LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า S/2552

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นาย  ก  มอบหมายนาย  ข  ให้มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์โดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือ  ต่อมามีนาย  ค  มาขอเช่าซื้อรถยนต์  โดยนาย  ข  ได้ทำสัญญาให้เช่าซื้อกับนาย  ค  ไป  และนาย  ค  ได้วางเงินดาวน์ไว้  300,000  บาท  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า

1.1            นาย  ข  มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

1.2            สัญญาให้เช่าซื้อที่นาย  ข  ทำไป  มีผลเป็นเช่นไร

1.3            เงินดาวน์ที่นาย  ค  มอบให้ไว้กับนาย  ข  นั้น  นาย  ข  จะต้องโอนคืนตัวการหรือไม่  เพราะเหตุใด

1.4            หากนาย  ข  ไม่คืน  นาย  ก  ฟ้องนาย  ข  ให้คืน  นาย  ข  อ้างว่านาย  ก  ไม่มีสิทธิฟ้อง  เพราะนาย  ก  ตั้งนาย  ข  เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือ  ดังนี้ข้ออ้างของนาย  ข  ฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ให้ท่านวินิจฉัยเป็นข้อๆ  พร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยทุกข้อ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  152  การใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้  การนั้นเป็นโมฆะ

มาตรา  572  วรรคสอง  สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ  ท่านว่าเป็นโมฆะ

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

มาตรา 810  เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้ เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  มอบหมายให้นาย  ข  มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์โดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือ  และต่อมามีนาย ค  มาขอเช่าซื้อรถยนต์โดยได้วางเงินดาวน์ไว้  300,000  บาท  และนาย  ข  ได้ทำสัญญาให้เช่าซื้อกับนาย ค  ไป  

1.1            ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว  นาย  ข  มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อการทำสัญญาให้เช่าซื้อนั้นเป็นกิจการที่กฎหมายบังคับไว้ว่าต้องทำเป็นหนังสือ  (มาตรา  572  วรรคสอง)  ดังนั้น  การตั้งตัวแทนเพื่อไปทำสัญญาให้เช่าซื้อจึงต้องทำเป็นหนังสือด้วย  ตามมาตรา  798  วรรคแรก  เมื่อการตั้งตัวแทนของนาย  ก  ที่ให้นาย  ข  เป็นตัวแทนไปทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์มิได้ทำเป็นหนังสือ  จึงเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายมาตรา  798  วรรคแรก  ดังนั้นนาย  ข  จึงไม่มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อ

1.2            เมื่อนาย  ข  ไม่มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อ  ดังนั้นเมื่อนาย  ข  ได้ไปทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์กับนาย  ค  สัญญาให้เช่าซื้อดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  152  ที่มีหลักว่า  การใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้  การนั้นเป็นโมฆะ

1.3            แม้การตั้งตัวแทนระหว่างนาย  ก  กับนาย  ข  จะมิได้ทำเป็นหนังสือ  แต่เงินดาวน์ที่นาย  ข  รับไว้จากนาย  ค  300,000  บาทนั้น  เป็นเงินที่นาย  ข  รับไว้ในฐานะตัวแทนของนาย  ก  ซึ่งเป็นตัวการ  ดังนั้นนาย  ข  จึงต้องโอนคืนให้แก่ตัวการคือนาย  ก  ตามมาตรา  810  วรรคแรก

1.4            หากนาย  ข  ไม่โอนคืนเงิน  300,000  บาท  นั้นให้แก่นาย  ก  นาย  ก  ย่อมสามารถฟ้องให้นาย  ข  โอนคืนได้  การที่นาย  ข  อ้างว่า  นาย  ก  ตั้งนาย  ข  เป็นตัวแทน  มิได้ทำเป็นหนังสือตามมาตรา  798  วรรคแรกนั้น  ข้ออ้างของนาย  ข  ฟังไม่ขึ้น  เพราะระหว่างนาย  ก  ตัวการกับนาย  ข  ตัวแทนนั้น  แม้สัญญาตั้งตัวแทนจะมิได้ทำเป็นหนังสือก็สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้  เพราะถือว่าเป็นข้อยกเว้นของมาตรา  798

สรุป

1.1  นาย  ข  ไม่มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อ

1.2  สัญญาให้เช่าซื้อที่นาย  ข  ทำไปมีผลเป็นโมฆะ

1.3  เงินดาวน์ที่นาย  ค  มอบให้ไว้กับนาย  ข  นั้น  นาย  ข  จะต้องโอนคืนตัวการ

1.4  ข้ออ้างของนาย  ข  ที่ว่าการตั้งตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  2  นาย  ก  มอบหมายนาย  ข  ให้ซื้อบ้านไม้สักทรงไทย  1  หลัง  ในราคาที่แพงมาก  นาย  ก  ไม่อยากให้ใครรู้ว่านาย  ก  มีเงินมาก จึงให้ซื้อโดยใส่ชื่อนาย  ข  เป็นเจ้าของไปก่อน  หลังจากนั้น  3  ปี  นาย  ก  จึงให้นาย  ข  โอนบ้านหลังดังกล่าวมาให้นาย  ก  นาย  ข  ไม่โอนให้โดยอ้างว่าบ้านเป็นชื่อของนาย  ข  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  นาย  ข  จะต้องโอนบ้านให้นาย  ก  หรือไม่  และหากนาย  ข  ไม่โอน  นาย  ก  จะฟ้องให้นาย  ข  โอนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  806  ตัวการซึ่งมิได้เผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและ เข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทนได้ทำไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการ ผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทำการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทนและเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้น ได้ไม่

มาตรา 810  เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้ เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเอง แต่โดยฐานที่ทำการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  มอบหมายให้นาย  ข  ซื้อบ้านไม้สักทรงไทย  1  หลังให้แก่ตน  แต่นาย  ก  ไม่อยากให้ใครรู้ว่าตนมีเงินมาก  จึงให้ซื้อโดยใส่ชื่อของนาย  ข  เป็นเจ้าของไปก่อนนั้น  กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องของตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อตามมาตรา  806  โดยนาย  ก  ตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อได้มอบหมายให้นาย  ข  ตัวแทน  ออกหน้าเป็นตัวการ  ดังนั้น  การที่นาย  ข  ได้ไปซื้อบ้านหลังดังกล่าว  แม้นาย  ข  จะได้ซื้อบ้านในนามของนาย  ข  เอง  แต่ก็เป็นการกระทำที่ได้รับมอบหมายจากนาย  ก  ให้กระทำแทนนาย  ก  และเมื่อนาย  ก  ต้องการให้นาย  ข  โอนบ้านหลังดังกล่าวมาให้นาย  ก  นาย  ข  จึงต้องโอนบ้านหลังนั้นคืนให้แก่นาย  ก  ตามมาตรา  810  ซึ่งมีหลักว่า  เงินและทรัพย์สินที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น  ตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้นและหากนาย  ข  ไม่โอน  นาย  ก ย่อมสามารถฟ้องให้นาย  ข  โอนบ้านให้แก่ตนได้

สรุป  นาย  ข  จะต้องโอนบ้านให้นาย  ก  และหากนาย  ข  ไม่โอน  นาย  ก  ฟ้องให้นาย  ข  โอนได้

 

ข้อ  3  นาย  ก  มอบหมายให้นาย  ข  ขายที่ดินให้  และตกลงกันว่าจะให้บำเหน็จ  แต่นาย  ข  จะต้องขายให้ได้ภายในระยะเวลาปี  พ.ศ.2553  แต่นาย  ข  มาขายที่ดินได้ในเดือนมีนาคม  พ.ศ.2554  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  นาย  ก  จะต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้นาย  ข  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845  วรรคแรก บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา  845  วรรคแรก  จะเห็นได้ว่า  ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง  หรือจัดการจนเขาได้ทำสัญญากับบุคลภายนอก  และนายหน้ารับกระทำการตามนั้น  และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทำสัญญากันแล้ว  นายหน้าย่อมจะได้รับค่าบำเหน็จ

แต่อย่างไรก็ตาม  ถ้าสัญญานายหน้านั้นมีการกำหนดระยะเวลาไว้เป็นที่แน่นอนว่านายหน้าจะต้องกระทำการให้เสร็จภายในกำหนดระยะเวลานั้น  นายหน้าจะมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อได้กระทำการให้เสร็จภายในกำหนดระยะเวลานั้นด้วย  (ฎ. 827/2523)

ตามอุทาหรณ์  การที่นาย  ก  มอบหมายให้นาย  ข  ขายที่ดินให้  และตกลงกันว่าจะให้บำเหน็จแต่นาย  ข  จะต้องขายให้ได้ภายในระยะเวลาปี  พ.ศ.2553  นั้น  แสดงให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาว่าได้กำหนดระยะเวลาไว้แน่นอนแล้วว่าจะต้องขายที่ดินให้ได้ภายในสิ้นปี  พ.ศ.2553  และหากไม่มีการผ่อนเวลาย่อมถือได้ว่าสัญญาดังกล่าวได้สิ้นสุดลง

ดังนั้นเมื่อภายในระยะเวลาปี  พ.ศ.2553  นาย  ข  ยังขายที่ดินไม่ได้โดยนาย  ข  มาขายได้เมื่อเดือนมีนาคม  พ.ศ.2554  จึงล่วงเลยเวลาที่ได้ตกลงกันไว้  เท่ากับว่า  นาย  ข  ขายที่ดินไม่ได้ตามระยะเวลาที่ตกลงไว้กับนาย  ก  จึงถือว่าสัญญานายหน้าดังกล่าวได้สิ้นสุดลงแล้ว  นาย  ก  จึงไม่ต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้นาย  ข  ตามมาตรา  845 

สรุป  นาย  ก  ไม่ต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้นาย  ข

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 1/2553

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  ตกลงให้  ข  ทำการอย่างหนึ่งแทนตน  โดยให้  ข  ออกหน้าเป็นตัวการ  ข  ได้ทำการนั้นกับ  ค  โดย  ค  เข้าใจโดยสุจริตว่า  ข คือเจ้าของกิจการที่  ค  เข้ากระทำด้วย  ต่อมา  ค  ได้รับความเสียหายจาก  ข  ค  จึงฟ้อง  ข  ให้รับผิด  ข  ปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่า  ข  เป็นเพียงตัวแทนทำแทน  ก  ตัวการได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  ประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่ง  จากโจทย์ข้างต้นว่า  ภายหลังจาก  ค  ทำสัญญากับ  ข  แล้ว  ค  รู้ว่า  ข  เป็นเพียงตัวแทน  และ  ก  เป็นตัวการ  เมื่อ  ค  ได้รับความเสียหายจาก  ข  ค  จะฟ้อง  ก  ให้รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และ  ก  จะปฏิเสธความรับผิดว่าตนตั้ง  ข  เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือ  ค  ไม่มีอำนาจฟ้อง  ข้ออ้างของ  ก  ฟังขึ้นหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

มาตรา  806  ตัวการซึ่งมิได้เผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและ เข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทน

ได้ทำไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการ ผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทำการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทนและเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้น ได้ไม่

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การที่  ก  ตกลงให้  ข  ทำการอย่างหนึ่งแทนตนโดยให้ออกหน้าเป็นตัวการ  และ  ข  ได้ทำการนั้นกับ  ค  โดย  ค  เข้าใจโดยสุจริตว่า  ข  คือเจ้าของกิจการที่  ค  เข้ากระทำด้วยนั้น  ถือว่าเป็นเรื่องตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อตามมาตรา  806  เมื่อ  ค บุคคลภายนอกไม่รู้ว่ามีตัวการ  ข  จึงต้องรับผิดต่อ  ค  เช่นเดียวกับเป็นตัวการเอง  ดังนั้น  ข  จะปฏิเสธความรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้ตามมาตรา  806  (ฎ. 311/2523)

ส่วนอีกประการหนึ่ง  ภายหลังจากทำสัญญา  การที่  ค  รู้ว่า  ข  เป็นเพียงตัวแทนของ  ก  เมื่อเป็นเรื่องตัวการซึ่งมิได้เปิดเผยชื่อตามมาตรา  806  และบุคคลภายนอกรู้แล้วว่าตัวการคือใคร  ดังนั้น  ข  ตัวแทน  จึงหลุดพ้นจากความรับผิด  ค  จึงฟ้อง  ก  ตัวการให้รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้  และ  ก  จะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่า  ค  ไม่มีอำนาจฟ้องไม่ได้  เพราะแม้ว่าการที่  ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนจะมิได้ทำเป็นหนังสือ  แต่บทบัญญัติมาตรา  806  เป็นข้อยกเว้นของมาตรา  798  ข้ออ้างของ  ก  จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป  ประการแรก  ข  จะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าตนเป็นเพียงตัวแทนทำแทน  ก  ตัวการไม่ได้  และประการที่สอง  ข้ออ้างของ  ก  ที่ว่า  ค  ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  2  นายแดงเปิดร้านขายทองรูปพรรณอยู่ที่ตลาดบางกะปิมาหลายสิบปีแล้ว  เมื่อวันที่  1  กันยายน  2553  นายดำได้นำทองรูปพรรณหนัก  100  บาท  ซึ่งได้รับมรดกจากมารดามาฝากนายแดงขายโดยตกลงจ่ายบำเหน็จให้แก่นายแดงร้อยละ  3  ซึ่งราคาซื้อขายทองคำเป็นไปตามราคาตลาดโลก  ในวันที่นำมาฝากขายราคาทองคำบาทละ  18,300  บาท  ต่อมาวันที่  10  กันยายน  2553  ราคาทองคำตามราคาตลาดโลกบาทละ  18,500  บาท  นายแดงจึงอยากซื้อทองรูปพรรณของนายดำที่นำมาฝากขายเพราะเห็นว่าราคาทองคำจะต้องขึ้นราคาสูงกว่า  18,500  บาท  ถ้าตนซื้อไว้คงจะได้กำไร  จึงได้โทรศัพท์ไปบอกกล่าวแก่นายดำ  นายดำได้รับคำบอกกล่าวแล้วก็ไม่ได้บอกปัดในทันทีที่ได้รับโทรศัพท์เพราะต้องการได้เงินจากการขายทองรูปพรรณ  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  สัญญาซื้อขายทองรูปพรรณดังกล่าว  เกิดขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด  และนายแดงจะคิดเอาบำเหน็จจากนายดำได้หรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  833  อันว่าตัวแทนค้าต่าง  คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทำการซื้อ  หรือขายทรัพย์สิน  หรือรับจัดทำกิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ

มาตรา 843  ตัวแทนค้าต่างคนใดได้รับคำสั่งให้ขายหรือซื้อทรัพย์สินอันมีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  ท่านว่าตัวแทนคนนั้นจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายเองก็ได้  เว้นแต่จะมีข้อห้ามไว้ชัดแจ้งโดยสัญญาในกรณีเช่นนั้น  ราคาอันจะพึงใช้เงินแก่กันก็พึงกำหนดตามรายการขานราคาทรัพย์สินนั้น  ณ  สถานแลกเปลี่ยนในเวลาเมื่อตัวแทนค้าต่างให้คำบอกกล่าวว่าตนจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย

เมื่อตัวการรับคำบอกกล่าวเช่นนั้น  ถ้าไม่บอกปัดเสียในที  ท่านให้ถือว่าตัวการเป็นอันได้สนองรับการนั้นแล้ว

