู้กระทํา จึงควรเรียงคําให้ครบโครงสร้างประโยค โดยใช้ว่า การกินบะหมี่สําเร็จรูปนั้นง่ายมากหลังจากเราเทบะหมี่ใส่ชามแล้วก็กดน้ำร้อนเทใส่

117. ข้อใดเป็นคําไวพจน์ของคําว่า สวรรค์
(1) ไตรทิพย์ อมร
(2) สุขาวดี ไตรทศาลัย
(3) สุราลัย สุรารักษ์
(4) สรวง สุร
ตอบ 2
การหลากคํา หรือเรียกว่า “คําไวพจน์” คือ คําที่เขียนต่างกันแต่มีความหมายเหมือนกัน หรือใกล้เคียงกันมาก ซึ่งจัดเป็นคําพ้องความหมาย เช่น คําว่า “ไตรทิพย์/สุขาวดี/ไตรทศาลัย/สุราลัย/สรวง” = สวรรค์ เป็นต้น ส่วนคําว่า “อมร/สุรารักษ์/ สุร” = เทวดา)

118. ข้อใดเป็นคํายืมมาจากภาษาจีนทุกคํา
(1) สุกียากี้ เต้าฮวย
(2) ลิ้นจี่ บะหมี่
(3) ก๋วยเตี๋ยว ปิ่นโต
(4) ซาลาเปา ส่วย
ตอบ 2
พจนานุกรมจะบอกที่มาหรือประวัติของคํา ทําให้ทราบว่าคํายืมนั้นมาจากชนชาติใด โดยจะใช้อักษรย่ออยู่ในวงเล็บ วางไว้หลังข้อความที่บอกความหมาย เช่น คํายืมที่มาจากภาษาจีน (จ.) ได้แก่ เต้าฮวย ลิ้นจี่ บะหมี่ ก๋วยเตี๋ยว ซาลาเปา

119. ข้อใดสะกดถูกทุกคํา
(1) ไสยาสน์ อสงไข
(2) ไถง สไบ
(3) อํามฤต ไมโครเวฟ
(4) ไหหลํา ไอศวรรค์
ตอบ 2 คําที่สะกดผิด ได้แก่ อสงไข ไมโคเวฟ ไอศวรรค์ ซึ่งที่ถูกต้องคือ อสงไขย ไมโครเวฟ ไอศวรรย์

120. คําว่า “กําสรด” ข้อใดอ่านถูกต้อง
(1) กํา-สุด
(2) กํา-สะ-หรด
(3) กํา-สะ-รด
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2
ตอบ 1
คําว่า “กําสรด” อ่านถูกต้องว่า กํา-สด = สลด, แห้ง, เศร้า เช่น จักคอยเห็นข้าโหยหาแต่องคเอกา จะแสนกําสรดลําเค็ญ (สุธนู)

THA1003 การเตรียมเพื่อการพูดและการเขียน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา THA 1003 การเตรียมเพื่อการพูดและการเขียน
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. ข้อใดอธิบายลักษณะของการเลือกหัวข้อเรื่องได้ถูก
(1) การเลือกหัวข้อเรื่องให้โก้เก๋
(2) การเลือกหัวข้อเรื่อง คือ การตั้งชื่อเรื่อง
(3) การเลือกหัวข้อต้องคํานึงถึงสาระสําคัญ
(4) การเลือกหัวข้อเรื่อง คือ การตั้งประเด็นความคิด
ตอบ 3
การเลือกหัวข้อเรื่อง หมายถึง การพิจารณาเนื้อหาสาระของเรื่องว่ามีความเหมาะสมที่จะนํามากล่าวหรือไม่ ดังนั้นการเลือกหัวข้อเรื่องจึงไม่ได้หมายถึง การเลือกชื่อเรื่องหรือการตั้งชื่อเรื่องให้โก้เก๋ แต่ต้องคํานึงถึงเนื้อหาหรือสาระสําคัญของเรื่องเป็นหลัก

2. การเลือกหัวข้อเรื่องควรมีเนื้อหาตรงกับสิ่งใดมากที่สุด
(1) รสนิยม
(2) วัตถุประสงค์
(3) ความรู้สึก
(4) ประสบการณ์
ตอบ 1
หลักการเลือกหัวข้อเรื่องประการหนึ่ง คือ หัวข้อเรื่องนั้นเหมาะกับผู้ฟังผู้อ่านหรือไม่ซึ่งหัวข้อเรื่องที่เลือกควรมีเนื้อหาตรงกับความสนใจ รสนิยม อารมณ์ และระดับสติปัญญาของผู้รับสารนั้น ๆ เพราะการเลือกหัวข้อเรื่องที่มีเนื้อหาซึ่งผู้ฟังและผู้อ่านไม่เข้าใจ ย่อมไม่ต่างกับการยัดเยียดสิ่งที่เขาไม่ต้องการให้แก่เขา ผลการสื่อสารย่อมจะได้ประโยชน์น้อยกว่าที่คาดคิดเอาไว้

3. ข้อใดไม่ใช่แหล่งที่มาของหัวข้อเรื่อง
(1) การสังเกต
(2) การคิด
(3) การคาดคะเน
(4) การฟัง
ตอบ 3
แหล่งที่มาของหัวข้อเรื่องอาจได้มาจากหลายทาง เช่น จากการอ่าน การฟัง การสังเกต การคิดนึกตรึกเอา หรือได้มาจากประสบการณ์ตรง ฯลฯ แต่หัวข้อเรื่อง ส่วนใหญ่มักได้มาจากการอ่านหนังสือต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นแหล่งที่มาของหัวข้อเรื่องที่สําคัญที่สุด เพราะการอ่านเป็นการสั่งสมความรู้ที่ดีที่สุด และยังเป็นการพัฒนาตนเองในด้านความรู้ได้เร็วและรวบรัดที่สุดอีกด้วย

4. เมื่อเราจํากัดขอบข่ายของเนื้อหาแล้ว กระบวนการใดในข้อต่อไปนี้คือสิ่งที่จะต้องทําต่อไป
(1) การเขียนประโยคกล่าวนํา
(2) การเขียนย่อหน้า
(3) การเขียนรายการความคิด
(4) การตั้งจุดมุ่งหมายหัวข้อเรื่อง
ตอบ 4
ขั้นตอนในการเตรียมเนื้อหา ประกอบด้วย 1. การเลือกหัวข้อเรื่อง
2. แหล่งที่มาของหัวข้อเรื่อง 3. การจํากัดขอบข่ายเนื้อหาของหัวข้อเรื่อง
4. การตั้งจุดมุ่งหมายของหัวข้อเรื่อง 5. การเขียนประโยคกล่าวนํา

5. ประโยคที่เจาะจงขมวดเนื้อหาทั้งหมด เราเรียกประโยคนี้ว่าอะไร
(1) ประโยคกล่าวนํา
(2) ประโยคสนับสนุน
(3) ประโยคใจความ
(4) ประโยคสรุปความ
ตอบ 1
ประโยคกล่าวนํา คือ ประโยคที่เจาะจงขมวดเนื้อหาของหัวข้อเรื่องนั้นเอาไว้ทั้งหมดโดยรวม ๆ ซึ่งมีประโยชน์ ดังนี้ 1. เพื่อเจาะจงขมวดเนื้อหาทั้งหมดในภาพรวม มา 2. เพื่อช่วยเลือกสรรเนื้อหาที่จะมาเขียนได้ถูกต้อง 3. เพื่อช่วยเตือนความคิดของผู้เขียนให้มั่นคง 4. เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เขียนเนื้อหาออกนอกเรื่อง

6. ข้อใดอธิบายความหมายของโครงเรื่องผิด
(1) โครงเรื่อง คือ การจัดระเบียบความคิด
(2) โครงเรื่อง คือ การเขียนรายการความคิด
(3) โครงเรื่อง คือ การจํากัดขอบข่ายความคิด
(4) โครงเรื่อง คือ การถ่ายทอดความคิด
ตอบ 4
โครงเรื่อง คือ การเขียนรายการความคิดหรือใจความสําคัญของเรื่องให้เป็นขั้นตอนว่าควรจะกล่าวถึงเนื้อหาอะไร หรือประเด็นใดก่อนหลังตามลําดับ โดยยึดจุดมุ่งหมายและขอบข่ายของเรื่องเป็นสําคัญ ดังนั้นการเขียนโครงเรื่องจึงเป็นการจํากัด ขอบข่ายความคิด และจัดระเบียบความคิดลงไปให้เด่นชัด เพื่อวางแนวทางหรือกรอบเนื้อหาของเรื่องที่เขียนให้ดําเนินไปตามลําดับขั้นตอน ไม่สับสนวกวน

ข้อ 7. – 10. จงใช้คําตอบต่อไปนี้จับคู่กับลักษณะการเขียนโครงเรื่อง
(1) โครงเรื่องแบบไม่มีพิธีรีตอง
(2) โครงเรื่องแบบย่อหน้า
(3) โครงเรื่องแบบประโยค
(4) โครงเรื่องแบบหัวข้อ

7. เขียนด้วยคําหรือวลีสั้น ๆ
ตอบ 4
โครงเรื่องแบบหัวข้อ จะเขียนด้วยคําหรือวลีสั้น ๆ หรืออาจเป็นอนุประโยคที่ไม่ได้ความครบถ้วนในตัวเอง โดยมีตัวเลขหรืออักษรย่อกํากับทุกประเด็น จึงเป็นโครงเรื่องที่ไม่ได้บอกแนวทางไว้ชัดเจน และผู้เขียนต้องรีบเขียนด้วยเวลาอันจํากัด เพราะถ้าทิ้งไว้นาน ๆ อาจลืมได้ว่าหัวข้อนั้นจะขยายความอย่างไร ทั้งนี้โครงเรื่องแบบหัวข้อควรใช้ถ้อยคําให้ขนานเป็นแนวเดียวกันโดยตลอด คือ ถ้าหัวข้อแรกขึ้นต้นด้วยคํานามหรือคํากริยา หัวข้อต่อไปก็ควรขึ้นต้นด้วยคํานามหรือคํากริยาด้วย

8. เขียนด้วยข้อความที่สมบูรณ์
ตอบ 3
โครงเรื่องแบบประโยค จะเขียนด้วยข้อความที่เป็นประโยคสมบูรณ์และชัดเจน มีเลขหรืออักษรย่อกํากับทุกประโยคที่เป็นประเด็นของเรื่องนั้น จึงเป็นโครงเรื่องที่ บอกขอบข่ายและรายละเอียดของแต่ละประเด็นไว้ครบถ้วน ง่ายต่อการนําไปเขียนขยายเป็นย่อหน้าหรือเนื้อความ จึงเหมาะสําหรับผู้เริ่มหัดเขียน และมักใช้กับเรื่องที่มีรายละเอียดมากซึ่งต้องใช้เวลานานในการศึกษาค้นคว้า เช่น การทํารายงานทางวิชาการ การวิจัย ฯลฯ

9. เขียนอย่างคร่าว ๆ ด้วยคําหรือวลีแบบหยาบ ๆ
ตอบ 1
โครงเรื่องแบบไม่มีพิธีรีตอง จะเขียนอย่างคร่าว ๆ ด้วยคําหรือวลีแบบหยาบ ๆ เพื่อวางแนวเรื่องที่สั้น ๆ หรือเรื่องที่ต้องพูดหรือเขียนอย่างทันควันในเวลาอันจํากัด โดยไม่ต้องคํานึงถึงระเบียบแบบแผนใด ๆ เพียงแต่ต้องการให้เรื่องที่จะกล่าวเรียงลําดับกัน ไม่สับสนเท่านั้น เช่น การเตรียมตอบคําถามหรือทําข้อสอบแบบอัตนัย หรือการถูกเชิญให้กล่าว ในเวลาอันกะทันหัน ฯลฯ

10. เขียนด้วยกลุ่มประโยคหลายประโยค
ตอบ 2
โครงเรื่องแบบย่อหน้า ประกอบด้วยกลุ่มประโยคหลายกลุ่มประโยครวมกันในรูปของย่อหน้า โดยไม่ต้องแยกเป็นหัวข้อลงในบรรทัดใหม่ แต่จะกล่าวถึงทุกประเด็น ปนกันไปในย่อหน้าเดียวกัน เนื่องจากโครงเรื่องแบบนี้ไม่แยกประเด็นความคิดของเนื้อหา ออกอย่างชัดเจน จึงไม่เป็นที่นิยมกันโดยทั่วไป

11. คําตอบในข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับการเขียนย่อหน้า
(1) เอกภาพ
(2) สัมพันธภาพ
(3) สารัตถภาพ
(4) มโนภาพ
ตอบ 4
หลักสําคัญเบื้องต้นในการเขียนย่อหน้า มีดังนี้
1. ในย่อหน้าหนึ่ง ๆ ควรมีสารัตถภาพ คือ การแสดงความคิดหรือเน้นความคิดที่เป็นสาระสําคัญเพียงอย่างเดียว 2. ย่อหน้าควรมีเอกภาพ คือ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยย่อหน้าจะต้องกล่าวถึงเรื่องราวอย่างเดียวกัน มีจุดมุ่งหมายสําคัญเพียงอย่างเดียว และมีความสมบูรณ์ในตัวเอง 3. ย่อหน้าควรมีสัมพันธภาพ คือความสัมพันธ์และความต่อเนื่องกัน 4. ย่อหน้าควรจะขยายความอย่างเพียงพอและหมดจด

12. คําตอบในข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ส่วนประกอบของย่อหน้า
(1) ประโยคกล่าวนํา
(2) ประโยคใจความ
(3) ประโยคสนับสนุน
(4) ประโยคสรุป
ตอบ 1
ส่วนประกอบของย่อหน้ามีอยู่ทั้งหมด 4 ส่วน ดังนี้
1. ประโยคใจความหรือประโยคสําคัญ 2. ประโยคสนับสนุน 3. ประโยคสรุป 4. ประโยคส่งความหรือประโยคเชื่อมความ

ข้อ 13. – 15. จงหาใจความสําคัญว่าอยู่ส่วนใดของย่อหน้า
(1) ประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้น
(2) ประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนท้าย
(3) ประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้นและท้าย
(4) ประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนกลาง

13. ความสมบูรณ์ของชีวิตมาจากความเข้าใจชีวิตเป็นพื้นฐาน คือ เข้าใจธรรมชาติ เข้าในความเป็นมนุษย์ และเข้าใจความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกันระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ และมนุษย์กับธรรมชาติ มีความรักความเมตตาต่อ เพื่อนมนุษย์และธรรมชาติอย่างจริงใจ
ตอบ 1
ย่อหน้าข้างต้นเป็นแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว คือ ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้นย่อหน้า แล้วมีประโยคสนับสนุนหลักและประโยคสนับสนุนรองวางอยู่ในตําแหน่งถัดไป จึงทําให้จัดลําดับความคิดได้ง่ายที่สุด เพราะเป็นการขยายความคิดจากประโยคใจความสําคัญไปสู่รายละเอียดที่จะนํามาสนับสนุน

14. คนโบราณท่านแบ่งการปกครองในบ้านไว้ดังนี้คือ สามีเป็นใหญ่นอกบ้าน ซึ่งหมายความว่า สามีเป็นผู้มีภาระหน้าที่ทํางานภายนอกบ้านหาเงินเลี้ยงครอบครัว ส่วนภรรยานั้นเป็นใหญ่ในบ้าน หมายถึง รับผิดชอบดูแลกิจการในบ้านหรืออาจจํากัดความได้ว่า “สามีเป็นผู้หา (เงิน) ภรรยาเป็นผู้เก็บ (เงิน)” การแบ่งหน้าที่ของสามีและภรรยาเช่นนี้จึงทําให้คนสมัยก่อนอยู่อย่างมีความสุข
ตอบ 3
ย่อหน้าข้างต้นเป็นแบบสามเหลี่ยมมีฐานบรรจบกัน คือ ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้น แล้วขยายความให้รายละเอียดด้วยประโยคสนับสนุนหลักและ ประโยคสนับสนุนรอง ต่อจากนั้นก็ค่อย ๆ สรุปรายละเอียดต่าง ๆ ให้แคบลง และจบลงด้วยประโยคใจความสําคัญในตอนท้ายอีกครั้งหนึ่ง จึงมีลักษณะเป็นย่อหน้าที่ขยายความให้กว้างออกแล้วสรุปความให้แคบเข้า โดยมีประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้นและท้าย

15. ความเครียดทําให้เพิ่มฮอร์โมนอะดรีนาลินในเลือด ทําให้หัวใจเต้นเร็ว เส้นเลือดบีบตัว กล้ามเนื้อเขม็งตึงระบบย่อยเกิดอาการผิดปกติ เกิดอาการปวดหัว ปวดท้อง ใจสั่น ขาอ่อนแรง ความเครียดจึงเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทําให้แก่เร็ว
ตอบ 2
ย่อหน้าข้างต้นเป็นแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่วหัวกลับ คือ ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนท้าย เป็นการสรุปเอาสาระสําคัญทั้งหมดลงในตอนท้าย โดยกล่าวถึงรายละเอียดต่าง ๆ ที่เป็นประโยคสนับสนุนหลักและประโยคสนับสนุนรองไว้ก่อนในตอนต้น แล้วจึงขมวดความคิดหรือใจความสําคัญเอาไว้ในตอนจบ ซึ่งจะตรงข้ามกับย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว

ข้อ 16. – 30. ข้อความต่อไปนี้เป็นเนื้อเรื่องเดียวกัน แต่แบ่งไว้เป็นข้อ ๆ จํานวน 15 ข้อ จงอ่านให้ติดต่อเป็นเรื่องเดียวกัน แล้วพิจารณาว่าแต่ละข้อเข้าลักษณะใด จากคําตอบข้างล่างนี้ ให้ระบายข้อที่เลือกในกระดาษคําตอบ

คําตอบ
– ถ้าข้อความนั้นเป็นประโยคใจความ ให้เลือกตอบข้อ 1
-ถ้าข้อความนั้นเป็นประโยคสนับสนุนหลัก ให้เลือกตอบข้อ 2
– ถ้าข้อความนั้นเป็นประโยคสนับสนุนรอง ให้เลือกตอบข้อ 3
– ถ้าข้อความนั้นทําให้เสียความในย่อหน้า ให้เลือกตอบข้อ 4

(1) ในสมัยปัจจุบันนี้การอ่านนวนิยายเป็นสิ่งที่มนุษย์ที่อ่านหนังสือออกทั่ว ๆ ไปทํากันเป็นปรกติ (2) ผู้ที่มีการศึกษาต่างระดับต่างการอบรมก็มีรสนิยมต่างกัน (3) คนที่ได้รับการศึกษาไม่มากนักก็นิยม นวนิยายชนิดหนึ่ง (4) โดยมากที่อ่านง่าย ๆ ไม่ต้องใช้ความคิด (5) คนที่ได้รับการศึกษาสูงขึ้นไป (6) นิยมอ่าน นวนิยายเพื่อพิจารณาศึกษาในฐานะเป็นศิลปกรรม (7) คนกลุ่มนี้เพ่งเล็งถึงกลวิธีการแต่ง (8) สํานวนภาษา (9) แนวคิด (10) และสิ่งอื่นที่มีในนวนิยาย (11) และอาจเปรียบเทียบนวนิยายเล่มหนึ่งของนักประพันธ์ คนเดียวกันนั้น (12) หรือเปรียบเทียบนวนิยายของนักประพันธ์คนหนึ่งกับของอีกคนหนึ่ง (13) หรือศึกษา ในด้านอื่น ๆ อีกก็ได้ (14) นวนิยายบางเรื่องของนักประพันธ์บางคนได้รับการยกย่องเป็นวรรณคดีมีผู้รู้จัก ทั่วโลก (15) เช่น นวนิยายของลีโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy) นักประพันธ์ชาติรัสเซีย (ม.ล.บุญเหลือ เทพยสุวรรณ. 2529. “แนะแนวทางอ่านนวนิยาย” ในแว่นวรรณกรรม. กรุงเทพฯ: อ่านไทย,หน้า 134 135)

16. ข้อความหมายเลข 1
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 4
ประเด็นความคิดที่อยู่นอกขอบข่ายเนื้อหา คือ รายการความคิดที่ไม่เกี่ยวข้องกัประบโยคใจความหรือประโยคสําคัญ ประโยคสนับสนุนหลักหรือประเด็นความคิดหลัก และประโยคสนับสนุนรองหรือประเด็นความคิดย่อย เพราะเมื่อปนเข้ามาก็จะทําให้เนื้อความของเรื่องหรือของย่อหน้านั้นเสียไป

17. ข้อความหมายเลข 2
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 1
ประโยคใจความหรือประโยคสําคัญ คือ ข้อความที่เป็นตอนนําซึ่งเป็นส่วนที่มีความหมายครอบคลุมข้อความทั้งหมดในย่อหน้า หรือเป็นส่วนที่มีความหมาย เด่นชัดและมีน้ำหนักมากที่สุด โดยจะกล่าวถึงสาระสําคัญของเนื้อความในย่อหน้านั้นทั้งหมด หรือจํากัดขอบข่ายประเด็นที่จะพูดถึงในย่อหน้า ทั้งนี้ย่อหน้าข้างต้นเป็นแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ซึ่งมีประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้น (ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ)

18. ข้อความหมายเลข 3
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 2
ประโยคสนับสนุนหลัก คือ ข้อความที่เป็นตอนอภิปราย หรือประเด็นความคิดหลัก ซึ่งจะทําหน้าที่นํารายละเอียดของเนื้อหาไปสนับสนุนหรือขยายประโยคใจความ ของย่อหน้า ดังนั้นการเขียนประโยคชนิดนี้จึงต้องวิเคราะห์ประโยคใจความ และจํากัดความคิดที่จําเป็นต้องนํามาสนับสนุนใจความในย่อหน้าเสียก่อน

19. ข้อความหมายเลข 4
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3
ประโยคสนับสนุนรอง คือ ข้อความที่เป็นตอนอภิปราย หรือความคิดย่อยในประเด็นความคิดหลัก ซึ่งจะให้รายละเอียดหรือขยายความในประเด็นความคิดหลักหรือประโยคสนับสนุนหลัก (ดูคําอธิบายข้อ 18. ประกอบ)

20. ข้อความหมายเลข 5
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 18. ประกอบ

21. ข้อความหมายเลข 6
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

22. ข้อความหมายเลข 7
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

23.ข้อความหมายเลข 8
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

24. ข้อความหมายเลข 9
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

25. ข้อความหมายเลข 10
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ
26. ข้อความหมายเลข 11
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

27. ข้อความหมายเลข 12
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

28. ข้อความหมายเลข 13
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 19. ประกอบ

29. ข้อความหมายเลข 14
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

30. ข้อความหมายเลข 15
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

ข้อ 31, – 42. ข้อใดบกพร่องตรงกับตัวเลือกต่อไปนี้
(1) การใช้คําขัดแย้งกัน
(2) ใช้คําผิดความหมาย
(3) ใช้คําฟุ่มเฟือย
(4) ใช้สํานวนต่างประเทศ

31. มันเป็นเวลาที่สายแล้วเมื่อฉันได้เดินทางมาถึงมหาวิทยาลัย
ตอบ 4
ประโยคดังกล่าวเรียงคําไม่เป็นสํานวนไทย หรือใช้ประโยคที่เลียนแบบสํานวนต่างประเทศ (สํานวนพันทาง) จึงควรเรียงคําให้เป็นสํานวนไทย โดยใช้ว่า ฉันมาถึงมหาวิทยาลัยเวลาสาย

32. ดิฉันไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะวิบัติขึ้นในบ้าน
ตอบ 2
ประโยคดังกล่าวใช้คําไม่ตรงความหมาย หรือใช้คําผิดความหมาย เพราะว่าคําบางคํามีความหมายคล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกัน แต่ละคํามีความหมายโดยตรงที่ใช้เฉพาะความหมาย คํานั้น จึงควรใช้คําให้ถูกต้องตรงความหมาย โดยใช้ว่า ดิฉันไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะอุบัติขึ้นในบ้าน (คําว่า “อุบัติ” หมายถึง เกิด ส่วนคําว่า “วิบัติ” หมายถึง พิบัติ ฉิบหาย)

33. สําหรับในประเทศไทยอุปกรณ์ชนิดนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับ
ตอบ 3
ประโยคดังกล่าวใช้คําอย่างไม่ประหยัดหรือใช้คําฟุ่มเฟือย เพราะว่าคําบางคํามีความหมายสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว จึงไม่จําเป็นต้องใช้คําขยายมาเพิ่มเติมอีก เนื่องจาก จะทําให้ประโยคมีความยืดยาด ดังนั้นจึงควรใช้คําอย่างประหยัดเพื่อให้กระชับ โดยใช้ว่า ในประเทศไทยอุปกรณ์ชนิดนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับ (ตัดคําว่า “สําหรับ” ซึ่งเป็นบุรพบทเกี่ยวกับการให้การรับทิ้งไป เพราะห้ามใช้บุรพบทนําหน้าประโยคในไวยากรณ์ไทย)

34. คุณแม่ฉันกุลีกุจอเดินออกจากบ้านไปเมื่อกี้นี้
ตอบ 1
ประโยคดังกล่าวใช้คําขัดแย้งกัน ทําให้ข้อความไม่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน ดังนั้นจึงควรใช้คําให้สอดคล้องเป็นไปในแนวเดียวกัน โดยใช้ว่า คุณแม่ฉันกุลีกุจอวิ่งออกจากบ้านไป เมื่อกี้นี้ การใช้คําว่า “กุลีกุจอ” ในที่นี้หมายถึง รีบมาก ซึ่งควรใช้กับคําว่า “วิ่ง” หมายถึงก้าวเร็วยิ่งกว่าเดิน จึงจะทําให้ประโยคไม่ขัดแย้งกัน)

35. จากการที่ได้เกิดฝนตกหนักทําให้น้ำท่วมทั่วกรุงเทพมหานคร
ตอบ 4
(ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวควรเรียงคําให้เป็นสํานวนไทย โดยใช้ว่าฝนตกหนักทําให้น้ำทวมทั่วกรุงเทพมหานคร

36. นักสืบสะกดรอยตามผู้ร้ายไม่ให้คลาดเคลื่อนสายตา
ตอบ 2 (ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวควรใช้คําให้ถูกต้องตรงความหมาย โดยใช้ว่านักสืบสะกดรอยตามผู้ร้ายไม่ให้คลาดสายตา (คําว่า “คลาด” หมายถึง ไม่พบ เคลื่อนจากที่หมายส่วนคําว่า “คลาดเคลื่อน” หมายถึง ผิดจากความเป็นจริง)

37. สุภาวดีถูกเชิญให้ไปนําเสนอผลงานที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ตอบ 4 (ดูคําอธิบายข้อ 31. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวเป็นประโยคกรรมการกในภาษาอังกฤษ ทําให้กริยาวลี “ถูก” กลับนิยมในข้อความที่ดี ทั้ง ๆ ที่ตามหลัภาษาไทยถือว่า มีความหมายไปในทางไม่ดี จึงควรเรียงคําให้เป็นสํานวนไทย เพื่อให้มีความหมายไปในทางที่ดีโดยใช้ว่า สุภาวดีได้รับเชิญให้ไปนําเสนอผลงานที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

38. เจ้าหน้าที่ตํารวจได้นําศพคนตายผ่าพิสูจน์ที่สถาบันนิติเวช
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวควรใช้คําอย่างประหยัดเพื่อให้กระชับ โดยใช้ว่าเจ้าหน้าที่ตํารวจได้นําศพผ่าพิสูจน์ที่สถาบันนิติเวช (ตัดคําว่า “คนตาย” ทิ้งไป เพราะศพก็คือคนที่ตายแล้ว)

39. การเดินทางไปดอยอ่างขางไม่ลําบากนัก เรียกว่าตกทุกข์ได้ยากทีเดียว
ตอบ 1 (ดูคําอธิบายข้อ 34. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวควรใช้คําให้สอดคล้องเป็นไปในแนวเดียวกันโดยใช้ว่า การเดินทางไปดอยอ่างขางไม่ลําบากนัก เรียกว่าสะดวกสบายที่เดียว การใช้คําว่า “ไม่ลําบาก/สะดวกสบาย” ในที่นี้เป็นคําที่ไม่ขัดแย้งกัน เพราะหมายถึง ไม่เดือดร้อน ไม่ติดขัดคล่อง ส่วนคําว่า “ตกทุกข์ได้ยาก” หมายถึง ตกระกําลําบาก)

40. เรื่องนี้อาจารย์ได้ทําการศึกษาค้นคว้ามาเป็นเวลานานกว่ายี่สิบปีมาแล้ว
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวควรใช้คําอย่างประหยัดเพื่อให้กระชับ โดยใช้ว่าเรื่องนี้อาจารย์ได้ศึกษาค้นคว้ามาเป็นเวลานานกว่ายี่สิบปีมาแล้ว (ตัดคําว่า “ทําการ” ทิ้งไป เพราะเป็นคําที่ไม่มีความหมายอะไร ถึงแม้จะตัดออกไปก็ไม่ได้ทําให้ความหมายของข้อความนั้นเปลี่ยนแปลงไป)

41. ดวงตาของหล่อนวาววามราวกับหมู่ดาวในท้องฟ้า
ตอบ 1 (ดูคําอธิบายข้อ 34. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวควรใช้คําให้สอดคล้องเป็นไปในแนวเดียวกันโดยใช้ว่า นัยน์ตาของหล่อนวาววามราวกับหมู่ดาวในท้องฟ้า (การใช้คําว่า “นัยน์ตา/วาววาม” ในที่นี้เป็นคําที่ไม่ขัดแย้งกัน เพราะหมายถึง มีแสงวูบวาบอยู่ภายในตา ส่วนคําว่า “ดวงตา”มักใช้เป็นคําเปรียบเทียบเรียกหญิงที่รักหรือลูกที่รัก)

42. น้ำท่วมกรุงเทพมหานครในคราวนั้นทําให้ชาวบ้านเดือดร้อนมากมายพอสมควร ตอบ 1 (ดูคําอธิบายข้อ 34. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวควรใช้คําให้สอดคล้องเป็นไปในแนวเดียวกันโดยใช้ว่า น้ำท่วมกรุงเทพมหานครในคราวนั้นทําให้ชาวบ้านเดือดร้อนมากมายเหลือเกิน (การใช้คําว่า “มากมาย” ในที่นี้หมายถึง มากเหลือหลาย ซึ่งควรใช้กับคําว่า “เหลือเกิน” หมายถึง ยิ่งนัก เกินควร เต็มที่ จึงจะทําให้ประโยคไม่ขัดแย้งกัน ส่วนคําว่า “พอสมควร” หมายถึง พอประมาณ)

43. ข้อใดใช้คําตรงตามหลักไวยากรณ์
(1) คุณแม่บริจาคเงินกับเด็กกําพร้าเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ
(2) สมชายเป็นคนสุภาพแต่สํารวมตนเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่
(3) โบราณสถานที่สําคัญทุกชิ้นในประเทศไทยควรได้รับการดูแล
(4) ศาสนาทุกศาสนาสอนให้เราเป็นคนดีและความดีก็จะคุ้มครองเรา
ตอบ 4
ประโยคในตัวเลือกข้อ 4 ใช้คําได้ถูกต้องตรงตามระเบียบของภาษา (หลักภาษาหรือไวยากรณ์) คือ ใช้คําสันธานถูกต้อง ได้แก่ คําว่า “และ” ซึ่งใช้เชื่อม เนื้อความที่คล้อยตามกัน (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นควรใช้คําให้ตรงตามหลักไวยากรณ์ โดยใช้ว่า คุณแม่บริจาคเงินแก่เด็กกําพร้าเนื่องในวันเด็กแห่งชาติ, สมชายเป็นคนสุภาพและสํารวมตนเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่, โบราณสถานที่สําคัญทุกแห่งในประเทศไทยควรได้รับการดูแล)

44. ข้อใดเป็นคําไวพจน์ของพระอินทร์
(1) วัชรินทร์
(2) ราเชนทร์
(3) มานพ
(4) ธาดา
ตอบ 1
การหลากคํา หรือเรียกว่า “คําไวพจน์” คือ คําที่เขียนต่างกันแต่มีความหมายเหมือนกัน หรือใกล้เคียงกันมาก ซึ่งจัดเป็นคําพ้องความหมาย เช่น คําว่า “วัชรินทร์/วัชรี/วัชเรนทร์” หมายถึง พระอินทร์ เป็นต้น ส่วนคําว่า “ราเชนทร์” หมายถึงพระเจ้าแผ่นดิน, “มานพ” หมายถึง คน, “ธาดา” หมายถึง พระพรหมผู้สร้าง)

45. ข้อใดมีความหมายตรงกันข้ามกับคําว่า ประกอบ
(1) แยกแยะ
(2) กระจาย
(3) คัดแยก
(4) งัดออก
ตอบ 3 คําว่า “ประกอบ” หมายถึง เอาชิ้นส่วนต่าง ๆ มารวมหรือคุมกันเข้าเป็นรูปร่างตามที่ต้องการซึ่งจะมีความหมายตรงกันข้ามกับคําว่า “คัดแยก” หมายถึง เลือกและแยกสิ่งที่รวมกันอยู่ (ส่วนคําว่า “แยกแยะ” หมายถึง กระจายออกให้เห็นชัดเจน เช่น แยกแยะปัญหาให้เห็น เป็นประเด็น ๆ ไป “กระจาย” หมายถึง ทําให้แพร่หรือแตกแยกออกจากกันไปในที่ต่าง ๆ “งัดออก” หมายถึง ทําให้เผยอหรือเคลื่อนที่ออกมา โดยใช้วัตถุยาวงัด)

46. ข้อใดมีความหมายทั้งโดยตรงและโดยแฝง
(1) แมวมอง ยกยอ
(2) ฉีกหน้า-ฉีกกระดาษ
(3) จับเข่าคุยกัน-จับมือถือแขน
(4) ลิง-ลิงสยาม
ตอบ 2 คําที่มีความหมายทั้งโดยตรงและโดยแฝง ได้แก่
1. ความหมายโดยตรง (Denotation) หมายถึง ความหมายเดิม ความหมายประจํา หรือความหมายกลาง ซึ่งเป็นความหมายตามพจนานุกรมที่ทุกคนเข้าใจได้ตรงกัน เช่น คําว่า “ฉีกกระดาษ” หมายถึง ทําให้กระดาษขาดหรือแยกออกจากกัน เป็นต้น
2. ความหมายโดยแฝง (Connotation) หมายถึง ความหมายโดยนัยหรือความหมายเปรียบเทียบ ความหมายเพิ่มหรือความหมายสมทบที่ต้องอาศัยการตีความประกอบ เช่นคําว่า “ฉีกหน้า” หมายถึง ทําให้ได้รับความอับอาย เป็นต้น
(ส่วนตัวเลือกข้อ 1 และ 3 เป็นความหมายโดยแฝง, ตัวเลือกข้อ 4 เป็นความหมายโดยตรง)

47. ข้อใดใช้สํานวนเปรียบเทียบไม่เหมาะสม
(1) หน้าของเธอซีดราวไก่ต้ม
(2) ความยินดีเหล่านี้มันแฝงอยู่แล้วในทุกตัวอักษร
(3) พี่ชายของฉันกับพี่สาวของเธอสมกันเหมือนกิ่งทองใบหยก
(4) ผมเป็นครูมานานแล้วใคร ๆ ก็เรียกผมว่า พ่อพิมพ์ของชาติ
ตอบ 4
ประโยคในตัวเลือกข้อ 4 ใช้สํานวนเปรียบเทียบไม่เหมาะสม ได้แก่ สํานวนว่า “พ่อพิมพ์ของชาติ” จึงควรแก้ไขให้ถูกต้อง โดยใช้ว่า ผมเป็นครูมานานแล้วใคร ๆ ก็เรียกผมว่า แม่พิมพ์ของชาติ เพราะถึงแม้ครูจะเป็นผู้ชาย เขาก็เรียกว่าแม่พิมพ์ทุกเพศ (คําว่า แม่พิมพ์ หมายถึง ครูอาจารย์ที่ถือเป็นแบบอย่างความประพฤติ)

48. ข้อใดเป็นประโยค
(1) สุดหล้าฟ้าเขียว
(2) เมฆสีดําทะมึน
(3) ฝนเทลงมา
(4) แสงสว่างวาววับ
ตอบ 3
ความแตกต่างระหว่างวลี (กลุ่มคํา) และประโยค ได้แก่
1. วลี หมายถึง กลุ่มคําที่เรียงต่อกัน เกิดความหมายไม่สมบูรณ์ เพราะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งในภาคประธานหรือภาคแสดง แต่ก็สามารถสื่อความหมายได้ และใช้ประกอบคําหรือกลุ่มคําอื่น ๆ จนกลายเป็นประโยค เช่น สุดหล้าฟ้าเขียว, เมฆสีดําทะมึน, แสงสว่างวาววับ เป็นต้น
2. ประโยค หมายถึง ถ้อยคําที่มีเนื้อความสมบูรณ์ ประกอบด้วย ภาคประธานและภาคแสดงอาจจะมีส่วนขยายหรือไม่มีก็ได้ เช่น ฝนเทลงมา (ประธาน + กริยา + ส่วนขยาย) เป็นต้น

49. ข้อใดเป็นประโยคสองส่วน
(1) พี่สาวของฉันร้องเพลงเพราะ
(2) พี่สาวของฉันไปโรงพยาบาล
(3) หนังสือเล่มนี้มีราคาแพงมาก
4) พี่สาวคนสวยของฉันรักพี่ชายของเธอ
ตอบ 1 ข้อสังเกตเกี่ยวกับประโยค อาจมีลักษณะดังนี้
1. ประโยค 2 ส่วน ได้แก่ ประธาน + กริยา (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) เช่น พี่สาวของฉันร้องเพลงเพราะ, เพื่อน ๆ หัวเราะอย่างสนุกสนาน, ฉันนั่งยิ้มอย่างมีความสุขทุกวัน, เพื่อน ๆ ของฉันอ้วนท้วนสมบูรณ์ดีทุกคน เป็นต้น
2. ประโยค 3 ส่วน ได้แก่ ประธาน + กริยา + กรรม (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) เช่นพี่สาวของฉันไปโรงพยาบาล, หนังสือเล่มนี้มีราคาแพงมาก, พี่สาวคนสวยของฉันรักพี่ชายของเธอ, ใครก็ได้ร้องเพลงให้ฉันฟังหน่อย เป็นต้น

50. ข้อใดเป็นประโยคสามส่วน
(1) เพื่อน ๆ หัวเราะอย่างสนุกสนาน
(2) ใครก็ได้ร้องเพลงให้ฉันฟังหน่อย
(3) ฉันนั่งยิ้มอย่างมีความสุขทุกวัน
(4) เพื่อน ๆ ของฉันอ้วนท้วนสมบูรณ์ดีทุกคน
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 49. ประกอบ

ข้อ 51 – 55. ข้อใดตรงกับคําตอบที่กําหนดให้
(1) ประโยคความรวม
(2) ประโยคความซ้อน
(3) ประโยคกรรม
(4) ประโยคการิต

51. โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะซื้อมาจากต่างประเทศ
ตอบ 2
ประโยคความซ้อน หรือประโยคปรุงแต่ง (สังกรประโยค) หมายถึง ประโยคความเดียวที่มีประโยคย่อยเข้ามาแทรกอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อแยกประโยคความซ้อนออกจากกันสองประโยคจะมีน้ำหนักไม่เท่ากัน กล่าวคือ ประโยคความเดียวที่เป็นประโยคหลัก (มุขยประโยค) จะมีใจความสําคัญเพียงประโยคเดียว และมีประโยคย่อย (อนุประโยค) มาช่วย ขยายความ เช่น โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะซื้อมาจากต่างประเทศ, ดอกไม้ที่ฉันชอบมากที่สุด คือ ดอกบัว ฯลฯ (คําที่ขีดเส้นใต้เป็นประโยคย่อยทําหน้าที่ขยายนาม โดยมีคําว่า “ที่” เป็นคําเชื่อม แทนคํานามที่อยู่ข้างหน้า)

52. เสื้อยืดตัวนี้ฉันซื้อไว้เอง
ตอบ 3
ประโยคกรรม คือ กรรมทําหน้าที่เป็นประธานในประโยค และมีกริยาวลี“ถูก” ตามหลังประธาน เช่น ฉันถูกครูตําหนิอีกแล้ว ฯลฯ หรือกรรมมีตําแหน่งอยู่หน้าประธานและกริยา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อต้องการเน้นกรรมมากกว่า เช่น เสื้อยืดตัวนี้ฉันซื้อไว้เอง ฯลฯ

53. คุณครูให้ฉันเช็ดโต๊ะอาหาร
ตอบ 4 หน้
ประโยคการิต คือ ประโยคประธานหรือประโยคกรรมซึ่งมีผู้รับใช้แทรกเข้ามา เรียกว่า การิตการก (เป็นทั้งผู้ถูกกระทําและผู้กระทํา) กล่าวคือ ในประโยคจะมีบุคคล 2 คน คนหนึ่งจะเป็นผู้สั่งหรือผู้ชี้แนะ (ผู้กระทํา) ในขณะที่อีกคนหนึ่งจะเป็นผู้รับใช้(ผู้ถูกกระทํา) เช่น คุณครูให้ฉันเช็ดโต๊ะอาหาร ฯลฯ

54. เธอจะต้องมาเรียนมิฉะนั้นเธอจะต้องทํารายงาน 20 หน้า
ตอบ 1
ประโยคความรวม(อเนกรรถประโยค) คือ ประโยคที่มีใจความสําคัญหลายใจความ เพราะเป็นประโยคที่รวมเอาประโยคความเดียวเข้าด้วยกัน แล้วเชื่อมด้วยคําสันธาน ได้แก่ ประโยคความรวมที่เนื้อความ ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง มักมีคําสันธานคือ หรือ, หรือไม่ หรือไม่เช่นนั้น, มิฉะนั้น ฯลฯ เช่น เธอจะต้องมาเรียนมิฉะนั้นเธอจะต้องทํารายงาน 20 หน้า เป็นต้น

55. ดอกไม้ที่ฉันชอบมากที่สุด คือ ดอกบัว
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 51. ประกอบ

56. ข้อใดสะกดผิดทุกคํา
(1) โควตา กะเทย
(2) ต่าง ๆ นา ๆ ผัดไทย
(3) ผาสุก พะแนง
(4) ข้าวเหนียวมูล ใบกระเพรา
ตอบ 4 คําที่สะกดผิด ได้แก่ ต่าง ๆ นา ๆ ข้าวเหนียวมูล ใบกระเพรา ซึ่งที่ถูกต้องคือ ต่าง ๆ นานา ข้าวเหนียวมูน ใบกะเพรา

สุกานดาจบปริญญาตรีนิเทศน์ศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เธอเป็นคนที่มี ความคิดสร้างสรรค์ แต่ชอบทํางานผลัดวันประกันพรุ่งและเปลี่ยนงานมาหลายบริษัท ล่าสุดเธอทํางาน เป็นเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธุ์ที่คลินิคแถวถนนประชาอุทิศน์

57. ข้อความที่กําหนดให้มีคําผิดกี่คํา
(1) 3 คํา
(2) 4 คํา
(3) 5 คํา
(4) 6 คํา
ตอบ 3
ข้อความที่กําหนดให้มีคําที่สะกดผิด 5 คํา ได้แก่ นิเทศน์ศาสตร์บัณฑิต ผลัดวันประกันพรุ่งประชาสัมพันธุ์ คลินิค ประชาอุทิศน์ ซึ่งที่ถูกต้องคือ นิเทศศาสตรบัณฑิต ผัดวันประกันพรุ่ง ประชาสัมพันธ์ คลินิก ประชาอุทิศ

58. ข้อใดต่อไปนี้อ่านถูกต้อง
(1) ปรมาจารย์ อ่านว่า ประ-ระ-มา-จาน
(2) วิตถาร อ่านว่า วิด-ถาน
(3) พฤหัสบดี อ่านว่า พะ-รึ-หัด-สะ-บอ-ดี
(4) ศากยวงศ์ อ่านว่า สา-กะ-ยะ-วง
ตอบ 2, 3
คําที่อ่านถูกต้อง ได้แก่ วิตถาร อ่านว่า วิด-ถาน และพฤหัสบดี อ่านว่า พะ-รึ-หัด-สะ-บอ-ดี, พรึ-หัด-สะ-บอ-ดี (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นอ่านผิด ซึ่งที่ถูกต้องคือ ปรมาจารย์ อ่านว่า “ ปะ-ระ-มา-จาน, ศากยวงศ์ อ่านว่า สาก-กะ-ยะ-วง)

59. ข้อใดถูกต้อง
(1) คุณพ่อจะไปปทุมวัน ๆ นี้
(2) เขาเคยมาทุกวัน ๆ นี้ไม่มา
(3) เขาซื้อสี 5 กระป๋อง ๆ ละ 50 บาท
(4) เราจัดทัวร์ไปเที่ยวที่ที่สวยธรรมชาติ
ตอบ 4
คําซ้ำ คือ คําคําเดียวกันที่นํามากล่าวซ้ำ 2 ครั้ง มีความหมายเน้นหนักหรือบางที่ต่างกันไปกับคําเดี่ยวเพียงคําเดียว ซึ่งในภาษาไทย จะใช้ไม้ยมก (ๆ) แทนคําท้ายที่ซ้ำกับคําต้น เช่น สีดํา ๆ, เด็กตัวเล็ก ๆ เป็นต้น ไม่ควรใช้ไม้ยมก ในกรณีที่เป็นคําคนละบทคนละความ เช่น คุณพ่อจะไปปทุมวันวันนี้, เขาเคยมาทุกวันวันนี้ไม่มา เขาซื้อสี 5 กระป๋อง กระป๋องละ 50 บาท, เราจัดทัวร์ไปเที่ยวที่ที่สวยธรรมชาติ เป็นต้น

60. คําในข้อใดเขียนทับศัพท์ภาษาอังกฤษผิด
(1) Broccoli = บ๊อกโคลี
(2) Pattern = แพตเทิร์น
(3) Snoopy = สนูปปี
(4) Booking = บุกกิง
ตอบ 1
คําทับศัพท์ หมายถึง คําภาษาต่างประเทศที่นํามาใช้ในภาษาไทยโดยวิธีการถ่ายเสียงและถอดอักษร ซึ่งการเขียนคําทับศัพท์ที่ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของราชบัณฑิตยสถาน ได้แก่ บรอกโคลี (Broccoli), แพตเทิร์น (Pattern), สนูปปี (Snoopy), บุกกิง (Booking) เป็นต้น

61. ทําไมการพูดจึงมีความสําคัญในชีวิตประจําวัน
(1) เพื่อการใช้ภาษาในการสื่อสาร
(2) เพื่อความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ
(3) เพื่อความเข้าใจระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3
การพูดนับเป็นการสื่อสารที่มีความสําคัญต่อชีวิตประจําวันชีวิตความเป็นอยู่ และการประกอบอาชีพของมนุษย์เป็นอันมาก เพราะมนุษย์จะต้องใช้การพูด โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความเข้าใจระหว่างมนุษย์ด้วยกันเอง ซึ่งถ้าสื่อสารเข้าใจกันได้ดีการกระทํากิจการงานต่าง ๆ จะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

