LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ ภาคฤดูร้อน/2552

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2552
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2005
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายไก่ตกลงขายบ้านและที่ดินให้นายไข่ในราคา 1 ล้านบาท แต่นายไข่มีเงินไม่ครบจึงมีข้อตกลงกันว่าให้นายไข่ผ่อนชำระค่าที่ดินเป็น 5 งวดๆละ 2 แสนบาท เป็นเวลา 5 เดือน เมื่อชำระเงินครบนายไก่ก็จะไปโอนบ้านและที่ดินให้ ต่อมาเมื่อนายไข่ชำระเงินครบ 1 ล้านบาท นายไก่ไม่ยอมไปโอนที่ดินให้เพราะนายนกมาขอซื้อบ้านและที่ดินดังกล่าวในราคา 2 ล้านบาท
(1) สัญญาระหว่างนายไก่และนายไข่ เป็นสัญญาซื้อขายประเภทไหน
(2) นายไข่จะฟ้องให้นายไก่ไปโอนบ้านและที่ดินให้ตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
 
ธงคำตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 456 วรรคแรกและวรรคสอง การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคำมั่นใน การซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับ ผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
วินิจฉัยโดย หลัก การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษนั้น จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรก แต่ถ้าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิด พิเศษ กฎหมายไม่ได้บังคับให้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพียงแต่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือวางมัดจำหรือชำระหนี้บางส่วนแล้ว ก็สามารถฟ้องร้องบังคับกันได้ตามมาตรา 456 วรรคสอง

กรณีตามอุทาหรณ์(1) การที่นายไก่ตกลงขายบ้านและที่ดินให้นายไข่ในราคา 1 ล้านบาท โดยมีข้อตกลงกันว่าให้นายไข่ผ่อนชำระค่าที่ดินเป็น 5 งวดๆละ 2 แสนบาท เป็นเวลา 5 เดือน เมื่อชำระเงินครบนายไก่ก็จะไปโอนบ้านและที่ดินให้ กรณีเช่นนี้ถือได้ว่า คู่สัญญาไม่มีเจตนาที่จะให้กรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินโอนไปในขณะทำสัญญาซื้อ ขาย แต่มีเจตนาจะไปทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ กันในภายหลัง ดังนั้น สัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินระหว่างนายไก่และนายไข่จึงเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย ตามมาตรา 456 วรรคสอง(2) ส่วนประเด็นที่ว่านายไข่จะฟ้องให้นายไก่ไปโอนบ้านและที่ดินให้ตนได้หรือไม่ นั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายไข่ได้ชำระเงินให้นายไก่ครบ 1 ล้านบาทแล้ว จึงถือว่า สัญญาจะซื้อจะขายบ้านและที่ดินระหว่างนายไก่และนายไข่นั้น มีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีคือได้มีการชำระหนี้กันบางส่วนแล้ว ดังนั้นเมื่อนายไก่ผิดสัญญาไม่ยอมไปจดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินให้นายไข่ นายไข่จึงสามารถฟ้องร้องให้นายไก่ไปจดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินให้ตนได้ตาม มาตรา 456 วรรคสอง

สรุป
(1) สัญญาซื้อบ้านและที่ดินระหว่างนายไก่และนายไข่ เป็นสัญญาจะซื้อจะขาย
(2) นายไข่สามารถฟ้องร้องให้นายไก่ไปจดทะเบียนโอนบ้านและที่ดินให้ตนได้

 


ข้อ
 2 นายนกซื้อรถยนต์จากการขายทอดตลาดของนายมา 1 คัน ในราคา 1 แสนบาท ก่อนขายนายหนูทราบดีว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีปัญหาเกี่ยวกับระบบเบรก หลังซื้อขายและส่งมอบ นายนกจึงพบว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีข้อบกพร่องเกี่ยวกับสาบเบรก นายนกจะฟ้องนายหนูให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 472 ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้ เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่า ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่

มาตรา 473 ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด

วินิจฉัย

โดย หลัก ผู้ขายมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบในความชำรุดบกพร่อง ซึ่งเป็นเหตุให้ทรัพย์สินที่ขายนั้นเสื่อมราคา เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ หรือเสื่อมประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญา ไม่ว่าผู้ขายจะรู้หรือไม่รู้ว่าทรัพย์สินที่ขายนั้นมีความชำรุดบกพร่องอยู่ (มาตรา 472)

กรณีตามอุทาหรณ์ นายนกซื้อรถยนต์ของนายหนูมา 1 คัน หลังจากซื้อขายและส่งมอบแล้ว นายนกได้พบว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีข้อบกพร่องเกี่ยวกับสายเบรก ซึ่งโดยหลักแล้ว นายนกสามารถจะฟ้องนายหนูให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้ตามมาตรา 472 แต่อย่างไรก็ดี เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การที่นายนกซื้อรถยนต์มาจากนายหนูนั้นเป็นการซื้อมาจากการขายทอดตลาดของนาย หนู ซึ่งตามมาตรา 473(3) ถือว่าเป็นข้อยกเว้นที่ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่อง ดังนั้น กรณีดังกล่าวเมื่อมีความชำรุดบกพร่องเกิดขึ้นกับรถยนต์ที่ซื้อขาย นายนกจะฟ้องให้นายหนูผู้ขายรับผิดในความชำรุดบกพร่องไม่ได้ตามมาตรา 472 ประกอบมาตรา 473(3) แม้นายหนูผู้ขายจะไม่สุจริตก็ตาม

สรุป นายนกจะฟ้องนายหนูให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นไม่ได้

 

ข้อ 3 นายช้างนำความ 2 ตัวไปทำเป็นหนังสือจดทะเบียนขายฝากไว้กับนายม้า ในราคาตัวละ 4 หมื่นบาท ไถ่คืนในราคาเดิมบวกประโยชน์15 เปอร์เซ็นต์ หลังรับซื้อฝากไว้แล้วนายม้าก็นำความ 1 ตัวที่รับซื้อฝากไปฆ่าเพื่อทำอาหารเลี้ยงแขกในงานขึ้นบ้านใหม่ เมื่อนายช้างมาขอไถ่ความคืน จึงเหลือความเพียง 1 ตัว นายช้างจะฟ้องเรียกราคาความที่ถูกฆ่าตายจากนายม้าเป็นเงิน 4 หมื่นบาท และเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการไถ่ความคืนไม่ได้อีก 5 พันบาท ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 501 ทรัพย์สินซึ่งไถ่นั้น ท่านว่าต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ แต่ถ้าหากว่าทรัพย์สินนั้นถูกทำลายหรือทำให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ ซื้อไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

วินิจฉัย

โดย หลัก ผู้ซื้อฝากจะต้องสงวนรักษาทรัพย์สินที่ซื้อฝากอย่างวิญญูชนทั่วไปจะพึงสงวน รักษาและใช้ทรัพย์สินของตน และต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ ถ้าหากว่าทรัพย์สินนั้นถูกทำลาย ทำให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อฝาก ผู้ซื้อฝากก็จะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน (มาตรา 501)

กรณีตามอุทาหรณ์ นายช้างนำควาย 2 ตัวไปทำเป็นหนังสือจดทะเบียนขายฝากไว้กับนายม้าในราคาตัวละ 4 หมื่นบาท โดยหลักแล้ว นายม้าซึ่งเป็นผู้ซื้อฝากก็มีหน้าที่จะต้องดูแลรักษาควาย 2 ตัวที่รับซื้อฝากอย่างเช่นวิญญูชนทั่วไปจะพึงกระทำ แต่จากข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลังรับซื้อฝากไว้แล้วนายม้าได้นำควาย 1 ตัวที่รับซื้อฝากไปฆ่าเพื่อทำอาหารเลี้ยงแขกในงานขึ้นบ้านใหม่ กรณีนี้จึงถือได้ว่าทรัพย์สินที่ขายฝากถูกทำลายไปเพราะความผิดของผู้ซื้อฝาก เมื่อนายช้างมาขอไถ่ควายคืนแต่เหลือควายเพียงตัวเดียว นายช้างจึงสามารถฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการไถ่ควายคืนไม่ได้เป็นจำนวน 5 พันบาทได้ตามมาตรา 501 แต่จะฟ้องเรียกราคาควายที่ถูกฆ่าตายจากนายม้าเป็นเงิน 4 หมื่นบาทไม่ได้ เพราะราคาควายที่ขายฝากนายช้างได้รับไปแล้วตั้งแต่เวลาขายฝาก

สรุป นายช้างจะฟ้องเรียกราคาควายที่ถูกฆ่าตายจากนายม้าเป็นเงิน 4 หมื่นบาทไม่ได้ แต่ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการไถ่ควายคืนไม่ได้จำนวน 5 พันบาทได้ 

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ 1/2553

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2005
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ

ข้อ 1 นายจันทร์ได้บอกขายที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ของตนแปลงหนึ่งให้นายอังคารในราคา 5 ล้านบาท นายอังคารตกลงซื้อ 
นายจันทร์ได้ส่งมอบที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคารพร้องกับรับชำระราคา นายอังคารอยู่ในที่ดินแปลงนี้มาได้ 6 เดือน นายพุธอยากได้ที่แปลงนี้และได้ติดต่อขอซื้อจากนายจันทร์ในราคา 10 ล้านบาท นายจันทร์ขอให้นายพุธไปพบที่สำนักงานที่ดินทั้งคู่ได้มาที่สำนักงานที่ดิน และทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินแปลงนี้ในราคา 10 ล้านบาท 
พร้อมกับยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธินิติกรรมต่อเจ้าพนักงานที่ดิน นายอังคารทราบข่าวและมายื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าตนได้ซื้อไว้ อยู่ก่อน ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินอย่ารับจดทะเบียน นายพุธขอให้นายจันทร์ไปตกลงกับนายอังคารให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยมาจด ทะเบียนกันให้และทั้งคู่ยื่นคำขอถอนคำขอจดทะเบียนจากเจ้าพนักงานที่ดิน ปรากฏว่าที่ดินแปลงนี้มีราคาท้องตลาดสูงขึ้นมากถึง 20 ล้านบาท 

นายจันทร์อยากได้ที่ดินแปลงนี้คืนจากนายอังคาร และมาขอให้นายอังคารคืนที่แปลงนี้ นายอังคารไม่ยอมคืน นายจันทร์ยื่นฟ้องต่อศาลขอให้บังคับขับไล่นายอังคารให้ออกไปจากที่แปลงนี้ ส่วนนายพุธก็มาขอให้นายจันทร์ไปจดทะเบียนโอนที่แปลงนี้ แต่นายจันทร์ก็ไม่ยอมดังนี้ ถ้านายอังคารมาถามท่านว่า คดีนี้ตนจะมีทางต่อสู้ให้ชนะคดีได้หรือไม่ และนายพุธก็มาถามท่านเช่นเดียวกันว่า นายพุธจะเรียกร้องให้นายจันทร์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้ให้ตนได้หรือไม่ ท่านจะให้คำตอบนายอังคารกับนายพุธอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคแรก การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

วินิจฉัย

โดย หลัก การซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในอสังหาริมทรัพย์ กฎหมายได้บัญญัติให้คู่สัญญาจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้า หน้าที่ มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรก

ตามอุทาหรณ์ สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายจันทร์กับนายอังคารเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ด ขาดในอสังหาริมทรัพย์ เพราะคู่สัญญาได้ตกลงซื้อขายเสร็จสิ้นแล้ว โดยไม่มีเจตนาจะไปจดทะเบียนโอนกันในภายหน้า เมื่อได้ความว่าสัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรก แต่อย่างไรก็ตามที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) นั้นมีเพียงสิทธิครอบครอง เมื่อนายจันทร์ได้ส่งมอบที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคารแล้ว ถือว่านายจันทร์สละสิทธิครอบครองด้วยการส่งมอบตามมาตรา 1377 ประกอบมาตรา 1378 นายอังคารจึงได้สิทธิครอบครองในที่ดินแปลงนี้ ดังนั้น การที่นายจันทร์ยื่นฟ้องต่อศาลขอให้ขับไล่นายอังคารให้ออกไปจากที่แปลงนี้ นายอังคารย่อมสามารถยกข้อต่อสู้กับนายจันทร์ได้ว่าตนได้ที่ดินแปลงนี้โดยทาง สิทธิครอบครองแล้ว

ส่วนในกรณีสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายจันทร์กับ นายพุธก็เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในอสังหาริมทรัพย์เช่นกัน เพราะคู่สัญญาได้ตกลงซื้อขายกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้วโดยไม่มีเจตนาจะไปจด ทะเบียนโอนกันในภายหน้า เมื่อได้ความว่าคู่สัญญาได้ทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อขาย แต่ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพราะเจ้าพนักงานที่ดินยังไม่ได้ รับจดทะเบียนให้ ดังนั้นสัญญาซื้อขายจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรก ซึ่งถือว่าไม่มีการทำสัญญาซื้อขายที่ดินกัน ดังนั้น นายพุธจะเรียกร้องให้นายจันทร์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้ให้แก่ตนไม่ได้

สรุป ข้าพเจ้าจะให้คำตอบแก่นายอังคารกับนายพุธตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2 กันยาได้เช่าซื้อรถยนต์คันหนึ่งมาจากบริษัทค้ารถยนต์ และขายต่อไปให้สิงหา โดยยังไม่ได้โอนทะเบียนรถยนต์คันนั้นให้เป็นชื่อของสิงหา โดยสิงหาไม่ทราบว่ารถยนต์คันนั้นกันยาเช่าซื้อมาและยังจ่ายค่าเช่าซื้อไม่ครบ

ต่อมาสิงหาได้ขายต่อไปให้ตุลา โดยสิงหาบอกกับตุลาว่าทะเบียนยังอยู่กับกันยาขอผลัดวันที่จะนำทะเบียนมาสลัก หลังโอนให้ตุลาภายหลัง

และตกลงในสัญญาซื้อขายว่าสิงหาจะไม่รับผิดในการรอนสิทธิในรถยนต์คันนั้น ตุลาจึงชำระราคาค่ารถยนต์ให้สิงหาเพียงครึ่งเดียวก่อน ถ้านำทะเบียนมาให้เรียบร้อยจึงจะชำระราคาที่เหลือให้ ต่อมากันยาไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่บริษัทค้ารถยนต์เกินกว่าสองงวดเป็นการ ผิดสัญญา พนักงานบริษัทจึงได้มายึดรถคันนั้นไปจากตุลา ตุลาจะฟ้องร้องให้สิงหารับผิดในการรอนสิทธิได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 475 หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดย ปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อ ขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น

มาตรา 483 คู่สัญญาซื้อขายจะตกลงกันว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องหรือเพื่อการรอนสิทธิก็ได้

มาตรา 485 ข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดนั้น ไม่อาจคุ้มความรับผิดของผู้ขายในผลของการอันผู้ขายได้กระทำไปเอง หรือผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย

วินิจฉัย

การ รอนสิทธินั้นเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกัน อยู่ในเวลาซื้อขาย ได้เข้ามาขัดสิทธิให้ผู้ซื้อไม่สามารถครองทรัพย์สินโดยปกติสุขได้ตามมาตรา 475 กำหนดให้ผู้ขายต้องรับผิดเพราะเหตุการณ์รอนสิทธินั้น แต่ทั้งนี้ผู้ซื้อและผู้ขายอาจทำความตกลงกันว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดเพราะการ รอนสิทธิก็ได้ตามมาตรา 483

