LAW4007 นิติปรัชญา S/2546

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4007 นิติปรัชญา

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ความยุติธรรมคืออะไร  มีความสัมพันธ์กับกฎหมายหรือไม่  อย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ความยุติธรรม  เป็นคำหนึ่งที่ค้นหาความหมายที่เป็นรูปธรรมได้ยากพอสมควร  แต่ถึงอย่างไรก็ตาม  พจนานุกรม  ฉบับราชบัณฑิตยสถาน  ก็ได้ให้ความหมายไว้เป็นแนวทางว่า  ความยุติธรรม  หมายถึง

1       ความเที่ยงธรรม  หมายถึง  การไม่เอนเอียง  ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

2       ความชอบธรรม  หมายถึง  ชอบด้วยนิตินัย  หรือชอบด้วยธรรมมะ

3       ความชอบด้วยเหตุผล  ซึ่งแล้วแต่มุมมองของใคร  สังคมใดจะเห็นว่าชอบด้วยเหตุผลหรือไม่

นอกจากนี้ยังมีนักคิดทั้งหลายได้พยายามนำเสนอความหมายไว้ที่สำคัญๆได้แก่

เพลโต  (Plato)  ได้ให้คำนิยามของความยุติธรรมว่าหมายถึง  การทำกรรมดีหรือการทำสิ่งที่ถูกต้อง  โดยเขามองความยุติธรรมเป็นเสมือนองค์รวมของคุณธรรม  ซึ่งถือเป็นคุณธรรมสำคัญที่สุดยิ่งกว่าคุณธรรมอื่นใด  และโดยทั่วไปแล้วความยุติธรรมเป็นคุณธรรมหรือสัจธรรมที่บุคคลผู้มีปัญญาเท่านั้นจะค้นพบได้

อริสโตเติล  (Aristotle)  มองความยุติธรรมว่าเป็นคุณธรรมเฉพาะเรื่อง  หรือคุณธรรมทางสังคมประการหนึ่ง  ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล  และคุณธรรมนี้จะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเมื่อมนุษย์ได้ปลดปล่อยตัวเขาเองจากแรงผลักดันของความเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง  โดยอริสโตเติลได้แบ่งความยุติธรรมออกเป็น  2  ประเภทคือ

1       ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ  หมายถึง  ความยุติธรรมที่มีลักษณะเป็นสากล  ใช้ได้ต่อมนุษย์ทุกคนไม่มีขอบเขตจำกัด  และอาจค้นพบได้โดย  เหตุผลบริสุทธิ์  ของมนุษย์

2       ความยุติธรรมตามแบบแผน  หมายถึง  ความยุติธรรมซึ่งเป็นไปตามตัวบทกฎหมายของบ้านเมือง  ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและความเหมาะสม  เป็นต้น

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างความยุติธรรมกับกฎหมายนั้น  มีปรากฏรูปความสัมพันธ์ใน  2  แบบตามแนวคิดทางทฤษฎี  คือ

1       ทฤษฎีที่ถือว่าความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวกันกับกฎหมาย  ทฤษฎีนี้ถือว่ากฎหมายและความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวกัน  เนื่องจากล้วนมีกำเนิดมาจากพระเจ้า  จนกระทั่งมาถึงยุคสมัยหลังๆจนถึงปัจจุบัน  ทฤษฎีนี้โดยมากจะแสดงออกผ่านการตีความเรื่องความยุติธรรมจากนักคิดคนสำคัญของสำนักปฏิฐานนิยมทางกฎหมายที่มุ่งยืนยันความเด็ดขาดว่า  กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย  รวมทั้งนักกฎหมายไทยที่ได้รับอิทธิพลของสำนักนี้ด้วย  อาทิเช่น

ฮันส์  เคลเซ่น  (Hans  Kelsen)  กล่าวว่า  ความยุติธรรมคือการรักษาไว้ซึ่งคำสั่งที่เป็นกฎหมาย  โดยการปรับใช้คำสั่งนั้นอย่างมีมโนธรรม

อัลฟ  รอสส์  (Alf  Ross)  กล่าวว่า  ความยุติธรรมคือการปรับใช้กฎหมายอย่างถูกต้องอันเป็นสิ่งตรงข้ามกับการกระทำสิ่งใดตามอำเภอใจ

กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์  ตรัสว่า  ในเมืองไทย  คำพิพากษาเก่าๆและคำพิพากษาเดี๋ยวนี้ด้วย  อ้างความยุติธรรมขึ้นตั้งเสมอๆ  แต่คำที่เรียกว่ายุติธรรมเป็นคำไม่ดี  เพราะเป็นการที่ทุกคนเห็นต่างกันตามนิสัย  ซึ่งไม่เป้นกิริยาของกฎหมาย  กฎหมายต้องเป็นยุติ  จะเถียงแปลกออกไปไม่ได้  แต่เราเถียงได้ว่าอย่างไร  เป็นยุติธรรมไม่ยุติธรรมทุกเมื่อ  ทุกเรื่อง…

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  211/2473  กฎหมายต้องแปลให้เคร่งครัดตามกฎหมายที่มีอยู่จะแปลให้คล้อยตามความยุติธรรมไม่ได้

2       ทฤษฎีที่เชื่อว่าความยุติธรรมเป็นอุดมคติในกฎหมาย  เป็นแนวคิดที่ความยุติธรรมได้รับการเชิดชูไว้สูงกว่ากฎหมาย  ในแง่นี้ความยุติธรรมถูกพิจารณาว่าเป็นแก่นสรอุดมคติในกฎหมาย  หรือเป็นความคิดอุดมคติซึ่งเป็นเสมือนเป้าหมายสูงส่งของกฎหมาย  กฎหมายจึงเป็นสิ่งที่ต้องเดินตามหลังความยุติธรรมซึ่งเป็นการมองความยุติธรรมในภาพเชิงอุดมคติ  อันเป็นวิธีคิดในทำนองเดียวกับปรัชญากฎหมายธรรมชาติ  อีกทั้งเป็นวิธีคิดอุดมคติซึ่งเคยมีมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณเช่นกัน  หรือในชื่อที่เรียกกันว่า  ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ  ที่ยืนยันว่ากฎหมายมิใช่กฎเกณฑ์หรือบรรทัดฐานทางสังคมที่ถูกต้องหรือความยุติธรรมโดยตัวของมันเอง  ยังมีแก่นสารของความยุติธรรมที่อยู่เหนือและคอยกำกับเนื้อหาของกฎหมายในแบบกฎหมายเบื้องหลังกฎหมาย

แนวความคิดที่ว่าความยุติธรรมเป็นจุดมุ่งหมายของกฎหมายในปรัชญากฎหมายไทยเองก็มีมาช้านานแล้ว  ดังเช่น

คดีอำแดงป้อม  ในสมัยรัชกาลที่  1  ที่อำแดงป้อมมีชู้แล้วมาฟ้องหย่านายบุญศรีผู้เป็นสามีตุลาการก็ให้หย่า  เพราะกฎหมายในขณะนั้นบัญญัติว่า  หญิงหย่าชาย  หย่าได้  ผลของคำพิพากษานี้  รวมทั้งกฎหมายที่สนับสนุนอยู่  เหนือหัวรัชกาลที่  1  เห็นว่าไม่ยุติธรรม  เป็นเหตุให้ต้องมีการชำระสะสางกฎหมายใหม่จนกลายเป็นกฎหมายตราสามดวงในเวลาต่อมา

ในยุคปัจจุบัน  แนวคิดในเรื่องความยุติธรรมเป็นหลักอุดมคติเหนือกฎหมายนี้ก็ยังปรากฏจากบุคคลสำคัญของไทย  เช่น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่  9  มีแนวพระราชดำริต่อความยุติธรรมว่ามีสถานภาพสูงกว่าหรือเป็นสิ่งที่เหนือกฎหมาย  ใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า  โดยที่กฎหมายเป็นแต่เรื่องเครื่องมือในการรักษาความยุติธรรมดังกล่าว  จึงไม่ควรจะถือว่ามีความสำคัญยิ่งกว่ายุติธรรม  หากควรต้องถือว่าความยุติธรรมมาก่อนกฎหมายและอยู่เหนือกฎหมาย  การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีใดๆ  โดยคำนึงถึงแต่ความถูกผิดตามกฎหมายนั้นดูจะไม่เป็นการเพียงพอ  จึงต้องคำนึงถึงความยุติธรรมเป็นจุดประสงค์ด้วยเสมอ  การใช้กฎหมายจึงจะมีความหมายและได้ผลที่ควรจะได้

ศ. จิตติ  ติงศภัทิย์  ปรมาจารย์ทางด้ายกฎหมายแนะนำไว้ในหนังสือหลักวิชาชีพกฎหมายของท่านไว้ว่า  การที่มีคำใช้อยู่  2  คำ  คือ  กฎหมาย  คำหนึ่ง  ความยุติธรรม  คำหนึ่ง  ก็แสดงอยู่ในตัวแล้วว่าหาใช่สิ่งเดียวกันไปไม่  การที่นักกฎหมายจะยึดถือแต่กฎหมายไม่คำนึงถึงความยุติธรรมตามความหมายทั่วไปนั้นเป็นความเห็นความเข้าใจแคบกว่าที่ควรจะเป็น

 


ข้อ  2  จงอธิบายปรัชญากฎหมายไทยตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ธงคำตอบ

ปรัชญากฎหมายไทยตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันนั้น  สืบแต่พระองค์ทรงเป็นประมุขของชาติที่ทรงใส่พระทัยอย่างสูงต่อเรื่องกฎหมายและความยุติธรรม  พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระองค์ที่ทรงมีต่อนักกฎหมายหรือคณะบุคคลต่างๆ  ในหลายวโรกาสได้สำแดงออกซึ่งความคิดเชิงปรัชญากฎหมายอย่างลึกซึ้ง  จนมีผู้เรียกขานว่าเป็น  ปรัชญากฎหมายข้างฝ่ายไทย

แนวพระราชดำริทางปรัชญากฎหมายของพระองค์ประกอบด้วยประเด็นทางความคิดหลายเรื่อง  เช่น  เรื่องความยุติธรรม  ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรมและเสรีภาพ  กฎหมายกับความเป็นจริงในประชาสังคม  ความสำคัญของการปกครองโดยกฎหมาย  ปัญหาเรื่องความไม่รู้กฎหมายของประชาชนและการปรับใช้กฎหมาย  ตลอดจนเรื่องบทบาทของกฎหมายและนักกฎหมายในสังคมไทย  อย่างไรก็ตาม  หัวใจแห่งพระราชดำริคงอยู่ที่เรื่อง  กฎหมายกับความยุติธรรม  ซึ่งเชื่อมโยงโดยใกล้ชิดกับเรื่องกฎหมายกับความเป็นจริงของชีวิตประชาชนในสังคม

ปรัชญากฎหมายไทยตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ยึดถือธรรมหรือความยุติธรรมเป็นใหญ่เหนือกฎหมาย  อันเป็นความคิดคนละขั้วกับปรัชญาปฏิฐานนิยมทางกฎหมายที่เน้นย้ำแต่เรื่องความยุติธรรมตามกฎหมายหรือถือเอากฎหมายเป็นตัวความยุติธรรม  ในพระราชดำริของพระองค์  กฎหมายมิใช่ตัวความยุติธรรมโดยตรงและผู้ใช้กฎหมายซึ่งคำนึงถึงความยุติธรรมเป็นใหญ่  ก็ต้องไม่ติดอยู่กับตัวอักษรกฎหมายอย่างเดียว  ในการอำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นจริงๆ  ความเช่นนี้อาจพิจารณาได้จากพระบรมราโชวาทในหลายๆวโรกาส  เช่น

1       พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่นักศึกษาผู้สำเร็จการศึกษาเป็นเนติบัณฑิต  ณ  เนติบัณฑิตยสภา  เมื่อวันที่  7  สิงหาคม  2515  ความว่า  โดยที่กฎหมายเป็นแต่เครื่องมือในการรักษาความยุติธรรมดังกล่าว  จึงไม่ควรจะถือว่ามีความสำคัญไปยิ่งกว่ายุติธรรม  หากควรต้องถือว่าความยุติธรรมมาก่อนกฎหมาย  การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีใดๆ  โดยคำนึงถึงแต่ความถูกผิดตามกฎหมายนั้น  ดูจะไม่เป็นการเพียงพอ  จำต้องคำนึงถึงความยุติธรรมซึ่งเป็นจุดประสงค์ด้วยเสมอ  การใช้กฎหมายจึงจะมีความหมายและผลที่ควรจะได้

2       พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่ผู้สอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิต  ณ  อาคารใหม่สวนอัมพร  วันที่  29  ตุลาคม  2522  ความว่า  ผู้ที่ได้ผ่านสำนักอบรมกฎหมายทุกคน  ควรจะได้รับการชี้แจงเน้นหนักให้ทราบชัดว่า  กฎหมายมิใช่ตัวความยุติธรรม  หากเป็นแต่เพียงบทบัญญัติหรือปัจจัยที่ตราไว้เพื่อรักษาความยุติธรรม… จึงไม่สมควรจะถือว่าการรักษาความยุติธรรมในแผ่นดินมีวงกว้างอยู่เพียงแค่ขอบเขตของกฎหมาย  จำเป็นต้องขยายออกไปให้ถึงศีลธรรมจรรยา  ตลอดจนเหตุและผลตามเป็นจริงด้วย

ความที่พระองค์ทรงถือเอาความยุติธรรมเป็นใหญ่เหนือกฎหมายโดยนัยหนึ่งย่อมหมายถึงพระราชประสงค์ที่จะให้กฎหมายกำเนิดขึ้นหรือเป็นไปเพื่อความถูกต้องดีงาม  หาใช่การปล่อยให้กฎหมายและการใช้กฎหมายเป็นไปในลักษณะที่สวนทางกับความยุติธรรมหรือศีลธรรมจรรยา  หรือหาใช่ปล่อยให้กฎหมายเป็นกลไกแห่งการกดขี่ของผู้ปกครองไป  หลักคุณค่าเรื่องความสงบสุขของบ้านเมืองหรือเสรีภาพ  นับเป็นวัตถุประสงค์แห่งกฎหมายตามพระราชดำริของพระองค์ที่ว่า  

เราจะต้องพิจารณาในหลักว่ากฎหมายมีไว้สำหรับให้มีความสงบสุขในบ้านเมือง  มิใช่ว่ากฎหมายมีไว้สำหรับบังคับประชาชน ถ้ามุ่งหมายที่จะบังคับประชาชนก็กลายเป็นเผด็จการกลายเป็นสิ่งที่บุคคลหมู่น้อยจะต้องบังคับบุคคลหมู่มาก  ในทางตรงข้าม กฎหมายมีไว้สำหรับให้บุคคลส่วนมากมีเสรีภาพและอยู่ได้ด้วยความสงบ  

พระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่คณะกรรมการจัดงานวันระพี  คณะนิติศาสตร์  จุฬา  ณ  พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน  เมื่อวันที่  27  มิถุนายน  2516

อนี่ง  ที่ละเว้นไปเสียมิได้เลยก็คือ  ในพระบรมราโชวาทซึ่งทรงพระราชทานในหลายวโรกาสพระองค์ได้ตรัสพาดพิงไปถึงเรื่องการบุกรุกป่าสงวนของราษฎร  ซึ่งเป็นปัญหาขัดแย้งกันระหว่างรัฐกับราษฎร  เป็นประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งของกฎหมายกับความเป็นจริงของประชาสังคม  ซึ่งมีคุณค่าอย่างยิ่งในปัจจุบันโดยรวมความตามแนวพระบรมราโชวาทแล้วก็มีสาระสำคัญว่า  

กฎหมายกับความเป็นอยู่จริงอาจขัดกันได้  กฎหมายมีช่องโหว่มาก  เพราะไปปรับปรุงกฎหมายและการปกครองโดยลอกแบบต่างชาติมาโดยไม่ดูว่าเหมาะสมกับความเป็นอยู่ของประชาชนหรือไม่  บางทีการปกครองก็ไปไม่ถึงชุมชนห่างไกล  กฎหมายที่รัฐตราขึ้นเป็นอย่างไรก็ไม่รู้  ทำให้เขาตั้งกฎหมายใช้กันเอง  ซึ่งบางจุดก็ขัดกับกฎหมายของรัฐ  การตราพระราชบัญญัติป่าสงวนที่ผ่านมาปัญหามันเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐนั่งเก้าอี้ขีดบนแผนที่ว่าตรงไหนเป็นป่าสงวน  โดยไม่ลงพื้นที่ดูว่าเป็นอย่างไร  ความจริงก็คือมีราษฎรเขาอาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้นมาหลายชั่วอายุคนแล้ว  อยู่ๆก็ไปตราเป็นกฎหมาย  ไปชี้ว่าเป็นป่าสงวน  กลายเป็นว่าราษฎรบุกรุกป่าสงวน  แน่นอนว่าถ้าดูตามกฎหมายราษฎรก็ผิดเพราะว่าตรามาเป็นกฎหมายโดยชอบธรรม  แต่ว่าถ้าตามธรรมชาติแล้ว  คนที่ทำผิดกฎหมายคือเจ้าหน้าที่รัฐที่ไปขีดเส้นว่าป่าที่ราษฎรอยู่เป็นป่าสงวน  เพราะว่าราษฎรเขาอยู่มาก่อน  เขามีสิทธิในทางเป็นมนุษย์  ความหมายก็คือ  ทางราชการนั้นแหละไปรุกรานบุกรุกราษฎรไม่ใช่ราษฎรบุกรุกกฎหมายบ้านเมือง  

สาระสำคัญโดยรวมคือ  เป็นแนวพระราชดำริที่ทรงเตือนสติให้คำนึงถึงเรื่องกฎหมายและความสอดคล้องกับความเป็นจริงของประชาสังคม  ซึ่งโดยนัยแล้วก็ไม่แตกต่างกับที่ทรงย้ำว่ากฎหมายไม่ใช่ตัวความยุติธรรมหรืออย่ายึดติดอยู่กับถ้อยคำในกฎหมายเพียงอย่างเดียว  ต้องเชื่อมั่นว่าความยุติธรรมคือจุดหมายปลายทางแห่งการใช้อำนาจรัฐทางด้านกฎหมายและความยุติธรรมต้องผูกติดอยู่กับธรรมะ  ความถูกต้อง  และความเป็นจริง

 


ข้อ  3  ปรัชญากฎหมายธรรมชาติคืออะไร  และ  
Fuller  กับ  Dworkin  ได้วิจารณ์แนวความคิดเกี่ยวกับกฎหมายของ  Hart  ว่าอย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

กฎหมายธรรมชาติสามารถอธิบายความหมายได้ใน  2  ลักษณะ คือ

1       ความหมายทั่วๆไป  กฎหมายธรรมชาติหมายถึง

–                    กฎหมายซึ่งบุคคลบางกลุ่มอ้างว่ามีอยู่ตามธรรมชาติ  ไม่ได้มีโครงสร้างขึ้นเป็นกฎหมายที่อยู่เหนือรัฐ  และใช้ได้โดยทั่วไปอย่างไม่จำกัดกาลเทศะ

–                    กฎเกณฑ์ทางกฎหมายต่างๆ ในอุดมคติ ซึ่งอยู่เหนือกว่ากฎหมายที่รัฐบัญญัติขึ้นซึ่งอาจค้นพบได้โดยเหตุผล

–                    กฎเกณฑ์อุดมคติที่มีขึ้นเพื่อจัดให้เกิดความสมดุลระหว่างปัจเจกชนกับกลุ่มส่วนรวม  หรือจัดให้เกิดความสมดุลระหว่างเสรีภาพส่วนบุคคลกับความเสมอภาคของทุกคน  (เมื่อพิจารณาความหมายในแง่มุมทางอุดมคติ)

2       ความหมายในแง่ทางทฤษฎี  แบ่งออกเป็น  2  ทฤษฎี  คือ

1)    เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติที่ปรากฏในยุคกรีกโบราณและโรมันถึงยุคกลาง (ราวศตวรรษที่  5  ก่อนคริสตกาลถึงศตวรรษที่  16)  กฎหมายธรรมชาติเป็นหลักเกณฑ์ของกฎหมายอุดมคติที่มีค่าบังคับสูงกว่ากฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้น  กฎหมายใดที่มนุษย์บัญญัติขึ้นขัดแย้งกับกฎหมายธรรมชาติจะไม่มีค่าบังคับเป็นกฎหมายเลย

2)    เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติในยุคปัจจุบัน  ถือว่า  หลักกฎหมายธรรมชาติเป็นเพียงอุดมคติของกฎหมายที่รัฐจะบัญญัติขึ้นเท่านั้น  กล่าวคือ  รัฐควรจะบัญญัติหรือตรากฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการของกฎหมายธรรมชาติ  แต่ถ้าตราขึ้นโดยขัดหรือแย้งกับกฎหมายธรรมชาติ  กฎหมายนั้นก็ไม่ตกเป็นโมฆะแต่อย่างใด  เพียงแต่จะเป็นกฎหมายที่ไม่มีค่าทางกฎหมายโดยสมบูรณ์เท่านั้นเอง  ซึ่งเป็นลักษณะที่ผ่อนปรนประนีประนอมมากขึ้นกว่าในยุคโบราณและยุคกลาง

สำหรับประเด็นข้อวิจารณ์ของฟุลเอลร์และดวอร์กิ้นที่มีต่อแนวคิดของฮาร์ทนั้น  ก่อนจะถึงข้อวิจารณ์ดังกล่าว  สมควรที่จะเสนอแนวคิดของฮาร์ทเกี่ยวกับกฎหมายโดยสรุปดังนี้

ฮาร์ท  (Hart)  ถือว่าระบบกฎหมายนั้นเป็นระบบแห่งกฎเกณฑ์ทางสังคมรูปแบบหนึ่ง  โดยเกี่ยวข้องกับสังคมในสองความหมาย

ความหมายแรก  มาจากการที่มันเป็นกฎเกณฑ์ปกครองการกระทำของมนุษย์ในสังคม

ความหมายที่สอง  สืบแต่มันมีแหล่งที่มา  และดำรงอยู่จากการปฏิบัติทางสังคมของมนุษย์โดยเฉพา

ฮาร์ทเห็นว่าเป็นความจำเป็นทางธรรมชาติที่ในทุกสังคมมนุษย์จะต้องมีกฎเกณฑ์ที่กำหนดพันธะหน้าที่ในรูปกฎหมาย  ซึ่งจำกัดควบคุมความรุนแรง  พิทักษ์รักษาทรัพย์สินหรือระบบทรัพย์สินและป้องกันควบคุมการหลอกลวงกัน  โดยฮาร์ทถือว่ากฎเกณฑ์ซึ่งจำเป็นเหล่านี้เสมือน  เนื้อหาอย่างน้อยที่สุดของกฎหมายธรรมชาติ  ที่ชี้ให้ยอมรับแก่นความหมายในแง่ดีของทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติ  จนถึงกับกล่าวว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เวลาพิจารณากฎหมาย  ต้องพิจารณาถึงสัจธรรมข้อนี้ไว้ด้วย  ทำให้เกิดการคาบเกี่ยวบางเรื่องระหว่างกฎหมายและศีลธรรม  กลายเป็นการดำรงอยู่ของกฎหมายนั้นขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงทางสังคมที่ซับซ้อนหลายๆประการ  ด้วยเหตุนี้กฎหมายทั้งหมดจึงเปิดช่องให้ทำการวิจารณ์เชิงศีลธรรมได้  แต่อย่างไรก็ตามจุดนี้เองที่ฮาร์ทยอมรับอย่างเปิดเผยในท้ายที่สุดว่า  โดยพื้นฐานแท้จริงแล้วการยึดมั่นของปฏิฐานนิยมทางกฎหมายในบทสรุปของแนวคิดเรื่องการแยกกฎหมายออกจากศีลธรรมนั้น  ในตัวของมันวางอยู่บนเหตุผลทางศีลธรรม

ฮาร์ทมองเห็นข้อจำกัดของการที่มีแต่กฎเกณฑ์ที่กำหนดพันธะหน้าที่เพียงลำพัง  จึงได้สร้างแนวคิดที่เรียกว่า  ระบบกฎหมาย  แบ่งออกเป็น  2  ประเภท  คือ

1       กฎปฐมภูมิ  หมายถึง  กฎเกณฑ์ทั่วไปซึ่งวางบรรทัดฐานการประพฤติให้คนทั่วไปในสังคมและก่อให้เกิดหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตาม  (Rule  of  Obligation)  ในลักษณะเป็นกฎหมายเบื้องต้นทั่วไป

2       กฎทุติยภูมิ  หมายถึง  กฎเกณฑ์พิเศษที่สร้างขึ้นมาเสริมความสมบูรณ์ของกฎปฐมภูมิเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการบังคับใช้มากยิ่งขึ้น  ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดหน้าที่โดยทั่วไปเหมือนกฎปฐมภูมิ  แต่เป็นกฎที่ผู้ใช้กฎหมายต้องพิจารณาและคำนึงถึง  โดยสามารถแยกออกเป็นองค์ประกอบย่อยได้ดังนี้

1)    กฎกำหนดเกณฑ์การรับรองความเป็นกฎหมายที่สมบูรณ์หรือเกณฑ์การพิสูจน์ว่ากฎใดคือกฎหมาย

2)    กฎกำหนดเกณฑ์การบัญญัติและแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมาย

3)    กฎที่กำหนดเกณฑ์การวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีเมื่อมีการละเมิดฝ่าฝืนกฎหมาย

กฎปฐมภูมิและกฎทุติยภูมิในทรรศนะของฮาร์ทถือว่าเป็นกฎหลักสองประการที่ทำให้กฎเกณฑ์ทางกฎหมายมีความสมบูรณ์จนถึงขั้นที่เรียกว่าเป็น  ระบบกฎหมาย ที่สมบูรณ์และได้มาตรฐานอย่างแท้จริง

ข้อวิจารณ์ของฟุลเลอร์ (Fuller)  ที่มีต่อระบบกฎหมายของฮาร์ท

ศาสตราจารย์ฟุลเลอร์  นักทฤษฎีฝ่ายกฎหมายธรรมชาติ  ยอมรับข้อเสนอของฮาร์ทที่ว่า  กฎหมายคือระบบของกฎเกณฑ์  แต่ก็ยังยืนยันความสำคัญของเรื่องวัตถุประสงค์ภายในตัวกฎหมาย  ฟุลเลอร์กล่าวว่าเราไม่อาจเข้าใจได้เลยว่า  กฎเกณฑ์แต่ละเรื่องคืออะไร  จนกว่าเราจะได้ทราบว่ากฎเกณฑ์นั้นๆมีจุดมุ่งหมายอย่างไร  อีกทั้งเราไม่อาจเข้าใจเรื่องระบบของกฎเกณฑ์ได้  ถ้าเรามองเพียงในแง่ข้อเท็จจริงทางสังคมล้วนๆจุดสำคัญอยู่ที่ต้องพิจารณากฎเกณฑ์หรือระบบแห่งกฎเกณฑ์ในแง่ของการกระทำที่มีจุดมุ่งหมาย  กล่าวคือ  การควบคุมการกระทำของมนุษย์ให้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์  เมื่อพิจารณากันในประเด็นนี้ก็จะเข้าใจได้ว่ากฎเกณฑ์นั้นไม่สามารถดำรงได้โดยปราศจากคุณภาพทางศีลธรรมภายในตัวกฎนั้น

ฟุลเลอร์ไม่เห็นด้วยอย่างมากกับการที่ฮาร์ทสรุปว่า  กฎหมายเป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ล้วนๆ  และไม่จำต้องเกี่ยวข้องกับหลักศีลธรรมหรือหลักคุณค่านามธรรมเสมอไป  กล่าวคือ  ฟุลเลอร์เห็นว่า  กฎหมายนั้น  ต้องสนองตอบความจำเป็นหรือวัตถุประสงค์ทางศีลธรรม กฎหมายและศีลธรรมจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้  กฎหมายจะต้องมีสิ่งที่อาจเรียกว่า  ศีลธรรมภายในกฎหมาย  บรรจุอยู่เสมอ

นอกจากนี้ฟุลเลอร์ไม่เห็นด้วยกับฮาร์ทที่แยกกฎปฐมภูมิและกฎทุติยภูมิออกจากกันโดยเด็ดขาด  เพราะในบางสถานการณ์กฎอันเดียวกันอาจให้ทั้งอำนาจและกำหนดหน้าที่ไม่จำกัดบทบาทเพียงอย่างหนึ่งอย่างใดหากแต่ต้องแปรผันไปตามสภาพแวดล้อม

ข้อวิจารณ์ของดวอร์กิ้น  (Dworkin)  ที่มีต่อระบบกฎเกณฑ์ของฮาร์ท

ดวอร์กิ้นวิจารณ์แนวคิดเรื่องระบบกฎเกณฑ์ของฮาร์ทแบบตรงไปตรงมา  โดยดวอร์กิ้นเห็นว่าการถือว่ากฎหมายเป็นเพียงเรื่องระบบแห่งกฎเกณฑ์ตามความคิดของฮาร์ทนั้น  เป็นข้อสรุปที่ไม่สมบูรณ์และคับแคบเกินไป  เพราะจริงๆแล้ว  กฎเกณฑ์  ไม่ใช่เนื้อหาสาระเดียวในกฎหมาย  การมองกฎหมายว่าเป็นเรื่องของกฎเกณฑ์เท่านั้นไม่เป็นสิ่งเพียงพอ  กฎเกณฑ์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกฎหมายเท่านั้น  แท้จริงแล้วยังมีเนื้อหาสาระสำคัญอื่นๆซึ่งประกอบอยู่ภายในกฎหมาย  ที่สำคัญคือเนื้อหาสาระที่เป็นเรื่องของ  หลักการ  ทางศีลธรรมหรือความเป็นนามธรรม

หลักการ  นี้  ดวอร์กิ้น  ถือว่าเป็นมาตรฐานภายในกฎหมายซึ่งต้อองเคารพรักษาไว้  หลักการเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเพื่อประโยชน์ของความยุติธรรม  ความเที่ยงธรรมหรือมิติทางคุณค่าด้านศีลธรรมอื่นๆกล่าวอีกนัยหนึ่ง  หลักการเป็นมาตรฐานอันพึงเคารพเนื่องจากเป็นสิ่งจำเป็นของความยุติธรรมหรือความเป็นธรรมเป็นสิ่งคุ้มครองสิทธิปัจเจกชน  โดยหลักการที่ว่านี้อาจค้นพบได้ในคดีความ  พระราชบัญญัติ หรือศีลธรรมของชาวชุมชนต่างๆ

ดวอร์กิ้นกล่าวว่า  หลักการ  ต่างกับ  กฎเกณฑ์  ตรงที่กฎเกณฑ์มีลักษณะใช้ได้ทั่วไปมากกว่า  ขณะที่หลักการต้องเลือกปรับใช้ในบางคดี  นอกจากนี้หลักการยังมีมิติเรื่องน้ำหนักหรือความสำคัญที่ต้องพิจารณาในการปรับใช้  ขณะที่กฎเกณฑ์ไม่มีมิติเช่นนี้

