LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 2/2547

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงโครงสร้างของประเทศสหรัฐอเมริกา  ระบบการปกครองและการจัดตั้งสถาบันการปกครองหลักของประเทศดังกล่าวมาโดยละเอียด

ธงคำตอบ

ประเทศสหรัฐอเมริกา  ถือว่าเป็นแม่แบบของการปกครองในระบบประธานาธิบดี  โดยเป็นประเทศที่มีโครงสร้างแบบรัฐรวมในลักษณะของการรวมตัวแบบเหนียวแน่น  ที่เรียกว่า  สหพันธรัฐ  หรือเรียกสั้นๆว่า  สหรัฐ  ซึ่งเป็นการรวมตัวกันโดยใช้เกณฑ์แห่งความเสมอภาคระหว่างรัฐใหญ่กับรัฐเล็กที่เป็นสมาชิก  รัฐสมาชิกดังกล่าวยินยอมที่จะสูญเสียอำนาจบางประการให้กับศูนย์กลางแห่งอำนาจ  ยอมให้มีการกำหนดเกณฑ์ในการใช้อำนาจปกครองร่วมกัน  โดยมีการสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นที่เรียกว่า  รัฐธรรมนูญใหม่  หรือ  รัฐธรรมนูญกลาง

ลักษณะสำคัญของการปกครองในระบบประธานาธิบดี  มี  2  ประการ  คือ

1       ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน

2       มีการแบ่งแยกอำนาจกันค่อนข้างเด็ดขาดระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร  กล่าวคือ  เป็นอิสระจากกัน  ไม่มีมาตรการล้มล้างซึ่งกันและกัน  ดังนั้นสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่มีอำนาจในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร  และในทางกลับกันฝ่ายบริหารก็ไม่มีอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร  สังเกตว่าในข้อนี้จะแตกต่างจากการปกครองในระบบรัฐสภาอย่างชัดเจน

การจัดตั้งสถาบันการปกครองของสหรัฐอเมริกา  มีดังนี้

ก.      สถาบันนิติบัญญัติ  (สภาคองเกรส)

รัฐสภาอเมริกัน  เรียกว่า  สภาคองเกรส (Zcongress)  ประกอบด้วย  2  สภา คือ

1       สภาผู้แทนราษฎร  ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากกการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  แบบเสียงข้างมากรอบเดียว  มีวาระในการดำลงตำแหน่ง  2  ปี  มีจำนวนทั้งสิ้น  435  คน  รวมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของศูนย์กลางแห่งอำนาจหรือที่เรียกว่า  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพิเศษของวอชิงตัน  ดี.ซี.  อีก  3  คน  ฉะนั้นจึงมีจำนวนทั้งหมด  438 คน

คุณสมบัติของผู้สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  คือ  ต้องมีอายุ  25  ปีขึ้นไป  และมีสัญชาติอเมริกันมาแล้วอย่างน้อย  7  ปี

2       สภาสูงหรือวุฒิสภา  ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน  2  คนต่อ  1  มลรัฐ  รวมทั้งสิ้นจำนวน  100 คน  มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  มีวาระการดำรงตำแหน่ง  6  ปี  แต่สมาชิก  1  ใน  3  ของทั้งหมดจะต้องจับถูกสลากออกไปสมัครเข้ารับการเลือกตั้งใหม่ทุกๆ  2  ปี  ในระหว่างที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

คุณสมบัติของผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา คือ  ต้องมีอายุตั้งแต่  30  ปีขึ้นไปและได้สัญชาติอเมริกันมาแล้ว  9  ปีขึ้นไป

สมาชิกของสภาคองเกรสได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองเช่นเดียวกับสมาชิกของสภาทั่วๆไปในรัฐสมัยใหม่  นอกจากนี้ยังได้รับการยกเว้นภาษี  ค่าใช้จ่ายของเลขานุการ  เงื่อนไขในการทำงานของสมาชิกสภาคองเกรสยังดีกว่าสมาชิกของประเทศอื่นๆโดยเฉพาะทางด้านข้อมูลข่าวสาร

อำนาจหน้าที่ของสภาเกรส

1       อำนาจในการตรากฎหมายและการตรากฎหมายเกี่ยวกับงบประมาณ  ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่างมีอำนาจในเรื่องนี้อย่างเท่าเทียมกัน  ยกเว้นในเรื่องที่เกี่ยวกับภาษีอากรจะต้องริเริ่มโดยสภาผู้แทนราษฎร

2       อำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ  การริเริ่มการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีได้ทั้งจากสภาคองเกรส  หรือจากสภานิติบัญญัติของมลรัฐต่างๆ

3       อำนาจในการเลือกตั้งแทน  เมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี  และรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  ถ้าปรากฏว่าผู้สมัครได้รับคะแนนเสียงเท่ากัน  กรณีนี้สภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้ใช้สิทธิเลือกประธานาธิบดีส่วนวุฒิสภาก็จะใช้สิทธิเลือกรองประธานาธิบดี

4       อำนาจอื่นๆของสภาคองเกรส  เช่น  ดูแลการบริหารของหน่วยงานบริการสาธารณสุขตลอดจนเจ้าหน้าที่ของสหรัฐอเมริกา

อำนาจหน้าที่เฉพาะของสภาสูงหรือวุฒิสภาของอเมริกา

1       ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของสหพันธรัฐ

2       ให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศ  โดยต้องได้รับการให้สัตยาบันจากสภาสูงด้วยคะแนนเสียง  2  ใน  3

ข.      สถาบันบริหารของสหรัฐอเมริกา

ฝ่ายบริหารจะมีประธานาธิบดีเป็นผู้นำสูงสุด  ซึ่งมีความเป็นอิสระจากรัฐมนตรีทั้งปวง  โดยประธานาธิบดีจะเป็นทั้งประมุขของรัฐและเป็นหัวหน้ารัฐบาล

ในสหรัฐอเมริกามีพรรคการเมืองใหญ่ๆ  อยู่เพียง  2  พรรค  คือ  พรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต  ที่มีโอกาสสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่บริหารประเทศ  โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้นถือว่าเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม  กล่าวคือ  ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง  เรียกว่า  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  (Big  Elector)  เพื่อทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี  ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้

การเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีได้รับเลือกมาพร้อมกันในรูปแบบของ  “Ticket”  เดียวกันโดยได้รับเลือกจากประชาชน  มีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่  1 

พรรคการเมืองทั้ง  2  พรรคดังกล่าว  จะคัดเลือกตัวแทนของแต่ละพรรคในแต่ละมลรัฐ  ซึ่งมีทั้งหมด  50  มลรัฐ  เพื่อส่งเข้าประชุมร่วมกันในระดับชาติ หรือเรียกกันว่าเป็นการประชุมระดับ  Convention  เพื่อให้คนที่มาประชุมร่วมกันของแต่ละพรรคนั้นทำการคัดเลือกบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะส่งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี  เมื่อได้ตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแล้ว  ผู้ที่ได้รับเลือกมีสิทธิเลือกบุคคลที่จะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วย

ขั้นตอนที่  2 

กำหนดให้ประชาชนชาวอเมริกันในแต่ละมลรัฐไปทำการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งคามบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่  ซึ่งบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่นี้ในแต่ละมลรัฐจะแตกต่างกันในเรื่องของจำนวน  ทั้งนี้จำนวนสมาชิกของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ที่จะมีได้ในแต่ละมลรัฐนั้นจะมีลักษณะเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  อย่างเช่น  มลรัฐแคลิฟอร์เนีย  สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 30  คน  และสมาชิกวุฒิสภาอีก  2  คน  ดังนั้นรวมแล้วได้  32  คน  ดังนั้นทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตซึ่งอยู่ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียจะทำบัญชีรายชื่อคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของตนในมลรัฐนี้ขึ้นพรรคละ  32  รายชื่อ  เพื่อเสนอต่อประชาชนในมลรัฐให้เลือกเข้ามา  ฉะนั้นหากประชาชนนิยมผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคใด  ก็จะลงคะแนนให้แก่บุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น  และจะต้องเลือกทั้ง  32  คนของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น  เมื่อลงคะแนนเสร็จก็จะได้สรุปว่าพรรคใดจะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คณะผู้เลือกตั้งใหญ่

สำหรับ  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  นั้นมีทั้งหมด  538  คน  ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ  ซึ่งกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  (435 + 3 + 100 )  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ข้างมากและเด็ดขาด  คือ  จะต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป

ดังนั้นจะเห็นว่า  หลังจากการเลือกตั้งคณะผู้เลือกตั้งใหญ่เสร็จลงแล้วรวมคะแนนจาก  50  มลรัฐของแต่ละพรรค  ถ้าปรากฏว่าพรรคใดได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ถึง  270  เสียง  คือ  เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด  (กึ่งหนึ่ง  269)  ก็จะทำให้ทราบทันทีว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคดังกล่าวย่อมได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี

ขั้นตอนที่  3

ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะผู้เลือกตั้งใหญ่ทั้งหมดจำนวน  538  คนไปออกเสียงลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  ซึ่งก็แน่นอนว่าคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของแต่ละพรรคก็จะลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครของพรรคตน  ดังนั้นสมมุติว่าพรรคเดโมแครตได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป  ก็หมายความว่า  ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคแดโมแครตย่อมจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

โดยที่ประชุมของสภาคองเกรส  จะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการว่าใครเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  และหลังจากนั้นก็จะมีพิธีการอย่างเป็นทางการในการเข้าสู่ตำแหน่งของประมุขฝ่ายบริหาร

วาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี  ก็คือ  4  ปี  ในกรณีที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเกิดว่างลงหรือไม่สามารถบริหารประเทศได้โดยสิ้นเชิง  รองประธานาธิบดีจะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนที่  และมีอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับประธานาธิบดี

ค.      สถาบันตุลาการ  (ศาลยุติธรรมสูงสุด)

ศาลสูงสุดของอเมริกา  ได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดี แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูงโดยหน้าที่หลักๆของศาลสูงสุดของอเมริกา  ได้แก่

1       ควบคุมดูแลมิให้กฎหมายอื่นใดมาขัด  หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญกลาง

2       พิจารณาพิพากษาในกรณีมีการกล่าวหาทูต  กงสุล  รัฐมนตรี  หรือรัฐสมาชิก

 

ข้อ  2  ท่านมีความเข้าใจเกี่ยวกับหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญอย่างไร  และตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน  ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่  อย่างไร  ขอให้ท่านอธิบายมาพอสังเขป

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญโดยทั่วไปแล้ว  หมายถึง  บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่มีศักดิ์ทางกฎหมายสูงกว่ากฎหมายอื่นใด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีศักดิ์สูงกว่าพระราชบัญญัติ  อย่างไรก็ตามหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญนี้ไม่ได้มีการยอมรับเสมอไป  โดยจำเป็นที่จะต้องแยกถึงความแตกต่างระหว่างรัฐธรรมนูญที่มิได้บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร  และที่บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร

สำหรับรัฐธรรมนูญที่มิได้บัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น  รัฐธรรมนูญมีศักดิ์เท่ากับกฎหมายธรรมดา  การเป็นรัฐธรรมนูญก็เพียงเพราะมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างไปจากกฎหมายธรรมดาเท่านั้น

ในทางตรงกันข้าม  ในประเทศที่มีรัฐธรรมนูญเป็นลายลักษณ์อักษร  จะถือว่าบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญมีศักดิ์สูงกว่าบทบัญญัติในกฎหมายอื่นๆ  และถือเป็นกฎหมายสูงสุด  ซึ่งกฎหมายธรรมดาจำต้องเคารพบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ  โดยจะไปขัดหรือแย้งหรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญไม่ได้  กฎหมายหรือแม้แต่กฎซึ่งออกโดยฝ่ายบริหาร  ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญมีผลเป็นโมฆะ  และไม่มีผลในทางกฎหมายแต่อย่างใด

ประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  ถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด  กฎหมายอื่นๆจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้  (ตามมาตรา  6)  องค์กรที่ควบคุมกฎหมายมิให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ  ได้แก่  ศาลรัฐธรรมนูญ  ซึ่งอาจแยกวิธีการในการควบคุมได้เป็น  2  กรณี  คือ

1       กรณีการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญก่อนที่จะมีการประกาศใช้

เมื่อร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ  หรือร่างพระราชบัญญัติใดที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว  หรือถือว่าให้ความเห็นชอบแล้ว  ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญหรือร่างพระราชบัญญัตินั้นขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อนถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย  (มาตรา  262)

(1) หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  สมาชิกวุฒิสภา  หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันมีจำนวนไม่น้อยกว่า  1  ใน  10  ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา  เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ  หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร  ประธานวุฒิสภา  หรือประธานรัฐสภา  แล้วแต่กรณี  แล้วให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับคาวามเห็นดังกล่าว  ส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย  และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า

(2) หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  สมาชิกวุฒิสภา  หรือสมาชิกทั้งสองสภารวมกันมีจำนวนไม่น้อยกว่า  20  คน  เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ  หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้  ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร  ประธานวุฒิสภา  หรือประธานรัฐสภาแล้วแต่กรณี  แล้วให้ประธานสภาที่ได้รับความเห็นดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย  และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า 

(3) หากนายกรัฐมนตรีเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติ  หรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ  หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ  ให้ส่งความเห็นเช่นว่านั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย  และแจ้งให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร  และประธานวุฒิสภาทราบโดยไม่ชักช้า

อนึ่ง  ในระหว่างที่ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย  นายกรัฐมนตรีจะต้องระงับการดำเนินการเพื่อประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัติ  หรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวไว้จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

2       กรณีการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดรัฐธรรมนูญภายหลังที่มีการประกาศใช้

มาตรา  264  ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด  ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  6  และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น  ให้ศาลรอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว  และส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย

ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าคำโต้แย้งของคู่ความตามวรรคหนึ่งไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย  ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาก็ได้

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง  แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้ว

มาตรา  198  ในกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย

นอกจากนี้ยังมีกรณีอื่นๆเช่น  ตามมาตรา  219  ที่บัญญัติให้ก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภาจะได้อนุมัติพระราชกำหนดใดตามมาตรา  218  วรรคสาม  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภา  มีสิทธิเข้าชื่อเสนอความเห็นต่อประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกว่าพระราชกำหนดนั้นไม่เป็นไปตามมาตรา  218  วรรคหนึ่ง  กล่าวคือ  การออกพระราชกำหนดของคณะรัฐมนตรี  มิได้ออกมาเพื่อรักษาความปลอดภัยของประเทศ  ความปลอดภัยสาธารณะ  ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ  หรือป้องกันภัยพิบัติสาธารณะนั่นเอง  โดยให้ประชาชนแห่งสภาที่ได้รับความเห็นดังกล่าวส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย

 

ข้อ  3  จงอธิบายกระบวนตราพระราชกำหนด

ธงคำตอบ

พระราชกำหนด  เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหาร  ซึ่งเป็นการบัญญัติกฎหมายในกรณีพิเศษโดยไม่ต้องอาศัยกระบวนการนิติบัญญัติธรรมดา  และพระราชกำหนดดังกล่าวนี้มีศักดิ์ฐานะเทียบเท่ากับพระราชบัญญัติที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติเลยทีเดียว

พระราชกำหนดมี  2  ประเภท

1       พระราชกำหนดทั่วไป  เป็นกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นว่ามีเหตุฉุกเฉิน  จำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้  จึงออกพระราชกำหนดเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ  ความปลอดภัยสาธารณะ  ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ  หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ  (มาตรา  218)

2       พระราชกำหนดเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา  เป็นการออกพระราชกำหนดในระหว่างสมัยประชุมสภา  ซึ่งถ้ามีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตราที่จะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับ  นายกรัฐมนตรีสามารถนำร่างพระราชกำหนดทูลเกล้าฯ  ให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยใช้บังคับได้  (มาตรา  220)

กระบวนการในการตราพระราชกำหนด

–                    ผู้มีอำนาจเสนอร่างพระราชกำหนด  คือ  รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกำหนดนั้น

–                    ผู้มีอำนาจพิจารณาร่างพระราชกำหนด  คือ  คณะรัฐมนตรี

–                    ผู้มีอำนาจตราพระราชกำหนด  คือ  พระมหากษัตริย์

–                    เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว  พระราชกำหนดก็ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้

อนึ่ง  รัฐธรรมนูญกำหนดให้พระราชกำหนดเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว  คณะรัฐมนตรีจะต้องมีการเสนอพระราชกำหนดดังกล่าวให้รัฐสภาอนุมัติอีกครั้งหนึ่ง  โดยแยกพิจารณาตามประเภทของพระราชกำหนดได้ดังนี้

พระราชกำหนดทั่วไป  คณะรัฐมนตรีต้องเสนอพระราชกำหนดต่อรัฐสภาในการประชุมรัฐสภาคราวต่อไป  เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาโดยไม่ชักช้า

พระราชกำหนดเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา  คณะรัฐมนตรีจะต้องนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรภายใน  3  วัน  นับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ผลของการอนุมัติหรือไม่อนุมัติพระราชกำหนด

1       กรณีที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาอนุมัติพระราชกำหนดให้มีผลใช้บังคับเป็นพระราชบัญญัติต่อไป

2       กรณีสภาผู้แทนราษฎรไม่อนุมัติ  พระราชกำหนดนั้นเป็นอันตกไป  แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนกิจการที่เป็นไปในระหว่างที่ใช้พระราชกำหนดนั้น

3       กรณีที่สภาผู้แทนราษฎรอนุมัติพระราชกำหนด  แต่วุฒิสภาไม่อนุมัติ  และสภาผู้แทนราษฎรยืนยันการอนุมัติด้วยคะแนนเสียงไม่มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร  ให้พระราชกำหนดนั้นตกไป  แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนกิจการที่ได้เป็นไปในระหว่างที่ใช้พระราชกำหนดนั้น

4       กรณีที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาอนุมัติพระราชกำหนด  หรือวุฒิสภาไม่อนุมัติและสภาผู้แทนราษฎรยืนยันการอนุมัติด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร  ให้พระราชกำหนดนั้นมีผลใช้บังคับเป็นพระราชบัญญัติต่อไป

 

ข้อ  4  คณะรัฐมนตรีได้เสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ  มาตรา  107(3)  แก้ไขเป็น  ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  ต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาโทหรือเทียบเท่า  ต่อมาประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในจังหวัดน่านไม่น้อยกว่า  5  หมื่นคน  เห็นว่าเป็นการขอแก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญตามมาตรา  30  เรื่องความเสมอภาคของบุคคลในกฎหมาย  จึงได้ร่วมกันเข้าชื่อร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณาว่า  ร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของคณะรัฐมนตรี  ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่  และยังได้ร่วมกันเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาเพื่อขอเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ  มาตรา  107(3)  จากเดิมแก้ไขเป็น  ให้ผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลาย  เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาโดยทั้งนี้ได้จัดทำเป็นร่างรัฐธรรมนูญฯ  เสนอมาด้วย  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าตามรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.  2540  ในกรณีดังกล่าวนี้ การเสนอญัตติของคณะรัฐมนตรีชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่  และประชาชนจำนวนดังกล่าวนี้สามารถจะยื่นเรื่องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยได้หรือไม่อย่างไร  รวมทั้งสามารถร่วมกันเข้าชื่อเพื่อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  313  การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจะกระทำได้ก็แต่โดยอาศัยหลักเกณฑ์และวิธีการดังต่อไปนี้

(1) ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี  หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร  หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะเสนอหรือร่วมเสนอญัตติดังกล่าวด้เมื่อพรรคการเมืองที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นสังกัดมีมติให้เสนอได้

ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐจะเสนอมิได้

มาตรา  170  ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคน  มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาพิจารณากฎหมายตามที่กำหนดในหมวด  3 และหมวด  5  แห่งรัฐธรรมนูญนี้

การเสนอญัตติของคณะรัฐมนตรีชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ  ตามมาตรา  313  และกรณีดังกล่าวนี้ก็ไม่เป็นญัตติขอแกไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นข้อห้ามตามมาตรา  313  วรรค  2  ที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐแต่อย่างใด

ส่วนกรณีที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยกว่า  5  หมื่นคน  จะยื่นเรื่องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของคณะรัฐมนตรีขัดหรือแย้งรัฐธรรมนูญหรือไม่นั้น  ในกรณีดังกล่าวนี้ไม่มีบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฯ  หรือกฎหมายอื่นใดที่ให้สิทธิหรืออำนาจแก่ประชาชนจำนวนดังกล่าวในการที่จะยื่นเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยในกรณีนี้ได้

นอกจากนี้ตามบทบัญญัติมาตรา  313  ก็ไม่ได้ให้สิทธิแก่บุคคลใดในการเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในกรณีนี้  ดังนั้นในการร่วมกันเข้าชื่อของประชาชนจำนวนดังกล่าวเพื่อเสนอญัตติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญจึงไม่สามารถกระทำได้  และกรณีก็ไม่ใช่เป็นการใช้สิทธิตามมาตรา  170  เพื่อร้องขอให้รัฐสภาพิจารณากฎหมายตามที่กำหนดไว้ในหมวด  3  (สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย)  และหมวด  5  (แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ)แต่อย่างใด 

 

LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง ภาคฤดูร้อน/2547

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงหลักการแบ่งแยกอำนาจ  ตามแนวคิดของมองเตสกิเออร์  ปราชญ์ชาวฝรั่งเศส  พร้อมทั้งอธิบายถึงระบบการปกครองทั้ง  3  ระบบ  ที่เกิดจากแนวคิดดังกล่าวมาตามที่เข้าใจ  พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

มองเตสกิเออ  (Montesquieu)  เป็นนักปรัชญาทางกฎหมายชาวฝรั่งเศสที่ได้ให้ความเห็นในเรื่องของอำนาจอธิปไตยไว้ในตำราที่มีชื่อว่า  เจตนารมณ์ทางกฎหมาย  หรือ  De  l’Esprit  Lois  ซึ่งตำราเล่มนี้กล่าวว่า  อำนาจอธิปไตยที่รัฐได้รับจากประชาชนเพื่อทำการปกครองประเทศนั้นมีอยู่ด้วยกัน  3  อำนาจคือ