อย่างไรก็ตามข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิด นั้น ไม่อาจคุ้มครองผู้ขายได้ หากการรอนสิทธินั้นเกิดขึ้นเพราะการกระทำของผู้ขายเอง หรือผู้ขายรู้ความจริงแหง่การรอนสิทธิแล้วปกปิดเสียตามมาตรา 485

ตาม อุทาหรณ์ การที่พนักงานบริษัทได้มายึดรถคันดังกล่าวไปจากตุลานั้น ถือว่าเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกัน อยู่ในเวลาซื้อขายได้เข้ามาขัดสิทธิทำให้ผู้ซื้อ คือตุลา ไม่สามารถครองทรัพย์สินโดยปกติสุข จึงเป็นการรอนสิทธิตามมาตรา 475 ซึ่งผู้ขายจะต้องรับผิดต่อผู้ซื้อ เว้นแต่จะมีข้อตกลงกันไว้ในสัญญาว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิด และตามอุทาหรณ์ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในสัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างสิงหากับตุลานั้นได้มี การตกลงกันว่าสิงหาผู้ขายไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิในรถยนต์คันนั้นแล้ว ดังนั้นตกลงจะฟ้องร้องให้สิงหารับผิดในการรอนสิทธิไม่ได้ตามมาตรา 483

ทั้ง กรณีดังกล่าว การรอนสิทธิก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของผู้ขายเอง หรือผู้ขายรู้ความจริงแห่งการรอนสิทธิแล้วปกปิดเสียแต่อย่างใด เพราะสิงหาไม่ทราบว่ารถยนต์คันนั้นกันยาเช่าซื้อมาและยังจ่ายค่าเช่าซื้อไม่ ครบ จึงไม่เข้าข้อยกเว้นที่ผู้ขายจะต้องรับผิดตามมาตรา485

สรุป ตุลาจะฟ้องร้องให้สิงหารับผิดในการรอนสิทธิที่เกิดขึ้นไม่ได้

 

ข้อ 3 สุดขายที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้สวย สุดส่งมอบที่ดินให้สวยครอบครอง และสุดจะมาขอซื้อที่ดินแปลงนี้คืนในภายหลังในราคาที่ขายไป สุดและสวยได้ทำสัญญาซื้อขายไว้พร้อมกับส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์และ ที่ดินให้สวยครอบครองอย่างเจ้าของ หลังจากนั้นผ่านมาหกเดือน สดมีเงินแต่ไม่ครบตามราคาที่ขายไป จึงมาขอซื้อที่ดินแปลงนั้นคืนโดยการขอผ่อนชำระเป็นงวด เป็นเวลาสี่งวด แต่สวยปฏิเสธไม่ยอมคืนที่ดินแปลงนี้ให้สุด สุดจะมาฟ้องร้องเรียกที่ดินแปลงนี้คืนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคแรก การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

มาตรา 491 อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้

วินิจฉัย

สัญญา ขายฝากนั้นถือเป็นสัญญาซื้อขายประเภทหนึ่ง จึงต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยซื้อขายมาใช้บังคับด้วย กล่าวคือ ถ้าเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในอสังหาริมทรัพย์ ก็ต้องทำตามแบบตามมาตรา 456 วรรคแรก คือต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะ

ตามอุทาหรณ์ การที่สุดขายที่ดินหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้สวย โดยตกลงกันว่าสุดผู้ขายจะมาขอซื้อที่ดินแปลงนี้คืนในภายหลังในราคาที่ขายไป จึงถือว่าสัญญานั้นเป็นสัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา 491

แต่ เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า สุดและสวยเพียงทำสัญญาซื้อขายไว้พร้อมกับส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และที่ดินให้สวยครอบครองเท่านั้น เมื่อไม่ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 456 วรรคแรก ประกอบมาตรา 491

เมื่อสัญญา ขายฝากตกเป็นโมฆะ คู่กรณีจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนมิได้มีการทำสัญญากัน ดังนั้นสุดจึงมาฟ้องเรียกที่ดินแปลงนี้คืนจากสวยได้ในฐานะลาภมิควรได้

สรุป สุดฟ้องเรียกที่ดินแปลงนี้คืนได้ในฐานะลาภมิควรได้

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ 2/2553

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2005
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้


คำแนะนำ
 ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ

ข้อ 1
(ก) หากท่านต้องการซื้อแม่หมู 1 ตัว จากฟาร์มเลี้ยงหมูของนายแดงและประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ในแม่หมูตั้งแต่ขณะทำ สัญญา ท่านมีหลักเกณฑ์อย่างไร

(ข) นายจันทร์ขายรถยนต์ของตนคันหนึ่งให้นายอังคารในราคา 300,000 บาท นายอังคารตอบตกลงซื้อ นายจันทร์ส่งมอบรถยนต์ให้นายอังคารแล้ว แต่นายอังคารไม่ยอมชำระราคา นายจันทร์ขอให้นายอังคารคืนรถยนต์ นายอังคารไม่ยอมคืน นายจันทร์ฟ้องขอให้ศาลบังคับนายอังคารให้นายอังคารคืนรถยนต์ นายอังคารได้รับสำเนาฟ้องแล้ว นายอังคารมาถามท่านว่า คดีนี้นายอังคารจะมีทางชนะคดีหรือไม่

ดังนี้ ท่านจะให้คำตอบแก่นายอังคารอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

(ก) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 458 กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้น ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน


มาตรา 460 ในการซื้อขายทรัพย์สินซึ่งมิได้กำหนดลงไว้แน่นอนนั้น ท่านว่ากรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปจนกว่าจะได้หมาย หรือนับ ชั่ง ตวง วัด หรือคัดเลือก หรือทำโดยวิธีอื่นเพื่อให้บ่งตัวทรัพย์สินนั้นออกเป็นแน่นอนแล้ว
ใน การซื้อขายทรัพย์สินเฉพาะสิ่ง ถ้าผู้ขายยังจะต้องนับ ชั่ง ตวง วัด หรือทำการอย่างอื่นหรือทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดอันเกี่ยวแก่ทรัพย์สินเพื่อให้รู้ กำหนดราคาทรัพย์สินนั้นแน่นอน ท่านว่ากรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปยังผู้ซื้อจนกว่าการหรือสิ่งนั้นได้ทำแล้วจาก หลักกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ถ้าข้าพเจ้าต้องการซื้อแม่หมู 1 ตัว จากฟาร์มเลี้ยงหมูของนายแดง และประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ในแม่หมูตั้งแต่ขณะทำสัญญาซื้อขายกันตามมาตรา 458 นั้น สัญญาซื้อขายแม่หมูซึ่งเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดนั้น จะต้องได้กระทำถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 460 ด้วย ได้แก่(1) ทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายกันจะต้องเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง หรือทรัพย์ซึ่งได้กำหนดไว้เป็นที่แน่นอนแล้ว และ
(2) มีการกำหนดราคาทรัพย์สินนั้นเป็นที่แน่นอนแล้ว(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 453 อันว่าซื้อขายนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง เรียกว่าผู้ขาย โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่าผู้ซื้อ และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขายมาตรา 458 กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้น ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน

วินิจฉัย

กรณี ตามอุทาหรณ์ การที่นายจันทร์ขายรถยนต์ให้นายอังคารในราคา 300,000 บาท และนายอังคารตอบตกลงซื้อนั้น ถือว่านายจันทร์และนายอังคารได้ทำสัญญาซื้อขายกันแล้ว และโดยผลของกฎหมายตามมาตรา 458 กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่ซื้อขายกัน ย่อมโอนไปเป็นของผู้ซื้อคือนายอังคารแล้วตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขาย กัน และเมื่อนายจันทร์ได้ส่งมอบรถยนต์ให้นายอังคารแล้ว แต่นายอังคารไม่ยอมชำระราคาซึ่งเป็นการผิดสัญญานั้น นายจันทร์ก็ชอบที่จะฟ้องให้นายอังคารชำระราคาค่ารถยนต์ได้ตามมาตรา 453 แต่จะฟ้องให้นายอังคารคืนรถยนต์ให้แก่ตนไม่ได้ เพราะกรรมสิทธิ์ในรถยนต์นั้นได้ตกเป็นของนายอังคารผู้ซื้อแล้ว หาใช่ของนายจันทร์ไม่ ดังนั้นเมื่อนายจันทร์ฟ้องขอให้ศาลบังคับให้นายอังคารคืนรถยนต์ นายอังคารย่อมมีทางชนะคดีโดยการต่อสู้ว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์นั้นเป้นของนาย อังคารแล้วตามมาตรา 458

สรุป คดีนี้นายอังคารมีสิทธิชนะคดีโดยการต่อสู้ว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์นั้นเป็นของนายอังคารแล้ว

ข้อ 2 นายไก่นำรถยนต์โบราณซึ่งตนสะสมไว้ออกขายทอดตลาด ในการขายทอดตลาดครั้งนี้นายไก่ประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ถ้าเกิดชำรุดบกพร่องหรือรอนสิทธิอย่างใดๆขึ้น นายไก่จะไม่รับผิดชอบอย่างใดๆทั้งสิ้น ทั้งๆที่นายไก่ทราบดีว่ารยนต์คันไหนชำรุดบกพร่อง คันไหนอาจจะถูกรอนสิทธิเพราะเป็นรถยนต์ที่ขโมยมาขายแก่ตน นายไข่และนายขวดประมูลรถได้คนละคัน หลังส่งมอบรถยนต์ซึ่งนายไข่ได้ไป เครื่องยนต์บกพร่องติดๆดับๆ ส่วนรถยนต์ซึ่งนายขวดซื้อทอดตลาดไปนายดำเจ้าของแท้จริงมาติดตามเอาคืนเพราะ เป็นรถยนต์ของตนที่ถูกขโมยไปนายข่ นายขวด จะฟ้องให้นายไก่รับผิดกรณีชำรุดบกพร่องรอนสิทธิได้หรือไม่ เพราะเหตุใดธงคำตอบหลักฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 472 ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้ เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่า ผู้ขายต้องรับผิดมาตรา 473 ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(1) ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่องหรือควรจะ ได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน
(2) ถ้าความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ และผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อน
(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด

มาตรา 475 หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดย ปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อ ขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น

มาตรา 483 คู่สัญญาซื้อขายจะตกลงกันว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องหรือเพื่อการรอนสิทธิก็ได้

มาตรา 485 ข้อสัญญาว่าจะไม่ต้องรับผิดนั้น ไม่อาจคุ้มความรับผิดของผู้ขายในผลของการอันผู้ขายได้กระทำไปเอง หรือผลแห่งข้อความจริงอันผู้ขายได้รู้อยู่แล้วและปกปิดเสีย

วินิจฉัย

ความ รับผิดในความชำรุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา 472 นั้น ผู้ขายต้องรับผิดถ้าทรัพย์สินที่ขายชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุ ให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่งและต้องเกิดขึ้นก่อน ที่กรรมสิทธิ์จะตกเป้นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดี ผู้ขายก็ไม่จำต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนั้น หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 473 เช่น ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด เป็นต้น

กรณีตาม อุทาหรณ์ การที่นายไข่ได้รับมอบรถยนต์ซึ่งได้ซื้อจากนายไก่ และปรากฏว่ารถยนต์คันดังกล่าว เครื่องยนต์บกพร่องติดๆดับๆ ซึ่งถือว่ารถยนต์ที่ตกลงซื้อขายกันนั้นมีความชำรุดบกพร่อง เป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติ ซึ่งโดยหลักนายไก่ผู้ขายจะต้องรับผิดต่อนายไข่ผู้ซื้อตามมาตรา 472 แต่อย่างไรก็ตาม กรณีนี้นายไข่จะฟ้องให้นายไก่รับผิดในความชำรุดบกพร่องไม่ได้ เนื่องจากรถยนต์ที่นายไข่ซื้อจากนายไก่นั้นเป็นการซื้อขายจากการขายทอดตลาด จึงเข้าข้อยกเว้นที่ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องตามมาตรา 473(3)

ส่วนความรับผิดในการรอนสิทธิตามมาตรา 475 นั้น เป็นกรณีที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ใน เวลาซื้อขาย ได้เข้ามารบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อ ทำให้ผู้ซื้อไม่สามารถครอบครองทรัพย์สินนั้นโดยปกติสุข ซึ่งโดยหลักแล้วผู้ขายจะต้องรับผิดต่อผู้ซื้อ เว้นแต่ผู้ขายและผู้ซื้อจะได้ตกลงกันไว้ว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดเพราะการรอน สิทธินั้นตามมาตรา 483

แต่อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงที่ว่าผู้ขายไม่ต้องรับผิดนั้น ไม่อาจคุ้มครองผู้ขายถ้าการรอนสิทธินั้นได้เกิดขึ้นจากการกระทำของผู้ขาย หรือในกรณีที่ผู้ขายได้รู้ถึงการรอนสิทธินั้น แต่ได้ปกปิดไม่บอกให้ผู้ซื้อได้รู้ตามมาตรา 485

ดังนั้นกรณีตาม อุทาหรณ์ การที่นายขวดผู้ซื้อถูกรอนสิทธิ คือได้ถูกนายดำเจ้าของที่แท้จริงของรถยนต์คันที่นายขวดซื้อมาจากนายไก่ได้ ติดตามเอาคืนไป ดังนี้นายขวดย่อมสามารถฟ้องนายไก่ให้รับผิดกรณีที่ตนถูกรอนสิทธิได้ ทั้งนี้เพราะแม้จะมีข้อตกลงกันไว้ว่า นายไก่ผู้ขายไม่ต้องรับผิดก็ตาม แต่เมื่อนายไก่ผู้ขายได้ทราบดีอยู่แล้วว่ารถยนต์คันที่ขายให้แก่นายขวดนั้น เป็นรถยนต์ที่ถูกขโมยมา แต่ได้ปกปิดไม่แจ้งให้นายขวดทราบ ถือได้ว่านายไก่ไม่สุจริตจึงไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ดังนั้นนายไก่จึงต้องรับผิดตามมาตรา 475 483 และ485

สรุป
นายไข่ฟ้องให้นายไก่รับผิดในความชำรุดบกพร่องไม่ได้
นายขวดฟ้องให้นายไก่รับผิดในกรณีที่ตนถูกรอนสิทธิได้

 

ข้อ 3 นายจันทร์นำช้าง 2 เชือกไปทำเป็นหนังสือจดทะเบียนขายฝากนายอังคารไว้ในราคาเชือกละ 5 แสนบาท มีกำหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี กำหนดสินไถ่ในราคา 6 แสนบาทต่อเชือก ก่อนครบ 1 ปี ช้างเชือกหนึ่งตกมันวิ่งออกนอกถนนถูกรถบรรทุกชนตาย เหลือเพียง 1 เชือก

(1) นายจันทร์จะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนที่ช้างตาย 1 แสนบาท จากนายอังคารได้หรือไม่ โดยอ้างว่าตนไม่สามารถไถ่ช้างคืนได้
(2) ส่วนอีกเชือกนายจันทร์นำเงิน 5 แสน 7 หมื่น 5 พันบาทถ้วน ไปขอไถ่ช้างคืน นายอังคารปฏิเสธ คำปฏิเสธของนายอังคารรับฟังได้หรือไม่ว่าสินไถ่ไม่ครบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 499 สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กำหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก

ถ้า ปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้ จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี

มาตรา 501 ทรัพย์สินซึ่งไถ่นั้น ท่านว่าต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่ แต่ถ้าหากว่าทรัพย์สินนั้นถูกทำลายหรือทำให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ ซื้อไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

