LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  นริศให้นรินทร์กู้เงินหนึ่งล้านบาท  มีกำหนดเวลาชำระคืนภายในสามปี  โดยมีนเรศเป็นผู้ค้ำประกันหลังจากกู้ไปได้หนึ่งปี  นรินทร์กลายเป็นผู้ไม่อยู่  นริศจึงเรียกและบังคับให้นเรศชำระหนี้  นเรศต่อสู้ว่าหนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระ  นริศจะเรียกบังคับชำระหนี้ไม่ได้  ข้อต่อสู้ของนเรศฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  203  วรรคสอง  ถ้าได้กำหนดเวลาไว้  แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนถึงเวลานั้นหาได้ไม่  แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นก็ได้

วินิจฉัย

ตามสัญญากู้เป็นหนี้มีกำหนดเวลาชำระ  เมื่อลูกหนี้ไปเสียจากภูมิลำเนา  ไม่มีใครรู้ว่าอยู่หรือตายแล้ว  ข้อสันนิษฐานตามมาตรา  203 วรรคสอง  จึงเป็นอันตกไป  เจ้าหนี้ฟ้องผู้ค้ำประกันได้

สรุป  ข้อต่อสู้ของนเรศฟังไม่ขึ้น

 

 

ข้อ  2  ดำมีหน้าที่ขับรถส่งของให้แดงนายจ้าง  ขณะที่ส่งของ  ดำขับรถชนรถของขาวโดยประมาท  ดำเกรงว่าแดงนายจ้างจะทราบ  จึงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับขาวว่า  จะชำระค่าซ่อมรถให้ขาวทั้งหมดหนึ่งหมื่นห้าพันบาท  แต่ดำผิดสัญญา  บริษัทตาปีประกันภัยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรถของขาว  นำรถของขาวเข้าซ่อมเสร็จแล้ว  แต่ยังไม่ได้ชำระค่าซ่อมให้อู่ซ่อม  ขาวจะเรียกบังคับให้ดำชำระหนี้หนึ่งหมื่นห้าพันบาทตามสัญญาได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  227  เมื่อเจ้าหนี้ได้รับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายเต็มตามราคาทรัพย์หรือสิทธิซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นแล้ว  ท่านว่าลูกหนี้ย่อมเข้าสู่ฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้  อันเกี่ยวกับทรัพย์หรือสิทธินั้นๆด้วยอำนาจกฎหมาย

วินิจฉัย

บริษัทผู้รับประกันภัยได้ซ่อมรถให้ขาวตามสัญญาประกันภัยแล้ว  บริษัทฯย่อมรับช่วงสิทธิของขาวที่จะเรียกเอาจากดำไปแล้ว  ตามมาตรา 227

ดังนั้น  ขาวจึงสิ้นสิทธิที่จะเรียกเอาจากดำ

 

 

ข้อ  3  หนึ่งเป็นเจ้าหนี้  และสองเป็นลูกหนี้ในหนี้เงิน  200,000  บาท  โดยมีสามและสี่เป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายดังกล่าวนี้  ปรากฏว่าสามเพียงผู้เดียวในฐานะผู้ค้ำประกันได้ชำระหนี้ทั้งหมดแทนสองลูกหนี้ไป  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าสามจะมีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากสี่ได้หรือไม่  เพียงใด  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  229  การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมาย  และย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้คือ

(3) บุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับผู้อื่น  หรือเพื่อผู้อื่นในอันจะต้องใช้หนี้  มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้น  และเข้าใช้หนี้นั้น

มาตรา  296  ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น  ท่านว่าต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนท่าๆกัน  เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  ถ้าส่วนที่ลูกหนี้ร่วมกันคนใดคนหนึ่งจะพึงชำระนั้น  เป็นอันจะเรียกเอาจากคนนั้นไม่ได้ไซร้  ยังขาดจำนวนอยู่เท่าไร  ลูกหนี้คนอื่นๆ  ซึ่งจำต้องออกส่วนด้วยนั้นก็ต้องรับใช้  แต่ถ้าลูกหนี้ร่วมกันคนใด  เจ้าหนี้ได้ปลดให้หลุดพ้นจากหนี้อันร่วมกันนั้นแล้ว  ส่วนที่ลูกหนี้คนนั้นจะพึงต้องชำระหนี้ก็ตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ไป

มาตรา  682  วรรคสอง  ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน  แม้ถึงว่าจะมิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน

วินิจฉัย

สามและสี่เป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกัน  จึงต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน  ตามมาตรา  682  วรรคสอง  เมื่อสามคนเดียวชำระหนี้ทั้งหมดให้เจ้าหนี้แทนสองลูกหนี้  สามจึงไล่เบี้ยเอาจากสี่ได้กึ่งหนึ่ง  คือ  100,000  บาท  ตามมาตรา  229(3)  และมาตรา  296 

 

 

ข้อ  4  จันทร์เป็นเจ้าหนี้อังคาร  100,000  บาท  ต่อมาจันทร์ได้ทำหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ดังกล่าวนี้ให้แก่พุธ  และพุธได้มีหนังสือบอกกล่าวการโอนให้อังคารทราบ  แต่ปรากฏว่าก่อนที่จะได้รับหนังสือบอกกล่าวการโอนนั้น  อังคารได้ชำระหนี้ทั้งหมดให้แก่จันทร์ไปแล้ว ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าอังคารจะต้องชำระหนี้ให้พุธอีกหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  306  วรรคสอง  ถ้าลูกหนี้ทำให้พอแก่ใจผู้โอนด้วยการใช้เงิน  หือด้วยประการอื่นเสียแต่ก่อนได้รับบอกกล่าว  หรือก่อนได้ตกลงให้โอนไซร้  ลูกหนี้นั้นก็เป็นอันหลุดพ้นจากหนี้

วินิจฉัย

เป็นเรื่องที่ลูกหนี้ทำให้พอใจแก่ผู้โอน  (เจ้าหนี้)  ด้วยการใช้เงินเสียแต่ก่อนได้รับคำบอกกล่าวการโอน  หนี้จึงเป็นอันระงับ  ลูกหนี้จึงเป็นอันหลุดพ้นจากหนี้  ดังนั้น  อังคารลูกหนี้จึงไม่ต้องชำระหนี้ให้พุธอีก  ตามมาตรา  306  วรรคสอง

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ 2/2549

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  นาย  ก  เป็นเจ้าของกิจการห้างสรรพสินค้า  ในช่วงระหว่างวันที่  20  ธันวาคม  ถึงวันที่  5  มกราคม  ของทุกปี  จะเป็นช่วงที่ร้านของนาย  ก  สั่งสินค้าจำพวก  ส.ค.ส  แบบต่างๆ  มาจำหน่ายแก่ลูกค้า  และสามารถสร้างผลกำไรจากการขาย  ส.ค.ส.  แก่นาย  ก  เป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า  50,000  บาทต่อปี

โดยจะสั่งซื้อจากโรงงานของนาย  ข  เพียงแห่งเดียว  สำหรับในปี  2549  นาย  ก  ได้ส่งคำสั่งซื้อ  ส.ค.ส.  แบบมีเลข  พ.ศ.  กำกับไปยังโรงงานของนาย  ข  จำนวน  2,000  ชุด  เช่นทุกปี  โดยตกลงกันว่า   นาย  ข  จะต้องนำสินค้ามาส่งที่ร้านของนาย  ก  ในวันที่  19 ธันวาคม  2549  เพื่อจะได้จัดเตรียมการจำหน่ายแก่ลูกค้าในวันรุ่งขึ้น  แต่ปรากฏว่านาย  ข  กลับนำสินค้ามาส่งในวันที่  4  มกราคม  2550  นาย  ก  จึงไม่ยอมรับสินค้าทั้งหมดไว้จำหน่าย

เพราะนาย  ก  เห็นว่า  นาย  ข  ผิดนัด  ทั้ง  ส.ค.ส.  ที่เอามาส่งก็ไม่สามารถจำหน่ายได้แล้วเนื่องจากล่วงพ้นช่วงเทศกาลปีใหม่มาแล้ว  ต่อมา  นาย  ก  จึงฟ้องนาย  ข  เรียกค่าเสียหายจำนวน  50,000  บาท  พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ  15  ต่อปี

จากเงินต้นดังกล่าว  นาย  ข  ต่อสู้ว่า  นาย  ก  ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายจำนวนนั้น  เพราะเป็นแต่เพียงผลกำไรที่คาดว่าจะได้จากการขาย  ส.ค.ส.  เท่านั้น  นอกจากนั้นนาย  ก  ก็ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยร้อยละ  15  ด้วย  เพราะไม่เคยตกลงกันในเรื่องนี้

ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  ข้ออ้างและข้อต่อสู้ของทั้งสองคนฟังขึ้นหรือไม่  อย่างไร

วินิจฉัย

มาตรา  204  วรรคสอง  ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน  และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้  ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย

มาตรา  216  ถ้าโดยเหตุผิดนัด  การชำระหนี้กลายเป็นอันไร้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้  เจ้าหนี้จะบอกปัดไม่รับชำระหนี้และจะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการไม่ชำระหนี้ก็ได้

มาตรา  222  วรรคสอง  เจ้าหนี้จะเรียกค่าสินไหมทดแทนได้  แม้กระทั่งเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ  หากว่าคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้คาดเห็น  หรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้าก่อนแล้ว

มาตรา  224  วรรคแรก  หนี้เงินนั้น  ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี  ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น  โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย  ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น

วินิจฉัย

นิติสัมพันธ์ระหว่างนาย  ก  กับนาย  ข  เป็นสัญญาซื้อขาย  ซึ่งนาย  ข  ต้องส่งมอบหรือชำระหนี้แก่นาย  ก  ตามวันที่กำหนดในปฏิทิน  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  204  วรรคสอง  คือวันที่  19  ธันวาคม  2549  เมื่อปรากฏว่านาย  ข  ส่งมอบสินค้าเมื่อพ้นกำหนดตามที่ตกลงกัน จึงเป็นการผิดนัดชำระหนี้  และจะเห็นได้ว่าการชำระหนี้ในวันที่  4  มกราคม  2550  ทำให้การชำระหนี้เป็นอันไร้ประโยชน์แก่นาย  ก  ตามมาตรา  216  นาย  ก  มีสิทธิที่จะบอกปัดไม่รับชำระหนี้ได้  และมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากนาย  ข  ได้ด้วย

ค่าเสียหายที่นาย  ก  เรียกจำนวน  50,000  บาทนั้น  เป็นค่าเสียหายในพฤติการณ์พิเศษ  ตามมาตรา  222  วรรคสอง  ซึ่งนาย  ข  สามารถคาดเห็นได้อยู่แล้วว่า  นาย  ก  จะได้กำไรจากการขาย  ส.ค.ส.  ดังกล่าวเพราะได้ติดต่อค้าขายกันมากับนาย  ก  เป็นประจำและหลายปี  ดังนั้นนาย  ข  จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวแก่  นาย  ก  แต่สำหรับดอกเบี้ยในเงินต้นดังกล่าวนั้น  นาย  ก  สามารถเรียกได้เพียงอัตราร้อยละ  7.5  ต่อปี  ตามมาตรา  224  วรรคแรก  จะเรียกถึงร้อยละ  15  นั้นไม่ได้  เพราะข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า  นาย  ก  กับ นาย  ข  ได้ตกลงกันให้คิดดอกเบี้ยได้เท่าถึงอัตราดังกล่าวตามมาตรา  224  วรรคแรก  ตอนท้าย

 

 

ข้อ  2  นายดำกู้ยืมเงินจากนายแดงไป  2  ครั้ง  ครั้งแรกทำสัญญากู้ยืมเงินวันที่  1  กันยายน  2536  จำนวนเงิน  100,000  บาท  โดยไม่คิดดอกเบี้ยและไม่ได้กำหนดเวลาชำระเงิน  ครั้งที่  2  ทำสัญญากู้ยืมเงิน วันที่  1  ธันวาคม  2539  จำนวนเงิน  200,000  บาท  โดยไม่คิดดอกเบี้ยและไม่ได้กำหนดเวลาชำระเงินคืนเช่นกัน  ต่อมาวันที่  10  กันยายน  2547  นายแดงทำหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้เงินกู้ทั้ง  2  ครั้ง  ให้แก่นายขาวโดยนายแดงลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องแต่ฝ่ายเดียว

ในวันดังกล่าวนายดำได้ทำหนังสือยินยอมให้โอนสิทธิเรียกร้องให้นายขาวได้  โดยหนังสือยินยอมที่นายดำลงลายมือชื่อไม่ได้กล่าวถึงเรื่องอายุความไว้ด้วย  ต่อมาวันที่  1  กุมภาพันธ์  2550  นายขาวยื่นฟ้องนายดำเป็นจำเลยขอให้บังคับนายดำชำระเงินกู้จำนวน  100,000  บาท  และ  200,000  บาท  แก่นายขาว  นายดำยื่นคำให้การว่าการโอนสิทธิเรียกร้องไม่สมบูรณ์

เพราะนายแดงลงลายมือชื่อในหนังสือโอนสิทธิเรียกร้องฝ่ายเดียว  นายขาวยื่นฟ้องเกิน  10  ปีนับแต่วันทำสัญญากู้ยืมเงินทั้ง  2  ครั้ง  คดีขาดอายุความ  ขอให้ยกฟ้อง

ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าว  หากท่านเป็นผู้พิพากษาศาลชั้นต้นท่านจะพิพากษายกฟ้องตามที่นายดำให้การ  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  193/29  เมื่อไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้  ศาลจะอ้างเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้

มาตรา  193/30  อายุความนั้น  ถ้าประมวลกฎหมายนี้  หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ  ให้มีกำหนดสิบปี

มาตรา  306  วรรคหนึ่ง  การโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ  ท่านว่าไม่สมบูรณ์  อนึ่งการโอนหนี้นั้น  ท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้  หรือบุคคลภายนอกได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น  คำบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้  ท่านว่าต้องทำเป็นหนังสือ

มาตรา  308  วรรคหนึ่ง  ถ้าลูกหนี้ได้ให้ความยินยอมดังกล่าวมาในมาตรา  306  โดยมิได้อิดเอื้อน  ท่านว่าจะยกข้อต่อสู้ที่มีต่อผู้โอนขึ้นต่อสู้ผู้รับโอนนั้นหาได้ไม่

วินิจฉัย

นายแดงโอนสิทธิเรียกร้องให้นายขาวทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องเป็นหนังสือ  แม้จะลงลายมือชื่อนายแดงผู้โอนสิทธิเรียกร้องเพียงฝ่ายเดียว  ก็สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  306  วรรคหนึ่ง  นายขาวจึงมีอำนาจฟ้อง

นายขาวยื่นฟ้องวันที่  1  กุมภาพันธ์  2550  พ้น  10  ปี  นับแต่วันทำสัญญากู้ยืมเงิน  ทั้ง  2  ครั้ง  คดีจึงขาดอายุความตามมาตรา  193/30  แต่ศาลจะยกเอาอายุความมาเป็นเหตุยกฟ้องไม่ได้  เว้นแต่จำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้ตามมาตรา  193/29  เมื่อนายขาวยื่นฟ้องในฐานะผู้รับโอนสิทธิเรียกร้อง  นายดำลูกหนี้ย่อมมีสิทธิยกข้อต่อสู้ของตนที่มีอยู่ขึ้นต่อสู้นายขาวได้  ปรากฏว่านายดำมีหนังสือยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้อง  เมื่อวันที่  10  กันยายน  2547  ซึ่งขณะนั้นหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินครั้งที่  1  ขาดอายุความแล้ว  แต่นายดำมิได้อิดเอื้อนเรื่องคดีขาดอายุความไว้  นายดำจึงไม่อาจยกอายุความขึ้นต่อสู้นายขาวได้ตามมาตรา  308  ส่วนหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินครั้งที่  2  ขณะที่นายดำให้ความยินยอมในการโอนสิทธิเรียกร้อง  ยังไม่ขาดอายุความ  นายดำจึงไม่ต้องอิดเอื้อนไว้และสามารถนำกำหนดระยะเวลาที่ล่วงไปแล้วมารวมเข้ากับระยะเวลาหลังจากที่โอนสิทธิเรียกร้องได้นายดำจึงยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้  เมื่อนายดำให้การว่าคดีขาดอายุความ  ศาลต้องพิพากษายกฟ้องในส่วนนี้

