LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ 2/2546

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายเอกทำสัญญากู้เงินจำนวน  80,000  บาท  จากนายโท  โดยมีนายตรีเข้าทำสัญญาค้ำประกัน  เมื่อสัญญากู้ถึงกำหนดชำระ  นายโทไม่ได้เรียกร้องให้นายเอกชำระหนี้  เพราะเห็นว่ากิจการฟาร์มเลี้ยงไก่ของนายเอกกำลังประสบภาวะขาดทุน  อีก  9  ปีต่อมา  นายโทได้เรียกร้องให้นายเอกรับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้  นายเอกได้ทำการชำระหนี้ให้นายโทโดยการออกเช็คสั่งจ่ายเนื่องจากไม่มีเงินในบัญชี นายโทจึงนำเช็คไปคืนให้นายเอกและเรียกร้องให้ชำระหนี้  

มิฉะนั้นจะนำคดีมาฟ้อง  นายเอกจึงอ้างว่าตนนำเงินไปเข้าบัญชีไม่ทันและออกเช็คฉบับใหม่ให้นายโทไป  ซึ่งเช็คฉบับใหม่นี้ก็ถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอีก  นายโทจึงฟ้องนายเอกและนายตรีให้รับผิดตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกัน  นายตรีต่อสู้คดีว่า  นายโทยอมผ่อนเวลาในการชำระหนี้ให้แก่นายเอก  ตนจึงหลุดพ้นจากความรับผิด  ข้ออ้างของนายตรีรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  686  ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด  ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น

มาตรา  700  ถ้าค้ำประกันหนี้อันจะต้องชำระ  ณ  เวลามีกำหนดแน่นอน  และเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ไซร้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด

แต่ถ้าผู้ค้ำประกันได้ตกลงด้วยในการผ่อนเวลา  ท่านว่าผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดไม่

วินิจฉัย

การที่ผู้ค้ำประกันจะหลุดพ้นจากความรับผิดเพราะเหตุที่เจ้าหนี้ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้ลูกหนี้ต้องเป็นกรณีที่หนี้ประธานมีกำหนดเวลาชำระหนี้แน่นอน  และเจ้าหนี้ตกลงกับลูกหนี้ว่าภายในกำหนดเวลาที่ผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้นั้น  เจ้าหนี้จะไม่ฟ้องหรือเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ประธานนั้น  ตามมาตรา  700

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  การที่สัญญากู้ถึงกำหนดเวลาชำระหนี้  แต่เจ้าหนี้ไม่เรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้  ถือว่าเป็นการผ่อนเวลาชำระหนี้หรือไม่  เห็นว่า  กรณีดังกล่าวการที่นายโทไม่เรียกร้องให้นายเอกรับผิดชำระหนี้ในทันทีที่หนี้ถึงกำหนดเวลาชำระโดยไม่มีการตกลงกับนายเอกว่าจะผ่อนเวลาชำระหนี้ให้นายเอก  จึงถือไม่ได้ว่านายโทผ่อนเวลาชำระหนี้ให้นายเอก  อันจะทำให้นายตรีหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา  700

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการที่สองมีว่า  การที่นายเอกออกเช็คชำระหนี้ให้นายโท  2  ครั้ง  เมื่อนายโทเรียกร้องให้นายเอกชำระหนี้  ถือว่าเป็นการผ่อนเวลาชำระหนี้หรือไม่  เห็นว่ากรณีนี้ก็หาถือได้ว่านายโทตกลงผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่นายเอก  อันจะทำให้นายตรีผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดไม่  ดังนั้นนายตรีจึงยังไม่หลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา  700

สรุป  ข้ออ้างของนายตรีผู้ค้ำประกันรับฟังไม่ได้  นายตรียังคงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันตามมาตรา  686  ประกอบมาตรา  700

 

ข้อ  2  นางบุญล้นยืมเงินนายฉอ้อนเป็นเงิน  100,000  บาท  การยืมเงินครั้งนี้มีนายบุญมากเป็นคนนำที่ดินของตนจำนองประกันหนี้รายนี้ ซึ่งที่ดินของนายบุญมากนี้เป็นที่ดินซึ่งมีการจดทะเบียนภารจำยอมอยู่ก่อนแล้ว  หลังจากจดทะเบียนจำนองได้  10  วัน  นายบุญมากนำที่ดินแปลงเดิมไปจำนองค้ำประกันกู้เงินของตนกับแบงก์รัตนสิน  โดยนายฉอ้อนเจ้าหนี้ไม่ยินยอม  ดังนี้  อยากทราบว่านายฉอ้อนจะเพิกถอนนิติกรรมต่างๆ  ที่ติดอยู่กับที่ดินดังกล่าวได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  709  บุคคลคนหนึ่งจะจำนองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระ  ก็ให้ทำได้

มาตรา  712  แม้ถึงว่ามีข้อสัญญาเป็นอย่างอื่นก็ตาม  ทรัพย์สินซึ่งจำนองไว้แก่บุคคลคนหนึ่งนั้น  ท่านว่าจะเอาไปจำนองแก่บุคคลอีกคนหนึ่งในระหว่างเวลาที่สัญญาก่อนยังมีอายุอยู่ก็ได้

มาตรา  722  ถ้าทรัพย์สินได้จำนองแล้ว  และภายหลังที่จดทะเบียนจำนองมีจดทะเบียนภาระจำยอมหรือทรัพย์สิทธิอย่างอื่น  โดยผู้รับจำนองมิได้ยินยอมด้วยไซร้  ท่านว่าสิทธิจำนองย่อมเป็นใหญ่กว่าภาระจำยอม  หรือทรัพย์สิทธิอย่างอื่นนั้น  หากว่าเป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของผู้รับจำนองในเวลาบังคับจำนอง  ก็ให้ลบสิทธิที่กล่าวหลังนั้นเสียจากทะเบียน

วินิจฉัย

นายฉอ้อนเจ้าหนี้ของนางบุญล้นไม่มีสิทธิใดตามกฎหมายที่จะเพิกถอนนิติกรรมที่เกี่ยวกับที่ดินติดจำนองของนายบุญมากดังเหตุผลต่อไปนี้คือ

1       การที่นายบุญมากได้นำที่ดินที่มีภารจำยอมอยู่แล้วไปจำนองค้ำประกันหนี้ดังกล่าว  ภารจำยอมซึ่งมีอยู่ก่อนการจำนองไม่สามารถเพิกถอนภารจำยอมได้ตามมาตรา 722  ต้องถือว่าผู้รับจำนองยอมรับตามเงื่อนไขนั้นแล้ว

2       ส่วนที่นายบุญมากได้นำที่ดินแปลงดังกล่าวไปจดทะเบียนการเช่าเป็นเวลา  5  ปี  การเช่าถือได้ว่าเป็นบุคคลสิทธิ  ไม่ถือเป็นภาระจำยอมหรือทรัพย์สินอย่างอื่น   จึงไม่สามารถเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้ตามมาตรา  722

3       กรณีที่นายบุญมากนำที่ดินแปลงเดิมไปจำนองค้ำประกันเงินกู้ของตนกับแบงก์รัตนสินโดยนายฉอ้อนไม่ยินยอมด้วย  เป็นการจำนองตามมาตรา  712  ถือว่าเจ้าของคือนายบุญมากมีสิทธิที่จะทำได้  นายฉอ้อนจึงไม่สามารถที่จะเพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวได้

 

ข้อ  3  นาย  ก  เป็นเจ้าของโชว์รูมขายรถยนต์  นาย  ก  ได้สั่งรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่นมาขายในประเทศไทยจำนวน  10  คัน  เมื่อรถยนต์ทั้ง  10  คันมาถึงประเทศไทยแล้วก็ได้ฝากรถยนต์ทั้ง  10  คันนั้นไว้ในคลังสินค้าที่ท่าเรือคลองเตย  นาย  ก  ต้องการใช้เงินด่วนจึงได้นำใบประทวนสินค้าเรียกว่า  สิทธิซึ่งมีตราสาร  ไปจำนำไว้กับนาย  ข  โดยได้ปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการจำนำตราสิทธิไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วทุกประการ  หลังจากนั้นห้าวัน  นาย  ก  ได้นำรถยนต์ออกจากคลังสินค้าจำนวน  6  คันเพื่อนำไปขาย

ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นาย  ก  มีสิทธิที่จะนำรถยนต์ นั้นไปขายหรือไม่  และการกระทำของนาย  ก  เช่นว่านี้เป็นผลให้นาย  ข  ผู้รับจำนำได้รับความเสียหายหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  750  ถ้าทรัพย์สินที่จำนำเป็นสิทธิซึ่งมีตราสาร  และมิได้ส่งมอบตราสารนั้นให้แก่ผู้รับจำนำ  ทั้งมิได้บอกกล่าวเป็นหนังสือแจ้งการจำนำแก่ลูกหนี้แห่งสิทธินั้นด้วยไซร้  ท่านว่าการจำนำย่อมเป็นโมฆะ

มาตรา  755  ถ้าจำนำสิทธิ  ท่านห้ามมิให้ทำสิทธินั้นให้สิ้นไป  หรือแก้ไขสิทธินั้นให้เสียหายแก่ผู้รับจำนำโดยผู้รับจำนำมิได้ยินยอมด้วย

วินิจฉัย

ตามปัญหา  นาย  ก  เจ้าของรถยนต์สามารถนำใบประทวนสินค้าซึ่งเป็นสิทธิซึ่งมีตราสารไปจำนำได้โดยมีสิทธิตามมาตรา  750  อีกทั้งได้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การจำนำครบถ้วนตามระเบียบแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม  มาตรา  755  มีหลักว่า  ห้ามมิให้ทำสิทธินั้นให้สิ้นไปหรือแก้ไขสิทธินั้นให้เสียหาย  โดยผู้รับจำนำมิได้ยินยอมด้วย  การกระทำของนาย  ก  เป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา  755  โดยนำรถยนต์จำนวน  6  คันออกจากคลังสินค้าไปขาย  ซึ่งทำให้นาย  ข  ผู้รับจำนำใบตราสารนั้นต้องเสียหาย  นาย  ก  จึงต้องรับผิดในผลแห่งการเสียหายนั้นต่อนาย  ข  ผู้รับจำนำ 

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ S/2546

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายแดงเจ้าของกิจการขับรถรับ  ส่งสินค้า  ได้ว่าจ้างนายเหลืองให้เป็นคนขับรถบรรทุกรับ  ส่งสินค้า  โดยมีนายขาวตกลงค้ำประกันการทำงานของนายเหลือง  หลังจากเซ็นสัญญาค้ำประกันเสร็จนายแดงได้ให้นายเหลืองขับรถบรรทุกน้ำหนักเกินตามที่กฎหมายกำหนด  นอกจากนั้นนายแดงยังขอให้นายเหลืองขับรถเป็นเวลาติดต่อกันถึง  15  ชั่วโมง  นายเหลืองจึงเกิดอาการหลับใน  ขับรถชนกับรถโดยสารประจำทาง  ทำให้รถโดยสารพังเสียหายทั้งคัน  เจ้าของรถประจำทางจึงฟ้องนายแดงขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย  นายแดงจึงฟ้องขอให้นายขาวผู้ค้ำประกันร่วมรับผิดกับนายเหลืองในกรณีที่ทำให้เกิดความเสียหาย  นายขาวจึงมาปรึกษาท่านว่า  ตนจะต้องรับผิดร่วมกับนายเหลืองในฐานะผู้ค้ำประกันอย่างไร  หรือไม่  ยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

มาตรา  680  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  694  นอกจากข้อต่อสู้ซึ่งผู้ค้ำประกันมีต่อเจ้าหนี้นั้น  ท่านว่าผู้ค้ำประกันยังอาจยกข้อต่อสู้ทั้งหลายซึ่งลูกหนี้มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ได้ด้วย

วินิจฉัย

การที่นายขาวตกลงเป็นผู้ค้ำประกันการทำงานของนายเหลือง  และมีหลักฐานเป็นหนังสือถูกต้องตามกฎหมาย  ทำให้ต้องร่วมรับผิดกับลูกหนี้  หากมีความเสียหายเกิดขึ้นจากการทำงานของนายเหลือง  แต่กรณีตามปัญหาปรากฏว่าการทำให้เกิดความเสียหาย  ในการขับรถชนรถโดยสารนั้นสาเหตุเนื่องมาจากการที่นายแดง  นายจ้างได้ใช้ให้นายขาวทำงานเกินขีดกำลังความสามารถซึ่งเป็นความบกพร่องของนายจ้าง  จึงถือเป็นข้อต่อสู้ซึ่งลูกจ้างสามารถยกขึ้นอ้างต่อนายจ้างได้  อีกทั้งการบรรทุกน้ำหนักเกินก็เป็นคำสั่งของนายจ้าง  ในกรณีเช่นนี้  ผู้ค้ำประกันจึงสามารถยกข้อต่อสู้ของลูกหนี้ขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้  ตามมาตรา  694  ได้  ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ได้

สรุป  ขาวสามารถยกข้อต่อสู้ดังกล่าวเพื่อปฏิเสธความรับผิดได้

 

ข้อ  2  จำเลยกู้เงินโจทก์  โดยมีนายแดงจำนองที่ดินเป็นประกัน  ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยและนายแดงให้ชำระหนี้พร้อมทั้งได้มีการนำที่ดินจำนองออกขายทอดตลาด  แดงจึงตกลงโอนที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นการชำระหนี้  ซึ่งหักแล้วยังมีหนี้ที่ต้องชำระอีก  500,000  บาท โจทก์จึงขอบังคับให้จำเลยและนายแดงรับผิดในหนี้ที่ยังขาดอยู่อีก  500,000  บาท  อยากทราบว่า  โจทก์สามารถบังคับได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนอง  เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนองเป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา  711  การที่จะตกลงกันไว้เสียแต่ก่อนเวลาหนี้ถึงกำหนดชำระเป็นข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  ถ้าไม่ชำระหนี้  ให้ผู้รับจำนองเข้าเป็นเจ้าของทรัพย์สินซึ่งจำนอง  หรือว่าได้จัดการแก่ทรัพย์สินนั้นเป็นประการอื่นอย่างใดนอกจากตามบทบัญญัติทั้งหลายว่าด้วยการบังคับจำนองนั้นไซร้  ข้อตกลงเช่นนั้นท่านว่าไม่สมบูรณ์

มาตรา  728  เมื่อจะบังคับจำนองนั้น  ผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่า  ให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควร  ซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น  ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนองจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองและให้ขายทอดตลาดก็ได้

มาตรา  733  ถ้าเอาทรัพย์จำนองหลุด  และราคาทรัพย์สินนั้นมีประมาณต่ำกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่ก็ดี  หรือถ้าเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองออกขายทอดตลาดใช้หนี้ได้เงินจำนวนสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่นั้นก็ดี  เงินยังขาดจำนวนอยู่เท่าใดลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินนั้น

วินิจฉัย

กรณีที่แดงผู้จำนองได้โอนที่ดินที่ตนจำนองไว้ให้แก่โจทก์  หลังจากหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว  เป็นการตกลงโอนใช้หนี้ภายหลัง  หนี้ถึงกำหนดชำระซึ่งเป็นการตกลงที่เกิดภายหลังหนี้ถึงกำหนดชำระ  กรณีจึงไม่อยู่ในบังคับ  มาตรา  711  และไม่ใช่เป็นการบังคับจำนองตามมาตรา  728  ดังนี้  เมื่อปรากฏว่ายังมีหนี้ค้างชำระอยู่อีก  จำเลยลูกหนี้ชั้นต้นย่อมมีหน้าที่ที่จะปฏิบัติการชำระหนี้ให้ครบถ้วน  กรณีย่อมไม่อาจนำมาตรา  733  มาบังคับแก่กรณีได้  ส่วนแดงผู้จำนองมิใช่ลูกหนี้ชั้นต้นจึงไม่ต้องรับผิดตามมูลหนี้เดิม

