LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 2/2555

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2009

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  ปลาม้ายืมรถยนต์ปิกอัพของปลาดาวเพื่อใช้บรรทุกสิ่งของ  ระหว่างที่ปลาม้าใช้งานอยู่นั้น  ปลาม้าได้เอารถให้ชะเมาเพื่อนบ้านใช้งานด้วย  ระหว่างที่ชะเมาใช้รถอยู่นั้น  เกิดน้ำท่วมทั้งตำบลเป็นเวลาสองเดือน  ทำให้รถที่ปลาม้ายืมมาเสียหายต้องซ่อมแซมเป็นเงินห้าหมื่นบาท  ดังนี้  ปลาดาวจะเรียกให้ปลาม้ารับผิดชดใช้เงินค่าซ่อมรถได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  8  คำว่า  “เหตุสุดวิสัย”  หมายความว่า  เหตุใดๆ  อันจะเกิดขึ้นก็ดี  จะให้ผลพิบัติก็ดี  เป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้  แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้นได้จัดการระมัดระวังตามสมควร  อันพึงคาดหมายได้จากบุคคลนั้นในฐานะและภาวะเช่นนั้น

มาตรา  640  อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม  ให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม  ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่าและผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว

มาตรา  643  ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น  ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น  หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี  เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี  เอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ก็ดี  ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด  แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ  ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง

มาตรา  646  วรรคแรก  ถ้ามิได้กำหนดเวลากันไว้  ท่านให้คืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้วตามการอันปรากฏในสัญญา  แต่ผู้ให้ยืมจะเรียกคืนก่อนนั้นก็ได้เมื่อเวลาได้ล่วงไปพอแก่การที่ผู้ยืมจะได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  สัญญายืมรถยนต์ปิกอัพระหว่างปลาม้ากับปลาดาวเป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา  640  ที่มีกำหนดว่าจะเอาไปใช้เพื่อการใด  แต่มิได้กำหนดเวลาส่งคืนไว้  ซึ่งปลาม้าผู้ยืมย่อมมีสิทธิครอบครองและใช้สอยรถยนต์ปิกอัพได้ตามสิทธิของผู้ยืมตามกฎหมาย  แต่จะต้องสงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืมรวมทั้งไม่ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมด้วย  ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าปลาม้าได้เอารถที่ยืมให้ชะเมาเพื่อนบ้านใช้งานด้วย  ถือว่าเป็นกรณีที่ผู้ยืมเอาทรัพย์สินที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย  จึงเป็นการประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา  643  ซึ่งผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุที่ทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด  แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย

และกรณีตามอุทาหรณ์  ในระหว่างที่ปลาม้าได้เอารถให้ชะเมาใช้งานอยู่นั้น  ได้เกิดน้ำท่วมทั้งตำบลเป็นเวลาสองเดือน  ทำให้รถที่ปลาม้ายืมมาเสียหายต้องซ่อมแซมเป็นเงินห้าหมื่นบาท  ซึ่งกรณีเช่นนี้ปลาม้าผู้ยืมจะต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นแม้ว่าการเกิดน้ำท่วมจะเป็นเหตุสุดวิสัย  ตามมาตรา  8  ก็ตาม  ทั้งนี้เพราะตามมาตรา  643  ได้บัญญัติให้ผู้ยืมต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในกรณีที่เกิดกับทรัพย์สินที่ยืม  หากผู้ยืมได้ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืม  แม้ความเสียหายดังกล่าวจะมิได้เกิดขึ้นเพราะความผิดของผู้ยืม  หรือความเสียหายนั้นจะได้เกิดขึ้นเพราะแหตุสุดวิสัย

แต่อย่างไรก็ตาม  มาตรา  643  ตอนท้าย  ได้กำหนดเป็นข้อยกเว้นไว้ว่า  ผู้ยืมอาจหลุดพ้นความรับผิดได้หากผู้ยืมพิสูจน์ได้ว่า  ถึงอย่างไรๆ  ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั้นเอง  กล่าวคือ  หากปลาม้าพิสูจน์ได้ว่า  แม้ตนจะไม่ได้เอารถให้ชะเมาใช้งาน  หรือได้คืนรถให้แก่ปลาดาวแล้ว  รถยนต์คันดังกล่าวก็คงจะได้รับความเสียหายเนื่องจากถูกน้ำท่วมอยู่ดี  เช่นนี้ปลาม้าอาจหลุดพ้นจากความรับผิดได้

สรุป  ปลาดาวสามารถเรียกให้ปลาม้ารับผิดชดใช้เงินค่าซ่อมรถได้ตามมาตรา  643  เว้นแต่ปลาม้าจะพิสูจน์ได้ว่า  ถึงอย่างไรๆ  ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องได้รับความเสียหายอยู่นั่นเอง

 

ข้อ  2  นายจันทร์ยืมเงินนายอังคารเป็นเงิน  2,000.01  บาท  โดยทำเป็นหนังสือการยืมเงินที่ลงลายมือชื่อนายจันทร์แต่เพียงผู้เดียว  และไม่มีใครลงลายมือชื่อรับรองหรือเป็นพยานแต่อย่างใด  ต่อมานายอังคารได้นำหลักฐานหนังสือดังกล่าวไปไว้ในลิ้นชักที่บ้านของตน  หลังจากนั้นได้มีนางอินญาติของนายจันทร์เข้าไปทำงานในบ้านของนายอังคารมาพบหนังสือการยืมเงินแล้วได้ขโมยไปเพื่อช่วยนายจันทร์  ดังนี้  ขอให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก)    การยืมเงินดังกล่าวถูกต้องหรือไม่

(ข)   เจ้าหนี้สามารถฟ้องร้องได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  650  อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น  คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไปนั้น  เป็นปริมาณมีกำหนดให้ไปแก่ผู้ยืม  และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท  ชนิด  และปริมาณเช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม  เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

การกู้ยืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองประเภทหนึ่ง  และจะมีผลสมบูรณ์เมื่อผู้ให้กู้ได้ส่งมอบเงินที่ยืมให้แก่ผู้ยืมตามมาตรา  650  เพียงแต่ตามมาตรา  653  วรรคแรก  ได้บัญญัติไว้ว่าถ้าเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า  2,000  บาทขึ้นไป  จะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้จะต้องมีหลักฐานประกอบการฟ้องร้องบังคับคดี  คือ

1       มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง  และ

2       ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ

สำหรับหลักฐานการกู้ยืมเงินนั้น  กฎหมายไม่ได้บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเท่านั้น  เพียงแต่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง  และมีข้อความปรากฏในเอกสารว่าผู้กู้ยืมเป็นหนี้สินในเรื่องการกู้ยืมเงินกัน  และมีการระบุถึงจำนวนเงินที่กู้ยืมกันโดยชัดแจ้งก็ใช้เป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินได้  แต่ที่สำคัญจะต้องมีการลงลายมือชื่อของผู้ยืมเป็นสำคัญ  ส่วนผู้ให้ยืมและพยานจะลงลายมือชื่อในหลักฐานนั้นหรือไม่  ไม่ใช่สาระสำคัญ 

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้

 ก.       เมื่อการกู้ยืมเงินระหว่างนายจันทร์กับนายอังคารได้ทำเป็นหนังสือการยืมเงินโดยได้ระบุจำนวนเงินไว้ชัดเจนคือ  2.000.01  บาท  แม้นายจันทร์จะลงลายมือชื่อแต่เพียงผู้เดียว  โดยไม่มีใครลงลายมือชื่อรับรองเป็นพยานแต่อย่างใด  การกู้ยืมเงินดังกล่าวก็มีผลถูกต้องและสมบูรณ์ทุกประการ

 ข.      เมื่อการกู้ยืมเงินนั้นได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ  และมีการลงลายมือชื่อของนายจันทร์ผู้ยืมถูกต้องตามกฎหมาย  ดังนั้นแม้ต่อมาหลักฐานการกู้ยืมเงินจะถูกขโมยไป  เจ้าหนี้ก็สามารถฟ้องร้องผู้กู้ยืมได้โดยการนำพยานบุคคลมาสืบว่าเคยมีหลักฐานการกู้ยืมจริง  (ฎ. 34/2476)

สรุป

ก.       การยืมเงินดังกล่าวถูกต้อง

ข.      เจ้าหนี้สามารถฟ้องร้องได้

 

ข้อ  3  นายอาทิตย์เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง  โดยนำกระเป๋าเดินทางและเงินสดจำนวน  10,000  บาท  และคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก  1  ตัว ราคาหนึ่งหมื่นห้าพันบาท  เข้าไปในห้องพัก  ต่อมานายอาทิตย์ออกไปทำธุระนอกห้อง  เมื่อกลับมาพบว่าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กหายไป  นายอาทิตย์รีบแจ้งนายจันทร์ผู้เป็นเจ้าสำนักทราบทันทีเพื่อให้รับผิดตามราคาทรัพย์ที่สูญหาย  คือหนึ่งหมื่นห้าพันบาท  แต่นายจันทร์ต่อสู้ว่าโรงแรมได้ปิดประกาศไว้ในห้องพักทุกห้องว่าหากเกิดความเสียหายใดๆแก่ทรัพย์สินของผู้เข้าพัก  ทางโรงแรมจะรับผิดชอบไม่เกินราคาของห้องพักคือห้องละ  1,000  บาท  เมื่อผู้เข้าพักอ่านข้อความดังกล่าวแล้ว  ย่อมถือได้ว่ายินยอมตกลงในข้อจำกัดความรับผิดของโรงแรม  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยความรับผิดของเจ้าสำนักโรงแรมที่มีต่อทรัพย์ของนายอาทิตย์

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  674  เจ้าสำนักโรงแรมหรือโฮเต็ล  หรือสถานที่อื่นทำนองเช่นว่านั้น  จะต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใดๆ  อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย  หากได้พามา

มาตรา  675  เจ้าสำนักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างใดๆ  แม้ถึงว่าความสูญหาย  หรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก  ณ  โรงแรม  โฮเต็ล  หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้  ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา  ธนบัตร  ตั๋วเงิน  พันธบัตร  ใบหุ้น  ใบหุ้นกู้  ประทวนสินค้า  อัญมณี  หรือของมีค่าอื่นๆไซร้  ท่านจำกัดไว้เพียงห้าพันบาท  เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสำนักและได้บอกราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสำนักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย  หรือแต่สภาพแห่งทรัพย์สินนั้น  หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง  หรือบริวารของเขา  หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ

มาตรา  677  ถ้ามีคำแจ้งความปิดไว้ในโรงแรม  โฮเต็ล  หรือสถานที่อื่นทำนองเช่นว่านี้  เป็นข้อความยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดของเจ้าสำนักไซร้ท่านว่าความนั้นเป็นโมฆะ  เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัยจะได้ตกลงด้วยชัดแจ้งในการยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดดังว่านั้น

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย  เจ้าสำนักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทำนองเช่นว่านั้น  ต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นำมาด้วย  แม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก  ณ  โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา  674  ประกอบมาตรา  675  วรรคแรก  ดังนั้น  กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กราคา  15,000  บาท  ของนายอาทิตย์ซึ่งได้เข้าพักที่โรงแรมนั้นได้สูญหายไป  และนายอาทิตย์ก็ได้แจ้งให้นายจันทร์เจ้าสำนักโรงแรมทราบทันที  ดังนี้นายจันทร์เจ้าสำนักโรงแรมจึงต้องรับผิดต่อนายอาทิตย์ในความสูญหายของทรัพย์สินดังกล่าว

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อมาคือ  ความรับผิดของโรงแรมที่มีต่อทรัพย์สินของนายอาทิตย์นั้น  ทางโรงแรมจะต้องรับผิดตามราคาทรัพย์สิน  คือ  15,000  บาท  หรือจะต้องรับผิดจำกัดเพียง  5,000  บาท  ตามมาตรา  675  วรรคสอง  กรณีนี้เห็นว่าเมื่อทรัพย์สินที่สูญหายไปเพราะถูกขโมยคือคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กนั้นไม่ใช่ทรัพย์สินตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  675  วรรคสอง  ดังนั้น  ทางโรงแรมจึงต้องรับผิดตามราคาทรัพย์สินที่สูญหายไปนั้นคือ  15,000  บาท

ส่วนกรณีที่นายจันทร์เจ้าสำนักโรงแรมจะรับผิดชอบไม่เกินราคาของห้องพักคือ  1,000  บาท  โดยอ้างข้อความที่ประกาศในห้องพักว่า โรงแรมได้ปิดประกาศให้แขกรับทราบถึงข้อจำกัดความรับผิดของโรงแรมแล้วนั้น  ข้ออ้างของนายจันทร์ฟังไม่ขึ้น  ทั้งนี้เพราะตามมาตรา  677  ได้บัญญัติไว้ว่าในกรณีที่โรงแรมได้มีข้อความปิดประกาศไว้ในทำนองเป็นข้อจำกัดความรับผิดของโรงแรมนั้น  ข้อความดังกล่าวเป็นโมฆะ  และกรณีตามอุทาหรณ์  ก็ไม่ปรากฏว่านายอาทิตย์ได้ตกลงด้วยกับข้อความรับผิดนั้นแต่อย่างใด

สรุป  เจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดต่อทรัพย์สินของนายอาทิตย์ที่สูญหายไปตามราคาทรัพย์สินนั้นคือ  15,000  บาท          

LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม S/2555

การสอบไล่ภาคฤดุร้อน  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2009

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ เก็บของในคลังสินค้า ประนีประนอมยอมความการพนันขันต่อ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  ปลาม้ายืมรถมอเตอร์ไซค์ของปลาดาวเพื่อใช้ขับขี่ไปทำงานมีกำหนดหกเดือน  ระหว่างนั้นมีชะเมาเพื่อนบ้านมาขอเช่ามอเตอร์ไซค์ที่ปลาม้ายืมมาจากปลาดาวเฉพาะตอนหลังเลิกงานไปใช้รับจ้าง  รับคนโดยสารงานมีกำหนดสามเดือน  ระหว่างที่ชะเมาเช่าอยู่นั้นเกิดน้ำท่วมเป็นเวลาสองเดือน  ทำให้รถมอเตอร์ไซค์ที่ปลาม้ายืมมาเสียหายต้องซ่อมแซมเป็นเงินห้าพันบาท  ดังนี้ปลาดาวจะเรียกให้ปลาม้าคืนรถและรับผิดชดใช้เงินค่าซ่อมแซมได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  640  อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม  ให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม  ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่าและผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว

มาตรา  641  การให้ยืมใช้คงรูปนั้นท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม

มาตรา  643  ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น  ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น  หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี  เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี  เอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ก็ดี  ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด  แม้ถึงจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆ  ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง

มาตรา  645  ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวไว้ในมาตรา  643  นั้นก็ดี  หรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืนต่อความในมาตรา  644  ก็ดี  ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่ปลาม้ายืมรถมอเตอร์ไซค์ของปลาดาวเพื่อใช้ขับขี่ไปทำงานมีกำหนดเวลาหกเดือน  เป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา  640  ประกอบมาตรา  641  ปลาม้าผู้ยืมจึงมีสิทธิครอบครองและใช้สอยรถมอเตอร์ไซค์ตามที่ตกลงไว้กับปลาดาว  คือ  เอาไปใช้ขับขี่ไปทำงานเท่านั้น

และตามมาตรา  645  กฎหมายได้กำหนดให้ผู้ให้ยืมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกให้ผู้ยืมคืนทรัพย์สินที่ยืมได้  ถ้าผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา  643  เช่น  การที่ผู้ยืมเอาทรัพย์สินซึ่งยืมนั้นไปใช้เพื่อการอื่นนอกจากการอันปรากฏในสัญญา  หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย  เป็นต้น