62. “คนที่เกิดมาพูดเก่ง หรือเสียงดีก็ใช่ว่าจะต้องเหนือกว่าคนพูดไม่เก่ง หรือเสียงไม่ดี ขอเพียงฝ่ายหลังมานะพยายาม ฝึกอบรมพูดอย่างมีหลักเกณฑ์ และเป็นไปตามขั้นตอนเท่านั้นก็พูดเก่งได้” เกี่ยวข้องกับเรื่องใดเป็นสําคัญ
(1) วาทศาสตร์
(2) วาทศิลป์
(3) ศาสตร์และศิลป์ในการพูด
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
ข้อความที่นเรศ นโรปกรณ์ กล่าวไว้ข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การที่จะพูดให้ได้ผลจําเป็นต้องฝึกฝนโดยอาศัยหลักวิชาการพูดที่เรียกว่า “วาทการ วาทศาสตร์ หรือวาทศิลป์” ทั้งนี้เพราะการพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่สามารถเรียนรู้และฝึกทักษะได้ ยิ่งฝึกมากความชํานาญในการพูดยิ่งพัฒนาขึ้นตามลําดับ

63. ข้อใดถูกต้องที่สุด
(1) พูดดี คือ การใช้ภาษาได้ดี
(2) พูดดี คือ พูดแล้วทําให้ผู้ฟังเชื่อถือ
(3) พูดเป็นต้องทําให้ผู้ฟังนิยมชมชอบ
(4) พูดเป็น คือ การใช้ปิยวาจา
ตอบ 3 หน้า 157 การพูดโดยทั่วไปมีอยู่ 3 ระดับ ได้แก่
1. พูดได้ คือ พูดเป็นประโยคได้ดี รู้จักพูดคุย ซักถาม หรือโต้ตอบได้
2. พูดเป็น คือ พูดให้ผู้ฟังนิยมชมชอบ เชื่อถือ คล้อยตาม และนําไปปฏิบัติได้
3. พูดดี คือ การใช้ปิยวาจา หรือวาจาเป็นที่รัก ดูดดื่มน้ำใจ ซาบซึ้งใจ ซึ่งนับว่าเป็นการพูดที่ดีที่สุด

64. ข้อใดคือจุดมุ่งหมายในการพูด
(1) พูดได้ พูดเป็น และพูดดี
(2) ให้ความรู้โน้มน้าวใจ และสร้างความเพลิดเพลิน
(3) ให้ความรู้ ชี้แนะ และตอบคําถาม
(4) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3
ตอบ 4
จุดมุ่งหมายในการพูดโดยทั่วไป มีดังนี้
1. ให้ความรู้หรือข้อเท็จจริง
2. โน้มน้าวจิตใจผู้ฟัง
3. สร้างความบันเทิง ความเพลิดเพลิน หรือจรรโลงใจ
4. แก้ปัญหาหรือตอบคําถามต่าง ๆ
5. แนะนําและชี้แนะเรื่องต่าง ๆ

65. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการทักทายผู้ฟัง
(1) เมื่อทักทายประธานในที่ประชุมสภาฯ ต้องพูดว่า “กราบเรียนท่านประธานที่เคารพ
(2) เมื่อทักทายแฟนเพลงควรใช้คําว่า “สวัสดี แฟนเพลงที่รักของปุ๊กกี้”
(3) ทักทายตามสถานการณ์
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
คําปฏิสันถารหรือการกล่าวทักทายผู้ฟังมีอยู่ 2 ชนิด คือ
1. ชนิดที่เป็นพิธีการ จะไม่นิยมใช้คําที่แสดงความรู้สึกปนเข้ามา เช่น คําว่า เคารพ นับถือ ที่รัก ฯลฯ มักใช้ในงานที่เป็นทางการ งานรัฐพิธีและศาสนพิธีต่าง ๆ ได้แก่ งานวางศิลาฤกษ์ งานแจกวุฒิบัตร คํากล่าวเปิดงาน การประชุมสภาผู้แทนราษฎร ฯลฯ
2. ชนิดที่ไม่เป็นพิธีการ จะนิยมใช้คําที่แสดงความรู้สึกปนเข้ามาด้วย เพื่อแสดงความเป็นกันเองหรือความใกล้ชิดสนิทสนม มักใช้ในงานที่ไม่เป็นทางการมากนัก ได้แก่ งานวันเกิดการแสดงคอนเสิร์ต การรายงานหน้าชั้นเรียน การแสดงปาฐกถา ฯลฯ

66. เมื่อได้รับเชิญไปพูดในเรื่องที่ไม่ถนัด ท่านควรทําเช่นไร
(1) หาข้อมูลความรู้ในเรื่องนั้นให้มากที่สุด
(2) ขอโทษหรือออกตัวกับผู้ฟัง
(3) ปฏิเสธแล้วพยายามขอพูดในหัวข้อที่ถนัด
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 1
เมื่อต้องพูดในเรื่องที่ไม่ถนัดหรือไม่เชี่ยวชาญ นักพูดไม่ควรขอโทษ หรือออกตัวกับผู้ฟังก่อนพูด แต่ควรเตรียมตัวค้นคว้าหาข้อมูลและความรู้ในเรื่องนั้น ๆ ให้พร้อมมากที่สุด โดยสามารถรวบรวมข้อมูลเพื่อการพูดที่ดีได้ ดังนี้ 1. ความรู้และประสบการณ์ของผู้พูดเอง 2. การอ่านหนังสือในห้องสมุด 3. การติดตามข่าวสารที่ทันสมัย ซึ่งเกี่ยวข้องกับหัวข้อที่จะพูด 4. การสนทนากับผู้รู้ 5. การสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่พูด หรือผู้รู้ที่เชี่ยวชาญ

67. ประโยชน์สําคัญของการพิจารณาวัตถุประสงค์ในการพูด คืออะไร ”
(1) ช่วยให้เตรียมเนื้อหาได้อย่างเพียงพอ
(2) ทําให้การพูดน่าสนใจ
(3) ช่วยในการประเมินผู้ฟัง
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1
ผู้พูดควรกําหนดจุดมุ่งหมายในการพูดให้ชัดเจนว่า การพูดครั้งนั้นมีความมุ่งหมายอย่างไร ซึ่งประโยชน์สําคัญของการพิจารณาวัตถุประสงค์ในการพูด คือ เพื่อจะได้ เตรียมเนื้อหา เหตุผล ข้ออ้างอิง ถ้อยคําภาษา ฯลฯ ได้อย่างเพียงพอและถูกต้องตามวัตถุประสงค์ เพราะการพูดด้วยจุดประสงค์และโอกาสที่ต่างกัน ย่อมจะใช้คําปฏิสันถาร เนื้อหา คําลงท้ายและภาษาที่แตกต่างกันไป

68. “ท่านผู้ฟังทุกท่านครับ สําหรับผมเงินไม่สําคัญกับชีวิตแต่จําเป็นในการใช้ชีวิตครับ” เป็นคํานําแบบใด
(1) กระตุ้นให้คิด
(2) ยกข้อความเร้าใจ
(3) จี้จุดสําคัญ
(4) สําแดงคุณโทษ
ตอบ 3
คํานําหรือการขึ้นต้นแบบจี้จุดสําคัญของเรื่องนั้น ๆ คือ การพุ่งเข้าสู่จุดโดยไม่ต้องอ้อมค้อม เพราะผู้ฟังก็รู้เรื่องอยู่แล้ว เป็นการแสดงทัศนะของผู้พูดเท่านั้น

69. “ท้ายที่สุดนี้ ผมขอย้ำว่าที่ผมอาสามาทํางานก็อาสามารับผิดชอบครับ” เป็นการสรุปเรื่องพูดแบบใด
(1) เชิญชวนให้เข้าใจ
(2) ทิ้งท้ายเป็นภาพเด่นชัด
(3) ประกาศเจตจํานง
(4) ยกอุทาหรณ์
ตอบ 3
การสรุปหรือลงท้ายแบบประกาศเจตจํานงส่วนตัวในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ผู้พูดต้องเป็นคนสําคัญ หรือคนที่กําหัวใจของเรื่องนั้น ๆ อยู่

70. ลักษณะทางจิตวิทยาข้อใดของผู้ฟังที่ผู้พูดต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
(1) กลุ่มอาชีพและกลุ่มสังคม
(2) เชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม
(3) ทัศนคติ ความเชื่อ และคุณค่าที่ผู้ฟังยึดถือ
(4) ความต้องการพื้นฐานของผู้ฟัง
ตอบ 2
ลักษณะทางจิตวิทยาของผู้ฟังที่ผู้พูดต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ คือ เชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม เพราะผู้ที่มีเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมที่ต่างกัน ย่อมมีความรู้สึกนึกคิด อุดมการณ์ และความต้องการที่แตกต่างกัน ดังนั้นเวลาไปพูดผู้พูดจึงควรระมัดระวังไม่ไปโจมตีหรือดูหมิ่นถากถางความเชื่อที่ผู้ฟังยึดถือ

71. การฝึกพูดวิธีการใดดีที่สุด
(1) ฝึกพูดโดยมีผู้แนะนํา
(2) ฝึกพูดโดยศึกษาจากทฤษฎีการพูด
(3) ฝึกพูดคนเดียวหน้ากระจก
(4) ฝึกพูดจากบุคลิกของผู้ฝึกซ้อม
ตอบ 1
การฝึกพูดโดยมีผู้แนะนํา คือ มีพี่เลี้ยงหรือครูอาจารย์ดี ๆคอยแนะนําให้เป็นการส่วนตัว หรือจัดเป็นกลุ่ม มีการฝึกพูดกันเป็นประจํา หรือสมัครเข้ารับการอบรมหลักสูตรการพูด จัดเป็นวิธีฝึกพูดที่ดีที่สุด ทําให้นักพูดมีความก้าวหน้าและเห็นผล เร็วที่สุด โดยเฉพาะเมื่อฝึกพูดครั้งแรก เพราะผู้แนะนําจะชี้แจงข้อบกพร่องและให้ข้อแนะนํา วิธีพูดที่ถูกต้อง ซึ่งจะทําให้ทราบว่าผู้พูดยังบกพร่องในเรื่องใด และควรปรับปรุงแก้ไขตนเองในข้อใด

72. เคล็ดลับที่สําคัญในการฝึกพูดคือ
(1) กําจัดอาการตื่นเวที
(2) ฝึกนิสัยรักการอ่าน
(3) ปลูกฝังความกล้า
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หน้า 196 เคล็ดลับในการฝึกหัดพูด ได้แก่ 1. จงปลูกฝังความกล้าหาญทุกขณะที่จะพูด 2. ฝึกหัดพูดคนเดียวให้คล่องและแพรวพราว โดยอาจจะฝึกหน้ากระจกบานใหญ่ 3. จงขจัดความกลัวออกไปจากจิตใจ

73. เมื่อท่านฝึกซ้อมการพูดในระยะเริ่มแรก ท่านจะ
(1) ซ้อมพูดโดยใช้เครื่องบันทึกเสียงตั้งแต่ต้นจนจบ
(2) ซ้อมพูดโดยใช้เครื่องบันทึกเสียงทีละขั้นตอน
(3) ซ้อมพูดโดยใช้วิดีโอตั้งแต่ต้นจนจบ
(4) ซ้อมพูดโดยใช้วิดีโอทีละขั้นตอน
ตอบ 2
การใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยในการซ้อมพูด มีดังนี้ 1. การใช้เครื่องบันทึกเสียงเป็นวิธีฝึกซ้อมพูดในระยะเริ่มแรก ซึ่งจะทําให้ผู้พูดได้รู้ถึงน้ำเสียงของตน แต่ควรจํากัดเวลาด้วย โดยแบ่งการฝึกซ้อมออกเป็นตอนสั้น ๆ และควรฝึกซ้อมทีละขั้นตอนเริ่มจากการกล่าวเปิดก่อน 2. การใช้วิดีโอหรือวีดิทัศน์ เป็นวิธีที่สามารถไว้ใจได้มาก เพราะภาพจากวิดีโอหรือวีดิทัศน์ จะบอกผู้ฝึกได้ทั้งลักษณะการพูด ท่าทาง และภาษาท่าทาง แต่วิธีนี้ควรใช้เมื่อได้ผ่านขั้นตอน การฝึกซ้อมอย่างอื่นมาแล้ว

74. ข้อใดคือหลักปฏิบัติในการฝึกพูด
(1) ฝึกหัดพูดคนเดียวให้คล่องและแพรวพราว
(2) ฝึกขจัดความกลัวออกไปจากจิตใจ
(3) ฝึกการพูดให้เป็นสําเนียงการพูด
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3
หลักปฏิบัติในการฝึกพูด มีดังนี้ 1. ฝึกตนเองให้รู้จักแสวงหาความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอ 2. ฝึกการพูดให้เป็นสําเนียงภาษาพูด 3. ฝึกความเชื่อมั่นในตัวเอง 4. ฝึกตนให้เป็นคนมีความอดทนอดกลั้นต่ออารมณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ 5. ฝึกการพัฒนาบุคลิกภาพในการพูด

75. ข้อใดคือการฝึกพัฒนาบุคลิกภาพในการพูด
(1) ฝึกการควบคุมอารมณ์
(2) ฝึกการใช้เสียงและท่าทาง
(3) ฝึกจดจําเรื่องราวต่าง ๆ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
การฝึกพัฒนาบุคลิกภาพที่ดีในการพูดมีอยู่ 2 ประการ คือ
1. บุคลิกภาพภายนอก เป็นสิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัด จึงแก้ไขได้ง่าย ใช้เวลาฝึกฝนน้อยและวัดผลได้ทันที ได้แก่ รูปร่าง หน้าตา สีหน้า การแต่งกาย การปรากฏตัว กิริยาท่าทาง การสบสายตา การใช้น้ำเสียง จังหวะในการพูด และถ้อยคําภาษา ฯลฯ 2. บุคลิกภาพภายใน เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น จึงแก้ไขได้ค่อนข้างยาก ใช้เวลาฝึกฝนมากและวัดผลลําบาก ได้แก่ ความมั่นใจ ความเชื่อมั่นในตนเอง ความกระตือรือร้น ความรอบรู้ ความคิดริเริ่ม ความจริงใจ ปฏิภาณไหวพริบ ความรับผิดชอบ ความจําและอารมณ์ความรู้สึกต่าง ๆ เช่น อารมณ์ขัน ฯลฯ

76. ข้อใดคือบุคลิกภาพภายใน
(1) กิริยาท่าทาง
(2) การแต่งกาย
(3) อารมณ์ขัน
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3

77. เมื่อท่านต้องขึ้นพูดเพื่อไว้อาลัยต่อการจากไปของบุคคลอันเป็นที่รัก ท่านจะ
(1) ใช้สีหน้าสํารวม หรี่ตาลงเล็กน้อย
(2) ใช้สีหน้าวางเฉย ลดสายตาลงต่ำ
(3) ใช้สีหน้าวางเฉย หลับตาลงช้า ๆ
(4) ใช้สีหน้าสํารวม ลดสายตาลงต่ำ
ตอบ 4
เมื่อต้องขึ้นพูดเพื่อไว้อาลัยต่อการจากไปของบุคคลอันเป็นที่รัก ผู้พูดจะต้องแสดงสีหน้าสํารวมเพื่อบ่งบอกถึงความสุขุม ความเชื่อมั่นในการพูด และต้องลดสายตาลงเบื้องต่ำ เมื่อต้องการแสดงความสุภาพ ความนับถือ แต่จงระวังอย่าแสดงอาการหลุกหลิก เลิกคิ้ว หลิ่วตา ขยับแก้มขยับคางหรือกัดริมฝีปาก เพราะเป็นอากัปกิริยาที่ไม่เรียบร้อย

78. ข้อใดคือการใช้ภาษาท่าทางแบบพื้นฐาน
(1) อย่าให้เสื้อผ้าพูดแทนเนื้อหา
(2) ยิ้ม ยิ้ม และยิ้ม
(3) ใช้ความสงบสยบทุกเหตุการณ์
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
การใช้ภาษาท่าทางในการพูดจะช่วยแก้ไขอาการตื่นเวทีของผู้พูด หรือสามารถเอาชนะความประหม่าได้ ดังนั้นเวลาพูดจึงควรมีการเคลื่อนไหวร่างกายบ้าง แต่ต้องไม่มากจนก่อให้เกิด ความรําคาญแก่ผู้ฟัง จงใช้ท่าทางไปตามธรรมชาติ และการใช้ภาษาท่าทางแบบพื้นฐานที่ผู้พูด จะละเลยไม่ได้ก็คือ การยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่เสมอ ซึ่งนับเป็นการสร้างความอบอุ่นต่อการพูด ช่วยสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร และความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ฟัง

79. ข้อใดใช้ภาษามือถูกต้อง
(1) สมชายอ่านข่าวโทรทัศน์แล้วผายมือ
(2) สมหญิงชี้หน้านักข่าวที่ตั้งคําถาม
(3) สมพรแสดงความจริงจังจึงกํามือ
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3
การใช้ภาษามือต้องใช้ให้เป็นจังหวะ เหมาะกับเรื่องและโอกาสเพื่อบอกจํานวนขนาด รูปร่าง และทิศทาง ซึ่งจะทําให้การพูดมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น เช่น 1. เมื่อแสดงความหนักแน่นจริงจังให้กํามือ 2. เมื่อแสดงความเป็นมิตรหรือบริสุทธิ์ใจให้แบมือทั้ง 2 ข้างแล้วผายออก 3. เมื่อบอกทิศทางให้ชี้นิ้วไปในตําแหน่งที่ต้องการ ฯลฯ

80. วิธีการแก้ไขอาการตื่นเวทีได้ดีที่สุดคือ
(1) หายใจลึก ๆ แล้วนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่นับถือ
(2) หายใจลึก ๆ แล้ววิ่งวนรอบเวที
(3) หายใจลึก ๆ แล้วนึกถึงคําพูดแรก ๆ ในการพูด
(4) ขึ้นอยู่กับบุคคลที่พูด
ตอบ 3
ข้อแนะนําเมื่อเกิดอาการตื่นเวที มีดังนี้
1. เตรียมตัวให้พร้อม ฝึกซ้อมพูดจนมั่นใจ ถือเป็นวิธีป้องกันแก้ไขอาการตื่นเวทีที่ดีที่สุดเพราะถ้าเตรียมสองประการนี้ไม่ดีก็เท่ากับประสบความล้มเหลวก่อนขึ้นเวทีเสียแล้ว 2. สร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง พยายามคิดว่าผู้ฟังทุกคนเป็นมิตรกับเรา 3. สร้างทัศนคติที่ดี ต้องคิดว่าเรามีความรู้ในเรื่องที่จะพูดมากเพียงพอ 4. สูดลมหายใจลึก ๆ ยาว ๆ เพื่อผ่อนคลาย แล้วนึกถึงคําพูดแรก ๆ ในการพูด

81. ข้อใดคือการพูดแบบไม่เป็นทางการ
(1) วณิชยารับโทรศัพท์ในที่ทํางาน
(2) เอกพงษ์อภิปรายเรื่องภาวะโลกร้อน
(3) สุทธิดาสัมภาษณ์ประธานสภาผู้แทนฯ
(4) วันดีกล่าวอวยพรคู่สมรส
ตอบ 1
การสื่อสารด้วยการพูดในสังคมมีรูปแบบสําคัญ 2 ประการ คือ
1. การพูดแบบไม่เป็นทางการ ได้แก่ การทักทาย การแนะนําตัว การสนทนา การเล่าเรื่อง การพูดและรับโทรศัพท์ และการสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ 2. การพูดแบบเป็นทางการ ได้แก่ การสัมภาษณ์ การบรรยาย การประชุม การอภิปราย การโต้วาที่ การพูดแบบปาฐกถา การกล่าวสุนทรพจน์ และการพูดในโอกาสสําคัญ (เช่น งานมงคลสมรส ฯลฯ)

82. การพูดแบบใดที่มักจะใช้แทรกในการพูดแบบต่าง ๆ
(1) การสนทนา
(2) การบรรยาย
(3) การเล่าเรื่อง
(4) การแนะนําตัว
ตอบ 3
การเล่าเรื่อง คือ การที่บุคคลหนึ่งได้เห็นหรือได้ยินเรื่องราวบางอย่างมา แล้วนํามาถ่ายทอดให้คนอื่นฟัง เพื่อให้ผู้ฟังได้รับรู้เรื่องราวนั้นด้วย โดยศิลปะของการเล่าเรื่องก็คือ การทําให้ผู้ฟังติดใจ อยากฟัง ดังนั้นจึงเป็นวิธีการพูดที่สําคัญอย่างหนึ่ง และมักนํามาแทรกไว้ในการพูดแบบอื่น ๆ เพื่อทําให้การพูดนั้นน่าสนใจขึ้น

83. การพูดแบบใดที่มีบทบาทสําคัญในชีวิตประจําวันมากที่สุด
(1) มารยาทในการฟัง
(2) การสนทนา
(3) การสัมภาษณ์งาน
(4) การแนะนําตัว
ตอบ 2
การสนทนา เป็นการส่งสารและรับสารที่ง่ายที่สุด ทําได้รวดเร็วที่สุด และมีบทบาทสําคัญมากที่สุดในชีวิตประจําวัน เพราะมนุษย์เราจะต้องพบปะพูดคุยกับผู้อื่นเพื่อปรึกษาหารือ แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด หรือประสบการณ์ เพื่อความสนุกสนานและผ่อนคลายความเครียด

84. ข้อใดไม่ถูกต้อง
(1) นักข่าวสัมภาษณ์พี่ดารา คือ การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ
(2) การสัมมนาต้องมีการนําผลไปเป็นแนวทางปฏิบัติ
(3) การอภิปรายต้องเป็นเรื่องทางวิชาการ
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3 การอภิปราย คือ การพูดแสดงความรู้ ความคิดเห็น และประสบการณ์ของบุคคลกลุ่มหนึ่งตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อปรึกษาหารือกันและออกความคิดเห็น เพื่อแก้ปัญหาที่มีอยู่ หรือเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดในเรื่องที่กําหนดให้ ดังนั้นความหมายของการอภิปรายที่ ครอบคลุมเนื้อหาสาระมากที่สุดน่าจะเป็น“กระบวนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข่าวสารของบุคคลจํานวนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป หรือมากกว่านั้น…”

85. ข้อใดคือการอภิปรายกลุ่ม ”
(1) นักศึกษาปี 1 ทุกคนรับฟังการอภิปรายทางวิชาการ
(2) สมภพกล่าวอภิปรายที่สนามหลวง
(3) นักวิชาการแบ่งกลุ่มประชุมโลกร้อน
(4) ไม่มีข้อถูก
ตอบ 3
การอภิปรายกลุ่ม (Group Discussion) คือ การอภิปรายที่ทุกคนในกลุ่มเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการอภิปราย โดยทั่วไปจะมีจํานวนสมาชิกในกลุ่ม 5 – 20 คน ซึ่งสมาชิกในกลุ่มทุกคนมีสิทธิ์พูดเพื่อแสดงความรู้ ความคิดเห็น โดยจะผลัดกันพูด ผลัดกันฟัง ไม่มีผู้ฟังที่เป็นบุคคลภายนอก จึงมักใช้ประชุมปรึกษาหารือเพื่อดําเนินงานในขอบเขตของผู้ร่วมอภิปราย