(1) การที่ช้างเชือกหนึ่งตกมันวิ่งออกไปนอกถนนและถูกรถบรรทุกชนตายนั้น เป็นเหตุสุดวิสัย ซึ่งมิใช่ความผิดของนายอังคารผู้รับซื้อฝากตามมาตรา 501 ดังนั้นนายจันทร์จะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนที่ช้างถูกรถบรรทุกชนตายจากนาย อังคารไม่ได้

(2) การที่นายจันทร์ได้นำเงินสินไถ่ 5 แสน 7 หมื่น 5 พันบาทถ้วนไปขอไถ่ช้างอีกเชือกหนึ่งคืน แต่นายอังคารปฏิเสธนั้น คำปฏิเสธของนายอังคารที่ว่าสินไถ่ไม่ครบนั้นรับฟังไม่ได้ ทั้งนี้เพราะตอนที่มีการทำสัญญาขายฝากและได้กำหนดสินไถ่ไว้ในราคา 6 แสนบาทนั้น ถือว่าสินไถ่ที่กำหนดไว้นั้นสูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ซึ่งมาตรา 499 ได้กำหนดให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี ดังนั้นการที่นายจันทร์ได้นำเงินสินไถ่ 5 แสน 7 หมื่น 5 พันบาทถ้วนไปขอไถ่ ถือว่าสินไถ่นั้นครบถ้วนแล้วสรุป
(1) นายจันทร์จะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนที่ช้างตาย 1 แสนบาทจากนายอังคารไม่ได้
(2) คำปฏิเสธของนายอังคารที่ว่าสินไถ่ไม่ครบนั้นรับฟังไม่ได้

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ ภาคฤดูร้อน/2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2005
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

 
คำแนะนำ
 ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ
ข้อ 1 นายไก่ตกลงขายบ้านเรือนไทยซึ่งเป็นการก่อสร้างแบบโบราณ และสร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลังให้แก่นายไข่ในราคา 5 ล้านบาท โดยตกลงกันว่าจ่ายก่อน 3 ล้านบาท อีก 2 ล้านบาท จะจ่ายให้ในวันที่นายไข่มารื้อเรือนไป เมื่อถึงกำหนดวันรื้อเรือน นายไก่ไม่ยอมให้รื้อเพราะมีคนมาเสนอซื้อในราคา 10 ล้านบาท

1) สัญญาซื้อขายระหว่างนายไก่และนายไข่เป็นสัญญาซื้อขายประเภทไหน และมีผลในทางกฎหมายอย่างไร
2) นายไข่จะฟ้องให้นายไก่ปฏิบัติตามสัญญาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 453 อันว่าซื้อขายนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง เรียกว่าผู้ขาย โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่าผู้ซื้อและผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย


มาตรา 456 การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคำมั่นใน การซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับ ผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ท่านให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่น บาท หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ พิจารณาได้ดังนี้

1) สัญญาซื้อขายบ้านเรือนไทยระหว่างนายไก่และนายไข่เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ด ขาดเพราะการซื้อขายโดยการรื้อถอนออกไปนั้น ถือเป็นการซื้อขายอย่างสังหาริมทรัพย์ และสัญญาซื้อขายดังกล่าวมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ธรรมดานั้นไม่ต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด (มาตรา 453)

2) นายไข่จะฟ้องให้นายไก่ปฏิบัติตามสัญญาได้หรือไม่นั้น เห็นว่า เมื่อการซื้อขายบ้านดังกล่าวเป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ธรรมดาซึ่งมีราคา ตั้งแต่ 2 หมื่นบาทขึ้นไป และมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดี คือ การชำระหนี้บางส่วน ซึ่งก็คือเงิน 3 ล้าน ที่นายไข่ได้ชำระให้แก่นายไก่ในวันทำสัญญา ดังนั้น เมื่อถึงกำหนดวันรื้อเรือน นายไก่ไม่ยอมให้รื้อ นายไข่ก็สามารถฟ้องให้นายไก่ปฏิบัติตามสัญญาได้ (มาตรา456 วรรคสองและวรรคสาม)

สรุป
1) สัญญาซื้อขายระหว่างนายไก่และนายไข่เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
2) นายไข่ฟ้องให้นายไก่ปฏิบัติตามสัญญาได้

 

ข้อ 2 นายมดซื้อรถยนต์ 1 คัน มาจากการขายทอดตลาดของนายปลวก หลังจากส่งมอบรถยนต์ได้เพียง 1 อาทิตย์ นางมอดก็พาตำรวจมาติดตามเอารถยนต์ของตนคืนโดยอ้างว่ารถยนต์ถูกขโมยมา นายมดตรวจสอบหลักฐานต่างๆแล้วจึงยอมคืนรถยนต์ให้แก่นางมอดไป

1) นายมดจะฟ้องให้นายปลวกรับผิดชอบว่าตนถูกรอนสิทธิได้หรือไม่
2) ถ้าฟ้องได้จะต้องฟ้องภายในกำหนดระยะเวลาเท่าใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 475 หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดย ปกติสุข เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อ ขายก็ดี เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น

มาตรา 481 ถ้าผู้ขายไม่ได้เป็นคู่ความในคดีเดิม หรือถ้าผู้ซื้อได้ประนีประนอมยอมความกับบุคคลภายนอก หรือยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้องไซร้ ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธิเมื่อพ้นกำหนดสามเดือนนับ แต่วันคำพิพากษาในคดีเดิมถึงที่สุด หรือนับแต่วันประนีประนอมยอมความ หรือวันที่ยอมตามบุคคลภายนอกเรียกร้องนั้น

วินิจฉัย

การ รอนสิทธินั้นเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกัน อยู่ในเวลาซื้อขายได้เข้ามาขัดสิทธิให้ผู้ซื้อไม่สามารถครองทรัพย์สินโดย ปกติสุขได้ ซึ่งตามมาตรา 475 กำหนดให้ผู้ขายต้องรับผิดเพราะเหตุการรอนสิทธินั้น แต่ถ้าหากผู้ซื้อได้ยอมตามที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือกว่านั้นเรียกร้อง แล้ว ผู้ซื้อจะต้องฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธินั้นภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่ยอมความดังกล่าว มิฉะนั้นจะไม่สามารถฟ้องคดีได้ตามมาตรา 481

กรณีตามอุทาหรณ์ พิจารณาได้ดังนี้

1) นายมดจะฟ้องให้นายปลวกรับผิดชอบว่าตนถูกรอนสิทธิได้หรือไม่นั้น เห็นว่า การที่นางมอดพาตำรวจมาติดตามเอารถยนต์ของตนคืนจากนายมดนั้น ถือเป็นกรณีที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ใน เวลาซื้อขายได้เข้ามาขัดสิทธิทำให้ผู้ซื้อคือ นายมดไม่สามารถครอบครองทรัพย์สินโดยปกติสุข จึงเป็นการรอนสิทธิตามมาตรา 475 ซึ่งผู้ขายจะต้องรับผิดต่อผู้ซื้อ ดังนั้น นายมดจึงฟ้องให้นายปลวกรับผิดชอบว่าตนถูกรอนสิทธิได้

2) เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายมดได้ยอมคืนรถยนต์ให้แก่นางมอดไป จึงถือเป็นกรณีที่ผู้ซื้อซึ่งถูกรอนสิทธิได้ยอมตามที่บุคคลภายนอกซึ่งมี สิทธิเหนือกว่านั้นเรียกร้องแล้ว ดังนั้น นายมดจึงต้องฟ้องคดีในข้อรับผิดเพื่อการรอนสิทธินั้นภายใน 3 เดือน นับแต่วันที่ยอมดังกล่าวตามมาตรา 481

สรุป
1) นายมดฟ้องให้นายปลวกรับผิดชอบว่าตนถูกรอนสิทธิได้
2) นายมดจะต้องฟ้องภายในกำหนดระยะเวลา 3 เดือน

 

ข้อ 3 นายอาทิตย์นำบ้านและที่ดินของตนไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนขายฝากไว้กับนาง จันทร์ในราคา 1 ล้านบาท มีกำหนดไถ่คืนภายใน 1 ปี และกำหนดสินไถ่ไว้ 2 ล้านบาท ก่อนครบ ปี นายอาทิตย์ไปขอไถ่ทรัพย์คืนพร้อมเงิน 1,150,000 บาท นางจันทร์ปฏิเสธโดยอ้างว่ายังไม่ครบ 1 ปี และสินไถ่ไม่ครบ คำปฏิเสธของนางจันทร์รับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456 วรรคแรก การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

มาตรา 491 อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้

มาตรา 494 ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้
(1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ กำหนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย

มาตรา 499 สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กำหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก

ถ้า ปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้ จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี

วินิจฉัย

กรณี ตามอุทาหรณ์ การที่นายอาทิตย์นำบ้านและที่ดินของตนไปขายฝากไว้กับนางจันทร์ในราคา 1 ล้านบาท มีกำหนดไถ่คืนภายใน 1 ปีนั้น เมื่อทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นสัญญาขายฝากที่ ชอบด้วยกฎหมาย (มาตรา 491 ประกอบมาตรา 456 วรรคแรก)

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริง ว่า นายอาทิตย์ได้ไปขอไถ่ทรัพย์คืนพร้อมเงิน 1,150,000 บาท ดังนี้ นางจันทร์จะปฏิเสธไม่ได้ เพราะเหตุว่านายอาทิตย์ได้ขอใช้สิทธิในการไถ่ก่อนครอบ 1 ปี และภายในระยะเวลาที่กำหมายกำหนด (มาตรา 494(1)) และในส่วนเงินสินไถ่นั้นตามมาตรา499 วรรคสอง ได้กำหนดไว้ว่า ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่ แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวม ประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี ดังนั้น เมื่อมีการกำหนดสินไถ่ไว้ 2 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี การที่นายอาทิตย์นำเงิน 1,150,000 บาท มาเป็นสินไถ่จึงเป็นจำนวนเงินที่ถูกต้องแล้ว กล่าวคือ ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี เท่ากับ 1,150,000 บาท (มาตรา 499 วรรคสอง) ดังนั้นคำปฏิเสธของนางจันทร์ที่ว่ายังไม่ครบ 1 ปี และสินไถ่ไม่ครบจึงรับฟังไม่ได้

สรุป คำปฏิเสธของนางจันทร์รับฟังไม่ได้

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ 1/2554

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW2005
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อข้อ 1 นายจันทร์ขายที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหนึ่งให้นายอังคารในราคา 5 ล้านบาท นายอังคารตอบตกลงซื้อโดยมีข้อตกลงกันว่า นายจันทร์จะไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคารในวันที่ 1 เดือนหน้า 
นายจันทร์ได้ส่งมอบที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคารพร้อมกับรับชำระราคา และทั้งคู่ได้ทำสัญญากันไว้เป็นหนังสือ ถึงวันนัดโอน นายจันทร์ก็หาได้ไปจดทะเบียนที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคาร นายอังคารอยู่ในที่ดินแปลงนี้มาได้ 12 ปี 
ที่ดินแปลงนี้มีราคาท้องตลาดสูงขึ้นมาก นายจันทร์อยากได้ที่ดินคืนและมาขอให้นายอังคารคืนที่ดินแปลงนี้ นายอังคารไม่ยอมคืน นายจันทร์ยื่นฟ้องนายอังคาร ให้ศาลบังคับขับไล่นายอังคารให้ออกไปจากที่ดินแปลงนี้ 
นายอังคารได้รับสำเนาฟ้องแล้วมาถามท่านว่า นายอังคารจะมีทางต่อสู้คดีให้ชนะนายจันทร์ได้หรือไม่ และจะมีทางแก้อย่างไร ดังนี้ ท่านจะให้คำตอบนายอังคารอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/30 อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้ หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้มีกำหนดสิบปี

มาตรา 456 วรรคแรกและวรรคสอง การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคำมั่นใน การซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับ ผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

กรณี ตามอุทาหรณ์ การที่นายจันทร์ทำสัญญาขายที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหนึ่งให้กับนายอังคาร โดยตกลงกันว่านายจันทร์จะไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้นายอังคารในวันที่ 1 เดือนหน้านั้น สัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าวถือว่าเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย เพราะเป็นการซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์และคู่สัญญาไม่มีเจตนาที่ จะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่กันในขณะทำสัญญาซื้อขาย แต่มีเจตนาจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันในภายหน้า และเมื่อสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินดังกล่าวได้ทำเป็นหนังสือ จึงสามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ตามมาตรา 456 วรรคสอง

และจากข้อ เท็จจริง การที่นายจันทร์ได้ส่งมอบที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคารครอบครอง และนายอังคารได้อยู่ในที่ดินแปลงนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายนั้น จะถือว่านายอังคารเจตนาจะยึดถือที่ดินเพื่อตนไม่ได้ แต่ต้องถือว่าเป็นการยึดถือแทนนายจันทร์ และแม้นายอังคารจะอยู่ในที่ดินมาได้ 12 ปี ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ (ตามมาตรา 1382) ดังนั้น เมื่อนายจันทร์ผิดนัดไม่ได้ไปจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญา และได้ยื่นฟ้องขับไล่นายอังคารให้ออกจากที่ดิน นายอังคารก็ชอบที่จะต่อสู้ตามสัญญาจะซื้อจะขาย และขอให้ศาลบังคับนายจันทร์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคารฐานผิด สัญญาจะซื้อจะขายได้

แต่อย่างไรก็ตาม นายอังคารจะต้องใช้สิทธิเรียกร้องให้นายจันทร์ปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวภายใน อายุความ 10 ปี นับแต่วันที่นายจันทร์ผิดสัญญาตามมาตรา 193/30 หากนายอังคารเรียกร้องเมื่อพ้นกำหนด 10 ปี สิทธิเรียกร้องของนายอังคารย่อมขาดอายุความ ซึ่งจะทำให้นายอังคารแพ้คดีและถูกขับไล่ออกไปจากที่ดินแปลงนี้

สรุป ข้าพเจ้าจะให้คำตอบนายอังคารดังที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

 

ข้อ 2 อาทิตย์กำลังสร้างโรงแรมที่จังหวัดแห่งหนึ่ง จึงตกลงซื้อผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนเป็นชุดขาวทั้งชุด จำนวน 100 ชุด จากโรงงานของเสาร์ซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงเทพฯ ทั้งหมดราคา 120,000 บาท 

และอาทิตย์ได้ให้เสาร์ส่งไปที่โรงแรมของอาทิตย์ เสาร์จึงได้จัดส่งของให้อาทิตย์ทางรถไฟ แต่เมื่อเสาร์ส่งไปให้อาทิตย์ ปรากฏว่าปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนที่ส่งมาไม่ครบชุด ขาดไป 20 ชุด และมีสีอื่นปะปนมา 10 ชุด บางผืนมีรอยด่างสกปรกบนผืนผ้าอีก 10 ผืน

ถ้าอาทิตย์มาปรึกษาท่าน ท่านจะให้คำแนะนำกับอาทิตย์อย่างไรบ้าง เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 465 ในการซื้อขายสังหาริมทรัพย์นั้น

(1) หากว่าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินน้อยกว่าที่ได้สัญญาไว้ ท่านว่าผู้ซื้อจะปัดเสียไม่รับเอาเลยก็ได้ แต่ถ้าผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้ ผู้ซื้อก็ต้องใช้ราคาตามส่วน

