LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล 2/2548

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นาโอมิเกิดที่กรุงเทพฯ  เมื่อปี  พ.ศ. 2525  จากบิดาสัญชาติญี่ปุ่นซึ่งเข้ามาอยู่ในประเทศไทยในลักษณะถาวร  ส่วนมารดาสัญชาติไทย  ขณะเกิดบิดามารดาให้นายทะเบียนจดแจ้งว่านาโอมิมีสัญชาติญี่ปุ่น  นาโอมิได้หรือเสียสัญชาติไทยหรือไม่  เพาะเหตุใด

ธงคำตอบ

พ.ร.บ. สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(3) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย

พ.ร.บ.สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(1)  ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย

มาตรา  10  บทบัญญัติมาตรา  7(1)  แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ  พ.ศ. 2508  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้  ให้มีผลใช้บังคับกับผู้เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย

ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337

ข้อ  1  ให้ถอนสัญชาติไทยของบรรดาบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย  โดยบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือมารดาเป็นคนต่างด้าว  แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  และในขณะที่เกิดบิดาหรือมารดานั้นเป็น

(3)  ผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเพียงชั่วคราว

ข้อ  2  บุคคลตามข้อ  1  ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยเมื่อประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับแล้ว  ไม่ได้สัญชาติไทย  เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นสมควรและสั่งเฉพาะรายเป็นประการอื่น

วินิจฉัย

นาโอมิได้หรือเสียสัญชาติไทยหรือไม่  เห็นว่า  นาโอมิเกิดที่กรุงเทพฯ  เมื่อ พ.ศ. 2525  กรณีถือว่านาโอมิเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยภายหลังวันที่ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  มีผลใช้บังคับแล้ว  (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่  14  ธันวาคม  พ.ศ. 2515)  นาโอมิย่อมได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิดตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)  เนื่องจากไม่เข้าข้อยกเว้นประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ข้อ  2  และ  ข้อ  1(2)  เพราะเป็นบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย  แม้จะมีบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นคนต่างด้าว  แต่ในขณะที่เกิดบิดาของนาโอมิเข้ามาอยู่ในประเทศไทยในลักษณะถาวร  ไม่ใช่เพียงชั่วคราวแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม  เมื่อ  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มีผลใช้บังคับ  (มีผลใช้บังคับวันที่  26  กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535)  นาโอมิกลับได้สัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1)  ที่กำหนดให้บุคคลผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักร  ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด  ทั้งนี้มาตรา  10  ของ  พ.ร.บ.  ดังกล่าว  ได้กำหนดให้นำบทบัญญัติมาตรา  7(1)  มาใช้บังคับย้อนหลังกับผู้ที่เกิดก่อนวันที่  26  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2535  อันเป็นวันที่  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  ใช้บังคับด้วย  ดังนั้น  นาโอมิจึงได้สัญชาติไทยโดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่เกิด  เพราะมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย

ดังนั้น  เมื่อนาโอมิเป็นผู้มีสัญชาติไทยตามกฎหมายแล้ว  แม้บิดามารดาของนาโอมิจะไปแจ้งให้นายทะเบียนจดแจ้งว่านาโอมิมีสัญชาติญี่ปุ่น  ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้สูญเสียสัญชาติไทยแต่อย่างใด  นาโอมิจึงยังคงมีสัญชาติไทยอยู่  (ฎ. 2318  2319/2530)

สรุป  การที่นายทะเบียนจดแจ้งว่านาโอมิมีสัญชาติอื่น  ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้เสียสัญชาติไทยและนาโอมิได้สัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ. (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1)  ประกอบมาตรา  10

 

ข้อ  2  นายโทนี่คนสัญชาติอิตาลี  มีถิ่นที่อยู่ตามกฎหมายในประเทศอินเดีย  ได้สละสัญชาติอิตาลีและได้รับสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ  ต่อมานายโทนี่ถูกถอนสัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  หลังจากนั้นเกิดคดีขึ้นสู่ศาลไทยโดยประเด็นข้อพิพาทมีว่านายโทนี่มีความสามารถทำนิติกรรมซื้อเครื่องแยกสารเคมีจำนวน  18  เครื่องจากนายประดิษฐ์ที่กรุงเทพมหานครหรือไม่  ให้ท่านวินิจฉัยว่าศาลไทยควรนำกฎหมายใดขึ้นปรับเป็นหลักในการพิจารณาและวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ว่านี้

ธงคำตอบ

มาตรา  6  วรรคสาม  สำหรับบุคคลผู้ไรสัญชาติ  ให้ใช้กฎหมายภูมิลำเนาของบุคคลนั้นบังคับ  ถ้าภูมิลำเนาของบุคคลนั้นไม่ปรากฏ  ให้ใช้กฎหมายของประเทศซึ่งบุคคลนั้นมีถิ่นที่อยู่บังคับ

มาตรา  10  วรรคแรก  ความสามารถและความไร้ความสามารถของบุคคลย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้น

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  ศาลไทยควรนำกฎหมายใดขึ้นปรับเป็นหลักในการพิจารณาและวินิจฉัย  เห็นว่า  ประเด็นข้อพิพาทที่ว่านายโทนี่จะมีความสามารถทำนิติกรรมซื้อเครื่องแยกสารเคมีจากนายประดิษฐ์ได้หรือไม่นั้น  ถือว่าเป็นเรื่องความสามารถของบุคคล  ซึ่งโดยหลักแล้วย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้นตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มารา  1 0  วรรคแรก

แต่เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  นายโทนี่คนสัญชาติอิตาลี  มีถิ่นที่อยู่ตามกฎหมายในประเทศอินเดีย  ได้สละสัญชาติอิตาลีและได้รับสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ  ซึ่งในขณะเกิดข้อพิพาทที่ว่านี้นายโทนี่ได้ตกเป็นบุคคลไร้สัญชาติ  เพราะนายโทนี่ได้ถูกถอนสัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  ดังนี้  การจะนำกฎหมายประเทศใดมาปรับแก่ข้อพิพาทดังกล่าว  จึงต้องบังคับตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  6  วรรคสาม  ซึ่งมีหลักคือ

1       ถ้าปรากฏภูมิลำเนาของบุคคลผู้ไร้สัญชาติ  ให้ใช้กฎหมายภูมิลำเนาของบุคคลนั้นบังคับหรือ

2       ถ้าไม่ปรากฏภูมิลำเนาของบุคคลผู้ไร้สัญชาติ  ให้ใช้กฎหมายของประเทศซึ่งบุคคลนั้นมีถิ่นที่อยู่บังคับ

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นายโทนี่เป็นบุคคลไร้สัญชาติ  และไม่ปรากฏว่านายโทนี่มีภูมิลำเนาอยู่ที่ใด  กรณีเช่นนี้จึงต้องใช้กฎหมายประเทศอินเดียซึ่งเป็นกฎหมายที่นายโทนี่มีถิ่นที่อยู่บังคับตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481  มาตรา  6  วรรคสาม 

ผลจึงเป็นว่า  ศาลไทยจึงควรนำกฎหมายประเทศอินเดียขึ้นปรับเป็นหลักในการพิจารณาและวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทว่าด้วยความสามารถของนายโทนี่ที่ว่านี้

สรุป  ศาลไทยควรนำกฎหมายประเทศอินเดียขึ้นปรับเป็นหลักในการพิจารณาและวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทว่าด้วยความสามารถของนายโทนี่

 

ข้อ  3  เครื่องบินของสายการบินแห่งหนึ่ง  มีกำหนดการเดินทางจากประเทศไทยไปยังประเทศเยอรมัน  ขณะที่เครื่องบินยังจอดอยู่ที่สนามบินเพื่อรอให้ผู้โดยสารขึ้นเครื่องนั้นได้เกิดระเบิดขึ้น  ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย  เมื่อมีการสอบสวนปรากฏว่านายบุญช่วยคนสัญชาติไทยและนายอาเหม็จคนสัญชาติอิรักเป็นผู้วางระเบิดโดยทั้งคู่ได้หลบหนีออกนอกประเทศไทยแล้ว  ดังนี้การกระทำของนายบุญช่วยและนายอาเหม็จถือเป็นความผิดตามกำหมายระหว่างประเทศฐานใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

วินิจฉัย

อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  มาตรา  1  ได้บัญญัติถึงลักษณะของการจี้เครื่องบินอันเป็นการกระทำความผิดฐานสลัดอากาศว่า  เป็นการกระทำโดย

(1) บุคคลที่อยู่ในเครื่องบินนั้น

(2) การกระทำนั้นเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งได้กระทำต่อเครื่องบินลำนั้นเอง

(3) การกระทำนั้นเกิดในขณะที่เครื่องบินกำลังบินอยู่

ทั้งนี้หมายความรวมถึงการพยายามกระทำความผิดด้วย  การจี้เครื่องบินจึงเป็นการกระทำจากผู้ที่อยู่ในเครื่องบินซึ่งกำลังบิน  (on  board  an  aircraft  in  fight)  หรือที่เราเรียกว่าเป็นการกระทำภายในนั่นเอง

ดังนั้นการกระทำภายนอก  เช่น  การโจมตีด้วยอาวุธต่อสู้อากาศยาน  หรือก่อวินาศกรรมแก่เครื่องบินที่จอดอยู่ในสนามบิน  ย่อมไม่ใช่การจี้เครื่องบินตามอนุสัญญากรุงเฮกฯ

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  การระทำของนายบุญช่วยและนายอาเหม็จเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศฐานใดหรือไม่  เห็นว่า  การวางระเบิดของนายบุญช่วยและนายอาเหม็จได้กระทำในขณะที่เครื่องบินยังจอดอยู่ที่สนามบิน  การกระทำดังกล่าวจึงไม่อยู่ในความหมายของการกระทำภายในของความผิดฐานจี้เครื่องบิน  ตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  เพราะเป็นการกระทำภายนอก  ไม่ใช่การกระทำของผู้ที่อยู่ในเครื่องบินซึ่งกำลังบินอยู่

แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่ออนุสัญญากรุงมอนทรีลว่าด้วยการขจัดการกระทำโดยมิชอบต่อความปลอดภัยแห่งการบินพลเรือน  ค.ศ. 1971  ซึ่งใช้บังคับในเวลาต่อมา  ได้บัญญัติให้คลุมถึงการกระทำทุกชนิดที่กระทบต่อความปลอดภัยของการบินระหว่างประเทศ  ซึ่งรวมถึงการกระทำภายนอกด้วย  ดังนั้นการกระทำของนายบุญช่วยและนายอาเหม็จจึงเป็นความผิดฐานสลัดอากาศ  ตามอนุสัญญากรุงมอนว่าด้วยการขจัดการกระทำโดยมิชอบต่อความปลอดภัยแห่งการบินพลเรือน  ค.ศ.1971    

สรุป  การกระทำของนายบุญช่วยและนายอาเหม็จเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศฐานสลัดอากาศ

 

ข้อ  4  ประเทศเจ้าของที่เกิดเหตุผู้ร้องขอให้ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน  มีข้อปฏิบัติและหน้าที่ที่จะต้องผูกพันตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

อธิบาย

เมื่อประเทศที่ร้องขอได้รับตัวผู้ร้ายจากประเทศที่รับคำขอไปแล้ว  ประเทศผู้ร้องขอต้องปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศ  ในเรื่องตามแบบพิธีส่งผู้ร้ายข้ามแดน  และยังมีหน้าที่ผูกพันในการที่จะต้องปฏิบัติตามหลักแห่งกฎหมายระหว่างประเทศด้วยความสุจริต  มิใช่ว่าเมื่อได้รับตัวแล้วก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยกัน  เพราะยังมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาต่อไป  ไม่ว่าจะเป็นปัญหาว่าด้วยการส่งตัวผิด  ไม่ว่าจะเป็นเพราะความเข้าใจผิดของประเทศที่รับคำร้อง  หรือการเข้าใจผิดในเรื่องสัญชาติ  ในกรณีดังกล่าวนี้  ถือเป็นพันธะและหน้าที่ของประเทศที่ร้องขอจะต้องแจ้งให้ประเทศที่รับคำขอทราบโดยเร็วและต้องรับส่งตัวคืนให้ประเทศนั้นในทันที  หรือปัญหาว่าด้วยความผิดอย่างอื่นนอกจากความผิดที่ขอตัว  กล่าวคือ  ประเทศผู้รับคำขอมีหน้าที่ผูกพันที่ต้องพิจารณาโดยเฉพาะในความผิดที่ได้ระบุไว้ในคำขอเท่านั้น

LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ซ่อม S/2548

การสอบซ่อมภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ปรานีหรือนอม  แซ่ผ่าน  เป็นบุตรนายยิน  แซ่ผ่าน  คนต่างด้าว  เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทย  โดยได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง  ปรานีได้อยู่กินกับนายกู๋  แซโง  ญวนอพยพโดยมิได้จดทะเบียนสมรส  เกิดบุตรในประเทศไทย  5  คน  สามคนแรกเกิดก่อน  ปว. 337  ใช้บังคับ  อีกสองคนเกิดเมื่อ  ปว. 337  ใช้บังคับแล้ว  ให้วินิจฉัยว่า  บุตรทั้งห้าคนได้หรือเสียสัญชาติไทยอย่างไรหรือไม่

ธงคำตอบ

พ.ร.บ. สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(3) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย

พ.ร.บ.สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7  ทวิ  วรรคแรก  ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยโดยบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าวย่อมไม่ได้รับสัญชาติไทย  ถ้าในขณะที่เกิด  บิดาตามกฎหมายหรือบิดาซึ่งมิได้มีการสมรสกับมารดาหรือมารดาของผู้นั้นเป็น

(3) ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง

มาตรา  11  บทบัญญัติมาตรา  7  ทวิ  แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ  พ.ศ. 2508  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้  ให้มีผลใช้บังคับกับผู้เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย  เว้นแต่ผู้ซึ่งรัฐมนตรีมีคำสั่งอันมีผลให้ได้รับสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ลงวันที่  13  ธันวาคม  2515  ก่อนวันที่พะราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337

ข้อ  1  ให้ถอนสัญชาติไทยของบรรดาบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย  โดยบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือมารดาเป็นคนต่างด้าว  แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  และในขณะที่เกิดบิดาหรือมารดานั้นเป็น

(3)  ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง

ข้อ  2  บุคคลตามข้อ  1  ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยเมื่อประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับแล้ว  ไม่ได้สัญชาติไทย  เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นสมควรและสั่งเฉพาะรายเป็นประการอื่น

วินิจฉัย

บุตรทั้ง  5  คนได้หรือเสียสัญชาติไทยหรือไม่  เห็นว่า  กรณีสามารถแยกพิจารณาได้  2  กรณีคือ

1       บุตร  3  คนแรก  เกิดในราชอาณาจักรก่อนวันที่ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  มีผลใช้บังคับ  (มีผลใช้บังคับในวันที่  14  ธันวาคม  พ.ศ. 2515)  ย่อมได้สัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)  ต่อมาเมื่อประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่  337  มีผลใช้บังคับ  บุตร  3  คนแรก  ก็ไม่ถูกถอนสัญชาติไทย  ตามข้อ  1(3)  เนื่องจากนายกู๋  เป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ส่วนปรานีมารดาเป็นผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง

2       บุตร  2  คนหลัง  แม้จะเกิดในราชอาณาจักรไทย  ภายหลังวันที่ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่  337  มีผลใช้บังคับแล้ว  ก็ได้สัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)  เพราะไม่เข้าข้อยกเว้นตามประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ข้อ  2  และข้อ  1(3)  เนื่องจากนายกู๋  เป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ส่วนปรานีมารดาเป็นผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง

อนึ่ง  เมื่อ  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มีผลใช้บังคับแล้ว  (มีผลใช้บังคับวันที่  26  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2535)  ย่อมมีผลทำให้บุตรทั้ง  5  คนไม่ได้สัญชาติไทยตั้งแต่เกิดตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7  ทวิ  วรรคแรก  เพราะเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยโดยบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าวและในขณะที่เกิด  นายกู๋บิดาเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง  ทั้งนี้โดยมาตรา  11  ของ  พ.ร.บ.  ดังกล่าวได้กำหนดให้นำบทบัญญัติมาตรา  7  ทวิ  มาใช้บังคับย้อนหลังกับผู้ที่เกิดก่อนวันที่  26  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2535  อันเป็นวันที่  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  ใช้บังคับด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม  การบังคับใช้มาตรา  7  ทวิวรรคแรก  ซึ่งทำให้บุตรทั้ง  5  คนไม่ได้สัญชาติไทยตั้งแต่เกิดนั้น  ถือว่าเป็นผลร้ายยิ่งกว่าประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะเกิดโดยตรง  กรณีจึงไม่ย้อนกลับไปใช้บังคับ  ยังคงบังคับตามประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ข้อ  1  และข้อ  2  เพราะในข้อเท็จจริงเดียวกันมีกฎหมายเป็นโทษบังคับหลายฉบับ  ให้บังคับตามกฎหมายที่เป็นโทษน้อยที่สุด  ดังนั้น  บุตรทั้ง  5  คนจึงยังคงได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิดตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)

สรุป  บุตรทั้ง  5  คนได้รับสัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)

 