1       อำนาจนิติบัญญัติ  เป็นอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับแบประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย  ซึ่งในที่นี่หมายถึงรัฐสภา

2       อำนาจบริหาร  เป็นอำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย  ซึ่งได้แก่  ผู้บริหารหรือคณะรัฐบาล

3       อำนาจตุลาการ  เป็นอำนาจในการตัดสินใจและการพิพากษาอรรถคดี  ซึ่งองค์กรสำคัญที่ใช้อำนาจตุลาการ  ได้แก่  ศาล

มองเตสกิเออ  มีความเห็นว่า  อำนาจทั้ง  3  อำนาจนี้ควรจะต้องแบ่งแยกออกจากกันเป็นอิสระ  เพราะถึงแม้ว่าผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐจะได้มาจากประชาชนโดยการเลือกตั้งก็ตาม  แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าคณะผู้ทำการปกครองประเทศจะไม่หลงในอำนาจ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่มีการแยกอำนาจดังกล่าวออกจากกัน  ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้แก่ผู้ปกครองประเทศ  ซึ่งเป็นคณะบุคคลฝ่ายเดียวใช้อำนาจต่างๆ  โดยไม่มีขอบเขต

กล่าวคือ  ถ้าให้ฝ่ายบริหารออกกฎหมายได้เสียเองด้วย  กฎหมายที่ออกมาก็อาจจะมีความไม่เป็นธรรม  แต่จะมีลักษณะที่จะทำให้การบริหารเป็นไปได้โดยสะดวก

และถ้าหากฝ่ายบริหารยังมีอำนาจในการพิพากษาคดีอีกด้วย  ก็จะทำให้อำนาจอธิปไตยของรัฐตกอยู่กับคณะบุคคลเพียงฝ่ายเดียว  ซึ่งการปกครองประเทศก็จะกลายเป็นการปกครองที่ผิดรูปไปจากการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  เพราะเป็นการรวมอำนาจต่างๆมาขึ้นอยู่กับคณะบุคคลกลุ่มเดียวเท่านั้น

มองเตสกิเออ  มีความเห็นว่า  อำนาจเท่านั้นที่จะหยุดยั้งอำนาจได้  และมองเตสกิเออได้ถือหลักการนี้มาเป็นข้อแนะนำให้มีการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยออกเป็นอิสระจากกัน

จากแนวคิดของมองเตสกิเออนี้ทำให้เกิดระบบการปกครองขึ้น  3  ระบบ  คือ

1       ระบบรัฐสภา

2       ระบบประธานาธิบดี

3       ระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี

ระบบรัฐสภา

ในระบบรัฐสภาก็ได้มีการคำนึงถึงการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันนี้  จึงได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญให้ฝ่ายนิติบัญญัติโดยสภาผู้แทนราษฎรมีมาตรการที่จะล้มล้างฝ่ายบริหารได้  ล้มล้างในที่นี้คือ  ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร  แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติเปิดอภิปรายฝ่ายบริหารได้อย่างเดียวเท่านั้น  รัฐธรรมนูญยังให้อำนาจฝ่ายบริหารในการที่จะโต้ตอบฝ่ายนิติบัญญัติโดยการยุบสภาตรงนี้ก็คือแนวความคิดในเรื่องอำนาจเท่านั้นที่จะหยุดยั้งอำนาจเดียวกันได้หรือการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน

ระบบประธานาธิบดี

ระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  การจัดตั้งองค์กรทั้ง  3  องค์กรนั้นมีการจัดตั้งที่เป็นอิสระจากกันมากที่สุดเท่าที่จะมากได้  ส่งผลให้เขาบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า  เมื่อฝ่ายบริหารได้รับเลือกตั้งแล้วประธานาธิบดีหรือรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อมจะต้องรอดพ้นจากการถูกขับไล่โดยการลงมติไม่ไว้วางใจจากฝ่ายนิติบัญญัติรัฐสภา  กล่าวคือ  สภาผู้แทนราษฎรในสหรัฐอเมริกาไม่มีสิทธิเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวประธานาธิบดี  และในขณะเดียวกันฝ่ายบริหารหรือประธานาธิบดีก็จะประกาศยุบสภาไม่ได้เช่นกัน  จึงถือว่าการถ่วงดุลอำนาจในระบบประธานาธิบดีนี้มีการแบ่งแยกอำนาจกันค่อนข้างเด็ดขาด

ระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี

ในระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี  ประเทศฝรั่งเศสได้นำการปกครองทั้งสองระบบข้างต้นมาใช้ในการปกครองรูปแบบของตน  โดยได้นำเอาส่วนดีทั้งสองระบบมาผสมผสานกันจึงเกิดระบบการปกครองนี้ขึ้นมาโดยรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสได้บัญญัติจำแนกฝ่ายบริหารออกเป็นสองส่วนคือ

ส่วนแรก  คือ  ประธานาธิบดี  ซึ่งประธานาธิบดีไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภา  นั่นคือ  ไม่ต้องกลัวว่าสภาจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ  เหมือนกันกับระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา

ส่วนที่สอง  คือ  คณะรัฐบาล  ได้บัญญัติให้คณะรัฐบาลต้องรับผิดต่อสภาเหมือนกันกับการปกครองในระบบรัฐสภา

เพราะฉะนั้น  ฝ่ายนิติบัญญัติหรือสภาผู้แทนราษฎรของฝรั่งเศสอาจยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี  แต่เปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจตัวประธานาธิบดีไม่ได้  ตรงนี้ก็คือการเอาการถ่วงดุลอำนาจของทั้งสองระบบมารวมเข้าด้วยกัน

 

ข้อ  2  ให้อธิบายถึงระบบการปกครองของประเทศฝรั่งเศส  และวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งของฝ่ายบริหาร  (ประธานาธิบดี  รัฐบาล)  มาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

รูปแบบการปกครองของประเทศฝรั่งเศส  ปัจจุบันมีลักษณะเป็นรูปแบบการปกครองแบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี  เนื่องจากมีการนำเอารูปแบบการปกครองทั้งสองระบบมาผสมผสานกัน

หลักการที่ลอกเลียนมาจากระบบรัฐสภา  ได้แก่  หลักการที่ฝ่ายบริหารแยกเป็น  2  องค์กร  คือ  องค์กรประมุขแห่งรัฐ  และองค์กร คณะรัฐมนตรี  ที่มีบรรดารัฐมนตรีทั้งหลาร่วมกันบริหารรัฐกิจ  แล้วแสดงออกในนามของรัฐมนตรี

นอกจากนี้ยังมีหลักการที่ว่า  คณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบในทางการเมืองต่อฝ่ายนิติบัญญัติ กล่าวคือ  ฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจถอดถอนคณะรัฐมนตรี  โดยการแสดงออกซึ่งความไม่ไว้วางใจในการบริหารรัฐกิจของคณะรัฐมนตรี  แต่ไม่มีอำนาจถอดถอนประธานาธิบดี  ตรงกันข้ามประธานาธิบดีเองก็มีอำนาจยุบสภา

หลักการที่ลอกเลียนมาจากระบบประธานาธิบดี  ได้แก่  ความเป็นอิสระของประธานาธิบดีที่ไม่ต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายนิติบัญญัติ  ประธานาธิบดีจึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภา  ไม่อาจถูกถอดถอนโดยสภา  จึงสามารถบริหารงานอยู่ได้จนครบวาระนั่นเอง

สถาบันการปกครองของฝรั่งเศส

1       สถาบันบริหาร  แบ่งออกเป็น

1)    ประธานาธิบดี  มาจากการเลือกตั้งโยตรงจากประชาชนทั่วประเทศ  ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งแรกจะใช้การนับคะแนนแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด  นั่นคือ  ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง เช่น  มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง  20  ล้านคน  ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่จะได้เป็นประธานาธิบดีจะต้องได้คะแนนเสียง  สิบล้าน + 1 คะแนนขึ้นไป  (สิบล้านหนึ่งคน)  เป็นต้น  โดยในการเลือกตั้งครั้งแรกนี้  ถ้ามีผู้สมัครรับเลือกตั้งได้คะแนนเสียเกินกึ่งหนึ่งแล้วก็ไม่ต้องมีการเลือกตั้งครั้งที่สอง

แต่ถ้าในการเลือกตั้งครั้งแรก  ไม่มีผู้ใดได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง  ก็จะทำการเลือกตั้งในครั้งที่สอง  โดยจะให้ผู้ที่ได้คะแนนเสียงเลือกตั้งลำดับที่  1  และลำดับที่  2  ในครั้งแรกเท่านั้นที่จะมีสิทธิลงสมัครในการเลือกตั้งครั้งที่สองนี้ได้  ซึ่งในการนับคะแนนในครั้งที่สองนี้จะใช้การนับคะแนนแบบเสียงข้างมากธรรมดา  นั่นคือ  หนึ่งในสองคนนี้  ใครได้คะแนนมากกว่าก็ได้รับเลือกเข้าเป็นประธานาธิบดีเลย

ประธานาธิบดีของประเทศฝรั่งเศส  มีวาระในการดำรงตำแหน่ง  5  ปี  ทำหน้าที่เป็นทั้งประมุขของประเทศ  และในขณะเดียวกันก็เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารด้วย  (เหมือนกับประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา)

อำนาจหน้าที่ของประธานาธิบดี  แบ่งออกเป็น  2  ประเภท คือ

ประเภทแรก  อำนาจของประธานาธิบดีที่มีต่อองค์กรต่างๆ  ภายในรัฐ  เช่น  อำนาจในการแต่งตั้งนายกฯ  และคณะรัฐมนตรี  อำนาจในการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงหรือทูต  หรืออำนาจในการออกกฎหมายของฝ่ายบริหาร ฯลฯ

ประเภทที่สอง  อำนาจของประธานาธิบดีที่มีต่อรัฐสภา  เช่น  ลงนามในกฎหมายต่างๆ  หรือให้รัฐสภานำร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของสภาแล้วกัลป์ไปพิจารณาใหม่  อำนาจในการยุบสภาอำนาจในการที่จะสั่งให้มีการหยั่งเสียงประชามติ  และที่สำคัญที่สุดคือ ประธานาธิบดีมีอำนาจพิเศษตามรัฐธรรมนูญที่สามารถใช้อำนาจอธิปไตยได้อย่างเต็มที่เมื่อเกิดภาวะจำเป็นขึ้น  โดยมีเงื่อนไขว่าต้องได้ปรึกษากับสภาตุลาการรัฐธรรมนูญแล้ว

2)  คณะรัฐมนตรี  ประกอบด้วย  นายกรัฐมนตรี  และรัฐมนตรีทั้งหลาย  ซึ่งประธานาธิบดีจะเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งแล้วมอบให้ไปจัดตั้งคณะรัฐบาล  ซึ่งต้องไปแถลง

นโยบายขอความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร  ก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่  พึงสังเกตว่านายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส  มิได้มีอำนาจเท่าเทียมกับอำนาจของนายกรัฐมนตรีในระบบการปกครองแบบรัฐสภาทั้งนี้เพราะผู้ที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของฝรั่งเศสที่แท้จริงได้แก่ประธานาธิบดี  ที่ไม่จำต้องรับผิดชอบต่อสภา  แต่คณะรัฐมนตรีรวมทั้งนายกรัฐมนตรี  ต้องรับผิดชอบต่อสภาและอาจถูกสภาลงมติไม่ไว้วางใจได้

2       สภานิติบัญญัติ  แบ่งออกเป็น  2  สภา  ได้แก่

1)    สภาผู้แทนราษฎร  มีจำนวนสมาชิก  577  คน  มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน  มีวาระการดำรงตำแหน่ง  5  ปี

2)    วุฒิสภา  มีจำนวนสมาชิก  321  คน  มาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อม  มีวาระการดำรงตำแหน่ง  9  ปี  แต่จำนวนวุฒิสมาชิก  1  ใน  3  จะต้องออกจากตำแหน่งทุก  3  ปี

อำนาจของทั้งสองสภาเท่าเทียมกัน  เว้นแต่ร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงินจะต้องให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อน  และที่สำคัญคือ  อำนาจของสภาผู้แทนราษฎรที่จะลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐบาล

3       สถาบันอื่นๆ  เช่น

1)    สภาตุลาการรัฐธรรมนูญ  ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมมิให้กฎหมายอื่นใดมาขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ  (คล้ายกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของไทย)

2)    สภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและสังคม  ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลหรือสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจและสังคม

3)    ศาลยุติธรรมสูงสุด  ทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับการทรยศต่อประเทศ

 

ข้อ  3  รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  (พ.ศ. 2540)  ได้บัญญัติกฎเกณฑ์ในการที่จะดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้อย่างไร  ให้อธิบาย

ธงคำตอบ

งดให้ธงคำตอบสำหรับข้อนี้เพราะว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นฉบับพ.ศ. 2550

ข้อ  4  ให้อธิบายถึงกฎเกณฑ์ในการยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทยฉบับปัจจุบัน (พ.ศ. 2540)  มาโดยละเอียด

 ธงคำตอบ

งดให้ธงคำตอบสำหรับข้อนี้เพราะว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นฉบับพ.ศ. 2550

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง ภาคฤดูร้อน/2548

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงระบบการปกครองและวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งของฝ่ายบริหาร  (ประธานาธิบดีและคณะรัฐมนตรี)  ของประเทศฝรั่งเศสมาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

รูปแบบการปกครองของประเทศฝรั่งเศส  ปัจจุบันมีลักษณะเป็นรูปแบบการปกครองแบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี  เนื่องจากมีการนำเอารูปแบบการปกครองทั้งสองระบบมาผสมผสานกัน

หลักการที่ลอกเลียนมาจากระบบรัฐสภา  ได้แก่  หลักการที่ฝ่ายบริหารแยกเป็น  2  องค์กร  คือ  องค์กรประมุขแห่งรัฐ  และองค์กร คณะรัฐมนตรี  ที่มีบรรดารัฐมนตรีทั้งหลาร่วมกันบริหารรัฐกิจ  แล้วแสดงออกในนามของรัฐมนตรี

นอกจากนี้ยังมีหลักการที่ว่า  คณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบในทางการเมืองต่อฝ่ายนิติบัญญัติ กล่าวคือ  ฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจถอดถอนคณะรัฐมนตรี  โดยการแสดงออกซึ่งความไม่ไว้วางใจในการบริหารรัฐกิจของคณะรัฐมนตรี  แต่ไม่มีอำนาจถอดถอนประธานาธิบดี  ตรงกันข้ามประธานาธิบดีเองก็มีอำนาจยุบสภา

หลักการที่ลอกเลียนมาจากระบบประธานาธิบดี  ได้แก่  ความเป็นอิสระของประธานาธิบดีที่ไม่ต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายนิติบัญญัติ  ประธานาธิบดีจึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภา  ไม่อาจถูกถอดถอนโดยสภา  จึงสามารถบริหารงานอยู่ได้จนครบวาระนั่นเอง

สถาบันการปกครองของฝรั่งเศส

1       สถาบันบริหาร  แบ่งออกเป็น

1)    ประธานาธิบดี  มาจากการเลือกตั้งโยตรงจากประชาชนทั่วประเทศ  ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งแรกจะใช้การนับคะแนนแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด  นั่นคือ  ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง เช่น  มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง  20  ล้านคน  ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่จะได้เป็นประธานาธิบดีจะต้องได้คะแนนเสียง  สิบล้าน + 1 คะแนนขึ้นไป  (สิบล้านหนึ่งคน)  เป็นต้น  โดยในการเลือกตั้งครั้งแรกนี้  ถ้ามีผู้สมัครรับเลือกตั้งได้คะแนนเสียเกินกึ่งหนึ่งแล้วก็ไม่ต้องมีการเลือกตั้งครั้งที่สอง

แต่ถ้าในการเลือกตั้งครั้งแรก  ไม่มีผู้ใดได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง  ก็จะทำการเลือกตั้งในครั้งที่สอง  โดยจะให้ผู้ที่ได้คะแนนเสียงเลือกตั้งลำดับที่  1  และลำดับที่  2  ในครั้งแรกเท่านั้นที่จะมีสิทธิลงสมัครในการเลือกตั้งครั้งที่สองนี้ได้  ซึ่งในการนับคะแนนในครั้งที่สองนี้จะใช้การนับคะแนนแบบเสียงข้างมากธรรมดา  นั่นคือ  หนึ่งในสองคนนี้  ใครได้คะแนนมากกว่าก็ได้รับเลือกเข้าเป็นประธานาธิบดีเลย

ประธานาธิบดีของประเทศฝรั่งเศส  มีวาระในการดำรงตำแหน่ง  5  ปี  ทำหน้าที่เป็นทั้งประมุขของประเทศ  และในขณะเดียวกันก็เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารด้วย  (เหมือนกับประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา)

อำนาจหน้าที่ของประธานาธิบดี  แบ่งออกเป็น  2  ประเภท คือ

ประเภทแรก  อำนาจของประธานาธิบดีที่มีต่อองค์กรต่างๆ  ภายในรัฐ  เช่น  อำนาจในการแต่งตั้งนายกฯ  และคณะรัฐมนตรี  อำนาจในการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงหรือทูต  หรืออำนาจในการออกกฎหมายของฝ่ายบริหาร ฯลฯ

ประเภทที่สอง  อำนาจของประธานาธิบดีที่มีต่อรัฐสภา  เช่น  ลงนามในกฎหมายต่างๆ  หรือให้รัฐสภานำร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของสภาแล้วกัลป์ไปพิจารณาใหม่  อำนาจในการยุบสภาอำนาจในการที่จะสั่งให้มีการหยั่งเสียงประชามติ  และที่สำคัญที่สุดคือ  ประธานาธิบดีมีอำนาจพิเศษตามรัฐธรรมนูญที่สามารถใช้อำนาจอธิปไตยได้อย่างเต็มที่เมื่อเกิดภาวะจำเป็นขึ้น  โดยมีเงื่อนไขว่าต้องได้ปรึกษากับสภาตุลาการรัฐธรรมนูญแล้ว

2)  คณะรัฐมนตรี  ประกอบด้วย  นายกรัฐมนตรี  และรัฐมนตรีทั้งหลาย  ซึ่งประธานาธิบดีจะเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งแล้วมอบให้ไปจัดตั้งคณะรัฐบาล  ซึ่งต้องไปแถลง

นโยบายขอความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร  ก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่  พึงสังเกตว่านายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส  มิได้มีอำนาจเท่าเทียมกับอำนาจของนายกรัฐมนตรีในระบบการปกครองแบบรัฐสภาทั้งนี้เพราะผู้ที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของฝรั่งเศสที่แท้จริงได้แก่ประธานาธิบดี  ที่ไม่จำต้องรับผิดชอบต่อสภา  แต่คณะรัฐมนตรีรวมทั้งนายกรัฐมนตรี  ต้องรับผิดชอบต่อสภาและอาจถูกสภาลงมติไม่ไว้วางใจได้

2       สภานิติบัญญัติ  แบ่งออกเป็น  2  สภา  ได้แก่

1)    สภาผู้แทนราษฎร  มีจำนวนสมาชิก  577  คน  มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน  มีวาระการดำรงตำแหน่ง  5  ปี

2)    วุฒิสภา  มีจำนวนสมาชิก  321  คน  มาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อม  มีวาระการดำรงตำแหน่ง  9  ปี  แต่จำนวนวุฒิสมาชิก  1  ใน  3  จะต้องออกจากตำแหน่งทุก  3  ปี

อำนาจของทั้งสองสภาเท่าเทียมกัน  เว้นแต่ร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงินจะต้องให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อน  และที่สำคัญคือ อำนาจของสภาผู้แทนราษฎรที่จะลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐบาล

3       สถาบันอื่นๆ  เช่น

1)    สภาตุลาการรัฐธรรมนูญ  ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมมิให้กฎหมายอื่นใดมาขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ  (คล้ายกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของไทย)

2)    สภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและสังคม  ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลหรือสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจและสังคม

3)    ศาลยุติธรรมสูงสุด  ทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับการทรยศต่อประเทศ

 

ข้อ  2  ให้อธิบายถึงหลักการแบ่งแยกอำนาจตามแนวคิดของมองเตสกิเออร์  ปราชญ์ชาวฝรั่งเศส  พร้อมทั้งอธิบายถึงหลักการของระบบการปกครองต่างๆ  ที่เกิดจากแนวคิดดังกล่าวมาโดยสังเขป  พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

มองเตสกิเออ  (Montesquieu)  เป็นนักปรัชญาทางกฎหมายชาวฝรั่งเศสที่ได้ให้ความเห็นในเรื่องของอำนาจอธิปไตยไว้ในตำราที่มีชื่อว่า  เจตนารมณ์ทางกฎหมาย  หรือ  De  l’Esprit  Lois  ซึ่งตำราเล่มนี้กล่าวว่า  อำนาจอธิปไตยที่รัฐได้รับจากประชาชนเพื่อทำการปกครองประเทศนั้นมีอยู่ด้วยกัน  3  อำนาจคือ

1       อำนาจนิติบัญญัติ  เป็นอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับแบประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย  ซึ่งในที่นี่หมายถึงรัฐสภา

2       อำนาจบริหาร  เป็นอำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย  ซึ่งได้แก่  ผู้บริหารหรือคณะรัฐบาล

3       อำนาจตุลาการ  เป็นอำนาจในการตัดสินใจและการพิพากษาอรรถคดี  ซึ่งองค์กรสำคัญที่ใช้อำนาจตุลาการ  ได้แก่  ศาล

มองเตสกิเออ  มีความเห็นว่า  อำนาจทั้ง  3  อำนาจนี้ควรจะต้องแบ่งแยกออกจากกันเป็นอิสระ  เพราะถึงแม้ว่าผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐจะได้มาจากประชาชนโดยการเลือกตั้งก็ตาม  แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าคณะผู้ทำการปกครองประเทศจะไม่หลงในอำนาจ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่มีการแยกอำนาจดังกล่าวออกจากกัน  ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้แก่ผู้ปกครองประเทศ  ซึ่งเป็นคณะบุคคลฝ่ายเดียวใช้อำนาจต่างๆ  โดยไม่มีขอบเขต