สรุป  โจทก์บังคับให้จำเลยชำระหนี้ที่ยังขาดอยู่อีก  500,000  บาทได้  ส่วนนายแดงโจทก์ไม่อาจบังคับได้เนื่องจากมิใช่ลูกหนี้ชั้นต้น

 

ข้อ  3  สิงห์มอบให้เสือเป็นตัวแทนนำแหวนทองคำไปจำนำเป็นประกันเงินกู้จำนวน  100,000  บาท  กับม้าหลังจากจำนำเสร็จ  ม้าได้ตกลงกับเสือขอให้แมวเป็นผู้เก็บรักษาแหวนดังกล่าว  ต่อมาแมวเดินทางไปทัศนาจรที่จังหวัดตราด  โดยที่แมวได้นำแหวนใส่ติดตัวระหว่างทาง  ปรากกว่าเกิดพายุทำให้น้ำท่วมทาง  แหวนที่แมวใส่ไปจึงเกิดหลุดหายไปกับน้ำ  ดังนี้  อยากทราบว่า  ผู้รับจำนำจะต้องรับผิดในกรณีนี้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบายพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบ 

ธงคำตอบ

มาตรา  747  อันว่าจำนำนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง  เรียกว่า  ผู้จำนำส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า ผู้รับจำนำ  เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้

มาตรา  749  คู่สัญญาจำนำจะตกลงกันให้บุคคลภายนอกเป็นผู้เก็บรักษาทรัพย์สินจำนำไว้ก็ได้

มาตรา  759  ผู้รับจำนองต้องรักษาทรัพย์สินจำนำไว้ให้ปลอดภัย  และต้องสงวนทรัพย์สินจำนำนั้นเช่นอย่างวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของตนเอง

วินิจฉัย

กรณีดังกล่าวถือว่าเสือในฐานะตัวแทนย่อมมีสิทธิจัดการใดๆ  ภายใต้บังคับกฎหมายลักษณะจำนำได้  ดังนั้นการที่ม้ากับเสือตกลงกันขอให้แมวเป็นผู้เก็บรักษาจึงกระทำได้ตามมาตรา  749  อย่างไรก็ตาม  ตามมาตรา  759  กำหนดให้ผู้รับจำนำจะต้องดูแลรักษาทรัพย์และสงวนทรัพย์เหมือนอย่างวิญญูชนควรสงวน  เมื่อปรากฏว่าทรัพย์ที่จำนำเป็นแหวนซึ่งมีราคา  ผู้ดูแลทรัพย์จึงควรสงวนโดยการเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัยมิใช่นำไปใส่ติดตัว  ดังนี้  แม้จะมีเหตุพายุทำให้แหวนหลุดหายไปกับสายน้ำซึ่งเป็นเหตุสุดวิสัย  ผู้รับจำนำก็จะต้องรับผิดอยู่ดีนั่นเอง  ตามมาตรา  760

สรุป  ผู้รับจำนำต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดแก่ทรัพย์สินที่จำนำดังกล่าว

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ 2/2547

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  มีกรณีใดบ้างที่เป็นการระงับไปซึ่งสัญญาค้ำประกันให้ท่านอธิบายมาสัก  2  กรณี  พร้อมทั้งอ้างหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบด้วย

ธงคำตอบ

มาตรา  698  อันผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดในขณะเมื่อหนี้ของลูกหนี้ระงับสิ้นไปไม่ว่าเพราะเหตุใดๆ

มาตรา  699  การค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวไม่มีจำกัดเวลาเป็นคุณแก่เจ้าหนี้นั้นท่านว่าผู้ค้ำประกันอาจเลิกเสียเพื่อคราวอันเป็นอนาคตได้  โดยบอกกล่าวความประสงค์นั้นแก่เจ้าหนี้

ในกรณีเช่นนี้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดในกิจการที่ลูกหนี้กระทำลงภายหลังคำบอกกล่าวนั้นได้ไปถึงเจ้าหนี้

มาตรา  700  ถ้าค้ำประกันหนี้อันจะต้องชำระ  ณ  เวลามีกำหนดแน่นอน  และเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ไซร้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด

แต่ถ้าผู้ค้ำประกันได้ตกลงด้วยในการผ่อนเวลา  ท่านว่าผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดไม่

มาตรา  701  ผู้ค้ำประกันจะขอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ตั้งแต่เมื่อถึงกำหนดชำระก็ได้

อธิบาย

โดยปกติผู้ค้ำประกันจะต้องผูกพันกันตามสัญญาค้ำประกันจนกว่าหนี้จะระงับ  ผู้ค้ำประกันจะบอกเลิกการค้ำประกันโดยเจ้าหนี้ไม่ยินยอมไม่ได้  เว้นแต่จะมีข้อตกลงหรือเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญา  แต่หากไม่มีข้อตกลงกันตามสัญญาแล้วสัญญาค้ำประกันอาจระงับสิ้นไปได้โดยดังต่อไปนี้

1       หนี้ประธานระงับ  ถ้าหนี้ประธานระงับสิ้นไป  ไม่ว่าจะเป็นเพราะลูกหนี้ชำระหนี้  เจ้าหนี้ปลดหนี้ให้ลูกหนี้  หักกลบลบหนี้ แปลงหนี้ใหม่  หรือหนี้เกลื่อนกลืนกัน  เป็นต้น  ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด  (มาตรา  698)

2       ผู้ค้ำประกันบอกเลิกสัญญาค้ำประกัน  โดยหลักแล้วผู้ค้ำประกันจะบอกเลิกการค้ำประกันโดยเจ้าหนี้ไม่ยินยอมไม่ได้  เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา  699  ซึ่งมีหลักเกณฑ์การบอกเลิกการค้ำประกันดังนี้

            ต้องเป็นกิจการเนื่องกันไปหลายๆคราว  มิใช่เป็นกิจการครั้งเดียวเสร็จในครั้งเดียว

            กิจการเนื่องกันไปหลายคราวจะต้องไม่มีจำกัดเวลาเป็นคุณแก่เจ้าหนี้

            ผู้ค้ำประกันจะบอกเลิกได้ก็ต่อเมื่อคราวอันเป็นอนาคตเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม  เจ้าหนี้และผู้ค้ำประกันอาจจะตกลงกันไว้ในสัญญาห้ามผู้ค้ำประกันบอกเลิกสัญญา  แม้กรณีจะต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  699  ก็ได้  เพราะข้อยกเว้นดังกล่าวไม่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน

3       เจ้าหนี้ผ่อนเวลาให้ลูกหนี้  การค้ำประกันหนี้อันมีกำหนดชำระแน่นอน  ถ้าเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้โดยผู้ค้ำประกันไม่รู้เห็นยินยอมด้วย  ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด  (มาตรา  700)

ตัวอย่าง  ก  กู้เงิน  ข  เป็นจำนวนเงิน  100,000  บาท  มีระยะเวลา  1  ปี  โดยมี  ค  เป็นผู้ค้ำประกัน  เมื่อถึงเวลาชำระหนี้  ข  เจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่  ก  ลูกหนี้  โดย  ค  ไม่รู้เห็นยินยอมด้วย  ค  ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา  700

4       เจ้าหนี้ไม่รับชำระหนี้  ปกติผู้ค้ำประกันจะต้องรับผิดชำระหนี้แทนก็ต่อเมื่อลูกหนี้ผิดนัดตามมาตรา  686  แม้ลูกหนี้ยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด  ผู้ค้ำประกันก็ขอชำระหนี้ได้  ดังนั้นถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วและผู้ค้ำประกันของชำระหนี้  แต่เจ้าหนี้ไม่ยอมรับชำระหนี้  ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด  (มาตรา  701)  เป็นผลให้เจ้าหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัด  ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในระหว่างที่ผิดนัดตามมาตรา  224  แต่ลูกหนี้ยังไม่พ้นจากการชำระหนี้

ตัวอย่าง  ก  กู้เงิน  ข  โดยมี  ค  เป็นผู้ค้ำประกัน  มีระยะเวลา 1  ปี  เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้  ค  จะขอชำระหนี้ให้แก่  ข  แต่  ข  ไม่ยอมรับชำระหนี้  ค  ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา  701

5       ผู้ค้ำประกันตาย 

            ถ้าผู้ค้ำประกันตายก่อนถึงกำหนดเวลาชำระหนี้  หรือก่อนลูกหนี้ผิดนัด  สัญญาค้ำประกันระงับ

            ถ้าผู้ค้ำประกันตายหลังจากที่หนี้ถึงกำหนดชำระ  และลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้  สัญญาค้ำประกันยังไม่ระงับ  ความผูกพันรับผิดตามสัญญาค้ำประกันตกทอดไปยังทายาทตามมาตรา  1600

 

ข้อ  2  นายเอกทำสัญญากู้เงินจากนายโท  เป็นจำนวน  5,000,000  บาท  โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันการชำระหนี้ตามสัญญากู้  ต่อมาราคาที่ดินของนายเอกมีราคาต่ำลงนายโทเกรงว่าจะไม่พอชำระหนี้เงินกู้  จึงมีจดหมายส่งไปถึงนายเอกขอให้นายเอกมาทำข้อตกลงเพิ่มเติมว่า  ถ้าหากบังคับจำนองไม่พอชำระหนี้เงินกู้  นายเอกจะยอมรับผิดชำระหนี้ในส่วนที่เหลือ  เมื่อนายเอกได้รับจดหมายของนายโท  จึงตอบตกลงทางโทรศัพท์ไปยังนายโท  โดยทั้งสองตกลงว่าจะนำข้อตกลงเพิ่มเติมไปจดทะเบียนในอีก  2  วัน  แต่เมื่อครบกำหนดแล้ว  นายเอกก็ไม่จดทะเบียนข้อตกลงเพิ่มเติมในโฉนดที่ดิน  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  หากต่อมานายโทบังคับจำนองที่ดินได้เงินไม่พอชำระหนี้ยังขาดเงินอยู่อีก  1,000,000  บาท  นายเอกต้องรับผิดชำระหนี้ส่วนที่เหลือหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนอง  เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนองเป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา  714  อันสัญญาจำนองนั้น  ท่านว่าต้องเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

มาตรา  733  ถ้าเอาทรัพย์จำนองหลุด  และราคาทรัพย์สินนั้นมีประมาณต่ำกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่ก็ดี  หรือถ้าเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองออกขายทอดตลาดใช้หนี้ได้เงินจำนวนสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่นั้นก็ดี  เงินยังขาดจำนวนอยู่เท่าใดลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินนั้น

วินิจฉัย

สัญญาจำนองต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  714  สัญญาจำนองคือสัญญาที่ผู้จำนองนำทรัพย์สินไปตราไว้เป็นประกันกับเจ้าหนี้ผู้รับจำนอง  โดยให้ผู้รับจำนองมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินจำนอง  ก่อนเจ้าหนี้สามัญคนอื่นของผู้จำนองตามมาตรา  702 

กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อทำสัญญาจำนองและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว  ย่อมมีผลทางกฎหมายตามมาตรา  714  แม้ต่อมาจะทำข้อตกลงเพิ่มเติมในสัญญาจำนองว่า  ถ้าเอาที่ดินจำนองออกขายทอดตลาดได้เงินน้อยกว่าหนี้ที่ค้างชำระผู้จำนองจะใช้ให้จนครบ  ข้อตกลงดังกล่าวไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน  ข้อตกลงนี้จึงใช้บังคับได้ไม่เป็นโมฆะ  และแม้คู่สัญญาจะมิได้นำข้อตกลงดังกล่าวไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก็สมบูรณ์ใช้ได้  เพราะข้อตกลงดังกล่าวไม่เกี่ยวกับการจำนองที่ดินรายพิพาท  จึงไม่เป็นสัญญาจำนองตามมาตรา  702  เนื่องจากมิได้ให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ส่วนที่เหลือก่อนเจ้าหนี้สามัญ  ดังนั้นจึงไม่ต้องนำไปจดทะเบียนตามมาตรา  714  นายเอกจะอ้างว่าไม่มีการจดทะเบียนเพิ่มเติมข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่มีผลบังคับใช้ไม่ได้   ฟังไม่ขึ้น  นายเอกต้องรับผิดชำระหนี้ส่วนที่เหลือตามข้อตกลงยกเว้นบทบัญญัติมาตรา  733

สรุป  นายเอกต้องรับผิดชำระหนี้ส่วนที่เหลือ  1,000,000  แก่นายโท

 

ข้อ  3  แดงตกลงมอบเงินฝากในบัญชีธนาคารบีเอสเอ็ม  จำกัด  พร้อมสมุดบัญชีเงินฝากประจำซึ่งมีจำนวน  3  ล้านบาท  โดยได้ทำหนังสือยินยอมมอบเงินฝากไว้กับธนาคารมีข้อความว่า  เพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้และธนาคารมีอำนาจหักเงินจากบัญชีเงินฝากของแดง  โดยที่แดงจะไม่ถอนเงินฝากจนกว่าธนาคารจะได้รับชำระหนี้จนครบถ้วน  ต่อมาเจ้าหนี้อีก  2  รายของแดงได้ฟ้องให้แดงชำระหนี้และขอให้นำเงินฝากในบัญชีธนาคารดังกล่าวจัดสรรเป็นการชำระหนี้  ธนาคารไม่ยอมโดยอ้างว่าข้อตกลงระหว่างแดงและธนาคารเป็นการจำนำเงินฝาก  ธนาคารจึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้จากเงินฝากก่อนเจ้าหนี้รายอื่น  อยากทราบว่าข้ออ้างของธนาคารรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  747  อันว่าจำนำนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง  เรียกว่า  ผู้จำนำส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า ผู้รับจำนำ  เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้

วินิจฉัย

ตามหลักกฎหมายลักษณะจำนำกำหนดให้มีการส่งมอบทรัพย์ที่จำนำให้แก่ผู้รับจำนำดังนี้  ทรัพย์ที่จะจำนำจะต้องหลุดพ้นจากการครอบครองของผู้จำนำด้วยจึงจะเป็นการจำนำ  ส่วนการจำนำเงินฝากตามใบรับฝากเงินนั้น  เงินที่ฝากไว้กับธนาคารตกเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคาร  ซึ่งธนาคารต้องมีหน้าที่คืนเงินให้ครบตามจำนวนที่ฝากไว้  การมอบเงินฝากพร้อมสมุดบัญชีประจำไว้ก็เพียงเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ที่ผู้ฝากจะพึงมีต่อธนาคารเท่านั้น  แม้จะมีข้อความว่าเพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้และให้สิทธิธนาคารในการหักเงินถือเป็นความตกลงในการฝากเงินเพื่อประกัน  ส่วนเงินตามจำนวนในบัญชีเงินฝากนั้นยังคงเป็นของผู้ฝาก

 ตามปัญหาการตกลงดังกล่าวของแดงที่มอบเงินฝาก  พร้อมสมุดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคาร  เพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้และธนาคารมีอำนาจหักเงินจากบัญชีเงินฝากของแดง  โดยที่แดงจะไม่ถอนเงินฝากจนกว่าธนาคารจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วน  จึงไม่ใช่เป็นการจำนำเงินฝาก  ธนาคารจึงไม่มีสิทธิได้รับการชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่นในฐานะเจ้าหนี้ผู้รับจำนำแต่ประการใด

สรุป  ข้ออ้างของธนาคารฟังไม่ขึ้น

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ S/2547

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

 คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ไก่กู้เงินสิน  50,000  บาท  โดยมีเป็ดเป็นผู้ค้ำประกันโดยที่สินผู้ให้กู้ผู้เดียวมิได้มีการลงลายมือชื่อในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกัน ต่อมาไก่ผิดนัดการชำระหนี้  สินจึงฟ้องไก่และเป็ดให้ร่วมกันรับผิดตามสัญญากูเงินและสัญญาค้ำประกัน  ทั้งไก่และเป็ดต่างอ้างว่าไม่ต้องรับผิดตามสัญญาเพราะสินผู้ให้กู้มิได้มีการลงลายมือชื่อในสัญญาทั้งสองฉบับ  สินจึงมาปรึกษาท่านว่าข้ออ้างของทั้งสองคนรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  680  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  686  ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด  ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น

