LAW 2010กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2010 (LA 210),(LW 302)

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายอรรถทำสัญญากู้เงินนายอิงค์  เป็นเงิน  3,000,000  บาท  โดยนายอ่ำได้ส่งมอบเครื่องเพชรมูลค่า  2,000,000  บาท  ให้นายอิงค์ไว้เป็นประกันการกู้เงินของนายอรรถ  ต่อมาอีก  3  วัน  นายอุ๊ได้ทำหลักฐานสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้เงินกู้ส่งมอบให้นายอิงค์ไว้อีกฉบับหนึ่งโดยที่นายอรรถไม่ทราบ  หลังจากที่นายอุ๊ได้ทำสัญญาค้ำประกันแล้ว  นายอรรถได้จดทะเบียนจำนองที่ดินมูลค่า  3  ล้านบาท ไว้เป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ของตนด้วย  หากต่อมาปรากฏว่าก่อนหนี้เงินกู้จะถึงกำหนดนายอิงค์ได้ปลดจำนองให้นายอรรถไป  โดยเห็นว่าหนี้เงินกู้ของนายอรรถมีหลักประกันเพียงพอแล้ว  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า

1  ถ้าหนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระและนายอรรถผิดนัด   นายอิงค์มาเรียกร้องให้นายอุ๊รับผิดตามสัญญาค้ำประกัน  นายอุ๊จะเกี่ยงให้นายอิงค์ไปบังคับจำนำเครื่องเพชรของนายอ่ำที่นำมาจำนำ  และให้ไปบังคับจำนองที่ดินที่นายอรรถนำมาจำนองเพื่อชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินของนายอรรถเสียก่อน  แล้วจึงมาเรียกร้องให้ตนรับผิดจะกระทำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

2  ถ้านายอรรถผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญากู้  นายอุ๊จะอ้างเหตุที่นายอิงค์ทำการปลดจำนองที่ดินที่นายอรรถนำมาจำนอง  เพื่อขอหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  680  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  686  ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด  ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น

มาตรา  690  ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดไว้เป็นประกันไซร้  เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ  ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องให้ชำระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน

มาตรา  697  ถ้าเพราะการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งของเจ้าหนี้เองเป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันไม่อาจเข้ารับช่วงได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในสิทธิก็ดี  จำนองก็ดี  จำนำก็ดี  และบุริมสิทธิอันได้ให้ไว้แก่เจ้าหนี้แต่ก่อนหรือในขณะทำสัญญาค้ำประกันเพื่อชำระหนี้นั้น  ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดเพียงเท่าที่ตนต้องเสียหายเพราะการนั้น

วินิจฉัย

การที่นายอุ๊เข้าทำสัญญาค้ำประกันกู้เงินของนายอรรถให้แก่นายอิงค์โดยที่นายอรรถลูกหนี้ชั้นต้นไม่ทราบหรือไม่ยินยอม  ก็ถือว่าการค้ำประกันมีผลผูกพันนายอุ๊ผู้ค้ำประกันแล้ว  เพราะการค้ำประกันเป็นสัญญาที่บุคคลภายนอกเข้าแสดงเจตนาต่อเจ้าหนี้  เพื่อจะชำระหนี้เมื่อลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดไม่ชำระหนี้ประธาน  ตามมาตรา  680  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  686

1       ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในประการแรก  มีว่า  นายอุ๊ผู้ค้ำประกันจะใช้สิทธิในการเกี่ยงตามาตรา  690  ได้หรือไม่  เห็นว่ากรณีที่จะใช้สิทธิในการเกี่ยงตามาตรา  690  ต้องเป็นกรณีที่เจ้าหนี้มีทรัพย์สินของลูกหนี้ยึดถือไว้เป็นประกันวางชำระหนี้ประธาน  แต่กรณีตามปัญหา  นายอ่ำบุคคลภายนอกได้ส่งมอบเครื่องเพชรของตนเองเพื่อเป็นประกันการกู้เงินของนายอรรถ  ดังนั้น  นายอุ๊ผู้ค้ำประกันจึงไม่มีสิทธิเกี่ยงให้นายอิงค์เจ้าหนี้ไปบังคับจำนำเครื่องเพชรของนายอ่ำบุคคลภายนอกก่อนได้  เพราะมิใช่หลักประกันที่เป็นทรัพย์ของนายอรรถลูกหนี้ชั้นต้น

ส่วนกรณีที่ดินที่นายอรรถได้จำนองไว้  ก็ไม่มีอยู่ในฐานะที่หนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระแล้ว เพราะนายอิงค์เจ้าหนี้ได้ปลดจำนองให้นายอรรถผู้จำนองไปแล้วจึงทำให้การจำนองระงับ  นายอิงค์เจ้าหนี้จึงมิได้มีทรัพย์สินของนายอรรถ  ลูกหนี้ชั้นต้นยึดถือไว้เป็นประกันอีกต่อไป  ดังนั้น นายอุ๊ผู้ค้ำประกันจึงไม่มีสิทธิเกี่ยงได้อีกต่อไปตามมาตรา  690

2       ประเด็นสุดท้ายที่ต้องวินิจฉัยมีว่า   นายอุ๊จะหลุดพ้นเพราะเหตุที่นายอิงค์ทำการปลดจำนองที่ดินให้นายอรรถหรือไม่  เห็นว่าตามมาตรา  697  ตอนท้าย  มีหลักว่า  ถ้าเจ้าหนี้ทำให้ผู้ค้ำประกันไม่อาจเข้ารับช่วงสิทธิในหลักประกันที่เกิดขึ้นก่อนหรือขณะที่ผู้ค้ำประกันเข้าทำการค้ำประกันแล้ว  ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดเท่าที่ตนต้องเสียหายเพราะการนั้น  ดังนั้น  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายอรรถได้จำนองที่ดินไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้  ภายหลังจากที่นายอุ๊ได้เข้าค้ำประกันแล้ว  แม้นายอิงค์เจ้าหนี้จะปลดจำนองให้นายอรรถเป็นเหตุให้นายอุ๊ไม่อาจเข้ารับช่วงสิทธิได้ก็ตาม  ก็ไม่ทำให้นายอุ๊หลุดพ้นจากความรับผิด  เพราะการจำนองของนายอรรถเกิดขึ้นหลังจากที่นายอุ๊เข้าทำการค้ำประกันแล้ว  จึงไม่ต้องตามบทบัญญัติ มาตรา  697

สรุป 

1       นายอุ๊  ผู้ค้ำประกันไม่อาจเกี่ยงให้นายอิงค์เจ้าหนี้ไปบังคับจำนำเครื่องเพชรของนายอ่ำและบังคับจำนองที่ดินของนายอรรถที่เคยจำนองไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้ได้ตามมาตรา 690

2       นายอุ๊  ผู้ค้ำประกันไม่อาจหลุดพ้นจากความรับผิดเพราะเหตุที่นายอิงค์เจ้าหนี้ทำให้นายอุ๊ไม่อาจเข้ารับช่วงสิทธิได้ตามมาตรา  697

 

ข้อ  2  นางอินนภาให้เงินนางเพ็ญจักรยืมเป็นเงิน  10,000  บาท  โดยมีนายอาเจ็กจำนองที่ดินของตนเป็นประกันการยืมเงินรายนี้ตามกฎหมาย  ในการยืมเงินครั้งนี้นางอินนภาเจ้าหนี้ได้ตกลงกับนางเพ็ญจักรว่าให้ชำระหนี้  ณ  วันที่  31  ธันวาคม  ครั้นเมื่อครบกำหนดเวลาดังกล่าวนางเพ็ญจักรไม่มีเงินชำระหนี้จึงโทรศัพท์มาบอกนางอินนภาเจ้าหนี้ว่าตนไม่มีเงิน  หากมีเงินเมื่อไรจะรีบนำมาให้  นางอินนภารับทราบว่าลูกหนี้ไม่มีเงินจ่าย  แต่ก็ปล่อยปละละเลยไม่ได้ฟ้อง  ดังนี้  นายอาเจ็ก  ผู้จำนองจะหลุดพ้น จากการจำนองหรือไม่  หากตนไม่รู้ถึงข้อตกลงทางโทรศัพท์ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ในระหว่างที่ทั้งสองตกลงกัน  (นายอาเจ๊กเพิ่งมารู้ทีหลัง)

ธงคำตอบ

มาตรา  700  ถ้าค้ำประกันหนี้อันจะต้องชำระ  ณ  เวลามีกำหนดแน่นอน  และเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ไซร้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด

แต่ถ้าผู้ค้ำประกันได้ตกลงด้วยในการผ่อนเวลา  ท่านว่าผู้ค้ำประกันหลุดพ้นจากความรับผิดไม่

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนอง  เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนองเป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา  727  ถ้าบุคคลคนเดียวจำนองทรัพย์สินแห่งตนเพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระ  ท่านให้ใช้บทบัญญัติมาตรา  697, 700 และ  701  ว่าด้วยค้ำประกันนั้นบังคับอนุโลมตามควร

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ตามมาตรา  700  ประกอบมาตรา  727  ที่กำหนดให้ผู้จำนองหลุดพ้นจากความรับผิด  เพราะเหตุที่เจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาชำระหนี้ให้ลูกหนี้  ประกอบด้วยสาระสำคัญ  3  ประการ

1       ต้องเป็นหนี้ที่กำหนดเวลาชำระหนี้แน่นอน  ถ้าเป็นหนี้ไม่มีกำหนดเวลาชำระแน่นอนจะมีการผ่อนเวลาไม่ได้

2       ต้องมีการตกลงยอมผ่อนเวลาโดยชัดแจ้ง  และทั้งเจ้าหนี้ต้องยินยอมด้วย

3       ถ้าผู้จำนองตกลงด้วยในการผ่อนเวลาย่อมไม่หลุดพ้น

เมื่อหนี้ระหว่างนางอินนภาและนางเพ็ญจักร์  ซึ่งเป็นหนี้ที่มีกำหนดเวลาชำระแน่นอนในวันที่  31  ธันวาคม  ถึงกำหนดชำระแล้ว  ลูกหนี้ไม่มีเงินชำระหนี้จึงโทรศัพท์มาบอกอินนภาว่าไม่มีเงินหากมีเงินเมื่อไรจะรีบนำมาให้  โดยนางอินนภาก็รับทราบ  แต่ก็ปล่อยปละละเลยไม่ได้ฟ้อง  เช่นนี้  ไม่ถือว่าเป็นการที่เจ้าหนี้ผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ตามมาตรา  700  เพราะเป็นเพียงแต่ตกลงด้วยวาจาเท่านั้น  ไม่ชัดแจ้ง  จึงไม่ผูกพันเจ้าหนี้  ผู้จำนองจึงยังไม่หลุดพ้นจากความผิด  ตามมาตรา  700  ประกอบมาตรา  727 

อีกทั้งการที่เจ้าหนี้ไม่ฟ้องลูกหนี้ให้ชำระหนี้เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  ก็ไม่ใช่เป็นการขยายระยะเวลาการชำระหนี้หรือผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ แต่เป็นเพียงการปล่อยปละละเลยไม่ฟ้องเท่านั้น  นายอาเจ๊กผู้จำนองจึงไม่หลุดพ้นจากการจำนอง  แม้ว่านายอาเจ๊กจะไม่รู้ถึงข้อตกลงระหว่างนางอินนภาและนางเพ็ญจักรก็ตาม

สรุป  นายอาเจ๊กผู้จำนองไม่หลุดพ้นจากการจำนอง

 

ข้อ  3  นาย  ก  กู้เงิน  นาย  ข    เป็นจำนวนเงิน  50,000  บาท  โดยนำสร้อยคอทองคำหนัก  5  บาท  ไปจำนำไว้เป็นประกันหนี้โดยมีข้อตกลงกันว่า  หากถึงกำหนดชำระหนี้ไม่มีเงินไปชำระ  ให้นาย  ข  ผู้รับจำนำเป็นเจ้าของทรัพย์สิน  คือ  สร้อยคอนั้น  หรือให้นาย  ข  จัดการแก่ทรัพย์สินที่รับจำนำเป็นประการใดก็ได้ที่นาย  ข  ต้องการ  เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ตามที่สัญญากู้เงินกันเมื่อวันที่  1  มกราคม  2549  มีระยะเวลา  1  ปี  เมื่อครบ  1  ปี  นาย  ข  ได้ยึดสร้อยคอนั้นเป็นของตนเสีย  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  ข้อตกลงในสัญญาฉบับนี้สมบูรณ์หรือไม่อย่างไร  กรณีที่หนึ่ง

กรณีที่สอง  หากสัญญาฉบับดังกล่าวนี้  นาย  ก  กับ  นาย  ข  ตกลงกันเมื่อหนี้ถึงกำหนดแล้วว่า  ให้ทรัพย์สินที่จำนำเป็นของผู้รับจำนำ  หรือ  ให้ผู้รับจำนำสร้อยคอไปร้านขายทองนำเงินมาชำระหนี้โดยไม่ต้องขายทอดตลาด  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  ข้อตกลงในสัญญาฉบับดังกล่าวนี้สมบูรณ์หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  756  การที่จะตกลงกันไว้เสียแต่ก่อนเวลาหนี้ถึงกำหนดชำระเป็นข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  ถ้าไม่ชำระหนี้  ให้ผู้รับจำนำเข้าเป็นเจ้าของทรัพย์สินจำนำ  หรือให้จัดการแก่ทรัพย์สินนั้นเป็นประการอื่น  นอกจากตามบทบัญญัติทั้งหลายว่าด้วยการบังคับจำนำนั้นไซร้  ข้อตกลงเช่นนั้น  ท่านว่าไม่สมบูรณ์

มาตรา  764  เมื่อจะบังคับจำนำ  ผู้รับจำนำต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนำชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจำนำออกขายได้แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจำนำต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จำนำบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย

วินิจฉัย

กรณีที่หนึ่ง  การที่นาย  ก  และนาย  ข  ตกลงกันว่า  หากถึงกำหนดชำระหนี้  ไม่มีเงินไปชำระให้นาย  ข  ผู้รับจำนำเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่จำนำ  หรือให้นาย  ข  จัดการแก่ทรัพย์สินที่รับจำนำเป็นประการใดก็ได้ที่นาย  ข  ต้องการนั้น  เป็นข้อตกลงที่ขัดต่อกฎหมาย  ต้องห้ามตามมาตรา  756  เพราะเป็นการตกลงกันล่วงหน้าระหว่างผู้รับจำนำกับผู้จำนำ  ก่อนเวลาที่หนี้ถึงกำหนดชำระ  ข้อตกลงเช่นนี้จึงไม่สมบูรณ์เป็นโมฆะ