LAW4007 นิติปรัชญา 1/2547

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4007 นิติปรัชญา 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  3  ข้อ

ข้อ  1  จงสรุปอธิบายหลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม  ในความเข้าใจของนักศึกษาปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมยอมรับความสำคัญของเรื่องวิบากกรรม  บุญกรรมหรือไม่อย่างไร  จงอธิบายโดยยกตัวอย่างในกฎหมายตราสามดวงประกอบ

ธงคำตอบ

หลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทยนี้  เป็นหลักบรรทัดฐานทางกฎหมายของพระธรรมศาสตร์ที่สรุปอนุมานขึ้นมาจากเนื้อหาสาระสำคัญของพระธรรมศาสตร์  โดยอาจเรียกเป็นหลักบรรทัดฐานสูงสุดทางกฎหมาย  4  ประการในพระธรรมศาสตร์  หรือหลักกฎหมายทั่วไป  4  ประการในพระธรรมศาสตร์  หรือหลักกฎหมายธรรมชาติ  4  ประการในพระธรรมศาสตร์ก็ได้สุดแท้แต่จะเรียก  ซึ่งมีดังต่อไปนี้

1        กฎหมายมิได้เป็นกฎเกณฑ์หรือคำสั่งของผู้ปกครองแผ่นดินที่อาจมีเนื้อหาอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจ

2       กฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมมะหรือศีลธรรม

3       จุดหมายแห่งกฎหมายต้องเป็นไปเพื่อความสุขสถาพรหรือเพื่อประโยชน์ของราษฎร

4       การใช้อำนาจทางกฎหมายของพระมหากษัตริย์ต้องกระทำบนพื้นฐานของหลักทศพิธราชธรรม

ในส่วนของความเกี่ยวพันกันระหว่างปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม  กับเรื่องของวิบากกรรม  บุญกรรมนั้น   จะเห็นได้ว่าในอดีตประชาชนไทยมีความเชื่อมีความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นในเรื่องกรรมเก่า  วิบากกรรมต่างอันมีมาแต่ชาติปางก่อน  การอ้างอิงหลักธรรมเกี่ยวกับเรื่องบุญกรรมดูเป็นเรื่องที่เข้าใจง่ายสำหรับฝ่ายต่างๆ  ที่เกี่ยวข้องกับการได้รับเคราะห์

ในกฎหมายตราสามดวงก็มีการบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้หลายบทมาตรา  เช่น  ในพระอัยการลักษณะเบ็ดเสร็จ  กำหนดให้  ผ๔ถากไม้ใกล้หนทางและขวานหลุดมือไปถูกผู้เข้ามาใกล้จนเสียชีวิต  ผู้นั้นไม่มีความผิดโดยถือเป็นบาปกรรมของผู้ตายเอง  กฎหมายกำหนดเพียงให้ผู้ถากไม้นั้นช่วยทำบุญส่งไปให้ผู้ตาย  ซึ่งเห็นได้ว่า  เคราะห์ร้ายอันเกิดขึ้นโดยมิคาดฝันย่อมถูกปรับความหมายให้เป็นเสมือน  วิบากกรรม  แห่งตนในอดีตชาติได้โดยไม่ขัดเขิน  ส่วนตัวผู้ก่อเคราะห์ร้ายกฎหมายกำหนดหน้าที่เพียงทำบุญหรืออุทิศผลบุญกุศลให้แก่ผู้ตายซึ่งยังติดอยู่ในบ่วงแห่งวิบากกรรมของตนอยู่

นอกจากนี้ยังมีอีกในบทมาตราอื่นๆ  เช่น  ในมาตรา  117  กรณีคนสองคนชกมวกกันด้วยใจสมัครหากเกิดเหตุถึงแก่ความตาย  ผู้จัดการชกมวยย่อมไม่มีโทษ  เหตุเพราะผู้จัดการชกมวยมิได้มีเจตนาจะให้ถึงชีวิตถือเป็นบาปกรรมของผู้เสียชีวิตนั้นเอง  หรือในมาตรา  127  ก็กำหนดให้เจ้าของควายจ่ายค่าควายแทนผู้ที่ช่วยตีควายของผู้อื่นที่มาชนควายของตนจนบาดเจ็บล้มตายเนื่องจากผู้ช่วยตีควายอาสาที่จะเป็นบาปเป็นกรรมแทนเจ้าของควายนั้นเอง

กฎแห่งกรรมในแง่บาป  บุญจึงเป็นรากฐานของบทกฎหมายโบราณหลายๆมาตรา


ข้อ  2  สำนักสโตอิค  
(Stoic)  มีแนวคิดเชิงปรัชญาเกี่ยวกับมนุษย์ / ธรรมชาติของความเป็นมนุษย์อย่างไร  คำอธิบายปรัชญากฎหมายธรรมชาติของสำนักปรัชญาสโตอิคแตกต่างจากแนวคิดกฎหมายธรรมชาติของนักบุญ

อไควนัส (St. Thomas  Aquinas) หรือไม่อย่างไร

ธงคำตอบ

สำนักสโตอิค  (Stoic School)   ก่อตัวขึ้นราวศตวรรษที่  3  ก่อนคริสตกาล  โดยมีเซโน (Zeno)  เป็นผู้ก่อตั้งสำนักคิดนี้  มีความเชื่อว่ามนุษย์ล้วนมีเหตุผลและยังเชื่อว่าโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์มีความเสมอกันโดยไม่จำกัดสัญชาติเผ่าพันธุ์  จึงจัดว่าเป็นพวกธรรมชาตินิยม  ที่มองเรื่องการดำรงชีวิตสอดคล้องกลมกลืนกับธรรมชาติ

สำนักนี้มีแนวความคิดพื้นฐานว่า  เหตุผล  เป็นเสมือนกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่มีลักษณะแน่นอนที่คอยควบคุมความเป็นไปของจักรวาล  ดังนั้นมนุษย์ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติของจักรวาล  และเป็นสัตว์โลกที่รู้จักคิดใช้เหตุผล  จึงย่อมถูกกำหนดควบคุมโดยเหตุผลอันเป็นสากลนั้นด้วย และเหตุผลดังกล่าวนั้นมนุษย์สามารถเข้าถึงได้ด้วยการใช้เหตุผลของเขาเอง

สำนักสโตอิควางหลักจริยธรรมว่า  มนุษย์ต้องจำยอมปฏิบัติตามสิ่งที่ถูกต้อง  การดำรงชีวิตของมนุษย์ต้องเป็นไปอย่างสอดคล้องกับธรรมชาติ  เหตุผลหรือคุณความดี  คำสอนเช่นนี้เองทำให้สำนักสโตอิคปฏิเสธเรื่อง  ความแตกต่างเรื่องเชื้อชาติ  เผ่าพันธุ์  หรือศาสนา สอนให้คนมีจิตใจกว้างยอมรับเรื่องความเสมอภาคของมนุษย์ทุกคน  รวมทั้งเรื่องความเป็นสากลของกฎหมายธรรมชาติ

ซิเซโร (Cicero)  นักกฎหมายของสำนักสโตอิค  ก็ได้กล่าวไว้ว่า  กฎหมายอันแท้จริง  คือ  เหตุผลอันชอบธรรมที่สอดคล้องกับธรรมชาติ โดยมีผลใช้บังคับอย่างเป็นสากลไม่เปลี่ยนแปลงและเป็นนิรันดร์มันเป็นบาปต่อการพยายามแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายนี้  และไม่อาจยินยอมให้มีการเลิกล้มส่วนใดส่วนหนึ่ง  อีกทั้งเป็นไปไม่ได้ที่จะยกเลิกกฎหมายนี้โดยสิ้นเชิง

เซนต์  โทมัส  อไควนัส  (St. Thomas  Aquinas)  นักบุญชาวอิตาเลียน  (1226  1274) ผู้สร้างงานนิพนธ์ชิ้นสำคัญเรื่อง  “Summa  Theologica” ซึ่งเป็นการเชื่อมวิธีคิดแบบเหตุผลนิยมและเจตนนิยมเข้าด้วยกัน  โดยนำเอาปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคกรีกโบราณมาสังเคราะห์กับปรัชญาทางคริสต์ศาสนา  ในขณะที่กฎหมายธรรมชาติในยุคก่อนๆยืนยันว่ามนุษย์สามารถค้นพบกฎหมายธรรมชาติได้โดยอาศัย  เหตุผล  ในตัวมนุษย์เอง  อไควนัสก็ได้พยายามเชื่อมโยงเรื่อง  เหตุผล  ดังกล่าวเข้ากับ  เจตจำนงของพระเจ้า  โดยถือว่าเหตุผลที่สมบูรณ์ถูกต้องมากกว่า  ซึ่งใช้เป็นเครื่องมือในการค้นหากฎหมายธรรมชาตินั้นปรากฏอยู่ใน  เจตจำนงของพระเจ้า  ที่ถือว่ามีความบริสุทธิ์ถูกต้องมากกว่า  เหตุผล ของมนุษย์  ซึ่งอาจมีความผิดพลาดได้  และจากจุดนี้เองอไควนัสสรุปว่า  หลักธรรมหรือโองการหรือเจตจำนงของพระเจ้าคือที่มาของกฎหมายธรรมชาติ  และที่น่าสนใจคือจากการเชื่อมต่อ  เหตุผล  เข้ากับ  เจตจำนงของพระเจ้า  นั้น  เซนต์  โทมัส  อไควนัส  แบ่งกฎหมายออกเป็น  4  ประเภทคือ

1       กฎหมายนิรันดร์  หมายถึง  กฎหมายสูงสุดที่มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้

2       กฎหมายธรรมชาติ  หมายถึง  ส่วนหนึ่งของกฎหมายนิรันดร์ที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้โดยอาศัย  เหตุผล”

3       กฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์  หมายถึง  หลักธรรมต่างๆที่ถูกจารึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล

4       กฎหมายของมนุษย์  หมายถึง  กฎหมายที่มนุษย์บัญญัติขึ้นใช้กันเองในสังคม

จากที่กล่าวมาทั้งหมด  จึงเห็นได้ถึงความแตกต่างระหว่างแนวความคิดของสำนักสโตอิค  และของนักบุญอไควนัส  ที่สำคัญคือ  ปรัชญากฎหมายธรรมชาติของอไควนัสจะมีกลิ่นอายของศาสนาคริสต์เข้ามาเกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก  คำอธิบายจะผูกอิงอยู่กับเจตจำนงของพระเจ้า  ส่วนสำนักสโดอิคกลับเชื่อเรื่องความเป็นสากล  ไม่ให้ยึดติดกับความแตกต่างเรื่องเชื้อชาติ  ศาสนา  หรือเผ่าพันธุ์  โดยที่เหตุผลจากธรรมชาติจะเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างประสานกลมกลืน  (มิใช่เหตุผลของพระเจ้า)


ข้อ  3  ทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมายยอมรับเรื่องการดื้อแพ่งต่อกฎหมายของประชาชน  
(Civil Disobedience)  หรือไม่  เพราะเหตุใด ท่านเห็นด้วยหรือไม่กับคำกล่าวที่ว่า  ภายใต้หลักนิติกรรมรัฐควรปรับใช้กฎหมายโดยเสมอภาคหรือเคร่งครัดจริงจังแก่ผู้ที่ทำการดื้อแพ่งต่อกฎหมายดังกล่าว

ธงคำตอบ

ทฤษฎีฐานนิยมทางกฎหมาย  ยอมรับไม่ได้ที่จะให้มีการดื้อแพ่งต่อกฎหมายของประชาชนด้วยเหตุผลจากแนวคิดพื้นฐานของทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย  2  ข้อ  คือ

1       การยืนยันว่า  การดำรงอยู่ของกฎหมายใดๆ  มิได้ขึ้นอยู่กับการที่มันสนองตอบหรือสอดคล้องกับหลักคุณค่าทางศีลธรรมอันหนึ่งอันใดที่สามารถปรับใช้ได้อย่างเป็นสากลในทุกระบบกฎหมาย

2       การยืนยันว่า  การดำรงอยู่ของกฎหมายขึ้นอยู่กับการที่มันถูกสร้างขึ้นโดยผ่านการตกลงปลงใจของมนุษย์ในสังคม

ดังนั้นข้อสรุปของปฏิฐานนิยมทางกฎหมายก็คือ  กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมก็ยังถือว่าเป็นกฎหมายที่มีสภาพบังคับให้ผู้คนต้องปฏิบัติตามอยู่  การละเมิดฝ่าฝืนกฎหมายไม่ว่าด้วยเหตุผลใดต้องได้รับโทษเหมือนกันหมด

ส่วนกับคำกล่าวที่ว่า  ภายใต้หลักนิติธรรม  รัฐควรปรับใช้กฎหมายโดยเสมอภาค  หรือเคร่งครัด  จริงจังแก่ผู้ที่ทำการดื้อแพ่งต่อกฎหมาย  นั้น  ดูจะไม่ถูกต้องนัก  เนื่องจากแนวคิดดังกล่าวมีความเคร่งครัดแข็งกร้าวจนเกินไป  เพราะกฎหมายนั้นแม้จะอ้างว่าอยู่ภายใต้หลักนิติธรรมก็ตาม  แต่ต้องยอมรับกันว่ามีทั้งกฎหมายที่ออกมาโดยถูกต้องชอบธรรม  และกฎหมายที่ออกมาโดยจุดประสงค์เพื่อรับใช้ผู้มีอำนาจ  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ  กฎหมายนั้นมีทั้งยุติธรรม  และไม่ยุติธรรม  ดังนั้นถ้ามีกฎหมายที่ไม่ยุติธรรมเกิดขึ้นในสังคม  แล้วการบังคับใช้กฎหมายนั้นไปมีผลกระทบต่อคนในสังคมแล้ว  ย่อมเป็นการชอบที่จะให้มีการดื้อแพ่งทางกฎหมายได้  และเมื่อผู้ที่ทำการดื้อแพ่งทางกฎหมายมิได้มีมูลเหตุจูงใจที่จะทำผิดกฎหมายอย่างกับอาชญากร  หรือผู้กระทำความผิดอาญาต่างๆ  การบังคับใช้กฎหมายของรัฐในการลงโทษแก่ผู้ที่ทำการดื้อแพ่งต่อกฎหมายจึงควรมีความยืดหยุ่นไม่เคร่งครัดจริงจังมากจนเกินไป  เช่น  อาจมีการอนุญาตให้มีการชะลอการฟ้องคดี  หรือลงโทษสถานเบา  หรืออาจมีการภาคทัณฑ์ไว้  เป็นต้น

แต่อย่างไรก็ดี  เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในสังคม  เพราะบุคคลอื่นที่ทำผิดกฎหมายอาจอ้างว่าทำไปเพราะดื้อแพ่งต่อกฎหมายเพื่อให้ตนเองได้ลดหย่อนโทษลง  จึงจำเป็นต้องกำหนดเงื่อนไขของกรณีที่จะทำการดื้อแพ่งต่อกฎหมายไว้  ดังเช่นที่  ดวอร์กิ้น  และจอห์น  รอลส์  ได้เสนอไว้  เช่น  ต้องเป็นการดื้อแพ่งโดยไม่มีการยั่วยุความรุนแรงให้เกิดขึ้น  ต้องทำโดยเปิดเผยในที่สาธารณะ  ไม่ใช้ความรุนแรง  ต้องมีจุดประสงค์เพื่อประโยชน์ของสังคม  ต้องเป็นทางเลือกสุดท้ายฯลฯ

LAW4007 นิติปรัชญา 2/2547

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4007 นิติปรัชญา 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  3  ข้อ

ข้อ  1  จงสรุปสาระสำคัญของปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัย  และท่านเห็นด้วยหรือไม่กับจุดอ่อนของปรัชญากฎหมายธรรมชาติตามที่มีผู้วิจารณ์

ธงคำตอบ

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัย  (หรือยุคปัจจุบัน)  มีแนวคิดเกี่ยวกับกฎหมายว่า  กฎหมายต้องสัมพันธ์กับศีลธรรม  หรือกับความยุติธรรม  หรือหลักจริยธรรมต่างๆ  อีกทั้งในแง่ทฤษฎีปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคนี้  ยังเป็นทฤษฎีที่สำคัญที่สนับสนุนเร่องสิทธิมนุษยชน  ไม่ว่าจะเป็นสิทธิทางการเมือง  เศรษฐกิจ  สังคม  การพัฒนา  สันติภาพ ฯลฯ  โดยมีนักปรัชญากฎหมายคนสำคัญ  ได้แก่

ลอน  ฟุลเลอร์  มองกฎหมายธรรมชาติว่า  ไม่ใช่กฎหมายที่สูงกว่ากฎหมายธรรมดา  โดยเขาให้ความสำคัญกับเรื่องกฎหมายกับศีลธรรม  เขาเชื่อว่ากฎหมายต้องอยู่ภายใต้บังคับของศีลธรรม  หลักเกณฑ์ทางศีลธรรมจะทำให้กฎหมายเป็นเรื่องที่ยอมรับได้  และนำไปสู่ความสมบูรณ์ของกฎหมาย  ซึ่งการที่จะบรรลุได้ต้องมีการปฏิบัติตามเงื่อนไข  8  ประการ  เช่น  กฎหมายต้องมีลักษณะทั่วไปในฐานะเป็นกฎหมายซึ่งใช้เป็นหลักชี้นำการกระทำโดยเฉพาะต่างๆ  กฎเกณฑ์ต้องถูกเผยแพร่แก่สาธารณะ  กฎเกณฑ์ต้องไม่มีผลย้อนหลัง ฯลฯ  เหล่านี้ฟุลเลอร์เรียกว่า  ศีลธรรมในกฎหมาย

แนวคิดของฟุลเลอร์ที่เน้น  กระบวนการ  อันจะนำไปสู่ความเป็นกฎหมายอันสมบูรณ์แท้จริงมิได้เน้นสาระเนื้อหาของกฎหมายธรรมชาติที่เป็นนิรันดร์ถาวร  แต่ฟุลเลอร์ก็มั่นใจว่ากฎเกณฑ์ทางกฎหมายใดๆที่ตราขึ้นจะต้องมีเหตุผล  และความยุติธรรมเป็นเนื้อหาสาระเสมอ

จอห์น  ฟินนีส  ได้อธิบายกฎหมายธรรมชาติในลักษณะเป็นนามธรรมเชิงวิธีการ  โดยอาศัยสมมุติฐาน  2  ประการ  คือ

–                    ประการแรก  รูปแบบพื้นฐานแห่งความมั่งคั่งรุ่งเรืองของมนุษย์  ได้แก่  ชีวิต  ความรู้  ความบันเทิง  หรือสัมผัสประสบการณ์เกี่ยวกับสุนทรีวิสัย

–                    ประการที่สอง  สิ่งจำเป็นเชิงวิธีการพื้นฐานครองความชอบธรรมด้วยเหตุผลเชิงปฏิบัติ  เช่น  การแสวงหาความดีงาม  แผนการชีวิตอันเป็นระบบ หรือความเชื่อมต่อของผลลัพธ์  อย่างมีขอบเขต  และเคารพต่อค่านิยมพื้นฐาน  เป็นต้น

ฟินนีส  เชื่อว่า  เมื่อสมมุติฐานประการแรก  และประการที่สองประกอบกันจะเกิดเป็นหลักกฎหมายธรรมชาติขึ้นมา

ส่วนในกรณีของจุดอ่อนของปรัชญากฎหมายธรรมชาติที่มีผู้วิจารณ์ไว้ว่า

1       มีความคลุมเครือไม่แน่นอน  ไม่ชัดเจน  และมีความเป็นนามธรรมอย่างมากจนไม่น่านำมาถือเป็นรากฐานทางกฎหมาย

2       ขาดรูปแบบวิธีกาคิดแบบวิทยาศาสตร์  ซึ่งไม่อาจพิสูจน์ตรวจสอบความถูกต้องได้โดยอาศัยเครื่องมือใด

3       มักจะเกิดความผิดพลาดเชิงตรรกะได้ง่าย

4       มีความบกพร่องต่อสมมุติฐานที่มาจากความหลากหลายของสภาวะแวดล้อมตามธรรมชาติแต่ละแห่งแตกต่างกัน

5       การเสนอความคิดเห็นมักจะนิยมใช้สามัญสำนึก  ซึ่งอาจเอนเอียงไปตามเหตุผลส่วนตัวได้

หากจะพิจารณาโดยรวมแล้วข้อวิจารณ์ดังกล่าวมีความจริงอยู่ไม่น้อยทีเดียว  แต่ถึงกระนั้นถ้าเปรียบเทียบกับสำนักคิดปรัชญากฎหมายอื่นๆแล้ว  ดูเหมือนว่ากฎหมายธรรมชาติจะมีข้อดีที่มากกว่าข้อเสียดังข้อวิจารณ์ดังกล่าวนั้นมากทีเดียว  เพราะเป็นสำนักปรัชญาทางกฎหมายที่มุ่งเน้นความยุติธรรมที่ต้องมาก่อนกฎหมาย  อุดมคติทางกฎหมายเชิงศีลธรรม  ตลอดจนเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับลัทธิซึ่งสนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชน  ซึ่งแนวคิดนี้เองได้ไปปรากฏในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนฯ  และรัฐธรรมนูญของประเทศต่างๆ  หรือแม้แต่ประเทศไทยเองก้มีปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

หมายเหตุ  น้องๆอาจมีความคิดเห็นแตกต่างจากที่กล่าวมาแล้วข้างต้นได้  โดยอาศัยแนวความคิดหรือเหตุผลของน้องๆเองครับ  


ข้อ  2  จงสรุปอธิบายเงื่อนไขในการตรากฎหมายควบคุมการใช้เสรีภาพของบุคคลตาม  
หลักอันตรายต่อสังคม  ของมิลล์  (John  Stuart  Mill)  และท่านเห็นด้วยหรือไม่กับข้อโต้แย้งของสตีเฟน  (Sir  James  Fitzjames  Stephen)  ต่อแนวคิดของมิลล์ดังกล่าว

ธงคำตอบ

จอห์น  สจ๊วต  มิลล์  (John  Stuart  Mill)  ได้ประกาศ  หลักอันตรายของสังคม  ในปี  ค.ศ. 1859  ในงานเขียนชิ้นสำคัญเรื่อง  ความเรียงว่าด้วยเสรีภาพ  สรุปความได้ว่า  เงื่อนไขในการตรากฎหมายควบคุมการกระทำหรือใช้เสรีภาพของบุคคลได้นั้น  การกระทำดังกล่าวจะต้องก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่สังคมและผู้อื่น  ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นต่อบุคคลอื่น  เป็นเงื่อนไขในการตรากฎหมายควบคุมการใช้เสรีภาพของบุคคล  ลำพังเพียงความมุ่งหมายเพื่อให้บุคคลทำความดีไม่ใช่เป็นข้ออ้างให้กฎหมายเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย  มิลล์เห็นว่าการจำกัดเสรีภาพเป็นการทำลายความสุขส่วนบุคคล  นอกจากนี้มิลล์ยังไม่เห็นด้วยในการปล่อยให้บุคคลมีเสรีภาพในการทำสัญญาเพื่อยอมตนเป็นทาส  ดังที่เขาเน้นย้ำว่า  หลักการแห่งเสรีภาพไม่สามารถกำหนดว่าบุคคลควรจะมีเสรีภาพในการไม่มีเสรี

ส่วนข้อโต้แย้งของสตีเฟน   (Sir  James  Fitzjames  Stephen)  ที่มีต่อแนวคิดของมิลล์ปรากฏในงานเขียนเรื่อง  เสรีภาพ  ความเสมอภาค  และภราดรภาพ  ซึ่งสตีเฟนปฏิเสธมติของมิลล์ที่เชื่อว่ามีเหตุผลด้านความปลอดภัยของสังคมสนับสนุนความชอบธรรมในการใช้เสรีภาพดังกล่าว  อีกทั้งไม่ยอมรับว่าเราจะสามารถลากเส้นแบ่งแยกอันชัดเจนระหว่างการกระทำที่เป็นอันตรายต่อผู้อื่น  และการกระทำที่เป็นอันตรายต่อตัวผู้กระทำเท่านั้น  สำหรับสตีเฟนแล้ว  การลงโทษต่อสิ่งที่เป็นความผิดบาปทางศีลธรรมอันชัดแจ้งย่อมถือเป็นวัตถุประสงค์อันชอบธรรมของการนิติบัญญัติ  ซึ่งคนส่วนใหญ่จะไม่ถือว่านั่นเป็นการลิดรอนเสรีภาพ  แต่ตรงกันข้ามการใช้กลไกทางกฎหมายลงโทษเช่นนี้จะเป็นการสนองตอบอารมณ์ความรู้สึกชิงชังของคนทั่วไปต่อความเลวร้ายดังกล่าว  และนับเป็นการทดแทนยับยั้งมิให้เกิดผูกพยาบาท  ตอบโต้อย่างวุ่นวายสับสน

เมื่อได้เปรียบเทียบระหว่างแนวคิดของมิลล์  และข้อโต้แย้งของสตีเฟนแล้ว  จะเห็นว่าแนวคิดของสตีเฟนมีเหตุผลน่าสนับสนุนอยู่ไม่น้อย  โดยจะเห็นได้ว่า  แม้ทฤษฎีของมิลล์จะสร้างขึ้นมาเพื่อปกป้องเสรีภาพของบุคคล  แต่ก็มีจุดบกพร่องอยู่ในส่วนที่ว่า  จะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งใดเป็นภยันตรายต่อสังคม  เราจะพิสูจน์ตรวจสอบว่าเป็นภยันตรายต่างๆ  ได้อย่างไร  ดังนั้นหากไม่ต้องการให้สังคมล่มสลายลงไปเพราะไปคำนึงถึงแต่เสรีภาพมากเกินไป  การควบคุมลงโทษพฤติกรรมซึ่งผิดศีลธรรมจึงจำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องความสงบเรียบร้อยของสังคม  แต่อย่างไรก็ตาม  ไม่ใช่ว่าจะจำกัดเสรีภาพไปทุกเรื่อง  แต่ว่าต้องปล่อยให้มีเสรีภาพของบุคคลมากที่สุดเท่าที่ไม่ขัดต่อความมั่นคงทางสังคม

หมายเหตุ  ในส่วนของความเห็น  น้องๆอาจจะมีความเห็นที่แตกต่างไปจากนี้ก็ได้นะครับ 


ข้อ  3  ความยุติธรรมทางสังคมคืออะไร  เหตุใดทฤษฎีความยุติธรรมทางสังคมของรอลส์  
(John  Rawls)  จึงเน้นคุณค่าความสำคัญของเสรีภาพมากกว่าความเสมอภาคเท่าเทียม

ธงคำตอบ

ความยุติธรรมทางสังคม  (Social  Justice)  หรือ  ความยุติธรรมในการแบ่งสันปันส่วน  หรือ  ความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ  เป็นเรื่องเกี่ยวข้องโดยตรงกับวิถีทางจำแนกหรือแบ่งปันสิ่งซึ่งถือว่าเป็นทรัพย์  หรือสิ่งอันมีคุณค่าในสังคม  (เช่น  ทรัพย์สิน  รายได้  ความสุข  การได้รับความพึงพอใจ  การได้รับการศึกษา)  ให้แก่สมาชิกของสังคมอย่างถูกต้องเหมาะสม  หรืออย่างเป็นธรรม  ทั้งนี้โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญที่สุดในการสร้างสรรค์และคงไว้ซึ่งความสมานฉันท์  กลมกลืนของสังคมโดยรวม

ส่วนสาเหตุที่  จอห์น  รอลส์ (John  Rawls)  ให้ความสำคัญแก่เสรีภาพมากกว่าความเท่าเทียมเสมอภาค  ก็เพราะรอลส์เชื่อว่า  ภายใต้สถานการณ์สัญญาประชาคม  ผู้คนจะไม่ยอมเสียสละเสรีภาพอันเสมอภาคกันนั้นเพียงเพื่อการได้มาซึ่งรายได้  ความมั่งคั่งหรือแม้อำนาจ เสรีภาพจะถูกกำจัดลงได้ก็เพียงเพื่อประโยชน์แก่เสรีภาพหรือระบบแห่งเสรีภาพขั้นพื้นฐานทั้งหมดเท่านั้น  และข้อเรียกร้องเรื่องความเสมอภาคในสังคมและเศรษฐกิจจะต้องสิ้นสุดลง  หากว่าการได้มาซึ่งความเสมอภาคเช่นนั้นมิได้นำไปสู่การเพิ่มพูนเสรีภาพโดยส่วนรวมสำหรับคนทั้งปวงในสังคม

ในการนี้รอลส์ได้เปิดประเด็น  คุณค่าปฐมภูมิของสังคม  ซึ่งหมายถึง  เสรีภาพ  โอกาส  รายได้  ความมั่งคั่งและการเคารพนับถือตนเอง คุณค่าปฐมภูมิเช่นนี้เป็นสิ่งที่วิญญูชนผู้มีเหตุผลทุกคนรวมทั้งผู้คนในสัญญาประชาคมของเขาล้วนต้องการอยากได้  ไม่ว่าเขาจะต้องการสิ่งอื่นร้อยแปดอย่างไร  การที่บุคคลในสัญญาประชาคมเลือกให้เสรีภาพมีความสำคัญอันดับแรก  ก็เนื่องจากเห็นว่าการเลือกเช่นนั้นจะส่งผลให้พวกเขามีโอกาสดีที่สุดในการได้มาซึ่งคุณค่าขั้นปฐมภูมิของสังคม  รวมทั้งช่วยให้สามารถดำเนินชีวิตตามเป้าหมายเฉพาะของตนได้ รอลส์เชื่อว่าผู้คนจะไม่เลือกหลักการซึ่งเปิดช่องให้ผู้เผด็จการ  แย่งยึดเอาเสรีภาพทางการเมืองของเขาไปด้วยเงื่อนไขแลกเปลี่ยนในการเพิ่มความมั่งคั่ง  (ในระดับที่เหนือกว่ากฎเกณฑ์ทั่วไปของความมั่งคั่งที่เป็น  คุณค่าปฐมภูมิของสังคม)  ให้แก่ทุกคนเนื่องจากเขาไม่แน่ใจในคุณค่าของสิ่งที่เขาจะได้รับเพิ่มขึ้น  ในขณะที่รู้ว่าตนต้องสูญเสียอิสระเสรีภาพทางการเมืองซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่เกื้อหนุนต่อคุณค่าขั้นปฐมภูมิของสังคมในเรื่องเสรีภาพและการเคารพนับถือตนเอง 

LAW4007 นิติปรัชญา S/2547

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4007 นิติปรัชญา

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  จงอธิบายความหมายของกฎหมายธรรมชาติและศีลธรรมมีความสัมพันธ์กันอย่างไร  ตามความคิดของ  Fuller

ธงคำตอบ

กฎหมายธรรมชาติสามารถอธิบายความหมายได้ใน  2  ลักษณะ  คือ

1       ความหมายทั่วๆไป  กฎหมายธรรมชาติ  หมายถึง

–                    กฎหมายซึ่งบุคคลบางกลุ่มอ้างว่ามีอยู่ตามธรรมชาติ  ไม่ได้มีโครงสร้างขึ้น  เป็นกฎหมายที่อยู่เหนือรัฐ  และใช้ได้โดยทั่วไปอย่างไม่จำกัดกาลเทศะ

