LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายดําไม่พอใจที่นายขาวคุยเสียงดังจึงเดินเข้าไปหาเงื้อมือจะต่อยนายขาวระยะประชิดตัว นายขาวชกหน้านายดําครั้งเดียว นายดําหกล้มแขนหัก นายขาวจะต้องรับผิดอย่างไรหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

วินิจฉัย
การกระทําที่จะถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะมีผลทําให้ผู้กระทําไม่มีความผิด และไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ คือ

(1) มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
(2) ภยันตรายนั้นเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง
(3) ผู้กระทําจําต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายนั้น
(4) ต้องได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายขาวชกหน้านายดําทําให้นายดําหกล้มแขนหักนั้น ถือว่านายขาว ได้กระทําต่อนายดําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา และในขณะเดียวกันนายขาวก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น ซึ่งโดยหลักการแล้วนายขาวจะต้องรับผิดทางอาญา ตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เหตุที่นายขาวได้ชกหน้านายดํานั้น เป็นเพราะนายดําได้เดินเข้าไปหานายขาว และเงื้อมือจะต่อยนายขาวในระยะประชิดตัว ซึ่งลักษณะการกระทําของนายดํานั้น ย่อมถือได้ว่ามีภยันตรายซึ่ง เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายเกิดขึ้นกับนายขาว และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง นายขาวจึงต้อง กระทําคือการชกหน้านายดําเพื่อป้องกันสิทธิของตน อีกทั้งการที่นายขาวได้ชกหน้านายดําเพียงครั้งเดียวย่อมถือว่า นายขาวได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ ดังนั้น การกระทําของนายขาวจึงต้องด้วยหลักเกณฑ์ของการกระทําอัน เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 นายขาวจึงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป
นายขาวไม่ต้องรับผิดทางอาญาเพราะเป็นการกระทําเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. บันดาลโทสะ (ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72) มีหลักกฎหมายและผลอย่างไรบ้าง จงอธิบายและยกตัวอย่าง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

“บันดาลโทสะ” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72 สามารถแยกพิจารณาได้ 2 ประการ คือ หลักเกณฑ์การกระทําความผิดเพราะบันดาลโทสะ และผลของการกระทําความผิดเพราะบันดาลโทสะ

1. หลักเกณฑ์การกระทําความผิดเพราะบันดาลโทสะ แบ่งออกได้เป็น 3 ประการ คือ

1) ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ซึ่งการข่มเหงคือการรังแกนั่นเอง โดยการ ข่มเหงนั้นอาจจะทําโดยใช้กําลังกายประทุษร้าย กล่าววาจาเสียดสีหยาบคาย หรือแสดงกิริยาอาการเป็นการเย้ยหยันสบประมาทผู้กระทําผิดก็ได้ แต่ต้องมีพฤติการณ์ร้ายแรงโดยไม่ชอบธรรม ซึ่งอาจจะเป็นการข่มเหงผู้กระทําผิด โดยตรงหรือข่มเหงบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้กระทําผิด เช่น บิดา บุตร หรือคู่สมรสของผู้กระทําผิดก็ได้

2) การข่มเหงเช่นนั้นเป็นเหตุให้ผู้กระทําผิดบันดาลโทสะ หมายความว่า การข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมนั้น ได้ทําให้ผู้กระทําผิดเกิดความโกรธ ความฉุนเฉียว ขุ่นเคืองอารมณ์ขึ้นมาจนไม่สามารถควบคุมสติสัมปชัญญะได้เช่นบุคคลธรรมดา

3) ผู้กระทําได้กระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น หมายความว่า ผู้กระทําผิดจะต้องได้กระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงโดยตรง และต้องกระทําในขณะที่มีโทสะอยู่ กล่าวคือได้กระทําความผิดในระยะเวลา ต่อเนื่องใกล้ชิดกับการบันดาลโทสะ คือการบันดาลโทสะยังไม่ขาดตอนนั้นเอง

ตัวอย่าง เช่น ผู้ตายไล่ตามน้องสาวจําเลยเพื่อข่มขืน มีคนขัดขวางและจับผู้ตายขัง โดยผู้ตายได้ร้องด่าจําเลยตลอดเวลา และยังเตะพวกของจําเลยแล้ววิ่งหนีไป จําเลยได้ถือมีดพร้าไล่ตามผู้ตายไป และฟัน ผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ ย่อมถือว่าการกระทําของจําเลยเป็นการกระทําโดยบันดาลโทสะ

หรือ ผู้ตายลอบทําชู้กับภริยาจําเลย จําเลยกลับจากธุระมาพบขณะกําลังเปิดมุ้งหนีออกมาจากมุ้งของภริยา จําเลยจึงเอาขวานไล่ฟันถึงตาย ดังนี้ ถือว่าจําเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และได้กระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น การกระทําของจําเลยจึงเป็นการกระทําโดยบันดาลโทสะ

2. ผลของการกระทําความผิดเพราะบันดาลโทสะ
การกระทําความผิดเพราะบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72 นั้น ศาลจะลงโทษผู้กระทําความผิดน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ แต่จะไม่ลงโทษเลยไม่ได้

 

ข้อ 3. ขณะที่นายดํากับนายขาวกําลังนั่งดื่มสุราอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน นายโก๋กับพวกอีกห้าคนซึ่งเคยมีเรื่องชกต่อยกันมาก่อนเดินผ่านมาได้เข้ารุมทําร้ายชกต่อยเตะจนนายดํากับนายขาวล้มลงกับพื้น และก็ยังรุมกันกระทืบซ้ำอีก นายขาวจึงคว้ามีดแทงสวนไป 1 ที่ ถูกพวกนายโก๋ตายไปหนึ่งคน มีคนร้องตะโกนว่าตํารวจมา ๆ นายโก๋กับพวกที่เหลือจึงรีบวิ่งหนีไป นายดําลุกขึ้นมาได้วิ่งเข้าไปในบ้านคว้าปืนพกวิ่งติดตามพวกนายโก๋ ใช้ปืนยิงใส่นายโก๋กับพวกที่กําลังวิ่งหนีไป 4 นัด กระสุนนัดหนึ่ง ถูกนายโก๋ถึงแก่ความตาย กระสุนอีกนัดหนึ่งพลาดไปถูกนายโชคดีซึ่งกําลังเดินจะไปซื้อก๋วยเตี๋ยว ให้ภริยาได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนี้ นายขาวและนายดําจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่ และจะยกเหตุใดมายกเว้นความผิด ยกเว้นโทษหรือลดโทษได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ นายขาวและนายดําจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่ และจะยกเหตุใด มายกเว้นความผิด ยกเว้นโทษ หรือลดโทษได้หรือไม่ อย่างไร แยกพิจารณาได้ดังนี้

ในกรณีของนายขาว
การที่นายโก๋กับพวกอีก 5 คนซึ่งเดินผ่านมาขณะที่นายดํากับนายขาวกําลังดื่มสุราอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน และนายโก๋กับพวกได้เข้ารุมทําร้ายชกต่อยเตะจนนายดํากับนายขาวล้มลงกับพื้นและยังรุมกันกระทืบซ้ำ ทําให้นายขาวคว้ามีดแทงสวนไป 1 ที ถูกพวกของนายโก๋ตายไปหนึ่งคนนั้น แม้การกระทําของนายขาวจะถือว่า ได้กระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน นายขาวได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น ซึ่งโดยหลักแล้วนายขาวจะต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่เมื่อการกระทําของนายขาวนั้น ถือได้ว่าเป็นการกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ จึงถือเป็นการกระทําเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 58 ดังนั้น นายขาวจึงไม่มีความผิดและไม่ต้อง รับผิดทางอาญา

กรณีของนายดํา
การที่นายดําได้ใช้ปืนยิงใส่นายโก๋กับพวกที่กําลังวิ่งหนีไป 4 นัด และกระสุนนัดหนึ่งถูกนายโก๋ ถึงแก่ความตายนั้น การกระทําของนายดําถือว่าเป็นการกระทําต่อนายโก๋โดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันนายดําได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น ดังนั้น นายดําจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายโก๋ตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และการที่นายดําได้ใช้ปืนยิงนายโก๋กับพวกนั้น นอกจากกระสุนปืนนัดหนึ่งจะถูกนายโก๋ถึงแก่ ความตายแล้ว กระสุนอีกนัดหนึ่งยังพลาดไปถูกนายโชคดีได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยนั้น ผลของการกระทําที่เกิดกับนายโชคดีเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปจึงต้องถือว่านายดําได้กระทําโดยเจตนาต่อนายโชคดีบุคคลซึ่งได้รับผลร้าย จากการกระทํานั้นด้วยตามมาตรา 60 ดังนั้น นายดําจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านายโชคดีด้วยตาม มาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 60 และมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

การกระทําของนายดํานั้น เมื่อปรากฏว่า นายดําได้กระทําในขณะที่นายโก๋กับพวกที่เหลือได้วิ่งหนี ไปแล้ว เนื่องจากมีคนตะโกนว่าตํารวจมา ๆ ดังนั้น นายดําจะอ้างว่าเป็นการกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้น จากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายเพื่อให้ตนหลุดพ้นจากความรับผิดทางอาญาตาม มาตรา 68 ไม่ได้ เพราะภยันตรายนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว จึงไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึงอันจะต้องป้องกันอีก แต่อย่างไรก็ตาม การกระทําของนายดําที่ได้ใช้ปืนยิงนายโก๋กับพวกในขณะนั้น เนื่องจากถูกนายโก๋กับพวกได้เข้ารุมทําร้ายชกต่อยเตะจนนายดําล้มลงและยังรุมกันกระทืบซ้ำนั้น ถือว่านายดําถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอัน ไม่เป็นธรรม นายดําจึงสามารถอ้างเหตุว่าได้กระทําโดยบันดาลโทสะตามมาตรา 72 เพื่อให้ศาลลดหย่อนผ่อนโทษได้

สรุป
นายขาวไม่ต้องรับผิดทางอาญาโดยอ้างเหตุว่าเป็นการกระทําเพื่อป้องกันโดยชอบ ด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ได้ ส่วนนายดําต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายโก๋ตายโดยเจตนา และพยายามฆ่า นายโชคดี แต่สามารถอ้างเหตุบันดาลโทสะตามมาตรา 72 เพื่อให้ศาลลดหย่อนผ่อนโทษได้

 

ข้อ 4. นายปั้งจ้างนายจอมให้ฆ่านายโก๋ด้วยเงินห้าแสนบาท นายจอมได้ไปขอยืมรถจักรยานยนต์และปืนจากนายกว้าง นายกว้างให้ยืมโดยรู้ว่านายจอมจะเอาไปใช้ในการฆ่านายโก๋ นายจอมได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ตามหานายโก๋ นายบ่างรู้ว่านายจอมกําลังตามฆ่านายโก๋จึงแอบมาบอกที่อยู่ของนายโก๋ นายจอมรู้ที่อยู่ของนายโก๋แล้วจึงขับขี่รถจักรยานยนต์ไปที่บ้านของนายโก๋ เห็นนายโก๋จําได้ว่าเป็นเพื่อนนักเรียนกันมาก่อนจึงไม่ชักปืนออกมายิงและขับขี่รถจักรยานยนต์กลับไป ดังนี้ นายปั้ง นายกว้าง เละนายบ่างจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่ จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยง ส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ…”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย
ตามบทบัญญัติมาตรา 59 วรรคหนึ่งที่ว่า บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําการซึ่งกฎหมายได้บัญญัติไว้เป็นความผิดนั้น คําว่าได้มีการกระทํานี้ จะต้องเลยขั้นตระเตรียมการมาจนถึงขั้นลงมือกระทําแล้ว แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่นายจอมได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไปที่บ้านของนายโก๋ เห็นนายโก๋ จําได้ว่าเป็นเพื่อนนักเรียนกันมาก่อนจึงไม่ชักปืนออกมายิงและขับขี่รถจักรยานยนต์กลับไปนั้น การกระทําของนายจอมจึงอยู่เพียงขั้นตระเตรียมการ ยังไม่ถึงขั้นลงมือกระทําความผิดแต่อย่างใด ดังนั้น นายจอมจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

ส่วนนายปั้ง นายกว้าง และนายบ่าง จะต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายปั้ง
การที่นายปั้งจ้างนายจอมให้ฆ่านายโก๋ด้วยเงินห้าแสนบาทนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดแล้วตามมาตรา 84 วรรคหนึ่ง นายปั้งจึงมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ แต่เมื่อผู้ถูกใช้คือนายจอมไม่ได้ลงมือกระทําความผิดตามที่ถูกใช้ ดังนั้น นายปั้งผู้ใช้จึงต้องรับโทษเพียง 1 ใน 3 ของโทษที่กําหนดไว้สําหรับ ความผิดนั้นตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 84 วรรคหนึ่งและวรรคสอง

กรณีของนายกว้างและนายบ่าง
การที่นายกว้างได้ให้นายจอมยืมรถจักรยานยนต์และปืนไปฆ่านายโก๋ และการที่นายบ่างได้ บอกที่อยู่ของนายโก๋ทําให้นายจอมรู้ที่อยู่ของนายโก๋นั้น การกระทําของนายกว้างและนายบ่างถือเป็นการกระทําโดยมีเจตนาให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้อื่นในการกระทําความผิดแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86 นั้น จะต้องเป็นการกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อนหรือขณะกระทําความผิด แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายจอมยัง ไม่ได้ลงมือกระทําความผิด ดังนั้น นายกว้างและนายบ่างจึงไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน

สรุป
นายปั้งต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้และต้องรับโทษในอัตรา 1 ใน 3 ของโทษที่ กําหนดไว้สําหรับความผิดที่ได้ใช้นั้น
นายกว้างและนายบ่างไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุน

LAW 2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา
ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. อย่างไรเป็นความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน (มาตรา 144) และอย่างไรเป็นความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน (มาตรา 136) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่าง
ธงคําตอบ

1. ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน (มาตรา 144)
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 144 “ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิ่งการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ต้องระวางโทษ..”

อธิบาย
ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 ดังกล่าว สามารถแยกองค์ประกอบ ความผิดได้ดังนี้

1. ผู้ใด
2. ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้
3. ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
4. แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
5. เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่
6. กระทําโดยเจตนา

“ให้” หมายถึง มีการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด และเจ้าพนักงานได้รับเอาไว้แล้ว ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยผู้กระทําได้ให้แก่เจ้าพนักงานเอง หรือเจ้าพนักงานได้เรียกเอาและผู้นั้นได้ให้ไป
“ขอให้” หมายถึง เสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงาน เช่น เอ่ยปากขอให้เงินแก่เจ้าพนักงาน แม้เจ้าพนักงานยังไม่ได้ตกลงว่าจะรับก็เป็นความผิดสําเร็จแล้ว

“รับว่าจะให้” หมายถึง เจ้าพนักงานเป็นฝ่ายเรียกก่อน แล้วผู้กระทําก็รับปากกับเจ้าพนักงาน ว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เป็นความผิดสําเร็จทันทีนับแต่รับว่าจะให้ ส่วนทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้น จะให้แล้วหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสําคัญ

สิ่งที่ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้นั้นจะต้องเป็น “ทรัพย์สิน” เช่น เงิน แหวน รถยนต์ เป็นต้น หรือ “ประโยชน์อื่นใด” ที่ไม่ใช่ทรัพย์สิน เช่น ให้อยู่บ้านหรือให้ใช้รถโดยไม่เสียค่าเช่า หรือยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย เป็นต้น

การกระทําตามมาตรานี้ต้องเป็นการกระทําต่อ “เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล” เท่านั้น และบุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นผู้มีอํานาจหน้าที่ด้วย ถ้าหากกระทําต่อบุคคลอื่นนอกจากนี้แล้ว หรือบุคคลดังกล่าวไม่มีอํานาจหน้าที่หรือพ้นจากอํานาจหน้าที่ย่อมไม่เป็น ความผิดตามมาตรานี้

ในเรื่องเจตนา ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 กล่าวคือรู้ว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าพนักงาน หรือสมาชิกแห่งสภา ถ้าผู้กระทําไม่รู้ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ ทั้งนี้ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาพิเศษหรือมีมูลเหตุ ชักจูงใจเพื่อการอันมิชอบด้วยหน้าที่ด้วย คือ

(ก) ให้กระทําการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้เงินเพื่อให้ตํารวจจับคนที่ไม่ได้กระทําความผิด
(ข) ไม่กระทําการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ตํารวจจะจับกุม ผู้กระทําผิด จึงให้เงินแก่ตํารวจนั้นเพื่อไม่ให้ทําการจับกุมตามหน้าที่
(ค) ประวิงการกระทํา อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานสอบสวนให้ระงับการสอบสวนไว้ก่อน

ดังนั้นถ้าหากมีเหตุจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันชอบด้วยหน้าที่แล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 144 นี้ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจไม่จับกุมผู้กระทําผิดกฎหมาย จําเลยให้เงินตํารวจ เพื่อให้ทําการจับกุม กรณีนี้จําเลยไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 เพราะการให้ทรัพย์สิน มีมูลเหตุจูงใจให้กระทําการอันชอบด้วยหน้าที่

ตัวอย่างความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144

นายแดงถูก ส.ต.อ.ขาวจับกุมในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครอง จึงเสนอจะยกลูกสาวของตน ให้กับ ส.ต.อ.ขาว เพื่อแลกกับการปล่อยตัว แต่ ส.ต.อ.ขาวยังไม่ได้ตกลงตามที่นายแดงเสนอ เช่นนี้ถือว่านายแดงขอให้ประโยชน์อันใดนอกจากทรัพย์สินแก่ ส.ต.อ.ขาวเจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยเจตนา นายแดงจึงมีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 อันเป็นความผิดสําเร็จแล้ว

แต่ถ้ากรณีเป็นว่านายแดงถูกฟ้องเป็นจําเลย นายแดงทราบว่า ส.ต.อ.ขาวจะต้องไปเป็นพยานตามหมายเรียกของศาล จึงขอยกลูกสาวให้ ส.ต.อ.ขาวเพื่อให้ ส.ต.อ.ขาวเบิกความผิดจากความจริง ดังนี้นายแดง ไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 เพราะการเบิกความเป็นหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชน ทั่วไป ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ จึงมิใช่การให้ประโยชน์อันใดเพื่อจูงใจให้กระทําการด้วยหน้าที่อันมิชอบ (คําพิพากษาฎีกาที่ 439/2469)

2. ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน (มาตรา 136)
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 136 “ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตาม หน้าที่ ต้องระวางโทษ”

อธิบาย
ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 มีองค์ประกอบของความผิด ดังนี้ 1. ผู้ใด
2. ดูหมิน
3. เจ้าพนักงาน
4. ซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าที่
5. กระทําโดยเจตนา

“ดูหมิ่น” หมายถึง การกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการดูถูกเหยียดหยาม สบประมาท หรือ ด่าแช่งต่อผู้ถูกกระทํา ซึ่งอาจจะกระทําโดยวาจา กิริยาท่าทาง หรือลายลักษณ์อักษรก็ได้ การดูหมิ่นด้วยวาจา เช่น พูดจาด่าทอ หรือด้วยกิริยาท่าทางก็เช่น ยกส้นเท้าให้ หรือถ่มน้ำลายรด เป็นต้น

ทั้งนี้แม้ว่าเจ้าพนักงานจะไม่ได้ยิน ไม่เห็น หรือว่าเป็นภาษาต่างประเทศ ซึ่งเจ้าพนักงานไม่เข้าใจก็ตามก็เป็นความผิด ตามมาตรา 136 นี้ได้

อย่างไรก็ดีถ้อยคําบางอย่างนั้น แม้ว่าจะเป็นคําไม่สุภาพ คําหยาบ ไม่สมควรจะกล่าว หรือ เป็นคําปรารภปรับทุกข์ หรือคําโต้แย้ง คํากล่าวติชมตามปกติ หากไม่ทําให้ผู้เสียหายถูกดูถูก เหยียดหยาม สบประมาท หรือได้รับความอับอายขายหน้า ก็ไม่ถือว่าเป็นการดูหมิ่น

การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่น “เจ้าพนักงาน” ถ้าบุคคลที่ถูกดูหมิ่นนั้นไม่ใช่เจ้าพนักงานย่อมไม่ผิด ตามมาตรา 136 ทั้งนี้จะต้องได้ความว่าบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงาน อยู่ในขณะถูกดูหมิ่นด้วย หากได้พ้นตําแหน่งไปแล้วก็ไม่มีความผิดตามมาตรานี้เช่นกัน เช่น จําเลยกล่าวต่อ ร.ต.อ.แดงว่า “ตํารวจเฮงซวย” ซึ่งในขณะนั้น ร.ต.อ.แดงได้ลาออกจากราชการเพื่อไปทําธุรกิจส่วนตัว ดังนี้ จําเลยไม่มีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน เพราะในขณะที่ดูหมิ่นนั้น ร.ต.อ.แดงไม่ได้เป็นเจ้าพนักงาน

อนึ่ง การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 136 นี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานเฉพาะ 2 กรณี ต่อไปนี้คือ
(ก) ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือ
(ข) ดูหมิ่นเจ้าพนักงานเพราะได้กระทําการตามหน้าที่

“ซึ่งกระทําการตามหน้าที่” หมายความว่า ดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานนั้นกระทําการตามหน้าที่ ซึ่งกฎหมายได้ให้อํานาจไว้ ดังนั้นหากเป็นการดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานกระทําการนอกเหนืออํานาจหน้าที่หรือ เกินขอบเขต ย่อมไม่ผิดตามมาตรานี้

“เพราะได้กระทําการตามหน้าที่” หมายความว่า ดูหมิ่นภายหลังจากที่เจ้าพนักงานได้กระทําการตามหน้าที่แล้ว เช่น เจ้าพนักงานตํารวจจับกุมนายแดง แล้วนายแดงไปเล่าให้นายขาวฟัง ต่อมาอีก 3 วัน นายขาว พบเจ้าพนักงานตํารวจผู้นั้นโดยบังเอิญ จึงด่าทอดูหมิ่น เพราะโกรธที่ไปจับเพื่อนตน เช่นนี้นายขาวมีความผิดฐาน ดูหมิ่นเจ้าพนักงานเพราะได้กระทําการตามหน้าที่ตามมาตรา 136

การดูหมิ่นจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่น “โดยเจตนา” กล่าวคือ เป็นการ กล่าวโดยตั้งใจดูหมิ่น และรู้ว่าผู้ที่ตนตั้งใจดูหมินเป็นเจ้าพนักงาน ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าพนักงานย่อมถือว่าขาดเจตนา ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ตัวอย่าง ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136
นายดวงดื่มสุราจนเมาครองสติไม่ได้ ขับรถด้วยความเร็วสูงไม่สวมหมวกนิรภัยถูกเจ้าพนักงานตํารวจจับกุม นายดวงไม่พอใจ จึงพูดต่อหน้าเจ้าพนักงานตํารวจคนนั้นว่า “แกล้งจับกูคนเดียว คนอื่นทําไมไม่จับ” เช่นนี้ถ้อยคําดังกล่าวมีลักษณะเป็นการดูหมิ่น เหยียดหยาม ซึ่งได้กระทําต่อเจ้าพนักงานซึ่งได้กระทําการ ตามหน้าที่ที่กฎหมายได้ให้อํานาจไว้โดยเจตนา นายดวงจึงมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136

แต่ถ้ากรณีเปลี่ยนเป็นว่า ขณะเจ้าพนักงานตํารวจกําลังนั่งรับประทานอาหารกับภริยาที่บ้านพัก โดยเวลานั้นไม่ใช่เวลาปฏิบัติราชการ จําเลยไปขอยืมเงินจากเจ้าพนักงานตํารวจ แต่ไม่ได้ จําเลยจึงกล่าวว่า “กูจะเอาให้ย้ายภายในเจ็ดวัน อ้ายย้ายยังไม่แน่ ที่แน่คือกูจะเอามึงลงหลุมฝังศพ” เช่นนี้แม้ถ้อยคําดังกล่าวจะมีลักษณะ เป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานด้วยเจตนา แต่เวลาดังกล่าวมิใช่เวลาปฏิบัติราชการตามหน้าที่ แต่เป็นเวลานอกราชการ อันเป็นการส่วนตัว จึงถือไม่ได้ว่าจําเลยดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ตามมาตรา 136

 

ข้อ 2. หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า และหกไม่พอใจที่นักศึกษารุ่นน้องถูกคู่อริยิงตายจึงปรึกษากันว่าจะทําอย่างไรดี หนึ่งเสนอว่าต้องแก้แค้นเอาคืนเจอพวกมันที่ไหนฆ่ามันเลย ทุกคนจับมือตกลงเอาด้วย ยกเว้นหก ที่ไม่เอาด้วยโดยบอกว่าไม่ใช่วิธีที่คนเรียนหนังสือเขาทํากัน ทุกคนแยกย้ายกันกลับบ้าน หนึ่งได้สติ โทรศัพท์ไปบอกทุกคนว่าที่ตกลงกันจะไปฆ่า ยกเลิก หกมันพูดถูก แต่สอง สาม และสี่ไม่ยอมเลิก ดังนี้ ทุกคนจะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 210 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทําความผิด ฐานเป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ 1. ผู้ใด
2. สมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
3. เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาภาค 2
4. ความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป
5. กระทําโดยเจตนา

“การสมคบกัน” ที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สําคัญ 2 ประการ คือ
(ก) จะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน และ
(ข) จะต้องมีการตกลงร่วมกันว่าจะกระทําความผิด

การสมคบกันนั้น จะต้องสมคบกัน “ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป” จึงจะเป็นความผิด ดังนั้นจะมากกว่า 5 คน หรือ 5 คนพอดี ก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว แต่ถ้าต่ำกว่าห้าคนแล้วไม่เป็นความผิดฐานซ่องโจร

“เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2” หมายความว่า ความผิดนั้น ต้องเป็นความผิดตามภาค 2 ได้แก่ ความผิดตั้งแต่มาตรา 107 ถึงมาตรา 366 เช่น ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฆ่าคนตาย วางเพลิงเผาทรัพย์ เป็นต้น

“ความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป” หมายความว่า โทษอย่างสูง เป็นอัตราโทษอย่างสูงตามที่ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ ซึ่งมิใช่โทษที่ศาลจะลงแก่ผู้กระทําความผิด ทั้งนี้จะต้องมีกําหนดโทษอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปด้วย

“โดยเจตนา” หมายความว่า รู้สํานึกว่าเป็นการสมคบกันเพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แต่ไม่จําเป็นต้องรู้ว่าความผิดที่จะกระทํานั้นมีโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปหรือไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า และหก ไม่พอใจที่นักศึกษารุ่นน้องถูกคู่อริยิงตาย จึงปรึกษากันว่าจะทําอย่างไรดี โดยหนึ่งเสนอว่าต้องแก้แค้นเอาคืนเจอพวกมันที่ไหนฆ่ามันเลย ทุกคนจับมือตกลง เอาด้วย ยกเว้นหกที่ไม่เอาด้วยนั้น เมื่อการสมคบกันเพื่อที่จะฆ่าคู่อร์นั้นเป็นการสมคบกันโดยมีจํานวน 5 คนแล้ว

และเป็นการสมคบกันเพื่อกระทําความผิดฐานฆ่าคนตายซึ่งเป็นความผิดที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป และเมื่อได้กระทําโดยเจตนา และโดยมีเจตนาพิเศษ คือเพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 จึงครบองค์ประกอบของ ความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคหนึ่ง ดังนั้น หนึ่ง สอง สาม สี่ และห้าจึงมีความผิดฐานซ่องโจร ตามมาตรา 210 วรรคหนึ่ง

แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าทั้ง 5 คน จะยังมิได้กระทําความผิดตามที่สมคบกัน เนื่องจากต่อมาหนึ่งได้โทรศัพท์ไปบอกทุกคนว่าที่ตกลงกันว่าจะไปฆ่านั้นให้ยกเลิกก็ตาม เพราะความผิดอาญา ฐานซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคหนึ่งนั้น ย่อมถือว่าเป็นความผิดสําเร็จแล้วนับตั้งแต่ที่ได้มีการสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปเพื่อไปกระทําความผิดฯ ดังกล่าว ส่วนหกนั้นเมื่อได้คัดค้านไม่เห็นด้วย จึงไม่ถือว่าหกได้สมคบกันกับ ทั้ง 5 คน แต่อย่างใด ดังนั้น หกจึงไม่มีความผิดฐานซ่องโจร

สรุป
หนึ่ง สอง สาม สี่ และห้า มีความผิดอาญาฐานซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคหนึ่ง ส่วนหกไม่มีความผิดอาญาฐานใดเลย

 

ข้อ 3. นายสาและนางสีจดทะเบียนสมรสกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย นายสาและนางสีได้ร่วมกันซื้อบ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว ขนาด 2 ห้องนอน นายสาและนางสีนอนคนละห้อง วันเกิดเหตุ นายสา จุดบุหรี่สูบในห้องนอนแล้วเผลอหลับไป ปรากฏว่าบุหรี่ไหม้พื้นห้องแล้วลุกลามไหม้ห้องของนายสา นายสารู้สึกตัวตื่นขึ้นดับไฟได้ทันก่อนที่จะลุกลามไปไหม้ห้องของนางสีซึ่งกําลังนอนหลับอยู่ในเวลานั้น ดังนี้ นายสามีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 225 “ผู้ใดกระทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท และเป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย หรือการกระทําโดยประมาทนั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานกระทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทตามมาตรา 225 ประกอบด้วย
1. กระทําให้เกิดเพลิงไหม้
2. โดยประมาท
3. เป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย หรือน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น

“กระทําให้เกิดเพลิงไหม้” หมายถึง กระทําให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์หรือวัตถุใด ๆ อาจเป็นทรัพย์ของตนเอง หรือทรัพย์ของผู้อื่น หรือวัตถุที่ไม่มีเจ้าของ

“โดยประมาท” หมายถึง การกระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

กระทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท เช่น ใช้เตาไฟฟ้าทําอาหารแล้วลืมถอดปลั๊กออกทําให้เกิดเพลิงไหม้ จุดบุหรี่สูบบนที่นอนแล้วหลับไป ทําให้บุหรี่ไหม้ที่นอน เป็นต้น

