PSY1001 (PC 103) จิตวิทยาทั่วไป ภาค ฤดูร้อน/2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553 

ข้อสอบกระบวนวิชา  PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป

คำสั่ง     ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120  ข้อ)

ข้อ 1. – 5.  จงตอบคำถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1) กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์                   

(2) กลุ่มจิตวิเคราะห์                            

(3) กลุ่มหน้าที่ของจิต

(4) กลุ่มพฤติกรรมนิยม                      

(5)  กลุ่มโครงสร้างทางจิต

1.  กลุ่มใดศึกษาองค์ประกอบของจิตสำนึกได้แก่ การรับสัมผัส  ความรู้สึก  และมโนภาพ   

ตอบ (5)  กลุ่มโครงสร้างทางจิต

2.  กลุ่มใดปฏิเสธการศึกษาเรื่องจิต  พร้อมกับรับแนวคิดเรื่องการตอบสนองแบบมีเงื่อนไข เน้นการสังเกตและบันทึกเพื่อความเป็นวิทยาศาสตร์

ตอบ (4) กลุ่มพฤติกรรมนิยม      

3.  กลุ่มใดเน้นการศึกษาทางจิตวิทยาที่พฤติกรรมและประสบการณ์ทางจิตจะต้องได้รับการพิจารณาเป็นส่วนรวมแยกจากกันไม่ได้

ตอบ (1) กลุ่มจิตวิทยาเกสตัลท์                  

4.  กลุ่มอธิบายว่าความด้วยผิดปกติของบุคลิกภาพเนื่องมาจากแรงจูงใจไร้สำนักและการเก็บกดในวัยเด็ก   

ตอบ (2) กลุ่มจิตวิเคราะห์                           

5.  กลุ่มใดสนใจการทำงานของจิตสำนึกและการปรับตัวของอินทรีย์กับสิ่งแวดล้อม 

ตอบ (3) กลุ่มหน้าที่ของจิต

ข้อ 6. – 9.  จงตอบคำถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1)  การสังเกต                                      (2)  การสำรวจ                                     (3) การทดลอง

(4)  การทดสอบทางจิตวิทยา               (5)  การศึกษาประวัติรายกรณี

6.  วิธีใดอาศัยการสร้างเหตุการณ์บางอย่างแล้วศึกษาตัวแปรตาม     (3)

ตอบ (3) การทดลอง

7.  วิธีใดทำการศึกษาภูมิหลังของบุคคลเพื่อเข้าใจสาเหตุของพฤติกรรมได้ละเอียดขึ้น    (5)

ตอบ (5)  การศึกษาประวัติรายกรณี

8.  วิธีใดที่เฝ้ามองสภาพการณ์ตามที่เป็นจริง  ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมในสภาพธรรมชาติ   (1)

ตอบ (1)  การสังเกต                                  

9.  วิธีใดที่ใช้ศึกษาประชามติ   (2)

ตอบ (2)  การสำรวจ                                    

10.  มิลแกรมอธิบายว่า  การลงโทษผู้อื่นจนถึงขั้นรุนแรงเป็นเพราะอะไร

(1)  ผู้ลงโทษขาดมนุษยธรรม

(2)  ผู้ลงโทษสติปัญญาต่ำ

(3)  ผู้ลงโทษมีนิสัยก้าวร้าวเป็นทุนเดิม

(4)  เกิดการกระจายความรับผิดชอบไปทั่วๆ กัน

(5)  ผู้ลงโทษรู้สึกว่าตนไม่ต้องรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้น

ตอบ (5)  ผู้ลงโทษรู้สึกว่าตนไม่ต้องรับผิดชอบผลที่เกิดขึ้น

11.  ระบบใดที่ทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะของการผ่อนคลาย  ไม่ตึงเครียด

(1)  ระบบประสาทซิมพาเธติก

(2) ระบบกล้ามเนื้อ

(3) ระบบอัตโนมัติ

(4)  ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก 

(5) ระบบประสารทส่วนกลาง

ตอบ (4)  ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก                       

12.  ต่อมใดที่ทำหน้าที่ควบคุมการทำงาของฮอร์โมนของต่อมไร้ท่ออื่นๆ

(1)  ตอม Gonad                     (2) ต่อม Thyriod                       (3)  ต่อม Parathyroid

(4) ต่อม Pituitary                  (5) ต่อม Thymus

ตอบ (4) ต่อม Pituitary           

13.  ต่อมใดผลิตฮอร์โมนเพศ  (ใช้ตัวเลือกข้อ 12

(1)  ตอม Gonad                   (2) ต่อม Thyriod                  (3)  ต่อม Parathyroid

(4) ต่อม Pituitary                 (5) ต่อม Thymus

ตอบ (1)  ตอม Gonad                  

14.  ข้อใดเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่รับส่งกระแสประสาท  ประกอบด้วย  Cell  Body, Dendrite  และ Axon

(1)  Neurotransmitters                   (2)  Cerebrum               (3)  Cerebellum

(4)  Spinal  Cord                           (5)  Neuron

 ตอบ (5)  Neuron

ข้อ 15. – 17.    จงตอบคำถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1) ธาลามัส          (2) ซีรีบรัม             (3) ซีรีเบลลัม            (4) ไฮโปธาลามัส        (5) ฮิบโปแคมพัส

15.  สมองส่วนใดเป็นที่รวมของสันประสาท ควบคุมอวัยวะสัมผัส อวัยวะมอเตอร์ และวิเคราะห์ข้อมูล   

ตอบ (2) ซีรีบรัม            

16.  สมองส่วนใดมีขนาดเล็กแต่การทำงานมีอิทธิพลมาก  

ตอบ (4) ไฮโปธาลามัส       

17.  สมองส่วนใดที่ควบคุมการทรงตัว   

ตอบ (3) ซีรีเบลลัม           

18.  โรคพาร์กินสัน  เกิดจากความบกพร่องของสารสื่อประสาทใด

 (1) กาบา              (2) โดปามาย           (3) ซีโรโทนิน         (4) อะซีทิลโคลีน          (5) นอร์อีพิเนฟฟริน

ตอบ (2) โดปามาย          

19.  สารสื่อประสาทใดที่ช่วยเหลือในการกระตุ้นความจำ ถ้าบกพร่องทำให้เกิดโรคอัลไซเมอร์ได้(ใช้ตัวเลือกข้อ 18.)

(1) กาบา

(2) โดปามาย

(3) ซีโรโทนิน

(4) อะซีทิลโคลีน

(5) นอร์อีพิเนฟฟริน

ตอบ (4) อะซีทิลโคลีน                      

20.  วงจรที่เล็กที่สุดหรือที่เรียกว่า Simple Reflex Action ได้แก่อาการใด

(1)  การกะพริบตาเมื่อลมกรรโชก                

(2) การเดินก้าวยาวๆ                 

(3) เก็บความไม่พอใจเมื่อถูกครูตี

(4)  การยิ้มทักทาย                                             

(5) นั่งเรียนด้วยความตั้งใจ

ตอบ (1)  การกะพริบตาเมื่อลมกรรโชก           

21.  ข้อใดคือคุณสมบัติของกระแสเสียงหรือคลื่นเสียง             

(1)  ความดังและความถี่                

(2) ความถี่และความแรงของคลื่น         

(3) ความกดและความแรงของคลื่น

(4)  จำนวนรอบคลื่นต่อวินาที                          

(5) ความกดและความคลายของอากาศ

ตอบ (2) ความถี่และความแรงของคลื่น        

22.  การทำงานของโคนส์มีความสำคัญอย่างไร

(1) รับคลื่นแสงสีต่างๆ               (2) ช่วยให้ปรับตัวต่อความมืด          (3) การรับภาพขาวและดำ

(4) รับคำสั่งการรับรู้ภาพ                   (5) ปรับเรตินาให้รับคลื่นแสงสูงกว่า 782 นาโนมิเตอร์

ตอบ (1) รับคลื่นแสงสีต่างๆ              

23.  ข้อใดเป็นเรื่องของการจัดหมวดหมู่การรับรู้ของกลุ่มเกสตัลท์

 (1)  คล้ายคลึงคลึง           (2) โทรจิต              (3)  ภาพหลอน           (4) แสดงและเงา           (5) ESP

ตอบ (1)  คล้ายคลึงคลึง          

24.  จำนวนพลังงานความถี่ต่ำสุดที่อินทรีย์สามารถรับรู้ได้เมื่อสิ่งเร้าปรากฏ  เรียกว่าอะไร

(1)  ระดับเทรซโฮลด์                          (2) เทรซโฮลด์ความรู้สึก                    (3) เทรซโฮลด์สมบูรณ์

(4)  เทรซโฮลด์ความแตกต่าง              (5) ไม่มีข้อใดถูก

 ตอบ (3) เทรซโฮลด์สมบูรณ์

25. สัมผัสคีเนสเตซีส อธิบายเรื่องใด

(1)  การทรงตัวและการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง                       (2) การทรงตัว

(3)  การทราบถึงการเคลื่อนไหวทางกาย                     (4) การสัมผัสของอวัยวะภายใน

(5)  การทำงานของอวัยวะภายใน

ตอบ (3)  การทราบถึงการเคลื่อนไหวทางกาย                    

26.  การมอบด้วยดวงตา 2 ข้าง ทำให้เราสามารถรับรู้ความลึกได้  และดวงตาแต่ละข้างจะเห็นภาพในแง่มุมที่ต่างออกไปเล็กน้อย เรียกว่าอะไร

(1)  Stereoscopic Vision               (2)  Convergence               (3) Perspective

(4)  การรับรู้ภาพ 2 นัย                                   (4)  ประสาททิพย์  (Clairvoyance)

ตอบ (1)  Stereoscopic Vision              

27.  การล่วงรู้ถึงแหตุการณ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง  เรียกว่าอะไร

(1) โทรจิต  (Telepathy)                  (2) Convergence                (3)  Precognition

(4)  Clairvoyance                        (5) Illusion

ตอบ (3)  Precognition

28.  การตีความหมายในสิ่งที่มากระทบด้วยความเข้าใจและการแปลความหมายของสิ่งนั้น  เรียกว่าอะไร

(1)  การสัมผัส                               (2)  การรับรู้                    (3) การเรียนรู้         

(4) ภาพหลอน                               (5) ภาพลวงตา

ตอบ (2)  การรับรู้                   

29.  ข้อใดถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับสัมปชัญญะ

(1)  การมีสมาชิกแน่วแน่                   (2) การตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง          (3) การนอนหลับเพื่อทำสมาธิ

(4)  การมีจิตใจแน่วแน่                       (5)  การรู้ตัวทั่วพร้อมว่า กำลังทำ  พูด  คิดสิ่งใดอยู่

ตอบ (5)  การรู้ตัวทั่วพร้อมว่า กำลังทำ  พูด  คิดสิ่งใดอยู่

30.  ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ  การนอนหลับ

(1)  มีการโต้ตอบง่ายๆ ได้       (2) ขาดสัมปชัญญะโดยสิ้นเชิง          (3) รับรู้ผิดพลาดในระยะหลับลึก

(4)  ไม่มีการฝันตลอดคืน          (5) มีความฝันเกิดขึ้นในระยะช่วงเวลาของการหลับลึก

ตอบ (1)  มีการโต้ตอบง่ายๆ ได้      

31.  การนอนหลับเป็นช่วงระยะสั้น  เรียกอะไร

(1)  ความอ่อนเพลีย          

(2) Microsleep       

(3) ฝันกลางวัน           

(4) เข้าฌาน          

(5) การระลึกรู้

ตอบ (2) Microsleep      

32.  มนุษย์ใช้เวลาสำหรับการนอนหลับเท่าใดโดยประมาณ

(1)  1 ใน 2 ของชีวิต                           (2) 1 ใน 2 ของชีวิต                      (3) 1 ใน 4 ของชีวิต

(4)  ขึ้นอยู่กับภารกิจประจำวัน          (5) ขึ้นอยู่กับนิสัยส่วนตัว

ตอบ (2) 1 ใน 2 ของชีวิต                      

ข้อ 33. – 36.  จงตอบคำถามโดยพิจารราจากตัวเลือกต่อไปนี้

 (1) กดประสาท                (2) กระตุ้นประสาท            (3) หลอนประสาท             (4) ออกฤทธิ์ผสมผสาน

33.  แอลเอสดี  เห็ดขี้ควาย  จัดอยู่ในสารประเภทใด

ตอบ (3) หลอนประสาท             

34.  กัญชา  สามารถออกฤทธิ์แบบใด  

ตอบ (4) ออกฤทธิ์ผสมผสาน

35.  คาเฟอีน  กระท่อม  มีคุณสมบัติใด  

ตอบ (2) กระตุ้นประสาท           

36.  ฝิ่น มอร์ฟีน  มีผลอย่างไร   

ตอบ (1) กดประสาท                

37. คลื่นสมองชนิดใดที่ปรากฏในการนอนหลับระยะที่ 3  และระยะที่ 4 

(1)  แอลฟ่า             (2) บีตา               (1) กดประสาท                        (4) ธีตา                  (5)  แกมมา

ตอบ (1) กดประสาท                

38.  ผู้ใดอธิบายว่า ความฝันเกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากการแสดงออกของจิตใจสำนึก

 (1)  Freud                            (2) Hobson & McCarley                        (3) Adler       

(4) Mesmer                         (5) Carl  Jung

ตอบ (1)  Freud                           

39.  สิ่งที่จะบอกได้ว่าคนที่นอนหลับกำลังฝัน  คืออะไร

(1)  REM                                     (2)  MER                            (3) การร้องโวยวาย    

(4) การขยับร่างกายไปมา                           (5) Polygraph

ตอบ (1)  REM                                 

40.  ยีนส์  มีการเปลี่ยนแปลงได้ในกรณีใด

(1) ตั้งครรภ์นอกมดลูก                                 

(2) ได้รับรังสีหรือยาชนิด              

(3) การผสมเทียมในหลอดแก้ว

(4) รับโครโมโซมเพศแบบ XYY          

(5) แม่ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง

ตอบ (2) ได้รับรังสีหรือยาชนิด

41.  ข้อใดไม่ใช่โรคที่มีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม

 (1)  เบาหวาน               (2) ตาบอดสี                  (3) ลมบ้าหมู                (4) กามโรค             (5) ภูมิแพ้

ตอบ (4) กามโรค         

42. โครโมโซมของมนุษย์มีลักษณะอย่างไร

(1)  ได้รับจากพ่อและแม่คนละ 23 โครโมโซม

(2) เรามีโครโมโซมเพศ 2 คู่

(3) พี่น้องท้องเดียวกันจะได้รับโครโมโซมเหมือนกัน

(4) โครโมโซมจะจะจับคู่กันเมื่อแม่ตั้งครรภ์ได้ 15 วัน

(5)  โครโมโซมทำให้เรามีอายุขัยเท่าพ่อแม่

ตอบ (1)  ได้รับจากพ่อและแม่คนละ 23 โครโมโซม                       

43.  ในการอธิบายความสำคัญของพันธุกรรมหรือสิ่งแวดล้อม  นักจิตวิทยาอาศัยกลุ่มใดช่วยได้มากที่สุด

(1)  พ่อแม่กับลูก

(2) พี่กับน้อง

(3) ฝาแฝดคล้าย

(4)  ฝาแฝดเหมือน

(5) พ่อแม่กับบุตรบุญธรรม

ตอบ (4)  ฝาแฝดเหมือน                         

44.  ลักษณะใดที่เกิดจากพันธุกรรมเป็นตัวกำหนดอย่างชัดเจน

(1)  ศีรษะล้าน                         (2) ใจอ่อน                                (3) เครียด            

(4) กระตือรือร้น                              (5) เก็บกด

ตอบ (1)  ศีรษะล้าน                        

45.  คนที่ได้รับโครโมโซมเพศผิดแบบปกติ  XXY  มีโอกาสเกิดความผิดปกติแบบใด

(1)  ตัวแคระแกรน                                  (2) โรคลมบ้าหมู                     (3) Turner’s Syndrome

(4) ปัญญาอ่อน  Mongolism        (5)  ตาบอดสี

ตอบ  (4) ปัญญาอ่อน  Mongolism       

ข้อ 46. – 48.     จงตอบคำถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1)  เฮสส์                (2) เพียเจท์              (3) กีเซลล์               (4) ลอเรนซ์            (5) โคลเบอร์ก

46.   ผู้ใดย้ำเน้นความสำคัญของวุฒิภาวะเพียงอย่างเดียวในการอธิบายการเจริญเติบโตและความสามารถของบุคคล

ตอบ (3) กีเซลล์              

47.  ผู้ใดศึกษาและเสนอทฤษฎีพัฒนาการทางความคิดความเข้าใจ  

ตอบ (3) กีเซลล์               

48.  ผู้ใดทำการทดลองเรื่องประสบการณ์ในระยะฝังใจกับลูกเป็ด    

ตอบ (3) กีเซลล์              

ข้อ 49. – 51.   จงตอบคำถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1)  Reinforcement               (2)  การหยุดยั้ง                               (3) การสรุปความเหมือน

(4)  การฟื้นกลับของพฤติกรรม        (5)  การแยกความแตกต่าง

49.  นอกจากแสดงอาการน้ำลายไหลต่อเสียงกระดิ่งแล้ว พบว่า เสียงที่คล้ายกระดิ่งก็ทำให้สุนัขน้ำลายไหลได้ เช่นกัน

ตอบ (3) การสรุปความเหมือน

50.  หลังจากการเรียนรู้การกดคานว่า ได้อาหาร แต่เมื่องดอาหารในการกดคานต่อๆ มาในที่สุด พบว่าหนูหยุดกดคาน

ตอบ (2)  การหยุดยั้ง                 

51.  ข้าวหอมเรียกแม่อีกหลายครั้ง  หลังจากการเรียกครั้งแรกแล้วแม่เข้ามากอด”   

ตอบ (1)  Reinforcement              

ข้อ 52. – 54.          จงตอบคำถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1)  อัตราส่วนคงที่                              (2) อัตราส่วนไม่แน่นอน                   (3) ช่วงเวลาคงที่

(4)  ช่วงเวลาไม่แน่นอน                     (5) แบบต่อเนื่อง

52.  การะเวกมักจะเอาใจใส่หน้าที่การงานเป็นพิเศษเมื่อใกล้วันเงินเดือนออกเป็นการเสริมแรงแบบใด  

ตอบ (3) ช่วงเวลาคงที่

53.  ทุกครั้งที่วิ่งลอดบ่วงไฟ  สุนัขจะได้รับรางวัล  ใช้การเสริมแรงแบบใด  

ตอบ (1)  อัตราส่วนคงที่                              

54.  การเสริมแรงแบบใดที่จะช่วยให้คนงานเร่งเย็บเสื้อแต่ละตัวให้เสร็จเร็วๆ  เท่าที่จะทำได้   

ตอบ (4)  ช่วงเวลาไม่แน่นอน   

55.  การเสริมแรงแบบใดที่จะช่วยให้คนงานเย็บเนื้อแต่ละตัวให้เสร็จเร็วๆ เท่าที่จะทำได้  

ตอบ (1)  อัตราส่วนคงที่                             

56.  การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก เสียงกระดิ่งจัดเป็นอะไร

(1)  สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข  (CS)                     (2) สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข  (US)

(3) การตอบสนองที่วางเงื่อนไข  (CR)          (4) การแยกความแตกต่าง (Discrimination)

(5) การฟื้นกลับของพฤติกรรม  (Spontaneous)

ตอบ (5) การฟื้นกลับของพฤติกรรม  (Spontaneous)

57.  นักโทษได้รับการลดโทษหลังจากมีความประพฤติดี น่าพอใจ อธิบายได้ว่าตรงกับหลักการใด

(1)  การเสริมแรงบวก                  (2) การเสริมแรงลบ                            (3) การลงโทษ

(4)  การวางเงื่อนไขบวก                    (5)  การวางเงื่อนไขลบ

ตอบ (1)  การเสริมแรงบวก 

58.  ความจำระยะสั้นจะมีลักษณะเป็นอย่างไร

(1)  เก็บข้อมูลไม่จำกัดจำนวน       (2) จำในสิ่งที่มีความหมาย       (3) จำในสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงของโลก

(4)  จำในสิ่งที่เป็นเรื่องของชีวิตตนเอง                       (5) ทำงานอยู่ในระดับปฏิบัติการ

ตอบ (5) ทำงานอยู่ในระดับปฏิบัติการ

59.  ภาพติดตาหรือจินตภาพจะคงอยู่ได้กี่วินาที

 (1) 2 วินาที                 (2)  1½  วินาที             (3) 1 วินาที                     (4) ½  วินาที             (5) ขึ้นอยู่กับบุคคล

60.  ความจำระยะยาวมีลักษณะเป็นอย่างไร

(1)  การเกิดจินตภาพ                          (2)  จำในสิ่งที่มีความหมาย          (3) การได้ยินเสียง

(4)  ข้อมูลมีจำกัด                 (5)  ทำงานอยู่ในระดับปฏิบัติการ

ตอบ (2)  จำในสิ่งที่มีความหมาย

61.  สาเหตุของการลืม  เกิดจาก

 (1)  การไม่ลงรหัส           (2)  การเสื่อมสลาย          (3) การขาดสิ่งชี้แนะ      (4) การรบกวน    (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ (5) ถูกทั้งหมด

62.  บอกได้ว่า ร่มนี้เป็นของฉันหายไปเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว”  เป็นการวัดความจำแบบใด

 (1)  การระลึกได้ (Recall)             (2) การจำได้ (Recognition)         (3) การเรียนซ้ำ (Relearning)

(4)  การบูรณาการใหม่ (Reintegration)          (5)  การสร้างความจำ  (Construct)

ตอบ (2) การจำได้ (Recognition)        

63.  ใช้เวลาท่องอาขยานถึง 20 ครั้ง  แต่หลังจาก 20 ปีผ่านไป  สามารถท่องอาขยานใช้เวลาเพียง  2 ครั้ง ก็จำได้เรียกว่าอะไร

 (1)  การระลึกได้ (Recall)         (2) การจำได้ (Recognition)            (3) การเรียนซ้ำ (Relearning)

 (4)  การบูรณาการใหม่ (Reintegration)          (5)  การสร้างความจำ  (Construct)

ตอบ (3) การเรียนซ้ำ (Relearning)

64.  การลืมเนื่องจากการไม่ได้ลงรหัสเป็นอย่างไร

(1)  ลืมเพราะระหว่างที่เราพยายามจำถูกรบกวนสมาธิ           (2) ลืมเพราะไม่ได้กำหนดการจำสิ่งนั้น

(3)  ดึงความจำกลับมาไม่ได้เพราะขาดสิ่งชี้แนะ          (4) ลืมในสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกขมขื่น

(5)  ลืมเพราะมีสิ่งที่ต้องจำมากเกินไป

ตอบ (2) ลืมเพราะไม่ได้กำหนดการจำสิ่งนั้น

65.  เรียนรู้และจดจำเฉพาะการเรียนสิ่งใหม่และลืมสิ่งที่เคยเคยเรียนมาก่อน  เรียกว่าอะไร

(1)  Retroactive Inhibition

(2) Proactive Inhibition

(3) Repression

(4)  Decay

(5)  Encoding Failure

ตอบ (1)  Retroactive Inhibition           

66.  การแก้ปัญหาโดยมีการรับรู้  มองเห็นความสัมพันธ์  และคิดได้อย่างฉับพลัน  เรียกว่าอะไร

(1)  หยั่งเห็นคำตอบในทันที         (2) ทำความเข้าใจ                             (3) ใช้เครื่องจักร

(4)  ใช้ความใหม่ของคำถาม             (5) แรงจูงใจของผู้แก้ปัญหา

ตอบ (1)  หยั่งเห็นคำตอบในทันที        

67.  จากการศึกษาของ Miller พบว่าความจำระยะสั้นของคนปกติจะเป็นแบบใด

 (1)  5 หน่วย                   (2) 6 หน่วย                 (3) 7 หน่วย                (4)  8 หน่วย              (5) 9 หน่วย

68.  ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้บุคคลมีการแสดงพฤติกรรม คืออะไร

(1) สิ่งเร้า                 (2) สิ่งแวดล้อม          (3) แรงจูงใจ           (4) ความรัก             (5) การเรียนรู้

ตอบ (3) แรงจูงใจ          

69.  Marray  แบ่งความต้องการออกเป็นกี่ชนิด

(1) 5 ชนิด                 (2) 10 ชนิด                       (3) 15 ชนิด              (4) 20 ชนิด        (5) 25 ชนิด

ตอบ (4) 20 ชนิด 

70. ข้อใดไม่ใช่กระบวนการของแรงจูงใจ

 (1) การตอบสนอง (Response)          (2) มโนทัศน์ (Concept)               (3) แรงขับ  (Drive)

 (4) ความต้องการ  (Need)                  (4) เป้าหมาย  (Goal)

ตอบ (2) มโนทัศน์ (Concept)              

ข้อ 71. – 74.   จงตอบคำถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1) แรงจูงใจพื้นฐาน                          (2) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์                      (3) แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์

(4) แรงขับพื้นการศึกษา                    (5) ผิดทั้งหมด

71.  ความปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จในด้านการงานหรือการเรียน

ตอบ (2) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์         

72.  ความปรารถนาที่จะมีเพื่อนมาสนิทสนมด้วย     

ตอบ (3) แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์

73.  ความอยากรู้อยากเห็น   

ตอบ (4) แรงขับพื้นการศึกษา                   

74.  ความกดดันจากภาวะเศรษฐกิจ   

ตอบ (1) แรงจูงใจพื้นฐาน                         

75.  ความหิวและความกระหาย  เป็นแรงจูงใจชนิดใด

(1)  การสืบเผ่าพันธุ์                            (2) การหลีกหนีอันตราย                    (3) ชีวภาพ

(4)  สังคม                                          (5) ความมั่นคง

ตอบ (3) ชีวภาพ

76.  ทฤษฎีอะไรเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ

(1)  ทฤษฎีหลักการมีเหตุผล              (2) ทฤษฎีแรงขับ            (3) ทฤษฎีลำดับขั้นของความต้องการ

(4)  ทฤษฎีสัญชาตญาณ                     (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ (5) ถูกทั้งหมด

77.  ตามทรรศนะของมาสโลว์ Basic Needs  ได้แก่ความต้องการด้านใด

(1)  ร่างกายและความมั่นคงปลอดภัย                     (2) ความมั่นคงปลอดภัยและความรัก

(3)  ความรัก  ได้รับการยกย่องและประจักษ์ตน            (4) การได้รับการยกย่องและประจักษ์ตน

(5)  การเป็นเจ้าของกลุ่มและมีส่วนร่วม

ตอบ (1)  ร่างกายและความมั่นคงปลอดภัย                    

78.  ข้อใดที่เป็นองค์ประกอบการของการเกิดแรงจูงใจ

(1)  สิ่งเร้า  ความต้องการ  แรงขับ  การตอบสนอง

(2)  ความต้องการ  แรงขับ  การตอบสนอง  เป้าหมาย

(3)  แรงขับ  การตอบสนอง  เป้าหมาย  สิ่งเร้า

(4)  เป้าหมาย  สิ่งเร้า  ความต้องการ

(5)  การตอบสนอง   เป้าหมาย  สิ่งเร้า  ความต้องการ

ตอบ (2)  ความต้องการ  แรงขับ  การตอบสนอง  เป้าหมาย

79.  ข้อใดเป็นลักษณะทางอารมณ์ซึ่งนักจิตวิทยาได้จำแนกไว้

(1)  อารมณ์ทางบวก  เฉยๆ  และทางลบ

(2) อารมณ์ที่พึงพอใจและไม่พึงพอใจ

(3)  อารมณ์ที่เกิดจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม

(4) อารมณ์สงบและรุนแรง

(5)  อารมณ์รักและโกรธ

ตอบ (2) อารมณ์ที่พึงพอใจและไม่พึงพอใจ

80.  ชาร์ลส์  ดาร์วิน  กล่าวถึงความสำคัญของอารมณ์ว่าอย่างไร

(1)  มนุษย์มีอารมณ์ก้าวร้าวเนื่องจากสถานการณ์บีบบังคับ

(2)  อารมณ์มีความสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตและเผ่าพันธุ์

(3)  พัฒนาการทางอารมณ์สัมพันธ์กับวัฒนธรรมท้องถิ่น

(4)  มนุษย์สามารถควบคุอารมณ์ได้ดีกว่าสัตว์ชนิดอื่น

(5)  คนอารมณ์ดีจะมีชีวิตที่ยืนยัน

ตอบ (2)  อารมณ์มีความสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงชีวิตและเผ่าพันธุ์

ข้อ 82. – 84.    จงตอบคำถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1) เจมส์ – แลง         (2) แคนนอน-บาร์ด     (3) แชคเตอร์-ซิงเกอร์     (4) พลูทซิค        (5) แอช

82.  ทฤษฎีใดอธิบายว่า  อารมณ์เกิดขึ้นเมื่อบุคคลเผชิญหน้ากับสิ่งกระตุ้นแล้วสมองส่วนธาลามัสจะแยกส่งแรงกระตุ้นไปทำให้เกิดอารมณ์  พร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย

ตอบ (2) แคนนอน-บาร์ด    

83.  ทฤษฎีใดกล่าวว่า การเกิดอารมณ์ต้องอาศัยการตีความสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง  

ตอบ (3) แชคเตอร์-ซิงเกอร์     

84.  ทฤษฎีใดอธิบายว่า  ก่อนเกิดอารมณ์ร่างกายมีการแสดงปฏิกิริยาต่อสิ่งกระตุ้นไปล่วงหน้าแล้ว  

ตอบ (1) เจมส์ – แลง        

85.  การใช้เครื่องจับเท็จ  ดำเนินการอย่างไร

(1)  เครื่องสามารถจับโกหกได้จากการบันทึกภาพการแสดงสีหน้าขณะโกหก

(2)  พนักงานสอบสวนจะตั้งคำถามพร้อมกับวัดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระและแปลผล

(3)  ขณะกล่าวเท็จการพูดของผู้นั้นจะตะกุกตะกัก  เครื่องบันทึกภาพและเสียงจะนำมาตรวจสอบได้

(4)  การศึกษาเรื่องการทำงานของระบบซิมพาเธติก ช่วยให้เข้าใจภาวะร่างกายขณะเกิดอารมณ์กลัว

(5)  ถูกทั้งหมด

ตอบ (2)  พนักงานสอบสวนจะตั้งคำถามพร้อมกับวัดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระและแปลผล

86.  เด็กพัฒนาอารมณ์ต่างๆ จนสมบูรณ์  เมื่ออายุประมาณกี่ปี

(1)  6 เดือน              (2) 1 ปี                    (3) 2 ปี                          (4)  6 ปี                    (5) 12 ปี

ตอบ (3) 2 ปี                         

87.  การศึกษาบุคลิกภาพ  มีความสำคัญอย่างไร

(1)  บุคลิกภาพเริ่มปรากฏในวัยผู้ใหญ่

(2)  บุคลิกภาพช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมที่บุคคลแสดงออก

(3)  บุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงได้ง่าย จึงไม่ควรคาดหวังพฤติกรรมบางอย่างมากเกินไป

(4)  คนที่มีบุคลิกภาพเหมือนกันเมื่อรวมกันจะเป็นพลังอันยิ่งใหญ่

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ (5) ถูกทั้งหมด

88.  ทฤษฎีการเรียนรู้  อธิบายเรื่องบุคลิกภาพอย่างไร

(1)  บุคลิกภาพเกิดจากการเรียนรู้โดยการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ

(2)  บุคลิกภาพเกิดจากการสังเกตตัวแบบได้

(3)  พฤติกรรมที่ได้รับการเสริมแรงจะถูกสะสมไว้และกลายมาเป็นบุคลิกภาพ

(4)  สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อการเกิดการเรียนรู้รวมถึงบุคลิกภาพ

(5) ถูกทั้งหมด

 ตอบ (5) ถูกทั้งหมด

89.  ทฤษฎีบุคลิกภาพใดเชื่อว่า  คนเรามีความคิดสร้างสรรค์  เป็นอิสระ  และสามารถรับผิดชอบการกระทำของตนเอง

(1)  จิตวิเคราะห์

(2)  พฤติกรรมนิยม

(3) มนุษยนิยม

(4)  บุคลิกภาพที่แบ่งเป็นประเภท

(5) บุคลิกภาพที่แบ่งตามโครงสร้าง

ตอบ (3) มนุษยนิยม

90.  ฟรอยด์ได้กล่าวถึงหลักแห่งความพึงพอใจ  หมายถึงการทำงานของอะไร

(1)  มโนธรรม                                      

(2) Ego

(3)  Id

(4)  การทำงานของอิด  ขั้นที่ 2

(5)  ตัวตนในอุดมคติ

ตอบ (3)  Id

91.  คนที่มีสุขภาพจิตดีในทัศนะของ  โรเจอร์ส  มีลักษณะอย่างไร

(1)  ไม่มีการชะงักของพฤติกรรมบางช่วง

(2)  ยอมรับตนเอง

(3)  มีการมองคนอื่นด้านบวก

(4)  มีมนุษยสัมพันธ์ดี

(4)  ตัวตนที่แท้จริงและในอุดมคติมีความสอดคล้องกัน

ตอบ (4)  ตัวตนที่แท้จริงและในอุดมคติมีความสอดคล้องกัน

92.  การประจักษ์ในตน และทฤษฎีลำดับขั้นของความต้องการเป็นแนวความคิดของใคร

 (1)  Rogers         (2)  Maslow              (3)  Bandura             (4) Freud               (5) Jung

ตอบ (2)  Maslow    

93.  การกินจุบ กินจิบ  ปากคอเราะร้าย” เป็นบุคลิกภาพที่เกิดจากการชะงักงันของพัฒนาการในระยะใด

 (1)  Orial                               (2)  Phallic  Stage                      (3) Genital Stage   

(4) Anal Stage                        (5)  Latency Stage

ตอบ (1)  Orial                              

94.  การแปลความหมายของความฝัน”  เป็นความเชื่อของนักจิตวทยากลุ่มใด

(1)  พฤติกรรมนิยม                          (2) มนุษยนิยม                            (3) พุทธนิยม

(4) จิตวิเคราะห์                        (5) เกสตัลท์

ตอบ (4) จิตวิเคราะห์ 

95.  ข้อใดเป็นแบบทดสอบบุคลิกภาพแบบฉายภาพจิต  (Projective  Techniques)

(1)  WAIS                        (2) Rorschach                   (3) WISC

(4) MMPI                        (5) SCLL

ตอบ (2) Rorschach                  

96.  ข้อใดแสดงถึงค่าสหสัมพันธ์ของระดับสติปัญญาสูงสุด

(1)  พ่อกับแม่                              (2) พี่กับน้องเลี้ยงด้วยกัน                 (3) แม่เลี้ยงกับลูกที่เลี้ยงมาแต่เกิด

(4)  แฝดเหมือนที่เลี้ยงด้วยกัน          (5)  แฝดคล้ายที่เลี้ยงด้วยกัน

ตอบ (4)  แฝดเหมือนที่เลี้ยงด้วยกัน    

97.  การที่แบบทดสอบมีแนวทางในการตรวจคำตอบ  การแปลความหมายอย่างชัดเจน  เรียกว่าอะไร

(1)  ความเชื่อถือได้                             (2) ความเที่ยงตรง                            (3)  ความเป็นมาตรฐาน

(4)  ความเป็นปรนัย                            (5)  ความสามารถแยกแยะ

ตอบ (3)  ความเป็นมาตรฐาน

98.  เชาวน์ปัญญาได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งใด

(1)  พันธุกรรม                                      (2) สิ่งแวดล้อม                                    (3) การเลี้ยงดู    

(4) การเรียนรู้                       (5) พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม

ตอบ (5) พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม

99.  เด็กปัญญาอ่อนมีเกณฑ์ภาคเชาวน์เท่าใดลงไป

(1)  80                        (2) 70                (3)  60                    (4) 50                                (5) 40

ตอบ (2) 70               

100.  แบบทดสอบวัดเชาวน์ปัญญาสำหรับผู้ใหญ่เรียกว่าอะไร

 (1)  WAIS                            (2) WISC                            (3)  WPPSI

(4)  Army  Alpha                   (5) Army  Beta

ตอบ (1)  WAIS                           

101.  ข้อใดเป็นแบบทดสอบวัด  I.Q.  สำหรับเด็ก

(1) WAIS

(2)  Standard  PM

(3)  Coloured PM

(4) Advanced  PM

(5)  Stanford  Binet

ตอบ (3)  Coloured PM

102.  จากการศึกษาวิจัยหลายเรื่องเกี่ยวกับฐานะทางเศรษฐกิจสังคม พบว่า คนกลุ่มใดมีระดับสติปัญญาโดยเฉลี่ยต่ำที่สุด

(1)  คนที่อยู่ในเมือง                     (2) คนที่อยู่ในชนบท                    (3) คนฐานะเศรษฐกิจระดับกลาง

(4)  คนฐานะเศรษฐกิจระดับสูง       (5)  คนฐานะเศรษฐกิจระดับต่ำ

ตอบ (5)  คนฐานะเศรษฐกิจระดับต่ำ

103.  ข้อใดเป็นลักษณะคนที่มีการปรับตัวเหมาะสมในทัศนะของจิตวิเคราะห์

(1)  มีมโนธรรมสูง  ตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดี                    (2) มีความชัดเจนเกี่ยวกับตนเอง

(3)  มีความสมดุลของอิด  อีโก้  ซูเปอร์อีโก้               (5) สามารถควบคุมจิตฝ่ายต่ำ

(5)  กล้าแสดงออก

 ตอบ (3)  มีความสมดุลของอิด  อีโก้  ซูเปอร์อีโก้              

ข้อ 104. – 108.    จงตอบคำถามโดยพิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

(1)  ถอยหลังเข้าคลอง                        (2)  ชดเชยสิ่งที่ขาด                            (3) ไม่รับรู้ความจริง

(4)  การโยนความผิด                          (5)  เข้าข้างตนเอง

104.  มานีกระทืบเท้าเดินออกไป   พร้อมกับปิดประตูดังปังเมื่อมานิตย์ไม่ตามใจ  

ตอบ (1)  ถอยหลังเข้าคลอง                       

105.  ประชาบอกว่า  ห้องตนแม้จะไม่ใช่ห้องคิง  แต่ทุกคนมีน้ำใจดีมาก   

ตอบ (5)  เข้าข้างตนเอง

106.  ปรียาโกรธที่หมอบอกว่า เธอเป็น HIV Positive เพราะเธอไม่เคยยุ่งกับใครนอกจากสามี และพูดว่าเธอยังสบายดี  ไม่ได้ป่วยอะไร

ตอบ (3) ไม่รับรู้ความจริง

107.  กิ่งกมลไม่รู้ตัวว่าอยากมีกิ๊ก  แต่เที่ยวไปพูดว่าคนโน้นคนนี้มีกิ๊ก    

ตอบ (4)  การโยนความผิด                         

108.  พากเพียรเรียนไม่เก่งเหมือนพี่ๆ  ก็เลยหันไปเอาดีทางกีฬาแทน    

ตอบ (2)  ชดเชยสิ่งที่ขาด                           

109.  เจตคติประกอบด้วยองค์ประกอบอะไรบ้าง

(1)  ความเชื่อและการกระทำ                                     (2) ความเชื่อ  ความเข้าใจ และความรู้สึก

(3)  อารมณ์  ความรู้สึก  และการกระทำ                   (4) ความเชื่อ ความรู้สึก  และแนวโน้มพฤติกรรม

(5)  การแสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา

ตอบ (4) ความเชื่อ ความรู้สึก  และแนวโน้มพฤติกรรม

110.  ข้อใดเป็นคำอธิบายเพื่อให้เข้าใจว่า  พฤติกรรมช่วยเหลือเกิดขึ้นน้อยในสังคมเมือง

(1)  มีความรู้สึกว่าธุระไม่ใช่              (2) กลัวว่าช่วยแล้วอาจเกิดปัญหา        (3) คำนึงถึงผลได้ผลเสีย

(4)  การกระจายความรับผิดชอบ            (5) ไม่มีเวลาพอที่จะช่วย

ตอบ (4)  การกระจายความรับผิดชอบ

111.  ปัจจุบันวิชาจิตวิทยามีความมุ่งหมายเพื่ออะไร

(1)  ศึกษาเรื่องจิตวิญญาณในฐานะที่ส่งผลต่อพฤติกรรม

(2)  ศึกษาพฤติกรรมภายใน  โดยเฉพาะความคิด  ความจำ  การตัดสินใจ

(3)  อธิบาย  ทำความเข้าใจ  ทำนาย  และควบคุมพฤติกรรม

(4)  ควบคุมพฤติกรรมก้าวร้าวในสังคม                          

(5)  ศึกษาการพิสูจน์   DNA

ตอบ (3)  อธิบาย  ทำความเข้าใจ  ทำนาย  และควบคุมพฤติกรรม

112.  พฤติกรรมการแสดงออกที่เหมาะสม  (Assertive Behavior)  ตรงกับข้อใด

(1)  พฤติกรรมที่เป็นเครื่องหมายของผู้นำ

(2)  พฤติกรรมเพื่อคลี่คลาอคติ

(3)  พฤติกรรมก้าวร้าว

(4) พฤติกรรมที่เชื่อว่าจะได้รับการยอมรบจากกลุ่ม

(5)  พฤติกรรมที่แสดงออกความรู้สึกความคิดตรงๆ เพื่อพิทักษ์สิทธิของตน

ตอบ (5)  พฤติกรรมที่แสดงออกความรู้สึกความคิดตรงๆ เพื่อพิทักษ์สิทธิของตน

113.  พื้นที่รอบๆ บุคคลที่มองไม่เห็น เรียกว่าอะไร

(1)  ระยะห่างระหว่างบุคคล

(2) การแสวงหาอิสรภาพ                  

(3)  การครอบครอง

(4)  ระยะห่างมายา

(4) ระยะส่วนตัว

ตอบ (1)  ระยะห่างระหว่างบุคคล           

114.  ในการเปรียบเทียบทางสังคม  เราต้องการเปรียบเทียบกับอะไร

(1)  เกณฑ์มาตรฐานที่มีอยู่                                   

(2)  บุคคลที่มีความสามารถเหนือกว่าเรา

(3)  คนที่ด้อยกว่าเรา

(4)  ทุกคนที่เรามีโอกาสเปรียบเทียบด้วย

(5)  บุคคลที่มีความสามารถใกล้เคียงและตกอยู่ในสภาวะคล้ายกับเรา

ตอบ (5)  บุคคลที่มีความสามารถใกล้เคียงและตกอยู่ในสภาวะคล้ายกับเรา

115.  การที่บุคคลมีความชอบพอดึงดูดใจระหว่างกัน  เกิดขึ้นได้ในกรณีใด

(1)  ความใกล้ชิด                           (2)  ความต้องการพื้นฐาน                 (3)  ความรับผิดชอบ

(4)  ความบังเอิญ                                  (4)  การเปรียบเทียบทางสังคม

ตอบ (1)  ความใกล้ชิด                           

116.  การสร้างมิตรภาพที่แน่นแฟ้นได้  ควรปฏิบัติอย่างไร

 (1)  ให้การเสริมแรงตนเอง                    (2)  ไม่เปรียบเทียบทางสังคม               (3)  ไม่คำนึงถึงผลได้         

 (4)  ไม่คำนึงถึงการแลกเปลี่ยน             (5)  แลกเปลี่ยนความคิด  ความรู้สึก  และเปิดเผยตนเอง

ตอบ (5)  แลกเปลี่ยนความคิด  ความรู้สึก  และเปิดเผยตนเอง

117.  ในการทดลองเรื่อง  ผลได้-ผลเสีย  พบอะไร

(1)  กลุ่มตัวอย่างไม่ชอบคนติ  แม้จะกล่าวชมภายหลัง

(2)  กลุ่มตัวอย่างชอบคนที่ชมแล้วติ  มากกว่าคนที่ติแล้วกลับมาชม

(3)  กลุ่มตัวอย่างจะเรียกร้องในกรณีที่ตนรู้สึกสูญเสีย

(4)  กลุ่มตัวอย่างจะชอบคนที่ติแล้วกลับมาชมมากกว่าคนที่ชมอย่างเดียว

(5)  กลุ่มตัวอย่างที่ไม่ชอบคนที่ติไม่ว่ากรณีใดๆ

ตอบ (4)  กลุ่มตัวอย่างจะชอบคนที่ติแล้วกลับมาชมมากกว่าคนที่ชมอย่างเดียว

118.  การคล้อยตามกลุ่มจะเกิดขึ้นในกรณีใด

(1)  คนอื่นในกลุ่มลงความเห็นตรงกันหมด               (2)  บุคคลเชื่อมั่นในตนเองสูง

(3)  บุคคลถูกเนรเทศออกจากกลุ่ม                                   (4)  ขนาดของกลุ่มมีจำนวน 8 คนขึ้นไป

(5)  ขนาดของกลุ่มมีจำนวน 10 คนขึ้นไป

ตอบ (1)  คนอื่นในกลุ่มลงความเห็นตรงกันหมด              

119.  บทบาทของสมาชิกแต่ละตำแหน่ง  มีความสำคัญอย่างไร

(1)  สมาชิกของแต่ละกลุ่มอาจมีหลายบทบาท

(2) สมาชิกจะต้องปรับบทบาทให้คล้อยตามกลุ่ม

(3)  บทบาทของผู้นำสำคัญกว่าบทบาทของสมาชิก

(4) บุคคลที่มีหลายบทบาทอาจนำไปสู่ความขัดแย้งได้

(5) บทบาทช่วยให้ทราบแบบแผนของพฤติกรรมที่ถูกคาดหวัง

ตอบ (5) บทบาทช่วยให้ทราบแบบแผนของพฤติกรรมที่ถูกคาดหวัง

120.  นักจิตวิทยาสังคมเรียกความเกลียดชังรุนแรงที่ขาดเหตุผล  นำไปสู่การแบ่งแยกว่าอะไร

(1)  อคติ

(2)  ความก้าวร้าว                         

(3)  เจตคติ

(4)  ภาพพจน์เกินจริง

(5)  ปฏิกิริยาทางลบ

 ตอบ (1)  อคติ                                        

 

PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป 1/2554

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป

คำสั่ง   ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120  ข้อ)

ข้อ 1. – 5.  จงจับคู่ข้อความที่สัมพันธ์กันโดยใช้ตัวเลือกต่อไปนี้

(1) วุ้นท์ (Wundt)                 

(2) ฟรอยด์ (Freud)            

(3) เวิร์ธไทเมอร์ (Wertheimer)

(4) วัตสัน (Watson)

(5) มาสโลว์ (Maslow)

1.   ผู้ได้รับยกย่องเป็นบิดาของวิชาจิตวิทยา     

ตอบ (1) วุ้นท์ (Wundt)

2.  ผู้ริเริ่มแนวคิดกลุ่มพฤติกรรมนิยม  

ตอบ (4) วัตสัน (Watson)             

3.  ผู้ริเริ่มแนวคิดจิตวิเคราะห์   

ตอบ (2) ฟรอยด์ (Freud)           

4.  ผู้ริเริ่มแนวคิดจิตวิทยามนุษยนิยม   

ตอบ (5) มาสโลว์ (Maslow)

5.  ผู้ริเริ่มแนวคิดจิตวิทยาเกสตัลท์  

ตอบ (3) เวิร์ธไทเมอร์ (Wertheimer)

6.  วิชาจิตวิทยามีจุดมุ่งหมายของการศึกษาตรงกับข้อใด

(1)  เพื่ออธิบายถึงลักษณะพฤติกรรมต่างๆ ของมนุษย์โดยทั่วๆ ไป

(2)  เพื่อทำความเข้าใจในเหตุผลของการแสดงพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในสถานการณ์เฉพาะต่างๆ

(3)  เพื่อทำนายพฤติกรรมที่จะเกิดตามมาถ้ารู้ว่าว่าสิ่งเร้าที่บุคคลเผชิญอยู่ในปัจจุบันคืออะไร

(4)  เพื่อควบคุมหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาให้เป็นพฤติกรรมที่เหมาะสม

(5)  ทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ (5)  ทุกข้อที่กล่าวมา

7.  นักจิตวิทยากลุ่มใดที่ให้ความสนใจศึกษาทางปัญญา  ภาษา  และการรู้คิด

(1)  จิตวิทยาคอกนิทิฟ

(2) โครงสร้างของจิต                         

(4) พุทธิปัญญา

(4)  เกสตัลท์

(5)  หน้าที่ของจิต

 ตอบ (1)  จิตวิทยาคอกนิทิฟ                  

ข้อ 8. – 10.  จงจับคู่ข้อความที่แสดงบทบาทหน้าที่กับนักจิตวิทยาตามตัวเลือกต่อไปนี้

(1)  นักจิตวิทยาคลิกนิก                      (2) นักจิตวิทยาสังคม                          (3)  นักจิตวิทยาพัฒนาการ

(4)  นักจิตวิทยาอุตสาหกรรม            (5)  นักจิตวิทยาการปรึกษา

8.  ทำหน้าที่คัดเลือกบุคลากร วิเคราะห์งานและประเมินผลงาน ฝึกอบรม และพัฒนาองค์การ 

ตอบ (4)  นักจิตวิทยาอุตสาหกรรม           

9.  ทำหน้าที่ศึกษาวิจัยพฤติกรรมของคนในสังคมทั้งที่เป็นลักษณะทั่วไปและที่เป็นปัญหา 

ตอบ (2) นักจิตวิทยาสังคม                         

10.  ทำหน้าที่ศึกษาวิจัยพัฒนาการของคนวัยต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคคลในแต่ละช่วงวัย   

ตอบ (3)  นักจิตวิทยาพัฒนาการ

11.  เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เห็นภาพโครงสร้างและรายละเอียดของสมองได้ชัดเจนที่สุด  โดยไม่ต้องใช้สารกัมมันตภาพรังสี

(1) การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็ก MRI

(2) การฉีดสี PET

(3) การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ CT

(4) ตัดเนื้อสมองบางส่วนและจี้ด้วยแสงเลเซอร์

(5) การกระตุ้นเปลือกสมองด้วยกระแสไฟฟ้า

ตอบ (1) การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็ก MRI         

12.  กลไกที่แสดงปฏิกิริยาตอบสนองที่เรียกว่า Effector หรืออวัยวะสำแดงผลหมายถึง

(1) กลไกรับสิ่งเร้า

(2) กลไกเชื่อมโยงทางระบบประสาท

(3) กล้ามเนื้อและต่อมต่างๆ

(4) เซลล์ประสาท                            

(5) หู ตา จมูก ลิ้น ผิวหนัง

ตอบ (3) กล้ามเนื้อและต่อมต่างๆ

13.  ร่างกายของคนเรามีกล้ามเนื้อชนิดนี้  7,000 มัด

(1)  กล้ามเนื้อเรียบ                              

(2) กล้ามเนื้อลาย 

(3)  กล้ามเนื้อหัวใจ

(4)  กล้ามเนื้อหน้าอก

(5)  กล้ามเนื้อปอด

ตอบ (2) กล้ามเนื้อลาย

14.  ระบบประสาทสำคัญอย่างไรต่อพฤติกรรม

(1)  ผลิตฮอร์โมนที่สำคัญต่อร่างกาย

(2) ควบคุมการแสดงพฤติกรรม

(3)  ช่วยในการเผาผลาญอาหาร

(4) เป็นศูนย์กลางทำงานของร่างกายและจิตใจ

(5)  ช่วยในการขับถ่าย

ตอบ  (4) เป็นศูนย์กลางทำงานของร่างกายและจิตใจ

15.  ปฏิกิริยาสะท้อนทำงานภายใต้การสั่งงานของอะไร

(1)  สมอง                

(2) หัวใจ                  

(3) ธาลามัส             

(4)  ไฮโปธาลามัส                

(5) ไขสันหลัง

ตอบ (5) ไขสันหลัง

16.  ถ้าขาดสิ่งนี้ร่างกายจะเคลื่อนไหวไม่ได้แม้สมองจะสั่งงาน

(1)  กล้ามเนื้อ        (2) เส้นประสาท               (3)  ฮอร์โมน             (4) สิ่งเร้า              (5) หู

ตอบ (1)  กล้ามเนื้อ

17.  ข้อใดคือปฏิกิริยาสะท้อน

(1)  แมสเลย์ฝึกเตะฟุตบอลอย่างหนัก                  (2)  ปุ๋ยถูกครูตีทำให้เจ็บ

(3)  มุกสะบัดมือเพราะถูกไฟดูด                   (4) เวลาไอเอามืดปิดปาก                   (5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ (3)  มุกสะบัดมือเพราะถูกไฟดูด

18.  ระบบประสาทอะไรที่ทำให้ร่างกายคืนสู่สภาวะสงบและพักผ่อนหลังอาการตกใจ

 (1) ซิมพาเธติก          (2) พาราซิมพาเธติก        (3) โซมาติก             (4) ลิมปิก                   (5) อะมิกดาล่า

ตอบ (2) พาราซิมพาเธติก

19.  ก้านสมองทำหน้าที่เกี่ยวกับอะไร

(1)  การหลั่งฮอร์โมน         (2) การยืดหดตัวของกล้ามเนื้อ         (3) การหมุนเวียนของโลหิต

(4)  ควบคุมการทำงานนอกเหนืออำนาจจิตใจ                         (5)  ความคิดและความจำ

ตอบ (4)  ควบคุมการทำงานนอกเหนืออำนาจจิตใจ                        

20.  หน้าที่สำคัญของฮอร์โมนคืออะไร

(1)  ควบคุมระบบพลังงาน                              (2) ควบคุมปริมาณน้ำในร่างกาย

(3)  ควบคุมการเจริญเติบโตของร่างกาย         (4) ควบคุมระบบสืบพันธุ์               (5) ทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ (5) ทุกข้อที่กล่าวมา

21.  การรับรู้ต้องมีส่วนประกอบที่สำคัญอะไรที่มากกว่าการสัมผัส

(1)  ความคิด          (2) ประสบการณ์      (3) อารมณ์          (4) การเสริมแรง      (5) ความประทับใจ

ตอบ (2) ประสบการณ์

22.  เซลล์สำคัญในการรับภาพที่เป็นสีในจอรับภาพเรตินาคืออะไร

(1)  รอดส์                  (2) โฟเวีย              (3) โคนส์        (4) บาซิเลาเมมเบรน     (5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ (3) โคนส์

23.  หน่วยวัดความแรงของคลื่นเสียงเรียกว่าอะไร

(1)  ความถี่             (2) เฮิรตซ์            (3) กิโลเมตร         (4) เทรซโฮลด์               (5) เดซิเบล

 ตอบ (5) เดซิเบล

24.  สัมผันคีเนสเตซีส  อธิบายเรื่องใด

(1)  การเคลื่อนไหวของร่างกาย

(2)  อาการสัมผัสผิวหนังแบบทุติยภูมิ

(3)  การทำงานของผิวหนังชั้นหนังกำพร้า

(4)  การทำงานของผิวหนังชั้นหนังแท้

(5)  การทำงานของผิวหนังในส่วนของไขมัน

ตอบ (1)  การเคลื่อนไหวของร่างกาย                                 

25.  ข้อใดไม่ใช่สัมผัสพื้นฐานทางผิวกาย

(1) กด                    (2) ร้อน                 (3) เย็น                   (4) เจ็บปวด                 (5) อุ่น

ตอบ (2) ร้อน                

26.  เทรซโฮลด์สมบูรณ์ คือ

(1)  จำนวนพลังงานที่มีความถี่ต่ำสุดที่อินทรีย์สามารถรับรู้ได้เป็นครั้งแรก

(2)  จำนวนพลังงานที่มีความถี่สูงสุดที่อินทรีย์สามารถรับรู้ได้เป็นครั้งแรก

(3)  จำนวนพลังงานที่มีความถี่ระดับที่ปลอดภัยต่อการรับรู้ของอินทรีย์

(4)  การเปลี่ยนแปลงของสิ่งเร้าที่มีอยู่แล้วในจำนวนน้อยที่สุดที่สามารถรู้สึกได้

(5)  การเปลี่ยนแปลงของสิ่งเร้าที่มีอยู่แล้วในจำนวนมากที่สุดที่สามารถรับรู้ได้

ตอบ (1)  จำนวนพลังงานที่มีความถี่ต่ำสุดที่อินทรีย์สามารถรับรู้ได้เป็นครั้งแรก

27.  การทดลองเกี่ยวกับการรับรู้ความลึกของเด็กเล็กๆ นักจิตวิทยาใช้อุปกรณ์ใด

(1)  ห้องมายา          (2) ทางสองมิติ       (3) ห้องจำลอง       (4) ภาพเงาสะท้อน        (5) หน้าผามายา

ตอบ (5) หน้าผามายา

28.  ข้อใดต่อไปนี้คือการรับรู้ตามหลักของภาพและพื้น

(1)  แสงและเงา      (2) ภาพสองนัย    (3) เพอร์สเปคทีพ    (4) ความคล้ายคลึง     (5) ภาพลวงตา

ตอบ (2) ภาพสองนัย   

29.  แนวโน้มที่จะรับรู้วัตถุที่มีความคล้ายคลึงกันเป็นกลุ่มเดียวกัน

(1)  Closure                                (2) Commonfate                            (3) Similarity

(4) Continuity                            (5) Proximity

ตอบ (3) Similarity   

30.  การล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง  เรียกว่าอะไร

(1) Precognition                       (2) Telepathy                         (3) Clairvoyance   

(4) Illusion                               (5) Hallucinations

ตอบ (1) Precognition                    

31.  ข้อใดต่อไปนี้ข้อความใดถูกต้องที่สุดในเรื่องของภาวการณ์รู้ตัวและภาวการณ์ไม่รู้ตัว

(1)  ถ้าสิ่งเร้ามากระทบประสาทสัมผัสในระดับสูงจะเกิดความตื่นตัวและเครียดได้

(2)  ในแต่ละช่วงอายุจะมีแบบแผนในการนอนต่างกันไป

(3)  สารระเหย  เป็นสารเสพติดชนิดกดประสาท

(4)  สมาธิภาวนา  เป็นสภาวะการแน่วแน่ของจิต

(5) ทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ (5) ทุกข้อที่กล่าวมา

32.  ข้อความใดถูกต้องที่สุดในเรื่องการนอนหลับ

(1)  ระยะที่หลับลึกที่สุดมีคลื่นสมองเรียกว่า  แอลฟ่า (Alpha)

(2)  ศูนย์ของการนอนหลับจะอยู่ที่ไขสันหลัง

(3)  การเคลื่อนไหวของลูกตาเกิดขึ้นในช่วงมีคลื่นสมองเรียกว่า เดลตา  (Delta)

(4)  การนอนไม่หลับมาเป็นเวลาหลายวันอาจทำให้เป็นโรคจิตได้

(5)  ความฝันจะเกิดในช่วงของการนอนหลับที่มี  REM

ตอบ (5)  ความฝันจะเกิดในช่วงของการนอนหลับที่มี  REM

33.  จุง (Jung)  เสนอแนวคิดที่ขัดแย้งกับแนวคิดของฟรอยด์  (Freud)  ในเรื่อง  

(1)  Activation-Synthesis Hypothesis

(2)  สัญลักษณ์ที่สั่งสมมาในระดับจิตใต้สำนึกมาแต่บรรพบุรุษ

(3)  การแปลสัญลักษณ์ของความฝันไม่ต้องเกี่ยวกับความต้องการทางเพศ

(4)  ตามขั้นพัฒนาการของมนุษย์

(5) ทฤษฎีแรงแม่เหล็กแห่งสัตว์

ตอบ (3)  การแปลสัญลักษณ์ของความฝันไม่ต้องเกี่ยวกับความต้องการทางเพศ

34.  ยาเสพติดแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

(1)  มี 1 กลุ่ม คือ กระตุ้นประสาท และออกฤทธิ์ผสมผสาน

(2)  มี 3 กลุ่ม คือ กด  กระตุ้น  และออกฤทธิ์ผสมผสาน

(3)  มี 4 กลุ่ม คือ กด กระตุ้น  หลอนประสาท  และออกฤทธิ์ผสมผสาน

(4)  มี 5 กลุ่ม คือ กด กระตุ้น  หลอน  บีบคั้นประสาท และออกฤทธิ์ผสมผสาน

(5)  มี 5 กลุ่ม คือ กระตุ้น  ผลักดัน  หลอน  ปิดกั้นกระแสประสาท  และออกฤทธิ์ผสมผสาน

ตอบ (3)  มี 4 กลุ่ม คือ กด กระตุ้น  หลอนประสาท  และออกฤทธิ์ผสมผสาน

35.  ข้อใดถูกต้องที่สุดในเรื่องของการสะกดจิต

(1)  บุคคลทุกคนสามารถฝึกในสะกดจิตตนเองได้

(2)  ผู้ที่ทำจิตบำบัดเพื่อแก้ไขบุคลิกภาพผิดปกติของผู้ป่วยคือเมสเมอร์

(3)  การสะกดจิตเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ผู้ถูกสะกดจิตถูกบังคับเท่านั้น

(4)  การสะกดจิตช่วยให้ความจำดีขึ้นกว่าวิธีการอื่นๆ

(5)  การสะกดจิตมีประโยชน์รักษาโรคได้อย่าง ครอบจักรวาล

ตอบ (1)  บุคคลทุกคนสามารถฝึกในสะกดจิตตนเองได้

36.  ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์

(1)  การศึกษาพัฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่วัยทารกจนกระทั่งวัยชรา

(2)  ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพัฒนาการของมนุษย์มากที่สุด  คือ วุฒิภาวะ

(3)  พัฒนาการของมนุษย์ที่มีลักษณะที่สังเกตได้ง่าย คือ การเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพ

(4)  พัฒนาการของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงทั้งในแง่ความเจริญเติบโต และความเสื่อมถอย

(5)  การเปลี่ยนแปลงเชิงปริมาณเป็นความสามารถตามวัยของมนุษย์ เช่น การคลาน การนั่ง การยืนการเดิน  การวิ่ง   เป็นต้น

ตอบ (4)  พัฒนาการของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงทั้งในแง่ความเจริญเติบโต และความเสื่อมถอย

37.  ข้อใดเป็นลักษณะที่ได้รับอิทธิพลมาจากปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม

(1)  ตี๋ มีรูปร่างอ้วนเตี้ย  ใบหน้ากลมใหญ่  เหมือนคนแคระ

(2)  โบว์  มีผิวขาวเหมือนมารดา  และรูปร่างสูงโปร่งเหมือนบิดา

(3)  ตุ้ม  มีรูปร่างหน้าตา  ผิวพรรณเหมือนกับตั้ม  เพราะเป็นฝาแฝดแท้

(4)  มิ้นท์  ชอบทำขนมเค้กในยามว่าง  โดยศึกษาวิธีการจากคู่มือการทำขนมเค้ก

(5)  ชาย  สอบใบขับขี่รถยนต์ไม่ผ่าน  เนื่องจากผลการทดสอบพบว่าตนเองมีตาบอดสี

38.  ข้อใดต่อไปนี้กล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์

(1)  มนุษย์แต่ละคนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

(2)  มนุษย์ทุกคนมีพัฒนาการเหมือนกัน

(3)  การเข้าใจพัฒนามนุษย์ทำให้เข้าใจตนเอง

(4)  มนุษย์แต่ละคนมีพัฒนาการในอัตราที่ไม่เท่ากัน

(5)  การเข้าใจพัฒนาการมนุษย์ทำให้เข้าใจผู้อื่น

ตอบ (2)  มนุษย์ทุกคนมีพัฒนาการเหมือนกัน                  

39.  ข้อใดเป็นลักษณะเด่นที่ปรากฏให้สังเกตเห็นได้จากภายนอก

(1)  Dominant                             

(2) Recessive                            

(3) Genotype        

(4) Genes                                    

(5) Phenotype

ตอบ (5) Phenotype

40.  ยีนส์ที่อยู่ในร่างกายคนเรามีประมาณกี่ชนิด

 (1)  15,000 ชนิด          

(2) 20,000 ชนิด        

(3) 30,000 ชนิด         

(4) 40,000 ชนิด        

(5) 45,000 ชนิด

ตอบ (4) 40,000 ชนิด       

41.  ข้อใดต่อไปนี้ได้รับอิทธิพลจากพันธุกรรม

(1)  หมวยมีตาชั้นเดียวเหมือนแม่

(2) แนนชอบขัดผิวเป็นประจำจนทำให้ผิวขาวขึ้น

(3)  บอยทำสีผมเป็นสีน้ำตาลทองแดง

(4) แมนแต่งตัวเหมือนหนุ่มเกาหลี

(5)  แจ๊กมีนิสัยเจ้าชู้เหมือนพ่อ

ตอบ (1)  หมวยมีตาชั้นเดียวเหมือนแม่             

42.  ใครเป็นผู้เสนอว่าการที่บุคคลมีลักษณะรูปร่างแตกต่างกันจะส่งผลต่ออารมณ์ของบุคคล

(1)  Erikson                               

(2)  Freud                              

(3) Sheldon      

(4)  Gesell                                 

(5) Bruner

ตอบ (3) Sheldon      

43.  ข้อใดไม่เป็นผลกระทบจากการที่แม่ติดเชื้อหัดเยอรมันในขณะตั้งครรภ์

(1)  โครงสร้างหัวใจผิดปกติ

(2) ยีนส์เกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ

(3)  ระบบการหายใจบกพร่อง

(4) ตาพิการและเป็นต้อ

(5) ศีรษะเล็กและปัญญาอ่อน

ตอบ (2) ยีนส์เกิดการเปลี่ยนแปลงผิดปกติ

44.  ขั้นการพัฒนาความคิดความเข้าใจตามแนวคิดของ Piaget ขั้นใดเป็นระยะที่เด็กถือตนเองเป็นศูนย์กลาง

(1)  Sensorimotor  Period

(2)  Preoperation Thought Period

(3)  Intuitive Phase

(4)  Period of Concrete Operation

(5)  Period of Formal Operation

ตอบ (2)  Preoperation Thought Period

45.  จากการศึกษาวิจัยที่ผ่านมา  ข้อใดต่อไปนี้เป็นอิทธิพลของพันธุกรรมที่มีผลต่อระดับสติปัญญาใกล้เคียงกันมากที่สุด

(1)  ลูกกับพ่อแม่จริง

(2)  ฝาแฝดคล้ายที่เลี้ยงแยกกัน

(3) ฝาแฝดคล้ายที่เลี้ยงรวมกัน

(4)  ฝาแฝดเหมือนที่เลี้ยงแยกกัน

(5)  ฝาแฝดเหมือนที่เลี้ยงรวมกัน

ตอบ (5)  ฝาแฝดเหมือนที่เลี้ยงรวมกัน

46.  ข้อใดเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้

(1)  การหายใจของมนุษย์                                    (2) การว่ายน้ำของปลา

(3) การร้องไห้ของเด็กแรกเกิด                             (4)  การตบมือของเด็กเมื่อดีใจ

(5)  การชักใยของแมงมุม

ตอบ (4)  การตบมือของเด็กเมื่อดีใจ                    

47.  การโฆษณาสินค้าโดยใช้ดาราที่เป็นซูเปอร์สตาร์ขณะนั้นเป็นผู้แนะนำผลิตภัณฑ์  (Presenter) เพื่อโน้มน้าวใจผู้บริโภค  อาศัยหลักการเรียนรู้ใด

(1)  การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิก

(2)  การวางเงื่อนไขแบบการกระทำ

(3)  การเรียนรู้จากความคิดความเข้าใจ           

(4)  การสรุปความเหมือน

(5) การปรับพฤติกรรม

 ตอบ (4)  การสรุปความเหมือน      

48.  ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ

(1)  ธรรมชาติของการตอบสนองอินทรีย์ควบคุมไม่ได้

(2)  การเสริมแรงเกิดหลังการตอบสนอง

(3)  การตอบสนองของผู้ร่วมทดลองถูกกระตุ้นให้แสดงออก

(4)  การวางเงื่อนไขที่ได้ผลดีที่สุดคือ  การให้ US หลัง CS ครึ่งวินาที     

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ (2)  การเสริมแรงเกิดหลังการตอบสนอง

49.  พนักงานมีพฤติกรรมขยันและเร่งทำผลงานเมื่อใกล้ถึงเดือนที่มีการประเมินผลการปฏิบัติงานเป็นการเสริมแรงแบบใด

(1)  แบบช่วงเวลาที่คงที่

(2) แบบช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน         

(3) แบบอัตราส่วนคงที่

(4)  แบบอัตราส่วนไม่แน่นอน

(5) การเสริมแรงทางลบ

ตอบ (1)  แบบช่วงเวลาที่คงที่              

50.  สมหญิงเดินขึ้นสะพานลอยข้ามถนนทุกครั้ง  เพราะกลัวอุบัติเหตุ พฤติกรรมนี้เกิดจากลักษณะใด

(1)  การลงโทษ

(2) การปรับพฤติกรรม

(3) การให้รางวัล

(4)  การเสริมแรงทางบวก

(5)  การเสริมแรงทางลบ

ตอบ (5)  การเสริมแรงทางลบ

51.  การลองทำแบบทดสอบท้ายบท  ทำให้สมหญิงมีความเข้าใจการเรียนวิชานั้นดีขึ้น  พฤติกรรมนี้เกิดจากส่งเสริมแรงประเภทใด

(1) ส่งเสริมแรงครอบคลุม

(2) ส่งเสริมแรงปฐมภูมิ

(3) สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิ

(4) การป้อนกลับ

(5) การเรียนรู้แฝง

ตอบ (4) การป้อนกลับ 

52.  การลงโทษจะได้ผลขึ้นอยู่กับปัจจัยใด

(1)  สถานที่ที่ถูกลงโทษ

(2)  ความถี่ของการลงโทษ

(3)  ความคงที่ของการลงโทษ

(4)  ความกลัวการลงโทษ                  

(5)  ความไม่พึงพอใจในการถูกลงโทษ

ตอบ (3)  ความคงที่ของการลงโทษ               

53.  การเรียนรู้ประเภทใดที่นำมาในการรักษาอาการทางกายที่เนื่องมาจากอาการทางจิต

(1)  การเรียนรู้ทักษะ                          (2)  การป้อนกลับทางชีวะ             (3) การเรียนรู้แฝง