–                    กฎเกณฑ์ทางกฎหมายต่างๆ  ในอุดมคติซึ่งอยู่เหนือกว่ากฎหมายที่รัฐบัญญัติขึ้น  ซึ่งอาจค้นพบได้โดยเหตุผล

–                    กฎเกณฑ์อุดมคติที่มีขึ้นเพื่อจัดให้เกิดความสมดุลระหว่างปัจเจกชนกับกลุ่มส่วนรวม  หรือจัดให้เกิดความสมดุลระหว่างปัจเจกชนกับกลุ่มส่วนรวม  หรือจัดให้เกิดความสมดุลระหว่างเสรีภาพส่วนบุคคลกับความเสมอภาคของทุกคน  (เมื่อพิจารณาความหมายในแง่มุมทางอุดมการณ์)

2       ความหมายในทางทฤษฎี  แบ่งเป็น  2  ทฤษฎี  คือ

ทฤษฎีแรก  เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติที่ปรากฏในยุคกรีกโบราณและยุคโรมันไปจนถึงยุคกลาง (ราวศตวรรษที่  5  ก่อนคริสตกาลถึงคริสต์ศตวรรษที่  16 )  ถือว่า  กฎหมายธรรมชาติเป็นหลักเกณฑ์ของกฎหมายอุดมคติที่ค่าบังคับสูงกว่ากฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้น กฎหมายใดที่มนุษย์บัญญัติขึ้นขัดแย้งกับกฎหมายธรรมชาติจะไม่มีค่าบังคับเป็นกฎหมายเลย

ทฤษฎีที่สอง  เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติในยุคปัจจุบัน  ถือว่า   หลักกฎหมายธรรมชาติเป็นเพียงอุดมคติของกฎหมายที่รัฐจะบัญญัติขึ้นเท่านั้น  กล่าวคือ  รัฐควรจะบัญญัติหรือตรากฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการของกฎหมายธรรมชาติ  แต่ถ้าตราขึ้นหรือขัดแย้งกับกฎหมายธรรมชาติ  กฎหมายนั้นก็ไม่ตกเป็นโมฆะแต่อย่างใด  เพียงแต่จะเป็นกฎหมายที่ไม่มีค่าทางกฎหมายโดยสมบูรณ์เท่านั้นเอง  ซึ่งเป็นลักษณะที่ผ่อนปรนประนีประนอมมากขึ้นกว่าในยุคโบราณและยุคกลาง

กฎหมายธรรมชาติ  และศีลธรรมตามความคิดของฟุลเลอร์ (Fuller)  มีความสัมพันธ์กัน  ดังต่อไปนี้

ลอน  ฟุลเลอร์  (Fuller)  นักปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยที่เชื่อมั่นในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับศีลธรรม  แต่เขาก็ปฏิเสธหลักกฎหมายธรรมชาติในแง่ความเป็นกฎหมายที่สูงกว่ากฎหมายธรรมดา  รวมทั้งยืนกรานปฏิเสธทฤษฎีความเป็นนิรันดร์ของกฎหมายธรรมชาติ

ฟุลเลอร์ให้แนวคิดเกี่ยวกับศีลธรรมและกฎหมายว่า  กฎหมายต้องออยู่ภายใต้บังคับของศีลธรรมหรือต้องบรรจุด้วยหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมภายใน  หรือที่ฟุลเลอร์เรียกว่า  ศีลธรรมในกฎหมาย  ดังเงื่อนไขสำคัญ  8  ประการ  ที่ฟุลเลอร์ถือเสมือนว่าเป็นการมีศีลธรรมภายในกฎหมาย  หรือเป็น  กฎหมายธรรมชาติในเชิงกระบวนการ  ได้แก่

1       กฎหมายจะต้องมีลักษณะทั่วไปในฐานะเป็นกฎเกณฑ์

2       กฎเกณฑ์จะต้องถูกตีพิมพ์เผยแพร่ให้ปรากฏแก่สาธารณะ

3       กฎเกณฑ์จะต้องไม่มีผลย้อนหลัง

4       กฎเกณฑ์ต้องชัดแจ้งและสามารถเข้าใจได้

5       กฎเกณฑ์จะต้องไม่มีความขัดแย้งกัน

6       กฎเกณฑ์จะต้องไม่กำหนดบังคับในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

7       กฎเกณฑ์จะต้องมีความมั่นคง  แน่นอน  ไม่เปลี่ยนแปลงบ่อยเกินไป

8       จะต้องมีความกลมกลืนกันระหว่างกฎเกณฑ์ที่ถูกประกาศใช้กับการบังคับใช้กฎเกณฑ์ต่างๆ

 


ข้อ  2  นิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาคืออะไร  
Pound  ได้อธิบายทฤษฎีของเขาว่าอย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

นิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา  หมายถึง  การนำเอาสังคมวิทยาไปใช้ในทางนิติศาสตร์  (นิติปรัชญา)  เพื่อสร้างทฤษฎีกฎหมายและทฤษฎีที่ได้จะนำไปสร้างกฎหมายอีกชั้นหนึ่งนั่งเอง   เป็นทฤษฎีทางกฎหมายที่ก่อตัวขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่  19  ของตะวันตก  ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมตะวันตกอยู่ในภาวะของการเปลี่ยนแปลงจากสังคมประเพณีที่ไม่ซับซ้อนสู่สังคมอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน  เอารัดเอาเปรียบ  ทำให้เกิดชนชั้นกรรมกรผู้ใช้แรงงานซึ่งเข้ามามีบทบาททางการเมืองด้วย

ทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยานี้เป็นแนวความคิดหรือทฤษฎีทางนิติศาสตร์ที่เน้นบทบาทของกฎหมายต่อสังคม  การพิจารณากฎหมายโดยยึดถือคุณค่าทางสังคมวิทยาอันเป็นการพิจารณาถึงบทบาทหน้าที่ของกฎหมายหรือการทำงานของกฎหมายมากกว่าการสนใจกฎหมายในแง่ที่เป็นเนื้อหาสาระ  จากนั้นก็ไปเน้นเรื่องบทบาทของนักกฎหมายในการจัดระเบียบผลประโยชน์ของสังคม  เน้นวิธีการตรากฎหมายขึ้นมาเพื่อใช้แก้ปัญหาต่างๆของสังคม  โดยเฉพาะการสร้างกฎหมายขึ้นมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสังคมส่วนรวมหรืออรรถประโยชน์ของสังคม

รอสโค  พาวนด์  (Roscoe  Pound)  เป็นผู้ที่พัฒนาทฤษฎีนิติศาสน์เชิงสังคมวิทยาให้มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นในเชิงปฏิบัติ  โดนพาวนด์ได้สร้างทฤษฎีผลประโยชน์ที่รู้จักกันในนามทฤษฎีวิศวกรรมสังคมขึ้น  เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับคานผลประโยชน์ต่างๆ  ในสังคมให้เกิดความสมดุล

R. Pound  ได้นำเสนอทฤษฎีวิศวกรรมสังคม  ซึ่งเป็นชื่อของทฤษฎีว่าด้วยผลประโยชน์เรื่องหนึ่งเกิดขึ้นเพราะแนวคิดที่มุ่งสร้างกฎหมายที่การคานผลประโยชน์ต่างๆ ในสังคมให้เกิดความสมดุลประหนึ่งการก่อสร้างหรือวิศวกรรมสังคม  จึงเป็นที่รู้จักกันต่อมาในนาม  ทฤษฎีวิศวกรรมสังคม หรือ  “Social  Engineering  Theory”

ทฤษฎีวิศวกรรมสังคมของรอสโค  พาวนด์  แบ่งอธิบายเป็น  3  หัวข้อ  ได้แก่

1   ความหมายของผลประโยชน์

2  ประเภทของผลประโยชน์

3  วิธีการคานหรือถ่วงดุลผลประโยชน์

รอสโค  พาวนด์  ให้ความหมายของผลประโยชน์ว่าคือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  หรือความปรารถนาที่มนุษย์ต่างยืนยันเพื่อให้ได้มาอย่างแท้จริง  และเป็นภารกิจที่กฎหมายต้องกระทำการอันใดอันหนึ่ง  เพื่อสิ่งเหล่านี้หากต้องการธำรงไว้ซึ่งสังคมอันเป็นระเบียบเรียบร้อย  ผลประโยชน์ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่กฎหมายมีหน้าที่ต้องตอบสนอง  แต่จะได้มากน้อยเพียงใดแก่แต่ละบุคคลนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสำคัญหรือผลกระทบของผลประโยชน์ที่จะได้รับ  จึงต้องนำวิธีการคานผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง 

โดยเขาแบ่งผลประโยชน์ออกเป็น  3  ประเภท  ได้แก่

1       ผลประโยชน์ของปัจเจกชน  คือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  ความปรารถนา  และความคาดหมายในการดำรงชีวิตของปัจเจกชน  ซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพส่วนตัว  ความสัมพันธ์ทางครอบครัว  อันเกี่ยวข้องกับบิดามารดา  สามีภรรยา  และบุตรธิดาต่างๆ  หรือการมีทรัพย์สินส่วนบุคคล  เสรีภาพในการทำสัญญาการจ้างแรงงาน  เป็นต้น

2       ผลประโยชน์ของมหาชน  คือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  หรือความปรารถนาที่ปัจเจกชนยึดมั่นอันเกี่ยวพันหรือเกิดจากจุดยืนในการดำรงชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการเมือง  อันได้แก่ผลประโยชน์ของรัฐในฐานะที่เป็นนิติบุคคลที่จะครอบครองหรือเวนคืนทรัพย์สิน  รวมทั้งผลประโยชน์ของรัฐในฐานะผู้พิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ของสังคม

3       ผลประโยชน์ทางสังคม  คือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  หรือความปรารถนาที่พิจารณาจากแง่ความคาดหมายในการดำรงชีวิตทางสังคม  อันรวมถึงความปลอดภัย  ศีลธรรมทั่วไป  ความเจริญก้าวหน้า

ผลประโยชน์แต่ละประเภทมีค่าเป็นกลางๆ  ไม่มีผลประโยชน์ประเภทใดสำคัญเหนือกว่าผลประโยชน์อีกประเภทหนึ่ง  และการแบ่งแยกประเภทของผลประโยชน์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นเสมือนบัญชีรายชื่อที่อาจมีการเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

วิธีการคานหรือถ่วงดุลผลประโยชน์  รอสโค  พาวนด์  ให้นำเอาผลประโยชน์แต่ละประเภทมาคานผลประโยชน์กันให้เกิดการขัดแย้งน้อยที่สุดในสังคมแบบการกระทำวิศวกรรมสังคม  ซึ่งจำต้องมองความสมดุลในแง่ผลลัพธ์ที่จะส่งผลกระทบกระเทือนให้น้อยที่สุดต่อโครงสร้างแห่งระบบผลประโยชน์ทั้งหมดของสังคม  หรือผลลัพธ์ที่เป็นการพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้  พร้อมกับการสูญเสียที่น้อยที่สุดต่อผลประโยชน์รวมทั้งหมดของสังคม

รอสโค  พาวนด์  ถือว่าการคานผลประโยชน์และวิธีการต่างๆ  ในการกระทำวิศวกรรมสังคมที่กล่าวมาของ

พาวนด์  นับว่าเป็นหัวใจสำคัญยิ่งในทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา  ซึ่งพาวนด์ถือว่าเป็นก้าวย่างใหม่ของการศึกษา  และเป็นเสมือนการก้าวสู่จุดสุดยอดของนิติปรัชญานับแต่อดีตกาลมา  รวมทั้งเป็นการขยายบทบาทของนักนิติศาสตร์หรือนักทฤษฎีให้ลงมาสัมผัสกับโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น  แทนที่จะหมกมุ่นกับการถกเถียงเชิงนามธรรมในปรัชญากฎหมายเท่านั้น

นอกจากนี้เขายังได้เสนอข้อคิดหรือภาระสำคัญ  6  ประการของนักนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา  ไว้ว่า

1       ต้องศึกษาถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงของสถาบันทางกฎหมายและทฤษฎีกฎหมาย

2       ต้องศึกษาเชิงสังคมวิทยาในเรื่องการตระเตรียมการนิติบัญญัติโดนเฉพาะในเรื่องของผลการนิติบัญญัติเชิงเปรียบเทียบ

3       ต้องศึกษาถึงเครื่องมือหรือกลไกที่จะทำให้กฎเกณฑ์ทางกฎหมายมีประสิทธิภาพ  โดยถือว่า  ความมีชีวิตของกฎหมายปรากฏอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย

4       ต้องศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายเชิงสังคมวิทยาด้วยการตรวจพิจารณาดูว่า  ทฤษฎีกฎหมายต่างๆได้ส่งผลลัพธ์ประการใดบ้างในอดีต 

5       ต้องสนับสนุนให้มีการตัดสินคดีบุคคลอย่างมีเหตุผลและยุติธรรม  ซึ่งมักอ้างเรื่องความแน่นอนขึ้นแทนที่มากเกินไป

6       ต้องพยายามทำให้การบรรลุจุดมุ่งหมายของกฎหมายมีผลมากขึ้น

ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้สรุปสาระสำคัญข้อคิดต่อนักกฎหมายของรอสโค  พาวนด์  ได้คือ

1       ใส่ใจต่อหลักการใหม่ๆ

2       ใส่ใจต่อพฤติกรรมมนุษย์

3       สนใจเศรษฐศาสตร์  สังคมวิทยา  และปรัชญา 

4       ผลักดันกฎหมายในทางปฏิบัติให้สอดคล้องกับตัวบท

 


ข้อ  3  ความยุติธรรมคืออะไร  มีความสัมพันธ์กับกฎหมายหรือไม่  อย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ความยุติธรรม  เป็นคำหนึ่งที่ค้นหาความหมายที่เป็นรูปธรรมได้ยากพอสมควร  แต่ถึงอย่างไรก็ตาม  พจนานุกรม  ฉบับราชบัณฑิตยสถาน  ก็ได้ให้ความหมายไว้เป็นแนวทางว่า  ความยุติธรรม  หมายถึง

1       ความเที่ยงธรรม  หมายถึง  การไม่เอนเอียง  ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

2       ความชอบธรรม  หมายถึง  ชอบด้วยนิตินัย  หรือชอบด้วยธรรมมะ

3       ความชอบด้วยเหตุผล  ซึ่งแล้วแต่มุมมองของใคร  สังคมใดจะเห็นว่าชอบด้วยเหตุผลหรือไม่

นอกจากนี้ยังมีนักคิดทั้งหลายได้พยายามนำเสนอความหมายไว้ที่สำคัญๆได้แก่

เพลโต  (Plato)  ได้ให้คำนิยามของความยุติธรรมว่าหมายถึง  การทำกรรมดีหรือการทำสิ่งที่ถูกต้อง  โดยเขามองความยุติธรรมเป็นเสมือนองค์รวมของคุณธรรม  ซึ่งถือเป็นคุณธรรมสำคัญที่สุดยิ่งกว่าคุณธรรมอื่นใด  และโดยทั่วไปแล้วความยุติธรรมเป็นคุณธรรมหรือสัจธรรมที่บุคคลผู้มีปัญญาเท่านั้นจะค้นพบได้

อริสโตเติล  (Aristotle)  มองความยุติธรรมว่าเป็นคุณธรรมเฉพาะเรื่อง  หรือคุณธรรมทางสังคมประการหนึ่ง  ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล  และคุณธรรมนี้จะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเมื่อมนุษย์ได้ปลดปล่อยตัวเขาเองจากแรงผลักดันของความเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง  โดยอริสโตเติลได้แบ่งความยุติธรรมออกเป็น  2  ประเภทคือ

1       ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ  หมายถึง  ความยุติธรรมที่มีลักษณะเป็นสากล  ใช้ได้ต่อมนุษย์ทุกคนไม่มีขอบเขตจำกัด  และอาจค้นพบได้โดย  เหตุผลบริสุทธิ์  ของมนุษย์

2       ความยุติธรรมตามแบบแผน  หมายถึง  ความยุติธรรมซึ่งเป็นไปตามตัวบทกฎหมายของบ้านเมือง  ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและความเหมาะสม  เป็นต้น

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างความยุติธรรมกับกฎหมายนั้น  มีปรากฏรูปความสัมพันธ์ใน  2  แบบตามแนวคิดทางทฤษฎี  คือ

1       ทฤษฎีที่ถือว่าความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวกันกับกฎหมาย  ทฤษฎีนี้ถือว่ากฎหมายและความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวกัน  เนื่องจากล้วนมีกำเนิดมาจากพระเจ้า  จนกระทั่งมาถึงยุคสมัยหลังๆจนถึงปัจจุบัน  ทฤษฎีนี้โดยมากจะแสดงออกผ่านการตีความเรื่องความยุติธรรมจากนักคิดคนสำคัญของสำนักปฏิฐานนิยมทางกฎหมายที่มุ่งยืนยันความเด็ดขาดว่า  กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย  รวมทั้งนักกฎหมายไทยที่ได้รับอิทธิพลของสำนักนี้ด้วย  อาทิเช่น

ฮันส์  เคลเซ่น  (Hans  Kelsen)  กล่าวว่า  ความยุติธรรมคือการรักษาไว้ซึ่งคำสั่งที่เป็นกฎหมาย  โดยการปรับใช้คำสั่งนั้นอย่างมีมโนธรรม

อัลฟ  รอสส์  (Alf  Ross)  กล่าวว่า  ความยุติธรรมคือการปรับใช้กฎหมายอย่างถูกต้องอันเป็นสิ่งตรงข้ามกับการกระทำสิ่งใดตามอำเภอใจ

กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์  ตรัสว่า  ในเมืองไทย  คำพิพากษาเก่าๆและคำพิพากษาเดี๋ยวนี้ด้วย  อ้างความยุติธรรมขึ้นตั้งเสมอๆ  แต่คำที่เรียกว่ายุติธรรมเป็นคำไม่ดี  เพราะเป็นการที่ทุกคนเห็นต่างกันตามนิสัย  ซึ่งไม่เป้นกิริยาของกฎหมาย  กฎหมายต้องเป็นยุติ  จะเถียงแปลกออกไปไม่ได้  แต่เราเถียงได้ว่าอย่างไร  เป็นยุติธรรมไม่ยุติธรรมทุกเมื่อ  ทุกเรื่อง…

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  211/2473  กฎหมายต้องแปลให้เคร่งครัดตามกฎหมายที่มีอยู่จะแปลให้คล้อยตามความยุติธรรมไม่ได้

2       ทฤษฎีที่เชื่อว่าความยุติธรรมเป็นอุดมคติในกฎหมาย  เป็นแนวคิดที่ความยุติธรรมได้รับการเชิดชูไว้สูงกว่ากฎหมาย  ในแง่นี้ความยุติธรรมถูกพิจารณาว่าเป็นแก่นสรอุดมคติในกฎหมาย  หรือเป็นความคิดอุดมคติซึ่งเป็นเสมือนเป้าหมายสูงส่งของกฎหมาย  กฎหมายจึงเป็นสิ่งที่ต้องเดินตามหลังความยุติธรรมซึ่งเป็นการมองความยุติธรรมในภาพเชิงอุดมคติ  อันเป็นวิธีคิดในทำนองเดียวกับปรัชญากฎหมายธรรมชาติ  อีกทั้งเป็นวิธีคิดอุดมคติซึ่งเคยมีมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณเช่นกัน  หรือในชื่อที่เรียกกันว่า  ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ  ที่ยืนยันว่ากฎหมายมิใช่กฎเกณฑ์หรือบรรทัดฐานทางสังคมที่ถูกต้องหรือความยุติธรรมโดยตัวของมันเอง  ยังมีแก่นสารของความยุติธรรมที่อยู่เหนือและคอยกำกับเนื้อหาของกฎหมายในแบบกฎหมายเบื้องหลังกฎหมาย

แนวความคิดที่ว่าความยุติธรรมเป็นจุดมุ่งหมายของกฎหมายในปรัชญากฎหมายไทยเองก็มีมาช้านานแล้ว  ดังเช่น

คดีอำแดงป้อม  ในสมัยรัชกาลที่  1  ที่อำแดงป้อมมีชู้แล้วมาฟ้องหย่านายบุญศรีผู้เป็นสามีตุลาการก็ให้หย่า  เพราะกฎหมายในขณะนั้นบัญญัติว่า  หญิงหย่าชาย  หย่าได้  ผลของคำพิพากษานี้  รวมทั้งกฎหมายที่สนับสนุนอยู่  เหนือหัวรัชกาลที่  1  เห็นว่าไม่ยุติธรรม  เป็นเหตุให้ต้องมีการชำระสะสางกฎหมายใหม่จนกลายเป็นกฎหมายตราสามดวงในเวลาต่อมา

ในยุคปัจจุบัน  แนวคิดในเรื่องความยุติธรรมเป็นหลักอุดมคติเหนือกฎหมายนี้ก็ยังปรากฏจากบุคคลสำคัญของไทย  เช่น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่  9  มีแนวพระราชดำริต่อความยุติธรรมว่ามีสถานภาพสูงกว่าหรือเป็นสิ่งที่เหนือกฎหมาย  ใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า  โดยที่กฎหมายเป็นแต่เรื่องเครื่องมือในการรักษาความยุติธรรมดังกล่าว  จึงไม่ควรจะถือว่ามีความสำคัญยิ่งกว่ายุติธรรม  หากควรต้องถือว่าความยุติธรรมมาก่อนกฎหมายและอยู่เหนือกฎหมาย  การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีใดๆ  โดยคำนึงถึงแต่ความถูกผิดตามกฎหมายนั้นดูจะไม่เป็นการเพียงพอ  จึงต้องคำนึงถึงความยุติธรรมเป็นจุดประสงค์ด้วยเสมอ  การใช้กฎหมายจึงจะมีความหมายและได้ผลที่ควรจะได้

ศ. จิตติ  ติงศภัทิย์  ปรมาจารย์ทางด้ายกฎหมายแนะนำไว้ในหนังสือหลักวิชาชีพกฎหมายของท่านไว้ว่า  การที่มีคำใช้อยู่  2  คำ  คือ  กฎหมาย  คำหนึ่ง  ความยุติธรรม  คำหนึ่ง  ก็แสดงอยู่ในตัวแล้วว่าหาใช่สิ่งเดียวกันไปไม่  การที่นักกฎหมายจะยึดถือแต่กฎหมายไม่คำนึงถึงความยุติธรรมตามความหมายทั่วไปนั้นเป็นความเห็นความเข้าใจแคบกว่าที่ควรจะเป็น

LAW4007 นิติปรัชญา 1/2548

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4007 นิติปรัชญา 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  จงสรุปเปรียบเทียบปรัชญากฎหมายธรรมชาติของนักบุญอไควนัส (St. Thomas  Aquinas)  และปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัย/ยุคปัจจุบัน

ธงคำตอบ

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติของอไควนัสปรากฏในงานนิพนธ์ชิ้นสำคัญของเขาคือ  เรื่อง  “Summa  Theologica”  เป็นการนำเสนอโดยเชื่อมวิธีคิดแบบเหตุผลนิยมเข้ากับเจตนนิยม  โดยนำเอาปรัชญาของอริสโตเติ้ลมาสังเคราะห์กับปรัชญาทางคริสต์ศาสนา  ในขณะที่อริสโตเติ้ลยืนยันว่ามนุษย์สามารถค้นพบกฎหมายธรรมชาติได้โดยอาศัยเหตุผลในตัวมนุษย์เอง  อไควนัสก็ได้พยายามเชื่อมโยงเรื่องเหตุผลดังกล่าวเข้ากับเจตจำนงของพระเจ้า  โดยถือว่าเหตุผลของพระเจ้าเป็นเครื่องมือที่สมบูรณ์ถูกต้องมากกว่าเหตุผลของมนุษย์  ในการค้นหากฎหมายธรรมชาติตรงจุดนี้อไควนัสสรุปว่า  หลักธรรมหรือโองการหรือเจตจำนงของพระเจ้าคือที่มาของกฎหมายธรรมชาติ

อไควนัสได้แบ่งกฎหมายออกเป็น  4  ประเภท  คือ

1       กฎหมายนิรันดร์

2       กฎหมายธรรมชาติ

3       กฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์

4       กฎหมายของมนุษย์

กฎหมายธรรมชาติในทรรศนะของอไควนัสถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายนิรันดร์ที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้  โดยอาศัยเหตุผลอันเป็นคุณสมบัติธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้  ถึงแม้ว่ากฎหมายธรรมชาติจะเป็นเสมือนภาพสะท้อนอันไม่สมบูรณ์ซึ่งเหตุผลอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า  แต่ก็ถือเป็นหลักชี้นำการกระทำต่างๆของมนุษย์โดยมีหลักธรรมอันแน่นอนต่างๆ  ในจำนวนนี้หลักธรรมอันเป็นมูลฐานที่สุดก็คือ  การทำความดีและละเว้นความชั่ว

ทางด้านกฎหมายของมนุษย์  อไควนัสหมายถึงกฎหมายที่มนุษย์บัญญัติขึ้นใช้ในสังคมซึ่งอยู่ภายใต้บังคับของกำหมายนิรันดร์  กฎหมายธรรมชาติ  และกฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์  โดยอไควนัสนิยามกฎหมายของมนุษย์ว่าเป็น  ระเบียบเหตุผลที่ผู้ปกครองได้บัญญัติและประกาศใช้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน  กฎหมายของมนุษย์ที่มีเนื้อหาไม่เป็นธรรมและขัดต่อกฎหมายธรรมชาติ  อไควนัสไม่ถือว่าเป็นกฎหมาย  แต่เป็นความวิปริตของกฎหมาย  ซึ่งอยู่ห่างไกลจากลักษณะของกฎหมายที่มีจุดมุ่งหมายให้ทุกคนเป็นคนดี

ส่วนปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยหรือยุคปัจจุบันในจุดที่จะนำมาเปรียบเทียบก็คือ  บทบาทของปรัชญากฎหมายธรรมชาติในแง่ทฤษฎีกฎหมายซึ่งสนับสนุนอุดมคติทางกฎหมายเชิงจริยธรรม  เป็นการยืนยันความเชื่อมั่นในเรื่องความยุติธรรมในฐานะเป็นจุดหมายปลายทางแห่งกฎหมาย  ความเชื่อมั่นในเรื่องความสัมพันธ์ที่จำต้องมีระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรมหรือหลักศีลธรรมจริยธรรมต่างๆ  แต่ทั้งนี้ก็ไม่ถือว่ามีสิ่งที่เรียกว่าหลักความยุติธรรมหรือหลักกฎหมายอุดมคติ  ซึ่งแน่นอน  เป็นสากล  หรือใช้ได้ทุกกาละสถานที่  นอกจากนี้ปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยยังมีลักษณะผ่อนปรนประนีประนอมมากขึ้น  กล่าวคือ  ไม่มีการยืนยันว่ากฎหมายบัญญัติใดที่ขัดแย้งกับหลักอุดมคติ  หลักความยุติธรรมตามธรรมชาติต้องตกเป็นโมฆะ  หรือไม่สมบูรณ์  ไม่มีผลใช้บังคับในทางกฎหมาย

ฟุลเลอร์  นักปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยเชื่อมั่นในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับศีลธรรม  พร้อมกันนั้นก็ปฏิเสธหลักกฎหมายธรรมชาติในแง่ความเป็นกฎหมายที่สูงกว่ากฎหมายธรรมดา  รวมทั้งยืนกรายปฏิเสธทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติใดซึ่งพยายามจะสร้างหรือวางหลักประมวลหลักกฎหมายธรรมชาติล่วงหน้าที่เป็นนิรันดร์

จอห์น  ฟินนีส  นักปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัย  เจ้าของผลงานหนังสือชื่อ  กฎหมายธรรมชาติและสิทธิธรรมชาติ  ได้กล่าววิจารณ์การตีความหมายอย่างผิดๆของพวกนักวิจารณ์  ต่อคำขวัญหรือสุภาษิตที่ว่า  กฎหมายที่ไม่ยุติธรรมมิใช่เป็นกฎหมาย  (Lex Injusta  Est  Lex)  ซึ่งในสายตาของฟินนีส  กฎหมายที่ไม่ยุติธรรมมิได้เป็นโมฆะในแง่ที่ว่าเป็นสิ่งซึ่งบุคคลไม่ต้องปฏิบัติตามโดยสิ้นเชิง  กฎหมายที่ไม่ยุติธรรมเพียงแต่ขาดสิ่งซึ่งเป็นอำนาจผูกมัดทางมโนธรรม  ซึ่งกฎหมายทั่วไปมีอยู่ตามปกติ  ดังนั้นสำหรับฟินนีสแล้วหน้าที่ทางศีลธรรมที่ต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมจึงอาจจำต้องมีอยู่  หากว่าการขัดขืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมแล้วจะนำมาซึ่งความอ่อนแอ  ไร้เสถียรภาพในระบบกฎหมาย  ซึ่งมีความเป็นธรรมในส่วนรวม

จุดเปรียบเทียบระหว่างปรัชญากฎหมายธรรมชาติของอไควนัสกับปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคปัจจุบัน  มีทั้งจุดเหมือน(คล้ายคลึง)  และจุดแตกต่างกันดังจะอธิบายดังนี้

จุดเหมือน  ต่างก็ยืนยันว่ากฎหมายควรสอดคล้องกับศีลธรรมหรือความยุติธรรม  ต่างก็ยอมรับว่ากฎหมายที่ไม่เป็นธรรมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้

จุดแตกต่าง  อไควนัสถือว่ากฎหมายธรรมชาติสูงกว่ากฎหมายที่รัฐบัญญัติขึ้น  ส่วนยุคปัจจุบันไม่ถือเช่นนั้น  อย่างฟุลเลอร์ก็ปฏิเสธกฎหมายธรรมชาติในแง่ความเป็นกฎหมายที่สูงกว่ากฎหมายธรรมดาที่รัฐตราขึ้น

อไควนัสมีการยืนยันว่ากฎหมายที่ไม่เป็นธรรมตกเป็นโมฆะ  ประชาชนไม่จำต้องปฏิบัติตาม  เช่น  กรณีกฎหมายออกมาเพื่อสนองกิเลสของผู้ออก  ออกเกินอำนาจของผู้ออก  ส่วนยุคปัจจุบันมีลักษณะผ่อนปรนกว่าคือไม่มีการยืนยันว่ากฎหมายที่ขัดกับความยุติธรรมเป็นโมฆะ  ดังปรากฏในข้อวิจารณ์ของฟินนีสนั่นเอง

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติของอไควนัสจะมีกลิ่นอายของศาสนาคริสต์อยู่เป็นอย่างมาก  คำอธิบายจะผูกอิงอยู่กับพระเจ้า  ส่วนยุคปัจจุบันจะไม่มีคำอธิบายสิ่งเร้นลับเช่นนั้น  โจทย์ของนักกฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยจะอยู่ที่ตรากฎหมายอย่างไรออกมาอย่างเป็นธรรมและมีผลในเชิงปฏิบัติ