“เป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย หรือน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น” คือ การทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทนั้น ต้องเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายและต้องเสียหายจริง ๆ ประการหนึ่ง หรือน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่นอีกประการหนึ่งจึงจะมีความผิดตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสาจุดบุหรี่สูบในห้องนอนแล้วเผลอหลับไป ทําให้บุหรี่ไหม้พื้นห้อง แล้วลุกลามไหม้ห้องของนายสานั้น การกระทําของนายสาถือว่าเป็นการกระทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทแล้ว และแม้ว่านายสาจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นและดับไฟได้ทันก่อนที่จะลุกลามไปไหม้ห้องของนางสีซึ่งกําลังนอนหลับอยู่ใน เวลานั้น การกระทําของนายสาที่ทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทนั้นได้เข้าองค์ประกอบของความผิดที่ว่า น่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่นแล้ว แม้ว่าตามข้อเท็จจริงนางสีจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ ก็ตาม ดังนั้นการกระทําของ นายสาจึงครบองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 225 นายสาจึงมีความผิดฐานทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท ตามมาตรา 225

สรุป
นายสามีความผิดฐานทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทตามมาตรา 225

 

ข้อ 4. นางสาววุ้นเส้นมีรถยนต์ 3 คัน คันที่หนึ่งยี่ห้อ Audi หมายเลขทะเบียน ตก 5555 คันที่สองยี่ห้อ Benz หมายเลขทะเบียน ตด 8888 คันที่สามยี่ห้อ BMW ยังไม่มีหมายเลขทะเบียน นางสาววุ้นเส้นได้ขับรถยนต์ยี่ห้อ Audi ผ่านหน้ามหาวิทยาลัยรามคําแหงซึ่งมีน้ำท่วมขังอยู่จนเป็นเหตุให้แผ่นป้ายทะเบียนหลุดหายไป เมื่อกลับถึงบ้านจึงได้ทําแผ่นป้ายทะเบียนปลอมขึ้นมา โดยมีตัวอักษรและตัวเลข ตก 5555 เหมือนกับแผ่นป้ายทะเบียนเดิมที่หลุดหายไป และนําไปติดไว้ กับรถยนต์คันดังกล่าวเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นแผ่นป้ายทะเบียนที่แท้จริง ในเวลาต่อมา นางสาววุ้นเส้นได้นําแผ่นป้ายทะเบียน ตด 8888 ของรถยนต์ยี่ห้อ Benz ซึ่งเป็นรถยนต์คันเก่าและไม่ค่อยได้ใช้งานไปติดไว้กับรถยนต์ยี่ห้อ BMW ที่เพิ่งซื้อมาใหม่เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีหมายเลขทะเบียน ตด 8888 ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า นางสาววุ้นเส้นมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานใดหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือ ตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอม ในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ”

มาตรา 265 “ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษ”

มาตรา 268 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทําความผิดตามมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษ ยังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย
1. กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
4. โดยเจตนา กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีแรก การที่นางสาววุ้นเส้นได้ทําแผ่นป้ายทะเบียนปลอมขึ้นใหม่โดยมีตัวอักษรและ ตัวเลข ตก 5555 เหมือนกับแผ่นป้ายทะเบียนเดิมที่หลุดหายไปนั้น แม้จะเป็นการปลอมเอกสารที่ทางราชการทําขึ้น เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง และได้กระทําโดยเจตนาก็ตาม แต่การที่นางสาววุ้นเส้นได้นําแผ่นป้ายทะเบียนปลอมมาติดไว้กับรถยนต์ยี่ห้อ Audi คันดังกล่าวของนางสาววุ้นเส้นเองนั้น ไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ดังนั้นนางสาววุ้นเส้นจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง และเมื่อนางสาววุ้นเส้นไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารแล้ว จึงไม่จําต้องวินิจฉัยต่อไปว่าได้กระทําความผิดตาม มาตรา 265 และมาตรา 268 วรรคหนึ่งหรือไม่

กรณีที่ 2 การที่นางสาววุ้นเส้นได้นําแผ่นป้ายทะเบียน ตด 8888 ของรถยนต์ยี่ห้อ Benz ไปติดไว้กับรถยนต์ยี่ห้อ BMW เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีหมายเลขทะเบียน ตด 8888 นั้น เมื่อแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ดังกล่าวเป็นแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ที่แท้จริงซึ่งทางราชการออกให้แก่รถยนต์คันอื่น และข้อเท็จจริงก็ไม่ปรากฏว่านางสาววุ้นเส้นได้ทําการเติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขหมายเลขทะเบียนให้ผิดไปจากของจริงแต่อย่างใด ดังนั้นแม้การกระทําของนางสาววุ้นเส้นน่าจะเกิดความเสียหายแก่ราชการก็ตาม กรณีนี้ นางสาววุ้นเส้นก็ไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง และเมื่อนางสาววุ้นเส้นไม่มีความผิด ฐานปลอมเอกสารแล้ว จึงไม่จําต้องวินิจฉัยต่อไปว่าได้กระทําความผิดตามมาตรา 265 และมาตรา 268 วรรคหนึ่งหรือไม่

สรุป
นางสาววุ้นเส้นไม่มีความผิดอาญาฐานปลอมเอกสารทั้ง 2 กรณี

THA1003 การเตรียมเพื่อการพูดและการเขียน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561
ข้อสอบกระบวนวิชา THA 1003 การเตรียมเพื่อการพูดและการเขียน
คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. คนแตกต่างจากสัตว์โลกชนิดอื่น ๆ อย่างไร
(1) คนมีสมอง แต่สัตว์ชนิดอื่น ๆ ไม่มีสมอง
(2) คนสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้ดีกว่าสัตว์
(3) คนสามารถพูดจาโต้ตอบกันได้ด้วยภาษา
(4) คนมีจิตใจ แต่สัตว์ไม่มีจิตใจ
ตอบ 3
สัตว์สังคมทุกชนิดยกเว้นมนุษย์จะสื่อสารกันด้วยอวัจนภาษา (ภาษาที่ไม่ใช้คําพูด)แต่มนุษย์จะสื่อสารกันได้ทั้งวัจนภาษา (ภาษาที่เป็นภาษาพูด) และอวัจนภาษา จึงเห็นได้ว่า มนุษย์สามารถสื่อสารกันได้ดีกว่าสัตว์ประเภทอื่นมาก ด้วยเหตุที่มนุษย์แตกต่างจากสัตว์โลกชนิดอื่น ๆ คือ สามารถพูดจาโต้ตอบกันได้ด้วยภาษานั้นเอง

2. “การพูดเป็น” แตกต่างจาก “การพูดได้” อย่างไร
(1) “พูดได้” เป็นศิลป์ในการพูด
(2) “พูดเป็น” อาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ในการพูด
(3) “พูดได้” อาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ในการพูด
(4) “พูดเป็น” เป็นศาสตร์ในการพูด
ตอบ 2
ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ ให้แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับการพูดว่า ทุกคน “พูดได้”แต่บางคน “พูดเป็น” โดยการพูดเป็น หมายถึง การพูดให้คนฟังชื่นชอบ เชื่อถือ คล้อยตาม ปฏิบัติตาม เข้าใจง่าย สนุกสนาน ซึ่งต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ในการพูด คือ เรียนกันได้แต่จะเก่งเท่ากันหรือไม่ต้องขึ้นอยู่กับศิลป์ อันเป็นความสามารถเฉพาะคน

3. การสื่อสารด้วยการพูดมีข้อดีอย่างไร
(1) มีโอกาสฟังซ้ำได้
(2) ผู้พูดสามารถพิสูจน์ผลของการพูดนั้น ๆ ทันที
(3) ผู้พูดสามารถเลือกพูดในสิ่งที่ดีได้
(4) ผู้พูดสามารถพัฒนาบุคลิกภาพได้ทันที
ตอบ 2
การสื่อสารด้วยคําพูดมีข้อดี ดังนี้
1. ทําให้ผู้ฟังเข้าใจได้รวดเร็ว เพราะเป็นการสื่อสารสองทาง 2. เป็นเครื่องมือสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ได้ผลดีที่สุด 3. สามารถพิสูจน์ผลของการพูดได้ทันที โดยสังเกตจากปฏิกิริยาโต้ตอบของผู้ฟังในขณะที่พูด 4. สามารถดัดแปลงแก้ไขคําพูดหรือยืดหยุ่นให้เหมาะกับเวลา โอกาส หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

4. ทําไมสถาบันการศึกษาต่าง ๆ จึงสอนวิชาที่เกี่ยวกับการพูด
(1) นักพูดหรือพิธีกร เป็นอาชีพที่มีรายได้ดี
(2) ปัจจุบันผู้คนพิสูจน์กันด้วยการพูดมากกว่าความสามารถ
(3) ต้องการสอนมารยาท และความเหมาะสมในการพูด
(4) วิชาความรู้ต้องใช้ควบคู่กับศิลปะในการพูด
ตอบ 4
ในสถาบันการศึกษาชั้นสูงจํานวนมากมักจะมีการสอนวิชาการพูดโดยเฉพาะการพูดต่อหน้าชุมชนกันอย่างกว้างขวาง เพราะเป็นวิชาความรู้ที่ต้องใช้ควบคู่กับศิลปะในการพูด เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีการพูด และฝึกฝนให้ผู้ศึกษาเป็นนักพูดที่ดี ให้รู้จักพูดในสิ่งที่ควรพูด คือ สอนให้พูดแต่ดี ไม่ใช่ดีแต่พูด

5. องค์ประกอบ 5 ประการของการพูดให้ประสบความสําเร็จ คืออะไร
(1) ผู้พูด ผู้ฟัง สาร ภูมิปัญญา และสื่อ
(2) ผู้พูด ผู้ฟัง สาร สถานการณ์ และการวิเคราะห์การพูด
(3) ผู้พูด ผู้ฟัง สาร สถานการณ์ในการพูด และสื่อ
(4) ผู้พูด ผู้ฟัง สื่อ สถานการณ์ และการวิเคราะห์การพูด
ตอบ 3
องค์ประกอบของการพูดให้ประสบความสําเร็จมี 5 ประการ คือ 1. ผู้พูด 2. สาร 3. สื่อ 4. สถานการณ์การพูด 5. ผู้ฟัง

6. หากท่านต้องไปพูดให้วัยรุ่นอายุ 18 ปี ข้อใดที่ท่านไม่ควรพูดที่สุด
(1) ยุยงส่งเสริมให้แตกความสามัคคี
(2) สั่งสอนโดยใช้คําพูดดูถูก เพื่อให้วัยรุ่นอยากเอาชนะ
(3) สั่งสอนให้วัยรุ่นเรียนรู้ชีวิตด้วยประสบการณ์ตรงในทุกเรื่อง
(4) ใช้คําพูดปลุกระดม เพราะวัยรุ่นต้องการการปลุกเร้า
ตอบ 2
การพูดกับวัยรุ่น ต้องคํานึงถึงจิตวิทยาวัยรุ่นให้มาก พยายามทําตัวให้ผู้ฟังเลื่อมใสโดยใช้เหตุผลง่าย ๆ เเต่ชัดแจ้ง และแทรกเรื่องสนุกสนานหรือตลกขบขันเป็นระยะ ๆ ถ้าเป็นการสั่งสอนโดยตรงควรปรับปรุงให้เป็นแนวแนะนําอย่างมีเหตุผล อย่าพูดดูถูกเหยียดหยามคนฟัง เพราะคนวัยนี้จะมีปฏิกิริยาที่ไม่ดีสะท้อนกลับมาทันที

7. ข้อใดบอกจุดมุ่งหมายของการพูดได้ครบถ้วน
(1) ให้ความรู้ โน้มน้าวใจ และพูดเพื่อความบันเทิง
(2) ให้ความรู้ พูดเพื่อตอบคําถาม และพูดเพื่อชี้แนะเรื่องราวต่าง ๆ
(3) ให้ความรู้ โน้มน้าวใจ สร้างความบันเทิง เพื่อแก้ไขสถานการณ์ และชี้แนะเรื่องราวต่าง ๆ
(4) ให้ความรู้โน้มน้าวใจ สร้างความบันเทิง พูดเพื่อตอบคําถาม และชี้แนะเรื่องราวต่าง ๆ
ตอบ 4
จุดมุ่งหมายในการพูดโดยทั่วไป มีดังนี้ 1. ให้ความรู้หรือข้อเท็จจริง 2. โน้มน้าวจิตใจผู้ฟัง 3. สร้างความบันเทิง เพลิดเพลิน หรือจรรโลงใจ 4. แก้ปัญหาหรือตอบคําถามต่าง ๆ 5. แนะนําและชี้แนะเรื่องราวต่าง ๆ

8. “ท่านผู้ฟังครับ คนบางคนทําให้เราอยากพูดคุย คนบางคนทําให้เราอยากรู้จัก มีแค่บางคนเท่านั้นครับที่ทําให้เราอยากเป็นเพื่อนกับเขา…”
คําพูดนี้มีการขึ้นต้นการพูดด้วยวิธีไหน
(1) ขึ้นต้นด้วยการจี้จุดสําคัญของเรื่องนั้น ๆ
(2) ขึ้นต้นด้วยการยกตัวอย่างให้เห็นจริง
(3) ขึ้นต้นด้วยการยกข้อความที่เร้าใจ
(4) ขึ้นต้นด้วยการไล่ลําดับความสําคัญ
ตอบ 1
คํานําหรือการขึ้นต้นแบบจี้จุดสําคัญของเรื่องนั้น ๆ คือ การพุ่งเข้าสู่จุดโดยไม่ต้องอ้อมค้อม เพราะผู้ฟังก็รู้เรื่องอยู่แล้ว เป็นการแสดงทัศนะของผู้พูดเท่านั้น

9. ข้อใดที่ไม่ควรกระทําอย่างยิ่งในการใช้คํานําเพื่อการพูด
(1) ถ่อมตน
(2) ดูถูก ก้าวร้าวผู้ฟัง
(3) ออกตัวว่าไม่รู้เรื่องที่จะพูด
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 4
ข้อบกพร่องในการใช้คํานําเพื่อการพูด มีดังนี้
1. อย่าพูดนอกเรื่องหรือพูดอ้อมค้อม 2. อย่าออกตัว เช่น เตรียมมาพูดไม่พร้อม กะทันหัน เป็นผู้รู้น้อยไม่รู้เรื่องที่จะพูด ฯลฯ 3. อย่าขอโทษ 4. อย่าถ่อมตน 5. อย่าดูถูกหรือก้าวร้าวผู้ฟังด้วยคําพูด ท่าที่หรือท่าทาง อย่าทะเลาะ โต้เถียง ขุ่นมัวกับผู้ฟัง

10. ข้อใดเป็นยุทธการสําคัญของการพูด
(1) การเลือกเรื่องที่จะพูด
(2) การเตรียมโครงเรื่องในการพูด
(3) การเตรียมข้อมูลในการพูด
(4) การสร้างบุคลิกภาพและความพร้อมในการพูด
ตอบ 2
การเตรียมโครงเรื่องในการพูด เป็นยุทธการสําคัญของการพูด ซึ่งถ้าหากวางโครงเรื่องดี การพูดจะดี มีความต่อเนื่องเป็นระเบียบ และผู้ฟังไม่เบื่อหน่าย ดังนั้นจึงควร ยึดหลักในการวางโครงเรื่อง ดังนี้ 1. วางโครงเรื่องตามลําดับเวลา 2. วางโครงเรื่องตามลําดับสถานที่หรือภูมิศาสตร์ 3. วางโครงเรื่องตามลําดับเนื้อหา 4. วางโครงเรื่องตามลําดับข้อความหรือเรื่อง 5. วางโครงเรื่องให้มีเงื่อนงําแก่ผู้ฟัง

11. การฝึกพูดเกี่ยวข้องกับการเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ของการพูดอย่างไร
(1) พูดดีเป็นศรีแก่ปาก
(2) การพูดสามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้
(3) ผู้ฝึกหัดเห็นความสามารถของตนเอง
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
การพูดจะมีประสิทธิภาพเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้พูดเอง คือ ผู้พูดต้องมีความสามารถหลายอย่างประกอบกัน และต้องหมั่นฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ เพราะการฝึกพูดเกี่ยวข้องกับการเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ นั่นคือ การพูดสามารถเรียนรู้และฝึกฝนทักษะได้ ยิ่งฝึกมากความชํานาญในการพูดยิ่งพัฒนาขึ้นตามลําดับ

12. หลักการสําคัญของการฝึกพูดให้เป็นสําเนียงการพูด คืออะไร
(1) ฝึกพูดให้เป็นธรรมชาติของผู้พูดมากที่สุด
(2) ฝึกพูดให้มีความมั่นใจในการพูด
(3) ฝึกการออกเสียงภาษาพูดให้ถูกต้องชัดเจน
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 หลักการสําคัญของการฝึกพูดให้เป็นสําเนียงภาษาพูด คือ ฝึกการออกเสียงภาษาพูดให้ชัดเจนถูกต้อง ดังนี้ 1. ออกเสียงอักษร ร ล และเสียงควบกล้ำให้ถูกต้อง 2. ฝึกออกเสียงคําศัพท์ต่าง ๆ เช่น คําสมาส คําสนธิ คําซ้อน คําประสม ฯลฯ ให้ถูกต้อง ตามหลักภาษา 3. ฝึกใช้ถ้อยคําให้ตรงกับความหมายโดยเฉพาะคําพ้องเสียง 4. ฝึกพูดโดยใช้ถ้อยคําง่าย ๆ อย่าใช้ศัพท์ยาก 5. ฝึกพูดให้มีเสียงดังฟังชัด ฯลฯ

13. นักพูดมือใหม่ควรใช้วิธีฝึกพูดแบบใดดีที่สุด
(1) ใช้ตําราประกอบ
(2) มีผู้เชี่ยวชาญแนะนํา
(3) ฝึกพูดหน้ากระจก
(4) บันทึกภาพและเสียงซ้ำ ๆ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง
ตอบ 2 การฝึกพูดโดยมีผู้แนะนํา คือ มีพี่เลี้ยงหรือครูอาจารย์ดี ๆคอยแนะนําให้เป็นการส่วนตัว หรือจัดเป็นกลุ่ม มีการฝึกพูดกันเป็นประจําหรือสมัครเข้ารับการอบรมหลักสูตรการพูด จัดเป็นวิธีฝึกพูดที่ประสบความสําเร็จและได้ผลดีที่สุด โดยเฉพาะ นักพูดมือใหม่ที่ฝึกพูดครั้งแรก เพราะผู้แนะนําจะชี้แจงข้อบกพร่องและให้ข้อแนะนําวิธีพูดที่ถูกต้อง ซึ่งจะทําให้ทราบว่าผู้พูดยังบกพร่องในเรื่องใด และควรปรับปรุงแก้ไขตนเองในข้อใด

14. ข้อใดเกี่ยวข้องกับหลักปฏิบัติในการฝึกพูดน้อยที่สุด
(1) หัดสร้างพลังใหม่ ๆ
(2) หัดทําสมาธิ
(3) หัดแสวงหาเครื่องแต่งตัวที่สวยงาม
(4) ฝึกระงับอารมณ์ต่าง ๆ
ตอบ 3
หลักปฏิบัติในการฝึกพูด มีดังนี้ 1. ฝึกตนเองให้รู้จักแสวงหาความรู้ให้ทันสมัยอยู่เสมอ (เช่น ฝึกนิสัยรักการอ่าน รักการฟัง ฝึกจิตให้มีสมาธิ ฯลฯ) 2. ฝึกการพูดให้เป็นสําเนียงภาษาพูด 3. ฝึกความเชื่อมั่นในตัวเอง 4. ฝึกตนให้มีความอดทนอดกลั้นต่ออารมณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น ฝึกระงับอารมณ์ต่าง ๆ ฝึกสร้างพลังใหม่ ๆ ฯลฯ) 5. ฝึกการพัฒนาบุคลิกภาพในการพูด

15. “บุคลิกภาพ เกี่ยวข้องกับ “การฝึกพูด” อย่างไร
(1) การฝึกพูดเป็นการฝึกบุคลิกภาพภายนอก
(2) บุคลิกภาพสะท้อนจากการพูด
(3) เมื่อผ่านการฝึกพูด บุคลิกภาพย่อมดีขึ้น
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3
การฝึกพูดถือเป็นการพัฒนาบุคลิกภาพทั้งภายนอกและภายใน โดยเฉพาะผู้ที่มีโอกาสได้ฝึกพูดในที่ชุมชนบ่อย ๆ จะทําให้มีการพัฒนาบุคลิกภาพดีขึ้น การวางตัวดีขึ้นกิริยาท่าทางไม่เคอะเขิน แต่งกายได้เหมาะสม มีความเชื่อมั่น กระตือรือร้น ฯลฯ

16. เมื่อเราพูดในเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ ควรใช้ภาษาท่าทางอย่างไร (1) ศีรษะตั้งตรง นัยน์ตาเบิกกว้าง
(2) ผงกศีรษะเข้าหาผู้ฟัง นัยน์ตาตื่นเต้น
(3) ผงกศีรษะไปเบื้องหลัง นัยน์ตาเบิกกว้าง
(4) สายศีรษะ นัยน์ตาตื่นเต้น
ตอบ 3
การวางท่าของศีรษะที่ใช้ประกอบการพูด ควรใช้ภาษาท่าทางดังนี้
1. ในการพูดปกติ ศีรษะควรตั้งตรง แสดงว่าผู้พูดเป็นคนจริง เข้มแข็ง กล้าหาญ และมีอํานาจ
2. ถ้าพูดถึงข้อความที่เป็นการขอร้อง ขอความเห็นใจ หรือขอความเห็น ควรยื่นศีรษะไปข้างหน้าเล็กน้อย
3. ถ้าพูดถึงเรื่องตื่นเต้น น่าหวาดกลัว หรือสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ ให้ผงกศีรษะไปเบื้องหลังเล็กน้อย นัยน์ตาเบิกกว้าง
4. ถ้ากล่าวปฏิเสธ แสดงความไม่พอใจ ไม่เห็นด้วย ควรสั่นศีรษะช้า ๆ ขณะกล่าวเน้น

17. ภาษามือมีประโยชน์ในการพูดอย่างไร
(1) บอกขนาด หรือทิศทาง
(2) ประกอบการพูดอย่างเป็นทางการ
(3) ช่วยให้การพูดน่าสนใจ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1
การใช้ภาษามือควรใช้ให้เป็นประโยชน์ในการพูดมากที่สุด และใช้ให้เป็นธรรมชาติใช้ให้เป็นจังหวะ เหมาะกับเรื่องและโอกาส เพื่อบอกจํานวน ขนาด รูปร่าง และทิศทาง ซึ่งจะทําให้การพูดมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น แต่อย่าใช้ภาษามือมากเกินไปหรือใช้อยู่ตลอดเวลาเหมือนกับการแสดงละคร นอกจากนี้การพูดในบางโอกาสห้ามใช้มือประกอบ เช่น การกล่าวรายงานอย่างเป็นพิธีการ การให้โอวาท การกล่าวเปิดงาน และการอ่านข่าวทางโทรทัศน์ เป็นต้น

18. เมื่อผู้พูดใช้เสียงต่ำเป็นการพูดในลักษณะใด
(1) โน้มน้าวใจคนฟัง
(2) แสดงความเสียใจ
(3) แสดงการท้าทาย
(4) อธิบายหรือให้ความรู้
ตอบ 2
การใช้เสียงต้องให้เหมาะกับเนื้อหาและอารมณ์ โดยพิจารณาว่าเนื้อหาที่พูดเป็นอย่างไร ควรจะใช้เสียงอย่างไรจึงจะเหมาะกับเรื่อง ได้แก่ การบรรยายธรรมดาหรืออธิบาย ความรู้ให้ใช้เสียงเรียบ ๆ ธรรมดา, ถ้าต้องการโน้มน้าวจิตใจควรใช้เสียงที่เชิญชวน, ถ้าพูดเรื่อง ที่มีอารมณ์ต่าง ๆ ต้องใช้เสียงให้ถูกต้อง เช่น การพูดที่แสดงการท้าทายให้ใช้น้ำเสียงแข็งกร้าว แต่ถ้าแสดงความเสียใจให้ใช้เสียงต่ำ ฯลฯ

19. ข้อใดถูกต้อง
(1) การตื่นเวทีจะไม่เกิดขึ้นกับคนที่ฝึกซ้อมการพูดมาอย่างดี
(2) การตื่นเวทีระดับ Audience Fear มีประโยชน์
(3) การตื่นเวทีทุกชนิดไม่ช่วยให้การพูดดีขึ้น
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1
การตื่นเวที่จะไม่เกิดขึ้นกับคนที่ฝึกซ้อมการพูดมาอย่างดีโดยเฉพาะการฝึกพูดในที่สาธารณะ ซึ่งเป็นวิธีเอาชนะความสะทกสะท้าน และยังเป็นการปลูกฝังเสริมสร้างความกล้าหาญ และความเชื่อมั่นในตนเองที่ดีที่สุด เพราะผู้พูดสามารถ ควบคุมความกลัวและความเก้อเขินเอาไว้ได้ นอกจากนี้การตื่นเวทีในระดับ Audience Tension ยังมีประโยชน์ เพราะเป็นสัญชาตญาณในการเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับการท้าทายที่ไม่คุ้นเคย

20. วิธีการไหนสามารถแก้ไขอาการตื่นเวทีได้ดีที่สุด
(1) สร้างความมั่นใจให้กับตนเอง
(2) เขียนโน้ตย่อให้ชัดเจน
(3) ซ้อมการพูดจนมั่นใจ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3
ข้อแนะนําเมื่อเกิดอาการตื่นเวที มีดังนี้
1. เตรียมตัวให้พร้อม ฝึกซ้อมการพูดจนมั่นใจ ถือเป็นวิธีป้องกันแก้ไขอาการตื่นเวทีที่ดีที่สุดเพราะถ้าเตรียมสองประการนี้ไม่ดีก็เท่ากับประสบความล้มเหลวก่อนขึ้นเวที่เสียแล้ว
2. สร้างความเชื่อมั่นให้กับตนเอง พยายามคิดว่าผู้ฟังทุกคนเป็นมิตรกับเรา
3. สร้างทัศนคติที่ดี ต้องคิดว่าเรามีความรู้ในเรื่องที่จะพูดมากเพียงพอ
4. สูดลมหายใจลึก ๆ ยาว ๆ เพื่อผ่อนคลาย แล้วนึกถึงคําพูดแรก ๆ ในการพูด

21. การพูดแบบไหนที่มีผลต่อการใช้ชีวิตของคนเรามากที่สุด
(1) การพูดจาทักทาย
(2) การพูดแบบไม่เป็นทางการ
(3) การพูดแบบเป็นทางการ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2 การพูดแบบไม่เป็นทางการ คือ การสื่อสารระหว่างบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป แต่ไม่ควรเกิน 1 – 5 คน ส่วนใหญ่จะเป็นการพูดแบบตัวต่อตัว ซึ่งมีผลต่อการใช้ ชีวิตประจําวันของคนเรามากที่สุด แบ่งออกได้ดังนี้
1. การทักทาย 2. การแนะนําตัว 3. การสนทนา
4. การเล่าเรื่อง 5. การพูดโทรศัพท์ 6. การสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการ

22. ข้อใดหมายถึงการสนทนาที่ถูกต้อง
(1) พยายามแลกเปลี่ยนความคิด
(2) พูดเป็นและฟังเป็น
(3) พยายามเล่าเรื่องที่ตนเองประสบมา
(4) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 2
การสนทนาเป็นกิจกรรมการพูดระหว่างบุคคล 2 คน หรือมากกว่านั้น ซึ่งถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง โดยการสนทนาที่ถูกต้องไม่ได้หมายถึงการพูดเท่านั้น แต่หมายถึง การฟังด้วย ดังนั้นผู้สนทนาที่ดีจึงไม่ใช่ผู้ที่พูดเป็นอย่างเดียว แต่ต้องฟังเป็นด้วย คือ ตั้งใจฟัง ยอมรับฟัง และทนฟังผู้อื่นได้ ซึ่งก็จะใช้หลักการพูดทั่ว ๆ ไปนั่นเอง คือ ต้องพิจารณาผู้ฟัง จุดประสงค์ในการพูด โอกาสและเรื่องที่จะพูด

ข้อ 23. – 26. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การอภิปราย
(2) การสนทนา
(3) การโต้วาที
(4) การปาฐกถา

23. เมื่อผู้คนมีความคิดเห็นแบ่งเป็นเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ควรใช้การพูดแบบใด ตอบ 3
การโต้วาที (Debate) คือ การพูดเสนอความคิดเห็นที่ขัดแย้งกัน แบ่งเป็นเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย โดยมีฝ่ายที่เสนอความคิดเห็นฝ่ายหนึ่ง และฝ่ายที่ค้านความคิดเห็นอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งแต่ละฝ่ายจะใช้วาทศิลป์กล่าวค้านความคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่ง โดยใช้เหตุผล ข้อเท็จจริง และหลักวิชาการมาชี้ให้เห็นว่าความคิดของฝ่ายตนถูก เพื่อหักล้างอีกฝ่ายหนึ่งอย่างมีเหตุผลและคมคาย

24. เมื่อบุคคลหนึ่งซึ่งมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน พูดอธิบายให้คนจํานวนมากฟัง ตอบ 4
การพูดแบบปาฐกถา คือ การพูดที่บุคคลคนเดียวแสดงถึงความรู้ ความคิดเห็นของตนเองให้ผู้ฟังจํานวนมาก จึงเป็นการพูดแบบบรรยาย หรืออธิบายขยายความให้ผู้ฟัง ได้เข้าใจเรื่องที่พูดอย่างแจ่มแจ้ง ดังนั้นผู้พูดจึงต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้และประสบการณ์ในด้านต่าง ๆ อย่างเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

25. การพูดแสดงความรู้ ความคิดเห็นของบุคคลกลุ่มหนึ่ง
ตอบ 1
การอภิปราย คือ การพูดแสดงความรู้ ความคิดเห็น และประสบการณ์ของบุคคลกลุ่มหนึ่งตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อปรึกษาหารือกันและออกความคิดเห็น เพื่อแก้ปัญหาที่มีอยู่ หรือเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดในเรื่องที่กําหนดให้ ดังนั้นความหมายของการอภิปรายที่ครอบคลุมเนื้อหาสาระมากที่สุดน่าจะเป็น “กระบวนการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข่าวสารของบุคคลจํานวนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป หรือมากกว่านั้น”