(4)  การเรียนรู้เพื่อจะเรียน                (5)  การวางเงื่อนไขแบบการกระทำ

ตอบ (2)  การป้อนกลับทางชีวะ 

54.  ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบร่วมกันของการเรียนรู้ที่จะทำให้ได้ผลดีที่สุด

(1)  การเสริมแรงทางบวก เพื่อเพิ่มการตอบสอง          (2) การเสริมแรงทางลบ เพื่อเพิ่มการตอบสนอง

(2) การไม่เสริมแรง  เพื่อระงับการตอบสนอง              (4) การลงโทษ เพื่อการเลิกตอบสนอง

(5)  การให้ความสนใจต่อพฤติกรรมที่เรียกร้อง

ตอบ (5)  การให้ความสนใจต่อพฤติกรรมที่เรียกร้อง

55.   ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสติปัญญา

(1)  พี่น้องฝาแฝดเหมือนเลี้ยงดูแยกจากกันจะมีสติปัญญาไม่สัมพันธ์กัน

(2)  ค่าสหสัมพันธ์ระหว่างสติปัญญาของเด็กและพ่อแม่สูงแสดงให้เห็นว่าพันธุกรรมมีอิทธิพลต่อสติปัญญา

(3)  สิ่งแวดล้อมไม่ดีสามารถหยุดชะงักพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กได้

(4)  การวัดสติปัญญาริเริ่มมีขึ้นโดย  Sir Francis Galton

(5)  สติปัญญาได้รับอิทธิพลจากพันธุกรรมมากกว่าสิ่งแวดล้อม

ตอบ (1)  พี่น้องฝาแฝดเหมือนเลี้ยงดูแยกจากกันจะมีสติปัญญาไม่สัมพันธ์กัน

56.  ข้อใดไม่ใช่ส่วนประกอบของสติปัญญาตามทฤษฎีตัวประกอบหลายปัจจัยของเทอร์สโตน

(1)  ความสามารถใช้คำได้คล่องแคล่ว                            (2)  ความสามารถในการจำ

(3)  ความสามารถด้านศิลปะ                                (4) ความสามารถในการใช้ตัวเลข

(5)  ความไวในการรับรู้สิ่งต่างๆ

ตอบ (3)  ความสามารถด้านศิลปะ  

57.  ความจำระบบใดที่สามารถเก็บภาพติดตาและเสียงก้องหูได้

(1)  ความจำจากการรับสัมผัส          (2) ความจำระยะสั้น                           (3) ความจำระยะยาว

(4)  ความจำคู่                                        (5)  ถูกทุกข้อ

ตอบ (1)  ความจำจากการรับสัมผัส         

58.  ความจำระยะสั้นเก็บข้อมูลได้โดยเฉลี่ยกี่หน่วย

 (1)  5 หน่วย               (2) 7 หน่วย                (3) 9 หน่วย                (4) 12 หน่วย                    (5) 15 หน่วย

ตอบ (2) 7 หน่วย               

59.  การจำชื่อเพื่อนเก่าได้เนื่องจากเอารูปมาดู  เป็นการวัดความจำแบบใด

 (1)  การระลึกได้                                           (2) การเรียนซ้ำ                                     (3) การจำได้       

(4) การท่องจำ                                              (5) การบูรณาการใหม่

ตอบ (3) การจำได้       

60.  ข้อใดไม่ใช่หน่วยพื้นฐานของความคิด

(1)  จินตภาพ                                    

(2) มโนทัศน์                                         

(3) ภาษา     

(4) การจำ                              

(5) การตอบสนองทางกล้ามเนื้อ

ตอบ (4) การจำ                             

61.  ขั้นของการคิดสร้างสรรค์ที่ผู้คิดจะหยุดคิดปัญหาในระดับจิตสำนึกคือข้อใด

(1)  ขั้นนำ                                                

(2) ขั้นเตรียม                                        

(3) ขั้นพัก

(4) ขั้นพบ                                                

(5) ขั้นทดสอบ

ตอบ (3) ขั้นพัก           

62.  ข้อใดไม่ใช่สาเหตุของการลืม

(1)  การไม่ได้ลงรหัส

(2) การเสื่อมคลาย

(3)  การรบกวน

(4) การมีสิ่งชี้แนะ                         

(5) การเก็บกด

ตอบ (4) การมีสิ่งชี้แนะ                      

ข้อ 63. – 65.  ให้จับคู่ข้อความกับตัวเลือกต่อไปนี้

(1)  การเรียนซ้ำ

(2) การจำได้

(3) การระลึกได้

(4)  การบูรณาการ

(5)  การระลึกและบูรณาการใหม่

63.  การทำข้อสอบแบบเลือกตอบต้องใช้ความจำแบบใด  

ตอบ (2) การจำได้                                        

64.  การทำข้อสอบแบบอัตนัยต้องการวัดความจำแบบใด   

ตอบ (3) การระลึกได้

65.  การวัดความจำที่มีคะแนนสะสม  

ตอบ (1)  การเรียนซ้ำ                                   

66.  ปัจจัยที่มีผลต่อการแก้ปัญหาที่มักผิดพลาดบ่อยๆ   

ตอบ (2) การจำได้                                        

67.  ระบบการจูงใจจะเกิดตามลำดับดังนี้

(1)  ความต้องการ  แรงขับ  การตอบสนอง  สิ่งเร้า  เป้าหมาย

(2)  สิ่งเร้า  แรงขับ   การตอบสนอง  ความต้องการ  เป้าหมาย

(3)  สิ่งเร้า  ความต้องการ  แรงขับ  การตอบสนอง  เป้าหมาย

(4)  แรงขับ  สิ่งเร้า  การตอบสนอง  ความต้องการ  เป้าหมาย

(5)  เป้าหมาย  สิ่งเร้า แรงขับ  ความต้องการ  การตอบสนอง

 ตอบ (3)  สิ่งเร้า  ความต้องการ  แรงขับ  การตอบสนอง  เป้าหมาย

68.  ข้อใดเป็นแรงจูงใจภายใน

(1)  ณรงค์ขับแท็กซี่เพื่อเริ่มรายได้ให้กับครอบครัว

(2)  สงกรานต์ทำงานหนักเพื่ออยากได้เงิน                   (3) ประไพตั้งใจเรียนหนังสือเพื่อความสุขของแม่

(4)  ยศไปลีลาศเพื่อออกกำลังกาย                       (5)  มณีฝึกพิมพ์ดีดเพื่อทำรายงานส่งอาจารย์

ตอบ (4)  ยศไปลีลาศเพื่อออกกำลังกาย                      

69.  ความต้องการของมนุษย์ต้องการที่จะปกป้องตนเองนั้น  ตรงกับความต้องการข้อใดตามทัศนะของเมอร์เรย์

 (1) Need for Counteraction                      

(2) Need for Exhibition                    

(3) Need for Dominance                                  

(4) Need for Reference                     

(5) Need for Deferdance

ตอบ (5) Need for Deferdance

70.  ข้อใดเป็นการสื่อถึงแรงจูงใจเพื่อการสืบพันธุ์

(1)  การดูหนัง

(2) การพูด

(3) การแสดงออกทางศิลปะ

(4)  การสนใจเพื่อนเพศตรงข้าม

(5)  ถูกทุกข้อ

ตอบ (4)  การสนใจเพื่อนเพศตรงข้าม             

71.  แรงจูงใจพื้นฐานของมนุษย์คืออะไร

(1)  แรงจูงใจใฝ่ความสงบ                   

(2) แรงจูงใจทางชีวภาพ 

(3) แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์

(4) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์

(5) แรงจูงใจเพื่อพิสูจน์ตนเอง

ตอบ (2) แรงจูงใจทางชีวภาพ

72.  ทฤษฎีใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ

(1)  ทฤษฎีแรงขับ

(2)  ทฤษฎีสัญชาตญาณ

(3) ทฤษฎีการศึกษา

(4)  ทฤษฎีหลักการมีเหตุผล

(5)  ทฤษฎีลำดับขั้นของความต้องการ

ตอบ (3) ทฤษฎีการศึกษา

73.  การค้นพบตนเองและมีความสุขอย่างแท้จริง” เป็นความต้องการขั้นใดตามแนวคิดของมาสโลว์

 (1)  ขั้นแรก                 (2) ขั้นที่สอง               (3) ขั้นที่สาม              (4) ขั้นที่สี่                  (5) ขั้นสุดท้าย

ตอบ (5) ขั้นสุดท้าย

74.  ถ้ามีการตอบสนองหรือแสดงพฤติกรรมแล้ว  แต่ยังไม่บรรลุเป้าหมายของบุคคลนั้นอะไรเกิดขึ้น

 (1)  ความต้องการจะหมดสิ้นไป                (2) ความต้องการจะลดลง                         (3) จบกระบวนการจูงใจ

 (4) จะไม่เกิดพฤติกรรมขึ้นอีก                   (5)  จะมีการตอบสนองหรือแสดงพฤติกรรมจนกว่าจะพึงพอใจ

ตอบ (5)  จะมีการตอบสนองหรือแสดงพฤติกรรมจนกว่าจะพึงพอใจ

75.  พฤติกรรมที่วัยรุ่นมักแต่งตัวตามแฟชั่นของดาราทีวี  แสดงถึงการจูงใจที่เกิดจากการเรียนรู้แบบใด

 (1)  สัญชาตญาณ         (2) ความสุขส่วนตัว       (3) การเลียนแบบ            (4) แรงขับ             (5) ลงมือกระทำ

ตอบ (3) การเลียนแบบ           

76.  มนุษย์ทุกคนต้อองการหลีกเลี่ยงปมด้อยและความล้มเหลว ซึ่งตรงกับความต้องการด้านใดตามทัศนะของเมอร์เรย์

 (1)  Inferiority                     (2) Invioloacy                           (3) Contrasiness    

(4) Nurturance                      (5) Affiliation

ตอบ (1)  Inferiority                    

77.  ข้อใดต่อไปนี้กล่าวไม่ถูกต้อง

(1)  อารมณ์เป็นประสบการณ์ความรู้สึกส่วนบุคคล

(2)  อารมณ์เป็นความรู้สึกที่รุนแรง

(3)  การแสดงออกทางอารมณ์แตกต่างจากการกระทำปกติทั่วๆ ไป

(4)  อารมณ์จะเกิดร่วมกับการเปลี่ยนแปลงทางสรีระ

(5)  อารมณ์เป็นพฤติกรรมภายนอกและเกิดจากความคิดเฉพาะอย่าง

ตอบ (5)  อารมณ์เป็นพฤติกรรมภายนอกและเกิดจากความคิดเฉพาะอย่าง

78.  อารมณ์ใดที่ช่วยทำให้บุคคลเกิดแรงจูงใจที่จะเรียนรู้  และใช้ความพยายามในเชิงสร้างสรรค์

(1)  Joy                               (2)  Interest – excitement

(3) Surpise                          (4)  Contempt-scorn

(5)  Disgust

ตอบ (2)  Interest – excitement                     

79.  ข้อใดไม่ใช่อารมณ์พื้นฐานตามแนวคิดของแพงค์เซปป์

(1)  คาดหวัง             (2) เดือดดาล         (3) หวาดกลัว          (4) ละอายใจ            (5) ตื่นตระหนก

ตอบ (4) ละอายใจ            

80.  จาค  แบงค์เซปป์  กล่าวว่าอารมณ์พื้นฐานเกิดขึ้นสัมพันธ์กับตำแหน่งในสมองส่วนใด

 (1)  ซีรีบรัม                                

(2) ซีรีเบลลัม                               

(3) ไฮโปธาลามัส         

(4) ต่อมใต้สมอง                        

(5) ก้านสมอง

ตอบ (3) ไฮโปธาลามัส        

81.  การจำแนกอารมณ์แบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

(1)  อารมณ์ที่ทำให้เกิดความพึงพอใจและความไม่พึงพอใจ

(2)  อารมณ์ที่ทำให้เกิดความผ่อนคลายและความตึงเครียด

(3)  อารมณ์ที่ทำให้เกิดความสบายใจและความทุกข์ใจ

(4)  อารมณ์ที่ทำให้เกิดความรื่นเริงและความซึมเศร้า

(5)  อารมณ์ที่ทำให้เกิดความเยือกเย็นและความเดือดดาล

ตอบ (1)  อารมณ์ที่ทำให้เกิดความพึงพอใจและความไม่พึงพอใจ

82.  ระบบประสาทอัตโนมัติส่วนใดที่เตรียมร่างกายในภาวะฉุกเฉินให้สู้กับหนี

(1) ลิมบิกซีสเต็ม

(2)  ระบบโซมาติก

(3) ไขสันหลัง

(4) ซิมพาเธติก

(5)  พาราซิมพาเธติก

ตอบ (4) ซิมพาเธติก                           

83.  นักจิตวิทยาท่านใดที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์โกรธและอารมณ์กลัวกับการเปลี่ยนแปลงทางสรีระและพฤติกรรม

(1)  วิลเลียม  เจมส์

(2) คาร์ล  แลง

(3)  เดวิด  ลีคเคน

(4)  ฟิลลิป  บาร์ด

(5)  อัลเบิร์ต  แอ็กซ์

ตอบ (5)  อัลเบิร์ต  แอ็กซ์

84.  อารมณ์กลัวจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระในข้อใด

(1)  การหายใจช้าลง

(2) ความต้านทานกระแสไฟฟ้าของผิวหนังบริเวณมือจะลดลง

(3)  กล้ามเนื้ออ่อนแรง

(4) ก่อให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนแอรีนาริน

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ (2) ความต้านทานกระแสไฟฟ้าของผิวหนังบริเวณมือจะลดลง

85.  ทฤษฎีใดอธิบายว่าร่างกายมีปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้าก่อนการเกิดอารมณ์ 

(1)  แคนนอน – บาร์ด                        

(2)  คาร์รอล – อิชาร์ด                         

(3) แชคเตอร์ – ซิงเกอร์

(4)  เจมส์ – แลง   

(5)  แนวคิดร่วมสมัย

ตอบ (4)  เจมส์ – แลง                              

86.  พลูทชิค กล่าวถึงอารมณ์พื้นฐานใดที่มีหน้าที่ปกป้อง

 (1)  โกรธ                   

(2)  รังเกียจ                        

(3) รื่นเริง                          

(4) เศร้า                     

(5) กลัว

ตอบ (5) กลัว

87.  ข้อใดเป็นเหตุผลของการสร้างแบบทดสอบสติปัญญารายบุคคลขึ้นมาใช้เป็นครั้งแรก

(1)  เพื่อค้นหาเด็กอัจฉริยะ                (2) เพื่อพัฒนาสติปัญญาของบุคคล

(3)  เพื่อประโยชน์ในการสืบทอดทางพันธุกรรม

(4)  เพื่อศึกษาว่าปัจจัยทางพันธุกรรมหรือสิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อสติปัญญามากกว่ากัน

(5)  เพื่อแยกเด็กที่มีความผิดปกติของสมองออกจากเด็กปกติจะได้จัดโปรแกรมพิเศษให้เด็กกลุ่มนี้

88.  เด็กชายอ๋อมมี I.Q. เท่ากับ 130 นับว่าเขามีระดับสติปัญญาเป็นอย่างไร

 (1)  ปัญญาทึบ                 (2) เกณฑ์ปกติ                  (3) ค่อนข้างฉลาด           (4) ฉลาดมาก         (5) อัจฉริยะ

ตอบ (4) ฉลาดมาก

89.  ตัวประกอบทั่วไปเรียกว่า G-factor ของทฤษฎีตัวประกอบสองปัจจัยเน้นความสามารถเกี่ยวกับเรื่องใด

(1) การคำนวณ                                 (2) การใช้เหตุผล               (3) ความสามารถด้านศิลปะ

(4) ความสามารถในการจำ                (5) ความเข้าใจภาษา

ตอบ (2) การใช้เหตุผล               

90.  ความเชื่อถือได้ของแบบทดสอบหมายถึงอะไร

(1) มีแบบแผนในการดำเนินการทดสอบ

(2) ให้ผลเหมือนเดิมไม่มีใครเป็นตรวจให้คะแนน

(3) เป็นแบบทดสอบที่วัดในสิ่งที่ต้องการวัด

(4) มีเกณฑ์ปกติ

(5)  เป็นแบบทดอบที่ให้ความคงที่ของคะแนน

ตอบ (5)  เป็นแบบทดอบที่ให้ความคงที่ของคะแนน

91.  แบบทดสอบสติปัญญาของ Wechsler แบ่งออกเป็น 2 หมวดได้แก่อะไร

(1)  ความสามารถเชิงภาษาและความสามารถเชิงคำนวณ

(2)  ความสามารถเชิงภาษาและไม่ใช้ถ้อยคำภาษา

(3)  ความสามารถเชิงภาษาและแบบประกอบการ

(4)  ความสามารถเชิงเหตุผลและความสามารถเฉพาะด้าน

(5)  ความสามารถทางศิลปะและความสามารถทางวิทยาศาสตร์

ตอบ (3)  ความสามารถเชิงภาษาและแบบประกอบการ

92.  แบบทดสอบชนิดใด  สร้างขึ้นมาเพื่อวัดความสามารถในการใช้เหตุผล

(1)  Progressive Matrices Test

(2) Stanford-Binet Test

(3) WAIS                                            

(4)  WPPSI

(5)  Drawing  Test

ตอบ (1)  Progressive Matrices Test                  

93.  ข้อใดไม่ใช่ข้อพึงระวังในการวัดสติปัญญา

(1)  สภาพแวดล้อมขณะทำการทดสอบต้องปราศจากสิ่งรบกวน

(2)  ผู้ทดสอบต้องมีความชำนาญเกี่ยวกับแบบทดสอบที่ใช้

(3)  ผู้ทดสอบต้องให้ความร่วมมือและมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ

(4)  การสร้างสัมพันธภาพระหว่างผู้ทดสอบและผู้รับการทดสอบ

(5)  การบันทึกสถานการณ์ขณะทดสอบ

ตอบ (3)  ผู้ทดสอบต้องให้ความร่วมมือและมีความพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ

94.  ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้ชีวิตล้มเหลวทั้งที่บุคคลนั้นมีสติปัญญาดีตามข้อเสนอของสเตอร์นเบิร์ก

(1)  ผัดวันประกันพรุ่ง                       

(2)  พึ่งพาตนเองสูง                      

(3) ขาดความอุตสาหะ

(3)  เชื่อมั่นตนเองมากเกินไป

(5)  กลัวความผิดพลาดล้มเหลว

ตอบ (2)  พึ่งพาตนเองสูง                     

95.  ข้อใดคือความหมายของบุคลิกภาพ  ตามคำจำกัดความของอัลพาร์ท ?

(1)  บุคลิกภาพเกิดจากความขัดแย้งกันระหว่างอิด อีโก้ และซูเปอร์อีโก้

(2)  โครงสร้างพลังงานของระบบจิตสรีระของบุคคลที่ทำให้เกิดเป็นเอกลักษณ์ในการปรับตัวกับสิ่งแวดล้อม

(3)  โครงสร้างของอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมภายนอกบุคคล

(4)  การที่เอกัตบุคคลพัฒนาตนไปสู่บุคลิกภาพที่สมบูรณ์

(5)  ลักษณะประจำตัวดั้งเดิมของบุคคล  (Trait)

ตอบ (2)  โครงสร้างพลังงานของระบบจิตสรีระของบุคคลที่ทำให้เกิดเป็นเอกลักษณ์ในการปรับตัวกับสิ่งแวดล้อม

96.  ผู้ที่มีร่างกายอ้วนกลม (Endomorphy) มีลักษณะใดต่อไปนี้

(1) ขี้อาย                                            

(2)  อารมณ์ดี  สนุกสนาน

(3) รักกิจกรรมกลางแจ้ง

(4) เฉยๆ รักสันโดษ

(5)  สนใจตนอง

ตอบ (2)  อารมณ์ดี  สนุกสนาน  

97.  ในการพัฒนาบุคลิกภาพข้อใดถูกที่สุด

(1)  ไม่ควรพูดแง่ดีกับตนเองบ่อยๆ  เพราะจะไม่สามารถพัฒนาตนได้

(2)  ควรสำรวจตนเอง  และเชื่อตนเองอย่างฟังผู้อื่น

(3)  เปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่นเสมอ เพื่อให้เห็นจุดบกพร่อง

(4)  หมั่นสำรวจปมด้อยตนเองบ่อยๆ จะช่วยพัฒนาบุคลิกภาพดีขึ้น

(5)  วิเคราะห์อิทธิพลจากทั้งภายนอกและภายในที่ส่งผลต่อบุคลิกภาพของตน

ตอบ (5)  วิเคราะห์อิทธิพลจากทั้งภายนอกและภายในที่ส่งผลต่อบุคลิกภาพของตน

98.  บุคลิกภาพที่จู้จี้  เจ้าระเบียบ  รักษาความสะอาด  เกิดจากพัฒนาการขั้นใด ตามความเชื่อของฟรอยด์

 (1) ขั้นปาก              (2) ขั้นทวารหนัก         (3) ขั้นอวัยวะเพศ       (4) ขั้นแอบแฝง         (5) ขั้นเพศสัมพันธ์

ตอบ (2) ขั้นทวารหนัก        

99.  แบบทดสอบบุคลิกภาพข้อใด  เรียกว่าการฉายภาพจิต

(1) T.M.T.                             (2)  16  PF                     (3) Rorschach

(4) MMPI                               (5)  M.T.I.

ตอบ (3) Rorschach    

100.  การลงโทษ หรือการให้รางวัล  คือหนึ่งในวิธีการพัฒนาบุคลิกภาพตามแนวคิดของนักทฤษฎีกลุ่มใด

(1)  กลุ่มพฤติกรรมนิยม

(2) กลุ่มของฟรอยด์                           

(3) กลุ่มนักมนุษยนิยม

(3)  กลุ่มปรัชญาและศาสนา

(4)  กลุ่มจิตนิยม

ตอบ (1)  กลุ่มพฤติกรรมนิยม  

101. ระบบจิตสรีระ เช่น อารมณ์  (Temperament)  หมายถึงข้อใดต่อไปนี้

(1)  คือสิ่งที่เด็กเรียนรู้มากหลังจากเกิด

(2) คือสิ่งที่เรียนรู้ต่อมาในตอนเป็นวัยรุ่น

(3)  คือสิ่งที่เรียนรู้ในวัยผู้ใหญ่

(4)  ระบบของจิตใจที่พื้นฐานมาจากร่างกาย

(5)  เด็กที่ไม่เหมือนพี่น้อง  (ทำตัวเองให้มีเอกลักษณ์)

ตอบ (4)  ระบบของจิตใจที่พื้นฐานมาจากร่างกาย

ข้อ 102. – 104.  จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

 (1) จุง               (2) ดอลลาร์ด-มิลเลอร์             (3) สกินเนอร์              (4) อัลพอร์ท               (5) ฟรอยด์

102.  ใครที่กล่าวมาบุคลิกภาพของบุคคลแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ เก็บตัว และแสดงออก

ตอบ (1) จุง       

103.  ใครที่กล่าวว่าบุคลิกภาพของบุคคลเกิดจากการเรียนรู้  

ตอบ (2) ดอลลาร์ด-มิลเลอร์             

104.  ใครที่กล่าวว่าพัฒนาการทางบุคลิกภาพเกิดจากเด็กได้รับความสุขจากอวัยวะร่างกายส่วนต่างๆ หรือที่ เรียกว่า  Erogenous  Zone

ตอบ (5) ฟรอยด์

105.  ข้อใดคือตัวอย่างของกลไกป้องกันทางจิต  แบกการถอยหลังเข้าคลอง

(1)  โกรธเจ้านาย  แต่มาด่าและทุบตีภรรยาของตน

(2)  แสวงหาเพื่อนใหม่อยู่เสมอ  เนื่องจากไม่มีความจริงใจให้คนอื่น

(3)  เมื่อนาย ก. ทะเลาะกับภรรยาและครอบครัวก็ขนของกลับไปอยู่กับแม่

(4)  มักจะกล่าวว่า ไม่จริง  เป็นไปไม่ได้  สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับตัวฉัน  มันเป็นแค่ความฝัน

(5)  มักหาจุดเด่นอื่นมาลบล้างปมด้อยของตน

ตอบ (3)  เมื่อนาย ก. ทะเลาะกับภรรยาและครอบครัวก็ขนของกลับไปอยู่กับแม่

106.  Burn-Out  จะเป็นอาการที่จะเกิดขึ้นในระยะใด  เมื่อร่างกายเกิดความเครียด

(1) ปฏิกิริยาตื่นตระหนก                   (2)  ระยะเหนื่อยล้า                    (3) สร้างระบบต้านทานภัย

(4) ระยะชะงักงัน                               (5)  ช่วงแรกที่ร่างกายประสบภัยพิบัติ

ตอบ (2)  ระยะเหนื่อยล้า                   

107.  เซลเย ได้ค้นพบว่าเมื่อบุคคลเกิดความเครียด  ร่างกายจะมีปฏิกิริยาต่อความเครียดเป็นเช่นใด

(1)  สร้างระบบต้านทานภัย – ระยะเหนื่อยล้า – ปฏิกิริยาตื่นตระหนก

(2)  ระยะเหนื่อยล้า – ปฏิกิริยาตื่นตระหนก  –  สร้างระบบต้านทานภัย

(3)  สร้างระบบต้านทานภัย – ปฏิกิริยาตื่นตระหนก –  ระยะเหนื่อยล้า

(4)  ปฏิกิริยาตื่นตระหนก – สร้างระบบต้านทานภัย – ระยะเหนื่อยล้า

(5)  ปฏิกิริยาตื่นตระหนก – ระยะเหนื่อยล้า – สร้างระบบต้านทานภัย

108.  หนีเสือปะจระเข้ตรงกับข้อใด

(1)  Approach – Approach Conflict

(2) Avoidance – Avoidance Conflict

(3)  Approach – Avoidance Conflict

(4) Non Approach – Avoidance Conflict

(5)  Non Avoidance – Avoidance Conflict

ตอบ (2) Avoidance – Avoidance Conflict

109.  ความก้าวร้าวของมนุษย์เกิดจากสิ่งใด

 (1)  ความไม่ชอบ           (2) ถูกลบหลู่            (3) ความคับข้องใจ        (4) ถูกเอาเปรียบ        (5) เอาตัวรอด

ตอบ (3) ความคับข้องใจ       

110. หน้าตาไม่ดี  แต่เรียนเก่ง  คือกลไกป้องกันทางจิตแบบใด

(1)  Compensation

(2) Displacement

(3) Repression

(4) Projection

(5) Denial

ตอบ (1)  Compensation               

111.  ข้อใดต่อไปนี้คือบุคลิกภาพแบบ  “B”

(1)  รีบร้อนอยู่เสมอ

(2) ชอบการแข่งขัน

(3) นอนน้อย

(4)  ทำอะไรค่อยเป็นค่อยไป

(5)  ทำอะไรหลายอย่างในเวลาเดียวกัน

 ตอบ (4)  ทำอะไรค่อยเป็นค่อยไป       

ข้อ 112. – 114.  จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) เข้าข้างตัวเอง                                 (2) หาสิ่งทดแทน                                (3) ไม่รับรู้ความจริง

(4) โทษผู้อื่น                                        (5) เก็บกด

112.  การลืมเรื่องราวที่เลวร้ายในอดีต  

ตอบ (5) เก็บกด

113.  ใครๆ  ก็แซงคิวกันทั้งนั้นหลาย  หากมีโอกาส   

ตอบ (1) เข้าข้างตัวเอง                                

114.  โกรธเพื่อน  แต่มาแสดงความก้าวร้าวกับน้อง     

 ตอบ (2) หาสิ่งทดแทน                               

115.  ข้อใดหมายถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเนื่องมาจากพฤติกรรมของผู้อื่นที่ครอบคลุมทุกสถานการณ์

(1)  เจตคติ                                             (2) อคติ                                                 (3) อิทธิพลทางสังคม

(4)  กระบวนการช่วยเหลือ                   (5)  อำนาจทางสังคม

ตอบ (3) อิทธิพลทางสังคม

116.  บริบททางสังคม  หมายถึงอะไร

(1)  แบบแผนของพฤติกรรมที่ถูกคาดหวังไว้                (2)  กลุ่มทุกกลุ่มที่บุคคลเป็นสมาชิก

(3)  ตำแหน่งทุกตำแหน่งของบุคคล                               (4)  อาณาเขตที่มองไม่เห็น

(5)  วัฒนธรรมที่หล่อหลอมบุคคล

ตอบ (2)  กลุ่มทุกกลุ่มที่บุคคลเป็นสมาชิก

117.  การนับถือผู้มีอำนาจตามอย่างบุคคลหรือกลุ่มสืบต่อกันมาเป็นอำนาจทางสังคมชนิดใด

(1)  อำนาจในการให้รางวัล              (2) อำนาจในการบังคับ                     (3) อำนาจตามกฎหมาย

(4)  อำนาจในการอ้างอิง              (5) อำนาจตามความเชี่ยวชาญ

ตอบ (4)  อำนาจในการอ้างอิง              

118.  ข้อใดมีองค์ประกอบที่สำคัญ 2 อย่าง  คือ ความเชื่อ  อารมณ์  การกระทำ

(1)  เจคติ                                  (2) อคติ                                               (3)  อิทธิพลทางสังคม

(4)  อำนาจทางสังคม                          (5) กระบวนการช่วยเหลือ

ตอบ (1)  เจคติ                                 

119.  ใครเป็นผู้ที่กล่าวว่าก่อนที่บุคคลจะลงมือให้ความช่วยเหลือนั้นต้องผ่านกระบวนการ 4 ขั้นตอน

(1)  ลาตาเน่และดาร์เลย์                (2) คอนราด  ลอเรนซ์                        (3)  มิลเลอร์และบูเกลสกี้

(4)  อรอนสันและลินเดอร์                (5)  ฮอลล์

ตอบ (1)  ลาตาเน่และดาร์เลย์                

120.  การจัดที่นั่งประชุมแผนงานสำหรับหน่วยงานเล็กๆ ในระยะประมาณ 4 – 12 ฟุต  ตรงกับระยะห่างระหว่างบุคคลข้อใด

(1)  ระยะสนิทสนม

(2)  ระยะส่วนตัว

(3) ระยะสังคม

(4)  ระยะสาธารณะ

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ (3) ระยะสังคม

MKT2101 หลักการตลาด ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา MKT 2101 หลักการตลาด

คำสั่ง   ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.         ปัจจุบันมีแนวโน้มการเปิดศูนย์การค้าที่เรียกว่า Community Mall มากขึ้น ซึ่งลักษณะของร้านค้าดังกล่าวจะประกอบด้วย ร้านอาหาร ร้านสรรพาหาร ธนาคาร เป็นต้น ศูนย์การค้า Community Mall จัดอยู่ในตลาดประเภทใด       

(1)       ตลาดผู้บริโภค            

(2)        ตลาดสินค้าอุตสาหกรรม-

(3)       ตลาดผู้ขายตอ            

(4)        ตลาดรัฐบาล   

(5)       ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 155 – 156, (คำบรรยาย) ศูนย์การค้าชุมชน (Community Mall) จัดอยู่ในตลาดผู้ขายต่อ ที่มีลักษณะเป็นพื้นที่ร้านค้าปลีกแบบเปิดขนาดใหญ่ใกล้แหล่งชุมชน ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ ความสะดวกแก่ผู้บริโภคในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคหรือสิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้จะมีร้านค้าปลีกต่าง ๆ อยู่ภายในศูนย์การค้า เช่น ร้านอาหาร ร้านขายยา ร้านสรรพาหาร ธนาคาร เป็นต้น ส่วนใหญ่จะมีพื้นที่ประมาณ 3 – 5 ไร่ และสามารถรองรับผู้บริโภคได้ ประมาณ 2,500 – 40,000 คนต่อวัน

2.         ในกระบวนการตัดสินใจซื้อ ข้อใดถือเป็นข้อพิจารณาที่ควรเกิดขึ้นเป็นลำดับแรก

(1)       การรับรู้ปัญหา 

(2)       การค้นหาผู้ขาย           

(3)       การทบทวนแนวทางปฏิบัติการ

(4)       การอธิบายความต้องการ        

(5)       การเลือกผู้ขาย

ตอบ 1 หน้า 155 กระบวนการซื้อในตลาดผู้ผลิต มี 8 ขั้นตอน ดังนี้     1. การรับรู้ปัญหา  2. การอธิบายลักษณะความต้องการ  3. การกำหนดลักษณะเฉพาะของผลิตภัณฑ์  4. การค้นหาผู้ขาย 5. การพัฒนาข้อเสนอของผู้ขาย 6. การเลือกผู้ขาย 7. การเลือกลักษณะเฉพาะของคำสั่งซื้อประจำ            8. การทบทวนแนวทางปฏิบัติการ

3.         หากโรงงานอุตสาหกรรมมีความต้องการซื้อเครื่องจักร ซึ่งจะมีบุคคลหลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้องกับการซื้อ บุคคลที่ควรเข้ามาร่วมพิจารณาคือใคร          

(1) ผู้จัดการฝ่ายการเงิน

(2) ผู้จัดการฝ่ายบัญชี

(3) ผู้จัดการฝ่ายการตลาด

(4) ผู้จัดการฝ่ายผลิต

(5) ผู้จัดการฝ่ายบุคคล

 ตอบ 4 หน้า 153, 602 การซื้อสินค้าอุตสาหกรรมจะใช้เหตุผลในการซื้อมากกว่าใช้อารมณ์ และ จะมีผู้บริหารจากหลาย ๆ ฝ่าย เช่น ประธาน ผู้จัดการฝ่ายผลิต วิศวกร ผู้ใช้ ฯลฯ เข้ามาช่วย ในการตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะสินค้าประเภทเครื่องจักรหลักที่มีราคาสูง เพราะจะมีผลต่อกำไร จากการดำเนินงานของธุรกิจ

 4.         ข้อใดผิด  

(1)       ผู้ขายต่อพิจารณาราคาและส่วนลดเป็นสำคัญ

(2)       ผู้ขายต่อพิจารณาคุณภาพและนโยบายผลิตภัณฑ์ตรายี่ห้อมากกว่าจำนวนสินค้าที่คาดว่าจะขายได้

(3)       ตลาดผู้ผลิตมีความต้องการต่อเนื่อง (Derived Demand)

(4)       ตลาดผู้ผลิตมีอุปสงค์ที่ยืดหยุ่น (Elastic Demand)

 (5)       กระบวนการจัดซื้อของตลาดรัฐบาลคือ การประกวดราคาและการทำสัญญาต่อรอง

ตอบ 4 หน้า 152. 157, 160 ตลาดผู้ผลิตมีลักษณะสำคัญ เช่น เป็นความต้องการต่อเนื่อง (Derived Demand) เป็นอุปสงค์ที่ไม่ยืดหยุ่น (Inelastic Demand) ฯลฯ ส่วนผู้ขายต่อจะพิจารณาราคา และส่วนลดเป็นสำคัญ พิจารณาคุณภาพและนโยบายผลิตภัณฑ์/ตรายี่ห้อมากกว่าจำนวนสินค้า ที่คาดว่าจะขายได้ ในขณะที่กระบวนการจัดซื้อของตลาดรัฐบาลมี2วิธีคือการประกวดราคา และการทำสัญญาต่อรอง

5.         คุณสมบัติเด่นส่วนบุคคลที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในการตัดสินใจซื้อคือข้อใด

(1) ความขยัน (2) ความกล้าเลี่ยง (3) ความขี้เกียจ (4) ความต้องการฉวยโอกาส (5) ความกล้าต่อสู้กับศัตรู

ตอบ 2 หน้า 153 – 154 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้ผลิต มี 4 ประการ คือ

 1.         ปัจจัยจากสภาวะแวดล้อม เช่น ระดับความต้องการเบื้องต้น สภาวะทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี การเมืองและกฎหมาย คู่แข่งขัน ฯลฯ

2.         ปัจจัยทางด้านองค์กร เช่น จุดประสงค์ นโยบาย โครงสร้างการจัดองค์การ ฯลฯ

3.         ปัจจัยของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เช่น อำนาจหน้าที่ สถานภาพ ความเห็นใจ ฯลฯ

4.         ปัจจัยส่วนบุคคล เช่น รายได้ อายุ การศึกษา ตำแหน่งงาน ความกล้าเสี่ยง ฯลฯ โดยความ กล้าเสี่ยงถือเป็นคุณสมบัติเด่นส่วนบุคคลที่จะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจในการตัดสินใจซื้อ

ข้อ 6. – 10. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) ผู้ผลิต –ผู้บริโภค

(2) Selective Distribution

(3) Intensive Distribution

(4) Physical Distribution

(5) Exclusive Distribution

6.         สินค้าประเภทสมัยนิยม ควรเลือกใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายแบบใด

ตอบ 3 หน้า 214, 307, 312, 316 การจัดจำหน่ายผ่านคนกลางจำนวนมากราย (Intensive Distribution) หมายถึง ผู้ผลิตจะใช้คนกลางซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ค้าปลีกจำนวนมากรายเพื่อจัดจำหน่ายสินค้า ของกิจการให้ทั่วถึง ทั้งนี้เพราะสินค้านั้นมีการเลือกหาซื้อบ่อย หากผู้บริโภคมีความต้องการ ก็อาจจะหาซื้อได้ทันที ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่ สินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน หรือสินค้าสะดวกซื้อ (Convenience Goods) เช่น ผงซักฟอก สบู่ แชมพูสระผม ยาสีฟัน ฯลฯ รวมทั้งสินค้า ประเภทสมัยนิยมซึ่งล้าสมัยเร็วทำให้จำเป็นต้องขายสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคโดยรีบด่วน

7.         ผู้ผลิตยาคูลท์เลือกช่องทางการจัดจำหน่ายลักษณะใด

ตอบ 1 หน้า 307 ช่องทางการจัดจำหน่ายจากผู้ผลิตถึงผู้บริโภคโดยตรง (Direct Distribution หรือ Door to Door Selling) ซึ่งไม่มีคนกลางเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด เป็นช่องทางที่ใช้ จัดจำหน่ายสินค้าไม่มากชนิดนัก เพราะเป็นการยากที่จะจำหน่ายให้ถึงผู้บริโภคที่กระจายอยู่ทั่วไป ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการจัดจำหน่ายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคจำนวนมาก เช่น การขายเครื่องสำอาง AVON การขายยาคูลท์ เป็นต้น

8.         ยาสีฟันซอลท์ ควรเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายแบบใด

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ  

9.         ข้อใดมีบทบาทสำคัญในกระบวนการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการแจกจ่ายตัวสินค้า

ตอบ 4 หน้า 318 – 319 การแจกจ่ายตัวสินค้า (Physical Distribution) ได้เข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญ ใบกระบวนการเสริมสร้างความต้องการของธุรกิจตาง ๆ โดยกิจการจะพยายามจัดการตัวสินค้า เพื่อให้ทันกับความต้องการของผู้บริโภคตามสถานที่ซึ่งมีความต้องการ และใช้วิธีการแจกจ่าย ตัวสินค้าเพื่อเข้ามาช่วยให้การจัดจำหน่ายสินค้าไปยังผู้บริโภคมีประสิทธิภาพ โดยเสียคาใช้จ่าย น้อยที่สุด

10.       สินค้าที่มีมูลค่าต่อหน่วยสูง เช่น เครื่องจักร ผู้ผลิตควรเลือกใช้ช่องทางจำหน่ายแบบใด

 ตอบ 1 หน้า 310 – 312 สินค้าที่มีมูลค่าต่อหน่วยสูง เช่น เครื่องจักรขนาดใหญ่ ผู้ผลิตมักเลือกใช้ ช่องทางการจัดจำหน่ายทีสั้น นั่นคือ จากผู้ผลิตถึงผู้ใช้สินค้าโดยตรง (Direct Distribution) แม้ว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายทางการตลาดสูงก็ตาม ทั้งนี้เพราะสินค้าดังกล่าวจะมีผู้ผลิตน้อยราย และผู้ซื้อต้องการรับบริการพิเศษจากผู้ผลิต เช่น การติดตั้ง การแนะนำการใช้ การบำรุงรักษา เป็นต้น

11.       ข้อใดคือขั้นตอนแรกในการเข้าตลาดต่างประเทศ    

(1) การตัดสินใจว่าจะเข้าตลาดต่างประเทศหรือไม่

(2) การตัดสินใจว่าจะเข้าตลาดแห่งใด          

(3) การตัดสินใจในการวางแผนการทางการตลาด

(4) การประเมินสภาวะแวดล้อมของตลาดระหว่างประเทศ

(5) การตัดสินใจการจัดองค์การทางการตลาด

ตอบ 4 หน้า 553 – 554 ขั้นตอนในการพิจารณาตัดสินใจเข้าตลาดต่างประเทศ มี 6 ประการ ดังนี้

1.         การประเมินสภาวะแวดล้อมของตลาดระหว่างประเทศ

2.         การตัดสินใจว่าจะเข้าตลาดต่างประเทศหรือไม่

3.         การตัดสินใจว่าจะเข้าตลาดต่างประเทศแห่งใด

4.         การตัดสินใจว่าจะเข้าตลาดต่างประเทศอย่างไร

5.         การตัดสินใจในการวางแผนการทางการตลาด

6.         การตัดสินใจการจัดองค์การทางการตลาด

12.       การร่วมลงทุนกับกิจการในตลาดต่างประเทศ (Joint Venture) เป็นการเข้าตลาดต่างประเทศ ยกเว้นข้อใด

(1) Licensing      

(2) Export         

(3)Contract Manufacturing

(4) Management Contracting 

(5) Joint-Ownership Venture

ตอบ 2 หน้า 562 – 563 การร่วมลงทุนกับกิจการในต่างประเทศ (Joint Venture) มี 4 วิธี ได้แก่

1.         การให้สิทธิการผลิตและจัดจำหน่ายแก่ผู้ผลิตในตลาดต่างประเทศ (Licensing)

2.         การจ้างโรงงานผลิตสินค้าให้ในตลาดต่างประเทศ (Contract Manufacturing)

3. การทำสัญญาร่วมลงทุนทางด้านการบริหาร (Management Contracting) เพื่อให้ส่งพนักงานระดับบริหารเข้ามาร่วมบริหารงานของกิจการ

4.         การเป็นเจ้าของร่วมลงทุนกับกิจการในตลาดต่างประเทศ (Joint-Ownership Venture)

13.       สินค้าที่จะส่งไปขายในตลาดต่างประเทศ อาจได้รับผลกระทบจากวัฒนธรรมของตลาดต่างประเทศข้อพิจารณาทางวัฒนธรรมคือข้อใด   

(1) อำนาจซื้อส่วนบุคคล  

(2) อัตราการว่างงาน     

(3) ลักษณะอาหารที่บริโภค

(4)ความมั่นคงของรัฐบาล       

(5) นโยบายการส่งออกของประเทศ

ตอบ 3 หน้า 558 – 559 ข้อพิจารณาทางด้านวัฒนธรรมมีความสำคัญต่อการค้าระหว่างประเทศ คือ มีผลต่อความพอใจของผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้า และมีผลต่อการเสนอขายสินค้าของ นักการตลาดระหว่างประเทศ ซึ่งปัจจัยทางด้านวัฒนธรรม เช่น ลักษณะอาหารที่บริโภค สภาพความเป็นอยู่ รสนิยมการแต่งกาย ขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นต้น

14.       ข้อใดกล่าวถึงการตลาดระหว่างประเทศไม่ถูกต้อง

(1)       ทำให้รัฐบาลขาดรายได้จากภาษีส่งออกและนำเข้า

(2)       ทำให้การผลิตขยายตัว

(3)       ทำให้สามารถเลือกซื้อสินค้าที่ผลิตไม่ได้ในประเทศ

(4)       ทำให้ประเทศคู่ค้ามีความสัมพันธ์กันซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและการเมือง

(5)       ทำให้คนมีงานทำ มีรายได้เพิ่มขึ้น

ตอบ 1 หน้า 552 – 553 การค้าระหว่างประเทศมีความสำคัญต่อประเทศ ดังนี้

1.         ทำให้การผลิตขยายตัว คนมีงานทำ มีรายได้เพิ่มขึ้น และทำให้เกิดการอยู่ดีกินดี

2.         สามารถเลือกซื้อสินค้าต่างประเทศที่ผลิตไม่ได้ในประเทศ

3.         ทำให้รัฐบาลมีรายได้จากภาษีการส่งออกและนำเข้ามากขึ้น

4.         ถ้าส่งสินค้าออกมากจะทำให้ได้เปรียบดุลการค้า

5.         ทำให้ประเทศคู่ค้ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

15.       ข้อใดมีใช่เหตุผลที่กิจการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ

(1)       เพื่อปรับขนาดตลาดให้แคบลง           (2) เพื่อหวังผลกำไร

(3)       เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต จะทำให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลง

(4)       เพื่อสนองนโยบายของประเทศพัฒนาที่ลดอัตราภาษี

(5)       เพื่อต้องการลดต้นทุนการผลิต ทำให้ต่อสู้การแข่งขัน

ตอบ 1 หน้า 553 เหตุผลที่กิจการเข้าสู่ตลาดต่างประเทศ ได้แก่         1. ต้องการแสวงหาผลกำไร  2. เพิ่มกำลังการผลิตให้เต็มที่           3. ช่วยขยายตลาดให้มีมากแห่งยิ่งขึ้น

4.         สนองนโยบายของประเทศที่ต้องการลดอัตราภาษี

5.         ต้องการลดต้นทุบการผลิตเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน

16.       หน้าที่สำคัญของการตลาดสินค้าเกษตรกรรม คือ

(1) การซื้อ    (2)           การเก็บรักษาสินค้า     (3) การกำหนดมาตรฐานสินค้า

(4) การขาย     (5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 593 – 596 หน้าที่สำคัญของการตลาดสินค้าเกษตรกรรม มีดังนี้ 1. การซื้อและการขาย โดยพิจารณาจากการหาความต้องการของการซื้อ แหล่งที่มาของสินค้าเกษตร เพราะแหล่งผลิต ที่ต่างกันคุณภาพสินค้าอาจไม่เหมือนกัน ความเหมาะสมของสินค้าเกษตร และเงื่อนไขในการซื้อ 2. การขนส่ง 3. การเก็บรักษาสินค้า 4. การเสี่ยงภัย            5. การกำหนดมาตรฐานสินค้าและการจัดขนาดของสินค้า 6. การเงิน 7. ข่าวสารทางการตลาด

17.       ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของสินค้าเกษตร

(1) ปริมาณและคุณภาพต่างกันตามฤดูกาล

(2) ความต้องการสูญเสียได้ง่าย         (3) เน่าเปื่อยเสียหายง่าย

(4) มีน้ำหนัก กินเนื้อที่ (5) ต้องอาศัยสถานที่เก็บสินค้า

ตอบ 2 หน้า 589 ลักษณะสำคัญของสินค้าเกษตร มีดังนี้

1. เป็นการผลิตขนาดย่อม       2. แหล่งผลิตกระจายกันอยู่ทั่วไป

3.  ผลิตได้ตามฤดูกาล แต่การบริโภคมีต่อเนื่องตลอดปี ทำให้ต้องมีการจัดเก็บผลผลิตไว้ เพื่อบริโภคในอนาคต ส่งผลให้เกิดกิจกรรมการเก็บรักษาและการคลังสินค้าเข้ามาเกี่ยวข้อง

4.ปริมาณและคุณภาพแตกต่างกันตามฤดูกาลและสภาพของดินฟ้าอากาศ

5.เน่าเปื่อยเสียหายได้ง่าย เกษตรกรจึงไม่สามารถเก็บสินค้าเกษตรเอาไว้ได้นาน ทำให้ต้อง อาศัยสถานที่เก็บสินค้าที่เหมาะสม

6.มีน้ำหนัก กินเนื้อที่ ทำให้กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง การเคลื่อนย้าย การรวบรวม และการเก็บรักษาต้องเสียค่าใช้จ่ายสู

18.       สินค้าเกษตรชนิดใดของไทยที่ส่งออกขายยังตลาดต่างประเทศมากที่สุด

(1)       ส่วนประกอบคอมพิวเตอร์      (2) ข้าว            (3) ชิ้นส่วนรถยนต์

(4) ยางพารา   (5) กุ้งแช่แข็ง

ตอบ 4 (ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) มูลค่าสินค้าเกษตรส่งออกที่สำคัญของไทยในปัจจุบัน (พ.ศ. 2556 – 2557) 5 อันดับแรก ได้แก่ ยางพารา ข้าวและผลิตภัณฑ์ ปลาและ ผลิตภัณฑ์ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากมันสำปะหลัง ผลไม้และผลิตภัณฑ์

19.       หากจะทำการส่งเสริมทางการตลาดกับสินค้าเกษตร ควรทำในช่วงใด        

(1) ผู้ผลิต        (2) ผู้บริโภคคนสุดท้าย            (3) ร้านขายปลีก (4) การขนส่ง           (5) เกษตรกร

ตอบ 3 หน้า 592 ปกติการส่งเสริมทางการตลาดจะไม่สามารถนำมาใช้กับตลาดสินค้าเกษตรได้โดยเฉพาะในระดับผู้ผลิตหรือระดับเกษตรกรแทบจะไม่มีเลย เพราะสินค้าของเกษตรกรทุกราย มีลักษณะเหมือนกัน แต่จะพบการส่งเสริมการตลาดบ้างในระดับของอุตสาหกรรมการเกษตร หรือคนกลางที่เป็นร้านค้าปลีกบางราย

20.       จากข้อความ สินค้าเกษตรต้องพิจารณาที่มาของสินค้า” มีความหมายตรงกับข้อใดมากที่สุด

(1)       แหล่งผลิตที่ต่างกันคุณภาพสินค้าอาจไม่เหมือนกัน

(2)       แหล่งผลิตที่ต่างกัน ราคาสินค้าอาจไม่เหมือนกัน

(3)       สภาพภูมิอากาศที่ต่างกัน ราคาสินค้าอาจไม่เหมือนกัน

(4)       สภาพภูมิอากาศที่ต่างกัน ค่าขนส่งอาจไม่เหมือนกัน

(5)       สภาพภูมิอากาศที่ต่างกัน ต้องเผชิญกับการเสี่ยงภัยด้านการขนส่งที่ไม่เหมือนกัน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

21.       การวางแผนผลิตภัณฑ์หมายถึงอะไร

(1) การกำหนดราคา           

(2) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ 

(3) การโฆษณาผลิตภัณฑ์

(4) การส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์      

(5) การประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์

ตอบ 2 หน้า 213 การวางแผนผลิตภัณฑ์ หมายถึง การตัดสินใจอย่างเป็นระบบที่เกี่ยวข้องกับภาพรวมทั้งหมดในการพัฒนาและการบริหารผลิตภัณฑ์ของธุรกิจ ซึ่งการที่ธุรกิจมีกระบวนการวางแผน ผลิตภัณฑ์ที่ดี ย่อมทำให้ธุรกิจมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มาก กล่าวคือ ทำให้มีการพัฒนา แผนงานทางการตลาดได้อย่างเหมาะสม มีการประสาบงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ สามารถ ประเมินตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ และทำให้มีการลดผลิตภัณฑ์ที่ไม่พึงปรารถนาได้ดีขึ้น

22.       สินค้าประเภทใดต่อไปนี้ที่ผู้บริโภคไม่ต้องมีการวางแผนซื้อ

(1)       ข้าวสาร           

(2) ยารักษาโรค           

(3) สินค้าทีซื้อเมื่อพบเห็น

(4) สินค้าทีซื้อเมื่อจำเป็น         

(5) ที่กล่าวมาทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 214 – 215 สินค้าซื้อฉับพลัน เป็นการซื้อที่ไม่ได้มีการวางแผนล่วงหน้า แต่เป็นสินค้าที่ ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อเมื่อได้มองเห็นสินค้าและเกิดความต้องการ เช่น ขณะที่เดินไปตามท้องถนน และได้เห็นไอศกรีมแท่งก็ซื้อทันที เป็นต้น

23.       ลักษณะสำคัญของสินค้าอุตสาหกรรมได้แก่อะไร    

(1) ตลาดจะมีผู้ซื้อเป็นจำนวนมาก  (2) ความต้องการจะผันแปรตามราคา     (3) จะซื้อด้วยความมีเหตุผลเป็นหลัก

(4) จะตัดสินใจซื้อโดยคน ๆ เดียว       (5) ที่กล่าวมาทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 152, 220 – 221, 602 – 605 ลักษณะสำคัญของสินค้าอุตสาหกรรม มีดังนี้

1.         มีผู้ซื้อจำนวนน้อยราย แต่ซื้อสินค้าครั้งละจำนวนมาก

2.         มีความต้องการสินค้าหรืออุปสงค์ที่ไม่ยืดหยุ่น

3.         ความต้องการมีลักษณะผกผัน และเป็นความต้องการที่ต่อเนืองมาจากความต้องการ ในตลาดสินค้าอุปโภคบริโภค

4.         เป็นสินค้าทีใช้เหตุผลในการซื้อมากกว่าใช้อารมณ์ ซึ่งจะมีผู้บริหารจากหลาย ๆ ฝ่าย เข้ามาช่วยพิจารณาในการตัดสินใจซื้อ

5.         คุณสมบัติอื่น ๆ ได้แก่ ซื้อโดยตรงจกผู้ผลิต ซื้อแบบถ้อยทีถ้อยอาศัย และขอเช่าแทนการซื้อ

24.       สินค้าในข้อใดที่จัดว่าเป็นกลุ่มสายผลิตภัณฑ์         

(1) ดินสอ เสื้อผ้า แชมพู        (2) โทรทัศน์ กระดาษ เสื้อผ้า     (3) แชมพู สบู่ กรรไกร

(4) เสื้อผ้า เข็มขัด รองเท้า       (5) ขนมหวาน กระดาษ ปากกา

ตอบ 4 หน้า 228 ส่วนประสมผลิตภัณฑ์ (Product Mix) มีองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ส่วน คือ

1.         สายผลิตภัณฑ์ (Product Line) คือ กลุ่มของรายการผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์กับ เช่น สายผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกาย ประกอบด้วยเสื้อผ้า เข็มขัด รองเท้า กระเป๋า เป็นต้น

2.         รายการผลิตภัณฑ์ (Product Item) คือ ตัวแบบ ตราสินค้า หรือขนาดของผลิตภัณฑ์ ที่ธุรกิจขายอยู่

25.       สินค้าประเภทใดต่อไปนี้ที่อยู่ในช่วงเจริญเติบโต     

(1) กล้องถ่ายรูปดิจิตอล          (2) สบู่ (3) ปากกา       (4) เสื้อผ้า        (5) โทรทัศน์

ตอบ 1 หน้า 236 – 237 ขั้นตอนในช่วงชีวิตผลิตภัณฑ์ แบ่งออกเป็น 4 ช่วงดังนี้

1.         ขั้นแนะนำผลิตภัณฑ์ (Introduction) เป็นขั้นที่นักการตลาดต้องการเข้าหาผู้บริโภค ที่ยอมรับผลิตภัณฑ์ใหม่ ในขั้นนี้ยอดขายจะเพิ่มขึ้นและยังไม่มีคู่แข่งขัน

2.         ขั้นเจริญเติบโต (Growth) เป็นขั้นที่ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตลาดเริ่มมีลักษณะเป็น มวลชน และเริ่มมีคู่แข่งขันเข้ามาในตลาดบ้างแล้ว เช่น สินค้าประเภทกล้องถ่ายรูปดิจิตอล โทรศัพท์ประเภท Smart Phone เป็นต้น

3.         ขั้นตลาดอิ่มตัว (Maturity) เป็นขั้นที่ยอดขายคงที่หรือเพิ่มขึ้นใบอัตราที่ลดลง คู่แข่งขัน มีจำนวนมาก และกำไรเริ่มลดลง

4.         ขั้นยอดขายลดลง (Decline) เป็นขั้นที่ยอดขายลดลง คู่แข่งขันลดลง และกำไรลดลงอย่างมาก

26.       เหตุใดนักการตลาดจึงต้องออกผลิตภัณฑ์ใหม่

(1)       เพื่อเพิ่มยอดขาย         (2) เพื่อลดความเสียง  (3) เพื่อสร้างจินตภาพ

(4) เพื่อเป็นการใช้วัสดุให้คุ้มค่า           (5) ที่กล่าวมาทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 245 – 246 ความสำคัญของผลิตภัณฑ์ใหม่ มีดังนี้          1. ช่วยเพิ่มยอดขาย

2. ช่วยเพิ่มกำไร 3. ช่วยกระจายความเสี่ยงให้กับธุรกิจ          4. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้

กับช่องทางการจัดจำหน่ายเดิม 5. ช่วยให้ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพ โดยการ นำวัสดุที่เหลือใช้จากการผลิตมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ 6. ช่วยสร้างจินตภาพให้กับธุรกิจ

27.       เหตุผลสำคัญที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ใหม่ไม่ประสบความสำเร็จได้แก่ข้อใด

(1)       ขนาดค่อนข้างใหญ่    (2) อายุการใช้งานนานเกินไป

(3)       มีข้อบกพร่องในตัวผลิตภัณฑ์            (4) กำหนดราคาหลายระดับ   (5) ต้นทุนในการผลิตต่ำเกินไป

ตอบ 3 หน้า 247 สาเหตุที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ใหม่ล้มเหลว มีดังนี้ 1. การวิเคราะห์ตลาดไม่เพียงพอ  2. ผลิตภัณฑ์มีข้อบกพร่อง 3. มุ่งเน้นทางการผลิตมากเกินไป            4. ไม่มีการพัฒนา

ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ดีพอ  5. ต้นทุนในการพัฒนา การผลิต และการตลาดสูงเกินไป

6.         ขาดการติดต่อสื่อสารภายในและภายนอกกิจการ      7. ผลิตภัณฑ์มีช่วงชีวิตค่อนข้างสั้น      8. คู่แข่งขัน     9. ขาดความร่วมมือในช่องทางการจัดจำหน่าย เป็นต้น

28.       ทำไมนักการตลาดจึงต้องใช้การทดสอบตลาด         

(1) เพื่อความสมบูรณ์ของขั้นตอน

(2)       เพื่อศึกษาความเป็นไปในตลาด          (3) เพื่อเอาใจลูกค้า

(4)       เพื่อให้พนักงานขายปรับตัว    (5) เพื่อลดความเสี่ยงในการพัฒนาผลิตภัณฑ์

ตอบ 2 หน้า 252 – 253 เมื่อผลิตภัณฑ์ได้พัฒนาและผ่านการทดสอบจากผู้บริโภคแล้ว ก็มาถึง

ขั้นตอนของการทดสอบตลาด ซึ่งเป็นเรื่องของการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดที่คัดเลือกไว้ เพื่อต้องการทราบความเป็นไปของยอดขายและกิจกรรมทางการตลาด โดยเฉพาะทางด้าน กลยุทธ์ทางการตลาดก่อนที่จะนำผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดรวมทั้งหมด

29.       กรณีใดที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ไม่อิ่มตัว     

(1) มีการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ต่อไปได้

(2) ขนาดของตลาดค่อนข้างเล็ก         (3) คู่แข่งขันมีความเข้มแข็ง

(4) ผลิตภัณฑ์ไม่มีความจำเป็น           (5) กำไรค่อนข้างน้อย

ตอบ 1 หน้า 258 – 259 ปัจจัยที่ทำให้นักการตลาดตัดสินใจว่าควรมีการขยายช่วงชีวิตผลิตภัณฑ์ ในขั้นอิ่มตัว มีดังนี้ 1. ตลาดต้องมีขนาดใหญ่พอ 2. ผลิตภัณฑ์มีความจำเป็นต่อผู้บริโภค 3. มีส่วนแบ่งตลาดที่ยังเข้าไม่ถึง            4. คู่แข่งขันมีความเข้มแข็งน้อย

5. มีโอกาสที่จะปรับปรุงผลิตภัณฑ์ต่อไปได้ 6. ผลิตภัณฑ์มีกำไรขั้นต้นสูง

7.         คนกลางให้ความร่วมมือในการช่วยกระจายผลิตภัณฑ์

8.         ผลิตภัณฑ์มีจินตภาพดี          9. ธุรกิจมีความสามารถในการจัดการ

30.      ทำไมผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่อยู่ในท้องตลาดจึงมีขนาดของบรรจุภัณฑ์เฉพาะของตัวเอง

(1) เป็นความพอใจของนักการตลาด   (2) ขึ้นอยู่กับขนาดของหน่วยการบริโภค

(3)       ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร       (4) ขึ้นอยู่กับอัตราการขาย      (5) ขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า

ตอบ 2 หน้า 266 การกำหนดขนาดของการหีบห่อ (บรรจุภัณฑ์) มีปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงอยู่ 2 ประการ คือ 1. ขนาดของหน่วยที่ใช้บริโภค 2. อัตราการบริโภค

31.       ข้อใดที่เกี่ยวข้องกับการตลาดมากที่สุด         

(1) การผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ

(2)       การลงทุนอย่างประหยัด        

(3) การขายสินค้าตามที่ลูกค้าพอใจ

(4)       การจัดการบุคลากรอย่างเหมาะสม    

(5) การบันทึกข้อมูลอย่างมีระบบ

ตอบ 3 หน้า 4-5 การตลาด หมายถึง การเคลื่อนย้ายสินค้าและหรือบริการจากผู้ผลิตไปยัง ผู้บริโภคคนสุดท้ายโดยผ่านคนกลางหรือไม่ก็ได้ เพื่อมุ่งตอบสนองความพอใจและความ ต้องการของลูกค้า โดยอาศัยกิจกรรมต่าง ๆ ทางการตลาด ในกรณีที่เป็นการผลิตสินค้านั้น จะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือลักษณะของสินค้า ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรม ทางการตลาดแต่ประการใด แต่เมื่อใดก็ตามที่ต้องการนำสินค้าออกสู่ตลาดโดยผ่านขั้นตอน ของกิจกรรมการตลาด ก็ถือว่าเป็นเรื่องของการตลาด

32.       บทบาทสำคัญของการตลาดที่มีต่อระบบธุรกิจได้แก่ข้อใด

(1) ช่วยให้ฝ่ายการตลาดเจริญเติบโต 

(2) ช่วยให้ระบบการผลิตมีประสิทธิภาพ

(3)       ช่วยลดต้นทุนทางธุรกิจ          

(4) ช่วยให้สินค้าถึงมือผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ

(5)       ที่กล่าวมาทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 4-6, (ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ) ในปัจจุบันการตลาดจะทำให้เกิดการซื้อขาย แลกเปลี่ยนระหว่างผู้ผลิตหรือผู้ขายกับผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ หรืออาจกล่าวได้อีกนัยหนึ่งว่า เป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างแหล่งเสนอขายกับความต้องการ โดยจะผ่านคนกลางหรือไม่ก็ได้ ดังนั้นการตลาดจึงช่วยให้สินค้าไปถึงมือผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ โดยอาศัยกิจกรรม ทางการตลาดซึ่งประกอบด้วยส่วนประสมทางการตลาด (การวางแผนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ การกำหนดราคา ช่องทางการตลาด แสะการส่งเสริมการตลาด) การวิจัยตลาด และอื่น ๆ

33.       ข้อใดที่เป็นเรื่องของการตลาดที่มุ่งหรือให้ความสำคัญแก่สังคม

(1) การใช้ทรัพยากรในการผลิตอย่างประหยัด           (2) การให้เงินช่วยเหลือแก่สังคม

(3) การผลิตสินค้าที่มีคุณภาพในการใช้          (4) การละเว้นการทำลายสภาพแวดล้อม

(5) ที่กล่าวมาทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 17 แนวความคิดการตลาดมุ่งสังคมมีสาระสำคัญ ดังนี้

1.         เพื่อตอบสนองความพอใจของผู้บริโภค

2.         เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพของชีวิต

3.         เพื่อสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมที่ถูกสุขอนามัย

4.         เพื่อใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด

5.         เพื่อตอบสนองความพอใจของสังคม

34.       การตลาดทำหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกได้แก่ข้อใด

(1) การจัดมาตรฐานของสินค้า            (2) การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน

(3) การลดขั้นตอนการทำงาน  (4) การเพิ่มคนกลางในอนาคต

(5) การวิจัยหาข้อมูลในตลาด

ตอบ 1 หน้า8-9, 11 หน้าที่ทางการตลาดในด้านการอำนวยความสะดวกประกอบด้วย หน้าที่ในการจัดมาตรฐานของสินค้า ข้อมูลข่าวสาร การเสี่ยงภัย และการเงิน

35.       แนวความคิดทางผลิตภัณฑ์จะมุ่งเน้นในประเด็นใด

(1) ความพอใจของผู้บริโภค

(2) ความต้องการของผู้บริโภค            (3) การปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์

(4) การขยายตัวของกิจการ     (5) การเก็บข้อมูลทางการผลิต

ตอบ 3 หน้า 14 แนวความคิดทางผลิตภัณฑ์จะมุ่งเน้นที่การบริหาร โดยสมมุติว่าผู้บริโภคพอใจ ผลิตภัณฑ์ซึ่งมีคุณภาพเหมาะสมกับราคา ดังนั้นธุรกิจจึงสนใจที่จะปรับปรุงคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์เป็นหลัก

36.       ลักษณะทางประชากรที่สำคัญของผู้บริโภคได้แก่ข้อใด

(1) สถานะการแต่งงาน           (2) อาชีพของผู้บริโภค (3) แหล่งที่อยู่อาศัย

(4) การศึกษาของผู้บริโภค      (5) ที่กล่าวมาทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 127, 129 – 131 ลักษณะทางประชากรของตลาดผู้บริโภคที่สำคัญ ได้แก่ จำนวน

ประชากร แหล่งที่พักอาลัย การเคลื่อนย้ายประชากร รายได้และรายจ่ายของผู้บริโภค อาชีพ การศึกษา และสถานะการแต่งงาน

37.       นักการตลาดมองการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคออกมาในลักษณะใด

(1) ความประหยัด       (2) ความพอใจ            (3) ความสวยงาม

(4) ราคาถูก     (5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 132 – 133 นักการตลาดได้ตั้งข้อสมมุติฐานว่าผู้บริโภคเป็นบุคคลที่คำนึงถึงความพอใจ โดยเลือกที่จะซื้อสินค้าในรูปของต้นทุนที่เสียไปและผลได้ที่ได้รับ เพื่อต้องการอรรถประโยชน์ หรือความพึงพอใจให้มากที่สุด ในขณะที่ได้ใช้จ่ายเงินและเวลาที่มีอย่างจำกัด ดังนั้นนักการตลาด จะเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ประชากรเมื่อต้องการคาดคะเนพฤติกรรมผู้บริโภค

38.       ปัญหาของผู้บริโภคที่จะต้องแก้ไขนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร

(1) การเรียนรู้  (2) การยอมรับ            (3) ความเสี่ยง

(4) การตอบสนองความต้องการ         (5) สภาพแวดล้อม

ตอบ 4 หน้า 133 – 134 ผู้บริโภค คือ ผู้ที่แก้ปัญหาซึ่งได้รับการกระตุ้นจากความต้องการหรือ แรงขับ ซึ่งความต้องการที่ไม่สามารถตอบสนองความพอใจได้จะนำไปสู่ความตึงเครียด และปรารถนาที่จะแก้ปัญหาต่อไป ทั้งนี้ผู้บริโภคจะใช้กระบวนการแก้ปัญหาขั้นพื้นฐาน เพื่อหาทางที่จะตอบสนองความต้องการของตน

39.       แรงจูงใจทางด้านอารมณ์ในการซื้อรถยนต์ได้แก่ข้อใด

(1) การให้บริการหลังการขาย (2) การลดราคาสินค้า (3) การประหยัดน้ำมัน

(4) รูปแบบสวยงาม     (5) อายุการใช้งานนาน

ตอบ 4 หน้า 140 – 141 แรงจูงใจทางด้านอารมณ์ มีลักษณะดังนี้

1. การสร้างความพอใจให้กับความรู้สึกของประสาทสัมผัสทั้ง 5 เช่น การซื้อรถยนต์โดยพิจารณา จากรูปแบบ สี สไตล์ ฯลฯ     2. การรักษาสถานภาพ 3. ความกลัว

4. ความเพลิดเพลินหรือการพักผ่อน 5. ความภูมิใจ    6. การเลียนแบบผู้มีชื่อเสียง

7. การเข้าสังคม           8. การดิ้นรน    9. ความอยากรู้อยากเห็น

(ส่วนการให้บริการหลังการขาย อายุการใช้งาน การประหยัดน้ำมัน และราคา ถือว่าเป็นแรงจูงใจ ทางด้านเหตุผล)

40.       ข้อใดที่เป็นเรื่องของอิทธิพลทางด้านวัฒนธรรม       

(1) การซื้อสินค้าราคาถูก

(2)       การซื้อสินค้าตามเพื่อน           (3) การซื้อสินค้าตามค่านิยม

(4) การซื้อสินค้าตามความพอใจ         (5) การซื้อสินค้าตามความสะดวก

ตอบ 3 หน้า 142 – 145 ปัจจัยทางสังคมที่มิอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค ได้แก่

1.         ครอบครัว ซึ่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าของผู้บริโภคมากที่สุด 2. กลุ่มอ้างอิง 3. ผู้นำทางความคิด   4. ชั้นสังคม 5.วัฒนธรรม ประกอบด้วย ความเชื่อ ค่านิยม และ

ขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งวัฒนธรรมที่เป็นรูปธรรม เช่น อาคารบ้านเรือน รูปแบบของสินค้า ฯลๆ ส่วนวัฒนธรรมที่เป็นนามธรรม เช่น คาสนา ลัทธิต่าง ๆ ฯลฯ

