LAW2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน 2/2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. A กู้เงิน B 100,000 บาท โดยนําโฉนดที่ดินมอบไว้ให้ B ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ โดยมี C ทําหนังสือค้ำประกันไว้โดยระบุในสัญญาว่าขอค้ำประกันแต่เฉพาะเงินต้น 100,000 บาท เท่านั้น ไม่รวมดอกเบี้ย และค่าอุปกรณ์อื่น ๆ อีก ต่อมาเมื่อ A ผิดนัดชําระหนี้ B เจ้าหนี้ได้ทําหนังสือถึง C ผู้ค้ําประกันว่า ลูกหนี้ผิดนัดแล้วให้ C มาชําระหนี้แทน A

ดังนั้นให้ท่านวินิจฉัยว่า C ผู้ค้ําประกันจะเกี่ยงให้ A ชําระหนี้ก่อนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 681 “อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์

หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไข จะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้นั้นอาจเป็นผลได้จริง ก็ประกันได้ แต่ต้องระบุวัตถุประสงค์ในการก่อหนี้รายที่ค้ำประกัน ลักษณะของมูลหนี้ จํานวนเงินสูงสุดที่ ค้ำประกัน…”

มาตรา 689 “ถึงแม้จะได้เรียกให้ลูกหนี้ชําระหนี้ดังกล่าวมาในมาตราก่อนนั้นแล้วก็ตาม ถ้าผู้ค้ำประกันพิสูจน์ได้ว่าลูกหนี้นั้นมีทางที่จะชําระหนี้ได้ และการที่จะบังคับให้ลูกหนี้ชําระหนี้นั้นจะไม่เป็นการ ยากไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องบังคับการชําระหนี้รายนั้นเอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน”

มาตรา 690 “ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดถือไว้เป็นประกันไซร้ เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องให้ชําระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ A กู้เงิน B 100,000 บาท ต่อมาเมื่อ A ผิดนัดชําระหนี้ B เจ้าหนี้ ได้ทําหนังสือถึง C ผู้ค้ําประกันว่าลูกหนี้ผิดนัดแล้วให้ C มาชําระหนี้แทน A และ C ผู้ค้ำประกันจะเกี่ยงให้ A ชําระหนี้ก่อน (เกี่ยงให้ B เจ้าหนี้บังคับชําระหนี้เอาจาก A ก่อน) ได้หรือไม่ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีแรก การที่ A กู้เงิน 8 แล้วนําโฉนดที่ดินมอบไว้ให้ B ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้นั้น ไม่ถือว่า เป็นการจํานองตามมาตรา 702 และไม่ถือว่าเป็นการจํานําตามมาตรา 747 แต่อย่างใด กรณีนี้จึงไม่ถือว่า B เป็น เจ้าหนี้มีประกันตามมาตรา 690 กล่าวคือ B เป็นเจ้าหนี้ที่ไม่มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดถือไว้เป็นประกัน ดังนั้น C ผู้ค้ำประกันจะเกี่ยงโดยการร้องขอให้เจ้าหนี้ไปเรียกชําระหนี้เอาจากลูกหนี้ก่อนตามมาตรา 690 ไม่ได้

 

กรณีที่ 2 ในการที่ A กู้เงิน 8 ครั้งนี้ C ได้ทําหนังสือค้ําประกันไว้โดยระบุไว้ในสัญญาว่า ขอค้ำประกันแต่เฉพาะเงินต้น 100,000 บาทเท่านั้น ไม่รวมดอกเบี้ยและค่าอุปกรณ์อื่น ๆ อีก ซึ่งเป็นการค้ําประกัน อย่างจํากัดความรับผิด และถูกต้องตามมาตรา 680 และ 681 ดังนั้น C ผู้ค้ำประกันจึงมีสิทธิเกี่ยงให้ B เจ้าหนี้ ไปเรียกบังคับชําระหนี้เอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อนได้ตามมาตรา 689 แต่ C ผู้ค้ำประกันจะต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ลูกหนี้นั้นมีทางที่จะชําระหนี้ได้ และการบังคับให้ลูกหนี้ชําระหนี้นั้นไม่เป็นการยาก กล่าวคือ พิสูจน์ให้เห็นว่าลูกหนี้ ยังมีทรัพย์สินอื่นอีกที่เจ้าหนี้สามารถบังคับเพื่อชําระหนี้ได้และการบังคับเอาจากทรัพย์สินเหล่านั้นก็ไม่เป็นการยาก

สรุป

C ผู้ค้ำประกันสามารถเกี่ยงให้ B เจ้าหนี้ไปบังคับชําระหนี้เอาจากทรัพย์สินของ A ลูกหนี้ ก่อนได้ตามมาตรา 689 โดยพิสูจน์ให้ได้ว่า A ลูกหนี้มีทางที่จะชําระหนี้ได้ และการบังคับให้ A ลูกหนี้ชําระหนี้นั้น ไม่เป็นการยาก

 

 

ข้อ 2. หากเจ้าหนี้จํานองต้องการบังคับจํานองโดยการขายทอดตลาดจะต้องส่งคําบอกกล่าวไปให้ใครบ้าง และหากเจ้าหนี้ไม่ส่งคําบอกกล่าวไปให้บุคคลที่กฎหมายระบุคนใดคนหนึ่งจะมีผลอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 728 “เมื่อจะบังคับจํานองนั้น ผู้รับจํานองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อน ว่าให้ชําระหนี้ภายในเวลาอันสมควรซึ่งต้องไม่น้อยกว่าหกสิบวันนับแต่วันที่ลูกหนี้ได้รับคําบอกกล่าวนั้น ถ้าและ ลูกหนี้ละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว ผู้รับจํานองจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซึ่ง จํานองและให้ขายทอดตลาดก็ได้

ในกรณีตามวรรคหนึ่ง ถ้าเป็นกรณีผู้จํานองซึ่งจํานองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้ อันบุคคลอื่นต้องชําระ ผู้รับจํานองต้องส่งหนังสือบอกกล่าวดังกล่าวให้ผู้จํานองทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ ส่งหนังสือแจ้งให้ลูกหนี้ทราบ ถ้าผู้รับจํานองมิได้ดําเนินการภายในกําหนดเวลาสิบห้าวันนั้นให้ผู้จํานองเช่นว่านั้น หลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนซึ่งลูกหนี้ค้างชําระตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็น อุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้นนับแต่วันที่พ้นกําหนดเวลาสิบห้าวันดังกล่าว

ตามบทบัญญัติมาตรา 728 ดังกล่าวข้างต้น เป็นบทบัญญัติที่กล่าวถึงวิธีการในการบังคับจํานอง ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ได้มีการแก้ไขใหม่ โดยหากเจ้าหนี้ซึ่งเป็นผู้รับจํานองต้องการบังคับจํานองโดยการขายทอดตลาด ทรัพย์สินที่จํานอง จะต้องส่งคําบอกกล่าวไปให้ใครบ้าง และหากเจ้าหนี้ไม่ส่งคําบอกกล่าวไปให้บุคคลที่กฎหมาย ระบุแล้วจะมีผลอย่างไรนั้น แยกออกเป็น 2 กรณี คือ

1 ถ้าลูกหนี้เป็นผู้จํานองทรัพย์สินของตนเองไว้เพื่อประกันหนี้ที่ตนต้องชําระ (มาตรา 728 วรรคหนึ่ง)

ในกรณีนี้ เจ้าหนี้ผู้รับจํานองจะต้องมีหนังสือบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่า ให้ลูกหนี้ ชําระหนี้ภายในกําหนดเวลาอันสมควรซึ่งต้องไม่น้อยกว่า 60 วันนับแต่วันที่ลูกหนี้ได้รับคําบอกกล่าวนั้น ถ้าและ ลูกหนี้ละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้ศาลพิพากษาสั่งให้ยึด ทรัพย์สินซึ่งจํานองและให้นําออกขายทอดตลาดได้

 

แต่ถ้าหากเจ้าหนี้ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น ย่อมมีผลทําให้เจ้าหนี้ ไม่มีอํานาจฟ้องบังคับจํานอง ถ้าเจ้าหนี้ฟ้องบังคับจํานองศาลก็จะไม่รับฟ้อง แต่จะสั่งให้เจ้าหนี้ไปส่งคําบอกกล่าว แก่ลูกหนี้ใหม่

2 ถ้าผู้จํานองเป็นบุคคลอื่นซึ่งได้จํานองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้ที่ลูกหนี้ จะต้องชําระ (มาตรา 728 วรรคสอง)

กรณีนี้ เจ้าหนี้ผู้รับจํานองจะต้องส่งหนังสือบอกกล่าวดังกล่าว (หนังสือบอกกล่าวแก่ ลูกหนี้ตามมาตรา 728 วรรคหนึ่ง) ให้ผู้จํานองทราบภายใน 15 วันนับแต่วันที่ส่งหนังสือแจ้งให้ลูกหนี้ทราบ ถ้าเจ้าหนี้มิได้ดําเนินการภายในกําหนดเวลา 15 วันนั้น ย่อมมีผลทําให้ผู้จํานองหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ย และค่าสินไหมทดแทนซึ่งลูกหนี้ค้างชําระหนี้ ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้น นับแต่วันที่พ้นกําหนดเวลา 15 วันดังกล่าว

 

 

ข้อ 3. นายเพื่อนกู้เงินนายแพง 100,000 บาท มีหลักฐานการกู้ถูกต้อง และเพื่อประกันการชําระหนี้ นายเพื่อนนํานาฬิกาข้อมือราคา 200,000 บาท มาส่งมอบให้นายแพง ต่อมาหนี้ถึงกําหนดชําระ ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 นายเพื่อนไม่ชําระหนี้ และนายแพงทราบจากนายพันบิดาของ นายเพื่อนว่า นายเพื่อนมีเจ้าหนี้หลายรายไม่มีเงินพอจะชําระหนี้ได้ จึงหลบหนีไปต่างประเทศ ตั้งแต่เดือนมกราคม 2560 ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 นายแพงจึงลงประกาศขายนาฬิกาเรือนนั้น ทาง Website ในราคา 200,000 บาท โดยมีนายพลตกลงซื้อและชําระเงินในวันที่ 1 มีนาคม 2560 เมื่อได้รับเงินนายแพงจึงหักเงิน 100,000 บาท ชําระหนี้ตน และนํา 100,000 บาท ส่งมอบให้นายพัน ดังนี้ การกระทําของนายแพงชอบด้วยกฎหมายลักษณะจํานําหรือไม่ จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมาย ประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 747 “อันว่าจํานํานั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จํานํา ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจํานํา เพื่อเป็นประกันการชําระหนี้”

มาตรา 764 “เมื่อจะบังคับจํานํา ผู้รับจํานําต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่า ให้ชําระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกําหนดให้ในคําบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว ผู้รับจํานําชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจํานําออกขายได้ แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจํานําต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จํานําบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขาย ทอดตลาดด้วย”

มาตรา 765 “ถ้าไม่สามารถจะบอกกล่าวก่อนได้ ผู้รับจํานําจะเอาทรัพย์สินจํานําออกขาย ทอดตลาดเสียในเมื่อหนี้ค้างชําระมาล่วงเวลาเดือนหนึ่งแล้วก็ให้ทําได้”

วินิจฉัย

ตามกฎหมายสัญญาจํานํานั้น เป็นสัญญาระหว่างผู้จํานําตกลงกับเจ้าหนี้ โดยส่งมอบ สังหาริมทรัพย์เพื่อประกันการชําระหนี้ไว้กับเจ้าหนี้ ซึ่งผู้จํานําจะเป็นตัวลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกก็ได้ แต่บุคคล ผู้เข้าทําสัญญาจํานําต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้น และสัญญาจํานํานั้นกฎหมายมิได้บังคับว่าจะต้องทําเป็นหนังสือ ดังนั้นสัญญาจํานําเพียงแต่ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ที่จํานําก็เป็นสัญญาที่สมบูรณ์แล้ว (มาตรา 747)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเพื่อนกู้เงินนายแพง 100,000 บาท และได้นํานาฬิกาข้อมือราคา 200,000 บาท ส่งมอบให้แก่นายแพงเพื่อประกันการชําระหนี้นั้น ย่อมเป็นสัญญาจํานําและมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย แม้การจํานําจะไม่มีการทําสัญญาจํานําเป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม (มาตรา 747)

และเมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระนายเพื่อนลูกหนี้ไม่ชําระ การที่นายแพงต้องการบังคับจํานําคือ ต้องการขายนาฬิกาเพื่อนําเงินมาชําระหนี้นั้น นายแพงผู้รับจํานําย่อมมีสิทธิบังคับจํานําได้แต่จะต้องปฏิบัติตาม มาตรา 764 กล่าวคือ นายแพงจะต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชําระหนี้ ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ชําระหนี้ ตามคําบอกกล่าว นายแพงสามารถนําทรัพย์สินคือนาฬิกานั้นออกขายทอดตลาดได้ตามมาตรา 764 แต่ถ้าเป็น กรณีที่นายแพงไม่สามารถจะบอกกล่าวเช่นนั้นได้ นายแพงจะนําทรัพย์สินออกขายทอดตลาดได้ก็จะต้องรอให้ หนี้ค้างชําระมาเป็นเวลา 1 เดือนแล้วตามมาตรา 765

แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2560 และนายเพื่อน ไม่ชําระหนี้นั้น แม้นายแพงจะมีสิทธิบังคับจํานําก็ตาม แต่เมื่อนายแพงไม่ได้ปฏิบัติตามมาตรา 764 และมาตรา 765 กล่าวคือ เมื่อนายแพงไม่สามารถบอกกล่าวแก่นายเพื่อนให้ชําระหนี้ได้ เนื่องจากนายเพื่อนได้หลบหนีไปต่างประเทศ แล้วนั้น นายแพงไม่ได้รอให้หนี้ค้างชําระมาเป็นเวลา 1 เดือนก่อน แต่ได้เอานาฬิกาซึ่งเป็นทรัพย์สินจํานําออก ประกาศขายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 อีกทั้งนายแพงก็ประกาศขายนาฬิกาเรือนนั้นทาง website มิได้นํา ออกขายทอดตลาด ดังนั้น การกระทําของนายแพงจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

การบังคับจํานําของนายแพงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

 

LAW2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. สวยกู้เงินหนุ่ม 5 ล้านบาท เพื่อไปลงทุนโดยมีหลักฐานการกู้ถูกต้อง หนุ่มเกรงว่าสวยจะชําระหนี้ไม่ได้จึงขอให้หาผู้ค้ำประกันมาให้ด้วย สวยไปบอกแก่ซึ่งเป็นเพื่อนของสวยให้มาเป็นผู้ค้ำประกัน แก่ตกลง ยอมเป็นผู้ค้ำประกัน แต่ในวันที่ตกลงทําการค้ำประกันระหว่างหนุ่มและแก่นั้น แก่ขอเป็นผู้ค้ำประกัน เพียง 3 ล้านบาท โดยกําหนดไว้ในหนังสือค้ำประกันและมีการลงลายมือชื่อเฉพาะแก่เท่านั้น เมื่อหนี้ ถึงกําหนดชําระ สวยชําระไม่ได้ หนุ่มจึงทําหนังสือบอกกล่าวไปยังแก่ให้ชําระหนี้ตามกําหนดเวลา ตามกฎหมาย แก่อ้างว่าสัญญาค้ำประกันนี้ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากมีแต่แก่เท่านั้นที่ลงลายมือ ส่วน หนุ่มมิได้ลงลายมือชื่อ จึงเป็นสัญญาไม่สมบูรณ์ และหากต้องรับผิดจริง ก็ควรจะต้องรับผิดเพียง 3 ล้านบาทเท่านั้น อยากทราบว่า ข้ออ้างทั้ง 2 ข้อของแก่รับฟังได้หรือไม่ ยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 681 วรรคหนึ่ง “อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์”