86. การพูดแบบใดที่ผู้พูดได้รับการยอมรับว่าเชี่ยวชาญในเรื่องที่พูด
(1) กล่าวปาฐกถา
(2) กล่าวสุนทรพจน์
(3) การบรรยาย
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1
การพูดแบบปาฐกถา คือ การพูดที่บุคคลคนเดียวแสดงถึงความรู้ความคิดเห็นของตนเองให้ผู้ฟังจํานวนมาก เป็นการพูดแบบบรรยาย หรืออธิบายขยายความให้ผู้ฟังได้เข้าใจ เรื่องที่พูดอย่างแจ่มแจ้ง โดยอาจเป็นการพูดเกี่ยวกับวิชาการหรือเป็นความรู้ทั่ว ๆ ไปก็ได้ ดังนั้นผู้พูดจึงต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้และประสบการณ์ในเรื่องที่พูดอย่างเชี่ยวชาญ

87. การพูดแบบใดที่ผู้พูดสามารถอ่านตามต้นร่างได้โดยไม่เสียมารยาท
(1) พูดจากต้นร่าง
(2) กล่าวสุนทรพจน์
(3) กล่าวปาฐกถา
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
การพูดโดยอาศัยอ่านจากร่างหรือต้นฉบับ คือ การพูดโดยอ่านจากต้นฉบับที่เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วอย่างดี ส่วนมากจะเป็นการพูดที่เป็นพิธีการสําคัญต่าง ๆ เช่น การกล่าวเปิดงาน การกล่าวรายงาน การกล่าวเปิดประชุม การกล่าวรายงานการประชุม การกล่าวสดุดี การปราศรัย การให้โอวาท การกล่าวสุนทรพจน์ของบุคคลสําคัญ คำแถลงหรือประกาศต่าง ๆ ของทางราชการ ฯลฯ

88. วิธีการพูดแบบใดที่เหมาะสมสําหรับทุกโอกาส
(1) การพูดแบบท่องจําจากร่าง
(2) การพูดโดยอาศัยอ่านจากร่าง
(3) การพูดจากความทรงจํา
(4) การพูดแบบท่องจําจากร่าง
ตอบ 3
การพูดจากความทรงจํา ถือเป็นการพูดจากใจและจากความรู้สึกที่แท้จริงของผู้พูด จึงเป็นวิธีการพูดที่ดีที่สุด นิยมมากที่สุด และเหมาะสมที่สุดกับการพูดในทุกโอกาส ซึ่งคนที่จะพูดแบบนี้ได้ดีจะต้องเป็นตัวของตัวเอง มีความจําดี จดจําทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในสมอง มีปฏิภาณไหวพริบ มีความรอบรู้ และสามารถนําเรื่องราวต่าง ๆ มาประสานกันได้อย่างดี เช่น การเล่าเรื่องชีวิตของตนเอง หรือประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ประสบพบเจอ

ข้อ 89 – 90, จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การพูดแบบให้ความรู้
(2) การพูดแบบจูงใจ
(3) การพูดแบบให้ความบันเทิง
(4) การพูดแบบให้กําลังใจ

89. การพูดแบบใดที่ผู้พูดต้องให้ความสําคัญกับผู้ฟังมากกว่าการพูดแบบอื่น
ตอบ 2
วิธีปฏิบัติในการพูดแบบจูงใจหรือชักชวน มีดังนี้
1. ผู้พูดต้องให้ความสําคัญกับผู้ฟังมากกว่าการพูดแบบอื่น โดยพูดยกย่องผู้ฟังหรืออธิบายว่าผู้ฟังจะได้ประโยชน์มากขึ้น 2. ผู้พูดต้องพูดให้ผู้ฟังเห็นว่า ผู้พูดอยู่ฝ่ายเดียวกับผู้ฟังและเห็นอกเห็นใจผู้ฟัง เพื่อให้ผู้ฟังไว้วางใจ 3. ผู้พูดต้องยกตัวอย่าง ยกเหตุผลข้อเท็จจริงต่าง ๆ มาอ้างอิง เพื่อให้ผู้ฟังเห็นด้วย 4. ผู้พูดต้องใช้ศิลปะการพูดต่าง ๆ พูดอย่างมีชีวิตจิตใจ ฯลฯ

90. การพูดแบบใดที่หากพูดคนเดียวต้องใช้เวลาไม่เกิน 45 นาที
ตอบ 3
หลักการพูดแบบให้ความบันเทิง มีข้อเสนอแนะดังนี้
1. ผู้พูดควรจํากัดเวลาในการพูด เพราะถ้าพูดนานจะทําให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่าย โดยถ้ามีผู้พูดหลายคน แต่ละคนไม่ควรพูดเกิน 10 นาที แต่ถ้าพูดคนเดียวก็อาจใช้เวลาประมาณ 35 – 45 นาที
2. ผู้พูดต้องพูดให้ตรงเป้าหมายและพูดให้ได้เรื่องราวที่เหมาะสม
3. เรื่องที่พูดต้องเป็นเรื่องสนุกสนาน เบาสมอง และให้ความบันเทิงจริง ๆ ถ้ามีเรื่องตลกขบขันแทรกก็ต้องเป็นเรื่องที่ไม่หยาบโลน

91. ปัญหาที่มักเกิดในการพูด คือข้อใด
(1) ผู้ฟังอาจเกิดความเข้าใจผิด
(2) ผู้พูดอาจพูดผิดไปโดยพลั้งเผลอ
(3) ผู้พูดไม่ทันรู้สึกว่าตนผิดพลาดไป
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
ปัญหาที่มักเกิดขึ้นในการพูดสื่อสารแต่ละครั้ง คือ การพูดนั้นได้ทําให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจผิดได้บ่อย ๆ ซึ่งมีสาเหตุดังนี้
1. ผู้พูดมีความสามารถไม่เพียงพอที่จะพูดให้ผู้ฟังเข้าใจได้ชัดเจน หรือพูดบางสิ่งบางอย่างผิดไป รายงานโดยพลั้งเผลอ ไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่ทันรู้สึกว่าตนผิดพลาดไป
2. ผู้พูดไม่ทราบว่าสิ่งที่พูดนั้นมีผลกระทบต่อผู้ฟัง หรือไม่คิดว่าผู้ฟังจะเข้าใจผิดและ มีความหมายผิดไปจึงไม่ได้แก้ไข
3. ภาษาพูดไม่ค่อยปรากฏหลักฐานเหมือนภาษาเขียน เมื่อพูดแล้วก็จบไปเลย ไม่มีการทบทวนใหม่ในสิ่งที่พูด

92. การพูดที่มีถ้อยคําดี คืออย่างไร
(1) ถ้อยคําที่จริงใจและเป็นประโยชน์
(2) ถ้อยคําที่ใช้ภาษาที่ดีและถูกต้อง
(3) ถ้อยคําที่ทําให้ผู้ฟังพึงพอใจ
(4) ถ้อยคําที่เหมาะแก่ทุกโอกาส
ตอบ 1
การพูดที่มีถ้อยคําดี คือ การพูดที่ประกอบด้วยถ้อยคําที่เป็นความจริง ซึ่งเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นและสําคัญที่สุดของการพูด โดยควรเป็นถ้อยคําที่จริงใจหรือออกมาจากใจจริง และควรให้เป็นประโยชน์ต่อผู้พูดและผู้ฟัง นอกจากนี้ถ้อยคําที่พูดนี้ควรทําให้ผู้ฟังพึงพอใจด้วย

93. ความมุ่งหมายของการพูดมี 2 แบบ คืออย่างไร
(1) ความมุ่งหมายที่เป็นทางการกับไม่เป็นทางการ
(2) ความมุ่งหมายทั่วไปและความมุ่งหมายเฉพาะ
(3) ความมุ่งหมายเพื่อโน้มน้าวและความมุ่งหมายเพื่อเกลี้ยกล่อม
(4) ความมุ่งหมายเพื่อแสดงออกและความมุ่งหมายเพื่อให้ความบันเทิง
ตอบ 2
การพูดที่มีความมุ่งหมาย คือ ผู้พูดจะต้องทราบแน่ชัดว่าพูดเพื่ออะไร โดยทั่วไปความมุ่งหมายในการพูดมี 2 แบบ ได้แก่ 1. ความมุ่งหมายทั่วไปสําหรับการพูดทุกครั้ง จะเหมือนกันหมด คือ ทําให้ผู้ฟังสนใจและตั้งใจฟัง ฟังเข้าใจและถูกเร้าใจในเรื่องที่พูด 2. ความมุ่งหมายเฉพาะสําหรับการพูดแต่ละครั้ง เพื่อจะได้จัดข้อความ ถ้อยคํา และวิธีการพูดให้สอดคล้องต่อไป เช่น การพูดเพื่อให้ข่าวสารความรู้ให้ความบันเทิง หรือเพื่อเกลี้ยกล่อม

94. การพูดที่มีศิลปะการแสดงดี หมายถึงการแสดงในข้อใด
(1) การเตรียมเนื้อหาและจัดระเบียบความคิด
(2) การใช้น้ำเสียงและกิริยาท่าทาง
(3) การสร้างอารมณ์และสร้างบรรยากาศ
(4) การจัดข้อความและถ้อยคําให้สอดคล้องกับวิธีการพูด
ตอบ 2
การพูดที่มีศิลปะการแสดงดี ซึ่งสิ่งที่สําคัญที่สุดของการแสดงในการพูด คือ การใช้ศิลปะในด้านน้ำเสียงมากที่สุด นอกจากนี้ก็มีการใช้มือ และกิริยาท่าทางของผู้พูด ประกอบ ได้แก่ การแสดงสีหน้า การเคลื่อนไหว การวางท่า และการสบสายตากับผู้ฟัง เพื่อสร้างอารมณ์ สร้างบรรยากาศ ฯลฯ โดยจะต้องแสดงออกมาให้เป็นธรรมชาติ ไม่ประหม่า เพื่อช่วยเน้นความรู้สึก และสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง

95. ทัศนคติข้อใดของผู้พูดที่จะทําให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกต่อต้านมากที่สุด
(1) ความรู้สึกกลัว
(2) ความรู้สึกเบื่อหน่าย
(3) ความรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าผู้ฟัง
(4) ความไม่มั่นใจในความสามารถของตน
ตอบ 3
ความรู้สึกหรือความคิดว่าตนเองอยู่เหนือกว่าผู้ฟัง ถือเป็นทัศนคติในทางลบของผู้พูดที่ก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์ในทางลบและเป็นผลเสียต่อผู้ฟังมากที่สุด เพราะว่าหากผู้พูดมีทัศนคติในแง่นี้แล้ว ผู้พูดอาจจะมองผู้ฟังอย่างสงสาร สมเพทเวทนา ซึ่งส่วนมากจะ แสดงออกทางสีหน้า ท่าทาง ในกรณีเช่นนี้ผู้ฟังจะพยายามป้องกันไม่ให้ตนเองอยู่ในสภาพนั้นและขณะเดียวกันก็จะไม่ยอมรับหรือเกิดความรู้สึกต่อต้านในตัวผู้พูดมากที่สุดด้วย

96. การเข้าถึงจิตใจของผู้อื่น (Empathy) สัมพันธ์กับข้อใดในกระบวนการพูดกับการฟัง
(1) การมีความสัมพันธ์ที่ดี (Raprport)
(2) การเชื่อมั่นในตัวเอง (Self-confidence)
(3) การปฏิสัมพันธ์ (Interaction)
(4) ทัศนคติของผู้ฟัง (Attitude)
ตอบ 1
สิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการโต้ตอบระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ซึ่งจะทําให้กระบวนการพูดกับการฟังได้ผลดี มีอยู่ 2 ประการ ดังนี้ 1. การเข้าถึงจิตใจของผู้อื่น (Empathy) คือ ความพยายามของผู้พูดและผู้ฟังที่จะรับรู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่เหมือนกัน โดยต้องเห็นในสิ่งที่เขาเห็น รู้สึกในสิ่งที่เขารู้สึก 2. การมีความสัมพันธ์ที่ดี (Rapport) คือ การที่ทั้งผู้พูดและผู้ฟังเข้ากันได้ มีการยอมรับร่วมกัน ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าถึงจิตใจของผู้อื่น (Empathy)

97. ข้อใดที่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง
(1) ผู้พูดสํารวจสถานที่ โพเดียม และเครื่องเสียง
(2) ผู้พูดคํานวณอย่างรวดเร็วว่าจะใช้เวลาพูดกี่นาที
(3) ผู้พูดต้องให้ความสนใจในเรื่องที่ตนเองกําลังพูด
(4) ผู้พูดระมัดระวังในเรื่องบุคลิกภาพของตนอยู่ตลอดเวลา
ตอบ 3
ความสัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง มีลักษณะดังนี้
1. ผู้พูดจะต้องให้ความสนใจในเรื่องที่ตนเองกําลังพูดอยู่ และให้ความสนใจในตัวผู้ฟัง 2. ผู้พูดจะต้องให้ความคิดผูกพันอยู่กับเรื่องที่พูด และต้องพูดในสิ่งที่ตนเองคิด 3. ปฏิกิริยาโต้ตอบระหว่างผู้พูดกับผู้ฟังเป็นสิ่งที่สําคัญมาก 4. การใช้เสียงถ่ายทอดความหมายและความรู้สึก 5. การใช้สายตาจับจ้องไปยังผู้ฟัง 6. การหลีกเลี่ยงสิ่งรบกวนที่จะขัดขวางความสนใจในการพูดของผู้พูด

98. การพูดให้มองเห็นภาพพจน์ได้ ขึ้นอยู่กับอะไร
(1) ประสาททั้งหก
(2) การใช้ถ้อยคํา
(3) ความเข้าใจของผู้ฟัง
(4) บรรยากาศในการฟัง
ตอบ 1
การพูดให้สามารถมองเห็นภาพพจน์ได้ คือ การที่ผู้พูดใช้วิธีอุปมาเปรียบเทียบหรือสร้างภาพที่ต้องใช้ประสาทสัมผัสทั้งหก เพื่อทําให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้อยู่ตรงหน้า หรือได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้จริง ๆ โดยการพูดแบบนี้อาจใช้แต่คําพูดหรือแสดงท่าทางให้ผู้ฟังสามารถเห็นจริงเห็นจังตามไปด้วยก็ได้

99. กฎของการตอบคําถาม ประกอบด้วยอะไรบ้าง
(1) ถูกต้อง สมบูรณ์ สุภาพ มั่นใจ
(2) ชัดเจน ถูกต้อง แม่นตรง เชื่อได้
(3) สุภาพ ตอบตรง แจ่มแจ้ง เตรียมพร้อม
(4) เชื่อมั่น พูดดี เรียบร้อย เหมาะสม
ตอบ 1 กฏเกณฑ์ของการตอบคําถาม ซึ่งเรียกว่า 4 Bs มีดังนี้
1. มีความถูกต้อง (Be Accurate) 2. มีความสมบูรณ์ (Be Complete)
3. มีความสุภาพ (Be Polite) 4. มีความมั่นใจ (Be Confident)

100. การใช้ท่าทางประกอบการพูดจะทําให้การพูดเป็นแบบใด
(1) ดึงดูดผู้ฟัง
(2) มีชีวิตชีวา
(3) ผู้พูดไม่เครียด
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
การใช้ท่าทางประกอบการพูดจะช่วยส่งเสริมให้การใช้ถ้อยคําพูดมีความหมายชัดเจนยิ่งขึ้น ทําให้การพูดมีชีวิตชีวาและช่วยดึงดูดใจผู้ฟัง นอกจากนี้ ยังช่วยทําให้ผู้พูดเกิดความมั่นใจ และสามารถลดความตึงเครียดทั้งของผู้พูดและผู้ฟัง แต่ผู้พูดต้องระวังให้การใช้ท่าทางสอดคล้องกับความคิด คําพูดหรือเรื่องที่จะพูด และวิธีการถ่ายทอดโดยควรใช้ท่าทางให้พอดีและเป็นไปตามธรรมชาติ

101. ผู้ที่จะใช้ภาษาได้ดีควรมีความรู้เรื่องใด
(1) ไวยากรณ์และกฎเกณฑ์
(2) หลักและการใช้ภาษา
(3) โครงสร้างของประโยค
(4) ภาษาและวัฒนธรรม
ตอบ 4
ผู้ที่จะใช้ภาษาพูดได้ดีควรมีความรู้ด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ความรู้ในเรื่องหลักภาษา เป็นความรู้เรื่องการสร้างประโยค การใช้ถ้อยคํา ความหมายของคําและรู้จักเลือกใช้ภาษาที่แสดงอารมณ์ความรู้สึก
2. ความรู้ในเรื่องการใช้ภาษาพูดให้สอดคล้องกับวัฒนธรรม เป็นความรู้เรื่องระดับของคําที่ใช้กับบุคคลบางคนหรือบางกลุ่ม เช่น คําพูดที่ใช้กับบุคคลที่อาวุโส พระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ พระภิกษุ ฯลฯ

102. เพศชายและเพศหญิงใช้ภาษาต่างกันในข้อใดมากที่สุด
(1) คําสรรพนาม
(2) คําแบ่งแยกเพศ
(3) คําลงท้าย
(4) คําตอบรับ
ตอบ 1
การใช้ภาษาพูดของเพศหญิงและเพศชายจะต่างกันในเรื่องของการใช้คําสรรพนามมากที่สุด ซึ่งทําให้สามารถแยกการใช้ภาษาพูดของเพศหญิงและเพศชาย ได้ชัดเจน เช่น คําสรรพนาม (เพศชายใช้ผม/กระผม ส่วนเพศหญิงใช้ฉัน/ดิฉัน) รองลงมาคือคําลงท้ายและคําตอบรับ (เพศชายใช้ครับ ส่วนเพศหญิงใช้ค่ะ) เป็นต้น

103. ปัญหาในการใช้ภาษาพูดเรื่องใหญ่ที่สุด คือเรื่องใด
(1) การใช้วรรณยุกต์
(2) การสร้างตัวอักษรและเครื่องหมายต่าง ๆ
(3) การใช้ภาษาพูดในกลุ่มย่อย
(4) การออกเสียงและการใช้ถ้อยคํา
ตอบ 4
ปัญหาในการใช้ภาษาพูดแยกได้เป็นเรื่องใหญ่ ๆ 2 เรื่อง ดังนี้
1. การออกเสียง ซึ่งเป็นปัญหาที่สําคัญที่สุด และถือเป็นปัญหาใหญ่ในการพูดปัจจุบันโดยเฉพาะการออกเสียง ร ที่เป็นเสียงพยัญชนะต้นเป็นเสียง ล และออกเสียง ร ล ว ที่เป็น เสียงควบกล้ำไม่ชัดเจน การใช้ถ้อยคํา ซึ่งภาษาพูดที่ดีต้องเป็นถ้อยคําที่ชัดเจน สื่อความหมายได้ดี มีประสิทธิภาพถูกต้องและเหมาะสม

104. ข้อใดเป็นความสับสนในการออกเสียง ร กับ ล
(1) ลดราวาศอก ออกเสียงเป็น ลดราวาศอก
(2) ลอดหลอดตา ออกเสียงเป็น รอดหูรอดตา
(3) ละล่ำละลัก ออกเสียงเป็น ระล่ำระลัก
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3
สิ่งที่พบมากในการออกเสียง ร กับ ล ก็คือ ความสับสนในการออกเสียง ร กับ ล สลับกัน จนส่งผลให้ใช้ภาษาผิดและความหมายไม่ถูกต้อง ได้แก่ 1. รอดหูรอดตา (หลงหูหลงตาไป) ออกเสียงผิดเป็น ลอดหูลอดตา 2. ลดราวาศอก (อ่อนข้อ ยอมผ่อนปรนให้) ออกเสียงผิดเป็น ลดลาวาศอก 3. ละล่ำละลัก (อาการที่พูดไม่ได้เร็วอย่างใจ กระอีกกระอัก) ออกเสียงผิดเป็น ระล่ำระลัก 4. ร่ำลา (อําลา ลา) ออกเสียงผิดเป็น ล่ำลา ฯลฯ

105. ข้อใดที่มีความหมายโดยนัยแอบแฝงอยู่
(1) น้องสวมเสื้อสีขาว
(2) สีขาว คือ สีฮู้ดของนิติศาสตร์
(3) โตโยต้ารณรงค์เรื่องถนนสีขาว
(4) โรงเรียนทาสีขาวดูสว่างและกว้างขวาง
ตอบ 3
ความหมายโดยนัย หมายถึง ความหมายที่เปลี่ยนไปจากความหมายเดิม โดยใช้นัยแห่งความเดิมมาเปลี่ยนความหมาย บางทีก็เรียกว่าความหมายเชิงอุปมา คือ การนําคําที่ใช้สําหรับสิ่งหนึ่งตามปกติ ไปใช้กับอีกสิ่งหนึ่งที่เห็นว่ามีลักษณะคล้ายกันหรือเข้ากันได้ เช่น โตโยต้ารณรงค์เรื่องถนนสีขาว สีขาว หมายถึง ปลอดภัยจากอุบัติเหตุ) เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่น สีขาว หมายถึง สี เป็นความหมายโดยตรง) (ดูคําอธิบายข้อ 46. ประกอบ)

106. การใช้สุภาษิต คําพังเพยในการพูด มีวิธีการใช้อย่างไร
(1) ต้องใช้ในตอนขมวดเรื่องจบ
(2) ต้องใช้ให้เหมาะกับเรื่องที่พูด
(3) ต้องใช้กับผู้ฟังที่มีการศึกษา
(4) ต้องใช้ในการพูดทุกครั้ง
ตอบ 2
หลักเกณฑ์การใช้สํานวนโวหาร สุภาษิต คําพังเพย และคําคมในการพูด คือ ต้องใช้ให้เหมาะกับเรื่องที่พูด ไม่ขัดกับเนื้อความที่พูด ใช้ให้เหมาะกับระดับบุคคล และเชื่อมโยงกับเรื่องที่พูด โดยไม่ควรยกมากล่าวลอย ๆ หรือใช้อย่างพร่ำเพรื่อ ซึ่งคําเหล่านี้หากผู้พูดนํามาใช้ประกอบการพูดในที่ที่เหมาะสมจะทําให้การพูดคมคาย ประทับใจผู้ฟัง และผู้ฟังจดจําได้ง่าย

107. ถ้อยคําแบบใดที่ไม่ควรใช้ในการพูดยกเว้นเมื่อจําเป็น
(1) ภาษาถิ่น
(2) ภาษาต่างประเทศ
(3) คําเฉพาะอาชีพ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
ถ้อยคําที่ไม่ควรใช้ในภาษาพูด นอกจากคําต่ำ คําหยาบ คําผวนที่หยาบคาย คําที่ใช้กันอยู่ในวงแคบ คํายาก และคําใหม่ ๆ ในอินเทอร์เน็ต ก็ยังมีคําเหล่านี้ซึ่งหากจําเป็นต้องใช้ ก็จะต้องอธิบายให้ผู้ฟังเข้าใจ ได้แก่ 1. คําสแลง 2. คําเฉพาะอาชีพ หรือคําเฉพาะกลุ่ม 3. ศัพท์บัญญัติ 4. ภาษาถิ่น 5. คําภาษาต่างประเทศ