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ปลาม้าได้นำรถมอเตอร์ไซค์ไปให้ชะเมาเช่ารับจ้างรับคนโดยสาร  กรณีนี้จึงถือว่าปลาม้าได้ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา  643  แล้ว  คือ  เป็นการนำทรัพย์สินที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย  ดังนั้น  เมื่อเกิดความเสียหายกับทรัพย์สินที่ยืม  คือ  รถมอเตอร์ไซค์  ปลาม้าผู้ยืมจึงต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น  ถึงแม้ว่าความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัย  คือ  น้ำท่วมก็ตาม  ดังนั้น  ปลาดาวผู้ให้ยืมย่อมมีสิทธิตามมาตรา  645  คือ  เรียกให้ปลาม้ารับผิดชดใช้เงินค่าซ่อมแซมและบอกเลิกสัญญาให้ปลาม้านำรถมอเตอร์ไซค์มาคืนก่อนครบกำหนดได้

สรุป  ปลาดาวจะเรียกให้ปลาม้าคืนรถและรับผิดชดใช้เงินค่าซ่อมแซมได้

 

ข้อ  2  นายเอกเขียนจดหมายไปหานายโทซึ่งเป็นเพื่อนกันโดยให้นายตรีบุตรชายเป็นผู้ถือจดหมายไปมีใจความว่า  “ตอนนี้เดือดร้อนมากๆ  ป่วยหนักอยากจะขอยืมเงินสักแปดหมื่นบาทไปใช้รักษาตัวและแบ่งให้ลูกชายลงทุนค้าขายต่อชีวิตกันไป  ต้องรบกวนจริงๆนะ  หวังว่าคงจะได้รับความช่วยเหลือในครั้งนี้”  ลงชื่อเอก  นายโทเอาเงินให้นายตรีแปดหมื่นบาทตามที่นายเอกขอยืม  1  ปีผ่านไป  นายเอกหายจากโรคร้าย  นายตรีค้าขายมีกำไรมากแต่ไม่นำเงินไปใช้คืนให้กับนายโท  แม้ว่านายโทมาทวงถามก็ไม่ยอมใช้คืน 

ดังนี้  นายโทจะอ้างนายตรีเป็นพยานและใช้บันทึกดังกล่าวเป็นหลักฐานประกอบการฟ้องคดีขอให้ศาลบังคับให้นายเอกคืนเงินแปดหมื่นบาทได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม  เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามมาตรา  653  วรรคแรก  บังคับว่าในกรณีที่จะฟ้องร้องบังคับคดีในเรื่องเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินกันเกินกว่า  2,000  บาท  ขึ้นไป  จะต้องมีพยานหลักฐานประกอบการฟ้องคดี  คือ

1       หลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง  และ

2       ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ

สำหรับหลักฐานการกู้ยืมเงินนี้  ต้องมีสาระสำคัญให้เห็นว่ามีการกู้ยืมเงินกัน  และต้องมีข้อความที่แสดงให้เห็นว่าได้มีการส่งมอบเงินที่กู้ยืมให้แก่กันแล้วด้วย  ซึ่งข้อความอันแสดงถึงการกู้ยืมไม่จำเป็นจะต้องปรากฏในเอกสารฉบับเดียวกัน  อาจจะปรากฏอยู่ในเอกสารหลายๆฉบับก็ได้  เมื่อนำเอาเอกสารเหล่านั้นมาอ่านประกอบเข้าด้วยกัน  หากได้ความว่าเป็นการกู้ยืมเงินกันแล้ว  ย่อมถือว่าเอกสารเหล่านั้นเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายเอกเขียนจดหมายไปหานายโทเพื่อขอยืมเงินโดยให้นายตรีเป็นผู้ถือจดหมายไป  มีใจความว่า  “ตอนนี้เดือดร้อนมากๆ  ป่วยหนักอยากจะขอยืมเงินสักแปดหมื่นบาทไปใช้รักษาตัวและแบ่งให้ลูกชายลงทุนค้าขายต่อชีวิตกันไป  ต้องรบกวนจริงๆนะ  หวังว่าคงจะได้รับความช่วยเหลือในครั้งนี้”  ลงชื่อเอก  และนายโทมอบเงินให้นายตรีแปดหมื่นบาทแล้วนั้น  ข้อความของจดหมายที่นายเอกลงลายมือชื่อแล้วดังกล่าว  เป็นเพียงการเสนอขอยืมเงินจำนวนแปดหมื่นบาท  เนื้อความในจดหมายยังไม่อาจยืนยันได้ว่านายโทส่งมอบเงินให้นายตรีแปดหมื่นบาทตามที่นายเอกขอยืม  แม้ว่าจะมีการส่งมอบเงินกันจริงแล้วก็ตาม  ดังนั้น  จดหมายดังกล่าวจึงไม่ใช่หลักฐานเป็นหนังสือที่แสดงถึงการกู้ยืมแปดหมื่นบาท  ที่จะใช้เป็นหลักฐานประกอบการฟ้องคดีตามมาตรา  653  วรรคแรกได้

สำหรับกรณีนายตรีนั้น  แม้จะรู้เห็นถึงการกู้ยืมเงินกันระหว่างนายเอกกับนายโท  แต่ก็ถือเป็นพยานบุคคล  ดังนั้น  นายโทจึงไม่สามารถอ้างนายตรีเป็นพยานเพื่อนำสืบว่ามีการส่งมอบเงินกันแล้วเพื่อบังคับให้นายตรีคืนเงินแปดหมื่นบาทได้  เพราะกรณีการกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  กฎหมายบังคับให้ต้องนำพยานเอกสารมาแสดงเท่านั้น  ห้ามมิให้รับฟังพยานบุคคลเพิ่มเติมข้อความในเอกสาร (ป.วิ.แพ่ง  มาตรา  94)

สรุป  นายโทจะใช้บันทึกดังกล่าวเป็นหลักฐานประกอบการฟ้องคดีและอ้างนายตรีเป็นพยานบุคคลเพื่อขอให้ศาลบังคับให้นายเอกคืนเงินแปดหมื่นบาทไม่ได้

 

ข้อ  3  “สัญญาฝากทรัพย์ผู้รับฝากต้องทำให้เปล่าเท่านั้นจะเรียกบำเหน็จค่าฝากมิได้”  คำกล่าวนี้ถูกต้องตามหลักกฎหมายฝากทรัพย์หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  657  อันว่าฝากทรัพย์นั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้ฝาก  ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้รับฝาก และผู้รับฝากตกลงว่าจะเก็บรักษาทรัพย์สินนั้นไว้ในอารักขาแห่งตนแล้วจะคืนให้

มาตรา  659  ถ้าการรับฝากทรัพย์เป็นการทำให้เปล่าไม่มีบำเหน็จไซร้  ท่านว่าผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเอง

ถ้าการรับฝากทรัพย์นั้นมีบำเหน็จค่าฝาก  ท่านว่าผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้นเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้น  ทั้งนี้ย่อมรวมทั้งการใช้ฝีมืออันพิเศษเฉพาะการในที่จะพึงใช้ฝีมือเช่นนั้นด้วย

ถ้าและผู้รับฝากเป็นผู้มีวิชาชีพเฉพาะกิจการค้าหรืออาชีวะอย่างหนึ่งอย่างใดก็จำต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างนั้น

วินิจฉัย

สัญญาฝากทรัพย์นั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  “ผู้ฝาก”  ได้ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า  “ผู้รับฝาก”  และผู้รับฝากตกลงว่าจะเก็บรักษาทรัพย์สินนั้นไว้ในความดูแลของตนแล้ว  จะส่งคืนทรัพย์สินนั้นแก่ผู้ฝาก  เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการรับฝากหรือเมื่อผู้ฝากเรียกคืน  ตามมาตรา  657

โดยปกติแล้ว  สัญญาฝากทรัพย์นั้น  จะเป็นสัญญาที่มีค่าตอบแทนหรือไม่มีค่าตอบแทนก็ได้  กล่าวคือ  อาจจะเป็นกรณีที่ผู้รับฝากทำให้เปล่า  หรืออาจจะเป็นกรณีที่ผู้รับฝากคิดเอาค่าบำเหน็จจากผู้ฝากก็ได้  เพราะตามมาตรา  657  มิได้บัญญัติว่าการรับฝากทรัพย์นั้นจะต้องเป็นการทำให้เปล่าแต่อย่างใด  และจากบทบัญญัติในมาตรา  659  ซึ่งบัญญัติหลักไว้ว่า  ถ้าการรับฝากทรัพย์เป็นการทำให้เปล่าไม่มีค่าบำเหน็จ  ผู้รับฝากจำต้องใช้ความระมัดระวังสงวนทรัพย์สินซึ่งฝากนั้นเหมือนเช่นเคยประพฤติในกิจการของตนเอง  แต่ถ้าหากการรับฝากทรัพย์นั้นมีบำเหน็จค่าฝาก  ผู้รับฝากจะต้องใช้ความระมัดระวังและใช้ฝีมือเพื่อสงวนทรัพย์สินนั้น  เหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงประพฤติโดยพฤติการณ์ดังนั้น  รวมทั้งการใช้ฝีมืออันพิเศษเฉพาะการในที่จะพึงใช้ฝีมือเช่นนั้นด้วย  หรือหากผู้รับฝากเป็นผู้มีวิชาชีพเฉพาะกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างหนึ่งอย่างใดก็จำต้องใช้ความระมัดระวังและฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างนั้น  ย่อมแสดงให้เห็นว่าสัญญาฝากทรัพย์นั้นอาจเป็นการทำให้เปล่า  หรืออาจจะเรียกบำเหน็จค่าฝากก็ได้

ดังนั้น  คำกล่าวที่ว่า  “สัญญาฝากทรัพย์ผู้รับฝากต้องทำให้เปล่าเท่านั้นจะเรียกบำเหน็จค่าฝากมิได้”  จึงไม่ถูกต้องตามหลักกฎหมายฝากทรัพย์  ดังที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ ภาคซ่อม 1/2549

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2008 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จ้างแรงงาน จ้างทำของ รับขน
คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  แดงผู้ให้เช่าได้ทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าบ้านมีกำหนดเวลา  3  ปี  สัญญาเช่าข้อสุดท้ายได้เขียนไว้ว่า  ถ้าสัญญาเช่าครบกำหนด  3  ปีแล้ว  แดงให้คำมั่นว่าต้องให้ผู้เช่าเช่าต่อได้อีก 3  ปี  และหากสัญญาเช่าสิ้นสุดลง  ผู้ให้เช่าต้องให้เงินกับผู้เช่า  50,000  บาท  เพื่อเป็นเงินค่าขนย้ายของต่างๆออกจากบ้านเช่า  โดยผู้เช่าต้องทำบ้านเช่าให้เรียบร้อยด้วย  ขาวเช่าบ้านได้เพียงหนึ่งปีเท่านั้น  แดงก็ยกบ้านหลังนี้ให้กับเขียวพี่ชายของตนเพื่อเป็นของขวัญวันแต่งงานและการยกให้ได้ทำถูกต้องตามกฎหมาย  ปรากฏว่าสัญญาเช่าบ้านหลังนี้จะครบ  3  ปีในวันที่  25  มกราคม  2550  ครั้นถึงวันที่  20 มกราคม  2550  ขาวได้แจ้งให้เขียวทราบว่า  ขาวมีความประสงค์จะเช่าบ้านหลังนี้ต่อไปอีก  3  ปี  เขียวไม่ยินยอมให้ขาวเช่าต่อ  ดังนี้ในวันที่  26  มกราคม  2550  ถ้าขาวมาปรึกษาท่านเพื่อจะบังคับผู้ให้เช่าให้ปฏิบัติตามข้อตกลงข้อสุดท้ายของสัญญาเช่าฉบับนี้ทั้งหมด  ท่านจะให้คำปรึกษาขาวว่าอย่างไรบ้างธงตำตอบมาตรา  538  เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  ท่านว่า  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่  ถ้าเช่ามีกำหนดกว่าสามปีขึ้นไป  หรือกำหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้  หากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ท่านว่าการเช่นนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปีมาตรา  569  อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป  เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย

วินิจฉัย

สัญญาเช่าบ้านระหว่างแดงผู้ให้เช่ากับขาวผู้เช่าเมื่อได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ  ลงลาบมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดย่อมบังคับกันได้  3  ปี  เพราะทำถูกต้องตามมาตรา  538

เมื่อขาวเช่าบ้านมาเพียง  1  ปี  แดงยกบ้านให้เขียวโดยชอบด้วยกฎหมาย  ทำให้สัญญาเช่าบ้านระหว่างแดงและขาวไม่ระงับสิ้นไป  สัญญาเช่าจึงต้องผูกพันมายังเขียว  ตามมาตรา  569  แต่คำมั่นที่ปรากฏในสัญญาข้อสุดท้ายไม่ใช่สัญญาเช่าจึงทำให้คำมั่นของแดงระงับสิ้นไปประการหนึ่ง  และอีกประการหนึ่งข้อตกลงที่ผู้ให้เช่าต้องให้เงินกับผู้เช่า  50,000  บาทก็มิใช่สัญญาเช่า  แต่เป็นสัญญาอื่นจึงต้องระงับไปตามมาตรา  569  เช่นกัน

สรุป  สัญญาข้อสุดท้ายแม้จะปรากฏอยู่ในสัญญาเช่าบ้านหลังนี้ก็ไม่สามารถบังคบเขียวให้ปฏิบัติตามได้  ตามมาตรา  569  วรรคสอง

 

ข้อ  2   ก.  มืดได้ทำสัญญาเป็นหนังสือให้ม่วงเช่าบ้านหลังหนึ่ง มีกำหนดเวลา  3  ปี  ตกลงชำระค่าเช่าทุกๆวันสิ้นเดือน  สัญญาเช่าข้อหนึ่งเขียนไว้ว่า  ผู้เช่าตกลงเช่าบ้านเพื่อทำเป็นสำนักงานกฎหมาย  ปรากฏว่าเช่าบ้านมาได้เพียง  6  เดือน  ม่วงนำน้ำมันเบนซินและสารเคมีที่มีอันตรายต่างๆ  มาเก็บไว้ในบ้านโดยผู้เช่าได้เลิกกิจการสำนักงานกฎหมายที่ตนทำอยู่ด้วย  มืดพบเหตุการณ์ดังกล่าวมืดจึงบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีเพราะถือว่าม่วงผิดสัญญา  ดังนี้การบอกเลิกสัญญาของมืดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ข.   ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ  ก  เป็นสัญญาเช่าซื้อ  คำตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่  เพียงใด

ธงคำตอบ

ก 

มาตรา  552  อันผู้เช่าจะใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากที่ใช้กันตามประเพณีนิยมปกติ  หรือการดังกำหนดไว้ในสัญญานั้น  ท่านว่าหาอาจจะทำได้ไม่

มาตรา  554  ถ้าผู้เช่ากระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติในมาตรา  552  มาตรา  553  หรือฝ่าฝืนข้อสัญญา  ผู้ให้เช่าจะ

บอกกล่าวให้ผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทกฎหมายหรือข้อสัญญานั้นๆก็ได้  ถ้าและผู้เช่าละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามท่านว่า  ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

