LAW2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้ 1/2553

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2003 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นางยิ้มแย้มขอยืมแหวนเพชรมาจากนางเกียว  หลังจากนั้นได้นำแหวนเพชรไปให้ร้านของนายสดใสเพื่อให้ทำความสะอาด  แต่เมื่อนางยิ้มแย้มรับแหวนกลับ  ปรากฏว่าลูกจ้างของนายสดใสได้ลักแหวนดังกล่าวไปแล้ว  ดังนั้น  นายสดใสจึงได้ชดใช้ค่าแหวนเพชรให้แก่นางยิ้มแย้มไป

ดังนี้  หากว่า  นางยิ้มแย้มไม่นำเงินที่ได้รับจากนายสดใสไปให้นางเกียว  นางเกียวจะเรียกร้องให้นายสดใสรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในแหวนเพชรที่หายไปได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี  เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  425  นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด  ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น

มาตรา  441  ถ้าบุคคลจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  เพราะเอาสังหาริมทรัพย์ของเขาไปก็ดี  หรือเพราะทำของเขาให้บุบสลายก็ดี  เมื่อใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลซึ่งเป็นผู้ครองทรัพย์นั้นอยู่ในขณะที่เอาไป  หรือขณะที่ทำให้บุบสลายนั้นแล้ว ท่านว่าเป็นอันหลุดพ้นไปเพราะการที่ได้ใช้ให้เช่นนั้นแม้กระทั่งบุคคลภายนอกจะเป็นเจ้าของทรัพย์หรือมีสิทธิอย่างอื่นเหนือทรัพย์นั้น  เว้นแต่สิทธิของบุคคลภายนอกเช่นนั้นจะเป็นที่รู้อยู่แก่ตน  หรือมิได้รู้เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่ลูกจ้างของนายสดใสได้ลักแหวนเพชรของนางเกียวที่นางยิ้มแย้มนำไปให้นายสดใสเพื่อทำความสะอาดนั้น การกระทำดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย  ทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์  และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของลูกจ้างดังกล่าว  จึงถือว่าลูกจ้างของนายสดใสได้กระทำละเมิดต่อนางเกียวตามมาตรา  420  จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางเกียว

และเมื่อการทำละเมิดของลูกจ้างนายสดใสต่อนางเกียวนั้น  ได้กระทำในระหว่างที่เป็นลูกจ้างและกระทำไปในทางการที่จ้าง  ดังนั้นนายสดใสนายจ้างจึงต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้างในผลแห่งการละเมิด  คือความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์ของนายเกียวตามมาตรา  425 

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นายสดใสได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางยิ้มแย้มซึ่งเป็นผู้ครองแหวนอันเป็นสังหาริมทรัพย์ในขณะที่มีการละเมิดไปแล้วโดยสุจริต  คือ  โดยเข้าใจว่าแหวนเพชรเป็นของนางยิ้มแย้ม  ดังนั้นนายสดใสย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา  441 คือ  ย่อมหลุดพ้นจากหนี้ในมูลละเมิดดังกล่าว

ดังนั้นหากว่านางยิ้มแย้มไม่นำเงินที่ได้รับจากนายสดใสไปให้แก่นางเกียว  นางเกียวก็จะเรียกร้องให้นายสดใสรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในแหวนเพชรที่หายไปไม่ได้

สรุป  นางเกียวจะเรียกร้องให้นายสดใสรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในแหวนเพชรที่หายไปไม่ได้

 

 

ข้อ  2  นายประเทืองไม่ชอบสมชัย  จึงยุให้ลิงของนายสมศักดิ์ไปไล่กัดนายสมชัย  นายสมชัยได้รับบาดเจ็บจึงวิ่งหนีกลับเข้าบ้าน  แต่เนื่องจากยังโกรธนายประเทืองอยู่  นายสมชัยจึงได้ไปยุให้สุนัขของตนกัดลิงของนายสมศักดิ์  ลิงของนายสมศักดิ์ได้รับบาดเจ็บ  จึงร้องโหยหวนและวิ่งหนีไปบนหลังคารถของยายหวานที่จอดอยู่หน้าบ้าน  ยายหวานตกใจเสียงลิงร้องและเห็นลิงมาอยู่ที่หลังคา  จึงช็อกและขาดใจตายทันที

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ใครจะต้องรับผิดในความตายของยายหวานและลิงของนายสมศักดิ์ที่ได้รับบาดเจ็บ  และถ้าข้อเท็จจริงได้ความว่ายายหวานอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับตาอยู่โดยไม่ได้จดทะเบียนกัน  เมื่อยายหวานถึงแก่ความตาย  ตาอยู่จึงได้จัดการศพตามประเพณี  เสียค่าใช้จ่ายไป  100,000  บาท

ให้วินิจฉัยว่า  ตาอยู่จะเรียกร้องค่าปลงศพได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี  เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  433  ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์  ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่สัตว์นั้น  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

มาตรา  443  วรรคแรก  ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น  ค่าสินไหมทดแทนได้แก่  ค่าปลงศพรวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นๆอีกด้วย

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ของการกระทำอันเป็นการละเมิดตามมาตรา  420  ประกอบด้วย

1       เป็นบุคคลที่มี  การกระทำ  โดยรู้สำนึก  และได้กระทำโดยการเคลื่อนไหวร่างกายหรือโดยการงดเว้นก็ได้  ซึ่งได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ

2       ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย

3       มีความเสียหายต่อชีวิต  ร่างกาย  อนามัย  เสรีภาพ  ทรัพย์สิน  หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด

4       ผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำ

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่สมชัยยุให้สุนัขของตนกัดลิงของสมศักดิ์จนได้รับบาดเจ็บนั้น  การกระทำของสมชัยถือว่าเป็นการกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย  ทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สินโดยใช้สัตว์เป็นเครื่องมือ  และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของสมชัย จึงถือว่าสมชัยได้กระทำละเมิดต่อสมศักดิ์ตามมาตรา  420  จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่สมศักดิ์

และการที่ลิงของสมศักดิ์ได้วิ่งหนีไปบนหลังคารถของยายหวาน  และส่งเสียงร้องจนทำให้ยายหวานตกใจช็อกถึงแก่ความตายนั้น  ก็เป็นผลมาจากการกระทำของสมชัยที่ยุสุนัขให้กัดลิงในตอนแรก  เมื่อผลที่เกิดขึ้นกับยายหวานสัมพันธ์กับการกระทำของสมชัย  ดังนั้นจึงถือว่าสมชัยกระทำละเมิดต่อยายหวานและต้องรับผิดในความตายของยายหวานด้วยตามมาตรา  420  ซึ่งทั้งสองกรณีดังกล่าวไม่ใช่ความรับผิดในความเสียหายอันเกิดขึ้นเพราะสัตว์  เนื่องจากความรับผิดตามมาตรา  433  จะต้องเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสัตว์นั้นเอง  มิใช่มนุษย์ใช้สัตว์เป็นเครื่องมือ

แต่อย่างไรก็ตาม  ผู้ที่มีสิทธิเรียกค่าปลงศพจะต้องเป็นทายาทของผู้ตายเท่านั้น  เมื่อได้ความว่าตาอยู่มิได้เป็นสามีที่ชอบด้วยกฎหมายของยายหวาน  จึงไม่ถือว่าตาอยู่เป็นทายาทของยายหวานผู้ตาย  ดังนั้นตาอยู่จึงไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพยายหวานตามมาตรา  443  วรรคแรก

ส่วนการที่ประเทืองยุให้ลิงของสมศักดิ์ไปไล่กัดสมชัยจนได้รับบาดเจ็บนั้น  แม้จะถือว่าประเทืองกระทำละเมิดต่อสมชัยและต้องรับผิดต่อสมชัยตามมาตรา  420  แต่เนื่องจากภัยดังกล่าวได้ผ่านพ้นไปแล้ว  สมชัยจึงได้ยุให้สุนัขกัดลิงของสมศักดิ์เพราะความโกรธ  ดังนั้น  ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับยายหวานและลิงของสมศักดิ์จึงไม่เกี่ยวกับความรับผิดของประเทืองที่มีต่อสมชัย

สรุป  สมชัยจะต้องรับผิดในความตายของยายหวานและลิงของนายสมศักดิ์ที่ได้รับบาดเจ็บและตาอยู่จะเรียกร้องค่าปลงศพไม่ได้ 

 

 

ข้อ  3  นายแดงใช้อาวุธปืนยิงนาย  ก  กระสุนนัดแรกไม่ถูกนาย  ก  ขณะที่นายแดงกำลังจะยิงนัดที่สอง  นาย  ก  ใช้อาวุธปืนยิงไปที่นายแดง  กระสุนปืนไม่ถูกนายแดงแต่กลับพลาดไปถูกนายขาวได้รับบาดเจ็บ  นายขาวรักษาตัวในโรงพยาบาล  เสียค่าใช้จ่ายไป  5,000  บาท ดังนี้

(1) นายขาวจะฟ้องนาย  ก  ให้รับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

(2) นายขาวจะฟ้องให้นายแดงรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  449  บุคคลใดเมื่อกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายก็ดี  กระทำตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี  หากก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นไซร้  ท่านว่าบุคคลนั้นหาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่

ผู้ต้องเสียหายอาจเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้เป็นต้นเหตุให้ต้องป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือจากบุคคลผู้ให้คำสั่งโดยละเมิดนั้นก็ได้

วินิจฉัย

การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะได้รับนิรโทษกรรมตามมาตรา  449  วรรคแรก  จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์  ดังนี้

1       จะต้องเป็นการป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่น

2       ภยันตรายนั้นจะต้องเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย

3       เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง

4       ผู้กระทำได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ

นอกจากนี้  ผู้ที่ต้องเสียหายจากการป้องกันนั้นอาจเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากผู้เป็นต้นเหตุให้ต้องป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้อีกด้วย  ตามมาตรา  449  วรรคสอง

กรณีตามอุทาหรณ์

1       การที่นายแดงใช้อาวุธปืนยิงนาย  ก  แต่กระสุนนัดแรกไม่ถูกนาย  ก  และกำลังจะยิงนัดที่สองนั้น  ถือเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และภยันตรายดังกล่าวใกล้จะถึงตัวนาย  ก  ซึ่งการที่นาย  ก  ใช้อาวุธปืนยิงไปที่นายแดงเป็นการป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายนั้น  และเมื่อการกระทำดังกล่าวพอสมควรแก่เหตุ  จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  แม้ว่ากระสุนจะพลาดไปถูกนายขาวได้รับบาดเจ็บ  ก็เป็นผลมาจากการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายของนาย  ก  ดังนั้นการกระทำของนาย  ก  จึงได้รับนิรโทษกรรมตามมาตรา  449  วรรคแรก  นาย  ก  จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายขาวผู้เสียหาย

2       เมื่อนายขาวเป็นผู้ได้รับความเสียหายจากการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายของนาย  ก  จึงสามารถฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายแดงผู้เป็นต้นเหตุให้นาย  ก  ต้องป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายได้  ตามมาตรา  449  วรรคสอง

สรุป

1       นายขาวจะฟ้องนาย  ก  ให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ได้

2       นายขาวฟ้องนายแดงให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้

 

 

ข้อ  4  ห้างสรรพสินค้า  เดอะแมว   มีบริการลานจอดรถสำหรับลูกค้าที่มาจับจ่ายซื้อของ  ได้มอบหมายให้บริษัทมือโปรจำกัด  ดูแลรักษาความปลอดภัยในบริเวณลานจอดรถ  บริษัทมือโปร  จำกัด  ได้จัดให้มีพนักงานรักษาความปลอดภัยประจำทางเข้าออกลานจอดรถทุกจุด โดยผู้ที่จะนำรถยนต์เข้าไปจอดต้องรับบัตรผ่านจากพนักงาน  และเมื่อจะนำรถยนต์ออกจากบริเวณลานจอดรถก็ต้องมอบบัตรผ่านคืนให้กับพนักงานที่ทางออก  จึงจะสามารถนำรถยนต์ออกจากบริเวณลานจอดรถได้  หากไม่คืนบัตรผ่านที่ถูกต้อง  พนักงานจะไม่อนุญาตให้นำรถยนต์ออกนอกลานจอด  โดยพนักงานรักษาความปลอดภัยทุกคนมีหน้าที่ต้องตรวจสอบความถูกต้องของบัตรจอดรถอย่างเคร่งครัด

นายเล็กลูกค้าที่มาซื้อของและจอดรถที่ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าพบว่ารถของตนหายไป  เนื่องจากคนร้าย  งัดแงะ  และขับผ่านจุดตรวจที่นายเปิ่นลูกจ้างพนักงานของบริษัทดังกล่าวประจำอยู่  เพราะนายเปิ่นไม่ได้ทำการตรวจสอบบัตรจอดรถอย่างรอบคอบเพียงแต่มองผ่านๆ  เห็นเลขทะเบียนคล้ายกันเลยให้รถออกไป

จงวินิจฉัยว่า  นายเล็กจะสามารถฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากบุคคลใดได้บ้าง  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี  เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  425  นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด  ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น

มาตรา  427  บทบัญญัติในมาตราทั้งสองก่อนนั้น  ท่านให้ใช้บังคับแก่ตัวการและตัวแทนด้วยโดยอนุโลม

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายเปิ่นพนักงานรักษาความปลอดภัยไม่ระมัดระวังตรวจบัตรจอดรถโดยเคร่งครัด  อันเป็นการงดเว้นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อป้องกันการโจรกรรมรถยนต์  เป็นผลทำให้รถยนต์ของนายเล็กถูกลักไปนั้น  การงดเว้นดังกล่าวของนายเปิ่นถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย  ทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์  และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของนายเปิ่น  จึงถือว่านายเปิ่นได้กระทำละเมิดต่อนายเล็กตามมาตรา  420  จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นายเล็ก

และเมื่อการกระทำดังกล่าวของนายเปิ่น  เป็นการกระทำในระหว่างที่นายเปิ่นเป็นลูกจ้างและกระทำไปในทางการที่จ้างของบริษัทมือโปร  จำกัด  ดังนั้นบริษัทมือโปร  จำกัด  ในฐานะนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดกับนายเปิ่น  ซึ่งเป็นลูกจ้างของตนในผลแห่งการละเมิดต่อนายเล็กตามมาตรา  425

ส่วนห้างสรรพสินค้าเดอะแมว  เมื่อได้มอบหมายให้บริษัทมือโปร  จำกัด  เป็นตัวแทนดูแลรักษาความปลอดภัยในบริเวณลานจอดรถของห้างดังกล่าว  จึงต้องร่วมกับบริษัทมือโปร  จำกัด  และนายเปิ่นซึ่งเป็นตัวแทนของตนที่ได้กระทำไปในทางการที่มอบหมายรับผิดต่อนายเล็กในฐานะที่เป็นตัวการ  ตามมาตรา  427  ประกอบมาตรา  425

สรุป  นายเล็กสามารถฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากนายเปิ่น  บริษัทมือโปร  จำกัด  และห้างสรรพสินค้าเดอะแมวได้

LAW2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้ 2/2553

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2003 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ปุ้ยเป็นเจ้าของบ้านและที่ดิน  กาละแมมาเช่าบ้านและที่ดินของปุ้ยเพื่ออยู่อาศัย  บริเวณบ้านมีต้นไม้ใหญ่ปลูกอยู่เก่าแก่หลายปี กาละแมเป็นคนรักต้นไม้จึงหมั่นดูแลอยู่เสมอและเห็นว่าต้นไม้กำลังจะหักโค่นจึงแจ้งให้ปุ้ยมาจัดการ  แต่ปุ้ยยังนิ่งเฉยอยู่  นอกจากนั้นกาละแมได้นำกระถางต้นไม้ไปวางเรียงรายอยู่ตามมุมบ้าน  และนำไปตั้งอยู่ริมหน้าต่างให้สวยงามด้วย  หากข้อเท็จจริงมีว่า

(ก)  กระถางต้นไม้ของกาละแมหล่นมาถูกหัวของนีน่า  ทำให้เธอได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นเป็นอัมพาต

(ข)  ต้นไม้ใหญ่ของปุ้ย  โค่นลงมาล้มทับไก่ซึ่งเดินอยู่ริมรั้วบ้านหลังนี้  ทำให้ไก่ถึงแก่ความตายทันที

ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ปุ้ยและกาละแมต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่นีน่าและไก่หรือไม่  เพราะเหตุใด  และหากว่ามีป้าของไก่ได้มาช่วยจัดการศพให้ไก่โดยออกค่าใช้จ่ายให้ทุกอย่าง  เด็กชายเป็ดซึ่งเป็นบุตรของไก่จะไปเรียกร้องค่าปลงศพของไก่ต่อปุ้ยหรือกาละแมได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  434  วรรคแรกและวรรคสอง  ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะเหตุที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นก่อสร้างไว้ชำรุดบกพร่องก็ดี  หรือบำรุงรักษาไม่เพียงพอก็ดี  ท่านว่าผู้ครองโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้นๆจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน  แต่ถ้าผู้ครองได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเพื่อปัดป้องมิให้เกิดความเสียหายฉะนั้นแล้ว  ท่านว่าผู้เป็นเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนั้นให้ใช้บังคับได้ตลอดถึงความบกพร่องในการปลูก  หรือค้ำจุนต้นไม้หรือกอไผ่ด้วย

มาตรา  436  บุคคลผู้อยู่ในโรงเรือนต้องรับผิดชอบในความเสียหายอันเกิดเพราะของตกหล่นจากโรงเรือนนั้น  หรือเพราะทิ้งขว้างของไปตกในที่อันมิควร

มาตรา  443  วรรคแรก  ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น  ค่าสินไหมทดแทนได้แก่  ค่าปลงศพรวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นๆอีกด้วย

วินิจฉัย

(ก)  กรณีตามอุทาหรณ์

การที่กระถางต้นไม้ที่กาละแมได้นำไปตั้งไว้ริมหน้าต่างได้หล่นมาถูกหัวของนีน่า  จนทำให้เธอได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นเป็นอัมพาตนั้น  ไม่ได้เกิดจากการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อของกาละแม  แต่อย่างไรก็ดีเมื่อมีการตกหล่นจากโรงเรือน  กฎหมาย  (ป.พ.พ. มาตรา  436)  ได้กำหนดให้บุคคลผู้อยู่ในโรงเรือนนั้นต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วย  ดังนั้น  กาละแมซึ่งเป็นบุคคลผู้อยู่ในโรงเรือนจึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่นีน่า

(ข)  กรณีตามอุทาหรณ์

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ต้นไม้ใหญ่ของปุ้ยได้โค่นลงมาทับไก่  ซึ่งเดินอยู่ริมรั้วบ้านของปุ้ย  ทำให้ไก่ถึงแก่ความตายทันที  เห็นได้ว่า  เมื่อกาละแมได้เช่าบ้านของปุ้ยจึงถือว่ากาละแมเป็นผู้ครอบครองโรงเรือนและต้นไม้ที่อยู่บริเวณที่เช่า  และเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นจากต้นไม้จนทำให้ไก่ถึงแก่ความตาย  ซึ่งตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  434  ได้กำหนดให้ผู้ครองต้องรับผิด  ดังนั้นกาละแมต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ไก่

แต่อย่างไรก็ดี  กาละแมสามารถแก้ตัวให้ตนพ้นผิดได้  เพราะได้หมั่นดูแลรักษาต้นไม้อยู่เสมอ  โดยได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแล้ว  กล่าวคือ  ได้แจ้งให้ปุ้ยซึ่งเป็นเจ้าของให้มาจัดการเพื่อป้องกันความเสียหายแล้ว  อันเป็นการป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแล้ว  แต่ปุ้ยยังนิ่งเฉยอยู่  ดังนั้นกาละแมจึงไม่ต้องรับผิด  ในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากต้นไม้นั้น  ผู้ที่ต้องรับผิดคือปุ้ยซึ่งเป็นเจ้าของตาม  ป.พ.พ. มาตรา  434 

ส่วนกรณีที่มีผู้มาช่วยจัดการศพให้ไก่แล้ว  เด็กชายเป็ดซึ่งเป็นบุตรของไก่จะเรียกร้องค่าปลงศพของไก่ได้หรือไม่นั้น  เห็นว่าการเรียกค่าปลงศพเป็นสิทธิของทายาทในการเรียกร้องได้ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  443  วรรคแรก  เมื่อปรากฏว่าเด็กชายเป็ดเป็นทายาทคนเดียวของไก่  เด็กชายเป็ดจึงมีสิทธิเรียกร้องได้โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีใครมาช่วยจัดการศพให้ไก่แล้วหรือไม่

สรุป

1       กาละแมต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่นีน่าแต่เพียงผู้เดียว

2       ปุ้ยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ไก่แต่เพียงผู้เดียว

3       เด็กชายเป็ดสามารถเรียกร้องค่าปลงศพของไก่ต่อปุ้ยได้  แต่จะไปเรียกร้องเอาจากกาละแมไม่ได้

 

 

ข้อ  2  อึ่งอ่างเลี้ยงสุนัขจรจัดไว้หลายตัวด้วยความรักและสงสาร  บ้านของอึ่งอ่างอยู่ติดกับบ้านของโอ่งอ้วนที่โย่งยิ่งเช่าอยู่  วันหนึ่งมีสุนัขตัวหนึ่งเดินจากบ้านอึ่งอ่างเข้ามาลักปลาย่างของโอ่งอ้วนแล้วกินหมดไปหลายตัว  โย่งยิ่งจึงร้องขอให้โอ่งอ้วนซึ่งแวะมาเที่ยวหาพอดีนั้นช่วยกันจับสุนัข  จากนั้นโอ่งอ้วนได้นำสุนัขไปขังไว้เพื่อจะเรียกเอาค่าเสียหายจากอึ่งอ่าง  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า 

(ก)  อึ่งอ่างจะเรียกร้องให้โอ่งอ้วนและโย่งยิ่งคืนสุนัขดังกล่าว  และให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายได้หรือไม่  อย่างไร

(ข)  โย่งยิ่งจะเรียกร้องค่าเสียหายจากอึ่งอ่างโดยอ้างว่าสุนัขกินปลาย่างได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี  เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  433  ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์  ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่สัตว์นั้น  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

