LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล 2/2551

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ประเสริฐเกิดที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี  เมื่อวันที่  9  มกราคม  พ.ศ. 2530  จากบิดาคนสัญชาติไทยส่วนมะขิ่น  มารดาเป็นแรงงานต่างด้าว  สัญชาติพม่า  ซึ่งทำงานในสวนยางพารา  แต่ก็ได้รับอนุญาตจากทางการให้ทำงานได้  นายดำบิดาเพิ่งมาจดทะเบียนรับรองประเสริฐเป็นบุตรชายเมื่อ  30  พฤษภาคม  พ.ศ. 2535  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ประเสริฐได้หรือเสียสัญชาติไทย  อย่างไรหรือไม่

ธงคำตอบ

พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(1) ผู้เกิดโดยบิดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย
(3) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย

ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337

ข้อ  1  ให้ถอนสัญชาติไทยของบรรดาบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย  โดยบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือมารดาเป็นคนต่างด้าว  แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  และในขณะที่เกิดบิดาหรือมารดานั้นเป็น

(3)  ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง

ข้อ  2  บุคคลตามข้อ  1  ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยเมื่อประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับแล้ว  ไม่ได้สัญชาติไทย  เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นสมควรและสั่งเฉพาะรายเป็นประการอื่น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  1547  เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน  จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย  ต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลังหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร

มาตรา  1557  การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  1547  ให้มีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด  แต่ทั้งนี้จะอ้างเป็นเหตุเสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตในระหว่างเวลาตั้งแต่เด็กเกิดจนถึงเวลาที่บิดามารดาได้สมรสกันหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นบุตรไม่ได้

วินิจฉัย

ประเสริฐได้หรือเสียสัญชาติไทยหรือไม่  เห็นว่า  ประเสริฐเกิดที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี  เมื่อวันที่  9  มกราคม  พ.ศ. 2530  กรณีจึงถือได้ว่าประเสริฐเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยภายหลังวันที่ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  มีผลบังคับใช้  (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่  14 ธันวาคม  พ.ศ. 2515)  มีผลทำให้ประเสริฐไม่ได้รับสัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)  แม้จะเกิดในราชอาณาจักรไทยก็ตาม  ทั้งนี้  เพราะประเสริฐเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย  โดยมารดาเป็นคนต่างด้าว  แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  (ขณะนั้นบิดาและมารดาของประเสริฐมิได้จดทะเบียนสมรสกัน)  และในขณะที่เกิดนั้น  มารดาเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองตามประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ข้อ  2  และข้อ  1(3)

และประเสริฐก็ไม่ได้สัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(1)  เพราะในขณะเกิด  บิดาของประเสริฐยังไม่ได้เป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  แม้จะมีสัญชาติไทย  กรณีก็ไม่ต้องตามบทบัญญัติดังกล่าว

อนึ่งแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าในวันที่  30  พฤษภาคม  พ.ศ. 2535  นายดำบิดาของประเสริฐจะได้มาจดทะเบียนรับรองประเสริฐเป็นบุตรก็ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1547  อันนี้มีผลทำให้ประเสริฐกลายเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายดำบิดา  และมีผลทำให้นายดำเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของประเสริฐก็ตาม  ก็หาทำให้ประเสริฐกลับได้สัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(1)  ไปไม่  เพราะผลของการเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว  บทบัญญัติแห่ง  ป.พ.พ.  มาตรา  1557  (เดิม)  กำหนดให้มีผลนับแต่วันที่บิดาจดทะเบียนรับรองเด็กเป็นบุตร  และคำว่า  บิดา  ตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติฯ  มาตรา  7(1)  หมายถึงบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายในขณะเกิดเท่านั้น  (ฎ. 1119/2527  ฎ. 3120/2528)

แต่อย่างไรก็ดีเมื่อตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1557  ได้มีการแก้ไขบัญญัติใหม่เป็นว่า  การเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  1547  ให้มีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด  (ซึ่งมีผลใช้บังคับในวันที่  8  มีนาคม  พ.ศ. 2551)  ผลของการแก้ไขบทบัญญัติดังกล่าว  จึงทำให้ประเสริฐกลับมาได้สัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(1)  เพราะเกิดโดยบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นผู้มีสัญชาติไทย

สรุป  ประเสริฐได้สัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ. สัญชาติฯ  มาตรา  7(1)  ตั้งแต่เกิดเพราะเกิดโดยบิดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย

 

ข้อ  2  ลานาหญิงสัญชาติบรูไนสมรสกับฮุนชายสัญชาติเกาหลี  กฎหมายสัญชาติบรูไนกำหนดว่าหญิงบรูไนซึ่งสมรสกับคนต่างด้าวจะไม่เสียสัญชาติบรูไนจนกว่าหญิงนั้นจะแสดงความจำนงสละสัญชาติบรูไนและกฎหมายสัญชาติเกาหลีกำหนดว่าหญิงต่างด้าวซึ่งสมรสกับชายเกาหลีย่อมได้สัญชาติเกาหลีโดยการสมรส  ส่วนกฎหมายภายในบรูไนกำหนดว่าบุคคลมีความสามารถจะทำนิติกรรมสัญญาใดๆได้เมื่ออายุครบ  19  ปีบริบูรณ์  แต่กฎหมายเกาหลีต้องมีอายุครบ  21  ปีบริบูรณ์  ข้อเท็จจริงปรากฏว่าลานายังไม่ได้แสดงความจำนงสละสัญชาติบรูไนและในขณะที่ลานามีอายุครบ  20  ปีบริบูรณ์  ลานาได้เดินทางมาประเทศไทย  เพื่อทำสัญญาซื้อรถไถนาจำนวน  10  คัน  จากนายประดิษฐ์คนสัญชาติไทย  หลังจากนั้นลานาและนายประดิษฐ์  มีข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลไทยโดยประเด็นข้อพิพาทมีว่า  ลานามีความสามารถทำสัญญาฉบับที่ว่านี้หรือไม่

ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  ศาลไทยควรวินิจฉัยข้อพิพาทที่ว่านี้อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  6  วรรคแรก  ถ้าจะต้องใช้กฎหมายสัญชาติบังคับ  และบุคคลมีสัญชาติตั้งแต่สองสัญชาติขึ้นไปอันได้รับมาเป็นลำดับ  ให้ใช้กฎหมายสัญชาติที่บุคคลนั้นได้รับครั้งสุดท้ายบังคับ

มาตรา  10  วรรคแรกและวรรคสอง  ความสามารถและความไร้ความสามารถของบุคคลย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้น

แต่ถ้าคนต่างด้าวทำนิติกรรมในประเทศสยาม  ซึ่งตามกฎหมายสัญชาติคนต่างด้าวนั้นย่อมจะไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจำกัดสำหรับนิติกรรมนั้น  ให้ถือว่าบุคคลนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมนั้นได้เพียงเท่าที่จะมีความสามารถตามกฎหมายสยาม  ความในวรรคนี้ไม่ใช้แก่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวและกฎหมายมรดก

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  19  บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุยี่สิบปีบริบูรณ์

วินิจฉัย

ศาลไทยควรวินิจฉัยข้อพิพาทที่ว่านี้อย่างไร  เห็นว่า  ปัญหาข้อพิพาทที่ว่าลานาจะทำสัญญาซื้อรถไถนาจากนายประดิษฐ์คนสัญชาติไทยได้หรือไม่นั้น  ถือเป็นเรื่องความสามารถของบุคคล  ซึ่งโดยหลักแล้วย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้นตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  10  วรรคแรก

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ลานามีทั้งสัญชาติบรูไนและสัญชาติเกาหลีอันได้รับมาเป็นลำดับ  (ไม่พร้อมกัน)  กรณีเช่นนี้  กฎหมายสัญชาติที่ใช้บังคับ  คือ  กฎหมายสัญชาติที่บุคคลนั้นได้มาครั้งสุดท้าย  อันได้แก่  กฎหมายเกาหลีตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481 มาตรา  6  วรรคแรก  ซึ่งเมื่อพิจารณาตามกฎหมายเกาหลีแล้ว  ลานาย่อมไม่มีความสามารถทำสัญญาซื้อขายดังกล่าวได้  เนื่องจากตามกฎหมายเกาหลีกำหยดว่า  บุคคลมีความสามารถจะทำนิติกรรมใดๆ  ได้ต่อเมื่อมีอายุครบ  21  ปีบริบูรณ์  เมื่อในขณะทำนิติกรรม  ลานามีอายุเพียง  20  ปี  จึงไม่ต้องด้วยบทกฎหมายดังกล่าว

แต่อย่างไรก็ดี  แม้ลานาจะไร้ความสามารถในการทำนิติกรรมดังกล่าวตามกฎหมายสัญชาติ  แต่อาจถือได้ว่าลานาคนต่างด้าวนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมดังกล่าวตามกฎหมายไทยได้  หากเข้าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไข  ดังนี้คือ

1)    คนต่างด้าวนั้นได้ทำนิติกรรมขึ้นในประเทศไทย  ซึ่งมิใช่นิติกรรมตามกำหมายครอบครัวและกฎหมายมรดก

2)    ตามกฎหมายสัญชาติคนต่างด้าวนั้น  ถือว่าบุคคลดังกล่าวไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจำกัดในการทำนิติกรรมตามข้อ  1

3)    แต่กฎหมายไทยถือว่าคนต่างด้าวนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมตามข้อ  1  ได้

ฉะนั้นแล้ว  การที่ลานาได้ทำนิติกรรมในประเทศไทย  ซึ่งนิติกรรมการซื้อขายดังกล่าวก็ไม่ใช่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวหรือกฎหมายมรดก  และตามกฎหมายสัญชาติของลานา  (เกาหลี)  ก็ถือว่าลานาเป็นบุคคลผู้ไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจำกัด  แต่เมื่อพิจารณาตามกฎหมายแล้ว  ลานามีความสามารถทำนิติกรรมซื้อขายดังกล่าวตามกฎหมายไทยได้  เพราะถือว่าลานาบรรลุนิติภาวะแล้วตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  19  ดังนั้น  ศาลไทยจึงควรวินิจฉัยว่ามีความสามารถทำสัญญาที่ว่านี้ได้ตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  10  วรรคสอง

สรุป  ศาลไทยควรวินิจฉัยว่าลานามีความสามารถทำสัญญาซื้อรถไถนาดังกล่าวได้

 

ข้อ  3  เครื่องบินโดยสารของสายการบินแห่งหนึ่งเดินทางมาจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ  ไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา  ได้ถูกชาวลิเบีย  2  คน  เรียกร้องให้นักบินเปลี่ยนทิศทางนำเครื่องบินไปร่อนลงที่ลิเบีย  ในเครื่องบินโดยสารลำนี้มีผู้โดยสาร  130  คน  ต่อมานักบินนำเครื่องบินร่อนลงจอดที่ท่าอากาศยานนาริตะประเทศญี่ปุ่น  โดยอ้างว่า  จำเป็นต้องเติมน้ำมันเชื้อเพลิง  ชาวลิเบียทั้ง  2  คน  ได้ปล่อยตัวผู้โดยสารและเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องทั้งหมด  และยอมจำนนต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ

จากข่าวดังกล่าวการกระทำของชาวลิเบียถือเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศฐานใดหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

วินิจฉัย

อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  มาตรา  1  ให้นิยามของคำว่า  สลัดอากาศ  ว่าหมายถึงบุคคลที่อยู่ในเครื่องบินลำนั้นกระทำการอันเป็นปรปักษ์ต่อความปลอดภัยของอากาศยาน  โดยใช้กำลังมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อจะยึดอากาศยานหรือขัดขวางการควบคุมบังคับบัญชาของอากาศยานให้เปลี่ยนเส้นทางการบินตามปกติไปสู่เส้นทางการบินตามความต้องการของตน  ทั้งนี้  รวมถึงการพยายามกระทำความผิด

ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว  การกระทำของชาวลิเบียถือเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศฐานใดหรือไม่อย่างไร  เห็นว่า  การกระทำของชาวลิเบีย  2  คน  ซึ่งอยู่ในเครื่องบินลำนั้นที่เรียกร้องให้นักบินเปลี่ยนทิศทางเครื่องบินไปร่อนลงที่ประเทศลิเบีย  แทนที่จะไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาตามกำหนดการเดิม  ถือเป็นการกระทำอันเป็นปรปักษ์ต่อความปลอดภัยของอากาศยานซึ่งเป็นการใช้กำลังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เพื่อที่จะยึดอากาศยานหรือขัดขวางการควบคุมบังคับบัญชาของอากาศยานให้เปลี่ยนเส้นทางการบินตามปกติไปสู่เส้นทางการบินตามความต้องการของตน  และแม้ได้ความว่า  สลัดอากาศทั้ง  2  คน  ได้ยอมจำนนซึ่งยังไปไม่ถึงประเทศลิเบียก็ตาม  การกระทำของทั้งคู่ก็ถือเป็นความผิดฐานสลัดอากาศ  ตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  มาตรา  1  แล้ว  ทั้งนี้เพราะความผิดดังกล่าวได้บัญญัติให้รวมถึงการพยายามกระทำความผิดด้วย

สรุป  การกระทำของชาวลิเบีย  ถือเป็นความผิดฐานสลัดอากาศตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  มาตรา  1

 

ข้อ  4  จงอธิบายลำดับขั้นตอนในการพิจารณาคำร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนของรัฐผู้รับคำขอมา  โดยถูกต้องและครบถ้วน

ธงคำตอบ

อธิบาย

โดยเหตุที่ประเทศต่างๆในสมัยก่อน  ถือหลักอำนาจอธิปไตยของตนเป็นใหญ่ในการพิจารณาปัญหาการส่งผู้ร้ายข้ามแดน  โดยประเทศที่ถูกร้องขอให้ส่งตัวผู้ร้าย  ถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ของตนที่จะใช้ดุลพินิจอนุญาตตามคำร้องขอหรือไม่  ในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนประเทศต่างๆ  มีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป  เช่น  อาจยึดถือและปฏิบัติตามสนธิสัญญาที่มีอยู่ระหว่างกัน  หรือมีกฎหมายภายในบัญญัติไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรง  ดังนั้นเมื่อมีปัญหาขอให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนซึ่งมีสัญชาติเดียวกับรัฐผู้รับคำขอเกิดขึ้น  รัฐผู้รับคำขอจึงต้องพิจารณาคำร้องและปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศตามลำดับขั้นตอนดังนี้  คือ

1       ประเทศทั้งสองมีสนธิสัญญา  หรือสัญญาต่อกันในเรื่องการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนไว้หรือไม่

2       ถ้าไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน  รัฐผู้รับคำขอต้องนำกฎหมายภายใน  คือ  พ.ร.บ.  ส่งผู้ร้ายข้ามแดนมาพิจารณา

3       ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายภายใน  รัฐผู้รับคำขอสามารถใช้เอกสิทธิ์ในการพิจารณาได้

อนึ่งในการนี้  รัฐผู้รับคำขอมีอำนาจพิจารณาว่าจะส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามคำขอหรือไม่ได้โดยอิสระ  ยกเว้นเป็นคดีความทางการเมืองที่ห้ามส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนโดยเด็ดขาด 

LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล S/2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายวิชัยเกิดที่จังหวัดลพบุรีเมื่อปี  พ.ศ.2516  จากนางวันดีผู้มีสัญชาติไทย  ส่วนบิดาเป็นทหารช่างประเทศแคนาดาผู้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยเพียงชั่วคราว  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่านายวิชัยได้สัญชาติไทยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(3) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย

พ.ร.บ. สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(1) ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย

มาตรา  10  บทบัญญัติมาตรา  7(1)  แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ  พ.ศ. 2508  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้  ให้มีผลใช้บังคับกับผู้เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย

ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337

ข้อ  1  ให้ถอนสัญชาติไทยของบรรดาบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย  โดยบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือมารดาเป็นคนต่างด้าว  แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  และในขณะที่เกิดบิดาหรือมารดานั้นเป็น

(2) ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียงชั่วคราว

ข้อ  2  บุคคลตามข้อ  1  ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยเมื่อประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับแล้ว  ไม่ได้สัญชาติไทย  เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นสมควรและสั่งเฉพาะรายเป็นประการอื่น

วินิจฉัย

นายวิชัยได้สัญชาติไทยหรือไม่  เห็นว่า  นายวิชัยเกิดที่จังหวัดลพบุรี  เมื่อปี  พ.ศ. 2516  กรณีจึงถือได้ว่านายวิชัยเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยภายหลังวันที่ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่  337  มีผลใช้บังคับ  (มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่  14  ธันวาคม  พ.ศ. 2515)  มีผลทำให้นายวิชัยไม่ได้รับสัญชาติไทยตามพ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)  แม้จะเกิดในราชอาณาจักรไทยก็ตาม  ทั้งนี้เพราะนายวิชัยเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยโดยมีบิดาเป็นคนต่างด้าว  และในขณะที่เกิดบิดาเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเพียงชั่วคราวตามประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ข้อ  2  และข้อ  1(2)

แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อ  พ.ร.บ. สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มีผลใช้บังคับ  (มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่  26  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2535)  และได้บัญญัติให้ยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ย่อมมีผลทำให้นายวิชัยกลับมาได้สัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1)  ที่กำหนดให้บุคคลผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักร  ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด  ทั้งนี้โดยผลของมาตรา  10  ของ  พ.ร.บ.  ดังกล่าวที่ได้กำหนดให้นำบทบัญญัติมาตรา  7(1)  มาใช้บังคับย้อนหลังกับผู้ที่เกิดก่อนวันที่  26  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2535  อันเป็นวันที่  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  ใช้บังคับด้วย  ดังนั้น  นายวิชัยจึงได้รับสัญชาติไทยโดยมีผลย้อนหลังนับแต่เกิด  เพราะมารดาคือ  นางวันดีเป็นผู้มีสัญชาติไทย

สรุป  นายวิชัยได้รับสัญชาติไทย  เพราะมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  ตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1) ประกอบมาตรา  10  โดยมีผลย้อนหลังไปนับแต่วันที่นายวิชัยเกิด

 

ข้อ  2  นายกิมคนสัญชาติเกาหลีมีถิ่นที่อยู่ตามกฎหมายในประเทศฟิลิปปินส์  ได้สละสัญชาติเกาหลี  และได้รับสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ  ต่อมานายกิมถูกถอนสัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ.2508  โดยในขณะเดียวกันนั้นเองเกิดคดีขึ้นสู่ศาลไทย  และประเด็นข้อพิพาทมีว่านายกิมมีความสามารถทำนิติกรรมซื้อเครื่องเชื่อมโลหะจำนวน  10  เครื่องจากนายโชคชัยที่กรุงเทพฯ  หรือไม่  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่าศาลไทยควรนำกฎหมายใดขึ้นปรับเป็นหลักในการพิจารณาและวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ว่านี้

ธงคำตอบ

มาตรา  6  วรรคสาม  สำหรับบุคคลผู้ไร้สัญชาติ  ให้ใช้กฎหมายภูมิลำเนาของบุคคลนั้นบังคับ  ถ้าภูมิลำเนาของบุคคลนั้นไม่ปรากฏ  ให้ใช้กฎหมายของประเทศซึ่งบุคคลนั้นมีถิ่นที่อยู่บังคับ

มาตรา  10  วรรคแรก  ความสามารถและความไร้ความสามารถของบุคคลย่อมเป้นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้น

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  ศาลไทยควรนำกฎหมายใดขึ้นปรับเป็นหลักในการพิจารณาและวินิจฉัย  เห็นว่า  ประเด็นข้อพิพาทที่ว่า  นายกิมจะมีความสามารถทำนิติกรรมซื้อเครื่องเชื่อมโลหะจากนายโชคชัยที่กรุงเทพฯได้หรือไม่นั้น  ถือเป็นเรื่องความสามารถของบุคคล  ซึ่งโดยหลักแล้วย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้นตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481  มาตรา  10  วรรคแรก

แต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  นายกิมคนสัญชาติเกาหลีมีถิ่นที่อยู่ตามกฎหมายในประเทศฟิลิปปินส์โดยได้สละสัญชาติเกาหลีและได้รับสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ  ซึ่งในขณะเกิดข้อพิพาทที่ว่านี้นายกิมได้ตกเป็นบุคคลไร้สัญชาติ  เพราะนายกิมได้ถูกถอนสัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  ดังนี้  การจะนำกฎหมายประเทศใดมาปรับแก่ข้อพิพาทดังกล่าว  จึงต้องบังคับตาม  พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  6  วรรคสาม  ซึ่งมีหลักคือ

1       ถ้าปรากฏภูมิลำเนาของบุคคลผู้ไร้สัญชาติ  ให้ใช้กฎหมาย ภูมิลำเนาของบุคคลนั้นบังคับหรือ

2       ถ้าไม่ปรากฏภูมิลำเนาของบุคคลผู้ไร้สัญชาติ  ให้ใช้กฎหมายของประเทศซึ่งบุคคลนั้นมีถิ่นที่อยู่บังคับ

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายกิมบุคคลไร้สัญชาติและไม่ปรากกว่ามีภูมิลำเนาอยู่ที่ใด  กรณีเช่นนี้จึงต้องใช้กฎหมายประเทศฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นกฎหมายที่นายกิมมีถิ่นที่อยู่บังคับตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  6  วรรคสาม

ผลจึงเป็นว่า  ศาลไทยจึงควรนำกฎหมายประเทศฟิลิปปินส์ขึ้นปรับเป็นหลักในการพิจารณาและวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทว่าด้วยความสามารถของนายกิมที่ว่านี้

สรุป  ศาลไทยควรนำกฎหมายประเทศฟิลิปปินส์ขึ้นปรับเป็นหลักในการพิจารณาและวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทว่าด้วยความสามารถของนายกิม

 

ข้อ  3  จงอธิบายเจตนารมณ์ทางกฎหมายของ  Attentat  Clause  พร้อมทั้งผลของ  Attentat  Clause  ด้วย

ธงคำตอบ

อธิบาย

โดยเหตุที่มีความผิดบางประเภทซึ่งมีลักษณะทางการเมือง  แต่หลายประเทศกำหนดไว้ไม่ให้ถือว่าเป็นความผิดทางการเมือง  ข้อกำหนดหรือบทบัญญัติในเรื่องนี้เรียกว่า  Attentat  Clause  ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า  บทบัญญัติเกี่ยวกับการประทุษร้าย  ซึ่งประเทศเบลเยียมนำมาใช้เป็นประเทศแรก  โดยบัญญัติไว้ในกฎหมายภายในของตนเมื่อ  ค.ศ. 1865  หลังจากที่ศาลเบลเยียมปฏิเสธไม่ส่งตัวผู้กระทำความผิดฐานพยายามปลงพระชนม์พระเจ้านโปเลียนที่  3  ไปให้ฝรั่งเศสในคดี  Jacquin  ค.ศ. 1854