วินิจฉัย

มืดทำสัญญาให้ม่วงเช่าบ้านมีกำหนดเวลา  3  ปี  โดยสัญญาเช่าข้อหนึ่งเขียนว่า  ผู้เช่าตกลงเช่าบ้านเพื่อทำเป็นสำนักงานกฎหมาย  แต่ปรากฏว่าม่วงได้นำน้ำมันเบนซินและสารเคมีต่างๆมาเก็บไว้ในบ้านและยังได้เลิกกิจการสำนักงานกฎหมายที่ตนทำอยู่ด้วยจึงเป็นการผิดสัญญาเช่า  แต่อย่างไรก็ตามมืดจะบอกเลิกสัญญาทันทีไม่ได้  แม้ม่วงจะใช้ทรัพย์ไม่เป็นไปตามข้อตกลงในสัญญา  ตามมาตรา  552  มืดต้องบอกกล่าวให้ม่วงใช้ทรัพย์ตามสัญญาเสียก่อน  ถ้าหากม่วงไม่ปฏิบัติตามมืดจึงจะบอกเลิกสัญญาได้  ตามมาตรา  554  ดังนั้นการที่มืดบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

มาตรา  574  ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆกัน  หรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ  เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้  ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน  ให้ริบเป็นเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย

อนึ่งในกรณีกระทำผิดสัญญาเพราะผิดนัดไม่ใช้เงินซึ่งเป็นคราวที่สุดนั้น  ท่านว่าเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะริบบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อนและกลับเข้าครองทรัพย์สินได้ต่อเมื่อระยะเวลาใช้เงินได้พ้นกำหนดไปอีกงวดหนึ่ง

วินิจฉัย

ถ้าเป็นสัญญาเช่าซื้อมืดก็จะบอกเลิกสัญญาไม่ได้  เพราะไม่ถือว่าม่วงผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญตามมาตรา  574

สรุป  ก  การบอกเลิกสัญญาไม่ชอบด้วยกฎหมาย

         ข  มืดบอกเลิกสัญญาไม่ได้  คำตอบจึงไม่แตกต่างกัน

 

ข้อ  3  ก.  นายบวรทำสัญญาจ้างนายมานะเป็นลูกจ้างมีกำหนดเวลา  1  ปี  และทำสัญญาจ้างนายมาโนชน์เป็นลูกจ้างไม่มีกำหนดเวลา  ตกลงจ่ายสินจ้างทุกๆวันสิ้นเดือนๆละ  7,500  บาท  เมื่อนายมานะและนายมาโนชน์ทำงานครบกำหนด  1  ปี  ในวันที่  31  มกราคม  2550  นายบวรได้บอกเลิกสัญญาจ้างนายมานะและนายมาโนชน์ทันที  แต่นายมานะและนายมาโนชน์ต่อสู้ว่ายังบอกเลิกสัญญาไม่ได้  เช่นนี้  นายบวรบอกเลิกสัญญาทันทีได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ข.      นายดำทำสัญญาจ้างนายแก้วให้ทำการซ่อมทำสีรถยนต์ของตน  จำนวน  2  คัน  ใหม่ทั้งหมดให้แล้วเสร็จในวันที่  31  มกราคม  2550  ตกลงจ่ายสินจ้างเป็นจำนวนเงิน  80,000  บาท  ต่อมาพี่ชายนายดำได้ยกรถยนต์ให้นายดำ  1  คัน  นายดำจึงบอกเลิกสัญญาที่ทำกับนายแก้วที่ให้ซ่อมทำสีรถยนต์ในวันที่  30  มกราคม  2550  แต่นายแก้วได้ทำการซ่อมทำสีรถยนต์เสร็จแล้วจำนวน  1  คัน  และกำลังซ่อมทำสีอีกคันหนึ่งอยู่จึงไม่ยินยอมที่จะมาบอกเลิกสัญญา  เช่นนี้นายดำจะบอกเลิกสัญญาจ้างกับนายแก้วได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  582  ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กำหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร  ท่านว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทำได้  แต่ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน

อนึ่ง  ในเมื่อบอกกล่าวดั่งว่านี้  นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแก่ลูกจ้างเสียให้ครบจำนวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกำหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียว  แล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทำได้

มาตรา  605  ถ้าการที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จอยู่ตราบใด  ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้  เมื่อเสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น

วินิจฉัย

สัญญาจ้างแรงงานนายมานะเป็นสัญญาจ้างที่มีกำหนดเวลา  1  ปี  เมื่อครบกำหนดเวลา  1  ปี  ในวันที่  31  มกราคม  2550  นายบวรนายจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างได้ทันที  เพราะสัญญามีกำหนดเวลา  ครบกำหนดเวลาแล้ว  ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้า

สัญญาจ้างแรงงานนายมาโนชน์เป็นสัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดเวลา  ตามมาตรา  582  ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาก็ได้  โดยดำเนินการตามมาตรา  582  วรรคแรก  ซึ่งจะต้งอบอกกล่าวก่อนและให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไป  คือในวันที่  31  มกราคม  2550  จะต้องบอกกล่าวก่อนว่าจะเลิกสัญญาและบอกเลิกสัญญาได้ในวันที่  28  กุมภาพันธ์  2550

แต่ถ้านายบวรจะเลิกสัญญาจ้างทันที  ในวันที่  31  มกราคม  2550  ก็ได้  โดยดำเนินการตามมาตรา  582  วรรคสอง  คือ  จ่ายสินจ้างให้ครบจำนวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกำหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียวแล้วให้ออกจากงานได้ทันที  กล่าวคือ  ให้จ่ายค่าจ้างให้นายมาโนชน์เป็นจำนวนเงิน  15,000  บาท  ในวันที่  31  มกราคม  2550  แล้วให้ออกจากงานได้ทันที

   สัญญาจ้างทำของนั้นตามมาตรา  605  ถ้าการจ้างยังทำไม่แล้วเสร็จ  ผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้  แต่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้าง  เมื่อนายแก้วทำการซ่อมสีรถยนต์เสร็จเพียง  1  คัน  จากทั้งหมด  2  คัน  จึงถือว่าการที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จตามมาตรา  605  นายดำผู้ว่าจ้างจึงสามารถบอกเลิกสัญญาจ้างกับนายแก้วในวันที่  30  มกราคม  2550  ได้

แต่นายดำต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการเลิกสัญญานั้นให้แก่นายแก้วด้วยตามมาตรา  605

สรุป  ก  กรณีนายมานะ  นายบวรบอกเลิกสัญญาจ้างได้ทันที

กรณีนายมาโนชน์  นายบวรจะบอกเลิกสัญญาจ้างทันทีไม่ได้  ต้องบอกกล่าวก่อน

ข  ดำบอกเลิกสัญญาได้  แต่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน

LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549
 
ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2008 
 
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จ้างแรงงาน จ้างทำของ รับขน
 
คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ
 
ข้อ  1  เมื่อวันที่  1  มกราคม  2540  แดงได้ทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าตึกแถวมีกำหนดเวลา  5  ปี  แต่มิได้จดทะเบียนการเช่า  ขาวเข้าไปอยู่ในตึกแถวได้เพียง  1  ปี  แดงได้ยกตึกแถวนี้ให้กับมืดโดยเสน่หาเมื่อวันที่  1  มกราคม  2541  สัญญาเช่าที่แดงทำกับขาวไว้นั้นระบุชัดเจนว่าต้องชำระค่าเช่าทุกๆ  6  เดือน  คือจะต้องชำระค่าเช่าตรงกับวันที่  30  มิถุนายน  และ  31  ธันวาคมของแต่ละปี 
 แม้สัญญาเช่าครบกำหนด  5  ปี  ในวันที่  1  มกราคม  2545  แต่ขาวก็ยังคงอยู่ในตึกแถวนี้มาจนถึงปัจจุบันและได้จ่ายค่าเช่าให้กับมืดมาตลอดโดยมืดมิได้ทำสัญญาเช่าฉบับใหม่กับขาวเลย  แม้ว่าขาว  จะไม่เคยผิดสัญญาแต่มืดต้องการตึกแถวคืน  มืดจึงบอกเลิกสัญญาเช่ากับขาวในวันที่  31  สิงหาคม  2549  และให้เวลาขาวส่งมอบตึกคืนในวันที่  30  กันยายน  2549  ดังนี้  การบอกเลิกสัญญาของมืดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
 
มาตรา  538  เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  ท่านว่า  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่  ถ้าเช่ามีกำหนดกว่าสามปีขึ้นไป  หรือกำหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้  หากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ท่านว่าการเช่นนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี
 
มาตรา  566  ถ้ากำหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกันหรือไม่พึงสันนิษฐานได้ไซร้  ท่านว่าคู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกำหนดชำระค่าเช่าก็ได้ทุกระยะ  แต่ต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย  แต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสองเดือน
 
มาตรา  569  อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป  เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า
 
ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย
 
มาตรา  570  ในเมื่อสิ้นกำหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น  ถ้าผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้  ท่านให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทำสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกำหนดเวลา
 
วินิจฉัย
 
สัญญาเช่าตึกแถวระหว่างแดงและขาวทำเป็นหนังสือแต่ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  จึงฟ้องร้องบังคับคดีได้  3  ปี  ตามมาตรา  538  เมื่อเช่ามา  1  ปี  แดงยกตึกแถวให้มืด  สัญญาเช่าไม่ระงับ  มืดต้องรับมาซึ่งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า  ตามมาตรา  569  ส่วนการเช่าหลังจากครบ  3  ปี  เป็นการเช่าไม่มีกำหนดเวลา  ตามมาตรา  570  ข้อตกลงต่างๆ  จึงเป็นไปตามสัญญาเดิม
 
มืดบอกเลิกสัญญาได้ตามมาตรา  566  แม้ขาวจะไม่ผิดสัญญา  แต่การบอกเลิกจะต้องบอกกล่าวให้ขาวรู้ตัวก่อนกำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่ง  แต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสองเดือน  เมื่อมืดบอกเลิกวันที่  31  สิงหาคม  2549  จะต้องให้เวลาถึงวันที่  31  ตุลาคม  2549  การที่มืดให้ขาวส่งมอบตึกคืนในวันที่  30  กันยายน  2549  จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
 
สรุป  การบอกเลิกสัญญาของมืดไม่ชอบด้วยกฎหมาย
 
ข้อ  2  ก.  เขียวทำสัญญาเป็นหนังสือให้ดำเช่าโกดังเก็บสินค้ามีกำหนดเวลา  3  ปี  สัญญาเช่าระบุไว้ว่า  “ห้ามนำวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิงเข้ามาเก็บไว้ในโกดัง  ถ้าหากผู้เช่าฝ่าฝืนผู้ให้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันที”  การเช่าดำเนินมาเพียง  6  เดือนเท่านั้น  ดำฝ่าฝืนข้อสัญญานำน้ำมันเบนซินจำนวนมากเข้าไปเก็บไว้ในโกดังเก็บสินค้า  เขียวทราบจึงบอกเลิกสัญญาทันที  ดังนี้เขียวมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่ากับดำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด
 
ข   ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ  ก.  เป็นสัญญาเช่าซื้อ  คำตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่  เพียงใด
 
ธงคำตอบ 
 
มาตรา  552  อันผู้เช่าจะใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากที่ใช้กันตามประเพณีนิยมปกติ  หรือการดังกำหนดไว้ในสัญญานั้น  ท่านว่าหาอาจจะทำได้ไม่
 
มาตรา  554  ถ้าผู้เช่ากระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติในมาตรา  552  มาตรา  553  หรือฝ่าฝืนข้อสัญญา  ผู้ให้เช่าจะ
 
บอกกล่าวให้ผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทกฎหมายหรือข้อสัญญานั้นๆก็ได้  ถ้าและผู้เช่าละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามท่านว่า  ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้
 
ก 
 
วินิจฉัย
 
เขียวทำสัญญาเช่ากับดำโดยให้ดำเช่าโกดังเก็บสินค้ามีกำหนดเวลา  3  ปี  และสัญญาเช่าระบุไว้ว่า  “ห้ามนำวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิงเข้ามาเก็บไว้ในโกดัง  ถ้าหากผู้เช่าฝ่าฝืนผู้ให้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันที”  การที่ดำฝ่าฝืนข้อสัญญานำน้ำมันเบนซินจำนวนมากเข้าไปเก็บไว้ในโกดัง  เขียวย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันทีตามสัญญา  ไม่ต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าต้องปฏิบัติตามสัญญาก่อนตามมาตรา  554  แต่อย่างใด  เพราะมาตรา  554  ไม่ใช่กฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย  คู่สัญญาสามารถตกลงยกเว้นได้
 
 
มาตรา  574  ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆกัน  หรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ  เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้  ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน  ให้ริบเป็นเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย
 
อนึ่งในกรณีกระทำผิดสัญญาเพราะผิดนัดไม่ใช้เงินซึ่งเป็นคราวที่สุดนั้น  ท่านว่าเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะริบบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อนและกลับเข้าครองทรัพย์สินได้ต่อเมื่อระยะเวลาใช้เงินได้พ้นกำหนดไปอีกงวดหนึ่ง
 
วินิจฉัย
 
ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ  ก  เป็นสัญญาเช่าซื้อจะไม่ถือว่าดำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญตามมาตรา  574  คำตอบจึงแตกต่างกัน  เขียวจะบอกเลิกสัญญายังไม่ได้
 
สรุป  ก  เขียวบอกเลิกสัญญาได้
 
ข  เขียวบอกเลิกสัญญาไม่ได้
 
ข้อ  3  มานะทำสัญญาจ้างเป็นหนังสือกับนิพรซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างให้ทำการก่อสร้างอาคาร  5  ชั้น  ตกลงใช้เวลาก่อสร้าง  10  เดือน  และตกลงจะชำระสินจ้างเป็นงวดๆ  รวมทั้งหมด  เป็นจำนวนเงิน  6  ล้านบาท  นิพรเห็นว่ามีงานที่ต้องก่อสร้างมากขึ้นจึงทำสัญญาจ้างหนึ่งเป็นหัวหน้าคนงาน  มีกำหนดเวลา  2  ปี  ตกลงจ่ายค่าจ้างเดือนละ  9,000  บาท และทำสัญญาจ้างสองและสามเป็นลูกจ้างทั่วไปไม่มีกำหนดเวลา  ตกลงจ่ายค่าจ้างเดือนละ  7,000  บาท  ทุกๆวันสิ้นเดือน  จากข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้
 
ก.       ถ้าหากนิพรก่อสร้างอาคารไปแล้ว  3  เดือน  มานะประสบปัญหาทางการเงินจึงบอกเลิกสัญญาจ้างก่อสร้างอาคาร  แต่นิพรต่อสู้ว่าสัญญาจ้างมีหลักฐานชัดเจนเป็นหนังสือให้ก่อสร้างอาคารในระยะเวลา  10  เดือน  จึงต้องปฏิบัติตามสัญญา  เช่นนี้ท่านเห็นว่านิพรจะต่อสู้ได้หรือไม่เพราะเหตุใด  จงอธิบาย
 
ข.      ถ้าหากนิพรเห็นว่าการงานลดน้อยลง  จึงบอกกล่าวสองและสามว่าจะบอกเลิกสัญญาในวันที่  15  กันยายน  และบอกเลิกสัญญาจ้างในวันที่  25  ตุลาคม  แต่สองและสามต่อสู้ว่าการบอกเลิกสัญญาจ้างเช่นนี้ทำไม่ได้  เช่นนี้  ท่านเห็นว่าสองและสามจะต่อสู้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย
 
ธงคำตอบ
 
มาตรา  582  ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กำหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร  ท่านว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทำได้  แต่ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน
 
อนึ่ง  ในเมื่อบอกกล่าวดั่งว่านี้  นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแก่ลูกจ้างเสียให้ครบจำนวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกำหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียว  แล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทำได้
มาตรา  587  อันว่าจ้างทำของนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้รับจ้าง  ตกลงรับจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้ว่าจ้าง  และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น
 