ข้อ  2  คริสตีน่า  หญิงสัญชาติมาเลเซีย  สมรสกับมาร์คอส  ชายสัญชาติฟิลิปปินส์  กฎหมายสัญชาติมาเลเซียกำหนดว่าหญิงมาเลเซียซึ่งสมรสกับคนต่างด้าวจะไม่เสียสัญชาติมาเลเซียจนกว่าหญิงนั้นจะแสดงความจำนงสละสัญชาติมาเลเซีย  และกฎหมายสัญชาติฟิลิปปินส์กำหนดว่าหญิงต่างด้าวซึ่งสมรสกับชายฟิลิปปินส์ย่อมได้สัญชาติฟิลิปปินส์  ส่วนกฎหมายภายในมาเลเซียกำหนดว่า  บุคคลมีความสามารถจะทำนิติกรรมใดๆได้เมื่อมีอายุครบ  19  ปีบริบูรณ์  แต่ตามกฎหมายภายในฟิลิปปินส์ต้องมีอายุครบ  21  ปีบริบูรณ์  ข้อเท็จจริงปรากฏว่าคริสตีน่ายังไม่ได้แสดงความจำนงสละสัญชาติมาเลเซีย  ในขณะที่คริสตีน่ามีอายุครบ  20  ปีบริบูรณ์  คริสตีน่าได้เดินทางมากรุงเทพฯ  และทำสัญญาซื้อเครื่องกลั่นน้ำมันปาล์ม  จำนวน  10  เครื่อง  จากนายสมบูรณ์คนสัญชาติไทย  หลังจากนั้นคริสตีน่าและนายสมบูรณ์มีข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลไทย  โดยประเด็นข้อพิพาทมีว่า  คริสตีน่ามีความสามารถทำสัญญาที่ว่านี้หรือไม่  อยากทราบว่า  ศาลไทยควรวินิจฉัย ประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวนี้อย่างไร  พร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วย

ธงคำตอบ

มาตรา  6  วรรคแรก  ถ้าจะต้องใช้กฎหมายสัญชาติบังคับ  และบุคคลมีสัญชาติตั้งแต่สองสัญชาติขึ้นไปอันได้รับมาเป็นลำดับ  ให้ใช้กฎหมายสัญชาติที่บุคคลนั้นได้รับครั้งสุดท้ายบังคับ

มาตรา  10  วรรคแรกและวรรคสอง  ความสามารถและความไร้ความสามารถของบุคคลย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้น

แต่ถ้าคนต่างด้าวทำนิติกรรมในประเทศสยาม  ซึ่งตามกฎหมายสัญชาติคนต่างด้าวนั้นย่อมจะไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจำกัดสำหรับนิติกรรมนั้น  ให้ถือว่าบุคคลนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมนั้นได้เพียงเท่าที่จะมีความสามารถตามกฎหมายสยาม  ความในวรรคนี้ไม่ใช้แก่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวและกฎหมายมรดก

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  19  บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุยี่สิบปีบริบูรณ์

วินิจฉัย

ศาลไทยควรวินิจฉัยข้อพิพาทที่ว่านี้อย่างไร  เห็นว่า  ปัญหาข้อพิพาทที่ว่าคริสตีน่าจะทำสัญญาซื้อเครื่องกลั่นน้ำมันปาล์ม จากนายนายสมบูรณ์คนสัญชาติไทยได้หรือไม่นั้น  ถือเป็นเรื่องความสามารถของบุคคล  ซึ่งโดยหลักแล้วย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้นตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  10  วรรคแรก

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  คริสตีน่ามีทั้งสัญชาติมาเลเซียและสัญชาติฟิลิปปินส์อันได้รับมาเป็นลำดับ  (ไม่พร้อมกัน)  กรณีเช่นนี้ กฎหมายสัญชาติที่ใช้บังคับ  คือ  กฎหมายสัญชาติที่บุคคลนั้นได้มาครั้งสุดท้าย  อันได้แก่  กฎหมายฟิลิปปินส์ตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  6  วรรคแรก  ซึ่งเมื่อพิจารณาตามกฎหมายฟิลิปปินส์แล้ว  คริสตีน่าย่อมไม่มีความสามารถทำสัญญาซื้อขายดังกล่าวได้  เนื่องจากตามกฎหมายฟิลิปปินส์กำหนดว่า  บุคคลมีความสามารถจะทำนิติกรรมใดๆ  ได้ต่อเมื่อมีอายุครบ  21  ปีบริบูรณ์  เมื่อในขณะทำนิติกรรม  คริสตีน่ามีอายุเพียง  20  ปี  จึงไม่ต้องด้วยบทกฎหมายดังกล่าว

แต่อย่างไรก็ดี  แม้คริสตีน่าจะไร้ความสามารถในการทำนิติกรรมดังกล่าวตามกฎหมายสัญชาติ  แต่อาจถือได้ว่าลานาคนต่างด้าวนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมดังกล่าวตามกฎหมายไทยได้  หากเข้าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไข  ดังนี้คือ

1)    คนต่างด้าวนั้นได้ทำนิติกรรมขึ้นในประเทศไทย  ซึ่งมิใช่นิติกรรมตามกำหมายครอบครัวและกฎหมายมรดก

2)    ตามกฎหมายสัญชาติคนต่างด้าวนั้น  ถือว่าบุคคลดังกล่าวไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจำกัดในการทำนิติกรรมตามข้อ  1

3)    แต่กฎหมายไทยถือว่าคนต่างด้าวนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมตามข้อ  1  ได้

ฉะนั้นแล้ว  การที่คริสตีน่าได้ทำนิติกรรมในประเทศไทย  ซึ่งนิติกรรมการซื้อขายดังกล่าวก็ไม่ใช่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวหรือกฎหมายมรดก  และตามกฎหมายสัญชาติของคริสตีน่า(ฟิลิปปินส์)  ก็ถือว่าคริสตีน่าเป็นบุคคลผู้ไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจำกัด  แต่เมื่อพิจารณาตามกฎหมายแล้ว  คริสตีน่ามีความสามารถทำนิติกรรมซื้อขายดังกล่าวตามกฎหมายไทยได้  เพราะถือว่าคริสตีน่าบรรลุนิติภาวะแล้วตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  19 

ดังนั้น  ศาลไทยจึงควรวินิจฉัยว่าคริสตีน่ามีความสามารถทำสัญญาที่ว่านี้ได้ตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  10  วรรคสอง

สรุป  ศาลไทยควรวินิจฉัยว่าคริสตีน่ามีความสามารถทำสัญญาซื้อเครื่องกลั่นน้ำมันปาล์ม  ดังกล่าวได้

 

ข้อ  3  เครื่องบินของสายการบินแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเครื่องบินจดทะเบียนประเทศจีน  มีกำหนดการเดินทางจากประเทศเกาหลีใต้มายังประเทศไทย  ถูกนายเหว่ยคนสัญชาติจีนจี้เครื่องบินไปลงยังประเทศจีน  เมื่อเครื่องลงจอดที่ประเทศจีนแล้วนายเหว่ยจึงถูกจับตัวได้  ตามอนุสัญญากรุงโตเกียวว่าด้วยการกระทำผิดบนอากาศยาน  ค.ศ. 1963  ประเทศจีนปฏิเสธที่จะยอมรับดำเนินคดีกับนายเหว่ยได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ตามอนุสัญญาโตเกียวว่าด้วยการกระทำความผิดบนอากาศยาน  ค.ศ. 1963  นั้น  มีบทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนเอาไว้ในมาตรา  14  ซึ่งโดยผลแห่งมาตรานี้  จึงอาจมีการส่งผู้ก่อการร้ายฐานจี้เครื่องบินให้รัฐอื่นได้  ในกรณีที่ปรากฏว่าบุคคลที่กระทำการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ไม่ประสงค์ที่จะเดินทางต่อไปหรือไม่สามารถที่จะเดินทางต่อไปได้อีก  และรัฐซึ่งเครื่องบินนั้นแล่นลง  ปฏิเสธที่จะยอมรับบุคคลที่ก่อการร้ายนั้น  รัฐนั้นๆก็สามารถที่จะส่งตัวผู้กระทำความผิดนั้นคืนไปยังรัฐที่ผู้กระทำความผิดนั้นมีสัญชาติ  หรือรัฐซึ่งผู้กระทำความผิดมีถิ่นที่อยู่ประจำ  หรืออาจส่งไปยังรัฐซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเดินทางทางอากาศของผู้กระทำผิดนั้น  แต่ทั้งนี้บุคคลผู้กระทำความผิดที่อาจส่งตัวข้ามแดนนี้จะต้องไม่ใช่บุคคลในสัญชาติหรือบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่เป็นประจำในรัฐที่เครื่องบินนั้นแล่นลง

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  ประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศที่เครื่องบินนั้นแล่นลงจะปฏิเสธที่จะยอมรับดำเนินคดีกับนายเหว่ยได้หรือไม่  เมื่อพิจารณาตามอนุสัญญาโตเกียวว่าด้วยการกระทำความผิดบนอากาศยาน  ค.ศ. 1963  มาตรา  14  ดังกล่าวข้างต้นแล้ว  ประเทศจีนย่อมไม่สามารถปฏิเสธที่จะดำเนินคดีกับนายเหว่ยผู้กระทำการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ  นายเหว่ยเป็นบุคคลในสัญชาติของรัฐที่เครื่องบินนั้นแล่นลงนั้นเองได้

สรุปเนื่องจากนายเหว่ยได้ทำการจี้เครื่องบินมาลงที่ประเทศจีนซึ่งเป็นประเทศที่ตนมีสัญชาติอยู่

  ประเทศจีนไม่สามารถปฏิเสธที่จะดำเนินคดีกับนายเหว่ยได้  ตามอนุสัญญาโตเกียวว่าด้วยการกระทำความผิดบนอากาศยาน  ค.ศ. 1963  มาตรา  14

 

ข้อ  4  จงอธิบายถึงการแปลงสัญชาติภายหลังการกระทำความผิดของผู้ถูกร้องขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนมาโดยสังเขป 

ธงคำตอบ

อธิบาย

การแปลงสัญชาติภายหลังการกระทำความผิดของผู้ถูกร้องให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนนั้น  มีหลักทั่วไปว่า  การแปลงสัญชาติไม่มีผลย้อนหลัง  ซึ่งหมายความว่า  บุคคลหนึ่งบุคคลใดจะใช้สิทธิอันเกิดจากการแปลงสัญชาติประการใดนั้น  ให้ถือว่าบุคคลนั้นได้รับสิทธิดังกล่าว  ตั้งแต่วันที่ประกาศรับแปลงสัญชาติเป็นต้นไป  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ  จะมีผลนับแต่วันที่มีการอนุมัติให้แปลงสัญชาติ  ฉะนั้นแล้ว  รัฐผู้รับคำขอจึงสามารถพิจารณาคดีนั้นๆได้โดยถือว่าบุคคลที่ถูกร้องขอให้ส่งข้ามแดนเป็นคนของรัฐอื่น

 แต่อย่างไรก็ดี  สำหรับประเทศเยอรมันและประเทศเบลเยียมนั้น  ให้ถือว่าการแปลงสัญชาติของผู้ถูกร้องขอให้ส่งข้ามแดนมีผลย้อนหลังไปจนถึงวันที่ได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้น  อันถือว่าเป็นข้อยกเว้นของหลักทั่วไปดังกล่าว  ดังนั้น  รัฐผู้รับคำขออาจจะปฏิเสธไม่ส่งบุคคลนั้นข้ามแดนตามคำขอได้  เพราะถือว่าบุคคลที่ถูกร้องขอให้ส่งข้ามแดนเป็นคนในสัญชาติของตนแล้วนั่นเอง

สำหรับประเทศไทย  ตามหลักกฎหมายไทยถือหลักว่า  การแปลงสัญชาติไม่อาจเป็นเหตุให้หลุดพ้นจากการที่ต้องถูกส่งตัว  ซึ่งเท่ากับว่าถือตามหลักทั่วไปดังกล่าวข้างต้นเช่นกัน

LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล S/2548

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ยุทธเวท  หนุ่มสัญชาติไทย  ไปทำมาหากินในประเทศลาว  ได้นางแสนคำสาวลาวเป็นภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส  เกิดบุตรในประเทศลาว  5  คน  ต่อมายุทธเวทพาบุตร  ภรรยา  กลับมาอยู่  ณ  ประเทศไทย  และได้จดทะเบียนสมรสกับภรรยา  ถามว่า  บุตรและภรรยาได้สัญชาติไทยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

พ.ร.บ. สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  9  หญิงซึ่งเป็นคนต่างด้าวและได้สมรสกับผู้มีสัญชาติไทยถ้าประสงค์จะได้สัญชาติไทย  ให้ยื่นคำขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามแบบ  และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

การอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ได้สัญชาติไทยให้อยู่ในดุลพินิจของรัฐมนตรี

พ.ร.บ. สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(1) ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักร

มาตรา  10  บทบัญญัติมาตรา  7(1)  แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ  พ.ศ. 2508  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้  ให้มีผลใช้บังคับกับผู้เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย

วินิจฉัย

บุตรและภรรยาได้สัญชาติไทยหรือไม่  เห็นว่า  บุตรทั้ง  5  คนที่เกิดในประเทศลาวจากยุทธเวทบิดาซึ่งมีสัญชาติไทยและนางแสนคำมารดาซึ่งมีสัญชาติลาว  โดยบิดาและมารดานั้นไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน  กรณีเช่นนี้ถือว่าบุตรทั้ง  5  คน  เกิดในขณะที่ยุทธเวทบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ได้เกิดในราชอาณาจักรไทย  โดยหลักแล้ว  ย่อมไม่ได้รับสัญชาติไทย  ไม่ว่าตามหลักดินแดนหรือหลักสายดลหิตตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1)

แต่เมื่อภายหลังยุทธเวทบิดาได้จดทะเบียนสมรสกับมารดา  ย่อมมีผลทำให้บุตรทั้ง  5  คนนั้นเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของยุทธเวท และมีผลทำให้ยุทธเวทเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของบุตร เช่นนี้  บุตรทั้ง  5  คน  ย่อมได้รับสัญชาติไทยตามหลักสายโลหิตตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1)  โดยผลของมาตรา  10  ที่ให้นำมาตรา  7(1)  มาใช้บังคับกับผู้ที่เกิดก่อนวันที่  พ.ร.บ.  ดังกล่าวใช้บังคับด้วย  ทั้งนี้ในฐานะกฎหมายที่ใกล้เคียง  และตามเจตนารมณ์ของการได้สัญชาติไทยตามหลักทั่วไป  กล่าวคือ บุคคลในครอบครัวเดียวกัน  ควรมีสัญชาติเดียวกัน  ดังนั้น  บุตรทั้ง  5  คน  ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักสายโลหิต

ส่วนนางแสนคำมารดานั้น  มีสัญชาติลาว  หากต้องการมีสัญชาติไทยต้องดำเนินการยื่นคำขอมีสัญชาติไทยต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  9  ซึ่งกำหนดให้รัฐมนตรีอนุญาตเสียก่อนจึงจะได้สัญชาติไทย

สรุป  บุตรทั้ง  5  คนได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักสายโลหิต  ส่วนนางแสนคำมารดาต้องยื่นคำขอมีสัญชาติไทยก่อน  และเมื่อรัฐมนตรีอนุญาตจึงจะได้สัญชาติไทย

 

ข้อ  2  นายพงษ์ศักดิ์คนสัญชาติไทยส่งคำเสนอขายเข็มขัดทองฝังเพชรราคา  4  แสนบาท  ให้แก่นายอาหมัดคนสัญชาติมาเลเซีย  โดยนายพงษ์ศักดิ์จะนำเข็มขัดทองฯนั้น  มามอบให้แก่นายอาหมัดที่มาเลเซีย  และนายอาหมัดจะต้องส่งเงิน  4  แสนบาท  ผ่านทางธนาคารมาเลเซียมาเข้าบัญชีธนาคารของนายพงษ์ศักดิ์ที่กรุงเทพฯ  นายอาหมัดก็ตอบรับคำเสนอโดยทำเป็นจดหมายมอบให้กับนายราซัคให้เดินทางมาส่งให้แก่นายพงษ์ศักดิ์ด้วยตนเอง  ขณะที่นายราซัคมาถึงกรุงเทพฯ  ปรากฏว่า  นายพงษ์ศักดิ์กำลังโดยสารเรือเดินสมุทรจากกรุงเทพฯไปยังประเทศญี่ปุ่น  นายราซัคจึงลงเรือเดินสมุทรอีกลำหนึ่งติดตามไปส่งจดหมายฉบับนั้นให้แก่นายพงษ์ศักดิ์ได้  ในขณะที่เรืออยู่กลางทะเลหลวง  ต่อมานายพงษ์ศักดิ์ส่งมอบเข็มขัดทองฯนั้นให้แก่นายอาหมัดที่มาเลเซียแล้ว  แต่นายอาหมัดไม่ยอมส่งเงิน  4  แสนบาทผ่านทางธนาคารมาเลเซียมาเข้าบัญชีของนายพงษ์ศักดิ์ที่กรุงเทพฯ  นายพงษ์ศักดิ์จึงฟ้องคดีต่อศาลไทย  เพื่อบังคับให้นายอาหมัดชำระราคาค่าเข็มขัดทอง ฯ  นั้นเป็นจำนวนเงิน  4 แสนบาทให้แก่ตน  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ในกรณีเช่นนี้  ศาลไทยควรจะนำกฎหมายใดมาใช้บังคับเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