108. การเว้นจังหวะในการพูด คือการหยุดพูดเมื่อใด
(1) เมื่อจบหัวข้อหนึ่งแล้ว
(2) เมื่อขจัดคําพูดที่ไม่จําเป็น
(3) เมื่อออกเสียงไม่ชัด ต้องหยุดแล้วพูดใหม่
(4) เมื่อกําลังจะยกตัวอย่าง
ตอบ 1
การรู้จักเว้นจังหวะในการพูด เป็นการเว้นวรรคตอนตรงข้อความที่ควรจะหยุดซึ่งการเว้นจังหวะโดยทั่วไปคือ การหยุดพูดเมื่อพูดจบหัวข้อหนึ่ง ๆ ก่อนที่จะพูดในหัวข้อใหม่ ต่อไป นอกจากนี้ก็ให้หยุดท้ายคําถาม หยุดท้ายกลุ่มคํา หยุดก่อนที่จะกล่าวคําหรือเรื่องสําคัญและหยุดเมื่อถึงคําสันธาน

109. ข้อความใดที่นับว่าเป็นวลีฆาตกร
(1) ผมว่าควรจะชะลอโครงการนี้ไว้ก่อนดีกว่า
(2) ผมว่าหากทําโครงการนี้ก็อาจจะเกิดผลเสียได้
(3) ผมว่าโครงการนี้สู้โครงการของเพื่อนคุณไม่ได้
(4) ผมว่าโครงการแบบนี้ยังไม่ควรจะได้รับการสนับสนุน
ตอบ 4
อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท ได้เรียกการใช้ภาษาที่จะทําลายบรรยากาศอันดีในที่ประชุมและทําลายความคิดสร้างสรรค์ของผู้เข้าประชุมว่า “วลีฆาตกร” (Kitter Phrases) คือ ภาษา ที่อาจทําให้เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบในทางปฏิปักษ์ ได้แก่ เราไม่เคยทําแบบนี้มาก่อน, แพงเกินไป ผมมองไม่เห็นทางสําเร็จ, คุณคิดว่าคุณเป็นใคร, คุณเป็นศูนย์กลางของจักรวาลหรือ, ผมว่า โครงการแบบนี้ยังไม่ควรจะได้รับการสนับสนุน ฯลฯ นอกจากนิ้วลีฆาตกรยังสามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตประจําวัน เช่น จ่อย ซุ่มซ่ามเหลือเกินนะ (เป็นการพูดตําหนิติเตียนผู้อื่น) เป็นต้น

110. สถานการณ์ในการพูดเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง
(1) บุคคลและโอกาส
(2) โอกาสและสถานที่
(3) บุคคลและกาลเทศะ
(4) สถานภาพทางสังคมของผู้พูด
ตอบ 2
สถานการณ์ในการพูด คือ กาลเทศะ ซึ่งประกอบด้วย เวลา โอกาส สถานที่ และสิ่งแวดล้อมในขณะที่พูด

111. การประชุมแบบปฏิบัติงาน เรียกว่าการประชุมแบบใด
(1) Seminar
(2) Debate
(3) Syndicate
(4) Work Shop
ตอบ 4
ประเภทของการประชุม มีดังนี้
1. การประชุมปรึกษา (Conference) 2. การประชุมมีกําหนด(Convention) 3. การประชุมคณะอภิปราย หรือการประชุมแบบแผง (Panel) 4. การประชุมแลกความรู้ (Symposium) 5. การประชุมปฏิบัติงาน (Work Shop) 6. การประชุมแบบโต้แย้ง (Debate) 7. การประชุมซินดิเคต (Syndicate) 8. การสัมมนา (Seminar)

112. การอภิปรายแบบใดที่ให้ความรู้และความคิดแก่ผู้ฟัง
(1) การอภิปรายหมู่หรือการอภิปรายเป็นคณะ
(2) การอภิปรายแบบโต้วาที
(3) การอภิปรายแบบระดมสมอง
(4) การอภิปรายแบบโต๊ะกลม
ตอบ 1
การอภิปรายหมู่หรือการอภิปรายเป็นคณะ (Panel Discussion) คือ การอภิปรายที่มุ่งให้ความรู้และความคิดแก่ผู้ฟัง ตลอดทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดในหมู่สมาชิกที่ร่วมอภิปรายด้วยกันด้วย โดยจะแบ่งบุคคลออกเป็น 2 กลุ่ม คือ ผู้ฟังกลุ่มหนึ่ง และผู้อภิปรายอีก กลุ่มหนึ่ง อันประกอบด้วย ผู้ดําเนินการอภิปราย 1 คน และผู้ร่วมอภิปราย 2 – 6 คน รวมเป็น 3 – 7 คน

113. จุดมุ่งหมายหลักของการอภิปราย คืออะไร
(1) หาข้อยุติและเสนอแนวทางในการแก้ไข
(2) ร่วมแสดงความคิดเห็น ความรู้ และแลกเปลี่ยนทัศนะ
(3) เสนอข้อเท็จจริงและข้อเสนอแนะที่ดีที่สุด
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
การอภิปรายโดยทั่วไปมีจุดมุ่งหมายหลัก ดังนี้ 1. เพื่อเสนอปัญหาหรือเรื่องบางเรื่องที่น่าสนใจ 2. เพื่อให้คนกลุ่มหนึ่งมาร่วมแสดงความคิดเห็น ความรู้ และแลกเปลี่ยน ทัศนะอย่างมีหลักเกณฑ์มีเหตุผล 3. ผู้อภิปรายได้มีโอกาสเสนอข้อเท็จจริง ให้ข้อเสนอแนะ และช่วยกันหาข้อแก้ไขที่ดีที่สุด 4. หาข้อยุติของปัญหาที่อภิปราย 5. ให้ข้อคิดและทัศนคติแก่ผู้ฟังเพื่อให้เข้าใจปัญหา และเสนอแนวทางในการแก้ไขต่อไป 3

ข้อ 114. – 120. จงเติมคําที่เหมาะสมลงในช่องว่าง

114. น้องดาว……….ไปทําการบ้านอย่าง………..
(1) กุลีกุจอ กระตือรือร้น
(2) กระต้วมกระเตี้ยม กระปรี้กระเปร่า
(3) ขมีขมัน ขะมักเขม้น
(4) ขะมิดขะเมี้ยน ขะมุกขะมอม
ตอบ 3
คําว่า “ขมีขมัน” = รีบเร่งในทันทีทันใด, “ขะมักเขม้น” = ตั้งใจทําอย่างรีบเร่งเพื่อให้แล้วเสร็จไป ก้มหน้าก้มตาทํา (ส่วนคําว่า “กุลีกุจอ” = ช่วยจัด ช่วยทําอย่างเอาจริงเอาจัง, “กระตือรือร้น” – รีบร้อน เร่งรีบ ขมีขมัน มีใจฝักใฝ่เร่งร้อน, “กระต้วมกระเตี้ยม” = อาการที่ค่อย ๆ เคลื่อนไหวอย่างช้า ๆ, “กระปรี้กระเปร่า” = คล่องแคล่วว่องไว เพราะมีกําลังวังชา, “ขะมิดขะเบี้ยน” ไม่มีบัญญัติไว้ในพจนานุกรม มีแต่ “กระมิดกระเมี้ยน”, “ขะมุกขะมอม” = เปรอะเปื้อนมอซอ)

115. คุณครูพูดอย่าง……….และ………น่าเบื่อ
(1) ยืดเยื้อ ยืดยาว
(2) ยึดยาว ยืดยาด
(3) ยืดยาด ยืดเยื้อ
(4) ยั่งยืน ยึกยัก
ตอบ 2
คําว่า “ยืดยาว” = ยาวมาก ใช้ประกอบถ้อยคํา ข้อความหรือเรื่องราวต่าง ๆ, “ยืดยาด” = ชักช้า นานเวลา (ส่วนคําว่า “ยืดเยื้อ” = ยาวนาน ไม่ใคร่จะจบสิ้นง่าย ๆ เช่น คดียืดเยื้อ, “ยั่งยืน” = ยืนยง อยู่นาน, “ยึกยัก” = ขยุกขยิก ยักไปยักมา)

116. ตํารวจ……….พนักงานธนาคารที่ถูกโจร……..
(1) สอบสวน ขู่ฆ่า
(2) ไต่สวน ขู่เข็ญ
(3) ไต่ถาม ปล้นจี้
(4) สอบถาม คาดโทษ
ตอบ 3
คําว่า “ไต่ถาม” = สอบถาม, “ปล้นจี้” = ใช้อาวุธขู่ให้ทําตามและแย่งชิงเอาทรัพย์ไป (ส่วนคําว่า “สอบสวน” – รวบรวมพยานหลักฐานและดําเนินการอย่างอื่น ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทําไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา, “ขู่ฆ่า” = ทําให้กลัวโดยทําร้ายให้ตาย“ไต่สวน” = สอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อวินิจฉัยว่าถูกต้องหรือไม่ มักใช้ในกรณีที่ศาลซักถามจําเลย, “ขู่เข็ญ” = ทําให้กลัวโดยบังคับ, “สอบถาม” = ถามเพื่อขอทราบข้อมูลที่ต้องการ, “คาดโทษ” = หมายไว้ว่าถ้ากระทําผิดอีกจะลงโทษเท่าใด)

117. เด็กสาวคนนี้ประพฤติตัว……….ทําให้พ่อแม่เสียใจ
(1) นอกรีตนอกรอย
(2) นอกคอก
(3) นอกลู่นอกทาง
(4) นอกแนวทาง
ตอบ 3
คําว่า “นอกลู่นอกทาง” = ไม่ประพฤติตามแนวทางที่พ่อแม่ครูอาจารย์ได้เคยดําเนินมา (ส่วนคําว่า “นอกรีตนอกรอย” = ไม่ประพฤติตามจารีตประเพณี, “นอกคอก” = ประพฤติไม่ตรงตามแบบตามธรรมเนียมประเพณีของบรรพบุรุษ “นอกแนวทาง” ไม่มีบัญญัติไว้ในพจนานุกรม)

118. ไอ้หมอนี่เคยทําร้ายฉัน…….. ฉันต้อง……… มันให้ได้
(1) แทบตาย แก้ลํา
(2) ปางตาย แก้แค้น
(3) เจียนตาย แก้เผ็ด
(4) เกือบตาย แก้หน้า
ตอบ 2
คําว่า “ปางตาย” = จวนตาย, “แก้แค้น” = ทําตอบด้วยความแค้นให้สาสมกับความพยาบาทหรือเพื่อให้หายแค้น (ส่วนคําว่า “แทบตาย” = จวนเจียนจะตาย, “แก้ลํา” = ใช้ชั้นเชิงตอบโต้ให้เท่าเทียมกันหรือหนักมือขึ้น, “เจียนตาย” = เกือบตาย, “แก้เผ็ด” = ทําตอบแก่ผู้ที่เคยทําความเจ็บปวดให้แก่ตัวไว้เพื่อให้สาสมกัน, “เกือบตาย” = แทบตาย, “แก้หน้า” = ทําให้พ้นอาย)

119. หุงข้าวเสีย…………….หม้อ จะกินยังไงหมด
(1) เต็ม
(2) กลบ
(3) กบ
(4) ล้น
ตอบ 3
คําว่า “กบ” = เต็มมาก เต็มแน่น เช่น หุงข้าวเสียกบหม้อ มะละกอมีลูกกบคอ (ส่วนคําว่า “เต็ม” = มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งบรรจุอยู่จนไม่มีที่ว่าง, “กลบ” = กิริยาที่เอาสิ่งที่เป็นผงโรยทับข้างบนเพื่อปิดบัง เอาดินหรือสิ่งอื่น ๆ ใส่ลงไปในที่เป็นหลุมเป็นบ่อหรือแอ่งเพื่อให้เต็มหรือไม่เห็นร่องรอย เช่น ขุดหลุมแล้วกลบ เต่าใหญ่ไข่กลบ ฯลฯ โดยปริยายหมายความว่าปิดบัง เช่น กลบความ กลบคํา, “ล้น” = พ้นหรือเลยระดับที่เปี่ยมอยู่แล้วจนไหลออกมา)

120. เขาไป………..ความรู้ให้คนในชุมชนเกี่ยวกับเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่น
(1) เผยแผ่
(2) เผยแพร่
(3) แพร่กระจาย
(4) กระจายข่าว
ตอบ 2 หน้า 277, (คําบรรยาย) คําว่า “เผยแพร่” = โฆษณาให้แพร่หลาย เช่น เผยแพร่ความรู้(ส่วนคําว่า “เผยแผ่” = ทําให้ขยายออกไป เช่น เผยแผ่พระศาสนา, “แพร่กระจาย” = แผ่กระจายออกไป, “กระจายข่าว” = ทําให้ข่าวแพร่ไปในที่ต่าง ๆ)

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เจ้าพนักงานตํารวจจับกุมนักพนันหลายคนในขณะเล่นการพนัน พร้อมกับยึดเงินกองกลางในวงพนันไว้ได้ทั้งหมด นาย ก. ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาได้เสนอต่อเจ้าพนักงานตํารวจว่าจะยอมให้เจ้าพนักงาน ตํารวจเอาเงินที่ยึดไว้เป็นของกลางไป (ซึ่งเป็นเงินกองกลางของวงพนันที่มีส่วนของนาย ก. รวมอยู่ด้วย) เพื่อแลกกับการปล่อยตัวนาย ก. เจ้าพนักงานตํารวจจึงได้เก็บเงินดังกล่าวไว้ พร้อมกับปล่อยตัว นาย ก. ไปตามข้อเสนอข้างต้น นาย ก. มีความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงานหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 144 “ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิ่งการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 มีองค์ประกอบของความผิด ดังนี้

1. ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้
2. ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
3. แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
4. เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิ่งการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่
5. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์
การที่เจ้าพนักงานตํารวจจับกุมนักพนันหลายคนในขณะเล่นการพนัน พร้อมกับยึดเงินกองกลางในวงพนันไว้ได้ทั้งหมด นาย ก. ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ต้องหาได้เสนอต่อเจ้าพนักงานตํารวจว่า จะยอมให้เจ้าพนักงานตํารวจเอาเงินที่ยึดไว้เป็นของกลางไปเพื่อแลกกับการปล่อยตัวนาย ก. และเจ้าพนักงานตํารวจ จึงได้เก็บเงินดังกล่าวไว้พร้อมกับปล่อยตัวนาย ก. ไปตามข้อเสนอนั้น นาย ก. จะมีความผิดฐานให้สินบนแก่ เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 หรือไม่

กรณีนี้เห็นว่า จากข้อเท็จจริงดังกล่าว เงินกองกลางในวงพนันนั้นแม้จะเป็นทรัพย์สินซึ่งนาย ก. มีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วย แต่เมื่อเจ้าพนักงานตํารวจได้ยึดเงินดังกล่าวไว้เป็นของกลางเสียแล้ว เงินก้อนนี้จึงไม่ใช่ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดที่อยู่ในสถานะที่จะให้กันได้ เพราะเป็นเงินของกลางในคดีอาญา ที่เจ้าพนักงานตํารวจได้ยึดไว้ เมื่อไม่มีทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดตามองค์ประกอบของความผิดเสียแล้ว การที่ นาย ก. เสนอเงินดังกล่าวให้แก่เจ้าพนักงานตํารวจเพื่อจูงใจให้กระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่ คือการปล่อยตัว นาย ก. ผู้ต้องหาไป ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 144 ดังนั้น นาย ก. จึงไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 144

สรุป นาย ก. ไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144

 

ข้อ 2. นาย ข. มีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ขับรถจากแจ้งวัฒนะเพื่อไปทํางานย่านรามคําแหงและได้พบว่ามีด่านตํารวจตั้งอยู่บนถนนรามอินทรา เมื่อเจ้าพนักงานตํารวจเรียกให้นาย ข. หยุดรถและขอตรวจใบอนุญาตขับขี่ นาย ข. ซึ่งถูกยึดใบขับขี่ไปเมื่อหลายเดือนก่อนเนื่องจากขับรถฝ่าไฟแดงที่แยกลําสาลี ได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานตํารวจว่าตนเองมียศพันตํารวจตรี เป็นพนักงานสอบสวนอยู่สถานีตํารวจ นครบาลหัวหมาก ได้ทําใบขับขี่หายไปเมื่อวานและขอให้ปล่อยตนเดินทางต่อไป นาย ข. มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 137 “ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชน เสียหาย ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 145 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดแสดงตนเป็นเจ้าพนักงาน และกระทําการเป็นเจ้าพนักงาน โดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอํานาจกระทําการนั้น ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 146 “ผู้ใดไม่มีสิทธิที่จะสวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงาน สมาชิก สภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล หรือไม่มีสิทธิใช้ยศ ตําแหน่ง เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือสิ่งที่หมายถึงเครื่องราชอิสริยาภรณ์ กระทําการเช่นนั้นเพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 137 สามารถแยกองค์ประกอบ ความผิด ได้ดังนี้
1. แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ
2. แก่เจ้าพนักงาน
3. ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย
4. โดยเจตนา
ความผิดฐานแสดงตนและกระทําการเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา 145 วรรคหนึ่ง สามารถ แยกองค์ประกอบความผิด ได้ดังนี้
1. แสดงตนเป็นเจ้าพนักงานและกระทําการเป็นเจ้าพนักงาน
2. โดยตนเองมิได้เป็นเจ้าพนักงานที่มีอํานาจกระทําการนั้น
3. โดยเจตนา

ความผิดฐานสวมเครื่องแบบ ประดับเครื่องหมาย ใช้ยศ ตําแหน่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยไม่มีสิทธิตามมาตรา 146 สามารถแยกองค์ประกอบความผิด ได้ดังนี้
1. สวมเครื่องแบบหรือประดับเครื่องหมายของเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติ แห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล หรือใช้ยศ ตําแหน่ง เครื่องราชอิสริยาภรณ์ หรือสิ่งที่หมายถึง เครื่องราชอิสริยาภรณ์
2. โดยไม่มีสิทธิ
3. เพื่อให้บุคคลอื่นเชื่อว่าตนมีสิทธิ
4. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์
การกระทําของนาย ข. จะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 มาตรา 145 และมาตรา 146 หรือไม่ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้
1. การที่นาย ข. ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตํารวจและถูกยึดใบขับขี่ไป แต่กลับแจ้งต่อพนักงาน ตํารวจว่าตนเองเป็นเจ้าพนักงานตํารวจและทําใบขับขี่หายนั้น ถือว่าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน และถ้าหากเจ้าพนักงานตํารวจหลงเชื่อก็อาจจะปล่อยตัวนาย ข. ไป ซึ่งย่อมเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อเจ้าพนักงาน ตํารวจและสํานักงานตํารวจแห่งชาติเนื่องจากไม่ได้ลงโทษผู้กระทําผิดตามหน้าที่ของตน ดังนั้น การแจ้งข้อความ อันเป็นเท็จดังกล่าวของนาย ข. จึงอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นและประชาชนแล้ว และเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา นาย ข. จึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 137

2. การที่นาย ข. ซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตํารวจได้แจ้งต่อพนักงานตํารวจว่าตนเองมียศเป็นพันตํารวจตรีและเป็นพนักงานสอบสวนอยู่สถานีตํารวจนครบาลหัวหมากนั้น ย่อมเป็นการแสดงตนว่าเป็นเจ้าพนักงานแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนาย ข. มิได้กระทําการเป็นเจ้าพนักงานแต่อย่างใด เพียงแต่ได้แจ้ง ข้อความอันเป็นเท็จเพื่อให้เจ้าพนักงานปล่อยตนเองไปเท่านั้น การกระทําของนาย ข. จึงขาดองค์ประกอบของ ความผิดตามมาตรา 145 วรรคหนึ่ง ดังนั้น นาย ข. จึงไม่มีความผิดฐานแสดงตนและกระทําการเป็นเจ้าพนักงาน ตามมาตรา 145

3. การที่นาย ข. ไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานตํารวจได้แจ้งต่อเจ้าพนักงานตํารวจว่าตนเองมียศพันตํารวจตรีเป็นพนักงานสอบสวนอยู่สถานีตํารวจนครบาลหัวหมากนั้น ย่อมเป็นการใช้ยศและตําแหน่งของ เจ้าพนักงานโดยไม่มีสิทธิที่จะใช้ และเป็นการกระทําเพื่อต้องการให้เจ้าพนักงานตํารวจหลงเชื่อว่าตนเองมีสิทธิที่จะใช้ยศตําแหน่งดังกล่าว เพื่อให้ปล่อยตนเองไป และเมื่อได้ทําโดยเจตนา นาย ข. จึงมีความผิดฐานใช้ยศ ตําแหน่งของเจ้าพนักงานโดยไม่มีสิทธิตามมาตรา 146

สรุป
นาย ข. มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตาม มาตรา 137 และความผิดฐานใช้ยศ ตําแหน่งของเจ้าพนักงานโดยไม่มีสิทธิตามมาตรา 146 แต่ไม่มีความผิดฐาน แสดงตนและกระทําการเป็นเจ้าพนักงานตามมาตรา 145

 

ข้อ 3. ชาย 12 คน ชุมนุมกันที่หน้าโรงงานทอผ้ากล่าวโจมตีและด่าทอเจ้าของโรงงานที่ปล่อยน้ำเน่าลงคลองจากนั้นได้เผาโรงงานและขู่ว่าถ้าเจ้าของโรงงานไม่ยอมย้ายโรงงานไปจะฆ่าให้ตาย ต่อมาความทราบถึง ตํารวจ ตํารวจได้ไปยังสถานที่เกิดเหตุและสั่งให้สลายตัว ปรากฏว่าชาย 12 คน ไม่ยอมสลายตัว ดังนี้ ชาย 12 คน มีความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชนหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 215 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้ กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษ”

มาตรา 216 “เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทําความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป ผู้ใด ไม่เลิก ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ

1. มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป
2. ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
3. โดยเจตนา

ส่วนความผิดตามมาตรา 216 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทําความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป
2. ผู้ใดไม่เลิก
3. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์
การที่ชาย 12 คน ได้ชุมนุมกันที่หน้าโรงงานทอผ้าและได้เผาโรงงาน อีกทั้ง ได้ขู่ว่าถ้าเจ้าของโรงงานไม่ยอมย้ายโรงงานไปจะฆ่าให้ตายนั้น การกระทําของชายทั้ง 12 คน ดังกล่าว ถือว่าเป็น การมั่วสุมกันของคนตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และเป็นการขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้ายหรือกระทําการอย่างหนึ่ง อย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และได้กระทําไปโดยเจตนา การกระทําของชายทั้ง 12 คนนั้น จึงครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 215 วรรคหนึ่งทุกประการ ชายทั้ง 12 คน จึงมีความผิดฐานมั่วสุมกัน ทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215

การกระทําของชายทั้ง 12 คน ไม่มีความผิดตามมาตรา 216 เพราะกรณีที่จะเป็นความผิด ตามมาตรา 216 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานได้มีคําสั่งก่อนที่ผู้มั่วสุมจะได้ลงมือใช้กําลังประทุษร้าย หรือ ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือก่อนที่ผู้มั่วสุมจะกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ตามมาตรา 215 แต่ผู้มั่วสุมไม่ยอมเลิก

สรุป
ชาย 12 คนนั้น มีความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตาม มาตรา 215 แต่ไม่มีความผิดตามมาตรา 216

 