มาตรา  605  ถ้าการที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จอยู่ตราบใด  ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้  เมื่อเสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น
 
วินิจฉัย
 
 
มานะทำสัญญาจ้างนิพรให้ก่อสร้างอาคาร  5  ชั้น  ภายในกำหนดเวลา  10  เดือน  เป็นสัญญาจ้างทำของตามมาตรา  587  เมื่อก่อสร้างได้เพียง  3  เดือน  ซึ่งการจ้างยังทำไม่เสร็จ  ตามมาตรา  605  นั้น  ให้สิทธิผู้ว่าจ้าง  (มานะ)  ที่จะบอกเลิกสัญญาได้  แต่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้นิพรที่จะได้รับความเสียหายจากการเลิกสัญญานี้  ดังนั้นนิพรต่อสู้ไม่ได้
สัญญาจ้างสองและสามเป็นสัญญาจ้างแรงงานไม่มีกำหนดเวลา  จึงสามารถบอกเลิกสัญญาได้ตามมาตรา  582  กำหนดไว้  คือต้องบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้าง  เพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไป  ดังนั้นการที่มานะบอกกล่าววันที่  15  กันยายน  และบอกเลิกสัญญาจ้างในวันที่  25  ตุลาคม  จึงไม่ถูกต้อง  ที่ถูกต้องคือการบอกกล่าววันที่  15     กันยายน  ถือว่าเป็นการบอกกล่าวของงวดวันที่  30  กันยายน  และมีผลบอกเลิกสัญญาจ้างในวันที่  31  ตุลาคม  ดังนั้นสองและสามต่อสู้ได้
สรุป  ก  นิพรต่อสู้ไม่ได้
 
ข  สองและสามต่อสู้ได้

LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ 2/2549

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2008 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จ้างแรงงาน จ้างทำของ รับขน
 คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  แดงและขาวทำสัญญาเช่าบ้านเป็นหนังสือ  โดยแดงผู้ให้เช่าตกลงให้ขาวผู้เช่าบ้านมีบริเวณและโรงรถด้วยมีกำหนดเวลา  3  ปี ตกลงชำระค่าเช่าทุกๆสิ้นเดือน  เดือนละ  10,000  บาท  สัญญาเช่าข้อ  5  ระบุไว้ว่า  เมื่อสัญญาเช่าครบกำหนด  3  ปี  ผู้เช่าตกลงจะรื้อโรงรถเดิมที่ทำด้วยไม้และผู้เช่าจะต้องสร้างโรงรถใหม่ที่ทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กให้กับผู้ให้เช่า  ดยผู้เช่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำโรงรถใหม่นี้ด้วย  ขาวเช่าบ้านนี้ได้เพียง  1  ปี  แดงได้ขายบ้านหลังนี้ให้กับมืดโดยชอบด้วยกฎหมาย  ปรากฏว่าขาวเช่าบ้านมาจนครบ  3  ปีพอดี  ซึ่งตรงกับสิ้นปี  2549  ขาวยังคงอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อมาจนถึงปัจจุบัน  และนำค่าเช่าไปชำระให้กับมืดทุกเดือนโดยมืดมิได้ทักท้วงแต่ประการใด  ปรากฏว่า  วันที่  19  มีนาคม  2550  มืดได้แจ้งให้ขาวปฏิบัติตามข้อตกลงตามสัญญาเช่าข้อที่  5  แต่ขาวไม่ยอมปฏิบัติตาม  ดังนี้ท่านเห็นว่าขาวจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวหรือไม่  เพราะเหตุใดธงคำตอบ

มาตรา  538  เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  ท่านว่า  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่  ถ้าเช่ามีกำหนดกว่าสามปีขึ้นไป  หรือกำหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้  หากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ท่านว่าการเช่นนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี

มาตรา  569  อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป  เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย

มาตรา  570  ในเมื่อสิ้นกำหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น  ถ้าผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทำสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกำหนดเวลา

วินิจฉัย

การเช่าระหว่างขาวและแดงเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์มีกำหนดไม่เกิน  3  ปี  เมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้เช่าจึงชอบด้วยกฎหมาย  สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามมาตรา  538  เมื่อขาวเช่าบ้านมาเพียง  1  ปี  แดงขายบ้านให้มืด  สัญญาเช่าระหว่างแดงและขาวไม่ระงับตามมาตรา  569  วรรคแรก  มืดต้องให้ขาวเช่าจนครบ  3  ปี  แต่ข้อตกลงในสัญญาข้อ  5  มืดไม่ต้องรับมา  มืดจะรับมาเฉพาะสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าตามมาตรา  569  วรรคสองเท่านั้น  แต่สัญญาข้อ  5  เป็นสิทธิของมืดตามสัญญาอื่น  (ข้อตกลงอย่างอื่นไม่ใช่ข้อตกลงเรื่องการเช่า)  มืดจึงไม่มีสิทธิบังคับให้ขาวปฏิบัติตาม  และสัญญาเช่าตั้งแต่เดือน  มกราคม  2550  ถึงปัจจุบันเป็นสัญญาเช่าไม่มีกำหนดเวลาตามมาตรา  570  ซึ่งจะต้องเอาหลักเกณฑ์ตามสัญญาเดิม  ซึ่งเป็นสัญญาเช่ามาผูกพันผู้รับโอนได้เท่านั้น

สรุป  ขาวไม่จำต้องปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว

 

ข้อ  2  ก.  เมื่อวันที่  1  มกราคม  2550  ม่วงได้ทำสัญญาเป็นหนังสือให้เหลืองเช่ารถยนต์มีกำหนดเวลา  2  ปี  ตกลงชำระค่าเช่าทุกๆวันสิ้นเดือนในวันที่  31  มกราคม  2550  เหลืองไม่ชำระค่าเช่าเพราะเหลืองเห็นว่าเหลืองได้ชำระค่าเช่าให้กับม่วงล่วงหน้าแล้ว  2  เดือน  ในวันที่  1  กุมภาพันธ์  2550  ม่วงจึงแจ้งให้เหลืองนำค่าเช่าซึ่งจะต้องชำระให้เหลืองเดือนละ  20,000  บาท  มาชำระโดยจะต้องนำมาชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่  18  กุมภาพันธ์  2550  แต่เหลืองก็ยังนิ่งเฉยเสีย  ม่วงจึงบอกเลิกสัญญาทันที  ในวันที่  19  กุมภาพันธ์  2550 ดังนี้  การบอกเลิกสัญญาของม่วงชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด 

ข.       ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ  ก. เป็นสัญญาเช่าซื้อและมีข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่  5  กุมภาพันธ์  2550  เหลืองนำรถยนต์ไปจำนำไว้กับดำโดยไม่คิดจะไถ่คืน  ม่วงจะบอกเลิกสัญญาทันทีในวันที่  6  กุมภาพันธ์  2550  ซึ่งม่วงได้ทราบเหตุการณ์ดังกล่าวหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  560  ถ้าผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า  ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน  หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป  ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชำระค่าเช่าภายในเวลาใด  ซึ่งพึงกำหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน

วินิจฉัย

ม่วงทำสัญญาเช่ารถยนต์กับเหลืองมีกำหนด  2  ปี  ตกลงชำระค่าเช่าทุกๆ  สิ้นเดือนต่อมาในวันที่  31  มกราคม  2550  เหลืองไม่ชำระค่าเช่าเพราะเห็นว่าเหลืองได้ชำระค่าเช่าล่วงหน้าไปแล้ว  2  เดือน  ดังนี้แม้ในวันที่  1  กุมภาพันธ์  2550  ม่วงจะแจ้งให้เหลืองนำค่าเช่ามาชำระให้เสร็จสิ้นภายในวันที่  18  กุมภาพันธ์  2550  และเหลืองก็นิ่งเฉยไม่ชำระก็ตาม  ม่วงก็จะบอกเลิกสัญญาเช่าไม่ได้เพราะแม้ม่วงจะนำหลักเกณฑ์ตามมาตรา  560  มาใช้โดยถูกต้องก็ตาม  แต่เหลืองได้ชำระค่าเช่าไว้ล่วงหน้าถึง  2  เดือน  ดังนั้นเหลืองจึงนำค่าเช่าที่ให้ไว้ล่วงหน้ามาหักกลบลบกับค่าเช่าที่ยังไม่ชำระเพียงเดือนเดียวได้

มาตรา  574  วรรคแรก  ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆกัน  หรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ  เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้  ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน  ให้ริบเป็นเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย

วินิจฉัย

หากข้อเท็จจริงตามข้อ  ก  เป็นสัญญาเช่าซื้อ  และเหลืองนำรถยนต์ไปจำนำโดยไม่คิดจะไถ่คืน  ถือว่าเหลืองผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ  เพราะเหลืองไม่เคารพในกรรมสิทธิ์ของผู้ให้เช่าซื้อม่วงจึงบอกเลิกสัญญาได้ทันทีในวันที่  6  กุมภาพันธ์  2550

สรุป  ก  การบอกเลิกสัญญาไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ข  ม่วงบอกเลิกสัญญาได้ทันที

 

ข้อ  3  ก.  นายรุจิได้ไปเที่ยว  จ. เชียงใหม่  และรู้จัก  น.ส. พรตา  ซึ่งทำอาหารเก่ง  นายรุจิได้ทำสัญญาจ้าง  น.ส.  พรตา  ให้มาเป็นแม่ครัวที่กรุงเทพฯ  เป็นเวลา  2  ปี  ตกลงจ่ายค่าจ้างให้เดือนละ  8,000  บาท  ทุกๆวันสิ้นเดือน  โดยให้ค่ารถเดินทางจาก  จ.  เชียงใหม่  มากรุงเทพฯด้วย  สัญญาจ้างมีกำหนดตั้งแต่เดือนมีนาคม  2548  ถึงเดือนกุมภาพันธ์  2550  น.ส.  พรตา  ทำงานเรื่อยมาจนถึงวันที่  28  กุภาพันธ์  2550  นายรุจิต้องการเปลี่ยนแม่ครัวคนใหม่จึงบอก  น.ส.พรตาว่าไม่ต้องมาทำงานอีกแล้วในเดือนมีนาคม   น.ส. พรตาเห็นว่านายรุจิจะต้องบอกกล่าวให้ตนทราบก่อนหรือจ่ายให้เป็นเงินเดือนแทนหนึ่งเดือน  อีกทั้ง  น.ส.  พรตาต้องการกลับบ้านที่  จ.เชียงใหม่  แต่ไม่มีเงินจึงขอให้นายรุจิจ่ายค่ารถเดินทางกลับบ้านให้ด้วย  เช่นนี้ท่านเห็นว่าถูกต้องหรือไม่  เพราะเหตุใดจงอธิบาย

ข.      นายวิกรมทำสัญญาจ้างนายกนกให้ก่อสร้างบ้าน  1  หลัง  ตกลงจ่ายสินจ้าง  3  ล้านบาทโดยแบ่งจ่ายเป็นงวดๆ  ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาได้ตกลงว่าจะก่อสร้างบ้านแล้วเสร็จในวันที่  31  มกราคม  ถ้าหากว่านายกนกมาสามารถส่งมอบบ้านได้ทันในวันที่  31  มกราคม  แต่ได้ส่งมอบบ้านให้นายวิกรมในวันที่  30  มีนาคม    เช่นนี้ตามกฎหมายนายวิกรมจะมีสิทธิดำเนินการกับนายกนกได้อย่างไรบ้าง  เพราะเหตุใด  และมีข้อยกเว้นตามกฎหมายอย่างไรหรือไม่ที่นายกนกจะไม่ต้องรับผิดชอบในกรณีที่มีการส่งมอบงานล่าช้า  กฎหมายกำหนดว่าอย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  586  ถ้าลูกจ้างเป็นผู้ซึ่งนายจ้างได้จ้างเอามาแต่ต่างถิ่นโดยนายจ้างออกเงินค่าเดินทางให้ไซร้  เมื่อการจ้างแรงงานสิ้นสุดลง  และถ้ามิได้กำหนดกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาแล้ว  ท่านว่านายจ้างจำต้องใช้เงินค่าเดินทางขากลับให้  แต่จะต้องเป็นดังต่อไปนี้คือ

1       สัญญามิได้เลิกหรือระงับเพราะการกระทำหรือความผิดของลูกจ้าง  และ

2       ลูกจ้างกลับไปยังถิ่นที่ได้จ้างเอามาภายในเวลาอันสมควร

วินิจฉัย

นายรุจิได้ทำสัญญาจ้าง  น.ส.พรตา  เป็นแม่ครัวมีกำหนด  2  ปี  ตกลงจ่ายค่าจ้างเดือนละ  8,000  บาท  ทุกวัยสิ้นเดือน  โดยสัญญาจ้างดังกล่าวมีกำหนดตั้งแต่เดือนมีนาคม  2548  ถึงเดือนกุมภาพันธ์  2550  สัญญาจ้างระหว่างนายรุจิกับ  น.ส.พรตา  จึงเป็นสัญญาจ้างแรงงานมีกำหนดเวลา  2  ปี  เมื่อครบกำหนดเวลา  2  ปี  ตามสัญญา  นายรุจิมีสิทธิบอกเลิกสัญญาโดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเนื่องจากไม่ใช่สัญญาจ้างที่ไม่มีกำหนดเวลา

นายรุจิได้ให้ค่ารถเดินทางจาก  จ.เชียงใหม่   มากรุงเทพฯ  จึงเป็นกรณีตามมาตรา  586  ที่นายจ้างได้จ้างลูกจ้างเอามาแต่ต่างถิ่นโยนายจ้างออกเงินค่าเดินทางให้  เมื่อการจ้างแรงงานสิ้นสุดลงนายจ้างจะต้องใช้เงินค่าเดินทางขากลับให้  นายรุจิจึงต้องจ่ายค่าเดินทางขากลับให้แก่  น.ส.พรตา

มาตรา  591  ถ้าความชำรุดบกพร่องหรือความชักช้าในการที่ทำนั้นเกิดขึ้นเพราะสภาพแห่งสัมภาระซึ่งผู้ว่าจ้างส่งให้ก็ดี  เพราะคำสั่งของผู้ว่าจ้างก็ดี  ท่านว่าผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิดเว้นแต่จะได้รู้อยู่แล้วว่าสัมภาระนั้นไม่เหมาะหรือว่าคำสั่งนั้นไม่ถูกต้องและมิได้บอกกล่าวตักเตือน

มาตรา  596  ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทำไม่ทันเวลาที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาก็ดีหรือถ้าไม่ได้กำหนดเวลาว้ในสัญญาเมื่อล่วงพ้นเวลาอันควรแก่เหตุก็ดี  ผู้ว่าจ้างชอบที่จะได้ลดสินจ้างลง  หรือถ้าสาระสำคัญแห่งสัญญาอยู่ที่เวลา  ก็ชอบที่จะเลิกสัญญาได้

มาตรา  597  ถ้าผู้ว่าจ้างยอมรับมอบการที่ทำนั้นแล้วโดยมิได้อิดเอื้อน  ผู้รับจ้างก็ไม่ต้องรับผิดเพื่อการที่ส่งมอบเนิ่นช้า

วินิจฉัย

นายวิกรมทำสัญญาจ้างนายกนกก่อสร้างบ้าน  1  หลัง  ตกลงจ่ายสินจ้าง  3  ล้านบาท  และตกลงว่าจะก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จในวันที่  31  มกราคม  แต่นายกนกไม่สามารถส่งมอบบ้านได้ทันในวันที่  31  มกราคม  กลับส่งมอบบ้านให้นายวิกรมในวันที่  30  มีนาคม  ซึ่งล่าช้ากว่าที่กำหนดในสัญญา  ดังนี้ตามสัญญาจ้างทำของ  ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบงานไม่ทันเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา  ผู้ว่าจ้างชอบที่จะลดสินจ้างลงได้ตามมาตรา  596  เมื่อนายกนกส่งมอบบ้านล่าช้า  ในวันที่  30  มีนาคมเช่นนี้  นายวิกรมขอให้ลดสินจ้างลงบางส่วนได้