กล่าวคือ  ข้อกำหนดหรือบทบัญญัติ  Attentat  Clause  นี้  เป็นกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา  6  แห่งกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของเบลเยียม  ค.ศ. 1833  ซึ่งเป็นกฎหมายเดิม  โดยเพิ่มข้อความลงไปอีกวรรค  (clause)  หนึ่ง  ซึ่งมีข้อความดังนี้  การประทุษร้ายต่อบุคคลผู้เป็นประมุขของรัฐบาลต่างประเทศหรือบุคคลซึ่งอยู่ในเครือญาติหรือราชสกุลของประมุขนั้น  ไม่ให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นการกระทำผิดทางการเมือง  หรือเป็นการกระทำผิดเกี่ยวเนื่องกับการเมือง  หากปรากฏว่าเป็นการประทุษร้ายที่เป้นความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา  หรือลอบฆาตกรรม  หรือเป็นการฆาตกรรมด้วยพยายามมาดหมายหรือด้วยการวางยาพิษ

สำหรับเจตนารมณ์ทางกฎหมายของ  Attentat  Clause  นี้มุ่งหมายที่จะไม่ให้ถือว่าความผิดฐานประทุษร้ายต่อชีวิตที่กระทำต่อประมุขของประเทศหรือบุคคลในครอบครัวประมุขของประเทศเป็นความผิดทางการเมือง

ส่วนผลของ  Attentat  Clause  นั้นทำให้ความหมายของคดีการเมืองแคบลง  กล่าวคือ  เมื่อมีฆาตกรรมเข้ามาในลักษณะนี้แล้วย่อมส่งผู้ร้ายข้ามแดนกันได้     

 

ข้อ  4  (ก)  จงอธิบายหลักเกณฑ์  และสาระสำคัญของความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศ

(ข)  เพราะเหตุใดจึงถือว่าการค้าทาส  และการค้าหญิงเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศ

ธงคำตอบ

(ก)   อธิบาย

โดยผลแห่งการประชุมและการจัดทำข้อตกลงระหว่างประเทศของนานาประเทศในการร่วมมือกันหาทางป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาญาต่างๆ  ได้ก่อให้เกิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดอาญา  ที่เรียกว่า  ความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมต่อมวลมนุษย์  (Jure  gentium)  หรือที่มักนิยมเรียกกันว่า  อาชญากรรมหรือความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศ  (international  law  crimes)  ซึ่งมีหลักเกณฑ์และสาระสำคัญพอสรุปได้ว่า  ประเทศภาคีแห่งข้อตกลงระหว่างประเทศฯ  ทุกประเทศ ย่อมมีอำนาจพิจารณาพิพากษาความผิดดังกล่าวนี้โดยใช้กฎหมายอาญาของประเทศนั้นได้  หากปรากฏตัวผู้กระทำความผิดในดินแดนหรือราชอาณาจักรของประเทศนั้น  โดยไม่คำนึงว่าประเทศนั้นจะเป็นประเทศเจ้าของท้องที่เกิดเหตุหรือประเทศผู้เสียหายหรือไม่ก็ตาม

(ข)  อธิบาย

เหตุที่การค้าทาส  (Slave  trade)  และการค้าหญิงเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศนั้นเพราะการค้าทาสและการค้าหญิงเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมาย  ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายภายในหรือกฎหมายระหว่างประเทศ  อีกทั้งยังเป็นการละเมิดหรือขัดต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน  ค.ศ. 1948  ข้อ  1  ที่ว่า  มนุษย์ทั้งหลายเกิดมามีอิสระ  และเสมอภาคกันในเกียรติศักดิ์และสิทธิ”  และข้อ  5  ที่ว่า  บุคคลใดจะถูกบังคับให้เป็นทาสหรือตกอยู่ในภาวะเป็นทาสโดยจำยอมไม่ได้  ความเป็นทาสและการค้าทาส  เป็นการต้องห้ามทุกรูปแบบ

LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล 1/2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552
ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน) 

ข้อ  1  ยุทธเวทหนุ่มไทยไปทำมาหากินในประเทศลาว  ได้นางพันแสนคำสาวลาวเป็นภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส  เกิดบุตรในประเทศลาวห้าคน  บุตรทั้งห้าคนได้สัญชาติไทยหรือไม่  ถ้าหากจะให้บุตรและภรรยาได้สัญชาติไทยท่านจะแนะนำยุทธเวทอย่างไร  อธิบายโดยยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

พ.ร.บ. สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  9  หญิงซึ่งเป็นคนต่างด้าวและได้สมรสกับผู้มีสัญชาติไทยถ้าประสงค์จะได้สัญชาติไทย  ให้ยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบ  และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

การอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ได้สัญชาติไทยให้อยู่ในดุลพินิจของรัฐมนตรี

พ.ร.บ. สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(1) ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักร

พ.ร.บ. สัญชาติ  (ฉบับที่  4)  พ.ศ. 2551  มาตรา  7  วรรคสอง  คำว่าบิดาตาม  (1)  ให้หมายความรวมถึงผู้ซึ่งได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นบิดาของผู้เกิดตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง  แม้ผู้นั้นจะมิได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาของผู้เกิด  และมิได้จดทะเบียนรับรองผู้เกิดเป็นบุตรก็ตาม

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  1547  เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน  จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย  ต่อเมื่อบิดามารดาได้สมรสกันในภายหลังหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร

มาตรา  1557  การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  1547  ให้มีผลนับแต่วันที่เด็กเกิด  แต่ทั้งนี้จะอ้างเป็นเหตุเสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตในระหว่างเวลาตั้งแต่เด็กเกิดจนถึงเวลาที่บิดามารดาได้สมรสกันหรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นบุตรไม่ได้

วินิจฉัย

บุตรทั้ง  5  คนที่เกิดในประเทศลาวจากยุทธเวทบิดาซึ่งมีสัญชาติไทยและนางพันแสนคำมารดาซึ่งมีสัญชาติลาว  โดยบิดาและมารดานั้นไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน  กรณีเช่นนี้ถือว่าบุตรทั้ง  5  คน  เกิดในขณะที่ยุทธเวทเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  และไม่ได้เกิดในราชอาญาจักรไทย  ดังนั้นบุตรทั้ง  5  คน  จึงไม่ได้รับสัญชาติไทย  ไม่ว่าตามหลักดินแดน  หรือหลักสายโลหิตตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1)

แต่อย่างไรก็ตาม  ในปัจจุบันได้มีการแก้ไขเพิ่มเติม  พ.ร.บ.  สัญชาติฯ  และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ซึ่งบทบัญญัติดังกล่าวนั้นให้นำไปใช้กับผู้ที่เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมนั้นใช้บังคับด้วย  ดังนั้นหากยุทธเวทต้องการให้บุตรทั้ง  5  คน  อาจได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิด  ข้าพเจ้าจะแนะนำยุทเวทว่าสามารถทำได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่งใน  2  วิธีดังนี้

1       ให้ดำเนินการพิสูจน์ตามวิธีการที่กำหนดในกฎหกระทรวงว่ายุทเวทเป็นบิดาของบุตรทั้ง  5  คนตามสายโลหิตจริง  ตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  4)  พ.ศ.  2551  มาตรา  7  วรรคสอง  ซึ่งจะต้องดำเนินการพิสูจน์กับบุตรทุกคน  เมื่อพิสูจน์ได้แล้วว่าบุตรทั้ง  5  คนเป็นบุตรของยุทธเวทจริง  บุตรนั้นก็จะกลับได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักสายโลหิตตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1)  ทั้งนี้  แม้ยุทเวทจะมิได้จดทะเบียนสมรสกับนางพันแสนคำ  และมิได้จดทะเบียนรับรองบุตรเหล่านั้นก็ตาม  หรือ

2       ให้ยุทเวทจดทะเบียนสมรสกับนางพันแสนคำ  หรือจดทะเบียนรับรองบุตรเหล่านั้นเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายหรือขอให้ศาลพิพากษาว่าบุตรเหล่านั้นเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย  ตาม  ป.พ.พ.มาตรา  1547  ทั้งนี้เนื่องจากบทบัญญัติแห่ง  ป.พ.พ.  มาตรา  1557  ที่แก้ไขใหม่นั้นได้กำหนดให้  การเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  1547  ให้มีผลย้อนหลังไปนับแต่วันที่เด็กเกิด  ซึ่งผลของการเป้นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว  ย่อมทำให้บิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่เดิมนั้นกลายเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายด้วย  เมื่อเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  จึงทำให้บุตรทั้ง  5  คน  กลับได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักสายโลหิตตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1)  เช่นกัน

สำหรับนางพันแสนคำซึ่งมีสัญชาติลาวและได้จดทะเบียนสมรสกับผู้มีสัญชาติไทยนั้น  หากต้องการมีสัญชาติไทย  ก็อาจจะขอมีสัญชาติโดยการสมรสได้ตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  9  โดยให้ต้องยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบ  และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง  ทั้งนี้การอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ได้สัญชาติไทยเป็นดุลพินิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

สรุป  ข้าพเจ้าจะแนะนำให้ยุทเวทดำเนินการตามวิธีใดวิธีหนึ่งข้างต้นเพื่อให้บุตรมีสัญชาติไทยตามหลักสายโลหิต  ส่วนนางพันแสนคำจะแนะนำให้ยื่นคำขอมีสัญชาติไทยโดยการสมรสก่อน  และเมื่อรัฐมนตรีอนุญาตจึงจะได้สัญชาติไทย

 

ข้อ  2  นายกล้าคนสัญชาติไทยทำสัญญาซื้อโถประดับมุกอันเป็นวัตถุโบราณชิ้นหนึ่งจากนายอาลีคนสัญชาติอินโดนีเซีย  และขณะทำสัญญาโถฯ  ที่ว่านี้ก็อยู่ที่อินโดนีเซียโดยนายกล้าและนายอาลีตกลงกันไว้ว่าหากกรณีมีข้อพิพาทหรือปัญหาเกี่ยวกับผลของสัญญาฉบับนี้ให้ใช้บังคับตามกฎหมายไทย  กฎหมายขัดกันของอินโดนีเซียกำหนดว่าแบบของสัญญาให้เป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่สัญญานั้นทำขึ้น  และกฎหมายภายในของอินโดนีเซีย กำหนดว่า  การซื้อขายวัตถุโบราณต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มิฉะนั้นเป็นโมฆะ  ปรากฏว่าการซื้อขายตามสัญญาฉบับนี้คงทำเป็นหนังสือ  แต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ต่อมานายกล้าผิดสัญญาไม่ยอมชำระราคาและรับมอบโถฯ  ที่ว่านี้  นายอาลีจึงฟ้องนายกล้าต่อศาลไทยเรียกค่าเสียหายเพราะผิดสัญญา  นายกล้าต่อสู้ว่า สัญญาเป็นโมฆะเพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตนจึงไม่ผูกพันหรือต้องรับผิดตามสัญญา

ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  หากท่านเป็นศาลไทยควรพิจารณาว่าสัญญาซื้อขายฉบับนี้เป็นโมฆะหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  9  วรรคแรก  นอกจากจะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในพระราชบัญญัตินี้  หรือกฎหมายอื่นใดแห่งประเทศสยาม  ความสมบูรณ์เนื่องด้วยแบบแห่งนิติกรรมย่อมเป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่นิติกรรมนั้นได้ทำขึ้น

มาตรา  13  วรรคแรกและวรรคท้าย  ปัญหาว่าจะพึงใช้กฎหมายใดบังคับสำหรับสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญหรือผลแห่งสัญญานั้น  ให้วินิจฉัยตามเจตนาของคู่กรณี  ในกรณีที่ไม่อาจหยั่งทราบเจตนาชัดแจ้งหรือโดยปริยายได้  ถ้าคู่สัญญามีสัญชาติเดียวกัน  กฎหมายที่จะใช้บังคับก็ได้แก่กฎหมายสัญชาติอันร่วมกันแห่งคู่สัญญา  ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติเดียวกัน  ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น

สัญญาย่อมไม่เป็นโมฆะ  ถ้าได้ทำถูกต้องตามแบบอันกำหนดไว้ในกฎหมายซึ่งใช้บังคับแก่ผลแห่งสัญญานั้น

วินิจฉัย

นายกล้าคนสัญชาติไทยทำสัญญาซื้อโถประดับมุกอันเป็นวัตถุโบราณจากนายอาลีคนสัญชาติอินโดนีเซีย  และขณะทำสัญญานายกล้าและนายอาลีตกลงกันว่า  หากกรณีมีข้อพิพาทหรือปัญหาเกี่ยวกับผลของสัญญาฉบับนี้ให้ใช้บังคับตามกฎหมายไทย  กรณีเช่นนี้แม้ตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  9  วรรคแรก  จะกำหนดให้ความสมบูรณ์เนื่องด้วยแบบแห่งนิติกรรมให้เป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่นิติกรรมนั้นได้ทำขึ้นก็ตาม  แต่อย่างไรก็ดีตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ.  2481  มาตรา  13  วรรคท้าย  กำหนดว่าสัญญาย่อมไม่เป็นโมฆะ  หากได้ทำถูกต้องตามแบบอันกำหนดไว้ในกฎหมายซึ่งใช้บังคับแก่ผลของสัญญา  ในกรณีนี้กฎหมายที่ใช้บังคับแก่ผลของสัญญาจึงได้แก่  กฎหมายไทยตามเจตนาของคู่กรณีตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  13  วรรคแรก

สำหรับกรณีนี้แม้การซื้อขายโถประดับมุกดังกล่าวจะได้ทำเป็นหนังสือแต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตาม  แต่โดยที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยมิได้มีบทมาตราใดบังคับว่าการซื้อโถประดับมุกวัตถุโบราณซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดา  ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด  เพียงแต่ตกลงด้วยวาจาก็มีผลใช้บังคับได้แล้ว  ดังนั้น  สัญญาซื้อขายระหว่างนายกล้าและนายอาลีจึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย  ไม่ตกเป็นโมฆะ  การที่นายอาลีได้มาฟ้องนายกล้าต่อศาลไทยเรียกค่าเสียหายเพราะเหตุผิดสัญญา  นายกล้าต่อสู้ว่าสัญญาเป็นโมฆะ  ข้อต่อสู้ของนายกล้าจึงฟังไม่ขึ้น  นายกล้าต้องรับผิดตามสัญญา 

สรุป  หากข้าพเจ้าเป็นศาลไทยจะวินิจฉัยว่า  สัญญาซื้อขายรายนี้ไม่เป็นโมฆะ

 

ข้อ  3  สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า  ได้มีคนร้ายจี้เครื่องบินของสายการบินแอร์โร  เม็กซิโก  เที่ยวบินที่  576  พร้อมด้วยลูกเรือและผู้โดยสารที่ได้รับการยืนยัน  รวม  112  ชีวิต  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกัน  ฝรั่งเศส  และเม็กซิกัน  มาจากเมืองตากอากาศแคนคูณ  ริมทะเลแคริเบียน  โดยบังคับให้กัปตันนำเครื่องไปยังกรุงเม็กซิโก  ซิตี้  เพื่อขอพบกับประธานาธิบดี  เฟลิเป  คาลเดอเอน  โดยขู่จะวางระเบิดหากไม่ทำตาม  สื่อท้องถิ่นรายงานข่าวว่า  เหตุดังกล่าวเกิดในวันพุธที่  9  กันยายน  พ.ศ.2552  เวลาประมาณ  13.40  น.  ตามเวลาท้องถิ่น  เครื่องได้ลงจอดฉุกเฉินที่สนามบินนานาชาติ  ในกรุงเม็กซิโก  ซิตี้  ภายหลังลูกเรือและผู้โดยสารทั้งหมดถูกปล่อยตัวและไม่ได้รับอันตรายใดๆ  ต่อมาภาพจากสื่อท้องถิ่นแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจนำคนร้ายราว  8  คน  ถูกควบคุมตัวออกจากเครื่องบินที่ลงจอดฉุกเฉินในสนามบินนานาชาติที่กรุงเม็กซิโก  ซิตี้  (จากข่าวเมื่อวันที่  10  กันยายน  พ.ศ.  2552  ในหนังสือพิมพ์เดลินิวส์)

ดังนี้  การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศฐานใด  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

วินิจฉัย

อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  มาตรา  1  ให้นิยามของคำว่า  สลัดอากาศ  ว่าหมายถึงบุคคลที่อยู่ในเครื่องบินลำนั้นกระทำการอันเป็นปรปักษ์ต่อความปลอดภัยของอากาศยาน  โดยใช้กำลังมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อจะยึดอากาศยานหรือขัดขวางการควบคุมบังคับบัญชาของอากาศยานให้เปลี่ยนเส้นทางการบินตามปกติไปสู่เส้นทางการบินตามความต้องการของตน  ทั้งนี้  รวมถึงการพยายามกระทำความผิด

ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว  กากระทำของคนร้ายทั้ง  8  คน  ถือเป็นความผิดฐานสลัดอากาศ  เนื่องจากการเรียกร้องให้นักบินเปลี่ยนทิศทางนำเครื่องบินโดยบังคับให้กัปตัน  นำเครื่องไปยังกรุงเม็กซิโก  ซิตี้  เป็นการกระทำอันเป็นปรปักษ์ต่อความปลอดภัยของอากาศยาน  ซึ่งเป็นการใช้กำลังโดยมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อที่จะยึดอากาศยานหรือขัดขวางการควบคุมบังคับบัญชาของอากาศยานให้เปลี่ยนเส้นทางการบินปกติ  ไปสู่เส้นทางการบินที่ตนต้องการ  ทั้งนี้  แม้ว่าคนร้ายจะถูกจับตัวได้และไม่ได้มีการวางระเบิดตามที่ขู่ก็ตาม  การกระทำดังกล่าวก็ถือเป็นความผิดฐานสลัดอากาศตามอนุสัญญาเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  มาตรา  1

สรุป  การกระทำของคนร้ายทั้ง  8  คน  ถือเป็นความผิดฐานสลัดอากาศตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดดารยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  มาตรา  1

 

ข้อ  4  จงอธิบายว่า  ฐานะพิเศษบางประการของผู้กระทำความผิดที่จะสามารถยกขึ้นอ้างเพื่อมิให้ถูกส่งข้ามแดนนั้นมีอะไรบ้าง  พร้อมยกตัวอย่างประกอบด้วย

ธงคำตอบ

อธิบาย

ฐานะพิเศษบางประการของผู้ที่ถูกร้องขอให้ส่งข้ามแดนมีอยู่  4  ประการดังนี้

1       บุคคลที่ถูกสั่งให้ปล่อยตัวแล้ว  กล่าวคือ  ถ้าบุคคลผู้ถูกร้องขอให้ส่งตัวนั้นถูกศาลใดศาลหนึ่งพิจารณาในความผิดที่ขอให้ส่งตัวมาแล้ว  และศาลได้พิพากษายกฟ้องปล่อยตัวไปแล้ว  หรือศาลได้พิจารณาลงโทษและผู้นั้นได้รับโทษแล้ว  ประเทศผู้รับคำขอ  ย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธการส่งตัวได้โดยอาศัยหลักกฎหมาย  ที่ว่าบุคคลคนเดียวกันย่อมจะไม่ต้องถูกพิจารณาในความผิดนั้นเป็นสองซ้ำ  ตัวอย่างเช่น  ประมวลกฎหมายอาญาของไทยมาตรา  10  และมาตรา  11  ซึ่งได้บัญญัติยืนยันหลักนี้ไว้

2       มีโทษประหารชีวิตเพียงประการเดียว  กล่าวคือ  ตามหลักทั่วๆไปถือกันว่า  ถ้าความผิดที่ขอให้ส่งตัวนั้นเป็นความผิดที่มีแต่โทษสถานเดียว  คือ  ประหารชีวิตแล้ว  ประเทศที่รับคำขอชอบที่จะปฏิเสธการส่งตัวนั้นได้เพราะถือหลักมนุษยธรรมว่า  ประเทศไม่ควรยอมเป็นเครื่องมือช่วยประเทศอื่นโดยส่งคนที่เข้ามาอยู่ในประเทศของตนไปให้ประเทศอื่นประหารชีวิตเสีย  นอกจากนั้นยังละเมิดหรือฝ่าฝืนหลักศาสนาต่างๆและยังเป็นการกระทบกระเทือนต่อจิตใจของบุคคล  ตัวอย่างเช่น  สนธิสัญญาระหว่างสเปนกับฝรั่งเศส  ในปี  ค.ศ. 1850  ซึ่งระบุไว้ชัดแจ้งว่า  สเปนจะยอมส่งคนข้ามแดนให้ก็ต่อเมื่อปรากฏว่าความผิดที่จะพิจารณาลงโทษแก่บุคคลนั้นไม่เป็นความผิดที่มีโทษหนักถึงประหารชีวิต

3       ความผิดที่ขัดกับหลักศีลธรรมของประเทศที่รับคำขออย่างร้ายแรง  กล่าวคือ  เป็นความผิดที่นานาประเทศไม่ให้การยอมรับ  เพราะขัดกับหลักศีลธรรมอย่างร้ายแรง  ตัวอย่างเช่น  ประเทศ  ก.  (รับรองการมีทาสและมีบัญญัติกฎหมายลงโทษทาสผู้กระทำความผิด)  ได้ร้องขอให้ประเทศ  ข.  (ซึ่งมีหลักกฎหมายบัญญัติว่า  การค้าทาสละมีทาสเป้นความผิดเพราะขัดต่อหลักศีลธรรมและสิทธิเสรีภาพของมนุษย์)  ส่งตัว  ช.  (ทาส)  ผู้กระทำผิด  ดังนี้  ประเทศ  ข.  ย่อมปฏิเสธการส่งตัว  ช.  ให้แก่ประเทศ  ก.  ได้

4       บุคคลในคณะทูต  กล่าวคือ  ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศได้ให้หลักเอกสิทธิ์และความคุ้มกัน  (Priviege  and  Immunity)  ทางการทูต  ในการที่ไม่ถูกฟ้องคดีอาญาในประเทศที่ไปประจำอยู่ฉะนั้นถ้าเกิดปัญหาว่า  บุคคลในคณะทูตผู้หนึ่งไปกระทำความผิดอาญาในประเทศที่ตนไปประจำอยู่  แล้วหลบหนีไปอยู่ในประเทศที่สาม  ประเทศเจ้าของท้องที่เกิดเหตุ  (ประเทศที่ผู้กระทำความผิดไปประจำอยู่)  จะขอให้ประเทศที่สามส่งตัวให้ไม่ได้  เพราะแม้ว่าบุคคลนั้นยังอยู่ในประเทศนั้นโดยไม่ได้หลบหนีไปประเทศที่สาม  ศาลแห่งประเทศนั้น  (ประเทศที่ผู้กระทำความผิดไปประจำอยู่)  ก็ยังไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาอยู่แล้ว  เพราะหลักเอกสิทธิ์และความคุ้มกันทางการทูตดังกล่าวข้างต้น

