LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน S/2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ก. มอบ ข. ให้ไปกู้เงินโดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือ ข. ไปกู้เงิน ค. โดยทําเป็นหนังสือสัญญาโดยในสัญญานั้น ข. เขียนว่า กู้แทน ก. ต่อมา ก. ผิดนัดชําระหนี้ ค. จะฟ้องใครให้รับผิดได้บ้าง ระหว่าง ก. กับ ข. และ ข. มีอํานาจลงชื่อในสัญญากู้นั้นหรือไม่ เพราะเหตุใด กรณีหนึ่ง อีกกรณีหนึ่ง เมื่อ ข. ได้เงินมาแล้ว ข. นําเงินที่กู้มานั้นให้กับ ก. ทั้งหมด ดังนี้ ค. จะฟ้อง ก. ให้รับผิดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 653 วรรคแรก “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการ กู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 798 “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทําเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทน เพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมี หลักฐานเป็นหนังสือด้วย”

มาตรา 820 “ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือ ตัวแทนช่วงได้ทําไปภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทน”

มาตรา 821 “บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี รู้แล้วย่อมให้ บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก ผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน”

มาตรา 823 “ถ้าตัวแทนกระทําการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอํานาจก็ดี หรือทํานอกทําเหนือ ขอบอํานาจก็ดี ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลําพังตนเอง เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทําการโดยปราศจากอํานาจ หรือทํานอกเหนือขอบอํานาจ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีแรก

(1) การกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไปนั้น บทบัญญัติมาตรา 653 วรรคแรก บังคับว่า ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จึงจะใช้ฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายได้ เมื่อกฎหมายบังคับให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อไปทําสัญญากู้จึงต้องมีหลักฐานเป็น หนังสือด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ก. มอบหมายให้ ข. ไปกู้เงินโดยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ เช่นนี้ ข. ย่อมไม่มี อํานาจลงชื่อในสัญญากู้เงินนั้น เพราะ ก. ตั้ง ข. เป็นตัวแทนไปกู้เงินโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 798 วรรคสอง ดังนั้น การที่ ข. ลงชื่อไปก็เท่ากับว่า ข. ลงชื่อโดยปราศจากอํานาจตามมาตรา 823 วรรคแรก

(2) เมื่อการตั้งตัวแทนฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย จึงมีผลเท่ากับว่าไม่มีการมอบหมาย หรือตั้งตัวแทนให้ไปทําสัญญากู้ยืม การที่ ข. ไปกู้ยืมเงิน ค. สัญญากู้ยืมนั้นย่อมไม่ผูกพัน ก. ตัวการแต่อย่างใด เพราะเป็นการกระทําโดยปราศจากอํานาจดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น แต่อย่างไรก็ตามกรณีนี้ถ้า ก. ตัวการให้สัตยาบัน สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวก็อาจผูกพัน ก. ได้ตามมาตรา 823 วรรคแรกตอนท้าย แต่เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า ก. ให้สัตยาบันแก่การกู้ยืมเงินนั้น ข. จึงต้องรับผิดต่อ ค. บุคคลภายนอกโดยลําพังตนเองตามมาตรา 823 วรรคท้าย แม้สัญญากู้ยืมจะระบุว่าเป็นการที่ ข. กู้แทน ก. ก็ตาม

(3) เมื่อสัญญากู้ยืมไม่ผูกพัน ก และ ข. ต้องรับผิดโดยลําพังแล้ว ค. จึงมีสิทธิฟ้องเรียกให้ ข. รับผิดชดใช้เงินตามสัญญากู้ได้คนเดียวเท่านั้น กรณีนี้ถือว่า ข. อยู่ในฐานะคู่สัญญากู้ยืมเงินตามมาตรา 653 วรรคแรก โดยตรง

กรณีที่สอง

การที่ ข. ไปกู้เงินจาก ค. และได้นําเงินที่กู้นั้นมาให้กับ ก. ทั้งหมดนั้น แม้ว่าสัญญาตั้งตัวแทน ให้ไปกู้เงินจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ตาม แต่กรณีดังกล่าวถือได้ว่าเป็นกรณีที่ ก. ได้เชิดให้ ข. ออกแสดงเป็น ตัวแทนของ ก. ตามมาตรา 821 แล้ว ดังนั้น ก. จึงต้องรับผิดต่อ ค. บุคคลภายนอกเสมือนว่า ข. เป็นตัวแทนของ ตนตามมาตรา 821 ประกอบมาตรา 820 กล่าวคือ เมื่อ ก. ผิดนัดชําระหนี้ ค. ย่อมสามารถฟ้องให้ ก. รับผิดได้

สรุป

กรณีแรก ค. สามารถฟ้องให้ ข. รับผิดได้ แต่จะฟ้องให้ ก. รับผิดไม่ได้ และ ข. ไม่มีอํานาจลงชื่อในสัญญากู้นั้น กรณีที่สอง ค. สามารถฟ้อง ก. ให้รับผิดได้ในฐานะที่ ข. เป็นตัวแทนเชิดของ ก.

 

ข้อ 2. ก. มอบ ข. เป็นตัวแทนให้ไปซื้อเรือยอร์ชแล้วให้เงินไปซื้อด้วย แต่ปรากฏว่าเรือยอร์ชได้ขึ้นราคาเพิ่มขึ้นอีก 500,000 บาท ก. ให้ ข. ทดรองจ่ายไปก่อน ข. ตกลงทดรองจ่ายไป พอนําเรือมาถึง ข. เรียก ก. ให้มารับเรือพร้อมนําเงิน 500,000 บาท มาคืนด้วย ก. มารับเรือแต่ไม่ยอมจ่าย 500,000 บาท ข. จึงไม่ให้เรือไปโดยอ้างว่าขอยึดหน่วงไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับชําระหนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข. มีอํานาจ ยึดหน่วงไว้ก่อนได้หรือไม่ จะเป็นการขัดต่อข้อกฎหมายหรือไม่ กรณีหนึ่ง อีกกรณีหนึ่ง ถ้า ข. ได้เรือมาแล้วโอนให้ ก. ตัวการไปทันที แต่ ก. กลับไม่จ่ายเงินที่ ข. ทดรองจ่าย แทนไป ข. โกรธมากจึงออกอุบายขอยืมรถเบนซ์สปอร์ตมาขับ 3 วัน จะคืนให้ เมื่อครบ 3 วัน ข. ไม่คืน โดยอ้างว่าขอยึดหน่วงรถสปอร์ตไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับชําระหนี้ 500,000 บาท ดังนี้ ให้ท่าน วินิจฉัยว่า ข. มีอํานาจยึดหน่วงรถสปอร์ตนั้นไว้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 วรรคแรก “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็น ตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 816 วรรคแรก “ถ้าในการจัดทํากิจการอันเขามอบหมายแก่ตนนั้น ตัวแทนได้ออกเป็น ทดรองหรือออกเงินค่าใช้จ่ายไป ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจําเป็นได้ไซร้ ท่านว่าตัวแทนจะเรียกเอา เงินชดใช้จากตัวการ รวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยก็ได้”

มาตรา 819 “ตัวแทนขอบที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินอย่างใด ๆ ของตัวการอันตกอยู่ในความครอบครองของตน เพราะเป็นตัวแทนนั้นเอาไว้ได้จนกว่าจะได้รับเงินบรรดาค้างชําระแก่ตนเพราะการเป็นตัวแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

กรณีแรก การที่ ก. ได้มอบให้ ข. เป็นตัวแทนไปซื้อเรือยอร์ช และให้ ข. ออกเงินทดรอง จ่ายไปก่อน 500,000 บาทนั้น เมื่อ ข. ได้นําเรือยอร์ชมาส่งมอบให้ ก. ถือว่า ข. ตัวแทนได้ส่งมอบทรัพย์สินที่ ได้รับมาจากการเป็นตัวแทนให้กับ ก. ตัวการตามมาตรา 310 วรรคแรก และ ข. ตัวแทนย่อมมีสิทธิที่จะเรียกให้ ตัวการชดใช้เงินทดรองที่ตนได้ออกไปได้ตามมาตรา 816 วรรคแรก

แต่เมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ปรากฏว่า ก. จะขอรับเรือแต่ไม่ยอมจ่ายเงิน 500,000 บาท แก่ ข. และ ข. จึงไม่ให้เรือแก่ ก. ไป โดยอ้างว่าขอยึดหน่วงไว้ก่อนจนกว่าจะได้รับชําระหนี้นั้น ข. ย่อมมีอํานาจ ที่จะยึดหน่วงเรือไว้ได้ โดยไม่เป็นการขัดต่อข้อกฎหมายตามมาตรา 810 วรรคแรก เพราะเป็นการใช้อํานาจ ตามบทบัญญัติมาตรา 819 ซึ่งได้บัญญัติให้อํานาจแก่ตัวแทนในการยึดหน่วงทรัพย์สินของตัวการ

กรณีที่สอง การที่ ข. ได้เรือมาแล้วโอนให้ ก. ตัวการไปแล้ว โดย ก. ไม่ยอมจ่ายเงินที่ ข. ได้ ทดรองจ่ายแทนไปนั้น เมื่อ ข. ได้โอนทรัพย์คือเรือยอร์ชให้กับ ก. ไปแล้ว ข. ย่อมไม่มีอํานาจที่จะไปยึดหน่วง รถเบนซ์สปอร์ตของ ก. ไว้ได้ เพราะตามมาตรา 819 นั้น ตัวแทนมีอํานาจที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินของตัวการที่ตกอยู่ ในความครอบครองของตนได้ ก็จะต้องเป็นทรัพย์สินที่ตัวแทนขวนขวายได้มาเนื่องจากการทําหน้าที่เป็นตัวแทน เท่านั้น แต่ตามอุทาหรณ์ทรัพย์สินที่ตัวแทนขวนขวายได้มาเนื่องจากการทําหน้าที่เป็นตัวแทนนั้นคือเรือยอร์ช ไม่ใช่รถเบนซ์สปอร์ต ดังนั้น ข. ตัวแทนจึงไม่มีอํานาจยึดหน่วงรถเบนซ์สปอร์ตของ ก. ไว้จนกว่าจะได้รับชําระหนี้ เพราะเป็นคนละประเด็นกัน

สรุป

กรณีแรก ข. มีอํานาจยึดหน่วงเรือยอร์ชไว้ได้

กรณีที่สอง ข. ไม่มีอํานาจยึดหน่วงรถเบนซ์สปอร์ตไว้ได้

 

ข้อ 3. ก. ต้องการจะขายที่ดินแล้วนําป้ายไปปักไว้ว่า ที่ดินแปลงนี้ “ขาย” ติดต่อ โทร 081-000-000 ข. เป็นเจ้าของสํานักงานนิติบุคคลทําทนายความ โดยมี ค. เป็นลูกค้าของบริษัท ค. ได้บอก ข. ว่า ให้หาที่ดินแถว ๆ นั้นให้หน่อย จะสร้างโรงงานใหม่ วันหนึ่ง ข. ขับรถผ่านเส้นทางที่ดินของ ก. จึง หยุดรถแล้วโทรถาม ก. ว่าที่ดินมีกี่ไร่ราคาเท่าใด ก. ตอบว่าที่ดินมี 5 ไร่ ขาย 25 ล้านบาท แล้ว ก. ก็จากไป 3 วันต่อมา ข. ได้นํา ค. มาพบ 11. ทําการซื้อขายและโอนที่ดินเสร็จสิ้นไปวันเดียว 2 วัน ต่อมา ข. มาพบ ก. เพื่อให้ ก. จ่ายค่านายหน้า ก. ปฏิเสธว่าไม่ได้มอบหมายให้ ข. เป็นนายหน้า จึง ไม่จ่ายค่าบําเหน็จนายหน้า ข. ฟ้องให้ศาลสั่งให้ ก. จ่ายค่านายหน้า ถ้าท่านเป็นศาลท่านจะพิจารณา พิพากษาจ่ายบําเหน็จค่านายหน้าให้ ข. หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคแรก “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากัน สําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับ ก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

มาตรา 846 วรรคแรก “ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดยพฤติการณ์เป็นที่ คาดหมายได้ว่าย่อมทําให้แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จไซร้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบําเหน็จนายหน้า”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญานายหน้านั้น บุคคลจะต้องรับผิดให้ค่าบําเหน็จนายหน้าแก่ผู้ใดก็ต่อเมื่อได้ ตกลงกันไว้กับผู้นั้นโดยชัดแจ้งประการหนึ่ง หรือถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งก็จะต้องรับผิดต่อเมื่อกิจการอันได้ มอบหมายแก่ผู้นั้นเป็นที่คาดหมายได้ว่า ผู้นั้นย่อมทําให้ก็แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จเท่านั้น ถ้าไม่มีการตกลงกัน หรือไม่มีการมอบหมายกิจการแก่กัน ก็ไม่จําต้องให้ค่าบําเหน็จนายหน้า กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นายหน้าที่จะได้รับ บําเหน็จหรือค่านายหน้านั้นในเบื้องต้นจะต้องมีสัญญานายหน้าต่อกันโดยชัดแจ้งตามมาตรา 845 หรือมีสัญญา ต่อกันโดยปริยายตามมาตรา 846 ผู้ใดจะอ้างตนเป็นนายหน้าฝ่ายเดียว เรียกร้องเอาค่าบําเหน็จโดยอีกฝ่ายหนึ่ง มิได้มีสัญญาด้วยแต่อย่างหนึ่งอย่างใดเลยนั้น หามีกฎหมายสนับสนุนให้เรียกร้องได้ไม่

กรณีตามอุทาหรณ์

แม้ว่าสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่าง ก. และ ค. จะได้เกิดขึ้นจากการชี้ช่อง และจัดการของ ข. ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ก. ไม่เคยตกลงให้ ข. เป็นนายหน้าขายที่ดินของตนตาม มาตรา 845 วรรคแรก อีกทั้งจะถือว่าเป็นการตกลงกันโดยปริยายตามมาตรา 846 วรรคแรกก็ไม่ได้ เพราะการตกลง ตามมาตรานี้ หมายถึง กรณีที่มีการมอบหมายให้เป็นนายหน้ากันแล้ว แต่ไม่ได้ตกลงค่าบําเหน็จนายหน้าไว้ แต่กรณีนี้ ก. ยังไม่ได้มอบหมายให้ ข. เป็นนายหน้าแต่อย่างใด ดังนั้น ข. จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าบําเหน็จนายหน้า จาก ก. และถ้า ข. ฟ้องให้ศาลสั่งให้ ก. จ่ายค่านายหน้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะพิจารณาพิพากษาว่า ก. ไม่จําต้องจ่ายค่านายหน้าให้แก่ ข. แต่อย่างใด

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล ข้าพเจ้าจะพิจารณาพิพากษาว่า ก. ไม่ต้องจ่ายค่านายหน้าให้แก่ ข.

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน 2/2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ก. ตั้ง ข. ให้เป็นตัวแทนให้มีอํานาจทําสัญญาให้เช่าซื้อโดยมิได้มอบหมายแต่งตั้งเป็นหนังสือมี ค. มาทําสัญญาเช่าซื้อบ้านกับ ข. ข. ลงชื่อในสัญญาให้เช่าซื้อนั้นไปให้ท่านวินิจฉัยว่า สัญญาที่ ข. ทํากับ ค. นั้นเป็นอย่างไร การที่ ข. ลงชื่อในสัญญาเช่าซื้อนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 152 “การใดมิได้ทําให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ การนั้นเป็นโมฆะ” มาตรา 572 วรรคสอง “สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทําเป็นหนังสือ ท่านว่าเป็นโมฆะ”มาตรา 798 วรรคแรก “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทําเป็นหนังสือ การตั้ง ตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทําเป็นหนังสือด้วย”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ เมื่อการทําสัญญาเช่าซื้อนั้น เป็นกิจการที่กฎหมายได้บังคับไว้ว่าต้องทําเป็นหนังสือ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ (มาตรา 572 วรรคสอง) ดังนั้น การตั้งตัวแทนเพื่อไปทําสัญญาให้เช่าซื้อ จึงต้องทําเป็นหนังสือด้วย (มาตรา 798 วรรคแรก) เมื่อการตั้งตัวแทนของ ก. ที่ให้ ข. เป็นตัวแทนไปทําสัญญาให้เช่าซื้อ มิได้ทําเป็นหนังสือ จึงเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 798 วรรคแรก ดังนั้น สัญญาที่ ก. ตั้ง ข. ให้เป็นตัวแทน จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 152 ข. จึงไม่มีอํานาจทําสัญญาให้เช่าซื้อ

เมื่อ ข. ไม่มีอํานาจทําสัญญาให้เช่าซื้อ ดังนั้น การที่ ข. ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาให้เช่าซื้อบ้าน กับ ค. จึงเป็นการลงลายมือชื่อโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 572 วรรคสอง ประกอบมาตรา 798 วรรคแรก และมีผลทําให้สัญญาเช่าซื้อที่ ข. ทํากับ ค. เป็นโมฆะตามมาตรา 152 ที่มีหลักว่า การใดที่มิได้ทําให้ถูกต้อง ตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ การนั้นเป็นโมฆะ

สรุป

การที่ ข. ลงชื่อในสัญญาเช่าซื้อนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย และสัญญาที่ ข. ทํากับ ค. นั้น เป็นโมฆะ ไม่มีผลทางกฎหมาย

 

ข้อ 2. นางมะลิได้นําทองคําแท่งหนัก 50 บาท ไปฝากนางกุหลาบซึ่งเปิดร้านขายทองอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านบางกะปิ เป็นตัวแทนค้าต่างขายทองคําแท่งให้ตน นางมะลิได้ตกลงกับนางกุหลาบว่า ถ้าขายทองคําแท่งได้จะให้ค่าบําเหน็จแก่นางกุหลาบเป็นเงินจํานวน 5,000 บาท ปรากฏว่าวันที่ 10 มีนาคม 2557 ราคาทองคําตามตลาดโลกลดลงเหลือบาทละ 19,500 บาท นางกุหลาบเห็นว่าราคา ทองคําลดลงต่ํากว่าราคาก่อนหน้านี้ ถ้าซื้อเก็บไว้ทองคําแท่งอาจจะขึ้นราคาบาทละ 20,000 กว่าบาท ขึ้นไป ถ้าขายก็จะได้กําไร นางกุหลาบจึงมีความต้องการจะซื้อทองคําแท่งดังกล่าวไว้เอง จึงได้โทรศัพท์ ติดต่อขอซื้อทองคําแท่งจากนางมะลิ เมื่อนางมะลิได้รับโทรศัพท์และทราบคําบอกกล่าวขอซื้อแล้ว ก็ไม่ได้บอกปัดเสียในทันที

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าการขอซื้อทองคําแท่งของนางกุหลาบเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด และนางกุหลาบมีสิทธิจะได้รับค่าบําเหน็จจํานวน 5,000 บาทหรือไม่ จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 843 “ตัวแทนค้าต่างคนใดได้รับคําสั่งให้ขายหรือซื้อทรัพย์สินอันมีรายการขานราคา ของสถานแลกเปลี่ยน ท่านว่าตัวแทนคนนั้นจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายเองก็ได้ เว้นแต่จะมีข้อห้ามไว้ชัดแจ้งโดยสัญญา ในกรณีเช่นนั้น ราคาอันจะพึงใช้เงินแก่กันก็พึ่งกําหนดตามรายการขานราคาทรัพย์สินนั้น ณ สถานแลกเปลี่ยนในเวลา เมื่อตัวแทนค้าต่างให้คําบอกกล่าวว่าตนจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย

เมื่อตัวการรับคําบอกกล่าวเช่นนั้น ถ้าไม่บอกปัดเสียในทันที ท่านให้ถือว่าตัวการเป็นอันได้ สนองรับการนั้นแล้ว

อนึ่ง แม้ในกรณีเช่นนั้น ตัวแทนค้าต่างจะคิดเอาบําเหน็จก็ย่อมคิดได้”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 843 ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าตัวการมอบหมายให้ตัวแทนค้าต่างขายทรัพย์สินแทนตน และทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่มีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน และไม่มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งในสัญญา ตัวแทนค้าต่างจะเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้นไว้เสียเองก็ได้

แต่อย่างไรก็ตาม ตัวแทนค้าต่างจะต้องบอกกล่าวให้ตัวการรู้ด้วยว่าตนเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้น ซึ่งถ้าตัวการไม่ต้องการขายให้ตัวแทนค้าต่างก็ต้องบอกปัดในทันที ไม่เช่นนั้นจะถือว่าตัวการได้สนองรับคําบอกกล่าว นั้นแล้ว และนอกจากนี้ตัวแทนค้าต่างก็ยังมีสิทธิได้รับบําเหน็จตามสัญญาอีกด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นางมะลิได้มอบให้นางกุหลาบเป็นตัวแทนค้าต่างขายทองคําแท่ง ของตนและตกลงจะจ่ายค่าบําเหน็จให้จํานวน 5,000 บาท ปรากฏว่าต่อมาราคาทองคําแท่งลดลงตามตลาดโลก ซึ่งถือเป็นรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน นางกุหลาบต้องการซื้อทองคําแท่งดังกล่าวไว้เองเพื่อเก็งกําไร ในภายหน้านั้น ดังนี้ นางกุหลาบสามารถทําได้ เพราะในสัญญาไม่มีข้อห้ามไว้ตามมาตรา 843 วรรคแรก

และเมื่อนางกุหลาบบอกกล่าวทางโทรศัพท์ให้นางมะลิทราบว่าตนจะซื้อทองคําแท่งดังกล่าวแล้ว แต่ปรากฏว่านางมะลิก็มิได้บอกปัดเสียในทันทีที่ได้รับคําบอกกล่าว กรณีนี้จึงถือว่านางมะลิเป็นอันได้สนองรับ คําบอกกล่าวนั้นแล้ว สัญญาซื้อขายทองคําแท่งระหว่างนางกุหลาบกับนางมะลิจึงเกิดขึ้นตามมาตรา 843 วรรคสอง และนอกจากนี้นางกุหลาบก็ยังสามารถคิดเอาค่าบําเหน็จจํานวน 5,000 บาท จากนางมะลิ เนื่องจากการซื้อขาย ของตนได้ด้วย แม้นางกุหลาบจะเป็นผู้ซื้อทองคําแท่งเหล่านั้นไว้เองก็ตามตามมาตรา 843 วรรคท้าย

สรุป

สัญญาซื้อขายทองคําแท่งของนางกุหลาบได้เกิดขึ้นแล้ว และนางกุหลาบมีสิทธิจะได้รับ ค่าบําเหน็จจํานวน 5,000 บาท จากนางมะลิ

 

ข้อ 3. ลุงชิดต้องการซื้อที่ดินแปลงใหม่แต่ยังขาดเงินอีกสองล้านบาท จึงมอบให้หลานชายชื่อนายประเสริฐไปติดต่อขอกู้ธนาคารโดยจํานองที่ดินของตนประกันหนี้ และบอกว่าจะให้ค่าป่วยการร้อยละหนึ่ง เมื่อธนาคารมาดูหลักทรัพย์ที่ดินที่จะจํานอง เห็นว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ในทําเลดีมีราคาทั้งลุงชิดก็มีรายได้ดี ผู้จัดการธนาคารเสนอให้ลุงชิดกู้ห้าล้านบาทเพื่อไม่ขัดศรัทธา ลุงชิดจดทะเบียนจํานองประกันเงินกู้ สามล้านบาท และได้จ่ายบําเหน็จให้ประเสริฐสองหมื่นบาท แต่ประเสริฐอ้างว่าลุงชิดต้องจ่ายค่า นายหน้าให้ตนสามหมื่นบาท เพราะสัญญาจํานองสามล้านไม่ใช่สองล้าน ข้ออ้างของประเสริฐฟังขึ้น หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845 วรรคแรก “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้าเพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทํา สัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากัน สําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับ ก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่ จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

วินิจฉัย

โดยหลัก สัญญานายหน้านั้น ถ้าได้มีการตกลงกันในเรื่องค่าบําเหน็จและนายหน้าได้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลภายนอกได้เข้ามาทําสัญญากับตัวการจนสําเร็จแล้ว นายหน้าก็ย่อมมีสิทธิได้รับค่าบําเหน็จ ตามที่ตกลงกันไว้ (มาตรา 845 วรรคแรก)

ตามอุทาหรณ์ การที่ลุงชิดได้ให้นายประเสริฐไปติดต่อขอกู้เงินกับธนาคารโดยจํานองที่ดินของตน เป็นประกันหนี้นั้น เมื่อธนาคารได้ตกลงรับจํานองแล้ว กรณีเช่นนี้ต้องถือว่าการจํานองนั้นมีขึ้น เพราะนายประเสริฐได้ ชี้ช่องหรือจัดการจนได้มีการทําสัญญากัน นายประเสริฐจึงมีสิทธิได้รับค่าบําเหน็จนายหน้าตามมาตรา 845 วรรคแรก