41.       ข้อใดหมายถึงพ่อค้าคนกลาง

(1) Reseller Middlemen    

(2) Merchant Middlemen

(3)       Agent Middlemen  

(4) Direct Middlemen       

(5) Facilitators

ตอบ 2 หน้า 329 พ่อค้าคนกลาง (Merchant Middlemen) คือ ผู้ที่ดำเนินกิจการทางการค้าปลีก และการค้าส่ง ซึ่งพ่อค้าคนกลางจะทำหน้าที่ต่าง ๆ ทางการตลาดเพื่อให้สินค้าเคลื่อนย้ายจาก ผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคหรือสถาบันทางการผลิต

42.       Action-Oriented Framework หรือทีเรียกว่า AIDA Model เป็นโมเดลที่แสดงการตอบสนองของ ผู้ที่รับข่าวสาร มีลำดับขั้นตอนอย่างไร

(1)       การรับรู้ (Awareness), ความสนใจ (Interest), การตัดสินใจ (Decision), ความตั้งใจ (Attention)

(2)       การรับรู้ (Awareness), ความสนใจ (Interest), การตัดสินใจ (Decision), การรับรู้ (Awareness)

(3)       ความตั้งใจ (Attention), ความสนใจ (Interest), การตัดสินใจ (Decision), การปฏิบัติ (Action)

(4)       ความตั้งใจ (Attention), ความสนใจ (Interest), ความต้องการ (Desire), การรับรู้ (Awareness)

(5)       ความตั้งใจ (Attention), ความสนใจ (Interest), ความต้องการ (Desire), การปฏิบัติ (Action)

ตอบ 5 หน้า 360, 364 โครงสร้างของการกระทำ (Action-Oriented Framework) หรือที่เรียกวา “AIDA Model” เป็นโมเดลที่แสดงการตอบสนองของผู้รับข่าวสารซึ่งมีลำดับขั้นตอน อันได้แก่ ความตั้งใจ (Attention), ความสนใจ (Interest), ความต้องการ (Desire) และการปฏิบัติ (Action)

43.       รถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้ากับขับเคลื่อนล้อหลัง จัดว่าเป็นการแข่งขันแบบใด

(1) การแข่งขันในตราสินค้า     

(2) การแข่งขันแบบทั่วไป

(3) การแข่งขันทางด้านคุณภาพ          

(4) การแข่งขันในรูปแบบของสินค้า

(5) การแข่งขันในรูปแบบกิจการ

ตอบ 4 หน้า 39, (คำบรรยาย) ลักษณะของการแข่งขัน แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ

1.         การแข่งขันแบบทั่วไป (Generic Competition) เป็นการแข่งขันระหว่างผลิตภัณฑ์คนละชนิด ที่มีลักษณะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่สามารถใช้ทดแทนกันได้ เช่น กางเกงกับกระโปรง แก๊สกับน้ำมัน ฯลฯ

2.         การแข่งขันในรูปแบบของสินค้า (Product Form Competition) เป็นการแข่งขันระหว่าง สินค้าชนิดเดียวกัน แต่มีรูปแบบของสินค้าที่แตกต่างกัน เช่น รถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้ากับ ขับเคลื่อนล้อหลัง รถยนต์ 4 เกียร์กับรถยนต์ 5 เกียร์ ฯลฯ

3.         การแช่งขันในรูปแบบของกิจการ (Enterprise Competition) เป็นการแข่งขันในตราสินค้า ของผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกับ เช่น น้ำอัดลมยี่ห้อโค้กกับเป็ปซี่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่า กับไวไว ฯลฯ

44.       ขั้นตอนของวงจรชีวิตทีผลิตภัณฑ์นั้นกำลังเผชิญอยู่ในขั้นเจริญเติบโตเต็มที่ (เจ็บ) จะเลือกใช้กลยุทธ์ การส่งเสริมการตลาดเน้นที่จุดใด

(1)       ความคิดใหม่เป็นสิ่งที่ดีที่สุด    (2) ตราสินค้าของเราดีที่สุด

(3)       ตราสินค้าของเราดีกว่าจริง ๆ   (4) ค้นหาบุคคลที่ต้องการสินค้าของเรา

(5) เร่งเร้าให้เกิดความต้องการเลือกสรร

ตอบ 3 หน้า 371 – 372 การเลือกใช้กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดที่แตกต่างกันในแต่ละขั้นตอน ของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ มีดังนี้

1.         ขั้นแนะนำ (เกิด) จะเลือกใช้กลยุทธ์ ความคิดใหม่เป็นสิ่งที่ดี

2.         ขั้นเจริญเติบโต (แก) จะเลือกใช้กลยุทธ์ ตราสินค้าของเราดีที่สุด  

3.         ขั้นเจริญเติบโตเต็มที่ (เจ็บ) จะเลือกใช้กลยุทธ์ ตราสินค้าของเราดีกว่าจริง ๆ

4.         ขั้นยอดขายลดลง (ตาย) จะเลือกใช้กลยุทธ์ ค้นหาบุคคลที่ต้องการสินค้าของเรา

 45.       ระยะแรกที่ผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด เรียกว่าอะไร

(1) First Campaign     (2) Zone Campaign   (3) Lunching Period

(4)       Product Period         (5) First Product

ตอบ 3 หน้า 389 Launching Period หมายถึง ระยะแรกที่ผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด

46.       วิจัยเพื่อการวิเคราะห์สถานการณ์ทางการตลาด ในการกำหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมาย และตัดสินใจโฆษณา อีกทั้งทำการประมาณค่าใช้จ่ายและงบประมาณที่ต้องใช้ในการโฆษณา คือวิธีใดดังต่อไปนี้

(1) The Task-Method Approach        (2) Competitive-Parity Approach

(3) Fixed-Sum-Per-Unit Approach    (4) Percentage of Sales Approach

(5)       Available-Funds Approach

ตอบ 1 หน้า 395 วิธีจัดทำงบประมาณการโฆษณาที่กำหนดจากงาน (The Task-Method Approach) มี 4 ขั้นตอน ดังนี้

1.         วิจัยเพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ทางการตลาด

2.         กำหนดวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของการโฆษณาให้ชัดแจ้ง

3.         ตัดสินใจกำหนดงานการโฆษณาเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์

4.         ประมาณค่าใช้จ่ายและงบประมาณที่ต้องใช้ในการโฆษณา

47.       เกณฑ์การพิจารณาความสามารถเข้าถึงของผู้ชมเป้าหมายที่ไม่ซ้ำซ้อนกันและโอกาสในการรับชม หมายถึงข้อใด

(1)       The Cost-Per-Thousand Criterion (CPT) = RP – Reach X Frequency

(2)       The Cash-Per-Thousand Criterion (CPT) = RP = Reach X Frequency

(3)       The Cost-Per-Thousand (CPT) = RP = Reach X Frequency

(4)       Gross Rating Points Per-Thousand (GRF) = RP = Reach X Frequency

(5)       Gross Rating Points (GRP) – RP = Reach X Frequency

ตอบ 5 หน้า 413 Gross Rating Points (GRP) หมายถึง เกณฑ์พิจารณาความสามารถเข้าถึงของ ผู้ชมเป้าหมายที่ไม่ซ้ำช้อนกันและโอกาส (จำนวนครั้ง) ในการรับชม ซึ่งมีสูตรในการคำนวณ คือ Rating Points (RP) = Reach X Frequency

48.       วิธีการส่งเสริมการขายวิธีใดเหมาะสมสำหรับสินค้าที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง และสินค้าถูกควบคุมราคา

(1)       การคืนเงิน       (2) แจกของแถม          (3) ลดราคาพิเศษ

(4) การให้ตัวอย่างสินค้า         (5) การให้บัตรส่งเสริมการขาย

ตอบ 2 หน้า 428 การแจกของแถม (Premium) คือ การให้สินค้าอีกอย่างหนึ่งเป็นของแถมแก่ผู้ซื้อ ผลิตภัณฑ์ชนิดใดชนิดหนึ่ง เพื่อจูงใจให้ลูกค้าหันมาซื้อสินค้าของบริษัทเพิ่มขึ้น การส่งเสริมการขาย ด้วยวิธีนี้จะเหมาะกับสินค้าที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง เป็นสินค้าที่ถูกควบคุมราคา และ เป็นสินค้าที่มีชื่อเรียกติดปากผู้บริโภคดีอยู่แล้ว แต่ไม่ควรนำมาใช้กับสินค้าออกใหม่ที่เพิ่งวางขาย ในตลาด เพราะจะทำให้ผู้บริโภคมองข้ามคุณภาพที่แท้จริงของสินค้าได้

49.       วิธีการขายสินค้าควบคู่อย่างเช่น ยาสระผมและครีมนวดผมแพคเป็นหีบห่อเดียวกัน และทำการลดราคา เมื่อคิดราคาต่อชิ้นราคาจะลดลง หมายถึงการส่งเสริมการขายแบบใด

(1)       Buying Allowance  (2) Coupons      (3) Price Packs

(4) Trading Stamp     (5) Premium

ตอบ 3 หน้า 427 – 428 การลดราคาพิเศษด้วยการขายสินค้าควบคู่กันมีอยู่ 3 ลักษณะ คือ สินค้า หลายชนิดบรรจุในหีบห่อเดียวกันสินค้าชนิดเดียวกันบรรจุในจำนวนมากขึ้น เพื่อการขายครั้งละ มาก ๆ หรือลดราคาพิเศษสำหรับสินค้าเดียวซึ่งเป็นการขายต่ำกว่าราคาจริง (Price Packs) เช่น ขายยาสีพันควบคู่กับแปรงสีฟัน ซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้ผลถ้านำไปใช้กับสินค้าออกใหม่ที่เพิ่งเริ่ม วางตลาด แต่มีข้อควรระวังคือ ไม่ควรลดราคาบ่อยและนานเกินไป เพราะอาจทำให้ภาพพจน์ ของตราสินค้าเสียไปได้

50.       จุดประสงค์ของการส่งเสริมการขาย คืออะไร

(1) Communication / Incentive / Invitation

(2)       Communication / Incentive / Selling     (3) Incentive / Invitation / Selling

(4) Distribution / Selling / Communication      (5) Distribution / Incentive / Invitation

ตอบ 1 หน้า 439 จุดประสงค์ของการส่งเสริมการขาย มี 3 ประเด็น คือ

1.         ใช้ติดต่อสื่อสาร (Communication)

2.         ใช้เป็นสิ่งจูงใจ (Incentive)

3. ใช้เป็นสิ่งเชื้อเชิญ (Invitation) ให้มีการแลกเปลี่ยนหรือทำให้ผู้บริโภครีบตัดสินใจซื้อ รวดเร็วขึ้น

51.       ส่วนประสมของการส่งเสริมการตลาด (Promotion Mix) ได้แก่ข้อใด

(1)       การแจกของแถม ชิงโชค แจกคูปอง

(2)       การแสดงสินค้า หีบห่อ ช่องทางการจัดจำหน่าย การส่งเสริมการขาย

(3)       การส่งเสริมการขายไปยังผู้บริโภค พ่อค้าคนกลาง และพนักงานขาย

(4)       การโฆษณา การใช้พนักงานขาย การส่งเสริมการขาย การเผยแพร่ข่าวสาร

(5)       การแสดงสินค้า ณ จุดขาย การส่งชิงโชค ช่องทางการจัดจำหน่าย การส่งเสริมการขาย

ตอบ 4 หน้า 370 ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด (Promotion Mix) หมายถึง การนำรูปแบบ ของการส่งเสริมการตลาด อันได้แก่ การโฆษณา การใช้พนักงานขาย การส่งเสริมการขาย และการเผยแพร่ข่าวสาร มาใช้ร่วมกันโดยมีวัตถุประสงค์อันเดียวกัน

52.       บริษัทมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อกฎ ระเบียบ ข้อบังคบของรัฐบาลอย่างไรบ้าง

(1)       เพิ่มนักลงทุนของบริษัท           

(2) เพิ่มนักกฎหมายของบริษัท

(3)       เพิ่มอัตราพนักงานภายในบริษัท          

(4) ต้องคำนึงถึงข้อเรียกร้องของรัฐบาล

(5) ให้ความสำคัญกับกฎระเบียบมากขึ้น

ตอบ 2 หน้า 42 – 43 ในปัจจุบันรัฐบาลได้ออกกฎ ระเบียบ และข้อบังคับเพื่อเข้ามาแทรกแซงนโยบาย ทางการตลาดของบริษัทต่าง ๆ เพิ่มขึ้น ซึงบริษัทจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อมาตรการดังกล่าว ใน 3 ลักษณะ คือ

1.         เพิ่มนักกฎหมายของบริษัทเพื่อให้คำแนะนำแก่ผู้จัดการฝ่ายการตลาด

2.         จัดตั้งแผนกรัฐบาลสัมพันธ์เพื่อติดต่อกับรัฐบาล

3.         ร่วมมือกับบริษัทอื่นในสมาคมการค้าเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน

53.       ข้อใดคือสาเหตุภายในที่ทำให้การสงเสริมการขายเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว

(1)       ภาวะที่เศรษฐกิจมีเงินเฟ้อและเงินผฝืด

(2)       คู่แข่งขันหันมาสนใจการส่งเสริมการขายมากขึ้น

(3)       แรงกดดันทางการค้าทำให้ผู้ผลิตพยายามเพิ่มคนกลางมากขึ้น

(4)       ผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดมีตราสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสเลือกสรรมากขึ้น

(5)       ผู้บริหารระดับสูงยอมรับว่าการส่งเสริมการขายช่วยเร่งเร้าให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีประสิทธิผล

ตอบ 5 หน้า 438 สาเหตุภายในที่ทำให้การส่งเสริมการขายเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีดังนี้

1. ผู้บริหารระดับสูงยอมรับว่าการส่งเสริมการขายช่วยเร่งเร้าให้ยอดขายเพิ่มขึ้นอย่างมีประสิทธิผล  2. ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ต้องการใช้เครื่องมือการส่งเสริมการขายมากขึ้น 3. ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ได้รับแรงกดดันให้ขายสินค้าให้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว

54.       สินค้าอุปโภคบริโภคควรมีการส่งเสริมการตลาดแบบใด

(1)       การใช้พนักงานขาย การติดต่อทางไปรษณีย์

(2)       การโฆษณา การใช้แค็ตตาล็อก

(3)       การใช้หีบห่อ การโฆษณา การติดต่อทางไปรษณีย์

(4)       การลดราคา การใช้ของแถม การแจกแสตมป์ทางการค้า

(5)       การโฆษณา การส่งเสริมการขาย การใช้พนักงานขาย

ตอบ 5 หน้า 370, 374, 376 สินค้าอุปโภคบริโภคควรใช้การส่งเสริมการตลาดใน 3 รูปแบบร่วมกัน คือ การโฆษณา การส่งเสริมการขาย และการใช้พนักงานขาย โดยการโฆษณาจะช่วยเผยแพร่ ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าและกิจกรรมการส่งเสริมการขายของผู้ผลิตแต่ละรายไปยังมวลชน เป็นจำนวนมากได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน และหากสินค้าบางชนิด เช่น เครื่องสำอาง ยา ฯลฯ ที่ต้องมีผู้แนะนำวิธีการใช้ ก็จำเป็นต้องอาศัยพนักงานขายที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญทางด้านนั้น โดยเฉพาะเป็นผู้ให้ข้อมูล

 

ข้อ 55. – 60. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) สิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับงาน    (2) สิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการแข่งขัน

(3) สิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับกลุ่มสาธารณชน        (4) สิ่งแวดล้อมทางประชากรศาสตร์

(5) สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจ

 

55.       บริษัทผู้ผลิตนมกล่องออกผลิตภัณฑ์หลายชนิดและหลายชื่อ เพื่อขายให้แก่ตลาดกลุ่มเด็ก ผู้ใหญ่ คนสูงอายุ และสำหรบคนท้อง โดยใช้ส่วนประสมการตลาดและการส่งเสริมการขายแตกต่างกัน การคำนึงถึง ตลาด” เป็นสิ่งแวดล้อมใด

ตอบ1 หน้า 34 – 37 สิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับงาน ประกอบด้วยสถาบันตาง ๆ ที่สัมพันธ์กันเพื่อเพิ่มมูลค่า ทางการตลาด อันได้แก่ ผู้ขายวัตถุดิบ คนกลางทางการตลาด และตลาด

56.       ครั้งแรกของบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ รับสิทธิประโยชน์เมื่อสมัครบัตรเดบิต ฟรี…ค่าธรรมเนียมจ่ายบิล 5 บิล/เดือน ฟรี…ถอนเงินสดจากเครื่อง ATM ทุกตู้ทั่วไทย ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ฟรี…สอบถามยอดจาก เครื่อง ATM ทุกตู้ทั่วไทย ไม่จำกัดจำนวนครั้ง เป็นการโฆษณาผลิตภัณฑ์โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมใด

ตอบ 2 หน้า 37 – 39, 578 – 579 สิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการแข่งขัน ประกอบด้วยสถาบันต่าง ๆ

ที่แข่งขันกับบริษัทเพื่อแย่งชิงลูกค้าและทรัพยากรที่หายาก ซึ่งหนทางที่ดีที่สุดที่จะเอาชนะ คู่แข่งขันได้ต้องมุ่งไปที่ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก นอกจากนี้ธุรกิจยังต้องสร้าง ลักษณะพิเศษเฉพาะของตนให้ต่างจากคู่แข่งขัน และชี้ให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความแตกต่างนั้น ในใจของผู้บริโภคเช่นความแตกต่างในเรื่องของคุณภาพราคาการให้บริการต่างๆ ฯลฯ

57.ธุรกิจได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อสร้างชื่อเสียงและภาพพจน์ของธุรกิจในรูปแบบการแจกทุนการศึกษาการสร้างภาพยนตร์โฆษณาเพื่อรณรงค์การรักษาสิ่งแวดล้อม การบริจาคสมทบทุนมูลนิธิต่าง ๆเพื่อให้ประชาชนทั่วไปมีทัศนคติที่ดีต่อสินค้าและบริการของบริษัท การที่ธุรกิจดำเนินกิจกรรมดังกล่าวเพราะคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมใด

ตอบ 3 หน้า 40 ในปัจจุบันธุรกิจต่าง ๆ ได้ให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับกลุ่มสาธารณชนมากขึ้น และพยายามสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มเหล่านี้โดยได้ดำเนินกิจกรรมเพื่อสร้างภาพพจน์และค่านิยมที่ดีของธุรกิจในสายตาของสาธารณชน เช่น การแจกทุนการศึกษาการสร้างภาพยนตร์โฆษณาเพื่อรณรงค์การรักษาความสะอาด การประหยัดพลังงานการบริจาคสมทบทุนมูลนิธิต่าง ๆ เป็นต้น

58.กลุ่มสถาบันการเงิน สื่อมวลชน รัฐบาล กลุ่มทีมีปฏิกิริยา กลุ่มชนในท้องถิ่น และประชาชนทั่วไปจัดอยู่ในสิ่งแวดล้อมใด

ตอบ 3 หน้า 40 – 44 สิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับกลุ่มสาธารณชน หมายถึง กลุ่มที่มีความสนใจเฝ้ามองและพยายามสร้างกฎข้อบังคับกิจกรรมขององค์การ กลุ่มนี้จึงมีอิทธิพลต่อความสำเร็จขององค์การเป็นอย่างยิ่ง โดยกลุ่มสาธารณชนประกอบด้วย กลุ่มสถาบันการเงิน สื่อมวลชนรัฐบาล กลุ่มทีมีปฏิกิริยา กลุ่มชนในท้องถิ่น และประชาชนทั่วไป

59.บริษัทจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน เดิมผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก แต่ในปัจจุบันเนื่องด้วยอัตราการเกิดลดลง เนื่องจากผลของการวางแผนครอบครัว ภาวะเศรษฐกิจทำให้ครอบครัวต่าง ๆนิยมมีบุตรน้อยลง จึงได้เปลี่ยนนโยบายที่จะมุ่งเฉพาะตลาดเด็กหันมาสนใจกลุ่มลูกค้าอื่น ๆ มากขึ้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งแวดล้อมแบบใด

ตอบ 4 หน้า 44 – 48 สิ่งแวดล้อมทางประชากรศาสตร์ เป็นสิ่งแวดล้อมมหภาคที่นักการตลาดให้ความสนใจมาก เพราะประชากรจะก่อให้เกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยน โดยสิ่งที่นักการตลาดสนใจ เช่น ขนาดของประชากร การกระจายของประชากรตามเขตภูมิศาสตร์ ความหนาแน่นของประชากร การเคลื่อนย้ายถิ่นที่อยู่ อัตราการเกิดและการตาย ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่มี ผลต่อการวางแผนการตลาด

60.       นักการตลาดจะต้องคำนึงถึงอัตราการเจริญเติบโตของระดับรายได้ที่แท้จริงลดลง แม้ว่ารายได้ที่เป็นตัวเงิน จะเพิ่มขึ้น แรงผลักดันของภาวะเงินเฟ้อรุนแรงขึ้น รูปแบบการออมและการก่อหนี้เปลี่ยนแปลงไป มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการบริโภคและการใช้จ่ายของผู้บริโภคเมื่อประชากรมีรายได้เปลี่ยนแปลงไป เป็นการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมใด

ตอบ 5 หน้า 48 – 50 สิ่งแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่นักการตลาดจะต้องสนใจ มีดังนี้

1.         อัตราการเจริญเติบโตของระดับรายได้ที่แท้จริงลดลง แม้ว่ารายได้ที่เป็นตัวเงินจะเพิ่มขึ้น ทั้งนี้เนื่องจากเกิดภาวะเงินเฟ้อ คนว่างงาน อัตราภาษีสูงขึ้น เป็นต้น

2.         แรงผลักดันของภาวะเงินเฟ้อรุนแรงขึ้น

3.         รูปแบบของการออมและการก่อหนี้เปลี่ยนแปลงไป

4.         มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการบริโภคและการใช้จ่ายของผู้บริโภค

ข้อ 61.-65. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม 

(1)ประชากรการวิจัย (2)ข้อมูลสำเร็จ (3)ตัวอย่าง (4) ตัวแปรการวิจัย (5) กรอบตัวอย่าง

61.       หน่วยทั้งหมดที่ผู้วิจัยสนใจศึกษา

ตอบ 1 หน้า 121 ประชากรการวิจัย (Research Population) หมายถึง หน่วยทั้งหมดซึ่งเป็นแหล่งข้อมูล ที่ผู้วิจัยสนใจจะศึกษาวิจัย ซึ่งอาจจะเป็นอะไรก็ได้ที่ผู้วิจัยต้องเก็บข้อมูลมาใช้ในการทำวิจัย

62.       รายขื่อ ตำบลที่อยู่ และแผนที่แสดงอาณาเขตของกลุ่มตัวอย่างที่ต้องการค้นคว้า

ตอบ 5 หน้า 122, (คำบรรยาย) กรอบตัวอย่าง (Sampling Frame) หมายถึง รายชื่อหน่วยตัวอย่าง พร้อมตำบลที่อยู่ และแผนที่แสดงอาณาเขตของกลุ่มตัวอย่างในขอบข่ายที่ผู้วิจัยต้องการที่จะ ทำการศึกษาค้นคว้า ดังนั้นประโยชน์หลักของการกำหนดกรอบตัวอย่างก็คือ การป้องกัน ความคลาดเคลื่อนจากการสุ่มตัวอย่าง

63.       ข้อมูลที่มีการเก็บรวบรวมไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ตอบ 2 หน้า 122, (คำบรรยาย) ข้อมูลที่ใช้สำหรับการวิจัยตลาด มี 2 ประเภท คือ

1.         ข้อมูลเบื้องต้นหรือข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) เป็นข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาจาก แหล่งกำเนิดของข้อมูลโดยตรง และเป็นข้อมูลที่ไม่เคยมีใครเคยเก็บรวบรวมมาก่อน ได้แก่ การใช้แบบสอบถาม การสัมภาษณ์ การสังเกตการณ์ การทดสอบ การทดลอง การสำมะโนและการสำรวจ

2.         ข้อมูลสำเร็จหรือข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) เป็นข้อมูลที่มีการเก็บรวบรวมไว้ อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ซึ่งผู้วิจัยสามารถค้นคว้าได้จากเอกสารและตำราต่าง ๆ

64.       ลักษณะหรือคุณสมบัติ อาการกิริยาต่าง ๆ ที่มีความแตกต่างกัน

ตอบ 4 หน้า 122 ตัวแปรการวิจัย (Variable) หมายถึง ลักษณะ คุณสมบัติ หรืออาการกิริยา ของหน่วยตัวแปรต่าง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างกัน

65.       หน่วยของประชากรการวิจัยที่ผู้วิจัยเลือกเป็นตัวแทนของหน่วยประชากรทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 122 ตัวอย่าง (Sampling) หมายถึง หน่วยของประชากรการวิจัยที่ผู้วิจัยเลือก มาเป็นตัวแทนของหน่วยประชากรทั้งหมด

66.       ข้อใดให้ความหมายของการค้าส่งที่ถูกต้องที่สุด

(1)       การขายสิบค้าหรือบริการในปริมาณมาก ๆ และราคาต่ำ

(2)       การขายสินค้าและบริการให้กับผู้ซื้อสินค้าเพื่อไว้ขายต่อ

(3)       การขายสินค้าและบริการให้กับคนกลางในการจัดจำหน่าย  

(4)       องค์การที่มีการขายสินค้าและบริการที่มีความหลากหลายและจำนวนมาก

(5)       การรับซื้อสินค้าและบริการปริมาณมาก ๆ จากผู้ผลิตโดยตรง

ตอบ 2 หน้า 342, 345 การค้าส่ง หมายถึง กิจกรรมการขายสินค้าและบริการทุกชนิดให้กับผู้ที่ซื้อ สินค้าไปเพื่อวัตถุประสงค์ในการขายต่อ หรือซื้อไปใช้ในการประกอบธุรกิจ ดังนั้นผู้ค้าส่งอาจจะ เป็นผู้ที่ขายสินค้าให้กับพ่อค้าปลีก ซึ่งพอค้าปลีกจะซื้อไปเพื่อขายให้กับผู้บริโภคคนสุดท้าย อีกต่อหนึ่ง หรืออาจจะเป็นผู้ที่ขายสินค้าให้กับโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่ซื้อไปเพื่อใช้ ในการประกอบกิจการการผลิต

67.       ข้อใดคือลักษณะของผู้ค้าส่งที่ทำหน้าที่เป็นพ่อค้าขายส่ง

(1)       เป็นผู้ค้าส่งกลุ่มใหญ่ที่สุดในระบบค้าส่งและมีกรรมสิทธิ์ในสินค้า 

(2)       เป็นผู้ค้าส่งที่ทำหน้าที่ให้บริการต่าง ๆ ให้กับลูกค้า เช่น ขนส่งสินค้า ให้เครดิตลูกค้า

(3)       เป็นผู้ค้าส่งที่ทำการขายสินค้าโดยไม่ได้เข้าไปครอบครองสินค้าที่ขาย เพียงซื้อมาขายไปเท่านั้น

(4)       เป็นผู้ค้าส่งที่ทำหน้าที่ในด้านบริการเกี่ยวกับการขายส่ง เข้าไปเจรจาต่อรองเกี่ยวกับการซื้อและขาย

(5)       เป็นผู้ค้าส่งที่ได้รับค่านายหน้าเป็นค่าตอบแทบในการขายสินค้าให้แก่ผู้ผลิต

ตอบ 2 หน้า 345 – 346 ผู้ค้าส่งที่ทำหน้าที่เป็นพ่อค้าขายส่ง แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ

1.         ผู้ค้าส่งที่ไม่จำกัดการให้บริการลูกค้า (Full-service Wholesalers) จะทำหน้าที่ให้บริการ ด้านต่าง ๆ แก่ลูกค้าอย่างมากมาย/เต็มที่ เช่น เก็บรักษาสินค้า ขนส่งสินค้า ส่งมอบสินค้า ให้เครดิตลูกค้า ให้ความช่วยเหลือด้านข้อมูล เป็นต้น

2.         ผู้ค้าส่งที่จำกัดการให้บริการแก่ลูกค้า (Limited-service Wholesalers) จะทำหน้าที่ ให้บริการแก่ลูกค้าของตนเพียง 1-2 อย่างตามที่ตนถนัดหรือสะดวกที่สุดเท่านั้น ซึ่ง ค่อนข้างจะจำกัดมาก

68.       ข้อใดคือประเภทของผู้ค้าปลีกโดยจำแนกตามลักษณะการประกอบธุรกิจ

(1) ร้านค้าในศูนย์กลางย่านธุรกิจ       (2) การขายปลีกทางไปรษณีย์

(3) ร้านค้าปลีกคลังสินค้า       (4) ร้านสรรพสินค้า

(5) ร้านสินค้าขายตามแค็ตตาล็อก

ตอบ 2 หน้า 331, 335 – 336 การจำแนกประเภทของผู้ค้าปลีกโดยพิจารณาจากลักษณะ การประกอบธุรกิจ เป็นการค้าปลีกที่ไม่จำเป็นต้องมีร้านค้า (Non-store Retailing)

ซึ่งถือว่าเป็นการขายปลีกทางตรง (Direct Retailing) ประกอบด้วย

1.         การค้าปลีกทางไปรษณีย์และโทรศัพท์ (Telephone and Mail-order Retailing)

2.         การค้าปลีกสินค้าโดยเครื่อง (Automatic Vending)

3.         การค้าปลีกประเภทบริการผู้ซื้อ (Buying Service)

4.         การขายปลีกตามบ้าน (Door to Door Retailing)

69.       ข้อใดคือความสำคัญของการค้าปลีกที่มีต่อผู้ผลิต

(1)       การค้าปลีกช่วยทำหน้าที่แสวงหาสินค้าให้เป็นที่ต้องการของผู้ผลิตและขายให้ผู้บริโภค

(2)       การค้าปลีกช่วยทำหน้าที่ในการจัดแสดงสินค้า

(3)       การค้าปลีกทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างกิจการค้าส่งกับผู้บริโภค

(4)       การค้าปลีกทำหน้าที่แบ่งภาระการเก็บรักษาสินค้าให้แก่ผู้ผลิต

(5)       การค้าปลีกทำหน้าที่เปรียบเสมือนแหล่งรวมสินค้าให้แก่ผู้ผลิต

ตอบ 4 หน้า 330 ความสำคัญของการค้าปลีกต่อผู้ผลิต มีดังนี้

1.         ทำหน้าที่ขายสินค้าให้กับผู้ผลิต 2. ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้บริโภคให้กับผู้ผลิต 3. ทำหน้าที่แบ่งภาระการเก็บรักษาสินค้าแก่ผู้ผลิต

70.       ข้อใดคือผลกระทบของการตลาดต่อสังคมส่วนรวม

(1)       ทำให้มีการแข่งขันกันซื้อสินค้าเพื่อเป็นเครื่องแสดงฐานะทางสังคม

(2)       การตลาดทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น

(3)       ทำให้เกิดการกีดกันการแข่งขันจากผู้ผลิตหรือธุรกิจรายอื่น ๆ

(4)       ทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสได้เลือกซื้อสินค้าได้หลากหลายตามความต้องการ

(5)       การตลาดมีผลทำให้สภาพเศรษฐกิจโดยรวมดีขึ้น

ตอบ 1 หน้า 625 – 626 คำวิพากษ์วิจารณ์ถึงผลกระทบของการตลาดต่อสังคมส่วนรวม มีดังนี้

1. ทำให้สังคมกลายเป็นสังคมวัตถุนิยมมากขึ้น นั่นคือ ทำให้มีการแข่งขันกันซื้อสินค้าเพื่อเป็น เครื่องแสดงฐานะทางสังคม   2. ทำให้เกิดความต้องการที่ไม่ถูกต้อง 3. ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสินค้าเพื่อสังคมยังมีไม่เพียงพอ 4. ทำให้เกิดความเสื่อมเสียทางวัฒนธรรม

71.       คุณสมบัติที่สำคัญของผลิตภัณฑ์บริการ คือ

(1) จับต้องไม่ไต้           

(2) แบ่งแยกไม่ได้        

(3) สูญหายได้ง่าย

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2        

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 572 – 575 ลักษณะของบริการ มี 4 ประการ ดังนี้

1.ไม่สามารถจับต้องได้            2.ไม่สามารถแบ่งแยกได้

3. มีลักษณะแตกต่างกันไปไม่คงที่      4. มีลักษณะความต้องการที่สูญเสียได้ง่าย

72.       กิจการร้านค้าปลีกที่มีศูนย์กลางบริหารเพียงแห่งเดียว คือ

(1) Independent Store      

(2) Voluntary Chain Store         

(3) Corporate Chain

(4) Buying Service     

(5) Franchise Store

ตอบ 3 หน้า 337 ร้านค้าปลีกแบบลูกโซ่ (Chain Store หรือ Corporate Chain) เป็นร้านค้าปลีก ที่มีลักษณะดังนี้คือ

1.         มีร้านค้ามากกว่า 2 ร้านขึ้นไป

2.         ร้านค้าทุกร้านจะมีสินค้าไว้ขายในสายผลิตภัณฑ์เดียวกัน

3.         มีศูนย์กลางการบริหารงานเพียงแห่งเดียว

4.         มีการจัดตกแต่งร้านเหมือนกันทั้งหมดเพื่อสร้างจุดเด่น

5.         การซื้อสินค้ามาเพื่อขาย การกำหนดราคาและนโยบายอื่น ๆ สำนักงานใหญ่จะเป็นผู้ดำเนินการ

6.         เจ้าของและผู้ควบคุมกิจการเป็นคน ๆ เดียวกัน

73.       ในการทำวิจัยตลาด ถ้าแหล่งข้อมูลที่ท่านต้องเก็บมาเพื่อทำการศึกษาวิเคราะห์คือร้านค้าปลีก สิ่งที่ท่านควรจะกำหนดเป็นประชากรการวิจัยของท่าน คืออะไร        

(1) ลูกค้า             

(2)   สินค้า   

(3) ร้านค้า        

(4) ผู้ผลิต        

(5) พนักงาน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

74.       ร้าน เซเว่นอีเลเว่น” เป็นร้านค้าปลีกขายสินค้าประเภทใด

(1) สินค้าเปรียบเทียบซื้อ        (2) สินค้าซื้อสะดวก     (3) สินค้าซื้อพิเศษ

(4) สินค้าซื้อแบบไม่คาดคิด     (5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 334 ร้านค้าสะดวกซื้อ (Convenience Store) ส่วนใหญ่เป็นร้านค้าค่อนข้างเล็ก มีทำเลที่ตั้งใกล้ที่อยู่อาศัยของลูกค้า สินค้าที่ขายจะมีเฉพาะอย่างที่ขายได้ง่ายซื้อสะดวก แต่จะตั้งราคาขายไว้ค่อนข้างสูง เช่น สินค้าประเภทบุหรี่ เครื่องดื่ม กาแฟ ยาสีฟัน ฯลฯ ตัวอย่างของร้านค้าสะดวกซื้อ เช่น 7-Eleven, Family Mart ฯลฯ

75.       ถ้าท่านทำธุรกิจประเภทโรงแรมและการท่องเที่ยว ท่านควรจะต้องบริหารจัดการโดยมุ่งเน้นในเรื่องใดให้มากที่สุด

(1) สินค้า         (2) บริการ        (3) ความเชื่อถือ

(4) ความไว้วางใจ        (5) ข้อ 3 และ 4 ถูก

ตอบ 5 หน้า 573 ผู้ประกอบธุรกิจประเภทโรงแรมและการท่องเที่ยวควรดำเนินธุรกิจโดยมุ่งเน้น ในเรื่องของความเชื่อถือและความไว้วางใจในบริการที่ลูกค้ามีต่อธุรกิจ โดยอาจจัดสิ่งบริการ ที่สามารถมองเห็นได้ เช่น มีห้องพักที่สะดวกสบาย ไม่มีเสียงรบกวน มีการจัดอาหารและ เครื่องดื่มที่ดี มีพนักงานต้อนรับสวย ๆ และมีอัธยาศัยดีไว้คอยให้บริการ เป็นต้น

76.       ผู้ค้าส่งที่ขายสินค้ามากประเภทในสายผลิตภัณฑ์เดียวกัน คือ

(1) Limited Function Wholesalers    (2) General Merchandise Wholesalers

(3)       General Line Wholesalers        (4) Service Wholesalers

(5) Specialty Wholesalers

ตอบ 2 หน้า 346, 352 ผู้ค้าส่งสินค้าทั่วไป (General Merchandise Wholesalers) จะขายสินค้า ให้กับผู้ค้าปลีก โดยมีสินค้าไว้ขายหลายประเภทภายในสายผลิตภัณฑ์เดียวกัน

77.       ประชากรการวิจัย (Research Population) คือ

(1) แหล่งข้อมูล            (2) หน่วยแปร  (3) ตัวแปร

(4)       ข้อ 1 และ 2 ถูก           (5) ข้อ 2 และ 3 ถูก

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

 

78.       ประโยชน์หลักของการกำหนดกรอบตัวอย่าง (Sampling Frame) คือ

(1) กำหนดจำนวนตัวอย่าง      (2) กำหนดวิธีการเลือกตัวอย่าง

(3) ป้องกันความคลาดเคลื่อน (4) กำหนดประชากรการวิจัย

(5)       ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 122, (คำบรรยาย) กรอบตัวอย่าง (Sampling Frame) หมายถึง รายชื่อหน่วยตัวอย่าง พร้อมตำบลที่อยู่ และแผนที่แสดงอาณาเขตของกลุ่มตัวอย่างในขอบข่ายที่ผู้วิจัยต้องการที่จะ ทำการศึกษาค้นคว้า ดังนั้นประโยชน์หลักของการกำหนดกรอบตัวอย่างก็คือ การป้องกัน ความคลาดเคลื่อนจากการสุ่มตัวอย่าง

 

79.       สิ่งต่อไปนี้ที่เป็นกิจการค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) คือ         

(1) เทสโก้โลตัส          (2) บิ๊กซี            (3) คาร์ฟูร์        (4) เซเว่นอีเลเว่น         (5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 (คำบรรยาย) กิจการค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) เป็นรูปแบบของร้านค้าปลีกที่นิยมกันทั่วโลกในปัจจุบัน โดยมีหลักการค้าที่สำคัญ เช่น คิดกำไรขั้นต้นต่ำ สินค้ามีการหมุนเวียนสูง ติดป้ายบอกราคาสินค้าทุกชิ้น จัดระบบร้านให้ลูกค้าเดินชมสินค้าได้โดยไม่มีการบังคับว่า จะต้องซื้อสินค้า ใช้ระบบให้ลูกค้าบริการตนเองและชำระเงินที่ทางออก เป็นต้น ตัวอย่าง ของร้านค้าประเภทนี้ เช่น เทสโก้โลตัสบิ๊กซีคาร์ฟูร์, 7-Eleven เป็นต้น

80.       แหล่งรวมข้อมูลภายในองค์กรธุรกิจ เช่น รายงานการปฏิบัติงานของฝ่ายต่าง ๆ จัดเป็นระบบอะไร ในระบบข่าวสารทางการตลาด

(1) Internal Reports System

(2)       Marketing Research System   (3) Analytical Marketing System

(4)       Marketing Intelligence System        (5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 114 – 115 ระบบข่าวสารทางการตลาด ประกอบด้วย 4 ระบบย่อย ได้แก่

1.         ระบบรายงานภายใน (Internal Reports System) เป็นรายงานผลการปฏิบัติงานของ ฝ่ายต่าง ๆ ภายในองค์กร ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนและเป็นประจำ เช่น รายงานเกี่ยวกับ ยอดขาย รายงานการเยี่ยมลูกค้า ฯลฯ

2.         ระบบความชาญฉลาดทางการตลาด (Marketing Intelligence System)

3.         ระบบการวิจัยตลาด (Marketing Research System)

4.         ระบบการวิเคราะห์การตลาด (Analytical Marketing System)

81.       หีบห่อแบบใดคือหีบห่อผู้บริโภค       

(1) หีบห่อทำจากกระดาษ       

(2) หีบห่อชนิดเติม

(3)       หีบห่อเพื่อการรวมสินค้าให้อยู่เป็นกลุ่ม          

(4) กระบะรวมสินค้า   

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 265 – 267 หีบห่อ แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่

1.         หีบห่อผู้บริโภคหรือหีบห่อภายใน เป็นการหีบห่อที่ตัวสินค้า ซึ่งในปัจจุบันได้มีการพัฒนาหีบห่อ ให้มีลักษณะที่ดึงดูดใจผู้ซื้อ มีรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับตัวสินค้า มีสีสัน ลวดลาย และมีรูปร่างของหีบห่อที่สวยงาม สดใส และทำหน้าที่เป็นเสมือนพนักงานขายไปในตัวด้วย เช่น หีบห่อชนิดเติม กระป๋องน้ำอัดลม ขวดน้ำหอม ฯลฯ

2.         หีบห่ออุตสาหกรรมหรือหีบห่อภายนอก เป็นการหีบห่อที่เน้นถึงความสะดวกในการขนส่ง มากกว่าเน้นที่ความดึงดูดใจผู้ซื้อ โดยจะใช้ห่อหีบห่อประเภทแรกอีกทีหนึ่งและจะบรรจุ เป็นปริมาณมาก เช่น กล่องกระดาษแข็งที่ใช้บรรจุผลไม้กระป๋อง ฯลฯ

82.       ข้อใดคือวิธีการของการตลาดเพื่อสังคมโดยใช้การพัฒนาบรรจุหีบห่อเป็นเครื่องมือ

(1) การรีไซเคิลวัสดุนำกลับมาใช้ทำหีบห่อใหม่           

(2) การออกแบบบรรจุหีบห่อให้สวยงามดึงดูดใจ

(3) การโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ลดการทิ้งขยะ         

(4) การใช้คอนเทนเนอร์บรรจุสินค้าส่งขายต่างประเทศ

(5)       ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 267, (คำบรรยาย) แนวโน้มของการหีบห่อในปัจจุบันนับว่ามีการพัฒนารุดหน้าไป อย่างไม่หยุดยั้ง นับตั้งแต่กรรมวิธีในการผลิตอย่างรวดเร็ว ต้นทุนการผลิตที่ลดลง และการหีบห่อบางอย่างสามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างอื่นได้หลังจากที่ใช้สินค้าในหีบห่อหมดแล้ว รวมทั้งการรีไซเคิลวัสดุนำกลับมาใช้ทำหีบห่อใหม่ ซึ่งเป็นวิธีการของการตลาดเพื่อสังคมโดยใช้การพัฒนาบรรจุหีบห่อเป็นเครื่องมือ

83.       ข้อใดคือตัวอย่างของตราสินค้าร่วม (Family Brand)  

(1) ลีโอ              (2)บรีส          (3) ลีวายส์       (4) เดสินิวส์     (5) ซัมซุง

ตอบ 5 หน้า 271 ตราสินค้าร่วม (Family Brand) คือ ตราสินค้าที่มีสินค้าหลายประเภทเข้ามาใช้ตราเดียวกัน ซึ่งสินค้าหลายชนิดนี้ต่างก็อยู่ในความรับผิดชอบของผู้ผลิตหรือผู้ขายรายเดียวกัน ทำให้สะดวกในการแนะนำสินค้าใหม่สู่ตลาด เช่น ตราสินค้าซัมซุง (SAMSUNG) จะมีทั้งโทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ โทรศัพท์มือถือ โน้ตบุ๊ก ฯลฯ

84.       ข้อใดไม่ถูกต้อง

(1)       ตราส่วนตัว (Private Brand) คือ ตราที่ผู้ขายปลีก หรือผู้ขายส่งกำหนดขึ้นเอง

(2)       ตราผู้ผลิต เช่น ปูนตราเสือ เบียร์ตราช้าง

(3)       การใช้ตราสินค้าร่วมทำให้สะดวกในการแนะน้าสินค้าใหม่สู่ตลาด

(4)       การใช้ตราเอกเทศทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการบริหาร

(5)       ความคุ้นเคยต่อตรามีความสำคัญต่อสินค้าสะดวกซื้ออย่างยิ่ง

ตอบ 4 หน้า 269 – 271 ตราสินค้าเอกเทศ (Individual Brand) เป็นตราสินค้าที่เกิดขึ้นจากการ ที่นักการตลาดไต้กำหนดตราสินค้าตราหนึ่งสำหรับสินค้าอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงทำให้มีตราอยู่ หลายตรา ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาในด้านการบริหารงาน เช่น อาจทำให้ต้นทุนในการส่งเสริม การตลาดสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม การใช้ตราหลายตราจะช่วยให้เข้าถึงลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ดี

85.       ข้อใดแสดงถึงการพัฒนาหีบห่อผู้บริโภค

(1)       การออกแบบสินค้าให้ถอดประกอบได้เพื่อประหยัดเนื้อที่ในการขนส่ง

(2)       พัฒนาใช้ลังพลาสติกในการขนส่งสินค้าเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว

(3)       กระป๋องน้ำอัดลมลวดลายใหม่ สวยสดใส น่าสนใจมากขึ้น

(4)       การบรรจุสินค้าที่ขนส่งให้เต็มตู้คอนเทนเนอร์

(5)       การใช้วัสดุกันกระแทกชนิดใหม่ สินค้าปลอดภัยสูงขึ้น

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ

86.       ส่วนลดแบบใดที่ทำให้เกิดการซื้อซ้ำกับผู้จำหน่ายรายเดิมได้ดี

(1) ส่วนลดการค้า        (2) ส่วนลดเงินสด        (3) ส่วนลดปริมาณแบบสะสม

(4) ส่วนลดตามฤดูกาล           (5) ส่วนยอมให้

ตอบ 3 หน้า 298 ส่วนลดปริมาณแบบสะสม เป็นส่วนลดที่ผู้ขายให้แก่ผู้ซื้อที่ซื้อสินค้าในปริมาณและ ภายในเวลาที่กำหนด โดยผู้ซื้อสามารถทยอยซื้อได้ แต่เมื่อรวมปริมาณซื้อทั้งหมดแล้วจะต้อง ได้ตามที่กำหนดไว้ภายในเวลาที่กำหนดด้วย ดังนั้นจึงเป็นส่วนลดทีทำให้เกิดการซื้อซ้ำกับ ผู้จำหน่ายรายเดิมได้ดี หรือทำให้ลูกค้ามีความจงรักภักดีต่อร้านค้า

87.       การกำหนดราคาควรคำนึงถึงปัจจัยในข้อใดมากที่สุด

(1)       สิ่งแวดล้อมทางการตลาด ต้นทุน ส่วนประสมการตลาดอื่น

(2)       ลูกค้า ต้นทุน คู่แข่ง     (3) ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก

(4) ผลกำไร กฎหมาย การแข่งขัน       (5) ลูกค้า ผลกำไร คู่แข่งขัน สิ่งแวดล้อม

ตอบ 1 หน้า 280 – 282, (คำบรรยาย) การกำหนดราคาควรคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

1.         สิ่งแวดล้อมทางการตลาด เช่น สภาพเศรษฐกิจ กฎหมาย รัฐบาล คู่แข่งขัน ลูกค้า ฯลฯ

2.         ต้นทุนสินค้าหรือบริการ          3. ส่วนประสมการตลาดอื่น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ ช่องทางการจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการตลาด

88.    ข้อใดแสดงถึงนโยบายราคาในส่วนของระดับราคาที่กิจการจะปฏิบัติ

(1) สินค้าในร้านทุกชิ้นราคาเดียวคือ 99 บาท (2) ราคานาทีทองช่วง 12.00 – 13.00 บ.

(3) ลด Clearance Sale        (4) Loss-Leader Pricing

(5) ร้านค้าสมัยใหม่นิยมใช้ราคาแบบ “Everyday Low Prices”

ตอบ 5 หน้า 282 นโยบายราคาในส่วนที่เกี่ยวกับระดับราคาที่กิจการจะปฏิบัติ มี 3 วิธี ดังนี้

1.      กิจการจะตั้งราคาตามราคาตลาด เพื่อป้องกันการแข่งขันกันลดราคา (Price War)

2.      กิจการจะตั้งราคาต่ำกว่าราคาตลาด เพื่อให้ได้ส่วนครองตลาดมากขึ้น เช่น ร้านค้าสมัยใหม่ (Modern Trade) จะนิยมใช้นโยบายราคาแบบ Everyday Low Prices (ราคาต่ำทุกวัน) ฯลฯ

3.      กิจการจะตั้งราคาสูงกว่าราคาตลาด เพื่อแสดงว่าสินค้ามีศักดิ์ศรีเหนือกว่าคู่แข่ง

89.    ข้อใดแสดงถึงแนวคิดการกำหนดราคาโดยมุ่งที่ลูกค้า

(1) ตั้งราคาแบบ Mark up        (2) ตั้งราคาตามคู่แข่งขัน

(3) ตั้งราคาตามการรับรู้คุณค่าสินค้าของลูกค้า        (4) ตั้งราคาเพื่อการประมูล

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 292 กลยุทธ์การกำหนดราคาโดยมุ่งที่อุปสงค์ เป็นการแสดงถึงแนวคิดการกำหนด ราคาโดยมุ่งที่ความต้องการของลูกค้า ซึ่งปัจจัยที่มีส่วนในการกำหนดราคามี 2 ประการ คือ

1.      การรับรู้ถึงคุณค่าของสินค้าที่ผู้บริโภคคาดว่าจะได้รับ

2.      อุปสงค์หรือความต้องการของผู้ซื้อ (Demand)

90.    ไอศกรีมราคาโคนละ 7 บาท แฮมเบอร์เกอร์ไก่ 19 บาท ของร้านแมคโดนัลด์ จัดเป็นยุทธวิธีราคาข้อใด

(1)    ราคาล่อใจ (Loss-Leader Pricing)    (2) ราคาเชิงระดับ (Price Lining)

(3) ราคาแสดงเกียรติภูมิ       (4) ราคาตามความเคยชิน

(5) ราคามาตรฐาน

ตอบ 1 หน้า 296 การตั้งราคาล่อใจ (Loss-Leader Pricing) เป็นวิธีการตั้งราคาสินค้าใดสินค้าหนึ่ง ให้ตำมากหรือต่ำกว่าทุน เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้าร้านและซื้อสินค้าชนิดอื่นด้วย สินค้าที่ลดราคา ควรเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคยอมรับ มีชื่อเสียง และน่าสนใจ เช่น ยุทธวิธีในการกำหนดราคาของ ร้านอาหาร Fast Food ที่ขายอาหารเป็นชุดประหยัด หรือขายในราคาถูกมาก ๆ เพื่อดึงดูด ให้ลูกค้าเข้าร้าน เป็นต้น

91.    ผู้ขายเฟอร์นิเจอร์มีต้นทุนแปรผันการผลิตตู้เสื้อผ้าตัวละ 1,200 บาท ต้องการกำหนดราคาขายโดยได้รับกำไรร้อยละ 25 จากราคาขาย ควรกำหนดราคาขายตู้ใบละเท่าใด         

(1) 1,500 บาท        

(2)  1,600 บาท  

(3) 1,800 บาท       

(4) 2,000 บาท       

(5) 2,400 บาท

ตอบ 2

92.    จากราคาขายตามข้อ 91. ถ้ามีต้นทุนคงที่ต่อเดือนเท่ากับ 50,000 บาท ต้องขายตู้กี่ตัวต่อเดือนจึงจะคุ้มทุน

(1) 80 ตัว     (2) 100 ตัว    (3) 125 ตัว     (4) 150 ตัว       (5) 160 ตัว

ตอบ 3

93.       สินค้าในข้อใดที่มีการใช้นโยบายราคาแบบตักตวงกำไรในระยะแนะนำ

(1) สินค้านวัตกรรมใหม่           (2)       แชมพูสูตรสมุนไพร      (3)       อาหารแนวชีวจิต

(4) น้ำอัดลมรสชาติใหม่          (5)       เครื่องสำอางมุ่งกลุ่มวัยรุ่น

ตอบ 1 หน้า 294 การตั้งราคาเพื่อตักตวง (Skim the Cream Pricing) คือ การที่ธุรกิจตั้งราคาเริ่มแรกสูงเพื่อให้ได้กำไรสูง ส่วนใหญ่มักขายให้กับส่วนของตลาดที่จำกัด และเหมาะกับผลิตภัณฑ์ ที่มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในระดับสูง โดยสถานการณ์ที่เหมาะสมกับการตั้งราคาสูง ได้แก่

1.         เป็นสินค้านวัตกรรมใหม่ที่มีความใหม่ต่อตลาดและมีกำลังการผลิตจำกัด

2.         อุปสงค์ของสินค้ามีความยืดหยุ่นต่อราคาน้อย           3. ตลาดมีขนาดเล็ก

4. ลักษณะการแข่งขันเป็นแบบผู้ขายรายเดียว           5. ผู้ผลิตเป็นผู้นำทางด้านราคา

6. ต้องการสร้างภาพพจน์ให้กับสินค้าว่าเป็นสินค้าคุณภาพดี

94.       การตั้งราคาต่ำเพื่อกระตุ้นการขยายตัวของตลาดสำหรับสินค้าใหม่ระยะแนะนำคือข้อใด

(1) ตั้งราคาเพื่อตักตวง            (2)       ตั้งราคาเพื่อเจาะตลาด            (3)       ตั้งราคาเชิงระดับ

(4) ตั้งราคาให้แลดูน้อยโดยใช้เลขคี่    (5)       ตั้งราคาล่อใจ (Loss-Leader Pricing)

ตอบ 2 หน้า 294 การตั้งราคาเพื่อเจาะตลาด (Penetration Pricing) คือ การที่ธุรกิจตั้งราคาต่ำ เพื่อกระตุ้นให้ตลาดขยายตัว ซึ่งจะทำให้ได้ส่วนครองตลาดเพิ่มขึ้น และเป็นการกำจัดคู่แข่งขัน นอกจากนี้ยังทำเพื่อผลิตสินค้าเป็นจำนวนมากเพราะก่อให้เกิดการประหยัด ทั้งนี้เนื่องจาก ขนาดการผลิตที่เต็มกำลังความสามารถ จะทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง อีกทั้งยังเป็นกลยุทธ์ ในการกำหนดราคาที่เหมาะสมสำหรับสินค้าใหม่ในระยะแนะนำอีกด้วย

95.       ข้อใดคือตราสินค้าระดับชาติและโลก

(1) กระทิงแดง         (2) สิงห์   (3) ช้าง            (4) CPF       (5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 (คำบรรยาย) ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตสินค้าที่เป็นของคนไทยหลายบริษัทสามารถผลักดัน ตราสินค้าของตนให้เป็นตราสินค้าระดับชาติและระดับโลก เช่น กระทิงแดง (Red Bull)  สิงห์ ช้าง และ CPF (บริษัทในเครือ CP หรือเจริญโภคภัณฑ์) เป็นต้น

96.       ข้อใดคือการกำหนดราคาโดยคำนึงถึงความแตกต่างทางอุปสงค์ (Demand)

(1) ค่าตั๋วชมละครเวทีแตกต่างกับตามโซนที่นัง           (2) ค่าตั๋วโดยสารเด็กและผู้สูงอายุลด 50% จากปกติ

(3)       ราคาสินค้าที่ขายในต่างประเทศสูงกว่าขายในประเทศ

(4)       ข้อ 1 และ 2 ถูก           (5) ข้อ 2 และ 3 ถูก

ตอบ 1 หน้า 296 – 297 การตั้งราคาโดยคำนึงถึงความแตกต่างของอุปสงค์ หมายถึง สินค้า

ชนิดเดียวกันและมีต้นทุนเท่ากัน แต่ขายในราคาที่แตกต่างกันให้แก่ผู้ซื้อที่มากกว่า 1 กลุ่ม ซึ่งราคาที่แตกต่างกันนี้ก็เนื่องมาจากความแตกต่างที่เกิดขึ้นใน 4 รูปแบบ คือ 1. ทางด้านลูกค้า          2. ทางด้านรูปแบบของผลิตภัณฑ์       3. ทางด้านสถานที่ (เช่น ค่าตั๋ว ชมภาพยนตร์หรือละครเวทีจะแตกต่างกันตามโซนที่นั่ง ฯลฯ) 4. ทางด้านเวลา

97.       ข้อใดจัดเป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการทางการตลาด

(1) จัดทำแผนการตลาด          (2) วิเคราะห์โอกาสทางการตลาด

(3) กำหนดวัตถุประสงค์ทางการตลาด           (4) วางแผนผลิตภัณฑ์

(5) พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่

ตอบ 2 หน้า 88 กระบวนการทางการตลาด มี 4 ขั้นตอน ดังนี้

1.         การวิเคราะห์โอกาสทางการตลาด       2. การเลือกตลาดเป้าหมาย

3. กลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด   4. การพัฒนาระบบบริหารการตลาด

98.       ข้อใดเกี่ยวข้องน้อยที่สุดกับการพัฒนาระบบบริหารการตลาด

(1) การวางแผนการตลาด       (2) การจัดระบบควบคุมทางการตลาด

(3) การจัดโครงสร้างหน่วยงานทางการตลาด (4) การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่

(5) การพัฒนาระบบข้อมูลและการวิจัยตลาด

ตอบ 4 หน้า 102 – 103 การพัฒนาระบบบริหารการตลาด มีงานสำคัญ 3 ประการ คือ

1.         ระบบการวางแผนและควบคุมทางการตลาด

2.         ระบบข้อมูลข่าวสารทางการตลาด

3.         ระบบโครงสร้างองค์การทางการตลาด

ข้อ 99. – 100. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) Market Penetration     (2) Market Development

(3) Forward Integration    (4) Backward Integration

(5) Diversification Growth

99.       บริษัทได้ทุ่มเทงบประมาณในการส่งเสริมการตลาดสินค้าปัจจุบันของบริษัทเพิ่มขึ้น เพื่อหวังเพิ่มยอดขาย และส่วนครองตลาดในปีนี้ จัดเป็นการใช้กลยุทธ์แบบใด

ตอบ 1 หน้า 86 การแทรกซึมตลาด (Market Penetration) เป็นกลยุทธ์การตลาดเพื่อการเจริญเติบโต แบบ Intensive Growth ซึ่งกิจการทยายามจะเพิ่มยอดขายสินค้าที่มีอยู่แล้วให้ได้ปริมาณ มากขึ้นในตลาดปัจจุบัน โดยทุ่มเทความพยายามทางการตลาดอย่างหนักหน่วงมากขึ้นกว่าเดิม

100.    บริษัทที่เคยทำธุรกิจด้านการค้าปลีกได้ไปลงทุนในกิจการด้านภัตตาคารไทยในต่างประเทศ เนื่องจาก เห็นโอกาสทางการตลาดของธุรกิจเหล่านั้น อันเป็นผลสืบเนื่องจากนโยบายครัวไทยสู่ตลาดโลก เป็นการใช้กลยุทธ์การเติบโตแบบใด

ตอบ 5 หน้า 86 – 87 กลยุทธ์เพื่อการเจริญเติบโตแบบ Diversification Growth โดยใช้แนวทางด้าน Conglomerate Diversification เป็นลักษณะการขยายตัวของกิจการโดยการเพิ่มสินค้าใหม่ ที่ไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับเทคโนโลยีและตลาดปัจจุบันของกิจการเลย โดยจะมุ่งเข้าสู่ ตลาดเป้าหมายกลุ่มใหม่

ข้อ 101. – 102. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) ต้องการสินค้า (Wants)          

(2) เข้าพบได้ (Reachability)

(3) อำนาจตัดสินใจ (Authority) 

(4) จ่ายเงินได้ (Ability)

(5) ต้องการเวลาตัดสินใจ (Temporality)

101. โทรศัพท์มือถือขายได้ทุกแหล่งในขณะที่เครื่องดูดฝุ่นใช้ได้บางสถานที่ เป็นเหตุของข้อใด

ตอบ 1 หน้า 472 – 474 คุณสมบัติของลูกค้ามุ่งหวัง (Prospect) มี 5 ประการ ดังนี้

1.      มีความจำเป็นหรือมีความต้องการสินค้า (Wants) นั่นคือ นักขายต้องพิจารณาดูว่า สินค้าของตนเหมาะที่จะขายให้กับลูกค้ากลุ่มใด

2.      มีความสามารถจ่ายเงินได้ (Ability to Purchase) หรือมีอำนาจซื้อ

3.      มีอำนาจในการตัดสินใจซื้อ (Authority)

4.      นักขายสามารถเข้าพบหรือเข้าถึงลูกค้าได้ (Reachability)

5.      มีคุณสมบัติหรือข้อกำหนดเฉพาะครบถ้วน (Eligibility)

102. นักขายต้องเอาชนะอุปสรรคการขายมากกว่าปกติ เป็นเหตุจากข้อใด

ตอบ 4 หน้า 500 – 502,(ดูคำอธิบายข้อ 101.ประกอบ) อุปสรรคในการขายส่วนใหญ่เกิดขึ้นจาก การที่ความต้องการของลูกค้าแต่ละคนไม่มีทีสิ้นสุด แต่อำนาจซื้อหรือความสามารถในการจ่ายเงิน มีอยู่อย่างจำกัด ผู้ซื้อจึงพยายามเลือกสิ่งทีดีที่สุดและเสียผลประโยชน์น้อยที่สุดเสมอ ดังนั้น นักขายจึงต้องเผชิญกับการโต้แย้งหรือข้อเรียกร้องที่บ่ายเบี่ยงไปจากข้อเสนอขายของเขาอยู่เสมอ ทำให้นักขายต้องใช้ความพยายามเพื่อเอาชนะอุปสรรคการขายมากกว่าปกติ

ข้อ 103. – 104. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) อ้างถึง บอกต่อ    (2) จดหมายไปรษณีย์            (3) สาธิตสินค้า

(4) โทรศัพท์   (5) อินเทอร์เน็ต

103. วิธีการใดใช้ร่วมกับการกรอกแบบสอบถามเพิ่มเติมเพื่อเฟ้นหาตัวลูกค้า

ตอบ 2 หน้า 481 – 482 การแสวงหาลูกค้ามุ่งหวังโดยใช้วิธีส่งจดหมายทางไปรษณีย์ไปถึงลูกค้า โดยตรงนั้น มักนิยมนำมาใช้ควบคู่กับการกรอกแบบสอบถามเพิ่มเติม (Inquiry) โดยนักขาย จะส่งคูปองและข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าไปถึงมือลูกค้าพร้อมกับจดหมายทางไปรษณีย์ และ ให้ตอบกลับมาในใบสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งแสดงว่า ลูกค้าที่กรอกข้อมูลส่งกลับมานั้น เป็นผู้ที่มีความสนใจจริง นักขายก็สามารถรวบรวมชื่อลูกค้าเหล่านี้เข้าเป็นกลุ่มลูกค้ามุ่งหวัง แล้วติดตามไปพบปะได้ในโอกาสอื่นๆ ต่อไป

104. วิธีการใดต้องคำนึงถึงโอกาสและกาลเทศะ จึงจะได้ผลดี

ตอบ 4 หน้า 482 – 483 การแสวงหาลูกค้ามุ่งหวังโดยทางโทรศัพท์ เป็นวิธีที่นักขายเลือกใช้ในการ จำหน่ายสินค้าบางชนิด เช่น การประกันภัย การกำจัดและป้องกันแมลงหรือปลวก ฯลฯ ซึ่งวิธีนี้ จะช่วยให้นักขายประหยัดแรงงานและคำใช้จ่ายในการตระเวนพบเพื่อหว่านการขายของตน ให้กับลูกค้าอย่างไม่มีจุดหมายปลายทางแน่นอน และสามารถทดสอบความสนใจเบื้องต้นเกี่ยวกับ สินค้าได้ดี อย่างไรก็ตาม นักขายจะต้องคำนึงถึงจังหวะเวลาหรือโอกาส ความพร้อมของลูกค้า และความเหมาะสมกับกาลเทศะ จึงจะใช้วิธีนี้อย่างได้ผล

105. การกำหนดวัตถุประสงค์หน่วยขายมีภารกิจแรกคืออะไร

(1) ประเมินจำนวนลูกค้า       (2) ประเมินจำนวนนักขาย

(3) ประเมินความสามารถที่จะทำอะไรได้บ้าง           (4) ประเมินเงินทุนดำเนินงาน

(5) ประเมินสถานการณ์แวดล้อมงานขาย

ตอบ 3 หน้า 527 – 528 การกำหนดวัตถุประสงค์ของหน่วยงาบขาย เป็นภารกิจประการแรกที่ หน่วยงานขายจะต้องรับผิดชอบ และเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการวางแผนงานขาย โดยทั่วไป วัตถุประสงค์มักเป็นสิ่งที่กิจการระบุไว้สั้น ๆ เพื่อบอกให้รู้ว่า กิจการจะสามารถทำอะไรได้บ้าง ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ๆ ในอนาคตอันใกล้นี้โดยอาจระบุไว้เป็นปริมาณขาย ส่วนครองตลาด ค่าใช้จ่ายในการขาย คุณภาพของงานขาย ฯลฯ ซึ่งต้องให้มีความชัดเจนมากพอที่จะนำมา กำหนดแนวทางปฏิบัติต่อไปได้ และต้องสอดคล้องอับวัตถุประสงค์รวมของกิจการนั้นด้วย

106.    ขนาดของหน่วยงานขายพิจารณาจากเรื่องใด          

(1) ทำเลที่ตั้งของสำนักงานขาย

(2)       ภาระงานขายของนักขาย       (3) คุณภาพของนักขาย

(4)       งบประมาณและค่าตอบแทนขาย      (5) ความเสมอภาคในสิทธิการออกปฏิบัติงานขาย

ตอบ 2 หน้า 531 การกำหนดขนาดของหน่วยทบขายอาจใช้ได้หลายวิธี แต่วิธีทีนิยมกันอย่างกว้างขวางก็คือ กำหนดจำนวนพนักงานขายโดยพิจารณาจากภาระงานที่ต้องปฏิบัติ (Work Load) ตาม แนวความคิดของ Walter J. Talley ซึ่งถือหลักการกระจายภาระงานขายให้กับนักขายทุกคน โดยเท่าเทียมกัน

107.    แหล่งของนักขายจากภายในกิจการต้องพิจารณาคุณสมบัตินักขายจากอะไร

(1) ความรู้ความลามารถเฉพาะด้านการขาย   (2) ระยะการเดินทางจากที่พัก

(3)       เงินเดือนเดิมที่เคยได้รับ         (4) ประวัติการศึกษา

(5)       ความประพฤติ

ตอบ 5 หน้า 533 การแสวงหานักขายจากแหล่งภายในกิจการ เป็นวิธีที่กิจการต้องการสนับสนุนนักขายของกิจการให้มีความก้าวหน้าและล่งเสริมให้นักขายมีขวัญกำลังใจทีดีขึ้น วิธีนี้มีข้อดีหลายประการ ได้แก่

1.         นักขายเหล่านี้ต่างก็รู้ถึงนโยบายขอ3กิจการเป็นอย่างดือยู่แล้ว

2.         ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการแสวงหา การคัดเลือก และการฝึกอบรม

3.         ฝ่ายบริหารรู้จักอุปนิสัย ความประพฤติ และประวัติการทำงานของนักขายเหล่านี้ เป็นอย่างดี จึงทำให้ง่ายต่อการคัดเลือกคนตามที่ต้องการ

108.    การฝึกอบรมแบบต่อเนื่อง (Continuous Training) เหมาะกับกรณีใด

(1) นักขายเก่าที่มีผลงานไม่ดี  (2) นักขายใหม่ที่ขาดประสบการณ์

(3) นักขายเก่าที่มีผลงานดีเลิศ            (4) นักขายใหม่ที่มีค่าตอบแทนสูง

(5) นักขายใหม่ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในสินค้านั้น

ตอบ 1 หน้า 535 – 536 การฝึกอบรม มี 2 ระยะ ได้แก่

1.         การฝึกอบรมเบื้องต้น (Initial Training) จะให้ความรู้เบื้องต้นที่เป็นพื้นฐานสำคัญของนักขาย หน้าใหม่ที่ขาดประสบการณ์หรือยังไม่เคยผ่านงานขายมาก่อน ส่วนใหญ่มักให้ความรู้เกี่ยวกับ ประวัติความเป็นมาของบริษัท นโยบายทางการตลาดและการขายเทคนิคการขาย เป็นต้น

2.         การฝึกอบรมแบบต่อเนือง (Continuous Training) มักใช้กับนักขายที่มีประสบการณ์ทาง การขายมาก่อน แต่อาจมีผลงานที่ยังไม่ดีนัก โดยกิจการจะเรียกมาอบรมในส่วนทีต้องการให้รู้ เพิ่มขึ้น หรือการเปลี่ยนแปลงแนวนโยบายที่สำคัญ เช่น นโยบายทางการขาย อาณาเขตขาย เทคโนโลยีใหม่ ๆ เกี่ยวกับการผลิตและตัวสินค้า กลยุทธ์การขายใหม่ ๆ เป็นต้น

109.    ข้อมูลเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมการขายมีประโยชน์อย่างไร

(1)       สามารถนัดหมายลูกค้าได้โดยใช้เวลาไม่มาก

(2)       สามารถกล่าวอ้างถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการขายได้น่าเชื่อถือ

(3)       ตัดสินใจลดราคาขายตามที่ลูกค้าต่อรองได้ทันที

(4)       จัดงบประมาณขายได้เหมาะกับสถานที่ที่จะไบ่ขาย

(5)       กำหนดมาตรฐานคุณภาพสินค้าที่เหมาะสมกับลูกค้าได้ดี

ตอบ 1 หน้า 488 – 489 ข้อมูลเกี่ยวกับสภาวะแวดล้อมทางการขาย เป็นสภาวะแวดล้อมที่นักขาย พิจารณาในระหว่างการสร้างส้มพันธภาพทางการขายกับลูกค้าของเขาอย่างถี่ถ้วน เพื่อเตรียมการ ให้พร้อมที่จะเผชิญกับภาวการณ์ขายตามสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งสภาวะแวดล้อม ทางการขายที่นักขายให้ความสนใจ เช่น ภาวะการแข่งขันในตลาด บรรยากาศในการเจรจา การขาย เวลาและสถานที่ในการนัดหมายกับลูกค้า เป็นต้น