กรณีที่สอง  หากนาย  ก  กับนาย  ข  ตกลงกันเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระแล้วว่า  ให้ทรัพย์สินที่จำนำเป็นของผู้รับจำนำ  หรือ  ให้ผู้รับจำนำสร้อยคอไปขายร้านทองนำเงินมาชำระหนี้โดยไม่ต้องขายทอดตลาด”  กล่าวคือ  ไม่ต้องขายทอดตลาดตามมาตรา  764  วรรคสอง  ย่อมสามารถกระทำได้  เป็นข้อตกลงที่ไม่ต้องห้ามตามมาตรา  756  เพราะเป็นข้อตกลงกันภายหลังที่หนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว  และถือเป็นข้อตกลงที่สมบูรณ์ใช้บังคับได้

 สรุป

กรณีที่หนึ่ง  ข้อตกลงไม่สมบูรณ์  เป็นโมฆะ

กรณีที่สอง  ข้อตกลงสมบูรณ์  ใช้บังคับได้    

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ 2/2549

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายเอกทำสัญญากู้เงินนายโทเป็นเงิน  70,000  บาท  ขณะทำสัญญาเงินกู้  นายเอกได้จดทะเบียนจำนองที่ดินมูลค่า  50,000 บาท  ไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้รายนี้  หลังจากนั้นนายโทได้จดทะเบียนปลดจำนองให้นายเอก  อีก  2  วันต่อมานายตรีได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือโดยขอรับผิดร่วมกับนายเอกลูกหนี้ชั้นต้น  ต่อมานายเอกผิดนัดไม่ชำระหนี้  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า

1)    นายตรีจะอ้างให้นายโทเจ้าหนี้ไปเรียกร้องเอากับที่ดินของนายเอกได้หรือไม่

2)    นายตรีจะอ้างเรื่องการปลดจำนองเพื่อขอหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  689  ถึงแม้จะได้เรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ดังกล่าวมาในมาตราก่อนนั้นแล้วก็ตาม  ถ้าผู้ค้ำประกันพิสูจน์ได้ว่าลูกหนี้นั้นมีทางที่จะชำระหนี้ได้  และการที่จะบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้นจะไม่เป็นการยากไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องบังคับการชำระหนี้รายนั้นเอาจากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อน

มาตรา  691  ถ้าผู้ค้ำประกันต้องรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้  ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมไม่มีสิทธิดังกล่าวไว้ในมาตรา  688, 689, และ  690 

มาตรา  697  ถ้าเพราะการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งของเจ้าหนี้เองเป็นเหตุให้ผู้ค้ำประกันไม่อาจเข้ารับช่วงได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในสิทธิก็ดี  จำนองก็ดี  จำนำก็ดี  และบุริมสิทธิอันได้ให้ไว้แก่เจ้าหนี้แต่ก่อนหรือในขณะทำสัญญาค้ำประกันเพื่อชำระหนี้นั้น  ท่านว่าผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดเพียงเท่าที่ตนต้องเสียหายเพราะการนั้น

วินิจฉัย

การที่นายเอกทำสัญญากู้เงินนายโทเป็นเงิน  70,000  บาท  ขณะทำสัญญากู้เงินนายเอกได้จดทะเบียนจำนองที่ดิน  มูลค่า  50,000  บาท  ไว้เป็นประกันหนี้เงินกู้รายนี้  หลังจากนั้นนายโทได้จดทะเบียนปลดจำนองให้นายเอก  อีก  2  วัน  ต่อมานายตรีได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือโดยขอรับผิดร่วมกับนายเอก  ลูกหนี้ชั้นต้น  ต่อมานายเอกผิดนัดไม่ชำระหนี้

1)    นายตรีจะอ้างให้นายโทเจ้าหนี้ไปเรียกร้องเอากับที่ดินของนายเอกได้หรือไม่  เห็นว่า  นายตรีผู้ค้ำประกันทำสัญญาค้ำประกันโดยรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้  จึงหมดสิทธิที่จะเรียกให้บังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้ก่อนตามมาตรา  688 – 690  ดังนั้นนายตรีจึงไม่มีสิทธิเกี่ยงให้นายโทเจ้าหนี้บังคับเอากับที่ดินของนายเอกลูกหนี้ชั้นต้นก่อนได้  ตามมาตรา  691  ประกอบมาตรา  689

2)    นายตรีจะอ้างเรื่องการปลดจำนองเพื่อขอหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้หรือไม่  เห็นว่าขณะที่นายตรีผู้ค้ำประกันได้เข้าทำสัญญาค้ำประกัน  หนี้ประธานคือหนี้เงินกู้ไม่มีทรัพย์สินใดเป็นหลักประกัน  จึงไม่ใช่กรณีที่เพราะการกระทำของนายโทเจ้าหนี้เป็นเหตุให้นายตรีผู้ค้ำประกันไม่อาจเข้ารับช่วงสิทธิได้  เนื่องจากไม่มีหลักประกันใดที่นายตรีจะรับช่วงสิทธิอยู่ในขณะเข้าทำสัญญาค้ำประกัน  ตามมาตรา  697

สรุป 

1 )  นายตรีไม่มีสิทธิเกี่ยง  ตามมาตรา  689  ประกอบมาตรา  691

2 )  นายตรีไม่อาจอ้าง  มาตรา  697  เพื่อหลุดพ้นจากความรับผิดได้

 

ข้อ  2  จงอธิบายถึงการครอบของจำนองซึ่งครอบไปทุกสิ่ง  และการครอบของจำนองซึ่งครอบไปทุกส่วนพร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  716  จำนองย่อมครอบไปถึงบรรดาทรัพย์สินซึ่งจำนองหมดทุกสิ่ง  แม้จะได้ชำระหนี้แล้วบางส่วน

มาตรา  717  แม้ว่าทรัพย์สินซึ่งจำนองจะแบ่งออกเป็นหลายส่วนก็ตาม  ท่านว่าจำนองก็ยังคงครอบไปถึงส่วนเหล่านั้นหมดทุกส่วนด้วยกันอยู่นั่นเอง

ถึงกระนั้นก็ดี  ถ้าผู้รับจำนองยินยอมด้วย  ท่านว่าจะโอนทรัพย์สินส่วนหนึ่งส่วนใดไปปลดจากจำนองก็ให้ทำได้  แต่ความยินยอมดังว่านี้หากมิได้จดทะเบียน   ท่านว่าจะยกเอาเป็นข้อต่อสู้กับบุคคลภายนอกหาได้ไม่

อธิบาย    การจำนองครอบทุกสิ่ง   ตามมาตรา  716  หมายถึง  การนำทรัพย์หลายสิ่งหรือหลายชิ้นมาจำนองเป็นประกันหนี้รายเดียวกัน  หากมิได้มีการตกลงกันตามมาตรา  710  สิทธิจำนองย่อมครอบคลุมไปถึงทรัพย์สินซึ่งจำนองทุกสิ่ง  แม้ลูกหนี้จะชำระหนี้บางส่วน  โดยหากมิได้มีการชำระหนี้ล้างจำนองเป็นงวดๆและจดทะเบียนแก้ไขเปลี่ยนแปลงปลดเอาทรัพย์สินสิ่งใดออกจากการจำนอง  การจำนองยังครอบไปถึงทรัพย์สินทุกสิ่งอยู่นั่นเอง

ตัวอย่างเช่น  ก  กู้เงิน  ข  1  ล้านบาท  โดยจำนองที่ดินกับเครื่องจักรเป็นประกัน  ต่อมาแม้ว่า  ก  จะชำระหนี้ไปแล้ว  9  แสนบาท  เหลือหนี้อยู่เพียง  1  แสนบาท  ทั้งที่ดินและเครื่องจักรก็ยังคงติดจำนองอยู่

แต่ถ้ามีข้อตกลงตามมาตรา  710 (2)  คือ  สัญญาจำนองระบุว่าที่ดินจำนองเป็นประกันหนี้  7  แสนบาท  เครื่องจักรประกันหนี้  3  แสนบาท  ในกรณีนี้ผู้จำนองก็มีสิทธิเลือกว่าจะชำระหนี้ส่วนไหนก่อน  ผู้จำนองอาจจะเอาเงิน  3  แสนบาทไปชำระหนี้แก่เจ้าหนี้และขอจดทะเบียนปลดจำนองเครื่องจักรได้  แต่ถ้าไปไม่ได้มีข้อตกลงอย่างใด การชำระหนี้แม้ว่าจะชำระไปจนเหลือเพียง  1  บาท  ก็ยังมีผลทำให้ที่ดินและเครื่องจักรยังติดจำนองทั้งสองรายการ  ลูกหนี้ไม่สามารถขอที่ดินหรือเครื่องจักรคืนหรือนำไปขายโดยปลอดจำนองได้

การจำนองครอบทุกส่วน  ตามมาตรา  717  หมายถึง  การนำทรัพย์สินสิ่งเดียว  แต่ทรัพย์นั้นแบ่งออกได้หลายส่วนตามสภาพของทรัพย์สิน  ซึ่งแต่ละส่วนสามารถนำไปจำนองได้  การจำนองย่อมครอบไปทุกส่วน  แม้ผู้จำนองจะได้ชำระหนี้บางส่วนแล้วก็ตาม  ลูกหนี้ก็ไม่สามารถจะขอส่วนใดส่วนหนึ่งคืนหรือนำไปขายโดยปลอดจำนองได้

ตัวอย่างเช่น  ก  กู้เงิน  ข  จำนวน  1  ล้านบาท  โดยจำนองโรงน้ำแข็งเป็นประกันเงินกู้  ซึ่งโดยสภาพของโรงน้ำแข็งย่อมประกอบด้วยทรัพย์หลายส่วน  เช่น  เครื่องทำน้ำแข็ง  เครื่องกำเนิดไฟฟ้า  ตัวโรงน้ำแข็งเป็นต้น  หรือจำนองที่ดินจำนวน  10  ไร่เป็นประกันหนี้  ต่อมาปรากกว่ามีการรังวัดแบ่งแยกที่ดินจำนองออกเป็น  10  ส่วนๆละ  1  ไร่  ตามกฎหมายมาตรา  717  ให้ถือว่าสิทธิจำนองก็ยังคงครอบไปถึงทุกส่วน  ไม่ว่าจะเป็นเครื่องทำน้ำแข็ง  เครื่องกำเนิดไฟฟ้า  ตัวโรงน้ำแข็ง  หรือที่ดินทั้ง  10  ไร่นั้น ถึงแม้ว่าจะมีการชำระหนี้ไปแล้ว  9 แสนบาท  เหลือหนี้เพียง  1  แสนบาทก็ตาม

ข้อสังเกต  กรณีของการจำนองที่ดินตามตัวอย่างข้างต้น  จะต้องเป็นการแบ่งแยกที่ดินภายหลังมีการทำสัญญาจำนองเท่านั้น  หากมีการแบ่งแยกที่ดินจำนองก่อนทำสัญญาจำนองแล้ว  ย่อมเป็นกรณีตามมาตรา  716

 

ข้อ  3  นาย  ก  กู้เงิน  นาย  ข  100,000  บาท  โดยมีนาย  ค  นำแหวนเพชรและ  นาย  ง  นำสร้อยเพชรจำนำไว้เป็นประกันหน้าตามลำดับ  การกู้เงินรายนี้ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ  ต่อมานาย  ก  ได้นำเงินมาชำระหนี้ครั้งที่  1  เป็นจำนวนเงิน  30,000  บาท  และครั้งที่ 2  เป็นจำนวนเงิน  40,000  บาท  นาย  ค  ผู้จำนำแหวนเพชรไว้ได้ขอคืนแหวนเพชรโดยอ้างว่าการชำระหนี้บางส่วนของนาย  ก  นั้นคุ้มค่าแล้วให้เหลือแต่สร้อยเพชรของนาย  ง  อย่างเดียวก็คุ้มราคากับหนี้ที่เหลือแล้ว  แต่นาย  ข  ไม่ยอมคืนให้  ให้ท่านวินิจฉัยพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบด้วยว่า  ข้ออ้างของนาย  ค  ฟังขึ้นหรือไม่  และการที่นาย  ข  ไม่ยอมคืนแหวนเพชรให้นาย  ค  นั้น  นาย  ข  มีเหตุผลที่จะอ้างกฎหมายใดในการไม่คืนแหวนเพชรนั้น

ธงคำตอบ 

มาตรา  758  ผู้รับจำนำชอบที่จะยึดของจำนำไว้ทั้งหมดจนกว่าจะได้รับชำระหนี้และค่าอุปกรณ์ครบถ้วน

วินิจฉัย

ตามหลักมาตรา  758  ผู้รับจำนำชอบที่จะยึดของจำนำไว้ได้ทั้งหมดจนกว่าจะได้รับชำระหนี้และค่าอุปกรณ์ครบถ้วน  อนึ่งการจำนำนั้นมีลักษณะคล้ายสิทธิยึดหน่วง  แม้จะได้รับชำระหนี้แล้วบางส่วนหนี้ที่เหลือก็ยังคงผูกพันทรัพย์สินที่จำนำทั้งหมด  โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าทรัพย์สินจำนำที่ยึดได้จะมีราคามากกว่าหนี้ที่ยังค้างชำระหรือไม่  กรณีตามอุทาหรณ์เมื่อมีทรัพย์จำนำไว้หลายสิ่งและผู้กู้ได้ชำระหนี้บางส่วนไปแล้วก็จะขอเอาทรัพย์ที่จำนำบางสิ่งกลับคืนโดยผู้รับจำนำไม่ยินยอมไม่ได้  ผู้รับจำนำยังมีสิทธิยึดทรัพย์ที่จำนำทั้งหมดได้

สรุป  ข้ออ้างของนาย  ค  ฟังไม่ขึ้น  และการที่นาย  ข  ไม่คืนทรัพย์ให้นาย  ค  ก็โดยอ้างหลักกฎหมายมาตรา  758  ดังกล่าวข้างต้นนี้

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ S/2549

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายแดดทำสัญญาค้ำประกันนายฝนซึ่งเป็นพนักงานขับรถยนต์ส่งของให้บริษัท  ฤดูกาล  จำกัด  ซึ่งมีนายหนาวเป็นผู้จัดการ ปรากฏว่าต่อมานายฝนได้ขับรถไปส่งของด้วยอาการหลับใน  เนื่องจากฝนตกทำให้เกิดอุบัติเหตุรถชนกัน  ของที่นำไปส่งเสียหายทั้งหมดเป็นจำนวนเงิน  50,000  บาท  นายหนาวจึงฟ้องนายฝนลูกจ้างและนายแดดผู้ค้ำประกันให้ร่วมกันรับผิดในหนี้  50,000  บาท  อยากทราบว่า  นายแดดจะต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันหรือไม่  เพราะเหตุใด  ยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

มาตรา  680  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  686  ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด  ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น