สําหรับค่าบําเหน็จนายหน้าที่นายประเสริฐจะได้รับคือร้อยละหนึ่งจากจํานวนสามล้านบาท ซึ่งเป็นราคาตามสัญญาจํานองที่เกิดจากการชี้ช่องหรือจัดการของนายประเสริฐนายหน้ามิใช่ร้อยละหนึ่งจากจํานวน สองล้านบาท ทั้งนี้เพราะสัญญาจํานองสามล้านบาทที่ลุงชิดทํากับธนาคารนั้น เป็นผลสําเร็จของการที่นายประเสริฐ เป็นนายหน้าชี้ช่องให้แก่ลุงชิด ดังนั้น ข้ออ้างของนายประเสริฐที่ว่าลุงชิดต้องจ่ายค่านายหน้าให้ตนสามหมื่นบาท จึงฟังขึ้น (เทียบฎีกาที่ 1515/2512)

สรุป ข้ออ้างของนายประเสริฐฟังขึ้น

 

LAW2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน 1/2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ก. มอบ ข. ให้ไปซื้อบ้านโดยให้เงินไปจ่ายเป็นเงินสด เมื่อ ข. ได้บ้านมาแล้ว ข. ไม่โอนคืนตัวการ ข. ซื้อบ้านมาเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2550 พอถึงวันที่ 15 มกราคม 2550 ข. ได้ทําสัญญาเช่าบ้าน หลังดังกล่าวให้กับ ค. ไป ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ก. จะฟ้องเรียกให้ ข. โอนบ้านมาให้ ก. และเรียก ค่าเสียหายจาก ข. ได้หรือไม่ และค่าเสียหายจะเรียกได้ตั้งแต่เมื่อใด (ให้ท่านตอบและใช้หลักกฎหมายมาให้ครบถ้วน)

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนที่ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 811 “ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจการของตัวการ นั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้”

มาตรา 812 “ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใด ๆ เพราะความประมาทเลินเล่อของตัวแทนก็ดี เพราะไม่ทําการเป็นตัวแทนก็ดี หรือเพราะทําการโดยปราศจากอํานาจหรือนอกเหนืออํานาจก็ดี ท่านว่าตัวแทน จะต้องรับผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก. มอบ ข. ให้ไปซื้อบ้าน และเมื่อ ข. ได้ไปซื้อบ้านตามที่ ก. มอบหมาย เมื่อได้บ้านแล้ว ข. จะต้องโอนบ้านให้ ก. ตามมาตรา 310 แต่ ข. ก็ไม่โอนให้แก่ ก. กลับนําบ้านไปให้ ค. เช่าตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2550 กรณีนี้ถือว่าความเสียหายได้เกิดขึ้นนับแต่วันที่ ข. นําบ้านไปให้ ค. เข่าตาม มาตรา 811 ดังนั้น ก. ย่อมสามารถฟ้องเรียกให้ ข. โอนบ้านให้แก่ ก. ได้ ตามมาตรา 810 วรรคแรก และ ก. สามารถ ฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก ข. ในกรณีที่ ข. นําบ้านที่จะต้องโอนให้ ก. ไปให้ ค. เช่าได้ โดยสามารถฟ้องเรียกได้ตั้งแต่ วันที่ 15 มกราคม 2550 นับแต่วันที่ให้เช่าตามมาตรา 811 และมาตรา 812

สรุป

ก. สามารถฟ้องเรียกให้ ข. โอนบ้านมาให้ ก. ได้ และสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก อ. ได้ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2550

 

ข้อ 2. นายแดงเป็นตัวแทนค้าต่างขายรถยนต์มือสองทุกยี่ห้อ นายดําได้นํารถยนต์ของตนหนึ่งคันไปฝากนายแดงขายในราคา 400,000 บาท โดยตกลงกันว่าถ้าขายรถยนต์คันดังกล่าวได้จะให้ค่าบําเหน็จ แก่นายแดงจํานวน 20,000 บาท ปรากฏว่านายแดงได้นํารถยนต์คันนั้นไปขายให้แก่นายเขียวในราคา 430,000 บาท และนอกจากนี้เงินที่ขายรถยนต์ได้ยังไม่ยอมส่งมอบให้แก่นายดําโดยนําไปใช้เพื่อ ประโยชน์ส่วนตัวของตน ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าเงินที่ขายรถยนต์ได้สูงกว่าที่นายดํากําหนด นายแดง จะถือเอาเงินส่วนที่ขายเกินเป็นของตนได้หรือไม่ และเงินส่วนที่ไม่ยอมส่งมอบให้แก่นายดํา นายแดงจะต้องรับผิดต่อนายดําหรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 811 “ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจการของตัวการ นั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้”

มาตรา 833 “อันว่าตัวแทนค้าต่าง คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทําการซื้อ หรือ ขายทรัพย์สิน หรือรับจัดทํากิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ”

มาตรา 835 “บทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยตัวแทนนั้น ท่านให้ใช้ บังคับถึงตัวแทนค้าต่างด้วยเพียงที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติในหมวดนี้”

มาตรา 840 “ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทําการขายได้ราคาสูงกว่าที่ตัวการกําหนด หรือทําการซื้อได้ ราคาต่ำกว่าที่ตัวการกําหนดไซร้ ท่านว่าตัวแทนหาอาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนได้ไม่ ต้องคิดให้แก่ตัวการ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดําได้นํารถยนต์ของตนหนึ่งคันไปฝากนายแดงซึ่งเป็นตัวแทน ค้าต่างขายในราคา 400,000 บาท โดยตกลงกันว่าถ้าขายรถยนต์คันดังกล่าวได้จะให้ค่าบําเหน็จแก่นายแดงจํานวน 20,000 บาท แต่นายแพได้ขายให้แก่นายเขียวในราคา 430,000 บาท ซึ่งเป็นราคาขายที่สูงกว่าที่นายดํากําหนดไว้ 30,000 บาทนั้น เงินส่วนที่เกินนี้นายแดงตัวแทนค้าต่างจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนไม่ได้ ต้องคิดให้แก่ตัวการ ตามมาตรา 840 คือต้องส่งมอบเงินส่วนที่เกินนั้นให้แก่นายดําตัวการ

ส่วนเงินจํานวน 430,000 บาท ที่ขายรถยนต์ได้ นายแดงตัวแทนค้าต่างต้องส่งมอบให้แก่นายดํา ตัวการจงสิ้นตามมาตรา 835 ประกอบมาตรา 810 แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายแดงไม่ยอมส่งมอบให้แก่นายตํา แต่ได้นําเงินจํานวนดังกล่าวไปใช้สอยเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของตน จึงต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ ได้นําไปใช้ตามมาตรา 835 ประกอบมาตรา 811

สรุป

นายแดงจะถือเอาเงินส่วนที่ขายเกินเป็นของตนไม่ได้ และเงินส่วนที่ไม่ยอมส่งมอบ ให้แก่ดํา นายแดงจะต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้นําไปใช้

 

ข้อ 3. ก. กับ ข. ได้คบหาไปมาหาสู่กันมานานหลายปี ก. ชวน ข. ไปซื้อที่ดินมือเปล่าของนางต้อยซึ่งมีเนื้อที่ห้าสิบไร่ ในราคาห้าแสนบาท เมื่อซื้อมาแล้ว ข. มอบให้ ก. ขายที่ดินแปลงดังกล่าวในราคาไร่ละ หนึ่งหมื่นห้าพันบาท ถ้าขายได้ราคาเกินไปจากนี้ ส่วนที่เกินให้เป็นของ ก. เจอกันหลายครั้ง ก. บอก ข. ว่า ให้รอหน่อย มีผู้สนใจจะซื้อที่ดินหลายราย จนเวลาผ่านไปร่วมสองปี ข. ไปดูที่ดินที่ซื้อไว้ ปรากฏว่า มีบ้านปลูกสร้างอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าว หวลเจ้าของบ้านบอกกับ ข. ว่าตนซื้อที่ดินแปลงนี้มาจาก ก. เมื่อปีเศษที่ผ่านมาในราคาแปดแสนบาท ข. จะเรียกและบังคับเอากับ ก. ได้อย่างไรบ้างยกหลักกฎหมายประกอบคําตอบให้ชัดเจน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810 “เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเองแต่โดยฐานที่ทําการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น”

มาตรา 811 “ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจการของตัวการ นั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้”

มาตรา 812 “ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใด ๆ เพราะความประมาทเลินเล่อของตัวแทนก็ดี เพราะไม่ทําการเป็นตัวแทนก็ดี หรือเพราะทําการโดยปราศจากอํานาจหรือนอกเหนืออํานาจก็ดี ท่านว่าตัวแทน จะต้องรับผิด”

มาตรา 845 วรรคแรก “บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบําเหน็จแก่นายหน้า เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้า ทําสัญญาก็ดี จัดการให้ได้ทําสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบําเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทํากัน สําเร็จ เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น ถ้าสัญญาที่ได้ทํากันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับ ก่อนไซร้ ท่านว่าจะเรียกร้องบําเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสําเร็จแล้ว”

มาตรา 846 วรรคแรก “ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมาย ได้ว่าย่อมทําให้แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จไซร้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบําเหน็จนายหน้า”

มาตรา 849 “การรับเงินหรือรับชําระหนี้อันจะพึงชําระตามสัญญานั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อน ว่านายหน้าย่อมไม่มีอํานาจที่จะรับแทนผู้เป็นคู่สัญญา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ข. มอบให้ ก. ขายที่ดินนั้น ถือว่าโดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมาย ได้ว่าย่อมทําให้แต่เพื่อจะเอาค่าบําเหน็จ (มาตรา 846 วรรคแรก) โดยมีราคาส่วนที่ขายได้เกินเป็นค่าบําเหน็จนายหน้า (มาตรา 845 วรรคแรก)

เมื่อ ก. ได้ขายที่ดินให้แก่หวลในราคา 800,000 บาท ซึ่งตามข้อตกลงจะเป็นของ ข. จํานวน 750,000 บาท (50 x 15,000) ที่ ก. จะต้องส่งมอบให้แก่ ข. ตามมาตรา 810 วรรคแรก โดย ก. ไม่มีอํานาจรับแทน ข. (มาตรา 849) แต่อย่างไรก็ตามเมื่อ ก. ได้รับไว้ย่อมถือว่าได้รับไว้แทน ข. ซึ่ง ก. จะต้องส่งมอบให้แก่ ข. เมื่อ ก. ไม่ยอมส่งมอบแต่กลับนําไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตน ดังนี้ ก. จะต้องเสียดอกเบี้ยในจํานวนเงินนั้นนับแต่วันที่ได้ เอาไปใช้ตามมาตรา 811 และถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้น ก. ก็จะต้องรับผิดชอบต่อ ข. เพราะถือว่า ก. ไม่ทําการ เป็นตัวแทนตามมาตรา 812

สรุป

ข. สามารถเรียกให้ ก. ส่งมอบเงินจากการขายที่ดินจํานวน 750,000 บาท ให้แก่ตนได้ และยังสามารถเรียกเอาดอกเบี้ยในเงินนั้นได้ด้วย และในกรณีที่มีความเสียหายเกิดขึ้น ข. สามารถบังคับให้ ก. รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้

POL3300 การบริหารการคลัง 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา POL3300 การบริหารการคลัง

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1 ปัญหาสําคัญที่สุดในการบริหารการคลังคืออะไร

(1) ข้าราชการด้านการคลังมีอํานาจมาก

(2) การเก็บภาษีไม่เข้าเป้า

(3) ความล่าช้าในระบบราชการ

(4) การฉ้อราษฎร์บังหลวง

(5) วิกฤติการณ์แฮมเบอร์เกอร์

ตอบ 4 (คําบรรยาย) การบริหารการคลังไม่ว่าจะเป็นการบริหารในระดับมหภาค จุลภาค การบริหารที่เกี่ยวข้องกับรัฐวิสาหกิจ หรือการบริหารที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่นก็ตาม จะมีปัญหาหลัก ๆ ที่แทรกอยู่ ก็คือ ปัญหาในเรื่องของจริยธรรมที่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวงมากมาย ซึ่งเป็นปัญหาที่สําคัญที่สุดในการบริหารการคลังที่แก้ไขได้ยากที่สุดด้วย เพราะเป็นปัญหาที่มีมานาน

2 การบริหารการคลังระดับมหภาคหมายถึงข้อใด

(1) การบริหารพัสดุ

(2) การบริหารข้อมูลข่าวสารการคลัง

(3) การบริหารเงินนอกงบประมาณ

(4) การบริหารนโยบายการคลังการเงิน

(5) การบริหารทรัพย์สินแผ่นดิน

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข 0-3300-1 หน้า 4 – 5), (คําบรรยาย) การศึกษาการบริหารการคลังในแนวรัฐประศาสนศาสตร์หรือการบริหารรัฐกิจ แบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ

1 ระดับจุลภาค เป็นการศึกษาเรื่องการบริหารการคลังในแต่ละด้านโดยเฉพาะ เช่นการบริหารการจัดเก็บภาษีอากร การบริหารงบประมาณแผ่นดิน การบริหารหนี้สาธารณะการบริหารพัสดุ การบริหารบัญชีรัฐบาลและระบบข้อมูลข่าวสาร เป็นต้น

2 ระดับมหภาค เป็นการศึกษาเรื่องการบริหารนโยบายการคลังและการเงินโดยภาพรวม เช่น การบริหารนโยบายภาษีอากร การบริหารนโยบายงบประมาณ การบริหารนโยบายหนี้สาธารณะการบริหารนโยบายเงินคงคลัง เป็นต้น

3 ข้อใดไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการใช้นโยบายการคลังการเงิน

(1) การใช้หนี้สาธารณะ

(2) การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

(3) การพัฒนาเศรษฐกิจ

(4) การกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม

(5) การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข 0-3300-1 หน้า 22 – 26) วัตถุประสงค์หรือประโยชน์ของการใช้นโยบายการคลังการเงิน มีดังนี้

1 เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายในประเทศ คือ การใช้นโยบายเพื่อแก้ปัญหาเงินฝืด เงินเฟ้อ และการว่างงาน

2 เพื่อรักษาเสถียรภาพ ทางเศรษฐกิจกับต่างประเทศ คือ การใช้นโยบายเพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้า

3 เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ

4 เพื่อใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

5 เพื่อกระจายรายได้และทรัพย์สินอย่างเป็นธรรม

4 ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจหมายถึงอะไร

(1) เงินนอกงบประมาณ

(2) เงินกองทุนพิเศษ

(3) เงินฝากประจําของประชาชน

(4) ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่อยู่ในมือประชาชน

(5) เงินนอกงบประมาณ

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ หมายถึง

1 ธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่อยู่ในมือประชาชน

2 เงินที่ประชาชนนําไปฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์แบบฝากเผื่อเรียกและฝากออมทรัพย์แต่ทั้งนี้จะไม่รวมถึงเงินฝากประจํา เนื่องจากเป็นเงินฝากระยะยาวและไม่มีการหมุนเวียน

 

5 สาเหตุของเงินเฟ้อมีดังต่อไปนี้ ยกเว้น

(1) ปริมาณเงินในมือประชาชนมากเกินไป

(2) ต้นทุนวัตถุดิบแพง

(3) น้ำมันแพง

(4) การลงทุนมากเกินไป

(5) ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจากด้านอุปสงค์ควรแก้ปัญหาด้วยการลดปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจหรือในมือประชาชนให้น้อยลง โดยการนํานโยบายการคลังแบบเกินดุลและ การเพิ่มอัตราภาษีอากรมาใช้ควบคู่กับนโยบายการเงิน ส่วนการที่ปริมาณเงินในมือประชาชนน้อย แต่ราคาสินค้าแพงขึ้นนั้น ก็มีสาเหตุมาจากปัญหาเงินเฟ้อด้านอุปทาน คือ เกิดจากต้นทุน ที่ใช้ในการผลิตสินค้าและบริการสูงขึ้น เพราะวัตถุดิบและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตมีราคาแพงจึงทําให้ผู้ผลิตจําเป็นจะต้องเพิ่มราคาสินค้าและบริการขึ้นตามไปด้วย

 

6 ภาวะเงินฝืดเกิดจากอะไร

(1) น้ำมันแพง

(2) ค่าจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น

(3) ปริมาณเงินในมือประชาชนน้อย

(4) ต้นทุนวัตถุดิบแพง

(5) ปริมาณเงินในมือประชาชนมาก

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข n-3300-1 หน้า 23), (คําบรรยาย) ภาวะเงินฝืด หมายถึง ภาวะที่อุปสงค์ด้านสินค้าและบริการน้อยกว่าอุปทานด้านสินค้าและบริการ หรือเป็นภาวะที่มี ปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจน้อยเกินไป ทําให้เศรษฐกิจตกต่ำ สินค้าล้นตลาด และประชาชนว่างงาน ดังนั้นรัฐบาลควรแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบ เศรษฐกิจให้มากขึ้น โดยการนํานโยบายการคลังแบบขาดดุล (แบบขยายตัว) และการลดอัตรา ภาษีอากรมาใช้ควบคู่กับนโยบายการเงินดังต่อไปนี้

1 ซื้อพันธบัตรรัฐบาลคืนจากประชาชน

2 ลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์

3 ลดอัตราเงินสดสํารองของธนาคารพาณิชย์

4 ลดอัตราส่วนลดเพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยเงินกู้มากขึ้น ฯลฯ

 

7 การว่างงานแฝงหมายถึงอะไร

(1) การว่างงานเพราะมีเหตุผลส่วนตัว

(2) การทํางานแบบปิดทองหลังพระ

(3) การแกล้งทําเป็นว่างงาน

(4) การมีงานทําแต่ไม่ได้ทํางานอย่างเต็มที่

(5) การว่างงานหลังหมดหน้าทํานา

ตอบ 4 (คําบรรยาย) การว่างงานแฝง หมายถึง ภาวะของคนที่มีอาชีพแต่ไม่ค่อยทํางานหรือทํางานไม่เต็มที่ หรือเป็นภาระที่มีกําลังคนมากแต่มีผลงานน้อย เช่น ในการทํางานบางอย่างสามารถ ทําให้เสร็จได้โดยใช้คนทํางานเพียง 5 คน แต่มีคนร่วมงานอยู่ด้วย 15 คน แสดงว่ามีการ ว่างงานแฝงจํานวน 10 คน ดังนั้นวิธีการแก้ปัญหาการว่างงานแฝงสามารถทําได้โดยการใช้นโยบายการคลังแบบขาดดุลและการพัฒนาวิธีการศึกษาที่เน้นจิตสํานึกในการทํางาน

8 ถ้าเกิดภาวะเงินฝืด รัฐบาลควรใช้นโยบายอะไร

(1) นโยบายเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

(2) นโยบายเพิ่มอัตราเงินสดสํารอง

(3) นโยบายการคลังแบบขาดดุล

(4) นโยบายลดค่าเงินบาท

(5) นโยบายขายพันธบัตรรัฐบาล

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ

 

9 นโยบายใดใช้ในการแก้ปัญหาการขาดดุลการค้า

(1) การเพิ่มอัตราเงินสดสํารอง

(2) การลดค่าเงินบาท

(3) การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

(4) การลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก

(5) การซื้อพันธบัตรคืนจากประชาชน

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข 0-3300-1 หน้า 24 – 25), (คําบรรยาย) การขาดดุลการค้า หมายถึง ภาวะที่มีมูลค่าสินค้านําเข้ามากกว่ามูลค่าสินค้าส่งออก ซึ่งมาตรการในการแก้ปัญหา การขาดดุลการค้า มีดังนี้

1 ลดปริมาณสินค้านําเข้าให้น้อยลง โดยการใช้นโยบายต่าง ๆ เช่น นโยบายการคลังแบบเกินดุลและเพิ่มอัตราภาษีอากร นโยบายการเงินโดยการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ เพิ่มอัตราเงินสดสํารอง ขายพันธบัตรรัฐบาล นโยบายอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศโดยการลดค่าเงินบาท เป็นต้น

2 เพิ่มปริมาณสินค้าส่งออก โดยใช้นโยบายการคลัง เช่น การคืนอากรวัตถุดิบ ลดหรือยกเว้นภาษีอากรขาออกเพื่อให้ต้นทุนสินค้าส่งออกต่ำลง เป็นต้น

10 ถ้าลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก จะเกิดอะไรขึ้น

(1) การกระจายรายได้

(2) การว่างงาน

(3) การเพิ่มปริมาณเงินในมือประชาชน

(4) การลงทุนน้อยลง

(5) เสถียรภาพทางเศรษฐกิจดีขึ้น

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ

11 การที่รัฐบาลกู้เงินจากต่างประเทศ ทําให้เกิดสิ่งต่อไปนี้ ยกเว้น

(1) การลงทุน

(2) Capital in-flow

(3) หนี้สาธารณะ

(4) หนี้ภาคเอกชน

(5) การสร้างงาน

ตอบ 4 (คําบรรยาย) การที่รัฐบาลกู้เงินจากต่างประเทศจะทําให้เกิดสิ่งต่อไปนี้

1 การลงทุนในโครงการพื้นฐาน

2 เงินทุนไหลเข้าประเทศ (Capital in-flow)

3 หนี้สาธารณะ

4 การสร้างงานและรายได้แก่ประชาชน

12 นโยบายการคลังหมายถึงข้อใด

(1) นโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ

(2) นโยบายการเพิ่มลดอัตราดอกเบี้ย

(3) นโยบายการซื้อขายพันธบัตร

(4) นโยบายเพิ่มลดอัตราเงินสดสํารอง

(5) นโยบายเกี่ยวกับรายรับและรายจ่ายของภาครัฐ

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข 0-3300-1 หน้า 20 – 21) นโยบายการคลัง หมายถึง นโยบายที่เกี่ยวกับการกําหนดรายรับและรายจ่ายของรัฐบาล การดําเนินงานของรัฐวิสาหกิจ และหนี้สาธารณะ โดยใช้เครื่องมือการคลัง ได้แก่ ภาษีอากร งบประมาณแผ่นดิน (นโยบายงบประมาณสมดุล เกินดุล และขาดดุล) รัฐวิสาหกิจ และหนี้สาธารณะ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจและการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ

13 ข้อใดเป็นนโยบายการคลังแบบขาดดุล

(1) การเก็บภาษีอากรให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้

(2) การเพิ่มรายจ่ายของรัฐให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

(3) การลดอัตราเงินสดสํารอง

(4) การกําหนดให้รายรับของรัฐน้อยกว่ารายจ่ายของรัฐ

(5) การทําให้มูลค่าสินค้าออกมากกว่ามูลค่าสินค้าเข้า

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข n-3300-1 หน้า 21), (คําบรรยาย)นโยบายการคลัง แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1 นโยบายการคลังแบบสมดุล คือ นโยบายที่กําหนดให้รายรับของรัฐเท่ากับรายจ่ายของรัฐ

2 นโยบายการคลังแบบเกินดุล คือ นโยบายที่กําหนดให้รายรับของรัฐมากกว่ารายจ่ายของรัฐ

3 นโยบายการคลังแบบขาดดุล คือ นโยบายที่กําหนดให้รายรับของรัฐน้อยกว่ารายจ่ายของรัฐ

14 การเพิ่มอัตราเงินสดสํารองจะมีผลอย่างไร

(1) การเพิ่มเงินออมในธนาคารพาณิชย์

(2) การเพิ่มปริมาณเงินในมือประชาชน

(3) การลดปริมาณเงินในมือประชาชน

(4) การหาเงินนอกงบประมาณมากขึ้น

(5) การลงทุนมากขึ้น

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข n-3300-1 หน้า 23), (คําบรรยาย) อัตราเงินสดสํารอง หมายถึง เงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยหักจากธนาคารพาณิชย์เมื่อประชาชนนําเงินไปฝากไว้กับธนาคารพาณิชย์ โดยคิดเป็นร้อยละ ซึ่งถ้าธนาคารแห่งประเทศไทยมีนโยบายเพิ่มอัตราเงินสดสํารองจะมีผลทําให้ ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจและภาวะเงินเฟ้อลดลง และดุลการค้าดีขึ้น แต่ถ้ามีนโยบาย ลดอัตราเงินสดสํารองจะมีผลทําให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจและภาวะเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นและเกิดปัญหาการขาดดุลการค้า

15 ถ้ารัฐบาลมีนโยบายลดค่าเงินบาทจะทําให้เกิดอะไรขึ้น

(1) แก้ปัญหาเงินฝืด

(2) ลดการขาดดุลการค้า

(3) แก้ปัญหาเงินเฟ้อ

(4) ส่งสินค้าออกได้น้อยลง

(5) มูลค่าหนี้ในต่างประเทศน้อยลง

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

16 ถ้ารัฐบาลลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะเกิดอะไรขึ้น

(1) อัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะเพิ่มขึ้น

(2) การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ

(3) การลงทุนน้อยลง

(4) การเพิ่มปริมาณเงินในมือประชาชน

(5) การลดการผูกขาดในการขายสินค้า

ตอบ 4 (คําบรรยาย) การใช้นโยบายการเงินเพื่อควบคุมปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ

นโยบายการ เงิน เพื่อเพิ่มปริมาณเงิน นโยบายการเงินเพื่อลดปริมาณเงิน
– การซื้อพันธบัตรรัฐบาลคืนจากประชาชน – การขายพันธบัตรรัฐบาล
– การลดอัตราดอกเบี้ยเงินผ่ากและเงินกู้ – การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้
– การลดอัตราเงินสดสำรอง – การเพิ่มอัตราเงินสดสำรอง
– การลดอัตราส่วนลด – การเพิ่มอัตราส่วนลด