หากข้าพเจ้าเป็นผู้พิพากษาศาลชั้นต้น  จะพิพากษายกฟ้องเฉพาะหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินครั้งที่  2  จำนวน  200,000  บาท

 

 

ข้อ  3  จันทร์กู้เงินของอังคารไปหนึ่งล้านบาท  โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินแปลงเดียวที่มีอยู่เป็นประกันเงินกู้กับอังคาร  ที่ดินแปลงนี้ราคาประมาณหนึ่งล้านบาท  นอกจากที่ดินแปลงนี้แล้วจันทร์มีสิทธิเป็นเจ้าหนี้พุธในมูลหนี้ซื้อขายอยู่ห้าแสนบาท  ซึ่งหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว

ส่วนทรัพย์สินอย่างอื่นนอกเหนือจากนี้ไม่มี  ต่อมาปรากฏว่าเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่ดินแปลงดังกล่าวตกเหลือราคาประมาณห้าแสนบาท  อังคารพยายามบอกกล่าวให้จันทร์ใช้สิทธิเรียกร้องให้พุธชำระหนี้  แต่จันทร์ก็ละเลยเพิกเฉยเสีย  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าอังคารจะใช้สิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินของจันทร์ลูกหนี้ในกรณีดังกล่าวนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  214  ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา  733  เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง  รวมทั้งเงินและทรัพย์สินอื่นๆซึ่งบุคคลภายนอกค้างชำระแก่ลูกหนี้ด้วย

มาตรา  233  ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง  หรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้  เว้นแต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้

มาตรา  733  ถ้าเอาทรัพย์จำนองหลุด  และราคาทรัพย์สินนั้นมีประมาณต่ำกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่ก็ดี  หรือถ้าเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองออกขายทอดตลาดใช้หนี้  ได้เงินจำนวนสุทธิน้อยกว่าจำนนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่นั้นก็ดี  เงินยังขาดจำนวนอยู่เท่าใด  ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามปัญหาเรื่องจำนอง  เมื่อไม่มีข้อตกลงรับผิดชดใช้เงินที่ขาดเมื่อบังคับจำนอง  หากเจ้าหนี้บังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินจำนองแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้  เจ้าหนี้ก็ไม่มีสิทธิบังคับเอากับทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ได้อีก  (ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  214  และมาตรา  733)  อังคาร  (เจ้าหนี้)  จึงไม่มีสิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินอย่างอื่นของจันทร์โดยการใช้สิทธิเรียกร้องของจันทร์  เพราะการละเลยเพิกเฉยไม่เรียกให้พุธชำระหนี้ไม่เป็นการเสียประโยชน์แก่อังคาร  (เจ้าหนี้)  กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติในมาตรา  233  อังคารใช้สิทธิเรียกร้องของจันทร์ไม่ได้

 

 

ข้อ  4  ก  ข  ค  เป็นลูกหนี้ร่วมกู้เงินของ  ง  3,000  บาท  โดยตกลงระหว่างกันเองให้แต่ละคนได้เงินกู้ไป  1,000  บาท  ต่อมาปรากฏว่า  ง  ตาย  แต่  ง  ได้ทำพินัยกรรมยกสิทธิเรียกร้องในเงินกู้รายนี้ให้แก่  ก  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  ก  จะเรียกให้  ข  และ  ค  ชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าวได้หรือไม่  เพียงใด  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  295  ข้อความจริงอื่นใด  นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา  292  ถึง  294  นั้น  เมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น  เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง

ความที่ว่ามานี้  เมื่อจะกล่าวโดยเฉพาะก็คือว่าให้ใช้แก่การให้คำบอกกล่าว  การผิดนัด  การที่หยิบยกอ้างความผิด  การชำระหนี้อันเป็นพ้นวิสัยแก่ฝ่ายลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง  กำหนดอายุความหรือการที่อายุความสะดุดหยุดลง  และการที่สิทธิเรียกร้องเกลื่อนกลืนกันไปกับหนี้สิน

มาตรา  353  ถ้าสิทธิ  และความรับผิดในหนี้รายใดตกอยู่แก่บุคคลคนเดียวกัน  ท่านว่าหนี้รายนั้นเป็นอันระงับสิ้นไป

วินิจฉัย

ก  เป็นผู้รับพินัยกรรมของ  ง  กรณีจึงเกิดหนี้เกลื่อนกลืนในตัว  ก  และกฎหมายบัญญัติให้หนี้เกลื่อนกลืนกันเป็นเรื่องเฉพาะตัวของ  ก  ผู้เดียว  ไม่มีผลถึงลูกหนี้ร่วมคนอื่นๆ  ข  และ  ค  จึงหาได้รับผลด้วยไม่  ก  จึงคงใช้สิทธิเรียกให้  ข  และ  ค  ชำระหนี้เงินกู้ให้แก่  ก  ได้  เฉพาะส่วนที่เหลือทำนองเดียวกับการปลดหนี้  กล่าวคือ  ก  สามารถเรียกให้  ข  และ  ค  ร่วมกันชำระหนี้เงินกู้ให้  ก  ได้  เป็นจำนวนเงิน 2,000  บาท  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  295  วรรคแรก  และวรรคสอง  ประกอบมาตรา  353

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ S/2549

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  ปัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากบริษัท  ซิตี้  ลิสซิ่ง  จำกัด  ตามเงื่อนไขของสัญญาเช่าซื้อ  ผู้เช่าต้องชำระเบี้ยประกันภัย  (ชั้นหนึ่งคุ้มครองถึงกรณีรถหาย)  โดยผู้ให้เช่าเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์เต็มจำนวน  และมีข้อสัญญาว่ากรณีรถสูญหาย  ผู้เช่ายอมชดใช้ค่ารถยนต์เป็นเงินเท่ากับค่าเช่าซื้อที่ยังค้างชำระทั้งหมดทันที  โดยผู้เช่าไม่ยกเหตุที่ผู้ให้เช่ามีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยใดๆทั้งสิ้น

เมื่อรถที่เช่าถูกลักไป  และผู้ให้เช่าได้รับค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยแล้ว  จะมาฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อที่ผู้เช่ายังค้างชำระตามข้อสัญญาได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  5  ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี  ในการชำระหนี้ก็ดี  บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริต

มาตรา  213  ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตนเจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้  เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้

เมื่อสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้  ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันหนึ่งอันใด  เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้นโดยลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายให้ก็ได้แต่ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งไซร้  ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ก็ได้

ส่วนหนี้ซึ่งมีวัตถุเป็นอันจะให้งดเว้นการอันใด  เจ้าหนี้จะเรียกร้องให้รื้อถอนการที่ได้กระทำลงแล้วนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายและให้จัดการอันควรเพื่อกาลภายหน้าด้วยก็ได้

อนึ่งบทบัญญัติในวรรคทั้งหลายที่กล่าวมาก่อนนี้  หากระทบกระทั่งถึงสิทธิที่จะเรียกเอาค่าเสียหายไม่

วินิจฉัย

กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องการบังคับชำระหนี้ในค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาเช่าซื้อ

การที่เจ้าหนี้จะบังคับเอาค่าสินไหมทดแทนความเสียหายโดยหลักแล้ว  เพื่อทดแทนความเสียหายตามที่ได้รับจากความเสียหายจริงเท่านั้น  ตามมาตรา  213  วรรคท้าย

ในเมื่อรถที่เช่าถูกลักไป  และผู้ให้เช่าได้รับค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยเต็มจำนวนตามกรมธรรม์แล้ว  ถ้าจะมาเรียกเอาจากผู้เช่าอีก  โดยอ้างข้อสัญญาที่ว่า  กรณีรถสูญหาย  ผู้เช่ายอมชดใช้ค่ารถยนต์เป็นเงินเท่ากับค่าเช่าซื้อที่ยังค้างชำระทั้งหมดทันที  โดยผู้เช่าไม่ยกเหตุที่ผู้ให้เช่ามีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ใดๆทั้งสิ้น  ย่อมเป็นการได้รับค่าสินไหมทดแทนสองทางอันเป็นการเกินกว่าความเสียหายที่ได้รับ  ย่อมเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตตามมาตรา  5

สรุป  ผู้ให้เช่าซื้อจะฟ้องเรียกเอาค่าเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อยังค้างชำระอีกไม่ได้

 

 

ข้อ  2  ก  ทำสัญญาจะซื้อบ้านพร้อมที่ดินจาก  ข  ในราคาสามล้านห้าแสนบาท  ในวันทำสัญญา  ก  วางมัดจำไว้ห้าแสนบาท  อีกสามล้านจะชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์ซึ่งกำหนดไว้แน่นอน  ก่อนกำหนดโอนเกิดไฟไหม้บ้านเสียหายทั้งหลัง  แต่  ข  ก็ได้รับค่าสินไหมทดแทนในตัวบ้านที่ได้ทำประกันภัยไว้อยากทราบว่า  ก  จะบังคับตามสัญญาได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  226  วรรคสอง  ช่วงทรัพย์ได้แก่  เอาทรัพย์สินอันหนึ่งเข้าแทนที่ทรัพย์สินอีกอันหนึ่งในฐานะนิตินัยอย่างเดียวกับทรัพย์สินอันก่อน

มาตรา  228  วรรคแรก  ถ้าพฤติการณ์ซึ่งทำให้การชำระหนี้เป็นอันพ้นวิสัยนั้น  เป็นผลให้ลูกหนี้ได้ซึ่งของแทนก็ดี  หรือได้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อทรัพย์อันจะพึงได้แก่ตนนั้นก็ดี  ท่านว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ส่งมอบของแทนที่ได้รับไว้  หรือจะเข้าเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเสียเองก็ได้

วินิจฉัย

จากมาตรา  226  วรรคสอง  ช่วงทรัพย์  หมายถึง  การเปลี่ยนตัวทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้โดยผลของกฎหมาย  เป็นการที่เอาทรัพย์สินอันหนึ่งเข้าแทนที่ทรัพย์สินอีกอันหนึ่งในฐานะอย่างเดียวกัน  อันจะทำให้ทรัพย์สินที่เข้าไปแทนที่ตกอยู่ภายใต้การบังคับชำระหนี้แทนทรัพย์สินเดิม

ดังนั้นค่าสินไหมทดแทนบ้านที่ถูกไฟไหม้เป็นช่วงทรัพย์ตามมาตรา  226  วรรคสอง

กรณีนี้เป็นเรื่องการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย  คือ  ลูกหนี้ไม่สามารถส่งมอบทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งหนี้ได้  เนื่องจากทรัพย์สูญหายหรือถูกทำลาย  และต่อมาลูกหนี้ได้ทรัพย์สินอื่นมาแทน  หรือได้สิทธิในการเรียกค่าสินไหมทดแทน  กฎหมายให้เอาทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้นเข้าแทนที่เป็นช่วงทรัพย์ของทรัพย์เดิม  ดังนั้นเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องเอาทรัพย์สินหรือค่าสินไหมทดแทนจากลูกนี้ได้  หรือจะเรียกจากบุคคลภายนอกโดยตรงเลยก็ได้

เมื่อบ้านถูกไฟไหม้การชำระหนี้ในตัวบ้านเป็นอันพ้นวิสัย  ก  เจ้าหนี้ย่อมเรียกให้  ข  ส่งมอบหรือเข้าเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเสียเองก็ได้  ตามมาตรา  228  วรรคแรก

สรุป  ก  บังคับตามสัญญาจะซื้อจะขายให้  ข  โอนที่ดินและส่งมอบค่าสินไหมทดแทนบ้านได้  แต่  ก  ต้องชำระราคาตามสัญญาซื้อขาย

 

 

ข้อ  3  นางจันทร์  (ผู้ให้)  ยกที่นาแปลงหนึ่งให้แก่นายอังคาร  (ผู้รับการให้)  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อมานางจันทร์มีสิทธิที่จะเรียกถอนคืนการให้จากนายอังคารได้  เนื่องจากเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  531  แต่ก่อนที่นายอังคารจะถูกฟ้องเพิกถอนการให้เพราะเหตุเนรคุณนั้น  นายอังคารได้โอนที่นาแปลงดังกล่าวให้แก่นายพุธโดยเสน่หา  และนายพุธรับโอนไว้โดยถูกต้องและโดยสุจริต

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า  นางจันทร์จะใช้สิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินของนายอังคารในกรณีดังกล่าวได้อย่างไร  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  237  เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ  อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น  บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย  แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา  ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้  ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน

วินิจฉัย

ตามาตรา  237  การเพิกถอนการฉ้อฉลนี้  กฎหมายบัญญัติขึ้นมาเพื่อจะแก้ปัญหาในกรณีที่เจ้าหนี้กำลังจะบังคับเอาแก่ลูกหนี้  แต่ทรัพย์สินของลูกหนี้ไม่มีเหลืออยู่แล้ว  หรือมีเหลือแต่ไม่เพียงพอที่จะชำระแก่เจ้าหนี้  เนื่องจากลูกหนี้ได้โอนไปให้ผู้อื่นเสียแล้ว

ดังนั้น  มาตรา  237  จึงให้อำนาจเจ้าหนี้ที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมใดๆ  ที่ลูกหนี้ได้ทำไปโดยฉ้อฉลเจ้าหนี้  และเมื่อศาลเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวแล้ว  ก็มีผลเท่ากับว่าลูกหนี้ไม่เคยทำนิติกรรมฉ้อฉลนั้นเลย  ทรัพย์สินดังกล่าวก็คงกลับเข้ามาอยู่ที่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ดังเดิม

หลักเกณฑ์การเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา  237  ประกอบด้วย

1       ลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล  หมายถึง  นิติกรรมที่ลูกหนี้ทำขึ้นโดยที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  ซึ่งก็คือ  นิติกรรมนั้นพอทำแล้วลูกหนี้จะไม่มีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้นั่นเอง  แต่ถ้าลูกหนี้ทำนิติกรรมไปแล้วแต่ยังมีทรัพย์สินอีกมากมายที่จะชำระหนี้ได้  ดังนี้ย่อมไม่ถือว่าเจ้าหนี้เสียเปรียบ

2       การทำนิติกรรมของลูกหนี้นั้น  ลูกหนี้จะต้องรู้ว่าเมื่อทำนิติกรรมแล้วเจ้าหนี้จะเสียเปรียบถ้าไม่รู้ก็ย่อมไม่ถือเป็นการฉ้อฉล

3       นิติกรรมที่จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของลูกหนี้  ถ้าทำโดยมิใช่เป็นการทำให้โดยเสน่หาแล้ว  เจ้าหนี้จะขอให้ศาลเพิกถอนได้ต่อเมื่อ  ในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้น  (หมายถึงผู้ที่ทำนิติกรรมกับลูกหนี้)  ได้รู้ถึงความเสียเปรียบของเจ้าหนี้  (คือต้องรู้ในขณะที่ทำนิติกรรม  ถ้ามารู้ภายหลังก็ย่อมเพิกถอนไม่ได้)

4       หากลูกหนี้ทำนิติกรรมให้โดยเสน่หา  เพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้วที่จะขอให้เพิกถอนได้  (ดังนั้นผู้ได้ลาภงอกจะอ้างว่าตนสุจริตก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ)

5       การเพิกถอนการฉ้อฉลใช้ได้กับนิติกรรมที่มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สินเท่านั้น  จะไม่นำมาใช้กับนิติกรรมใดๆ  อันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน

ตามปัญหา  นางจันทร์  (ผู้ให้)  ยกที่นาแปลงหนึ่งให้แก่นายอังคาร  (ผู้รับการให้)  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน  ต่อมานางจันทร์มีสิทธิที่จะเรียกถอนคืนการให้จากนายอังคารได้  เนื่องจากเหตุผู้รับประพฤติเนรคุณ  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  531  แต่ก่อนที่นายอังคารจะถูกฟ้องเพิกถอนการให้เพราะเหตุเนรคุณนั้น  นายอังคารได้โอนที่นาแปลงดังกล่าวให้แก่นายพุธโดยเสน่หา  และนายพุธรับโอนไว้โดยถูกต้องและโดยสุจริต  ย่อมถือได้ว่าเป็นการทำนิติกรรมอันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งที่รู้ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ  และเมื่อกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา  เพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้  กรณีนี้ถือว่าผู้ให้อยู่ในฐานะเจ้าหนี้และเป็นฝ่ายที่ต้องเสียเปรียบ  จึงควรใช้มาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ด้วยการใช้สิทธิเพิกถอนการฉ้อฉล  ตามมาตรา  237  วรรคแรก  เพิกถอนการฉ้อฉลได้