มาตรา  653  การกู้ยืมเงินเกินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

การกู้ยืมเงินนั้น  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มิได้กำหนดบังคับว่าต้องทำสัญญากู้ยืมเงินเป็นหนังสือ  เพียงแต่กำหนดว่าหากจะฟ้องร้องบังคับคดีกัน  จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลายมือชื่อของผู้กู้ยืมเป็นสำคัญ  ดังนั้นหากทำสัญญากู้ยืมเงินลงลายมือชื่อผู้ยืมเพียงฝ่ายเดียว  สัญญากู้ยืมก็สมบูรณ์  มีผลบังคับตามมาตรา  653  วรรคแรก  แม้ผู้ให้กู้ยืมจะมิได้ลงลายมือชื่อด้วยก็ตาม

เช่นเดียวกับหลักฐานทางสัญญาค้ำประกัน  ตามมาตรา  680  วรรคสอง  ก็กำหนดเพียงว่าต้องมีลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญเท่านั้น

ดังนั้น  กรณีตามอุทาหรณ์ทั้งการกู้ยืมเงินและการค้ำประกันต่างก็มีลายมือชื่อผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกัน  จึงเป็นสัญญาที่ถูกต้องสมบูรณ์มีผลบังคับตามกฎหมาย  เมื่อไก่ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดชำระหนี้  ไก้ผู้กู้ยืมและเป็ดผู้ค้ำประกันจึงต้องร่วมรับผิดตามสัญญา  ตามมาตรา  686

ข้ออ้างของไก่และเป็ดที่ว่าไม่ต้องรับผิดตามสัญญา  เพราะสินผู้ให้กู้ยืมมิได้ลงลายมือชื่อในสัญญาทั้งสองฉบับจึงรับฟังไม่ได้

สรุป  ข้ออ้างของไก่และเป็ดรับฟังไม่ได้

 

ข้อ  2  แดงเป็นหนี้เขียว  300,000  บาท  โดยมีม่วงนำที่ดินของตน  1  แปลงราคา  200,000  บาท  มาทำสัญญาจำนองไว้ถูกต้องตามกฎหมาย  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแดงและเขียวตกลงกันขอนำที่ดินดังกล่าวตีราคาใช้หนี้  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่าแดงและม่วงมีสิทธิตกลงนำที่ดินมาใช้หนี้ได้หรือไม่  และเงินจำนวนที่ยังขาดอยู่อีก  100,000  บาท  ทั้งแดงและม่วงยังคงต้องรับผิดอีกหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  711  การที่จะตกลงกันไว้เสียแต่ก่อนเวลาหนี้ถึงกำหนดชำระเป็นข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  ถ้าไม่ชำระหนี้  ให้ผู้รับจำนองเข้าเป็นเจ้าของทรัพย์สินซึ่งจำนอง  หรือว่าได้จัดการแก่ทรัพย์สินนั้นเป็นประการอื่นอย่างใดนอกจากตามบทบัญญัติทั้งหลายว่าด้วยการบังคับจำนองนั้นไซร้  ข้อตกลงเช่นนั้นท่านว่าไม่สมบูรณ์

มาตรา  728  เมื่อจะบังคับจำนองนั้น  ผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่า  ให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควร  ซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น  ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนองจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองและให้ขายทอดตลาดก็ได้

มาตรา  733  ถ้าเอาทรัพย์จำนองหลุด  และราคาทรัพย์สินนั้นมีประมาณต่ำกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่ก็ดี  หรือถ้าเอาทรัพย์สินซึ่งจำนองออกขายทอดตลาดใช้หนี้ได้เงินจำนวนสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่ค้างชำระกันอยู่นั้นก็ดี  เงินยังขาดจำนวนอยู่เท่าใดลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดในเงินนั้น

วินิจฉัย

การตกลงของเขียวและแดงในการขอนำที่ดินมาตีใช้หนี้  เป็นการตกลงหลังจากหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว  กรณีจึงไม่ต้องด้วยมาตรา  711 ข้อตกลงดังกล่าวไม่เป็นโมฆะ  มีผลสมบูรณ์ใช้บังคับตามกฎหมายได้  และกรณีนี้มิได้มีการบังคับจำนอง  ตามมาตรา  728  ลูกหนี้ชั้นต้นคือนายแดงจึงจะขอนำมาตรา  733  เป็นข้อยกเว้นมิให้มีการชำระหนี้ในส่วนที่ยังขาดอีก  100,00  บาท  ไม่ได้  ส่วนในกรณีของม่วงซึ่งเป็นบุคคลภายนอก  ย่อมไม่ต้องรับผิด  เนื่องจากการตีใช้หนี้ย่อมเป็นการระงับไปซึ่งหนี้จำนอง  ม่วงจึงไม่ต้องรับผิดอีก

สรุป  แดงและม่วงมีสิทธินำที่ดินมาตีใช้หนี้ได้  แต่แดงต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอีก  100,000  บาท  ส่วนม่วงเป็นอันหลุดพ้นจากความผิด  เพราะเจ้าหนี้จำนองระงับไปแล้ว

 

ข้อ  3  ทองล้วนรับจำนำรถยนต์จากทองก้อน  ระหว่างสัญญาทองล้วนอยากไปพักผ่อนชายทะเลจึงถือโอกาสนำรถยนต์ดังกล่าวขับไปชายทะเลระหว่างทางกลับบ้านเกิดน้ำท่วมทำให้ขับรถกลับไม่ได้  รถจอดแช่น้ำอยู่  3  วันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายคิดเป็นเงิน 100,000  บาท  ทองก้อนทราบข่าวจึงขอให้ทองล้วนรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย  ทองล้วนอ้างว่าไม่ต้องรับผิดเนื่องจากเป็นเหตุสุดวิสัย  อยากทราบว่าข้ออ้างของทองล้วนรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

มาตรา  760  ถ้าผู้รับจำนำเอาทรัพย์สินซึ่งจำนำออกใช้เอง  หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย  หรือเก็บรักษาโดยผู้จำนำมิได้ยินยอมด้วยไซร้  ท่านว่าผู้รับจำนำจะต้องรับผิดเพื่อที่ทรัพย์สินจำนำนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างใดๆ  แม้ทั้งเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง

วินิจฉัย

ทองล้วนรับจำนำรถยนต์จากทองก้อน  ระหว่างสัญญาทองล้วนได้นำรถยนต์ดังกล่าวขับไปชายทะเล  ระหว่างทางกลับบ้านเกิดน้ำท่วมทำให้รถเสียหาย  กรณีเป็นการที่ผู้รับจำนำ  นำทรัพย์ที่จำนำออกใช้สอยโดยมิได้รับความยินยอมจากผู้จำนำ  ซึ่งตามมาตรา  760  กำหนดให้ผู้รับจำนำจักต้องรับผิดเพื่อการที่ทรัพย์สินนั้นสูญหาย  หรือบุบสลาย  แม้ทั้งเป็นเหตุสุดวิสัยและกรณีดังกล่าวก็มิใช่กรณีจะอ้างได้ว่าเหตุการณ์เช่นนี้ถึงอย่างไรก็คงจะสูญหาย  หรือบุบสลายอยู่นั้นเองตามมาตรา  760  ไม่ได้

สรุป  ข้ออ้างของทองล้วนจึงรับฟังไม่ได้ 

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ 2/2548

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  จำเลยทำสัญญากู้เงินจากธนาคาร  และจำเลยขอให้โจทย์ทำหนังสือมอบสิทธิการรับเงินฝากที่โจทก์ฝากไว้แก่ธนาคารเป็นหลักประกันการชำระหนี้ของจำเลย  โจทก์จึงทำหนังสือมอบสิทธิการรับฝากเงินดังกล่าวแก่ธนาคาร  โดยยินยอมให้ธนาคารหักเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์มาชำระหนี้ได้  ถ้าจำเลยผิดนัดชำระหนี้  ปรากฏต่อมาว่าธนาคารได้หักเงินฝากของโจทก์  เป็นจำนวน  5,000,000  บาท  เพื่อชำระหนี้เงินกู้ของจำเลยแทนจำเลย  โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยชดใช้หนี้จำนวน  5,000,000  บาท แก่โจทก์  อยากทราบว่าการกระทำของโจทก์  จำเลย  และธนาคาร  จัดเป็นสัญญาค้ำประกันตามมาตรา  680  หรือไม่  จงอธิบาย  และมีผลบังคับได้อย่างไรตามกฎหมาย

ธงคำตอบ

มาตรา  680  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

การที่โจทก์กับธนาคารและจำเลยตกลงกันนี้ถือเป็นความตกลงกันในทางการฝากเงินเพื่อเป็นประกันหนี้อันเป็นสัญญารูปแบบหนึ่ง  เมื่อโจทก์ชำระหนี้แก่ธนาคารแทนจำเลยตามที่จำเลยร้องขอ  โดยจำเลยรับจะชำระหนี้คืนโจทก์  และธนาคารผู้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยก็ยอมรับชำระหนี้แล้ว  จำเลยจึงต้องใช้เงินคืนโจทก์ตามข้อสัญญาที่โจทก์และจำเลยตกลงกันไว้  กรณีหาใช่เป็นสัญญาค้ำประกันตามมาตรา  680 ไม่  เพราะกรณีของสัญญาค้ำประกันจะต้องเป็นเรื่องที่บุคคลภายนอกผู้เป็นผู้ค้ำประกันจะรับผิดชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ในเมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้นั้น  โดยมิต้องคำนึงว่ามีสิทธิจะขอหักเงินจากเงินฝากเท่านั้น

สรุป  การกระทำของโจทก์  จำเลย  และธนาคารไม่ถือว่าเป็นสัญญาค้ำประกันตามมาตรา  680

 

ข้อ  2  นางแตงกวาได้จำนองที่ดินของตนกับพระภิกษุอิน  เพื่อเป็นการประกันว่าจะคืนเงินที่ได้ยืมมาจากพระภิกษุอิน  เป็นจำนวน 100,000  บาท  ซึ่งในที่ดินดังกล่าวได้มีบ้านซึ่งปลูกไว้แล้ว  แต่เป็นของนายแตงไทพี่สาวของนายแตงกวา  ต่อมานางแตงกวาได้ปลูกบ้านของตนขึ้นภายหลังวันจำนอง  ดังนี้

1       การจำนองเพื่อประกันเงินกู้ยืมที่พระภิกษุอินปล่อยให้นางแดงกวามีผลเพียงไร

2       การจำนองที่ดินจะครอบถึงทรัพย์อื่นหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนอง  เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนองเป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา  719  จำนองที่ดินไม่ครอบไปถึงเรือนโรงอันผู้จำนองปลูกสร้างลงในที่ดินภายหลังวันจำนอง  เว้นแต่จะมีข้อความกล่าวไว้โดยเฉพาะในสัญญาว่าให้ครอบไปถึง

มาตรา  720  จำนองเรือนโรงหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นซึ่งได้ทำขึ้นไว้บนดินหรือใต้ดิน  ในที่ดินอันเป็นของคนอื่นเขานั้นย่อมไม่ครอบไปถึงที่ดินนั้นด้วย  ฉันใดกลับกันก็ฉันนั้น

วินิจฉัย

1       การจำนองที่ดินของแตงกวาเพื่อประกันเงินกู้ยืมมีผลบังคับทางกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  โดยหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  การทำสัญญาจำนองจะมีผลทางกฎหมายได้ก็ต่อเมื่อสัญญาซึ่งก่อให้เกิดหนี้หรือหนี้ประธานสมบูรณ์มีผลบังคับทางกฎหมาย  หากสัญญาซึ่งก่อให้เกิดหนี้ตกเป็นโมฆะ  สัญญาจำนองประกันการชำระหนี้ตามสัญญาดังกล่าวย่อมไม่มีผลผูกพันผู้จำนองให้ต้องรับผิดเช่นเดียวกัน

กรณีตามอุทาหรณ์หนี้ประธาน  เป็นหนี้เงินกู้ยืมพระภิกษุอินเป็นผู้ให้กู้ยืม  มีผลบังคับทางกฎหมาย  เพราะไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดห้ามมิให้พระภิกษุนำเงินส่วนตัวออกให้บุคคลกู้ยืม  พระภิกษุก็เป็นบุคคลมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย  ทั้งการให้กู้ยืมเงินเป็นการสงเคราะห์ผู้เดือดร้อนได้ทางหนึ่ง  จึงไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน  ไม่เป็นโมฆะ

ดังนั้นเมื่อสัญญากู้ยืมเงินซึ่งเป็นหนี้ประธานมีผลสมบูรณ์  ไม่ตกเป็นโมฆะ  การจำนองซึ่งเป็นหนี้อุปกรณ์ประกันการชำระหนี้จึงสมบูรณ์  มีผลบังคับทางกฎหมายได้  ตามมาตรา  702

2       การจำนองที่ดินจะครอบถึงทรัพย์อื่นหรือไม่  เห็นว่ากรณีตามอุทาหรณ์มีทรัพย์ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินจำนอง  2  สิ่ง  คือ  บ้านของนางแตงกวา  และบ้านของนางแตงไท  ดังนั้น

บ้านของนางแตงกวา  เป็นบ้านซึ่งอยู่ติดกับที่ดินที่สร้างขึ้นภายหลังวันจำนอง  จำนองย่อมไม่ครอบไปถึงด้วย  ตามมาตรา  719

ส่วนบ้านของนางแตงไท  จำนองย่อมไม่ครอบไปถึงด้วยเช่นกัน  ตามมาตรา  720  เพราะเป็นบ้านซึ่งเป็นของคนอื่นที่ได้สร้างลงในที่ดินซึ่งจำนองไว้  โดยไม่คำนึงว่าบ้านนั้นจะสร้างขึ้นก่อนหรือขณะจำนองหรือภายหลังวันจำนอง

สรุป

1       การจำนองมีผลสมบูรณ์

2       การจำนองไม่ครอบไปถึงบ้านทั้งสองหลังดังกล่าว

 

ข้อ  3  นาย  A  ทำสัญญากู้เงิน  3  ล้านบาทจากนาย  B  โดยมีนาย  C  ส่งมอบเครื่องเพชรไว้เป็นจำนำประกันหนี้สัญญาเงินกู้  ต่อมาหนี้ตามสัญญากู้ถึงกำหนดชำระ  นาย  A  ผิดนัดไม่ชำระหนี้  นาย  B  ก็มิได้ฟ้องเรียกร้องให้นาย  A  ชำระหนี้เงินกู้  แต่นาย  B  ได้มีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนำไปยังนาย  A  และนาย  C  แต่ทั้งสองก็มิได้ชำระหนี้  นาย  B  จึงนำเครื่องเพชรของนาย  C  ออกขายทอดตลาดชำระหนี้  เช่นนี้  ถ้าขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้เงินกู้  3  ล้านบาท  นาย  A  และนาย  C  จะต่อสู้ในเรื่องต่อไปนี้ได้หรือไม่

1       การบังคับจำนำไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่ได้ฟ้องร้องต่อศาล

2       การที่เงินขาดจำนวนไม่พอชำระหนี้เงินกู้ 3  ล้านบาท  ไม่ต้องรับผิดในหนี้ส่วนที่ขาดอยู่

ธงคำตอบ

มาตรา  764  เมื่อจะบังคับจำนำ  ผู้รับจำนำต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนำชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจำนำออกขายได้แต่ต้องขายทอดตลาด

มาตรา  767  เมื่อบังคับจำนำได้เงินจำนวนสุทธิเท่าใด  ท่านว่าผู้รับจำนำต้องจัดสรรชำระหนี้และอุปกรณ์เพื่อให้เสร็จสิ้นไป  และถ้ายังมีเงินเหลือก็ต้องส่งคืนให้แก่ผู้จำนำ  หรือแก่บุคคลผู้ควรจะได้เงินนั้น

ถ้าได้เงินน้อยกว่าจำนวนค้างชำระ  ท่านว่าลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับใช้ในส่วนที่ขาดอยู่นั้น

