การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2549
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4007 นิติปรัชญา
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ
ข้อ 1 กฎหมายธรรมชาติคืออะไร พัฒนาการ 5 ยุค มีสาระสำคัญอะไรบ้าง จงอธิบาย
ธงคำตอบ
กฎหมายธรรมชาติสามารถอธิบายความหมายได้ใน 2 ลักษณะ คือ
1 ความหมายทั่วๆไป กฎหมายธรรมชาติหมายถึง
– กฎหมายซึ่งบุคคลบางกลุ่มอ้างว่ามีอยู่ตามธรรมชาติ ไม่ได้มีโครงสร้างขึ้นเป็นกฎหมายที่อยู่เหนือรัฐ และใช้ได้โดยทั่วไปอย่างไม่จำกัดกาลเทศะ
– กฎเกณฑ์ทางกฎหมายต่างๆ ในอุดมคติ ซึ่งอยู่เหนือกว่ากฎหมายที่รัฐบัญญัติขึ้นซึ่งอาจค้นพบได้โดยเหตุผล
– กฎเกณฑ์อุดมคติที่มีขึ้นเพื่อจัดให้เกิดความสมดุลระหว่างปัจเจกชนกับกลุ่มส่วนรวม หรือจัดให้เกิดความสมดุลระหว่างเสรีภาพส่วนบุคคลกับความเสมอภาคของทุกคน (เมื่อพิจารณาความหมายในแง่มุมทางอุดมคติ)
2 ความหมายในแง่ทางทฤษฎี แบ่งออกเป็น 2 ทฤษฎี คือ
1) เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติที่ปรากฏในยุคกรีกโบราณและโรมันถึงยุคกลาง (ราวศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาลถึงศตวรรษที่ 16) กฎหมายธรรมชาติเป็นหลักเกณฑ์ของกฎหมายอุดมคติที่มีค่าบังคับสูงกว่ากฎหมายที่มนุษย์สร้างขึ้น กฎหมายใดที่มนุษย์บัญญัติขึ้นขัดแย้งกับกฎหมายธรรมชาติจะไม่มีค่าบังคับเป็นกฎหมายเลย
2) เป็นทฤษฎีกฎหมายธรรมชาติในยุคปัจจุบัน ถือว่า หลักกฎหมายธรรมชาติเป็นเพียงอุดมคติของกฎหมายที่รัฐจะบัญญัติขึ้นเท่านั้น กล่าวคือ รัฐควรจะบัญญัติหรือตรากฎหมายให้สอดคล้องกับหลักการของกฎหมายธรรมชาติ แต่ถ้าตราขึ้นโดยขัดหรือแย้งกับกฎหมายธรรมชาติ กฎหมายนั้นก็ไม่ตกเป็นโมฆะแต่อย่างใด เพียงแต่จะเป็นกฎหมายที่ไม่มีค่าทางกฎหมายโดยสมบูรณ์เท่านั้นเอง ซึ่งเป็นลักษณะที่ผ่อนปรนประนีประนอมมากขึ้นกว่าในยุคโบราณและยุคกลาง
พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ แบ่งออกเป็น 5 ยุค ดังนี้
1 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคกรีกโบราณและโรมัน มีประเด็นแยกอธิบายได้ดังนี้
1) จุดก่อตัวและช่วงเวลา ยุคกรีกโบราณและโรมันอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 5 ก่อนคริสตกาล ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 5 โดยประมาณ ซึ่งว่ากันว่ากฎหมายธรรมชาตินี้พบเป็นเรื่องเป็นราวจากเฮราคลิตุสนักปรัชญาชาวกรีกที่มีอายุในช่วง 540 – 480 ปี ก่อนคริสตกาล โดยเขาไปค้นหาสัจจะเกี่ยวกับธรรมชาติ โดยเฉพาะความจริงเกี่ยวกับแก่นสารของชีวิตและสิ่งที่เขาค้นพบและสรุปออกมาคือ ธรรมชาติคือความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งแก่นสารของชีวิตคือธรรมชาติและแก่นสารของชีวิตก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ ซึ่งประกอบด้วยจุดหมายปลายทางระเบียบและเหตุผลอันแน่นอนซึ่งไม่อาจผันแปรได้