LAW4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม ซ่อม 1/2551

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ 1      นายสมคิดเป็นลูกจ้างตามสัญญามีกำหนดเวลา 1 ปี ได้รับค่าจ้างเดือนละ 8,160 บาท ทุก ๆ วันสิ้นเดือนโดยทำงานวันละ 8 ชั่วโมง นายสมคิดทำงานมาได้ 1 ปี 2 เดือน ปรากฏว่าเศรษฐกิจไม่ดีนายจ้างจึงจ่ายค่าจ้างให้ 8,160 บาท (เฉลี่ยวันละ 272 บาท) ในวันที่ 31 ตุลาคมและบอกเลิกสัญญาจ้าง นายสมคิดเองกำลังจะขอลาหยุดพักผ่อนประจำปี (ตามมาตรา 30) ซึ่งนายจ้างตกลงให้สะสมและเลื่อนวันหยุดที่ยังมิได้หยุดไปรวมกับปีต่อไปได้ แต่เมื่อรวมกันแล้วต้องไม่เกินกว่า 10 วัน แต่เมื่อนายสมคิดถูกบอกเลิกสัญญาจ้างในวันที่ 31 ตุลาคม เช่นนี้แล้วเป็นการถูกต้องหรือไม่ นายสมคิดจะมีสิทธิอย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ 

นายสมคิดเป็นลูกจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานมีกำหนดเวลา 1 ปี แต่ได้ทำงานมา 1 ปี 2 เดือน   จึงเป็นสัญญาไม่มีกำหนดเวลา ตามมาตรา 581 แห่ง ป.พ.พ. เมื่อเป็นสัญญาไม่มีกำหนดเวลาต้องปฏิบัติตามมาตรา 17 วรรคสอง จึงบอกกล่าววันที่ 31 ตุลาคม และบอกเลิกสัญญาในวันที่ 30 พฤศจิกายน

สำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ลูกจ้างมีสิทธิหยุดปีหนึ่งไม่น้อยกว่าหกวันทำงาน และอาจตกลงวันสะสมและเลื่อนไปรวมในปีต่อ ๆ ไปได้ ตามมาตรา 30 วรรคแรก และวรรคสาม เมื่อนายจ้างเลิกจ้างและนายสมคิดยังไม่ได้ใช้สิทธิหยุด (เป็นเวลา 10 วัน) ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้ตามส่วนที่ลูกจ้างพึงมีสิทธิได้รับ (ตามมาตรา 67 วรรคแรก) ดังนั้น นายสมคิดจะได้รับ 2,720 บาท (คำนวณตามมาตรา 62(1))

เมื่อนายสมคิดทำงานได้ 1 ปี 2 เดือน จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยตามมาตรา 118(2) คือได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน (3 เดือน) คิดเป็นจำนวนเงิน 24,480 บาท

ข้อ 2        นางดาราเป็นลูกจ้างได้รับค่าจ้างเดือนละ 9,000 บาท นางดาราป่วยจึงได้เขียนใบลาป่วยเป็นเวลา 25 วัน นางดาราตั้งครรภ์อยู่จึงได้เขียนใบลาป่วยเพื่อไปคลอดบุตรเป็นเวลา 40 วัน นายจ้างได้พิจารณาจากใบลาป่วยจึงจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างในวันลาป่วยตามมาตรา 57 เป็นจำนวนเงิน 9,000 บาท นางดาราเห็นว่าไม่ถูกต้อง เช่นนี้      นางดาราจะต่อสู้ว่ามีสิทธิอย่างไร เป็นจำนวนเงินเท่าใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ 

นางดารามีสิทธิลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง ตามมาตรา 32 วรรคแรก และได้รับค่าจ้างในวันลาป่วยไม่เกิน 30 วัน ตามมาตรา 57 วรรคแรก เมื่อนางดาราลาป่วย 25 วัน จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้าง 25 วัน ๆ ละ 300 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 7,500 บาท

นางดารามีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตรไม่เกิน 90 วัน ตามมาตรา 41 วรรคแรก และได้รับค่าจ้างในวันลานี้ไม่เกิน 45 วัน เมื่อนางดาราลาคลอดบุตร 40 วัน จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้าง 40 วัน ๆ ละ 300 บาท คิดเป็นจำนวนเงิน 12,000 บาท

และตามมาตรา 32 วรรคสาม วันลาเพื่อคลอดบุตรตามมาตรา 41 มิให้ถือเป็นวันลาป่วยตามมาตรา 32 ดังนั้น นางดาราจึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันลาป่วย 7,500 บาท และในวันลาคลอด 12,000 บาท

ข้อ 3        ลูกจ้างบริษัทพรสวรรค์ จำกัด ร่วมกันยื่นข้อเรียกร้องต่อนายจ้าง ขณะที่ผู้แทนทั้งสองฝ่ายกำลังดำเนินการเจรจา นายจ้างสั่งลดวันทำงานของนางลดา ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องจากทำงานสัปดาห์ละ 6 วันเป็นทำงานสัปดาห์ละ 2 วัน และจ่ายค่าจ้างให้เฉพาะวันที่มาทำงาน นางลดาทนไม่ไหวจึงลาออกไป ดังนี้ถือว่านายจ้างกระทำผิดตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์เรื่องใดหรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ 

หลักกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 13, 121

จากข้อเท็จจริงมีการยื่นข้อเรียกร้องของลูกจ้างตามมาตรา 13 นายจ้างลดวันทำงานของนางลดาซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง และจ่ายค่าจ้างให้เฉพาะวันที่มาทำงาน ดังนี้ ถือว่าเป็นการกลั่นแกล้งลูกจ้างให้ออกจากงานโดยทางอ้อม การที่นายจ้างลดวันทำงานเป็นการกระทำอันอาจเป็นผลให้ลูกจ้างไม่สามารถทนทำงานอยู่ต่อไปได้ และเมื่อเกี่ยวกับลูกจ้างที่ยื่นข้อเรียกร้อง จึงถือเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรม ตามมาตรา 121

ข้อ 4   นายแก้วเป็นนักร้องประจำร้านอาหารเพชรประดับ ได้รับค่าจ้างเดือนละ 10,000 บาท ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง แต่ร้องเพลงตามช่วงเวลาที่นายจ้างจัดให้ และลงเวลาเข้า-ออกจากงานตามปกติ ต่อมานายจ้างมีคำสั่งให้นายแก้วไปร้องเพลงในงานวันเกิดของลูกค้าคนสำคัญที่จังหวัดชัยนาท ระหว่างเดินทางรถประจำทางที่โดยสารไปเสียหลักตกลงข้างทางพลิกคว่ำ นายแก้วได้รับบาดเจ็บสาหัส ขาหักทั้งสองข้าง ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลนาน 7 เดือน เมื่อหายแล้วต้องนั่งรถเข็นมาทำงานซึ่งนายจ้างให้กลับมาร้องเพลงได้อีก แต่นายจ้างอ้างว่านายแก้วไม่ใช่ลูกจ้าง และขณะเกิดเหตุ     ไม่ได้มาปฏิบัติงานให้กับนายจ้าง ดังนี้ข้ออ้างของนายจ้างฟังขึ้นหรือไม่ นายแก้วจะได้รับค่าทดแทนหรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ 

หลักกฎหมาย  ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2534 มาตรา 5 นิยามที่สำคัญ “ลูกจ้าง” “ประสบอันตราย”  13, 15, 18(1), (3)

จากข้อเท็จจริง นายแก้วเป็นนักร้องประจำร้านอาหาร ก็ถือว่าเป็นลูกจ้างเพราะทำงานให้กับนายจ้างและได้รับค่าจ้างประจำทุกเดือน ขณะประสบอุบัติเหตุถือว่าได้ปฏิบัติงานตามคำสั่งของนายจ้าง นายแก้วจึงมีสิทธิได้รับเงินทดแทนข้ออ้างของนายจ้างฟังไม่ขึ้น

–                    ค่ารักษาพยาบาล ตามมาตรา 13 ไม่เกิน 110,000 บาท

–                    ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ ตามมาตรา 15 ไม่เกิน 20,000 บาท

–                    ค่าทดแทนกรณีไม่สามารถปฏิบัติงานได้ 6,000 บาท เป็นเวลา 7 เดือน

–                    ค่าทดแทนกรณีทุพพลภาพ ขาขาดทั้งสองข้าง ได้ 6,000 บาท เป็นเวลา 15 ปี

LAW4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม 1/2551

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ 1      นายสมคิดเป็นลูกจ้างได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท  และนายอำนาจเป็นลูกจ้างรายวัน ได้รับค่าจ้างวันละ 320 บาท  บริษัททำงานวันจันทร์ถึงวันศุกร์ตั้งแต่เวลา 8.00 น. ถึง 12.00 น. และ 13.00 ถึง 17.00 น.  ในวันพฤหัสบดี  นายจ้างได้ตกลงกับลูกจ้างให้เลิกทำงานเวลา 16.00 น. และให้การทำงานในวันศุกร์เลิกทำงานเวลา 18.00 น.  แต่ปรากฏว่าในวันศุกร์มีงานมาก นายจ้างจึงให้นายสมคิดและนายอำนาจทำงานไปจนถึงเวลา 22.00 น.      จากข้อเท็จจริงดังกล่าว จงอธิบายว่า นายสมคิด และนายอำนาจจะมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนอย่างไร เป็นจำนวนเงินเท่าใด เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ

ในวันพฤหัสบดี นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันให้เลิกทำงานเวลา 16.00 น. และให้ทำงานในวันศุกร์ โดยเลิกงานเวลา 18.00 น. นั้น สามารถทำได้ตามมาตรา 23 วรรคแรก และมาตรา 23 วรรคสอง กำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง ในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่เกินสำหรับลูกจ้างรายวัน นายอำนาจจึงมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนคือ 40

บาท คิดหนึ่งเท่าครึ่ง (40 บาทคูณ 3 หาร 2) เป็นจำนวนเงิน 60 บาท สำหรับการทำงานในวันศุกร์ระหว่างเวลา 17.00 น. ถึง 18.00 น. สำหรับนายสมคิดไม่มีสิทธิได้รับ (ดูมาตรา 23 วรรคสอง)สำหรับการทำงานล่วงเวลาในวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ถึง 22.00 น. (จำนวน 4 ชั่วโมง) จะได้รับค่าล่วงเวลาในวันทำงานตามมาตรา 61 ในอัตราหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ ดังนั้น นายอำนาจจะได้รับ 240 บาท (60 บาทคูณ 4 ชั่วโมง) และนายสมคิดจะได้รับ 300 บาท (50 บาท หนึ่งเท่าครึ่งคือ 75 บาท คูณ 4 ชั่วโมง)

 

ข้อ 2        ประธานกรรมการบริษัท วิมานทิพย์ จำกัด ต้องการหารือท่านในฐานะทนายความประจำบริษัทฯ    ในกรณีการกระทำของลูกจ้างว่าบริษัทฯ จะเลิกจ้างลูกจ้าง โดยจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้ลูกจ้างหรือไม่ อย่างไร
(ก)           นายกระทิง เป็นพนักงานขับรถ บางครั้งผู้จัดการให้มาทำงานที่สำนักงานใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร  แต่บางครั้งให้ไปปฏิบัติงานตามที่ผู้จัดการสั่งในจังหวัดใกล้เคียง  ต่อมาบริษัทฯ มีงานก่อสร้างที่จังหวัดนนทบุรี  ผู้จัดการจึงสั่งให้นายกระทิงไปทำงานที่นนทบุรีตามโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา  นายกระทิงทราบคำสั่งก็ไม่ยอมไปที่จังหวัดนนทบุรี แต่ไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ นับแต่มีคำสั่งเกิน 3 วันทุกวัน      จึงถูกบริษัทฯ เลิกจ้าง

(ข)           นางสาวอ้อย เป็นพนักงานบัญชีของบริษัทฯ  มาสายถูกตักเตือนด้วยวาจา ยังมาสายอีก  และถูกตักเตือนด้วยวาจาอีก  ต่อมาก็ยังมาสายอีก  จึงถูกตักเตือนเป็นหนังสือและถูกตัดค่าจ้าง 200 บาท  นางสาวอ้อยมาสายอีก  ถูกตักเตือนด้วยวาจา  นางสาวอ้อยได้กล่าวว่าร้ายผู้จัดการฝ่ายบุคคล จึงถูกตักเตือนเป็นหนังสือ ต่อมา นางสาวอ้อยนำโทรศัพท์ส่วนกลางของบริษัทฯ ไปใช้โทรหาแฟน จึงถูกบริษัทฯ เลิกจ้าง

แนวคำตอบ

(ก)  ฎีกาที่ 39/2545 ลูกจ้างทำงานในตำแหน่งพนักงานขับรถ บางครั้งทำงานที่สำนักงานใหญ่กรุงเทพฯ บางครั้งต้องไปปฏิบัติงานโครงการก่อสร้างตามคำสั่งนายจ้างในจังหวัดใกล้เคียง นายจ้างมีคำสั่งให้ไปทำงานที่ จ.นนทบุรี โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ลูกจ้างไม่ไป โดยไปทำงานที่สำนักงานใหญ่ นับแต่มีคำสั่งจนเกิน 3 วัน การกระทำของลูกจ้างเป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 3 วันทำงานติดต่อกัน โดยไม่มีเหตุอันสมควร กรณีนี้เป็นเหตุให้เลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(5)

(ข)  ฎีกาที่ 1461/2548 ลูกจ้างมาสายถูกตักเตือนด้วยวาจา ลูกจ้างมาสายอีก ถูกตักเตือนด้วยวาจา อีกต่อมา ลูกจ้างมาสายอีก ถูกตักเตือนเป็นหนังสือและตัดค่าจ้าง 200 บาท ลูกจ้างมาสายอีกครั้ง ถูกตักเตือนด้วยวาจา ลูกจ้างก้าวร้าวผู้บังคับบัญชา ถูกตักเตือนเป็นหนังสือ ต่อมานำโทรศัพท์ส่วนกลางไปใช้ส่วนตัว การกระทำผิดในเรื่องก้าวร้าวและเรื่องใช้โทรศัพท์มิใช่การกระทำผิดซ้ำคำเตือน นายจ้างไม่สามารถนำมาเป็นเหตุเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยได้ ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119(4)

 

ข้อ 3        ลูกจ้างของบริษัท  S.C. ผลิตเหล็กกล้า จำกัด  ต้องการยื่นข้อเรียกร้องให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง  จึงให้สหภาพแรงงานผู้ประกอบการผลิตเหล็กกล้าเป็นผู้แจงข้อเรียกร้องให้ขั้นตอนอยู่ในระหว่างการาเจรจานายจ้างเกิดความสงสัยว่าลูกจ้างของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องนั้นเป็นสมาชิกสหภาพฯ ครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนดหรือไม่  นายจ้างจึงทำหนังสือยื่นคำร้องให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานตรวจรับรองให้  ระหว่างนี้นายจ้างได้ทำการโยกย้ายนายสมเกียรติลูกจ้างซึ่งนายจ้างทราบว่าเป็นกรรมการสหภาพแรงงานดังกล่าวไปประจำอยู่ที่จังหวัดเชียงรายอันเป็นสาขาหนึ่งของนายจ้าง  ดังนี้ หากพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานตอบกลับนายจ้างว่าจำนวนลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องไม่ครบจำนวนตามกฎหมาย ผลจะเป็นอย่างไร และการโยกย้ายหน้าที่การงาน นายสมเกียรตินั้นถือว่านายจ้างกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่

แนวคำตอบ  หลักกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 13, 15, 31

จากข้อเท็จจริง การเรียกร้องให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาพการจ้าง นายจ้างหรือลูกจ้างสามารถทำได้ตามมาตรา 13 โดยให้ฝ่ายแจ้งข้อเรียกร้องทำเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบและได้มีการแจ้งข้อเรียกร้องต่อนายจ้าง โดยสหภาพแรงงานตามมาตรา 15 วรรคแรก กฎหมายกำหนดให้มีจำนวนสมาชิกที่เป็นลูกจ้างมีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของจำนวนลูกจ้างทั้งหมด หากนายจ้างสงสัยสามารถยื่นคำร้องให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานตรวจรับรองให้ได้ ตามมาตรา 15 วรรคสาม ในระหว่างที่มีการดำเนินการเกี่ยวกับข้อเรียกร้องตามมาตรา 13-29 ห้ามนายจ้างโยกย้ายหน้าที่การงานของลูกจ้างตามมาตรา 31 วรรคแรก แต่ตามข้อเท็จจริงระหว่างมีการเจรจาและตรวจรับรองจากเจ้าพนักงานนายจ้างสั่งโยกย้ายนายสมเกียรติไปทำงานที่ จ.เชียงราย ซึ่งจากผลการตรวจสอบของ จพง. พบว่า จำนวนลูกจ้างไม่ครบตามกฎหมายมาตรา 15 วรรคแรก ทำให้การยื่นข้อเรียกร้องของลูกจ้างไม่สมบูรณ์ การสั่งโยกย้ายนายสมเกียรติจึงไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายมาตรา 31

 

ข้อ 4   บริษัท สยามพัฒนาการโยธา จำกัด เป็นบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างทางและถนนของทางราชการ มีนายต้นเป็นลูกจ้างของบริษัทฯ  ตำแหน่งวิศวกรโยธา ได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน ๆ ละ 20,000 บาท  บริษัทฯ ได้สั่งให้นายต้นเข้าไปทำงานบริเวณที่มีการก่อสร้างถนนซึ่งต้องตัดผ่านภูเขาที่ลาดชันและมีร่องเหว  ขณะทำงานเกิดพายุรุนแรง  เมื่อภายหลังจากที่พายุสงบแล้วพบว่า นายต้นสูญหายไปไม่พบตัว  ดังนี้ ภรรยาของนายต้นจะเรียกร้องอะไรได้บ้าง

แนวคำตอบ  หลักกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ. 2534 มาตรา 5, 16, 18(4), 18 วรรคสี่

นายต้นสูญหายไประหว่างการทำงานให้กับนายจ้าง เมื่อเกิดพายุทำให้นายต้นสูญหายไปถือว่าเป็นการสูญหายซึ่งต้องรอระยะเวลาไม่น้อยกว่า 120 วันนับแต่วันที่เกิดเหตุตามมาตรา 5 ดังนั้น ภริยานายต้นจึงต้องรอจนถึง 120 วันก่อน และจะมีสิทธิได้รับค่าทำศพตามมาตรา 16 เป็นจำนวน 100 เท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันสูงสุด (203 บาท) คือ 20,300 บาท และมีสิทธิได้รับค่าทดแทนตามมาตรา 18(4) คือ ร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายเดือนมีกำหนด 8 ปี คือ 20,000 x 60 ÷ 100 = 12,000 บาท ต่อเดือนมีกำหนด 8 ปี แต่ตามมาตรา 18 วรรคสี่กำหนดให้การจ่ายค่าทดแทนต้องไม่น้อยกว่าค่าทดแทนรายเดือนต่ำสุดและไม่น้อยกว่าค่าทดแทนรายเดือนสูงสุดตามที่กระทรวงแรงงานและสวัสดิการประกาศกำหนด (เท่ากับต่ำสุด 2,000 สูงสุด 9,000 บาท) ดังนั้น ภริยานายต้นจึงได้ค่าทดแทนจำนวน 9,000 บาทต่อเดือนมีกำหนด 8 ปี

LAW4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2551

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายหนึ่งเป็นลูกจ้างได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท และนายสองเป็นลูกจ้างได้รับค่าจ้างรายวัน วันละ 320 บาท บริษัททำงานวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 12.00 น. และ 13.00 น. ถึง 17.00 น. ในวันอังคารและวันพุธ นายจ้างให้เลิกงานเวลา 16.00 น. และต่อมาในวันพฤหัสบดี นายจ้างมีคำสั่งให้นายหนึ่งและนายสองทำงานจนเลิกงานเวลา 18.00 น. แต่งานไม่เสร็จจึงขอให้ ทำงานต่อไปจนถึงเวลา 21.00 น. เช่นนี้ นายหนึ่งและนายสองจะได้รับค่าตอบแทนอย่างไรบ้าง เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541

มาตรา 23 วรรคแรกและวรรคสอง ให้นายจ้างประกาศเวลาทำงานปกติให้ลูกจ้างทราบ โดย กำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดของการทำงานแต่ละวันของลูกจ้างได้ไม่เกินเวลาทำงานของแต่ละประเภทงาน ตามที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่วันหนึ่งต้องไม่เกินแปดชั่วโมง ในกรณีที่เวลาทำงานวันใดน้อยกว่าแปดชั่วโมง นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันให้นำเวลาทำงานส่วนที่เหลือนั้นไปรวมกับเวลาทำงานในวันทำงานปกติอื่นก็ได้ แต่ต้องไม่เกินวันละเก้าชั่วโมงและเมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้ว สัปดาห์หนึ่งต้องไมเกินสี่สิบแปดชั่วโมง เว้นแต่งานที่ อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างตามที่กำหนดในกฎกระทรวงต้องมีเวลาทำงานปกติวันหนึ่ง ไม่เกินเจ็ดชั่วโมง และเมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไมเกินสี่สิบสองชั่วโมง

ในกรณีที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันให้นำเวลาทำงานส่วนที่เหลือไปรวมกับเวลาทำงานในวันทำงาน ปกติอื่นตามวรรคหนึ่งเกินกว่าวันละแปดชั่วโมง ให้นายจ้างจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้าง ต่อชั่วโมงวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำเกินสำหรับลูกจ้างรายวันและลูกจ้างรายชั่วโมง หรือไมน้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่ง ของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้ในชั่วโมงที่ทำเกินสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตาม ผลงาน

มาตรา 61 ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงานให้นายจ้างจ่ายค่าล่วงเวลา ให้แกลูกจ้างในอัตราไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ หรือไมน้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับ ค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย

มาตรา 68  เพื่อประโยชน์แก่การคำนวณค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลาใน วันหยุด ในกรณีที่ลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน อัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานหมายถึง ค่าจ้างรายเดือน หารด้วยผลคูณของสามสิบและจำนวนชั่วโมงทำงานในวันทำงานต่อวันโดยเฉลี่ย

วินิจฉัย

สำหรับลูกจ้างรายวัน ลูกจ้างรายชั่วโมง ลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงาน หากวันใดต้อง ทำงานเกินวันละ 8 ชั่วโมง แม้ว่านายจ้างและลูกจ้างตกลงให้นำเวลาส่วนที่เหลือของวันทำงานปกติมารวมด้วยก็ตาม ลูกจ้างดังกล่าวก็จะได้รับค่าตอบแทนสำหรับชั่วโมงการทำงานที่ทำเกิน 8 ชั่วโมงนั้น ในอัตราไมน้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่ง ของค่าจ้างในวันทำงานปกติ แต่ไม่ใช่ค่าล่วงเวลา

กรณีตามอุทาหรณ์ นายหนึ่งและนายสองจะมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนอย่างไร เห็นว่า นายหนึ่ง เป็นลูกจ้างรายเดือนได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท และนายสองเป็นลูกจ้างรายวันได้รับค่าจ้างวันละ 320 บาท ทั้งสองคนทำงานวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 12.00 น. และ 13.00 น. ถึง 17.00 น. ในวันอังคาร และวันพุธนายจ้างให้นายหนึ่งและนายสองเลิกงานเวลา 16.00 น. และในวันพฤหัสบดีนายจ้างมีคำสั่งให้นายหนึ่ง และนายสองทำงานจนเลิกงานเวลา 18.00 น. กรณีเช่นนี้นายจ้างสามารถที่จะกระทำได้ ตามมาตรา 23 วรรคแรก และมาตรา 23 วรรคสองได้กำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง ในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำเกินสำหรับลูกจ้างรายวัน