สรุป  นางจันทร์ใช้สิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินของนายอังคารได้โดยร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการฉ้อฉลของนายอังคารดังกล่าวได้ตามมาตรา  237  วรรคแรก

 

 

ข้อ  4  ก  และ  ข  เป็นลูกหนี้ร่วม  กู้เงินของ  ค  ไป  20,000  บาท  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  ก  แต่ผู้เดียวนำเงิน  20,000  บาท  ไปขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อ  ค  โดยชอบด้วยกฎหมาย  แต่  ค  ต้องการได้รับดอกเบี้ยต่อไป  จึงปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า

(1) การขอปฏิบัติการชำระหนี้ของ  ก  จะเป็นคุณประโยชน์ต่อ  ข  ด้วยหรือไม่  เพราะเหตุใด

(2) ค  จะเรียกดอกเบี้ยจาก  ข  ต่อไปได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  207  ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้  และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

มาตรา  221  หนี้เงินอันต้องเสียดอกเบี้ยนั้น  ท่านว่าจะคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่เจ้าหนี้ผิดนัดหาได้ไม่

มาตรา  294  การที่เจ้าหนี้ผิดนัดต่อลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้น  ย่อมได้เป็นคุณประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย

วินิจฉัย

เจ้าหนี้จะตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรานี้  ต้องครบองค์ประกอบ  2  ประการ  คือ

1       ลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว

2       เจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างโดยกฎหมาย

(1) การที่จะถือว่าลูกหนี้ได้ขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้วอันจะมีผลให้เจ้าหนี้ผู้ปฏิเสธไม่รับชำระหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดนั้น  จะต้องปรากฏว่าลูกหนี้พร้อมที่จะชำระหนี้โดยแท้จริง  และขอปฏิบัติการชำระหนี้ได้กระทำโดยชอบแล้วด้วยกฎหมาย  ถูกต้องตามวิธีการที่กฎหมายกำหนด

การที่  ก  นำเงิน   20,000  บาท  ไปขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบต่อ  ค  แต่  ค  ปฏิเสธ  จึงถือว่า  ค  เจ้าหนี้ผิดนัดต่อ  ก  ตามมาตรา  207  มีผลเท่ากับ  ค  ผิดนัดต่อ  ข  ด้วย  ตามมาตรา  294 

(2) เมื่อ  ค  เจ้าหนี้ผิดนัด  ค  จึงเรียกดอกเบี้ยต่อ  ข  ต่อไปไม่ได้  ตามมาตรา  221

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ 1/2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  นิพนธ์กู้เงินดวงกมลสามแสนบาท  มีกำหนดเวลาสามปี  ก่อนถึงกำหนด  นิพนธ์นัดดวงกมลขอชำระหนี้ทั้งหมดถึงสองครั้ง  แต่ดวงกมลปฏิเสธไม่รับชำระ  ต่อมาเมื่อหนี้ถึงกำหนดดวงกมลฟ้องบังคับชำระหนี้  แต่ศาลไม่ประทับฟ้องเพราะโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต  อยากทราบว่าหนี้ระงับหรือไม่  เจ้าหนี้จะบังคับชำระหนี้ได้หรือไม่  อย่างไร  ยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

มาตรา  203  วรรคสอง  ถ้าได้กำหนดเวลาไว้  แต่หากกรณีเป็นที่สงสัย  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนถึงเวลานั้นหาได้ไม่  แต่ฝ่ายลูกหนี้จะชำระหนี้ก่อนกำหนดนั้นก็ได้

มาตรา  207  ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้  และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

มาตรา  221  หนี้เงินอันต้องเสียดอกเบี้ยนั้น  ท่านว่าจะคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่เจ้าหนี้ผิดนัดหาได้ไม่

วินิจฉัย

การที่นิพนธ์นัดดวงกมลขอชำระหนี้ทั้งหมดถึง  2  ครั้ง  แต่ดวงกมลปฏิเสธไม่รับชำระหนี้  โดยปราศจากมูลเหตุที่จะอ้างกฎหมายได้จึงถือว่า  เจ้าหนี้ผิดนัดตามมาตรา  207  เพราะเป็นหนี้มีกำหนดเวลาแม้เจ้าหนี้จะเรียกให้ชำระหนี้ก่อนกำหนดไม่ได้  แต่ลูกหนี้สามารถชำระหนี้ก่อนถึงกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ได้ตามมาตรา  203  วรรคสอง  อย่างไรก็ดีเพียงเจ้าหนี้ผิดนัดไม่ทำให้หนี้ระงับ  แต่มีผลทำให้เจ้าหนี้จะคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่ตนผิดนัดไม่ได้  ตามมาตรา  221

ดังนั้นในเมื่อหนี้ยังไม่ระงับ  ลูกหนี้ยังคงต้องชำระหนี้อยู่  เจ้าหนี้สามารถเรียกให้ชำระหนี้และบังคับชำระหนี้ต่อไปได้

สรุป  หนี้ไม่ระงับและเจ้าหนี้บังคับชำระหนี้ได้

 

 

ข้อ  2  บริษัทดาว  จำกัด  ทำสัญญาเช่าเครื่องบินโดยสารจากบริษัทไมค์  จำกัด  เพื่อใช้บินรับส่งผู้โดยสารภายในประเทศไทย  โดยสัญญาเช้าที่ทำกันไว้มีข้อตกลงด้วยว่า  หากในระหว่างการเช่าเครื่องบินที่เช่าได้รับความเสียหายไม่ว่าในกรณีใดในระหว่างทำการบิน  หรือขณะอยู่ในทางวิ่งหรือทางขับ  หรือบริเวณหลุมจอดเครื่องบินภายในท่าอากาศยานแห่งใดในประเทศไทย  บริษัทดาว  จำกัด  จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายนั้น

ต่อมาในระหว่างการเช่า  เครื่องบินลำที่เช่าถูกเครื่องบินอีกลำหนึ่งของบริษัทตะวัน  จำกัด  เฉี่ยวชนที่บริเวณปีกของเครื่อง  ขณะที่เครื่องบินลำที่เช่าจอดส่งผู้โดยสารอยู่ที่หลุมจอดในสนามบินภูเก็ตทำให้ปีกเครื่องบินหัก  ต้องซ่อมแซมเสียค่าใช้จ่ายไป  2,500,000  บาท  ต่อมาบริษัทดาว  จำกัด

ได้ชดใช้ค่าซ่อมให้แก่บริษัท  ไมค์  จำกัด  และบริษัทดาว  จำกัด  จึงฟ้องบริษัทตะวัน  จำกัด  ต่อศาลเรียกเงินจำนวนดังกล่าวคืน  บริษัทตะวัน  จำกัด  ต่อสู้ว่าบริษัทดาว  จำกัด  ไม่ใช่เจ้าของเครื่องบินเป็นเพียงผู้เช่า  จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเงินจำนวนดังกล่าวได้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้นี้ฟังได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  227  เมื่อเจ้าหนี้ได้รับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายเต็มตามราคาทรัพย์หรือสิทธิซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นแล้ว  ท่านว่าลูกหนี้ย่อมเข้าสู่ฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้  อันเกี่ยวกับทรัพย์หรือสิทธินั้นๆด้วยอำนาจกฎหมาย

วินิจฉัย

ตามปัญหาเป็นเรื่องที่เมื่อเกิดความเสียหายและบริษัทดาว  จำกัด  ผู้เช่า  ซึ่งเป็นลูกหนี้ได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เป็นค่าซ่อมเครื่องบินที่เช่าไปตามสัญญาให้แก่บริษัทไมค์  จำกัด  ผู้เป็นเจ้าหนี้  เต็มตามราคาทรัพย์หรือสิทธิซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้แล้ว  บริษัทดาว จำกัด  ลูกหนี้จึงย่อมเข้าสู่ฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้เกี่ยวกับทรัพย์หรือสิทธินั้นด้วยอำนาจแห่งกฎหมาย  ทั้งนี้  ตามมาตรา  227  จึงมีอำนาจฟ้องบริษัทตะวัน  จำกัด  เพื่อเรียกเงินจำนวนนั้นได้ 

สรุป  ข้อต่อสู้ของบริษัทตะวันจำกัดฟังไม่ขึ้น

 

 

ข้อ  3  จันทร์เป็นเจ้าหนี้อังคารหนึ่งแสนบาท  และอังคารเป็นเจ้าหนี้พุธห้าแสนบาท  จันทร์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องของอังคาร  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  233  เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพุธเรียกเอาเงินห้าแสนบาทที่พุธค้างชำระแก่อังคารปรากฏว่าในระหว่างพิจารณา  พุธยอมชำระเงินให้จันทร์หนึ่งแสนบาท  และหนี้ระหว่างจันทร์กับอังคารก็ถึงกำหนดชำระแล้ว  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าเงินหนึ่งแสนบาทนี้จะตกเป็นของใคร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  235  เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้เรียกเงินเต็มจำนวนที่ยังค้างชำระแก่ลูกหนี้โดยไม่คำนึงถึงจำนวนที่ค้างชำระแก่ตนก็ได้  ถ้าจำเลยยอมใช้เงินเพียงเท่าจำนวนที่ลูกหนี้เดิมค้างชำระแก่เจ้าหนี้นั้น  คดีก็เป็นเสร็จกันไป  แต่ถ้าลูกหนี้เดิมได้เข้าชื่อเป็นโจทก์ด้วย  ลูกหนี้เดิมจะขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาต่อไปในส่วนจำนวนเงินที่ยังเหลือติดค้างอยู่ก็ได้

แต่อย่างไรก็ดี  ท่านมิให้เจ้าหนี้ได้รับมากไปกว่าจำนวนที่ค้างชำระแก่ตนนั้นเลย

วินิจฉัย

กรณีตามปัญหา  เงินหนึ่งแสนบาทจะตกเป็นของจันทร์ (เจ้าหนี้)  ตามนัยแห่งบทบัญญัติใน ป.พ.พ.  มาตรา  235  วรรคแรก  และวรรคสอง  โดยการแปลความตามนัยที่ว่า ถ้าจำเลยยอมใช้เงินเพียงเท่าจำนวนที่ลูกหนี้เดิมค้างชำระแก่เจ้าหนี้นั้น  คดีก็เป็นเสร็จกันไป  และในวรรคสองที่ว่า  ท่านมิให้เจ้าหนี้ได้รับมากไปกว่าจำนวนที่ค้างชำระแก่ตนนั้นเลย

สรุป  เงินหนึ่งแสนบาทเป็นของจันทร์

 

 

ข้อ  4  เอกกู้เงินโทไปหนึ่งแสนบาท  และเอกกู้เงินตรีไปสองแสนบาทอีกด้วย  เอกไม่มีเงินชำระหนี้ให้แก่โทและตรี  เอกจึงเอารถยนต์ของตนหนึ่งคันตีราคาได้สามแสนบาทไปชำระหนี้เงินกู้ทั้งสองรายนั้นแทนเงินสด  โดยทั้งโทและตรียอมรับเอาการชำระหนี้ด้วยรถยนต์ดังกล่าวนั้นไว้  ปรากฏว่าเมื่อถึงกำหนดส่งมอบรถยนต์  โทมารับมอบรถยนต์เพียงคนเดียว  แต่ตรีไม่มารับมอบรถยนต์  และไม่ยินยอมให้โทรับมอบรถยนต์คนเดียว  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าเอกจะส่งมอบรถยนต์ให้โทแต่เพียงผู้เดียวได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  302  ถ้าการชำระหนี้เป็นการอันจะแบ่งกันชำระมิได้  และมีบุคคลหลายคนเป็นเจ้าหนี้ถ้าบุคคลเหล่านั้นมิได้เป็นเจ้าหนี้ร่วมกันไซร้  ท่านว่าลูกหนี้ได้แต่จะชำระหนี้ให้ได้ประโยชน์แก่บุคคลเหล่านั้นทั้งหมดด้วยกัน  และเจ้าหนี้แต่ละคนจะเรียกชำระหนี้ได้ก็แต่เพื่อได้ประโยชน์ด้วยกันหมดทุกคนเท่านั้น  อนึ่งเจ้าหนี้แต่ละคนจะเรียกให้ลูกหนี้วางทรัพย์ที่เป็นหนี้นั้นไว้เพื่อประโยชน์แห่งเจ้าหนี้หมดทุกคนด้วยกันก็ได้หรือถ้าทรัพย์นั้นไม่ควรแก่การจะวางไว้  ก็ให้ส่งแก่ผู้พิทักษ์ทรัพย์ซึ่งศาลจะได้ตั้งแต่งขึ้น

นอกจากนี้  ข้อความจริงใดที่ท้าวถึงเจ้าหนี้คนหนึ่งเท่านั้น  หาเป็นไปเพื่อคุณหรือโทษแก่เจ้าหนี้คนอื่นๆด้วยไม่

วินิจฉัย

กรณีตามปัญหา  โทและตรีมิได้เป็นเจ้าหนี้ร่วม  กรณีเป็นเรื่องการชำระหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้และมีโทและตรีเป็นเจ้าหนี้  เอกซึ่งเป็นลูกหนี้ได้แต่จะชำระหนี้ให้ได้ประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทั้งหมดด้วยกัน  เอกจึงส่งมอบรถยนต์ให้โทแต่ผู้เดียว  โดยตรีไม่ยินยอมไม่ได้  กรณีต้องด้วยบทบัญญัติในมาตรา  302

สรุป  เอกจะส่งมอบรถยนต์ให้โทแต่เพียงผู้เดียวไม่ได้ 

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  นายดำขอซื้อไม้แปรรูปจากนายแดงเป็นเงิน  100,000  บาท  มาใช้ทำตู้เสื้อผ้าจำหน่าย  แต่นายดำไม่มีเงิน  จึงของผัดผ่อนยังไม่ชำระค่าไม้แปรรูป  และขอยืมเงินจากนายแดงอีก  10,000  บาท  มาซื้ออุปกรณ์  นายแดงตกลงขายไม้แปรรูปและให้นายดำกู้ยืมเงินตามขอ

โดยกำหนดเวลาชำระเงินยืมคืนภายในวันที่  1  มีนาคม  2550  ส่วนค่าไม้แปรรูปให้ชำระเมื่อขายตู้เสื้อผ้าได้แล้ว  ครั้นเมื่อถึงวันที่  1 มีนาคม  2550  นายดำยังขายตู้เสื้อผ้าไม่ได้  จึงไม่ชำระหนี้แก่นายแดง  วันที่  10  มีนาคม  2550  นายแดงมีหนังสือทวงถามถึงนายดำให้ชำระหนี้ทั้งสองรายการภายในวันที่  20  มีนคม  2550  ปรากฏว่าในวันที่  15  มีนาคม  2550  นายดำขายตู้เสื้อผ้าได้เงินมา  200,000  บาท  แต่ก็ไม่นำมาชำระหนี้ให้แก่นายแดงจนพ้นกำหนดดังกล่าว

ให้วินิจฉัยว่า  ถ้านายแดงจะฟ้องให้นายดำชำระหนี้ดังกล่าวทั้งสองรายการแก่นายแดง  นายแดงจะเรียกให้นายดำชำระดอกเบี้ยให้แก่นายแดงได้หรือไม่  ในอัตราเท่าไร  และตั้งแต่วันใด

ธงคำตอบ

มาตรา  204  ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว  และภายหลังแต่นั้น  เจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว  ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้  ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว

ถ้าได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน  และลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ตามกำหนดไซร้  ท่านว่าลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนเลย

มาตรา  224  วรรคแรก  หนี้เงินนั้น  ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี  ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น  โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย  ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น