อนึ่งแม้ในกรณีเช่นนั้น  ตัวแทนค้าต่างจะคิดเอาบำเหน็จก็ย่อมคิดได้

วินิจฉัย  

ตามมาตรา  843  ได้บัญญัติไว้ว่า  ถ้าตัวการมอบหมายให้ตัวแทนค้าต่างขายทรัพย์สินแทนตน  และทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่มีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  และไม่มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งในสัญญาตัวแทนค้าต่างจะเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้นไว้เสียเองก็ได้

แต่อย่างไรก็ตาม  ตัวแทนค้าต่างจะต้องบอกกล่าวให้ตัวการรู้ด้วยว่าตนเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้น  ซึ่งถ้าตัวการไม่ต้องการขายให้ตัวแทนค้าต่างก็ต้องบอกปัดในทันที  ไม่เช่นนั้นจะถือว่าตัวการได้สนองรับคำบอกกล่าวนั้นแล้ว  และนอกจากนี้ตัวแทนค้าต่างก็ยังมีสิทธิได้รับบำเหน็จตามสัญญาอีกด้วย

ตามอุทาหรณ์  การที่นายดำนำทองรูปพรรณไปฝากนายแดงขาย  ซึ่งนายแดงได้เปิดร้านขายทองรูปพรรณมาหลายสิบปีแล้วนั้น  ถือว่านายแดงเป็นตัวแทนค้าต่างตามมาตรา  833

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  ต่อมาราคาทองคำได้เพิ่มสูงขึ้นตามราคาตลาดโลกซึ่งถือเป็นรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  เมื่อนายแดงเห็นว่าราคาทองคำจะมีแนวโน้มสูงขึ้นจึงต้องการซื้อทองรูปพรรณของนายดำไว้เพื่อเก็งกำไร  ดังนี้นายแดงก็ย่อมสามารถทำได้  เพราะในสัญญาไม่มีข้อห้ามไว้ตามมาตรา  843  วรรคแรก

และเมื่อนายแดงโทรศัพท์ไปบอกกล่าวแก่นายดำตัวการ  ซึ่งนายดำได้รับคำบอกกล่าวแล้วแต่มิได้บอกปัดในทันที  จึงถือว่านายดำได้สนองรับคำบอกกล่าวนั้นแล้ว  สัญญาซื้อขายทองรูปพรรณระหว่างนายแดงกับนายดำจึงเกิดขึ้นตามมาตรา  843  วรรคสอง  และนอกจากนี้นายแดงก็ยังคิดเอาบำเหน็จร้อยละ  3  จากนายดำเนื่องจากการซื้อขายของตนได้อีกด้วยตามมาตรา  843  วรรคท้าย

สรุป  สัญญาซื้อขายทองรูปพรรณดังกล่าวเกิดขึ้นแล้ว  และนายแดงสามารถคิดเอาบำเหน็จจากนายดำได้

 

ข้อ  3  หลังจากบิดาตาย  ที่ดินส่วนมรดกของบิดาก็ตกทอดแก่ทายาทคือมารดาและบุตรอีกสองคน  ซึ่งเข้ารับมรดกมีชื่อร่วมกันในโฉนดดังกล่าว  เมื่อต้องการขายที่ดินเพื่อเอาเงินมาแบ่งกัน  มารดาก็จัดการขายที่ดินโดยให้ขาวเป็นนายหน้า  ในขณะที่ขาวมาพูดคุยกับมารดาเรื่องการขายที่ดินโดยมีค่านายหน้าบุตรก็ทราบและการพูดคุยบางครั้งบุตรก็อยู่ด้วย  เมื่อขาวหาคนมาซื้อที่ดินได้แล้ว  บุตรสองคนไม่ยอมจ่ายค่านายหน้า  โดยอ้างว่าไม่เคยตกลงให้ขาวเป็นนายหน้า  ข้ออ้างฟังขึ้นหรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  821  บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี  รู้แล้วยอมให้บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี  ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน

มาตรา 845  วรรคแรก บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

วินิจฉัย

โดยหลัก  สัญญานายหน้านั้น  ถ้าได้มีการตกลงกันในเรื่องบำเหน็จและนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการให้บุคคลภายนอกได้เข้ามาทำสัญญากับตัวการจนสำเร็จแล้ว  นายหน้าก็ย่อมมีสิทธิได้รับบำเหน็จตามที่ตกลงกันไว้  ตามมาตรา  845  วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่มารดาจัดการขายที่ดิน  โดยให้ขาวเป็นนายหน้า  ซึ่งในขณะที่ขาวมาพูดคุยกับมารดาเรื่องการขายที่ดินโดยมีค่านายหน้าบุตรก็ทราบ  และการพูดคุยบางครั้งบุตรก็อยู่ด้วยนั้น  ถือได้ว่าบุตรทั้งสองคนได้เชิดมารดาออกเป็นตัวแทนของตนในการทำสัญญานายหน้ากับขาวแล้วตามมาตรา  821

ดังนั้น  เมื่อขาวหาคนมาซื้อที่ดินดังกล่าวได้แล้ว  ถือว่าเป็นกรณีที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการให้บุคคลภายนอกได้เข้าทำสัญญากับตัวการจนสำเร็จ  ดังนั้นบุตรทั้งสองซึ่งเป็นตัวการจึงต้องรับผิดร่วมกับมารดาซึ่งเป็นตัวแทนของตน  ในการจ่ายค่านายหน้าให้แก่นายขาวด้วยตามมาตรา  821  ประกอบมาตรา  845  วรรคแรก  ข้ออ้างของบุตรทั้งสองคนที่ว่าไม่เคยตกลงให้ขาวเป็นนายหน้าจึงไม่ต้องจ่ายค่านายหน้านั้นฟังไม่ขึ้น

สรุป  ข้ออ้างของบุตรทั้งสองคนดังกล่าวฟังไม่ขึ้น 

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 2/2553

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  มอบ  ข  ให้ออกหน้าขายส่งน้ำมันปาล์ม  มีหน้าที่ส่งน้ำมันปาล์มให้กับลูกค้า  มีลูกค้าหลายรายสั่งน้ำมันปาล์มเข้ามาเป็นจำนวนมาก  มี  ค  เป็นลูกค้ารายหนึ่งสั่งน้ำมันเป็นจำนวนมาก  ค  กลัวไม่ได้น้ำมันเพราะขณะนี้น้ำมันขาดแคลน  จึงส่งเงินให้มาก่อนที่จะได้รับน้ำมัน  เพราะ  ค  ก็มีลูกค้าของตนเป็นจำนวนมากเช่นกัน  ผลปรากฏว่า  ข  ไม่ส่งน้ำมันให้  ค  ตามกำหนด  ต้องโดนลูกค้าบอกเลิกไม่สั่งน้ำมันกับ  ค  อีก  ทำให้  ค  เสียหาย  ดังนี้  ค  จะฟ้อง  ข  ให้รับผิดในความเสียหายได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  ประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่ง  จากตัวอย่างข้างต้น  ถ้า  ค  ทราบว่า  แท้ที่จริงธุรกิจน้ำมันนั้นไม่ใช่  ข  เป็นเจ้าของ  แต่กลับเป็น  ก  เจ้าของ  ดังนี้  ค  จะฟ้องให้  ก  รับผิดในความเสียหายได้หรือไม่  ก  จะปฏิเสธว่า  ค  ไม่มีอำนาจฟ้อง  ก  เพราะ  ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

มาตรา  806  ตัวการซึ่งมิได้เผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและ เข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทนได้ทำไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการ ผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทำการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทนและเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้น ได้ไม่

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ก  มอบหมายให้  ข  ออกหน้าขายส่งน้ำมันปาล์ม  ซึ่งจากพฤติการณ์ทำให้บุคคลภายนอกเชื่อว่า  ข  เป็นตัวการนั้น  ถือเป็นเรื่องตัวการไม่เปิดเผยชื่อตามมาตรา  806  เมื่อ  ค  บุคคลภายนอกได้รับความเสียหายและไม่รู้ว่ามีตัวการ  ข  จึงต้องรับผิดต่อ  ค  เช่นเดียวกับเป็นตัวการเอง  ดังนั้น  ค  จึงสามารถฟ้อง  ข  ให้รับผิดในความเสียหายได้  ข  จะปฏิเสธว่าตนเป็นเพียงตัวแทนเพื่อไม่ต้องรับผิดไม่ได้ตามมาตรา  806  (ฎ. 311/2523)

ส่วนอีกประการหนึ่งนั้น  ถ้า  ค  ทราบว่าแท้จริงธุรกิจน้ำมันไม่ใช่  ข  เป็นเจ้าของ  แต่กลับเป็น  ก  เป็นเจ้าของ  เมื่อเป็นเรื่องตัวการไม่เปิดเผยชื่อตามมาตรา  806  และบุคคลภายนอกรู้แล้วว่าตัวการคือใคร  ดังนั้น  ข  ตัวแทนจึงหลุดพ้นจากความรับผิด  ค  จึงฟ้อง  ก  ตัวการให้รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้  และ  ก  จะปฏิเสธว่า  ค  ไม่มีอำนาจฟ้อง  ก  เพราะ  ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือไม่ได้  เพราะบทบัญญัติมาตรา  806  เป็นข้อยกเว้นของมาตรา  798

สรุป  ประการแรก  ค  ฟ้อง  ข  ให้รับผิดในความเสียหายได้  และประการที่สอง  ค  ฟ้อง  ก  ให้รับผิดในความเสียหายได้  ก  จะปฏิเสธว่า  ค  ไม่มิอำนาจฟ้อง  ก  เพราะ  ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือไม่ได้

 

ข้อ  2  นายแดงเปิดร้านขายรถยนต์มือสองเป็นอาชีพอยู่ที่ถนนลาดพร้าว  นายดำได้นำรถยนต์ใช้แล้วหนึ่งคันไปฝากนายแดงขายโดยกำหนดให้ขายในราคาคันละ  300,000  บาท  และตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายแดงเป็นจำนวนเงิน  20,000  บาท  ปรากฏว่านายแดงได้ขายรถยนต์คันดังกล่าวไปในราคา  350,000  บาท  แต่ไม่ได้นำเงินจำนวนดังกล่าวไปส่งมอบให้แก่นายดำโดยนำเงินจำนวนนั้นไปใช้จ่ายส่วนตัวเสีย  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายแดงจะต้องรับผิดชอบต่อนายดำอย่างไร  เพราะเหตุใด

และอีกกรณีหนึ่ง  ถ้านายแดงได้นำเงินไปมอบให้แก่นายดำเพียง  300,000  บาท  ตามที่นายดำกำหนด  ส่วนอีก  50,000  บาท  ได้นำไปใช้จ่ายส่วนตนเสีย  ให้ท่านวินิจฉัยว่าการกระทำของนายแดงถูกต้องหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810  เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้ เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

อนึ่ง สิทธิทั้งหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเอง แต่โดยฐานที่ทำการแทนตัวการนั้น ตัวแทนก็ต้องโอนให้แก่ตัวการจงสิ้น

มาตรา  811  ถ้าตัวแทนเอาเงินซึ่งควรจะได้ส่งแก่ตัวการ  หรือซึ่งควรจะใช้ในกิจกรรมของตัวการนั้นไปใช้สอยเป็นประโยชน์ตนเสีย  ท่านว่าตัวแทนต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นนับแต่วันที่ได้เอาไปใช้

มาตรา  833  อันว่าตัวแทนค้าต่าง  คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทำการซื้อ  หรือขายทรัพย์สิน  หรือรับจัดทำกิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ

มาตรา  835  บทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้อันว่าด้วยตัวแทนนั้น  ท่านให้ใช้บังคับถึงตัวแทนค้าต่างด้วยเพียงที่ไม่ขัดกับบทบัญญัติในหมวดนี้

มาตรา  840  ถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทำการขายได้ราคาสูงกว่าที่ตัวการกำหนด  หรือทำการซื้อได้ราคาต่ำกว่าที่ตัวการกำหนดไซร้  ท่านว่าตัวแทนหาอาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนได้ไม่  ต้องคิดให้แก่ตัวการ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายดำได้นำรถยนต์ใช้แล้วหนึ่งคันไปฝากนายแดงขายในราคาคันละ  300,000  บาท  ซึ่งนายแดงได้เปิดร้านขายรถยนต์มือสองเป็นอาชีพนั้น  ถือว่านายแดงเป็นตัวแทนค้าต่างตามมาตรา  833

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นายแดงได้ขายรถยนต์คันดังกล่าวไปในราคา  350,000  บาท  แต่ไม่ได้นำเงินจำนวนดังกล่าวไปส่งมอบให้แก่นายดำ  กรณีจึงต้องนำบทบัญญัติเรื่องตัวแทนมาบังคับใช้กับตัวแทนค้าต่างโดยอนุโลมตามมาตรา  835  กล่าวคือ  นายแดงจะต้องนำเงินจำนวน  350,000  บาท  ซึ่งได้รับไว้เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น  ส่งให้แก่ตัวการจงสิ้นตามมาตรา  810  แต่เมื่อปรากฏว่านายแดงตัวแทนค้าต่างได้นำเงินของนายดำตัวการซึ่งควรจะได้ส่งแก่นายดำตัวการไปใช้จ่ายส่วนตัวเสีย  นายแดงตัวแทนค้าต่างจึงต้องรับผิดคือต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นให้กับนายดำตัวการนับแต่วันที่ได้เอาเงินไปใช้ตามมาตรา  811

และอีกกรณีหนึ่ง  ถ้านายแดงได้นำเงินไปมอบให้แก่นายดำเพียง  300,000  บาท  ตามที่นายดำกำหนด  ส่วนอีก  50,000  บาท  ได้นำไปใช้จ่ายส่วนตนเสีย  การกระทำของนายแดงย่อมไม่ถูกต้องเพราะถ้าตัวแทนค้าต่างได้ทำการขายได้ราคาสูงกว่าที่ตัวการกำหนด  ตัวแทนหาอาจจะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนได้ไม่  ต้องคิดให้แก่ตัวการตามมาตรา  840  ดังนั้น  นายแดงจึงต้องนำเงินจำนวน  50,000  บาท คืนให้แก่นายดำตัวการ  จะถือเอาเป็นประโยชน์ของตนไม่ได้

สรุป  กรณีแรกนายแดงจะต้องรับผิดชอบต่อนายดำคือต้องเสียดอกเบี้ยในเงินนั้นให้กับนายดำ  นับแต่วันที่ได้เอาเงินไปใช้  และกรณีที่สองการกระทำของนายแดงไม่ถูกต้องตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ  3  ก  มอบให้  ข  เป็นนายหน้าขายที่ดินของตนในราคาสิบล้านบาท  โดยตกลงจะให้ค่านายหน้าร้อยละสาม  ข  พาผู้สนใจมาดูที่ดินหลายคน  รวมทั้ง  ค  ด้วย  ก็ยังไม่มีการตกลงซื้อขายเพราะต่างเห็นว่าราคาที่ดินสูงไป  ต่อมา  ค  ไปพบ  ก  เสนอร่วมทุนกันทำตลาดนัดเพราะทำเลดี  โดยให้  ก  ลงทุนฝ่ายที่ดิน  ส่วน  ค  เป็นผู้สร้างอาคารร้านค้าและดำเนินการหาผู้มาค้าขาย  นำกำไรมาแบ่งกัน  ซึ่ง  ก  ก็ตกลงด้วยในการทำตลาดนัดดังกล่าว  อยากทราบว่า  ก  จะต้องจ่ายค่านายหน้าให้  ข  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  845  วรรคแรก บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา  845  วรรคแรก  จะเห็นได้ว่า  ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง  หรือจัดการจนเขาได้ทำสัญญากับบุคคลภายนอก  และนายหน้ารับกระทำการตามนั้น  และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทำสัญญากันแล้ว  นายหน้าย่อมจะได้รับค่าบำเหน็จ