17 ทําไมรัฐบาลจึงขายพันธบัตร

(1) ลดปริมาณเงินในมือประชาชน

(2) เพิ่มเงินสดสํารอง

(3) ลดการขาดดุลการค้า

(4) เปิดเสรีการค้ามากขึ้น

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

18 ถ้าเกิดภาวะเงินเฟ้อ รัฐบาลควรใช้นโยบายอะไร

(1) นโยบายลดค่าเงินบาท

(2) นโยบายลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

(3) นโยบายการคลังแบบสมดุล

(4) นโยบายการคลังแบบขาดดุล

(5) นโยบายการคลังแบบเกินดุล

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข n-3300-1 หน้า 23), (คําบรรยาย) ภาวะเงินเฟ้อที่เกิดจากด้านอุปสงค์ควรแก้ปัญหาด้วยการลดปริมาณเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจหรือในมือประชาชนให้น้อยลง โดยการนํานโยบายการคลังแบบเกินดุลและการเพิ่มอัตราภาษีอากรมาใช้ควบคู่กับนโยบายการเงิน ดังต่อไปนี้

1 ขายพันธบัตรหรือหลักทรัพย์ของรัฐให้ประชาชน

2 เพิ่มอัตราเงินสดสํารอง ของธนาคารพาณิชย์

3 เพิ่มอัตรารับช่วงซื้อลดตั๋วเงินที่ธนาคารพาณิชย์จะนํามาขายให้แก่ ธนาคารกลาง 4 ควบคุมการซื้อขายเงินผ่อน

5 ควบคุมการปล่อยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์

6 ควบคุมตลาดเงินนอกระบบ

7 เพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์

19 ถ้าภาคเอกชนใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ รัฐบาลควรใช้นโยบายใด

(1) เพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้

(2) ขายพันธบัตรรัฐบาล

(3) ลดค่าเงินบาท

(4) เก็บภาษีในอัตราสูง

(5) แจกเช็คช่วยชาติ

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข n-3300-1 หน้า 25 – 26), (คําบรรยาย) นโยบายการคลังการเงินที่ช่วยส่งเสริมให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ มีดังนี้

1 ใช้มาตรการให้สิทธิพิเศษทาง ภาษีหรือให้สินเชื่อในอัตราดอกเบี้ยต่ำกับกิจกรรมที่ไม่ทําให้เกิดต้นทุนทางสังคมหรือก่อให้เกิด ผลทางลบแก่ส่วนรวมน้อย

2 ใช้มาตรการเก็บภาษีในอัตราสูง ถ้าเอกชนใช้ทรัพยากรอย่างไม่มีประสิทธิภาพ หรือดําเนินกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษแก่ส่วนรวม

20 การแปรรูปรัฐวิสาหกิจหมายความว่าอะไร

(1) การนํารัฐวิสาหกิจไปเข้าตลาดหลักทรัพย์

(2) การขายกิจการที่มีกําไรให้ภาคเอกชน

(3) การเปลี่ยนวิธีการทํางานราชการให้มีลักษณะแบบเอกชนมากขึ้น

(4) การทําให้รัฐวิสาหกิจแสวงหากําไรมากขึ้น

(5) การปรับโครงสร้างของรัฐวิสาหกิจให้เป็นแบบราชการมากขึ้น

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข n-3300-1 หน้า 58), (คําบรรยาย) การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (Privatization)คือ กระบวนการต่าง ๆ ที่จะลดบทบาทของภาครัฐหรือกิจการภาครัฐที่มีต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แล้วทําการเพิ่มบทบาทการบริหารจัดการภาคเอกชนให้มากขึ้น ซึ่งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั้น มีอยู่หลายวิธีด้วยกัน เช่น การให้เอกชนเข้ามาดําเนินการแบบครบวงจร (Contracting Out), การให้เอกชนทําสัญญาเช่า (Leasing), การให้สัมปทานแก่เอกชน (Franchising), การร่วมทุน ระหว่างรัฐกับเอกชน (Joint Venture), การขายกิจการให้เอกชน, การกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น

21 ข้อใดเป็นภาษีทางอ้อม

(1) ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา

(2) ภาษีที่ดิน

(3) ภาษีโรงเรือน

(4) ภาษีมรดก

(5) ภาษีบุหรี่

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข n-3300-1 หน้า 29), (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 11), (คําบรรยาย) การจําแนกประเภทภาษีอากรตามหลักการผลักภาระภาษี แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 ภาษีทางตรง เป็นภาษีที่ผู้เสียภาษีไม่สามารถผลักภาระภาษีไปให้ผู้อื่นได้หรือผลักภาระได้ยาก เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีการประกันสังคม ภาษีมรดกภาษีมูลค่าเพิ่มของทรัพย์สิน เป็นต้น

2 ภาษีทางอ้อม เป็นภาษีที่ผู้เสียภาษีสามารถผลักภาระภาษีไปให้ผู้อื่นได้ เช่น ภาษีสรรพสามิตภาษีศุลกากร ภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าและบริการ ภาษีการขายทั่วไป ภาษีการใช้จ่าย อากรมหรสพ ค่าใบอนุญาต เป็นต้น

22 ภาษีประเภทใดไม่สามารถผลักภาระภาษีได้

(1) ภาษีน้ำมัน

(2) อากรมหรสพ

(3) ภาษีรายได้บุคคลธรรมดา

(4) ภาษีบุหรี

(5) ภาษีสุรา

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

23 ข้อใดไม่ใช่อุปสรรคสําคัญในการทําให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีอากร

(1) นโยบายการคลัง

(2) การหลบเลี่ยงภาษี

(3) การขาดกฎหมายรองรับ

(4) การขาดประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี

(5) การฉ้อราษฎร์บังหลวง

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข n-3300-1 หน้า 28), (คําบรรยาย) ความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีจะเกิดขึ้นได้ต้องมีเงื่อนไขต่อไปนี้

1 ต้องมีกฎหมายรองรับ

2 ต้องมีการจัดเก็บภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ

3 ต้องไม่มีการหลบหลีกหรือหลีกเลี่ยงภาษี

4 ต้องไม่มีการทุจริตคอร์รัปชั่น

24 ทําไมรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงใช้นโยบาย “เช็คช่วยชาติ”

(1) เพื่อแก้ปัญหาการว่างงาน

(2) เพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ

(3) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

(4) เพื่อลดการขาดดุลการค้า

(5)เพื่อส่งเสริมการค้าเสรี

ตอบ 3 (คําบรรยาย) โครงการที่รัฐบาลใช้ในการเพิ่มปริมาณเงินในมือประชาชน เพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ โครงการ SMEs โครงการเช็คช่วยชาติ โครงการกองทุนหมู่บ้านโครงการ SML เป็นต้น

25 โครงการต้นกล้าอาชีพของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาอะไร

(1) กระจายรายได้

(2) เงินเฟ้อ

(3) ว่างงานแฝง

(4) การว่างงาน

(5) วิกฤติการณ์แฮมเบอร์เกอร์

ตอบ 4 (คําบรรยาย) โครงการต้นกล้าอาชีพ เป็นโครงการฝึกอบรมอาชีพและสร้างงานให้แก่ผู้ว่างงานผู้กําลังจะถูกเลิกจ้างงาน และนักศึกษาจบใหม่ โดยมีจุดมุ่งหมายในการแก้ปัญหาการว่างงาน อันเนื่องมาจากภาวะวิกฤติเศรษฐกิจหดตัว อีกทั้งเป็นการสนับสนุนการสร้างอาชีพอิสระเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจระดับฐานรากในชุมชน 26 การที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีนโยบายกู้เงินมาใช้ในการพัฒนาประเทศจะทําให้เกิดอะไรตามมา

(1) การขาดดุลการค้า

(2) เงินฝืด

(3) เงินเฟ้อ

(4) หนี้ภาคเอกชน

(5) หนี้สาธารณะ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

27 การตรวจสอบความถูกต้องในการจัดซื้อจัดจ้างในระบบราชการเป็นหน้าที่ของหน่วยงานใด

(1) สสส.

(2) สตง.

(3) ปปส.

(4) กกต.

(5) สศช.

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข n-3300-1 หน้า 44), (เอกสารหมายเลข 0-3300-2 หน้า 20, 62 – 63)สํานักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) มีหน้าที่ในการตรวจสอบความถูกต้องของการใช้จ่ายเงิน ตรวจสอบรายละเอียดของการใช้จ่ายและตรวจบัญชีทางการเงินของหน่วยงานต่าง ๆ ตรวจสอบ รับรองงบการเงิน ตรวจสอบสืบสวนในกรณีที่มีการร้องเรียนและตรวจสัญญาจัดซื้อจัดจ้างของ ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ และการปฏิบัติงานของหน่วยราชการต่าง ๆ โดยแยกการตรวจสอบ ออกเป็น 2 ระดับ คือ การตรวจสอบระดับหน่วยงานและการตรวจสอบระดับรัฐบาล

28 การจ้างบริษัททําความสะอาดมาทํางานในส่วนราชการ เป็นวิธีการที่เรียกว่าอะไร

(1) Franchising

(2) Joint Venture

(3) Leasing

(4) Contracting Out

(5) Decentralization

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 20. ประกอบ

29 การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน เป็นวิธีการที่เรียกว่าอะไร

(1) Leasing

(2) Joint Venture

(3) Franchising

(4) Decentralization

(5) Contracting Out

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 20. ประกอบ

30 Hybrid Financing หมายถึงอะไร

(1) การบริหารการคลังโดยผสมผสานระหว่างวิธีการแบบราชการกับเอกชน

(2) การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ

(3) การกระจายอํานาจการคลังสู่ท้องถิ่น

(4) การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน

(5) การสร้างเสถียรภาพทางการคลัง

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข 0-3300-1 หน้า 55), (คําบรรยาย) ระบบการบริหารงานคลังสมัยใหม่(Hybrid Financing) คือ การปฏิรูปการบริหารการคลังภาครัฐให้มีการทํางานผสมผสานกับ เอกชนหรือเป็นแบบเอกชนมากขึ้น เช่น การดําเนินการแบบครบวงจร (Contracting Out), การให้เอกชนทําสัญญาเช่า (Leasing), การให้สัมปทานแก่เอกชน (Franchising), การร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชน (Joint Venture) เป็นต้น

31 ข้อใดไม่เกี่ยวกับ Privatization

(1) Franchising

(2) Contracting Out

(3) Leasing

(4) Nationalization

(5) Joint Venture

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 20, และ 30. ประกอบ

32 Flat Rate หมายถึงอะไร

(1) อัตราภาษีที่เกี่ยวกับการสร้างอาคารแฟลต

(2) อัตราภาษีแบบก้าวหน้า

(3) อัตราภาษีแบบถดถอย

(4) อัตราภาษีที่ดิน

(5) อัตราภาษีคงที่

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข n-3300-1 หน้า 27), (คําบรรยาย) ทฤษฎีความเป็นธรรมในการจัดเก็บภาษีอากร แบ่งออกเป็น 2 ทฤษฎี คือ

1 ทฤษฎีความเป็นธรรมสัมบูรณ์ เน้นการจัดเก็บภาษี จากทุกคนที่ต้องเสียภาษีในอัตราที่เท่ากันหมดไม่ว่าจะมีฐานภาษีต่างกันหรือไม่ โดยใช้อัตราภาษี แบบคงที่หรืออัตราภาษีตามสัดส่วน (Flat Tax Rate หรือ Proportional Tax Rate) 2 ทฤษฎีความเป็นธรรมสัมพัทธ์ เน้นการจัดเก็บภาษีจากทุกคนที่ต้องเสียภาษีในอัตราที่ แตกต่างกันตามสัดส่วนของประโยชน์ที่ได้รับจากรัฐ หรือตามความสามารถในการเสียภาษีของตน โดยใช้อัตราภาษีแบบก้าวหน้า (Progressive Tax Rate)

33 ข้อใดเป็นฐานภาษี

(1) อัตราภาษี

(2) ภาระภาษี

(3) มรดก

(4) งบประมาณ

(5) เงินคงคลัง

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 12), (คําบรรยาย) การจําแนกประเภทภาษีอากรตามลักษณะของฐานภาษี แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

1 ภาษีที่เก็บจากเงินได้ (รายได้) เป็นการนําเอารายได้มาใช้เป็นฐานในการประเมินภาษี เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภาษีบุคคลธรรมดา) มี “เงินได้หรือรายได้สุทธิ” เป็นฐานภาษี ภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภาษีนิติบุคคล) มี “กําไรสุทธิ” เป็นฐานภาษี ภาษีมูลค่าเพิ่มของ ทรัพย์สินมี “มูลค่าเพิ่ม” เป็นฐานภาษี เป็นต้น

2 ภาษีที่เก็บจากทรัพย์สิน เป็นการนําเอาทรัพย์สินมาใช้เป็นฐานในการประเมินภาษี เช่น กา ภาษีมรดก ภาษีบํารุงท้องที่ ภาษีโรงเรือนและที่ดิน เป็นต้น

3 ภาษีที่เก็บจากโภคภัณฑ์ เป็นการนําเอาค่าใช้จ่ายในการบริโภคสินค้าและบริการมาใช้เป็นฐานในการประเมินภาษี เช่น ภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร (มี “มูลค่าการนําเข้า” เป็นฐานภาษี)ภาษีการค้า (มี “รายรับหรือยอดขาย” เป็นฐานภาษี) ภาษีการขาย ภาษีการใช้จ่าย เป็นต้น

34 การที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ตั้งเป้าการส่งออกไว้ 15% แต่ทําได้จริงเพียง 7% อาจทําให้เกิด ผลกระทบอะไรตามมา

(1) การว่างงานจะสูงขึ้น

(2) สินค้าเข้าจะมากขึ้น

(3) ค่าเงินบาทจะลดลง

(4) ภาษีส่งออกจะเพิ่มขึ้น

(5) เงินทุนหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น

ตอบ 1 (คําบรรยาย) นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ได้เปิดเผยในการสัมมนา 1 ปียิ่งลักษณ์กับอนาคตเศรษฐกิจไทย โดยยอมรับว่าตัวเลขการส่งออกในปี พ.ศ. 2555 ที่ตั้งไว้ 15% อาจทําได้จริง เพียง 7% โดยอ้างว่าเป็น “White lie” หรือ “โกหกสีขาว” เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนซึ่งผลกระทบจากเรื่องดังกล่าวอาจทําให้เกิดปัญหาการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นตามมา

35 การที่สินค้าในประเทศมีราคาแพงในปัจจุบัน น่าจะเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้ ยกเว้นข้อใด

(1) นโยบายค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ 300 บาท

(2) นโยบายเงินเดือนปริญญาตรีขั้นต้น 15,000 บาท

(3) ต้นทุนวัตถุดิบราคาแพงขึ้น

(4) ราคาน้ำมันแพงขึ้น

(5) ความรู้สึกของประชาชน

ตอบ 5 (คําบรรยาย) การที่สินค้าในประเทศมีราคาแพงในปัจจุบันนั้นเกิดจากปัญหาด้านอุปทาน คือต้นทุนที่ใช้ในการผลิตสินค้าของผู้ผลิตสูงขึ้น ซึ่งมีสาเหตุมาจากนโยบายการขึ้นค่าจ้างแรงงาน ขั้นต่ำ 300 บาท และเงินเดือนปริญญาตรีขั้นต้น 15,000 บาท รวมทั้งราคาต้นทุนวัตถุดิบและน้ำมันมีราคาแพงขึ้น จึงส่งผลให้ผู้ผลิตจําเป็นจะต้องเพิ่มราคาสินค้าให้แพงขึ้นตามไปด้วย

36 หลักการเก็บภาษีแบบใดที่ใช้ในประเทศไทย

(1) หลักถิ่นที่อยู่

(2) หลักแหล่งเงินได้

(3) หลักถิ่นที่อยู่และหลักแหล่งเงินได้

(4) หลักสัญชาติ

(5) หลักถิ่นที่อยู่และหลักสัญชาติ

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข n-3300-1 หน้า 27), (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 16)หลักการจัดเก็บภาษีอากรที่ใช้กันในปัจจุบันมี 3 หลักการ ดังนี้ 1 หลักถิ่นที่อยู่ คือ บุคคลผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศใดต้องเสียภาษีให้แก่ประเทศนั้น ซึ่งในกรณีของ ประเทศไทยบุคคลใดอยู่ในประเทศไทยครบ 180 วัน ให้ถือว่าเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย

2 หลักแหล่งเงินได้ คือ ผู้มีเงินได้จากแหล่งประเทศใด ก็ต้องเสียภาษีให้แก่ประเทศนั้น

3 หลักสัญชาติ คือ บุคคลที่ถือสัญชาติใดก็ให้เสียภาษีแก่ประเทศนั้น อนึ่งสําหรับประเทศไทยจะใช้หลักถิ่นที่อยู่และหลักแหล่งเงินได้เท่านั้น

37 หลักความเป็นธรรมสัมพัทธ์หมายถึงอะไร

(1) การเก็บภาษีโดยเปรียบเทียบสัดส่วนจากการได้ประโยชน์จากรัฐ

(2) การเก็บภาษีจากทุกคนที่ต้องเสียภาษีในอัตราเท่ากันหมด

(3) การกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม

(4) การใช้อัตราภาษีคงที่

(5) การคืนภาษีโครงการรถคันแรก 100,000 บาท

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 32. ประกอบ

38 การจัดทํางบประมาณแบบใดที่เน้นการวางแผนจากผู้ปฏิบัติ

(1) PPBS

(2) Line-Item Budgetary System

(3) ZBB

(4) Performance Budgetary System

(5) Budgetary Process

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 1 – 2, 29 – 30, 33, 36 – 37), (คําบรรยาย) งบประมาณแบบวางแผนวางโครงการ (Planning Programming Budgeting System : PPBS) เป็นระบบงบประมาณที่ในด้านการวางแผนวางโครงการโดยมุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ระยะยาว ระบบงบประมาณแบบนี้จะมีการวางแผนงานให้สอดคล้องกับนโยบายและตั้งวงเงินงบประมาณ ตามแต่ละแผนงาน มีการกําหนดยอดวงเงินงบประมาณโดยใช้หลักความพึงพอใจผสมกับหลัก เหตุผล (Limited Rationality หรือ Mixed Scanning) มีการแบ่งเงินงบประมาณออกตาม โครงสร้างแผนงานหรือโครงการ (Program Structure) มีการใช้เทคนิคการวิเคราะห์ระบบ (System Analysis) ในการวิเคราะห์โครงการเพื่อศึกษาถึงโครงสร้างแผนงานหรือโครงการที่ จัดทําว่ามีความสัมพันธ์กับโครงการใด ๆ บ้าง มีการวิเคราะห์โครงการ (Program Analysis) เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างนโยบายสาธารณะ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์ในการ วางแผนวางโครงการของหน่วยงาน มีการกําหนดตัวบ่งชี้หรือวัดความสําเร็จตามเป้าหมายของ แผนงานหรือโครงการเพื่อการติดตามประเมินผล และที่สําคัญระบบนี้จะต้องมีการจัดทําแผนงานและแผนทางการเงินระยะยาว (อาจเป็น 3 ปี หรือ 5 ปี) เพื่อประกอบการจัดทําโครงการด้วย

39 การจัดทํางบประมาณแบบใดที่เน้นความสอดคล้องระหว่างนโยบายกับแผนงาน (1) Budgetary Process

(2) ZBB

(3) Performance Budgetary System

(4) Line-Item Budgetary System

(5) PPBS

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ

40 ข้อใดหมายถึง “ผลต่างตอบแทน”

(1) Hybrid Financing

(2) Leasing

(3) Quid Pro Quo

(4) Joint Venture

(5) Contracting Out

ตอบ 3 (คําบรรยาย) Quid Pro Quo หมายถึง ผลต่างตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุน เช่น เมื่อรัฐบาลจ่ายเงินออกไป รัฐบาลก็ต้องได้รับสิ่งตอบแทนกลับมาจากภาคเอกชน ซึ่งอาจจะได้รับมาในรูปของค่าบริการ ภาษี กําไร เป็นต้น

41 วัตถุประสงค์การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพราะ

(1) เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย

(2) เพื่อการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

(3) เพื่อสนองนโยบายของรัฐ

(4) เพื่อควบคุมการบริโภค

(5) เพื่อการกระจายรายได้

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 9 – 10), (คําบรรยาย) วัตถุประสงค์ในการจัดเก็บภาษีอากร มีดังนี้

1 เพื่อการหารายได้มาใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ของรัฐ เช่น การจัดเก็บภาษีที่ต้องพิจารณาถึงหลักความพอดี มิใช่เก็บให้มากไว้เผื่อขาดเผื่อเหลือ

2 เพื่อการกระจายรายได้ โดยรัฐจะกําหนดอัตราภาษีในการจัดเก็บไว้โดยคํานึงถึงความสามารถของผู้เสียภาษีเป็นหลัก

3 เพื่อการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยการลดอัตราภาษีหรือการกําหนดอัตราภาษีบางอย่างใหม่ เช่น การยกเว้นภาษีดอกเบี้ย การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

4 เพื่อควบคุมการบริโภคของประชาชน เช่น การจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจากสินค้าที่เป็นภัยต่อสุขภาพของประชาชน หรือจากสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้นจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องเสียอยู่แล้ว

5 เพื่อสนองนโยบายบางอย่างของรัฐ เช่น นโยบายการลดภาษีสรรพสามิต 1 แสนบาทสําหรับการซื้อรถยนต์คันแรก นโยบายการควบคุมจํานวนประชากร โดยการกําหนดให้ มีการนับจํานวนบุตรของผู้ที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อนําไปพิจารณาหักลดหย่อนในการเสียภาษี ฯลฯ

42 กระทรวงใดที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน ปีงบประมาณ 2559 มากที่สุด

(1) กระทรวงศึกษาธิการ

(2) กระทรวงมหาดไทย

(3) กระทรวงกลาโหม

(4) กระทรวงการคลัง

(5) กระทรวงพาณิชย์

ตอบ 1 (ความรู้ทั่วไป) ปีงบประมาณ 2559 รัฐบาลได้ดําเนินนโยบายการจัดทํางบประมาณแบบขาดดุล โดยได้กําหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายจํานวน 2.72 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน ร้อยละ 20.4 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยกระทรวงที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินมากที่สุด คือ กระทรวงศึกษาธิการ

43 “มูลค่าการนําเข้า” เป็นฐานภาษี (Tax Base) ของภาษีประเภทใด

(1) ภาษีศุลกากร

(2) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

(3) ภาษีเงินได้นิติบุคคล

(4) ภาษีมูลค่าเพิ่มของทรัพย์สิน

(5) ภาษีสรรพสามิต

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ

44 ภาษีที่เก็บจากโภคภัณฑ์ (Tax on Commodities) ยกเว้น

(1) ภาษีการขาย

(2) ภาษีทรัพย์สิน

(3) ภาษีสรรพสามิต

(4) ภาษีศุลกากร

(5) ภาษีการใช้จ่าย

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ

45 “การกู้หนี้สาธารณะเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อและเงินฝืด” คือข้อใด

(1) การก่อหนี้เพื่อการพัฒนาประเทศ

(2) การก่อหนี้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

(3) การก่อหนี้เพื่อชดเชยงบประมาณขาดดุล

(4) การก่อหนี้เพื่อการสงคราม

(5) การก่อหนี้เพื่อเป็นเงินสดสํารองในการบริหาร

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 37 – 38), (คําบรรยาย) วัตถุประสงค์ของการก่อหนี้สาธารณะมีดังนี้

1 เพื่อการพัฒนาประเทศ หรือเรียกว่า “หนี้ที่ก่อให้เกิดมูลค่าตอบแทน” (Reproductive Debt) เป็นการกู้เงินมาลงทุนในโครงการสาธารณะเพื่อพัฒนาประเทศให้เกิดความก้าวหน้า เช่นร่าง พ.ร.บ. กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อพัฒนาระบบการคมนาคมของรัฐบาล

2 เพื่อการสงคราม หรือเรียกว่า “หนี้ที่ไม่สร้างสรรค์” (Dead Weigh Debt) เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิตอะไร

3 เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ คือ การกู้เงินเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อและเงินฝืด 4 เพื่อชดเชยงบประมาณขาดดุล คือ การกู้เงินมาเพื่อตั้งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจําปี

5 เพื่อปรับปรุงโครงสร้างการชําระหนี้ คือ การกู้หนี้ใหม่มาชําระหนี้เก่า (Refinance) เช่น การกู้เงินที่ดอกเบี้ยถูกมาชําระหนี้เงินกู้ที่ดอกเบี้ยแพง ฯลฯ

46 ตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณได้กําหนดให้กระทรวงการคลังมีอํานาจกู้หนี้สาธารณะเพื่อชดเชยงบประมาณขาดดุลไม่เกินร้อยละเท่าไร

(1) ไม่เกินร้อยละ 10 ของงบประมาณรายจ่ายประจําปีนั้น ๆ บวกกับอีกร้อยละ 90 ของงบประมาณซึ่งตั้งไว้เพื่อชําระหนี้คืน

(2) ไม่เกินร้อยละ 20 ของงบประมาณรายจ่ายประจําปีนั้น ๆ บวกกับอีกร้อยละ 80 ของงบประมาณซึ่งตั้งไว้เพื่อชําระหนี้คืน