มาตรา  452  วรรคแรก  ผู้ครองอสังหาริมทรัพย์ชอบที่จะจับสัตว์ของผู้อื่นอันเข้ามาทำความเสียหายในอสังหาริมทรัพย์นั้น  และยึดไว้เป็นประกันค่าสินไหมทดแทน  อันจะพึงต้องใช้แก่ตนได้  และถ้าจำเป็นโดยพฤติการณ์  แม้จะฆ่าสัตว์นั้นเสียก็ชอบที่จะทำได้

วินิจฉัย

(ก)  กรณีตามอุทาหรณ์

อึ่งอ่างจะเรียกร้องให้โย่งยิ่งคืนสุนัขของตนและให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายไม่ได้  เพราะโย่งยิ่งไม่ได้กระทำผิดกฎหมาย  การที่โย่งยิ่งจับสุนัขขังไว้ไม่เป็นการละเมิดตามมาตรา  420  แต่ได้จับสุนัขไว้เป็นประกันค่าสินไหมทดแทน  เพราะโย่งยิ่งได้รับความเสียหายจากการที่สุนัขของอึ่งอ่างที่เข้ามาในอสังหาริมทรัพย์ที่โย่งยิ่งครอบครองอยู่  โย่งยิ่งจึงอ้างนิรโทษกรรมตามมาตรา  452  ได้  และโย่งยิ่งไม่ต้องคืนสุนัขแก่อึ่งอ่างจนกว่าจะได้ค่าสินไหมทดแทน

อย่างไรก็ดี  มาตรา  452  ให้สิทธินิรโทษกรรมแก่ผู้ครองอสังหาริมทรัพย์เท่านั้น  เมื่อปรากฏว่าโอ่งอ้วนเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้ให้โย่งยิ่งเช่าไปแล้ว  โอ่งอ้วนจึงไม่ใช่ผู้ครองอสังหาริมทรัพย์แต่อย่างใด  การกระทำของโอ่งอ้วนจึงไม่ได้รับนิรโทษกรรมแต่อย่างใด  ดังนั้นอึ่งอ่างจึงเรียกร้องให้โอ่งอ้วนคืนสุนัขของตน  และให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายได้

(ข)  กรณีตามอุทาหรณ์

การที่สุนัขได้กินปลาย่างของโย่งยิ่งทำให้โย่งยิ่งได้รับความเสียหาย  และถือว่าเป็นความเสียหายที่เกิดจากสัตว์  ซึ่งตามกฎหมายได้กำหนดให้เจ้าของสัตว์ต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น  ดังนั้นโย่งยิ่งจึงสามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากอึ่งอ่างได้ตามมาตรา  433

สรุป 

(ก)  อึ่งอ่างจะเรียกร้องให้โย่งยิ่งคืนสุนัขของตน  และให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายไม่ได้  แต่อึ่งอ่างสามารถเรียกร้องเอาจากโอ่งอ้วนได้

(ข)  โย่งยิ่งสามารถเรียกร้องค่าเสียหายจากอึ่งอ่างโดยอ้างว่าสุนัขกินปลาย่างของตนได้

 

 

ข้อ  3  นายหนึ่งกับนายสองเป็นเพื่อนกัน  วันเกิดเหตุนายหนึ่งขับรถไปที่บ้านของนายสองเพื่อแวะเยี่ยมนายสอง  โดยนายหนึ่งจอดรถไว้ที่โรงรถบ้านของนายสอง  ขณะเกิดเหตุลิงของนายแดงลอบเข้าไปในรถของนายหนึ่ง  จากนั้นได้กัดเบาะรถของนายหนึ่งได้รับความเสียหาย  คิดเป็นเงิน  5,000  บาท  ดังนี้

(ก)  นายหนึ่งจะจับลิงของนายแดงเพื่อยึดเป็นประกันค่าสินไหมทดแทนจากนายแดงได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

(ข)  นายสองจะจับลิงของนายแดงเพื่อยึดเป็นประกันค่าสินไหมทดแทนจากนายแดงได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  452  วรรคแรก  ผู้ครองอสังหาริมทรัพย์ชอบที่จะจับสัตว์ของผู้อื่นอันเข้ามาทำความเสียหายในอสังหาริมทรัพย์นั้น  และยึดไว้เป็นประกันค่าสินไหมทดแทน  อันจะพึงต้องใช้แก่ตนได้  และถ้าจำเป็นโดยพฤติการณ์  แม้จะฆ่าสัตว์นั้นเสียก็ชอบที่จะทำได้

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ที่จะสามารถจับหรือยึดสัตว์  หรือฆ่าสัตว์  ที่เข้ามาทำความเสียหายในอสังหาริมทรัพย์ได้ตามมาตรา  452  ประกอบด้วย

1  ผู้มีอำนาจกระทำต้องเป็นผู้ครองอสังหาริมทรัพย์  (ไม่รวมสังหาริมทรัพย์)    ที่ได้รับความเสียหาย

2  ความเสียหายจะต้องเกิดจากสัตว์ของผู้อื่น

3  สัตว์เข้ามาทำความเสียหายในอสังหาริมทรัพย์  (ความเสียหายต่อบุคคล  หรือต่อทรัพย์ก็ได้)

(ก)  กรณีตามอุทาหรณ์

การที่ลิงของนายแดงกัดเบาะรถยนต์ของนายหนึ่งได้รับความเสียหาย  นายหนึ่งจะจับลิงของนายแดงเพื่อยึดเป็นประกันค่าสินไหมทดแทนไม่ได้  เพราะแม้ความเสียหายจะเกิดจากสัตว์ของผู้อื่น  ซึ่งเข้ามาทำความเสียหายในอสังหาริมทรัพย์  แต่เมื่อนายหนึ่งเป็นเพียงผู้ครองสังหาริมทรัพย์  (รถยนต์)  มิใช่ผู้ครองอสังหาริมทรัพย์  กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  452  วรรคแรก

(ข)  กรณีตามอุทาหรณ์

นายสองก็จะจับลิงของนายแดงเพื่อยึดเป็นประกันค่าสินไหมทดแทนจากนายแดงไม่ได้เช่นกัน  เพราะแม้นายสองจะเป็นผู้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์  แต่นายสองก็ไม่ได้รับความเสียหายที่เกิดจากลิงของนายแดงแต่อย่างใด  ผู้ที่จะจับหรือยึดสัตว์ตามมาตรา  452  วรรคแรก  หมายความเฉพาะผู้ครองอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับความเสียหายเท่านั้น

สรุป

(ก)  นายหนึ่งจะจับลิงของนายแดงเพื่อยึดเป็นประกันค่าสินไหมทดแทนไม่ได้

(ข)  นายสองจะจับลิงของนายแดงเพื่อยึดเป็นประกันค่าสินไหมทดแทนไม่ได้

 

 

ข้อ  4  นายหนึ่งบิดานอกกฎหมายของนางสาวบี  วัย  16  ปี  โดยนายหนึ่งได้ให้ใช้นามสกุลและอุปการะเลี้ยงดูบุตรของตนมาโดยตลอด นายหนึ่งทราบดีว่าบุตรนั้นชอบแอบเอารถยนต์ของตนไปขับ  จึงนำกุญแจรถยนต์ไปเก็บไว้ในลิ้นชักโต๊ะ  ในวันเกิดเหตุ  นางสาวบีได้แอบหยิบกุญแจรถที่นายหนึ่งได้เก็บซ่อนไว้ในลิ้นชักโต๊ะโดยไม่ได้ล็อกกุญแจไว้  ไปไขนำรถยนต์ของนายหนึ่งออกมาขับ  ต่อมาปรากฏว่านางสาวบีได้ขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงจึงเสียหลักพุ่งชนรถตู้โดยสารเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก  จงวินิจฉัยว่า

(ก)  นางสาวบีต้องรับผิดในทางละเมิดหรือไม่  เพราะเหตุใด

(ข)  นายหนึ่งต้องร่วมรับผิดในทางละเมิดด้วยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี  เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  429  บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด  บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น

มาตรา  430  ครูบาอาจารย์  นายจ้าง  หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดี  ชั่วครั้งชั่วคราวก็ดี  จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด  ซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน  ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้นๆ  มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร

วินิจฉัย

(ก)  กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นางสาวบีได้ขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูง  จึงเสียหลักพุ่งชนรถตู้โดยสารเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต  และบาดเจ็บจำนวนมากนั้น  ถือว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อบุคคลอื่นโดยประมาทเลินเล่อตามมาตรา  420  และแม้ว่านางสาวบีจะเป็นผู้เยาว์ก็ยังคงต้องรับผิดในผลที่ตนได้กระทำละเมิดนั้นตามมาตรา  429

(ข)  กรณีตามอุทาหรณ์

กรณีของนายหนึ่งซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏว่าเป็นบิดานอกกฎหมายของนางสาวบี  และแม้ว่านายหนึ่งได้ให้นางสาวบีใช้นามสกุลและอุปการะเลี้ยงดูบุตรของตนมาโดยตลอด  ก็เป็นเพียงการรับรองโดยพฤตินัยซึ่งมิใช่การรับรองโดยนิตินัยตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1547  ดังนั้นนายหนึ่งจึงมิใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสาวบีแต่อย่างใด

แต่อย่างไรก็ดี  กรณีดังกล่าวนี้ถือได้ว่านายหนึ่งเป็นบุคคลซึ่งรับดูแลนางสาวบีผู้เยาว์  และตามข้อเท็จจริงนายหนึ่งก็มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในการเก็บล็อกกุญแจรถยนต์  ดังนั้นนายหนึ่งจึงต้องรับผิดในทางละเมิดร่วมกับนางสาวบีด้วยตามมาตรา  430 

สรุป

(ก)  นางสาวบีต้องรับผิดในทางละเมิดตามมาตรา  420  และ  429

(ข)  นายหนึ่งต้องร่วมรับผิดในทางละเมิดด้วยตามมาตรา  430

LAW2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้ S/2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2003 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  แดงเป็นเจ้าของสุนัขดุและเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของเด็กชายดำ  วันเกิดเหตุ  แดงสั่งให้เด็กชายดำอยู่บ้านและดูแลสุนัข จากนั้นได้เดินไปซื้อผักที่ตลาด  ระหว่างนั้น  เด็กชายดำขว้างลูกบอลเล่นอยู่ในบ้านกับสุนัข  และลูกบอลกระเด็นเข้าไปในบ้านของเขียว  ถูกกระถางต้นไม้แตกเสียหาย  เด็กชายดำและสุนัขจึงโดดข้ามรั้วบ้านเพื่อไปเก็บลูกบอลกลับมา  เขียวจึงจับสุนัขและเด็กไว้เป็นประกันค่าเสียหาย

ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  เขียวและแดงต่างฝ่ายจะเรียกร้องให้อีกฝ่ายรับผิดในเหตุละเมิดได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี  เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  430  ครูบาอาจารย์  นายจ้าง  หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดี  ชั่วครั้งชั่วคราวก็ดี  จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด  ซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน  ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้นๆ  มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร

มาตรา  433  ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์  ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่สัตว์นั้น  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

มาตรา  452  วรรคแรก  ผู้ครองอสังหาริมทรัพย์ชอบที่จะจับสัตว์ของผู้อื่นอันเข้ามาทำความเสียหายในอสังหาริมทรัพย์นั้น  และยึดไว้เป็นประกันค่าสินไหมทดแทน  อันจะพึงต้องใช้แก่ตนได้  และถ้าจำเป็นโดยพฤติการณ์  แม้จะฆ่าสัตว์นั้นเสียก็ชอบที่จะทำได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นแรก  การที่เด็กชายดำ  ขว้างลูกบอลเล่นอยู่กับสุนัข  และลูกบอลกระเด็นเข้าไปถูกกระถางต้นไม้ในบ้านของเขียวแตกเสียหายนั้น  การกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อผู้อื่น  โดยผิดกฎหมายทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สิน  และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของเด็กชายดำ  จึงถือว่าเด็กชายดำกระทำละเมิดต่อเขียวตามมาตรา  420  จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขียว

และเมื่อการทำละเมิดของเด็กชายดำซึ่งเป็นผู้ไร้ความสามารถ (ผู้เยาว์)  ต่อเขียวนั้น  ได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของแดง  แดงซึ่งเป็นผู้รับดูแลจึงต้องรับผิดร่วมกับเด็กชายดำ  ในผลแห่งละเมิด  คือ  ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์ของเขียวด้วย  ตามมาตรา 430  ดังนั้น  เขียวจึงมีสิทธิเรียกร้องให้แดงและเด็กชายดำร่วมกันรับผิดต่อตนได้

ประเด็นที่  2  แดงต้องรับผิดต่อเขียวในความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสุนัขของตนด้วย  ในฐานะที่เป็นเจ้าของและผู้รับเลี้ยงสัตว์ในเวลาที่เกิดเหตุตามมาตรา  433  วรรคแรก  และไม่อาจแก้ตัวให้พ้นผิดได้  เพราะแดงไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามชนิด  วิสัย  และพฤติการณ์ของสัตว์คือสุนัขดังกล่าว

ประเด็นที่  3  การที่เขียวจับสุนัขของแดงไว้เพื่อเป็นประกันค่าเสียหายนั้น  เขียวอ้างเหตุนิรโทษกรรมเพื่อไม่ต้องรับผิดต่อแดงได้  เพราะเขียวผู้ครองอสังหาริมทรัพย์ชอบที่จะจับสัตว์ของผู้อื่น  อันเข้ามาทำความเสียหายในอสังหาริมทรัพย์ของตน  และยึดไว้เป็นประกันค่าสินไหมทดแทนได้ตามมาตรา  452  วรรคแรก

แต่กรณีที่เขียวจับเด็กชายดำไว้นั้น  ถือเป็นการกระทำโดยจงใจต่อเด็กชายดำโดยผิดกฎหมาย  ทำให้เด็กชายดำเสียหายแก่เสรีภาพ  และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของเขียวดังกล่าว  จึงถือว่าเขียวได้กระทำละเมิดต่อเด็กชายดำตามมาตรา  420  เขียวจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เด็กชายดำ  และเขียวไม่สามารถอ้างเหตุนิรโทษกรรมตามมาตรา  452  วรรคแรกได้  เพราะกรณีตามมาตราดังกล่าวจะต้องเป็นการจับหรือยึดสัตว์ไว้เท่านั้น

สรุป  เขียวและแดงต่างฝ่ายสามารถเรียกร้องให้อีกฝ่ายรับผิดในเหตุละเมิดได้  ดังที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

 

ข้อ  2  นายเก่งขับรถยนต์ของตนสวนทางกับนายก้อง  ได้ตะโกนท้าทายให้มาแข่งรถกัน  แต่นายก้องไม่สนใจ  นายเก่งจึงใช้ก้อนหินขว้างใส่รถยนต์ของนายก้อง  ทำให้นายก้องสลบไป  และรถของนายก้องวิ่งไถลต่อไปจนชนกำแพงบ้านของนายกล้า  ทำให้รถยนต์ที่จอดอยู่ในรั้วบ้านนั้นพังเสียหายไปด้วย  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก)  นายเก่งต้องรับผิดต่อนายกล้าหรือไม่  เพราะเหตุใด

(ข)  นายก้องต้องรับผิดต่อนายกล้าหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี  เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  437  บุคคลใดครอบครองหรือควบคุมดูแลยานพาหนะ  อย่างใดๆอันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกลบุคคลนั้นจะต้องรับผิดชอบเพื่อการอันเกิดแต่ยานพาหนะนั้น  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าการเสียหายนั้นเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดเพราะความผิดของผู้ต้องเสียหายนั้นเอง

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ของการกระทำอันเป็นการละเมิดตามมาตรา  420  ประกอบด้วย

1       เป็นบุคคลที่มี  การกระทำ  โดยรู้สำนึก  และได้กระทำโดยการเคลื่อนไหวร่างกายหรือโดยการงดเว้นก็ได้  ซึ่งได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ

2       ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย

3       มีความเสียหายต่อชีวิต  ร่างกาย  อนามัย  เสรีภาพ  ทรัพย์สิน  หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด

4       ผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำ

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้

(ก)  นายเก่งต้องรับผิดต่อนายกล้าหรือไม่นั้น  เห็นว่า  การที่นายเก่งใช้ก้อนหินขว้างใส่รถยนต์ของนายก้อง  จนทำให้รถของนายก้องวิ่งไถลไปชนกำแพงบ้านของนายกล้า  และทำให้รถยนต์ของนายกล้าที่จอดอยู่ในรั้วบ้านพังเสียหายนั้น  การกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ    ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย  ทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สิน  และความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินของนายกล้านั้นสัมพันธ์กับการกระทำของนายเก่ง  กล่าวคือ  หากนายเก่งไม่ขว้างก้อนหินใส่รถยนต์ของนายก้อง  รถยนต์ของนายกล้าที่จอดอยู่ในรั้วบ้านก็คงไม่เสียหาย  ดังนั้น  จึงถือว่านายเก่งกระทำละเมิดต่อนายกล้าตามมาตรา  420  จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายกล้า

(ข)  นายก้องต้องรับผิดต่อนายกล้าหรือไม่นั้น  เห็นว่า  โดยหลักในเรื่องละเมิดนายก้องไม่ต้องรับผิดต่อนายกล้าตามมาตรา  420 เพราะขณะเกิดเหตุนายก้องสลบอยู่ไม่รู้สำนึกในการกระทำ  จึงถือว่านายก้องมิได้มีการกระทำอันจะเข้าหลักเกณฑ์ในเรื่องละเมิด

แต่อย่างไรก็ดี  กรณีนี้ถือเป็นความเสียหายที่เกิดจากยานพาหนะ  อันเดินด้วยกำลังเครื่องจักรกล  ซึ่งตามมาตรา  437  วรรคแรก  กำหนดให้ผู้ครอบครองหรือควบคุมยานพาหนะนั้นต้องรับผิด  ดังนั้นนายก้องซึ่งเป็นผู้ครอบครองและควบคุมรถยนต์จึงต้องรับผิดชอบเพื่อการเสียหายอันเกิดจากรถยนต์ของตนด้วย  แต่เนื่องจากเหตุที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ของนายกล้าเป็นเหตุสุดวิสัยที่นายก้องไม่อาจป้องกันได้  นายก้องจึงสามารถอ้างข้อยกเว้นดังกล่าวเพื่อแก้ตัวให้พ้นผิดได้ 

สรุป

(ก)  นายเก่งต้องรับผิดต่อนายกล้า

(ข)  นายก้องไม่ต้องรับผิดต่อนายกล้า

 

 

ข้อ  3  นายโชคร้ายดูแลเด็กชายวัชระหลานชายด้วยการหุงหาอาหารและทำงานบ้านให้ทุกวัน  ต่อมานายสมหมายทำร้ายร่างกายของนายโชคร้ายจนถึงพิการ  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก)  เด็กชายวัชระจะเรียกร้องให้นายสมหมายชดใช้ค่าขาดแรงงานในครัวเรือน  เนื่องจากนายโชคร้ายไม่สามารถทำการงานได้  ต้องจ้างคนใช้มาดูแลบ้านแทนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

(ข)  นายโชคร้ายจะเรียกร้องให้นายสมหมายรับผิดชดใช้ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้จากการร้องเพลงคืนละ  5,000  บาท  พร้อมกับเรียกร้องค่าที่ตนเองต้องกลายเป็นคนพิการได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี  เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  444  วรรคแรก  ในกรณีทำให้เสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยนั้น  ผู้เสียหายชอบที่จะได้ชดใช้ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไป  และค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงหรือแต่บางส่วน  ทั้งในเวลาปัจจุบันนั้นและในเวลาอนาคตด้วย

มาตรา  445  ในกรณีทำให้เขาถึงตาย  หรือให้เสียหายแก่ร่างกาย  หรืออนามัยก็ดี  ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี  ถ้าผู้ต้องเสียหายมีความผูกพันตามกฎหมายจะต้องทำการงานให้เป็นคุณแก่บุคคลภายนอกในครัวเรือนหรืออุตสาหกรรมของบุคคลภายนอกนั้นไซร้  ท่านว่าบุคคลผู้จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อที่เขาต้องขาดแรงงานอันนั้นไปด้วย

มาตรา  446  วรรคแรก  ในกรณีทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยก็ดี  ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี  ผู้ต้องเสียหายจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความที่เสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินด้วยอีกก็ได้  สิทธิเรียกร้องอันนี้ไม่โอนกันได้  และไม่ตกสืบไปถึงทายาท เว้นแต่สิทธินั้นจะได้รับสภาพกันไว้โดยสัญญาหรือได้เริ่มฟ้องคดีตามสิทธินั้นแล้ว

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้  คือ

(ก)  การที่นายสมหมายทำร้ายร่างกายนายโชคร้ายจนถึงพิการนั้น  การกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำโดยจงใจต่อนายโชคร้ายโดยผิดกฎหมาย  ทำให้นายโชคร้ายเสียหายแก่ร่างกาย  และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของนายสมหมาย  จึงถือว่านายสมหมายกระทำละเมิดต่อนายโชคร้ายตามมาตรา  420  จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายโชคร้าย

และตามมาตรา  445  ได้บัญญัติว่า  หากการกระทำละเมิดทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกายและผู้ต้องเสียหายมีความผูกพันตามกฎหมายจะต้องทำการงานให้เป็นคุณแก่บุคคลภายนอกในครัวเรือนของบุคคลภายนอกนั้น  ผู้กระทำละเมิดจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อที่เขาต้องขาดแรงงานอันนั้นไปด้วย  ซึ่งตามข้อเท็จจริงปรากฏว่า  เด็กชายวัชระเป็นเพียงหลานชายของนายโชคร้าย  นายโชคร้ายผู้เสียหายจึงไม่มีความผูกพันตามกฎหมายที่จะต้องทำการงานให้เป็นคุณแก่เด็กชายวัชระในครัวเรือนแต่อย่างใด  ดังนั้นเมื่อเด็กชายวัชระไม่ใช่ผู้เสียหายจากการขาดแรงงาน  จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้นายสมหมายชดใช้ค่าขาดแรงงานในครัวเรือนตามมาตรา  445