  มาตรา  13  วรรคแรกและวรรคสอง  ปัญหาว่าจะพึงใช้กฎหมายใดบังคับสำหรับสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญหรือผลแห่งสัญญานั้น  ให้วินิจฉัยตามเจตนาของคู่กรณี  ในกรณีที่ไม่อาจหยั่งทราบเจตนาชัดแจ้งหรือโดยปริยายได้  ถ้าคู่สัญญามีสัญชาติเดียวกัน  กฎหมายที่จะใช้บังคับก็ได้แก่กฎหมายสัญชาติอันร่วมกันแห่งคู่สัญญา  ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติเดียวกัน  ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น

ถ้าสัญญานั้นได้ทำขึ้นระหว่างบุคคลซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทาง  ถิ่นที่ถือว่าสัญญานั้นได้เกิดเป็นสัญญาขึ้นคือ  ถิ่นที่คำกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ  ถ้าไม่อาจหยั่งทราบถิ่นที่ว่านั้นได้  ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่จะพึงปฏิบัติตามสัญญานั้น

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  การจะพิจารณาว่าจะใช้กฎหมายของประเทศใดบังคับแก่สาระสำคัญหรือผลของสัญญานั้น  กรณีเป็นไปตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  13  วรรคแรก  ซึ่งอาจแยกพิจารณาเป็นกรณีตามลำดับได้ดังนี้

1       กรณีที่คู่สัญญาแสดงเจตนาไว้โดยชัดแจ้ง  หรือโดยปริยายให้นำมาใช้บังคับ  ก็ให้นำกฎหมายของประเทศนั้นมาใช้บังคับ

2       กรณีที่ไม่อาจทราบเจตนาโดยชัดแจ้งหรือปริยายของคู่สัญญาเกี่ยวกับกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่สัญญา

(ก)  ถ้าคู่สัญญามีสัญชาติเดียวกัน  ให้ใช้กฎหมายสัญชาติของคู่สัญญามาใช้บังคับ

(ข)  ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติเดียวกัน  กรณีเช่นนี้ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น

ศาลไทยควรจะนำกฎหมายใดมาใช้บังคับ  เห็นว่า  การที่นายพงษ์ศักดิ์  คนสัญชาติไทย  ส่งคำเสนอขายเข้มขัดทองฝังเพชรราคา  4  แสนบาทให้แก่นายอาหมัดคนสัญชาติมาเลเซีย  โดยนางพงษ์ศักดิ์และนายอาหมัดไม่ได้แสดงเจตนาไว้โดยชัดแจ้ง  หรือโดยปริยายว่าให้นำกฎหมายประเทศใดมาใช้บังคับแก่ผลของสัญญา  จึงเป็นกรณีที่ไม่อาจหยั่งทราบเจตนาโดยชัดแจ้งหรือปริยายของคู่สัญญาเกี่ยวกับกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่สัญญา  ทั้งกรณีนี้นางพงษ์ศักดิ์และนายอาหมัดก็ไม่ได้มีสัญชาติเดียวกัน  กฎหมายที่จะใช้บังคับจึงได้แก่กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น  เมื่อนายพงษ์ศักดิ์และนายอาหมัดอยู่คนละประเทศ  อันถือว่าสัญญานั้นได้ทำขึ้นระหว่างบุคคลซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทางซึ่งตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกัน ฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  13  วรรคสอง  กำหนดให้ถือว่าสัญญานั้นเกิด  ณ  ถิ่นหรือประเทศที่คำบอกกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ  และหากเป็นกรณีที่ไม่อาจทราบถิ่นที่ว่านั้นได้  ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่จะพึงปฏิบัติตามสัญญานั้น

เมื่อพิจารณาแล้วได้ความว่า  สัญญาซื้อขายดังกล่าวนายอาหัดตอบรับโดยทำเป็นจดหมายมอบให้แก่นายราซัคให้เดินทางมาส่งแก่นายพงษ์ศักดิ์ด้วยตนเองและนายราซัคได้ติดตามไปส่งจดหมายฉบับนั้นให้แก่นายพงษ์ศักดิ์ได้  ในขณะที่เรืออยู่กลางทะเลหลวง  จึงถือเป็นกรณีที่ไม่อาจทราบถิ่นหรือประเทศที่คำบอกกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ  ดังนั้น  หากนายพงษ์ศักดิ์ประสงค์จะฟ้องคดีต่อศาลไทย  เพื่อบังคับให้นายอาหมัดชำระราคาเข็มขัดทอง ฯ  ให้แก่ตน  ศาลไทยจึงควรนำกฎหมายไทยมาใช้บังคับนายอาหมัดให้ชำระราคาค่าเข็มขัดนั้น  ให้แก่นางพงษ์ศักดิ์เพราะกฎหมายไทยเป็นกฎหมายแห่งถิ่นที่จะพึงปฏิบัติตามสัญญาในเรื่องการชำระราคา

สรุป  ศาลไทยควรนำกฎหมายไทยมาใช้บังคับนายอาหมัดให้ชำระราคาเข็มขัดดังกล่าวเพราะเป็นกฎหมายแห่งถิ่นที่จะพึงปฏิบัติตามสัญญาในเรื่องการชำระราคา

 

ข้อ  3  อยากทราบว่า  อนุสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการจี้เครื่องบิน  3  ฉบับ  คือ  อนุสัญญาโตเกียวว่าด้วยการกระทำความผิดบนอากาศยาน  ค.ศ. 1963  อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  และอนุสัญญามอนทรีลว่าด้วยการขจัดการกระทำโดยมิชอบต่อความปลอดภัยแห่งการบินพลเรือน  ค.ศ. 1971  ทั้ง  3  ฉบับนี้  มีข้อบกพร่องที่สำคัญหรือไม่อย่างไร

ธงคำตอบ

อธิบาย

ในปัจจุบัน  มีอนุสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการจี้เครื่องบินและการก่อวินาศกรรมอยู่  3  ฉบับด้วยกัน  คือ

1       อนุสัญญาโตเกียวว่าด้วยการกระทำความผิดบนอากาศยาน  ค.ศ. 1963  (The  Tokyo  Convention  of  Offences  Committed on  board  Aircraft  of  1963)

2       อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  (The  Hague  Convention  for  the  Suppression of  Unlawful  Seizure  of  Aircraft  1970)

3       อนุสัญญามอลทรีล  ว่าด้วยการขจัดการกระทำโดยมิชอบต่อความปลอดภัยแห่งการบินพลเรือน  ค.ศ. 1971  (The  Montreal  Convention  for  the  Suppression  of  Unlawful Acts  Against  the  Safety  of  Civil  Aviation  1972)

อนุสัญญา  2  ฉบับแรกนั้นเกี่ยวข้องกับการจี้เครื่องบินโดยเฉพาะ  ส่วนอนุสัญญาหลังกว้างครอบคลุมถึงการกระทำทุกชนิดที่กระทบต่อความปลอดภัยของการบินระหว่างประเทศ

อนุสัญญาทั้ง  3  ฉบับนี้  แม้จะได้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับความผิด  เขตอำนาจศาล  และสร้างพันธะให้แก่รัฐภาคีอันที่ต้องลงโทษผู้กระทำความผิด  แต่อย่างไรก็ตาม  ก็มิได้หามาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อที่จะลงโทษรัฐภาคีที่ทำการละเมิดพันธะที่กำหนดไว้  กรณีจึงถือว่าเป็นข้อบกพร่องที่สำคัญของอนุสัญญาทั้ง  3  ฉบับดังกล่าว

 

ข้อ  4  จงอธิบายหลักในการพิจารณาคดีการเมืองของประเทศฝรั่งเศสมาโดยละเอียด

ธงคำตอบ

อธิบาย

การพิจารณาคดีการเมืองของประเทศฝรั่งเศสนั้น  ถือหลักว่าด้วยการกระทำที่กระทบกระเทือนต่ออำนาจอธิปไตยของประเทศ  ซึ่งมีหลักสำคัญอยู่ว่ากฎหมายฝรั่งเศสไม่คำนึงถึงมูลเหตุจูงใจในการกระทำความผิดแต่ถือสาระสำคัญทางการกระทำ  ซึ่งถ้าเป็นการกระทำที่กระทบต่อธรรมนูญการปกครองและรัฐบาล  โดยมุ่งที่จะเปลี่ยนแปลงหรือล้มล้างการปกครองของประเทศในหลักอันประกอบไปด้วยอำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจตุลาการและอำนาจบริหาร  รวมทั้งรัฐบาลด้วยแล้ว  ถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดทางการเมือง  ซึ่งห้ามส่งผู้ร้ายข้ามแดน 

LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ประกอบหรือเต่ย  เกิดที่จังหวัดสกลนคร  เมื่อปี  พ.ศ. 2483  จากบิดามารดาเป็นญวนอพยพ  ต่อมาประกอบได้สมรสกับนางสาวเหงียนทิ  ญวนอพยพและมีบุตรชื่อสมจร  เกิดที่จังหวัดอุบลราชธานี  เมื่อวันที่  6  กรกฎาคม  พ.ศ. 2506  อยากทราบว่า  ประกอบและสมจร  บุตรจะได้หรือเสียสัญชาติไทยอย่างไร  หรือไม่  ยกเหตุผลประกอบคำตอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

พ.ร.บ. สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(3) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย

พ.ร.บ.สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(1)  ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย

มาตรา  7  ทวิ  วรรคแรก  ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยโดยบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าวย่อมไม่ได้รับสัญชาติไทย  ถ้าในขณะที่เกิด  บิดาตามกฎหมายหรือบิดาซึ่งมิได้มีการสมรสกับมารดาหรือมารดาของผู้นั้นเป็น

(3) ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง

มาตรา  11  บทบัญญัติมาตรา  7  ทวิ  แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ  พ.ศ. 2508  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้  ให้มีผลใช้บังคับกับผู้เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย  เว้นแต่ผู้ซึ่งรัฐมนตรีมีคำสั่งอันมีผลให้ได้รับสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ลงวันที่  13  ธันวาคม  2515  ก่อนวันที่พะราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337

ข้อ  1  ให้ถอนสัญชาติไทยของบรรดาบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย  โดยบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือมารดาเป็นคนต่างด้าว  แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  และในขณะที่เกิดบิดาหรือมารดานั้นเป็น

(3)  ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง

วินิจฉัย

ประกอบและสมจรได้หรือเสียสัญชาติไทยหรือไม่  เห็นว่า  ประกอบเกิดที่จังหวัดสกลนคร  เมื่อ  พ.ศ. 2483  จากบิดามารดาซึ่งเป็นญวนอพยพ  กรณีจึงถือได้ว่าประกอบเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย  ย่อมได้รับสัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)

เมื่อประกอบสมรสกับนางสาวเหงียนทิ  ญวนอพยพและเกิดบุตรคือ  สมจร  ที่จังหวัดอุบลราชธานี  เมื่อวันที่  6  กรกฎาคม  พ.ศ. 2506  ก่อนประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  มีผลใช้บังคับ  (มีผลใช้บังคับเมื่อ  15  ธันวาคม  พ.ศ. 2515)  กรณีเช่นนี้  สมจรย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักสายโลหิต  ตาม  พ.ร.บ.สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1)  เพราะในขณะที่สมจรเกิดนั้น  ประกอบบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นผู้มีสัญชาติไทย

ต่อมาวันที่  14  ธันวาคม  พ.ศ. 2515  ซึ่งเป็นวันที่ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  มีผลใช้บังคับ  ประกอบจึงถูกถอนสัญชาติไทย  เพราะเป็นบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทยโดยมีบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นคนต่างด้าว  และในขณะเกิดนั้น  บิดาได้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองตามประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ข้อ  1(3)

อนึ่งการที่ประกอบถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ข้อ  1(3)  ก็ไม่มีผลกระทบถึงสมจร  เนื่องจากในขณะที่สมจรเกิด  ประกอบบิดายังมีสัญชาติไทยอยู่  และการได้สัญชาติไทยของสมจรเป็นการได้มาตามหลักสายโลหิต  มิใช่หลักดินแดน  ดังนั้นแม้ต่อมาประกอบจะถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศคณะปฏิวัติก็ตาม  ก็ไม่มีบทบัญญัติให้ถอนสัญชาติของบุตรด้วยแต่ประการใด  (ฎ. 1204 1205/2533  ฎ. 1513  1514/2531)  สมจรจึงยังคงได้สัญชาติไทย

แต่ครั้นถึงวันที่  26  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2535  ซึ่งเป็นวันที่พระราชบัญญัติสัญชาติ  ฉบับที่  2  มีผลบังคับใช้  ยอมทำให้ประกอบไม่ได้สัญชาติไทยตั้งแต่เกิดตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7  ทวิ  วรรคแรก  เพราะในขณะที่เกิด  บิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าว  และทั้งบิดาและมารดาเป็นผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกำหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง  ทั้งนี้โดยผลของมาตรา  11  ของ  พ.ร.บ. ดังกล่าวที่ได้กำหนดให้นำบทบัญญัติมาตรา  7  ทวิ  มาใช้บังคับกับผู้ที่เกิดก่อนวันที่  26  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2535  อันเป็นวันที่  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  ใช้บังคับด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม  การบังคับใช้มาตรา  7  ทวิ  วรรคแรก  ซึ่งทำให้ประกอบไม่ได้รับสัญชาติไทยถือว่าเป็นผลร้ายยิ่งกว่าประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะเกิดโดยตรง  กรณีจึงไม่ย้อนกลับไปใช้บังคับ  บังคงบังคับตามประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  เพราะในข้อเท็จจริงเดียวกันมีกฎหมายเป็นโทษบังคับหลายฉบับ  ให้บังคับตามกฎหมายที่เป็นโทษน้อยที่สุด

สรุป  ประกอบได้สัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)  ต่อมาถูกถอนสัญชาติตามประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ข้อ  1(3)  ส่วนสมจร  ได้สัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ. สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1)  โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่เกิด

 

ข้อ  2  นายสมชาติคนสัญชาติไทยทำสัญญาซื้อกระเป๋าเอกสารฝังมุกจากนายเจียง  คนสัญชาติจีน  และขณะทำสัญญากระเป๋าเอกสารนั้นก็อยู่ที่ประเทศจีน  นายสมชาติและนายเจียงตกลงกันว่าหากกรณีมีปัญหาเกี่ยวกับผลของสัญญานี้ให้ใช้บังคับตามกฎหมายไทย  กฎหมายว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมายของจีนกำหนดว่า  แบบของสัญญาให้เป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่สัญญานั้นทำขึ้น  และกฎหมายภายในของจีนกำหนดว่าการซื้อขายเครื่องประดับที่ประดับด้วยทองคำ  เพชร  หรือมุกต้องทำเป็นหนังสือ  และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มิฉะนั้นเป็นโมฆะ 

ปรากฏว่าการซื้อขายรายนี้ทำเป็นหนังสือแต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ต่อมานายสมชาติผิดสัญญาไม่ยอมชำระราคาและรับมอบกระเป่านั้น  นายเจียงจึงฟ้องนายสมชาติต่อศาลไทยเรียกค่าเสียหายเพราะผิดสัญญา  นายสมชาติต่อสู้ว่าสัญญาเป็นโมฆะ  เพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ตนจึงไม่ผูกพันหรือต้องรับผิดตามสัญญา  หากท่านเป็นศาลไทยจะวินิจฉัยว่าสัญญาซื้อขายรายนี้เป็นโมฆะหรือไม่  เพราะเหตุใด  พร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  9  วรรคแรก  นอกจากจะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในพระราชบัญญัตินี้  หรือกฎหมายอื่นใดแห่งประเทศสยาม  ความสมบูรณ์เนื่องด้วยแบบแห่งนิติกรรมย่อมเป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่นิติกรรมนั้นได้ทำขึ้น

มาตรา  13  วรรคแรกและวรรคท้าย  ปัญหาว่าจะพึงใช้กฎหมายใดบังคับสำหรับสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญหรือผลแห่งสัญญานั้น  ให้วินิจฉัยตามเจตนาของคู่กรณี  ในกรณีที่ไม่อาจหยั่งทราบเจตนาชัดแจ้งหรือโดยปริยายได้  ถ้าคู่สัญญามีสัญชาติเดียวกัน  กฎหมายที่จะใช้บังคับก็ได้แก่กฎหมายสัญชาติอันร่วมกันแห่งคู่สัญญา  ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติเดียวกัน  ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น

สัญญาย่อมไม่เป็นโมฆะ  ถ้าได้ทำถูกต้องตามแบบอันกำหนดไว้ในกฎหมายซึ่งใช้บังคับแก่ผลแห่งสัญญานั้น

วินิจฉัย

นายสมชาติคนสัญชาติไทยทำสัญญาซื้อขายกระเป๋าเอกสารฝังมุกจากนายเจียง  คนสัญชาติจีน  และขณะทำสัญญา  นายสมชาติและนายเจียงตกลงกันว่าหากกรณีมีปัญหาเกี่ยวกับผลของสัญญานี้ให้ใช้บังคับตามกฎหมายไทย  กรณีเช่นนี้แม้ตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  9  วรรคแรก  จะกำหนดให้ความสมบูรณ์เนื่องด้วยแบบแห่งนิติกรรมให้เป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่นิติกรรมนั้นได้ทำขึ้นก็ตาม  แต่อย่างไรก็ดี  ตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  13  วรรคท้าย  กำหนดว่าสัญญาย่อมไม่เป็นโมฆะ  

หากได้ทำถูกต้องตามแบบอันกำหนดไว้ในกฎหมายซึ่งใช้บังคับแก่ผลของสัญญา  ในกรณีนี้กฎหมายที่ใช้บังคับแก่ผลของสัญญาจึงได้แก่  กฎหมายไทยตามเจตนาของคู่กรณีตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  13  วรรคแรก