กล่าวคือ  ถ้าให้ฝ่ายบริหารออกกฎหมายได้เสียเองด้วย  กฎหมายที่ออกมาก็อาจจะมีความไม่เป็นธรรม  แต่จะมีลักษณะที่จะทำให้การบริหารเป็นไปได้โดยสะดวก

และถ้าหากฝ่ายบริหารยังมีอำนาจในการพิพากษาคดีอีกด้วย  ก็จะทำให้อำนาจอธิปไตยของรัฐตกอยู่กับคณะบุคคลเพียงฝ่ายเดียว  ซึ่งการปกครองประเทศก็จะกลายเป็นการปกครองที่ผิดรูปไปจากการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  เพราะเป็นการรวมอำนาจต่างๆมาขึ้นอยู่กับคณะบุคคลกลุ่มเดียวเท่านั้น

มองเตสกิเออ  มีความเห็นว่า  อำนาจเท่านั้นที่จะหยุดยั้งอำนาจได้  และมองเตสกิเออได้ถือหลักการนี้มาเป็นข้อแนะนำให้มีการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยออกเป็นอิสระจากกัน

จากแนวคิดของมองเตสกิเออนี้ทำให้เกิดระบบการปกครองขึ้น  3  ระบบ  คือ

1       ระบบรัฐสภา

2       ระบบประธานาธิบดี

3       ระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี

ระบบรัฐสภา

ในระบบรัฐสภาก็ได้มีการคำนึงถึงการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันนี้  จึงได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญให้ฝ่ายนิติบัญญัติโดยสภาผู้แทนราษฎรมีมาตรการที่จะล้มล้างฝ่ายบริหารได้  ล้มล้างในที่นี้คือ  ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร  แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติเปิดอภิปรายฝ่ายบริหารได้อย่างเดียวเท่านั้น  รัฐธรรมนูญยังให้อำนาจฝ่ายบริหารในการที่จะโต้ตอบฝ่ายนิติบัญญัติโดยการยุบสภาตรงนี้ก็คือแนวความคิดในเรื่องอำนาจเท่านั้นที่จะหยุดยั้งอำนาจเดียวกันได้หรือการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน

ระบบประธานาธิบดี

ระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  การจัดตั้งองค์กรทั้ง  3  องค์กรนั้นมีการจัดตั้งที่เป็นอิสระจากกันมากที่สุดเท่าที่จะมากได้  ส่งผลให้เขาบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า  เมื่อฝ่ายบริหารได้รับเลือกตั้งแล้วประธานาธิบดีหรือรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อมจะต้องรอดพ้นจากการถูกขับไล่โดยการลงมติไม่ไว้วางใจจากฝ่ายนิติบัญญัติรัฐสภา  กล่าวคือ  สภาผู้แทนราษฎรในสหรัฐอเมริกาไม่มีสิทธิเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวประธานาธิบดี  และในขณะเดียวกันฝ่ายบริหารหรือประธานาธิบดีก็จะประกาศยุบสภาไม่ได้เช่นกัน  จึงถือว่าการถ่วงดุลอำนาจในระบบประธานาธิบดีนี้มีการแบ่งแยกอำนาจกันค่อนข้างเด็ดขาด

ระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี

ในระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี  ประเทศฝรั่งเศสได้นำการปกครองทั้งสองระบบข้างต้นมาใช้ในการปกครองรูปแบบของตน  โดยได้นำเอาส่วนดีทั้งสองระบบมาผสมผสานกันจึงเกิดระบบการปกครองนี้ขึ้นมาโดยรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสได้บัญญัติจำแนกฝ่ายบริหารออกเป็นสองส่วนคือ

ส่วนแรก  คือ  ประธานาธิบดี  ซึ่งประธานาธิบดีไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภา  นั่นคือ  ไม่ต้องกลัวว่าสภาจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ  เหมือนกันกับระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา

ส่วนที่สอง  คือ  คณะรัฐบาล  ได้บัญญัติให้คณะรัฐบาลต้องรับผิดต่อสภาเหมือนกันกับการปกครองในระบบรัฐสภา

เพราะฉะนั้น  ฝ่ายนิติบัญญัติหรือสภาผู้แทนราษฎรของฝรั่งเศสอาจยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี  แต่เปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจตัวประธานาธิบดีไม่ได้  ตรงนี้ก็คือการเอาการถ่วงดุลอำนาจของทั้งสองระบบมารวมเข้าด้วยกัน

 

ข้อ  3  ให้อธิบายถึงอำนาจในการถอดถอนจากตำแหน่งโดยวุฒิสภา  และหลักเกณฑ์ในการร้องขอให้ถอดถอนบุคคลตามมาตราดังกล่าวมาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

การถอดถอนจากตำแหน่งของผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง  มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฯ  มาตรา  303  ถึงมาตรา  307  ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้

1       ตำแหน่งที่จะถูกร้องขอให้ถอดถอนได้

1)    นกยกรัฐมนตรี

2)    รัฐมนตรี

3)    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.)

4)    สมาชิกวุฒิสภา  (ส.ว.)

5)    ประธานศาลฎีกา

6)    ประธานศาลรัฐธรรมนูญ

7)    ประธานศาลปกครอง

8)    อัยการสูงสุด

9)    กรรมการการเลือกตั้ง

10)                       ผู้ตรวจการแผ่นดิน

11)                       ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

12)                       กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

13)                       ผู้พิพากษาหรือตุลาการ  พนักงานอัยการ  หรือผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงตามที่กฎหมายกำหนด

 2       พฤติการณ์ที่จะถูกร้องขอให้ถอดถอน

ผู้ดำรงตำแหน่งตามข้อ  1  ผู้ใดมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ  ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม  หรือส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย  วุฒิสภามีอำนาจถอดถอนผู้นั้นออกจากตำแหน่งได้

3       ผู้มีสิทธิร้องขอให้ถอดถอน

1)    ส.ส.  จำนวนไม่น้อยกว่า  1  ใน  4  ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรร้องขอต่อประธานวุฒิสภา

2)    ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า  50,000  คน  มีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภา

3)    ส.ว.  จำนวนไม่น้อยกว่า  1  ใน  4  ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภามีสิทธิเข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภา  ถอดถอน  ส.ว.  ออกจากตำแหน่งได้  ส.ว.  จะร้องขอถอดถอนตำแหน่งอื่นมิได้

4       กระบวนการในการถอดถอน

เมื่อประธานวุฒิสภาได้รับคำร้องขอแล้วจะดำเนินการต่อไป  ดังนี้

1)    ส่งเรื่องให้  ป.ช.ช.  ดำเนินการไต่สวน

2)    เมื่อไต่สวนเสร็จ  ป.ช.ช.  ส่งรายงานให้วุฒิสภา  ถ้า  ป.ช.ช.  มีมติว่าข้อกล่าวหาใดมีมูลนับแต่วันดังกล่าว  ผู้ดำรงตำแหน่งที่ถูกกล่าวหาจะปฏิบัติหน้าที่ต่อไปมิได้จนกว่าวุฒิสภาจะมีมติ  ในขณะเดียวกัน  ป.ช.ช.  ต้องส่งรายงานให้อัยการสูงสุด  เพื่อฟ้องยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองด้วย

3)    วุฒิสภาประชุมพิจารณาถอดถอน  โดยมติถอดถอนผู้ใดออกจากตำแหน่งให้ถือเอาคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า  3  ใน  5  ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา  อนึ่งการออกเสียงลงคะแนนต้องกระทำโดยวิธีลงคะแนนลับ  มติของวุฒิสภาเป็นที่สุด  จะมีการร้องขอให้ถอดถอนบุคคลดังกล่าวโดยอาศัยเหตุเดียวกันอีกมิได้

4)    ผลเมื่อบุคคลใดถูกถอดถอน  บุคคลนั้นพ้นจากตำแหน่งหรือให้ออกจากราชการนับแต่วันที่วุฒิสภามีมติให้ถอดถอน  และผู้นั้นถูกตัดสิทธิในการดำรงตำแหน่งทางการเมือง  หรือในการรับราชการเป็นเวลา  5  ปี

ข้อ  4  ให้อธิบายถึงหลักเกณฑ์และวิธีการในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ  ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  (พ.ศ.2540)  มาโดยละเอียด

งดให้ธงคำตอบสำหรับข้อนี้เพราะว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นฉบับพ.ศ. 2550

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 1/2548

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงหลักการแบ่งแยกอำนาจตามแนวคิดของมองเตสกิเออร์  นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส  พร้อมทั้งอธิบายถึงหลักการปกครองทั้ง  3  ระบบ  ที่เกิดจากแนวคิดดังกล่าวมาตามที่เข้าใจ  พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

มองเตสกิเออ  (Montesquieu)  เป็นนักปรัชญาทางกฎหมายชาวฝรั่งเศสที่ได้ให้ความเห็นในเรื่องของอำนาจอธิปไตยไว้ในตำราที่มีชื่อว่า  เจตนารมณ์ทางกฎหมาย  หรือ  De  l’Esprit  Lois  ซึ่งตำราเล่มนี้กล่าวว่า  อำนาจอธิปไตยที่รัฐได้รับจากประชาชนเพื่อทำการปกครองประเทศนั้นมีอยู่ด้วยกัน  3  อำนาจคือ

1       อำนาจนิติบัญญัติ  เป็นอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับแบประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย  ซึ่งในที่นี่หมายถึงรัฐสภา

2       อำนาจบริหาร  เป็นอำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย  ซึ่งได้แก่  ผู้บริหารหรือคณะรัฐบาล

3       อำนาจตุลาการ  เป็นอำนาจในการตัดสินใจและการพิพากษาอรรถคดี  ซึ่งองค์กรสำคัญที่ใช้อำนาจตุลาการ  ได้แก่  ศาล

มองเตสกิเออ  มีความเห็นว่า  อำนาจทั้ง  3  อำนาจนี้ควรจะต้องแบ่งแยกออกจากกันเป็นอิสระ  เพราะถึงแม้ว่าผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐจะได้มาจากประชาชนโดยการเลือกตั้งก็ตาม  แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าคณะผู้ทำการปกครองประเทศจะไม่หลงในอำนาจ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่มีการแยกอำนาจดังกล่าวออกจากกัน  ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้แก่ผู้ปกครองประเทศ  ซึ่งเป็นคณะบุคคลฝ่ายเดียวใช้อำนาจต่างๆ  โดยไม่มีขอบเขต

กล่าวคือ  ถ้าให้ฝ่ายบริหารออกกฎหมายได้เสียเองด้วย  กฎหมายที่ออกมาก็อาจจะมีความไม่เป็นธรรม  แต่จะมีลักษณะที่จะทำให้การบริหารเป็นไปได้โดยสะดวก

และถ้าหากฝ่ายบริหารยังมีอำนาจในการพิพากษาคดีอีกด้วย  ก็จะทำให้อำนาจอธิปไตยของรัฐตกอยู่กับคณะบุคคลเพียงฝ่ายเดียว  ซึ่งการปกครองประเทศก็จะกลายเป็นการปกครองที่ผิดรูปไปจากการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  เพราะเป็นการรวมอำนาจต่างๆมาขึ้นอยู่กับคณะบุคคลกลุ่มเดียวเท่านั้น

มองเตสกิเออ  มีความเห็นว่า  อำนาจเท่านั้นที่จะหยุดยั้งอำนาจได้  และมองเตสกิเออได้ถือหลักการนี้มาเป็นข้อแนะนำให้มีการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยออกเป็นอิสระจากกัน

จากแนวคิดของมองเตสกิเออนี้ทำให้เกิดระบบการปกครองขึ้น  3  ระบบ  คือ

1       ระบบรัฐสภา

2       ระบบประธานาธิบดี

3       ระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี

ระบบรัฐสภา

ในระบบรัฐสภาก็ได้มีการคำนึงถึงการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันนี้  จึงได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญให้ฝ่ายนิติบัญญัติโดยสภาผู้แทนราษฎรมีมาตรการที่จะล้มล้างฝ่ายบริหารได้  ล้มล้างในที่นี้คือ  ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร  แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติเปิดอภิปรายฝ่ายบริหารได้อย่างเดียวเท่านั้น  รัฐธรรมนูญยังให้อำนาจฝ่ายบริหารในการที่จะโต้ตอบฝ่ายนิติบัญญัติโดยการยุบสภาตรงนี้ก็คือแนวความคิดในเรื่องอำนาจเท่านั้นที่จะหยุดยั้งอำนาจเดียวกันได้หรือการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน

ระบบประธานาธิบดี

ระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  การจัดตั้งองค์กรทั้ง  3  องค์กรนั้นมีการจัดตั้งที่เป็นอิสระจากกันมากที่สุดเท่าที่จะมากได้  ส่งผลให้เขาบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า  เมื่อฝ่ายบริหารได้รับเลือกตั้งแล้วประธานาธิบดีหรือรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อมจะต้องรอดพ้นจากการถูกขับไล่โดยการลงมติไม่ไว้วางใจจากฝ่ายนิติบัญญัติรัฐสภา  กล่าวคือ  สภาผู้แทนราษฎรในสหรัฐอเมริกาไม่มีสิทธิเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวประธานาธิบดี  และในขณะเดียวกันฝ่ายบริหารหรือประธานาธิบดีก็จะประกาศยุบสภาไม่ได้เช่นกัน  จึงถือว่าการถ่วงดุลอำนาจในระบบประธานาธิบดีนี้มีการแบ่งแยกอำนาจกันค่อนข้างเด็ดขาด

ระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี

ในระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี  ประเทศฝรั่งเศสได้นำการปกครองทั้งสองระบบข้างต้นมาใช้ในการปกครองรูปแบบของตน  โดยได้นำเอาส่วนดีทั้งสองระบบมาผสมผสานกันจึงเกิดระบบการปกครองนี้ขึ้นมาโดยรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสได้บัญญัติจำแนกฝ่ายบริหารออกเป็นสองส่วนคือ

ส่วนแรก  คือ  ประธานาธิบดี  ซึ่งประธานาธิบดีไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภา  นั่นคือ  ไม่ต้องกลัวว่าสภาจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ  เหมือนกันกับระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา

ส่วนที่สอง  คือ  คณะรัฐบาล  ได้บัญญัติให้คณะรัฐบาลต้องรับผิดต่อสภาเหมือนกันกับการปกครองในระบบรัฐสภา

เพราะฉะนั้น  ฝ่ายนิติบัญญัติหรือสภาผู้แทนราษฎรของฝรั่งเศสอาจยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี  แต่เปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจตัวประธานาธิบดีไม่ได้  ตรงนี้ก็คือการเอาการถ่วงดุลอำนาจของทั้งสองระบบมารวมเข้าด้วยกัน

 

ข้อ  2  รัฐธรรมนูญจารีตประเพณีหมายถึงอะไร  และมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร  ขอให้ท่านอธิบายมาโดยสังเขป

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญจารีตประเพณีนั้น  หมายถึง  การจัดระเบียบและการดำเนินการขององค์กรทางการเมืองเกิดจากทางปฏิบัติ  จารีตประเพณีมีการใช้ต่อเนื่องกันมาในรัฐและมีสภาพบังคับทางกฎหมาย

รัฐธรรมนูญในระบบนี้มีสภาพบังคับที่อ่อนลงกว่ารัฐธรรมนูญที่เป็นลายลักษณ์อักษร  และโดยสภาพยังมีลักษณะที่ไม่ตายตัวมีการเปลี่ยนแปลงเป็นวิวัฒนาการได้ตลอด  ตัวอย่างที่เป็นคลาสสิกของรัฐธรรมนูญในรูปแบบนี้  ได้แก่  รัฐธรรมนูญของอังกฤษ

ข้อดีของรัฐธรรมนูญจารีตประเพณี  มีดังนี้

1       รัฐธรรมนูญจารีตประเพณีย่อมป้องกันการปฏิวัติ  หรือรัฐประหารได้  เพราะความไม่แข็งกระด้างตายตัวของรัฐธรรมนูญ  จึงไม่จำต้องละเมิดหรือฝ่าฝืนโดยใช้กำลังบังคับหรือกระทำร้าย

2       รัฐธรรมนูญจารีตประเพณีมีลักษณะยืดหยุ่น  อาจสามารถพลิกแพลงอนุโลมตามสถานการณ์ได้

3       เป็นรัฐธรรมนูญที่เกิดขึ้นโดยวิวัฒนาการ  และเปลี่ยนแปลงไปโดยราษฎรไม่รู้สึกตัว  จึงไม่มีกรณีที่จะไม่มีบทบัญญัติมาใช้บังคับ  (คือไม่มีกรณีช่องว่างแห่งรัฐธรรมนูญ)   เหมือนอย่างกรณีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร

ข้อเสียของรัฐธรรมนูญจารีตประเพณี

1       มีข้อความไม่แน่นอน  ทำให้เกิดปัญหาโต้แย้งกันได้เสมอว่ารัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติอย่างไร

2       เปิดโอกาสให้ทดลองวิธีใหม่ๆ  ซึ่งไม่สามารถนำมาใช้โดยวิวัฒนาการได้  เพราะวิวัฒนาการนั้นต้องอาศัยของเดิม

 

ข้อ  3  จงอธิบายเหตุผลและขั้นตอนการตราพระราชกำหนด

ธงคำตอบ

พระราชกำหนด  เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหาร  ซึ่งเป็นการบัญญัติกฎหมายในกรณีพิเศษโดยไม่ต้องอาศัยกระบวนการนิติบัญญัติธรรมดา  และพระราชกำหนดดังกล่าวนี้มีศักดิ์ฐานะเทียบเท่ากับพระราชบัญญัติที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติเลยทีเดียว

พระราชกำหนดมี  2  ประเภท

1       พระราชกำหนดทั่วไป  เป็นกรณีที่คณะรัฐมนตรีเห็นว่ามีเหตุฉุกเฉิน  จำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้  จึงออกพระราชกำหนดเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความปลอดภัยของประเทศ  ความปลอดภัยสาธารณะ  ความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประเทศ  หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ  (มาตรา  218)

2       พระราชกำหนดเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา  เป็นการออกพระราชกำหนดในระหว่างสมัยประชุมสภา  ซึ่งถ้ามีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตราที่จะต้องได้รับการพิจารณาโดยด่วนและลับ  นายกรัฐมนตรีสามารถนำร่างพระราชกำหนดทูลเกล้าฯ  ให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยใช้บังคับได้  (มาตรา  220)

กระบวนการในการตราพระราชกำหนด

–                    ผู้มีอำนาจเสนอร่างพระราชกำหนด  คือ  รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชกำหนดนั้น

–                    ผู้มีอำนาจพิจารณาร่างพระราชกำหนด  คือ  คณะรัฐมนตรี

–                    ผู้มีอำนาจตราพระราชกำหนด  คือ  พระมหากษัตริย์

–                    เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว  พระราชกำหนดก็ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้

อนึ่ง  รัฐธรรมนูญกำหนดให้พระราชกำหนดเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว  คณะรัฐมนตรีจะต้องมีการเสนอพระราชกำหนดดังกล่าวให้รัฐสภาอนุมัติอีกครั้งหนึ่ง  โดยแยกพิจารณาตามประเภทของพระราชกำหนดได้ดังนี้

พระราชกำหนดทั่วไป  คณะรัฐมนตรีต้องเสนอพระราชกำหนดต่อรัฐสภาในการประชุมรัฐสภาคราวต่อไป  เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาโดยไม่ชักช้า

พระราชกำหนดเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตรา  คณะรัฐมนตรีจะต้องนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรภายใน  3  วัน  นับแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ผลของการอนุมัติหรือไม่อนุมัติพระราชกำหนด

1       กรณีที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาอนุมัติพระราชกำหนดให้มีผลใช้บังคับเป็นพระราชบัญญัติต่อไป

2       กรณีสภาผู้แทนราษฎรไม่อนุมัติ  พระราชกำหนดนั้นเป็นอันตกไป  แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนกิจการที่เป็นไปในระหว่างที่ใช้พระราชกำหนดนั้น

3       กรณีที่สภาผู้แทนราษฎรอนุมัติพระราชกำหนด  แต่วุฒิสภาไม่อนุมัติ  และสภาผู้แทนราษฎรยืนยันการอนุมัติด้วยคะแนนเสียงไม่มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร  ให้พระราชกำหนดนั้นตกไป  แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนกิจการที่ได้เป็นไปในระหว่างที่ใช้พระราชกำหนดนั้น

4       กรณีที่สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาอนุมัติพระราชกำหนด  หรือวุฒิสภาไม่อนุมัติและสภาผู้แทนราษฎรยืนยันการอนุมัติด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร  ให้พระราชกำหนดนั้นมีผลใช้บังคับเป็นพระราชบัญญัติต่อไป

 

ข้อ  4  เอกได้ฟ้องแดง  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  เป็นจำเลยในคดีอาญาต่อศาลจังหวัดลพบุรี  ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล  แดงได้ยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลจังหวัดลพบุรีว่า  พระราชบัญญัติที่ศาลจะนำมาใช้บังคับแก่คดีของตนนั้น  กระบวนการตราพระราชบัญญัติดังกล่าวขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ  แดงจึงขอให้ศาลจังหวัดลพบุรีส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย  ดังนั้นให้ท่านวินิจฉัยว่าตามที่รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2540  หากท่านเป็นศาลจังหวัดลพบุรีซึ่งกำลังพิจารณาคดีนี้  ท่านจะดำเนินการและมีคำสั่งในเรื่องนี้อย่างไร 

ธงคำตอบ

มาตรา  264  ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด  ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  6  และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น  ให้ศาลรอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว  และส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  264  รัฐธรรมนูญนั้น  กรณีพิพาทตามบัญญัติมาตรานี้คือ  บทบัญญัติแห่งกฎหมาย  ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ  ดังนั้นการที่นายแดงโต้แย้งว่า  กระบวนการตราของพระราชบัญญัติ  ที่จะนำมาบังคับใช้กับคดีของตนขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ  กรณีจึงไม่ใช่เป็นการโต้แย้งว่า  บทบัญญัติแห่งกฎหมาย  ที่ศาลจะนำมาบังคับใช้กับคดีของตน  ขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ

ดังนั้น  หากข้าพเจ้าเป็นศาลจังหวัดลพบุรีซึ่งกำลังพิจารณาคดีนี้  ก็จะมีคำสั่งไม่รับคำร้องของนายแดง  เพื่อดำเนินการส่งคำร้องโต้แย้งในกรณีดังกล่าวนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามที่นายแดงร้องขอ

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงหลักการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยตามแนวคิดของมองเตสกิเออ  นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส  พร้อมทั้งอธิบายถึงหลักการของระบบการปกครองทั้ง  3  ระบบ  ที่เกิดจากแนวคิดดังกล่าวมาตามที่เข้าใจ  พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

มองเตสกิเออ  (Montesquieu)  เป็นนักปรัชญาทางกฎหมายชาวฝรั่งเศสที่ได้ให้ความเห็นในเรื่องของอำนาจอธิปไตยไว้ในตำราที่มีชื่อว่า  เจตนารมณ์ทางกฎหมาย  หรือ  De  l’Esprit  Lois  ซึ่งตำราเล่มนี้กล่าวว่า  อำนาจอธิปไตยที่รัฐได้รับจากประชาชนเพื่อทำการปกครองประเทศนั้นมีอยู่ด้วยกัน  3  อำนาจคือ

1       อำนาจนิติบัญญัติ  เป็นอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับแบประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย  ซึ่งในที่นี่หมายถึงรัฐสภา

2       อำนาจบริหาร  เป็นอำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย  ซึ่งได้แก่  ผู้บริหารหรือคณะรัฐบาล

3       อำนาจตุลาการ  เป็นอำนาจในการตัดสินใจและการพิพากษาอรรถคดี  ซึ่งองค์กรสำคัญที่ใช้อำนาจตุลาการ  ได้แก่  ศาล

มองเตสกิเออ  มีความเห็นว่า  อำนาจทั้ง  3  อำนาจนี้ควรจะต้องแบ่งแยกออกจากกันเป็นอิสระ  เพราะถึงแม้ว่าผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐจะได้มาจากประชาชนโดยการเลือกตั้งก็ตาม  แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าคณะผู้ทำการปกครองประเทศจะไม่หลงในอำนาจ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่มีการแยกอำนาจดังกล่าวออกจากกัน  ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้แก่ผู้ปกครองประเทศ  ซึ่งเป็นคณะบุคคลฝ่ายเดียวใช้อำนาจต่างๆ  โดยไม่มีขอบเขต

กล่าวคือ  ถ้าให้ฝ่ายบริหารออกกฎหมายได้เสียเองด้วย  กฎหมายที่ออกมาก็อาจจะมีความไม่เป็นธรรม  แต่จะมีลักษณะที่จะทำให้การบริหารเป็นไปได้โดยสะดวก

และถ้าหากฝ่ายบริหารยังมีอำนาจในการพิพากษาคดีอีกด้วย  ก็จะทำให้อำนาจอธิปไตยของรัฐตกอยู่กับคณะบุคคลเพียงฝ่ายเดียว  ซึ่งการปกครองประเทศก็จะกลายเป็นการปกครองที่ผิดรูปไปจากการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  เพราะเป็นการรวมอำนาจต่างๆมาขึ้นอยู่กับคณะบุคคลกลุ่มเดียวเท่านั้น

มองเตสกิเออ  มีความเห็นว่า  อำนาจเท่านั้นที่จะหยุดยั้งอำนาจได้  และมองเตสกิเออได้ถือหลักการนี้มาเป็นข้อแนะนำให้มีการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยออกเป็นอิสระจากกัน

จากแนวคิดของมองเตสกิเออนี้ทำให้เกิดระบบการปกครองขึ้น  3  ระบบ  คือ

1       ระบบรัฐสภา

2       ระบบประธานาธิบดี

3       ระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี

ระบบรัฐสภา

ในระบบรัฐสภาก็ได้มีการคำนึงถึงการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันนี้  จึงได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญให้ฝ่ายนิติบัญญัติโดยสภาผู้แทนราษฎรมีมาตรการที่จะล้มล้างฝ่ายบริหารได้  ล้มล้างในที่นี้คือ  ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร  แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติเปิดอภิปรายฝ่ายบริหารได้อย่างเดียวเท่านั้น  รัฐธรรมนูญยังให้อำนาจฝ่ายบริหารในการที่จะโต้ตอบฝ่ายนิติบัญญัติโดยการยุบสภาตรงนี้ก็คือแนวความคิดในเรื่องอำนาจเท่านั้นที่จะหยุดยั้งอำนาจเดียวกันได้หรือการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน

ระบบประธานาธิบดี

ระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  การจัดตั้งองค์กรทั้ง  3  องค์กรนั้นมีการจัดตั้งที่เป็นอิสระจากกันมากที่สุดเท่าที่จะมากได้  ส่งผลให้เขาบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า  เมื่อฝ่ายบริหารได้รับเลือกตั้งแล้วประธานาธิบดีหรือรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อมจะต้องรอดพ้นจากการถูกขับไล่โดยการลงมติไม่ไว้วางใจจากฝ่ายนิติบัญญัติรัฐสภา  กล่าวคือ  สภาผู้แทนราษฎรในสหรัฐอเมริกาไม่มีสิทธิเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวประธานาธิบดี  และในขณะเดียวกันฝ่ายบริหารหรือประธานาธิบดีก็จะประกาศยุบสภาไม่ได้เช่นกัน  จึงถือว่าการถ่วงดุลอำนาจในระบบประธานาธิบดีนี้มีการแบ่งแยกอำนาจกันค่อนข้างเด็ดขาด

ระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี

ในระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี  ประเทศฝรั่งเศสได้นำการปกครองทั้งสองระบบข้างต้นมาใช้ในการปกครองรูปแบบของตน  โดยได้นำเอาส่วนดีทั้งสองระบบมาผสมผสานกันจึงเกิดระบบการปกครองนี้ขึ้นมาโดยรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสได้บัญญัติจำแนกฝ่ายบริหารออกเป็นสองส่วนคือ

ส่วนแรก  คือ  ประธานาธิบดี  ซึ่งประธานาธิบดีไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภา  นั่นคือ  ไม่ต้องกลัวว่าสภาจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ  เหมือนกันกับระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา

ส่วนที่สอง  คือ  คณะรัฐบาล  ได้บัญญัติให้คณะรัฐบาลต้องรับผิดต่อสภาเหมือนกันกับการปกครองในระบบรัฐสภา

เพราะฉะนั้น  ฝ่ายนิติบัญญัติหรือสภาผู้แทนราษฎรของฝรั่งเศสอาจยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี  แต่เปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจตัวประธานาธิบดีไม่ได้  ตรงนี้ก็คือการเอาการถ่วงดุลอำนาจของทั้งสองระบบมารวมเข้าด้วยกัน

 

ข้อ  2  ท่านมีความเข้าใจเกี่ยวกับ  หลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐ  (La  Separtion  des  pouvoirs)  ของมองเตสกิเอออย่างไร  และการที่ปัจจุบันมีการกระทำรัฐประหารเกิดขึ้นในประเทศไทยโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  (คปค.)  และจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนขึ้นมาบริหารแทนรัฐบาลชุดเดิมที่มาจากการเลือกตั้งนั้น  เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐดังกล่าวหรือไม่  อย่างไร  ขอให้อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐ  ของมองเตสกิเออนั้นตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่ามนุษย์ทุกคนที่มีอำนาจมักลุ่มหลงมัวเมาในอำนาจ  และมักจะใช้อำนาจอย่างไม่มีขอบเขตจำกัด  ดังนั้นหากปล่อยให้ผู้ปกครองใช้อำนาจอย่างอำเภอใจแล้ว  สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนผู้อยู่ใต้ปกครองก็จะไม่มีหลักประกัน  จึงจำต้องแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐออกใช้โดยหลายองค์กร  ขึ้นอยู่กับว่าหน้าที่หลักของรัฐมีกี่องค์กรก็แยกใช้เท่านั้น  และมองเตสกิเออก็สรุปว่า  หน้าที่ของรัฐไม่ว่าจะปกครองในรูปแบบใดก็ตาม  มีหน้าที่หลักอยู่เพียง  3  ประการ  กล่าวคือ  หน้าที่ในทางนิติบัญญัติ  บริหาร  และตุลาการ  ดังนั้นจึงควรแยกใช้โดย  3  องค์กร  และให้แต่ละฝ่ายไม่มาก้าวก่ายหน้าที่ซึ่งกันและกัน  อีกทั้งต้องคอยตรวจและถ่วงดุล  (Check  and  Balance)  ซึ่งกันและกันด้วย  จึงจะเป็นกลไกหรือมาตรการในการป้องกันมิให้องค์กรที่ใช้อำนาจแต่ละฝ่ายใช้อำนาจอย่างสุดขั้วหรือสุดโต่ง  โดยหวั่นเกรงว่าจะถูกตรวจสอบหรือถ่วงดุลโดยฝ่ายอื่น  ซึ่งก็จะเป็นผลดีต่อประชาชนผู้อยู่ใต้ปกครองมิให้ถูกใช้อำนาจบังคับเอาอย่างเผด็จการ  แต่เมื่อมีการรัฐประหารโดย  คปค.  จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการดังกล่าวอย่างชัดเจน  แม้จะมีการแต่งตั้งรัฐบาลพลเรือนมาบริหารต่อมาก็ตาม  แต่รัฐบาลดังกล่าวก็มิได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนแต่ประการใด

 

ข้อ  3  ก  ท่านเข้าใจรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยว่าอย่างไร  จงอธิบายโดยละเอียด

ข  รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดใช้เป็นแนวทางในการปกครองประเทศ  แต่รัฐธรรมนูญไทยฉบับปี  พ.ศ.  2540  ได้ถูกยกเลิกโดยประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแล้วนั้น  อยากทราบว่าระหว่างที่ยังไม่มีการประกาศรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ออกมาบังคับใช้  จะใช้กฎหมายใดเป็นกฎหมายสูงสุด

ธงคำตอบ

ก  รัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยเกิดจากปัญหาทางปกครองที่อำนาจทางปกครองอยู่ที่คนๆเดียว  ประชาชนไม่มีส่วนร่วมการใช้อำนาจทางปกครอง  ไม่สามารถควบคุมตรวจสอบได้

–                    จากปัญหาดังกล่าวทำให้เกิดหลักการแบ่งแยกอำนาจเป็นสามอำนาจคือ  อำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจบริหาร  อำนาจตุลาการ

–                    จากหลักการแบ่งแยกอำนาจได้พัฒนาเป็นระบอบประชาธิปไตยมีหลักการสำคัญว่า

(1) ประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียมกัน  เสมอภาคกัน

(2) ผู้ที่จะเป็นผู้ใช้อำนาจทางปกครองจะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่เป็นสำคัญจึงเกิดกระบวนการเลือกตั้ง

(3) การใช้อำนาจทางปกครองจะต้องใช้เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและประโยชน์ของประชาชน

(4) การใช้อำนาจทางปกครองจะต้องตรวจสอบได้

–                    จากหลักการของระบอบประชาธิปไตยทำให้เกิดกฎหมายสูงสุดที่ใช้เป็นแนวทางในการปกครองประเทศเรียกว่า  รัฐธรรมนูญ  บัญญัติที่มาของอำนาจ  การใช้อำนาจ  และการควบคุมตรวจสอบอำนาจนิติบัญญัติ  บริหาร  ตุลาการ  เพื่อรักษาไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพและประโยชน์ของประชาชนจากการใช้อำนาจทางปกครอง

ข  ใช้ประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  เป็นกฎหมายสูงสุดเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญ

 

ข้อ  4  พ.ร.บ.  ชื่อสกุล  พ.ศ.  2505  มาตรา  12  บัญญัติว่า  หญิงมีสามีให้ใช้ชื่อสกุลของสามี” ภายใต้บทบัญญัติมาตราดังกล่าวนี้ขัดต่อหลักความเสมอภาคของบุคคลหรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

ภายใต้หลักความเสมอภาคของบุคคล  บุคคลย่อมมีความเสมอภาคกันในกฎหมาย  ซึ่งถือเป็นหลักความเสมอภาค  โดยเฉพาะสิทธิเท่าเทียมกันระหว่างหญิงกับชาย

ซึ่งหลักความเสมอภาค  มีพื้นฐานมาจากความเสมอภาคเท่าเทียมกันตามธรรมชาติ  สิทธิตามธรรมชาติดังกล่าวนี้เป็นสิทธิที่มีความเสมอภาคเท่าเทียมกันทุกคน  ซึ่งเป็นสิทธิที่มีมาตั้งแต่กำเนิด

ดังนั้น  บทบัญญัติมาตรา  12  พ.ร.บ.  ชื่อสกุล  พ.ศ. 2505  มีลักษณะบังคับให้หญิงมีสามีต้องใช้ชื่อสกุลของสามีเท่านั้น  ถือเป็นการลิดรอนสิทธิในการใช้สกุลของหญิงมีสามี  ทำให้ชายและหญิงมีสิทธิไม่เท่าเทียมกัน  เกิดความไม่เสมอภาคกันทางกฎหมาย  เพราะความแตกต่างในเรื่องเพศและสถานะของบุคคล

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 2/2549

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงหลักการของรูปแบบการปกครองในระบบรัฐสภา  ระบบประธานาธิบดี  และระบบกึ่งประธานาธิบดี  มาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

รูปการปกครองในระบบรัฐสภาเป็นรูปการปกครองที่การจัดตั้งองค์กรในการใช้อำนาจรัฐ มีมาตรการในการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ให้องค์กรดังกล่าวสามารถมีปฏิสัมพันธ์และสามารถใช้มาตรการในการล้มล้างซึ่งกันและกัน ดังเช่น การขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารโดยฝ่ายนิติบัญญัติและการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรโดยฝ่ายบริหาร

ตัวอย่างการปกครองในระบบรัฐสภาที่เห็นได้ชัดเจน  คือ ระบบการปกครองของประเทศอังกฤษ และระบบการปกครองของไทยตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ฉบับปีพุทธศักราช 2540

–       รูปการปกครองในระบบประธานาธิบดีจะมีการกำหนดให้มีการแบ่งแยกอำนาจออกจากกันให้เป็นอิสระมากที่สุด เป็นการแบ่งแยกอำนาจแบบค่อนข้างเด็ดขาด ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารต่างก็ไม่มีอำนาจล้มล้างซึ่งกันและกัน ฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีอำนาจในการขอเปิดอภิปรายฝ่ายบริหารและทางฝ่ายบริหารก็ไม่มีอำนาจในการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ดังเช่น รูปการปกครองของสหรัฐอเมริกา

–       ส่วนรูปการปกครองในระบบกึ่งรัฐสภา กึ่งประธานาธิบดี เป็นรูปการปกครองที่นำเอาหลักการของระบบรัฐสภาและระบบประธานาธิบดีมาใช้ร่วมกัน มีการนำเอามาตรการในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารมาใช้ในส่วนของคณะรัฐมนตรี แต่สภาผู้แทนไม่สามารถเปิดอภิปรายตัวประธานาธิบดีเหมือนกับระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกันประธานาธิบดีในระบบกึ่งรัฐสภา กึ่งประธานาธิบดี จะมีอำนาจในการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ดังเช่น ตัวอย่างของประเทศฝรั่งเศส เป็นต้น

 

ข้อ  2  ทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน  มีความหมายอย่างไรตามแนวคิดของรุสโซ  และก่อให้เกิดผลในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างไร  การที่ประเทศไทยมีการปฏิวัติรัฐประหารถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักหรือทฤษฎีดังกล่าวหรือไม่อย่างไร  ขอให้อธิบาย

ธงคำตอบ

รุสโซได้ชี้แนวทางเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนไว้ในวรรณกรรมเรื่อง  สัญญาประชาคม  ว่าอำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์  ซึ่งมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน  สมมุติว่าในรัฐหนึ่งมีประชาชน  10,000 คน อำนาจอธิปไตยก็มีอยู่ในตัวประชาชนทั้ง  10,000  คนนั้น  ราษฎรแต่ละคนมีส่วนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย  ใน 10,000  ส่วน  อันประกอบเป็นชาติหรือรัฐ  ตามความคิดของรุสโซประชาชนจะต้องได้รับประโยชน์จากความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามส่วนของตน  และไม่มีใครสามารถอ้างความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยทั้งหมดได้

ดังนั้นการที่ประเทศไทยมีการปฏิวัติรัฐประหาร  จึงเป็นการที่คณะบุคคลกลุ่มหนึ่งเข้ายึดอำนาจอธิปไตยจากประชาชนและเข้าใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชน  โดยการใช้กำลังบังคับมิได้มาจากความยินยอมของประชาชน  จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักหรือทฤษฎีดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง

ส่วนผลในทางกฎหมายของทฤษฎีที่ว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนคือ

1       ราษฎรแต่ละคนมีสิทธิที่จะเลือกผู้ปกครองทั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงออก  ซึ่งส่วนแห่งอำนาจอธิปไตยของตนอันนำมาซึ่งหลักที่เรารู้จักกันดีคือ  การเลือกตั้งอย่างทั่วถึง  (Universal  Suffage)  เพราะถือว่าการเลือกตั้งเป็นสิทธิของทุกคน มิใช่เป็นหน้าที่จึงไม่อาจจำกัดสิทธิได้ดังที่รุสโซกล่าวว่า  สิทธิเลือกตั้งเป็นสิทธิที่ไม่มีอะไรมาพรากไปจากประชาชนได้

2       การมอบอำนาจของราษฎรให้ผู้แทนนั้นเป็นการมอบอำนาจในลักษณะที่ผู้แทนต้องอยู่ภายใต้อาณัติของราษฎรผู้เลือกตั้ง  (Mandat  Imfiratif)

 

ข้อ  3  จงทำตามคำสั่งต่อไปนี้

ก.       จงอธิบายโดยสังเขปพอให้เข้าใจได้ว่า

–                    รัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยเกิดมาจากสาเหตุใดหรือปัญหาใด

–                    เนื้อหาสาระของรัฐธรรมนูญที่สำคัญบัญญัติเรื่องใดบ้าง

–                    จุดมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยคืออะไร

ข.      จงเปรียบเทียบความแตกต่างของสภาร่างรัฐธรรมนูญ  พ.ศ.2540  กับสภาร่างรัฐธรรมนูญ  2550

ธงคำตอบ

ก.      รัฐธรรมนูญเกิดจากปัญหาการใช้อำนาจทางการปกครองของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์  ที่อำนาจอยู่ที่ผู้นำเพียงผู้เดียว  ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการปกครอง  และการใช้อำนาจในการปกครองไม่สามารถควบคุมตรวจสอบให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีได้  ทำให้ประชาชนถูกรบกวนสิทธิเสรีภาพจากการใช้อำนาจทางปกครองอย่างไม่เป็นธรรม

ปัญหาดังกล่าวทำให้เกิดหลักการแบ่งแยกอำนาจทางปกครองเป็นสามอำนาจ  คือ  อำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจบริหาร  และอำนาจตุลาการ

จากหลักการแบ่งแยกอำนาจทางปกครอง  ทำให้เกิดระบอบประชาธิปไตยอันเป็นจุดเริ่มต้นของรัฐธรรมนูญ  โดยมีหลักว่า

1       ประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียมกัน  เสมอภาคกัน

2       ผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้ใช้อำนาจในทางปกครอง  จะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ  ทำให้เกิดกระบวนการเลือกตั้ง

3       เมื่อได้อำนาจในการปกครองประเทศแล้ว  ต้องใช้อำนาจนั้นเพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและประโยชน์ของประชาชน

4       การใช้อำนาจทางปกครองดังกล่าวจะต้องสามารถควบคุมและตรวจสอบให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีได้

ส่วนเนื้อหาสาระสำคัญที่ต้องมีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ  ได้แก่

1       อำนาจในการปกครองประเทศมีกี่อำนาจ

2       ที่มาของแต่ละอำนาจเป็นอย่างไร  มีขั้นตอนอย่างไร

3       วิธีใช้อำนาจดังกล่าวใช้อย่างไร

4       การควบคุมอำนาจในแต่ละอำนาจทำอย่างไร

5       สิทธิเสรีภาพของประชาชนขั้นมูลฐานมีอย่างไรบ้าง

ข.      ข้อแตกต่างของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) พ.ศ.2540  กับสภาร่างรัฐธรรมนูญ  2550  คือ

–                    สสร. 2540  มาจากตัวแทนของประชาชนแต่ละจังหวัด  ๆ  ละ  1  คน  และนักวิชาการอีก  23  คน

–                    สสร.  2550  มาจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ  (คมช.)  คัดเลือกมาไม่เกิน  2,000  คน และเลือกกันเองให้เหลือ  200  คน  สุดท้าย  คมช.  จะเลือก  200  คน  ให้เหลือ  100 คน  เป็น  สสร.