ข้อ  2  สัจนิยมทางกฎหมายแบบอเมริกัน  
(American  Legal  Realism)  มีแนวคิดสำคัญในการวิเคราะห์กฎหมาย/ความเป็นจริงของกฎหมาย  ตลอดจนปัญหาการบังคับใช้กฎหมายโดยฝ่ายตุลาการอย่างไร  ท่านคิดว่าแนวคิดสัจนิยมทางกฎหมายฯนี้  มีคุณค่าต่อสังคมหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

สัจนิยมทางกฎหมายแบบอเมริกัน  (American  Legal  Realism)   มีที่มาจากงานความคิดของโอลิเวอร์  เวนเดลล์  โฮล์มส์  (Oliver  Wendel  Holmes)  ผู้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดนับแต่ปี  ค.ศ. 1902 

โฮล์มส์  ไม่เชื่อว่าผู้พิพากษาจะสามารถตัดสินคดีตามใจชอบ  โดยมองจากประสบการณ์การทำงานของตน  ซึ่งไม่อาจปรุงแต่งกฎหมายให้เป็นอย่างไรก็ได้ตามที่ตนต้องการ  เป้าหมายสำคัญที่โฮล์มส์  วิพากษ์วิจารณ์คือ  ความคิดที่เชื่อว่าบทบัญญัติทั้งหมดในกฎหมายล้วนมีเหตุผลอันชอบธรรม

โฮล์มส์  เชื่อว่า  กฎหมายจำนวนมากถูกเขียนขึ้นบนบริบททางประวัติศาสตร์ต่างๆ  ซึ่งถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้วในภายหลัง  ดังนี้แล้วจึงสมควรให้มีการตรวจสอบทบทวนอย่างสม่ำเสมอต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมายว่ายังมีความเหมาะสมดีอยู่หรือไม่ภายใต้เงื่อนไขของสังคมซึ่งเปลี่ยนแปลงไป  ในลักษณะนี้จึงไม่มีกรณีใดๆซึ่งสมควรกล่าวอ้าง  (ตามกระบวนการอนุมานความคิด)  กฎหมายว่าเป็นเรื่องอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะแน่นอน  หากว่าในทางปฏิบัติ  ศาลแสดงให้เห็นว่ากฎหมายที่แท้จริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  และจากความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับความเป็นจริงของสังคมดังนี้เองทีทำให้เห็นว่ามีเพียงผู้พิพากษา  (หรือทนายความ)  ซึ่งเข้าใจดีถึงบริบททางประวัติศาสตร์  สังคม  และเศรษฐกิจเท่านั้นจึงจะทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมต่อบทบาทของตน

นอกเหนือจากโฮล์มส์  ก็ยังมี  จอห์น  ชิปแมน  เกรย์  ที่ยืนยันว่ากฎหมายประกอบด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆซึ่งศาลยุติธรรมได้กำหนดไว้  บรรดาพระราชบัญญัติเป็นเพียงที่มาของกฎหมายดังกล่าวนี้เท่านั้น

คาร์ล  ลูเวลลิน  (Karl  Llewellyn)  ในฐานะสมาชิกคนสำคัญอีกท่านหนึ่ง  กล่าวในทำนองเดียวกันไม่ให้ไว้วางใจนักต่อ  กฎเกณฑ์ในกระดาษ  ควรเอาใจใส่ต่อพฤติกรรมหรือแบบแผนการวินิจฉัยตีความกฎหมายของศาลซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันตามแต่กาละและสถานที่  ตลอดจนสนใจต่อข้อมูลต่างๆ  เกี่ยวกับคำตัดสินที่ปรากฏจริงๆ

เยโรม  แฟรงค์  (Jerome  Frank)  ผู้พิพากษาที่ถือว่าเขาเป็น  ผู้ที่ไม่เชื่อใจต่อข้อเท็จจริง  หมายความว่า  แม้ในกรณีที่กฎเกณฑ์มีความชัดเจนง่ายดายต่อการตีความแล้วก็ตาม  กฎเกณฑ์ดังกล่าวก็อาจส่งผลสะเทือนน้อยเต็มทีในคำตัดสินของศาลระดับล่าง  เฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ระบบลูกขุน  เนื่องจากบุคคลดังกล่าวสามารถยกข้อเท็จจริงใดๆ  ที่ตนพึงพอใจมาปรับเข้ากับกฎเกณฑ์ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ตามที่ตนต้องการในที่สุดได้  นอกจากนี้  เหตุปัจจัยเรื่องความสมบูรณ์หรือบกพร่องของพยานหลักฐาน  ความสามารถของทนายความหรือผู้พิพากษาก็เป็นตัวกำหนดอันสำคัญต่อผลของคำพิพากษา  ความลื่นไหล  ความไม่แน่นอนของข้อเท็จจริงเหล่านี้ย่อมนับเป็นอุปสรรคในการคาดทำนายการตัดสินใจของศาล

ส่วนแนวคิดสัจนิยมทางกฎหมายแบบอเมริกัน  มีคุณค่าต่อสังคมหรือไม่อย่างไรนั้น  ถ้ามองในเชิงวิจารณ์แล้วต้องยอมรับว่าทฤษฎีนี้เป็นเรื่องแทบเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว  เพราะสมมุติว่ามีผู้ขับขี่รถยนต์  10  คนที่ต่างถูกฟ้องร้องในข้อหาว่าขับรถเกินกำหนดความเร็ว  30  ไมล์ต่อชั่วโมง  ในเขตที่อยู่อาศัย  โดยที่ทั้งหมดถูกฟ้องร้องต่อหน้าศาลซึ่งต่างมีอคติต่างๆกัน  หากเราสมมุติต่อว่าจริงๆแล้วมีคนขับรถยนต์  5 คนเท่านั้นที่ขับเกินความเร็ว  60  ไมล์ต่อชั่วโมง  ส่วนอีก  5  คน  ขับรถที่ความเร็ว  20  ไมล์ต่อชั่วโมง  เมื่อพิจารณาถึงเหตุปัจจัยอันผันแปรต่างๆ  อาทิเช่น  การปรากฏตัวของผู้จะมาเป็นพยาน  ฐานะหรือระดับชนชั้นของคนเหล่านี้  และเหตุอื่นๆพร้อมกับเห็นพ้องว่า  กฎเกณฑ์ไม่มีความสำคัญใดๆ  หรือไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆอยู่เบื้องหน้าการวินิจฉัย  เช่นนี้แล้วก็ดูไม่น่าเป็นไปได้ว่า  คนที่ขับรถเกินความเร็วจริงๆจะถูกตัดสินลงโทษขณะซึ่งคนที่มิได้ฝ่าฝืนจะได้รับการปล่อยตัว  จึงเห็นได้ว่าสัจนิยมนี้จะเป็นไปได้ยาก  ดังนั้นคุณค่าต่อสังคมจึงไม่มีมากมายสักเพียงใดนัก

 


ข้อ  3  การปฏิรูปกฎหมายในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  ก่อให้เกิดผลกระทบสำคัญต่อปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิมอย่างไร  และท่านคิดว่ากรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์  ให้การยอมรับต่อปรัชญาปฏิฐานนิยมทางกฎหมายโดยสิ้นเชิงหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

การปฏิรูปกฎหมายและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม  ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  อธิบายได้ดังนี้

การปฏิรูปกฎหมายในสมัยรัชกาลที่  5  ที่โยงใยมาด้านความคิดทางกฎหมายเป็นเรื่องวิธีการฟื้นฟูพระราชอำนาจของรัชกาลที่  5  ซึ่งพระองค์กระทำผ่านกลไกทางกฎหมายโดยเฉพาะด้านการนิติบัญญัติ  แม้ความจริงแล้วตามปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม  พระมหากษัตริย์มิได้ทรงมีอำนาจนิติบัญญัติที่แท้จริงก็ตาม  ดังนั้นประเด็นเรื่อง  ราชศาสตร์  ธรรมศาสตร์  กฎหมายชั่วคราว  กฎหมายอันศักดิ์สิทธิ์  จึงดูมีบทบาทลดถอยลงเรื่อยๆ  ความสัมพันธ์กับตะวันตกที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงสังคม  และโดยเฉพาะปัญหาสังคมใหม่ๆที่เกิดขึ้นในลักษณะที่นอกเหนือกรอบความคิด  หรือโครงสร้างแห่งกฎหมายของธรรมศาสตร์  เงื่อนไขเหล่านี้ล้วนทำให้แนวคิดด้านการนิติบัญญัติของพระมหากษัตริย์เปลี่ยนแปลงไป  ในลักษณะที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจทางนิติบัญญัติอย่างเต็มที่โดยปราศจากการบังคับควบคุมอันแท้จริงของ  ธรรมศาสตร์

ความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจด้านการนิติบัญญัติ  เช่น  ในปี  พ.ศ.  2417  เมื่อมีการพระราชบัญญัติสำคัญสองฉบับที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างฐานพระราชอำนาจ  กล่าวคือ  พระราชบัญญัติเคาน์ซิลออฟสเตตและแนวพระราชบัญญัติปรีวิวเคาน์ซิล  ผลของกฎหมายสองฉบับนี้ทำให้เกิดองค์กรใหม่คือ  ที่ปรึกษาราชการแผ่นดินหรือรัฐมนตรีสภา  และที่ปรึกษาในพระองค์  หรือองคมนตรีสภา  ซึ่งมีบทบาทในการคานอำนาจเสนาบดีภายใต้ระบอบจตุสดมภ์แบบเก่า

สว่นในข้อที่ว่ากรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์  ให้การยอมรับต่อปรัชญาปฏิฐานนิยมทางกฎหมายโดยสินเชิงหรือไม่อย่างไรนั้น  เห็นว่า  กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์  ก็หาได้ยอมรับในปรัชญากฎหมายนี้โดยสิ้นเชิงไม่  ดังที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ในเล็คเชอร์ว่าด้วยกฎหมายว่า  อนึ่ง  คำอธิบายกดหมายที่ว่ามาแล้วนั้น  ก็ยังมีที่ติ  หรือ  คำอธิบายกดหมายที่ได้ว่ามานี้ก็ไม่สู้ดีนัก  ด้วยเหตุผลว่าไม่ตรงแท้แก่ความจริงหลายประการ  ในทัศนะของพระองค์คำอธิบายที่ว่ากฎหมายเป็นคำสั่งขององค์รัฏฐาธิปัตย์มีข้อบกพร่องหลายประการนับแต่เรื่อง

1       การมองข้ามความสำคัญของจารีตประเพณีซึ่งเป็นธรรมเนียมที่ได้ทำกันมา

2       การมองข้าม  กดหมายธรรมดา  หรือกฎหมายที่ศาลตั้งขึ้นเองในเรื่องที่ไม่มีกฎหมายของรัฐบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษร

3       การไม่ยอมรับความยุติธรรมที่นำมาเป็นบทตัดสินคดีในความเป็นจริง

LAW4007 นิติปรัชญา 2/2548

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4007 นิติปรัชญา

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

 ข้อ 1  หลักนิติธรรม  (Rule  of  Law)  และการดื้อแพ่ง  (Civil  Disobedience)  คืออะไร  Dicey  และ  Rawls  ได้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องข้างต้นว่าอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักนิติธรรม  (Rule  of  Law)  หมายถึง  การเคารพเชื่อฟังต่อกฎหมาย  หรือหมายถึง  การที่รัฐบาลต้องปกครองด้วยกฎหมายและอยู่ภายใต้กฎหมาย”  ดังวลีสมัยใหม่ที่ว่า  รัฐบาลโดยกฎหมาย  มิใช่ตัวบุคคล”  ซึ่งหลักนิติธรรมจะสัมพันธ์อยู่กับเรื่องกฎหมาย  เหตุผลและศีลธรรม  เสรีภาพของประชาชนและรัฐความยุติธรรมความเสมอภาค  และเป็นที่เข้าใจกันกว้างๆว่าหลักนิติธรรมเป็นเรื่องของการใช้เหตุผลและความเป็นธรรม

ไดซีย์  (Dicey)  นักกฎหมายรัฐธรรมนูญของอังกฤษนำเสนอในหนังสือ  “Law  of  the  Constitution”  โดยมิได้ให้นิยามความหมายของหลักนิติธรรมไว้โดยตรง  แต่เขาบอกว่าหลักนิติธรรมนั้นแสดงออกโดยนัย  3  ประการ คือ  (เป็นหลักนิติธรรมที่สร้างขึ้นเป็นการเฉพาะสำหรับระบบกฎหมายของอังกฤษ)

1          การที่ฝ่ายบริหารไม่มีอำนาจลงโทษบุคคลใดได้ตามอำเภอใจ  เว้นเพียงในกรณีที่มีการละเมิดกฎหมายโดยชัดแจ้ง  และการลงโทษที่อาจกระทำได้นั้นจะต้องกระทำตามกระบวนการปกติของกฎหมายต่อหน้าศาลปกติของแผ่นดิน

2          ไม่มีบุคคลใดอยู่เหนือกฎหมาย  ไม่ว่าเขาจะอยู่ในตำแหน่งหรือเงื่อนไขประการใดๆ ทุกๆคนล้วนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและศาลเดียวกัน

3          หลักทั่วไปของกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนเป็นผลจากคำวินิจฉัยตัดสินของศาลหรือกฎหมายธรรมดา  (ตรงนี้เฉพาะประเทศอังกฤษ)  มิใช่เกิดจากการรับรองค้ำประกันเป็นพิเศษโดยรัฐธรรมนูญ

ไดซีย์กล่าวอย่างน่าสนใจเอาไว้ว่า  หลักนิติธรรมนั้นตรงกันข้ามกับรัฐบาลทุกระบบที่บุคคลผู้มีอำนาจใช้

บังคับจับกุมคุมขังบุคคลใดได้อย่างกว้างขวางโดยพลการหรือตามดุลพินิจของตนเอง

การดื้อแพ่งกฎหมาย  (Civil  Disobedience) หมายถึง  การกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายโดยสันติวิธี  เป็นการกระทำเชิงศีลธรรม  ในลักษณะของการประท้วงคัดค้านต่อกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมหรือต่อการกระทำของรัฐบาลที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง

จอร์ห  รอลส์  (John  Rawls)  ให้นิยามการดื้อแพ่งต่อกฎหมายของประชาชนว่า  คือการฝ่าฝืนกฎหมายด้วยมโนสำนึก  ซึ่งกระทำโดยเปิดเผยในที่สาธารณะ  โดยไม่ใช้ความรุนแรง  และเป็นการกระทำในเชิงการเมืองที่ปกติมุ่งหมายจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาล

รอลส์ให้ความเห็นชอบในการดื้อแพ่งกฎหมายของประชาชน  แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขแห่งความชอบธรรมตามที่กำหนดต่อไปนี้

1          ต้องเป็นการกระทำที่มีจุดประสงค์ของการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นแก่สังคม  อันเป็นการกระทำในเชิงการเมือง  แต่ต้องมิใช่เป็นการมุ่งทำลายระบบกฎหมายทั้งหมดหรือรัฐธรรมนูญ  (Constitution  Theory  of  Civil  Disobedience)

2          ต้องเป็นกฎหมายที่ขาดความชอบธรรมเป็นอย่างยิ่ง  อันฝ่าฝืนหลักธรรมขั้นพื้นฐานหรืออิสรภาพขั้นมูลฐาน  เช่น  เรื่องความเสมอภาคเท่าเทียม  (Equal  Liberty)

3          ต้องถือว่าเป็นการปฏิบัติการซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้าย

4          การต่อต้านกฎหมายต้องกระทำโดยสันติวิธีโดยเปิดเผย  (Public  Act)

 


ข้อ  
2  ทฤษฎีกฎหมายของมาร์กซิสต์  (The  Marxist  Theory  of  Law)  คืออะไร  และข้อสรุปเกี่ยวกับกฎหมาย  3  ประการ  มีอะไรบ้าง  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ทฤษฎีกฎหมายของมาร์กซิสต์  (The  Marxist  Theory  of  Law)  เป็นทฤษฎีทางกฎหมายของ คาร์ล  มาร์กซ์  ที่มองกฎหมายว่าเป็นเพียงกลไกเพื่อรับใช้ประโยชน์ของคนบางกลุ่มบางชนชั้นที่มีอำนาจในสังคมมิใช่เป็นกลไกที่มีความเป็นอิสระในการใช้ประนีประนอมผลประโยชน์ขัดแย้งทั้งหลาย

เนื่องจากตัวมาร์กซ์เองแล้วเขาเป็นคนค่อนข้างจะเย้ยหยันต่อบทบาทของกฎหมายในระบบทุนนิยม  จึงทำให้มีการสรุปธรรมชาติหรือบทบาทของกฎหมายเป็นข้อสรุปดังนี้  คือ

1        กฎหมายเป็นผลผลิตหรือผลสะท้อนของโครงสร้างทางเศรษฐกิจหรือเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ   โดยที่รูปแบบและเนื้อหาของกฎหมายจะแปรเปลี่ยนไปตามความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจในสังคมนั้นๆ  โดยมองว่า สังคม  ศาสนา  วัฒนธรรม  การเมือง  กฎเกณฑ์ต่างๆ  ของสังคม  ล้วนถูกกำหนดโดยระบบการผลิตหรือระบบเศรษฐกิจที่เป็นอยู่  ซึ่งสมมติให้เป็นโครงสร้างส่วนบนของสังคมซึ่งวางอยู่บนฐานของระบบเศรษฐกิจหรือโครงสร้างส่วนล่างของสังคม  ซึ่งกฎหมายก็ถือเสมือนว่าเป็นโครงสร้างส่วนบนของสังคม  โดยที่รูปแบบและเนื้อหาของกฎหมายนั้นจะเป็นผลสะท้อนของระบบเศรษฐกิจหรือการพัฒนาทางเศรษฐกิจ

2        กฎหมายเป็นเสมือนเครื่องมือหรืออาวุธที่ชนชั้นปกครองสร้างขึ้นเพื่อปกป้องอำนาจของตน  กฎหมายเป็นเครื่องมือกดขี่ของชนชั้นปกครอง  เป็นข้อสรุปที่มาจาก  คำประกาศของพรรคคอมมิวนิสต์  ที่มาร์กซิสต์และเองเกลส์เขียนขึ้นเพื่อกล่าวเสียดสีกฎหมายของชนชั้นเจ้าสมบัติ  จึงทำให้นักทฤษฎีมาร์กซิสต์ทั่วไปมองกฎหมายว่า  ไม่ได้เกิดจากเจตนาร่วมหรือเจตจำนงทั่วไปของประชาชน  แต่กฎหมายนั้นเป็นเพียงการแสดงออกซึ่งเจตจำนงของชนชั้นปกครอง

3        ในสังคมคอมมิวนิสต์ที่สมบูรณ์  กฎหมายในฐานะที่เป็นเครื่องมือของการควบคุมสังคมจะเหือดหาย  (Writering  Away)  และสูญสิ้นไปในที่สุด  เป็นการสรุปความเอาเองของบรรดาสาวกของมาร์กซ์ที่ตีความของบุคคลจากงานเขียนของเองเกลส์  ชื่อ  “Anti – Duhring”  ที่กล่าวพยากรณ์ว่า  สังคมคอมมิวนิสต์ในอนาคตรัฐหรือรัฐบาลของบุคคลจะเหือดหายไร้ความจำเป็นในการดำรงอยู่อีกต่อไป  ซึ่งเองเกลส์พูดถึงแต่รัฐเท่านั้น  ไม่ได้พูดถึงกฎหมาย

 


ข้อ  
3  จงอธิบายแนวพระราชดำริทางปรัชญากฎหมายขององค์พระมหากษัตริย์ปัจจุบัน

ธงคำตอบ

ปรัชญากฎหมายไทยตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันนั้น  สืบแต่พระองค์ทรงเป็นประมุขของชาติที่ทรงใส่พระทัยอย่างสูงต่อเรื่องกฎหมายและความยุติธรรม  พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระองค์ที่ทรงมีต่อนักกฎหมายหรือคณะบุคคลต่างๆ  ในหลายวโรกาสได้สำแดงออกซึ่งความคิดเชิงปรัชญากฎหมายอย่างลึกซึ้ง  จนมีผู้เรียกขานว่าเป็น  ปรัชญากฎหมายข้างฝ่ายไทย

แนวพระราชดำริทางปรัชญากฎหมายของพระองค์ประกอบด้วยประเด็นทางความคิดหลายเรื่อง  เช่น  เรื่องความยุติธรรม  ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรมและเสรีภาพ  กฎหมายกับความเป็นจริงในประชาสังคม  ความสำคัญของการปกครองโดยกฎหมาย ปัญหาเรื่องความไม่รู้กฎหมายของประชาชนและการปรับใช้กฎหมาย  ตลอดจนเรื่องบทบาทของกฎหมายและนักกฎหมายในสังคมไทย  อย่างไรก็ตาม  หัวใจแห่งพระราชดำริคงอยู่ที่เรื่อง  กฎหมายกับความยุติธรรม  ซึ่งเชื่อมโยงโดยใกล้ชิดกับเรื่องกฎหมายกับความเป็นจริงของชีวิตประชาชนในสังคม

ปรัชญากฎหมายไทยตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ยึดถือธรรมหรือความยุติธรรมเป็นใหญ่เหนือกฎหมาย  อันเป็นความคิดคนละขั้วกับปรัชญาปฏิฐานนิยมทางกฎหมายที่เน้นย้ำแต่เรื่องความยุติธรรมตามกฎหมายหรือถือเอากฎหมายเป็นตัวความยุติธรรม  ในพระราชดำริของพระองค์  กฎหมายมิใช่ตัวความยุติธรรมโดยตรงและผู้ใช้กฎหมายซึ่งคำนึงถึงความยุติธรรมเป็นใหญ่  ก็ต้องไม่ติดอยู่กับตัวอักษรกฎหมายอย่างเดียว  ในการอำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นจริงๆ  ความเช่นนี้อาจพิจารณาได้จากพระบรมราโชวาทในหลายๆวโรกาส  เช่น

1       พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่นักศึกษาผู้สำเร็จการศึกษาเป็นเนติบัณฑิต  ณ  เนติบัณฑิตยสภา  เมื่อวันที่  7  สิงหาคม  2515  ความว่า  โดยที่กฎหมายเป็นแต่เครื่องมือในการรักษาความยุติธรรมดังกล่าว  จึงไม่ควรจะถือว่ามีความสำคัญไปยิ่งกว่ายุติธรรม  หากควรต้องถือว่าความยุติธรรมมาก่อนกฎหมาย  การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีใดๆ  โดยคำนึงถึงแต่ความถูกผิดตามกฎหมายนั้น  ดูจะไม่เป็นการเพียงพอ  จำต้องคำนึงถึงความยุติธรรมซึ่งเป็นจุดประสงค์ด้วยเสมอ  การใช้กฎหมายจึงจะมีความหมายและผลที่ควรจะได้

2       พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่ผู้สอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิต  ณ  อาคารใหม่สวนอัมพร  วันที่  29  ตุลาคม  2522  ความว่า  ผู้ที่ได้ผ่านสำนักอบรมกฎหมายทุกคน  ควรจะได้รับการชี้แจงเน้นหนักให้ทราบชัดว่า  กฎหมายมิใช่ตัวความยุติธรรม  หากเป็นแต่เพียงบทบัญญัติหรือปัจจัยที่ตราไว้เพื่อรักษาความยุติธรรม… จึงไม่สมควรจะถือว่าการรักษาความยุติธรรมในแผ่นดินมีวงกว้างอยู่เพียงแค่ขอบเขตของกฎหมาย  จำเป็นต้องขยายออกไปให้ถึงศีลธรรมจรรยา  ตลอดจนเหตุและผลตามเป็นจริงด้วย

ความที่พระองค์ทรงถือเอาความยุติธรรมเป็นใหญ่เหนือกฎหมายโดยนัยหนึ่งย่อมหมายถึงพระราชประสงค์ที่จะให้กฎหมายกำเนิดขึ้นหรือเป็นไปเพื่อความถูกต้องดีงาม  หาใช่การปล่อยให้กฎหมายและการใช้กฎหมายเป็นไปในลักษณะที่สวนทางกับความยุติธรรมหรือศีลธรรมจรรยา  หรือหาใช่ปล่อยให้กฎหมายเป็นกลไกแห่งการกดขี่ของผู้ปกครองไป  หลักคุณค่าเรื่องความสงบสุขของบ้านเมืองหรือเสรีภาพ  นับเป็นวัตถุประสงค์แห่งกฎหมายตามพระราชดำริของพระองค์ที่ว่า  

เราจะต้องพิจารณาในหลักว่ากฎหมายมีไว้สำหรับให้มีความสงบสุขในบ้านเมือง  มิใช่ว่ากฎหมายมีไว้สำหรับบังคับประชาชน  ถ้ามุ่งหมายที่จะบังคับประชาชนก็กลายเป็นเผด็จการกลายเป็นสิ่งที่บุคคลหมู่น้อยจะต้องบังคับบุคคลหมู่มาก  ในทางตรงข้าม กฎหมายมีไว้สำหรับให้บุคคลส่วนมากมีเสรีภาพและอยู่ได้ด้วยความสงบ  

พระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่คณะกรรมการจัดงานวันระพี  คณะนิติศาสตร์  จุฬา  ณ  พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน  เมื่อวันที่  27  มิถุนายน  2516

อนี่ง  ที่ละเว้นไปเสียมิได้เลยก็คือ  ในพระบรมราโชวาทซึ่งทรงพระราชทานในหลายวโรกาสพระองค์ได้ตรัสพาดพิงไปถึงเรื่องการบุกรุกป่าสงวนของราษฎร  ซึ่งเป็นปัญหาขัดแย้งกันระหว่างรัฐกับราษฎร  เป็นประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งของกฎหมายกับความเป็นจริงของประชาสังคม  ซึ่งมีคุณค่าอย่างยิ่งในปัจจุบันโดยรวมความตามแนวพระบรมราโชวาทแล้วก็มีสาระสำคัญว่า  

กฎหมายกับความเป็นอยู่จริงอาจขัดกันได้  กฎหมายมีช่องโหว่มาก  เพราะไปปรับปรุงกฎหมายและการปกครองโดยลอกแบบต่างชาติมาโดยไม่ดูว่าเหมาะสมกับความเป็นอยู่ของประชาชนหรือไม่  บางทีการปกครองก็ไปไม่ถึงชุมชนห่างไกล  กฎหมายที่รัฐตราขึ้นเป็นอย่างไรก็ไม่รู้  ทำให้เขาตั้งกฎหมายใช้กันเอง  ซึ่งบางจุดก็ขัดกับกฎหมายของรัฐ  การตราพระราชบัญญัติป่าสงวนที่ผ่านมาปัญหามันเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐนั่งเก้าอี้ขีดบนแผนที่ว่าตรงไหนเป็นป่าสงวน  

โดยไม่ลงพื้นที่ดูว่าเป็นอย่างไร  ความจริงก็คือมีราษฎรเขาอาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้นมาหลายชั่วอายุคนแล้ว  อยู่ๆก็ไปตราเป็นกฎหมาย  ไปชี้ว่าเป็นป่าสงวน  กลายเป็นว่าราษฎรบุกรุกป่าสงวน  แน่นอนว่าถ้าดูตามกฎหมายราษฎรก็ผิดเพราะว่าตรามาเป็นกฎหมายโดยชอบธรรม  แต่ว่าถ้าตามธรรมชาติแล้ว  คนที่ทำผิดกฎหมายคือเจ้าหน้าที่รัฐที่ไปขีดเส้นว่าป่าที่ราษฎรอยู่เป็นป่าสงวน  เพราะว่าราษฎรเขาอยู่มาก่อน  เขามีสิทธิในทางเป็นมนุษย์  ความหมายก็คือ  ทางราชการนั้นแหละไปรุกรานบุกรุกราษฎรไม่ใช่ราษฎรบุกรุกกฎหมายบ้านเมือง

  สาระสำคัญโดยรวมคือ  เป็นแนวพระราชดำริที่ทรงเตือนสติให้คำนึงถึงเรื่องกฎหมายและความสอดคล้องกับความเป็นจริงของประชาสังคม  ซึ่งโดยนัยแล้วก็ไม่แตกต่างกับที่ทรงย้ำว่ากฎหมายไม่ใช่ตัวความยุติธรรมหรืออย่ายึดติดอยู่กับถ้อยคำในกฎหมายเพียงอย่างเดียว ต้องเชื่อมั่นว่าความยุติธรรมคือจุดหมายปลายทางแห่งการใช้อำนาจรัฐทางด้านกฎหมายและความยุติธรรมต้องผูกติดอยู่กับธรรมะ  ความถูกต้อง  และความเป็นจริง

LAW4007 นิติปรัชญา S/2548

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4007 นิติปรัชญา

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ  1  หลักนิติธรรมและดื้อแพ่ง  (Civil  Disobedience)  คืออะไร  มีหลักการสำคัญอะไรบ้าง  จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

หลักนิติธรรม  (Rule  of  Law)  หมายถึง  การเคารพเชื่อฟังต่อกฎหมาย  หรือหมายถึง  การที่รัฐบาลต้องปกครองด้วยกฎหมายและอยู่ภายใต้กฎหมาย  ดังวลีสมัยใหม่ที่ว่า  รัฐบาลโดยกฎหมาย  มิใช่ตัวบุคคล  ซึ่งหลักนิติธรรมจะสัมพันธ์อยู่กับเรื่องกฎหมาย  เหตุผลและศีลธรรม  เสรีภาพของประชาชนและรัฐความยุติธรรมความเสมอภาค  และเป็นที่เข้าใจกันกว้างๆว่าหลักนิติธรรมเป็นเรื่องของการใช้เหตุผลและความเป็นธรรม

ไดซีย์  (Dicey)  นักกฎหมายรัฐธรรมนูญของอังกฤษนำเสนอในหนังสือ  “Law  of  the  Constitution”  โดยมิได้ให้นิยามความหมายของหลักนิติธรรมไว้โดยตรง  แต่เขาบอกว่าหลักนิติธรรมนั้นแสดงออกโดยนัย  3  ประการ คือ  (เป็นหลักนิติธรรมที่สร้างขึ้นเป็นการเฉพาะสำหรับระบบกฎหมายของอังกฤษ)

1       การที่ฝ่ายบริหารไม่มีอำนาจลงโทษบุคคลใดได้ตามอำเภอใจ  เว้นเพียงในกรณีที่มีการละเมิดกฎหมายโดยชัดแจ้ง  และการลงโทษที่อาจกระทำได้นั้นจะต้องกระทำตามกระบวนการปกติของกฎหมายต่อหน้าศาลปกติของแผ่นดิน

2       ไม่มีบุคคลใดอยู่เหนือกฎหมาย  ไม่ว่าเขาจะอยู่ในตำแหน่งหรือเงื่อนไขประการใดๆ ทุกๆคนล้วนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและศาลเดียวกัน

3       หลักทั่วไปของกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนเป็นผลจากคำวินิจฉัยตัดสินของศาลหรือกฎหมายธรรมดา  (ตรงนี้เฉพาะประเทศอังกฤษ)  มิใช่เกิดจากการรับรองค้ำประกันเป็นพิเศษโดยรัฐธรรมนูญ