สำหรับกรณีนี้แม้การซื้อขายกระเป๋าดังกล่าวจะได้ทำเป็นหนังสือแต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็ตาม  แต่โดยที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยมิได้มีบทมาตราใดบังคับว่าการซื้อขายเครื่องประดับหรือกระเป๋าที่ประดับด้วยทองคำ  เพชร  หรือมุก  ซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดาต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด  เพียงแต่ตกลงด้วยวาจาก็มีผลใช้บังคับได้แล้ว

ดังนั้น  สัญญาซื้อขายระหว่างนายสมชาติและนายเจียงจึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย  ไม่ตกเป็นโมฆะ  การที่นายเจียงได้มาฟ้องนายสมชาติต่อศาลไทยเรียกค่าเสียหายเพราะเหตุผิดสัญญา  นายสมชาติสู้ว่าสัญญาเป็นโมฆะ  ข้อต่อสู้ของนายสมชาติจึงฟังไม่ขึ้น  นายสมชาติต้องรับผิดตามสัญญา

สรุป  หากข้าพเจ้าเป็นศาลไทย  จะวินิจฉัยว่าสัญญาซื้อขายรายนี้สมบูรณ์ตามกฎหมาย  ไม่เป็นโมฆะ

 

ข้อ  3  บริษัท  ไทย  อิตาลี  ซับพลายเออร์  จำกัด  เป็นบริษัทรับจัดหาสินค้าส่งต่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  มีนายโทนี่คนสัญชาติอิตาลีเป็นผู้จัดการบริษัท  ปรากฏว่า  นายโทนี่ยักยอกรายได้ของบริษัท  โดยโอนเข้าบัญชีธนาคารของตนที่ประเทศอิตาลี  เป็นเวลา  5  ปี  ดังนี้  กากระทำของนายโทนี่เป้นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศฐานใดหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

การที่นายโทนี่  ซึ่งเป็นผู้จัดการบริษัทได้ทำการยักยอกรายได้ของบริษัทฯ  โดยโอนเข้าบัญชีของตนที่ธนาคารในประเทศอิตาลี  กากระทำของนายโทนี่ดังกล่าวถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกงระหว่างประเทศที่เรียกว่า  “White  Collar  Crimes”  ซึ่งหมายถึงการกระทำความผิดโดยบุคคลที่แต่งตัวสะอาดโก้หรู  มีตำแหน่งหน้าที่การงานและใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานของตนมาเป็นประโยชน์ในการประกอบความผิด

ซึ่งลักษณะของการกระทำผิดประเภทนี้  มักเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่น  การทุจริต  การยักยอกหรือฉ้อโกง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการธุรกิจและการค้าต่างๆ  รวมตลอดการขโมย  หรือบิดเบือนบัญชีบริษัทหรือปลอมแปลงสัญญาหรือตั๋วเงิน  ไม่ว่าจะเป็นตั๋วแลกเงิน  ตั๋วสัญญาใช้เงิน  หรือเช็ค  เป็นต้น  ตัวอย่างเช่นพวกพ่อค้าหรือนักธุรกิจที่โกงหรือหลบเลี่ยงการเสียภาษีให้แก่รัฐ  สมุห์บัญชีฉ้อโกงบริษัทที่ประกอบการธุรกิจหรือการค้าต่างๆ  การกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้าขายสินค้าควบคุมในตลาดมืด  เป็นต้น

สรุป  กากระทำของนายโทนี่  ถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกงระหว่างประเทศที่เรียกว่า  “White  Collar  Crimes” 

 

ข้อ  4  นาย  John  คนสัญชาติอังกฤษ  เป็นหัวหน้ากลุ่มต่อต้านระบบนายทุนต่างชาติที่มาทำธุรกิจในประเทศของตน  ได้วางระเบิดห้างสรรสินค้าต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดใน  London  ทำให้มีประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก  แล้วหลบหนีความผิดไปประเทศฝรั่งเศส ต่อมาประเทศอังกฤษได้ขอให้ประเทศฝรั่งเศสส่งตัวนาย  John  กลับมารับการพิจารณาคดีในความผิดที่ได้ทำไว้  นาย  John  ได้ต่อสู้คดีว่าสการกระทำดังกล่าวเป้นความผิดทางการเมืองจึงห้ามส่งผู้ร้ายข้ามแดนและสามารถขอลี้ภัยทางการเมืองได้  อยากทราบว่าประเทศฝรั่งเศสจะตัดสินใจอย่างไร  และเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักในการพิจารณาคดีการเมืองของประเทศฝรั่งเศสนั้น  เป็นไปตามหลักว่าด้วยการกระทำที่กระทบกระเทือนต่ออำนาจอธิปไตยของประเทศ  ซึ่งหมายถึง  การกระทำความผิดที่ส่งผลกระทบต่อธรรมนูญการปกครอง  หรือส่งผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตยของรัฐอันประกอบด้วยอำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจตุลาการและอำนาจบริหาร  รวมทั้งรัฐบาลด้วย  โดยมุ่งที่จะเปลี่ยนแปลงหรือล้มล้างระบบการปกครองของประเทศในหลักใหญ่

ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวจะเห็นว่าการกระทำของนาย  John  คนสัญชาติอังกฤษที่ได้วางระเบิดห้างสรรพสินค้าจนมีประชาชนเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมากนั้น  เป็นเพียงการกระทำความผิดของผู้ที่มีแนวคิดต่อต้านระบบนายทุนต่างชาติเท่านั้น  ไม่ได้มีรูปแบบการปกครองในอุดมคติ  หรือต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงหรือล้มล้างระบบการปกครองแต่ประการใด  กากระทำของนาย  John  ดังกล่าว  จึงไม่ถือว่าเป็นความผิดทางการเมือง  ตามหลักการของประเทศฝรั่งเศส

ดังนั้น  เมื่อนาย  John  ได้หลบหนีความผิดเข้ามายังประเทศฝรั่งเศส  กรณีเช่นนี้ประเทศฝรั่งเศสจึงสามารถตัดสินใจส่งนาย  John  กลับประเทศอังกฤษตามคำขอให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้  เพราะเป็นความผิดอาญาที่ไม่ได้ห้ามส่งผู้ร้ายข้ามแดนแต่ประการใด

สรุป  ประเทศฝรั่งเศสสามารถตัดสินใจส่งผู้ร้ายข้ามแดนได้

LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล 2/2549

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายถ่าย  ฮวางวัน  เกิดที่จังหวัดสกลนคร  เมื่อปี  พ.ศ. 2512  จากบิดาคือนายยุง  ฮวางวัน  ซึ่งเป็นญวนอพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยมิชอบ  และมารดาคือ  นางเวียง  ห่อตัน  บุตรณวนอพยพ  นางเวียง  ห่อตัน  เกิดที่จังหวัดนครพนม  มีใบต่างด้าวเลขที่  7/2498  และไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนายยุง  ฮวางวัน  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายถ่าย  ฮวางวัน  ได้หรือเสียสัญชาติไทยอย่างไรหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

พ.ร.บ. สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(3) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย

พ.ร.บ.สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7  ทวิ  วรรคแรก  ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยโดยบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าวย่อมไม่ได้รับสัญชาติไทย  ถ้าในขณะที่เกิด  บิดาตามกฎหมายหรือบิดาซึ่งมิได้มีการสมรสกับมารดาหรือมารดาของผู้นั้นเป็น

(3) ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง

มาตรา  11  บทบัญญัติมาตรา  7  ทวิ  แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ  พ.ศ. 2508  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้  ให้มีผลใช้บังคับกับผู้เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย  เว้นแต่ผู้ซึ่งรัฐมนตรีมีคำสั่งอันมีผลให้ได้รับสัญชาติไทยตามประกาศของคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ลงวันที่  13  ธันวาคม  2515  ก่อนวันที่พะราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ

ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337

ข้อ  1  ให้ถอนสัญชาติไทยของบรรดาบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย  โดยบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือมารดาเป็นคนต่างด้าว  แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  และในขณะที่เกิดบิดาหรือมารดานั้นเป็น

(3)  ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง

วินิจฉัย

นายถ่าย  ฮวางวัน  ได้หรือเสียสัญชาติไทยหรือไม่  เห็นว่า  นายถ่าย  ฮวางวัน  เกิดที่จังหวัดสกลนคร  เมื่อ  พ.ศ. 2512  กรณีนี้ถือว่านายถ่าย  ฮวางวัน  เป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย  ย่อมได้รับสัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ. สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)

ต่อมาวันที่  14  ธันวาคม  พ.ศ.2515  ซึ่งเป็นวันที่ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  มีผลใช้บังคับ  นายถ่าย  ฮวางวัน  ก็ไม่ถูกถอนสัญชาติไทย  ตามประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ข้อ  1(3)  เพราะนางเวียง  ห่อตัน  มารดาเป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง  โดยมีใบสำคัญคนต่างด้าวด้วย  (ในกรณีนี้  บิดา  คือ  นายยุง  ฮวางวัน  เป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ  ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนางเวียง  ห่อตัน  จึงไม่จำต้องพิจารณาตามประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ข้อ  1(3)  ซึ่งจำกัดเฉพาะบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น)

อนึ่งเมื่อ  พ.ร.บ. สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มีผลใช้บังคับ  (มีผลใช้บังคับวันที่  26  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2535)  ย่อมมีผลทำให้นายถ่าย  ฮวางวัน  ไม่ได้รับสัญชาติไทยตั้งแต่เกิดตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ (ฉบับที่  2) พ.ศ.2535  มาตรา  7  ทวิ  วรรคแรก  เพราะนายถ่าย  ฮวางวัน  เป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยโดยบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าว  และในขณะที่เกิดบิดาเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง  ทั้งนี้โดยผลของมาตรา  11  ของ  พ.ร.บ.  ดังกล่าวได้กำหนดให้บทบัญญัติมาตรา  7  ทวิ  มีผลย้อนหลังไปใช้บังคับกับผู้ที่เกิดก่อนวันที่  26  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2535  อันเป็นวันที่  พ.ร.บ. สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  ใช้บังคับด้วย           

แต่อย่างไรก็ตาม  การบังคับใช้มาตรา  7  ทวิ  วรรคแรก  ซึ่งทำให้นายถ่าย  ฮวางวัน  ไม่ได้รับสัญชาติไทยตั้งแต่เกิดเลยนั้น  ถือว่าเป็นผลร้ายยิ่งกว่าประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะเกิดโดยตรง  กรณีจึงไม่ย้อนกลับไปใช้บังคับด้วย  ยังคงบังคับตามประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  เพราในข้อเท็จจริงเดียวกัน  ถ้ามีกฎหมายเป็นโทษบังคับหลายฉบับ  ให้บังคับตามกฎหมายที่เป็นโทษน้อยที่สุด  ดังนั้น  นายถ่าย  ฮวางวัน  จึงยังคงได้รับสัญชาติไทย  ตาม  พ.ร.บ.  สัญญาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)

สรุป  นายถ่าย  ฮวางวัน  ยังคงได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิดตาม  พ.ร.บ. สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)

 

ข้อ  2  นายชาญชัยคนสัญชาติไทยได้ทำสัญญาซื้อเครื่องปรับอากาศจำนวน  40  เครื่องจากนายเอคนสัญชาติอเมริกันซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพฯ  โดยทำสัญญาฉบับนี้กันที่สิงคโปร์และขณะทำสัญญาเครื่องปรับอากาศทั้งหมดนั้นก็อยู่ที่สิงคโปร์  เมื่อซื้อขายกันแล้วปรากฏว่าคอมเพรสเซอร์ตัวควบคุมความเย็นของเครื่องปรับอากาศทั้ง  40  เครื่องนั้นอยู่ในสภาพชำรุดใช้การไม่ได้  นายชาญชัยจึงขอเปลี่ยน  แต่นายเอไม่ยอมเปลี่ยนให้  โดยโต้แย้งว่าตนในฐานะผู้ขายไม่จำต้องรับผิดในกรณีการชำรุดที่ว่านี้  ข้อเท็จจริงปรากฏอีกว่าคู่สัญญาไม่ได้แสดงเจตนาไว้โดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายว่าจะให้ใช้กฎหมายของประเทศใดบังคับแก่พิพาทที่เกิดจากสัญญาฉบับนี้  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  หากศาลไทยรับข้อพิพาทที่ว่านี้ของสัญญาฉบับนี้ไว้พิจารณา  ศาลไทยควรจะนำกฎหมายของประเทศใดขึ้นปรับแก่ข้อพิพาทที่ว่านี้  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

  มาตรา  13  วรรคแรก ปัญหาว่าจะพึงใช้กฎหมายใดบังคับสำหรับสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญหรือผลแห่งสัญญานั้น  ให้วินิจฉัยตามเจตนาของคู่กรณี  ในกรณีที่ไม่อาจหยั่งทราบเจตนาชัดแจ้งหรือโดยปริยายได้  ถ้าคู่สัญญามีสัญชาติเดียวกัน  กฎหมายที่จะใช้บังคับก็ได้แก่กฎหมายสัญชาติอันร่วมกันแห่งคู่สัญญา  ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติเดียวกัน  ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  การจะพิจารณาว่าจะใช้กฎหมายของประเทศใดบังคับแก่สาระสำคัญหรือผลของสัญญานั้น  กรณีเป็นไปตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  13  วรรคแรก  ซึ่งอาจแยกพิจารณาเป็นกรณีตามลำดับได้ดังนี้

1       กรณีที่คู่สัญญาแสดงเจตนาไว้โดยชัดแจ้ง  หรือโดยปริยายให้นำมาใช้บังคับ  ก็ให้นำกฎหมายของประเทศนั้นมาใช้บังคับ

2       กรณีที่ไม่อาจทราบเจตนาโดยชัดแจ้งหรือปริยายของคู่สัญญาเกี่ยวกับกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่สัญญา

(ก)  ถ้าคู่สัญญามีสัญชาติเดียวกัน  ให้ใช้กฎหมายสัญชาติของคู่สัญญามาใช้บังคับ

(ข)  ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติเดียวกัน  กรณีเช่นนี้ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น

ศาลไทยควรจะนำกฎหมายของประเทศใดขึ้นปรับแก่ข้อพิพาทที่ว่านายเอ  (ผู้ขาย)  จะต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องในทรัพย์สิน  (เครื่องปรับอากาศ)  ที่ซื้อขายกันหรือไม่นั้น  เห็นว่า  กรณีนี้เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าคู่สัญญาไม่ได้แสดงเจตนาไว้โดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายว่าให้นำกฎหมายประเทศใดมาใช้บังคับแก่สัญญา  จึงเป็นกรณีที่ไม่อาจหยั่งทราบเจตนาโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายได้ว่าคู่สัญญาจะให้ใช้กฎหมายใดบังคับแก่ผลของสัญญา  ทั้งนายชาญชัยและนายเอคู่สัญญาก็ไม่ได้มีสัญชาติเดียวกัน  กรณีเช่นนี้กฎหมายที่จะใช้บังคับจึงได้แก่  กฎหมายสิงคโปร์  ซึ่งเป็นกฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญาฉบับนี้ขึ้นทำตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  13  วรรคแรก

ดังนั้น  หากได้ความว่าศาลไทยรับข้อพิพาทที่ส่านี้ไว้พิจารณา  ศาลไทยจึงควรนำกฎหมายสิงคโปร์ขึ้นมาปรับใช้แก่ข้อพิพาทดังกล่าว

สรุป  ศาลไทยควรนำกฎหมายสิงคโปร์ขึ้นมาปรับใช้แก่ข้อพิพาทดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ  3  เครื่องบินสายการบินแห่งหนึ่งซึ่งเป็นเครื่องบินจดทะเบียนประเทศอิตาลี  มีกำหนดการเดินทางจากประเทศไทยไปยังประเทศอิตาลี  ขณะที่เครื่องบินอยู่เหนือทะเลหลวง  นายเบนคนสัญชาติอังกฤษขู่ว่าตนจะนำระเบิดติดตัวขึ้นมาด้วย  และจะระเบิดเครื่องบินหากนักบินไม่นำเครื่องลงจอดที่ประเทศอังกฤษ  แต่ลูกเรือไม่เชื่อจึงช่วยกันจับตัวนายเบนไว้  ปรากฏว่าไม่พบระเบิดแต่อย่างใด  และเที่ยวบินดังกล่าวก็ถึงประเทศอิตาลีตามเวลาที่กำหนด

กรณีดังกล่าวประเทศใดมีเขตอำนาจในการพิจารณาคดีตามอนุสัญญากรุงโตเกียวว่าด้วยการกระทำผิดบนอากาศยาน  ค.ศ. 1963

ธงคำตอบ

เขตอำนาจศาลในการพิจารณาคดีความผิดฐานสลัดอากาศตามอนุสัญญาโตเกียวว่าด้วยกากระทำความผิดบนอากาศยาน  ค.ศ. 1963  มีบัญญัติไว้ในมาตรา  3  ซึ่งได้บัญญัติให้อำนาจรัฐซึ่งเครื่องบินนั้นทำการจดทะเบียน  (The  state  of  registration  of  the  aircraft)  หรือรัฐเจ้าของสัญชาติ  เจ้าของธงของเครื่องบินนั้น  มีอำนาจพิจารณาการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินของตนได้