(ข)  เมื่อนายสมหมายกระทำละเมิดต่อนายโชคร้ายจนทำให้นายโชคร้ายเสียหายแก่ร่างกาย  ดังนั้น  นายโชคร้ายจึงมีสิทธิเรียกร้องให้นายสมหมายรับผิดชดใช้ค่ารักษาพยาบาล  (ค่าใช้จ่ายอันต้องเสียไป)  และค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้จากการร้องเพลงคืนละ  5,000  บาท  (ค่าเสียความสามารถประกอบการงานแต่บางส่วน)  ได้ตามมาตรา  444  วรรคแรก

และนอกจากนี้  เมื่อนายโชคร้ายได้รับความเสียหายแก่ร่างกายจนถึงขั้นพิการ  ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายที่ตนต้องกลายเป็นคนพิการ  (ความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน)  อีกได้ตามมาตรา  446  วรรคแรก  ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการเรียกร้องซ้ำซ้อนกันแต่อย่างใด

สรุป

(ก)  เด็กชายวัชระจะเรียกร้องให้นายสมหมายชดใช้ค่าขาดแรงงานในครัวเรือน  เนื่องจากนายโชคร้ายไม่สามารถทำการงานได้  ต้องจ้างคนใช้มาดูแลบ้านแทนไม่ได้

(ข)  นายโชคร้ายมีสิทธิเรียกร้องให้นายสมหมายรับผิดชดใช้ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้จากการร้องเพลงคืนละ  5,000  บาท พร้อมกับเรียกร้องค่าเสียหายที่ตนต้องกลายเป็นคนพิการได้

 

 

ข้อ  4  คุณสินเป็นสามีของคุณเด่น  วันเกิดเหตุ  ขณะที่คุณสินกำลังฝึกซ้อมกอล์ฟอยู่ที่สนามหน้าบ้าน  ได้ยินคุณเรญากำลังตะโกนด่าคุณดี๋ว่า  นังคนกระจอก  นังเพชรปลอม  นังหน้าจืด  คุณสินจึงเข้าร่วมผสมโรงด้วย  โดยยุยงให้คุณเรญาด่าให้หนักกว่านี้  พร้อมกับยกเท้าขึ้นสูงชี้หน้าคุณดี๋  ในขณะนั้นคุณเด่นอยู่ในเหตุการณ์แต่กลับนิ่งเฉยเสียมิได้เข้าช่วยเหลือแต่อย่างใด  เพราะเกรงกลัวสามี  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  คุณดี๋จะเรียกร้องให้คุณเรญา  คุณสิน  และคุณเด่นร่วมกันรับผิดฐานละเมิด  โดยการหมิ่นประมาทต่อตนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  ให้วินิจฉัยพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบเหตุผล

ธงคำตอบ

มาตรา  423  ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง  เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่การนั้น  แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง  แต่หากควรจะรู้ได้

มาตรา  432  ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทำละเมิด  ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น  ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจำพวกที่ทำละเมิดร่วมกันนั้น  คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย

อนึ่ง  บุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทำละเมิด  ท่านก็ให้ถือว่าเป็นผู้กระทำละเมิดร่วมกันด้วย

ในระหว่างบุคคลทั้งหลายซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น  ท่านว่าต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน  เว้นแต่โดยพฤติการณ์  ศาลจะวินิจฉัยเป็นประการอื่น

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ความรับผิดเพื่อละเมิดตามมาตรา  423  วรรคแรก  (หมิ่นประมาททางแพ่ง)  มีดังนี้

1       เป็นการกล่าวหรือไขข่าวข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง

2       ทำให้แพร่หลาย  กล่าวคือ  กระทำต่อบุคคลที่สามคนเดียวก็ถือว่าแพร่หลายแล้ว  โดยบุคคลที่สามต้องสามารถเข้าใจคำกล่าวหรือการไขข่าวนั้นได้

3       มีความเสียหายต่อชื่อเสียง  เกียรติคุณ  ทางทำมาหาได้  หรือทางเจริญของบุคคลอื่น

4       มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่คุณเรญาตะโกนด่าคุณดี๋ว่า  นังคนกระจอก  นังเพชรปลอม  นังหน้าจืด  นั้น  ถือเป็นลักษณะของการดูหมิ่นและแสดงกิริยาอาการเหยียดหยามเท่านั้น  ไม่ถือว่าเป็นการกล่าวข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงที่จะทำให้คุณดี๋เสียชื่อเสียงแต่อย่างใด   เพราะมิใช่เป็นการกล่าวหรือไขข่าวข้อความในลักษณะยืนยันข้อเท็จจริง  จึงไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา  423 ซึ่งมีหลักสำคัญว่าผู้ที่จะกระทำละเมิดโดยการหมิ่นประมาทได้นั้น  ต้องมี  การกระทำที่เป็นการไขข้อเท็จจริง  และได้กระทำให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงของผู้ที่ถูกอ้างอิงถึง  คุณเรญาจึงไม่มีความผิดฐานละเมิดโดยการหมิ่นประมาทต่อคุณดี๋ตามมาตรา  423

ดังนั้น  เมื่อคุณสินเข้าร่วมผสมโรงด้วย  โดยยุยงให้คุณเรญาด่าคุณดี๋ให้หนักกว่าเดิม  พร้อมกับยกเท้าขึ้นสูงชี้หน้าคุณดี๋  จึงไม่ถือว่าเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดตามมาตรา  432  และไม่มีความผิดฐานละเมิดโดยการหมิ่นประมาทต่อคุณดี๋ตามมาตรา  423  เช่นเดียวกัน

ส่วนคุณเด่นซึ่งอยู่ในเหตุการณ์  แต่กลับนิ่งเฉยเสียมิได้เข้าช่วยเหลือคุณดี๋แต่อย่างใด  เพราะเกรงกลัวสามีนั้น  เมื่อมิได้มีการกระทำอันเป็นการละเมิดโดยการหมิ่นประมาทต่อคุณดี๋  ก็ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรา  423  และไม่ถือว่าเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดตามมาตรา  432  ซึ่งกรณีนี้จะถือว่าเป็นการงดเว้นการกระทำมิได้  เพราะคุณเด่นไม่มีหน้าที่ต่อคุณดี๋ที่จะต้องกระทำเพื่อป้องกันมิให้เกิดผลเสียหายขึ้นแก่คุณดี๋  ดังนั้น  คุณดี๋จะเรียกร้องให้คุณเรญา  คุณสิน  และคุณเด่นร่วมกันรับผิดฐานละเมิดโดยการหมิ่นประมาทต่อตนไม่ได้

สรุป  คุณดี๋จะเรียกร้องให้คุณเรญา  คุณสิน  และคุณเด่นร่วมกันรับผิดฐานละเมิดโดยการหมิ่นประมาทต่อตนไม่ได้ตามหลักกฎหมายและเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

LAW2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้ 1/2554

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2003 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายเอ  อายุ  16  ปี  ซื้อหนูนามาเลี้ยงดูเล่นหนึ่งตัว  และนำไปใส่ไว้ในกรง  แต่ไม่ได้คล้องกุญแจที่ประตูกรง  เด็กชายบี  อายุ  14  ปี  เห็นดังนั้นจึงแกล้งปล่อยหนูออกมาจากกรง  หนูจึงวิ่งหนีไปหลบอยู่ในตู้เสื้อผ้าของนายซี  ต่อมานายซีเปิดตู้จึงเห็นหนูและตกใจจนเป็นลมสิ้นสติศีรษะฟาดพื้นได้รับบาดเจ็บสาหัส

ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าใครจะเรียกร้องให้ใครรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้บ้าง  หากว่านายเอเป็นเด็กกำพร้าที่ซุกซนและอยู่ในความดูแลของยายเพียงคนเดียว  และเด็กชายบีเป็นบุตรของนางดี

ธงคำตอบ

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี  เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  429  บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด  บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น

มาตรา  430  ครูบาอาจารย์  นายจ้าง  หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดี  ชั่วครั้งชั่วคราวก็ดี  จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด  ซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน  ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้นๆ  มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร

มาตรา  433  ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์  ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่สัตว์นั้น  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

อนึ่ง  บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น  จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด  หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้าหรือยั่วสัตว์นั้นๆก็ได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายซีเห็นหนูและตกใจเป็นลมสิ้นสติศีรษะฟาดพื้นได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น  ถือเป็นเรื่องความเสียหายที่เกิดจากสัตว์  คือ  หนูของนายเอ  ซึ่งตามมาตรา  433  กำหนดให้มีผู้รับผิดคือ  เจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของสัตว์  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นายเอเป็นเจ้าของหนูและไม่ได้ใช้ความระมัดระวังในการเลี้ยงดูตามชนิด  วิสัย  และพฤติการณ์ของสัตว์นั้นที่ต้องระวังด้วยการคล้องกุญแจที่ประตูกรงไว้ด้วย  เพราะหนูย่อมดันตัวเองออกมานอกกรงได้ง่าย  ดังนั้น  เมื่อหนูหลุดออกมาจากกรง  และทำให้นายซีเสียหาย  นายเอจึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดจากหนูของตนเองต่อนายซีตามมาตรา  433  วรรคแรก 

และเมื่อปรากฏว่า  นายเอซึ่งเป็นคนไร้ความสามารถ  (ผู้เยาว์)  อยู่ในความดูแลของยายเพียงคนเดียวของตน  นายซีจึงสามารถเรียกร้องให้ยายของนายเอร่วมรับผิดกับนายเอในการละเมิดที่เกิดขึ้นจากสัตว์ของนายเอได้  เพราะถือเป็นผู้รับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถ  ตามมาตรา  430

แต่อย่างไรก็ดี  ทั้งนายเอและยายมีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่เด็กชายบีซึ่งเป็นผู้เร้าหรือยั่วสัตว์โดยละเมิด  โดยการแกล้งปล่อยหนูออกมาจากกรง เป็นเหตุให้หนูไปก่อความเสียหายขึ้นต่อนายซีได้ตามมาตรา  433  วรรคสอง

นอกจากนี้เมื่อปรากฏว่า  เด็กชายบีเป็นบุตรของนางดี  ดังนั้นนายเอและยายจึงสามารถเรียกร้องให้นางดี  มารดาของเด็กชายบีซึ่งเป็นคนไร้ความสามารถ  (ผู้เยาว์)  รับผิดร่วมกับเด็กชายบีได้อีกด้วย  ตามมาตรา  439

สรุป  นายซีสามารถเรียกร้องให้นายเอและยายร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตนได้  และนายเอและยายก็สามารถใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่เด็กชายบีและนางดีได้

 

 

ข้อ  2  นางอมราขอให้นางอ้วนช่วยไปซื้อกาแฟร้อนให้ตนดื่ม  ระหว่างที่เดินกลับจากซื้อกาแฟ  นางอ้วนไม่พอใจนางผอมที่เดินผ่านมาพอดี  จึงสาดกาแฟที่ร้อนจัดมากใส่นางผอม  ทำให้นางผอมหน้าเสียโฉม  รักษาไม่หาย  เพราะความร้อนมากของกาแฟ  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัย

(ก)  นางผอมจะเรียกให้ใครรับผิดในความเสียหายได้หรือไม่  อย่างไร

(ข)  นางผอมจะเรียกค่าเสียโฉม  ทำให้ไม่สามารถไปประกวดนางงามประจำคณะได้หรือไม่  อย่างไร

(ค)  หากนางผอมต้องขาดการงานเป็นเวลาหลายเดือน  นางผอมจะเรียกค่าขาดแรงงานตามมาตรา  445  ได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี  เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  425  นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด  ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น

มาตรา  427  บทบัญญัติในมาตราทั้งสองก่อนนั้น  ท่านให้ใช้บังคับแก่ตัวการและตัวแทนด้วยโดยอนุโลม

มาตรา  445  ในกรณีทำให้เขาถึงตาย  หรือให้เสียหายแก่ร่างกาย  หรืออนามัยก็ดี  ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี  ถ้าผู้ต้องเสียหายมีความผูกพันตามกฎหมายจะต้องทำการงานให้เป็นคุณแก่บุคคลภายนอกในครัวเรือนหรืออุตสาหกรรมของบุคคลภายนอกนั้นไซร้  ท่านว่าบุคคลผู้จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อที่เขาต้องขาดแรงงานอันนั้นไปด้วย

มาตรา  446  วรรคแรก  ในกรณีทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยก็ดี  ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี  ผู้ต้องเสียหายจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความที่เสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินด้วยอีกก็ได้  สิทธิเรียกร้องอันนี้ไม่โอนกันได้  และไม่ตกสืบไปถึงทายาท เว้นแต่สิทธินั้นจะได้รับสภาพกันไว้โดยสัญญาหรือได้เริ่มฟ้องคดีตามสิทธินั้นแล้ว

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้  คือ

(ก)  นางผอมจะเรียกให้ใครรับผิดในความเสียหายได้หรือไม่  อย่างไร  เห็นว่า  การที่นางอ้วนสาดน้ำกาแฟที่ร้อนจัดมากใส่นางผอม  จนทำให้นางผอมหน้าเสียโฉมนั้น  การกระทำของนางอ้วนถือว่าเป็นการกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย  ทำให้เขาเสียหายต่อร่างกาย  และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของนางอ้วน  จึงถือว่านางอ้วนได้กระทำละเมิดต่อนางผอมตามมาตรา  420  จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางผอม  ดังนั้น  นางผอมจึงเรียกให้นางอ้วนรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม  นางผอมจะเรียกให้นางอมรารับผิดร่วมกับนางอ้วนไม่ได้  เพราะถึงแม้นางอ้วนจะมีฐานะเป็นตัวแทนของนางอมราในการไปซื้อกาแฟ  แต่การที่นางอ้วนสาดน้ำกาแฟใส่นางผอมนั้น  เป็นเรื่องนอกเหนือไปจากขอบอำนาจตัวแทน  ดังนั้น  เมื่อไม่ได้เป็นเรื่องการทำละเมิดในขอบอำนาจตัวแทน  นางอมราตัวการจึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับนางอ้วนตามมาตรา  427  ประกอบมาตรา  425

(ข)  ตามบทบัญญัติมาตรา  446  วรรคแรก  ได้กำหนดไว้ว่า  บุคคลผู้ถูกกระทำละเมิดจนต้องได้รับความเสียหายแก่ร่างกาย  จะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินอีกก็ได้

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  นางผอมได้รับความเสียหายถึงกับหน้าเสียโฉม  จนไม่สามารถไปประกวดนางงามประจำคณะได้  อันถือเป็นความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน  ดังนั้น  นางผอมจึงสามารถเรียกค่าเสียโฉมทำให้ไม่สามารถไปประกวดนางงามที่คณะได้ตามมาตรา  446 วรรคแรก

(ค)  ตามบทบัญญัติมาตรา  445  นั้น  เป็นกรณีที่กฎหมายให้สิทธิแก่บุคคลภายนอกซึ่งเป็นนายจ้าง  ในการที่จะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากผู้ที่กระทำละเมิดต่อลูกจ้างของตน  จนเป็นเหตุให้ตนต้องขาดแรงงานเพราะการกระทำละเมิดนั้น  ดังนั้นตามข้อเท็จจริง  แม้นางผอมจะต้องขาดการงานเป็นเวลาหลายเดือน  นางผอมก็ไม่สามารถเรียกค่าขาดแรงงานตามมาตรา  445  จากนางอ้วนได้  เพราะผู้ที่มีสิทธิเรียกค่าขาดแรงงานตามมาตรา  445  ในกรณีนี้  ก็คือนายจ้างของนางผอม

สรุป

(ก)  นางผอมเรียกให้นางอ้วนรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นได้  แต่จะเรียกให้นางอมราร่วมรับผิดในความเสียหายดังกล่าวไม่ได้

(ข)  นางผอมสามารถเรียกค่าเสียโฉม  ทำให้ไม่สามารถไปประกวดนางงามประจำคณะได้

(ค)  นางผอมจะเรียกค่าขาดแรงงานตามมาตรา  445  ไม่ได้

 

 

ข้อ  3 

(ก)  นายบุญถึงผู้เยาว์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายบุญมาและนางบุญมี  มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดสุโขทัย  นายบุญมาและนางบุญมีได้ส่งนายบุญถึงมาเรียนหนังสือที่จังหวัดนครสวรรค์  โดยฝากให้พักอาศัยอยู่กับนายบุญมากตาของนายบุญถึง  นายบุญถึงชอบเล่นปืนลูกกรดของนายบุญมาก  และนำปืนไปยิงนกเล่นอยู่เป็นประจำ  โดยนายบุญมากมิได้ว่ากล่าวห้ามปราม  วันหนึ่งนายบุญถึงเอาปืนลูกกรดดังกล่าวไปยิงนกเล่นในทุ่งนา  กระสุนปืนพลาดเลยไปถูกวัวของนายบุญหนัก  ซึ่งกำลังกินหญ้าอยู่กลางทุ่งนาถึงแก่ความตาย

ดังนี้  นายบุญหนักจะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้ใดได้บ้าง  อย่างไร

(ข)  นาย  ก  และนาง  ข  อยู่กินด้วยกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส  มีบุตรคนหนึ่งคือเด็กชายแดง  เมื่อนาง  ข  คลอดเด็กชายแดงแล้ว  ต่อมาถึงแก่ความตาย  นาย  ก  ยินยอมให้เด็กชายแดงใช้นามสกุลของนาย  ก  แต่นาย  ก  ไม่เคยอุปการะเลี้ยงดูเด็กชายแดงเลย  วันเกิดเหตุจำเลยขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนนาย  ก  ถึงแก่ความตาย

ดังนี้  เด็กชายแดงจะฟ้องเรียกค่าปลงศพจากจำเลยได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ข้อ  (ก)

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี  เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  429  บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด  บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น

มาตรา  430  ครูบาอาจารย์  นายจ้าง  หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดี  ชั่วครั้งชั่วคราวก็ดี  จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด  ซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน  ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้นๆ  มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายบุญถึงเอาปืนลูกกรดไปยิงนกเล่นในทุ่งนา  แต่กระสุนพลาดไปถูกวัวของนายบุญหนักถึงแก่ความตายนั้น  การกระทำของนายบุญถึงถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย  ทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สิน  และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของนายบุญถึง  จึงถือว่านายบุญถึงได้กระทำละเมิดต่อนายบุญหนักตามมาตรา  420  จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายบุญหนัก  แม้นายบุญถึงจะเป็นผู้เยาว์อันถือเป็นผู้ไร้ความสามารถก็ตาม  ตามมาตรา  429 

และเมื่อปรากฏว่า  ในขณะที่นายบุญถึงทำละเมิดนั้น  นายบุญถึงอยู่ในความดูแลของนายบุญมาก  คุณตาของตน  นายบุญมากจึงถือเป็นผู้รับดูแลตามมาตรา  430  และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่านายบุญมากได้รู้ว่า  นายบุญถึงหลานของตนชอบเล่นปืน  และเอาปืนไปยิงนกเล่นเป็นประจำ  แต่กลับมิได้ว่ากล่าวห้ามปราม  นายบุญมากจึงเป็นผู้ที่ขาดความระมัดระวังในการดูแลหลานซึ่งเป็นผู้เยาว์และผู้ไร้ความสามารถ  จึงต้องรับผิดร่วมกับนายบุญถึง  ตามมาตรา  430

ส่วนกรณีของนายบุญมาและนางบุญมี  บิดามารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายบุญถึงนั้น  แม้จะมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องอบรมดูแลว่ากล่าวสั่งสอนบุตรผู้เยาว์ก็ตาม  แต่ขณะเกิดเหตุนั้น  นายบุญถึงซึ่งเป็นบุตรได้อยู่ในความดูแลของนายบุญมากซึ่งเป็นคุณตา  นายบุญมาและนางบุญมีมิได้ปกครองดูแลอยู่  ดังนั้น  จะถือว่านายบุญมาและนางบุญมีขาดความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้นมิได้ นายบุญมาและนางบุญมีจึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับนายบุญถึงในผลแห่งละเมิดนั้น  ตามมาตรา  429 

สรุป 

นายบุญหนักสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากนายบุญถึงและนายบุญมากได้  แต่จะเรียกร้องจากนายบุญมาและนางบุญมีไม่ได้

ข้อ  (ข)

มาตรา  443  ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น  ค่าสินไหมทดแทนได้แก่  ค่าปลงศพ  รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นๆอีกด้วย

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  443  วรรคแรก  ผู้ที่มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพจะต้องเป็นทายาทของผู้ตาย  ซึ่งกรณีที่บุตรเรียกเอาค่าปลงศพของบิดานั้น  บุตรดังกล่าวจะต้องเป็นผู้สืบสันดานของบิดาตามกฎหมายด้วย  (ป.พ.พ.  มาตรา  1629 (1))  กล่าวคือ  จะต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา  หรือเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  และนาง  ข  อยู่กินด้วยกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส  และมีบุตรคนหนึ่งคือ  เด็กชายแดงนั้น  กรณีนี้ย่อมถือว่าเด็กชายแดงเป็นบุตรนอกกฎหมายของนาย  ก  แต่เมื่อนาย  ก  ยินยอมให้เด็กชายแดงใช้นามสกุลของตน  ย่อมถือว่าเด็กชายแดงเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาให้การรับรองโดยพฤติการณ์แล้ว  จึงส่งผลให้เด็กชายแดงเป็นผู้สืบสันดานและเป็นทายาทของนาย  ก  ผู้ตาย  (ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1629(1))    ดังนั้น  เมื่อจำเลยกระทำละเมิดโดยการขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนนาย  ก  ถึงแก่ความตาย เด็กชายแดงจึงฟ้องเรียกค่าปลงศพจากจำเลยได้ตามมาตรา  443  วรรคแรก

สรุป  เด็กชายแดงฟ้องเรียกค่าปลงศพจากจำเลยได้ 

 

 