2) การเข้าถึงกฎหมายธรรมชาติ แยกอธิบายได้ดังนี้
เพลโต (427 – 347 ปีก่อนคริสตกาล) อธิบายว่า เข้าถึงได้โดยการใช้ญาณปัญญาอันบริสุทธิ์ แต่ก็มีเพียงนักปราชญ์เท่านั้นที่เพลโตเห็นว่าจะเข้าถึงกฎหมายธรรมชาติได้
อริสโตเติ้ล (384 – 322 ปีก่อนคริสตกาล) ศิษย์ของเพลโตเห็นว่า กฎหมายธรรมชาตินั้นมนุษย์ทุกคนสามารถเข้าถึงได้โดยการใช้ “เหตุผลอันบริสุทธิ์” เนื่องจากอริสโตเติ้ลพบว่าเหตุผลของมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
สำนักสโตอิค (ก่อตั้งขึ้นศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาลโดยเซโน) ยืนยันตามแนวคิดของอริสโตเติ้ลว่า “มนุษย์เข้าถึงกฎหมายธรรมชาติได้โดยการใช้เหตุผล” เหตุผลที่ว่านี้ก็อยู่ในฐานะเป็นพลังทางจักรวาลซึ่งเข้าครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่างรวมทั้งเป็นพื้นฐานของกฎหมายและความยุติธรรมด้วย
3) บทบาทความสำคัญของกฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ แยกอธิบายได้ดังนี้
เพลโต ให้ความสำคัญแก่กฎหมายธรรมชาติว่าเป็นแบบหรือความคิดอันไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ที่ให้เป็นบรรทัดฐานต่อกฎหมายบ้านเมือง กฎหมายใดๆที่รัฐตราขึ้นต้องสอดคล้องกับแบบหรือกฎหมายธรรมชาตินี้ มิเช่นนั้นก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นกฎหมายได้
อริสโตเติ้ลให้ความสำคัญแก่กฎหมายธรรมชาติว่า เป็นกฎหมายที่เหมาะสมในการปกครองสังคม แต่เขาไม่ได้กล่าวถึงเรื่องกฎหมายที่รัฐตราขึ้นขัดกับกฎหมายธรรมชาติผลจะเป็นอย่างไร
โสฟิสต์บางกลุ่ม อ้างกฎมหายธรรมชาติขึ้นมาต่อต้านการปกครองที่ไม่เป็นธรรมรวมทั้งอ้างเพื่อผลักดันให้ยกเลิกระบบอภิสิทธิ์และระบบทาส (โสฟิสต์เป็นกลุ่มนักคิด ชอบใช้วาทะในการโต้เถียงมีในสมัยศตวรรษที่ 4 – 5 ก่อนคริสตกาล)
ในชั้นของอาณาจักรโรมัน ประมวลกฎหมายของจักรพรรดิจัสติเนียนก็ถือว่ากฎหมายธรรมชาติมีส่วนในการพัฒนาเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบุคคล ทรัพย์ หนี้ มรดกหรือลาภมิควรได้
2 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคมืดและยุคกลาง แยกประเด็นอธิบายได้ดังนี้
1) ช่วงเวลาและภาพรวม ยุคมืดอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 – 12 โดยประมาณ ส่วนยุคกลางอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 – 16 โดยประมาณ ในยุคนี้กฎหมายธรรมชาติถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นแบบคริสเตียน (คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก) ที่มาของกฎหมายธรรมชาติก็เปลี่ยนไปอิงอยู่กับคำสอนทางศาสนาหรือบัญชาของพระเจ้า เนื่องจากเป็นยุคที่ฝ่ายศาสนจักรขึ้นมามีอำนาจเหนือฝ่ายอาณาจักร โดยยืนยันได้จากความคิดของเซนต์ ที่ว่า “กฎหมายที่ไม่ถูกต้องตามกฎศาสนาเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับไม่ได้”