(2) หากว่าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินมากกว่าที่ได้สัญญาไว้ ท่านว่าผู้ซื้อจะรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้แต่เพียงตามสัญญาและนอกกว่านั้นปัด เสียก็ได้ หรือจะปัดเสียทั้งหมดไม่รับเอาไว้เลยก็ได้ ถ้าผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินอันเขาส่งมอบเช่นนั้นไว้ทั้งหมด ผู้ซื้อก็ต้องใช้ราคาตามส่วน

(3) หากว่าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินตามที่ได้สัญญาไว้ระคนกับทรัพย์สินอย่างอื่นอัน มิได้รวมอยู่ในข้อสัญญาไซร้ ท่านว่าผู้ซื้อจะรับเอาทรัพย์สินไว้แต่ตามสัญญา และนอกกว่านั้นปัดเสียก็ได้ หรือจะปัดเสียทั้งหมดก็ได้

มาตรา 472 ในกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้ เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี ท่านว่า ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้ ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ถ้าอาทิตย์มาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำกับอาทิตย์ ดังนี้ คือ

จาก ข้อเท็จจริง การที่เสาร์ได้จัดส่งของให้อาทิตย์ และปรากฏว่าของที่ส่งมาคือปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนไม่ครบชุด ขาดไป 20 ชุด และมีสีอื่นปะปนมาอีก 10 ชุดนั้น ถือเป็นกรณีที่เสาร์ผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินไม่ถูกต้องตามสัญญาซื้อขาย กล่าวคือ เป็นการส่งมอบทรัพย์สินน้อยกว่าที่ได้สัญญาไว้ อีกทั้งยังเป็นการส่งมอบทรัพย์สินตามที่ได้สัญญาไว้ระคนกับทรัพย์สินอย่าง อื่นอันมิได้รวมอยู่ในสัญญาซื้อขาย ดังนั้นอาทิตย์ผู้ซื้อจึงสามารถบอกปฏิเสธไม่รับมอบปลอกหมอนและผ้าปูที่นอน ทั้งหมดได้ หรือจะรับมอบเท่าที่เสาร์ส่งมอบถูกต้องตามสัญญาก็ได้ แต่อาทิตย์ต้องใช้ราคาในส่วนที่ตนรับมอบมาให้แก่เสาร์ และคืนในส่วนที่ไม่ตรงตามสัญญาให้แก่เสาร์ไปตามมาตรา 465(1) และ (3) อย่างไรก็ตามอาทิตย์ก็ยังสามารถเรียกให้เสาร์ส่งมอบปลอกหมอนและผ้าปูที่นอน ให้ครบตามสัญญา และเรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายจากเสาร์ เนื่องจากการที่เสาร์ส่งมอบทรัพย์สินไม่ถูกต้องตามสัญญาซื้อขายได้อีกด้วย

ส่วน กรณีที่ปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนที่เสาร์ส่งมานั้น บางผืนมีรอยด่างสกปรกบนผืนผ้าอีก 10 ผืนนั้น ถือเป็นกรณีที่ทรัพย์สินซึ่งได้ซื้อขายกันมีความชำรุดบกพร่อง เป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติหรือประโยชน์ ที่มุ่งหมายโดยสัญญา ดังนั้นหากอาทิตย์รับมอบปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนในส่วนที่เสาร์ส่งมอบถูกต้องตาม สัญญาไว้ อาทิตย์ผู้ซื้อย่อมสามารถเรียกร้องให้เสาร์ผู้ขายรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ความเสียหายเนื่องมาจากความชำรุดบกพร่องนั้นได้ตามมาตรา 472

สรุป ถ้าอาทิตย์มาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำกับอาทิตย์ดังที่ได้อธิบายข้างต้น

 

 

ข้อ 3 นายไก่นำแหวนพลอยล้อมเพชรมูลค่า 2 ล้านบาทไปขายฝากนายไข่ในราคา 5 แสนบาท ไถ่คืนภายในกำหนด 1 ปี ในราคา 5 แสนบาทบวกประโยชน์ 15% หลังจากรับซื้อฝากนายไข่นำแหวนไปขายให้นายเป็ดในราคา 1 ล้านบาท 

เมื่อนายเป็ดซื้อไปแล้ววันรุ่งขึ้นจึงทราบว่าแหวนซึ่งตนซื้อมานั้นเป็นแหวน ซึ่งนายไก่นำมาขายฝากนายไข่ไว้ในราคาเพียง 5 แสนบาทเท่านั้น เวลาผ่านไป 10 เดือนนายไก่มาขอไถ่แหวนคืนจากนายเป็ด 

นายเป็ดปฏิเสธโดยอ้างว่าตนไม่มีหน้าที่รับไถ่เพราะไม่ใช่คนรับซื้อฝาก และเสนอว่าอยากไถ่คืนก็ได้ในราคา 1 ล้าน 5 แสนบาท 

คำปฏิเสธและคำเสนอของนายเป็ดรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 491 อันว่าขายฝากนั้น คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้

มาตรา 498 สิทธิในการไถ่ทรัพย์สินนั้น จะพึงใช้ได้เฉพาะบุคคลเหล่านี้ คือ
(2) ผู้รับโอนทรัพย์สิน หรือรับโอนสิทธิเหนือทรัพย์สินนั้น แต่ในข้อนี้ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์จะใช้สิทธิได้ต่อเมื่อผู้รับโอนได้รู้ใน เวลาโอน ว่าทรัพย์สินตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืน

มาตรา 499 สินไถ่นั้น ถ้าไม่ได้กำหนดกันไว้ว่าเท่าใดไซร้ ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก

ถ้า ปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้ จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี

วินิจฉัย

กรณี ตามอุทาหรณ์ การที่นายไก่นำแหวนพลอยล้อมเพชรไปขายฝากไว้กับนายไข่นั้น กรรมสิทธิ์ในแหวนดังกล่าวย่อมตกไปยังนายไข่เพียงแต่นายไก่อาจจะไถ่แหวนคืนได้เท่านั้น (ตามมาตรา 491) ดังนั้น นายไข่ผู้รับซื้อฝากจึงสามารถนำแหวนไปขายให้นายเป็ดได้

และตามข้อ เท็จจริง การที่นายเป็ดเป็นผู้รับโอนแหวนดังกล่าวมาจากนายไข่ผู้รับซื้อฝาก นายเป็ดย่อมมีหน้าที่รับไถ่แหวนดังกล่าวด้วย แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏว่าในขณะซื้อขายแหวน นายเป็ดไม่รู้ว่าแหวนซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืน ดังนั้น เมื่อนายไก่มาขอไถ่แหวนคืนจากนายเป็ด นายเป็ดย่อมสามารถปฏิเสธไม่รับไถ่ได้โดยอ้างว่าตนไม่รู้ในเวลาซื้อขายว่า แหวนที่ซื้อมานั้นตกอยู่ในบังคับแห่งสิทธิไถ่คืนตามสัญญาขายฝาก ตามมาตรา 498(2) ดังนั้น การที่นายเป็ดปฏิเสธโดยอ้างว่าตนไม่มีหน้าที่รับไถ่เพราะไม่ใช่คนรับซื้อฝาก คำปฏิเสธของนายเป็ดดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้

ส่วนคำเสนอของนายเป็ด ที่ว่า ถ้านายไก่อยากได้แหวนคืนก็ต้องไถ่คืนในราคา 1 ล้าน 5 แสนบาท รับฟังได้หรือไม่ เห็นว่า เมื่อนายเป็ดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในแหวนดังกล่าวแล้ว ก็ย่อมมีสิทธิใดๆในทรัพย์ของตน การที่นายเป็ดเสนอให้นายไก่ไถ่คืนในราคา 1 ล้าน 5 แสนบาทนั้น ถือเป็นการเสนอขายในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ มิใช่กรณีของการไถ่คืนตามสัญญาขายฝาก ผู้ขายจึงสามารถเสนอราคาขายเป็นจำนวนเท่าใดก็ได้ ไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องกำหนดราคาหรือสินไถ่ในราคาขายฝากที่แท้จริงรวมผล ประโยชน์ตอบแทนร้อยละ 15 ต่อปี ตามมาตรา499 แต่อย่างใด ดังนั้น คำเสนอของนายเป็ดดังกล่าวจึงรับฟังได้

สรุป คำปฏิเสธของนายเป็ดรับฟังไม่ได้ ส่วนคำเสนอของนายเป็ดรับฟังได้

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ 2/2554

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2005 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย  แลกเปลี่ยน  ให้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายจันทร์ขโมยรถยนต์ของนายอาทิตย์มาขายให้นายอังคาร  นายอังคารซื้อโดยสุจริต  หลังจากนั้น  นายอังคารถูกศาลมีคำพิพากษาให้ชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยให้นายแดง  นายอังคารไม่ปฏิบัติตาม  คำพิพากษาในชั้นบังคับคดี  เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดรถยนต์คันนี้ขายทอดตลาด  นายพุธเป็นผู้ประมูลซื้อได้  นายพุธซื้อมาแล้วรู้ความจริงว่ารถยนต์คันนี้ไม่ใช่ของนายอังคารและไม่อยากได้ไว้  และขายต่อให้นายพฤหัส  ต่อมานายอาทิตย์มาพบรถยนต์คันนี้อยู่กับนายพฤหัส  และขอให้นายพฤหัสคืน  นายพฤหัสไม่คืน  นายอาทิตย์ฟ้องขอให้ศาลบังคับนายพฤหัสคืนรถยนต์ของตนที่ถูกคนร้ายลักไป  นายพฤหัสต่อสู้ว่าตนซื้อมาโดยสุจริต  และเสียค่าตอบแทน  ตนจึงมีสิทธิในรถยนต์คันนี้  ขอให้ศาลยกฟ้อง  ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วได้ข้อเท็จจริงตามที่นายอาทิตย์ฟ้อง  และนายพฤหัสให้การต่อสู้  และมีคำพิพากษาให้นายพฤหัสเป็นฝ่ายแพ้คดี  ให้คืนรถยนต์คันนี้ให้นายอาทิตย์

ดังนี้  ท่านเห็นว่า  คำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  และนายพฤหัสจะเรียกร้องให้นายพุธรับผิดฐานที่ตนไม่สามารถครอบครองรถยนต์คันนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  453  อันว่าซื้อขายนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง  เรียกว่าผู้ขาย  โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ซื้อ  และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย

มาตรา  475  หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดยปกติสุข  เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี  เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี  ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น 

มาตรา  482  ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิเมื่อกรณีเป็นดังกล่าวต่อไปนี้คือ

(2)  ถ้าผู้ซื้อไม่ได้เรียกผู้ขายเข้ามาในคดี  และผู้ขายพิสูจน์ได้ว่า  ถ้าได้เรียกเข้ามาคดีฝ่ายผู้ซื้อจะชนะ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัย  คือ  คำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  ตามมาตรา  453  มีหลักอยู่ว่า  ผู้ขายจะมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายอยู่ในเวลาซื้อขายหรือไม่ก็ตาม  ผู้ขายจะต้องให้ผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์ด้วยการชำระราคา  ดังนั้น หากมีบุคคลภายนอกเข้ามารบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อ  ทำให้ผู้ซื้อไม่สามารถครองทรัพย์สินได้โดยปกติสุข  เพราะบุคคลภายนอกมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดังกล่าวในเวลาซื้อขาย  หรือที่เรียกว่าการรอนสิทธิตามมาตรา  475  นั้นผู้ซื้อจะต้องต่อสู้ถึงสิทธิของผู้ขายว่ามีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายอย่างไร  เพื่อแสดงถึงสิทธิของตนในฐานะผู้ซื้อ

ตามข้อเท็จจริง  การที่นายอาทิตย์เจ้าของรถยนต์ที่แท้จริง  ฟ้องขอให้ศาลบังคับนายพฤหัสคืนรถยนต์ของตนนั้น  นายพฤหัสจะต้องต่อสู้ถึงสิทธิของนายพุธผู้ขายว่า  นายพุธได้ซื้อรถยนต์คันดังกล่าวมาจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลโดยสุจริต  นายพุธจึงมีกรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันนั้น  (ตามมาตรา  1330)  และเมื่อตนซื้อรถยนต์มาจากนายพุธ  ตนย่อมได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์นั้นด้วย  แต่เมื่อปรากฏว่า  นายพฤหัสต่อสู้เพียงว่า  ซื้อรถยนต์มาโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนโดยหาได้ต่อสู้ถึงสิทธิของนายพุธไม่  ดังนั้น  นายพฤหัสจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี  ตามหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน  คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ให้นายพฤหัสเป็นฝ่ายแพ้คดีและให้คืนรถยนต์คันนี้ให้นายอาทิตย์  จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว

และประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  นายพฤหัสจะเรียกร้องให้นายพุธรับผิดฐานที่ตนไม่สามารถครอบครองรถยนต์คันนี้ได้หรือไม่  เห็นว่า  โดยหลักแล้ว  หากมีการรอนสิทธิเกิดขึ้น  ผู้ขายจะต้องรับผิดเพราะเหตุแห่งการรอนสิทธินั้นตามมาตรา  475  แต่หากผู้ซื้อไม่ได้เรียกผู้ขายเข้ามาในคดี  และผู้ขายพิสูจน์ได้ว่าถ้าได้เรียกเข้ามา  คดีฝ่ายผู้ซื้อจะชนะ  ดังนี้  ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธินั้นตามมาตรา  482(2)

ตามข้อเท็จจริง  การที่นายอาทิตย์ฟ้องขอให้ศาลบังคับนายพฤหัสคืนรถยนต์ของตนที่ถูกคนร้ายลักไปจนทำให้นายพฤหัสไม่สามารถครอบครองรถยนต์คันนี้ได้นั้น  ย่อมถือเป็นกรณีที่นายพฤหัสผู้ซื้อถูกรอนสิทธิตามมาตรา  475  แต่เมื่อปรากฏว่า  นายพฤหัสไม่ได้เรียกนายพุธเข้ามาในคดี  นายพฤหัสจึงเรียกร้องให้นายพุธรับผิดในการรอนสิทธิไม่ได้  เพราะนายพุธย่อมพิสูจน์ได้ว่า  ถ้านายพฤหัสเรียกตนเข้ามาในคดี  คดีนี้นายพฤหัสจะเป็นฝ่ายชนะคดีตามมาตรา  482(2)

สรุป  คำพิพากษาของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว  และนายพฤหัสจะเรียกร้องให้นายพุธรับผิดฐานที่ตนไม่สามารถครอบครองรถยนต์คันนี้ไม่ได้   

 

 

ข้อ  2  นายไก่ไปซื้อรถยนต์จากการขายทอดตลาดของนายไข่  ซึ่งในการขายทอดตลาดครั้งนี้  นายไข่แจ้งให้ผู้เข้าสู้ราคาทราบโดยทั่วกันว่า  ถ้าเกิดความชำรุดบกพร่องหรือการรอนสิทธิอย่างใดๆขึ้น  นายไข่จะไม่รับผิดชอบทั้งสิ้น  นายไก่ซื้อรถยนต์ไป  2  คัน  หลังจากการรับมอบรถยนต์ไปได้เพียงสองอาทิตย์เท่านั้น  เครื่องยนต์ของรถยนต์คันหนึ่งก็เกิดปัญหาวิ่งไม่ได้  ส่วนอีกคันนายแดงมาอ้างเป็นรถยนต์ของตนซึ่งถูกขโมยไปโดยมีพยานหลักฐานพร้อมมาแสดง  นายไก่จึงจำต้องคืนรถยนต์ให้นายแดง