110.    ข้อใดที่เป็นประเด็นสำคัญช่วยให้ปิดการขายได้สำเร็จ         

(1) การสั่งเสนอซื้อจากลูกค้า

(2)       บรรยากาศที่สอดคล้องกับสินค้าชนิดนั้น       (3) ข้อตกลงเรื่องราคาที่ต่อรองได้สิ้นสุดลง

(4)       ร่องรอยจากอาการแสดงออกของลูกค้า         (5) ทดสอบคุณภาพสินค้าให้ปรากฏ

ตอบ 5 หน้า 503 – 505 การสาธิตสินค้า (Demonstration) ถือว่าเป็นประเด็นสำคัญที่ช่วยให้นักขาย ปิดการขายได้สำเร็จโดยใช้เวลาไม่นานนัก ทั้งนี้เพราะการสาธิตสินค้าสามารถดึงดูดความสนใจ และความรู้สึกเข้าไปมีส่วนร่วมในงานขายได้ดี โดยลูกค้าสามารถทำความเข้าใจสินค้าที่มี ความซับซ้อนในการใช้งานได้ด้วยการจับต้อง ลูบคลำ สัมผัส ทดลองใช้เพื่อทดสอบคุณภาพ ของสินค้า หรือได้ชมการปฏิบัติงานของสินค้านั้นจริง ๆ ซึ่งทำให้ลูกค้ารู้สึกแน่ใจในสินค้านั้น และมั่นใจพอที่จะตัดสินใจสั่งซื้อสินค้าในที่สุด

111.    การติดตามผลภายหลังการขายไม่ได้ระบุไว้ให้เป็นข้อใด

(1)       ขอบคุณที่ยังไม่สั่งซื้อ  

(2) หาทางระบายอารมณ์เสียออกไปก่อน

(3)       แสดงความสนใจในเรื่องของลูกค้าที่ไม่น่าสนใจ        

(4) โทรติดตามลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ

(5)       เสนอผลประโยชน์เพิ่มเติมหลังการขาย

ตอบ 3 หน้า 507 – 508 การติดตามผลภายหลังการขายมีแนวปฏิบัติหลายประการ ดังนี้

1.         ในกรณีที่ลูกค้าปฏิเสธหรือเลื่อนการสั่งซื้อสินค้าออกไป นักขายจะต้องไม่แสดงความขุ่นเคืองใจ หรืออาการใด ๆ ออกมา แต่ยังคงรักษาอาการสุภาพเอาไว้เสมอ

2.         แสดงความขอบคุณที่ลูกค้าสละเวลาให้เข้าพบ

3.         ถ้านักขายเสียอารมณ์มาก ๆ ควรหาทางระบายอารมณ์ให้ผ่องใสเสียก่อน จึงจะเริ่มการขายรายต่อไป

4.         รับข้อเสนอหรือข้อเรียกร้องต่าง ๆ ของลูกค้าไว้พิจารณา

5.         ปรับปรุงการให้บริการต่าง ๆ ของกิจการ

6.         มีการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ

7.         ออกไปเยี่ยมเยียนลูกค้าเป็นระยะ ๆ เพื่อกระชับความส้มพันธ์ระหว่างกัน

112.    โซ่ไม่มีปลายเป็นวิธีหาลูกค้าเหมาะกับแบบใด         

(1)ขายสินค้าในร้านค้าปลีก         

(2)   ขายกับแผงลอย         

(3) ขายบริการ

(4) ขายของผิดกฎหมาย         

(5)ขายสารเคมี

ตอบ 3 หน้า 477 วิธีโซ่ไม่มีปลาย เป็นวิธีที่ทำให้นักขายสามารถหารายชื่อลูกค้าได้เพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 1 ราย เมื่อเขาไปพบลูกค้าที่ได้นัดหมายและขอร้องให้ลูกค้าแนะนำชื่อคนอีก 1 คนให้เขาด้วย วิธีนี้เหมาะกับการขายสินค้าประเภทไม่มีตัวตน (Intangible product) หรือขายบริการ เช่น บริการกำจัดปลวก การประกันภัย การอบรมหลักสูตรต่าง ๆ เป็นต้น

ข้อ 113, – 117. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) การตลาดเป้าหมาย           (2) การตลาดมวลชน

(3) การตลาดผลิตภัณฑ์แตกต่าง        (4) การแบ่งส่วนตลาด

(5) การวางกลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด

113.    หลังจากกำหนดตลาดเป้าหมายได้แล้ว นักการตลาดจะดำเนินการใด

ตอบ 5 หน้า 169 หลังจากที่มีการแบ่งตลาดรวมออกเป็นตลาดส่วนย่อย ๆ แล้ว นักการตลาดจะเลือก ตลาดส่วนแบ่งออกมาเพียงหนึ่งหรือมากกว่านั้น เพื่อกำหนดเป็นตลาดเป้าหมายของกิจการ จากนั้น จะมีการกำหนดตำแหน่ง (Positioning) ของตลาด แล้วจัดวางกลยุทธ์ส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix strategy) สำหรับตลาดนั้น ๆ เพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมายต่อไป

114.    วิธีการรวบรวมเข้าด้วยกัน Aggregation นำมาใช้สำหรับ

ตอบ 4 หน้า 172 การแบ่งส่วนตลาดเป็นการทำให้ตลาดเป้าหมายของกิจการมีขนาดเล็กลงกว่า ตลาดรวม โดยนักการตลาดจะใช้วิธีการรวมเข้าด้วยกันหรือที่เรียกว่า “Aggregate” ซึ่งจะต้อง พิจารณาเลือกเอาตัวแปรจำนวนหนึ่งที่มีความเหมาะสมกับสินค้าชนิดนั้น ๆ แล้วนำมาใช้เป็น เกณฑ์ในการรวมกลุ่มผู้บริโภคจำนวนหนึ่งเข้ามาไว้ด้วยกัน

115.    การจัดให้มีผลิตภัณฑ์อาหารประเภทบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสเนื้อ รสต้มยำ และรสพะโล้ข้าวต้มและโจ๊กสำเร็จรูป รสกุ้ง และหมู ซุปน้ำใสรสหอม รสเห็ด และรสข้าวโพด

ตอบ 3 หน้า 168 การตลาดผลิตภัณฑ์แตกต่าง (Product Differentiated Marketing) หมายถึง การดำเนินการตลาดโดยผลิตสินค้ามากกว่าหนึ่งชนิดที่ได้กำหนดให้มีความแตกต่างไปจาก สินค้าประเภทเดียวกันของคู่แข่งขัน ทั้งในด้านรูปลักษณะ แบบ คุณภาพ ขนาด ความสามารถ ในการปฏิบัติงาน ประโยชน์ใช้สอย และอื่น ๆ ซึ่งเป็นการสร้างผลิตภัณฑ์หลากหลายรูปแบบ เพื่อเสนอโอกาสให้ลูกค้าทั้งมวลเลือกสรรจนเป็นที่พอใจอย่างแท้จริง

116.    การจัดกลุ่มผู้บริโภคที่มีความคล้ายคลึงกันและแตกต่างจากผู้บริโภคในกลุ่มอื่น ๆ

ตอบ 4 หน้า 170 การแบ่งส่วนตลาด (Market Segmentation) คือ การแบ่งตลาดรวมออกเป็น ส่วนย่อย ๆ โดยตลาดแต่ละส่วนจะประกอบด้วยผู้บริโภคที่มีตัวแปรร่วมที่คล้ายคลึงกันหรือ เป็นอย่างเดียวกัน นักการตลาดจะเลือกตลาดส่วนแบ่งนี้ขึ้นมาเป็นเป้าหมายในการดำเนินงาน ทางการตลาดของตน โดยใช้กลยุทธ์สวนประสมทางการตลาดที่ได้จัดวางขึ้นโดยเฉพาะสำหรับ ตลาดเป้าหมายนั้น ๆ

117.    สามารถกำหนดโอกาสทางการตลาดของกิจการได้ชัดเจน จากการสำรวจหาความต้องการของผู้บริโภค ในตลาดอย่างถี่ถ้วน โดยอาศัยวิธีการใด

ตอบ 1 หน้า 168 – 169 ข้อดีของการกำหนดตลาดเป้าหมาย มี 3 ประการ ดังนี้

1.         สามารถกำหนดโอกาสทางการตลาดได้ชัดเจน เนื่องจากนักการตลาดสามารถพิจารณา ความต้องการของผู้บริโภคในตลาดส่วนนั้น ๆ ได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน

2.         สามารถปรับแต่งผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความมุ่งหวังของลูกค้าในตลาดได้โดยสมบูรณ์

3.         สามารถปรับแต่งองค์ประกอบของส่วนประสมทางการตลาดให้เหมาะสมกับผู้บริโภคแต่ละกลุ่ม โดยแท้จริง

118.    ข้อใดเป็นกรณีที่เหมาะจะใช้โอกาสซื้อสินค้าเป็นตัวแปรสำคัญในการแบ่งส่วนตลาด

(1)       ต้องการให้ใช้ยาสีฟันผสมเกลือแร่เป็นประจำ

(2)       ผู้ซื้อจะเพิ่มการซื้อมากขึ้น ถ้าราคาถูกลง

(3)       ขายรถยนต์บรรทุกกระบะสำหรับคนที่ต้องการเนื้อที่และน้ำหนักบรรทุกมากขึ้นกว่าปกติ

(4)       ขายรถจักรยานยนต์สำหรับกลุ่มวัยรุ่นต้องการความเร็วสูง

(5)       ต้องการให้ผู้บริโภคดื่มน้ำส้มสดในระหว่างมื้อเย็น

ตอบ 5 หน้า 184 การแบ่งส่วนตลาดโดยใช้โอกาสซื้อ มักถูกนำมาใช้ในกรณีที่กิจการต้องการจัดกลุ่ม หรือแยกชนิดสินค้าไว้เป็นพวก เช่น กิจการได้พยายามสนับสนุนให้ผู้บริโภคหันมาดื่มน้ำส้มสด ที่นิยมดื่มในตอนเช้าให้มาดื่มในระหว่างอาหารมื้อเย็นด้วย นอกจากนี้ยังรวมถึงโอกาสในการ ซื้อสินค้าในช่วงเทศกาลต่าง ๆ เช่น วันสงกรานต์ วันตรุษจีน วันปีใหม่ เป็นต้น

119.    คุณสมบัติของส่วนตลาดที่ว่า เข้าถึงได้” หมายความว่า…

(1)       รู้ว่าผู้ซื้อคือใคร มีจำนวนมากเท่าใด

(2)       ลูกค้าอยู่ในทำเลที่กิจการขายได้โดยสะดวกรวดเร็ว โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากเกินไป

(3)       อยู่ในท้องถิ่นที่มีการคมนาคมดี

(4)       มีปริมาณความต้องการหนาแน่นในบริเวณนั้น

(5)       มีรายละเอียดข้อมูลผู้บริโภคขัดเจนเพียงพอที่จะจัดวางกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะกับเป้าหมายได้

ตอบ 5 หน้า 192 เกณฑ์การแบ่งส่วนตลาดที่มีประสิทธิภาพ มี 3 ประการ ดังนี้

1.         วัดค่าได้ หมายถึง ตลาดส่วนแบ่งนั้นต้องสามารถกำหนดได้อย่างชัดเจนในลักษณะที่สามารถ วัดค่าออกมาได้ เช่น ขนาดของตลาด อำนาจซื้อ ฯลฯ

2.         เข้าถึงได้ หมายถึง ตลาดส่วนแบ่งนั้นจะต้องสามารถเข้าถึงและตอบสนองผู้บริโภคในกลุ่มนั้นได้ โดยนักการตลาดจะต้องมีรายละเอียดข้อมูลของผู้บริโภคชัดเจนเพียงพอที่จะจัดวางกลยุทธ์ ทางการตลาดที่เหมาะกับเป้าหมายได้

3.         ขนาดพอเหมาะ หมายถึง ตลาดส่วนแบ่งนั้นต้องมีขนาดใหญ่พอที่จะให้ผลกำไรแก่กิจการได้

120.    ข้อใดเป็นกลยุทธ์การตลาดเป้าหมายแบบมุ่งเฉพาะตลาด

(1)       “ผงน้ำยาล้างจานใช้สำหรับผลิตภัณฑ์เมลานีน

(2)       ปากกาลูกลื่นตราใหม่ราคา 3 บาท มุ่งขายนักเรียนและนักศึกษาเป็นหลักใหญ่

(3)       หนังสือพิมพ์รายวันออกทุกวันพุธและอาทิตย์ ฉบับละ 8 บาท

(4)       สบู่ครีมกลิ่นน้ำหอมตราใหม่ คลีโอ” ราคา 10บาท

(5)       สายผลิตภัณฑ์เครื่องประดับทำจากเพชรเลี้ยงทุกขึ้น ทุกแบบ และมีหลายชนิด ครบทั้งสายผลิตภัณฑ์

ตอบ 1 หน้า 200 การตลาดแบบมุ่งเฉพาะ (Concentrated Marketing) นั้น กิจการจะพิจารณาตลาดเป้าหมายของตน โดยเลือกตลาดส่วนแบ่งตลาดใดตลาดหนึ่งเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น ทั้งนี้ จะมุ่งเฉพาะไปในตลาดที่ได้พิจารณาเห็นว่ามีความน่าสนใจ หรือมีโอกาสทางการตลาดดีกว่า ตลาดส่วนอื่น ๆ ซึ่งวิธีนี้จะทำให้กิจการมีโอกาสครอบครองหรือยึดตลาดไว้ได้อย่างเหนียวแน่น สามารถแทรกซึมเข้าตลาดได้ลึกซึ้ง และมีสภาพทางการตลาดที่มั่นคง

MCS4106 (MCS4170) การวิจัยสื่อสารมวลชนเบื้องต้น การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา MCS 4106 (MCS 4170) การวิจัยสื่อสารมวลชนเบื้องต้น

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1.         ใครเป็นผู้กล่าวข้อความ ความรู้ทุกแห่งหนในโลกของเรานั้นยังไม่สมบูรณ์…ปัญหาต่าง ๆ ยังรอการแก้ไขอยู่ ” ต่อไปนี้

(1)       Parsons & Shills 

(2) Paul Leedy         

(3) Verstehen    

(4) Reiss

ตอบ 2 หน้า 11-12 Paul Leedy นักวิจัยทางสังคมศาสตร์กล่าวว่า ความรู้ทุกแห่งหนในโลกของเรานั้น ยังไม่สมบูรณ์ และปัญหาต่าง ๆ นั้นยังรอผู้แก้ไขให้ความกระจ่างแจ้งชัดเจนอยู่อีกมาก… บทบาทของการวิจัยก็คือ การตระเตรียมวิธีการที่จะให้ได้มาซึ่งคำตอบเหล่านี้โดยการศึกษา และแสวงหาความจริงในสากลโลก ภายใต้วิธีการทางวิทยาศาสตร์

2.         การวิจัยสื่อสารมวลชน มีความหมายอย่างไรดังต่อไปนี้

(1)       การรวบรวมข้อมูลภาคสนามนำมาทดสอบสมมุติฐานของการวิจัย

(2)       กระบวนการแสวงหาความรู้ใหม่ภายใต้วิธีการทางวิทยาศาสตร์

(3)       การตั้งคำถามเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงตามทฤษฎีสื่อสารมวลชน

(4)       กระบวนการค้นหาข่าวสารด้านสื่อสารมวลชนเพื่อการตีความตามหลักสถิติ

ตอบ 2 หน้า 11 การวิจัยสื่อสารมวลชน (Mass Communication Research) คือ กระบวนการ แสวงหาความรู้ใหม่ทางสื่อมวลชน หรือเป็นการค้นหาคำตอบจากปัญหาสื่อมวลชน โดยใช้ วิธีการหรือระเบียบวิธีการวิจัยแบบต่าง ๆ ภายใต้กระบวนการหรือวิธีการทางวิทยาศาสตร์ เข้าดำเนินการวิเคราะห์ค้นหาข้อเท็จจริงต่าง ๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับหัวข้อหรือปัญหาที่จะทำวิจัย ตามจุดมุ่งหมายของผู้วิจัยนั้นเป็นสำคัญ

3.         การวิจัยเรื่อง ความพึงพอใจของวัยรุ่นต่อการชมภาพยนตร์เรื่องเพศและความรุนแรง” นั้น อะไรเป็น ตัวแปรตามต่อไปนี้

(1)       ความพึงพอใจ (2) พฤติกรรมชอบความรุนแรง

(3) ภาพยนตร์เรื่องเพศ            (4) วัยรุ่นที่ชมภาพยนตร์

ตอบ 1 หน้า 84369 ตัวแปรตาม (Dependent Variables : DV) คือ ตัวแปรที่เกิดขึ้นจากผลของตัวแปรด่าง ๆ ที่สัมพันธ์กันนั้น หรือเป็นตัวแปรที่สามารถอธิบายได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์จาก กลุ่มหรือชุดของตัวแปรอิสระหลาย ๆ ตัวเข้าประกอบกัน เพื่ออธิบายหรือสรุปการทำบาย ตัวแปรตาม (DV) จากตัวแปรอิสระ (IV) ทำให้ในบางครั้งจึงเรียกตัวแปรตามว่า ตัวแปรผล” เพราะเกิดจากผลของตัวแปรอิสระ หรือขึ้นอยู่กับตัวแปรอิสระนั่นเอง เช่น จากหัวข้อวิจัยข้างต้น พบว่า ความพึงพอใจของวัยรุ่นเป็นตัวแปรตาม ส่วนภาพยนตร์เรื่องเพศและความรุนแรงเป็น ตัวแปรอิสระ เป็นต้น

4.         หลักการที่ใช้ Anonymity นั้น เกี่ยวกับเรื่องใดต่อไปนี้

(1) การรวบรวมข้อมูล  (2) การสร้างแบบสอบถาม

(3) การวัดผล   (4) จรรยาบรรณของนักวิจัย

ตอบ 4 หน้า 101 จรรยาบรรณลากลของนักวิจัยสื่อสารมวลชนในเรื่องสิทธิส่วนบุคคล (Privacy) ได้แก่

1.         การไม่เปิดเผยชื่อ (Anonymity) คือ การปกปิดชื่อ – สกุลของผู้ร่วมมือในการวิจัยนั้น ซึ่ง การไม่เปิดเผยชื่อจะยังคงเก็บรักษาไว้ได้ก็ต่อเมื่อผู้วิจัยไม่ได้ทิ้งเอกสารหรือแบบสอบถามใด ๆ ไว้เป็นหลักฐานในการตอบคำถามนั้น และนำมาเก็บไว้ใบสถานที่ที่ไม่เปิดเผย

2.         การปิดเป็นความลับ (Confidentiality) คือ การรับรองว่าผู้เข้าร่วมมือในการวิจัย จะไม่ถูกเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว โดยการตกลงว่าจะปิดเป็นความลับ ฯลฯ

5.         การทำงานของนักวิจัยสื่อสารมวลชนนั้น เริ่มที่เรื่องใดก่อนดังต่อไปนี้

(1)       แหล่งข้อมูล     (2) สมมุติฐาน  (3) ปัญหา       (4) การวิเคราะห์ปัญหา

ตอบ 3 หน้า 27 – 29 วิธีการดำเนินการวิจัยทางการสื่อสารมวลชนมีอยู่ 9 ขั้นตอน คือ

1.         เริ่มที่ปัญหาหรือคำถาม 2. ข้อมูลข่าวสารสนเทศในเรื่องของปัญหาหรือหัวข้อที่จะทำวิจัย 3.  วิธีการที่จะได้ข้อมูล   4. การวางแผนการวิจัย5. การดำเนินงานวิจัยตามแผนที่วางไว้ 6. กรรมวิธีข้อมูล  7. ขั้นการวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บมา        8. สรุปผลงานวิจัย  9. ขั้นรายงานผลวิจัยหรือขั้นเสนอผลงานต่อสื่อมวลชน

6.         ระดับที่ใช้กำหนดความมีนัยสำคัญทางสถิติที่ใช้มากที่สุดทางการวิจัยสื่อสารมวลชนนั้น ได้แก่ค่าใดต่อไปนี้

(1)       ระดับ .50        (2) ระดับ .005            (3) ระดับ .01   (4) ระดับ .05

ตอบ 4 หน้า 287292314357 ระดับความมีนัยสำคัญ (α = Alpha) หรือค่านัยสำคัญทางสถิติ (Statistical Significance) ที่นิยมเลือกใช้กันมากที่สุดในการวิจัยทางการสื่อสารมวลชน (โดยเฉพาะการวิจัยแบบสำรวจ) ซึ่งเป็นการศึกษาทางด้านสังคมศาสตร์ คือ ระดับ .05 (ยอมให้ผิดพลาด 5%) หรือมีค่าที่หวังได้เท่ากับ 95% นอกจากนี้ยังมีระดับที่นิยมเลือกใช้ รองลงมา คือ ระดับ .01 (ยอมให้ผิดพลาด 1%) หรือมีค่าที่หวังได้เท่ากับ 99% และระดับ .001 (ยอมให้ผิดพลาด 0.1%) หรือมีค่าที่หวังได้เท่ากับ 99.9%

7.         คำว่า วิทยาศาสตร์ (Science) มาจากคำละติน จะมีความหมายว่าอะไรต่อไปนี้

(1) To Learn       (2) To Know       (3) To Study       (4) To Educate

ตอบ 2 หน้า 660325327 คำว่า วิทยาศาสตร์” ซึ่งตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า Science มีรากศัพท์ มาจากคำภาษาละติน แปลว่า เพื่อที่จะรู้ (To Know)

8.         เครื่องมือที่สำคัญทางการวิจัยด้านสื่อสารมวลชน ได้แก่อะไรต่อไปนี้

(1) เครื่องวัดระยะเวลาวิจัย     (2) แบบสอบถาม

(3) เครื่องวัดอุณหภูมิ  (4) แบบสำรวจพื้นที่เขตการวิจัย

ตอบ 2 หน้า 191193 การวิจัยด้านสื่อสารมวลชนจะนิยมใช้การวิจัยแบบสำรวจมากที่สุด ซึ่งส่วนมาก มักนิยมใช้เครื่องมือวิจัยสื่อสารมวลชนที่สำคัญ ได้แก่ แบบสอบถาม” (Questionnaires) โดยเฉพาะการสอบถามทางไปรษณีย์ เพราะมีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด หรือประหยัดมากกว่าวิธีอื่น แต่ก็ได้คำตอบกลับมาต่ำโดยเฉลยประมาณ 40% ของแบบสอบถามทั้งหมด ดังนั้นจึงต้องมี วิธีการล่อใจให้ร่วมมือตอบแบบสอบถามหลาย ๆ วิธี เช่น การให้รางวัลผู้ตอบ การจับสลากชิงโชค ได้ของชำร่วย หรือการให้สิทธิบางอย่าง ฯลฯ

9.         คำว่า Helix ทางการวิจัยสื่อสารมวลชนนั้น มีความหมายถึงเรื่องใด

(1)       การวิจัยเป็นการหาความรู้ใหม่            (2) การวิจัยเป็นระบบหมุนเวียน

(3) การวัดผลโดยวิธีจัดลำดับที่           (4) การเก็บตัวอย่างแบบมีระบบ

ตอบ 2 หน้า 1727 ธรรมชาติของการวิจัยทางการสื่อสารมวลชนนั้นเป็นระบบหมุนเวียน (Circular /Helix /Spiral) อย่างต่อเนื่องเป็นวงจรเรื่อยไป เพราะโลกของการวิจัย (Research Universe) คือ สำรวจวิเคราะห์สิ่งหนึ่งแล้วสรุปผลการวิจัยที่เกิดขึ้นมา ก็ย่อมมีสิ่งหนึ่งเกิดปัญหาวิจัยขึ้นใหม่ ต่อไปอีก ดังนั้นการวิจัยจึงสร้างเรื่องหรือปัญหาที่ต้องวิจัยต่อไปไม่รู้จักจบสิ้น (Research Begets Research)

10.       ผู้ที่เชื่อว่าระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ และมองว่าวิทยาศาสตร์เป็นการลงทุน ที่ไม่รู้จักจบสิ้นนั้น ได้แก่ใครต่อไปนี้

(1)       Verstehen         (2) Paul Leedy   (3) Karl Popper (4) Kuhn

ตอบ 3 หน้า 27 Karl Popper เชื่อว่า การแสวงหารูปแบบหรือระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ (Elusive) โดยเขามองภาพวิทยาศาสตร์ว่าเป็นการลงทุนที่ไม่รู้จักจบสิ้น และพัวพันกับความรู้ที่มีเป้าหมาย

11.       พระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้เสนอวิธีการแสวงหาความรู้รูปแบบใด ดังต่อไปนี้

(1)       Authority 

(2) Intuition       

(3) Rationalism 

(4) Mysticalism

ตอบ 2 หน้า 24, (คำบรรยาย) การได้ความรู้แบบ Intuition คือ ความรู้ที่ได้จากการรู้แจ้งขึ้นเองอย่าง พระพุทธเจ้า ซึ่งเกิดขึ้นจากการเก็บรวบรวมสะสมความรู้นั้นไว้อย่างมีระบบและมีเหตุมีผล ที่เป็นจริงเกิดขึ้นในสมองของพระองค์ แล้วเกิดระบบความคิดฉับพลันที่ลงตัวมองเห็นทาง แก้ปัญหาขึ้นทันที (Sudden Insight) อย่างที่พุทธมามกะเรียกว่า ตรัสรู้ (Insight) ทั้งนี้ พระพุทธเจ้าได้แสดงวิธีดำเนินการค้นหาความจริงตามลำดับขึ้นตอน ได้แก่ 1. ตั้งปัญหา2. หาเหตุปัญหา 3. ทดลอง 4. รู้วิธีแก้ 5. พบแนวทางแก้ปัญหา

12.       การได้ความรู้แบบ Rationalism ได้มาโดยผ่านกระบวนการใดต่อไปนี้

(1)       Induction          

(2) Deduction   

(3) Insight 

(4) Logic

ตอบ 2 หน้า 23 การได้ความรู้แบบ Rationalism ได้มาโดยผ่านกระบวบการอนุมาน (Deduction) คือ การสืบสาวหาเหตุผลทางตรรกวิทยาจากข้อสันนิษฐานและความรู้เก่า ๆ ที่มีปรากฏอยู่ก่อนแล้ว ในโลกรอบตัวเรา โดยใช้เหตุและผลที่มีอยู่จากประสบการณ์ความรู้ของตน อ้างเหตุซึ่งเป็นผล ที่น่าจะยอมรับขึ้นอย่างน้อย 2 เหตุผล แล้วสรุปผลจากสิ่งที่อ้างนั้น เช่น มนุษย์เกิดมาแล้ว —> ต้องเจ็บป่วยทุกคน —–ในที่สุดก็ต้องตาย ——-จึงสรุปได้ว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย

13.       ใครแนะว่านักวิทยาศาสตร์ทางสังคมนั้นควรจะยอมรับว่าผู้คนทั้งหลายอยู่ในฐานะที่เป็นวัตถุมนุษย์ (Human Subjects) ดังต่อไปนี้

(1)       Leedy        

(2) Solomon      

(3) Verstehen    

(4) Kuhn

ตอบ 3 หน้า 25 Verstehen ชาวเยอรมัน แนะว่า นักวิทยาศาสตร์ทางสังคมควรจะยอมรับว่าตัวเอง และผู้คนทั้งหลายอยู่ในฐานะที่เป็นวัตถุมนุษย์ (Human Subjects) ผู้ซึ่งเป็นคล้ายสสารอย่างหนึ่ง ที่จะนำมาศึกษาวิจัยได้ โดยเมื่อเกิดความรู้ความเข้าใจหรือเห็นอกเห็นใจมนุษย์แล้ว สิ่งนี้จะ เป็นตัวแยกความแตกต่างระหว่างวิทยาศาสตร์สังคมออกจากวิทยาศาสตร์ธรรมชาติได้ในที่สุด

14.       ตัวแปร (Variables) ในการวิจัยนั้น คืออะไร

(1)       สิ่งแปรเปลี่ยนที่วัดไม่ได้ แต่เกิดค่าใหม่ขึ้นมา 2 ค่าตามธรรมชาติ

(2)       สิ่งที่แปรเปลี่ยนไปแต่วัดได้ และเกิดค่าใหม่อย่างน้อย 2 ค่า

(3)       ตัวที่แปรไปจากค่าเดิม และสามารถสัมพันธ์กับค่าคงที่ 2 ชนิด

(4)       ตัวที่แปรเปลี่ยน และทำให้ค่าเดิมมีค่าเฉพาะ 2 ค่าในตัวของมันเอง

ตอบ 2 หน้า 83 – 84392 ตัวแปร (Variables) คือ ปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป แล้วเกิดค่าใหม่ขึ้นอย่างน้อย 2 ค่าหรือมากกวา 2 ค่าขึ้นไป ซึ่งสามารถจะถูกนำมาวัดได้ หรือนำมาจัดการค้นหาความสัมพันธ์ได้ เช่น ความสูง น้ำหนัก อายุ เป็นต้น

15.       ระบบการจัดจำแนกที่เอื้อต่อการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่เรื่องใด

(1) Proposal       (2) Proposition (3) Taxonomies (4) Theories

ตอบ 3 หน้า 71 Persons & Shills ได้ให้แนวคิดที่จะเข้าสู่ทฤษฎีไว้ 4 ระดับ ซึ่งในระดับที่ 2 คือ Taxonomies เป็นขั้นของระบบการจัดจำแนกที่เอื้อต่อการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง กลุ่มต่าง ๆ ที่ได้รับมาเป็นหมวดหมู่ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนหน้าที่ 2 ประการ คือ

1.         ช่วยระบุเอกลักษณ์ของสิ่งต่าง ๆ ตามธรรมชาติ และช่วยบ่งบอกหรืออธิบายสิ่งต่าง ๆ ว่าเป็นมาอย่างไร

2.         ช่วยวางรากฐานทางการศึกษาวิจัยเชิงพรรณนาต่อไปในอนาคตด้วย

16.       คำจำกัดความในการวิจัยที่อยู่ในขั้นการปฏิบัติการนั้น เรียกว่าคำจำกัดความประเภทใด

(1) Conceptual Definition          (2) Ostensive Definition

(3) Conceptual Operation         (4) Operation Definition

ตอบ 4 หน้า 69 – 70, (คำบรรยาย) Operation Definition หมายถึง คำจำกัดความเชิงปฏิบัติที่อยู่ ระหว่างขั้นทฤษฎีมโนทัศน์และขั้นการสังเกตทดลอง จึงเป็นคำจำกัดความในการวิจัยที่ใช้ในขั้น ของการปฏิบัติการ ซึ่งสามารถนำผลมาใช้ปฏิบัติได้จริง หรืออธิบายในลักษณะที่วัดได้หรือสังเกตได้ โดยจะบอกว่าอะไรที่จะต้องทำ เพื่อจะได้สังเกตตัวอย่างที่มองเห็นได้ตามมโนทัศน์นั้น และเพื่อ จะได้ใช้ประโยชน์ในการสังเกตทดลอง โดยไม่ได้เชื่อตามทฤษฎีเสียทั้งหมด

17.       Concept หรือมโนทัศน์นั้น มีความหมายถูกต้องที่สุดในเรื่องใดต่อไปนี้

(1) นามธรรมที่เป็นความคิดรวบยอดของมนุษย์          (2) นามธรรมที่สามารถค้นหาความจริงได้

(3) รูปธรรมที่สามารถพิสูจน์ได้จากสิ่งของต่าง ๆ (4) รูปธรรมที่เป็นความคิดสรุปของมนุษย์ ตอบ 1 หน้า 67 – 68328367 มโนทัศน์ (Concept) หมายถึง ความคิดรวบยอดของมนุษย์ที่มีต่อ สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นความคิดนามธรรมที่ได้จากประสบการณ์ความรู้ของตนเอง โดยจะเป็น ตัวเอื้ออำนวยต่อหน้าที่ที่สำคัญ 4 ประการ คือ

1.         การสื่อความหมายและความคิด

2.         การสร้างหรือกำหนดขอบเขตของการสังเกตปรากฏการณ์ทางด้านการทดลองค้นคว้าวิจัย

3.         ความสะดวกในการจัดจำแนกและการอ้างอิงเรื่องทั่ว ๆ ไป

4.         การสร้างกรอบแนวคิดหรือขอบข่ายทางด้านทฤษฎี

18.       ผู้ที่คิดว่าจะต้องมีทฤษฎีเกิดขึ้นก่อนแล้ววิจัยนั้น ได้แก่ใครต่อไปนี้

(1) Verstehen    (2) Karl Popper (3) Reiss    (4) Comb

ตอบ 2 หน้า 72 Karl Popper ได้พัฒนาแนวความคิดทฤษฎีแล้ววิจัยไว้อย่างเป็นระบบ กล่าวคือ เขาเริ่มร้างทฤษฎีหรือ Models ขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ดำเนินงานจนได้กฎแห่งความสัมพันธ์ หรือบทพิสูจน์ แล้วจึงวางแผนการวิจัยเพื่อทดสอบพิสูจน์หรือวิเคราะห์ และหาผลสรุปว่า จะยอมรับหรือปฏิเสธบทพิสูจน์นั้นภายหลัง

19.       แบบจำลองหรือที่เรียกว่า Model ช่วยสนับสนุนการวิจัยเรื่องใด

(1)       มองภาพแห่งความเป็นจริงได้ง่ายขึ้น  (2) จัดคนช่วยวิจัยในการค้นหาข้อมูล

(3) จัดวิธีการทำงานวิจัยทางสื่อสารมวลชน    (4) มองเห็นรูปแบบการวิจัยสื่อสารมวลชน

ตอบ 1 หน้า 7277 – 78330 Model คือ แบบจำลองหรือตัวแทนของความจริงที่มองเห็นได้ ซึ่งจะช่วยผู้วิจัยให้สามารถจัดหรือมองภาพแห่งความเป็นจริงได้ง่ายยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วย สนับสนุนจุดมุ่งหมายของการจัดระเบียบวิธี และช่วยจัดลำดับการทำงานในสภาพความเป็นจริง ของเราเอง ดังนั้น Model จึงเป็นการลอกเลียบแบบอย่างหรือการจัดทำตัวแทนแม่แบบของความเป็นจริง

20.       ผลการวิจัยทำให้เกิดสิ่งใหม่ขึ้นเสมอนั้น ได้แก่สิ่งใดต่อไปนี้

(1)       ข้อบกพร่องใหม่           (2) ปัญหาใหม่

(3) ระเบียบวิธีใหม่      (4) หลักฐาน ข้อสนเทศใหม่

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 9. ประกอบ

21.       ตัวแปรอิสระ (Independent Variables) คืออะไร

(1)       ตัวแปรที่เกิดจากค่าที่เปลี่ยนไปอย่างน้อย 2 ค่า

2) ตัวแปรที่เป็นผลเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ของตัวแปรตาม

(3)       ตัวแปรธรรมชาติที่สัมพันธ์กันทำให้เกิดผลเป็นตัวแปรอีกตัวหนึ่ง

(4)       ตัวแปรตามธรรมชาติที่เปลี่ยนค่าใหม่ขึ้นอยู่กับตัวแปรต่าง ๆ นั้น

ตอบ 3 หน้า 84120 – 121374 ตัวแปรอิสระ (Independent Variables : IV) หรือตัวแปรทำนาย คือ ตัวแปรที่นักวิจัยกำหนดให้เป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อตัวแปรอื่น โดยเมื่อตัวแปรอิสระ เปลี่ยนแปลงไปตามระบบที่ผู้วิจัยประสงค์ ก็จะทำให้ตัวแปรอื่นเปลี่ยนแปลงไปด้วย ดังนั้น ในบางครั้งจึงเรียกว่า ตัวแปรเหตุหรือตัวแปรธรรมชาติที่เมื่อสัมพันธ์กันแล้วจะทำให้เกิดผล เป็นตัวแปรใหม่ตามมาอีกตัวหนึ่ง หรือตัวแปรอิสระจะเกิดขึ้นก่อนตัวแปรตามเสมอ

22.       นักวิจัยสื่อสารมวลชนชื่อ Reiss ทำวิจัยด้านใดต่อไปนี้

(1)       อิทธิพลของผู้มีอำนาจยังฝังใจอยู่ในการตอบคำถาม

(2)       ความเชื่อฟังคล้อยตามของสื่อมวลชนในการตอบคำถาม

(3)       ความถูกต้องของการตัดสินใจจากสื่อในการตอบคำถาม

(4)       ความถูกต้องของข้อมูลที่เสนอโดยสื่อในการตอบคำถาม

ตอบ 1 หน้า 99104 ผู้วิจัยที่ได้ศึกษาเรื่องศีลธรรมและจรรยาบรรณในการทำวิจัย โดยเน้นถึงอิทธิพล ต่าง ๆที่คุกคามผู้ถูกวิจัยการหลอกลวงและอันตรายต่าง ๆได้แก่กลุ่มนักวิจัย Milgram ซึ่งได้ศึกษาเรื่องการเชื่อผู้มีอำนาจ ส่วน Reiss ได้ศึกษาเรื่องอิทธิพลของผู้มีอำนาจที่ยังคงฝังใจ อยู่ในการตอบคำถามของผู้ถูกวิจัย เช่น พฤติกรรมของตำรวจ ผู้มีอิทธิพล และนักเลงอันธพาล

23.       หน่วยของการวิเคราะห์ (Units of Analysis) ทางการวิจัยสื่อสารมวลชน คืออะไรต่อไปนี้

(1)       หน่วยต่าง ๆ ที่ผู้วิจัยศึกษานำมาเปรียบเทียบร่วมกันนั้น

(2)       หน่วยทั้งหมดที่พิสูจน์ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมด

(3)       สิ่งต่าง ๆ ที่ต้องการตัวแทนหรือสุ่มตัวอย่างมาศึกษานั้น

(4)       ผู้ที่ถูกนำมาศึกษาหรือได้ตอบแบบสอบถามแต่ละคนนั้น

ตอบ 4 หน้า 8388331 หน่วยของการวิเคราะห์ (Units of Analysis) คือ หน่วยข้อมูลที่ได้มาแล้ว ควรสนองตอบต่อมโนทัศน์ การวัดผล และการสังเกตค้นคว้าของเราได้ ดังนั้นหน่วยของการวิเคราะห์จึงเป็นเกือบทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ไม่ว่าจะเป็นสิ่งต่าง ๆ บุคคล หรือเหตุการณ์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับมโนทัศน์ที่จะทำการศึกษาวิจัยทางการสื่อสารมวลชนนั้น เช่น ในการวิจัย แบบสำรวจ ผู้ที่ถูกนำมาศึกษาหรือได้ตอบแบบสอบถามแต่ละคนก็คือ หน่วยของการวิเคราะห์ นั่นเอง โดยผู้ที่ตอบแบบสอบถาม 1 คน จะนับเป็น 1 หน่วย

24.       บทคัดย่อของการวิจัย (Abstract) จะหาไม่พบในบรรณานุกรมและพจนานุกรม แต่จะพบในวิทยานิพนธ์ เพราะบทคัดย่อจะมีลักษณะเป็นการเขียนอย่างไร

(1)       การคัดย่อเนื้อหาหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่ค้นคว้ามาทำวิจัย

(2)       การย่อความผลวิจัยที่อยู่ในสาขาสื่อมวลชนนั้น

(3)       การคัดย่อจากวรรณกรรมต่าง ๆ จากผลการวิจัย

(4)       การเขียนสรุปรายงานของการทำงานวิจัยนั้น

ตอบ 4 หน้า 318793332 บทคัดย่อของการวิจัย (Abstract) จะหาไม่พบในบรรณานุกรม ปทานุกรม พจนานุกรม รวมทั้งในภาคผนวกหรือในดัชนีต่าง ๆ แต่จะพบในวิทยานิพนธ์ ซึ่งสามารถค้นหา ได้ที่ห้องสมุดหรือค้นได้จาก Internet ทั้งนี้เพราะบทคัดย่อเป็นการเขียนสรุปรายงานสั้น ๆ ของการทำงานวิจัยนั้น

25.       ความสัมพันธ์ของตัวแปรในทางบวก (Positive) ได้แก่เรื่องใดต่อไปนี้

(1) อายุมากขึ้นหัวใจเต้นเร็วขึ้น           (2) อายุมากขึ้นการเต้นของหัวใจช้าลง

(3) อายุมากขึ้นน้ำหนักลดลง  (4) อายุมากขึ้นกระดูกจะหดตัวลงมาก

ตอบ 1 หน้า 8591332 ความสัมพันธ์ของตัวแปร แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่

1.         ทางบวก (Positive) คือ ความสัมพันธ์ที่ตัวแปรหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปในทางเพิ่มหรือลดตัวแปรอีกตัวก็จะเปลี่ยนไปใบทางเพิ่มหรือลดตามกัน เช่น อายุมากขึ้นหัวใจเต้นเร็วและแรงขึ้น

2.         ทางลบ (Negative) คือ ความสัมพันธ์ที่ตัวแปรหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปในทางเพิ่ม แต่ค่าของ ตัวแปรอีกตัวที่สัมพันธ์กันนั้นจะเปลี่ยนไปในทางลด หรือในทางกลับกันตัวแปรเดิมลดลง แต่ตัวแปรตามเพิ่มขึ้น เช่น อายุมากขึ้นการเต้นของหัวใจช้าลง น้ำหนักลดลง และกระดูก จะหดตัวลงมาก

26.       ข้อความต่อไปนี้ข้อใดถูกต้องที่สุดในการทำงานวิจัยทางการสื่อสารมวลชน

(1) ตัวแปรต่อเนื่องจะเกิดก่อนตัวแปรอิสระเสมอ        (2) ตัวแปรคงที่เพิ่มก่อนตัวแปรอิสระเสมอ

(3) ตัวแปรอิสระจะเกิดขึ้นหลังตัวแปรตามเสมอ         (4) ตัวแปรอิสระจะเกิดขึ้นก่อนตัวแปรตามเสมอ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 21. ประกอบ

27.       การไม่เปิดเผยชื่อของผู้ถูกวิจัยทางการสื่อสารมวลชนนั้น เรียกว่าอะไร

(1) Un-opening (2) Privacy          (3) Anonymity  (4) Confidentiality

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

28.       การออกแบบวิจัยวิธีดั้งเดิม (Classical Design) นั้น กลุ่มเปรียบเทียบกันเรียกว่าอะไร

(1) กลุ่มทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง         (2) กลุ่มควบคุมกับกลุ่มทดลอง

(3) กลุ่มทดลองกับกลุ่มตัวแทน           (4) กลุ่มตัวแทนกับกลุ่มควบคุม

ตอบ 2 หน้า 115120 ในการออกแบบวิจัยวิธีดั้งเดิม (The Classic Experimental Design) นั้น การปฏิบัติการวิจัยจะเริ่มแบ่งผู้ถูกวิจัยออกเป็น 2 กลุ่มเพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน คือ

1.         กลุ่มควบคุม (Control Group : CG) 2. กลุ่มทดลอง (Experiment Group : EG)

29.       การออกแบบวิจัย (Research Design) มีความหมายถึงเรื่องใดต่อไปนี้

(1) การตั้งสมมุติฐานจากการรวบรวมข้อมูลมาได้นั้น (2) การจัดการกับข้อมูลต่าง ๆ เพื่อการวิจัย (3) การวางแผนการทำงานของการวิจัย      (4) การวางเป้าหมายของการดำเนินการวิจัย

ตอบ 3 หน้า 115120 การออกแบบวิจัย (Research Design) คือ การสร้างแผนงานเพื่อการ- เก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ การตีความข้อมูล ซึ่งจะทำให้ผู้วิจัยสามารถวินิจฉัยข้อมูล ที่เป็นจริง และให้คำจำกัดความต่อการสรุปความเห็นนั้นจนเป็นที่ทราบกับโดยทั่วไปได้ ดังนั้นการออกแบบวิจัยสื่อสารมวลชนจึงเป็นงานวางแผนการทำงานวิจัยสื่อสารมวลชน ตั้งแต่ต้นจบสรุปและรายงานการวิจัย

30.       โดยปกติการออกแบบวิจัยทางการสื่อสารมวลชนนั้น มีวิธีใดดีที่สุดต่อไปนี้

(1) Classical Design   (2) Semi-experimental Design

(3) Quasi-experimental Design          (4) Combined Design

ตอบ 4 หน้า 136138 การออกแบบวิจัยทางการสื่อสารมวลชนจะไม่มีวิธีใดที่เหมาะสมที่สุดวิธีเดียว เสมอไป เพราะการวิจัยทุกวิธีจะมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ดังนั้นผู้วิจัยจึงใช้การออกแบบวิธีร่วมกัน (Combined Design) ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดตามหลักสากล เพราะได้ผสมผสานเนื้อหาของ การออกแบบวิจัยอย่างน้อย 2 วิธีในการศึกษาเรื่องเดียวกัน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเชื่อถือได้ และเกิดความถูกต้องมากที่สุด

31.       สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเก็บข้อมูลมาใช้ได้อย่างถูกต้องในการวิจัยนั้น ได้แก่อะไรต่อไปนี้

(1)       ตัวแปรที่นำมาประกอบการเลือกเฟ้นในการสุ่มตัวอย่าง

(2)       ตัวอย่างที่สุ่มมาได้อย่างถูกวิธีในการสุ่มตัวอย่าง

(3)       ความสมบูรณ์ทางวุฒิภาวะของหน่วยของการวิเคราะห์

(4)       ความมีประวิตอย่างชัดเจนและสามารถพิสูจน์ได้

ตอบ 3 หน้า 117 สิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเก็บข้อมูลที่นำมาใช้ได้ (Internal Validity) อย่างถูกต้อง ในการวิจัย มีดังนี้ 1. ประวัติศาสตร์  2. ความสมบูรณ์ทางวุฒิภาวะของหน่วยของการวิเคราะห์ 3. ความสูญหายจากการทดลอง 4. การใช้เครื่องมือวัดค่าต่าง ๆ 5.การทดสอบก่อนการทดลอง   6. การถดถอยทางสถิติ  7. การปฏิบัติการภายในกับการเลือกเฟ้น

32.       การออกแบบวิจัยการสื่อสารมวลชนโดยแบ่งผู้ถูกวิจัยเป็น 4 กลุ่มนั้น เรียกว่าแบบใด

(1) Posttest Only Control Group Design 

(2) Solomon Four Group

(3) Classical Design

(4) Factorial Design

ตอบ 2 หน้า 119 Solomon Four Group จะแบ่งผู้ถูกวิจัยออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ แบ่งเป็นกลุ่มคล้ายกับแบบดั้งเดิม คือ มีกลุ่มควบคุม กลุ่มทดลอง แต่จะเพิ่มเข้ามาอีก 2 กลุ่ม ซึ่งก็จะแบ่งเป็น กลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองเช่นกัน โดยผู้ถูกวิจัยที่เพิ่มขึ้น 2 กลุ่มหลังนั้นไม่ต้องมีการทดสอบก่อน (Pretest) และผู้วิจัยจะวัดผลของความรู้สึกต่อการทดสอบด้วย จากนั้นก็จะทำการทดสอบหลัง (Posttest) ทั้ง 4 กลุ่ม เพื่อนำผลของข้อมูลมาวิเคราะห์

33.       เครื่องมือที่ใช้วัดค่าการวิจัยทางการสื่อสารมวลชนนั้น ต้องมีค่าอะไรจึงจะดีที่สุดต่อไปนี้

(1) ค่าความเชื่อ (Belief)    (2) ค่าความเชื่อได้ (Reliability)

(3) ค่าความจริง (Facts)     (4) ค่าความเป็นไปได้ (Probability)

ตอบ 2 หน้า 159164 – 166386 ค่าความเชื่อได้ (Reliability) คือ ค่าความเชื่อมั่น ความเที่ยงตรง ไว้ใจได้จากการวัดของเครื่องมือที่มีความเที่ยงตรงสูง หมายถึง เมื่อนำเครื่องมือนี้ไปวัดครั้งใด ที่ไหน ต่างสถานที่ และวัดในเวลาเดียวกันนั้นจะได้ค่าคงที่เท่าเดิม หรือได้ค่าเหมือนเดิมเสมอ

34.       การออกแบบวิจัยซึ่งไม่มีการทดสอบกลุ่มควบคุมก่อนนั้น ได้แก่วิธีใดต่อไปนี้

(1) Factorial Design  (2) Posttest Only Control Group Design

(3) Time-series Design       (4) Control-series Design

ตอบ 2 หน้า 119 The Posttest Only Control Group Design จะไม่มีการทดสอบก่อนศึกษา (Pretest) ในหมู่ของผู้ถูกวิจัยหรือสิ่งที่นำมาวิจัยทั้งหมด แต่จะเพ่งเล็งและให้ความมั่นใจ กับข้อสันนิษฐานที่ตั้งขึ้นไว้โดยการลุ่มว่าการทดลองจะเป็นไปได้ แล้วจะทดสอบหลังศึกษา (Posttest) เฉพาะกลุ่มที่ควบคุมไว้ เพื่อดูความมีนัยสำคัญระหว่างความสัมพันธ์ของกลุ่มต่อไป

35.       การวัดผลที่ได้ค่า A>B>C>D นั้น เป็นการวัดระดับใด

(1) Nominal       (2) Ordinal         (3) Interval         (4) Ratio

ตอบ 2 หน้า 161 – 162 Ordinal Measure เป็นการวัดสิ่งต่าง ๆ เพื่อหาขนาด จำนวน และตำแหน่ง ของสิ่งที่จะทำการวัด แล้วจัดลำดับตำแหน่งที่ (Rank Order) ดังนั้นจึงเป็นการวัดที่ละเอียดกว่า แบบ Nominal เพราะจะบอกให้รู้ว่าตำแหน่งใดอยู่สูงกว่า น้อยกว่า หรือเท่ากันในจำนวนตัวแปร ที่ถูกวัดนั้น เช่น A > B, A < B, A = B, A > B > c > D เป็นต้น

37.       การวัดผลที่ได้ค่า A + B : C + D = 25 นั้น เป็นการวัดระดับใด

(1)       Nominal  (2) Ordinal         (3) Interval         (4) Ratio

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 36. ประกอบ

38.       การวัดผลที่ได้ค่า A = 5, B = 8 และ C = 10 นั้น เราเรียกว่าเป็นการวัดระดับใด

(1)       Nominal  (2) Ordinal         (3) Interval         (4) Ratio

ตอบ1 หน้า 161 Nominal Measure เป็นการวัดสิ่งต่าง ๆ อย่างหยาบที่สุด เนื่องจากเป็นเพียง การกำหนดตัวเลขให้กับวัตถุสิ่งของหรือเป็นข้อมูลแทนวัตถุเท่านั้น ซึ่งตัวเลขที่เป็นข้อมูลนี้ จะไม่มีความหมายอะไรในตัว และจะนำมาใช้คำนวณทางคณิตศาสตร์เพื่อหาความสัมพันธ์ อะไรไม่ได้ เช่น A = 5, B = 8, C = 10 เป็นต้น

39.       The Paralleled-forms เป็นวิธีประเมินค่าความเที่ยงตรงของเครื่องมือโดยวิธีใดต่อไปนี้

(1)       ใช้แบบทดสอบ 2 ชุด ยากง่ายใกล้เคียงกัน ทดสอบกับผู้ถูกวิจัยพร้อมกัน

(2)       ใช้แบบทดสอบ 2 ชุด ยากง่ายต่างกัน ทดสอบกับผู้ถูกวิจัยพร้อมกัน

(3)       ใช้แบบทดสอบมาตรฐาน ทดสอบที่ละกลุ่มสองครั้งพร้อมกัน

(4)       ใช้แบบทดสอบมาตรฐาน ทดสอบกับผู้ถูกวิจัยทุกกลุ่มพร้อมกัน

ตอบ 1 หน้า 165, (คำบรรยาย) The Paralleled-forms เป็นวิธีประเมินค่าความเชื่อได้ หรือใช้วัด ค่าความเที่ยงตรงของเครื่องมือ โดยใช้ข้อทดสอบ 2 ชุดที่ต่างฟอร์มกันมาทดสอบกับผู้ถูกวิจัยพร้อมกัน แล้วนำผลที่ได้มาเปรียบเทียบ ทั้งนี้ข้อทดสอบนั้นจะต้องมีมาตรฐานการออกแบบ ความยากง่ายใกล้เคียงกัน เพื่อจะสามารถวิเคราะห์ค่าความเชื่อได้ (Reliability) ออกมา

40.       ตัวแปรที่สามารถวัดได้ในระดับ Ordinal จะสามารถวัดได้ในระดับใด

(1) Normative   (2) Internal        (3) Ratio    (4) Nominal

ตอบ 4 หน้า 161163169343 การกระทำการวัดในระดับสูงกับตัวแปรใด ๆ ก็ตาม จะสามารถ กระทำได้กับการวัดในระดับที่ต่ำลงไปได้ทั้งหมด หรือผลของการวัดในระดับต่ำนั้นมาจากการวัด ในระดับที่สูงกว่าขึ้นไปนั่นเอง เช่น ตัวแปรที่สามารถวัดได้ในระดับ Ordinal ก็สามารถวัดได้ ใบระดับ Nominal ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำลงไปได้ด้วย เป็นต้น (ระดับการวัดจากต่ำไปสูง คือ Nominal, Ordinal, Interval และ Ratio)

41.       การทดสอบแบบ Test-retest ทำให้เกิดสิ่งใดต่อไปนี้

(1) ค่าความเป็นไปได้  

(2) การมีประสิทธิผล

(3) ค่าความจริง           

(4) ค่าความเชื่อได้

ตอบ 4 หน้า 165 The Test-retest เป็นวิธีวัด 2 ครั้งในเวลาต่างกันโดยใช้ข้อทดสอบเดียวกัน ซึ่งถ้าผลของครั้งหลังเป็นเช่นเดียวกับครั้งแรกก็จะเกิด ค่าความเชื่อได้” (Reliability) ในการวัดนั้น

42.       การสุ่มตัวอย่างที่ใช้วิธีสุ่มจากพื้นที่ทั้งหมดลงมาเป็นพื้นที่ย่อย ๆ เพื่อหาตัวแทนจากพื้นที่ทั้งหมดนั้น เป็นวิธีใด

(1) แบบง่าย (Simple Random Sampling) 

(2) แบบมีระบบ (Systematic Sampling)

(3) แบบสัดส่วน (Stratified Sampling)      

(4) แบบอาศัยพื้นที่ (Cluster Sampling)

ตอบ4 หน้า 179 – 180367 การสุ่มแบบอาศัยพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ (Cluster Sampling)เป็นการสุ่มตัวอย่างจากประชากรกลุ่มใหญ่ครั้งแรก (Primary Sampling Units : PSU’s)ในพื้นที่ทั้งหมด ซึ่งปกติก็จะเป็นตำบล เขต หรือเมืองใหญ่ ๆ แล้วแยกเขตการสุ่มลงมาเป็น พื้นที่ย่อย ๆ จนได้ตัวแทนหรือประชากรที่ต้องการในพื้นที่ทั้งหมดที่กำหนดไว้ในการวิจัยนั้น

43.       การสุ่มตัวอย่างโดยหาค่าที่ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสุ่มนั้น ได้แก่การสุ่มแบบใด (ใช้ตัวเลือกข้อ 42.)

ตอบ 2 หน้า 179 – 180390 การสุ่มแบบมีระบบ (Systematic Sampling) เป็นการสุ่มตัวอย่างในลักษณะ Random โดยการเลือกสุ่มจากค่าคงที่หรือจำนวนคงที่ (จำนวนที่กำหนดไว้ คือ ค่าที่ K) ของประชากรผู้ถูกวิจัย เช่น สมมุติแบ่งประชากรเป็นขนาดกลุ่ม 4,000 คน ผู้วิจัยจะเลือกเฉพาะ คนที่ สมมุติ K = 10 นับคือ ทุก ๆ 10 คน จะมีผู้ถูกเลือก 1 คน ดังนั้นในกลุ่มตัวอย่างนี้ จะมีผู้ถูกเลือกได้ 400 คน เป็นต้น

44.       การสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยการจับฉลาก (Lottery) เป็นการสุ่มตัวอย่างแบบใด (ใช้ตัวเลือกข้อ 42.)

ตอบ 1 หน้า 179, (คำบรรยาย) การสุ่มแบบง่าย ๆ (Simple Random Sampling) เป็นการสุ่มตัวอย่าง ที่รวมถึงประชากรทั้งหมดที่เป็นเป้าหมายการสุ่ม แล้วเลือกสุ่มโดยวิธีใช้ตารางตัวเลขเบ็ดเสร็จ หรือตารางเลขสุ่ม (Random Number Table) หรืออาจใช้วิธีจับฉลาก (Lottery) เลือกตัวอย่าง ออกจากกลุ่มประชากร เพื่อให้ได้จำนวนครบตามที่ผู้วิจัยตั้งเป้าหมายไว้ จึงเป็นวิธีที่ง่ายและ สะดวกในความรู้สึก แต่ก็ไม่สะดวกต่อการนำมาใช้กับประชากรกสุ่มใหญ่มาก

45.       การสุ่มตัวอย่างโดยใช้สัดส่วนของกลุ่มเป็นแนวทางการดึงตัวแทนของกลุ่มนั้น เป็นการสุ่มแบบใด (ใช้ตัวเลือกข้อ 42.)

ตอบ 3 หน้า 179 – 180389 การสุ่มแบบเชิงชั้นหรือแบบลัดส่วน (Stratified Sampling)เป็นการสุ่มตัวอย่างที่เลือกตามสัดส่วนหรือชั้นของกลุ่มประชากร หลังจากที่ประชากรได้ถูก แบ่งออกเป็นกลุ่ม ๆ เป็นชั้นของประชากร หรือแบ่งเป็นพวก ๆ แล้ว ซึ่งบางครั้งอาจใช้วิธีสุ่ม เอาจากแต่ละกลุ่มตามอัตราส่วนที่ต้องการ (Proportionate) หรือสุ่มเอาจากกลุ่มที่ต้องการ จำนวนเพิ่มขึ้นในการวิจัยที่ต้องการวิเคราะห์ละเอียดขึ้นไปอีก (Disproportionate)

46.       ค่าที่วัดได้จากตัวอย่าง (Sample) เรียกว่าอะไร

(1) Sampling      (2) Parameter   (3) Statistic        (4) Random

ตอบ 3 หน้า 180 – 181 การทำงานวิจัยทางการสื่อสารมวลชนจะมีค่าที่วัดและคำนวณได้ ดังนี้

1.         ค่าที่วัดและคำนวณได้จากข้อมูลของ Sample (กลุ่มตัวอย่าง) เรียกว่า Statistic

2.         ค่าที่วัดและคำนวณได้จากข้อมูลของ Population (ประชากรทั้งหมด) เรียกว่า Parameter

47.       การวัดเพื่อค้นหาว่าเครื่องมือนั้นมีความถูกต้องใช้ได้หรือไม่นั้น ได้แก่การวัดค่าอะไร

(1) Statistic         (2) Parameter   (3) Reliability    (4) Validity

ตอบ 4 หน้า 159166391 ค่าความถูกต้องใช้ได้ (Validity) คือ ค่าความถูกต้องเที่ยงตรงของเครื่องมือวิจัย ซึ่งเป็นคุณสมบัติของการวัดที่แท้จริงว่าอะไรที่ต้องการวัด เช่น ถ้าจะวัดน้ำหนักทอง ก็ต้องใช้เครื่องชั่งทองมาวัดจึงจะได้ค่าที่ถูกต้อง ไม่ใช่เอาตาชั่งหมูมาชั่งทองจะใช้ไม่ได้ เพราะว่าได้ค่าที่ไม่ถูกต้องนั้นเอง

48.       อะไรเป็นเหตุผลสำคัญในบางสภาพที่จำเป็นต้องสุ่มตัวอย่างแบบ Non-probability ต่อไปนี้

(1) ความรวดเร็วและความมีโอกาส     (2) ความรวดเร็วและเวลาจำกัด

(3) ความบังเอิญและการควบคุม        (4) ความสะดวกและประหยัด

ตอบ 4 หน้า 178 – 179184345 การสุ่มที่เป็นไปไม่ได้ (Non-probability) เป็นการสุ่มตัวอย่าง ชนิดที่ผู้วิจัยไม่สามารถเดาโอกาสของกรณีแต่ละอย่างที่ถูกเลือกมาเป็นตัวอย่างได้ถูกต้อง จึงมีความน่าเชื่อถือน้อยกว่าการสุ่มที่เป็นไปได้ (Probability) แต่บางครั้งก็มีเหตุผลที่สำคัญ ในบางสภาพ คือ ความสะดวกสบายและสภาพเศรษฐกิจบางอย่าง (เช่น ความประหยัด ฯลฯ) ที่จำเป็นต้องใช้การสุ่มแบบนี้ด้วยเหมือนกัน

49.       การตั้งคำถามหาข้อมูลเรื่องอายุ เพศ ศาสนานั้น เป็นการตั้งคำถามชนิดค้นหาเรื่องใด

(1) ค้นหาข้อมูลทั่วไป   (2) ค้นหาความจริง

(3) ถามหาความคิดเห็น           (4) ถามหาข้อมูลด้านทัศนคติ

ตอบ 2 หน้า 225227, (คำบรรยาย) การออกแบบสอบถามให้ครอบคลุมปัญหาวิจัยต้องตั้งคำถาม ใน 3 ลักษณะ ดังนี้

1.         Factual Questions เป็นคำถามที่มุ่งค้นหาความจริง (Facts) ได้แก่ อายุ เพศ การศึกษา ศาสนา ฯลฯ เช่น ท่านนับถือศาสนาใด ?

2.         Opinion Questions เป็นคำถามที่มุ่งค้นหาความคิดเห็น (Opinion) เช่น คุณคิดอย่างไร (What do you think ?)

3.         Attitude Questions เป็นคำถามหาข้อมูลด้านทัศนคติ (Attitude) ความเชื่อ ความคิด และความรู้สึก เช่น คุณรู้สึกอย่างไร (How do you feel ?)