ดังนั้น สำหรับการทำงานในวันพฤหัสบดีตั้งแต่เวลา 17.00 น. ถึง 18.00 น. (1 ชั่วโมง) นายสอง ซึ่งเป็นลูกจ้างรายวัน จะได้รับค่าตอบแทนในอัตราไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงาน ตามชั่วโมงที่ทำเกิน เมื่อนายสองได้รับค่าจ้างวันละ 320 บาท อัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง (320 หารด้วย 8) เท่ากับ 40 บาท คิดเป็นหนึ่งเท่าครึ่ง (40 คูณดัวย 1.5) เท่ากับ 60 บาท ส่วนนายหนึ่งในระหว่างเวลา 17.00 น. ถึง 18.00 น. ไม่มีสิทธิ ได้รับค่าตอบแทน เนื่องจากนายหนึ่งเป็นลูกจ้างรายเดือนจึงไม่ต้องด้วยมาตรา 23 วรรคสอง

สำหรับการทำงานในวันพฤหัสบดีตั้งแต่เวลา 18.00 น. ถึง 21.00 น. (3 ชั่วโมง) เป็นกรณีที่ นายจ้างให้นายหนึ่งและนายสองมาทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน ตามมาตรา 61 โดยทั้งสองคนจะได้รับค่าล่วงเวลา ในวันทำงานในอัตราไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างในวันทำงานตามชั่วโมงที่ทำ เช่นนี้

กรณีนายหนึ่ง เมื่อนายหนึ่งเป็นลูกจ้างรายเดือนโดยได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท อัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงเท่ากับค่าจ้างรายเดือนหารด้วยผลคูณของสามสิบและจำนวนชั่วโมงในวันทำงานโดยเฉลี่ย (12,000 หารด้วย 30) เท่ากับ 400 บาท เป็นอัตราค่าจ้างรายวัน และ (400 หารด้วย 8) เท่ากับ 50 บาท เป็น อัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง (มาตรา 68) คิดเป็นหนึ่งเท่าครึ่ง (50 คูณด้วย 1.5) เท่ากับ 75 บาท เป็นระยะเวลา 3 ชั่วโมง ในกรณีนี้ นายหนึ่งจะได้รับเป็นจำนวน (75 คูณด้วย 3) เท่ากับ 225 บาท

กรณีนายสอง ค่าจ้างในอัตราหนึ่งเท่าครึ่งของนายสอง เท่ากับ 60 บาท เมื่อทำงานล่วงเวลา เป็นระยะเวลา 3 ชั่วโมง ในกรณีนี้ นายสองจะได้รับค่าล่วงเวลาในวันทำงานเป็นจำนวน (60 คูณด้วย 3) เท่ากับ 180 บาท

สรุป นายหนึ่งและนายสองมีสิทธิได้รับค่าตอบแทน ดังนี้

นายหนึ่งได้รับ เท่ากับ 225 บาท

นายสองได้รับ 180 บวก 60 เท่ากับ 240 บาท

 

ข้อ 2. นายสามและนายสี่เป็นลูกจ้างตามสัญญาไมมีกำหนดเวลา ได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท ทั้งสองคน มีวันหยุดพักผ่อนประจำปีอยู่อีกคนละ 4 วัน ต่อมาเศรษฐกิจไม่ดีนัก นายจ้างจึงบอกเลิกจ้างนายสาม ในวันที่ 30 เมษายน ทันที ซึ่งนายสามทำงานมาครบสามปีพอดี ส่วนนายสี่ทำตัวไม่เหมาะสมในการ ทำงานหลายประการจึงขอลาออกจากงานในวันที่ 30 เมษายนด้วย เช่นนี้ นายสามและนายสี่จะมีสิทธิ ได้รับอะไรหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541

มาตรา 17 วรรคสอง ในกรณีที่สัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลา นายจ้างหรือลูกจ้างอาจ บอกเลิกสัญญาจ้างโดยบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้าง คราวหนึ่งคราวใด เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็ได้ แต่ไม่จำเป็นต้อง บอกกล่าวล่วงหน้าเกินสามเดือน ทั้งนี้ให้ถือว่าสัญญาจ้างทดลองงานเป็นสัญญาจ้างที่ไมมีกำหนดระยะเวลาด้วย

มาตรา 67 ในกรณีที่นายจ้างเลิกจ้างโดยมิใช่กรณีตามมาตรา 119 ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ ลูกจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีในปีที่เลิกจ้างตามส่วนของวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ลูกจ้างพึงมีสิทธิได้รับ ตามมาตรา 30

ในกรณีที่ลูกจ้างเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาจ้างหรือนายจ้างเลิกจ้าง ไม่ว่าการเลิกจ้างนั้นเป็นกรณี ตามมาตรา 119 หรือไม่ก็ตาม ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แกลูกจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีสะสมที่ลูกจ้าง พึงมีสิทธิได้รับตามมาตรา 30

มาตรา 118 ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างด้งต่อไปนี้

(3) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบสามปี แต่ไม่ครบหกปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตรา สุดท้ายหนึ่งร้อยแปดสิบวัน หรือไมน้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานหนึ่งร้อยแปดสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับ ค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายสามและนายสี่เป็นลูกจ้างตามสัญญาไม่มีกำหนดเวลา ได้รับค่าจ้าง เดือนละ 12,000 บาท ทั้งสองคนมีวันหยุดพักผ่อนประจำปีอยู่อีกคนละ 4 วัน ต่อมาเศรษฐกิจไม่ดีนัก นายจ้างจึงได้ บอกเลิกจ้างนายสามในวันที่ 30 เมษายนทันที ส่วนนายสี่ได้ลาออกเอง เช่นนี้ นายสามและนายสี่จะมีสิทธิได้รับ อะไรหรือไม เห็นว่า

กรณีนายสาม เนื่องจากสัญญาจ้างเป็นสัญญาที่ไม่มีกำหนดเวลา หากนายจ้างต้องการเลิกจ้าง นายจ้างต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้นายสามทราบในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดการจ่ายค่าจ้างใน คราวหนึ่งคราวใด เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากัน เมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไป ตามมาตรา 17 วรรคสอง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายจ้างได้บอกเลิกสัญญาจ้างนายสามในวันที่ 30 เมษายน กรณีเช่นนี้ ผลแห่งการเลิกสัญญา จะเป็นผลเมื่อถึงกำหนดการจ่ายค่าจ้างในคราวถัดป คือวันที่ 31 พฤษภาคม จึงจะชอบและนายสามยังมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิเป็นจำนวน 4 วัน ตามมาตรา 67 วรรคแรก เมื่อนายสามได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท อัตราค่าจ้างรายวันของนายสาม (12,000 บาท หารด้วย 30) เท่ากับ 400 บาท และคูณกับวันหยุดพักผ่อนประจำปีทั้งหมด 4 วัน (400 คูณด้วย 4) เท่ากับ 1,600 บาท

และเมื่อนายสาม ทำงานมาครบ 3 ปี จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน (6 เดือน) นายสามได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้นายสามเป็นจำนวน (6 เดือน คูณด้วย 12,000 บาท) เท่ากับ 72,000 บาท ตามมาตรา 118(3)

กรณีนายสี่ ซึ่งโดยหลักแล้วการบอกเลิกสัญญาจ้าง ลูกจ้างเองก็อาจบอกเลิกสัญญาจ้างโดย บอกกล่าวล่วงหน้า ตามมาตรา 17 วรรคสอง เมื่อนายสี่ได้ขอลาออกจากงานเอง นายจ้างจึงไม่อยู่ในบังคับที่ต้อง บอกกล่าวล่วงหน้า และกรณีนี้นายจ้างก็ไม่จำต้องจ่ายค่าชดเชยให้นายสี่ลูกจ้าง เนื่องจากค่าชดเชยเป็นเงินที่นายจ้าง ต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เมื่อนายจ้างเป็นฝ่ายเลิกจ้าง ถ้านายจ้างมิได้เลิกจ้าง แต่ลูกจ้าง ลาออกไปเอง ทิ้งงานไป หรือลูกจ้างถึงแกความตาย กรณีเช่นนี้นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แต่อย่างใด

แต่อย่างไรก็ดี นายสี่ยังมีสิทธิได้รับค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิ อีก 4 วัน ตามมาตรา 67 วรรคสอง เมื่อนายสี่ได้รับค่าจ้างรายเดือน ๆ ละ 12,000 บาท อัตราค่าจ้างรายวัน ของนายสี่เท่ากับ (12,000 บาท หารด้วย 30) เท่ากับ 400 และคูณกับวันหยุดที่ยังไม่ได้ใช้สิทธิทั้งหมด 4 วัน (400 คูณด้วย 4) เท่ากับ 1,600 บาท

สรุป นายสามและนายสี่มีสิทธิได้รับ ดังนี้

นายสาม         

1. มีสิทธิทำงานจนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม

2.         ได้รับค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปี เป็นจำนวน 1,600 บาท และ

3.         ได้รับค่าชดเชยเป็นจำนวน 72,000 บาท

นายสี่ มีสิทธิได้รับค่าวันหยุดพักผ่อนประจำปี เป็นจำนวน 1,600 บาท ส่วนค่าชดเชยนาย สี่ไม่ มีสิทธิได้รับ

 

ข้อ 3 นายสุเทพเป็นลูกจ้างได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท วันหนึ่งในระหว่างการทำงานเกิดอุบัติเหตุ ได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 5 เดือน แต่กกลายเป็นคนทุพพลภาพ เช่นนี้ นายสุเทพจะ.มีสิทธิอะไรบ้าง

และถ้าหากว่านายสุเทพมีชีวิตอยู่ได้เพียง 2 ปีก็เสียชีวิต เช่นนี้ ภริยานายสุเทพ บิดามารดา และ น้องชายของนายสุเทพจะมีสิทธิอย่างไรต่อไปหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 5 ในพระราชบัญญัตินี้

ประสบอันตราย” หมายความว่า การที่ลูกจ้างได้รับอันตรายแกกายหรือผลกระทบแกจิตใจ หรือถึงแกความตายเนื่องจากการทำงานหรือป้องกันรักษาประโยชน์ให้แก่นายจ้าง หรือตามคำสั่งของนายจ้าง

มาตรา 13 เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างได้รับการรักษาพยาบาล ทันทีตามความเหมาะสมแกอันตรายหรือความเจ็บป่วยนั้น และให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นแต่ไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา 15 กรณีที่ลูกจ้างจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานภายหลังการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ให้นายจ้างจ่ายค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานของลูกจ้างตามความจำเป็นตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา 18 เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยหรือสูญหาย ให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทน

เป็นรายเดือนให้แก่ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 แล้วแต่กรณี ดังต่อไปนี้

(1) ร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน สำหรับกรณีที่ลูกจ้างไม่สามารถทำงานติดต่อกันได้เกิน สามวันไม่ว่าลูกจ้างจะสูญเสียอวัยวะตาม (2) ด้วยหรือไม่ก็ตาม โดยจ่ายตั้งแต่วันแรกที่ลูกจ้างไมสามารถทำงานได้ ไปจนตลอดระยะเวลาที่ไม่สามารถทำงานได้แต่ต้องไมเกินหนึ่งปี

(3) ร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน สำหรับกรณีที่ลูกจ้างทุพพลภาพ โดยจ่ายตามประเภท ของการทุพพลภาพและตามระยะเวลาที่จะต้องจ่ายตามที่กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมประกาศกำหนด แต่ ต้องไม่เกินสิบห้าปี

มาตรา 19 ในกรณีที่นายจ้างจ่ายค่าทดแทนตามมาตรา 18(2) หรือ (3) และต่อมาลูกจ้างได้ ถึงแก่ความตายในขณะที่ยังรับค่าทดแทนไม่ครบระยะเวลาตามสิทธิดังกล่าว ให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทนให้แก่ผู้มีสิทธิ ตามมาตรา 20 ต่อไป จนครบกำหนดระยะวลาตามสิทธิ แต่ทั้งนี้ ระยะเวลาการจ่ายค่าทดแทนรวมกันต้องไม่เกินแปดปี

มาตรา 20 เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจนถึงแกความตายหรือสูญหาย ให้บุคคล ดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากนายจ้าง

(1)       บิดามารดา

(2)       สามีหรือภรรยา

มาตรา 21 วรรคแรก ให้ผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 ได้รับส่วนแบ่งในเงินทดแทนเท่ากัน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายสุเทพเป็นลูกจ้างได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท วันหนึ่งในระหว่าง การทำงานนายสุเทพเกิดอุบัติเหตุทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส กรณีเช่นนี้ ถือว่านายสุเทพประสบอันตรายเนื่องจาก การทำงานให้แกนายจ้าง ตามมาตรา 5 ซึ่งนายสุเทพจะได้การคุ้มครองโดยมีสิทธิดังต่อไปนี้

1.         ค่ารักษาพยาบาล เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างได้รับการรักษาพยาบาล ทันที และให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นแต่ไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง ในกรณีนี้ นายสุเทพจะได้รับค่ารักษาพยาบาลในเบื้องต้น 45,000 บาท เมื่อนายสุเทพได้รับอันตรายรุนแรง (สาหัส) ก็จะได้รับเพิ่มอีก 65,000 บาท รวมเป็นเงิน 110,000 บาท ตามมาตรา 13

2.         ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานโดยนายจ้างต้องจ่ายตามหลักเกณฑ์ วิธีการและอัตรา ที่กำหนดในกฎกระทรวง ในกรณีนี้ นายสุเทพจะได้รับเป็นจำนวน 20,000 บาท ตามมาตรา 15

3.         ค่าทดแทนในกรณีที่ไม่สามารถทำงานได้ เมื่อนายสุเทพต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เป็นเวลา 5 เดือน นายสุเทพจะได้รับค่าทดแทนในอัตราร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายเดือน โดยจ่ายตั้งแต่วันแรก ที่นายสุเทพไมสามารถไปทำงานได้ เมื่อนายสุเทพได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท ร้อยละ 60 ของ 12,000 บาท เท่ากับ 7,200 บาท และคูณกับระยะเวลาที่ไม่สามารถทำงานได้ (7,200 คูณด้วย 5 เดือน) เท่ากับ 36,000 บาท ตามมาตรา 18(1)

4.         ค่าทดแทนในกรณีทุพพลภาพ เมื่อนายสุเทพต้องกลายเป็นคนทุพพลภาพ นายสุเทพจึง มีสิทธิได้รับค่าทดแทนในกรณีทุพพลภาพในอัตราร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายเดือน เมื่อนายสุเทพได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท ร้อยละ 60 ของ 12,000 บาท เท่ากับ 7,200 บาท ในกรณีนี้ นายสุเทพจะได้รับเดือนละ 7,200 บาท เป็นระยะเวลาไม่เกิน 15 ปี ตามมาตรา 18(3)

2 ปีต่อมาได้ความว่า นายสุเทพเสียชีวิตโดยรับค่าทดแทนยังไม่ครบตามกำหนดระยะเวลาตาม มาตรา 18(3) กรณีเช่นนี้ นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าทดแทนที่เหลืออยู่ให้แกภริยาและบิดามารดาของนายสุเทพ โดย ทั้งสามคนจะได้รับคนละ 2,400 บาท เป็นระยะเวลาอีกเพียง 6 ปี ตามมาตรา 19 ประกอบมาตรา 20(1)(2) และ มาตรา 21 วรรคแรก เพราะระยะเวลาการจ่ายค่าทดแทนในกรณีนี้รวมกันต้องไม่เกิน 8 ปี

ส่วนน้องชายของนายสุเทพ ตามกฎหมายไม่ใช่เป็นผู้มีสิทธิ ตามมาตรา 20 ของ พ.ร.บ. เงิน ทดแทน จึงไม่ได้รับสิทธิใดๆ เลย

สรุป เมื่อนายสุเทพประสบอันตรายจะได้รับการคุ้มครองโดยมีสิทธิ ดังนี้

1.         ค่ารักษาพยาบาล 110,000 บาท

2.         ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน 20,000 บาท

3.         ค่าทดแทนในกรณีที่ไมสามารถทำงานได้ 36,000 บาท

4.         ค่าทดแทนในกรณีทุพพลภาพได้รับเดือนละ 7,200 บาท เป็นระยะเวลาไม่เกิน 15 ปี เมื่อนายสุเทพได้ถึงแกความตาย โดยรับค่าทดแทน ตามมาตรา 18(3) ยังไม่ครบ ภริยาและบิดามารดาของ นายสุเทพมีสิทธิได้รับค่าทดแทนต่อไปคนละ 2,400 บาท เป็นระยะเวลาอีกเพียง 6 ปี

ส่วนน้องชายของนายสุเทพไม่ได้รับสิทธิใด ๆ เลย

 

ข้อ 4. ถ้าฝ่ายลูกจ้างได้ยื่นข้อเรียกร้องให้มีการแก้ไขข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างต่อฝ่ายนายจ้าง และ ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ เจ้าพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานเรียกทั้งสองฝ่ายให้มา เจรจากันแล้ว ก็ยังไม่สามารถตกลงกันได้อีก ฝ่ายลูกจ้างจะทำการนัดหยุดงานได้หรือไม่ ให้อธิบาย ขั้นตอนในทางกฎหมายในกรณีลูกจ้างจะนัดหยุดงานว่าเป็นอย่างไร

ธงคำตอบ

กรณีห้ามปิดงานหรือนัดหยุดงาน (ตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 34)

1.         ห้ามมิให้นายจ้างปิดงานหรือนัดหยุดงาน เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยังมิได้แจ้งข้อเรียกร้องเป็น หนังสือไปยังอีกฝ่ายหนึ่ง (ตามมาตรา 13) หรือแจ้งข้อเรียกร้องไปแล้วแต่ข้อเรียกร้องนั้นยังไม่เป็นข้อพิพาทแรงงาน ที่ตกลงกันไม่ได้ (ตามมาตรา 22 วรรคสาม)

2.         เมื่อฝ่ายซึ่งมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลง ตามมาตรา 18 ได้ปฏิบัติตามข้อตกลง

3.         เมื่อพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานไกล่เกลี่ยสำเร็จ และฝ่ายที่ต้องปฏิบัติตามข้อตกลง นั้น ได้ปฏิบัติตามโดยดีแล้ว

4.         เมื่อฝ่ายที่ต้องปฏิบัติตามคำชี้ขาดของผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน ได้ปฏิบัติตามคำชี้ขาดนั้นแล้ว

5.         ในขณะที่ยังอยู่ระหว่างการวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ หรือมี คำวินิจฉัยของรัฐมนตรี ตามมาตรา 23 หรือคำชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ตามมาตรา 24

6.         เมื่ออยู่ในระหว่างการชี้ขาดของผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานที่ตั้งขึ้น ตามมาตรา 25 หรือ

มาตรา 26

ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ห้ามมิให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดปิดงานหรือนัดหยุดงานโดยที่มิได้แจ้ง เป็นหนังสือไปยังพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน และมิได้แจ้งเป็นหนังสือ ไปยังคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งให้ได้ทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมงนับแต่เวลาที่รับแจ้ง

ซึ่งตามข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ลูกจ้างได้ดำเนินการยื่นข้อเรียกร้องให้มีการแก้ไขข้อตกลงเกี่ยวกับ สภาพการจ้าง (มาตรา 13) และทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ เข้าพนักงานประนอมข้อพิพาทเรียกทั้ง 2 ฝ่าย มาเจรจากันแล้วก็ยังไมสามารถตกลงกันได้อีก กรณีเช่นนี้ ถือว่าข้อเรียกร้องนั้นเป็นข้อพิพาทแรงงานที่ตกลงกัน ไม่ได้แล้ว

ดังนั้น ฝ่ายลูกจ้างจึงมีสิทธิดำเนินการนัดหยุดงานได้ตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 22 วรรคสาม ซึ่งบัญญัติให้สิทธิแกลูกจ้างไว้ ทั้งกรณีดังกล่าวก็ไม่ขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 34 อนุ 1 ถึงอนุ 6 แต่อย่างใด แต่ไมว่ากรณีจะเป็นประการใดก็ตาม ฝ่ายลูกจ้างจะต้องแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานและ ให้ฝ่ายนายจ้างทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง นับแต่เวลาที่รับแจ้งก่อนที่จะนัดหยุดงานด้วย จึงจะถือว่า การนัดหยุดงานของลูกจ้างชอบด้วยกฎหมาย (มาตรา 34 วรรคสอง)

LAW4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเปียกเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลของห้างสรรพสินค้าถูกดีสวยมาก ได้ถูกนายจ้างเลิกจ้าง จึงมาขอปรึกษาท่านในฐานะพนักงานตรวจแรงงาน โดยอ้างว่า

(1)       ปี พ.ศ. 2551 นายเปียกเคยถูกพักงาน กรณีกระทำผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของนายจ้างฐานสูบบุหรี่ในห้างสรรพสินค้า นายเปียกยอมรับการกระทำผิด นายจ้างจึงสั่งพักงาน นายเปียกอ้างว่าไม่ได้รับเงินค่าจ้างระหว่างการพักงานตามกฎหมาย

(2)       ปี พ.ศ. 2552 นายเปียกได้ใช้ให้นายหนุ่มลูกน้องไปจ่ายกับข้าวให้แก่ร้านอาหารของนายเปียกเองในตอนเช้าและตอนบ่ายเป็นเวลา 10 วัน นายจ้างจึงเลิกจ้างนายเปียกและไม่จ่ายค่าชดเชยให้

ให้ท่านให้คำแนะนำนายเปียกตามกฎหมายแรงงาน

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541

มาตรา 116 ในกรณีที่นายจ้างทำการสอบสวนลูกจ้างซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ห้ามมิให้นายจ้างสั่งพักงานลูกจ้างในระหว่างการสอบสวนดังกล่าว เว้นแต่จะมีข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือข้อตกลง เกี่ยวกับสภาพการจ้างให้อำนาจนายจ้างสั่งพักงานลูกจ้างได้ ทั้งนี้ นายจ้างจะต้องมีคำสั่งพักงานเป็นหนังสือระบุ ความผิดและกำหนดระยะเวลาการพักงานได้ไม่เกินเจ็ดวันโดยต้องแจ้งให้ลูกจ้างทราบก่อนการพักงาน

ในระหว่างการพักงานตามวรรคแรก ให้นายจ้างจ่ายเงินให้แกลูกจ้างตามอัตราที่กำหนดในข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือตามที่นายจ้างและลูกจ้างได้ตกลงกันไว้ในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ทั้งนี้ อัตราดังกล่าต้องไม่น้อยกว่าร้อยละห้าสิบของค่าจ้างในวันทำงานที่ลูกจ้างได้รับก่อนถูกพักงาน

มาตรา 117 เมื่อการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ปรากฏว่าลูกจ้างไม่มีความผิด ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้าง ให้แก่ลูกจ้างเท่ากับค่าจ้างในวันทำงานนับแต่วันที่ลูกจ้างถูกสั่งพักงานเป็นต้นไป โดยให้คำนวณเงินที่นายจ้างจ่าย ตามมาตรา 116 เป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างตามมาตรานี้พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละลิบห้าต่อปี