ข้อ  4  นายหนึ่งเจ้าของฟาร์มม้าแข่งสายพันธุ์ดีแห่งหนึ่งได้รับนายเม้ย  อายุ  16  ปี  เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง  มีหน้าที่ทำความสะอาดคอกม้า  โดยนายหนึ่งได้ให้นายเม้ยกินอยู่พักกับตน  อีกทั้งผู้ปกครองของนายเม้ยยังได้ฝากฝังนายเม้ยไว้ในความดูแลของนายหนึ่ง  ต่อมาวันหนึ่งในตอนค่ำหลังเวลาเลิกงานแล้ว  นายเม้ยได้แอบนำม้าในคอกออกไปทดลองขี่บริเวณทุ่งแถวฟาร์ม  เมื่อนายเม้ยได้ขึ้นขี่ม้าแล้ว  นายเม้ยยังได้พยายามกระทุ้งสีข้างม้าให้วิ่งเร็วๆ  ด้วยความคึกคะนองทั้งที่ตนเองไม่เคยมีประสบการณ์ในการขี่ม้าเลย  ปรากฏว่าขณะที่นายเม้ยซึ่งกำลังควบม้าด้วยความเร็วสูงอยู่นั้น  นายเม้ยไม่สังเกตเห็นนางสาวริน  จึงควบม้าพุ่งเข้าชนนางสาวรินโดยแรงเป็นเหตุให้นางสาวรินตกลงไปในบึงน้ำ  นางสาวรินได้ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ  นายเก่งซึ่งเป็นนักกีฬาว่ายน้ำเหรียญทองตัวแทนเขตที่เห็นเหตุการณ์แต่มิได้ลงไปช่วยเหลือนางสาวรินแต่อย่างใด  นางสาวรินจมน้ำถึงแก่ความตาย  ดังนี้  จงวินิจฉัยว่านายเม้ย  นายหนึ่ง  นายเก่ง  ต้องรับผิดทางละเมิดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี  เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  425  นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด  ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น

มาตรา  430  ครูบาอาจารย์  นายจ้าง  หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดี  ชั่วครั้งชั่วคราวก็ดี  จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด  ซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน  ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้นๆ  มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร

มาตรา  433  ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์  ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่สัตว์นั้น  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

อนึ่ง  บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น  จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด  หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้าหรือยั่วสัตว์นั้นๆก็ได้

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ของการกระทำอันเป็นการละเมิดตามมาตรา  420  ประกอบด้วย

1       เป็นบุคคลที่มี  การกระทำ  โดยรู้สำนึก  และได้กระทำโดยการเคลื่อนไหวร่างกายหรือโดยการงดเว้นก็ได้  ซึ่งได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ

2       ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย

3       มีความเสียหายต่อชีวิต  ร่างกาย  อนามัย  เสรีภาพ  ทรัพย์สิน  หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด

4       ผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำ

กรณีตามอุทาหรณ์  นายเม้ย  นายหนึ่ง  และนายเก่ง  จะต้องรับผิดในทางละเมิดหรือไม่  แยกวินิจฉัยได้ดังนี้  คือ

1       กรณีของนายเม้ย

ตามข้อเท็จจริง  การที่นายเม้ยควบม้าด้วยความเร็วสูงทั้งที่ตนเองไม่เคยมีประสบการณ์ในการขี่ม้ามาก่อน  จนเป็นเหตุให้ม้าพุ่งเข้าชนนางสาวรินตกลงไปในบึงน้ำ  และจมน้ำถึงแก่ความตายนั้น  การกระทำของนายเม้ยถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย  ทำให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิต  และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของนายเม้ย  จึงถือว่านายเม้ยได้กระทำละเมิดต่อนางสาวริน  ตามมาตรา  420  จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางสาวริน  และกรณีนี้ไม่ใช่ความรับผิดในความเสียหายอันเกิดขึ้นเพราะสัตว์  เนื่องจากความรับผิดตามมาตรา  433  จะต้องเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสัตว์นั้นเอง  ที่เป็นต้นเหตุทำให้เกิดความเสียหายขึ้น

2       กรณีของนายหนึ่ง

ตามข้อเท็จจริง  แม้ว่านายหนึ่งจะเป็นนายจ้างของนายเม้ย  แต่ตอนที่นายเม้ยแอบนำม้าออกไปขี่นั้น  เป็นเวลาหลังเลิกงานแล้ว  จึงถือเป็นการกระทำละเมิดนอกทางการที่จ้าง  นายหนึ่งผู้เป็นนายจ้างจึงไม่ต้องร่วมกับนายเม้ยตามมาตรา  425 

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่นายหนึ่งได้ให้นายเม้ยกินอยู่พักอาศัยกับตน  อีกทั้งผู้ปกครองของนายเม้ยยังได้ฝากฝังนายเม้ยไว้ให้อยู่ในความดูแลของนายหนึ่งนั้น  ย่อมทำให้นายหนึ่งมีฐานะเป็นนายจ้าง  ผู้รับดูแลนายเม้ยลูกจ้างผู้เยาว์  (ผู้ไร้ความสามารถ)  ดังนั้น  นายหนึ่งจึงต้องร่วมรับผิดกับนายเม้ยซึ่งได้กระทำละเมิดในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตนตามมาตรา  430  หากพิสูจน์ได้ว่านายหนึ่งมิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร

3       กรณีของนายเก่ง

ตามข้อเท็จจริง  การที่นายเก่งซึ่งเป็นนักกีฬาว่ายน้ำเหรียญทองตัวแทนเขตเห็นนางสาวรินกำลังจะจมน้ำแต่งดเว้นมิได้เข้าช่วยเหลือ  ซึ่งนายเก่งสามารถช่วยได้โดยไม่ควรกลัวอันตรายนั้น  กรณีนี้เมื่อปรากฏว่านายเก่งไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องช่วยเหลือนางสาวรินแต่อย่างใด  ดังนั้น  การที่นายเก่งงดเว้นไม่เข้าช่วยเหลือนางสาวริน  จึงไม่ถือว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อนางสาวรินตามมาตรา  420  นายเก่งจึงไม่ต้องรับผิดในทางละเมิด  (แต่อาจมีความผิดลหุโทษ  ตาม  ป.อ.  มาตรา  374)

สรุป  นายเม้ย  และนายหนึ่งต้องรับผิดในทางละเมิดต่อนางสาวริน  ส่วนนายเก่งไม่ต้องรับผิดในทางละเมิดต่อนางสาวริน

LAW2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด 2/2554

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2003 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  เด็กชายโค่ง  อายุ  12  ขวบ  อยู่ในความดูแลของยายใสเป็นเวลาสองวันเพราะนางสวยมารดาของเด็กชายโค่งต้องไปต่างจังหวัด  จึงนำบุตรมาฝากให้ยายเลี้ยง  เด็กชายโค่งเป็นเด็กเกเร  ชอบคบเพื่อนเกเร  ซึ่งยายใสก็ตามใจหลานเพราะรักและเอ็นดูหลาน

วันเกิดเหตุ  เด็กชายโค่งได้นัดหมายเด็กชายเอกและเด็กชายโทซึ่งอยู่ในวัยเดียวกันไปจุดพลุหลายดอก  แล้วโยนเข้าไปในบ้านของนายโชคร้าย  ทำให้ทรัพย์สินของนายโชคร้ายเสียหาย  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายโชคร้ายจะเรียกให้ใครรับผิดได้บ้าง  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี   อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี  ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  429  บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด  บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น

มาตรา  430  ครูบาอาจารย์  นายจ้าง  หรือบุคคลอื่นซึ่งรับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถอยู่เป็นนิตย์ก็ดี  ชั่วครั้งชั่วคราวก็ดี  จำต้องรับผิดร่วมกับผู้ไร้ความสามารถในการละเมิด  ซึ่งเขาได้กระทำลงในระหว่างที่อยู่ในความดูแลของตน  ถ้าหากพิสูจน์ได้ว่าบุคคลนั้นๆ  มิได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควร

มาตรา  432  ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทำละเมิด  ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น  ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจำพวกที่ทำละเมิดร่วมกันนั้น  คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย

อนึ่ง  บุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทำละเมิด  ท่านก็ให้ถือว่าเป็นผู้กระทำละเมิดร่วมกันด้วย

ในระหว่างบุคคลทั้งหลายซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น  ท่านว่าต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน  เว้นแต่โดยพฤติการณ์  ศาลจะวินิจฉัยเป็นประการอื่น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่เด็กชายโค่งได้นัดหมายกับเด็กชายเอกและเด็กชายโท  ซึ่งอยู่ในวัยเดียวกัน  ไปจุดพลุหลายดอก  แล้วโยนเข้าไปในบ้านของนายโชคร้าย  จนทำให้ทรัพย์สินของนายโชคร้ายเสียหายนั้น  การกระทำของบุคคลทั้งสามถือว่าเป็นการร่วมกันกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สินและผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำดังกล่าว  จึงถือว่าบุคคลทั้งสามได้ร่วมกันทำละเมิดต่อนายโชคร้ายตามมาตรา  420  ประกอบมาตรา  432  จึงต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายโชคร้าย  ดังนั้น  นายโชคร้ายจึงเรียกให้เด็กชายโค่ง  เด็กชายเอก  และเด็กชายโทร่วมกันรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้

และเมื่อปรากฏว่า  เด็กชายโค่งซึ่งเป็นผู้ไร้ความสามารถ  (ผู้เยาว์)  อยู่ในความดูแลของยายใส  และยายใสไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรในการดูแลเด็กชายโค่ง  ดังนั้น  นายโชคร้ายจึงเรียกร้องให้ยายใสร่วมรับผิดกับเด็กชายโค่งได้  เพราะถือเป็นผู้รับดูแลบุคคลผู้ไร้ความสามารถตามมาตรา  430  แม้จะเป็นการดูแลเพียงชั่วคราวก็ตาม

นอกจากนี้เมื่อปรากฏว่า  เด็กชายโค่งเป็นบุตรของนางสวย  ดังนั้น  นายโชคร้ายจึงมีสิทธิเรียกร้องให้นางสวยมารดาของเด็กชายโค่งซึ่งเป็นผู้ไร้ความสามารถ  (ผู้เยาว์)  รับผิดร่วมกับเด็กชายโค่งอีกด้วยตามมาตรา  429  แต่นางสวยก็สามารถยกข้อต่อสู้ขึ้นอ้างได้ตามมาตรา  429  ตอนท้ายที่ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังในการดูแลผู้เยาว์แล้วด้วยการนำไปฝากยายเลี้ยงไว้ในขณะที่ตนไม่อยู่บ้าน

สรุป  นายโชคร้ายสามารถเรียกให้เด็กชายโค่ง  เด็กชายเอก  และเด็กชายโท  ร่วมกันรับผิดตามมาตรา  420  ประกอบมาตรา  432  และเรียกให้ยายใสร่วมรับผิดกับเด็กชายโค่ง  ตามมาตรา  430  รวมทั้งเรียกให้นางสวยร่วมรับผิดกับเด็กชายโค่งได้  ตามมาตรา  429

 

 

ข้อ  2  นางอ้อมได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับนายโจ๋ซึ่งคบหาชอบพอกับนางสาวแอมบุตรสาวของนางอ้อมว่านายโจ๋เป็นพ่อค้ายาเสพติด  เคยติดคุกตะรางเพราะยาเสพติดมาแล้ว  ด้วยความเป็นห่วงบุตรสาว  นางอ้อมจึงรีบกลับมาที่บ้านพักกล่าวต่อหน้านางสาวแอมว่า

“อย่าคบหากับนายโจ๋ต่อไปเลยเพราะนายโจ๋เป็นพ่อค้ายาเสพติด  เคยติดคุกติดตะรางเพราะยาเสพติดมาแล้ว”  นายเป้ผู้ซึ่งแอบปีนเข้ามาในบริเวณบ้านของนางอ้อมได้ยินข้อความดังกล่าว  จึงนำไปกล่าวต่อนายป๊อดว่า  “นายโจ๋เป็นพ่อค้ายาเสพติด  เคยติดคุกติดตะรางเพราะยาเสพติดมาแล้ว”  แต่ในความเป็นจริงนายโจ๋ไม่เคยข้องแวะเกี่ยวกับยาเสพติดใดๆ  และไม่เคยติดคุกแต่อย่างใด

จงวินิจฉัยว่า  นายโจ๋จะเรียกให้นางอ้อมและนายเป้รับผิดฐานหมิ่นประมาทต่อตนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  423  ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง  เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่การนั้น  แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง  แต่หากควรจะรู้ได้

ผู้ใดส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง  หากว่าตนเองหรือผู้รับข่าวสารนั้นมีทางได้เสียโดยชอบในการนั้นด้วยแล้ว  ท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสารเช่นนั้นหาทำให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ความรับผิดเพื่อละเมิดตามมาตรา  423  วรรคแรก  (หมิ่นประมาททางแพ่ง)  มีดังนี้

1       เป็นการกล่าวหรือไขข่าวข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง

2       ทำให้แพร่หลาย  กล่าวคือ  กระทำต่อบุคคลที่สามคนเดียวก็ถือว่าแพร่หลายแล้ว  โดยบุคคลที่สามต้องสามารถเข้าใจคำกล่าวหรือการไขข่าวนั้นได้

3       มีความเสียหายต่อชื่อเสียง  เกียรติคุณ  ทางทำมาหาได้  หรือทางเจริญของบุคคลอื่น

4       มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล

ตามอุทาหรณ์  กรณีที่นางอ้อมได้กล่าวต่อนางสาวแอมบุตรสาวนั้น  ถือได้ว่าเป็นการกล่าวข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง  ทำให้ข้อความนี้แพร่หลายต่อบุคคลที่สาม  คือ  นางสาวแอม  และเป็นที่เสียหายต่อชื่อเสียงของนายโจ๋  อันถือเป็นการหมิ่นประมาทนายโจ๋  ตามมาตรา  423  วรรคแรกแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม  นางอ้อมนั้นเป็นมารดาของนางสาวแอม  เมื่อได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับนายโจ๋  จึงรีบกลับมาบอกบุตรสาวด้วยความเป็นห่วง  ถือเป็นกรณีที่นางอ้อมส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง  โดยนางอ้อมมีทางได้เสียโดยชอบในการส่งข่าวสารนี้  เพราะมารดาย่อมมีทางได้เสียโดยชอบในเรื่องคู่ครองของบุตร  ดังนั้น  นางอ้อมจึงไม่ต้องรับผิดต่อนายโจ๋ตามมาตรา  423  วรรคสอง

ส่วนกรณีที่นายเป้แอบปีนเข้ามาในบริเวณบ้านของนางอ้อม  และได้ยินข้อความดังกล่าวนั้น  ไม่อาจถือได้ว่านายเป้เป็นบุคคลที่สาม  เพราะนางอ้อมมิได้ตั้งใจจะให้นายเป้รับรู้ในข้อความดังกล่าว  จึงไม่ถือว่านางอ้อมทำให้ข้อความนั้นแพร่หลายต่อบุคคลที่สาม  อันจะถือเป็นการหมิ่นประมาทนายโจ๋ตามมาตรา  423  วรรคแรก  ดังนั้น  นางอ้อมจึงไม่ต้องรับผิดต่อนายโจ๋ในกรณีนี้เช่นกัน

กรณีที่นายเป้ได้ยินข้อความดังกล่าวแล้วนำไปพูดต่อนั้นย่อมถือเป็นการกล่าวเช่นเดียวกัน  เมื่อได้กล่าวต่อบุคคลที่สามคือ  นายป๊อด  และข้อความนั้นฝ่าฝืนต่อความเป็นจริงและเป็นที่เสียหายต่อชื่อเสียงของนายโจ๋  ดังนั้น  นายเป้จึงต้องรับผิดฐานหมิ่นประมาทต่อนายโจ๋ตามมาตรา  423  วรรคแรก  และในกรณีนี้  นายเป้ไม่อาจอ้างข้อยกเว้นความรับผิดตามมาตรา  423  วรรคสองได้  เพราะนายเป้หรือนายป๊อดไม่มีทางได้เสียโดยชอบในเรื่องดังกล่าว

สรุป  นายโจ๋เรียกร้องให้นายเป้รับผิดฐานหมิ่นประมาทต่อตนได้  แต่จะเรียกร้องให้นางอ้อมรับผิดฐานหมิ่นประมาทต่อตนไม่ได้

 

 

ข้อ  3  ณเดชท้าบัวขาวแข่งรถกัน  ระหว่างแข่งรถกันนั้น  ทั้งสองฝ่ายต่างขับรถด้วยความเร็วสูงทำให้รถเสียหลัก  และรถทั้งสองคันพุ่งเข้าชนกำแพงบ้านของเอกชัย  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  เอกชัยจะเรียกให้ใครรับผิดได้บ้างอย่างไร  และหากว่า

ณเดชได้จ่ายเงินค่าซ่อมกำแพงให้แก่เอกภาพซึ่งเดินออกมาจากบ้านของเอกชัย  และต่อว่าทุกคนว่าขับรถมาทำให้กำแพงพัง  โดยจ่ายเต็มจำนวนค่าเสียหาย  ดังนี้  ณเดชจะยังต้องรับผิดต่อเอกชัยอีกหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  301  ถ้าบุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้  ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกัน

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี   อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี  ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  432  ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทำละเมิด  ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น  ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจำพวกที่ทำละเมิดร่วมกันนั้น  คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย

อนึ่ง  บุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทำละเมิด  ท่านก็ให้ถือว่าเป็นผู้กระทำละเมิดร่วมกันด้วย

ในระหว่างบุคคลทั้งหลายซึ่งต้องรับผิดร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น  ท่านว่าต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน  เว้นแต่โดยพฤติการณ์  ศาลจะวินิจฉัยเป็นประการอื่น

มาตรา  441  ถ้าบุคคลจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  เพราะเอาสังหาริมทรัพย์ของเขาไปก็ดี  หรือเพราะทำของเขาให้บุบสลายก็ดี  เมื่อใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลซึ่งเป็นผู้ครองทรัพย์นั้นอยู่ในขณะที่เอาไป  หรือขณะที่ทำให้บุบสลายนั้นแล้ว ท่านว่าเป็นอันหลุดพ้นไปเพราะการที่ได้ใช้ให้เช่นนั้นแม้กระทั่งบุคคลภายนอกจะเป็นเจ้าของทรัพย์หรือมีสิทธิอย่างอื่นเหนือทรัพย์นั้น  เว้นแต่สิทธิของบุคคลภายนอกเช่นนั้นจะเป็นที่รู้อยู่แก่ตน  หรือมิได้รู้เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของตน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  ณเดชและบัวขาวได้ชื่อว่าเป็นผู้ร่วมกันทำละเมิดหรือไม่  เห็นว่า  การจะถือว่าเป็นการ  “ร่วมกันทำละเมิด”  ตามบทบัญญัติมาตรา  432  นั้น  จะต้องเป็นกรณีที่ผู้กระทำร่วมมือร่วมใจกันกระทำมาตั้งแต่ต้น  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าณเดชและบัวขาวต่างคนต่างประมาทเลินเล่อจนทำให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่เอกชัย  จึงไม่อาจถือได้ว่าทั้งสองมีเจตนาร่วมกันในการกระทำ  หรือได้ร่วมมือร่วมใจกันในการกระทำ  อันจะเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดตามมาตรา  432  ดังนั้น  ณเดชและบัวขาวจึงมีความผิดฐานต่างคนต่างกระทำละเมิดต่อเอกชัยโดยประมาทเลินเล่อตามมาตรา  420

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  ณเดชและบัวขาวต้องร่วมกันรับผิดหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อถือว่าทั้งสองไม่ได้ร่วมกันกระทำละเมิด  ทั้งสองจึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดตามมาตรา  432  อย่างไรก็ดี  เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความเสียหายที่ไม่อาจแบ่งแยกความรับผิดกันได้ว่า  ณเดชและบัวขาวก่อให้เกิดความเสียหายในส่วนใดอย่างไร  ความรับผิดของณเดชและบัวขาวจึงต้องเป็นความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามมาตรา  301

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า  ณเดชจะหลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้ต่อเอกชัยหรือไม่  เห็นว่า  การที่ณเดชจ่ายเงินค่าซ่อมกำแพงให้แก่เอกภาพนั้นถือเป็นเรื่องการใช้หนี้ผิดตัว  กล่าวคือ  เป็นการใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ที่ไม่ใช่ผู้เสียหายที่แท้จริง  ซึ่งตามมาตรา  441  บัญญัติให้สิทธิแก่ผู้ทำละเมิดซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายว่าให้เป็นอันหลุดพ้นในความรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนไปนั้น  ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าเป็นกรณีที่มีความเสียหายต่อ  “สังหาริมทรัพย์”  และเป็นการใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่  “ผู้ครองทรัพย์”  ในขณะนั้น  รวมทั้งต้องเป็นการใช้ให้ไปโดย  “ปราศจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง”  ด้วยเท่านั้น  ดังนั้น  เมื่อปรากฏว่ากำแพงบ้านไม่ใช่เป็นสังหาริมทรัพย์  จึงไม่เข้าเงื่อนไขที่ทำให้ณเดชหลุดพ้นจากการชำระหนี้ละเมิดต่อผู้เสียหายที่แท้จริงคือเอกชัยได้  ณเดชจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับเอกชัยอีก

สรุป  ณเดชยังต้องรับผิดต่อเอกชัยอีก

 

 

ข้อ  4  นาย  ก  และนาง  ข  อยู่กินด้วยกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส  มีบุตรคนหนึ่งคือเด็กชายแดง  เมื่อนาง  ข  คลอดเด็กชายแดงแล้วต่อมาถึงแก่ความตาย  นาย  ก  ไม่ได้อุปการะเลี้ยงดูเด็กชายแดง  แต่นาย  ก  ส่งเสียเด็กชายแดงให้ได้เรียนหนังสือ  วันเกิดเหตุ  นายโหดขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อ  ชนนาย  ก  ถึงแก่ความตาย  ดังนี้  เด็กชายแดงจะเรียกค่าปลงศพจากนายโหดได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  443  วรรคแรก  ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น  ค่าสินไหมทดแทนได้แก่  ค่าปลงศพ  รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นๆอีกด้วย