มาตรา 683 “อันค้ำประกันอย่างไม่มีจํากัดนั้น ย่อมคุ้มถึงดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ซึ่งลูกหนี้ค้างชําระ ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นด้วย”

มาตรา 686 “ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชําระหนี้ได้แต่นั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ข้ออ้างทั้ง 2 ข้อของแก่รับฟังได้หรือไม่ เห็นว่า การที่แก่ตกลงยอมเป็น ผู้ค้ำประกันในหนี้ที่สวยกู้เงินหนุ่ม โดยมีการทําหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อเฉพาะแก่คนเดียวนั้น สัญญา ค้ำประกันย่อมมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้ตามมาตรา 680 วรรคสอง เพราะสัญญาค้ำประกันนั้นเพียงแต่ลงลายมือชื่อ ผู้ค้ำประกันเพียงฝ่ายเดียวก็สามารถใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องกันได้แล้ว ดังนั้น เมื่อหนี้ถึงกําหนด สวยลูกหนี้ ชําระหนี้ไม่ได้ หนุ่มย่อมสามารถเรียกให้แก่ชําระหนี้ได้ตามมาตรา 686 ข้ออ้างของแก่ที่ว่า สัญญาค้ำประกันหนี้ เป็นสัญญาที่ไม่สมบูรณ์เนื่องจากมีแต่แก่เท่านั้นที่ลงลายมือชื่อ ส่วนหนุ่มมิได้ลงลายมือชื่อนั้น จึงรับฟังไม่ได้

แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าหนี้ที่สวยกู้จากหนุ่มนั้นจะมีจํานวน 5 ล้านบาท แต่เมื่อแก่ได้ตกลงค้ำประกัน โดยมีการจํากัดความรับผิดไว้เพียง 3 ล้านบาทตามมาตรา 680 และมาตรา 683 ดังนั้น แก่จึงต้องรับผิดต่อหนุ่มเพียง 3 ล้านบาทเท่านั้น ข้ออ้างของแก่ที่ว่า หากต้องรับผิดจริง ก็ควรจะต้องรับผิดเพียง 3 ล้านบาทเท่านั้น จึงรับฟังได้

สรุป

ข้ออ้างของแก่ที่ว่าสัญญาค้ำประกันไม่สมบูรณ์รับฟังไม่ได้ ส่วนข้ออ้างของแก่ที่ว่าแก่ จะต้องรับผิดเพียง 3 ล้านบาทนั้นรับฟังได้

 

ข้อ 2. จงอธิบายถึงหลักการบังคับจํานองตามมาตรา 729/1 มาโดยสังเขป

ธงคําตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 729/1 (ซึ่งได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมใหม่ และมีผล ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558) ได้บัญญัติไว้ว่า “เวลาใด ๆ หลังจากที่หนี้ถึงกําหนดชําระ ถ้าไม่มีการจํานองรายอื่นหรือบุริมสิทธิ์อื่นอันได้จดทะเบียนไว้เหนือทรัพย์สินอันเดียวกันนี้ ผู้จํานองมีสิทธิแจ้งเป็นหนังสือ ไปยังผู้รับจํานองเพื่อให้ผู้รับจํานองดําเนินการให้มีการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานองโดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีต่อศาล โดยผู้รับจํานองต้องดําเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานองภายในเวลาหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งนั้น ทั้งนี้ให้ถือว่าหนังสือแจ้งของผู้จํานองเป็นหนังสือยินยอมให้ขายทอดตลาด

ในกรณีที่ผู้รับจํานองไม่ได้ดําเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานองภายในระยะเวลาที่ กําหนดไว้ในวรรคหนึ่ง ให้ผู้จํานองพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนซึ่งลูกหนี้ค้างชําระ ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นบรรดาที่เกิดขึ้นภายหลังวันที่พ้นกําหนดเวลาดังกล่าว

เมื่อผู้รับจํานองขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานองได้เงินสุทธิจํานวนเท่าใด ผู้รับจํานองต้องจัดสรร ชําระหนี้และอุปกรณ์ให้เสร็จสิ้นไป ถ้ายังมีเงินเหลือก็ต้องส่งคืนให้แก่ผู้จํานอง หรือแก่บุคคลผู้ควรจะได้เงินนั้น แต่ถ้าได้เงินน้อยกว่าจํานวนที่ค้างชําระให้เป็นไปตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 733 และในกรณีที่ผู้จํานองเป็นบุคคล ซึ่งจํานองทรัพย์สินเพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชําระ ผู้จํานองย่อมรับผิดเพียงเท่าที่มาตรา 727/1 กําหนดไว้”

หลักการบังคับจํานองตามกฎหมายใหม่มาตรา 729/1 นั้น กฎหมายได้บัญญัติให้สิทธิแก่ ผู้จํานองมีหนังสือแจ้งไปยังผู้รับจํานองเพื่อให้ผู้รับจํานองเอาทรัพย์สินของตนเองที่จํานองไว้นั้นออกขายทอดตลาด ได้เลยโดยไม่ต้องฟ้องศาล หากทรัพย์สินที่จํานองนั้นไม่มีการจํานองรายอื่น (ไม่มีการจํานองซ้อน) หรือบุริมสิทธิอื่น อันได้จดทะเบียนไว้เหนือทรัพย์สินอันเดียวกันนี้ และผู้รับจํานองต้องดําเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานอง ภายในเวลา 1 ปีนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งนั้น

ถ้าผู้รับจํานองไม่ได้ดําเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานองภายในระยะเวลา 1 ปีดังกล่าว ผู้จํานองย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนซึ่งลูกหนี้ค้างชําระตลอดจนค่าภาระติดพัน อันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นที่เกิดขึ้นภายหลังวันที่พ้นกําหนดเวลาดังกล่าว

ตัวอย่าง นาย ก. ได้นําที่ดินซึ่งมีราคา 2 ล้านบาท จํานองไว้กับนาย ข. เป็นเงิน 1 ล้านบาท โดยไม่มีการนําที่ดินแปลงดังกล่าวไปจํานองกับเจ้าหนี้รายอื่นอีก ดังนี้หากนาย ก. คิดว่าตนไม่มีเงินจะไถ่ที่ดินแปลงนี้ คืนจากนาย ข. แน่นอน แต่ต้องการจะจํากัดไม่ให้ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มขึ้น นาย ก. ย่อมสามารถใช้ สิทธิตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 729/1 ที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่นี้ได้ โดยการมีหนังสือแจ้งไปยังนาย ข. ผู้รับ จํานองให้นําที่ดินแปลงดังกล่าวออกขายทอดตลาดได้เลย

ถ้านาย ข. ผู้นับจํานองไม่ดําเนินการขายทอดตลาดที่ดินแปลงดังกล่าวภายในเวลา 1 ปี นับแต่ วันที่ได้รับหนังสือแจ้งนั้น นาย ข. จะเรียกร้องให้นาย ก. ผู้จํานองรับผิดในดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ภายหลังวันที่พ้นกําหนด 1 ปีนั้นไม่ได้

ส่วนในวรรคสามของมาตรา 729/1 นั้น ได้กําหนดไว้ว่า เมื่อผู้รับจํานองขายทอดตลาดทรัพย์สิน ที่จํานองได้เงินจํานวนสุทธิเท่าใด ผู้รับจํานองจะต้องนําเงินนั้นมาจัดสรรชําระหนี้และอุปกณ์ให้เสร็จสิ้นไป และ ถ้ายังมีเงินเหลืออีกก็ต้องส่งคืนให้แก่ผู้จํานอง หรือแก่บุคคลผู้ควรจะได้เงินนั้น แต่ถ้าได้เงินน้อยกว่าจํานวนที่

ค้างชําระให้เป็นไปตามที่กําหนดไว้ในมาตรา 733 กล่าวคือ ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินส่วนที่ขาด เว้นแต่ลูกหนี้ จะได้ตกลงว่าจะรับผิดชอบในส่วนที่ขาดนั้น แต่ถ้าในกรณีที่ผู้จํานองเป็นบุคคลอื่นซึ่งมิใช่ลูกหนี้ แต่ได้เอา ทรัพย์สินมาจํานองเพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชําระ ดังนี้ผู้จํานองก็ไม่ต้องรับผิดในเงินส่วนที่ขาดเลย (ตามมาตรา 727/1)

 

ข้อ 3. นางสาวชื่นกู้เงินนางชดช้อย 100,000 บาท มีหลักฐานการกู้ถูกต้อง นางสาวชื่นนําแหวนเพชรหนึ่งวงราคา 100,000 บาท มาส่งมอบให้นางชดช้อยเป็นประกันการชําระหนี้ วันที่ 10 มกราคม 2559 นางชดช้อยนําแหวนวงดังกล่าวออกมาใส่เล่นที่บ้าน และทําแหวนหล่น ทําให้เพชรหลุดหายไป หนึ่งเม็ด แต่นางชดซ้อยไม่ได้แจ้งให้นางสาวชื่นทราบ ต่อมาวันที่ 1 มิถุนายน 2559 หนี้ถึงกําหนดชําระ นางสาวชื่นนําเงินมาชําระหนี้จนครบ และรับมอบแหวนกลับไปโดยไม่ได้ตรวจดู กลับถึงบ้านในวันนั้น จึงเห็นว่าเพชรหายไป นางสาวชื่นจึงมาปรึกษาท่านว่าในกรณีนี้นางสาวชื่นจะเรียกให้นางชดช้อยรับผิดชดใช้ค่าซ่อมแซมแหวนได้หรือไม่ อย่างไร จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 747 “อันว่าจํานํานั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จํานํา ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจํานํา เพื่อเป็นประกันการชําระหนี้”

มาตรา 760 “ถ้าผู้รับจํานําเอาทรัพย์สินซึ่งจํานําออกใช้เองหรือเอาไปให้บุคคลภายนอก ใช้สอยหรือเก็บรักษาโดยผู้จํานํามิได้ยินยอมด้วยไซร้ ท่านว่าผู้รับจํานําจะต้องรับผิดเพื่อที่ทรัพย์สินจํานํานั้นสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ทั้งเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ก็คงจะต้องสูญหาย หรือบุบสลายอยู่นั้นเอง”

มาตรา 763 “ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีดังจะกล่าวต่อไปนี้ เมื่อพ้นหกเดือนนับแต่วันส่งคืนหรือ ขายทอดตลาดทรัพย์สินจํานํา คือ

(1) ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความบุบสลายอันผู้รับจํานําก่อให้เกิดแก่ทรัพย์สินจํานํา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นางสาวชื่นจะเรียกให้นางชดช้อยรับผิดชดใช้ค่าซ่อมแซมแหวนได้หรือไม่ อย่างไร เห็นว่า ตามกฎหมายในเรื่องสัญญาจํานํานั้น หากผู้รับจํานําเอาทรัพย์สินซึ่งจํานําออกใช้เองแล้วทรัพย์สินนั้น ได้สูญหายหรือบุบสลายไป ผู้รับจํานําจะต้องรับผิด แม้ความสูญหายหรือบุบสลายไปนั้นจะเกิดเพราะเหตุสุดวิสัย ก็ตาม เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายอยู่นั่นเอง (มาตรา 760)

ตามข้อเท็จจริง การที่นางสาวชื่นนําแหวนเพชรหนึ่งวงมาส่งมอบให้นางชดช้อยเพื่อเป็นประกัน การชําระหนี้เงินกู้นั้น สัญญาจํานําย่อมเกิดขึ้นแล้วตามมาตรา 747 เพราะการส่งมอบสังหาริมทรัพย์ย่อมถือเป็น ความสมบูรณ์ของสัญญาจํานําโดยมิต้องมีหลักฐานแต่อย่างใด

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นางชดช้อยนําแหวนดังกล่าวออกมาใส่เล่นที่บ้าน และทําแหวนหล่น ทําให้เพชรหลุดหายไปหนึ่งเม็ด ดังนี้ ถือเป็นกรณีที่ผู้รับจํานําเอาทรัพย์สินที่จํานําออกใช้เอง และทรัพย์สินนั้น ได้บุบสลายไป นางชดช้อยจึงต้องรับผิดในความบุบสลายของแหวนวงที่จํานําตามมาตรา 760 และนางสาวชื่นมีสิทธิ เรียกร้องให้นางชดช้อยรับผิดชดใช้ค่าซ่อมแซมแหวนได้ภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่นางชุดช้อยส่งคืนแหวนใน วันที่ 1 มิถุนายน 2559 ตามมาตรา 763 (1)

สรุป

นางสาวชื่นจะเรียกให้นางชดช้อยรับผิดชดใช้ค่าซ่อมแซมแหวนได้ภายใน 6 เดือน นับแต่ วันที่นางชดช้อยส่งคืนแหวน

LAW2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน S/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1แดงกู้เงินเขียว 5 ล้านบาท แต่ไม่มีหลักฐานการกู้ยืม เขียวขอให้แดงพาผู้ค้ำประกันมาให้ แดงจึงไป หาม่วงให้มาค้ำประกัน โดยม่วงตกลงกับเขียวว่าหากแดงชําระหนี้ไม่ได้ ตนจะเป็นผู้ชําระหนี้แทน หลังจากนั้นได้ทําหลักฐานการค้ำประกันแต่ลงลายมือชื่อม่วงคนเดียวเท่านั้น ต่อมาอีก 2 เดือน แดงไปนําที่ดินของตนไปจํานองกับเขียวเพื่อเป็นหลักประกันเพิ่มอีก ในจํานวน 2 ล้านบาท แดงได้ชําระหนี้ดอกเบี้ยมาโดยตลอด เขียวสงสารแดงจึงปลดจํานองที่ดินของแตงเพื่อแดงจะได้ นําที่ดินไปทํากิจการอย่างอื่นได้ แต่เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ แดงนําเงินที่ได้ไปลงทุนเพิ่มในที่ดินแปลงนั้น จนทําให้ไม่มีเงินมาชําระหนี้ ให้เขียว 5 ล้านบาท เขียวจึงใช้สิทธิไปบังคับม่วงให้ชําระหนี้แทน ม่วงต่อสู้ว่า สัญญาค้ำประกัน ไม่สมบูรณ์ เพราะเขียวและแดงมิได้ลงลายมือชื่อด้วย และหากต้องชําระก็ขอหักออกจากเงิน 2 ล้านบาทที่เขียวปลดจํานองให้แดง

อยากทราบว่า ข้อต่อสู้ของม่วงทั้ง 2 ข้อ รับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย พร้อมหลักกฎหมาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 686 “ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชําระหนี้ได้ แต่นั้น”

มาตรา 697 “ถ้าเพราะการกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งของเจ้าหนี้เอง เป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกัน ไม่อาจเข้ารับช่วงได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในสิทธิก็ดี จํานองก็ดี จํานําก็ดี และบุริมสิทธิอันได้ให้ไว้แก่เจ้าหนี้แต่ก่อน หรือในขณะทําสัญญาค้ำประกันเพื่อชําระหนี้นั้น ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดเพียงเท่าที่ตน ต้องเสียหายเพราะการนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ม่วงทําสัญญาค้ำประกันการชําระหนี้ของแดงกับเขียว โดยมีการ ลงลายมือชื่อม่วงเพียงคนเดียวนั้น สัญญาค้ำประกันย่อมมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับคดีกันได้ตามมาตรา 680 วรรคสอง เพราะสัญญาค้ำประกันนั้น กฎหมายกําหนดให้ลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสําคัญ ส่วนเจ้าหนี้และลูกหนี้