ไดซีย์กล่าวอย่างน่าสนใจเอาไว้ว่า  หลักนิติธรรมนั้นตรงกันข้ามกับรัฐบาลทุกระบบที่บุคคลผู้มีอำนาจใช้

บังคับจับกุมคุมขังบุคคลใดได้อย่างกว้างขวางโดยพลการหรือตามดุลพินิจของตนเอง

การดื้อแพ่งกฎหมาย  (Civil  Disobedience) หมายถึง  การกระทำที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายโดยสันติวิธี  เป็นการกระทำเชิงศีลธรรม  ในลักษณะของการประท้วงคัดค้านต่อกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมหรือต่อการกระทำของรัฐบาลที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง

จอร์ห  รอลส์  (John  Rawls)  ให้นิยามการดื้อแพ่งต่อกฎหมายของประชาชนว่า  คือการฝ่าฝืนกฎหมายด้วยมโนสำนึก  ซึ่งกระทำโดยเปิดเผยในที่สาธารณะ  โดยไม่ใช้ความรุนแรง  และเป็นการกระทำในเชิงการเมืองที่ปกติมุ่งหมายจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายหรือนโยบายของรัฐบาล

รอลส์ให้ความเห็นชอบในการดื้อแพ่งกฎหมายของประชาชน  แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขแห่งความชอบธรรมตามที่กำหนดต่อไปนี้

1       ต้องเป็นการกระทำที่มีจุดประสงค์ของการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นแก่สังคม  อันเป็นการกระทำในเชิงการเมือง  แต่ต้องมิใช่เป็นการมุ่งทำลายระบบกฎหมายทั้งหมดหรือรัฐธรรมนูญ  (Constitution  Theory  of  Civil  Disobedience)

2       ต้องเป็นกฎหมายที่ขาดความชอบธรรมเป็นอย่างยิ่ง  อันฝ่าฝืนหลักธรรมขั้นพื้นฐานหรืออิสรภาพขั้นมูลฐาน  เช่น  เรื่องความเสมอภาคเท่าเทียม  (Equal  Liberty)

3       ต้องถือว่าเป็นการปฏิบัติการซึ่งเป็นทางเลือกสุดท้าย

4       การต่อต้านกฎหมายต้องกระทำโดยสันติวิธีโดยเปิดเผย  (Public  Act)

 

ข้อ  2  นิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาคืออะไร  Roscoe  Pound  ได้อธิบายทฤษฎีวิศวกรรมสังคมว่าอย่างไรจงอธิบาย

ธงคำตอบ

นิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา  หมายถึง  การนำเอาสังคมวิทยาไปใช้ในทางนิติศาสตร์  (นิติปรัชญา)  เพื่อสร้างทฤษฎีกฎหมายและทฤษฎีที่ได้จะนำไปสร้างกฎหมายอีกชั้นหนึ่งนั่งเอง   เป็นทฤษฎีทางกฎหมายที่ก่อตัวขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่  19  ของตะวันตก  ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมตะวันตกอยู่ในภาวะของการเปลี่ยนแปลงจากสังคมประเพณีที่ไม่ซับซ้อนสู่สังคมอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน  เอารัดเอาเปรียบ  ทำให้เกิดชนชั้นกรรมกรผู้ใช้แรงงานซึ่งเข้ามามีบทบาททางการเมืองด้วย

ทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยานี้เป็นแนวความคิดหรือทฤษฎีทางนิติศาสตร์ที่เน้นบทบาทของกฎหมายต่อสังคม  การพิจารณากฎหมายโดยยึดถือคุณค่าทางสังคมวิทยาอันเป็นการพิจารณาถึงบทบาทหน้าที่ของกฎหมายหรือการทำงานของกฎหมายมากกว่าการสนใจกฎหมายในแง่ที่เป็นเนื้อหาสาระ  จากนั้นก็ไปเน้นเรื่องบทบาทของนักกฎหมายในการจัดระเบียบผลประโยชน์ของสังคม  เน้นวิธีการตรากฎหมายขึ้นมาเพื่อใช้แก้ปัญหาต่างๆของสังคม  โดยเฉพาะการสร้างกฎหมายขึ้นมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสังคมส่วนรวมหรืออรรถประโยชน์ของสังคม

รอสโค  พาวนด์  (Roscoe  Pound)  เป็นผู้ที่พัฒนาทฤษฎีนิติศาสน์เชิงสังคมวิทยาให้มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นในเชิงปฏิบัติ  โดนพาวนด์ได้สร้างทฤษฎีผลประโยชน์ที่รู้จักกันในนามทฤษฎีวิศวกรรมสังคมขึ้น  เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับคานผลประโยชน์ต่างๆ  ในสังคมให้เกิดความสมดุล

R. Pound  ได้นำเสนอทฤษฎีวิศวกรรมสังคม  ซึ่งเป็นชื่อของทฤษฎีว่าด้วยผลประโยชน์เรื่องหนึ่งเกิดขึ้นเพราะแนวคิดที่มุ่งสร้างกฎหมายที่การคานผลประโยชน์ต่างๆ ในสังคมให้เกิดความสมดุลประหนึ่งการก่อสร้างหรือวิศวกรรมสังคม  จึงเป็นที่รู้จักกันต่อมาในนาม  ทฤษฎีวิศวกรรมสังคม หรือ  “Social  Engineering  Theory”

ทฤษฎีวิศวกรรมสังคมของรอสโค  พาวนด์  แบ่งอธิบายเป็น  3  หัวข้อ  ได้แก่

1   ความหมายของผลประโยชน์

2  ประเภทของผลประโยชน์

3  วิธีการคานหรือถ่วงดุลผลประโยชน์

รอสโค  พาวนด์  ให้ความหมายของผลประโยชน์ว่าคือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  หรือความปรารถนาที่มนุษย์ต่างยืนยันเพื่อให้ได้มาอย่างแท้จริง  และเป็นภารกิจที่กฎหมายต้องกระทำการอันใดอันหนึ่ง  เพื่อสิ่งเหล่านี้หากต้องการธำรงไว้ซึ่งสังคมอันเป็นระเบียบเรียบร้อย  ผลประโยชน์ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่กฎหมายมีหน้าที่ต้องตอบสนอง  แต่จะได้มากน้อยเพียงใดแก่แต่ละบุคคลนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสำคัญหรือผลกระทบของผลประโยชน์ที่จะได้รับ  จึงต้องนำวิธีการคานผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง 

โดยเขาแบ่งผลประโยชน์ออกเป็น  3  ประเภท  ได้แก่

1       ผลประโยชน์ของปัจเจกชน  คือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  ความปรารถนา  และความคาดหมายในการดำรงชีวิตของปัจเจกชน  ซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพส่วนตัว  ความสัมพันธ์ทางครอบครัว  อันเกี่ยวข้องกับบิดามารดา  สามีภรรยา  และบุตรธิดาต่างๆ  หรือการมีทรัพย์สินส่วนบุคคล  เสรีภาพในการทำสัญญาการจ้างแรงงาน  เป็นต้น

2       ผลประโยชน์ของมหาชน  คือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  หรือความปรารถนาที่ปัจเจกชนยึดมั่นอันเกี่ยวพันหรือเกิดจากจุดยืนในการดำรงชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการเมือง  อันได้แก่ผลประโยชน์ของรัฐในฐานะที่เป็นนิติบุคคลที่จะครอบครองหรือเวนคืนทรัพย์สิน  รวมทั้งผลประโยชน์ของรัฐในฐานะผู้พิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ของสังคม

3       ผลประโยชน์ทางสังคม  คือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  หรือความปรารถนาที่พิจารณาจากแง่ความคาดหมายในการดำรงชีวิตทางสังคม  อันรวมถึงความปลอดภัย  ศีลธรรมทั่วไป  ความเจริญก้าวหน้า

ผลประโยชน์แต่ละประเภทมีค่าเป็นกลางๆ  ไม่มีผลประโยชน์ประเภทใดสำคัญเหนือกว่าผลประโยชน์อีกประเภทหนึ่ง  และการแบ่งแยกประเภทของผลประโยชน์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นเสมือนบัญชีรายชื่อที่อาจมีการเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

วิธีการคานหรือถ่วงดุลผลประโยชน์  รอสโค  พาวนด์  ให้นำเอาผลประโยชน์แต่ละประเภทมาคานผลประโยชน์กันให้เกิดการขัดแย้งน้อยที่สุดในสังคมแบบการกระทำวิศวกรรมสังคม  ซึ่งจำต้องมองความสมดุลในแง่ผลลัพธ์ที่จะส่งผลกระทบกระเทือนให้น้อยที่สุดต่อโครงสร้างแห่งระบบผลประโยชน์ทั้งหมดของสังคม  หรือผลลัพธ์ที่เป็นการพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้  พร้อมกับการสูญเสียที่น้อยที่สุดต่อผลประโยชน์รวมทั้งหมดของสังคม

รอสโค  พาวนด์  ถือว่าการคานผลประโยชน์และวิธีการต่างๆ  ในการกระทำวิศวกรรมสังคมที่กล่าวมาของ

พาวนด์  นับว่าเป็นหัวใจสำคัญยิ่งในทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา  ซึ่งพาวนด์ถือว่าเป็นก้าวย่างใหม่ของการศึกษา  และเป็นเสมือนการก้าวสู่จุดสุดยอดของนิติปรัชญานับแต่อดีตกาลมา  รวมทั้งเป็นการขยายบทบาทของนักนิติศาสตร์หรือนักทฤษฎีให้ลงมาสัมผัสกับโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น  แทนที่จะหมกมุ่นกับการถกเถียงเชิงนามธรรมในปรัชญากฎหมายเท่านั้น

นอกจากนี้เขายังได้เสนอข้อคิดหรือภาระสำคัญ  6  ประการของนักนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา  ไว้ว่า

1       ต้องศึกษาถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงของสถาบันทางกฎหมายและทฤษฎีกฎหมาย

2       ต้องศึกษาเชิงสังคมวิทยาในเรื่องการตระเตรียมการนิติบัญญัติโดนเฉพาะในเรื่องของผลการนิติบัญญัติเชิงเปรียบเทียบ

3       ต้องศึกษาถึงเครื่องมือหรือกลไกที่จะทำให้กฎเกณฑ์ทางกฎหมายมีประสิทธิภาพ  โดยถือว่า  ความมีชีวิตของกฎหมายปรากฏอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย

4       ต้องศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายเชิงสังคมวิทยาด้วยการตรวจพิจารณาดูว่า  ทฤษฎีกฎหมายต่างๆได้ส่งผลลัพธ์ประการใดบ้างในอดีต 

5       ต้องสนับสนุนให้มีการตัดสินคดีบุคคลอย่างมีเหตุผลและยุติธรรม  ซึ่งมักอ้างเรื่องความแน่นอนขึ้นแทนที่มากเกินไป

6       ต้องพยายามทำให้การบรรลุจุดมุ่งหมายของกฎหมายมีผลมากขึ้น

ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้สรุปสาระสำคัญข้อคิดต่อนักกฎหมายของรอสโค  พาวนด์  ได้คือ

1       ใส่ใจต่อหลักการใหม่ๆ

2       ใส่ใจต่อพฤติกรรมมนุษย์

3       สนใจเศรษฐศาสตร์  สังคมวิทยา  และปรัชญา 

4       ผลักดันกฎหมายในทางปฏิบัติให้สอดคล้องกับตัวบท

 

ข้อ  3  ก. จงอธิบายบทบาทของปรัชญา  ปฏิฐานนิยมทางกฎหมายในสังคมการเมืองไทยหลัง  2475

          ข. จงอธิบายแนวพระราชดำริทางปรัชญากฎหมายขององค์พระมหากษัตริย์ปัจจุบัน

ธงคำตอบ

(ก)  บทบาทของปรัชญาปฏิฐานนิยมทางกฎหมายในสังคมการเมืองไทย  หลังปี  พ.ศ. 2475  มีประเด็นสำคัญ  คือ  สถานภาพทางกฎหมายของประกาศคณะปฏิวัติที่มีผู้เห็นว่าไม่เป็นธรรม  โดยให้เหตุผลสนับสนุนทางความคิดว่า  คณะรัฐประหาร  มีการออกคำสั่งหรือประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อประชาชนหลายเรื่อง  ที่มีลักษณะไม่ชอบธรรม

ศาลฎีกาในสมัยนั้นเองก็มีคำพิพากษารับรองความชอบธรรมของอำนาจคณะรัฐประหารและสถานภาพทางกฎหมายของประกาศคณะปฏิวัติ  อาทิเช่น  คำพิพากษาฎีกาที่  1153 – 1154/2495 , 45/2496 , 1512 – 1515/2497 , 1162/2505 , 1234/2523  ฯลฯ  ล้วนแต่ยอมรับว่าประกาศคณะปฏิวัติเป็นกฎหมาย  อันสะท้อนถึงอิทธิพลของทฤษฎีปฏิฐานนิยมที่เน้นความสมบูรณ์  ในตัวธรรมชาติกฎหมายเชื่อมโยงกับสภาพความเป็นรัฐฎาธิปัตย์  หรือผู้ถืออำนาจปกครองสูงสุดในแผ่นดิน

การแสดงความคิดมีทั้งฝ่ายยอมรับและไม่ยอมรับสภาพความเป็นกฎหมายของคณะปฏิวัติฝ่ายที่ยึดมั่นในปรัชญาปฏิฐานนิยมทางกฎหมายก็ยืนยันว่าประกาศคณะปฏิวัติเป็นกฎหมายอันสมบูรณ์ขณะเดียวกันฝ่ายที่ไม่ยอมรับก็ใช้เหตุผลหลายหลากในการปฏิเสธ  เช่น  โดยอ้างกฎหมายธรรมชาติ  หรือยืนยันว่าหากมีรัฐธรรมนูญประกาศคณะปฏิวัติย่อมสิ้นผลไป  หรือยืนยันว่าประกาศคณะปฏิวัติไม่เป็นธรรมถือว่ามิใช่กฎหมาย ฯลฯ

ในความเป็นจริงอาจเป็นได้ว่า  สภาวการณ์ในช่วงนั้นประเทศต้องการความเด็ดขาดความเป็นเอกภาพเข้ามาแก้ไขความรวนเร  อ่อนแอ  ไม่มั่นคงของกฎหมายไทย  อิทธิพลของทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมายจึงเข้ามามีบทบาทในการใช้เป็นเหตุผลรองรับการกระทำต่างๆ  ของคณะรัฐประหาร  โดยอาจต้องย้อนมองเลยไปถึงบทบาทของนักกฎหมายหรือนักวิชาการทางกฎหมายที่เข้ามาช่วยเสริมสร้างความชอบธรรมให้แก่ฝ่ายปฏิวัติรวมทั้งปัญหาเรื่องจิตสำนึก  ค่านิยมหรือจรรยาบรรณในวิชาชีพของนักกฎหมายอีกด้วย

(ข)  ปรัชญากฎหมายไทยตามแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันนั้น  สืบแต่พระองค์ทรงเป็นประมุขของชาติที่ทรงใส่พระทัยอย่างสูงต่อเรื่องกฎหมายและความยุติธรรม  พระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระองค์ที่ทรงมีต่อนักกฎหมายหรือคณะบุคคลต่างๆ  ในหลายวโรกาสได้สำแดงออกซึ่งความคิดเชิงปรัชญากฎหมายอย่างลึกซึ้ง  จนมีผู้เรียกขานว่าเป็น  ปรัชญากฎหมายข้างฝ่ายไทย

แนวพระราชดำริทางปรัชญากฎหมายของพระองค์ประกอบด้วยประเด็นทางความคิดหลายเรื่อง  เช่น  เรื่องความยุติธรรม  ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรมและเสรีภาพ  กฎหมายกับความเป็นจริงในประชาสังคม  ความสำคัญของการปกครองโดยกฎหมาย ปัญหาเรื่องความไม่รู้กฎหมายของประชาชนและการปรับใช้กฎหมาย  ตลอดจนเรื่องบทบาทของกฎหมายและนักกฎหมายในสังคมไทย  อย่างไรก็ตาม  หัวใจแห่งพระราชดำริคงอยู่ที่เรื่อง  กฎหมายกับความยุติธรรม  ซึ่งเชื่อมโยงโดยใกล้ชิดกับเรื่องกฎหมายกับความเป็นจริงของชีวิตประชาชนในสังคม

ปรัชญากฎหมายไทยตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  ยึดถือธรรมหรือความยุติธรรมเป็นใหญ่เหนือกฎหมาย  อันเป็นความคิดคนละขั้วกับปรัชญาปฏิฐานนิยมทางกฎหมายที่เน้นย้ำแต่เรื่องความยุติธรรมตามกฎหมายหรือถือเอากฎหมายเป็นตัวความยุติธรรม  ในพระราชดำริของพระองค์  กฎหมายมิใช่ตัวความยุติธรรมโดยตรงและผู้ใช้กฎหมายซึ่งคำนึงถึงความยุติธรรมเป็นใหญ่  ก็ต้องไม่ติดอยู่กับตัวอักษรกฎหมายอย่างเดียว  ในการอำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นจริงๆ  ความเช่นนี้อาจพิจารณาได้จากพระบรมราโชวาทในหลายๆวโรกาส  เช่น

1       พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่นักศึกษาผู้สำเร็จการศึกษาเป็นเนติบัณฑิต  ณ  เนติบัณฑิตยสภา  เมื่อวันที่  7  สิงหาคม  2515  ความว่า  

โดยที่กฎหมายเป็นแต่เครื่องมือในการรักษาความยุติธรรมดังกล่าว  จึงไม่ควรจะถือว่ามีความสำคัญไปยิ่งกว่ายุติธรรม  หากควรต้องถือว่าความยุติธรรมมาก่อนกฎหมาย  การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีใดๆ  โดยคำนึงถึงแต่ความถูกผิดตามกฎหมายนั้น  ดูจะไม่เป็นการเพียงพอ  จำต้องคำนึงถึงความยุติธรรมซึ่งเป็นจุดประสงค์ด้วยเสมอ  การใช้กฎหมายจึงจะมีความหมายและผลที่ควรจะได้

2       พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานประกาศนียบัตรแก่ผู้สอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิต  ณ  อาคารใหม่สวนอัมพร  วันที่  29  ตุลาคม  2522  ความว่า 

ผู้ที่ได้ผ่านสำนักอบรมกฎหมายทุกคน  ควรจะได้รับการชี้แจงเน้นหนักให้ทราบชัดว่า  กฎหมายมิใช่ตัวความยุติธรรม  หากเป็นแต่เพียงบทบัญญัติหรือปัจจัยที่ตราไว้เพื่อรักษาความยุติธรรม… จึงไม่สมควรจะถือว่าการรักษาความยุติธรรมในแผ่นดินมีวงกว้างอยู่เพียงแค่ขอบเขตของกฎหมาย  จำเป็นต้องขยายออกไปให้ถึงศีลธรรมจรรยา  ตลอดจนเหตุและผลตามเป็นจริงด้วย

ความที่พระองค์ทรงถือเอาความยุติธรรมเป็นใหญ่เหนือกฎหมายโดยนัยหนึ่งย่อมหมายถึงพระราชประสงค์ที่จะให้กฎหมายกำเนิดขึ้นหรือเป็นไปเพื่อความถูกต้องดีงาม  หาใช่การปล่อยให้กฎหมายและการใช้กฎหมายเป็นไปในลักษณะที่สวนทางกับความยุติธรรมหรือศีลธรรมจรรยา  หรือหาใช่ปล่อยให้กฎหมายเป็นกลไกแห่งการกดขี่ของผู้ปกครองไป  หลักคุณค่าเรื่องความสงบสุขของบ้านเมืองหรือเสรีภาพ  นับเป็นวัตถุประสงค์แห่งกฎหมายตามพระราชดำริของพระองค์ที่ว่า  

เราจะต้องพิจารณาในหลักว่ากฎหมายมีไว้สำหรับให้มีความสงบสุขในบ้านเมือง  มิใช่ว่ากฎหมายมีไว้สำหรับบังคับประชาชน  ถ้ามุ่งหมายที่จะบังคับประชาชนก็กลายเป็นเผด็จการกลายเป็นสิ่งที่บุคคลหมู่น้อยจะต้องบังคับบุคคลหมู่มาก  ในทางตรงข้าม กฎหมายมีไว้สำหรับให้บุคคลส่วนมากมีเสรีภาพและอยู่ได้ด้วยความสงบ  

พระบรมราโชวาทที่พระราชทานแก่คณะกรรมการจัดงานวันระพี  คณะนิติศาสตร์  จุฬา  ณ  พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน  เมื่อวันที่  27  มิถุนายน  2516

อนี่ง  ที่ละเว้นไปเสียมิได้เลยก็คือ  ในพระบรมราโชวาทซึ่งทรงพระราชทานในหลายวโรกาสพระองค์ได้ตรัสพาดพิงไปถึงเรื่องการบุกรุกป่าสงวนของราษฎร  ซึ่งเป็นปัญหาขัดแย้งกันระหว่างรัฐกับราษฎร  เป็นประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งของกฎหมายกับความเป็นจริงของประชาสังคม  ซึ่งมีคุณค่าอย่างยิ่งในปัจจุบันโดยรวมความตามแนวพระบรมราโชวาทแล้วก็มีสาระสำคัญว่า 

กฎหมายกับความเป็นอยู่จริงอาจขัดกันได้  กฎหมายมีช่องโหว่มาก  เพราะไปปรับปรุงกฎหมายและการปกครองโดยลอกแบบต่างชาติมาโดยไม่ดูว่าเหมาะสมกับความเป็นอยู่ของประชาชนหรือไม่  บางทีการปกครองก็ไปไม่ถึงชุมชนห่างไกล  กฎหมายที่รัฐตราขึ้นเป็นอย่างไรก็ไม่รู้  ทำให้เขาตั้งกฎหมายใช้กันเอง  ซึ่งบางจุดก็ขัดกับกฎหมายของรัฐ  การตราพระราชบัญญัติป่าสงวนที่ผ่านมาปัญหามันเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐนั่งเก้าอี้ขีดบนแผนที่ว่าตรงไหนเป็นป่าสงวน  โดยไม่ลงพื้นที่ดูว่าเป็นอย่างไร  ความจริงก็คือมีราษฎรเขาอาศัยอยู่ในป่าแห่งนั้นมาหลายชั่วอายุคนแล้ว  อยู่ๆก็ไปตราเป็นกฎหมาย  ไปชี้ว่าเป็นป่าสงวน  กลายเป็นว่าราษฎรบุกรุกป่าสงวน  แน่นอนว่าถ้าดูตามกฎหมายราษฎรก็ผิดเพราะว่าตรามาเป็นกฎหมายโดยชอบธรรม  แต่ว่าถ้าตามธรรมชาติแล้ว  คนที่ทำผิดกฎหมายคือเจ้าหน้าที่รัฐที่ไปขีดเส้นว่าป่าที่ราษฎรอยู่เป็นป่าสงวน  เพราะว่าราษฎรเขาอยู่มาก่อน  เขามีสิทธิในทางเป็นมนุษย์  ความหมายก็คือ  ทางราชการนั้นแหละไปรุกรานบุกรุกราษฎรไม่ใช่ราษฎรบุกรุกกฎหมายบ้านเมือง 

สาระสำคัญโดยรวมคือ  เป็นแนวพระราชดำริที่ทรงเตือนสติให้คำนึงถึงเรื่องกฎหมายและความสอดคล้องกับความเป็นจริงของประชาสังคม ซึ่งโดยนัยแล้วก็ไม่แตกต่างกับที่ทรงย้ำว่ากฎหมายไม่ใช่ตัวความยุติธรรมหรืออย่ายึดติดอยู่กับถ้อยคำในกฎหมายเพียงอย่างเดียว  ต้องเชื่อมั่นว่าความยุติธรรมคือจุดหมายปลายทางแห่งการใช้อำนาจรัฐทางด้านกฎหมายและความยุติธรรมต้องผูกติดอยู่กับธรรมะ  ความถูกต้อง  และความเป็นจริง

LAW4007 นิติปรัชญา S/2549

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4007 นิติปรัชญา 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ 1  กฎหมายธรรมชาติคืออะไร  พัฒนาการ  5  ยุค  มีสาระสำคัญอะไรบ้าง  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

กฎหมายธรรมชาติสามารถอธิบายความหมายได้ใน  2  ลักษณะ คือ

1       ความหมายทั่วๆไป  กฎหมายธรรมชาติหมายถึง

–                    กฎหมายซึ่งบุคคลบางกลุ่มอ้างว่ามีอยู่ตามธรรมชาติ  ไม่ได้มีโครงสร้างขึ้นเป็นกฎหมายที่อยู่เหนือรัฐ  และใช้ได้โดยทั่วไปอย่างไม่จำกัดกาลเทศะ

–                    กฎเกณฑ์ทางกฎหมายต่างๆ ในอุดมคติ ซึ่งอยู่เหนือกว่ากฎหมายที่รัฐบัญญัติขึ้นซึ่งอาจค้นพบได้โดยเหตุผล

–                    กฎเกณฑ์อุดมคติที่มีขึ้นเพื่อจัดให้เกิดความสมดุลระหว่างปัจเจกชนกับกลุ่มส่วนรวม  หรือจัดให้เกิดความสมดุลระหว่างเสรีภาพส่วนบุคคลกับความเสมอภาคของทุกคน  (เมื่อพิจารณาความหมายในแง่มุมทางอุดมคติ)

2       ความหมายในแง่ทางทฤษฎี  แบ่งออกเป็น  2  ทฤษฎี  คือ

1)    เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติที่ปรากฏในยุคกรีกโบราณและโรมันถึงยุคกลาง (ราวศตวรรษที่  5  ก่อนคริสตกาลถึงศตวรรษที่  16)  กฎหมายธรรมชาติเป็นหลักเกณฑ์ของกฎหมายอุดมคติที่มีค่าบังคับสูงกว่ากฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้น  กฎหมายใดที่มนุษย์บัญญัติขึ้นขัดแย้งกับกฎหมายธรรมชาติจะไม่มีค่าบังคับเป็นกฎหมายเลย

2)    เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติในยุคปัจจุบัน  ถือว่า  หลักกฎหมายธรรมชาติเป็นเพียงอุดมคติของกฎหมายที่รัฐจะบัญญัติขึ้นเท่านั้น  กล่าวคือ  รัฐควรจะบัญญัติหรือตรากฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการของกฎหมายธรรมชาติ  แต่ถ้าตราขึ้นโดยขัดหรือแย้งกับกฎหมายธรรมชาติ  กฎหมายนั้นก็ไม่ตกเป็นโมฆะแต่อย่างใด  เพียงแต่จะเป็นกฎหมายที่ไม่มีค่าทางกฎหมายโดยสมบูรณ์เท่านั้นเอง  ซึ่งเป็นลักษณะที่ผ่อนปรนประนีประนอมมากขึ้นกว่าในยุคโบราณและยุคกลาง

พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ  แบ่งออกเป็น  5  ยุค  ดังนี้

1       ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคกรีกโบราณและโรมัน  มีประเด็นแยกอธิบายได้ดังนี้

1)    จุดก่อตัวและช่วงเวลา  ยุคกรีกโบราณและโรมันอยู่ในช่วงศตวรรษที่  5  ก่อนคริสตกาล  ถึงคริสต์ศตวรรษที่  5  โดยประมาณ ซึ่งว่ากันว่ากฎหมายธรรมชาตินี้พบเป็นเรื่องเป็นราวจากเฮราคลิตุสนักปรัชญาชาวกรีกที่มีอายุในช่วง  540  480 ปี ก่อนคริสตกาล  โดยเขาไปค้นหาสัจจะเกี่ยวกับธรรมชาติ  โดยเฉพาะความจริงเกี่ยวกับแก่นสารของชีวิตและสิ่งที่เขาค้นพบและสรุปออกมาคือ  ธรรมชาติคือความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งแก่นสารของชีวิตคือธรรมชาติและแก่นสารของชีวิตก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ  ซึ่งประกอบด้วยจุดหมายปลายทางระเบียบและเหตุผลอันแน่นอนซึ่งไม่อาจผันแปรได้

2)    การเข้าถึงกฎหมายธรรมชาติ  แยกอธิบายได้ดังนี้

เพลโต  (427  347 ปีก่อนคริสตกาล) อธิบายว่า  เข้าถึงได้โดยการใช้ญาณปัญญาอันบริสุทธิ์  แต่ก็มีเพียงนักปราชญ์เท่านั้นที่เพลโตเห็นว่าจะเข้าถึงกฎหมายธรรมชาติได้

อริสโตเติ้ล (384  322 ปีก่อนคริสตกาล) ศิษย์ของเพลโตเห็นว่า  กฎหมายธรรมชาตินั้นมนุษย์ทุกคนสามารถเข้าถึงได้โดยการใช้  เหตุผลอันบริสุทธิ์  เนื่องจากอริสโตเติ้ลพบว่าเหตุผลของมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ

สำนักสโตอิค (ก่อตั้งขึ้นศตวรรษที่  3  ก่อนคริสตกาลโดยเซโน) ยืนยันตามแนวคิดของอริสโตเติ้ลว่า  มนุษย์เข้าถึงกฎหมายธรรมชาติได้โดยการใช้เหตุผล เหตุผลที่ว่านี้ก็อยู่ในฐานะเป็นพลังทางจักรวาลซึ่งเข้าครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งเป็นพื้นฐานของกฎหมายและความยุติธรรมด้วย

3)    บทบาทความสำคัญของกฎหมายธรรมชาติในยุคนี้  แยกอธิบายได้ดังนี้

เพลโต  ให้ความสำคัญแก่กฎหมายธรรมชาติว่าเป็นแบบหรือความคิดอันไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  ที่ให้เป็นบรรทัดฐานต่อกฎหมายบ้านเมือง  กฎหมายใดๆที่รัฐตราขึ้นต้องสอดคล้องกับแบบหรือกฎหมายธรรมชาตินี้  มิเช่นนั้นก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นกฎหมายได้

อริสโตเติ้ลให้ความสำคัญแก่กฎหมายธรรมชาติว่า  เป็นกฎหมายที่เหมาะสมในการปกครองสังคม  แต่เขาไม่ได้กล่าวถึงเรื่องกฎหมายที่รัฐตราขึ้นขัดกับกฎหมายธรรมชาติผลจะเป็นอย่างไร

โสฟิสต์บางกลุ่ม  อ้างกฎมหายธรรมชาติขึ้นมาต่อต้านการปกครองที่ไม่เป็นธรรมรวมทั้งอ้างเพื่อผลักดันให้ยกเลิกระบบอภิสิทธิ์และระบบทาส  (โสฟิสต์เป็นกลุ่มนักคิด  ชอบใช้วาทะในการโต้เถียงมีในสมัยศตวรรษที่ 4  5 ก่อนคริสตกาล)