วินิจฉัย

สำหรับหนี้ค่าไม้แปรรูปเป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระตามวันปฏิทิน  นายดำจะตกเป็นผู้ผิดนัดก็ต่อเมื่อนายแดงได้เตือนแล้วนายดำไม่ชำระหนี้  เมื่อนายแดงมีหนังสือทวงถามให้นายดำชำระหนี้ค่าไม้แปรรูปภายในวันที่  20  มีนาคม  2550  นายดำไม่ชำระหนี้ภายในกำหนด  จึงตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่วันที่  20  มีนคม  2550  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  204  วรรคแรก  นายแดงมีสิทธิเรียกให้นายดำชำระดอกได้ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน  100,000  บาท  นับแต่วันที่  20  มีนาคม  2550  จนกว่าจะชำระเสร็จแก่นายแดงตามมาตรา  224  วรรคแรก

ส่วนหนี้เงินกู้ตกลงกันไว้ว่าจะชำระคืนภายในวันที่  1  มีนาคม  2550  จึงเป็นหนี้ที่มีกำหนดชำระตามวันปฏิทิน  นายดำย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดตั้งแต่วันที่  1  มีนาคม  2550  โดยไม่ต้องมีการเตือนก่อนตามมาตรา  204  วรรคสอง  เมื่อนายดำไม่ชำระหนี้  นายแดงจึงมีสิทธิเรียกให้นายดำชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน  10,000  บาท  นับตั้งแต่วันที่  1  มีนาคม  2550  จนกว่าจะชำระเสร็จแก่นายแดงตามมาตรา  224  วรรคแรก

สรุป  นายแดงสามารถเรียกให้นายดำชำระดอกเบี้ยได้ทั้งสองกรณีในอัตราร้อยละ  7  ครึ่งต่อปีโดยหนี้ค่าไม้แปรรูป  เรียกได้ตั้งแต่วันที่  20  มีนาคม  2550  ส่วนหนี้เงินกู้  เรียกได้ตั้งแต่วันที่  1  มีนาคม  2550  จนกว่าจะชำระเสร็จ  ตามมาตรา  224  วรรคแรก

 

 

ข้อ  2  นายกรได้เอาเงินของตนให้บริษัท  เค  จำกัด   กู้จำนวนหนึ่งล้านบาท  เพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ  บริษัท  เค  จำกัด  ได้รับเงินกู้ไปจากนายกรครบแล้ว  และนายกรได้ตกลงกับนายเอก  กรรมการของบริษัท  เค  จำกัด  ให้นายเอกสั่งจ่ายเช็คส่วนตัวของนายเอกเองมอบให้ห้างหุ้นส่วนจำกัด

เซีย  ซึ่งเป็นห้างที่นายกรเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการอยู่  เป็นผู้รับเงินตามเช็ค  เพื่อรับชำระหนี้เงินกู้ดังกล่าว  แล้วนายกรจึงจะเบิกเงินจากบัญชีของห้างกลับคืนมาในภายหลง  ต่อมาเมื่อห้างหุ้นส่วนจำกัด  เซีย  นำเช็คฉบับดังกล่าวเข้าบัญชีของห้างเพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค

แต่ถูกธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน  นายกรจึงฟ้องบริษัท  เค  จำกัด  เรียกเงินกู้ตามสัญญากู้ที่ทำกันไว้  บริษัท  เค  จำกัด  ให้การต่อสู้ว่าการชำระหนี้ด้วยเช็คของนายเอก  ทำให้หนี้เงินกู้ระงับไปแล้ว  และนายกรจะเป็นโจทก์ฟ้องบริษัท  เค  จำกัดไม่ได้  เพราะเมื่อหนี้ระงับ  

โดยการชำระหนี้ด้วยเช็คของนายเอกแล้ว  ห้างหุ้นส่วนจำกัด  เซีย  ซึ่งเป็นผู้รับชำระหนี้และถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน  จึงเป็นเจ้าหนี้ตามเช็คเป็นผู้มีอำนาจที่ต้องฟ้องนายเอกเองไม่ใช่นายกร

ดังนี้  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  ข้อต่อสู้ของบริษัท  เค  จำกัด  ทั้งหมดรับฟังได้หรือไม่  อย่างไร  โดยใครจะต้องเป็นผู้ฟ้องร้องเรียกเงินกู้หนึ่งล้านบาทและฟ้องใครเป็นจำเลย

ธงคำตอบ 

มาตรา  194  ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้  เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้  อนึ่งการชำระหนี้ด้วยงดเว้นการอันใดอันหนึ่งก็ย่อมมีได้

มาตรา  314  อันการชำระหนี้นั้น  ท่านว่า  บุคคลภายนอกจะเป็นผู้ชำระก็ได้  เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดช่องให้บุคคลภายนอกชำระ  หรือจะขัดกับเจตนาอันคู่กรณีได้แสดงไว้

บุคคลผู้ไม่มีส่วนได้เสียด้วยในการชำระหนี้นั้น  จะเข้าชำระหนี้โดยขืนใจลูกหนี้หาได้ไม่

มาตรา  315  อันการชำระหนี้นั้น  ต้องทำให้แก่ตัวเจ้าหนี้หรือแก่บุคคลผู้มีอำนาจรับชำระหนี้แทนเจ้าหนี้  การชำระหนี้ทำให้แก่บุคคลผู้ไม่มีอำนาจรับชำระหนี้นั้น  ถ้าเจ้าหนี้ให้สัตยาบันก็นับว่าสมบูรณ์

มาตรา  321  ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้  ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป

ถ้าเพื่อที่จะทำให้พอใจแก่เจ้าหนี้นั้น  ลูกหนี้รับภาระเป็นหนี้อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นใหม่ต่อเจ้าหนี้ไซร้  เมื่อกรณีเป็นที่สงสัย  ท่านมิให้สันนิษฐานว่าลูกหนี้ได้ก่อหนี้นั้นขึ้นแทนการชำระหนี้

ถ้าชำระหนี้ด้วยออก ด้วยโอน หรือด้วยสลักหลังตั๋วเงินหรือประทวนสินค้า  ท่านว่าหนี้นั้นจะระงับสิ้นไปต่อเมื่อตั๋วเงินหรือประทวนสินค้านั้นได้ใช้เงินแล้ว

วินิจฉัย

การที่บริษัท  เค  จำกัด  ทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายกรตามมาตรา  194  และตามปกติ  บริษัทฯ  ย่อมเป็นผู้ต้องชำระหนี้ตามสัญญาเอง อย่างไรก็ตาม  จากข้อเท็จจริงแสดงให้เห็นว่านายกรเจ้าหนี้ตกลงให้นายเอกบุคคลภายนอกเป็นผู้ชำระหนี้แทนบริษัท  เค  จำกัด  ลูกหนี้ซึ่งสามารถทำได้ตามมาตรา  314  วรรคแรก  ส่วนการชำระหนี้ด้วยเช็คของนายเอกนั้น  ถือว่านายกรเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ด้วยเงินสด  ตามมาตรา  321  วรรคแรก  ข้อเท็จจริงปรากฏต่อไปว่าการชำระหนี้ด้วยเช็คฉบับนี้เป็นการสั่งจ่ายชำระแก่บุคคลที่ไม่ใช่เจ้าหนี้  คือ  ห้างหุ้นส่วนจำกัด  เซีย  แต่ก็ปรากฏว่า  นายกรเจ้าหนี้เป็นผู้มอบหมายให้ห้างนี้เป็นผู้ชำระหนี้แทนตน  ดังนั้น  การชำระหนี้ในกรณีตามปัญหานี้จึงเป็นการชำระหนี้แก่บุคคลผู้มีอำนาจรับชำระแทนนายกรเจ้าหนี้ตามมาตรา  315  ผลของการชำระหนี้ด้วยการออกเช็ค (ตั๋วเงิน)  จึงเป็นว่าหนี้เงินกู้จะระงับไปต่อเมื่อมีการใช้เงินตามเช็คนั้นแล้ว  ทั้งนี้ตามมาตรา  321  วรรคท้าย  เมื่อเช็คถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน  เท่ากับยังไม่มีการชำระหนี้  หนี้เงินกู้ยังไม่ระงับ  นายกรเจ้าหนี้จึงเป็นโจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ดังกล่าวได้ส่วนผู้ที่จะต้องถูกฟ้องตามสัญญาเงินกู้  คือ  บริษัท  เค  จำกัด 

สรุป  ข้อต่อสู้ของบริษัท  เค  จำกัด  รับฟังไม่ได้ทั้งหมด  และนายกรเป็นโจทก์ฟ้องบริษัท  เค  จำกัด  เป็นจำเลยได้

 

 

ข้อ  3  จันทร์เป็นเจ้าหนี้อังคารอยู่ห้าแสนบาท  แต่อังคารไม่มีทรัพย์สินใดๆเลย  อังคารมีอาชีพรับจ้างมีรายได้เพียงเดือนละสามพันบาท  ต่อมาปรากฏว่าอังคารได้จดทะเบียนรับรองว่าพุธเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของตน  ซึ่งเป็นผลทำให้อังคารจะมีภาระจำต้องจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูและค่าใช้จ่ายในการให้การศึกษาแก่พุธผู้เป็นบุตร

ทำให้ทรัพย์สินของอังคารต้องหมดเปลืองและลดน้อยลงยิ่งขึ้นอีก  ดังนี้  จันทร์จะใช้สิทธิเพิกถอนการรับรองบุตรดังกล่าวนั้นได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  237  เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ  อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น  บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย  แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา  ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้  ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน

วินิจฉัย

ตามมาตรา  237  การเพิกถอนการฉ้อฉลนี้  กฎหมายบัญญัติขึ้นมาเพื่อจะแก้ปัญหาในกรณีที่เจ้าหนี้กำลังจะบังคับชำระหนี้เอาแก่ลูกหนี้  แต่ทรัพย์สินของลูกหนี้ไม่มีเหลืออยู่  หรือมีเหลือแต่ไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้  เนื่องจากลูกหนี้ได้โอนไปให้ผู้อื่นเสียแล้ว  กฎหมายจึงให้อำนาจเจ้าหนี้ที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมใดๆ  ที่ลูกหนี้ได้ทำไปโดยฉ้อฉล  และเมื่อศาลเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวแล้ว  ก็มีผลเท่ากับว่าลูกหนี้ไม่เคยทำนิติกรรมฉ้อฉลนั้นเลย  ทรัพย์สินดังกล่าวก็คงกลับเข้ามาอยู่ที่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ดังเดิม

หลักเกณฑ์การเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา  237  ประกอบด้วย

1       ลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล  หมายถึง  นิติกรรมที่ลูกหนี้ทำขึ้นโดยที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  ซึ่งก็คือ  นิติกรรมนั้นพอทำแล้วลูกหนี้จะไม่มีทรัพย์สินที่จะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้นั่นเอง  แต่ถ้าลูกหนี้ทำนิติกรรมไปแล้วแต่ยังมีทรัพย์สินอีกมากมายที่จะชำระหนี้ได้  ดังนี้ย่อมไม่ถือว่าเจ้าหนี้เสียเปรียบ

2       การทำนิติกรรมของลูกหนี้นั้น  ลูกหนี้จะต้องรู้ว่าเมื่อทำนิติกรรมแล้วเจ้าหนี้จะเสียเปรียบถ้าไม่รู้ก็ย่อมไม่ถือเป็นการฉ้อฉล

3       นิติกรรมที่จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของลูกหนี้  ถ้าทำโดยมิใช่เป็นการทำให้โดยเสน่หาแล้ว  เจ้าหนี้จะขอให้ศาลเพิกถอนได้ต่อเมื่อ  ในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้น  (หมายถึงผู้ที่ทำนิติกรรมกับลูกหนี้)  ได้รู้ถึงความเสียเปรียบของเจ้าหนี้  (คือต้องรู้ในขณะที่ทำนิติกรรม  ถ้ามารู้ภายหลังก็ย่อมเพิกถอนไม่ได้)

4       หากลูกหนี้ทำนิติกรรมให้โดยเสน่หา  เพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้วที่จะขอให้เพิกถอนได้  (ดังนั้นผู้ได้ลาภงอกจะอ้างว่าตนสุจริตก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ)

5       การเพิกถอนการฉ้อฉลใช้ได้กับนิติกรรมที่มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สินเท่านั้น  จะไม่นำมาใช้กับนิติกรรมใดๆ  อันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน

ตามปัญหา  การรับรองบุตรเป็นนิติกรรมที่ไม่เกี่ยวกับสิทธิในทรัพย์สิน  (มิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน)  จันทร์จึงขอให้เพิกถอนการรับรองบุตรดังกล่าวนั้นไม่ได้  ตามมาตรา  237  วรรคสอง

สรุป  จันทร์จะใช้สิทธิเพิกถอนการรับรองบุตรดังกล่าวไม่ได้

 

 

ข้อ  4  หนึ่งเป็นเจ้าหนี้และสองเป็นลูกหนี้  ในหนี้เงิน  100,000  บาท  โดยมีสามและสี่เป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายดังกล่าวนี้  ครั้นเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  สอง  (ลูกหนี้)  ผิดนัด  แต่ต่อมาปรากฏว่า  หนึ่งปลดหนี้ให้สามเพียงคนเดียว  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า  สี่ยังคงต้องรับผิดต่อหนึ่ง  หรือไม่  เพียงใด  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  293  การปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้นย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆ  เพียงเท่าส่วนของลูกหนี้ที่ได้ปลดไว้  เว้นแต่จะได้ตกลงกันเป็นอย่างอื่น

มาตรา  296  ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น  ท่านว่าต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกันเว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  ถ้าส่วนที่ลูกหนี้ร่วมกันคนใดคนหนึ่งจะพึงชำระนั้น  เป็นอันจะเรียกเอาจากคนนั้นไม่ได้ไซร้  ยังขาดจำนวนอยู่เท่าไร  ลูกหนี้คนอื่นๆซึ่งจำต้องออกส่วนด้วยนั้นก็ต้องรับใช้  แต่ถ้าลูกหนี้ร่วมกันคนใด  เจ้าหนี้ได้ปลดให้หลุดพ้นจากหนี้อันร่วมกันนั้นแล้ว  ส่วนที่ลูกหนี้คนนั้นจะพึงต้องชำระหนี้ก็ตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ไป

มาตรา  682  วรรคสอง  ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน  แม้ถึงว่าจะมิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน

วินิจฉัย

สามและสี่ต้องมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมตามมาตรา  682  วรรคสอง  ดังนั้น  เมื่อหนึ่งปลดหนี้ให้แก่สามเพียงคนเดียว  สามย่อมหลุดพ้นจากหนี้ไป  และการปลดหนี้นั้นเป็นประโยชน์แก่สี่ด้วยเพียงเท่าส่วนของสามที่ได้รับการปลดหนี้ให้คือห้าหมื่นบาท  สี่จึงยังคงต้องรับผิดต่อหนึ่งเพียงห้าหมื่นบาทเท่านั้นตามมาตรา  293  ประกอบมาตรา  296

สรุป  สี่ยังคงต้องรับผิดต่อหนึ่ง  ในหนี้เงินอีกห้าหมื่น

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ S/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  สมชายปลูกสร้างบ้านในที่ดินของตนเสร็จแล้ว  หลังจากที่ฝนตกหนักเมื่ออาทิตย์ก่อน  น้ำฝนจากหลังคาบ้านดังกล่าวตกลงในที่ดินซึ่งได้ปรับถมใหม่ของสมศักดิ์ที่อยู่ติดกันกัดเซาะพาดินเป็นร่องคูลึก  สมศักดิ์มาปรึกษากับท่านว่า  ตามกฎหมายจะบังคับแก้ไขอย่างไรบ้าง  ขอให้ท่านแนะนำ

ธงคำตอบ

มาตรา  194  ด้วยอำนาจแห่งมูลหนี้  เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิจะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้  อนึ่งการชำระหนี้ด้วยงดเว้นการอันใดอันหนึ่งก็ย่อมมีได้

มาตรา  213  ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตนเจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้  เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้

เมื่อสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้  ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันหนึ่งอันใด  เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้นโดยลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายให้ก็ได้แต่ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งไซร้  ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ก็ได้