(3) ไม่เกินร้อยละ 30 ของงบประมาณรายจ่ายประจําปีนั้น ๆ บวกกับอีกร้อยละ 70 ของงบประมาณซึ่งตั้งไว้เพื่อชําระหนี้คืน

(4) ไม่เกินร้อยละ 40 ของงบประมาณรายจ่ายประจําปีนั้น ๆ บวกกับอีกร้อยละ 60 ของงบประมาณซึ่งตั้งไว้เพื่อชําระหนี้คืน

(5) ไม่เกินร้อยละ 50 ของงบประมาณรายจ่ายประจําปีนั้น ๆ บวกกับอีกร้อยละ 50 ของงบประมาณซึ่งตั้งไว้เพื่อชําระหนี้คืน

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข 0-3300-3 หน้า 41) เงื่อนไขเกี่ยวกับการกู้ยืมและการชําระหนี้สาธารณะของกระทรวงการคลัง มีดังนี้

1 พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ กําหนดให้ การกู้หนี้สาธารณะเพื่อชดเชยการขาดดุลของงบประมาณประจําปี จํานวนเงินกู้จะต้องไม่เกินร้อยละ 20 ของงบประมาณรายจ่าย ประจําปีนั้น ๆ บวกกับอีกร้อยละ 80 ของจํานวนเงินงบประมาณที่ตั้งไว้สําหรับการชําระหนี้คืนต้นเงินกู้

2 มติคณะรัฐมนตรี กําหนดให้ การกู้เงินจากต่างประเทศ จํานวนเงินกู้สูงสุดในแต่ละปีจะต้องไม่เกิน 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา

3 มติคณะรัฐมนตรี กําหนดให้ การชําระหนี้คืนเงินต้นและดอกเบี้ยเงินกู้ต่างประเทศจะต้องชําระคืนไม่เกินร้อยละ 9 ของเงินตราต่างประเทศซึ่งประเทศไทยหาได้ในแต่ละปี

47 หน่วยงานที่มีอํานาจออกกฎหมายบังคับการจัดเก็บภาษีคือ

(1) รัฐสภา

(2) วุฒิสภา

(3) สภาผู้แทนราษฎร

(4) กระทรวงการคลัง

(5) สํานักนายกรัฐมนตรี

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข 0-3300-3 หน้า 9) ภาษีอากรเป็นกฎหมาย มีผลบังคับใช้กับประชาชนทุกคนโดยหน่วยงานที่มีอํานาจออกกฎหมายบังคับจัดเก็บภาษีจากประชาชน ก็คือ รัฐสภา

48 นโยบายข้อใดของรัฐบาลฯ ยิ่งลักษณ์ อาจทําให้มีการเลิกจ้างพนักงานทันทีไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน

(1) การขึ้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

(2) การขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล

(3) การไม่ปรับลดภาษีสรรพสามิต

(4) การปรับค่าจ้างขั้นต่ำ

(5) การไม่ปรับค่าแรงและเงินเดือนทั้งระบบ

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ประธานสภาอุตสาหกรรมภาคกลาง กล่าวว่า หากรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรมีนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในอัตราใหม่นั้น อาจทําให้โรงงานอุตสาหกรรมในเขตภาคกลาง ต้องเลิกจ้างพนักงานทันทีไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน หรืออาจจะทําให้นายจ้างกับลูกจ้างตกลงที่จะจ่ายค่าจ้างต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งนับว่าผิดกฎหมาย

49 ภาษีประเภทใดที่รัฐบาลให้ถือเป็นภาระหน้าที่โดยตรงของกองทุนน้ำมัน

(1) ภาษีสรรพสามิต

(2) ภาษีนำเข้ากองทุนน้ำมัน

(3) ภาษีส่งออกน้ำมัน

(4) ภาษีเงินได้นิติบุคคล

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 (คําบรรยาย) รัฐบาลกําหนดให้กองทุนน้ำมัน (Oil Fund) มีภาระหน้าที่โดยตรงในการจัดเก็บภาษีนําเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงชนิดต่าง ๆ ด้วยการพิจารณากําหนดอัตราภาษีให้อยู่ในระดับไม่ต่ำกว่าอัตราภาษีต่ำสุดและไม่สูงกว่าภาษีสูงสุด

50 หน่วยงานที่ทําหน้าที่หาแหล่งเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจ

(1) สํานักงบประมาณ

(2) ธนาคารแห่งประเทศไทย

(3) สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง

(4) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

(5) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข n-3300-1 หน้า 10, 44) สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง (Fiscal Policy Office) มีหน้าที่ในการศึกษา ค้นคว้า วิเคราะห์วิจัย ให้คําแนะนําและปรึกษาทางวิชาการแก่ ปลัดกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และมีส่วนร่วมในการกําหนดนโยบายและปฏิบัติการต่าง ๆ รวมทั้งหาแหล่งเงินกู้ให้รัฐวิสาหกิจ

51 หน่วยงาน “The Strong Executive” คือ

(1) สํานักงบประมาณ

(2) ธนาคารแห่งประเทศไทย

(3) สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง

(4) กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง

(5) สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข n-3300-1 หน้า 35 – 38), (คําบรรยาย) สํานักงบประมาณ เป็นหน่วยงานที่มีบทบาทและอิทธิพลมากที่สุดในกระบวนการงบประมาณแผ่นดินของไทย ทั้งนี้เนื่องจาก สํานักงบประมาณจะมีส่วนสําคัญตั้งแต่ขั้นตอนการจัดเตรียม การบริหาร จนกระทั่งถึงการควบคุม งบประมาณ ส่วนหน่วยงานอื่นเป็นเพียงแค่ส่งผู้แทนเข้าร่วมเท่านั้น จึงทําให้สํานักงบประมาณมีอํานาจมาก จนถือเป็นหน่วยงานที่เป็น The Strong Executive

52 “การกู้หนี้เพื่อตั้งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจําปี” คือวัตถุประสงค์ของการก่อหนี้สาธารณะข้อใด

(1) การก่อหนี้เพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้

(2) การก่อหนี้เพื่อเป็นเงินสดสํารองในการบริหาร

(3) การก่อหนี้เพื่อการพัฒนาประเทศ

(4) การก่อหนี้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

(5) การก่อหนี้เพื่อชดเชยงบประมาณขาดดุล

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 45. ประกอบ

53 “การกู้เงินที่ดอกเบี้ยถูกไปชําระหนี้ที่ดอกเบี้ยแพง” คือวัตถุประสงค์ของการก่อหนี้สาธารณะข้อใด

(1) การก่อหนี้เพื่อการพัฒนาประเทศ

(2) การก่อหนี้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

(3) การก่อหนี้เพื่อชดเชยงบประมาณขาดดุล

(4) การก่อหนี้เพื่อปรับปรุงโครงสร้างหนี้

(5) การก่อหนี้เพื่อเป็นเงินสดสํารองในการบริหาร

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 45. ประกอบ

54 หนี้สาธารณะประเภทใดที่มีระยะเวลาการชําระคืนตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป

(1) หนี้ระยะกลาง

(2) หนี้ระยะยาว

(3) หนี้ภายนอกประเทศ

(4) หนี้ระยะสั้น

(5) หนี้ระยะสั้นที่ต่อเนื่องกับหนี้ระยะกลาง

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข 0-3300-3 หน้า 38) ประเภทของหนี้สาธารณะซึ่งแบ่งตามระยะเวลาการมีดังนี้

1 หนี้ระยะสั้น มีระยะเวลาการชําระคืนไม่เกิน 1 ปี

2 หนี้ระยะปานกลาง มีระยะเวลาการชําระคืนตั้งแต่ 1 – 5 ปี ซึ่งรัฐบาลมักกู้มาใช้กับโครงการที่ให้ผลตอบแทนเร็ว

3 หนี้ระยะยาว มีระยะเวลาการชําระคืนตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป ซึ่งรัฐบาลมักกู้มาใช้กับโครงการ ที่มีความเสี่ยงสูง

55 หน่วยงานที่มีการพัฒนาระบบงานผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็น Work Station แบบ Online Real Time ข้อใดถูกต้อง

(1) กรมศุลกากร

(2) กรมสรรพากร

(3) กรมสรรพสามิต

(4) กรมการขนส่งทางบก

(5) การท่าอากาศยาน

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ศิโรตม์ สวัสดิ์พาณิชย์ ได้เสนอนโยบายและแนวทางการทํางานของกรมสรรพากร ดังนี้

1 บทบาทใหม่ของกรมสรรพากรจะเน้นการสร้างวัฒนธรรมองค์การใหม่ที่เป็นพันธมิตรกับภาคเอกชน

2 ปรับเปลี่ยนทัศนคติของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรให้สอดคล้องกับแนวทางการทํางานรูปแบบใหม่

3 พัฒนาระบบงานผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็น Work Station แบบ Online Real Time

56 “Ownership” หมายถึง

(1) การเก็บภาษีล่วงหน้า

(2) กําหนดการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี

(3) การกํากับดูแลผู้เสียภาษีตามกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจ

(4) กระบวนการตรวจสอบภาษีของกรมสรรพากร

(5) คณะบุคคลที่เป็นนิติบุคคล

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 27 – 28) กรมสรรพากรได้กําหนดกลยุทธ์การพัฒนาระบบการจัดเก็บภาษีอากรโดยใช้นโยบายการกํากับดูแลผู้เสียภาษีอากรอย่างใกล้ชิดเป็น รายผู้ประกอบการ ซึ่งเป็นแนวทางการจัดเก็บภาษีโดยให้มีเจ้าหน้าที่รับผิดชอบในลักษณะ เป็น Ownership คือ การกํากับดูแลผู้เสียภาษีอากรตามกลุ่มของการประกอบธุรกิจ (กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจ) ตั้งแต่การให้คําแนะนําอย่างใกล้ชิด การติดตามดูแลผู้เสียภาษีอากร โดยไม่เน้นการตรวจสอบย้อนหลัง แต่ให้มีการกํากับดูแลทันทีที่ถึงกําหนดการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี

57 “Surcharge Tax” คือ

(1) ภาษีโรงเรือน

(2) ภาษีการค้า

(3) ภาษีบํารุงท้องที่

(4) อากรฆ่าสัตว์

(5) ภาษีป้าย

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข 0-3300-1 หน้า 48) ภาษีอากรที่ท้องถิ่นจัดเก็บร่วมกับรัฐบาลกลางหรือภาษีเสริม (Surcharge Tax) เป็นภาษีที่รัฐบาลช่วยจัดเก็บ ได้แก่ ภาษีการค้า ภาษีเครื่องดื่มอากรมหรสพ และภาษีน้ำมันกับผลิตภัณฑ์น้ํามัน

58 สิ่งที่ต้องคํานึงมากที่สุดในการบริหารหนี้สาธารณะ คือข้อใด

(1) ความสามารถในการชําระหนี้

(2) วิธีการกู้

(3) จํานวนเงินกู้

(4) แหล่งเงินกู้

(5) ดอกเบี้ย

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข n-3300-1 หน้า 39), (คําบรรยาย) การบริหารหนี้สาธารณะเป็นกิจกรรมเพื่อควบคุมปริมาณและคุณภาพของการก่อหนี้ให้อยู่ในระดับที่สามารถชําระคืนได้ โดยสิ่งที่ ต้องคํานึงถึงมากที่สุดในการบริหารหนี้สาธารณะก็คือ ความสามารถในการชําระคืนทั้งเงินต้นและดอกเบียโดยไม่มีผลกระทบต่อฐานะการเงินของประเทศ

59 หลักการจัดเก็บภาษีอากรในประเทศไทย

(1) หลักถิ่นที่อยู่

(2) หลักสัญชาติ

(3) หลักแหล่งเงินได้

(4) หลักถิ่นที่อยู่และหลักแหล่งเงินได้

(5) หลักสัญชาติและหลักถิ่นที่อยู่

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 36. ประกอบ

60 “รายได้สุทธิ” เป็นฐานภาษี (Tax Base) ของภาษีประเภทใด

(1) ภาษีเงินได้นิติบุคคล

(2) ภาษีมูลค่าเพิ่มของทรัพย์สิน

(3) ภาษีสรรพสามิต

(4) ภาษีศุลกากร

(5) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 33. ประกอบ

61 ภาษีที่เก็บจากสุราคือข้อใด

(1) ภาษีศุลกากร

(2) ภาษีการใช้จ่าย

(3) ภาษีการขาย

(4) ภาษีที่ดิน

(5) ภาษีสรรพสามิต

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข n-3300-1 หน้า 29) กรมสรรพสามิต มีหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตซึ่งเก็บจากสินค้าหรือโภคภัณฑ์บางประเภทที่ผลิตภายในประเทศ เช่น สุรา เครื่องดื่ม ยาสูบ (บุหรี่) ไพ่ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ไม้ขีดไฟ ซีเมนต์ ยานัตถุ เป็นต้น

62 ภาษีทางอ้อมคือข้อใด

(1) ภาษีมรดก

(2) ภาษีมูลค่าเพิ่มของทรัพย์สิน

(3) ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

(4) ภาษีเงินได้นิติบุคคล

(5) ภาษีการใช้จ่าย

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

63 ข้อใดคือภาษีเพื่อการใช้จ่ายเฉพาะอย่าง (Earmarked Tax)

(1) ภาษีสรรพสามิต

(2) ภาษีนิติบุคคล

(3) ภาษีการค้า

(4) ภาษีเงินเดือน

(5) ภาษีศุลกากร

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 10 – 11) การจําแนกประเภทภาษีอากรตามลักษณะการใช้เงินภาษีแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 ภาษีเพื่อการใช้จ่ายทั่วไป เป็นภาษีอากรส่วนใหญ่ที่รัฐบาลจัดเก็บจากประชาชนเพื่อนําเข้า เป็นงบประมาณรายได้ แล้วตั้งจ่ายไปตามงบประมาณรายจ่ายประจําปี เช่น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีการค้า ภาษีสรรพสามิต ภาษีศุลกากร เป็นต้น

2 ภาษีเพื่อการใช้จ่ายเฉพาะอย่าง เป็นภาษีอากรที่รัฐบาลจัดเก็บเป็นรายได้สําหรับใช้จ่ายในกิจการหรือเป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นการเฉพาะ มิได้นําเข้าเป็นงบประมาณรายได้สําหรับใช้จ่าย เป็นการทั่วไป เช่น การจัดเก็บภาษีเงินเดือนเพื่อนํามาตั้งเป็นกองทุนให้บริการด้านการประกันสังคม เป็นต้น

64 ข้อใดคือวัตถุประสงค์ของการจัดเก็บภาษีกรณีการนับจํานวนบุตรของผู้ที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

(1) ภาษีอากรเป็นเครื่องมือในนโยบายการคลัง

(2) เพื่อสนองนโยบายบางอย่างของรัฐ

(3) เพื่อควบคุมการบริโภคของประชาชน

(4) เพื่อการกระจายรายได้

(5) เพื่อการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ

65 ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ยกเว้น

(1) บุคคลธรรมดา

(2) ผู้ที่ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี

(3) ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล

(4) กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง

(5) คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 24 – 25) ผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่

1 บุคคลธรรมดา

2 ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล

3 ผู้ที่ถึงแก่ความตายระหว่างปีภาษี

4 กองมรดกที่ยังไม่ได้แบ่ง

 

ตั้งแต่ข้อ 66. – 70. ให้จับคู่ให้ตรงกันกับองค์ประกอบของการควบคุมภายใน

(1) สภาพแวดล้อมการควบคุม

(2) การประเมินความเสี่ยง

(3) กิจกรรมการควบคุม

(4) สารสนเทศและการสื่อสาร

(5) การติดตามและประเมินผล

 

66 การรายงานเกี่ยวกับประสิทธิผลของการตรวจสอบโดยเปรียบเทียบกับข้อมูลจริง ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 58) การติดตามประเมินผลจะได้ผลดี ควรมีการปฏิบัติดังนี้

1 มีการสอบทานและรายงานเกี่ยวกับประสิทธิผลของการตรวจสอบโดยเปรียบเทียบกับข้อมูลจริง

2 จําแนกเรื่องที่จะประเมินผล ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการควบคุมภายในเฉพาะจุด

3 รายงานผลตามข้อเท็จจริงอย่างเป็นอิสระ ไม่ปิดบังสิ่งผิดปกติ

4 สั่งการให้มีการแก้ไขและติดตามผลอยู่เสมอ

67 การควบคุมโดยการนําข้อมูลเข้าสู่ระบบ

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 57) การควบคุมภายในของระบบสารสนเทศและการสื่อสารมักจะเกี่ยวข้องกับ

1 การควบคุมการนําข้อมูลเข้าสู่ระบบ

2 การแบ่งแยกงาน

3 การสอบทานความถูกต้องในการประมวลผล

4 การควบคุมการรับส่งข้อมูลระหว่างระบบงาน

5 การควบคุมทางด้านผลผลิต

68 ลดความเสี่ยงและทําให้เกิดความคุ้มค่า

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข 0-3300-3 หน้า 54) กิจกรรมการควบคุม เป็นองค์ประกอบหนึ่งของระบบการควบคุมภายในที่หน่วยงานต้องจัดให้มีขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงและทําให้เกิดความคุ้มค่าตลอดจนให้ฝ่ายบริหารเกิดความมั่นใจในประสิทธิผลของระบบการควบคุมภายในที่มีอยู่

69 การกําหนดแนวทางการควบคุมที่ชัดเจน

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 49) การประเมินความเสี่ยง หมายถึง กระบวนการที่ใช้ในการระบุความเสียง การวิเคราะห์ความเสี่ยง และการกําหนดแนวทางการควบคุม เพื่อป้องกัน หรือลดความเสียง ซึ่งความเสียงอาจเกิดจากลักษณะงานหรือกิจกรรมของหน่วยงานการควบคุมภายใน การตรวจไม่พบข้อผิดพลาด เป็นต้น

70 ความสําคัญของการกําหนดจริยธรรมในการทํางาน

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข n-3300-3 หน้า 46 – 48) สภาพแวดล้อมการควบคุม หมายถึงสภาวการณ์หรือปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลให้เกิดระบบการควบคุมภายในหน่วยงาน โดยฝ่ายบริหาร จะมีอิทธิพลสําคัญต่อการกําหนดหรือสร้างบรรยากาศและสภาพแวดล้อมของการควบคุม เช่น ความซื่อสัตย์และจริยธรรมในการบริหารและการทํางาน โครงสร้างของหน่วยงาน นโยบายการบริหารและการพัฒนาด้านบุคลากร อํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบของบุคลากรเป็นต้น

71 หน่วยงานที่ทําหน้าที่ตรวจสอบบัญชีของรัฐ ได้แก่

(1) กรมบัญชีกลาง

(2) สํานักงานตรวจเงินแผ่นดิน

(3) สํานักงบประมาณ

(4) ธนาคารแห่งประเทศไทย

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 27. ประกอบ

  1. “ความพยายามที่จะเปรียบเทียบหาความสัมพันธ์ระหว่างต้นทุนในการดําเนินงาน และผลงานที่ได้รับ”

(1) การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์

(2) การวิเคราะห์ทางนโยบาย

(3) การวิเคราะห์ระบบ

(4) การวิเคราะห์โครงการ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 26, 28 – 29) การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ (Economic Analysis) เป็นการวิเคราะห์ในเชิงเศรษฐกิจที่พยายามเปรียบเทียบหาความสัมพันธ์ระหว่าง ต้นทุนในการดําเนินงานกับผลงานที่ได้รับ ซึ่งเทคนิคนี้เป็นวิธีการที่ใช้ในการจัดทํางบประมาณแบบโครงการ (Program Budget) หรืองบประมาณแบบแสดงผลงาน (Performance Budget)

73 ที่เรียกว่า “Budget Documents” หมายถึง

(1) ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี

(2) ตารางรายรับรายจ่ายเปรียบเทียบ

(3) คําแถลงประกอบงบประมาณ แสดงฐานะและนโยบายทางการคลัง

(4) ทั้งข้อ 1 และ 3

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 18 – 19) เอกสารงบประมาณประจําปี(Budget Documents) ของไทย มีส่วนประกอบที่สําคัญดังนี้

1 คําแถลงประกอบงบประมาณแสดงฐานะและนโยบายทางการคลังและการเงินของประเทศ

2 ตารางแสดงรายรับรายจ่ายเปรียบเทียบ

3 รายละเอียดของหน่วยงาน โครงการ และ งานต่าง ๆ ของราชการและรัฐวิสาหกิจ 4 รายงานเกี่ยวกับฐานะทางการเงินของรัฐวิสาหกิจ

5 รายละเอียดเกี่ยวกับหนี้สินของรัฐบาล

6 ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปี

74 ในการดําเนินการเกี่ยวกับงบประมาณจะประกอบด้วยการกระทํา 3 ขั้น คือ การจัดเตรียม การควบคุม และ ข้อที่หายไปได้แก่

(1) การวิเคราะห์

(2) การอนุมัติ

(3) การประเมินผล

(4) การกําหนดยอด

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 15 – 16) ระยะเวลาของการดําเนินกิจกรรมต่าง ๆเกี่ยวกับงบประมาณแผ่นดิน เรียกว่า วงจรงบประมาณ (Budget Cycle) ซึ่งถือเป็นช่วงเวลา ที่ยาวนานที่สุด โดยวงจรงบประมาณของประเทศไทยนั้นจะใช้เวลาประมาณ 22 เดือน ประกอบด้วยกิจกรรมหรือการกระทํา 3 ขั้นตอน คือ การจัดเตรียมประมาณ 6 – 7 เดือน การอนุมัติประมาณ 3 – 4 เดือน และการควบคุมหรือการบริหารเป็นเวลา 12 เดือน

75 Budget Ceiling หมายถึงอะไร

(1) วงเงินงบประมาณ

(2) เพดานเงินจัดสรร

(3) เงินประจํางวด

(4) เงินคงคลัง

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 28, 50) การกําหนดยอด “วงเงินงบประมาณ(Budget Ceiling) เป็นการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีที่ตั้งไว้เพื่อใช้ในโครงการและ งานที่จะต้องจัดทําในปีต่อไปของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ ซึ่งถือเป็นขั้นตอนหนึ่งของการจัดเตรียมงบประมาณ

76 ลักษณะสําคัญของงบประมาณแผ่นดิน ได้แก่

(1) รายจ่ายจริงอาจมีน้อยกว่ารายจ่ายที่ประมาณการเอาไว้ก็ได้

(2) รัฐบาลมีรายได้เป็นตัวกําหนดรายจ่าย

(3) มีลักษณะของการจัดทําที่กระจายอํานาจ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 5 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 1 – 4, 58), (คําบรรยาย) คุณสมบัติหรือลักษณะสําคัญของงบประมาณแผ่นดินซึ่งแตกต่างจากงบประมาณเอกชน มีดังนี้

1 เป็นกฎหมายทางการเงิน กล่าวคือ มีการตราเป็นพระราชบัญญัติ ซึ่งกําหนดว่าให้ใช้จ่ายเงินได้ไม่เกินจํานวนที่กําหนด แต่ในทางปฏิบัติรายจ่ายจริงอาจมีน้อยกว่ารายจ่ายที่ประมาณการเอาไว้ก็ได้

2 เป็นกฎหมายที่มีผลบังคับต่อประชาชนทุกคนในชาติ

3 เป็นเครื่องมือ เงื่อนไข หรือกลไกรับรองการเป็นรัฐบาลหรือการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเป็นคุณลักษณะ ที่สําคัญของงบประมาณแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา

4 คํานึงถึงความพึงพอใจของประชาชนเป็นแรงจูงใจในการจัดทํางบประมาณ

5 การกําหนดรายรับ มีรายจ่ายเป็นตัวกําหนดรายรับ

6 มีกระบวนการจัดทํางบประมาณที่มีลักษณะกระจายอํานาจ

7 ลักษณะการเป็นเจ้าของ โดยมีประชาชนเป็นเจ้าของกิจการที่แท้จริง

8 มีการอนุมัติงบประมาณโดยรัฐสภา

9 การควบคุมหรือการบริหารงบประมาณจะถูกควบคุมร่วมกันทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ

77 การกระจายรายได้ที่เป็นธรรมของสังคม สามารถวัดได้โดย

(1) เปรียบเทียบรายได้ของคนในชุมชนเมืองกับในชุมชนชนบท

(2) ดูการเปลี่ยนแปลงของผลผลิตมวลรวม

(3) ดูอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 10 – 11), (คําบรรยาย) งบประมาณแผ่นดินจะต้องเป็นไปเพื่อ

1 สร้างความเจริญเติบโตให้กับระบบเศรษฐกิจหรือความมั่งคั่งของชาติ ซึ่งสามารถวัดได้โดยการดูอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงของผลผลิตมวลรวม

2 สร้างเสถียรภาพให้กับระบบเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถวัดได้โดยการดูอัตราการว่างงานอัตราเงินฝืด และอัตราเงินเฟ้อ

3 สร้างประสิทธิภาพในการทํางาน ซึ่งสามารถวัดได้โดยการดูผลผลิตต่อหน่วย

4 สร้างความเสมอภาคหรือการกระจายทางเศรษฐกิจ หรือการกระจายรายได้ที่เป็นธรรม ให้กับสังคม ซึ่งสามารถวัดได้โดยการเปรียบเทียบความแตกต่างของรายได้ อัตราการใช้จ่ายและทรัพย์สินที่มี