ข้อ 4. นางสุดสวยเอานามบัตรที่พิมพ์ชื่อของพลตํารวจตรีสุดหล่อมากรอกข้อความว่า “ผู้ถือนามบัตรนี้เป็นพรรคพวกกันขอให้ช่วยอนุเคราะห์ด้วย” เพื่อจะนําไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ในการติดต่อราชการกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ทั้งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากพลตํารวจตรีสุดหล่อ ดังนี้ นางสุดสวย มีความผิดเกี่ยวกับเอกสารประการใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือ ตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอม ในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย
1. กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
4. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์
การที่นางสุดสวยเอานามบัตรที่พิมพ์ชื่อของพลตํารวจตรีสุดหล่อมากรอก ข้อความว่า “ผู้ถือนามบัตรนี้เป็นพรรคพวกกันขอให้ช่วยอนุเคราะห์ด้วย” นั้น ถือเป็นการทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับ เพราะข้อความในเอกสารนั้นแสดงว่า พลตํารวจตรีสุดหล่อเป็นผู้เขียน แต่ความจริงแล้วนางสุดสวยเป็นผู้เขียน จึงเป็นลักษณะของเอกสารปลอม ซึ่งการกระทําของนางสุดสวยเป็นการกระทําที่น่าจะเกิดความเสียหาย แก่พลตํารวจตรีสุดหล่อและเป็นการกระทําโดยเจตนา อีกทั้งการทําเอกสารปลอมนั้นก็เพื่อที่จะนําไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ ในการติดต่อราชการกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ อันเป็นเจตนาพิเศษเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง การกระทําของนางสุดสวยจึงเป็นการกระทําความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง

สรุป
การกระทําของนางสุดสวยจึงเป็นการกระทําความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนําข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. อย่างไรเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับสินบน (มาตรา 149) ให้อธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ
ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 149 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ…”

อธิบาย
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา 149 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. เป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิก
สภาเทศบาล
2. เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
3. เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่
4. โดยเจตนา

“เรียก” หมายถึง การที่เจ้าพนักงานฯ แสดงเจตนาให้บุคคลอื่นส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้ แม้บุคคลนั้นจะยังไม่ได้ส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้ก็ถือเป็นความผิดสําเร็จแล้ว

“รับ” หมายถึง การที่บุคคลอื่นให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ และเจ้าพนักงานฯ ได้รับเอาทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นไว้แล้ว

“ยอมจะรับ” หมายถึง การที่บุคคลอื่นเสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ และเจ้าพนักงานฯ ตกลงยอมจะรับในขณะนั้นหรือในอนาคต แต่ยังไม่ได้รับ

การเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ นอกจากผู้กระทําจะต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 คือ รู้ว่าตนได้เรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับ ตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบแล้ว ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ด้วย คือ

(ก) เพื่อกระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่

ตัวอย่าง ร.ต.อ.แดงออกตรวจท้องที่พบเห็นนายดําฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่ ร.ต.อ.แดง ไม่ยอมจับกุมนายดํา นายขาวจึงยื่นเงินให้ ร.ต.อ.แดง 10,000 บาท เพื่อให้จับกุมนายดํา ร.ต.อ.แดงรับเงินมาแล้วจึง จับกุมนายดําส่งสถานีตํารวจเพื่อดําเนินคดี ดังนี้ ร.ต.อ.แดงย่อมมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา 149

(ข) เพื่อไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่
ตัวอย่าง นายเอกเป็นตํารวจจราจรกําลังตั้งด่านตรวจ พบเห็นนายโทขับขี่รถจักรยานยนต์ โดยไม่สวมหมวกกันน็อก จึงเรียกให้จอดรถ แล้วบอกกับนายโทว่า “ถ้าไม่อยากถูกออกใบสั่ง ขอเงินให้ตน 500” ดังนี้ แม้นายโทจะไม่ได้ให้เงินตามที่นายเอกบอก นายเอกก็มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนตาม มาตรา 149 แล้ว

 

ข้อ 2. นายตี๋ลอบเสพยาบ้าในเวลากลางคืน มีไฟฟ้าให้แสงสว่าง ตํารวจสายตรวจไปพบเข้าจึงล้อมจับนายตี๋ได้สับคัทเอ้าท์ลงทําให้ไฟฟ้าทั้งหลังดับแล้วจึงอาศัยความมืดหลบหนีไป ดังนี้ นายตี๋มีความผิด ต่อเจ้าพนักงานประการใด หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 138 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานหรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงาน ตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามมาตรา 138 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้ คือ
1. ต่อสู้หรือขัดขวาง
2. เจ้าพนักงาน หรือผู้ซึ่งต้องช่วยเจ้าพนักงานตามกฎหมายในการปฏิบัติการตามหน้าที่
3. โดยเจตนา

“ต่อสู้” หมายถึง การใช้กําลังขัดขืน เพื่อไม่ให้การกระทําของเจ้าพนักงานสําเร็จผล เช่น สะบัดมือให้พ้นจากการจับกุม หรือดิ้นจนหลุด

“ขัดขวาง” หมายถึง การกระทําด้วยประการใด ๆ ที่ก่อให้เกิดอุปสรรคในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานหรือทําให้การปฏิบัติหน้าที่เป็นไปด้วยความยากลําบาก เพื่อไม่ให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานนั้น ประสบความสําเร็จ เช่น ตํารวจจะวิ่งเข้าไปจับนาย ก. นาย ก. จึงเอาท่อนไม้ไปขวางไว้ เป็นต้น

โดยการกระทําที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ อาจจะเป็นการต่อสู้อย่างเดียว หรือขัดขวาง อย่างเดียว หรืออาจเป็นทั้งการต่อสู้และขัดขวางก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ตํารวจสายตรวจไปพบนายตี๋กําลังลอบเสพยาบ้าในเวลากลางคืน จึงล้อมจับ และนายตี๋ได้ดับไฟแล้วหนีไปนั้น การกระทําดังกล่าวของนายตี๋มิได้เป็นการต่อสู้หรือขัดขวางตํารวจ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ อันจะเป็นความผิดตามมาตรา 138 แต่ประการใด เพราะนายตี๋ เพียงแต่ดับไฟเพื่อหนีตํารวจไปเท่านั้น ดังนั้น นายตี๋จึงไม่มีความผิดต่อเจ้าพนักงานฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน

สรุป
นายตี๋ไม่มีความผิดต่อเจ้าพนักงานฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน

 

ข้อ 3. นายตุ่มจะเผาบ้านที่อยู่อาศัยของนายขวด ในขณะที่นายตุ่มรอเวลาจะไปกระทําตามแผนการที่คิดไว้ นายตุ่มจุดบุหรี่สูบแล้วทิ้งก้านไม้ขีดไฟลงบนพื้นบ้าน เปลวไฟถูกถุงพลาสติกใส่น้ำมันเบนซินที่ ซื้อมาเตรียมไว้เพื่อราดจุดไฟเผาตามแผน ไฟลุกไหม้บ้านนายตุ่มแล้วลุกลามไปไหม้บ้านนายโอ่ง ซึ่งอยู่ใกล้กันเสียหายแต่ห้องครัว ดังนี้ นายตุ่มมีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนประการใดหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 217 “ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษ”
มาตรา 219 “ผู้ใดตระเตรียมเพื่อกระทําความผิดดังกล่าวในมาตรา 217 หรือมาตรา 218 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับพยายามกระทําความผิดนั้น ๆ”
มาตรา 225 “ผู้ใดกระทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท และเป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย หรือการกระทําโดยประมาทนั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานกระทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทตามมาตรา 225 ประกอบด้วย
1. กระทําให้เกิดเพลิงไหม้
2. โดยประมาท
3. เป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย หรือน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น

กรณีตามอุทาหรณ์
การที่นายตุ่มจะเผาบ้านที่อยู่อาศัยของนายขวด และได้นําถุงพลาสติก ใส่น้ำมันเบนซินที่ซื้อมาเตรียมไว้เพื่อราดจุดไฟเผาตามแผนนั้น แม้ว่านายตุ่มจะยังไม่ได้เผาโรงเรือนอันเป็นที่อยู่อาศัยของนายขวดก็ตาม แต่การกระทําของนายตุ่มถือว่าเป็นการตระเตรียมที่จะวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นแล้ว ดังนั้น นายตุ่มจึงมีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนฐานตระเตรียมวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ตามมาตรา 219

และการที่นายตุ่มได้จุดบุหรี่สูบแล้วทิ้งก้านไม้ขีดไฟลงบนพื้นบ้าน เปลวไฟถูกถุงพลาสติก ใส่น้ำมันและไฟได้ไหม้บ้านนายตุ่มแล้วลุกลามไปไหม้บ้านนายโอ่งซึ่งอยู่ใกล้กันเสียหายแต่ห้องครัวนั้น ถือว่าเป็นการกระทําโดยประมาททําให้เกิดเพลิงไหม้และเป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย ดังนั้น นายตุ่มจึงมีความผิด เกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนฐานทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทตามมาตรา 225 อีกกระทงหนึ่ง
สรุป
นายตุ่มมีความผิดฐานตระเตรียมวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นตามมาตรา 219 และ ฐานทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทตามมาตรา 225

 

ข้อ 4. นายแก้วได้เสียอยู่กินกับนางวันทองซึ่งมีอายุ 18 ปี โดยจดทะเบียนสมรสมาได้หนึ่งปีแล้วนางวันทองหนีไปอยู่กินกับนายช้าง นายแก้วตามนางวันทองกลับมาแล้วขอหลับนอนด้วย นางวันทองไม่ยอม นายแก้วจึงใช้ยาทําให้นางวันทองหมดสติแล้วใช้อวัยวะเพศสอดเข้าทางช่องทวารหนักของนางวันทอง จนสําเร็จความใคร่ ดังนี้ นายแก้วมีความผิดเกี่ยวกับเพศประการใดหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 276 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “ผู้ใดข่มขืนกระทําชําเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการ ใด ๆ โดยใช้กําลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทําให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตน เป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษ…

การกระทําชําเราตามวรรคหนึ่ง หมายความว่าการกระทําเพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทํา โดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทํากระทํากับอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้สิ่งอื่นใด กระทํากับอวัยวะเพศหรือทวารหนักของผู้อื่น”

วินิจฉัย
ความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเราตามมาตรา 276 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้คือ
1. ข่มขืนกระทําชําเรา
2. ผู้อื่น
3. โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กําลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทําให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น
4. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์
การที่นายแก้วได้ใช้ยาทําให้นางวันทองหมดสติแล้วใช้อวัยวะเพศ สอดเข้าไปทางช่องทวารหนักของนางวันทองจนสําเร็จความใคร่นั้น การกระทําของนายแก้วดังกล่าวถือว่าเป็นการข่มขืนกระทําชําเราผู้อื่น โดยใช้กําลังประทุษร้ายตามมาตรา 276 วรรคหนึ่งแล้ว เพราะแม้ว่านางวันทองจะเป็นภริยาที่ได้จดทะเบียนสมรสกับนายแก้วก็ตามก็ถือว่านางวันทองเป็น “ผู้อื่น” ตามความหมายของมาตรา 276 วรรคหนึ่ง และตามมาตรา 276 วรรคสองได้ให้ความหมายของการกระทําชําเราว่าให้หมายความรวมถึงการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทํากระทํากับทวารหนักของผู้อื่นด้วย

สรุป
นายแก้วมีความผิดเกี่ยวกับเพศฐานข่มขืนกระทําชําเราตามมาตรา 276 วรรคหนึ่ง ประกอบวรรคสอง

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ดําขับรถมอเตอร์ไซด์ไม่สวมหมวกกันน็อก รถไม่มีป้ายทะเบียน ขับเปลี่ยนเลนกะทันหัน จ.ส.ต.เฉย ตํารวจจราจรซึ่งโบกรถอยู่หน้า กกท. เห็นเหตุการณ์ เรียกดําให้หยุดรถ ขอดูใบขับขี่ แจ้งข้อหาขับรถผิดกฎจราจรให้ดําทราบ ดําโกรธพูดว่าไอ้สัตว์ เก่งแต่จับมอเตอร์ไซด์ เฮงซวย แม่งเดี่ยวกับกูไม๊ จ.ส.ต.เฉยไม่โต้ตอบ ถ่ายคลิปไว้ แดงแม่ของดําเห็นเหตุการณ์ตลอด เดินเข้าไปพูดกับ จ.ส.ต.เฉยว่า จ่าฯ สงสารเถอะเขายังอายุน้อย เอาทุเรียนลูกนี้ไปกินแล้วปล่อยเขาไปเอาบุญ จ.ส.ต.เฉยไม่รับ ดังนี้ ดําและแดงจะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 136 “ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษ”

มาตรา 144 “ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิ่งการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 มีองค์ประกอบของความผิด ดังนี้
1. ดูหมิ่น
2. เจ้าพนักงาน
3. ซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าที่
4. โดยเจตนา

ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 มีองค์ประกอบของความผิด ดังนี้
1. ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้
2. ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
3. แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
4. เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิ่งการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่
5. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ดําพูดกับ จ.ส.ต.เฉยว่าไอ้สัตว์ เก่งแต่จับมอเตอร์ไซด์ เฮงซวย แม่งเกี่ยวกับกูไม๊นั้น คําพูดต่างๆ ที่ดําพูด ถือว่าเป็นคําพูดที่เป็นการดูถูกเหยียดหยาม จ.ส.ต.เฉย เจ้าพนักงาน ซึ่งกระทําการตามหน้าที่ และเมื่อดําด่าด้วยความโกรธจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาประสงค์ต่อผล เมื่อการกระทําของดําครบองค์ประกอบของความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 ดังนั้น ดําจึงมีความผิดอาญา ฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136

ส่วนการที่แดงแม่ของดํา เดินเข้าไปพูดกับ จ.ส.ต.เฉยว่า จ่าฯ สงสารเถอะเขายังอายุน้อย เอาทุเรียนลูกนี้ไปกินแล้วปล่อยเขาไปเอาบุญ แต่ จ.ส.ต.เฉยไม่รับนั้น การกระทําของแดงถือเป็นการเสนอจะให้ ซึ่งเป็นการ “ขอให้” ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่แล้ว และเมื่อแดง ได้กระทําไปโดยเจตนาประสงค์ต่อผล การกระทําของนายแดงจึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานให้สินบน แก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 ดังนั้น แดงจึงมีความผิดอาญาฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144

สรุป
ดํามีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 ส่วนแดงมีความผิดฐานให้สินบน แก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยทุจริต (มาตรา 157) จงอธิบาย

หลักกฎหมาย ยกตัวอย่างและเหตุผลประกอบ
ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 157 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ”

อธิบาย
มาตรานี้ กฎหมายบัญญัติการกระทําอันเป็นความผิดอยู่ 2 ความผิดด้วยกัน กล่าวคือ ความผิดแรก เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ส่วนความผิดที่สองเป็นเรื่องเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้น ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
(ก) องค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
1. เป็นเจ้าพนักงาน
2. ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
3. เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
4. โดยเจตนา

“เป็นเจ้าพนักงาน” หมายถึง เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย โดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

“ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอัน มิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจทําการสอบสวนผู้ต้องหา ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ ตํารวจจึงใช้กําลังชกต่อยให้รับสารภาพ เป็นต้น

“ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การงดเว้นกระทําการตามหน้าที่ อันเป็นการมิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจละเว้นไม่จับคนร้ายที่ลักทรัพย์ผู้เสียหายไป เป็นต้น

ดังนั้นถ้าการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัตินั้น ไม่อยู่ในหน้าที่หรือเป็นการนอกหน้าที่ หรือเป็นการชอบด้วยหน้าที่ ก็ไม่ผิดตามมาตรา 157 นี้

ความผิดตามมาตรานี้จะต้องประกอบด้วยเจตนาพิเศษ คือ ต้องเป็นการกระทํา “เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” ซึ่งไม่จํากัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงความเสียหายในทางอื่นด้วย เช่น ต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง เป็นต้น และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ไม่จําเป็นว่าต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริงๆ จึงจะเป็นความผิด เพียงแต่การกระทํานั้นเพื่อให้เกิดความเสียหายก็เพียงพอ ที่จะถือเป็นความผิดแล้ว

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทําต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ และผู้กระทําต้องปฏิบัติหรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นโดยมิชอบ

(ข) องค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
1. เป็นเจ้าพนักงาน
2. ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
3. โดยทุจริต
4. โดยเจตนา
“โดยทุจริต” หมายถึง เพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สําหรับตนเอง หรือผู้อื่น ทั้งนี้ไม่ว่าประโยชน์นั้นจะเป็นทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่น ดังนั้นถ้าผู้กระทําขาดเจตนาทุจริตแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ความผิดที่สองนี้เพียงการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตก็เป็นความผิดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการกระทําโดยชอบหรือโดยมิชอบด้วยหน้าที่ก็ตาม และโดยไม่ต้องคํานึงถึงว่าจะเกิดความเสียหาย แก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือไม่ ต่างกับความผิดแรกที่ต้องกระทําโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดจึงจะเป็น ความผิด

“ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” เช่น เจ้าพนักงานพูดจูงใจให้ผู้เสียภาษีมอบเงินค่าภาษีให้เกินจํานวน ที่ต้องเสีย แล้วเอาเงินส่วนที่เกินไว้เสียเอง เป็นต้น

“ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” เช่น พนักงานที่ดินรับเงินค่าธรรมเนียมและค่าพาหนะ ในการรังวัดแล้ว มิได้นําเงินลงบัญชี ทั้งมิได้ดําเนินการให้ ดังนี้เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

 

ข้อ 3. นายสุดหล่อเช่าซื้อรถยนต์ป้ายแดงมาจากบริษัทออโต้คาร์ โดยสัญญาเช่าซื้อมีกําหนดระยะเวลา 2 ปี หลังจากเช่าซื้อไปได้ 1 เดือน นายสุดหล่อเกิดความไม่พอใจในรถยนต์ จึงใช้น้ำมันเบนซินราดไปที่รถยนต์ จากนั้นก็จุดไฟโยนลงไป ปรากฏว่าไฟไหม้รถยนต์ได้รับความเสียหายทั้งคัน ดังนั้น นายสุดหล่อมีความผิดฐานวางเพลิงหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 217 “ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย ความผิดตามมาตรา 217 ดังกล่าว แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
1. วางเพลิงเผา
2. ทรัพย์ของผู้อื่น
3. โดยเจตนา
“วางเพลิงเผา” หมายถึง การกระทําให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น ไม่ว่าจะกระทําด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม เช่น ใช้ไม้ขีดไฟจุดไฟเผา ใช้เลนส์ส่องทํามุมกับแสงอาทิตย์จนไฟลุกไหม้ขึ้น หรือใช้วัตถุบางอย่างเสียดสีกันเพื่อให้เกิดไฟ เป็นต้น ซึ่งการทําให้เกิดเพลิงไหม้นี้จะไหม้เพียงบางส่วนหรือทั้งหมดก็ถือเป็นความผิดสําเร็จแล้ว

การวางเพลิงเผาทรัพย์จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อเป็นการวางเพลิงเผา “ทรัพย์ของผู้อื่น” เท่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นสังหาริมทรัพย์หรืออสังหาริมทรัพย์ก็ได้ ดังนั้นถ้าเป็นการวางเพลิงเผาทรัพย์ ของตนเองย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

นอกจากนี้การวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องกระทํา “โดยเจตนา” คือ มีเจตนาหรือ มีความตั้งใจที่จะเผาทรัพย์ของผู้อื่น และต้องรู้ด้วยว่าทรัพย์ที่เผานั้นเป็นของผู้อื่น ถ้าหากไม่รู้ก็ถือว่าไม่มีเจตนา เช่น วางเพลิงเผาทรัพย์โดยเข้าใจว่าทรัพย์นั้นเป็นของตนเอง ก็ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุดหล่อได้เช่าซื้อรถยนต์ป้ายแดงมาจากบริษัทออโต้คาร์ และเนื่องจากสัญญาเช่าซื้อรถยนต์นั้น กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังไม่โอนไปยังผู้เช่าซื้อจนกว่าผู้เช่าซื้อจะชําระราคาครบถ้วน เมื่อนายสุดหล่อยังชําระราคาไม่ครบ กรรมสิทธิ์ในรถยนต์จึงยังเป็นของบริษัทออโต้คาร์ ซึ่งถือว่าเป็นของผู้อื่น ดังนั้นการที่นายสุดหล่อใช้น้ำมันเบนซินราดไปที่รถยนต์และจุดไฟโยนลงไป ทําให้ไฟไหม้รถยนต์ ได้รับความเสียหายทั้งคัน จึงถือว่านายสุดหล่อได้วางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นแล้ว และเมื่อนายสุดหล่อได้กระทําไปโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผล นายสุดหล่อจึงมีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นตามมาตรา 217

สรุป
นายสุดหล่อมีความผิดอาญาฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นตามมาตรา 217

 

ข้อ 4. จําเลยเก็บธนบัตรปลอม ฉบับละ 100 บาท ได้ใบหนึ่ง โดยจําเลยรู้ว่าเป็นธนบัตรปลอม จากนั้นจําเลยได้ตกแต่ง ดัดแปลง แก้ไข เพิ่มเติม จนกลายเป็นธนบัตรฉบับละ 500 บาท ดังนี้จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับเงินตราหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 240 “ผู้ใดทําปลอมขึ้นซึ่งเงินตรา ไม่ว่าจะปลอมขึ้นเพื่อให้เป็นเหรียญกษาปณ์ ธนบัตร หรือสิ่งอื่นใดซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อํานาจให้ออกใช้ หรือทําปลอมขึ้นซึ่งพันธบัตรรัฐบาลหรือใบสําคัญ สําหรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้น ๆ ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเงินตรา ต้องระวางโทษ”

มาตรา 241 “ผู้ใดแปลงเงินตรา ไม่ว่าจะเป็นเหรียญกษาปณ์ ธนบัตร หรือสิ่งอื่นใดซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือให้อํานาจให้ออกใช้ หรือแปลงพันธบัตรรัฐบาล หรือใบสําคัญสําหรับดอกเบี้ยพันธบัตรนั้นๆ ให้ผิดไปจากเดิม เพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีมูลค่าสูงกว่าจริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานแปลงเงินตรา ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานปลอมเงินตรา ตามมาตรา 240 แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
1. ทําปลอมขึ้น
2. ซึ่งเงินตรา ไม่ว่าเพื่อให้เป็นเหรียญกษาปณ์ ธนบัตร หรือสิ่งอื่นใดซึ่งรัฐบาลออกใช้หรือ ให้อํานาจให้ออกใช้หรือพันธบัตรรัฐบาลหรือใบสําคัญสําหรับดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล
3. โดยเจตนา

“ทําปลอมขึ้น” หมายความว่า การเอาสิ่งของมาทําเทียมขึ้นเพื่อให้เหมือนของจริง ซึ่งเมื่อผู้กระทําได้กระทําการปลอมขึ้นเพื่อให้เป็นเงินตราหรือธนบัตรก็ถือว่าเป็นความผิดตามมาตรานี้แล้ว ส่วนบุคคลอื่น จะหลงเชื่อว่าเป็นของแท้หรือไม่ ไม่สําคัญ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จําเลยเก็บธนบัตรปลอมฉบับละ 100 บาท ได้ใบหนึ่ง ธนบัตรปลอม ดังกล่าวจึงถือว่าเป็นสิ่งของเมื่อจําเลยได้ตกแต่ง แก้ไข เพิ่มเติม จนกลายเป็นธนบัตรฉบับละ 500 บาท จึงเป็นการเอาสิ่งของมาทําเทียมเพื่อให้เหมือนของจริงโดยไม่มีอํานาจ การกระทําของจําเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเงินตรา ตามมาตรา 240