นอกจากนี้มาตรา  4  ยังบัญญัติให้อำนาจรัฐอื่นๆ  ซึ่งมิใช่รัฐที่เครื่องบินนั้นทำการจดทะเบียน  มีอำนาจพิจารณาความผิดฐานสลัดอากาศด้วย  ได้แก่

1       ในกรณีที่ความผิดนั้นมีผลบนดินแดนแห่งรัฐใด  รัฐนั้นมีอำนาจพิจารณา

2       รัฐซึ่งผู้กระทำความผิดนั้นมีสัญชาติหรือมีถิ่นที่อยู่เป็นการถาวร  หรือหากเป็นเรื่องที่ความผิดนั้นกระทำต่อคนสัญชาติ  หรือผู้ที่มีถิ่นที่อยู่เป็นการถาวรในรัฐใด  รัฐนั้นๆก็มีอำนาจพิจารณา

3       ในกรณีที่ความผิดกระทบต่อความมั่นคงของรัฐใด  รัฐนั้นมีอำนาจพิจารณา

ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวรับฟังได้ว่า  เครื่องบินสายการบินที่นายเบนขู่ว่าจะระเบิดหากนักบินไม่นำเครื่องลงจอดที่ประเทศอังกฤษนั้น  เป็นเครื่องบินที่จดทะเบียนที่ประเทศอิตาลี  กรณีเช่นนี้  ประเทศอิตาลีจึงมีอำนาจพิจารณาการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินของตนได้ ตามอนุสัญญากรุงโตเกียวว่าด้วยกากระทำความผิดบนอากาศยาน  ค.ศ. 1963  มาตรา  3

และในกรณีนี้ประเทศอังกฤษซึ่งเป็นประเทศที่นายเบนผู้กระทำความผิดมีสัญชาติ  ย่อมมีอำนาจพิจารณาการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินดังกล่าวได้  ตามอนุสัญญากรุงโตเกียวว่าด้วยกากระทำความผิดบนอากาศยาน  ค.ศ. 1963  มาตรา  4

สรุป  กรณีดังกล่าวประเทศที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคดีความผิดอนุสัญญากรุงโตเกียวว่าด้วยการกระทำความผิดบนอากาศยาน  ค.ศ. 1963  ได้แก่ประเทศอิตาลีหรือประเทศอังกฤษ

 

ข้อ  4  จงระบุหลักเกณฑ์ในการพิจารณาเกี่ยวกับความผิดในคดีส่งผู้ร้ายข้ามแดนมาโดยถูกต้องและครบถ้วน

ธงคำตอบ

อธิบาย

หลักเกณฑ์ในการพิจารณาเกี่ยวกับความผิดในคดีส่งผู้ร้ายข้ามแดน  มีดังนี้คือ

1       ต้องไม่ใช่ความผิดทางการเมือง  เพราะมีหลักห้ามส่งผู้ร้ายข้ามแดนในคดีการเมือง

2       ต้องไม่ใช่คดีที่ขาดอายุความ  หรือคดีที่ศาลของประเทศใด  ได้พิจารณาพิพากษาให้ปล่อยหรือได้รับโทษในความผิดที่ร้องขอให้ส่งข้ามแดนได้

3       ต้องเป็นความผิดซึ่งกฎหมายกำหนดโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า  1  ปี

4       ความผิดซึ่งบุคคลผู้ถูกขอให้ส่งตัวได้กระทำไปนั้น  ต้องเป้นความผิดต่อกฎหมายอาญาของทั้งสองประเทศ  คือประเทศที่มีคำขอและประเทศที่ถูกขอให้ส่งตัว

LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล 1/2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ปรานีหรือแอม  แซ่ผ่าน  เกิดที่จังหวัดสกลนคร  เมื่อปี  พ.ศ. 2492  เป็นบุตรนายยิว  นางเกียว  แซ่ผ่าน  ซึ่งเป็นคนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยชอบฯ  ปรานีอยู่กินกับนายกู๋  แซ่โงว  ญวนอพยพโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส  เกิดบุตรในประเทศไทยสามคน  คือ  เพ็ญแข  เมื่อปี  พ.ศ. 2509  เพ็ญจันทร์  เมื่อปี  พ.ศ. 2512  และเพ็ญพักตร์  เมื่อปี  พ.ศ. 2516  อยากทราบว่า  ปรานีและบุตรทั้งสามคนได้หรือเสียสัญชาติไทยอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(3) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย

พ.ร.บ. สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(1) ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย

มาตรา  10  บทบัญญัติมาตรา  7(1)  แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ  พ.ศ. 2508  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้  ให้มีผลใช้บังคับกับผู้เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย

ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337

ข้อ  1  ให้ถอนสัญชาติไทยของบรรดาบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย  โดยบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือมารดาเป็นคนต่างด้าว  แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  และในขณะที่เกิดบิดาหรือมารดานั้นเป็น

(3)  ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง

ข้อ  2  บุคคลตามข้อ  1  ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยเมื่อประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับแล้ว  ไม่ได้สัญชาติไทย  เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นสมควรและสั่งเฉพาะรายเป็นประการอื่น

วินิจฉัย

ปราณีและบุตรทั้ง  3  คน  ได้หรือเสียสัญชาติไทยหรือไม่  เห็นว่า  ปราณีเกิดที่จังหวัดสกลนคร  เป็นบุตรของคนต่างด้าวซึ่งเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยชอบด้วยกฎหมาย  กรณีถือว่าปราณีเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย  ย่อมได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิดตาม  พ.ร.บ. สัญชาติ  พ.ศ.  2508  มาตรา  7(3)

ต่อมาได้ความว่า  ปราณีอยู่กินกับนายกู๋  แซ่โงว  ญวนอพยพโดยไม่จดทะเบียนสมรสและเกิดบุตรในประเทศไทยจำนวน  3  คน  สำหรับบุตร  2  คนแรก  คือ  เพ็ญแขและเพ็ญจันทร์นั้น  เกิดในราชอาณาจักรไทยก่อนวันที่ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ใช้บังคับ  (มีผลใช้บังคับวันที่  14  ธันวาคม  พ.ศ. 2515)  จึงได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิด  ตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา 7(3)

อนึ่งเมื่อประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  มีผลใช้บังคับแล้ว

1       ปราณีไม่ถูกถอนสัญชาติไทย  เพราะแม้ได้ความว่าปราณีจะเกิดจากนายยินและนางเกียว  แซ่ผ่าน  สามีภรรยาสัญชาติญวณ  แต่ในขณะที่ปราณีเกิดนั้น  นายยินและนางเกียว  แซ่ผ่าน  ได้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง  จึงไม่ต้องด้วยประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ข้อ  1(3)  แต่อย่างใด  ปราณีจึงยังคงมีสัญชาติไทย

2       เพ็ญแขและเพ็ญจันทร์ไม่ถูกถอนสัญชาติไทย  ตามประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ข้อ  1(3)  เพราะปราณีมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  และนายกู๋บิดาก็มิใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  (ฎ. 2450/2526) 

3       เพ็ญพักตร์  แม้จะเกิดภายหลังวันที่ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ใช้บังคับแล้ว  ก็ย่อมได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิด  ตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)  เช่นกัน  เพราะไม่เข้าข้อยกเว้น  ตามข้อ  2  และข้อ  1(3)  เนื่องจากปราณีมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย 

อย่างไรก็ตาม  เมื่อ  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มีผลใช้บังคับ  (มีผลใช้บังคับวันที่  26  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2535)  บุตรทั้ง  3  คนกลับได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิดตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1)  ที่กำหนดให้บุคคลผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักร  ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด  ทั้งนี้โดยผลของมาตรา  10  ของ  พ.ร.บ.  ดังกล่าวที่ได้กำหนดให้นำบทบัญญัติมาตรา  7(1)  มาใช้บังคับย้อนหลังกับผู้ที่เกิดก่อนวันที่  26  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2535  อันเป็นวันที่  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  ใช้บังคับด้วย  ดังนั้น  บุตรทั้ง  3  คนจึงได้รับสัญชาติไทยตามหลักสายโลหิตโดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่เกิด  เพราะมารดา  คือ  ปราณีเป็นผู้มีสัญชาติไทย

สรุป  ปราณีได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)  และบุตรทั้ง  3  คนได้สัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1)  โดยผลของมาตรา  10  ซึ่งมีผลย้อนหลังตั้งแต่เกิด 

หมายเหตุ  กรณีตามข้อเท็จจริงข้างต้นนั้น  แม้  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  จะมีผลใช้บังคับ  ก็ไม่ทำให้ปรานีไม่ได้สัญชาติไทยตั้งแต่เกิดตามมาตรา  7  ทวิ  วรรคแรก  เนื่องจากแม้บิดาและมารดาของปรานีจะเป็นคนต่างด้าว  แต่ทั้งบิดาและมารดาของปรานีก็ได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง  กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าวแต่อย่างใด

 

ข้อ  2  นายชัยชนะคนสัญชาติไทย  ส่งคำเสนอขายแหวนเพชรหนึ่งวงราคา  4  แสนบาท  ให้แก่นาบลีคนสัญชาติสิงคโปร์  โดยนายชัยชนะจะนำแหวนเพชรนั้นมามอบให้แก่นายลีที่สิงคโปร์  และนายลีจะต้องส่งเงิน  4  แสนบาทผ่านทางธนาคารสิงคโปร์มาเข้าบัญชีธนาคารของนายชัยชนะที่กรุงเทพฯ  นายลีก็ตอบรับคำเสนอโดยทำเป็นจดหมายมอบให้กับนายหม่องให้เดินทางมาส่งให้แก่นายชัยชนะด้วยตนเอง  ขณะที่นายหม่องมาถึงกรุงเทพฯ  ปรากฏว่านายชัยชนะกำลังโดยสารเรือเดินสมุทรจากกรุงเทพฯไปยังประเทศบรูไน  

นายหม่องจึงลงเรือเดินสมุทรอีกลำหนึ่งติดตามไปส่งจดหมายฉบับนั้นให้แก่นายชัยชนะได้ในขณะที่เรืออยู่กลางทะเลหลวง  ต่อมานายชัยชนะมอบแหวนเพชรนั้นให้แก่นายลีที่สิงคโปร์แล้ว  แต่นายลีไม่ยอมส่งเงิน  4  แสนบาทผ่านทางธนาคารสิงคโปร์มาเข้าบัญชีธนาคารของนายชัยชนะที่กรุงเทพฯ  นายชัยชนะจึงฟ้องต่อศาลไทยเพื่อบังคับให้นายลีชำระราคาค่าแหวนเพชรนั้นเป็นจำนวนเงิน  4  แสนบาทให้แก่ตน  ให้ท่านวินิจฉัยว่าในกรณีเช่นนี้ศาลไทยควรจะนำกฎหมายใดมาใช้บังคับ  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

  มาตรา  13  วรรคแรกและวรรคสอง  ปัญหาว่าจะพึงใช้กฎหมายใดบังคับสำหรับสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญหรือผลแห่งสัญญานั้น  ให้วินิจฉัยตามเจตนาของคู่กรณี  ในกรณีที่ไม่อาจหยั่งทราบเจตนาชัดแจ้งหรือโดยปริยายได้  ถ้าคู่สัญญามีสัญชาติเดียวกัน  กฎหมายที่จะใช้บังคับก็ได้แก่กฎหมายสัญชาติอันร่วมกันแห่งคู่สัญญา  ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติเดียวกัน  ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น

ถ้าสัญญานั้นได้ทำขึ้นระหว่างบุคคลซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทาง  ถิ่นที่ถือว่าสัญญานั้นได้เกิดเป็นสัญญาขึ้นคือ  ถิ่นที่คำกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ  ถ้าไม่อาจหยั่งทราบถิ่นที่ว่านั้นได้  ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่จะพึงปฏิบัติตามสัญญานั้น

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  การจะพิจารณาว่าจะใช้กฎหมายของประเทศใดบังคับแก่สาระสำคัญหรือผลของสัญญานั้น  กรณีเป็นไปตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  13  วรรคแรก  ซึ่งอาจแยกพิจารณาเป็นกรณีตามลำดับได้ดังนี้

1       กรณีที่คู่สัญญาแสดงเจตนาไว้โดยชัดแจ้ง  หรือโดยปริยายให้นำมาใช้บังคับ  ก็ให้นำกฎหมายของประเทศนั้นมาใช้บังคับ

2       กรณีที่ไม่อาจทราบเจตนาโดยชัดแจ้งหรือปริยายของคู่สัญญาเกี่ยวกับกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่สัญญา

(ก)  ถ้าคู่สัญญามีสัญชาติเดียวกัน  ให้ใช้กฎหมายสัญชาติของคู่สัญญามาใช้บังคับ

(ข)  ถ้าคู่สัญญาไม่มีสัญชาติเดียวกัน  กรณีเช่นนี้ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น

ศาลไทยควรจะนำกฎหมายใดมาใช้บังคับ  เห็นว่า  การที่นายชัยชนะคนสัญชาติไทย  ส่งคำเสนอขายแหวนวงหนึ่งราคา  4  แสนบาท  ให้แก่นายลีคนสัญชาติสิงคโปร์  โดยนายลีและนายชัยชนะไม่ได้แสดงเจตนาไว้โดยชัดแจ้ง  หรือโดยปริยายว่าให้นำกฎหมายประเทศใดมาใช้บังคับแก่ผลของสัญญา  จึงเป็นกรณีที่ไม่อาจหยั่งทราบเจตนาโดยชัดแจ้งหรือปริยายของคู่สัญญาเกี่ยวกับกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่สัญญา  ทั้งกรณีนี้นายลีและนายชัยชนะก็ไม่ได้มีสัญชาติเดียวกัน  กฎหมายที่จะใช้บังคับจึงได้แก่กฎหมายแห่งถิ่นที่สัญญานั้นได้ทำขึ้น  เมื่อนายลีและนายชัยชนะคู่สัญญาอยู่คนละประเทศ  อันถือว่าสัญญานั้นได้ทำขึ้นระหว่างบุคคลซึ่งถืออยู่ห่างกันโดยระยะทางซึ่งตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  13  วรรคสอง  กำหนดให้ถือว่าสัญญานั้นเกิด  ณ  ถิ่นหรือประเทศที่คำบอกกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ  และหากเป็นกรณีที่ไม่อาจทราบถิ่นที่ว่านั้นได้  ก็ให้ใช้กฎหมายแห่งถิ่นที่จะพึงปฏิบัติตามสัญญานั้น

เมื่อพิจารณาแล้วได้ความว่า  สัญญาซื้อขายดังกล่าวนายลีตอบรับโดยทำเป็นจดหมายมอบให้แก่นายหม่องให้เดินทางมาส่งแก่นายชัยชนะด้วยตนเองและนายหม่องได้ติดตามไปส่งจดหมายฉบับนั้นให้แก่นายชัยชนะได้ในขณะที่เรืออยู่กลางทะเลหลวง  จึงถือเป็นกรณีที่ไม่อาจทราบถิ่นหรือประเทศที่คำบอกกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ  ดังนั้น  หากนายชัยชนะประสงค์จะฟ้องคดีต่อศาลไทย  เพื่อบังคับให้นายลีชำระราคาแหวนเพชรให้แก่ตน  ศาลไทยจึงควรนำกฎหมายไทยมาใช้บังคับนายลีให้ชำระราคาค่าแหวนเพชรนั้น  ให้แก่นายชัยชนะเพราะกฎหมายไทยเป็นกฎหมายแห่งถิ่นที่จะพึงปฏิบัติตามสัญญาในเรื่องการชำระราคา

สรุป  ศาลไทยควรนำกฎหมายไทยมาใช้บังคับนายลีให้ชำระราคาแหวนเพชรดังกล่าว  เพราะกฎหมายไทยเป็นกฎหมายแห่งถิ่นที่จะพึงปฏิบัติตามสัญญาในเรื่องการชำระราคา

 

ข้อ  3  บริษัทจดทะเบียนประเทศสหรัฐอเมริกาแห่งหนึ่งเข้ามาเปิดสาขาในประเทศไทย  โดยมีนายเชสคนสัญชาติอเมริกันเป็นผู้จัดการสาขา  ต่อมานายเชสได้ทำการแก้ไขบัญชีของบริษัทสาขาในประเทศไทย  และนำรายได้บางส่วนของบริษัทฯ  โอนเข้าบัญชีของตนเองที่ธนาคารในประเทศแคนาดา  ดังนี้  การกระทำของนายเชสถือเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศฐานใดหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

วินิจฉัย

การที่นายเชส  ซึ่งเป็นผู้จัดการสาขาได้ทำการแก้ไขบัญชีของบริษัทสาขาในประเทศไทย  และนำรายได้บางส่วนของบริษัทฯโอนเข้าบัญชีของตนที่ธนาคารในประเทศแคนาดา  การกระทำของนายเชสดังกล่าวถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกงระหว่างประเทศที่เรียกว่า  “White Collar  Crimes”  ซึ่งหมายถึงการกระทำความผิดโดยบุคคลที่แต่งตัวสะอาดโก้หรู  มีตำแหน่งหน้าที่การงานและใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานของตนมาเป็นประโยชน์ในการประกอบความผิด

ซึ่งลักษณะของการกระทำผิดประเภทนี้  มักเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่น  การทุจริต  การยักยอกหรือฉ้อโกง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการธุรกิจและการค้าต่างๆ  รวมตลอดการขโมย  หรือบิดเบือนบัญชีบริษัทหรือปลอมแปลงสัญญาหรือตั๋วเงิน  ไม่ว่าจะเป็นตั๋วแลกเงิน  ตั๋วสัญญาใช้เงิน  หรือเช็ค  เป็นต้น  ตัวอย่างเช่นพวกพ่อค้าหรือนักธุรกิจที่โกงหรือหลบเลี่ยงการเสียภาษีให้แก่รัฐ  สมุห์บัญชีฉ้อโกงบริษัทที่ประกอบการธุรกิจหรือการค้าต่างๆ  การกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้าขายสินค้าควบคุมในตลาดมืด  เป็นต้น