78 นักทฤษฎีการคลังสมัยใหม่ เชื่อว่า

(1) งบประมาณสมดุลดีที่สุด

(2) งบประมาณขาดดุลดีที่สุด

(3) งบประมาณเกินดุลดีที่สุด

(4) งบประมาณเกินดุล ขาดดุล หรือสมดุล ต่างมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั้งสิ้น (5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 12) นักทฤษฎีการคลังสมัยใหม่หรือยุคนีโอคลาสสิกเชื่อว่า งบประมาณแบบเกินดุล ขาดดุล หรือสมดุล ต่างมีผลกระทบต่อระบบทางเศรษฐกิจทั้งสิ้น ซึ่งผลกระทบจะเป็นเช่นใดย่อมขึ้นอยู่กับวิธีการหารายได้และการใช้จ่ายเงินของรัฐ และไม่เชื่อว่า นโยบายงบประมาณจะเป็นเครื่องมือทางการคลังที่มีประสิทธิภาพ แต่เชื่อว่าเครื่องมือทางการคลัง ที่มีประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นจากการจัดระบบการบริหารรายได้และรายจ่ายของรัฐให้เหมาะสม กับสภาพแวดล้อมของสังคม

79 ข้อใดไม่ถูกต้อง

(1) อัตราภาษีคงที่ทําให้คนส่วนใหญ่ที่มีรายได้น้อยต้องรับภาระมากกว่าคนกลุ่มน้อยที่มีรายได้มาก

(2) อัตราภาษีคงที่ทําให้เกิดความไม่เท่าเทียมกัน

(3) อัตราภาษีก้าวหน้าช่วยสร้างความเสมอภาค

(4) ถ้าเก็บภาษีในอัตราต่ำจะทําให้เศรษฐกิจหดตัวได้

(5) การจัดเก็บภาษีจากสินค้าจําเป็นอาจทําให้เกิดเงินเฟ้อขึ้นได้

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 13 – 14), (คําบรรยาย) ผลกระทบที่เกิดจากวิธีการหารายได้และการใช้จ่ายของรัฐ มีดังนี้

1 การเก็บภาษีทรัพย์สินเป็นการเก็บภาษีซ้ํากับภาษีเงินได้

2 การเก็บภาษีในอัตราคงที่จะทําให้คนส่วนใหญ่ที่มีรายได้น้อยต้องรับภาระมากกว่าคนกลุ่มน้อยที่มีรายได้มาก ซึ่งทําให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสังคม

3 การเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้าจะช่วยสร้างความเสมอภาคต่อคนในสังคม ถ้าจัดเก็บในอัตราสูงจะทําให้เศรษฐกิจหดตัว แต่ถ้าจัดเก็บในอัตราต่ำจะทําให้เศรษฐกิจขยายตัว

4 การเก็บภาษีจากสินค้าจําเป็นอาจทําให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นได้ เพราะทําให้สินค้ามีราคาสูงแต่ความต้องการที่จะบริโภคสินค้านั้นไม่ได้ลดลง ฯลฯ

80 ระยะเวลาในการ “อนุมัติ” งบประมาณในปีงบประมาณหนึ่ง ๆ ของไทย มีระยะประมาณกี่เดือน

(1) 3 เดือนเศษ

(2) 9 เดือนเศษ

(3) 12 เดือนเศษ

(4) 18 เดือน

(5) ไม่แน่นอนกําหนดตายตัวไม่ได้

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 74. ประกอบ

81 ในการจัดสรรงบประมาณออกตามโครงสร้างแผนงาน ภารกิจด้านวิทยาศาสตร์ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม จัดอยู่ในกลุ่มโครงสร้างใดต่อไปนี้

(1) ภารกิจทางเศรษฐกิจ

(2) ภารกิจทางสังคม

(3) ภารกิจทางความมั่นคง

(4) ภารกิจทางการบริหาร

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 (คําบรรยาย) การพัฒนาระบบราชการในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้มีการปรับบทบาทภารกิจ และขนาดให้มีความเหมาะสมโดยปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงใหม่แบ่งตามกลุ่มภารกิจ 3 กลุ่ม คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านความมั่นคง มี 20 กระทรวง และต่อมาเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 คณะรัฐมนตรีมีมติให้จัดโครงสร้างส่วนราชการใหม่โดยยุบรวมคงเหลือ เพียง 18 กระทรวง ซึ่งการจัดโครงสร้างส่วนราชการสามารถแบ่งออกตามกลุ่มภารกิจได้ดังนี้

กลุ่มกระทรวงด้านเศรษฐกิจ กลุ่มกระทรวงด้านสังคม กลุ่มกระทรวงด้านความมั่นคง
– ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม – การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ – กลาโหม
– การท่องเที่ยว – มหาดไทย
– พาณิชย์และอุตสาหกรรม – สาธารณสุข – ยุติธรรม
– การคลัง – ศึกษาธิการ – การต่างประเทศ
– พลังงาน – สำนักนายกรัฐมนตรี
ฯลฯ ฯลฯ

82 ในปัจจุบัน มีการแบ่งรายจ่ายตามงบประมาณเป็นกี่หมวด

(1) 5 หมวด

(2) 7 หมวด

(3) 9 หมวด

(4) 12 หมวด

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข 1-3300-2 หน้า 72), (คําบรรยาย) การจัดสรรงบประมาณตามหมวดรายจ่ายแบ่งออกเป็น 7 หมวด ได้แก่

1 เงินเดือน ค่าจ้างประจํา

2 ค่าจ้างชั่วคราว

3 ค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ

4 ค่าสาธารณูปโภค

5 ค่าครุภัณฑ์ที่ดินและ สิ่งก่อสร้าง

6 เงินอุดหนุน

7 รายจ่ายอื่น ซึ่งหมวดครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้างถือเป็นงบลงทุน ส่วนหมวดรายจ่ายอื่น ๆ นั้นเป็นงบประจํา

83 หมวดรายจ่ายใดต่อไปนี้ที่มียอดเงินตามงบประมาณสูงที่สุด

(1) เงินเดือน ค่าจ้างประจํา

(2) ครุภัณฑ์ ที่ดิน และสิ่งก่อสร้าง

(3) เงินอุดหนุน

(4) ค่าสาธารณูปโภค

(5) รายจ่ายอื่น

ตอบ 1 (ความรู้ทั่วไป) จากการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของไทย พบว่างบรายจ่ายที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณสูงสุด คือ งบบุคลากร ซึ่งถือเป็นงบรายจ่ายเพื่อการบริหารงานบุคคลภาครัฐได้แก่ หมวดเงินเดือน ค่าจ้างประจํา ค่าจ้างชั่วคราว และค่าตอบแทนพนักงานราชการ

84 ทุกข้อจัดเป็น “เงินนอกงบประมาณแผ่นดิน” ยกเว้น

(1) เงินรายได้ของสถาบันการศึกษา

(2) งบประมาณของกรมอนามัย

(3) งบประมาณของ อบต.

(4) งบประมาณของ ขสมก.

(5) เงินช่วยเหลือตามโครงการมิยาซาว่า

ตอบ 2 (เอกสารหมายเลข n-3300-1 หน้า 41), (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 4 – 5), (คําบรรยาย)เงินนอกงบประมาณ หมายถึง เงินหรือทรัพย์สินที่มีมูลค่าซึ่งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจหามาได้เองด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่ไม่ใช่มาจากเงินงบประมาณแผ่นดิน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เป็นเงินที่แยกออกจากความเป็นศูนย์รวมเงินของแผ่นดิน ซึ่งได้แก่ เงินทุนหมุนเวียน งบประมาณของรัฐวิสาหกิจ (เช่น งบประมาณของ ขสมก.) เงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ เงินกู้ยืมทั้งในและต่างประเทศ งบประมาณของราชการบริหารส่วนท้องถิ่น (ได้แก่ งบประมาณของ อบต. อบจ. เทศบาล กทม. และเมืองพัทยา) งบรายได้ (เงินรายได้)ของสถาบันการศึกษา และงบรายได้ (เงินรายได้) ของสถาบันสาธารณสุข

85 ระยะเวลาในกรณีใดที่มีช่วงเวลายาวนานที่สุด

(1) ปีงบประมาณ

(2) วงจรงบประมาณ

(3) เงินประจํางวด

(4) ปีปฏิทิน

(5) ทั้งข้อ 1 และ 4

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 74. ประกอบ

86 ลักษณะที่เรียกว่า เป็นศูนย์รวมเงิน ได้แก่

(1) ดําเนินการภายใต้กฎข้อบังคับเดียวกัน

(2) ดําเนินการภายใต้การดูแลของสถาบันต่าง ๆ เดียวกัน

(3) แยกพิจารณาอนุมัติโครงการออกตามหน่วยการปกครองท้องถิ่น

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 4), (คําบรรยาย) งบประมาณแผ่นดินมีลักษณะเป็น“ศูนย์รวมเงิน” ของแผ่นดิน หมายความว่า ในปีงบประมาณหนึ่ง ๆ จะต้องมีการบูรณาการ แผนทางการเงินของส่วนราชการต่าง ๆ ให้เป็นแผนเดียวกัน มีการอนุมัติงบประมาณเพียง ครั้งเดียว และไม่มีการจัดทํางบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม โดยกระบวนการงบประมาณของ ส่วนราชการต่าง ๆ จะต้องดําเนินไปภายใต้กฎข้อบังคับเดียวกัน ใช้บทบัญญัติเดียวกัน และ มีสถาบันหรือหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบในขั้นตอนต่าง ๆ ของการบริหารงบประมาณเดียวกัน

87 สภาวะ “เศรษฐกิจตกต่ำ สินค้าล้นตลาด ประชาชนว่างงาน” รัฐบาลควรใช้นโยบายงบประมาณ และ นโยบายการเงินแบบใด

(1) สมดุล และอัตราดอกเบี้ยสูง

(2) เกินดุล และอัตราดอกเบี้ยสูง

(3) ขาดดุล และอัตราดอกเบี้ยต่ำ

(4) ขาดดุล และอัตราดอกเบี้ยสูง

(5) เกินดุล และอัตราดอกเบี้ยต่ำ

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ

88 สํานักงบประมาณของประเทศไทย ถือกําเนิดขึ้นเมื่อวันที่

(1) 1 มกราคม 2500

(2) 23 มิถุนายน 2476

(3) 14 กุมภาพันธ์ 2502

(4) 10 ตุลาคม 2498

(5) 14 ตุลาคม 2499

ตอบ 3 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 48 – 49) สํานักงบประมาณไทยถือกําเนิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2502 โดยเป็นหน่วยงานที่มีฐานะเทียบเท่ากรมซึ่งสังกัดอยู่ในสํานักนายกรัฐมนตรี และขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี

89 งบประมาณแบบใดที่ให้ความสําคัญกับ “การจัดสรรทรัพยากร” ของงานหรือโครงการ

(1) Line-Item Budget

(2) PPBS

(3) Performance Budget

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข 0-3300-2 หน้า 24 – 25, 27 – 28), (คําบรรยาย) งบประมาณแบบแสดงรายการ (Line-Item Budget) หรืองบประมาณแบบเก่า (Conventional Budget) หรืองบประมาณแบบประเพณี (Traditional Budget) เป็นระบบงบประมาณทีย้ำในด้านการ ควบคุมเพื่อมุ่งตรวจสอบความถูกต้องและความซื่อสัตย์สุจริตของการใช้จ่ายเงินของรัฐ หรือให้ ความสําคัญกับความถูกต้องของ “ปัจจัยนําเข้า (Inputs) หรือการจัดสรร “ทรัพยากร” ของ งานหรือโครงการ โดยเน้นกฎ ระเบียบ และการควบคุมให้เป็นไปตามกฎ ระเบียบนั้น ดังนั้น งบประมาณจึงถูกแบ่งออกตามหน่วยราชการหรือหน่วยงานต่าง ๆ (Agencies Classification หรือ Organizations Classification) โดยเฉพาะในระดับกรม และมีการพิจารณาตามคู่มือ การจําแนกประเภทหรือแบ่งแยกตามประเภทและชนิดของการใช้จ่าย (Objects of Expenditure Classification) เช่น หมวดเงินเดือน หมวดสาธารณูปโภค หมวดครุภัณฑ์ ฯลฯ นอกจากนี้ ในการจัดเตรียมงบประมาณก็จะต้องมีการกําหนดยอดวงเงินงบประมาณโดยใช้หลักความพึงพอใจ (Muddling Through) หรือการวิเคราะห์เฉพาะส่วนที่เพิ่ม (Incrementalism) เป็นเกณฑ์ด้วย

90 การตรวจสอบใบสําคัญคู่จ่าย เป็นสาระสําคัญของงบประมาณแบบใด

(1) Line-Item Budget

(2) PPBS

(3) Performance Budget

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข 0-3300-2 หน้า 27 – 28, 62 – 63) การตรวจสอบหรือควบคุมความถูกต้องของการใช้จ่ายเงินงบประมาณ ถือเป็นสาระสําคัญของงบประมาณแบบแสดงรายการ (Line-Item Budget) ซึ่งสามารถกระทําได้ 2 ระดับ คือ

1 การตรวจสอบระดับหน่วยงาน คือ การตรวจสอบส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจจากใบเบิกเงินและใบเสร็จแสดงการใช้จ่าย หรือเรียกว่า ใบสําคัญคู่จ่าย

2 การตรวจสอบระดับรัฐบาล คือ การตรวจสอบรัฐบาลจากรายงานการเงินของแผ่นดินซึ่งจัดทําขึ้นจากบัญชีการเงินของแผ่นดิน (ดูคําอธิบายข้อ 89. ประกอบ)

91 การจัดทําคู่มือจําแนกประเภท และชนิดของรายจ่าย เป็นสาระสําคัญของงบประมาณแบบใด

(1) Line-Item Budget

(2) PPBS

(3) Performance Budget

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 89. ประกอบ

92 การกําหนดมาตรฐานครุภัณฑ์ กําหนดราคากลาง เป็นสาระสําคัญของงบประมาณแบบใด

(1) Line-Item Budget

(2) PPBS

(3) Performance Budget

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 89. ประกอบ

93 ข้อใดไม่ใช่ความหมายของงบประมาณแผ่นดิน

(1) แผนที่แสดงประสิทธิภาพในการดําเนินงาน

(2) เอกสารทางการเงินที่แสดงรายรับรายจ่ายเงินของแผ่นดิน

(3) หลักฐานทางการเงินของรัฐที่เสดงประมาณการของรายได้และรายจ่ายในอนาคต

(4) กฎหมายที่ระบุให้ส่วนราชการใช้จ่ายเงิน ได้ไม่เกินจํานวนและรายการที่กําหนด (5) แผนทางการเงินของแผ่นดินในช่วงระยะเวลาที่แน่นอน

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข 0-3300-2 หน้า 1 – 2), (คําบรรยาย) ความหมายของงบประมาณแผ่นดินมีดังนี้

1 หลักฐานทางการเงินของรัฐที่แสดงประมาณการของรายได้ (รายรับ) และรายจ่ายใน อนาคตที่มีช่วงระยะเวลาที่แน่นอน

2 บัญชีหรือเอกสารทางการเงินที่แสดงรายรับรายจ่าย เงินของแผ่นดิน

3 กฎหมายที่ว่าด้วยประมาณการรายรับรายจ่าย

4 กฎหมายที่ระบุให้ ส่วนราชการใช้จ่ายเงินได้ในกิจกรรมต่าง ๆ ไม่เกินจํานวนและรายการที่กําหนด

5 แผนทางการเงินของแผ่นดินในช่วงระยะเวลาที่แน่นอน

6 แผนเพื่อให้เกิดความสําเร็จของโครงการ ซึ่งเกี่ยวพันกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายภายในช่วงระยะเวลาที่กําหนดไว้ ฯลฯ

94 ข้อแตกต่างระหว่างงบประมาณเอกชนกับงบประมาณแผ่นดิน ได้แก่

(1) เป็นแผนทางการเงิน

(2) ฐานของรายรับ

(3) ใช้ควบคุมการทํางาน

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 76. ประกอบ

95 ระบบงบประมาณที่ในด้านการควบคุม มีลักษณะที่สําคัญคือ

(1) กําหนดยอดวงเงินโดยใช้หลัก Incrementalism

(2) แบ่งเงินงบประมาณออกตามวัตถุประสงค์ในการจัดสรรทรัพยากรของรัฐ

(3) ให้ความสําคัญกับการแบ่งแยกประเภทและชนิดของการใช้จ่าย

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 89. ประกอบ

96 ลักษณะของระบบงบประมาณที่ในด้านการวางแผนวางโครงการ

(1) ให้ความสําคัญกับการแบ่งแยกประเภทและชนิดของการใช้จ่าย

(2) เน้นที่การแบ่งเงินงบประมาณออกตามหน่วยราชการ

(3) มีการจัดทําโครงสร้างแผนงาน

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ

97 ลักษณะของ Line-Items Budget

(1) กําหนดยอดวงเงินโดยใช้หลัก Incrementalism

(2) แบ่งเงินงบประมาณออกตามหน่วยราชการ

(3) มีการจัดทําโครงสร้างแผนงาน

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 89. ประกอบ

98 ลักษณะของระบบ Program Budget

(1) มีการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโครงการ

(2) ให้ความสําคัญที่วัตถุประสงค์ในการใช้จ่ายเงิน

(3) ให้ความสําคัญกับการแบ่งแยกประเภทและชนิดของการใช้จ่าย

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 28 – 29), (คําบรรยาย) งบประมาณแบบโครงการ (Program Budget) หรืองบประมาณแบบแสดงผลงาน (Performance Budget) เป็นระบบ งบประมาณที่ในหลักประสิทธิภาพ กล่าวคือ เป็นระบบงบประมาณที่เน้นการควบคุม ประสิทธิภาพของการใช้จ่าย หรือให้ความสําคัญกับประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร ทั้งนี้ ก็เพื่อการบรรลุวัตถุประสงค์อย่างประหยัด นอกจากนี้ยังให้ความสําคัญกับผลผลิต (Output) และผลลัพธ์ (Outcome) ของงานหรือโครงการในแต่ละปี โดยจะมีการแบ่งเงินงบประมาณ ออกตามโครงการหรือตามวัตถุประสงค์ของรัฐบาล (Objectives Classification) หรือตามหน้าที่ ของรัฐ (Functional Classification) มีการวิเคราะห์โครงการ (Program Analysis) หรือ วิเคราะห์ประสิทธิภาพของโครงการหรือประสิทธิภาพของการใช้เงิน และมีการตัดสินใจจัดสรรงบประมาณโดยอาศัยหลักของเหตุผล (Pure Rationality) เป็นสําคัญ

99 ข้อใดที่จัดเป็นลักษณะของ Traditional Budget

(1) กําหนดยอดวงเงินโดยใช้หลัก Muddling Through

(2) แบ่งเงินงบประมาณออกตามหน่วยราชการ

(3) ประสิทธิภาพของโครงการ

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 89. ประกอบ

100 ลักษณะของ Zero-Base Budget

(1) Pure Rationality

(2) Muddling Through

(3) Incrementalism

(4) ทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 1 (เอกสารหมายเลข n-3300-2 หน้า 32, 35), (คําบรรยาย) งบประมาณฐานศูนย์ (Zero-Base Budget : ZBB) เป็นระบบงบประมาณที่อาศัยหลักของเหตุผล (Pure Rationality) ในการ จัดสรรงบประมาณ ซึ่งกําหนดให้โครงการหรืองานที่เสนอของบประมาณในทุก ๆ ปีงบประมาณ จะต้องได้รับการตรวจสอบวิเคราะห์ทั้งระบบ ทั้งงานหรือโครงการเดิมที่เคยทํามาแล้ว และงาน หรือโครงการใหม่ ๆ ที่กําลังจะเกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อต้องการให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่าง มีเหตุผล แต่วิธีการนี้มักจะก่อให้เกิดความล่าช้าหรืออาจทําไม่ได้ในทางปฏิบัติ

LAW2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน S/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จํานอง จํานํา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้าน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. วันที่ 20 เมษายน 2560 นายดําทําสัญญากู้เงินจากนายแดงเป็นเงิน 1 ล้านบาท โดยในวันที่ 25 เมษายน 2562 นายเขียวทําสัญญาค้ำประกันการชําระหนี้เงินกู้ของนายดําดังกล่าว ต่อมา ในวันที่ 27 เมษายน 2562 นายดําจดทะเบียนจํานองที่ดินมูลค่า 7 แสนบาทของตนเป็นประกันหนี เงินกู้ของตน และวันที่ 29 เมษายน 2562 นางม่วงส่งมอบเครื่องเพชรมูลค่า 4 แสนบาทของตน เป็นประกันการชําระหนี้ งินกู้ให้แก่นายดําด้วย เมื่อหนี้เงินกู้ถึงกําหนดนายดําผิดนัดไม่ชําระหนี้

ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า ถ้าหากว่านายแดงได้เรียกร้องให้นายเขียวรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน นายเขียวจะเกียงให้นายแดงไปบังคับจํานองเอากับที่ดินที่นายดําจํานองไว้ และไปบังคับจํานํา เอากับเครื่องเพชรที่นางม่วงจํานําไว้ก่อนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 681 วรรคหนึ่ง “อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์”

มาตรา 686 “ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชําระหนี้ได้แต่นั้น”

มาตรา 690 “ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดถือไว้เป็นประกันไซร้ เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องให้ชําระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน”

วินิจฉัย

ในกรณีที่การกู้เงินและการค้ําประกันนั้นได้กระทําถูกต้องตามกฎหมาย และมีหลักฐานในการฟ้องร้อง บังคับคดี หากลูกหนี้ผิดนัดชําระหนี้ ย่อมก่อให้เกิดสิทธิแก่เจ้าหนี้ในการบังคับการชําระหนี้เอาจากลูกหนี้และ ผู้ค้ำประกันได้ตามมาตรา 680 และมาตรา 686 และในส่วนของผู้ค้ำประกันอาจจะบ่ายเบียงขอให้เจ้าหนี้บังคับ เอาจากลูกหนี้ก่อนได้ตามมาตรา 690 คือ เมื่อเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดไว้เป็นประกัน และการประกันนั้น ได้กระทําถูกต้องตามกฎหมาย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดําทําสัญญากู้เงินจากนายแดงเป็นเงิน 1 ล้านบาท โดยมีนายเขียว ทําสัญญาค้ำประกันการชําระหนี้เงินกู้ของนายดําดังกล่าวนั้น สัญญาค้ำประกันระหว่างนายเขียวผู้ค้ำประกันและ นายแดงเจ้าหนี้ย่อมมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับคดีกันได้ตามมาตรา 680 และมาตรา 681 วรรคหนึ่ง

ต่อมาการที่นายดําลูกหนี้ได้จดทะเบียนจํานองที่ดินมูลค่า 7 แสนบาทของตนเป็นประกันหนี้ของตน และนางม่วงได้ส่งมอบเครื่องเพชรมูลค่า 4 แสนบาทของตนเป็นประกันการชําระหนี้เงินกู้ให้แก่นายดําด้วยนั้น เมื่อหนี้เงินกู้ถึงกําหนดนายดําผิดนัดไม่ชำระหนี้ และนายแดงได้เรียกร้องให้นายเขียวรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน ดังนี้ นายเขียวย่อมสามารถเกี่ยงให้นายแดงไปบังคับจํานองเอากับที่ดินที่นายดําได้จํานองไว้ก่อนได้ เพราะที่ดิน ที่จํานองไว้นั้นเป็นทรัพย์สินของนายดําลาหนี้ตามมาตรา 690 แต่นายเขียวจะเกี่ยงให้นายแดงไปบังคับจํานําเอากับ เครื่องเพชรที่นางม่วงจํานําไว้ก่อนไม่ได้ เพราะเครื่องเพชรดังกล่าวมิใช่ทรัพย์สินของลูกหนี้ที่เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นประกัน

เสรุป

หากนายแดงได้เรียกร้องให้นายเขียวรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน นายเขียวจะเกี่ยงให้นายแดง ไปบังคับจํานองเอากับที่ดินที่นายดําจํานองไว้ก่อนได้ แต่จะเกี่ยงให้นายแดงไปบังคับจํานําเอากับเครื่องเพชรที่ นางม่วงจํานําไว้ก่อนไม่ได้

 