2) ประเด็นเรื่องที่มาของกฎหมายธรรมชาติ เนื่องจากกำหมายธรรมชาติยุคนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นแบบคริสเตียน จึงปรากฏงานนิพนธ์ของ เซนต์ โทมัส อไควนัส (ค.ศ. 1226 – 1274) เรื่อง “Summa Theologica”
สรุปว่า “หลักธรรมหรือโองการหรือเจตจำนงของพระเจ้าคือที่มาของกฎหมายธรรมชาติ” เป็นการหักมุมแนวคิดของอริสโตเติ้ลที่ว่า “มนุษย์สามารถค้นพบกฎหมายธรรมชาติได้โดยอาศัยเหตุผลในตัวมนุษย์เอง” กล่าวคือ อไควนัสเห็นว่าเครื่องมือในการค้นหากฎหมายธรรมชาตินั้นปรากฏอยู่ใน “เหตุผลของพระเจ้า” ไม่ใช่เหตุผลของมนุษย์
3) คุณค่าความสำคัญของกฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ ปรากฏในงานเขียนของอไควนัสซึ่งเขาได้แบ่งกฎหมายออกเป็น 4 ประเภท กฎหมายธรรมชาติก็เป็นหนึ่งในนั้น อไควนัสบอกว่า กฎหมายธรรมชาติมนุษย์สามารถเข้าถึงได้โดยอาศัยเหตุผลเหมือนกับอริสโตเติ้ล แต่อไควนัสนั้นบอกว่า เหตุผลของมนุษย์เป็นคุณสมบัติธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้อีกทีหนึ่ง ไม่ใช่มีอยู่และในธรรมชาติเหมือนอริสโตเติ้ลนำเสนอไว้
อไควนัสถือว่า กฎหมายธรรมชาติเป็นเสมือนภาพสะท้อนอันไม่สมบูรณ์ซึ่งเหตุผลอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า แต่กฎหมายธรรมชาตินี้ก็มีความสำคัญในฐานะเป็นหลักชี้นำการกระทำต่างๆ ของมนุษย์โดยมีหลักธรรมพื้นฐานคือ การทำดีและละเว้นความชั่ว ซึ่งกฎหมายธรรมชาตินี้ อไควนัสถือว่ามีค่าบังคับสูงกว่ากฎหมายที่มนุษย์หรือรัฐบัญญัติขึ้น กล่าวคือ ถ้าขัดหรือแย้งกับกฎหมายธรรมชาติก็จะไม่ถือว่ากฎหมายนั้นเป็นกฎหมาย แต่เป็นความวิปริตของกฎหมายไป
3 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคฟื้นฟูและยุคปฏิรูป มีประเด็นน่าสนใจคือ
1) ช่วงเวลาและภาพรวม ยุคฟื้นฟู อยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 – 16 โดยประมาณส่วนยุคปฏิรูปอยู่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยประมาณ ยุคนี้สถานการณ์ทางสังคมได้เปลี่ยนไป ฝ่ายอาณาจักรขึ้นมามีอำนาจและสลัดตัวออกจากศาสนจักรได้สำเร็จ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติเองก็สามารถสลัดตัวออกจากคริสต์ศาสนาเช่นกัน รูปแบบความคิดก็กลับไปเป็นแบบเหตุผลนิยม คล้ายๆกับที่อริสโตเติ้ลหรือสำนักสโตอิคแห่งกรีกโบราณนำเสนอไว้
2) ที่มาของกฎหมายธรรมชาติ ว่าจะตราหรือบัญญัติกฎหมายอย่างไรขึ้นใช้ในสังคม ถูกนำเสนอโดยฮูโก โกรเซียส ชาวเนเธอร์แลนด์ (ค.ศ.1583 – 1645) มีแนวคิดว่า “เหตุผลและสติปัญญาของมนุษย์คือที่มาของกฎหมายธรรมชาติ” โดยถือว่าเหตุผลและสติปัญญานี้ปรากฏอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์เองสิ่งที่ โกรเซียสยืนยันก็คือ “ธรรมชาติของมนุษย์คือมารดาของกฎหมายธรรมชาติ และซึ่งจะคงปรากฏอยู่มาตร (แม้) ว่าจะไม่มีพระเจ้าแล้วก็ตาม”