มาตรา 583 ถ้าลูกจ้างจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หรือละเลยไม่นำพา ต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณก็ดี ละทิ้งการงานไปเสียก็ดี กระทำความผิดอย่างร้ายแรงก็ดี หรือทำประการอินอัน ไม่สมแกการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตก็ดี ท่านว่านายจ้างจะไล่ออกโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้

วินิจฉัย

(1) กรณีตามอุทาหรณ์ นายเปียกถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน เมื่อนายเปียกยอมรับว่าตนกระทำความผิดจริง นายจ้างก็มีอำนาจลงโทษนายเปียกได้ด้วยการพักงาน ดังนั้น การพักงานตามฟ้องของนายจ้างจึงเป็นการพักงานเนื่องจากการลงโทษทางวินัยแก่นายเปียกเพราะนายเปียก กระทำความผิดตามที่แถลงรับ มิใช่กรณีที่นายจ้างสั่งพักงานระหว่างทำการสอบสวนลูกจ้างซึ่งถูกกล่าวหาว่า กระทำความผิดตามมาตรา 116 และมาตรา 117 (ฎ. 9330/2542)

 (2) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเปียกได้ใช้ให้นายหนุ่มลูกน้องไปจ่ายกับข้าวให้แก่ร้าน อาหารของนายเปียกเองในตอนเช้าและตอนบ่ายเป็นเวลา 10 วัน เป็นการแสวงหาประโยชน์จากหน้าที่การงาน เพื่อประโยชน์แก่ตนเองหรือผู้อื่นเกินสมควรที่ผู้บังคับบัญชาจะพึงกระทำและเสียหายแก่นายจ้า ถือว่าทุจริตต่อหน้าที่ นายเปียกทุจริตต่อหน้าที่เป็นการกระทำผิดหน้าที่ของลูกจ้าง นายจ้างเลิกจ้างนายเปียกได้ไม่เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ทั้งเป็นกรณีที่ลูกจ้างกระทำการไม่สมแกการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยทุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา 583 นายจ้างไมต้องจ่ายค่าเสียหาย ค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่นายเปียก (ฎ. 2695/2529)

สรุป ข้าพเจ้าจะให้ค่าแนะนำนกนายเปียกตามกฎหมายแรงงานว่า

(1)       การพักงานของนายจ้างชอบด้วยกฎหมาย นายเปียกไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างระหว่างพักงาน

(2)       การกระทำของนายเปียกเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าเสียหาย ค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแก่นายเปียก

 

ข้อ 2. นายหนึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัททำงานมาแล้ว 2 ปี 5 เดือน ได้รับค่าจ้างเดือนละ 10,000 บาท ต่อมา นายหนึ่งป่วยเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังต้องลาป่วยรักษาตัวติดต่อกันถึง 6 เดือน นายจ้างจึงมีคำสั่ง เลิกจ้างนายหนึ่ง เช่นนี้จะต้องจ่ายค่าชดเชยให้นายหนึ่งหรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. คุ้มดรองแรงงาน พ.ศ. 2541

มาตรา 19 เพื่อประโยชน์ในการคำนวณระยะเวลาการทำงานของลูกจ้างตามพระราชบัญญัตินี้ ให้นับวันหยุด วันลา วันที่นายจ้างอนุญาตให้หยุดงานเพื่อประโยชน์ของลูกจ้าง และวันที่นายจ้างสั่งให้ลูกจ้างหยุดงาน เพื่อประโยชน์ของนายจ้าง รวมเป็นระยะเวลาการทำงานของลูกจ้างด้วย

มาตรา 32 วรรคแรก ให้ลูกจ้างมีสิทธิลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง…

มาตรา 57 วรรคแรก ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างในวันลาป่วยตามมาตรา 32 เท่ากับ อัตราค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ปีหนึ่งต้องไม่เกินสามสิบวันทำงาน

มาตรา 118 ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แกลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างดังต่อไปนี้

(2) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบหนึ่งปี แต่ไมครบสามปี ให้จ่ายไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตรา สุดท้ายเก้าสิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานเก้าสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงาน โดยคำนวณเป็นหน่วย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายหนึ่งป่วยเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังต้องลาป่วย 6 เดือน ซึ่งโดยหลักแล้ว ลูกจ้างมีสิทธิลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง แต่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันลาป่วยไมเกิน 30 วันทำงานตามมาตรา 32 วรรคแรก ประกอบมาตรา 57 วรรคแรก เมื่อนายหนึ่งลาป่วย 6 เดือน ก็จะมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันลาป่วยเป็น จำนวนเงิน 10,000 บาท

สำหรับการคำนวณระยะเวลาการทำงานของลูกจ้างนั้นตามมาตรา 19 ให้นับวันหยุด วันลา เป็นระยะเวลาการทำงานของลูกจ้างด้วย เมื่อได้ความว่า นายหนึ่งลาป่วยเป็นเวลา 6 เดือน บวกกับระยะเวลา การทำงานของนายหนึ่ง 2 ปี 5 เดือน ถือว่านายหนึ่งได้ทำงานรวมเวลาแล้วทั้งสิ้น 2 ปี 11 เดือน

ส่วนประเด็นที่นายจ้างต้องการเลิกจ้างนายหนึ่ง เนื่องจากป่วยเป็นโรคพิษสุราเรื้อรังจน ไม่สามารถทำงานได้ถึง 6 เดือน นายจ้างก็สามารถเลิกจ้างได้ (ฎ. 2985/2527) แต่นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก นายหนึ่ง กล่าวคือ นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามระยะเวลาการทำงานด้วย เมื่อได้ความว่า นายหนึ่งทำงาน มาแล้ว 2 ปี 11 เดือน อันถือว่านายหนึ่งทำงานติดต่อกันครบ 1 ปี แต่ไม่ครบ 3 ปี จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชย ไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 90 วัน (3 เดือน) นายหนึ่งได้รับค่าจ้างเดือนละ 10,000 บาท ดังนั้น นายจ้างจึง ต้องจ่ายค่าชดเชยให้กับนายหนึ่งเป็นจำนวน (3 เดือน คูณด้วย 10,000 บาท) เท่ากับ 30,000 บาท ตามมาตรา 118(2)

สรุป นายจ้างต้องจ่ายชดเชยให้แก่นายหนึ่ง เป็นจำนวนเงิน 30,000 บาท

 

ข้อ 3. นายอุดมและนายสมใจเป็นลูกจ้างทำงานในตำแหน่งพนักงานขนส่งสินค้า ได้รับค่าจ้างเป็นเงินเดือน เดือนละ 8,000 บาท ได้ค่าครองชีพเดือนละ 3,000 บาท ทำงานมานาน 3 ปีกว่า วันที่ 2 ตุลาคม 2552 นายจ้างมีคำสั่งให้นายอุดมและนายสมใจขับรถนำสินค้าไปส่งให้กับลูกค้าที่จังหวัดน่าน นายอุดมจึงขอนั่งเฝ้าสินค้าด้านกระบะท้ายรถ และนายสมใจเป็นผู้ขับระหว่างทางนายอุดมดื่มสุรา จนไม่สามารถครองสติได้เกิดพลัดตกจากรถเสียชีวิต ส่วนนายสมใจขับรถหักหลบรถจักรยานยนต์ ที่ออกมาตัดหน้ากะทันหัน รถพลิกคว่ำเป็นเหตุให้นายสมใจศีรษะกระแทกพวงมาลัยขาหัก นิ้วหัวแม่เท้าข้างซ้ายขาด 1 นิ้ว (6 เดือน) รักษาตัวในโรงพยาบาลนาน 3 เดือน อยากทราบว่า ภริยานายอุดมมีสิทธิอย่างไรและนายสมใจมีสิทธิได้รับอะไรบ้างตามกฎหมายเงินทดแทน

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 5 ในพระราชบัญญัตินี้

ประสบอันตราย หมายความว่า การที่ลูกจ้างได้รับอันตรายแก่กายหรือผลกระทบแก่จิตใจ หรือถึงแกความตายเนื่องจากการทำงานหรือป้องกันรักษาประโยชนให้แกนายจ้าง หรือตามคำสั่งของนายจ้าง

มาตรา 13 เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างได้รับการรักษา พยาบาลทันทีตามความเหมาะสมแก่อันตรายหรือความเจ็บป่วยนั้น และให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่ จ่ายจริงตามความจำเป็นแต่ไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา 15 กรณีที่ลูกจ้างจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานภายหลังการ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ให้นายจ้างจ่ายค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานของลูกจ้างตามความจำเป็นตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา 18 เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยหรือสูญหาย ให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทน เป็นรายเดือนให้แกลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 แล้วแต่กรณี ดังต่อไปนี้

(1)       ร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน สำหรับกรณีที่ลูกจ้างไมสามารถทำงานติดต่อกันได้ เกินสามวันไม่ว่าลูกจ้างจะสูญเสียอวัยวะตาม (2) ด้วยหรือไม่ก็ตาม โดยจ่ายตั้งแต่วันแรกที่ลูกจ้างไม่สามารถ ทำงานได้ไปจนตลอดระยะเวลาที่ไมสามารถทำงานได้ แต่ต้องไม่เกินหนึ่งปี

(2)       ร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน สำหรับกรณีที่ลูกจ้างต้องสูญเสียอวัยวะบางส่วน

ของร่างกายโดยจ่ายตามประเภทของการสูญเสียอวัยวะและตามระยะเวลาที่ต้องจ่ายให้ตามที่กระทรวงแรงงาน และสวัสดิการประกาศกำหนด แต่ต้องไม่เกินสิบปี

มาตรา 20        เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจนถึงแกความตายหรือสูญหาย ให้

บุคคลดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากนายจ้าง

(2) สามีหรือภริยา

มาตรา 22        นายจ้างไม่ต้องจ่ายเงินทดแทนในการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยของลูกจ้าง

เพราะเหตุอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้

(1)           ลูกจ้างเสพของมึนเมาหรือสิ่งเสพติดอื่นจนไม่สามารถครองสติได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายอุดมและนายสมใจทำงานได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน ๆ ละ 8,000 บาท ค่าครองชีพเดือนละ 3,000 บาท ทั้งนายอุดมและนายสมใจได้ค่าจ้างเท่ากันเดือนละ 11,000 บาท วันที่ 3 เมษายน ทั้งสองคนนำสินค้าไปส่งให้ลูกค้าของนายจ้างที่จังหวัดน่าน โดยนายสมใจเป็นคนขับและนายอุดมเป็นคนเฝ้าสินค้าท้ายรถกระบะ ระหว่างทางนายอุดมดื่มสุราครองสติไม่ได้พลัดตกจากรถเสียชีวิต กรณีจึงเป็นเหตุยกเว้นที่นายจ้าง ไม่ต้องจ่ายค่าทดแทน เนื่องจากในขณะปฏิบัติงานในหน้าที่นายอุดมได้ดื่มสุราจนไม่สามารถครองสติได้ ถือเป็น ข้อยกเว้นตามมาตรา 22(1) ภริยานายอุดมจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินทดแทน

ส่วนนายสมใจ คนขับรถหักหลบรถจักรยานยนต์ที่ออกมาตัดหน้ากะทันหัน รถพลิกคว่ำ นายสมใจศีรษะกระแทกพวงมาลัย ขาหัก นิ้วหัวแม่มือข้างซ้ายขาด 1 นิ้ว กรณีจึงถือว่านายสมใจประสบอันตราย เนื่องจากการทำงานให้แกนายจ้างตามมาตรา 5 โดยจะได้รับการคุมครองโดยมีสิทธิดังต่อไปนี้

1.         ค่ารักษาพยาบาล เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างได้รับการรักษา พยาบาลทันทีและให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น แต่ไม่เกินอัตราที่กำหนด ในกฎกระทรวงหรือไมเกิน 45,000 บาท หากนายสมใจได้รับอันตรายรุนแรง (สาหัส) จะได้รับเพิ่มอีกไมเกิน 65,000 บาท ตามมาตรา 13

2.         ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน โดยนายจ้างต้องจ่ายตามหลักเกณฑ์วิธีการและ อัตราที่กำหนดไนกฎกระทรวงในกรณีนี้นายสมใจจะได้รับเป็นจำนวน 20,000 บาท ตามมาตรา 15

3.         ค่าทดแทนในกรณีไม่สามารถทำงานได้ เมื่อนายสมใจต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เป็นเวลา 3 เดือน นายสมใจจะได้รับค่าทดแทนในอัตราร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายเดือน โดยจ่ายตั้งแต่วันแรกที่ นายสมใจไมสามารถไปทำงานได้ เมื่อนายสมใจได้รับค่าจ้างเดือนละ 11,000 บาท ร้อยละ 60 ของ 11,000 บาท เท่ากับ 6,600 บาท และคูณกับระยะเวลาที่ไม่สามารถทำงานได้ (6,600 คูณ ด้วย 3) เท่ากับ 19,800 บาท ตามมาตรา 18(1)

4.         ค่าทดแทนในกรณีที่ต้องสูญเสียอวัยวะบางส่วนของร่างกาย โดยจะได้รับในอัตราร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายเดือน เมื่อนายสมใจได้รับค่าจ้างเดือนละ 11,000 บาท ร้อยละ 60 ของ 11,000 บาทเท่ากับ 6,600 บาท เมื่อนายสมใจนิ้วหัวแม่เท้าข้างซ้ายขาด 1 นิ้ว ระยะเวลาตามที่กำหนดในกฎกระทรวง คือ 6 เดือน ในกรณีนี้นายสมใจจะได้รับค่าทดแทนเดือนละ 6,600 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตามมาตรา 18(3)

สรุป ภริยานายอุดมไมมีสิทธิได้รับเงินทดแทนเป็นกรณีเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 22(1)

ส่วนนายสมใจมีสิทธิได้รับเงินทดแทน ดังนี้

1.         ค่ารักษาพยาบาลในขั้นแรกไม่เกิน 45,000 บาท หากรุนแรง (สาหัส) จะได้รับ เพิ่มอีกไม่เกิน 65,000 บาท รวมเป็นจำนวนไม่เกิน 110,000 บาท

2.         ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพเป็นจำนวน 20,000 บาท

3.         ค่าทดแทนในกรณีไม่สามารถท่างานได้เป็นจำนวน 19,800 บาท

4.         ค่าทดแทนในกรณีที่ต้องสูญเสียอวัยวะบางส่วนของร่างกาย เดือนละ 6,600 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน

 

ข้อ 4 นายจ้างแสะลูกจ้างบริษัทเอสเตส ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จำกัด ได้ตกลงกันจัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างในเรื่องการจ่ายค่าครองชีพ และโบนัสให้กับลูกจ้างโดยนายจ้างตกลงจ่ายค่าครองชีพ ให้ลูกจ้างทุกเดือน ๆ ละ 3,000 บาท กำหนดจ่ายโบนัสให้ลูกจ้างทุกปี ๆ ละ 2 เดือน ในข้อตกลง กำหนดระยะเวลาให้มีผลผูกพันกันสองปี หลังจากนั้นเป็นเวลา 3 ปี นายจ้างประสบปัญหาทาง เศรษฐกิจจึงตัดสินใจเรียกหัวหน้างานแต่ละฝ่ายมาเจรจาและให้ลงชื่อตกลงในการเปลี่ยนแปลง เรื่องค่าครองชีพโดยลดลงเหลือ 1,000 บาท และไม่จ่ายโบนัสให้อีก ดังนี้การตกลงระหว่างนายจ้าง และหัวหน้างานในการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้นถูกต้องและมีผลผูกพันลูกจ้าง หรือไม ตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518

มาตรา 12 ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง มีผลใช้บังคับภายในระยะเวลาที่นายจ้างและ ลูกจ้างได้ตกลงกัน แต่จะตกลงกันให้มีผลใช้บังคับเกินกว่าสามปีไม่ได้ ถ้ามิได้กำหนดระยะเวลาไว้ให้ถือว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับหนึ่งปีนับแต่วันที่นายจ้างและลูกจ้างได้ตกลงกัน หรือนับแต่วันที่ นายจ้างรับลูกจ้างเข้าทำงาน แล้วแต่กรณี

ในกรณีที่ระยะเวลาที่กำหนดตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างสิ้นสุดลง ถ้ามิได้มีการ เจรจาตกลงกันใหม่ ให้ถือว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้นมีผลใช้บังคับต่อไปอีกคราวละหนึ่งปี

มาตรา 13 วรรคแรกและวรรคสอง การเรียกร้องให้มีการกำหนดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพ การจ้าง หรือการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนายจ้างหรือลูกจ้างต้องแจ้งข้อเรียกร้องเป็นหนังสือ ให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบ

ในกรณีที่นายจ้างเป็นผู้แจ้งข้อเรียกร้อง นายจ้างต้องระบุชื่อผู้เข้าร่วมในการเจรจา โดยจะระบุ ชื่อตนเองเป็นผู้เข้าร่วมในการเจรจาหรือจะตั้งผู้แทนเป็นผู้เข้าร่วมในการเจรจาก็ได้ ถ้านายจ้างตั้งผู้แทนเป็น ผู้เข้าร่วมในการเจรจา ผู้แทนของนายจ้างต้องเป็นกรรมการผู้ถือหุ้น ผู้เป็นหุ้นส่วน หรือลูกจ้างประจำของนายจ้าง กรรมการของสมาคมนายจ้างหรือกรรมการของสหพันธ์นายจ้างและต้องมีจำนวนไม่เกินเจ็ดคน

มาตรา 15 เมื่อได้รับข้อเรียกร้องแล้ว ให้ฝ่ายที่รับข้อเรียกร้องแจ้งชื่อตนเอง หรือผู้แทน

เป็นหนังสือให้ฝ่ายที่แจ้งข้อเรียกร้องทราบโดยมิชักช้า และให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มเจรจากันภายในสามวันนับแต่วันที่ ได้รับข้อเรียกร้อง

มาตรา 18 ถ้านายจ้างหรือสมาคมนายจ้างกับลูกจ้างหรือสหภาพแรงงาน สามารถตกลงเกี่ยวกับ ข้อเรียกร้องตามมาตรา 13 ไต้แล้ว ให้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้นเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายจ้างหรือ ผู้แทนนายจ้าง และผู้แทนลูกจ้างหรือกรรมการของสหภาพแรงงาน แล้วแต่กรณี และให้นายจ้างประกาศข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างโดยเปิดเผยไว้ ณ สถานที่ที่ลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องทำงานอยู่เป็นเวลาอย่างน้อย สามสิบวัน โดยเริ่มประกาศภายในสามวันนับแต่วันที่ไต้ตกลงกัน

ให้นายจ้างนำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามวรรคแรก มาจดทะเบียนต่ออธิบดี หรือ ผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้ตกลงกัน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายจ้างและลูกจ้างได้จัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเรื่องการจ่าย ค่าครองชีพและโบนัส มีผลผูกผันตามข้อตกลงนั้น คือ 2 ปี ซึ่งตามมาตรา 12 กำหนดว่า หากนายจ้างและลูกจ้าง ตกลงกันกำหนดระยะเวลาผูกผันตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างก็สามารถทำได้ แต่กำหนดเวลาผูกผันได้ไม่เกิน 3 บี และหากครบกำหนดเวลานั้นแล้วยังไม่มีการตกลงกันใหม่ให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลผูกพันอีก คราวละ 1 ปี ซึ่งตามข้อเท็จจริงดังกล่าว นายจ้างและลูกจ้างปฏิบัติตามข้อตกลงร่วมกันมา 3 ปี นายจ้างประสบ ปัญหาทางเศรษฐกิจจึงเรียกหัวหน้างานแต่ละฝ่ายมาเจรจาและลงชื่อเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ดังนี้ การตกลงระหว่างนายจ้างและหัวหน้างานดังกล่าวไม่ถูกต้อง เพราะมาตรา 13 วรรคแรก กำหนดให้การ แก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนายจ้างหรือลูกจ้างสามารถทำได้โดยจัดทำข้อเรียกร้องเป็นหนังสือ ต่ออีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งกรณีนี้นายจ้างเป็นฝ่ายมีความประสงคเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง นายจ้าง ต้องปฏิบัติตามมาตรา 13 วรรคสอง คือ ทำข้อเรียกร้องเป็นหนังสือและระบุชื่อผู้แทนในการเจรจาไม่เกิน 7 คน ต่อลูกจ้าง เมื่อลูกจ้างรับข้อเรียกร้องแล้วต้องปฏิบัติตามมาตรา 16 คือ ระบุชื่อผู้แทนที่เข้าร่วมในการเจรจากลับไป และจัดให้มีการเจรจาภายใน 3 วัน นับแต่วันรับข้อเรียกร้อง และเมื่อตกลงกันได้ให้ทั้งสองฝ่ายลงลายมือชื่อ ในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง นายจ้างปิดประกาศภายใน 3 วันและปิดประกาศไว้เป็นเวลา 30 วัน นายจ้าง ต้องนำข้อตกลงนี้ไปจดทะเบียนต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายภายใน 15 วันตามมาตรา 18

สรุป การตกลงระหว่างนายจ้างและหัวหน้างานดังกล่าวไม่ถูกต้องตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์

LAW4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2552

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางสุนิสาอายุ 24 ปี เป็นลูกจ้างพนักงานบัญชีได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท กำลังตั้งครรภ์ ได้หนึ่งเดือน นายกมลเป็นน้องชายอายุ 19 ปี เป็นลูกจ้างได้รับค่าจ้างเดือนละ 9,600 บาท ทั้งสองทำงานวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 08.00 น. ถึง 17.00 น. (พักเที่ยง 1 ชั่วโมง) นายจ้างให้นางสุนิสาและนายกมลทำงานวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ถึง 20.00 น. และ ในวันอาทิตย์ทำงานตั้งแต่เวลา 09.00 น. ถึง 12.00 น. เจช่นนี้จะทำได้หรือไม ได้รับค่าตอบแทน อย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541

มาตรา 39/1 “ห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ทำงานในระหว่างเวลา 22.00 นาฬิกา ถึงเวลา 06.00 นาฬิกา ทำงานล่วงเวลา หรือทำงานในวันหยุด

ในกรณีที่ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์ทำงานในตำแหน่งผู้บริหาร งานวิชาการ งานธุรการ หรือ งานเที่ยวกับการเงินหรือบัญชีนายจ้างอาจให้ลูกจ้างนั้นทำงานล่วงเวลาในวันทำงานได้เท่าที่ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ของลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์โดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อนเป็นคราว ๆ ไป

มาตรา 44 “ห้ามมิให้นายจ้างจ้างเด็กอายุต่ำกว่าสิบห้าปีเป็นลูกจ้าง

มาตรา 45 “ในกรณีที่มีการจ้างเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปีเป็นลูกจ้าง ให้นายจ้าง…

มาตรา 61 “ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงานให้นายจ้างจ่ายค่าล่วงเวลา ให้แกลูกจ้างในอัตราไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ หรือ ไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้าง ตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย

มาตรา 62 “ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานในวันหยุดตามมาตรา 28 มาตรา 29 หรือ มาตรา 30 ให้นายจ้างจ่ายค่าทำงานในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างในอัตรา ดังต่อไปนี้

(1)       สำหรับลูกจ้างซึ่งมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุด ให้จ่ายเพิ่มขึ้นจากค่าจ้างอีกไม่น้อยกว่า หนึ่งเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำหรือไมน้อยกว่าหนึ่งเท่าของอัตราค่าจ้าง ต่อหน่วยในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย

มาตรา 68 “เพื่อประโยชน์แก่การคำนวณค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุด และค่าล่วงเวลา ในวันหยุด ในกรณีที่ลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน อัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานหมายถึง ค่าจ้างรายเดือน หารด้วยผลคูณของสามสิบและจำนวนชั่วโมงทำงานในวันทำงานต่อวันโดยเฉลี่ย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ตามมาตรา 39/1 วรรคแรก ได้บัญญัติห้ามมิให้นายจ้างให้ลูกจ้างซึ่งเป็น หญิงมีครรภ์ทำงานล่วงเวลา หรือทำงานในวันหยุด แต่มีข้อยกเว้นในมาตรา 39/1 วรรคสอง กำหนดว่าสำหรับ ตำแหน่งงานบัญชี นายจ้างอาจให้ทำงานล่วงเวลาในวันทำงานได้โดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้างก่อน ดังนั้น นางสุนิสาจึงทำงานล่วงเวลาในวันศุกร์ได้ตั้งแต่เวลา 18.00 น. ถึง 20.00 น. (2 ชั่วโมง) ซึ่งตามมาตรา 61 กำหนดให้จ่ายค่าล่วงเวลาไนวันทำงานในอัตราไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างในวันทำงานตามชั่วโมงที่ทำ

เมื่อนางสุนิสาเป็นลูกจ้างรายเดือนโดยได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท อัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง เท่ากับค่าจ้างรายเดือนหารด้วยผลคูณของสามสิบและจำนวนชั่วโมงในวันทำงานโดยเฉลี่ย (12,000 หารด้วย 30) เท่ากับ 400 บาท เป็นอัตราค่าจ้างรายวัน และ (400 หารด้วย 8) เท่ากับ 50 บาท เป็นอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง (มาตรา 68) คิดเป็นหนึ่งเท่าครึ่ง (50 คูณด้วย 1.5) เท่ากับ 75 บาท ระยะเวลาในการทำงาน 2 ชั่วโมง ในกรณีนี้ นางสุนิสาจะได้รับเป็นจำนวน (75 คูณด้วย 2) เท่ากับ 150 บาท

สำหรับการทำงานในวันอาทิตย์ระหว่างเวลา 09.00 น. ถึง 12.00 น. (เป็นเวลา 3 ชั่วโมง) นั้น นางสุนิสาไม่สามารถทำงานในวันหยุดได้ตามมาตรา 39/1 วรรคแรก ทั้งตามมาตรา 39/1 วรรคสอง อนุญาตให้ ทำงานได้สำหรับการทำงานล่วงเวลาในวันทำงานเท่านั้น

ส่วนนายกมลอายุ 19 ปี ถือว่าเป็นลูกจ้างปกติไมใช่แรงงานเด็ก (มาตรา 44 ประกอบมาตรา 45) การที่นายกมลทำงานในวันศุกร์ (2 ชั่วโมง) จะได้รับค่าล่วงเวลาในวันทำงานตามมาตรา 61 เช่นกัน ดังนั้น เมื่อ นายกมลเป็นลูกจ้างรายเดือนโดยได้รับค่าจ้างเดือนละ 9,600 บาท อัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงเท่ากับค่าจ้างรายเดือน หารด้วยผลคูณของสามสิบและจำนวนชั่วโมงในวันทำงานโดยเฉลี่ย (9,600 หารด้วย 30) เท่ากับ 320 บาท เป็นอัตราค่าจ้างรายวัน และ (320 หารด้วย 8) เท่ากับ 40 บาท เป็นอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง (มาตรา 68) คิดเป็น หนึ่งเท่าครึ่ง (40 คูณด้วย 1.5) เท่ากับ 60 บาท ระยะเวลาในการทำงาน 2 ชั่วโมง ในกรณีนี้ นายกมลจะได้รับ เป็นจำนวน (60 คูณด้วย 2) เท่ากับ 120 บาท

สำหรับการทำงานในวันอาทิตย์ของนายกมลระหว่างเวลา 09.00 น. ถึง 12.00 น. (3 ชั่วโมง) นายกมลจะได้รบค่าทำงานในวันหยุดเพิ่มจากค่าจ้างอีกไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าของอัตราค่าจ้างในวันทำงานตามชั่วโมง ทีทำ ในกรณีนี้นายกมลจะได้รับค่าทำงานในวันหยุดเป็นจำนวน (40 คูณด้วย 1) เท่ากับ 40 บาท เป็นระยะเวลา 3 ชั่วโมง (40 คูณด้วย 3) เท่ากับ 120 บาท

สรุป นางสุนิสา ได้รับค่าทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน 150 บาท และนางสุนิสาม่สามารถ ทำงานในวันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันหยุดได้

นายกมล ได้รับค่าทำงานล่วงเวลาในวันทำงาน 120 บาท และได้รับค่าทำงานในวันหยุด 120 บาท

 

ข้อ 2. นางอุสาเป็นลูกจ้างได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท นางอุสากำลังตั้งครรภ์ได้ขอลาป่วยเป็น เวลา 20 วัน และต่อมาได้เขียนใบลาป่วยเพื่อไปคลอดบุตรเป็นเวลา 50 รัน นายจ้างเห็นว่านางอุสา ได้เขียนใบลาป่วยรวมเวลาทั้งหมด 70 วัน จึงจ่ายค่าจ้างให้ตลอดระยะเวลาที่ลาตามที่กำหนดไว้ ในมาตรา 57 คือ 30 วัน คิดเป็นจำนวนเงิน 12,000 บาท จากกรณีดังกล่าวท่านเห็นว่าถูกต้อง หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541

มาตรา 32 วรรคแรกและวรรคสาม ให้ลูกจ้างมีสิทธิลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริงการลาป่วยตั้งแต่ สามวันทำงานขึ้นไป นายจ้างอาจให้ลูกจ้างแสดงใบรับรองของแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งหรือของสถานพยาบาล ของทางราชการ ในกรณีที่ลูกจ้างไม่อาจแสดงใบรับรองของแพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งหรือของสถานพยาบาลของ ทางราชการได้ ให้ลูกจ้างชี้แจงให้นายจ้างทราบ

วันที่ลูกจ้างไม่สามารถทำงานได้เนื่องจากประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเนื่องจากการ ทำงาน และวันลาเพื่อคลอดบุตรตามมาตรา 41 มิให้ถือเป็นวันลาป่วยตามมาตรานี้

มาดรา 41 วรรคแรก ให้ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงมีครรภ์มีสิทธิลาเพื่อคลอดบุตรครรภ์หนึ่งไม่เกิน

เก้าสิบวัน

มาตรา 57 วรรคแรก ไห้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างในวันลาป่วยตามมาดรา 32 เท่ากับ อัตราค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ปีหนึ่งต้องไม่เกินสามสิบวันทำงาน

มาตรา 59 “ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างซึ่งเป็นหญิงในวันลาเพื่อคลอดบุตรเท่ากับค่าจ้าง ในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลาแต่ไมเกินสี่สิบห้าวัน

วินิจฉัย

ลูกจ้างมีสิทธิลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง และให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้ตลอดเวลาที่ลาป่วยแต่ไม่เกิน 30 วัน (มาตรา 32 วรรคแรก และมาตรา 57 วรรคนรก)

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อนางอุสาลาป่วย 20 วัน นางอุสาจึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างในการลาป่วย เป็นจำนวน 20 วัน นางอุสาได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท (เฉลี่ยวันละ 400 บาท) ในกรณีนี้นางอุสา จึงมิสิทธิได้รับค่าจ้างในวันลาป่วยเป็นจำนวน (20 คูณด้วย 400) เท่ากับ 8,000 บาท

ในกรณีลาคลอดตามมาตรา 41 วรรคแรก กำหนดว่าลูกจ้างมีสิทธิลาคลอดได้ 90 วัน และ จะมีสิทธิได้รับค่าจ้างในระหว่างลาคลอดเป็นจำนวน 45 วัน ตามมาตรา 59 ดังนั้น การที่นางอุสาลาคลอด 50 วัน นางอุสาจึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันลาคลอดเป็นจำนวน 45 วัน (เฉลี่ยวันละ 400 บาท) ในกรณีนี้นางอุสา จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันลาคลอดเป็นจำนวน (45 คูณด้วย 400) เท่ากับ 18,000 บาท

และข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่นายจ้างเห็นว่านางอุสาได้เขียนใบลาป่วยรวมเวลาทั้งหมด 70 วัน โดยการเอาวันลาป่วยกับวันลาคลอดรวมกันนั้น นายจ้างไม่อาจทำได้เพราะตามมาตรา 32 วรรคสาม มิให้ถือว่าวันลาคลอดบุตรเป็นวันลาป่วยตามมาตรา 32 วรรคแรก ดังนั้นการกระทำของนายจ้างจึงไมถูกต้อง

สรุป นายจ้างไม่สามารถรวมวันลาป่วยกับวันลาคลอดไว้ด้วยกันได้ตามมาตรา 32 วรรคสาม จากกรณีดังกล่าวการกระทำของนายจ้างจึงไม่ถูกต้อง

 

ข้อ 3. ติ่งเป็นพนักงานขับรถส่งสินค้าของบริษัทศรีสยามเคหะภัณฑ์ จำกัด มีหน้าที่ขับรถไปส่งสินค้าให้ แกลูกค้าตามจังหวัดต่าง ๆ ได้รับค่าจ้างเดือนละ 12,000 บาท วันเกิดเหตุติ่งขับรถไปส่งของที่ จ. ขอนแก่น ขณะอยู่ระหว่างทางที่ จ.นครราชสีมา ติ่งเร่งความเร็วของรถเพื่อทำเวลาในการส่งสินค้า เมื่อถึงทางโค้งติ่งไม่สามารถบังคับรถได้ รถเสียหลักพุ่งชนเกาะกลางถนน แล้วไถลไปชนเข้ากับ รถฝั่งตรงข้ามที่สวนทางมา ติ่งเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ติ่งมีภรรยา มารดาและบุตร อายุ 16 ปี ภรรยานายติ่งเรียกร้องเงินทดแทนจากนายจ้าง นายจ้างอ้างว่าติ่งประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำไห้เกิดเหตุครั้งนี้ขึ้น นายจ้างจึงจ่ายเฉพาะค่าทำศพให้ภรรยาของติ่งจำนวน 20,000 บาทเท่านั้น เงินทดแทนที่เหลือจะหักเพื่อจ่ายค่าซ่อมรถ และชดใช้ให้รถคูกรณี ดังนั้นการที่นายจ้างจ่ายเงิน ทดแทนเฉพาะค่าทำศพนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ภรรยา มารดา และบุตรของติ่งจะมีสิทธิ ได้รับเงินทดแทนอื่นหรือไม่ อย่างไร ให้อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537

มาตรา 5 ในพระราชบัญญัตินี้

ประสบอันตราย” หมายความว่า การที่ลูกจ้างได้รับอันตรายแกกายหรือผลกระทบแก่จิตใจ หรือถึงแกความตายเนื่องจากการทำงานหรือป้องกันรักษาประโยชน์ให้แก่นายจ้าง หรือตามคำสั่งของนายจ้าง

มาตรา 16 “เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจนถึงแกความตายหรือสูญหาย ให้ นายจ้างจ่ายค่าทำศพแกผู้จัดการศพของลูกจ้างเป็นจำนวนหนึ่งร้อยเท่าของอัตราสูงสุดของค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน ตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน

มาตรา 18 “เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยหรือสูญหาย ให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทน เป็นรายเดือนให้แกลูกจ้ารงหรือผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 แล้วแต่กรณี ดังต่อไปนี้

(4) ร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน สำหรับกรณีที่ลูกจ้างถึงแกความตายหรือสูญหาย

มีกำหนดแปดปี

มาตรา 20 “เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจนถึงแก่ความตายหรือสูญหาย ให้บุคคล ดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากนายจ้าง

(1)       บิดามารดา

(2)       สามีหรือภรรยา

(3)       บุตรมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี เว้นแต่เมื่อมีอายุครบสิบแปดปีและยังศึกษาอยู่ในระดับที่ ไม่สูงกว่าปริญญาตรี ให้ได้รับส่วนแบ่งต่อไปตลอดระยะเวลาที่ศึกษาอยู่

มาตรา 21 วรรคแรก ให้ผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 ได้รับส่วนแบ่งในเงินทดแทนเท่ากัน

มาตรา 23 “ห้ามมิให้นายจ้างหักเงินทดแทนเพื่อการใด ๆ และเงินทดแทนไม่อยู่ในความรับผิด

แห่งการบังคับคดี

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ติ่งเป็นพนักงานขับรถส่งสินค้าของบริษัท วันเกิดเหตุได้ขับรถไปส่งสินค้า ที่ต่างจังหวัด ติ่งขับรถเร็วเป็นเหตุให้เสียหลักพุ่งชนเกาะกลางถนน แล้วไถลไปชนเข้ากับรถฝั่งตรงข้ามที่สวนทางมา ติ่งเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ ติ่งมีทายาทที่มีสิทธิได้รับเงินทดแทนได้แก่ ภรรยา มารดา และบุตร อายุ 16 ปี ซึ่ง ตามกฎหมายเมื่อลูกจ้างถึงแกความตายเนื่องจากการทำงาน นายจ้างต้องจ่ายเงินทดแทน ดังนี้ คือ

1. ค่าทำศพเป็นจำนวน 100 เท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายวันสูงสุด (206 บาท) เป็นจำนวน (100 คูณด้วย 206) เท่ากับ 20,600 บาท ตามมาตรา 16

2. ค่าทดแทนในอัตราร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายเดือนมีกำหนด 8 ปี เมื่อติ่งได้รับค่าจ้าง เดือนละ 12,000 บาท ร้อยละ 60 ของ 12,000 เท่ากับ 7,200 บาท ตามมาตรา 18(4)

และต้องจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 คือ ภรรยา มารดาและบุตรอายุ 16 ปี โดยต้อง นำเงินมาแบ่งเท่า ๆ กัน ตามมาตรา 21 วรรคแรก ดังนั้นการที่นายจ้างอ้างว่าติ่งประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ทำให้เกิดเหตุครั้งนี้ขึ้น นายจ้างจึงจ่ายเฉพาะค่าทำศพให้ภรรยาของติ่ง จำนวน 20,000 บาทเท่านั้น จึงไม่ถูกต้อง เพราะแม้ว่าติ่งจะมีส่วนผิดอยู่ด้วยในการเกิดเหตุครั้งนี้ นายจ้างก็ไม่สามารถหักเงินทดแทนเพื่อการใด ๆ ได้ ตามมาตรา 23 ภรรยา มารดา และบุตรของติ่งมีสิทธิได้รับเงินทดแทนอื่นที่เหลือตามกฎหมาย

สรุป การที่นายจ้างจ่ายเฉพาะค่าทำศพให้ภรรยาของติ่ง จำนวน 20,000 บาทเท่านั้น

จึงไม่ถูกต้อง และภรรยา มารดา และบุตรของติ่งมีสิทธิได้รับเงินทดแทนอื่นที่เหลือตามกฎหมาย

 

ข้อ 4. ลูกจ้างบริษัทสามารถอิเล็กทรอนิกส์ จำกัด รวมตัวกันยื่นข้อเรียกร้องกับนายจ้างเพื่อจัดทำข้อตกลง เกี่ยวกับสภาพการจ้าง มี นิค แมน น้อย เป็นแกนนำ การเจรจาเกี่ยวกับข้อเรียกร้องเป็นไปด้วยดี ทั้งฝายนายจ้างและลูกจ้าง ทำให้สามารถทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างได้เป็นผลสำเร็จ ทั้งสองฝ่ายกำหนดระยะเวลาเพื่อให้ข้อตกลงฯ ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ 2 ปี นายจ้างนำข้อตกลงฯ ไปปิดประกาศและจดทะเบียนตามกฎหมาย ลูกจ้างทำงานกันต่อไปได้เพียง 6 เดือน นายจ้างมีคำสั่ง ย้ายแมนไปเป็นพนักงานทำความสะอาด และย้ายนิคไปอยู่ในตำแหน่งพนักงานส่งเอกสารซึ่งเป็น ตำแหน่งที่ต่ำกว่าเดิม และปรับเปลี่ยนสวัสดิการบางอย่างจากที่ตกลงไว้ โดยเพิ่มคูปองอาหาร กลางวันให้แกลูกจ้างทุกคนในบริษัท ดังนี้ การที่นายจ้างโยกย้ายหน้าที่การงานของแมนและนิค และการเปลี่ยนแปลงด้านสวัสดิการดังกล่าวถือเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ หรือไม่ อย่างไร ให้อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518

มาตรา 12 “ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง มีผลใช้บังคับภายในระยะเวลาที่นายจ้างและ ลูกจ้างได้ตกลงกัน แต่จะตกลงกันให้มีผลใช้บังคับเกินกว่าสามปีไม่ได้ ถ้ามิได้กำหนดระยะเวลาไว้ให้ถือว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับหนึ่งปีนับแต่วันที่นายจ้างและลูกจ้างได้ตกลงกัน หรือนับแต่วันที่ นายจ้างรับลูกจ้างเข้าทำงาน แล้วแต่กรณี

ในกรณีที่ระยะเวลาที่กำหนดตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพภารจ้างสิ้นสุดลง ถ้ามิได้มีการเจรจา ตกลงกันใหม่ ให้ถือว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างนั้นมีผลใช้บังคับต่อไปอีกคราวละหนึ่งปี

มาตรา 13 วรรคแรก การเรียกร้องให้มีการกำหนดข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง หรือ การแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง นายจ้างหรือลูกจ้างต้องแจ้งข้อเรียกร้องเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่ง ทราบ

มาตรา 20 เมื่อข้อตกลงกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับแล้ว ห้ามมีให้นายจ้างทำสัญญา จ้างแรงงานกับลูกจ้างขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เว้นแต่สัญญาจ้างแรงงานนั้นจะเป็นคุณแกลูกจ้างยิ่งกว่า

มาตรา 123 ‘‘ในระหว่างที่ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างหรือคำชี้ขาดมีผลใช้บังคับ ห้ามมิให้ นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง ผู้แทนลูกจ้าง กรรมการ อนุกรรมการ หรือสมาชิกสหภาพแรงงาน หรือกรรมการ หรือ อนุกรรมการสหพันธ์แรงงาน ซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง…

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ลูกจ้างรวมตัวกันเรียกร้องเพื่อจัดทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ซึ่งสามารถทำได้ตามมาตรา 13 วรรคแรก เมื่อตกลงกันได้ทั้งสองฝ่ายกำหนดระยะเวลาผูกพันตามข้อตกลงดังกล่าว ระยะเวลา 2 ปี จึงมีผลตามกฎหมายตามมาตรา 12 ประกอบมาตรา 20 กล่าวคือ ระหว่างข้อตกลงเกี่ยวกับ สภาพการจ้างมีผลบังคับใช้อยู่ นายจ้างไม่สามารถกระทำการ คือ เลิกจ้างลูกจ้างตามมาตรา 123 และไม่สามารถ ทำสัญญาจ้างแรงงานขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เว้นแต่จะเป็นคุณกับลูกจ้างยิ่งกว่า

ดังนั้น การที่นายจ้างโยกย้ายหน้าที่การงานของแมนและนิคซึ่งเป็นแกนนำในการเรียกร้อง นายจ้างจึงไม่มีความผิด เพราะตามมาตรา 123 ไมได้ห้ามการโยกย้ายหน้าที่การงานลูกจ้าง และการที่นายจ้าง เพิ่มสวัสดิการโดยจัดให้มีคูปองอาหารให้ลูกจ้าง ถือว่าเป็นคุณกับลูกจ้าง ทั้งสองกรณีจึงถือว่านายจ้างสามารถทำได้ ไม่เป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายแต่อย่างใด

สรุป การที่นายจ้างโยกย้ายหน้าที่การงานของแมนและนิคซึ่งเป็นแกนนำในการเรียกร้องนายจ้าง และการเปลี่ยนแปลงสวัสดิการดังกล่าวไมเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย

LAW4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2552

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายจ้างทำสัญญาจ้างนายสำเภาเป็นลูกจ้าง โดยชำระค่าจ้างให้เดือนละ 10,000 บาท ทุก ๆ วัน สิ้นเดือน โดยในสัญญามีข้อตกลงว่า ในระยะเวลา 200 วันนับจากวันเริ่มปฏิบัติงานให้ถือว่าเป็น ระยะเวลาทดลองงาน นายจ้างชอบที่จะเลิกจ้างนายสำเภาเมื่อใดก็ได้ โดยไมต้องจ่ายค่าชดเชย และไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า และหลังจาก 200 วันแล้ว หากผลการปฏิบัติงานเป็นที่น่าพอใจ ก็จะบรรจุเป็นลูกจ้างประจำ” แค่เมื่อผ่านไปได้ 150 วัน นายจ้างเห็นว่า นายสำเภาทำงานไม่เป็นที่ น่าพอใจจึงบอกเลิกสัญญาจ้างทันทีในวันที่ 30 เมษายน โดยชำระค่าจ้างให้ 10,000 บาทเท่านั้น เช่นนี้นายสำเภาจะต่อสู้ได้หรือไม่ และมีสิทธิอย่างไรบ้างหรือไม เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541

มาตรา 17 วรรคสอง ในกรณีที่สัญญาจ้างไม่มีกำหนดระยะเวลา นายจ้างหรือลูกจ้างอาจ บอกเลิกสัญญาจ้างโดยบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้อีกฝ่ายหนึ่งทราบในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายค่าจ้าง คราวหนึ่งคราวใด เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็ได้ แต่ไม่จำต้อง บอกกล่าวล่วงหน้าเกินสามเดือน

มาดรา 118 “ให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แกลูกจ้างซึ่งเลิกจ้างดังต่อไปนี้

(1) ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันครบหนึ่งร้อยยี่สิบวัน แต่ไม่ครบหนึ่งปี ให้จ่ายไมน้อยกว่า ค่าจ้างอัตราสุดท้ายสามสิบวัน หรือไม่น้อยกว่าค่าจ้างของการทำงานสามสิบวันสุดท้ายสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้าง ตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 150 “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้าม ชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้น เป็นโมฆะ

วินิจฉัย

โดยหลัก ถ้าเป็นสัญญาจ้างแรงงานที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา หากนายจ้างต้องการเลิกจ้าง ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นหนังสือให้ลูกจ้างทราบในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดการจ่ายค่าจ้างในคราวหนึ่ง คราวใด เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากัน เมื่อถึงกำหนดจ่ายค่าจ้างคราวถัดไปตามมาตรา 17 วรรคสอง