แต่นายกนกอาจจะไม่ต้องรับผิดชอบในการส่งมอบงานล่าช้า  ซึ่งอาจเกิดขึ้น  2  กรณีคือ  กรณีตามมาตรา  591  หากความล่าช้าเกิดขึ้นเพราะสัมภาระซึ่งผู้ว่าจ้างส่งให้  หริเพราะคำสั่งของผู้ว่าจ้างเอง  และมาตรา  597  หากผู้ว่าจ้างยอมรับมอบงานที่ทำโดยมิได้อิดเอื้อน

สรุป  ก  นายรุจิต้องจ่ายค่าเดินทางขอกลับให้แก่  น.ส.พรตา

ข  นายวิกรมขอให้ลดสินจ้างลงบางส่วนได้  และข้อยกเว้นตามกฎหมายที่นายกนกไม่ต้องรับผิดเป็นไปตามมาตรา  591  และ  597

LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ S/2549

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2549

 ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2008 
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จ้างแรงงาน จ้างทำของ รับขน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ 

ข้อ  1  แดงทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าตึกแถวหลังหนึ่งเพื่อทำเป็นสำนักงานกฎหมายมีกำหนดเวลา  3  ปี  ตกลงชำระค่าเช่าเดือนละ  50,000  บาท ทุกๆวันสิ้นเดือน  สัญญาเช่าข้อที่  10  มีข้อตกลงว่า  ขาวผู้เช่าเป็นผู้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศในตึกแถวหลังนี้  โดยขาวเป็นผู้ออกเงินค่าใช้จ่ายทั้งหมด  ซึ่งเป็นเงิน  500,000  บาท  

และเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้วผู้ให้เช่ายินยอมรับซื้อเครื่องปรับอากาศที่ติดตั้งอยู่ในตึกแถวหลังนี้ในราคา  300,000  บาท  ขาวเช่าตึกแถวนี้ได้เพียง  2  ปี  แดงได้ยกตึกแถวให้กับมืดโดยการยกให้ได้ทำถูกต้องตามกฎหมาย  ขาวอยู่ในตึกแถวต่อมาโดยมิได้ทำสัญญาเช่าใหม่กับมืด  ครั้นสัญญาเช่าสิ้นสุดลงเมื่อขาวอยู่ในตึกแถวจนครบ  3  ปีแล้ว  ขาวจึงเรียกให้มืดปฏิบัติตามสัญญาเช่าข้อที่  10  มืดปฏิเสธไม่ยอมจ่ายเงิน  300,000  บาทให้กับขาว  ท่านเห็นว่าการปฏิเสธของมืดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เพียงใด

ธงคำตอบ

มาตรา  538  เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  ท่านว่า  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่  ถ้าเช่ามีกำหนดกว่าสามปีขึ้นไป  หรือกำหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้  หากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ท่านว่าการเช่นนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี

มาตรา  569  อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป  เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย

วินิจฉัย

สัญญาเช่าตึกแถวเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์ซึ่งได้ทำเป็นหนังสือ  ตามมาตรา  538  สามารถบังคับกันได้  แดงผู้ให้เช่ายกตึกแถวให้มืดเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้เช่า  ไม่ทำให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับไป  ตามมาตรา  569  วรรคแรก  มืดจึงต้องให้ขาวเช่าจนครบ  3  ปี  เพราะมืดเป็นผู้รับโอนยอมรับมาซึ่งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่า  ตามมาตรา  569  วรรคสอง  แต่ข้อตกลงข้อที่  10  มืดไม่ต้องรับเอาข้อตกลงนี้มาด้วย  เพราะข้อตกลงดังกล่าวมิใช่ข้อตกลงตามสัญญาเช่า  (แต่เป็นข้อตกลงเรื่องอื่นนอกเหนือจากเรื่องเช่า)  คำปฏิเสธของมืดจึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  คำปฏิเสธของมืดชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  2  ก.  เขียวทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ม่วงเช่าบ้านหลังหนึ่งมีกำหนดเวลา  5  ปี  ตกลงชำระค่าเช่าเดือนละ  20,000  บาท ทุกๆวันสิ้นเดือน  ม่วงเช่าบ้านมาเพียง  1  ปีเท่านั้น  ปรากฏเหตุการณ์ขึ้นกับบ้านเช่าหลังนี้คือกระเบื้องหลังคาแตกไปประมาณ  20  เซนติเมตร ทำให้น้ำฝนไหลเข้ามาในบ้านหลังนี้  เขียวทราบเหตุการณ์ดังกล่าวจากม่วงแต่เขียวไม่ยอมซ่อมแซมให้เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย  เขียวกลับบอกให้ม่วงทำการซ่อมแซมให้เสร็จภายใน  15  วันแต่ม่วงกินิ่งเฉยเสียจนล่วงเลยเวลามาถึง  20  วัน  ดังนี้เขียวจึงบอกเลิกสัญญาเช่าบ้านกับม่วงทันที  ท่านเห็นว่าการกระทำของเขียวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ข.      ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ  ก.  เป็นสัญญาเช่าซื้อ  คำตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่  เพียงใด

ธงคำตอบ

มาตรา  538  เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  ท่านว่า  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่  ถ้าเช่ามีกำหนดกว่าสามปีขึ้นไป  หรือกำหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้  หากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ท่านว่าการเช่นนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี

มาตรา  553  ผู้เช่าจำต้องสงวนทรัพย์สินที่เช่านั้นเสมอกับที่วิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง  และต้องบำรุงรักษาทั้งทำการซ่อมแซมเล็กน้อยด้วย

มาตรา  554  ถ้าผู้เช่ากระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติในมาตรา  552  มาตรา  553  หรือฝ่าฝืนข้อสัญญา  ผู้ให้เช่าจะ

บอกกล่าวให้ผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทกฎหมายหรือข้อสัญญานั้นๆก็ได้  ถ้าและผู้เช่าละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามท่านว่า  ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

วินิจฉัย

กระเบื้องหลังคาแตกไปประมาณ  20  เซนติเมตร  ถือว่าเป็นการซ่อมแซมเล็กน้อย  ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้เช่าตามมาตรา  553  และเมื่อผู้ให้เช่าบอกกล่าวให้ซ่อมแซมคือบอกให้ทำให้ถูกต้องตามมาตรา  554  ผู้เช่าไม่ซ่อมแซม  จึงทำให้ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาได้  เขียวจึงบอกให้ม่วงซ่อมแซมได้เพราะเป็นหน้าที่ของม่วง

สรุป  การที่เขียวบอกเลิกสัญญาเช่าบ้านนั้นชอบด้วยกฎหมายแล้ว

มาตรา  572  อันว่าเช่าซื้อนั้น  คือสัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่า  และให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น  หรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า  โดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว

สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ  ท่านว่าเป็นโมฆะ

มาตรา  574  ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆกัน  หรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ  เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้  ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน  ให้ริบเป็นเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย

วินิจฉัย

สัญญาเช่าซื้อบ้านทำเป็นหนังสือถูกต้องจึงบังคับระหว่างคู่สัญญาได้  5  ปี  แต่การกระทำของเขียวไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เพราะไม่ถือว่าผู้เช่าซื้อผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ  แม้ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ซ่อมแซมเล็กน้อย  ถ้าผู้เช่าซื้อไม่ซ่อมแซมจะถือว่าผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญไม่ได้  เป็นเพียงผิดสัญญาธรรมดา  จึงบอกเลิกสัญญาดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา  574  ไม่ได้

สรุป  เขียวบอกเลิกสัญญาไม่ได้

 

ข้อ  3  ก.  การคิดสินจ้างตามสัญญาจ้างแรงงานและสัญญาจ้างทำของแตกต่างกันอย่างไร  จงอธิบาย

ข.      น้ำเงินจ้างเหลืองมาเป็นลูกจ้างประจำร้านขายของโดยไม่มีกำหนดเวลา  ตกลงจ่ายค่าจ้างทุกๆวันศุกร์ของแต่ละสัปดาห์  เหลืองได้รับค่าจ้างสัปดาห์ละ  3,000  บาท  โดยปกตกลูกจ้างของน้ำเงินจะต้องเริ่มทำงานตั้งแต่เวลา  8.30  น.  แต่ปรากฏว่าเหลืองมาทำงาน  9.30  น.  ของวันจันทร์ในแต่ละสัปดาห์  เป็นประจำและหลายครั้ง  ครั้นในวันที่  28  พฤษภาคม  2550  เหลืองมาทำงานสายอีก  น้ำเงินจึงบอกเลิกไม่จ้างเหลือง  และให้เหลืองออกจากงานตั้งแต่วันที่  1  มิถุนายน  2550  ท่านเห็นว่าการบอกเลิกดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  575  อันว่าจ้างแรงงานนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ลูกจ้าง  ตกลงจะทำงานให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า  นายจ้าง และนายจ้างตกลงจะให้สินจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้

มาตรา  587  อันว่าจ้างทำของนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้รับจ้าง  ตกลงรับจะทำการงานสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้ว่าจ้าง  และผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้น

–                    สัญญาจ้างแรงงาน  คิดสินจ้างให้ตลอดเวลา  ซึ่งอาจจะจ่ายสินจ้างเป็นรายวัน  รายเดือน  เป็นต้น

–                    สัญญาจ้างทำของ  คิดสินจ้างเมื่อทำงานเสร็จ

มาตรา  583  ถ้าลูกจ้างจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี  หรือละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งเช่นว่านั้นเป็นอาจิณก็ดี  ละทิ้งการงานไปเสียก็ดี  กระทำความผิดอย่างร้ายแรงก็ดี  หรือทำประการอื่นอันไม่สมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริตก็ดี  ท่านว่านายจ้างจะไล่ออกโดยมิพักต้องบอกกล่าวล่วงหน้าหรือให้สินไหมทดแทนก็ได้

วินิจฉัย

ลูกจ้างมาทำงานสายเป็นประจำ  แม้จะมาสายอาทิตย์ละครั้ง  ก็ถือว่าเป็นการกระทำอันไม่เหมาสมแก่การปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงไปโดยถูกต้องและสุจริต  น้ำเงินจึงเลิกจ้างเหลืองได้เลย  เป็นการไล่ออกตามมาตรา  583  แม้เป็นสัญญาจ้างแรงงานโดยไม่มีกำหนดเวลาก็ไม่จำต้องบอกเลิกตามมาตรา  582

สรุป  การบอกเลิกจ้างดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายแล้ว

LAW 2008กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ 1/2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2008 

 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จ้างแรงงาน จ้างทำของ รับขน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  แดงทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าบ้านหลังหนึ่งมีกำหนด  5  ปี  ตกลงชำระค่าเช่าเดือนละ  10,000  บาท  โดยตกลงชำระค่าเช่าทุกๆวันที่  1  ของเดือน  ปรากฏว่าสัญญาเช่าบ้านหลังนี้สิ้นสุดลงคือครบ  5  ปี  ในวันที่  31  ธันวาคม  2549  ขาวยังคงอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อมาและได้ชำระค่าเช่าให้กับแดงจนถึงปัจจุบันนี้  ซึ่งแดงและขาวมิได้ทำสัญญาเช่ากันใหม่แต่อย่างใด  มีข้อเท็จจริงเกิดขึ้นว่า  ในวันที่ 1  กันยายน  2550  แดงได้ไปพบขาวเพื่อเก็บค่าเช่าและขอบอกเลิกสัญญากับขาวทั้งๆที่ขาวไม่เคยผิดสัญญา  โดยแดงแจ้งให้ขาวออกจากบ้านไปภายในวันที่  16  กันยายน  2550

ครั้นถึงวันที่  16  กันยายน  2550  ขาวยังคงอยู่ในบ้านเช่าโดยไม่ยอมส่งบ้านคืนให้แดง  แดงจึงฟ้องขับไล่ขาวในวันที่  10  ตุลาคม  2550 ดังนี้การบอกเลิกสัญญาเช่าของแดงชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  538  เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  ท่านว่า  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่  ถ้าเช่ามีกำหนดกว่าสามปีขึ้นไป  หรือกำหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้  หากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ท่านว่าการเช่นนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี

มาตรา  566  ถ้ากำหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกันหรือไม่พึงสันนิษฐานได้ไซร้  ท่านว่าคู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกำหนดชำระค่าเช่าก็ได้ทุกระยะ  แต่ต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย  แต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสองเดือน

มาตรา  570  ในเมื่อสิ้นกำหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น  ถ้าผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทำสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกำหนดเวลา

วินิจฉัย

สัญญาเช่าบ้านระหว่างแดงกับขาวทำเป็นหนังสือ  5  ปี  แต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงฟ้องร้องบังคับคดีกันได้  3  ปี  ตามมาตรา  538  หลังจากครบ  3  ปี  การที่ขาวอยู่ในบ้านต่อมาจึงเป็นการเช่าไม่มีกำหนดเวลาตามมาตรา  570

วันที่  1  กันยายน  2550  ขาวมาชำระค่าเช่า  แดงจึงบอกเลิกสัญญาได้แม้ขาวไม่เคยผิดสัญญาก็ตาม  ทั้งนี้ตามมาตรา  566  แต่แดงบอกเลิกไม่ถูกต้องเพราะการที่แดงบอกเลิกสัญญาเช่าในวันที่  1  กันยายน  2550  แดงต้องให้เวลาขาวถึงวันที่  1  ตุลาคม  2550  แดงจึงมีสิทธิฟ้องขับไล่ตั้งแต่วันที่  2  ตุลาคม  2550  ฉะนั้น  การที่แดงแจ้งให้ขาวออกจากบ้านไปภายในวันที่  16  กันยายน  2550  ขาวมีสิทธิไม่ออกไปจากบ้านได้

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อแดงมาฟ้องขับไล่ในวันที่  10  ตุลาคม  2550  จึงถือว่าการบอกเลิกชอบด้วยกฎหมาย  เพราะคำบอกกล่าวตามมาตรา  566  ให้นับระยะเวลาไปถึงวันฟ้อง  (เทียบคำพิพากษาฎีกา  1248/2538)

สรุป  การบอกเลิกการเช่าชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  2  ก.  เมื่อวันที่  1  มกราคม  2550  เขียวทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้เหลืองเช่าตึกแถวหนึ่งคูหามีกำหนดเวลา  1  ปี  โดยตกลงชำระค่าเช่าทุกๆ  วันสิ้นเดือน  เดือนละ  10,000  บาท  เหลืองไม่ยอมชำระค่าเช่าในวันที่  31  กรกฎาคม  2550  และในวันที่  31  สิงหาคม  2550 ปรากฏข้อเท็จจริงว่า  เขียวเดินทางไปต่างจังหวัดและกลับมาในวันที่  10  กันยายน  2550  เหลืองยังคงไม่นำเงินค่าเช่า  20,000 บาท  มาชำระให้กับเขียว  เขียวจึงบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีในวันที่  21  กันยายน  2550  เขียวบอกเลิกสัญญาเช่ากับเหลืองชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ข.       ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ  ก.  เป็นสัญญาเช่าซื้อ  คำตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่  เพียงใด

ธงคำตอบ

มาตรา  560  ถ้าผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า  ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน  หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป  ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชำระค่าเช่าภายในเวลาใด  ซึ่งพึงกำหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน

วินิจฉัย

สัญญาเช่าตึกแถวระหว่างเขียวและเหลือง  มีข้อตกลงให้ชำระค่าเช่าเป็นรายเดือน  ดังนั้น  เขียวต้องบอกกล่าวให้เหลืองนำค่าเช่ามาชำระก่อนโดยต้องให้เวลา  15  วันเป็นอย่างน้อย  แม้เหลืองจะผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่า  2  เดือนติดต่อกันก็ตาม  เขียวจึงบอกเลิกสัญญาในวันที่  21  กันยายน  2550  ไม่ได้ตามมาตรา  560  (การปล่อยเวลาไปถึง  20  วันมิใช่การเตือน)

มาตรา  574  วรรคแรก  ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆกัน  หรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ  เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้  ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน  ให้ริบเป็นเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย

วินิจฉัย

เหลืองผิดนัดไม่ใช้เงินค่าเช่าซื้อ  2  คราวติดกัน  คือ  เดือนกรกฎาคม  และสิงหาคม  2550  เขียวจึงบอกเลิกได้เลย  ตามมาตรา  574  วรรคแรก  (ไม่ต้องบอกกล่าวให้นำค่าเช่ามาชำระเพราะเป็นการผิดนัดแล้วอีกทั้งไม่ใช่สัญญาเช่าทรัพย์)

สรุป  ก.  การบอกเลิกสัญญาเช่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ข.      เขียวบอกเลิกสัญญาได้  คำตอบจึงแตกต่างกับข้อ  ก.