สรุป  กากระทำของนายเชส  ถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกงระหว่างประเทศที่เรียกว่า  “White  Collar  Crimes” 

 

ข้อ  4  การที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  มีคำสั่งประทับรับฟ้องคดีที่ดินรัชดา  ซึ่งอดีตนายกรัฐมนตรีของไทยตกเป็นจำเลยนั้น  ในขณะที่ตัวจำเลยพำนักอยู่  ณ  ประเทศอังกฤษตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ  จำเลยจะยกข้อต่อสู้เพื่อมิให้ส่งตัวข้ามแดนได้ในกรณีใดบ้าง  บอกมาสัก  5  ข้อ

ธงคำตอบ

อธิบาย

หลักเกณฑ์ทั่วไปของการส่งผู้ร้ายข้ามแดน

1       บุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวเป็นผู้กระทำผิดทางอาญา  หรือถูกลงโทษในทางอาญาในเขตของประเทศที่ร้องขอ  หรือเป็นคดีอาญาที่มีมูลที่จะนำตัวผู้ต้องหาขึ้นฟ้องร้องต่อศาลได้

2       ต้องไม่ใช่คดีที่ขาดอายุความ  หรือคดีที่ศาลของประเทศใด  ได้พิจารณาและพิพากษาให้ปล่อยหรือได้รับโทษในความผิดที่ร้องขอให้ส่งข้ามแดนได้

3       บุคคลที่ถูกขอให้ส่งตัวจะเป็นคนสัญชาติใดก็ได้  อาจจะเป็นพลเมืองของประเทศที่ร้องขอหรือประเทศที่ถูกขอหรือประเทศที่สามก็ได้

4       ความผิดซึ่งบุคคลผู้ถูกขอให้ส่งตัวได้กระทำไปนั้น  ต้องเป็นความผิดต่อกฎหมายอาญาของทั้งสองประเทศ  คือประเทศที่มีคำขอและประเทศที่ถูกขอให้ส่งตัว

5       ต้องเป็นความผิดซึ่งกฎหมายกำหนดโทษจำคุกไม่ต่ำกว่า  1  ปี

6       บุคคลที่ถูกขอตัวได้ปรากฏตัวอยู่ในประเทศที่ร้องขอให้ส่งตัว

7       ประเทศเจ้าของที่เกิดเหตุ  เป็นผู้ดำเนินการร้องขอให้ส่งตัวโดยปฏิบัติตามพิธีการต่างๆครบถ้วนดังที่กำหนดไว้ในสนธิสัญญา  หรือตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น

8       ผู้ที่ถูกส่งตัวไปนั้น  จะต้องถูกฟ้องเฉพาะในความผิดที่ระบุมาในคำขอให้ส่งตัวเท่านั้น  หรืออย่างน้อยที่สุด  จะต้องเป็นความผิดที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาระหว่างกัน

9       ต้องไม่ใช่ความผิดบางประเภทที่ไม่นิยมส่งผู้ร้ายข้ามแดน  เช่น  คดีการเมือง  เพราะมีหลักห้ามส่งผู้ร้ายข้ามแดนในคดีการเมือง

จากหลักทั่วไปทั้ง  9  ข้อดังกล่าวข้างต้นจำเลยอาจยกต่อสู้เพื่อไม่ให้ถูกส่งข้ามแดนได้  เช่น

1       จำเลยไม่ใช่ตัวบุคคลที่ถูกขอให้ส่งข้ามแดน

2       กากระทำของจำเลยไม่ใช่ความผิดอาญาของทั้งสองประเทศ

3       คดีไม่มีมูลที่จะนำตัวผู้ต้องหาขึ้นฟ้องร้องต่อศาลได้

4       เป็นความผิดทางการเมือง

5       การขอให้ส่งตัวข้ามแดนไปนั้นประสงค์จะเอาตัวไปลงโทษทางการเมือง

LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นางปราณีเกิดที่จังหวัดอุบลราชธานีเป็นบุตรของนายยิน  นางเกียว  แซ่ผ่าน  สามีภรรยาสัญชาติญวณซึ่งเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง  มีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวเลขที่  6  7/2497  ออกให้  ณ  ที่ว่าการอำเภอเมืองฯ  จังหวัดอุบลราชธานี  ต่อมาปราณีอยู่กินกับนายกู๋  แซ่โง  ญวณอพยพโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส  เกิดบุตรที่  จ.อุบลฯ  สามคน เมื่อปี พ.ศ. 2511,  2512  และ  2516  ตามลำดับ  เจ้าหน้าที่กิจการญวณอพยพได้ใส่ชื่อนายกู๋นางปราณีและบุตรลงในทะเบียนบ้านคนญวณอพยพเลขที่  108/8  ถนนอุปราช  ต.ในเมือง  อ.เมือง  จ.อุบลราชธานี

ปี  พ.ศ. 2525  ปราณีและบุตรทั้งสามคนขอให้เจ้าหน้าที่เพิกถอนชื่ออกจากทะเบียนบ้านดังกล่าว  โดยอ้างว่าตนมีสัญชาติไทย  ข้ออ้างฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด  และปัจจุบัน  ปราณีและบุตรมีสัญชาติไทยหรือไม่  บกหลักกฎหมายประกอบคำตอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(3) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย

พ.ร.บ. สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(1) ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย

มาตรา  10  บทบัญญัติมาตรา  7(1)  แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ  พ.ศ. 2508  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้  ให้มีผลใช้บังคับกับผู้เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย

ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337

ข้อ  1  ให้ถอนสัญชาติไทยของบรรดาบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย  โดยบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือมารดาเป็นคนต่างด้าว  แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  และในขณะที่เกิดบิดาหรือมารดานั้นเป็น

(3)  ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง

ข้อ  2  บุคคลตามข้อ  1  ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทยเมื่อประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับแล้ว  ไม่ได้สัญชาติไทย  เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาเห็นสมควรและสั่งเฉพาะรายเป็นประการอื่น

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  ปัจจุบันปราณีและบุตรทั้ง  3  คน  มีสัญชาติไทยหรือไม่  เห็นว่า  ปราณีเกิดที่จังหวัดอุบลราชธานี เป็นบุตรของคนต่างด้าวซึ่งเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยชอบด้วยกฎหมาย  กรณีถือว่าปราณีเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย  ย่อมได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิดตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ.  2508มาตรา  7(3)

ต่อมาได้ความว่า  ปราณีอยู่กินกับนายกู๋  แซ่โง  ญวณอพยพโดยไม่จดทะเบียนสมรสและเกิดบุตรที่จังหวัดอุบลราชธานีจำนวน  3  คน  สำหรับบุตร  2  คนแรกนั้น  เกิดในราชอาณาจักรไทยก่อนวันที่ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ใช้บังคับ  (มีผลใช้บังคับวันที่  14 ธันวาคม  พ.ศ. 2515)  จึงได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิด  ตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา 7(3))

อนึ่งเมื่อประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  มีผลใช้บังคับแล้ว

1       ปราณีไม่ถูกถอนสัญชาติไทย  เพราะแม้ได้ความว่าปราณีจะเกิดจากนายยินและนางเกียว  แซ่ผ่าน  สามีภรรยาสัญชาติญวณ  แต่ในขณะที่ปราณีเกิดนั้น  นายยินและนางเกียว  แซ่ผ่าน  ได้เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง  จึงไม่ต้องด้วยประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ข้อ  1(3)  แต่อย่างใด  ปราณีจึงยังคงมีสัญชาติไทย

2       บุตร  2  คนแรกนั้นไม่ถูกถอนสัญชาติไทย  ตามประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ข้อ  1(3)  เพราะปราณีมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  และนายกู๋บิดาซึ่งเป็นคนต่างด้าวก็มิใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  (ฎ. 2450/2526)  บุตร  2  คนแรกจึงยังคงมีสัญชาติไทย

3       สำหรับบุตรคนที่  3  แม้จะเกิดภายหลังวันที่ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ใช้บังคับแล้ว  ก็ย่อมได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิด  ตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)  เช่นกัน  เพราะไม่เข้าข้อยกเว้น  ตามข้อ  2  และข้อ  1(3)  เนื่องจากปราณีมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  และนายกู๋บิดาซึ่งเป็นคนต่างด้าวก็มิใช่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม  เมื่อ  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มีผลใช้บังคับ  (มีผลใช้บังคับวันที่  26  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2535)  บุตรทั้ง  3  คนกลับได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิดตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1)  ที่กำหนดให้บุคคลผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักร  ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด  ทั้งนี้โดยผลของมาตรา  10  ของ  พ.ร.บ.  ดังกล่าวที่ได้กำหนดให้นำบทบัญญัติมาตรา  7(1)  มาใช้บังคับย้อนหลังกับผู้ที่เกิดก่อนวันที่  26  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2535  อันเป็นวันที่  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  ใช้บังคับด้วย  ดังนั้น  บุตรทั้ง  3  คนจึงได้รับสัญชาติไทยตามหลักสายโลหิตโดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่เกิด  เพราะมารดา  คือ  ปราณีเป็นผู้มีสัญชาติไทย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  การที่ปราณีและบุตรทั้ง  3  คน  จะขอให้เจ้าหน้าที่เพิกถอนชื่ออกจากทะเบียนบ้านคนญวณอพยพ  โดยอ้างว่าตนมีสัญชาติไทยนั้น  ข้ออ้างดังกล่าวรับฟังได้หรือไม่  เห็นว่า  โดยหลักแล้ว  การได้  การเสีย  หรือการกลับคืนสัญชาติ  ย่อมเป็นไปตามกฎหมายบัญญัติไว้  ดังนั้นการที่เจ้าหน้าที่กิจการญวณอพยพได้ใส่ชื่อปราณีและบุตรทั้ง  3  คนลงในทะเบียนบ้านคนญวณอพยพ  ย่อมไม่มีผลทำให้บุคคลผู้มีสัญชาติไทยตามกฎหมายอยู่แล้ว  ต้องสูญเสียสัญชาติไทยและกลายเป็นคนสัญชาติญวณแต่อย่างใด การลงชื่อในทะเบียนคนญวณอพยพเป็นเพียงการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ไม่มีผลลบล้างกฎหมายสัญชาติเป้นอย่างอื่นไปได้  (ฎ. 2318 2319/2530)  ข้ออ้างของปราณีและบุตรทั้ง  3  คน  จึงฟังขึ้น

สรุป  ปัจจุบันปราณีได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)  และบุตรทั้ง  3  คนได้สัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1)  โดยผลของมาตรา  10  ซึ่งมีผลย้อนหลังตั้งแต่เกิด  ส่วนข้ออ้างของปราณีและบุตรทั้ง  3  คนว่าเป็นผู้มีสัญชาติไทยนั้นฟังขึ้น

 

ข้อ  2  นายเฮงเกิดจากบิดามารดาซึ่งเป็นคนสัญชาติจีน  แต่เกิดและมีภูมิลำเนาในประเทศฟิลิปปินส์  ตามกฎหมายจีนบุคคลย่อมได้สัญชาติจีนหากเกิดจากบิดาเป็นจีน  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกประเทศจีนและตามกฎหมายฟิลิปปินส์บุคคลย่อมได้สัญชาติฟิลิปปินส์หากเกิดในประเทศฟิลิปปินส์  กฎหมายจีนยังกำหนดไว้อีกว่า  บุคคลบรรลุนิติภาวะและมีความสามารถที่จะทำนิติกรรมใดๆได้เมื่ออายุครบ  19  ปีบริบูรณ์  แต่ตามกฎหมายฟิลิปปินส์ต้องมีอายุครบ  21  ปีบริบูรณ์ในขณะที่นายเฮงมีอายุ  20  ปีบริบูรณ์  ได้ทำสัญญาซื้อเครื่องกลั่นน้ำมันปาล์ม  จำนวน  60  เครื่องจากนายเมตตาคนสัญชาติไทยในประเทศไทย  หลังจากนั้นนายเฮงและนายเมตตามีคดีขึ้นสู่ศาลไทย  โดยประเด็นข้อพิพาทมีว่านายเฮงมีความสามารถทำสัญญาที่ว่านี้หรือไม่  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  ศาลไทยควรวินิจฉัยอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  6  วรรคสอง  ถ้าจะต้องใช้กฎหมายสัญชาติบังคับ  และบุคคลมีสัญชาติตั้งแต่สองสัญชาติขึ้นไป  อันได้รับมาคราวเดียวกัน  ให้ใช้กฎหมายสัญชาติของประเทศซึ่งบุคคลนั้นมีภูมิลำเนาอยู่บังคับ  ถ้าบุคคลนั้นมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศอื่นนอกจากประเทศซึ่งตนมีสัญชาติสังกัดอยู่  ให้ใช้กฎหมายภูมิลำเนาในเวลายื่นฟ้องบังคับ  ถ้าภูมิลำเนาของบุคคลนั้นไม่ปรากฏ  ให้ใช้กฎหมายของประเทศซึ่งบุคคลนั้นมีถิ่นที่อยู่บังคับ  ในกรณีใดๆที่มีการขัดกันในเรื่องสัญชาติของบุคคล  ถ้าสัญชาติหนึ่งสัญชาติใดซึ่งขัดกันนั้นเป็นสัญชาติไทย  กฎหมายสัญชาติซึ่งจะใช้บังคับได้แก่  กฎหมายแห่งประเทศสยาม

มาตรา  10  วรรคแรกและวรรคสอง  ความสามารถและความไร้ความสามารถของบุคคลย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้น

แต่ถ้าคนต่างด้าวทำนิติกรรมในประเทศสยาม  ซึ่งตามกฎหมายสัญชาติคนต่างด้าวนั้นย่อมจะไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจำกัดสำหรับนิติกรรมนั้น  ให้ถือว่าบุคคลนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมนั้นได้เพียงเท่าที่จะมีความสามารถตามกฎหมายสยาม  ความในวรรคนี้ไม่ใช้แก่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวและกฎหมายมรดก

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  19  บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุยี่สิบปีบริบูรณ์

วินิจฉัย

ศาลไทยควรวินิจฉัยข้อพิพาทที่ว่านี้อย่างไร  เห็นว่า  ปัญหาข้อพิพาทที่ว่านายเฮงมีความสามารถทำสัญญาซื้อเครื่องกลั่นน้ำมันปาล์มจากนายเมตตาคนสัญชาติไทยได้หรือไม่นั้น  ถือเป็นเรื่องความสามารถของบุคคล  ซึ่งโดยหลักแล้วย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้นตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  10  วรรคแรก

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นายเฮงมีทั้งสัญชาติจีนและฟิลิปปินส์ซึ่งได้รับมาในขณะเดียวกัน(ได้รับมาพร้อมกัน)  กรณีเช่นนี้  กฎหมายสัญชาติที่ใช้บังคับ  คือ  กฎหมายสัญชาติของประเทศที่นายเฮงมีภูมิลำเนาอยู่  อันได้แก่  กฎหมายฟิลิปปินส์ตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  6  วรรคสอง  ซึ่งเมื่อพิจารณาตามกฎหมายฟิลิปปินส์แล้ว  นายเฮงย่อมไม่มีความสามารถทำสัญญาซื้อขายดังกล่าวได้  เนื่องจากตามกฎหมายฟิลิปปินส์กำหนดว่า  บุคคลจะบรรลุนิติภาวะและมีความสามารถที่จะทำนิติกรรมใดๆ  ได้เมื่อมีอายุครบ  21  ปีบริบูรณ์  เมื่อในขณะทำนิติกรรมนายเฮงมีอายุเพียง  20  ปี  จึงไม่ต้องด้วยบทกฎหมายดังกล่าว

แต่อย่างไรก็ดี  แม้นายเฮงจะไร้ความสามารถในการทำนิติกรรมดังกล่าวตามกฎหมายสัญชาติ  แต่อาจถือได้ว่านายเฮงคนต่างด้าวนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมดังกล่าวตามกฎหมายไทยได้  หากเข้าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขดังนี้คือ

1       คนต่างด้าวนั้นได้ทำนิติกรรมขึ้นในประเทศไทย  ซึ่งมิใช่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวและกฎหมายมรดก

2      ตามกฎหมายสัญชาติคนต่างด้าวนั้น  ถือว่าบุคคลดังกล่าวไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจำกัดในการทำนิติกรรมตาม  ข้อ  1

3      แต่ตามกฎหมายไทยถือว่าคนต่างด้าวนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมตามข้อ  1)  ได้

ฉะนั้นแล้ว  การที่นายเฮงได้ทำนิติกรรมในประเทศไทย  ซึ่งนิติกรรมการซื้อขายดังกล่าวก็ไม่ใช่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวหรือกฎหมายมรดก  และตามกฎหมายสัญชาติของนายเฮง  (ฟิลิปปินส์)  ก็ถือว่านายเฮงไร้ความสามารถหรือมมีความสามารถอันจำกัด  แต่เมื่อพิจารณาตามกฎหมายไทยแล้ว  นายเฮงมีความสามารถทำนิติกรรมซื้อขายดังกล่าวได้  เพราะถือว่านายเฮงบรรลุนิติภาวะแล้วตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  19  ดังนั้นศาลไทยจึงควรวินิจฉัยว่านายเฮงมีความสามารถทำสัญญาฉบับที่ว่านี้ได้ตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  10  วรรคสอง