ข้อ 2. กวางนําที่ดินไปจดทะเบียนจํานองเป็นประกันหนี้เงินกู้ไก่จํานวน 500,000 บาท ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2560 หลังจากที่จดทะเบียนจํานอง กวางได้ให้เป็ดเช่าที่ดินเพื่อปลูกบ้านโดยจดทะเบียน การเช่า ต่อมาไก่จะฟ้องบังคับจํานองที่ดินดังกล่าว ดังนี้ ไก่จะขอให้มีการลบสิทธิตามสัญญาเช่านั้น ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 722 “ถ้าทรัพย์สินได้จํานองแล้ว และภายหลังที่จดทะเบียนจํานองมีจดทะเบียนภาระจํายอม หรือทรัพยสิทธิอย่างอื่น โดยผู้รับจํานองมิได้ยินยอมด้วยไซร้ ท่านว่าสิทธิจํานองย่อมเป็นใหญ่กว่าภาระจํายอม หรือทรัพยสิทธิอย่างอื่นนั้น หากว่าเป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของผู้รับจํานองในเวลาบังคับจํานองก็ให้ลบสิทธิที่ กล่าวหลังนั้นเสียจากทะเบียน”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 722 เป็นบทบัญญัติคุ้มครองสิทธิของผู้รับจํานอง กล่าวคือ ถ้าหากภายหลัง ที่ได้จดทะเบียนจํานองแล้ว ผู้จํานองได้ไปก่อตั้งภาระจํายอมหรือจดทะเบียนทรัพยสิทธิในทรัพย์สินที่จํานองขึ้น โดยผู้รับจํานองมิได้ยินยอมด้วย กฎหมายให้ถือว่าสิทธิจํานองย่อมเป็นใหญ่กว่าสิทธิอื่น ๆ ที่ผู้จํานองได้ก่อขึ้นนั้น และเมื่อในขณะบังคับจํานอง ภาระจํายอมหรือทรัพยสิทธิที่ผู้จํานองได้ก่อขึ้นนั้นจะเป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของ ผู้รับจํานอง ผู้รับจํานองมีสิทธิที่จะให้ลบทรัพยสิทธิ์เหล่านั้นได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่กวางได้นําที่ดินไปจดทะเบียนจํานองเป็นประกันหนี้เงินกู้ไก่จํานวน 500,000 บาท ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2560 และหลังจากที่จดทะเบียนจํานองกวางได้ให้เป็ดเช่าที่ดินเพื่อปลูกบ้าน โดยจดทะเบียนการเช่านั้น การกระทําของกวางย่อมไม่กระทบสิทธิของไก่แต่อย่างใด เพราะการที่กวางให้เป็ด เช่าที่ดินเพื่อปลูกบ้านนั้น มิใช่เป็นการจดทะเบียนภาระจํายอมหรือจดทะเบียนทรัพยสิทธิในทรัพย์สินที่จํานอง แต่อย่างใด แต่เป็นเพียงบุคคลสิทธิระหว่างกวางและเป็ดเท่านั้น แม้สิทธิตามสัญญาเช่าจะได้จดทะเบียนภายหลัง การจดทะเบียนจํานองก็ตาม เมื่อมีการบังคับจํานองสิทธิของไก่ผู้รับจํานองก็มิได้เสื่อมเสียแต่อย่างใด ดังนั้น ไก่จะขอให้มีการลบสิทธิตามสัญญาเช่านั้นเสียจากทะเบียนไม่ได้

สรุป

ไก่จะขอให้มีการลบสิทธิตามสัญญาเช่านั้นเสียจากทะเบียนไม่ได้

 

ข้อ 3. นายแสงกู้เงินจากนายสี 50,000 บาท โดยนําแม่โคไปจํานําไว้เป็นประกันหนี้โดยมิทราบว่าแม่โคได้มีลูกติด ท้องไปด้วย นายแสงค้างชําระดอกเบี้ยและไม่ได้ส่งให้นายสีเจ้าหนี้เลย ระหว่างนั้นแม่โค ได้ตกลูกออกมาและเมื่อลูกโคแข็งแรงดีแล้ว นายสีจึงเอาลูกโคไปขายแล้วนําเงินมาชําระค่าดอกเบี้ย ที่ค้างนั้น ดังนี้ ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า

(ก) นายสีสามารถบังคับชําระหนี้จากแม่โคได้หรือไม่ โดยวิธีใดและอย่างไร

(ข) นายสีสามารถบังคับชําระหนี้จากลูกโคได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 747 “อันว่าจํานํานั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จํานํา ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจํานํา เพื่อเป็นประกันการชําระหนี้”

มาตรา 761 “ถ้ามิได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา หากมีดอกผลนิตินัยงอกจากทรัพย์สินนั้น อย่างไร ท่านให้ผู้รับจํานําจัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบี้ยอันค้างชําระแก่ตน และถ้าไม่มีดอกเบี้ยค้างชําระ ท่านให้ จัดสรรใช้ต้นเงินแห่งหนี้อันได้จํานําทรัพย์สินเป็นประกันนั้น”

มาตรา 764 “เมื่อจะบังคับจํานํา ผู้รับจํานําต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชําระหนี้ และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกําหนดให้ในคําบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว ผู้รับจํานําชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจํานําออกขายได้ แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจํานําต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จํานําบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย”

วินิจฉัย

มาตรา 761 ได้วางหลักไว้ว่า หากทรัพย์สินที่จํานํามีดอกผลนิตินัย (เช่น ดอกเบี้ย ค่าเช่า หรือ เงินปันผล) เกิดขึ้น ให้ผู้รับจํานําจัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบี้ยอันค้างชําระแก่ตน และถ้าไม่มีดอกเบี้ยค้างชําระก็ให้ จัดสรรใช้เงินต้นแห่งหนี้ที่ได้จํานําทรัพย์สินเป็นประกันนั้น เว้นแต่ในสัญญาจํานําจะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายแสงกู้เงินจากนายสี 50,000 บาท โดยนําแม่โคไปจํานําไว้เป็นประกันหนี้นั้น สัญญาจํานําระหว่างนายแสงและนายสีมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 747 ต่อมาเมื่อนายแสงค้างชําระดอกเบี้ยและ ไม่ได้ส่งให้แก่นายสีเลย ย่อมถือว่าลูกหนี้ผิดนัดชําระหนี้ ดังนั้น นายสีเจ้าหนี้ผู้รับจํานํามีสิทธิที่จะบังคับจํานํา เอาจากทรัพย์สินที่จํานําคือแม่โคได้ตามมาตรา 764 โดยนายสีจะต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังนายแสงซึ่งเป็น ลูกหนี้ให้ชําระหนี้และดอกเบี้ยที่ค้างชําระก่อน ถ้านายแสงยังละเลยไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าวคือไม่ยอมชําระหนี้ นายสีผู้รับจํานําก็สามารถนําเอาทรัพย์สินที่จํานําคือแม่โคนั้นออกขายทอดตลาดเพื่อนําเงินมาชําระหนี้ได้

(ข) สําหรับลูกโคนั้น เมื่อทรัพย์สินที่จํานําคือแม่โคยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแสงผู้จํานํา เมื่อแม่โคออกลูกมา ลูกโคจึงยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแสง ดังนั้น นายสีซึ่งมิใช่เจ้าของลูกโคจึงไม่มีสิทธินําลูกโค ไปขายเพื่อนําเงินมาชําระหนี้ที่นายแสงค้างชําระ อีกทั้งลูกโคก็ถือว่าเป็นเพียงดอกผลธรรมดา มิใช่ดอกผลนิตินัย นายสีจึงไม่มีสิทธิที่จะนําลูกโคออกขายเพื่อนําเงินมาจัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบี้ยที่นายแสงค้างชําระตามมาตรา 761 เนื่องจากสิทธิของผู้รับจํานําที่จะนําเอาดอกผลของทรัพย์สินที่จํานํามาจัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบี้ยอันค้างชําระ แก่ตนนั้น ต้องเป็นดอกผลนิตินัยเท่านั้น

สรุป

(ก) นายสีสามารถบังคับชําระหนี้จากแม่โคซึ่งเป็นทรัพย์สินที่จํานําได้ โดยวิธีนําออกขายทอดตลาด

(ข) นายสีจะบังคับชําระหนี้จากลูกโคซึ่งเป็นดอกผลธรรมดาไม่ได้

LAW2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จํานอง จํานํา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 แดงกู้เงินเขียว 5 ล้านบาท มีหลักฐานถูกต้อง เขียวขอให้แดงหาผู้ค้ำประกัน แดงจึงไปหาม่วงให้มาตกลงกับเขียวค้ำประกันในหนี้เงินกู้ดังกล่าว แต่ตอนทําหนังสือค้ำประกันปรากฏว่ามีเพียงม่วง และเขียวลงลายมือชื่อ ไม่มีแดงลงลายมือชื่อ เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ แดงชําระหนี้ไม่ได้ เขียวจึงมี จดหมายไปขอให้ม่วงชําระหนี้แทนในฐานะผู้ค้ำประกันทันที ม่วงต่อสู้ว่าหลักฐานการคําประกัน ไม่ถูกต้อง เพราะแดงไม่ได้ลงลายมือชื่อ ตนจึงไม่ต้องรับผิด อยากทราบว่า ข้ออ้างของม่วงรับฟังได้หรือไม่ และการจะบังคับม่วงให้ชําระหนี้ต้องทําประการใด

จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 681 วรรคหนึ่ง “อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์”

มาตรา 686 วรรคหนึ่ง “เมื่อลูกหนี้ผิดนัด ให้เจ้าหนี้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกันภายใน หกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดเจ้าหนี้จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชําระหนี้ก่อนที่ หนังสือบอกกล่าวจะไปถึงผู้ค้ำประกันมิได้ แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ค้ำประกันที่จะชําระหนี้เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ”

วินิจฉัย

ในกรณีที่การกู้เงินและการค้ำประกันนั้นได้กระทําถูกต้องตามกฎหมาย และมีหลักฐานในการ ฟ้องร้องบังคับคดี หากลูกหนี้ผิดนัดชําระหนี้ ย่อมก่อให้เกิดสิทธิแก่เจ้าหนี้ในการบังคับการชําระหนี้เอาจาก ลูกหนี้และผู้ค้ำประกันได้ตามมาตรา 680 และมาตรา 686

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงกู้เงินเขียว 5 ล้านบาท โดยมีหลักฐานถูกต้อง และมีม่วงมาตกลงกับ เขียวค้ำประกันในหนี้เงินกู้ดังกล่าว โดยทําหลักฐานค้ำประกันเป็นหนังสือลงลายมือชื่อม่วงผู้ค้ําประกันและเขียว เจ้าหนี้ แต่แดงผู้กู้ไม่ได้ลงลายมือชื่อนั้น สัญญาค้ำประกันระหว่างม่วงผู้ค้ำประกันและเขียวเจ้าหนี้ย่อมมีผล สมบูรณ์ใช้บังคับคดีกันได้ ตามมาตรา 680 และ 681 วรรคหนึ่ง

เพราะสัญญาค้ำประกันนั้น กฎหมายกําหนดให้ ลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสําคัญ ส่วนเจ้าหนี้และลูกหนี้จะลงลายมือชื่อในสัญญาค้ําประกันหรือไม่ไม่สําคัญ ดังนั้น เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ แดงชําระหนี้ไม่ได้ เขียวจึงมีจดหมายไปขอให้ม่วงชําระหนี้แทนในฐานะผู้ค้ำประกันทันที และม่วงต่อสู้ว่าหลักฐานการค้ำประกันไม่ถูกต้อง เพราะแดงไม่ได้ลงลายมือชื่อ ตนจึงไม่ต้องรับผิดนั้น ข้อต่อสู้ ของม่วงในกรณีนี้จึงรับฟังไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม แม้หนี้ถึงกําหนดชําระและแดงลูกหนี้ผิดนัดแล้วก็ตาม แต่เขียวเจ้าหนี้จะบังคับ ให้ม่วงชําระหนี้ทันทีไม่ได้ เขียวจะต้องปฏิบัติตามมาตรา 686 วรรคหนึ่งก่อน กล่าวคือ เขียวจะต้องมีหนังสือ บอกกล่าวไปให้ม่วงผู้ค้ำประกันทราบภายใน 60 วันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด เจ้าหนี้จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชําระหนี้ ก่อนที่หนังสือบอกกล่าวจะไปถึงผู้ค้ำประกันไม่ได้

สรุป

ข้ออ้างของม่วงที่ว่าหลักฐานการค้ำประกันไม่ถูกต้อง เพราะแดงไม่ได้ลงลายมือชื่อนั้น รับฟังไม่ได้ และการที่เขียวจะบังคับม่วงให้ชําระหนี้ได้นั้น เขียวจะต้องมีหนังสือบอกกล่าวไปให้ม่วงผู้ค้ำประกัน ชําระหนี้ทราบก่อนภายใน 60 วันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด จะขอให้ผู้ค้ำประกันชําระหนี้ทันทีไม่ได้

 

ข้อ 2 จงอธิบายถึงวิธีการบังคับจํานองมาพอสังเขป

ธงคําตอบ

วิธีการบังคับจํานองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มี 3 วิธี ได้แก่

1 การบังคับจํานองโดยผู้รับจํานองฟ้องเป็นคดีต่อศาล เพื่อให้ศาลพิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สิน ซึ่งจํานอง และให้ขายทอดตลาด ตามมาตรา 728 ซึ่งบัญญัติว่า

“เมื่อจะบังคับจํานองนั้น ผู้รับจํานองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชําระหนี้ ภายในเวลาอันสมควรซึ่งต้องไม่น้อยกว่าหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ได้รับคําบอกกล่าวนั้น ถ้าและลูกหนี้ละเลยเสีย ไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว ผู้รับจํานองจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจํานอง และให้ขายทอดตลาดก็ได้

ในกรณีตามวรรคหนึ่ง ถ้าเป็นกรณีผู้จํานองซึ่งจํานองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อัน บุคคลอื่นต้องชําระ ผู้รับจํานองต้องส่งหนังสือบอกกล่าวดังกล่าวให้ผู้จํานองทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ส่ง หนังสือแจ้งให้ลูกหนี้ทราบ ถ้าผู้รับจํานองมิได้ดําเนินการภายในกําหนดเวลาสิบห้าวันนั้นให้ผู้จํานองเช่นว่านั้น หลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนซึ่งลูกหนี้ค้างชําระตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้นนับแต่วันที่พ้นกําหนดเวลาสิบห้าวันดังกล่าว”

ตามบทบัญญัติมาตรา 728 ดังกล่าวข้างต้น เป็นบทบัญญัติที่กล่าวถึงวิธีการในการบังคับจํานอง ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ได้มีการแก้ไขใหม่ โดยหากเจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้รับจํานองต้องการบังคับจํานองโดยการขายทอดตลาด ทรัพย์สินที่จํานอง จะต้องส่งคําบอกกล่าวไปให้ใครบ้าง และหากเจ้าหนี้ไม่ส่งคําบอกกล่าวไปให้บุคคลที่กฎหมาย ระบุแล้วจะมีผลอย่างไรนั้น แยกออกเป็น 2 กรณี คือ

1.1 ถ้าลูกหนี้เป็นผู้จํานองทรัพย์สินของตนเองไว้เพื่อประกันหนี้ที่ตนต้องชําระ (มาตรา 728 วรรคหนึ่ง)

กรณีนี้ เจ้าหนี้ผู้รับจํานองจะต้องมีหนังสือบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่า ให้ลูกหนี้ชําระหนี้ ภายในกําหนดเวลาอันสมควรซึ่งต้องไม่น้อยกว่า 60 วันนับแต่วันที่ลูกหนี้ได้รับคําบอกกล่าวนั้น ถ้าและลูกหนี้ ละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้ศาลพิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สิน ซึ่งจํานองและให้นําออกขายทอดตลาดได้

แต่ถ้าหากเจ้าหนี้ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น ย่อมมีผลทําให้เจ้าหนี้ไม่มีอํานาจ ฟ้องบังคับจํานอง ถ้าเจ้าหนี้ฟ้องบังคับจํานองศาลก็จะไม่รับฟ้อง แต่จะสั่งให้เจ้าหนี้ไปส่งคําบอกกล่าวแก่ลูกหนี้ใหม่

1.2 ถ้าผู้จํานองเป็นบุคคลอื่นซึ่งได้จํานองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้ที่ลูกหนี้ จะต้องชําระ (มาตรา 728 วรรคสอง)

กรณีนี้ เจ้าหนี้ผู้รับจํานองจะต้องส่งหนังสือบอกกล่าวดังกล่าว (หนังสือบอกกล่าวแก่ลูกหนี้ ตามมาตรา 728 วรรคหนึ่ง) ให้ผู้จํานองทราบภายใน 15 วันนับแต่วันที่ส่งหนังสือแจ้งให้ลูกหนี้ทราบ ถ้าเจ้าหนี้ มิได้ดําเนินการภายในกําหนดเวลา 15 วันนั้น ย่อมมีผลทําให้ผู้จํานองหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและ ค่าสินไหมทดแทนซึ่งลูกหนี้ค้างชําระหนี้ ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้น นับแต่วันที่พ้นกําหนดเวลา 15 วันดังกล่าว

2 การบังคับจํานองโดยผู้รับจํานองฟ้องเป็นคดีต่อศาล เพื่อเรียกเอาทรัพย์จํานองหลุด ตาม มาตรา 729 ซึ่งบัญญัติว่า

“ในการบังคับจํานองตามมาตรา 728 ถ้าไม่มีการจํานองรายอื่นหรือบุริมสิทธิอื่นอันได้ จดทะเบียนไว้เหนือทรัพย์สินอันเดียวกันนี้ ผู้รับจํานองจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเรียกเอาทรัพย์จํานองหลุดภายใน บังคับแห่งเงื่อนไขดังจะกล่าวต่อไปนี้แทนการขายทอดตลาดก็ได้

(1) ลูกหนี้ได้ขาดส่งดอกเบี้ยมาแล้วเป็นเวลาถึงห้าปี และ

(2) ผู้รับจํานองต้องแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่าราคาทรัพย์สินนั้นน้อยกว่าจํานวนเงินอัน ค้างชําระ”

ตามบทบัญญัติมาตรา 729 เป็นวิธีการบังคับจํานองวิธีหนึ่ง โดยผู้รับจํานองจะฟ้องเป็นคดีต่อศาล เพื่อจะเอาทรัพย์สินที่จํานองเป็นของตนเองที่เรียกว่า “เอาทรัพย์จํานองหลุด” ซึ่งเป็นสิทธิของผู้รับจํานอง แต่จะต้องปรากฏว่า

(1) ลูกหนี้ได้ขาดส่งดอกเบี้ยมาแล้วเป็นเวลาถึง 5 ปี

(2) ผู้รับจํานองแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่าราคาทรัพย์สินนั้นน้อยกว่าจํานวนเงินอันค้างชําระ

(3) ไม่มีการจํานองรายอื่นหรือบุริมสิทธิอื่นอันได้จดทะเบียนไว้เหนือทรัพย์สินอันเดียวกันนี้

3 ผู้จํานองขอให้ผู้รับจํานองดําเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานองได้โดยไม่ต้องฟ้อง เป็นคดีต่อศาล ตามมาตรา 729/1 ซึ่งบัญญัติว่า

“เวลาใด ๆ หลังจากที่หนี้ถึงกําหนดชําระ ถ้าไม่มีการจํานองรายอื่นหรือบุริมสิทธิ์อื่นอันได้ จดทะเบียนไว้เหนือทรัพย์สินอันเดียวกันนี้ ผู้จํานองมีสิทธิแจ้งเป็นหนังสือไปยังผู้รับจํานองเพื่อให้ผู้รับจํานอง ดําเนินการให้มีการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานองโดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีต่อศาล โดยผู้รับจํานองต้องดําเนินการ ขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานองภายในเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งนั้น ทั้งนี้ให้ถือว่าหนังสือแจ้งของ ผู้จํานองเป็นหนังสือยินยอมให้ขายทอดตลาด

ในกรณีที่ผู้รับจํานองไม่ได้ดําเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานองภายในระยะเวลาที่กําหนด ไว้ในวรรคหนึ่ง ให้ผู้จํานองพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนซึ่งลูกหนี้ค้างชําระ ตลอดจนค่า ภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังวันที่พ้นกําหนดเวลาดังกล่าว”

ตามมาตรา 729/1 นั้น กฎหมายได้บัญญัติให้สิทธิแก่ผู้จํานองมีหนังสือแจ้งไปยังผู้รับจํานอง เพื่อให้ผู้รับจํานองเอาทรัพย์สินของตนเองที่จํานองไว้นั้นออกขายทอดตลาดได้เลยโดยไม่ต้องฟ้องศาล หากทรัพย์สินที่จํานองนั้นไม่มีการจํานองรายอื่น (ไม่มีการจํานองซ้อน) หรือบุริมสิทธิอื่นอันได้จดทะเบียนไว้ เหนือทรัพย์สินอันเดียวกันนี้ และผู้รับจํานองต้องดําเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานองภายในเวลา 1 ปี นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งนั้น

ถ้าผู้รับจํานองไม่ได้ดําเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานองภายในระยะเวลา 1 ปีดังกล่าว ผู้จํานองย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนซึ่งลูกหนี้ค้างชําระตลอดจนค่าภาระติดพัน อันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นที่เกิดขึ้นภายหลังวันที่พ้นกําหนดเวลาดังกล่าว

 

ข้อ 3. แดงเป็นหนี้ดํา 100,000 บาท แดงได้ส่งมอบวัวของตนสองตัวไว้กับดําเพื่อประกันหนี้รายนี้ วัวตัวหนึ่งเป็นตัวผู้ ซึ่งคู่สัญญาตกลงกันให้เหลืองเช่าไปทํานา ส่วนตัวที่สองกําลังท้องแก่ ต่อมา เหลืองส่งมอบวัวคืนให้ดําเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง และชําระค่าเช่าไว้กับดํา 5,000 บาท ส่วนแม่วัวตกลูกออกมาหนึ่งตัว ประจวบกับหนี้ถึงกําหนดชําระ แต่แดงไม่ชําระหนี้ ดําต้องการบังคับ ชําระหนี้ ในขณะนั้นวัวตัวผู้ราคา 40,000 บาท แม่วัวราคา 30,000 บาท ลูกวัวราคา 20,000 บาท ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยจําแนกเป็นข้อ ๆ ว่า

1 ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากวัวตัวผู้และแม่วัวได้หรือไม่ โดยวิธีใด และอย่างไร

2 ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากค่าเช่าและลูกวัวได้หรือไม่ โดยวิธีใด

3 หากมีหนี้ค้างชําระ แดงต้องรับผิดหรือไม่ และเท่าไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 747 “อันว่าจํานํานั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จํานํา ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจํานํา เพื่อเป็นประกันการชําระหนี้”

มาตรา 761 “ถ้ามิได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา หากมีดอกผลนิตินัยงอกจากทรัพย์สินนั้น อย่างไร ท่านให้ผู้รับจํานําจัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบี้ยอันค้างชําระแก่ตน และถ้าไม่มีดอกเบี้ยค้างชําระ ท่านให้จัดสรร ใช้ต้นเงินแห่งหนี้อันได้จํานําทรัพย์สินเป็นประกันนั้น”

มาตรา 764 “เมื่อจะบังคับจํานํา ผู้รับจํานําต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชําระหนี้ และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกําหนดให้ในคําบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว ผู้รับจํานําชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจํานําออกขายได้ แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจํานําต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จํานําบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย”

มาตรา 767 “เมื่อบังคับจํานําได้เงินจํานวนสุทธิเท่าใด ท่านว่าผู้รับจํานําต้องจัดสรรชําระหนี้และ อุปกรณ์เพื่อให้เสร็จสิ้นไป และถ้ายังมีเงินเหลือก็ต้องส่งคืนให้แก่ผู้จํานํา หรือแก่บุคคลผู้ควรจะได้เงินนั้น

ถ้าได้เงินน้อยกว่าจํานวนค้างชําระ ท่านว่าลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับใช้ในส่วนที่ขาดอยู่นั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เดงเป็นหนี้ดํา 100,000 บาท และแดงได้ส่งมอบวัวของตน 2 ตัวไว้กับดํา เพื่อประกันหนี้รายนี้นั้น ย่อมถือว่าเป็นสัญญาจํานําและมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 747 ต่อมาเมื่อหนี้ถึงกําหนด แต่แดงไม่ชําระหนี้ และดําต้องการบังคับชําระหนี้จากทรัพย์สินดังกล่าว ซึ่งในขณะนั้นวัวตัวผู้มีราคา 40,000 บาท และมีเงินจากค่าเช่าวัวตัวผู้อีก 5,000 บาท ส่วนแม่วัวซึ่งตกลูกออกมาหนึ่งตัว โดยแม่วัวมีราคา 30,000 บาท และ ลูกวัวมีราคา 20,000 บาท

1 ดําย่อมสามารถบังคับชําระหนี้ได้จากวัวตัวผู้และแม่วัวซึ่งเป็นทรัพย์สินที่แดงได้จํานําไว้กับ ดําตามมาตรา 747 ประกอบมาตรา 764 โดยวิธีบังคับจํานํา โดยดําจะต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังแดงลูกหนี้ว่า ให้ชําระหนี้ภายในเวลาอันสมควรซึ่งได้กําหนดไว้ในคําบอกกล่าว และถ้าแดงละเลยไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว ดําเจ้าหนี้ผู้รับจํานําก็ชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจํานําได้แก่วัวตัวผู้และแม่วัวออกขายทอดตลาดได้

2 ดําย่อมสามารถบังคับชําระหนี้ได้จากค่าเช่าวัวตัวผู้ 5,000 บาท เพราะเป็นดอกผลนิตินัย โดยวิธีจัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบี้ยที่ค้างชําระแก่ตน ถ้าไม่มีดอกเบี้ยค้างชําระก็ให้จัดสรรใช้ต้นเงิน ตามมาตรา 761 แต่จะบังคับชําระหนี้เอาจากลูกวัวซึ่งเป็นดอกผลธรรมดาไม่ได้