26. กิจกรรมการพูดระหว่างบุคคล 2 คน หรือมากกว่านั้น
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ

ข้อ 27. – 30, จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) การพูดแบบบอกเล่าหรือบรรยาย
(2) การพูดโดยอาศัยอ่านจากร่าง
(3) การพูดแบบให้ความบันเทิง
(4) การพูดจากความทรงจํา

27. วิธีการพูดแบบใดที่เหมาะกับทุกโอกาส
ตอบ 4
การพูดจากความทรงจํา ถือเป็นการพูดจากใจและจากความรู้สึกที่แท้จริงของผู้พูด จึงเป็นวิธีการพูดที่ดีที่สุดและเหมาะสมกับการพูดในทุกโอกาส โดยมักจะใช้ได้ดีกับการเล่าเรื่องจากประสบการณ์ที่ตนเองได้ประสบมา หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ๆ ซึ่งคนที่จะพูดแบบนี้ได้ดีจะต้องเป็นตัวของตัวเอง มีความจําดี จดจําทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในสมองมีปฏิภาณไหวพริบ มีความรอบรู้ และสามารถนําเรื่องราวต่าง ๆ มาประสานกันได้เป็นอย่างดี

28. วิธีการพูดแบบใดเหมาะสมกับเนื้อหาที่เกี่ยวกับตัวเลข สถิติ
ตอบ 2
การพูดโดยอาศัยอ่านจากร่างหรือต้นฉบับ คือ การพูดโดยอ่านจากต้นฉบับที่ได้เตรียมไว้ล่วงหน้าแล้วอย่างดี ถือเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ส่วนมากจะเป็นการพูดที่เป็นพิธีการต่าง ๆ และอาจนํามาใช้กับการพูดที่ต้องเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเงิน ตัวเลข การอ้างสถิติ ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในการเสนอรายงานต่าง ๆ ได้อีกด้วย

29. การพูดแบบใดเหมาะกับการกล่าวรายงานหรือประกาศ
ตอบ 1
การพูดแบบบอกเล่าหรือบรรยาย มีจุดมุ่งหมายให้ผู้ฟังเกิดความรู้และความเข้าใจต้องการให้ผู้ฟังได้รับทราบเรื่องราวต่าง ๆ หรือเป็นการสาธิตการทําสิ่งของบางอย่าง โดยทั่วไป จะเป็นการพูดแบบอบรม ชี้แจง ปฐมนิเทศ บรรยายสรุป การกล่าวรายงาน ประกาศ การพูดแถลงการณ์ การบรรยายหรือสอนในชั้นเรียน ฯลฯ

30. เมื่อพูดหลายคนจะใช้เวลาไม่เกินคนละ 10 นาที
ตอบ 3
หลักการพูดแบบให้ความบันเทิง มีข้อเสนอแนะดังนี้
1. ผู้พูดควรจํากัดเวลาในการพูด เพราะถ้าพูดนานจะทําให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่าย โดยถ้ามีผู้พูดหลายคน แต่ละคนไม่ควรพูดเกิน 10 นาที หากพูดคนเดียวก็อาจจะใช้เวลาประมาณ 35 – 45 นาที
2. ผู้พูดต้องพูดให้ตรงเป้าหมายและพูดให้ได้เรื่องราวที่เหมาะสม 3. เรื่องที่พูดต้องเป็นเรื่องสนุกสนาน เบาสมอง และให้ความบันเทิงจริง ๆ ถ้ามีเรื่องตลกขบขันแทรกก็ต้องเป็นเรื่องที่ไม่หยาบโลน

31. องค์ประกอบที่สําคัญที่สุดของการพูดที่ดี คือ
(1) การวิเคราะห์สถานการณ์
(2) การพูดด้วยถ้อยคําที่ดี
(3) การแสวงหาข้อมูลให้ทันสมัยอยู่เสมอ
(4) การดัดแปลงการพูดให้เหมาะสมกับผู้ฟัง
ตอบ 2
ดร.นิพนธ์ ศศิธร กล่าวว่า การพูดที่ดี (การพูดต่อชุมนุมชน) มีองค์ประกอบ รายการที่สําคัญอยู่ 4 ประการ คือ 1. การพูดที่มีถ้อยคําดี 2. การพูดที่มีความเหมาะสม 3. การพูดที่มีความมุ่งหมาย 4. การพูดที่มีศิลปะการแสดงดี

32. ทัศนคติในทางลบที่ต้องกําจัดในเรื่องการพูด คืออะไร
(1) การใช้คําพูดซ้ำ ๆ
(2) การกล่าวย้ำคําพูดที่ไม่สําคัญ
(3) ความไม่มั่นใจ
(4) ไม่มีข้อใดถูก
ตอบ 4
ทัศนคติของผู้พูด แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. ทัศนคติในทางลบ ซึ่งมีผลเสียต่อผู้ฟัง ได้แก่ ความรู้สึกเบื่อหน่าย ความรู้สึกว่าตนเองเหนือกว่าผู้ฟัง และความรู้สึกกลัว
2. ทัศนคติในทางบวก ซึ่งจะช่วยให้ผู้พูดประสบความสําเร็จในการพูดมากขึ้น ได้แก่ความปรารถนาที่จะพูด ความสนใจในเรื่องที่พูดและความสนใจในคนฟัง รวมทั้งความมั่นใจของผู้พูด

33. ทัศนคติในทางบวกที่ต้องส่งเสริมในเรื่องการพูด คืออะไร
(1) การฝึกซ้อมการพูดอยู่เสมอ
(2) การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ฟัง
(3) ความปรารถนาที่จะพูด
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

34. การพูดในที่สาธารณะมีลักษณะเป็นรูปแบบไหน
(1) วงกลม
(2) คู่ขนาน
(3) ปฏิกิริยาโต้กลับ
(4) แล้วแต่สถานการณ์
ตอบ 1 การพูดในที่สาธารณะโดยทั่วไป ผู้พูดมักจะคิดว่ามีลักษณะการสื่อสารเป็นเส้นตรง คือ เป็นแบบที่ผู้พูดส่งสารทางเดียว แต่ความจริงแล้วมีลักษณะการสื่อสารเป็นวงกลมมากกว่า เป็นเส้นตรง คือ ผู้ฟังจะต้องมีปฏิกิริยาโต้ตอบกลับมาด้วย ซึ่งเรียกว่า การตอบสนองหรือผลที่เกิดจากการพูด คือ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้พูดถ่ายทอดสารมาให้ผู้ฟัง

35. Empathy หมายถึงอะไรในแวดวงการพูด
(1) ความเห็นอกเห็นใจกัน
(2) การเข้าถึงจิตใจผู้อื่น
(3) ความสัมพันธ์ที่ดีของทุกฝ่าย
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
สิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการโต้ตอบระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ซึ่งจะทําให้กระบวนการพูดกับการฟังได้ผลดี มีอยู่ 2 ประการ ดังนี้ 1. การเข้าถึงจิตใจของผู้อื่น (Empathy) คือ ความพยายามของผู้พูดและผู้ฟังที่จะรับรู้ในสิ่งต่าง ๆ ที่เหมือนกัน โดยต้องเห็นในสิ่งที่เขาเห็น รู้สึกในสิ่งที่เขารู้สึก 2. การมีความสัมพันธ์ที่ดี (Rapport) คือ การที่ทั้งผู้พูดและผู้ฟังเข้ากันได้ มีการยอมรับร่วมกัน ซึ่งเป็นผลมาจากการเข้าถึงจิตใจของผู้อื่น (Empathy)

36. ลีลาของการพูด หมายถึงอะไร
(1) ท่วงท่าในการสื่อสาร
(2) วิธีการสื่อสารของการพูด
(3) การใช้ภาษาท่าทางในการพูด
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
ลีลาของการพูด คือ วิธีการสื่อสารของการพูด หรือวิธีการที่จะส่งสารหรือคําพูดออกไป เป็นการแสดงถึงความคิดและบุคลิกลักษณะของตัวผู้พูดเอง ซึ่งเป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้พูดที่เลียนแบบกันได้ยาก จึงเปรียบเสมือนเป็นลายเซ็นของมนุษย์ โดยมีลักษณะสําคัญก็คือ เป็นการแสดงออกซึ่งความคิด ความกระจ่างชัด ความน่าสนใจ และน่าจดจํา

37. การย่อความในการพูด หมายถึง
(1) พูดให้สั้น
(2) พูดให้ได้ใจความ
(3) พูดโดยใช้ภาษาได้น่าสนใจ
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 1
การย่อความ หมายถึง ลีลาการพูดให้สั้น รวบรัด สามารถรวมเอาความคิดต่าง ๆไว้ในข้อความสั้น ๆ ซึ่งมักทําให้ผู้ฟังพอใจมากกว่าผู้พูดที่พูดเพ้อเจ้อ ถ้าหากผู้พูดจะใช้ลีลาการพูดแบบนี้ก็ต้องมีความมั่นใจด้วยว่าผู้ฟังจะสามารถเข้าใจเรื่องราวไปพร้อม ๆ กับผู้พูด ดังนั้น การรวบรวมความคิดจึงควรตรงประเด็น กินความหมายได้มาก และน่าสนใจ

38. วิธีการอ้างอิงคําพูดของผู้อื่นทําอย่างไร
(1) ระบุแหล่งที่มาของคําพูด
(2) บอกชื่อหนังสือที่ได้อ่านมา
(3) ไม่ต้องอ้างอิง
(4) บอกชื่อผู้เป็นเจ้าของคําพูด
ตอบ 4 ชาคริต อนันทราวัน ได้กล่าวถึงมารยาทในการพูด สรุปได้ดังนี้
1. ไม่ควรสูบบุหรี่ อมลูกอม เคี้ยวหมากฝรั่ง หรือหยิบยาอมขึ้นมาใส่ปากในขณะที่พูด
2. หากรู้สึกโกรธขึ้นมาในขณะที่พูด นักพูดควรหยุดนิ่งและระงับสติอารมณ์ให้ได้
3. ต้องตรงต่อเวลาในการพูด คือ พูดและสรุปให้จบก่อนหมดเวลา 1 – 2 นาที
4. ถ้ามีการอ้างอิงคําพูดของผู้อื่น ต้องบอกชื่อผู้เป็นเจ้าของคําพูดด้วย ฯลฯ

39. Be Confident ในการตอบคําถาม หมายถึงอะไร
(1) ตอบให้สมบูรณ์
(2) ตอบให้ถูกต้อง
(3) ตอบให้สุภาพ
(4) ตอบให้มั่นใจ
ตอบ 4
กฎเกณฑ์ของการตอบคําถาม ซึ่งเรียกว่า 4 Bs มีดังนี้
1. มีความถูกต้อง (Be Accurate) 2. มีความสมบูรณ์ (Be Complete)
3. มีความสุภาพ (Be Polite) 4. มีความมั่นใจ (Be Confident)

40. จงใช้ภาษาของผู้ฟัง หมายถึงสิ่งใด
(1) ใช้ภาษาถิ่น
(2) ใช้ภาษาให้เหมาะกับระดับภาษาของกลุ่มผู้ฟัง
(3) ใช้ภาษาที่ถูกต้องตามหลักการใช้ภาษา
(4) ถูกทุกข้อ
ตอบ 2
จงใช้ภาษาของผู้ฟัง หมายถึง ผู้พูดใช้ภาษาให้เหมาะกับการรับฟังของกลุ่มผู้ฟัง หรือใช้ภาษาให้สอดคล้องกับพื้นฐานและเหมาะกับระดับภาษาของกลุ่มผู้ฟัง โดยผู้พูดต้องศึกษาว่าผู้ฟังเป็นใคร เพื่อปรับความยากง่ายของถ้อยคําภาษาของตนให้เข้ากับ ผู้ฟัง หรือเป็นภาษาของกลุ่มผู้ฟัง ไม่ใช้ศัพท์ยากเกินไป ถ้าใช้ศัพท์ยากหรือใช้ภาษาที่ผู้ฟังไม่อาจเข้าใจก็จะทําให้การพูดนั้นไร้ประโยชน์

41. “แม้ว่าการพูดจะไม่ค่อยเคร่งครัดในระเบียบกฎเกณฑ์สักเท่าเหร่ แต่ผู้ใช้ภาษาควรจะระมัดระวังในการใช้ภาษาพูด” ข้อใดตรงกันข้ามกับข้อความที่กล่าวไว้
(1) ธงชัยใช้ภาษาถิ่นกับผู้ฟังเพื่อสร้างความคุ้นเคย
(2) เกษมใช้ภาษาต่างประเทศกับผู้ฟังบ้างเป็นบางโอกาส
(3) สมศักดิ์ร้องต่อกลอนเพลงยาวกับผู้ฟังเพื่อสร้างความคุ้นเคย
(4) สมหมายใช้ภาษาสแลงกับผู้ฟังบ้างในคราวที่จําเป็น
ตอบ 1
ภาษาพูดที่ดี คือ ภาษาที่แสดงความคิดได้แจ่มแจ้งชัดเจนทุกขั้นตอนของการพูด ถึงแม้ว่าการพูดจะไม่ค่อยเคร่งครัดในระเบียบกฎเกณฑ์ของภาษามากเท่าภาษาเขียน แต่ผู้ใช้ภาษาก็ควรระมัดระวังในการใช้ภาษาพูดให้ถูกต้อง เช่น ผู้พูดไม่ควรใช้คําต่ำคําหยาบ คําผวน คําสแลง คําเฉพาะอาชีพ ศัพท์บัญญัติ ภาษาถิ่น และคำภาษาต่างประเทศในการพูดอยู่ตลอดเวลา แต่หากจําเป็นต้องใช้เป็นบางครั้งก็จะต้องอธิบายให้ผู้ฟังเข้าใจ

42. ข้อใดเกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาให้สอดคล้องกับวัฒนธรรม
(1) บํารุงเรียกภรรยาใหม่ของพ่อว่า “คุณน้า”
(2) บําราศเรียกพี่สาวว่า “น้อง” เพราะเป็นชื่อเล่น
(3) ดํารัสขานรับคุณครูว่า “จ้า” เมื่อคุณครูเรียก
(4) ดํารงขานรับว่า “ขอรับ” เมื่อภรรยาใหม่ของคุณพ่อเรียก
ตอบ 1
การใช้ภาษาในสังคมไทยมีความสอดคล้องกับวัฒนธรรม ได้แก่ การพูดกับบุคคลที่อาวุโส คนไทยนิยมใช้คําสรรพนามแทนบุคคลที่อาวุโสกว่าในลักษณะที่ยกย่อง เช่น เรียกว่า พี่ ป้า ลุง ยาย คุณน้า (ในกรณีที่มีอายุอ่อนกว่าแม่ตัวเอง) ฯลฯ แต่ถ้าบุคคลนั้นอายุน้อยกว่าก็เรียกว่า น้อง เป็นต้น

43. นักพูดจะต้องมีความรู้เรื่องหลักภาษา ข้อใดเกี่ยวข้องมากที่สุด
(1) นิดาเป็นนักพูดที่มีบุคลิกภาพดีเยี่ยม
(2) วรรณาเป็นนักพูดที่มีศิลปะการแสดงดีเยี่ยม
(3) กรณีเป็นนักพูดที่สื่ออารมณ์ได้ตรงกับเรื่องที่พูดได้ดีเยี่ยม
(4) วันดีเป็นนักพูดที่รักษาเวลาในการพูดได้ดีเยี่ยม

ตอบ 3
ความรู้ในเรื่องหลักภาษา คือ ผู้ใช้ภาษาพูดควรมีความรู้พอสมควรในด้านการสร้างประโยค การใช้ถ้อยคํา ความหมายของคํา และรู้จักเลือกใช้ภาษาที่สื่ออารมณ์ความรู้สึกได้ตรงกับเรื่องที่พูด

ข้อ 44. – 50. ข้อใดถูกให้เลือกข้อ 1 ข้อใดผิดให้เลือกข้อ 2

44. การพูดเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ที่สามารถเรียนรู้และฝึกทักษะได้ ยิ่งฝึกมากยิ่งชํานาญมาก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

45. ภาษาพูดต่างจากภาษาเขียน คือ ภาษาพูดจะไม่ค่อยเคร่งครัดในระเบียบและกฎเกณฑ์มากนัก
ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ

46. ความหมายโดยบริบท คือ ความหมายที่ขึ้นอยู่กับข้อความในประโยค ถ้าข้อความเปลี่ยนความหมายก็เปลี่ยน
ตอบ 1
ความหมายโดยปริบทหรือบริบท (Context) หมายถึง ความหมายที่ต้องดูจากคําหรือสังเกตข้อความแวดล้อมหรือใกล้เคียงคํานั้น ๆ ประกอบ จึงจะเข้าใจความหมาย ได้อย่างถูกต้อง หรือเป็นความหมายที่ขึ้นอยู่กับข้อความในประโยค ถ้าหากข้อความเปลี่ยนไปความหมายก็จะเปลี่ยนไปด้วย

47. ผู้พูดควรใช้ภาษาที่ทําให้ผู้ฟัง ฟังแล้วต้องตีความเอาเองเพื่อแสดงภูมิปัญญาของผู้ฟัง
ตอบ 2
ภาษาพูดที่ดี คือ ภาษาที่ผู้พูดสื่อให้ผู้ฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นถ้อยคําที่ชัดเจน สื่อความหมายได้ดี ถูกต้องและเหมาะสม ไม่ควรใช้ภาษาที่ทําให้ผู้ฟังตีความเอาเองว่า เนื้อความที่พูดไปนั้นคนพูดต้องการหมายความว่าอย่างไรกันแน่ เพราะจะทําให้เกิดปัญหาที่ผู้ส่งสารต้องการสื่อสารอย่างหนึ่ง แต่ผู้รับสารเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่ง

48. ความหมายโดยนัย ความหมายโดยแฝง และความหมายเชิงอุปมา ล้วนคือความหมายเดียวกัน
ตอบ 2
การพิจารณาความหมายของคําแยกออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ 1. ความหมายโดยตรง 2. ความหมายโดยนัย หรือความหมายเชิงอุปมา 3. ความหมายโดยแฝง 4. ความหมายตามบริบท

49. ภาษาที่มีชีวิตชีวา คือ ภาษาที่ประชดนิด ๆ หยิกแกมหยอกหน่อย ๆ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดอารมณ์สนุกสนาน
ตอบ 2
ภาษาที่ใช้ต้องมีชีวิตชีวาและกินใจ เพื่อก่อให้เกิดความสนใจและประทับใจ คือถ้อยคําสํานวนที่ทําให้ผู้ฟังเกิดจินตนาการ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะต้องอาศัยสภาพแวดล้อมและประสบการณ์ต่าง ๆ ทั้งนี้ภาษาที่มีชีวิตชีวาอาจประกอบด้วย ภาพพจน์ อุปมาอุปไมย ฯลฯก็ได้เช่นกัน

50. เมื่อคุณพ่อคุณแม่เรียก เราควรขานรับท่านว่า “จ้า” แต่เมื่อคุณครูเรียกเราขานรับว่า “ขา”
ตอบ 2 การใช้ภาษาพูดของเพศหญิงและเพศชายจะแตกต่างกันในบางครั้งทําให้แยกเพศได้ชัดเจน เช่น คําขานรับ เพศชายใช้ “ครับ/ครับผม” (ใช้ทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ), เพศหญิงใช้ “จ้า/ขา” (ไม่เป็นทางการ) และ “คะ” (เป็นทางการ) ฯลฯ

51. การประชุมที่จัดขึ้นเพื่อพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งและร่วมแสดงความเห็น เรียกว่าอะไร
(1) Work Shop
(2) Debate
(3) Panel
(4) Seminar
ตอบ 3
การประชุมคณะอภิปราย หรือการประชุมแบบแผง (Panel) คือ การประชุมที่บุคคลคณะหนึ่งจัดให้มีขึ้นด้วยเจตนาร่วมกันที่จะพิจารณาในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และนําปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนั้นขึ้นมากล่าวเป็นประเด็น เพื่อช่วยกันแสดงความคิดเห็นหรือแก้ไขปัญหา

52. การประชุมแบบใดที่สถาบันจัดขึ้นและเอื้อความสะดวกด้านวัสดุ
(1) Work Shop
(2) Debate
(3) Panel
(4) Seminar
ตอบ 1
การประชุมปฏิบัติงาน (Work Shop) คือ การประชุมที่สถาบันจัดให้มีขึ้น และจัดอํานวยความสะดวกในด้านวัสดุและอุปกรณ์การศึกษาให้พร้อม เพื่อให้ผู้เข้าประชุมได้ใช้ แก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่งโดยเฉพาะ และให้ได้ร่วมปฏิบัติการหรือลงมือทําเพื่อให้ได้ผลงาน ตามที่กําหนดไว้

53. การอภิปรายแบบใดที่สมาชิกทุกคนมีโอกาสได้เห็นหน้ากัน
(1) แบบฟิลิปส์ 66
(2) แบบเวียนรอบ
(3) แบบระดมสมอง
(4) แบบโต๊ะกลม
ตอบ 4
การอภิปรายแบบโต๊ะกลม (Round Table Discussion) คือ การปรึกษาหารือกันในระหว่างสมาชิกอย่างใกล้ชิด โดยสมาชิกทุกคนมีสิทธิ์ในการอภิปราย และมีการจัดโต๊ะเป็นรูปวงกลมเพื่อให้เห็นหน้ากันได้ชัดเจน จึงทําให้การประชุมแบบนี้เกิดความคิดได้มากเพราะว่าเห็นหน้ากันถนัด และทุกคนมีสิทธิ์พิจารณาอย่างเท่าเทียมกัน

54. ประโยชน์ของการจัดประชุมหรือการจัดอภิปรายข้อใดไม่เกี่ยวข้อง
(1) มีโอกาสพบปะพูดจาสังสรรค์
(2) เรียนรู้มารยาทและการมีมนุษยสัมพันธ์
(3) สามารถสร้างความสามัคคีในหน่วยงาน
(4) มีโอกาสและส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น
ตอบ 3
ประโยชน์ของการจัดประชุมหรือการจัดอภิปราย มีดังนี้
1. ทําให้มีโอกาสพบปะพูดจาสังสรรค์กัน 2. ทําให้รู้จักเรียนรู้มารยาทและการมีมนุษยสัมพันธ์ 3. ทําให้มีโอกาสปรึกษาหารือกันอยู่เสมอ และมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ฯลฯ

55. ข้อใดคือความแตกต่างระหว่าง “การประชุมแบบโต้แย้ง” กับ “การอภิปรายแบบโต้วาที” ที่ชัดเจนที่สุด
(1) การประชุมแบบโต้แย้งมีจุดมุ่งหมายแสดงเหตุผลเพื่อให้ตัดสินแพ้ชนะ
การอภิปรายแบบโต้วาที่ใช้ในกรณีตัดสินใจเลือกนโยบายหรือแนวทางปฏิบัติ
(2) การประชุมแบบโต้แย้งมีผู้เสนอ ผู้ค้าน หัวข้อกําหนด และประธาน
การอภิปรายแบบโต้วาที่จะเรียกผู้เสนอว่า ฝ่ายเสนอ และผู้ค้านว่า ฝ่ายคัดค้าน
(3) การประชุมแบบโต้แย้งมีประธานเป็นผู้รักษาระเบียบการโต้
การอภิปรายแบบโต้วาที ประธานทําหน้าที่ควบคุมการอภิปรายให้เป็นไปตามระเบียบ (4) การประชุมแบบโต้แย้งต้องมีการโต้เถียงตามหัวข้อกําหนด
การอภิปรายแบบโต้วาที่ต้องแสดงความเห็นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ตอบ 1
การประชุมแบบโต้แย้ง (Debate) และการอภิปรายแบบโต้วาที (Debate Discussion) จะมีลักษณะคล้ายคลึงกันหลายอย่าง แต่มีข้อแตกต่างที่ชัดเจนที่สุด คือ การประชุมแบบโต้แย้งมีจุดมุ่งหมายแสดงเหตุผลเพื่อให้ตัดสินแพ้ชนะ ส่วนการอภิปราย แบบโต้วาที่ใช้ในกรณีตัดสินใจเลือกนโยบายหรือแนวทางปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อนําไป เป็นแนวทางการดําเนินงานขององค์การ

56. ข้อใดคือวลีฆาตกร
(1) เธอคิดมากเกินไปหรือเปล่า
(2) อย่าทําแบบนี้อีกนะ
(3) คนอื่นเขาไม่คิดว่าเธอไม่ดีหรอก
(4) ไม่มีใครเขาทําแบบเธอหรอก
ตอบ 4
อรวรรณ ปิลันธน์โอวาท ได้เรียกการใช้ภาษาที่จะทําลายบรรยากาศอันดีในที่ประชุม และทําลายความคิดสร้างสรรค์ของผู้เข้าประชุมว่า “วลีฆาตกร” (Killer Phrases) คือ การใช้ภาษาที่อาจทําให้เกิดปฏิกิริยาโต้ตอบในทางปฏิปักษ์ นอกจากนี้วลีฆาตกรยังสามารถ เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจําวัน หากเป็นการใช้วาจาที่ก้าวร้าว ไม่สุภาพ จนก่อให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง เช่น ไม่มีใครเขาทําแบบเธอหรอก เป็นต้น

ข้อ 57. – 60. จงพิจารณาว่าข้อใดใช้คําผิดความหมาย

57.
(1) สมชายอ่านหนังสืออย่างขมีขมันเพื่อจะสอบเข้านายร้อย
(2) สมหญิงกุลีกุจอช่วยคุณยายห่อขนมนําไปขายที่ตลาด
(3) สมสุขเปิดเผยความในใจว่า ชอบทานอาหารแบบใด
(4) สมจินตนาชอบทานขนมจุบจิบโดยไม่กลัวน้ำหนัก
ตอบ 1
ประโยคในตัวเลือกข้อ 1 ใช้คําไม่ถูกต้องตรงความหมาย หรือใช้คําผิดความหมาย เพราะคําบางคํามีความหมายคล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกัน แต่ละคํามีความหมายโดยตรงที่ใช้เฉพาะความหมายคํานั้น จึงควรใช้คําให้ถูกต้องตรงความหมาย โดยใช้คําว่า “ขะมักเขม้น” = ตั้งใจทําอย่างรีบเร่งเพื่อให้แล้วเสร็จไป ก้มหน้าก้มตาทํา (ส่วนคําว่า “ ขมีขมัน” = รีบเร่งในทันทีทันใด)

58.
(1) ขุนแผนสืบเสาะหาของดีติดตัวก่อนออกผจญภัย
(2) คุณยายวรนาฏดูออกจะจุกจิกขี้บ่นกับหลาน ๆ
(3) ภาพพจน์นักศึกษามหาวิทยาลัยรามคําแหง คือ ขยันและอดทน
(4) เปรี้ยวพูดจาขัดนวลตลอดเวลาจนทําให้นวลโกรธ
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 57. ประกอบ) ประโยคในตัวเลือกข้อ 3 ควรใช้คําว่า“ภาพลักษณ์” – ภาพที่เกิดจากความนึกคิดหรือที่คิดว่าควรจะเป็นเช่นนั้น จินตภาพก็ว่า (ส่วนคําว่า “ภาพพจน์” = คําพูดที่เป็นสํานวนโวหารทําให้นึกเห็นเป็นภาพ)

59.
(1) คอนโดมิเนียมขึ้นอย่างหนาแน่นริมสถานีรถไฟฟ้า
(2) ตํารวจกําลังสอบปากคํานายดําที่ไปลักขโมยของ
(3) ดาวเรืองกําลังสอบถามกับพนักงานเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ
(4) ขุนไกรรู้สึกทราบซึ้งในความรักของดาวเรือง
ตอบ 4 (ดูคําอธิบายข้อ 57. ประกอบ) ประโยคในตัวเลือกข้อ 4 ควรใช้คําว่า“ซาบซึ้ง” = อาการที่รู้สึกจับใจอย่างลึกซึ้ง หรืออาการที่รู้สึกปีติปลาบปลื้ม (ส่วนคําว่า “ทราบซึ้ง” = รู้หรือเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ไม่สงสัยอะไรอีกแล้ว)

60.
(1) ไออุ่นรู้สึกวางใจในทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
(2) กําภูจนมุมที่จะทําให้ไกรขวัญ หันมาคืนดี
(3) วรุณยุพาตั้งใจจะเผยแผ่คําสอนพระพุทธเจ้าให้โลกรับรู้
(4) การสนทนานี้ดูจะยืดยาวไม่รู้จักจบสิ้นในคืนนี้
ตอน 2
(ดูคําอธิบายข้อ 57. ประกอบ) ประโยคในตัวเลือกข้อ 2 ควรใช้คําว่า “จนใจ” = หมดทางที่จะได้อย่างคิด (ส่วนคําว่า “จนมุม” = ไม่มีทางหนี หมดทางสู้)

61. ขั้นตอนในการเตรียมเพื่อการพูดและการเขียนข้อใดมาก่อนลําดับแรก
(1) การเตรียมเนื้อหา
(2) การเขียนโครงเรื่อง
(3) การเลือกหัวข้อเรื่อง
(4) การขยายความคิด
ตอบ 3
ก่อนที่จะพูดหรือเขียน เราต้องเลือกหัวข้อเรื่องที่จะพูดหรือเขียนก่อนสิ่งอื่นใดซึ่งการเลือกหัวข้อเรื่อง หมายถึง การพิจารณาเนื้อหาสาระของเรื่องว่ามีความเหมาะสมที่จะ นํามากล่าวหรือไม่ ดังนั้นการเลือกหัวข้อเรื่องจึงไม่ใช่สิ่งเดียวกับประโยคใจความ และไม่ได้หมายถึง การเลือกชื่อเรื่องหรือการตั้งชื่อเรื่องให้โก้เก๋ แต่ต้องคํานึงถึงเนื้อหาหรือสาระสําคัญของเรื่องเป็นหลัก