 

ข้อ  4  เทศบาลเมืองราชบุรี  ตรวจพบว่า  มีโรงงานในเขตเทศบาลปล่อยน้ำเสียอย่างผิดกฎหมายลงแม่น้ำในเขตเทศบาลหลายโรงงานด้วยกัน  จึงได้ดำเนินการออกใบอนุญาตกำหนดให้  บริษัทเคมีสยาม  จำกัดและบริษัทฟอกหนัง  จำกัด  ปล่อยน้ำเสียได้เป็นเวลา  6  เดือน  หลังจากนั้นแล้วจะต้องหยุดการปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำอย่างเด็ดขาด  และได้ดำเนินการบำบัดน้ำเสียให้ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป  ต่อมาระหว่างการพิจารณาของเทศบาลฯ  เพื่อออกใบอนุญาตในกรณีเดียวกันนี้ให้แก่บริษัทน้ำตาลไทย  จำกัด  ทางเทศบาลฯ  ได้ตรวจพบว่าการออกใบอนุญาตให้แก่บริษัทเคมีสยามฯ  และบริษัทฟอกหนังฯดังกล่าวนั้นขัดต่อ  พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ เทศบาลฯจึงไม่ออกใบอนุญาตให้แก่บริษัทน้ำตาลไทยฯ  และได้มีหนังสือแจ้งให้บริษัทน้ำตาลไทยฯ  ยุติการทิ้งน้ำเสียลงแม่น้ำภายใน  1  เดือน  บริษัทน้ำตาลไทยฯ  เห็นว่าการกระทำของเทศบาลฯ  เป็นการไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว)  พ.ศ.2549  มาตรา  3  เพราะตนควรได้รับใบอนุญาต  เป็นระยะเวลา  6  เดือน  เช่น เดียวกับบริษัทอื่นๆ เหมือนกัน  ดังนั้นบริษัทน้ำตาลไทยฯ จึงได้ยื่นเรื่องดังกล่าวร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน

ของรัฐสภา  เพื่อให้ผู้ตรวจการฯ เสนอเรื่องต่อตุลาการรัฐธรรมนูญ  เพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไป  ดังนั้นหากท่านเป็นผู้ตรวจการฯ  ท่านจะดำเนินการในกรณีนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา  พ.ศ.  2542  มาตรา  16  ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภามีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(1) พิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนในกรณี

(ก)  การไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของข้าราชการ  พนักงาน  หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ  หน่วยงานของรัฐ  หรือรัฐวิสาหกิจ  หรือราชการส่วนท้องถิ่น

มาตรา  17  ในกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมาย  กฎ  ข้อบังคับ  หรือการกระทำใดของบุคคลใดตามมาตรา  16(1)  มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภาเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองแล้วแต่กรณีเพื่อพิจารณาวินิจฉัย

รัฐธรรมนูญ  (ฉบับชั่วคราว)  พ.ศ. 2549

มาตรา  3  ภายใต้บังคับแห่งรัฐธรรมนูญนี้  ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  สิทธิเสรีภาพ  และความเสมอภาค  บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับความคุ้มครอง….  ย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา  35  บรรดาการใดที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ  หรือเมื่อมีปัญหาว่ากฎหมายใดขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่  ให้เป็นอำนาจของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ….

วินิจฉัย

การออกใบอนุญาตฯ  ของเทศบาลฯ แก่บริษัทเคมีสยามฯ  และบริษัทฟอกหนังฯ  เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย  การปฏิบัติของเทศบาลฯ  ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในการออกใบอนุญาตฯ  ไม่อาจนำมาเป็นบรรทัดฐานสำหรับการออกใบอนุญาตให้แก่บริษัทน้ำตาลไทยฯได้

บริษัทน้ำตาลไทยฯ  ไม่อาจอ้างหลักความเสมอภาคตามมาตรา  3  รัฐธรรมนูญฯ  (ฉบับชั่วคราว)  พ.ศ. 2549  เพราะไม่มีความเสมอภาคในสิ่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ดังนั้น  บริษัท  น้ำตาลไทยฯ  จึงมาสามารถเรียกร้องให้เทศบาลฯ ปฏิบัติต่อตนเสมือนกรณีของบริษัทเคมีสยามฯ  และบริษัทฟอกหนังฯ

สรุป  ผู้ตรวจการแผ่นดินฯ  จะไม่ดำเนินการส่งเรื่องไปยังตุลาการรัฐธรรมนูญ  เพื่อพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  ในกรณีนี้

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง ภาคฤดูร้อน/2549

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  รัฐธรรมนูญไทยฉบับชั่วคราว (พ.ศ. 2549 ) ได้บัญญัติถึงที่มาและอำนาจหน้าที่ขององค์กรนิติบัญญัติไว้อย่างไร  ให้อธิบายมาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

   งดให้ธงคำตอบสำหรับข้อนี้เพราะว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันเป็นฉบับพ.ศ. 2550 สำหรับคำถามข้อนี้คงจะไม่ออกสอบอีก

ข้อ  2  ให้อธิบายถึงรูปแบบการปกครองของประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบัน  และวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งของฝ่ายบริหาร (ประธานาธิบดีและคณะรัฐมนตรี )มาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

รูปแบบการปกครองของประเทศฝรั่งเศส  ปัจจุบันมีลักษณะเป็นรูปแบบการปกครองแบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี  เนื่องจากมีการนำเอารูปแบบการปกครองทั้งสองระบบมาผสมผสานกัน

หลักการที่ลอกเลียนมาจากระบบรัฐสภา  ได้แก่  หลักการที่ฝ่ายบริหารแยกเป็น  2  องค์กร  คือ  องค์กรประมุขแห่งรัฐ  และองค์กร คณะรัฐมนตรี  ที่มีบรรดารัฐมนตรีทั้งหลาร่วมกันบริหารรัฐกิจ  แล้วแสดงออกในนามของรัฐมนตรี

นอกจากนี้ยังมีหลักการที่ว่า  คณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบในทางการเมืองต่อฝ่ายนิติบัญญัติ กล่าวคือ  ฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจถอดถอนคณะรัฐมนตรี  โดยการแสดงออกซึ่งความไม่ไว้วางใจในการบริหารรัฐกิจของคณะรัฐมนตรี  แต่ไม่มีอำนาจถอดถอนประธานาธิบดี  ตรงกันข้ามประธานาธิบดีเองก็มีอำนาจยุบสภา

หลักการที่ลอกเลียนมาจากระบบประธานาธิบดี  ได้แก่  ความเป็นอิสระของประธานาธิบดีที่ไม่ต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายนิติบัญญัติ  ประธานาธิบดีจึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภา  ไม่อาจถูกถอดถอนโดยสภา  จึงสามารถบริหารงานอยู่ได้จนครบวาระนั่นเอง

สถาบันการปกครองของฝรั่งเศส

1       สถาบันบริหาร  แบ่งออกเป็น

1)    ประธานาธิบดี  มาจากการเลือกตั้งโยตรงจากประชาชนทั่วประเทศ  ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งแรกจะใช้การนับคะแนนแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด  นั่นคือ  ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง เช่น  มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง  20  ล้านคน  ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่จะได้เป็นประธานาธิบดีจะต้องได้คะแนนเสียง  สิบล้าน + 1 คะแนนขึ้นไป  (สิบล้านหนึ่งคน)  เป็นต้น  โดยในการเลือกตั้งครั้งแรกนี้  ถ้ามีผู้สมัครรับเลือกตั้งได้คะแนนเสียเกินกึ่งหนึ่งแล้วก็ไม่ต้องมีการเลือกตั้งครั้งที่สอง

แต่ถ้าในการเลือกตั้งครั้งแรก  ไม่มีผู้ใดได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง  ก็จะทำการเลือกตั้งในครั้งที่สอง  โดยจะให้ผู้ที่ได้คะแนนเสียงเลือกตั้งลำดับที่  1  และลำดับที่  2  ในครั้งแรกเท่านั้นที่จะมีสิทธิลงสมัครในการเลือกตั้งครั้งที่สองนี้ได้  ซึ่งในการนับคะแนนในครั้งที่สองนี้จะใช้การนับคะแนนแบบเสียงข้างมากธรรมดา  นั่นคือ  หนึ่งในสองคนนี้  ใครได้คะแนนมากกว่าก็ได้รับเลือกเข้าเป็นประธานาธิบดีเลย

ประธานาธิบดีของประเทศฝรั่งเศส  มีวาระในการดำรงตำแหน่ง  5  ปี  ทำหน้าที่เป็นทั้งประมุขของประเทศ  และในขณะเดียวกันก็เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารด้วย  (เหมือนกับประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา)

อำนาจหน้าที่ของประธานาธิบดี  แบ่งออกเป็น  2  ประเภท คือ

ประเภทแรก  อำนาจของประธานาธิบดีที่มีต่อองค์กรต่างๆ  ภายในรัฐ  เช่น  อำนาจในการแต่งตั้งนายกฯ  และคณะรัฐมนตรี  อำนาจในการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงหรือทูต  หรืออำนาจในการออกกฎหมายของฝ่ายบริหาร ฯลฯ

ประเภทที่สอง  อำนาจของประธานาธิบดีที่มีต่อรัฐสภา  เช่น  ลงนามในกฎหมายต่างๆ  หรือให้รัฐสภานำร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของสภาแล้วกัลป์ไปพิจารณาใหม่  อำนาจในการยุบสภาอำนาจในการที่จะสั่งให้มีการหยั่งเสียงประชามติ  และที่สำคัญที่สุดคือ  ประธานาธิบดีมีอำนาจพิเศษตามรัฐธรรมนูญที่สามารถใช้อำนาจอธิปไตยได้อย่างเต็มที่เมื่อเกิดภาวะจำเป็นขึ้น  โดยมีเงื่อนไขว่าต้องได้ปรึกษากับสภาตุลาการรัฐธรรมนูญแล้ว

2)  คณะรัฐมนตรี  ประกอบด้วย  นายกรัฐมนตรี  และรัฐมนตรีทั้งหลาย  ซึ่งประธานาธิบดีจะเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งแล้วมอบให้ไปจัดตั้งคณะรัฐบาล  ซึ่งต้องไปแถลง

นโยบายขอความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร  ก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่  พึงสังเกตว่านายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส  มิได้มีอำนาจเท่าเทียมกับอำนาจของนายกรัฐมนตรีในระบบการปกครองแบบรัฐสภาทั้งนี้เพราะผู้ที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของฝรั่งเศสที่แท้จริงได้แก่ประธานาธิบดี  ที่ไม่จำต้องรับผิดชอบต่อสภา  แต่คณะรัฐมนตรีรวมทั้งนายกรัฐมนตรี  ต้องรับผิดชอบต่อสภาและอาจถูกสภาลงมติไม่ไว้วางใจได้

2       สภานิติบัญญัติ  แบ่งออกเป็น  2  สภา  ได้แก่

1)    สภาผู้แทนราษฎร  มีจำนวนสมาชิก  577  คน  มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน  มีวาระการดำรงตำแหน่ง  5  ปี

2)    วุฒิสภา  มีจำนวนสมาชิก  321  คน  มาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อม  มีวาระการดำรงตำแหน่ง  9  ปี  แต่จำนวนวุฒิสมาชิก  1  ใน  3  จะต้องออกจากตำแหน่งทุก  3  ปี

อำนาจของทั้งสองสภาเท่าเทียมกัน  เว้นแต่ร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงินจะต้องให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อน  และที่สำคัญคือ  อำนาจของสภาผู้แทนราษฎรที่จะลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐบาล

3       สถาบันอื่นๆ  เช่น

1)    สภาตุลาการรัฐธรรมนูญ  ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมมิให้กฎหมายอื่นใดมาขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ  (คล้ายกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของไทย)

2)    สภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและสังคม  ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลหรือสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจและสังคม

3)    ศาลยุติธรรมสูงสุด  ทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับการทรยศต่อประเทศ

 

ข้อ  3  ให้อธิบายถึงโครงสร้างของประเทศสหรัฐอเมริกา  ระบบการปกครอง  และการจัดตั้งสถาบันการปกครองหลักที่ศูนย์กลางแห่งอำนาจ  (วอชิงตัน  ดี.ซี.) มาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

ประเทศสหรัฐอเมริกา  ถือว่าเป็นแม่แบบของการปกครองในระบบประธานาธิบดี  โดยเป็นประเทศที่มีโครงสร้างแบบรัฐรวมในลักษณะของการรวมตัวแบบเหนียวแน่น  ที่เรียกว่า  สหพันธรัฐ  หรือเรียกสั้นๆว่า  สหรัฐ  ซึ่งเป็นการรวมตัวกันโดยใช้เกณฑ์แห่งความเสมอภาคระหว่างรัฐใหญ่กับรัฐเล็กที่เป็นสมาชิก  รัฐสมาชิกดังกล่าวยินยอมที่จะสูญเสียอำนาจบางประการให้กับศูนย์กลางแห่งอำนาจ  ยอมให้มีการกำหนดเกณฑ์ในการใช้อำนาจปกครองร่วมกัน  โดยมีการสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นที่เรียกว่า  รัฐธรรมนูญใหม่  หรือ  รัฐธรรมนูญกลาง

ลักษณะสำคัญของการปกครองในระบบประธานาธิบดี  มี  2  ประการ  คือ

1       ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน

2       มีการแบ่งแยกอำนาจกันค่อนข้างเด็ดขาดระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร  กล่าวคือ  เป็นอิสระจากกัน  ไม่มีมาตรการล้มล้างซึ่งกันและกัน  ดังนั้นสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่มีอำนาจในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร  และในทางกลับกันฝ่ายบริหารก็ไม่มีอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร  (สังเกตว่าในข้อนี้จะแตกต่างจากการปกครองในระบบรัฐสภาอย่างชัดเจน)

การจัดตั้งสถาบันการปกครองของสหรัฐอเมริกา  มีดังนี้

ก.      สถาบันนิติบัญญัติ  (สภาคองเกรส)

รัฐสภาอเมริกัน  เรียกว่า  สภาคองเกรส (Zcongress)  ประกอบด้วย  2  สภา คือ

1       สภาผู้แทนราษฎร  ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากกการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  แบบเสียงข้างมากรอบเดียว  มีวาระในการดำลงตำแหน่ง  2  ปี  มีจำนวนทั้งสิ้น  435  คน  รวมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของศูนย์กลางแห่งอำนาจหรือที่เรียกว่า  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพิเศษของวอชิงตัน  ดี.ซี.  อีก  3  คน  ฉะนั้นจึงมีจำนวนทั้งหมด  438 คน

คุณสมบัติของผู้สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  คือ  ต้องมีอายุ  25  ปีขึ้นไป  และมีสัญชาติอเมริกันมาแล้วอย่างน้อย  7  ปี

2       สภาสูงหรือวุฒิสภา  ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน  2  คนต่อ  1  มลรัฐ  รวมทั้งสิ้นจำนวน  100 คน  มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  มีวาระการดำรงตำแหน่ง  6  ปี  แต่สมาชิก  1  ใน  3  ของทั้งหมดจะต้องจับถูกสลากออกไปสมัครเข้ารับการเลือกตั้งใหม่ทุกๆ  2  ปี  ในระหว่างที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

คุณสมบัติของผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา คือ  ต้องมีอายุตั้งแต่  30  ปีขึ้นไปและได้สัญชาติอเมริกันมาแล้ว  9  ปีขึ้นไป

สมาชิกของสภาคองเกรสได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองเช่นเดียวกับสมาชิกของสภาทั่วๆไปในรัฐสมัยใหม่  นอกจากนี้ยังได้รับการยกเว้นภาษี  ค่าใช้จ่ายของเลขานุการ  เงื่อนไขในการทำงานของสมาชิกสภาคองเกรสยังดีกว่าสมาชิกของประเทศอื่นๆโดยเฉพาะทางด้านข้อมูลข่าวสาร

อำนาจหน้าที่ของสภาเกรส

1       อำนาจในการตรากฎหมายและการตรากฎหมายเกี่ยวกับงบประมาณ  ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่างมีอำนาจในเรื่องนี้อย่างเท่าเทียมกัน  ยกเว้นในเรื่องที่เกี่ยวกับภาษีอากรจะต้องริเริ่มโดยสภาผู้แทนราษฎร

2       อำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ  การริเริ่มการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีได้ทั้งจากสภาคองเกรส  หรือจากสภานิติบัญญัติของมลรัฐต่างๆ

3       อำนาจในการเลือกตั้งแทน  เมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี  และรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  ถ้าปรากฏว่าผู้สมัครได้รับคะแนนเสียงเท่ากัน  กรณีนี้สภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้ใช้สิทธิเลือกประธานาธิบดีส่วนวุฒิสภาก็จะใช้สิทธิเลือกรองประธานาธิบดี

4       อำนาจอื่นๆของสภาคองเกรส  เช่น  ดูแลการบริหารของหน่วยงานบริการสาธารณสุขตลอดจนเจ้าหน้าที่ของสหรัฐอเมริกา

อำนาจหน้าที่เฉพาะของสภาสูงหรือวุฒิสภาของอเมริกา

1       ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของสหพันธรัฐ

2       ให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศ  โดยต้องได้รับการให้สัตยาบันจากสภาสูงด้วยคะแนนเสียง  2  ใน  3

ข.      สถาบันบริหารของสหรัฐอเมริกา

ฝ่ายบริหารจะมีประธานาธิบดีเป็นผู้นำสูงสุด  ซึ่งมีความเป็นอิสระจากรัฐมนตรีทั้งปวง  โดยประธานาธิบดีจะเป็นทั้งประมุขของรัฐและเป็นหัวหน้ารัฐบาล

ในสหรัฐอเมริกามีพรรคการเมืองใหญ่ๆ  อยู่เพียง  2  พรรค  คือ  พรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต  ที่มีโอกาสสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่บริหารประเทศ  โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้นถือว่าเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม  กล่าวคือ  ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง  เรียกว่า  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  (Big  Elector)  เพื่อทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี  ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้

การเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีได้รับเลือกมาพร้อมกันในรูปแบบของ  “Ticket”  เดียวกันโดยได้รับเลือกจากประชาชน  มีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่  1 

พรรคการเมืองทั้ง  2  พรรคดังกล่าว  จะคัดเลือกตัวแทนของแต่ละพรรคในแต่ละมลรัฐ  ซึ่งมีทั้งหมด  50  มลรัฐ  เพื่อส่งเข้าประชุมร่วมกันในระดับชาติ หรือเรียกกันว่าเป็นการประชุมระดับ  Convention  เพื่อให้คนที่มาประชุมร่วมกันของแต่ละพรรคนั้นทำการคัดเลือกบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะส่งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี  เมื่อได้ตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแล้ว  ผู้ที่ได้รับเลือกมีสิทธิเลือกบุคคลที่จะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วย

ขั้นตอนที่  2 

กำหนดให้ประชาชนชาวอเมริกันในแต่ละมลรัฐไปทำการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งคามบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่  ซึ่งบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่นี้ในแต่ละมลรัฐจะแตกต่างกันในเรื่องของจำนวน  ทั้งนี้จำนวนสมาชิกของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ที่จะมีได้ในแต่ละมลรัฐนั้นจะมีลักษณะเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  อย่างเช่น  มลรัฐแคลิฟอร์เนีย  สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้  30  คน  และสมาชิกวุฒิสภาอีก  2  คน  ดังนั้นรวมแล้วได้  32  คน  ดังนั้นทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตซึ่งอยู่ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียจะทำบัญชีรายชื่อคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของตนในมลรัฐนี้ขึ้นพรรคละ  32  รายชื่อ  เพื่อเสนอต่อประชาชนในมลรัฐให้เลือกเข้ามา  ฉะนั้นหากประชาชนนิยมผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคใด  ก็จะลงคะแนนให้แก่บุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น  และจะต้องเลือกทั้ง  32  คนของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น  เมื่อลงคะแนนเสร็จก็จะได้สรุปว่าพรรคใดจะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คณะผู้เลือกตั้งใหญ่

สำหรับ  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  นั้นมีทั้งหมด  538  คน  ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ  ซึ่งกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  (435 + 3 + 100 )  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ข้างมากและเด็ดขาด  คือ  จะต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป

ดังนั้นจะเห็นว่า  หลังจากการเลือกตั้งคณะผู้เลือกตั้งใหญ่เสร็จลงแล้วรวมคะแนนจาก  50  มลรัฐของแต่ละพรรค  ถ้าปรากฏว่าพรรคใดได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ถึง  270  เสียง  คือ  เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด  (กึ่งหนึ่ง  269)  ก็จะทำให้ทราบทันทีว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคดังกล่าวย่อมได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี

ขั้นตอนที่  3

ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะผู้เลือกตั้งใหญ่ทั้งหมดจำนวน  538  คนไปออกเสียงลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  ซึ่งก็แน่นอนว่าคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของแต่ละพรรคก็จะลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครของพรรคตน  ดังนั้นสมมุติว่าพรรคเดโมแครตได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป  ก็หมายความว่า  ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคแดโมแครตย่อมจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

โดยที่ประชุมของสภาคองเกรส  จะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการว่าใครเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  และหลังจากนั้นก็จะมีพิธีการอย่างเป็นทางการในการเข้าสู่ตำแหน่งของประมุขฝ่ายบริหาร

วาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี  ก็คือ  4  ปี  ในกรณีที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเกิดว่างลงหรือไม่สามารถบริหารประเทศได้โดยสิ้นเชิง  รองประธานาธิบดีจะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนที่  และมีอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับประธานาธิบดี

ค.      สถาบันตุลาการ  (ศาลยุติธรรมสูงสุด)

ศาลสูงสุดของอเมริกา  ได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดี แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูงโดยหน้าที่หลักๆของศาลสูงสุดของอเมริกา  ได้แก่

1       ควบคุมดูแลมิให้กฎหมายอื่นใดมาขัด  หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญกลาง

2       พิจารณาพิพากษาในกรณีมีการกล่าวหาทูต  กงสุล  รัฐมนตรี  หรือรัฐสมาชิก

 

ข้อ  4  ให้อธิบายถึงรูปการปกครองและวิธีการจัดตั้งฝ่ายบริหารของประเทศอังกฤษมาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

รูปแบบการปกครองของประเทศอังกฤษในปัจจุบัน  เป็นรูปแบบการปกครองระบบรัฐสภาแบบสองพรรคการเมือง  (พรรคอนุรักษนิยมและพรรคกรรมกร)  ซึ่งเป็นระบบที่มีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ  มีการกำหนดมาตรการในการโต้ตอบ  ล้มล้างซึ่งกันและกัน  เช่น  การขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารโดยฝ่ายนิติบัญญัติ  และการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรโยฝ่ายบริหาร  ซึ่งการจัดรูปองค์กรการปกครองของอังกฤษไม่ได้มีการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร  เพราะอังกฤษใช้รัฐธรรมนูญจารีตประเพณี

สถาบันการปกครองของอังกฤษ  แบ่งเป็น

1       สถาบันของฝ่ายนิติบัญญัติ  (รัฐสภา)  ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร  และวุฒิสภา

สภาผู้แทนราษฎรหรือสภาสามัญ  ประกอบด้วยสมาชิกทั้งหมดประมาณ  635  คน  มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  มีวาระในการดำรงตำแหน่ง  5  ปี  แต่เนื่องจากประเทศอังกฤษใช้ระบบรัฐสภาดังนั้นวาระในการดำรงตำแหน่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่แน่นอน  อาจอยู่ไม่ครบ  5  ปีก็ได้  เพราะว่าอาจถูกฝ่ายบริหารประกาศยุบสภาได้