 

ข้อ  3  ก.  ขาวจะต้องผลิตสินค้าส่งไปยังต่างประเทศ  จึงทำสัญญาจ้างหนึ่งและสองเป็นหัวหน้าคนงานตกลงให้ค่าจ้างเดือนละ  10,000 บาท  มีกำหนดเวลา  12  เดือน  คือ  สัญญาจะสิ้นสุดลงในวันที่  30  มิถุนายน  2550  แต่ในเดือนเมษายน  2550  มีผู้สั่งให้ผลิตสินค้าเพิ่มอีก  ขาวจึงทำการผลิตสินค้าส่งให้ลูกค้าเรื่อยมาจนถึงเดือนกันยายน  2550  ก็ไม่มีผู้สั่งสินค้าเพิ่มขึ้นอีกเลย  ขาวจึงทำการส่งสินค้างวดสุดท้ายให้แก่ผู้สั่งสินค้าในวันที่  20  ตุลาคม  2550  แล้วก็บอกเลิกสัญญาจ้างหนึ่งและสองทันที  ในวันที่  20  ตุลาคม  โดยจ่ายค่าจ้างให้คนละ  10,000  บาท  เช่นนี้หนึ่งและสองจะต่อสู้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ข.      สัญญาจ้างทำของ  ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทำไม่ทันเวลาที่กำหนดในสัญญา  ผู้จ้างจะบอกเลิกสัญญาได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

มีกรณีใดบ้างที่ผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิด  ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบงานไม่ทันเวลาที่กำหนดในสัญญาจงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  581  ถ้าระยะเวลาที่ได้ตกลงว่าจ้างกันนั้นสุดสิ้นลงแล้ว  ลูกจ้างยังคงทำงานอยู่ต่อไปอีกและนายจ้างรู้ดั่งนั้นก็ไม่ทักท้วงไซร้  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทำสัญญาจ้างกันใหม่  โดยความอย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม  แต่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะเลิกสัญญาเสียได้ด้วยการบอกกล่าวตามความในมาตราต่อไปนี้

มาตรา  582  ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กำหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร  ท่านว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทำได้  แต่ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน

อนึ่ง  ในเมื่อบอกกล่าวดั่งว่านี้  นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแก่ลูกจ้างเสียให้ครบจำนวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกำหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียว  แล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทำได้

วินิจฉัย

สัญญาจ้างหนึ่งและสองเป็นสัญญามีกำหนดเวลาคือสิ้นสุดลงในวันที่  30  มิถุนายน  2550  หนึ่งและสองทำงานเรื่อยมาจนถึงเดือนตุลาคม  2550  เป็นการที่ลูกจ้างทำงานต่อไป  มาตรา  581  สันนิษฐานว่าเป็นสัญญาจ้างใหม่  ไม่มีกำหนดเวลา

ขาวบอกเลิกสัญญาจ้างได้ตามมาตรา  582  วรรคแรก  คือจะต้องบอกกล่าวก่อนเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากัยเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไป  เมื่อขาวบอกเลิกทันทีในวันที่  20  ตุลาคม  2550  จึงไม่ถูกต้องควรบอกกล่าวการเลิกจ้างในวันที่  31  ตุลาคม  2550  และบอกเลิกสัญญาจ้างได้เมื่อถึงวันที่  30  พฤศจิกายน  2550

หรือจะให้หนึ่งและสองออกจากงานทันทีก็ได้  ตามมาตรา  582  วรรคสอง  คือให้จ่ายสินจ้างให้ครบจำนวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญา  คือ  คนละ  20,000  บาทก็ได้

ข. 

มาตรา  591  ถ้าความชำรุดบกพร่องหรือความชักช้าในการที่ทำนั้นเกิดขึ้นเพราะสภาพแห่งสัมภาระซึ่งผู้ว่าจ้างส่งให้ก็ดี  เพราะคำสั่งของผู้ว่าจ้างก็ดี  ท่านว่าผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิดเว้นแต่จะได้รู้อยู่แล้วว่าสัมภาระนั้นไม่เหมาะหรือว่าคำสั่งนั้นไม่ถูกต้องและมิได้บอกกล่าวตักเตือน

มาตรา  596  ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทำไม่ทันเวลาที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาก็ดีหรือถ้าไม่ได้กำหนดเวลาว้ในสัญญาเมื่อล่วงพ้นเวลาอันควรแก่เหตุก็ดี  ผู้ว่าจ้างชอบที่จะได้ลดสินจ้างลง  หรือถ้าสาระสำคัญแห่งสัญญาอยู่ที่เวลา  ก็ชอบที่จะเลิกสัญญาได้

มาตรา  597  ถ้าผู้ว่าจ้างยอมรับมอบการที่ทำนั้นแล้วโดยมิได้อิดเอื้อน  ผู้รับจ้างก็ไม่ต้องรับผิดเพื่อการที่ส่งมอบเนิ่นช้า

วินิจฉัย

ในสัญญาจ้างทำของถ้าผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทำไม่ทันเวลาที่กำหนดไว้มนสัญญาย่อมเป็นความผิดของผู้รับจ้าง  ผลของกฎหมายตามมาตรา  596  กำหนดให้ผู้ว่าจ้างมีสิทธิที่จะฟ้องให้ลดสินจ้างลงได้หรือจะบอกเลิกสัญญาก็ทำได้  แต่จะต้องเป็นกรณีสาระสำคัญแห่งสัญญาอยู่ที่เวลา

มีข้อยกเว้นที่ผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิด  คือ  ตามมาตรา  597  และมาตรา  591  (ให้อธิบายตามสมควร)

LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550
ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2008

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จ้างแรงงาน จ้างทำของ รับขนคำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  แดงทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าบ้านมีกำหนดเวลา  3  ปี  โดยตกลงชำระค่าเช่าทุกๆ  วันสิ้นเดือน  สัญญาเช่าข้อสุดท้ายเขียนไว้ว่า  หากผู้เช่าได้เช่าบ้านหลังนี้จนครบกำหนด  3  ปี  ในวันที่  31  ธันวาคม  2550  แล้วนั้น  ผู้ให้เช่ายังคงให้คำมั่นให้ผู้เช่าเช่าต่ออีก  3  ปี  ปรากฏข้อเท็จจริงว่าก่อนจะครบสัญญาเช่า  3  ปี  บ้านเช่าหลังนี้ต้องซ่อมแซมใหญ่และผู้เช่าได้นำไปซ่อมแซมเสียค่าซ่อมแซมไป  50,000  บาท  และขณะกำลังซ่อมแซมอยู่นั้นแดงได้ขายบ้านหลังนี้ให้กับมืดโดยชอบด้วยกฎหมาย  

มืดรับซื้อบ้านแล้วมืดยังคงเก็บค่าเช่ากับขาวจนถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน  2550  ครั้นวันที่  30  ธันวาคม  2550  ก่อนที่สัญญาเช่าบ้านจะครบกำหนดตามสัญญาเพียง  1  วันเท่านั้น  ขาวแจ้งไปยังมืดว่าขาวต้องการเช่าบ้านต่อไปอีก  3  ปี  ตามสัญญาข้อสุดท้าย  และขอให้มืดจ่ายค่าซ่อมแซมใหญ่  50,000  บาท  ให้กับขาวด้วย  ท่านเห็นว่ามืดจะต้องปฏิบัติตามที่ขาวต้องการทั้ง  2  ประการนี้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  538  เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  ท่านว่า  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่  ถ้าเช่ามีกำหนดกว่าสามปีขึ้นไป  หรือกำหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้  หากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ท่านว่าการเช่นนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี

มาตรา  569  อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป  เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย

วินิจฉัย

สัญญาเช่าบ้านระหว่างขาวกับแดงมีกำหนด  3  ปี  และมีคำมั่น  3  ปีของผู้ให้เช่าเป็นสัญญาชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  538  เพราะเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์มีกำหนดเวลาไม่เกิน  3  ปี  จึงไม่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  เพียงมีสัญญาเช่า  ก็สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้

ก่อนครบสัญญา  3  ปี  บ้านต้องซ่อมแซมใหญ่ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้ให้เช่า  ไม่ใช่หน้าที่ของผู้เช่า  เพราะผู้เช่ามีหน้าที่สงวนทรัพย์สินและบำรุงรักษาทั้งทำการซ่อมแซมเล็กน้อยเท่านั้น  (มาตรา  553)  ดังนั้นหากผู้เช่าเอาทรัพย์สินที่เช่าไปซ่อมแซมแล้วย่อมมีสิทธิเรียกค่าซ่อมแซมที่ตนต้องเสียไปจากผู้ให้เช่าได้  ขณะเดียวกันแดงได้ขายบ้านให้มืด  มืดรับโอนกรรมสิทธิ์บ้านเช่าจากแดง  มืดต้องรับไปซึ่งสิทธิ์และหน้าที่ตามสัญญาเช่าบ้านที่แดงได้ทำไว้กับขาวตามมาตรา  569

ดังนั้น  มืดต้องจ่ายค่าซ่อมแซมให้กับขาวผู้เช่า  แต่มืดไม่ต้องให้ขาวเช่าอีกต่อ  3  ปี  เพราะสัญญาข้อสุดท้ายเป็นเพียงคำมั่นเท่านั้น  ผู้รับโอนรับโอนมาแต่เพียงสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์เท่านั้นตามมาตรา  569  เช่นกัน

สรุป  มืดต้องจ่ายค่าซ่อมแซมให้กับขาว  แต่ไม่ต้องให้ขาวเช่าต่ออีก  3  ปีได้

 

ข้อ  2  ก.  เขียวทำสัญญาเป็นหนังสืออย่างเดียวให้เหลืองเช่าแพเพื่อทำเป็นภัตตาคารลอยนี้กำหนดเวลา  5  ปี  ตกลงชำระค่าเช่าวันสิ้นเดือนเดือนละ  30,000  บาท  เหลืองเช่าแพได้เพียง  1  ปีเท่านั้น  เหลืองไม่ชำระค่าเช่าซึ่งตรงกับวันที่  31  มกราคม  และวันที่  31  มีนาคม  2  เดือน  เขียวจึงบอกเลิกสัญญาทันทีในวันที่  5  เมษายน  ปีเดียวกันนั้นเอง  การบอกเลิกสัญญาของเขียวชอกด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ข.      ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ  ก.  เป็นสัญญาเช่าซื้อ  เขียวบอกเลิกสัญญาและเรียกเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างจากเหลือง  60,000  บาทได้หรือไม่  เพาะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  560  ถ้าผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า  ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน  หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป  ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชำระค่าเช่าภายในเวลาใด  ซึ่งพึงกำหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน

วินิจฉัย

สัญญาเช่าแพ  ซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ  ไม่ตกอยู่ในบังคับมาตรา  538  แม้จะมี  กำหนดเวลา  3  ปี  ก็ไม่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  และถึงแม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้  ดังนั้นสัญญาเช่าแพระหว่างเหลืองกับเขียวจึงสมบูรณ์  ใช้ฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายได้  การที่เหลืองผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า  2  เดือน  เขียวจะบอกเลิกสัญญาทันทีไม่ได้  เขียวต้องบอกกล่าวให้เหลืองนำค่าเช่ามาชำระก่อนภายในเวลากำหนด  ซึ่งจะต้องให้เวลาอย่างน้อย  15  วัน  ตามมาตรา  560  การบอกเลิกสัญญาของเขียวทันทีในวันที่  5  เมษายนนั้น  จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

มาตรา  574  วรรคแรก  ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆกัน  หรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ  เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้  ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน  ให้ริบเป็นเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย

วินิจฉัย

ในกรณีที่เป็นสัญญาเช่าซื้อ  เขียวก็ยังบอกเลิกสัญญาไม่ได้  เพราะเหลืองไม่ได้ผิดนัด  2  คราวติดกัน  ตามมาตรา  574  วรรคแรก (กำหนดชำระค่าเช่าทุกวันสิ้นเดือน  ในเดือนมกราคมผิดนัดไม่ชำระแต่ในเดือนกุมภาพันธ์  เหลืองยังคงชำระค่าเช่า  แม้ในเดือนมีนาคมจะไม่ชำระค่าเช่าอีก  ก็ไม่ถือว่าผิดนัด  2  คราวติดกัน  แต่เงินค่าเช่าซื้อที่ค้าง  เขียวย่อมมีสิทธิเรียกได้เพราะไม่ใช่ค่าเช่าซื้อที่เหลืองผิดนัด  2  คราวติดกัน  ซึ่งโดยหลักกฎหมายดังกล่าว  หากผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินค่าเช่าซื้อ  2  คราวติดๆกัน  หรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ  ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญา  และริบเงินค่าเช่าซื้อที่ได้ใช้มาแล้วเท่านั้น  จะเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระเพราะผิดนัดหรือผิดสัญญาดังกล่าวไม่ได้  ดังนั้นเมื่อไม่เป็นการผิดนัด  2  คราวติดกัน  จึงมีสิทธิเรียกได้

สรุป  ก.  การบอกเลิกสัญญาของเขียวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ข.  เขียวบอกเลิกสัญญาไม่ได้  แต่เรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างจากเหลือง  60,000  บาทได้ 

 