62. ถ้าผู้เขียนมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการบํารุงความงาม ควรเขียนเรื่องอะไร (1) สวยชาตินี้ ไม่ต้องรอชาติหน้า
(2) สวยอย่างไรให้มีคุณค่า
(3) ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง
(4) เครื่องสําอางกับการปรุงโฉม
ตอบ 4
หลักการเลือกหัวข้อเรื่องประการหนึ่ง คือ หัวข้อเรื่องนั้นเหมาะกับความสามารถของผู้กล่าวผู้เขียนหรือไม่ ซึ่งหัวข้อเรื่องใดที่มีเนื้อหาตรงกับความรู้ สติปัญญา และความสนใจ หรือเป็นหัวข้อเรื่องที่เรามีความรู้ดีก็ควรเลือกเขียนเรื่องนั้น ไม่ควรเลือกหัวข้อเรื่องยากเกินกว่าสติปัญญาที่เรามีอยู่ เช่น ถ้าผู้เขียนมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการบํารุงความงาม ควรเขียนเรื่อง “เครื่องสําอางกับการปรุงโฉม เป็นต้น

63. ที่มาของเรื่องที่เขียนหรือพูดมักมาจากแหล่งใดที่สําคัญที่สุด
(1) การพูด
(2) การฟัง
(3) การอ่าน
(4) การเขียน
ตอบ 3
แหล่งที่มาของหัวข้อเรื่องอาจได้มาจากหลายทาง เช่น จากการอ่าน การฟัง การสังเกต การคิดนึกตรึกเอา หรือได้มาจากประสบการณ์ตรง ฯลฯ แต่หัวข้อเรื่อง ส่วนใหญ่มักได้มาจากการอ่านหนังสือต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นแหล่งที่มาของหัวข้อเรื่องที่สําคัญที่สุด เพราะการอ่านเป็นการสั่งสมความรู้ที่ดีที่สุด และยังเป็นการพัฒนาตนเองในด้านความรู้ได้เร็วและรวบรัดที่สุดอีกด้วย

64. ในการจัดระเบียบความคิดนั้น เมื่อเขียนประโยคกล่าวนําแล้ว ขั้นตอนต่อมาคืออะไร
(1) วิเคราะห์ความคิด
(2จัดสรรความคิด
(3) จัดหมวดหมู่ความคิด
(4) จัดลําดับความคิด
ตอบ 1
ขั้นตอนการจัดระเบียบความคิด มีดังนี้
1. ขั้นวิเคราะห์ความคิด เป็นขั้นตอนแรกที่ทําต่อเนื่องจากการเขียนประโยคกล่าวนํา 2. ขั้นเลือกสรรความคิด 3. ขั้นจัดหมวดหมู่ความคิดของเรื่อง 4. ขั้นจัดลําดับความคิด 5. ขั้นขยายความคิดของเรื่อง

65. การแบ่งระดับหัวข้อย่อยในโครงเรื่องนิยมใช้แบบใดมากที่สุด
(1) แบบตัวอักษรย่อ
(2) แบบตัวเลข
(3) แบบตัวเลขสลับอักษรย่อ
(4) แบบใดก็ได้ขึ้นอยู่กับผู้เขียน
ตอบ 1
การเเบ่งระดับหัวข้อย่อยในโครงเรื่องนิยมใช้แบบตัวอักษรย่อมากที่สุด หรือใช้แบบตัวเลขผสมกับตัวอักษรย่อสลับกันไป หรืออาจใช้หัวข้อย่อยแบบตัวเลขล้วน ๆ โดยใช้ เครื่องหมายมหัพภาค (.) เป็นเครื่องช่วยสังเกตประเด็นใหญ่และประเด็นย่อย แต่มีข้อควรระวัง คือ ถ้าเลือกหัวข้อประเด็นแบบใดก็ให้ใช้แบบนั้นตลอดไป อย่าใช้ปนกันหลาย ๆ แบบ

ข้อ 66. – 70. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) โครงเรื่องแบบไม่มีพิธีรีตอง
(2) โครงเรื่องแบบหัวข้อ
(3) โครงเรื่องแบบย่อหน้า
(4) โครงเรื่องแบบประโยค
66. โครงเรื่องที่มีการกํากับด้วยตัวเลขหรืออักษรย่อที่สังเขปด้วยคําวลี
ตอบ 2
โครงเรื่องแบบหัวข้อ จะเขียนด้วยคําหรือวลีสั้น ๆ หรืออาจเป็นอนุประโยคที่ไม่ได้ความครบถ้วนในตัวเอง โดยมีตัวเลขหรืออักษรย่อกํากับทุกประเด็นที่สังเขป ด้วยคําวลีหรืออนุประโยคนั้น ๆ จึงเป็นโครงเรื่องที่ไม่ได้บอกแนวทางไว้ชัดเจน และผู้เขียนต้องรีบเขียนด้วยเวลาอันจํากัด เพราะหากทิ้งไว้นาน ๆ อาจลืมได้ว่าหัวข้อนั้นจะขยายความอย่างไร ทั้งนี้โครงเรื่องแบบหัวข้อควรใช้ถ้อยคําให้ขนานเป็นแนวเดียวกันโดยตลอด คือ ถ้าหัวข้อเรกขึ้นต้นด้วยคํานามหรือคํากริยา หัวข้อต่อไปก็ควรขึ้นต้นด้วยคํานามหรือคํากริยาด้วย

67. โครงเรื่องที่ไม่ค่อยมีคนนิยมใช้กันมากนัก
ตอบ 3
โครงเรื่องแบบย่อหน้า ประกอบด้วยกลุ่มประโยคหลายกลุ่มประโยครวมกันในรูปของย่อหน้า โดยไม่ต้องแยกเป็นหัวข้อลงในบรรทัดใหม่ แต่จะกล่าวถึงทุกประเด็นปนกันไปในย่อหน้าเดียวกัน เนื่องจากโครงเรื่องแบบนี้ไม่แยกประเด็นความคิดของเนื้อหาออกอย่างชัดเจน จึงไม่เป็นที่นิยมกันโดยทั่วไป

68. โครงเรื่องที่นิยมตอนถูกเชิญให้เป็นคนกล่าวเวลากะทันหัน
ตอบ 1
โครงเรื่องแบบไม่มีพิธีรีตอง จะเขียนอย่างคร่าว ๆ ด้วยคําหรือวลีแบบหยาบ ๆ เพื่อวางแนวเรื่องสั้น ๆ หรือเรื่องที่จะต้องพูดหรือเขียนอย่างทันควันในเวลา อันจํากัด โดยไม่จําเป็นต้องคํานึงถึงระเบียบแบบแผนใด ๆ เพียงแต่ต้องการให้เรื่องที่จะกล่าวเรียงลําดับกันไม่สับสนเท่านั้น เช่น การเตรียมตอบคําถามหรือทําข้อสอบแบบอัตนัย หรือการถูกเชิญให้กล่าวในเวลาอันกะทันหัน ฯลฯ

69. โครงเรื่องที่บอกประเด็นการเขียนที่ชัดเจน
ตอบ 4
โครงเรื่องแบบประโยค จะเขียนด้วยข้อความที่เป็นประโยคสมบูรณ์และชัดเจน มีเลขหรืออักษรย่อกํากับทุกประโยคที่เป็นประเด็นของเรื่องนั้น จึงเป็นโครงเรื่องที่บอกขอบข่ายและรายละเอียดของแต่ละประเด็นไว้ครบถ้วน ง่ายต่อการนําไปเขียนขยายเป็นย่อหน้าหรือเนื้อความ จึงเหมาะสําหรับผู้เริ่มหัดเขียน และมักใช้กับเรื่องที่มีรายละเอียดมากซึ่งต้องใช้เวลานานในการศึกษาค้นคว้า เช่น การทํารายงานทางวิชาการ การวิจัย ฯลฯ

70. โครงเรื่องที่เหมาะสําหรับผู้ที่เริ่มฝึกเขียน
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 69. ประกอบ

71. ประโยคในส่วนประกอบของย่อหน้าประโยคใดจะมีหรือไม่มีก็ได้
(1) ประโยคสรุป
(2) ประโยคสนับสนุน
(3) ประโยคใจความ
(4) ประโยคส่งความ
ตอบ 4
ประโยคส่งความหรือประโยคเชื่อมความ เป็นประโยคที่เชื่อมเนื้อหาจากย่อหน้าหนึ่งไปยังย่อหน้าต่อไป ซึ่งมักจะปรากฏในกรณีที่มีย่อหน้าตั้งแต่ 2 ย่อหน้าขึ้นไป แต่ถ้าหากมีเพียงย่อหน้าเดียวก็ไม่จําเป็นต้องมีประโยคส่งความ

ข้อ 72 – 75. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้จับคู่ให้ตรงกับประโยคใจความสําคัญของย่อหน้า
(1) ย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว
(2) ย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมมีฐานบรรจบกัน
(3) ย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมยอดบรรจบกัน
(4) ย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่วหัวกลับ

72. โดยทั่วไปผักที่ขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่แล้ว เกษตรกรมักจะใช้สารกําจัดศัตรูพืชฉีดพ่น ถ้าหากไม่มีความรอบคอบในการใช้จะทําให้เกิดสารตกค้าง ทําให้มีปัญหาต่อสุขภาพ ฉะนั้นเมื่อซื้อผักไปรับประทาน จึงควรล้างผักด้วยน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง เพราะจะช่วยกําจัดสารตกค้างไปได้ไม่มากก็น้อย บางคนอาจแช่ผักโดยใช้น้ำผสมโซเดียมไบคาร์บอเนต แต่ก็อาจทําให้วิตามินในผักลดลง
ตอบ 3
ย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมมียอดบรรจบกัน คือ ย่อหน้าที่เริ่มต้นด้วยการให้รายละเอียดกว้าง ๆ แล้วสรุปใจความสําคัญลงกลางย่อหน้า ก่อนจะค่อย ๆ ขยายความจากกลางย่อหน้า เป็นข้อความต่อไป กล่าวคือ มีประโยคใจความอยู่กลาง ๆ ย่อหน้า และมีประโยคสนับสนุนอยู่ตอนต้นกับตอนท้ายย่อหน้า

73. ความรู้ทั่วไปเป็นรากฐานอันจําเป็นอย่างหนึ่งของการสนทนา ผู้ที่มีความรู้ทั่วไปดีจะสนทนาได้อย่างสนุกสนานมีรสชาติยิ่งขึ้น กล่าวได้ว่าการสนทนากับผู้ที่มีความรู้ทั่วไปดีนั้น ก็เสมือนหนึ่งการไปเดินเล่นในหมู่บ้านหรือจังหวัดกับผู้ที่มีความช่ำชองในท้องถิ่นนั้น ๆ ดี ซึ่งทําให้การเที่ยวเตร่ของเราเป็นไปอย่าง สนุกสนานและได้ความรู้อย่างเต็มที่
ตอบ 1
ย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว คือ ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้นย่อหน้า แล้วมีประโยคสนับสนุนหลักและประโยคสนับสนุนรองวางอยู่ในตําแหน่งถัดไป ทําให้จัดลําดับความคิดได้ง่ายที่สุด เนื่องจากเป็นการขยายความคิดจากประโยคใจความสําคัญไปสู่รายละเอียดที่จะนํามาสนับสนุน

74. เรารักษาศีลเพื่อบังคับตัวเองให้มีระเบียบวินัยในการกระทําทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น เรามาอยู่วัด มานุ่งขาวห่มขาว ไม่ใช่ถือศีล 8 ข้อเท่านั้น แต่เราต้องพยายามนึกว่า ศีล คือ การมีระเบียบวินัย ศีลฝึกให้เราเดิน อย่างมีระเบียบ นั่งอย่างมีระเบียบ กินอย่างมีระเบียบ ทําอะไรก็ล้วนแล้วแต่มีระเบียบ ถ้าเราไม่มีระเบียบ ก็ถือว่าไม่มีศีล
ตอบ 2
ย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมมีฐานบรรจบกัน คือ ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้น แล้วขยายความให้รายละเอียดด้วยประโยคสนับสนุนหลักและประโยคสนับสนุนรอง ต่อจากนั้นก็ค่อย ๆ สรุปรายละเอียดต่าง ๆ ให้แคบลง และจบลงด้วยประโยคใจความสําคัญ ในตอนท้ายอีกครั้งหนึ่ง จึงมีลักษณะเป็นย่อหน้าที่ขยายความให้กว้างออกแล้วจึงสรุปความให้แคบเข้า โดยมีประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้นและท้าย

75. เนื่องจากมีการเร่งรัดพัฒนาประเทศหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะอุตสาหกรรม ทําให้ทรัพยากรที่มีอยู่ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ป่าไม้ถูกทําลายไปจนเหลือไม่ถึงหนึ่งในสี่ของผืนป่าที่มีมาแต่เดิมลําธารก็ถูกทําลายลงไปมาก เกิดปัญหาภัยแล้ง สัตว์ป่าถูกล่าจนบางชนิดก็สูญพันธุ์ไปแล้ว น้ำในแม่น้ำตลอดจนลําคลองที่เคยใสและสะอาดก็กลับมาเน่าเสีย การใช้ธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือยได้ก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงและ หลีกเลี่ยงไม่ได้ในปัจจุบัน
ตอบ 4
ย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่วหัวกลับ คือ ย่อหน้าที่มีประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนท้าย เป็นการสรุปเอาสาระสําคัญทั้งหมดลงในตอนท้าย โดยกล่าวถึงรายละเอียดต่าง ๆ อย่างคลุม ๆ ได้แก่ กล่าวถึงประโยคสนับสนุนหลักและประโยคสนับสนุนรองไว้ก่อนในตอนต้น แล้วจึงค่อยขมวดความคิดหรือใจความสําคัญเอาไว้ในตอนจบ ซึ่งจะตรงข้ามกับย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่ว

ข้อ 76. – 90, ข้อความต่อไปนี้เป็นเนื้อเรื่องเดียวกัน แต่แบ่งไว้เป็นข้อ ๆ จํานวน 15 ข้อ จงอ่านให้ติดต่อเป็นเรื่องเดียวกัน แล้วพิจารณาว่าแต่ละข้อเข้าลักษณะใด
จากคําตอบข้างล่างนี้ ให้ระบายข้อที่เลือกในกระดาษคําตอบ
คําตอบ
– ถ้าข้อความนั้นเป็นประโยคใจความ ให้เลือกตอบข้อ 1
– ถ้าข้อความนั้นเป็นประโยคสนับสนุนหลัก ให้เลือกตอบข้อ 2
– ถ้าข้อความนั้นเป็นประโยคสนับสนุนรอง ให้เลือกตอบข้อ 3
– ถ้าข้อความนั้นทําให้เสียเนื้อความในย่อหน้า ให้เลือกตอบข้อ 4

(1) ภาษาไทยเป็นภาษาที่ร่ำรวยอุดมด้วยคํา (2) มีทั้งคําไทยและคําที่ยืมจากภาษาอื่น ทั้งที่ยืมมาโดยตรงและยืมผ่านภาษาอื่น ๆ อีกต่อหนึ่ง (3) ภาษาไทยมีคํายืมจากภาษาต่าง ๆ เช่น (4) บาลี สันสกฤต เขมร จีน ชวา มลายู (5) และภาษาทางยุโรปอื่น ๆ โดยเฉพาะอังกฤษ (6) คําที่ยืมมาเหล่านั้น เรายังแผลงและดัดแปลงออกไปได้อีกมาก (7) ภาษาไทยจึงมีเสียงดนตรีเกิดขึ้นมากมาย (8) การยืมภาษาต่างประเทศทําให้ภาษาขยายตัว (9) ภาษาต่างประเทศมีกลิ่นนมและเนย (10) คํายืมที่ใช้ไปนาน ๆ สังคมยอมรับและติดอยู่ในภาษาก็ถือเสมอเป็นคําไทย (11) แต่มีคํายืมอีกมากที่ผู้ใช้ภาษา (12) หรือเจ้าของภาษารู้สึกว่ายังเป็นคําต่างประเทศ (13) คําเหล่านี้ไม่ควรที่จะนํามาใช้ในการเขียนหรือพูดอย่าง เป็นทางการหรือกึ่งทางการ (14) เรื่องการใช้คําและสํานวนต่างประเทศนี้ (15) ตัวอย่างส่วนใหญ่จะเป็นตัวอย่างจากภาษาอังกฤษ

76. ข้อความหมายเลข 1
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 1
ประโยคใจความหรือประโยคสําคัญ คือ ข้อความที่เป็นตอนนำซึ่งเป็นส่วนที่มีความหมายครอบคลุมข้อความทั้งหมดในย่อหน้า หรือเป็นส่วนที่มีความหมาย เด่นชัดและมีน้ำหนักมากที่สุด โดยจะกล่าวถึงสาระสําคัญของเนื้อความในย่อหน้านั้นทั้งหมดหรือจํากัดขอบข่ายประเด็นที่จะพูดถึงในย่อหน้า ทั้งนี้อาจมีตําแหน่งอยู่ในตอนต้น ตอนกลาง หรือตอนปลายของย่อหน้าก็ได้ (ข้อความที่ให้มาข้างต้นเป็นย่อหน้าแบบสามเหลี่ยมหน้าจั่วที่มีประโยคใจความสําคัญอยู่ตอนต้นย่อหน้า)

77. ข้อความหมายเลข 2
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 2
ประโยคสนับสนุนหลัก คือ ข้อความส่วนที่เป็นตอนอภิปราย หรือประเด็นความคิดหลัก ซึ่งจะทําหน้าที่นํารายละเอียดของเนื้อหาไปสนับสนุนหรือขยายประโยคใจความ ของย่อหน้า ดังนั้นการเขียนประโยคชนิดนี้จึงต้องวิเคราะห์ประโยคใจความ และจํากัดความคิดที่จําเป็นต้องนํามาสนับสนุนใจความในย่อหน้าเสียก่อน

78. ข้อความหมายเลข 3
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3
ประโยคสนับสนุนรอง คือ ข้อความที่เป็นตอนอภิปราย หรือความคิดย่อยในประเด็นความคิดหลัก ซึ่งทําหน้าที่ให้รายละเอียดหรือขยายความในประเด็นความคิดหลัก
หรือประโยคสนับสนุนหลัก (ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ)

79. ข้อความหมายเลข 4
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

80. ข้อความหมายเลข 5
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

81. ข้อความหมายเลข 6
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

82. ข้อความหมายเลข 7
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 4
ประเด็นความคิดที่อยู่นอกขอบข่ายเนื้อหา คือ รายการความคิดที่ไม่เกี่ยวข้องกับประโยคใจความ ประโยคสนับสนุนหลัก และประโยคสนับสนุนรอง เพราะเมื่อปนเข้ามาก็จะทําให้เนื้อความของเรื่องหรือของย่อหน้านั้นเสียไป

83. ข้อความหมายเลข 8
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ

84. ข้อความหมายเลข 9
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 82. ประกอบ

85. ข้อความหมายเลข 10
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

86. ข้อความหมายเลข 11
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

87. ข้อความหมายเลข 12
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

88. ข้อความหมายเลข 13
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

89. ข้อความหมายเลข 14
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

90. ข้อความหมายเลข 15
(1) ข้อ 1
(2) ข้อ 2
(3) ข้อ 3
(4) ข้อ 4
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 78. ประกอบ

91. ข้อใดมีจํานวนพยางค์มากที่สุด
(1) นาฏดนตรี
(2) นาวิกโยธิน
(3) บูรพคณาจารย์
(4) ภูมิปัญญาประดิษฐ์
ตอบ 3
พยางค์ คือ เสียงที่เปล่งออกมา 1 ครั้ง จะมีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้ซึ่งพยางค์เกิดจากการเปล่งเสียงพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ตามกันออกมาอย่างกระชั้นชิด จนฟังดูเหมือนกับเปล่งเสียงออกมาในครั้งเดียวกัน เรียกว่า การประสมเสียงในภาษา ดังนั้น เสียงที่เกิดจากการประสมเสียงจึงเรียกว่า “พยางค์” เช่น คําว่า บูรพคณาจารย์ (6 พยางค์), นาวิกโยธิน/ภูมิปัญญาประดิษฐ์ (5 พยางค์), นาฏดนตรี (4 พยางค์) เป็นต้น

92. “งานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสของนิดาคราคร่ำไปด้วยผู้คน” ประโยคที่กําหนดให้บกพร่องในเรื่องใด
(1) ใช้คําเชื่อมผิด
(2) ใช้คําผิดความหมาย
(3) ความหมายกํากวม
(4) วางส่วนขยายผิดที่
ตอบ 2
(ดูคําอธิบายข้อ 57. ประกอบ) ประโยคดังกล่าวควรใช้คําว่า “คลาคล่ำ” = ไปหรือมาเป็นจํานวนมาก มักใช้กับปลา ฝูงชน (ส่วนคําว่า “คราคร่ำ” เป็นคําที่เขียนผิด)

93. ข้อใดใช้คําได้ถูกต้องตามระเบียบของภาษา
(1) สุดามีกรมธรรม์หลายเล่ม
(2) เขายื่นใบสมัครแก่เจ้าหน้าที่
(3) หน้าตาของเขาเหมือนอย่างราวกับพ่อ
(4) ลูกศิษย์ของฉันคนนี้มีสติปัญญาแหลมคมมาก
ตอบ 4
ประโยคในตัวเลือกข้อ 4 ใช้คําถูกต้องตามระเบียบของภาษา (หลักภาษาหรือไวยากรณ์) คือ ระเบียบของถ้อยคําที่กําหนดไว้ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นควรใช้คําให้ถูกต้องตามระเบียบของภาษา โดยใช้ว่า สุดามีกรมธรรม์หลายฉบับ, เขายื่นใบสมัครต่อเจ้าหน้าที่,หน้าตาของเขาเหมือนกับพ่อ)

94. ข้อใดใช้ภาษาเขียนได้ถูกต้อง
(1) นักแข่งจักรยานทีมชาติไทยประสบอุบัติเหตุในการแข่งขัน
(2) การกินอาหารมังสวิรัติมีประโยชน์มาก ทําให้หุ่นเพรียวลมสมส่วน
(3) การทํากิจกรรมเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ทําให้ดูน่าเบื่อหน่าย
(4) มัคคุเทศก์พาคณะนักศึกษานั่งรถชมวิวก่อนกลับบ้าน
ตอบ 1
การใช้คําในภาษาเขียนย่อมพิถีพิถันมากกว่าภาษาพูด โดยเฉพาะภาษาเขียนในระดับแบบแผนด้วยแล้ว ผู้เขียนย่อมทบทวนกันอย่างละเอียดเพื่อที่จะใช้คําได้อย่างหมดจด (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคําที่เป็นภาษาพูด)

95. ข้อใดคือความหมายของพยางค์
(1) มีความหมายหรือไม่มีความหมายก็ได้
(2) เปล่งออกมาแล้วต้องมีความหมาย
(3) ประกอบด้วย พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 91. ประกอบ

96. ข้อใดต่อไปนี้ไม่มีคําพ้องรูปพ้องเสียง
(1) ดูเสียก่อนว่าอาหารบูดหรือไม่ ลองชิมดูซิ
(2) ไปกันหรือยัง เพื่อน ๆ กลุ่มนั้นเขากันที่ไว้รอเรานะ
(3) รีบ ๆ มาช่วยกันขัด ไม่มีใครมาช่วยเราขัดหรอกนะ
(4) คุณลูกค้าไม่ต้องตกใจ ทางร้านขอรับรองว่าผ้าชิ้นนี้สีไม่ตก
ตอบ 3
ประโยคในตัวเลือกข้อ 3 ไม่มีคําพ้องรูปพ้องเสียง เพราะคําว่า “ขัด” ทั้ง 2 คํามีความหมายเหมือนกัน คือ ถูให้เกลี้ยง ถูให้ขึ้นเงา (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคําพ้องรูปพ้องเสียง แต่ความหมายต่างกัน ได้แก่ ดูเสียก่อนว่าอาหารบูดหรือไม่ ลองชิมดูซิ, ไปกันหรือยัง เพื่อน ๆกลุ่มนั้นเขากันที่ไว้รอเรานะ, คุณลูกค้าไม่ต้องตกใจ ทางร้านขอรับรองว่าผ้าชิ้นนี้สีไม่ตก)

97. ข้อใดมีจํานวนพยางค์เท่ากับคําว่า “ศุภอักษร”
(1) กัลปาวสาน ปัจฉิมลิขิต ปรัชญากร
(2) ขัดสมาธิ อภิวันทา อภัยโทษ
(3) เกษตรกร ทศนิยม กตัญชลี
(4) สุขลักษณะ สุนทรพจน์ กมลาไสย
ตอบ 3 (ดูคําอธิบายข้อ 91. ประกอบ) คําในตัวเลือกข้อ 3 ทุกคํา มีจํานวนพยางค์เท่ากับคําว่า “ศุภอักษร” คือ 4 พยางค์ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นมีคําที่ไม่ใช่ 4 พยางค์ ได้แก่ กัลปาวสาน/สุขลักษณะ = 5 พยางค์, ขัดสมาธิ = 3 พยางค์)

98. ข้อความที่กําหนดให้มีคําผิดกี่คํา
สุกานดาจบปริญญาตรีนิเทศน์ศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เธอเป็นคนที่มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ชอบทํางานผลัดวันประกันพรุ่งและเปลี่ยนงานมาหลายบริษัท ล่าสุดเธอทํางาน เป็นเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธุ์ที่คลินิคแถวถนนประชาอุทิศน์ (1) 3 คํา
(2) 4 คํา
(3) 5 คํา
(4) 6 คํา
ตอบ 3 ข้อความที่กําหนดให้มีคําที่สะกดผิด 5 คํา ได้แก่ นิเทศน์ศาสตร์บัณฑิต ผัดวันประกันพรุ่ง ประชาสัมพันธุ์ คลินิค ประชาอุทิศน์ ซึ่งที่ถูกต้องคือ นิเทศศาสตรบัณฑิต ผัดวันประกันพรุ่ง ประชาสัมพันธ์ คลินิก ประชาอุทิศ

99. ข้อใดใช้ภาษาแบบแผน
(1) การมุ่งเอาชนะกันโดยปราศจากความรับผิดชอบ ก่อให้เกิดผลเสียเป็นอย่างยิ่ง (2) การเตะถ่วงมิใช่พฤติการณ์ของการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ
(3) การนําเทคโนโลยีมาช่วยในการเกษตรกําลังเป็นที่สนใจของเกษตรกร
(4) ถ้ามิใช่ทําเพื่อพวกพ้อง แล้วเหตุไฉนจึงตัดสินใจอย่างฉุกละหุกลุกลี้ลุกลน
ตอบ 3
ภาษาระดับแบบแผน คือ คําที่ใช้ในระดับทางการ ซึ่งเป็นคําที่เลือกสรรใช้อย่างประณีต มีความถูกต้องทั้งในด้านหลักภาษา ความชัดเจน และมารยาท ในการใช้โดยสมบูรณ์ ได้แก่ ภาษาเขียนเชิงวิชาการและการเขียนเป็นทางการจะนิยมใช้ภาษา แบบแผนและคําศัพท์บาลี สันสกฤต หรือเขมร แทนคําไทยที่เป็นภาษาพูด แต่ไม่นิยมใช้คําซ้ำ

100. ข้อใดเว้นวรรคถูกต้อง
(1) หนังสือเป็นเสมือนคลังทรัพย์แห่งปัญญา/ที่ใครก็ปล้นไปไม่ได้และใช้ไม่รู้หมด/ดังนั้นทุกคนจึงควรอ่านหนังสือ
(2) หนังสือ/เป็นเสมือนคลังทรัพย์แห่งปัญญา/ที่ใครก็ปล้นไปไม่ได้และใช้ไม่รู้หมด/ดังนั้นทุกคนจึงควรอ่านหนังสือ (3) หนังสือเป็นเสมือนคลังทรัพย์แห่งปัญญาที่ใครก็ปล้นไปไม่ได้ และใช้ไม่รู้หมด/ดังนั้นทุกคนจึงควรอ่านหนังสือ
(4) หนังสือเป็นเสมือนคลังทรัพย์แห่งปัญญาที่ใครก็ปล้นไปไม่ได้และใช้ไม่รู้หมด/ดังนั้นทุกคนจึงควรอ่านหนังสือ
ตอบ 3
การรู้จักเว้นจังหวะในการพูด เป็นการเว้นวรรคตอนตรงข้อความที่ควรจะหยุดซึ่งการเว้นจังหวะโดยทั่วไป คือ การหยุดพูดเมื่อพูดจบหัวข้อหนึ่ง ๆ ก่อนที่จะพูดในหัวข้อใหม่ ต่อไป นอกจากนี้ก็ให้หยุดท้ายคําถาม หยุดท้ายกลุ่มคํา หยุดก่อนที่จะกล่าวคําหรือเรื่องสําคัญและหยุดเมื่อถึงคําสันธาน เช่น กับ, และ, อนึ่ง, อย่างไรก็ดี ฯลฯ

101. ข้อใดเป็นประโยคสองส่วน
(1) นกกางเขนสีสวยขนยาวบินสูงเสียดฟ้า
(2) นกกางเขนป้อนเหยื่อให้ลูกน้อย
(3) ลูกนกบินเกาะกินหนอน
(4) ลูกนกถูกแมวกัด
ตอบ 1
ข้อสังเกตเกี่ยวกับประโยค อาจมีลักษณะดังนี้
1. ประโยค 2 ส่วน ได้แก่ ประธาน + กริยา (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) เช่น นกกางเขนสีสวยขนยาวบินสูงเสียดฟ้า ฯลฯ 2. ประโยค 3 ส่วน ได้แก่ ประธาน + กริยา + กรรม (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) เช่น นกกางเขนป้อนเหยื่อให้ลูกน้อย, ลูกนกบินเกาะกินหนอน, ลูกนกถูกแมวกัด ฯลฯ

ข้อ 102 – 106. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถาม
(1) ประโยคความเดียว
(2) ประโยคความรวม
(3) ประโยคความซ้อน
(4) ประโยคการิต

102. ฉันตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือทุกเช้า
ตอบ 1 หน้า 124 ประโยคความเดียว (เอกรรถประโยค) คือ ประโยคเล็ก ๆ หรือประโยคสามัญที่มีความหมายอย่างเดียว หรือมีความหมายเฉพาะอย่างหนึ่ง มักมีโครงสร้างประกอบด้วย ประธาน + กริยา (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) หรือประกอบด้วย ประธาน + กริยา + กรรม (อาจมีคําขยายหรือไม่มีก็ได้) เช่น ฉันตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือทุกเช้า เป็นต้น