แต่อย่างไรก็ตาม  หากสัญญานายหน้านั้นมีวัตถุประสงค์ของสัญญาเช่นใด  เช่น  ตกลงกันว่าให้นำทรัพย์สินไปขาย  หรือให้นำไปเช่า  นายหน้าจะมีสิทธิได้รับบำเหน็จค่านายหน้าก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จตามวัตถุประสงค์นั้นแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ก  มอบให้  ข  เป็นนายหน้าขายที่ดินของตน  และ  ข  ได้พาผู้สนใจมาดูที่ดินหลายคน  รวมทั้ง  ค  ด้วย  แต่ยังไม่มีการตกลงซื้อขายที่ดินกันนั้น  เมื่อปรากฏว่าต่อมา  ค  ไปพบ  ก  และ  เสนอร่วมทุนกันทำตลาดนัดเพราะที่ดินดังกล่าวอยู่ในทำเลดี  กรณีนี้ถึงแม้  ข  จะเป็นผู้มีส่วนทำให้  ค  ได้พบกับ  ก  และได้มีการร่วมทุนทำตลาดนัดกับ  ก  แต่การตกลงทำสัญญาร่วมทุนกันดังกล่าวถือเป็นเรื่องนอกกรอบวัตถุประสงค์ของสัญญานายหน้าที่ตกลงกันว่าให้นายหน้านำที่ดินออกขาย  ดังนั้น  ข  นายหน้าจึงไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จค่านายหน้าตามมาตรา  845  วรรคแรก  ก  จึงไม่ต้องจ่ายค่านายหน้าให้กับ  ข

สรุป  ก  ไม่ต้องจ่ายค่านายหน้าให้  ข  ตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า S/2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  มอบอำนาจให้  ข  มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์โดยมิได้มอบอำนาจเป็นหนังสือมี  ค  มาขอเช่าซื้อรถยนต์  ข  จึงทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์ไปกับ  ค  และ  ค  ได้วางเงินดาวน์ไว้  200,000  บาท  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า

1       ข  มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อหรือไม่  เพราะเหตุใด

2       สัญญาที่  ข  ทำไปกับ  ค  นั้น  ผลจะเป็นเช่นไร  เพราะเหตุใด

3       เงินดาวน์ที่  ข  รับไว้  จาก  ค  นั้น  ข  จะต้องโอนคืนให้กับ  ก  ตัวการหรือไม่  และถ้า  ข  ไม่โอน  ก  ฟ้อง  ข  ให้โอน  ข  จะต่อสู้ว่า  ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  152  การใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้  การนั้นเป็นโมฆะ

มาตรา  572  วรรคสอง  สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ  ท่านว่าเป็นโมฆะ

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

มาตรา 810  เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้ เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้

1       ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว  ข  มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อการทำสัญญาให้

เช่าซื้อนั้นเป็นกิจการที่กฎหมายบังคับไว้ว่าต้องทำเป็นหนังสือ  ตามมาตรา  572  วรรคสอง  ดังนั้น  การตั้งตัวแทนเพื่อไปทำสัญญาให้เช่าซื้อจึงต้องทำเป็นหนังสือด้วย  ตามมาตรา  798  วรรคแรก  เมื่อการตั้งตัวแทนของ  ก  ที่ให้  ข  เป็นตัวแทนไปทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์มิได้ทำเป็นหนังสือ  จึงเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายมาตรา  798  วรรคแรก  ดังนั้น  ข  จึงไม่มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อ

2       เมื่อ  ข  ไม่มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อ  ดังนั้นเมื่อ  ข  ได้ไปทำสัญญาให้เช่าซื้อรถยนต์กับ  ค  สัญญาให้เช่าซื้อดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  152  ที่มีหลักว่าการใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้  การนั้นเป็นโมฆะ

3       แม้การตั้งตัวแทนระหว่าง  ก  กับ  ข  จะมิได้ทำเป็นหนังสือ  แต่เงินดาวน์ที่  ข  รับไว้จาก  ค  200,000  บาทนั้น  ข  รับไว้ในฐานะตัวแทนของ  ก  ซึ่งเป็นตัวการ  ดังนั้น  ข  จึงต้องโอนคืนให้แก่ตัวการคือ  ก  ตามมาตรา  810  วรรคแรก

และถ้า  ข  ไม่โอนเงิน  200,000  บาท  คืนให้แก่  ก  ก  ย่อมสามารถฟ้องให้  ข  โอนคืนได้  และ  ข  จะต่อสู้ว่า  ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นไม่ได้  เพราะระหว่าง  ก  กับ  ข  นั้นเป็นเรื่องระหว่างตัวการกับตัวแทน  ซึ่งถือเป็นข้อยกเว้นของมาตรา  798  แม้การตั้งตัวแทนจะมิได้ทำเป็นหนังสือ  ตัวการก็ฟ้องบังคับคดีได้

สรุป

1       ข  ไม่มีอำนาจทำสัญญาให้เช่าซื้อ

2       สัญญาที่  ข  ทำไปกับ  ค  มีผลเป็นโมฆะ

3       เงินดาวน์ที่  ข  รับไว้จาก  ค  นั้น  ข  จะต้องโอนคืนให้กับ  ก  ตัวการ  และถ้า  ข ไม่โอน  ก  ฟ้อง  ข  ให้โอน  ข  จะต่อสู้ว่า ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนมิได้ทำเป็นหนังสือไม่ได้

 

ข้อ  2  ก  มอบ  ข  ให้ซื้อเรือยอร์จในราคา  30  ล้านบาท  โดยให้เงิน  ข  ไป  30  ล้านบาท  แต่พอไปถึงที่ขายเรือยอร์จ  ราคาขึ้นเป็น  32  ล้านบาท  ก  จึงให้  ข  ออกเงินแทนไป  2  ล้านบาท  เมื่อ  ข  นำเรือมาถึงบ้านจึงให้  ก  มารับเรือไป  รวมทั้งให้  ก  นำเงินมาชำระ  2  ล้านบาทด้วย  ก  มาถึงจะขอเรือไปก่อนเงิน  2  ล้าน  ขอติดไว้ก่อน  ข  ไม่ยอมให้เรือไป  ดังนี้  ถ้า  ข  ตัวแทนเลือกวิธีขอยึดหน่วงเรือไว้ก่อนยังไม่โอนเรือไปให้  ก  ให้ท่านวินิจฉัยว่า

1       ข  ไม่โอนเรือไปให้  ก  จะเป็นการขัดต่อข้อกฎหมายที่ว่าด้วยทรัพย์สินที่ขวนขวายได้มาจากการเป็นตัวแทนหรือไม่

2       และถ้า  ข  ยึดหน่วงเรือไว้จนหนี้ขาดอายุความแล้ว  ข  ยังจะฟ้อง  ก  ให้รับผิดชำระหนี้ที่  ข  ทดรองจ่ายไป  2  ล้านได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  193/27  ผู้รับจำนอง  ผู้รับจำนำ  ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วง  หรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้  ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนอง  จำนำ  หรือที่ได้ยึดไว้  แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม  แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชำระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้

มาตรา  248  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา  193/27  การใช้สิทธิยึดหน่วงหาทำให้อายุความแห่งหนี้สะดุดหยุดลงไม่

มาตรา 810  เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้ เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

มาตรา  816  ถ้าในการจัดทำกิจการอันเขามอบหมายแก่ตนนั้น  ตัวแทนได้ออกเงินทดรองหรือออกเงินค่าใช้จ่ายไป  ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจำเป็นได้ไซร้  ท่านว่าตัวแทนจะเรียกเอาเงินชดใช้จากตัวการรวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยก็ได้

มาตรา  819  ตัวแทนชอบที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินใดๆ  ของตัวการอันตกอยู่ในความครอบครองของตน  เพราะเป็นตัวแทนนั้นเอาไว้จนกว่าจะได้รับเงินบรรดาค้างชำระแก่ตนเพราะการเป็นตัวแทน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้

1       ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว  การที่  ข  ไม่โอนเรือไปให้  ก  จะเป็นการขัดต่อข้อกฎหมายที่ว่าด้วยทรัพย์สินที่ขวนขวายได้มาจากการเป็นตัวแทนหรือไม่  เห็นว่า  การที่  ก  มอบหมายให้  ข  ไปซื้อเรือยอร์จ  และ  ข  ได้ออกเงินแทนไป  2  ล้านบาทนั้น  ถือเป็นกรณีที่ตัวแทนออกเงินทดรองจ่ายแทนตัวการไปในการทำกิจการที่ตัวการมอบหมายตามมาตรา  816  วรรคแรก  ซึ่งตัวแทนสามารถเรียกเอาเงินชดใช้จากตัวการรวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยได้  ดังนั้น  เมื่อ  ข  ตัวแทนยังไม่ได้รับการชำระเงินจำนวนดังกล่าว  จึงมีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินของตัวการ  คือ  เรือยอร์จ  ซึ่งอยู่ในความครอบครองของตนไว้ได้  จนกว่าจะได้รับเงินที่  ก  ตัวการค้างชำระแก่ตนตามมาตรา  819  ดังนั้น  การที่  ข  ไม่โอนเรือไปให้  ก  จึงไม่เป็นการขัดต่อข้อกฎหมายที่ว่าด้วยทรัพย์สินที่ขวนขวายได้มาจากการเป็นตัวแทนตามมาตรา  810  วรรคแรก

 2       เมื่อ  ข  มีสิทธิยึดหน่วงเรือของ  ก  ไว้แล้ว  การที่  ข  ใช้สิทธิยึดหน่วงเรือไว้นั้นย่อมไม่ทำให้อายุความแห่งหนี้ที่  ก  ค้างชำระแก่  ข  สะดุดหยุดลงตามมาตรา  248  และถึงแม้ว่า  ข  จะยึดหน่วงเรือไว้จนหนี้ขาดอายุความแล้ว  ข  ก็ยังสามารถฟ้อง ก  ให้รับผิดชำระหนี้ที่  ข  ทดรองจ่ายไป  2  ล้านได้ตามมาตรา  193/27  ที่มีหลักว่า  ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ตนได้ยึดไว้  ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่ได้ยึดถือไว้  แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม

สรุป 

1       การที่  ข  ไม่โอนเรือไปให้  ก  ไม่เป็นการขัดต่อข้อกฎหมายที่ว่าด้วยทรัพย์สินที่ขวนขวายได้มาจากการเป็นตัวแทน

2       และถ้า  ข  ยึดหน่วงเรือไว้จนหนี้ขาดอายุความแล้ว  ข  ก็ยังสามารถฟ้อง  ก  ให้รับผิดชำระหนี้ที่  ข  ทดรองจ่ายไป  2  ล้านได้

 

ข้อ  3  ก  มอบให้  ข  ขายที่ดินบอกว่าจะให้บำเหน็จ  ข  ขายที่ดินได้  ก  ให้บำเหน็จร้อยละ  2  ข  ไม่ยอมรับบอกว่า  ก  ให้น้อยไป  ข  อยากได้ร้อยละ  5  ก  ไม่ให้  ข  จึงนำคดีขึ้นสู่ศาล  เพื่อให้ศาลตัดสินว่าจะให้กี่เปอร์เซ็น  และถ้าท่านเป็นศาล  ท่านจะวินิจฉัยโดยใช้หลักกฎหมายใดเป็นบรรทัดฐานในการพิจารณา  และจะได้ร้อยละเท่าใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  846  วรรคสอง  ค่าบำเหน็จนั้นถ้ามิได้กำหนดจำนวนกันไว้ ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกัน เป็นจำนวนตามธรรมเนียม

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย  ในกรณีที่ได้มีการตกลงกันว่าจะให้บำเหน็จนายหน้า  แต่มิได้กำหนดจำนวนค่าบำเหน็จนายหน้ากันไว้ตามมาตรา  846  วรรคสอง  ให้ถือว่าคู่สัญญาได้ตกลงกันเป็นจำนวนตามธรรมเนียมที่เคยมีบุคคลอื่นปฏิบัติกันมา  ดังนั้นค่าบำเหน็จนายหน้าที่คู่สัญญาตกลงกันจะต้องกำหนดไว้โดยชัดแจ้ง  มิฉะนั้นจะต้องถือว่าตกลงกันเป็นจำนวนตามธรรมเนียม  ตามบทบัญญัติมาตรา  846  วรรคสอง

ทั้งนี้คำพิพากษาฎีกาที่  3581/2526  วางหลักของจำนวนตามธรรมเนียมตามนัยมาตรา  846  วรรคสองว่า  เมื่อไม่อาจฟังเป็นยุติได้ว่ามีการตกลงกำหนดค่าบำเหน็จนายหน้ากันไว้เท่าใดแน่นอน  จึงต้องถือเอาอัตราตามธรรมเนียมการซื้อขายทรัพย์สินต่างๆ  ซึ่งโดยทั่วไปแล้วคิดกันในอัตราร้อยละ  5  ของราคาที่ซื้อขายกันแท้จริง

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ก  มอบหมายให้  ข  เป็นนายหน้าขายที่ดินโดยตกลงว่าจะให้บำเหน็จแต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีการกำหนดจำนวนค่าบำเหน็จนายหน้ากันไว้ว่าจะต้องจ่ายเท่าใด  จึงต้องถือว่าตกลงกันเป็นจำนวนตามธรรมเนียมตามมาตรา  846  วรรคสอง ประกอบแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่  3581/2526  คือ  ต้องจ่ายค่าบำเหน็จนายหน้าให้กับ  ข  ร้อยละ  5  ของราคาที่ซื้อขายกันจริง

ดังนั้น  เมื่อไม่อาจตกลงกันได้ว่าจะจ่ายค่าบำเหน็จกันเท่าใดแน่นอน  การที่  ข  อยากได้บำเหน็จร้อยละ  5  จึงนำคดีขึ้นสู่ศาลนั้น  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลจะสั่งให้  ก  จ่ายบำเหน็จนายหน้าให้กับ  ข  ร้อยละ  5  ของราคาที่ซื้อขายกันจริงตามหลักกฎหมายและแนวคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวข้างต้น

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล  ข้าพเจ้าจะวินิจฉัยโดยใช้หลักกฎหมายและแนวคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวข้างต้นในการพิจารณา  และ  ข  จะได้บำเหน็จร้อยละ  5

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 1/2554

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011

 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  มอบ  ข  ให้ไปซื้อที่ดิน  ข  ซื้อที่ดินของตนเองโดยตัวการมิได้ยินยอมด้วย  โดย  ก  ตกลงให้  ข  ซื้อที่ดินครั้งนี้ว่าจะให้บำเหน็จ กรณีหนึ่ง

 อีกกรณีหนึ่ง  ก  มอบ  ข  ให้เป็นผู้จัดการร้านค้าสะดวกซื้อ  นอกจากเป็นผู้จัดการแล้ว

ยังให้  ข  มีหน้าที่ซื้อสินค้าเข้าร้านด้วย  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ทั้ง  2  กรณี  ก  ตกลงว่าจะให้บำเหน็จนั้น  กรณีใดจะใช้หลักมาตราใดในการให้บำเหน็จ

ธงคำตอบหลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  803  ตัวแทนไม่มีสิทธิจะได้รับบำเหน็จ  เว้นแต่จะได้มีข้อตกลงกันไว้ในสัญญาว่ามีบำเหน็จ  หรือทางการที่คู่สัญญาประพฤติต่อกันนั้นเป็นปริยายว่ามีบำเหน็จ  หรือเคยเป็นธรรมเนียมมีบำเหน็จ