ข้อ  3   ก.  นายอำนาจได้รู้จักนายสุชาติที่จังหวัดตรัง  จึงทำสัญญาจ้างนายสุชาติให้มาทำงานที่กรุงเทพฯ  ตกลงมีกำหนดเวลา  1  ปี  จ่ายค่าจ้างเดือนละ  8,000  บาททุกๆวันสิ้นเดือน  นายอำนาจให้ค่าเดินทางจากจังหวัดตรังมาที่กรุงเทพฯ  นายสุชาติเดินทางมากรุงเทพฯ  พบเพื่อนนายสุเทพจึงชวนให้มาทำงานด้วยกันโดยนายอำนาจทำสัญญาจ้างเป็นเวลา  1  ปีเช่นกัน  เมื่อนายสุชาติและนายสุเทพทำงานตามสัญญาจ้างครบ  1  ปี  ก็ต้องการเดินทางกลับบ้านที่จังหวัดตรัง  จึงขอค่าเดินทางกลับจังหวัดตรัง  นายอำนาจเห็นว่าสัญญาจ้างครบกำหนดเวลาแล้วจึงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรอีก  เช่นนี้  นายสุชาติและนายสุเทพจะมีสิทธิอย่างไร  หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ข  นายหนุ่มทำสัญญาจ้างนายพากเพียรให้ก่อสร้างบ้าน  1  หลัง  ให้แล้วเสร็จภายในวันที่  30  กันยายน  ตกลงจ่ายสินจ้างเป็นงวดๆ   ตามที่ตกลงไว้ในสัญญารวมทั้งหมด  4  ล้านบาท  มีข้อตกลงว่า  นายหนุ่มจะเป็นผู้จัดซื้อกระเบื้อง  ประตู  หน้าต่างทั้งหมด  และส่งมอบให้นายหนุ่มภายในเดือนมิถุนายน  ต่อมานายหนุ่มได้ส่งมอบของทั้งหมดให้แก่นายพากเพียรได้จริงในวันที่  20  สิงหาคม  นายพากเพียรก่อสร้างบ้านจนแล้วเสร็จและส่งมอบให้แก่นายหนุ่มในวันที่  31  ตุลาคม  นายหนุ่มเห็นว่านายพากเพียรทำผิดสัญญาส่งมอบบ้านไม่ทันกำหนดเวลาในวันที่  30  กันยายน  จึงขอให้ลดสินจ้างลงบางส่วน  เช่นนี้นายพากเพียรจะต้องรับผิดอย่างไร  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  586  ถ้าลูกจ้างเป็นผู้ซึ่งนายจ้างได้จ้างเอามาแต่ต่างถิ่นโดยนายจ้างออกเงินค่าเดินทางให้ไซร้  เมื่อการจ้างแรงงานสุดสิ้นลง  และถ้ามิได้กำหนดกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาแล้ว  ท่านว่านายจ้างจำต้องใช้เงินค่าเดินทางขากลับให้  แต่จะต้องเป็นดังต่อไปนี้คือ

1       สัญญามิได้เลิกหรือระงับเพราะการกระทำหรือความผิดของลูกจ้าง  และ

2       ลูกจ้างกลับไปยังถิ่นที่ได้จ้างเอามาภายในเวลาอันสมควร

วินิจฉัย

นายอำนาจได้จ้างนายสุชาติจากจังหวัดตรังและออกค่าเดินทางให้มากรุงเทพฯ ด้วย  เมื่อสัญญาจ้างสิ้นสุดลง  และนายสุชาติต้องการเดินทางกลับจังหวัดตรัง  เช่นนี้ตามมาตรา  586  กำหนดว่า  ให้นายจ้างจำต้องใช้เงินค่าเดินทางขากลับจังหวัดตรังให้ด้วย

ส่วนนายสุเทพ  พบกับนายสุชาติที่กรุงเทพฯ  และมาทำงานด้วยกันจึงไม่ใช่กรณีตามมาตรา  586  นายจ้างไม่ต้องให้เงินค่าเดินทางกลับจังหวัดตรังแก่นายสุเทพ

ข.

มาตรา  591  ถ้าความชำรุดบกพร่องหรือความชักช้าในการที่ทำนั้นเกิดขึ้นเพราะสภาพแห่งสัมภาระซึ่งผู้ว่าจ้างส่งให้ก็ดี  เพราะคำสั่งของผู้ว่าจ้างก็ดี  ท่านว่าผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิดเว้นแต่จะได้รู้อยู่แล้วว่าสัมภาระนั้นไม่เหมาะหรือว่าคำสั่งนั้นไม่ถูกต้องและมิได้บอกกล่าวตักเตือน

มาตรา  596  ถ้าผู้รับจ้างส่งมอบการที่ทำไม่ทันเวลาที่ได้กำหนดไว้ในสัญญาก็ดีหรือถ้าไม่ได้กำหนดเวลาว้ในสัญญาเมื่อล่วงพ้นเวลาอันควรแก่เหตุก็ดี  ผู้ว่าจ้างชอบที่จะได้ลดสินจ้างลง  หรือถ้าสาระสำคัญแห่งสัญญาอยู่ที่เวลา  ก็ชอบที่จะเลิกสัญญาได้

วินิจฉัย

นายหนุ่มทำสัญญาจ้างนายพากเพียรให้ก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จภายในวันที่  30  กันยายน  โดยนายหนุ่มจะเป็นผู้จัดหาสัมภาระให้ภายในเดือนมิถุนายน  แต่นายหนุ่มส่งมอบสัมภาระล่าช้าคือส่งมอบในวันที่  20  สิงหาคม  ทำให้นายพากเพียรก่อสร้างบ้านเสร็จล่าช้าไปด้วย  ซึ่งตามมาตรา  596  ผู้รับจ้างถ้าส่งมอบการที่ทำไม่ทันกำหนดเวลาตามสัญญา  ผู้ว่าจ้างชอบที่จะได้ลดสินจ้างลง

แต่ความชักช้านี้เกิดจากการส่งมอบสัมภาระซึ่งผู้ว่าจ้างส่งให้ตามมาตรา  591  กำหนดว่าผู้รับจ้างไม่ต้องรับผิด  ดังนั้นนายพากเพียรไม่ต้องรับผิดที่ส่งมอบบ้านให้นายหนุ่มในวันที่  31  ตุลาคม

สรุป  ก.  นายสุชาติมีสิทธิได้รับค่าเดินทางกลับ  แต่นายสุเทพไม่มีสิทธิดังกล่าว

ข.      นายพากเพียรไม่ต้องรับผิดที่ส่งมอบบ้านล่าช้า

LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ S/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน   ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2008 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จ้างแรงงาน จ้างทำของ รับขน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ 1  แดงทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนการเช่าให้ขาวเช่าบ้านมีกำหนดเวลา  6  ปี  สัญญาเช่าข้อสุดท้ายมีข้อความว่า  ผู้ให้เช่าให้คำมั่นจะไปจดทะเบียนการเช่าให้ผู้เช่าอีกเป็นระยะเวลา  6  ปี  เมื่อสัญญาเช่าครบ  6  ปีแล้ว  หากเป็นความประสงค์ของผู้เช่า  ขาวเช่าบ้านหลังนี้มาได้เพียง  4  เดือน  แดงได้ยกบ้านหลังนี้ให้มืดบุตรชายของตนโดยชอบด้วยกฎหมาย   ขาวเช่าบ้านหลังนี้มาจนครบ  6  ปี  ซึ่งสัญญาเช่าสิ้นสุดลงในวันที่  31  ธันวาคม  2550  แต่ขาวได้แจ้งให้มืดไปจดทะเบียนการเช่าให้ในวันที่  15  ธันวาคม  2550  ตามสัญญาข้อสุดท้าย

ดังนี้  ขาวจะบังคับให้มืดไปจดทะเบียนการเช่าบ้านให้อีก  6  ปี  ตามสัญญาเช่าข้อสุดท้ายได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  538  เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  ท่านว่า  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่  ถ้าเช่ามีกำหนดกว่าสามปีขึ้นไป  หรือกำหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้  หากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ท่านว่าการเช่นนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี

มาตรา  569  อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป  เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย

วินิจฉัย 

สัญญาเช่าบ้านระหว่างแดงกับขาวได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นการเช่าที่มีกำหนดเวลากว่าสามปีขึ้นไป  ดังนั้นสัญญาเช่าบ้านดังกล่าวใช้บังคับได้  6  ปี  ตามมาตรา  538 

ส่วนเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินซึ่งให้เช่า  ถ้าเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ไม่ทำให้สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ระงับสิ้นไป  และมีผลทำให้ผู้รับโอนย่อมรับไปซึ่งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนตามสัญญาเช่าที่มีต่อผู้เช่าด้วย  ตามมาตรา  569

กรณีตามอุทาหรณ์  ขาวเช่าบ้านหลังนี้มาได้เพียง  4  เดือน  แดงได้ยกบ้านหลังนี้ให้กับมืดบุตรชายของตนโดยชอบด้วยกฎหมาย  เช่นนี้ถือว่าเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์  สัญญาเช่าระหว่างแดงผู้ให้เช่าและขาวผู้เช่าไม่ระงับสิ้นไป  ตามมาตรา  569  วรรคแรก แต่มืดผู้รับโอนบ้านจากบิดาจะต้องผูกพันรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของบิดาซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย  กล่าวคือ   มืดต้องให้ขาวเช่าอยู่ต่อไปจนครบ  6  ปี  ตามสัญญาเช่า  ตามมาตรา  569  วรรคสอง

แต่อย่างไรก็ตาม  สัญญาเช่าข้อสุดท้ายที่มีข้อความว่า   ผู้ให้เช่าให้คำมั่นจะไปจดทะเบียนการเช่าให้ผู้เช่าอีกเป็นระยะเวลา  6  ปี  เมื่อสัญญาเช่าครบ  6  ปีแล้ว  หากเป็นความประสงค์ของผู้เช่า  ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นเพียงคำมั่นที่ผู้พันเฉพาะคู่สัญญา  ไม่ถือว่าเป็นการเช่า คำมั่นจะให้เช่าดังกล่าวจึงต้องระงับไปกับการสิ้นสุดสัญญาเช่า  ไม่โอนไปยังผู้รับโอนอสังหาริมทรัพย์ด้วยแต่อย่างใด  หน้าที่ที่มืดจะต้องรับมาคือหน้าที่ตามสัญญาเช่าเท่านั้น  หน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามคำมั่นไม่ใช้หน้าที่ตามสัญญาเช่า  มืดผู้รับโอนจึงไม่ต้องผูกพัน  ดังนั้น ขาวจึงบังคับให้มืดไปจดทะเบียนการเช่าบ้านให้อีก  6  ปี  ตามสัญญาเช่าข้อสุดท้ายไม่ได้  (ฎ.  6763/2541)

สรุป  ขาวบังคับมืดไม่ได้

 

ข้อ 2  ก.  เขียวทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้เหลืองเช่าที่ดินมีกำหนดเวลา  4  ปี  โดยตกลงชำระค่าเช่าทุกๆวันสิ้นเดือนๆละ  10,000  บาท  เหลืองเช่าที่ดินมาเพียง  1  ปี  ครั้นขึ้นปีที่  2  เหลืองมิได้ชำระค่าเช่าซึ่งเป็นค่าเช่าสำหรับเดือนมกราคมและเดือนมีนาคม  2551  แต่เหลืองชำระค่าเช่าเฉพาะของเดือนกุมภาพันธ์  2551  เท่านั้น  เขียวรอรับค่าเช่าจากเหลืองมาจนถึงวันที่  5  เมษายน  2551  เหลืองก็มิได้ชำระค่าเช่าที่ยังไม่ชำระดังกล่าว  ครั้นวันที่  20  เมษายน  2551  เขียวจึงบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดินกับเหลืองทันทีและบอกให้เหลืองส่งมอบที่ดินคืนภายในวันที่  30  เมษายน  2551  การกระทำของเขียวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ข.      ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ  ก.  เป็นสัญญาเช่าซื้อ  คำตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  560  ถ้าผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า  ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน  หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป  ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชำระค่าเช่าภายในเวลาใด  ซึ่งพึงกำหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน

วินิจฉัย

การบอกเลิกสัญญาเช่าในกรณีที่ผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า  มีกำหนดไว้ในมาตรา  560  กล่าวคือ  ถ้าผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า  ผู้ให้เช่าสามารถบอกเลิกสัญญาได้  แต่ถ้าชำระค่าเช่าเป็นรายเดือนหรือยาวกว่ารายเดือน  เช่น  รายสองเดือนหรือรายปี  ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวให้ผู้เช่าชำระไม่น้อยกว่า  15  วัน  จึงจะบอกเลิกสัญญาได้  ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาทันทีไม่ได้  ดังนั้นการเช่าที่ต้องชำระค่าเช่าเป็นรายวันหรือรายสัปดาห์  ถ้าผู้เช่าไม่ชำระ  ผู้ให้เช่ามีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันที

กรณีตามอุทาหรณ์  สัญญาเช่าที่ดินระหว่างเขียวและเหลือง  มีการตกลงชำระค่าเช่าเป็นรายเดือน  การที่เหลืองผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าเดือนมกราคมและเดือนมีนาคม  2551  ยังไม่ทำให้เขียวเกิดสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวได้  เพราะกรณีดังกล่าวต้องตามบทบัญญัติมาตรา  560  วรรคสอง  ดังนั้นเขียวจึงต้องบอกกล่าวให้เหลืองนำค่าเช่ามาชำระก่อน  ซึ่งจะต้องให้เวลาอย่างน้อย  15  วัน  เขียวผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเช่าทันทีในวันที่  20  เมษายน  2551  ไม่ได้เมื่อเขียวบอกเลิกสัญญาเช่าทันที  ทำให้การบอกเลิกสัญญาของเขียวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ข.

มาตรา  574  วรรคแรก  ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆกัน  หรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ  เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้  ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน  ให้ริบเป็นเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย

วินิจฉัย

ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ  ก.  เป็นสัญญาเช่าซื้อ  การที่เหลืองผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อเดือนมกราคมและเดือนมีนาคม  แต่ชำระเดือนกุมภาพันธ์นั้น  เขียวก็บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไม่ได้เช่นกัน  เพราะมิใช่การผิดนัดไม่ใช้เงิน  2  คราวติดกัน  กล่าวคือ  มิได้ผิดนัด  2  เดือนติดต่อกัน  ตามมาตรา  574  วรรคแรก  การที่เขียวบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันทีในวันที่  20  เมษายน  2551  จึงเป็นการบอกเลิกสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  ก.  การกระทำของเขียวไม่ชอบด้วยกฎหมาย

         ข.  การกระทำของเขียวไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกัน  คำตอบจึงไม่แตกต่างกัน

 

ข้อ  3  ก.  น้ำเงินจ้างให้ม่วงมาเป็นลูกจ้างแผนกจำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าของน้ำเงิน  สัญญาจ้างตกลงชำระสินจ้างทุกๆวันสิ้นเดือน  เดือนละ  8,000  บาท  มีกำหนดเวลา  1  ปี  ถ้าหากครบกำหนด  1  ปีแล้ว  หากลูกจ้างยังคงทำงานไปเรื่อยๆ  น้ำเงินจะจ่ายค่าจ้างให้อีก  1,000  บาท  เพิ่มจากค่าจ้าง  8,000  บาท  ม่วงทำงานมาจนครบ  1  ปี  ในวันที่  31  ธันวาคม  2549  ม่วงทำงานต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้และได้รับค่าจ้างมาเรื่อยๆ  ในวันที่  10  เมษายน  2551  น้ำเงินบอกเลิกจ้างม่วงและให้ม่วงออกจากงานไปเลย  ม่วงจะต้องได้รับสินจ้างเท่าใดจึงจะชอบด้วยกฎหมาย

ข.      ดำว่าจ้างให้แสดสร้างบ้านให้หนึ่งหลังตกลงชำระสินจ้างเมื่อสร้างบ้านเสร็จเป็นเงิน  3  ล้านบาท  แต่ตกลงจ่ายเงินเป็นงวดๆ  งวดละ  1  แสนบาท  เมื่อแสดเริ่มเข้าทำงานก่อสร้างบ้าน  แสดไปดำเนินการปรับพื้นที่ดินแลได้วางผังสำหรับตอกเสาเข็มไว้เรียบร้อยแล้ว  ดำเกิดเปลี่ยนใจไม่อยากจ้างแสดทำงานต่อไป  ดำจึงบอกเลิกสัญญาจ้างทันทีโดยที่แสดมิได้ผิดสัญญาเลย  ท่านเห็นว่าการกระทำของดำชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพียงใด

ธงคำตอบ

ก.