103. คนที่กตัญญย่อมมีความเจริญในชีวิต
ตอบ 3
ประโยคความซ้อน หรือประโยคปรุงแต่ง (สังกรประโยค) หมายถึง ประโยคความเดียวที่มีประโยคยอยเข้ามาแทรกอยู่ด้วย ซึ่งเมื่อแยกประโยคความซ้อนออกจากกันสองประโยคจะมีน้ำหนักไม่เท่ากัน กล่าวคือ ประโยคความเดียวที่เป็นประโยคหลัก (มุขยประโยค) จะมีใจความสําคัญเพียงประโยคเดียว และมีประโยคย่อย (อนุประโยค) มาช่วย ขยายความ เช่น คนที่กตัญญย่อมมีความเจริญในชีวิต/ฉันนอนเฝ้าคุณพ่อที่นอนป่วยมาตลอด ทั้งคืน (ประโยคย่อยขยายนาม “คน/คุณพ่อ” โดยมีคําว่า “ที่” เป็นคําเชื่อมแทนคํานามที่อยู่ ข้างหน้า) เป็นต้น

104. เมื่อเธอรู้จักเก็บออม เธอก็จะสบายในภายหน้า
ตอบ 2
ประโยคความรวม (อเนกรรถประโยค) คือ ประโยคที่มีใจความสําคัญหลายใจความ เพราะเป็นประโยคที่รวมเอาประโยคความเดียวเข้าด้วยกัน แล้วเชื่อมด้วยคําสันธาน ซึ่งประกอบด้วยคําต่อไปนี้
1. เนื้อความคล้อยตามกัน ได้แก่ แล้ว, และ, กับ, ถ้า….ก็, เมื่อ…ก็, พอ….ก็, ครั้นจึง ฯลฯ
2. เนื้อความขัดแย้งกัน ได้แก่ แต่, แต่ทว่า, ถึง…ก็, กว่า…ก็ ฯลฯ
3. เนื้อความเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้แก่ หรือ, หรือไม่ หรือไม่เช่นนั้น, มิฉะนั้น ฯลฯ
4. เนื้อความเป็นเหตุเป็นผลต่อกัน ได้แก่ เพราะ, จึง, ดังนั้น เพราะฉะนั้น, เพราะ…จึง ฯลฯ
105. ฉันนอนเฝ้าคุณพ่อที่นอนป่วยมาตลอดทั้งคืน
ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 103. ประกอบ

106. สุนัขตัวโปรดของฉันไม่สบายจึงร้องครวญครางเสียงดัง
ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 104. ประกอบ

107. ข้อใดใช้ภาษากํากวม
(1) เขาอยู่ไม่ได้ไปแล้ว
(2) คนที่อยู่ก็ต้องรับผิดชอบ
(3) จะอยู่ที่ไหนก็ไม่สําคัญ
(4) อย่าอยู่อย่างอยาก
ตอบ 1
ประโยคในตัวเลือกข้อ 1 ใช้คําไม่ชัดเจนหรือไม่กระจ่าง ทําให้สื่อความหมายกํากวม และตีความหมายได้หลายทาง จนก่อให้เกิดความเข้าใจที่ไขว้เขว ดังนั้นจึงควรเขียนให้ชัดเจนและกระจ่าง โดยใช้ว่า เขาอยู่ที่นี่ไม่ได้ ลาออกไปแล้ว/เขาอยู่บ้าน ไม่ได้ไปเที่ยวแล้ว

108. ข้อใดวางคําขยายได้ถูกต้อง
(1) ไฟดับลงก่อนที่บ้านทั้งชุมชนจะไหม้หมดด้วยฝีมือของตํารวจ
(2) เมื่อคุณแม่ซื้อของเสร็จในห้างสรรพสินค้าก็เดินทางกลับบ้าน
(3) คุณแม่ขับรถมาส่งฉันถึงโรงเรียน ฝากบอกกับคุณครูมอบให้ฉันอยู่ในความดูแลของท่าน
(4) ฉันชอบดื่มกับธรรมชาติ ส่งสายตามองดูนกที่กําลังโผผินบินพรูออกจากรัง
ตอบ 4
ประโยคในตัวเลือกข้อ 4 วางคําขยายถูกต้อง เพราะตําแหน่งของคําขยายย่อมอยู่ใกล้กับคําที่ต้องการขยายความ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นควรเรียงลําดับคําขยายให้ถูกต้อง โดยใช้ว่าด้วยฝีมือของตํารวจไฟดับลงก่อนที่บ้านทั้งชุมชนจะไหม้หมด, เมื่อคุณแม่ซื้อของในห้างสรรพสินค้าเสร็จก็เดินทางกลับบ้าน, คุณแม่ขับรถมาส่งฉันถึงโรงเรียน บอกกับคุณครูฝากมอบให้ฉันอยู่ในความดูแลของท่าน)

109. ข้อใดเป็นประโยคฟุ่มเฟือย
(1) คุณแม่ทําอาหารด้วยฝีมือของท่านเองทุกวัน
(2) เท่าที่ดูด้วยตาก็รู้ว่าเธอยังทํางานบกพร่องอยู่
(3) คนไทยทุกคนควรช่วยกันประหยัดพลังงานเพื่ออนาคตของประเทศ
(4) คุณพ่อดีใจที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นประธานบริษัท
ตอบ 2
ประโยคในตัวเลือกข้อ 2 เรียงคําไม่กระชับ ใช้ประโยคฟุ่มเฟือย หรือใช้คําอย่างไม่ประหยัด เพราะคําบางคํามีความหมายสมบูรณ์ในตัวอยู่แล้ว จึงไม่จําเป็นจะต้อง ใช้คําขยายมาเพิ่มเติมอีก เนื่องจากจะทําให้ประโยคยืดยาด ดังนั้นจึงควรใช้คําอย่างประหยัด เพื่อให้กระชับ โดยใช้ว่า เท่าที่ดูก็รู้ว่าเธอยังทํางานบกพร่องอยู่

110. ประโยคใดไม่ใช่สํานวนต่างประเทศ
(1) คุณมี 6 สิทธิ์ ในการแลกซื้อของ
(2) ความฟุ่มเฟือยนํามาซึ่งความลําบากในอนาคต
(3) ภายใต้การนําของรัฐบาลชุดนี้น่าจะทําให้เศรษฐกิจดีขึ้น
(4) นายกรัฐมนตรีขอร้องให้ประชาชนทุกคนประหยัดเพื่อประเทศชาติ
ตอบ 4
ประโยคในตัวเลือกข้อ 4 เรียงคําเป็นสํานวนภาษาไทย ไม่ใช่ประโยคที่เลียนแบบสํานวนพันทางหรือสํานวนต่างประเทศ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นควรเรียงคําให้เป็นสํานวนภาษาไทย โดยใช้ว่า คุณมีสิทธิ์ 6 สิทธิ์ ในการแลกซื้อของ, ความฟุ่มเฟือยทําให้เกิดความลําบากในอนาคต, รัฐบาลชุดนี้เป็นผู้นําน่าจะทําให้เศรษฐกิจดีขึ้น)

111. พจนานุกรมไทยที่จัดทําโดยราชการในข้อใดที่เรียงลําดับถูกต้อง
(1) พ.ศ. 2493 พ.ศ. 2525 พ.ศ. 2542 พ.ศ. 2554
(2) พ.ศ. 2493 พ.ศ. 2542 พ.ศ. 2554 พ.ศ. 2558
(3) พ.ศ. 2498 พ.ศ. 2525 พ.ศ. 2542 พ.ศ. 2554
(4) พ.ศ. 2500 พ.ศ. 2525 พ.ศ. 2542 พ.ศ. 2554
ตอบ 1
เมื่อมีการจัดตั้งราชบัณฑิตยสถาน เป็นหน่วยงานที่รับโอนงานพจนานุกรมหรือปทานุกรมจากกรมตํารา กระทรวงธรรมการ นํามาชําระเพิ่มเติมคํา และตีพิมพ์เป็นพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493, พ.ศ. 2525, พ.ศ. 2542 และ พ.ศ.
2554 ซึ่งเป็นฉบับปรับปรุงใหม่ล่าสุดที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

112. ข้อใดไม่ได้หมายถึง ผู้หญิงหรือนางงาม
(1) นงคราญ
(2) นงพะงา
(3) นงราม
(4) นงนาถ
ตอบ 4 คําที่มีความหมายว่า ผู้หญิงหรือนางงาม ได้แก่ นงคราญ นงพะงา นงพุธ นงโพธ นงราม

113. คําศัพท์ข้อใดไม่ได้หมายถึง “พระเจ้าแผ่นดิน”
(1) ธรณิศวร์
(2) ธรารักษ์
(3) นรินทร์
(4) บุรินทร์
ตอบ 2 คําที่มีความหมายว่า “พระเจ้าแผ่นดิน ได้แก่ ธรณิศ ธรณิศวร์ นรินทร์ นริศ บุรินทร์

114. คําในข้อใดสะกดถูกต้องทุกคํา
(1) กัณเทศน์ เทศนา
(2) คริสต์กาล คริสต์ศาสนิกชน
(3) ชะม้อย ชม้าย
(4) เซปักตะกร้อ เซลเซียส
ตอบ 4 คําที่สะกดผิด ได้แก่ กัณเทศน์ คริสต์กาล ชะม้อย ซึ่งที่ถูกต้องคือ กัณฑ์เทศน์ คริสตกาล ชม้อย

115. ตัวสะกดในข้อใดที่มีรูปต่างกันแต่มีเสียงเดียวกัน
(1) ญ ณ ร
(2) ย ค ช
(3) ญ ช ฎ
(4) ป ณ ภ
ตอบ 1
พยัญชนะตัวสะกดของไทยจะมีเพียง 8 เสียงเท่านั้น คือ
1. แม่กก ได้แก่ ก ข ค ฆ
2. แม่กด ได้แก่ จ ฉ ช ซ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส
3. แม่กบ ได้แก่ บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ
4. แม่กน ได้แก่ น ณ ร ล ฬ ญ
5. แม่กง ได้แก่ ง
6. แม่กม ได้แก่ ม
7. แม่เกย ได้แก่ ย
8. แม่เกอว ได้แก่ ว

116. คําว่า “ไตรสรณคมน์” อ่านให้ถูกต้องตามข้อใด
(1) ไตร-สะ-ระ-นะ-คม
(2) ไตร-ระ-สะ-ระ-นะ-คม
(3) ไตร-สอ-ระ-นะ-คม
(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 3
ตอบ 1 คําว่า “ไตรสรณคมน์ อ่านว่า ไตร-สะ-ระ-นะ-คม

117. ข้อใดอ่านถูกต้อง
(1) กฤดาญชลี อ่านว่า กริ-ดาน-ชะ-สี
(2) กฤดยาเกียรณ อ่านว่า กริด-ยา-เกียน
(3) กฤษฎาญชลี อ่านว่า กริด-สะ-ดาน-ยะ-ชะ-ลี
(4) กฤดายุค อ่านว่า กะ-ร-ดา-ยุก
ตอบ 1 คําในตัวเลือกข้อ 2 – 4 อ่านผิด ซึ่งที่ถูกต้องคือ กฤดยาเกียรณ (กริด-ตะ-ยา-เกียน), กฤษฎาญชลี (กริด-สะ-ดาน-ชะ-ลี), กฤดายุค (กริ-ดา-ยุก)

118. เครื่องหมาย ( ; ) เรียกชื่อว่าอะไร
(1) เครื่องหมายก้ามปู
(2) เครื่องหมายมหัพภาค
(3) เครื่องหมายอัฒภาค
(4) เครื่องหมายยัติภังค์
ตอบ 3 เครื่องหมาย ( ; ) เรียกว่า เครื่องหมายอัฒภาค ใช้สําหรับลั่นคําหรือประโยค

119. ข้อใดมีความหมายต่างจากข้ออื่น
(1) ทิพากร
(2) รัตติกร
(3) รัชนีกร
(4) นิศากร
ตอบ 1 คําที่มีความหมายว่า “พระจันทร์ ได้แก่ รัตติกร รัชนีกร นิศากร (ส่วนคําว่า “ทิพากร” = พระอาทิตย์)

120. ข้อใดไม่ได้หมายถึง “เครื่องอัฐบริขาร”
(1) สบง จีวร ประคดเอว
(2) สังฆาฏิ บาตร
(3) มีดโกน เข็ม กระบอกน้ำ
(4) แว่นตา ไฟฉาย ร่ม ธูปเทียน
ตอบ 4 คําว่า “อัฐบริขาร” = เครื่องใช้สอยของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา มีอยู่ 8 อย่าง ได้แก่
1. สบง 2. จีวร 3. สังฆาฏิ 4, บาตร 5. มีดโกนหรือมีดตัดเล็บ 6. เข็ม 7. ประคดเอว 8. กระบอกกรองน้ำ

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าตึกแถวของแดง 1 คูหา วันทําสัญญาเช่าคือวันที่ 15 มกราคม 2558 ตกลงเข่าตึกแถวมีกําหนด 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2558 เป็นต้นไป โดยต้องชําระค่าเช่าทุก ๆ วันสิ้นเดือน มีสัญญาข้อหนึ่งระบุไว้ว่าผู้ให้เช่าให้คํามั่นว่าจะให้ผู้เช่า ได้เช่าต่อมีกําหนดเวลาไม่เกิน 3 ปี ถ้าผู้เช่าประสงค์โดยผู้เช่าต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้า ก่อนระยะเวลาเดิมแห่งสัญญาเช่าสิ้นสุดลง ต่อมาในวันที่ 19 มกราคม 2558 อันเป็นเวลาก่อนการเช่า เริ่มต้น ผู้เช่าได้แจ้งความจํานงว่าผู้เช่าประสงค์จะใช้สิทธิการเช่าตามคํามั่นจะให้เช่าไว้ก่อนและ มีการเช่า 6 ปี ครั้นในวันที่ 20 มกราคม 2559 แดงเจ้าของตึกได้ขายตึกแถวนี้ให้กับดํา การซื้อขาย ทําโดยชอบด้วยกฎหมาย ขาวเช่าตึกมาจนถึงวันที่ 20 มกราคม 2561 ซึ่งสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปีพอดี แต่ขาวยังคงอยู่ในตึกแถวนี้จนถึงวันที่ 29 มกราคม 2561 ดําจึงฟ้องขับไล่ขาว ขาวต่อสู้ว่า ตนมีสิทธิอยู่ในตึกแถวอีก 3 ปี จงวินิจฉัยว่าการกระทําของดําชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และข้อต่อสู้ของขาวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และ ถ้าเป็นการเช่าที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

และตามบทบัญญัติมาตรา 569 ได้กําหนดไว้ว่า ในกรณีที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับสิ้นไป และมีผลทําให้ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน ตามสัญญาเช่าที่มีต่อผู้เช่าด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงได้ทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าตึกแถวมีกําหนด 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2558 โดยมีสัญญาข้อหนึ่งระบุไว้ว่าผู้ให้เช่าให้คํามั่นว่าจะให้ผู้เช่าได้เช่าต่อมีกําหนดเวลาไม่เกิน 3 ปี ถ้าผู้เช่าประสงค์โดยผู้เช่าต้องแจ้งให้ผู้ให้เช่าทราบล่วงหน้าก่อนระยะเวลาเดิมแห่งสัญญาเช่าสิ้นสุดลงนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่ 19 มกราคม 2558 ซึ่งเป็นเวลาก่อนการเช่าเริ่มต้น ผู้เช่าได้แจ้งความจํานงว่า ผู้เช่าประสงค์จะให้สิทธิการเช่าตามคํามั่นจะให้เช่าไว้ก่อนและทําให้สัญญาเช่ามีกําหนด 6 ปีนั้น เมื่อสัญญาเช่าได้ทําเป็นหนังสือเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนั้นสัญญาเช่าระหว่างแดงและขาวจึงสามารถฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปี ตามมาตรา 538

การที่แดงเจ้าของตึกได้ขายตึกแถวนี้ให้กับดําในวันที่ 20 มกราคม 2559 โดยการซื้อขาย ได้ทําถูกต้องตามกฎหมายนั้น ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่าและขาวผู้เช่าระงับสิ้นไปแต่อย่างใด ตามมาตรา 569 วรรคหนึ่ง โดยดําผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของแดงผู้โอนที่มีต่อขาวผู้เช่าด้วย ตามมาตรา 569 วรรคสอง กล่าวคือ ดําจะต้องให้ขาวเช่าตึกแถวนี้ต่อไปจนครบกําหนด 3 ปี

และเมื่อครบกําหนด 3 ปีแล้ว ขาวจะต่อสู้ว่าตนมีสิทธิอยู่ในตึกแถวอีก 3 ปีไม่ได้ เพราะ สัญญาเช่าดังกล่าวผูกพันดําเพียง 3 ปีเท่านั้น ดังนั้น เมื่อขาวยังคงอยู่ในตึกแถวนี้ต่อจนถึงวันที่ 29 มกราคม 2561 ดําจึงสามารถฟ้องขับไล่ขาวได้

สรุป

การกระทําของดําที่ฟ้องขับไล่ขาวชอบด้วยกฎหมาย ส่วนข้อต่อสู้ของขาวที่ว่าตนมีสิทธิ อยู่อีก 3 ปีนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. (ก) ม่วงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้เหลืองเช่าที่ดินของม่วงมีกําหนดเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าเดือนละ 50,000 บาท ทุก ๆ วันสิ้นเดือน ในวันทําสัญญาเช่าเหลืองได้ให้เงินค่าเช่าล่วงหน้าไว้เป็นเงิน 50,000 บาท ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เหลืองไม่ชําระค่าเช่าของเดือนตุลาคม ของเดือนพฤศจิกายน และของเดือนธันวาคม 2560 เป็นเวลา 3 เดือน ในเดือนมกราคม 2561 ม่วงผ่อนผันให้เหลืองหาเงินมาชําระหลายครั้ง แต่เหลืองนําค่าเช่ามาชําระให้เพียงเดือนเดียวเท่านั้น วันที่ 27 มกราคม 2561 ม่วงจึงมีหนังสือ บอกเลิกสัญญากับเหลืองให้เหลืองออกจากที่ดินเช่าภายใน 1 เดือน ครบกําหนดแล้วเหลืองไม่ยอมออก ม่วงจึงฟ้องขับไล่ การกระทําของม่วงชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จงวินิจฉัย

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ หากวันที่ 27 มกราคม 2561 ม่วงพบเหลืองที่ร้านอาหารและได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับเหลืองทันทีเพราะเหลืองไม่ชําระค่าเช่าซื้อ การกระทําของม่วงชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จงวินิจฉัย

วินิจฉัย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งจึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เหลืองไม่ชําระค่าเช่าให้กับม่วงในเดือนตุลาคม พฤศจิกายน และ ธันวาคม 2560 เป็นเวลา 3 เดือน ติดกันนั้น เมื่อหักเงินค่าเช่าล่วงหน้า 1 เดือน และค่าเช่าที่เหลืองนํามาชําระอีก 1 เดือนแล้ว ย่อมถือว่าเหลืองยังไม่ได้ชําระค่าเช่าอีก 1 เดือน คือค่าเช่าเดือนธันวาคม 2560 จึงมีผลทําให้ม่วง สามารถบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน ม่วงจะบอกเลิก สัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ ม่วงจะต้องบอกกล่าวให้เหลืองนําค่าเช่ามาชําระก่อน โดยต้องให้เวลาแก่เหลืองนําค่าเช่า มาชําระอย่างน้อย 15 วัน ซึ่งถ้าหากเหลืองยังไม่ยอมชําระอีก ม่วงจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคสอง แต่ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันที่ 27 มกราคม 2561 ม่วงได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญากับเหลืองและ ให้เหลืองออกจากที่ดินที่เช่าภายใน 1 เดือน โดยไม่มีการบอกกล่าวให้เหลืองนําค่าเช่าที่ค้างชําระมาชําระก่อน โดยให้เวลาแก่เหลืองอย่างน้อย 15 วันแต่อย่างใด และเมื่อครบกําหนดเหลืองยังไม่ออกจากที่ดินที่เช่าม่วงจึง ฟ้องขับไล่เหลืองนั้น การกระทําของม่วงจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคหนึ่ง “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตาม (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อนั้น จะเห็นได้ว่าเมื่อหักเงินที่เหลืองได้ชําระแก่ม่วงแล้ว 2 เดือน เท่ากับเหลืองไม่ได้ชําระค่าเช่าซื้อเพียง 1 คราว คือในเดือนธันวาคม 2560 จึงเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัด ไม่ใช้เงินเพียง 1 คราว มิใช่การผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน ตามมาตรา 574 วรรคหนึ่ง ม่วงจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ดังนั้น การที่ม่วงบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับเหลืองทันทีการกระทําของม่วงจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(ก) การกระทําของม่วงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การกระทําของม่วงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3.

นายพิจิตรต้องการก่อสร้าง “โรงงาน โรงอาหาร อาคารจอดรถยนต์ และอาคารต่าง ๆ อีกหลายหลัง” จึงต้องการทําสัญญาจ้างนายสมัยให้ทําให้และนายสมัยมีลูกจ้างจํานวนมาก แต่ลูกจ้างชื่อนายอํานาจ เป็นลูกจ้างที่ไม่มีกําหนดระยะเวลา ได้รับสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท แต่มีปัญหาในการทํางาน บ่อย ๆ กับเพื่อน ๆ และนายจ้างด้วย

(ก) ถ้านายพิจิตรต้องการทําสัญญาจ้างนายสมัยให้ก่อสร้างให้ เรียกว่า สัญญาอะไร (มาตราใด)

และตามกฎหมายกําหนดให้ ต้องทําสัญญาอย่างไร และถ้าหากนายสมัยต้องการไปทําสัญญาจ้างให้เพื่อนคือนายศักดาเป็นผู้ก่อสร้างเฉพาะโรงอาหารแทนตนเอง จะสามารถทําได้หรือไม่ (มาตราใด) จงอธิบาย

(ข) ถ้านายสมัยต้องการเลิกสัญญาจ้างนายอํานาจทันทีโดยไม่ต้องการบอกกล่าวล่วงหน้าจะสามารถทําได้โดยถูกต้องตามกฎหมายมาตราใด มีกี่สาเหตุที่นายจ้างจะไล่ออกโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้ จงอธิบาย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

ราคา มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะ ทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จ แห่งการที่ทํานั้น”

มาตรา 607 “ผู้รับจ้างจะเอาการที่รับจ้างทั้งหมดหรือแบ่งการแต่บางส่วนไปให้ผู้รับจ้างช่วง ทําอีกทอดหนึ่งก็ได้ เว้นแต่สาระสําคัญแห่งสัญญานั้นจะอยู่ที่ความรู้ความสามารถของตัวผู้รับจ้าง แต่ผู้รับจ้างคงต้อง รับผิดเพื่อความประพฤติหรือความผิดอย่างใด ๆ ของผู้รับจ้างช่วง”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายพิจิตรต้องการก่อสร้าง “โรงงาน โรงอาหาร อาคารจอดรถยนต์ และอาคารต่าง ๆ อีกหลายหลัง” นั้น ถ้านายพิจิตรต้องการทําสัญญาจ้างนายสมัยให้ก่อสร้างให้ สัญญาจ้างระหว่างนายพิจิตรกับนายสมัย เรียกว่าสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587 เพราะเป็นสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจ้าง (นายสมัย) ตกลงรับจะทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้าง (นายพิจิตร) ตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จแห่งการที่ทํานั้น

สัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587 นั้น เป็นสัญญาที่ไม่มีแบบ ดังนั้นคู่สัญญาจะทําสัญญากัน ด้วยวาจาหรือทําเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ สัญญาจ้างทําของนั้นย่อมมีผลสมบูรณ์และสามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้

และถ้าหากนายสมัยผู้รับจ้างต้องการไปทําสัญญาจ้างให้เพื่อนคือนายศักดาเป็นผู้ก่อสร้าง เฉพาะโรงอาหารแทนตนเองนั้น ย่อมสามารถทําได้ตามมาตรา 607 ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า “ผู้รับจ้างจะเอาการที่รับจ้าง ทั้งหมดหรือแบ่งการแต่บางส่วนไปให้ผู้รับจ้างช่วงทําอีกทอดหนึ่งก็ได้”

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 583 “ถ้าลูกจ้างจงใจขัดคําสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หรือละเลยไม่นําพา ต่อคําสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณก็ดี ละทิ้งการงานไปเสียก็ดี กระทําความผิดอย่างร้ายแรงก็ดี หรือทําประการอื่น อันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตก็ดี ท่านว่านายจ้างจะไล่ออกโดยมิพักต้อง บอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายสมัยมีลูกจ้างชื่อนายอํานาจซึ่งเป็นลูกจ้างที่ไม่มีกําหนดระยะเวลา และมีปัญหาในการทํางานบ่อย ๆ กับเพื่อน ๆ และนายจ้างนั้น ถ้านายสมัยต้องการเลิกสัญญาจ้างนายอํานาจทันที โดยไม่ต้องการบอกกล่าวล่วงหน้าย่อมสามารถทําได้โดยถูกต้องตามกฎหมายตามมาตรา 583

และตามมาตรา 583 ได้บัญญัติให้นายจ้างสามารถไล่ลูกจ้างออกโดยมิพักต้องบอกกล่าว ล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนได้ ในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งใน 5 กรณีดังต่อไปนี้ คือ

  1. ลูกจ้างจงใจขัดคําสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้าง
  2. ลูกจ้างละเลยไม่นําพาต่อคําสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างเป็นอาจิณ
  3. ลูกจ้างละทิ้งการงานไปเลยหรือขาดงานเป็นเวลาหลายวันติดต่อกัน
  4. ลูกจ้างกระทําความผิดอย่างร้ายแรง
  5. ลูกจ้างกระทําประการอื่นใดอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต

สรุป

  • สัญญาจ้างระหว่างนายพิจิตรและนายสมัยเรียกว่าสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587 โดยจะทําสัญญากันด้วยวาจาหรือเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ และนายสมัยจะทําสัญญาจ้างให้นายศักดาเป็น ผู้ก่อสร้างเฉพาะโรงอาหารแทนตนได้
  • นายสมัยจะเลิกสัญญาจ้างนายอํานาจลูกจ้างทันทีโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าได้ ตามมาตรา 583 ซึ่งได้บัญญัติให้นายจ้างสามารถไล่ลูกจ้างออกโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทน ก็ได้ ซึ่งมีอยู่ 5 กรณี

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าอาคารพาณิชย์ของแดงมีกําหนดเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2557 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2560 ในสัญญาเช่ามีข้อความสําคัญดังนี้

ข้อ 5 “ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 3 ปี เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนดลงในวันที่ 1 มีนาคม 2560 และผู้เช่าต้องแจ้งความประสงค์ว่าต้องการเช่าต่อตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2557 ซึ่งเป็นวันทําสัญญาเช่านี้”

ข้อ 6 “ผู้เช่าตกลงเช่าอาคารพาณิชย์ไปใช้ในการประกอบธุรกิจการค้าเกี่ยวกับการจําหน่าย วัสดุก่อสร้าง”

ปรากฏข้อเท็จจริงว่าขาวผู้เช่าได้แจ้งความประสงค์ว่าจะเช่าอาคารต่อไปอีกตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2557 ให้แดงทราบแล้ว และขาวได้ใช้อาคารประกอบธุรกิจมาได้เพียง 2 ปี แดงได้ขายอาคารพาณิชย์ให้กับเขียว การซื้อขายทําถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปี ในวันที่ 1 มีนาคม 2560 ขาวอยู่ในอาคารพาณิชย์ต่อมาแต่เขียวก็มิได้ว่ากระไรและขาวได้นําค่าเช่าไปชําระกับเขียวตามปกติ ต่อมาหลังจากนั้นขาวมิได้ประกอบธุรกิจการค้าในอาคารที่เช่า แต่ได้นํากล่องกระดาษ และกล่องกระดาษบรรจุเศษผ้า ตลอดจนเศษกล่องกระดาษไปเก็บไว้ในอาคารแทนจนถึงปัจจุบันนี้ ดังนั้นในวันที่ 11 ตุลาคม 2560 เขียวจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับขาวทันที

ให้ท่านวินิจฉัยว่าการบอกเลิก สัญญาเช่าเพราะการกระทําดังกล่าวของขาวนั้น เขียวได้บอกเลิกสัญญาชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 552 “อันผู้เช่าจะใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากที่ใช้กันตามประเพณีนิยม ปกติ หรือการดังกําหนดไว้ในสัญญานั้น ท่านว่าหาอาจจะทําได้ไม่”

มาตรา 554 “ถ้าผู้เช่ากระทําการฝ่าฝืนบทบัญญัติในมาตรา 552 มาตรา 553 หรือฝ่าฝืน ข้อสัญญา ผู้ให้เช่าจะบอกกล่าวให้ผู้เข้าปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทกฎหมายหรือข้อสัญญานั้น ๆ ก็ได้ ถ้าและผู้เช่าละเลยเสียไม่ปฏิบัติตาม ท่านว่าผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

มาตรา 570 “ในเมื่อสิ้นกําหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น ถ้าผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่ และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกําหนดเวลา”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และถ้าเป็นการเช่าที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ระหว่างแดงและขาวมีกําหนดเวลา 3 ปี เมื่อได้ ทําเป็นหนังสือ สัญญาเช่าดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมายและสามารถใช้บังคับได้ 3 ปี ตามมาตรา 538 และ สัญญาเช่า ข้อ 5 ที่ว่า “ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 3 ปี เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนดลงในวันที่ 1 มีนาคม 2560 และผู้เช่าต้องแจ้งความประสงค์ว่าต้องการเช่าต่อตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2557 ซึ่งเป็นวันทําสัญญาเช่านี้” นั้น ถือเป็นคํามั่นจะให้เช่า เมื่อปรากฏว่าขาวผู้เช่าได้แจ้งความประสงค์ว่าจะเช่าอาคารต่อไปอีกตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2557 ให้แดงทราบแล้ว ย่อมถือว่าขาวได้สนองรับคํามั่นจะให้เช่าแล้วจึงเป็นการทําสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ รวม 6 ปี แต่เมื่อสัญญาเช่าดังกล่าวมิได้นําไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ จึงฟ้องร้องให้บังคับคดีได้เพียง 3 ปีเท่านั้น ตามมาตรา 538