สรุป  ศาลไทยควรวินิจฉัยว่านายเฮงมีความสามารถทำสัญญาซื้อเครื่องกลั่นน้ำมันปาล์มดังกล่าวได้

 

ข้อ  3  เครื่องบินของสายการบินแห่งหนึ่ง  มีกำหนดการเดินทางจากประเทศไทยไปยังประเทศออสเตรเลียขณะที่เครื่องกำลังจะขึ้นบินนายโรนันโด้คนสัญชาติบราซิลได้อ้างว่าตนมีปืนและจะยิงผู้โดยสารหากนักบินไม่เปลี่ยนเส้นทางไปประเทศบราซิล  อย่างไรก็ตามพนักงานบนเครื่องได้ช่วยกันจับตัวนายโรนันโด้ไว้ได้  ปรากฏว่าไม่พบอาวุธที่นายโรนันโด้กล่าวและเที่ยวบินดังกล่าวสามารถถึงประเทศออสเตรเลียได้ตามกำหนดการเดิม

การกระทำของนายโรนันโด้ถือว่าเป็นความผิดตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยบิชอบ  ค.ศ. 1970  หรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

วินิจฉัย

อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  มาตรา  1  ให้นิยามของคำว่า  สลัดอากาศ  ว่าหมายถึงบุคคลที่อยู่ในเครื่องบินลำนั้นกระทำการอันเป็นปรปักษ์ต่อความปลอดภัยของอากาศยาน  โดยใช้กำลังมิชอบด้วยกฎหมายเพื่อจะยึดอากาศยานหรือขัดขวางการควบคุมบังคับบัญชาของอากาศยานให้เปลี่ยนเส้นทางการบินตามปกติไปสู่เส้นทางการบินตามความต้องการของตน  ทั้งนี้  รวมถึงการพยายามกระทำความผิด

ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว  การกระทำของนายโรนันโด้ถือว่าเป็นความผิดตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  หรือไม่  เห็นว่า  การกระทำของนายโรนันโด้ซึ่งอยู่ในเครื่องบินลำนั้นที่เรียกร้องให้นักบินเปลี่ยนทิศทางเครื่องบินไปร่อนลงที่ประเทศบราซิล  แทนที่จะไปยังประเทศออสเตรเลียตามกำหนดการเดิม  ถือเป็นการกระทำอันเป็นปรปักษ์ต่อความปลอดภัยของอากาศยานซึ่งเป็นการใช้กำลังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย  เพื่อที่จะยึดอากาศยานหรือขัดขวางการควบคุมบังคับบัญชาของอากาศยานให้เปลี่ยนเส้นทางการบินตามปกติไปสู่เส้นทางการบินตามความต้องการของตน  และแม้นายโรนันโด้จะถูกพนักงานบนเครื่องบินจับตัวได้  และไม่พบอาวุธตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด  และเที่ยวบินดังกล่าวก็สามารถไปถึงประเทศออสเตรเลียได้ตามกำหนดการเดิม  การกระทำดังกล่าวของนายโรนันโด้ก็ยังถือเป็นความผิดฐานสลัดอากาศ  ตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดดารยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  มาตรา  1  ทั้งนี้เพราะความผิดดังกล่าวได้บัญญัติให้รวมถึงการพยายามกระทำความผิดด้วย

สรุป  การกระทำของนายโรนันโด้  ถือเป็นความผิดฐานสลัดอากาศตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  มาตรา  1

 

ข้อ  4  จงบอกเหตุผลสำคัญที่รัฐผู้รับคำขอควรร่วมมือในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนตามคำร้องขอของรัฐผู้ร้องขอมาโดยถูกต้องและครบถ้วน

ธงคำตอบ

อธิบาย

การส่งผู้ร้ายข้ามแดน  คือ  การที่รัฐซึ่งบุคคลนั้นไปปรากฏตัวอยู่ส่งมอบตัวผู้ต้องหาหรือผู้ซึ่งต้องคำพิพากษาให้ลงโทษแล้วไปยังรัฐซึ่งผู้นั้นต้องหาว่าได้กระทำความผิดอาญา  หรือถูกพิพากษาให้ลงโทษทางอาญาแล้ว  ในดินแดนของรัฐที่ขอให้ส่งตัว

โดยทั่วไปแล้ว  เมื่อประเทศหนึ่งร้องขอแล้วประเทศที่รับคำขอก็ควรจะส่งตัวให้ตามคำขอ  ซึ่งเหตุผลสำคัญที่รัฐผู้รับคำขอควรร่วมมือในการไม่ปฏิเสธที่จะส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้ตามคำขอของรัฐผู้ร้องขอ  คือ

1       เพื่อร่วมมือกันระหว่างประเทศในการปราบปรามและป้องกันการกระทำความผิดอาญา  เพื่อบรรลุถึงจุดประสงค์ร่วม  (Common  Goal)  คือความสงบสุขของประชากรโลก

2       เพื่อเป็นการยืนยันหลักการที่ว่าผู้กระทำผิดต้องได้รับการลงโทษ

3       เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ผู้กระทำความผิดอาศัยการหลบหนีเพื่อมิให้ถูกลงโทษได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ดี  แม้จะมีหลักการทั่วไปดังกล่าว  ก็ยังมีข้อยกเว้นให้ผู้กระทำผิดดังกล่าวไม่ต้องถูกส่งตัว  อยู่  3  ประการ  คือ

1       ลักษณะความผิด  เช่น  เป็นความผิดทางการเมือง  ความผิดต่อกฎหมายพิเศษ  ความผิดต่อกฎหมายการพิมพ์  ความผิดต่อศาสนา  เป็นต้น

2       สัญชาติของผู้กระทำความผิด

3       ฐานะพิเศษบางประการของผู้กระทำความผิด  เช่น  บุคคลในคณะทูต  บุคคลที่สั่งให้ปล่อยตัวแล้ว  เป็นต้น

LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล S/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4006 (LA 406),(LW 405) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายสุนัยเกิดที่จังหวัดมุกดาหารเมื่อ  18  กรกฎาคม  พ.ศ. 2510  จากบิดาคือ  นายวัน  คนสัญชาติญวณ  ซึ่งลี้ภัยเข้ามาอยู่ในประเทศไทยเมื่อปี  พ.ศ.  2497  และมารดาคือ  นางวันดี  คนสัญชาติไทย  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  นายสุนัยได้หรือเสียสัญชาติไทยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(3) ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย

พ.ร.บ. สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7  บุคคลดังต่อไปนี้ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด

(1) ผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักรไทย

มาตรา  10  บทบัญญัติมาตรา  7(1)  แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ  พ.ศ. 2508  ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัตินี้  ให้มีผลใช้บังคับกับผู้เกิดก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย

ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337

ข้อ  1  ให้ถอนสัญชาติไทยของบรรดาบุคคลที่เกิดในราชอาณาจักรไทย  โดยบิดาเป็นคนต่างด้าวหรือมารดาเป็นคนต่างด้าว  แต่ไม่ปรากฏบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  และในขณะที่เกิดบิดาหรือมารดานั้นเป็น

(3) ผู้ที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง

วินิจฉัย

นายสุนัยได้หรือเสียสัญชาติไทยหรือไม่  เห็นว่า  นายสุนัยเกิดที่จังหวัดมุกดาหาร  เมื่อวันที่  18  กรกฎาคม  พ.ศ. 2510  กรณีถือว่านายสุนัยเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย  ย่อมได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิดตามหลักดินแดนตาม  พ.ร.บ. สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)

ต่อมาวันที่  14  ธันวาคม  พ.ศ. 2515  ซึ่งเป็นวันที่ประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  มีผลใช้บังคับ  นายสุนัยจึงถูกถอนสัญชาติไทย  เพราะในขณะที่นายสุนัยเกิด  นายวันบิดาได้ลี้ภัยเข้ามาอยู่ในประเทศไทยอันถือว่าบิดาเป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง  ตามประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ข้อ  1(3)

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อ  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มีผลใช้บังคับ  (มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่  26  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2535) และได้บัญญัติให้ถูกยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ย่อมมีผลทำให้นายสุนัยกลับมาได้สัญชาติไทยตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มาตรา  7(1)  ที่กำหนดให้บุคคลผู้เกิดโดยบิดาหรือมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย  ไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกราชอาณาจักร  ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิด  ทั้งนี้โดยผลของมาตรา  10  ของ  พ.ร.บ.  ดังกล่าวที่ได้กำหนดให้นำบทบัญญัติมาตรา  7(1)  มาใช้บังคับกับผู้ที่เกิดก่อนวันที่  26  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2535  อันเป็นวันที่  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  ใช้บังคับด้วย ดังนั้นนายสุนัยจึงได้รับสัญชาติไทยโดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่เกิด  เพราะมารดา  คือ  นางวันดีเป็นผู้มีสัญชาติไทย

สรุป  นายสุนัยได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตาม  พ.ร.บ.  สัญชาติ  พ.ศ. 2508  มาตรา  7(3)  และถูกถอนสัญชาติไทย  ตามประกาศคณะปฏิวัติ  ฉบับที่  337  ข้อ  1(3)  แต่เมื่อ  พ.ร.บ.  สัญชาติ  (ฉบับที่  2)  พ.ศ. 2535  มีผลใช้บังคับ  นายสุนัยกลับได้รับสัญชาติไทยตั้งแต่เกิดเพราะมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย

 

ข้อ  2  นายหู  เกิดจากบิดามารดาซึ่งเป็นคนสัญชาติจีน  แต่เกิดและมีภูมิลำเนาในประเทศเวียดนาม  ตามกฎหมายจีน  บุคคลย่อมได้สัญชาติจีนหากเกิดจากบิดาเป็นจีนไม่ว่าจะเกิดในหรือนอกประเทศจีนและตามกฎหมายเวียดนาม  บุคคลย่อมได้สัญชาติเวียดนามหากเกิดในประเทศเวียดนาม  กฎหมายจีนยังกำหนดไว้อีกว่า  บุคคลบรรลุนิติภาวะและมีความสามารถที่จะทำนิติกรรมใดๆได้เมื่ออายุครบ  19  ปีบริบูรณ์  แต่กฎหมายเวียดนามต้องมีอายุครบ  21  ปีบริบูรณ์  ข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ในขณะที่นายหูมีอายุ  20  ปีบริบูรณ์ได้ทำสัญญาซื้อเครื่องแยกเมล็ดข้าวจำนวน  8  เครื่องจากนายอวยชัยคนสัญชาติไทยในประเทศไทย  หลังจากนั้นนายหูและนายอวยชัยมีคดีขึ้นสู่ศาลไทย  โดยประเด็นข้อพิพาทมีว่า  นายหูมีความสามารถทำสัญญาที่ว่านี้หรือไม่  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่าศาลไทยควรวินิจฉัยอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  6  วรรคสอง  ถ้าจะต้องใช้กฎหมายสัญชาติบังคับ  และบุคคลมีสัญชาติตั้งแต่สองสัญชาติขึ้นไป  อันได้รับมาคราวเดียวกัน  ให้ใช้กฎหมายสัญชาติของประเทศซึ่งบุคคลนั้นมีภูมิลำเนาอยู่บังคับ  ถ้าบุคคลนั้นมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศอื่นนอกจากประเทศซึ่งตนมีสัญชาติสังกัดอยู่  ให้ใช้กฎหมายภูมิลำเนาในเวลายื่นฟ้องบังคับ  ถ้าภูมิลำเนาของบุคคลนั้นไม่ปรากฏ  ให้ใช้กฎหมายของประเทศซึ่งบุคคลนั้นมีถิ่นที่อยู่บังคับ  ในกรณีใดๆที่มีการขัดกันในเรื่องสัญชาติของบุคคล  ถ้าสัญชาติหนึ่งสัญชาติใดซึ่งขัดกันนั้นเป็นสัญชาติไทย  กฎหมายสัญชาติซึ่งจะใช้บังคับได้แก่  กฎหมายแห่งประเทศสยาม

มาตรา  10  วรรคแรกและวรรคสอง  ความสามารถและความไร้ความสามารถของบุคคลย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้น

แต่ถ้าคนต่างด้าวทำนิติกรรมในประเทศสยาม  ซึ่งตามกฎหมายสัญชาติคนต่างด้าวนั้นย่อมจะไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจำกัดสำหรับนิติกรรมนั้น  ให้ถือว่าบุคคลนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมนั้นได้เพียงเท่าที่จะมีความสามารถตามกฎหมายสยาม  ความในวรรคนี้ไม่ใช้แก่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวและกฎหมายมรดก

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  19  บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุยี่สิบปีบริบูรณ์

วินิจฉัย

ศาลไทยควรวินิจฉัยข้อพิพาทที่ว่านี้อย่างไร  เห็นว่า  ปัญหาข้อพิพาทที่ว่านายหูมีความสามารถทำสัญญาซื้อเครื่องแยกเมล็ดข้ามจากนายอวยชัยคนสัญชาติไทยได้หรือไม่นั้น  ถือเป็นเรื่องความสามารถของบุคคล  ซึ่งโดยหลักแล้วย่อมเป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้นตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  10  วรรคแรก

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นายหูมีทั้งสัญชาติจีนและเวียดนามซึ่งได้รับมาในขณะเดียวกัน(ได้รับมาพร้อมกัน)  กรณีเช่นนี้  กฎหมายสัญชาติที่ใช้บังคับ  คือ  กฎหมายสัญชาติของประเทศที่นายหูมีภูมิลำเนาอยู่  อันได้แก่  กฎหมายเวียดนามตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  6  วรรคสอง  ซึ่งเมื่อพิจารณาตามกฎหมายเวียดนามแล้ว  นายหูย่อมไม่มีความสามารถทำสัญญาซื้อขายดังกล่าวได้  เนื่องจากตามกฎหมายเวียดนามกำหนดว่า  บุคคลจะบรรลุนิติภาวะและมีความสามารถที่จะทำนิติกรรมใดๆ  ได้เมื่อมีอายุครบ  21 ปีบริบูรณ์  เมื่อในขณะทำนิติกรรมนายหูมีอายุเพียง  20  ปี  จึงไม่ต้องด้วยบทกฎหมายดังกล่าว

แต่อย่างไรก็ดี  แม้นายหูจะไร้ความสามารถในการทำนิติกรรมดังกล่าวตามกฎหมายสัญชาติ  แต่อาจถือได้ว่านายหูคนต่างด้าวนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมดังกล่าวตามกฎหมายไทยได้  หากเข้าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขดังนี้คือ

1)    คนต่างด้าวนั้นได้ทำนิติกรรมขึ้นในประเทศไทย  ซึ่งมิใช่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวและกฎหมายมรดก

2)    ตามกฎหมายสัญชาติคนต่างด้าวนั้น  ถือว่าบุคคลดังกล่าวไร้ความสามารถหรือมีความสามารถอันจำกัดในการทำนิติกรรมตาม  ข้อ  1

3)    แต่ตามกฎหมายไทยถือว่าคนต่างด้าวนั้นมีความสามารถทำนิติกรรมตามข้อ  1)  ได้

ฉะนั้นแล้ว  การที่นายหูได้ทำนิติกรรมในประเทศไทย  ซึ่งนิติกรรมการซื้อขายดังกล่าวก็ไม่ใช่นิติกรรมตามกฎหมายครอบครัวหรือกฎหมายมรดก  และตามกฎหมายสัญชาติของนายหู  (เวียดนาม)  ก็ถือว่านายหูไร้ความสามารถหรือมมีความสามารถอันจำกัด  แต่เมื่อพิจารณาตามกฎหมายไทยแล้ว  นายหูมีความสามารถทำนิติกรรมซื้อขายดังกล่าวได้  เพราะถือว่านายหูบรรลุนิติภาวะแล้วตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  19  ดังนั้นศาลไทยจึงควรวินิจฉัยว่านายหูมีความสามารถทำสัญญาฉบับที่ว่านี้ได้ตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยการขัดกันฯ  พ.ศ. 2481  มาตรา  10  วรรคสอง

สรุป  ศาลไทยควรวินิจฉัยว่านายหูมีความสามารถทำสัญญาซื้อเครื่องแยกเมล็ดข้าวดังกล่าวได้

 

ข้อ  3  อยากทราบว่าข้อบกพร่องที่สำคัญของอนุสัญญาโตเกียวว่าด้วยการกระทำความผิดบนอากาศยาน  ค.ศ. 1963  อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการกระทำโดยมิชอบต่อความปลอดภัยแห่งการบินพลเรือน  ค.ศ. 1971  มีอยู่หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

อธิบาย

ในปัจจุบัน  มีอนุสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการจี้เครื่องบินและการก่อวินาศกรรมอยู่  3  ฉบับด้วยกัน  คือ

1       อนุสัญญาโตเกียวว่าด้วยการกระทำความผิดบนอากาศยาน  ค.ศ. 1963  (The  Tokyo  Convention  of  Offences  Committed on  board  Aircraft  of  1963)

2       อนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการขจัดการยึดอากาศยานโดยมิชอบ  ค.ศ. 1970  (The  Hague  Convention  for  the  Suppression of  Unlawful  Seizure  of  Aircraft  1970)

3       อนุสัญญามอลทรีล  ว่าด้วยการขจัดการกระทำโดยมิชอบต่อความปลอดภัยแห่งการบินพลเรือน  ค.ศ. 1971  (The  Montreal  Convention  for  the  Suppression  of  Unlawful  Acts  Against  the  Safety  of  Civil  Aviation  1972)