อนึ่ง การกระทําของจําเลยไม่มีความผิดฐานแปลงเงินตราตามมาตรา 241 เพราะการที่จะเป็นความผิดฐานแปลงเงินตราตามมาตรา 241 จะต้องเป็นการตกแต่ง ดัดแปลง แก้ไข เพิ่มเติม ธนบัตรของจริง ให้ผิดไปจากเดิม เพื่อให้ผู้อื่นเชื่อว่ามีมูลค่าสูงขึ้น แต่กรณีดังกล่าวเป็นการกระทําต่อธนบัตรปลอม จึงไม่เข้า หลักเกณฑ์มาตรา 241

สรุป
จําเลยมีความผิดฐานปลอมเงินตรา ตามมาตรา 240

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. (ก) อย่างไรเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจร (มาตรา 210 วรรคหนึ่ง) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่าง

ธงคําตอบ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทําความผิดฐานเป็นซ่องโจร…”

จากหลักประมวลกฎหมายอาญามาตรา 210 วรรคหนึ่ง จะเห็นได้ว่า กรณีที่จะเป็นความผิด ฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบของความผิด ดังต่อไปนี้ คือ
1. สมคบกัน
2. ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
3. เพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
4. โดยเจตนา

1. สมคบกัน การกระทําที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้นั้นจะต้องมีการสมคบกัน ซึ่ง “การสมคบกัน” ที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สําคัญ 2 ประการ คือ

(1) จะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน และ
(2) จะต้องมีการตกลงใจร่วมกันว่าจะกระทําความผิด

ดังนั้นถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมไม่ถือว่าเป็นการสมคบกัน เช่น ร่วมปรึกษากัน 8 คน เพื่อจะไปปล้นทรัพย์ แต่มีผู้ตกลงใจที่จะร่วมปล้นทรัพย์เพียง 5 คน ดังนี้เฉพาะ 5 คนนี้เท่านั้นที่ถือว่ามีการสมคบกัน

2. ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป การสมคบกันที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องสมคบกัน “ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป” จึงจะเป็นความผิด ดังนั้นจะมากกว่า 5 คน หรือ 5 คนพอดี ก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว แต่ถ้า ต่ํากว่า 5 คนแล้วย่อมไม่เป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจร

3. เพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้น มีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป บุคคลตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปสมคบกันเพื่อกระทําความผิดนั้น จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรได้ จะต้องมีเหตุจูงใจหรือเจตนาพิเศษเพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ บัญญัติไว้ในภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญานี้เท่านั้น คือตั้งแต่มาตรา 107 – มาตรา 366 (ภาคความผิด) เช่น ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฆ่าคนตาย เป็นต้น ดังนั้น ถ้าเป็นการสมคบกันเพื่อกระทําความผิดตามกฎหมายอื่น แม้ระวางโทษหนักเพียงใด ก็ไม่ถือเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจร และนอกจากนี้ความผิดนั้นจะต้องมีโทษอย่างสูง ตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปด้วย

ตัวอย่าง นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี่ และนายห้า ได้ประชุมปรึกษาหารือ และ ตกลงใจร่วมกันที่จะขายยาบ้า แต่ยังไม่ทันได้ขายบุคคลทั้งห้าก็ถูกตํารวจจับเสียก่อน ดังนี้ แม้จะมีการสมคบกัน ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปเพื่อกระทําความผิด แต่ความผิดดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดฯ ซึ่งมิใช่ความผิด

อย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แม้ความผิดนั้นจะกําหนดโทษจําคุก อย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปก็ตาม ดังนั้นบุคคลทั้งห้าจึงไม่มีความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210

4. โดยเจตนา ผู้กระทําต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 คือ มีเจตนาที่จะสมคบกันเพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แต่ไม่จําเป็นต้องรู้ว่าความผิดที่ กระทํานั้นมีโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ซึ่งความผิดฐานเป็นซ่องโจรนี้ถือเป็นความผิดสําเร็จทันทีตั้งแต่ มีการสมคบกัน แม้ผู้สมคบนั้นจะยังมิได้กระทําความผิดตามที่สมคบกันก็ตาม

ตัวอย่าง นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี่ และนายห้า ได้ประชุมปรึกษาหารือกันว่า จะเข้าปล้นบ้านของนายดํา ซึ่งทั้ง 5 คนตกลงเห็นด้วย แต่ก่อนที่จะเข้าปล้นบ้านของนายดําทั้ง 5 คน ถูกตํารวจ จับได้เสียก่อน ดังนี้ถือว่าทั้ง 5 คน มีความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคหนึ่งแล้ว

(ข) อย่างไรเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบน (มาตรา 149) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่าง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 149 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือ สมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ”

ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา 149 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. เป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิก
สภาเทศบาล
2. เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
3. เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่
4. โดยเจตนา

“เรียก” หมายถึง การที่เจ้าพนักงานฯ แสดงเจตนาให้บุคคลอื่นส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ อื่นใดให้ แม้บุคคลนั้นจะยังไม่ได้ส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้ก็ถือเป็นความผิดสําเร็จแล้ว

“รับ” หมายถึง การที่บุคคลอื่นให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ และเจ้าพนักงานฯ ได้รับเอาทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นไว้แล้ว

“ยอมจะรับ” หมายถึง การที่บุคคลอื่นเสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ และเจ้าพนักงานฯ ตกลงยอมจะรับในขณะนั้นหรือในอนาคต แต่ยังไม่ได้รับ

การเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ นอกจากผู้กระทําจะต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 คือ รู้ว่าตนได้เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับ ตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบแล้ว ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ด้วย คือ

(ก) เพื่อกระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่
ตัวอย่าง ร.ต.อ.แดงออกตรวจท้องที่พบเห็นนายดําฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่ ร.ต.อ.แดง ไม่ยอมจับกุมนายดํา นายขาวจึงยื่นเงินให้ ร.ต.อ.แดง 10,000 บาท เพื่อให้จับกุมนายดํา ร.ต.อ.แดงรับเงินมาแล้ว จึงจับกุมนายดําส่งสถานีตํารวจเพื่อดําเนินคดี ดังนี้ ร.ต.อ.แดงย่อมมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตาม มาตรา 149

(ข) เพื่อไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่
ตัวอย่าง นายเอกเป็นตํารวจจราจรกําลังตั้งด่านตรวจ พบเห็นนายโทขับขี่รถจักรยานยนต์ โดยไม่สวมหมวกกันน็อก จึงเรียกให้จอดรถ แล้วบอกกับนายโทว่า “ถ้าไม่อยากถูกออกใบสั่ง ขอเงินให้ตน 500” ดังนี้ แม้นายโทจะไม่ได้ให้เงินตามที่นายเอกบอก นายเอกก็มีความผิดฐานเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนตามมาตรา 149 แล้ว

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นความผิดฐานช่วยผู้อื่นเพื่อไม่ให้ต้องโทษ (มาตรา 189) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่าง
ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 189 “ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทําความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พํานักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษ…”

องค์ประกอบความผิดฐานช่วยผู้กระทําความผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษตามมาตรา 189 ประกอบด้วย
1. ผู้ใด
2. ช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทําความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด
3. ความผิดนั้นไม่ใช่ความผิดลหุโทษ
4. โดยให้พํานักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม
5. เพื่อไม่ให้ต้องโทษ
6. กระทําโดยเจตนา

การกระทําความผิดตามมาตรานี้ คือ ช่วยผู้อื่น ซึ่งการช่วยนั้นจะต้องทําโดยให้ที่พํานักโดย ซ่อนเร้น หรือโดยช่วยด้วยประการใด
คําว่า “ให้พํานัก” หมายถึง ให้ที่พักอาศัยจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวรก็ได้ เช่น ให้อยู่ในบ้าน คําว่า “ซ่อนเร้น” หมายถึง ปกปิดมิให้เจ้าพนักงานทราบ เช่น พาไปหลบในที่ลับตา

คําว่า “ช่วยด้วยประการใด” หมายถึง ช่วยเหลือผู้กระทําความผิดหรือผู้ต้องหาในทุก ๆ วิธี เช่น การช่วยดูต้นทาง การให้สัญญาณให้ผู้นั้นหลบซ่อนจะได้ไม่ต้องถูกจับ เป็นต้น

ผู้ที่ได้รับการช่วยตามมาตรานี้ต้องเป็นผู้อื่น ไม่ใช่ช่วยตนเอง และผู้อื่นนี้จะต้องเป็นผู้กระทํา ความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิดในขณะที่ช่วยนั้นด้วย

คําว่า “ผู้กระทําความผิด” หมายถึง ผู้กระทําความผิดที่มีโทษทางอาญา โดยไม่จําเป็นที่จะต้องถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิด เพียงแต่มีมูลเหตุที่แสดงให้เห็นว่าผู้นั้นกระทําความผิดก็เพียงพอแล้ว

คําว่า “ผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด” หมายถึง ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทําความผิดทางอาญา แต่ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล เช่น ผู้ที่ถูกศาลออกหมายจับ

ผู้ช่วยผู้กระทําความผิดจะมีความผิดตามมาตรา 189 นี้ ต้องเป็นการช่วยผู้กระทําความผิดหรือ ผู้ต้องหาว่ากระทําความผิดที่มิใช่ความผิดลหุโทษ (ความผิดที่มีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท)

การที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ ผู้ช่วยเหลือจะต้องมีมูลเหตุชักจูงใจหรือเจตนาพิเศษ เพื่อที่จะให้ผู้ที่ตนช่วยนั้นไม่ให้ต้องโทษและเพื่อไม่ให้ถูกจับกุมด้วย กล่าวคือ จะต้องมีเจตนาพิเศษทั้งสองอย่าง

ผู้ช่วยเหลือจะต้องกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 คือ มีเจตนาในการช่วยเหลือ รวมทั้ง รู้ข้อเท็จจริงด้วยว่าผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือนั้นเป็นผู้กระทําความผิดหรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด

ตัวอย่าง แดงใช้อาวุธมีดแทงดําตาย แล้ววิ่งหนีตํารวจมาบ้านขาวซึ่งเป็นเพื่อนกัน แดงพูด กับขาวว่าเพิ่งแทงคนตายช่วยหน่อย ขาวจึงให้แดงเข้ามาหลบในบ้านไม่ให้ตํารวจจับ ดังนี้ขาวย่อมมีความผิดฐาน ช่วยผู้กระทําผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษและเพื่อไม่ให้ถูกจับกุมโดยให้พํานักซ่อนเร้นตามมาตรา 189

 

ข้อ 3. ร.ต.อ.ส้มตรวจท้องที่กับ ส.ต.อ.มะม่วงผู้ใต้บังคับบัญชา พบ ก. ข. ค. ง. และ จ. เล่นพนันฟุตบอลผิดกฎหมายจึงเข้าจับกุมทุกคน ระหว่างทางจะนําตัวนักพนันส่งให้ร้อยเวรฯ สอบสวน ร.ต.อ.ส้ม จําได้ว่า ก. เป็นเพื่อนของลูกชายตัวเองจึงพูดกับ ส.ต.อ.มะม่วงว่า หมู่ ปล่อยตัว ก. คนนี้เพื่อนลูกผมคนอื่นเอาตัวส่งร้อยเวรสอบสวน ดังนี้ ร.ต.อ.ส้มจะมีความผิดอาญาอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 157 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้ คือ
1. เป็นเจ้าพนักงาน
2. ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
3. เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
4. โดยเจตนา

“เป็นเจ้าพนักงาน” หมายถึง เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย โดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

“ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอันมิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจทําการสอบสวนผู้ต้องหา ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ ตํารวจจึงใช้กําลังชกต่อยให้รับสารภาพ หรือเจ้าพนักงานตํารวจตรวจค้นตัวผู้ต้องสงสัย ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่กลับคุมตัวไปอีกสถานที่หนึ่ง เป็นต้น

ซึ่งการจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ได้นั้นจะต้องประกอบด้วยเหตุจูงใจพิเศษ คือ ต้องเป็นการกระทํา “เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” ซึ่งไม่จํากัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงความเสียหายในทางอื่นด้วย เช่น ต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง เป็นต้น และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ ไม่จําเป็นว่าต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริง ๆ จึงจะเป็นความผิด เพียงแต่การกระทํานั้นเพื่อให้เกิดความเสียหาย ก็เพียงพอที่จะถือเป็นความผิดแล้ว

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทําต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ และผู้กระทําได้ปฏิบัติหน้าที่ นั้นโดยมิชอบ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ร.ต.อ.ส้มพูดกับ ส.ต.อ.มะม่วงผู้ใต้บังคับบัญชาให้ปล่อยตัว ก. ส่วนคนอื่นเอาตัวส่งร้อยเวรสอบสวนนั้น เป็นการสั่งการในฐานะผู้บังคับบัญชา เมื่อ ร.ต.อ.ส้มเป็นเจ้าพนักงานตํารวจมีหน้าที่ในการจับกุมผู้กระทําความผิด และทราบดีว่า ก. เป็นผู้กระทําความผิด ซึ่ง ร.ต.อ.ส้มไม่มีอํานาจสั่งปล่อยได้ แต่ ร.ต.อ.ส้มกลับสั่งการในฐานะผู้บังคับบัญชาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาปล่อยตัวผู้กระทําความผิด การกระทํา ของ ร.ต.อ.ส้มจึงถือว่าเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดแล้ว และเมื่อเป็นการกระทําโดยเจตนา จึงครบองค์ประกอบตามมาตรา 157 ดังกล่าวข้างต้น ดังนั้น ร.ต.อ.ส้มจึงม ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 (เทียบฎีกาที่ 13312/2557)

สรุป ร.ต.อ.ส้มมีความผิดอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157

 

ข้อ 4. นายดําขับรถยนต์จะมาสอบวิชากฎหมายอาญา 2 ภาคฤดูร้อน ที่มหาวิทยาลัยรามคําแหง รถติดมากจึงขับรถฝ่าไฟแดงที่สี่แยกลําสาลี จ.ส.ต.ขยันตํารวจจราจรที่ปล่อยรถแยกลําสาลี่เห็นเหตุการณ์ เรียกให้หยุดรถ ขอดูใบขับขี่ แจ้งให้ทราบว่าขับรถผิดกฎจราจร ควักใบสั่งออกมาจะเขียนให้นายดํา นายดํายื่นเงินให้ จ.ส.ต.ขยัน 100 บาท แล้วพูดว่า จ่าฯ ผมมีแค่นี้ เอาไปเถอะแล้วปล่อยผม ผมจะ รีบไปสอบ จ.ส.ต.ขยัน ส่ายหน้าไม่รับเงิน นายดําโกรธพูดว่าไอ้จ่าฯ ไอ้หน้าโง่ ดังนี้ นายดําจะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 136 “ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตาม หน้าที่ ต้องระวางโทษ”

มาตรา 144 “ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิ่งการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 มีองค์ประกอบของความผิด ดังนี้
1. ดูหมิ่น
2. เจ้าพนักงาน
3. ซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าที่
4. โดยเจตนา

ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 มีองค์ประกอบของความผิด ดังนี้
1. ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้
2. ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
3. แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
4. เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิ่งการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่
5. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดําได้ยื่นเงินให้ จ.ส.ต.ขยันเพื่อให้ปล่อยตัวนายดําเนื่องจากขับรถ ผิดกฎจราจรนั้น แม้ว่า จ.ส.ต.ขยันจะไม่รับเงิน แต่การกระทําของนายดําถือว่าเป็นการเสนอจะให้ซึ่งเป็นการ “ขอให้” ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่แล้ว และเมื่อนายดําได้กระทําโดยเจตนาประสงค์ต่อผล การกระทําของนายดําจึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ตามมาตรา 144 ดังนั้น ในส่วนนี้นายดําจึงมีความผิดอาญาฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144

ส่วนการที่นายดําพูดกับ จ.ส.ต.ขยันว่า “ไอ้จ่า ไอ้หน้าโง่” นั้น ถือว่าเป็นคําพูดที่เป็นการดูถูก เหยียดหยาม จ.ส.ต.ขยัน จึงเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกําลังกระทําการตามหน้าที่ และเมื่อเป็นการกระทําโดยเจตนา จึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 ดังนั้น ในส่วนนี้นายดําจึงมี ความผิดอาญาฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136

สรุป
นายดํามีความผิดอาญาฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 และมีความผิด ฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136

LAW2007 กฎหมายอาญา2 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. อย่างไรเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 137 ให้อธิบายหลักกฎหมายพอสังเขปและยกตัวอย่างประกอบ
ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 137 “ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชน เสียหาย ต้องระวางโทษ”

อธิบาย ความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 137 นี้สามารถแยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
1. แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ
2. แก่เจ้าพนักงาน
3. ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย
4. โดยเจตนา

“แจ้งข้อความ” หมายถึง การกระทําด้วยประการใด ๆ ให้เจ้าพนักงานได้ทราบข้อเท็จจริงนั้น อาจกระทําโดยวาจา โดยการเขียนเป็นหนังสือ หรือโดยการแสดงกิริยาท่าทางอย่างใดก็ได้

“ข้อความอันเป็นเท็จ” หมายถึง ข้อความที่นําไปแจ้งไม่ตรงกับความจริงหรือตรงข้ามกับความจริง เช่น นาย ก. ไปจดทะเบียนสมรสกับนางสาว ข. โดยแจ้งต่อนายอําเภอว่าไม่เคยมีภริยาหรือจดทะเบียนสมรสมาก่อน ทั้ง ๆ ที่นาย ก. มีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว คือ นาง ค. เช่นนี้เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามต้องเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในอดีตหรือปัจจุบัน ถ้าหากเป็นเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งเป็นเรื่องไม่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ จะว่าเป็นข้อความเท็จยังไม่ได้

การแจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา 137 นี้อาจเกิดขึ้นได้ 2 กรณีคือ
(ก) ผู้แจ้งไปแจ้งต่อเจ้าพนักงานเอง
(ข) โดยตอบคําถามที่เจ้าพนักงานเรียกไปสอบสวนเป็นพยานก็ได้

อนึ่งการแจ้งข้อความอันเป็นจริงบางส่วนและเท็จบางส่วน ก็ถือว่าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแล้ว เช่น ยื่นใบสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยกรอกข้อความอื่นเป็นความจริง แต่ในช่องสัญชาติของบิดากรอกว่าบิดาเป็นไทย ความจริงเป็นจีน ซึ่งเป็นเท็จไม่หมด ก็ถือว่าแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ตามมาตรา 137 นี้แล้ว

สําหรับการฟ้องเท็จในคดีแพ่งหรือการยื่นคําให้การเท็จในคดีแพ่ง ไม่ถือว่าเป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงานเป็นแต่การดําเนินกระบวนพิจารณาในศาล จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 137 (คําพิพากษาฎีกาที่ 1274/2513)

ส่วนในคดีอาญา ผู้ต้องหาชอบที่จะให้การแก้ตัวต่อสู้คดีอย่างใดก็ได้ เพื่อให้ตนเองพ้นผิด หรือจะไม่ยอมให้การเลยก็ได้ แม้คําให้การของผู้ต้องหาจะเป็นเท็จ หรือให้การไปโดยเชื่อว่าตนเองอยู่ในฐานะผู้ต้องหา ก็ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ แม้ต่อมาจะได้ความว่าผู้ต้องหาไม่ใช่ผู้กระทําผิด ก็ยังถือว่าเป็นคําให้การในฐานะผู้ต้องหาอยู่ (คําพิพากษาฎีกาที่ 1093/2522) แต่ถ้าจําเลยได้แจ้งข้อความเท็จแก่เจ้าพนักงาน ก่อนที่จะตกเป็นผู้ต้องหา ไม่ถือว่าให้การในฐานะผู้ต้องหา จึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จ

การแจ้งข้อความเท็จที่จะถือว่าเป็นความผิดสําเร็จนั้น เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งต้องได้ทราบข้อความนั้นด้วย แม้ว่าจะไม่เชื่อเพราะรู้ความจริงอยู่แล้วก็ตาม แต่ถ้าเจ้าพนักงานไม่ทราบข้อความนั้น เช่น เจ้าพนักงานไม่ได้ยิน หรือได้ยินแต่กําลังหลับในอยู่ไม่รู้เรื่อง หรือไม่เข้าใจภาษาต่างประเทศที่แจ้ง เช่นนี้ยังไม่เป็นความผิดสําเร็จ เป็นเพียงความผิดฐานพยายามแจ้งความเท็จเท่านั้น

“แก่เจ้าพนักงาน” เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งข้อความตามมาตรานี้ ต้องมีอํานาจหน้าที่รับแจ้งข้อความและดําเนินการตามเรื่องราวที่แจ้งความนั้น และต้องกระทําการตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายด้วย เช่น นายอําเภอ ปลัดอําเภอ ตํารวจ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น ดังนั้นถ้าเจ้าพนักงานนั้นไม่มีหน้าที่ในการรับแจ้ง ข้อความหรือ
เรื่องที่แจ้งนั้นไม่อยู่ในอํานาจของเจ้าพนักงานที่จะดําเนินการได้ ก็ไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ

“ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย” การแจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงาน จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ต่อเมื่อการแจ้งนั้นอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ดังนั้นถ้าไม่อาจก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

อนึ่งกฎหมายใช้คําว่า “อาจทําให้เสียหาย” จึงไม่จําเป็นต้องเกิด ความเสียหายขึ้นแล้วจริง ๆ เพียงแต่อาจเสียหายก็เป็นความผิดสําเร็จแล้ว

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทําจะต้องกระทําด้วยเจตนาตามมาตรา 59 กล่าวคือ ผู้แจ้งจะต้องรู้ว่าข้อความที่แจ้งนั้นเป็นเท็จ และต้องรู้ว่าบุคคลที่ตนแจ้งนั้นเป็นเจ้าพนักงานด้วย ถ้าผู้แจ้งไม่รู้ก็ไม่เป็น ความผิดตามมาตรานี้

ตัวอย่างความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 137

นายเอกมีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย คือ นางโท หลังจากนั้นนายเอกยังได้ไปจดทะเบียนสมรส กับ น.ส.ตรี อีก โดยแจ้งต่อนายอําเภอว่าไม่เคยมีภริยามาก่อนและไม่เคยจดทะเบียนสมรสมาก่อน ซึ่งทั้งนางโทและ น.ส.ตรีไม่ทราบเรื่องดังกล่าวเลย เช่นนี้จะเห็นว่านายเอกแจ้งข้อความอันเป็นเท็จ ต่อนายอําเภอซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน ซึ่งมีอํานาจหน้าที่ในการรับแจ้งจดทะเบียนสมรส ซึ่งกระทําโดยเจตนา เพราะนายเอกรู้ว่านายอําเภอเป็นเจ้าพนักงาน และรู้ว่าข้อความที่แจ้งเป็นเท็จ หากนายอําเภอรับจดทะเบียนสมรสให้ก็อาจจะทําให้นางโทและ น.ส.ตรีเสียหาย แก่เกียรติยศและชื่อเสียงได้ นายเอกจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 137

แต่ถ้านายเอกและนางโทได้จดทะเบียนหย่ากันแล้ว ซึ่งมีผลเช่นเดียวกับไม่มีคู่สมรส ดังนี้ การที่นายเอกไปแจ้งต่อนายอําเภอว่าตนเคยมีภริยามาแล้ว แต่ไม่เคยจดทะเบียนสมรส จึงไม่อาจจะทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 137 นี้ (คําพิพากษาฎีกาที่ 1237/2544)

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับสินบน ให้อธิบายหลักกฎหมายความผิดฐานเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 149 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือ สมาชิกสภาเทศบาล เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ”

อธิบาย
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา 149 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. เป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
2. เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
3. เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่
4. โดยเจตนา