วินิจฉัย

การที่นาย  A  ทำสัญญากู้เงิน  3  ล้านบาท  ไปจากนาย  B  โดยมีนาย  C  นำเครื่องเพชรมาส่งมอบไว้เป็นการจำนำประกันหนี้เงินกู้  ต่อมานาย  A  ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญากู้นาย  B  เจ้าหนี้ผู้รับจำนำจึงมีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนำไปยังนาย  A  (ลูกหนี้)  และนาย  C  (ผู้จำนำ)  แต่ทั้งสองก็มิได้นำเงินมาชำระหนี้เงินกู้  นาย  B  (ผู้รับจำนำ)  จึงนำเครื่องเพชรที่รับจำนำออกขายทอดตลาด  จึงชอบที่จะกระทำได้เพราะ  มาตรา  764  มีหลักว่าถ้ามีหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนำแล้ว  ถ้าลูกหนี้ยังไม่นำเงินมาชำระหนี้ตามหนังสือบอกกล่าวบังคับจำนำ  เจ้าหนี้ก็ชอบที่จะนำทรัพย์จำนำออกขายทอดตลาดชำระหนี้ประธานได้  ดังนั้นข้ออ้างของนาย  A  และนาย  C  ที่ว่าการบังคับจำนำไม่ชอบเพราะไม่ได้ฟ้องคดีต่อศาลให้นำทรัพย์จำนำออกขายทอดตลาดจึงฟังไม่ขึ้นเพราะการบังคับจำนำไม่ต้องฟ้องเป็นคดีต่อศาลตามมาตรา  764

ส่วนกรณีที่ขายทอดตลาดทรัพย์จำนำแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้ตามมาตรา  767  มีหลักว่าถ้าขายทอดตลาดแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้  ลูกหนี้ยังคงต้องรับผิดในหนี้ส่วนที่ยังขาดอยู่  ดังนั้นเมื่อขายทอดตลาดแล้วได้เงินไม่พอชำระหนี้  นาย  A  ลูกหนี้จึงยังคงต้องรับผิดในหนี้ส่วนที่ยังขาดอยู่ตามมาตรา  767  แต่นาย  C  ผู้จำนำไม่ต้องรับผิดในหนี้ส่วนที่ยังขาดอยู่  เพราะมิใช่เป็นลูกหนี้ชั้นต้น  ดังนั้น  นาย  A  จึงไม่สามารถอ้างได้ว่าตนไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่ขาดอยู่เพราะนาย  A  เป็นลูกหนี้ชั้นต้น  เมื่อนาย  B  เจ้าหนี้ผู้รับจำนำได้เงินไม่พอชำระหนี้เงินกู้  3  ล้านบาท  นาย  A  ลูกหนี้จึงต้องรับผิดในส่วนที่ขาดอยู่  แต่นาย  C  ผู้จำนำสามารถอ้างได้ว่าไม่ต้องรับผิดในหนี้ส่วนที่ขาดอยู่เพราะนาย  C  เป็นเพียงผู้จำนำมิใช่เป็นลูกหนี้ชั้นต้น  จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามมาตรา  767

สรุป 

1 ข้ออ้างฟังไม่ขึ้น  เพราการบังคับจำนำไม่ต้องฟ้องเป็นคดีต่อศาลตามมาตรา  764

2  ข้ออ้างของนาย  A  ฟังไม่ขึ้น  แต่ของนาย  C  สามารถรับฟังได้  เพราะนาย   C  มิใช่เป็นลูกหนี้ชั้นต้นตามมาตรา  767

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ สอบซ่อม 1/2548

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ไก่กู้เงินสิน  50,000  บาท  โดยมีเป็ดเป็นผู้ค้ำประกันโดยที่สินผู้ให้กู้ผู้เดียวมิได้มีการลงลายมือชื่อในสัญญากู้และสัญญาค้ำประกัน  ต่อมาไก่ผิดนัดการชำระหนี้  สินจึงฟ้องไก่และเป็ดให้ร่วมกันรับผิดตามสัญญากู้เงินและสัญญาค้ำประกัน  ทั้งไก่และเป็ดต่างอ้างว่าไม่ต้องรับผิดตามสัญญาเพราะสินผู้ให้กู้มิได้มีการลงลายมือชื่อในหนังสือสัญญาทั้งสองฉบับ  สินจึงมาปรึกษาท่านว่าข้ออ้างของทั้งสองคนรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  680  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  686  ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด  ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินเกินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

การกู้ยืมเงินนั้น  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์มิได้กำหนดบังคับว่าต้องทำสัญญากู้ยืมเงินเป็นหนังสือ  เพียงแต่กำหนดว่าหากจะฟ้องร้องบังคับคดีกัน  จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อของผู้กู้ยืมเป็นสำคัญ  ดังนั้นหากทำสัญญากู้ยืมเงินลงลายมือชื่อผู้ยืมฝ่ายเดียว  สัญญากู้ยืมก็สมบูรณ์  มีผลบังคับตามมาตรา  653  วรรคแรก  แม้ผู้ให้กู้ยืมจะมิได้ลงลายมือชื่อด้วยก็ตาม

เช่นเดียวกับหลักฐานทางสัญญาค้ำประกัน  ตามมาตรา  680  วรรคสอง  ก็กำหนดเพียงว่าต้องมีลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญเท่านั้น

ดังนั้น  กรณีตามอุทาหรณ์  ทั้งการกู้ยืมเงินและการค้ำประกันต่างก็มีลายมือชื่อผู้กู้ยืมและผู้ค้ำประกัน  จึงเป็นสัญญาที่ถูกต้องสมบูรณ์มีผลบังคับตามกฎหมาย  เมื่อไก่ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดชำระหนี้  ไก่ผู้กู้ยืมและเป็ดผู้ค้ำประกันจึงต้องร่วมรับผิดตามสัญญา  ตามมาตรา  686

ข้ออ้างของไก่และเป็ดที่ว่าไม่ต้องรับผิดตามสัญญา  เพราะสินผู้ให้กู้ยืมได้ลงลายมือชื่อในสัญญาทั้งสองฉบับจึงรับฟังไม่ได้

สรุป  ข้ออ้างของไก่และเป็ดรับฟังไม่ได้

 

ข้อ  2  นายส้มจุกกับนางส้มโอ  เป็นสามีภริยากันถูกต้องตามกฎหมาย  ต่อมานายส้มจุกเอาเงินครอบครัวมาซื้อที่ดินและได้ใส่ชื่อของตนโดยไม่ยอมใส่ชื่อภริยาในโฉนดด้วย  ภายหลังนายส้มจุกมีภริยาน้อยจึงไปยืมเงินนางส้มเขียวหวาน  (ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของนางส้มโอ)  เป็นเงิน  100,000  บาท  พร้อมนำโฉนดฉบับดังกล่าวมาจำนองโดยจดทะเบียนตามกฎหมาย  ดังนี้นางส้มโอภริยาจะร้องต่อศาลโยอ้างว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินครึ่งหนึ่ง  ขอให้ศาลเพิกถอนการจำนองดังกล่าวได้หรือไม่ 

ธงคำตอบ

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนอง  เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนองเป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

วินิจฉัย

การที่สามีภริยาได้ทรัพย์สินมาในระหว่างสมรส  ย่อมต้องด้วยข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าให้ถือเป็นสินสมรส (มาตรา  1474)  ฉะนั้นทั้งส้มจุกและส้มโอจะมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินแปลงดังกล่าว  แต่ในกรณีนี้  สามีได้นำชื่อของตนไปเป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว  และภายหลังได้นำมาจำนองกับเพื่อนสนิทของภริยา  จึงถือว่าเพื่อนภริยาต้องรู้หรือควรรู้ได้ว่าที่ดินดังกล่าว  จะต้องมีกรรมสิทธิ์ร่วม  หรือเป็นสินสมรสนั่นเอง  ฉะนั้นกฎหมายจึงไม่คุ้มครองผู้รับจำนองที่ไม่สุจริต (กฎหมายจะปกป้องผู้สุจริตและเสียค่าตอบแทน)  ดังนั้นการจำนองครั้งนี้จึงไม่สมบูรณ์  ตามมาตรา  702

สรุป  การจำนองไม่สมบูรณ์  นางส้มโอสามารถร้องต่อศาลให้เพิกถอนการจำนองดังกล่าวได้

 

 

ข้อ  3  นายเอกทำสัญญากู้เงินนายโทเป็นเงิน  3  แสนบาท  โดยตกลงให้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ปีละ  1  แสนบาท  ซึ่งเกินกว่าร้อยละ  15 บาทต่อปีตามกฎหมาย  ซึ่งในการกู้ครั้งนี้นายตรีได้มอบชุดเครื่องเพชรไว้เป็นประกันการชำระหนี้นายเอก  ปรากฏว่าต่อมานายเอกผิดนัดไม่ชำระหนี้  นายโทจึงบอกกล่าวบังคับจำนำตามกฎหมาย  แต่นายโทก็ยังไม่ได้รับการชำระหนี้  นายโทจึงนำชุดเครื่องเพชรออกขายทอดตลาดทันทีโดยไม่ได้ฟ้องคดีเพื่อให้ศาลมีคำสั่งนำชุดเครื่องเพชรออกขายทอดตลาดก่อน  เมื่อนายโทขายทอดตลาดได้เงินมาจึงนำเงินที่ได้มาชำระหนี้เงินต้น  3  แสนบาท  พร้อมกับนำไปชำระหนี้ดอกเบี้ย  1  แสนบาทด้วย  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่าการบังคับจำนำชุดเครื่องเพชรชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  และนายโทจะมีสิทธิได้รับชำระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  747  อันว่าจำนำนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง  เรียกว่า  ผู้จำนำส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า ผู้รับจำนำ  เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้

มาตรา  764  เมื่อจะบังคับจำนำ  ผู้รับจำนำต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนำชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจำนำออกขายได้แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจำนำต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จำนำบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย

วินิจฉัย

นายโทเจ้าหนี้ผู้รับจำนำเครื่องเพชรของนายตรีเพื่อประกันการชำระหนี้เงินกู้ของนายเอกลูกหนี้  โดยตกลงให้นายโทมีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้เกินกว่าร้อยละ  15  บาทต่อปีจึงถือว่าข้อตกลงในการคิดดอกเบี้ยเป็นโมฆะตามกฎหมาย  การจำนำเพื่อประกันการชำระหนี้ดอกเบี้ยจึงไม่มีผลบังคับได้  แต่การจำนำประกันการชำระหนี้ในส่วนของเงินต้นยังมีผลสมบูรณ์  เพราะการจำนำมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้ประธานอันสมบูรณ์เท่านั้น  ตามมาตรา  747  ดังนั้น  นายโทจึงมีสิทธิบังคับจำนำเครื่องเพชรเพื่อชำระหนี้ได้แต่เฉพาะต้นเงิน  3  แสนบาทเท่านั้น  ไม่มีสิทธินำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเครื่องเพชรไปชำระหนี้ในส่วนดอกเบี้ย  1  แสนบาท

ส่วนการบังคับจำนำเครื่องเพชรดำเนินการโดยชอบแล้วโดยไม่ต้องฟ้องบังคับจำนำเพื่อให้ศาลมีคำสั่งนำเครื่องเพชรออกขายทอดตลาดก่อน  เพราะการบังคับจำนำไม่ต้องฟ้องเป็นคดีต่อศาล  ต่างจากการบังคับจำนองต้องฟ้องเป็นคดีก่อน  ตามมาตรา  764  ดังนั้น  การที่นายโทนำเครื่องเพชรทรัพย์จำนำออกขายทอดตลาดโดยไม่ได้ฟ้องเป็นคดีก่อนจึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  การบังคับจำนำเครื่องเพชรโดยไม่ได้ฟ้องเป็นคดีก่อนนำทรัพย์ออกขายทอดตลาดจึงชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  764  แต่นายโทไม่มีสิทธินำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดเครื่องเพชรไปชำระหนี้ดอกเบี้ยที่เป็นโมฆะได้เพราะหนี้ประธานในส่วนของดอกเบี้ยเงินกู้ไม่สมบูรณ์  ตามมาตรา  747

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ สอบซ่อม S/2548

การสอบซ่อมภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  วันที่  3  กุมภาพันธ์  2549  นายจิ๋วทำสัญญาจ้างนายใหญ่  อายุ  19  ปี  เป็นลูกจ้างทำหน้าที่พนักงานเก็บเงินที่ร้านมินิมาร์ท  (Mini  Mart)  เป็นระยะเวลา  3  ปี  ต่อมาวันที่  4  กุมภาพันธ์  2549  นายน้อยพี่ชายของนายใหญ่  ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายใหญ่ให้กับนายจิ๋ว  โดยจะยอมรับผิดชดใช้เงินถ้านายใหญ่ทำให้นายจิ๋วเสียหาย  ในวันที่  5  กุมภาพันธ์  2549  นายใหญ่ได้ร้องขอให้นายเบิ้มทำการค้ำประกันการทำงานให้ตน  เพราะนายใหญ่ไม่ทราบว่านายน้อยพี่ชายของตนได้ทำการค้ำประกันให้แล้ว 

แต่นายเบิ้มไม่ได้เข้าค้ำประกันให้  เพราะนายเบิ้มทราบแล้วว่านายน้อยได้ทำการค้ำประกันการทำงานให้นายจิ๋วแล้ว  ในวันที่  10  มีนาคม  2549  นายใหญ่ได้ยักยอกเงินนายจิ๋วไป  4,000  บาท  ในวันที่  11 มีนาคม  2549  นายจิ๋วได้แจ้งให้นายน้อยชำระหนี้แทนนายใหญ่  ต่อมาเมื่อนายน้อยทราบเรื่องจึงโกรธนายใหญ่ที่ไปยักยอกเงินนายจิ๋ว  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า

1 ถ้าในวันที่  13  มีนาคม  2549  นายน้อยได้ปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่า  ตนไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน  เพราะนายใหญ่ยังเป็นผู้เยาว์ไม่บรรลุนิติภาวะ  ไม่อาจทำนิติกรรมสัญญาได้  อีกทั้งในขณะที่ตนเข้าทำสัญญาค้ำประกัน   นายใหญ่ยังไม่ได้ก่อเหตุละเมิดจึงยังไม่มีหนี้ประธานในขณะทำสัญญาค้ำประกัน

2 ถ้าในวันที่  14  มีนาคม  2549  นายน้อยได้บอกเลิกสัญญาค้ำประกันต่อนายจิ๋ว  ต่อมาในวันที่  19  มีนาคม  2549  นายใหญ่ได้ยักยอกเงินนายจิ๋วอีกเป็นเงิน  7,000  บาท  เช่นนี้

ทั้งสองกรณีนี้ข้อต่อสู้ของนายน้อยรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และนายน้อยต้องรับผิดต่อนายจิ๋วหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  680  วรรคแรก  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

มาตรา 681 อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์

 หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไข จะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้ นั้นอาจเป็นผลได้จริง ก็ประกันได้

 หนี้อันเกิดแต่สัญญาซึ่งไม่ผูกพันลูกหนี้ เพราะทำด้วยความสำคัญผิด หรือเพราะเป็นผู้ไร้ความสามารถนั้น ก็อาจจะมีประกันอย่างสมบูรณ์ได้ ถ้าหากว่าผู้ค้ำประกันรู้เหตุสำคัญผิดหรือไร้ความสามารถนั้นในขณะที่ เข้าทำสัญญาผูกพันตน

มาตรา  699  การค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวไม่มีจำกัดเวลาเป็นคุณแก่เจ้าหนี้นั้นท่านว่าผู้ค้ำประกันอาจเลิกเสียเพื่อคราวอันเป็นอนาคตได้  โดยบอกกล่าวความประสงค์นั้นแก่เจ้าหนี้

ในกรณีเช่นนี้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดในกิจการที่ลูกหนี้กระทำลงภายหลังคำบอกกล่าวนั้นได้ไปถึงเจ้าหนี้