นายไก่จะฟ้องนายไข่ให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิที่เกิดกับรถยนต์ซึ่งตนซื้อมาได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  472  ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี  ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี  ท่านว่า  ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้  ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่

มาตรา 473  ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

(3)           ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด

มาตรา  475  หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดยปกติสุข  เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี  เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี  ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น 

มาตรา  483  คู่สัญญาซื้อขายตกลงกันว่าผู้ขายจะไม่ต้องรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องหรือเพื่อการรอนสิทธิก็ได้

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชำรุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา  472  นั้น  ผู้ขายต้องรับผิดถ้าทรัพย์สินที่ขายชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่ง  และต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดี  ผู้ขายก็ไม่จำต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนั้น  หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา  473  เช่น  ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายไก่ซื้อรถยนต์มาจากการขายทอดตลาดของนายไข่  และปรากฏว่ารถยนต์คันหนึ่งเกิดปัญหาวิ่งไม่ได้นั้น  ย่อมถือว่ารถยนต์ที่ตกลงซื้อขายกันนั้นมีความชำรุดบกพร่อง  เป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันจะมุ่งใช้เป็นปกติ  ซึ่งโดยหลักนายไข่ผู้ขายจะต้องรับผิดต่อนายไก่ผู้ซื้อ  ตามมาตรา  472  แต่อย่างไรก็ตาม  กรณีนี้  นายไก่จะฟ้องให้นายไข่รับผิดในความชำรุดบกพร่องไม่ได้  เนื่องจากรถยนต์ที่นายไก่ซื้อมาจากนายไข่นั้น  เป็นการซื้อมาจากการขายทอดตลาด  จึงเข้าข้อยกเว้นที่ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องตามมาตรา  473(3)

ส่วนความผิดในการรอนสิทธิตามมาตรา  475  นั้น  เป็นกรณีที่บุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันอยู่ในเวลาซื้อขาย  ได้เข้ามารบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อ  ทำให้ผู้ซื้อไม่สามารถครอบครองทรัพย์สินนั้นโดยปกติสุข  ซึ่งโดยหลักแล้วผู้ขายจะต้องรับผิดต่อผู้ซื้อ เว้นแต่ผู้ขายและผู้ซื้อจะได้ตกลงกันไว้ว่า  ผู้ขายไม่ต้องรับผิดเพราะการรอนสิทธินั้นตามมาตรา  483

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายไก่ผู้ซื้อได้ถูกรอนสิทธิ  คือได้ถูกนายแดงเจ้าของที่แท้จริงของรถยนต์อีกคันหนึ่งที่นายไก่ซื้อมาจากการขายทอดตลาดของนายไข่นั้นติดตามเอาคืนไป  ดังนี้โดยหลักแล้วนายไก่ย่อมสามารถฟ้องนายไข่ให้รับผิดในกรณีที่ตนถูกรอนสิทธิได้  แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อมีข้อตกลงกันไว้ว่า  หากเกิดความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิอย่างใดๆขึ้น  นายไข่ผู้ขายไม่ต้องรับผิด  ดังนั้น  นายไข่จึงไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิดังกล่าว  ตามมาตรา  475  และมาตรา  483

สรุป  นายไก่จะฟ้องนายไข่ให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องและการรอนสิทธิที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ที่ตนซื้อมาไม่ได้ 

 

 

ข้อ  3  นายจันทร์นำบ้านที่ดิน  และเรือมีระวาง  4  ตันไปขายฝากไว้กับนายอังคาร  บ้านที่ดิน  ขายฝากไว้ในราคา  1  ล้านบาท  ส่วนเรือขายฝากไว้ในราคา  3  แสนบาท  มีกำหนดไถ่คืนภายใน  1  ปี  ในราคาเดิมบวกประโยชน์อีก  15  เปอร์เซ็นต์  โดยมีการส่งมอบบ้านที่ดิน เรือ  และมีการชำระราคาเรียบร้อยแล้ว  เมื่อเวลาผ่านไป  1  ปี  1  วัน  นายจันทร์ไปขอไถ่บ้านที่ดินและเรือคืน  นายอังคารปฏิเสธว่าเลยกำหนดเวลาแล้ว

คำปฏิเสธของนายอังคารรับฟังได้หรือไม่  และนายจันทร์มีโอกาสที่จะได้บ้านที่ดินและเรือคืนตามบทบัญญัติกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 456  วรรคแรก  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ  วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป  ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย 

มาตรา  491  อันว่าขายฝากนั้น  คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ  โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้

มาตรา  494  ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์  กำหนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย

(2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์  กำหนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย

วินิจฉัย

สัญญาขายฝาก  เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอย่างหนึ่ง  ซึ่งมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้  เมื่อเป็นสัญญาซื้อขาย  จึงต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยซื้อขายมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม  ดังนั้น  การขายฝากอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ  เช่น  เรือมีระวางตั้งแต่  5  ตันขึ้นไป  แพที่อยู่อาศัยและสัตว์พาหนะ  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา  491  ประกอบมาตรา  456  วรรคแรก 

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายจันทร์นำบ้านที่ดินและเรือมีระวาง  4  ตัน  ไปขายฝากไว้กับนายอังคาร  โดยมีกำหนดไถ่คืนภายใน  1  ปีนั้น  เมื่อปรากฏว่า  เรือระวาง  4  ตัน  ไม่ใช่สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ  ตามมาตรา  456  วรรคแรก  การขายฝากจึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ดังนั้น  สัญญาขายฝากเรือจึงมีผลสมบูรณ์  เมื่อนายจันทร์ไปขอไถ่เรือคืนเมื่อเวลาผ่านไป  1  ปี  1  วัน  ซึ่งเกินกำหนดไถ่ไป  1  วันแล้ว  นายอังคารผู้รับซื้อฝากย่อมมีสิทธิปฏิเสธไม่ให้นายจันทร์ไถ่คืนได้  ตามมาตรา  494  และมาตรา  491  ดังนั้น  คำปฏิเสธของนายอังคารในกรณีของเรือจึงรับฟังได้  และนายจันทร์ไม่มีโอกาสที่จะได้เรือคืนตามบทบัญญัติกฎหมาย

ส่วนกรณีของบ้านและที่ดินนั้น  ถือเป็นอสังหาริมทรัพย์เมื่อการขายฝากไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  สัญญาขายฝากจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา  491  ประกอบมาตรา  456  วรรคแรก  คู่กรณีจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนมิได้มีการทำสัญญากัน  ดังนั้น  กรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินจึงยังคงเป็นของนายจันทร์  และต้องนำหลักกฎหมายว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับ  กล่าวคือ  นายจันทร์จะต้องคืนเงินราคาขายฝาก  1  ล้านบาท  ให้แก่นายอังคาร  ส่วนนายอังคารก็ต้องคืนบ้านและที่ดินให้แก่นายจันทร์ไปเช่นกัน  ดังนั้น คำปฏิเสธของนายอังคารในกรณีของบ้านและที่ดินจึงรับฟังไม่ได้  และนายจันทร์ย่อมมีสิทธิที่จะได้บ้านและที่ดินคืน

สรุป  คำปฏิเสธของนายอังคารในกรณีของเรือรับฟังได้  และนายจันทร์ไม่มีสิทธิที่จะได้เรือคืน  ส่วนคำปฏิเสธของนายอังคารในกรณีของบ้านและที่ดินนั้นรับฟังไม่ได้  และนายจันทร์มีสิทธิที่จะได้บ้านและที่ดินคืน

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ S/2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2005 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย  แลกเปลี่ยน  ให้

 คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายไก่เป็นเจ้าของช้างแม่ลูก  ตกลงขายให้นายไข่  ช้างแม่  5  แสนบาท  ช้างลูก  2  แสนบาท  แต่นายไข่ไม่มีเงินสด  จำนวน  7  แสนบาท  ขอชำระค่าลูกช้าง  2  แสนบาทก่อน  ส่วนแม่ช้างตกลงกันว่าให้นายไข่ผ่อนชำระ  5  เดือน  เดือนละ  1  แสนบาท  ชำระครบเมื่อใดนายไก่ก็จะโอนทะเบียนช้างแม่ให้นายไข่  โดยนายไก่ส่งมอบช้างแม่ลูกให้นายไข่แล้ว  เมื่อนายไข่ชำระครบ  5  แสนบาท  นายไก่ไม่ยอมโอนแม่ช้างให้แก่นายไข่

(1)  สัญญาซื้อขายช้างแม่ลูกเป็นสัญญาซื้อขายประเภทใด

(2) กรรมสิทธิ์ในช้างแม่ลูกเป็นของใคร

(3) นายไข่จะฟ้องให้นายไก่โอนทะเบียนช้างแม่ลูกให้แก่ตนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  453  อันว่าซื้อขายนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง  เรียกว่าผู้ขาย  โอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่าผู้ซื้อ  และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย

มาตรา 456  วรรคแรกและวรรคสอง  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป  ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย 

สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  หรือได้วางประจำไว้  หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  458  กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้น  ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ  เช่น  เรือมีระวางตั้งแต่  5  ตันขึ้นไป  แพที่อยู่อาศัยและสัตว์พาหนะนั้น  จะต้องทำเป็นหนังสือ  และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  456  วรรคแรก  แต่ถ้าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ  กฎหมายไม่ได้บังคับให้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  เพียงแต่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด  หรือวางมัดจำหรือชำระหนี้บางส่วนแล้วก็สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้  ตามมาตรา  456  วรรคสอง

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้

(1)    สัญญาซื้อขายลูกช้างระหว่างนายไก่และนายไข่  เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด  และมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย  เพราะเป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ธรรมดา  (ลูกช้างเป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดา)  จึงไม่ต้องทำเป็นหนังสือ  และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด  (มาตรา  453)

ส่วนกรณีสัญญาซื้อขายแม่ช้างนั้น  การที่นายไก่ตกลงขายแม่ช้างซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ  (สัตว์พาหนะ)  ให้นายไข่ในราคา  5  แสนบาท  โดยตกลงกันว่าให้นายไข่ผ่อนชำระเป็นเวลา  5  เดือน  เดือนละ  1  แสนบาท  และเมื่อชำระเงินครบนายไก่จะไปโอนทะเบียนแม่ช้างให้นั้น  ถือเป็นกรณีที่คู่สัญญาไม่มีเจตนาจะให้กรรมสิทธิ์ในแม่ช้างโอนไปในขณะทำสัญญาซื้อขาย  แต่มีเจตนาจะไปทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กันในภายหลัง  ดังนั้น  สัญญาซื้อขายแม่ช้างระหว่างนายไก่และนายไข่จึงเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย  ตามมาตรา  456  วรรคสอง

(2)   เมื่อสัญญาซื้อขายแม่ช้างเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย  กรรมสิทธิ์ในแม่ช้างจึงยังไม่โอนไปยังผู้ซื้อ  ดังนั้น  กรรมสิทธิ์ในแม่ช้างจึงยังคงเป็นของนายไก่  ส่วนสัญญาซื้อขายลูกช้างนั้นเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด  และได้ทำถูกต้องตามกฎหมาย  ดังนั้น  กรรมสิทธิ์ในลูกช้างจึงโอนไปเป็นของผู้ซื้อแล้วตั้งแต่ขณะทำสัญญาซื้อขายกัน  (มาตรา  453  และมาตรา  458)  นายไข่ผู้ซื้อจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในลูกช้าง

(3)    ส่วนประเด็นที่ว่านายไข่จะฟ้องให้นายไก่โอนทะเบียนแม่ช้างให้แก่ตนได้หรือไม่นั้น  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านายไข่ได้ชำระเงินให้นายไก่ครบ  5  แสนบาท  อีกทั้งนายไก่ก็ได้ส่งมอบแม่ช้างให้แก่นายไข่แล้วจึงถือว่าสัญญาจะซื้อจะขายแม่ช้างระหว่างนายไก่และนายไข่นั้น  มีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีคือ  ได้มีการชำระหนี้กันบางส่วนแล้ว  ดังนั้น  เมื่อนายไก่ผิดสัญญาไม่ยอมไปจดทะเบียนโอนแม่ช้างให้นายไข่  นายไข่จึงสามารถฟ้องร้องให้นายไก่ไปจดทะเบียนโอนแม่ช้างให้ตนได้  ตามมาตรา  456  วรรคสอง

สรุป 

(1)    สัญญาซื้อขายลูกช้างเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด  ส่วนสัญญาซื้อขายแม่ช้าง  เป็นสัญญาจะซื้อจะขาย

(2)   กรรมสิทธิ์ในแม่ช้างเป็นของนายไก่  ส่วนกรรมสิทธิ์ในลูกช้างเป็นของนายไข่

(3)   นายไข่สามารถฟ้องร้องให้นายไก่ไปจดทะเบียนโอนแม่ช้างให้แก่ตนได้

 

 

ข้อ  2  นายดินไปตกลงซื้อตู้ไม้สักทองโบราณจากร้านนายน้ำในราคา  1  แสนบาท  และมีข้อตกลงกันว่า  นายน้ำเป็นผู้มีหน้าที่ส่งมอบตู้ใบนี้ให้แก่นายดินที่บ้านนายดิน  นายดินตรวจสอบตู้จนเป็นที่พอใจแล้ว  ในวันส่งมอบตู้ที่บ้าน  นายดินเห็นรอยขูดขีดขนาดใหญ่ซึ่งเกิดเหตุจากการขนส่งโดยชัดเจน  แต่ก็รับมอบตู้ใบนี้ไว้  ต่อมานายดินรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมที่ตู้ราคาเป็นแสน  แต่ขนส่งไม่ระมัดระวังทำให้มีรอย  ทำให้เสื่อมราคา  นายดินจะฟ้องนายน้ำให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  472  ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี  ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี  ท่านว่า  ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้  ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่

มาตรา 473  ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

(1) ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน

(2) ถ้าความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ  และผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อน

(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชำรุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา  472  นั้น  ผู้ขายต้องรับผิดถ้าทรัพย์สินที่ขายชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใด  เป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่ง  และต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดี  ผู้ขายก็ไม่จำต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนั้น  หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา  473  เช่น  ถ้าความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ  แต่ผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อน  เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายดินซื้อตู้ไม้สักทองโบราณจากร้านนายน้ำ  และปรากฏว่าตู้ดังกล่าวมีรอยขูดขีดนั้น  ย่อมถือว่าตู้ไม้สักทองโบราณที่ตกลงซื้อขายกันนั้นมีความชำรุดบกพร่องเป็นเหตุให้เสื่อมราคา  ซึ่งโดยหลัก  นายน้ำผู้ขายจะต้องรับผิดต่อนายดินผู้ซื้อ  ตามมาตรา  472

แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ในวันส่งมอบตู้ที่บ้านของนายดินนั้น  นายดินเห็นรอยขูดขีดขนาดใหญ่ซึ่งเกิดจากการขนส่งโดยชัดเจน  แต่ก็ยังรับมอบตู้ใบนี้ไว้  จึงเป็นกรณีที่ความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ  แต่ผู้ซื้อรับเอาทรัพย์นั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อน  จึงเข้าข้อยกเว้น  นายน้ำผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องตามมาตรา  473(2)  ดังนั้น  นายดินจึงไม่สามารถฟ้องนายน้ำให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้