มาตรา  805  ตัวแทนนั้น  เมื่อไม่ได้รับความยินยอมของตัวการ  จะเข้าทำนิติกรรมอันใดในนามของตัวการทำกับตนเองในนามของตนเอง หรือในฐานเป็นตัวแทนของบุคคลภายนอกหาได้ไม่  เว้นแต่นิติกรรมนั้นมีเฉพาะแต่การชำระหนี้

มาตรา  818  การในหน้าที่ตัวแทนส่วนใดตัวแทนได้ทำมิชอบในส่วนนั้น  ท่านว่าตัวแทนไม่มีสิทธิจะได้บำเหน็จ

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  803  โดยหลักแล้วตัวแทนไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จ  เว้นแต่จะได้มีข้อตกลงกันระหว่างตัวการกับตัวแทนว่ามีบำเหน็จ  แต่อย่างไรก็ตาม  ถึงแม้จะมีข้อตกลงดังกล่าว  ตัวแทนก็อาจจะไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จ  เช่น  หากตัวแทนกระทำการฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา  805  ตัวแทนย่อมไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จ  เพราะถือว่าเป็นการทำมิชอบตามมาตรา  818

กรณีตามอุทาหรณ์  มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัย  2  กรณี  คือ

กรณีแรก  จะใช้หลักมาตราใดในการพิจารณาให้บำเหน็จ  เห็นว่า  การที่  ก  มอบหมายให้  ข  ไปซื้อที่ดินนั้น  ถือเป็นการมอบหมายให้ตัวแทนไปทำการเพียงอย่างเดียว  กรณีนี้จึงต้องใช้หลักมาตรา  803  ในการพิจารณาให้บำเหน็จ  และเมื่อปรากฏว่า  ก  ตัวการตกลงจะให้บำเหน็จแก่  ข  ตัวแทน  ขอ  ก็ย่อมมีสิทธิได้รับบำเหน็จ  หากว่า  ข  ทำการที่  ก  มอบหมาย  คือ  ไปซื้อที่ดินได้สำเร็จ

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ข  ซื้อที่ดินของตนเอง  โดยที่  ก  ตัวการมิได้ยินยอมด้วย  จึงเป็นการที่  ข  ตัวแทนทำนิติกรรมในนามของตัวการทำกับตนเองในนามของตนเอง  อันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา  805  ดังนั้น  ข  จึงไม่มีสิทธิได้รับบำเหน็จตามมาตรา  818  ที่ว่าการใดตัวแทนทำมิชอบจะไม่ได้บำเหน็จ

กรณีที่สอง  จะใช้หลักมาตราใดในการพิจารณาให้บำเหน็จ  เห็นว่า  การที่  ก  มอบหมายให้  ข  เป็นผู้จัดการร้านค้าสะดวกซื้อ  และยังให้  ข  มีหน้าที่ซื้อสินค้าเข้าร้านด้วย  โดย  ก  ตกลงว่าจะให้บำเหน็จนั้น  ถือเป็นการมอบหมายให้ตัวแทนไปทำการมากกว่า  1  อย่างขึ้นไป  คือ  เป็นกรณีที่กิจการที่มอบหมายนั้นแบ่งออกได้เป็นหลายส่วนนั่นเอง  กรณีนี้จึงต้องใช้หลักมาตรา  818  ในการพิจารณาให้บำเหน็จ กล่าวคือ  แม้ว่า  ข  จะมีสิทธิได้รับบำเหน็จ  แต่หาก  ข  ตัวแทนทำมิชอบในส่วนใด  ก็จะไม่มีสิทธิรับบำเหน็จในส่วนนั้น

สรุป  กรณีแรกใช้หลักมาตรา  803  ในการพิจารณาให้บำเหน็จ  ส่วนกรณีที่สองจะใช้หลักมาตรา  818  ในการพิจารณาให้บำเหน็จ

 

ข้อ  2  สามีไปติดต่อแดงให้เป็นนายหน้าขายที่ดินซึ่งภริยาเป็นผู้มีชื่อในโฉนดแต่เพียงผู้เดียว  ต่อมาเมื่อแดงจัดการขายที่ดินดังกล่าวได้แล้ว  ทั้งสามีและภริยาไม่จ่ายค่าบำเหน็จแก่แดงโดยฝ่ายสามีอ้างว่าไม่ได้ตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแต่อย่างใด  ส่วนทางภริยาก็อ้างว่าไม่เคยตกลงให้แดงเป็นนายหน้าขายที่ดินของตน  ข้ออ้างฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845  วรรคแรก บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

มาตรา  846  วรรคแรก  ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น  โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จไซร้  ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า

วินิจฉัย

โดยหลัก  สัญญานายหน้านั้น  ถ้าได้มีการตกลงกันในเรื่องค่าบำเหน็จและนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการให้บุคคลภายนอกได้เข้ามาทำสัญญากับตัวการจนสำเร็จแล้ว  นายหน้าก็ย่อมได้รับค่าบำเหน็จตามที่ตกลงไว้  ตามมาตรา  845  วรรคแรก  และแม้จะมิได้มีการตกลงกันในเรื่องค่าบำเหน็จ  แต่ถ้ากิจการใดโดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่านายหน้ากระทำเพื่อจะเอาบำเหน็จ  ก็ให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า  ตามมาตรา  846  วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่สามีไปติดต่อแดงให้เป็นนายหน้าขายที่ดินซึ่งภริยาเป็นผู้มีชื่อในโฉนดแต่เพียงผู้เดียว  และต่อมาแดงได้จัดการขายที่ดินดังกล่าวได้แล้วนั้น  กรณีนี้เมื่อเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย  และภริยาก็รู้แล้วว่าแดงเป็นนายหน้าขายที่ดิน  เพราะที่ดินดังกล่าวขายได้แล้ว  ดังนั้น  สามีภริยาย่อมจะต้องรับผิดในกิจการที่แดงทำร่วมกัน  (ฎ. 975/2509)

และจากข้อเท็จจริง  แม้ว่าสัญญานายหน้าระหว่างสามีกับแดงนั้นจะมิได้มีการตกลงกันในเรื่องค่าบำเหน็จนายหน้าเอาไว้  แต่กิจการที่สามีมอบให้แก่แดง  คือ  การติดต่อขายที่ดินนั้น  โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าแดงย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จ  กรณีนี้ย่อมถือว่าสามีและแดงได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จไม่ใช่ทำให้เปล่า  ตามมาตรา  846  วรรคแรก  เมื่อปรากฏว่าแดงได้ชี้ช่องและจัดการขายที่ดินดังกล่าวได้แล้ว  ทั้งสามีและภริยาจึงต้องร่วมกันรับผิดจ่ายค่านายหน้าให้แก่แดงตามมาตรา  845    วรรคแรกประกอบมาตรา  846  วรรคแรก  ดังนั้น  การที่สามีและภริยาไม่จ่ายค่าบำเหน็จแก่แดงโดยฝ่ายสามีอ้างว่าไม่ได้ตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแต่อย่างใด  ส่วนทางภริยาก็อ้างว่าไม่เคยตกลงให้แดงเป็นนายหน้าขายที่ดินของตนนั้น  ข้ออ้างของทั้งสามีและภริยาดังกล่าวจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป  ข้ออ้างทั้งสามีและภริยาฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  3  นายอาทิตย์เปิดร้านขายรถยนต์ใช้แล้วอยู่แถวถนนรามคำแหง  นายจันทร์ได้นำรถยนต์ของตนไปฝากนายอาทิตย์ขาย  1  คัน  ในราคา  200,000  บาท  โดยตกลงกันว่าถ้าขายได้จะให้ค่าบำเหน็จแก่นายอาทิตย์  จำนวน  20,000  บาท  และในขณะเดียวกันก็ให้นายอาทิตย์ซื้อรถยนต์ใช้แล้วให้ตนใหม่  1  คัน  ในราคาไม่เกิน  300,000  บาท  โดยตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายอาทิตย์  จำนวน  25,000  บาท  นายอาทิตย์ได้นำรถยนต์ของนายจันทร์ไปขายเชื่อให้แก่นายอังคารและได้ไปซื้อรถยนต์คันใหม่จากนายพุธในราคา  300,000  บาท  ให้แก่นายจันทร์  ซึ่งนายอาทิตย์ยังไม่ได้ชำระเงินให้แก่นายพุธดังนี้อยากทราบว่า

(ก)    ถ้าหนี้ถึงกำหนด  นายอังคารไม่นำเงินมาชำระ  นายอาทิตย์หรือนายจันทร์จะเป็นผู้มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์จากนายอังคาร  เพราะเหตุใด

(ข)    ถ้าหนี้ถึงกำหนด  นายอาทิตย์ไม่นำเงินไปชำระให้แก่นายพุธ  นายพุธจะฟ้องนายอาทิตย์หรือนายจันทร์ให้ชำระหนี้แก่ตน  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  833  อันว่าตัวแทนค้าต่าง  คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทำการซื้อ  หรือขายทรัพย์สิน  หรือรับจัดทำกิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ

มาตรา  837  ในการที่ตัวแทนค้าต่างทำการขายหรือซื้อหรือจัดทำกิจการค้าขายอย่างอื่นต่างตัวการนั้น  ท่านว่าตัวแทนค้าต่างย่อมได้ซึ่งสิทธิอันมีต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการเช่นนั้น  และตัวแทนค้าต่างย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นด้วย

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  837  ได้บัญญัติถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดของตัวแทนค้าต่างต่อบุคคลภายนอกไว้ว่า  เมื่อตัวแทนค้าต่างได้ทำการขายหรือจัดทำกิจการอย่างใดแทนตัวการแล้ว  ตัวแทนค้าต่างย่อมต้องผูกพันเป็นคู่สัญญากับบุคคลภายนอกโดยตรง  ถ้าบุคคลภายนอกผิดสัญญา  ตัวแทนค้าต่างย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องร้องตามสัญญานั้นในนามของตนเองได้  และในขณะเดียวกันก็ต้องรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกตามสัญญานั้นด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายจันทร์ได้นำรถยนต์ของตนไปฝากนายอาทิตย์ขาย  1  คัน  และให้นายอาทิตย์ซื้อรถยนต์ใช้แล้วให้ตนใหม่  1  คัน  โดยตกลงจะให้บำเหน็จแก่นายอาทิตย์  ซึ่งนายอาทิตย์เปิดร้านขายรถยนต์ใช้แล้วอยู่แถวถนนรามคำแหงนั้น  ย่อมถือว่านายอาทิตย์เป็นตัวแทนค้าต่างของนายจันทร์ตามมาตรา  833  ดังนี้

(ก)    จากข้อเท็จจริง  เมื่อนายอาทิตย์ได้นำรถยนต์ของนายจันทร์ไปขายเชื่อให้แก่นายอังคารและถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระ  นายอังคารผิดสัญญาไม่นำเงินมาชำระค่ารถยนต์  นายอาทิตย์ผู้เป็นตัวแทนค้าต่างในฐานะคู่สัญญาย่อมเป็นผู้มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์จากนายอังคาร  เพราะนายอาทิตย์ได้ทำสัญญาขายเชื่อรถยนต์ให้แก่นายอังคารในนามของตนเอง  จึงมีสิทธิต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการค้าขายรถยนต์นั้นตามมาตรา  837

(ข)    จากข้อเท็จจริง  เมื่อนายอาทิตย์ได้ไปซื้อรถยนต์คันใหม่จากนายพุธ  และถ้าหนี้ถึงกำหนด  นายอาทิตย์ผิดสัญญาไม่นำเงินไปชำระให้แก่นายพุธ  นายพุธจะต้องฟ้องนายอาทิตย์ผู้เป็นตัวแทนค้าต่างในฐานะคู่สัญญาให้ชำระหนี้แก่ตน  เพราะนายอาทิตย์ทำการซื้อรถยนต์กับนายพุธในนามของตนเอง  จึงต้องผูกพันต่อคู่สัญญาคือนายพุธด้วยตามมาตรา  837  นายพุธจะไปฟ้องเอากับนายจันทร์ตัวการมิได้  เพราะนายจันทร์มิใช่คู่สัญญา

สรุป

(ก)    นายอาทิตย์เป็นผู้มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์จากนายอังคาร

(ข)   นายพุธจะต้องฟ้องนายอาทิตย์ผู้เป็นตัวแทนค้าต่างให้ชำระหนี้แก่ตน

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 2/2554

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2554

 ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  มอบ  ข  ให้ไปซื้อบ้านไม้สัก  1  หลัง  ที่จังหวัดลำปาง  ก  ให้เงิน  ข  ไปไม่พอ  ข  จึงทดรองจ่ายให้ไปก่อน  500,000  บาท  ข รื้อบ้านออกมาเป็นไม้ชิ้นๆ  เพื่อสะดวกในการขนย้าย  ขนไม้มาถึงบ้าน  ข  เรียก  ก  ให้มารับไม้ไปและบอกให้  ก  นำเงินมาชำระ  500,000  บาทด้วย  ก  มาถึงจะรับแต่ไม้ไป แต่ไม่ยอมชำระหนี้  ข  จึงยึดไม้นั้นไว้จนล่วงเวลา  จนขาดอายุความ  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ข  จะฟ้องศาลเพื่อให้ศาลบังคับขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้นั้นได้หรือไม่  และถ้าขายทอดตลาดแล้ว  เงินไม่พอชำระหนี้  ข  จะทำประการใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  193/27  ผู้รับจำนอง  ผู้รับจำนำ  ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วง  หรือผู้ทรงบุริมสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้อันตนได้ยึดถือไว้  ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนอง  จำนำ  หรือที่ได้ยึดไว้  แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนที่เป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม  แต่จะใช้สิทธินั้นบังคับให้ชำระดอกเบี้ยที่ค้างย้อนหลังเกินห้าปีขึ้นไปไม่ได้

มาตรา  248  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา  193/27  การใช้สิทธิยึดหน่วงหาทำให้อายุความแห่งหนี้สะดุดหยุดลงไม่

มาตรา  816  ถ้าในการจัดทำกิจการอันเขามอบหมายแก่ตนนั้น  ตัวแทนได้ออกเงินทดรองหรือออกเงินค่าใช้จ่ายไป  ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจำเป็นได้ไซร้  ท่านว่าตัวแทนจะเรียกเอาเงินชดใช้จากตัวการรวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยก็ได้

มาตรา  819  ตัวแทนชอบที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินใดๆ  ของตัวการอันตกอยู่ในความครอบครองของตน  เพราะเป็นตัวแทนนั้นเอาไว้จนกว่าจะได้รับเงินบรรดาค้างชำระแก่ตนเพราะการเป็นตัวแทน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ก  มอบ  ข  ให้ไปซื้อบ้านที่จังหวัดลำปาง  โดย  ก  ให้เงิน  ข  ไปไม่พอ  จึงทดรองจ่ายให้ไปก่อนนั้น  ถือเป็นกรณีที่ตัวแทนออกเงินทดรองจ่ายแทนตัวการไปในการทำกิจการที่ตัวการมอบหมาย  ตามมาตรา  816  วรรคแรก  ซึ่งตัวแทนสามารถเรียกเอาเงินชดใช้จากตัวการรวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยได้  และหากตัวการไม่ยอมชำระหนี้  ตัวแทนก็มีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินของตัวการไว้  จนกว่าจะได้รับเงินที่ตัวการค้างชำระแก่ตนได้ตามมาตรา  819

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  ก  ไม่ยอมชำระเงินจำนวนดังกล่าวที่ค้างชำระแก่  ข  ข  จึงมีสิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินของ  ก  ตัวการ  คือไม้สัก  ซึ่งอยู่ในความครอบครองของตนไว้ได้  จนกว่าจะได้รับเงินที่  ก  ตัวการค้างชำระแก่ตนตามมาตรา  819  ซึ่งการที่  ข  ใช้สิทธิยึดหน่วงไม้สักไว้นั้น  ย่อมไม่ทำให้อายุความแห่งหนี้ที่  ก  ค้างชำระแก่  ข  สะดุดหยุดลงตามมาตรา  248