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  การค้ำประกันต้องให้ลูกหนี้ชั้นต้นทราบหรือไม่  เห็นว่า  การค้ำประกันเป็นสัญญาที่บุคคลภายนอกเข้าทำการผูกพันตนต่อเจ้าหนี้  เพื่อชำระหนี้เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ประธาน  ดังนั้น  การค้ำประกันเป็นการทำสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับผู้ค้ำประกันที่เป็นบุคคลภายนอก  โดยไม่ต้องให้ลูกหนี้ชั้นต้นให้ความยินยอมก่อน  ตามมาตรา  680  วรรคแรก  ดังนั้น  แม้ว่าวันที่  4  กุมภาพันธ์  2549  พี่ชายของนายใหญ่  จะได้ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายใหญ่ให้กับนายจิ๋ว  โดยนายจิ๋วไม่ทราบว่านายน้อยพี่ชายได้ค้ำประกันก็ตาม  

นายน้อยก็ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน ในวันที่  10  มีนาคม  2549  นายใหญ่ได้ยักยอกเงินนายจิ๋วไป  4,000  บาท  ถือว่านายใหญ่ลูกหนี้ผิดนัดนับแต่วันทำละเมิดตามมาตรา  206  ความรับผิดของนายน้อย  ผู้ค้ำประกันจึงเกิดขึ้น  ตามมาตรา  686  ดังนั้น

1  ถ้าในวันที่  13  มีนาคม  2549  นายน้อยได้ปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่า  ตนไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน  เพราะนายใหญ่ยังเป็นผู้เยาว์ไม่บรรลุนิติภาวะ  ไม่อาจทำนิติกรรมสัญญาได้  อีกทั้งในขณะที่ตนเข้าทำสัญญาค้ำประกัน   นายใหญ่ยังไม่ได้ก่อเหตุละเมิดจึงยังไม่มีหนี้ประธานในขณะทำสัญญาค้ำประกัน

ข้ออ้างฟังขึ้นหรือไม่  เห็นว่าตามมาตรา  681  วรรคแรก  และวรรคสอง  การค้ำประกันหนี้มีได้แต่เฉพาะหนี้ประธานที่สมบูรณ์  เมื่อสัญญาจ้างแรงงานระหว่างนายจิ๋ว  นายจ้าง  กับนายใหญ่  ลูกจ้าง  ซึ่งอายุ  19  ปี  เป็นผู้เยาว์   โดยไม่ปรากฏว่าผู้แทนโดยชอบธรรมของนายใหญ่ให้ความยินยอม  สัญญาจ้างแรงงานจึงตกเป็นโมฆียะ  แต่ตราบใดที่ยังไม่มีการบอกล้างโมฆียะกรรมสัญญาจ้างแรงงานก็ยังมีผลบังคับใช้อยู่  จึงมีการค้ำประกันได้

อีกทั้งแม้ว่าในขณะเข้าค้ำประกัน  นายใหญ่ยังไม่ได้ก่อความเสียหายให้เกิดแก่นายจิ๋วก็ตาม  ก็สามารถมีการค้ำประกันได้  เพราะหนี้ในอนาคตก็อาจมีการค้ำประกันได้  ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่หนี้นั้นอาจเกิดขึ้นได้จริง  ซึ่งการค้ำประกันการจ้างแรงงานถือว่าเป็นหนี้ในอนาคตจึงสามารถมีการค้ำประกันได้  ตามมาตรา  681  วรรคสอง  ข้อต่อสู้ของนายน้อยจึงฟังไม่ขึ้นทั้งสองกรณี  นายน้อยต้องรับผิดในหนี้ละเมิดที่นายใหญ่ได้ก่อให้เกิดขึ้นในวันที่  11  มีนาคม  2549  เป็นเงิน  4,000  บาท

2       ส่วนถ้าในวันที่  14  มีนาคม  2549  นายน้อยได้บอกเลิกสัญญาค้ำประกันต่อนายจิ๋ว  ต่อมาในวันที่  16  มีนาคม  2549  นายใหญ่ได้ยักยอกเงินนายจิ๋วอีกเป็นเงิน  7,000  บาท  เช่นนี้นายน้อยจะบอกเลิกการค้ำประกันได้หรือไม่  เห็นว่า  ตามมาตรา  699  ถ้าเป็นการค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราว  ไม่มีจำกัดเวลาในการค้ำประกัน  ผู้ค้ำประกันอาจบอกเลิกเสียเพื่อคราวอันเป็นอนาคตได้  โดยบอกกล่าวความประสงค์นั้นแก่เจ้าหนี้  แต่ตามข้อเท็จจริงการจ้างแรงงานมีกำหนดเวลาจ้าง  3  ปี  ถือว่าการค้ำประกันของนายน้อย  มีจำกัดเวลาในการค้ำประกัน  ดังนั้นนายน้อยจึงไม่มีสิทธิบอกเลิกการค้ำประกันได้  นายน้อยจึงต้องรับผิดในหนี้ละเมิดที่นายใหญ่ได้ก่อให้เกิดขึ้นในวันที่  19  มีนาคม  2549  ต่อนายจิ๋วนายจ้างด้วย  ข้อต่อสู้ของนายน้อยผู้ค้ำประกันฟังไม่ขึ้น

สรุป  ข้อต่อสู้ของนายน้อยฟังไม่ขึ้นทั้งสองกรณี

 

ข้อ  2  นาย  ก  กู้เงินนาย  ข  เป็นเงิน  60,000  บาทถ้วน  และมีนาย  A  นาย  B  และนาย  C  มาจำนองที่ดินของตนประกันหนี้รายนี้ให้กับการกู้ยืมเงิน  โดยที่ดินนาย  A  มีราคา  100,000  บาท  นาย  B  มีราคา  200,000  บาท  และนาย  C  มีราคา  300,000  บาท  ดังนี้ หากนาย  ข  ต้องการจะบังคับขายทอดตลาดทุกแปลงได้หรือไม่  และหากได้  ผู้จำนองจะต้องรับผิดชอบคนละเท่าไร

ธงคำตอบ

มาตรา  728  เมื่อจะบังคับจำนองนั้น  ผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่า  ให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควร  ซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น  ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนองจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองและให้ขายทอดตลาดก็ได้

มาตรา  729  นอกจากทางแก้ดังบัญญัติไว้ในมาตราก่อนนั้น  ผู้รับจำนองยังชอบที่จะเรียกเอาทรัพย์จำนองหลุดได้ภายในบังคับแห่งเงื่อนไขดังจะกล่าวต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้ได้ขาดส่งดอกเบี้ยมาแล้วเป็นเวลาถึงห้าปี

(2) ผู้จำนองมิได้แสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลว่าราคาทรัพย์สินนั้นท่วมจำนวนเงินอันค้างชำระและ

(3) ไม่มีการจำนองรายอื่น  หรือบุริมสิทธิอื่นได้จดทะเบียนไว้เหนือทรัพย์สินอันเดียวกันนี้เอง

มาตรา  734  ถ้าจำนองทรัพย์สินหลายสิ่งเพื่อประกันหนี้แต่รายหนึ่งรายเดียวและมิได้ระบุลำดับไว้ไซร้  ท่านว่าผู้รับจำนำจะใช้สิทธิของตนบังคับแก่ทรัพย์สินนั้นๆ  ทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วนก็ได้  แต่ท่านห้ามมิให้ทำเช่นนั้นแก่ทรัพย์สินมากสิ่งกว่าที่จำเป็นเพื่อใช้หนี้ตามสิทธิแห่งตน

ถ้าผู้รับจำนองใช้สิทธิของตนบังคับแก่ทรัพย์สินทั้งหมดพร้อมกัน  ท่านให้แบ่งภาระแห่งหนี้นั้นกระจายไปตามส่วนราคาแห่งทรัพย์สินนั้นๆ

วินิจฉัย

นาย  ข  ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จำนอง  สามารถที่จะบังคับจำนองได้โดยการขายทอดตลาดตามมาตรา  728  หรือฟ้องเอาจำนองหลุดตามมาตรา  729

ตามมาตรา  728  ผู้รับจำนองสามารถที่จะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองและให้ขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จำนองทั้งหมดได้  ตามมาตรา  734  วรรคแรก  และเมื่อผู้รับจำนองใช้สิทธิของตนบังคับแก่ทรัพย์สินทั้งหมดพร้อมกัน  ก็จะต้องเฉลี่ยความรับผิดไปตามส่วนราคาแห่งทรัพย์สินนั้นๆ  ตามมาตรา  734  วรรคสอง  ดังนั้น  นาย  A  ต้องรับผิด  10,000  บาท  นาย  B  รับผิด  20,000  บาท  และนาย  C  รับผิด  30,000 บาท

สรุป  นาย  A  รับผิด  10,000  บาท  นาย  B  รับผิด  20,000  บาท  และนาย  C  รับผิด  30,000 บาท

 

ข้อ  3  นาย  ก  กู้เงินนาย  ข  เป็นจำนวนเงิน  12,000  บาท  โดยมีนาย  ค  มอบสร้อยคอจำนำไว้เป็นประกัน  หนี้การกู้ยืมเงินและจำนำกันครั้งนี้ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมหรือจำนำเป็นหนังสือ  ต่อมาหนี้ถึงกำหนดชำระปรากฏว่านาย  ก  ผิดนัด  และนาย  ข  มีหนังสือทวงถามให้นาย  ก  และนาย  ค  ชำระหนี้  แต่บุคคลทั้งสองไม่ชำระหนี้  นาย  ข  จึงนำสร้อยคอที่รับจำนำไว้ไปขายทอดตลาดได้เงินสุทธิ  8,000 บาท  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  นาย  ข  จะฟ้องเรียกหนี้ที่ยังขาดอยู่  4,000  บาท จากนาย  ก  ลูกหนี้  และนาย  ค  ผู้รับจำนำได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินเกินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  767  เมื่อบังคับจำนำได้เงินจำนวนสุทธิเท่าใด  ท่านว่าผู้รับจำนำต้องจัดสรรชำระหนี้และอุปกรณ์เพื่อให้เสร็จสิ้นไป  และถ้ายังมีเงินเหลือก็ต้องส่งคืนให้แก่ผู้จำนำ  หรือแก่บุคคลผู้ควรจะได้เงินนั้น

ถ้าได้เงินน้อยกว่าจำนวนค้างชำระ  ท่านว่าลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับใช้ในส่วนที่ขาดอยู่นั้น

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  สัญญากู้ยืมเงินซึ่งเป็นหนี้ประธานสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่  เห็นว่ากรณีตามอุทาหรณ์เป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า  2,000  บาท  ซึ่งกฎหมายมิได้บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือแต่อย่างใด  เพียงแต่หากไม่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญจะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้  ดังนั้นสัญญากู้ยืมเงินระหว่างนาย  ก  และนาย  ข  สมบูรณ์ตามกฎหมาย  แต่จะฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้  ตามมาตรา  653  วรรคแรก

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมาคือ  การจำนำสร้อยคอของนาย  ค  สมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่  เห็นว่าการจำนำตามมาตรา  747  ย่อมสมบูรณ์เพียงส่งมอบทรัพย์ที่จำนำ  ซึ่งกฎหมายมิได้บังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือแต่อย่างใด  ดังนั้นการจำนำดังกล่าวจึงสมบูรณ์  มีผลตามกฎหมาย  เมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้  ผู้รับจำนำสามารถบังคับจำนำโดยการเอาทรัพย์สินที่จำนำออกขายทอดตลาดได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายมีว่า  นาย  ข  จะฟ้องรียกหนี้ที่ยังขาดอยู่  4,000  บาท  จากนาย  ก  ลูกหนี้  และนาย  ค  ผู้จำนำได้หรือไม่  เห็นว่า  เมื่อบังคับจำนำแล้วได้เงินน้อยกว่าจำนวนหนี้ที่ค้างชำระลูกหนี้ยังคงต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอยู่ตามมาตรา  767  วรรคสอง  หากหนี้ประธานสมบูรณ์ฟ้องร้องตามกฎหมายได้  แต่ตามปัญหาหนี้ประธานคือ  หนี้กู้ยืม  ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือ  ตามมาตรา  653  วรรคแรก  ฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายไม่ได้  นาย  ข  จึงฟ้องเรียกเงินที่ยังขาดอยู่  4,000  บาท  ไม่ได้

ส่วนนาย  ค  ก็ไม่ต้องรับผิดในหนี้ที่ยังขาดอยู่  เพราะนาย  ค  เป็นแต่เพียงผู้เอาทรัพย์มาประกันการชำระหนี้เท่านั้น  มิได้เป็นลูกหนี้  ทั้งนี้กฎหมายมาตรา  767  วรรคสองกำหนดให้ลูกหนี้เท่านั้นที่จะต้องรับผิดในหนี้ที่ยังขาดอยู่  เมื่อมีการบังคับจำนำแล้ว   จำนำย่อมระงับสิ้นไป  นาย  ข  จึงฟ้องเรียกหนี้ที่ยังขาดอยู่  4,000  บาท  จากนาย  ค  ผู้จำนำไม่ได้

สรุป  นาย  ข  จะฟ้องเรียกหนี้ที่ยังขาดอยู่  4,000  บาท  จากนาย  ก  และนาย  ค  ไม่ได้

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ 1/2548

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นางแตงกวาเป็นหญิงเสเพล  ได้ขอยืมเงินนายอินเป็นเงิน  100,000  บาท  เพื่อเอาไปเลี้ยงเหล้าเพื่อนของตน  โดยมีนายมะระน้องชายนำที่ดินพร้อมบ้านของตนที่อยู่บนดอยปุยซึ่งอยู่ห่างไกลจากความเจริญมาจำนำนายอินไว้  บ้านดังกล่าวมีราคาประมาณ  1,000,000  บาท  ต่อมาเกิดไฟไหม้ป่าขึ้นบ้านเสียหาย  มูลค่าลดลงไป  900,000  บาท  นายอินเห็นว่าบ้านเสียหายมาก  ตนเองจะเสียหายจึงจะบังคับจำนองในทันที  ดังนี้  นายอินจะทำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนอง  เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนองเป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา  723  ถ้าทรัพย์สินซึ่งจำนองบุบสลาย  หรือถ้าทรัพย์สินซึ่งจำนองแต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งสูญหายหรือบุบสลาย  เป็นเหตุให้ไม่เพียงพอแก่การประกันไซร้  ท่านว่าผู้รับจำนองจะบังคับจำนองเสียในทันทีก็ได้  เว้นแต่เมื่อเหตุนั้นมิได้เป็นเพราะความผิดของผู้จำนอง  และผู้จำนองก็เสนอจะจำนองทรัพย์สินอื่นแทนให้มีราคาเพียงพอหรือเสนอจะรับซ่อมแซมแก้ไขความบุบสลายนั้นภายในเวลาอันสมควรแก่เหตุ

วินิจฉัย 

การที่นางแตงกวายืมเงินนายอิน  100,000  บาท  ซึ่งเป็นหนี้ประธานไปซื้อเหล้า  ถือว่าหนี้ประธานเป็นหนี้ที่ไม่ขัดต่อความสวบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี  จึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย  เมื่อหนี้ประธานสมบูรณ์ตามกฎหมาย  การที่นายมะระได้นำที่ดินพร้อมบ้านของตนมาจำนองนายอินไว้  การจำนองย่อมสมบูรณ์เช่นเดียวกันตามมาตรา  702  ส่วนเรื่องความเสียหายของทรัพย์จำนองที่มูลค่าลดลงไปถึง  900,000  บาทนั้น  การเสียหายของทรัพย์จำนองดังกล่าวยังไม่เสียหายถึงขนาดที่จะบังคับจำนองได้ทันที  ตามมาตรา  723  เพราะยังมีมูลค่าเหลืออยู่อีก  100,000  บาท  จึงเพียงพอที่จะประกันการชำระหนี้ที่เหลืออยู่ได้

สรุป  นายอินจะบังคับจำนองทันทีไม่ได้

 