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  443  วรรคแรก  ผู้ที่มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพจะต้องเป็นทายาทของผู้ตาย  ซึ่งกรณีที่บุตรเรียกเอาค่าปลงศพของบิดานั้น  บุตรดังกล่าวจะต้องเป็นผู้สืบสันดานของบิดาตามกฎหมายด้วย  (ป.พ.พ. มาตรา  1629  (1))  กล่าวคือ  จะต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา  หรือเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  และนาง  ข  อยู่กินด้วยกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส  และมีบุตรด้วยกันคนหนึ่งคือ  เด็กชายแดงนั้น ดังนี้ถือว่าเด็กชายแดงเป็นบุตรนอกกฎหมายของนาย  ก  แต่เมื่อนาย  ก  ส่งเสียเด็กชายแดงให้ได้เรียนหนังสือ  ย่อมถือว่าเด็กชายแดงเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาให้การรับรองโดยพฤติการณ์แล้ว  จึงส่งผลให้เด็กชายแดงเป็นผู้สืบสันดานและเป็นทายาทของนาย  ก  ผู้ตาย  (ตาม  ป.พ.พ. มาตรา  1627  และมาตรา  1629(1))  ดังนั้น  เมื่อนายโหดกระทำละเมิดโดยการขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนนาย  ก ถึงแก่ความตาย  เด็กชายแดงจึงเรียกร้องค่าปลงศพจากนายโหดได้ตามมาตรา  443  วรรคแรก

สรุป  เด็กชายแดงเรียกร้องค่าปลงศพจากนายโหดได้

LAW2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด S/2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2003 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  เอกชัยและเอกวิทย์เป็นเจ้าของร่วมในที่ดินซึ่งตกเป็นทางภาระจำยอมให้ทั้งสองคนใช้เป็นทางรถและใช้ในกิจการสาธารณูปโภคได้ โดยได้จดบันทึกภาระจำยอมไว้ที่พนักงานที่ดินแล้ว  เพียงแต่เอกชัยไม่ได้ลงชื่อไว้ในบันทึกเท่านั้น  ต่อมาอีกสองปี  เอกภาพได้สมัครเป็นลูกจ้างของเอกชัย  ทำหน้าที่ดูแลซ่อมแซมเครื่องจักรและสิ่งต่างๆภายในบริเวณโรงงาน

วันหนึ่ง  เอกชัยได้สั่งให้เอกภาพทำการปักเสาคอนกรีต  4  ต้น  ในทางซึ่งเอกภาพไม่ทราบว่าเป็นทางภาระจำยอมนั้น  รวมทั้งยังสั่งให้ทำคานบนเสาและติดป้ายห้ามรถเข้าออก  ห้ามปักเสาไฟฟ้าและท่อระบายน้ำด้วย  เมื่อเอกภาพกระทำตามคำสั่งของนายจ้าง  จึงทำให้เอกวิทย์ไม่สามารถนำรถเข้าออกผ่านทางภาระจำยอมนั้นได้  จะต้องขับอ้อมไปอีกทางหนึ่งซึ่งต้องเสียเวลาอีก  20  นาที

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าเอกวิทย์จะฟ้องร้องให้เอกชัยและเอกภาพรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี   อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี  ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  425  นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด  ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ของการกระทำอันเป็นการละเมิดตามมาตรา  420  ประกอบด้วย

1       เป็นบุคคลที่มี  การกระทำ  โดยรู้สำนึก  และได้กระทำโดยการเคลื่อนไหวร่างกายหรือโดยการงดเว้นก็ได้  ซึ่งได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ

2       ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย

3       มีความเสียหายต่อชีวิต  ร่างกาย  อนามัย  เสรีภาพ  ทรัพย์สิน  หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด

4       ผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำ

กรณีตามอุทาหรณ์  เอกวิทย์จะฟ้องร้องให้เอกชัยและเอกภาพรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดได้หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของเอกภาพ  การที่เอกภาพได้ทำการปักเสาคอนกรีต  4  ต้น  รวมทั้งทำคานบนเสาและติดป้ายห้ามรถเข้าออกในทางภาระจำยอม จนทำให้เอกวิทย์ไม่สามารถนำรถเข้าออกผ่านทางภาระจำยอมนั้นได้  แม้การกระทำของเอกภาพจะทำให้เอกวิทย์ได้รับความเสียหายก็ตาม  แต่เมื่อเอกภาพได้กระทำตามคำสั่งของนายจ้างโดยไม่ทราบว่าเป็นทางภาระจำยอม  จะถือว่าเอกภาพได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้เอกวิทย์ได้รับความเสียหายไม่ได้  การกระทำของเอกภาพจึงไม่เป็นการทำละเมิดตามมาตรา  420  ดังนั้นเอกวิทย์จะฟ้องร้องให้เอกภาพรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดไม่ได้

กรณีของเอกชัย  เมื่อการกระทำของเอกภาพซึ่งเป็นลูกจ้างไม่ถือว่าเป็นการทำละเมิดต่อเอกวิทย์  ดังนั้นเอกชัยซึ่งเป็นนายจ้างจึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดกับเอกภาพ  เพราะตามมาตรา  425  นั้นนายจ้างจะต้องรับผิดร่วมกันกับลูกจ้างก็ต่อเมื่อลูกจ้างได้ทำละเมิดต่อบุคคลอื่น  และได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้นด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่เอกชัยได้สั่งให้เอกภาพกระทำการดังกล่าวทั้งที่ทราบว่าเป็นทางภาระจำยอมและจะทำให้เอกวิทย์ได้รับความเสียหายต่อสิทธิในการใช้ทางภาระจำยอมนั้น  ดังนั้นจึงถือว่าเอกชัยได้ทำละเมิดต่อเอกวิทย์ตามมาตรา  420  ด้วยตนเองโดยใช้เอกภาพเป็นเครื่องมือในการทำละเมิด  เอกวิทย์จึงสามารถฟ้องร้องให้เอกชัยรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดได้ตามมาตรา  420

สรุป  เอกวิทย์สามารถฟ้องร้องให้เอกชัยรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนฐานละเมิดได้ตามมาตรา  420  แต่จะฟ้องร้องเอกภาพไม่ได

 

 

ข้อ  2  นายกุ้งเขียนจดหมายส่งไปถึงนายปลาซึ่งอยู่ต่างจังหวัด  ในจดหมายมีข้อความว่า  “นายหมึกเป็นคนไม่ดี  เคยค้ายาเสพติดและเคยติดคุกติดตะรางมาแล้ว”  เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์นำจดหมายไปส่งที่บ้านของนายปลา

ปรากฏว่านายปลาไม่อยู่บ้าน  มีเพียงนายหอยซึ่งเพิ่งเดินทางมาจากจังหวัดใกล้เคียงมาพักอยู่กับนายปลาที่เป็นเพื่อนกัน  เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จึงยื่นจดหมายให้กับนายหอย  นายหอยรับจดหมายมาแล้ว  ต่อมาได้แกะจดหมายออกอ่าน  จึงทราบข้อความในจดหมายทุกประการ  ข้อเท็จจริงได้ความว่านายหมึกเป็นคนดี  ไม่เคยค้ายาเสพติดและไม่เคยติดคุกแต่ประการใด  และกำลังจะลงสมัคร  ส.ส.

ดังนี้นายกุ้งต้องรับผิดทางละเมิดโดยการกล่าวหรือไขข่าวหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  423  วรรคแรก  ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง  เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี  หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่การนั้น  แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง  แต่หากควรจะรู้ได้

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ความรับผิดเพื่อละเมิดตามมาตรา  423  วรรคแรก  (หมิ่นประมาททางแพ่ง)  มีดังนี้

1       เป็นการกล่าวหรือไขข่าวข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง

2       ทำให้แพร่หลาย  กล่าวคือ  กระทำต่อบุคคลที่สามคนเดียวก็ถือว่าแพร่หลายแล้ว  โดยบุคคลที่สามต้องสามารถเข้าใจคำกล่าวหรือการไขข่าวนั้นได้

3       มีความเสียหายต่อชื่อเสียง  เกียรติคุณ  ทางทำมาหาได้  หรือทางเจริญของบุคคลอื่น

4       มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล

สำหรับ  “บุคคลที่สาม”  ที่จะทำให้การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายนั้น  หมายความถึง  บุคคลที่ได้ยินหรือได้ฟังหรือได้เห็น  หรือได้อ่านข้อความที่มีการกล่าวหรือไขข่าว  โดยบุคคลนั้นมิใช่ผู้ที่ถูกใส่ความ  แต่ทั้งนี้ต้องไม่ใช่ผู้ร่วมกระทำละเมิด  หรือสามีภริยาซึ่งกันและกัน  หรือผู้แอบดู  แอบฟัง  หรือแอบรู้เห็นโดยละเมิดซึ่งเป็นบุคคลผู้ไม่ควรเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องของผู้อื่น  โดยที่ผู้กล่าวหรือไขข่าวมิได้ตั้งใจจะให้ผู้ใดมาล่วงรู้หรือต้องการให้รู้กันเฉพาะกลุ่มของตน

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  นายกุ้งจะต้องรับผิดทางละเมิดโดยการกล่าวหรือไขข่าวหรือไม่  เห็นว่า  การที่นายกุ้งเขียนจดหมายส่งไปถึงนายปลาซึ่งอยู่ต่างจังหวัดโดยมีข้อความว่า  “นายหมึกเป็นคนไม่ดี  เคยค้ายาเสพติดและเคยติดคุกติดตะรางมาแล้ว”  ซึ่งเป็นข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงเพราะข้อเท็จจริงได้ความว่านายหมึกเป็นคนดี  ไม่เคยค้ายาเสพติดและไม่เคยติดคุกแต่อย่างใด  ถือว่าการกระทำของนายกุ้งเข้าลักษณะการไขข่าวแล้ว

แต่อย่างไรก็ดี  การไขข่าวของนายกุ้งไม่ได้แพร่หลาย  เพราะไม่ได้กระทำต่อบุคคลที่สาม  เนื่องจากการที่นายกุ้งส่งจดหมายไปให้นายปลาแต่นายปลาไม่อยู่บ้าน  นายหอยซึ่งเป็นเพื่อนของนายปลาได้รับจดหมายไว้แทนและได้แกะจดหมายออกอ่าน  ถือว่านายหอยเป็นผู้แอบดู  แอบรู้เห็นโดยละเมิดมิใช่บุคคลที่นายกุ้งจงใจจะไขข่าวให้ทราบ  กรณีนี้จึงไม่ถือว่านายหอยเป็นบุคคลที่สาม  และเมื่อการไขข่าวของนายกุ้งไม่ได้แพร่หลาย  ดังนั้นการกระทำของนายกุ้งจึงไม่เป็นการทำละเมิดโดยการไขข่าวแพร่หลายอันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาททางแพ่งตามมาตรา  423  นายกุ้งจึงไม่ต้องรับผิดทางละเมิดโดยการกล่าวหรือไขข่าว

สรุป  นายกุ้งไม่ต้องรับผิดทางละเมิดโดยการกล่าวหรือไขข่าวตามมาตรา  423 

 

 

ข้อ  3  นางสุดสวยเลี้ยงลูกแมวอยู่ในห้องพักของตนที่คอนโดมิเนียมแห่งหนึ่ง  วันหนึ่งนางสุดสวยเตะลูกแมว  แล้วลูกแมววิ่งไปชนกระถางต้นไม้ของตนที่วางอยู่บนระเบียงห้องพัก  ทำให้กระถางต้นไม้หล่นใส่ศีรษะของนายอึ่งอ่างที่นั่งเล่นอยู่ข้างล่าง  และนายอึ่งอ่างศีรษะแตก

ดังนี้หากนายอึ่งอ่างมาปรึกษาท่านว่าไม่เห็นว่าใครทำกระถางต้นไม้หล่นใส่ตนแต่เห็นลูกแมวร้อง  และเห็นว่าเป็นกระถางต้นไม้ที่อยู่ในความครอบครองของนางสุดสวยเท่านั้น  ท่านจะแนะนำให้นายอึ่งอ่างเรียกค่าสินไหมทดแทนในเหตุละเมิดกับผู้ใดได้บ้างหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี   อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี  ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  433  ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์  ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่สัตว์นั้น …

มาตรา  436  บุคคลผู้อยู่ในโรงเรือนต้องรับผิดชอบในความเสียหายอันเกิดเพราะของตกหล่นจากโรงเรือนนั้น  หรือเพราะทิ้งขว้างของไปตกในที่อันมิควร

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นางสุดสวยเตะลูกแมวแล้วลูกแมววิ่งไปชนกระถางต้นไม้ของตนที่วางอยู่บนระเบียงห้องพัก  ทำให้กระถางต้นไม้หล่นใส่ศีรษะของนายอึ่งอ่างที่นั่งเล่นอยู่ข้างล่างและนายอึ่งอ่างศีรษะแตกนั้น  จะถือว่าเกิดจากการกระทำของนางสุดสวยไม่ได้  เพราะนางสุดสวยไม่ได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้นายอึ่งอ่างได้รับความเสียหายแก่ร่างกาย  อีกทั้งความเสียหายที่นายอึ่งอ่างได้รับก็ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผลของการกระทำแต่อย่างใด  ดังนั้นนายอึ่งอ่างจะเรียกค่าสินไหมทดแทนในเหตุละเมิดจากนางสุดสวยตามมาตรา  420  ไม่ได้

และการที่กระถางต้นไม้หล่นใส่ศีรษะของนายอึ่งอ่างนั้น  นายอึ่งอ่างก็ไม่เห็นว่าใครทำกระถางต้นไม้หล่นมาใส่ตนแต่เห็นเพียงลูกแมวร้องเท่านั้น  ดังนั้นกรณีดังกล่าวจะถือว่าความเสียหายที่นายอึ่งอ่างได้รับเกิดขึ้นเพราะสัตว์  ทำให้นางสุดสวยเจ้าของสัตว์ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายอึ่งอ่างตามมาตรา  433  ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่กระถางต้นไม้ที่นางสุดสวยวางอยู่บนระเบียงห้องพัก  ได้หล่นมาใส่ศีรษะของนายอึ่งอ่าง  จนทำให้นายอึ่งอ่างศีรษะแตกนั้น  ถือว่าเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา  436  ที่ว่าความเสียหาย  (ที่นายอึ่งอ่าวศีรษะแตก)  ได้เกิดขึ้นเพราะของตกหล่นจากโรงเรือน  ดังนั้นบุคคลผู้อยู่ในโรงเรือนนั้นต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น  กล่าวคือนางสุดสวยจะต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่กระถางต้นไม้ของตนได้หล่นใส่ศีรษะของนายอึ่งอ่างทำให้นายอึ่งอ่างศีรษะแตกนั่นเอง

สรุป  หากนายอึ่งอ่างมาปรึกษาข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจะแนะนำให้นายอึ่งอ่างเรียกค่าสินไหมทดแทนในเหตุละเมิดกับนางสุดสวยตามมาตรา  436  ตามเหตุผลที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

 

ข้อ  4  นายเอกชัยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวตั๊กแตน  มีบุตรด้วยกันหนึ่งคนชื่อนางสาวไฮ  โดยนายเอกชัยได้ให้นางสาวไฮใช้นามสกุลของตน  เมื่อนางสาวไฮมีอายุได้  15  ปี  1  เดือน  นายมนต์สิทธิ์ได้จดทะเบียนรับนางสาวไฮไปเป็นบุตรบุญธรรมโดยถูกต้องตามกฎหมาย  วันเกิดเหตุนายบันเทิงได้รับคำสั่งจากนายบรรเลงนายจ้างให้ขับรถบรรทุกเครื่องดนตรีจากกรุงเทพฯไปที่จังหวัดนครสวรรค์  ระหว่างทางนายบันเทิงได้แวะเยี่ยมลูกสาวที่อยุธยา  ปรากฏว่าด้วยความเร่งรีบ  เกรงว่าจะไปไม่ทันทำให้นายบันเทิงขับรถไปชนนางสาวไฮ  ขณะนั้นอายุ  21  ปีถึงแก่ความตาย  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า

1)     นายบันเทิงและนายบรรเลง  จะต้องรับผิดในทางละเมิดหรือไม่  เพราะเหตุใด

2)    นายเอกชัยและนายมนต์สิทธิ์  จะมีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี   อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี  ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  425  นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด  ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น

มาตรา  443  ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น  ค่าสินไหมทดแทนได้แก่  ค่าปลงศพ  รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นๆอีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที  ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล  รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้  ท่านว่า  บุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีดังนี้  คือ

ประเด็นที่  1  นายบันเทิงและนายบรรเลงจะต้องรับผิดในทางละเมิดเพื่อความเสียหายแก่ชีวิตของนางสาวไฮหรือไม่

กรณีนายบันเทิง  การที่นายบันเทิงขับรถด้วยความเร่งรีบทำให้นายบันเทิงขับรถไปชนนางสาวไฮทำให้นางสาวไฮถึงแก่ความตายนั้น  การกระทำของนายบันเทิงถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อที่ทำต่อนางสาวไฮโดยผิดกฎหมายทำให้นางสาวไฮเสียหายแก่ชีวิตและผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำดังกล่าว  จึงถือว่านายบันเทิงได้ทำละเมิดต่อนางสาวไฮตามมาตรา  420  จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดนั้น

กรณีนายบรรเลง  เมื่อการกระทำของนายบันเทิงซึ่งเป็นลูกจ้างของนายบรรเลงนั้นเป็นการทำละเมิดและได้กระทำไปในทางการที่จ้าง  ดังนั้นนายบรรเลงซึ่งเป็นนายจ้างจึงต้องร่วมรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิดคือการที่นางสาวไฮถึงแก่ความตายด้วยตามมาตรา  425

ประเด็นที่  2  นายเอกชัยและนายมนต์สิทธิ์จะมีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้หรือไม่

กรณีนายเอกชัย  การทำละเมิดเป็นเหตุทำให้ผู้ถูกกระทำละเมิดถึงแก่ความตายนั้น  ตามบทบัญญัติมาตรา  443  วรรคท้าย  ได้กำหนดไว้โดยเฉพาะว่าผู้มีสิทธิในการเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทำละเมิดจะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัว  ดังนั้นการที่นายเอกชัยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวตั๊กแตน  มีบุตรด้วยกันหนึ่งคนคือ  นางสาวไฮ  โดยนายเอกชัยได้ให้นางสาวไฮใช้นามสกุลของตนเป็นแต่เพียงการรับรองบุตรนอกกฎหมายโดยพฤติการณ์  ไม่ใช่เป็นการรับรองบุตรโดยนิตินัยตามมาตรา  1547  นายเอกชัยจึงเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนางสาวไฮ  นางสาวไฮ(ผู้ตาย)  จึงไม่มีหน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดูนายเอกชัย ดังนั้นนายเอกชัยย่อมไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา  443  วรรคท้าย  จากนายบันเทิงผู้กระทำละเมิดและนายบรรเลงนายจ้างของนายบันเทิง   (ฎ. 7458/2543)

กรณีนายมนต์สิทธิ์  เมื่อนางสาวไฮมีอายุได้  15  ปี  1  เดือน  นายมนต์สิทธิ์ได้จดทะเบียนรับนางสาวไฮไปเป็นบุตรบุญธรรมโดยถูกต้องตามกฎหมายตามมาตรา  1598/28  วรรคท้าย  บัญญัติให้นำบทบัญญัติในลักษณะ  2  หมวด  2  แห่งบรรพ  5  มาใช้บังคับระหว่างบุตรบุญธรรมกับผู้รับบุตรบุญธรรมด้วย  กล่าวคือ  บุตรบุญธรรมย่อมมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูผู้รับบุตรบุญธรรมตามมาตรา  1563  ประกอบมาตรา  1598/28  วรรคท้าย  ดังนั้น  เมื่อนางสาวไฮถูกกระทำละเมิดถึงแก่ความตาย  นายมนต์สิทธิ์ย่อมขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูตามกฎหมาย  นายมนต์สิทธิ์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูได้ตามมาตรา  443  วรรคท้าย  (ฎ. 713/2517)

สรุป

1       นายบันเทิงและนายบรรเลง  จะต้องรับผิดในทางละเมิดเพื่อความเสียหายแก่ชีวิตของนางสาวไฮ  ตามมาตรา  420  และมาตรา  425

2       นายเอกชัยไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะ  แต่นายมนต์สิทธิ์มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะได้ตามมาตรา  443 วรรคท้าย

LAW2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด 1/2555

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2003

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  สุนัขของนายทองได้นำมาให้นางนาคเลี้ยงชั่วคราว  วันเกิดเหตุสุนัขตัวนี้ซึ่งมีความซุกซนมากได้วิ่งไปชนกระถางต้นไม้ที่วางอยู่ตรงระเบียงบ้านชั้นสองของนางพลอยซึ่งได้ให้นางมุกเช่าอยู่อาศัยทำให้กระถางตกหล่นใส่ศีรษะของนางสาวเพชรได้รับบาดเจ็บถึงขั้นสมองฟั่นเฟือน  ไม่สามารถประกอบการงานได้อีกต่อไป

ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายทอง  นางนาค  นางมุก  และนางพลอยจะต้องมีความรับผิดในความเสียหายต่อนางสาวเพชรหรือไม่  เพราะเหตุใด  และค่าสินไหมทดแทนที่นางสาวเพชรควรจะเรียกร้องได้มีอย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  433  วรรคแรก  ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์  ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่สัตว์นั้น  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

มาตรา  436  บุคคลผู้อยู่ในโรงเรือนต้องรับผิดชอบในความเสียหายอันเกิดเพราะของตกหล่นจากโรงเรือนนั้น  หรือเพราะทิ้งขว้างของไปตกในที่อันมิควร

มาตรา  444  วรรคแรก  ในกรณีทำให้เสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยนั้น  ผู้เสียหายชอบที่จะได้ชดใช้ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไป  และค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงหรือแต่บางส่วน  ทั้งในเวลาปัจจุบันนั้นและในเวลาอนาคตด้วย