หาจําต้องลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันด้วยไม่ ดังนั้น เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระและปรากฏว่าแดงชําระหนี้ไม่ได้ เขียวเจ้าหนี้ย่อมฟ้องเรียกให้ม่วงผู้ค้ําประกันชําระหนี้แทนแดงได้ ตามมาตรา 686 ข้อต่อสู้ของม่วงที่ว่า สัญญาค้ำประกันไม่สมบูรณ์เพราะเขียวและแดงมิได้ลงลายมือชื่อด้วยนั้น จึงรับฟังไม่ได้

และตามมาตรา 697 ได้กําหนดไว้ว่า ถ้าเจ้าหนี้ได้กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นเหตุให้ ผู้ค้ำประกันไม่อาจเข้ารับช่วงได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในสิทธิ จํานอง จํานํา หรือบุริมสิทธิที่ได้ให้ไว้แก่เจ้าหนี้

ก่อนหรือขณะทําสัญญาค้ำประกันเพื่อชําระหนี้นั้น ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดเพียงเท่าที่ตนต้อง เสียหายเพราะการกระทําของเจ้าหนี้นั้น ดังนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า การที่เขียวปลดจํานองที่ดินของแดงนั้น เป็นการปลดจํานองที่เกิดมีขึ้นหลังจากมีการค้ําประกันแล้ว ย่อมไม่ทําให้ผู้ค้ำประกันเสียหาย อันจะทําให้ ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดในส่วนดังกล่าวตามมาตรา 697 แต่อย่างใด ข้อต่อสู้ของม่วงที่ว่า หากต้องชําระ ก็ขอหักออกจากเงิน 2 ล้านบาท ที่เขียวปลดจํานองให้แดง จึงรับฟังไม่ได้เช่นกัน

สรุป

ข้อต่อสู้ของม่วงทั้ง 2 ข้อ รับฟังไม่ได้

 

ข้อ 2. เหลืองจะรับจํานองที่ดินซึ่งมี น.ส.3 ก. ของฟ้าเพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ของชมพูที่กู้เงินจากเหลืองไป 10 ล้านบาท อยากทราบว่า การจํานองนี้จะทําได้หรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย พร้อมหลักกฎหมาย

ธงคําตอบ :

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 702 “อันว่าจํานองนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จํานอง เอาทรัพย์สินตราไว้ แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจํานอง เป็นประกันการชําระหนี้ โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจํานอง

ผู้รับจํานองชอบที่จะได้รับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่จํานองก่อนเจ้าหนี้สามัญ มิพักต้อง พิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่”

มาตรา 703 “อันอสังหาริมทรัพย์นั้นอาจจํานองได้ไม่ว่าประเภทใด ๆ”

มาตรา 705 “การจํานองทรัพย์สินนั้น นอกจากผู้เป็นเจ้าของในขณะนั้นแล้ว ท่านว่าใครอื่น จะจํานองหาได้ไม่”

มาตรา 709 “บุคคลคนหนึ่งจะจํานองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้อง ชําระก็ให้ทําได้”

มาตรา 714 “อันสัญญาจํานองนั้น ท่านว่าต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ฟ้าได้นําที่ดินซึ่งมี น.ส.3 ก. ของตนไปจํานองประกันหนี้เงินกู้ของ ชมพูกับเหลืองนั้น การจํานองดังกล่าวถึงแม้จะเป็นที่ดินของฟ้า ซึ่งเป็นบุคคลอื่นที่มิใช่ลูกหนี้ การจํานองดังกล่าว ก็ย่อมกระทําได้ ตามมาตรา 702 มาตรา 703 และมาตรา 709

แต่อย่างไรก็ตาม บทบัญญัติมาตรา 714 ได้กําหนดเอาไว้ว่า การจํานองจะต้องทําเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ด้วยจึงจะสมบูรณ์ ดังนั้น บุคคลที่จะนําทรัพย์สินมาจํานองได้ จะต้องเป็น ผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นด้วย ตามมาตรา 705 เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ที่ดินของฟ้าที่จะนํามาจํานองกับเหลือง เพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ของชมพูนั้น เป็นที่ดินที่มีเพียง น.ส.3 ก. ซึ่งฟ้ามิได้มีกรรมสิทธิ์ที่จะสามารถนําไป จดทะเบียนตามมาตรา 714 ได้แต่อย่างใด ดังนั้น ฟ้าจะนําที่ดิน น.ส.3 ก. ของตนมาจํานองกับเหลืองมิได้

สรุป

เหลืองจะรับจํานองที่ดินซึ่งมี น.ส.3 ก. ของฟ้าไม่ได้ ตามหลักกฎหมายและเหตุผล ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. ดินนําสร้อยเพชรราคา 7 แสนบาท ส่งมอบให้น้ำเพื่อเป็นการจํานําในหนี้เงินกู้ 5 แสนบาทโดยมิได้ทําหลักฐานใด ๆ ทั้งสิ้น หลังจากนั้น 3 เดือน น้ำได้รับเชิญให้ไปงานคืนสู่เหย้าของโรงเรียน ที่น้ําเรียนหนังสือจบ น้ำอยากอวดเพื่อน ๆ ว่า บัดนี้ตนได้มีฐานะดีแล้ว จึงนําสร้อยเพชรดังกล่าว ใส่ไปในงานเลี้ยง ปรากฏว่าเกิดอุบัติเหตุในห้องครัวของงานเลี้ยง ทําให้เกิดไฟไหม้ แขกที่มาใน งานเลี้ยงวิ่งหนีกันอลหม่าน ทําให้สร้อยเพชรที่น้ำใส่มาตกหายในงานและหาไม่พบ ดินทราบข่าวจึงขอให้น้ำชดใช้ราคาสร้อยเพชร น้ําต่อสู้ว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะเป็นอุบัติเหตุ ตนไม่ต้องรับผิด ให้ตกเป็นพับแก่คู่กรณี

อยากทราบว่า ข้ออ้างของน้ำรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 747 “อันว่าจํานํานั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จํานํา ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจํานํา เพื่อเป็นประกันการชําระหนี้”

มาตรา 760 “ถ้าผู้รับจํานําเอาทรัพย์สินซึ่งจํานําออกใช้เองหรือเอาไปให้บุคคลภายนอก ใช้สอยหรือเก็บรักษาโดยผู้จํานํามิได้ยินยอมด้วยไซร้ ท่านว่าผู้รับจํานําจะต้องรับผิดเพื่อที่ทรัพย์สินจํานํานั้นสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ทั้งเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ก็คงจะต้องสูญหาย หรือบุบสลายอยู่นั้นเอง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ข้ออ้างของน้ำรับฟังได้หรือไม่ เห็นว่า ตามกฎหมาย ในเรื่องสัญญาจํานํานั้น หากผู้รับจํานําเอาทรัพย์สินซึ่งจํานําออกใช้เองแล้วทรัพย์สินนั้นได้สูญหายไป ผู้รับจํานําจะต้องรับผิด แม้ความสูญหาย จะเกิดเพราะเหตุสุดวิสัยก็ตาม เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายอยู่นั่นเอง (มาตรา 760)

ตามข้อเท็จจริง การที่ดินนําสร้อยเพชรส่งมอบให้น้ำเพื่อเป็นการจํานําในหนี้เงินกู้ 5 แสนบาท นั้น สัญญาจํานําย่อมเกิดขึ้นแล้วตามมาตรา 747 เพราะการส่งมอบสังหาริมทรัพย์ย่อมถือเป็นความสมบูรณ์ ของสัญญาจํานําโดยมิต้องมีหลักฐานแต่อย่างใด

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า น้ำได้นําสร้อยเพชรดังกล่าวใส่ไปในงานเลี้ยง และปรากฏว่าได้เกิด อุบัติเหตุในห้องครัวของงานเลี้ยงทําให้เกิดไฟไหม้ จนทําให้สร้อยเพชรที่น้ำใส่มาตกหายในงานและหาไม่พบ ดังนี้ ถือเป็นกรณีที่ผู้รับจํานําเอาทรัพย์สินที่จํานําออกใช้เอง และทรัพย์สินนั้นได้สูญหายไป น้ำจึงต้องรับผิด ในความสูญหายที่เกิดขึ้น แม้ว่าเหตุไฟไหม้จะเป็นเหตุสุดวิสัยก็ตาม ตามมาตรา 760 ดังนั้น ข้ออ้างของน้ำที่ว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นเพราะอุบัติเหตุ ตนไม่ต้องรับผิด ให้ตกเป็นพับแก่คู่กรณี จึงรับฟังไม่ได้

สรุป

ข้ออ้างของน้ำรับฟังไม่ได้ และน้ำต้องชดใช้ราคาสร้อยเพชรให้แก่ดิน

 

LAW2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ําประกัน 2/2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ําประกัน ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายแดงเป็นหนี้นายกรุงเทพ 5 ล้านบาท มีหลักฐานถูกต้อง และนายแดงได้นําโฉนดที่ดินของตนมามอบให้นายกรุงเทพเพื่อเป็นประกันการชําระหนี้ แต่นายกรุงเทพขอให้นายแดงหาผู้ค้ำประกันมาให้ด้วย นายแดงจึงขอให้นายเหลืองและนายม่วงทั้ง 2 คน มาเป็นผู้ค้ำประกันโดยการให้ไปตกลงกับนายกรุงเทพ รวมทั้งมีการทําหลักฐานการค้ำประกัน แต่ในวันทําสัญญานายเหลืองติดราชการไป ต่างประเทศจึงมิได้ลงลายมือชื่อ เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระนายแดงชําระหนี้ไม่ได้ นายกรุงเทพได้ส่ง จดหมายไปยังนายเหลืองและนายม่วงให้ชําระหนี้แทนภายในระยะเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ลูกหนี้ ผิดนัด ปรากฏว่านายนายม่วงได้ขอให้นายกรุงเทพเรียกการชําระหนี้จากนายนายเหลืองก่อน หากไม่ได้ขอให้บังคับการชําระหนี้จากที่ดินที่นายแดงนําโฉนดมามอบให้นายกรุงเทพ

ดังนี้อยากทราบว่า นายกรุงเทพจะฟ้องร้องบังคับให้ทั้งนายเหลืองและนายม่วงชําระหนี้ได้หรือไม่และจะไปบังคับการชําระหนี้จากโฉนดที่ดินตามที่นายม่วงกล่าวอ้างได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 681 วรรคหนึ่ง “อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์”

มาตรา 686 “ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชําระหนี้ได้ แต่นั้น”

มาตรา 690 “ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดถือไว้เป็นประกันไซร้ เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องให้ชําระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน”

มาตรา 714 “อันสัญญาจํานองนั้น ท่านว่าต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่”

วินิจฉัย

ในกรณีที่การกู้เงินและการค้ำประกันนั้นได้กระทําถูกต้องตามกฎหมาย และมีหลักฐานใน การฟ้องร้องบังคับคดี หากลูกหนี้ผิดนัดชําระหนี้ ย่อมก่อให้เกิดสิทธิแก่เจ้าหนี้ในการบังคับการชําระหนี้เอาจากลูกหนี้ และผู้ค้ําประกันได้ตามมาตรา 680 และมาตรา 686 และในส่วนของผู้ค้ำประกันอาจจะบ่ายเบี่ยงขอให้เจ้าหนี้ บังคับเอาจากลูกหนี้ก่อนได้ตามมาตรา 690 คือ เมื่อเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดไว้เป็นประกัน และการประกันนั้น ได้กระทําถูกต้องตามกฎหมาย เช่น ในกรณีทรัพย์ที่ยึดถือเป็นประกันไว้เป็นที่ดิน (กรณีจํานอง) ก็จะต้องมีการทําเป็น หนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 714 ด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายกรุงเทพจะฟ้องร้องบังคับให้นายเหลืองและนายม่วงชําระหนี้ได้ หรือไม่ และจะไปบังคับการชําระหนี้จากโฉนดที่ดินตามที่นายม่วงกล่าวอ้างได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายเหลือง แม้การที่นายแดงเป็นหนี้นายกรุงเทพ 5 ล้านบาท มีหลักฐานถูกต้อง ตามมาตรา 681 วรรคหนึ่ง แต่การที่นายเหลืองได้ตกลงเป็นผู้ค้ำประกันหนี้รายนี้นั้น นายเหลืองไม่ได้ลงลายมือชื่อ ในสัญญาค้ำประกันแต่อย่างใด ดังนั้น นายกรุงเทพจะฟ้องร้องบังคับให้นายเหลืองชําระหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกัน ไม่ได้ตามมาตรา 680 วรรคสอง

กรณีของนายม่วง เมื่อนายม่วงได้ตกลงเป็นผู้ค้ําประกันหนี้รายนี้และนายม่วงได้ลงลายมือชื่อ ในสัญญาค้ำประกัน ดังนั้นสัญญาการเป็นผู้ค้ำประกันของนายม่วงจึงสมบูรณ์และสามารถใช้ฟ้องร้องบังคับกันได้ ตามมาตรา 680 เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระนายแดงลูกหนี้ชําระหนี้ไม่ได้ และนายกรุงเทพได้มีการบอกกล่าวให้นายม่วง ผู้ค้ำประกันชําระหนี้ถูกต้องตามมาตรา 686 แล้ว แต่นายม่วงยังไม่ชําระหนี้ นายกรุงเทพย่อมสามารถฟ้องร้อง บังคับให้นายม่วงชําระหนี้ไม่ได้

กรณีของโฉนดที่ดิน การที่นายแดงได้นําโฉนดที่ดินของตนมอบให้นายกรุงเทพยึดถือไว้เป็น ประกันโดยมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น ไม่ถือว่าเป็นการจํานองตามมาตรา 714 จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ของมาตรา 690 ที่ว่า “ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดถือไว้เป็นประกัน” ดังนั้นนายม่วงจะ ขอให้นายกรุงเทพบังคับการชําระหนี้จากที่ดินที่นายแดงนําโฉนดมามอบให้นายกรุงเทพไม่ได้

สรุป

นายกรุงเทพจะฟ้องบังคับให้นายเหลืองชําระหนี้ไม่ได้ แต่สามารถฟ้องบังคับนายม่วง ให้ชําระหนี้ได้ และนายกรุงเทพจะไปบังคับการชําระหนี้จากโฉนดที่ดินที่นายม่วงกล่าวอ้างไม่ได้

 

ข้อ 2. จงอธิบายถึงการบังคับจํานองตามที่กฎหมายใหม่ได้บัญญัติไว้ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (กฎหมายเก่า) การบังคับจํานองมีได้ 2 กรณี คือ

1 การบังคับจํานองโดยผู้รับจํานองจะฟ้องคดีต่อศาล เพื่อให้ศาลพิพากษาสั่งให้ยึด ทรัพย์สินซึ่งจํานองและให้ขายทอดตลาด (มาตรา 728)

2 การบังคับจํานองโดยผู้รับจํานองจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเรียกเอาทรัพย์จํานองหลุด(มาตรา 729)

แต่ในปัจจุบันได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557 เกี่ยวกับการบังคับจํานองโดยการเพิ่มมาตรา 729/1 และให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เป็นต้นไป

ซึ่งตามกฎหมายใหม่ตามมาตรา 729/1 นั้น กฎหมายได้บัญญัติให้สิทธิแก่ผู้จํานองมีหนังสือแจ้ง ไปยังผู้รับจํานองเพื่อให้ผู้รับจํานองเอาทรัพย์สินของตนเองที่จํานองไว้นั้นออกขายทอดตลาดได้เลยโดยไม่ต้อง ฟ้องศาล หากทรัพย์สินที่จํานองนั้นไม่มีการจํานองรายอื่น (ไม่มีการจํานองซ้อน) หรือบุริมสิทธิอื่นอันได้จดทะเบียนไว้ เหนือทรัพย์สินอันเดียวกันนี้ และผู้รับจํานองต้องดําเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานองภายในเวลา 1 ปีนับแต่ วันที่ได้รับหนังสือแจ้งนั้น