50.       การตั้งคำถามโดยใช้วัดค่าจากคำคุณศัพท์ที่ตรงข้ามกันโดยแบ่งเป็น 7 ช่องนั้น เรียกว่าอะไร

(1) Rating Scale (2) Card Sort     (3) Matching (4) Semantic Differential

ตอบ 4 หน้า 229 The Semantic Differential เป็นการออกแบบคำถามที่ผู้ตอบจะต้องตอบคำถาม เพื่อประเมินค่าของวัตถุหรือสิ่งของบนคำคุณศัพท์ที่ให้ไว้ คือ ใช้คำคุณศัพท์ที่มีความหมาย ตรงข้ามกันตีค่าของคำถาม โดยในแบบคำตอบจะตีตารางเป็นสเกลไว้ 7 ระดับ (หรือแบ่งเป็น 7 ช่อง) เรียกว่า Seven-point Scale

51.       การตั้งคำถาม What do you think ? เป็นการตั้งคำถามเพื่อค้นหาคำตอบเรื่องใด

(1) Facts     

(2) Opinion        

(3) Knowledge  

(4) Attitude

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 49. ประกอบ

52.       คำถามปลายเปิด (Open-ended Questions) มีลักษณะดีอย่างไร

(1) สร้างคำถามได้ง่าย            

(2) ยืดหยุ่นได้มาก

(3) ผู้ตอบต้องตอบในกรอบ     

(4) วิเคราะห์คำตอบง่าย

ตอบ 2 หน้า 228256351 คำถามแบบปลายเปิด (Open-ended Questions) มีลักษณะดีดังนี้ 

1. สร้างคำถามไต้ด้วยตัวผู้วิจัยเอง      

2. ยืดหยุ่นได้มาก ค้นหาปัญหาได้ง่าย  

3.ผู้ตอบตอบตามกรอบความคิดเห็นของตนเองได้     

4.คำตอบที่ได้จะละเอียดและมีเหตุผลใช้ได้ จึงวิเคราะห์คำตอบด้วยการสังเกตได้ดี        

5.วิเคราะห์คำตอบได้ทุกเวลา เพราะข้อมูลไม่ล้าสมัย ฯลฯ

53.       การตั้งคำถามโดยใช้ช่องว่างเลือกตอบ 5 ระดับ โดยแบ่งเป็น 5 ช่องให้ตอบนั้น เรียกว่าอะไร

(1) Semantic Differential  

(2) Rating Scale

(3) Card Sort      

(4) Matching

ตอบ 2 หน้า 228 – 229 Rating Scale คือ การถามความเห็นขอองผู้ตอบว่าอยู่ในขั้นความรู้สึกต่อสิ่งที่ถามในระดับใดระดับหนึ่ง โดยจะตั้งคำถามแบบใช้ระบบคำตอบ 5 ระดับ และแบ่งช่องว่าง ให้เลือกตอบเป็น 5 ช่อง เช่น1. เห็นด้วยอย่างมาก       2. เห็นด้วย       3. ไม่มีความเห็น      4. ไม่เห็นด้วย       5. ไม่เห็นด้วยอย่างมาก

54.       การตั้งคำถามเพื่อหาข้อมูลทางด้านความเชื่อนั้น เป็นคำถามชนิดใด

(1) Facts     (2) Opinion        (3) Knowledge  (4) Attitude

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 49. ประกอบ

55.       การวิจัยแบบสำรวจนั้นใช้วิธีสำรวจข้อมูลโดยวิธีต่าง ๆ อยากทราบว่าวิธีใดมีค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด หรือ ประหยัดมากกว่า ดังต่อไปนี้

(1) ทางไปรษณีย์         (2) ทางโทรศัพท์          (3) สัมภาษณ์ส่วนตัว   (4) สัมภาษณ์เป็นกลุ่ม

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 8. ประกอบ

56.       สมุดรหัส (Codebook) มีประโยชน์อย่างไร

(1)       ทำให้เติมตัวแปรลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ง่าย

(2)       ทำให้เติมจำนวนข้อความลงในเครื่องคอมพิวเตอร์ง่ายขึ้น

(3)       ทำให้สะดวกในการป้อนข้อมูลลงเครื่องคอมพิวเตอร์

(4)       ทำให้ผู้ตอบแบบสอบถามสามารถส่งเพิ่มเติมข้อมูลได้มากขึ้น

ตอบ 3 หน้า 353 ประโยชน์ของสมุดรหัส (Codebook) มีดังนี้    1 ทำให้ติดตามผู้ตอบที่ส่ง

แบบสอบถามกลับคืนมาโดยกรอกข้อความไม่สมบูรณ์ให้ตอบใหม่ได้เพราะมีรหัสที่อยู่ 2. สะดวกต่อการตรวจสอบการส่งกลับคืนแบบสอบถาม 2 ชุดที่คู่กัน  3. สะดวกต่อการป้อนข้อมูลลงในเครื่องคอมพิวเตอร์  4. ทำให้ทราบตัวแปรหรือข้อมูลที่หายไป  5.ช่วยในการจัดแยก การสังเกต และการอธิบาย ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ระบบสถิติ

57.       คำถามปลายปิด (Close-ended Questions) มีประโยชน์ยกเว้นข้อใด

(1) วิเคราะห์ได้ทุกเวลา           (2) วิเคราะห์ได้ตรงจุด

(3) สร้างคำถามได้ง่าย            (4) สร้างตัวเลือกได้ง่าย

ตอบ 1 หน้า 227 – 228256351 คำถามแบบปลายปิด (Close-ended Questions) มีประโยชน์ดังนี้   1. สร้างคำถามและตอบคำถามได้ง่าย ตรงจุดตรงประเด็น   2. สามารถวิเคราะห์ได้ตรงจุด       3. สร้างตัวเลือกและค้นหาได้ง่าย   4.มีลักษณะหรือรูปแบบสำหรับคำตอบที่บันทึกไว้แน่นอน ฯลฯ (ดูคำอธิบายข้อ 52. ประกอบ)

58.       ประชากร (Population) ที่ไม่ต้องสุ่มตัวอย่าง ได้แก่ข้อใดต่อไปนี้

(1) นักศึกษารามคำแหงทั้งประเทศ     (2) นักเรียนมัธยมศึกษาในกรุงเทพฯ

(3) ผู้จัดการบริษัททั่วภูมิภาค  (4) ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ

ตอบ4  หน้า 177182 ในการทำวิจัยทั่ว ๆ ไปโดยเฉพาะการวิจัยแบบสำรวจนั้น ถือว่าการสุ่มตัวอย่างมีความจำเป็นมาก เนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะนำประชากร (Population) ทั้งหมดมาศึกษาได้ ยกเว้นในกรณีที่ขนาดของประชากรที่จะศึกษามีลักษณะเฉพาะเจาะจงและมีจำนวนน้อยที่สามารถ ตรวจสอบได้แน่นอน จึงไม่จำเป็นที่จะต้องสุ่มตัวอย่างเพื่อหาตัวแทนประชากรอีก เช่น จำนวนผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศจำนวนอธิการบดีมหาวิทยาลัยของรัฐ เป็นต้น

59.       อุปกรณ์ที่เรียกว่าเป็น Input ได้แก่อะไรต่อไปนี้     

(1) ลำโพง (Loudspeaker)

(2)       แฟกซ์ (Facsimile)         (3) เม้าส์ (Mouse) (4) เครื่องพิมพ์ (Printer)

ตอบ 3 หน้า 275 Input และ Output หรือเรียกสั้น ๆ ว่า I/O จะมีหน้าที่รับข้อมูลจากผู้ใช้เข้าไปในเครื่องและสร้างผลลัพธ์ออกมาหลายรูปแบบ ซึ่งจะประกอบด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ ดังนี้

1.         อุปกรณ์ที่เป็น Input ได้แก่ Keyboard, Mouse, Scanner, Microphone, TV Camera, Digital Camera, Modem ฯลฯ

2.         อุปกรณ์ที่เป็น Output ได้แก่ Monitor, Printer, Loudspeaker, Fax/Facsimile, Screen, Digital Projector ฯลฯ

60.       การทำงานวิจัยนั้น อุปกรณ์ที่เรียกว่าเป็น Output ได้แก่อะไรต่อไปนี้      

(1) แป้น,พิมพ์ (Keyboard)

(2)       โมเด็ม (Modem) (3) เครื่องพิมพ์ (Printer)   (4) เม้าส์ (Mouse)

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 59. ประกอบ

61.       เมื่อส่งข้อมูลให้กับผู้อื่นโดยระบบ Internet นั้น ผู้รับและผู้ส่งจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ตัวใด

(1) Scanner        

(2) Modem        

(3) Monitor       

(4) Loudspeaker

ตอบ 2 หน้า 267378, (คำบรรยาย) Modem เป็นอุปกรณ์สื่อสารที่สามารถจะแปลงสัญญาณจาก คอมพิวเตอร์มาเป็นสัญญาณที่สามารถส่งข้อมูลข่าวสารผ่านทางสายโทรศัพท์ได้ และสัญญาณ จากสายโทรศัพท์ก็จะแปลงมาเป็นสัญญาณที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้เช่นกัน จึงทำให้ สามารถส่งข้อมูลข่าวสารผ่านดาวเทียมไปทั่วโลกได้รวดเร็วมาก เช่น ระบบ Internet เป็นต้น

62.       การสุ่มตัวอย่างแบบใช้ตารางเลขสุ่ม (Random Number Table) ได้แก่การสุ่มวิธีใด

(1) Stratified Sampling      

(2) Cluster Sampling

(3)       Systematic Sampling        

(4) Simple Random Sampling

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 44. ประกอบ

63.       การสร้างคำถามวิธี Ranking นั้น ผู้วิจัยจะกำหนดให้ผู้ตอบคำถามเลือกอย่างไร

(1) จัดขนาดของเรื่องจากมากไปหาน้อย         (2) จัดลำดับความสำคัญของคำตอบ

(3)       จัดคำถามให้มีความคิดอย่างต่อเนื่อง  (4) จัดให้เกิดระดับความคิดอย่างต่อเนื่อง

ตอบ 2 หน้า 230 การสร้างคำถามแบบ Ranking จะกำหนดให้ผู้ตอบคำถามจัดลำดับตัวเลือก ที่ต้องการตอบด้วยตนเอง คือ จัดลำดับความสำคัญของคำตอบให้ชัดเจนตามความพอใจ ลงในกรอบหรือบริเวณที่จัดไว้ให้ในแบบสอบถามนั้น

64.       ผู้ใช้ Terminal สามารถส่งข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นได้ โดยผ่านทางระบบอะไรต่อไปนี้

(1) เครื่องโทรเลข         (2)โทรศัพท์

(3) มอนิเตอร์ (Monitor)  (4) พริ้นเตอร์ (Printer)

ตอบ2  หน้า 283355 หน้าที่ของ Modem (Modulator – Demodulator : ตัวกล้ำ-แยกสัญญาณ) คือ ผู้ใช้ Terminal สามารถติดต่อ (Call up) หรือส่งข้อมูลผ่านคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ๆ ได้ โดยผ่านทางระบบโทรศัพท์ (ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ)

65.       การสำรวจโดยวิธีสัมภาษณ์ส่วนตัว มีข้อเสียอย่างไร

(1) มีความลำเอียงมาก           (2) ปกปิดชื่อผู้ตอบได้ง่าย

(3) ค่าใช้จ่ายลดลงมาก           (4) ไม่สามารถหาคำตอบเพิ่มเติมได้

ตอบ 1 หน้า 194 – 195 ข้อเสียของการสำรวจโดยวิธีสัมภาษณ์ส่วนตัว มีดังนี้ 1. มีค่าใช้จ่ายสูง2 .มีความเป็นไปได้ที่จะมีความลำเอียงในการสัมภาษณ์         3. ขาดความเป็น Anonymity ของผู้ถูกสัมภาษณ์ คือ ไม่สามารถที่จะปกปิดชื่อของผู้ถูกสัมภาษณ์ได้

66.       การสัมภาษณ์ผู้ถูกวิจัยนั้น นักวิจัยควรใช้วิธี Probing หมายถึงวิธีการใด

(1) ขณะพูดคุยให้มองหน้าผู้ตอบเสมอ           (2) ขณะพูดคุยนึกถึงคำถาม How และ When

(3) ขณะสัมภาษณ์ให้คิดหาคำถามต่อไป        (4) ขณะสัมภาษณ์นึกถึงคำถาม What และ Where

ตอบ 2 หน้า 195 – 196 หลักการสัมภาษณ์ประการหนึ่ง คือ ควรใช้วิธี Probing ซึ่งเป็นเทคนิคที่สำคัญ ที่สุดในการถาม กล่าวคือ ระหว่างการสัมภาษณ์หรือพูดคุยจะต้องไม่ลืมประเด็นคำถาม How และ When เพื่อที่จะล้วงเอาข้อมูลที่ผู้ตอบเผลอตอบออกมาโดยเต็มใจอยากจะบอกเพิ่มเติมอีก (Further Information) และตอบได้อย่างชัดเจน (Clarification)

67.       การสำรวจข้อมูลทางโทรศัพท์ มีข้อดีอย่างไร

(1)       ทำให้มองปัญหาการสำรวจได้รวดเร็วมากขึ้น

(2)       ทำให้ติดตามผลของข้อมูลที่ขาดหายได้รวดเร็วดี

(3)       ได้ผลสรุปที่ถูกต้องและวิเคราะห์ได้รวดเร็วทันที

(4)       ได้คำตอบทันทีและได้รับข้อมูลเพื่อวิเคราะห์ได้รวดเร็ว

ตอบ 4 หน้า 196 ข้อดีของการสำรวจข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ มีดังนี้

1.         เป็นวิธีทีประหยัดและราคาถูกกว่าการสัมภาษณ์ส่วนตัวมาก

2.         มีข้อดีที่สุดในเรื่องของการได้คำตอบทันทีและได้รับข้อมูลเพื่อวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว

3.         มีอัตราการตอบรับสูงและยังได้รับข้อมูลที่มีคุณภาพสูงกว่าการสำรวจทางไปรษณีย์มาก

4.         ได้ประชากรที่มีความแตกต่างหรือหลากหลาย ฯลฯ

68.       ผู้มีจรรยาบรรณทางการวิจัยนั้นต้องมีการทำ Confidentiality หมายความว่าอะไร

(1)       ความเชื่อมั่นในการค้นหาข้อมูลที่เป็นจริงได้

(2)       การเชื่อข้อมูลที่เป็นเรื่องเฉพาะส่วนตัวของผู้ถูกวิจัย

(3)       ปกปิดชื่อ ข้อมูลที่เป็นเรื่องส่วนตัวของผู้ถูกวิจัย

(4)       ไม่เปิดเผยข้อมูลหรือปิดข้อมูลส่วนตัวของผู้ถูกวิจัย

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

69.       ข้อสอบแบบ Multiple Choice Questions เป็นข้อสอบแบบใดต่อไปนี้

(1) ข้อสอบลักษณะแบบคำถามเปิด   (2) คำถามมีหลายรูปแบบ

(3) คำถามมีตัวเลือกตอบหลายข้อ      (4) ข้อสอบเป็นลักษณะเติมคำในตัวข้อสอบ

ตอบ 3 หน้า 232 – 233, (คำบรรยาย) Multiple Choice Questions คือ แบบสอบถามชนิดที่คำถาม มีตัวเลือกตอบมาก ซึ่งเป็นลักษณะของคำถามแบบปลายปิด (Close-ended Questions)ที่ให้ผู้ตอบเลือกตอบข้อที่ถูกต้อง โดยให้วงกลมหรือกากบาทลงในข้อที่เลือกของแบบคำถามปรนัย ดังที่นักศึกษาเคยเห็นมาแล้ว

70.       การให้รหัสข้อมูล (Coding) ในการทำงานวิจัยสื่อสารมวลชน มีจุดหมายอะไร

(1)       เพื่อทำให้รหัสต่าง ๆ ตีความหมายออกมาเป็นคำอธิบายได้

(2)       เพื่อแปลข้อมูลให้อยู่ในรูปที่จะดำเนินการผ่านคอมพิวเตอร์ได้

(3)       เพื่อให้การวิเคราะห์ข้อมูลออกมาถูกต้องตามสมมุติฐาน

(4)       เพื่อให้ข้อมูลสามารถปิดเป็นความลับได้

ตอบ 2 หน้า 264280354 เป้าหมายสำคัญของการให้รหัสข้อมูล (Coding) คือ จัดทำการดำเนินงาน ข้อมูลให้ง่ายขึ้นโดยแบ่งหรือจำแนกออกเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ที่สะดวกต่อการจัดการ เพื่อที่จะแปลข้อมูลให้อยู่ในรูปที่สามารถดำเนินการผ่านคอมพิวเตอร์ได้นั่นเอง

71.       การทำวิจัยนั้น ระบบ CPU เป็นส่วนใดของเครื่องคอมพิวเตอร์

(1) หน่วยความจำและเก็บข้อมูลของคอมพิวเตอร์      

(2) หน่วยประมวลผลกลางของคอมพิวเตอร์

(3) หน่วยคำนวณจากข้อมูลที่ป้อนเข้าไป        

(4) เป็นหน่วยแสดงผลรวมข้อมูลของคอมพิวเตอร์

ตอบ 2 หน้า 266366 Central Processing Unit (CPU) คือ หน่วยประมวลผลกลางของคอมพิวเตอร์ ซึ่งถือเป็นหัวใจของระบบคอมพิวเตอร์ที่จะควบคุมกระบวนการข้อมูลและการปฏิบัติการ ระบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ทั้งหมด รวมตลอดทั้งหน้าที่บริหารจัดการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทั้งหมดด้วย

72.       กรรมวิธีข้อมูลของการใช้คอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า Interactive มีวิธีอย่างไร

(1) ผู้วิจัยสามารถสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ได้    

(2) สามารถรวบรวมข้อมูลเป็นกลุ่มได้

(3) คอมพิวเตอร์สามารถส่งข้อมูลระยะไกลได้            

(4) คอมพิวเตอร์ส่งข้อมูลได้รวดเร็ว

ตอบ 1 หน้า 263267 การประมวลผลแบบโต้ตอบ (Interactive Processing) เป็นวิธีคำนวณ ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สะดวกมากที่สุดและเร็วที่สุด กล่าวคือ ผู้ใช้เครื่องจะใส่ขุดคำสั่ง (Commands) ไว้ในคอมพิวเตอร์ และคอมพิวเตอร์สามารถจะสื่อสารกับผู้ใช้เครื่องได้ จึงเป็นกรรมวิธีข้อมูลที่ผู้ทำวิจัยจำเป็นต้องเรียนรู้ไว้ให้มากที่สุด

73.       การส่งแบบสอบถามให้ผู้ถูกวิจัยเพื่อกรอกคำตอบนั้น ต้องมีเรื่องใดต่อไปนี้

(1)       วิธีที่ผู้ตอบจะไต้รับรางวัลการตอบคำถามเมื่อส่งแบบสอบถามกลับ

(2)       หนังสือนำเพื่อบอกเหตุสำคัญที่ส่งแบบสอบถามมาและแนะนำวิธีการตอบ

(3)       บอกวิธีการส่ง หรือแนบตัวอย่างที่จะส่งไปทางไปรษณีย์

(4)       ส่งคำแนะนำวิธีการตอบแบบสอบถามที่เหมาะสมกับผู้ตอบ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 8. ประกอบ

74.       กรรมวิธีข้อมูล (Data Processing) เป็นขั้นวิจัยการสื่อสารมวลชนระหว่างขั้นตอนใด

(1) ระหว่างการรวบรวมข้อมูลกับการวิเคราะห์            (2) ขั้นดำเนินตามแผนกับขั้นวิเคราะห์ข้อมูล

(3) ขั้นตีความข้อมูลกับขั้นตอนวางแผนการทำงาน (4) ระหว่างหาข้อมูลและรวบรวมข้อมูล

ตอบ 1 หน้า 264280354 กรรมวิธีข้อมูล (Data Processing) คือ กระบวบการที่เชื่อมต่อกัน ระหว่างการรวบรวมข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล โดยขั้นแรกในกระบวบการข้อมูล คือ การพัฒนาระบบในการให้รหัสข้อมูล (Coding Data) ซึ่งจะเกี่ยวกับการจัดแยกและการสังเกต เพื่อจุดประสงค์ของการอธิบายและการวิเคราะห์ทางสถิติ

75.       โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยทางการสื่อสารมวลชนนั้น นิยมใช้โปรแกรมใดต่อไปนี้

(1) โปรแกรม Page Maker       (2) โปรแกรม BMDP

(3) โปรแกรม PowerPoint        (4) โปรแกรม SPSS

ตอบ 4 หน้า 253277 โปรแกรมคอมพิวเตอร์จะมีชื่อใหม่ ๆ มากมาย ขึ้นอยู่กับว่าท่านจะใช้ทำงานใด และต้องการผลทางสถิติใด เช่น โปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุด ในวงการวิจัยทางสังคมศาสตร์และสื่อสารมวลชน ได้แก่ โปรแกรม SPSS ส่วนในทางธุรกิจ ก็มีโปรแกรม BMDP ในทางการพิมพ์ก็มี Page Maker หรือการใช้สถิติเพื่อการวิจัยทั่วไป ก็มีโปรแกรม stat View ซึ่งจะพัฒนาไปเร็วมาก เป็นต้น

77.       การทำรหัสข้อมูลนั้น หากเป็นคำถามแบบปิดควรจะ Code โดยวิธีใด

(1) แบบ Deductive เข้ารหัสก่อน            (2) แบบ Inductive เข้ารหัสหลัง

(3) แบบ Deductive เข้ารหัสหลัง            (4) แบบ Inductive เข้ารหัสก่อน

ตอบ 1 หน้า 265268 การทำรหัสข้อมูล (Coding) ไว้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง จะขึ้นอยู่กับรูปแบบของ คำถาม กล่าวคือ หากคำถามเป็นแบบปลายปิดควรจะ Code ด้วยวิธี Deductive คือ เข้ารหัสข้อมูลก่อนการเก็บรวบรวม แต่ถ้าคำถามเป็นแบบปลายเปิดควรจะ Code ด้วยวิธี Inductive คือ เข้ารหัสข้อมูลหลังจากเก็บรวบรวมข้อมูลมาแล้ว

78.       ค่าเฉลี่ย Mode ของคะแนนชุด 3581051012610310 และ 16 ได้แก่ค่าใด

(1) เท่ากับ 6    (2) เท่ากับ 8    (3) เท่ากับ 10  (4) เท่ากับ 16

ตอบ 3 หน้า 248 ค่าฐานนิยม (Mode) คือ ค่าเฉลี่ยของข้อมูลที่มีความถี่มากที่สุดในจำนวนข้อมูล ทั้งหมด ดังนั้นจากโจทย์ข้างต้นจึงหาค่าเฉลี่ย Mode = 10 ซึ่งเป็นข้อมูลที่ซ้ำกันหรือมีความถี่ มากที่สุด

79.       การทดสอบสมมุติฐานทางสถิตินั้น มักจะทดสอบสมมุติฐานใดต่อไปนี้

(1) Alternative Hypothesis        (2) Null Hypothesis

(3) Research Hypothesis   (4) Research Assumption

ตอบ 2 หน้า 289, (คำบรรยาย) ในการวิจัยทางการสื่อสารมวลชนจะนิยมใช้วิธีการทางสถิติอ้างอิง เพื่อทดสอบสมมุติฐาน เช่น T-Test, F-Test, Chi-square Test ฯลฯ โดยมักจะทดสอบ สมมุติฐานทางสถิติ คือ Null Hypothesis (HQ) ซึ่งเป็นสมมุติฐานที่มีข้อความตรงข้ามกับสมมุติฐานที่ควรจะเป็น คือ Alternative Hypothesis (Hi) และต้องเป็นข้อความที่ระบุว่า ไม่มีความส้มพันธ์ใด ๆ ระหว่างตัวแปรต่าง ๆ ที่จะถูกค้นพบได้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้

80.       การป้อนข้อมูลวิจัยทางการสื่อสารมวลชน โดยปกติคอลัมน์ใน Card Image ของคอมพิวเตอร์จะมีอยู่กี่คอลัมน์

(1) มี 60 คอลัมน์         (2) มี 70 คอลัมน์         (3) มี 80 คอลัมน์         (4) มี 90 คอลัมน์

ตอบ 3 หน้า 263266268 ระบบคอมพิวเตอร์จำเป็นต้องมีการเก็บข้อมูลไว้ในหน่วยความจำของระบบ โดยปัจจุบันจะเก็บไว้ในรูปรหัสที่เรียกว่า Card Image ซึ่งปกติแต่ละบรรทัดของข้อมูล จะประกอบด้วยคอลัมน์ 80 คอลัมน์ หรือน้อยกว่าเล็กน้อย

81.       การใช้สถิติทดสอบสมมุติฐานในการวิจัยทางการสื่อสารมวลชนนั้น นิยมใช้วิธีใดต่อไปนี้

(1) Ink-Test         

(2)       RU-Test    

(3) Pretest-Posttest 

(4)         Chi-square Test

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 79. ประกอบ

82.       ระดับความมีนัยสำคัญ (α) ในการทำการวิจัยทางการสื่อสารมวลชน นิยมใช้ที่ระดับใด

(1) ระดับ .001            

(2)       ระดับ .01        

(3) ระดับ .03   

(4)       ระดับ .05

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ

84.       ค่าเฉลี่ย Median ของคะแนนชุด 36810161718 และ 22 มีค่าเท่าไร

(1) เท่ากับ 6    

(2)       เท่ากับ 9          

(3) เท่ากับ 11  

(4)       เท่ากับ 13

ตอบ. 4 หน้า 248, (คำบรรยาย) ค่ามัธยฐาน (Median) คือ ค่าเฉลี่ยที่ได้จากข้อมูลที่อยู่ตรงกลาง เมื่อเรียงลำดับข้อมูลจากค่าน้อยไปสู่ข้อมูลที่มีค่ามาก แต่ถ้าในกรณีที่ตรงกลางมี 2 ข้อมูล ให้นำข้อมูลทั้งสองมาบวกกันแล้วหารด้วย 2

85.       ค่าของคะแนน .05 นั้น คือค่าใดที่หวังได้ดังต่อไปนี้

(1) หวังได้เท่ากับ 85% (2) หวังได้เท่ากับ 95% (3) หวังได้เท่ากับ 90% (4) หวังได้เท่ากับ 15% ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ

86.       ปัญหาวิจัย วัยรุ่นที่นิยมชมภาพยนตร์ที่มีการต่อสู้รุนแรงจะมีพฤติกรรมก้าวร้าว จงตั้งสมมุติฐาน Null Hypothesis ต่อไปนี้ ข้อใดถูกต้อง

(1) วัยรุ่นที่ไม่นิยมชมภาพยนตร์ต่อสู้รุนแรงมีปัญหาเรื่องความก้าวร้าว

(2) วัยรุ่นที่ไม่นิยมชมภาพยนตร์ต่อสู้รุนแรงจะไม่มีปัญหาพฤติกรรมก้าวร้าว

(3) วัยรุ่นที่นิยมชมภาพยนตร์ต่อสู้รุนแรงจะไม่มีปัญหาก้าวร้าว

(4) วัยรุ่นที่นิยมชมภาพยนตร์ที่มีการต่อสู้รุนแรงจะไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าว 

ตอบ. 4 หน้า 289, (ดูคำอธิบายข้อ 79. ประกอบ) จากปัญหาวิจัย หรือสมมุติฐานที่ควรจะเป็น เราสามารถตั้งสมมุติฐานที่เป็นไปไม่ได้ และไม่มีความสัมพันธ์กับระหว่าง วัยรุ่นที่นิยมชมภาพยนตร์ที่มีการต่อสู้รุนแรง” กับ พฤติกรรมก้าวร้าว” ซึ่งเป็นตัวแปรที่สัมพันธ์กันได้ดังนี้ คือ วัยรุ่นที่นิยมชมภาพยนตร์ ที่มีการต่อสู้รุนแรงจะไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าว

87.       การวัดค่าระดับ Interval จะอยู่ในรูปใดต่อไปนี้

(1) A = 25     (2) A >B      (3) A + B = c + D    (4) 2A = 5B

ตอบ 3 หน้า 162 Interval Measure เป็นการวัดสิ่งต่าง ๆ เพื่อหาจำนวน ขนาด และช่วงที่เท่ากัน หรือระยะห่าง (Interval) ระหว่างหน่วยที่ติดกัน ซึ่งจะสามารถกำหนดหรือตัดสินใจได้ว่า หน่วยใด ช่วงใดมากกว่า น้อยกว่า หรือเท่ากัน เช่น A-B>C-D, A-B<C-D, A-B = C-D,A + B = C + D,A + B>C + D เป็นต้น

88.       การวัดอุณหภูมิแบบใดที่มีค่า Absolute Zero Point ดังต่อไปนี้

(1) Celsius (2) Fahrenheit  (3) Kelvin  (4) Rohmer

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 36. ประกอบ

89.       ค่าความเชื่อได้ (Reliability) ของแบบสอบถามหลายชุดมีค่าต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ควรเลือกชุดใดนำมาเป็นเครื่องมือในการวิจัย

(1) ชุดที่มีค่า r = .03  (2) ชุดที่มีค่า r = .96  (3)       ชุดที่มีค่า r = .04       (4) ชุดที่มีค่า X = .69

ตอบ 2 หน้า 166, (ดูคำอธิบายข้อ 33. ประกอบ) การหาค่าความเชื่อได้ (Reliability : r)ทางสถิตินั้น ถ้าค่าของ เข้าใกล้ 1 ก็น่าจะมีความเชื่อได้สูงสุด หรืออย่างน้อย .96 ก็เชื่อมั่นได้ ทั้งนี้ค่าความเชื่อได้ทางสถิติของเครื่องมือวิจัยสื่อสารมวลชนที่นิยมมากที่สุด ได้แก่ X = .75 ขึ้นไป

90.       นักศึกษาได้ศึกษางานวิจัยของ Paul Leedy ถามว่าเขาเป็นนักวิจัยสาขาใด

(1) สื่อสารมวลชน        (2) มนุษยศาสตร์         (3)       สังคมศาสตร์   (4)       วิทยาศาสตร์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

91.       การสุ่มตัวอย่างแบบ Systematic จากประขากร 4,000 คน เลือกสุ่มตัวอย่างมา 400 คนนั้น อยากทราบว่า ค่าที่ เท่ากับเท่าไร

(1) มีค่าเท่ากับ 5         

(2) มีค่าเท่ากับ 10       

(3) มีค่าเท่ากับ 15       

(4)มีค่าเท่ากับ 20

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

92.       คำถามของผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นนักวิจัยทางการสื่อสารมวลชนได้นั้น น่าจะมีคำกล่าวที่สันนิษฐาน ตามข้อใดต่อไปนี้

(1)       ท่านจะไปชมภาพยนตร์ที่ไหนผมอยากไปด้วย

(2)       เขาว่ารายการโทรทัศน์เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่อันตราย

(3)       ฉันว่าเขาค้นหาข้อมูลจากนิตยสารมามากพอแล้ว

(4)       ฉับประหลาดใจว่าทำไมพิธีกรคนนี้จึงเป็นเช่นนั้นได้

ตอบ 4 หน้า 14 ทุกคนที่จะทำการวิจัยนั้นจะต้องเกิดข้อสงสัยในชีวิตประจำวัน หรือเกิดปัญหาขึ้นในใจตนเองทั้งสิ้น เช่น ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ อะไรเป็นสาเหตุ ฯลฯ ซึ่งคำถามในลักษณะ ทำไม” (Why) นี้ จะทำให้เราคุ้นเคยกับแนวทางที่จะนำไปสู่การวิจัยต่อไปได้ จึงเรียกว่า ปัญหาวิจัยก็คือ คำถามของผู้วิจัยนั่นเอง

93.       การใช้สถิติวิเคราะห์ Chi-square Test นั้น เป็นสถิติอะไรต่อไปนี้

(1) สถิติวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis)        (2) สถิติตีความ (Interpretative Statistics)

(3) สถิติอ้างอิง (Inferential Statistics)      (4) สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics)

ตอบ 3 หน้า 248320 – 321, (คำบรรยาย) สถิติวิเคราะห์จะประกอบด้วยขอบเขต 2 ประการ คือ

1.         สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics) เป็นการอธิบายลักษณะข้อมูล เช่น ค่าเฉลี่ยทางสถิต Mean Median Mode, รูปร่างการกระจายของคะแนน ฯลฯ

2.         สถิติอ้างอิง (Inferential Statistics) เป็นการที่ผู้วิจัยสุ่มตัวอย่างมาวิเคราะห์โดยการใช้ T-Test, F-Test, Chi-square Test, ANOVA ฯลฯ และสรุปผลเกี่ยวกับประชากรทั้งหมด

94.       การวิจัยทางการสื่อสารมวลชนโดยทั่วไปนั้น พบว่าการวิจัยเป็นเรื่องใดต่อไปนี้

(1) เป็นกระบวนการทางสังคม            (2) เป็นระบบหมุนเวียน

(3) เป็นการค้นหาตัวแปร         (4) เป็นการทบทวนความรู้

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 9. ประกอบ

95.       การหาค่าเฉลี่ยทางสถิติ เช่น ค่า Mean, Median, Mode นั้น เรียกว่าสถิติอะไร

(1) สถิติวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis)        (2) สถิติตีความ (Interpretative Statistics)

(3) สถิติอ้างอิง (Inferential Statistics)      (4) สถิติพรรณนา (Descriptive Statistics)

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 93. ประกอบ

96.       ผู้ที่ได้ศึกษาเรื่อง การเชื่อผู้มีอำนาจนั้น ได้แก่ใครต่อไปนี้

(1) Milgram        (2) Karl Popper

(3) Verstehen    (4) Paul Leedy

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 22. ประกอบ

97.       หากพบปัญหาว่า ไฟดับ จงตั้งสมมุติฐานจากข้อมูลที่ว่า ไฟลัดวงจรเมื่อเดือนก่อน หลอดไฟอายุ 200 ชั่วโมงแล้ว สายไฟอายุพร้อมกับบ้าน 25 ปี เมื่อวานใช้ไฟมาก ฯลฯ ข้อใดถูกต้องที่สุดต่อไปนี้

(1) ไฟช้อตอีกกระมัง   (2) สะพานไฟขาดหรือไม่

(3) หลอดไฟขาดหรือเปล่า       (4) หลอดไฟขาด

ตอบ 4 หน้า 16 การตั้งสมมุติฐานจะต้องเขียนเป็นประโยคบอกเล่า ส่วนการตั้งปัญหาย่อยจะเขียน เป็นประโยคคำถาม โดยในการทำวิจัยนั้นจะเลือกตั้งเป็นคำถามย่อยหรือตั้งเป็นสมมุติฐานก็ได้ เพื่อเป็นแนวทางค้นหาคำตอบ หรือเป็นแนวทางพิสูจน์ ทดสอบสมมุติฐาน แล้วจึงสรุปผล การวิจัยดังที่ได้วางแผนไว้แล้ว (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นการตั้งปัญหาย่อย)

98.       การวัดค่าความร้อน 25° Celsius อธิบายได้ว่าขณะนี้ร้อนกี่องคา Kelvin

(1) ร้อน 298°K         (2) ร้อน 205°K

(3) ร้อน 303°K         (4) ร้อน 308°K

ตอบ 1 หน้า 162 – 163245, (ดูคำอธิบายข้อ 36. ประกอบ) ในสเกลของ Kelvin จุดที่เป็นศูนย์ โดยสมบูรณ์เด็ดขาดจริง ๆ (Arbitrary Zero Point) คือ ระดับ 273°ดังนั้นหากเรา กลับการวัดแบบ Celsius เป็นการวัดแบบ Kelvin ซึ่งเป็นคาความร้อนที่สมบูรณ์จริง ก็จะ วัดค่าความร้อนที่ 25°ได้ร้อนจริง ๆ ที่ 273° + 25° = 298°K

99.       จรรยาบรรณของนักวิจัยของสภาวิจัยแห่งชาติ ได้แก่ข้อใดต่อไปนี้

(1)       นักวิจัยไม่จำเป็นต้องมีพี้นความรู้ในเรื่องที่ทำวิจัยนั้น

(2)       นักวิจัยต้องเคารพสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัย

(3)       นักวิจัยพึงมีความรับผิดชอบต่อวิธีการทางวิทยาคาสตร์

(4)       นักวิจัยพึงมีความรับผิดชอบต่อสังคมทุกระดับ

ตอบ 4 หน้า 102 – 103 จรรยาบรรณนักวิจัยของสภาวิจัยแห่งชาติมี 9 ประการ ดังนี้

1.         นักวิจัยต้องซื่อสัตย์และมีคุณธรรมในทางวิชาการและการจัดการ

2.         นักวิจัยต้องตระหนักถึงพันธกรณีในการทำวิจัยตามข้อตกลงที่ทำไว้กับหน่วยงานที่สนับสนุน การวิจัยและต่อหน่วยงาน

3.         นักวิจัยต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาการที่ทำวิจัย

4.         นักวิจัยต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษาวิจัย

5.         นักวิจัยต้องเคารพศักดิ์ศรีและสิทธิของมนุษย์ที่ใช้เป็นตัวอย่างในการวิจัย

6.         นักวิจัยต้องมีอิสระทางความคิดโดยปราศจากอคติในทุกขั้นตอนของการทำวิจัย

7.         นักวิจัยพึงนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบ

8.         นักวิจัยพึงเคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่น

9.         นักวิจัยพึงมีความรับผิดชอบต่อสังคมทุกระดับ

100.    ถ้าค่าไค-สแควร์ (Chi-square Test) ที่คำนวณได้ มีค่ามากกว่าค่าไค-สแควร์ที่อ่านได้จากตาราง (Critical Value) จะต้องสรุปผลการทดสอบสมมุติฐานอย่างไรต่อไปนี้

(1) ปฏิเสธ Null Hypothesis (Ho)   (2) ปฏิเสธ Alternative Hypothesis (H1)

(3) ยอมรับ Null Hypothesis (Ho)    (4) ยอมรับ Statistical Hypothesis

ตอบ 1 หน้า 317 – 318358404, (คำบรรยาย) การทดสอบสมมุติฐานโดยใช้ Chi-square Test, T-Test, Z-Test และ F-Test ถ้าค่าที่คำนวณได้ (Obtained Value) มีค่ามากกว่า หรือเท่ากับ ค่าที่อ่านได้จากตาราง (Critical Value) นักวิจัยจะต้องสรุปผลการทดสอบสมมุติฐานว่าปฏิเสธ Null Hypothesis (Ho) แต่ถ้าค่าที่คำนวณได้มีค่าน้อยกว่าค่าที่อ่านได้จากตาราง จะต้องสรุปผลการทดสอบสมมุติฐานว่า ยอมรับ Null Hypothesis (Ho)

 

MCS3301 (MCS3183) วาทศาสตร์เพื่อการสื่อสารทางธุรกิจ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา MCS 3301 (MCS 3183) วาทศาสตร์เพื่อการสื่อสารทางธุรกิจ

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1.         ข้อใดกล่าวถูกต้องตามแนวคิดพื้นฐานกระบวนการสื่อสารกับตนเองและระหว่างบุคคล

(1)       หน่วยพื้นฐานที่เล็กที่สุดในการลื่อสารของมนุษย์ คือ กลุ่มย่อย

(2)       การพูดของมนุษย์-การมีปฏิกิริยาโต้ตอบโดยการใช้ภาษาถ้อยคำและท่าทางเป็นสัญลักษณ์

(3)       หน่วยพื้นฐานที่แสดงความสัมพันธ์ของมนุษย์ คือ ปฏิสัมพันธ์

(4)       การสื่อสารนับเป็นกระบวนการที่ถือเป็นพลวัต

ตอบ 4 หน้า 37 – 39. 47, (คำบรรยาย) แนวคิดพื้นฐานกระบวนการสื่อสารกับตนเองและการสื่อสารระหว่างบุคคล

1.         การสื่อสาร นับเป็นกระบวนการที่ถือเป็นพลวัต (Dynamic) คือ เป็นกระบวนการที่เคลื่อนไหว และเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ (ไม่หยุดนิ่ง)

2.         การพูดของมนุษย์ คือ การมีปฏิกิริยาโต้ตอบโดยการใช้สัญลักษณ์ที่เป็นคำพูด ซึ่งประกอบด้วย วัจนภาษา (ถ้อยคำ) และอวัจนภาษา (น้ำเสียง)

3.         หน่วยพื้นฐานที่เล็กที่สุดในการสื่อสารของมนุษย์ คือ การสื่อสารกับตนเอง (Intrapersonal Communication)

4.         หน่วยพื้นฐานที่แสดงความสัมพันธ์ของมนุษย์ในการสื่อสาร คือ การสื่อสารระหว่าง 2 คน หรือการสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication) และการสื่อสารใน กลุ่มย่อย (Small Group Communication) เช่น การสื่อสารระหว่างบุคคลแบบมีสื่อมาคั่นกลาง (Interposed Communication) ได้แก่ การพูดโทรศัพท์ การเขียนจดหมายถึงกัน และการสื่อสารผ่านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล รวมถึงสื่อสารมวลชนด้วย เป็นต้น

2.         ในการประชุม สมาชิกพวก เจ้าปัญหา” มีลักษณะข้อใด   

(1) เถียงไม่หยุด

(2)       นั่งนิ่ง ชำเลืองมองผู้อื่น            

(3) ชอบชวนวิวาท        

(4) ทำท่ารู้จริงทุกเรื่อง

ตอบ 2 หน้า 351 สมาชิกกพวก เจ้าปัญหา” จะมีลักษณะไม่ค่อยกล้าแสดงความคิดเห็น มักจะนั่งนิ่งชำเลืองมองผู้อื่น เมื่อมีปัญหามักจะคาดเดาและคิดว่าตนเองทราบว่าคนอื่น ๆ เขาคิดกันอย่างไร

3.         ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับแนวคิด Entropy เมื่อนำมาประยุกต์เข้ากับการสื่อสาร

(1)       เกิดขึ้นเมื่อการสื่อสารเริ่มต้นจากผู้ส่งไปยังผู้รับและวกกลับมายังผู้ส่งอีกครั้ง

(2)       การส่งถ่ายข้อมูลที่มีลำดับขั้นตอนที่สลับซับซ้อนมากขึ้นยิ่งส่งผลให้ Entropy มากขึ้น

(3)       นำแนวคิดไปประยุกต์ใช้ในการพูดทางโทรศัพท์ที่มีประสิทธิภาพ

(4)       กล่าวถูกต้องทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 552 – 53 แนวความคิดเรื่อง Entropy เมื่อนำมาประยุกต์เข้ากับการสื่อสาร มีดังนี้

1.         Entropy จะเกิดขึ้นเมื่อการสื่อสารมีขั้นตอนที่สลับซับซ้อนเริ่มต้นจากแหล่งข้อมูล (ผู้ส่งสาร) ไปสู่จุดหมายปลายทาง (ผู้รับสาร) และวกกลับมายังผู้ส่งอีกครั้ง

2.         วิธีลด Entropy คือ การให้ปฏิกิริยาตอบกลับที่ชัดเจนหรือการป้อนกลับผลของการปฏิบัติ เข้าสู่ระบบอีกครั้ง และการสื่อสารซ้ำกันหลาย ๆ ครั้ง

3.         Entropy จะเพิ่มมา ขึ้น ถ้ากระบวนการส่งถ่ายข้อมูลมีลำดับขั้นตอนที่สลับซับซ้อนมากขึ้น

4.         สามารถนำแนวคิดไปประยุกต์ใช้ในการสื่อสารของธุรกิจได้ เช่น การพูดทางโทรศัพท์ที่มีประสิทธิภาพ มีตู้รับความคิดเห็น และมีการติดต่อภายในสำนักงานโดยการพูดหรือการเขียน เป็นต้น

4.         บริเวณที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยจะเปลี่ยนไปตามบุคคล สถานการณ์ และวุฒิภาวะ

(1)       บริเวณปกปิด (Hidden Area) และบริเวณเปิดเผย (Free Area)

(2)       บริเวณปิดบัง (Closed Area) และบริเวณปกปิด (Hidden Area)

(3)       บริเวณจุดบอด (Blind Area) และบริเวณเปิดเผย (Free Area)

(4)       บริเวณลี้ลับ (Unknown Area) และบริเวณจุดบอด (Blind Area)

ต3บ 1 หน้า 8, (คำบรรยาย) บริเวณเปิดเผย (Free Area) และบริเวณปกปิด (Hidden Area) เป็น บริเวณที่ตนเองรู้ แต่คนอื่นจะรู้หรือไม่รู้นั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของตนเอง โดยทั้ง 2 บริเวณนี้ สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามบุคคล เนื้อเรื่อง วุฒิภาวะ และสถานการณ์ เช่น ในระหว่าง การประชุมผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนต้องแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหรือเปิดเผยข้อมูลซึ่งกันและกับ เพื่อทำห้เกิดความเชื่อถือไว้เนื้อเชื่อใจ จนกล้าเปิดเผยความรู้สึกที่ซ่อนเร้นหรือปกปิดไว้ ดังนั้น ผู้เข้าร่วมการประชุมทุกคนต้องให้ความสำคัญกับการขยายบริเวณเปิดเผย และลดบริเวณปกปิด หรือซ่อนเร้น เพื่อให้การสื่อสารประสบความสำเร็จหรือเป็นไปตามที่ปรารถนา

5.         การอภิปรายแบบ Panel มีจำนวนผู้อภิปรายประมาณเท่าใด

(1)       1 – 4    (2) 6-10          (3) 4 – 6           (4) 10 – 12

ตอบ3 หน้า 339 ลักษณะเด่นของการอภิปรายเป็นคณะ (Panel Discussion) มีดังนี้

1.         มีประธาน 1 คน เป็นผู้เริ่มเปิดการอภิปราย กล่าวนำ (กล่าวต้อนรับผู้พฟัง) และแนะนำ ผู้ดำเนินการอภิปราย/ผู้ทรงคุณวุฒิหรือวิทยากรก่อนกล่าวเปิดการอภิปราย

2.         มีผู้ทรงคุณวุฒิหรือวิทยากรผู้นำการประชุม จำนวนประมาณ 4 – 5 คน

3.         เน้นการแสดงความคิดเห็น/การนำเสนอแนวคิดทางวิชาการ ข้อเท็จจริงที่เป็นแก่นสาร และเป็นประโยชน์แก่สาธารณชนจากผู้ทรงคุณวุฒิหรือวิทยากรที่มาจากแวดวงวิชาการ และวิชาชีพแขนงเดียวกัน

4.         ช่วงท้ายของการประชุมจะจัดให้มีการซักถาม ปรึกษา และเสนอข้อคิดเห็นจากผู้เข้าร่วมประชุม ซึ่งการเปิดให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมในการอภิปรายซักถามนี้เรียกว่า Panel Forum

6.         ข้อความใดใช้ภาษาไม่สอดคล้องกับหลัก 7 ประการเพื่อการสื่อสารที่สัมฤทธิผล

(1)       เราเชื่อว่าคุณสมบัติของคุณเหมาะสมกับตำแหน่งงานอื่นมากกว่า

(2)       บางครั้งคำพูดของผมอาจไม่ถูกต้องชัดเจนพอ ผมจะพยายามดูใหม่อีกครั้ง

(3)       คุณจะทราบถึงรายละเอียดของบริษัทจากรายงานประจำปีที่คุณจะได้รับฉบับนี้

(4)       นี่เห็นได้ชัดว่าคุณไม่เข้าใจที่ผมพูด

ตอบ 4 หน้า 2431 เทคนิค 7 ประการเพื่อการสื่อสารที่สัมฤทธิผล มีดังนี้ 1. ความสมบูรณ์ครบถ้วน (Completeness)        2. ความกะทัดรัด (Conciseness)         3. การพิจารณาไตร่ตรอง(Consideration)        4. ความเป็นรูปธรรม (Concreteness)  5. ความชัดแจ้ง (Clarity) 6. ความสุภาพอ่อนน้อม (Courtesy)        7. ความถูกต้อง (Correctness)

ข้อความในตัวเลือกที่4 ใช้ภาษาไม่สอดคล้องกับเทคนิคความสุภาพอ่อนน้อม เพราะเป็นข้อความ ที่ขาดความแนบเนียน นี่เห็นได้ชัดว่าคุณไม่เข้าใจที่ผมพูด (ข้อความที่มีความแนบเนียน บางครั้งคำพูดของผมอาจไม่ถูกต้องชัดเจนพอ ผมจะพยายามดูใหม่อีกครั้ง) ส่วนตัวเลือกที่ 1 และ 3 ใช้ภาษาสอดคล้องกับเทคนิคการพิจารณาไตร่ตรอง เพราะเป็นการสื่อสารเน้นในเชิงบวก  เราเชื่อว่าคุณสมบัติของคุณมีความเหมาะสมกับตำแหน่งงานอื่นมากกว่า และเน้น คุณ” มากกว่า ฉัน’’  คุณจะทราบถึงรายละเอียดของบริษัทจากรายงานประจำปีที่คุณจะได้รับฉบับนี้

7.         ข้อใดกล่าวถูกต้องกับแนวคิดทฤษฎีความแตกต่างระหว่างข้อความต่าง ๆ

(1)       นอกจากนี้ การสรุปมักเป็นผลจากการสังเกตโดยตรงจากประสบการณ์และข้อมูลที่ได้รับ

(2)       บุคคลมักทำการสรุปโดยไม่ตระหนักว่าสิ่งที่ได้กระทำไปนั้นเป็นเพียงความเข้าใจของตน

(3)       ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการสรุปมักเป็นเรื่องที่ไม่สร้างสรรค์ ไม่พึงประสงค์ และผิดศีลธรรม

(4)       ในบรรดาข้อความทั้งสามประเภท ข้อความสรุป เป็นข้อความที่อาจเป็นเท็จได้ในการสื่อสารจำเป็น ต้องมีความระมัดระวังในการใช้ข้อความประเภทนี้

ตอบ 4 หน้า 94 – 95 ความแตกต่างระหว่างการใช้ข้อความต่าง ๆ โดยเฉพาะระหว่างข้อความสังเกต และข้อความสรุป คือ บุคคลมักทำการสรุปโดยไม่ตระหนักว่าตนได้ทำการสรุปไปแล้ว และ ทำราวกับว่าสิ่งที่ได้กระทำไปนั้นเกิดขึ้นจากการรับรู้ของประสาทสัมผัสทั้ง 5 หรือจากการสังเกต ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นมักจะไม่คาดฝันและไม่พึงประสงค์ ทั้งนี้มีวิธีแก้ไขคือ ต้องพยายามแยกแยะ ความแตกต่างระหว่างข้อความสังเกต ข้อความสรุป และข้อความประเมิน เพราะข้อความ ทั้งสามประเภทนี้อาจเป็นได้ทั้งข้อความที่เป็นจริงและเป็นเท็จ โดยชะลอการที่จะสรุป สิ่งต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว และต้องพยายามบอกว่าเรากำลังพูดข้อความสรุปด้วยการเติมวลี เท่าที่ผมทราบมา…” , “ตามความคิดเห็นของผม…” ฯลฯ

8.         ข้อใดกล่าวถูกต้องตามแนวคิดพื้นฐานในการใช้วัจนภาษาเพื่อการสื่อสารทางธุรกิจ

(1)       หลีกเลี่ยงการใช้กลุ่มคำที่อาจก่อปัญหา เช่น ภาษาคะนอง ภาษาเทคนิค ภาษาติดปากฯ

(2)       ข้อความสรุป” จัดเป็นข้อความที่เป็นเท็จ ผู้พูดไม่มีความรู้หรือข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่พูด เป็นเพียงการสรุปตามความเข้าใจเท่านั้น ในฐานะผู้ฟังไม่ควรให้ความสนใจมากนัก

(3)       ข้อความสังเกต” มีรากฐานอยู่บนสมมติฐาน

(4)       ข้อความสังเกตเป็นข้อความที่จำเป็นต้องมีการพิสูจน์ด้วยการใช้สูตรทางคณิตศาสตร์ เป็นข้อความ ภาษาทางการวิจัย ไม่เหมาะสมกับการนำมาใช้สื่อสารในชีวิตประจำวัน

ตอบ 1 หน้า 85 – 87 ตามแนวคิดพื้นฐานในการใช้วัจนภาษาเพื่อการสื่อสารทางธุรกิจ ควรหลีกเลี่ยง การใช้กลุ่มคำที่อาจก่อให้เกิดปัญหา เช่น ภาษาคะนอง ภาษาผสม ภาษาเทคนิค ภาษาติดปาก ภาษาถิ่นหรือภาษาพื้นเมือง ภาษาคลุมเครือ ฯลฯ

9.         แขนไขว้กัน กอดอก ใช้มือโอบกอดคู่เจรจา โยกตัวไปมา ตบไหล่หรือศีรษะเบา ๆ เป็นการแสดงออกซึ่ง รูปแบบพฤติกรรมการสื่อสารเกิดขึ้นจากสภาวะจิต (Ego State) ใด

(1)       สภาวะบิดามารดาหรือผู้ปกครอง        (2) สภาวะเด็ก

(3)       สภาวะผู้ใหญ่  (4) สภาวะเพื่อน คนสนิท หรือคนรัก

ตอบ 1 หน้า 59 สภาวะบิดามารดาหรือผู้ปกครอง มีการแสดงออกทางอวัจนภาษาดังนี้

1.         ชี้นิ้ว สั่นศีรษะ  2. การบีบมือ แขนไขว้กัน กอดอก

3.         ตบศีรษะหรือตบไหล่เบา ๆ      4. กระทืบเท้า ขมวดคิ้ว

5.         ถอนหายใจทางปาก หายใจหนักทางจมูก ออกเสียงอ้อมแอ้ม (ไม่พอใจ)

6.         ใช้มือโอบกอดคู่เจรจา ลูบไล้ ออกเลียงปลอบโยน และโยกตัวไปมา

10.       คำพูดใดไม่ควรกล่าวในการสนทนาทางโทรศัพท์

(1)       391-4351 ค่ะ (2) บ้านคุณรามครับ

(3) บริษัทการค้าไทยค่ะ           (4) นั่นใครพูด

ตอบ 4 หน้า 215221 คำพูดที่ไม่ควรกล่าวในการสนทนาทางโทรศัพท์ คือ วลีหรือถ้อยคำที่ไม่สุภาพเช่น นั่นใครพูด ใครกำลังพูด”,“คุณชื่ออะไร”,“คุณคือใคร” หรือแม้กระทั่งวลีที่นิยมใช้กันมาก ในปัจจุบัน เช่น จากไหนคะ/ครับ’’ ซึ่งอาจสื่อความหมายผิดพลาดได้เช่นกัน

11.       การสนทนาแบ่งตามวัตถุประสงค์ คือ

(1)       สร้างความสัมพันธ์และกิจธุระ            

(2) โน้มน้าวใจและยินยอม

(3) ตัดสินใจและริเริ่ม  

(4) กระตุ้นพฤติกรรมและแสดงออก

ตอบ1  หน้า 185 การสนทนาแบ่งตามวัตลุประสงค์ได้ 2 รูปแบบสำคัญ ๆ ที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน

คือ 1. การสนทนาเพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดี 

2. การสนทนาเพื่อกิจธุระ

12.       ยืนขณะที่คนอื่นนั่ง มือทั้งสองประสานอยู่บนเหนือศีรษะ มือ 2 ข้างประกอบกันบนโต๊ะ ฯลฯ

(1)       ความเชื่อมั่น ความซื่อสัตย์ และความร่วมมือ  

(2) ความไม่แน่ใจ ยังไม่ตัดสินใจ ขอเวลา

(3) ความเตรียมพร้อม  

(4) ความมีอำนาจเหนือกว่า

ตอบ 4 หน้า 138 ภาษาร่างกายหรือภาษากายที่แสดงถึงความมีอำนาจเหนือกว่า 

1.         นิ้วจะแตะที่เข็มขัดที่คาดอยู่     

2. กว่าจะตอบเสียงที่เคาะประตูจะใช้เวลาสักครู่

3.         ขา 2 ข้างพาดเหนือเก้าอี้          

4. โต๊ะ/เก้าอี้จะใหญ่กว่าของที่ให้แขกผู้มาเยือน

5.         ยืนขณะที่คนอื่นนั่งอยู่ 

6. มือทั้ง 2 ข้างประสานกับอยู่ที่ศีรษะ

7.         มือ 2 ข้างประกอบกันบนโต๊ะ

13.       เส้นประบนกึ่งกลางโต๊ะสอดคล้องกับแนวคิดของ Proxemics ในข้อใด

(1)       Intimate Distance    (2) Personal Distance

(3) Public Distance    (4) Social Distance

ตอบ 2 หน้า 122125129 เส้นประบนกึ่งกลางโต๊ะสอดคล้องกับแนวคิดของภาษาทางด้านสถานที่ (Proxemics) ประเภท Personal Distance ได้แก่ ระยะระหว่าง 18 นิ้ว ถึง 4 ฟุต เรียกว่า เขตส่วนตัว (โดยมีเส้นประบนกึ่งกลางโต๊ะเป็นเส้นแบ่งเขต) ซึ่งจะมี 2 แบบ คือ

1.         แบบใกล้ (18 นิ้ว ถึง 2 ฟุตครึ่ง) จะอยู่ในระยะที่เอื้อมมือถึง เป็นการสื่อสารโดยปกติกับ บุคคลใกล้ชิดสนิทสนม

2.         แบบไกล (2 ฟุตครึ่ง ถึง 4 ฟุต) จะอยู่สุดเอื้อมมือถึง เป็นระยะที่ทำการพูดคุยสนทนากับ

บุคคลอื่น ๆ ในเรื่องส่วนตัวโดยทั่ว ๆ ไป

14.       ข้อใดกล่าวไม่สอดคล้องกับแนวคิดด้าน การฟัง

(1)       การฟังเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเป็นลำดับขั้นตอน แต่มนุษย์มักใช้เพียงขั้น การได้ยิน

(2)       มีหลากหลายสาเหตุที่ทำให้คนเราไม่สามารถใช้การฟังของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ

(3)       สาเหตุหนึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากข้อจำกัดที่แตกต่างกันในการรับรู้ การตีความของอวัยวะต่าง ๆ

(4)       กล่าวสอดคล้องทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 149 – 151157 – 160, (คำบรรยาย) แนวคิดด้านทักษะการฟังในธุรกิจ มีดังนี้

1.         ในแต่ละวัน 70%ของเวลาทั้งหมดถูกใช้ไปในการสื่อสารโดยใช้ไปกับการพูด 30%,

ใช้ไปกับการอ่าน 16%ใช้ไปกับการเขียน 9% และใช้ไปกับการฟัง 45% (มากที่สุด)

2.         การฟังเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเป็นลำดับขั้นตอน แต่มนุษย์มักใช้เพียงขั้น การได้ยิน

3.         สาเหตุที่ทำให้การฟังไม่ได้ประสิทธิผลหรือคนเราไม่สามารถใช้การฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีหลากหลายสาเหตุ ได้แก่ การขาดความกระตือรือร้นหรือไม่เห็นประโยชน์ของเรื่องที่ฟัง,มีอคติกับผู้พูด หรือขาดสมาธิเนื่องจากข้อจำกัดที่แตกต่างกันในการรับรู้ของอวัยวะต่าง ๆ เช่น สมองไม่สามารถตีความข้อมูลจากการฟังมากมายในแต่ละนาทีได้ เป็นต้น

15.       ข้อใดกล่าวไมถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ อวัจนภาษา

(1)       มนุษย์จะรับรู้ความหมายจากเนื้อหาสารที่ปรากฏทางใบหน้ามากที่สุด รองลงมาคือ การรับรู้ความหมาย ด้านร่างกายและวัตถุ ทางน้ำเลียง และทางถ้อยคำตามลำดับ

(2)       ควรคำนึงถึงความแตกต่างและความเหมาะสมของวัฒนธรรมและจารีตประเพณีในสังคมของคู่สื่อสาร

(3)       ไม่ควรด่วนสรุป การตีความต้องพิจารณาบริบทและเจตนารมณ์ของคู่สื่อสารประกอบด้วย

(4)       ถ้าน้ำเสียงและเนื้อหามีความขัดกัน ผู้ฟังจะตัดสินความหมายจากน้ำเสียงเป็นหลัก

ตอบ 1 หน้า 117141145, (คำบรรยาย) การใช้ อวัจนภาษา” ที่ถูกต้อง มีดังนี้

1.         มนุษย์รับรู้ความหมายซึ่งกันและกันจากเนื้อสารที่ปรากฏออกมาทางใบหน้า ทางร่างกาย และ ทางวัตถุต่าง ๆ ถึง 55% ที่ปรากฏทางน้ำเสียง 38% โดยที่เหลืออีก 7%นั้นเป็นสารจากถ้อยคำ

2.         ในการสื่อความหมายของมนุษย์นั้น น้ำเสียงจะมีความสำคัญมากกว่าเนื้อหา ถ้าน้ำเสียงและ เนื้อหามีความขัดกัน ผู้ฟังจะตัดสินข้อความจากน้ำเสียงเป็นหลัก

3.         ในการสื่อสารโดยอวัจนภาษา ไม่ควรด่วนสรุป และการตีความหมายควรจะพิจารณาบริบท วัจนสารและเจตนารมณ์ของคู่สื่อสารประกอบด้วยเสมอ

4.         การใช้อวัจนภาษา ต้องคำนึงถึงความแตกต่างหรือความเหมาะสมของวัฒนธรรม อนุวัฒนธรรม จารีตประเพณี และความเป็นอยู่ของคนในสังคมของคู่สื่อสารด้วย

16.       ข้อใดไม่สอดคล้องกับแนวคิด กฎบันได 6 ขั้นสู่ความสำเร็จในการฟัง

(1)       เริ่มต้นด้วยการประสานสายตากับคู่สนทนาเพื่อแสดงออกถึงความสนใจและจริงใจ

(2)       ถามคำถามเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลในการสื่อสารที่ถูกต้องและแสดงความตั้งใจในการสื่อสาร

(3)       เป็นแนวทางปฏิบัติตนให้ถูกต้องเหมาะสมในฐานะผู้ฟังในการสนทนา

(4)       คาดคะเนเนื้อหาที่ผู้พูดจะพูดต่อไปเป็นระยะ ๆ เพื่อทดสอบความเข้าใจของตนเอง

ตอบ 4 หน้า 161 – 164, (คำบรรยาย) กฎบันได 6 ขั้นสู่ความสำเร็จในการฟัง (LADDER)

เป็นแนวทางปฏิบัติตนให้ถูกต้องเหมาะสมในฐานะผู้ฟังที่ดีในการสนทนา ประกอบด้วย

1.         L : Look at the other person คือ เริ่มต้นด้วยการประสานสายตากับคู่สนทนา หรือมองคนที่กำลังพูดด้วย เพื่อแสดงออกถึงความสนใจและความจริงใจ

2.         A : Ask questions คือ ถามคำถามเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลในการสื่อสารที่ถูกต้องและ แสดงความตั้งใจในการสื่อสาร

3.         D : Don’t interrupt คือ อย่าพูดสอดแทรกหรือขัดจังหวะในขณะที่ผู้พูดยังพูดไม่จบ

4.         D : Don’t change the subject คือ ไม่ควรขัดจังหวะในการสนทนาหรือเสียมารยาท ด้วยการเปลี่ยนเรื่องพูดหรือเปลี่ยนหัวข้อในการสนทนา

5.         E : Emotion คือ ตรวจสอบและพยายามควบคุมอารมณ์ที่ไม่สร้างสรรค์ของตัวเองที่ อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างการสนทนา

6.         R : Responsiveness คือ ฟังอย่างมีอาการตอบสนอง

17.       แนวคิดการใช้ภาษาที่เหมาะสมในการพูดทางโทรศัพท์ต่อไปนี้ ข้อใดถูกต้อง

(1)       คู่สื่อสารจำเป็นต้องมีทักษะการสื่อสารทั้งด้านวัจนและอวัจนภาษาเป็นสำคัญ

(2)       การพูดทางโทรศัพท์มีข้อจำกัดทางการสื่อสาร จึงควรพูดให้ช้า ให้ชัดเจนทุกถ้อยคำเสมอ

(3)       อวัจนภาษาด้านน้ำเสียงครอบคลุมถึงความเร็ว ระดับ ความดัง คุณภาพ และการสื่ออารมณ์

(4)       การใช้ระดับเสียงที่ดังกว่าปกติจะช่วยให้คู่สื่อสารรับฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ตอบ 1 หน้า 214218221, (คำบรรยาย) แนวคิดการใช้ภาษาที่เหมาะสมในการพูดทางโทรศัพท์ ที่ถูกต้อง มีดังนี้

1.         คู่สื่อสารจำเป็นต้องมีทักษะการสื่อสารทั้งทางด้านวัจนภาษาและอวัจนภาษา (น้ำเสียง)

เป็นสำคัญ จึงจะทำให้การพูดโทรศัพท์มีประสิทธิภาพและเกิดสัมฤทธิผล

2.         อวัจนภาษาด้านน้ำเสียงครอบคลุมถึงความเร็ว ระดับเสียง ความดัง และคุณภาพของเสียง

3.         การพูดทางโทรศัพท์ควรใช้ความเร็วพอเหมาะ (ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป) ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดก็คือ พยายามปรับความเร็วในการพูดให้สอดคล้องกันทั้ง 2 ฝ่าย

4.         ระดับความดังค่อยของเสียงพูดจะมีมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ (สัมพันธ์กันกับ ความคิด เนื้อหา และถ้อยคำที่ต้องการจะเน้น)

5.         ไม่ควรใช้คำว่า เรียนสาย” อย่างพรำเพรื่อ เพราะอาจสร้างความสับสนให้กับผู้ฟังที่ไม่มีความรู้ ในเรื่องภาษาไทยดีเพียงพอ ฯลฯ

18.       เปิดโอกาสให้ผู้ตอบนำเสนอความคิดเห็นของตนเกี่ยวกับคำตอบที่ตอบมาก่อนหน้านี้โดยการถามย้อนกลับไปอย่างสรุป เช่น นั่นคุณกำลังจะบอกผมว่าคุณไม่เห็นด้วยใช่ไหม?’’

(1) คำถามสะท้อน

(2)       คำถามแบบไต่ถาม      (3) คำถามตรง (4) คำถามตั้งข้อสงสัย

ตอบ 1 หน้า 242 คำถามสะท้อน (The Mirror Question) เป็นคำถามที่ใช้เพื่อให้ได้คำตอบซึ่งอาจจะ มีอุปสรรคของการสื่อสารขวางกั้นอยู่ ในการสัมภาษณ์นั้นผู้สัมภาษณ์สามารถที่จะสะท้อน ความคิดของตัวเองว่าได้ยินผู้ถูกสัมภาษณ์ตอบออกมาแล้ว โดยการถามอย่างสรุป เช่น นั่นคุณกำลังจะบอกผมว่าคุณเห็นด้วยกับนโยบายที่กำหนดขึ้นมาใหม่ใช่หรือไม่” ฯลฯ

19.       คำถามนำให้ผู้ตอบตอบตามที่ผู้สัมภาษณ์ต้องการ เช่น คุณคิดว่าในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ เราไม่ควรเปิดสาขาใหม่ใช่ไหม?”