วินิจฉัย

การค้ำประกัน  คือ  การที่บุคคลภายนอกมาทำสัญญากับเจ้าหนี้ว่าหากลูกหนี้มีทำการชำระหนี้  ผู้ค้ำประกันจะชำระหนี้ให้  ตามบทบัญญัติมาตรา  680  วรรคแรก  ซึ่งสามารถแยกลักษณะของสัญญาค้ำประกันได้  3  ประการ คือ

1       ผู้ค้ำประกันต้องเป็นบุคคลภายนอก  อาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้

2       ต้องมีหนี้ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้  เรียกว่า  หนี้ประธาน  หรือหนี้ชั้นต้น  โดยที่ความผูกพันของผู้ค้ำประกันเป็นลูกหนี้ชั้นที่สองหรือหนี้อุปกรณ์

3       ต้องผูกพันตนต่อเจ้าหนี้เพื่อชำระหนี้เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

นายแดดบุคคลภายนอกผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้อันเกิดจากสัญญาจ้างนายฝนเป็นพนักงานขับรถยนต์ส่งของ  ถือว่าเป็นการค้ำประกันความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการจ้าง  นายแดดจึงต้องผูกพันตามมาตรา  680  วรรคแรก

เมื่อปรากฏว่าความเสียหายดังกล่าว  เกิดขึ้นจากการทำงานตาสัญญาจ้าง  ซึ่งนายฝนลูกหนี้ต้องรับผิดชอบ  จึงต้องถือว่านายฝนผิดนัดไม่ชำระหนี้  ดังนั้นเมื่อลูกหนี้ผิดนัดเจ้าหนี้ก็ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้  ตามมาตรา  686  นายแดดผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันที่ตนทำไว้  ตามมาตรา  680  วรรคแรกประกอบมาตรา  686

สรุป  นายแดดต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน

 

ข้อ  2  นายผ่องขอกู้เงินนายเมี่ยงจำนวน  1,000,000  บาท  พร้อมกับนำที่ดินของตนราคา  8,000,000  บาท  มาจำนองเป็นประกันหนี้ดังกล่าว  นายเมี่ยงเกรงว่าจะไม่ได้รับเงินคืนครบทุกบาท  จึงขอให้นายผ่องทำสัญญาเป็นหนังสือว่าจะไม่นำที่ดินแปลงจำนองดังกล่าวไปจำนองกับใครอีก  โดยนายเมี่ยงและนายผ่องได้ลงลายมือชื่อไว้ในสัญญาดังกล่าว  ต่อมาปรากกว่าการค้าของนายผ่องขาดทุน  จำเป็นต้องใช้เงินอีก  2,000,000  บาท  นายผ่องจึงนำที่ดินแปลงดังกล่าวไปขอกู้เงินจากนายนวล  2,000,000  บาท  นายเมี่ยงทราบจึงคัดค้านว่าไม่สามารถจำนองที่ดินแปลงนี้ได้อีกแล้ว  อยากทราบว่าข้ออ้างของนายเมี่ยงรับฟังได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนอง  เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนองเป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา  712  แม้ถึงว่ามีข้อสัญญาเป็นอย่างอื่นก็ตาม  ทรัพย์สินซึ่งจำนองไว้แก่บุคคลคนหนึ่งนั้น  ท่านว่าจะเอาไปจำนองแก่บุคคลอีกคนหนึ่งในระหว่างเวลาที่สัญญาก่อนยังมีอายุอยู่ก็ได้

วินิจฉัย

การที่นายผ่องกู้เงินนายเมี่ยง  โดยนำที่ดินของตนมาประกันหนี้ดังกล่าวย่อมเป็นการทำสัญญาจำนอง  ตามมาตรา  702  วรรคแรก  ซึ่งกฎหมายมิได้กำหนดให้มีการส่งมอบทรัพย์แต่อย่างใด  สัญญาจำนองสมบูรณ์  ใช้บังคับได้ตามกฎหมาย

แม้ต่อมาในระหว่างสัญญาจำนองรายแรกยังมีผลใช้บังคับอยู่นั้น  จะปรากฏว่านายผ่องนำที่ดินแปลงดังกล่าวไปจำนองประกันหนี้เงินกู้จากนายนวลอีก  ทั้งๆที่มีสัญญาเป็นหนังสือว่าจะไม่นำที่ดินแปลงที่จำนองกับนายเมี่ยงไปจำนองกับใครอีกก็ตาม  นายผ่องก็ย่อมทำได้  ข้อตกลงระหว่างนายผ่องและนายเมี่ยงที่ห้ามนำที่ดินดังกล่าวไปจำนองซ้อน  ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย  ตามมาตรา  712  ทั้งนี้จะเห็นได้จากข้อความที่ว่า  แม้ถึงว่ามีข้อสัญญาเป็นอ่างอื่นก็ตาม  ซึ่งหมายถึงคู่สัญญาจะตกลงยกเว้นความในบทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้  ถือเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน  ถึงแม้จะมีข้อห้าม  จำนองซ้อน  เจ้าของทรัพย์สินผู้จำนองกับเจ้าหนี้ผู้รับจำนองคนแรกก็ยังมีสิทธินำทรัพย์สินนั้นไปจำนองกับเจ้าหนี้ผู้รับจำนองรายหลังๆได้อีก  เพราะหากมีการบังคับจำนอง  เอาทรัพย์สินขายทอดตลาด  ผู้รับจำนองคนก่อนมีสิทธิได้รับชำระหนี้ก่อนผู้รับจำนองคนหลังอยู่แล้ว  โดยถือเอาวันและเวลาจดทะเบียนก่อนหลังเป็นสำคัญ  เจ้าหนี้ผู้รับจำนองคนแรกจึงไม่เสียหายเพราะการจำนองซ้อนแต่อย่างใด

สรุป  ข้ออ้างของนายเมี่ยงฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  3  นายเข้มนำสร้อยคอพร้อมจี้เพชรมาวางเป็นประกันหนี้  ซึ่งนายอ่อนกู้เงินจากนายกลางเป็นจำนวน  20,000  บาท  ปรากฏว่าเมื่อหนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระจนล่วงเลยเวลา  6  เดือน  นายกลางเจ้าหนี้จึงขอนำสร้อยคอพร้อมจี้เพชรออกขายทอดตลาด  นายเข้มคัดค้านการขายทอดตลาดนี้  อยากทราบว่านายเข้มกระทำถูกต้องหรือไม่  เพราะเหตุใด  ยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

มาตรา  747  อันว่าจำนำนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง  เรียกว่า  ผู้จำนำส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า ผู้รับจำนำ  เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้

มาตรา  764  เมื่อจะบังคับจำนำ  ผู้รับจำนำต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนำชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจำนำออกขายได้แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจำนำต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จำนำบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย

วินิจฉัย

การที่นายเข้มนำสร้อยคอพร้อมจี้เพชรมาวางเป็นประกันหนี้ของนายอ่อน  ซึ่งกู้เงินจากนายกลางย่อมเป็นการจำนำ  ตามมาตรา  747  แม้จะเป็นการประกันหนี้ของคนอื่นๆ  ก็ย่อมทำได้ไม่มีกฎหมายห้าม

เมื่อปรากกว่าหนี้เงินกู้ถึงกำหนดชำระ  แต่นายอ่อนลูกหนี้ไม่ชำระหนี้  จนล่วงเลยเวลา  6  เดือนนายกลางเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิบังคับจำนำเอากับทรัพย์สินที่จำนำออกขายทอดตลาดได้โดยไม่ต้องฟ้องศาล  ตามมาตรา  764  ซึ่งวิธีการบังคับจำนำผู้รับจำนำจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย  คือ

1       บอกกล่าวให้ชำระหนี้  (บอกกล่าวครั้งแรก)  โดยบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ให้ชำระหนี้และอุปกรณ์แห่งหนี้นั้นภายในเวลาอันสมควร  ซึ่งผู้รับจำนำกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น

2       บอกกล่าวก่อนขายทอดตลาด (บอกกล่าวครั้งหลัง)  หลังจากที่บอกกล่าวครั้งแรกแล้วลูกหนี้ก็ยังไม่ชำระหนี้  กฎหมายไม่ให้สิทธิผู้รับจำนำขาดทอดตลาดในทันที  แต่จะต้องส่งจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จำนำอีกครั้งหนึ่งว่าจะขายทอดตลาดเมื่อใดและที่ไหน  เมื่อเปิดโอกาสให้ผู้จำนำเข้าสู่ราคาหรือไถ่ถอนการจำนำ

ตามปัญหา  เมื่อปรากฏว่านายกลางมิได้บอกกล่าวเป็นหนังสือให้นายอ่อนชำระหนี้ก่อน  (บอกกล่าวครั้งแรก)  จึงเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนการบังคับจำนำตามมาตรา  764  นายเข้มผู้จำนำจึงสามารถคัดค้านการขาดทอดตลาดได้

สรุป  การคัดค้านการขาดทอดตลาดของนายเข้มถูกต้องแล้ว

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ 1/2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ดำกู้เงินแดง  ห้าหมื่นบาท  โดยมีขาว  เป็นผู้ค้ำประกัน  โดยคู่กรณีได้นำแบบพิมพ์สัญญากู้ยืมและค้ำประกันมาใช้ในการทำสัญญา  แต่ดำ  (ผู้กู้)  แต่ผู้เดียวที่ลงลายมือชื่อในหนังสือกู้ยืม  โดยที่แดง  (ผู้ให้กู้)  มิได้ลงลายมือชื่อไว้ด้วย  สำหรับหนังสือสัญญาค้ำประกันก็มีเพียงแค่ลายมือชื่อของขาวผู้ค้ำประกัน  โดยที่แดง  (เจ้าหนี้)  มิได้ลงลายมือชื่อไว้ด้วย  ต่อมาดำผิดนัดไม่ชำระหนี้  แดงจึงฟ้องดำกับขาวให้รับผิดตามสัญญากู้ยืมและค้ำประกันที่ทำไว้  ขาวต่อสู้คดีว่า  สัญญากู้ยืมและค้ำประกันเป็นโมฆะเพราะเหตุว่า  เจ้าหนี้มิได้ลงลายมือชื่อไว้ในหนังสือสัญญาทั้งสองฉบับ  ขอให้ศาลยกฟ้องโจทก์  ดังนี้ข้อต่อสู้ของขาวผู้ค้ำประกันรับฟังได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  680  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา 681 อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์

วินิจฉัย

สัญญาประเภทใดก็ตามที่กฎหมายบัญญัติบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือนั้น  ถือว่าเป็นแบบของสัญญา  สาระสำคัญก็คือ  คู่สัญญาต้องลงลายมือชื่อไว้ในหนังสือสัญญานั้นๆ  ครบถ้วนทั้งสองฝ่าย  ถ้าขาดลายมือชื่อของคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไปย่อมถือว่าเป็นการผิดแบบของสัญญา  และตกเป็นโมฆะตามมาตรา  152  ซึ่งจะมีผลต่อการทำสัญญาค้ำประกัน  เพราะตามมาตรา  681  กำหนดว่าการค้ำประกันจะมีขึ้นได้เฉพาะเพื่อหนี้ประธานอันสมบูรณ์เท่านั้น

กรณีที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  สัญญากู้ยืมเงินที่มิได้ลงลายมือชื่อผู้ให้กู้ยืมเป็นโมฆะหรือไม่  เห็นว่า  เมื่อพิจารณาบทบัญญัติมาตรา 653  วรรคแรกในเรื่องการกู้ยืมเงินแล้วจะเห็นว่า  สัญญากู้ยืมเงินย่อมสมบูรณ์เมื่อผู้ให้กู้ยืมส่งมอบเงินให้ผู้กู้แล้ว  แม้การกู้ยืมนั้นจะไม่ได้ทำเป็นหนังสือหรือยังไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ  แต่อย่างไรก็ตามหากจะมีการฟ้องร้องคดีกัน  กฎหมายกำหนดให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายได้  ดังนั้น  เรื่องของหลักฐานการฟ้องร้องบังคับคดีดังกล่าว  มิใช่เรื่องแบบของสัญญา  การที่สัญญากู้ยืมเงินขาดลายมือชื่อของผู้ให้กู้  ก็ไม่ทำให้สัญญาตกเป็นโมฆะแต่อย่างใด  ข้อต่อสู้ของขาวในประเด็นนี้รับฟังไม่ได้

กรณีที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมาคือ  สัญญาค้ำประกันที่มิได้ลงลายมือชื่อผู้เป็นเจ้าหนี้จะตกเป็นโมฆะหรือไม่  เห็นว่า  ในเรื่องการค้ำประกันมีเหตุผลเช่นเดียวกับการกู้ยืมเงิน  คือ  หนังสือสัญญามิใช่แบบของการค้ำประกัน  แต่เป็นเพียงหลักฐานการฟ้องร้องบังคับคดีเท่านั้น สัญญาค้ำประกันที่ขาดลายมือชื่อเจ้าหนี้จึงไม่ตกเป็นโมฆะแต่อย่างใด  ข้อต่อสู้ของขาวในประเด็นดังกล่าวก็รับฟังไม่ได้เช่นเดียวกัน 

ดังนั้นเมื่อหนี้ประธาน  คือ  หนี้กู้ยืมเงินสมบูรณ์ตามกฎหมาย  ไม่ตกเป็นโมฆะ  จึงมีการทำสัญญาค้ำประกันหนี้ประธานดังกล่าวได้ตามมาตรา  680  ประกอบมาตรา  681  วรรคแรก  เช่นนี้เมื่อปรากฏว่า ดำลูกหนี้ผิดนัด  แดงจึงฟ้องดำให้รับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินได้ตามมาตรา  653  วรรคแรก  และฟ้องขาวให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้ตามมาตรา  680  วรรคสอง

สรุป  ข้อต่อสู้ของผู้ค้ำประกันรับฟังไม่ได้

 

ข้อ  2  เอถูกฟ้องคดีแพ่งเรื่องหนึ่งว่า  ได้ว่าจ้างโทเป็นทนายว่าความแก้ต่างโดยจะให้ค่าจ้าง  20,000  บาท  โดยมีบี  มอบนาฬิกาจำนำเป็นประกันค่าจ้างว่าความไว้  การว่าจ้างและจำนำไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ  เพราะต่างก็เป็นเพื่อนและไว้วางใจต่อกัน  ต่อมาคดีเสร็จโทได้มีจดหมายบอกกล่าวให้เอและบีชำระค่าจ้าง  แต่คนทั้งสองไม่ชำระ  โทจึงนำนาฬิกาออกขายทอดตลาดได้เงิน  15,000  บาท  ดังนี้ โทจะฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความที่ยังขาดอยู่  5,000  บาท  จากเอและบีได้หรือไม่  ให้ท่านวินิจฉัย