วุฒิสภาหรือสภาขุนนาง  ประกอบด้วยสมาชิกประมาณ  1,000  คน  มาจากการแต่งตั้งโดยองค์ประมุขของอังกฤษในฐานะที่เคยทำความดีความชอบให้กับประเทศ  แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าวุฒิสภาของอังกฤษจะมีจำนวนสมาชิกมากแต่ก็มีบทบาททางด้านนิติบัญญัติคือ  การร่างกฎหมายนั้นจะมีเพียง  50  60 คนเท่านั้น  ซึ่งถือได้ว่าวุฒิสภาของอังกฤษเกือบไม่มีอำนาจทางการเมืองเลย

2       สถาบันของฝ่ายบริหาร  (รัฐบาล)

การจัดรูปองค์กรของฝ่ายบริหารของอังกฤษนั้นเป็นแบบฝ่ายบริหารที่แบ่งเป็นสององค์กร  คือ  มีการแยกองค์กรประมุขของรัฐซึ่งก็คือกษัตริย์  กับองค์กรที่เป็นฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล  ซึ่งประกอบด้วยคณะรัฐมนตรี  มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าออกจากกัน  ในขอบเขตอำนาจฝ่ายบริหารนั้น  รัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจเหล่านี้โดยคณะรัฐมนตรีผู้ที่จะรับผิดชอบต่อรัฐสภา  ซึ่งมีทั้งความรับผิดชอบร่วมกันทั้งคณะและความรับผิดชอบในส่วนของกระทรวง  ทบวง  กรมต่างๆ  แต่ละคนด้วย  แม้ว่ากษัตริย์ทรงมีฐานะอยู่ในส่วนของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติด้วยก็ตาม  แต่ก็จะเป็นเพียงฐานะอย่างเป็นทางการ  ไม่ได้ทรงใช้อำนาจอย่างแท้จริงด้วยพระองค์เอง

การจัดตั้งฝ่ายบริหารของประเทศอังกฤษนั้น  เริ่มจากการที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารโดยจารีตประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติ  จากหัวหน้าพรรคการเมืองที่พรรคนั้นชนะการเลือกตั้งและมีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเกินกึ่งหนึ่ง  จากนั้นนายกรัฐมนตรีก็จะจัดตั้งรัฐบาลโดยคัดเลือกจากบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคเดียวกับตนและบางส่วนจากสมาชิกวุฒิสภา แล้วนำคณะรัฐบาลไปแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอความไว้วางใจก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่

ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีในแต่ละกระทรวง  ก็มักจะได้แก่บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกจากนายกรัฐมนตรี  แต่วุฒิสภาบางท่านก็อาจได้รับการเชื้อเชิญให้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน  หากว่าวุฒิสมาชิกท่านนั้นมี

ความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่ง  หรือมีความจำเป็นทางการเมืองที่จะต้องมีวุฒิสมาชิกมาเป็นรัฐมนตรีด้วย

3       สถาบันของฝ่ายตุลาการ  (ศาล)

ศาลของอังกฤษนั้นได้รับการยอมรับมานานแล้วว่า  มีความเป็นกลางไม่ขึ้นกับฝ่ายใดผู้พิพากษาเป็นอิสระจากหน่วยงานของรัฐบาล  ตัดสินคดีโดยอาศัยหลักกฎหมายจารีตประเพณี (Common  Law)  และด้วยระบบการแต่งตั้งศาลที่ไม่ได้มาจากระบบการเมือง  ผู้พิพากษาที่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  หรือเคยเป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้นมีอยู่น้อยมาก  ผู้พิพากษาจะมาจากระบบการศึกษาและเนติบัณฑิต  (Berrister)  โดยตรง

อย่างไรก็ตาม  ในทางปฏิบัตินั้น  บทบาทของนักการเมืองในการกำหนดนโยบาย  และการใช้กฎหมายโดยฝ่ายศาลนั้นก็มักจะเกี่ยวโยงถึงกันและแยกออกจากกันโดยเด็ดขาดได้ยาก  เช่น  ศาลสามารถให้คำอธิบายเกี่ยวกับคดีอาญาและการกระทำความผิดทางอาญา  เพื่อให้รัฐสภาออกกฎหมายได้อย่างถูกต้องตามหลักการ  ความเห็นของศาลในฐานะของผู้ที่เป็นกลางในทางการเมืองจึงได้รับการยอมรับจากสาธารณชนทุกฝ่าย

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง สอบซ่อม 1/2550

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงหลักการของการปกครองในระบบรัฐสภา  ระบบประธานาธิบดี  และระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี  มาตามที่เข้าใจ  พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

รูปการปกครองในระบบรัฐสภาเป็นรูปการปกครองที่การจัดตั้งองค์กรในการใช้อำนาจรัฐ มีมาตรการในการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ให้องค์กรดังกล่าวสามารถมีปฏิสัมพันธ์และสามารถใช้มาตรการในการล้มล้างซึ่งกันและกัน ดังเช่น การขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารโดยฝ่ายนิติบัญญัติและการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรโดยฝ่ายบริหาร

ตัวอย่างการปกครองในระบบรัฐสภาที่เห็นได้ชัดเจน  คือ ระบบการปกครองของประเทศอังกฤษ และระบบการปกครองของไทยตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ฉบับปีพุทธศักราช 2540

–       รูปการปกครองในระบบประธานาธิบดีจะมีการกำหนดให้มีการแบ่งแยกอำนาจออกจากกันให้เป็นอิสระมากที่สุด เป็นการแบ่งแยกอำนาจแบบค่อนข้างเด็ดขาด ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารต่างก็ไม่มีอำนาจล้มล้างซึ่งกันและกัน ฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีอำนาจในการขอเปิดอภิปรายฝ่ายบริหารและทางฝ่ายบริหารก็ไม่มีอำนาจในการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ดังเช่น รูปการปกครองของสหรัฐอเมริกา

–       ส่วนรูปการปกครองในระบบกึ่งรัฐสภา กึ่งประธานาธิบดี เป็นรูปการปกครองที่นำเอาหลักการของระบบรัฐสภาและระบบประธานาธิบดีมาใช้ร่วมกัน มีการนำเอามาตรการในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารมาใช้ในส่วนของคณะรัฐมนตรี แต่สภาผู้แทนไม่สามารถเปิดอภิปรายตัวประธานาธิบดีเหมือนกับระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ในขณะเดียวกันประธานาธิบดีในระบบกึ่งรัฐสภา กึ่งประธานาธิบดี จะมีอำนาจในการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ดังเช่น ตัวอย่างของประเทศฝรั่งเศส เป็นต้น

 

ข้อ  2  ขอให้ท่านอธิบายถึงขั้นตอนการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  ตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกามาโดยสังเขป

ธงคำตอบ

การปกครองในระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  ในส่วนของฝ่ายบริหารจะมีประธานาธิบดีเป็นผู้นำสูงสุด  ซึ่งมีความเป็นอิสระจากรัฐมนตรีทั้งปวง  ซึ่งเรียกว่า  “Secretaries”  โดยประธานาธิบดีจะเป็นทั้งประมุขของรัฐ  และเป็นหัวหน้าของรัฐบาลด้วย

ในสหรัฐอเมริกามีพรรคการเมืองใหญ่ๆ  อยู่เพียง  2  พรรค  คือ  พรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต  ที่มีโอกาสสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่บริหารประเทศ  โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้นถือว่าเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม  กล่าวคือ  ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง  เรียกว่า  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  (Big  Elector)  เพื่อทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี  ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้

การเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีได้รับเลือกมาพร้อมกันในรูปแบบของ  “Ticket”  เดียวกันโดยได้รับเลือกจากประชาชน  มีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่  1 

พรรคการเมืองทั้ง  2  พรรคดังกล่าว  จะคัดเลือกตัวแทนของแต่ละพรรคในแต่ละมลรัฐ  ซึ่งมีทั้งหมด  50  มลรัฐ  เพื่อส่งเข้าประชุมร่วมกันในระดับชาติ หรือเรียกกันว่าเป็นการประชุมระดับ  Convention  เพื่อให้คนที่มาประชุมร่วมกันของแต่ละพรรคนั้นทำการคัดเลือกบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะส่งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี  เมื่อได้ตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแล้ว  ผู้ที่ได้รับเลือกมีสิทธิเลือกบุคคลที่จะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วย

ขั้นตอนที่  2 

กำหนดให้ประชาชนชาวอเมริกันในแต่ละมลรัฐไปทำการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งคามบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่  ซึ่งบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่นี้ในแต่ละมลรัฐจะแตกต่างกันในเรื่องของจำนวน  ทั้งนี้จำนวนสมาชิกของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ที่จะมีได้ในแต่ละมลรัฐนั้นจะมีลักษณะเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  อย่างเช่น  มลรัฐแคลิฟอร์เนีย  สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 30  คน  และสมาชิกวุฒิสภาอีก  2  คน  ดังนั้นรวมแล้วได้  32  คน  ดังนั้นทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตซึ่งอยู่ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียจะทำบัญชีรายชื่อคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของตนในมลรัฐนี้ขึ้นพรรคละ  32  รายชื่อ  เพื่อเสนอต่อประชาชนในมลรัฐให้เลือกเข้ามา  ฉะนั้นหากประชาชนนิยมผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคใด  ก็จะลงคะแนนให้แก่บุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น  และจะต้องเลือกทั้ง  32  คนของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น  เมื่อลงคะแนนเสร็จก็จะได้สรุปว่าพรรคใดจะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คณะผู้เลือกตั้งใหญ่

สำหรับ  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  นั้นมีทั้งหมด  538  คน  ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ  ซึ่งกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  (435 + 3 + 100 )  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ข้างมากและเด็ดขาด  คือ  จะต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป

ดังนั้นจะเห็นว่า  หลังจากการเลือกตั้งคณะผู้เลือกตั้งใหญ่เสร็จลงแล้วรวมคะแนนจาก  50  มลรัฐของแต่ละพรรค  ถ้าปรากฏว่าพรรคใดได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ถึง  270  เสียง  คือ  เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด  (กึ่งหนึ่ง  269)  ก็จะทำให้ทราบทันทีว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคดังกล่าวย่อมได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี

ขั้นตอนที่  3

ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะผู้เลือกตั้งใหญ่ทั้งหมดจำนวน  538  คนไปออกเสียงลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  ซึ่งก็แน่นอนว่าคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของแต่ละพรรคก็จะลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครของพรรคตน  ดังนั้นสมมุติว่าพรรคเดโมแครตได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป  ก็หมายความว่า  ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคแดโมแครตย่อมจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

โดยที่ประชุมของสภาคองเกรส  จะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการว่าใครเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  และหลังจากนั้นก็จะมีพิธีการอย่างเป็นทางการในการเข้าสู่ตำแหน่งของประมุขฝ่ายบริหาร

วาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี  ก็คือ  4  ปี  ในกรณีที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเกิดว่างลงหรือไม่สามารถบริหารประเทศได้โดยสิ้นเชิง  รองประธานาธิบดีจะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนที่  และมีอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับประธานาธิบดี

 

ข้อ  3  จงอธิบายที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ  ที่มาของอำนาจบริหาร  ที่มาของอำนาจตุลาการ  ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550  (ฉบับปัจจุบัน) ได้บัญญัติที่มาขององค์กรที่ใช้อำนาจอธิปไตยไว้ดังนี้

1       รัฐสภาเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ

–                    รัฐสภาประกอบไปด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  และสมาชิกวุฒิสภา  (มาตรา 88)

–                    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  มี  480  คน  มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต  400  คน  และมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน  80  คน  (มาตรา 93)

–                    สมาชิกวุฒิสภามี  150  คน  มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ  1  คน รวม  76  คน  และมาจากการสรรหาโดยคณะกรรมการการสรรหา  74  คน  (มาตรา  111)

2       คณะรัฐมนตรีเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจบริหาร

–                    คณะรัฐมนตรีประกอบไปด้วยนายกรัฐมนตรี  1  คน  ต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น  และคณะรัฐมนตรีอีกไม่เกิน  35  คน  ซึ่งจะมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ก็ได้  แต่ต้องมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายบัญญัติ  (มาตรา  171  และมาตรา  174)

–                    สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาเป็นคณะรัฐมนตรียังคงเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ด้วย

3       ศาลเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการ

–                    ศาลมี  4  ศาล  คือ  ศาลรัฐธรรมนูญ  ศาลปกครอง  ศาลทหาร  และศาลยุติธรรม  (หมวด 10)

–                    การจัดตั้งศาลให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ (มาตรา  198)

–                    ดังนั้นที่มาของศาลมาตามบทบัญญัติของกฎหมาย  ที่มาของศาลหรือผู้พิพากษาจึงแตกต่างกัน  ทั้งนี้เป็นไปตามกฎหมายจัดตั้งศาลแต่ละศาลนั้นๆ

 

ข้อ  4  จงอธิบายถึงความมุ่งหมายที่สำคัญของรัฐธรรมนูญในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล  และในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพโดยอาศัยเหตุผลเพื่อคุ้มครอง  สิทธิของบุคคลอื่น  (Inhalt  der  Rechteanderer)  เกิดขึ้นได้ในกรณีใดบ้างหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

ความมุ่งหมายที่สำคัญในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคล

1       เพื่อคุ้มครองสิทธิของบุคคลอื่น

2       เพื่อการดำรงอยู่และเพื่อความสามารถในการทำภาระหน้าที่ของรัฐ  และ

3       เพื่อประโยชน์สาธารณะอื่นๆ

ตัวอย่างของการจำกัดสิทธิและเสรีภาพโดยเหตุผลเพื่อคุ้มครอง  สิทธิของบุคคลอื่น

–                    เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น  การพูด  การเขียน  การพิมพ์  การโฆษณา  การจำกัดเสรีภาพในกรณีดังกล่าวจะกระทำมิได้  เว้นแต่อาศัยอำนาจตามกฎหมายเฉพาะเพื่อคุ้มครองสิทธิ  เสรีภาพเกียรติยศ  ชื่อเสียง  สิทธิในครอบครัวหรือความเป็นส่วนตัวของบุคคลอื่น

–                    สิทธิของบุคคลในการได้รับทราบข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยราชการหน่วยงานของรัฐ  รัฐวิสาหกิจ  หรือราชการส่วนท้องถิ่น  เว้นแต่การเปิดเผยนั้นจะกระทบต่อส่วนได้เสียอันพึงได้รับความคุ้มครองของบุคคลอื่น  เป็นต้น

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงโครงสร้างของประเทศ  ระบบการปกครอง  และหลักการสำคัญของระบบ  พร้อมทั้งอธิบายถึงที่มาของประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกาในทุกขั้นตอนมาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

ประเทศสหรัฐอเมริกา  ถือว่าเป็นแม่แบบของการปกครองในระบบประธานาธิบดี  โดยเป็นประเทศที่มีโครงสร้างแบบรัฐรวมในลักษณะของการรวมตัวแบบเหนียวแน่น  ที่เรียกว่า  สหพันธรัฐ  หรือเรียกสั้นๆว่า  สหรัฐ  ซึ่งเป็นการรวมตัวกันโดยใช้เกณฑ์แห่งความเสมอภาคระหว่างรัฐใหญ่กับรัฐเล็กที่เป็นสมาชิก  รัฐสมาชิกดังกล่าวยินยอมที่จะสูญเสียอำนาจบางประการให้กับศูนย์กลางแห่งอำนาจ  ยอมให้มีการกำหนดเกณฑ์ในการใช้อำนาจปกครองร่วมกัน  โดยมีการสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นที่เรียกว่า  รัฐธรรมนูญใหม่  หรือ  รัฐธรรมนูญกลาง

ลักษณะสำคัญของการปกครองในระบบประธานาธิบดี  มี  2  ประการ  คือ

1       ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน

2       มีการแบ่งแยกอำนาจกันค่อนข้างเด็ดขาดระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร  กล่าวคือ  เป็นอิสระจากกัน  ไม่มีมาตรการล้มล้างซึ่งกันและกัน  ดังนั้นสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่มีอำนาจในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร  และในทางกลับกันฝ่ายบริหารก็ไม่มีอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร  สังเกตว่าในข้อนี้จะแตกต่างจากการปกครองในระบบรัฐสภาอย่างชัดเจน

การจัดตั้งสถาบันการปกครองของสหรัฐอเมริกา  มีดังนี้

ก.      สถาบันนิติบัญญัติ  (สภาคองเกรส)

รัฐสภาอเมริกัน  เรียกว่า  สภาคองเกรส (Zcongress)  ประกอบด้วย  2  สภา คือ

1       สภาผู้แทนราษฎร  ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากกการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  แบบเสียงข้างมากรอบเดียว  มีวาระในการดำลงตำแหน่ง  2  ปี  มีจำนวนทั้งสิ้น  435  คน  รวมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของศูนย์กลางแห่งอำนาจหรือที่เรียกว่า  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพิเศษของวอชิงตัน  ดี.ซี.  อีก  3  คน  ฉะนั้นจึงมีจำนวนทั้งหมด  438 คน

คุณสมบัติของผู้สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  คือ  ต้องมีอายุ  25  ปีขึ้นไป  และมีสัญชาติอเมริกันมาแล้วอย่างน้อย  7  ปี

2       สภาสูงหรือวุฒิสภา  ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน  2  คนต่อ  1  มลรัฐ  รวมทั้งสิ้นจำนวน  100 คน  มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  มีวาระการดำรงตำแหน่ง  6  ปี  แต่สมาชิก  1  ใน  3  ของทั้งหมดจะต้องจับถูกสลากออกไปสมัครเข้ารับการเลือกตั้งใหม่ทุกๆ  2  ปี  ในระหว่างที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

คุณสมบัติของผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา คือ  ต้องมีอายุตั้งแต่  30  ปีขึ้นไปและได้สัญชาติอเมริกันมาแล้ว  9  ปีขึ้นไป

สมาชิกของสภาคองเกรสได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองเช่นเดียวกับสมาชิกของสภาทั่วๆไปในรัฐสมัยใหม่  นอกจากนี้ยังได้รับการยกเว้นภาษี  ค่าใช้จ่ายของเลขานุการ  เงื่อนไขในการทำงานของสมาชิกสภาคองเกรสยังดีกว่าสมาชิกของประเทศอื่นๆโดยเฉพาะทางด้านข้อมูลข่าวสาร

อำนาจหน้าที่ของสภาเกรส

1       อำนาจในการตรากฎหมายและการตรากฎหมายเกี่ยวกับงบประมาณ  ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่างมีอำนาจในเรื่องนี้อย่างเท่าเทียมกัน  ยกเว้นในเรื่องที่เกี่ยวกับภาษีอากรจะต้องริเริ่มโดยสภาผู้แทนราษฎร

2       อำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ  การริเริ่มการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีได้ทั้งจากสภาคองเกรส  หรือจากสภานิติบัญญัติของมลรัฐต่างๆ

3       อำนาจในการเลือกตั้งแทน  เมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี  และรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  ถ้าปรากฏว่าผู้สมัครได้รับคะแนนเสียงเท่ากัน  กรณีนี้สภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้ใช้สิทธิเลือกประธานาธิบดีส่วนวุฒิสภาก็จะใช้สิทธิเลือกรองประธานาธิบดี

4       อำนาจอื่นๆของสภาคองเกรส  เช่น  ดูแลการบริหารของหน่วยงานบริการสาธารณสุขตลอดจนเจ้าหน้าที่ของสหรัฐอเมริกา

อำนาจหน้าที่เฉพาะของสภาสูงหรือวุฒิสภาของอเมริกา

1       ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของสหพันธรัฐ

2       ให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศ  โดยต้องได้รับการให้สัตยาบันจากสภาสูงด้วยคะแนนเสียง  2  ใน  3

ข.      สถาบันบริหารของสหรัฐอเมริกา

ฝ่ายบริหารจะมีประธานาธิบดีเป็นผู้นำสูงสุด  ซึ่งมีความเป็นอิสระจากรัฐมนตรีทั้งปวง  โดยประธานาธิบดีจะเป็นทั้งประมุขของรัฐและเป็นหัวหน้ารัฐบาล

ในสหรัฐอเมริกามีพรรคการเมืองใหญ่ๆ  อยู่เพียง  2  พรรค  คือ  พรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต  ที่มีโอกาสสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่บริหารประเทศ  โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้นถือว่าเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม  กล่าวคือ  ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง  เรียกว่า  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  (Big  Elector)  เพื่อทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี  ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้

การเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีได้รับเลือกมาพร้อมกันในรูปแบบของ  “Ticket”  เดียวกันโดยได้รับเลือกจากประชาชน  มีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่  1 

พรรคการเมืองทั้ง  2  พรรคดังกล่าว  จะคัดเลือกตัวแทนของแต่ละพรรคในแต่ละมลรัฐ  ซึ่งมีทั้งหมด  50  มลรัฐ  เพื่อส่งเข้าประชุมร่วมกันในระดับชาติ หรือเรียกกันว่าเป็นการประชุมระดับ  Convention  เพื่อให้คนที่มาประชุมร่วมกันของแต่ละพรรคนั้นทำการคัดเลือกบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะส่งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี  เมื่อได้ตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแล้ว  ผู้ที่ได้รับเลือกมีสิทธิเลือกบุคคลที่จะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วย

ขั้นตอนที่  2 

กำหนดให้ประชาชนชาวอเมริกันในแต่ละมลรัฐไปทำการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งคามบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่  ซึ่งบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่นี้ในแต่ละมลรัฐจะแตกต่างกันในเรื่องของจำนวน  ทั้งนี้จำนวนสมาชิกของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ที่จะมีได้ในแต่ละมลรัฐนั้นจะมีลักษณะเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  อย่างเช่น  มลรัฐแคลิฟอร์เนีย  สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้  30  คน  และสมาชิกวุฒิสภาอีก  2  คน  ดังนั้นรวมแล้วได้  32  คน  ดังนั้นทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตซึ่งอยู่ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียจะทำบัญชีรายชื่อคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของตนในมลรัฐนี้ขึ้นพรรคละ  32  รายชื่อ  เพื่อเสนอต่อประชาชนในมลรัฐให้เลือกเข้ามา  ฉะนั้นหากประชาชนนิยมผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคใด  ก็จะลงคะแนนให้แก่บุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น  และจะต้องเลือกทั้ง  32  คนของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น  เมื่อลงคะแนนเสร็จก็จะได้สรุปว่าพรรคใดจะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คณะผู้เลือกตั้งใหญ่