ส่วนหนี้ซึ่งมีวัตถุเป็นอันจะให้งดเว้นการอันใด  เจ้าหนี้จะเรียกร้องให้รื้อถอนการที่ได้กระทำลงแล้วนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายและให้จัดการอันควรเพื่อกาลภายหน้าด้วยก็ได้

อนึ่งบทบัญญัติในวรรคทั้งหลายที่กล่าวมาก่อนนี้  หากระทบกระทั่งถึงสิทธิที่จะเรียกเอาค่าเสียหายไม่

มาตรา  215  เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้ของมูลหนี้ไซร้  เจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การนั้นก็ได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  เป็นเรื่องหนี้งดเว้นกระทำการ  ตามมาตรา  194  ตอนท้าย  ทั้งนี้เพราะกฎหมายได้บัญญัติข้อจำกัดสิทธิของเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ในการใช้อสังหาริมทรัพย์ไว้ในมาตรา  1341  กล่าวคือ  ห้ามมิให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ทำหลังคาหรือการปลูกสร้างอย่างอื่น  ซึ่งทำให้น้ำฝนตกลงมายังทรัพย์สินซึ่งอยู่ติดต่อกัน  ดังนั้นเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิจะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้

เมื่อวัตถุแห่งหนี้เป็นการงดเว้นกระทำการใด  การบังคับชำระหนี้จึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา  213  วรรคสาม  กล่าวคือ  นายสมศักดิ์ในฐานะเจ้าหนี้สามารถบังคับชำระหนี้ได้โดยการเรียกร้องให้รื้อถอนการที่ได้ทำลงแล้ว  คือเรียกร้องให้นายสมชายลูกหนี้ถมเกลี่ยดินที่ถูกน้ำเซาะให้กลับคืนสู่สภาพเดิม  โดยให้นายสมชายเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการนี้ด้วยตนเอง  นอกจากนี้นายสมศักดิ์ยังมีสิทธิเรียกให้นายสมชายจัดการอันควรเพื่อการภายหน้าด้วยก็ได้  เช่น  ให้สมชายติดตั้งรางน้ำฝนที่หลังคาบ้านของสมชาย  เพื่อป้องกันน้ำฝนจากหลังคาตกลงมาในที่ดินของนายสมศักดิ์อีก

อย่างไรก็ดีหากเจ้าหนี้ต้องเสียหายเพราะการชำระหนี้ของลูกหนี้ดังกล่าว  เจ้าหนี้ก็มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากลูกหนี้ได้  ตามมาตรา 213  วรรคท้าย  หรือค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การไม่ชำระหนี้นั้นก็ได้  ตามมาตรา  215

 

 

ข้อ  2  ใกล้ฤดูน้ำหลาก  ลำพูซื้อเรือพายจากลำแพนซึ่งเป็นเรือใหม่ต่อด้วยไม้สักทั้งลำ  ผู้ซื้อนำมาพายได้สี่ห้าเดือน  รอยต่อของไม้ที่ท้องเรือเป็นกระพี้ก็เริ่มผุ  ทำให้เรือรั่วซึ่งผู้ขายจะต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องดังกล่าว  ผู้ซื้อจะเรียกให้ผู้ขายรับผิดชอบอย่างไรบ้าง  ยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

มาตรา  213  ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตนเจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้  เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้

เมื่อสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้  ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันหนึ่งอันใด  เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้นโดยลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายให้ก็ได้แต่ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งไซร้  ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ก็ได้

ส่วนหนี้ซึ่งมีวัตถุเป็นอันจะให้งดเว้นการอันใด  เจ้าหนี้จะเรียกร้องให้รื้อถอนการที่ได้กระทำลงแล้วนั้นโดยให้ลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายและให้จัดการอันควรเพื่อกาลภายหน้าด้วยก็ได้

อนึ่งบทบัญญัติในวรรคทั้งหลายที่กล่าวมาก่อนนี้  หากระทบกระทั่งถึงสิทธิที่จะเรียกเอาค่าเสียหายไม่

มาตรา  215  เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงของมูลหนี้ไซร้  เจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การนั้นก็ได้

วินิจฉัย

ลำพูผู้ซื้อได้ซื้อเรือพายจากลำแพนมาใช้ได้สี่ห้าเดือน  ปรากฏว่ารอยต่อของไม้ที่ท้องเรือเป็นกระพี้ก็เริ่มผุ  ซึ่งความชำรุดบกพร่องดังกล่าวผู้ขายจะต้องรับผิด  ดังนี้จะเห็นว่าข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเรื่องวัตถุแห่งหนี้ที่เป็นการกระทำการ

เมื่อรอยต่อของไม้ที่ท้องเรือเริ่มผุพัง  ต้องถือว่าผู้ขายชำระหนี้ไม่ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงของมูลหนี้  ผู้ซื้อซึ่งอยู่ในฐานะเจ้าหนี้จึงอาจเรียกให้ผู้ขายลูกหนี้ซ่อมท้องเรือที่ชำรุดบกพร่องได้  ตามมาตรา  213  วรรคแรก  (ประกอบมาตรา  472)

ในกรณีที่ผู้ขายมิได้เป็นผู้ทำการต่อเรือด้วยตนเอง  หรือผู้ขายไม่ทำการซ่อมแซมความชำรุดบกพร่องดังกล่าว  ผู้ซื้อก็อาจนำเอาเรือนั้นไปให้บุคคลภายนอกเป็นผู้กระทำการซ่อมแซม  โดยให้ผู้ขายเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย  ตามมาตรา  213  วรรคสอง  หรือผู้ซื้อจะทำการซ่อมแซมเองโดยให้ผู้ขายออกค่าใช้จ่ายก็ได้เช่นกัน

อย่างไรก็ดี  หากผู้ซื้อต้องเสียหายอย่างใดๆอีก  ผู้ซื้อก็มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากลูกหนี้ได้  ตามมาตรา  213  วรรคท้าย  และอาจเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การนั้นก็ได้  ตามมาตรา  215

 

 

ข้อ  3  จันทร์มีสร้อยคอทองคำหนึ่งเส้นราคาประมาณหนึ่งแสนบาท  นอกจากสร้อยเส้นนี้แล้วจันทร์มีทรัพย์สินอีกเพียงอย่างเดียวคือ  รถยนต์หนึ่งคันราคาประมาณหนึ่งแสนบาท  จันทร์ได้กู้เงินของอังคารไปหนึ่งแสนบาท  โดยเอาสร้อยคอทองคำเส้นดังกล่าวจำนำไว้เป็นประกันเงินกู้กับอังคาร  ก่อนหนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระเพียงเจ็ดวัน  จันทร์ได้ยกรถยนต์คันเดียวที่มีอยู่ให้กับบุตรโดยเสน่หา  หลังจากนั้นอังคารทราบเรื่อง  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า  อังคารจะใช้สิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินของจันทร์ได้อย่างไร  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  214  ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งมาตรา  733  เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะให้ชำระหนี้ของตนจากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง  รวมทั้งเงินและทรัพย์สินอื่นๆซึ่งบุคคลภายนอกค้างชำระแก่ลูกหนี้ด้วย

มาตรา  237  เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ  อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น  บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย  แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา  ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

มาตรา  767  เมื่อบังคับจำนำได้เงินจำนวนสุทธิเท่าใด  ท่านว่าผู้รับจำนำต้องจัดสรรชำระหนี้และอุปกรณ์เพื่อให้เสร็จสิ้นไป  และถ้ายังมีเงินเหลือก็ต้องส่งคืนให้แก่ผู้จำนำ  หรือแก่บุคคลผู้ควรจะได้เงินนั้น

ถ้าได้เงินน้อยกว่าจำนวนค้างชำระ  ท่านว่าลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับใช้ในส่วนที่ขาดอยู่นั้น

วินิจฉัย

ในกรณีที่มีการบังคับจำนอง  (ตามมาตรา  733)  ถ้าหากได้เงินไม่พอชำระหนี้  ยังขาดจำนวนอยู่เท่าใด  ลูกหนี้ก็ไม่ต้องรับผิดในจำนวนเงินที่ยังขาดอยู่นั้น  เจ้าหนี้จึงบังคับชำระหนี้ให้แก่ตนอีกในส่วนที่ขาดจากทรัพย์สินอย่างอื่นๆ  ของลูกหนี้  โดยอาศัยมาตรา  214  นี้ไม่ได้

แต่กรณีตามปัญหา  เป็นเรื่องเจ้าหนี้จำนำ  ซึ่งถ้ามีการบังคับจำนำ  แล้วได้เงินน้อยกว่าจำนวนที่ค้างชำระลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับผิดชดใช้ให้ในส่วนที่ขาดอยู่นั้น  ตามมาตรา  767  วรรคสอง  เจ้าหนี้จำนำจึงสามารถเรียกร้องในส่วนที่ขาดได้  ตามมาตรา  214

เมื่ออังคารมีสิทธิเรียกร้องจำนวนที่ค้างชำระอยู่  ก็มีสิทธิควบคุมกองทรัพย์สินของจันทร์ลูกหนี้ได้  หากเข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมาย

สำหรับหลักเกณฑ์ในการควบคุมทรัพย์สินของลูกหนี้ในเรื่องการเพิกถอนการฉ้อฉล  ตามมาตรา  237  ประกอบด้วย

1       ลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล

2       นิติกรรมนั้นลูกหนี้รู้ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ

3       นิติกรรมประเภท

–                    ให้โดยเสน่หา  ลูกหนี้รู้ว่าเจ้าหนี้จะเสียเปรียบฝ่ายเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะขอให้เพิกถอน

–                    มิใช่เป็นการทำให้โดยเสน่หา  (มีค่าตอบแทน)  ผู้ได้ลาภงอกต้องรู้ในขณะทำนิติกรรมด้วยว่าเจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ

4       ใช้เฉพาะกับนิติกรรมที่มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สินเท่านั้น

ดังนั้นในกรณีนี้แม้จันทร์จะได้ยกรถยนต์คันเดียวที่มีอยู่ให้กับบุตร  อันเป็นการทำนิติกรรมที่มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สินโดยการฉ้อฉลเจ้าหนี้  ซึ่งเป็นการให้โดยเสน่หาก็ตาม

แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าสร้อยคอทองคำเส้นที่จันทร์นำไปจำนำเป็นประกันเงินกู้กับอังคาร  มีราคาคุ้มจำนวนหนี้เงินกู้ยืม  อังคารจึงไม่มีทางเสียเปรียบ  เมื่อไม่เสียเปรียบ  กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  237  วรรคแรก  อังคารจึงใช้สิทธิในการควบคุมทรัพย์สินของจันทร์โดยการร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการฉ้อฉลของจันทร์ไม่ได้

สรุป  อังคารจึงใช้สิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินของจันทร์ไม่ได้

 

 

ข้อ  4   หนึ่งเป็นเจ้าหนี้และสองเป็นลูกหนี้  ในหนี้เงิน  200,000  บาท  โดยมีสามและสี่เป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายดังกล่าวนี้  ครั้นเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  สอง (ลูกหนี้)  ผิดนัด  หนึ่งจึงเรียกให้สามและสี่ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกัน  ปรากฏว่าสามได้นำเงิน  200,000  ไปขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อหนึ่งโดยชอบด้วยกฎหมาย  แต่หนึ่งกลับปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าใครตกเป็นผู้ผิดนัด  และผิดนัดต่อใครบ้าง  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  207  ถ้าลูกหนี้ขอปฏิบัติการชำระหนี้  และเจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้นั้นโดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด

มาตรา  294  การที่เจ้าหนี้ผิดนัดต่อลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้น  ย่อมได้เป็นคุณประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย

มาตรา  682  วรรคสอง  ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน  แม้ถึงว่าจะมิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน

วินิจฉัย

สามและสี่ยอมตนเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้เงินกู้ยืม  200,000  บาท  ของสองลูกหนี้  ดังนั้นสามและสี่ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันย่อมมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน  ตามมาตรา  682  วรรคสอง

เมื่อสองลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้  ความรับผิดของผู้ค้ำประกันย่อมเกิดมีขึ้น  การที่สามนำเงิน  200,000  บาท  ไปขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อหนึ่งโดยชอบด้วยกฎหมาย  แต่หนึ่งเจ้าหนี้กลับปฏิเสธไม่ยอรับชำระหนี้โดยปราศจากมูลเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้  หนึ่งจึงตกเป็นเจ้าหนี้ผิดนัด  ตามมาตรา  207

อย่างไรก็ตามการที่เจ้าหนี้ผิดนัดต่อลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้น  ย่อมได้เป็นคุณประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย  ดังนั้นการที่หนึ่งเจ้าหนี้ผิดนัดต่อสาม  ต้องถือว่ามีผลต่อสี่ด้วย  ตามมาตรา  294  หนึ่งเจ้าหนี้จึงตกเป็นผู้ผิดนัดต่อสี่ลูกหนี้ร่วมด้วย

สรุป  หนึ่งตกเป็นเจ้าหนี้ผิดนัดตามมาตรา  207  และหนึ่งผิดนัดต่อสามและสี่  ตามมาตรา  294

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ ภาคซ่อม 1/2551

การสอบไล่ภาคซ่อม  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

 ข้อ 1.       วันที่ 23 ตุลาคม 2551  ก.ทำสัญญาจะซื้อที่ดินจาก ข. ในราคาหนึ่งล้านสามแสนบาท วางมัดจำไว้สามแสนบาท ส่วนที่เหลืออีกหนึ่งล้านบาท จะชำระในวันโอนกรรมสิทธิ์ซึ่งกำหนดนัดโอนในวันที่ 20 ธันวาคม 2551  โดยคู่สัญญาไม่ทราบว่าตรงกับวันอาทิตย์ เป็นวันหยุดโอนไม่ได้ ต่อมาในวันจันทร์ ผู้ขายไปรอที่สำนักงานที่ดิน ปรากฏว่าผู้ซื้อไม่ไป  ผู้ขายจะริบมัดจำสามแสนบาทตามข้อสัญญา เพราะผู้ซื้อผิดนัดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

 แนวคำตอบ  เป็นเรื่องกำหนดเวลาชำระหนี้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 203, 204

 ตามสัญญาจะซื้อขายเป็นหนี้มีกำหนดเวลาชำระตาม ป.พ.พ. มาตรา 203 วรรค 2 แต่ไม่อาจชำระหนี้ได้ตามกำหนดจนสิ้นเชิง เพราะเป็นวันหยุด  จากหนี้มีกำหนดจึงกลายเป็นหนี้ไม่มีกำหนด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 203 วรรค 1 จะให้ลูกหนี้ผิดนัด เจ้าหนี้ต้องเตือน ตามมาตรา 204 วรรค 1 เมื่อยังมิได้เตือนจะถือว่าผู้ซื้อผิดนัดไม่ได้ ผู้ขายจึงริบ มัดจำไม่ได้

 

ข้อ 2.       วันที่ 23 ตุลาคม 2549  แดงกู้เงินขาวห้าแสนบาท มีกำหนดเวลาสามปี โดยแดงได้นำที่ดินของตน จำนอง เพื่อประกันหนี้เงินกู้รายนี้ และมีข้อตกลงต่อท้ายสัญญาจำนองว่า  “ถ้าบังคับจำนองเอาทรัพย์จำนองขายทอดตลาดได้เงินสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระ ยังขาดอยู่เท่าใด ผู้จำนองและลูกหนี้ต้องรับผิดชอบจนกว่าครบจำนวน”  ข้อเท็จจริงปรากฏว่า กู้ได้แค่สามเดือน แดงถึงแก่ความตาย  ขาวเห็นว่าหนี้ยังไม่ถึงกำหนด  ก็มิได้เรียกบังคับชำระหนี้  เมื่อครบสามปีตามสัญญา  ขาวจะเรียกจะบังคับชำระหนี้เอาจากกองมรดกและทายาทของแดงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ  เป็นเรื่องเจ้าหนี้ผู้รับจำนองบังคับชำระหนี้ ซึ่งหนี้จำนองเป็นหนี้อุปกรณ์ที่ไม่มีอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/27 ประกอบมาตรา 1754 วรรค 3 มิให้เจ้าหนี้ฟ้องบังคับชำระหนี้ เมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เจ้าหนี้ได้รู้หรือควรรู้ถึงความตายของลูกหนี้เจ้ามรดก