ธงคำตอบ

มาตรา  767  เมื่อบังคับจำนำได้เงินจำนวนสุทธิเท่าใด  ท่านว่าผู้รับจำนำต้องจัดสรรชำระหนี้และอุปกรณ์เพื่อให้เสร็จสิ้นไป  และถ้ายังมีเงินเหลือก็ต้องส่งคืนให้แก่ผู้จำนำ  หรือแก่บุคคลผู้ควรจะได้เงินนั้น

ถ้าได้เงินน้อยกว่าจำนวนค้างชำระ  ท่านว่าลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับใช้ในส่วนที่ขาดอยู่นั้น

วินิจฉัย

การจำนำเป็นสัญญาที่กฎหมายไม่ได้บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  เพียงแต่ผู้จำนำต้องส่งมอบทรัพย์ที่จำนำให้แก่ผ็รับจำนำแล้ว  จึงจะถือว่าเป็นการจำนำตามกฎหมาย  ดังนั้นเจ้าหนี้ผู้รับจำนำจึงบังคับจำนำโดยเอาทรัพย์จำนำนั้นออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ได้

เมื่อมีการบังคับจำนำแล้วได้เงินน้อยกว่าจำนวนที่ค้างชำระ  ลูกหนี้ยังคงต้องรับผิดในส่วนที่ยังขาดอยู่  ตามมาตรา  767  วรรคสอง

สำหรับหนี้ที่ค้างชำระหลังจากที่มีการบังคับจำนำนั้น  กฎหมายกำหนดให้ลูกหนี้เท่านั้นต้องรับผิดและผู้เป็นเจ้าหนี้จะฟ้องร้องเรียกส่วนที่ยังขาดได้ต่อเมื่อหนี้ประธานใช้ฟ้องร้องบังคับตามกฎหมายได้ด้วย  เช่น  ในกรณีที่กฎหมายบังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือมาแสดง  จึงจะฟ้องร้องได้  เป็นต้น

ตามอุทาหรณ์หนี้ประธานที่ลูกหนี้นำนาฬิกามาจำนำเป็นประกัน  คือ  หนี้ค่าจ้างว่าความซึ่งการจ้างว่าความจัดเป็นสัญญาจ้างทำของ กฎหมายมิได้บังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงจะฟ้องบังคับคดีได้แต่อย่างใด  ดังนั้นเมื่อบังคับจำนำนาฬิกาได้เงิน  15,000  บาท  โทจึงฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความที่ยังขาดอยู่อีก  5,000  บาท  จากเอลูกหนี้ได้

ส่วนบีนั้น  โทฟ้องเรียกไม่ได้  เพราะบีมิใช่ลูกหนี้เป็นแต่เพียงผู้เอาทรัพย์สินมาจำนำเป็นประกันเท่านั้น  และเมื่อมีการบังคับจำนำแล้ว  การจำนำย่อมระงับสิ้นไป

สรุป  โทสามารถฟ้องเรียกค่าจ้างว่าความที่ยังขาดอยู่  5,000  บาท  จากเอได้  แต่จะเรียกจากบีไม่ได้

 

ข้อ  3  ให้นักศึกษาจงอธิบายถึงบทบัญญัติในมาตรา  725  ว่ามีความหมายเช่นใด  และมีความสอดคล้องกับทางปฏิบัติหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  725  เมื่อบุคคลสองคนหรือกว่านั้นต่างได้จำนองทรัพย์สินแห่งตนเพื่อประกันหนี้  แต่รายหนึ่งรายเดียวอันบุคคลอื่นจะต้องชำระ  และมิได้ระบุลำดับไว้ไซร้  ท่านว่าผู้จำนองซึ่งได้เป็นผู้ชำระหนี้หรือเป็นเจ้าของทรัพย์สินซึ่งต้องบังคับจำนองนั้นหามีสิทธิจะไล่เบี้ยเอาแก่ผู้จำนองคนอื่นๆต่อไปได้ไม่

อธิบาย

หลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นเป็นเรื่องที่ผู้จำนองและลูกหนี้มิได้เป็นบุคคลคนเดียวกัน  โดยผู้จำนองหลายคนได้จำนำทรัพย์สินของตนเพื่อประกันหนี้รายเดียวกัน  แต่มิได้ระบุลำดับการบังคับจำนองไว้

ตัวอย่างเช่น  นาย  ก  กู้ยืมเงินนาย  ข  50,000  บาท  โดยมีนาย  ค  จำนองที่ดินและนาย  ง  จำนองเรือเป็นประกันการชำระหนี้  โดยมิได้ตกลงกันว่าจะต้องบังคับจำนองทรัพย์จำนองใดก่อน  หากต่อมาผู้จำนองคนใดได้เป็นผู้ชำระหนี้  หรือเจ้าหนี้จะเลือกบังคับจำนองเรือของนาย  ง  ก่อน  เช่นนี้  นาย  ง  เจ้าของเรือไม่มีสิทธิเกี่ยงว่าต้องไปบังคับจำนองเอาจากที่ดินก่อน  เพราะในกรณีที่ไม่มีการระบุลำดับไว้  เจ้าหนี้มีสิทธิตามมาตรา  734  ที่จะบังคับจำนองเอาจากทรัพย์ใดก่อนก็ได้  ทั้งในเรื่องจำนอง  กฎหมายมิได้ให้นำมาตรา  688  690 มาใช้บังคับแต่อย่างใด

ผลก็คือ  นาย  ค  และนาย  ง  ซึ่งเป็นผู้ได้ชำระหนี้หรือถูกบังคับจำนองไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้จำนองคนอื่นๆ  ต่อไปเช่นอย่างกรณีของผู้ค้ำประกัน  ตามมาตรา  682  วรรคสอง  แต่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาจากลูกหนี้ได้

อย่างไรก็ตาม  แม้การจำนองจะระบุลำดับไว้  และเจ้าหนี้ได้บังคับจำนองตามลำดับ  ผู้จำนองคนใดทรัพย์ของตนถูกบังคับจำนอง  ผู้จำนองคนนั้นก็ไม่สามารถไปไล่เบี้ยผู้จำนองคนอื่นๆได้เช่นเดียวกัน  เพราะหากให้สิทธิไล่เบี้ยกันได้แล้ว  การระบุลำดับการบังคับจำนองก็จะไม่มี่ความหมายใดเลย  หาจำต้องบัญญัติไว้แต่อย่างใดไม่  ดังนั้นหลักกฎหมายตามมาตรา  725  จึงไม่สอดคล้องกับทางปฏิบัติในทางบังคับจำนอง

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  จงอธิบายลักษณะการค้ำประกันตามหลักกฎหมาย  ป.พ.พ.  มาตรา  680  ในกรณีบุคคลที่จะเข้ามาเป็นผู้ค้ำประกันจำเป็นต้องเป็นลูกหนี้ด้วยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  680  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่

อธิบาย

จากบทบัญญัติมาตรา  680  วรรคแรก  จะเห็นว่า  การค้ำประกัน  คือ  สัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกันผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้

เมื่อพิจารณาแล้วลักษณะของสัญญาค้ำประกันประการหนึ่ง  ในกรณีของบุคคลที่จะเข้ามาเป็นผู้ค้ำประกันนั้น  กฎหมายกำหนดว่าต้องเป็นบุคคลภายนอกที่เข้ามาผูกพันกับเจ้าหนี้  คือเป็นบุคคลภายนอกสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ที่มิได้มีส่วนได้เสียในหนี้นั้น  หนี้ที่ค้ำประกันจะต้องมีบุคคลสามฝ่ายเสมอ  ดังนี้ลูกหนี้เองจะเป็นผู้ค้ำประกันในหนี้ของตนเอง  หรือทำสัญญาค้ำประกันลูกหนี้ร่วมมิได้  แม้จะให้ลูกหนี้เป็นผู้ค้ำประกันเจ้าหนี้ก็ไม่มีหลักประกันดีขึ้นแต่อย่างใด  เพราะการค้ำประกันเป็นการประกันด้วยบุคคล  เมื่อลูกหนี้เป็นหนี้อยู่แล้วแม้ลูกหนี้จะเอาตัวเองค้ำประกัน  เจ้าหนี้ก็เรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้เหมือนเดิม  ไม่ทำให้เจ้าหนี้มีสิทธิพิเศษอย่างใด  ลูกหนี้จึงเป็นผู้ค้ำประกันไม่ได้  ทั้งนี้เนื่องจากการค้ำประกันจะเกิดขึ้นต่อเมื่อลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ผู้ค้ำประกันย่อมต้องเป็นผู้ชำระหนี้แทน

ตัวอย่างเช่น  นาย  ก  และนาย  ข  ร่วมกันกู้ยืมเงินนาย  ค  ก  จะทำสัญญาค้ำประกัน  ข  โดยทำสัญญากับ  ค  เจ้าหนี้ว่าถ้า  ข  ไม่ชำระหนี้  ตนจะชำระหนี้นั้นแทนทั้งหมด  ดังนี้  ก  ทำไม่ได้  เพราะ  ก  เป็นลูกหนี้ชั้นต้น  จะทำสัญญาเป็นลูกหนี้ชั้นที่สองอีก  เจ้าหนี้ก็มิได้หลักประกันอะไรเพิ่มขึ้นมา  เจ้าหนี้ฟ้อง  ก  ให้ชำระหนี้ได้สิ้นเชิงอยู่แล้ว  ผู้ค้ำประกันจึงต้องเป็นบุคคลอื่นที่เข้ามารับผิดเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ดี  บุคคลภายนอกที่ทำสัญญาค้ำประกันอาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล  ถ้าหากลูกหนี้จะค้ำประกันตนเองต้องให้ประกันด้วยทรัพย์  ซึ่งก็คือ  การจำนองตามมาตรา  702  หรือการจำนำตามมาตรา  747

 

ข้อ  2  นายกิ่งขอยืมเงินนายสิงเป็นเงิน  100,000  บาท  ต่อมานายสอนได้นำที่ดินของตนมาจำนองเพื่อประกันหนี้รายนี้  ดังนี้หากที่ดินของนายสอนซึ่งมีราคา  80,000  บาท  และมีต้นสักราคา  80,000  บาท  ของนายกิ่งปลูกอยู่บนที่ดินของนายสอน  ซึ่งต่อมาต้นสักดังกล่าวถูกปลวกกินเสียหายหมดกรณีหนึ่ง  กับอีกกรณีหนึ่งที่ดินของนายสอน  ซึ่งมีราคาเท่าเดิมคือ  80,000  บาท  และมีบ้านไม้สักราคา  80,000  บาท  ของนายกิ่งอยู่บนที่ดินของนายสอน  ซึ่งต่อมาถูกไฟไหม้ทั้งหลัง  ดังนี้  ทั้งสองกรณีนายสิงเจ้าหนี้สามารถที่จะบังคับจำนองได้ทันทีหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้จำนอง  เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนองเป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา  718  จำนองย่อมครอบไปถึงทรัพย์ทั้งปวงอันติดพันอยู่กับทรัพย์สินซึ่งจำนอง  แต่ต้องอยู่ภายในบังคับซึ่งท่านจำกัดไว้ในสามมาตราต่อไปนี้

มาตรา  720  จำนองเรือนโรงหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นซึ่งได้ทำขึ้นไว้บนดินหรือใต้ดิน  ในที่ดินอันเป็นของคนอื่นเขานั้นย่อมไม่ครอบไปถึงที่ดินนั้นด้วย  ฉันใดกลับกันก็ฉันนั้น

มาตรา  723  ถ้าทรัพย์สินซึ่งจำนองบุบสลาย  หรือถ้าทรัพย์สินซึ่งจำนองแต่สิ่งใดสิ่งหนึ่งสูญหายหรือบุบสลาย  เป็นเหตุให้ไม่เพียงพอแก่การประกันไซร้  ท่านว่าผู้รับจำนองจะบังคับจำนองเสียในทันทีก็ได้  เว้นแต่เมื่อเหตุนั้นมิได้เป็นเพราะความผิดของผู้จำนอง  และผู้จำนองก็เสนอจะจำนองทรัพย์สินอื่นแทนให้มีราคาเพียงพอหรือเสนอจะรับซ่อมแซมแก้ไขความบุบสลายนั้นภายในเวลาอันสมควรแก่เหตุ

วินิจฉัย 

การที่นายสอนนำที่ดินของตน  ซึ่งมีราคา  80,000  [ท  มาจำนองประกันหนี้เงินกู้ยืมของนายกิ่งเป็นเงิน  100,000  บาท  ตามมาตรา  702  โดยมีต้นสักราคา  80,000  บาท  ของนายกิ่งปลูกอยู่บนที่ดินของนายสอนด้วย  การจำนองที่ดินของนายสอนครอบไปถึงต้นสักของนายกิ่ง  ซึ่งเป็นทรัพย์ทั้งปวงอันติดพันอยู่กับทรัพย์สินซึ่งจำนองด้วย  ตามนัยแห่งมาตรา  718  ดังนั้นเมื่อต้นสักซึ่งเป็นทรัพย์จำนองบุบสลายเพราะถูกปลวกกินเสียหายหมด  เป็นเหตุให้ไม่เพียงพอแก่การประกัน  ผู้รับจำนองจึงมีสิทธิบังคับจำนองได้ทันทีตามมาตรา  723

ส่วนในกรณีที่นายสอนเอาที่ดินราคา  80,000  บาท  ของตนมาจำนองตามมาตรา  702  โดยมีบ้านเรือนไม้สักราคา  80,000  บาท  ของนายกิ่งอยู่บนที่ดินดังกล่าวของนายสอนด้วย  การจำนองที่ดินดังกล่าวย่อมไม่ครอบไปถึงบ้านของนายกิ่ง  ตามมาตรา  718  ประกอบมาตรา  720  จึงมีเพียงที่ดินเท่านั้นที่เป็นทรัพย์จำนองเมื่อบ้านถูกไฟไหม้จึงไม่ทำให้ทรัพย์จำนอง(ที่ดิน)  ลดราคาลงแต่อย่างใด  เพราะบ้านเป็นคนละเจ้าของกับที่ดิน  ดังนั้นนายสิงจึงไม่มีสิทธิที่จะบังคับจำนองได้

สรุป  กรณีแรกนายสิงบังคับจำนองทันทีได้  แต่ในกรณีที่สองไม่อาจบังคับจำนองได้

 

3  ก  ได้ซื้อโทรทัศน์ไปจากนาย  ข  เป็นราคา  10,000  บาท  โดยให้เงินไว้  5,000  บาท  ที่เหลือเชื่อไว้ก่อนอีก  10  วันจึงจะนำเงินที่เหลือมาให้  กรณีหนึ่ง  อีกกรณีหนึ่ง  ก  ได้ซื้อโทรทัศน์ไปจาก  ข  โดยทำสัญญาเช่าซื้อ  มีระยะเวลา  6  เดือน  โดยจ่ายเงินดาวน์ไว้  2,000  บาท  และเดือนต่อๆไป  จะจ่ายอีกเดือนละ  2,000  บาท  ทั้งสองกรณีนี้  ถ้า  ก  ได้นำโทรทัศน์ไปจำนำได้หรือไม่  และผู้เป็นเจ้าของจะติดตามเอาทรัพย์คืนจะต้องเสียค่าไถ่หรือไม่  ให้ท่านอธิบายถึงความแตกต่างและสิทธิของแต่ละกรณีมาพอสังเขปด้วย  (ให้ท่านตอบพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบในการตอบด้วย)