ถ้าผู้รับจํานองไม่ได้ดําเนินการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จํานองภายในระยะเวลา 1 ปีดังกล่าว ผู้จํานองย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดในดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทนซึ่งลูกหนี้ค้างชําระตลอดจนค่าภาระติดพัน อันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นที่เกิดขึ้นภายหลังวันที่พ้นกําหนดเวลาดังกล่าว ได้ปราการ

ตัวอย่าง นาย ก. ได้นําที่ดินซึ่งมีราคา 2 ล้านบาท จํานองไว้กับนาย ข. เป็นเงิน 1 ล้านบาท โดยไม่มีการนําที่ดินแปลงดังกล่าวไปจํานองกับเจ้าหนี้รายอื่นอีก ดังนี้หากนาย ก. คิดว่าตนไม่มีเงินจะไถ่ที่ดินแปลงนี้ คืนจากนาย ข. แน่นอน แต่ต้องการจะจํากัดไม่ให้ดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มขึ้น นาย ก. ย่อมสามารถใช้ สิทธิตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 729/1 ที่แก้ไขเพิ่มเติมใหม่นี้ได้ โดยการมีหนังสือแจ้งไปยังนาย ข. ผู้รับ จํานองให้นําที่ดินแปลงดังกล่าวออกขายทอดตลาดได้เลย

ถ้านาย ข. ผู้นับจํานองไม่ดําเนินการขายทอดตลาดที่ดินแปลงดังกล่าวภายในเวลา 1 ปี นับแต่ วันที่ได้รับหนังสือแจ้งนั้น นาย ข. จะเรียกร้องให้นาย ก. ผู้จํานองรับผิดในดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น ภายหลังวันที่พ้นกําหนด 1 ปีนั้นไม่ได้

 

ข้อ 3. ฉุยเช่าซื้อรถยนต์ยังผ่อนชําระไม่หมดกับฉลุย ต่อมาฉุยได้นํารถยนต์คันดังกล่าวไปจํานํากับฉัน โดยฉลุยมิได้ยินยอมด้วย เมื่อฉลุยทราบเรื่อง ฉลุยจะไปตามเอารถยนต์คืนจากฉันได้หรือไม่ การจํานํา ผูกพันฉลุยผู้ให้เช่าซื้อหรือไม่ อย่างไร กรณีหนึ่ง

อีกกรณีหนึ่ง ก. นําตู้เย็นอย่างดีที่ส่งมาจากเมืองนอก ฝากให้ ข. ซึ่งเป็นร้ายขายตู้เย็นอยู่แล้วโดย ฝากขาย ข. ได้นําตู้เย็นที่ ก. ฝากไว้ไปจํานํา ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ผู้รับจํานํารับจํานําไว้โดยสุจริต ก. เจ้าของตู้เย็นมีสิทธิติดตามเอาตู้เย็นคืนได้หรือไม่ ต้องเสียค่าไถ่หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 572 “อันว่าเช่าซื้อนั้น คือสัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่า และให้คํามั่นว่า จะขายทรัพย์สินนั้นหรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจํานวนเท่านั้น เท่านี้คราว

สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทําเป็นหนังสือ ท่านว่าเป็นโมฆะ”

มาตรา 747 “อันว่าจํานํานั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ผู้จํานําส่งมอบสังหาริมทรัพย์ สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า ผู้รับจํานํา เพื่อเป็นประกันการชําระหนี้”

มาตรา 820 “ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทน หรือตัวแทนช่วงได้ทําไปภายในขอบอํานาจแห่งฐานตัวแทน”

มาตรา 821 “บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี รู้แล้วย่อมให้ บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก ผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน”

มาตรา 1336 “ภายในบังคับแห่งกฎหมาย เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอยและจําหน่ายทรัพย์สิน ของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิ จะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีแรก การที่ฉุยได้เช่าซื้อรถยนต์กับฉลุยโดยยังผ่อนชําระค่าเช่าซื้อไม่หมดนั้น ตามมาตรา 572 ฉุยผู้เช่าซื้อย่อมได้ไปเพียงสิทธิครอบครองเท่านั้น เพราะกรรมสิทธิ์ยังไม่โอนยังเป็นของฉลุยผู้ให้เช่าซื้อ ดังนั้น การที่ฉุยได้นํารถยนต์ที่เช่าซื้อไปจํานํากับฉุนโดยฉลุยมิได้ยินยอมด้วย ฉลุยจึงสามารถติดตามเอารถยนต์คืนได้ในฐานะ เจ้าของที่แท้จริงตามมาตรา 1336 โดยไม่ต้องเสียค่าไถ่ เพราะการจํานํานั้นไม่ผูกพันฉลุยผู้ให้เช่าซื้อแต่อย่างใด

กรณีที่ 2 การที่ ก. ได้นําตู้เย็นไปฝากให้ ข. ขายนั้น ถือว่า ก. ได้เชิดให้ ข. เป็นตัวแทนของตน เพราะเป็นการปล่อยให้ ข. แสดงตนว่าเป็นเจ้าของตู้เย็นนั้น เสมือนว่า ข. เป็นตัวแทนของตนตามมาตรา 821 ดังนั้น เมื่อ ข. นําตู้เย็นไปจํานํา ก. ผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงสามารถติดตามเอาตู้เย็นคืนได้ตามมาตรา 1336 แต่ ก. จะต้อง เสียค่าไถ่ เพราะเมื่อผู้รับจํานําได้รับจํานําไว้โดยสุจริต ก. จึงต้องรับผิดต่อผู้รับจํานําซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เสมือนว่า ก. เป็นตัวการจึงต้องมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในการกระทําของ ข. ตัวแทน ตามมาตรา 820 ประกอบ มาตรา 821

สรุป

กรณีแรก ฉลุยตามเอารถคืนจากฉันได้ เพราะการจํานําไม่ผูกพันฉลุยผู้ให้เช่าซื้อ

กรณีที่ 2 ก. เจ้าของตู้เย็นสามารถติดตามเอาตู้เย็นคืนได้แต่ต้องเสียค่าไถ่

LAW2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายแสนหลอกนายพันว่าแหวนที่นายแสนนํามาขายเป็นแหวนเพชรแท้ นายพันหลงเชื่อเพราะเห็นว่านายแสนเป็นเจ้าของร้านเพชรจึงตกลงซื้อแหวนวงนี้ในราคา 300,000 บาท แต่ขอชําระราคาใน อีก 15 วัน นายแสนตกลงแต่ขอให้นายพันหาคนมาค้ำประกัน นายพันนําแหวนไปให้นายหมื่นดู และขอให้ช่วยเป็นผู้ค้ำประกันให้ นายหมื่นเห็นแหวนทราบทันทีว่านายแสนหลอกขายเพชรปลอม ให้นายพันแต่ยอมลงลายมือชื่อฝ่ายเดียวในสัญญาค้ำประกันมอบให้นายแสนเก็บไว้ ปรากฏว่าเมื่อ ครบกําหนด 15 วัน นายพันไม่ยอมชําระราคาอ้างว่าแหวนเพชรเป็นของปลอม ดังนี้ นายแสนจะเรียกให้นายหมื่นรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 681 “อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์ หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไข จะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้นั้นอาจเป็นผลได้จริงก็ประกันได้

หนี้อันเกิดแต่สัญญาซึ่งไม่ผูกพันลูกหนี้เพราะทําด้วยความสําคัญผิด หรือเพราะเป็น ผู้ไร้ความสามารถนั้น ก็อาจจะมีประกันอย่างสมบูรณ์ได้ ถ้าหากว่าผู้ค้ำประกันรู้เหตุสําคัญผิดหรือไร้ความสามารถนั้น ในขณะที่เข้าทําสัญญาผูกพันตน”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายแสนใช้กลฉ้อฉลหลอกขายแหวนให้แก่นายพัน และต่อมานายพันได้ บอกล้างนิติกรรมที่เป็นโมฆยะเนื่องจากกลฉ้อฉลดังกล่าวแล้ว ทําให้หนี้ที่เกิดจากสัญญาซื้อขายแหวนเป็นโมฆะ เป็นหนี้ที่ไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 681 วรรคแรก และหนี้ที่เกิดขึ้นจึงไม่มีผลผูกพันนายพันซึ่งเป็นลูกหนี้

และหนี้อันเกิดจากสัญญาซึ่งไม่ผูกพันลูกหนี้ แต่อาจมีประกันที่สมบูรณ์ได้และผู้ค้ำประกันจะต้อง รับผิดตามมาตรา 681 วรรคสามนั้น จะต้องเป็นหนี้ที่เกิดจากลูกหนี้ได้ทําเพราะความสําคัญผิด หรือเพราะเป็นผู้ไร้ ความสามารถ และผู้ค้ำประกันได้รู้เหตุสําคัญผิดหรือไร้ความสามารถนั้นในขณะที่เข้าทําสัญญาผูกพันตนด้วย แต่เมื่อ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าหนี้อันเกิดจากสัญญาซึ่งไม่ผูกพันนายพันลูกหนี้ดังกล่าวนั้นได้เกิดขึ้นเพราะกลฉ้อฉล จึงไม่เข้า ข้อยกเว้นที่จะทําให้นายหมื่นผู้ค้ำประกันต้องรับผิด แม้ว่าสัญญาค้ำประกันนั้นจะมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อ นายหมื่นเป็นผู้ค้ำประกันตามมาตรา 680 วรรคสอง และนายหมื่นจะได้รู้เหตุกลฉ้อฉลในขณะเข้าทําสัญญาค้ำประกันก็ตาม ดังนั้น เมื่อนายพันไม่ยอมชําระราคาแหวน นายแสนจะเรียกให้นายหมื่นรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันไม่ได้

สรุป

นายแสนจะเรียกให้นายหมื่นรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันไม่ได้

 

ข้อ 2. นายกิ่งเป็นสามีของนางลิง ก่อนแต่งงานนางลิงเป็นผู้ใหญ่บ้านเจ้าของที่ดินติดแม่น้ำที่ลูกบ้านทั้งหลายทราบดี ที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดินมีโฉนด ต่อมานางลิงได้เก็บโฉนดที่ดินพร้อมใบมอบอํานาจ ที่เซ็นชื่อตนไว้ลอย ๆ ในตู้เซฟ จากนั้นนายกิ่งสามีได้ไปติดพันกับนางตริ่งสาวสวยญาตินางลิง เนื่องจากนายกิ่งได้ทุ่มเทเงินมากมายไปกับนางตริ่ง นายกิ่งจึงไปกู้นายจิงชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้าน ดังกล่าวเป็นเงิน 50,000 บาท โดยไม่ทําเป็นหนังสือและได้มีโฉนดที่ดินของนางลิงพร้อมด้วย ใบมอบอํานาจของนางลิงไปจํานองประกันหนี้ไว้ ดังนี้ การจํานองมีผลประการใด การจํานองนี้นางลิง ยกเป็นข้อต่อสู้ได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 5 “ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี ในการชําระหนี้ก็ดี บุคคลทุกคนต้องกระทําโดยสุจริต”

มาตรา 702 “อันว่าจํานองนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จํานอง เอาทรัพย์สินตราไว้ แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจํานอง เป็นประกันการชําระหนี้ โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจํานอง

ผู้รับจํานองชอบที่จะได้รับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่จํานองก่อนเจ้าหนี้สามัญ มิพักต้องพิเคราะห์ ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่”

มาตรา 705 “การจํานองทรัพย์สินนั้น นอกจากผู้เป็นเจ้าของในขณะนั้นแล้ว ท่านว่าใครอื่น จะจํานองหาได้ไม่”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วในการเอาทรัพย์สินไปจํานองเพื่อเป็นประกันการชําระหนี้นั้น บุคคลที่จะเอาทรัพย์สินจํานองได้จะต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินเท่านั้น บุคคลอื่นซึ่งมิใช่เจ้าของไม่มีสิทธิที่จะจํานอง (มาตรา 702 ประกอบมาตรา 705)

ตามอุทาหรณ์ เมื่อที่ดินเป็นของนางลิง นายกิ่งย่อมไม่สามารถที่จะเอาที่ดินแปลงนั้นไปจํานอง เพื่อประกันหนี้กับนายจิง (ตามมาตรา 705) แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นางลิงได้เซ็นชื่อไว้ในใบมอบอํานาจลอย ๆ ย่อมถือว่าเป็นการกระทําโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของนางลิง เมื่อนายกิ่งได้เอาโฉนดที่ดินของนางลิง พร้อมด้วยใบมอบอํานาจดังกล่าวของนางลิงไปจํานองเพื่อประกันหนี้ที่นายกิ่งกู้ยืมเงินจากนายจิง ซึ่งในทางปฏิบัติ ย่อมทําให้นายจิงมีเหตุอันสมควรเชื่อได้ว่านายกิ่งได้รับมอบอํานาจจากนางลิงจริง ดังนี้ถ้านายจิงบุคคลภายนอกสุจริต สัญญาจํานองย่อมมีผลสมบูรณ์ตามหลักการของการจํานองทั่ว ๆ ไป โดยให้ถือเสมือนว่านางลิงได้เชิดให้นายกิ่ง เป็นตัวแทนของตน

แต่อย่างไรก็ดี ในกรณีนี้นั้น ตามอุทาหรณ์จะเห็นได้ว่า นายจิงผู้รับจํานองได้ทราบดีว่าที่ดินที่ ติดแม่น้ำที่นายกิ่งเอามาจํานองนั้นเป็นที่ดินของใคร เมื่อนายจึงได้รับจํานองไว้ย่อมถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิโดย ไม่สุจริต ทั้งนี้เพราะได้รับจํานองไว้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่านายกิ่งไม่ใช่เจ้าของที่ดินดังกล่าว ดังนั้น กรณีนี้ถือว่าการ จํานองระหว่างนายกิ่งกับนายจิงมีผลเป็นโมฆะ เพราะเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต (ตามมาตรา 5) นางลิงยกเป็น ข้อต่อสู้ได้

สรุป

การจํานองมีผลเป็นโมฆะ นางลิงยกเป็นข้อต่อสู้ได้

 

ข้อ 3. แดงเป็นหนี้ดํา 100,000 บาท แดงจํานํานาฬิกาของตน 1 เรือนเป็นประกัน ครั้นหนี้ถึงกําหนดชําระแดงไม่ชําระ ดําปล่อยปละละเลยจนหนี้รายนี้ขาดอายุความ ดําจึงมาเรียกให้แดงชําระหนี้ แดงยก อายุความขึ้นต่อสู้ ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากนาฬิกาโดยการบังคับจํานําได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) ดําจะได้รับชําระหนี้เป็นจํานวนเท่าไร หากในขณะนั้นนาฬิการาคา 80,000 บาท

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/9 “สิทธิเรียกร้องใด ๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด สิทธิ เรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ”

มาตรา 193/10 “สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชําระหนี้ตาม สิทธิเรียกร้องนั้นได้”

มาตรา 193/27 “ผู้รับจํานอง ผู้รับจํานํา ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วง หรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สิน ของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้ ยังคงมีสิทธิบังคับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่จํานอง จํานํา หรือที่ได้ยึดถือไว้ แม้ว่าสิทธิ เรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชําระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลัง เกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้”

มาตรา 767 “เมื่อบังคับจํานําได้เงินจํานวนสุทธิเท่าใด ท่านว่าผู้รับจํานําต้องจัดสรรชําระหนี้ และอุปกรณ์เพื่อให้เสร็จสิ้นไป และถ้ายังมีเงินเหลือก็ต้องส่งคืนให้แก่ผู้จํานํา หรือแก่บุคคลผู้ควรจะได้เงินนั้น