3) ลักษณะและความสำคัญในเชิงบทบาทของปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติในยุคนี้ถือว่ามีบทบาทที่สำคัญยิ่ง เริ่มที่โกรเซียสได้นำเอาหลักกฎหมายธรรมชาติบางเรื่องไปเป็นรากฐานในการสร้างกฎหมายระหว่างประเทศ ควบคุมกิจการหรือกติกาในการทำสงครามระหว่างรัฐจนได้รับยกย่องว่า เป็นบิดาของกฎหมายระหว่างประเทศเลยทีเดียว
ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคนี้มีการพัฒนาเรื่องสิทธิธรรมชาติของมนุษย์โดยการเพิ่มบทบาทความคิดแบบปัจเจกชนนิยมมากขึ้นในตัว โดยผ่านนักคิดหลายๆคนในยุคนี้ เช่น พูเฟนดอร์ฟ , โทมัสฮอบส์ , สปินโนซ่า , จอห์น ลอค , มองเตสกิเออ , รุสโซ , วูล์ฟ เป็นต้น ซึ่งผลโดยรวมที่ได้ก็คืออิทธิพลโดยผ่านนักคิดเหล่านี้ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้นำไปสู่การเน้นเนื้อหากฎหมายที่เป็นธรรม นำไปสู่ข้อยืนยันว่ากำลังหรืออำนาจไม่ใช่ที่มาของกฎหมายหรือความถูกต้อง นับเป็นการเข้าไปต่อต้านเผด็จการหรือการกดขี่ สนับสนุนเรื่องความเสมอภาคของบุคคลต่อหน้ากฎหมาย มีส่วนแก้ไขให้บทลงโทษทางอาญามีมนุษยธรรมมากขึ้น และที่สำคัญคือเป็นที่มาหรือรากฐานหรือหลักทั่วไปของกฎหมายระหว่างประเทศ ยุคนี้ได้รับการกล่าวขานว่า “เป็นยุคแห่งเหตุผล” เนื่องจากอิทธิพลความคิดแบบเหตุผลนิยมได้ครอบงำไปทั่วยุโรป
4. ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคชาตินิยม (ความเสื่อมและการฟื้นตัวของกฎหมายธรรมชาติ) มีประเด็นอธิบายดังนี้
1) ภาพโดยรวมของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ยุคนี้เป็นเหตุการณ์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 18 กฎหมายธรรมชาติยุคนี้ได้เสื่อมความนิยมลงในช่วงหนึ่งแล้วกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งในตอนท้าย
2) เหตุที่ทำให้ปรัชญากฎหมายธรรมชาติเสื่อมความนิยมลง มีสาเหตุหลัก 2 เรื่องคือ
– กระแสสูงของลัทธิชาตินิยม ซึ่งเป็นขั้วตรงข้ามและเข้ามาบดบังลัทธิปัจเจกชนนิยมที่เป็นแกนกลางสำคัญในปรัชญากฎหมายธรรมชาติ
– ความเจริญก้าวหน้าอย่างมากทางวิทยาศาสตร์และวิธีคิดเชิงประจักษ์วาทแบบวิทยาศาสตร์ เป็นพื้นฐานทำให้เกิดลัทธิอรรถประโยชน์และทฤษฎีปฏิฐานนิยมทางกฎหมาย ซึ่งมีแนวคิดตรงข้ามกับปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากจนปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้ถูกผลักไสให้เป็นเรื่องของศาสนาหรือศีลธรรมมากกว่าจะเป็นกฎหมายอันแท้จริงของรัฐ
3) เหตุที่ทำให้ปรัชญากฎหมายธรรมชาติได้รับการเชื่อถืออีกครั้ง สาเหตุที่ทำให้กฎหมายธรรมชาติได้รับการนิยมขึ้นมาอีก เพราะวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของสังคมได้ ปฏิฐานนิยมทางกฎหมายก็ถูกนำไปใช้สนับสนุนเรื่องอำนาจนิยม การใช้อำนาจโดยมิชอบ ที่สำคัญก็คือสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ก็มีที่มาจากการเอาแนวคิดปฏิฐานนิยมไปใช้อย่างผิดๆ ดังนั้นกระแสความคิดแบบเหตุผลนิยมทางกฎหมายธรรมชาติหรือระบบคิดแบบอุดมคตินิยมจึงปรากฏ ความสำคัญขึ้นอีกครั้ง