การที่ขาวได้ใช้อาคารประกอบธุรกิจได้เพียง 2 ปี และต่อมาแดงได้ขายอาคารพาณิชย์ให้กับเขียว โดยการซื้อขายได้ทําถูกต้องตามกฎหมายนั้น กรณีนี้ไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่าระงับสิ้นไป ตามมาตรา 569 วรรคหนึ่ง โดยเขียวผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อผู้เช่าด้วยตาม มาตรา 569 วรรคสอง กล่าวคือ เขียวต้องให้ขาวเช่าอาคารพาณิชย์ต่อไปจนครบกําหนด 3 ปีตามสัญญาเช่า และ ขาวต้องนําอาคารพาณิชย์นั้นไปใช้ในการประกอบธุรกิจการค้าเกี่ยวกับการจําหน่ายวัสดุก่อสร้างตามสัญญาเช่า ข้อ 6 ด้วย

และเมื่อสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปี ในวันที่ 1 มีนาคม 2560 แต่ขาวยังคงอยู่ในอาคารพาณิชย์นั้น จนถึงปัจจุบัน และได้นําค่าเช่าไปชําระกับเขียวตามปกติซึ่งเขียวก็มิได้ว่ากระไรนั้น ถือว่าเขียวและขาวได้ทําสัญญาเช่า กันใหม่โดยเป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดเวลาตามมาตรา 570 ซึ่งสิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาจึงเป็นไปตามสัญญาเช่าเดิม

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ต่อมาขาวไม่ได้ใช้อาคารพาณิชย์ตามข้อตกลงในสัญญาข้อที่ 6 คือมิได้ใช้อาคารพาณิชย์ประกอบธุรกิจการค้า แต่ได้นํากล่องกระดาษและกล่องกระดาษบรรจุเศษผ้า ตลอดจนเศษกล่องกระดาษไปเก็บไว้ในอาคารแทนจนถึงปัจจุบันนี้ ดังนี้ ย่อมถือว่าขาวผู้เช่าได้ใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการ อย่างอื่นนอกจากการที่ได้กําหนดไว้ในสัญญา ซึ่งเป็นการกระทําที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 552 แล้ว ดังนั้น เขียวผู้ให้เช่าจึงมีสิทธิตามมาตรา 554 คือมีสิทธิบอกกล่าวให้ขาวผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อสัญญาได้ และถ้าขาวละเลยเสียไม่ปฏิบัติตาม เขียวผู้ให้เขาจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ตามข้อเท็จจริง เมื่อขาวได้กระทําการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 552 นั้น เขียวได้บอก เลิกสัญญากับขาวทันทีในวันที่ 16 ตุลาคม 2560 โดยมิได้บอกกล่าวให้ขาวปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อตกลงใน สัญญาข้อที่ 6 ก่อนแต่อย่างใด ดังนั้น การบอกเลิกสัญญาเช่าของเขียวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

การบอกเลิกสัญญาเช่าของเขียวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. (ก) มืดเจ้าของที่ดินได้ให้ดําเช่าที่ดินของมืดมีกําหนดเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2560 เป็นต้นไป โดยทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือและตกลงชําระค่าเช่าเดือนละ 25,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 20 ของ แต่ละเดือน ในวันทําสัญญาเช่าดําได้ให้เงินมัดจําค่าเช่าไว้เป็นเงิน 50,000 บาท ดําได้ใช้ที่ดินของมืดมาจนถึงเดือนตุลาคม 2560 แต่ดําไม่ได้ชําระค่าเช่าให้กับมืดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ถึงเดือนกันยายน 2560 ดังนั้นมืดจึงมีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ดําชําระค่าเช่าทั้งหมดภายใน 7 วัน มิฉะนั้นให้ถือเอาหนังสือบอกกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญา หนังสือบอกกล่าวนี้ไปถึงดํา ตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2560 ดําได้รับหนังสือบอกกล่าวแต่ก็ไม่ชําระค่าเช่าตามที่กําหนด ดังนั้นในวันที่ 11 ตุลาคม 2560 มืดจึงฟ้องขับไล่ดําออกจากที่ดินที่เช่า

ให้วินิจฉัยว่าการกระทําของมืดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่ เพียงใด จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ดําไม่ชําระค่าเช่าให้กับมืดในเดือนกรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน 2560 เป็นเวลา 3 เดือน ติดกันนั้น เมื่อหักเงินมัดจําค่าเช่าออก 2 เดือน ที่ดําชําระไว้ ย่อมถือว่ายังไม่ได้ชําระ ค่าเช่าอีก 1 เดือน คือ ค่าเช่าเดือนกันยายน 2560 ซึ่งมีผลให้มืดสามารถบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน มืดจะบอกเลิก สัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ดํานำค่าเช่ามาชําระก่อน โดยต้องให้เวลาแก่ดําน้ำค่าเช่ามาชําระ อย่างน้อย 15 วัน ซึ่งถ้าดํายังไม่ยอมชําระอีก มืดจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคสอง และตาม ข้อเท็จจริง การที่มืดได้มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ดําชําระค่าเช่าทั้งหมดภายใน 7 วัน มิฉะนั้นให้ถือเอาหนังสือ บอกกล่าวเป็นการบอกเลิกสัญญานั้นถือว่ามืดได้บอกกล่าวให้นําเงินค่าเช่ามาชําระและมีการบอกเลิกสัญญาไปด้วยแล้ว และเมื่อหนังสือบอกกล่าวไปถึงดําตั้งแต่วันที่ 22 กันยายน 2560 และดําได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้วแต่ก็ไม่ชําระ ค่าเช่าตามที่กําหนดนั้น การที่มืดฟ้องขับไล่ดําออกจากที่ดินที่เช่าในวันที่ 11 ตุลาคม 2560 นั้น มืดย่อมสามารถ กระทําได้ เพราะแม้จะเป็นการบอกกล่าวโดยให้เวลาเพียง 7 วันก็ตาม แต่เมื่อนับถึงวันฟ้องขับไล่แล้วถือว่าได้มี การบอกกล่าวแก่ผู้เช่าไม่น้อยกว่า 15 วันแล้ว ดังนั้น การกระทําของมืดจึงชอบด้วยกฎหมาย

 

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคหนึ่ง “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตาม (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ เมื่อได้หักเงินประกันการชําระค่าเช่าออก 2 เดือนแล้ว เท่ากับดําไม่ได้ชําระค่าเช่าซื้อเพียง 1 คราว คือในเดือนกันยายน 2560 จึงถือเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงิน เพียง 1 คราว มิใช่การผิดนัดไม่ใช้เงินลองคราวติด ๆ กัน ตามมาตรา 574 วรรคหนึ่ง มืดจึงไม่มีสิทธิบอกเลิก สัญญาเช่าซื้อ มีสิทธิก็แต่เพียงเรียกให้ดําชําระค่าเช่าซื้อที่ค้างเท่านั้น ดังนั้น การที่มืดบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันที ในวันที่ 11 ตุลาคม 2560 การกระทําของมืดจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(ก) การกระทําของมืดชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของมืดไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นคําตอบจึงแตกต่างกัน

 

ข้อ 3. (ก) นายสมบัติ (นายจ้าง) ได้ทําสัญญาจ้าง น.ส.นิภาเป็นลูกจ้างมีกําหนดเวลา 1 ปี ตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 โดยตกลงจ่ายสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ปรากฏว่าในเดือนกันยายน 2560 นายสมบัติเห็น น.ส.นิภาเดินเอาของไปขายให้กับเพื่อนร่วมงานทั่วทั้งตึกสํานักงานในช่วง ระหว่างเวลา 14.00 น. ถึง 15.00 น. อยู่บ่อยครั้ง นายสมบัติเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องจึง บอกเลิกสัญญาจ้าง น.ส.นิภาทันทีในวันที่ 30 กันยายน 2560 แต่ น.ส.นิภาโต้แย้งว่าไม่ถูกต้อง เพราะเป็นสัญญาจ้างแรงงานที่กําหนดระยะเวลา 1 ปี ซึ่งจะสิ้นสุดสัญญาจ้างในเดือนธันวาคม 2560 เช่นนี้ นายสมบัติสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

(ข) นายอรุณทําสัญญารับก่อสร้างบ้านให้นายนพพร โดยมีข้อตกลงในการทําการก่อสร้างมีกําหนดเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2559 ในสัญญากําหนดให้จ่ายสินจ้างตามความสําเร็จ ของงานเป็นส่วน ๆ ไว้แล้ว ปรากฏว่านายอรุณทําการก่อสร้างเสร็จและส่งมอบให้นายนพพร ได้ในวันที่ 31 ตุลาคม 2560 นายนพพรเห็นว่านายอรุณทําการส่งมอบบ้านไม่ทันกําหนดเวลา นายนพพรจะมีสิทธิอย่างไรตามที่กําหนดไว้ในกฎหมาย และตามกฎหมายมีข้อยกเว้นที่ผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิดในการส่งมอบการที่ทําไม่ทันกําหนดเวลาในสัญญาหรือไม่ คืออะไรบ้าง จงอธิบาย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 583 “ถ้าลูกจ้างจงใจขัดคําสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หรือละเลยไม่นําพา ต่อคําสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณก็ดี ละทิ้งการงานไปเสียก็ดี กระทําความผิดอย่างร้ายแรงก็ดี หรือทําประการอื่น อันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตก็ดี ท่านว่านายจ้างจะไล่ออกโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมบัติได้ทําสัญญาจ้าง น.ส.นิภาเป็นลูกจ้างมีกําหนดเวลา 1 ปี ตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 โดยตกลงจ่ายสินจ้างเดือนละ 15,000 บาทนั้น เป็นสัญญาจ้างแรงงานที่มีกําหนดเวลาแน่นอน ซึ่งโดยหลักแล้ว นายจ้างจะบอกเลิกสัญญาจ้างก่อนครบกําหนดเวลาไม่ได้ เว้นแต่จะต้องด้วยหลักเกณฑ์ ตามมาตรา 583 ที่นายจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างโดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้

การที่ น.ส.นิภาลูกจ้างได้เดินเอาของไปขายให้กับเพื่อนร่วมงานทั่วทั้งตึกสํานักงานในช่วง ระหว่างเวลา 14.00 น. ถึง 15.00 น. อยู่บ่อยครั้งนั้น ถือได้ว่าลูกจ้างได้กระทําการอันไม่สมควรแก่การปฏิบัติหน้าที่ ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตตามมาตรา 583 แล้ว ดังนั้น เมื่อนายสมบัตินายจ้างเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นายสมบัติย่อมสามารถบอกเลิกสัญญาจ้าง น.ส.นิภาได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้สัญญาจ้างสิ้นสุดลง และไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทน

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะ ทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จ แห่งการที่ทํานั้น”

มาตรา 596 “ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทําไม่ทันเวลาที่ได้กําหนดไว้ในสัญญาก็ดี หรือถ้า ไม่ได้กําหนดเวลาไว้ในสัญญาเมื่อล่วงพ้นเวลาอันควรแก่เหตุก็ดี ผู้ว่าจ้างชอบที่จะได้ลดสินจ้างลง หรือถ้าสาระสําคัญแห่งสัญญาอยู่ที่เวลา ก็ชอบที่จะเลิกสัญญาได้”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาจ้างทําของนั้น หากผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทําไม่ทันเวลาที่ได้กําหนดไว้ในสัญญา ตามกฎหมายมาตรา 596 กําหนดให้ผู้ว่าจ้างชอบที่จะลดสินจ้างที่จะต้องจ่ายให้แก่ผู้รับจ้างลงได้ หรือถ้าสาระสําคัญแห่งสัญญาอยู่ที่เวลา ผู้ว่าจ้างก็ชอบที่จะเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอรุณทําสัญญารับก่อสร้างบ้านให้นายนพพร โดยมีข้อตกลง ในการทําการก่อสร้างมีกําหนดเวลา 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2559 และในสัญญากําหนดให้จ่ายสินจ้างตาม ความสําเร็จของงานเป็นส่วน ๆ ไว้แล้วนั้น เป็นกรณีที่นายอรุณตกลงจะทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่นายนพพร และนายนพพรตกลงที่จะจ่ายสินจ้างให้นายอรุณเพื่อผลสําเร็จของการที่ทํานั้น สัญญาจ้างระหว่าง นายนพพรกับนายอรุณจึงเป็นสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587

จากข้อเท็จจริง การที่นายอรุณทําการก่อสร้างบ้านเสร็จและส่งมอบให้นายนพพรในวันที่ 31 ตุลาคม 2560 นั้น เป็นกรณีที่นายอรุณผู้รับจ้างส่งมอบการงานที่ทําไม่ทันเวลาที่ได้กําหนดไว้ในสัญญา ตามมาตรา 596 ดังนั้น นายนพพรผู้ว่าจ้างย่อมมีสิทธิที่จะให้นายอรุณลดสินจ้างลงได้ แต่จะขอเลิกสัญญาไม่ได้ เนื่องจากสาระสําคัญแห่งสัญญาไม่ได้อยู่ที่เวลา

และตามกฎหมายในเรื่องสัญญาจ้างทําของนั้น ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบการงานที่ทําไม่ทันกําหนดเวลา ในสัญญา ผู้รับจ้างจะต้องรับผิดต่อผู้ว่าจ้างตามมาตรา 596 แต่อย่างไรก็ดีมีข้อยกเว้นว่าผู้รับจ้างอาจไม่ต้องรับผิดก็ได้ ถ้าเข้าเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้คือ

  1. ถ้าความชักช้าในการที่ทําเกิดขึ้นเพราะสัมภาระที่ผู้ว่าจ้างส่งให้ หรือเพราะคําสั่งของ ผู้ว่าจ้าง กรณีเช่นนี้ผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิด เว้นแต่จะได้รู้อยู่แล้วว่าสัมภาระนั้นไม่เหมาะสม หรือคําสั่งนั้นไม่ถูกต้อง และมิได้บอกกล่าวตักเตือน (มาตรา 591)
  2. แม้ว่าผู้รับจ้างส่งมอบงานที่ทําให้ผู้ว่าจ้างภายหลังกําหนดเวลาในสัญญา หรือภายหลัง เวลาอันควรในกรณีที่มิได้กําหนดเวลาในสัญญาไว้ และผู้ว่าจ้างรับมอบงานที่ทํานั้นโดยมิได้คิดเอื้อน กรณีเช่นนี้ ผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิดเพื่อการส่งมอบล่าช้า (มาตรา 597)

สรุป

(ก) นายสมบัติสามารถบอกเลิกสัญญาจ้าง น.ส.นิภาได้

(ข) นายนพพรมีสิทธิให้นายอรุณลดสินจ้างลงได้ แต่จะขอเลิกสัญญาไม่ได้

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าตึกแถวของแดง 1 คูหา มีกําหนด 3 ปีนับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2557 โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันสิ้นเดือน สัญญาเช่ามีข้อความสําคัญ ดังนี้คือ

ข้อ 5. “เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปีแล้ว ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่า ๆ ต่อไปอีก 3 ปี”

ข้อ 6. “ผู้เช่าตกลงเช่าตึกแถวนี้เพื่อเปิดกิจการเป็นร้านเสริมสวยแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น”

ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเมื่อขาวเช่าตึกได้เพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น ในวันที่ 1 มิถุนายน 2557 ขาวได้มี หนังสือแจ้งไปยังแดงว่าขาวขอเช่าต่อไปอีก 3 ปี ตามที่แดงให้คํามั่นจะให้เช่าไว้ในสัญญาข้อ 5 เมื่อ ขาวอยู่ในตึกแถวได้เพียง 1 ปี แดงได้ยกตึกแถวนี้ให้กับมืดบุตรชายของแดง การให้ได้ทําถูกต้องตามกฎหมาย ในปีที่ 2 ที่ขาวใช้ตึกแถว ขาวได้เปลี่ยนกิจการร้านเสริมสวยเป็นกิจการ อาบ อบ นวด ขึ้น นอกเหนือข้อตกลงในสัญญาข้อ 6 ดังนั้นมืดจึงบอกเลิกสัญญากับขาวทันที

ให้วินิจฉัยว่า การบอกเลิกสัญญาของมืดชอบด้วยกําหมายหรือไม่ และถ้าหากว่าขาวไม่เคยผิดสัญญาเลย แต่ขาวอยู่ในตึกแถวมาจนถึงวันที่ 15 พฤษภาคม 2560 หลังจากสัญญาเช่าครบ 3 ปีแล้ว มืดจึงฟ้อง ขับไล่ขาวออกจากตึกแถวโดยอ้างว่าสัญญาเช่าครบกําหนดตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2560 แล้ว ขาวต่อสู้ว่าขาวไม่ต้องออกไปจากตึกแถวเพราะขาวมีสิทธิอยู่ต่อไปอีก 3 ปี ขาวต่อสู้ได้หรือไม่ จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เข่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 552 “อันผู้เช่าจะใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากที่ใช้กันตามประเพณีนิยม ปกติ หรือการดังกําหนดไว้ในสัญญานั้น ท่านว่าหาอาจจะทําได้ไม่”

มาตรา 554 “ถ้าผู้เช่ากระทําการฝ่าฝืนบทบัญญัติในมาตรา 552 มาตรา 553 หรือฝ่าฝืน ข้อสัญญา ผู้ให้เช่าจะบอกกล่าวให้ผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทกฎหมายหรือข้อสัญญานั้น ๆ ก็ได้ ถ้าและผู้เช่าละเลยเสียไม่ปฏิบัติตาม ท่านว่าผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาเช่าตึกแถวระหว่างแดงและขาวมีกําหนด 3 ปี เมื่อได้ทําเป็น หนังสือสัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมายและสามารถใช้บังคับกันได้ 3 ปี ตามมาตรา 538 และสัญญาเช่าข้อ 5 ที่ว่า “เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปีแล้ว ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่า ๆ ต่อไปอีก 3 ปี” นั้น ถือเป็นคํามั่นจะให้เช่า

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อขาวเช่าตึกแถวได้เพียง 1 เดือน ในวันที่ 1 มิถุนายน 2557 ขาวได้มีหนังสือแจ้งไปยัง แดงว่าขาวขอเช่าต่อไปอีก 3 ปี ตามที่แดงให้คํามั่นจะให้เช่าตามสัญญาข้อ 5 ย่อมถือว่าขาวสนองรับต่อคํามั่นจะให้เช่าแล้ว จึงเกิดสัญญาเช่าตึกแถวรวม 6 ปี แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาเช่าดังกล่าวมิได้นําไปจดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาเช่าจึงฟ้องร้องให้บังคับคดีได้เพียง 3 ปีเท่านั้นตามมาตรา 538

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อขาวอยู่ในตึกแถวได้เพียง 1 ปี แดงได้ยกตึกแถวดังกล่าว ให้กับมืดบุตรชาย โดยการให้ได้ทําถูกต้องตามกฎหมายนั้น ไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงและขาวระงับสิ้นไป ตามมาตรา 569 วรรคหนึ่ง โดยมืดผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อผู้เช่านั้นด้วย กล่าวคือ มืดต้องให้ขาวเช่าตึกแถวต่อไป จนครบกําหนด 3 ปี ตามสัญญาเช่า ตามมาตรา 569 วรรคสอง

สําหรับข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การบอกเลิกสัญญาเช่าของมืดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และข้อต่อสู้ของขาวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

– กรณีที่ 1 การที่ขาวเช่าตึกแถวเพื่อเปิดกิจการเป็นร้านเสริมสวย แต่พอปีที่ 2 ขาวได้เปลี่ยน กิจการร้านเสริมสวย เป็นกิจการ อาบ อบ นวด นั้น ถือว่าขาวผู้เช่าได้ใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจาก การที่ได้กําหนดไว้ในสัญญา ซึ่งเป็นการกระทําที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 552 แล้ว ดังนั้น มืดผู้ให้เช่าจึงมีสิทธิ ตามมาตรา 554 กล่าวคือ มืดมีสิทธิบอกกล่าวให้ขาวผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อสัญญาได้ และถ้าขาวละเลย เสียไม่ปฏิบัติตาม มืดผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ตามข้อเท็จจริง เมื่อขาวได้กระทําการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 552 มืดได้บอกเลิกสัญญา เช่ากับขาวทันทีโดยมิได้บอกกล่าวให้ขาวปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อตกลงในสัญญาข้อ 6 ก่อนแต่อย่างใด ดังนั้น การบอกเลิกสัญญาเช่าของมืดในกรณีนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

– กรณีที่ 2 เมื่อสัญญาเช่ามีผลใช้บังคับกันได้เพียง 3 ปี และเมื่อครบกําหนด 3 ปีแล้ว มืดย่อม มีสิทธิฟ้องขับไล่ขาวออกจากตึกแถวที่เช่าได้ ขาวจะต่อสู้ว่าตนมีสิทธิอยู่ต่อไปอีก 3 ปี จนครบกําหนด 6 ปีไม่ได้ เพราะเมื่อสัญญาเช่าดังกล่าวแม้จะมีระยะเวลา 6 ปี แต่เมื่อไม่ได้นําไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงฟ้องร้อง บังคับคดีได้เพียง 3 ปี ตามมาตรา 538

สรุป

การที่มืดบอกเลิกสัญญาเช่ากับขาวทันที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และข้อต่อสู้ของขาว ที่ว่าขาวมีสิทธิอยู่ต่อไปอีก 3 ปีนั้น ก็ไม่ชอบเช่นเดียวกัน

 

ข้อ 2. (ก) น้ำเงินทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้เหลืองเช่ารถยนต์บรรทุกของน้ําเงินมีกําหนด 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2558 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 20 ของเดือนเป็นค่าเช่า เดือนละ 30,000 บาท เหลืองได้ให้เงินค่าเช่าล่วงหน้าไว้ในวันทําสัญญา 30,000 บาท ปรากฏว่า หลังจากที่เหลืองได้เช่ารถบรรทุกจากน้ําเงินมาแล้ว เหลืองไม่ได้ชําระค่าเช่าสําหรับวันที่ 20 มกราคม 20 มีนาคม และ 20 พฤษภาคม 2560 เป็นค่าเช่าที่ไม่ได้ชําระ 3 เดือน ดังนั้น น้ำเงินจึงมีหนังสือแจ้งให้เหลืองนําค่าเช่ามาชําระให้เสร็จสิ้นภายใน 15 วันนับตั้งแต่วันที่ได้รับ หนังสือบอกกล่าว ครั้นครบกําหนด 15 วันแล้ว เหลืองก็ไม่ได้ชําระค่าเช่าให้กับน้ำเงิน ดังนั้น น้ำเงินจึงจ้างให้มืดไปนํารถยนต์กลับคืนมาทันที

ให้วินิจฉัยว่า การกระทําของน้ําเงินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึ่งกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เหลืองเช่ารถยนต์บรรทุกของน้ําเงินมีกําหนด 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2558 โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 20 ของเดือน เป็นค่าเช่าเดือนละ 30,000 บาท และเหลืองได้ให้ เงินค่าเช่าล่วงหน้าไว้ในวันทําสัญญา 30,000 บาทนั้น เมื่อปรากฏว่าหลังจากที่เหลืองได้เช่ารถบรรทุกจากน้ำเงิน แล้ว เหลืองไม่ได้ชําระค่าเช่าสําหรับวันที่ 20 มกราคม, 20 มีนาคม และ 20 พฤษภาคม 2560 ดังนั้น การที่เหลือง ได้ให้เงินค่าเช่าล่วงหน้าไว้ 30,000 บาทนั้น ย่อมถือว่าเป็นการจ่ายค่าเช่าให้แก่น้ำเงินแล้ว 1 เดือน คือเดือนมกราคม และถือว่าเหลืองไม่ชําระค่าเช่าให้แก่น้ำเงิน 2 เดือน คือเดือนมีนาคม และเดือนพฤษภาคม จึงมีผลทําให้น้ำเงิน มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าและนํารถยนต์ที่ให้เช่ากลับคืนได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อตามสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน ดังนั้นการที่ น้ำเงินจะบอกเลิกสัญญาเช่า น้ำเงินจะต้องบอกกล่าวให้เหลืองนําค่าเช่ามาชําระก่อนโดยต้องให้เวลาเหลืองไม่น้อยกว่า 15 วัน ซึ่งถ้าเหลืองไม่นําค่าเช่ามาชําระน้ำเงินก็จะมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 และเมื่อน้ำเงิน บอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว ก็จะมีผลทําให้สัญญาเช่าสิ้นสุดลงและน้ําเงินย่อมสามารถนํารถยนต์ที่ให้เช่ากลับคืนได้

แต่ตามข้อเท็จจริง ปรากฏว่า เมื่อน้ำเงินได้มีหนังสือแจ้งให้เหลืองนําค่าเช่ามาชําระให้เสร็จสิ้น ภายใน 15 วัน แต่เหลืองก็ไม่ได้นําค่าเช่ามาชําระให้กับน้ำเงินภายในกําหนดเวลาดังกล่าวนั้น โดยหลักแล้วน้ำเงิน ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ แต่เมื่อปรากฏว่าน้ำเงินยังไม่ได้บอกเลิกสัญญาเช่าแต่อย่างใด แต่น้ำเงินได้จ้าง ให้มืดไปนํารถยนต์กลับคืนมาทันที ตามกฎหมายการที่น้ำเงินนํารถยนต์ที่ให้เช่ากลับคืนทันทีโดยไม่มีการบอกเลิก สัญญาเช่าตามมาตรา 560 ก่อนนั้น ย่อมถือว่าเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคหนึ่ง “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ เมื่อหักเงินที่เหลืองได้ชําระล่วงหน้าแล้ว 1 เดือน แม้จะถือว่าเหลืองผิดนัดไม่ชําระค่าเช่าซื้อ 2 เดือน คือ เดือนมีนาคม และเดือนพฤษภาคมก็ตาม แต่เมื่อการที่เหลือง ผิดนัดไม่ใช้เงิน 2 เดือนนั้น มิใช่เป็นการผิดนัดไม่ใช้เงิน 2 เดือนติดกัน ดังนั้นน้ำเงินผู้ให้เช่าซื้อจะบอกเลิกสัญญา เช่าซื้อเพื่อนําทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อกลับคืนไม่ได้เช่นเดียวกัน

สรุป

(ก) การกระทําของน้ำเงินที่นํารถยนต์กลับคืนโดยไม่มีการบอกเลิกสัญญาเช่านั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) ถ้าเป็นสัญญาเช่าซื้อ น้ำเงินก็จะนํารถยนต์กลับคืนไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะน้ำเงินไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ดังนั้น คําตอบจึงไม่แตกต่างกัน

 

ข้อ 3. ม่วงจ้างให้แสดมาทํางานเป็นพนักงานทําภาชนะบรรจุของซึ่งเป็นภาชนะที่ทําด้วยพลาสติกโดยให้ค่าจ้างคราวละ 7,500 บาท และจะจ่ายค่าจ้างให้ทุก ๆ วันศุกร์ของเดือน มีกําหนดเวลาจ้าง 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 แสดทํางานให้ม่วงมาจนถึงเดือนพฤษภาคม 2560 แม้สัญญาจ้างจะครบกําหนดแล้วก็ตาม ครั้นถึงวันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ม่วงจึงบอกเลิกสัญญาจ้างกับแสด และแสดต้องทํางานให้ม่วงถึงวันที่เท่าใด จงวินิจฉัย

และหากปรากฏว่ามืดจ้างม่วงให้ผลิตภาชนะบรรจุของให้จํานวน 50 กล่อง โดยจ่ายสินจ้างให้ เมื่องานเสร็จเป็นเงิน 100,000 บาท แต่ขณะที่ม่วงให้พนักงานออกแบบกล่องสินค้าและเริ่มจะ ผลิตสินค้าให้กับมืด มืดเปลี่ยนใจบอกเลิกสัญญาไม่จ้างให้ม่วงผลิตสินค้าดังกล่าวให้ ดังนี้มืดมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้หรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

ตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

  1. กรณีระหว่างม่วงกับแสด

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 581 “ถ้าระยะเวลาที่ได้ตกลงว่าจ้างกันนั้นสุดสิ้นลงแล้ว ลูกจ้างยังคงทํางานอยู่ต่อไปอีก และนายจ้างรู้ดังนั้นก็ไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่ โดยความ อย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม แต่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะเลิกสัญญาเสียได้ด้วยการบอกกล่าวตามความในมาตรา ต่อไปนี้”

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้า กว่าสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแต่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่าย จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียวแล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาจ้างระหว่างม่วงนายจ้างและแสดลูกจ้างมีกําหนด 1 ปี และได้ ครบกําหนดแล้วในวันที่ 31 ธันวาคม 2559 แต่แสดยังคงทํางานให้ม่วงมาจนถึงเดือนพฤษภาคม 2560 โดยม่วง นายจ้างก็ไม่ทักท้วงนั้น ตามมาตรา 581 ให้สันนิษฐานว่าคู่สัญญาได้ทําสัญญาจ้างกันใหม่และเป็นสัญญาจ้างที่ ไม่มีกําหนดเวลาโดยความอย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม และคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจบอกเลิกสัญญาจ้างได้

ตามมาตรา 582 โดยการบอกกล่าวเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผล เลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้า

ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ เมื่อม่วงได้ตกลงจะจ่ายค่าจ้างให้แก่แสดทุก ๆ วันศุกร์ของเดือนนั้น การที่ม่วงได้บอกเลิกสัญญาจ้างกับแสดในวันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม 2560 ถือเป็นการบอกเลิกสัญญาก่อนถึง กําหนดจ่ายสินจ้างในวันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560 จึงต้องถือว่าเป็นการบอกกล่าวเลิกสัญญาจ้างในวันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม 2560 ซึ่งเป็นวันกําหนดจ่ายสินจ้าง และจะมีผลเป็นการเลิกสัญญาจ้างในวันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560 ดังนั้น แสดจึงต้องทํางานต่อไปให้แก่ม่วงจนถึงวันที่ 2 มิถุนายน 2560

  1. กรณีระหว่างมืดกับม่วง

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จ แห่งการที่ทํานั้น”

มาตรา 605 “ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จอยู่ตราบใด ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้ เมื่อ เสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น”

วินิจฉัย

โดยหลัก ในเรื่องสัญญาจ้างทําของนั้น ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จ ผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิก สัญญาได้ แต่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ ที่เกิดจากการเลิกสัญญานั้นให้กับ ผู้รับจ้าง (มาตรา 605)