(1) คำถามแบบไต่ถาม

(2)       คำถามตรง      (3) คำถามที่ต้องการคำตอบรับ           (4) คำถามตั้งข้อสงสัย

ตอบ 3 หน้า 242 คำถามที่ต้องการคำตอบรับ (The Yes-Response Question) เป็นคำถามนำให้ผู้ตอบตอบตามที่ผู้สัมภาษณ์ต้องการ ซึ่งอาจจะเป็นการตอบรับหรือปฏิเสธก็ได้ แต่ต้องตรง ตามที่ผู้ถามต้องการ เช่น คุณคิดว่าเราไม่ควรเปิดสาขาใหม่ใช่ไหม” ฯลฯ

20.       พฤติกรรมในข้อใดที่ไม่ควรปฏิบัติในกรณีที่ไปรับการสัมภาษณ์เพื่อการสมัครงาน

(1)       ควรไปถึงสถานที่สัมภาษณ์ก่อนเวลานัดหมายพอสมควร ประมาณ 15 นาที เป็นอย่างน้อย

(2)       ไม่ควรเดินเล่น เพียงนั่งรอและคอยสังเกตสิ่งต่าง ๆ รอบกายเพื่อหาข้อมูลที่อาจเป็นประโยชน์

(3)       พูดคุยกับพนักงานในบริษัทให้มากที่สุดเพื่อแสดงออกถึงความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี

(4)       หาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับผู้สัมภาษณ์ว่าคือใคร ตำแหน่งผู้บริหารตำแหน่งอะไร ว่ามีกี่คน

ตอบ 3 หน้า 239, (คำบรรยาย) พฤติกรรมที่ควรปฏิบัติในกรณีไปรับการสัมภาษณ์เพื่อการสมัครงาน ได้แก่

1.         แต่งกายให้เรียบร้อย

2.         ควรไปถึงสถานที่สัมภาษณ์ก่อนเวลานัดหมายพอสมควรหรือประมาณ 15 นาที

3.         ควรสอบถามพนักงานในบริษัทว่าคณะกรรมการผู้สัมภาษณ์เป็นใครหรือประกอบด้วยผู้ใดบ้าง

4.         ควรหาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับบริษัทผู้สัมภาษณ์หรือตำแหน่งผู้บริหารจากเอกสารของบริษัท (เช่น แผ่นพับ รายงานประจำปี ฯลฯ)

5.         เมื่อไปถึงสถานที่นัด ควรทำใจให้สบาย นั่งรออย่างเรียบร้อย ไม่ควรเดินไปเดินมาหรือเดิน สำรวจสภาพภายในสำนักงาน

6.         หากเกิดเหตุสุดวิสัยจนทำให้ไม่สามารถไปสัมภาษณ์ได้ ต้องรีบโทรศัพท์ไปขอเลื่อนนัด การสัมภาษณ์ออกไป ฯลฯ

21.       ข้อมูลที่ต้องการเปรียบเทียบจำนวนนักศึกษาชาวต่างชาติ กับนักศึกษาทั้งหมด       

(1) แผนภูมิวงกลม

(2)       แผนภูมิแท่งแนวนอน   

(3) แผนภูมิแสดงการกระจาย 

(4) แผนภูมิเส้น

ตอบ 1 หน้า 303 แผนภูมิวงกลม (Pie Chart) เหมาะที่จะใช้ในกรณีที่ต้องการแสดงความแตกต่างของปัจจัยต่าง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับปัจจัยอื่น ๆ ทั้งหมด ดังนั้นหากต้องการเปรียบเทียบจำนวนของสิ่งต่าง ๆ โดยคิดเป็นสัดส่วนต่อจำนวนรวมทั้งหมดแล้ว แผนภูมิวงกลมจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

22.       ข้อใดไม่สอดคล้องกับแนวคิดเทคนิคการแสดงภาพลักษณ์ในเชิงบวก

(1)       ปฏิบัติตนด้วยความสุภาพเรียบร้อย อ่อนโยน แสดงออกด้วยกิริยาวาจาที่สำรวม

(2)       แสดงตนถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ ในวินาทีแรกที่ทักทายผู้ฟัง

(3)       เตรียมประวัติส่วนตัวและประสบการณ์ที่น่าประทับใจสำหรับพิธีกรในการอ่านแนะนำ

(4)       เมื่อมีสิ่งใดที่ผู้พูดไม่แน่ใจจงกล่าวกับผู้ฟังอย่างจริงใจว่าไม่แน่ใจหรือเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน

ตอบ 1 หน้า 297 – 298 แนวคิดเทคนิคการแสดงภาพลักษณ์ (Image) ในเชิงบวก มีดังนี้

1.         แสดงให้เห็นถึงความสามารถในวินาทีแรกที่ทักทายผู้ฟังในฐานะของผู้เชี่ยวชาญที่มี ความสามารถในด้านนั้น ๆ

2.         ผู้พูดสามารถเตรียมประวัติส่วนตัวและประสบการณ์ต่าง ๆ ที่สามารถดึงดูดและสร้าง ความประทับใจให้เกิดกับผู้ฟังสำหรับพิธีกรในการกล่าวแนะนำตัวผู้พูด

3.         ไม่ว่าผู้พูดจะค้นคว้าหาข้อมูลแต่เพียงผู้เดียว หรือจะทำเป็นทีมงานก็ตาม ผู้พูดที่ดีควรจะ กล่าวอ้างอิงถึงทีมงานของตนเองด้วย

4.         เมื่อมีสิ่งใดที่ผู้พูดไม่แน่ใจหรือรู้เพียงเล็กน้อย จงกล่าวกับผู้ฟังอย่างจริงใจว่าไม่แน่ใจหรือ อาจเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน ฯลฯ

23.       ข้อใดไม่สอดคล้องกับการวางแผนการนำเสนอด้วยสื่อทางสายตาที่มีประสิทธิภาพ

(1)       สื่อแต่ละแผ่นควรเสนอแนวคิดหลักสำคัญเพียงประเด็นเดียว และต้องโดดเด่นในเนื้อหา

(2)       จำกัดจำนวนตัวอักษรและข้อความให้น้อยกว่า 45 คำ และควรเป็นตัวหนาและขนาดใหญ่

(3)       กำหนดหัวข้อเรื่องในแต่ละรูป ข้อความต้องกระชับ ดึงดูด ท้าทายความคิด ชวนติดตาม

(4)       รูปแบบควรแปลก สร้างสรรค์ ดึงดูดความสนใจได้ดี

ตอบ 4 หน้า 309 – 311 ข้อเสนอแนะในการวางแผนการนำเสนอด้วยสื่อทางสายตาที่ดีและ มีประสิทธิภาพ มีดังนี้

1.         ควรนำเสนอแนวคิดหลักที่สำคัญเพียงประเด็นเดียว และเนื้อหาต้องโดดเด่น

2.         ควรมีรูปแบบที่เรียบง่าย ประณีต และมีองค์ประกอบของภาพที่ไม่กระจัดกระจาย

3.         ควรจำกัดจำนวนคำและข้อความในการนำเสนอและใช้ตัวอักษรตัวหนาขนาดใหญ่ เช่น ใช้คำ ให้น้อยกว่า 45 คำ แต่ละบรรทัดใช้คำ 6 – 8 คำ แต่ละแผ่นประกอบด้วยข้อความ 5-7 บรรทัด

4.         ควรกำหนดหัวข้อหรือชื่อเรื่องในแต่ละรูปด้วยข้อความที่กระชับ ดึงดูดความสนใจ ท้าทายความคิด และชวนติดตาม

5.         ควรเน้นข้อมูลที่สำคัญด้วยการใช้สีสันและขนาดตัวอักษรที่แตกต่าง และหลากหลาย

6.         รูปแบบการจัดวางหน้าควรใช้ลักษณะเดียว ระหว่างการจัดวางในแนวนอนหรือแนวตั้ง

7.         หลีกเลี่ยงการใช้การตัดกันของสีสัน ขนาด แนวทางรูปแบบการนำเสนอ และเนื้อหาที่ขัดแย้งกัน

8.         รูปแบบการนำเสนอที่มีความสง่างามและเรียบง่าย มีประสิทธิภาพมากกว่ารูปแบบที่หวือหวา หรือแปลก

9.         ควรใช้โทนสีเดียวกันตลอดการนำเสนอ และควรเน้นโทนสีที่สบายตา ฯลฯ

24.       การประชุมที่เน้นการรวบรวม/แลกเปลี่ยนความคิดและติดตามแก้ไขปัญหา รวมถึงการวางแผนและกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการองค์กร   

(1) Briefing Session

(2)       Syndicate          (3) Board  (4) Committee Council

ตอบ 3 หน้า 338, (คำบรรยาย) คณะกรรมการบริหาร (Board) คือ กลุ่มของเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการคัดเลือกหรือแต่งตั้งและทำหน้าที่เป็นหน่วยงานโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะวางนโยบายให้แก่องค์กรหรือ หน่วยงานนั้น โดยการประชุม Board จะเน้นการรวบรวม/แลกเปลี่ยนความคิดและติดตาม แก้ไขปัญหา รวมถึงการวางแผนและการกำหนดแนวทาง/นโยบายในการบริหารจัดการองค์กร ปกติจะมีการประชุมกันเป็นประจำ เช่น สัปดาห์ละครั้ง เดือนละครั้ง ฯลฯ

25.       การกล่าวโจมตีความคิดเห็นของผู้อื่นโดยตรงเรียกว่าอะไร

(1)       Avoidance Communication    (2) Manipulative Communication

(3)       Defensive Communication      (4) Aggressive Communication

ตอบ 4 Aggressive หรือ Hostile Communication เป็นการกล่าวโจมตีความคิดเห็นของผู้อื่นโดยตรง โดยผู้พูดจะใช้ไหวพริบของการพูดโจมตี ในรูปของการพูดเสียดสี ก้าวร้าว เปรียบเปรย กระทบกระเทียบ เช่น ฉันไม่ได้เป็นลูกเศรษฐีนี่ ถึงจะได้มีรถเก๋งมาส่ง” หรือ ผมเป็นคนธรรมดาฮะ” เป็นต้น

26.       ข้อใดกล่าวผิดเกี่ยวกับลักษณะเด่นของ การประชุมเพื่อระดมความคิด

(1)       กลุ่มหนึ่งควรประกอบด้วยคนอย่างน้อย 6 คน แต่ไม่ควรเกิน 12 คน

(2)       ผู้เข้าร่วมไม่ควรแตกต่างกันในเรื่องตำแหน่งงาบเพื่อลดปัญหาในการสื่อสาร

(3)       ไม่ควรจำกัดระยะเวลาที่สั้นหรือกระชั้นชิดมากเกินไป

(4)       เน้นการวิพากษ์วิจารณ์ความคิดเห็นกันอย่างเต็มที่ และจดบันทึกรวบรวมนำสู่ข้อสรุปในช่วงท้าย

ตอบ 4 หน้า 342 ลักษณะเฉพาะของการประชุมเพื่อระดมความคิดที่ดี มีดังนี้

1.         ในกลุ่มหนึ่ง ๆ ควรประกอบด้วยคนอย่างน้อย 6 คน แต่ไม่ควรเกิน 12 คน

2.         ไม่ควรมีการจำกัดเวลาที่สั้นหริออย่างกระชั้นชิดเกินไป และควรทำในตอนเช้า

3.         บุคคลที่เข้าร่วมควรมีความคล้ายคลึงกันหรือเท่าเทียมกันในตำแหน่งหน้าที่การงาน เพราะความแตกต่างจะทำให้เป็นอุปสรรคต่อการสื่อสาร

4.         อย่างน้อย 40% ของคนในกลุ่มควรจะไม่เคยรู้เรื่องหรือรู้น้อยมากเกี่ยวกับเรื่องที่ระดมความคิด

5.         ควรจัดสถานที่ให้ไกลจากที่ทำงานประจำเพื่อสมาชิกจะได้เลิกกังวลกับงานของตนชั่วคราว

6.         มีการบันทึกความคิดเห็นที่นำเสนออย่างอิสระ โดยงดเว้นการวิพากษ์วิจารณ์ใด ๆ ใน ความคิดเห็นที่แสดงออกมา ฯลฯ

27.       ข้อใดกล่าวไม่สอดคล้องระหว่างบทบาทและหน้าที่ของผู้เข้าร่วมประชุม

(1)       Organizer – สนับสนุนการดำเนินการประชุมให้ดำเนินไปอย่างราบรื่นตามกรอบที่กำหนด

(2)       Energizer – กระตุ้นการประชุมและผู้เข้าร่วมประชุมมีการตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา

(3)       Questioner – คอยตั้งคำถาม ถามในสิ่งที่จำเป็นต้องขยายความมากขึ้น

(4)       Conciliator – ช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลาย สอดแทรกอารมณ์ขันตลอดเป็นระยะ

ตอบ4 หน้า 348 – 349 บทบาทและหน้าที่ของผู้เข้าร่วมประชุมในการเป็น Conciliator คือการทำหน้าที่เป็นผู้ประนีประนอม ประสานไม่ให้เกิดความขัดแย้ง และช่วยในการหาข้อสรุป ทั้งนี้เพราะบ่อยครั้งที่ในการประชุมมักพบทางตัน ไม่สามารถหาทางออกได้ และเกิด การเผชิญหน้า ดังนั้นผู้เข้าร่วมประชุมก็อาจต้องทำหน้าที่นี้

28.       ความสามารถในการตีความหรือเข้าถึงเนื้อหาสาร เนื่องจากบางครั้งในการสื่อสาร ผู้สื่อสารอาจม่ได้ต้องการสื่อความหมายตามเนื้อหาของวัจนภาษาที่ปรากฏก็ได้    

(1) Meta Language

(2)       Overgeneralization (3) Social Distance    (4) Sensitivity

ตอบ 1 หน้า 102 – 103, (คำบรรยาย) การอ่านระหว่างบรรทัด (Read between the lines)หรือภาษาซ่อนภาษา คือ อภิภาษา (Meta-Language) ซึ่งหมายถึง ภาษาที่ผู้สื่อสารใส่รหัส ความคิดเข้าไปมากกว่าภาษาปัจจุบันธรรมดา เป็นภาษาที่มีนัยแฝงอยู่หรือเป็นภาษาที่ซ่อนอยู่ ในภาษา โดยผู้รับสารต้องมีความสามารถในการตีความหมายหรือเข้าถึงเนื้อหาสารที่ผู้สื่อสาร (ผู้ส่งสาร) มีเจตนาในการสื่อสาร เนื่องจากผู้สื่อสารไม่ได้ต้องการสื่อความหมายตามเนื้อหา ของวัจนภาษาที่ปรากฏ

29.       ก่อนที่จะทำการสื่อสาร ผู้สื่อสารควรตั้งคำถามถามตัวเองเสมอว่า ถ้าเราเป็นผู้ฟังหรือผู้รับสารแล้วเราได้ยินหรือได้รับสารที่เรากำลังจะส่งออกไป เราจะเกิดความรู้สึกอย่างไร” 

(1) Overgeneralization

(2)       Social Distance         (3) Meta Language   (4) Empathy

ตอบ 4 หน้า 5439097, (คำบรรยาย) เพื่อให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพในทุกครั้งที่ทำการ ติดต่อสื่อสารนั้น คู่สื่อสารควรมีคุณสมบัติ ดังนี้

1.         มีความไวต่อคู่สื่อสาร (Sensitivity) คือ การสังเกตปฏิกิริยาตอบสนองที่เกิดขึ้นของฝ่ายตรงข้าม หรือคู่สื่อสาร เพื่อจะได้หาทางแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารให้ราบรื่นและสอดคล้องกัน

2.         มีความรู้สึกร่วมหรือใช้หลักการ เอาใจเขามาใส่ใจเรา‘’ (Empathy) คือ การคำนึงถึง ความรู้สึกของคู่สื่อสารอยู่ตลอดเวลา โดยผู้สื่อสาร (ผู้ส่งสาร) ควรตั้งคำถามถามตัวเองว่า ถ้าเราเป็นผู้ฟังหรือผู้รับสารแล้วเราได้ยินหรือได้รับสารที่เรากำลังจะส่ง (สื่อสาร) ออกไป เราจะรู้สึกอย่างไร” โดยแนวคิดนี้สามารถนำมาใช้ในสถานการณ์การสื่อสารที่ร้ายแรงที่อาจถึงขั้นแตกหักให้ดีขึ้นได้ และจะช่วยให้บรรยากาศในการสื่อสารไม่ตึงเครียดหรือสามารถ ผ่อนหนักเป็นเบาได้

3.         ผู้รับสาร (Receiver) ต้องแสดงปฏิกิริยาตอบรับ (Feedback) ที่ชัดเจน ซึ่งจะช่วยให้คู่สื่อสาร ดำเนินการสื่อสารต่อไปได้

30.       แนวคิดดังกล่าวช่วยให้สถานการณ์ในการสื่อสารดีขึ้นได้ กรณีร้ายแรงถึงขั้นแตกหัก ความรู้ดังกล่าวจะช่วยให้บรรยากาศในการสื่อสารไม่ตึงเครียดหรือผ่อนหนักเป็นเบาได้           

(1) Overgeneralization

(2) Social Distance         

(3) Meta Language   

(4) Empathy

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 29. ประกอบ

31.       ผลที่เกิดขึ้นเมื่อขวัญของกลุ่มต่ำ คือ 

(1) ความร่วมมือสูง

(2) มีพลังและสามัคคี       

(3) มีการพึ่งพาอาศัยกัน          

(4) ไม่พร้อมใจแก้ปัญหา

ตอบ 4 (MC 331 เลขพิมพ์ 44236 หน้า 261) ผลที่เกิดขึ้นเมื่อขวัญและกำลังใจของกลุ่มต่ำคือ สมาชิกจะไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่พร้อมใจกันแก้ไขปัญหา และไม่มีการพึ่งพาอาศัยกัน ส่วนกลุ่มที่มีขวัญและกำลังใจดีก็ย่อมจะมีพลัง มีความสามัคคี และมีความร่วมมือร่วมใจสูง

32.       ตามแนวคิดด้านความปลอดภัยและความก้าวหน้าของ Maslow ข้อใดกล่าวถูกต้อง

(1)       ความต้องการความก้าวหน้าและความปลอดภัยของคนเราจะแปรผกผันกันตลอดเวลา

(2)       ความก้าวหน้าในการสื่อสารจะลดลง เมื่อคู่สื่อสารให้ความร่วมมือและทำความเข้าใจกัน

(3)       นำมาประยุกต์ใช้ได้คือ บุคคลควรติดต่อกับผู้อื่นโดยคำนึงถึงระดับความก้าวหน้าในความสัมพันธ์ ในการสื่อสารเป็นสำคัญ จะส่งผลให้ความปลอดภัยในชีวิตเพิ่มมากขึ้นได้

(4)       ทั้งความก้าวหน้าและปลอดภัยส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของคู่สื่อสาร

ตอบ 1 (MC 531 เลขพิมพ์ 44236 หน้า 11) Maslow อธิบายว่า ความต้องการความก้าวหน้าและ ความปลอดภัยของคนเราจะแปรผกผันกับตลอดเวลา กล่าวคือ ถ้าคนเราต้องการความปลอดภัย มากเท่าไรความก้าวหน้าก็จะลดลงมากเท่านั้น (หรือความก้าวหน้าในการสื่อสารจะลดลงทันที เมื่อคู่สื่อสารคำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตของตน) ในทางตรงข้าม ความก้าวหน้าของคนเรา จะมีมากถ้าคน ๆ นั้นไม่ได้คำนึงถึงความต้องการความปลอดภัย ซึ่งแนวความคิดนี้สามารถ นำมาประยุกต์ใช้ได้คือ ถ้าคนเราติดต่อกับผู้อื่นโดยคำนึงถึงระดับความก้าวหน้าของตนเอง เป็นสำคัญก็อาจส่งผลให้ความปลอดภัยในชีวิตลดน้อยลง

33. ข้อใดกล่าวถูกต้องตามแนวคิดพื้นฐานกระบวนการสื่อสารกับตนเองและระหว่างบุคคล

(1) การสื่อสารนับเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้น เคลื่อนไหว หรือเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

(2) การพูดของมนุษย์-การมีปฏิกิริยาโต้ตอบโดยการใช้สัญลักษณ์ที่เป็นท่าทางประกอบ

(3) หน่วยพื้นฐานที่เล็กที่สุดในการสื่อสารของมนุษย์ คือ Inside-personal Communication

(4) หน่วยพื้นฐานที่แสดงความสัมพันธ์ของมนุษย์ คือ Interrelation Communication

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

34. การอยู่ร่วมกันในสังคม ต้องรู้จักเอาใจเขามาใสใจเรา ห่วงใยความรู้สึกของคนรอบข้าง เพราะบ่อยครั้งที่เรามักทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ หรือไม่สบายใจได้ โดยที่เราเองไม่รู้ตัว

(1) บริเวณจุดบอด

(2) บริเวณปกปิด

(3) บริเวณลี้ลับ

(4) บริเวณเปิดเผย

ตอบ 1 หน้า 8, 11, (คำบรรยาย) บริเวณจุดบอด (Blind Area) หมายถึง พฤติกรรมหรือเจตนาที่ตน แสดงออกหรือเปิดเผยโดยไม่รู้ตัว แต่ผู้อื่นสังเกตเห็นและรับรู้ได้ เช่น การมีกลิ่นปาก กลิ่นตัว การพูดพร้อมกับยักคิ้ว ขอบพูดนินทา โอ้อวด เจ้าชู้ จุ้นจ้าน หวาดระแวง ฯลฯ ซึ่งบางครั้ง การให้บุคคลใกล้ชิดที่อยู่รอบข้างสะท้อนพฤติกรรมและความบกพร่องในตัวเราแล้วรีบทำการ แก้ไข ย่อมช่วยให้เราสามารถสื่อสารและพร้อมที่จะอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ นอกจากนี้ Blind Area ยังเป็นลักษณะของบุคคลที่พูดมากแต่รับฟังน้อย (ชอบพูดมากกว่าฟัง) หรือไม่รับฟัง คำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่น ซึ่งบริเวณดังกล่าวจะสร้างปัญหาให้กับสังคมและคนรอบข้าง หรือนำมาซึ่งปัญหาและความทุกข์แก่ตนเอง บุคคลลักษณะนี้ควรเร่งรีบแก้ไขปรับปรุงตัวเอง เช่น การเอาใจใส่สุขลักษณะพื้นฐานส่วนตัวโดยการทำความสะอาดร่างกายทุกครั้งก่อนออก จากบ้าน ฯลฯ อีกทั้งต้องรู้จักการเอาใจเขามาใส่ใจเราด้วย

35. ทุกบริเวณล้วนส่งผลต่อความสำเร็จต่อการติดตอสื่อสารที่คู่สื่อสารต้องให้ความสำคัญ เรียนรู้ และปรับใช้ ให้เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ ยกเว้นข้อใด

(1) บริเวณจุดบอด

(2) บริเวณปกปิด

(3) บริเวณลี้ลับ

(4) บริเวณปิดบัง

ตอบ 4 (คำบรรยาย) บริเวณทีมีอิทธิพลและส่งผลกระทบต่อความสำเร็จต่อการติดต่อสื่อสาร ที่คู่สื่อสารต้องให้ความสำคัญ เรียนรู้ และปรับใช้ให้เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ

1. ส่งผลโดยตรง ได้แก่ บริเวณเปิดเผย และบริเวณปกปิดหรือซ่อนเร้น

2. ส่งผลโดยอ้อม ได้แก่ บริเวณจุดบอด และบริเวณลี้ลับ

36. บริเวณที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยจะเปลี่ยนไปตามบุคคล สถานการณ์ และวุฒิภาวะ คือ

(1) บริเวณปกปิด (Hidden Area) และบริเวณเปิดเผย (Free Area)

(2) บริเวณลี้ลับ (Unknown Area) และบริเวณปิดบัง (Closed Area)

(3) บริเวณจุดบอด (Blind Area) และบริเวณเปิดเผย (Free Area)

(4) บริเวณปกปิด (Hidden Area) และบริเวณลี้ลับ (Unknown Area)

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

37. ข้อใดไม่ใช่เทคนิคองค์ประกอบ 7 ประการของการสื่อสารที่สัมฤทธิผลทั้ง 2 คำ

(1) ความกะทัดรัด-Conciseness, ความพิจารณาไตร่ตรอง-Consideration

(2) ความเป็นรูปธรรม-Concreteness, ความสมบูรณ์ครบถ้วน-Completeness

(3) ความประนีประนอม-Compromise, ความสัมพันธ์ของเนื้อหา-Compatability

(4) ความถูกต้อง-Correctness, ความสุภาพอ่อนน้อม-Courtesy

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ

38. ข้อความใดใช้ภาษาไม่สอดคล้องกับหลัก 7 ประการเพื่อการสื่อสารที่สัมฤทธิผล

(1) เราเชื่อว่าคุณสมบัติของคุณเหมาะสมกับตำแหน่งงานอื่นมากกว่า

(2) บางครั้งคำพูดของผมอาจไม่ถูกต้องชัดเจนพอ ผมจะพยายามดูใหม่อีกครั้ง

(3) คุณจะทราบถึงรายละเอียดของบริษัทจากรายงานประจำปีที่คุณจะได้รับฉบับนี้

(4) นี่เห็นได้ชัดว่าคุณไม่เข้าใจที่ผมพูด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ

39. การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพอาศัยหลักจิตวิทยาการสื่อสารที่เกี่ยวข้อง ยกเว้นข้อใด

(1) ความสามารถในการใช้ถ้อยคำให้เหมาะสมกับบุคคลและกาลเทศะ

(2) การเอาใจเขามาใส่ใจเราอยู่เสมอ (3) เน้นการสร้างมนุษยสัมพันธ์ (4) จำเป็นต้องใช้ทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 90, 96 – 97, 101, (คำบรรยาย) การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยใช้วัจนภาษาต้องอาศัยหลักจิตวิทยาการสื่อสารพื้นฐานที่เกี่ยวข้องดังนี้

1. ควรเรียนรู้ที่จะมีความรู้สึกไว (Sensitivity) ต่อผู้ที่เราทำการสื่อสารด้วย เช่น ความรู้สึกไว เรื่องวัฒนธรรมโดยไม่ดูถูกวัฒนธรรมของผู้อื่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความมีคุณธรรมประจำใจ

2. มุ่งเน้นการสร้างมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations) ที่ดี

3. การรู้จักเลือกใช้ถ้อยคำที่ถูกต้องแก่บุคคลและเหมาะกับกาลเทศะ ดังคำกล่าวในภาษาอังกฤษ ที่ว่า Saying the right word at the right time to the right person

4. ต้องพยายามใช้หลักเอาใจเขามาใสใจเรา (Empathy)

40. ข้อความต่อไปนี้คือ “ข้อความสังเกต” ยกเว้นข้อใด

(1) อากาศแปรปรวนมาตลอดทั้งปี ต้องเป็นผลมาจากปรากฏการณ์ “เอลนินโญ” แน่นอน

(2) ช่วงปีใหม่ฉันขึ้นไปแม่ฮ่องสอน ไปเที่ยวปาย หมอกลงจัดมาก โรแมนติกสุด ๆ เลย

(3) หน้าหนาวปีนี้ อากาศก็เย็นสบายกว่าปีก่อน ๆ เอื้อต่อบรรยากาศการท่องเที่ยวจัง

(4) ยังไงก็ตาม ที่เห็นชัด ๆ คือ สถานที่เที่ยวทุก ๆ แห่ง ยังมีนักท่องเที่ยวแห่กับไปใช้เงินไม่น้อย

ตอบ 1 หน้า 90 – 91 ข้อความสังเกต มีลักษณะดังนี้

1. เป็นการบอกว่าสิ่งนี้คืออะไร และจะจัดหมวดหมู่ในสิ่งนั้น

2. เราจะพูดได้ก็ต่อเมื่อเราได้จัดหมวดหมู่การรับรู้ถูกต้องและรายงานตรงกับที่รับรู้จึงจัดเป็น ข้อความที่น่าเชื่อถือที่สุด

3. เราจะพูดไม่ได้เลยถ้าไมใช่ผลลัพธ์ที่เกิดจากการรับรู้ของประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของผู้พูด คือ ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รู้รส และได้สัมผัส

4. เป็นข้อความที่ใช้คำที่มีความหมายตรงตามพจนานุกรม (Denotative) มากกว่าความหมาย ที่เป็นนัยประหวัด (Connotative)

5. โดยปกติจะอยู่ในรูปของประโยครายงานหรือบอกเล่า และมิได้มุ่งจะตีความโน้มน้าวใจ แสดงทัศนคติ ค่านิยม หรือความรู้สึกใด ๆ

41.       ข้อความต่อไปนี้ข้อใดคือข้อความประเมิน

(1)       วิกฤตเศรษฐกิจโลกเริมปรากฏชัดขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้จากข่าวการปลดพนักงานตามโรงงานต่าง ๆ ที่มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกวัน

(2)       ตามรายงานข่าว พบว่า นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติบอกยกเลิกห้องพักและโปรแกรมการเดินทาง มาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก

(3)       ประเภทธุรกิจของสินค้าที่ได้รับผลกระทบก่อน เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อผ้า การท่องเที่ยวฯ

(4)       โดยเฉพาะที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามข่าวเพิ่งมีการปลดพนักงานอีกกว่า 500 คน

ตอบ 1 หน้า 92 ข้อความประเมิน มีลักษณะเป็นข้อความสรุป แต่แตกต่างจากข้อความสรุปในแง่

1.         ข้อความประเมินเป็นข้อความที่แสดงทัศนคติหรือความรู้สึกของผู้พูด และเรามักจะคำนึงว่า เราเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเนื้อหามากกว่าที่จะคำนึงว่าเนื้อหาเป็นจริงหรือไม่

2.         ข้อความประเมินจะแสดงเกี่ยวกับความดี/ความชั่วความมีประโยชน์/ไร้ประโยชน์,

ความเป็นที่พึงประสงค์/ไม่พึงประสงค์ความเห็นด้วย/ไม่เห็นด้วย ฯลฯ

3.         ข้อความประเมินจะแสดงการตีค่าอยู่ด้วย ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งในด้านรสนิยม ค่านิยม และ จริยธรรม

42.       ข้อใดกล่าวถูกต้องกับแนวคิดทฤษฎีความแตกต่างระหว่างข้อความต่าง ๆ

(1)       บุคคลมักทำการสรุปโดยไม่ตระหนักว่าสิ่งที่ได้กระทำไปนั้นเป็นเพียงความเข้าใจของตน

(2)       นอกจากนี้ การสรุปมักเป็นผลจากการสังเกตโดยตรงจากประสบการณ์และข้อมูลที่ได้รับ

(3)       ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการสรุปมักเป็นเรื่องที่ไม่สร้างสรรค์ ไม่พึงประสงค์ และผิดศีลธรรม

(4)       ใบบรรดาข้อความทั้งสามประเภท ข้อความสรุป เป็นข้อความที่อาจเป็นเท็จได้ในการสื่อสารจำเป็น ต้องมีความระมัดระวังในการใช้ข้อความประเภทนี้

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ

43.       นิ้วมือ มือและเท้าไขว้กัน ปิดปากเวลาพูด เอามือแตะจมูก ลูบเปลือกตา ใบหู เป็นการแสดงออกของ ภาษากาย บ่งบอกถึงความหมายใด

(1)       แสดงถึงความมีอำนาจเหนือกว่า         (2) แสดงถึงความสงสัย มีความลับ ไม่ชื่อสัตย์

(3)       แสดงถึงความเบื่อหน่าย ไม่สนใจ        (4) แสดงถึงความไม่แน่ใจ ยังไม่ตัดสินใจ ขอเวลา

ตอบ 2 หน้า 139 ภาษาร่างกายหรือภาษากายที่แสดงถึงความสงสัย มีความลับ ไม่ชื่อสัตย์ ได้แก่

1.         เอานิ้วมือแตะจมูก ลูบเปลือกตา ใบหู ขณะพูด           2. ปิดปากเวลาพูด      3. เคลื่อนย้ายตัวเองออกจากคู่สนทนา            4. มองลอดแว่นตา 5. พยายามหลีกเลี่ยงการสบตากับคู่สนทนา   6.นิ้วมือไขว้กัน     7. มือหรือเท้าไขว้กัน ร่างกายเคลื่อนไปข้างหน้า

44.       ข้อใดกล่าวถูกต้องตามแนวคิดพื้นฐานในการใช้วัจนภาษาเพื่อการสื่อสารทางธุรกิจ

(1)       ข้อความสังเกต” มีรากฐานอยู่บนสมมติฐาน

(2)       หลีกเลี่ยงการใช้กลุ่มคำที่อาจก่อปัญหา เช่น ภาษาคะนอง ภาษาเทคนิค ภาษาติดปากฯ

(3)       ข้อความสังเกตเป็นข้อความที่จำเป็นต้องมีการพิสูจน์ด้วยการใช้สูตรทางคณิตคาสตร์ เป็นข้อความ ภาษาทางการวิจัย ไม่เหมาะสมกับการนำมาใช้สื่อสารในชีวิตประจำวัน

(4)       ข้อความสรุป” จัดเป็นข้อความที่เป็นเท็จ ผู้พูดไม่มีความรุหรือข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่พูด

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 8. ประกอบ

45.       ข้อใด กล่าวไม่สอดคล้อง” กับแนวคิดด้านการฟัง

(1)       ในแต่ละวันจากช่วงเวลาทั้งหมดในการสื่อสาร เราใช้เวลาเกือบ 70%ไปกับการฟัง

(2)       การฟังเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเป็นลำดับขั้นตอน แต่มนุษย์มักใช้เพียงขั้น การได้ยิน

(3)       สาเหตุหนึ่งคือ เกิดขึ้นเนื่องจากข้อจำกัดในการรับรู้ การตีความของอวัยวะต่าง ๆ

(4)       มีหลากหลายสาเหตุที่ทำให้คนเราไม่สามารถใช้การฟังของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ

46.       แนวคิดการใช้ภาษาที่เหมาะสมในการพูดทางโทรศัพท์ต่อไปนี้ ข้อใดกล่าวผิด

(1)       ใช้คำว่า เรียนสาย” เพื่อแสดงความเคารพแก่บุคคลที่มียศ ตำแหน่ง หรืออาวุโสมากกว่า

(2)       ให้เกียรติผู้ที่โทรเข้ามาโดยใช้คำว่า คุณ” โดยตามด้วยชื่อของบุคคลที่คุยด้วยเสมอ

(3)       ไม่ควรใช้คำที่สั้นกระชับเกินไป จนอาจทำให้คู่สนทนาตีความหมายผิดเพี้ยนไปได้

(4)       ในการสอบถามชื่อผู้ที่โทรเข้า ไม่ควรใช้วลี โทษนะคะ จากไหนคะ

ตอบ 2 หน้า 219 – 224 การใช้ภาษาที่เหมาะสมในการพูดทางโทรศัพท์ มีดังนี้

1.         ควรใช้คำว่า คุณ” แล้วตามด้วยชื่อของบุคคลที่คุยด้วย ในกรณีที่ผู้พูดฝ่ายตรงข้าม เป็นผู้ใหญ่กว่าหรือมีระดับการบังคับบัญชาที่สูงกว่า

2.         วลีที่สุภาพและใช้กันอย่างแพร่หลายในกรณีที่ต้องการทราบชื่อบุคคล ชื่อองค์กร หรือ หน่วยงานของบุคคลที่โทรเข้ามา ได้แก่ ขอโทษค่ะ จากไหนคะ” หรือ ขอโทษครับ ขอทราบนามผู้ที่โทรเข้ามาด้วยครับ 

3.         ควรใช้คำว่า เรียนสาย” เพื่อแสดงความเคารพแก่บุคคลที่โทรเข้ามา หรือเป็นการให้เกียรติแก่ บุคคลที่มียศ ตำแหน่ง และอาวุโสมากกว่า

4.         ไม่ควรใช้ประโยคหรือคำที่สั้นกระชับเกินไป เช่น ออกไปแล้วค่ะ” หรือ ยังไม่เข้าคะ” เพราะสามารถตีความหมายได้หลายแง่มุม แต่ควรใช้ภาษาที่กระจ่างชัดไม่ทำให้คู่สนทนา ตีความหมายเป็นอย่างอื่นได้ ฯลฯ

47.       การเขียนจดหมายตอบหลังการสัมภาษณ์มีวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ยกเว้นข้อใด

(1)       กล่าวขอบคุณที่เปิดโอกาสให้เข้ารับการสัมภาษณ์ และกำลังรอฟังผลอยู่อย่างตั้งใจ

(2)       อ้างอิงถึงบุคคลที่แนะนำที่มีความสัมพันธ์กับผู้สัมภาษณ์เพื่อความรู้สึกพิเศษที่อาจเกิดขึ้น

(3)       ย้ำเตือนถึงจุดเด่นที่สำคัญของคุณสมบัติของผู้สมัครที่เหมาะสมกับตำแหน่ง

(4)       เพิ่มเติมคุณสมบัติเด่นที่ไม่มีโอกาสใต้นำเสนอหรือตกหล่นในระหว่างการสัมภาษณ์

ตอบ 2 หน้า 257 – 259 ลักษณะเด่นของเนื้อหาในการเขียนจดหมายตอบหลังการสัมภาษณ์ (จดหมายขอบคุณ) คือ

1.         ย้ำให้เห็นถึงความสนใจหรือความตั้งใจจริงที่มีต่อตำแหน่งงาน และย้ำความมั่นใจว่าเรามี ความเหมะสมและสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นอย่างดี

2.         กล่าวถึงจุดเด่นที่ได้คุยกันในระหว่างการสัมภาษณ์ เพื่อย้ำเตือนความทรงจำของผู้สัมภาษณ์

3.         เพิ่มเติมคุณสมบัติเด่นหรือนำเสนอข้อมูลสำคัญ ๆ ที่ลืมหรือไม่มีโอกาสพูดในระหว่างการสัมภาษณ์

4.         กล่าวขอบคุณ และแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะรอคอยผลการสัมภาษณ์

48.       คำศัพท์ในข้อดไม่สอดคล้องกับข้ออื่น ๆ

(1)       Silent Language       (2) Paralanguage

(3)       Meta-Language        (4) Read between the lines

ตอบ1 หน้า 102 – 103119,141 น้ำเสียงหรือภาษาน้ำเสียง (Vocalics/Paralanguage) เป็นอวัจนภาษา (Non Verbal Language) ที่มีความหมายหรือนัยแฝงที่ผู้พูดซ่อนเร้นอยู่ภายใต้ถ้อยคำ เช่น ในถ้อยคำหรือคำพูดคำเดียวกัน ถ้าผู้พูดเปล่งเสียงด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างกัน ความหมายที่ผู้รับ ได้รับก็จะแตกต่างกัน ซึ่งเรียกลักษณะเช่นนี้ว่า อภิภาษา (Meta-Language) ภาษาซ่อนภาษา หรือการอ่านระหว่างบรรทัด (Read between the lines)

49.       สมาชิกกลุ่มมักมีความรู้ความสามารถในหลายอาชีพ มักนิยมใช้แก้ปัญหาระดับชาติ

(1)       การประชุมกลุ่มปฏิบัติภารกิจ (2) การสัมมนา

(3)       การประชุมแบบกลุ่มย่อยรวม  (4) การประชุมปรึกษา

ตอบ 3 หน้า 339, (คำบรรยาย) การประชุมแบบกลุ่มย่อยรวม (Syndicate) เป็นการประชุมที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้บุคคลมาร่วมกันศึกษาถึงสภาพหรือลักษณะของปัญหาที่ประสบอยู่และค้นหา สาเหตุของปัญหานั้นเพื่อหาข้อยุติ โดยข้อยุติที่ได้จากการประชุมแบบนี้มักเป็นข้อยุติที่มีน้ำหนัก เพราะเน้นการศึกษาปัญหาในวงที่กว้างขวาง ทุกคนมีส่วนร่วม และคนที่เข้ามาเป็นสมาชิกกลุ่ม มักจะมีความรู้ความสามารถในหลายสาขาอาชีพ ซึ่งการประชุมแบบนี้มักนิยมใช้แก้ปัญหา ระดับชาติได้ เช่น การประชุมเอดส์โลกที่ประเทศไทยเคยเป็นเจ้าภาพ เป็นต้น

50.       เป็นการประชุมภายใต้การนำของผู้ทรงคุณวุฒิ เริ่มต้นด้วยการให้ความรู้ด้านทฤษฎี แล้วแบ่งสมาชิกเป็น กลุ่มย่อย ๆ แยกกันไปศึกษา แล้วนำผลการศึกษามาแลกเปลี่ยนกัน คือ

(1)       การประชุมกลุ่มปฏิบัติภารกิจ (2) การสัมมนา

(3)       การประชุมแบบกลุ่มย่อยรวม  (4) การประชุมปรึกษา

ตอบ 2 หน้า 340 การสัมมนา (Seminar) เป็นการประชุมภายใต้การนำของผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งเริ่มต้น ด้วยการที่ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิให้ความรู้ด้านหลักการหรือทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ จะอภิปรายแก่สมาชิกของกลุ่มก่อน จากนั้นจึงแบ่งสมาชิกเป็นกลุ่มย่อย ๆ แยกกันไปศึกษา แล้วนำผลการศึกษามาแลกเปลี่ยนกัน รวมทั้งมีการประเมินผลการสัมมนาด้วย

51.       จุดมุ่งหมายเพื่อพิจารณาหาข้อเสนอแนะและขั้นตอนในการปฏิบัติงานเพื่อกำหนดนโยบาย โดยผลการประชุม จะนำเสนอต่อผู้บริหารระดับสูงต่อไป คือ

(1)       การประชุมกลุ่มปฏิบัติภารกิจ 

(2) การสัมมนา

(3)       การประชุมแบบกลุ่มย่อยรวม  

(4) การประชุมคณะกรรมการ

ตอบ 4 หน้า 336 การประชุมคณะกรรมการ (Committee Council) มีจุดมุ่งหมายหรือมีหน้าที่ เพื่อพิจารณาหาข้อเสนอแนะและขั้นตอนในการปฏิบัติงาน เพื่อกำหนดนโยบาย เพื่อการปฏิรูป การบริหารงาน โดยผลการประชุมจะนำเสนอต่อผู้บริหารระดับสูงต่อไป

52.       Syndicate และ Seminar มีลักษณะร่วมกันที่เด่นชัดในข้อใด

(1)       การประชุมอยู่ภายใต้การนำของผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำ

(2)       ผลการประชุมสามารถนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาในระดับชาติได้

(3)       ใช้เทคนิคการจัดอภิปรายแบบแบ่งกลุ่มย่อย

(4)       ร่วมกันศึกษาสภาพปัญหาที่คุ้นเคยที่กำลังประสบอยู่ แล้วนำผลการศึกษามาแลกเปลี่ยน

ตอบ 3 หน้า 339 – 340 ลักษณะร่วมที่เด่นชัดระหว่างการประชุมแบบกลุ่มย่อยรวม (Syndicate) และการสัมมนา (Seminar) ก็คือ การใช้เทคนิคในการนำเสนอ โดยการจัดอภิปรายแบบ แบ่งกลุ่มย่อย (Group Discussion) แล้วให้แต่ละกลุ่มออกไปศึกษาค้นคว้าวิจัยในประเด็น ที่สนใจศึกษา จากนั้นจึงนำผลการศึกษาของแต่ละกลุ่มย่อยมาอภิปรายเพื่อหาข้อสรุปร่วมกัน

53.       ถ้าต้องการจัดประชุม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลในภาพรวมเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจขององค์กร แก่แขกผู้มีเกียรติที่มาเยี่ยมเยียน ควรจัดการประชุมแบบใด

(1)       Workshop (2) Staff Meeting (3) Job Orientation (4) Briefing Session

 ตอบ 4 หน้า 336 การประชุมบรรยายสรุป (Briefing Session) เป็นการประชุมเพื่อปูพื้นฐานความเข้าใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่กว้างขวางและซับซ้อนให้แก่ผู้เข้าฟัง ซึ่งการประชุมประเภทนี้ อาจจะใช้เพื่ออบรมพนักงานใหม่ให้รู้จักบริษัท หรือใช้เมื่อมีผู้เข้าเยี่ยมชมกิจการขององค์กร เช่น ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา โครงสร้าง และระบบการบริหารขององค์กร เป็นต้น

54.       การประชุมที่มีประสิทธิผล ต้องอาศัยปัจจัยและองค์ประกอบต่าง ๆ ข้อใดถูกต้อง

(1)       เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของผู้จัด ผู้เข้ารวม ผู้นำ เลขานุการ และทุกคนที่เกี่ยวข้อง

(2)       จำเป็นต้องมีการวางแผนล่วงหน้า

(3)       ผู้เข้าร่วมประชุมต้องทราบวาระการประชุมล่วงหน้า ร่วมแสดงความคิดเห็นปราศจากอคติและการคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัว

(4)       ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 344374, (คำบรรยาย) การประชุมที่มีประสิทธิผลจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยและ

องค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้

1.         การประชุมที่ดีจำเป็นต้องมีการวางแผนล่วงหน้า

2.         การประชุมที่ดีเป็นหน้าที่ ความรับผิดชอบ และการประสานงานอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้จัดประชุม ผู้นำการประชุม เลขานุการ และผู้เข้ารวมประชุมทุกคนที่เกี่ยวข้องหรือจำเป็นต่อการประชุม

3.         ต้องแจ้งระเบียบวาระการประชุมให้ผู้เข้าร่วมประชุมทราบล่วงหน้า

4.         ผู้เข้าร่วมประชุมควรแสดงความคิดเห็นอย่างปราศจากอคติและคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัว

5.         ไม่ควรตัดสินใจหรือกำหนดผลการประชุมล่วงหน้าว่าจะต้องออกมาในรูปแบบใด

55.       บุคลิกภายนอกที่ดีของคนเราสามารถสร้างขึ้นได้ง่ายดาย เพียงรู้จักแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่เหมาะสม กับรูปร่างลักษณะของตน และสอดคล้องกับกาลเทศะ คือ

(1)       ปกปิด  (2) ปิดบัง        (3) เปิดเผย      (4) ลี้ลับ

ตอบ3 หน้า 8 – 1014 – 15 บริเวณเปิดเผย (Free Area หรือ Open Area) หมายถึง พฤติกรรม เจตนา หรือบุคลิกลักษณะที่ทั้งตนเองและผู้อื่นรับรู้เหมือนกัน เช่น อุปนิสัยใจคอที่แสดงออก บุคลิกการแต่งกาย เป็นต้น ซึ่งลักษณะของบุคคลที่เปิดเผยจะเป็นผู้รับฟังข้อมูลความคิดเห็น คำวิพากษ์วิจารณ์ และข้อบกพร่องของตนจากคนรอบข้าง แล้วนำมาพัฒนาปรับปรุงตนเอง ในขณะเดียวกันก็แสดงออกถึงความคิดเห็น ความรู้ความเข้าใจ ให้คำวิจารณ์ที่หวังดีแก่บุคคล รอบข้าง ซึ่งบุคคลประเภทนี้ควรเป็นแบบอย่างที่เหมาะสมในการปฏิสัมพันธ์กับบุคคลในสังคม

56.       ในบริเวณดังกล่าวจะแปรตามความสนิทหรือความสัมพันธ์ของคู่สื่อสาร คือ ถ้าคู่สื่อสารเริ่มมีความสนิทสนมกัน มากขึ้นเท่าไร บริเวณดังกล่าวก็จะหดตัวแคบลงตามไปด้วย คือ

(1)       ปกปิด  (2) ปิดบัง        (3) เปิดเผย      (4) ลี้ลับ

ตอบ 1 หน้า 810, (คำบรรยาย) บริเวณปกปิดหรือบริเวณซ่อนเร้น (Hidden Area) หมายถึงสิ่งที่ตนรู้แต่เก็บซ่อนไว้ในใจ ไม่เปิดเผยให้ผู้อื่นรู้ เช่น ความรู้สึกที่ไม่ดีต่อผู้อื่น หรือความลับที่ตนเองปกปิดไว้ เป็นลักษณะของบุคคลที่รับฟังมากแต่พูดน้อย (ฟังมากกว่าพูด) โดยจะยอมรับฟัง คำวิพากษ์วิจารณ์ของบุคคลอื่นแล้วนำมาแก้ไขปรับปรุงตนเอง ทำให้จุดบอดในพฤติกรรม ลดน้อยลง ทั้งนี้บริเวณดังกล่าวจะแปรตามความสนิทสนมหรือความสัมพันธ์ของคู่สื่อสาร นั่นคือ ถ้าคู่สื่อสารเริ่มมีความสนิทสนมกันมากขึ้นเท่าไร บริเวณดังกล่าวก็จะหดตัวแคบลงตามไปด้วย

57.       การเอาใจใส่ต่อสุขลักษณะพื้นฐานส่วนตัวนับเป็นการเสริมสร้างบุคลิกให้กับตนเองได้เช่นกัน เช่น การทำความสะอาดร่างกาย อาบน้ำ แปรงฟันทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน ย่อมทำให้การคบหาสมาคมกับผู้อื่น เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีอุปสรรค หรือเป็นที่รังเกียจ เกี่ยวกับอะไร

(1) ปกปิด        (2) ปิดบัง        (3)       จุดบอด            (4)       ลี้ลับ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 34. ประกอบ

58.       ทุกบริเวณล้วนส่งผลต่อความสำเร็จต่อการติดต่อสื่อสารที่คู่สื่อสารต้องให้ความสำคัญ เรียนรู้ และปรับใช้ ให้เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ ยกเว้นข้อใด

(1) บริเวณปกปิด        (2) บริเวณจุดบอด       (3)       บริเวณลี้ลับ     (4)       บริเวณปิดบัง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 35. ประกอบ

59.       ตามแนวคิดเกี่ยวกับ ทฤษฎีข่าวสาร” กับการสื่อสาร ข้อใดกล่าวถูกต้อง

(1)       สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพูดในงานสื่อสารมวลชน เช่น การรายงานข่าว เป็นต้น

(2)       เน้นว่าวิธีที่จะช่วยให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ คือ การสื่อสารข้อมูลข่าวสารแบบซ้ำ ๆ

(3)       เน้นหนักการสื่อสารข้อมูลข่าวสารว่าละเอียดถูกต้องครบถ้วนและมีประสิทธิภาพเพียงใด

(4)       ทฤษฎีเน้นสาร เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจ

ตอบ 3 หน้า 5053, (คำบรรยาย) แนวคิดเทียวกับทฤษฎีข่าวสารกับการสื่อสาร มีดังนี้

1.         ทฤษฎีข่าวสารเน้นว่าปฏิกิริยาย้อนกลับจะทำให้กระบวนการสื่อสารมีประสิทธิผลหรือ ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

2.         ทฤษฎีข่าวสารไม่เน้นในเรื่องความหมายของสาร คือ ไม่เน้นว่ามีการสื่อสารเนื้อหาสาระใด แต่เน้นว่าข่าวสารข้อมูลนั้นมีการสื่อสารละเอียดถูกต้องครบถ้วนและมีประสิทธิภาพเพียงใด

3.         ทฤษฎีข่าวสารไม่สนใจในเรื่องค่านิยม ความรู้สึก หรือการประเมินที่มากับการสื่อสารของมนุษย์

4.         ทฤษฎีข่าวสารมองการสื่อสารของมนุษย์ในแง่ที่ว่ามนุษย์เป็นกลไกที่จะทำการสื่อสาร

5.         ทฤษฎีข่าวสารนำมาประยุกต์ใช้ในการสื่อสารระหว่างบุคคล เช่น การพูดโทรศัพท์ ฯลฯ และการจัดระบบข้อมูลภายในบริษัท

60.       ข้อความใดใช้ภาษาสอดคล้องกับหลัก 7 ประการเพื่อการสื่อสารที่สัมฤทธิผล

(1)       งานที่คุณทำในขณะนี้ คุณรับผิดชอบหน้าที่ในตำแหน่งอะไร

(2)       ผมยินดีจะแจ้งให้ทราบว่าสินค้าของเราเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ รับรองความพึงพอใจเสมอ

(3)       นาย ก เป็นคนฉลาด ดูจากประวัติการศึกษาพบว่าผลการเรียนดีได้เกรด 4 มาโดยตลอด

(4)       แผนกนี้ให้การสนับสนุนการบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของเรา

ตอบ 3 หน้า 25 – 28, (ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ) ในตัวเลือกที่ 3 ใช้ภาษาสอดคล้องกับเทคนิค ความเป็นรูปธรรม เพราะเป็นการสื่อสารแบบชัดเจนและเป็นรูปธรรม พนักงานคนนี้ฉลาด ในการเรียนรู้ โดยพิจารณาดูจากประวัติการศึกษาแล้วได้เกรดเฉลย 3.90 มาโดยตลอด (การสื่อสารแบบกว้างและคลุมเครือ  พนักงานคนนี้ฉลาดและเก่งในการเรียนรู้) ส่วนตัวเลือก ที่ 14 ใช้ภาษาไม่สอดคล้องกับเทคนิคความกะทัดรัด เช่น ถ้อยคำกะทัดรัด  แผนกนี้ให้การ สนับสนุนการบรรลุเป้าหมายของเรา (ถ้อยคำฟุ่มเฟือย  แผนกนี้ให้การสนับสนุบการบรรลุ วัตถุประสงค์และเป้าหมายของเรา)ถ้อยคำกะทัดรัด  คุณทำหน้าที่อะไรในปัจจุบัน (ถ้อยคำฟุ่มเฟือย  งานที่คุณทำขณะนี้ คุณรับผิดชอบหน้าที่ในตำแหน่งอะไร) และตัวเลือก ที่ 2 ใช้ภาษาไม่สอดคล้องกับเทคนิคการพิจารณาไตร่ตรอง เพราะเป็นการสื่อสารแบ “ฉัน”  ผมยินดีจะแจ้งให้ทราบว่าบริษัทเรามีขนาดใหญ่ และมีฐานะความมั่นคงทางการเงินสูง โดยผมจะมอบรายงานประจำปีไว้ให้ฉบับหนึ่ง (การสื่อสารแบบ คุณ คุณจะทราบถึง รายละเอียดของบริษัท จากรายงานประจำปีที่คุณจะได้รับฉบับนี้)

61.       การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพอาศัยหลักจิตวิทยาการสื่อสารที่เกี่ยวข้อง ยกเว้นข้อใด

(1)       ความสามารถในการใช้ถ้อยคำให้เหมาะสมกับบุคคลและกาลเทศะ

(2)       การเอาใจเขามาใส่ใจเราอยู่เสมอ

(3)       เน้นการสร้างมนุษยสัมพันธ์    

(4) จำเป็นต้องใช้ทุกข้อ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 39. ประกอบ

62.       การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ คุณสมบัติข้อหนึ่งที่คู่สื่อสารพึงมีคือ การหมั่นสังเกตปฏิกิริยาตอบสนอง ที่เกิดขึ้นกับฝ่ายตรงข้ามเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารให้สอดคล้อง คือ

(1)       Overgeneralization 

(2)       Social Distance

(3)       Meta Language        

(4)       Sensitivity

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 29. ประกอบ

63.       ก่อนที่จะทำการสื่อสาร ผู้สื่อสารควรตั้งคำถามถามตัวเองเสมอว่า ถ้าเราเป็นผู้ฟังหรือผู้รับสาร แล้วเราได้ยินหรือได้รับสารที่เรากำลังจะส่งออกไป เราจะเกิดความรู้สึกอย่างไร

(1)       Overgeneralization 

(2)       Social Distance

(3)       Meta Language        

(4)       Empathy

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 29. ประกอบ

64.       ความสามารถในการตีความหรือเข้าถึงเนื้อหาสาร เนื่องจากางครั้งในการสื่อสาร ผู้สื่อสารอาจไม่ได้ต้องการ สื่อความหมายตามเนื้อหาของวัจนภาษาที่ปรากฏก็ได้ คือ

(1)       Overgeneralization (2)       Social Distance

(3)       Meta Language        (4)       Empathy

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ

65.       แนวคิดดังกล่าวช่วยให้สถานการณ์ในการสื่อสารดีขึ้นได้ เช่น กรณีร้ายแรงถึงขั้นแตกหัก ความรู้ดังกล่าว จะช่วยให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดสามารถผ่อนหนักเป็นเบาได้ ตรงกับข้อใด

(1)       Meta Language        (2)       Overgeneralization

(3) Sensitivity    (4)       Empathy

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 29. ประกอบ

66.       ข้อความต่อไปนี้คือ ข้อความสรุป” ยกเว้นข้อใด

(1)       โครงการฯ นี้ฉันว่าปาจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลนะ เพราะเกี่ยวกับเยาวชนไทยเรา

(2)       มีหลายช่องทาง เช่น สอบชิงทุน หรือเข้าร่วมโครงการต่าง ๆ เช่น “Work and Travel” ไง

(3)       สมัยนี้ถ้าอยากเรียนจบแล้วมีงานทำ ขณะที่เรียนก็ต้องหาโอกาสไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในต่างประเทศให้ได้

(4)       ดีไม่ดี ถ้านายจ้างฝรั่งเกิดพอใจผลงาน เราน่าจะขอให้เขาออกใบอนุญาตทำงานให้เลยนะ

ตอบ 2 หน้า 91, (ดูคำอธิบายข้อ 40. และ 41.ประกอบ) ข้อความสรุป มีลักษณะดังนี้

1.         เป็นข้อความที่เกิดจากการสรุปหรือแก้ปัญหา โดยจะรวมข้อสันนิษฐานไว้ด้วย

2.         อาจจะพูดก่อน หลัง ระหว่างการสังเกต หรือปราศจากการสังเกตก็เป็นไปได้

3.         มักจะพูดถึงสิ่งที่รับรู้ไม่ได้ด้วยตา จมูก ปาก หู และประสาทสัมผัส คือ มักจะมีความเป็น นามธรรมมากกว่ารูปธรรม

4.         มักจะใช้คำที่มีความหมายนัยประหวัดสูง คือ อาจจะตีความหมายได้หลายอย่าง

5.         จะมีรากฐานอยู่บนสมมุติฐาน คือ มีลักษณะเป็นเพียงข้อความที่อาจเป็นไปได้เท่านั้น ดังนั้นบางครั้งจึงอาจจะไม่เป็นจริงก็ได้

67.       ข้อใดกล่าวไม่สอดคล้องกับแนวความคิด Faulty Assumption

(1)       เขาว่ากันว่าคนเหนือเป็นคนโอบอ้อมอารี คนอีสานเป็นคนซื่อ จริงใจ ส่วนคนใต้เป็นคนขยัน

(2)       ผมเพิ่งไปสมัครงานมาแล้วเขาบอกให้เริ่มงานอาทิตย์หน้า แต่ผมกลับไม่สบายใจเพราะเผอิญมารู้ว่า ไอ้สมชายเพื่อนตอนสมัยเรียนมัธยมซึ่งผมเกลียดมากเพราะเคยทะเลาะกัน ไอ้หมอนั่นมันทำงานที่บริษัทบี้ด้วย ถ้าเจอหน้ากันอีกคงต้องได้วางมวยกันแน่นอบ

(3)       เจ้านายของอ้อยซึ่งเป็นชาวลาว สั่งให้อ้อยทำความสะอาดห้องนอน แต่อ้อยกลับไปทำความสะอาด ห้องส้วมแทน ปัญหาเกิดเนื่องจาก เจ้านายของอ้อยใช้คำศัพท์ในภาษาลาว ซึ่งคำว่า ห้องส้วม’’ หมายถึง ห้องนอน” นั่นเอง

(4)       กล่าวสอดคล้องทุกข้อ

ตอบ 4 ห0น้า 95 – 96 ข้อสันนิษฐานที่ผิด (Faulty Assumption) มี 3 ประการ ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจาก

1.         เข้าใจว่าความหมายอยู่ที่คำ เราจึงมักใช้คำโดยไม่คำนึงว่าคู่สื่อสารเขาจะเข้าใจความหมาย เหมือนอย่างที่เราเข้าใจหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วความหมายอยู่ที่ผู้ใช้คำหรือมนุษย์นั่นเอง

2.         เข้าใจไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลง เราจึงมักใช้คำในการที่จะพูดถึงคน ๆ หนึ่ง ในปัจจุบันเป็นคำเดียวกับที่ใช้เมื่อสิบปีมาแล้วโดยไม่คำนึงถึงว่าคน ๆ นั้นจะเปลี่ยนไปอย่างไร

3.         เข้าใจว่าเราสามารถจัดประเภทของคนและสิ่งของออกเป็นประเภทต่าง ๆ ได้อย่างเด็ดขาด เราจึงมักใช้คำในการพูดถึงบุคคลหรือสิ่งของใด ๆ ใบลักษณะของการเหมารวม ซึ่งเรียกว่า Overgeneralization

68.       รูปแบบของพฤติกรรมการสื่อสารในข้อใดที่เกิดขึ้นจากสภาวะจิตของความเป็นพ่อแม่

(1)       การสื่อสารแบบเปลี่ยนแปลง (Dynamic Style) – แบบที่ 1

(2)       การสื่อสารแบบถอนตัว (Withdrawing style) – แบบที่ 2

(3)       การสื่อสารแบบควบคุม (Controlling Style) – แบบที่ 3

(4)       การสื่อสารแบบยอมตาม (Relinquishing Style) – แบบที่ 4

ตอบ 3 หน้า 60 – 62 การสื่อสารแบบควบคุม (Controlling Style) เป็นลักษณะการสื่อสารที่เกิดขึ้นจากสภาวะจิตของความเป็นพ่อแม่ (Parent) ซึ่งเหมาะกับสถานการณ์ที่ตกอยู่ใน สภาวะวิกฤตหรือภาวะฉุกเฉิน โดยมีลักษณะของการสื่อสารดังนี้ คือ

1.         เป็นการสื่อสารแบบทางเดียวหรือแบบเอกวิถี (One Way Communication)

2.         ผู้สื่อสารทำหน้าที่สั่งการ ออกคำลัง บังคับ หรือจักนำ เพื่อให้คนอื่นทำตามที่เขาต้องการ โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง

3.         ผู้สื่อสารถือว่าความคิดของเขาสำคัญกว่าใคร ไม่ชอบให้ผู้อื่นแสดงความคิดเห็น ฯลฯ ทั้งนี้บุคคลที่ใช้การสื่อสารแบบนี้ จะทำการสื่อสารกับคู่สื่อสารที่มีแบบการสื่อสารจาก สภาวะจิตของความเป็นเด็ก (Child)

69.       รูปแบบของพฤติกรรมการสื่อสารในข้อใดที่เกิดขึ้นจากสภาวะจิตของความเป็นเด็ก

(1)       การสื่อสารแบบเปลี่ยนแปลง (Dynamic Style) – แบบที่ 1 และการสื่อสารแบบถอนตัว (Withdrawing Style) – แบบที่ 2

(2)       การสื่อสารแบบถอนตัว (Withdrawing style) – แบบที่ 2

และการสื่อสารแบบยอมตาม (Relinquishing Style) – แบบที่ 4

(3)       การสื่อสารแบบควบคุม (Controlling Style) – แบบที่ 3

และการสื่อสารแบบเปลี่ยนแปลง (Dynamic Style) – แบบที่ 1

(4)       ภารสื่อสารแบบการให้มีความเสมอภาค (Equalitarian Style) – แบบที่ 5 และการสื่อสารแบบยอมตาม (Relinquishing style) – แบบที่ 4

ตอบ 2 หน้า 66 – 69 การสื่อสารแบบถอนตัว (Withdrawing style) เป็นลักษณะการสื่อสารที่ เกิดขึ้นจากสภาวะจิตของความเป็นเด็ก (Child) ซึ่งสถานการณ์ที่เหมาะสมสำหรับรูปแบบ การสื่อสารลักษณะนี้มีน้อย เช่น การพูดถึงข้อมูลหรือเรื่องราวที่เป็นเรื่องปกปิด หรือเป็น ความลับ เป็นต้น โดยมีลักษณะของการสื่อสารดังนี้ คือ

1.         พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการสื่อสารทุกรูปแบบ

2.         ไม่ต้องการที่จะมีอิทธิพลเหนือใคร และไม่ยอมให้คนอื่นมามีอิทธิพลเหนือตน

3.         การสื่อสารให้ความเป็นอิสระมากกว่าที่จะเข้าไปตัดสินใจเอง

4.         พยายามหลีกเลี่ยงการวิเคราะห์ปัญหาโดยตรง โดยพยายามพูดกลบเกลื่อนหรือเลื่อน การพิจารณาปัญหาออกไป หรือให้ผู้อื่นรับผิดชอบแทนที่จะรับผิดชอบเอง (ผลักความ รับผิดชอบให้ผู้อื่น)

และการสื่อสารแบบยอมตาม (Relinquishing Style) เป็นลักษณะการสื่อสารที่เกิดขึ้นจาก สภาวะจิตของความเป็นเด็ก (Child) ซึ่งเหมาะสำหรับนำไปใช้ในการให้คำปรึกษา เพื่อให้บุคคล เกิดความไว้วางใจที่จะส่งผลให้เกิดความรู้สึกคล้อยตามในด้านการตัดสินใจหรือยินยอมกระทำ ตามเงื่อนไขที่นำเสนอ โดยมีลักษณะของการสื่อสารดังนี้ คือ

1.         ผู้สื่อสารยอมตามความต้องการของคนอื่น

2.         ผู้สื่อสารยอมรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น

3.         ผู้สื่อสารผลักความรับผิดชอบให้คนอื่น

4.         ผู้สื่อสารยอมรับว่าตนเองเป็นเพียงส่วนประกอบ ไม่ใช่ตัวหลักสำคัญ

70.       รูปแบบของพฤติกรรมการสื่อสารในข้อใดที่เกิดขึ้นจากสภาวะจิตของความเป็นผู้ใหญ่

(1)       การสื่อสารแบบเปลี่ยนแปลง (Dynamic Style) – แบบที่ 1

และการสื่อสารแบบการให้มีความเสมอภาค (Equalitarian Style) – แบบที่ 5

(2)       การสื่อสารแบบการให้มีความเสมอภาค (Equalitarian style) – แบบที่ 5 และการสื่อสารแบบยอมตาม (Relinquishing Style) – แบบที่ 4

(3)       การสื่อสารแบบถอนตัว (Withdrawing Style) – แบบที่ 2

(4)       การสื่อสารแบบควบคุม (Controlling Style) – แบบที่ 3

ตอบ 1 หน้า 64 – 66 การสื่อสารแบบการเปลี่ยนแปลง (Dynamic Style) เป็นลักษณะการสื่อสารที่ เกิดขึ้นจากสภาวะจิตของความเป็นผู้ใหญ่ (Adult) ซึ่งการสื่อสารแบบนี้มักใช้สารที่สั้น กะทัดรัด เข้าประเด็น ไม่อ้อมค้อม เปิดเผยตรงไปตรงมา การพูด/แสดงออกไม่ลึกซึ้ง ฟังแล้วเข้าใจง่าย จำได้ทันที แต่ค่อนข้างจะขวานผ่าซาก กล่าวคือ เข้าถึงปัญหาก่อนแล้วค่อยดำเนินเรื่อง และมักจะพิจารณาปัญหาและวางแผนล่วงหน้าก่อนนาน ๆ โดยสามารถสรุปลักษณะของ การสื่อสารได้ตังนี้ คือ

1.         เป็นการสื่อสารแบบสั้นและตรงประเด็น         2. ผู้สื่อสารเป็นคนตรงและเปิดเผย

3.         เนื้อหาของการสื่อสารบางครั้งเป็นเหมือนขวานผ่าซาก ตรงไปตรงมา และเน้นในทางปฏิบัติ และการสื่อสารแบบการให้มีความเสมอภาค (Equalitarian Style) เกิดขึ้นจากสภาวะจิตของ ความเป็นผู้ใหญ่ (Adult) ซึ่งเหมาะสำหรับนำไปใช้ในสถานการณ์ที่ต้องการสร้างความร่วมมือ และประสานความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างคู่สื่อสาร โดยมีลักษณะของการสื่อสารดังนี้ คือ

1.         เป็นการสื่อสารแบบ 2 ทาง

2.         ผู้สื่อสารพยายามกระตุ้นให้อีกฝ่ายหนึ่งเกิดความคิด

3.         ผู้สื่อสารให้อิสระแล้วมีความยืดหยุ่น

4.         บรรยากาศในการสื่อสารเต็มไปด้วยความเข้าใจและคำนึงถึงผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน

5.         การสื่อสารก่อให้เกิดความเป็นมิตรและความอบอุ่น

71.       ภาษากายที่แสดงถึงความสงสัย มีความลับ พูดโกหก ไม่ซื่อสัตย์ มีเรื่องปิดบัง คือ

(1)       มือแตะหน้า พยายามสบตาให้น้อยที่สุด ทำความสะอาดแว่นตา สัปหงก หักนิ้วมือเล่น

(2)       ยืนขณะที่คนอื่นนั่ง มือทั้งสองประสานอยู่บนเหนือศีรษะ มือ 2 ข้างประกอบกันบนโต๊ะฯ

(3)       นิ้วมือ มือและเท้าไขว้กัน ปิดปากเวลาพูด เอามือแตะจมูก ลูบเปลือกตา ใบหู

(4)       ไม่สบสายตา เล่นกับสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่บนโต๊ะ ขยับขาขึ้นลง ตามองออกไปนอกห้อง 

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

72.       ภาษากายที่แสดงถึงความเบื่อหน่าย หรือไม่ได้สนใจในประเด็นที่กำลังสนทนา

(1)       ยืนขณะที่คนอื่นนั่ง มือทั้งสองประสานอยู่บนเหนือศีรษะ มือ 2 ข้างประกอบกันบนโต๊ะๆ

(2)       นิ้วมือ มือและเท้าไขว้กัน ปิดปากเวลาพูด เอามือแตะจมูก ลูบเปลือกตา ใบหู

(3)       ไม่สบสายตา เล่นกับสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่บนโต๊ะ ขยับขาขึ้นลง ตามองออกไปนอกห้อง

(4)       มือแตะหน้า พยายามสบตาให้น้อยที่สุด ทำความสะอาดแว่นตา สัปหงก หักนิ้วมือเล่น 

ตอบ 3 หน้า 139 ภาษาร่างกายหรือภาษากายที่แสดงถึงความเบื่อหน่าย ไม่น่าสนใจ ได้แก่

1. จับมือด้วยอย่างไม่เต็มใจ    2. ใช้กรรไกรตัดเล็บ

3.         ไม่สบสายตา   4. ตามองที่ประตู ดูนาฬิกาบ่อย ๆ

5.         ขยับขาขึ้นลง   6. มองออกไปนอกห้อง นอกหน้าต่าง มองเพดาน

7. เอามือจับปากกาเล่น           8. เล่นกับสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่บนโต๊ะ

73.       ภาษากายที่แสดงถึงความมีอำนาจ และความคิดที่เหนือกว่าคู่สนทนา

(1)       ไม่สบสายตา เล่นกับสิ่งของต่าง ๆ ที่อยู่บนโต๊ะ ขยับขาขึ้นลง ตามองออกไปนอกห้อง

(2)       ยืนขณะที่คนอื่นนั่ง มือทั้งสองประสานอยู่บนเหนือศีรษะ มือ 2 ข้างประกอบกันบนโต๊ะฯ

(3)       ผิวเปลี่ยนเป็นสีแดง มือกอดอกไขว้กัน ส่ายหัวไปมา สายตามองไปที่อื่นที่ไม่ใช่คู่สนทนา

(4)       มือแตะหน้า พยายามสบตาให้น้อยที่สุด ทำความสะอาดแว่นตา สัปหงก หักนิ้วมือเล่น 

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 12. ประกอบ

74.       ข้อใดไม่ใช่ลักษณะเฉพาะของการฟังอย่างจำแนก (Discriminative Listening)

(1)       ให้ความสำคัญกับสาระของเนื้อหา จับประเด็นสำคัญในเนื้อหาสารเหล่านั้นให้ได้

(2)       ให้ความสำคัญกับการจัดระเบียบในการพูด ดูความสัมพันธ์ระหว่างหัวข้อต่าง ๆ

(3)       อาจมีการถามคำถามบ้างในส่วนที่สงสัยหรือไม่เข้าใจ เพื่อความกระจ่างชัดของข้อมูล

(4)       เหมาะสำหรับการฟังสารประเภทโน้มน้าวใจ เช่น การหาเสียงเลือกตั้ง

ตอบ 4 หน้า 151 การฟังอย่างจำแนก (Discriminative Listening) ได้แก่ การฟังอย่างแยกแยะ ให้เห็นความแตกต่าง เห็นลำดับและประเภทของสารที่ฟัง โดยใช้สำหรับสารที่ให้ความรู้หรือ ข้อมูลแก่ผู้ฟัง ซึ่งมีวิธีการฟังดังนี้

1.         พุ่งจุดสนใจไปที่สาระสำคัญของสารและพยายามจับประเด็นสำคัญนั้น ๆ ให้ได้

2.         พุ่งจุดสนใจไปที่การจัดระเบียบการพูด เพื่อจะได้ดูความสัมพันธ์ของหัวข้อต่าง ๆ

3.         ตอบสนองผู้พูด เพื่อให้เขารับทราบความเข้าใจของผู้ฟัง

4.         ตั้งคำถามเพื่อความกระจ่างชัดของข้อมูล

75.       ขั้นตอนพื้นฐานในหลัก การฟังแบบเบ็ดเสร็จ (H-E-A-R)” ที่ควรเริ่มต้นในการฝึกฝนคือข้อใด

(1)       แสดงออกถึงความสนใจและความตั้งใจฟัง เช่น พยักหน้า เอ่ยวสีสั้น ๆ – หรือครับ อืมฯ

(2)       การตรวจสอบสภาพอุปกรณ์ที่ใช้ประกอบในการพูดเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาก่อน

(3)       คาดเดาเนื้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นระยะ ๆ เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของเนื้อหา

(4)       หนั่นสรุปใจความสำคัญของเนื้อหาสาระเป็นระยะ ๆ

ตอบ 4 หน้า 165 – 168 การฟังแบบเบ็ดเสร็จ (H-E-A-R) มีหลักการดังนี้

1. H : Have a hearing checkup from an ear specialist.

คือ รับการตรวจสมรรถภาพการได้ยินหรือการฟังจากผู้เชี่ยวชาญทางโสต

2.         E : Evaluate the evidence the speaker offer to support his or her ideas.

คือ ประเมินพยานหลักฐานที่ผู้พูดเสนอเพื่อสนับสนุนความคิดของผู้พูด

3.         A : Anticipate the point of the communication, the meaning of the message. คือ คาดการณ์ล่วงหน้าถึงจุดสำคัญของการสื่อสาร (ความหมายของข้อความ)

4.         R : Review mentally the key points or idea of the speaker.

คือ หมั่นทบทวนและสรุปใจความสำคัญของเนื้อหาหรือความคิดของผู้พูดในใจเป็นระยะ ๆ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นหรือขั้นตอนพื้นฐานสำคัญที่ง่ายต่อการฝึกฝนมากที่สุด

76.       อักษร ใน LADDER “กฎบันได 6 ขั้นสู่ความสำเร็จ ในการฟัง” ใช้แทนศัพท์ในข้อใด

(1)       Emotion – พยายามควบคุมอารมณ์ที่ไม่สร้างสรรค์ที่อาจเกิดขั้นได้ระหว่างการสนทนา

(2)       Expectation – คาดเดาบทสรุปที่จะได้รับจากการฟังล่วงหน้าเพื่อแสดงความเข้าใจ

(3)       Exceptation – ยอมรับและเชื่อมั่นในข้อมูลและสาระที่ผู้ฟังนำเสนออย่างจริงใจ

(4)       Estimate – คาดคะเนเนื้อหาที่ผู้พูดจะพูดต่อไปเป็นระยะ ๆ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

77.       หัวใจสำคัญในการพูดทางโทรศัพท์คือ ผู้พูดต้องมี “A voice with a smile” คำพูดดังกล่าว หมายถึง ลักษณะการพูดที่สอดคล้องกับวิธีการในข้อใดมากที่สุด

(1)       แสดงออกถึงความกระตือรือร้น เอาใจใส่ในการให้ความช่วยเหลือเท่าที่ทำได้

(2)       มีอารมณ์ขัน สร้างรอยยิ้มให้กับผู้โทรเข้ามาได้บ้างตามสมควร

(3)       พยายามปรับเสียงตนเองให้ร่าเริง แจ่มใส ประหนึ่งกำลังยิ้มอยู่ขณะที่พูด

(4)       แสดงออกถึงความพร้อมทางต้านข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ไว้คอยให้บริการ

ตอบ 1 หน้า 210213 น้ำเสียงที่เหมาะสมในการพูดโทรศัพท์ ต้องทำให้ผู้ที่โทรเข้ามามีความรู้สึกว่า เราเป็นคนที่เป็นมิตรและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราต้องมีความรู้สึกว่ากำลังพูด อยู่กับใครคนหนึ่งซึ่งเรารู้จักและชอบพอ ด้วยการแสดงน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติและมีชีวิตชีวา ยิ้มในขณะที่พูดโทรศัพท์แม้อีกฝ่ายหนึ่งจะไม่เห็น แสดงออกถึงความกระตือรือร้นที่จะให้บริการ และพยายามทำให้ผู้โทรมาเข้าใจว่าเราต้องการจะช่วยเหลือเขา นั่นคือ พยายามพัฒนาให้ สอดคล้องกับคำขวัญที่ว่า “The voice with a smile” หรือ “A smile in your voice”

78.       ผู้สัมภาษณ์จะเปิดโอกาสให้ผู้รับการสัมภาษณ์ได้ศึกษานโยบายและข้อมูลที่สำคัญก่อน แล้วจึงให้ทดลอง สาธิตหรือแสดงความสามารถในวิชาชีพในตำแหนงที่เปิดรับสมัครนั้น

(1)       การสอบสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว (One-to-One Interview)

(2)       การสอบสัมภาษณ์เพื่อคัดออก (Screening Interview)

(3)       การสอบสัมภาษณ์แบบประเมินผล (Assessment Centers)

(4)       การสอบสัมภาษณ์แบบมีการวางแผน (Structured Interview)

ตอบ 3 หน้า 235 การสอบสัมภาษณ์แบบประเมินผล (Assessment Centers) คือ ผู้สัมภาษณ์ จะเปิดโอกาสให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ได้ศึกษานโยบายและรายละเอียดต่าง ๆ ที่จำเป็นก่อน แล้วจึง ให้สาธิตเทคนิคหรือแสดงความสามารถในวิชาชีพ โดยจะมิวิธีการประเมินผลอีกครั้งหนึ่งเพื่อหา ผู้ที่เหมาะสมกับตำแหนงที่เปิดรับนั้น ซึ่งวิธีนี้เหมาะสมกับการสัมภาษณ์งานบางวิชาชีพเท่านั้น เช่น พนักงานขายสินค้า พนักงานขายประกัน เป็นต้น

79.       มักจะพูดคุยกันทางโทรศัพท์ก่อน เพื่อหาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับผู้เข้ารับการสัมภาษณ์ว่ามีคุณสมบัติ เหมาะสมเพียบพร้อมก่อนที่จะทำการนัดหมายมาสัมภาษณ์ต่อไป

(1) การสอบสัมภาษณ์แบบตัวต่อตัว (One-to-One Interview)

(2) กาสอบสัมภาษณ์เพื่อคัดออก (Screening Interview)

(3) การสอบสัมภาษณ์แบบประเมินผล (Assessment Centers)

(4) การสอบสัมภาษณ์แบบสมมุติเหตุการณ์ (Situational Interview)

ตอบ 2 หน้า 234 การสอบสัมภาษณ์เพื่อคัดออก (Screening Interview) คือ มักจะเป็นการพูดคุย หรือติดต่อกันทางโทรศัพท์ก่อน เพื่อหาข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับตัวผู้เข้ารับการสัมภาษณ์ ว่ามีคุณสมบัติและความเหมาะสมเพียงพอที่จะเชิญมาเข้ารับการสัมภาษณ์หรือไม่ ทั้งนี้ เพื่อเป็นการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายโดยคัดผู้ที่ขาดคุณสมบัติออกไปเสียก่อน