ธงคำตอบ

มาตรา  453  อันว่าซื้อขายนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง  เรียกว่าผู้ขายโอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง  เรียกว่าผู้ซื้อ  และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย

มาตรา  458  กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ขายนั้น  ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน

มาตรา  572  อันว่าเช่าซื้อนั้น  คือสัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่า  และให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้นหรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า  โดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว

สัญญาเช่าซื้อนั้นถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ  ท่านว่าเป็นโมฆะ

มาตรา  747  อันว่าจำนำนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง  เรียกว่า  ผู้จำนำส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า ผู้รับจำนำ  เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้

มาตรา  1336  ภายในบังคับแห่งกฎหมาย  เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิใช้สอยและจำหน่ายทรัพย์สินของตนและได้ซึ่งดอกผลแห่งทรัพย์สินนั้น  กับทั้งมีสิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดไว้  และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

วินิจฉัย

ในกรณีแรกนั้นเป็นเรื่องของการซื้อขาย  เรียกการซื้อขายชนิดนี้ว่า การซื้อขายเชื่อ  หรือการซื้อขายเงินผ่อน  เข้าลักษณะของสัญญาซื้อขายตามหลักทั่วไปในมาตรา  453  ดังนั้นกรรมสิทธิ์ในโทรทัศน์ดังกล่าวจึงโอนไปยังผู้ซื้อแล้วตั้งแต่ขณะเมื่อได้ทำสัญญาซื้อขายกัน  ตามมาตรา  458  โดยผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาท่ากับว่าผู้ซื้อเป็นเข้าของทรัพย์สินที่ซื้อแล้ว  ดังนั้น  ก  มีสิทธิที่จะนำโทรทัศน์เครื่องดังกล่าวไปจำนำได้ตามมาตรา  747  และในเวลาไถ่ทรัพย์จำนำคืน  ก  ก็ต้องเสียค่าไถ่ด้วย

ส่วนกรณีที่สอง  เป็นเรื่องของการเช่าซื้อตามหลักกฎหมาย  มาตรา  572  กรรมสิทธิ์จึงยังไม่โอนไปยังผู้เช่าซื้อ  จนกว่าจะได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว  แต่ผู้เช่าซื้อคงมีสิทธิครอบครอง  ผู้ให้เช่าซื้อจึงเป็นเจ้าของที่แท้จริง  ดังนี้  ก  ไม่มีสิทธินำโทรทัศน์เครื่องดังกล่าวไปจำนำ  ตามมาตรา  747  เพราะการจำนำตามกฎหมายเฉพาะผู้เป็นเจ้าของเท่านั้นที่จะจำนำได้  ดังนั้น  ข  ซึ่งเป็นผู้ให้เช่าซื้อซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริงจึงมีสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนได้  ตามมาตรา  1336  โดยไม่ต้องเสียค่าไถ่

สรุป  กรณีแรก  ก  มีสิทธินำไปจำนำได้  และต้องเสียค่าไถ่

กรณีที่สอง  ก  ไม่มีสิทธินำไปจำนำ  และถ้าผู้เป็นเจ้าของจะติดตามเอาทรัพย์คืนก็ไม่ต้องเสียค่าไถ่

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ S/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายแดงทำหลักฐานเป็นหนังสือค้ำประกันค่าซื้อเครื่องก่อสร้างราคา  50  ล้านบาท  ระหว่างนายเขียวผู้ซื้อและนายขาวผู้ขาย  โดยนายแดงได้ตกลงกับนายขาวผู้ขายในการชำระราคาค่าก่อสร้างของนายเขียว  ระหว่างนั้นนายส้มเพื่อนนายเขียวได้นำโฉนดที่ดินแปลงหนึ่งราคา  100  ล้านบาท  ให้นายขาวถือไว้เพื่อความสบายใจในการชำระหนี้  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  ปรากฏว่านายเขียวไม่สามารถชำระหนี้ได้  นายขาวจึงฟ้องนายเขียวและนายแดงผู้ค้ำประกันให้ทำการชำระหนี้  นายแดงขอให้นายขาวบังคับการชำระหนี้จากที่ดินของนายส้มที่มอบให้นายขาวก่อน  อยากทราบว่านายแดงจะขอให้บังคับการชำระหนี้จากที่ดินก่อนได้หรือไม่  จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  680  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  686  ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด  ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น

มาตรา  690  ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดไว้เป็นประกันไซร้  เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ  ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องให้ชำระหนี้เอาจากทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน

มาตรา  714  อันสัญญาจำนองนั้น  ท่านว่าต้องเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่

วินิจฉัย

นายแดงเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ค่าซื้อเครื่องก่อสร้างของนายเขียว  และมีหลักฐานเป็นหนังสือ  ตามมาตรา  680  วรรคสอง  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระปรากฏว่านายเขียวไม่สามารถชำระหนี้ได้  นายแดงจึงต้องรับผิดแทนนายเขียวลูกหนี้  เมื่อลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้  ตามมาตรา  686

ส่วนการที่นายส้มได้นำโฉนดที่ดินมาให้นายขาวเจ้าหนี้ยึดถือไว้จนกว่าเจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ครบถ้วนแล้ว  ไม่เข้าลักษณะเป็นสัญญาจำนอง  ตามมาตรา  714  เพราะมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  ไม่ทำให้เจ้าหนี้มีสิทธิพิเศษในที่ดินอันเป็นตัวทรัพย์นั้นแต่อย่างใด  การจำนองจึงไม่สมบูรณ์  นายแดงผู้ค้ำประกันจึงไม่อาจบ่ายเบี่ยงขอให้บังคับการชำระหนี้จากที่ดินได้แต่อย่างใด  เพราะกรณีไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  690  ทั้งนี้เนื่องจากที่ดินดังกล่าวเป็นของนายส้ม  มิใช่ของนายเขียวลูกหนี้

สรุป  นายแดงจะขอให้บังคับการชำระหนี้จากที่ดินก่อนไม่ได้ 

 

ข้อ  2  นายมะลิรับจำนองที่ดินแปลงหนึ่งเป็นประกันหนี้เงินกู้  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  นายมะลิอยากบังคับจำนองจากที่ดินดังกล่าว  จึงมาปรึกษาท่านให้อธิบายเรื่องการบังคับจำนอง  และในกรณีนี้นายมะลิจะบังคับจำนองได้อย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้จำนองเอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนอง  เป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา  728  เมื่อจะบังคับจำนองนั้น  ผู้รับจำนองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ก่อนว่า  ให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควร  ซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น  ถ้าลูกหนี้ละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนองจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองและให้ขายทอดตลาดก็ได้

วินิจฉัย

การบังคับจำนอง  ตามมาตรา  728  มีลักษณะดังนี้คือ

1       การบังคับจำนองจะต้องมีการฟ้องบังคับจำนอง

2       ก่อนการฟ้องคดีบังคับจำนองจะต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังลุกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควร  ซึ่งกำหนดไว้ในคำบอกกล่าว  ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนองจึงฟ้องคดีต่อศาลเพื่อบังคับจำนองได้

เมื่อนายมะลิรับจำนองที่ดินตามมาตรา  702  และต้องการบังคับจำนองที่ดินดังกล่าว  นายมะลิจะต้องมีจดหมายบอกกล่าวให้ลูกหนี้ชำระหนี้เงินกู้ก่อน  โดยกำหนดเวลาพอสมควรให้ลูกหนี้ชำระหนี้  ถ้าและลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติการชำระหนี้ภายในกำหนดเวลาในจดหมายบอกกล่าว  นายมะลิจึงจะฟ้องคดีเพื่อนำทรัพย์ที่รับจำนองออกขายทอดตลาดได้

 

ข้อ  3  นายฟ้ากู้เงินนายทะเล  จำนวน  20  บาท  เพื่อนำไปลงทุนปลูกข้าวเนื่องจากราคาข้าวขณะนี้ดีมากนายทะเลอยากให้นายฟ้ากู้เงิน  แต่เกรงว่าจะไม่ได้เงินคืน  นายคลองทราบจึงนำรถจักรยานยนต์จำนวน  20  คัน  มูลค่า  20  ล้านบาท  ซึ่งนายคลองไปเช่าซื้อจากนายภูเขาโดยยังผ่อนชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบเพื่อมาวางเป็นกรจำนำให้นายทะเลประกันหนี้เงินกู้  จำนวน  20  ล้านบาท  อยากทราบว่า  กรณีดังกล่าวนายคลองจะจำนำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  747  อันว่าจำนำนั้น   คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้จำนำ  ส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า ผู้รับจำนำ  เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้

วินิจฉัย

การจำนำ  กฎหมายวางหลักให้ผู้มีกรรมสิทธิ์ในสังหาริมทรัพย์ส่งมอบเพื่อให้ผู้รับจำนำยึดไว้เป็นหลักประกันการชำระหนี้  ส่วนวิธีการส่งมอบอาจเป็นการส่งมอบโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายก็ได้  กล่าวคือ  การกระทำใดๆที่ให้ทรัพย์นั้นอยู่ในความครอบครองของผู้รับจำนำ

นอกจากนี้ยังต้องปรากฏว่า  ผู้รับจำนำต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ด้วย  กล่าวคือ  ผู้จำนำต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ที่จำนำ  หากผู้จำนำไม่ใช่เจ้าของทรัพย์แล้ว  เจ้าของทรัพย์ที่แท้จริงมีสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนได้โดยใช้หลักกรรมสิทธิ์ตามมาตรา  1336

กรณีตามอุทาหรณ์  เป็นเรื่องสัญญาเช่าซื้อ  ซึ่งโดยหลักกฎหมายในเรื่องเช่าซื้อนั้น   กรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่เช่าซื้อจะโอนไปยังผู้เช่าซื้อต่อเมื่อผู้เช่าซื้อชำระราคาค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว  เมื่อนายคลองไปเช่าซื้อรถจักรยานยนต์จากนายภูเขาโดยผ่อนค่าเช่าซื้อยังไม่ครบ กรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์ดังกล่าวจึงยังไม่โอนมาเป็นของนายคลอง  นายคลองจึงมิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์  ไม่อาจนำรถจักรยานยนต์ดังกล่าวมาจำนำเป็นประกันการชำระหนี้ได้ตามมาตรา  747  ได้

สรุป  นายคลองไม่มีสิทธิในการจำนำทรัพย์ดังกล่าว  

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ 1/2551

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ 1.       นายเอกอายุ 19 ปี 8 เดือน  ทำสัญญากู้ยืมเงินนายโทเป็นเงิน 60,000 บาท  โดยในวันทำสัญญากู้

นายหนึ่งได้ทำสัญญาค้ำประกันการกู้เงินของนายเอก โดยนายหนึ่งเข้าใจว่านายเอกบรรลุนิติภาวะแล้ว  ต่อมาหนี้เงินกู้ถึงกำหนดเวลาชำระหนี้ นายเอกผิดนัดไม่นำเงินมาชำระคืนให้นายโท  ถ้านายโทได้เรียกร้องให้นายหนึ่งรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน นายหนึ่งจะยกข้อต่อสู้ดังต่อไปนี้ขึ้นเพื่อปฏิเสธความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
1)  หนี้ตามสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ ตน (นายหนึ่ง) จึงไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน เพราะ ตน (นายหนึ่ง)  เข้าทำการค้ำประกันโดยไม่ทราบว่านายเอกเป็นผู้เยาว์

2)  นายหนึ่งได้เรียกร้องให้นายโทไปเรียกให้นายเอกทำการชำระหนี้ตามสัญญากู้  แต่นายโทไม่ได้ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของนายหนึ่ง  นายหนึ่งจึงอ้างว่านายโทเจ้าหนี้ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้นายหนึ่งรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน  เพราะนายโทเจ้าหนี้ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต

ธงคำตอบ

มาตรา 681 อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์

หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเงื่อนไข จะประกันไว้เพื่อเหตุการณ์ซึ่งหนี้ นั้นอาจเป็นผลได้จริง ก็ประกันได้

หนี้อันเกิดแต่สัญญาซึ่งไม่ผูกพันลูกหนี้ เพราะทำด้วยความสำคัญผิด หรือเพราะเป็นผู้ไร้ความสามารถนั้น ก็อาจจะมีประกันอย่างสมบูรณ์ได้ ถ้าหากว่าผู้ค้ำประกันรู้เหตุสำคัญผิดหรือไร้ความสามารถนั้นในขณะที่ เข้าทำสัญญาผูกพันตน

มาตรา 686 ลูกหนี้ผิดนัดลงเมื่อใด ท่านว่าเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียก ให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้แต่นั้น

มาตรา 688 เมื่อเจ้าหนี้ทวงให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ ผู้ค้ำประกัน จะขอให้เรียกลูกหนี้ชำระก่อนก็ได้ เว้นแต่ลูกหนี้จะถูกศาลพิพากษา ให้เป็นคนล้มละลายเสียแล้ว หรือไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ไปอยู่แห่งใดใน พระราชอาณาเขต

วินิจฉัย

1)   ตามอุทาหรณ์ สัญญากู้เงิน 90,000 บาท ระหว่างนายเอก (ผู้เยาว์) กับนายโท (เจ้าหนี้) เป็นโมฆียะ เพราะนายเอกลูกหนี้เป็นผู้เยาว์  บกพร่องในเรื่องความสามารถในการทำนิติกรรม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 153  แต่แม้หนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ประธานจะเป็นโมฆียะกรรม แต่ก็เป็นหนี้ที่สมบูรณ์อยู่จนกว่าจะมีการบอกล้าง โดยผู้มีสิทธิในการบอกล้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 175

ดังนั้น ถึงแม้ว่าในขณะเข้าทำสัญญาค้ำประกัน นายหนึ่งผู้ค้ำประกันจะไม่ทราบว่านายเอกลูกหนี้เป็นผู้เยาว์ก็ตาม  การค้ำประกันก็มีผลใช้บังคับได้เพราะเมื่อหนี้ประธานตามสัญญากู้เงินเป็นหนี้ที่สมบูรณ์อยู่ก็อาจมีการค้ำประกันได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 681 วรรคแรก  นายหนึ่งจึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน  ข้อต่อสู้ของนายหนึ่งฟังไม่ขึ้น (หมายเหตุ  กรณีตามอุทาหรณ์ ไม่เข้ากรณี ป.พ.พ. มาตรา 681 วรรคท้าย เพราะหนี้เงินกู้ยังไม่ได้มีการบอกล้าง จึงยังคงผูกพัน นายเอกลูกหนี้อยู่)