แม้สัญญากู้เป็นหนี้มีกำหนดเวลาชำระ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 203 วรรค 2 แต่เมื่อรู้ว่าลูกหนี้ถึงแก่ความตายก่อนกำหนดแล้ว ไม่ได้บังคับชำระหนี้ภายใน 1 ปี คดีขาดอายุความ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 วรรค 3

แม้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ประธานจะขาดอายุความ เจ้าหนี้ผู้รับจำนองยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่รับจำนองได้อยู่ แต่จะบังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ไม่ได้ ข้อตกลงต่อท้ายจำนองจึงตกไป

                 

ข้อ 3.    เอกเป็นเจ้าหนี้โทอยู่หนึ่งแสนบาท  แต่โทไม่มีทรัพย์สินใดๆ เลย  โทมีอาชีพขายข้าวแดงมีรายเพียงวันละหนึ่งร้อยบาท  ต่อมาปรากฏว่าโทได้จดทะเบียนรับตรีเป็นบุตรบุญธรรมของตน  ซึ่งเป็นผลทำให้โทจะต้องมีภาระเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายในการอุปการะเลี้ยงดู และค่าใช้จ่ายในการให้การศึกษาแก่ตรีผู้เป็นบุตรบุญธรรม  ทำให้ทรัพย์สินของโทต้องหมดเปลืองและลดน้อยลงยิ่งขึ้นอีก  ดังนี้ เอก สมควรจะใช้มาตรการใดทางกฎหมาย เพื่อเป็นมาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของโทได้บ้างหรือไม่ เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ  ยกหลักกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 237 วรรค 2

กรณีตามอุทธาหรณ์  การรับบุตรบุญธรรม เป็นนิติกรรมที่มิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน กรณีจึงไม่อาจนำบทบัญญัติเรื่องการเพิกถอนการฉ้อฉลมาใช้บังคับกับเรื่องนี้ได้ ต้องห้ามตาม ป.พ.พ.มาตรา 237 วรรค 2 กรณีจึงใช้มาตรการทางกฎหมายในการควบคุมกองทรัพย์สินของโท (ลูกหนี้) ไม่ได้

 

 

ข้อ 4.       จันทร์และอังคารเป็นเจ้าหนี้ร่วมของพุธในหนี้เงินสองแสนบาท ต่อมาอังคารตาย และพุธได้เป็นผู้รับมรดกทั้งหมดของอังคารโดยพินัยกรรม  ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าจันทร์จะเรียกร้องให้พุธชำระหนี้สองแสนบาทดังกล่าวนั้น ได้หรือไม่ เพียงใด  เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ  ยกหลักกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 299 วรรค 2 (ประกอบมาตรา 353)

กรณีตามปัญหา  หนี้เป็นอันระงับสิ้นไปด้วยเหตุหนี้เกลื่อนกลืนกันในตัวของพุธ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 353 และผลอันนี้ทำให้สิทธิของจันทร์เจ้าหนี้ร่วมอีกคนหนึ่ง อันมีต่อพุธ เป็นอันระงับสิ้นไปด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 299 วรรค 2 จันทร์จึงเรียกร้องให้พุธชำระหนี้ไม่ได้ (แต่ไม่ตัดสิทธิจันทร์ในการใช้สิทธิตามมาตรา 300)

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ 1/2551

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ 1.   สินทำสัญญาขายที่ดินแปลงหนึ่งของตนให้แก่ทรัพย์ โดยตกลงกันว่าจะจดทะเบียนโอนในวันที่ 30 กันยายน 2551  แต่เนื่องจากบนที่ดินแปลงนี้มีบุคคลอื่นเข้ามาปลูกเพิงพักอาศัยอยู่ 5 ครอบรัว สินกับทรัพย์จึงตกลงกันว่า สินจะต้องจัดการให้ครอบครัวดังกล่าวย้ายออกไปจากที่ดินภายในวันที่ 29 กันยายน 2551  ปรากฏว่า สินได้จัดการให้ครอบครัวดังกล่าวย้ายออกไปตามกำหนดแล้ว โดยต้องจ่ายค่าขนย้ายและค่ารื้อถอนให้รวม 120,000 บาท เงินจำนวนนี้ สินต้องกู้มาจากธนาคาร เสียดอกเบี้ยร้อยละ 11 ต่อปี ครั้นวันที่ 30 กันยายน 2551  ทรัพย์กลับผิดสัญญาไม่ยอมจดทะเบียนรับโอนที่ดินแปลงนี้จากสินเพราะเห็นว่าราคาแพงเกินไป สินจึงมาปรึกษานักศึกษาว่าจะฟ้องศาลเรียกค่าเสียหายจำนวน 120,000 บาทที่เสียไปเป็นค่าขนย้ายและรื้อถอนดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 11 ต่อปี และเรียกค่าเสียหายจากการที่ทรัพย์ประพฤติผิดสัญญาไม่ยอมรับโอนที่ดินด้วยอีก 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นักศึกษาจะให้คำปรึกษาแก่สินว่า สินจะสามารถเรียกค่าเสียหายกับดอกเบี้ยดังกล่าวได้หรือไม่ และด้วยเหตุผลอย่างไร

แนวคำตอบ

ค่าเสียหาย 120,000 บาทนั้นเรียกได้เพราะเป็นค่าเสียหายที่ตามปกติย่อมเกิดจากการไม่ชำระหนี้ ตาม         ป.พ.พ.มาตรา 222 วรรคหนึ่ง ส่วน

ดอกเบี้ยร้อยละ 11 ต่อปีนั้นเรียกไม่ได้ เพราะไม่ใช่ค่าเสียหายที่ตามปกติย่อมเกิดจากการไม่ชำระหนี้ แต่ถือว่าเป็นค่าเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าทรัพย์ได้คาดเห็นหรือควรจะได้คาดเห็นพฤติการณ์เช่นนั้นล่วงหน้า ตามมาตรา 222 วรรคสอง สินจึงเรียกดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวไม่ได้ อย่างไรก็ตามถือว่าเป็นหนี้เงิน สินยังสามารถเรียกดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง ส่วนค่าเสียหายที่ทรัพย์ผิดสัญญา 50,000 บาทนั้น สินเรียกได้พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามมาตรา 222 วรรคหนึ่ง, 224 วรรคหนึ่ง (ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 12523/2547 และที่ 1336/2545)

 

 

ข้อ 2.       ดวงเช่าปั๊มน้ำมันของดาว เพื่อดำเนินกิจการขายน้ำมันเชื้อเพลิง มีกำหนดเวลา 10 ปี แต่มีข้อตกลงว่า ดวงจะต้องเป็นผู้ออกใช้ซ่อมแซมการชำรุดเสียหายทุกชนิดที่เกิดขึ้นแก่ปั๊มน้ำมันตลอดเวลาที่เช่า ต่อมาในระหว่างการเช่า จันทน์ขับรถบรรทุกด้วยความประมาทเลินเล่อชนเสาค้ำหลังคาปั๊มน้ำมัน เป็นเหตุให้เสาและหลังคาได้รับความเสียหายจนดาวต้องซ่อมแซมเสียค่าใช้จ่ายไป 200,000 บาท และต่อมาดวงได้ชดใช้ค่าซ่อมแซมดังกล่าวแก่ดาวแล้ว ดวงจึงฟ้องเรียกค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวจากจันทน์  จันทน์ต่อสู้ว่า ดวงเป็นเพียงผู้เช่า ไม่ใช่เจ้าของปั๊มน้ำมันผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำของตน ดวงจึงไม่มีอำนาจฟ้อง  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของจันทน์รับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ

แม้ว่าปั๊มน้ำมันที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของจันทน์จะเป็นของดาว แต่เนื่องจากตามสัญญาเช่าที่ตกลงกันให้เป็นหน้าที่ของดวงที่จะต้องเป็นผู้ออกใช้ค่าซ่อมแซมการชำรุดเสียหายที่เกิดขึ้นทุกชนิด เมื่อดวงได้ชดใช้ค่าซ่อมแซมดังกล่าวแก่ดาวไปแล้ว จึงถือได้ว่าดาวได้รับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายเต็มตามราคาทรัพย์หรือสิทธิซึ่งเป็นวัตถุแห่งหนี้นั้นแล้ว ดวงในฐานะลูกหนี้จึงได้เข้าสู่ฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของดาวเจ้าหนี้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 227 ดวงจึงมีอำนาจฟ้องจันทน์ได้ (เทียบตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 188/2522)

 

 

ข้อ 3.     จันทร์ (ผู้จะซื้อ)  ตกลงทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินหนึ่งแปลงกับอังคาร (ผู้จะขาย)  ในราคาหนึ่งล้านบาท เพื่อใช้ปลูกสร้างบ้านพักอาศัย  หลังทำสัญญาเสร็จปรากฏว่าอังคารกลับเอาที่ดินแปลงดังกล่าวไปจดทะเบียนโอนขายให้แก่พุธเสีย  ในราคาสองล้านบาท โดยพุธรู้อยู่แล้วว่าอังคารได้ทำสัญญาจะขายที่ดินแปลงดังกล่าวไว้แก่จันทร์  ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่าอังคารมีทรัพย์อื่นอีกมากมายประมาณห้าล้านบาท  ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า จันทร์จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินดังกล่าวแก่พุธได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ

หลักกฎหมาย   ป.พ.พ.มาตรา 237 วรรคแรก

กรณีตามปัญหา  เป็นเรื่องการทำสัญญาจะซื้อขายทรัพย์เฉพาะสิ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะไม่อาจใช้ทรัพย์อื่นมาโอนแทนได้ เมื่ออังคารนำที่ดินไปโอนให้พุธ ถือว่าจันทร์เสียเปรียบทันที  โดยไม่ต้องพิจารณาว่าอังคารจะมีทรัพย์สินอื่นพอชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือไม่ เมื่อครบองค์ประกอบอื่น ๆ ของมาตรา 237 วรรคแรก จันทร์จึงร้องขอให้ศาลเพิกถอนได้

 

 

ข้อ 4.   ก. และ ข.เป็นเจ้าหนี้ร่วม  ให้ ค. กู้เงินไป สองแสนบาท เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ ค. ได้นำเงิน        สองแสนบาท  ไปขอปฏิบัติการชำระหนี้ต่อ ก.เพียงผู้เดียว โดยชอบด้วยกฎหมาย  แต่ ก.ปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้ โดยอ้างว่า ก.ต้องการได้รับดอกเบี้ยต่อไป ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า ใครตกเป็นผู้ผิดนัด  เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ

หลักกฎหมาย   ป.พ.พ.มาตรา 207, มาตรา 299 วรรคแรก

กรณีตามปัญหา   ก. ตกเป็นเจ้าหนี้ผิดนัดตามมาตรา 207 และมีผลทำให้ ข. เจ้าหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งตกเป็นเจ้าหนี้ผิดนัดด้วย ตามมาตรา 299 วรรคแรค

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2551

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  นายเอก  ได้กู้เงินจากนายข้อง  100,000  บาท  โดยนายเอกได้เขียนข้อความลงในกระดาษด้วยลายมือตนเองว่า  ข้าพเจ้านายเอก  ได้ยืมเงิน  100,000  บาท  ไปจากนายข้อง  เมื่อวันที่  10  มกราคม  2548  แล้วนายเอกลงลายมือชื่อในกระดาษนั้นมอบกระดาษนั้นแก่นายข้อง  นายข้องมอบเงินแก่นายเอกไป  โดยกล่าวด้วยว่า  ช่วงที่ยืมไปนี้ไม่คิดดอกเบี้ย  เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนกัน  เวลาผ่านไปนานหลายปี  นายข้องเห็นว่า  นายเอกยังไม่ได้ชำระเงินดังกล่าวคืนแก่ตน  นายข้องจึงมาปรึกษานักศึกษาว่า  จะทำอย่างไรจึงจะได้รับเงินต้นพร้อมอัตราดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดจากนายเอก  จึงให้นักศึกษาแนะนำนายข้องว่าจะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง  จึงจะเป็นไปตามที่นายข้องต้องการ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  7  ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายอันชัดแจ้ง  ให้ใช้อัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี

มาตรา  203  วรรคแรก  ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้  หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน  และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน

มาตรา  204  วรรคแรก ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว  และภายหลังแต่นั้น  เจ้าหนี้ได้ให้คำเตือนลูกหนี้แล้ว  ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้  ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว

มาตรา  224  วรรคแรก  หนี้เงินนั้น  ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี  ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น  โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย  ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายเอกได้เขียนข้อความลงในกระดาษด้วยลายมือตนเองว่า  ข้าพเจ้านายเอก  ได้ยืมเงิน  100,000  บาท  ไปจากนายข้อง  เมื่อวันที่  10  มกราคม  2548  แล้วนายเอกลงลายมือชื่อในกระดาษนั้น  เห็นได้ชัดว่าข้อความในกระดาษซึ่งเป็นหลักฐานแห่งสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ได้กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับกำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แต่อย่างใด  ทั้งตามพฤติการณ์ก็ไม่ปรากฏว่านายเอกกับนายข้องได้ตกลงกันในเรื่องนี้ไว้ด้วย  กรณีจึงเป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา  203  วรรคแรกที่ว่า  ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้  หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้  เช่นนี้  นายข้องเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกให้นายเอกลูกหนี้ชำระหนี้ได้โดยพลัน  และถือได้ว่าหนี้เงินกู้รายนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว  (ฎ. 917/2539)

สำหรับดอกเบี้ยนั้น  โดยหลักแล้วนายข้องจะคิดดอกเบี้ยจากหนี้เงินกู้ยืมหาได้ไม่  เพราะนายข้องและนายเอกไม่มีเจตนาจะเรียกดอกเบี้ยแก่กัน  กรณีจึงไม่ต้องบทบัญญัติมาตรา  7  ที่ว่า  ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กัน  ซึ่งหมายความเฉพาะกรณีที่คู่สัญญาตกลงกันหรือมีเจตนาที่จะเรียกดอกเบี้ยจากกัน  แต่มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้เท่านั้น  นายข้องจึงเรียกดอกเบี้ยเงินกู้จากนายเอกในอัตราร้อยละ  7.5 ต่อปีตามมาตรา  7  ไม่ได้

อย่างไรก็ตาม  หากนายข้องต้องการได้ดอกเบี้ย  นายข้องจะต้องให้คำเตือนนายเอกลูกหนี้ด้วยการทวงถามให้นายเอกชำระหนี้เงินกู้  100,000  บาท  หากนายเอกไม่ชำระหนี้หลังจากนายข้องเตือนแล้ว  นายเอกก็จะตกเป็นผู้ผิดนัดทันทีตามมาตรา  204  วรรคแรก  เมื่อมีการผิดนัดชำระหนี้และหนี้นั้นเป็นหนี้เงิน  นายข้องย่อมมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่นายเอกผิดนัดร้อยละ  7.5  ต่อปีได้ตามมาตรา  224  วรรคแรก

ดังนั้น  ในกรณีนี้ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่นายข้องว่า  นายข้องมีสิทธิเรียกเงินต้น  100,000  บาท  คืนได้ทันที  เพราะถือว่าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วตามมาตรา  203  วรรคแรก  ส่วนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดนั้น  นายข้องจะเรียกได้ก็ต่อเมื่อนายข้องได้เตือนให้นายเอกชำระหนี้แล้ว  เมื่อนายเอกไม่ชำระหนี้ตามคำเตือนก็จะตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา  204  วรรคแรก  นายข้องก็จะมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดได้ในอัตราร้อยละ  7.5  ต่อปี  ตามมาตรา  224  วรรคแรก  ส่วนดอกเบี้ยก่อนหน้าที่นายเอกจะผิดนัด  นายข้องไม่สามารถเรียกให้นายเอกชำระได้  เพราะคู่สัญญาไม่มีเจตนาจะเรียกดอกเบี้ยแก่กันเลย

สรุป  ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่นายข้องดังกล่าวข้างต้น

 

 