อนุสัญญา  2  ฉบับแรกนั้นเกี่ยวข้องกับการจี้เครื่องบินโดยเฉพาะ  ส่วนอนุสัญญาหลังกว้างครอบคลุมถึงการกระทำทุกชนิดที่กระทบต่อความปลอดภัยของการบินระหว่างประเทศ

อนุสัญญาทั้ง  3  ฉบับนี้  แม้จะได้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับความผิด  เขตอำนาจศาล  และสร้างพันธะให้แก่รัฐภาคีในอันที่ต้องลงโทษผู้กระทำความผิด  แต่อย่างไรก็ตาม  ก็มิได้หามาตรการที่มีประสิทธิภาพเพื่อที่จะลงโทษรัฐภาคีที่ทำการละเมิดพันธะที่กำหนดไว้  กรณีจึงถือว่าเป็นข้อบกพร่องที่สำคัญของอนุสัญญาทั้ง  3  ฉบับดังกล่าว

 

ข้อ  4  จงอธิบายเจตนารมณ์และผลทางกฎหมายของ  Attentat  Clause

ธงคำตอบ

อธิบาย

โดยเหตุที่มีความผิดบางประเภทซึ่งมีลักษณะทางการเมือง  แต่หลายประเทศกำหนดไว้ไม่ให้ถือว่าเป็นความผิดทางการเมือง  ข้อกำหนดหรือบทบัญญัติในเรื่องนี้เรียกว่า  Attentat  Clause  ซึ่งแปลเป็นไทยได้ว่า  บทบัญญัติเกี่ยวกับการประทุษร้าย  ซึ่งประเทศเบลเยียมนำมาใช้เป็นประเทศแรก  โดยบัญญัติไว้ในกฎหมายภายในของตนเมื่อ  ค.ศ. 1865  หลังจากที่ศาลเบลเยียมปฏิเสธไม่ส่งตัวผู้กระทำความผิดฐานพยายามปลงพระชนม์พระเจ้านโปเลียนที่  3  ไปให้ฝรั่งเศสในคดี  Jacquin  ค.ศ. 1854

กล่าวคือ  ข้อกำหนดหรือบทบัญญัติ  Attentat  Clause  นี้  เป็นกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา  6  แห่งกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของเบลเยียม  ค.ศ. 1833  ซึ่งเป็นกฎหมายเดิม  โดยเพิ่มข้อความลงไปอีกวรรค  (Clause)  หนึ่ง  ซึ่งมีข้อความดังนี้  การประทุษร้ายต่อบุคคลผู้เป็นประมุขของรัฐบาลต่างประเทศหรือบุคคลซึ่งอยู่ในเครือญาติหรือราชสกุลของประมุขนั้น  ไม่ให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นการกระทำผิดทางการเมืองหรือเป็นการกระทำผิดเกี่ยวเนื่องกับการเมือง  หากปรากฏว่าเป็นการประทุษร้ายที่เป็นความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา  หรือลอบฆาตกรรม  หรือเป็นฆาตกรรมด้วยพยายามมาดหมายหรือด้วยการวางยาพิษ

สำหรับเจตนารมณ์ทางการกฎหมายของ  Attentat  Clause  นี้  มุ่งหมายที่จะไม่ให้ถือว่าความผิดฐานประทุษร้ายต่อชีวิตที่กระทำต่อประมุขของประเทศหรือบุคคลในครอบครัวประมุขของประเทศเป็นความผิดทางการเมือง

ส่วนผลของ  Attentat  Clause  นั้น  ทำให้ความหมายของคดีการเมืองแคบลง  กล่าวคือ  เมื่อมีฆาตกรรมเข้าในลักษณะนี้แล้วย่อมส่งผู้ร้ายข้ามแดนกันได้

LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ซ่อม 1/2551

การสอบไล่ภาคซ่อม  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ 1.       สมชายเกิดที่จังหวัดอุบลราชธานีเมื่อปี พ.ศ. 2510 จากบิดาคนสัญชาติไทย ส่วนมารดานั้นเป็นคนต่างด้าวอพยพ ขณะที่เกิด บิดาเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  บิดาเพิ่งมาจดทะเบียนรับรองสมชายเป็นบุตรเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2520  สมชายจะได้หรือเสียสัญชาติไทยอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด 

แนวคำตอบ  พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508 มาตรา 7 อนุ 3    ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 337

และประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 1547, 1557

สมชายได้สัญชาติไทยโดยการเกิด ตาม พ.ร.บ.สัญชาติ มาตรา 7(3) จนถึงวันที่ 14 ธันวาคม 2515 ประกาศของคณะปฏิวัติใช้บังคับ สมชายถูกถอนสัญชาติไทย ตาม ปว. ข้อ 1 แม้ภายหลังบิดาจะจดทะเบียนรับรองสมชายเป็นบุตรสัญชาติไทยของสมชายไม่กลับคืนมาอีก เพราะการเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายมีผลตั้งแต่วันจดทะเบียน (ป.พ.พ.มาตรา 1557 เดิม) (ฎีกาที่ 3120/2528) แต่เมื่อมีการแก้ไข ป.พ.พ. มาตรา 1557 การที่บิดาจดทะเบียนรับรองบุตรให้มีผลเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่วันที่เด็กเกิด

มีผลให้สมชายได้สัญชาติไทย ตาม พ.ร.บ.สัญชาติ (มาตรา 7(1) ตั้งแต่เกิด

ข้อ 2.       นายโฮคนสัญชาติเกาหลีมีถิ่นที่อยู่ตามกฎหมายในประเทศฟิลิปปินส์ได้สละสัญชาติเกาหลีและได้รับสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ  ต่อมานายโฮถูกถอนสัญชาติไทยตาม พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508 โดยในขณะเดียวกันนั้นเองเกิดคดีขึ้นสู่ศาลไทย และประเด็นข้อพิพาทมีว่านายโฮมีความสามารถทำนิติกรรมซื้อเครื่องเชื่อมโลหะจำนวน 10 เครื่องจากนายวิชัยที่กรุงเทพฯ หรือไม่  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้ง  ยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่าศาลไทยควรนำกฎหมายใดขึ้นปรับเป็นหลักในการพิจารณาและวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ว่านี้แนวคำตอบ

ประเด็นข้อพิพาทที่ว่านี้เป็นเรื่องความสามารถของบุคคลซึ่ง มาตรา 10 วรรคแรก พ.ร.บ.ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481 กำหนดให้เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้น

โดยเหตุที่ในขณะเกิดคดีข้อพาทที่มีประเด็นว่านายโฮมีความสามารถซื้อเครื่องเชื่อมโลหะจำนวน 10 เครื่อง จากนายวิชัยหรือไม่นั้น นายโฮตกเป็นบุคคลผู้ไร้สัญชาติเพราะถูกถอนสัญชาติไทยตาม พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ. 2508 จึงต้องใช้กฎหมายประเทศฟิลลิปปินส์ซึ่งนายโฮมีถิ่นที่อยู่บังคับตาม มาตรา 6 วรรคสาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481

ผลจึงเป็นว่าศาลไทยควรนำกฎหมายประเทศฟิลลิปปินส์ขึ้นปรับเป็นหลักในการพิจารณาและวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ว่านี้ 

ข้อ 3.       จากการที่นักศึกษาได้ศึกษาคดีนูเรมเบิร์ก (Nuremberg) ในวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญามาแล้วนั้น  ความผิดฐานอาชญากรสงคราม (War Crime) คืออะไร  จงอธิบาย

แนวคำตอบ

ความผิดฐานอาชญากรสงคราม (War Crime) คือ การละเมิดกฎหมายหรือประเพณีการทำสงคราม ซึ่งรวมทั้งแต่ไม่จำกัดเฉพาะการฆ่าคนตาย ทารุณกรรม หรือเนรเทศเข้าค่ายใช้งานหรือเพื่อวัตถุประสงค์อย่างอื่นต่อพลเมืองของหรือในอาณาเขตที่ยึดครอง ฆ่าหรือทรมานเชลยศึก หรือบุคคลในทะเลหลวง ฆ่าบุคคลที่ยึดตัวไว้เป็นประกัน ปล้นสาธารณสมบัติ หรือทรัพย์สินเอกชน ทำลายโดยปราศจากความปราณีต่อนครเมือง หมู่บ้าน หรือการทำลายโดยปราศจากความจำเป็นทางทหาร

ข้อ 4.       จงบอกเหตุผลที่รัฐผู้รับคำขอสามารถจะยกขึ้นอ้างเมื่อไม่ส่งผู้ร้ายข้ามแดนที่มีสัญชาติของตนมาโดยครบถ้วน

แนวคำตอบ  เหตุผลที่รัฐเจ้าของสัญชาติอาจยกขึ้นอ้างเพื่อปฏิเสธไม่ส่งคนของตนให้ตามคำขอคือ

1.               รัฐมีหน้าที่คุ้มครองคนของตน

2.               เพื่อมิให้เกิดปัญหาความไม่ยุติธรรมทางศาลหรือทางการเมือง

3.               เพื่อยืนยันหลักที่ว่าพลเมืองย่อมมีสิทธิอาศัยในดินแดนที่มีสัญชาติและไม่ควรถูกเนรเทศ

4.               เพื่อป้องกันปัญหาการยอมลดหรือสละอำนาจอธิปไตยของรัฐ

LAW4006 กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล 1/2551

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4006 (LA 406),(LW 405) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ 1.       นายเก้าคนสัญชาติไทยทำสัญญาซื้อโต๊ะประดับมุกวัตถุโบราณ 1 ตัวจากนายคำคนสัญชาติลาว และขณะทำสัญญาโต๊ะก็อยู่ที่ประเทศลาว   นายเก้าและนายคำตกลงกันว่าหากกรณีมีปัญหาเกี่ยวกับผลของสัญญาฉบับนี้ให้ใช้บังคับตามกฎหมายไทย 

กฎหมายว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมายของลาวกำหนดว่าแบบของสัญญาให้เป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่สัญญานั้นทำขึ้น  และกฎหมายภายในของลาวกำหนดว่าการซื้อขายวัตถุโบราณต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  มิฉะนั้นเป็นโมฆะ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า การซื้อขายโต๊ะฯ ที่ว่านี้คงทำเป็นหนังสือ แต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ต่อมานายเก้าผิดสัญญาไม่ยอมชำระราคาและรับมอบโต๊ะ นายคำจึงฟ้องนายเก้าต่อศาลไทยเรียกค่าเสียหายอันเกิดจากการผิดสัญญา  นายเก้าต่อสู้ว่าสัญญาเป็นโมฆะเพราะมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตนจึงไม่ผูกพันหรือรับผิดตามสัญญา

ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่าสัญญาซื้อโต๊ะฯ ที่ว่านี้เป็นโมฆะหรือไม่  เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ 

แม้ตาม ม. 9 วรรค 1 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยการขัดกันฯ พ.ศ. 2481 กำหนดให้ความสมบูรณ์เนื่องด้วยแบบแห่งนิติกรรมเป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่นิติกรรมนั้นทำขึ้นตาม แต่ ม. 13 วรรคท้ายกำหนดว่า สัญญาย่อมไม่เป็นโมฆะหากได้ทำถูกต้องตามแบบอันกำหนดไว้ในกฎหมายซึ่งใช้บังคับแก่ผลของสัญญา ในกรณีนี้ กฎหมายที่ใช้บังคับแก่ผลของสัญญาได้แก่ กฎหมายไทยตามเจตนาของคู่กรณี (ม. 13 วรรค 1) ในเมื่อประมวลแพ่งและพาณิชย์ของไทยไม่บังคับว่าการซื้อขายวัตถุโบราณต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

ผลจึงเป็นว่า สัญญาซื้อโต๊ะฯ ที่ว่านี้จึงไม่เป็นโมฆะ

ข้อ 2.       นายกรรชัยเป็นนักธุรกิจได้ให้เงินสนับสนุนพรรครักชาติสุดชีวิตเป็นเงิน 10 ล้านบาทเพื่อแลกกับการประมูลสร้างโรงพยาบาล และปรากฏว่านายกรรชัยได้หลีกเลี่ยงการเสียภาษีจากการขายหุ้นเป็นเงิน 80 ล้านบาทด้วย  ดังนั้นเพื่อมิให้ถูกจับจึงหนีไปประเทศอังกฤษและขอลี้ภัยทางการเมืองด้วย  รัฐบาลไทยขอให้รัฐบาลอังกฤษส่งตัวนายกรรชัยกลับมาพิจารณาคดี

อยากทราบว่ากรณีตามอุทาหรณ์รัฐบาลอังกฤษจะตัดสินใจอย่างไร  เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ

กรณีตามอุทาหรณ์ รัฐบาลอังกฤษต้องพิจารณาโดยใช้หลักของประเทศอังกฤษ คือ การกระทำนี้จะเป็นคดีการเมืองของอังกฤษต้องประกอบไปด้วยหลักเกณฑ์ 3 ประการคือ

1. ต้องเป็นการกระทำในขณะไม่มีความสงบทางการเมือง

2. มีความขัดแย้งระหว่างพรรคหรือกลุ่ม

3. ต่างฝ่ายต่างพยายามให้อีกฝ่ายยอมรับรูปแบบการปกครองของคณะ

ดังนั้น การที่นายกรรชัยเพียงแค่ได้กระทำการนี้เป็นเพียงเกี่ยวเนื่องกับพรรคการเมือง ทั้งยังทำความผิดฐานฉ้อโกงระหว่างประเทศโดยการหลีกเลี่ยงการเสียภาษี รัฐบาลอังกฤษจึงสามารถส่งนายกรรชัยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนให้กับรัฐบาลไทยตามคำขอได้ เพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์การเป็นการกระทำความผิดทางการเมืองของประเทศอังกฤษแต่ประการใด

ข้อ 3.       ตามข่าววันที่ 28 กันยายน 2551  จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ  ฉบับที่ 18513 ที่รายงานว่าได้มีการปล้นเรือสินค้าในเขตน่านน้ำอ่าวเอเดน  และเขตมหาสมุทรอินเดียยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้รัฐบาลหลายประเทศต่างร่วมมือกันส่งเรือลาดตระเวนคุ้มกันเรือเดินสมุทรที่แล่นผ่านพื้นที่ดังกล่าว ล่าสุดเรือสินค้าเกรต     ครีเอชั่น สัญชาติฮ่องกงและเรือเซนตัวรีของกรีซ พร้อมลูกเรือลำละ 25 คน ถูกบุกปล้นโดยใช้เรือเร็ว พร้อมอาวุธเครื่องยิงจรวดอาร์พีจี การปล้นยึดเรือใช้เวลาสั้น ๆ แค่ 20 นาที

จากข่าวดังกล่าวถือเป็นความผิดตามกฎหมายระหว่างประเทศฐานใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ

อนุสัญญากรุงเจนีวาว่าด้วยทะเลหลวง (Geneva Convention on High Sea 1958) มาตรา 15 ได้บัญญัติว่า การโจรสลัดประกอบด้วยการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

1. การกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมายโดยการใช้กำลัง การกักขัง หรือการกระทำอันเป็นการปล้นสะดม ซึ่งกระทำเพื่อวัตถุประสงค์ในทางส่วนตัว โดยลูกเรือหรือผู้โดยสารของเรือเอกชนมุ่งกระทำ

(ก) ในทะเลหลวง ต่อเรือหรืออากาศยานอีกลำ หรือต่อบุคคลหรือทรัพย์สินในเรือ หรืออากาศยานเช่นว่านั้น

(ข) ต่อเรือ อากาศยาน บุคคล หรือทรัพย์สิน ที่อยู่ภายนอกอำนาจของรัฐใด

2. การกระทำใดอันเป็นการเข้าร่วมด้วยใจสมัครในการดำเนินการของเรือ

3. การกระทำใดอันเป็นการยุยงหรืออำนวยความสะดวกโดยเจตนาต่อการกระทำที่ได้กล่าวไว้ในวรรค 1 หรือวรรค 2 ของมาตรานี้

จากข้อเท็จจริงดังกล่าว การปล้นเรือสินค้าพร้อมลูกเรือลำละ 25 คน ถูกบุกปล้นโดยใช้เรือเร็ว จึงเป็นการกระทำโดนลูกเรือลำหนึ่งทำต่อเรืออีกลำหรือต่อบุคคลในเรืออีกลำ จึงถือเป็นความผิดฐานโจรสลัด

ข้อ 4.       จงอธิบายหลักในการพิจารณาคดีการเมืองของประเทศอังกฤษมาโดยถูกต้อง

แนวคำตอบ

หลักว่าด้วยการพิจารณาคดีการเมืองของประเทศอังกฤษนั้นมีดังนี้คือ การกระทำความผิดอันจะถือว่าเป็นความผิดทางการเมืองนั้น จะต้องเป็นความผิดที่กระทำในขณะที่มีความไม่สงบในบ้านเมืองและมีความขัดแย้งระหว่างบุคคลหรือพรรค และความขัดแย้งนั้นคือต่างฝ่ายต่างต้องการให้อีกฝ่ายยอมรับรูปแบบการปกครองของตนนั้นเอง ดังนั้น เมื่อเข้าองค์ประกอบทั้ง 3 ดังที่กล่าวมาแล้ว ประเทศอังกฤษจึงถือว่าความผิดนั้นเป็นการกระทำความผิดทางการเมืองซึ่งห้ามส่งผู้ร้ายข้ามแดน

WordPress Ads
error: Content is protected !!