2)   ตามอุทาหรณ์  การที่นายหนึ่งผู้ค้ำประกันได้เรียกร้องให้นายโทเจ้าหนี้ไปบังคับชำระหนี้จากนายเอกตามสัญญากู้เงินก่อน เป็นการเกี่ยงตาม ป.พ.พ. มาตรา 688  ซึ่งสิทธิในการเกี่ยงตามมาตรานี้ แม้นายโทเจ้าหนี้จะมิได้ปฏิบัติตาม  นายหนึ่งผู้ค้ำประกันก็จะอ้างว่านายโทเจ้าหนี้ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ได้  เพราะเมื่อนายเอกลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัด ความรับผิดของนายหนึ่งผู้ค้ำประกันก็เกิดมีขึ้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 686 แล้ว  ดังนั้นข้อต่อสู้ของนายหนึ่งจึงฟังไม่ขึ้นเช่นกัน

สรุป  1) ฟังไม่ขึ้น  ตาม ป.พ.พ. มาตรา 681 วรรคแรก

2) ฟังไม่ขึ้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 686 ประกอบมาตรา 688

ข้อ 2.       นายสิงยืมเงินนางจิ๋มเป็นเงิน 1,500 บาท  โดยไม่ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อแต่อย่างใด ต่อมามีนายเอกนำที่ดินของตนมาจำนอง ณ วันที่ 10 มกราคม พ.ศ.2551  มีนายโทนำที่ดินของตนมาจำนองในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2551  และมีนายตรีนำที่ดินของตนมาจำนองในวันที่ 1 มีนาคม 2551  ในปีเดียวกัน  ดังนี้ หากที่ดินทั้ง  3 แปลง มีราคา 100,000 บาทเหมือนกัน  และนางจิ๋มเจ้าหนี้ปลดจำนองให้นายเอกเพียงคนเดียวจะมีผลต่อนายโทและนายตรีหรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

การที่นางจิ๋มให้นายสิงยืมเงินโดยไม่ทำเป็นหนังสือเพราะว่าได้ยืมเงินเป็นจำนวน 1,800 บาท นั้นถือว่าได้ทำตามกฎหมายแล้ว สัญญาประธานจึงสมบูรณ์  และเนื่องจากการที่นายเอก  โท  ตรี เข้ามาทำสัญญาคนละครั้งนั้น  ไม่ถือว่าเป็นการระบุลำดับแต่อย่างใด  ดังนั้นการที่นางจิ๋มถอนจำนองให้กับนายเอก จึงมีผลเป็นการเฉพาะตนเท่านั้น  นายเอกจึงหลุดพ้นจากความรับผิดเพียงคนเดียว

ข้อ 3.        ก.กู้เงิน ข. 60,000 บาท โดยนำสร้อยคอหนัก 4 บาท จำนำไว้เป็นประกันหนี้ และมี ค.จำนำสร้อยข้อมือหนัก 1 บาท ไว้เป็นประกันหนี้อีกด้วย  ถึงกำหนดชำระหนี้ ข.ได้นำสร้อยคอและสร้อยข้อมือไปขายทอดตลาด นำเงินมาชำระหนี้ได้เงินสุทธิ 45,000 บาทถ้วน  ยังเหลือหนี้อีก 15,000 บาท  ให้ท่านวินิจฉัยว่า

1)  เงินที่ขาดอยู่นั้น ข.จะเรียกเอาจาก ก. และ ค.ได้อีกหรือไม่  (ให้ท่านแยกประเด็นตอบพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบด้วย)

2)  การกู้เงินครั้งนี้มิได้มีหลักฐานการกู้เป็นหนังสือ  ข.เจ้าหนี้จะฟ้องบังคับชำระหนี้ในส่วนที่ขาดอยู่จากใครได้บ้าง

3)  การบังคับจำนำ  จะทำให้หนี้จำนำ และหนี้กู้ยืมระงับสิ้นไปหรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา 653 การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มี หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืม เป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการ ใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือ ชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้ เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว

มาตรา 767 เมื่อบังคับจำนำได้เงินจำนวนสุทธิเท่าใด ท่านว่า ผู้รับจำนำต้องจัดสรรชำระหนี้และอุปกรณ์เพื่อให้เสร็จสิ้นไป และถ้า ยังมีเงินเหลือก็ต้องส่งคืนให้แก่ผู้จำนำ หรือแก่บุคคลผู้ควรจะได้เงินนั้น

ถ้าได้เงินน้อยกว่าจำนวนค้างชำระท่านว่าลูกหนี้ก็ยังคงต้องรับ ใช้ในส่วนที่ขาดอยู่นั้น

วินิจฉัย    ตามปัญหา

1)   ข. เรียกเอาหนี้ที่ยังขาดอยู่จาก ค. ได้ เพราะลูกหนี้ยังต้องรับผิดในหนี้ที่ยังขาดอยู่ตาม ป.พ.พ. มาตรา 767 วรรค 2

ส่วน ค. นั้น  ข. จะเรียกเอาจาก ค. ผู้จำนำทรัพย์สินเป็นประกั้นหนี้ไม่ได้  เพราะ ค. ผู้จำนำสร้อยข้อมือมิได้จำนำเป็นประกันหนี้เป็นส่วนตัว  เพียงแต่ส่งมอบทรัพย์สินไว้เป็นหลักประกันเท่านั้น  เมื่อบังคับจำนำแล้ว จำนำย่อมระงับสิ้นไป

2)   เมื่อการกู้เงินมิได้มีหลักฐานการกู้เป็นหนังสือ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 653   ข. จึงฟ้องบังคับเอาจำนวนหนี้ที่ขาดอยู่อีก 15,000 บาท  จาก ก. ไม่ได้  ตามหลักฎีกาที่ 200/2496 (ประชุมใหญ่)

3)   -การบังคับจำนำ ทำให้หนี้จำนำระงับ

-แต่หนี้กู้ยืมไม่ระงับ  จนกว่าจะได้รับชำระหนี้จนครบจำนวน

LAW 2010 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ สอบซ่อม 1/2551

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2551
 
ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 
 
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ 
คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ
ข้อ 1.       วันที่ 20 ธันวาคม 2548  นายสมหวังทำสัญญากู้เงินนายสมส่วน เป็นเงิน 3 ล้านบาท โดยในวันที่ 25 ธันวาคม 2548  นายสมทรงเข้าทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้เงินกู้ของนายสมหวังดังกล่าว ต่อมาในวันที่ 27 ธันวาคม 2548  นายสมหวังจดทะเบียนจำนองที่ดินมูลค่า 1 ล้านบาทของตนเป็นประกันหนี้เงินกู้ของตน 
และวันที่ 28 ธันวาคม 2548  นางสมสมรส่งมอบเครื่องเพชรมูลค่า 1 ล้านบาทของตนเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ของนายสมหวังด้วย  เมื่อหนี้เงินกู้ถึงกำหนด นายสมหวังผิดนัดไม่ชำระหนี้ ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า
               
1)  ถ้าหากว่านายสมส่วนได้เรียกร้องให้นายสมทรงรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน นายสมทรงจะเกี่ยงให้นายสมส่วนไปบังคับจำนองเอากับที่ดินที่นายสมหวังจำนองไว้ และไปบังคับจำนำเอากับเครื่องเพชรที่นางสมสมรจำนำไว้ก่อนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
 
2)  ถ้าหากว่านายสมส่วนได้ปลดจำนองให้แก่ที่ดินของนายสมหวังไปแล้ว จึงมาเรียกร้องให้นายสมทรงรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน นายสมทรงจะอ้างเอาเหตุดังกล่าวมาเพื่อขอหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้หรือไม่ และถ้าอ้างได้ นายสมทรงจะหลุดพ้นจากความรับผิดเป็นจำนวนเท่าไหร่
ธงคำตอบ
 
มาตรา 690 ถ้าเจ้าหนี้มีทรัพย์ของลูกหนี้ยึดไว้เป็นประกันไซร้ เมื่อผู้ค้ำประกันร้องขอ ท่านว่าเจ้าหนี้จะต้องให้ชำระหนี้เอาจาก ทรัพย์ซึ่งเป็นประกันนั้นก่อน
 
มาตรา 697 ถ้าเพราะ การกระทำ อย่างใดอย่างหนึ่ง ของ เจ้าหนี้เอง เป็นเหตุให้ ผู้ค้ำประกัน ไม่อาจ เข้ารับช่วง ได้ทั้งหมด หรือ แต่บางส่วน ในสิทธิ ก็ดี จำนอง ก็ดี จำนำ ก็ดี และ บุริมสิทธิ อันได้ให้ไว้ แก่ เจ้าหนี้ แต่ก่อน หรือ ในขณะทำ สัญญาค้ำประกัน เพื่อชำระหนี้นั้น ท่านว่า ผู้ค้ำประกัน ย่อมหลุดพ้น จากความรับผิด เพียงเท่าที่ตน ต้องเสียหาย เพราะการนั้น
วินิจฉัย 
 
1) ป.พ.พ. มาตรา 690 บัญญัติให้สิทธิแก่ผู้ค้ำประกันในการที่จะเกี่ยงให้เจ้าหนี้ไปบังคับเอากับทรัพย์สินของลูกหนี้ชั้นต้นที่ได้ให้ไว้เป็นหลักประกันก่อนได้ เห็นว่า เมื่อหนี้เงินกู้ถึงกำหนด นายสมหวัง ลูกหนี้ชั้นต้นผิดนัดไม่ชำระหนี้ ความรับผิดของผู้ค้ำประกันก็ได้เกิดขึ้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 868 ปรากฏว่า นายสมส่วนได้เรียกร้องให้นายสมทรงรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน นายสมทรงจะเกี่ยงให้นายสมส่วนไปบังคับจำนองเอากับที่ดินที่นายสมหวังลูกหนี้ชั้นต้นจำนองไว้ก่อนย่อมสามารถกระทำได้ เพราะที่ดินจำนองเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ชั้นต้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 690
 
แต่นายสมทรงจะเกี่ยงให้นายสมส่วนเจ้าหนี้ไปบังคับจำนำเอากับเครื่องเพชรที่นางสมสมร ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจำนำไว้ก่อนไม่ได้ เพราะเครื่องเพชรไม่ใช่ทรัพย์ของนายสมหวัง ลูกหนี้ชั้นต้น ตาม ป.พ.พ. มาตรา 690
 
2) ถ้าหากว่านายสมส่วนได้ปลดจำนองให้แก่ที่ดินของนายสมหวังไปแล้วจึงมาเรียกร้องให้นายสมทรงรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน นายสมทรงจะอ้างเอาเหตุดังกล่าวมาเพื่อขอหลุดพ้นจากความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้หรือไม่ เห็นว่าตาม ป.พ.พ. มาตรา 697 บัญญัติให้ผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดเท่ามูลค่าของหลักประกันที่เจ้าหนี้กระทำให้ตนเองไม่อาจเข้ารับช่วงสิทธิได้ แต่หลักประกันที่ไม่อาจเข้ารับช่วงสิทธิได้ดังกล่าวจะต้องเป็นหลักประกันที่เกิดขึ้นก่อนหรือขณะเข้าทำสัญญาค้ำประกัน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า วันที่ 25 ธันวาคม 2548 นายสมทรงเข้าทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้เงินกู้ของนายสมหวัง ต่อมาในวันที่ 27 ธันวาคม 2548 นายสมหวังจดทะเบียนจำนองที่ดินมูลค่า 1 ล้านบาทของตนเป็นประกันหนี้เงินกู้ จึงเห็นว่าที่ดินที่จำนองเกิดขึ้นหลังวันทำสัญญาค้ำประกัน ดังนั้น นายสมทรงจะอ้างเอาเหตุที่นายสมส่วนปลดจำนองที่ดินให้นายสมหวังขึ้นเป็นเหตุหลุดพ้นจากความรับผิดมูลค่า              1 ล้านบาท หาได้ไม่ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 697
สรุป
 
1) นายสมทรงเกี่ยงให้ไปบังคับเอากับที่ดินที่นายสมหวังจำนองไว้ก่อนได้ แต่จะเกี่ยงให้ไปบังคับจำนำเอากับเครื่องเพชรที่นางสมสมรจำนำไว้ก่อนไม่ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 690
 
2) สมทรงจะอ้างเอาเหตุที่นายสมส่วนปลดจำนองที่ดินให้นายสมหวังขึ้นเป็นเหตุหลุดพ้นจากความรับผิดมูลค่า 1 ล้านบาทหาได้ไม่ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 697
ข้อ 2.       นายอาภิขอยืมเงินนายเทพเป็นเงิน 20,000 บาท โดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือตามกฎหมาย ต่อมามีนายสมิตเข้ามาเป็นผู้จำนองที่ดินของตนเพื่อประกันหนี้รายนี้ ในวันที่ 1 ม.ค. ต่อมานายสมิงเข้ามาจำนองที่ดินของตน ในวันที่ 1 ก.พ. เพื่อประกันหนี้รายเดียวกัน ดังนี้หากนายอาภิชำระเงินไป 19,000 บาท  ยังมีหนี้เหลืออีก 1.000 บาท นายสมิงต้องการนำที่ดินของตนที่ติดจำนองกับนายเทพอยู่เพื่อไปจำนองเงินกู้ของตนกับธนาคารชาด  นายสมิงต้องขออนุญาตนายเทพหรือไม่
 
ธงคำตอบ
มาตรา 653  การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มี หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืม เป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
 
 ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการ ใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือ ชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้ เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว
 
มาตรา 712  แม้ถึงว่ามีข้อสัญญาเป็นอย่างอื่นก็ตาม ทรัพย์สินซึ่ง จำนองไว้แก่บุคคลคนหนึ่งนั้น ท่านว่าจะเอาไปจำนองแก่บุคคลอีก คนหนึ่งในระหว่างเวลาที่สัญญาก่อนยังมีอายุอยู่ก็ได้
 
มาตรา 716 จำนองย่อมครอบไปถึงบรรดาทรัพย์สินซึ่งจำนองหมด ทุกสิ่งแม้จะได้ชำระหนี้แล้วบางส่วน
วินิจฉัย
 