3 เมื่อบังคับชําระหนี้เอาจากวัวตัวผู้ แม่วัว และค่าเช่าวัวตัวผู้แล้ว ดําก็จะได้รับชําระหนี้ เป็นเงิน 75,000 บาท ซึ่งยังขาดอยู่อีก 25,000 บาท ส่วนที่ขาดดังกล่าวนั้น แดงยังจะต้องรับผิดและรับใช้เงิน ให้แก่ดํา ตามมาตรา 767 วรรคสอง

สรุป

1 ดําสามารถบังคับชําระหนี้ได้จากวัวตัวผู้และแม่วัว โดยวิธีบังคับจํานํา

2 ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากค่าเช่าวัวตัวผู้ได้ โดยวิธีจัดสรรชําระหนี้ แต่จะบังคับชําระหนี้จากลูกวัวไม่ได้

3 เมื่อมีหนี้ค้างชําระ แดงยังคงต้องรับผิดต่อดําในหนี้ที่ค้างชําระ 25,000 บาท

LAW2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน S/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จํานอง จํานํา

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายผักกาดกู้เงินนายถั่วงอก 500,000 บาท มีการทําหลักฐานเป็นหนังสือตกลงว่านายผักกาดจะโอนเงินเข้าบัญชีนายถั่วงอกเพื่อชําระหนี้ในวันที่ 15 มีนาคม 2561 เพื่อประกันการปฏิบัติ ตามสัญญา นางสาวขนมจีนตกลงลงลายมือชื่อเข้าเป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาหนี้ถึงกําหนดชําระ นายผักกาดไม่ชําระหนี้ นายถั่วงอกจึงส่งหนังสือบอกกล่าวไปยังนายผักกาดในวันที่ 30 มีนาคม 2561 โดยไม่ทราบว่านางสาวขนมจีนได้โอนเงิน 500,000 บาท เข้าบัญชีของตนตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2561 แล้ว ดังนี้ การชําระหนี้ของนางสาวขนมจีนในฐานะผู้ค้ำประกันชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่ จงอธิบาย พร้อยยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 686 วรรคหนึ่งและวรรคสาม “เมื่อลูกหนี้ผิดนัด ให้เจ้าหนี้มีหนังสือบอกกล่าว ไปยังผู้ค้ำประกันภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดเจ้าหนี้จะเรียกให้ ผู้ค้ำประกันชําระหนี้ก่อนที่หนังสือบอกกล่าวจะไปถึงผู้ค้ําประกันมิได้ แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ค้ำประกันที่จะชําระหนี้ เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ

เมื่อเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ผู้ค้ำประกันชําระหนี้ หรือผู้ค้ำประกันมีสิทธิชําระหนี้ได้ตามวรรคหนึ่ง ผู้ค้ำประกันอาจชําระหนี้ทั้งหมดหรือใช้สิทธิชําระหนี้ตามเงื่อนไขและวิธีการในการชําระหนี้ที่ลูกหนี้มีอยู่กับเจ้าหนี้ ก่อนการผิดนัดชําระหนี้ ทั้งนี้ เฉพาะในส่วนที่ตนต้องรับผิดก็ได้ และให้นําความในมาตรา 701 วรรคสอง มาใช้ บังคับโดยอนุโลม”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายผักกาดกู้เงินนายถั่วงอก 500,000 บาท มีการทําหลักฐาน เป็นหนังสือตกลงว่านายผักกาดจะโอนเงินเข้าบัญชีนายถั่วงอกเพื่อชําระหนี้ในวันที่ 15 มีนาคม 2561 โดยมี นางสาวขนมจีนตกลงลงลายมือชื่อเข้าเป็นผู้ค้ำประกัน และต่อมาหนี้ถึงกําหนดชําระ นายผักกาดไม่ชําระหนี้ นางสาวขนมจีนผู้ค้ำประกันจึงได้โอนเงิน 500,000 บาท เข้าบัญชีของนายถั่วงอกในวันที่ 16 มีนาคม 2561 นั้น ย่อมสามารถทําได้ตามมาตรา 686 วรรคหนึ่งที่ได้กําหนดให้ผู้ค้ำประกันมีสิทธิที่จะชําระหนี้ได้ทันทีเมื่อหนี้นั้น ถึงกําหนดชําระ และการโอนเงินเข้าบัญชีของนายถั่วงอกดังกล่าวย่อมถือว่าเป็นวิธีการชําระหนี้ที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการใช้สิทธิชําระหนี้ตามเงื่อนไขและวิธีการในการชําระหนี้ที่ลูกหนี้มีอยู่กับเจ้าหนี้ก่อนการผิดนัดชําระหนี้ ตามมาตรา 686 วรรคสาม

สรุป

การชําระหนี้ของนางสาวขนมจีนในฐานะผู้ค้ำประกันชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. แดงเป็นหนี้ดํา 1 ล้านบาท แดงได้นําที่ดินของตน 1 แปลง ตราไว้กับดําเป็นประกันการชําระหนี้ โดยไม่ส่งมอบที่ดินให้แก่ดํา ต่อมาแดงได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงนี้ให้แก่เหลืองซึ่งซื้อไป ในราคา 5 แสนบาท โดยดําไม่ได้ยินยอม หลังจากนั้นหนี้รายนี้ขาดอายุความ และแดงได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ แต่ยังคงต้องการบังคับ ชําระหนี้ให้ได้ จึงมาปรึกษาท่าน ท่านจะให้คําปรึกษาว่าอย่างไรในกรณีต่อไปนี้

(ก) ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากที่ดินแปลงนี้ของเหลืองได้หรือไม่ โดยวิธีใด

(ข) ในขณะนั้นหากขายทอดตลาดที่ดินแปลงนี้จะได้ 8 แสนบาท ดําจะบังคับชําระหนี้ให้ได้ครบจํานวนจากแดงและเหลืองได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/9 “สิทธิเรียกร้องใด ๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด สิทธิ เรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ

มาตรา 193/10 “สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชําระหนี้ตาม สิทธิเรียกร้องนั้นได้”

มาตรา 193/27 “ผู้รับจํานอง ผู้รับจํานํา ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วง หรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สิน ของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้ ยังคงมีสิทธิบังคับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่จํานอง จํานํา หรือที่ได้ยึดถือไว้ แม้ว่าสิทธิ เรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชําระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลัง เกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้”

มาตรา 702 “อันว่าจํานองนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จํานอง เอาทรัพย์สินตราไว้ แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจํานอง เป็นประกันการชําระหนี้ โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจํานอง

ผู้รับจํานองชอบที่จะได้รับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่จํานองก่อนเจ้าหนี้สามัญ มิพักต้อง พิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่” อาการ การงาน มาตรา 727/1 วรรคหนึ่ง “ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ผู้จํานองซึ่งจํานองทรัพย์สินของตนไว้ เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชําระ ไม่ต้องรับผิดในหนี้นั้นเกินราคาทรัพย์สินที่จํานองในเวลาที่บังคับจํานอง หรือเอาทรัพย์จํานองหลุด”

มาตรา 744 “อันจํานองย่อมระงับสิ้นไป

(1) เมื่อหนี้ที่ประกันระงับสิ้นไปด้วยเหตุประการอื่นใดมิใช่เหตุอายุความ”

มาตรา 745 “ผู้รับจํานองจะบังคับจํานองแม้เมื่อหนี้ที่ประกันนั้นขาดอายุความแล้วก็ได้ แต่จะบังคับเอาดอกเบี้ยที่ค้างชําระในการจํานองเกินห้าปีไม่ได้”

วินิจฉัย

(ก) กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงได้นําที่ดินของตน 1 แปลง ตราไว้กับดําเป็นประกันการ ชําระหนี้นั้นย่อมถือว่าเป็นการจํานองตามมาตรา 702 วรรคหนึ่ง และแม้ต่อมาแดงจะได้จดทะเบียนโอนขาย ที่ดินแปลงนี้ให้แก่เหลือง สัญญาจํานองระหว่างแดงและดํายังคงมีผลสมบูรณ์และตกติดไปกับทรัพย์สินที่จํานอง แม้ว่าทรัพย์สินที่จํานองนั้นกรรมสิทธิ์จะได้โอนไปเป็นของเหลืองแล้วก็ตาม (มาตรา 702 วรรคสอง)

การที่หนี้รายนี้ขาดอายุความ โดยหลักแล้วเมื่อดําเรียกให้แดงชําระหนี้ แดงลูกหนี้ย่อมมีสิทธิ ยกอายุความขึ้นต่อสู้เพื่อปฏิเสธการชําระหนี้นั้นได้ตามมาตรา 193/9 ประกอบมาตรา 193/10 แต่อย่างไรก็ตาม แม้หนี้ซึ่งจํานองเป็นประกันอยู่นั้นจะขาดอายุความก็ไม่ทําให้การจํานองระงับสิ้นไปตามมาตรา 744 (1) ดังนั้น ดําผู้รับจํานองจึงยังคงมีสิทธิบังคับชําระหนี้เอาจากทรัพย์สินที่จํานองคือที่ดินที่แดงจํานองไว้ได้ แม้ว่าสิทธิเรียกร้อง ส่วนที่เป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความ และที่ดินนั้นจะโอนไปเป็นของเหลืองแล้วก็ตาม (ตามมาตรา 193/27 และมาตรา 745 ประกอบมาตรา 702 วรรคสอง) โดยวิธีการฟ้องเป็นคดีต่อศาลเพื่อบังคับจํานองหรือเรียกเอา ทรัพย์จํานองหลุด (ตามมาตรา 728 และ 729) หรือดําเนินการให้มีการขายทอดตลาดที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ จํานองโดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีต่อศาลตามมาตรา 729/1 ก็ได้

(ข) หากมีการนําที่ดินแปลงดังกล่าวขายทอดตลาดได้เงิน 8 แสนบาท ส่วนที่เหลืออีก 2 แสนบาทนั้น ดําจะบังคับชําระหนี้เอาจากแดงไม่ได้ เพราะเป็นหนี้ที่ขาดอายุความแล้วและแดงได้ยกอายุความขึ้น เป็นข้อต่อสู้แล้ว และดําจะบังคับชําระหนี้เอาจากเหลืองก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะเหลืองไม่ต้องรับผิดในหนี้นั้น เกินราคาทรัพย์สินที่จํานองในเวลาบังคับจํานองตามมาตรา 727/1 วรรคหนึ่ง

สรุป

(ก) ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากที่ดินแปลงนี้ของเหลืองได้โดยวิธีบังคับจํานอง หรือดําเนินการขายทอดตลาดโดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีต่อศาล

(ข) หากขายทอดตลาดที่ดินแปลงนี้ได้เงิน 8 แสนบาท ดําจะบังคับชําระหนี้ให้ได้ ครบจํานวน 1 ล้านบาทจากแดงและเหลืองไม่ได้

 

ข้อ 3. แดงเป็นหนี้ดํา 1 แสนบาท แดงได้จํานําใบหุ้นและวัวท้องแก่ 1 ตัวไว้กับดําโดยชอบด้วยกฎหมาย ครั้นหนี้ถึงกําหนดชําระแดงผิดนัด ในขณะนั้นวัวตกลูกออกมา 1 ตัว ใบหุ้นก็มีเงินปันผลจํานวนหนึ่ง ดําต้องการบังคับชําระหนี้เอาจากทรัพย์สินทั้งหมดข้างต้น โดยแม่วัวราคา 5 หมื่นบาท ลูกวัวราคา 2 หมื่นบาท ใบหุ้นคิดเป็นเงิน 2 หมื่นบาท มีเงินปันผลจํานวน 2 พันบาท ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากลูกวัวและเงินปันผลได้หรือไม่ โดยวิธีใด

(ข) ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากแม่วัวและใบหุ้นได้หรือไม่ โดยวิธีใดที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดและอย่างไร

(ค) หากดําได้รับชําระไม่ครบจํานวน จะเรียกจากแดงได้อีกหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 761 “ถ้ามิได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา หากมีดอกผลนิตินัยงอกจาก ทรัพย์สินนั้นอย่างไร ทานให้ผู้รับจํานําจัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบี้ยอันค้างชําระแก่ตน และถ้าไม่มีดอกเบี้ยค้างชําระ ท่านให้จัดสรรใช้ต้นเงินแห่งหนี้อันได้จํานําทรัพย์สินเป็นประกันนั้น”

มาตรา 764 “เมื่อจะบังคับจํานํา ผู้รับจํานําต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่า ให้ชําระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกําหนดให้ในคําบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว ผู้รับจํานําขอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจํานําออกขายได้ แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจํานําต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จํานําบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขาย ทอดตลาดด้วย”

มาตรา 767 “เมื่อบังคับจํานําได้เงินจํานวนสุทธิเท่าใด ท่านว่าผู้รับจํานําต้องจัดสรรชําระหนี้ และอุปกรณ์เพื่อให้เสร็จสิ้นไป และถ้ายังมีเงินเหลือก็ต้องส่งคืนให้แก่ผู้จํานํา หรือแก่บุคคลผู้ควรจะได้เงินนั้น

ถ้าได้เงินน้อยกว่าจํานวนค้างชําระ ท่านว่าลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับใช้ในส่วนที่ขาดอยู่นั้น”

 

วินิจฉัย

มาตรา 761 ได้วางหลักไว้ว่า หากทรัพย์สินที่จํานํามีดอกผลนิตินัย (เช่น ดอกเบี้ย ค่าเช่า หรือ เงินปันผล) เกิดขึ้น ให้ผู้รับจํานําจัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบี้ยอันค้างชําระแก่ตน และถ้าไม่มีดอกเบี้ยค้างชําระก็ให้ จัดสรรใช้เงินต้นแห่งหนี้ที่ได้จํานําทรัพย์สินเป็นประกันนั้น เว้นแต่ในสัญญาจํานําจะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่แดงเป็นหนี้ดํา 1 แสนบาท ได้จํานําใบหุ้นและวัวท้องแก่ 1 ตัวไว้กับดํา เมื่อ ถึงกําหนดชําระแดงผิดนัดชําระหนี้ และในขณะนั้นวัวตกลูกออกมา 1 ตัว และใบหุ้นมีเงินปันผลจํานวนหนึ่งนั้น ดําสามารถบังคับชําระหนี้เอาจากเงินปันผลซึ่งเป็นดอกผลนิตินัยโดยวิธีจัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบี้ยที่ค้างชําระแก่ตน ถ้าไม่มีดอกเบี้ยค้างชําระก็ให้จัดสรรใช้เงินต้น แต่จะบังคับชําระหนี้เอาจากลูกวัวซึ่งเป็นดอกผลธรรมดาไม่ได้ (มาตรา 761)

(ข) การที่ดําจะบังคับชําระหนี้จากแม่วัวและใบหุ้นซึ่งเป็นทรัพย์สินที่แดงได้จํานําไว้นั้น ดําสามารถทําได้โดยวิธีการบังคับจํานําซึ่งเป็นวิธีที่จะเป็นประโยชน์สูงสุด แต่ดําต้องปฏิบัติตามวิธีการที่มาตรา 764 ได้กําหนดไว้ด้วย

(ค) เมื่อดําบังคับชําระหนี้เอาจากแม่วัวได้ 5 หมื่นบาท ใบหุ้นได้ 2 หมื่นบาท และเงินปันผลได้ 2 พันบาท รวมเป็นเงิน 7 หมื่น 2 พันบาท ซึ่งยังขาดอยู่อีก 2 หมื่น 8 พันบาท ส่วนที่ขาดดังกล่าวดําย่อมสามารถ เรียกเอาจากแดงได้ตามมาตรา 767 วรรคสอง

สรุป

(ก) ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากลูกวัวไม่ได้ แต่บังคับชําระหนี้จากเงินปันผลได้โดยวิธีจัดสรรชําระหนี้

(ข) ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากแม่วัวและใบหุ้นได้ โดยวิธีการบังคับจํานําซึ่งจะได้ประโยชน์สูงสุด

(ค) เมื่อดําได้รับชําระไม่ครบจํานวน ดําสามารถเรียกจากแดงได้อีก

 

 

LAW2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน 2/2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงกู้เงินเหลือง 5 แสนบาท โดยมีหลักฐานถูกต้อง เหลืองขอให้แดงหาผู้ค้ำประกันมาด้วย แดงจึงไปหาเขียวขอให้เป็นผู้ค้ำประกันหนี้รายนี้ เขียวตกลงกับแดงว่า หากแดงชําระหนี้ไม่ได้เขียวจะรับ ชําระหนี้แทนแดงเพียงจํานวน 2 แสนบาท และได้มีการทําหลักฐานลงลายมือชื่อทั้งแดงและเขียว อยากทราบว่า สัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาค้ำประกันหรือไม่ ยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 681 วรรคหนึ่ง “อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 680 วรรคหนึ่ง การค้ำประกันนั้นจะต้องเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกมาทําสัญญา กับเจ้าหนี้ว่า หากลูกหนี้ไม่ชําระหนี้ ผู้ค้ำประกันจะชําระหนี้นั้นแทนลูกหนี้

กรณีตามอุทาหรณ์ แม้หนี้เงินกู้ยืมระหว่างแดงกับเหลืองจะเป็นหนี้ที่สมบูรณ์และสามารถ ทําสัญญาค้ำประกันได้ตามมาตรา 681 วรรคหนึ่ง แต่การที่เขียวได้ตกลงกับแดงว่าหากแดงชําระหนี้ไม่ได้ ตนจะ เป็นผู้ชําระหนี้แทนนั้น ถือเป็นการตกลงกันระหว่างเขียวบุคคลภายนอกกับแดงซึ่งเป็นลูกหนี้ กรณีจึงไม่ต้องด้วย หลักเกณฑ์ตามมาตรา 680 วรรคหนึ่ง ดังนั้น สัญญาระหว่างเขียวกับแดงจึงไม่เป็นสัญญาค้ำประกัน เพราะมิใช่ สัญญาที่บุคคลภายนอกได้ทํากับเจ้าหนี้เพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

สรุป

สัญญาระหว่างเขียวกับแดงดังกล่าวไม่เป็นสัญญาค้ำประกัน

 

ข้อ 2. นาย ก. ยืมเงินนาย ข. 1 ล้านบาท โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อมา นาย ค. นําที่ดินของตนมาจํานองประกันหนี้รายนี้ 10 เดือนต่อมาลูกหนี้ผิดนัดและไม่ชําระหนี้ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 1 ปี ทั้งเจ้าหนี้ก็ไม่ยอมฟ้องโดยอ้างว่าไม่มีเวลา ดังนี้ นาย ค. เกรงว่าหากปล่อยให้เวลาเนิ่นนานไป หนี้ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีหยุด จึงมาปรึกษานักศึกษา ๆ จะให้ความเห็นกับ นาย ค. ว่าอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 729/1 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “เวลาใด ๆ หลังจากที่หนี้ถึงกําหนดชําระ ถ้าไม่มี การจํานองรายอื่นหรือบุริมสิทธิ์อื่นอันได้จดทะเบียนไว้เหนือทรัพย์สินอันเดียวกันนี้ ผู้จํานองมีสิทธิแจ้งเป็นหนังสือ ไปยังผู้รับจํานองเพื่อให้ผู้รับจํานองดําเนินการให้มีการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานองโดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดี ต่อศาล โดยผู้รับจํานองต้องดําเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานองภายในเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับ หนังสือแจ้งนั้น ทั้งนี้ให้ถือว่าหนังสือแจ้งของผู้จํานองเป็นหนังสือยินยอมให้ขายทอดตลาด

ในกรณีที่ผู้รับจํานองไม่ได้ดําเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานองภายในระยะเวลาที่ กําหนดไว้ในวรรคหนึ่ง ให้ผู้จํานองพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนซึ่งลูกหนี้ค้างชําระ ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังวันที่พ้นกําหนดเวลาดังกล่าว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก. ยืมเงินนาย ข. 1 ล้านบาท โดยมีนาย ค. นําที่ดินของตน มาจํานองประกันหนี้รายนี้ และต่อมาลูกหนี้ผิดนัดและไม่ชําระหนี้ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 1 ปี ทั้งเจ้าหนี้ก็ไม่ยอมฟ้อง โดยอ้างว่าไม่มีเวลานั้น ดังนี้ เมื่อนาย ค. เกรงว่าหากปล่อยให้เวลาเนิ่นนานไปหนี้ก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีหยุด และได้มาปรึกษากับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะแนะนําแก่นาย ค. ตามมาตรา 729/1 ดังนี้คือ

ถ้าที่ดินที่นาย.ค. นําไปจํานองเพื่อประกันหนี้ดังกล่าวไม่มีการจํานองรายอื่น หรือบุริมสิทธิ์อื่น อันได้จดทะเบียนไว้เหนือทรัพย์สินอันเดียวกันนี้ นาย ค. ผู้จํานองมีสิทธิแจ้งเป็นหนังสือไปยังนาย ข. ผู้รับจํานอง เพื่อให้นาย ข. ผู้รับจํานองดําเนินการให้มีการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานองโดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีต่อศาล ซึ่ง ผู้รับจํานองต้องดําเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานองภายในเวลา 1 ปีนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งนั้น ทั้งนี้ ให้ถือว่าหนังสือแจ้งของผู้จํานองเป็นหนังสือยินยอมให้ขายทอดตลาดได้ (มาตรา 729/1 วรรคหนึ่ง)

และหากนาย ข. ผู้รับจํานองไม่ดําเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานองภายในระยะเวลา ที่กําหนด ให้นาย ค. ผู้จํานองพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนซึ่งลูกหนี้ค้างชําระ ตลอดจน ค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังวันที่พ้นกําหนดเวลาดังกล่าว (มาตรา 729/1 วรรคสอง)

สรุป

เมื่อนาย ค. มาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้ความเห็นและแนะนํากับนาย ค. ดังกล่าว ข้างต้น

 

ข้อ 3. แดงเป็นหนี้ดํา 200,000 บาท แดงจํานําใบหุ้นและวัวท้องแก่หนึ่งตัวไว้กับดําโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาแดงไม่ชําระหนี้ตามกําหนด ดํายังคงต้องการบังคับชําระหนี้จากทรัพย์สินข้างต้น ในขณะนั้น ใบหุ้นเป็นเงิน 100,000 บาท มีเงินปันผล 2,000 บาท ส่วนแม่วัวตกลูกออกมาหนึ่งตัว แม่วัวราคา 60,000 บาท ลูกวัวราคา 20,000 บาท ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากทรัพย์สินใดได้บ้าง เพราะเหตุใด

(ข) ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่บังคับได้โดยวิธีใด เพราะเหตุใด

(ค) ดําจะได้รับชําระหนี้เท่าใด และแดงต้องรับผิดอย่างไรต่อไป เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 747 “อันว่าจํานํานั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จํานํา ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจํานํา เพื่อเป็นประกันการชําระหนี้”

มาตรา 761 “ถ้ามิได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา หากมีดอกผลนิตินัยงอกจาก ทรัพย์สินนั้นอย่างไร ท่านให้ผู้รับจํานําจัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบี้ยอันค้างชําระแก่ตน และถ้าไม่มีดอกเบี้ยค้างชําระ ท่านให้จัดสรรใช้ต้นเงินแห่งหนี้อันได้จํานําทรัพย์สินเป็นประกันนั้น”

มาตรา 764 “เมื่อจะบังคับจํานํา ผู้รับจํานําต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่า ให้ชําระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกําหนดให้ในคําบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว ผู้รับจํานําชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจํานําออกขายได้แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจํานําต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จํานําบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย”

มาตรา 767 “เมื่อบังคับจํานําได้เงินจํานวนสุทธิเท่าใด ท่านว่าผู้รับจํานําต้องจัดสรรชําระหนี้ และอุปกรณ์เพื่อให้เสร็จสิ้นไป และถ้ายังมีเงินเหลือก็ต้องส่งคืนให้แก่ผู้จํานํา หรือแก่บุคคลผู้ควรจะได้เงินนั้น

ถ้าได้เงินน้อยกว่าจํานวนค้างชําระ ท่านว่าลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับใช้ในส่วนที่ขาดอยู่นั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงเป็นหนี้ดํา 200,000 บาท แดงได้จํานําใบหุ้นและวัวท้องแก่ หนึ่งตัวไว้กับดําโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น ต่อมาเมื่อแดงไม่ชําระหนี้ตามกําหนด ดํายังคงต้องการบังคับชําระหนี้ จากทรัพย์สินดังกล่าว ในขณะนั้นใบหุ้นเป็นเงิน 100,000 บาท มีเงินปันผล 2,000 บาท ส่วนแม่วัวตกลูกออกมา หนึ่งตัวโดยแม่วัวราคา 60,000 บาท และลูกวัวราคา 20,000 บาท ดังนี้

(ก) ดําย่อมสามารถบังคับชําระหนี้ได้จากใบหุ้นและแม่วัวซึ่งเป็นทรัพย์สินที่แดงได้จํานําไว้ กับดําตามมาตรา 747 ประกอบมาตรา 764 วรรคสอง และดํายังสามารถบังคับชําระหนี้ได้จากเงินปันผลซึ่งเป็น ตอกผลนิตินัยได้ตามมาตรา 761 แต่จะบังคับชําระหนี้เอาจากลูกวัวไม่ได้เพราะลูกวัวเป็นดอกผลธรรมดา

 