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาจ้างแรงงานระหว่างนายจ้างกับนายสำเภาเป็นสัญญาที่ไม่มีกำหนด ระยะเวลาการจ้างแน่นอน เพราะการจ้างงานที่ระบุระยะเวลาการจ้างขั้นต่ำและขั้นสูงไว้เป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนด ระยะเวลาการจ้างแน่นอน (ฎีกาที่ 2155/2524) ดังนั้นการบอกเลิกสัญญาจ้างก็ต้องทำตามมาตรา 17 วรรคสอง กรณีที่ในสัญญามีข้อตกลงว่า นายจ้างชอบที่จะเลิกจ้างนายสำเภาเมื่อใดก็ได้โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบนั้น เป็นการ ตกลงที่ขัดกับมาตรา 17 วรรคสอง ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ข้อตกลงดังกล่าว จึงมีผลเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 ดังนั้น การที่นายจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างทันที ในวันที่ 30 เมษายน จึงไม่ ถูกต้อง ให้ถือว่าเป็นการบอกกล่าวและมีผลเป็นการเลิกสัญญาได้ในการชำระสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้า คือวันที่ 31 พฤษภาคม (ตามมาตรา 17 วรรคสอง)

และในส่วนข้อตกลงที่ว่า นายจ้างชอบที่จะเลิกจ้างนายสำเภาได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม มาตรา 118 ก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน เพราะเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ข้อตกลงในส่วนนี้ จึงมีผลเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150 ดังนั้น เมื่อนายสำเภาทำงานมาแล้ว 150 วัน ซึ่งถือเป็นการทำงาน ติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 1 ปี นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้นายสำเภาตามมาตรา 118(1) คือ 30 วัน คิดเป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท (ฎ. 5249/2545) ถึงแม้จะอยู่ในระยะเวลาทดลองงานก็ตาม เพราะการทดลองงาน ก็เป็นการทำงานให้นายจ้างด้วยเช่นกัน

สรุป นายสำเภาสามารถต่อสู้ได้ว่าการบอกเลิกสัญญาจ้างของนายจ้างดังกล่าวไม่ถูกต้อง และนายสำเภามีสิทธิได้รับค่าชดเชยเป็นเวลา 30 วัน คิดเป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท

 

ข้อ 2. นายพิศาลเป็นลูกจ้างได้รับค่าจ้างเดือนละ 9,000 บาท ต่อมานายพิศาลป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ต้อง ลาป่วยรักษาตัวเป็นเวลา 20 วัน หลายเตือนต่อมานายพิศาลได้รับสารพิษในโรงงานขณะทำงาน อยู่ต้องเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวเป็นเวลา 1 เดือน นายจ้างเห็นว่านายพิศาลได้ลาป่วยเข้าโรงพยาบาล เป็นเวลา 50 วัน จึงจ่ายค่าจ้างให้ 9,000 บาท แต่นายพิศาลเห็นว่าไม่ถูกต้อง จากข้อเท็จจริงดังกล่าว ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน นายพิศาลจะได้รับเงินอะไรบ้าง เป็นจำนวนเท่าใด จากกฎหมายใด จงอธิบาย

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541

มาตรา 32 วรรคแรกและวรรคสาม ให้ลูกจ้างมีสิทธิลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง…

วันที่ลูกจ้างไม่สามารถทำงานไต้เนื่องจากประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเนื่องจากการทำงานและวันลาเพื่อคลอดบุตรตามมาตรา 41 มิให้ถือเป็นวันลาป่วยตามมาตรานี้

มาตรา 57 วรรคแรก ให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างในวันลาป่วยตามมาตรา 32 เท่ากับ อัตราค่าจ้างในวันทำงานตลอดระยะเวลาที่ลา แต่ปีหนึ่งต้องไม่เกินสามสิบวันทำงาน

และตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537

มาตรา 5 “ในพระราชบัญญัตินี้

เจ็บป่วย” หมายความว่า การที่ลูกจ้างเจ็บป่วยหรือถึงแก่ความตายด้วยโรคซึ่งเกิดขึ้นตาม ลักษณะหรือสภาพของงานหรือเนื่องจากการทำงาน

มาตรา 13 เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างได้รับการรักษา พยาบาลทันทีตามความเหมาะสมแกอันตรายหรือความเจ็บป่วยนั้น    และให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นแตไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา 18 “เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยหรือสูญหาย ให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทน เป็นรายเดือนให้แกลูกจ้างหรือผู้มสิทธิตามมาตรา 20 แล้วแต่กรณี ดังต่อไปนี้

(1) ร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน สำหรับกรณีที่ลูกจ้างไม่สามารถทำงานติดต่อกันได้ เกินสามวันไมว่าลูกจ้างจะสูญเสียอวัยวะตาม (2) ด้วยหรือไม่ก็ตาม โดยจ่ายตั้งแต่วันแรกที่ลูกจ้างไม่สามารถ ทำงานได้ไปจนตลอดระยะเวลาที่ไม่สามารถทำงานได้ แต่ต้องไม่เกินหนึ่งปี

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพิศาลป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ต้องลาป่วยรักษาตัวเป็นเวลา 20 วัน ซึ่งตามกฎหมายนั้นกำหนดให้ลูกจ้างมีสิทธิลาป่วยได้เท่าที่ป่วยจริง และ มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันลาป่วยไม่เกิน 30 วันทำงานต่อปีตามมาตรา 32 วรรคแรก ประกอบมาตรา 57 วรรคแรก แห่ง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน เมื่อนายพิศาลลาป่วย 20 วัน จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันลาป่วยเป็นจานวนเงิน 6,000 บาท

ส่วนกรณีที่นายพิศาลป่วยเพราะได้รับสารพิษในโรงงานนั้น ถือเป็นการเจ็บป่วยเนื่องจาก การทำงาน (พ.ร.บ. เงินทดแทนมาตรา 5) นายพิศาลจึงมีสิทธิได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน คือ นายจ้างจะต้องจัดให้นายพิศาลได้รับการรักษาพยาบาลทันที และจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้นายพิศาลตามมาตรา 13 โดยจ่ายจริงเท่าที่จำเป็น แต่ไมเกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง (คือ ไม่เกิน 45,000 บาท และหากนายพิศาล เจ็บป่วยรุนแรงนายจ้างต้องจ่ายเพิ่มอีกไม่เกิน 65,000 บาท)

และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายพิศาลต้องอยู่โรงพยาบาลเพื่อรักษาตัวเป็นเวลา 1 เดือน จึงเป็นกรณีที่ลูกจ้างไม่สามารถทำงานติดต่อกันได้เกิน 3 วัน นายจ้างจึงต้องจ่ายค่าทดแทนให้แกนายพิศาลอีก ตามมาตรา 18(1) แห่ง พ.ร.บ. เงินทดแทน คือ ต้องจ่ายร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายเดือน เมื่อนายพิศาลไม่สามารถ ทำงานได้ 1 เดือน จึงคิดเป็นจำนวนเงิน 5,400 บาท

ดังนั้น การที่นายจ้างเห็นว่านายพิศาลได้ลาป่วยเข้าโรงพยาบาลเป็นเวลา 50 วัน จึงจ่ายค่าจ้าง ให้ 9,000 บาทนั้น จึงไม่ถูกต้อง เพราะการที่ลูกจ้างไม่สามารถทำงานได้เนื่องจากครามเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเนื่องจาก การทำงานไม่ให้ถือว่าเป็นวันลาป่วยตามมาตรา 32 วรรคสาม แห่ง พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน นายจ้างจึงไม่สามารถ นำมารวมกันได้

สรุป นายพิศาลมีสิทธิได้รับเงินค่าจ้างในวันลาป่วย จำนวน 6,000 บาท ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน และมีสิทธิได้รับเงินตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน ดังนี้

1.         ค่ารักษาพยาบาล ในขั้นแรกจะได้รับไม่เกิน 45,000 บาท และหากเจ็บป่วยรุนแรง ก็จะได้รับเพิ่มอีกไมเกิน 65,000 บาท

2.         ค่าทดแทนในกรณีที่นายพิศาลไม่สามารถทำงานได้เป็นจำนวน 5,400 บาท

 

ข้อ 3. นายมานิตเป็นลูกจ้างได้รับค่าจ้างเดือนละ 10,000 บาท ในขณะทำงานอยู่นั้นได้เกิดอุบัติเหตุ เสาคอนกรีตล้มทับนายมานิต นายมานิตต้องผ่าตัดทำการรักษาอยู่ 5 เดือน โดยต้องตัดขาทิ้ง ทั้งสองข้างกลายเป็นคนทุพพลภาพ เช่นนี้จะมีสิทธิได้รับอะไรบ้าง เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537 มาตรา 5 “ในพระราชบัญญัตินี้

ประสบอันตราย” หมายความว่า การที่ลูกจ้างได้รับอันตรายแกกายหรือผลกระทบแก่จิตใจ หรือถึงแกความตายเนื่องจากการทำงานหรือป้องกันรักษาประโยชน์ให้แกนายจ้าง หรือตามคำสั่งของนายจ้าง

มาตรา 13        เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างได้รับการ

รักษาพยาบาลทันทีตามความเหมาะสมแก่อันตรายหรือความเจ็บป่วยนั้น และให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นแค่ไม่เกินอัตราทีกำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา 15 “กรณีที่ลูกจ้างจำเป็นต้องได้รับการพื้นพู่สมรรถภาพในการทำงานภายหลังการ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ให้นายจ้างจ่ายค่าพื้นพู่สมรรถภาพในการทำงานของลูกจ้างตามความจำเป็นตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา 18 “เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยหรือสูญหาย ให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทน เป็นรายเดือนให้แกลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 แล้วแต่กรณี ดังต่อไปนี้

(1) ร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน สำหรับกรณีที่ลูกจ้างไม่สามารถทำงานติดต่อกันได้ เกินสามวันไมว่าลูกจ้างจะสูญเสียอวัยวะตาม (2) ด้วยหรือไม่ก็ตาม โดยจ่ายตั้งแต่วันแรกที่ลูกจ้างไม่สามารถ ทำงานได้ไปจนตลอดระยะเวลาที่ไม่สามารถทำงานได้ แต่ต้องไม่เกินหนึ่งปี

(3) ร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน สำหรับกรณีที่ลูกจ้างทุพพลภาพ โดยจ่ายตามประเภท ของการทุพพลภาพและตามระยะเวลาที่จะต้องจ่ายตามที่กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมประกาศกำหนด แต่ต้องไม่เกินสิบห้าปี

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายมานิตเป็นลูกจ้างได้รับค่าจ้างเดือนละ 10,000 บาท ในขณะทำงาน อยู่นั้นได้เกิดอุบัติเหตุเสาคอนกรีตล้มทับนายมานิตได้รับบาดเจ็บ กรณีเช่นนี้ ถือว่านายมานิตได้ประสบอันตราย เนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างตามมาตรา 5 ซึ่งนายมานิตจะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน โดยมีสิทธิดังต่อไปนี้

1.         ได้รับค่ารักษาพยาบาล โดยนายจ้างต้องจัดให้ลูกจ้างได้รับการรักษาพยาบาลทันที และ ให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นแต่ไม่เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง ในกรณีนี้ นายมานิตจะได้รับค่ารักษาพยาบาล ในเบื้องต้น 45,000 บาท เมื่อนายมานิตได้รับบาดเจ็บรุนแรง (ต้องผ่าตัด) ก็จะได้รับเพิ่มอีกไม่เกิน 65,000 บาท ตามมาตรา 13

2.         ได้รับค่าพื้นพู่สมรรถภาพในการทำงาน โดยนายจ้างต้องจ่ายตามความจำเป็น ตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง ในกรณีนี้ นายมานิตจะได้รับเป็นค่าฟื้นฟูสมรรถภาพ ในการทำงาน เป็นจำนวน 20,000 บาท และในกรณีรุนแรงอีก เป็นจำนวน 20,000 บาท รวมทั้งสิน 40,000 บาท ตามมาตรา 15

3.         ได้รับคาทดแทนในกรณีไมสามารถทำงานได้ เมื่อนายมานิตต้องผ่าตัดทำการรักษา อยู่ 5 เดือน ซึ่งถือว่าติดต่อกันเกิน 3 วัน นายมานิตจะได้รับค่าทดแทนในอัตราร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายเดือน โดยจ่ายตั้งแต่วันแรกที่นายมานิตไมสามารถทำงานได้ เมื่อนายมานิตได้รับค่าจ้างเดือนละ 10,000 บาท ร้อยละ 60 ของ 10,000 จึงเท่ากับ 6,000 บาท และคูณกับระยะเวลาที่ไม่สามารถทำงานได้ (6,000 X 5) เท่ากับ 30,000 บาท ตามมาตรา 18(1)

4. ได้รับค่าทดแทนในกรณีทุพพลภาพ เมื่อนายมานิตต้องตัดขาทิ้งทั้งสองข้างกลายเป็น คนทุพพลภาพ นายมานิตจึงมีสิทธิได้รับค่าทดแทนในกรณีทุพพลภาพในอัตราร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายเดือน เมื่อนายมานิตได้รับค่าจ้างเดือนละ 10,000 บาท ร้อยละ 60 ของ 10,000 จึงเท่ากับ 6,000 บาท โดยที่นายมานิต จะได้รับค่าทดแทนในกรณีนี้เดือนละ 6,000 บาท เป็นระยะเวลาไม่เกิน 15 ปีตามมาตรา 18(3)

สรุป เมื่อนายมานิตประสบอันตรายจะได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน โดยมีสิทธิ

ดังนี้

1.         ได้รับค่ารักษาพยาบาล ในเบื้องต้นเป็นจำนวน 45,000 บาท และได้รับเพิ่มในกรณีรุนแรง อีกไม่เกิน 65,000 บาท

2.         ได้รับค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน เป็นจำนวน 40,000 บาท

3.         ได้รับค่าทดแทนในกรณีไม่สามารถทำงานได้ เป็นจำนวน 30,000 บาท

4.         ได้รับค่าทดแทนในกรณีทุพพลภาพ เดือนละ 6,000 บาท เป็นระยะเวลาไม่เกิน 15 ปี

 

ข้อ 4. ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ ถ้าหากว่าในบริษัทแห่งหนึ่งมีลูกจ้างทั้งหมด 200 คน และ มีลูกจ้างที่ต้องการยื่นเรื่องให้ฝ่ายนายจ้างพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง จะมีขั้นตอนในการดำเนินการอย่างไร จนกระทั่งสามารถตกลงกันได้ จงอธิบายโดยสังเขป

งคำตอบ

อธิบาย

ในกรณีที่ลูกจ้างต้องการยื่นเรื่องให้ฝ่ายนายจ้างพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับสภาพการจ้าง จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ฯ ดังนี้คือ

ฝ่ายลูกจ้างจะต้องแจ้งข้อเรียกร้องนั้นไปยังฝ่ายนายจ้าง โดยทำเป็นหนังสือแจ้งไปยังฝ่ายนายจ้าง (มาตรา 13 วรรคแรก) และข้อเรียกร้องดังกล่าว จะต้อง

1.         มีรายชื่อ และ

2.         มีลายมือชื่อ (ลายเซ็น) ของลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องในจำนวนไม่น้อยกว่า ร้อยละ 15 ของลูกจ้างทั้งหมดซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อบริษัทแห่งหนึ่งมีลูกจ้างทั้งหมด 200 คน ในกรณีเช่นนี้จะต้องมีลูกจ้าง ไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของลูกจ้างทังหมด คือ มีจำนวน 30 คน จึงจะสามารถยื่นข้อเรียกร้องได้

และถ้าลูกจ้างได้เลือกตั้งผู้แทนเพื่อเข้าร่วมเจรจาไว้แล้วให้ระบุชื่อผู้แทนที่จะเข้าร่วมเจรจาไม่เกิน 7 คน พร้อมกับการแจ้งข้อเรียกร้องด้วย แต่ถ้าหากลูกจ้างยังมิได้เลือกตั้งผู้แทนลูกจ้างก็มีสิทธิยื่นข้อเรียกร้อง ไปก่อน และเลือกตั้งผู้แทนตามไปในภายหลังก็ได้ (มาตรา 13 วรรคสาม)

ทั้งนี้ เมื่อนายจ้างได้รับข้อเรียกร้องแล้ว ต้องแจ้งชื่อตนเองหรือผู้แทนเป็นหนังสือให้ฝ่ายลูกจ้าง ทราบโดยมิชักช้า และให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มเจรจากันภายใน 3 วัน นับแต่วันที่นายจ้างได้รับข้อเรียกร้อง (มาตรา 16)

ในกรณีที่สามารถตกลงกันได้จะต้องดำเนินการดังนี้

การทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างและการจดทะเบียนข้อตกลง (มาตรา 18)

1.         ให้นายจ้างและลูกจ้างทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ได้ตกลงร่วมกันเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อของนายจ้างหรือผู้แทนนายจ้างและผู้แทนลูกจ้างหรือกรรมการของสหภาพแรงงาน แล้แต่กรณี

2.         ให้นายจ้างติดประกาศข้อตกลงดังกล่าวไว้ในที่เปิดเผยภายใน 3 วัน นับแต่ที่ตกลงกัน เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 30 วัน

3.         ให้นายจ้างนำข้อตกลงที่เกี่ยวกับสภาพการจ้างไปจดทะเบียนต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดี มอบหมายภายใน 15 วัน

ผลผูกพันข้อตกลง (มาตรา 19)

ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ได้ตกลงร่วมกันใหม่นี้ จะมีผลผูกพันและใช้บังคับได้กับ นายจ้างและลูกจ้างที่ได้ร่วมลงลายมือชื่อในข้อเรียกร้องเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ตลอดจนถึงมีผลผูกพันกับลูกจ้าง ซึ่งได้ลงคะแนนเลือกตั้งผู้แทนเข้าร่วมเจรจากับอีกฝ่ายหนึ่งด้วย ส่วนลูกจ้างที่ไมได้เข้าร่วมในการเจรจาตั้งแต่ต้น หรือไม่ได้ลงคะแนนเลือกตั้งผู้แทน โดยทั่วไปแล้วจะไม่ได้รับสิทธิตามข้อตกลงใหม่แต่อย่างใด (มาตรา 19 วรรคแรก)

แต่ถ้าลูกจ้างที่เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องเกินกว่า 2 ใน 3 ของลูกจ้างทั้งหมด หรือลูกจ้างที่ เกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องนั้นเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานในกิจการประเภทเดียวกัน ซึ่งเข้าเป็นตัวแทนร่วมเจรจา แทนลูกจ้าง เกินกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกของสหภาพแรงงานนั้น ดังนี้ ให้ถือว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ฉบับใหม่นี้มีผลใช้บังคับกับลูกจ้างและนายจ้างที่ทำงานในกิจการประเภทเดียวกันทั้งหมด

และถ้าผู้แทนลูกจ้างเป็นผู้เจรจากับฝายนายจ้างเองและมีลูกจ้างเกี่ยวกับข้อเรียกร้องนั้น เกินกว่า 2 ใน 3 ถือว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับใหม่นี้มีผลใช้บังคับกับลูกจ้างทุกคนในกิจการนั้น (ซึ่งรวมถึงลูกจ้าง 1 ใน 3 ที่ไม่ได้เข้าร่วมในการเรียกร้องด้วย)

ห้ามทำสัญญาขัดกับข้อตกลง (มาตรา 20)

ภายหลังจากข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับแล้ว ตลอดเวลาที่ข้อตกลงมีผลใช้ บังคับอยู่ ห้ามมิให้นายจ้างทำสัญญาจ้างแรงงานกับลูกจ้างขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เว้นแต่ การทำสัญญาจ้างนั้นจะให้คุณแกลูกจ้างยิ่งกว่าเดิม เช่นนี้นายจ้างสามารถที่จะทำได้

LAW4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4004 กฎหมายแรงงานและการประกันสังคม

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสมหมายลูกจ้างบริษัทสุขสบายดี จำกัด ถูกนายเกียรติกล่าวหาว่าหมิ่นประมาทและได้บอก เลิกจ้างนายสมหมาย อีกทั้งไม่จ่ายค่าชดเชย นายสมหมายจึงฟ้องต่อศาลแรงงานเรียกค่าชดเชย นายเกียรตินายจ้างยกข้อต่อสู้ในคำให้การว่า ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเนื่องจากนายสมหมายลูกจ้าง หมิ่นประมาทอันเป็นความผิดทางอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง จากข้อเท็จจริงปรากฏว่านายเกียรติ เพิ่งจะยกข้อต่อสู้ดังกล่าวมาในคำให้การ ไม่เคยระบุเหตุผลการบอกเลิกจ้างในหนังสือเลิกจ้างแต่ ประการใด นายสมหมายลูกจ้างจึงอ้างว่านายเกียรติไม่สามารถยกขึ้นต่อสู้ได้ และศาลแรงงานไม่ สามารถหยิบข้อต่อสู้ดังกล่าวมาพิจารณาได้ ส่วนนายเกียรติต่อสู้ว่านายสมหมายกระทำผิดทาง อาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง ข้อต่อสู้รับฟังได้และศาลแรงงานต้องรับฟังข้อต่อสู้ดังกล่าว ดังนี้ ท่านในฐานะผู้พิพากษาศาลแรงงานจะตัดสินว่าข้ออ้างของใครฟังขึ้น

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541

มาตรา 119 วรรคแรกและวรรคท้าย นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แกลูกจ้างซึ่งเลิกจ้าง ในกรณีหนึ่งกรณีใด ดังต่อไปนี้

(1) ทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแกนายจ้าง

การเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยตามวรรคหนึ่ง ถ้านายจ้างไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่ เลิกจ้างไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างหรือไม่ได้แจ้งเหตุที่เลิกจ้างให้ลูกจ้างทราบในขณะที่เลิกจ้าง นายจ้างจะ ยกเหตุนั้นขึ้นอ้างในภายหลังไม่ได้

วินิจฉัย

โดยหลัก ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานฯ นั้น นายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้าง ในกรณี ที่มีการเลิกจ้าง (มาตรา 118) เว้นแต่ถ้าเข้าข้อยกเว้นกรณีใดกรณีหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 119 วรรคแรก นายจ้างย่อมมีสิทธิในอันที่จะไม่จ่ายค่าชดเชยให้แกลูกจ้างเมื่อมีการเลิกจ้างได้

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างตามมาตรา 119 วรรคหนึ่งนั้น นายจ้างจะต้องระบุข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่เลิกจ้างไว้ในหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง หรือต้องแจ้งเหตุ ที่เลิกจ้างให้ลูกจ้างทราบในขณะที่เลิกจ้างด้วย มิฉะนั้นนายจ้างจะยกเหตุที่เลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยให้แก่ ลูกจ้างขึ้นมากล่าวอ้างในภายหลังไม่ได้ (มาตรา 119 วรรคท้าย)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเกียรตีซึ่งเป็นนายจ้าง กล่าวหาว่านายสมหมายลูกจ้างหมิ่นประมาท ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้าง และเป็นเหตุให้นายจ้างเลิกจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยได้ ตามมาตรา 119 วรรคแรก (1) นั้น เมื่อนายเกียรติได้บอกเลิกจ้างนายสมหมายโดยไมจ่ายค่าชดเชยนั้น นายเกียรติ นายจ้างจะต้องระบุข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่เลิกจ้าง คือการระบุว่านายสมหมายลูกจ้างได้กระทำความผิดอาญา โดยเจตนาแก่นายจ้างไว้นหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้าง หรือต้องแจ้งเหตุที่เลิกจ้างดังกล่าวให้แก่นายสมหมายลูกจ้าง ทราบในขณะที่เลิกจ้างด้วยตามมาตรา 119 วรรคท้าย

แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ปรากฏว่า นายเกียรตินายจ้างไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงหรือกล่าวอ้าง เหตุที่เลิกจ้างดังกล่าวไว้ในหนังสือบอกเถิกสัญญาจ้าง และไม่ได้แจ้งเหตุที่ เลิกจ้างดังกล่าวนั้นให้แก่นายสมหมายทราบในขณะที่เลิกจ้างแต่อย่างใด เพิ่งจะนำมายกขึ้นต่อสู้ในคำให้การเมื่อถูกฟ้องคดี ดังนั้น ศาลแรงงาน ย่อมไม่สามารถหยิบข้อต่อสู้ของนายเกียรติขึ้นมาพิจารณาได้ เพราะต้องห้ามตามมาตรา 119 วรรคท้าย ทำให้ข้อต่อสู้ของนายเกียรตินายจ้างฟังไม่ขึ้น ส่วนข้ออ้างของนายสมหมายลูกจ้างนั้นฟังขึ้น

สรุป ข้าพเจ้าในฐานะผู้พิพากษาศาลแรงงานจะตัดสินว่า ข้ออ้างของนายสมหมายลูกจ้างฟังขึ้น ส่วนข้ออ้างของนายเกียรตินายจ้างฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 2. นายสมัยทำงานเป็นลูกจ้างได้รับค่าจ้างเดือนละ 14,400 บาท (หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 60 บาท) ต่อมาในเดือนกันยายน 2553 นายจ้างได้สั่งให้นายสมัยทำงานล่วงเวลาในวันทำงานปกติ รวมทั้งสิ้น 15 ชั่วโมง และทำงานล่วงเวลาในวันหยุด 6 ชั่วโมง แต่นายจ้างไมจ่ายค่าตอบแทนการทำงานล่วงเวลา ให้แกนายสมัย นายสมัยจึงเรียกร้องค่าล่วงเวลา แต่นยจ้างได้อ้างว่าได้ทำสัญญาจ้างมีข้อตกลง กำหนดไว้ว่า ให้รวมค่าล่วงเวลาเหมาจ่ายไปกับค่าจ้างในเวลาทำงานปกติโดยไม่มีการคิดค่าล่วงเวลา จากข้อเท็จจริงดังกล่าวที่ถูกต้องจะเป็นอย่างไรนายสมัยจะมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนหรือไมเพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงน พ.ศ. 2541

มาตรา 61 “ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันทำงานให้นายจ้างจ่ายค่าล่วงเวลา ให้แก่ลูกจ้างในอัตราไมน้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำหรือไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้าง ตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย

มาตรา 63 “ในกรณีที่นายจ้างให้ลูกจ้างทำงานล่วงเวลาในวันหยุด ให้นายจ้างจ่ายค่าล่วงเวลา ในวันหยุดให้แกลูกจ้างในอัตราไม่น้อยกว่าสามเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำ หรือไม่น้อยกว่าสามเท่าของอัตราค่าจ้างต่อหน่วยในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้สำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้าง ตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย

ประมวลกฎหมายแฟงและพาณิชย์ มาตรา 150 “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้ง โดยกฎหมายเป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ

วินิจฉัย

โดยเหลักของการทำสัญญาจ้างแรงงานนั้น นายจ้างกับลูกจ้างจะทำข้อตกลงกันไว้เป็นอย่างไร ก็ได้ เพียงแต่ข้อตกลงนั้นจะมีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อกฎหมายโดยชัดแจ้ง หรือเป็นการพ้นวิสัย หรือเป็น การขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่ได้ เพราะมิฉะนั้นแล้ว ข้อตกลงนั้นจะตกเป็น โมฆะ (ป.พ.พมาตรา 150)

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายจ้างได้ทำสัญญาจ้างกับลูกจ้างไว้โดยมีข้อตกลงว่า ในกรณีที่ลูกจ้างทำงานล่วงเวลานั้นจะไม่มีการคิดค่าล่วงเวลาให้แก่ลูกจ้าง โดยให้รวมค่าล่วงเวลาเหมาจ่ายไปกับ ค่าจ้างในเวลาทำงานปกตินั้น ถือว่าข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงที่ขัดต่อกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 61 และมาตรา 63 ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ดังนั้น ข้อตกลงดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150

และเมื่อข้อตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้างที่ว่าไมต้องคิดค่าล่วงเวลาให้แก่ลูกจ้างเป็นโมฆะ ดังนั้น เมื่อนายจ้างได้ส่งให้นายสมัยทำงานล่วงเวลาในวันทำงานปกติ และทำงานล่วงเวลาในวันหยุด นายจ้างจึง ต้องจ่ายค่าล่วงเวลาให้แก่นายสมัยลูกจ้าง ดังนี้คือ

1.         ค่าล่วงเวลาในวันทำงานปกติ นายจ้างจะต้องจ่ายให้แกนายสมัยลูกจ้างตามมาตรา 61 คือ ต้องจ่ายไมน้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามชั่วโมงที่ทำ

เมื่อนายสมัยได้รับค่าจ้างเฉลี่ยชั่วโมงละ 60 บาท คิดเป็นหนึ่งเท่าครึ่งคือ 90 บาท (60 X 1.5) และเป็นเวลา 15 ชั่วโมง จึงคิดเป็นจำนวนเงินได้ 1,350 บาท (90 X 15) ดังนั้นนายจ้างต้องจ่าย ค่าล่วงเวลาให้แก่นายสมัยเป็นเงิน 1,350 บาท

2.         ค่าล่วงเวลาในวันหยุด นายจ้างต้องจ่ายให้แกนายสมัยลูกจ้างตามมาตรา 63 คือต้อง จ่ายไมน้อยกว่าสามเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามชั่วโมงที่ทำ

เมื่อนายสมัยได้รับค่าจ้างเฉลี่ยชั่วโมงละ 60 บาท คิดเป็นสามเท่าคือ 180 บาท (60 X 3) เป็นเวลา 6 ชั่วโมง จึงคิดเป็นจำนวนเงินไต้ 1,080 บาท (180 X 6) ดังนั้นนายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลาให้แก นายสมัยเป็นเงิน 1,080 บาท

ดังนั้น การที่นายสมัยได้ทำงานล่วงเวลาในวันทำงานปกติและในวันหยุด นายสมัยจะมีสิทธิ ได้รับค่าตอบแทนทั้งหมดเป็นเงิน 2,430 บาท (1,350 4 + 1,080)

สรุป ข้อตกลงที่ว่าไมต้องจ่ายค่าล่วงเวลาให้แกลูกจ้างเป็นโมฆะ และนายสมัยมีสิทธิได้รับ ค่าตอบแทนในการทำงานล่วงเวลาดังกล่าวเป็นเงินรวมทั้งหมด 2,430 บาท

 

ข้อ 3. บริษัทเกรียงไกรก่อสร้าง จำกัด ตกลงทำสัญญารับเหมาก่อสร้างอาคารรักษาผู้ป่วยในพร้อมอาคาร จอดรถกับโรงพยาบาลนพรัฐ ตามราคาประมูล 10 ล้านบาท ตกลงก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี 3 เดือน บริษัทเกรียงไกรฯ ได้ทำสัญญารับเหมาช่วงกับบริษัทกษมาการช่าง จำกัด เพื่อติดกระจก รอบอาคาร และทำสัญญารับเหมาช่วงกับบริษัทอุดมพัฒนาก่อสร้าง จำกัด ในส่วนของการก่อสร้าง อาคารจอดรถ นายโอ๊ตเป็นหัวหน้าคนงานก่อสร้างอยู่บริษัทอุดมพัฒนาฯ ได้ค่าจ้างเป็นรายเดือน ๆ ละ 18,000 บาท ขณะกำลังเดินตรวจงานอยู่ในบริเวณสถานที่ก่อสร้าง มีวัสดุก่อสร้างตกลงมาตรงที่ นายโอ๊ตยืนอยู่เป็นเหตุให้นายโอ๊ตศีรษะแตกและสลบไป 

นายโอ๊ตถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลของรัฐ และต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 7 เดือน หมอวินิจฉัยว่านายโอ๊ตได้รับความกระทบกระเทือน ทางสมองและจะต้องสูญเสียสมรรถภาพในการทำงาน ในการรักษาพยาบาลของนายโอ๊ตมีค่ารักษา พยาบาล 120,000 บาท แต่บริษัทอุดมพัฒนาฯ เพิกเฉย บริษัทเกรียงไกรฯ จึงเข้ามาดูแลในเรื่อง ของค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แทนบริษัทอุดมพัฒนาฯ โดยเหมาจ่ายให้นายโอ๊ตไปเป็น จำนวน 110,000 บาท ดังนี้ การจ่ายเงินของบริษัทเกรียงไกรฯ ถูกต้องตามกฎหมายเงินทดแทน หรือไม และบริษัทเกรียงไกรฯ สามารถเรียกร้องเงินจำนวนดังกล่าวคืนจากบริษัทอุดมพัฒนาฯ ได้หรือไม่ ส่วนบริษัทอุดมพัฒนาฯ ในฐานะนายจ้างต้องรับผิดชอบต่อนายโอ๊ตอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน พ.ศ. 2537

มาตรา 5 “ในพระราชบัญญัตินี้

ประสบอันตราย” หมายความว่า การที่ลูกจ้างได้รับอันตรายแก่กายหรือผลกระทบแก่จิตใจ หรือถึงแกความตายเนื่องจากการทำงานหรือป้องกันรักษาประโยชน์ให้แก่นายจ้าง หรือตามคำสั่งของนายจ้าง

มาตรา 10 “ในกรณีที่นายจ้างซึ่งเป็นผู้รับเหมาช่วงไม่จ่ายเงินทดแทน เงินสมทบ หรือเงินเพิ่ม ให้ผู้รับเหมาช่วงในลำดับถัดขึ้นไปหากมีตลอดสายจนถึงผู้รับเหมาชั้นต้นซึ่งมิใช่นายจ้างร่วมรับผิดกับผู้รับเหมาช่วง ซึ่งเป็นนายจ้างในการจ่ายเงินทดแทน เงินสมทบ หรือเงินเพิ่ม

ให้ผู้รับเหมาชั้นต้นหรือผู้รับเหมาช่วงซึ่งมิใช่นายจ้างที่ได้จ่ายเงินทดแทน เงินสมทบหรือเงินเพิ่ม มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแกนายจ้างและบรรดาผู้รับเหมาช่วงอื่นหากมีตลอดสายในเงินทดแทนเงินสมทบหรือเงินเพิ่ม ที่ได้จ่ายให้แก่ลูกจ้างหรือสำนักงาน

มาตรา 13 เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างได้รับการรักษา พยาบาลทันทีตามความเหมาะสมแกอันตรายหรือความเจ็บป่วยนั้น และให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเทาที จ่ายจริงตามความจำเป็นแต่ไมเกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา 15 “กรณีที่ลูกจ้างจำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานภายหลังการ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ให้นายจ้างจ่ายค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานของลูกจ้างตามความจำเป็นตาม หลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง

มาตรา 18 วรรคแรกและวรรคท้าย เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยหรือสูญหาย

ให้นายจ้างจ่ายค่าทดแทนเป็นรายเดือนให้แก่ลูกจ้างหรือผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 แล้วแต่กรณี ดังต่อไปนี้

(1) ร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน สำหรับกรณีที่ลูกจ้างไม่สามารถทำงานติดต่อกันได้เกิน สามวันไม่ว่าลูกจ้างจะสูญเสียอวัยวะตาม (2) ด้วยหรือไมก็ตาม โดยจ่ายตั้งแต่วันแรกที่ลูกจ้างไม่สามารถทำงานได้ ไปจนตลอดระยะเวลาที่ไม่สามารถทำงานได้แต่ต้องไม่เกินหนึ่งปี

(3) ร้อยละหกสิบของค่าจ้างรายเดือน สำหรับกรณีที่ลูกจ้างทุพพลภาพ โดยจ่ายตามประเภท ของการทุพพลภาพและตามระยะเวลาที่จะต้องจ่ายตามที่กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมประกาศกำหนด แต่ต้องไม่เกินสิบห้าปี

ค่าทดแทนตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองต้องไมน้อยกว่าค่าทดแทนรายเดือนต่ำสุด และไม่ มากกว่าค่าทดแทนรายเดือนสูงสุดตามที่กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมประกาศกำหนด

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายโอ๊ตซึ่งเป็นหัวหน้าคนงานก่อสร้างของบริษัทอุดมพัฒนาฯ กำลังเดินตรวจงานอยู่ในบริเวณสถานที่ก่อสร้างและได้มีวัสดุก่อสร้างตกลงมาถูกนายโอ๊ต ทำให้นายโอ๊ตศีรษะแตก และสลบไปนั้น ถือว่านายโอ๊ตได้ประสบอันตรายเนื่องจากการทำงานให้แก่นายจ้างตามมาตรา 5 ซึ่งนายโอ๊ต จะได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. เงินทดแทน โดยมีสิทธิได้รับเงินทดแทนจากบริษัทอุดมพัฒนาฯ นายจ้าง ดังต่อไปนี้ คือ

1.         ค่ารักษาพยาบาล โดยนายจ้างต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น แต่ไมเกินอัตราที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวง คือรวมแล้วไม่เกิน 110,000 บาท ซึ่งในกรณีนี้ถือว่านายโอ๊ตประสบ อันตรายถึงขั้นบาดเจ็บรุนแรง จึงได้รับค่ารักษาพยาบาลในเบื้องต้น 45,000 บาท และในกรณีรุนแรงอีกไม่เกิน 65,000 บาท ตามมาตรา 13

2.         ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน โดยนายจ้างต้องจ่ายตามความจำเป็น ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กำหนดไร้ในกฎกระทรวง ซึ่งในกรณีนี้ นายโอ๊ตจะได้รับเป็นค่าฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงาน เป็นจำนวนไม่เกิน 20,000 บาท และหากต้องผ่าตัดเพื่อประโยชน์ในการฟื้นฟูฯ นายจ้างต้องจ่ายค่าใช้จ่ายในการ ผ่าตัดอีกไม่เกิน 20,000 บาท

3.         ค่าทดแทนในกรณีไม่สามารถทำงานได้ กล่าวคือ เมื่อนายโอ๊ตต้องรักษาตัวอยู่ใน โรงพยาบาลถึง 7 เดือน ซึ่งถือว่าติดต่อกันเกิน 3 วัน นายโอ๊ตจะได้รับค่าทดแทนในอัตราร้อยละ 60 ของค่าจ้าง รายเดือน โดยจ่ายตั้งแต่วันแรกที่นายโอ๊ตไม่สามารถทำงานได้ เมื่อนายโอ๊ตได้รับค่าจ้างเดือนละ 18,000 บาท ร้อยละ 60 ของ 18,000 จึงเท่ากับ 10,800 บาท แต่เมื่อค่าทดแทนดังกล่าวมากกว่าค่าทดแทนรายเดือนสูงสุด ตามที่กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมกำหนด คือไม่เกินเดือนละ 9,000 บาท จึงต้องลดลงมาเหลือ 9,000 บาท โดยได้รับเป็นเวลา 7 เดือนรวมเป็นเงิน 63,000 บาท ตามมาตรา 18 วรรคแรก (1) และวรรคท้าย

4.         ค่าทดแทนในกรณีทุพพลภาพ ซึ่งเมื่อนายโอ๊ตได้รับความกระทบกระเทือนทางสมอง และต้องสูญเสียสมรรถภาพในการทำงานจนกลายเป็นคนทุพพลภาพ จึงมีสิทธิได้รับค่าทดแทนในอัตราร้อยละ 60 ของค่าจ้างรายเดือน เมื่อนายโอ๊ตได้รับค่าจ้างเดือนละ 18,000 บาท ร้อยละ 60 ของ 18,000 จึงเท่ากับ 10,800 บาท แต่เมื่อค่าทดแทนดังกล่าวมากกว่าค่าทดแทนรายเดือนสูงสุดตามที่กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมกำหนด คือไม่เกินเดือนละ 9,000 บาท จึงต้องลดลงมาเหลือ 9,000 บาท โดยนายโอ๊ตจะได้รับค่าทดแทนในกรณีนี้เป็น ระยะเวลาไม่เกิน 15 ปี ตามมาตรา 18 วรรคแรก (3) และวรรคท้าย

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าบริษัทอุดมพัฒนาฯ เพิกเฉย บริษัทเกรียงไกรฯ ผู้รับเหมาขั้นต้นจึง ได้เข้ามาดูแลในเรื่องของค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ แทนบริษัทอุดมพัฒนาฯ ซึ่งตามมาตรา 10 วรรคแรก ได้กำหนดให้ผู้รับเหมาขั้นต้นซึ่งมิใช่นายจ้างรับผิดร่วมกับผู้รับเหมาช่วงซึ่งเป็นนายจ้างในการจ่ายเงินทดแทนให้ ลูกจ้างในกรณีที่ผู้รับเหมาช่วงซึ่งเป็นนายจ้างไม่จ่ายเงินทดแทนดังกล่าวนั้น เป็นการร่วมกันรับผิดชอบในเงินทดแทน ตามสิทธิที่ลูกจ้างจะได้รับทั้งหมด ดังนั้นการจ่ายเงินของบริษัทเกรียงไกรฯ ในลักษณะเหมาจ่ายเพียงค่ารักษาพยาบาล และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เป็นจำนวน 110,000 บาทเท่านั้น จึงไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

แต่อย่างไรก็ตาม การที่บริษัท เกรียงไกรฯ ได้จ่ายเงินจำนวน 110,000 บาทไปนั้น ก็สามารถ เรียกร้องเงินจำนวนดังกล่าวคืนจากบริษัทอุดมพัฒนาฯ ได้ตามมาตรา 10 วรรคสอง ซึ่งกำหนดให้ผู้รับเหมาขั้นต้น คือบริษัทเกรียงไกรฯ ซึ่งมิใช่นายจ้างที่ได้จ่ายเงินทดแทนไป มีสิทธิไล่เบี้ยเอากับนายจ้างคือบริษัทอุดมพัฒนาฯ ได้

ส่วนกรณีของบริษัทอุดมพัฒนาฯ ในฐานะนายจ้างก็ยังคงต้องรับผิดชอบต่อนายโอ๊ตในการ จ่ายเงินทดแทนตามสิทธิที่นายโอ๊ตจะได้รับ กล่าวคือ เงินทดแทนที่บริษัทเกรียงไกรฯ ยังไม่ได้จ่าย ซึ่งได้แก่ ค่าฟื้นพูสมรรถภาพในการทำงานและค่าทดแทนรายเดือนตามที่กฎหมายกำหนด

สรุป การจ่ายเงินของบริษัทเกรียงไกรฯ ไม่ถูกต้องตามกฎหมายเงินทดแทน แต่บริษัท เกรียงไกรฯ สามารถเรียกร้องเงินจำนวนดังกล่าวคืนจากบริษัทอุดมพัฒนาฯ ได้ ส่วนบริษัทอุดมพัฒนาฯ ต้องรับผิด จ่ายเงินทดแทนที่บริษัทเกรียงไกรฯ ยังไม่ได้จ่ายให้แกนายโอ๊ตดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 4. สภาพการจ้าง” และ ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง” ตามกฎหมายแรงงานสัมพันธ์ หมายความว่า อย่างไร กรณีลูกจ้างประสงค์จะยื่นข้อเรียกร้องกับนายจ้าง แต่ลูกจ้างจะให้สหภาพแรงงานยื่น ข้อเรียกร้องแทนสามารถกระทำได้หรือไม อย่างไร ให้อธิบาย

ธงคำตอบ

อธิบาย

สภาพการจ้าง” และ ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง” ตาม พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ มาตรา 5 ได้ให้ความหมายไว้ดังนี้

สภาพการจ้าง” หมายความว่า เงื่อนไขการจ้างหรือการทำงาน กำหนดวันและเวลาทำงาน ค่าจ้าง สวัสดิการ การเลิกจ้าง หรือประโยชน์อื่นของนายจ้างหรือลูกจ้างอันเกี่ยวกับการจ้างหรือการทำงาน

ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง” หมายความว่า ข้อตกลงระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง หรือ ระหว่างนายจ้างหรือสมาคมนายจ้างกับสหภาพแรงงานเกี่ยวกับสภาพการจ้าง

และกรณีลูกจ้างประสงค์จะยื่นข้อเรียกร้องกับนายจ้างแต่ลูกจ้างจะให้สหภาพแรงงานยื่น

ข้อเรียกร้องแทนก็สามารถกระทำได้ตามมาตรา 15 แห่ง พ.ร.บ. แรงงานสัมพันธ์ ซึ่งได้กำหนดหลักไว้ว่า สหภาพแรงงานอาจแจ้งข้อเรียกร้องตามมาตรา 13 ต่ออีกฝ่ายหนึ่งแทนลูกจ้างซึ่งเป็นสมาชิกได้ จำนวนสมาชิกซึ่งเป็นลูกจ้างต้องมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนลูกจ้างทั้งหมด

ในกรณีที่สหภาพแรงงานเป็นผู้แจ้งข้อเรียกร้อง ข้อเรียกร้องนั้นไม่จำต้องมีรายชื่อและลายมือชื่อ ลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง

ในกรณีที่มีข้อสงสัยว่าสหภาพแรงงานนั้นจะมีลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องเป็นสมาชิก ครบจำนวนที่ได้ระบุไว้ในวรรคหนึ่งหรือไม่ นายจ้าง สมาคมนายจ้าง หรือสหภาพแรงงานที่เกี่ยวข้อง อาจยื่นคำร้อง โดยทำเป็นหนังสือให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานตรวจรับรอง เมื่อพนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานได้รับ คำร้อง ดังกล่าวแล้ว ให้ดำเนินการตรวจหลักฐานทั้งปวงว่า สหภาพแรงงานนั้นมีลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้อง เป็นสมาชิก หรือไม่ ถ้ามี ให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานออกหนังสือรับรอง มอบให้ผู้ยื่นคำร้องเป็นหลักฐาน ถ้าไมมีให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานแจ้งให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทราบ

ในกรณีที่สหภาพแรงงานเป็นผู้แจ้งข้อเรียกร้องถ้าความปรากฏแก่พนักงานประนอม

ข้อพิพาทแรงงานตามคำร้องของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งว่า ลูกจ้างซึ่งเกี่ยวข้องกับข้อเรียกร้องนั้นบางส่วนเป็นสมาชิก สหภาพแรงงานอื่นด้วย ให้พนักงานประนอมข้อพิพาทแรงงานจัดให้มีการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้แทนลูกจ้าง ในการดำเนินการตามมาตรา 13

WordPress Ads
error: Content is protected !!