หนี้ประธานซึ่งเป็นการกู้ยืมเงินนั้นแม้ไม่มีหลักฐานสมบูรณ์ก็ถือว่าสมบูรณ์ ดังนั้น หนี้อุปกรณ์คือหนี้จำนอง มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ส่วนการที่นายอาภิลูกหนี้ชำระเงินไป 19,000 บาท ขาดเงินที่ไมได้ชำระอีก 1,000 บาท ก็ยังถือว่าทรัพย์นั้นจำนองยังครอบอยู่ทั้งหมดทุกสิ่ง ตามมาตรา 716 ดังนั้น การที่ผู้จำนองต้องการจำนองโดยปลอดจำนอง จะต้องขออนุญาตเจ้าหนี้ก่อน แต่หากจำนองทรัพย์ที่ติดจำนองอยู่ก่อนนั้นไม่ต้องขออนุญาตตามนัยแห่งมาตรา 712
 
ข้อ 3.        ก.กู้เงิน ข. 100,000 บาท  โดยนำสร้อยเพชรจำนำไว้เป็นประกันหนี้ การกู้เงินครั้งนี้มิได้ทำเป็นหนังสือ แต่ได้มีการส่งมอบสร้อยเพชรให้ไว้เป็นจำนำ  มีระยะเวลา 5 ปี ก.ได้ส่งดอกมาทุกปี  ข.เห็นว่า ก.ส่งดอกดีไม่เคยขาดเลยสักปี  จนล่วงเลยมาถึง 11 ปี  จน ก.ไม่มีเงินส่งอีกต่อไป  ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า
 
(1)           ข.จะฟ้อง ก. เพื่อเรียกเงินต้นคืนได้หรือไม่
 
(2)           การจำนำ จะระงับสิ้นไปหรือไม่
 
(3)          ข. จะนำสร้อยเพชรเส้นนั้นออกขาย นำเงินมาชำระหนี้ได้หรือไม่ และจะเรียกดอกเบี้ยจนถึงวันขายทอดตลาดสร้อยเส้นนั้นได้หรือไม่
 
ธงคำตอบ
 
มาตรา  747  อันว่า จำนำ นั้นคือ สัญญา ซึ่ง บุคคลคนหนึ่ง เรียกว่า ผู้จำนำ ส่งมอบ สังหาริมทรัพย์ สิ่งหนึ่ง ให้แก่ บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่า ผู้รับจำนำ เพื่อเป็นประกัน การชำระหนี้
มาตรา 653 การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มี หลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืม เป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
 
 ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการ ใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือ ชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้ เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว
 
วินิจฉัย
 
(1-2)        หลักกฎหมายมาตรา 747, 653, และฏีกาที่ 200/2496
 
– การจำนำนั้นไม่มีแบบเหมือนจำนอง  การจำนำจะทำเป็นหนังสือตามมาตรา 653 หรือไม่ก็ได้  แต่เน้นหนักเรื่องการส่งมอบทรัพย์สินตามมาตรา 747
 
–  การจำนำนั้นแม้ขาดอายุความแล้ว  ก็ไม่ทำให้หนี้จำนำระงับ  แต่ตามปัญหา  การกู้เงินโดยมีการจำนำทรัพย์สินเป็นการประกันหนี้มิได้ทำเป็นหนังสือตามมาตรา 653  จึงไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้
 
(3)  เมื่อการจำนำมีการมอบทรัพย์สินไว้เป็นจำนำ แม้หนี้จะขาดอายุความ เจ้าหนี้ก็สามารถนำสร้อยเพชรไปขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ได้ ตาม ม. 747 แต่จะเรียกดอกเบี้ยเกินกว่า 5 ปีไม่ได้

LAW 2010 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายรัตภูมิเจ้าของเหมืองแร่ต้องการขยายกิจการจึงไปขอกู้เงินจากนายสิงหนครจำนวน  20  ล้านบาท  มีหลักฐานการกู้เงินถูกต้องพร้อมกับนำที่ดิน  1  แปลง  จดทะเบียนจำนองกับนายสิงหนคร  ต่อมากิจการเหมืองแร่เริ่มขาดทุนนายรัตภูมิเกรงว่านายสิงหนครจะไม่เชื่อใจ  จึงไปขอร้อง  น.ส.ระโนด  ซึ่งเป็นคนรักให้ช่วยเป็นผู้ค้ำประกันหนี้เงินกู้  20  ล้านบาทนี้ด้วย  น.ส.ระโนดจึงตกลงกับนายรัตภูมิ  โดยทำหลักฐานเป็นหนังสือมีใจความว่า  หากนายรัตภูมิไม่สามารถชำระหนี้ได้  น.ส.ระโนดจะเป็นผู้ชำระหนี้แทน  พร้อมกับลงลายมือชื่อทั้งนายรัตภูมิและ  น.ส.ระโนด  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  นายรัตภูมิไม่สามารถชำระหนี้ได้  น.ส.ระโนดจึงมาปรึกษาท่านว่า  สัญญาที่ตนเองทำกับนายรัตภูมิเป็นสัญญาค้ำประกันตามกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  680  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

การจะพิจารณาว่าสัญญาที่ทำนั้นเป็นสัญญาค้ำประกัน  ตามมาตรา  680  หรือไม่  มีหลักเกณฑ์ดังนี้คือ

1       ผู้ค้ำประกันเป็นบุคคลภายนอกสัญญาประธานหรือหนี้ประธาน

2       ต้องมีหนี้ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้  (หนี้ในทางแพ่ง)

3       บุคคลภายนอกผูกพันตนต่อเจ้าหนี้เพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

สำหรับหลักเกณฑ์ประการที่  3  นี้หมายถึง  บุคคลภายนอกสัญญาประธานหรือหนี้ประธาน  ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลเข้าทำสัญญาผูกพันตนต่อเจ้าหนี้ในสัญญาประธานหรือหนี้ประธานเพื่อเข้าชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ชั้นต้นตามสัญญาประธานหรือหนี้ประธานไม่ชำระหนี้นั้น  ทั้งนี้โดยไม่คำนึงว่าลูกหนี้ชั้นต้นจะรู้เห็นยินยอมหรือไม่ก็ตาม  ดังนั้นสัญญาค้ำประกัน  จึงเป็นสัญญาที่บุคคลภายนอกเข้าทำสัญญาผูกพันตนโดยตรงกับเจ้าหนี้เท่านั้น  ถ้าไปทำสัญญากับบุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าหนี้  สัญญานั้นไม่ใช่สัญญาค้ำประกัน

กรณีตามอุทาหรณ์  หนี้ประธาน  คือ  หนี้เงินกู้จำนวน  20  ล้านบาท  มีนายสิงหนครเป็นเจ้าหนี้  และนายรัตภูมิเป็นลูกหนี้  ดังนั้นการที่ น.ส.ระโนดบุคคลภายนอกตกลงกับนายรัตภูมิลูกหนี้ว่า  หากนายรัตภูมิไม่สามารถชำระหนี้ได้  น.ส.ระโนดจะเป็นผู้ชำระหนี้แทน  ลงลายมือชื่อทั้งนายรัตภูมิและ  น.ส.ระโนดนั้น  แม้จะได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อระโนดเป็นสำคัญก็ตาม  แต่เมื่อ  น.ส.ระโนด บุคคลภายนอกเข้าทำสัญญาผูกพันตนกับลูกหนี้  มิใช่เจ้าหนี้ตามมูลหนี้ประธาน  สัญญาที่ทำนั้นย่อมไม่ถือว่าเป็นสัญญาค้ำประกัน  ตามมาตรา  680  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม  สัญญาที่ทำกันระหว่างนายรัตภูมิและ  น.ส.ระโนด  ก็ถือเป็นสัญญาอย่างหนึ่งที่ใช้บังคับระหว่างคู่กรณีได้ตามกฎหมาย  (ฎ. 489/2537)

สรุป  สัญญาระหว่างนายรัตภูมิและ  น.ส.ระโนดไม่เป็นสัญญาค้ำประกัน  ตามมาตรา  680

 

ข้อ  2  น.ส.มะลิ  กู้เงินนายสะตอจำนวน  5  ล้านบาท  โดยมีหลักฐานการกู้เงินถูกต้อง  และมีนายมะละกอนำที่ดินราคา  10  ล้านบาท  มาให้นายสะตอจดทะเบียนจำนองไว้เป็นประกันการกู้เงิน  โดยมีข้อสัญญาว่า  ขอให้ชำระหนี้เป็นจำนวน  10  งวด  แต่ขาดส่งงวดใด  ที่ดินที่นำมาจดทะเบียนตกเป็นสิทธิของนายสะตอทันที  อยากทราบว่า  นายมะละกอจะนำที่ดินของตนเองมาจำนองแทน  น.ส.มะลิได้หรือไม่ และข้อสัญญาที่ทำไว้มีผลบังคับตามกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้จำนองเอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนอง  เป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา  709  บุคคลคนหนึ่งจะจำนองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระ  ก็ให้ทำได้

มาตรา  711  การที่จะตกลงกันไว้เสียแต่ก่อนเวลาหนี้ถึงกำหนดชำระเป็นข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  ถ้าไม่ชำระหนี้  ให้ผู้รับจำนองเข้าเป็นเจ้าของทรัพย์สินซึ่งจำนอง  หรือว่าได้จัดการแก่ทรัพย์สินนั้นเป็นประการอื่นอย่างใดนอกจากตามบทบัญญัติทั้งหลายว่าด้วยการบังคับจำนองนั้นไซร้  ข้อตกลงเช่นนั้นท่านว่าไม่สมบูรณ์

มาตรา  713  ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นในสัญญาจำนอง  ท่านว่าผู้จำนองจะชำระหนี้ล้างจำนองเป็นงวดๆก็ได้

วินิจฉัย

สัญญาจำนองนั้น  เป็นสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้จำนอง  เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า  ผู้รับจำนอง  เป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  นายมะละกอจะนำที่ดินของตนมาจำนองแทน  น.ส.มะลิได้หรือไม่  เห็นว่า บทบัญญัติมาตรา  709  ให้สิทธิบุคคลคนหนึ่งจำนองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระได้  ดังนั้นแม้นายมะละกอจะเป็นบุคคลภายนอก  มิใช่ลูกหนี้  ก็มีสิทธินำที่ดินของตนมาจดทะเบียนจำนองประกันหนี้เงินกู้แทน  น.ส.มะลิลูกหนี้ได้

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการต่อมามีว่า  ข้อสัญญาระหว่างนายมะละกอและนายสะตอที่ว่าขอให้ชำระหนี้เป็นจำนวน  10  งวด  แต่ขาดส่งงวดใด  ที่ดินที่นำมาจดทะเบียนตกเป็นสิทธิของนายสะตอทันทีนั้น  มีผลใช้บังคับตามกฎหมายได้หรือไม่  เห็นว่า  แม้มาตรา  713  จะบัญญัติให้ผู้จำนองจะชำระหนี้ล้างจำนองเป็นงวดๆได้  ถ้าไม่มีข้อตกลงห้ามเป็นอย่างอื่นก็ตาม  แต่การจะตกลงก่อนเวลาหนี้ถึงกำหนดชำระว่า  ขาดส่งงวดใด  ให้ที่ดินที่นำมาจดทะเบียนจำนองตกเป็นสิทธิของนายสะตอเจ้าหนี้ทันที  ซึ่งเป็นการตกลงจัดการทรัพย์สินเป็นประการอื่นนอกจากบทบัญญัติว่าด้วยการบังคับจำนองนั้น  ไม่อาจกระทำได้  ต้องห้ามตามมาตรา  711  หากมีการฝ่าฝืน  ข้อสัญญานั้นไม่สมบูรณ์  ไม่มีผลบังคับได้ตามกฎหมาย  แต่ในส่วนสัญญาจำนองยังคงสมบูรณ์  ไม่เสียไป  เพียงแต่หาก  น.ส.มะลิผิดนัดไม่ชำระหนี้  นายสะตอจะนำข้อสัญญานั้นมาฟ้องร้องให้บังคับคดีตามข้อตกลงนั้นไม่ได้

สรุป  นายมะละกอนำที่ดินของตนมาจำนองแทน  น.ส.มะลิได้  และข้อสัญญาที่ทำไว้นั้นไม่สมบูรณ์  ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย

 

ข้อ  3  นายแกงขอกู้เงินจากนายขนมจีน  จำนวน  2,000  บาท  โดยมิได้ทำหลักฐานการกู้ยืมแต่ประการใด  นายแกงจึงนำทองรูปพรรณแต่เป็นของเทียมซึ่งมีราคาเพียง  600  บาท  มาส่งมอบให้นายขนมจีนเป็นการจำนำ  โดยที่นายแกงไม่รู้ว่าทองนั้นเป็นของปลอม  อยากทราบว่า  การจำนำที่นายแกงกระทำดังกล่าวเป็นการจำนำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่  และมีผลตามกำหมายหรือไม่  จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินเกินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  747  อันว่าจำนำนั้น   คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้จำนำ  ส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า ผู้รับจำนำ  เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  สัญญากู้ยืมเงินระหว่างนายแกงและนายขนมจีนมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย  แม้มิได้ทำหลักฐานแห่งการกู้ยืม  ตามมาตรา  653  วรรคแรกก็ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้  เพราะกรณีนี้เป็นการกู้ยืมเงินกันไม่เกิน  2,000  บาท  ไม่อยู่ในบังคับของบทบัญญัติมาตรา  653  วรรคแรก

สำหรับสัญญาจำนำ  เป็นสัญญาระหว่างผู้จำนำตกลงกับเจ้าหนี้  โดยส่งมอบสังหาริมทรัพย์เพื่อประกันการชำระหนี้ไว้กับเจ้าหนี้  ซึ่งผู้จำนำจะเป็นตัวลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกก็ได้  แต่บุคคลผู้เข้าทำสัญญาจำนำต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินจึงจะเข้าทำสัญญาจำนำได้  นอกจากนี้สัญญาจำนำไม่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เช่นเดียวกับสัญญาจำนอง  สัญญาจำนำนั้นย่อมสมบูรณ์เมื่อมีการส่งมอบทรัพย์สินจำนำ  และทรัพย์สินที่จะนำมาจำนำได้ก็ต้องเป็นสังหาริมทรัพย์เท่านั้น

เมื่อข้อเท็จจริงในกรณีนี้ปรากฏว่า  นายแกงลูกหนี้นำทองรูปพรรณซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์และตนเองเป็นเจ้าของมาส่งมอบให้นายขนมจีนเจ้าหนี้เป็นการจำนำประกันการชำระหนี้  สัญญาจำนำย่อมเกิดขึ้นแล้ว  ตามมาตรา  747  แม้นายขนมจีนจะไม่รู้ว่าเป็นของปลอม  สัญญาจำนำดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์บังคับกันได้ตามกฎหมาย  ส่วนกรณีทรัพย์สินที่นำมาจำนำเป็นของปลอม  แล้วจะเรียกให้ลูกหนี้นำทรัพย์สินซึ่งเป็นของแท้มาแทนได้หรือไม่  ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก  เป็นคนละเรื่องกับความสมบูรณ์หรือการเกิดมีขึ้นของสัญญาจำนำ