อย่างไรก็ตาม  แม้  ข  จะยึดหน่วงไม้นั้นไว้จนหนี้ขาดอายุความแล้ว  ข  ก็ยังสามารถฟ้องศาล  เพื่อให้ศาลบังคับขายทอดตาดทรัพย์ที่ยึดไว้นั้นได้  แต่เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดหน่วงแล้วเงินไม่พอชำระหนี้  ข  ก็จะไม่มีสิทธิที่จะเรียกเอาส่วนที่ยังขาดได้อีกตามมาตรา  193/27  ที่มีหลักว่า  ผู้ทรงสิทธิยึดหน่วงทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ตนได้ยึดถือไว้  ยังคงมีสิทธิบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่ได้ยึดถือไว้  แม้ว่าสิทธิเรียกร้องส่วนเป็นประธานจะขาดอายุความแล้วก็ตาม

สรุป  ข  สามารถฟ้องศาลเพื่อให้ศาลบังคับขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดไว้นั้นได้  แต่เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดหน่วงแล้วเงินไม่พอชำระหนี้  ข  ก็จะไม่มีสิทธิที่จะเรียกเอาส่วนที่ยังขาดได้อีก

 

ข้อ  2  นายเกษมเป็นเจ้าของร้านขายทองรูปพรรณซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนรามคำแหง  นางมุกดาต้องการขายทองคำแท่งหนัก  50  บาท  จึงได้มอบให้นายเกษมเป็นตัวแทนค้าต่างขายทองคำของตน  โดยตกลงว่าถ้าขายได้จะจ่ายบำเหน็จให้นายเกษม  จำนวน  20,000  บาท ปรากฏว่าก่อนนำทองคำแท่งมาฝากขายราคาทองคำแท่งบาทละ  25,000  บาท  นางมุกดาได้บอกกับนายเกษมว่า  ถ้าราคาทองคำสูงกว่านี้ให้นายเกษมขายทองคำแท่งให้ด้วย  ต่อมาวันที่  5  กุมภาพันธ์  2555  ปรากฏว่า  ราคาทองคำแท่งตามราคาตลาดโลกลดลงเหลือบาทละ  24,000  บาท  นายเกษมต้องการซื้อทองคำดังกล่าวไว้เอง  เพื่อหวังผลกำไรในภายหน้า  จึงได้โทรศัพท์ไปแจ้งให้นางมุกดาทราบว่าตนจะซื้อทองคำแท่งดังกล่าวไว้เอง  นางมุกดาไม่ได้บอกปัดในทันที  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  สัญญาซื้อขายทองคำแท่งเกิดขึ้นหรือไม่ และนายเกษมจะได้รับเงินบำเหน็จจากนางมุกดาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 843  ตัวแทนค้าต่างคนใดได้รับคำสั่งให้ขายหรือซื้อทรัพย์สินอันมีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  ท่านว่าตัวแทนคนนั้นจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายเองก็ได้  เว้นแต่จะมีข้อห้ามไว้ชัดแจ้งโดยสัญญาในกรณีเช่นนั้น  ราคาอันจะพึงใช้เงินแก่กันก็พึงกำหนดตามรายการขานราคาทรัพย์สินนั้น  ณ  สถานแลกเปลี่ยนในเวลาเมื่อตัวแทนค้าต่างให้คำบอกกล่าวว่าตนจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย

เมื่อตัวการรับคำบอกกล่าวเช่นนั้น  ถ้าไม่บอกปัดเสียในที  ท่านให้ถือว่าตัวการเป็นอันได้สนองรับการนั้นแล้ว

อนึ่งแม้ในกรณีเช่นนั้น  ตัวแทนค้าต่างจะคิดเอาบำเหน็จก็ย่อมคิดได้

วินิจฉัย  

ตามมาตรา  843  ได้บัญญัติไว้ว่า  ถ้าตัวการมอบหมายให้ตัวแทนค้าต่างขายทรัพย์สินแทนตน  และทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่มีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  และไม่มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งในสัญญาตัวแทนค้าต่างจะเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้นไว้เสียเองก็ได้

แต่อย่างไรก็ตาม  ตัวแทนค้าต่างจะต้องบอกกล่าวให้ตัวการรู้ด้วยว่าตนเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้น  ซึ่งถ้าตัวการไม่ต้องการขายให้ตัวแทนค้าต่างก็ต้องบอกปัดในทันที  ไม่เช่นนั้นจะถือว่าตัวการได้สนองรับคำบอกกล่าวนั้นแล้ว  และนอกจากนี้ตัวแทนค้าต่างก็ยังมีสิทธิได้รับบำเหน็จตามสัญญาอีกด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นางมุกดาได้มอบให้นายเกษมเป็นตัวแทนค้าต่างขายทองคำแท่งของตนและตกลงจะจ่ายบำเหน็จให้จำนวน  20,000  บาท  ต่อมาราคาทองคำแท่งลดลงตามราคาตลาดโลกซึ่งถือเป็นรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  นายเกษมจึงต้องการซื้อทองคำดังกล่าวไว้เองเพื่อเก็งกำไรในภายหน้านั้น  ดังนี้นายเกษมก็ย่อมสามารถทำได้  เพราะในสัญญาไม่มีข้อห้ามไว้  ตามมาตรา  843  วรรคแรก

และเมื่อนายเกษมโทรศัพท์ไปแจ้งให้นางมุกดาทราบว่าตนจะซื้อทองคำแท่งดังกล่าวไว้เอง  แต่ปรากฏว่านางมุกดาไม่บอกปัดในทันทีที่ได้รับแจ้ง  กรณีนี้จึงถือว่านางมุกดาตัวการเป็นอันได้สนองรับคำแจ้งนั้นแล้ว  สัญญาซื้อขายทองคำแท่งระหว่างนางมุกดากับนายเกษมจึงเกิดขึ้นตามมาตรา  843  วรรคสอง  และนอกจากนี้  นายเกษมก็ยังสามารถคิดเอาบำเหน็จจำนวน  20,000  บาท  จากนางมุกดา  เนื่องจากการซื้อขายของตนได้อีกด้วย  แม้นายเกษมจะเป็นผู้ซื้อทองคำแท่งเหล่านั้นไว้เองตามมาตรา  843  วรรคท้าย

สรุป  สัญญาซื้อขายทองคำแท่งเกิดขึ้นแล้ว  และนายเกษมมีสิทธิจะได้รับเงินบำเหน็จจากนางมุกดา

 

ข้อ  3  วันหนึ่ง  ริมถนนสายที่พนิตจะต้องขับรถจากบ้านไปทำงานทุกวันนั้น  มีแผ่นป้ายข้อความว่า

 

 

ที่ดินแปลงนี้ขาย

20 – 3 – 98

ราคาไร่ละ  3  ล้าน

081-8011111

 

 

พนิตอยากได้ค่านายหน้า  จึงไปนำชลิตเพื่อนรักมาซื้อ  ตกลงซื้อขายกันกับจำลองเจ้าของที่ดินในราคาไร่ละสองล้านแปดแสนบาท  พนิตเรียกค่าบำเหน็จนายหน้าจากจำลองเจ้าของที่ดินได้หรือไม่  จำนวนเท่าใด  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845  วรรคแรก  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

มาตรา  846  วรรคแรก  ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น  โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จไซร้  ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญานายหน้านั้น  บุคคลจะต้องรับผิดให้ค่าบำเหน็จนายหน้าแก่ผู้ใดก็ต่อเมื่อได้ตกลงกันไว้กับผู้นั้นโดยชัดแจ้งประการหนึ่ง  หรือถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งก็จะต้องรับผิดต่อเมื่อกิจการอันได้มอบหมายแก่ผู้นั้นเป็นที่คาดหมายได้ว่า  ผู้นั้นย่อมทำให้ก็แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จเท่านั้น  ถ้าไม่มีการตกลงกันหรือไม่มีการมอบหมายกิจการแก่กัน  ก็ไม่จำต้องให้ค่าบำเหน็จนายหน้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นายหน้าที่จะได้รับบำเหน็จหรือค่านายหน้านั้นในเบื้องต้นจะต้องมีสัญญานายหน้าต่อกันโดยชัดแจ้งตามมาตรา  845  หรือมีสัญญาต่อกันโดยปริยายตามมาตรา  846  ผู้ใดจะอ้างตนเป็นนายหน้าฝ่ายเดียว  เรียกร้องเอาค่าบำเหน็จโดยอีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีสัญญาด้วยแต่อย่างหนึ่งอย่างใดเลยนั้น  หามีกฎหมายสนับสนุนให้เรียกร้องได้ไม่ 

กรณีตามอุทาหรณ์  พนิตจะเรียกค่าบำเหน็จนายหน้าจากจำลองเจ้าของที่ดินได้หรือไม่  เห็นว่า  การที่จำลองได้ติดแผ่นป้ายประกาศขายที่ดินพร้อมหมายเลขโทรศัพท์ไว้ริมถนนนั้น  แสดงว่าจำลองต้องการขายที่ดินด้วยตนเอง  เมื่อพนิตเห็นป้ายอยากได้ค่านายหน้า  จึงได้ไปนำชลิตมาซื้อที่ดิน  กรณีนี้แม้การซื้อขายที่ดินระหว่างจำลองกับชลิตจะเกิดจากการชี้ช่องและจัดการของพนิตจนทำให้สัญญาซื้อขายสำเร็จก็ตาม  แต่เมื่อจำลองไม่ได้ตกลงให้พนิตเป็นนายหน้าขายที่ดิน  และไม่ได้ตกลงว่าจะจ่ายค่าบำเหน็จให้ตามมาตรา  845  วรรคแรก  รวมทั้งไม่ได้มอบหมายให้พนิตกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งเลย  ดังนั้น  พนิตจะเรียกเอาค่าบำเหน็จนายหน้าจากจำลองไม่ได้

สรุป  พนิตจะเรียกเอาค่าบำเหน็จนายหน้าจากจำลองเจ้าของที่ดินไม่ได้

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า S/2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2554

 ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  เซ็นชื่อในใบมอบอำนาจให้  ข  ไปกรอกข้อความเอง  โดยมอบให้  ข  นำที่ดินไปจำนอง  แต่  ข  กลับกรอกข้อความว่า  ให้นำที่ดินไปขายฝาก  ซึ่งเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของ  ก  แต่จากพฤติการณ์ดังกล่าวทำให้  ค  ผู้รับซื้อฝากเข้าใจว่า  ข  มีอำนาจทำได้  จึงรับซื้อฝากไว้โดยสุจริต  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(1)  ก  ต้องรับผิดผูกพันกับการกระทำของ  ข  หรือไม่

(2)  ก  จะปฏิเสธความรับผิดและฟ้องเพิกถอนการโอนสัญญาระหว่าง  ข  กับ  ค  ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

(3)  ก  ฟ้อง  ข  ว่าปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม  ศาลพิพากษาว่า  ข  ผิดจริงตามฟ้อง  ดังนี้  ก  จะนำคำพิพากษาดังกล่าวมาทำให้กระทบกระเทือนสิทธิของ  ค  ผู้กระทำการโดยสุจริตได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  821  บุคคลผู้ใดเชิดบุคคลอีกคนหนึ่งออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี  รู้แล้วยอมให้บุคคลอีกคนหนึ่งเชิดตัวเขาเองออกแสดงเป็นตัวแทนของตนก็ดี  ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้สุจริตเสมือนว่าบุคคลอีกคนหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของตน

มาตรา  822  ถ้าตัวแทนทำการอันใดเกินอำนาจตัวแทน  แต่ทางปฏิบัติของตัวการทำให้บุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่าการอันนั้นอยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทน  ท่านให้ใช้บทบัญญัติมาตราก่อนนี้เป็นบทบังคับแล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

(1)  การที่  ก  ลงลายมือชื่อในใบมอบอำนาจให้ตัวแทนไปจำนองที่ดิน  โดยไม่กรอกข้อความลงในใบมอบอำนาจ  เป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อ  ยอมเสี่ยงภัยในการกระทำของตนเองอย่างร้ายแรง  เมื่อ  ข  นำใบมอบอำนาจไปกรอกข้อความเป็นให้ขายฝาก  ซึ่งเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของ  ก  เป็นกรณีเข้าลักษณะความรับผิดของตัวการต่อบุคคลภายนอก  ตามมาตรา  822  ซึ่งเป็นเรื่องที่ตัวแทน  คือ  ข  ทำการเกินอำนาจตัวแทน  แต่ทางปฏิบัติของตัวการทำให้บุคคลภายนอกมีเหตุอันสมควรจะเชื่อได้ว่า  การนั้นอยู่ภายในของอำนาจของตัวแทน  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ค.  รับซื้อฝากไว้โดยสุจริต  และเสียค่าตอบแทน  ดังนั้น  ก  ตัวการจึงต้องรับผิดผูกพันกับการกระทำของ  ข  ตัวแทนตามมาตรา  822  ประกอบมาตรา  821  (ฎ. 671/2523)

(2)  เมื่อ  ก  ตัวการจะต้องรับผิดผูกพันกับการกระทำของ  ข  ตัวแทนแล้ว  ดังนั้น  ก  จะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างเอาความประมาทเลินเล่อของตนมาเป็นเหตุให้พ้นจากความรับผิดไม่ได้  และจะเพิกถอนการโอนสัญญาระหว่าง  ข  กับ  ค  ไม่ได้  (ฎ. 580/2507)

(3) แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า  ข  จะถูกศาลพิพากษาลงโทษฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม  ก  ก็จะนำคำพิพากษาดังกล่าวมาทำให้กระทบกระเทือนสิทธิของ  ค  ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริตไม่ได้  กล่าวคือ สิทธิของ  ค  ย่อมไม่เสียไปเพราะคำพิพากษาดังกล่าว  ดังนั้นถ้าหาก  ก  ต้องการได้ที่ดินคืน  ก็ต้องชำระสินไถ่ตามกฎหมาย  (ฎ. 212/2517)

สรุป

(1)  ก  ต้องรับผิดผูกพันกับการกระทำของ  ข

(2)  ก  จะปฏิเสธความรับผิดและฟ้องเพิกถอนการโอนสัญญาระหว่าง  ข  กับ  ค  ไม่ได้

(3)  ก  จะนำคำพิพากษาดังกล่าวมาทำให้กระทบกระเทือนสิทธิของ  ค  ผู้กระทำการโดยสุจริตไม่ได้

 

ข้อ  2  ก  มอบ  ข  ให้ซื้อรถยนต์เฟอรารี่  1  คัน  โดยให้เงิน  ข  ไปไม่ครบ  ขาดไป  500,000  บาท  ก  บอกให้  ข  ออกแทนไปก่อน  ข  ตกลงทดรองจ่ายแทนไป  ข  นำรถเฟอรารี่มาส่งมอบให้  ก  และขอคืนเงินทดรองจ่าย  500,000  บาท  แต่  ก  ไม่จ่าย  ดังนี้  ข  จะทำประการใดกับ  ก  ได้บ้าง  กรณีหนึ่ง

อีกกรณีหนึ่ง  ข  ออกอุบายขอยืมเรือยอร์ชของ  ก  มาขับเล่น  3  วัน  แล้ว  ข  ไม่คืนโดยอ้างว่าขอยึดหน่วงเรือยอร์ชไว้ก่อนจนกว่า  ก  จะชำระหนี้  500,000  บาทให้  ข  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ข  ตัวแทนมีอำนาจยึดหน่วงเรือยอร์ชไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 810  เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้ เกี่ยวด้วยการเป็นตัวแทนนั้น ท่านว่าตัวแทนต้องส่งให้แก่ตัวการจงสิ้น