สำหรับ  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  นั้นมีทั้งหมด  538  คน  ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ  ซึ่งกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  (435 + 3 + 100 )  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ข้างมากและเด็ดขาด  คือ  จะต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป

ดังนั้นจะเห็นว่า  หลังจากการเลือกตั้งคณะผู้เลือกตั้งใหญ่เสร็จลงแล้วรวมคะแนนจาก  50  มลรัฐของแต่ละพรรค  ถ้าปรากฏว่าพรรคใดได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ถึง  270  เสียง  คือ  เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด  (กึ่งหนึ่ง  269)  ก็จะทำให้ทราบทันทีว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคดังกล่าวย่อมได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี

ขั้นตอนที่  3

ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะผู้เลือกตั้งใหญ่ทั้งหมดจำนวน  538  คนไปออกเสียงลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  ซึ่งก็แน่นอนว่าคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของแต่ละพรรคก็จะลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครของพรรคตน  ดังนั้นสมมุติว่าพรรคเดโมแครตได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป  ก็หมายความว่า  ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคแดโมแครตย่อมจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

โดยที่ประชุมของสภาคองเกรส  จะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการว่าใครเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  และหลังจากนั้นก็จะมีพิธีการอย่างเป็นทางการในการเข้าสู่ตำแหน่งของประมุขฝ่ายบริหาร

วาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี  ก็คือ  4  ปี  ในกรณีที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเกิดว่างลงหรือไม่สามารถบริหารประเทศได้โดยสิ้นเชิง  รองประธานาธิบดีจะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนที่  และมีอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับประธานาธิบดี

ค.      สถาบันตุลาการ  (ศาลยุติธรรมสูงสุด)

ศาลสูงสุดของอเมริกา  ได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดี แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูงโดยหน้าที่หลักๆของศาลสูงสุดของอเมริกา  ได้แก่

1       ควบคุมดูแลมิให้กฎหมายอื่นใดมาขัด  หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญกลาง

2       พิจารณาพิพากษาในกรณีมีการกล่าวหาทูต  กงสุล  รัฐมนตรี  หรือรัฐสมาชิก

 

ข้อ  2  ก . ในฐานะที่ท่านเป็นนักศึกษากฎหมายท่านทราบหรือไม่ว่า  กฎหมายที่ท่านเรียนอยู่แต่ละวิชานั้นมีขั้นตอนในการบัญญัติอย่างไร ดังนั้นจงอธิบายขั้นตอนการตราพระราชบัญญัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันพอสังเขป

        ข .  ในฐานะที่ท่านเป็นคนไทยคนหนึ่ง  ท่านทราบหรือไม่ว่าหน้าที่ของท่านตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีอะไรบ้าง

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550  ได้บัญญัติวิธีการและขั้นตอนการเสนอร่างพระราชบัญญัติซึ่งสามารถกระทำได้  4  ทาง  ได้แก่

1       โดยคณะรัฐมนตรี

2       โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  จำนวนไม่น้อยกว่า  20  คน

3       ศาลหรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ  เสนอได้เฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับหน่วยงานของตน

4       โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่น้อยกว่า  10,000  คน  เข้าชื่อร้องขอต่อประธานรัฐสภาเพื่อให้รัฐสภาออกกฎหมายตามที่กำหนดไว้ในหมวด  3  สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยและหมวด  5  แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ

ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติซึ่งมีผู้เสนอตาม  2.3. และ 4.  เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินจะเสนอได้ก็ต่อเมื่อมีคำรับรองของนายกรัฐมนตรี  (มาตรา 142)

ผู้มีอำนาจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ  คือ  รัฐสภาที่เป็นองค์การที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ

ขั้นตอนพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ  มี  2  ขั้นตอน  คือ  ส่งร่างพระราชบัญญัติเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร  เมื่อพิจารณาเสร็จแล้วถ้าสภาผู้แทนราษฎรให้ความเห็นชอบ  ก็จะส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภาต่อไป

การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโดยสภาผู้แทนราษฎร

เมื่อร่างพระราชบัญญัติเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรแล้ว  สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติออกเป็น  3  วาระ  คือ

วาระที่  1  เรียกว่า  วาระรับหลักการ  เมื่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นแล้ว  จะลงมติว่า  จะรับหลักการหรือไม่รับหลักการแห่งพระราชบัญญัตินั้น  ถ้าหากสภาผู้แทนราษฎรไม่รับหลักการร่างพระราชบัญญัตินั้นก็ตกไป  แต่หากสภาผู้แทนราษฎรรับหลักการ  ก็จะส่งร่างพระราชบัญญัติเข้าสู่การพิจารณาในวาระที่  2  ต่อไป  การพิจารณาวาระที่  1  นี้  สภาผู้แทนราษฎรจะตั้งคณะกรรมการไปพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหรือปัญหาใดๆก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะมีมติรับหลักการหรือไม่รับหลักการก็ได้

วาระที่  2  เป็นการพิจารณาในรายละเอียด  ปกติจะพิจารณาโดยกรรมาธิการที่สภาผู้แทนราษฎรตั้งขึ้น  สภาผู้แทนราษฎรคนใดเห็นว่าข้อความหรือถ้อยคำใดในร่างพระราชบัญญัตินั้นควรแก้ไขเพิ่มเติมก็ให้เสนอขอคำแปรญัตติต่อประธานคณะกรรมาธิการภายในเวลาที่กำหนดไว้  เมื่อคณะกรรมาธิการพิจารณาเรียงลำดับมาตราจะมีการอภิปรายได้เฉพาะที่มีการแก้ไขหรือที่มีการสงวนคำแปรญัตติ  หรือสงวนความเห็นไว้เท่านั้น  ในวาระนี้จะไม่มีการลงมติ  เมื่อพิจารณาแล้วก็จะส่งเข้าสู่วาระที่  3 

ในกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติใดที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้เสนอและในขั้นรับหลักการไม่เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน  แต่คณะกรรมาธิการหรือสภาผู้แทนราษฎรได้แก้ไขเพิ่มเติม  และประธานสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงินให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรสั่งระงับการพิจารณาไว้ก่อน  และส่งให้ที่ประชุมร่วมกันของประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานคณะกรรมาธิการสามัญของสภาผู้แทนราษฎรทุกคณะวินิจฉัยภายใน  15  วันนับแต่ที่มีกรณีดังกล่าว  ถ้าที่ประชุมร่วมกันวินิจฉัยว่าการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นทำให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นมีลักษณะเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน  ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นไปให้นายกรัฐมนตรีรับรอง  ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่ให้คำรับรอง  ให้สภาผู้แทนราษฎรดำเนินการแก้ไขเพื่อมิให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน  (มาตรา 144)

วาระที่  3  เรียกว่า  วาระให้ความเห็นชอบ  เมื่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาวาระที่  2  เสร็จแล้ว  สภาผู้แทนราษฎรจะลงมติในวาระที่  3  ว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบเท่านั้นโดยไม่มีการอภิปรายอีก  หากสภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ  ร่างพระราชบัญญัตินั้นก็เป็นอันตกไป  แต่หากสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบก็ให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเสนอร่างพระราชบัญญัตินั้นต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป

การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโดยวุฒิสภา

วุฒิสภาจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติที่สภาผู้แทนราษฎรส่งมาให้  3 วาระ

วาระที่  1  การพิจารณาวาระนี้เป็นการพิจารณาและลงมติว่าจะเห็นชอบด้วยกับหลักการแห่งพระราชบัญญัตินั้นหรือไม่

การพิจารณาในวาระนี้  วุฒิสภามีอำนาจตั้งกรรมาธิการไปพิจารณาร่างพระราชบัญญัติหรือปัญหาใดๆก่อนที่วุฒิสภาจะมีมติเห็นชอบด้วยกับหลักการหรือไม่ก็ได้

ในกรณีที่วุฒิสภามีมติเห็นชอบด้วยกับหลักการแห่งพระราชบัญญัติให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไปเป็นวาระที่สอง

วาระที่  2  วุฒิสภาจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัติโดยคณะกรรมาธิการที่สภาตั้งหรือกรรมการเต็มสภา  ซึ่งมีขั้นตอนการพิจารณาและการแปรญัตติเช่นเดียวกับการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร

วาระที่  3  การพิจารณาในวาระนี้จะเป็นการพิจารณาเพื่อลงมติว่าจะเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร  ในกรณีที่ไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติก็จะเป็นการลงมติยืนยันว่าวุฒิสภาเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว  ถ้าในวาระที่สองมีการแก้ไขเพิ่มเติมก็ให้ที่ประชุมวุฒิสภาลงมติว่าเห็นชอบด้วยหรือไม่เห็นชอบด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติม  การพิจารณาในวาระนี้จะไม่มีการอภิปราย

ผลการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติของวุฒิสภา

ในกรณีที่วุฒิสภาเห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร  ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินี้ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว  และดำเนินการเพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป  หากไม่เห็นชอบด้วยก็ให้ยับยั้งร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้ก่อน  และส่งพระราชบัญญัตินั้นคืนไปยังสภาผู้แทนราษฎร  ทั้งนี้สภาผู้แทนราษฎรจะยกร่างพระราชบัญญัติขึ้นมาใหม่ได้ต่อเมื่อครบ  180  วันนับแต่วันที่วุฒิสภาส่งร่างพระราชบัญญัตินั้นคืนไปยังสภาผู้แทนราษฎรแล้ว  แต่ถ้าร่างพระราชบัญญัติที่ยับยั้งไว้เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงิน  สภาผู้แทนราษฎรสามารถยกร่างพระราชบัญญัติขึ้นพิจารณาใหม่ได้ทันที  และถ้าสภาผู้แทนราษฎรลงมติยืนยันร่างเดิมด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร  ให้ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

ในกรณีที่วุฒิสภามีมติแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติให้ความเห็นชอบแล้ว  ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติตามที่แก้ไขเพิ่มเติมนั้นไปยังสภาผู้แทนราษฎร  ถ้าสภาผู้แทนราษฎรเห็นว่าไม่เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมสาระสำคัญ  และเห็นชอบด้วยกับการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นก็ให้ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา  แต่ถ้าเป็นกรณีอื่นให้แต่ละสภาตั้งบุคคลที่เป็นหรือมิได้เป็นสมาชิกแห่งสภานั้นๆมีจำนวนเท่ากันตามที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนดประกอบเป็นคณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้นแล้วให้คณะกรรมาธิการร่วมกันรายงานและเสนอร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการร่วมกันได้พิจารณาแล้วต่อสภาทั้งสอง

กรณีที่สภาหนึ่งสภาใดไม่เห็นชอบด้วยกับร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาเสร็จแล้วก็ให้ยับยั้งร่างพระราชบัญญัตินั้นไว้ก่อน  สภาผู้แทนราษฎรจะยกขึ้นพิจารณาใหม่ได้ต่อเมื่อครบระยะเวลา  180  วันนับแต่วันที่สภาใดสภาหนึ่งไม่เห็นชอบ  ถ้าร่างพระราชบัญญัติที่ยับยั้งไว้เป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการเงิน  สภาผู้แทนราษฎรอาจยกร่างพระราชบัญญัตินั้นขึ้นพิจารณาใหม่ได้ทันที  และถ้าสภาผู้แทนราษฎรมีมติยืนยันร่างเดิม  หรือร่างที่คณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาด้วยคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรให้ถือว่าร่างพระราชบัญญัตินั้นได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

ร่างพระราชบัญญัติที่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว  ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายภายใน  20 วัน  นับแต่วันที่ได้รับร่างพระราชบัญญัตินั้นจากรัฐสภา  เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศในราชกิจจานุเบกษา  แล้วให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้  (มาตรา  150)

ถ้าร่างพระราชบัญญัติใดพระมหากษัตริย์ไม่ทรงเห็นชอบด้วย  และพระราชทานคืนมายังรัฐสภาหรือเมื่อพ้น  90  วันแล้วมิได้พระราชทานคืนมา  รัฐสภา  จะต้องปรึกษาร่างพระราชบัญญัตินั้นใหม่  หากรัฐสภาลงมติยืนยันร่างเดิมด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาแล้วให้นายกรัฐมนตรีนำร่างพระราชบัญญัตินั้นขึ้นทูลเกล้าถวายอีกครั้งหนึ่ง  เมื่อพระมหากษัตริย์มิได้ทรงลงพระปรมาภิไธยคืนมาภายใน  30  วัน  ให้นายกรัฐมนตรีนำพระราชบัญญัตินั้นประกาศในราชกิจจานุเบกษาใช้บังคับเป็นกฎหมายได้เสมือนว่าพระมหากษัตริย์ได้ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว  (มาตรา  151)

ข .  ในฐานะที่ท่านเป็นคนไทยคนหนึ่ง  ท่านทราบหรือไม่ว่าหน้าที่ของท่านตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีอะไรบ้าง

ธงคำตอบ

1       หน้าที่ที่จะต้องรักษาไว้ซึ่งชาติ  ศาสนา  พระมหากษัตริย์  และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (มาตรา 70)

2       หน้าที่ป้องกันประเทศ  รักษาผลประโยชน์ของชาติ  และปฏิบัติตามกฎหมาย (มาตรา71)

3       หน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง  (มาตรา 72)

4       หน้าที่รับราชการทหาร  เสียภาษี  ช่วยเหลือราชการ  รับการศึกษาอบรม  พิทักษ์ปกป้องและสืบสานศิลปวัฒนธรรมของชาติ อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามที่กฎหมายบัญญัติ (มาตรา  73)

 

ข้อ  3  ขอให้ท่านอธิบายถึงกระบวนการและขั้นตอนในการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามาโดยสังเขป

ธงคำตอบ

การปกครองในระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  ในส่วนของฝ่ายบริหารจะมีประธานาธิบดีเป็นผู้นำสูงสุด  ซึ่งมีความเป็นอิสระจากรัฐมนตรีทั้งปวง  ซึ่งเรียกว่า  “Secretaries”  โดยประธานาธิบดีจะเป็นทั้งประมุขของรัฐ  และเป็นหัวหน้าของรัฐบาลด้วย

ในสหรัฐอเมริกามีพรรคการเมืองใหญ่ๆ  อยู่เพียง  2  พรรค  คือ  พรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต  ที่มีโอกาสสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่บริหารประเทศ  โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้นถือว่าเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม  กล่าวคือ  ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง  เรียกว่า  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  (Big  Elector)  เพื่อทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี  ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้

การเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีได้รับเลือกมาพร้อมกันในรูปแบบของ  “Ticket”  เดียวกันโดยได้รับเลือกจากประชาชน  มีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่  1 

พรรคการเมืองทั้ง  2  พรรคดังกล่าว  จะคัดเลือกตัวแทนของแต่ละพรรคในแต่ละมลรัฐ  ซึ่งมีทั้งหมด  50  มลรัฐ  เพื่อส่งเข้าประชุมร่วมกันในระดับชาติ หรือเรียกกันว่าเป็นการประชุมระดับ  Convention  เพื่อให้คนที่มาประชุมร่วมกันของแต่ละพรรคนั้นทำการคัดเลือกบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะส่งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี  เมื่อได้ตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแล้ว  ผู้ที่ได้รับเลือกมีสิทธิเลือกบุคคลที่จะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วย

ขั้นตอนที่  2 

กำหนดให้ประชาชนชาวอเมริกันในแต่ละมลรัฐไปทำการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งคามบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่  ซึ่งบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่นี้ในแต่ละมลรัฐจะแตกต่างกันในเรื่องของจำนวน  ทั้งนี้จำนวนสมาชิกของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ที่จะมีได้ในแต่ละมลรัฐนั้นจะมีลักษณะเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  อย่างเช่น  มลรัฐแคลิฟอร์เนีย  สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 30  คน  และสมาชิกวุฒิสภาอีก  2  คน  ดังนั้นรวมแล้วได้  32  คน  ดังนั้นทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตซึ่งอยู่ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียจะทำบัญชีรายชื่อคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของตนในมลรัฐนี้ขึ้นพรรคละ  32  รายชื่อ  เพื่อเสนอต่อประชาชนในมลรัฐให้เลือกเข้ามา  ฉะนั้นหากประชาชนนิยมผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคใด  ก็จะลงคะแนนให้แก่บุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น  และจะต้องเลือกทั้ง  32  คนของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น  เมื่อลงคะแนนเสร็จก็จะได้สรุปว่าพรรคใดจะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คณะผู้เลือกตั้งใหญ่

สำหรับ  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  นั้นมีทั้งหมด  538  คน  ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ  ซึ่งกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  (435 + 3 + 100 )  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ข้างมากและเด็ดขาด  คือ  จะต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป

ดังนั้นจะเห็นว่า  หลังจากการเลือกตั้งคณะผู้เลือกตั้งใหญ่เสร็จลงแล้วรวมคะแนนจาก  50  มลรัฐของแต่ละพรรค  ถ้าปรากฏว่าพรรคใดได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ถึง  270  เสียง  คือ  เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด  (กึ่งหนึ่ง  269)  ก็จะทำให้ทราบทันทีว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคดังกล่าวย่อมได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี

ขั้นตอนที่  3

ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะผู้เลือกตั้งใหญ่ทั้งหมดจำนวน  538  คนไปออกเสียงลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  ซึ่งก็แน่นอนว่าคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของแต่ละพรรคก็จะลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครของพรรคตน  ดังนั้นสมมุติว่าพรรคเดโมแครตได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป  ก็หมายความว่า  ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคแดโมแครตย่อมจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

โดยที่ประชุมของสภาคองเกรส  จะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการว่าใครเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  และหลังจากนั้นก็จะมีพิธีการอย่างเป็นทางการในการเข้าสู่ตำแหน่งของประมุขฝ่ายบริหาร

วาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี  ก็คือ  4  ปี  ในกรณีที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเกิดว่างลงหรือไม่สามารถบริหารประเทศได้โดยสิ้นเชิง  รองประธานาธิบดีจะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนที่  และมีอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับประธานาธิบดี

 

ข้อ  4  นายเอกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  ได้ถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลอาญาในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น  ต่อมาในระหว่างสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ  อัยการสูงสุดได้ฟ้องนายเอกเป็นจำเลยในคดีอาญาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  ฐานทุจริตต่อหน้าที่หลังจากนั้นศาลอาญาและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้นัดพิจารณาคดีในระหว่างสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติดังกล่าว  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าตามรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2550  ศาลอาญาและศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะดำเนินการพิจารณาคดีในกรณีนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  131  วรรคสาม  ในกรณีที่มีการฟ้องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาในคดีอาญา  ไม่ว่าจะได้ฟ้องนอกหรือในสมัยประชุม  ศาลจะพิจารณาคดีนั้นในระหว่างสมัยประชุมมิได้  เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกหรือเป็นคดีอันเกี่ยวกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา  พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง  หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง  แต่การพิจารณาคดีต้องไม่เป็นการขัดขวางต่อการที่สมาชิกผู้นั้นจะมาประชุมสภา

มาตรา  277  วรรคสาม  บทบัญญัติว่าด้วยความคุ้มกันของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา  131  มิให้นำมาใช้บังคับกับการพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ต้องแยกพิจารณาเป็น  2  ประเด็นคือ 

1       ศาลอาญาจะดำเนินการพิจารณาคดีที่นายเอกถูกฟ้องเป็นจำเลยในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นได้หรือไม่  และ

2       ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะดำเนินคดีที่นายเอกถูกฟ้องเป็นจำเลยในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ได้หรือไม่

ประเด็นที่  1  ตามรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.  2550  มาตรา 131  วรรคสาม  ศาลอาญาจะพิจารณาคดีนี้ในระหว่างสมัยประชุมมิได้  เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกหรือเป็นคดีอันเกี่ยวกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎร  และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา  พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง

ประเด็นที่  2  ตามรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2550  มาตรา  277  วรรคสาม  ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  สามารถพิจารณาคดีนี้ในระหว่างสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติได้

ทั้งนี้เพราะบทบัญญัติว่าด้วยความคุ้มกันของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  และสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา  131  นั้น  มิให้นำมาใช้บังคับกับการพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง ภาคฤดูร้อน/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงโครงสร้าง  รูปการปกครอง  และการจัดตั้งสถาบันการปกครองหลักของประเทศสหรัฐอเมริกามาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

ประเทศสหรัฐอเมริกา  ถือว่าเป็นแม่แบบของการปกครองในระบบประธานาธิบดี  โดยเป็นประเทศที่มีโครงสร้างแบบรัฐรวมในลักษณะของการรวมตัวแบบเหนียวแน่น  ที่เรียกว่า  สหพันธรัฐ  หรือเรียกสั้นๆว่า  สหรัฐ  ซึ่งเป็นการรวมตัวกันโดยใช้เกณฑ์แห่งความเสมอภาคระหว่างรัฐใหญ่กับรัฐเล็กที่เป็นสมาชิก  รัฐสมาชิกดังกล่าวยินยอมที่จะสูญเสียอำนาจบางประการให้กับศูนย์กลางแห่งอำนาจ  ยอมให้มีการกำหนดเกณฑ์ในการใช้อำนาจปกครองร่วมกัน  โดยมีการสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นที่เรียกว่า  รัฐธรรมนูญใหม่  หรือ  รัฐธรรมนูญกลาง

ลักษณะสำคัญของการปกครองในระบบประธานาธิบดี  มี  2  ประการ  คือ

1       ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน

2       มีการแบ่งแยกอำนาจกันค่อนข้างเด็ดขาดระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร  กล่าวคือ  เป็นอิสระจากกัน  ไม่มีมาตรการล้มล้างซึ่งกันและกัน  ดังนั้นสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่มีอำนาจในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร  และในทางกลับกันฝ่ายบริหารก็ไม่มีอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร  สังเกตว่าในข้อนี้จะแตกต่างจากการปกครองในระบบรัฐสภาอย่างชัดเจน