ข้อ  2  บริษัทคำพอง  จำกัด  รับจ้างสร้างหม้อต้มกลั่นพลังงานไอน้ำให้แก่โรงงานของบริษัทสะดวกค้า  จำกัด  โดยจะต้องส่งมอบพร้อมติดตั้งและทดสอบการทำงานให้เสร็จสมบูรณ์  ที่โรงงานของบริษัทสะดวกค้า  จำกัด  ในวันที่  2  กรกฎาคม  2551  แต่เนื่องจากหม้อต้มกลั่นนี้มีขนาดใหญ่มาก  จำเป็นที่บริษัทสะดวกค้า  จำกัด  จะต้องจัดเตรียมพื้นที่โรงงานให้พร้อมสำหรับรองรับขนาดและน้ำหนักของหม้อต้มกลั่นนี้  โดยจะต้องให้แล้วเสร็จในวันที่  1  กรกฎาคม  2551  ต่อมา  บริษัทคำพอง  จำกัด

ได้สร้างหม้อต้มกลั่นเสร็จเมื่อวันที่  30  มิถุนายน  2551  จึงได้แจ้งไปยังบริษัทสะดวกค้า  จำกัด  พร้อมที่จะนำหม้อต้มกลั่นไปติดตั้งและทดสอบตามกำหนดในสัญญา  แต่ในวันนั้นบริษัทสะดวกค้า  จำกัด  ยังจัดเตรียมพื้นที่ไม่เสร็จ  และจะเสร็จอย่างเร็วในวันที่  10  สิงหาคม  2551  ต่อมาวันที่  1  กรกฎาคม  2551  บริษัทคำพอง  จำกัด  ทราบแน่นอนว่า

แม้จะนำหม้อต้มกลั่นไปส่งมอบตามกำหนดก็ไม่อาจติดตั้งและทดสอบการทำงานได้ตามสัญญา  จึงได้ตัดสินใจไม่นำหม้อต้มกลั่นไปติดตั้งตามกำหนดเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายและเกิดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น  เป็นเหตุให้บริษัทสะดวกค้า  จำกัด  คิดจะนำคดีไปฟ้องศาลกล่าวอ้างว่าบริษัทคำพอง  จำกัด  ผิดสัญญาไม่ชำระหนี้ตามกำหนด  และเรียกค่าเสียหาย  บริษัทสะดวกค้า  จำกัด  จึงมาขอคำปรึกษาจากนักศึกษาว่า  บริษัทคำพอง  จำกัด  ต้องรับผิดชอบหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  209  ถ้าได้กำหนดเวลาไว้เป็นแน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการอันใด  ท่านว่าที่จะขอปฏิบัติการชำระหนี้นั้นจะต้องทำก็แต่เมื่อเจ้าหนี้ทำการอันนั้นภายในเวลากำหนด

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  บริษัทคำพอง  จำกัด  จะต้องรับผิดหรือไม่  เห็นว่า  การที่คู่สัญญาได้ตกลงให้บริษัทสะดวกค้า  จำกัด  เจ้าหนี้ตระเตรียมพื้นที่โรงงานให้พร้อมโดยจะต้องให้แล้วเสร็จในวันที่  1  กรกฎาคม  2551  ย่อมถือเป็นกรณีที่คู่สัญญาได้กำหนดเวลาไว้แน่นอนเพื่อให้เจ้าหนี้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด  หรือถือเป็นสัญญาที่ถือเอากำหนดเวลาและวิธีการส่งมอบเป็นข้อสาระสำคัญตามมาตรา  209  ในกรณีเช่นนี้บริษัทคำพองลูกหนี้จะต้องชำระหนี้ก็ต่อเมื่อบริษัทสะดวกค้า  จำกัด  ได้ตระเตรียมพื้นที่แล้วเสร็จภายในกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้เท่านั้น  ถ้าหากเจ้าหนี้มิได้กระทำการอันนั้นภายในเวลาที่ได้กำหนดกันไว้  ลูกหนี้ก็ไม่จำเป็นต้องขอปฏิบัติการชำระหนี้และถือว่าเจ้าหนี้ผิดนัดทันทีโดยไม่ต้องมีการบอกกล่าวก่อน  ทั้งจะถือว่าลูกหนี้ผิดนัดในการไม่ชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ไม่ได้

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่  1  กรกฎาคม  2551  บริษัทสะดวกค้า  จำกัด  เจ้าหนี้ยังจัดเตรียมพื้นที่ไม่เสร็จ  และจะเสร็จอย่างเร็วในวันที่  10  สิงหาคม  2551  จึงเป็นกรณีที่เจ้าหนี้ละเลยไม่รับชำระหนี้จากลูกหนี้ภายในกำหนดเวลาอันเป็นสาระสำคัญ  บริษัทสะดวกค้า  จำกัด  จึงเป็นฝ่ายผิดนัดและผิดสัญญา  การที่บริษัทคำพอง  จำกัด  ตัดสินใจไม่นำหม้อต้มกลั่นไปติดตั้งตามกำหนดเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น  บริษัทคำพอง  จำกัด  ย่อมมีสิทธิทำได้ตามมาตรา  209  ที่กำหนดว่า  ลูกหนี้จะขอปฏิบัติการชำระหนี้นั้นจะต้องทำก็ต่อเมื่อเจ้าหนี้ทำการอันนั้นภายในเวลากำหนด  ดังนั้น  เมื่อบริษัทสะดวกค้า  จำกัด  เจ้าหนี้เป็นผู้ผิดนัด  จึงไม่อาจฟ้องคดีเพื่อให้บริษัท  คำพอง  จำกัด  รับผิดตามสัญญาและเรียกค่าเสียหายได้  บริษัทคำพอง  จำกัด  จึงไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด  (ฎ. 44/2532)

สรุป  ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่บริษัทสะดวกค้า  จำกัด  ว่า  บริษัทคำพอง  จำกัด  ไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด

 

 

ข้อ  3  จันทร์ได้ยกที่ดิน  1  แปลง  ให้แก่อังคารโดยเสน่หาถูกต้องตามกฎหมาย  ต่อมาอังคารได้ประพฤติเนรคุณ  โดยหมิ่นประมาทจันทร์ผู้ให้อย่างร้ายแรง  จันทร์จึงมีสิทธิเรียกถอนคืนการให้จากอังคารได้  แต่ปรากฏว่าก่อนจันทร์ยื่นฟ้องอังคารเรียกถอนคืนการให้เพียง  1  วัน อังคารได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวนั้นให้แก่พุธ  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนและพุธรับไว้โดยสุจริต  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  มาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้วิธีใดเหมาะสมที่สุด  ที่ควรนำมาใช้กับเรื่องนี้  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  237  เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ  อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น  บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย  แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา  ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้  ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  มาตรการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่เหมาะสมที่สุด  คือ  การเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา  237  สำหรับหลักเกณฑ์ที่เจ้าหนี้จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลดังกล่าว  ประกอบด้วย

1       ลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล  หมายถึง  นิติกรรมที่ลูกหนี้ทำขึ้นโดยที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  ซึ่งก็คือ  นิติกรรมนั้นพอทำแล้วลูกหนี้จะไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้นั่นเอง

2       ลูกหนี้จะต้องรู้ว่าเมื่อทำนิติกรรมแล้วเจ้าหนี้จะเสียเปรียบ

3       นิติกรรมที่จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของลูกหนี้  ถ้ามิใช่เป็นการทำให้โดยเสน่หาแล้ว  เจ้าหนี้จะขอให้ศาลเพิกถอนได้ต่อเมื่อ  ในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้น (หมายถึงผู้ที่ทำนิติกรรมกับลูกหนี้)  ได้รู้ถึงความเสียเปรียบของเจ้าหนี้  (คือต้องรู้ในขณะที่ทำนิติกรรม  ถ้ามารู้ภายหลังก็ย่อมเพิกถอนไม่ได้)

4       หากลูกหนี้ทำนิติกรรมให้โดยเสน่หา  เพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้วที่จะขอให้เพิกถอนได้  (ดังนั้นผู้ได้ลาภงอกจะอ้างว่าตนสุจริตก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ)

5       การเพิกถอนการฉ้อฉลใช้ได้กับนิติกรรมที่มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สินเท่านั้น

ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวรับฟังได้ว่า  จันทร์ (ผู้ให้)  ยกที่ดิน  1  แปลงให้แก่อังคารโดยเสน่หาถูกต้องตามกฎหมาย  ต่อมาการที่อังคารได้ประพฤติเนรคุณโดยหมิ่นประมาทจันทร์ผู้ให้อย่างร้ายแรง  กรณีเช่นนี้จันทร์จึงมีสิทธิเรียกถอนคืนการให้จากอังคารได้นับแต่วันที่ทราบเหตุเนรคุณตามมาตรา  531  จันทร์จึงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้และอังคารอยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้

แต่ปรากฏว่าก่อนจันทร์จะยื่นฟ้องอังคารเรียกถอนคืนการให้เพียง  1  วัน  อังคารได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวนั้นให้แก่พุธโดยเสน่หา  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนทั้งพุธก็รับดอนไว้โดยสุจริต  ย่อมถือได้ว่าเป็นการทำนิติกรรมอันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งที่รู้ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบ  ซึ่งเป็นนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลเจ้าหนี้  เมื่อกรณีเป็นการยกให้โดยเสน่หา  การจะขอเพิกถอนการฉ้อฉลได้โดยกฎหมายกำหนดแต่เพียงว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้วที่จะขอให้เพิกถอนได้  ดังนั้นการที่อังคารลูกหนี้รู้ฝ่ายเดียวถึงเหตุที่จะทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  แม้พุธผู้ได้ลาภงอกจะสุจริตไม่รู้ถึงเหตุนั้นด้วย  จันทร์ (ผู้ให้)  ซึ่งอยู่ในฐานะเจ้าหนี้และเป็นฝ่ายเสียเปรียบ  ย่อมมีสิทธิร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินโดยเสน่หาระหว่างอังคารกับพุธได้ตามมาตรา  237  วรรคแรก

สรุป  มาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่เหมาะสมที่สุด  คือ  การร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้ที่ดินโดยเสน่หาระหว่างอังคารกับพุธอันเป็นการฉ้อฉลตามมาตรา  237  วรรคแรก

 

 

ข้อ  4  ก  และ  ข  เป็นเจ้าหนี้ร่วม  ในหนี้เงินสองแสนบาท  โดยมี  ค  เป็นลูกหนี้  หนี้รายนี้มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้เอาไว้  ถ้าต่อมาปรากฏว่า  ก  แต่เพียงผู้เดียว  เตือนให้  ค  ชำระหนี้  และ  ค  ผิดนัดไม่ยอมชำระหนี้  หลังจากนั้น  ค  ไปชำระหนี้ให้  ข  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  การชำระหนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  และ  ก  จะเรียกดอกเบี้ยจาก  ค  ฐานผิดนัดได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  224  วรรคแรก  หนี้เงินนั้น  ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี  ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้น  โดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย  ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น

มาตรา  295  ข้อความจริงอื่นใด  นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา  292  ถึง  294  นั้น  เมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น  เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง

ความที่ว่ามานี้  เมื่อจะกล่าวโดยเฉพาะก็คือว่าให้ใช้แก่การให้คำบอกกล่าว  การผิดนัด  การที่หยิบยกอ้างความผิด  การชำระหนี้อันเป็นพ้นวิสัยแก่ฝ่ายลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง  กำหนดอายุความหรือการที่อายุความสะดุดหยุดลง  และการที่สิทธิเรียกร้องเกลื่อนกลืนกันไปกับหนี้สิน

มาตรา  298  ถ้าบุคคลหลายคนมีสิทธิเรียกร้องการชำระหนี้โดยทำนองซึ่งแต่ละคนอาจจะเรียกให้ชำระหนี้สิ้นเชิงไซร้  แม้ถึงว่าลูกหนี้จำต้องชำระหนี้สิ้นเชิงแต่เพียงครั้งเดียว  (กล่าวคือ  เจ้าหนี้ร่วมกัน)  ก็ดี  ท่านว่าลูกหนี้จะชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้แต่คนใดคนหนึ่งก็ได้ตามแต่จะเลือก  ความข้อนี้ให้ใช้บังคับได้  แม้ทั้งนี้เจ้าหนี้คนหนึ่งจะได้ยื่นฟ้องเรียกชำระหนี้ไว้แล้ว

มาตรา  299  วรรคสาม  นอกจากนี้  ท่านให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา  292, 293  และ  295   มาใช้บังคับโดยอนุโลม  กล่าวโดยเฉพาะก็คือ  แม้เจ้าหนี้ร่วมกันคนหนึ่งจะโอนสิทธิเรียกร้องให้แก่บุคคลอื่นไปก็หากระทบกระทั่งถึงสิทธิของเจ้าหนี้คนอื่นๆด้วยไม่

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  การชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ร่วมนั้น  ลูกหนี้มีสิทธิเลือกชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งก็ได้ตามแต่ลูกหนี้จะเลือก  แม้ว่าเจ้าหนี้ร่วมคนหนึ่งจะได้ฟ้องคดีเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ไว้แล้วก็ตาม (มาตรา  298)

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  การชำระหนี้ของ  ค  ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อการชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ร่วมเป็นสิทธิของลูกหนี้ที่จะเลือกชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งก็ได้  ดังนั้นในกรณีนี้  ลูกหนี้จึงมีสิทธิชำระหนี้ให้แก่  ข  ได้  แม้  ข  จะมิได้เรียกให้  ค  ลูกหนี้ชำระหนี้ก็ตาม  การที่  ค  ชำระหนี้ให้  ข  จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  ก  จะเรียกดอกเบี้ยจาก  ค  ในระหว่างผิดนัดได้หรือไม่  เห็นว่า  หนี้รายนี้เป็นหนี้ที่มิได้กำหนดเวลาชำระหนี้เอาไว้ตามมาตรา  203  วรรคแรก  เจ้าหนี้จึงต้องเตือนให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนตามมาตรา  204  วรรคแรก  และเมื่อเป็นหนี้ที่มีเจ้าหนี้ร่วม  เจ้าหนี้ร่วมคนใดคนหนึ่งจะเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก็ได้  เมื่อ  ก  แต่เพียงผู้เดียว  เตือนให้  ค  ชำระหนี้  และ  ค  ผิดนัดไม่ยอมชำระหนี้ย่อมถือว่า  ค  ผิดนัดต่อ  ก  เจ้าหนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น  มิได้ผิดนัดต่อ  ข  ด้วย  ตามมาตรา  295  ประกอบมาตรา  299  วรรคสาม  ทั้งนี้เพราะถือว่าการผิดนัดดังกล่าวเป็นเรื่องท้าวถึงตัวเจ้าหนี้ร่วมกันคนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณแต่เฉพาะแก่เจ้าหนี้คนนั้น  เมื่อ  ค  ผิดนัดต่อ  ก  เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดในอัตราร้อยละ  7.5  ต่อปีจาก  ค  ได้ตามมาตรา  224  วรรคแรก  จะอ้างว่าได้ชำระหนี้ให้แก่  ข  แล้วหนี้จึงระงับสิ้นไป  ไม่ต้องชำระดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดไม่ได้  เพราะการผิดนัดดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนการชำระหนี้

สรุป  การชำระหนี้ของ  ค  ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  298  และ  ก  มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดจาก  ค  ได้ตามมาตรา  224  วรรคแรก  295  และ  299  วรรคสาม        

LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  ก  และ  ข  เป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินแปลงหนึ่ง  ก  ทำสัญญาจะขายที่ดินส่วนของตนให้กับ  ค  แล้วเรียกบังคับให้  ข  ผู้เก็บรักษาส่งมอบโฉนดที่ดินให้ตนเพื่อไปทำนิติกรรมโอนที่ดินให้ผู้ซื้อต่อไป  ข  อ้างว่า  ตนได้นำโฉนดที่ดินไปประกันหนี้เงินกู้ของตนไว้ไม่อาจส่งมอบให้  ก  ได้  แต่การโอนที่ดินนั้น  วัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรม”  ก  สามารถร้องขอต่อศาล  ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ได้อยู่แล้ว  ตนไม่จำเป็นจะต้องส่งมอบโฉนดให้  ก  ข้ออ้างของ  ข  ฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  213  ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ชำระหนี้ของตนเจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับชำระหนี้ก็ได้  เว้นแต่สภาพแห่งหนี้จะไม่เปิดช่องให้ทำเช่นนั้นได้