ถ้าได้เงินน้อยกว่าจํานวนค้างชําระ ท่านว่าลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับใช้ในส่วนที่ขาดอยู่นั้น”

มาตรา 769 “อันจํานําย่อมระงับสิ้นไป

(1) เมื่อหนี้ซึ่งจํานําเป็นประกันอยู่นั้นระงับสิ้นไปเพราะเหตุประการอื่นมิใช่เพราะอายุความ

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่แดงเป็นหนี้ดํา 100,000 บาท โดยแดงได้จํานํานาฬิกาของตน 1 เรือน เป็นประกัน ครั้นหนี้ถึงกําหนดชําระ แดงไม่ชําระ และดําปล่อยปละละเลยจนหนี้รายนี้ขาดอายุความนั้น เมื่อดํา มาเรียกให้แดงชําระหนี้ แดงลูกหนี้ย่อมมีสิทธิยกอายุความขึ้นต่อสู้เพื่อปฏิเสธการชําระหนี้นั้นได้ตามมาตรา 193/9 ประกอบมาตรา 193/10

แต่อย่างไรก็ตาม แม้หนี้ซึ่งจํานําเป็นประกันอยู่นั้นจะขาดอายุความแล้วก็ตาม ก็ไม่ทําให้การจํานําระงับสิ้นไปตามมาตรา 769 (1) ดังนั้นดําผู้รับจํานําจึงยังคงมีสิทธิบังคับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่จํานําคือ นาฬิกาที่แดงได้จํานําไว้ได้ แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม (ตามมาตรา 193/27) แต่ดําจะได้รับชําระหนี้เพียง 80,000 บาท ตามราคาของนาฬิกาเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 20,000 บาท แม้มาตรา 767 วรรคสอง จะกําหนดให้ลูกหนี้ยังคงต้องรับผิดชดใช้ให้แก่เจ้าหนี้ก็ตาม แต่กรณีนี้ถือว่าสิทธิเรียกร้องในจํานวนเงิน 20,000 บาทนั้น ขาดอายุความแล้ว และแดงลูกหนี้ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้เพื่อปฏิเสธไม่ชําระหนี้แล้วด้วย

สรุป

(ก) ดําสามารถบังคับชําระหนี้จากนาฬิกาโดยการบังคับจํานําได้

(ข) ดําจะได้รับชําระหนี้เป็นเงินเพียง 80,000 บาท ตามราคาทรัพย์สินที่นํามาประกันไว้ เท่านั้น

 

LAW2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน S/2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2010กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 เด็กหญิงแสนอายุ 15 ปี กู้เงินนายพัน 30,000 บาท เพื่อไปซื้อคอมพิวเตอร์ และไม่มีการทําหลักฐานการกู้ยืม นายพันกลัวว่าจะเรียกเงินคืนจากเด็กหญิงแสนไม่ได้ จึงให้นายหมื่นพี่ชายอายุ 22 ปีของ เด็กหญิงแสนที่มาด้วยทําสัญญาพร้อมทั้งลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้เงินกู้ดังกล่าว แต่ไม่มี การลงลายมือชื่อเด็กหญิงแสนกับนายพันในสัญญาค้ำประกัน ต่อมาหนี้ถึงกําหนดชําระนายพันเรียก ให้เด็กหญิงแสนและนายหมื่นชําระหนี้ นางสร้อยมารดาของเด็กหญิงแสนทราบเรื่องจึงบอกล้าง นิติกรรมการกู้ยืมดังกล่าว นายหมื่นจึงปฏิเสธไม่ชําระหนี้อ้างว่าสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันไม่สมบูรณ์ ดังนี้ข้ออ้างของนายหมื่นฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 681 “อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์ หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไข จะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้นั้นอาจเป็นผลได้จริงก็ประกันได้

หนี้อันเกิดแต่สัญญาซึ่งไม่ผูกพันลูกหนี้เพราะทําด้วยความสําคัญผิด หรือเพราะเป็น ผู้ไร้ความสามารถนั้น ก็อาจจะมีประกันอย่างสมบูรณ์ได้ ถ้าหากว่าผู้ค้ำประกันรู้เหตุสําคัญผิดหรือไร้ความสามารถนั้น ในขณะที่เข้าทําสัญญาผูกพันตน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เด็กหญิงแสนซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้กู้เงินนายพัน 30,000 บาท แม้การ กู้ยืมนั้นจะไม่มีการทําหลักฐานการกู้ยืมกันก็ตาม แต่ก็ยังถือว่ามีหนี้ที่คู่สัญญายังคงต้องผูกพันกัน เพียงแต่การกู้ยืม ดังกล่าวเป็นนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ เมื่อนางสร้อยมารดาของเด็กหญิงแสนทราบเรื่องและได้บอกล้างนิติกรรมการกู้ยืม ดังกล่าว นิติกรรมการกู้ยืมเงินระหว่างเด็กหญิงแสนกับนายพันจึงตกเป็นโมฆะ และทําให้หนี้กู้ยืมนั้นกลายเป็นหนี้ อันเกิดแต่สัญญาซึ่งไม่ผูกพันลูกหนี้เพราะเป็นผู้ไร้ความสามารถ

แต่อย่างไรก็ตาม หนี้อันเกิดแต่สัญญาซึ่งไม่ผูกพันลูกหนี้เพราะเป็นผู้ไร้ความสามารถนั้น ก็อาจจะ มีประกันอย่างสมบูรณ์ได้ ถ้าหากว่าผู้ค้ำประกันรู้เหตุไร้ความสามารถนั้นในขณะที่เข้าทําสัญญาผูกพันตน และ ตามข้อเท็จจริง เมื่อปรากฏว่านายหมื่นผู้ค้ำประกันได้รู้ว่าเด็กหญิงแสนเป็นผู้เยาว์ในขณะที่เข้าทําสัญญาค้ำประกัน ตามมาตรา 681 วรรคสาม และนายหมื่นได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้เงินกู้ดังกล่าวด้วย จึงถือว่าสัญญา ค้ำประกันดังกล่าวมีผลสมบูรณ์และมีหลักฐานเป็นหนังสือที่นายพันสามารถฟ้องร้องบังคับคดีให้นายหมื่นรับผิด ในฐานะผู้ค้ำประกันได้ตามมาตรา 680 วรรคสอง ดังนั้น การที่นายหมื่นปฏิเสธไม่ชําระหนี้โดยอ้างว่าสัญญากู้ และสัญญาค้ำประกันไม่สมบูรณ์นั้นข้ออ้างของนายหมื่นจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป

ข้ออ้างของนายหมื่นฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 2. นายปลาทองกู้เงินนายปลาทู 500,000 บาท ตกลงชําระคืนในวันที่ 2 ตุลาคม 2558 และนําที่ดิน 1 ไร่มูลค่า 400,000 บาท มาจดทะเบียนจํานองเป็นประกันในวันที่ 1 ตุลาคม 2557 ต่อมาวันที่ 15 มีนาคม 2558 นายปลาทองปลูกบ้านเพื่ออยู่อาศัยบนที่ดินดังกล่าวทําให้มูลค่าของที่ดินและบ้าน เพิ่มเป็น 500,000 บาท ปรากฏว่าเกิดฝนตกและฟ้าผ่าในวันที่ 16 พฤษภาคม 2558 ทําให้บ้าน บนที่ดินของนายปลาทองเสียหายบางส่วนมูลค่าบ้านและที่ดินจึงลดลงเหลือ 450,000 บาท ดังนี้ นายปลาทูจะบังคับจํานองได้ทันทีหรือไม่ และจะบังคับจํานองกับสิ่งใดได้บ้าง เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 716 “จํานองย่อมครอบไปถึงบรรดาทรัพย์สินซึ่งจํานองหมดทุกสิ่ง แม้จะได้ชําระหนี้ แล้วบางส่วน”

มาตรา 719 วรรคแรก “จํานองที่ดินไม่ครอบไปถึงเรือนโรงอันผู้จํานองปลูกสร้างลงในที่ดิน ภายหลังวันจํานอง เว้นแต่จะมีข้อความกล่าวไว้โดยเฉพาะในสัญญาว่าให้ครอบไปถึง”

มาตรา 723 “ถ้าทรัพย์สินซึ่งจํานองบุบสลาย หรือถ้าทรัพย์สินซึ่งจํานองแต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งสูญหาย หรือบุบสลาย เป็นเหตุให้ไม่เพียงพอแก่การประกันไซร้ ท่านว่าผู้รับจํานองจะบังคับจํานองเสียในทันทีก็ได้ เว้นแต่ เมื่อเหตุนั้นมิได้เป็นเพราะความผิดของผู้จํานอง และผู้จํานองก็เสนอจะจํานองทรัพย์สินอื่นแทนให้มีราคาเพียงพอ หรือเสนอจะรับซ่อมแซมแก้ไขความบุบสลายนั้นภายในเวลาอันสมควรแก่เหตุ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายปลาทองนําที่ดิน 1 ไร่ มาจดทะเบียนจํานองนั้นตามมาตรา 716 ให้ถือว่าจํานองครอบไปถึงบรรดาทรัพย์สินซึ่งจํานองหมดทุกสิ่ง แต่อย่างไรก็ตามจะไม่ครอบไปถึงบ้านที่นายปลาทอง ปลูกสร้างเพื่ออยู่อาศัย เพราะเป็นบ้านที่ปลูกสร้างภายหลังวันจํานอง เว้นแต่จะมีข้อความกล่าวไว้โดยเฉพาะ ในสัญญาว่าให้ครอบไปถึง (มาตรา 719 วรรคแรก) ดังนั้น ถ้านายปลาทูจะบังคับจํานอง ย่อมบังคับจํานองได้เฉพาะ ที่ดินเท่านั้น

ส่วนกรณีที่เกิดฝนตกและฟ้าผ่าทําให้บ้านบนที่ดินที่นายปลาทองได้ปลูกสร้างขึ้นนั้นเสียหายบางส่วน ทําให้มูลค่าของบ้านและที่ดินลดลงนั้น เมื่อกรณีดังกล่าวบ้านเป็นทรัพย์สินที่จํานองไม่ครอบไปถึง ดังนั้น แม้บ้านจะบุบสลายไปทําให้ราคาลดลง ก็ไม่กระทบถึงที่ดินที่จํานองซึ่งไม่ได้บุบสลายไปด้วยแต่อย่างใด นายปลาทูจึงจะบังคับจํานองทันทีไม่ได้ (มาตรา 723)

สรุป

นายปลาทูจะบังคับจํานองทันทีไม่ได้

 

ข้อ 3. นายเพื่อนกู้เงินนายแพง 100,000 บาท มีนางพิณนํานาฬิกามูลค่า 80,000 บาท มามอบให้นายแพงเก็บไว้เพื่อประกันหนี้ของนายเพื่อนแต่ไม่มีการทําสัญญาจํานําเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อมาหนี้ถึง กําหนดชําระนายเพื่อนไม่ชําระ และนายแพงต้องการขายนาฬิกาเพื่อนํามาชําระหนี้ แต่นางพิณไม่ยอม อ้างว่าไม่มีสัญญาจํานํา ดังนี้ข้ออ้างของนางพิณฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด และถ้านายแพงต้องการ บังคับจํานํา จะต้องปฏิบัติอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 747 “อันว่าจํานํานั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จํานํา ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจํานํา เพื่อเป็นประกันการชําระหนี้”

มาตรา 764 “เมื่อจะบังคับจํานํา ผู้รับจํานําต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่า ให้ชําระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกําหนดให้ในคําบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคําบอกกล่าว ผู้รับจํานําขอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจํานําออกขายได้ แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจํานําต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จํานําบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย”

วินิจฉัย

ตามกฎหมายสัญญาจํานํานั้น เป็นสัญญาระหว่างผู้จํานําตกลงกับเจ้าหนี้ โดยส่งมอบ สังหาริมทรัพย์เพื่อประกันการชําระหนี้ไว้กับเจ้าหนี้ ซึ่งผู้จํานําจะเป็นตัวลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกก็ได้ แต่บุคคล ผู้เข้าทําสัญญาจํานําต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้น และสัญญาจํานํานั้นกฎหมายมิได้บังคับว่าจะต้องทําเป็นหนังสือ ดังนั้นสัญญาจํานําเพียงแต่ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ที่จํานําก็เป็นสัญญาที่สมบูรณ์แล้ว (มาตรา 747)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางพิณนํานาฬิกามูลค่า 80,000 บาท มามอบให้นายแพงเก็บไว้เพื่อ ประกันหนี้ของนายเพื่อนที่กู้เงินจากนายแพงนั้น แม้นางพิณจะมิใช่ลูกหนี้ แต่เมื่อได้มีการส่งมอบสังหาริมทรัพย์เพื่อเป็น ประกันการชําระหนี้แล้วย่อมเป็นสัญญาจํานํา และมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย แม้การจํานําจะไม่มีการทําสัญญาจํานํา เป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม (มาตรา 747) ดังนั้น การที่นางพิณอ้างว่าไม่มีสัญญาจํานํา ข้ออ้างของนางพิณจึงฟังไม่ขึ้น

และเมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระนายเพื่อนลูกหนี้ไม่ชําระ การที่นายแพงต้องการบังคับจํานําคือ ต้องการขายนาฬิกาเพื่อนําเงินมาชําระหนี้นั้น นายแพงผู้รับจํานําย่อมมีสิทธิบังคับจํานําได้แต่จะต้องปฏิบัติตาม มาตรา 764 กล่าวคือ นายแพงจะต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชําระหนี้ ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ชําระหนี้ ตามคําบอกกล่าว นายแพงสามารถนําทรัพย์สินคือนาฬิกานั้นออกขายทอดตลาดได้ตามมาตรา 764 แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะมีการขายทอดตลาด นายแพงผู้รับจํานําจะต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังนางพิณผู้จํานําด้วยว่าจะขาย ทอดตลาดเมื่อใดและสถานที่ใด ทั้งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้จํานําเข้าสู้ราคาหรือไถ่ถอนการจํานํา

สรุป

ข้ออ้างของนางพิณที่ว่าไม่มีสัญญาจํานําฟังไม่ขึ้น และถ้านายแพงต้องการบังคับจํานํา ก็จะต้องปฏิบัติตามมาตรา 764 ดังกล่าวข้างต้น

LAW2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำ 2/2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายพุธตกลงทําสัญญาจะซื้อโรงงานทํากระดาษจากนายจันทร์ 10 ล้านบาท ตกลงโอนสามเดือนหลังจากวันทําสัญญา มีนายศุกร์ลงลายมือชื่อฝ่ายเดียวในสัญญาค้ำประกัน และมีนายอังคารนํา โฉนดที่ดินแปลงหนึ่งราคา 3 ล้านบาท มาจํานองเป็นประกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกรณีที่นายพุธ ไม่ปฏิบัติตามสัญญา ต่อมาเมื่อถึงกําหนดนัดโอนนายพุธไม่ปฏิบัติตามสัญญา นายจันทร์จึงฟ้องเรียก ค่าเสียหายจากนายพุธและนายศุกร์ แต่นายศุกร์อ้างว่าตนไม่ต้องรับผิดเพราะสัญญาค้ําประกัน ใช้บังคับไม่ได้ และนายจันทร์ต้องบังคับเอาจากที่ดินที่จํานองเป็นประกันก่อน ดังนี้ ข้ออ้างของนายศุกร์ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ําประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 690 “ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดถือไว้เป็นประกันไซร้ เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องให้ชําระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายศุกร์ทําสัญญาค้ำประกันการชําระหนี้ระหว่างนายพุธกับนายจันทร์ โดยนายศุกร์ได้ลงลายมือชื่อเพียงฝ่ายเดียวในสัญญานั้น ย่อมถือได้ว่าสัญญาค้ำประกันมีหลักฐานเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันแล้ว สัญญาค้ำประกันย่อมมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับคดีกันได้ตามมาตรา 680 วรรคสอง ข้ออ้างของนายศุกร์ที่ว่าตนไม่ต้องรับผิดเพราะสัญญาค้ำประกันใช้บังคับไม่ได้จึงฟังไม่ขึ้น