ข้อ  2  แดงกู้เงินเขียว  โดยตกลงทำสัญญากันถูกต้อง  หลังจากนั้นแดงได้นำแหวนของตนเองและมีเหลืองนำสร้อยคอมาวางเป็นการจำนำไว้กับเขียว  โดยที่เขียวตกลงรับแหวนและสร้อยคอเป็นหลักประกันการกู้เงิน  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระเขียวได้โทรศัพท์ขอให้แดงชำระหนี้  แดงไม่ชำระหนี้  เขียวจึงนำแหวนและสร้อยคอออกขายทอดตลาด  แดงจึงมาปรึกษาท่านว่าการกระทำของเขียวถูกต้องหรือไม่  ในการนำทรัพย์ของแดงและเหลืองออกขายทอดตลาด

ธงคำตอบ

มาตรา  747  อันว่าจำนำนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง  เรียกว่า  ผู้จำนำส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า ผู้รับจำนำ  เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้

มาตรา  764  เมื่อจะบังคับจำนำ  ผู้รับจำนำต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนำชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจำนำออกขายได้แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจำนำต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จำนำบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย

วินิจฉัย

แดงกู้เงินเขียว  และได้มอบแหวนของตนเองและมีเหลืองมอบสร้อยคอให้เขียวไว้  ถือเป็นการจำนำประกันการชำระหนี้เงินกู้ยืมตามมาตรา  747  แต่การที่เขียวจะนำทรัพย์ที่จำนำออกขายทอดตลาดนั้น  จะต้องปรากฏว่าเขียวได้มีจดหมายบอกกล่าวให้ลูกหนี้คือแดงทำการชำระหนี้เสียก่อน  ถ้าและลูกหนี้ละเลยเสียไม่ทำการชำระหนี้  ผู้รับจำนำจึงจะมีสิทธินำทรัพย์ที่จำนำออกขายทอดตลาดได้

ตามปัญหาปรากฏว่า  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระเขียวเพียงแต่โทรศัพท์บอกให้แดงชำระหนี้เท่านั้น  แต่มิได้มีจดหมายบอกกล่าว  จึงต้องถือว่าเขียวมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามที่มาตรา  764  วางหลักเกี่ยวกับการบังคับจำนำไว้

สรุป  การกระทำของเขียวในการนำทรัพย์ออกขายทอดตลาดจึงยังไม่ถูกต้องตามมาตรา  764   

 

ข้อ  3  ในวันที่  30  มกราคม  2545  นายเอกทำสัญญากู้เงินจำนวน  50,000  บาท  จากนายโท  โดยนายเอกตกลงว่าจะให้ดอกเบี้ยร้อยละ  15  ต่อปี  แก่นายโทจนกว่าหนี้จะถึงกำหนดในวันที่  20  สิงหาคม  2549  ซึ่งในการกู้ยืมเงินครั้งนี้นายเอกได้ส่งมอบเครื่องอบผลไม้ไฟฟ้าไว้เป็นประกันการกู้เงินแก่นายโทด้วย  โดยนายเอกตกลงให้นายโทสามารถเอาออกให้ผู้อื่นเช่าได้  ในวันที่  3  ตุลาคม  2545  นายโทจึงได้นำไปให้นายหนึ่งเช่าโดยคิดค่าเช่าเดือนละ  5,000  บาททุกเดือน  เมื่อนายโทได้รับค่าเช่าจากนายหนึ่งทุกสิ้นเดือน  ตั้งแต่เดือนตุลาคม  2545  เป็นต้นมา  ก็ได้นำค่าเช่าดังกล่าวมาหักชำระหนี้ดอกเบี้ยตามสัญญากู้ที่นายเอกต้องชำระแก่นายโท  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  การที่นายโทเจ้าหนีกระทำเช่นนี้  ชอบด้วยกฎหมายจำนำหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  749  คู่สัญญาจำนำจะตกลงกันให้บุคคลภายนอกเป็นผู้เก็บรักษาทรัพย์สินจำนำไว้ก็ได้

มาตรา  760  ถ้าผู้รับจำนำเอาทรัพย์สินซึ่งจำนำออกใช้เอง  หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย  หรือเก็บรักษาโดยผู้จำนำมิได้ยินยอมด้วยไซร้  ท่านว่าผู้รับจำนำจะต้องรับผิดเพื่อที่ทรัพย์สินจำนำนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างใดๆ  แม้ทั้งเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรๆก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง

มาตรา  761  ถ้ามิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญา  หากมีดอกผลนิตินัยงอกจากทรัพย์สินนั้นอย่างไร  ท่านให้ผู้รับจำนำจัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบี้ยอันค้างชำระแก่ตน  และถ้าไม่มีดอกเบี้ยค้างชำระ  ท่านให้จัดสรรใช้เงินต้นแห่งหนี้อันได้จำนำทรัพย์สินเป็นประกันนั้น

วินิจฉัย

ในการจำนำคู่สัญญาจะตกลงให้บุคคลภายนอกเป็นผู้เก็บรักษาทรัพย์สินที่จำนำได้  และเมื่อผู้จำนำยินยอม  ผู้รับจำนำมีสิทธินำทรัพย์จำนำออกให้บุคคลภายนอกใช้สอยได้  ตามมาตรา  749  ประกอบมาตรา  760  และเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วเจ้าหนี้ผู้รับจำนำมีสิทธินำดอกผลนิตินัยที่เกิดจากทรัพย์จำนำมาชำระดอกเบี้ยได้  และถ้าดอกเบี้ยไม่มีให้นำมาจัดสรรชำระหนี้เงินต้นได้

หนี้ตามสัญญากู้ระหว่างนายเอกและนายโทถึงกำหนดชำระในวันที่  20  สิงหาคม  2549  ดังนั้นแม้จะมีค่าเช่าเกิดขึ้นจากการที่นายโทเจ้าหนี้นำเครื่องอบผลไม้ไฟฟ้าออกให้นายหนึ่งเช่าโดยได้รับความยินยอมจากนายเอกผู้จำนำก็ตาม  ตามมาตรา  749  ประกอบมาตรา  760 ซึ่งสามารถกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย  แต่นายโทเจ้าหนี้หามีสิทธินำค่าเช่าซึ่งเป็นดอกผลนิตินัยดังกล่าวมาจัดสรรชำระหนี้ดอกเบี้ยตามสัญญากู้เพราะหนี้ดอกเบี้ยยังไม่ถึงกำหนดชำระ  ตามมาตรา  761  (ให้จัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบี้ยที่ค้างชำระเท่านั้น)

สรุป  การที่นายโทเจ้าหนี้นำเครื่องอบผลไม้ไฟฟ้าออกให้เช่าเป็นการกระทำโดยชอบตามมาตรา  749  ประกอบมาตรา  760  แต่การนำค่าเช่าที่เก็บตั้งแต่ตุลาคม  2545  เป็นต้นมา  นำมาชำระค่าดอกเบี้ยตามสัญญากู้ไม่สามารถทำได้เพราะค่าดอกเบี้ยยังไม่ถึงกำหนดชำระ  ตามมาตรา  761

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ S/2548

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายนิติภูมิทำสัญญาจ้างนายสมัครเป็นพนักงานเก็บเงินในร้านสะดวกซื้อ  ในการนี้นายสมัครได้ส่งมอบสมุดบัญชีเงินฝากของตนไว้เป็นประกันการเข้าทำงาน  ต่อมาอีก  2  วัน  นายสมบัติได้ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายสมัครต่อนายนิติภูมิ  หลังจากนั้นอีก  3 เดือน  นายสมัครได้ยักยอกเงินนายนิติภูมิไปเป็นเงิน  3  แสนบาท  เมื่อนายนิติภูมิทราบเรื่องได้ไล่นายสมัครออกจากงานและได้เรียกร้องให้นายสมบัติรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน  ถ้านายสมบัติจะยกข้อต่อสู้ต่อไปนี้  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของนายสมบัติจะรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

1       นายสมบัติไม่ต้องรับผิดเพราะในขณะเข้าทำสัญญาค้ำประกันยังไม่มีหนี้ที่นายสมัครจะต้องรับผิดต่อนายนิติภูมิ  การยักยอกเงินเพิ่งเกิดขึ้นหลังนายสมบัติเข้าทำสัญญาค้ำประกัน

2       นายสมบัติเรียกร้องให้นายนิติภูมิไปบังคับเอากับเงินฝากที่นายสมัครได้มอบสมุดบัญชีไว้เป็นหลักประกันก่อน  ขาดเท่าไรจึงมาเรียกร้องให้นายสมบัติรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน

ธงคำตอบ

มาตรา 681 วรรคสอง  หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไข จะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้ นั้นอาจเป็นผลได้จริง ก็ประกันได้

มาตรา  686  ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด  ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น

มาตรา  689  ถึงแม้จะได้เรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ดังกล่าวมาในมาตราก่อนนั้นแล้วก็ตาม  ถ้าผู้ค้ำประกันพิสูจน์ได้ว่าลูกหนี้นั้นมีทางที่จะชำระหนี้ได้  และการที่จะบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นจะไม่เป็นการยากไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องบังคับการชำระหนี้รายนั้นเอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน

มาตรา  690  ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดไว้เป็นประกันไซร้  เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ  ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องให้ชำระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน

วินิจฉัย

 1       การที่นายสมบัติเข้าทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายสมัคร  ถือว่าเป็นการค้ำประกันหนี้ในอนาคตที่นายสมัครลูกจ้าง (ลูกหนี้)  อาจก่อให้เกิดขึ้นแก่นายนิติภูมินายจ้าง  (เจ้าหนี้)  ภายในระหว่างสัญญาจ้างแรงงานยังไม่สิ้นสุด  ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่หนี้นั้นอาจเป็นผลได้จริงก็สามารถมีการค้ำประกันได้ตามมาตรา  681  วรรคสอง  ดังนั้นแม้ปรากฏว่าในขณะที่นายสมบัติเข้าทำสัญญาค้ำประกัน  นายสมัครลูกจ้างยังไม่ได้กระทำการที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายนิติภูมินายจ้างก็ตาม  แต่ภายหลังจากทำสัญญาค้ำประกันได้  3  เดือน  นายสมัครได้ยักยอกเงินก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายนิติภูมิ  จึงถือว่านายสมัครลูกหนี้มีการผิดนัด (มาตรา  206)  ความรับผิดของนายสมบัติผู้ค้ำประกันจึงเกิดมีขึ้น  ตามมาตรา  686  นายสมบัติจึงมิอาจที่จะยกข้อต่อสู้ว่าในขณะเข้าทำสัญญาค้ำประกันยังไม่มีหนี้ประธานเกิดขึ้นเพื่อเป็นเหตุปฏิเสธความรับผิดได้  เพราะเป็นการค้ำประกันหนี้ในอนาคต  ตามมาตรา  681  วรรคสอง  ดังนั้นข้อต่อสู้ของนายสมบัติจึงฟังไม่ขึ้น

2       ในขณะที่นายสมบัติเข้าทำสัญญาค้ำประกัน  นายสมัครลูกจ้างได้ส่งมอบสมุดเงินฝากให้นายนิติภูมิยึดถือไว้เป็นประกันการทำงาน  เห็นว่า  การที่นายสมัครส่งมอบสมุดเงินฝากให้นายนิติภูมิไม่ถือว่าเป็นการที่ลูกหนี้ได้ให้หลักประกันแก่เจ้าหนี้ตามกฎหมาย  เพราะการส่งมอบสมุดเงินฝากไม่ถือว่าเป็นการจำนำตามมาตรา  747  เป็นแต่เพียงทำให้เจ้าหนี้มีสิทธิที่จะยึดถือสมุดเงินฝากไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้จากนายสมัครลูกจ้างเท่านั้น  ดังนั้นข้อต่อสู้ที่ให้นายนิติภูมิ  ไปบังคับเอากับสมุดเงินฝากที่ยึดถือไว้เป็นหลักประกันก่อนตามมาตรา  690  จึงับฟังไม่ได้  แต่ถ้านายสมบัติผู้ค้ำประกันสามารถพิสูจน์ได้ว่า  นายสมัครลูกหนี้มีเงินฝากอยู่ในบัญชีสมุดเงินฝากซึ่งสามารถนำมาชำระหนี้ได้และการบังคับชำระหนี้ไม่เป็นการยากก็สามารถเรียกร้องให้นายนิติภูมิเจ้าหนี้  ไปบังคับเอากับเงินฝากที่นายสมัครได้มอบสมุดบัญชีไว้เป็นหลักประกันก่อน  ขาดเท่าไรจึงมาเรียกร้องให้นายสมบัติรับผิดตามสัญญาค้ำประกันข้อต่อสู้ดังกล่าวฟังไม่ขึ้น  ตามมาตรา  690  แต่ชอบที่จะเกี่ยงตามมาตรา  689  ได้

สรุป

1       ข้อต่อสู้ฟังไม่ขึ้น  ตามมาตรา  682  วรรคสอง

2       ข้อต่อสู้ฟังไม่ขึ้น  ตามมาตรา  690  แต่ชอบที่จะยกข้อต่อสู้ตามมาตรา  689  ได้

 

ข้อ  2  วันที่  1  กุมภาพันธ์  2545  นายปริญญาทำสัญญากู้ยืมเงินกับธนาคารทักษิณเป็นเงิน  3  ล้านบาท  ซึ่งจะถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ในวันที่  30  สิงหาคม  2548  โยวันที่  1  กุมภาพันธ์  2545  นายวาสนาได้จดทะเบียนจำนองที่ดินมูลค่า  3  ล้านบาทเป็นประกันหนี้เงินกู้ของนายปริญญา  ต่อมาวันที่  2  กุมภาพันธ์  2545  นายปริญญาได้จดทะเบียนจำนองที่ดินมูลค่า  4  ล้านบาท  เป็นประกันหนี้เงินกู้ของตนเอง  ในวันที่  1  มีนาคม  2545  นายปริญญาได้นำที่ดินที่จำนองไว้กับธนาคารทักษิณไปจดทะเบียนการเช่าให้นายสุเทพเช่าเพื่อปลูกอาคารพาณิชย์โดยคิดค่าเช่าที่ดินเดือนละ 1  หมื่นบาท  เมื่อปลูกอาคารพาณิชย์เสร็จนายสุเทพได้นำอาคารดังกล่าวออกให้นายรัฐธรรมนูญเช่า  โดยคิดค่าเช่าอาคารเดือนละ  15,000  บาท  ต่อมาวันที่  1  กันยายน  2548  ธนาคารทักษิณได้ทำหนังสือและจดทะเบียนปลดจำนองให้นายวาสนาไป  เมื่อหนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระนายปริญญาผิดนัดไม่ชำระหนี้วันที่  31  สิงหาคม  2548  ธนาคารทักษิณได้บอกกล่าวบังคับจำนองด้วยวาจาไปยังนายปริญญา  ถ้าหลังจากบอกกล่าวบังคับจำนองนายสุเทพได้นำค่าเช่าที่ดิน  1  หมื่นบาทมาชำระให้นายปริญญาและนายรัฐธรรมนูญนำค่าเช่าอาคารมาชำระให้นายสุเทพ  เช่นนี้ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า

 1       ถ้าต่อมาในอนาคตเวลาจะฟ้องบังคับจำนองที่ดินของนายปริญญาที่นำมาจำนองกับธนาคารทักษิณจะได้เงินไม่พอชำระหนี้  3  ล้านบาท  เพราะมีการจดทะเบียนการเช่าให้นายสุเทพและนายรัฐธรรมนูญไว้  ธนาคารทักษิณจะฟ้องศาลเพื่อให้ลบสิทธิการเช่าดังกล่าวออกจากทะเบียนได้หรือไม่

2       การจำนองที่ดินของนายปริญญาจะครอบไปถึงบ้านนายสุเทพ  ค่าเช่าที่ดิน  ค่าเช่าอาคารหรือไม่  เพราะเหตุใด

3       นายปริญญาผู้จำนองจะหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาจำนองอันเนื่องมาจากการที่ธนาคารทักษิณปลดจำนองที่ดินให้นายวาสนาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  709  บุคคลคนหนึ่งจะจำนองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระ  ก็ให้ทำได้

มาตรา  710  ทรัพย์สินหลายสิ่งมีเจ้าของคนเดียวหรือหลายคนจะจำนองเพื่อประกันการชำระหนี้แต่รายหนึ่งรายเดียว  ท่านก็ให้ทำได้