4) บทบาทของปรัชญากฎหมายธรรมชาติภายหลังที่ฟื้นตัวแล้ว พออธิบายได้ดังนี้
– สแตมม์เลอร์ ชาวเยอรมันประกาศความคิดเรื่อง “กฎหมายธรรมชาติซึ่งมีเนื้อหาอันเปลี่ยนแปลงได้ในฐานะเป็นหลักความยุติธรรม” ซึ่งสะท้อนความต้องการอันไม่แน่นอนของชนชาติหนึ่งในยุคสมัยหนึ่งๆขณะที่มาตาฐานแห่งความยุติธรรมเป็นการเน้นความกลมกลืนอย่างสมบูรณ์ระหว่างปัจเจกชนกับสังคม
– ปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ได้ถูกนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาในระดับข้อเท็จจริงและวิกฤติการณ์ทางคุณค่าด้วย โดยเฉพาะในเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กฎหมายธรรมชาติได้เข้าไปมีบทบาทในการตัดสินคดีเพื่อลงโทษทหารนาซีเยอรมัน โดยถือว่ากฎหมายที่ขัดกับมนุษยธรรมที่นาซีบัญญัติขึ้นไม่มีสภาพเป็นกฎหมาย นอกจากนั้นการปรากฏตัวขึ้นของปฏิญญาสากลว่าด้วยมนุษยชน ค.ศ. 1948 ก็เขียนขึ้นภายใต้อิทธิพลของปรัชญากฎหมายธรรมชาติ
5 ปรัชญากฎหมายธรรมชาติยุคปัจจุบัน (ปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัย) ในยุคปัจจุบันปรัชญากฎหมายธรรมชาติมีบทบาทอยู่ใน 2 ลักษณะคือ
1) ในแง่ที่เป็นทฤษฎีกฎหมายที่สนับสนุนอุดมคติทางกฎหมายเชิงจริยธรรม คือ เป็นการยืนยันความเชื่อมั่นเรื่องความยุติธรรมในฐานะเป็นจุดหมายปลายทางของกฎหมาย หรือยืนยันในความเชื่อมั่นในเรื่องความสัมพันธ์ที่จำต้องมีระหว่างกฎหมายกับความยุติธรรมหรือหลักศีลธรรมจริยธรรมต่างๆ
2) ในแง่ทฤษฎีเกี่ยวกับสิทธิสนับสนุนเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยเน้นไปที่สิทธิทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การพัฒนา สันติภาพ เป็นต้น ซึ่งหลายประเทศเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ
ที่สำคัญคือ ปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยนี้จะมีลักษณะที่ผ่อนปรนประนีประนอมมากขึ้น กล่าวคือ ไม่ยืนยันว่ากฎหมายที่ขัดกับหลักอุดมคติหรือหลักความยุติธรรมต้องตกเป็นโมฆะหรือไม่สมบูรณ์ตามความคิดแบบเก่า ซึ่งตรงนี้ก็ปรากฏจากความคิดของจอห์น ฟินนีส นักปรัชญากฎหมายธรรมชาติร่วมสมัยที่บอกว่า “กฎหมายที่ไม่ยุติธรรมมิได้ตกเป็นโมฆะ ในแง่ที่ว่าเป็นสิ่งซึ่งบุคคลไม่ต้องปฏิบัติตามโดยสิ้นเชิง กฎหมายที่ไม่ยุติธรรมเพียงแต่ขาดสิ่งซึ่งเป็นอำนาจผูกมัดทางมโนธรรม” ซึ่งกฎหมายทั่วไปมีอยู่ตามปกติ หน้าที่ทางศีลธรรมที่ต้องเชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมายจึงอาจจำต้องมีอยู่หากว่าการขัดขืนไม่ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวจะนำมาซึ่งความอ่อนแอ ไร้เสถียรภาพในระบบกฎหมายซึ่งมีความเป็นธรรมเสียส่วนมาก