ในชั้นของอาณาจักรโรมัน  ประมวลกฎหมายของจักรพรรดิจัสติเนียนก็ถือว่ากฎหมายธรรมชาติมีส่วนในการพัฒนาเช่นกัน  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคคล  ทรัพย์  หนี้  มรดกหรือลาภมิควรได้

2       ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคมืดและยุคกลาง  แยกประเด็นอธิบายได้ดังนี้

1) ช่วงเวลาและภาพรวม  ยุคมืดอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5  12 โดยประมาณ ส่วนยุคกลางอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12  16 โดยประมาณ  ในยุคนี้กฎหมายธรรมชาติถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นแบบคริสเตียน (คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก) ที่มาของกฎหมายธรรมชาติก็เปลี่ยนไปอิงอยู่กับคำสอนทางศาสนาหรือบัญชาของพระเจ้า  เนื่องจากเป็นยุคที่ฝ่ายศาสนจักรขึ้นมามีอำนาจเหนือฝ่ายอาณาจักร  โดยยืนยันได้จากความคิดของเซนต์  ที่ว่า  กฎหมายที่ไม่ถูกต้องตามกฎศาสนาเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับไม่ได้

2) ประเด็นเรื่องที่มาของกฎหมายธรรมชาติ    เนื่องจากกำหมายธรรมชาติยุคนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นแบบคริสเตียน  จึงปรากฏงานนิพนธ์ของ  เซนต์  โทมัส  อไควนัส  (ค.ศ. 1226  1274)  เรื่อง  “Summa Theologica” 

สรุปว่า  หลักธรรมหรือโองการหรือเจตจำนงของพระเจ้าคือที่มาของกฎหมายธรรมชาติ  เป็นการหักมุมแนวคิดของอริสโตเติ้ลที่ว่า  มนุษย์สามารถค้นพบกฎหมายธรรมชาติได้โดยอาศัยเหตุผลในตัวมนุษย์เอง  กล่าวคือ  อไควนัสเห็นว่าเครื่องมือในการค้นหากฎหมายธรรมชาตินั้นปรากฏอยู่ใน  เหตุผลของพระเจ้า  ไม่ใช่เหตุผลของมนุษย์

3)  คุณค่าความสำคัญของกฎหมายธรรมชาติในยุคนี้  ปรากฏในงานเขียนของอไควนัสซึ่งเขาได้แบ่งกฎหมายออกเป็น  4  ประเภท  กฎหมายธรรมชาติก็เป็นหนึ่งในนั้น  อไควนัสบอกว่า  กฎหมายธรรมชาติมนุษย์สามารถเข้าถึงได้โดยอาศัยเหตุผลเหมือนกับอริสโตเติ้ล    แต่อไควนัสนั้นบอกว่า  เหตุผลของมนุษย์เป็นคุณสมบัติธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้อีกทีหนึ่ง  ไม่ใช่มีอยู่และในธรรมชาติเหมือนอริสโตเติ้ลนำเสนอไว้

อไควนัสถือว่า  กฎหมายธรรมชาติเป็นเสมือนภาพสะท้อนอันไม่สมบูรณ์ซึ่งเหตุผลอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า  แต่กฎหมายธรรมชาตินี้ก็มีความสำคัญในฐานะเป็นหลักชี้นำการกระทำต่างๆ  ของมนุษย์โดยมีหลักธรรมพื้นฐานคือ  การทำดีและละเว้นความชั่ว  ซึ่งกฎหมายธรรมชาตินี้  อไควนัสถือว่ามีค่าบังคับสูงกว่ากฎหมายที่มนุษย์หรือรัฐบัญญัติขึ้น  กล่าวคือ  ถ้าขัดหรือแย้งกับกฎหมายธรรมชาติก็จะไม่ถือว่ากฎหมายนั้นเป็นกฎหมาย  แต่เป็นความวิปริตของกฎหมายไป

3       ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคฟื้นฟูและยุคปฏิรูป  มีประเด็นน่าสนใจคือ

1)    ช่วงเวลาและภาพรวม  ยุคฟื้นฟู  อยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่  14  16 โดยประมาณส่วนยุคปฏิรูปอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยประมาณ  ยุคนี้สถานการณ์ทางสังคมได้เปลี่ยนไป  ฝ่ายอาณาจักรขึ้นมามีอำนาจและสลัดตัวออกจากศาสนจักรได้สำเร็จ  ปรัชญากฎหมายธรรมชาติเองก็สามารถสลัดตัวออกจากคริสต์ศาสนาเช่นกัน  รูปแบบความคิดก็กลับไปเป็นแบบเหตุผลนิยม  คล้ายๆกับที่อริสโตเติ้ลหรือสำนักสโตอิคแห่งกรีกโบราณนำเสนอไว้

2)    ที่มาของกฎหมายธรรมชาติ  ว่าจะตราหรือบัญญัติกฎหมายอย่างไรขึ้นใช้ในสังคม  ถูกนำเสนอโดยฮูโก  โกรเซียส  ชาวเนเธอร์แลนด์  (ค.ศ.1583  1645) มีแนวคิดว่า  เหตุผลและสติปัญญาของมนุษย์คือที่มาของกฎหมายธรรมชาติ  โดยถือว่าเหตุผลและสติปัญญานี้ปรากฏอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์เองสิ่งที่   โกรเซียสยืนยันก็คือ  ธรรมชาติของมนุษย์คือมารดาของกฎหมายธรรมชาติ  และซึ่งจะคงปรากฏอยู่มาตร (แม้) ว่าจะไม่มีพระเจ้าแล้วก็ตาม

3)    ลักษณะและความสำคัญในเชิงบทบาทของปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคนี้          ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ถือว่ามีบทบาทที่สำคัญยิ่ง  เริ่มที่โกรเซียสได้นำเอาหลักกฎหมายธรรมชาติบางเรื่องไปเป็นรากฐานในการสร้างกฎหมายระหว่างประเทศ  ควบคุมกิจการหรือกติกาในการทำสงครามระหว่างรัฐจนได้รับยกย่องว่า  เป็นบิดาของกฎหมายระหว่างประเทศเลยทีเดียว

ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคนี้มีการพัฒนาเรื่องสิทธิธรรมชาติของมนุษย์โดยการเพิ่มบทบาทความคิดแบบปัจเจกชนนิยมมากขึ้นในตัว  โดยผ่านนักคิดหลายๆคนในยุคนี้  เช่น  พูเฟนดอร์ฟ ,   โทมัสฮอบส์ ,  สปินโนซ่า  , จอห์น  ลอค ,  มองเตสกิเออ ,  รุสโซ  , วูล์ฟ  เป็นต้น ซึ่งผลโดยรวมที่ได้ก็คืออิทธิพลโดยผ่านนักคิดเหล่านี้  ปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้นำไปสู่การเน้นเนื้อหากฎหมายที่เป็นธรรม   นำไปสู่ข้อยืนยันว่ากำลังหรืออำนาจไม่ใช่ที่มาของกฎหมายหรือความถูกต้อง  นับเป็นการเข้าไปต่อต้านเผด็จการหรือการกดขี่  สนับสนุนเรื่องความเสมอภาคของบุคคลต่อหน้ากฎหมาย  มีส่วนแก้ไขให้บทลงโทษทางอาญามีมนุษยธรรมมากขึ้น  และที่สำคัญคือเป็นที่มาหรือรากฐานหรือหลักทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ  ยุคนี้ได้รับการกล่าวขานว่า  เป็นยุคแห่งเหตุผล  เนื่องจากอิทธิพลความคิดแบบเหตุผลนิยมได้ครอบงำไปทั่วยุโรป

4.     ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคชาตินิยม  (ความเสื่อมและการฟื้นตัวของกฎหมายธรรมชาติ)  มีประเด็นอธิบายดังนี้

1)    ภาพโดยรวมของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ  ยุคนี้เป็นเหตุการณ์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่  18  กฎหมายธรรมชาติยุคนี้ได้เสื่อมความนิยมลงในช่วงหนึ่งแล้วกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในตอนท้าย

2)    เหตุที่ทำให้ปรัชญากฎหมายธรรมชาติเสื่อมความนิยมลง  มีสาเหตุหลัก  2  เรื่องคือ

–                    กระแสสูงของลัทธิชาตินิยม  ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามและเข้ามาบดบังลัทธิปัจเจกชนนิยมที่เป็นแกนกลางสำคัญในปรัชญากฎหมายธรรมชาติ

–                    ความเจริญก้าวหน้าอย่างมากทางวิทยาศาสตร์และวิธีคิดเชิงประจักษ์วาทแบบวิทยาศาสตร์  เป็นพื้นฐานทำให้เกิดลัทธิอรรถประโยชน์และทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย   ซึ่งมีแนวคิดตรงข้ามกับปรัชญากฎหมายธรรมชาติ  ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจนปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้ถูกผลักไสให้เป็นเรื่องของศาสนาหรือศีลธรรมมากกว่าจะเป็นกฎหมายอันแท้จริงของรัฐ

3)    เหตุที่ทำให้ปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้รับการเชื่อถืออีกครั้ง  สาเหตุที่ทำให้กฎหมายธรรมชาติได้รับการนิยมขึ้นมาอีก  เพราะวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของสังคมได้  ปฏิฐานนิยมทางกฎหมายก็ถูกนำไปใช้สนับสนุนเรื่องอำนาจนิยม  การใช้อำนาจโดยมิชอบ  ที่สำคัญก็คือสงครามโลกทั้ง  2  ครั้ง  ก็มีที่มาจากการเอาแนวคิดปฏิฐานนิยมไปใช้อย่างผิดๆ  ดังนั้นกระแสความคิดแบบเหตุผลนิยมทางกฎหมายธรรมชาติหรือระบบคิดแบบอุดมคตินิยมจึงปรากฏ  ความสำคัญขึ้นอีกครั้ง

4)    บทบาทของปรัชญากฎหมายธรรมชาติภายหลังที่ฟื้นตัวแล้ว  พออธิบายได้ดังนี้

–                    สแตมม์เลอร์  ชาวเยอรมันประกาศความคิดเรื่อง  กฎหมายธรรมชาติซึ่งมีเนื้อหาอันเปลี่ยนแปลงได้ในฐานะเป็นหลักความยุติธรรม  ซึ่งสะท้อนความต้องการอันไม่แน่นอนของชนชาติหนึ่งในยุคสมัยหนึ่งๆขณะที่มาตาฐานแห่งความยุติธรรมเป็นการเน้นความกลมกลืนอย่างสมบูรณ์ระหว่างปัจเจกชนกับสังคม

–                    ปรัชญากฎหมายธรรมชาติ  ได้ถูกนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาในระดับข้อเท็จจริงและวิกฤติการณ์ทางคุณค่าด้วย  โดยเฉพาะในเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่  2  กฎหมายธรรมชาติได้เข้าไปมีบทบาทในการตัดสินคดีเพื่อลงโทษทหารนาซีเยอรมัน  โดยถือว่ากฎหมายที่ขัดกับมนุษยธรรมที่นาซีบัญญัติขึ้นไม่มีสภาพเป็นกฎหมาย  นอกจากนั้นการปรากฏตัวขึ้นของปฏิญญาสากลว่าด้วยมนุษยชน  ค.ศ. 1948 ก็เขียนขึ้นภายใต้อิทธิพลของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ

5       ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคปัจจุบัน  (ปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัย)  ในยุคปัจจุบันปรัชญากฎหมายธรรมชาติมีบทบาทอยู่ใน  2  ลักษณะคือ

1)    ในแง่ที่เป็นทฤษฎีกฎหมายที่สนับสนุนอุดมคติทางกฎหมายเชิงจริยธรรม  คือ  เป็นการยืนยันความเชื่อมั่นเรื่องความยุติธรรมในฐานะเป็นจุดหมายปลายทางของกฎหมาย  หรือยืนยันในความเชื่อมั่นในเรื่องความสัมพันธ์ที่จำต้องมีระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรมหรือหลักศีลธรรมจริยธรรมต่างๆ

2)    ในแง่ทฤษฎีเกี่ยวกับสิทธิสนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชน  โดยเน้นไปที่สิทธิทางด้านเศรษฐกิจ  สังคม  การพัฒนา  สันติภาพ  เป็นต้น  ซึ่งหลายประเทศเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ

ที่สำคัญคือ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยนี้จะมีลักษณะที่ผ่อนปรนประนีประนอมมากขึ้น  กล่าวคือ  ไม่ยืนยันว่ากฎหมายที่ขัดกับหลักอุดมคติหรือหลักความยุติธรรมต้องตกเป็นโมฆะหรือไม่สมบูรณ์ตามความคิดแบบเก่า  ซึ่งตรงนี้ก็ปรากฏจากความคิดของจอห์น  ฟินนีส  นักปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยที่บอกว่า  กฎหมายที่ไม่ยุติธรรมมิได้ตกเป็นโมฆะ  ในแง่ที่ว่าเป็นสิ่งซึ่งบุคคลไม่ต้องปฏิบัติตามโดยสิ้นเชิง  กฎหมายที่ไม่ยุติธรรมเพียงแต่ขาดสิ่งซึ่งเป็นอำนาจผูกมัดทางมโนธรรม  ซึ่งกฎหมายทั่วไปมีอยู่ตามปกติ  หน้าที่ทางศีลธรรมที่ต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมายจึงอาจจำต้องมีอยู่หากว่าการขัดขืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวจะนำมาซึ่งความอ่อนแอ  ไร้เสถียรภาพในระบบกฎหมายซึ่งมีความเป็นธรรมเสียส่วนมาก

 

ข้อ 2  นิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาคืออะไร  R. Pound  ได้อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างไร  จงอธิบายโดยระเอียด

ธงคำตอบ

นิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา  หมายถึง  การนำเอาสังคมวิทยาไปใช้ในทางนิติศาสตร์  (นิติปรัชญา)  เพื่อสร้างทฤษฎีกฎหมายและทฤษฎีที่ได้จะนำไปสร้างกฎหมายอีกชั้นหนึ่งนั่งเอง  

กระแสความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่กำลังดำเนินไปอย่างรวดเร็วอันสืบเนื่องจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม(Industrial  Revolution) ได้นำไปสู่การก่อตัวขึ้นของชนชั้นแรงงาน  ยังเป็นจุดเริ่มต้นของความคิดสังคมนิยมแบบวิทยาศาสตร์หรือลัทธิมาร์กซ์  (Marxism)  ซึ่งให้ความสำคัญต่อเรื่องความเป็นธรรมต่อสังคม  การปกป้องผลประโยชน์ของส่วนรวม  แทนที่การเน้นความสำคัญของลัทธิปัจเจกชนนิยมซึ่งให้ความสำคัญแต่เรื่องสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล 

ขณะเดียวกันความคิดของสำนักกฎหมายประวัติศาสตร์ที่พยายามเน้นความสัมพันธ์อันจำเป็นระหว่างกฎหมายและสิ่งแวดล้อมทางสังคม  ในฐานะตัวบ่มเพาะพัฒนาการของกฎหมายก็เปลี่ยนดุลถ่วงความสนใจของนักกฎหมายสู่เรื่องข้อเท็จจริงทางสังคมมากขึ้น  แม้จะเน้นหนักในเรื่องจารีตประเพณีอยู่ก็ตาม  เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางหรือความมุ่งมั่นของกฎหมายที่เคยเน้นเรื่องปัจเจกชนนิยมไปสู่ลัทธิรวมการ(Collective) หรือแนวความคิดในเชิงสังคมนิยม  เป็นแนวโน้มใหม่ที่มุ่งจะสร้างหรือใช้กฎหมายเพื่อการปกป้องผลประโยชน์ของส่วนรวม  (Collectivist  Legislation)  มากกว่าประโยชน์ส่วนบุคคล

เป็นจุดก่อตัวของทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19  ที่พยายามปรับเปลี่ยนบทบาทของกฎหมายให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น

R. Pound  ได้นำเสนอทฤษฎีวิศวกรรมสังคม  ซึ่งเป็นชื่อของทฤษฎีว่าด้วยผลประโยชน์เรื่องหนึ่งเกิดขึ้นเพราะแนวคิดที่มุ่งสร้างกฎหมายที่การคานผลประโยชน์ต่างๆ ในสังคมให้เกิดความสมดุลประหนึ่งการก่อสร้างหรือวิศวกรรมสังคม  จึงเป็นที่รู้จักกันต่อมาในนาม  ทฤษฎีวิศวกรรมสังคม หรือ  “Social  Engineering  Theory”

ทฤษฎีวิศวกรรมสังคมของรอสโค  พาวนด์  แบ่งอธิบายเป็น  3  หัวข้อ  ได้แก่

1   ความหมายของผลประโยชน์

2  ประเภทของผลประโยชน์

3  วิธีการคานหรือถ่วงดุลผลประโยชน์

รอสโค  พาวนด์  ให้ความหมายของผลประโยชน์ว่าคือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  หรือความปรารถนาที่มนุษย์ต่างยืนยันเพื่อให้ได้มาอย่างแท้จริง  และเป็นภารกิจที่กฎหมายต้องกระทำการอันใดอันหนึ่ง  เพื่อสิ่งเหล่านี้หากต้องการธำรงไว้ซึ่งสังคมอันเป็นระเบียบเรียบร้อย  ผลประโยชน์ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่กฎหมายมีหน้าที่ต้องตอบสนอง  แต่จะได้มากน้อยเพียงใดแก่แต่ละบุคคลนั้นก็ขึ้นอยู่กับความสำคัญหรือผลกระทบของผลประโยชน์ที่จะได้รับ  จึงต้องนำวิธีการคานผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง 

โดยเขาแบ่งผลประโยชน์ออกเป็น  3  ประเภท  ได้แก่

1       ผลประโยชน์ของปัจเจกชน  คือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  ความปรารถนา  และความคาดหมายในการดำรงชีวิตของปัจเจกชน  ซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพส่วนตัว  ความสัมพันธ์ทางครอบครัว  อันเกี่ยวข้องกับบิดามารดา  สามีภรรยา  และบุตรธิดาต่างๆ  หรือการมีทรัพย์สินส่วนบุคคล  เสรีภาพในการทำสัญญาการจ้างแรงงาน  เป็นต้น

2       ผลประโยชน์ของมหาชน  คือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  หรือความปรารถนาที่ปัจเจกชนยึดมั่นอันเกี่ยวพันหรือเกิดจากจุดยืนในการดำรงชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการเมือง  อันได้แก่ผลประโยชน์ของรัฐในฐานะที่เป็นนิติบุคคลที่จะครอบครองหรือเวนคืนทรัพย์สิน  รวมทั้งผลประโยชน์ของรัฐในฐานะผู้พิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ของสังคม

3       ผลประโยชน์ทางสังคม  คือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  หรือความปรารถนาที่พิจารณาจากแง่ความคาดหมายในการดำรงชีวิตทางสังคม  อันรวมถึงความปลอดภัย  ศีลธรรมทั่วไป  ความเจริญก้าวหน้า

ผลประโยชน์แต่ละประเภทมีค่าเป็นกลางๆ  ไม่มีผลประโยชน์ประเภทใดสำคัญเหนือกว่าผลประโยชน์อีกประเภทหนึ่ง  และการแบ่งแยกประเภทของผลประโยชน์ดังกล่าวมีลักษณะเป็นเสมือนบัญชีรายชื่อที่อาจมีการเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

วิธีการคานหรือถ่วงดุลผลประโยชน์  รอสโค  พาวนด์  ให้นำเอาผลประโยชน์แต่ละประเภทมาคานผลประโยชน์กันให้เกิดการขัดแย้งน้อยที่สุดในสังคมแบบการกระทำวิศวกรรมสังคม  ซึ่งจำต้องมองความสมดุลในแง่ผลลัพธ์ที่จะส่งผลกระทบกระเทือนให้น้อยที่สุดต่อโครงสร้างแห่งระบบผลประโยชน์ทั้งหมดของสังคม  หรือผลลัพธ์ที่เป็นการพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้  พร้อมกับการสูญเสียที่น้อยที่สุดต่อผลประโยชน์รวมทั้งหมดของสังคม

รอสโค  พาวนด์  ถือว่าการคานผลประโยชน์และวิธีการต่างๆ  ในการกระทำวิศวกรรมสังคมที่กล่าวมาของ

พาวนด์  นับว่าเป็นหัวใจสำคัญยิ่งในทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา  ซึ่งพาวนด์ถือว่าเป็นก้าวย่างใหม่ของการศึกษา  และเป็นเสมือนการก้าวสู่จุดสุดยอดของนิติปรัชญานับแต่อดีตกาลมา  รวมทั้งเป็นการขยายบทบาทของนักนิติศาสตร์หรือนักทฤษฎีให้ลงมาสัมผัสกับโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น  แทนที่จะหมกมุ่นกับการถกเถียงเชิงนามธรรมในปรัชญากฎหมายเท่านั้น

นอกจากนี้เขายังได้เสนอข้อคิดหรือภาระสำคัญ  6  ประการของนักนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา  ไว้ว่า

1       ต้องศึกษาถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงของสถาบันทางกฎหมายและทฤษฎีกฎหมาย

2       ต้องศึกษาเชิงสังคมวิทยาในเรื่องการตระเตรียมการนิติบัญญัติโดนเฉพาะในเรื่องของผลการนิติบัญญัติเชิงเปรียบเทียบ

3       ต้องศึกษาถึงเครื่องมือหรือกลไกที่จะทำให้กฎเกณฑ์ทางกฎหมายมีประสิทธิภาพ  โดยถือว่า  ความมีชีวิตของกฎหมายปรากฏอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย

4       ต้องศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายเชิงสังคมวิทยาด้วยการตรวจพิจารณาดูว่า  ทฤษฎีกฎหมายต่างๆได้ส่งผลลัพธ์ประการใดบ้างในอดีต 

5       ต้องสนับสนุนให้มีการตัดสินคดีบุคคลอย่างมีเหตุผลและยุติธรรม  ซึ่งมักอ้างเรื่องความแน่นอนขึ้นแทนที่มากเกินไป

6       ต้องพยายามทำให้การบรรลุจุดมุ่งหมายของกฎหมายมีผลมากขึ้น

ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้สรุปสาระสำคัญข้อคิดต่อนักกฎหมายของรอสโค  พาวนด์  ได้คือ

1       ใส่ใจต่อหลักการใหม่ๆ

2       ใส่ใจต่อพฤติกรรมมนุษย์

3       สนใจเศรษฐศาสตร์  สังคมวิทยา  และปรัชญา 

4       ผลักดันกฎหมายในทางปฏิบัติให้สอดคล้องกับตัวบท

 

ข้อ 3  ความยุติธรรมคืออะไร  มีความสัมพันธ์กับกฎหมายหรือไม่  อย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ความยุติธรรม  เป็นคำหนึ่งที่ค้นหาความหมายที่เป็นรูปธรรมได้ยากพอสมควร  แต่ถึงอย่างไรก็ตาม  พจนานุกรม  ฉบับราชบัณฑิตยสถาน  ก็ได้ให้ความหมายไว้เป็นแนวทางว่า  ความยุติธรรม  หมายถึง

1       ความเที่ยงธรรม  หมายถึง  การไม่เอนเอียง  ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

2       ความชอบธรรม  หมายถึง  ชอบด้วยนิตินัย  หรือชอบด้วยธรรมมะ

3       ความชอบด้วยเหตุผล  ซึ่งแล้วแต่มุมมองของใคร  สังคมใดจะเห็นว่าชอบด้วยเหตุผลหรือไม่

นอกจากนี้ยังมีนักคิดทั้งหลายได้พยายามนำเสนอความหมายไว้ที่สำคัญๆได้แก่

เพลโต  (Plato)  ได้ให้คำนิยามของความยุติธรรมว่าหมายถึง  การทำกรรมดีหรือการทำสิ่งที่ถูกต้อง  โดยเขามองความยุติธรรมเป็นเสมือนองค์รวมของคุณธรรม  ซึ่งถือเป็นคุณธรรมสำคัญที่สุดยิ่งกว่าคุณธรรมอื่นใด  และโดยทั่วไปแล้วความยุติธรรมเป็นคุณธรรมหรือสัจธรรมที่บุคคลผู้มีปัญญาเท่านั้นจะค้นพบได้

อริสโตเติล  (Aristotle)  มองความยุติธรรมว่าเป็นคุณธรรมเฉพาะเรื่อง  หรือคุณธรรมทางสังคมประการหนึ่ง  ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล  และคุณธรรมนี้จะใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อเมื่อมนุษย์ได้ปลดปล่อยตัวเขาเองจากแรงผลักดันของความเห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง  โดยอริสโตเติลได้แบ่งความยุติธรรมออกเป็น  2  ประเภทคือ

1       ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ  หมายถึง  ความยุติธรรมที่มีลักษณะเป็นสากล  ใช้ได้ต่อมนุษย์ทุกคนไม่มีขอบเขตจำกัด  และอาจค้นพบได้โดย  เหตุผลบริสุทธิ์  ของมนุษย์

2       ความยุติธรรมตามแบบแผน  หมายถึง  ความยุติธรรมซึ่งเป็นไปตามตัวบทกฎหมายของบ้านเมือง  ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามกาลเวลาและความเหมาะสม  เป็นต้น

ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างความยุติธรรมกับกฎหมายนั้น  มีปรากฏรูปความสัมพันธ์ใน  2  แบบตามแนวคิดทางทฤษฎี  คือ

1       ทฤษฎีที่ถือว่าความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวกันกับกฎหมาย  ทฤษฎีนี้ถือว่ากฎหมายและความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวกัน  เนื่องจากล้วนมีกำเนิดมาจากพระเจ้า  จนกระทั่งมาถึงยุคสมัยหลังๆจนถึงปัจจุบัน  ทฤษฎีนี้โดยมากจะแสดงออกผ่านการตีความเรื่องความยุติธรรมจากนักคิดคนสำคัญของสำนักปฏิฐานนิยมทางกฎหมายที่มุ่งยืนยันความเด็ดขาดว่า  กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย  รวมทั้งนักกฎหมายไทยที่ได้รับอิทธิพลของสำนักนี้ด้วย  อาทิเช่น

ฮันส์  เคลเซ่น  (Hans  Kelsen)  กล่าวว่า  ความยุติธรรมคือการรักษาไว้ซึ่งคำสั่งที่เป็นกฎหมาย  โดยการปรับใช้คำสั่งนั้นอย่างมีมโนธรรม

อัลฟ  รอสส์  (Alf  Ross)  กล่าวว่า  ความยุติธรรมคือการปรับใช้กฎหมายอย่างถูกต้องอันเป็นสิ่งตรงข้ามกับการกระทำสิ่งใดตามอำเภอใจ

กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์  ตรัสว่า  ในเมืองไทย  คำพิพากษาเก่าๆและคำพิพากษาเดี๋ยวนี้ด้วย  อ้างความยุติธรรมขึ้นตั้งเสมอๆ  แต่คำที่เรียกว่ายุติธรรมเป็นคำไม่ดี  เพราะเป็นการที่ทุกคนเห็นต่างกันตามนิสัย  ซึ่งไม่เป้นกิริยาของกฎหมาย  กฎหมายต้องเป็นยุติ  จะเถียงแปลกออกไปไม่ได้  แต่เราเถียงได้ว่าอย่างไร  เป็นยุติธรรมไม่ยุติธรรมทุกเมื่อ  ทุกเรื่อง…

คำพิพากษาศาลฎีกาที่  211/2473  กฎหมายต้องแปลให้เคร่งครัดตามกฎหมายที่มีอยู่จะแปลให้คล้อยตามความยุติธรรมไม่ได้

2       ทฤษฎีที่เชื่อว่าความยุติธรรมเป็นอุดมคติในกฎหมาย  เป็นแนวคิดที่ความยุติธรรมได้รับการเชิดชูไว้สูงกว่ากฎหมาย  ในแง่นี้ความยุติธรรมถูกพิจารณาว่าเป็นแก่นสรอุดมคติในกฎหมาย  หรือเป็นความคิดอุดมคติซึ่งเป็นเสมือนเป้าหมายสูงส่งของกฎหมาย  กฎหมายจึงเป็นสิ่งที่ต้องเดินตามหลังความยุติธรรมซึ่งเป็นการมองความยุติธรรมในภาพเชิงอุดมคติ  อันเป็นวิธีคิดในทำนองเดียวกับปรัชญากฎหมายธรรมชาติ  อีกทั้งเป็นวิธีคิดอุดมคติซึ่งเคยมีมาตั้งแต่ยุคกรีกโบราณเช่นกัน  หรือในชื่อที่เรียกกันว่า  ความยุติธรรมโดยธรรมชาติ  ที่ยืนยันว่ากฎหมายมิใช่กฎเกณฑ์หรือบรรทัดฐานทางสังคมที่ถูกต้องหรือความยุติธรรมโดยตัวของมันเอง  ยังมีแก่นสารของความยุติธรรมที่อยู่เหนือและคอยกำกับเนื้อหาของกฎหมายในแบบกฎหมายเบื้องหลังกฎหมาย

แนวความคิดที่ว่าความยุติธรรมเป็นจุดมุ่งหมายของกฎหมายในปรัชญากฎหมายไทยเองก็มีมาช้านานแล้ว  ดังเช่น

คดีอำแดงป้อม  ในสมัยรัชกาลที่  1  ที่อำแดงป้อมมีชู้แล้วมาฟ้องหย่านายบุญศรีผู้เป็นสามีตุลาการก็ให้หย่า  เพราะกฎหมายในขณะนั้นบัญญัติว่า  หญิงหย่าชาย  หย่าได้  ผลของคำพิพากษานี้  รวมทั้งกฎหมายที่สนับสนุนอยู่  เหนือหัวรัชกาลที่  1  เห็นว่าไม่ยุติธรรม  เป็นเหตุให้ต้องมีการชำระสะสางกฎหมายใหม่จนกลายเป็นกฎหมายตราสามดวงในเวลาต่อมา

ในยุคปัจจุบัน  แนวคิดในเรื่องความยุติธรรมเป็นหลักอุดมคติเหนือกฎหมายนี้ก็ยังปรากฏจากบุคคลสำคัญของไทย  เช่น

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่  9  มีแนวพระราชดำริต่อความยุติธรรมว่ามีสถานภาพสูงกว่าหรือเป็นสิ่งที่เหนือกฎหมาย  ใจความสำคัญตอนหนึ่งว่า  โดยที่กฎหมายเป็นแต่เรื่องเครื่องมือในการรักษาความยุติธรรมดังกล่าว  จึงไม่ควรจะถือว่ามีความสำคัญยิ่งกว่ายุติธรรม  หากควรต้องถือว่าความยุติธรรมมาก่อนกฎหมายและอยู่เหนือกฎหมาย  การพิจารณาพิพากษาอรรถคดีใดๆ  โดยคำนึงถึงแต่ความถูกผิดตามกฎหมายนั้นดูจะไม่เป็นการเพียงพอ  จึงต้องคำนึงถึงความยุติธรรมเป็นจุดประสงค์ด้วยเสมอ  การใช้กฎหมายจึงจะมีความหมายและได้ผลที่ควรจะได้