การจัดตั้งสถาบันการปกครองของสหรัฐอเมริกา  มีดังนี้

ก.      สถาบันนิติบัญญัติ  (สภาคองเกรส)

รัฐสภาอเมริกัน  เรียกว่า  สภาคองเกรส (Zcongress)  ประกอบด้วย  2  สภา คือ

1       สภาผู้แทนราษฎร  ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากกการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  แบบเสียงข้างมากรอบเดียว  มีวาระในการดำลงตำแหน่ง  2  ปี  มีจำนวนทั้งสิ้น  435  คน  รวมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของศูนย์กลางแห่งอำนาจหรือที่เรียกว่า  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพิเศษของวอชิงตัน  ดี.ซี.  อีก  3  คน  ฉะนั้นจึงมีจำนวนทั้งหมด  438 คน

คุณสมบัติของผู้สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  คือ  ต้องมีอายุ  25  ปีขึ้นไป  และมีสัญชาติอเมริกันมาแล้วอย่างน้อย  7  ปี

2       สภาสูงหรือวุฒิสภา  ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน  2  คนต่อ  1  มลรัฐ  รวมทั้งสิ้นจำนวน  100 คน  มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  มีวาระการดำรงตำแหน่ง  6  ปี  แต่สมาชิก  1  ใน  3  ของทั้งหมดจะต้องจับถูกสลากออกไปสมัครเข้ารับการเลือกตั้งใหม่ทุกๆ  2  ปี  ในระหว่างที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

คุณสมบัติของผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา คือ  ต้องมีอายุตั้งแต่  30  ปีขึ้นไปและได้สัญชาติอเมริกันมาแล้ว  9  ปีขึ้นไป

สมาชิกของสภาคองเกรสได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองเช่นเดียวกับสมาชิกของสภาทั่วๆไปในรัฐสมัยใหม่  นอกจากนี้ยังได้รับการยกเว้นภาษี  ค่าใช้จ่ายของเลขานุการ  เงื่อนไขในการทำงานของสมาชิกสภาคองเกรสยังดีกว่าสมาชิกของประเทศอื่นๆโดยเฉพาะทางด้านข้อมูลข่าวสาร

อำนาจหน้าที่ของสภาเกรส

1       อำนาจในการตรากฎหมายและการตรากฎหมายเกี่ยวกับงบประมาณ  ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่างมีอำนาจในเรื่องนี้อย่างเท่าเทียมกัน  ยกเว้นในเรื่องที่เกี่ยวกับภาษีอากรจะต้องริเริ่มโดยสภาผู้แทนราษฎร

2       อำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ  การริเริ่มการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีได้ทั้งจากสภาคองเกรส  หรือจากสภานิติบัญญัติของมลรัฐต่างๆ

3       อำนาจในการเลือกตั้งแทน  เมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี  และรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  ถ้าปรากฏว่าผู้สมัครได้รับคะแนนเสียงเท่ากัน  กรณีนี้สภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้ใช้สิทธิเลือกประธานาธิบดีส่วนวุฒิสภาก็จะใช้สิทธิเลือกรองประธานาธิบดี

4       อำนาจอื่นๆของสภาคองเกรส  เช่น  ดูแลการบริหารของหน่วยงานบริการสาธารณสุขตลอดจนเจ้าหน้าที่ของสหรัฐอเมริกา

อำนาจหน้าที่เฉพาะของสภาสูงหรือวุฒิสภาของอเมริกา

1       ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของสหพันธรัฐ

2       ให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศ  โดยต้องได้รับการให้สัตยาบันจากสภาสูงด้วยคะแนนเสียง  2  ใน  3

ข.      สถาบันบริหารของสหรัฐอเมริกา

ฝ่ายบริหารจะมีประธานาธิบดีเป็นผู้นำสูงสุด  ซึ่งมีความเป็นอิสระจากรัฐมนตรีทั้งปวง  โดยประธานาธิบดีจะเป็นทั้งประมุขของรัฐและเป็นหัวหน้ารัฐบาล

ในสหรัฐอเมริกามีพรรคการเมืองใหญ่ๆ  อยู่เพียง  2  พรรค  คือ  พรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต  ที่มีโอกาสสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่บริหารประเทศ  โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้นถือว่าเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม  กล่าวคือ  ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง  เรียกว่า  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  (Big  Elector)  เพื่อทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี  ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้

การเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีได้รับเลือกมาพร้อมกันในรูปแบบของ  “Ticket”  เดียวกันโดยได้รับเลือกจากประชาชน  มีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่  1 

พรรคการเมืองทั้ง  2  พรรคดังกล่าว  จะคัดเลือกตัวแทนของแต่ละพรรคในแต่ละมลรัฐ  ซึ่งมีทั้งหมด  50  มลรัฐ  เพื่อส่งเข้าประชุมร่วมกันในระดับชาติ หรือเรียกกันว่าเป็นการประชุมระดับ  Convention  เพื่อให้คนที่มาประชุมร่วมกันของแต่ละพรรคนั้นทำการคัดเลือกบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะส่งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี  เมื่อได้ตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแล้ว  ผู้ที่ได้รับเลือกมีสิทธิเลือกบุคคลที่จะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วย

ขั้นตอนที่  2 

กำหนดให้ประชาชนชาวอเมริกันในแต่ละมลรัฐไปทำการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งคามบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่  ซึ่งบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่นี้ในแต่ละมลรัฐจะแตกต่างกันในเรื่องของจำนวน  ทั้งนี้จำนวนสมาชิกของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ที่จะมีได้ในแต่ละมลรัฐนั้นจะมีลักษณะเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  อย่างเช่น  มลรัฐแคลิฟอร์เนีย  สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 30  คน  และสมาชิกวุฒิสภาอีก  2  คน  ดังนั้นรวมแล้วได้  32  คน  ดังนั้นทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตซึ่งอยู่ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียจะทำบัญชีรายชื่อคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของตนในมลรัฐนี้ขึ้นพรรคละ  32  รายชื่อ  เพื่อเสนอต่อประชาชนในมลรัฐให้เลือกเข้ามา  ฉะนั้นหากประชาชนนิยมผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคใด  ก็จะลงคะแนนให้แก่บุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น  และจะต้องเลือกทั้ง  32  คนของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น  เมื่อลงคะแนนเสร็จก็จะได้สรุปว่าพรรคใดจะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คณะผู้เลือกตั้งใหญ่

สำหรับ  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  นั้นมีทั้งหมด  538  คน  ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ  ซึ่งกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  (435 + 3 + 100 )  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ข้างมากและเด็ดขาด  คือ  จะต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป

ดังนั้นจะเห็นว่า  หลังจากการเลือกตั้งคณะผู้เลือกตั้งใหญ่เสร็จลงแล้วรวมคะแนนจาก  50  มลรัฐของแต่ละพรรค  ถ้าปรากฏว่าพรรคใดได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ถึง  270  เสียง  คือ  เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด  (กึ่งหนึ่ง  269)  ก็จะทำให้ทราบทันทีว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคดังกล่าวย่อมได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี

ขั้นตอนที่  3

ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะผู้เลือกตั้งใหญ่ทั้งหมดจำนวน  538  คนไปออกเสียงลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  ซึ่งก็แน่นอนว่าคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของแต่ละพรรคก็จะลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครของพรรคตน  ดังนั้นสมมุติว่าพรรคเดโมแครตได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป  ก็หมายความว่า  ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคแดโมแครตย่อมจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

โดยที่ประชุมของสภาคองเกรส  จะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการว่าใครเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  และหลังจากนั้นก็จะมีพิธีการอย่างเป็นทางการในการเข้าสู่ตำแหน่งของประมุขฝ่ายบริหาร

วาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี  ก็คือ  4  ปี  ในกรณีที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเกิดว่างลงหรือไม่สามารถบริหารประเทศได้โดยสิ้นเชิง  รองประธานาธิบดีจะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนที่  และมีอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับประธานาธิบดี

ค.      สถาบันตุลาการ  (ศาลยุติธรรมสูงสุด)

ศาลสูงสุดของอเมริกา  ได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดี แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูงโดยหน้าที่หลักๆของศาลสูงสุดของอเมริกา  ได้แก่

1       ควบคุมดูแลมิให้กฎหมายอื่นใดมาขัด  หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญกลาง

2       พิจารณาพิพากษาในกรณีมีการกล่าวหาทูต  กงสุล  รัฐมนตรี  หรือรัฐสมาชิก

 

ข้อ  2  ให้อธิบายถึงรูปการปกครองของประเทศไทย  และวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งของสถาบันนิติบัญญัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทยฉบับปัจจุบัน  (พ.ศ.2550) มาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ 

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550  (ฉบับปัจจุบัน)   กำหนดให้ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา  อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

การปกครองในระบบรัฐสภา  เป็นระบบการปกครองที่องค์กรซึ่งใช้อำนาจในทางการเมืองทั้ง  2  องค์กร  คือ  ฝ่ายนิติบัญญัติ  และฝ่ายบริหาร  มีความสัมพันธ์และพึ่งพาอาศัยกันในการปฏิบัติหน้าที่  รวมทั้งมีมาตรการในการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันด้วย

การปกครองในระบบรัฐสภานั้นมีหลักการที่สำคัญคือ  ฝ่ายบริหารต้องมีความรับผิดชอบในทางการเมืองต่อฝ่ายนิติบัญญัติ  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ  ฝ่ายบริหารมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินก็โดยอาศัยความไว้วางใจของฝ่ายนิติบัญญัติ เมื่อใดที่ฝ่ายนิติบัญญัติแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจ  เมื่อนั้นถือได้ว่าฝ่ายนิติบัญญัติต้องการถอดถอนฝ่ายบริหาร

การรับผิดชอบในทางการเมืองของฝ่ายบริหารนั้นจำกัดเฉพาะคณะรัฐมนตรี  ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการอย่างแท้จริงเท่านั้น  องค์ประมุขของรัฐไม่ต้องรับผิดชอบในทางการเมืองแต่อย่างใด

การแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจของฝ่ายนิติบัญญัตินี้  อาจจะเป็นการกระทำโดยตรงซึ่งได้แก่  การที่สภานิติบัญญัติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อฝ่ายบริหารหรืออาจจะเป็นการกระทำทางอ้อม  ซึ่งได้แก่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่เห็นชอบกับร่างกฎหมายสำคัญที่ฝ่ายบริหารเสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณาอนุมัติ  เช่น  ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี  เป็นต้น  นอกจากนี้ฝ่ายนิติบัญญัติยังมีอำนาจตั้งกระทู้ถามต่อฝ่ายบริหารได้อีกด้วย

แต่อย่างไรก็ตามการปกครองในระบบรัฐสภานั้น  ถึงแม้ว่าฝ่ายนิติบัญญัติจะมีอำนาจถอดถอนฝ่ายบริหารด้วยการแสดงออกซึ่งความไม่ไว้วางใจ  ในทำนองเดียวกันฝ่ายบริหารก็มีมาตรการโต้ตอบฝ่ายนิติบัญญัติ  ในกรณีที่ฝ่ายบริหารเชื่อมั่นว่าฝ่ายบริหารกระทำการด้วยความถูกต้องตรงกับเจตนารมณ์ของประชาชน  กล่าวคือ  ฝ่ายบริหารมีอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎร

สำหรับฝ่ายนิติบัญญัติ  (รัฐสภา)  ของไทยนั้น  ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  ซึ่งมีที่มาหรือวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งดังนี้คือ

ก.      สภาผู้แทนราษฎร  (ส.ส.)

1       สภาผู้แทนราษฎร  (ส.ส.)  ประกอบด้วยสมาชิก  480  คน  โดยเป็นสมาชิก

–                    มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  400 คน

–                    มาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน  80  คน  (มาตรา 93)

2       การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง

–  การคำนวณจำนวนสมาชิกฯ  ให้นำจำนวนราษฎรทั้งประเทศในปีก่อนปีที่มีการเลือกตั้งหารด้วย  400  จะได้เกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน  เช่น  จังหวัด   ก.   มีราษฎร  472,500  คน  ดังนั้นสามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตได้  3  คน  เป็นต้น

– จังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน  3  คน  ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง  แต่ถ้าจังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกิน  3  คน  ให้แบ่งเขตจังหวัดออดเป็นเขตเลือกตั้ง  โดยจัดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  3  คน (มาตรา  94)

3       การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน

 

–                    ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้น  โดยพรรคการเมืองหนึ่งจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกเขตเลือกตั้งหรือจะส่งเพียงบางเขตเลือกตั้งก็ได้  ทั้งนี้รายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบสัดส่วนต้องไม่ซ้ำกับรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขต  และต้องคำนึงถึงโอกาสสัดส่วนที่เหมาะสม  และความเท่าเทียมกันระหว่างชายและหญิงด้วย  (มาตรา 95 , 97 )

–                    เขตเลือกตั้งแบบสัดส่วน  ให้แบ่งพื้นที่ประเทศออกเป็น  8  กลุ่มจังหวัด  โดยจัดจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกันอยู่ในกลุ่มจังหวัดเดียวกัน  และให้แต่ละกลุ่มจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง  แต่ละเขตเลือกตั้งให้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้  10  คน  (มาตรา 96)

–                    ให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับในเขตเลือกตั้งนั้นมารวมกัน  แล้วคำนวณเพื่อแบ่งจำนวนผู้ที่จะได้รับเลือกของแต่ละพรรคการเมือง  เป็นสัดส่วนที่สัมพันธ์กับจำนวนคะแนนรวมข้างต้น  คะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับ  และจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วนในเขตเลือกตั้งนั้น  (มาตรา  98)

ข.      วุฒิสภา  (ส.ว.)

1       วุฒิสภา (ส.ว.)  ประกอบด้วยสมาชิก  150  คน  ซึ่งมาจาก

–                    การเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด  จังหวัดละ  1  คน  รวม  76  คน

–                    การสรรหา  รวม  74  คน (มาตรา  111)

2       การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา 

ให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง  โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา (มาตรา 112)

3       การสรรหาสมาชิกวุฒิสภา

ให้มีคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาคณะหนึ่ง  ประกอบด้วย

(1) ประธานศาลรัฐธรรมนูญ

(2) ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง

(3) ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน

(4) ประธานคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

(5) ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

(6) ผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามอบหมาย 1 คน

(7) ตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมอบหมาย 1 คน (มาตรา 113)

 

ข้อ  3  นายบาบู  ซึ่งถือศาสนาฮินดูและเป็นเจ้าของร้านอาหาร  อินเดียเลิศรส  ไม่พอใจที่มีกลุ่มชาวพุทธส่วนหนึ่งเคยไปเรียกร้องให้มีการบัญญัติ  ศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ  ไว้ในรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2550  จึงได้นำป้ายมาปิดประกาศหน้าร้านอาหารของตน  

ห้ามบุคคลซึ่งถือศาสนาพุทธเข้ามาทานอาหารภายในร้าน  ต่อมานายเอกบุคคลสัญชาติไทยและนายหม่องบุคคลสัญชาติพม่าซึ่งต่างก็ถือศาสนาพุทธได้มาทานอาหารที่ร้านของนายบาบู  แต่ถูกนายบาบูห้ามเข้ามาในร้านและชี้ให้ดูป้ายที่ตนได้ปิดประกาศไว้  ดังนั้นให้ท่านวินิจฉัยว่า

กรณีดังกล่าวนี้เป็นการกระทำที่ละเมิดต่อสิทธิหรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ  พ.ศ. 2550  ของนายเอกและนายหม่องหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  28  วรรคสอง  บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้  สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้

มาตรา  37  บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนา  นิกายของศาสนา  หรือลัทธินิยมในทางศาสนา  และย่อมมีเสรีภาพในการปฏิบัติตามศาสนธรรม  ศาสนบัญญัติ  หรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อของตน  เมื่อไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองและไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

ในการใช้เสรีภาพตามวรรคหนึ่ง  บุคคลย่อมได้รับความคุ้มครองมิให้รัฐกระทำการใดๆอันเป็นการรอนสิทธิหรือเสียประโยชน์อันควรมีควรได้  เพราะเหตุที่ถือศาสนา  นิกายของศาสนา  ลัทธินิยมในทางศาสนาหรือปฏิบัติตามศาสนธรรม  ศาสนบัญญัติ  หรือปฏิบัติพิธีกรรมตามความเชื่อ  แตกต่างจากบุคคลอื่น

วินิจฉัย

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ. 2550  วางหลักในมาตรา  37  ให้บุคคลทุกคนมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนา  นิกายของศาสนา  หรือลัทธินิยมในทางศาสนา  โดยกำหนดให้เป็น  เสรีภาพบริบูรณ์  หมายถึง  เสรีภาพอันไม่มีข้อจำกัดหรือไม่อาจมีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้นับถือศาสนาใดศาสนาหนึ่งได้เลย  แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าการใช้เสรีภาพในการนับถือศาสนาดังกล่าว  จะใช้ได้เท่าที่ไม่เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น  ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองหรือรัฐธรรมนูญ  ละไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

เมื่อใดก็ตามที่บุคคลรู้ว่าถูกละเมิดเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้  เช่น  เสรีภาพในการนับถือศาสนา  ก็สามารถยกบทบัญญัติมาตรา  28  วรรคสอง  ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ. 2550 มาใช้  สิทธิทางศาลหรือยกเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้ทันที

อย่างไรก็ดีการจะยกบทบัญญัติดังกล่าว  เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้  จะต้องปรากฏว่าเป็นการกระทำระหว่างรัฐ  หน่วยงานของรัฐ  หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน  เพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญถือเป็นกฎหมายมหาชน

กรณีตามอุทาหรณ์  ไม่ถือเป็นการละเมิดต่อเสรีภาพบริบูรณ์ในการนับถือศาสนา  ตามมาตรา  37  ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ. 2550  เพราะเหตุว่าการที่นายบาบูนำป้ายมาปิดประกาศหน้าร้านอาหารของตน  ห้ามบุคคลซึ่งนับถือศาสนาพุทธเข้ามาทานอาหารภายในร้าน  เป็นสิทธิของผู้ขายตามกฎหมายเอกชนซึ่งสามารถกระทำได้  ตามหลักเสรีภาพในการทำสัญญาผูกนิติสัมพันธ์  คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งก่อนิติสัมพันธ์โดยฝ่ายนั้นไม่สมัครใจยินยอมไม่ได้  ดังนั้นผู้ขายจึงสามารถเลือกปฏิบัติต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งได้  เช่น  การที่ไม่ขายสินค้าให้คนผิวดำ  แต่ขายเฉพาะให้กับคนผิวขาว  หรือขายให้กับเพศชาย  แต่ปฏิเสธเพศหญิง  เช่นนี้เอกชนย่อมมีสิทธิทำได้  ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ  เพราะรัฐธรรมนูญไม่ใช้บังคับโดยตรงในความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชน

เมื่อไม่เป็นการละเมิดเสรีภาพในการนับถือศาสนาตามรัฐธรรมนูญ  นายเอกและนายหม่องจึงไม่สามารถใช้สิทธิทางศาลหรือยกเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้  ตามมาตรา  28  วรรคสอง

สรุป  กรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  28  วรรคสอง  และมาตรา  37  ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ. 2550

 

ข้อ  4  ในการพิจารณาคดีของศาลอาญา  นายแดงจำเลยในคดีได้โต้แย้งต่อศาลว่า  มาตรา  15  พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ  พ.ศ. 2522 ซึ่งศาลอาญาจะนำมาตัดสินกับคดีของตน  ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550  มาตรา  30 เรื่องความเสมอภาคของบุคคลในกฎหมาย ขอให้ศาลอาญาส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย  ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญได้พิจารณาวินิจฉัยแล้วเห็นว่ากรณีมิได้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญตามที่นายแดงได้กล่าวอ้างแต่อย่างใด  แต่ศาลรัฐธรรมนูญได้ตรวจพบว่า  กระบวนการตรา  พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษฯ มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  ดังนี้  ศาลรัฐธรรมนูญ  มีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยในประเด็นนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  211  ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด  ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  6  และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น  ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย  ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้  แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว  จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า  คำโต้แย้งของคู่ความตามวรรคหนึ่ง  ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย  ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาก็ได้

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง  แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว

มาตรา  6  รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ  บทบัญญัติใดของกฎหมาย  กฎ  หรือข้อบังคับ  ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้

วินิจฉัย

บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550  มาตรา  211  ให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยในกรณีที่คู่ความหรือศาลอ้างว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ  ตามมาตรา  6

กรณีตามอุทาหรณ์มีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า  ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยว่ากระบวนการตรา  พ.ร.บ.  ยาเสพติดให้โทษ  พ.ศ. 2522  ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่  เห็นว่า

การตรากฎหมายเป็นกระบวนการทางนิติบัญญัติ  และการควบคุมมิให้การตรากฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนั้น  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย  พ.ศ.2550  กำหนดไว้เป็นพิเศษแล้วในมาตรา  154  โดยให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  สมาชิกวุฒิสภาและนายกรัฐมนตรี  มีอำนาจส่งเรื่องดังกล่าวไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

นอกจากนี้ตัวบทมาตรา  211  ยังกล่าวถึงเฉพาะบทบัญญัติแห่งกฎหมาย  ซึ่งหมายถึงถ้อยคำในกฎหมายเท่านั้น  คู่ความในคดีจึงขอให้ศาลส่งข้อโต้แย้งว่า  การตรากฎหมาย  ซึ่งหมายถึงกระบวนการในการตรากฎหมายและรูปแบบของกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไม่ได้  และแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะเห็นเองก็ไม่มีอำนาจในการพิจารณาวินิจฉัย

ดังนั้นเมื่อมิใช่เป็นการโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ  ตามมาตรา  6  ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีอำนาจในประเด็นที่จะพิจารณาวินิจฉัยถึงกระบวนการตรา  พ.ร.บ.  ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522  ว่ามีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่  ตามมาตรา  211

สรุป  ตามมาตรา  211  ประกอบมาตรา  6  ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2500  ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยกรณีดังกล่าว

WordPress Ads
error: Content is protected !!