มาตรา  816  ถ้าในการจัดทำกิจการอันเขามอบหมายแก่ตนนั้น  ตัวแทนได้ออกเงินทดรองหรือออกเงินค่าใช้จ่ายไป  ซึ่งพิเคราะห์ตามเหตุควรนับว่าเป็นการจำเป็นได้ไซร้  ท่านว่าตัวแทนจะเรียกเอาเงินชดใช้จากตัวการรวมทั้งดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินไปนั้นด้วยก็ได้

มาตรา  819  ตัวแทนชอบที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินใดๆ  ของตัวการอันตกอยู่ในความครอบครองของตน  เพราะเป็นตัวแทนนั้นเอาไว้จนกว่าจะได้รับเงินบรรดาค้างชำระแก่ตนเพราะการเป็นตัวแทน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้  คือ

กรณีแรก

การที่  ก  ได้มอบให้  ข  เป็นตัวแทนให้ไปซื้อรถยนต์เฟอรารี่  1  คัน  โดยให้เงิน  ข  ไปไม่ครบ  และให้  ข  ออกเงินทดรองไปก่อน  500,000  บาทนั้น  ดังนี้เมื่อ  ข  ได้นำรถยนต์เฟอรารี่มาส่งมอบให้  ก  ตัวการไปแล้ว  ถือว่า  ข  ตัวแทนได้ส่งมอบทรัพย์สินที่ได้รับมาจากการเป็นตัวแทนให้กับตัวการไปแล้ว  ตามมาตรา  810  วรรคแรก  และเมื่อตัวแทนได้ออกเงินทดรองไปด้วย  ตัวแทนย่อมมีสิทธิที่จะเรียกให้ตัวการชดใช้คืนได้  พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่ได้ออกเงินทดรองไปด้วยก็ได้ตามมาตรา  816  วรรคแรก  ดังนั้นตามอุทาหรณ์  เมื่อ  ข  ขอคืนเงินทดรองจ่าย  500,000  บาท  จาก  ก  แต่  ก  ไม่จ่าย  ข  ย่อมมีสิทธิฟ้องให้  ก  ชำระเงิน  500,000  บาท  แก่  ข  ได้เท่านั้น

กรณีที่สอง

การที่  ข  ออกอุบายขอยืมเรือยอร์ชของ  ก  มาขับเล่น  แล้วไม่ยอมคืนให้แก่  ก  โดยอ้างว่าขอยึดหน่วงเรือยอร์ชไว้ก่อนจนกว่า  ก  จะชำระหนี้  500,000  บาท  ให้แก่  ข  นั้น  ขอตัวแทนย่อมไม่สามารถยึดหน่วงเรือยอร์ชไว้ได้  เพราะตามมาตรา  819  นั้น  ตัวแทนมีสิทธิที่จะยึดหน่วงทรัพย์สินของตัวการที่ตกอยู่ในความครอบครองของตนได้  ก็จะต้องเป็นทรัพย์สินที่ตัวแทนขวนขวายได้มาเนื่องจากการทำหน้าที่เป็นตัวแทนเท่านั้น  แต่ตามอุทาหรณ์  ทรัพย์สินที่ตัวแทนขวนขวายได้มาเนื่องจากการทำหน้าที่เป็นตัวแทนนั้นคือรถยนต์เฟอรารี่ไม่ใช่เรือยอร์ช  ดังนั้น  ข  ตัวแทนจึงไม่สามารถยึดหน่วงเรือยอร์ชไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ได้  เพราะเป็นคนละกรณีกัน

สรุป

กรณีแรก  เมื่อ  ก  ไม่คืนเงินทดรองจ่าย  500,000  บาท  แก่  ข  ข  ได้แต่ฟ้องเรียกให้  ก  ชำระหนี้เท่านั้น

กรณีที่สอง  ข  ตัวแทน  ไม่มีอำนาจยึดหน่วงเรือยอร์ชไว้

 

ข้อ  3  ก  มอบ  ข  ให้ขายที่ดินโดยตกลงว่าจะให้บำเหน็จ  ข  นำเสนอขาย  ค  ค  ตกลงซื้อ  ก  และ  ค  เข้าทำสัญญากัน  ภายหลังทำสัญญาการซื้อขายเลิกกัน  ดังนี้  ข  ยังจะได้ค่านายหน้าหรือไม่  เพราะเหตุใด  กรณีหนึ่ง

อีกกรณีหนึ่ง  ก  มอบ  ข  ให้ขายที่ดินโดยตกลงว่าจะให้บำเหน็จ  แต่มีข้อสัญญาว่า  ข  จะต้องขายที่ดินให้ได้ภายในปี  พ.ศ.2552  ข  ขายที่ดินได้ในเดือนมีนาคม  ปี  พ.ศ. 2553  ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า  ก  มิได้ขยายเวลาขายให้  ข  และไม่มีเหตุสุดวิสัยใดที่จะเป็นอุปสรรคในการขายที่ดินแปลงดังกล่าว  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ข  จะได้บำเหน็จหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845  วรรคแรก  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา  845  วรรคแรก  จะเห็นได้ว่า  ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง  หรือจัดการจนเขาได้ทำสัญญากับบุคคลภายนอก  และนายหน้ารับกระทำการตามนั้น  และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทำสัญญากันแล้ว  นายหน้าย่อมจะได้รับค่าบำเหน็จ

แต่อย่างไรก็ตาม  ถ้าสัญญานายหน้านั้นมีการกำหนดระยะเวลาไว้เป็นที่แน่นอนว่านายหน้าจะต้องกระทำการให้เสร็จภายในกำหนดระยะเวลานั้น  นายหน้าจะมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อได้กระทำการให้เสร็จภายในกำหนดระยะเวลานั้นด้วย  (ฎ. 827/2523)

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้  คือ

กรณีที่  1 

การที่  ก  ได้ตกลงมอบให้  ข  ขายที่ดินโดยตกลงว่าจะให้บำเหน็จนั้น  เมื่อปรากฏว่า  ข  ได้นำที่ดินเสนอขาย  ค  ค  ตกลงซื้อ  ก  และ  ค  เข้าทำสัญญาซื้อขายกัน  ดังนี้ถือว่า  ข  ได้ทำหน้าที่ของตนในฐานะนายหน้าครบถ้วนแล้ว  แม้ต่อมาภายหลังการซื้อขายจะไม่เกิดขึ้นก็ตาม  ข  ก็ยังจะได้ค่าบำเหน็จนายหน้าอยู่  ตามมาตรา  845  วรรคแรก  (ฎ. 517/2494)

กรณีที่  2 

การที่  ก  มอบหมายให้  ข  ขายที่ดินให้  และตกลงกันว่าจะให้บำเหน็จ  แต่  ข  จะต้องขายให้ได้ภายในระยะเวลา ปี  พ.ศ.2552  นั้น แสดงให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาว่าได้กำหนดระยะเวลาไว้แน่นอนแล้วว่า  จะต้องขายที่ดินให้ได้ภายในสิ้นปี  พ.ศ.2552  และหากไม่มีการผ่อนเวลาย่อมถือได้ว่าสัญญาดังกล่าวได้สิ้นสุดลง

และเมื่อภายในระยะเวลาปี  พ.ศ.2552  ยังขายที่ดินไม่ได้  โดย  ข  มาขายได้เมื่อเดือนมีนาคม  พ.ศ.2553  จึงล่วงเลยเวลาที่ได้ตกลงกันไว้  และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า  ก  มิได้ขยายเวลาขายให้  ข  และไม่มีเหตุสุดวิสัยใดที่จะเป็นอุปสรรคในการขายที่ดินแปลงดังกล่าว  เท่ากับว่า  ข  ขายที่ดินไม่ได้ตามระยะเวลาที่ตกลงไว้กับ  ก  จึงถือว่าสัญญานายหน้าดังกล่าวได้สิ้นสุดลงแล้ว  ดังนั้น  ข  จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จนายหน้าตามมาตรา  845  (ฎ. 827/2523)

สรุป 

กรณีที่  1  ข  ยังจะได้รับค่าบำเหน็จนายหน้า

กรณีที่  2  ข  จะไม่ได้รับค่าบำเหน็จนายหน้า

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 1/2555

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2555

 ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  มอบ  ข  ให้ซื้อที่ดินโดยมอบหมายเป็นหนังสือ  ข  ซื้อที่ดินของ  ค  โดยทำหนังสือซื้อขาย  โดยตกลงราคากันเป็นจำนวน  30  ไร่  20  ล้านบาท  จะโอนกันในวันถัดไปจากวันทำสัญญา  หลังทำสัญญา  ง  มาขอซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวกับ  ค  โดยให้ราคามากกว่า  2  เท่า  ค  ตกลงและโอนทันที  กรณีหนึ่ง

อีกกรณีหนึ่ง  จากโจทย์เดิมข้างต้น  ถ้า  ก  ตั้ง  ข  ให้ซื้อที่ดินโดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ  แต่  ก  ได้มอบเงินให้  ข  นำไปวางประจำไว้  ข  นำเงินไปวางประจำและทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือ  ง  มาขอซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวโดยให้ราคามากกว่า  2  เท่า  ค  โอนที่ดินให้  ง  ทันที 

ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ทั้ง  2  กรณี  ก  จะฟ้องเพิกถอนการโอนระหว่าง  ค  กับ  ง  ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ 

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  456  วรรคแรกและวรรคสอง  การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป  ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อ  หรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด  ลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  หรือได้วางประจำไว้  หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  วินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีแรก 

การที่  ก  มอบ  ข  ให้ไปซื้อที่ดินนั้น  เมื่อสัญญาซื้อขายที่ดินเป็นกิจการที่กฎหมายบังคับไว้ว่าต้องทำเป็นหนังสือ  (มาตรา  456  วรรคแรก)  ดังนั้น  การตั้งตัวแทนเพื่อไปทำสัญญาขายที่ดินจึงต้องทำเป็นหนังสือด้วย  จึงจะมีผลผูกพันตัวการตามมาตรา  798  วรรคแรก  เมื่อการตั้งตัวแทนของ  ก  ที่ให้  ข  เป็นตัวแทนไปซื้อที่ดินนั้นได้ทำเป็นหนังสือ  กิจการที่  ข  ได้กระทำไปจึงมีผลผูกพัน  ก  ตัวการ  และก่อให้ได้ความสัมพันธ์ไปถึง  ค  ด้วย  ดังนั้น  เมื่อปรากฏว่า  ค  ผิดสัญญา  โดยโอนที่ดินดังกล่าวให้กับ  ง  ก  ย่อมสามารถฟ้องเพิกถอนการโอนระหว่าง  ค  กับ  ง  ได้

กรณีที่สอง

ถ้า  ก  ตั้ง  ข  ให้ซื้อที่ดินโดยมิได้มอบหมายเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือ  แต่  ก  ได้มอบเงินให้  ข  นำไปวางประจำไว้  และ  ข ก็ได้นำเงินไปวางประจำและทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือ  ดังนี้  ก  ก็ย่อมสามารถฟ้องเพิกถอนการโอนระหว่าง  ค  กับ  ง  ได้เช่นกัน  เพราะกรณีที่สองนี้  ถือเป็นเรื่องการทำสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์  ซึ่งการตั้งตัวแทนไม่อยู่ในบังคับของมาตรา  798  ที่จะต้องมีหลักฐานการตั้งตัวแทนเป็นหนังสือแต่เพียงอย่างเดียว  อาจจะใช้วิธีวางประจำ  หรือชำระหนี้บางส่วนก็ได้  (ตามมาตรา  456  วรรคสอง)  ซึ่งก็ถือว่ามีผลผูกพันตัวการดุจกัน

สรุป  ทั้ง  2  กรณี  ก  จะสามารถฟ้องเพิกถอนการโอนระหว่าง  ค  กับ  ง  ได้

 

ข้อ  2  นางสายใจได้นำทองคำแท่งหนัก  10  บาท  ไปฝากนางรัศมีซึ่งเปิดร้านขายทองที่ตลาดบางกะปิ  เป็นตัวแทนค้าต่างขายทองคำแท่งให้ตน  นางสายใจได้ตกลงกับนางรัศมีว่า  ถ้าขายทองคำแท่งได้จะให้ค่าบำเหน็จแก่นางรัศมีเป็นจำนวนเงิน  5,000  บาท  ปรากฏว่า  วันที่  5  สิงหาคม  2555  ราคาทองคำตามตลาดโลกลดลงเหลือบาทละ  22,000  บาท  นางรัศมีเห็นว่าราคาทองคำลดลงต่ำกว่าราคาก่อนหน้านี้  ถ้าซื้อเก็บไว้ทองคำอาจจะขึ้นราคาบาทละ  25,000  บาท  ถ้าขายก็จะได้กำไร  นางรัศมีต้องการซื้อทองคำแท่งดังกล่าวไว้เอง  จึงได้โทรศัพท์ติดต่อขอซื้อทองคำแท่งจากนางสายใจ  เมื่อนางสายใจได้รับคำบอกกล่าวแล้วก็ไม่ได้บอกปัดเสียในทันที  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  การขอซื้อทองคำแท่งของนางรัศมีเกิดขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด  และนางรัศมีมีสิทธิจะได้รับค่าบำเหน็จจำนวน  5,000  บาทหรือไม่  จงอธิบาย

ธงคำตอบ 

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 843  ตัวแทนค้าต่างคนใดได้รับคำสั่งให้ขายหรือซื้อทรัพย์สินอันมีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  ท่านว่าตัวแทนคนนั้นจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายเองก็ได้  เว้นแต่จะมีข้อห้ามไว้ชัดแจ้งโดยสัญญาในกรณีเช่นนั้น  ราคาอันจะพึงใช้เงินแก่กันก็พึงกำหนดตามรายการขานราคาทรัพย์สินนั้น  ณ  สถานแลกเปลี่ยนในเวลาเมื่อตัวแทนค้าต่างให้คำบอกกล่าวว่าตนจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย

เมื่อตัวการรับคำบอกกล่าวเช่นนั้น  ถ้าไม่บอกปัดเสียในที  ท่านให้ถือว่าตัวการเป็นอันได้สนองรับการนั้นแล้ว

อนึ่งแม้ในกรณีเช่นนั้น  ตัวแทนค้าต่างจะคิดเอาบำเหน็จก็ย่อมคิดได้

วินิจฉัย  

ตามมาตรา  843  ได้บัญญัติไว้ว่า  ถ้าตัวการมอบหมายให้ตัวแทนค้าต่างขายทรัพย์สินแทนตน  และทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่มีรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  และไม่มีข้อห้ามโดยชัดแจ้งในสัญญาตัวแทนค้าต่างจะเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้นไว้เสียเองก็ได้

แต่อย่างไรก็ตาม  ตัวแทนค้าต่างจะต้องบอกกล่าวให้ตัวการรู้ด้วยว่าตนเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินนั้น  ซึ่งถ้าตัวการไม่ต้องการขายให้ตัวแทนค้าต่างก็ต้องบอกปัดในทันที  ไม่เช่นนั้นจะถือว่าตัวการได้สนองรับคำบอกกล่าวนั้นแล้ว  และนอกจากนี้ตัวแทนค้าต่างก็ยังมีสิทธิได้รับบำเหน็จตามสัญญาอีกด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นางสายใจได้มอบให้นางรัศมีเป็นตัวแทนค้าต่างขายทองคำแท่งของตนและตกลงจะจ่ายค่าบำเหน็จให้จำนวน  5,000  บาท  ปรากฏว่าต่อมาราคาทองคำแท่งลดลงตามตลาดโลก  ซึ่งถือเป็นรายการขานราคาของสถานแลกเปลี่ยน  นางรัศมีต้องการซื้อทองคำแท่งดังกล่าวไว้เองเพื่อเก็งกำไรในภายหน้านั้น  ดังนี้  นางรัศมีสามารถทำได้  เพราะในสัญญาไม่มีข้อห้ามไว้ตามมาตรา  843  วรรคแรก