และการที่นายศุกร์อ้างว่านายจันทร์ต้องบังคับเอาจากที่ดินที่จํานองเป็นประกันก่อนนั้น ก็ฟัง ไม่ขึ้นเช่นกัน เพราะการที่ผู้ค้ำประกันจะใช้สิทธิตามมาตรา 690 ได้นั้น จะต้องปรากฏว่า นายจันทร์เจ้าหนี้ มีทรัพย์ของนายพุธลูกหนี้ยึดถือไว้เป็นประกัน เมื่อนายศุกร์ผู้ค้ำประกันร้องขอ นายจันทร์จึงจะบังคับชําระหนี้ เอาจากทรัพย์ที่ประกันก่อน แต่เมื่อปรากฏว่าทรัพย์ที่จํานองเป็นที่ดินของนายอังคารซึ่งมิใช่ลูกหนี้ จึงไม่อยู่ในบังคับ ตามมาตรา 690 อันจะทําให้นายศุกร์มีสิทธิที่จะอ้างกับนายจันทร์ดังกล่าว

สรุป

ข้ออ้างของนายศุกร์ทั้งสองประการฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 2. นายแสนแสบขายที่ดิน น.ส.3 ให้นางแสนดีโดยมิได้ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนโอนสิทธิกันตามกฎหมาย นางแสนดีเข้าทําประโยชน์ในที่ดินนั้นตั้งแต่วันที่ซื้อที่ดิน ต่อมานายแสนแสบทํา สัญญากู้เงินธนาคารแสนแพง 500,000 บาท และนําที่ดิน น.ส.3 ที่นายแสนแสบขายให้นางแสนดี ไปจดทะเบียนจํานองไว้กับธนาคารแสนแพง ต่อมาหนี้ถึงกําหนดชําระนายแสนแสบไม่ปฏิบัติตามสัญญา ดังนี้ ธนาคารแสนแพงจะบังคับจํานองจากที่ดินดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 705 “การจํานองทรัพย์สินนั้น นอกจากผู้เป็นเจ้าของในขณะนั้นแล้ว ท่านว่าใครอื่น จะจํานองหาได้ไม่”

มาตรา 1377 วรรคแรก “ถ้าผู้ครอบครองสละเจตนาครอบครอง หรือไม่ยึดถือทรัพย์สิน ต่อไปไซร้การครอบครองย่อมสิ้นสุดลง”

มาตรา 1378 “การโอนไปซึ่งการครอบครองนั้น ย่อมทําได้โดยส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครอง”

วินิจฉัย

ในเรื่องการจํานองนั้นมาตรา 705 ได้กําหนดไว้ว่า การที่ผู้จํานองจะนําทรัพย์สินไปจดทะเบียน จํานองเพื่อเป็นหลักประกันการชําระหนี้นั้น บุคคลที่จะสามารถนําทรัพย์สินไปจดทะเบียนจํานองได้ จะต้องเป็น เจ้าของทรัพย์สินในขณะที่จํานองนั้นด้วย บุคคลใดถ้าไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินในขณะที่จํานองจะจํานองทรัพย์สินนั้น หาได้ไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแสนแสบขายที่ดิน น.ส.3 ให้นางแสนดี แม้จะมิได้ทําเป็นหนังสือ และจดทะเบียนโอนสิทธิกันตามกฎหมาย แต่ก็ย่อมถือว่านายแสนแสบได้สละเจตนาครอบครองในที่ดินแปลงนี้แล้ว ตามมาตรา 1377 วรรคแรก และเมื่อนางแสนดีได้เข้าทําประโยชน์ในที่ดินนั้นแล้ว นางแสนดีจึงได้สิทธิครอบครอง ในที่ดินแปลงนี้ตามมาตรา 1378 ดังนั้น นายแสนแสบจึงหาใช่เจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าวอีกต่อไปไม่

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายแสนแสบได้นําที่ดิน น.ส.3 ไปจดจํานองไว้กับธนาคารแสนแพง จึงถือเป็นกรณีการจํานองโดยผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สิน ต้องห้ามตามมาตรา 705 ดังนั้น เมื่อหนี้ถึงกําหนด ชําระและนายแสนแสบไม่ปฏิบัติตามสัญญา ธนาคารแสนแพงจึงไม่อาจบังคับจํานองจากที่ดินดังกล่าวได้

สรุป

ธนาคารแสนแพงจะบังคับจํานองจากที่ดินดังกล่าวไม่ได้

 

ข้อ 3. ก. ได้รับจํานํารถยนต์ไว้ ต่อมา ก. ผู้รับจํานําเอารถไปขับเองหรือให้เพื่อนนําไปขับ โดย ข. ผู้จํานํามิได้ยินยอมด้วย ปรากฏว่ารถควำเสียหายเป็นเพราะฝนตกถนนลื่น และมีเด็กวิ่งตัดหน้ากระชั้นชิด รถเกิดพลิกคว่ำเพราะเหตุสุดวิสัย ก. จะอ้างว่าเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย ก. จึงไม่ต้องรับผิดในความ เสียหายนั้นได้หรือไม่ เพราะเหตุใด กรณีหนึ่ง

อีกกรณีหนึ่ง ก. เป็นเจ้าของร้านอาหารได้รับจํานําตู้เย็นไว้จาก ข. ต่อมา ก. ได้นําตู้เย็นไปให้ร้าน ข้างเคียงเช่า โดย ข. ผู้จํานํามิได้ยินยอมด้วย ต่อมาเกิดไฟไหม้มาจากที่อื่นและได้ไหม้ตึกแถวนั้น ไปทั้งแถบ รวมถึงร้านของ ก. ด้วย ดังนี้ ถ้า ก. นําสืบได้ว่าเป็นเพราะเหตุสุดวิสัยจริง ๆ ก. จะต้อง รับผิดในความเสียหายของตู้เย็นที่ถูกไฟไหม้ไปแล้วได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 760 “ถ้าผู้รับจํานําเอาทรัพย์สินซึ่งจํานําออกใช้เอง หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย หรือเก็บรักษาโดยผู้จํานมิได้ยินยอมด้วยไซร้ ท่านว่าผู้รับจํานําจะต้องรับผิดเพื่อที่ทรัพย์สินจํานํานั้นสูญหาย หรือ บุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ทั้งเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ก็คงจะต้องสูญหาย หรือ บุบสลายอยู่นั้นเอง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีแรก การที่ ก. ผู้รับจํานําเอารถที่รับจํานําไปขับเองหรือให้เพื่อนนําไปขับ โดย ข. ผู้จํานํา มิได้ยินยอมด้วยนั้น เมื่อปรากฏว่ารถคว่ำเสียหาย ก. ก็ต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นตามมาตรา 760 ตอนแรก แม้ว่าความเสียหายดังกล่าวจะเกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัย เนื่องจากฝนตกถนนลื่น และมีเด็กวิ่งตัดหน้า กระชั้นชิดจนรถพลิกคว่ำก็ตาม

ส่วนกรณีที่สอง การที่ ก. ได้รับจํานําตู้เย็นไว้จาก ข. และ ก. ได้นําตู้เย็นไปให้ร้านข้างเคียงเช่า โดยที่ ข. ผู้รับจํานํามิได้ยินยอมด้วยนั้น เมื่อปรากฏว่าต่อมาได้เกิดไฟไหม้มาจากที่อื่นและได้ไหม้ตึกแถวนั้นไปทั้งแถบ รวมถึงร้านค้าของ ก. ด้วย จึงถือเป็นกรณีที่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแก่ทรัพย์ที่รับจํานําด้วยเหตุสุดวิสัย ซึ่งโดย หลักแล้ว ก. จะต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์ที่รับจํานําตามมาตรา 760 วรรคแรก แต่อย่างไรก็ตาม หาก ก. พิสูจน์หรือนําสืบได้ว่าถึงอย่างไรแม้จะเก็บตู้เย็นไว้ที่บ้าน ก. ตู้เย็นก็ไหม้เสียหายอยู่ดี ถ้านําสืบได้เช่นนี้ ก. ย่อมอ้างเหตุสุดวิสัยเพื่อไม่ต้องรับผิดในความเสียหายนั้นได้ตามมาตรา 760 ตอนท้าย

สรุป

กรณีแรก ก. จะอ้างว่าเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย ก. จึงไม่ต้องรับผิดในความเสียหายที่ เกิดขึ้นนั้นไม่ได้

กรณีที่สอง ถ้า ก. พิสูจน์หรือนําสืบได้ว่า การที่ทรัพย์สินที่รับจํานําเกิดความเสียหาย เป็นเพราะเหตุสุดวิสัยและถึงอย่างไร ๆ ก็คงจะเสียหายอยู่ดี ก. ก็ไม่ต้องรับผิดในความเสียหายนั้น

LAW2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน 1/2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายใสกู้เงินนายสว่าง 50,000 บาท มีหลักฐานการกู้ถูกต้อง แต่นายสว่างต้องการให้นายใสหาประกันมามอบให้ นายใสได้ขอให้นายมืดมาเป็นผู้ค้ำประกันโดยนายมืดได้ตกลงกับนายใสว่าหากนายใส ชําระหนี้ไม่ได้ตนจะเป็นผู้ชําระหนี้แทนและได้ทําหลักฐานแต่ลงลายมือชื่อเฉพาะนายมืดเท่านั้น ดังนี้

อยากทราบว่า นายมืดเป็นผู้ค้ำประกันตามกฎหมายหรือไม่ จงยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 681 วรรคแรก “อันค้ําประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 680 วรรคแรก การค้ำประกันนั้นจะต้องเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกมาทําสัญญา กับเจ้าหนี้ว่า หากลูกหนี้ไม่ชําระหนี้ ผู้ค้ำประกันจะชําระหนี้นั้นแทนลูกหนี้

กรณีตามอุทาหรณ์ แม้หนี้เงินกู้ยืมระหว่างนายใสกับนายสว่างจะเป็นหนี้ที่สมบูรณ์และสามารถ ทําสัญญาค้ำประกันได้ตามมาตรา 681 วรรคแรก แต่การที่นายมืดได้ตกลงกับนายใสว่าหากนายใสชําระหนี้ไม่ได้ ตนจะเป็นผู้ชําระหนี้แทนนั้น ถือเป็นการตกลงกันระหว่างนายมืดบุคคลภายนอกกับนายใสซึ่งเป็นลูกหนี้ กรณี จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 680 วรรคแรก ดังนั้น นายมืดจึงไม่ถือว่าเป็นผู้ค้ำประกันตามกฎหมาย

สรุป

นายมืดไม่เป็นผู้ค้ำประกันตามกฎหมาย

 

ข้อ 2. นายอินขอยืมเงินนางอ้นเป็นเงิน 100,000 บาท โดยได้ทําหลักฐานการยืมเงินเป็นหนังสือ แต่ได้ทําหลักฐานหายไปเพราะปลวกกิน และต่อมาได้มีนางอ้วนนําที่ดินของตนมาจํานองประกันการชําระหนี้ รายนี้ตามกฎหมาย โดยสัญญาจํานองได้ระบุว่า เมื่อจํานองที่ดินแล้วหากถึงกําหนดการชําระหนี้ แล้วลูกหนี้ไม่มีเงินจ่ายให้ลูกหนี้ยกที่ดินให้เจ้าหนี้ ดังนี้ข้อตกลงดังกล่าวมีผลหรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 681 วรรคแรก “อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์”

มาตรา 702 “อันว่าจํานองนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จํานอง เอาทรัพย์สินตราไว้ แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับจํานอง เป็นประกันการชําระหนี้ โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจํานอง

ผู้รับจํานองชอบที่จะได้รับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่จํานองก่อนเจ้าหนี้สามัญ มิพักต้องพิเคราะห์ ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่”

มาตรา 707 “บทบัญญัติมาตรา 681 ว่าด้วยค้ำประกันนั้น ท่านให้ใช้ได้ในการจํานอง อนุโลม ตามควร”

มาตรา 711 “การที่จะตกลงกันไว้เสียแต่ก่อนเวลาหนี้ถึงกําหนดชําระเป็นข้อความอย่างใด อย่างหนึ่งว่า ถ้าไม่ชําระหนี้ ให้ผู้รับจํานองเข้าเป็นเจ้าของทรัพย์สินซึ่งจํานอง หรือว่าให้จัดการแก่ทรัพย์สินนั้นเป็น ประการอื่นอย่างใด นอกจากตามบทบัญญัติทั้งหลายว่าด้วยการบังคับจํานองนั้นไซร้ ข้อตกลงเช่นนั้นท่านว่าไม่สมบูรณ์”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอินขอยืมเงินนางอ้น โดยได้ทําหลักฐานการยืมเงินเป็นหนังสือนั้น ย่อมถือว่าหนี้ที่เกิดจากการกู้ยืมเงินได้เกิดขึ้นแล้ว และมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย แม้ว่านายอินจะได้ทําหลักฐาน หายไปเพราะปลวกกินก็ตาม ดังนั้น เมื่อมีหนี้เกิดขึ้นก็ย่อมสามารถที่จะมีการจํานองกันได้ตามมาตรา 702 ประกอบมาตรา 707 การที่นางอ้วนนําที่ดินของตนมาจํานองเป็นประกันการชําระหนี้รายนี้ การจํานองดังกล่าว จึงมีผลสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมาย รประกอบการ

แต่อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงในสัญญาจํานองที่ว่า หากถึงกําหนดการชําระหนี้แล้วลูกหนี้ไม่มีเงินจ่าย ให้ลูกหนี้ยกที่ดินให้เจ้าหนี้นั้น ข้อตกลงดังกล่าวย่อมใช้บังคับตามกฎหมายไม่ได้ เพราะขัดกับมาตรา 711 และมาตรา 728 ซึ่งได้กําหนดว่า ถ้าจะมีการบังคับจํานอง ผู้รับจํานองจะต้องฟ้องคดีต่อศาล เพื่อให้ศาลพิพากษา สั่งให้ยึดทรัพย์สินที่จํานองออกขายทอดตลาด ดังนั้น ข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นการตกลงยกเว้นบทบัญญัติของ กฎหมายจึงตกเป็นโมฆะ

สรุป

สัญญาจํานองมีผลสมบูรณ์ แต่ข้อตกลงดังกล่าวมีผลเป็นโมฆะ

 

ข้อ 3. นางมะนาวทําสัญญากู้เงินจากนายมะพร้าว 100,000 บาท และได้นําโทรทัศน์ 1 เครื่อง และวัว 1 ตัว มาส่งมอบให้นายมะพร้าวเป็นหลักประกัน โดยยอมให้นายมะพร้าวนําหลักประกันออกให้ บุคคลภายนอกเช่าได้ ได้ค่าเช่าจากโทรทัศน์ 5,000 บาทและจากวัว 5,000 บาท อีกทั้งยังมีลูกวัว เกิดจากแม่วัวตัวดังกล่าว 1 ตัวมีราคา 5,000 บาท ต่อมานางมะนาวผิดนัดไม่ชําระหนี้ นายมะพร้าว จึงนําโทรทัศน์และวัวออกขายทอดตลาด ได้เงินมาทั้งสิ้น 85,000 บาท ดังนี้ นายมะพร้าวจะเรียก ให้นางมะนาวชําระเงินส่วนที่ขาดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 761 “ถ้ามิได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา หากมีดอกผลนิตินัยงอกจาก ทรัพย์สินนั้นอย่างไร ท่านให้ผู้รับจํานําจัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบี้ยอันค้างชําระแก่ตน และถ้าไม่มีดอกเบี้ยค้างชําระ ท่านให้จัดสรรใช้ต้นเงินแห่งหนี้อันได้จํานําทรัพย์สินเป็นประกันนั้น”