และในการนี้คู่สัญญาจะตกลงกันดังต่อไปนี้ก็ได้  คือว่า

(1) ให้ผู้รับจำนองใช้สิทธิบังคับเอาแก่ทรัพย์สินซึ่งจำนองตามลำดับอันระบุไว้

(2) ให้ถือเอาทรัพย์สินแต่ละสิ่งเป็นประกันหนี้เฉพาะแต่ส่วนหนึ่งส่วนใดที่ระบุไว้

มาตรา  718  จำนองย่อมครอบไปถึงทรัพย์ทั้งปวงอันติดพันอยู่กับทรัพย์สินซึ่งจำนอง  แต่ต้องอยู่ภายในบังคับซึ่งท่านจำกัดไว้ในสามมาตราต่อไปนี้

มาตรา  720  จำนองเรือนโรงหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นซึ่งได้ทำขึ้นไว้บนดินหรือใต้ดิน  ในที่ดินอันเป็นของคนอื่นเขานั้นย่อมไม่ครอบไปถึงที่ดินนั้นด้วย  ฉันใดกลับกันก็ฉันนั้น

มาตรา  721  จำนองไม่ครอบไปถึงดอกผลแห่งทรัพย์สินซึ่งจำนอง  เว้นแต่ในเมื่อผู้รับจำนองได้บอกกล่าวแก่ผู้จำนองหรือผู้รับโอนแล้วว่าตนจำนงจะบังคับจำนอง

มาตรา  722  ถ้าทรัพย์สินได้จำนองแล้ว  และภายหลังที่จดทะเบียนจำนองมีจดทะเบียนภาระจำยอมหรือทรัพย์สิทธิอย่างอื่น  โดยผู้รับจำนองมิได้ยินยอมด้วยไซร้  ท่านว่าสิทธิจำนองย่อมเป็นใหญ่กว่าภาระจำยอม  หรือทรัพย์สิทธิอย่างอื่นนั้น  หากว่าเป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของผู้รับจำนองในเวลาบังคับจำนอง  ก็ให้ลบสิทธิที่กล่าวหลังนั้นเสียจากทะเบียน

มาตรา  726  เมื่อบุคคลหลายคนต่างได้จำนองทรัพย์สินแห่งตนเพื่อประกันหนี้แต่รายหนึ่งรายเดียวอันบุคคลอื่นจะต้องชำระและได้ระบุลำดับด้วยไซร้  ท่านว่าการที่ผู้รับจำนองยอมปลดหนี้ให้แก่ผู้จำนองคนหนึ่งนั้นย่อมทำให้ผู้จำนองคนหลังๆได้หลุดพ้นด้วยเพียงขนาดที่เขาต้องรับความเสียหายแต่การนั้น

มาตรา  727  ถ้าบุคคลคนเดียวจำนองทรัพย์สินแห่งตนเพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระ  ท่านให้ใช้บทบัญญัติมาตรา  697, 700 และ  701  ว่าด้วยค้ำประกันนั้นบังคับอนุโลมตามควร

วินิจฉัย

วันที่  1  กุมภาพันธ์  2545  นายปริญญาทำสัญญากู้ยืมเงินกับธนาคารทักษิณเป็นเงิน  3  ล้านบาท  ซึ่งจะถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ในวันที่ 30  สิงหาคม  2548  โดยในวันดังกล่าว  นายวาสนาบุคคลภายนอกได้จดทะเบียนจำนองที่ดินมูลค่า  3  ล้านบาท  เป็นประกันหนี้เงินกู้ของนายปริญญา  ตามมาตรา  709  ต่อมาในวันที่  2  กุมภาพันธ์  2545  นายปริญญาลูกหนี้ได้จดทะเบียนจำนองที่ดินมูลค่า  4  ล้านบาท  เป็นประกันหนี้เงินกู้ของตนเอง  ซึ่งเป็นกรณีการจำนองทรัพย์สินหลายสิ่งเป็นประกันการชำระหนี้รายเดียวตามมาตรา  710  โดยไม่มีการตกลงระบุลำดับในการบังคับจำนองไว้ตามมาตรา  710 (1)  และมิได้มีการตกลงจำกัดความรับผิดในทรัพย์ที่จำนองแต่ละสิ่ง  ตามมาตรา  710 (2)  เพราะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการตกลงกันระหว่างคู่สัญญาจำนองในทำนองดังกล่าว  อีกทั้งการจดทะเบียนจำนองก่อนหรือหลังหาได้ทำให้เจ้าหนี้ผู้รับจำนองจะต้องบังคับเอากับทรัพย์ที่รับจำนองไว้ก่อนไม่  ตามมาตรา  734

หลังจากนั้นในวันที่  1  มีนาคม  2545  นายปริญญา(ผู้จำนอง)  ได้นำที่ดินที่จำนองไว้กับธนาคารทักษิณไปจดทะเบียนการเช่าให้นายสุเทพเช่าเพื่อปลูกอาคารพาณิชย์โดยคิดค่าเช่าที่ดินเดือนละ  1  หมื่นบาท  เมื่อปลูกอาคารพาณิชย์เสร็จนายสุเทพได้นำอาคารดังกล่าวออกให้นายรัฐธรรมนูญเช่า  โยคิดค่าเช่าอาคารเดือนละ  15,000  บาทเช่นนี้

 1       ถ้าต่อมาในอนาคตเวลาจะฟ้องบังคับจำนองที่ดินของนายปริญญาที่นำมาจำนองกับธนาคารทักษิณจะได้เงินไม่พอชำระหนี้  3  ล้านบาท  เพราะมีการจดทะเบียนการเช่าให้นายสุเทพและนายรัฐธรรมนูญไว้  ธนาคารทักษิณจะฟ้องศาลเพื่อให้ลบสิทธิการเช่าดังกล่าวออกจากทะเบียนได้หรือไม่  เห็นว่าตามมาตรา  722  ให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ผู้รับจำนองชอบที่จะฟ้องให้ศาลเพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมหรือทรัพยสิทธิอื่นที่ได้จดทะเบียนไว้ในทรัพย์ที่รับจำนองได้  ถ้าปรากกว่าในขณะที่จะบังคับจำนองการจดทะเบียนภาระจำยอมหรือทรัพยสิทธิอื่นทำให้เสื่อมเสียแก่เจ้าหนี้ผู้รับจำนอง  แต่กรณีตามปัญหา  การที่นายปริญญาผู้จำนองได้จดทะเบียนให้เช่าที่ดินที่ติดจำนองแก่นายสุเทพไป  แม้จะทำให้ธนาคารทักษิณผู้รับจำนองได้รับความเสียหายในเวลาที่จะบังคับจำนองก็ตาม  ก็ไม่สามารถฟ้องให้เพิกถอนการจดทะเบียนการเช่าที่ดินดังกล่าวได้  เพราะการจดทะเบียนการเช่าเป็นเพียงบุคคลสิทธิไม่ใช่เป็นการจดทะเบียนภาระจำยอมหรือทรัพยสิทธิอื่น  ตามมาตรา  722  ดังนั้นธนาคารทักษิณจะฟ้องศาลเพื่อให้ลบสิทธิการเช่าดังกล่าวออกจากทะเบียนไม่ได้

2       การจำนองที่ดินของนายปริญญาจะครอบไปถึงอาคารพาณิชย์ของนายสุเทพ  ค่าเช่าที่ดิน  ค่าเช่าอาคาร  หรือไม่  เห็นว่าโดยหลักตามมาตรา  718  การจำนองย่อมครอบไปถึงตัวทรัพย์ทั้งปวงที่ติดพันกับทรัพย์สินที่จำนอง  แต่ต้องอยู่ภายใต้บังคับใน  มาตรา  719 721  ซึ่งตามมาตรา  720  มีหลักว่าการจำนองที่ดินไม่ครอบไปถึงโรงเรือนบุคคลอื่นได้ปลูกสร้างไว้  ดังนั้นการจำนองที่ดินของนายปริญญาย่อมไม่ครอบไปถึงอาคารพาณิชย์ที่นายสุเทพได้ปลูกสร้าง  ตามมาตรา  720

ส่วนกรณีการจะบังคับเอาดอกผลของตัวทรัพย์สินที่นำมาจำนองได้นั้น  ต้องมีการบอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบตามมาตรา  721  แต่กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อหนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระนายปริญญาลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้  วันที่  31  สิงหาคม  2548  ธนาคารทักษิณได้บอกกล่าวบังคับจำนองด้วยวาจาไปยังนายปริญญา  ถือว่าเป็นการบอกกล่าวบังคับจำนองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เพราะการบอกกล่าวบังคับจำนองต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร  ตามมาตรา  728  ดังนั้นแม้ว่าหลังจากบอกกล่าวบังคับจำนอง  นายสุเทพได้นำค่าเช่าที่ดิน(ที่ติดจำนอง)  1  หมื่นบาทมาชำระให้นายปริญญาผู้จำนอง  การจำนองที่ดินก็ย่อมไม่ครอบไปถึงค่าเช่าที่ดิน  1  หมื่นบาท  ที่นายสุเทพนำมาชำระให้นายปริญญาผู้จำนองเพราะการบอกกล่าวบังคับจำนองไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  721  ประกอบมาตรา  728

ส่วนกรณีค่าเช่าอาคารพาณิชย์  15,000  บาท  ที่นายรัฐธรรมนูญนำมาชำระให้นายสุเทพนั้น  เมื่อการจำนองครอบที่ดินของนายปริญญาไม่ครอบไปถึงอาคารพาณิชย์ที่นายสุเทพปลูกสร้างขึ้น  เพราะการจำนองที่ดินของนายปริญญาย่อมไม่ครอบไปถึงโรงเรือนอาคารพาณิชย์ที่นายสุเทพบุคคลอื่นได้ปลูกสร้างตามมาตรา  720  ดังนั้นเมื่อไม่ครอบไปถึงอาคารพาณิชย์  ก็ไม่ครอบไปถึงค่าเช่าซึ่งเป็นดอกผลของอาคารพาณิชย์ด้วย

ดังนั้น  การจำนองที่ดินของนายปริญญาจะครอบไปถึง  แต่เฉพาะที่ดินของนายปริญญาผู้จำนองเท่านั้น  แต่ไม่ครอบไปถึงอาคารของนายสุเทพและค่าเช่าอาคาร  ตามาตรา  720  อีกทั้งไม่ครอบไปถึงค่าเช่าที่ดิน  เพราะไม่มีการบอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบตามมาตรา  721

3       นายปริญญาผู้จำนองที่เป็นลูกหนี้ชั้นต้นจะหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาจำนอง  อันเนื่องมาจากที่ธนาคารทักษิณปลดจำนองที่ดินให้นายวาสนา  หรือไม่  เห็นว่า  ตามมาตรา  726  มีหลักว่า  ถ้าผู้รับจำนองปลดจำนองให้ผู้จำนองที่เป็นบุคคลภายนอกที่ต้องถูกบังคับจำนองในลำดับหลัง  แต่กรณีตามอุทาหรณ์  มิใช่เป็นกรณีที่มีบุคคลภายนอกหลายคนต่างจำนองทรัพย์สินเพื่อประกันการชำระหนี้ของลูกหนี้และได้มีการตกลงระบุลำดับในการบังคับจำนองไว้  จึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติใน  มาตรา  726  ดังนั้นนายปริญญาผู้จำนองจะอ้างว่าการที่ธนาคารทักษิณปลดจำนองให้แก่นายวาสนาเป็นเหตุให้ตนหลุดพ้นจากความรับผิดไม่ได้

อีกทั้งนายปริญญาผู้จำนองที่เป็นลูกหนี้อ้างว่า  เป็นผู้จำนองที่หลุดพ้นจากความรับผิดตามมาตรา  727  ก็มิได้อีกเช่นกัน  เพราะมาตรา  727  ใช้เฉพาะกับหนี้ประธานที่ผู้จำนองที่เป็นบุคคลภายนอกคนเดียว  แล้วเจ้าหนี้ผู้รับจำนองกระทำการตามมาตรา  697, 700 , 701  ทำให้ผู้จำนองที่เป็นบุคคลภายนอกเสียหาย  แต่ตามอุทาหรณ์นายปริญญาผู้จำนองเป็นลูกหนี้ชั้นต้นจึงจะอ้างประโยชน์ตามมาตรา  697 ประกอบมาตรา  727  เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากความรับผิดไม่ได้

สรุป 

1       ฟ้องเพิกถอนการจดทะเบียนการเช่าไม่ได้  ตามมาตรา  722

2       การจำนองครอบเฉพาะที่ดินที่นำมาจำนองตามมาตรา  718   720  และมาตรา  721

3       นายปริญญาผู้จำนองที่เป็นลูกหนี้ชั้นต้น  จะอ้างมาตรา  726  และ  727  เพื่อหลุดพ้นจากความรับผิดไม่ได้

 

ข้อ  3  นายมหาชนทำสัญญากู้เงินนายชาติไทยเป็นเงิน  3  แสนบาท  โดยนายประชาธิปัตย์ได้นำเครื่องจักรมูลค่า  3  แสนบาทเป็นประกันการกู้เงินของนายมหาชน  ซึ่งนายชาติไทยและนายประชาธิปัตย์ตกลงให้นายมหาชนเป็นผู้เก็บรักษาเครื่องจักร  ถ้าต่อมานายมหาชนผิดนัดไม่ชำระหนี้เงินกู้  พร้อมดอกเบี้ยเกินกว่า  5  ปีแล้ว  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า

1       การจำนำเครื่องจักรระงับหรือไม่  เพราะเหตุใด

2       นายชาติไทยจะบังคับจำนำโดยเอาเครื่องจักรที่รับจำนำไว้หลุดเป็นกรรมสิทธิ์ของตนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  747  อันว่าจำนำนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง  เรียกว่า  ผู้จำนำส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า ผู้รับจำนำ  เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้

มาตรา  749  คู่สัญญาจำนำจะตกลงกันให้บุคคลภายนอกเป็นผู้เก็บรักษาทรัพย์สินจำนำไว้ก็ได้

มาตรา  764  เมื่อจะบังคับจำนำ  ผู้รับจำนำต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนำชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจำนำออกขายได้แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจำนำต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จำนำบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย

มาตรา  769  อันจำนำย่อมระงับไป

(1) เมื่อหนี้ซึ่งจำนำเป็นประกันอยู่นั้นระงับสิ้นไปเพราะเหตุประการอื่นมิใช่เพราะอายุความหรือ

(2) เมื่อผู้รับจำนำยอมให้ทรัพย์สินจำนำกลับคืนไปสู่ครอบครองของผู้จำนำ

วินิจฉัย

การที่นายมหาชนทำสัญญากู้เงินนายชาติไทยเป็นเงิน  3  แสนบาท  โดยนายประชาธิปัตย์ได้จำนำเครื่องจักรมูลค่า  3  แสนบาทเป็นประกันกู้เงินของนายมหาชน  ซึ่งนายชาติไทยผู้รับจำนำ  และนายประชาธิปัตย์ผู้จำนำตกลงให้นายมหาชนลูกหนี้ชั้นต้นซึ่งเป็นบุคคลภายนอกสัญญาจำนำเป็นผู้เก็บรักษาเครื่องจักร  การจำนำเกิดขึ้นและมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา  747  ประกอบมาตรา  749  ต่อมานายมหาชนผิดนัดไม่ชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยเกินกว่า  5  ปีแล้ว  เช่นนี้

1       การจำนำเครื่องจักรระงับหรือไม่  เห็นว่า  มาตรา  769 (2)  จำนำจะระงับเมื่อผู้รับจำนำส่งคืนทรัพย์สินที่รับจำนำให้แก่ผู้จำนำ  แต่กรณีตามปัญหานายชาติไทยผู้รับจำนำไม่ได้คืนเครื่องจักรให้นายประชาธิปัตย์ผู้จำนำ  ดังนั้นการจำนำไม่ระงับตามมาตรา  769  (2)  แต่ตกลงให้นายมหาชนเป็นผู้เก็บรักษาได้ตามมาตรา  749