สรุป  นายดินจะฟ้องนายน้ำให้รับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นไม่ได้

 

 

ข้อ  3  นายลมนำบ้านและที่ดินไปทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนขายฝากนายไฟไว้ในราคา  1  ล้านบาท  มีกำหนดไถ่คืนภายใน  1  ปี  ในราคาเดิมบวกประโยชน์อีก  15  เปอร์เซ็นต์  ภายหลังจากทำสัญญากันแล้ว  นายไฟเข้ามาอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวเห็นห้องหนึ่งของบ้านส่วนที่ต่อเติมออกไป  นายลมเจ้าของเดิมเขียนข้อความต่างๆอย่างหลงใหล  คลั่งไคล้ในกลุ่มเสื้อสีที่ตนรังเกียจ  จึงรื้อบ้านส่วนนี้และนำไปเผาไฟทิ้ง  เมื่อเวลาผ่านไป 10  เดือน  นายลมมาไถ่บ้านคืน  เจอสภาพบ้านและห้องสุดรักสุดหวงถูกทำลายไป  นายลมมีสิทธิจะฟ้องให้นายไฟรับผิดชอบได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  491  อันว่าขายฝากนั้น  คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ  โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้

มาตรา  501  ทรัพย์สินซึ่งไถ่นั้น  ท่านว่าต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่  แต่ถ้าหากว่าทรัพย์สินนั้นถูกทำลายหรือทำให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อไซร้  ท่านว่าผู้ซื้อจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

วินิจฉัย

การขายฝากนั้น  กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายฝากย่อมโอนไปเป็นของผู้ซื้อ  เพียงแต่มีข้อตกลงกันว่า  ผู้ขายฝากอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้  (มาตรา  491)  ดังนั้น  ผู้ซื้อจึงมีสิทธิใช้สอยและกระทำการใดๆ  ในทรัพย์สินนั้นก็ได้ในฐานะเจ้าของทรัพย์สิน  แต่อย่างไรก็ตาม  ผู้ซื้อก็มีหน้าที่จะต้องสงวนรักษาทรัพย์สินนั้นอย่างวิญญูชนทั่วไปจะพึงสงวนรักษาและใช้ทรัพย์สินของตนด้วย  เพราะเมื่อผู้มีสิทธิไถ่มาขอไถ่คืน  ตามมาตรา  501  ได้กำหนดหน้าที่ผู้ซื้อไว้ว่า  ทรัพย์สินที่ผู้มีสิทธิไถ่ใช้สิทธิไถ่คืนนั้น  ผู้ซื้อต้องส่งคืนตามสภาพที่เป็นอยู่ในเวลาไถ่  แต่หากปรากฏว่าทรัพย์สินนั้นถูกทำลาย  หรือทำให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของผู้ซื้อ  ผู้ซื้อจะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ไถ่ด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายลมนำบ้านและที่ดินไปขายฝากนายไฟไว้ในราคา  1  ล้านบาท  มีกำหนดไถ่ภายใน  1  ปี  ในราคาเดิมบวกประโยชน์อีก  15  เปอร์เซ็นนั้น  เมื่อทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นสัญญาขายฝากที่ชอบด้วยกฎหมาย  (มาตรา  491  ประกอบมาตรา  456  วรรคแรก)  นายไฟผู้ซื้อจึงมีสิทธิใช้สอยทรัพย์สินและมีหน้าที่สงวนรักษาทรัพย์สินนั้นอย่างวิญญูชนทั่วไปจะพึงสงวนรักษาและใช้ทรัพย์สินของตน

ดังนั้น  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นายไฟได้รื้อบ้านส่วนหนึ่งและนำไปเผาไฟทิ้ง  จึงถือเป็นกรณีที่นายไฟผู้ซื้อมิได้ใช้สอยและสงวนรักษาทรัพย์สินที่ซื้อฝากอย่างวิญญูชนทั่วไปจะพึงรักษาและใช้ทรัพย์สินของตน  และทำให้ทรัพย์สินนั้นถูกทำลายหรือทำให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของนายไฟผู้ซื้อเอง  ดังนั้น  เมื่อนายลมมาไถ่บ้านคืน  เจอสภาพบ้านและห้องสุดรักสุดหวงถูกทำลายไป  นายลมจึงมีสิทธิฟ้องให้นายไฟรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนได้ตามมาตรา  501  เพราะถือว่า  นายไฟส่งคืนบ้านและที่ดินซึ่งบ้านถูกทำลายหรือทำให้เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของนายไฟผู้ซื้อ

สรุป  นายลมมีสิทธิฟ้องให้นายไฟรับผิดชอบได้

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ 1/2555

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2005 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย  แลกเปลี่ยน  ให้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายจันทร์บอกขายที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหนึ่งให้กับนายอังคารในราคา  10  ล้านบาท  นายอังคารตอบตกลงซื้อ  นายอังคารชำระราคาค่าที่ดิน

ให้นายจันทร์  5  ล้านบาทก่อน  ส่วนที่ยังขาดจะชำระให้ในวันจดทะเบียนโอนซึ่งนัดกันไว้ในวันรุ่งขึ้น  และนายจันทร์ได้ส่งมอบที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคาร  ในวันนัดนายจันทร์หาได้ไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคารไม่  นายอังคารอยู่ในที่ดินแปลงนี้มาได้  12  ปี  ที่ดินแปลงนี้มีราคาท้องตลาดสูงขึ้นกว่าร้อยล้านบาท  นายจันทร์อยากได้ที่ดินแปลงนี้คืน  และมาขอให้นายอังคารคืนที่ดินแปลงนี้  นายอังคารไม่ยอมคืน  นายจันทร์ฟ้องขอให้ศาลบังคับขับไล่นายอังคารให้ออกไปจากที่ดินแปลงนี้

ดังนี้  นายอังคารได้รับสำเนาฟ้องแล้วมาถามท่านว่า  นายอังคารจะมีทางต่อสู้คดีเพื่อไม่ให้เสียสิทธิในที่ดินแปลงนี้ได้หรือไม่  ท่านจะให้คำตอบนายอังคารอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  193/30  อายุความนั้น  ถ้าประมวลกฎหมายนี้  หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ  ให้มีกำหนดสิบปี

มาตรา  456  วรรคแรกและวรรคสอง  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป  ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  หรือได้วางประจำไว้  หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายจันทร์บอกขายที่ดินของตนแปลงหนึ่งให้กับนายอังคาร  โดยตกลงกันว่านายจันทร์จะไปจดทะเบียนโอนที่ดินให้นายอังคารในวันรุ่งขึ้นนั้น  สัญญาซื้อขายที่ดินดังกล่าว  ย่อมถือเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย  เพราะเป็นการซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์และคู่สัญญาไม่มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่กันในขณะทำสัญญา  แต่มีเจตนาจะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันในภายหน้า

และจากข้อเท็จจริง  การที่นายจันทร์ได้ส่งมอบที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคารครอบครอง  และนายอังคารได้อยู่ในที่ดินแปลงนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายนั้น  จะถือว่านายอังคารเจตนาจะยึดถือที่ดินเพื่อตนไม่ได้  แต่ต้องถือว่าเป็นการยึดถือแทนนายจันทร์  และแม้นายอังคารจะอยู่ในที่ดินมาได้  12  ปี  ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์  (ตามมาตรา  1382)  ดังนั้น  เมื่อนายจันทร์ผิดนัดไม่ไปจดทะเบียนโอนที่ดินตามสัญญาและได้ยื่นฟ้องขับไล่นายอังคารให้ออกไปจากที่ดิน  นายอังคารก็ชอบที่จะต่อสู้ตามสัญญาจะซื้อจะขาย  ตามมาตรา  456  วรรคสอง  และฟ้องแย้งขอให้ศาลบังคับนายจันทร์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคารฐานผิดสัญญาจะซื้อจะขายได้

แต่อย่างไรก็ตาม  นายอังคารจะต้องใช้สิทธิเรียกร้องให้นายจันทร์ปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว  ภายในอายุความ  10  ปี  นับแต่วันที่นายจันทร์ผิดสัญญาตามมาตรา  193/30  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านายอังคารได้ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปจนพ้น  10  ปี  นับแต่วันที่ผิดสัญญาแล้ว  คดีย่อมขาดอายุความ  ทำให้นายอังคารต้องเสียสิทธิในที่ดินแปลงนี้

ดังนั้น  เมื่อนายอังคารได้รับสำเนาฟ้องแล้ว  นายอังคารจะไม่มีทางต่อสู้คดีเพื่อไม่ให้เสียสิทธิในที่ดินแปลงนี้ได้

สรุป  ข้าพเจ้าจะให้คำตอบแก่นายอังคารดังที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

 

ข้อ  2  ฝนทำสัญญาซื้อขายที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ฟ้า  ในราคา  200,000  บาท  และฟ้าก็ได้บอกกับฝนว่าถ้าฝนมีเงินจำนวน  210,000  บาท  ก็จะมาขอซื้อคืนในภายหลังได้  ภายในเวลา  5  ปี  แต่ยังมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  เมื่อตกลงกันแล้วฝนจึงได้ส่งมอบที่ดินพร้อมกับส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์และให้ฟ้าเข้าครอบครองที่ดินอย่างเป็นเจ้าของ  ทำสัญญาขายที่ดินมาได้  3  ปี  ฝนจึงนำเงิน  200,000  บาท  มาขอซื้อที่ดินแปลงนี้คืนจากฟ้า  ฟ้าจะปฏิเสธไม่ขายที่ดินแปลงนี้คืนให้ฝนได้หรือไม่

ให้ท่านอธิบายพร้อมยกเหตุผลตามกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  456  วรรคแรก  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ  วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป  ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

มาตรา  491  อันว่าขายฝากนั้น  คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ  โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้

มาตรา  1367  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน  ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง

วินิจฉัย

สัญญาขายฝากนั้นถือเป็นสัญญาซื้อขายประเภทหนึ่ง  จึงต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยซื้อขายมาใช้บังคับด้วย  กล่าวคือ  ถ้าเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในอสังหาริมทรัพย์  ก็ต้องทำตามแบบ  ตามมาตรา  456  วรรคแรก  คือต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะ

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่ฝนทำสัญญาซื้อขายที่ดินในราคา  200,000  บาท  และฟ้าก็ได้บอกกับฝนว่าถ้าฝนมีเงินจำนวน  210,000  บาท  ก็จะมาขอซื้อที่ดินในภายหลังได้  ภายในเวลา  5  ปีนั้น  ถือเป็นสัญญาขายฝากอสังหาริมทรัพย์  ตามมาตรา  491  เมื่อปรากฏว่าสัญญาดังกล่าวยังมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  จึงเป็นสัญญาขายฝากที่ตกเป็นโมฆะเพราะไม่ทำตามมาตรา  456  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  เมื่อได้มีการตกลงทำสัญญาซื้อขายกันแล้ว  ฝนได้ส่งมอบที่ดินพร้อมกับส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์และให้ฟ้าเข้าครอบครองที่ดินอย่างเป็นเจ้าของ  ดังนี้  เมื่อปรากฏว่าที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดินที่มีเพียงหนังสือรับรองการทำประโยชน์  แม้การซื้อขายที่ดินจะตกเป็นโมฆะ  ฟ้าก็ย่อมได้สิทธิครอบครองที่ดินแปลงนี้แล้วโดยผลของกฎหมาย  ตามมาตรา  1367

ดังนั้น  หลังจากทำสัญญาขายที่ดินมาได้  3  ปี  ฝนได้นำเงิน  200,000  บาท  มาขอซื้อที่ดินแปลงนี้คืนจากฟ้า  ฟ้าย่อมปฏิเสธไม่ขายที่ดินแปลงนี้คืนให้ฝนได้  ซึ่งการปฏิเสธไม่ขายคืนให้นี้  ไม่ใช่ปฏิเสธเพราะราคาค่าซื้อที่ดินคืนผิดไปจากที่ตกลงกันไว้  แต่เป็นเพราะว่าฟ้าได้สิทธิครอบครองที่ดินแปลงนี้แล้วโดยผลของกฎหมายแล้วนั่นเอง

สรุป  ฟ้าจะปฏิเสธไม่ขายที่ดินแปลงนี้คืนให้ฝนได้  ตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น 

 

 

ข้อ  3  จำเลยบอกโจทก์ว่าจะยกที่ดินแปลงหนึ่งและรถยนต์คันหนึ่งของจำเลยให้โจทก์  จำเลยจึงได้ส่งมอบรถยนต์ให้โจทก์และจัดการเรื่องเอกสารทะเบียนรถให้โจทก์เรียบร้อย  ส่วนที่ดินก็ส่งมอบการครอบครองให้โจทก์เข้าไปทำประโยชน์แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนโอนให้ เมื่อโจทก์เข้าครอบครองที่ดินแปลงนั้นได้หกเดือน  จำเลยก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะไปจดทะเบียนโอนให้โจทก์  โจทก์ได้พยายามทวงถามหลายครั้งแล้ว  แต่จำเลยก็ยังบ่ายเบี่ยงตลอดมา

ให้ท่านวินิจฉัยว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์และที่ดินโอนเป็นของโจทก์แล้วหรือยัง  และโจทก์จะฟ้องร้องจำเลยได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  523  การให้นั้น  ท่านว่าย่อมสมบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ให้

มาตรา  525  การให้ทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น  ท่านว่าย่อมสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ในกรณีเช่นนี้  การให้ย่อมเป็นอันสมบูรณ์โดยมิพักต้องส่งมอบ

มาตรา  526  ถ้าการให้ทรัพย์สินหรือให้คำมั่นว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว  และผู้ให้ไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นแก่ผู้รับไซร้  ท่านว่าผู้รับชอบที่จะเรียกให้ส่งมอบตัวทรัพย์สินหรือราคาแทนทรัพย์สินนั้นได้  แต่ไม่ชอบที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนอย่างหนึ่งอย่างใดด้วยอีกได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  แยกพิจารณาได้ดังนี้

1       กรณีรถยนต์  เมื่อปรากฏว่ารถยนต์เป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดา  การให้รถยนต์ย่อมสมบูรณ์  เมื่อได้มีการส่งมอบรถยนต์ให้แก่กันตามมาตรา  523  ดังนั้น  การที่จำเลยได้ส่งมอบรถยนต์ให้แก่โจทก์  และจัดการเรื่องเอกสารทะเบียนรถยนต์ให้โจทก์เรียบร้อยแล้วนั้น  กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ย่อมโอนไปเป็นของโจทก์แล้วตามมาตรา  523

2       กรณีที่ดินมีโฉนด  เมื่อปรากฏว่าที่ดินมีโฉนดเป็นอสังหาริมทรัพย์  ถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ดังนั้น  การให้ที่ดินมีโฉนดจะสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา  525

ตามข้อเท็จจริง  เมื่อปรากฏว่าจำเลยยกที่ดินให้โจทก์โดยเพียงแต่ส่งมอบการครอบครองเท่านั้น  ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ดังนั้น  การให้ที่ดินจึงยังไม่สมบูรณ์ตามมาตรา  525  กรรมสิทธิ์ในที่ดินจึงยังเป็นของจำเลยไม่โอนเป็นของโจทก์แต่อย่างใด  และโจทก์ก็จะฟ้องร้องจำเลยไม่ได้  เพราะการให้ที่ดินไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา  526