“เรียก” หมายถึง การที่เจ้าพนักงานฯ แสดงเจตนาให้บุคคลอื่นส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์ อื่นใดให้ แม้บุคคลนั้นจะยังไม่ได้ส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้ก็ถือเป็นความผิดสําเร็จแล้ว

“รับ” หมายถึง การที่บุคคลอื่นให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ และเจ้าพนักงานฯ ได้รับเอาทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นไว้แล้ว

“ยอมจะรับ” หมายถึง การที่บุคคลอื่นเสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงานฯ และเจ้าพนักงานฯ ตกลงยอมจะรับในขณะนั้นหรือในอนาคต แต่ยังไม่ได้รับ

การเรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ นอกจากผู้กระทําจะต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 คือ รู้ว่าตนได้เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบแล้ว ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ด้วย คือ

(ก) เพื่อกระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่
ตัวอย่าง ร.ต.อ.แดงออกตรวจท้องที่พบเห็นนายดําฆ่าคนตายโดยเจตนา แต่ ร.ต.อ.แดง ไม่ยอมจับกุมนายดํา นายขาวจึงยื่นเงินให้ ร.ต.อ.แดง 10,000 บาท เพื่อให้จับกุมนายดํา ร.ต.อ.แดงรับเงินมาแล้วจึง จับกุมนายดําส่งสถานีตํารวจเพื่อดําเนินคดี ดังนี้ ร.ต.อ.แดงย่อมมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา 149

(ข) เพื่อไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่
ตัวอย่าง นายเอกเป็นตํารวจจราจรกําลังตั้งด่านตรวจ พบเห็นนายโทขับขี่รถจักรยานยนต์ โดยไม่สวมหมวกกันน็อก จึงเรียกให้จอดรถ แล้วบอกกับนายโทว่า “ถ้าไม่อยากถูกออกใบสั่ง ขอเงินให้ตน 500” ดังนี้ แม้นายโทจะไม่ได้ให้เงินตามที่นายเอกบอก นายเอกก็มีความผิดฐานเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนตามมาตรา 149 แล้ว

 

ข้อ 3. วัยรุ่นสิบคนมั่วสุมสมคบกันเพื่อข่มขืนกระทําชําเรานักศึกษาผู้หนึ่ง แล้วไปรอดักนักศึกษาผู้นั้นที่ปากซอยเข้าบ้าน แต่ตํารวจจับวัยรุ่นทั้งสิบคนได้เสียก่อน ดังนี้ วัยรุ่นมีความผิดประการใดหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 210 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทําความผิด ฐานเป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 215 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษ”

มาตรา 276 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดข่มขืนกระทําชําเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กําลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทําให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบความผิดดังนี้
1. สมคบกัน
2. ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
3. เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
4. โดยเจตนา

“การสมคบกัน” ที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สําคัญ 2 ประการ คือ

(ก) จะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน และ
(ข) จะต้องมีการตกลงร่วมกันว่าจะกระทําความผิด

การสมคบกันนั้น จะต้องสมคบกัน “ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป” จึงจะเป็นความผิด ดังนั้นจะมากกว่า 5 คน หรือ 5 คนพอดี ก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว แต่ถ้าต่ำกว่าห้าคนแล้วไม่เป็นความผิดฐานซ่องโจร

“เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2” หมายความว่า ความผิดนั้น ต้องเป็นความผิดตามภาค 2 ได้แก่ ความผิดตั้งแต่มาตรา 107 ถึงมาตรา 366 เช่น ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ข่มขืนกระทําชําเรา ฆ่าคนตาย วางเพลิงเผาทรัพย์ เป็นต้น

“ความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป” หมายความว่า โทษอย่างสูง เป็นอัตราโทษอย่างสูงตามที่ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ ซึ่งมิใช่โทษที่ศาลจะลงแก่ผู้กระทํา ความผิด ทั้งนี้จะต้องมีกําหนดโทษอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปด้วย

“โดยเจตนา” หมายความว่า รู้สํานึกว่าเป็นการสมคบกันเพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แต่ไม่จําเป็นต้องรู้ว่าความผิดที่จะกระทํานั้นมีโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปหรือไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่วัยรุ่นสิบคนมั่วสุมสมคบกันเพื่อข่มขืนกระทําชําเรานักศึกษาผู้หนึ่งนั้น ถือว่าเป็นการสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยมีเจตนาที่จะกระทําความผิดแล้ว และเมื่อความผิดที่จะกระทําคือ ความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเรานั้น เป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาภาค 2 และมี กําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป จึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 แล้ว ดังนั้น วัยรุ่นทั้งสิบคนจึงมีความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อมามีว่า วัยรุ่นทั้งสิบคนจะมีความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเราตาม มาตรา 276 และความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 หรือไม่ เห็นว่า วัยรุ่นทั้งสิบคนยังไม่มีความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเราตามมาตรา 276 เพราะการที่วัยรุ่นทั้งสิบคนไปรอดักนักศึกษาผู้นั้น ที่ปากซอยเข้าบ้าน แต่ถูกตํารวจจับได้เสียก่อนนั้น ถือว่าเป็นเพียงอยู่ในขั้นตระเตรียมการเท่านั้นยังไม่ได้ลงมือกระทําความผิด ซึ่งตามกฎหมายยังไม่ถือว่าเป็นความผิด และวัยรุ่นทั้งสิบคนก็ไม่มีความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้ เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 ด้วยเช่นกัน เพราะวัยรุ่นทั้งสิบคนยังมิได้กระทําการใด ๆ เพื่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง

สรุป
วัยรุ่นทั้งสิบคนยังไม่มีความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเราตามมาตรา 276 และไม่มี ความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 แต่มีความผิดฐานเป็นซ่องโจรตาม มาตรา 210

 

ข้อ 4. หญิงสองคนช่วยกันจับนางสาวกากีให้ชายสามคนกระทําชําเรา ชายคนแรกกระทําชําเราจนสําเร็จความใคร่ไปแล้ว ชายคนที่สองกําลังกระทําชําเราอยู่ แต่ยังไม่สําเร็จความใคร่ ส่วนชายคนที่สามได้ ถอดกางเกงยืนรออยู่ ขณะนั้นมีรถตํารวจสายตรวจวิ่งผ่านมา หญิงสองคนและชายสามคนดังกล่าว จึงวิ่งหนีแยกย้ายกันไป ดังนี้ หญิงสองคนและชายสามคนดังกล่าวนั้นมีความผิดเกี่ยวกับเพศ ประการใดหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 276 วรรคหนึ่งและวรรคสาม “ผู้ใดข่มขืนกระทําชําเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กําลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทําให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตน เป็นบุคคลอื่น ต้องระวางโทษ

ถ้าการกระทําความผิดตามวรรคหนึ่งได้กระทําโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือร่วมกัน กระทําความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงหรือกระทํากับชายในลักษณะเดียวกัน ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานข่มขืนกระทําชําเราตามมาตรา 276 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้คือ
1. ข่มขืนกระทําชําเรา
2. ผู้อื่น
3. โดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ โดยใช้กําลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทําให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น
4. โดยเจตนา

คําว่า “ผู้ใด” ตามมาตรา 276 วรรคหนึ่งนั้น กฎหมายมิได้บัญญัติว่าจะต้องเป็นชายหรือหญิง ดังนั้น ผู้กระทําที่จะมีความผิดตามมาตรานี้อาจจะเป็นชายหรือหญิงก็ได้

และตามมาตรา 276 วรรคสาม การร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงนั้น หมายความว่าจะต้องมีการร่วมผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทําชําเราตั้งแต่สองคนขึ้นไปด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หญิงสองคนช่วยกันจับนางสาวกากีให้ชายสามคนกระทําชําเรานั้น แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า ชายคนแรกได้กระทําชําเราจนสําเร็จความใคร่ไปแล้ว และชายคนที่สองกําลังกระทําชําเรา อยู่แต่ยังไม่สําเร็จความใคร่ ส่วนชายคนที่สามได้ถอดกางเกงยืนรออยู่ กรณีดังกล่าวนี้ย่อมถือได้ว่า มีการร่วมผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทําชําเรานางสาวกาตั้งแต่สองคนขึ้นไปแล้ว จึงเป็นการร่วมกันกระทําความผิดด้วยกัน อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามนัยของมาตรา 276 วรรคหนึ่ง และวรรคสามแล้ว ดังนั้น หญิงสองคนและชายสามคนดังกล่าว จึงมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันข่มขืนกระทําชําเราอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงทุกคน ตามมาตรา 276 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83

สรุป
หญิงสองคนและชายสามคนดังกล่าวมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันข่มขืนกระทําชําเรา อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงตามมาตรา 276 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83

LAW 2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559 ข้อสอบ

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. อย่างไรเป็นความผิดฐานให้สินบนเจ้าพนักงาน (มาตรา 144) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ
ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 144 “ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ต้องระวางโทษ”

อธิบาย
ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 ดังกล่าว สามารถแยกองค์ประกอบ ความผิดได้ดังนี้

1. ผู้ใด
2. ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้
3. ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
4. แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
5. เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิ่งการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่
6. กระทําโดยเจตนา

“ให้” หมายถึง มีการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด และเจ้าพนักงานได้รับเอาไว้แล้ว ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยผู้กระทําได้ให้แก่เจ้าพนักงานเอง หรือเจ้าพนักงานได้เรียกเอาและผู้นั้นได้ให้ไป

“ขอให้” หมายถึง เสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงาน เช่น เอ่ยปากขอให้เงินแก่เจ้าพนักงาน แม้เจ้าพนักงานยังไม่ได้ตกลงว่าจะรับก็เป็นความผิดสําเร็จแล้ว

“รับว่าจะให้” หมายถึง เจ้าพนักงานเป็นฝ่ายเรียกก่อน แล้วผู้กระทําก็รับปากกับเจ้าพนักงานว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เป็นความผิดสําเร็จทันทีนับแต่รับว่าจะให้ ส่วนทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้น จะให้แล้วหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสําคัญ

สิ่งที่ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้นั้นจะต้องเป็น “ทรัพย์สิน” เช่น เงิน แหวน รถยนต์ เป็นต้น หรือ “ประโยชน์อื่นใด” ที่ไม่ใช่ทรัพย์สิน เช่น ให้อยู่บ้านหรือให้ใช้รถโดยไม่เสียค่าเช่า หรือยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย เป็นต้น

การกระทําตามมาตรานี้ต้องเป็นการกระทําต่อ “เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล” เท่านั้น และบุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นผู้มีอํานาจหน้าที่ด้วย ถ้าหากกระทําต่อบุคคลอื่นนอกจากนี้แล้ว หรือบุคคลดังกล่าวไม่มีอํานาจหน้าที่หรือพ้นจากอํานาจหน้าที่ย่อมไม่เป็น ความผิดตามมาตรานี้

ในเรื่องเจตนา ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 กล่าวคือรู้ว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าพนักงาน หรือสมาชิกแห่งสภา ถ้าผู้กระทําไม่รู้ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ ทั้งนี้ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาพิเศษหรือมีมูลเหตุ ชักจูงใจเพื่อการอันมิชอบด้วยหน้าที่ด้วย คือ

(ก) ให้กระทําการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้เงินเพื่อให้ตํารวจจับคนที่ไม่ได้กระทําความผิด
(ข) ไม่กระทําการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ตํารวจจะจับกุม ผู้กระทําผิด จึงให้เงินแก่ตํารวจนั้นเพื่อไม่ให้ทําการจับกุมตามหน้าที่
(ค) ประวิงการกระทํา อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานสอบสวนให้ระงับการสอบสวนไว้ก่อน
ดังนั้นถ้าหากมีเหตุจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันชอบด้วยหน้าที่แล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 144 นี้ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจไม่จับกุมผู้กระทําผิดกฎหมาย จําเลยให้เงินตํารวจ เพื่อให้ทําการจับกุม กรณีนี้จําเลยไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 เพราะการให้ทรัพย์สิน มีมูลเหตุจูงใจให้กระทําการอันชอบด้วยหน้าที่

ตัวอย่างความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144

นายแดงถูก ส.ต.อ.ขาวจับกุมในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครอง จึงเสนอจะยกลูกสาวของตน ให้กับ ส.ต.อ.ขาว เพื่อแลกกับการปล่อยตัว แต่ ส.ต.อ.ขาวยังไม่ได้ตกลงตามที่นายแดงเสนอ เช่นนี้ถือว่านายแดงขอให้ประโยชน์อันใดนอกจากทรัพย์สินแก่ ส.ต.อ.ขาวเจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยเจตนา นายแดงจึงมีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 อันเป็นความผิดสําเร็จแล้ว

แต่ถ้ากรณีเป็นว่านายแดงถูกฟ้องเป็นจําเลย นายแดงทราบว่า ส.ต.อ.ขาวจะต้องไปเป็นพยาน ตามหมายเรียกของศาล จึงขอยกลูกสาวให้ ส.ต.อ.ขาวเพื่อให้ ส.ต.อ.ขาวเบิกความผิดจากความจริง ดังนี้นายแดง ไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 เพราะการเบิกความเป็นหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชนทั่วไป ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ จึงมิใช่การให้ประโยชน์อันใดเพื่อจูงใจให้กระทําการด้วยหน้าที่อันมิชอบ (คําพิพากษาฎีกาที่ 439/2469)

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นความผิดฐานช่วยผู้อื่นเพื่อไม่ให้ต้องโทษ (มาตรา 189) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ
ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 189 “ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทําความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พํานักแก่ผู้นั้นโดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษ”

อธิบาย
องค์ประกอบความผิดฐานช่วยผู้กระทําความผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษตามมาตรา 189 ประกอบด้วย

1. ผู้ใด
2. ช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทําความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด
3. ความผิดนั้นไม่ใช่ความผิดลหุโทษ
4. โดยให้พํานักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม
5. เพื่อไม่ให้ต้องโทษ
6. กระทําโดยเจตนา

การกระทําความผิดตามมาตรานี้ คือ ช่วยผู้อื่น ซึ่งการช่วยนั้นจะต้องทําโดยให้ที่พํานักโดย ซ่อนเร้น หรือโดยช่วยด้วยประการใด

คําว่า “ให้พํานัก” หมายถึง ให้ที่พักอาศัยจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวรก็ได้ เช่น ให้อยู่ในบ้าน คําว่า “ซ่อนเร้น” หมายถึง ปกปิดมิให้เจ้าพนักงานทราบ เช่น พาไปหลบในที่ลับตา

คําว่า “ช่วยด้วยประการใด” หมายถึง ช่วยเหลือผู้กระทําความผิดหรือผู้ต้องหาในทุก ๆ วิธี เช่น การช่วยดูต้นทาง การให้สัญญาณให้ผู้นั้นหลบซ่อนจะได้ไม่ต้องถูกจับ เป็นต้น

ผู้ที่ได้รับการช่วยตามมาตรานี้ต้องเป็นผู้อื่น ไม่ใช่ช่วยตนเอง และผู้อื่นนี้จะต้องเป็นผู้กระทําความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิดในขณะที่ช่วยนั้นด้วย

คําว่า “ผู้กระทําความผิด” หมายถึง ผู้กระทําความผิดที่มีโทษทางอาญา โดยไม่จําเป็นที่จะต้องถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิด เพียงแต่มีมูลเหตุที่แสดงให้เห็นว่าผู้นั้นกระทําความผิดก็เพียงพอแล้ว

คําว่า “ผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด” หมายถึง ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทําความผิดทางอาญา แต่ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล เช่น ผู้ที่ถูกศาลออกหมายจับ

ผู้ช่วยผู้กระทําความผิดจะมีความผิดตามมาตรา 189 นี้ ต้องเป็นการช่วยผู้กระทําความผิดหรือ ผู้ต้องหาว่ากระทําความผิดที่มิใช่ความผิดลหุโทษ (ความผิดที่มีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท)

การที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ ผู้ช่วยเหลือจะต้องมีมูลเหตุชักจูงใจหรือเจตนาพิเศษ เพื่อที่จะให้ผู้ที่ตนช่วยนั้นไม่ให้ต้องโทษและเพื่อไม่ให้ถูกจับกุมด้วย กล่าวคือ จะต้องมีเจตนาพิเศษทั้งสองอย่าง

ผู้ช่วยเหลือจะต้องกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 คือ มีเจตนาในการช่วยเหลือ รวมทั้ง รู้ข้อเท็จจริงด้วยว่าผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือนั้นเป็นผู้กระทําความผิดหรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด

ตัวอย่าง แดงใช้อาวุธมีดแทงดําตาย แล้ววิ่งหนีตํารวจมาบ้านขาวซึ่งเป็นเพื่อนกัน แดงพูดกับขาวว่าเพิ่งแทงคนตายช่วยหน่อย ขาวจึงให้แดงเข้ามาหลบในบ้านไม่ให้ตํารวจจับ ดังนี้ขาวย่อมมีความผิดฐาน ช่วยผู้กระทําผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษและเพื่อไม่ให้ถูกจับกุมโดยให้พํานักซ่อนเร้นตามมาตรา 139

 

ข้อ 3. นายโหดต้องการแก้แค้นนายดีคู่อริ จึงลอบเผาบ้านของนายดี ตํารวจดับเพลิงและชาวบ้านช่วยกันดับไฟและนํานายดีออกจากบ้านได้โดยปลอดภัยไม่ได้รับอันตราย แต่นายดีนึกเสียดายเงินที่ซ่อนไว้ ได้วิ่งเข้าไปในบ้านเพื่อเอาเงินแล้วออกมาไม่ได้ ถูกไฟลวกถึงแก่ความตายในกองเพลิง ดังนี้ นายโหดมีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนประการใดหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 217 “ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษ”

มาตรา 218 “ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ดังต่อไปนี้
(1) โรงเรือน เรือ หรือแพที่คนอยู่อาศัย ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 224 “ถ้าการกระทําความผิดดังกล่าวในมาตรา 217 มาตรา 218 มาตรา 221 หรือ มาตรา 222 เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทําต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
การวางเพลิงเผาทรัพย์ที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 218 นั้นในเบื้องต้น การกระทําจะต้อง ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 217 อันเป็นหลักทั่วไปก่อน คือ
1. ผู้ใด
2. วางเพลิงเผา
3. ทรัพย์ของผู้อื่น
4. โดยเจตนา

เมื่อการกระทําครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 217 แล้ว จึงมาพิจารณาว่าทรัพย์ที่ วางเพลิงเผานั้นเป็นทรัพย์ที่ระบุไว้ในมาตรา 218 หรือไม่ ถ้าเป็นแล้ว ผู้กระทํามีความผิดตามมาตรา 218 อัน เป็นลักษณะฉกรรจ์ ต้องรับโทษสูงกว่าโทษที่ระบุไว้ในมาตรา 217

“วางเพลิงเผา” หมายถึง การกระทําให้เกิดเพลิงไหม้ขึ้น ไม่ว่าจะกระทําด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม แม้จะไหม้เพียงบางส่วนก็เป็นความผิดสําเร็จแล้ว แต่ถ้าหากยังไม่เกิดไฟไหม้ขึ้น ก็เป็นแค่พยายามวางเพลิงเท่านั้น

“ทรัพย์ของผู้อื่น” ถ้าเป็นทรัพย์ของตนเอง หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ย่อมไม่เป็น ความผิดตามมาตรานี้

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทํามีความต้องการที่จะเผาทรัพย์นั้นและรู้ว่าทรัพย์ที่เผานั้น เป็นของผู้อื่นด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายโหดต้องการแก้แค้นนายดีคู่อริ จึงลอบเผาบ้านของนายดีนั้น ถือได้ว่านายโหดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นโดยเจตนา และเป็นการวางเพลิงโรงเรือนอันเป็นที่อยู่อาศัย นายโหด จึงมีความผิดตามมาตรา 217 ประกอบมาตรา 218 (1)

แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ตํารวจดับเพลิงและชาวบ้านได้ช่วยกันดับไฟ และนํานายดีออกจากบ้านได้โดยปลอดภัยไม่ได้รับอันตราย แต่นายดีนึกเสียดายเงินที่ซ่อนไว้ จึงได้วิ่งเข้าไปในบ้านเพื่อเอาเงินออกมา

จนถูกไฟลวกจนถึงแก่ความตายในกองเพลิงนั้น นายโหดหามีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์จนเป็นเหตุให้บุคคลอื่น ถึงแก่ความตายตามมาตรา 224 ไม่ เพราะนายดีถึงแก่ความตายเนื่องจากการวิ่งเข้าไปในบ้านที่เพลิงกําลังไหม้ หาใช่การวางเพลิงของนายโหดอันเป็นเหตุให้นายดีถึงแก่ความตายไม่

สรุป
นายโหดมีความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นซึ่งเป็นโรงเรือนที่คนอยู่อาศัยตาม มาตรา 217 ประกอบมาตรา 218 (1)

 

ข้อ 4. จําเลยเป็นเจ้าของบ้านจัดสรร วันเกิดเหตุนาย ก. ไปดูบ้านจัดสรรของจําเลยเพื่อจะหาซื้อไว้สัก 1 หลัง ปรากฏว่านาย ก. เห็นแล้วเกิดชอบในแบบแปลนของบ้านและวัสดุที่ใช้ในการก่อสร้าง จําเลยบอก กับนาย ก. ว่าบ้านจัดสรรรุ่นนี้น้ำไม่ท่วม นาย ก. ได้ตกลงซื้อไว้ 1 หลัง หลังจากนาย ก. เข้าไปอยู่ ได้เพียง 6 เดือน น้ำเกิดท่วม ข้อเท็จจริงได้ความว่าพื้นที่บริเวณนั้นน้ำท่วมทุกปีซึ่งจําเลยก็ทราบดี

ดังนี้ จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับการค้าหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 271 “ผู้ใดขายของโดยหลอกลวงด้วยประการใด ๆ ให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกําเนิด สภาพ คุณภาพหรือปริมาณแห่งของนั้นอันเป็นเท็จ ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานขายของโดยหลอกลวงตามมาตรา 271 ประกอบด้วย
1. ผู้ใด
2. ขายของโดยหลอกลวงด้วยประการใด ๆ
3. ให้ผู้ซื้อหลงเชื่อในแหล่งกําเนิด สภาพ คุณภาพ หรือปริมาณแห่งของนั้นอันเป็นเท็จ
4. ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
5. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จําเลยขายบ้านจัดสรรให้แก่นาย ก. โดยหลอกลวงว่าน้ำไม่ท่วม ซึ่งความจริงพื้นที่บริเวณนั้นน้ำท่วมทุกปีและจําเลยก็ทราบดีนั้น ถือเป็นกรณีที่จําเลยได้ขายของโดยหลอกลวงด้วย ประการใด ๆ ให้นาย ก. ผู้ซื้อหลงเชื่อในสภาพและคุณภาพแห่งของนั้นอันเป็นเท็จ และจําเลยได้กระทําไปโดยเจตนา แต่อย่างไรก็ตาม การที่จะเป็นความผิดฐานขายของโดยหลอกลวงตามมาตรา 271 กฎหมายกําหนดไว้ว่าจะต้องเป็นการขายสังหาริมทรัพย์เท่านั้น ไม่รวมถึงการขายอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าบ้านจัดสรรเป็น อสังหาริมทรัพย์ จําเลยจึงไม่มีความผิดฐานขายของโดยหลอกลวงตามมาตรา 271

สรุป จําเลยไม่มีความผิดฐานขายของโดยหลอกลวงตามมาตรา 271

WordPress Ads
error: Content is protected !!