สรุป  การกระทำของนายแกงเป็นการจำนำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  และมีผลสมบูรณ์บังคับกันได้ตามกฎหมาย 

LAW 2010 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2010 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยค้ำประกัน จำนอง จำนำ

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก.  กู้เงิน  ข  100,000  บาท  โดยมิได้มีหลักฐานการกู้เป็นหนังสือ  แต่มี  ค  ทำหนังสือสัญญากับ  ข  ในฐานะผู้ค้ำประกัน  ดังนี้  ข จะฟ้องใครให้รับผิดในหนี้รายนี้ได้บ้าง  และเพราะเหตุใด  (ให้ท่านตอบพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบด้วย)

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินเกินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา  680  อันว่าค้ำประกันนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลภายนอกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้ค้ำประกัน  ผูกพันตนต่อเจ้าหนี้คนหนึ่งเพื่อชำระหนี้ในเมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้นั้น

อนึ่งสัญญาค้ำประกันนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญ  ท่านว่าจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่

มาตรา 681  วรรคแรก  อันค้ำประกันนั้นจะมีได้แต่เฉพาะเพื่อหนี้อันสมบูรณ์

มาตรา  694  นอกจากข้อต่อสู้ซึ่งผู้ค้ำประกันมีต่อเจ้าหนี้นั้น  ท่านว่าผู้ค้ำประกันยังอาจยกข้อต่อสู้ทั้งหลายซึ่งลูกหนี้มีต่อเจ้าหนี้ขึ้นต่อสู้ได้ด้วย

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  การกู้ยืมเงินกันกว่า  2,000  บาทขึ้นไป  ถ้าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ  อย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้กู้ยืม  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีตามสัญญากู้ยืมไม่ได้ตามมาตรา  653  วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ก  กู้ยืมเงิน  ข  โดยมิได้มีหลักฐานการกู้เป็นหนังสือ  ข  เจ้าหนี้จึงฟ้องให้  ก  รับผิดใช้เงินตามสัญญากู้ไม่ได้ตามมาตรา  653  วรรคแรก

ส่วนสัญญาค้ำประกันนั้นเป็นสัญญาไม่มีแบบ  คือ  กฎหมายมิได้บังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ  แต่การจะฟ้องร้องบังคับคดีตามสัญญาค้ำประกันได้  กฎหมายบังคับว่าจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญเช่นเดียวกัน  มิฉะนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีกันไม่ได้ตามมาตรา  680  วรรคสอง

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ค  ผู้ค้ำประกันได้ทำสัญญาค้ำประกันเป็นหนังสือ  จึงถือว่าสัญญาค้ำประกันในหนี้รายนี้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ค้ำประกันเป็นสำคัญแล้ว  จึงใช้ฟ้องร้องบังคับคดีต่อกันได้ตามมาตรา  680  วรรคสอง  แม้ว่าสัญญากู้ยืมเงินซึ่งเป็นหนี้ประธานจะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือใช้ฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายไม่ได้ก็ตาม  เพราะหนี้ประธานและหนี้อุปกรณ์เป็นคนละสัญญาแยกจากกันต่างหาก  ทั้งกรณีนี้ก็ได้มีการส่งมอบเงินกู้แก่กันแล้ว  ย่อมถือได้ว่าหนี้เงินกู้ซึ่งเป็นหนี้ประธานสมบูรณ์ตามกฎหมาย  แต่ขาดเพียงหลักฐานการฟ้องร้องเท่านั้น  จึงมีการค้ำประกันกันได้ตามมาตรา  681  วรรคแรก

อย่างไรก็ตาม  เมื่อหนี้ตามสัญญาค้ำประกันเกิดขึ้นโดยอาศัยมูลหนี้ประธาน  ผู้ค้ำประกันจึงสามารถยกเหตุที่หนี้ประธานไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ  ฟ้องร้องบังคับคดีตามกฎหมายไม่ได้  ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิด  ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดขึ้นต่อสู้เจ้าหนี้ได้ตามมาตรา  694  ดังนั้นผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นจากความรับผิด

สรุป  ข  ไม่สามารถเรียกใช้  ก  รับผิดตามสัญญากู้ยืมและไม่อาจเรียกให้  ค  รับผิดตามสัญญาค้ำประกันได้

 

ข้อ  2  นาย  ก  กู้เงินนาย  ข  เป็นจำนวน  100,000  บาท  ต่อมามีนายควายนำที่ดินราคา  50,000  บาท  มาจำนองประกันหนี้รายนี้ในวันที่  1  มกราคม  2552  และนายวัวนำที่ดินราคา  30,000  บาท  มาประกันหนี้รายนี้  วันที่  2  กุมภาพันธ์  2552  ในการนี้  นายวัวและนายควายตกลงกับนาย  ข  เจ้าหนี้ว่า  หากต้องการจะบังคับจำนองให้บังคับเอากับที่ดินของนายวัวก่อน  ต่อมานาย  ข  เจ้าหนี้  ได้ประทับใจในความดีของนายควาย  จึงปลดจำนองให้นายควาย  ดังนี้  การปลดจำนองนายควายมีผลดีกับนายวัวหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  702  อันว่าจำนองนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้จำนองเอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่าผู้รับจำนอง  เป็นประกันการชำระหนี้  โดยไม่ส่งมอบทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้รับจำนอง

ผู้รับจำนองชอบที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่จำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ  มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินจะได้โอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่

มาตรา  709  บุคคลคนหนึ่งจะจำนองทรัพย์สินของตนไว้เพื่อประกันหนี้อันบุคคลอื่นจะต้องชำระ  ก็ให้ทำได้

มาตรา  710  ทรัพย์สินหลายสิ่งมีเจ้าของคนเดียวหรือหลายคนจะจำนองเพื่อประกันการชำระหนี้แต่รายหนึ่งรายเดียว  ท่านก็ให้ทำได้

และในการนี้คู่สัญญาจะตกลงกันดังต่อไปนี้ก็ได้  คือว่า

(1) ให้ผู้รับจำนองใช้สิทธิบังคับเอาแก่ทรัพย์สินซึ่งจำนองตามลำดับอันระบุไว้

มาตรา  726  เมื่อบุคคลหลายคนต่างได้จำนองทรัพย์สินแห่งตนเพื่อประกันหนี้แต่รายหนึ่งรายเดียวอันบุคคลอื่นจะต้องชำระและได้ระบุลำดับด้วยไซร้  ท่านว่าการที่ผู้รับจำนองยอมปลดหนี้ให้แก่ผู้จำนองคนหนึ่งนั้นย่อมทำให้ผู้จำนองคนหลังๆได้หลุดพ้นด้วยเพียงขนาดที่เขาต้องรับความเสียหายแต่การนั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การจำนองของนายวัวและนายควายเป็นการจำนองทรัพย์สินของตนเพื่อประกันหนี้เงินกู้ยืมซึ่งนาย  ก  บุคคลอื่นจะต้องชำระ  ย่อมทำได้ตามมาตรา  702  ประกอบมาตรา  709  ซึ่งหนี้รายเดียวกันนี้เองก็สามารถจำนองทรัพย์สินหลายสิ่งเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ได้ตามมาตรา  710  วรรคแรก

เมื่อได้มีการระบุตามข้อตกลงระหว่างเจ้าหนี้กับผู้จำนองไว้ด้วยว่าให้นายวัวต้องเป็นผู้ถูกบังคับจำนองก่อนตามมาตรา  710  วรรคสอง  (1)  จึงต้องเป็นไปตามนั้น

สำหรับในเรื่องการปลดหนี้จำนองนั้น  หลักกฎหมายตามมาตรา  726  กำหนดให้ผู้รับจำนองหลุดพ้นจากความรับผิดได้หากเข้าหลักเกณฑ์ดังนี้  คือ

1       มีผู้จำนองหลายคนจำนองประกันหนี้รายเดียว

2       มีการระบุลำดับการบังคับจำนองไว้ตามมาตรา  710  วรรคสอง  (1)

3       ผู้รับจำนองปลดจำนองรายหนึ่งรายใดในลำดับก่อน

4       ผู้จำนองลำดับถัดไปเสียหายจากการปลดจำนอง

เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่า  นาย  ข  เจ้าหนี้  ปลดจำนองให้แก่นายควายซึ่งจะต้องเป็นผู้ถูกบังคับจำนองในลำดับหลังสุด  การปลดจำนองดังกล่าวจึงไม่มีประโยชน์ใดๆ  แก่นายวัว  เพราะถึงอย่างไรก็ตาม  นายวัวก็ต้องถูกบังคับจำนองในลำดับแรกอยู่ดี  ดังนั้นนายวัวยังคงต้องรับผิดในหนี้จำนองจำนวน  50,000  บาท  กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา  726

สรุป  การปลดจำนองให้แก่นายควายไม่มีประโยชน์ใดๆกับนายวัวผู้ถูกบังคับจำนองคนก่อน

 

ข้อ  3  นายสินกู้เงินนายมั่น  จำนวน  80,000  บาท  โดยมีหลักฐานการกู้ถูกต้องตามกฎหมาย  ขณะเดียวกัน  นายมั่นต้องการความแน่นอนในการชำระหนี้  จึงขอให้นายสินหาหลักประกันมาวางไว้ด้วย  นายสินจึงนำสร้อยคอทองคำหนัก  5  บาท  ซึ่งเป็นของภริยา  โดยแจ้งให้นายมั่นทราบว่าสร้อยคอทองคำเป็นของภริยามิใช่ของตนเองวางไว้เป็นหลักประกันในลักษณะจำนำ  แต่มิได้มีการทำหลักฐานอย่างใด  เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายสินหาเงินมาชำระหนี้เงินกู้ไม่ได้  มั่นเห็นว่าราคาทองคำกำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ  จึงแจ้งให้นายสินชำระหนี้โดยทำจดหมายบอกกล่าวและขอนำสร้อยคอทองคำขายให้แก่นายรุ่ง  เพราะนายรุ่งเป็นคนมีฐานะดี  และกำลังอยากซื้อสร้อยคอทองคำคงจะให้ราคาดีมาก  อยากทราบว่า

(1) นายสินนำสร้อยคอของภริยามาจำนำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

(2) นายมั่นนำสร้อยคอทองคำขายให้แก่นายรุ่งได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  747  อันว่าจำนำนั้น   คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้จำนำ  ส่งมอบสังหาริมทรัพย์สิ่งหนึ่งให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่ง  เรียกว่า ผู้รับจำนำ  เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้

มาตรา  764  เมื่อจะบังคับจำนำ  ผู้รับจำนำต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหนี้ก่อนว่าให้ชำระหนี้และอุปกรณ์ภายในเวลาอันควรซึ่งกำหนดให้ในคำบอกกล่าวนั้น

ถ้าลูกหนี้ละเลยไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าว  ผู้รับจำนำชอบที่จะเอาทรัพย์สินซึ่งจำนำออกขายได้แต่ต้องขายทอดตลาด

อนึ่งผู้รับจำนำต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยังผู้จำนำบอกเวลาและสถานที่ซึ่งจะขายทอดตลาดด้วย

วินิจฉัย

(1) การทำสัญญาจำนำนั้น  บทบัญญัติมาตรา  747  กำหนดแต่เพียงว่าต้องมีการส่งมอบสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการจำนำ  มิได้กำหนดให้ต้องมีการทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างอื่นแต่อย่างใด  ดังนั้นสัญญาจำนำจึงสมบูรณ์เมื่อมีการส่งมอบสังหาริมทรัพย์ที่จำนำ  (ฎ. 1451/2503)

สำหรับทรัพย์ที่จำนำนั้น  กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นการที่ลูกหนี้นำทรัพย์สินมาจำนำประกันหนี้ของตนเองเท่านั้น  บุคคลภายนอกอาจจำนำทรัพย์สินของตนเพื่อประกันหนี้ที่บุคคลอื่นจะต้องชำระก็ได้  เพราะกฎหมายมิได้ห้ามบุคคลภายนอกมิให้จำนำทรัพย์เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ของบุคคลอื่น  แต่ประการสำคัญคือ  ผู้จำนำต้องเป็นเจ้าของทรัพย์เท่านั้น  ถ้าเอาทรัพย์ของคนอื่นมาจำนำ  เจ้าของทรัพย์มีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามมาตรา  1336

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายสินลูกหนี้นำสังหาริมทรัพย์ของภริยามาจำนำ  สามารถกระทำได้  สัญญาจำนำมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา  747 เพราะมีการส่งมอบสร้อยคอทองคำแก่เจ้าหนี้ผู้รับจำนำแล้ว  ส่วนการที่สัญญาจำนำจะผูกพันภริยาของนายสินหรือไม่  เป็นอีกเรื่องซึ่งต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงว่านายสินลักสร้อยคอทองคำของภริยามาจำนำหรือไม่  หรือภริยารู้เห็นในการเอามาจำนำหรือประมาทเลินเล่อปล่อยให้นายสินแสดงตัวเป็นเจ้าของหรือมีพฤติกรรมที่ภริยาเชิดนายสินเหมือนดั่งเป็นตัวแทนของตนหรือไม่  ถ้าภริยาไม่ยินยอมหรือไม่รู้เห็นด้วย  ภริยามีสิทธิติดตามเอาสร้อยคอทองคำคืนตามมาตรา  1336  ถือว่าสัญญาจำนำไม่ผูกพันภริยา  แต่ถ้าภริยามีพฤติการณ์ดังกล่าวนั้น  ภริยาจะเรียกสร้อยคอทองคำคืนโดยไม่ไถ่ถอนจำนำไม่ได้  (ฎ. 631/2503 , ฎ. 449/2516  และ 

ฎ .1115/2497)

(2) การบังคับจำนำนั้น  บทบัญญัติมาตรา  764  กำหนดให้มีการบอกกล่าวเป็นหนังสือให้ลูกหนี้ชำระหนี้และสามารถนำทรัพย์ที่รับจำนำนั้นออกขายได้  แต่ต้องขายทอดตลาด  กรณีนี้นายมั่นได้บอกกล่าวการชำระหนี้ถูกต้องตามมาตรา  764  แต่การนำทรัพย์ที่จำนำออกขายให้แก่บุคคลโดยเฉพาะเจาะจง  มิใช่การขายทอดตลาด  จึงไม่ต้องด้วยหลักกฎหมายดังกล่าว  นายมั่นจึงนำสร้อยคอทองคำขายให้นายรุ่งไม่ได้

สรุป

(1) นายสินนำสร้อยคอทองคำของภริยามาจำนำโดยวางไว้กับนายมั่นได้โดยไม่จำต้องมีการทำหลักฐานอย่างอื่น

(2) นายมั่นจะนำสร้อยคอทองคำขายให้นายรุ่งมิได้  เพราะมิใช่การขายทอดตลาด 

WordPress Ads
error: Content is protected !!