มาตรา  446  วรรคแรก  ในกรณีทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยก็ดี  ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี  ผู้ต้องเสียหายจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความที่เสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินด้วยอีกก็ได้  สิทธิเรียกร้องอันนี้ไม่โอนกันได้  และไม่ตกสืบไปถึงทายาท เว้นแต่สิทธินั้นจะได้รับสภาพกันไว้โดยสัญญาหรือได้เริ่มฟ้องคดีตามสิทธินั้นแล้ว

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่สุนัขของนายทองได้วิ่งไปชนกระถางต้นไม้ตกหล่นใส่ศีรษะของนางสาวเพชรได้รับบาดเจ็บนั้น  ถือเป็นกรณีที่นางสาวเพชรได้รับความเสียหายอันเกิดจากสัตว์  ซึ่งตามมาตรา  433  วรรคแรก  กำหนดให้เจ้าของสัตว์หรือผู้รับเลี้ยงสัตว์ต้องรับผิด  เมื่อปรากฏว่าสัตว์ดังกล่าวได้ก่อความเสียหายในขณะที่อยู่ในความดูแลของนางสาวนาคซึ่งเป็นผู้รับเลี้ยงสัตว์นั้น  อย่างไรก็ดี  นางนาคอาจแก้ตัวให้พ้นผิดได้หากพิสูจน์ได้ว่าได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่ชนิด  และพฤติการณ์ของสัตว์นั้นแล้ว  แต่เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านางนาคได้มีการใช้ความระมัดระวังดังกล่าว  นางนาคจึงต้องรับผิด

และเมื่อปรากฏว่า  ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากกระถางต้นไม้หล่นลงมาจากโรงเรือน  และเป็นโรงเรือนของนางพลอยซึ่งนางมุกเช่าอาศัยอยู่  จึงถือว่าเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะของตกหล่นจากโรงเรือนตามมาตรา  436  และเมื่อนางมุกเป็นบุคคลผู้อยู่ในโรงเรือน นางมุกจึงต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อนางสาวเพชร  ตามมาตรา  436  ส่วนนางพลอยไม่ต้องรับผิดชอบแต่อย่างใด

และเมื่อปรากฏว่านางสาวเพชรได้รับความเสียหายต่อร่างกายจนถึงขั้นสมองฟั่นเฟือน  ไม่สามารถประกอบการงานได้อีกต่อไป  นางสาวเพชรจึงสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้  ดังต่อไปนี้  คือ

1       ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา  444  วรรคแรก  ได้แก่  ค่าใช้จ่ายที่ตนได้เสียไป  และค่าเสียหายเพื่อการที่เสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิง  ทั้งในเวลาปัจจุบันและในเวลาอนาคต

2       ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา  446  วรรคแรก  ได้แก่  ค่าที่นางสาวเพชรต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการบาดเจ็บ  จากการไม่สามารถประกอบการงานได้อีก  ซึ่งถือว่าเป็นค่าเสียหายอย่างอื่นอันมิอาจตีราคาเป็นเงินได้

สรุป  นางนาคและนางมุกจะต้องรับผิดในความเสียหายต่อนางสาวเพชร  ส่วนนายทองและนางพลอยไม่ต้องรับผิดในความเสียหายต่อนางสาวเพชร  และค่าสินไหมทดแทนที่นางสาวเพชรควรจะเรียกร้อง  ได้แก่ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา  444  วรรคแรก  และมาตรา  446  วรรคแรก

 

 

ข้อ  2  นายแดงจ้างนายเก่งวิศวกรชื่อดังให้สร้างอาคาร  4  ชั้นลงในที่ดินของตน  นายเก่งได้สร้างอาคาร  4  ชั้นดังกล่าวจนเสร็จโดยมิได้ทำฐานรากอาคารให้มั่นคงแข็งแรงตามแบบพิมพ์เขียว  เพราะนายเก่งหวังจะได้กำไรมากๆ  และนายแดงรับมอบอาคารไปโดยไม่ทราบถึงการไม่สร้างอาคารตามแบบพิมพ์เขียว  ต่อมาปรากฏว่าตัวอาคารบางส่วนร้าวและพังทลายลงมาเพราะฐานรากไม่มั่นคงทับนายโชคที่กำลังเดินผ่านอาคารพอดีเป็นเหตุให้นายโชคขาหัก

ดังนี้  จงวินิจฉัยว่า  นายแดงและนายเก่งจะต้องรับผิดทางละเมิดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี   อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี  ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  434  วรรคแรก  ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะเหตุที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นก่อสร้างไว้ชำรุดบกพร่องก็ดี  หรือบำรุงรักษาไม่เพียงพอก็ดี  ท่านว่าผู้ครองโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้นๆจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน  แต่ถ้าผู้ครองได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเพื่อปัดป้องมิให้เกิดความเสียหายฉะนั้นแล้ว  ท่านว่าผู้เป็นเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายแดงและนายเก่งจะต้องรับผิดทางละเมิดหรือไม่  วินิจฉัยได้ดังนี้  คือ

1       กรณีของนายแดง  ตามข้อเท็จจริง  ความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อนายโชคเป็นเพราะอาคารบางส่วนพังทลายลงมาทับขานายโชคด้วยเหตุฐานรากของอาคารไม่มั่นคงแข็งแรง  เนื่องจากการไม่สร้างตามแบบพิมพ์เขียว  ถือได้ว่าเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะเหตุโรงเรือนดังกล่าวก่อสร้างไว้ชำรุดบกพร่อง  ดังนั้น  นายแดงซึ่งเป็นทั้งเจ้าของและผู้ครอบครองโรงเรือนดังกล่าว  จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายโชค  ตามมาตรา  434  วรรคแรก

2       กรณีของนายเก่ง  ตามข้อเท็จจริง  การที่นายเก่งวิศวกรชื่อดังได้สร้างอาคาร  4  ชั้น  แต่ไม่ทำฐานรากอาคารให้มั่นคงเพราะหวังจะได้กำไรมากๆนั้น  นายเก่งย่อมเห็นได้ว่าอาคารอาจทรุดร้าวและพังทลายลงมาได้  เมื่อปรากฏว่าอาคารบางส่วนพังทลายลงมาทับขานายโชค  การกระทำดังกล่าวของนายเก่งจึงถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย  ทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกาย  และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของนายเก่งดังกล่าว  จึงถือว่านายเก่งได้กระทำละเมิดต่อนายโชคตามมาตรา  420  จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายโชค

สรุป  นายแดงต้องรับผิดทางละเมิดตามมาตรา  434  วรรคแรก  ส่วนนายเก่งจะต้องรับผิดทางละเมิดตามมาตรา  420

 

 

ข้อ  3  นายกระรอกได้นำรถยนต์ไปทำสีใหม่ที่อู่ของนายกระต่าย  โดยนายกระรอกได้ให้นายกระต่ายขับรถยนต์คันที่นาย

กระรอกจะนำมาทำสีใหม่ไปส่งนายกระรอกที่บ้าน  หลังจากส่งนายกระรอกเรียบร้อยแล้ว  นายกระต่ายจึงขับรถยนต์คันดังกล่าวกลับไปที่อู่ซ่อมรถของตน  ระหว่างเดินทางกลับนายกระต่ายขับรถด้วยความเร็วสูง  ปรากฏว่านายกระทิงซึ่งขับรถยนต์มาด้วยความเร็วสูงเช่นเดียวกันและได้ขับตีคู่ขนาบข้างกันมา  ทั้งสองจึงเกิดความคึกคะนองขับแข่งท้าทายกันด้วยความเร็วสูงตลอดทาง  จนถึงจุดเกิดเหตุบริเวณทางม้าลายซึ่งนางสาวกระแตกำลังเดินข้ามอยู่นั้น  ทั้งนายกระต่ายและนาย

กระทิงต่างหยุดรถไม่ทัน  เป็นเหตุให้รถทั้งสองเข้าพุ่งชนนางสาวกระแตเป็นเหตุให้นางสาวกระแตได้รับบาดเจ็บสาหัส  ดังนี้  จงวินิจฉัยว่า นางสาวกระแตจะมีสิทธิฟ้องใครให้รับผิดทางละเมิดได้บ้าง  และจะฟ้องให้นายกระรอกร่วมรับผิดกับนายกระต่ายได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  291  ถ้าบุคคลหลายคนจะต้องทำการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนจำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงไซร้  แม้ถึงว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับชำระหนี้สิ้นเชิงได้แต่เพียงครั้งเดียว  (กล่าวคือลูกหนี้ร่วมกัน)  ก็ดี  เจ้าหนี้จะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้แต่คนใดคนหนึ่งสิ้นเชิงหรือแต่โดยส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก  แต่ลูกหนี้ทั้งปวงก็ยังคงต้องผูกพันอยู่ทั่วทุกคนจนกว่าหนี้นั้นจะได้ชำระเสร็จสิ้นเชิง

มาตรา  301  ถ้าบุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้  ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกัน

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี   อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี  ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  428  ผู้ว่าจ้างทำของไม่ต้องรับผิดเพื่อความเสียหายอันผู้รับจ้างได้ก่อให้เกิดขึ้นแก่บุคคลภายนอกในระหว่างทำการงานที่ว่าจ้างเว้นแต่ผู้ว่าจ้างจะเป็นผู้ผิดในส่วนการงานที่สั่งให้ทำ  หรือในคำสั่งที่ตนให้ไว้หรือในการเลือกหาผู้รับจ้าง

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  นายกระต่ายและนายกระทิงได้ชื่อว่าเป็นผู้ร่วมกันทำละเมิดหรือไม่  เห็นว่า  การจะถือว่าเป็นการ  “ร่วมกันทำละเมิด”  ตามบทบัญญัติมาตรา  432  นั้น  จะต้องเป็นกรณีที่ผู้กระทำร่วมมือร่วมใจกันกระทำมาตั้งแต่ต้น  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการที่นางสาวกระแตได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นผลโดยตรงจากการขับรถด้วยความคึกคะนองปราศจากซึ่งความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ของนายกระต่ายและนายกระทิง  ซึ่งถือเป็นกรณีที่ต่างคนต่างประมาทเลินเล่อ  จนทำให้เกิดความเสียหายแก่นางสาวกระแต  จึงไม่อาจถือได้ว่าทั้งสองมีเจตนาร่วมกันในการกระทำ  หรือได้ร่วมมือร่วมใจกันในการกระทำ  อันจะเป็นการร่วมกันกระทำละเมิดตามมาตรา  432  ดังนั้นนายกระต่ายและนายกระทิงจึงมีความผิดฐานต่างคนต่างกระทำละเมิดต่อนางสาวกระแตโดยประมาทเลินเล่อตามมาตรา  420

อย่างไรก็ดี  แม้นายกระต่ายและนายกระทิงจะไม่ต้องร่วมกันรับผิดตามมาตรา  432  แต่เมื่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับนางสาวกระแตนั้นเป็นความเสียหายที่ไม่อาจแบ่งแยกความรับผิดกันได้ว่านายกระต่ายและนายกระทิงก่อให้เกิดความเสียหายในส่วนใดอย่างไร  ความรับผิดของนายกระต่ายและนายกระทิงจึงต้องเป็นความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามมาตรา  301  และมาตรา  291

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  นายกระรอกจะต้องร่วมรับผิดกับนายกระต่ายหรือไม่  เห็นว่า  การที่นายกระรอกได้ให้นายกระต่ายขับรถยนต์คันที่นายกระรอกจะนำมาทำสีใหม่ไปส่งนายกระรอกที่บ้านจนเกิดเรื่องขึ้นนั้น  ไม่ใช่กิจการจ้างทำของอันจะทำให้ผู้ว่าจ้างทำของจะต้องรับผิดตามมาตรา  428  แต่อย่างใด  แต่เป็นเรื่องเหตุที่เกิดขึ้นในระหว่างที่นาย

กระต่ายเดินทางกลับอู่โดยเจ้าของรถไม่ได้นั่งมาด้วย  ดังนั้น  เจ้าของรถยนต์คือนายกระรอกจึงไม่ต้องร่วมรับผิดกับนาย

กระต่ายแต่อย่างใด  (ฎ.  1176/2510) 

สรุป นางสาวกระแตสามารถฟ้องให้นายกระต่ายและนายกระทิงรับผิดทางละเมิดได้ตามมาตรา  420  แต่จะฟ้องให้นายกระรอกร่วมรับผิดกับนายกระต่ายไม่ได้

 

 

ข้อ  4  จำเลยขับรถโดยประมาทเลินเล่อชนนาย  ก  ถึงแก่ความตาย  ข้อเท็จจริงได้ความว่า  บิดามารดาของนาย  ก  ถึงแก่ความตายไปหมดแล้ว  นาย  ก  เหลือญาติที่มีอยู่เพียงคนเดียวคือป้าของนาย  ก  ปรากฏว่าก่อนที่นาย  ก  จะถูกรถชนถึงแก่ความตาย  นาย  ก  ได้อุปการะเลี้ยงดูป้า  เนื่องจากป้าอายุมากแล้วไม่สามารถประกอบอาชีพหาเลี้ยงตนเองได้  ดังนี้  ป้าของนาย  ก  จะเรียกร้องค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลยได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  443  ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น  ค่าสินไหมทดแทนได้แก่  ค่าปลงศพ  รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นๆอีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที  ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล  รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้  ท่านว่า  บุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

 วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่จำเลยขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนนาย  ก  ถึงแก่ความตาย  การกระทำของจำเลยเป็นละเมิดตามมาตรา 420  เพราะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคลอื่นโดยผิดกฎหมาย  ซึ่งทำให้เขาเสียหายแก่ชีวิตและการกระทำของจำเลยสัมพันธ์กับผลของการกระทำ  คือ  ความตายของนาย  ก  จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยคือ  ป้าของนาย  ก  จะเรียกร้องค่าปลงศพและค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลยได้หรือไม่  เห็นว่า  ตามบทบัญญัติมาตรา  443  วรรคแรก  ผู้ที่มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพจะต้องเป็นทายาทของผู้ตาย  ดังนั้น  ป้าของนาย  ก  ซึ่งถือเป็นทายาทตามมาตรา  1629(6)  จึงมีสิทธิเรียกร้องค่าปลงศพจากจำเลยผู้ทำละเมิดได้

ส่วนกรณีค่าขาดไร้อุปการะนั้นตามบทบัญญัติมาตรา  443  วรรคท้าย  ได้กำหนดไว้โดยเฉพาะว่า  ผู้มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทำละเมิด  จะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัวเท่านั้น  (สามีกับภริยาหรือบิดามารดากับบุตร)  เมื่อนาย  ก  (ผู้ตาย)  ไม่มีหน้าที่ที่จะต้องให้การอุปการะเลี้ยงดูป้าของนาย  ก  ตามกฎหมายแต่อย่างใด  ดังนั้นป้าของนาย  ก  จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา  443  วรรคท้าย  จากจำเลยผู้ทำละเมิด

สรุป  ป้าของนาย  ก  จะเรียกร้องค่าปลงศพจากจำเลยได้  แต่จะเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลยไม่ได้

LAW2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด 2/2555

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2003 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  เอกชัยเขียนอีเมล์ส่งไปให้สมศรีซึ่งเป็นลูกจ้างของตน  โดยเล่าว่าเฉิดโฉมเป็นคนทำลายชื่อเสียงของวิไลด้วยการนำภาพหลุดของวิไลไปอัพโหลดไว้บนอินเทอร์เน็ต  และได้ยุยงให้สมศรีไปแก้แค้นเฉิดโฉม  ดังนี้  หากว่าเฉิดโฉมได้ทำตามที่เอกชัยกล่าวไว้จริง  และทำให้สมศรีโกรธแทนวิไล  โดยได้นำสุนัขของวิไลไปเหยียบย่ำสวนดอกไม้ของเฉิดโฉม  ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก)   เฉิดโฉมจะเรียกร้องให้เอกชัยรับผิดฐานหมิ่นประมาทต่อตนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

(ข)  เฉิดโฉมจะเรียกร้องให้เอกชัย  สมศรี  และวิไล  ร่วมรับผิดจากการที่สุนัขเหยียบย่ำสวนดอกไม้เสียหายได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี   อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี  ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  423  วรรคแรก  ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง  เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี  หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่การนั้น  แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง  แต่หากควรจะรู้ได้

มาตรา  425  นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด  ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น

มาตรา  432  ถ้าบุคคลหลายคนก่อให้เกิดเสียหายแก่บุคคลอื่นโดยร่วมกันทำละเมิด  ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นจะต้องร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น  ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงกรณีที่ไม่สามารถสืบรู้ตัวได้แน่ว่าในจำพวกที่ทำละเมิดร่วมกันนั้น  คนไหนเป็นผู้ก่อให้เกิดเสียหายนั้นด้วย

อนึ่ง  บุคคลผู้ยุยงส่งเสริมหรือช่วยเหลือในการทำละเมิด  ท่านก็ให้ถือว่าเป็นผู้กระทำละเมิดร่วมกันด้วย

มาตรา  433  วรรคแรก  ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์  ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่สัตว์นั้น  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้  คือ

(ก)   ตามบทบัญญัติมาตรา  423  วรรคแรกนั้น  การกล่าวหรือการไขข่าวอันจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท  จะต้องเป็นการกล่าวหรือไขข่าวข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง  หากเป็นการกล่าวหรือไขข่าวข้อความอันเป็นความจริงแล้ว  แม้จะทำให้แพร่หลายต่อบุคคลที่สาม  และเกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงเกียรติคุณ  ทางทำมาหาได้  หรือทางเจริญของบุคคลอื่น  ผู้ที่กล่าวหรือไขข่าวข้อความนั้นย่อมไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท

ตามข้อเท็จจริง  การที่เอกชัยส่งอีเมล์ไปให้สมศรีลูกจ้างของตน  ด้วยการเล่าว่าเฉิดโฉมเป็นคนทำลายชื่อเสียงของวิไลด้วยการนำภาพหลุดของวิไลไปอัพโหลดไว้บนอินเทอร์เน็ตนั้น  ถือว่าการกระทำของนายเอกชัยเข้าลักษณะของการไขข่าวต่อบุคคลที่สามแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม  แม้ว่าการกระทำนั้นจะเป็นการไขข่าวต่อบุคคลที่สามและเข้าหลักเกณฑ์ข้ออื่นที่ว่าเป็นการทำให้แพร่หลาย  เพราะข้อความได้ล่วงรู้ถึงบุคคลที่สามคือสมศรีแล้ว  และข้อความนั้นทำให้เกิดความเสียหายแก่เฉิดโฉม  โดยทำให้เสียชื่อเสียงเกียรติคุณ  ทางทำมาหาได้  และความเจริญของเฉิดโฉมก็ตาม  แต่เมื่อปรากฏว่าการไขข่าวต่อบุคคลที่สามของเอกชัยนั้น  เป็นการไขข่าวข้อความอันเป็นความจริง  เอกชัยจึงไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา  423  วรรคแรก  ดังนั้นเฉิดโฉมจะเรียกร้องให้เอกชัยรับผิดฐานหมิ่นประมาทต่อตนไม่ได้

(ข)   เฉิดโฉมจะเรียกร้องให้เอกชัย  สมศรี  และวิไลร่วมรับผิดจากการที่สุนัขเหยียบย่ำสวนดอกไม้เสียหายได้หรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีเอกชัย  การที่นายเอกชัยเขียนอีเมล์ส่งไปให้สมศรี  และได้ยุยงให้สมศรีไปแก้แค้นเฉิดโฉมนั้น  ถือเป็นการยุยงให้ผู้อื่นกระทำละเมิดตามมาตรา  432  วรรคสอง  เมื่อปรากฏว่าสมศรีได้กระทำละเมิดต่อเฉิดโฉม  โดยการนำสุนัขของวิไลไปเหยียบย่ำสวนดอกไม้ของเฉิดโฉม  นายเอกชัยจึงถือเป็นผู้ร่วมกระทำละเมิดด้วย  ดังนั้น  เฉิดโฉมจึงเรียกร้องให้นายเอกชัยซึ่งเป็นนายจ้างของสมศรีรับผิดร่วมกับสมศรีได้ตามมาตรา  432  วรรคแรก  กรณีมิใช่ความผิดในฐานะนายจ้างตามมาตรา  425  เพราะกรณีนี้สมศรีซึ่งเป็นลูกจ้างมิได้กระทำละเมิดไปในทางการที่จ้าง

กรณีของสมศรี  การที่สมศรีเชื่อนายเอกชัยและโกรธแทนวิไลจึงให้สุนัขของวิไลไปเหยียบย่ำสวนดอกไม้ของเฉิดโฉมนั้น  ถือเป็นการกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย  ทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สินและผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำดังกล่าว  จึงถือว่าสมศรีได้กระทำละเมิดต่อเฉิดโฉมตามมาตรา  420  โดยใช้สุนัขของวิไลเป็นเครื่องมือในการกระทำละเมิด  ดังนั้นเฉิดโฉมจึงเรียกให้สมศรีรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้  กรณีมิใช่มาตรา  433  อันจะถือว่าสมศรีผู้รับเลี้ยงรับรักษาสัตว์นั้นไว้จะต้องรับผิดแต่อย่างใด  เพราะกรณีนี้ไม่ใช่เรื่องความเสียหายอันเกิดจากสัตว์  แต่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของสมศรีโดยใช้สัตว์เป็นเครื่องมือในการทำละเมิดตามมาตรา  420

กรณีของวิไล  เมื่อปรากฏว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเฉิดโฉมนั้นไม่ใช่ความเสียหายอันเกิดจากสัตว์ซึ่งเจ้าของคือ  วิไลจะต้องรับผิดตามมาตรา  433  และเมื่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้  วิไลไม่ทราบเรื่องและไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย  วิไลจึงไม่ต้องร่วมรับผิดด้วยแต่อย่างใด

สรุป

(ก)    เฉิดโฉมจะเรียกร้องให้เอกชัยรับผิดฐานหมิ่นประมาทต่อตนไม่ได้

(ข)   เฉิดโฉมจะเรียกร้องให้เอกชัยและสมศรี  ร่วมรับผิดจากการที่สุนัขเหยียบย่ำสวนดอกไม้เสียหายได้  แต่จะเรียกร้องให้วิไลร่วมรับผิดด้วยไม่ได้

 

 