มาตรา 767 “เมื่อบังคับจํานําได้เงินจํานวนสุทธิเท่าใด ท่านว่าผู้รับจํานําต้องจัดสรรชําระหนี้ และอุปกรณ์เพื่อให้เสร็จสิ้นไป และถ้ายังมีเงินเหลือก็ต้องส่งคืนให้แก่ผู้จํานํา หรือแก่บุคคลผู้ควรจะได้เงินนั้น

ถ้าได้เงินน้อยกว่าจํานวนค้างชําระ ท่านว่าลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับใช้ในส่วนที่ขาดอยู่นั้น”

วินิจฉัย

มาตรา 761 ได้วางหลักไว้ว่า หากทรัพย์สินที่จํานํามีดอกผลนิตินัย (เช่น ดอกเบี้ย ค่าเช่า หรือ เงินปันผล) เกิดขึ้น ให้ผู้รับจํานําจัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบี้ยอันค้างชําระแก่ตน และถ้าไม่มีดอกเบี้ยค้างชําระก็ให้ จัดสรรใช้เงินต้นแห่งหนี้ที่ได้จํานําทรัพย์สินเป็นประกันนั้น เว้นแต่ในสัญญาจํานําจะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น เช่น ถ้ามีการตกลงกันว่าให้ดอกผลเป็นนิตินัยเป็นของผู้จํานํา ดังนี้ ก็ต้องเป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมะพร้าวนําหลักประกันออกให้บุคคลภายนอกเช่าโดยได้ค่าเช่า จากโทรทัศน์ 5,000 บาท และจากวัว 5,000 บาท นั้น ค่าเช่าดังกล่าวถือเป็นดอกผลนิตินัย เมื่อในสัญญากู้ยืมเงิน มิได้กําหนดดอกเบี้ยเอาไว้ จึงต้องนําเงินจํานวนดังกล่าวมาจัดสรรใช้ต้นเงินแห่งหนี้อันได้จํานําทรัพย์สินเป็น ประกันตามมาตรา 761 ส่วนลูกวัวที่เกิดจากแม่วัวนั้นถือเป็นดอกผลธรรมดา ไม่สามารถนํามาจัดสรรใช้หนี้ได้

ต่อมาปรากฏว่า นางมะนาวผิดนัดไม่ชําระหนี้ และนายมะพร้าวได้นําโทรทัศน์และวัว ออกขายทอดตลาดได้เงินมาทั้งสิ้น 85,000 บาท ทั้งนี้ เมื่อนํามารวมกับส่วนของดอกผลนิตินัยที่นํามาจัดสรรใช้หนี้ จํานวน 10,000 บาทแล้ว ยังคงได้เงินจํานวนน้อยกว่าหนี้ที่ค้างชําระอีก 5,000 บาท ดังนั้นนางมะนาวจึงต้อง รับใช้ส่วนที่ขาดอีก 5,000 บาท ตามมาตรา 767 วรรคสอง

สรุป

นายมะพร้าวจะเรียกให้นางมะนาวชําระเงินส่วนที่ขาดได้

LAW2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยคําประกัน S/2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยคําประกัน ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายกรุงเทพกู้เงินนายต่างจังหวัด 50 ล้านบาท เพื่อนํามาลงทุนในการปลูกอ้อยโดยมีหลักฐานการกู้เงินถูกต้อง หลังจากนั้น 2 เดือน ปรากฏว่า ราคาอ้อยตกต่ำ ทําให้นายกรุงเทพขาดทุน นายต่างจังหวัดเกรงว่านายกรุงเทพจะชําระหนี้เงินกู้ไม่ได้ จึงขอให้นายกรุงเทพหาผู้ค้ำประกันใน หนี้เงินกู้ดังกล่าว นายกรุงเทพจึงไปหานายตําบลให้มาเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายนี้ นายตําบลจึง ไปตกลงกับนายต่างจังหวัดว่าจะเป็นผู้ค้ำประกันและรับค้ำประกันในวงเงิน 30 ล้านบาท พร้อม กับทําหนังสือค้ำประกัน มีนายตําบลลงลายมือชื่อในหนังสือค้ำประกัน เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ นายกรุงเทพไม่สามารถชําระหนี้เงินกู้ได้ นายต่างจังหวัดจึงขอให้นายตําบลรับผิดตามหนังสือ คําประกัน นายตําบลต่อสู้จะขอรับผิดเพียง 30 ล้านบาทเท่านั้น นายต่างจังหวัดจึงมาปรึกษาท่านว่า ข้อต่อสู้ของนายตําบลรับฟังได้หรือไม่ และเงินส่วนที่เหลืออีก20 ล้านบาท จะบังคับจากใครได้บ้าง จงอธิบายพร้อมหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 683 “อันค้ำประกันอย่างไม่มีจํากัดนั้น ย่อมคุ้มถึงดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ซึ่งลูกหนี้ค้างชําระ ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นด้วย”

มาตรา 685 “ถ้าเมื่อบังคับตามสัญญาค้ำประกันนั้น ผู้ค้ำประกันไม่ชําระหนี้ทั้งหมดของลูกหนี้ รวมทั้งดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน และอุปกรณ์ด้วยไซร้ หนี้ยังเหลืออยู่เท่าใด ท่านว่าลูกหนี้ยังคงรับผิดต่อเจ้าหนี้ ในส่วนที่เหลือนั้น”

มาตรา 686 “ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชําระหนี้ได้”

วินิจฉัย

ในกรณีที่การกู้เงินและการค้ําประกันนั้นได้กระทําถูกต้องตามกฎหมาย และมีหลักฐานใน การฟ้องร้องบังคับคดี หากลูกหนี้ผิดนัดชําระหนี้ ย่อมก่อให้เกิดสิทธิแก่เจ้าหนี้ในการบังคับการชําระหนี้เอาจากลูกหนี้ และผู้ค้ําประกันได้ตามมาตรา 680 และมาตรา 686

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายตําบลได้ตกลงเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้ที่นายกรุงเทพกู้เงิน นายต่างจังหวัด โดยมีการทําหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายตําบลคนเดียวนั้น สัญญาค้ำประกันย่อมมีผล สมบูรณ์ใช้บังคับกันได้ตามมาตรา 680 วรรคสอง เพราะสัญญาค้ำประกันนั้นเพียงแต่ลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เพียงฝ่ายเดียวก็สามารถใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องกันได้แล้ว ดังนั้น เมื่อหนี้ถึงกําหนด นายกรุงเทพลูกหนี้ชําระหนี้ ไม่ได้ นายต่างจังหวัดย่อมสามารถเรียกให้นายตําบลชําระหนี้ได้ตามมาตรา 686

แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าหนี้ที่นายกรุงเทพกู้จากนายต่างจังหวัดนั้นจะมีจํานวน 50 ล้านบาท แต่ นายตําบลได้ตกลงค้ําประกันโดยมีการจํากัดความรับผิดไว้เพียง 30 ล้านบาท ตามมาตรา 680 และมาตรา 683 ดังนั้น นายตําบลจึงต้องรับผิดต่อนายต่างจังหวัดเพียง 30 ล้านบาทเท่านั้น และเมื่อนายตําบลได้ยอมชําระหนี้ ตามสัญญา 30 ล้านบาทแล้ว ส่วนที่เหลือนายต่างจังหวัดจะบังคับเอาจากนายตําบลอีกไม่ได้ จะต้องไปบังคับ เอาจากนายกรุงเทพลูกหนี้ เพราะตามมาตรา 685 ได้กําหนดไว้ว่า เมื่อมีการบังคับตามสัญญาค้ําประกันแล้ว หนี้ ยังเหลืออยู่เท่าใด ลูกหนี้จะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ในส่วนที่เหลือนั้น

สรุป

ข้อต่อสู้ของนายตําบลรับฟังได้ และเงินส่วนที่เหลืออีก 20 ล้านบาท นายต่างจังหวัด จะต้องไปบังคับเอาจากนายกรุงเทพลูกหนี้

 

ข้อ 2. นางปลากู้เงินนายนก 5 ล้านบาท มีหลักฐานถูกต้อง และมีนายเต่านําโฉนดที่ดินของนายเต่ามาทําสัญญาจํานองเป็นประกันในหนี้เงินกู้รายนี้ เมื่อทําสัญญาจํานองเสร็จ นายเต่าต้องการสร้างคอนโด เนื่องจากที่ดินของนายเต่ามีโครงการรถไฟฟ้าแล่นผ่าน นายเต่าจึงนําโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวไปขอ กู้เงินจากนายแสงเป็นเงิน 10 ล้านบาท โดยได้ทําสัญญาจํานอง หลังจากการจดทะเบียนครั้งแรก 30 วัน แต่หนี้เงินกู้ 10 ล้านบาท มีกําหนดครบชําระก่อนหนี้เงินกู้ 5 ล้านบาท 3 เดือน นายนกจึง มาขอคําแนะนําจากนักศึกษา ดังนี้

1 การจดทะเบียนจํานองในครั้งที่ 2 ถูกต้องหรือไม่ มีข้อกฎหมายอย่างไร

2 นายนกจะมีสิทธิในการได้รับการชําระหนี้อย่างไร จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 702 “อันว่าจํานองนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จํานอง เอาทรัพย์สินตราไว้ แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจํานองเป็นประกันการชําระหนี้ โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจํานอง

ผู้รับจํานองชอบที่จะได้รับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่จํานองก่อนเจ้าหนี้สามัญ มิพักต้องพิเคราะห์ ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่”

มาตรา 705 “การจํานองทรัพย์สินนั้น นอกจากผู้เป็นเจ้าของในขณะนั้นแล้ว ท่านว่าใครอื่น จะจํานองหาได้ไม่”

มาตรา 709 “บุคคลคนหนึ่งจะจํานองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้อง ชําระก็ให้ทําได้”

มาตรา 712 “ถึงแม้ว่ามีข้อสัญญาเป็นอย่างอื่นก็ตาม ทรัพย์สินซึ่งจํานองไว้แก่บุคคลคนหนึ่ง นั้น ท่านว่าจะเอาไปจํานองแก่บุคคลอีกคนหนึ่งในระหว่างเวลาที่สัญญาก่อนยังมีอายุอยู่ก็ได้”

มาตรา 714 “อันสัญญาจํานองนั้น ท่านว่าต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่”

มาตรา 730 “เมื่อทรัพย์สินอันหนึ่งอันเดียวได้จํานองแก่ผู้รับจํานองหลายคนด้วยกัน ท่านให้ ถือลําดับผู้รับจํานองเรียงตามวันและเวลาจดทะเบียน และผู้รับจํานองคนก่อนจักได้รับใช้หนี้ก่อนผู้รับจํานองคนหลัง”

มาตรา 731 “อันผู้รับจํานองคนหลังจะบังคับตามสิทธิของตนให้เสียหายแก่ผู้รับจํานองคน ก่อนนั้น ท่านว่าหาอาจทําได้ไม่”

มาตรา 732 “ทรัพย์สินซึ่งจํานองขายทอดตลาดได้เงินเป็นจํานวนสุทธิเท่าใด ท่านให้จัดใช้แก่ ผู้รับจํานองเรียงตามลําดับ และถ้ายังมีเงินเหลืออยู่อีก ก็ให้ส่งมอบแก่ผู้จํานอง”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาจํานองนั้นตามมาตรา 712 ได้บัญญัติไว้ว่า แม้เจ้าของทรัพย์สินจะได้นําทรัพย์สิน ไปจํานองไว้กับบุคคลหนึ่งแล้ว เจ้าของทรัพย์สินก็มีสิทธินําทรัพย์สินนั้นไปจํานองกับบุคคลอื่นอีกได้ แม้จะมีข้อสัญญา ห้ามไม่ให้นําทรัพย์สินไปจํานองอีกก็ตาม แต่การบังคับจํานองต้องเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 730 – 732 คือ ผู้รับจํานองคนก่อนย่อมมีสิทธิได้รับชําระหนี้ก่อนผู้รับจํานองคนหลัง โดยถือเอาวันและเวลาจดทะเบียนจํานอง ก่อนหลังเป็นเกณฑ์ และผู้รับจํานองคนหลังจะบังคับจํานองให้เสียหายแก่ผู้รับจํานองคนก่อนไม่ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ ข้าพเจ้าจะให้คําแนะนําแก่นายนก ดังนี้

1 การจดทะเบียนจํานองในครั้งที่ 2 ถูกต้องหรือไม่ มีข้อกฎหมายอย่างไร เห็นว่า การที่ นายเต่านําโฉนดที่ดินของนายเต่ามาทําสัญญาจํานองเป็นประกันหนี้เงินกู้ระหว่างนายปลาและนายนกนั้น สัญญาจํานองย่อมมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้ตามมาตรา 702, 705, 709 และ 714 และการที่นายเต่าต้องการ สร้างคอนโดจึงนําโฉนดที่ดินแปลงดังกล่าวไปขอกู้เงินจากนายแสง และได้ทําสัญญาจํานองเป็นประกันเงินกู้กับ นายแสงอีกนั้นนายเต่าก็สามารถกระทําได้ตามมาตรา 712 ที่กําหนดว่า ทรัพย์สินซึ่งจํานองไว้แก่บุคคลคนหนึ่งนั้น จะเอาไปจํานองแก่บุคคลอีกคนหนึ่งในระหว่างเวลาที่สัญญาก่อนยังมีอายุอยู่ก็ได้ ดังนั้นสัญญาจํานองระหว่าง นายเต่าและนายแสงจึงมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้ตามมาตรา 702 และมาตรา 714 ประกอบมาตรา 712

2 นายนกจะมีสิทธิได้รับชําระหนี้อย่างไร เห็นว่า เมื่อเป็นกรณีที่มีผู้รับจํานองหลายราย (จํานองซ้อน) ตามมาตรา 712 การบังคับจํานองจึงต้องเป็นไปตามมาตรา 730 – 732 คือ นายนกผู้รับจํานองรายแรก มีสิทธิได้รับชําระหนี้ก่อนนายแสงผู้รับจํานองรายหลัง (มาตรา 730, 732) และนายแสงจะบังคับตามสิทธิของตน ให้เสียหายแก่นายนกไม่ได้ แม้ว่าหนี้เงินกู้ระหว่างนายเต่ากับนายแสงจะถึงกําหนดชําระก่อนก็ตาม (มาตรา 731)

สรุป

ข้าพเจ้าจะให้คําแนะนําแก่นายนก ดังนี้

1 การจดทะเบียนจํานองในครั้งที่ 2 ถูกต้องสมบูรณ์

2  นายนกจะมีสิทธิได้รับชําระหนี้ก่อนนายแสง

 

ข้อ 3. นางดอกไม้เป็นหนี้นายตึก 5 แสนบาท มีหลักฐานถูกต้อง ขณะเดียวกันได้นําทองรูปพรรณจากสุโขทัยมามอบให้นายตึกเพื่อเป็นประกันการชําระหนี้โดยมิได้มีการทําหลักฐานใด ๆ ภริยานายตึกเห็น ทองรูปพรรณแล้วอยากได้ จึงขอให้นายตึกทําสัญญากับนางดอกไม้ว่า หากนางดอกไม้ชําระหนี้ไม่ได้ ขอให้ทองคําเป็นการใช้หนี้แทน โดยมีการลงลายมือชื่อทั้ง 2 คน อยากทราบว่าสัญญาดังกล่าวมีผลบังคับได้หรือไม่ จงอธิบายพร้อมหลักกฎหมาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 747 “อันว่าจํานํานั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จํานํา ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจํานํา เพื่อเป็นประกันการชําระหนี้”