และเมื่อนางรัศมีบอกกล่าวทางโทรศัพท์ให้นางสายใจทราบว่าตนจะซื้อทองคำแท่งดังกล่าวแล้ว  แต่ปรากฏว่านางสายใจก็มิได้บอกปัดเสียในทันทีที่ได้รับคำบอกกล่าว  กรณีนี้จึงถือว่านางสายใจเป็นอันได้สนองรับคำบอกกล่าวนั้นแล้ว  สัญญาซื้อขายทองคำแท่งระหว่างนางรัศมีกับนางสายใจจึงเกิดขึ้นตามมาตรา  843  วรรคสอง  และนอกจากนี้นางรัศมีก็ยังสามารถคิดเอาค่าบำเหน็จจำนวน  5,000  บาท  จากนางสายใจ  เนื่องจากการซื้อขายของตนได้ด้วย  แม้นางรัศมีจะเป็นผู้ซื้อทองคำแท่งเหล่านั้นไว้เองก็ตาม  ตามมาตรา  843  วรรคท้าย

สรุป  สัญญาซื้อขายทองคำแท่งของนางรัศมีได้เกิดขึ้นแล้ว  และนางรัศมีมีสิทธิจะได้รับค่าบำเหน็จจำนวน  5,000  บาทจากนางสายใจ

 

ข้อ  3  ทิวามีอาชีพเป็นนายหน้าจัดหาซื้อขายที่ดิน  บริษัท  ก  จำกัด  มอบให้ทิวาจัดหาที่ดินเพื่อก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่โดยบริษัทยินยอมเสียค่าใช้จ่ายในการจัดหาที่ดินนั้น  ทิวานำผู้แทนบริษัทไปดูที่ดินหลายแปลง  รวมทั้งที่ดินของราตรีด้วย  ปรากฏว่าบริษัทพอใจที่ดินแปลงของราตรี  จนในที่สุดบริษัทได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินของราตรีตามที่ทิวาได้ชี้ช่องและจัดการ  เมื่อทิวาเรียกค่าบำเหน็จนายหน้าจากราตรี  ราตรีเพิกเฉยทั้งที่ราตรีก็ทราบอยู่ดีว่าทิวามีอาชีพเป็นนายหน้า  ทิวาจะบังคับค่าบำเหน็จนายหน้าจากราตรีได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ 

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845  วรรคแรก  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

มาตรา  846  วรรคแรก  ถ้ากิจการอันได้มอบหมายแก่นายหน้านั้น  โดยพฤติการณ์เป็นที่คาดหมายได้ว่าย่อมทำให้แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จไซร้  ท่านให้ถือว่าได้ตกลงกันโดยปริยายว่ามีค่าบำเหน็จนายหน้า

วินิจฉัย

ในเรื่องสัญญานายหน้านั้น  บุคคลจะต้องรับผิดให้ค่าบำเหน็จนายหน้าแก่ผู้ใดก็ต่อเมื่อได้ตกลงกันไว้กับผู้นั้นโดยชัดแจ้งประการหนึ่ง  หรือถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้โดยชัดแจ้งก็จะต้องรับผิดต่อเมื่อกิจการอันได้มอบหมายแก่ผู้นั้นเป็นที่คาดหมายได้ว่า  ผู้นั้นย่อมทำให้ก็แต่เพื่อจะเอาค่าบำเหน็จเท่านั้น  ถ้าไม่มีการตกลงกันหรือไม่มีการมอบหมายกิจการแก่กัน  ก็ไม่จำต้องให้ค่าบำเหน็จนายหน้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ นายหน้าที่จะได้รับบำเหน็จหรือค่านายหน้านั้นในเบื้องต้นจะต้องมีสัญญานายหน้าต่อกันโดยชัดแจ้งตามมาตรา  845  หรือมีสัญญาต่อกันโดยปริยายตามมาตรา  846  ผู้ใดจะอ้างตนเป็นนายหน้าฝ่ายเดียว  เรียกร้องเอาค่าบำเหน็จโดยอีกฝ่ายหนึ่งมิได้มีสัญญาด้วยแต่อย่างหนึ่งอย่างใดเลยนั้น  หามีกฎหมายสนับสนุนให้เรียกร้องได้ไม่ 

กรณีตามอุทาหรณ์  แม้ว่าสัญญาจะซื้อขายที่ดินของนางราตรีจะเกิดจากการชี้ช่องและจัดการของทิวา  และราตรีก็ทราบดีอยู่แล้วว่าทิวามีอาชีพเป็นนายหน้าก็ตาม  แต่ราตรีก็ไม่เคยตกลงให้ทิวาเป็นนายหน้าขายที่ดินของตนตามมาตรา  845  วรรคแรก  อีกทั้งจะถือว่าเป็นการตกลงกันโดยปริยายตามมาตรา  846  วรรคแรกก็มิได้  เพราะการตกลงโดยปริยายตามมาตรานี้  หมายถึง  กรณีที่มีการมอบหมายให้เป็นนายหน้ากันแล้ว  ไม่ใช่กรณีที่ยังไม่ได้มอบหมายให้เป็นนายหน้า  ดังนั้น  ทิวาจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จนายหน้าจากราตรี

สรุป  ทิวาจะบังคับเอาค่าบำเหน็จนายหน้าจากราตรีไม่ได้

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า 2/2555

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2555

 ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

 คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  มอบ  ข  ให้ช่วยเก็บค่าเช่าบ้าน  อีกทั้งยังมอบหมายให้ทำสัญญาเช่าได้ด้วย  ต่อมาภายหลัง  ก  ตายลง  ทำให้สัญญาระหว่าง  ก  กับ  ข  ระงับสิ้นไป  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  กรณีต่อไปนี้  ข  จะมีอำนาจทำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

1)    เก็บค่าเช่า

2)    ทำสัญญาเช่า

และถ้าไม่ทำผลจะเป็นเช่นไร  กรณีที่  1  กรณีที่  2  ถ้าทำผลจะเป็นเช่นไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  812  ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างใดๆเพราะความประมาทเลินเล่อของตัวแทนก็ดี  เพราะไม่ทำการเป็นตัวแทนก็ดี  หรือเพราะทำการโดยปราศจากอำนาจหรือนอกเหนืออำนาจก็ดี  ท่านว่าตัวแทนจะต้องรับผิด

มาตรา  823  ถ้าตัวแทนกระทำการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอำนาจก็ดี  หรือทำนอกทำเหนือขอบอำนาจก็ดี  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน  ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลำพังตนเอง  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทำการโดยปราศจากอำนาจ  หรือทำนอกเหนือขอบอำนาจ

มาตรา  828  เมื่อสัญญาตัวแทนระงับสิ้นไปเพราะตัวการตายก็ดี  ตัวการตกเป็นผู้ไร้ความสามารถหรือล้มละลายก็ดี  ท่านว่าตัวแทนต้องจัดการอันสมควรทุกอย่างเพื่อจะปกปักรักษาประโยชน์อันเขาได้มอบหมายแก่ตนไป  จนกว่าทายาทหรือผู้แทนของตัวการจะอาจเข้าปกปักรักษาประโยชน์นั้นๆได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนให้ช่วยเก็บค่าเช่าบ้านและให้อำนาจทำสัญญาเช่าได้ด้วย  เมื่อต่อมาภายหลัง  ก  ตายลงทำให้สัญญาระหว่าง  ก  กับ  ข  ระงับสิ้นไปนั้น  กรณีการเก็บค่าเช่าและการทำสัญญาเช่า  ข  จะมีอำนาจทำได้หรือไม่  และถ้าไม่ทำหรือถ้าทำผลจะเป็นเช่นไรนั้น  แยกพิจารณาได้ดังนี้

1)    การเก็บค่าเช่า  แม้ว่า  ก  ตัวการตาย  ทำให้สัญญาตัวแทนระงับไป  แต่ตามมาตรา  828  ได้กำหนดให้ตัวแทนต้องจัดการหรือทำหน้าที่ของตัวแทนไปพลางก่อนเท่าที่จำเป็น  เพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของตัวการ  ดังนั้น  ข  จึงสามารถเก็บค่าเช่าได้  ถ้าหาก  ข  ไม่เก็บค่าเช่า  ถือว่า  ข  ไม่ทำหน้าที่ของการเป็นตัวแทนตามมาตรา  828  และถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้น  ข  ตัวแทนจะต้องรับผิดชอบตามมาตรา  812

2)    การทำสัญญาเช่า  เมื่อ  ก  ตายลง  ข  ย่อมไม่มีอำนาจทำได้  เพราะสัญญาตัวแทนระงับแล้ว  อีกทั้งสัญญาเช่าเป็นบุคคลสิทธิ  เป็นสิทธิส่วนบุคคล  เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตาย  ย่อมทำให้สัญญาระงับ  ถ้าหาก  ข  ฝ่าฝืนทำสัญญาเช่า  ถือว่าเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจและย่อมไม่ผูกพันผู้เป็นตัวการ  ตามมาตรา  823  และไม่ถือว่าเป็นการจัดการเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของตัวการ  ตามมาตรา  828  ซึ่งมีผลทำให้ตัวแทนต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลำพังตนเอง  ตามมาตรา  823  วรรคสอง

สรุป

1)       การเก็บค่าเช่า  ข  มีอำนาจทำได้  ถ้าไม่ทำและเกิดความเสียหายขึ้น  ข  จะต้องรับผิดชอบตามมาตรา  828  ประกอบมาตรา  812

2)      การทำสัญญาเช่า  ข  ไม่มีอำนาจทำได้  ถ้าทำ  ข  จะมีความผิดตามมาตรา  828  ประกอบมาตรา  823

 

ข้อ  2  นายหนึ่งเปิดร้านขายรถยนต์ใช้แล้วอยู่แถวถนนบางกะปิ  นายสองได้นำรถยนต์ของตนไปฝากนายหนึ่งขายหนึ่งคันในราคา  3  แสนบาท  โดยตกลงกันว่าถ้าขายได้จะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหนึ่งจำนวนหนึ่งหมื่นบาท  และในขณะเดียวกันก็ให้นายหนึ่งซื้อรถยนต์ใช้แล้วให้ตนใหม่หนึ่งคันในราคาไม่เกิน  4  แสนบาท  โดยตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหนึ่ง  1  หมื่นบาท  นายหนึ่งได้นำรถยนต์ของนายสองไปขายเชื่อให้แก่นายสามและได้ไปซื้อรถยนต์คันใหม่จากนายสี่ให้แก่นายสอง  ซึ่งนายหนึ่งยังไม่ได้ชำระเงินให้แก่นายสี่  ดังนี้อยากทราบว่า

(ก)    ถ้าหนี้ถึงกำหนด  นายสามไม่นำเงินมาชำระ  นายหนึ่งหรือนายสองจะเป็นผู้มีสิทธิฟ้องเรียกค่ารถยนต์จากนายสาม  เพราะเหตุใด

(ข)   ถ้าหนี้ถึงกำหนด  นายหนึ่งไม่นำเงินไปชำระให้แก่นายสี่  นายสี่จะฟ้องนายหนึ่งหรือนายสองให้ชำระหนี้แก่ตน  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  833  อันว่าตัวแทนค้าต่าง  คือบุคคลซึ่งในทางค้าขายของเขาย่อมทำการซื้อ  หรือขายทรัพย์สิน  หรือรับจัดทำกิจการค้าขายอย่างอื่นในนามของตนเองต่างตัวการ

มาตรา  837  ในการที่ตัวแทนค้าต่างทำการขายหรือซื้อหรือจัดทำกิจการค้าขายอย่างอื่นต่างตัวการนั้น  ท่านว่าตัวแทนค้าต่างย่อมได้ซึ่งสิทธิอันมีต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการเช่นนั้น  และตัวแทนค้าต่างย่อมเป็นผู้ต้องผูกพันต่อคู่สัญญาฝ่ายนั้นด้วย

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา  837  ได้บัญญัติถึงสิทธิหน้าที่และความรับผิดของตัวแทนค้าต่างต่อบุคคลภายนอกไว้ว่า  เมื่อตัวแทนค้าต่างได้ทำการขายหรือซื้อ  หรือจัดทำกิจการอย่างใดแทนตัวการแล้ว  ตัวแทนค้าต่างย่อมต้องผูกพันเป็นคู่สัญญากับบุคคลภายนอกโดยตรง  ถ้าบุคคลภายนอกผิดสัญญา  ตัวแทนค้าต่างย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องร้องตามสัญญานั้นในนามของตนเองได้  และในขณะเดียวกัน  ก็ต้องรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอกตามสัญญานั้นด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายสองได้นำรถยนต์ของตนไปฝากนายหนึ่งขาย  1  คัน  และให้นายหนึ่งซื้อรถยนต์ใช้แล้วให้ตนใหม่  1  คัน โดยตกลงจะให้บำเหน็จแก่นายหนึ่ง  ซึ่งนายหนึ่งเปิดร้านขายรถยนต์ใช้แล้วอยู่แถวถนนบางกะปินั้น  ย่อมถือว่านายหนึ่งเป็นตัวแทนค้าต่างของนายสองตามมาตรา  833  ดังนี้

(ก)    จากข้อเท็จจริง  เมื่อนายหนึ่งได้นำรถยนต์ของนายสองไปขายเชื่อให้แก่นายสาม  และถ้าหนี้ถึงกำหนด  นายสามผิดสัญญาไม่นำเงินมาชำระค่ารถยนต์  นายหนึ่งผู้เป็นตัวแทนค้าต่างในฐานะคู่สัญญา  ย่อมเป็นผู้มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์จากนายสาม  เพราะนายหนึ่งได้ทำสัญญาขายเชื่อรถยนต์ให้แก่นายสาม  ในนามของตนเอง  จึงมีสิทธิต่อคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งในกิจการค้าขายรถยนต์นั้น  ตามมาตรา  837

(ข)   จากข้อเท็จจริง  เมื่อนายหนึ่งได้ไปซื้อรถยนต์คันใหม่จากนายสี่  และถ้าหนี้ถึงกำหนด  นายหนึ่งผิดสัญญาไม่นำเงินไปชำระให้แก่นายสี่  นายสี่จะต้องฟ้องนายหนึ่งผู้เป็นตัวแทนค้าต่างในฐานะคู่สัญญาให้ชำระหนี้แก่ตน  เพราะนายหนึ่งทำการซื้อรถยนต์กับนายสี่ในนามของตนเอง  จึงต้องผูกพันต่อคู่สัญญาคือนายสี่ด้วยตามมาตรา  837  นายสี่จะไปฟ้องเอากับนายสองตัวการมิได้  เพราะนายสองมิใช่คู่สัญญา

สรุป

(ก)    นายหนึ่งเป็นผู้มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์จากนายสาม

(ข)   นายสี่จะต้องฟ้องนายหนึ่งผู้เป็นตัวแทนค้าต่างให้ชำระหนี้แก่ตน

 