ตามอุทาหรณ์ การที่มืดจ้างม่วงให้ผลิตภาชนะบรรจุของให้จํานวน 50 กล่อง โดยจ่ายสินจ้าง ให้เมื่องานเสร็จเป็นเงิน 100,000 บาทนั้น ถือเป็นสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587 เมื่อปรากฏว่าในขณะที่ม่วง ให้พนักงานออกแบบกล่องสินค้าและเริ่มจะผลิตสินค้าให้กับมืดนั้น มืดได้เปลี่ยนใจบอกเลิกสัญญาไม่จ้างให้ม่วง ผลิตสินค้าดังกล่าว ดังนี้มืดย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้ แต่มืดต้องเสียค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหาย อย่างใด ๆ ที่เกิดจากการยกเลิกสัญญานั้นให้แก่ม่วงด้วยตามมาตรา 605

สรุป

แสดต้องทํางานให้ม่วงจนถึงวันศุกร์ที่ 2 มิถุนายน 2560

มืดมีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้ แต่ต้องเสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ม่วงด้วย

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ให้ดําเช่าอาคารของแดงมีกําหนด 3 ปี โดยสัญญาเช่าได้ทําเป็นหนังสือตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันสิ้นเดือนเดือนละ 50,000 บาท สัญญาเช่ามีข้อความสําคัญคือ

ข้อ 5 “เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนดลงในสิ้นปี 2559 ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่า ๆ ต่อไปอีก 3 ปี โดยผู้เช่าต้องแจ้งความจํานงว่าจะเช่าต่อไปอีกภายในวันที่ 10 มกราคม 2560 เป็นวันสุดท้าย”

ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ดําเช่าอาคารมาถึงเดือนธันวาคม 2559 ดําเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศและ กลับมาในวันที่ 15 มกราคม 2560 โดยดํามิได้แจ้งความจํานงที่จะเช่าต่อไปอีก 3 ปี ให้แดงทราบ แต่ครั้นถึงวันที่ 31 มกราคม 2560 ดํานำค่าเช่าไปชําระให้แดง และในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 ดําก็นําค่าเช่าไปชําระให้แดงอีกเช่นกัน และแดงก็รับค่าเช่าเดือนละ 50,000 บาทนี้ตามปกติโดยมิได้ พูดอะไรกับดํา ครั้นถึงวันที่ 15 มีนาคม 2560 แดงได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับดําโดยดํามิได้ผิดสัญญาเลย แดงขอให้ดําส่งมอบอาคารคืนให้ตนในวันที่ 15 เมษายน 2560 แต่ดําปฏิเสธอ้างว่าดํามีสิทธิอยู่ใน อาคารหลังนี้ได้อีก 3 ปี ตามข้อ 5 และดํามิได้ผิดสัญญาเช่าแต่ประการใด

ให้ท่านวินิจฉัยว่า การบอกเลิกสัญญาเช่าของแดงชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และการปฏิเสธของดําฟังขึ้นหรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 566 “ถ้ากําหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกันหรือไม่พึงสันนิษฐานได้ไซร้ ท่านว่าคู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกําหนดชําระค่าเช่าก็ได้ทุกระยะ แต่ต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไม่จําต้องบอกกล่าว ล่วงหน้ากว่าสองเดือน”

มาตรา 570 “ในเมื่อสิ้นกําหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น ถ้าผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่ และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกําหนดเวลา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ระหว่างแดงกับดํามีกําหนด 3 ปี ได้ทําเป็น หนังสือสัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมายและสามารถใช้บังคับกันได้ 3 ปี ตามมาตรา 538 และข้อความตามสัญญาเช่า ในข้อที่ 5 ที่ว่า “เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนดลงในสิ้นปี 2529 ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่า ๆ ต่อไปอีก 3 ปี โดยผู้เช่า ต้องแจ้งความจํานงว่าจะเช่าต่อไปอีกภายในวันที่ 10 มกราคม 2560 เป็นวันสุดท้าย” นั้น ถือเป็นคํามั่นจะให้เช่า และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าดําผู้เช่าไม่ตอบรับคํามั่นจะเช่าต่อภายในกําหนดเวลาดังกล่าว คํามั่นจะให้เช่านั้น ย่อมสิ้นผลไป การที่ดําได้นําค่าเช่าไปชําระให้แดงในวันที่ 31 มกราคม 2560 และวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560

โดยแดงก็ยอมรับค่าเช่าตามปกติและโดยไม่ได้พูดอะไรกับดํานั้น ถือว่าแดงและดําได้ทําสัญญาเช่ากันใหม่โดย เป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดระยะเวลาตามมาตรา 570 แดงจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่ากับดําโดยที่มิได้ผิด สัญญาได้ตามมาตรา 566 และดําจะอ้างว่าตนมีสิทธิอยู่ในอาคารหลังนี้อีก 3 ปีไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม การที่แดงได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับดําในวันที่ 15 มีนาคม 2560 และให้ดํา ส่งมอบอาคารคืนให้ตนในวันที่ 15 เมษายน 2560 นั้น การบอกเลิกสัญญาเช่าของแดงย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 566 ทั้งนี้เพราะการบอกเลิกสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดระยะเวลานั้น เมื่อแดงได้บอกเลิกสัญญาเช่าใน วันที่ 15 มีนาคม 2560 ย่อมถือเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าในวันที่ 31 มีนาคม 2560 ซึ่งเป็นวันชําระค่าเช่า และแดง จะต้องบอกกล่าวให้ดํารู้ตัวและให้ดําอยู่ในอาคารหลังดังกล่าวจนถึงวันที่ 30 เมษายน 2560 ซึ่งเป็นช่วงกําหนดเวลา ชําระค่าเช่าระยะหนึ่ง ดังนั้น การบอกเลิกสัญญาเช่าดังกล่าวของแดงจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และดําย่อมมีสิทธิ ที่จะอยู่ในอาคารที่เช่าจนถึงสันที่ 30 เมษายน 2560

สรุป การบอกเลิกสัญญาเช่าของแดงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และการปฏิเสธของดําที่อ้างว่า ดํามีสิทธิอยู่ในอาคารหลังดังกล่าวได้อีก 3 ปีฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 2. (ก) ในวันที่ 25 ธันวาคม 2559 เขียวทําสัญญาเป็นหนังสือให้ขาวเช่าที่ดินของเขียวมีกําหนด 1 ปีนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุกวันที่ 5 ของเดือนเป็นค่าเช่า เดือนละ 50,000 บาท ในวันทําสัญญาเช่าขาวได้ให้เงินประกันสัญญาเช่าไว้เป็นเงิน 50,000 บาท ซึ่งเป็นเงินประกันความเสียหายที่เกิดจากการกระทําผิดสัญญาเช่า และได้ให้เงินค่าเช่าไว้ล่วงหน้า เป็นเงิน 50,000 บาท เมื่อขาวเข้าไปอยู่ในที่ดินที่เช่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 นั้น ขาวไม่ได้ ชําระค่าเช่าให้กับเขียวอีกเลยจนถึงปัจจุบันนี้ ด้วยเหตุดังกล่าวนี้ ในวันที่ 6 มีนาคม 2560 เขียว จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาเช่ากับขาวให้ขาวออกจากที่ดินที่เช่าภายในวันที่ 21 มีนาคม 2560 แต่ขาวไม่ยอมออกจากที่ดินที่เช่า ดังนั้นในวันที่ 22 มีนาคม 2560 เขียวจึงฟ้องขับไล่ขาวออกจากที่ดินของตน

ดังนี้ จงวินิจฉัยว่าการกระทําของเขียวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพียงใด

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่เพียงใดและเขียวจะเรียกให้ขาวชําระค่าเช่าซื้อที่ยังไม่ได้ชําระทั้งหมดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึ่งกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ขาวไม่ได้ชําระค่าเช่า 3 ครั้งนั้น เมื่อหักค่าเช่าออก 1 เดือน ที่ขาว ชําระล่วงหน้าไว้ ย่อมถือว่าขาวไม่ได้ชําระค่าเช่า 2 เดือนติดต่อกัน คือ เดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคม (เงินประกัน สัญญาเช่าซึ่งเป็นเงินประกันความเสียหายจํานวน 50,000 บาท จะนํามาหักเป็นค่าเช่าไม่ได้) ซึ่งมีผลทําให้เขียว มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน เขียวจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ขาวนําค่าเช่ามาชําระก่อน โดยต้องให้เวลาแก่ขาวนําค่าเช่ามา ชําระอย่างน้อย 15 วัน ซึ่งถ้าขาวไม่ยอมชําระอีก เขียวจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคสอง ดังนั้น การที่เขียวบอกเลิกสัญญาเช่ากับขาวทันทีในวันที่ 6 มีนาคม 2560 และให้ขาวออกจากที่ดินที่เช่าภายในวันที่ 21 มีนาคม 2560 นั้น การบอกเลิกสัญญาเช่าของเขียวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเขียวจะฟ้องขับไล่ขาวไม่ได้

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคหนึ่ง “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่ขาวผิดนัดไม่ชําระค่าเช่าในเดือนกุมภาพันธ์และ มีนาคม 2560 นั้น ย่อมถือเป็นกรณีที่ขาวผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กันแล้ว ดังนั้น เขียวผู้ให้เช่าซื้อ จึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ทันทีตามมาตรา 574 วรรคหนึ่ง การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของเขียวจึงชอบด้วยกฎหมาย

แต่อย่างไรก็ตาม เขียวจะเรียกเงินค่าเช่าซื้อที่ขาวยังไม่ชําระในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม 2560 จํานวน 100,000 บาท ไม่ได้ เพราะตามหลักกฎหมายมาตรา 574 วรรคหนึ่ง หากผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินค่าเช่าซื้อ สองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และริบเงินค่าเช่าซื้อ ที่ได้ใช้มาแล้วเท่านั้น จะเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระเพราะผิดนัดหรือผิดสัญญาดังกล่าวไม่ได้

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าทรัพย์ทันทีของเขียวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันทีของเขียวชอบด้วยกฎหมาย แต่เขียวจะเรียกค่าเช่าซื้อที่ขาวยังไม่ชําระทั้งหมดไม่ได้ ดังนั้น คําตอบจึงแตกต่างกัน

 

ข้อ 3. นายอุทัย ทําสัญญาจ้างนายพิภพให้จัดเตรียมงานการสมรสทุกอย่างตั้งแต่การทําสัญญาหมั้นจนถึงการจัดพิธีการจัดเลี้ยงสมรส โดยตกลงชําระสินจ้างเป็นจํานวนเงิน 500,000 บาท โดยตกลง ชําระสินจ้างเป็นงวด ๆ ตามที่กําหนดไว้ในสัญญา นายพิภพได้ทําสัญญาจ้างนายแสวงเป็นหัวหน้างานมีกําหนดเวลา 1 ปี และทําสัญญาจ้างนายทนง และนายนคร โดยไม่ได้กําหนดระยะเวลาไว้ โดยให้เริ่มทํางานตั้งแต่เดือนเมษายน ในสัญญาได้ตกลง ให้ชําระสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือน

จากข้อเท็จจริงดังกล่าว สัญญาระหว่างนายอุทัยกับนายพิภพเป็นสัญญาอะไร ตามกฎหมายมาตราใด โดยให้อธิบายตามองค์ประกอบของกฎหมายด้วย และสัญญาระหว่างนายพิภพกับนายแสวง และสัญญาระหว่างนายพิภพกับนายทนงและนายนครเป็นสัญญาอะไร ตามกฎหมายมาตราใด โดยให้ อธิบายตามองค์ประกอบของกฎหมายด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 575 “อันว่าจ้างแรงงานนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ลูกจ้าง ตกลงจะทํางาน ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า นายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทํางานให้”

มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับ จะทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อ ผลสําเร็จแห่งการที่ทํานั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

  1. สัญญาระหว่างนายอุทัยกับนายพิภพ

การที่นายอุทัยทําสัญญาจ้างนายพิภพให้จัดเตรียมงานการสมรสทุกอย่างตั้งแต่การทําสัญญา หมั้นจนถึงการจัดพิธีการจัดเลี้ยงสมรส โดยตกลงชําระสินจ้างเป็นจํานวนเงิน 500,000 บาท โดยตกลงชําระสินจ้าง เป็นงวด ๆ ตามที่กําหนดไว้ในสัญญานั้น เป็นกรณีที่นายพิภพผู้รับจ้างตกลงรับจะทํางานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้กับ นายอุทัยผู้ว่าจ้าง และนายอุทัยผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อความสําเร็จของงานที่ทํานั้น ดังนั้นสัญญาระหว่าง นายอุทัยกับนายพิภพ จึงเป็นสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587

  1. สัญญาระหว่างนายพิภพกับนายแสวง

การที่นายพิภพได้ทําสัญญาจ้างนายแสวงเป็นหัวหน้างานมีกําหนด 1 ปี โดยให้เริ่มทํางาน ตั้งแต่เดือนเมษายน และในสัญญาได้ตกลงให้ชําระสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือนนั้น เป็นกรณีที่นายแสวงลูกจ้างตกลงจะทํางานให้แก่นายพิภพนายจ้าง และนายพิภพนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างเป็น กําหนดระยะเวลารายเดือนตลอดเวลาที่ทํางานให้ ดังนั้น สัญญาระหว่างนายพิภพกับนายแสวงจึงเป็นสัญญา จ้างแรงงานตามมาตรา 575 และเป็นสัญญาจ้างที่มีกําหนดระยะเวลา 1 ปี

  1. สัญญาระหว่างนายพิภพกับนายทนงและนายนคร

การที่นายพิภพได้ทําสัญญาจ้างนายทนงและนายนครโดยไม่ได้กําหนดระยะเวลาไว้ โดยให้ เริ่มทํางานตั้งแต่เดือนเมษายน และในสัญญาได้ตกลงให้ชําระสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือน เช่นเดียวกับนายแสวงนั้น สัญญาจ้างระหว่างนายพิภพกับนายทนงและนายนครจึงเป็นสัญญาจ้างแรงงานตาม มาตรา 575 และเป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกําหนดระยะเวลาไว้โดยสัญญา

สรุป

สัญญาระหว่างนายอุทัยกับนายพิภพเป็นสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587

สัญญาระหว่างนายพิภพกับนายแสวงเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามมาตรา 575 โดยมีกําหนดระยะเวลา 1 ปี

และสัญญาระหว่างนายพิภพกับนายทนงและนายนครเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามมาตรา 575 และเป็นสัญญาจ้างที่ไม่มี กําหนดระยะเวลา

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าตึกแถวหนึ่งคูหาของแดงมีกําหนดเวลา 3 ปี โดยสัญญาเช่าเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2556 ถึงวันที่ 1 มีนาคม 2559 สัญญาเช่า มีข้อความสําคัญดังนี้

ข้อ 5 “ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 3 ปี เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปี ในวันที่ 1 มีนาคม 2559 แล้ว”

ปรากฏข้อเท็จจริงว่าในวันที่ 1 มีนาคม 2556 นั้นขาวได้เข้าไปอยู่ในตึกแถวแล้วและขาวได้ตอบ ให้แดงทราบว่าขาวขอเช่าต่อไปอีก 3 ปี ในวัน 1 มีนาคม 2556 เช่นกัน ครั้นขาวเช่าตึกแถวนี้มาถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558 แดงได้ขายตึกแถวที่ให้เช่าของตนหลังนี้ให้กับมืด การซื้อขายทําโดยชอบด้วยกฎหมาย ขาวอยู่ในตึกแถวมาจนถึงปัจจุบันนี้โดยไม่ได้ทําสัญญาเช่าใหม่กับมืดเลย และได้ชําระค่าเช่ามาโดยตลอด แต่มืดต้องการบอกเลิกสัญญาโดยที่ขาวมิได้ผิดสัญญา ดังนั้นมืดบอกเลิกสัญญาในวันที่ 20 ตุลาคม 2559 ซึ่งเป็นวันที่จะต้องชําระค่าเช่าตามที่สัญญาเช่า กําหนดไว้ตั้งแต่ต้น และมืดให้ขาวส่งคืนตึกแถวให้ตนในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2559

ขาวอ้างว่าการบอกเลิกสัญญาของมืดไม่ชอบเพราะขาวยังมีสิทธิอยู่ในตึกแถวได้จนถึงวันที่ 1 มีนาคม 2562 (คืออยู่ต่อไปอีก 3 ปี หลังจากครบ 3 ปี ในวันที่ 1 มีนาคม 2559 แล้ว) ให้ท่านวินิจฉัยว่า การบอกเลิกสัญญาของมืดและข้ออ้างของขาวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 566 “ถ้ากําหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกันหรือไม่พึงสันนิษฐานได้ไซร้ ท่านว่าคู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกําหนดชําระค่าเช่าก็ได้ทุกระยะ แต่ต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย แต่ไม่จําต้องบอกกล่าว ล่วงหน้ากว่าสองเดือน”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

มาตรา 570 “ในเมื่อสิ้นกําหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น ถ้าผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่ และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทําสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกําหนดเวลา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาเช่าตึกแถวระหว่างแดงกับขาว มีกําหนดเวลา 3 ปี เมื่อได้ทําเป็นหนังสือ สัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมายและสามารถใช้บังคับกันได้ 3 ปี ตามมาตรา 538 และสัญญาเช่า ข้อ 5 ที่ว่า “ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 3 ปี เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปี ในวันที่ 1 มีนาคม 2559 แล้ว” นั้น ถือเป็นคํามั่นจะให้เช่า เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าในวันที่ 1 มีนาคม 2556 ขาวได้เข้าไปอยู่ในตึกแถวแล้ว และขาวได้ตอบให้แดงทราบว่าขาวขอเช่าตึกเถวต่อไปอีก 3 ปี ดังนี้ย่อมถือว่าขาวสนองรับคํามั่นจะให้เช่าแล้ว จึงเกิดสัญญาเช่าตึกแถวรวม 6 ปี แต่อย่างไรก็ตามเมื่อสัญญาดังกล่าวมิได้นําไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาเช่าจึงฟ้องร้องให้บังคับคดีได้เพียง 3 ปี เท่านั้น ตามมาตรา 538

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558 แดงได้ขายตึกแถวที่ให้เช่าของตนให้แก่มืด โดยการซื้อขายกระทําถูกต้องตามกฎหมาย กรณีนี้ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่า ระงับสิ้นไปตามมาตรา 569 วรรคหนึ่ง โดยมืดผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อผู้เช่านั้นด้วย กล่าวคือ มืดต้องให้ขาวเช่าตึกแถวนี้ต่อไปจนครบกําหนด 3 ปี ตามสัญญาเช่าตามมาตรา 569 วรรคสอง

การตามข้อเท็จจริง เมื่อสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปี และขาวยังคงอยู่ในตึกแถวมาจนถึงปัจจุบันนี้ โดยไม่ได้ทําสัญญาเช่าใหม่กับมืดและได้ชําระค่าเช่ามาโดยตลอด ซึ่งมืดเองก็มิได้ทักท้วงแต่อย่างใดนั้นถือเป็นการ ทําสัญญาเช่ากันใหม่ต่อไป โดยเป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดเวลาตามมาตรา 570 ซึ่งสิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญา ให้นําสัญญาเดิมมาใช้บังคับ

ดังนั้น เมื่อเป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกําหนดเวลา มืดจึงสามารถบอกเลิกสัญญากับขาวโดยที่ขาว มิได้ผิดสัญญาได้ตามมาตรา 566 แต่การที่มืดบอกเลิกสัญญาในวันที่ 20 ตุลาคม 2559 และให้ขาวส่งตึกแถวให้ตนในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2559 นั้น ถือว่าเป็นการบอกเลิกที่ไม่ชอบตามมาตรา 566 เพราะตามหลักกฎหมาย ดังกล่าว มืดจะต้องบอกให้ขาวรู้ตัวและให้ขาวอยู่ในตึกแถวที่เช่าจนถึงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2559 ซึ่งเป็น ชั่วกําหนดเวลาชําระค่าเช่าระยะหนึ่ง

ส่วนข้ออ้างของขาวที่ว่า การบอกเลิกสัญญาของมืดไม่ชอบเพราะขาวยังมีสิทธิอยู่ในตึกแถว ได้จนถึงวันที่ 1 มีนาคม 2562 ย่อมฟังไม่ขึ้น เพราะสัญญาเช่าตึกแถวระหว่างขาวกับมืดนั้นใช้บังคับกันได้เพียง 3 ปี เท่านั้น ตามมาตรา 538 ประกอบมาตรา 569

สรุป การบอกเลิกสัญญาของมืดและข้ออ้างของขาวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. (ก) น้ำเงินทําสัญญาเช่าที่ดินเป็นหนังสือให้เหลืองเช่าที่ดินของน้ำเงินมีกําหนด 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2559 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 20 ของเดือนเป็นค่าเช่า เดือนละ 25,000 บาท ในวันทําสัญญาเช่าเหลืองได้ให้เงินเป็นประกันการชําระค่าเช่าไว้ 3 เดือน เมื่อเหลืองอยู่ในที่ดินที่เช่าเหลืองได้ชําระค่าเช่าให้กับน้ำเงินเพียง 3 เดือนเท่านั้น หลังจากนั้นมาเหลืองมิได้ชําระค่าเช่าให้กับน้ำเงินในเดือนมิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน 2559 เป็นเวลา 4 เดือน ติดกัน ดังนั้นในวันที่ 30 กันยายน 2559 น้ำเงินจึงแจ้งให้เหลืองมาชําระค่าเช่า ที่ยังไม่ชําระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 หากเหลืองไม่ชําระตามที่น้ำเงินแจ้งให้ทราบถือว่าน้ำเงินได้บอกเลิกสัญญาเช่าด้วย แต่เหลืองก็มิได้ชําระเงินค่าเช่าให้กับน้ำเงิน

ดังนั้นน้ำเงินจึงฟ้องขับไล่และเรียกที่ดินคืนจากเหลืองในวันที่ 20 ตุลาคม 2559 การกระทําของน้ำเงินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จงวินิจฉัย

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ หากน้ำเงินบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อในวันที่ 30 กันยายน 2559 กับเหลืองทันทีการบอกเลิกชอบหรือไม่ จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งพึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เหลืองไม่ชําระค่าเช่าให้กับน้ำเงินในเดือนมิถุนายน กรกฎาคม สิงหาคม และกันยายน 2559 เป็นเวลา 4 เดือน ติดกันนั้น เมื่อหักเงินประกันการชําระค่าเช่าออก 3 เดือน ที่ เหลืองชําระไว้ ย่อมถือว่าเหลืองยังไม่ได้ชําระค่าเช่าอีก 1 เดือน คือ ค่าเช่าเดือนกันยายน 2559 ซึ่งมีผลให้น้ำเงิน สามารถบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน น้ำเงินจะบอกเลิก สัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้เหลืองนําค่าเช่ามาชําระก่อน โดยต้องให้เวลาแก่เหลืองนําค่าเช่ามา ชําระอย่างน้อย 15 วัน ซึ่งถ้าเหลืองยังไม่ยอมชําระอีก น้ำเงินจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคสอง และตามข้อเท็จจริง การที่น้ำเงินแจ้งให้เหลืองนําค่าเช่ามาชําระในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 หากไม่ชําระให้ถือว่า น้ำเงินได้บอกเลิกสัญญาเช่าด้วยนั้น ย่อมถือเป็นการบอกกล่าวแก่เหลืองผู้เช่าแล้ว เมื่อเหลืองมิได้ชําระค่าเช่าให้แก่น้ำเงิน น้ำเงินจึงฟ้องขับไล่และเรียกที่ดินคืนจากเหลืองในวันที่ 20 ตุลาคม 2559 ได้ เพราะครบกําหนด การบอกกล่าวแก่ผู้เช่าอย่างน้อย 15 วัน ตามมาตรา 560 แล้ว ดังนั้นการกระทําของน้ําเงินจึงชอบด้วยกฎหมาย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคหนึ่ง “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตาม (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ เมื่อได้หักเงินประกันการชําระค่าเช่าออก 3 เดือนแล้ว เท่ากับเหลืองไม่ได้ชําระค่าเช่าซื้อเพียง 1 คราว คือในเดือนกันยายน 2559 จึงถือเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงิน เพียง 1 คราว มิใช่การผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน ตามมาตรา 574 วรรคหนึ่ง ดังนั้น น้ำเงินจะบอกเลิก สัญญาเช่าซื้อไม่ได้ แต่เรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระ 25,000 บาทได้ การที่น้ำเงินบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับเหลืองทันที ในวันที่ 30 กันยายน 2559 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(ก) การกระทําของน้ำเงินชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของน้ำเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. นายอนุทินทําสัญญาจ้างนายสัญญาให้ก่อสร้างบ้านพักตากอากาศ 30 หลัง โดยตกลงกําหนดให้จ่ายสินจ้างหลังละ 1 ล้านบาท เมื่อสร้างบ้านแล้วเสร็จ ให้ทําการก่อสร้างตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 ถึง ธันวาคม 2560 นายสัญญาเห็นว่ามีงานต้องทําเป็นจํานวนมากจึงทําสัญญาจ้างนายสมัย นายชนะ นายเดช เป็นลูกจ้างไม่มีกําหนดระยะเวลา กําหนดจ่ายสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือน ปรากฏว่าในเดือนตุลาคม นายสัญญาได้ทําการก่อสร้างบ้านเสร็จแล้ว 13 หลัง แต่ นายอนุทินได้ขอบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างบ้านที่เหลือทั้งหมดโดยอ้างว่าเศรษฐกิจไม่ค่อยดี นายสัญญาต่อสู้ว่าไม่สามารถบอกเลิกได้เพราะได้ก่อสร้างไปแล้วแต่ยังไม่เสร็จ นายสัญญาเห็นว่า ไม่มีงานให้ทํามากนักจึงได้บอกกล่าวเลิกสัญญาจ้างนายสมัย นายชนะ นายเดช ในวันที่ 31 ตุลาคม 2559 และบอกเลิกสัญญาในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 เช่นนี้

(ก) นายอนุทินบอกเลิกสัญญาก่อสร้างบ้านพักตากอากาศที่เหลือได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

(ข) นายสัญญาบอกเลิกสัญญาลูกจ้าง คือ นายสมัย นายชนะ นายเดช ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 ได้ถูกต้องหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะ ทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จแห่งการที่ทํานั้น”

มาตรา 605 “ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จอยู่ตราบใด ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้ เมื่อเสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น”

วินิจฉัย

โดยหลัก ในเรื่องสัญญาจ้างทําของนั้น ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จ ผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิก สัญญาได้ แต่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ ที่เกิดจากการเลิกสัญญานั้นให้กับ ผู้รับจ้าง (มาตรา 605)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอนุทินทําสัญญาจ้างนายสัญญาให้ก่อสร้างบ้านพักตากอากาศ 30 หลัง โดยตกลงกําหนดให้จ่ายสินจ้างหลังละ 1 ล้านบาท เมื่อสร้างบ้านแล้วเสร็จนั้น สัญญาก่อสร้างบ้านพัก ตากอากาศดังกล่าว เป็นกรณีที่ผู้รับจ้างคือ นายสัญญาตกลงรับจะทํางานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่นายอนุทิน ผู้ว่าจ้าง และนายอนุทินตกลงจะให้สินจ้างเพื่อความสําเร็จของงานที่ทํานั้น จึงเป็นสัญญาจ้างทําของตาม มาตรา 587

เมื่อปรากฏว่า นายสัญญาได้ทําการก่อสร้างบ้านเสร็จแล้ว 13 หลัง แต่นายอนุทินได้ขอบอกเลิก สัญญาก่อสร้างบ้านที่เหลือทั้งหมดโดยอ้างว่าเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ดังนี้ นายอนุทินย่อมสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างได้

แต่นายอนุทินจะต้องเสียค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการยกเลิกสัญญานั้น ให้แก่นายสัญญาด้วยตามมาตรา 605 กล่าวคือ นายอนุทินจะต้องชําระสินจ้างให้นายสัญญาสําหรับการก่อสร้าง บ้าน 13 หลัง และต้องชําระค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดจากสัญญานั้นให้แก่นายสัญญา

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 575 “อันว่าจ้างแรงงานนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ลูกจ้าง ตกลงจะทํางาน ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า นายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทํางานให้”

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าว ล่วงหน้ากว่าสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแต่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่าย จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียว แล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสัญญาได้ทําสัญญาจ้างนายสมัย นายชนะ นายเดช เป็นลูกจ้าง ไม่มีกําหนดเวลา กําหนดจ่ายสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือนนั้น ถือว่าเป็นสัญญาจ้าง แรงงานตามมาตรา 575 และเป็นสัญญาจ้างแรงงานที่ไม่มีกําหนดเวลา จึงเข้าหลักของมาตรา 582 วรรคหนึ่ง คือ ถ้านายสัญญาจะบอกเลิกสัญญาจ้าง จะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายค่าจ้าง คราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไป แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้า กว่าสามเดือน

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายสัญญาได้บอกกล่าวเลิกสัญญาจ้างนายสมัย นายชนะ นายเดช ในวันที่ 31 ตุลาคม 2559 ย่อมถือเป็นการบอกกล่าวเลิกสัญญาของการจ่ายสินจ้างในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2559 เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปคือ เลิกสัญญาในวันที่ 25 ธันวาคม 2559 ดังนั้น การที่นายสัญญาบอกเลิกสัญญาลูกจ้าง คือ นายสมัย นายชนะ นายเดช ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 จึงไม่ถูกต้องตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

สรุป

(ก) นายอนุทินบอกเลิกสัญญาก่อสร้างบ้านพักตากอากาศที่เหลือได้ แต่จะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ ที่เกิดจากการยกเลิกสัญญานั้นให้แก่นายสัญญา

(ข) การที่นายสัญญาบอกเลิกสัญญาลูกจ้าง คือ นายสมัย นายชนะ นายเดช ในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2559 นั้นไม่ถูกต้อง

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าตึกแถวของแดงหนึ่งคูหา มีกําหนดเวลา 3 ปี โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 5 ของแต่ละเดือน เป็นค่าเช่าเดือนละหนึ่งหมื่นบาท สัญญาเช่ามีข้อความสําคัญดังนี้