มาตรา  582  ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กำหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร  ท่านว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทำได้  แต่ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน

อนึ่ง  ในเมื่อบอกกล่าวดั่งว่านี้  นายจ้างจะจ่ายสินจ้างแก่ลูกจ้างเสียให้ครบจำนวนที่จะต้องจ่ายจนถึงเวลาเลิกสัญญาตามกำหนดที่บอกกล่าวนั้นทีเดียว  แล้วปล่อยลูกจ้างจากงานเสียในทันทีก็อาจทำได้

วินิจฉัย

สัญญาจ้างม่วงเป็นลูกจ้างมีกำหนดเวลา  1  ปี  ซึ่งครบกำหนดในวันที่  31  ธันวาคม  2549การที่ม่วงทำงานต่อมาจนถึงปัจจุบันและได้รับค่าจ้างเรื่อยมา  จึงเป็นกรณีที่ลูกจ้างทำงานอยู่ต่อไปและนายจ้างรู้ดังนั้นก็ไม่ทักท้วง  (มาตรา  581)  ถือว่าคู่สัญญาตกลงทำสัญญาจ้างกันใหม่ต่อไปไม่มีกำหนดเวลา  ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกเลิกสัญญาก็ได้  แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรา  582

ดังนั้นการที่น้ำเงินบอกเลิกจ้างม่วงและให้ม่วงออกจากงานไปเลยในวันที่  10  เมษายน  2551  เป็นการไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ในมาตรา  582  จึงถือว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

การบอกเลิกจ้างของม่วงในวันที่  10  เมษายน  2551  ตามมาตรา  582  วรรคแรกให้ถือว่าเป็นการบอกเลิกก่อนชำระสินจ้างในวันที่  30 เมษายน  2551  ซึ่งจะเป็นผลเลิกสัญญาในวันที่  31  พฤษภาคม  2551

แต่อย่างไรก็ดีน้ำเงินจะให้ม่วงออกจากงานไปเลยในวันที่  10  เมษายน  2551  ก็ได้  แต่ต้องจ่ายสินจ้างที่ต้องจ่ายในเดือนเมษายน  2551  เป็นเงิน  9,000  บาท  และอีก  9,000  บาท  สำหรับงวดการจ่ายสินจ้างในวันที่  31  พฤษภาคม  รวมเป็นเงิน  18,000  บาท  แล้วให้ออกจากงานไปทันทีได้เลย  ตามมาตรา  582  วรรคสอง

ข.

มาตรา  605  ถ้าการที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จอยู่ตราบใด  ผู้ว่าจ้างอาจบอกเลิกสัญญาได้  เมื่อเสียค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้างเพื่อความเสียหายอย่างใดๆ  อันเกิดแต่การเลิกสัญญานั้น

วินิจฉัย

สัญญาจ้างทำของนั้นตามมาตรา  605  ถ้าการที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จ  ผู้ว่าจ้างสามารถบอกเลิกสัญญาได้เสมอ  แต่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับจ้าง  เมื่อดำจ้างแสดให้สร้างบ้าน  โดยแสดได้ดำเนินการปรับพื้นที่ดินและได้วางผังสำหรับตอกเสาเข็ม  ถือการที่จ้างยังทำไม่แล้วเสร็จ  ตามมาตรา  605  ดำจึงบอกเลิกสัญญาจ้างได้ทันที  แม้แสดมิได้ผิดสัญญาเลยก็ตาม

แต่ดำต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการบอกเลิกสัญญานั้นให้แก่แสดด้วย

ดังนั้นการบอกเลิกสัญญาจ้างทันทีของดำชอบด้วยกฎหมายแล้ว

สรุป  ก.  ม่วงจะต้องได้รับสินจ้าง  18,000  บาท  แล้วออกจากงานไปทันที  จึงจะชอบด้วยกฎหมาย

ข.      การกระทำของดำชอบด้วยกฎหมาย  แต่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

LAW 2008 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ ภาคซ่อม 1/2551

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2551
ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2008

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยเช่าทรัพย์ เช่าซื้อ จ้างแรงงาน จ้างทำของ รับขน
คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ 1        แดงทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้ขาวเช่าอาคารหนึ่งหลังมีกำหนดเวลา 1 ปี ตกลงชำระค่าเช่าทุกๆ วันที่ 5 ของเดือน สัญญาเช่าเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550  สัญญาตกลงไว้ว่าขาวต้องใช้อาคารเพื่อทำเป็นสำนักงานบัญชีเท่านั้น หากขาวฝ่าฝืนแดงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาทันที แดงให้ขาวเช่าอาคารได้เพียง 6 เดือน แดงซึ่งเป็นเจ้าของอาคารได้ยกอาคารให้มืดบุตรชายของตนโดยชอบด้วยกฎหมาย ขาวอยู่ในอาคารมาจนถึงปัจจุบันนี้โดยไม่เคยทำสัญญาเช่าใหม่เลย แต่ขาวชำระค่าเช่าไม่เคยผิดสัญญาแต่อย่างใด

ปรากฏว่าในเดือนตุลาคม 2551  ขาวได้เปลี่ยนการใช้อาคารมาเป็นร้านเสริมสวยสำหรับสุภาพสตรี มืดเห็นขาวทำเช่นนั้นจึงบอกเลิกสัญญาด้วยสาเหตุที่ขาวใช้อาคารที่เช่าผิดไปจากข้อตกลงในสัญญาโดยบอกเลิกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2551  และให้ขาวส่งคืนอาคารในวันที่ 1 ธันวาคม 2551  ให้ท่านวินิจฉัยว่าการกระทำของมืดชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  538  เช่าอสังหาริมทรัพย์นั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  ท่านว่า  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่  ถ้าเช่ามีกำหนดกว่าสามปีขึ้นไป  หรือกำหนดตลอดอายุของผู้เช่าหรือผู้ให้เช่าไซร้  หากมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ท่านว่าการเช่นนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้แต่เพียงสามปี

มาตรา  569  อันสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์นั้นย่อมไม่ระงับไป  เพราะเหตุโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินซึ่งให้เช่า

ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่านั้นด้วย

มาตรา  552  อันผู้เช่าจะใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอย่างอื่นนอกจากที่ใช้กันตามประเพณีนิยมปกติ  หรือการดังกำหนดไว้ในสัญญานั้น  ท่านว่าหาอาจจะทำได้ไม่

มาตรา  554  ถ้าผู้เช่ากระทำการฝ่าฝืนบทบัญญัติในมาตรา  552  มาตรา  553  หรือฝ่าฝืนข้อสัญญา  ผู้ให้เช่าจะ

บอกกล่าวให้ผู้เช่าปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทกฎหมายหรือข้อสัญญานั้นๆก็ได้  ถ้าและผู้เช่าละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามท่านว่า  ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

มาตรา  570  ในเมื่อสิ้นกำหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น  ถ้าผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้  ท่านให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทำสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกำหนดเวลา

วินิจฉัย การเช่าอาคารระหว่างแดงและขาวชอบด้วยกฎหมาย (ม. 538) ข้อตกลงในสัญญาเช่าผู้เช่าต้องปฏิบัติตาม (การใช้ทรัพย์โดยชอบตาม ม. 552 และเป็นการตกลงยกเว้น ม. 554 ถ้าผู้เช่าฝ่าฝืนผู้ให้เช่าบอกเลิกทันที ไม่ต้องเตือนข้อตกลงไม่ขัดต่อความสงบฯ) ขาวเช่ามา 6 เดือน แดงยกอาคารให้มืด  มืดต้องรับมาซึ่งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาเช่าตาม ม. 569 ขาวเช่าจนครบ 1 ปี เมื่อสิ้นปี 2550 ขาวอยู่ต่อมาจนถึงปัจจุบัน (2551) จึงเป็นการเช่าไม่มีกำหนดเวลาตาม ม. 570 ผู้เช่าและผู้ให้เช่าจึงไม่ต้องทำสัญญาขึ้นใหม่อีกฉบับหนึ่ง แต่สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาเป็นไปตามสัญญาเดิม มืดจึงบอกเลิกสัญญาเพราะสาเหตุดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย และไม่ต้องบอกกล่าวตาม ม. 566

 

ข้อ 2
(ก) เขียวทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือให้เหลืองเช่ารถยนต์มีกำหนดเวลา 2 ปี นับตั้งแต่วันที่       1 มกราคม 2550  ตกลงชำระค่าเช่าทุก ๆ วันที่ 14 และวันที่ 28 ของแต่ละเดือน ปรากฏว่าเหลืองไม่ชำระ      ค่าเช่าที่จะต้องชำระคราวละ 5,000 บาท ตามสัญญาเช่า ซึ่งตรงกับวันที่ 14 ตุลาคม 2551  และวันที่              14 พฤศจิกายน 2551 เป็นเงิน 10,000 บาท ครั้นวันที่ 17 พฤศจิกายน 2551  เขียวจึงบอกเลิกสัญญาทันที และให้เหลืองส่งรถยนต์คืนในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2551  ให้ท่านวินิจฉัยว่าการกระทำของเขียวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) ถ้าข้อเท็จจริงตามข้อ (ก) เป็นสัญญาเช่าซื้อ คำตอบของท่านจะแตกต่างไปหรือไม่ เพียงใด

แนวคำตอบ

(ก)

มาตรา  560  ถ้าผู้เช่าไม่ชำระค่าเช่า  ผู้ให้เช่าจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้

แต่ถ้าค่าเช่านั้นจะพึงส่งเป็นรายเดือน  หรือส่งเป็นระยะเวลายาวกว่ารายเดือนขึ้นไป  ผู้ให้เช่าต้องบอกกล่าวแก่ผู้เช่าก่อนว่าให้ชำระค่าเช่าภายในเวลาใด  ซึ่งพึงกำหนดอย่าให้น้อยกว่าสิบห้าวัน

วินิจฉัย  เป็นการตกลงชำระค่าเช่าต่ำกว่ารายเดือนคือ ชำระวันที่ 14 และวันที่ 28 ของแต่ละเดือน เขียวจึงบอกเลิกสัญญาได้ทันทีไม่ต้องเตือนให้นำค่าเช่ามาชำระ  การกระทำของเขียวชอบด้วยกฎหมาย

(ข)

มาตรา  574  ในกรณีผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆกัน  หรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสำคัญ  เจ้าของทรัพย์สินจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้  ถ้าเช่นนั้นบรรดาเงินที่ได้ใช้มาแล้วแต่ก่อน  ให้ริบเป็นเจ้าของทรัพย์สินและเจ้าของทรัพย์สินชอบที่จะกลับเข้าครองทรัพย์สินนั้นได้ด้วย

วินิจฉัย บอกเลิกไม่ชอบเพราะผิดนัด 2 คราวแต่ไม่ติดกัน

 

ข้อ 3        (ก) นายใหญ่ทำสัญญาจ้างนายเล็กเป็นลูกจ้างของบริษัท มีกำหนด 1 ปี มีข้อตกลงให้ชำระสินจ้างเดือนละ 8,000 บาท ทุก ๆ วันที่ 20 ของเดือน  นายเล็กทำงานเรื่อยมาเป็นเวลา 1 ปี 4 เดือน แต่บริษัทมีปัญหาทางการเงิน จึงทำการประชุมกันในวันที่ 20 ตุลาคม และมีมติให้เลิกจ้างลูกจ้างบางส่วน  นายใหญ่จึงทำหนังสือบอกกล่าวนายเล็กในวันที่ 31 ตุลาคม และบอกเลิกสัญญาจ้างในวันที่ 30 พฤศจิกายน เช่นนี้       นายเล็กจะต่อสู้ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด  จงอธิบาย
(ข) นายหมูทำสัญญาจ้างนายปลา ซึ่งมีชื่อเสียงทางด้านการวาดภาพอย่างมากในประเทศไทยให้วาดภาพให้ 2 ภาพ ในราคา 200,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่สูงมาก  แต่เนื่องจากใกล้วันปีใหม่นายปลารับงานวาดภาพไว้หลายชิ้นมากจนวาดภาพให้ลูกค้าไม่ทัน  นายปลาจึงจ้างให้นายช้างซึ่งวาดภาพได้เช่นกันช่วยวาดภาพที่นายปลาได้รับว่าจ้างให้วาดภาพให้ 2 ภาพนั้นแทน  จากข้อเท็จจริงดังกล่าว นายปลาสามารถทำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  581  ถ้าระยะเวลาที่ได้ตกลงว่าจ้างกันนั้นสุดสิ้นลงแล้ว  ลูกจ้างยังคงทำงานอยู่ต่อไปอีกและนายจ้างรู้ดั่งนั้นก็ไม่ทักท้วงไซร้  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทำสัญญาจ้างกันใหม่  โดยความอย่างเดียวกันกับสัญญาเดิม  แต่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะเลิกสัญญาเสียได้ด้วยการบอกกล่าวตามความในมาตราต่อไปนี้

มาตรา  582  ถ้าคู่สัญญาไม่ได้กำหนดลงไว้ในสัญญาว่าจะจ้างกันนานเท่าไร  ท่านว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาด้วยการบอกกล่าวล่วงหน้าในเมื่อถึงหรือก่อนจะถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวใดคราวหนึ่งเพื่อให้เป็นผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปข้างหน้าก็อาจทำได้  แต่ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสามเดือน

มาตรา  607  ผู้รับจ้างจะเอาการที่รับจ้างทั้งหมดหรือแบ่งการแต่บางส่วนไปให้ผู้รับจ้างช่วงทำอีกทอดหนึ่งก็ได้  เว้นแต่สาระสำคัญแห่งสัญญานั้นจะอยู่ที่ความรู้ความสามารถของตัวผู้รับจ้าง  แต่ผู้รับจ้างคงต้องรับผิดเพื่อความประพฤติหรือความผิดอย่างใดๆของผู้รับจ้างช่วง

(ก) สัญญาจ้างนายเล็กมีกำหนดเวลา 1 ปี แต่ได้ทำงานเรื่อยมาเป็นเวลา 1 ปี 4 เดือนจึงเป็นสัญญาไม่มีกำหนดเวลาตามมาตรา 581 การบอกเลิกสัญญาไม่มีกำหนดเวลาต้องปฏิบัติตามมาตรา 582 เมื่อนายใหญ่บอกกล่าววันที่ 31 ตุลาคม จึงเป็นงวดการจ่ายสินจ้างในวันที่ 20 พฤศจิกายน (ตามโจทก์จ่ายสินจ้างวันที่ 20 ของเดือน) จึงมีผลเลิกสัญญากันเมื่อถึงกำหนดจ่ายสินจ้างคราวถัดไปคือวันที่ 20 ธันวาคม ดังนั้น นายเล็กต่อสู้ได้

(ข) ตามสัญญาจ้างทำของ ผู้รับจ้างจะเอาการที่รับจ้างทั้งหมดหรือแต่บางส่วนไปให้ผู้รับจ้างช่วยทำอีกทอดหนึ่งก็ได้ แต่มีข้อยกเว้นว่าถ้าสาระสำคัญแห่งสัญญาอยู่ที่ความรู้ความสามารถของตัวผู้รับจ้างแล้ว ไม่สามารถทำการจ้างช่วงได้ (มาตรา 607) นายปลาเป็นผู้มีชื่อเสียงอย่างมากในประเทศไทยจึงถือได้ว่า เป็นสัญญาที่อยู่ที่ความรู้ความสามารถของตัวผู้รับจ้างตามมาตรา 607 ซึ่งไม่สามารถจ้างช่วงได้ ดังนั้น นายปลาจะให้นายช้างช่วยวาดภาพแทนไม่ได้

WordPress Ads
error: Content is protected !!