ศ. จิตติ  ติงศภัทิย์  ปรมาจารย์ทางด้ายกฎหมายแนะนำไว้ในหนังสือหลักวิชาชีพกฎหมายของท่านไว้ว่า  การที่มีคำใช้อยู่  2  คำ  คือ  กฎหมาย  คำหนึ่ง  ความยุติธรรม  คำหนึ่ง  ก็แสดงอยู่ในตัวแล้วว่าหาใช่สิ่งเดียวกันไปไม่  การที่นักกฎหมายจะยึดถือแต่กฎหมายไม่คำนึงถึงความยุติธรรมตามความหมายทั่วไปนั้นเป็นความเห็นความเข้าใจแคบกว่าที่ควรจะเป็น

LAW4007 นิติปรัชญา 1/2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4007 นิติปรัชญา 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  สัจนิยมทางกฎหมายแบบอเมริกัน  (American Legal Realism)  มีแนวความคิดสำคัญในการวิเคราะห์กฎหมาย  ความเป็นจริงของกฎหมาย  ตลอดจนปัญหาการบังคับใช้กฎหมายโดยฝ่ายตุลาการอย่างไร  และเหตุใดนักสัจนิยมทางกฎหมายบางท่าน  (J. Frank)  จึงคัดค้านเรื่องการลงโทษประหารชีวิต

ธงคำตอบ

สัจนิยมทางกฎหมายแบบอเมริกัน  (American  Legal  Realism)   มีที่มาจากงานความคิดของโอลิเวอร์  เวนเดลล์  โฮล์มส์  (Oliver  Wendel  Holmes)  ผู้ดำรงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลสูงสุดนับแต่ปี  ค.ศ. 1902 

โฮล์มส์  ไม่เชื่อว่าผู้พิพากษาจะสามารถตัดสินคดีตามใจชอบ  โดยมองจากประสบการณ์การทำงานของตน  ซึ่งไม่อาจปรุงแต่งกฎหมายให้เป็นอย่างไรก็ได้ตามที่ตนต้องการ  เป้าหมายสำคัญที่โฮล์มส์  วิพากษ์วิจารณ์คือ  ความคิดที่เชื่อว่าบทบัญญัติทั้งหมดในกฎหมายล้วนมีเหตุผลอันชอบธรรม

โฮล์มส์  เชื่อว่า  กฎหมายจำนวนมากถูกเขียนขึ้นบนบริบททางประวัติศาสตร์ต่างๆ  ซึ่งถูกเปลี่ยนแปลงไปแล้วในภายหลัง  ดังนี้แล้วจึงสมควรให้มีการตรวจสอบทบทวนอย่างสม่ำเสมอต่อวัตถุประสงค์ของกฎหมายว่ายังมีความเหมาะสมดีอยู่หรือไม่ภายใต้เงื่อนไขของสังคมซึ่งเปลี่ยนแปลงไป  ในลักษณะนี้จึงไม่มีกรณีใดๆซึ่งสมควรกล่าวอ้าง  (ตามกระบวนการอนุมานความคิด)  กฎหมายว่าเป็นเรื่องอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเฉพาะแน่นอน  หากว่าในทางปฏิบัติ  ศาลแสดงให้เห็นว่ากฎหมายที่แท้จริงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  และจากความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายกับความเป็นจริงของสังคมดังนี้เองทีทำให้เห็นว่ามีเพียงผู้พิพากษา  (หรือทนายความ)  ซึ่งเข้าใจดีถึงบริบททางประวัติศาสตร์  สังคม  และเศรษฐกิจเท่านั้นจึงจะทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมต่อบทบาทของตน

นอกเหนือจากโฮล์มส์  ก็ยังมี  จอห์น  ชิปแมน  เกรย์  ที่ยืนยันว่ากฎหมายประกอบด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆซึ่งศาลยุติธรรมได้กำหนดไว้  บรรดาพระราชบัญญัติเป็นเพียงที่มาของกฎหมายดังกล่าวนี้เท่านั้น

คาร์ล  ลูเวลลิน  (Karl  Llewellyn)  ในฐานะสมาชิกคนสำคัญอีกท่านหนึ่ง  กล่าวในทำนองเดียวกันไม่ให้ไว้วางใจนักต่อ  กฎเกณฑ์ในกระดาษ  ควรเอาใจใส่ต่อพฤติกรรมหรือแบบแผนการวินิจฉัยตีความกฎหมายของศาลซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันตามแต่กาละและสถานที่  ตลอดจนสนใจต่อข้อมูลต่างๆ  เกี่ยวกับคำตัดสินที่ปรากฏจริงๆ

เยโรม  แฟรงค์  (Jerome  Frank)  ผู้พิพากษาที่ถือว่าเขาเป็น  ผู้ที่ไม่เชื่อใจต่อข้อเท็จจริง  หมายความว่า  แม้ในกรณีที่กฎเกณฑ์มีความชัดเจนง่ายดายต่อการตีความแล้วก็ตาม  กฎเกณฑ์ดังกล่าวก็อาจส่งผลสะเทือนน้อยเต็มทีในคำตัดสินของศาลระดับล่าง  เฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ระบบลูกขุน  เนื่องจากบุคคลดังกล่าวสามารถยกข้อเท็จจริงใดๆ  ที่ตนพึงพอใจมาปรับเข้ากับกฎเกณฑ์ซึ่งจะให้ผลลัพธ์ตามที่ตนต้องการในที่สุดได้  นอกจากนี้  เหตุปัจจัยเรื่องความสมบูรณ์หรือบกพร่องของพยานหลักฐาน  ความสามารถของทนายความหรือผู้พิพากษาก็เป็นตัวกำหนดอันสำคัญต่อผลของคำพิพากษา  ความลื่นไหล  ความไม่แน่นอนของข้อเท็จจริงเหล่านี้ย่อมนับเป็นอุปสรรคในการคาดทำนายการตัดสินใจของศาล

นอกจากนี้ในปี  ค.ศ. 1957  แฟรงค์ยังได้ร่วมเขียนงานชิ้นหนึ่งเรื่อง  ไร้ความผิด  (Notquilty)  ซึ่งเป็นเรื่องการตรวจสอบความถูกต้องคดีความผิดจำนวนหนึ่ง  ซึ่งบรรดาจำเลยต่างถูกตัดสินพิพากษาว่า  ประกอบอาชญากรรม  แต่ได้รับการตัดสินใหม่ว่า  เป็นผู้บริสุทธิ์ในศาลชั้นหลัง  การค้นพบประจักษ์หลักฐานในความไม่แน่นอนแห่งกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงของศาลและความผิดพลาดต่างๆอันเกิดขึ้นได้  เหล่านี้นับเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาคัดค้านเรื่องการลงโทษประหารชีวิต  อีกทั้งยังทำให้เขายืนยันความสำคัญของความเป็นธรรมในการพิจารณาพิพากษาคดี  วึ่งไม่อาจนำไปแลกกับประสิทธิภาพ  (ความรวดเร็ว)  ในทางตุลาการ

ดังนั้น  จะเห็นว่า  สัจนิยมทางกฎหมายแบบอเมริกันจะใส่ใจเรื่องธรรมชาติกฎหมายในแง่การปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริง  วิพากษ์ความไม่แน่นอนของกฎหมาย  ช่องว่างของกฎหมายในตัวบทและความเป็นจริงในแง่การบังคับใช้  รวมทั้งการวิพากษ์เบื้องหลังการใช้อำนาจของผู้พิพากษาเพื่อให้เกิดความยุติธรรม  โดยอาจมีปัจจัยทางอัตวิสัยแนวความคิดการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง

การคัดค้านการลงโทษประหารชีวิต  สัมพันธ์กับประเด็นเรื่องความไม่แน่นอนของกฎหมายหรือกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงของศาล

 

ข้อ  2  ความยุติธรรมทางสังคม  (Social  Justice)  แตกต่างจากความยุติธรรมตามกฎหมาย  (Legal  Justice)  หรือไม่  อย่างไร  และนักศึกษาเห็นด้วยหรือไม่กับบทสรุปที่ว่า  การตีความกฎหมายโดยเคร่งครัดต่อตัวบทกฎหมายหรือถือตัวอักษรเป็นหลัก  เป็นผลสืบเนื่องจากอิทธิพลของระบบประมวลกฎหมายหรือระบบกฎหมาย  Civil  Law

ธงคำตอบ

ประเด็นแรก

ความยุติธรรมทางสังคม (Social  Justice) หรือ  ความยุติธรรมในการแบ่งสันปันส่วน (Distributive  Justice)  หรือ  ความยุติธรรมทางเศรษฐกิจ  (Economic  Justice)  เกี่ยวข้องโดยตรงกับวิธีทางจำแนกหรือแบ่งปันสิ่งซึ่งถือว่าเป็นทรัพย์สินหรือสิ่งอันมีคุณค่าในสังคมให้แก่สมาชิกของสังคมอย่างถูกต้องเหมาะสม  หรืออย่างเป็นธรรมนั่นเอง  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการแบ่งสันปันส่วนผลประโยชน์และภาระหน้าที่ของสมาชิกทั่วทั้งสังคม  ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากสถาบันทางสังคมอันสำคัญ  อาทิ  ระบบทรัพย์สินหรือเศรษฐกิจหรือการจัดองค์การสาธารณะ  เป็นต้น  ทั้งนี้โดยมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดในการสร้างสรรค์  และคงไว้  ซึ่งความสมานฉันท์กลมกลืนของสังคมโดยทั้งหมด

ซึ่งสิ่งอันมีคุณค่าในสังคมทั้งหลาย  อันเป็นวัตถุแห่งการแบ่งสันปันส่วนนี้  หาใช่จำกัดอยู่เฉพาะสิ่งที่มีคุณค่าทางวัตถุ  เช่น  ความมั่งคั่ง ทรัพย์สินหรือรายได้ตามความเข้าใจของคนส่วนใหญ่เท่านั้นไม่  แต่หากยังอาจหมายรวมถึงผลประโยชน์ซึ่งเป็นนามธรรมด้วย  อาทิ  ความสุข  การได้รับความพึงพอใจในสิ่งที่ต้องการ  การได้รับการศึกษา  เป็นต้น  และในแง่นี้  จอห์น  รอลส์  (John  Rawls)  ก็ได้กล่าวไว้คล้ายคลึงกันว่า  นอกจากรายได้และความมั่งคั่งสมบูรณ์แล้ว  อิสรภาพ  โอกาสและสิ่งอันเป็นรากฐานของการเคารพนับถือตัวเอง  (The base  of  self-respect)  ก็นับได้ว่าเป็นสิ่งอันมีคุณค่าในสังคม  ซึ่งเป็นวัตถุอันควรแก่การแบ่งสันปันส่วนในสังคมอย่างเป็นธรรม  กล่าวคือ ต้องเป็นไปอย่างเสมอภาค  เว้นแต่การแบ่งสันปันส่วนใดๆอย่างไม่เสมอภาคในสิ่งดังกล่าวนี้จะเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของคนทุกคน

ส่วนความยุติธรรมตามกฎหมาย  (Legal  Justice)  คือ  การใช้กฎหมายหรือการตีความกฎหมายโดยปราศจากความลำเอียงใดๆ  แนวคิดเรื่องความยุติธรรมตามกฎหมายนี้มีปรากฏมาตั้งแต่ครั้งกฎหมายโมเสส  (Mosaic  Law)  ของพวกยิวสมัยโบราณ  อีกทั้งในคริสต์ธรรมคัมภีร์ฉบับเก่า  ก็เป็นเอกสารอ้างอิงแรกๆของตะวันตกที่กล่าวถึงความยุติธรรมในแง่ของการเคารพปฏิบัติตามกฎหมาย  อย่างไรก็ตามมีข้อน่าสังเกตว่า  แนวคิดในยุคโบราณเรื่องความยุติธรรมตามกฎหมายเช่นนี้ผูกพันอยู่กับความเชื่อทางศาสนาเรื่อง  พระเจ้าของพวกยิวหรือคริสต์ศาสนิก  โดยถือว่ากฎหมายและความยุติธรรมเป็นสิ่งเดียวกันเนื่องจากต่างล้วนมีกำเนิดที่มาจากพระเจ้า  (เช่นเดียวกับคติของฮินดูโบราณ  ดังปรากฏในคัมภีร์สัตธัม)  พระเจ้าตามความเชื่อนี้จึงเป็นทั้งผู้พิพากษาความยุติธรรมเป็นทั้งผู้บัญญัติกฎหมาย  และเป็นกษัตริย์ผู้ปกครองทวยราษฎร์อีกด้วย  ความยุติธรรมตามกฎหมายในยุคแรกเริ่ม  จึงกอปรด้วยท่าทีที่ให้ความสำคัญต่อความยุติธรรมและกฎหมายอย่างเสมอกัน  พร้อมๆกับพิจารณาว่าเป็นหลักคุณค่าหรือบรรทัดฐานอุดมคติซึ่งมีความเป็นภววิสัย  (Objectivity)  ในฐานะเป็นผลิตผลแห่งเจตจำนงของพระผู้เป็นเจ้า

ทรรศนะและท่าทีซึ่งมองความยุติธรรมและกฎหมายอย่างเสมอภาค  เป็นอุดมคติเช่นนี้  อาจกล่าวได้ว่า นับว่าเป็นจุดแตกต่างกับแนวคิดเรื่องความยุติธรรมตามกฎหมายในยุคสมัยหลังหรือในปัจจุบัน  ซึ่งโดยส่วนรวมแสดงออกผ่านการตีความเรื่องความยุติธรรมจากนักคิดคนสำคัญต่างๆ  ของสำนักปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย  Legal  Positivism)  หรือสำนักกฎหมายบ้านเมือง  อาทิ  Hans  Kelsen  (ความยุติธรรม  คือ  การรักษาไว้ซึ่งคำสั่งที่เป็นกฎหมาย  อันเป็นสิ่งตรงข้ามกับการกระทำสิ่งใดตามอำเภอใจ)    กล่าวโดยสรุป  ความยุติธรรมตามกฎหมายในแง่นี้  หมายถึง การใช้กฎหมายหรือการตีความกฎหมายโดยปราศจากความลำเอียงใดๆ

ดังนั้น  ความยุติธรรมทางสังคมจึงแตกต่างจากความยุติธรรมตามกฎหมาย  กล่าวคือ  ความยุติธรรมทางสังคมเกี่ยวพันกับความถูกต้องเป็นธรรมในการแบ่งสันปันส่วนผลประโยชน์ในสังคม  หรือเรื่องความเสมอภาค  เสรีภาพที่บุคคลพึงได้รับ  ขณะที่ความยุติธรรมตามกฎหมายเป็นเรื่องการใช้  ตีความกฎหมายโดยเคร่งครัดปราศจากความลำอียง

ประเด็นที่สอง

ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับบทสรุปที่ว่า  การตีความกฎหมายโดนเคร่งครัดต่อตัวบทกฎหมายหรือถือตัวอักษรเป็นหลัก  เป็นผลสืบเนื่องจากอิทธิพลของระบบประมวลกฎหมายหรือระบบกฎหมาย  Civil  Law  เพราะการตีความกฎหมายอย่างเคร่งครัดตามตัวบทหรือตัวอักษร  (ความยุติธรรมตามกฎหมาย)  มีเหตุปัจจัยจากแนวคิดทางนิติปรัชญาแบปฏิฐานนิยมหรือระบบการเมืองมากกว่าอิทธิพลของระบบกฎหมาย  Civil  Law  ซึ่งจะเห็นแจ้งได้หากพิจารณาข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่อผลร้ายหรือความบกพร่องของการตีความหรือยึดมั่นแต่หลักความยุติธรรมตามกฎหมายภายใต้รัฐบาลเผด็จการบางประเทศ  อาทิ  กรณีกฎหมายของซีเยอรมันในสมัยสงครามโลกครั้งที่สองก็ดี  หรือกรณีของแอฟริกาใต้ในอดีต  ซึ่งมีคำกล่าวว่าเป็น  สังคมที่ไม่เป็นธรรมมากที่สุดในโลก  เนื่องจากยึดถือ

นโยบายกดขี่คนผิวดำ (Apartheid)  และมีการออกกฎหมายไม่เป็นธรรมจำนวนมากเพื่อสนับสนุนนโยบายดังกล่าว  ในทั้งสองกรณีตัวอย่างนี้ต่างก็มีระบบกฎหมายที่ไม่เหมือนกันทีเดียว  กล่าวคือ  เยอรมันจัดเป็นประเทศที่ใช้ระบบประมวลกฎหมาย  ส่วนแอฟริกาใต้ใช้ระบบผสมโดยมีระบบคอมมอนลอว์เป็นพื้นฐานระบบกฎหมายในที่นี้จึงมิใช่โจทย์หรือจำเลย  (มีส่วน)  ร่วมรับผิดชอบต่อความไม่เป็นธรรมของสังคมซึ่งส่วนหนึ่งอ้างคติความยุติธรรมตามกฎหมายขึ้นปิดปากเสียงผู้คัดค้าน  หากแต่ปรัชญากฎหมายแบบปฏิฐานนิยมต่างหากที่นักนิติศาสตร์สากลหลายๆท่านเห็นว่าเป็นเงื่อนไขหนึ่งที่สนับสนุนหรือเกี่ยวข้องกับความบกพร่องของการใช้อำนาจรัฐ  (อย่างไรก็ตาม  การวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความยุติธรรมตามกฎหมายข้างต้นนี้  ขอให้เข้าใจว่าเป็นการวิจารณ์ความจำกัดหรือความบกพร่องของการยึดมั่นอยู่แต่เพียงความยุติธรรมดังกล่าวเท่านั้น)

 

ข้อ  3  จงสรุปย่อสาระสำคัญของอัคคัญญสูตร  ธัมมิกสูตร  และจักกวัตติสูตร  พระสูตรสำคัญเหล่านี้มีหลักการสำคัญที่สนับสนุนการใช้อำนาจที่เป็นธรรม  (ทางกฎหมาย)  ของผู้ปกครองหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

อัคคัญญสูตร  มีสาระสำคัญในเรื่องกำเนิดโลก  สังคมมนุษย์  รัฐ  กฎหมาย  โดยชี้ให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพของมนุษย์  ธรรมชาติ  ความเสื่อมของมนุษย์  และบทบาทของรัฐ / ผู้ปกครองในการรักษาสังคมไม่ให้ตกเสื่อมมากขึ้นโดยอาศัยธรรม

ธัมมิกสูตร  คือ  พระสูตรที่กล่าวเน้นย้ำความสัมพันธ์ของพฤติกรรมใช้อำนาจของผู้ปกครองกับความเป็นไปของธรรมชาติโดยตรง  สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องอุดมการณ์ความคิดดั้งเดิมในสังคมไทย  ความในพระสูตรนี้นับว่ามีความสำคัญอย่างมากในฐานะเป็นต้นเหง้าแห่งความคิดหรือความเชื่อเรื่องอาเพธแห่งบ้านเมืองขณะเดียวกัน  อาเพธหรือเหตุอันเกิดขึ้นอย่างผิดปกติในธรรมชาติก็มักกลายเป็นคำอ้างเพื่อวิพากษ์กล่าวโทษการปกครองบ้านเมืองที่ไม่เป็นธรรมต่างๆมาช้านานแล้ว  เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา  ซึ่งเขียนขึ้นในช่วงปลายอาณาจักรอยุธยา  ก่อนจะเสียกรุงแก่พม่า  นับเป็นตัวอย่างสำคัญที่นำเอาคติเรื่องอาเพธในพุทธศาสนามาวิจารณ์กษัตริย์และความเสื่อมทรามของสังคมอย่างรุนแรง  จนแม้กระทั่งในยุคสมัยการบริหารของรัฐบาลสมัยใหม่  ประเด็นเรื่องอาเพธของธรรมชาติก็ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดอยู่บ่อยครั้ง  น่าเชื่อว่าคติเรื่องอาเพธนี้คงมีผู้เลื่อมใสเชื่อถืออยู่มิน้อยมาโดยตลอด  หาไม่ก็คงไม่มีการเอ่ยอ้างถึงสืบมาจนถึงปัจจุบันนี้

จริงอยู่ที่ลักษณะอาเพธของธรรมชาติ  เป็นเรื่องผลร้ายต่อส่วนรวมหรือประชาชนทั่วไปหากแต่เคราะห์กรรมอันเกิดต่อส่วนรวมก็ย่อมเป็นการสั่นคลอนความสงบสุขของสังคมอันจะกระทบต่อความมั่นคงของรัฐในท้ายที่สุด  ยิ่งสังคมใดมีศรัทธาเชื่อถือต่อคติดังกล่าวแรงกล้าเพียงใด  เหตุอาเพธ  (หรือความเชื่อว่าเป็นเหตุอาเพธ) ที่เกิดย่อมมีโอกาสที่จะกลายเป็นพยานหลักฐานให้ประชาชนพิพากษาความผิดและลงโทษผู้ปกครองมากเพียงนั้นแม้ส่วนใหญ่จะเพียงอยู่ในรูปของการติฉินนินทาก็ตามที  คติความเชื่อเรื่องอาเพธจึงเป็นเครื่องมือเชิงอุดมการณ์ที่มีบทบาทกำกับควบคุมกษัตริย์หรือผู้ปกครองมิให้ล่วงละเมิดต่อธรรมโดยเฉพาะทศพิธราชธรรมอันมีฐานะดั่งหลักธรรมสูงสุดทางกฎหมายด้วย

จักกวัตติสูตร  คือ  พระสูตรว่าด้วยความประพฤติหรือหน้าที่ของพระเจ้าจักรพรรดิ์  จัดได้ว่าเป็นรากฐานของปรัชญาด้านการเมืองการปกครองของพุทธรัฐทั้งหลาย  โดยพระสูตรได้กล่าวถึงหลักปฏิบัติสำหรับผู้ปกครองที่ทรงธรรม   ซึ่งยังความสงบร่มเย็นแก่สังคม  ซึ่งความในอย่างพระสูตรแยกย่อยเป็นข้อๆรู้จักกันในนามของจักรวรรดิวัตร  10  หรือ 12  ซึ่งหากพิจารณาสรุปรวบรัด  หลักจักรวรรดิวัตร  ก็อาจย่อความเหลือเพียง  3  ข้อก็ได้ กล่าวคือ

1       ให้ความคุ้มครองอันเป็นธรรมแก่มนุษย์และสัตว์  ไม่ปล่อยให้มีผู้ทำการอันเป็นอธรรมในแผ่นดิน

2       มอบทรัพย์ให้แก่ผู้ยากไร้

3       เข้าหาสมณพราหมณ์  ถามถึงสิ่งที่เป็นกุศลเป็นธรรมและน้อมนำมาปฏิบัติ

หากเรานับเนื่องให้ทศพิธราชธรรมเป็นส่วนหนึ่งแห่งหลักธรรมอุดมคติของปรัชญากฎหมายแบบธรรมนิยมของไทยเรา  หลักธรรมข้ออื่นๆซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับทศพิธราชธรรมก็ไม่น่าจะมีสถานะทางปรัชญากฎหมายที่ห่างไกลกันนัก  จักรวรรดิวัตรจึงย่อมจัดได้เป็นหลักธรรมอุดมคติทางปรัชญากฎหมายของไทยด้วย  พร้อมๆกับเป็นแม่บทแห่งระเบียบแบบแผนในการปกครองที่ผู้ปกครองพึงยึดถือปฏิบัติตาม  ข้อที่น่าสังเกตอีกประการคือ  จักกวัตติสูตร  ซึ่งเป็นที่มาของจักรวรรดิวัตรยังย้ำให้เห็นถึงภัยพิบัติหรือความเดือดร้อนวุ่นวายของสังคมที่ไม่ยึดมั่นในหลักธรรมดังกล่าว  อีกทั้งกล่าวถึงการชุมนุมรวมตัวกันของประชาชนระดับต่างๆ 

เพื่อเรียกร้องให้ผู้ปกครองยึดมั่นปฏิบัติตามหลักจักรวรรดิวัตร  คติธรรมจากพระสูตรนี้จึงน่าจะสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทและความสำคัญอย่างมากของหลักธรรมข้อนี้  ซึ่งมิได้เป็นพียงหลักธรรมส่วนตัวของกษัตริย์  หากเป็นหลักธรรมที่คนทั่วไปในสังคมยึดถือเป็นกรอบร่วมแห่งการใช้อำนาจในสังคม

แม้ว่ากรอบบังคับทางสังคมลักษณะนี้จะมีค่าเป็นเพียงกรอบบังคับทางศีลธรรมก็ตามที  กระนั้นก็ตามพุทธศาสนาก็พยายามจะทำให้กรอบทางศีลธรรมนี้มีชีวิตมีพลังขึ้นมาให้ได้  ในจักกวัตติสูตรจึงมีการสร้างภาพความเสื่อมของสังคมที่ผู้ปกครองไม่ยึดมั่นในจักรวรรดิวัตร  ทั้งในแง่การเฟื่องฟูของอาชญากรรมในสังคม  การลดน้อยถอยลงในอายุของผู้คนจนกระทั่งเข้าสู่ยุคแห่งมิคสัญญีที่สังคมมนุษย์จะเสื่อมอย่างถึงที่สุดมนุษย์จะฆ่ากันอย่างไม่เลือกหน้าแม้ระหว่างแม่กับลูก  ราวกับเห็นมนุษย์ด้วยกันเป็นเนื้อเป็นกวาง  (มิคสัญญีแปลว่า  สำคัญว่าเป็นเนื้อ)

ดังนั้นพระสูตรทั้งสามจึงล้วนสนับสนุนการใช้อำนาจที่เป็นธรรม  (ทางกฎหมาย)  ของผู้ปกครองซึ่งถือเป็นส่วนสามัญของหลักปรัชญากฎหมายไทยดั้งเดิม

LAW4007 นิติปรัชญา 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4007 นิติปรัชญา

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  ปฏิฐานนิยมทางกฎหมายคืออะไร  Hart  ได้เสนอความคิดของเขาว่าอย่างไร  และ  Fuller  กับ  Dworkin  ได้วิจารณ์ความคิดนั้นว่าอย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย  หรือ  Legal  Positiism  เป็นทฤษฎีทางกฎหมายที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่  19  โดยคำว่า  ปฏิฐานนิยม  แปลโดยรวมคือ  แนวความคิดที่มีหลักสวนกลับหรือโต้ตอบกลับ  ซึ่งในที่นี้ก็คือ  แนวคิดที่มีหลักสวนกลับหลักกฎหมายธรรมชาติ  ที่มีอยู่ก่อนแล้วนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม  เมื่อลงลึกในเนื้อหาแล้วจะเห็นว่า  ทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมายเป็นทฤษฎีความเห็นซึ่งยืนยันว่ากฎหมายเป็นผลผลิตหรือเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยอำนาจปกครองในสังคม  นักทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมายจะยืนยันถึงการแยกจากกันโดนเด็ดขาดระหว่างกฎหมายกับจริยธรรม  ศีลธรรมต่างๆ  รวมทั้งมีความโน้มเอียงที่จะชี้ว่าความยุติธรรม  หมายถึง  การเคารพปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่รัฐตราขึ้นอย่างเคร่งครัด

แนวคิดพื้นฐานของทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย  แบ่งออกเป็น  3  ประการคือ

1       กฎหมายไม่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม  คือ  ความสมบูรณ์ของกฎหมายเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาแยกออกต่างหากจากความยุติธรรมหรือหลักคุณค่าทางจริยธรรมใดๆ  ดังที่จอห์น  ออสติน  นักคิดคนสำคัญของสำนักนี้ได้กล่าวไว้ว่า  การดำรงอยู่ของกฎหมายเป็นคนละเรื่องกับปัญหาความถูกต้องชอบธรรมของกฎหมาย  ความสมบูรณ์ของกฎหมายเป็นสิ่งที่ดำรงอยู่โดยตัวของมันเองจากสภาพบังคับที่ปรากฏอยู่อันเป็นข้อเท็จจริงที่เห็นได้โดยไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเรื่องคุณค่าทางจริยธรรม  ศีลธรรม  หรือหลักความยุติธรรม  ซึ่งเราสามารถหาคำตอบว่ากฎหมายที่ดำรงอยู่คืออะไร  โดยไม่ต้องคิดหรือตัดสินใจทางศีลธรรมใดๆ

2       กฎหมายมาจากรัฏฐาธิปัตย์  คือ  การดำรงอยู่ของกฎหมายขึ้นอยู่กับการที่มันถูกสร้างขึ้นหรือผ่านการตกลงปลงใจของมนุษย์ในสังคม  คือถือว่ามนุษย์เป็นผู้สร้างกฎหมายขึ้นเอง  เป็นข้อสรุปที่เชื่อมั่นในเจตจำนง  อำนาจ  หรือความชอบธรรมของมนุษย์ในการบัญญัติกฎหมายขึ้นมา  การปรากฏตัวของกฎหมายจึงมิได้มาจากการถ่ายทอดคำสั่งหรือระเบียบกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าหรือสิ่งที่มีอำนาจลึกลับหรือธรรมชาติแต่อย่างใด  หากแต่เป็นมนุษย์ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจทางกฎหมายหรือรัฏฐาธิปัตย์เป็นผู้สร้างขึ้น

3       กฎหมายเป็นสิ่งที่มีสภาพบังคับหรือมีบทลงโทษ  คือ  เน้นที่สภาพบังคับของกฎหมายความสมบูรณ์ของกฎหมาย  ความถูกต้องของกฎหมายปรากฏจากสภาพบังคับของกฎหมาย  กฎหมายของรัฏฐาธิปัตย์ยุติธรรมเสมอ  เพราะสิ่งที่ถือว่าความยุติธรรมหรืออยุติธรรมหรือความถูกผิดเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดโดยกฎหมายของรัฏฐาธิปัตย์ไปโดยปริยายแล้ว

ทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมายในแบบฉบับของฮาร์ท

ฮาร์ท  (Hart)  ถือว่าระบบกฎหมายนั้นเป็นระบบแห่งกฎเกณฑ์ทางสังคมรูปแบบหนึ่ง  โดยเกี่ยวข้องกับสังคมในสองความหมาย

ความหมายแรก  มาจากการที่มันเป็นกฎเกณฑ์ปกครองการกระทำของมนุษย์ในสังคม

ความหมายที่สอง  สืบแต่มันมีแหล่งที่มา  และดำรงอยู่จากการปฏิบัติทางสังคมของมนุษย์โดยเฉพาะ

ฮาร์ทเห็นว่าเป็นความจำเป็นทางธรรมชาติที่ในทุกสังคมมนุษย์จะต้องมีกฎเกณฑ์ที่กำหนดพันธะหน้าที่ในรูปกฎหมาย  ซึ่งจำกัดควบคุมความรุนแรง  พิทักษ์รักษาทรัพย์สินหรือระบบทรัพย์สินและป้องกันควบคุมการหลอกลวงกัน  โดยฮาร์ทถือว่ากฎเกณฑ์ซึ่งจำเป็นเหล่านี้เสมือน  เนื้อหาอย่างน้อยที่สุดของกฎหมายธรรมชาติ  ที่ชี้ให้ยอมรับแก่นความหมายในแง่ดีของทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติ  จนถึงกับกล่าวว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เวลาพิจารณากฎหมาย  ต้องพิจารณาถึงสัจธรรมข้อนี้ไว้ด้วย  ทำให้เกิดการคาบเกี่ยวบางเรื่องระหว่างกฎหมายและศีลธรรม  กลายเป็นการดำรงอยู่ของกฎหมายนั้นขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงทางสังคมที่ซับซ้อนหลายๆประการ  ด้วยเหตุนี้กฎหมายทั้งหมดจึงเปิดช่องให้ทำการวิจารณ์เชิงศีลธรรมได้  แต่อย่างไรก็ตามจุดนี้เองที่ฮาร์ทยอมรับอย่างเปิดเผยในท้ายที่สุดว่า  โดยพื้นฐานแท้จริงแล้วการยึดมั่นของปฏิฐานนิยมทางกฎหมายในบทสรุปของแนวคิดเรื่องการแยกกฎหมายออกจากศีลธรรมนั้น  ในตัวของมันวางอยู่บนเหตุผลทางศีลธรรม