มาตรา 756 “การที่จะตกลงกันไว้เสียแต่ก่อนเวลาหนี้ถึงกําหนดชําระเป็นข้อความอย่างใด อย่างหนึ่งว่า ถ้าไม่ชําระหนี้ ให้ผู้รับจํานําเข้าเป็นเจ้าของทรัพย์สินจํานํา หรือให้จัดการแก่ทรัพย์สินนั้นเป็น ประการอื่น นอกจากตามบทบัญญัติทั้งหลายว่าด้วยการบังคับจํานํานั้นไซร้ ข้อตกลงเช่นนั้น ท่านว่าไม่สมบูรณ์”

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญาจํานํานั้น บทบัญญัติมาตรา 747 มิได้กําหนดให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือ ทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด เพียงแต่มีการส่งมอบสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการจํานํา สัญญาจํานําก็สมบูรณ์แล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางดอกไม้เป็นหนี้นายตึก และได้นําทองรูปพรรณจากสุโขทัยมามอบ ให้นายตึกเพื่อเป็นประกันการชําระหนี้นั้น แม้จะมิได้มีการทําหลักฐานใด ๆ ไว้ แต่ตามกฎหมายถือว่าเมื่อได้มีการ ส่งมอบสังหาริมทรัพย์เพื่อเป็นหลักประกันการชําระหนี้แล้ว ย่อมก่อให้เกิดสัญญาจํานําถูกต้องและมีผลบังคับกันได้ ตามมาตรา 747

ส่วนกรณีที่นายตึกขอทําสัญญากับนางดอกไม้ว่า หากนางดอกไม้ชําระหนี้ไม่ได้ ขอให้ทองคํา เป็นการใช้หนี้แทนนั้น แม้ว่าจะมีการลงลายมือชื่อของทั้ง 2 ฝ่าย แต่ก็เป็นข้อตกลงที่ขัดต่อกฎหมาย ต้องห้ามตาม มาตรา 756 เพราะเป็นการตกลงกันล่วงหน้าระหว่างผู้รับจํานํากับผู้จํานํา ก่อนเวลาที่หนี้ถึงกําหนดชําระว่า ถ้าไม่ชําระหนี้ให้ผู้รับจํานําเข้าเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่จํานํานั้นได้ ข้อตกลงเช่นนี้จึงไม่สมบูรณ์ตกเป็นโมฆะ

สรุป

สัญญาดังกล่าวมีผลบังคับได้ แต่ข้อตกลงที่ว่า หากนางดอกไม้ชําระหนี้ไม่ได้ ขอให้ ทองคําเป็นการใช้หนี้แทนนั้นไม่สมบูรณ์ตกเป็นโมฆะ

LAW2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน 2/2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายแดงกู้เงินนายเขียว 2 ล้านบาท มีหลักฐานถูกต้อง ต่อมาได้มีนายขาวตกลงกับนายเขียวเพื่อเป็นผู้ค้ำประกัน แต่นายเขียวกําหนดวงเงินในการค้ำประกันเพียง 1 ล้านบาทเท่านั้น พร้อมกับทํา หลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายขาวคนเดียว เมื่อหนี้ถึงกําหนดชําระ นายแดงชําระหนี้ไม่ได้ นายเขียวจึงบังคับให้นายขาวรับผิดตามสัญญาค้ําประกันที่ทําไว้ นายขาวยอมชําระหนี้ตามสัญญา ล้านบาทเท่านั้น นายเขียวจึงมาปรึกษาท่านว่า จะบังคับให้นายขาวผู้ค้ำประกันรับผิดทั้ง 2 ล้านบาท ได้หรือไม่

หากไม่ได้นายเขียวจะต้องไปบังคับจากใครได้บ้าง จงอธิบาย พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 680 “อันว่าค้ำประกันนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ค้ำประกัน ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชําระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชําระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกัน เป็นสําคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 681 วรรคแรก “อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์”

มาตรา 683 “อันค้ำประกันอย่างไม่มีจํากัดนั้น ย่อมคุ้มถึงดอกเบี้ยและค่าสินไหมทดแทน ซึ่งลูกหนี้ค้างชําระ ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนั้นด้วย”

มาตรา 685 “ถ้าเมื่อบังคับตามสัญญาค้ำประกันนั้น ผู้ค้ำประกันไม่ชําระหนี้ทั้งหมดของลูกหนี้ รวมทั้งดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทน และอุปกรณ์ด้วยไซร้ หนี้ยังเหลืออยู่เท่าใด ท่านว่าลูกหนี้ยังคงรับผิดต่อเจ้าหนี้ ในส่วนที่เหลือนั้น”

มาตรา 686 “ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชําระหนี้ได้แต่นั้น”

วินิจฉัย

ในกรณีที่การกู้เงินและการค้ำประกันนั้นได้กระทําถูกต้องตามกฎหมาย และมีหลักฐานใน การฟ้องร้องบังคับคดี หากลูกหนี้ผิดนัดชําระหนี้ ย่อมก่อให้เกิดสิทธิแก่เจ้าหนี้ในการบังคับการชําระหนีเอาจากลูกหนี้ และผู้ค้ำประกันได้ตามมาตรา 680 และมาตรา 686

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายขาวได้ตกลงเป็นผู้ค้ําประกันในหนี้ที่นายแดงกู้เงินนายเขียว โดยมีการทําหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายขาวคนเดียวนั้น สัญญาค้ำประกันย่อมมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับ กันได้ตามมาตรา 680 วรรคสอง เพราะสัญญาค้ำประกันนั้นเพียงแต่ลงลายมือชื่อผู้ค้ําประกันเพียงฝ่ายเดียวก็ สามารถใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องกันได้แล้ว ดังนั้น เมื่อหนี้ถึงกําหนด นายแดงลูกหนี้ชําระไม่ได้ นายเขียวย่อม สามารถเรียกให้นายขาวผู้ค้ำประกันชําระหนี้ได้ตามมาตรา 686

แต่อย่างไรก็ดี แม้ว่าหนี้ที่นายแดงกู้จากนายเขียวนั้นจะมีจํานวน 2 ล้านบาท แต่นายขาวใต้ ตกลงค้ำประกันโดยมีการจํากัดความรับผิดไว้เพียง 1 ล้านบาท ตามมาตรา 680 และมาตรา 683 ดังนั้นนายขาว จึงต้องรับผิดต่อนายเขียวเพียง 1 ล้านบาทเท่านั้น และเมื่อนายขาวได้ยอมชําระหนี้ตามสัญญา 1 ล้านบาทแล้ว ส่วนที่เหลือนายเขียวจะบังคับเอาจากนายขาวอีกไม่ได้ จะต้องไปบังคับเอาจากนายแดงลูกหนี้ เพราะตามมาตรา 685 ได้กําหนดไว้ว่า เมื่อมีการบังคับตามสัญญาค้ำประกันแล้ว หนี้ยังเหลืออยู่เท่าใด ลูกหนี้จะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ในส่วน ที่เหลือนั้น

สรุป

นายเขียวจะบังคับให้นายขาวผู้ค้ำประกันรับผิดทั้ง 2 ล้านบาทไม่ได้ ส่วนที่เหลืออีก 1 ล้านบาท นายเขียวจะต้องไปบังคับเอาจากนายแดงลูกหนี้

 

ข้อ 2. นายจันทร์ทะเลาะกับนายเตี้ยเพราะเรื่องการเมือง นายจันทร์จึงโยนระเบิดใส่บ้านนายเตี้ยเสียหายไป 200,000 บาท นายอังคารพ่อของนายจันทร์ได้นําเอาที่ดินของตนราคา 1,000,000 บาทมาจํานอง เพื่อประกันหนี้ ซึ่งที่ดินผืนนี้นายอังคาร (ผู้เป็นพ่อ) ได้ทําสัญญากับนายจันทร์ (ลูกชาย) โดยให้ นายจันทร์เช่าที่อยู่ในราคา 100 บาทต่อเดือนเป็นเวลา 20 ปีอยู่ก่อนแล้ว การจํานองดังกล่าวนี้ได้ กําหนดเวลาชําระหนี้ในวันที่ 1 เมษายนศกนี้ ต่อมาเวลาได้ล่วงมาถึงวันที่ 1 มิถุนายนปีเดียวกัน จึงมี ปัญหาเกิดขึ้นคือ

1 มีคนมาบอกว่าการจํานองของนายอังคารนั้นทําไม่ได้

2 นายเตี้ยต้องการจะ บอกล้างการเช่าของนายจันทร์เพราะค่าเช่าของนายจันทร์ต่ำมาก และสัญญาเช่าที่กล่าวจะทําให้ การขายทอดตลาดไม่ได้ราคาดี จึงมาขอให้นักศึกษาได้ให้คําปรึกษากับนายเตี้ยตามปัญหาดังกล่าว

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 702 “อันว่าจํานองนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จํานอง เอาทรัพย์สินตราไว้ แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจํานอง เป็นประกันการชําระหนี้ โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจํานอง

ผู้รับจํานองชอบที่จะได้รับชําระหนี้จากทรัพย์สินที่จํานองก่อนเจ้าหนี้สามัญ มิพักต้องพิเคราะห์ ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่”

มาตรา 705 “การจํานองทรัพย์สินนั้น นอกจากผู้เป็นเจ้าของในขณะนั้นแล้ว ท่านว่าใครอื่น จะจํานองหาได้ไม่”

มาตรา 706 “บุคคลมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินแต่ภายในบังคับเงื่อนไขเช่นใด จะจํานองทรัพย์สิน นั้นได้แต่ภายในบังคับเงื่อนไขเช่นนั้น”

มาตรา 714 “อันสัญญาจํานองนั้น ท่านว่าต้องทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การที่บุคคลใดจะนําทรัพย์สินไปจํานองเพื่อเป็นประกันการชําระหนี้นั้น กฎหมาย มิได้กําหนดว่าหนี้ที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นหนี้ที่เกิดจากนิติกรรมสัญญาเท่านั้น หนี้ที่เกิดขึ้นเพราะนิติเหตุระหว่างลูกหนี้ กับเจ้าหนี้ ก็เป็นหนี้ที่สามารถจะนําทรัพย์สินไปจํานองเพื่อเป็นประกันการชําระหนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม บุคคล ผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้เงื่อนไขเช่นใด เช่น เป็นเจ้าของที่ดินที่มีสัญญาเช่า หรือเป็นที่ดินที่ผู้อื่นมี กรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินนั้น บุคคลนั้นจะจํานองทรัพย์สินนั้นได้ก็แต่ภายใต้บังคับเงื่อนไขเช่นนั้นด้วย (มาตรา 706)

ดังนั้นกรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

1 แม้หนี้ระหว่างนายจันทร์ลูกหนี้กับนายเตี้ยเจ้าหนี้ จะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นเพราะนิติเหตุ (มูลหนี้เกิดจากละเมิด) ก็เป็นหนี้ที่นายอังคารซึ่งเป็นเจ้าของที่ดิน สามารถเอาที่ดินไปจํานองเพื่อเป็นประกันการ ชําระหนี้นั้นได้ โดยการทําเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา 702 และมาตรา 714 ประกอบมาตรา 705

2 เมื่อปรากฏว่าที่ดินที่นายอังคารนําไปจํานองนั้น นายอังคารได้ทําสัญญาเช่ากับนายจันทร์ไว้ และสัญญาเช่านั้นได้ทําไว้ก่อนการจํานอง ดังนั้นนายเตี้ยเจ้าหนี้ผู้รับจํานองจึงไม่สามารถบอกเลิกสัญญาเช่านั้นได้ ตามมาตรา 706

สรุป

1 การจํานองของนายอังคารนั้นสามารถทําได้

2 นายเตี้ยจะบอกเลิกสัญญาเช่าของนายจันทร์ไม่ได้

 

ข้อ 3. นายปูกู้เงินนายปลา 500,000 บาท โดยนําสร้อยคอทองคํา และแหวนเพชรไปจํานําเป็นประกันหนี้เงินกู้ แต่มิได้มีการทําหลักฐานเป็นหนังสือแต่อย่างใด หลังจากจํานําเสร็จ นายปลาได้มอบสร้อย และแหวนดังกล่าวให้นางกุ้งเป็นผู้เก็บรักษา ต่อมานางกุ้งไปงานแต่งงานที่จังหวัดเชียงใหม่แต่กลัว ของที่ฝากไว้หายจึงนําสร้อยและแหวนใส่ติดตัวไปด้วย ปรากฏว่าไฟไหม้โรงแรมที่นางกุ้งพัก ทําให้ ไม่สามารถนําสร้อยและแหวนออกมาได้ ของทั้งสองสิ่งจึงไหม้ไปทั้งหมด ดังนั้น การจํานําในกรณีนี้ สมบูรณ์หรือไม่ และนายปลาต้องรับผิดในกรณีนี้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบายพร้อมทั้งยก หลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 747 “อันว่าจํานํานั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้จํานํา ส่งมอบสังหาริมทรัพย์ สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้รับจํานํา เพื่อเป็นประกันการชําระหนี้”

มาตรา 749 “คู่สัญญาจํานําจะตกลงกันให้บุคคลภายนอกเป็นผู้เก็บรักษาทรัพย์สินจํานําไว้ก็ได้”

มาตรา 760 “ถ้าผู้รับจํานําเอาทรัพย์สินซึ่งจํานําออกใช้เอง หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย หรือเก็บรักษาโดยผู้จํานํามิได้ยินยอมด้วยไซร้ ท่านว่าผู้รับจํานําจะต้องรับผิดเพื่อที่ทรัพย์สินจํานํานั้นสูญหาย หรือ บุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ทั้งเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ก็คงจะต้องสูญหาย หรือ บุบสลายอยู่นั้นเอง”

วินิจฉัย

การที่นายปูได้นําสร้อยคอทองคํา และแหวนเพชรไปจํานําเป็นประกันหนี้เงินกู้กับนายปลานั้น แม้การจํานําดังกล่าวจะมิได้มีการทําหลักฐานเป็นหนังสือว่ามีการจํานําก็ตาม สัญญาจํานําระหว่างนายปกับนายปลา ก็มีผลสมบูรณ์ เพราะมีการส่งมอบสังหาริมทรัพย์ให้แก่ผู้รับจํานําเพื่อเป็นประกันการชําระหนี้แล้วตามมาตรา 47

ในสัญญาจํานํานั้น ผู้รับจํานําไม่จําเป็นต้องเป็นผู้เก็บรักษาทรัพย์ไว้เองโดยอาจตกลงกันให้ บุคคลภายนอกเป็นผู้เก็บรักษาทรัพย์สินจํานําไว้ก็ได้ตามมาตรา 749 แต่อย่างไรก็ตาม กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ นายปลาได้มอบสร้อยและแหวนดังกล่าวให้นางกุ้งเป็นผู้เก็บรักษาไว้นั้น ไม่ปรากฏว่ามีการตกลงกันระหว่างนายป และนายปลา หรือได้รับความยินยอมจากนายปูแต่อย่างใด ดังนั้นการที่นางกุ้งนําสร้อยและแหวนใส่ติดตัวไป จังหวัดเชียงใหม่และทรัพย์สินดังกล่าวโดนไฟไหม้เสียหายทั้งหมด นายปลาจึงต้องรับผิดจากการที่สร้อยคอทองคํา และแหวนเพชรบุบสลายไปแม้เหตุที่ไฟไหม้โรงแรมนั้นจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัยก็ตามตามมาตรา 760

สรุป

การจํานําระหว่างนายปูกับนายปลามีผลสมบูรณ์ และนายปลาจะต้องรับผิดจากการที่ ทรัพย์สินที่จํานําได้บุบสลายไป

WordPress Ads
error: Content is protected !!