2       นายชาติไทยจะบังคับจำนำโดยเอาเครื่องจักรที่รับจำนำไว้หลุดเป็นกรรมสิทธิ์ของตนได้หรือไม่  เห็นว่า  ตามมาตรา  764  ไม่มีกรณีจะบังคับจำนำเอาทรัพย์หลุดเป็นกรรมสิทธิ์ได้  เพราะต้องบังคับจำนำโดยเอาเครื่องจักรออกขายทอดตลาดชำระหนี้เท่านั้น

สรุป 

1       การจำนำไม่ระงับตามมาตรา  769 (2)  ประกอบมาตรา  749

2       บังคับจำนำเอาทรัพย์จำนำหลุดเป็นกรรมสิทธิ์ไม่ได้ตามมาตรา  764

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ สอบซ่อม 1/2549

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายเอทำสัญญาจ้างนายบีเป็นพนักงานเก็บเงินที่ร้านขายขนมปัง  โดยมีกำหนดเวลาจ้าง  1  ปี  ในการนี้  นายซีได้ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายบี  โดยข้อความในสัญญาค้ำประกันข้อหนึ่งมีใจความว่า  นายซีขอรับผิดในความเสียหายร่วมกับนายลบี  หลังจากนั้น  3  วัน  นายซีได้ส่งมอบรถจักรยานยนต์ของนายซีไว้เป็นประกันการชำระหนี้ให้นายเอ  ต่อมาเมื่อนายบีทำงานได้  3  เดือน  นายซีต้องเดินทางไปต่างประเทศจึงได้ส่งจดหมายบอกเลิกการค้ำประกันไปยังนายเอ  แต่ปรากฏว่านายเอไม่อยู่ไปต่างจังหวัด  หลังจากที่มีจดหมายบอกเลิกการค้ำประกันแล้ว  นายบีได้ยักยอกเงินนายเอไปเป็นจำนวน  10,000  บาท  เมื่อนายเอกลับจากต่างจังหวัด  นายบีได้ยื่นจดหมายลาออกและนายเอได้อนุมัติให้นายบีลาออกไปและคืนรถจักรยานยนต์ให้นายบีไป  โดยนายเอยังไม่ทราบว่านายบีทุจริตยักยอกเงินของตนเองไป  เช่นนี้

1       นายเอจะเรียกร้องให้นายซีรับผิดได้หรือไม่อย่างไร

2       ถ้าหากนายซีจะต้องรับผิด  นายซีจะมีสิทธิตามกฎหมายค้ำประกันอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา 681 อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์

 หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไข จะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้ นั้นอาจเป็นผลได้จริง ก็ประกันได้

 หนี้อันเกิดแต่สัญญาซึ่งไม่ผูกพันลูกหนี้ เพราะทำด้วยความสำคัญผิด หรือเพราะเป็นผู้ไร้ความสามารถนั้น ก็อาจจะมีประกันอย่างสมบูรณ์ได้ ถ้าหากว่าผู้ค้ำประกันรู้เหตุสำคัญผิดหรือไร้ความสามารถนั้นในขณะที่ เข้าทำสัญญาผูกพันตน

มาตรา 688 เมื่อเจ้าหนี้ทวงให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ ผู้ค้ำประกัน จะขอให้เรียกลูกหนี้ชำระก่อนก็ได้ เว้นแต่ลูกหนี้จะถูกศาลพิพากษา ให้เป็นคนล้มละลายเสียแล้ว หรือไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ไปอยู่แห่งใดใน พระราชอาณาเขต

มาตรา  689  ถึงแม้จะได้เรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ดังกล่าวมาในมาตราก่อนนั้นแล้วก็ตาม  ถ้าผู้ค้ำประกันพิสูจน์ได้ว่าลูกหนี้นั้นมีทางที่จะชำระหนี้ได้  และการที่จะบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นจะไม่เป็นการยากไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องบังคับการชำระหนี้รายนั้นเอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน

มาตรา  690  ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดไว้เป็นประกันไซร้  เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ  ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องให้ชำระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน

มาตรา  691  ถ้าผู้ค้ำประกันต้องรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมไม่มีสิทธิดังกล่าวไว้ในมาตรา  688, 689, และ  690 

มาตรา  699  การค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวไม่มีจำกัดเวลาเป็นคุณแก่เจ้าหนี้นั้นท่านว่าผู้ค้ำประกันอาจเลิกเสียเพื่อคราวอันเป็นอนาคตได้  โดยบอกกล่าวความประสงค์นั้นแก่เจ้าหนี้

ในกรณีเช่นนี้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดในกิจการที่ลูกหนี้กระทำลงภายหลังคำบอกกล่าวนั้นได้ไปถึงเจ้าหนี้

วินิจฉัย

การค้ำประกันการจ้างแรงงานเป็นการค้ำประกันหนี้ในอนาคตซึ่งอาจมีการค้ำประกันได้ตามมาตรา  681  วรรคสอง  ดังนั้นนายซีจึงมีความผูกพันติองรับผิดตามสัญญาค้ำประกันการทำงานของนายบี  แม้เป็นหนี้ในอนาคตก็ตาม

 1       เมื่อปรากฏว่าการจ้างมีกำหนดเวลา  1  ปี  จึงเป็นการค้ำประกันที่มีกำหนดเวลา  แม้ว่าการจ้างแรงงานจะเป็นกิจการเนื่องกันไปหลายคราวก็ตาม  นายซีผู้ค้ำประกันก็ไม่อาจบอกเลิกก่อนครบกำหนด  1  ปีได้  ดังนั้นแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่านายซีได้ส่งจดหมายบอกเลิกการค้ำประกันไปแล้วก็ตาม  การบอกเลิกสัญญานั้น  ก็ไม่มีผลบังคับทางกฎหมายตามมาตรา  699  เพราะมิใช่การค้ำประกันเพื่อกิจการเนื่องกันไปหลายคราวไม่มีจำกัดเวลา  นายซียังคงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน  เมื่อนายบีได้ยักยอกเงินนายเอไปจำนวน  10,000 บาท  นายซีผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวต่อนายเอเจ้าหนี้ด้วย

2       นายซีเป็นผู้ค้ำประกัน  โดยขอรับผิดร่วมกับนายบีลูกหนี้  ตามมาตรา  691  จึงไม่มีสิทธิตามมาตรา  688  690  ในเรื่องการเกี่ยงต่างๆกล่าวคือ

1)    ไม่มีสิทธิเกี่ยงให้นายเอเจ้าหนี้ไปเรียกให้นายบีลูกหนี้ชำระหนี้ก่อน (มาตรา 688)

2)    ไม่มีสิทธิเกี่ยง  โดยขอพิสูจน์ว่านายบีลูกหนี้มีทรัพย์สินที่สามารถชำระหนี้ให้นายเอได้ (มาตรา 689)

3)    ไม่มีสิทธิเกี่ยงให้นายเอเจ้าหนี้บังคับเอากับหลักประกันที่ลูกหนี้ได้ให้ไว้เป็นประกัน (มาตรา  690)

กรณีที่นายเอเจ้าหนี้ผู้รับจำนำได้คืนรถจักรยานยนต์ที่นายซีส่งมอบไว้เป็นการจำนำให้นายบีไป  โดยไม่ปรากฏว่านายซีผู้จำนำซึ่งเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์  ได้มอบหมายให้นายบีเป็นตัวแทนในการรับมอบนี้  จึงยังไม่มีการส่งมอบรถจักรยานยนต์ที่จำนำกลับไปสู่ความครอบครองของนายซีผู้จำนำ  การจำนำจึงยังไม่ระงับตามมาตรา  769 (2)  ดังนั้น  นายเอเจ้าหนี้จึงยังคงเป็นผู้รับจำนำ  มีสิทธิเหนือรถจักรยานยนต์ของนายซีผู้จำนำ  และนายเอยังมีสิทธิเรียกร้องให้นายซีผู้ค้ำประกันรับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้ด้วยจนกว่านายเอจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วน

สรุป

1       นายซีผู้ค้ำประกันหนี้ในอนาคตต้องรับผิดตามมาตรา  681  วรรคสอง  ประกอบมาตรา  699

2       นายซีผู้ค้ำประกันไม่มีสิทธิเกี่ยงตามมาตรา  688  690 (ตามมาตรา 691)

 

ข้อ  2  นางกาเป็นเจ้าหนี้เงินกู้  นางกีเป็นลูกหนี้ของนางกา  นางกีได้นำที่ดินจดทะเบียนจำนองประกันหนี้เงินยืมเป็นเงิน  100,000  บาท โดยการจำนองครั้งนี้นางกาได้กำหนดเงื่อนไขในการจำนองว่า

1       ห้ามมิให้นางกีนำที่ดินดังกล่าวไปจำนองคนอื่นอีก

2       ให้ใช้ที่ดินดังกล่าวชำระหนี้โดยยกที่ดินให้นางกาทันทีหากนางกีผิดนัดชำระหนี้

ดังนี้  เงื่อนไขดังกล่าวใช้บังคับตามกฎหมายได้เพียงใดหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนอง  เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนองเป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา  711  การที่จะตกลงกันไว้เสียแต่ก่อนเวลาหนี้ถึงกำหนดชำระเป็นข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  ถ้าไม่ชำระหนี้  ให้ผู้รับจำนองเข้าเป็นเจ้าของทรัพย์สินซึ่งจำนอง  หรือว่าได้จัดการแก่ทรัพย์สินนั้นเป็นประการอื่นอย่างใดนอกจากตามบทบัญญัติทั้งหลายว่าด้วยการบังคับจำนองนั้นไซร้  ข้อตกลงเช่นนั้นท่านว่าไม่สมบูรณ์

มาตรา  712  แม้ถึงว่ามีข้อสัญญาเป็นอย่างอื่นก็ตาม  ทรัพย์สินซึ่งจำนองไว้แก่บุคคลคนหนึ่งนั้น  ท่านว่าจะเอาไปจำนองแก่บุคคลอีกคนหนึ่งในระหว่างเวลาที่สัญญาก่อนยังมีอายุอยู่ก็ได้

วินิจฉัย

การจำนองที่ดินดังกล่าวถือเป็นการจำนองที่ถูกต้องตามกฎหมาย  เพราะมีการจดทะเบียนแล้ว  แต่เนื่องจากข้อกำหนดในสัญญาที่ว่า

1       ห้ามจำนองที่ดินดังกล่าว  (ที่ดินที่ได้นำมาจำนองนั้น)  กับคนอื่นอีกใช้บังคับตามกฎหมายไม่ได้  เนื่องจากเป็นการขัดกับกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  712  ที่ให้สิทธิเจ้าของที่ดินที่ติดจำนองไปทำสัญญาจำนองอีกได้  เงื่อนไขในการจำนองที่ห้ามจำนองซ้อนนี้  จึงเป็นการตกลงยกเว้นบทบัญญัติของกฎหมายซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน  ผลคือ ตกเป็นโมฆะ

2       ให้ที่ดินที่จำนองตกเป็นของเจ้าหนี้  หากลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้นั้นใช้บังคับตามกฎหมายไม่ได้เช่นกัน  เป็นการขัดต่อกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  711  ทั้งนี้ก็เพราะว่าเจ้าหนี้จะต้องบังคับจำนองตามที่กฎหมายบัญญัติ  และบทบัญญัติตามมาตรา  711 เป็นบทบัญญัติที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน  คู่สัญญาจะทำสัญญาตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นไม่ได้  หากฝ่าฝืน  ผลคือ  ตกเป็นโมฆะ  ใช้บังคับไม่ได้

อย่างไรก็ดี  เฉพาะเงื่อนไขในการจำนอง  2  ข้อดังกล่าวเท่านั้นที่มีผลเป็นโมฆะ  ใช้บังคับตามกฎหมายไม่ได้  ส่วนสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาจำนองก็ยังคงสมบูรณ์ตามกฎหมาย

สรุป  เงื่อนไขดังกล่าวใช้บังคับตามกฎหมายไม่ได้  เป็นโมฆะ

 

ข้อ  3  นาย  ก  เช่าซื้อเครื่องรับโทรทัศน์จากนาย  ข  ในระหว่างที่นาย  ก  ยังผ่อนชำระค่าเช่าซื้อไม่หมด  นาย  ก  ได้นำเครื่องรับโทรทัศน์นั้นไปจำนำไว้กับนาย  ค  กรณีหนึ่งหรือ  นาย  ก  ได้นำเครื่องรับโทรทัศน์นั้นไปจำนำไว้กับโรงจำนำอีกกรณีหนึ่ง  โดยจำนำทั้งสองกรณีไว้เป็นจำนวนเงิน  8,000  บาท  และทั้งนาย  ค  และโรงรับจำนำได้รับจำนำไว้โดยสุจริต

ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  ทั้ง  2  กรณีดังกล่าวข้างต้นนี้  นาย  ข  มีสิทธิฟ้องเรียกคืนเครื่องรับโทรทัศน์นั้นโดยไม่ต้องไถ่ถอนทรัพย์จำนำได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  747  อันว่าจำนำนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง  เรียกว่า  ผู้จำนำส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า ผู้รับจำนำ  เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้

มาตรา  757  บทบัญญัติทั้งหลายในลักษณะ  13  นี้  ท่านให้ใช้บังคับแก่สัญญาจำนำที่ทำกับผู้ตั้งโรงรับจำนำโดยอนุญาตรัฐบาลแต่เพียงที่ไม่ขัดกับกฎหมาย  หรือกฎข้อบังคับว่าด้วยโรงจำนำ

มาตรา  1336  ภายในบังคับแห่งกฎหมาย  เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอยและจำหน่ายทรัพย์สินของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น  กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดไว้  และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

วินิจฉัย

กรณีจำนำไว้กับนาย ค   นาย  ก  เอาเครื่องรับโทรทัศน์ที่ยังชำระค่าเช่าซื้อไม่หมดไปจำนำไว้กับนาย  ค  กรรมสิทธิ์ในเครื่องรับโทรทัศน์ยังเป็นของนาย  ข  อยู่  นาย  ก  ไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริงจึงไม่มีสิทธิที่จะเอาเครื่องรับโทรทัศน์ไปจำนำตามมาตรา  747  ดังนั้นในฐานะเจ้าของ  นาย  ข  จึงมีสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนได้  ตามมาตรา  1336  นาย  ข  จึงฟ้องเรียกเครื่องรับโทรทัศน์คืนจากนาย  ค  ได้  โดยไม่ต้องเสียค่าไถ่ทรัพย์ที่จำนำ

กรณีจำนำไว้กับโรงรับจำนำ  การที่นาย  ก  เอาเครื่องรับโทรทัศน์ที่ยังชำระค่าเช่าซื้อไม่หมดไปจำนำไว้กับโรงรับจำนำนั้น  แม้นาย  ก  จะไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริงของทรัพย์ที่นำมาจำนำ  ตามมาตรา  747  แต่  โรงรับจำนำได้รับความคุ้มครองตาม  พ.ร.บ.  โรงรับจำนำ  พ.ศ.2505  และมาตรา  757  ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษ  อีกทั้งตามปัญหาโรงรับจำนำได้รับจำนำไว้โดยสุจริต  โรงรับจำนำจึงไม่ต้องคืนทรัพย์แก่เจ้าของที่แท้จริง  เว้นแต่เจ้าของจะเสียค่าไถ่ถอน

ดังนี้  นาย  ข  จึงมีสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนได้ตามมาตรา  1336  โยนาย  ข  ต้องเสียค่าไถ่ถอนทรัพย์จำนำ

สรุป

นาย  ข  มีสิทธิฟ้องเรียกคืนเครื่องรับโทรทัศน์ได้  ตามมาตรา  1336  โดย

1       กรณีจำนำไว้กับนาย  ค  นั้น  นาย  ข  ไม่ต้องเสียค่าไถ่ทรัพย์ที่จำนำ

2       กรณีจำนำไว้กับโรงรับจำนำ  นาย  ข  ต้องเสียค่าไถ่ถอนทรัพย์จำนำ

WordPress Ads
error: Content is protected !!