ข้อ 5. “หากสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปี ผู้ให้เช่ายินยอมจะให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 3 ปี และผู้ให้เช่า จะได้รับค่าเช่าเดือนละ 12,000 บาท”

ข้อ 6. “ในวันทําสัญญาเช่าผู้เช่าได้ให้เงินผู้ให้เช่าไว้เพื่อเป็นการประกันการชําระค่าเช่าไว้ซึ่งเป็น เงินเท่ากับค่าเช่า 3 เดือน (สามหมื่นบาท) และถ้าผู้เช่าได้ชําระค่าเช่าตามปกติ ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินนี้ ให้กับผู้เช่าหากครบกําหนด 3 ปี ตามสัญญาเช่าตึกแถวนี้แล้ว”

ข้อเท็จจริงปรากฏว่าแดงให้ขาวเช่าตึกแถวได้เพียง 1 ปีเท่านั้น แดงได้ยกตึกแถวนี้ให้กับดำบุตรบุญธรรมของแดง การให้ทําถูกต้องตามกฎหมาย ขาวได้อยู่ในตึกแถวที่เช่ามาจนครบ 3 ปี ซึ่งตรงกับวันที่ 30 เมษายน 2559 ขาวไปพบดําและขอเช่าตึกแถวจากดําต่อไปอีก 3 ปี ตามข้อ 5. ของสัญญาเช่า แต่ถูกดําปฏิเสธและดําบอกให้ขาวส่งคืนตึกแถวนี้ให้กับดําภายใน 15 วัน เพราะสัญญาสิ้นสุดแล้ว ให้ท่านวินิจฉัยว่า

  • การกระทําของดําชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เพียงใด และ
  • ส่วนขาวจะเรียกให้ดําคืนเงิน 30,000 บาท ให้ตนตามข้อ ของสัญญานี้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อ ฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนด ตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และถ้าเป็นการเช่าที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

และตามบทบัญญัติมาตรา 569 ได้กําหนดไว้ว่า ในกรณีที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับสิ้นไป และมีผลทําให้ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน ตามสัญญาเช่าที่มีต่อผู้เช่าด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าตึกแถวระหว่างแดงกับขาว มีกําหนดเวลา 3 ปี เมื่อได้ทําเป็นหนังสือ สัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมายและสามารถใช้บังคับกันได้ 3 ปี ตามมาตรา 538 และเมื่อปรากฏว่า หลังจากขาวเช่าตึกแถวคูหานี้ได้เพียง 1 ปี แดงได้ยกตึกแถวนี้ให้กับดําบุตรบุญธรรมของแดง โดยการให้ทําถูกต้องตามกฎหมาย กรณีเช่นนี้ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่าระงับสิ้นไปแต่อย่างใดตาม มาตรา 569 วรรคหนึ่ง โดยดําผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของแดงผู้โอนที่มีต่อขาวผู้เช่า ด้วยตามมาตรา 569 วรรคสอง กล่าวคือ ดําจะต้องให้ขาวเช่าตึกแถวคูหานี้ต่อไปจนครบกําหนด 3 ปี

สําหรับข้อกําหนดตามสัญญาเช่าข้อ 5. ที่ว่า “หากสัญญาเช่าครบกําหนด 3 ปี ผู้ให้เช่ายินยอม จะให้ผู้เช่าเช่าต่อไปอีก 3 ปี และผู้ให้เช่าจะได้รับค่าเช่าเดือนละ 12,000 บาท” นั้น เป็นเพียงสิทธิและหน้าที่ตาม คํามั่นจะให้เช่า ไม่ใช่สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า จึงไม่มีผลผูกพันดําผู้รับโอน ดังนั้น เมื่อครบกําหนดเวลา ตามสัญญาเช่า ขาวได้ไปพบดําและขอเช่าตึกแถวจากดําต่อไปอีก 3 ปีตามสัญญาเช่าข้อ 5. ดําย่อมสามารถปฏิเสธ ไม่ให้ขาวเช่าต่อได้ การที่ดําปฏิเสธและบอกให้ขาวส่งคืนตึกแถวนี้ให้กับดําภายใน 15 วัน เพราะสัญญาสิ้นสุดแล้ว จึงชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนข้อกําหนดตามสัญญาเช่าข้อ 6. ที่ว่า “ในวันทําสัญญาเช่าผู้เช่าได้ให้เงินผู้ให้เช่าไว้เพื่อเป็นประกันการชําระค่าเช่าไว้ ซึ่งเป็นเงินเท่ากับค่าเช่า 3 เดือน (สามหมื่นบาท) และถ้าผู้เช่าได้ชําระค่าเช่า ตามปกติ ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินนี้ให้กับผู้เช่าหากครบกําหนด 3 ปี ตามสัญญาเช่าตึกแถวนี้แล้ว” นั้น เป็นเรื่องค่าเช่า และถือเป็นสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า ดังนั้น เมื่อขาวจะเรียกให้ดําคืนเงิน 30,000 บาท ให้ตนตามข้อ 6. ของสัญญา ดําจึงปฏิเสธไม่ได้ตามมาตรา 569 วรรคสอง

สรุป การกระทําของดําที่ปฏิเสธไม่ให้ขาวเช่าต่อไปอีก 3 ปีนั้น ชอบด้วยกฎหมาย และขาว สามารถเรียกให้ดําคืนเงิน 30,000 บาท ให้ตนตามข้อ 6. ของสัญญานี้ได้

 

ข้อ 2. (ก) น้ำเงินทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ม่วงเช่าที่ดินของน้ำเงินมีกําหนดเวลา 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 20 ของเดือนเป็นค่าเช่าเดือนละ 50,000 บาท ในวันทําสัญญาเช่านั้น ม่วงได้ให้เงินประกันการชําระค่าเช่าเป็นเงินเท่ากับค่าเช่าสามเดือน เมื่อม่วงเข้าไปอยู่ในที่ดินของน้ำเงินตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 ม่วงไม่ได้ชําระค่าเช่าให้ น้ำเงินเลยจนถึงปัจจุบันนี้ ดังนั้นในวันที่ 1 มิถุนายน 2559 น้ำเงินจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับม่วง ทันทีโดยให้ม่วงส่งมอบที่ดินคืนในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าการบอกเลิกสัญญาเช่าของน้ำเงินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่เพียงใด

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่านี้ ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งจึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่ากําหนด ชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิกสัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ม่วงไม่ชําระค่าเช่าให้แก่น้ำเงินตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 จนถึง วันที่ 1 มิถุนายน 2559 นั้น เมื่อหักเงินประกันการชําระค่าเช่าออก 3 เดือน ที่ม่วงได้ชําระไว้ย่อมถือว่าม่วงยังไม่ได้ ชําระค่าเช่าอีก 1 เดือน คือค่าเช่าเดือนพฤษภาคม 2559 ซึ่งมีผลให้น้ำเงินสามารถบอกเลิกสัญญาเช่าได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน น้ำเงินจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ม่วงนําค่าเช่ามาชําระก่อน โดยต้องให้เวลาแก่ม่วงนําค่าเช่ามาชําระอย่างน้อย 15 วัน ซึ่งถ้าม่วง ยังไม่ยอมชําระอีก น้ำเงินจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 วรรคสอง ดังนั้น การที่นําเงินบอกเลิกสัญญาเช่า ทันทีในวันที่ 1 มิถุนายน 2559 และให้ม่วงส่งมอบที่ดินคืนในวันที่ 16 มิถุนายนนี้ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคหนึ่ง “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สิน และเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตาม (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ เมื่อได้หักเงินประกันการชําระค่าเช่าออก 3 เดือนแล้ว เท่ากับม่วงไม่ได้ชําระค่าเช่าซื้อเพียง 1 คราว คือ ในเดือนพฤษภาคม 2559 จึงถือว่าเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัด ไม่ใช้เงินเพียง 1 คราว มิใช่การผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน ตามมาตรา 574 วรรคหนึ่ง ดังนั้น น้ำเงินจะ บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไม่ได้ แต่เรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชําระ 50,000 บาทได้ การที่น้ำเงินบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับม่วง ทันทีในวันที่ 1 มิถุนายน 2559 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าทรัพย์ของน้ำเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของน้ำเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น คําตอบของข้าพเจ้าจึงไม่แตกต่างกัน

 

ข้อ 3. (ก) มืดจ้างให้เขียวทํางานเป็นพนักงานทําบัญชีในร้านค้าของมีดตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2558 เป็นต้นไปตกลงชําระค่าจ้างทุกวันที่ 14 และวันที่ 28 ของแต่ละเดือนเป็นค่าจ้างคราวละ 15,000 บาท มืดบอกเลิกจ้างกับเขียวในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 โดยที่เขียวไม่ผิดสัญญาจ้างได้หรือไม่เพียงใด และเขียวต้องทํางานให้มืดถึงวันที่เท่าใด จงวินิจฉัย

(ข) แสดตกลงจ้างให้เหลืองก่อสร้างบ้านและอาคารเก็บรถยนต์ให้ โดยตกลงจ่ายค่าจ้างเป็นงวดมีกําหนด 15 งวด (จนงานเสร็จ) เป็นค่าจ้างทั้งหมด 5 ล้านบาท เหลืองสร้างบ้านให้เสร็จแล้ว เหลือแต่ยังไม่ได้สร้างอาคารเก็บรถยนต์ เหลืองจึงบอกเลิกสัญญากับแสด โดยอ้างว่าจะสร้าง เฉพาะบ้านให้แสดเท่านั้น เหลืองทําชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 582 “ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กําหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร ท่านว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้า ในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกําหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทําได้ แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้า กว่าสามเดือน

อนึ่ง ในเมื่อบอกกล่าวดังว่านี้ นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแต่ลูกจ้างเสียให้ครบจํานวนที่จะต้องจ่าย จนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกําหนดที่บอกกล่าวนั้นที่เดียวแล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทําได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่มืดจ้างให้เขียวทํางานเป็นลูกจ้าง โดยมืดได้ตกลงทําสัญญาจ้าง ไม่มีกําหนดเวลาไว้กับเขียว จึงเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 582 วรรคหนึ่ง คือ ถ้ามืดจะบอกเลิกสัญญาจ้างกับเขียว จะต้องบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกําหนดจ่ายค่าจ้างคราวใดคราวหนึ่ง เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากัน เมื่อถึงกําหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไป แต่ไม่จําต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่า 3 เดือน

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า มืดได้บอกเลิกจ้างกับเขียวในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งเป็นการ บอกเลิกสัญญาจ้างก่อนถึงกําหนดจ่ายค่าจ้างในวันที่ 14 มีนาคม 2559 กรณีนี้จึงถือว่าเป็นการบอกเลิกสัญญา ล่วงหน้า เพื่อให้มีผลเป็นการเลิกสัญญากันในวันที่ 28 มีนาคม 2559 ซึ่งเป็นวันถึงกําหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไป ดังนั้น เขียวจึงมีสิทธิทํางานจนถึงวันสุดท้าย คือ วันที่ 28 มีนาคม 2559 และมืดจะต้องจ่ายค่าจ้างให้กับเขียว ในวันที่ 14 มีนาคม 2559 เป็นเงิน 15,000 บาท และจ่ายค่าจ้างในวันที่ 28 มีนาคม 2559 อีก 15,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 30,000 บาท หรือมืดจะจ่ายค่าจ้างให้แก่เขียวทั้งหมด 30,000 บาท แล้วให้เขียวออกจากงาน ในทันทีเลยก็ได้ตามมาตรา 582 วรรคสอง

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะ ทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จ แห่งการที่ทํานั้น”

มาตรา 605 “ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จอยู่ตราบใด ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้ เมื่อเสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น”

วินิจฉัย

ตามกฎหมายในเรื่องจ้างทําของนั้น มาตรา 605 ได้กําหนดไว้ว่า ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จ ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้โดยให้เสียค่าสินไหมทดแทนให้เพื่อความเสียหายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นกรณีที่ กฎหมายให้สิทธิแก่ผู้ว่าจ้างเท่านั้น หารวมถึงผู้รับจ้างด้วยไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แสดตกลงจ้างให้เหลืองก่อสร้างบ้านและอาคารเก็บรถยนต์ให้โดยตกลง จ่ายค่าจ้างเป็นงวดนั้น ถือเป็นสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587 ดังนั้น เมื่อการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จ กล่าวคือ เหลืองได้สร้างบ้านให้เสร็จแล้วแต่ยังไม่ได้สร้างอาคารเก็บรถยนต์ ผู้ที่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้างได้จึงมีเฉพาะแสด ผู้ว่าจ้างคนเดียวเท่านั้น ส่วนเหลืองไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาจ้าง การที่เหลืองผู้รับจ้างบอกเลิกสัญญากับแสด โดยอ้างว่าจะสร้างเฉพาะบ้านให้แสดเท่านั้น จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(ก) เขียวต้องทํางานให้กับมืดจนถึงวันที่ 28 มีนาคม 2559 และมืดจะต้องจ่ายเงินราค่าจ้างให้กับเขียวเป็นจํานวนรวมทั้งสิ้น 30,000 บาท

(ข) การกระทําของเหลืองไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

LAW2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือและจดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าอาคารเก็บสินค้าของแดงมีกําหนดเวลา 5 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2554 เป็นต้นไป ตกลงชําระค่าเช่าเดือนละ 100,000 บาท ทุก ๆ วันสิ้นเดือน สัญญาเช่าอาคารมีข้อความสําคัญ คือ

ข้อ 5. “หากผู้เช่าเช่าครบกําหนด 5 ปี ผู้ให้เช่าให้คํามั่นจะให้ผู้เช่าเช่าต่ออีก 5 ปี โดยผู้เช่าต้อง ชําระค่าเช่าเดือนละ 120,000 บาท และผู้ให้เช่าต้องไปจดทะเบียนการเช่าให้ผู้เช่าเช่าต่อภายใน วันที่ 31 มีนาคม 2559”

ข้อ 6. “ผู้ให้เช่าได้รับเงินประกันสัญญาเช่าจากผู้เช่าไว้เป็นเงิน 500,000 บาท หากครบกําหนด สัญญาเช่า 5 ปี ซึ่งตรงกับวันที่ 1 มีนาคม 2559 ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินประกันสัญญาเช่าให้กับผู้เช่าทั้งหมด โดยที่ผู้เช่าจะต้องไม่กระทําผิดสัญญาเช่าด้วย”

ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเมื่อขาวเช่าอาคารหลังนี้ได้เพียง 3 ปี แดงได้ขายอาคารนี้ให้กับมืดโดยสัญญา ซื้อขายทําถูกต้องตามกฎหมาย ขาวจึงต้องส่งค่าเช่าให้กับมืดมาตลอดสัญญาเช่าครบ 5 ปี ในวันที่ 1 มีนาคม 2559 ขาวจึงไปขอเช่าอาคารต่อไปอีก 5 ปีจากมืด และตกลงจะชําระค่าเช่าให้เดือนละ 120,000 บาท ตามข้อ 5. ที่เขียนไว้ในสัญญาเช่าและมืดตกลงยินยอมที่จะให้ขาวเช่าต่อไปอีก 5 ปี เช่นกัน ดังนั้นขาวจึงแจ้งให้มืดไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาวต่อไปอีกในวันที่ 30 มีนาคม 2559 แต่กลับถูกมืดปฏิเสธไม่ยอมไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าต่อไปอีก 5 ปี และขาวได้เรียกให้มืดคืนเงินประกันสัญญาเช่าให้ขาว 500,000 บาท ตามสัญญาข้อ 6. เพราะขาวไม่เคยผิดสัญญาเลย มืดก็ปฏิเสธไม่ยอมคืนเงินให้ขาวอีกเช่นกัน ให้วินิจฉัยว่า การปฏิเสธของมืดทั้ง 2 ประการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 538 “เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ ถ้าเช่ามีกําหนดกว่าสามปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้ หากมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ท่านว่าการเช่านั้น จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี”

มาตรา 569 “อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 538 ได้กําหนดไว้ว่า สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์จะสามารถฟ้องร้อง บังคับคดีกันได้ ก็ต่อเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสําคัญ และถ้าเป็นการเช่าที่มีกําหนดเวลาเกิน 3 ปีขึ้นไป หรือกําหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่า ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้เพียง 3 ปีเท่านั้น

และตามบทบัญญัติมาตรา 569 ได้กําหนดไว้ว่า ในกรณีที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับสิ้นไป และมีผลทําให้ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอน ตามสัญญาเช่าที่มีต่อผู้เช่าด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อสัญญาเช่าอาคารเก็บสินค้าระหว่างแดงกับขาวซึ่งมีกําหนดเวลา 5 ปี ได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนการเช่า สัญญาเช่าจึงชอบด้วยกฎหมายและสามารถใช้บังคับกันได้ 5 ปี ตาม มาตรา 538 และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหลังจากขาวเช่าอาคารหลังนี้ได้เพียง 3 ปี แดงได้ขายอาคารหลังนี้ ให้กับมืด โดยสัญญาซื้อขายได้ทําถูกต้องตามกฎหมาย กรณีเช่นนี้ย่อมไม่ทําให้สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับ ขาวผู้เช่าระงับสิ้นไปแต่อย่างใดตามมาตรา 569 วรรคหนึ่ง โดยมืดผู้รับโอนจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของแดงผู้โอนที่มีต่อขาวผู้เช่าด้วยตามมาตรา 569 วรรคสอง กล่าวคือ มืดจะต้องให้ขาวเช่าอาคารเก็บ สินค้าหลังนี้ต่อไปจนครบกําหนด 5 ปี

สําหรับข้อกําหนดตามสัญญาเช่าข้อ 5. ที่ว่า “หากผู้เช่าเช่าครบกําหนด 5 ปี ผู้ให้เช่าให้คํามั่น จะให้ผู้เช่าเช่าต่ออีก 5 ปี โดยผู้เช่าต้องชำระค่าเช่าเดือนละ 120,000 บาท และผู้ให้เช่าต้องไปจดทะเบียนการเช่า ให้ผู้เช่าเช่าต่อภายในวันที่ 31 มีนาคม 2559” นั้น เป็นเพียงสิทธิและหน้าที่ตามคํามั่นจะให้เช่า ไม่ใช่สิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า จึงไม่มีผลผูกพันมืดผู้รับโอน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อสัญญาเช่าครบ กําหนด 5 ปี ขาวได้ไปขอเช่าอาคารต่อไปอีก 5 ปีจากมืด และตกลงจะชําระค่าเช่าให้เดือนละ 120,000 บาท และมืดได้ตกลงยินยอมที่จะให้ขาวเช่าต่อไปอีก 5 ปีเช่นกัน ดังนั้น เมื่อขาวได้แจ้งให้มืดไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาวต่อไปอีกในวันที่ 30 มีนาคม 2559 มืดจึงต้องไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าต่อไปอีก 5 ปี การที่มืดปฏิเสธไม่ยอมไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าต่อไปอีก 5 ปีนั้น การปฏิเสธของมืดกรณีนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนข้อกําหนดตามสัญญาเช่าข้อ 6. ที่ว่า “ผู้ให้เช่าได้รับเงินประกันสัญญาเช่าจากผู้เช่าไว้ เป็นเงิน 500,000 บาท หากครบกําหนด สัญญาเช่า 5 ปี ผู้ให้เช่าต้องคืนเงินประกันสัญญาเช่าให้กับผู้เช่าทั้งหมด โดยที่ผู้เช่าจะต้องไม่กระทําผิดสัญญาเช่าด้วย” นั้น เป็นเพียงสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาอื่น ไม่ใช่สิทธิและหน้าที่ ตามสัญญาเช่า จึงไม่มีผลผูกพันมืดผู้รับโอน ดังนั้น เมื่อขาวเช่าอาคารหลังนี้จนครบ 5 ปี และขาวไม่เคยกระทําผิด สัญญาเช่าเลยก็ตาม เมื่อขาวเรียกให้มืดคืนเงินประกันสัญญาเช่าให้ขาว 500,000 บาท มืดย่อมสามารถปฏิเสธไม่ยอม คืนเงินให้แก่ขาวได้ ซึ่งการปฏิเสธของมืดในกรณีนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป การปฏิเสธของมืดกรณีไม่ยอมไปจดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าต่อไปอีก 5 ปีนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนการปฏิเสธของมืดที่ไม่ยอมคืนเงินให้แก่ขาว 500,000 บาท นั้น ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2.

(ก) น้ำเงินทําสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ม่วงเช่าบ้านของน้ำเงินมีกําหนด 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 20 ของเดือน เป็นค่าเช่าเดือนละ 50,000 บาท ในวันทําสัญญาเช่านั้น ม่วงได้ให้เงินประกันสัญญาเช่าเป็นเงินประกันความเสียหาย ไว้เป็นเงิน 50,000 บาท พร้อมทั้งม่วงได้ให้เงินค่าเช่าล่วงหน้าไว้ 2 เดือน เมื่อม่วงได้เข้าไปอยู่ ในบ้านเช่าแล้ว แต่ม่วงไม่ได้ชําระค่าเช่าตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 จนถึงเดือนมีนาคม 2559 ดังนั้นในวันที่ 31 มีนาคม 2559 น้ำเงินจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับม่วงทันที โดยให้ม่วงส่งมอบ บ้านคืนในวันที่ 16 เมษายน 2559 การบอกเลิกสัญญาเช่าของน้ำเงินชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จงวินิจฉัย

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คําตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่ เพราะเหตุใด จงวินิจฉัย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 560 “ถ้าผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป ผู้ให้เช่า ต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชําระค่าเช่าภายในเวลาใด ซึ่งจึงกําหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาเช่าทรัพย์นั้นตามบทบัญญัติมาตรา 560 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าการชําระค่าเช่า กําหนดชําระกันเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน เมื่อผู้เช่าไม่ชําระค่าเช่า ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ จะต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชําระค่าเช่าก่อนไม่น้อยกว่า 15 วัน ถ้าผู้เช่ายังไม่ยอมชําระอีกจึงจะบอกเลิก สัญญาได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ม่วงเช่าบ้านของน้ำเงินมีกําหนด 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 โดยตกลงชําระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 20 ของเดือน เป็นค่าเช่าเดือนละ 50,000 บาท และม่วงได้ให้เงินค่าเช่าล่วงหน้าไว้ 2 เดือนนั้น เมื่อปรากฏว่าม่วงไม่ได้ชําระเงินค่าเช่าตั้งแต่เดือนมกราคม 2559 จนถึงเดือนมีนาคม 2559 ดังนี้ การที่ม่วงได้ให้เงินค่าเช่าล่วงหน้าไว้ 2 เดือนเเล้วนั้น ย่อมถือว่าเป็นการจ่ายค่าเช่าให้แก่น้ำเงินแล้ว 2 เดือน คือเดือน มกราคม และเดือนกุมภาพันธ์ (ส่วนเงินประกันสัญญาเช่าซึ่งเป็นเงินประกันความเสียหายจํานวน 50,000 บาท นั้น จะนํามาหักเป็นค่าเช่าไม่ได้) การที่ม่วงไม่ชําระค่าเช่าให้แก่น้ำเงินเลยย่อมถือว่าม่วงไม่ได้ชําระค่าเช่าในวันที่ 20 มีนาคม 2559 ซึ่งเป็นค่าเช่าของเดือนมีนาคม 2559 จึงมีผลทําให้น้ำเงินมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อตามสัญญาเช่านั้นมีการกําหนดชําระค่าเช่ากันเป็นรายเดือน ดังนั้น น้ำเงินจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเลยไม่ได้ น้ำเงินจะต้องบอกกล่าวให้ม่วงนําค่าเช่ามาชําระก่อน และต้องให้เวลาม่วง ไม่น้อยกว่า 15 วัน ซึ่งถ้าม่วงไม่นําค่าเช่ามาชําระน้ำเงินจึงจะบอกเลิกสัญญาเช่าได้ตามมาตรา 560 ดังนั้น การที่น้ำเงินได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับม่วงทันทีในวันที่ 31 มีนาคม 2559 โดยให้ม่วงส่งมอบบ้านคืนให้แก่น้ำเงินในวันที่ 16 เมษายน 2559 นั้น การบอกเลิกสัญญาเช่าของน้ำเงินจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 574 วรรคหนึ่ง “ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติด ๆ กัน หรือกระทําผิดสัญญา ในข้อที่เป็นส่วนสําคัญ เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้ ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน ให้ริบเป็นของเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย”

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ การที่ม่วงผิดนัดไม่ชําระค่าเช่าซื้อในเดือนมีนาคม 2559 เพียงเดือนเดียว ถือว่าเป็นกรณีที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินเพียงงวดเดียว น้ำเงินจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ดังนั้นการที่น้ำเงินได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันทีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

(ก) การบอกเลิกสัญญาเช่าทรัพย์ของน้ำเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(ข) การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของน้ำเงินไม่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น คําตอบของข้าพเจ้าจึงไม่แตกต่างกัน

 

ข้อ 3. นายชาติชายมีอาชีพรับทํางานก่อสร้างอาคาร ได้ทําสัญญาจ้างนายตรี นายโท เป็นลูกจ้างมีกําหนด 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2557 ตกลงชําระสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือน นายอุทัยได้มาทําสัญญาจ้างนายชาติชายให้ก่อสร้างอาคารเก็บสินค้า 2 อาคาร โดยตกลงราคาค่าก่อสร้างอาคารละ 2 ล้านบาท

(ก) นายชาติชายทําการก่อสร้างอาคารที่ 1 เสร็จเรียบร้อย และกําลังก่อสร้างอาคารที่ 2 ได้ครึ่งหนึ่ง นายอุทัยเห็นว่าเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนักจึงบอกเลิกสัญญาก่อสร้าง แต่นายชาติชายเห็นว่าได้ก่อสร้างไปแล้วบอกเลิกไม่ได้ เช่นนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

(ข) นายชาติชายเห็นว่าเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก จึงบอกเลิกสัญญาจ้างนายโททันทีในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ โดยชําระสินจ้างให้ 15,000 บาท เช่นนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 587 “อันว่าจ้างทําของนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจ้าง ตกลงรับจะทําการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ว่าจ้าง และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสําเร็จ แห่งการที่ทํานั้น”

มาตรา 605 “ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จอยู่ตราบใด ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้ เมื่อเสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น”

วินิจฉัย

โดยหลักในเรื่องสัญญาจ้างทําของนั้น ถ้าการที่จ้างยังทําไม่แล้วเสร็จ ผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้ แต่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ ที่เกิดจากการเลิกสัญญานั้นให้กับ ผู้รับจ้าง (มาตรา 605)

ตามอุทาหรณ์ การที่นายอุทัยได้ทําสัญญาจ้างให้นายชาติชายก่อสร้างอาคารเก็บสินค้า 2 อาคาร โดยตกลงราคาค่าก่อสร้างอาคารละ 2 ล้านบาทนั้น สัญญาจ้างก่อสร้างอาคารดังกล่าว เป็นกรณีที่ผู้รับจ้างคือ นายชาติชายตกลงรับจะทํางานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสําเร็จให้กับนายอุทัยผู้ว่าจ้าง และนายอุทัยตกลงจะให้สินจ้างเพื่อความสําเร็จของงานที่ทํานั้น จึงเป็นสัญญาจ้างทําของตามมาตรา 587 เมื่อปรากฏว่านายชาติชายได้ทําการ ก่อสร้างอาคารที่ 1 เสร็จเรียบร้อย และกําลังก่อสร้างอาคารที่ 2 ได้ครึ่งหนึ่ง นายอุทัยเห็นว่าเศรษฐกิจไม่ค่อยดีนัก จึงบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างกับนายชาติชาย ดังนี้ นายอุทัยย่อมสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างได้ แต่นายอุทัย ต้องเสียค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการยกเลิกสัญญานั้นให้แก่นายชาติชายด้วย ตามมาตรา 605 กล่าวคือ นายอุทัยจะต้องชําระสินจ้างให้นายชาติชายสําหรับอาคารที่ 1 เป็นเงิน 2 ล้านบาท และ สําหรับอาคารที่ 2 นั้น เมื่อได้ก่อสร้างไปแล้วครึ่งหนึ่ง นายอุทัยก็ต้องชําระสินจ้างให้นายชาติชายในส่วนซึ่งได้ ก่อสร้างไปแล้ว และต้องชําระค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันเกิดจากการเลิกสัญญานั้นให้แก่ นายชาติชายด้วย

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 575 “อันว่าจ้างแรงงานนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ลูกจ้าง ตกลงจะทํางาน ให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า นายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทํางานให้”

วินิจฉัย

โดยหลัก ในเรื่องสัญญาจ้างแรงงานตามมาตรา 575 ถ้าเป็นสัญญาจ้างแรงงานที่มีกําหนดเวลาแน่นอน สัญญานั้นย่อมระงับลงเมื่อครบกําหนดเวลาตามที่ตกลงกันไว้ ซึ่งถ้าฝ่ายลูกจ้างมิได้ทําผิดสัญญาตามกฎหมาย จ้างแรงงาน หรือผิดสัญญาตามที่ตกลงกันไว้ นายจ้างจะบอกเลิกสัญญาจ้างก่อนครบกําหนดเวลาดังกล่าวไม่ได้

ตามอุทาหรณ์ การที่นายชาติชายได้ทําสัญญาจ้างนายตรีและนายโท เป็นลูกจ้างมีกําหนด 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2557 ตกลงชําระสินจ้างเดือนละ 15,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 25 ของเดือนนั้น ถือว่าเป็น สัญญาจ้างแรงงานตามมาตรา 575 เมื่อสัญญาจ้างแรงงานดังกล่าวมีกําหนด 1 ปี จึงเป็นสัญญาจ้างแรงงานที่มี กําหนดเวลาแน่นอน ดังนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่านายโทได้ทําผิดสัญญาตามกฎหมายจ้างแรงงานหรือผิดสัญญา ตามที่ได้ตกลงกันไว้แต่อย่างใด และการจ้างก็ยังไม่ครบกําหนด 1 ปี นายชาติชายจึงบอกเลิกสัญญาจ้างนายโททันที ในวันที่ 29 กุมภาพันธ์ ไม่ได้

สรุป

(ก) นายอุทัยบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างได้ แต่จะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายชาติชายตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น (ข) นายชาติชายจะบอกเลิกสัญญาจ้างกับนายโทไม่ได้

 

WordPress Ads
error: Content is protected !!