สรุป  กรรมสิทธิ์ในรถยนต์โอนเป็นของโจทก์แล้ว  ส่วนกรรมสิทธิ์ในที่ดินยังไม่โอนเป็นของโจทก์  และโจทก์จะฟ้องร้องจำเลยไม่ได้

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ 2/2555

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2005 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย  แลกเปลี่ยน  ให้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายจันทร์บอกขายที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหนึ่งให้นายอังคารในราคา  1  ล้านบาท  นายอังคารตอบตกลงซื้อและได้ชำระราคา  1  ล้านบาท  ให้นายจันทร์  และทั้งคู่ได้ตกลงกันให้นายจันทร์ส่งมอบที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคารในวันที่  1  เดือนหน้า  ในคืนนั้น  นายพุธได้ติดต่อขอซื้อที่ดินแปลงนี้จากนายจันทร์ในราคา  2  ล้านบาท  นายจันทร์ขอให้นายพุธไปพบที่สำนักงานที่ดินเพื่อจดทะเบียนสิทธินิติกรรม  ทั้งคู่มาที่สำนักงานที่ดินและทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินแปลงนี้ในราคา  2  ล้านบาท  และยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธินิติกรรมซื้อขาย  นายอังคารทราบข่าวและมายื่นคำคัดค้านต่อเจ้าพนักงานที่ดิน  ขอให้เจ้าพนักงานที่ดินอย่ารับจดทะเบียน  เพราะตนได้ซื้อไว้อยู่ก่อน  นายพุธไม่อยากมีปัญหาและขอให้นายจันทร์ไปเจรจาตกลงกับนายอังคารก่อน  นายจันทร์กับนายพุธจึงยื่นคำขอถอนคำขอจดทะเบียนจากเจ้าพนักงานที่ดิน  ปรากฏว่าที่ดินแปลงนี้มีราคาท้องตลาดสูงขึ้นมาก  นายจันทร์จึงเปลี่ยนใจไม่ขายที่ดินแปลงนี้ให้นายอังคารและนายพุธ

ดังนี้  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  นายอังคารกับนายพุธจะเรียกร้องที่ดินแปลงนี้จากนายจันทร์ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  455  เมื่อกล่าวต่อไปเบื้องหน้าถึงเวลาซื้อขาย  ท่านหมายความว่าเวลาซึ่งทำสัญญา  ซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์

มาตรา  456  วรรคแรก  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ  วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป  ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

วินิจฉัย

สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด  (หรือสัญญาซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์)  หมายถึง  สัญญาซื้อขายที่คู่กรณีคือผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว  โดยผู้ขายตกลงที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ  และผู้ซื้อได้ตกลงที่จะชำระราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขายแล้ว  โดยไม่ต้องคำนึงว่าในขณะที่ตกลงทำสัญญาซื้อขายกันนั้น  ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินหรือได้มีการชำระราคากันแล้วหรือไม่

สัญญาจะซื้อขาย  คือ  สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ  ที่คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะที่ทำสัญญาซื้อขาย  แต่มีข้อตกลงกันว่า  จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันก็ต่อเมื่อได้ไปกระทำตามแบบพิธีที่กฎหมายได้กำหนดไว้ในภายหน้า  คือเมื่อได้ไปทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วนั่นเอง

โดยหลัก  การซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในอสังหาริมทรัพย์นั้น  กฎหมายได้บัญญัติให้คู่สัญญาจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะตามมาตรา  456  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  455

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายอังคารกับนายพุธจะเรียกร้องที่ดินแปลงดังกล่าวที่ได้ทำสัญญาซื้อขายจากนายจันทร์ได้หรือไม่นั้น  จะต้องพิจารณาก่อนว่าสัญญาซื้อขายที่นายอังคารกับนายพุธได้ทำไว้กับนายจันทร์นั้นเป็นสัญญาซื้อขายประเภทใด

1  สัญญาซื้อขายระหว่างนายจันทร์กับนายอังคาร

การที่นายจันทร์และนายอังคารได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์กันนั้น  ทั้งสองได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายกันเพียงครั้งเดียวและเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว  โดยไม่มีข้อตกลงกันว่าจะไปกระทำตามแบบพิธีใดๆในภายหน้า  ดังนั้นสัญญาซื้อขายระหว่างนายจันทร์กับนายอังคารจึงเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด  และเมื่อคู่กรณีมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  สัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  456  วรรคแรก  ดังนั้นนายอังคารจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องที่ดินจากนายจันทร์ตามสัญญาซื้อขายที่เป็นโมฆะ

2  สัญญาซื้อขายระหว่างนายจันทร์กับนายพุธ

การที่นายจันทร์และนายพุธได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์นั้น  เมื่อทั้งสองได้มีเจตนาที่จะทำสัญญาซื้อขายกันให้เสร็จสิ้นเรียบร้อยในครั้งเดียวจึงถือว่าเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดเช่นเดียวกัน  และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายจันทร์กับนายพุธได้ทำเป็นหนังสือ  แต่เจ้าพนักงานที่ดินยังไม่ได้รับจดทะเบียน  เนื่องจากทั้งสองได้ยื่นคำขอถอนคำขอจดทะเบียนจากเจ้าพนักงานที่ดิน  ดังนั้นสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายจันทร์กับนายพุธย่อมตกเป็นโมฆะ  เพราะมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายได้กำหนดไว้ตามมาตรา  456  วรรคแรก  ดังนั้นนายพุธจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องที่ดินจากนายจันทร์ตามสัญญาซื้อขายที่เป็นโมฆะเช่นเดียวกัน

สรุป  นายอังคารกับนายพุธจะเรียกร้องที่ดินแปลงดังกล่าวจากนายจันทร์ไม่ได้  เพราะสัญญาซื้อขายที่ดินที่ทั้งสองได้ทำกับนายจันทร์เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดและมีผลเป็นโมฆะ

 

 

ข้อ  2  นายไก่นำรถยนต์ออกขายทอดตลาดจำนวน  10  คัน  นายหนึ่งประมูลได้ไป  1  คัน  และนายสองได้ไป  1  คัน  หลังจากมีการส่งมอบชำระราคาเรียบร้อย  รถยนต์ที่นายหนึ่งซื้อไป  นายดำพาตำรวจมาขอรถยนต์คืนโดยนำพยานหลักฐานต่างๆมาแสดงว่า  เป็นรถยนต์ของตนซึ่งถูกฉ้อโกงมาขายให้นายไก่  นายหนึ่งจึงยอมคืนรถยนต์ให้นายดำไป  ส่วนอีกคันหนึ่งซึ่งนายสองซื้อไปคานหักซึ่งนายไก่เจ้าของเดิมทราบดีอยู่แล้ว  แต่มิได้แจ้งให้ผู้เข้าประมูลทราบ

นายหนึ่งจะฟ้องให้นายไก่รับผิดว่าตนถูกรอนสิทธิ  และสองจะฟ้องนายไก่ให้รับผิดชอบในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  472  ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี  ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี  ท่านว่า  ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้  ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่

มาตรา 473  ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

(3)           ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด

มาตรา  475  หากว่ามีบุคคลผู้ใดมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อในอันจะครองทรัพย์สินโดยปกติสุข  เพราะบุคคลผู้นั้นมีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ได้ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายก็ดี  เพราะความผิดของผู้ขายก็ดี  ท่านว่าผู้ขายจะต้องรับผิดในผลอันนั้น 

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชำรุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา  472  นั้น  ผู้ขายต้องรับผิดถ้าทรัพย์สินที่ขายชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่ง  และต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดี  ผู้ขายก็ไม่จำต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนั้น  หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา  473  เช่น  ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายสองได้ซื้อรถยนต์มาจากการขายทอดตลาดของนายไก่  และปรากฏว่ารถยนต์คันดังกล่าวที่นายสองซื้อไปจากนายไก่นั้นคานหัก  ซึ่งถือว่ามีความชำรุดบกพร่องเกิดขึ้นกับทรัพย์สินนั้น  เป็นเหตุให้เสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันจะมุ่งใช้เป็นปกติ  ซึ่งโดยหลักนายไก่จะต้องรับผิดชอบต่อนายสองผู้ซื้อตามมาตรา  472  แต่อย่างไรก็ตาม  กรณีนี้  นายสองจะฟ้องให้นายไก่รับผิดในความชำรุดบกพร่องไม่ได้  เนื่องจากรถยนต์ที่นายสองซื้อมาจากนายไก่นั้นเป็นการซื้อมาจากการขายทอดตลาด  จึงเข้าข้อยกเว้นที่ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนั้น  ตามมาตรา  473(3)

ส่วนกรณีการรอนสิทธินั้นตามมาตรา  475  วางหลักไว้ว่า  ผู้ขายจะต้องรับผิดในการรอนสิทธิ  ถ้าผู้ซื้อไม่สามารถครอบครองทรัพย์สินที่ซื้อมาได้โดยปกติสุข  เพราะมีบุคคลอื่นที่มีสิทธิเหนือทรัพย์สินที่ซื้อขายกันนั้นอยู่ในเวลาซื้อขายมาก่อการรบกวนขัดสิทธิของผู้ซื้อ

ตามอุทาหรณ์  การที่นายหนึ่งได้ซื้อรถยนต์จากการขายทอดตลาดของนายไก่ไป  1  คัน  แต่นายหนึ่งผู้ซื้อได้ถูกรอนสิทธิ  คือได้ถูกนายดำเจ้าของที่แท้จริงของรถยนต์คันที่นายหนึ่งซื้อมานั้นติดตามเอาคืนไป  ดังนั้นนายหนึ่งย่อมสามารถฟ้องให้นายไก่รับผิดในกรณีที่ตนถูกรอนสิทธิได้ตามมาตรา  475

สรุป  นายหนึ่งฟ้องให้นายไก่รับผิดกรณีที่ตนถูกรอนสิทธิได้  แต่นายสองจะฟ้องให้นายไก่รับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นไม่ได้

 

 

ข้อ  3  นายจันทร์นำบ้านและที่ดินไปทำเป็นหนังสือจดทะเบียนขายฝากนายอังคารไว้ในราคา  1  ล้านบาท  ไถ่คืนภายใน  1  ปี  สินไถ่ราคาเดิมบวกประโยชน์อีก  15  เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน  เมื่อใกล้จะครบ  1  ปี  นายจันทร์ไปขอใช้สิทธิในการไถ่คืน  พร้อมเงิน  1  ล้าน  1  แสน  5  หมื่นบาท  นายอังคารปฏิเสธโดยอ้างว่าสัญญายังไม่ถึงกำหนดไถ่คืน  1  ปี  สินไถ่ไม่ครบเพราะตกลงกัน  ประโยชน์ 15 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน  ไม่ใช่ต่อปี  คำปฏิเสธของนายอังคารรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และนักศึกษาจะแนะแนวทางในการไถ่บ้านและที่ดินคืนแก่นายจันทร์อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  456  วรรคแรก  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ  วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป  ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

มาตรา  491  อันว่าขายฝากนั้น  คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ  โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้

มาตรา  492  วรรคแรก  ในกรณีที่มีการไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาหรือภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด  หรือผู้ไถ่ได้วางทรัพย์อันเป็นสินไถ่ต่อสำนักงานวางทรัพย์ภายในกำหนดเวลาไถ่โดยสละสิทธิถอนทรัพย์สินที่ได้วางไว้  ให้ทรัพย์สินซึ่งขายฝากตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ไถ่ตั้งแต่เวลาที่ผู้ไถ่ได้ชำระสินไถ่หรือวางทรัพย์อันเป็นสินไถ่  แล้วแต่กรณี

มาตรา  494  ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์  กำหนดสิบปีนับแต่เวลาซื้อขาย

มาตรา  499  สินไถ่นั้น  ถ้าไม่ได้กำหนดกันว่าเท่าใดไซร้  ท่านให้ไถ่ตามราคาที่ขายฝาก

ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี  ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายจันทร์นำบ้านและที่ดินของตนไปขายฝากไว้กับนายอังคารในราคา  1  ล้านบาท  มีกำหนดไถ่คืนภายใน  1  ปีนั้น  เมื่อทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  จึงเป็นสัญญาขายฝากที่ชอบด้วยกฎหมาย  (มาตรา  491  ประกอบมาตรา  456  วรรคแรก)

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นายจันทร์ได้ไปขอไถ่ทรัพย์คืนพร้อมเงิน  1,150,000  บาท  ดังนี้  นายอังคารจะปฏิเสธไม่ได้  เพราะเหตุว่านายจันทร์ได้ขอใช้สิทธิในการไถ่ก่อนครบ  1  ปี  และภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด  (มาตรา  494(1))  และในส่วนเงินสินไถ่นั้นตามมาตรา  499  วรรคสอง  ได้กำหนดไว้ว่า  ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี  ดังนั้น  เมื่อมีการกำหนดสินไถ่ไว้ในราคาเดิมบวกประโยชน์อีก  15  เปอร์เซ็นต์ต่อเดือนจึงเกินอัตราที่กฎหมายได้กำหนดไว้  การที่นายจันทร์นำเงิน  1,150,000  บาท  มาเป็นสินไถ่จึงเป็นจำนวนเงินที่ถูกต้องแล้ว  กล่าวคือ  ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี  เท่ากับ  1,150,000  บาท  (มาตรา  499  วรรคสอง)  ดังนั้น  คำปฏิเสธของนายอังคารที่ว่ายังไม่ครบ  1  ปีและสินไถ่ไม่ครบจึงรับฟังไม่ได้

และถ้าหากนายอังคารไม่ยอมรับไถ่  นายจันทร์สามารถนำเงิน  1,150,000  บาท  ไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์ภายในกำหนด  1  ปี  ตามข้อตกลงในสัญญา  ก็ถือว่านายจันทร์ได้ไถ่ทรัพย์สินคือบ้านและที่ดินคืนแล้ว  และให้ถือว่าทรัพย์สินซึ่งขายฝากนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายจันทร์ตั้งแต่เวลาที่นายจันทร์ได้วางทรัพย์อันเป็นสินไถ่แล้ว  (มาตรา  492  วรรคแรก)

สรุป  คำปฏิเสธของนายอังคารที่ว่ายังไม่ครบ  1  ปี  และสินไถ่ไม่ครบนั้นรับฟังไม่ได้  และข้าพเจ้าจะแนะแนวทางในการไถ่บ้านและที่ดินคืนแก่นายจันทร์ตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

LAW2005 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย แลกเปลี่ยนให้ S/2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2005 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขาย  แลกเปลี่ยน  ให้

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายมกราตกลงขายบ้านและที่ดินให้นายกุมภาในราคา  1  ล้านบาท  แต่นายกุมภาไม่มีเงินสดเป็นก้อน  ทั้งคู่จึงตกลงกันว่านายมกราจะส่งมอบบ้านและที่ดินให้นายกุมภา  นายกุมภาชำระเงินก้อนแรก  5  แสนบาท  ส่วนที่เหลือให้ผ่อนได้เดือนละหนึ่งแสนบาท  เมื่อผ่อนครบเป็นเงิน  1  ล้านบาท  นายมกราก็จะไปโอนทางทะเบียนให้  เมื่อนายกุมภาชำระครบ  นายมกราไม่ยอมไปโอนทะเบียนให้  เพราะมีคนมาเสนอซื้อในราคา  2  ล้านบาท