เมื่อสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้  ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำการอันหนึ่งอันใด  เจ้าหนี้จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบังคับให้บุคคลภายนอกกระทำการอันนั้นโดยลูกหนี้เสียค่าใช้จ่ายให้ก็ได้แต่ถ้าวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งไซร้  ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ก็ได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  ข  ต้องส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่  ก  หรือไม่  เห็นว่า  ก  และ  ข  เป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินแปลงหนึ่ง  แต่ละคนย่อมมีสิทธิใช้สอยที่ดินดังกล่าวได้  แต่ต้องไม่ขัดต่อสิทธิแห่งเจ้าของรวมคนอื่นๆและเจ้าของรวมคนหนึ่งๆ จะจำหน่ายที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของตนก็ได้  (มาตรา  1361  วรรคแรก)  การที่  ข  นำโฉนดที่ดินไปให้บุคคลอื่นยึดถือไว้เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้  เป็นเหตุให้  ก  ไม่สามารถจดทะเบียนขายที่ดินตามโฉนดที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของ  ก  ให้กับ  ค  ตามสัญญาจะซื้อขาย  ย่อมขัดต่อสิทธิของ  ก  เช่นนี้  ข  ต้องส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวให้แก่  ก  และหากโฉนดที่ดินอยู่ในความครอบครองของบุคคลอื่น  ข ย่อมต้องมีหน้าที่ดำเนินการนำโฉนดที่ดินคืนมาเพื่อส่งมอบแก่  ก  จนได้ตามมาตรา  213  วรรคแรก  กรณีมิใช่สภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้

ส่วนที่  ข  อ้างว่าในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เฉพาะส่วนให้แก่  ค  นั้น  ก  สามารถขอให้ศาลสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของ  ข  ได้  โดย  ก  ไม่ต้องขอให้  ข  ส่งมอบโฉนดที่ดินแก่  ก  นั้น  เห็นว่า  ตามบทบัญญัติมาตรา  213  วรรคสอง  การที่ศาลจะสั่งให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ได้ก็เฉพาะกรณีวัตถุแห่งหนี้เป็นอันให้กระทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น  แต่กรณีนี้  ก  เรียกให้  ข  ส่งมอบโฉนดที่ดิน  วัตถุแห่งหนี้จึงเป็นการส่งมอบทรัพย์สินมิใช่เป็นการให้ทำนิติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่ศาลจะสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ได้

ดังนั้น  ข้ออ้างของ  ข  ที่ว่า  ตนไม่จำเป็นจะต้องส่งมอบโฉนดที่ดินให้กับ  ก  และ  ก  สามารถร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของ  ข  ได้นั้น  จึงฟังไม่ขึ้น  ข  ต้องส่งมอบโฉนดที่ดินให้กับ  ก  (ฎ. 4920/2547)

สรุป  ข้ออ้างของ  ข  ฟังไม่ขึ้น

 

 

ข้อ  2  แดงกู้เงินธนาคารสี่ล้านบาทโดยมีดำ  ขาว  เหลือง  และเขียว  เป็นผู้ค้ำประกัน  ขาวผู้เดียวเป็นผู้ชำระหนี้แทนแดงทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยรวมสี่ล้านสี่แสนบาท  ขาวจะเรียกให้ใครรับผิดได้หรือไม่  เพียงใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  226  วรรคแรก  บุคคลผู้รับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้  ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้  รวมทั้งประกันเหตุแห่งหนี้นั้นได้ในนามของตนเอง

มาตรา  229  การรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นด้วยอำนาจกฎหมาย  และย่อมสำเร็จเป็นประโยชน์แก่บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้คือ

(3) บุคคลผู้มีความผูกพันร่วมกับผู้อื่น  หรือเพื่อผู้อื่นในอันจะต้องใช้หนี้  มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้น  และเข้าใช้หนี้นั้น

มาตรา  296  ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น  ท่านว่าต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนท่าๆกัน  เว้นแต่จะได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น  ถ้าส่วนที่ลูกหนี้ร่วมกันคนใดคนหนึ่งจะพึงชำระนั้น  เป็นอันจะเรียกเอาจากคนนั้นไม่ได้ไซร้  ยังขาดจำนวนอยู่เท่าไร  ลูกหนี้คนอื่นๆ  ซึ่งจำต้องออกส่วนด้วยนั้นก็ต้องรับใช้  แต่ถ้าลูกหนี้ร่วมกันคนใด  เจ้าหนี้ได้ปลดให้หลุดพ้นจากหนี้อันร่วมกันนั้นแล้ว  ส่วนที่ลูกหนี้คนนั้นจะพึงต้องชำระหนี้ก็ตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้ไป

มาตรา  682  วรรคสอง  ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน  แม้ถึงว่าจะมิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน

มาตรา  693  ผู้ค้ำประกันซึ่งได้ชำระหนี้แล้ว  ย่อมมีสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาจากลูกหนี้  เพื่อต้นเงินกับดอกเบี้ยและเพื่อการที่ต้องสูญหายหรือเสียหายไปอย่างใดๆเพราะการค้ำประกันนั้น

อนึ่งผู้ค้ำประกันย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้บรรดามีเหนือลูกหนี้ด้วย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่ดำ  ขาว  เหลือง  และเขียว  เข้าทำสัญญาค้ำประกันหนี้เงินกู้ธนาคาร  4  ล้านบาท  ที่มีแดงเป็นลูกหนี้  ถือเป็นกรณีที่บุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกัน  ผู้ค้ำประกันเหล่านั้นจึงมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตามมาตรา  682  วรรคสอง  ซึ่งตามมาตรา  296  กำหนดว่า  ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น  ต่างตนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน  เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ร่วมแต่คนใดคนหนึ่งชำระหนี้ได้สิ้นเชิง  ในทางกลับกันลูกหนี้ร่วมกันแต่คนใดคนหนึ่งจะชำระหนี้ทั้งหมดให้แก่เจ้าหนี้ก็ได้  (มาตรา  291) 

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ขาวผู้ค้ำประกันคนหนึ่งเข้าชำระหนี้แทนแดงทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย  รวม  4  ล้าน  4  แสนบาท  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยจึงมีว่า  เมื่อขาวชำระหนี้ไปแล้ว  ขาวจะเรียกให้ใครรับผิดได้หรือไม่  เพียงใด  เห็นว่า

1       เมื่อขาวผู้ค้ำประกันคนหนึ่งเข้าชำระหนี้แล้ว  ขาวย่อมมีสิทธิที่จะไล่เบี้ยได้ทั้งเงินต้น  ดอกเบี้ย  และค่าเสียหายจากการค้ำประกันได้ทั้งหมดจากแดงลูกหนี้ชั้นต้นตามมาตรา  693  วรรคแรก  และ

2       ขาวผู้ค้ำประกันย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้โดยอำนาจของกฎหมาย  ในฐานะเป็นบุคคลผู้มีความผูกพันเพื่อผู้อื่นในอันจะต้องใช้หนี้มีส่วนได้เสียด้วยในการใช้หนี้นั้นและเข้าใช้หนี้นั้นตามมาตรา    229(3)  ประกอบมาตรา  226  วรรคแรก  ไปไล่เบี้ยเอากับผู้ค้ำประกันอื่นๆได้ทุกคนตามมาตรา  693  วรรคสอง  ทั้งนี้ตามสัดส่วนความรับผิดของผู้ค้ำประกันแต่ละคนตามมาตรา  296 กล่าวคือ  ไล่เบี้ยเอากับดำ  เหลือง  และเขียวได้คนละ  1  ล้าน  1  แสนบาท  (ฎ. 4574/2536)

สรุป  ขาวจะเรียกให้แดงลูกหนี้ชำระหนี้ทั้งหมด  4  ล้าน  4  แสนบาทตามมาตรา  693  วรรคแรก  หรือจะเรียกให้ดำ  เหลือง  และเขียวผู้ค้ำประกันร่วมคนอื่นๆรับผิดคนละ  1  ล้าน  1  แสนบาทก็ได้ตามมาตรา  229(3)  ประกอบมาตรา  226  วรรคแรก  และมาตรา  693  วรรคสอง  ประกอบมาตรา  296

 

 

ข้อ  3  จันทร์ได้ยกที่ดิน  1  แปลงให้แก่อังคารโดยเสน่หาถูกต้องตามกฎหมาย  ต่อมาอังคารได้ประพฤติตนเนรคุณโดยหมิ่นประมาทจันทร์ผู้ให้อย่างร้ายแรง  จันทร์จึงมีสิทธิเรียกถอนคืนการให้จากอังคารได้  แต่ปรากฏว่าก่อนที่อังคารจะได้ประพฤติเนรคุณและก่อนที่จันทร์จะได้ทราบเหตุเนรคุณดังกล่าว  อังคารได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวนั้นให้แก่พุธ  โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน  และพุธรับไว้โดยสุจริต  ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า  มาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้จะมีวิธีใดตามบรรพ  2  แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ที่ควรนำมาใช้กับเรื่องนี้  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  237  เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใดๆ  อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้น  บุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย  แต่หากกรณีเป็นการให้โดยเสน่หา  ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้

บทบัญญัติดังกล่าวมาในวรรคก่อนนี้  ท่านมิให้ใช้บังคับแก่นิติกรรมอันมิได้มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สิน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  มาตรการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่เหมาะสมที่สุด  คือ  การเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา  237  สำหรับหลักเกณฑ์ที่เจ้าหนี้จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลดังกล่าว  ประกอบด้วย

1       ลูกหนี้ได้ทำนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉล  หมายถึง  นิติกรรมที่ลูกหนี้ทำขึ้นโดยที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ  ซึ่งก็คือ  นิติกรรมนั้นพอทำแล้วลูกหนี้จะไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้แก่เจ้าหนี้นั่นเอง

2       ลูกหนี้จะต้องรู้ว่าเมื่อทำนิติกรรมแล้วเจ้าหนี้จะเสียเปรียบ

3       นิติกรรมที่จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินของลูกหนี้  ถ้ามิใช่เป็นการทำให้โดยเสน่หาแล้ว  เจ้าหนี้จะขอให้ศาลเพิกถอนได้ต่อเมื่อ  ในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้น (หมายถึงผู้ที่ทำนิติกรรมกับลูกหนี้)  ได้รู้ถึงความเสียเปรียบของเจ้าหนี้  (คือต้องรู้ในขณะที่ทำนิติกรรม  ถ้ามารู้ภายหลังก็ย่อมเพิกถอนไม่ได้)

4       หากลูกหนี้ทำนิติกรรมให้โดยเสน่หา  เพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวก็พอแล้วที่จะขอให้เพิกถอนได้  (ดังนั้นผู้ได้ลาภงอกจะอ้างว่าตนสุจริตก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ)

5       การเพิกถอนการฉ้อฉลใช้ได้กับนิติกรรมที่มีวัตถุเป็นสิทธิในทรัพย์สินเท่านั้น

ดังนั้น  ในเบื้องต้นจึงต้องพิจารณาให้ได้ความว่า  ผู้ที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมอันเป็นการฉ้อฉลตามมาตรา  237  จะต้องอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ในขณะทำนิติกรรม  ถ้าในขณะที่ลูกหนี้ทำนิติกรรม  ผู้ขอให้เพิกถอนยังไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้  จะฟ้องขอให้เพิกถอนตามมาตรา  237  ไม่ได้

สำหรับกรณีนี้  แม้อังคารจะประพฤติเนรคุณโดยหมิ่นประมาทจันทร์ผู้ให้อย่างร้ายแรงซึ่งจันทร์มีสิทธิเรียกถอนคืนการให้จากอังคารได้ก็ตาม  แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าอังคารได้ยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่พุธก่อนที่จะมีการประพฤติเนรคุณและก่อนที่จันทร์จะได้ทราบเหตุเนรคุณดังกล่าว  กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  237  วรรคแรก  เพราะขณะอังคารยกที่ดินให้พุธอันเป็นการให้โดยเสน่หา  จันทร์ยังไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้และยังไม่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ  ทั้งนี้เนื่องจากในเรื่องการให้โดยเสน่หา  เมื่อผู้รับประพฤติเนรคุณ  ผู้ให้ชอบที่จะเพิกถอนการให้ได้นับแต่วันที่ทราบเหตุเนรคุณ  และนับแต่นั้นจึงจะถือว่าผู้ให้อยู่ในฐานะเจ้าหนี้ที่จะขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้  (ฎ. 1514 1515/2516)  ดังนั้นจันทร์จึงไม่อาจร้องขอต่อศาลให้เพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างอังคารกับพุธได้

กรณีจึงไม่มีวิธีใดตามบรรพ  2  แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่จะนำมาใช้เป็นมาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของอังคารได้

สรุป  ไม่มีวิธีใดตามบรรพ  2  ที่จะเป็นมาตรการในการควบคุมกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้

 

 

ข้อ  4  หนึ่งเป็นเจ้าหนี้และสองเป็นลูกหนี้  ในหนี้เงิน  200,000  บาท  โดยมีสามและสี่เป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายดังกล่าวนี้  ครั้นเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  สอง  (ลูกหนี้)  ผิดนัด  แต่ต่อมาปรากฏว่าสามเพียงคนเดียวได้เอาแหวนเพชรตีใช้หนี้แทนเงิน  200,000  บาท  ให้แก่หนึ่ง ซึ่งหนึ่งยอมรับเอาไว้  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า  สี่ยังคงต้องรับผิดต่อหนึ่ง  หรือไม่  เพียงใด  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  292  วรรคแรก  การที่ลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งชำระหนี้นั้น  ย่อมได้เป็นประโยชน์แก่ลูกหนี้คนอื่นๆด้วย  วิธีเดียวกันนี้ท่านให้ใช้บังคับแก่การใดๆ  อันพึงกระทำแทนชำระหนี้  วางทรัพย์สินแทนชำระหนี้และหักกลบลบหนี้ด้วย

มาตรา  321  วรรคแรก  ถ้าเจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้  ท่านว่าหนี้นั้นก็เป็นอันระงับสิ้นไป

มาตรา  682  วรรคสอง  ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกันไซร้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันเหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกัน  แม้ถึงว่าจะมิได้เข้ารับค้ำประกันรวมกัน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่สามและสี่เข้าทำสัญญาค้ำประกันหนี้เงิน  200,000  บาท  ที่มีสองเป็นลูกหนี้  ย่อมเป็นกรณีที่บุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้รายเดียวกัน  ผู้ค้ำประกันเหล่านั้นทุกคนจึงมีความรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตามมาตรา  682  วรรคสอง  ซึ่งตามมาตรา  296  กำหนดว่า  ในระหว่างลูกหนี้ร่วมกันทั้งหลายนั้น  ต่างคนต่างต้องรับผิดเป็นส่วนเท่าๆกัน  เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ลูกหนี้ร่วมแต่คนใดคนหนึ่งชำระหนี้ได้สิ้นเชิง  ในทางกลับกันลูกหนี้ร่วมกันแต่คนใดคนหนึ่งจะชำระหนี้ทั้งหมดให้แก่เจ้าหนี้ก็ได้ (มาตรา  291)

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  สามผู้ค้ำประกันร่วมคนหนึ่งได้เอาแหวนเพชรตีใช้หนี้แทนเงิน  200,000  บาท  ให้แก่หนึ่ง  ซึ่งหนึ่งยอมรับเอาไว้  กรณีจึงเป็นเรื่องที่สามลูกหนี้ร่วมทำการอันพึงกระทำแทนการชำระหนี้ตามมาตรา  292  วรรคแรก  ซึ่งก็หมายถึง  การที่เจ้าหนี้ยอมรับการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  321  วรรคแรกนั่นเอง  การที่สามลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งชำระหนี้และเจ้าหนี้ก็ยอมรับย่อมมีผลให้หนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไป  การระงับแห่งหนี้ย่อมเป็นประโยชน์แก่สี่ลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งด้วย  ตามมาตรา  292  วรรคแรก  สี่จึงไม่ต้องรับผิดต่อหนึ่งอีกต่อไป

สรุป  สี่ไม่ต้องรับผิดต่อหนึ่งอีกต่อไป  เพราะการชำระหนี้ของสามมีผลให้หนี้ระงับไปถึงสี่ด้วย

WordPress Ads
error: Content is protected !!