ฮาร์ทมองเห็นข้อจำกัดของการที่มีแต่กฎเกณฑ์ที่กำหนดพันธะหน้าที่เพียงลำพัง  จึงได้สร้างแนวคิดที่เรียกว่า  ระบบกฎหมาย  แบ่งออกเป็น  2  ประเภท  คือ

1       กฎปฐมภูมิ  หมายถึง  กฎเกณฑ์ทั่วไปซึ่งวางบรรทัดฐานการประพฤติให้คนทั่วไปในสังคมและก่อให้เกิดหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตาม  (Rule  of  Obligation)  ในลักษณะเป็นกฎหมายเบื้องต้นทั่วไป

2       กฎทุติยภูมิ  หมายถึง  กฎเกณฑ์พิเศษที่สร้างขึ้นมาเสริมความสมบูรณ์ของกฎปฐมภูมิเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการบังคับใช้มากยิ่งขึ้น  ซึ่งไม่ได้ก่อให้เกิดหน้าที่โดยทั่วไปเหมือนกฎปฐมภูมิ  แต่เป็นกฎที่ผู้ใช้กฎหมายต้องพิจารณาและคำนึงถึง  โดยสามารถแยกออกเป็นองค์ประกอบย่อยได้ดังนี้

1)    กฎกำหนดเกณฑ์การรับรองความเป็นกฎหมายที่สมบูรณ์หรือเกณฑ์การพิสูจน์ว่ากฎใดคือกฎหมาย

2)    กฎกำหนดเกณฑ์การบัญญัติและแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมาย

3)    กฎที่กำหนดเกณฑ์การวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีเมื่อมีการละเมิดฝ่าฝืนกฎหมาย

กฎปฐมภูมิและกฎทุติยภูมิในทรรศนะของฮาร์ทถือว่าเป็นกฎหลักสองประการที่ทำให้กฎเกณฑ์ทางกฎหมายมีความสมบูรณ์จนถึงขั้นที่เรียกว่าเป็น  ระบบกฎหมาย ที่สมบูรณ์และได้มาตรฐานอย่างแท้จริง

ข้อวิจารณ์ของฟุลเลอร์ (Fuller)  ที่มีต่อระบบกฎหมายของฮาร์ท

ศาสตราจารย์ฟุลเลอร์  นักทฤษฎีฝ่ายกฎหมายธรรมชาติ  ยอมรับข้อเสนอของฮาร์ทที่ว่า  กฎหมายคือระบบของกฎเกณฑ์  แต่ก็ยังยืนยันความสำคัญของเรื่องวัตถุประสงค์ภายในตัวกฎหมาย  ฟุลเลอร์กล่าวว่าเราไม่อาจเข้าใจได้เลยว่า  กฎเกณฑ์แต่ละเรื่องคืออะไร  จนกว่าเราจะได้ทราบว่ากฎเกณฑ์นั้นๆมีจุดมุ่งหมายอย่างไร  อีกทั้งเราไม่อาจเข้าใจเรื่องระบบของกฎเกณฑ์ได้  ถ้าเรามองเพียงในแง่ข้อเท็จจริงทางสังคมล้วนๆจุดสำคัญอยู่ที่ต้องพิจารณากฎเกณฑ์หรือระบบแห่งกฎเกณฑ์ในแง่ของการกระทำที่มีจุดมุ่งหมาย  กล่าวคือ  การควบคุมการกระทำของมนุษย์ให้อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์  เมื่อพิจารณากันในประเด็นนี้ก็จะเข้าใจได้ว่ากฎเกณฑ์นั้นไม่สามารถดำรงได้โดยปราศจากคุณภาพทางศีลธรรมภายในตัวกฎนั้น

ฟุลเลอร์ไม่เห็นด้วยอย่างมากกับการที่ฮาร์ทสรุปว่า  กฎหมายเป็นเรื่องของกฎเกณฑ์ล้วนๆ  และไม่จำต้องเกี่ยวข้องกับหลักศีลธรรมหรือหลักคุณค่านามธรรมเสมอไป  กล่าวคือ  ฟุลเลอร์เห็นว่า  กฎหมายนั้น  ต้องสนองตอบความจำเป็นหรือวัตถุประสงค์ทางศีลธรรม  กฎหมายและศีลธรรมจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกออกจากกันได้  กฎหมายจะต้องมีสิ่งที่อาจเรียกว่า  ศีลธรรมภายในกฎหมาย  บรรจุอยู่เสมอ

นอกจากนี้ฟุลเลอร์ไม่เห็นด้วยกับฮาร์ทที่แยกกฎปฐมภูมิและกฎทุติยภูมิออกจากกันโดยเด็ดขาด  เพราะในบางสถานการณ์กฎอันเดียวกันอาจให้ทั้งอำนาจและกำหนดหน้าที่ไม่จำกัดบทบาทเพียงอย่างหนึ่งอย่างใดหากแต่ต้องแปรผันไปตามสภาพแวดล้อม

ข้อวิจารณ์ของดวอร์กิ้น  (Dworkin)  ที่มีต่อระบบกฎเกณฑ์ของฮาร์ท

ดวอร์กิ้นวิจารณ์แนวคิดเรื่องระบบกฎเกณฑ์ของฮาร์ทแบบตรงไปตรงมา  โดยดวอร์กิ้นเห็นว่าการถือว่ากฎหมายเป็นเพียงเรื่องระบบแห่งกฎเกณฑ์ตามความคิดของฮาร์ทนั้น  เป็นข้อสรุปที่ไม่สมบูรณ์และคับแคบเกินไป  เพราะจริงๆแล้ว  กฎเกณฑ์  ไม่ใช่เนื้อหาสาระเดียวในกฎหมาย  การมองกฎหมายว่าเป็นเรื่องของกฎเกณฑ์เท่านั้นไม่เป็นสิ่งเพียงพอ  กฎเกณฑ์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกฎหมายเท่านั้น  แท้จริงแล้วยังมีเนื้อหาสาระสำคัญอื่นๆซึ่งประกอบอยู่ภายในกฎหมาย  ที่สำคัญคือเนื้อหาสาระที่เป็นเรื่องของ  หลักการ  ทางศีลธรรมหรือความเป็นนามธรรม

หลักการ  นี้  ดวอร์กิ้น  ถือว่าเป็นมาตรฐานภายในกฎหมายซึ่งต้อองเคารพรักษาไว้  หลักการเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเพื่อประโยชน์ของความยุติธรรม  ความเที่ยงธรรมหรือมิติทางคุณค่าด้านศีลธรรมอื่นๆกล่าวอีกนัยหนึ่ง  หลักการเป็นมาตรฐานอันพึงเคารพเนื่องจากเป็นสิ่งจำเป็นของความยุติธรรมหรือความเป็นธรรมเป็นสิ่งคุ้มครองสิทธิปัจเจกชน  โดยหลักการที่ว่านี้อาจค้นพบได้ในคดีความ  พระราชบัญญัติ หรือศีลธรรมของชาวชุมชนต่างๆ

ดวอร์กิ้นกล่าวว่า  หลักการ  ต่างกับ  กฎเกณฑ์  ตรงที่กฎเกณฑ์มีลักษณะใช้ได้ทั่วไปมากกว่า  ขณะที่หลักการต้องเลือกปรับใช้ในบางคดี  นอกจากนี้หลักการยังมีมิติเรื่องน้ำหนักหรือความสำคัญที่ต้องพิจารณาในการปรับใช้  ขณะที่กฎเกณฑ์ไม่มีมิติเช่นนี้

 

ข้อ  2  นิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาคืออะไร  Jhering ,  Pound  และ  Duguit  ได้อธิบายความคิดของเขาว่าอย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

นิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา  หมายถึง  การนำเอาสังคมวิทยาไปใช้ในทางนิติศาสตร์  (นิติปรัชญา)  เพื่อสร้างทฤษฎีกฎหมายและทฤษฎีที่ได้จะนำไปสร้างกฎหมายอีกชั้นหนึ่งนั่งเอง   เป็นทฤษฎีทางกฎหมายที่ก่อตัวขึ้นในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่  19  ของตะวันตก  ซึ่งเป็นช่วงที่สังคมตะวันตกอยู่ในภาวะของการเปลี่ยนแปลงจากสังคมประเพณีที่ไม่ซับซ้อนสู่สังคมอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน  เอารัดเอาเปรียบ  ทำให้เกิดชนชั้นกรรมกรผู้ใช้แรงงานซึ่งเข้ามามีบทบาททางการเมืองด้วย

ทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยานี้เป็นแนวความคิดหรือทฤษฎีทางนิติศาสตร์ที่เน้นบทบาทของกฎหมายต่อสังคม  การพิจารณากฎหมายโดยยึดถือคุณค่าทางสังคมวิทยาอันเป็นการพิจารณาถึงบทบาทหน้าที่ของกฎหมายหรือการทำงานของกฎหมายมากกว่าการสนใจกฎหมายในแง่ที่เป็นเนื้อหาสาระ  จากนั้นก็ไปเน้นเรื่องบทบาทของนักกฎหมายในการจัดระเบียบผลประโยชน์ของสังคม  เน้นวิธีการตรากฎหมายขึ้นมาเพื่อใช้แก้ปัญหาต่างๆของสังคม  โดยเฉพาะการสร้างกฎหมายขึ้นมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสังคมส่วนรวมหรืออรรถประโยชน์ของสังคม

นักนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยาคนสำคัญหลายท่านได้พยายามแสดงแนวคิดของเขาต่อทฤษฎีนี้อย่างกว้างขวาง  ซึ่งพอจะสรุปได้ดังนี้

เยียริ่ง  (Jhering)  ได้แสดงความเห็นของเขาว่า  แท้จริงแล้วต้นกำเนิดของกฎหมายวางอยู่ที่เงื่อนไขทางสังคมวิทยา  รากฐานอันแท้จริงของเรื่อง  สิทธิ  อยู่ที่  ผลประโยชน์  และ  วัตถุประสงค์  เป็นประหนึ่งกฎสากลที่อยู่เบื้องหลังทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไร้ชีวิต  รวมทั้งเป็นสิ่งที่ครอบงำความเป็นไปของสสารและเจตจำนง  วัตถุประสงค์จึงเป็นเสมือนแหล่งกำเนิดของกฎหมาย  วัตถุประสงค์  จึงเป็นผู้สร้างกฎหมายทั้งหมด  ไม่มีกฎเกณฑ์ทางกฎหมายใดๆ  ที่ไม่มีวัตถุประสงค์  หรือมูลเหตุจูงใจในทางปฏิบัติเป็นกำเนิดที่มา

เยียริ่งได้รับอิทธิพลความคิดเรื่องอรรถประโยชน์จากเบนแธมและมิลล์  โดนเฉพาะต่อทฤษฎีเรื่องวัตถุประสงค์ของเขา  เยียริ่งยอมรับเอานิยามเรื่อง  ผลประโยชน์  ตามแบบฉบับของเบนแธมในแง่ที่เป็นการแสวงหาความสุขและหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด  แต่ปรับคำอธิบายเสียใหม่ให้ถือเอาผลประโยชน์ของปัจเจกชนเป็นส่วนหนึ่งในวัตถุประสงค์ของสังคมที่เป็นเรื่องการเชื่อมต่อผลประโยชน์ทั้งหลายเข้าด้วยกัน  ปัญหาสังคมหลักจึงอยู่ที่การไกล่เกลี่ยวัตถุประสงค์ของมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวเข้ากับความไม่เห็นแก่ตัวเป็นใหญ่  การไกล่เกลี่ยผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลเข้ากับสังคม  จำเป็นที่จะต้องมีการถ่วงดุลผลประโยชน์ต่างๆซึ่งเยียริ่งแบ่งผลประโยชน์ออกเป็น  3  ประเภท  คือ  ผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคล  ของรัฐ  และของสังคม

ต่อพื้นฐานสำคัญนี้  เยียริ่งได้ให้คำตอบโดยอิง  หลักเกี่ยวกับเครื่องคัดง้างการเคลื่อนตัวของสังคม  ซึ่งเขาสร้างขึ้นจากการเชื่อมต่อมูลเหตุจูงใจด้านความเห็นแก่ตัว  และการเห็นแก่ประโยชน์ผู้อื่น  เข้าด้วยกันเนื่องจากการดำรงอยู่รอดของสังคมไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จากความจำเป็นต้องมีการผสมผสานมูลเหตุจูงใจสองด้านนี้เข้าด้วยกัน  โดยเยียริ่งมองว่า  สังคมจะเคลื่อนตัวได้อย่างราบรื่นต้องอยู่ภายใต้หลักเครื่องคัดง้างอันเหมาะสม  4  ประการดังนี้

1       การได้สิ่งตอบแทน

2       การข่มขู่ลงโทษ

3       หน้าที่

4       ความรัก

รอสโค  พาวนด์  (Roscoe  Pound)  เป็นผู้ที่พัฒนาทฤษฎีนิติศาสน์เชิงสังคมวิทยาให้มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นในเชิงปฏิบัติ  โดนพาวนด์ได้สร้างทฤษฎีผลประโยชน์ที่รู้จักกันในนามทฤษฎีวิศวกรรมสังคมขึ้น  เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสำหรับคานผลประโยชน์ต่างๆ  ในสังคมให้เกิดความสมดุล

เขาให้ความหมายของผลประโยชน์ว่าคือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  หรือความปรารถนาที่มนุษย์ต่างยืนยันเพื่อให้ได้มาอย่างแท้จริง  และเป็นภารกิจที่กฎหมายต้องกระทำการอันหนึ่งอันใด  เพื่อสิ่งเหล่านี้หากต้องการธำรงไว้ซึ่งสังคมอันเป็นระเบียบเรียบร้อย

พาวนด์  แบ่งประเภทของผลประโยชน์ตามแนวคิดของเขาออกเป็น  3  ประเภทได้แก่

1       ผลประโยชน์ของปัจเจกชน  คือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  ความปรารถนา  และความคาดหมายในการดำรงชีวิตของปัจเจกชน  ซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคลิกภาพส่วนตัว  ความสัมพันธ์ทางครอบครัว  อันเกี่ยวข้องกับบิดามารดา  สามีภรรยา  และบุตรธิดาต่างๆ  หรือการมีทรัพย์สินส่วนบุคคล  เสรีภาพในการทำสัญญาการจ้างแรงงาน  เป็นต้น

2       ผลประโยชน์ของมหาชน  คือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  หรือความปรารถนาที่ปัจเจกชนยึดมั่นอันเกี่ยวพันหรือเกิดจากจุดยืนในการดำรงชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการเมือง  อันได้แก่ผลประโยชน์ของรัฐในฐานะที่เป็นนิติบุคคลที่จะครอบครองหรือเวนคืนทรัพย์สิน  รวมทั้งผลประโยชน์ของรัฐในฐานะผู้พิทักษ์ปกป้องผลประโยชน์ของสังคม

3       ผลประโยชน์ทางสังคม  คือ  ข้อเรียกร้อง  ความต้องการ  หรือความปรารถนาที่พิจารณาจากแง่ความคาดหมายในการดำรงชีวิตทางสังคม  อันรวมถึงความปลอดภัย  ศีลธรรมทั่วไป  ความเจริญก้าวหน้า

วิธีการคานหรือถ่วงดุลผลประโยชน์  รอสโค  พาวนด์  ให้นำเอาผลประโยชน์แต่ละประเภทมาคานผลประโยชน์กันให้เกิดการขัดแย้งน้อยที่สุดในสังคมแบบการกระทำวิศวกรรมสังคม  ซึ่งจำต้องมองความสมดุลในแง่ผลลัพธ์ที่จะส่งผลกระทบกระเทือนให้น้อยที่สุดต่อโครงสร้างแห่งระบบผลประโยชน์ทั้งหมดของสังคม  หรือผลลัพธ์ที่เป็นการพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้  พร้อมกับการสูญเสียที่น้อยที่สุดต่อผลประโยชน์รวมทั้งหมดของสังคม

รอสโค  พาวนด์  ถือว่าการคานผลประโยชน์และวิธีการต่างๆ  ในการกระทำวิศวกรรมสังคมที่กล่าวมาของ

พาวนด์  นับว่าเป็นหัวใจสำคัญยิ่งในทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา  ซึ่งพาวนด์ถือว่าเป็นก้าวย่างใหม่ของการศึกษา  และเป็นเสมือนการก้าวสู่จุดสุดยอดของนิติปรัชญานับแต่อดีตกาลมา  รวมทั้งเป็นการขยายบทบาทของนักนิติศาสตร์หรือนักทฤษฎีให้ลงมาสัมผัสกับโลกแห่งความเป็นจริงมากขึ้น  แทนที่จะหมกมุ่นกับการถกเถียงเชิงนามธรรมในปรัชญากฎหมายเท่านั้น

นอกจากนี้เขายังได้เสนอข้อคิดหรือภาระสำคัญ  6  ประการของนักนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา  ไว้ว่า

1       ต้องศึกษาถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงของสถาบันทางกฎหมายและทฤษฎีกฎหมาย

2       ต้องศึกษาเชิงสังคมวิทยาในเรื่องการตระเตรียมการนิติบัญญัติโดนเฉพาะในเรื่องของผลการนิติบัญญัติเชิงเปรียบเทียบ

3       ต้องศึกษาถึงเครื่องมือหรือกลไกที่จะทำให้กฎเกณฑ์ทางกฎหมายมีประสิทธิภาพ  โดยถือว่า  ความมีชีวิตของกฎหมายปรากฏอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย

4       ต้องศึกษาประวัติศาสตร์กฎหมายเชิงสังคมวิทยาด้วยการตรวจพิจารณาดูว่า  ทฤษฎีกฎหมายต่างๆได้ส่งผลลัพธ์ประการใดบ้างในอดีต 

5       ต้องสนับสนุนให้มีการตัดสินคดีบุคคลอย่างมีเหตุผลและยุติธรรม  ซึ่งมักอ้างเรื่องความแน่นอนขึ้นแทนที่มากเกินไป

6       ต้องพยายามทำให้การบรรลุจุดมุ่งหมายของกฎหมายมีผลมากขึ้น

ดิวกี  (Duguit)  เป็นศาสตราจารย์ทางด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งมหาวิทยาลัยบอร์โดซ์ในประเทศฝรั่งเศส  เขาได้เสนอ  ทฤษฎีว่าด้วยความสมานฉันท์ของสังคม  โดยได้รับอิทธิพลความคิดของเยียริ่งเกี่ยวกับทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา  อธิบายบทบาทของกฎหมายทั้งหมดในแง่ของการปกป้องผลประโยชน์ของสังคม  การปฏิเสธแนวคิดดั้งเดิมเรื่องธรรมชาติของรัฐ  อำนาจอธิปไตย  และสิทธิเสรีภาพของปัจเจกบุคคล

ทฤษฎีว่าด้วยความสมานฉันท์ของสังคมของดิวกีมีจุดเริ่มจากเรื่องความสมานฉันท์ของสังคมโดยผ่านรูปการแบ่งแยกแรงงาน  และอิงอยู่กับวิธีคิดแบบปรัชญาปฏิฐานนิยมที่มุ่งการเข้าสู่ปัญหาสังคมจากความเปลี่ยนแปลงรูปแบบเดิมที่มีลักษณะเป็นไปตามกลไกธรรมชาติ  บนพื้นฐานของความต้องการและการทำงานใช้ชีวิตที่สอดคล้องกลมกลืนกัน  เฉกเช่นวิถีชีวิตในสังคมเกษตรกรรมได้นำมาสู่ลักษณะความสมานฉันท์  อันมีรูปแบบใหม่มีลักษณะคล้ายเป็นการรวมตัวขององคาพยพต่างๆ  ดังนั้นในแง่ของกฎหมายหลักนี้จึงกลายเป็นเครื่องมือชั้นหนึ่งในสังคมที่คอยรักษาและควบคุมการทำงานของระบบการแบ่งงานในสังคมที่ซับซ้อน  ซึ่งหากมีการเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดได้ก็สามารถดำเนินชีวิตในสังคมภายใต้กฎหมายอันนี้ได้อย่างราบรื่น

การจัดองค์กรหรือระเบียบทั้งหมดในสังคมจึงควรต้องมุ่งสู่การร่วมมือกันอย่างเต็มพร้อมและราบรื่นมากขึ้นระหว่างประชาชน  และเรียกว่า หลักความสมานฉันท์ของสังคม”  ซึ่งอาจจัดเป็นเสมือนหลักนิติธรรมที่สมบูรณ์สูงสุดและไม่มีผู้ใดกล้าคัดค้านต่อความเป็นภววิสัย

ดิวกีเน้นเรื่องการกระจายอำนาจของรัฐ  โดยเน้นหลักเกี่ยวกับความรับผิดชอบของรัฐ  ปฏิเสธเรื่องกลไกของรัฐที่มีลักษณะรวมศูนย์อำนาจให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบอย่างเข้มงวดต่อการใช้อำนาจรัฐที่มิชอบและถือว่ารัฐไม่ใช่เป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้  ดิวกีปฏิเสธการแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน  โดยเห็นว่ากฎหมายมหาชนเท่านั้นที่ควรจะใช้ในการบริหาร

นอกจากนั้นดิวกีก็ยังปฏิเสธการดำรงอยู่เรื่อง  สิทธิ (Rights)  ส่วนตัว  นับว่าเป็นการเน้นเรื่องประโยชน์ของสังคมอย่างเดียว  ปฏิเสธความแตกต่างของกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน  ยังผลให้การใช้สิทธิเสรีภาพทางแพ่งหรือทางทรัพย์สินก็ต้องอยู่ภายใต้วัตถุประสงค์ของการปกป้องผลประโยชน์ของสังคมด้วย

 

ข้อ  3  จงอธิบายหลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทย

ธงคำตอบ

หลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทยนี้เป็นหลักบรรทัดฐานทางกฎหมายของพระธรรมศาสตร์ที่สรุปอนุมานขึ้นมาจากเนื้อหาสาระสำคัญของพระธรรมศาสตร์  โดยอาจเรียกเป็นหลักบรรทัดฐานสูงสุดทางกฎหมาย  4  ประการในพระธรรมศาสตร์  หรือหลักกฎหมายทั่วไป  4 ประการในพระธรรมศาสตร์  หรือหลักกฎหมายธรรมชาติ  4  ประการในพระธรรมศาสตร์ก็ได้สุดแท้แต่จะเรียก  ซึ่งมีดังต่อไปนี้

1        กฎหมายมิได้เป็นกฎเกณฑ์หรือคำสั่งของผู้ปกครองแผ่นดินที่อาจมีเนื้อหาอย่างไรก็ได้ตามอำเภอใจ

2       กฎหมายต้องสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมมะหรือศีลธรรม

3       จุดหมายแห่งกฎหมายต้องเป็นไปเพื่อความสุขสถาพรหรือเพื่อประโยชน์ของราษฎร

4       การใช้อำนาจทางกฎหมายของพระมหากษัตริย์ต้องกระทำบนพื้นฐานของหลักทศพิธราชธรรม

หลักทศพิธราชธรรม  คือ  หลักธรรมอันสำคัญยิ่งสำหรับกษัตริย์หรือผู้ปกครอง  10  ประการ  ดังนี้

1       ทาน  คือ  การสละวัสดุสิ่งของและวิชาความรู้เพื่อเกื้อกูลแก่บุคคลอื่น

2       ศีล  คือ  การควบคุมพฤติกรรมทางกาย  วาจา  และใจ  ให้เป็นปกติเรียบร้อย

3       ปริจจาคะ  คือ  การเสียสละประโยชน์สุขส่วนตัวเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม

4       อาชชวะ  คือ  ความซื่อตรง

5       มัททวะ  คือ  ความสุภาพอ่อนโยน

6       ตบะ  คือ  ความเพียรพยายามในหน้าที่การงานจนกว่าจะสำเร็จโดยไม่ลดละ

7       อักโกธะ  คือ  ความไม่แสดงความเกรี้ยวกราดโกรธแค้นต่อใครๆ

8       อวิหิงสา  คือ  ความไม่เบียดเบียนผู้อื่นให้ได้ทุกข์ร้อน

9       ขันติ  คือ  ความอดทนต่อความยากลำบาก  ทั้งนี้เนื่องจากวัตถุธรรมและนามธรรม

10  อวิโรธนะ  คือ  ความไม่ประพฤติปฏิบัติผิดไปจากทำนองคลองธรรม

หลักธรรมทั้ง  10  ประการนี้  อาจกล่าวว่าเป็นหลักธรรมทางกฎหมายในแง่พื้นฐานของการใช้อำนาจทางกฎหมาย  ถึงแม้โดยเนื้อหา  ทศพิธราชธรรมจะมีลักษณะเป็นจริยธรรมส่วนตัวของผู้ปกครองก็ตาม  เพราะหากเมื่อจริยธรรมนี้เป็นสิ่งที่ถือว่าควรอยู่เบื้องหลังกำกับการใช้อำนาจรัฐ  โดยบทบาทหน้าที่ของธรรมมะแล้ว  บทบาทดังกล่าวย่อมอยู่เบื้องหลังการใช้อำนาจทางกฎหมาย  ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของการนิติบัญญัติหรือการบังคับใช้กฎหมายด้วยเช่นกัน  มองที่จุดนี้  ทศพิธราชธรรมย่อมดำรงอยู่ในฐานะหลักธรรมสำคัญในปรัชญากฎหมายของไทยอีกฐานะหนึ่งด้วย

เกี่ยวกับหลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทยนี้  ก็คงจัดได้ว่าเป็นหัวใจสำคัญของปรัชญากฎหมายในพระธรรมศาสตร์  อันเปรียบได้กับกฎหมายธรรมชาติของตะวันตกและสามารถเรียกได้ว่าเป็นประหนึ่งหลักนิติกรรม  ในอุดมการณ์ทางกฎหมายของสังคมไทยโบราณภายใต้ปรัชญาแบบพุทธธรรมนิยม  หลัก  4  ประการนี้ย่อมจัดเป็นรูปธรรมอันเด่นชัดที่สะท้อนความคิด  รากเหง้าแห่งปรัชญากฎหมายไทย

หลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทย  เป็นปรัชญากฎหมายที่มีอิทธิพลความสำคัญ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพระมหากษัตริย์  ไม่ใช่เป็นเพียงปรัชญากฎหมายที่จำกัดอิทธิพลหรือจำกัดวงแห่งการรับรู้เฉพาะกลุ่มนักคิด  หรือสำนักคิดทางปรัชญากฎหมายหนึ่งเท่านั้น  แม้การยึดถือหลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทยจะปรากฏมาตั้งแต่กรุงสุโขทัยเรื่อยมาก็ตาม  แต่ในทางปฏิบัติ  การยึดถือดังกล่าวจะเป็นไปอย่างจริงจังเพียงใดก็คงเป็นอีกเรื่องเช่นกัน  เพราะแม้ในทางทฤษฎีหรือปรัชญากฎหมายไทยจะกำหนดให้พระมหากษัตริย์ต้อง  คำนึงตามคัมภีร์พระธรรมศาสตร์  ทุกคราวที่ตรากฎหมายก็ตาม  แต่หากในทางปฏิบัติเกิดมีพระมหากษัตริย์ที่ไม่ทรงสนพระทัยต่อคัมภีร์ดังกล่าว  หรือกระทั่งตรากฎหมายโดยขัดแย้งกับคัมภีร์พระธรรมศาสตร์  ผลลัพธ์จะถือเป็นอย่างไรจะถือเป็นโมฆะหรือไม่  

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งจะถือว่ากฎหมายที่ไม่เป็นธรรมไม่ถือเป็นกฎหมายหรือไม่  เพราะในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงตรากฎหมายหรือราชศาสตร์โดยไม่คำนึงถึงพระธรรมศาสตร์หรือกระทั่งขัดแย้งกับ หลักจตุรธรรมแห่งปรัชญากฎหมายไทย  ก็ยังมีความเป็นไปได้สูงที่ในทางปฏิบัติจะมีการดึงดันให้กฎหมายนั้นยังคงมีสภาพเป็นกฎหมายอยู่  แต่ก็ย่อมมีผู้ถือว่ากฎหมายนี้ไม่เป็นธรรมหรือเป็นกฎหมายที่เลวอยู่บ้างอย่างเงียบๆ  และคาดเดาไปว่าจะเป็นกฎหมายที่อยู่ไม่ได้นาน  ทั้งไม่สมควรเป็นเรื่องที่ควรเคารพเชื่อฟัง  หากแต่ในทางปฏิบัติคงหาคนที่จะกล้าออกมาคัดค้านกฎหมายหรือดื้อแพ่งกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมนี้แบบเผชิญหน้าโดยตรงไม่ได้เพราะพระราชอำนาจของกษัตริย์ที่เป็นเทวราชาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์  ใครออกมาท้าทายอาจถูกประหารชีวิตได้ง่ายๆ

สรุป  การยึดมั่นในหลักจตุรธรรมทางปรัชญากฎหมายของพระมหากษัตริย์  จึงดูเป็นเรื่องศีลธรรมหรือคุณธรรมส่วนตัวของพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์มากกว่าสิ่งอื่น  โดยมีปัจจัยด้านความมั่นคงในการใช้อำนาจของพระองค์เป็นตัวกำหนดภายนอก  ทำนองเดียวกับที่  ร.แลงกาต์  เคยสรุปไว้ว่า  ถ้าราชวงศ์ใดมั่นคงแข็งแกร่งการพิสูจน์พระบรมราชโองการว่าสอดคล้องกับบทบัญญัติในพระธรรมศาสตร์หรือไม่ก็จะทำพอเป็นพิธีเท่านั้น  ในทางปฏิบัติ  เจตจำนงหรือความประสงค์ขององค์พระมหากษัตริย์ที่มีต่อไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินดูจะเป็นกฎหมายหรือแหล่งที่มาอันสำคัญของกฎหมายเหนือสิ่งอื่นใด  กฎหมายตามสภาพที่เป็นจริงจึงกลายเป็นภาพสะท้อนแห่งเจตจำนงขององค์รัฏฐาธิปัตย์หรือพระมหากษัตริย์ ที่มีต่อผู้อยู่ใต้อำนาจปกครอง  แน่นอนว่าสิ่งที่พบก็คือช่องว่างระหว่างอุดมคติทางกฎหมายกับความเป็นจริง.

WordPress Ads
error: Content is protected !!