ข้อ  2  นายจันเลี้ยงสุนัขไว้ตัวหนึ่ง  ซึ่งมีนิสัยโมโหดุร้ายมักกัดคนในบ้านเป็นประจำ  นายจันจึงไล่สุนัขออกจากบ้านไม่เลี้ยงอีกต่อไป  สุนัขดังกล่าวเมื่อถูกไล่ออกจากบ้านก็ยังคงวนเวียนอยู่ไม่ห่างจากรั้วบ้านของนายจัน  และคุ้ยหาเศษอาหารจากบริเวณที่ทิ้งขยะประจำซอย บ้านของนายจันมีต้นมะม่วงซึ่งนายจันได้ปลูกไว้นานแล้วอยู่ริมรั้วในบริเวณบ้าน  กิ่งก้านของมะม่วงซึ่งมีอายุมากแล้วจึงผุและยื่นล้ำออกมาจากรั้วบ้าน

ต่อมาวันหนึ่งนายเฮงเดินผ่านริมรั้วบ้านของนายจัน  ปรากฏว่ากิ่งมะม่วงที่ผุอยู่บ้างแล้วหล่นใสศีรษะของนายเฮงพอดีเป็นเหตุให้ศีรษะแตก  เย็บ  5  เข็ม  และในจังหวะเดียวกัน  สุนัขดังกล่าวก็วิ่งเข้ามากัดขานายเฮงเป็นแผลลึกต้องเย็บ  20  เข็ม  ดังนี้  จงวินิจฉัยว่า  นายเฮงจะเรียกร้องให้นายจันรับผิดทางละเมิดได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี   อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี  ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  433  ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์  ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่สัตว์นั้น  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

อนึ่ง  บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น  จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด  หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้าหรือยั่วสัตว์นั้นๆก็ได้

มาตรา  434  วรรคแรกและวรรคสอง  ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะเหตุที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นก่อสร้างไว้ชำรุดบกพร่องก็ดี  หรือบำรุงรักษาไม่เพียงพอก็ดี  ท่านว่าผู้ครองโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างนั้นๆจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน  แต่ถ้าผู้ครองได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรเพื่อปัดป้องมิให้เกิดความเสียหายฉะนั้นแล้ว  ท่านว่าผู้เป็นเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนั้นให้ใช้บังคับได้ตลอดถึงความบกพร่องในการปลูก  หรือค้ำจุนต้นไม้หรือกอไผ่ด้วย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  นายเฮงจะเรียกร้องให้นายจันรับผิดทางละเมิดได้หรือไม่  เห็นว่า  การที่นายจันไล่สุนัขออกจากบ้าน  และต่อมาสุนัขดังกล่าวได้วิ่งเข้ามากัดขานายเฮงเป็นแผลลึกจนต้องเย็บ  20  เข็มนั้น  กรณีนี้นายจันไม่ต้องรับผิดต่อนายเฮงตามมาตรา  433  อันว่าด้วยความเสียหายที่เกิดจากสัตว์  เพราะเมื่อนายจันทร์ไล่สุนัขออกจากบ้านไม่เลี้ยงดูอีกต่อไปนั้น  สุนัขตัวดังกล่าวจึงเป็นสุนัขไม่มีเจ้าของ นายจันจึงมิใช่เจ้าของหรือผู้รับเลี้ยงรับรักษาสุนัขดังกล่าว  อันจะต้องรับผิดตามมาตรา  433  แต่อย่างใด

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่นายจันไล่สุนัขออกจากบ้านโดยที่ตนเองรู้อยู่ว่าสุนัขดังกล่าวมีนิสัยดุร้ายกัดคนเป็นประจำ  และนายจันย่อมคาดหมายได้โดยวิญญูชนทั่วไปว่าสุนัขอาจเป็นอันตรายต่อผู้คนที่เดินผ่านไปมานั้น  การกระทำของนายจันถือเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย  ซึ่งทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกาย  และการกระทำของนายจันสัมพันธ์กับผลที่เกิดขึ้น  คือ  การบาดเจ็บของนายเฮง  ดังนั้นการกระทำของนายจันจึงเป็นการละเมิดตามมาตรา  420  นายจันจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายเฮง

ส่วนกรณีกิ่งมะม่วงที่ปลูกในบ้านของนายจันผุหล่นใส่ศีรษะของนายเฮงจนได้รับบาดเจ็บนั้น  ถือเป็นความเสียหายอันเกิดจากความบกพร่องในการดูแลหรือค้ำจุนกิ่งมะม่วงเพื่อป้องกันมิให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น  ดังนั้น  นายจันผู้ซึ่งเป็นเจ้าของต้นมะม่วงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อนายเฮงตามมาตรา  434

สรุป  นายเฮงจะเรียกร้องให้นายจันรับผิดทางละเมิดได้ตามมาตรา  420  และมาตรา  434

 

 

ข้อ  3  สมชายเป็นเจ้าของอาคารพาณิชย์สามชั้น  ได้แบ่งชั้นสองและสามให้ผู้อื่นเช่าอยู่อาศัย  และสมชายเลี้ยงลิงดุไว้ในอาคารชั้นล่าง วันหนึ่งลิงหลุดจากโซ่ที่ผูกล่ามไว้เป็นอย่างดี  แล้วได้ปีนป่ายขึ้นไปรื้อของในห้องของสมศักดิ์  ซึ่งพักอาศัยอยู่ในชั้นสามของอาคารนี้

ขณะลิงกำลังรื้อของกระจุยกระจายอยู่นั้น  สมศักดิ์ได้ใช้ไม้ไล่  แต่ลิงทำท่าจะกัด  สมศักดิ์จึงใช้ไม้ตีลิง  ลิงลอยออกจากหน้าต่างหล่นลงมาใส่หน้าสมศรีซึ่งเดินผ่านมาอยู่ชั้นล่างพอดี  ทำให้ลิงข่วนหน้าสมศรีจนได้รับบาดเจ็บ  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก)    สมชายและสมศักดิ์ต่างฝ่ายต่างจะเรียกร้องต่อกันให้รับผิดในเหตุละเมิดได้หรือไม่  อย่างไร

(ข)     สมศรีจะเรียกให้ใครรับผิดในการที่ตนต้องได้รับบาดเจ็บได้บ้าง  อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี   อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี  ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  433  ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์  ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่สัตว์นั้น  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

มาตรา  436  บุคคลผู้อยู่ในโรงเรือนต้องรับผิดชอบในความเสียหายอันเกิดเพราะของตกหล่นจากโรงเรือนนั้น  หรือเพราะทิ้งขว้างของไปตกในที่อันมิควร

มาตรา  450  วรรคท้าย  ถ้าบุคคลทำบุบสลาย  หรือทำลายทรัพย์สิ่งหนึ่งสิ่งใด  เพื่อจะป้องกันสิทธิของตน  หรือของบุคคลภายนอกจากภยันตรายอันมีมาโดยฉุกเฉินเพราะตัวทรัพย์นั้นเองเป็นเหตุ  บุคคลเช่นว่านี้หาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่  หากว่าความเสียหายนั้นไม่เกินสมควรแก่เหตุ  แต่ถ้าภยันตรายนั้นเกิดขึ้นเพราะความผิดของบุคคลนั้นเองแล้ว  ท่านว่าจำต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้คือ

(ก)   การที่ลิงของสมชายเข้ามาทำความเสียหายรื้อของในห้องของสมศักดิ์นั้น  ถือว่าเป็นความเสียหายที่เกิดจากสัตว์ของสมชาย  ซึ่งตามหลักแล้วสมชายผู้เป็นเจ้าของสัตว์จะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่สมศักดิ์  ตามมาตรา  433  วรรคแรก  แต่อย่างไรก็ตาม  สมชายก็สามารถอ้างแก้ตัวเพื่อให้ตนพ้นผิดได้  เพราะได้ใช้ความระมัดระวังในการเลี้ยงดูสัตว์ตามชนิด  วิสัย  และพฤติการณ์ของสัตว์แล้ว  เนื่องจากสมชายได้มีการล่ามโซ่ลิงดุเอาไว้  ดังนั้น  สมศักดิ์จึงเรียกร้องให้สมชายรับผิดในเหตุละเมิดไม่ได้

และขณะเดียวกัน  การที่สมศักดิ์ใช้ไม้ตีลิงของสมชายจนได้รับความเสียหายนั้น  การกระทำของสมศักดิ์ถือเป็นการกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย  ทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สิน  และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของสมศักดิ์  จึงถือว่าสมศักดิ์ได้กระทำละเมิดต่อสมชายตามมาตรา  420  แต่อย่างไรก็ตาม  สมศักดิ์ก็สามารถอ้างเหตุนิรโทษกรรมตามมาตรา  450  วรรคสามได้  เนื่องจากเป็นการป้องกันภัยอันมีมาโดยฉุกเฉินเพราะตัวทรัพย์นั้นเอง  คือ  ลิงเป็นต้นเหตุให้ต้องป้องกัน  เมื่อปรากฏว่าความเสียหายอันเกิดแก่ลิงนั้นไม่สมควรเกินเหตุ  สมศักดิ์จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่สมชาย  ดังนั้น  สมชายจึงเรียกร้องให้สมศักดิ์รับผิดในเหตุละเมิดไม่ได้เช่นเดียวกัน

(ข)   การที่สมศรีได้รับความเสียหายจากการที่ลิงได้ถูกเหวี่ยงลอยออกมาใส่หน้าตนนั้น  ไม่ถือเป็นกรณีความเสียหายอันเกิดจากสัตว์  ตามมาตรา  433  อันจะทำให้สมชายผู้เป็นเจ้าของสัตว์ต้องรับผิดแต่อย่างใด  เพราะถือเป็นการกระทำของสมศักดิ์  ดังนั้น สมศรีจะเรียกให้สมชายรับผิดในการที่ตนต้องได้รับบาดเจ็บไม่ได้  แต่กรณีนี้ถือเป็นกรณีที่มีความเสียหายอันเกิดจากของตกหล่นหรือทิ้งขว้างจากโรงเรือนตามมาตรา  436  ซึ่งผู้อยู่ในโรงเรือนคือ  สมศักดิ์จะต้องรับผิดต่อสมศรี

และการที่สมศักดิ์เหวี่ยงลิงหล่นลงมาทำให้สมศรีได้รับความเสียหายนั้น  จะเกิดจากการที่สมศักดิ์ได้ป้องกันภยันตรายซึ่งเกิดจากทรัพย์คือ  ลิงเป็นต้นเหตุให้ต้องป้องกันตามมาตรา  450  วรรคสาม  ก็ตาม  แต่การป้องกันอันถือเป็นเหตุนิรโทษกรรมนั้น  จะต้องเป็นเรื่องที่ทำให้ทรัพย์เสียหายเท่านั้น  เมื่อปรากฏว่าความเสียหายได้เกิดต่อร่างกายของสมศรี  สมศักดิ์จึงไม่อาจอ้างเหตุนิรโทษกรรมเพื่อไม่ต้องรับผิดต่อสมศรีได้  ดังนั้น  สมศรีจึงสามารถเรียกให้สมศักดิ์รับผิดในการที่ตนต้องได้รับบาดเจ็บได้

สรุป

(ก)   สมชายและสมศักดิ์ต่างฝ่ายต่างจะเรียกร้องต่อกันให้รับผิดในเหตุละเมิดไม่ได้

(ข)  สมศรีจะเรียกให้สมชายรับผิดในการที่ตนต้องได้รับบาดเจ็บไม่ได้  แต่จะเรียกให้สมศักดิ์รับผิดในการที่ตนต้องได้รับบาดเจ็บได้

 

 

ข้อ  4  นาย  ก  และนาง  ข  อยู่กินด้วยกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส  มีบุตรคนหนึ่งคือเด็กชายแดง  เมื่อนาง  ข  คลอดเด็กชายแดงแล้ว  ต่อมาถึงแก่ความตาย  นาย  ก  ได้อุปการะเลี้ยงดูเด็กชายแดงตลอดมา  นาย  ก  ยินยอมให้เด็กชายแดงใช้นามสกุลของนาย  ก  และนาย  ก  ส่งเสียเด็กชายแดงให้ได้เรียนหนังสือ  วันเกิดเหตุ  จำเลยขับรถโดยประมาทเลินเล่อชนนาย  ก  ถึงแก่ความตาย  ดังนี้  เด็กชายแดงจะเรียกร้องค่าปลงศพ  และค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลยได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  443  ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น  ค่าสินไหมทดแทนได้แก่  ค่าปลงศพ  รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นๆอีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที  ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล  รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้  ท่านว่า  บุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่จำเลยขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนนาย  ก  ถึงแก่ความตาย  การกระทำของจำเลยเป็นละเมิดตามมาตรา 420  เพราะเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย  ซึ่งทำให้เขาเสียหายแก่ชีวิตและการกระทำของจำเลยสัมพันธ์กับผลของการกระทำ  คือ  ความตายของนาย  ก  จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

ประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยคือ  เด็กชายแดงจะเรียกร้องค่าปลงศพ  และค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลยได้หรือไม่  เห็นว่าตามบทบัญญัติมาตรา  443  วรรคแรก  ผู้ที่มีสิทธิเรียกเอาค่าปลงศพจะต้องเป็นทายาทของผู้ตาย  ซึ่งกรณีที่บุตรเรียกเอาค่าปลงศพของบิดานั้น  บุตรดังกล่าวจะต้องเป็นผู้สืบสันดานของบิดาตามกฎหมายด้วย  (ป.พ.พ.  มาตรา  1629 (1))  กล่าวคือ  จะต้องเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา  หรือเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  และนาง  ขอยู่กินด้วยกันแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส  และมีบุตรด้วยกันคนหนึ่งคือ  เด็กชายแดงนั้น  ดังนี้ถือว่าเด็กชายแดงเป็นบุตรนอกกฎหมายของนาย  ก  แต่เมื่อนาย  ก  ยินยอมให้เด็กชายแดงใช้นามสกุล  และส่งเสียเด็กชายแดงให้ได้เรียนหนังสือ  ย่อมถือว่าเด็กชายแดงเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาให้การรับรองโดยพฤติการณ์แล้ว  จึงส่งผลให้เด็กชายแดงเป็นผู้สืบสันดานและเป็นทายาทของนาย  ก  ผู้ตาย  (ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1627  และมาตรา  1629 (1))  ดังนั้น  เมื่อจำเลยกระทำละเมิดโดยการขับรถด้วยความประมาทเลินเล่อชนนาย  ก  ถึงแก่ความตาย  เด็กชายแดงจึงเรียกร้องค่าปลงศพจากจำเลยได้ตามมาตรา  443  วรรคแรก

ส่วนค่าขาดไร้อุปการะนั้น  บทบัญญัติมาตรา  443  วรรคท้าย  กำหนดไว้โดยเฉพาะว่าผู้ที่มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทำละเมิดจะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัว  เมื่อปรากฏว่านาย  ก  มิได้เป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายของเด็กชายแดงผู้เยาว์  นาย  ก  (ผู้ตาย)  จึงไม่มีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูเด็กชายแดงซึ่งเป็นบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  1564  ดังนั้น  เด็กชายแดงจะเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา  443  วรรคท้าย  จากจำเลยผู้กระทำละเมิดไม่ได้

สรุป  เด็กชายแดงจะเรียกร้องค่าปลงศพจากจำเลยได้  แต่จะเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลยไม่ได้

LAW2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด S/2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2003  

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ตู่เป็นเพื่อนกับอู๋ซึ่งพักอาศัยอยู่ในห้องเช่าเดียวกัน  วันหนึ่งตู่ควงนางสาวอ้อยมาแนะนำแก่อู๋ว่า  “นางสาวอ้อยกับฉันเป็นแฟนกัน”  อู๋ไม่พอใจเพราะแอบชอบนางสาวอ้อยอยู่ก่อน  อู๋จึงไปกระซิบต่อนางต้อยซึ่งเป็นมารดาของนางสาวอ้อยโดยใส่ความว่า  “ตู่เป็นเกย์”  พร้อมกับอ้างว่านางต้อยเป็นมารดาต้องมีทางได้เสียโดยชอบในเรื่องเช่นนี้  ตนจึงได้นำความมาบอก  ต่อมานางต้อยซึ่งเชื่อข้อความดังกล่าว  จึงได้เล่าต่อให้นางสาวอ้อยว่าตู่เป็นเกย์

ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ตู่จะเรียกร้องให้อู๋และนางต้อยรับผิดในความเสียหายต่อชื่อเสียงได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  423  ผู้ใดกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง  เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณของบุคคลอื่นก็ดี หรือเป็นที่เสียหายแก่ทางทำมาหาได้หรือทางเจริญของเขาโดยประการอื่นก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เขาเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่การนั้น  แม้ทั้งเมื่อตนมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง  แต่หากควรจะรู้ได้

ผู้ใดส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง  หากว่าตนเองหรือผู้รับข่าวสารนั้นมีทางได้เสียโดยชอบในการนั้นด้วยแล้ว  ท่านว่าเพียงที่ส่งข่าวสารเช่นนั้นหาทำให้ผู้นั้นต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ความรับผิดเพื่อละเมิดตามมาตรา  423  วรรคแรก  (หมิ่นประมาททางแพ่ง)  มีดังนี้

1       เป็นการกล่าวหรือไขข่าวข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง

2       ทำให้แพร่หลาย  กล่าวคือ  กระทำต่อบุคคลที่สามคนเดียวก็ถือว่าแพร่หลายแล้ว  โดยบุคคลที่สามต้องสามารถเข้าใจคำกล่าวหรือการไขข่าวนั้นได้

3       มีความเสียหายต่อชื่อเสียง  เกียรติคุณ  ทางทำมาหาได้  หรือทางเจริญของบุคคลอื่น

4       มีความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่อู๋ได้กล่าวข้อความต่อนางต้อยโดยใส่ความว่า  “ตู่เป็นเกย์”  ถือได้ว่าเป็นการกล่าวข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง ซึ่งจะทำให้บุคคลอื่นคือตู่เสียหายแก่ชื่อเสียงหรือเกียรติคุณ  หรือแก่ทางทำมาหาได้  และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของอู๋  ดังนั้นอู๋จึงต้องรับผิดต่อตู่ในผลแห่งการทำละเมิดนั้น  ตามมาตรา  423  วรรคแรก

ส่วนกรณีที่นางต้อยได้นำข้อความที่ไม่จริงดังกล่าวนั้นไปเล่าต่อให้นางสาวอ้อยฟัง  ดังนี้  แม้นางต้อยมิได้รู้ว่าข้อความนั้นไม่จริง  ก็ถือว่านางต้อยได้ทำละเมิดต่อตู่ตามมาตรา  423  วรรคแรกเช่นเดียวกัน  แต่อย่างไรก็ตาม  นางต้อยสามารถอ้างข้อยกเว้นความรับผิดตามมาตรา  423  วรรคสองได้  เพราะเป็นกรณีที่นางต้อยส่งข่าวสารอันตนมิได้รู้ว่าเป็นความไม่จริง  และนางต้อยมีทางได้เสียโดยชอบในข่าวสารนี้  เพราะนางต้อยเป็นมารดาของนางสาวอ้อย  ย่อมเป็นห่วงบุตรสาวของตนในเรื่องคู่ครองของบุตร  ดังนั้น  นางต้อยจึงไม่ต้องรับผิดต่อตู่

สรุป  ตู่สามารถเรียกร้องให้อู๋รับผิดในความเสียหายต่อชื่อเสียงได้  แต่จะเรียกให้นางต้อยรับผิดไม่ได้

 

 

ข้อ  2  นายกบอายุ  19  ปี  พักอาศัยอยู่กับนายเขียดบิดาซึ่งหย่ากับมารดาของนายกบแล้ว  นายกบเป็นลูกจ้างของนายโท  วันเกิดเหตุนายกบขี่จักรยานยนต์ของนายโทไปส่งอาหารกล่องให้แก่ลูกค้าของนายโท  และด้วยความประมาทจึงไปชนเด็กชายอึ่งถึงแก่ความตาย  ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นางแจ่มมารดาของเด็กชายอึ่งจะเรียกร้องให้ใครรับผิดได้บ้าง  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี   อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี  ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  425  นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด  ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น

มาตรา  429  บุคคลใดแม้ไร้ความสามารถเพราะเหตุเป็นผู้เยาว์หรือวิกลจริตก็ยังต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิด  บิดามารดาหรือผู้อนุบาลของบุคคลเช่นว่านี้ย่อมต้องรับผิดร่วมกับเขาด้วย  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่นายกบอายุ  19  ปี  ซึ่งเป็นผู้เยาว์  ได้ขี่รถจักรยานยนต์ชนเด็กชายอึ่งถึงแก่ความตายด้วยความประมาท  การกระทำของนายกบถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย  ทำให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิต  และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของนายกบ  จึงถือว่านายกบได้กระทำละเมิดต่อเด็กชายอึ่งตามมาตรา  420  จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นางแจ่มซึ่งเป็นมารดาของเด็กชายอึ่ง  และแม้ว่านายกบจะเป็นผู้เยาว์อันถือว่าเป็นผู้ไร้ความสามารถก็ตาม  ก็จะต้องรับผิดในผลที่ตนทำละเมิดนั้น  ตามมาตรา  429

และเมื่อปรากฏว่า  ในขณะที่นายกบทำละเมิดนั้น  นายกบได้ขี่รถจักรยานยนต์ของนายโท  ซึ่งเป็นนายจ้างไปส่งอาหารกล่องให้แก่ลูกค้าของนายโท  จึงถือว่านายกบได้ทำละเมิดในขณะที่อยู่ในระหว่างการปฏิบัติงานในทางการที่จ้าง  ดังนั้นนายโทซึ่งเป็นนายจ้างจึงต้องร่วมกันรับผิดกับนายกบลูกจ้างในผลแห่งละเมิด  ซึ่งนายกบได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้นด้วย  ตามมาตรา  425