(ข) ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากใบหุ้นและแม่วัวซึ่งเป็นทรัพย์สินที่จํานําได้โดยการนํา ออกขายทอดตลาดตามมาตรา 747 ประกอบมาตรา 764 วรรคสอง ส่วนเงินปันผลซึ่งเป็นดอกผลนิตินัยนั้น ดําสามารถบังคับชําระหนี้ได้โดยการจัดสรรชําระหนี้ตามมาตรา 761 การโอนเอง

 

(ค) ดําจะได้รับชําระหนี้จากใบหุ้นเป็นเงิน 100,000 บาท เงินปันผล 2,000 บาท และจาก แม่วัวเป็นเงิน 60,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งหมด 162,000 บาท ซึ่งจะได้เงินน้อยกว่าหนี้ที่ค้างชําระอีก 38,000 บาท ดังนั้น จํานวนหนี้ที่เหลืออีก 38,000 บาทซึ่งเป็นหนี้สามัญ แดงจึงต้องรับผิดชดใช้ให้แก่ดําตามมาตรา 767 วรรคสอง

สรุป

(ก) สามารถบังคับชําระหนี้ได้จากใบหุ้น แม่วัว และเงินปันผล

(ข) ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากใบหุ้นและแม่วัวโดยการนําออกขายทอดตลาด

และสามารถบังคับชําระหนี้จากเงินปันผลโดยการจัดสรรชําระหนี้

(ค) ดําจะได้รับชําระหนี้ทั้งหมด 162,000 บาท และแดงต้องรับผิดใช้เงินส่วนที่ขาดอีกจํานวน 38,000 บาท ให้แก่ดํา

LAW2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน 1/2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงกู้เงินเขียว 5,000 บาท มีหลักฐานถูกต้องและมีเหลืองเป็นผู้ค้ำประกัน มีหลักฐานการค้ำประกันเป็นหนังสือแต่ลงลายมือชื่อเหลืองคนเดียว เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ แดงชําระหนี้ไม่ได้ เขียวจึงส่งหนังสือไปให้เหลืองชําระหนี้แทนภายใน 60 วัน นับแต่วันผิดนัด เหลืองสืบทราบว่าแท้จริงแล้ว แดงยังมีสร้อยข้อมือทองคําวางเป็นประกันกับเขียวอยู่ ดังนี้ เหลืองจึงไม่ยอมชําระโดยอ้างว่าสัญญาค้ำประกันไม่สมบูรณ์ เพราะลงลายมือชื่อเหลืองคนเดียว และเขียวมีสร้อยข้อมือทองคํา ขอให้ไปบังคับจากสร้อยข้อมือของแดงอยากทราบว่า ข้ออ้างของเหลืองทั้ง 2 ข้อ รับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 681 วรรคหนึ่ง “อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์”

มาตรา 686 วรรคหนึ่ง “เมื่อลูกหนี้ผิดนัด ให้เจ้าหนี้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้ำประกัน ภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใดเจ้าหนี้จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชําระหนี้ ก่อนที่หนังสือบอกกล่าวจะไปถึงผู้ค้ำประกันมิได้ แต่ไม่ตัดสิทธิผู้ค้ำประกันที่จะชําระหนี้เรือหนี้ถึงกําหนดชําระ”

มาตรา 690 “ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดถือไว้เป็นประกันไซร้ เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องให้ชําระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน”

วินิจฉัย

ในกรณีที่การกู้เงินและการค้ําประกันนั้นได้กระทําถูกต้องตามกฎหมาย และมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดี หากลูกหนี้ผิดนัดชําระหนี้ ย่อมก่อให้เกิดสิทธิแก่เจ้าหนี้ในการบังคับการชําระหนี้เอาจากลูกหนี้ และผู้ค้ำประกันได้ตามมาตรา 680 และมาตรา 686 และในส่วนของผู้ค้ำประกันอาจจะบ่ายเบี่ยงขอให้เจ้าหนี้ บังคับเอาจากลูกหนี้ก่อนได้ตามมาตรา 690 คือ เมื่อเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดไว้เป็นประกัน และการประกันนั้น ได้กระทําถูกต้องตามกฎหมาย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1 การที่แดงกู้เงินเขียว 5,000 บาท โดยมีหลักฐานถูกต้องและแดงเด้นําสร้อยข้อมือทองคํา วางเป็นประกันกับเขียวไว้ และมีเหลืองเป็นผู้ค้ำประกันโดยทําหลักฐานค้ำประกันเป็นหนังสือแต่ลงลายมือชื่อเหลือง เพียงคนเดียวนั้น สัญญาค้ำประกันระหว่างเหลืองผู้ค้ำประกันและเขียวเจ้าหนี้ย่อมมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับคดีกันได้

ตามมาตรา 680 และมาตรา 681 วรรคหนึ่ง เพราะสัญญาค้ำประกันนั้น กฎหมายกําหนดให้องลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เป็นสําคัญ ส่วนเจ้าหนี้และลูกหนี้จะลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันด้วยหรือไม่ไม่สําคัญ และเมื่อเขียวได้ปฏิบัติ ถูกต้องตามมาตรา 686 วรรคหนึ่งแล้ว กล่าวคือ เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระแดงลูกหนี้ไม่ชําระหนี้ เขียวเจ้าหนี้จึงได้ มีหนังสือบอกกล่าวไปให้เหลืองผู้ค้ำประกันชําระหนี้นั้นภายในกําหนด 60 วันนับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัดแล้ว ดังนั้น เหลืองจึงต้องชําระหนี้ให้แก่เขียว การที่เหลืองไม่ยอมชําระหนี้โดยอ้างว่าสัญญาค้ําประกันไม่สมบูรณ์ เพราะ ลงลายมือชื่อเหลืองคนเดียว ข้ออ้างของเหลืองกรณีนี้จึงรับฟังไม่ได้

2 เมื่อแดงได้นําสร้อยข้อมือทองคําของตนวางเป็นประกันกับเขียวไว้ ย่อมถือว่าเจ้าหนี้ มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดถือไว้เป็นประกัน ดังนั้น เมื่อเขียวเจ้าหนี้เรียกให้เหลืองผู้ค้ำประกันชําระหนี้ แต่เหลือง ไม่ยอมชําระโดยได้บ่ายเบี่ยงให้เขียวไปบังคับเอาจากสร้อยข้อมือของแดงก่อนนั้น ข้ออ้างของเขียวกรณีนี้จึงรับฟังได้ ตามมาตรา 690

สรุป

ข้ออ้างของเหลืองที่ว่าสัญญาค้ำประกันไม่สมบูรณ์รับฟังไม่ได้ ส่วนข้ออ้างของเหลือง ที่ให้เขียวไปบังคับเอาจากสร้อยข้อมือของแดงก่อนรับฟังได้

 

ข้อ 2 นายแก้วกู้เงินนายนพ 1,000,000 บาท มีหลักฐานการกู้ถูกต้อง และนายแก้วได้นําที่ดินราคา 1,000,000 บาท มาจดทะเบียนจํานองเป็นประกัน ต่อมานายแก้วอนุญาตเป็นหนังสือให้นายแหวน มีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์บนที่ดินแปลงดังกล่าวจนถึงวันที่ 10 มกราคม 2570 โดยไม่แจ้งให้นายนพทราบ

ดังนี้ การกระทําของนายแก้วกระทบสิทธิของนายนพหรือไม่ และนายนพต้องดําเนินการกับสิทธิ ดังกล่าวอย่างไร จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 722 “ถ้าทรัพย์สินได้จํานองแล้ว และภายหลังที่จดทะเบียนจํานองมีจดทะเบียน ภาระจํายอมหรือทรัพยสิทธิอย่างอื่น โดยผู้รับจํานองมิได้ยินยอมด้วยไซร้ ท่านว่าสิทธิจํานองย่อมเป็นใหญ่กว่า ภาระจํายอมหรือทรัพยสิทธิอย่างอื่นนั้น หากว่าเป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของผู้รับจํานองในเวลาบังคับจํานองก็ให้ ลบสิทธิที่กล่าวหลังนั้นเสียจากทะเบียน

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 722 เป็นบทบัญญัติคุ้มครองสิทธิของผู้รับจํานอง กล่าวคือ ถ้าหาก ภายหลังที่ได้จดทะเบียนจํานองแล้ว ผู้จํานองได้ไปก่อตั้งภาระจํายอมหรือจดทะเบียนทรัพยสิทธิในทรัพย์สิน ที่จํานองขึ้นโดยผู้รับจํานองมิได้ยินยอมด้วย กฎหมายให้ถือว่าสิทธิจํานองย่อมเป็นใหญ่กว่าสิทธิอื่น ๆ ที่ผู้จํานอง ได้ก่อขึ้นนั้น และเมื่อในขณะบังคับจํานอง ภาระจํายอมหรือทรัพยสิทธิที่ผู้จํานองได้ก่อนนั้นจะเป็นที่เสื่อมเสีย แก่สิทธิของผู้รับจํานอง ผู้รับจํานองมีสิทธิที่จะให้ลบทรัพยสิทธิเหล่านั้นได้

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นายแก้วกู้เงินนายนพและได้นําที่ดินของตนมาจดทะเบียนจํานอง เป็นประกัน และต่อมานายแก้วอนุญาตเป็นหนังสือให้นายแหวนมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์บนที่ดินแปลง ดังกล่าวจนถึงวันที่ 10 มกราคม 2570 โดยไม่แจ้งให้นายนพทราบนั้น การกระทําของนายเก้วย่อมไม่กระทบสิทธิ ของนายนพแต่อย่างใด เพราะการกระทําของนายแก้วมิใช่เป็นการจดทะเบียนภาระจํายอมหรือทรัพยสิทธิใน ทรัพย์สินที่จํานอง แต่เป็นเพียงการให้สิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์บนที่ดินแปลงดังกล่าว ซึ่งเป็นเพียงบุคคลสิทธิ ระหว่างนายแก้วและนายแหวนเท่านั้น อีกทั้งถ้าหากมีการบังคับจํานอง สิทธิของนายนพผู้รับจํานองก็มิได้เสื่อมเสีย แต่อย่างใด ดังนั้น นายนพจึงไม่ต้องดําเนินการกับสิทธิดังกล่าวแต่อย่างใด

สรุป

การกระทําของนายแก้วไม่กระทบสิทธิของนายนพ และนายนพไม่ต้องดําเนินการกับ สิทธิดังกล่าวแต่อย่างใด

 

ข้อ 3 หนึ่งกู้เงินสอง 100,000 บาท โดยนําแม่โคพ่อโคไปจํานําเป็นประกันหนี้ โดยมิรู้ ว่าแม่โคมีลูกติดท้องไปด้วย ต่อมาหนึ่งได้ติดค้างดอกเบี้ยแก่สองมาหลายเดือน และแม่โคได้ตกลูกออกมาที่บ้านของสอง นั่นเอง สองจึงนําลูกโคไปขายและนําเงินมาชําระค่าดอกเบี้ยที่หนึ่งค้างชําระอยู่ ดังนี้ ให้ทานวินิจฉัยว่า

1 สองมีอํานาจนําลูกโคไปขายเพื่อนําเงินมาชําระค่าดอกเบี้ยที่หนึ่งค้างซิ” ระหรือไม่ เพราะเหตุใด

2 สิทธิของสองในฐานะเจ้าหนี้จํานํามีสิทธิที่จะทําอะไรได้บ้าง

3 ผู้ใดเป็นเจ้าของลูกโคที่แท้จริง มีสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนได้หรือไม่ และต้องเสียค่าไถ่หรือไม่ เพราะอะไร

(ทุกข้อที่ตอบต้องใส่หลักกฎหมายมาให้ครบทุกประเด็น)

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 747 “อันว่าจํานํานั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จํานํา ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจํานํา เพื่อเป็นประกันการชําระหนี้”

มาตรา 758 “ผู้รับจํานําชอบที่จะยึดของจํานําไว้ได้ทั้งหมดจนกว่าจะได้รับชําระหนี้และค่า อุปกรณ์ครบถ้วน”

มาตรา 761 “ถ้ามิได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา หากมีดอกผลนิตินัยงอกจาก ทรัพย์สินนั้นอย่างไร ท่านให้ผู้รับจํานําจัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบี้ยอันค้างชําระแก่ตน และถ้าไม่มีดอกเบี้ยค้างชําระ ท่านให้จัดสรรใช้ต้นเงินแห่งหนี้อันได้จํานําทรัพย์สินเป็นประกันนั้น”

มาตรา 764 “เมื่อจะบังคับจํานํา ผู้รับจํานําต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่า ให้ชําระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกําหนดให้ในคําบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว ผู้รับจํานําชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจํานําออกขายได้ แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจํานําต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จํานําบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขาย ทอดตลาดด้วย”

มาตรา 1336 “ภายในบังคับแห่งกฎหมาย เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอยและจําหน่ายทรัพย์สิน ของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิ จะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1 การที่หนึ่งกู้เงินสอง 100,000 บาท โดยนําแม่โคพ่อโคไปจํานําเป็นประกันหนี้ สัญญาจํานํา ระหว่างหนึ่งและสองมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 747 ต่อมาหนึ่งได้ติดค้างดอกเบี้ยแก่สองมาหลายเดือน และแม่โคซึ่งมี ลูกติดท้องไปด้วยได้ตกลูกออกมาที่บ้านของสอง เมื่อแมโคเป็นทรัพย์สินของหนึ่งที่นําไปส่งมอบเพื่อประกันหนี้เงินกู้ แก่สอง กรรมสิทธิ์ในแม่โคจึงยังเป็นของหนึ่งและเมื่อแม่โคออกลูกมาลูกโคจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของหนึ่ง ดังนั้น สอง ซึ่งมิใช่เจ้าของลูกโคจึงไม่มีสิทธินําลูกโคไปขายเพื่อนําเงินมาชําระหนี้ที่หนึ่งค้างชําระ อีกทั้งลูกโคก็ถือว่าเป็น ดอกผลธรรมดามิใช่ดอกผลนิตินัย ดังนั้น สองจึงไม่มีสิทธินําลูกโคไปขายเพื่อนําเงินมาจัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบี้ยที่ หนึ่งค้างชําระแก่สองตามมาตรา 761

2 สิทธิของสองในฐานะเจ้าหนี้ผู้รับจํานํานั้น ย่อมมีสิทธิที่จะทําได้ตามมาตรา 747 ประกอบมาตรา 758 คือมีสิทธิที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินที่หนึ่งได้จํานําไว้กับสองทั้งหมดคือพ่อโคและแม่โค จนกว่าจะได้รับชําระหนี้และดอกเบี้ยจนครบถ้วน รวมทั้งเมื่อสองจะบังคับจํานําและสองได้บอกกล่าวเป็นหนังสือ ไปยังหนึ่งลูกหนี้ให้ชําระหนี้และดอกเบี้ยแล้ว แต่หนึ่งละเลยไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าวคือไม่ยอมชําระหนี้ สองผู้รับจํานํามีสิทธิที่จะเอาทรัพย์สินที่จํานําคือพ่อโคและแม่โคนั้นออกขายทอดตลาดเพื่อนําเงินมาชําระหนี้ได้ ตามมาตรา 764

3 เมื่อแม่โคเป็นของหนึ่ง ดังนั้น หนึ่งจึงเป็นเจ้าของลูกโคที่แท้จริงและมีสิทธิติดตามเอา ทรัพย์สินคือลูกโคคืนจากสองได้ โดยไม่ต้องเสียค่าไถ่ตามมาตรา 1336

สรุป

1 สองไม่มีสิทธินําลูกโคไปขายเพื่อนําเงินมาชําระค่าดอกเบี้ยที่หนึ่งค้างชําระ

2 สองมีสิทธิยึดพ่อโคและแม่โคไว้ได้จนกว่าจะได้รับชําระหนี้ รวมทั้งมีสิทธินําพ่อโค และแม่โคออกขายทอดตลาดเพื่อนําเงินมาชําระหนี้ได้

3 หนึ่งเป็นเจ้าของลูกโค จึงมีสิทธิติดตามเอาลูกโคคืนจากสองได้โดยไม่ต้องเสียค่าไถ่

LAW2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน s/2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงกู้เงินดํา 50,000 บาท มีหลักฐานถูกต้อง และแดงนําที่ดินราคา 100,000 บาท ของแดงมาจดทะเบียนจํานองแต่ก็ขอให้แดงหาผู้ค้ำประกันมาให้ด้วย แดงจึงไปหาเขียว เขียวตกลงกับดํา ว่าหากแดงชําระหนี้เงินกู้ไม่ได้ตนจะชําระหนี้แทนและทําหลักฐานเป็นหนังสือแต่ลงลายมือชื่อเขียว คนเดียวเท่านั้น ต่อมาหนี้ถึงกําหนดชําระ คําขอให้แดงชําระหนี้ แดงไม่มีเงินจะชําระหนี้ ดําจึงไป หาเขียว ขอให้เขียวชําระหนี้ตามสัญญาค้ำประกัน เขียวต่อสู้ว่า

1 หลักฐานการค้ำประกันไม่ถูกต้องเพราะแดงและดําไม่ได้ลงลายมือชื่อ

2 หากต้องชําระก็ขอให้ไปบังคับจากที่ดินของแดงก่อน อยากทราบว่า ข้ออ้างของเขียวทั้ง 2 ข้อ รับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ําประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 690 “ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดถือไว้เป็นประกันไซร้ เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องให้ชําระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1 การที่แดงกู้เงินดํา 50,000 บาท โดยมีหลักฐานถูกต้อง และแดงได้นําที่ดินราคา 100,000 บาท ของแดงมาจดทะเบียนจํานองไว้ และมีเขียวตกลงกับคําว่าหากแดงชําระหนี้เงินกู้ไม่ได้ตนจะ ชําระหนี้แทนและทําหลักฐานเป็นหนังสือโดยมีการลงลายมือชื่อเขียวเพียงคนเดียวนั้น ข้อตกลงระหว่างเขียว บุคคลภายนอกกับดําเจ้าหนี้ย่อมเป็นสัญญาค้ำประกัน และสัญญาค้ำประกันดังกล่าวย่อมมีผลสมบูรณ์ ใช้บังคับคดีกันได้ตามมาตรา 680 เพราะสัญญาค้ำประกันนั้น กฎหมายกําหนดให้ลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เป็นสําคัญ ส่วนเจ้าหนี้และลูกหนี้หาจําต้องลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันด้วยไม่ ดังนั้นการที่เขียวต่อสู้ว่า หลักฐานการค้ําประกันไม่ถูกต้องเพราะแดงและดําไม่ได้ลงลายมือชื่อด้วยนั้น จึงรับฟังไม่ได้

2 เมื่อแดงได้นําที่ดินของตนมาจดทะเบียนจํานองเพื่อประกันหนี้ไว้ ย่อมถือว่าเจ้าหนี้ มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดถือไว้เป็นประกัน ดังนั้น เมื่อดําเจ้าหนี้ขอให้เขียวชําระหนี้และเขียวผู้ค้ำประกันต่อสู้ว่า หากจะให้เขียวชําระ ก็ขอให้เจ้าหนี้ไปบังคับเอาจากที่ดินของแดงก่อนนั้น ข้อต่อสู้หรือข้ออ้างของเขียวกรณีนี้ ย่อมรับฟังได้ตามมาตรา 690

สรุป

1 ข้ออ้างของเขียวที่ว่า หลักฐานการค้ำประกันไม่ถูกต้องเพราะแดงและดําไม่ได้ลงลายมือชื่อนั้น รับฟังไม่ได้

2 ข้ออ้างของเขียวที่ขอให้ดําไปบังคับจากที่ดินของแดงก่อน รับฟังได้

 

ข้อ 2. แดงเช่าซื้อที่ดินจากม่วงหนึ่งแปลงยังขาดส่งค่างวดอีก 4 งวด แดงต้องการเอาเงินไปลงทุนเลี้ยงกุ้ง จึงนําที่ดินแปลงดังกล่าวไปขอกู้เงินจํานวน 200,000 บาท และจะขอจดทะเบียนจํานองที่ดิน แปลงดังกล่าวไว้เป็นประกัน หลังจากตกลงกับม่วงแล้วแดงได้ปลูกโรงเรือนลงในที่ดินจํานวน 2 หลัง ดังนี้ อยากทราบว่า แดงจะจดทะเบียนจํานองที่ดินของตนกับม่วงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และหากมีการจดทะเบียนจะมีผลรวมไปถึงโรงเรือน 2 หลังที่ปลูกสร้างหลังจากตกลงกับม่วงหรือไม่ เพราะเหตุใด ยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 702 “อันว่าจํานองนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จํานอง เอาทรัพย์สินตราไว้ แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจํานอง เป็นประกันการชําระหนี้ โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจํานอง

ผู้รับจํานองชอบที่จะได้รับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่จํานองก่อนเจ้าหนี้สามัญ มิพักต้องพิเคราะห์ ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่”

มาตรา 705 “การอํานองทรัพย์สินนั้น นอกจากผู้เป็นเจ้าของในขณะนั้นแล้ว ท่านว่าใครอื่น จะจํานองหาได้ไม่”

มาตรา 719 วรรคหนึ่ง “จํานองที่ดินไม่ครอบไปถึงเรือนโรงอันผู้จํานองปลูกสร้างลงในที่เดิน ภายหลังวันจํานอง เว้นแต่จะมีข้อความกล่าวไว้โดยเฉพาะในสัญญาว่าให้ครอบไปถึง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีที่ 1 การที่แดงเช่าซื้อที่ดินจากม่วงหนึ่งแปลงยังขาดส่งค่างวดอีก 4 งวดนั้น ย่อมถือว่า แดงผู้เช่าซื้อยังมิได้เป็นเจ้าของหรือมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าว ที่ดินยังเป็นของม่วงผู้ให้เช่าซื้อ ดังนั้น แดงจะไปขอกู้เงินจากม่วงและนําที่ดินแปลงดังกล่าวไปจดทะเบียนจํานองไว้เป็นประกันกับม่วงไม่ได้ เพราะตาม มาตรา 705 ได้กําหนดไว้ว่า การที่ผู้จํานองจะนําทรัพย์สินไปจดทะเบียนจํานองเพื่อเป็นหลักประกันการชําระหนี้นั้น บุคคลผู้ที่จะนําทรัพย์สินไปจดทะเบียนจํานองได้จะต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินในขณะที่จํานองนั้นด้วย บุคคลใด ถ้าไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินในขณะที่จํานองจะจํานองทรัพย์สินนั้นหาได้ไม่

กรณีที่ 2 หากมีการจดทะเบียนจํานอง การจํานองย่อมไม่มีผลไปถึงโรงเรือนที่ปลูกสร้าง หลังจากที่ได้ตกลงกับม่วงตามมาตรา 719 วรรคหนึ่ง ซึ่งได้กําหนดไว้ว่า การจํานองที่ดินนั้นย่อมไม่ครอบไปถึง โรงเรือนที่ผู้จํานองปลูกสร้างลงในที่ดินภายหลังวันจํานอง เว้นแต่จะตกลงกันไว้ในสัญญาว่าให้ครอบไปถึง

สรุป แดงจะจดทะเบียนจํานองที่ดินกับม่วงไม่ได้

และหากมีการจดทะเบียนจะไม่มีผลรวมไปถึงโรงเรือน 2 หลังที่ปลูกสร้างภายหลัง จากที่ตกลงกับม่วง

 

 

ข้อ 3. ฟ้ากู้เงินดิน 50,000 บาท และได้ส่งมอบแหวนทองคําให้ดินไว้เป็นประกัน แต่หลังจากได้รับเงินกู้แล้ว ฟ้าก็ได้นําแหวนทองคํากลับคืนไปด้วย อยากทราบว่าสัญญาจํานําเกิดขึ้นหรือยังและมีผลประการใด ยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 747 “อันว่าจํานํานั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จํานํา ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจํานํา เพื่อเป็นประกันการชําระหนี้”

วินิจฉัย

สัญญาจํานําตามมาตรา 747 นั้น เป็นสัญญาระหว่างผู้นําจํากับผู้รับจํานํา ซึ่งจะมีผลสมบูรณ์ เป็นสัญญาจํานําที่ถูกต้องตามกฎหมายก็ต่อเมื่อ ผู้จํานําได้ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ให้แก่ผู้รับจํานําเพื่อเป็นประกัน การชําระหนี้แล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ฟ้ากู้เงินดิน 50,000 บาท และได้ตกลงส่งมอบแหวนทองคําให้ดิน ไว้เป็นประกันการชําระหนี้ แต่เมื่อหลังจากที่ฟ้าได้รับเงินกู้แล้วฟ้าก็ได้นําแหวนทองคํากลับคืนไปด้วยนั้น เป็นกรณีที่ ผู้รับจํานําได้ยินยอมให้ทรัพย์นั้นกลับคืนสู่การครอบครองของผู้จํานํา ดังนั้น กรณีดังกล่าวจึงไม่ถือว่าเป็นการจํานํา เพราะยังถือว่าไม่มีการส่งมอบทรัพย์ให้แก่กันแต่อย่างใด (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 490/2502 และ 1441/2555)

สรุป

สัญญาจํานําระหว่างฟ้าและดินยังไม่เกิดขึ้น มีผลทําให้สัญญาระหว่างฟ้าและดินเป็น เพียงสัญญากู้ยืมเงินเท่านั้น

WordPress Ads
error: Content is protected !!