ข้อ  3  ก  มอบให้  ข  เป็นนายหน้าขายที่ดินของตนในราคาสามล้านบาทโดยตกลงจะให้ค่าบำเหน็จนายหน้าร้อยละสาม  ข  นำ  ค  มาทำสัญญาจะซื้อขายกับ  ก  ในราคาดังกล่าว  แล้วต่อมา  ค  ผิดนัดไม่ทำการซื้อขายภายในกำหนด  ก  ขอให้ศาลบังคับตามสัญญาจะซื้อขายและเรียกค่าเสียหาย  ก  กับ  ค  ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลเกี่ยวกับที่ดินพิพาทว่า  ก  ยอมโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้  ค  หรือบุคคลอื่นที่  ค  ประสงค์ให้เป็นผู้รับโอนก็ได้  โดย  ค  จะชำระราคาที่ดินตามที่ตกลงกันไว้พร้อมทั้งดอกเบี้ย

ต่อมา  ค  ได้ชำระค่าที่ดินสามล้านบาท  และดอกเบี้ยอีกแปดหมื่นบาทให้กับ  ก  และให้  ก  โอนที่ดินให้  ง  เพราะตนได้ขายที่ดินแปลงดังกล่าวต่อให้  ง  ในราคาสี่ล้านบาท

อยากทราบว่า  ข  จะเรียกค่าบำเหน็จนายหน้าร้อยละสามจาก  ก  ได้หรือไม่  จากจำนวนใด  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845  วรรคแรก  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา  845  วรรคแรก  จะเห็นได้ว่า  ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง  หรือจัดการจนเขาได้ทำสัญญากับบุคคลภายนอก  และนายหน้ารับกระทำการตามนั้น  และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทำสัญญากันแล้ว  นายหน้าย่อมจะได้รับค่าบำเหน็จ

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ก  มอบให้  ข  เป็นนายหน้าขายที่ดินของตนในราคาสามล้านบาท  โดยตกลงจะให้ค่าบำเหน็จนายหน้าร้อยละสาม  และ  ข  ได้นำ  ค  มาทำสัญญาจะซื้อขายกับ  ก  ในราคาดังกล่าวแล้ว  ดังนี้ย่อมถือว่า  ข  ได้ทำหน้าที่ของตนในฐานะนายหน้าครบถ้วนแล้ว  แม้ต่อมา  ค  จะผิดนัดไม่ทำการซื้อขายภายในกำหนดก็ตาม  ข  ย่อมมีสิทธิได้รับค่าบำเหน็จนายหน้าตามมาตรา  845  วรรคแรก

สำหรับค่าบำเหน็จนายหน้าที่  ข  จะได้รับคือร้อยละสามจากจำนวนสามล้านบาท  ซึ่งเป็นราคาตามสัญญาจะซื้อขายที่เกิดจากการชี้ช่องหรือจัดการของ  ข  นายหน้า  ส่วนสัญญาประนีประนอมยอมความในศาล  แม้จะเป็นผลจากสัญญาจะซื้อขายก็ตาม  แต่การที่ตัวการคือ  ค ขายสิทธิที่มีอยู่ในที่ดินแปลงดังกล่าวต่อให้แก่  ง  ในราคาสี่ล้านบาทนั้น  ไม่ใช่ผลโดยตรงจากการชี้ช่องหรือจัดการของ  ข  นายหน้า

สรุป  ข  เรียกค่าบำเหน็จนายหน้าได้ร้อยละสามจากจำนวนเงินสามล้านบาท

LAW 2011 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า S/2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2011 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวแทน นายหน้า

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  มอบ  ข  ให้เป็นตัวแทนรับมอบอำนาจทั่วไป  วันหนึ่งมี ค  มาขอเช่าที่ดินกับ  ข  ข  ได้ทำสัญญาเช่ามีระยะเวลา  5  ปี  อยากทราบว่า

(1)  สัญญาเช่าที่  ข  ทำไปนั้นผูกพัน  ก  ตัวการกี่ปี

(2)  ข  มีอำนาจให้เช่าได้กี่ปี

(3)  ข  มีอำนาจทำสัญญาให้  ค  เช่าที่ดินมีระยะเวลา  5  ปี  ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

(4)  ถ้า  ข  ทำสัญญาเกินอำนาจไป  ข  จะมีความรับผิดประการใด  และจะทำประการใดจึงจะทำให้สัญญาเช่านั้นผูกพัน  ก  ตัวการ  และมีความสมบูรณ์

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  800  ถ้าตัวแทนได้รับมอบอำนาจแต่เฉพาะการ  ท่านว่าจะทำการแทนตัวการได้แต่เพียงในสิ่งจำเป็น  เพื่อให้กิจอันเขาได้มอบหมายแก่ตนนั้นสำเร็จลุล่วงไป

มาตรา  801  ถ้าตัวแทนได้รับมอบอำนาจทั่วไป  ท่านว่าจะทำกิจใดๆในทางจัดการแทนตัวการก็ย่อมทำได้ทุกอย่าง

แต่การเช่นอย่างจะกล่าวต่อไปนี้  ท่านว่าหาอาจจะทำได้ไม่  คือ

2       ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์กว่าสามปีขึ้นไป

มาตรา  822  ถ้าตัวแทนทำการอันใดเกินอำนาจตัวแทน  แต่ทางปฏิบัติของตัวการทำให้บุคคลภายนอกมีมูลเหตุอันสมควรจะเชื่อว่าการอันนั้นอยู่ภายในขอบอำนาจของตัวแทน  ท่านให้ใช้บทบัญญัติมาตราก่อนนี้เป็นบทบังคับแล้วแต่กรณี

มาตรา  823  ถ้าตัวแทนกระทำการอันใดอันหนึ่งโดยปราศจากอำนาจก็ดี  หรือทำนอกทำเหนือขอบอำนาจก็ดี  ท่านว่าย่อมไม่ผูกพันตัวการเว้นแต่ตัวการจะให้สัตยาบันแก่การนั้น

ถ้าตัวการไม่ให้สัตยาบัน  ท่านว่าตัวแทนย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกโดยลำพังตนเอง  เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าบุคคลภายนอกนั้นได้รู้อยู่ว่าตนทำการโดยปราศจากอำนาจ  หรือทำนอกเหนือขอบอำนาจ

วินิจฉัย

(1)    ตามบทบัญญัติมาตรา  801  การที่  ก  มอบ  ข  ให้เป็นตัวแทนรับมอบอำนาจทั่วไป  โดยหลักแล้ว  ข  จะทำการใดๆในฐานะตัวแทนก็ย่อมทำได้ทุกอย่าง  แต่อาจมีข้อยกเว้นบางอย่างที่  ข  ไม่สามารถทำได้  เช่น  ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์กว่า  3  ปีขึ้นไป  ตามมาตรา  801  วรรคสอง(2)  ดังนั้น  สัญญาเช่าที่  ข  ให้เช่าไป  5  ปี  จึงผูกพัน  ก  ตัวการเพียง  3  ปีเท่านั้น  ตามอำนาจที่  ข  มี

(2)   บทบัญญัติมาตรา  801  วรรคสอง(2)  ได้กำหนดไว้ว่า  ตัวแทนจะจัดการแทนตัวการในการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ได้เพียง  3 ปีเท่านั้น  หากเกินกว่านั้นมิอาจทำได้  ดังนั้น  ข  จึงมีอำนาจให้เช่าได้เพียง  3  ปี

(3)   เมื่อ  ข  เป็นตัวแทนรับมอบอำนาจทั่วไป  ข  จึงไม่มีอำนาจทำสัญญาให้  ค  เช่าที่ดิน  มีระยะเวลา  5  ปี  ตามมาตรา  801 วรรคสอง(2)  ซึ่งบัญญัติหลักไว้ว่า  การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์กว่า  3  ปีขึ้นไป  ตัวแทนรับมอบอำนาจทั่วไปหาอาจจะทำได้ไม่

(4)   การที่  ข  ทำสัญญาเช่าเกินไป  2  ปี  เท่ากับ  ข  ทำเกินอำนาจตามมาตรา  822  ซึ่งส่วนเกินนั้นให้ถือว่า  ข  ทำการโดยปราศจากอำนาจตามมาตรา  823  การนั้นจึงไม่ผูกพันตัวการ  ข  จะต้องรับผิดโดยลำพัง  เว้นแต่  ก  ตัวการจะให้สัตยาบัน

และหากจะให้สัญญาเช่า  5  ปี  ที่  ข  ทำไปนั้นผูกพันตัวการทั้ง  5  ปี  ก  จะต้องมอบอำนาจเฉพาะการตามมาตรา  800  เป็นการให้สัตยาบันว่า  ข  ทำสัญญาเช่า  5  ปีได้  สัญญาจึงจะใช้บังคับ  5  ปีได้  และผูกพัน  ก  ตัวการ

สรุป  จากคำถาม (1) – (4)  นั้น  วินิจฉัยได้ตามเหตุผล  และหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ  2  ก  มอบให้  ข  ออกหน้าเป็นตัวการแทนตน  โดยให้เป็นผู้จัดการร้านค้า  โดยเป็นตัวแทนขายส่งสินค้ายี่ห้อแบรนด์เนม  ข  ส่งสินค้าให้  ค  ที่สั่งสินค้าไว้หลายรายการ  เป็นเงินหลายแสนบาท  แต่  ข  ส่งให้ไม่เป็นไปตามที่ตกลงไว้ในสัญญา  ทำให้ลูกค้าของ  ค  ยกเลิกสินค้าทั้งหมด  ค  ได้รับความเสียหายเป็นเงินจำนวนหลายแสนบาท  ขณะนั้น  ก  ตัวการยังไม่ได้เปิดเผยชื่อ  แค่  ค  ก็ไปรู้มาว่า  ข  เป็นเพียงตัวแทน  แต่  ก  คือตัวการ  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  จะถือว่า  ก  เปิดเผยชื่อแล้วหรือยัง  ค  จะฟ้อง  ก  ตัวการได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และ  ก  จะปฏิเสธว่า  ค  ไม่มีอำนาจฟ้อง  ก  เพราะ  ก  ตั้ง  ข  มิได้ทำเป็นหนังสือ  จึงฟ้องไม่ได้  ข้ออ้างของ  ก  ฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  798  กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องทำเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องทำเป็นหนังสือด้วย

กิจการอันใดท่านบังคับไว้ว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย

มาตรา  806  ตัวการซึ่งมิได้เผยชื่อจะกลับแสดงตนให้ปรากฏและ เข้ารับเอาสัญญาใด ๆ ซึ่งตัวแทนได้ทำไว้แทนตนก็ได้ แต่ถ้าตัวการ ผู้ใดได้ยอมให้ตัวแทนของตนทำการออกหน้าเป็นตัวการไซร้ ท่านว่า ตัวการผู้นั้นหาอาจจะทำให้เสื่อมเสียถึงสิทธิของบุคคลภายนอกอันเขามีต่อตัวแทนและเขาขวนขวายได้มาแต่ก่อนที่รู้ว่าเป็นตัวแทนนั้น ได้ไม่

มาตรา  820  ตัวการย่อมมีความผูกพันต่อบุคคลภายนอกในกิจการทั้งหลายอันตัวแทนหรือตัวแทนช่วงได้ทำไปภายในขอบอำนาจแห่งฐานตัวแทน

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ก  มอบให้  ข  ออกหน้าเป็นตัวการแทนตน  โดยเป็นตัวแทนขายส่งสินค้ายี่ห้อแบนด์เนม  และ  ก  ตัวการยังมิได้เปิดเผยชื่อนั้น  ถือเป็นเรื่องตัวการไม่เปิดเผยชื่อ  ตามมาตรา  806  โดยหลักแล้ว  เมื่อ  ค  บุคคลภายนอกได้รับความเสียหาย  ข  จะต้องรับผิดต่อ  ค  เช่นเดียวกับเป็นตัวการเอง

อย่างไรก็ตาม  เมื่อปรากฏว่า  ค  ได้รู้แล้วว่า  ข  เป็นเพียงตัวแทน  แต่  ก  คือตัวการ  ย่อมถือว่า  ก  ได้เปิดเผยชื่อแล้ว  ดังนั้น  เมื่อเป็นเรื่องตัวการไม่เปิดเผยชื่อตามมาตรา  806  และบุคคลภายนอกรู้แล้วว่าตัวการคือใคร  ข  ตัวแทนจึงหลุดพ้นจากความรับผิด  ค  จึงฟ้อง  ก  ตัวการให้รับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นได้  และ  ก  จะปฏิเสธว่า  ค  ไม่มีอำนาจฟ้อง  ก  เพราะ  ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนโดยมิได้ทำเป็นหนังสือไม่ได้  เพราะบทบัญญัติมาตรา  806  เป็นข้อยกเว้นของมาตรา  798  นอกจากนี้  ก  ยังต้องรับผิดตามมาตรา  820  อีกด้วย  เพราะถึงอย่างไร  ก  ตัวการก็ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริต  ดังนั้น  ข้ออ้างของ  ก  จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป  ค  สามารถฟ้อง  ก  ตัวการได้  และ  ก  จะปฏิเสธว่า  ค  ไม่มีอำนาจฟ้อง  เพราะ  ก  ตั้ง  ข  เป็นตัวแทนโดยมิได้ทำเป็นหนังสือไม่ได้  ข้ออ้างของ  ก  ฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  3  ก  มอบอำนาจให้  ข  ขายที่ดิน  โดยตกลงว่าจะให้ค่านายหน้า  ข  นำเสนอขาย  ค  ค  ตกลงซื้อ  ข  นำ  ก  และ  ค  เข้าทำสัญญากัน  ภายหลังทำสัญญาแล้วปรากฏว่าการซื้อขายเลิกกัน  เพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ข  ยังจะได้ค่านายหน้าหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 845  วรรคแรก  บุคคลผู้ใดตกลงจะให้ค่าบำเหน็จแก่นายหน้า  เพื่อที่ชี้ช่องให้ได้เข้าทำสัญญาก็ดี  จัดการให้ได้ทำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบำเหน็จก็ต่อเมื่อสัญญานั้นได้ทำกันสำเร็จ  เนื่องแต่ผลแห่งการที่นายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการนั้น  ถ้าสัญญาที่ได้ทำกันไว้นั้นมีเงื่อนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้  ท่านว่าจะเรียกร้องบำเหน็จค่านายหน้ายังหาได้ไม่จนกว่าเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้ว

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา  845  วรรคแรก  จะเห็นได้ว่า  ลักษณะของสัญญานายหน้านั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้นายหน้าเป็นผู้ชี้ช่องทาง  หรือจัดการจนเขาได้ทำสัญญากับบุคคลภายนอก  และนายหน้ารับกระทำการตามนั้น  และเมื่อนายหน้าได้ชี้ช่องหรือจัดการจนเขาได้เข้าทำสัญญากันแล้ว  นายหน้าย่อมจะได้รับค่าบำเหน็จ

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่  ก  ได้ตกลงให้  ข  ขายที่ดินโดยตกลงว่าจะให้ค่านายหน้านั้น  เมื่อปรากฏว่า  ข  ได้นำที่ดินเสนอขาย  ค  ค  ตกลงซื้อ  และ  ข  ได้นำ  ก  และ  ค  เข้าทำสัญญาซื้อขายกัน  ดังนี้  ย่อมถือว่า  ข  ได้ทำหน้าที่ของตนในฐานะนายหน้าครบถ้วนแล้ว  แม้ต่อมาภายหลังการซื้อขายได้เลิกกัน  เพราะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาก็ตาม  ข  ก็ยังมีสิทธิจะได้รับค่าบำเหน็จนายหน้าอยู่ตามมาตรา  845  วรรคแรก  (ฎ.517/2494)

สรุป  ข  ยังจะได้รับค่าบำเหน็จนายหน้าอยู่

WordPress Ads
error: Content is protected !!