ส่วนนายเขียดซึ่งเป็นบิดาของนายกบและเป็นบิดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  แม้ว่าจะหย่ากับมารดาของนายกบแล้วก็ตาม  ก็จะต้องร่วมกันรับผิดในผลแห่งละเมิดที่นายกบได้กระทำด้วย  ตามมาตรา  429  แต่อย่างไรก็ดี  นายเขียดอาจพิสูจน์แก้ตัวได้ว่า  ตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลแล้ว  เพราะแม้ว่านายกบจะเป็นผู้เยาว์แต่ก็มีอายุ  19  ปีแล้ว  ย่อมสามารถทำอะไรได้โดยลำพังไม่จำต้องมีผู้ดูแลอยู่ตลอดเวลา  การที่นายกบไปทำงานจึงถือว่าอยู่นอกความสามารถที่นายเขียดจะดูแลได้ตลอดเวลา

สรุป  นางแจ่มมารดาของเด็กชายอึ่งสามารถเรียกร้องให้นายกบ  และนายโทซึ่งเป็นนายจ้างของนายกบ  รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้  แต่จะเรียกค่าสินไหมจากนายเขียดบิดาของนายกบไม่ได้ ถ้านายเขียดพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้นแล้ว

 

 

ข้อ  3  นายหล่อไม่ชอบนายเหลี่ยม  จึงยุให้ลิงของนายเหล่ไปไล่กัดนายเหลี่ยม  นายเหลี่ยมได้รับบาดเจ็บจึงวิ่งหนีกลับเข้าบ้าน  แต่เนื่องจากยังโกรธนายหล่ออยู่  นายเหลี่ยมจึงได้ไปยุให้สุนัขของตนกัดลิงของนายเหล่  ลิงของนายเหล่ได้รับบาดเจ็บ  จึงร้องโหยหวนและวิ่งหนีไปบนหลังคารถยนต์ของยายแหยมที่จอดอยู่หน้าบ้าน  ยายแหยมตกใจเสียงลิงร้อง  และเห็นลิงมาอยู่ที่หลังคาจึงช็อกและขาดใจตายทันที  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ใครจะต้องรับผิดในความตายของยายแหยมและลิงของนายเหล่ที่ได้รับบาดเจ็บ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี   อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี  ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  433  ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์  ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่สัตว์นั้น  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น

อนึ่ง  บุคคลผู้ต้องรับผิดชอบดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น  จะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาแก่บุคคลผู้ที่เร้าหรือยั่วสัตว์นั้นโดยละเมิด  หรือเอาแก่เจ้าของสัตว์อื่นอันมาเร้าหรือยั่วสัตว์นั้นๆก็ได้

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ของการกระทำอันเป็นการละเมิดตามมาตรา  420  ประกอบด้วย

1       เป็นบุคคลที่มี  การกระทำ  โดยรู้สำนึก  และได้กระทำโดยการเคลื่อนไหวร่างกายหรือโดยการงดเว้นก็ได้  ซึ่งได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ

2       ทำต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย

3       มีความเสียหายต่อชีวิต  ร่างกาย  อนามัย  เสรีภาพ  ทรัพย์สิน  หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด

4       ผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำ

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายเหลี่ยมยุให้สุนัขของตนกัดลิงของนายเหล่จนได้รับบาดเจ็บนั้น  การกระทำของนายเหลี่ยมถือว่าเป็นการกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย  ทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สิน  โดยใช้สัตว์เป็นเครื่องมือ  และผลที่เกิดขึ้นสัมพันธ์กับการกระทำของนายเหลี่ยม  จึงถือว่านายเหลี่ยมได้กระทำละเมิดต่อนายเหล่ตามมาตรา  420  จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายเหล่

และการที่ลิงของนายเหล่ได้วิ่งหนีไปบนหลังคารถยนต์ของยายแหยม  และส่งเสียงร้องจนทำให้ยายแหยมตกใจช็อคถึงแก่ความตายนั้น  ก็เป็นผลมาจากการกระทำของนายเหลี่ยมที่ยุสุนัขให้กัดลิงในตอนแรก  เมื่อผลที่เกิดขึ้นกับยายแหยมสัมพันธ์กับการกระทำของนายเหลี่ยม ดังนั้น  จึงถือว่านายเหลี่ยมกระทำละเมิดต่อยายแหยมและต้องรับผิดในความตายของยายแหยมด้วย  ตามมาตรา  420  ซึ่งทั้งสองกรณีดังกล่าวไม่ใช่ความรับผิดในความเสียหายอันเกิดขึ้นเพราะสัตว์  เนื่องจากความรับผิดตามมาตรา  433  จะต้องเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากสัตว์นั้นเอง  มิใช่มนุษย์ใช้สัตว์เป็นเครื่องมือ

ส่วนการที่นายหล่อยุให้ลิงของนายเหล่ไปไล่กัดนายเหลี่ยมจนได้รับบาดเจ็บนั้น  แม้จะถือว่านายหล่อกระทำละเมิดต่อนายเหลี่ยมและต้องรับผิดต่อนายเหลี่ยม  ตามมาตรา  420  แต่เนื่องจากภัยดังกล่าวได้ผ่านพ้นไปแล้ว  นายเหลี่ยมจึงได้ยุให้สุนัขกัดลิงของนายเหล่เพราะความโกรธ  ดังนั้น  ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับยายแหยมและลิงของนายเหล่จึงไม่เกี่ยวกับความรับผิดของนายหล่อที่มีต่อนายเหลี่ยม

สรุป  นายเหลี่ยมจะต้องรับผิดในความตายของยายแหยมและลิงของนายเหล่ที่ได้รับบาดเจ็บ   

 

 

ข้อ  4  นายเอกชัยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวตั๊กแตน  มีบุตรด้วยกันหนึ่งคนชื่อนางสาวไฮ  โดยนายเอกชัยได้ให้นางสาวไฮใช้นามสกุลของตน  เมื่อนางสาวไฮมีอายุได้  15  ปี  1  เดือน  นายมนสิทธิ์ได้จดทะเบียนรับนางสาวไฮไปเป็นบุตรบุญธรรมโดยถูกต้องตามกฎหมาย  วันเกิดเหตุนายบันเทิงได้รับคำสั่งจากนายบรรเลงนายจ้างให้ขับรถบรรทุกเครื่องดนตรีจากกรุงเทพฯไปที่จังหวัดนครสวรรค์  เมื่อส่งเครื่องดนตรีเสร็จแล้วระหว่างเดินทางกลับนายบันเทิงได้ขับรถด้วยความเร่งรีบเกรงว่าจะกลับไปส่งรถที่กรุงเทพฯไม่ทัน  เป็นเหตุทำให้นายบันเทิงขับรถไปชนนางสาวไฮซึ่งขณะเกิดเหตุอายุ  21  ปี  สลบไป  นายบันเทิงคิดว่านางสาวไฮถึงแก่ความตายไปแล้ว  นายบันเทิงต้องการปกปิดการกระทำความผิดของตนจึงได้นำผ้าขาวม้าผูกคอนางสาวไฮไว้กับต้นไม้เป็นเหตุให้นางสาวไฮถึงแก่ความตาย  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า

(1)  นายบันเทิงและนายบรรเลง  จะต้องรับผิดในทางละเมิดเพื่อความเสียหายแก่ชีวิตของนางสาวไฮหรือไม่  เพราะเหตุใด

(2) นายเอกชัยและนายมนต์สิทธิ์  จะมีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  420  ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ  ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี  แก่ร่างกายก็ดี   อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี  ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี  ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

มาตรา  425  นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด  ซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น

มาตรา  443  ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น  ค่าสินไหมทดแทนได้แก่  ค่าปลงศพ  รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นๆอีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที  ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล  รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถประกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้  ท่านว่า  บุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น

วินิจฉัย

(1)    กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  นายบันเทิงและนายบรรเลงจะต้องรับผิดในทางละเมิดเพื่อความเสียหายแก่ชีวิตของนางสาวไฮหรือไม่  เห็นว่า  การที่นายบันเทิงขับรถด้วยความเร็วไปชนนางสาวไฮสลบไปเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหายแก่ร่างกาย  นายบันเทิงจำต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา  420

ในระหว่างที่นางสาวไฮสลบไป  นายบันเทิงต้องการปกปิดการกระทำความผิดของตนได้นำผ้าขาวม้าผูกคอนางสาวไฮติดไว้กับต้นไม้เป็นเหตุให้นางสาวไฮถึงแก่ความตาย  เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุแทรกแซงที่เกิดจากการกระทำของผู้กระทำละเมิดในตอนแรก  ซึ่งเป็นเหตุแทรกแซงที่วิญญูชนสามารถคาดหมายได้  จึงไม่ตัดความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำในตอนแรกออกจากผลของการกระทำก็คือความตายของนางสาวไฮนั้น  นายบันเทิงจึงต้องรับผิดเพื่อละเมิดในความเสียหายแก่ชีวิตของนางสาวไฮตามมาตรา  420

ส่วนนายบรรเลงนายจ้างจะต้องรับผิดร่วมกับนายบันเทิงลูกจ้างเพื่อละเมิดในความเสียหายแก่ชีวิตของนางสาวไฮหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อนายบันเทิงขับรถไปในทางการที่จ้างไปชนนางสาวไฮสลบไป  เช่นนี้  นายบรรเลงต้องร่วมรับผิดกับนายบันเทิงตามมาตรา  425  ซึ่งเป็นการร่วมรับผิดกับลูกจ้างในความเสียหายแก่ร่างกายเท่านั้น  ส่วนความเสียหายแก่ชีวิตของนางสาวไฮนั้น  นายบรรเลงนายจ้างไม่ต้องร่วมรับผิดด้วย  เพราะการตายเป็นคนละเรื่องคนละตอนกับเหตุที่ลูกจ้างขับรถชนนางสาวไฮ  และเห็นได้ว่าการนำผ้าขาวม้าผูกคอนางสาวไฮติดไว้กับต้นไม้นั้นเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของนายบันเทิงลูกจ้างโดยเฉพาะเจาะจงเป็นพิเศษ  คือเพื่อปกปิดและเพื่อให้ตนพ้นอาญาในความผิดที่ตนได้กระทำขึ้น  หาเกี่ยวกับการที่นายบรรเลงได้จ้างให้นายบันเทิงกระทำไม่  จึงเป็นการกระทำละเมิดนอกทางการที่จ้าง  นายบรรเลงนายจ้างจึงไม่ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ชีวิตของนางสาวไฮตามมาตรา  425  (ฎ. 2060/2524)

(2)    นายเอกชัยและนายมนต์สิทธิ์จะมีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูได้หรือไม่  เห็นว่า  บทบัญญัติมาตรา  443  วรรคท้าย  กำหนดไว้โดยเฉพาะว่า  ผู้มีสิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะจากผู้กระทำละเมิดจะต้องเป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัว  ดังนั้นการที่นายเอกชัยอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวตั๊กแตน  มีบุตรด้วยกันหนึ่งคนคือ  นางสาวไฮ  โดยนายเอกชัยได้ให้นางสาวไฮใช้นามสกุลของตนเป็นแค่เพียงการรับรองบุตรนอกกฎหมายโดยพฤติการณ์  ไม่ใช่เป็นการรับรองบุตรโดยนิตินัยตามมาตรา  1547  นายเอกชัยจึงเป็นบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของนางสาวไฮ  นางสาวไฮ  (ผู้ตาย)  จึงไม่มีหน้าที่ในการอุปการะเลี้ยงดูนายเอกชัย  ดังนั้นนายเอกชัยย่อมไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา  443  วรรคท้าย  จากนายบันเทิงผู้กระทำละเมิด  (ฎ.  7458/2543)

ส่วนกรณีนายมนต์สิทธิ์เมื่อนางสาวไฮมีอายุได้  15  ปี  1  เดือน  นายมนต์สิทธิ์ได้จดทะเบียนรับนางสาวไฮไปเป็นบุตรบุญธรรมโดยถูกต้องตามกฎหมาย  ตามมาตรา  1598/28  วรรคท้าย  บัญญัติให้นำบทบัญญัติในลักษณะ  2  หมวด  2  แห่งบรรพ  5  มาใช้บังคับระหว่างบุตรบุญธรรมกับผู้รับบุตรบุญธรรมด้วย  กล่าวคือ  บุตรบุญธรรมย่อมมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูผู้รับบุตรบุญธรรมตามมาตรา  1563  ประกอบมาตรา  1598/28  วรรคท้าย  ดังนั้น  เมื่อนางสาวไฮถูกกระทำละเมิดถึงแก่ความตาย  นายมนต์สิทธิ์ย่อมขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูตามกฎหมาย  นายมนต์สิทธิ์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะเลี้ยงดูได้ตามมาตรา  443  วรรคท้าย  (ฎ.  713/2517)

สรุป

(1)    นายบันเทิงต้องรับผิดเพื่อละเมิดในความเสียหายแก่ชีวิตของนางสาวไฮตามมาตรา  420  แต่นายบรรเลงนายจ้างไม่ต้องรับผิดเพื่อละเมิดในความเสียหายแก่ชีวิตของนางสาวไฮ  เพราะเป็นการกระทำละเมิดนอกทางการที่จ้างตามมาตรา  425

(2)   นายเอกชัยไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะ  แต่นายมนต์สิทธิ์มีสิทธิเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะได้ตามมาตรา  443  วรรคท้าย

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ S/2548

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  ภาวะน้ำมันแพง  แดงขายรถอีแต๋นที่ใช้ไถนาแล้วซื้อควายมาไถนาแทน  ยามว่างก็รับจ้างไถหรือให้เช่าควาย  แดงโฆษณาว่า  เช่าควายได้ปุ๋ย  (ขี้ควาย)  ฝนแรกพฤษภา  ขาวมาเช่าควายไปไถนา  เมื่อไถเสร็จแล้วขาวนำค่าเช่า  2,000  บาท  และจูงควายไปคืนแดง  เกิดฝนฟ้าคะนอง  จนต้องหลบฝนที่กระท่อมกลางนา  ฝนเริ่มซาฟ้าผ่าไฟไหม้ถึงหลังคา  ขาวก็ตายควายก็ตาย  สตางค์ก็โดนไฟไหม้หมด  ขาวมีหน้าที่ชำระหนี้ให้แดงหรือไม่อย่างไรอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  8  คำว่า  เหตุสุดวิสัย  หมายความว่า  เหตุใดๆอันจะเกิดขึ้นก็ดี  จะให้ผลพิบัติก็ดี  เป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้  แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้น  จะได้จัดการระมัดระวังตามสมควร  อันพึงคาดหมายได้จากบุคคลในฐานะและภาวะเช่นนั้น

มาตรา  195  วรรคสอง  ถ้าลูกหนี้ได้กระทำการอันตนจะพึงต้องทำเพื่อส่งมอบทรัพย์สิ่งนั้นทุกประการแล้วก็ดี  หรือถ้าลูกหนี้ได้เลือกกำหนดทรัพย์ที่จะส่งมอบแล้วด้วยความยินยอมของเจ้าหนี้ก็ดี  ท่านว่าทรัพย์นั้นจึงเป็นวัตถุแห่งหนี้จำเดิมแต่เวลานั้นไป

มาตรา  219  วรรคหนึ่ง  ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์  อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้  และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้  ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น

มาตรา  1599  วรรคหนึ่ง  เมื่อบุคคลใดตาย  มรดกของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท

มาตรา  1600  ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  กองมรดกของผู้ตายได้แก่  ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย  ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่  และความรับผิดต่างๆ  เว้นแต่ตามกฎหมาย  หรือว่าโดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้

วินิจฉัย

บุคคลย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย  เมื่อถึงแก่ความตายสิทธิและหน้าที่ของขาวย่อมสิ้นไป  ขาวไม่มีหน้าที่ชำระหนี้ให้แดง

ส่วนของควาย  การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย  เพราะเหตุสุดวิสัยตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  8  อันมิใช่ความผิดของลูกหนี้  ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  219  วรรคหนึ่ง  สำหรับค่าเช่า  2,000  บาท  เป็นทรัพย์ทั่วไปตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  195  วรรคสอง  ไม่ทำให้การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย  เมื่อขาวตายหน้าที่ที่จะชำระค่าเช่าตกไปยังทายาทตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1599  วรรคหนึ่ง  และ  1600 

 

 

ข้อ  2  วันทนีย์ขายบ้านพร้อมที่ดินให้สุชาดาในราคาห้าล้านห้าแสนบาท  สุชาดาขอกู้ธนาคารโดยนำบ้านและที่ดินดังกล่าวเข้าจำนอง  แล้วชำระค่าบ้านให้วันทนีย์ไปห้าล้านบาท  ที่ค้างชำระห้าแสนบาท  ได้ทำสัญญากู้กันไว้  และสุชาดาได้จ่ายเช็คล่วงหน้าเพื่อผ่อนชำระหนี้ตามสัญญากู้  ให้วันทนีย์ไว้  5  ใบ  รวม  5  เดือนเดือนละหนึ่งแสนบาท  เมื่อถึงกำหนดวันทนีย์เบิกเงินไม่ได้  (เช็คเด้ง)  วันทนีย์ร้อนใจมาปรึกษาท่าน  ท่านจะให้คำปรึกษาอย่างไร  (ตอบเฉพาะในส่วนของวิชาหนี้)

ธงคำตอบ

มาตรา  194  ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้  เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิจะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้  อนึ่งการชำระหนี้ด้วยงดเว้นการอันใดอันหนึ่งก็ย่อมมีได้

มาตรา  213  วรรคหนึ่ง  ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตน  เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้  เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้

มาตรา  229  การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมาย  และย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

(1) บุคคลซึ่งเป็นเจ้าหนี้อยู่เอง  และมาใช้หนี้ให้แก่เจ้าหนี้อีกคนหนึ่ง  ผู้มีสิทธิจะได้รับใช้หนี้ก่อนตน  เพราะเขามีบุริมสิทธิ  หรือมีสิทธิจำนำจำนอง

วินิจฉัย

สัญญากู้ที่ทำกันไว้มีมูลหนี้ที่จะบังคับกันได้ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  194  วันทนีย์เป็นเจ้าหนี้เงินกู้ของสุชาดา  ส่วนธนาคารเป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนอง  วันทนีย์มีสิทธิชำระหนี้ให้แก่ธนาคารผู้รับจำนอง  แล้วรับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้ผู้รับจำนองมาเป็นของตน  มีผลทำให้วันทนีย์เป็นเจ้าหนี้บุริมสิทธิในฐานะเป็นผู้รับจำนองตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  229  (1)  เพื่อที่บังคับชำระหนี้ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  213  วรรคหนึ่ง  ต่อไป

 

 

ข้อ  3  เอกยกที่ดินหนึ่งแปลงให้แก่โทโดยเสน่หาถูกต้องตามกฎหมาย  ต่อมาโทได้ประพฤติเนรคุณเอกผู้ยกให้  เอกจึงมีสิทธิเรียกถอนคืนการให้จากโทได้  และเอกยื่นฟ้องโทเรียกถอนคืนการให้ในวันที่  20  มกราคม  2549  โดยเอกทราบเหตุเนรคุณในวันที่  10  มกราคม  2549  แต่ปรากฏว่าโทได้โอนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่ตรีไปแล้วเมื่อวันที่  15  มกราคม  2549  โดยตรีรู้อยู่แล้วว่าเอกกำลังเรียกเอาที่ดินที่ยกให้คืน  เอกจึงฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างโทกับตรี

แต่ตรีต่อสู้ว่าเอกไม่มีสิทธิมาฟ้องขอต่อศาลให้เพิกถอน  เพราะตรีได้รับการโอนขายที่ดินมาก่อนวันที่เอกฟ้องเรียกถอนคืนการให้  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าเอกฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินระหว่างโทกับตรีได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  237  เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ  อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น  บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย  แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา  ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

วินิจฉัย

แม้จะมีการโอนขายที่ดินให้แก่ตรี  ก่อนที่เอกยื่นฟ้องเรียกถอนคืนการให้ก็ตาม  นับแต่วันทราบเหตุเนรคุณ  ถือได้ว่าเอกอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้และเป็นฝ่ายเสียเปรียบ  จากการที่โทผู้เป็นลูกหนี้ได้โอนขายที่ดินดังกล่าวให้ตรีไป  กรณีต้องด้วยมาตรา  237  วรรคหนึ่ง  เอกฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินได้

 

 

ข้อ  4  จันทร์ตกลงว่าจ้างอังคารและพุธ  ทำและประกอบรถแข่งร่วมกันหนึ่งคัน  เพราะพอใจและเชื่อในฝีมือของอังคารและพุธร่วมกัน  โดยอังคารมีความเชี่ยวชาญเฉพาะในการทำและประกอบตัวถังรถแข่ง  ส่วนพุธมีความเชี่ยวชาญเฉพาะในการประกอบและแต่งเครื่องยนต์รถแข่ง  กำหนดให้อังคารและพุธทำและประกอบรถแข่งร่วมกันให้เสร็จสมบูรณ์เพื่อส่งมอบให้แก่จันทร์ในวันที่  30  มกราคม  2549  ปรากฏว่าอังคารทำและประกอบตัวถังรถแข่งได้เสร็จ  แต่พุธประกอบและแต่งเครื่องยนต์ไม่เสร็จ  เป็นเหตุให้ไม่สามารถส่งมอบรถแข่งให้แก่จันทร์ได้ตามกำหนดนัด  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  ใครตกเป็นผู้ผิดนัด  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  295  วรรคหนึ่ง  ข้อความจริงอื่นใด  นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา  292  ถึง  294  นั้นเมื่อเป็นเรื่องเท้าถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษ  แต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น  เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง

มาตรา  301  ถ้าบุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้  ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกัน

วินิจฉัย

การทำและประกอบรถแข่งร่วมกัน  เป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้  จึงต้องรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกัน  ตามมาตรา  301  กรณีต้องถือว่าอังคารและพุธ  ตกเป็นลูกหนี้ผิดนัดทั้งสองคนเพราะสภาพแห่งหนี้ตามสัญญาต้องชำระหนี้ร่วมกัน  กรณีการผิดนัดจึงไม่อาจถือได้ว่าเป็นการเฉพาะตัว  ทั้งนี้เป็นไปตามข้อยกเว้นในตอนท้ายของมาตรา 295  วรรคหนึ่งที่ว่า  เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง

WordPress Ads
error: Content is protected !!