นายกุมภาจะฟ้องให้นายมกราไปโอนทะเบียนบ้านและที่ดินให้แก่ตนตามสัญญาได้หรือไม่  และสัญญาที่นายมกราและนายกุมภาตกลงกันนั้นเป็นสัญญาประเภทใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  455  เมื่อกล่าวต่อไปเบื้องหน้าถึงเวลาซื้อขาย  ท่านหมายความว่าเวลาซึ่งทำสัญญา  ซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์

มาตรา  456  วรรคแรกและวรรคสอง  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ  วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป  ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อหรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  หรือได้วางประจำไว้  หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด  (หรือสัญญาซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์)  หมายถึง  สัญญาซื้อขายที่คู่กรณีคือผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายกันเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว  โดยผู้ขายตกลงที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ  และผู้ซื้อได้ตกลงที่จะชำระราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขายแล้ว  โดยไม่ต้องคำนึงว่าในขณะที่ตกลงทำสัญญาซื้อขายกันนั้น  ได้มีการส่งมอบทรัพย์สินหรือได้มีการชำระราคากันแล้วหรือไม่

สัญญาจะซื้อขาย  คือ  สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ  ที่คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะที่ทำสัญญาซื้อขาย  แต่มีข้อตกลงกันว่า  จะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันก็ต่อเมื่อได้ไปกระทำตามแบบพิธีที่กฎหมายได้กำหนดไว้ในภายหน้า  คือเมื่อได้ไปทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วนั่นเอง

และสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษนั้น  จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะตามมาตรา  456  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  455  ส่วนสัญญาจะซื้อขายทรัพย์สินดังกล่าวนั้นกฎหมายมิได้กำหนดแบบไว้แต่อย่างใด  เพียงแต่ได้กำหนดไว้ว่าในกรณีที่จะมีการฟ้องร้องบังคับคดีกัน  จะต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้คือ

1       จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ

2       มีการวางประจำ  (มัดจำ)  ไว้  หรือ

3       มีการชำระหนี้บางส่วน

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายมกราตกลงขายบ้านและที่ดินให้นายกุมภาในราคา  1  ล้านบาท  โดยทั้งคู่ตกลงกันว่านายมกราจะส่งมอบบ้านและที่ดินให้นายกุมภา  และนายกุมภาชำระเงินก้อนแรก  5  แสนบาท  ส่วนที่เหลือตกลงให้ผ่อนได้เดือนละ  1  แสนบาท  เมื่อผ่อนครบ  1  ล้านบาท  นายมกราก็จะไปโอนทางทะเบียนให้  กรณีเช่นนี้ถือว่าสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินระหว่างนายมกราและนายกุมภาเป็นสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์  เพราะเป็นสัญญาที่คู่กรณียังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะที่ทำสัญญาซื้อขาย  แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันเมื่อได้ไปกระทำตามแบบที่กฎหมายได้กำหนดไว้ในภายหน้า  คือเมื่อได้ไปทำเป็นหนังสือสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั่นเอง

สัญญาจะซื้อขายบ้านและที่ดินระหว่างนายมกราและนายกุมภานั้น  แม้จะมิได้ทำเป็นหนังสือ  หรือมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายมกราซึ่งเป็นฝ่ายที่จะต้องรับผิดก็ตาม  สัญญาจะซื้อขายดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย  และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  สัญญาจะซื้อขายดังกล่าวมีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีกันตามมาตรา  456  วรรคสอง  คือได้มีการชำระหนี้บางส่วนโดยนายมกราได้ส่งมอบบ้านและที่ดินให้นายกุมภา  และนายกุมภาได้ชำระเงินให้แก่นายมกราจนครบแล้ว  ดังนั้น  เมื่อนายมกราผิดสัญญาไม่ยอมไปโอนทะเบียนให้แก่นายกุมภา  นายกุมภาจึงสามารถฟ้องให้นายมกราไปโอนทะเบียนและที่ดินให้แก่ตนได้

สรุป  สัญญาที่นายมกราและนายกุมภาตกลงกันนั้นเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย  และนายกุมภาสามารถฟ้องบังคับให้นายมกราไปโอนทะเบียนบ้านและที่ดินให้แก่ตนตามสัญญาได้

 

 

ข้อ  2  นายมีนาตกลงซื้อชุดรับแขกทำจากไม้สักทองราคา  2  แสนบาท  จากนายเมษา  และมีข้อสัญญาตกลงกันว่าเป็นหน้าที่ของนายเมษาที่จะต้องส่งมอบชุดรับแขกให้นายมีนาถึงบ้าน

เมื่อถึงกำหนดวันส่งมอบคนงานขนของมาส่งถึงบ้าน  นายมีนาตรวจสอบสินค้าก่อนรับมอบก็พบว่าโต๊ะกลางมีรอยขูดขีดขนาดใหญ่เกิดจากการขนย้ายจึงไม่ยอมรับมอบ  แต่นายเมษาโทรมาแจ้งให้นายมีนารับไว้ก่อนวันหลังจะเอาโต๊ะตัวใหม่ไร้ความชำรุดบกพร่องมาเปลี่ยนให้

นายมีนาก็เลยจำต้องรับไว้  ต่อมาถึงกำหนดนายเมษาก็อิดออดโยกโย้  อ้างว่านายมีนายอมรับมอบโดยไม่อิดเอื้อนแล้ว  นายมีนาจะฟ้องให้นายเมษารับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  472  ในกรณีที่ทรัพย์สินที่ขายนั้นชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมแก่ประโยชน์อันมุ่งจะใช้เป็นปกติก็ดี  ประโยชน์ที่มุ่งหมายโดยสัญญาก็ดี  ท่านว่า  ผู้ขายต้องรับผิด

ความที่กล่าวมาในมาตรานี้ย่อมใช้ได้  ทั้งที่ผู้ขายรู้อยู่แล้วหรือไม่รู้ว่าความชำรุดบกพร่องมีอยู่

มาตรา  473  ผู้ขายย่อมไม่ต้องรับผิดในกรณีดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

(1) ถ้าผู้ซื้อได้รู้อยู่แล้วแต่ในเวลาซื้อขายว่ามีความชำรุดบกพร่องหรือควรจะได้รู้เช่นนั้นหากได้ใช้ความระมัดระวังอันจะพึงคาดหมายได้แต่วิญญูชน

(2) ถ้าความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ  และผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อน

(3) ถ้าทรัพย์สินนั้นได้ขายทอดตลาด

วินิจฉัย

ความรับผิดในความชำรุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ขายตามมาตรา  472  นั้น  ผู้ขายต้องรับผิดถ้าทรัพย์สินที่ขายชำรุดบกพร่องอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นเหตุให้เสื่อมราคาหรือเสื่อมความเหมาะสมอย่างใดอย่างหนึ่ง  และต้องเกิดขึ้นก่อนที่กรรมสิทธิ์จะตกเป็นของผู้ซื้อ

อย่างไรก็ดี  ผู้ขายก็ไม่จำต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนั้น  หากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา  473  เช่น  ถ้าความชำรุดบกพร่องนั้นเป็นอันเห็นประจักษ์แล้วในเวลาส่งมอบ  แต่ผู้ซื้อรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อนเป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายมีนาซื้อชุดรับแขกทำจากไม้สักทองจากนายเมษา  และเมื่อมีการส่งมอบชุดรับแขกปรากฏว่าโต๊ะกลางมีรอยขูดขีดขนาดใหญ่  ซึ่งเกิดจากการขนย้าย  ย่อมถือว่าชุดรับแขกที่ตกลงซื้อขายกันนั้นมีความชำรุดบกพร่องเป็นเหตุให้เสื่อมราคา  ดังนี้นายเมษาผู้ขายย่อมต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนั้นต่อนายมีนาผู้ซื้อ  ตามมาตรา  472

และเมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ปรากฏว่า  ในวันส่งมอบชุดรับแขกดังกล่าวที่บ้านของนายมีนา  นายมีนาได้ตรวจสอบชุดรับแขกก่อนรับมอบและได้พบถึงความชำรุดบกพร่องดังกล่าวจึงไม่ยอมรับมอบ  แต่นายเมษาโทรมาแจ้งให้นายมีนารับไว้ก่อน  วันหลังจะเอาโต๊ะตัวใหม่ไร้ความชำรุดบกพร่องมาเปลี่ยนให้  นายมีนาจึงจำต้องรับไว้นั้น  กรณีดังกล่าวไม่ถือว่านายมีนาผู้ซื้อได้รับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมิได้อิดเอื้อนหรือโต้แย้งไว้  ตามนัยของมาตรา  473(2)  อันจะทำให้ผู้ขายไม่ต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องนั้นแต่อย่างใด  แต่เป็นกรณีที่ผู้ซื้อได้รับเอาทรัพย์สินนั้นไว้โดยมีการอิดเอื้อนหรือโต้แย้งไว้แล้ว  ดังนั้นนายเมษาผู้ขายจึงยังคงต้องรับผิดในความชำรุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ซื้อขายกันนั้น  ตามมาตรา  472  จะอ้างมาตรา  473 (2)  ว่านายมีนาได้ยอมรับมอบทรัพย์สินนั้นโดยมิได้อิดเอื้อนทำให้ผู้ขายไม่ต้องรับผิดนั้นไม่ได้

สรุป  นายมีนาสามารถฟ้องให้นายเมษารับผิดในความชำรุดบกพร่องที่เกิดขึ้นได้

 

 

ข้อ  3  นายพฤษภาตกลงขายฝากช้างโดยทำสัญญากันเองให้นายมิถุนาในราคา  1  ล้านบาท  มีกำหนดไถ่คืนภายใน  1  ปี  ในราคา  2 ล้านบาท  เมื่อเวลาผ่านไป  1  ปี  1  วัน  นายพฤษภานำเงิน  1  ล้าน  1  แสน  5  หมื่นบาทไปขอไถ่  แต่นายมิถุนาปฏิเสธโดยอ้างว่า

1)     สัญญาขายฝากสมบูรณ์

2)    เกินกำหนดเวลาไถ่

3)    สินไถ่ไม่ครบ

ข้ออ้างทั้งสามประการรับฟังได้หรือไม่  เพราะอะไร  ให้นักศึกษาอธิบายให้ครบทุกข้อ  และช้างเชือกนี้นายพฤษภาจะได้คืนหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  456  วรรคแรก  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ  วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป  ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

มาตรา  491  อันว่าขายฝากนั้น  คือสัญญาซื้อขายซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ  โดยมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้

มาตรา  494  ท่านห้ามมิให้ใช้สิทธิไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากเมื่อพ้นเวลาดังจะกล่าวต่อไปนี้

(2) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์  กำหนดสามปีนับแต่เวลาซื้อขาย

มาตรา  499  วรรคสอง  ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี  ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละสิบห้าต่อปี

วินิจฉัย

สัญญาขายฝาก  เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอย่างหนึ่ง  ซึ่งมีข้อตกลงกันว่าผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์นั้นคืนได้  เมื่อเป็นสัญญาซื้อขาย  จึงต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยซื้อขายมาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม  ดังนั้น  การขายฝากอสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ  เช่น  เรือมีระวางตั้งแต่  5 ตันขึ้นไป  แพที่อยู่อาศัยและสัตว์พาหนะ  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา  491 ประกอบมาตรา  456  วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์  ข้ออ้างของนายมิถุนาทั้ง  3  ประการรับฟังได้หรือไม่  และช้างเชือกนี้นายพฤษภาจะได้คืนหรือไม่  วินิจฉัยได้ดังนี้

ประการที่  1  การที่นายมิถุนาอ้างว่าสัญญาขายฝากสมบูรณ์นั้นรับฟังได้หรือไม่  เห็นว่า  การที่นายพฤษภาได้นำช้างไปขายฝากไว้กับนายมิถุนาโดยทำสัญญากันเอง  เมื่อไม่ปรากฏว่าได้มีการจดทะเบียนการขายฝากต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  สัญญาขายฝากช้างซึ่งเป็นสัตว์พาหนะและเป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษย่อมมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา  491  ประกอบมาตรา  456  วรรคแรก  ดังนั้นข้ออ้างของนายมิถุนากรณีนี้จึงรับฟังไม่ได้

ประการที่  2  การที่นายมิถุนาอ้างว่านายพฤษภาไปขอไถ่ช้างคืนเกินกำหนดเวลาไถ่นั้นรับฟังได้หรือไม่  เห็นว่า  แม้ตามมาตรา  494(2)  จะได้กำหนดไว้ว่าในการไถ่ทรัพย์สินซึ่งขายฝากนั้น  ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์จะต้องไถ่คืนภายในกำหนด  3  ปี  นับแต่เวลาซื้อขาย  แต่เมื่อคู่กรณีได้ตกลงกันไว้ว่าให้ไถ่คืนภายในกำหนด  1  ปีจึงต้องเป็นไปตามที่คู่กรณีได้ตกลงกันไว้  เมื่อนายพฤษภามาขอไถ่ช้างคืนเมื่อเวลาผ่านไป  1  ปี  1  วัน  จึงถือว่าเกิดกำหนดเวลาไถ่  ดังนั้นข้ออ้างของนายมิถุนากรณีนี้จึงรับฟังได้

ประการที่  3  การที่นายมิถุนาอ้างว่านายพฤษภามาขอไถ่ช้างคืนโดยใช้สินไถ่ไม่ครบนั้นรับฟังได้หรือไม่  เห็นว่า  ตามมาตรา  499  วรรคสองนั้นได้วางหลักไว้ว่า  ถ้าปรากฏในเวลาไถ่ว่าสินไถ่หรือราคาขายฝากที่กำหนดไว้สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราร้อยละ  15  ต่อปี  ให้ไถ่ได้ตามราคาขายฝากที่แท้จริงรวมประโยชน์ตอบแทนร้อยละ  15  ต่อปี  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  คู่สัญญาได้ตกลงขายฝากช้างในราคา  1  ล้านบาท  และตกลงสินไถ่ในราคา  2  ล้านบาทนั้น  ถือว่าเป็นการกำหนดสินไถ่สูงกว่าราคาขายฝากที่แท้จริงเกินอัตราที่กฎหมายได้กำหนดไว้ในมาตรา  499  วรรคสอง  ดังนั้นนายพฤษภาย่อมมีสิทธิไถ่ช้างคืนได้ในราคา  1  ล้าน  1  แสน  5  หมื่นบาท  ข้ออ้างของนายมิถุนาที่ว่าสินไถ่ไม่ครบจึงรับฟังไม่ได้

ส่วนประเด็นที่ว่า  ช้างเชือกนี้นายพฤษภาจะได้คืนหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อสัญญาขายฝากเป็นโมฆะ  ผลของการเป็นโมฆะย่อมทำให้คู่กรณีตามสัญญาขายฝากนั้นกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนว่ามิได้มีการทำสัญญาขายฝากใดๆต่อกัน  ดังนั้นนายมิถุนาจึงต้องส่งมอบช้างคืนให้นายพฤษภา  และนายพฤษภาก็จะต้องคืนเงินค่าขายฝากช้าง  1  ล้านบาทให้แก่นายมิถุนา  ทั้งนี้ตามบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้

สรุป  ข้ออ้างของนายมิถุนาที่ว่าสัญญาขายฝากสมบูรณ์และสินไถ่ไม่ครบนั้นรับฟังไม่ได้  แต่ข้ออ้างที่ว่าเกินกำหนดเวลาไถ่นั้นรับฟังได้  และช้างเชือกนี้นายพฤษภาจะได้คืน  แต่ต้องคืนเงินค่าขายฝาก  1  ล้านบาทให้แก่นายมิถุนา

WordPress Ads
error: Content is protected !!