80.       เป็นการสอบสัมภาษณ์หมู่โดยทีมผู้สัมภาษณ์จะถูกมอบหมายและแยกคำถามตามความถนัดของผู้สัมภาษณ์ ซักถามคำถามเพื่อค้นหาผู้สมัครที่มีความเหมาะสมกับตำแหน่ง

(1)       การสอบสัมภาษณ์แบบสมมุติเหตุการณ์ (Situational Interview)

(2)       การสอบสัมภาษณ์เพื่อคัดออก (Screening Interview)

(3)       การสอบสัมภาษณ์แบบประเมินผล (Assessment Centers)

(4)       การสอบสัมภาษณ์แบบมีการวางแผน (Structured Interview)

ตอบ 4 หน้า 235 การสอบสัมภาษณ์แบบมีการวางแผน (Structured Interview) เป็นการ สอบสัมภาษณ์หมู่ โดยทีมผู้สัมภาษณ์จะได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่แยกแยะออกไปตาม ความถนัด และแต่ละคนจะซักถามคำถามเรื่องต่าง ๆ ตามความถนัด เช่น ด้านการศึกษา ด้านคุณสมบัติ หรือประสบการณ์ เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อค้นหาผู้ที่มีความเหมาะสมกับตำแหน่ง

81.       ข้อใดไม่สอดคล้องกับแนวทางที่เหมาะสมในการตอบคำถามในการสัมภาษณ์งาน

(1)       แสดงออกถึงความทะเยอทะยาน มุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จในอาชีพการงานที่สมัคร

(2)       ไม่ควรวิจารณ์สถานที่ทำงานเก่า/นายจ้างคนเก่าอย่างเด็ดขาด ถึงแม้จะเป็นความจริง

(3)       แสดงออกถึงความกระตือรือร้น เช่น สอบถามถึงสวัสดิการที่จะได้จากการทุ่มเทการทำงาน

(4)       หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงข้อเสียหรือข้อด้อยของตนเองในบางเรื่องที่ไม่มีผลต่อการทำงาน

ตอบ 3 หน้า 244 – 250 แนวทางการตอบคำถามที่เหมาะสมในการสัมภาษณ์งาน 

1.         เรียนรู้ว่าอะไรควรพูด เช่น อย่าพูดถึงจุดอ่อนหรือปมด้อยของตัวเองถ้าไม่จำเป็นหรือ ไม่มีผลต่อการทำงานอย่าวิจารณ์นายจ้างหรือหน่วยงานเดิมอย่าถามเรื่องเงินเดือน หรือสวัสดิการที่จะได้รับจนกว่าผู้สัมภาษณ์จะเปิดโอกาสให้ถาม ฯลฯ

2.         การพูดถึงความใฝ่ฝืนในชีวิต ความทะเยอทะยานและมุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ ในอาชีพการงานหรือในงานที่สมัคร

3.         ควรมีข้อมูลเกี่ยวกับงานให้มาก เพื่อแสดงออกถึงความกระตือรือร้นหรือใส่ใจในการหา ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับบริษัทและตำแหน่งงานที่สมัคร

4.         การพูดถึงเหตุผลที่ออกจากงาน เช่น งานเดิมเป็นงานชั่วคราวไม่ได้รับพิจารณาเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งสถานที่ทำงานอยู่ไกลบ้าน ฯลา

5.         การตอบคำถามที่คาดไม่ถึง ต้องแสดงให้ผู้สัมภาษณ์เห็นว่าท่านมีความตั้งใจศึกษาเพิ่มเติม ถ้าตอบไม่ได้ไม่ควรกังวล ฯลา

82.       รูปแบบการเรียนรู้ของผู้ฟังโดยทั่วไปแบ่งออกเป็นรูปแบบต่าง ๆ ยกเว้นข้อใด

(1) การเรียนรู้ด้วยเสียง           

(2) การเรียนรู้ด้วยภาพ

(3) การเรียนรู้ด้วยการเคลื่อนไหว        

(4) การเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติทดลอง

ตอบ 4 หน้า 279 รูปแบบการเรียนรู้ของผู้ฟังโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่

1.         การเรียนรู้ด้วยภาพ      2. การเรียนรู้ด้วยเสียง 3. การเรียนรู้ด้วยการเคลื่อนไหว

ซึ่งลักษณะเฉพาะเหล่านี้จะเหมาะสมกับกลุ่มผู้ฟังเฉพาะกลุ่ม และการเรียบรู้ลักษณะการเรียนรู้ ของผู้ฟังสามารถน่ามาใช้ประกอบในการวางแผนการนำเสนอได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

83.       ข้อมูลที่ต้องการให้เห็นความแตกต่างของปัจจัยต่าง ๆ เปรียบเทียบกับปัจจัยอื่นทั้งหมด

(1) แผนภูมิเส้น (Line Charts)   (2) แผนภูมิแสดงการกระจาย (Scattergrams)

(3) แผนภูมิแท่งแนวนอน (Column Chart)      (4) แผนภูมิวงกลม (Pie Chart)

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 21. ประกอบ

84.       ข้อมูลที่ต้องการแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นของสิ่งที่เสนอ

(1) แผนภูมิแสดงการกระจาย (Scattergrams) (2) แผนภูมิเส้น (Line Charts)

(3) แผนภูมิแท่งแนวนอน (Column Chart)      (4) แผนภูมิวงกลม (Pie Chart)

ตอบ 2 หน้า 304 แผนภูมิเส้น (Line Charts) เป็นแผนภูมิที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะแนวโน้มของ การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในสิ่งที่นำเสนอ เช่น แผนภูมิเส้นแสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง ราคาหุ้นของบริษัท XYZ ตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคม – เดือนธันวาคม ปี 2005 ซึงถ้าต้องการ เปรียบเทียบราคาหุ้นกับบริษัทคู่แข่งก็สามารถนำเสนอในแผนภูมิเดียวกันได้

85.       การดึงดูดความสนใจของผู้ฟังในการนำเสนอสามารถกระทำได้หลายวิธี ยกเว้นข้อใด

(1)       ทำให้ผู้ฟ้งรู้สึกตื่นตัวด้วยวิธีการสุ่มผู้ฟังให้เข้ามามีส่วนร่วม เช่น การขอความคิดเห็น ฯลฯ

(2)       เลือกใช้สื่อประกอบที่มีประสิทธิภาพ สื่อที่ดีย่อมสนับสนุนคำพูดของผู้พูดด้เป็นอย่างดี

(3)       สร้างอารมณ์เครียดยาว ๆ สร้างความขัดแย้ง แล้วแทรกอารมณ์ขันเพื่อผ่อนคลายอารมณ์

(4)       ถามคำถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่อยู่ในความสนใจของสังคมเพื่อเรียกร้องความสนใจ ตอบ 4 หน้า 298 – 299 การดึงดูดความสนใจของผู้ฟังในการนำเสนอ มีดังนี้

1.         การเปลี่ยนแปลงสิ่งที่กำลังทำอยู่ เช่น การหยุดพูดกะทันหัน เปลี่ยนน้ำเสียงในการพูด ฯลฯ

2.         การถามคำถาม โดยตั้งคำถามที่เกี่ยวกับประเด็นที่นำเสนอ

3.         การขอให้ผู้ฟังยกมือขึ้น เพื่อแก้ไขอาการง่วงนอน เบื่อหน่าย หรือใจลอย ฯลฯ

4.         การทำให้ผู้ฟังรู้สึกตื่นตัวด้วยวิธีการสุ่มผู้ฟังให้เข้ามามีส่วนร่วม เช่น การขอความคิดเห็น ฯลฯ

5.         การสอดแทรกอารมณ์ขัน เช่น แทรกอารมณ์ขันเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ในบทละครที่เป็นฉาก สร้างอารมณ์เครียดยาว ๆ เพื่อสร้างความขัดแย้ง

6.         การเลือกใช้สื่อประกอบที่มีประสิทธิภาพ สื่อประกอบเป็นส่วนที่สนับสนุนคำพูดที่พูดออกไป และช่วยให้ผู้ฟังตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา

86.       โดยทั่วไปผู้ฟังมักมีเหตุผลในการถามแตกต่างกันไป ข้อใดกล่าวถูกต้อง

(1) แสดงความสนใจในเรื่องที่ได้ยิน    (2) ต้องการสนับสนุน/กระตุ้นให้ผู้พูดพูดต่อ

(3) ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม       (4) กล่าวถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 318 – 319 โดยทั่วไปผู้ถามมักมีเหตุผลในการถามต่าง ๆ คือ

1. ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม         2. มีข้อสงสัยหรือไม่เข้าใจในสิ่งที่ได้ฟังจากผู้พูด

3. ต้องการสนับสนุนและกระตุ้นให้ผู้พูดพูดต่อ 4. แสดงความสนใจในเนื้อหาที่ผู้พูดพูด

5.         แสดงทัศนคติของเขาที่แตกต่างกันออกไป      6. ต้องการเน้นจุดสนใจ (ทำตัวให้เด่น)

87.       เราจะทำงานอย่างหนัก เราจะทำงานอย่างชาญฉลาด เราจะสร้างอนาคตที่ดีกว่า เพื่อหน่วยงานและองค์กรของเรา และท้ายที่สุดเพื่อตัวเราเอง

(1) การใช้โครงสร้างประโยคที่เหมือนกัน        (2) การใช้องค์ประกอบสามส่วน

(3) การใช้คำถามเชิงโวหาร     (4) การใช้ตัวอย่างอธิบายความ

ตอบ 1 หน้า 276 – 277 การใช้โครงสร้างประโยคที่เหมือนกัน คือ ประโยคแต่ละประโยคจะคล้ายคลึงกัน ทั้งในเรื่องของคำที่ใช้และหน้าที่ของคำ โดยจะใช้ได้ดีกับการนำเสนอผลงาน เนื่องจากการกล่าวย้ำโดยใช้โครงสร้างของประโยคที่เหมือนกันนี้ จะทำให้ผู้ฟังรับรู้และจดจำได้ เช่น วาทศิลป์ที่ว่า เราจะทำงานอย่างหนัก เราจะทำงานอย่างชาญฉลาด เราจะสร้างอนาคต ที่ดีกว่า เพื่อบริษัทของเรา และเพื่อตัวเราเอง

88.       จงอย่าถามว่าประเทศนี้ให้อะไรกับคุณ แต่จงถามว่าคุณได้ให้อะไรกับประเทศนี้

(1) การใช้โครงสร้างประโยคที่เหมือนกัน        

(2) การใช้องค์ประกอบสามส่วน

(3) การใช้บทขัดแย้ง   

(4) การใช้คำถามเชิงโวหาร

ตอบ 3 หน้า 278 การใช้บทขัดแย้ง คือ การวางประโยคหรือบางส่วนของประโยคในทางตรงกันข้ามกัน เพื่อจับความสนใจของผู้ฟัง หรือเพื่อทำให้เกิดการตอบสนองที่หนักแน่น เช่น วาทศิลป์ที่ว่า จงมีชีวิตอยู่อย่างอิสรภาพ มิเช่นนั้น ก็อย่ามีชีวิตอยู่เลย” หรือ ดังนั้น เพื่อนชาวอเมริกัน ทั้งหลายจงอย่าถามว่าประเทศนี้ให้อะไรกับคุณ แต่จงถามว่าคุณได้ให้อะไรกับประเทศนี้”

89.       Symposium และ Panel Discussion มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันในข้อใด

(1)       มีผู้ทรงคุณวุฒิหรือวิทยากรผู้นำการประชุม จำนวนประมาณ 2 – 5 คน

(2)       เน้นหนักการเสนอข้อเท็จจริงและแนวคิดทางวิชาการเป็นหลักแก่สาธารณชนทั่วไป

(3)       มีผู้ดำเนินรายการ แนะนำวิทยากร ควบคุมเวลา และสรุปประเด็นสำคัญจากการอภิปราย

(4)       ช่วงท้ายจัดให้มีการซักถาม ปรึกษา เสนอข้อคิดเห็นจากผู้เช้าร่วมประชุม เรียกว่า Forum

ตอบ 3 หน้า 338 – 339 การประชุมแบบ Symposium และ Panel Discussion (การอภิปรายเน้นคณะ) มีลักษณะร่วมกันหลายประการ แต่ก็มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันคือ แบบ Panel Discussion จะมีความเป็นทางการมากกว่าแบบ Symposium ทั้งนี้โดยจะมีผู้ดำเนินรายการแยกต่างหาก จากประธาน ทำหน้าที่เชื่อมโยงการอภิปรายของผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละคน ควบคุมหรือตะล่อมให้ การอภิปรายอยู่ในประเด็น แล้วสรุปสาระสำคัญหรือประเด็นสำคัญของข้อความหรือความคิดเห็น ที่ผู้ทรงคุณวุฒิแต่ละคนอภิปรายในแต่ละช่วง

90.       Syndicate และ Seminar มีลักษณะร่วมกันที่เด่นชัดในข้อใด

(1)       ร่วมกันศึกษาสภาพปัญหาที่คุ้นเคย ที่กำลังประสบอยู่ แล้วนำผลการศึกษามาแลกเปลี่ยน

(2)       ผลการประชุมสามารถนำไปใช้ในการแก้ไขปัญหาในระดับชาติได้

(3)       การประชุมอยู่ภายใต้การนำของผู้ทรงคุณวุฒิ/ผู้เชี่ยวชาญคอยให้คำแนะนำตลอดเวลา

(4)       ใช้เทคนิคการจัดอภิปรายแบบแบ่งกลุ่มย่อย

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 52. ประกอบ

91.       ถ้าต้องการจัดประชุม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลในภาพรวมเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจขององค์กร แก่แขกผู้มีเกียรติที่มาเยี่ยมเยียน ควรจัดการประชุมแบบใด

(1) Staff Meeting       

(2) Study Grouping

(3) Job Orientation   

(4) Briefing Session

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 53. ประกอบ

92.       การประชุมที่เน้นการระดมความคิดในการจัดการและบริหารองค์กรจัดเป็นประจำทุกๆวันทุกๆสัปดาห์ หรือทุก ๆ เดือน ขึ้นอยู่กับองค์กรนั้น ๆ ควรจัดแบบใด

(1) Briefing Session   

(2) Study Group

(3) Project Orientation      

(4) Brainstorming

ตอบ 4 หน้า 335341 – 342 การประชุมระดมความคิด (Brainstorming) เป็นการประชุมเพื่อการข่าวสารและเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งใช้วิธีการให้ผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนแสดงความคิดสร้างสรรค์ ออกมาให้มากที่สุดในเวลาอันสั้น หรือให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นได้อย่างอิสระ โดยจะไม่มี การวิพากษ์วิจารณ์ความคิดเห็นที่แสดงออกมาว่าดี/ไม่ดี เหมาะสม/ไม่เหมาะสม จากนั้นก็จะ รวบรวมความคิดเห็นของทุกคนและนำมาปรับปรุงใหม่

93.       ข้อใดกล่าวสอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของ การประชุมเพื่อระดมความคิด” ที่ดี

(1)       อย่างน้อย 60% ของคนผู้เข้าร่วมประชุม ไม่ควรมีความรู้เกี่ยวกับหัวข้อประชุมล่วงหน้า

(2)       เน้นการวิพากษ์วิจารณ์ความคิดเห็นกันอย่างเต็มที่

(3)       ผู้เข้าร่วมไม่ควรแตกต่างกันในเรื่องตำแหน่งงานเพื่อลดความกดดันในการแสดงความคิด

(4)       ควรช้สถานที่ที่ไม่ใช่ที่ทำงานประจำ และควรทำในช่วงเย็นหลังเลิกงาน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 26. ประกอบ

94.       ในการสื่อสารทุกครั้งควรหลีกเลี่ยงการจัดคนหรือสิ่งของลงหมวดหมู่อย่างเด็ดขาด อาจใช้คำขยายประกอบ เพื่อบอกระดับ เช่น มาก เล็กน้อย ปานกลาง โดยทั่วไป นาน ๆ ครั้ง ฯลฯ

(1) Faulty Assumption       (2) Overgeneralization

(3) Killer Phrases        (4) Empathy

ตอบ 2 หน้า 9699 Overgeneralization คือ ความพยายามนำลักษณะของคน/วัตถุ/สถานที่เพียงคนเดียว/สิ่งเดียว/แห่งเดียว ไปสรุปรวมทั้งหมด โดยละเลยความเป็นเอกภาพของแต่ละสิ่ง ซึ่งเป็นข้อสันนิษฐานที่ผิดประการหนึ่ง ทั้งนี้เพราะเรามักใช้คำในการพูดถึงบุคคลหรือสิ่งของใด ๆ ในลักษณะของการเหมารวม โดยเข้าใจว่าเราสามารถจัดประเภทของคนและสิ่งของออกเป็น ประเภทต่าง ๆ ได้อย่างเด็ดขาด ดังนั้นแทนที่จะจัดคนหรือสิ่งของลงเป็นหมวดหมู่อย่างเด็ดขาด- แน่นอน เราก็อาจจะเลี่ยงไปใช้คำขยายเพื่อบอกระดับหรือดีกรี เช่น มาก เล็กน้อย ปานกลาง โดยทั่วไป โดยเฉลี่ย บ่อยครั้ง นาน ๆ ครั้ง ฯลฯ

95.       เป็นหน้าที่และทักษะพื้นฐานที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการสื่อสาร ด้วยการเอาใจใส่สังเกตปฏิกิริยาของ คู่สื่อสารที่แสดงออกทั้งทางด้านวัจนภาษาและอวัจนภาษาในระหว่างการสื่อสาร

(1) Faulty Assumption       (2)       Overgeneralization

(3) Sensitivity    (4) Killer Phrases

ตอบ 3 หน้า 590, (คำบรรยาย) ทุกครั้งที่ดำเนินการติดต่อสื่อสารอยู่ คู่สื่อสารจำเป็นต้องมีความรู้สึกไว(Sensitivity) ต่อผู้ที่เราทำการสื่อสารด้วย ทั้งนี้เพราะเป็นหน้าที่และทักษะพื้นฐานที่ส่งผลต่อ ความสำเร็จในการสื่อสาร โดยต้องรู้จักหมั่นสังเกตและเอาใจใส่ปฏิกิริยาตอบกลับของคู่สื่อสาร ที่แสดงออกมาทั้งทางด้านวัจนภาษาและอวัจนภาษาในระหว่างการสื่อสาร และพยายามแยกแยะ ให้ออกว่าอะไรคืออุปสรรคที่กำลังเกิดขึ้นในการสื่อสารครั้งนั้น ๆ แล้วหาทางแก้ไขด้วยการควบคุม เอาชนะ หรือกำจัดอุปสรรคออกไปให้พ้นจากกระบวนการติดต่อสื่อสาร

96.       เป็นผลจากธรรมชาติของมนุษย์ที่มักจะปฏิเสธแนวคิดที่คิดว่าเหลวไหล ไร้ประโยชน์ ซึ่งส่งผลต่อการใช้ภาษาในการสื่อสารที่ไม่สร้างสรรค์ อาจจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

(1) Faulty Assumption       (2)       Overgeneralization

(3) Sensitivity    (4) Killer Phrases

ตอบ 4 หน้า 359 – 360, (คำบรรยาย) วลีฆาตกร (Killer Phrases) อันเป็นภาษาหรือถ้อยคำที่ ไม่ควรใช้ในการประชุม แต่มักพบอยู่บ่อย ๆ ในองค์การต่าง ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากธรรมชาติ ของมนุษย์ที่มักจะปฏิเสธแนวคิดที่ตนคิดว่าเหลวไหลไร้ประโยชน์ โดยผู้พูดมักจะไม่ยอมรับ ความคิดเห็นและทำลายความคิดสร้างสรรค์ของผู้เข้าประชุมหรือผู้ฟังจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ทำให้ผู้ฟังหรือผู้เข้าร่วมประชุมเสียความรู้สึก เกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากมีส่วนร่วม และมัก ก่อให้เกิดความขัดแย้ง เช่น เราไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน นำมาใช้ไม่ได้ผลหรอก เราไม่มีคนพอ มันขัดกับนโยบายของบริษัท เราไม่มีงบประมาณสำหรับเรื่องนี้ เป็นต้น

97.       เน้นความเข้าใจในการเลือกใช้คำพูดให้สอดคล้องกับแนวคิดด้านจิตวิทยาการสื่อสารที่คำนึงถึงความรู้สึกของคู่สื่อสารตลอดเวลา เน้นการสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดี

(1) Faulty Assumption       (2)       Overgeneralization

(3) Sensitivity    (4) Empathy

ตอบ 4 หน้า 97 – 98, (คำบรรยาย) เมื่อมีปัญหาทางด้านจิตวิทยาเกี่ยวกับการใช้คำพูด ประเด็นสำคัญ ที่สุด คือ เราต้องพยายามใช้หลัก เอาใจเขาใส่ใจเรา” (Empathy) ซึ่งสามารถนำแนวคิดนี้ มาประยุกต์ใช้โดยการเลือกใช้ภาษา/ถ้อยคำอย่างระมัดระวังในการแสดงความคิดเห็นให้พยายาม นึกว่าผู้ฟังจะรู้สึกอย่างไร ควรพยายามพูดในทำนองว่านี่เป็นเพียงความเห็นหนึ่งและมันอาจจะผิด ก็ได้ เช่น พูดนำด้วยวลีที่ว่า ผมอาจจะพูดผิด แต่ผมมีความรู้สึกว่า…” ดังนั้นจึงเป็นการเน้น ความเข้าใจในการเลือกใช้คำพูดให้สอดคล้องกับแนวคิดด้านจิตวิทยาการสื่อสารที่คำนึงถึง ความรู้สึกของคู่สื่อสารอยู่ตลอดเวลา และเป็นการเน้นการสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีด้วย

98.       ข้อใดกล่าวถูกต้อง

(1)       คู่สื่อสารที่ทำหน้าที่เป็นทั้งผู้รับและผู้ส่งสารในขณะเดียวกัน เราเรียกว่า Transceivers

(2)       Sender จะต้องมีคุณสมบัติในการสื่อสารที่สำคัญประเด็นหนึ่ง คือ ความไวต่อคู่สื่อสาร

(3)       สัมฤทธิผลของการสื่อสารอยู่บนพื้นฐานการเลือกใช้ภาษาที่เหมาะสมกับบุคคล กาลเทศะ

(4)       กล่าวถูกต้องทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 1 -23848, (คำบรรยาย) การศึกษาแบบจำลองการสื่อสารเบื้องต้นก่อให้เกิดความเข้าใจ และช่วยให้เราเตรียมพร้อมในการสื่อสารได้ทุกรูปแบบ โดยทุก ๆ องค์ประกอบในแบบจำลอง การสื่อสารเบื้องต้นล้วนแต่มีลักษณะเฉพาะที่จะเอื้อต่อความสำเร็จในการสื่อสารทั้งสิ้น ซึ่งสัมฤทธิผลของการสื่อสารจะอยู่บนพื้นฐานการเลือกใช้ภาษาที่เหมาะสมกับบุคคลและกาลเทศะ คู่สื่อสาร จะทำหน้าที่เป็นทั้งผู้รับและผู้ส่งสารในขณะเดียวกัน เรียกว่า Transceivers ซึ่งเมื่ออยู่ในฐานะ ของผู้ส่งสาร (Sender) จะต้องมีคุณสมบัติในการสื่อสารที่สำคัญประเด็นหนึ่ง คือ ความไวต่อ คู่สื่อสาร และเมื่ออยู่ในฐานะของผู้รับสาร (Receiver) ก็ต้องแสดงปฏิกิริยาตอบรับ (Feedback) ที่ชัดเจน เพื่อให้ทั้งคู่ดำเนินการสื่อสารได้อย่างถูกต้อง และคู่สื่อสารควรจะแสดง Feedback ที่ชัดเจนต่อกัน เพื่อให้การสื่อสารดำเนินต่อไปได้อย่างถูกต้อง

99.       เธอกล้าดียังไง” “ไมได้เรื่อง’’ “จงจำไว้ให้ดี” “ถ้าฉันเป็นเธอ” “น่าขำหรือพิลึก” ตรงกับข้อใด

(1) สภาวะบิดามารดาหรือผู้ปกครอง  (2) สภาวะผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา

(3) สภาวะผู้ใหญ่        (4) สภาวะเพื่อน คนสนิท หรือคนรัก

ตอบ 1 หน้า 59 สภาวะบิดามารดาหรือผู้ปกครอง มีการแสดงออกทางวัจนภาษาดังนี้ 1. เสมอ ๆไม่เคย จงจำไว้ให้ดี            2. เธอควรจะรู้มากกว่านี้  3. เธอควรจะทำได้ดีกว่านี้   4. อย่า ตรวจสอบดูให้หมด 5. น่าสงสาร ที่รัก ลูกเอ๊ย หวานใจ           6. แล้วอะไรอีกละ น่าขำ พิลึก 7. ไม่คิดเลย โง่เป็นบ้า ซนเป็นลิง 8. เธอกล้าดียังไง ไม่ได้เรื่อง 9. ถ้าฉันเป็นเธอ น่ารักจังเลย

100.    ปล่อยตามสบายเมื่อสถานการณ์ปกติ หรือแสดงออกอย่างรุนแรงเมื่อเห็นว่าเหมาะสม

(1) สภาวะบิดามารดาหรือผู้ปกครอง  (2) สภาวะผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา

(3) สภาวะผู้ใหญ่        (4) สภาวะเด็ก

ตอบ 3 หน้า 59 สภาวะผู้ใหญ่ มีการแสดงออกทางอวัจนภาษาดังนี้

1.         แสดงสีหน้าสดชื่น มีชีวิตชีวา

2.         ฟัง ตอบสนองเหมาะสมตรงตามที่อีกฝ่ายกำลังพูดถึง

3.         เอาใจใส่ผู้อื่น รูปร่างหน้าตาและท่าทางน่าสนใจ

4.         ปล่อยตามสบายเมื่อสถานการณ์ปกติ ใช้ภาษาร่างกายหรือแสดงออกอย่างรุนแรงเมื่อเห็นว่าเหมาะสม

 

MCS3181 การพูดสำหรับผู้นำ เตรียมสอบปี 2557 ชุด3

MCS3181 การพูดสำหรับผู้นำ เตรียมสอบ 2557 ชุดที่3

1.         คุณช่วยทำงานชิ้นนี้ให้ผม สิ้นปีผมให้เงินเดือนขึ้น 2 ขั้นแน่นอน” ข้อความนี้เป็นการบังคับบัญชาแบบใด

1)         แบบใช้อำนาจอัตถประโยชน์บังคับ

2)         แบบใช้อำนาจประเพณีบังคับ

3)         แบบใช้อำนาจรางวัล

4)         แบบใช้บารมีและสินน้ำใจ

ตอบ 1. ผู้นำแบบใช้อำนาจอัตถประโยชน์บังคับ มักจะมีลักษณะในการบังคับบัญชาโดยใช้สิ่งล่อใจให้ปฏิบัติตาม ซึ่งอาจให้สินจ้างรางวัลแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อให้ปฏิบัติตามประสงค์ ทั้งนี้รวมถึงการให้ตำแหน่งหน้าที่หรือ ความดีความชอบเป็นเครื่องล่อใจ

2.         ผู้นำแบบที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือข้อใด

1)         แบบนักบริหาร 

2) แบบทำงานตามคำสั่งอย่างเดียว

3) แบบนักพัฒนา        

4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4. ผู้นำแบบที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดได้แก่ 1. แบบผู้ที่ทำงานตามคำสั่งอย่างเดียว (Bureaucrat) 2. แบบนักพัฒนา (Developed) 3. แบบผู้เผด็จการที่มีศิลปะ (Benevolent Autocrat) 4.แบบนักบริหาร (Executive)

3.         จากเอกสารอ่านประกอบเรื่อง หลักราชการ” ลักษณะการบังคับบัญชาบ่าวไทยเป็นอย่างไร

1)         ใช้อำนาจบังคับ           2) นายเป็นนาย บ่าวต้องเป็นบ่าว

3) บ่าวเป็นเพื่อนกับนาย         4) นายต้องเอาใจบ่าวมาก ๆ

ตอบ 3. จากเอกสารอ่านประกอบเรื่อง หลักราชการ” พบว่า ลักษณะการบังคับบัญชาบ่าวไทยจะเป็นแบบบ่าวเป็นเพื่อนกับนายมากกว่าบ่าวฝรั่งเป็นอันมาก ทั้งนี้เพราะคนไทยมีนิสัยไม่ชอบการถูกบังคับ ชอบให้เอาใจ บ้างหรือพูดดีกันๆ บ้าง

4.         นายเอกวิทย์เพิ่งได้เป็นนายอำเภอ เวลาพูดกับประชาชนจึงรู้สึกประหม่าและพูดไม่ออก เขาควรทำอย่างไร

1)         หยุดสักครู่       2) ถามคำถามประชาชน

3) แสดงบทบาท        4) ยิ้มแล้วแทรกเรื่องขบขัน

ตอบ 3. ผู้พูดสามารถแก้ความประหม่าและแก้ไขสถานการณ์ได้ด้วยการ แสดงบทบาท” เช่น ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม และหยิบผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อหรือสั่งน้ำมูก โดยท่าทางที่แสดงออกควรจะเป็นไปในลักษณะที่จงใจและ ธรรมชาติ ซึ่งในขณะที่ดื่มน้ำหรือซับเหงื่อนั้นผู้พูดควรคิดหรือรีบทบทวนเนื้อเรื่องที่ตนลืม

5.         พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกล่าวถึงคนที่เห็นวิชาเป็นแก้วสารพัดนึกว่าเมื่อทำงานแล้ว ไม่ได้ตำแหน่งสูงดังที่คิดไว้ แล้วจะเกิดผลตามมาอย่างไร

1)         สิ้นหวังหมดกำลังใจ    2) พยายามประจบเจ้านาย

3) วิชาท่วมหัวเอาตัวไม่รอด     4) เกิดความริษยา

ตอบ 4. จากเอกสารอ่านประกอบเรื่อง หลักราชการ” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.6) ทรง กล่าวถึง คนที่เห็นวิชาเป็นแก้วสารพัดนึกว่าเมื่อเข้าทำงานแล้วไม่ได้รับตำแหน่งอันสูงเพียงพอดังที่ตนคิดไว้และ ลาภยศทรัพย์หลั่งไหลมาไม่ทันใจก็จะบังเกิดความไม่พอใจและเมื่อเกิดความไม่พอใจแล้วก็จะเกิดความริษยาจนหมดความสุข


6.         คุณสดสีเป็นหัวหน้าคนอื่น เธอควรแสดงความมั่นคงทางอารมณ์ออกมาอย่างไร

1)         ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นคนอารมณ์ดีเสมอ

2)         เคร่งครัดในกฎระเบียบต่อผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคน

3)         ไม่แสดงวิตกกังวล เป็นคนราบเรียบเสมอต้นเสมอปลาย

4)         รับรู้ในเหตุการณ์ทุกอย่างเร็วและมีปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์เร็วด้วย

ตอบ 3. ผู้นำที่ดีควรแสดงความมั่นคงทางอารมณ์ออกมา ดังนี้คือ

1.         เงียบแต่อยากรู้ อยากเห็น อยากรู้จัก

2.         ไม่มีร่องรอยวิตกกังวลให้เห็น และราบเรียบเสมอต้นเสมอปลาย

3.         มีความมุ่งหมายปรารถนาอย่างแข็งแรง แต่เก็บไว้ในใจ

4.         มีลักษณะรวมเอาของดีไว้มาก

7.         ในสังคมแก่งแย่งกันในปัจจุบัน มีองค์ประกอบสำคัญใดที่ช่วยให้บุคคลเป็นผู้นำ

1) วัยวุฒิ ชาติวุฒิ คุณวุฒิ       2) บุคลิกภาพ สติปัญญา ทรัพย์สมบัติ

3) ตระกูล ทรัพย์สิน พวกพ้อง 4) เหตุการณ์ สถานการณ์ และโอกาส

ตอบ 4. ในสังคมปัจจุบันนี้มีองค์ประกอบหรือปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้บุคคลเป็นผู้นำ ดังนี้คือ 1. มีสติปัญญา 2. รู้ธรรมชาติของมนุษย์ จนสามารถที่จะวิเคราะห์ เข้าใจ และควบคุมพฤติกรรมของคนอื่นได้ 3. มีลักษณะ ที่ทำให้คนอื่นศรัทธาเลื่อมใสและไว้วางใจ 4. มีบุคลิกที่เหมาะสม 5. มีความปรารถนาอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะนำ คนอื่น 6. ขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ สถานการณ์ และโอกาส

8.         พระจักรพรรดิแห่งประเทศญี่ปุ่น เป็นผู้นำแบบใด

1) แบบอัตตนิยม         2) แบบใช้บารมีเป็นเครื่องมือ

3) แบบสัญลักษณ์      4) แบบใช้พระคุณ

ตอบ 3. ผู้นำแบบสัญลักษณ์ หมายถึง ผู้นำซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายแต่ไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่ในการบังคับบัญชา แต่ผู้ใต้บังคับบัญชาปฏิบัติตามเพราะเกิดแรงศรัทธาหรือเพราะสัญลักษณ์ของผู้นั้น เช่น องค์ พระมหากษัตริย์ พระจักรพรรดิ เป็นต้น

9.         คุณพ่อคุณแม่ปกครองลูก จัดเป็นผู้นำแบบใด

1) แบบใช้พระคุณ       2) แบบอัตตนิยม

3) แบบสัญลักษณ์      4) แบบใช้ธรรมเนียมประเพณีบังคับ

ตอบ 2. ผู้นำแบบอัตตนิยม ซึ่งรวมถึงผู้นำแบบบิดามารดาปกครองบุตรด้วยนั้น จะยึดถืออำนาจเป็นใหญ่ ต้องการให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังและปฏิบัติตามที่สั่ง โดยมักเชื่อมั่นในตนเองมาก ชอบวางท่าทางใหญ่โต และไม่ค่อยเชื่อฟังหรือให้เกียรติคนอื่น เข้าทำนองที่ว่า ตนเองแน่อยู่คนเดียว” (One Man Show)

10.       องค์กรที่มีการบริหารงานที่ได้ผลดีที่สุด มักจะมีผู้นำแบบใด

1)         แบบประชาธิปไตย      2) แบบร่วมใจ

3) แบบเสรีนิยม           4) แบบอัตถประโยชน์

ตอบ 1. ผู้นำแบบประชาธิปไตย จัดเป็นแบบที่นับว่าดีที่สุดและอำนวยผลในการบริหารมากที่สุดซึ่งลักษณะของผู้นำแบบนี้คือ จะเปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ โดยผู้บังคับบัญชาจะเป็นทั้งผู้นำและผู้ห้คำแนะนำสั่งงานแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อสร้างภาพพจน์ที่ว่าไม่มีนายเหนือหัวอยู่กับตน แต่รู้สึกว่ามีแต่เพื่อนร่วมงาน

11.       จากการศึกษาเรื่องผู้นำ ท่านคิดว่าแบบของผู้ที่มีประสิทธิภาพน้อยที่สุดคือข้อใด

1)         แบบผู้หนีงาน  

2) แบบผู้ประนีประนอม

3) แบบนักบุญ                        

4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4. ผู้นำแบบที่มีประสิทธิภาพน้อยที่สุด ได้แก่ ผู้นำในแบบต่อไปนี้ คือ 1. แบบผู้หนีงาน (Deserter)

2.         แบบนักบุญ (Missionary) 3. แบบผู้เผด็จการ (Autocrat) 4. แบบผู้ประนีประนอม (Compromiser)

12.       สังคมไทยส่วนใหญ่มักใช้คุณสมบัติใดในการวัดความเป็นผู้นำ

1)         ตระกูลดี มีวิชา มีทรัพย์สิน

2)         มีชื่อเสียง ทรัพย์สิน และอิทธิพล

3)         ชาติวุฒิ วัยวุฒิ คุณวุฒิ

4)         มีการศึกษา ศาสนา และพวกพ้อง

ตอบ 3. เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า คนไทยได้รับการสั่งสอนให้มีความเคารพในบุคคลที่มีวุฒิสูงกว่าหรือ เรียกกันทั่วไปว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะพ่อ แม่ ครู ผู้บังคับบัญชา และนายจ้างซึ่งความเป็นผู้ใหญ่ของคนไทยนิยม วัดกันด้วยวุฒิ 3 ประการ คือ ชาติวุฒิ วัยวุฒิ และคุณวุฒิ

13.       จากการศึกษาเรื่องผู้นำ ใครคือผู้ที่มีอิทธิพลมากในสังคมไทยทั่วไป

1) พระสงฆ์     2) เชื้อพระวงศ์และข้าราชการ

3) นักการเมือง            4) ทหารและตำรวจ

ตอบ 1. ในแง่ของสังคมไทยทั่วไปผู้มีอิทธิพลมากได้แก่ พระสงฆ์และครู ซึ่งสำหรับครูนั้น ระบบ การศึกษาของไทยมีส่วนช่วยในเรื่องนี้เป็นอันมาก เพราะนักเรียนได้รับความรู้จากครูเป็นส่วนใหญ่ และถือว่าครูเป็นผู้รอบรู้ รวมทั้งผู้บอกและให้ความรู้แก่นักเรียนระบบเช่นนี้จึงสร้างความรู้สึกของคนไทยมาแต่เด็กว่า ครูเท่านั้นเป็นผู้ถูกต้อง”

14.       คนไทยในสมัยอยุธยามักบ่งชี้ความเป็นผู้นำของบุคคลจากอะไร

1) ชาติตระกูล 2) ทรัพย์สมบัติ            3) บุคลิกภาพ  4) สติปัญญา

ตอบ 1. คนไทยในสมัยโบราณมักบ่งชี้ความเป็นผู้นำของบุคคลโดยพิจารณาจากชาติตระกูล เนื่องจากสังคมไทยส่วนใหญ่มักจะนับถือและเชื่อในตระกูลเก่าแก่ รวมทั้งตระกูลที่เป็นข้าราชการบริพารของพระเจ้าอยู่หัวว่าเป็นตระกูลที่มียศศักดิ์สูงและมีเกียรติ ดังนั้น บุคคลเหล่านี้จึงมักได้รับความไว้วางใจจากคนใน สังคมและถูกยกย่องให้เป็นผู้นำอยู่เสมอ

15.       จากเอกสารอ่านประกอบเรื่อง คุณสมบัติของผู้นำ” ถามว่าผู้นำที่มีความเป็นผู้นำนั้นมีความหมายอย่างไร

1) ระวังกิริยา วาจา และใจ      2) ระวังกิริยา วาจา และอารมณ์

3) ระวังกิริยา วาจา และความคิด        4) ระวังกิริยา วาจา และการคบหา

ตอบ 3. จากเอกสารอ่านประกอบเรื่อง คุณสมบัติของผู้นำ’’ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ได้กล่าวว่า ผู้นำที่มีความเป็นผู้ที่ชื่อว่าตื่นตัวนั้น จะต้องระมัดระวังตัวให้อยู่ในลักษณะท่าทีอันสมควร 3 ประการ คือ ระมัดระวังกิริยา วาจา และความคิด


16.       ในสังคมไทยจะมีประเพณีที่ผู้น้อยเคารพนับถือผู้ใหญ่ ประเพณีนี้ทำให้เกิดการสื่อสารแบบใด

1)         การสื่อสารทางเดียว คือจากผู้ใหญ่มาหาผู้น้อย

2)         การสื่อสารสองทาง คือจากผู้ใหญ่ไปหาผู้น้อย และจากผู้น้อยไปหาผู้ใหญ่

3)         การสื่อสารในแนวนอน คือ ต่างคนต่างพูดกันได้ ร่วมโต๊ะกินอาหารกันได้

4)         การสื่อการในแนวนอนเพราะในสังคมไทยปกครองกันฉันญาติในครอบครัว

ตอบ 1. ด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีการเคารพและนับถือผู้ใหญ่ของคนไทยทำให้เกิดการติดต่อสื่อสารทางเดียว คือ จากผู้ใหญ่มาหาผู้น้อย

17.       ผู้นำที่เรียกว่า บุญหนักศักดิ์ใหญ่’’ นั้น จะแสดงออกซึ่งความยิ่งใหญ่ของตนทางใด

1) มีความยุติธรรม       2) รักษาประโยชน์ให้ผู้น้อย

3) ช่วยเหลือครอบครัวผู้น้อย             4) การให้อภัยแก่ผู้น้อย

ตอบ 4. ผู้นำที่เรียกว่า บุญหนักศักดิ์ใหญ่” นั้น จะแสดงออกซึ่งความยิ่งใหญ่ของตนโดยทางการให้อภัยแก่ผู้น้อย ซึ่งเมื่อเขาผิดเพียงเล็กน้อยก็ไม่ขุ่นเคือง ด้วยเห็นว่าอันจะเป็นผลร้ายแก่ตนเองยิ่งกว่าเป็นร้ายแก่เขา ดังนั้นผู้นำจึงมักควบคุมตนเองให้เข้าใจในผู้อื่นและยินดีที่จะให้อภัยเสมอ

18.       จากเอกสารอ่านประกอบ พระบรมราโชวาท’’ พ.ศ. 2428  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสอนพระราชโอรสว่าอย่าถือตัวว่าเป็นลูกเจ้าแผ่นดิน ถ้าพระราชโอรสทำผิด พระองค์จะทรงทำอย่างไร

1) จะทำทัณฑ์บน                  2) จะลงโทษทันที

3) จะไม่ยอมให้รับราชการ       4) จะถอดถอนยศ

ตอบ 2. จากเอกสารอ่านประกอบ พระบรมราโชวาท” พ.ศ. 2428 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสอนพระราชโอรสว่าอย่างถือตัวว่าเป็นลูกเจ้าแผ่นดิน ถ้าพระราชโอรสทำความผิดเมื่อใดก็จะได้รับโทษโดยทันที ซึ่งการที่มีพ่อเป็นเจ้าแผ่นดินนั้นจะไม่เป็นการช่วยเหลืออุดหนุนแก้ไขอันใดได้เลย และถ้าผู้ใดเป็นหนี้มา จะไม่ยอมให้หนี้ให้เลย

19.       จากเอกสารเดียวอันนี้ พระองค์พูดถึงคนที่ไปเรียนภาษาฝรั่งแล้วลืมภาษาไทย แล้วเห็นเป็นการเก๋ อย่างไร

1) เป็นคนลืมตัว           2) เป็นคนสิ้นคิด

3) เป็นคนลืมชาติ        4) เป็นที่น่าติเตียน

ตอบ 4. จากเอกสารอ่านประกอบ พระบรมราโชวาท’’ พ.ศ. 2428 พระองค์ทรงพูดถึงคนที่ไปเรียนภาษา ฝรั่งเศสแล้วลืมภาษาไทย และเห็นเป็นการเก๋การกี๋อย่างเช่นนักเรียนบางคนมักจะเห็นผิดไปดังนั้น แต่ที่จริงเป็นการเสียที่ควรจะติเตียนแท้ทีเดียว

20.       การติดต่อสื่อสารแบบใดที่สามารถใช้อำนาจบีบบังคับบัญชา

1) แบบบนมาล่าง        2) แบบล่างไปบน

3) แบบแนวนอน          4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3. การติดต่อสื่อสารแบบแนวนอน มีข้อเสียคือ อาจก่อให้เกิดปัญหาในเรื่องของการใช้อำนาจบีบบังคับผู้บังคับบัญชาหรือผู้นำ ทั้งนี้เพราะเมื่อพนักงานสามารถติดต่อกับพวกที่อยู่ในระดับเดียวกันได้ ก็จะรวมกันเป็นกลุ่มใหญ่จนมีอำนาจเจรจาต่อรองและหรือลดอำนาจของผู้บังคับบัญชาได้ แต่มีข้อดีคือ ทำให้ผู้ที่ทำงานระดับเดียวกันรู้จักและมีมนุษย์สัมพันธ์ต่อกัน

21.       คุณสมศรีเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เธอขอโอกาสแสดงความยินดีต่อผู้บังคับบัญชาอย่างเต็มที่เพื่อความเข้าใจที่ดี ควรใช้การติดต่อสื่อสารแบบใด

1)         แบบบนมาล่าง            

2) แบบล่างไปบน

3) แบบแนวนอน          

4) แบบเลี้ยงสังสรรค์

ตอบ 2. การติดต่อสื่อสารแบบล่างไปบน มีข้อดีคือ เปิดโอกาสให้ผู้น้อยแสดงความคิดเห็นต่อหัวหน้าได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นการเสริมสร้างสัมพันธภาพและความเข้าใจระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา แต่มีข้อเสีย คือ อาจจะทำให้ข้อมูลหรือข่าวสารตลอดจนข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่ส่งมาจากผู้ใต้บังคับบัญชาไปสู่ ผู้บังคับบัญชาถูกบิดเบือนและดัดแปลงแก้ไข

22.       สุภาษิตโบราณอยู่บทหนึ่ง สระน้ำ ลำยอ กอไผ่ นี่คือคุณสมบัติของพ่อเมือง” คำว่า กอไผ่” มี ความหมายอย่างไร

1)         ต้องอดทน อดกลั้นเพื่อก่อให้เกิดความสามัคคี

2)         มีกิริยาต่อคนทั่วไปด้วยความสุภาพ พูดจาอ่อนหวาน

3)         ประพฤติตนเป็นคนสุขุม มีระเบียบวินัย

4)         ลงโทษให้ประพฤติตัวเป็นคนดี

ตอบ 4. จากสุภาษิตโบราณข้างต้น คำว่า สระน้ำ” หมายถึง การประพฤติตนเป็นคนสุขุมชุ่มเย็นและแสดงออกซึ่งลักษณะยิ้มแย้มแจ่มใส ลำยอ” หมายถึง การชมเชย สรรเสริญเยินยอและส่งเสริม และ กอไผ่” หมายถึง คู่ขนานให้เขารู้สึกตัวและนิสัยชั่วเข้าหานิสัยดี (ลงโทษ)

23.       จากเอกสารอ่านประกอบเรื่อง คุณสมบัติของผู้นำ” กล่าวไว้ว่า ชีวิตของคนโง่สั้นนิดเดียว ชีวิตของคน ฉลาดอยู่ได้ยืนนาน ชีวิตของหมู่ชนอยู่ที่ผู้นำ ชีวิตของผู้นำอยู่ที่ …..

1)         อำนาจและความสามารถ        2) สติปัญญา

3) นิติธรรม      4) การเจรจา

ตอบ 3. สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดพระศรีมหาธาตุ ได้กล่าวไว้ในเรื่อง คุณสมบัติของผู้นำ” ว่า คนที่ไม่รู้จักโกรธคือคนโง่ ส่วนคนที่รู้จักโกรธแล้วรู้จักให้อภัยแก่ทุกคนและทุกสิ่ง นั่นคือคนฉลาด

24.       คนที่ไม่รู้จักโกรธคือคนโง่ ส่วนคนที่รู้จักโกรธคือคนฉลาด ถามว่าทำอย่างไรจึงได้ชื่อว่าเป็นคนรู้จักโกรธ

1)         ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น         2) รู้จักลืม

3) รู้จักอภัย      4) รู้จักความอดทนต่อกิริยาของผู้น้อย

ตอบ 3. ดูคำอธิบายข้อ 23 ประกอบ

25.       คนไทยมีพรหมวิหาร 4 ข้อใดน้อยที่สุด

1)         เมตตา 2) กรุณา          3) มุทิตา          4) อุเบกขา

ตอบ 3. ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้อธิบายเกี่ยวกับการที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ชอบเห็นผู้อื่นดีกว่าตนเองว่า คนไทยมีความเมตตา คือ มีความรักและเอ็นดู ปรารถนาจะให้ผู้อื่นเป็นสุขมีความกรุณา คือ มีความสงสาร หวั่นไหวหรือเอาใจช่วยเหลือ เมื่อเห็นผู้อื่นได้รับความทุกข์ แต่ขาดมุทิตา คือ ความมีจิตยินดีในลาภยศ สรรเสริญของผู้อื่นและรองลงมาขาดอุเบกขา คือ มีใจเป็นกลาง ขาดความวางเฉย…

25.       คนไทยมีพรหมวิหาร 4 ข้อใดน้อยที่สุด

1)         เมตตา 2) กรุณา          3) มุทิตา          4) อุเบกขา

ตอบ 3. ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้อธิบายเกี่ยวกับการที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ชอบเห็นผู้อื่นดีกว่าตนเองว่า คนไทยมีความเมตตา คือ มีความรักและเอ็นดู ปรารถนาจะให้ผู้อื่นเป็นสุขมีความกรุณา คือ มีความสงสาร หวั่นไหวหรือเอาใจช่วยเหลือ เมื่อเห็นผู้อื่นได้รับความทุกข์ แต่ขาดมุทิตา คือ ความมีจิตยินดีในลาภยศ สรรเสริญของผู้อื่นและรองลงมาขาดอุเบกขา คือ มีใจเป็นกลาง ขาดความวางเฉย…

26.       สมมุติว่านายสมชายเป็นนายอำเภอและออกตรวจหมู่บ้านทางภาคใต้ เขาจะสร้างมนุษย์สัมพันธ์กับชาวบ้านที่มาต้อนรับอย่างไร ในเมื่อเขาพูดภาษาใต้ไม่ได้

1) ไหว้และโบกมือ       2) แจกของใช้ของกินแก่ชาวบ้าน

3) ไหว้หรือจับมือกับชาวบ้าน   4) ใช้สายตาและการยิ้ม

ตอบ 4. ผู้นำสามารถใช้สายตาและการยิ้มเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ได้ซึ่งในขณะที่พูด ควรมองผู้ที่ตนพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ใช่ตามมองแต่หน้านิ่วคิ้วหมวด ทั้งนี้สายตาที่มองนั้นควรมีไมตรี และจริงใจ อย่าแสดงออกในรูปที่มองอย่างเสียไม่ได้ ฝืนใจมองหรือมองข้ามศีรษะไป

27.       การอภิปรายกลุ่มควรหลีกเลี่ยงการจัดที่นั่งแบบใด

1)         แบบวงกลม     2) รูปถ้วย        .3) แบบสามเหลี่ยม     4) แบบห้องเรียน

ตอบ 4. การอภิปรายกลุ่มควรหลีกเลี่ยงการจัดที่นั่งแบบแถวตรงหันหน้าสู่เวทีแบบห้องปาฐกถาหรือห้องเรียน ซึ่งวิธีที่ดีควรจะให้สมาชิกนั่งในทำนองหันหน้าเข้าหากันอย่างมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยถ้าเป็นกลุ่มขนาดเล็กการนั่งรอบโต๊ะเป็นวิธีที่เหมาะที่สุดแต่ถ้าไม่มีโต๊ะหรือขนาดของกลุ่มใหญ่มากจนไม่อาจใช้โต๊ะได้ ก็ควรจะจัดที่นั่งในรูปวงกลม ครึ่งวงกลม สามเหลี่ยม หรือรูปตัวยู (รูปถ้วย)

28.       นายสุริยาเป็นนักพูด ในขณะที่เขาพูดกับผู้ฟัง ปรากฏว่ามีเสียงโห่ร้องรบกวน เขาควรทำอย่างไร

1)         พูดต่อไปเรื่อย ๆ อย่างปกติ     2) พยายามขอร้องให้หยุดรบกวน

3) พูดต่อไปให้เสียงดังกว่าเดิม            4) หยุดพูด เมื่อเสียงรบกวนซาลงจึงพูดต่อ

ตอบ 4. ในขณะที่พูดถ้าผู้ฟังแสดงความพอใจด้วยการหัวเราะ ปรบมือ หรือไม่พอใจด้วยการโห่ร้องรบกวน ผู้พูดควรจะหยุดพูดเพื่อรอให้เสียงรบกวนเหล่านั่นซาลงหรือจางหายไปเสียก่อน แล้วจึงค่อยพูดต่อไป (อย่าพูดแข่งกับเสียงต่าง ๆ )

29.       คุณมารศรีทำงานที่หน่วยงานหนึ่ง และรู้สึกกว่าผู้บังคับบัญชาเล่นพรรคพวก ในกรณีนี้เป็นความทุกข์ ประเภทใด

1)         เกี่ยวกับประสาทและความรู้สึก          2) ประสบการณ์และความรู้สึก

3) ความหวังและความกลัว     4) เกี่ยวกับสิ่งที่มองเห็นและความรู้สึก

ตอบ 3. คำร้องทุกข์และข้อข้องใจต่าง ๆ วิเคราะห์ออกมาเป็น 3 ประเภท คือ

1.         คำร้องทุกข์เกี่ยวกับสิ่งที่มองเห็น จับต้องหรือทดสอบได้ เช่น เครื่องมือเครื่องใช้ไม่พอหรือเก่า และชำรุดเสียหาย ฯลฯ

2.         คำร้องทุกข์ประเภทที่ส่วนหนึ่งมาจากประสบการณ์ด้านประสาทและความรู้สึก (Sensory Experience) เช่น งานยุ่ง งานไม่มีระเบียบ การประสานงานไม่ดี งานชิ้นนี้ยากเกินไป อากาศ ร้อน ฯลฯ ซึ่งคำร้องทุกข์ประเภทนี้คนอื่นจะไม่เข้าใจความหมายได้ดี นอกจากจะเคย ประสบการณ์ดังกล่าวมาด้วยตนเอง

3.         คำร้องทุกข์ที่เกี่ยวกับความหวังและความกลัว เช่น ผู้บังคับบัญชาเล่นพรรคพวก ตนไม่ได้รับความยุติธรรมอย่างเพียงพอ ฯลฯ ซึ่งคำร้องประเภทนี้มีมาก

30.       การอภิปรายแบบ Panel ตามปกติจะต้องมีผู้อภิปรายกี่คน

1) 3 คน           2) 4 คน           3) 5 คน           4) 6 คน

ตอบ 2. การอภิปรายแบบ Panel ปกติจะมีผู้อภิปราย 4 คน ซึ่งมักจัดให้เป็นแบบกันเองโดยมีผู้นำการอภิปรายนั่งอยู่ตรงกลางเพื่อคอยแนะนำผู้อภิปราย ชี้จุดเด่น และสรุปการพูดของแต่ละคน ตลอดจนสรุปเนื้อหาทั้งหมด ในตอนสุดท้าย

31.       ผู้นำจะต้องรอบรู้ ถามว่าอาจารย์ท่านใดแต่งวิชานี้

1)         รศ.ดร.วิษณุ สุวรรณเพิ่ม          

2) รศ.ศุภรัศมิ์ ฐิติกุลเจริญ

3) ผศ.ธัชมน ศรีแก่นจันทร์       

4) รศ.ฉัตรวรุณ ตันนะรัตน์

ตอบ 4. วิชาการพูดสำหรับผู้นำ เป็นวิชาเลือกในภาควิชาสื่อสารมวลชน คณะมนุษยศาสตร์ แต่ง โดย รศ.ฉัตรวรุณ ตันนะรัตน์ ซึ่งเนื้อหาในตำรามีทั้งหมด 16 บท แต่ออกข้อสอบ ปกหน้าของตำราทางซ้ายมือบนจะมีรูปพ่อขุนฯ 1 รูป ที่ปกรอง 1 รูป ส่วนปกหลังมีรูปศิลาจารึกและข้อความว่า เปลวเทียนให้แสงรามคำแหงให้ทาง

32.       ถ้าท่านได้รับมอบหมายให้เป็นผู้กล่าวรายงานให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยฟัง ซึ่งมีข้าราชการอื่น ๆ ร่วมฟังอยู่ด้วย ท่านจะกล่าวปฏิสันถารอย่างไร

1)         สวัสดีท่านผู้มีเกียรติที่เคารพทั้งหลาย

2)         กราบเรียน ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย

3)         ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยที่เคารพและข้าราชการที่รักทั้งหลาย

4)         กราบเรียนท่านรัฐมนตรีที่เคารพ เรียนท่านข้าราชการที่รักและนับถือทุกท่าน

ตอบ 2. การกล่าวคำปฏิสันถารถาวรชนิดที่เป็นพิธีการ ซึ่งมักจะเป็นงานรัฐพิธี งานศาสนาพิธีและงานพิธีต่าง ๆ เช่น งานแจกวุฒิบัตร งานวางศิลาฤกษ์ คำกล่าวรายงานหรือคำกล่าวเปิดงานต่าง ๆ ฯลฯ โดยคำปฏิสันถาร ถาวรจะเรียกเฉพาะตำแหน่งของผู้ที่มาร่วมในพิธีนั้น ส่วนคำที่แถลงความรู้สึก เช่น เคารพ ที่นับถือ ที่รัก จะไม่ถูกนำเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย

33.       Keith Davis กล่าวถึงการแสดงบทบาทสมมุติไว้อย่างไร

1)         ต้องแสดงทั้งอารมณ์ จิตใจ และท่าทาง

2)         ต้องแสดงทั้งกริยา วาจา และใจ

3)         ต้องเรียนรู้พฤติกรรมของเพื่อนในกลุ่ม

4)         ผู้แสดงต้องมีความรู้ ทักษะ และประสบการณ์

ตอบ 1. Keith Davis ได้กล่าวถึงการแสดงบทบาทสมมุติไว้ว่า จะต้องแสดงบทบาทให้สมจริง ทั้งทางด้านอารมณ์ จิตใจ และการแสดงท่าทางอากัปกิริยา” (Participation means mental and emotional involvement as well as mere muscular activity)

34.       ธรรมสำหรับผู้ใต้บังคับบัญชา คืออะไร

1) หิริโอตตัปปะ           2) ทศพิธราชธรรม       3) พรหมวิหาร 4           4) สัปปุริสธรรม

ตอบ 2. ทศพิธราชธรรมหรือธรรม 10 ประการ เป็นธรรมสำหรับพระราชาหรือนักปกครองให้พึงประพฤติปฏิบัติ ซึ่งแม้แต่ผู้อยู่ใต้ปกครองหรือใต้บังคับบัญชา ตลอดจนถึงราษฎรทั่วไปก็ต้องปฏิบัติตามธรรมทั้ง 10 ประการ ต่อผู้ปกครองและผู้บังคับบัญชาด้วยเช่นกัน

35.       จากปาฐกถาธรรมเดียวกันนี้ ได้กล่าวถึงการทำงานของข้าราชการต้องเหมือนกับนักดนตรี” มี ความหมายว่าต้องการองค์ประกอบสำคัญอะไร

1)         ความรับผิดชอบ ความสุจริต   2) ความอดทน ความซื่อสัตย์

3) ความสามัคคี           4) ความเพียร พยายาม

ตอบ 3. จากปาฐกถาธรรมของพระราชนันทมุนี กล่าวไว้ว่า การทำงานของข้าราชการต้องเหมือนกับนักดนตรีที่อยู่ในวงเดียวกัน” ซึ่งเป็นการเปรียบให้เห็นว่าข้าราชการจะต้องมีความสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจกัน และต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการปฏิบัติงาน

36.       จากปาฐกถาธรรมเดียวกันนี้ ได้กล่าวถึงการทำงานไว้อย่างไร

1)         คนโง่ทำงานคนเดียวกัน คนฉลาดให้ลูกน้องช่วยกันทำงาน

2)         คนโง่ทำงานร่วมกับคนอื่น คนฉลาดทำงานคนเดียว

3)         คนโง่ใช้ลูกน้องนำหน้า คนฉลาดให้ตัวเองนำหน้า

4)         คนโง่เรียกประชุมบ่อยเพื่อให้ลูกน้องรู้ว่าทำอะไรบ้าง คนฉลาดไม่เรียกประชุมแต่จะซุ่มทำงาน

ตอบ 1. จากปาฐกถาธรรมของพระราชนันทมุนี ได้กล่าวถึงการทำงานไว้ว่า คนโง่มักจะทำงานคนเดียว แต่คนฉลาดจะให้ลูกน้อยช่วยกันทำงาน เพราะถือว่ามีหลายคนก็หลายหัวหลายแรง หลายแรงงาน หลายความคิด ทำให้งานก้าวหน้า

37.       จากเอกสารอ่านประกอบเรื่อง มรดกชิ้นสุดท้าย” ทำไมผู้เป็นนายจึงไม่ไล่คนงานเลวออกจากงาน

1) เพราะหลงในคำเยินยอของคนงานเลว       2) เพราะกลัวจะถูกทำร้ายร่างกาย

3) เพราะกลัวจะไม่มีคนทำงาน            4) เพราะกลัวครอบครัวของคนงานจะเดือดร้อน

ตอบ 4. จากเอกสารอ่านประกอบเรื่อง มรดกชิ้นสุดท้าย” สาเหตุที่นายไม่ไล่ออกคนงานเลวออกจากงาน เพราะท่านยึดมั่นในหลักมนุษยธรรมและเมตตาธรรม ด้วยเกรงว่าเมื่อทำเช่นนั้นไปแล้วจะทำให้ครอบครัวเดือนร้อน เนื่องจากครอบครัวจะขาดรายได้

38.       จากเอกสารเดียวกันนี้ ผู้เป็นนายจัดการอย่างไรกับคนงานที่พูดว่า พ่อแม่ยังไม่กล้ามาบังคับ คนอื่นอย่างไรจึงจะมาบังคับฉัน

1) ปลง แล้วไม่สนใจ    2) ตักเตือนและติดตามผลก่อนจัดการขั้นสุดท้าย

3) ว่ากล่าวตักเตือนแล้วให้อภัย           4) ไล่ออก

ตอบ 2. จากเอกสารอ่านประกอบเรื่อง มรดกชิ้นสุดท้าย” เมื่อผู้เป็นนายได้ว่ากล่าวตักเตือนไปคนงานแล้ว แต่คนงานบางคนก็กลับบอกว่า พ่อแม่ยังไม่กล้ามาบังคับ คนอื่นดีวิเศษอย่างไรจะมีสิทธิมาบังคับได้” ดังนั้น เมื่อเตือนแล้วยังไม่เกิดผลดีขึ้น จึงจำต้องวางใจเป็นอุเบกขาและจัดการไปตามที่เห็นสมควรเพื่อความเหมาะสม เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายของส่วนรวม

39.       จากเอกสารอ่านประกอบเรื่อง ศาสนาและทศพิธราชธรรม” ถามว่า ศาสนา แปลว่าอะไร

1) เครื่องอบรมจิตใจ    2) หลักยึดเหนี่ยวชีวิต

3) ปกครอง ทุกคนต้องปกครองใจตัวเอง        4) หลักธรรม ทุกคนต้องมีหลักธรรมประจำจิต

ตอบ 3. จากเอกสารอ่านประกอบเรื่อง ศาสนาและทศพิธราชธรรม” ได้กล่าวถึง ศาสนา แปลว่า ปกครอง ทุกคนต้องมีการปกครองใจตนเอง ปกครองตนเองอยู่เสมอ

40.       ปกติแล้วผู้พูดที่เกิดการประหม่าหรือตื่นเวทีจะรู้สึกอย่างไร

1) ตัวโคลงไปมา          2) น้ำตาไหล    3) ปากแห้ง 4) คันเนื้อตัวตลอดเวลา

ตอบ 3. ปกติแล้วผู้พูดที่เกิดความประหม่าหรือตื่นเวทีจะรู้สึกว่าปากแห้งคอแห้ง ซึ่งเป็นอาการปกติของผู้ที่จะขึ้นเวทีพูดหรือต่อหน้าสาธารณชน ดังนั้นผู้พูดจึงควรหาจังหวะพูด (เช่น ถามคำถามให้ผู้ฟังคิด) แล้วดื่มน้ำตาม

41.       จากเอกสารประกอบเรื่อง ความเป็นชาติโดยแท้” กล่าวถึงการอยู่เรือลำเดียวกันว่าต้องทำอย่างไร

1) ต้องช่วยกันพาย      

2) ไม่ต้องพาย แต่นั่งเฉย ๆ

3) ไม่ต้องพาย แต่อย่าเอาเท้าราน้ำ      

4) ไม่ต้องพาย แต่ช่วยเป็นกำลังใจ

ตอบ 1. จากเอกสารอ่านประกอบเรื่อง ความเป็นชาติโดยแท้” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.6) ทรงมีพระราชดำรัสว่าเมื่ออยู่ในเรือลำเดียวกันจะต้องทำหน้าที่ช่วยกันพาย ถ้าไม่พาย ถึงแม้จะไม่เอาเท้ารานา เป็นแต่นั่งเฉย ๆ ก็หนักเรือเปล่า ๆ อาจจะทำให้เรือแล่นช้าไปได้เป็นแน่แท้ เพราะฉะนั้นต้องเลือกเอาอย่างหนึ่ง ถ้าจะพายก็จับพายขึ้นและอย่าเถียงนายท้าย หรือถ้าจะไม่พายกก็ขึ้นจากเรือหรือลงว่ายน้ำไปตามลำพังเถิด

42.       จากเอกสารอ่านประกอบเนื่องในวันข้าราชการ ถามว่าทำไมผู้บริหารในรัฐบาลไม่ไล่ข้าราชการขี้เมาอออกจากราชการ

1) เพราะไม่ได้ทำผิดมาก         

2) เพราะสงสารข้าราชการขี้เมา

3) เพราะสงสารลูกเมีย            

4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3. จากเอกสารอ่านประกอบเนื่องในวันข้าราชการพลเรือน สาเหตุที่ผู้บริหารในรัฐบาลไม่ไล่ข้าราชการขี้เมาออกจากราชการนั้น ไม่ใช่เพราะสงสารข้าราชการขี้เมา แต่สงสารลูกเมียซึ่งจะได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน

43.       หลักการพูดคัดค้านในที่ประชุมกลุ่มควรเป็นอย่างไร

1)         พูดอย่างจริงจังและจริงใจว่าไม่เห็นด้วยพร้อมทั้งให้เหตุผล

2)         พูดอย่างสุภาพว่าไม่เห็นด้วยเพราะเหตุใด แล้วจึงเสนอความคิดเห็นของตน

3)         พูดอย่างสุภาพว่าความคิดดังกล่าวมีข้อดีและข้อบกพร่องอย่างไร จึงเสนอความคิดเห็นของตนเอง

4)         พูดอย่างสุภาพจริงจังว่าความคิดดังกล่าวมีข้อบกพร่อง แล้วจึงชี้ให้เห็นว่าความคิดของตนดีกว่า เหมาะสมกว่า

ตอบ 3. เทคนิคหรือหลักการพูดคัดค้านในที่ประชุมข้อหนึ่งคือ ถ้าข้อคิดเห็นของอีกฝ่ายหนึ่งมีข้อดีก็ควรพูด และชี้ให้เห็นความคิดเห็นของตนเอง พร้อมทั้งยกหรืออ้างเหตุผลอื่นประกอบ โดยผู้พูดควรรักษามารยาทและน้ำเสียงให้สุภาพ

44.       เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชา เข้ามารายงานตัวเพื่อเริ่มเข้าทำงาน หัวหน้าหน่วยงานควรให้การต้อนรับอย่างไร

1)         แนะนำให้รู้จักกับหัวหน้าหน่วยงาน

2)         ให้ความสนใจและแนะนำให้รู้จักหัวหน้าหน่วยงาน

3)         ให้ความสนใจพร้อมทั้งซักถามพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ

4)         ต้อนรับดี พูดคุยแล้วเลี้ยงอาหารเพื่อให้ประทับใจ

ตอบ 2. เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชา เข้ามารายงานตัวเพื่อเข้าร่วมทำงาน หัวหน้าหน่วยงานควรใช้การต้อนรับอย่างมีไมตรี แสดงความสนใจต่อผู้ที่จะเข้าทำงานอย่างจริงจัง อธิบายงานหรือภารกิจของหน่วยงาน สอนหรือ แนะนำวิธีทำงานให้รู้จักกับหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆ และเพื่อนร่วมงาน

45.       ถ้าท่านเป็นผู้ตอบคำถาม และมีผู้ถามคำถามที่ท่านตอบไม่ได้ ควรทำอย่างไร

1) ตอบว่าไม่ทราบ       2) ขอผัดผ่อนไปตอบในเวลาอื่น

3) ตอบเลี่ยงว่ามีเวลาตอบน้อย           4) ตอบเรื่องอื่นไปก่อน

ตอบ 1. ในกรณีที่ผู้ฟังหรือผู้ซักถามได้ถามคำถามหรือเรื่องที่ผู้ตอบข้อซักถามไม่สามารถจะตอบได้ ผู้ตอบคำถามควรตอบไปตามความเป็นจริงว่าไม่ทราบ เพราะหากบอกข้อมูลที่ตนไม่มีความรู้หรือไม่รู้ลึกซึ้งในคำถามนั้น ๆ ก็อาจจะนำความเสียหายมาให้ภายหลังได้


46.       คนที่รับความดีความชอบเมื่องานประสบผลสำเร็จ แต่พยามปฏิเสธเมื่องานประสบความบกพร่องจัดว่า เป็นคนประเภทใด

1) นายนักอวด 2) นายไม่ร่วมมือ

3) นายลูกไม่จัด           4) นายยอและนายหน่วง

ตอบ 1. นายนักอวด คือ คนที่พยายามทำตัวให้เด่นอยู่เสมอ โดยพยายามรับความดีความชอบทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวเมื่องานนั้นประสบผลสำเร็จ แต่จะพยามปฏิเสธความผิดพลาดและข้อบกพร่องต่าง ๆ เมื่องาน ประสบความล้มเหลว

47.       ท่านคิดว่าการออกคำสั่งแตกต่างจากการพูดอื่น ๆ อย่างไร

1) ต้องมีการตระเตรียม           2) ต้องมีศิลปะ

3) ต้องมีการติดตามผลงาน     4) ต้องมีรายละเอียดและรอบคอบ

ตอบ 3. การออกคำสั่งแตกต่างจากการพูดอื่น ๆ คือ จะต้องมีการติดตามผลงานเพื่อให้ทราบว่าคำสั่งนั้นมีการ ปฏิบัติหรือไม่ ซึ่งกล่าวกันว่าประสิทธิภาพของผู้บังคับบัญชา นั้นอาจวัดได้ด้วยการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างคำสั่งและการปฏิบัติตามคำสั่ง

48.       ข้อใดที่ควรหลีกเลี่ยงในการออกคำสั่ง

1) ออกคำสั่งด้วยวาจา            2) ออกคำสั่งโดยการขอร้อง

3) ออกคำสั่งอย่างไว้อำนาจ    4) ออกคำสั่งที่ติดตามผลงานได้

ตอบ 3. หัวหน้าหน่วยงานควรหลีกเลี่ยงคำสั่งในลักษณะดังต่อไปนี้

1.         อย่าสั่งในลักษณะของการห้ามกระทำ

2.         อย่าออกคำสั่งที่ยุ่งยากและซับซ้อนมากเกินไป

3.         อย่าออกคำสั่งที่ขัดแย้งกันเอง

4.         อย่าสั่งงานแบบก้าวร้าวไว้อำนาจหรือใช้อำนาจบังคับ

5.         อย่าออกคำสั่งโดยใช้ระบบวินัยและระบบทำโทษขึ้นมาอ้าง ฯลฯ

49.       จากเอกสารอ่านประกอบเรื่อง เดินตามรอยเท้าผู้ใหญ่หมาไม่กัด” ผู้เขียนได้กล่าวถึงขนบธรรมเนียม ประเพณีไว้อย่างไรบ้าง

1)         คนเป็นผู้สร้างขนบธรรมเนียม

2)         ขนบธรรมเนียมประเพณีของเกิดง่ายแต่ตายยาก

3)         คนไทยไม่ชอบขนบธรรมเนียมประเพณีไทยแต่ชอบของชาติอื่น

4)         คนเราชอบทำตามชนชั้นสูงถึงจะผิดขนบธรรมเนียมก็รู้ว่าเป็นปกติ

ตอบ 2. จากเอกสารอ่านประกอบเรื่อง เดินตามรอยเท้าผู้ใหญ่หมาไม่กัด” ผู้เขียนได้กล่าวถึงขนบธรรมประเพณีไว้ว่า ขนบธรรมเนียมประเพณีของเกิดง่ายแด่ตายยาก ดังนั้นควรจึงควรทำอะไรต่างๆ ตามระเบียบ แบบแผนและประเพณีนิยมหรือสมัยนิยมจึงจะปลอดภัยและไม่ถูกตำหนิจากคนทั่วไป

50.       นายอดิศักดิ์เป็นผู้บริหารบริษัทแห่งหนึ่ง และต้องเผชิญหน้ากับฝูงชน เรื่องที่เรียกร้องจะทำหรือไม่ทำ” เขาควรตอบอย่างไร

1)         ผมขอศึกษาข้อเท็จจริงและรายละเอียดก่อนแล้วจะรีบจัดการให้ทันที

2)         อย่าใจร้อนซีฮะ ผมต้องเผชิญคณะกรรมการประชุมก่อนจึงจะตอบคุณได้

3)         ถ้าทำได้ก็ทำครับ ถ้าทำได้ก็ต้องเห็นใจฝ่ายผมบ้าง มีเหตุผลบ้างเถิดฮะ

4)         จะพยายามทำนะฮะ แต่ถ้าพวกคุณไม่พอใจจะไปทำงานที่อื่นก็ไม่เป็นไรนี่ฮะ

ตอบ 1. ข้อควรระวังเมื่อประสบปัญหากับฝูงชน (Mob) คือ

1.         ผู้นำหรือผู้บริหารสูงสุดควรออกไปเผชิญหน้ากับ Mob เอง เพื่อช่วยลดความกดดันและแสดงความจริงใจในการรับฟังปัญหา

2.         เมื่อผู้นำต้องตอบคำถามที่ไม่มีทางเลือก เช่น จะทำหรือไม่ทำ” ฯลฯ ก็ควรเลี่ยงด้วยการตอบว่า ตอนนี้ผมยังไม่รู้ข้อเท็จจริง จึงขอศึกษารายละเอียดก่อนแล้วจะรีบจัดการให้ทันที

3.         พยายามใช้คำพูดที่แสดงว่าผู้พูดเป็นฝ่ายเดียวกับฝูงชน และมีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือหรือให้ความร่วมมือ ฯลฯ

51.       สิ่งที่ไม่ควรทำที่สุดเมื่อเผชิญหน้ากับฝูงชน คืออะไร

1) ไม่ควรให้เหตุผล      

2) ไม่ควรชักจูงใจหรือขอร้อง

3) ไม่ควรพูดจาท้าทาย            

4) ไม่ควรให้ความเห็นใจ

ตอบ 3. สิ่งที่ไม่ควรทำที่สุดเมื่อเผชิญหน้ากับฝูงชน คือ การพูดจาท้าทาย เพราะทางจิตวิทยาถือว่าเป็นการยั่วยุให้ฝูงชนเกิดปฏิกิริยาหรือกระทำการใด ๆ ที่รุนแรงขึ้น เพื่อเอาชนะคำสบประมาทหรือคำท้าทายนั้นทันที ซึ่งล้วนแต่ก่อให้เกิดผลเสียและวุ่นวายมากขึ้น

52.       สมมุติว่าท่านเป็นผู้บังคับบัญชา เมื่อท่านได้เรียกให้ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำงานมีประสิทธิภาพน้อยเข้าพบเป็นการส่วนตัวแล้ว ท่านควรทำอย่างไรต่อไป

1)         แจ้งข้อบกพร่องในหน้าที่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทราบ

2)         ชี้ให้เห็นข้อบกพร่องแล้วถามว่าควรจะปรับปรุงอย่างไร

3)         รับฟังเหตุผลหรือข้อแก้ตัวของผู้ใต้บังคับบัญชา อย่างเต็มใจ

4)         เน้นถึงหน้าที่ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบและข้อบกพร่อง

ตอบ 4. เมื่อผู้ใต้บังคับบัญชา เข้าไปในห้องของบังคับบัญชา แล้ว ผู้บังคับบัญชา ควรจะให้การต้อนรับอย่างดี โดยเชิญให้นั่งด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและทักทายถามทุกข์สุขบ้างเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดเน้นถึงหน้าที่ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบ และขี้แจงให้ทราบถึงข้อผิดพลาดหรือข้อบกพร่องในหน้าที่ ซึ่งควรเป็นไปใน ลักษณะที่เป็นกันเอง ไม่จู่โจมหรือมุ่งเอาผิด

53.       คุณจันทราเป็นหัวหน้างาน จะมีวิธีพูดกับเพื่อนร่วมงานมีประสิทธิภาพน้อยอย่างไร

1) วิธีถาม-ตอบ            2) วิธีพูดปรึกษาขอความเห็น

3) วิธีชี้ให้เห็นข้อบกพร่องอย่างมีเหตุผล          4) วิธีบังกับโดยอาศัยระเบียบการปฏิบัติการ

ตอบ 2.

54.       วิธีติดตามผลงานของผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำงานมีประสิทธิภาพน้อยว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ควร ทำอย่างไร

1) ติดตามผลงานอย่างเปิดเผย           2) ควรจับตาดูห่าง ๆ พอให้รู้ตัวบ้าง

3) ควรจับตาดูห่าง ๆ อย่าให้รู้ตัว         4) พยายามอยู่ใกล้ชิดผู้ใต้บังคับบัญชา

ตอบ 3. วิธีพูดกับเพื่อนร่วมงานที่ทำงานมีประสิทธิภาพน้อยหรือไม่มีประสิทธิภาพว่าได้มีการแก้ไข ปรับปรุงให้ดีขึ้นหรือไม่ คือ หัวหน้างานควรจับตาดูห่าง ๆ โดยไม่ให้รู้และไม่ควรทำอย่างเปิดเผยจนเกินไป เพราะจะทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชา เกิดความหวาดระแวง เกิดความกลัวหรือระมัดระวังตัวมากเกินไป ซึ่งจะทำให้เกิดความตึงเครียดขึ้นได้

55.       อวิโรธนะ เป็นทศพิธราชธรรมข้อที่ 10 มีความหมายอย่างไร

1)         ไม่ทำอะไรที่เบียดเบียนผู้อื่นทั้งทางตรงและทางอ้อม

2)         ความประพฤติซื่อตรง ไม่ทรยศต่อเพื่อนและหน้าที่

3)         การไม่ทำผิดทั้งที่รู้ และความเที่ยงธรรม

4)         การใคร่ครวญไตร่ตรองด้วยปัญญาในสิ่งที่ทำ

ตอบ 3. อวิโรธนะ (ความไม่ผิด) หมายถึง การไม่ทำผิดทั้งที่รู้ โดยควรรอบคอบในสิ่งที่จะทำทั้งหลาย ระมัดระวังไม่ให้ผิดหรือจะผิดก็แต่น้อย และต้องรักษาความเที่ยงธรรมความยุติธรรม ต้องไม่ให้ลำเอียงเพราะ ความชัง ความหลง และความกลัวทั้งหลาย


56.       เทคนิคการปิดการตอบข้อซักถามที่ดีควรเป็นอย่างไร

1)         ยุติเมื่อผู้ซักถามปรารถนาจะให้ยุติ

2)         ดำเนินไปอย่างคล่องตัว ไม่ชักช้าและออกนอกเรื่อง

3)         ยุติเมื่อเห็นว่าผู้ซักถามเหนื่อยและเบื่อแล้ว

4)         ในแนวที่ก่อให้เกิดความเสียหายที่ต้องยุติการซักถามนั้นลง

ตอบ 4. เทคนิคหรือศิลปะในการปิดการตอบข้อซักถามที่ดีนั้น ควรเป็นไปในแนวที่ก่อให้เกิดความเสียหายที่จะต้องยุติการซักถามนั้นๆลง โดยควรยุติการตอบซักถามในขณะที่ผู้ฟังหรือผู้ซักถามยังมีความสนใจอยู่ ดีกว่าการยุติเมื่อผู้ฟังซักถามปรารถนาที่จะให้ยุติ

57.       หลักในการตอบข้อซักถามหลักการบรรยายสรุป มีอะไรบ้าง

1)         ตอบให้ตรงคำถาม ให้ด้ใจความ และกระชับ

2)         ตอบให้ได้เนื้อหาและรายละเอียด ให้ตรงคำถามและสุภาพ

3)         ตอบให้ได้เนื้อหาสำกัญ ๆ กระชับ และสุภาพ

4)         ตอบให้ตรงคำถาม และสุภาพ

ตอบ 1. หลังจบการพูดบรรยายสรุป ผู้ฟังย่อมต้องการซักถามผู้พูดเพิ่มเติม ฉะนั้นผู้พูดจึงเปิดโอกาสให้ ซักถามและตระเตรียมคำตอบไว้พร้อมแล้วกับเนื้อหาที่จะพูดด้วยโดยในกรณีที่ทราบคำตอบผู้พูดควรใช้หลักการ ตอบข้อซักถามที่ว่า ตอบให้ตรงคำถามให้ได้ใจความ และตอบให้กระชับเท่าที่จะเป็นไปได้

58.       จากปาฐกถาธรรมของพระราชนันทมุนี เนื่องในวันข้าราชการ กล่าวว่า ข้าราชการต้องปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า พระองค์มีลักษณะพิเศษ 2 ประการหนึ่งคือ ปุพพสี ถามว่า ปุพพสี คืออะไร

1) ทักคนก่อน  2) มีหน้าตาแจ่มใส

3) มีสติปัญญา            4) มีความสุภาพ อ่อนน้อม

ตอบ 1. จากปาฐกถาธรรมของพระราชนันทมุนี เนื่องในวันข้าราชการพลเรือน กล่าวว่า ข้าราชการต้องปฏิบัติตามอย่างพระพุทธเจ้า ซึ่งมีลักษณะพิเศษอยู่ 2 ประการ คือ

1.         ปุพพสี หมายถึง ทักคนก่อน

2.         อตตานมุขี หมายถึง มีหน้าตาเบิกบานแจ่มใส

59.       วัตถุประสงค์ของ The Q & A คืออะไร

1)         เพื่อลองดีว่าผู้ตอบรู้หรือไม่

2)         เพื่อให้ผู้ฟังเห็นว่าคนถามเป็นคนฉลาด

3)         เพื่อคลายข้อข้องใจและเพื่อสร้างมนุษย์สัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง

4)         เพื่อระบายความคับแค้นใจและความกดดันภายในของผู้พูดกับผู้ฟัง           

ตอบ 3. วัตถุประสงค์ของการตอบข้อซักถาม (The Q & A ) คือ

1.         ให้โอกาสผู้ฟังซักถามข้อสงสัยเพื่อคลายความข้องใจต่าง ๆ ให้หมดไป

2.         ให้โอกาสผู้ฟังเสนอข้อคิดเห็นที่แตกต่างหรือขัดแย้งกับผู้พูด

3.         เป็นการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง ฯลฯ

60.       นายชวลิตเป็นหัวหน้างานที่ออกคำสั่งเสียงดังในวันหนึ่ง แต่แล้วก็ออกคำสั่งที่ตรงกันข้ามในวันรุ่งขึ้น นายชวลิตเป็นนายประเภทใด

1. นายลูกไม้จัด           2) นายโลเล

3) นายหน่วง    4) นายนักเปลี่ยน

ตอบ 3 “นายหน่วง” มีอยู่ดังนี้ คือ

1.         นายหน่วงขี้อาย มีลักษณะเป็นหลบ ๆ เลี่ยง ๆ ไม่ค่อยกล้าตัดสินใจให้เด็ดขาด

2.         นายหน่วงเสียงดัง จะเป็นบุคคลที่ออกคำสั่งเสียงดังในวันหนึ่ง แต่แล้วก็จะออกคำสั่งที่ตรงกันข้ามในวันรุ่งขึ้น

61.       จากเอกสารเรื่อง วิธีการร่วมงานกับข้าราชการสตรี” ทำไมลูกน้องผู้หญิงชอบให้เจ้านายตรวจงานบ่อย ๆ

1)         ลูกน้องหญิงมีความแตกต่างจากลูกน้องผู้ชายมาก

2)         ลูกน้องผู้หญิงมีความภาคภูมิใจในผลงานของตนมากกว่าลูกน้องผู้ชาย

3)         ลูกน้องผู้หญิงมีนิสัยชอบโอ้อวดและแสดงออกมากกว่าลูกน้องผู้ชาย

4)         ลูกน้องผู้หญิงต้องการความสนใจจากเจ้านายมากกว่าลูกน้องผู้ชาย

ตอบ 2. จากเอกสารอ่านประกอบเรื่อง วิธีทำงานกับข้าราชการสตรี” พบว่า ลูกน้องผู้หญิงชอบให้เจ้านายได้ตรวจสอบงานอยู่เสมอ ๆ โดยยิ่งเช็คงานบ่อยเท่าใดยิ่งดี ทั้งนี้เป็นเพราะว่าลูกน้องผู้หญิงจะมีความภาคภูมิใจในผลงานของตนอยู่เสมอ ซึ่งการที่เจ้านายมีความสนใจในงานของเธอก็จะยิ่งทำให้เธอมีความสนใจในการทำงานมากยิ่งขึ้น

62.       หลังจากที่ผู้บังคับบัญชาได้ฟังคำร้องทุกข์และได้ศึกษาข้อเท็จจริงต่าง ๆ แล้ว ควรทำอย่างไร

1)         ปล่อยทิ้งไว้ระยะหนึ่งเพื่อช่วยลดแรงกดดัน

2)         พิจารณาจัดการอย่างช้า ๆ เพื่อความรอบคอบ

3)         พิจารณาจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เร็วที่สุด

4)         พิจารณาจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งในระยะเวลาพอสมควร

ตอบ 4. หลังจากที่ผู้บังคับบัญชาได้ฟังคำร้องทุกข์แล้วและศึกษาข้อเท็จจริงต่าง ๆ แล้วผู้นำหรือผู้บังคับบัญชา จะต้องจัดการกับเรื่องนั้นในระยะเวลาพอสมควร โดยไม่ปล่อยทิ้งไว้เป็นระยะเวลานานหรือจัดการด้วยความล่าช้า เพราะเป็นการแสดงถึงความไม่เด็ดขาด ไม่เอาจริงซึ่งจะทำให้ขวัญของผู้ร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชาเสียไป

63.       ถ้าท่านเป็นหัวหน้างาน และนายเลิศเป็นพนักงานที่สำคัญตนผิดว่าตนเก่งคนเดียว ท่านควรจัดการกับนายเลิศอย่างไร

1) ว่ากล่าวตักเตือนให้นายเลิศรู้ตัว     2) จัดการแบ่งงานให้คนอื่นทำบ้าง

3) มอบหมายงานสำคัญ ๆ ให้นายเลิศทำ 4) พยายามอธิบายให้นายเลิศมองปัญหาหลาย ๆ ด้าน

ตอบ 3. วิธีจัดการกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่สำคัญตนผิดว่าเป็นคนสำคัญของหน่วยงาน คือ การให้พิสูจน์ตนเอง โดยผู้หรือบังคับบัญชาควรมอบหมายการหน้าที่สำคัญ ๆ ให้ทำ ซึ่งถ้าให้พิสูจน์ตนเองแล้วปรากฏว่าทำงาน ไม่สำเร็จ ผู้ที่สำคัญตนผิดนั้นก็จะเข้าใจสภาพของตนเอง

64.       ท่านคิดว่าคนที่มีอคติหรือลำเอียงมีลักษณะอย่างไร

1) เป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง       2) เป็นคนหัวสูงและอวดดี

3) เป็นคนที่สมองริเริ่ม ฉุนเฉียว           4) เป็นคนที่มีความคิดคับแคบและหัวรั้น

ตอบ 4. โดยปกติแล้วคนที่มีอคติหรือมีความลำเอียงมักจะเป็นคนที่มีความรู้พื้นฐานและความสามารถอยู่ใน วงจำกัด นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีอคติหัวรั้นอีกด้วย และมักจะเป็นคนที่คิดอะไรแคบ ๆ ไม่รู้จักคิดด้วยเหตุผลให้รอบคอบ

65.       ถ้าท่านเป็นผู้แนะนำให้ผู้รับเชิญ (Guest Speaker ) ท่านจะหาข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้พูดอย่างไร

1) สอบถามจากเพื่อน ๆ          2) สอบถามจากผู้รู้

3) สอบถามจากตัวผู้พูดเอง     4) สอบถามจากสำนักงานหนังสือพิมพ์

ตอบ 2,3วิธีหาความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้พูดอาจทำได้2 วิธีคือ 1สอบถามจากตัวผู้พูดเอง 2. สอบถามจากผู้รู้

66.       คนมีสมอง คนมีความรู้ เขาไม่ทำอย่างนี้กันหรอก” ประโยคนี้เป็นการพูดเสนอความคิดเห็นแบบใด

1) แบบพูดอ้างไปก่อน           2) แบบโฆษณาชวนเชื่อ

3) แบบให้คนเห็นใจ    4) แบบพูดให้คนสงสาร

ตอบ 1. เทคนิคในการพูดเสนอความคิดเห็นแบบอ้างไปก่อน เช่น ธรรมดาคนเราทำ อย่างนี้กันทั้งนั้นนะ…” “คนที่มีสติเขาไม่พูดกันอย่างนี้…ฯ ฯลฯ

ตั้งแต่ข้อ 67 – 72 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

1. การปฐมนิเทศ         2. การให้ทำงาน          3) การฝึกอบรมพิเศษ

4. การฝึกงาน  5. การสอนแนะนำแบบตัวต่อตัว

67.       การฝึกอบรมผู้ที่จะเป็นผู้บริหาร

ตอบ 5 วิธีการสอนแนะนำตัวแบบตัวต่อตัว (Coaching) เป็นวิธีหนึ่งที่ใช้ในการฝึกอบรมระดับผู้บริหารเพื่อใช้ปรับปรุงการทำงาน ซึ่งผู้ที่จะทำการสอนแนะได้ก็คือ ผู้บังคับบัญชาที่ใกล้ชิดนั่นเอง โดยทั้งผู้สอนและผู้เรียนจะช่วยกันพิจารณาและวิเคราะห์ปัญหา แล้วหาทางแก้ไขหรือขจัดปัญหาและอุปสรรคเหล่านั่น

68.       การฝึกเจ้าหน้าที่ให้ทำงานในสำนักงานเลขานุการ

ตอบ 2. การฝึกอบรมโดยการให้ทำงาน (On The Job Training) บางครั้งเรียกว่า Skill Training เป็นการ ฝึกอบรมที่มุ่งให้เกิดทักษะในการปฏิบัติงาน และเป็นวิธีหนึ่งที่เพิ่มสมรรถภาพในการทำงานให้กับผู้เข้าทำงานใหม่ โดยจะมีการสอนให้ทำงานกันจริง ๆ ในสถานการณ์ทำงานจริง จึงเหมาะสำหรับการทำงานที่ใช้ ระยะเวลาสั้น ๆ และมีผู้เข้ารับการอบรมน้อยแต่สิ่งที่ต้องการจากการอบรมก็คือ ทักษะเท่านั้น

69.       การฝึกอบรมด้วยการส่งตัวไปอบรมกับสถาบันต่าง ๆ

ตอบ 3. การฝึกอบรมพิเศษ (Special Purpose Program) เป็นการอบรมเพื่อจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น นายจ้างอาจจะจัดหลักสูตรพิเศษขึ้นเพื่อพนักงานของตนโดยนายจ้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด หรือ นายจ้างอาจส่งพนักงานไปฝึกงานกับสถาบันการศึกษาหรือองค์การที่จัดให้มีการอบรมขึ้น

70.       การฝึกอบรมผู้เข้าทำงานใหม่ให้มีความรู้เกี่ยวกับที่ทำงาน

ตอบ 1. การฝึกอบรมแบบปฐมนิเทศ (Orientation) คือ การฝึกอบรมที่จัดให้แก่ผู้เข้าทำงานใหม่เพื่อแนะนำ ให้ได้ทราบถึงเรื่องราวต่าง ๆ ของหน่วยงานนั้น โดยการเป็นการพูดแบบบรรยายให้ความรู้ เช่น บอกประวัติ ความเป็นมา นโยบาย ระเบียบในการทำงาน ฯลฯ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือประเภทแรกที่ผู้นำใช้ในการปรับปรุง ผู้เข้าทำงานใหม่ให้คุ้นเคยกับหน่วยงานหรือองค์การนั้น ๆ

71.       การฝึกเพื่อให้พร้อมที่จะทำงาน เช่น นักข่าว

ตอบ 4. .การฝึกงาน (Internship Training) เป็นการฝึกอบรมที่มีจุดมุ่งหมายให้ผู้รับการฝึกงานมีความรู้ความชำนาญที่สมดุลกัน และเห็นความแตกต่างระหว่างภาคทฤษฎีกับภาคปฏิบัติ ซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจยิ่งขึ้น และพร้อมจะทำงานในอาชีพนั้น ดังนั้นจึงมักใช้กับงานที่ต้องการความชำนาญหรืองานอาชีพ เช่น แพทย์ ทนายความ นักบัญชี ครู ฯลฯ

72.       การฝึกอบรมที่ผู้เรียนและผู้สอนจะช่วยกันวิเคราะห์ปัญหาแล้วหาทางแก้ไข

ตอบ 5. ดูคำอธิบายข้อ 67. ประกอบ

ตั้งแต่ข้อ 73 – 77. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

1) Interview       2) Dialogue        3) Buzz Session

3) Committee Hearing      5) Brainstorming (วิธีเปิดใจไขสมอง)

73.       การอภิปรายที่สมาชิกออกความคิดเห็นอย่างเต็มที่ควบคู่กับการระบายความคับแค้นใจ ซึ่งเป็นวิธีที่นายอเล็กซ์ ออสบอนด์ คิดขึ้น

ตอบ 5. วิธีเปิดใจไขสมอง (Brainstorming) เป็นวิธีที่นาย Alex Osborn คิดพัฒนาขึ้นเพื่อส่งเสริมให้สมาชิก ในกลุ่มได้แสดงความคิดสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น ซึ่งจุดสำคัญของวิธีนี้คือ ไม่มีการวิจารณ์ ประเมินผล หรือตำหนิ ในระหว่างที่ทุกคนกำลังคิดค้นอย่างเสรี ดังนั้นจึงนับเป็นวิธีที่สมาชิกออกความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจใคร ทำให้ได้รับความคิดริเริ่มและความคิดสร้างสรรค์ขึ้นพร้อม ๆ กับการให้โอกาสระบายความในใจออกมา

74.       รายการ กรองสถานการณ์” ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่อง 11

ตอบ 2. การสนทนา (Dialogue) เป็นการอภิปรายแบบซักถามหรือโต้แย้งเพื่อแสดงถึงข้อคิดเห็นในที่ประชุม หรือต่อหน้าผู้ฟัง ซึ่งตามปกติคู่สนทนาจะเป็นผู้มีความรู้ ผู้บริหารหรือผู้เชี่ยวชาญที่มาให้ความรู้แก่ผู้ฟังด้วย การซักถามกันเอง โดยมักจะพบได้ในรายการทางวิทยุหรือโทรทัศน์ และในมหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษา

75.       การประชุมเล็ก ๆ เพื่อให้ได้คำตอบใน 10 นาที

ตอบ 3. Buzz Session เป็นการประชุมกลุ่มเล็ก ๆ ที่แบ่งผู้ร่วมประชุมออกเป็นกลุ่มละ 4-8 คน แล้วแต่จำนวน ผู้เข้าร่วมประชุม โดยจะให้แต่ละกลุ่มหาคำตอบภายใน 10 นาที เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการพูดและถามอย่างเต็มที่ ซึ่งปกติจะจัดให้มี Buzz Session ขึ้นหลังจากที่ร่วมประชุมรวม เช่น การฟัง บรรยาย การฟังอภิปราย การประชุม ฯลฯ

76.       การอภิปรายที่มีวิทยากรที่เชี่ยวชาญตอบคำถามของสมาชิกของหน่วยงาน

ตอบ 4. Committee Hearing เป็นการอภิปรายที่มีวัตถุประสงค์ในการแก้ไขปัญหาใดปัญหาหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งจะเชิญผู้เชี่ยวชาญหรือวิทยากรมาพูด แถลง และตอบข้อซักถามของสมาชิกในหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง โดยมีผู้ซักถามที่เป็นผู้แทนของสมาชิกหน่วยงานนั้นประมาณ 4-5 คน

77.       ผู้ไม่รู้ซักถามผู้รู้หรือเจ้าของเรื่อง

ตอบ 1. การสัมภาษณ์ (Interview) คือ การที่ผู้ไม่รู้ซักถามผู้รู้หรือเจ้าของเรื่องนั้น ๆ ซึ่งลักษณะของการ สัมภาษณ์ มีดังต่อไปนี้

1.         มีลักษณะเป็นทางการมากกว่าแบบสนทนา

2.         หน้าที่ของผู้สัมภาษณ์และผู้ให้สัมภาษณ์ต่างกัน

3.         ผู้สัมภาษณ์ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางเชื่อมระหว่างผู้ให้สัมภาษณ์และผู้ฟัง

4. เป็นวิธีที่ได้ข้อมูล เนื้อหา และสาระในระยะเวลาอันสั้น

ข้อ 78 – 100. ข้อใดถูกให้ระบายตัวเลือกที่ 1 ข้อใดผิดให้ระบายตัวเลือกที่ 278.       วิธีฝึกอบรมแบบ Case Study ที่มีการเตรียมตัวล่วงหน้าเรียกว่า Incident method

ตอบ 2. วิธีการฝึกอบรมแบบ Cass Study ทำได้ 2 วิธี คือ 1. มีการเตรียมตัวล่วงหน้าโดยผู้อบรมจะให้ ตัวอย่างพร้อมทั้งข้อมูลและข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง (Factual Situation) กับผู้เข้ารับการอบรมได้ศึกษาหรืออ่าน มาก่อน 2. ไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า หรือที่เรียกว่า Incident method โดยผู้อบรมจะไม่ให้ตัวอย่างก่อน แต่ผู้อบรมจะเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อผู้เข้ารับการอบรมมาประชุมพร้อมกัน

79.       ห้าเราะวันละนิดจิตแจ่มใส” เป็นการพูดเสนอความคิดเห็นแบบโฆษณาชวนเชื่อ

ตอบ 1. เทคนิคในการพูดเสนอข้อคิดเห็นแบบโฆษณาชวนเชื่อ เรียกว่าวิธี Favorable maxim เช่น หัวเราะวันละนิด จิตแจ่มใส”  “ผมมีลูกสองคนก็พอครับเพราะเขาว่ามีลูกมากจะยากจน” ฯลฯ

80.       Buzz Session จะแบ่งผู้ร่วมประชุมเป็นกลุ่มละ 4-5 คน

ตอบ 1. ดูคำอธิบายข้อ 75. ประกอบ

81.       ข้อธรรมะที่ช่วยให้ผู้นำประสบความสำเร็จในหน้าที่กิจการงานคือ สัปปุริสธรรม

ตอบ 1. หลักธรรมของศาสนาพุทธซึ่งเป็นข้อธรรมะที่ช่วยให้ผู้นำประสบความสำเร็จในหน้าที่กิจการงานต่าง ๆ เช่น ทางปกครอง ฯลฯ ได้แก่ สัปปุริสธรรม 7พรหมวิหาร 4บารมี 10 เป็นต้น

82.       ทะเลรู้ความลึกของทะเล” เป็นการสอนผู้นำให้รู้จักสำรวจตัวเอง

ตอบ 1. สำรวจตัวเอง คือ การเรียนให้รู้จักตัวเอง ดังคำโบราณว่า หนวดแมวเป็นมัคคุเทศของแมวการสำรวจตัวเองเป็นทางดำเนินอันเจริญของตนผู้ที่รู้ความลึกของทะเลก็คือทะเลเองผู้ที่รู้ความกว้างของห้าก็คือห้าเอง แม้ผู้ที่รู้ความดีความชั่วในตัวได้ก็คือตัวของตัวเอง

83.       คำสั่งแบบแนะนำให้ทำ ควรพูดแบบไม่ตั้งใจ

ตอบ 1. วิธีออกคำสั่งประเภทแนะนำให้ทำ ควรจะออกมาในรูปแบบไม่ตั้งใจหรือขอความเห็นมากกว่าที่จะไป พูดแนะนำกันตรง ๆ ซึ่งจะให้ผลรวดเร็วที่สุด เพราะตามหลักจิตวิทยานั้นถือว่า คนเราชอบแสดงความคิดเห็นของตนมากกว่าจะรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เช่น ควรทำความสะอาดตู้นั้นได้แล้วใช่ไหมนายแก้ว” “ที่ จริงห้องนี้ก็ดีนะแต่ถ้ามีโต๊ะเก้าอี้สักตัวคงจะดีจริงไหมละนายจอน” ฯลฯ

84.       ทักขิณทิศ คือ ทิศเบื้องหน้า ได้แก่ บิดา มารดา

ตอบ 2. ผู้ที่จะเป็นผู้นำจะต้องรู้จักเคารพทิศ 6 ทิศ คือ 1. ปุรัตถิมทิส แปลว่า ทิศเบื้องหน้า ได้แก่ บิดา มารดา 2. ทักขิณทิส แปลว่า ทิศเบื้องขวา ได้แก่ ครูบาอาจารย์ 3. ปัจฉิมทิส แปลว่า ทิศเบื้องหลัง ได้แก่ ภรรยาหรือสามี 4. อุตตรทิส แปลว่า ทิศเบื้องซ้าย ได้แก่ มิตรสหาย 5. เหฏฐิมทิส แปลว่า ทิศเบื้องล่าง ได้แก่ คนรับใช้ลูกน้อง 6. อุปริมทิส แปลว่า ทิศเบื้องบนได้แก่ สมณชีพราหมณ์ทั้งหลาย

85.       การประสานงานไม่ดี” เป็นคำร้องทุกข์ด้านประสาทและความรู้สึก

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 29.ระกอบ

86.       การพูดอบรมแบบปฐมนิเทศจะใช้การพูดแบบบรรยาย

ตอบ 1. ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ

87.       ความหวังและความกลัว เป็นคำร้องทุกข์ประเภทสัมผัสได้ เห็นได้

ตอบ 2. ดูคำอธิบายข้อ 29. ประกอบ

88.       การอภิปรายกลุ่มในสังคมไทย มักจะเป็นไปในรูปแบบผู้ใหญ่กับผู้น้อย

ตอบ 2. การอภิปรายกลุ่มในสังคมไทยมักจะเป็นไปในรูปแบบ ดังนี้คือ 1. ถ้ามีคนแก่กับคนหนุ่มสาว คนแก่ จะพูด ส่วนคนหนุ่มสาวจะเงียบ 2. ถ้ามีหญิงแต่งงานกับหญิงโสดหญิงที่แต่งงานแล้วจะพูดฝ่ายเดียว หรือ หญิงโสดจะพูดฝ่ายเดียว

89.       วิธีจัดการกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีอคติหรือใจลำเอียงก็คืออดทนอธิบายปัญหาหลาย ๆ ด้าน และต้องทำ ตัวเป็นครูด้วย

ตอบ 1. วิธีจัดการกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีอคติหรือใจลำเอียง ก็คือ พยายามใช้ความอดทนชี้แจงและอธิบายให้ผู้ที่มีอคติมองปัญหาหลาย ๆ ด้าน ให้เห็นทั้งส่วนดีและส่วนเสียของการกระทำ ซึ่งบางครั้งก็ต้องทำตัวเป็นครูที่ดีของผู้ใต้บังคับบัญชาด้วย

90.       ผู้นำที่ดีมักจะกล่าวชมผู้น้อยอย่างมีศิลปะ และกล่าวตำหนิติเตียนอย่างตรงไปตรงมา

ตอบ 2. ดูคำอธิบายข้อ 52. ประกอบ ผู้นำที่ดีควรพูดชมและกล่าวตำหนิผู้น้อยอย่างมีศิลปะ เพื่อทำให้ผู้ฟัง เกิดความภาคภูมิใจและยอมรับในข้อบกพร่องของตนอย่างเต็มใจมากกว่าที่จะให้ผู้ฟังคิดว่าเป็นการพูดเยินยอ หรือพูดอย่างไร้ความหมาย

91.       ผู้บริหารสูงสุดควรออกไปพูดกับ Mob เพื่อแสดงความจริงใจในการรับฟังปัญหา

ตอบ 1. ดูคำอธิบายข้อ 50 . ประกอบ

92.       คำสั่งที่ออกไปเป็นเครื่องวัดความสามารถของผู้บังคับบัญชา

ตอบ 1. การออกคำสั่งมีความสำคัญมาก เนื่องจากคำสั่งที่ออกไปนั้นเป็นเครื่องวัดความสามารถของ ผู้ผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างาน ดังนั้นก่อนที่จะออกคำสั่งจึงจำเป็นต้องมีการตระเตรียมว่าจะสั่งใคร (Who) ให้ทำอะไร (What) ที่ไหน (Where) เมื่อไหร่ (When) ทำไม (Why) และอย่างไร (How) เพื่อให้ได้คำสั่งที่สมบูรณ์)

93.       ตั้งแต่ปกหน้าจนถึงปกหลังของตำรา การพูดสำหรับผู้นำ มีรูปพ่อขุน จำนวน 1 รูป

ตอบ 2. ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ

94.       การตื่นเวทีจะเกิดกับผู้พูดทุกคน ทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่

ตอบ 1. ผู้พูดที่ขึ้นเวทีพูดจะมีปัญหาความกังวลและการตื่นเวทีกันเกือบทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักพูดระดับใด แต่สามารถแก้ไขความตื่นเวทีได้ด้วยการฝึกซ้อมพูดมาเป็นอย่างดี และมีความเชื่อมั่นในตนเองให้มาก

95.       ผู้พูดควรจบการบรรยายสรุปด้วยการอวยพรให้ผู้ฟัง

ตอบ 2. ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

96.       ผู้ฟังส่วนใหญ่จะอดทนฟังผู้พูดที่พูดเสียงเบามากกว่าผู้พูดที่พูดเสียงดัง

ตอบ 2. การพูดให้ดังพอที่จะได้ยินทั่วถึงกัน ซึ่งไม่เบาหรือดังเกินไป เพราะจะทำให้ผู้ฟังเกิดความรำคาญและ ขาดความสนใจที่จะฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่พูดเสียงเบานั้นควรจะฝึกพูดให้เสียงดังขึ้น เพราะมีการสำรวจกัน มาแล้วว่าผู้ฟังส่วนใหญ่จะอดทนฟังผู้พูดที่พูดเสียงดังมากกว่าผู้พูดที่พูดเสียงเบา

97.       เราทำงานชิ้นแรกกันก่อนดีไหม จะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องทำไม่ทัน” เป็นการออกคำสั่งแบบขอร้องให้ทำ

ตอบ 2. วิธีการออกคำสั่งประเภทขอร้องให้ทำ มักจะก่อให้เกิดมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อผู้รับคำสั่ง ซึ่งจะเพิ่มความเป็นกันเองและลดช่องว่างระหว่างกันด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกใช้ถ้อยคำและน้ำเสียงที่สุภาพหรือใช้การพูดที่ มีหางเสียง เช่น กรุณาเซ็นชื่อด้วยครับ” “โปรดฟังทางนี้หน่อยค่ะ” ฯลฯ (ส่วนประโยคตามโจทย์นั้นเป็นวิธีการ ออกคำสั่งประเภทแนะนำให้ทำ : ดูคำอธิบายข้อ 83. ประกอบ)

98.       หลักธรรมที่ทำให้พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาของโลกคือ อิทธิบาท 4

ตอบ 1. อิทธิบาท 4 มีดังนี้ 1. ฉันทะ คือ พอใจกับงานที่ทำอยู่ 2. วิริยะ คือ ความภาคเพียรในกิจนั้น 3. จิตตะ คือ ความมีใจฝักใฝ่ในกิจนั้น 4. วิมังสา คือ ความใคร่ครวญไตร่ตรองด้วยปัญญา

99.       อาชชวะ คือ ความประพฤติซื่อตรง

ตอบ 1. หน้า อาชชวะ (ความตรง) คือ ความประพฤติซื่อตรง ไม่คิดทรยศต่อเพื่อน มิดรสหาย ต่อหน้าที่ การงาน ตลอดจนถึงประชาชน

100.    วิชา การพูดสำหรับผู้นำ นี้ ออกข้อสอบทั้งหมด 16 บท

ตอบ 2. ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ

MCS3181 การพูดสำหรับผู้นำ เตรียมสอบปี 2557 ชุด2

MCS3181 การพูดสำหรับผู้นำ เตรียมสอบปี 2557 ชุด2

1.         Order-Giving การออกคำสั่งของผู้บังคับบัญชาหรือผู้นำที่มีประสิทธิภาพ จัดว่าเป็น…….ของการพูด

1)         ความสามารถของผู้นำ            

2) ศิลปะอย่างหนึ่ง

3) การพูดที่มีประสิทธิภาพ      

4) การติดต่อสื่อสารที่ดี

ตอบ 2. การออกคำสั่งหรือการพูดสั่งการ (Order-Giving) จัดว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่งของการพูด ซึ่งผู้ที่จะเป็นผู้บังคับบัญชาหรือผู้นำควรเรียนรู้วิธีพูดสั่งการที่มีประสิทธิภาพเพื่อว่าที่ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาจะได้นำไปปฏิบัติตาม

2.         Mob คืออะไร

1)         กลุ่มชน            

2) ฝูงชนที่บ้าคลั่ง

3) ฝูงชนที่ถูกกดดันหรือผลักดันจากเหตุการณ์ 

4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4. คำว่า Mob ตามพจนานุกรม แปลว่า ฝูงชนหรือกลุ่มชนที่ไม่มีระเบียบ เนื่องจากฝูงชนถูกกดดันหรือผลักดันจากเหตุการณ์หนึ่ง (สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยภาวะกดดันร่วม) ซึ่ง อาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาอย่างรุนแรงขึ้นจนไม่สามารถจะยับยั้งได้

3.         นายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ประธานในการประชุมคณะรัฐมนตรี ด้วยสีหน้ายิ้ม แย้มแจ่มใส ทำให้ที่ประชุมมีบรรยากาศสดชื่น และในการยิ้มแย้มของนายกรัฐมนตรีช่วยสร้างอะไร

1)         สร้างบรรยากาศในการประชุม            2) สร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

3) สร้างอารมณ์ในการประชุม 4) สร้างความเป็นกันเอง

ตอบ 2. ผู้นำควรมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสเสมอ โดยมีผู้กล่าวไว้ว่า การยิ้มแย้มแจ่มใสของคนหนึ่งมีอิทธิพลทำ ให้คนอื่นยิ้มตอบเหมือนกับโรคติดต่อ ซึ่งมีผลทำให้ทั้งสองฝ่ายเกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน เช่น เมื่อผู้นำเข้าไปใน ห้องประชุมด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสที่ประชุมนั้นจะมีบรรยากาศสดชื่นและเป็นกันเอง เพราะการยิ้มแย้ม แจ่มใสของผู้นำจะช่วยสร้างมนุษย์สัมพนธ์ที่ดีต่อกัน เป็นต้น

4.         ผู้ที่จะเป็นผู้นำจะแสดงออกถึงรสนิยมที่ดีอย่างไร

1)         ถือกระเป๋า Brand Name         2) ผู้ที่ร่ำรวยเศรษฐีอันดับหนึ่งของประเทศ

3)         มียศถาบรรดาศักดิ์

4)         นายชาตรีชื้อรถยนต์ยี่ห้อ TOYOTA ด้วยเงินที่สะสมส่วนตัวทำให้เกิดความภูมิใจ มีฐานะดี

ตอบ 4. ผู้ที่จะเป็นผู้นำควรแสดงออกถึงการมีรสนิยมที่ดี (Good Taste) เช่น ถ้าเรามีฐานะที่จะซื้อรถยนต์ดี ๆ สักคันหนึ่ง ผู้ที่มีรสนิยมดีก็ควรชื้อรถที่ทำให้เกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ และเกิดความเลื่อมใส เพราะเมื่อมีฐานะ ดีพอแล้วก็ควรแสดงออกถึงรสนิยมที่ถูกต้องด้วยนอกจากนี้รสนิยมยังหมายถึง การเลือกให้เหมาะสมกับโอกาส และสถานที่ เช่น การแต่งกายสุภาพเหมาะสมกับโอกาส และสถานที่ แสดงถึงรสนิยมที่ดีมากกว่าเครื่องแต่ง กายราคาแพงแต่ไม่สุภาพ เป็นต้น

5.         Active ความคล่องแคล่ว ว่องไว เกี่ยวข้องกันอย่างไรกับภาวะผู้นำ

1)         ความล่าช้าเป็นอุปสรรคในการทำงาน

2)         ความคล่องตัวในการทำงานให้ผู้อื่นเลื่อมใสศรัทธาและชื่นชมผู้นำที่มีบารมี

3)         ผู้นำที่พลุกพล่านหรือหลุกหลิกจนน่ารำคาญ

4)         เป็นบุคลิกภาพอย่างหนึ่งของผู้นำที่ควรจะมี

ตอบ 3. ผู้นำควรมีความคล่องแคล่วว่องไว (Active) ซึ่งมักจะมีการทำงานคล่องแคล่วมากกว่าที่ผู้ที่มีจังหวะจะโคน ไม่ใช่หลุกหลิกหรือพลุกพล่าม เพราะจะไม่ได้ผลดีแต่กลับทำให้น่ารำคาญมากยิ่งขึ้น

6.         ผู้นำที่จะเป็นผู้พูดที่ดี มีประสิทธิภาพ ควรปฏิบัติตนอย่างไร

1)         รักษาอารมณ์ให้คงที่    2) มีการพักผ่อน ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

3) รู้จักการควบคุมสติปัญญา มีไหวพริบ         4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4. ผู้นำที่จะเป็นผู้พูดที่ดี มีประสิทธิภาพ ควรปฏิบัติดังนี้ 1. รักษาอารมณ์ให้ปกติ          2.พักผ่อนร่างกายอย่างเพียงพอ 3. รับประทานอาหารให้พอดี 4. รักษาสัดส่วนของร่างกายให้พอดี 5. ออกกำลังกายให้พอสมควรและสม่ำเสมอ 6. รักษาอวัยวะต่างๆ ที่ปากให้ปกติ เช่นไม่เจ็บคอ ไม่ไอ ปากไม่เป็น แผล ไม่ปวดฟัน ฯลฯ 7. รักษาอวัยวะบริเวณจมูกและศีรษะให้อยู่ในสภาพปกติ เช่น ไม่เป็นหวัด ไม่ปวดหู ฯลฯ

7.         ในความเฉลียวฉลาด มีคุณภาพทางสมอง มีเหตุผลดีในการทำงานกับเพื่อนร่วมงาน ในลักษณะของผู้นำ ดังกล่าว นักศึกษามีความคิดอย่างไร

1)         ในการทำงานต้องอาศัยความคิดอย่างไร         2) ผู้นำในลักษณะอาศัยภาวะผู้นำเป็นหลักปฏิบัติงาน

3) ผู้นำที่ดีต้องมีเหตุผล           4) ในการทำงานต้องอาศัยทักษะการเรียนรู้

ตอบ 1. ในการทำงานต้องอาศัยภาวะผู้นำ (Leadership) เป็นหลักปฏิบัติงาน โดยผู้นำที่ดีควรมีคุณสมบัติ ดังนี้ 1. เฉลียวฉลาด มีคุณภาพทางสมอง 2. มีการศึกษาอบรมดี 3. มีความเชื่อมั่นในตนเอง 4. มีเหตุผล ดี 5. มีประสบการณ์ในการปกครองเป็นอย่างดี 6. มีชื่อเสียงเกียรติคุณดี 7. สามารถเข้ากับคนทุกชั้นวรรณะ ไต้เป็นอย่างดี 8. สามารถเผชิญเหตุการณ์หรือปัญหาเฉพาะหน้าที่จะเกิดขึ้นได้ทันท่วงที ฯลฯ

8.         ผู้นำควรมีคุณสมบัติอย่างไร

1)         มีคนนับถือ เพราะเป็นผู้มีอิทธิพล        2) มีความเชื่อมั่นในตนเอง

3) มีอายุมาก ไม่มีประสบการณ์ทำงาน           4) เป็นนักเลงหัวโจก

ตอบ 2. ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ

9.         Dissatisfaction หมายถึงอะไร

1) ความพอใจในการร้องทุกข์  2) ความพอใจในการกินอยู่

3) ความพอใจในสถานที่         4) ความไม่พอใจ

ตอบ 4. ความไม่พอใจ (Dissatisfaction) หมายถึง ความไม่พอใจหรือความไม่สบายใจเป็นคำพูดที่ต้องเสียเวลาค้นหาเครื่องมือเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือนายช่างไม่พอใจ ที่เงินเดือนออกล่าช้าเกินกำหนด เป็นต้น

10.       Grievance เป็นคำร้องทุกข์ที่แสดงออกอย่างไร

1)         เป็นความไม่พอใจที่แสดงทางวาจาหรือลายลักษณ์อักษรต่อผู้บังคับบัญชา

2)         ความพอใจในการเสนอต่อผู้บังคับบัญชา

3)         หลักการที่หัวหน้างานหรือผู้นำควรปฏิบัติ

4)         การติดตามผลของผู้นำ

ตอบ 1. คำร้องทุกข์ (Grievance) เป็นความไม่พอใจอย่างหนึ่งที่แสดงออกทางวาจาหรือลายลักษณ์อักษรต่อผู้บังคับบัญชาซึ่งคำร้องทุกข์อาจเกี่ยวกับความไม่พอใจ เกี่ยวกับเพื่อนร่วมงาน หรือเกี่ยวกับปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ได้ เช่น เครื่องมือมีไม่พร้อมต้องเสียเวลาเดินหานาน เพื่อนร่วมงานทำเสียงดังรบกวน หรือเพื่อน ร่วมงานไม่ช่วยกันรักษาความสะอาดของเครื่องมือ เป็นต้น

11.       เครื่องมือในการสื่อความหมายในกระบวนการพูดที่นำสามารถเลือกใช้ได้คือ

1)         กระบวนการสื่อสารตั้งแต่ต้นจนจบ

2)         บทบาททางสังคมที่ผู้พูดกับผู้ฟังมีต่อกันและกัน

3)         อุปกรณ์ตลอดจนเครื่องมือทางการสื่อสารที่ทำให้การพูดชัดเจน

4)         อะไรก็ตามที่สามารถทำให้การพูดนั้นสามารถถ่ายทอดความหมายได้

ตอบ 4. เครื่องมือในการสื่อความหมายในกระบวนการพูด (Communication Channel) หมายถึง สิ่งที่เป็น ช่องทางช่วยถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดของผู้นำไปให้ผู้ฟัง เช่น เสียง ภาษา สีหน้า อากัปกิริยาทำทาง และอาจ รวมไปถึงโสตทัศนูปกรณ์อื่น ๆ อีกด้วย

12.       ในกระบวนการพูดที่หวังประสิทธิผลของผู้นำ มีองค์ประกอบ 3 ด้าน คือ

1)         การวิเคราะห์เนื้อหา การถ่ายทอดอารมณ์ การสร้างความรู้สึกร่วม

2)         บุคลิกภาพ การวิเคราะห์ผู้ฟังตามสถานการณ์ การเลือกประเด็นที่จะสื่อสาร

3)         การสร้างบุคลิกภาพ การปรับปรุงน้ำเสียง การใช้อารมณ์ให้ถูกจังหวะ

4)         การมีศิลปะในการถ่ายทอด การเร้าอารมณ์ การมีทักษะในการใช้อุปกรณ์

ตอบ 2. การพูดที่ดีและมีประสิทธิภาพนั้น จะต้องพิจารณาถึงองค์ประกอบสำคัญ 3 สิ่ง ดังนี้

1.         บุคลิกภาพหรือการปรับปรุงตัวผู้พูด

2.         การวิเคราะห์ผู้ฟังตามสถานการณ์และกาลเทศะ

3.         การเลือกเรื่องหรือประเด็นที่จะพูดหรือสื่อสาร

13.       เนื้อหาของการพูดโดยทั่วไปของผู้นำมาจาก

1) ความคิดที่ไตร่ตรองแล้ว      2) ข้อมูลที่มีอยู่ทั้งหมด

3) ภาษาที่นิยมใช้        4) ผลงานที่เคยดำเนินการ

ตอบ 1. เนื้อหาหรือเนื้อเรื่องที่จะพูด (Speech) หมายถึง สาระของการพูด โดยทั่วไปจะมาจากเนื้อหาหรือ สาระที่ผ่านกระบวนการเรียนจากความคิดของผู้พูดซึ่งต้องมีการตระเตรียม การลำดับ และการดำเนินเรื่องที่ดี และถูกต้องตามกฎเกณฑ์ เช่น มีบทนำ เนื้อเรื่อง และบทสรุป

14.       การพูดที่มีประสิทธิผลของผู้นำนั้น ผู้ฟังจะเป็น……..เสมอ

1) กลุ่มเป้าหมายตามวัตถุประสงค์การสื่อสาร            2) สาธารณชนทั่วไป

3) ผู้มีส่วนได้-ส่วนเสีย 4) ผู้มีความคิดเห็นและทัศนคติคล้อยตาม

ตอบ 1. ในการพูดที่มีประสิทธิภาพนั้น ผู้พูดควรจะมีการเตรียมตัวที่ดี กล่าวคือ ผู้พูดจะต้องรู้จักกลุ่มเป้าหมายตามวัตถุประสงค์ของการพูดก่อน เพราะการพูดชนิดเดียวกันอาจจะเหมาะกับชนกลุ่มหนึ่ง แต่ไม่เหมาะกับชนอีกกลุ่มหนึ่ง ด้งนั้นจึงจำเป็นที่ผู้พูดต้องมีการวิเคราะห์ผู้ฟัง หรือศึกษาความแตกต่างระหว่างบุคคล

15.       พฤติกรรมการแสดงออกของผู้นำ เป็นกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับ

1)         บุคลิกภาพโดยรวม      2) การปรากฏต่อสาธารณชน

3) การเลือกใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ       4) การจัดเตรียมเรื่องที่จะแถลง

ตอบ 1. บุคลิกภาพ (Personality) คือ ลักษณะส่วนรวมของบุคคลแต่ละคนหรือเรียกว่า บุคลิกภาพโดยรวม ซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมแสดงออกที่หลากหลายของบุคคลนั้น ทั้งยังเป็นส่วนที่บุคคลภายนอกสังเกตได้ง่าย เช่น รูปร่างหน้าตา กริยาท่าทาง น้ำเสียง คำพูด ฯลฯ และบุคลิกภาพภายในที่สังเกตได้ยาก เช่น ความรู้สึก เจตคติหรือทัศนคติ ค่านิยม ฯลฯ

16.       Negative Leadership มีความสัมพันธ์กับข้อใด

1) ใช้การบริหารเป็นเครื่องมือ  2) ใช้ข้อมูลข่าวสารเป็นเครื่องมือ

3) ใช้ผู้บังคับบัญชาเป็นเครื่องมือ       4) ใช้อำนาจที่มีอยู่เป็นเครื่องมือ

ตอบ 4. ผู้นำประเภทนิเสธ (Negative Leadership) หมายถึง ผู้นำที่ใช้วิธีการบริหารในทางที่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ร่วมงานเกิดความเกรงกลัวจนต้องปฏิบัติตามแนวทางของผู้นำโดยผู้นำจะอาศัยอำนาจหน้าที่ (Authority) ที่มีอยู่เป็นเครื่องมือ ซึ่งผู้นำประเภทนี้จะมีลักษณะเป็นเผด็จการหรือรวมอำนาจมากที่สุด

17. ผู้นำแบบ พระเดช” หมายถึง

1) ใช้การข่มขู่ให้กลัว   2) ใช้อารมณ์ความรู้สึกเป็นประจำ

3) ใช้การบริหารจัดการเป็นหลัก          4) ใช้อำนาจตามตัวบทกฎหมาย

ตอบ 4. ผู้นำแบบใช้พระเดช (Legal Leadership) หมายถึง ผู้นำหรือหัวหน้าซึ่งได้อำนาจมาตราตัวบท กฎหมาย ปฏิบัติการโดยใช้อำนาจตามตัวบทกฎหมายเป็นหลัก มีระเบียบแบบแผนเป็นที่ตั้ง และการปฏิบัติงานปราศจากความยืนหยุ่น (Flexibility) ดังนั้น จึงมักจะพิจาณาผู้ใต้บังคับบัญชาไปในทาง Negative เสมอ

18.       เหตุใดผู้นำต้องมีความเฉลียวฉลาด

1) เพื่อการยอมรับในความสามารถ     2) เพื่อการเป็นแบบอย่างดี

3) เพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ           4) เพื่อการเป็นตัวแทนกลุ่ม

ตอบ 3. ผู้นำควรเป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาด รอบรู้ในเรื่องราวต่าง ๆ มากกว่าบุคคลทั่วไป ซึ่งความเฉลียว ฉลาดถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้ผู้นำสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นระบบ นั้นคือ สามารถมองเห็นปัญหา มองเห็นสาเหตุและวิธีแก้ปัญหา และสามารถแก้ปัญหาได้ถูกที่ นอกจากนี้ความเฉลียวฉลาดยังทำให้โน้มน้าวใจผู้อื่นให้ปฏิบัติตามได้ง่ายอีกด้วย

19.       Positive Leadership มีความสัมพันธ์กับข้อใด

1) ให้ข้อมูลที่ครบถ้วน 2) รักษาประโยชน์

3) การโน้มน้าวจิตใจ    4) รับรู้ความต้องการของผู้ตาม

ตอบ 4. ผู้นำประเภทปฏิธาน (Positive Leadership) หมายถึง ผู้นำที่ใช้วิธีการบริหารโดยให้ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือผู้ตามร่วมแสดงความคิดเห็น ทำให้รับรู้ความต้องการของผู้ตามซึ่งจัดได้ว่าเป็นผู้นำที่มีความเป็น ประชาธิปไตย กล่าวคือ ให้เสรีภาพเต็มที่ในการแสดงความคิดเห็นต่อการปฏิบัติงาน โดยผู้นำประเภทนี้จะใช้ อำนาจในลักษณะของการสร้างบารมี (Power) หรือใช้บารมีเป็นเครื่องมือ

20.       สมรรถภาพในการพูดของผู้นำพิจารณาได้จาก

1)         ความนิยม        2) ประสิทธิผล

3) ช่วงเวลาอยู่ในตำแหน่ง       4) ลูกน้อง

ตอบ 2 ผู้นำต้องมีสมรรถภาพ (Competence) ครบทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางด้านจิตวิทยาของผู้ตาม ความรู้ความชำนาญในเทคนิคเฉพาะที่ปฏิบัติงานอยู่ โดยผู้นำที่ดีต้องมีสมรรถภาพจะพิจารณาได้จากประสิทธิภาพของงาน สมรรถภาพในการพูดของผู้นำก็พิจารณาได้จากประสิทธิผลของการพูดนั่นเอง

21.       ข้อพิจารณาของสื่อสารโดยทั่วไปที่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดและเป็นตัวแปรร่วมกับการเตรียมสารเพื่อการพูดของผู้นำคือ

1) กาลเทศะ    

2) โอกาส และข้อกำหนดทางสังคม

3) วินัย และความใกล้ชิด        

4) กฎระเบียบ และทัศนคติ

ตอบ 1. การพูดที่มีประสิทธิภาพนั้น ผู้พูดควรจะมีการเตรียมตัวที่ดี เพียงใด มีอายุ เพศ อาชีพอะไร มีจำนวนเท่าไร พูดที่ไหน และเวลาพูดนานเท่าไร ทั้งนี้เพื่อจะได้เตรียมเรื่องให้ถูกต้องและเหมาะสมกับผู้ฟัง

22.       การร่วมใจ (Empathy) ของผู้นำหมายถึง

1) ใช้ภาษาให้ถูกต้องกับรสนิยม         

2) ทำตัวตามสมัยนิยม

3) เอาใจเขามาใส่ใจเรา           

4)แสดงความรู้สึกตามใจผู้ตาม

ตอบ 3. การร่วมใจ (Empathy) ของผู้นำ หมายถึง การเอาใจเขามาใส่ใจเราโดยผู้นำจะต้องรับฟังและแสดง ความคิดเห็นอย่างเต็มใจต่อผู้ร่วมงาน ต้องแสดงตัวว่าเป็นพวกเดียวกับพวกเขา รู้ถึงความต้องการทางอารมณ์ หรือแสดงตัวเป็นผู้แทนในความรู้สึกนึกคิด ความเดือดร้อน และผลประโยชน์ของกลุ่มผู้ร่วมงาน

23.       Feedback คือ

1.         ปาหินถามทาง 2) เสียงบ่นของบริวาร

3. พูดไปสองไพเบี้ย     4) ไกลปีนเที่ยง

ตอบ 2. Feedback คือ ข้อมูลย้อนกลับหรือปฏิกิริยาตอบสนองของผู้รับสาร (ผู้ฟัง) ต่อผู้ส่งสาร (ผู้พูด) หรือ สาร มีทั้งที่เห็นชัดเจนจากคำพูด (เสียงบ่น) สีหน้า กิริยาท่าทาง ฯลฯล และพฤติกรรมที่ปกปิดซ่อนเร้นภายใน จิตใจ ซึ่งผู้พูดสามารถตรวจสอบและทราบผลการพูดของตนเองได้จาก Feedback ของผู้ฟัง

24.       ความเป็นพิธีการของการสื่อสารพิจารณาจาก

1) ระเบียบแบบแผน   2) ความคุ้นเคย

3) สายการบังคับบัญชา          4) เอกสารสั่งการ

ตอบ 1. การติดต่อสื่อสารแบบพิธีการ (Formal Communication) หมายถึง การติดต่อสื่อสารที่มีระเบียบแบบแผน และมีข้อกำหนดไว้อย่างชัดเจน เช่น การติดต่อสื่อสารในวงราชการซึ่งต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษร หรือปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน กฎเกณฑ์ และธรรมเนียมของการบริหารราชการ เป็นต้น

25.       การพูดเป็น….

1)         การสื่อสารหน่วยย่อยที่สุดเพื่อพิจารณาตามปริมาณสื่อที่ใช้

2)         ผลรวมของสิ่งเร้ากับสิ่งแวดล้อมที่ใช้นำเสนอข้อมูลข่าวสาร

3)         รูปแบบหนึ่งของการสื่อสารแบบวัจนภาษา

4)         การสื่อสารระหว่างเครือข่ายที่สื่อสารมวลชนใช้อยู่

ตอบ 3. การพูด (Speech) เป็นรูปแบบหนึ่งของการสื่อสารแบบวัจนภาษา คือ ภาษาที่เป็นถ้อยคำ เช่น ภาษา พูด ภาษาเขียน ฯลฯ แต่การพูดก็ต้องอาศัยการสื่อสารแบบอวัจนภา คือ ภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยคำ เช่น น้ำเสียง สำเนียง กิริยาท่าทาง สีหน้า ฯลฯ เข้าร่วมกับวัจนภาษาด้วยดังนั้นการพูดจึงเป็นการสื่อสารที่ไม่สามารถแยก จากอวัจนภาษาอย่างเด็ดขาด

26.       ประโยชน์ของการสื่อสารในแง่การวิจัยสั่งการพิจารณาจาก

1)         การยอมรับในอำนาจ   2) ความถูกต้อง รวดเร็ว

3) ถ่ายโอนนวัตกรรมได้มากขึ้น           4) ลดปริมาณข่าวสารลง

ตอบ 2. ประโยชน์ของการติดต่อสื่อสารสำหรับผู้นำหรือหัวหน้างาน มีดังนี้

1.         ช่วยทำให้การวินิจฉัยสั่งการไปอย่างรวดเร็ว แม่นยำ และถูกต้องยิ่งขึ้น

2.         ช่วยทำให้เกิดการประสานงานที่ดีระหว่างผู้บังคับบัญชา และผู้ใต้บังคับบัญชาหรือช่วยให้ ทำงานสอดคล้องกัน ไม่ทำงานซ้อนหรือก้าวก่ายกัน

3.         ช่วยท่าให้การควบคุมงานตามสายการบังคับบัญชามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

4.         ช่วยก่อให้เกิดความสามัคคีในหน่วยงาน เกิดขวัญในการทำงาน และทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชา เข้าใจในหน่วยงานดีขึ้น

27.       ข้อใดเป็นวินัยที่ควรปฏิบัติของผู้นำในฐานะนักพูดที่ดี

1)         ตรงเวลาเพื่อจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ ต่อหน้าลูกน้อง

2)         มาก่อนเวลาเพื่อตระเตรียมสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง

3)         ทำทุกอย่างเอง เพื่อความสมบูรณ์แบบในการพูด

4)         ตรวจบันทึกข้อมูลการพูดที่ผ่านมา แล้วแจ้งให้ลูกน้องทราบด้วยเอกสาร

ตอบ 2. การพูดที่มีประสิทธิภาพนั้น ผู้พูดจะต้องมีการเตรียมตัวที่ดี และควรจะมาก่อนเวลาพูดเพื่อตระเตรียม ต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่น สำรวจเวที สถานที่ และอุปกรณ์ด้วยตนเอง เพื่อสร้างความคุ้นเคยและไม่ให้เกิด ความผิดพลาดในการพูด

28.       ขณะที่ผู้นำพูดไปควรแสดงท่าทางอย่างไร

1)         ปล่อยตัวตามสบาย โดยพิจารณาการแสดงออกจากผู้ฟังเป็นสำคัญ

2)         ยิ้ม หัวเราะ แสดงออกทางอารมณ์ตามที่เตรียมมา

3)         รักษาตำแหน่งของมืออย่างให้เกะกะ หรือสูงต่ำเกินไป

4)         กอดอกแสดงความภาคภูมิใจในความเป็นผู้นำความคิดตลอดเวลาที่พูด

ตอบ 4. การแสดงท่าทางการประกอบการพูด เป็นสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง และทำให้การพูดมี ประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผู้พูดควรจะแสดงท่าทางประกอบการพูดต่อเมื่อต้องการอธิบายหรือเน้นข้อความที่พูด แต่ที่ สำคัญก็คือ ในขณะที่ยืนพูดจะต้องไม่ยืนกอดอกเอามือท้าวสะเอว เอามือใส่กระเป๋า หรือเอามือไขว้หลังเป็นอันขาด

29.       การประเมินผลการพูด ผู้นำต้องไปใช้เป็นข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับอะไร

1)         สร้างประเด็นและความน่าสนใจในการนำเสนอครั้งต่อไป

2)         สำรวจกรอบแนวคิด และความเชื่อด้านต่าง ๆ ที่จะเป็นภัยต่อสังคม

3)         พิจารณาปฏิกิริยาตอบกลับด้านต่าง ๆ ที่มีเกี่ยวกับประเด็นสาระของการสื่อสาร

4)         กำหนดประเด็นที่สื่อมวลชนควรรับรู้และนำเสนอในรูปของเอกสารเผยแพร่

ตอบ 1. ประโยชน์ของการประเมินผล (Evaluation) การพูด คือ

1.         นำไปใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการสร้างประเด็นและความนำสนใจในการนำเสนอครั้งต่อไป

2.         ช่วยในการปรับปรุงบุคลิกภาพผู้พูด

3.         ช่วยยกระดับจิตใจผ่านการฟังและการหาเหตุผล .

4. เพื่อสร้างเสริมสติปัญญา

30.       การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายเพื่อตรวจสอบความเชื่อและทัศนคติมีผลอย่างไรต่อการเตรียมข้อมูลในการพูด แต่ละครั้งของผู้นำ

1)         เพื่อสร้างรูปแบบสื่อสารและระดับความซับซ้อนของข้อมูลที่นำเสนอ

2)         เพื่อเปิดประเด็นและหัวข้อที่จะพูดให้เหมาะสม

3)         เพื่อต้องการทราบแนวโน้มการตัดสินใจในเรื่องที่จะเป็นส่วนได้เสียของผู้ฟัง

4)         เพื่อกำหนดวาระรับรู้และกระบวนการออกแบบเนื้อหา

ตอบ 3. การวิเคราะห์ผู้ฟังเพื่อตรวจสอบความเชื่อ ความคิดเห็น และทัศนคติ แจะทำให้ผู้พูดทราบถึงแนวโน้ม การตัดสินใจเรื่องที่จะเป็นส่วนได้-เสียของผู้ฟัง เพื่อให้ผู้พูดสามารถเตรียมข้อมูลในการพูดและครั้งได้สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้ฟังเชื่อและยึดถือ ไม่ไปขัดแย้งหรือดูถูกความเชื่อ ความคิดเห็น และทัศนคติของผู้ฟังที่มีอยู่แต่เติม

31.       การมีคู่ครองที่เหมาะสมมีส่วนสนับสนุนผู้นำด้านใด

1)         อรรถประโยชน์            

2) ผลประโยชน์           

3) ภาพพจน์     

4) ภาพลักษณ์

ตอบ 4. ผู้ที่จะเป็นผู้นำควรเลือกคู่ครองหรือคู่ชีวิตที่เหมาะสมและมีบุคลิกที่ดีพอสมควร เพราะในการไปปรากฏตัวในที่ชุมชนนั้น บางครั้งคู่ชีวิตของผู้นำจะต้องปรากฏตัวด้วย ถ้าคู่ชีวิตมีบุคลิกภาพดี มีมรรยาทงดงาม ก็จะช่วยส่งเสริมหรือสนับสนุนภาพลักษณ์ของผู้นำให้ดียิ่งขึ้น

32.       บุคลิกภาพของผู้นำ….

1) เปลี่ยนแปลงได้                   

2) ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

3) คงที่และตายตัว                

4) เป็นอัตลักษณ์เฉพาะ

ตอบ 1. บุคลิกภาพ (Personality) เป็นสิ่งที่สามารถแก้ไข ปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงกันได้ ผู้ที่อยากจะมีบุคลิกภาพที่ดีจึงต้องมีความนั้นเพียร เอาใจใส่ในการฝึกฝน มีความอดทนและมีความรักที่จะแก้ไขข้อบกพร่องของตนเอง (ดูคำอธิบายข้อ 15. ประกอบ)

33.       การเริ่มต้นเนื้อหาของการพูด ผู้นำควรหลีกเลี่ยงเนื้อหาในลักษณะใด

1)         สภาพการจราจรที่รายงานผ่าน สวพ. 91

2)         หัวข่าวหนังลือพิมพ์ฉบับเช้า

3)         ฝาท่อระบายน้ำที่เจ้าหน้าที่เผลอเปิดเอาไว้หน้าสำนักงาน

4)         เรื่องส่วนตัวของลูกน้องที่กำลังตกเป็นข่าวหน้าหนังสือพิมพ์

ตอบ 4. ในการเริ่มต้นเนื้อหาของการพูดนั้น จะต้องมีคำนำเพื่อเป็นการเกริ่นหรือเสนอที่มาของเรื่องที่จะพูดก่อน ซึ่งเป็นการเรียกความสนใจเบื้องต้นของผู้ฟัง ทั้งนี้ผู้พูดที่ฉลาดจะต้องระมิดระวังในเรื่องคำนำหรือ อารัมภบทเป็นอย่างมาก ถ้าคำนำดี ผู้ฟังจะเกิดความเสื่อมใสศรัทธา ทำให้ตั้งใจฟังมากขึ้น แต่ถ้าคำนำไปกระทบเรื่องส่วนตัวของผู้ใดหรือพูดเรื่องส่วนตัวของตนเอง ผู้ฟังก็จะขาดความศรัทธาในตัวผู้พูด ซึ่งก็จะส่งผลให้การพูดไม่ประสบผลสำเร็จ

34.       การตรวจสอบง่าย ๆ ว่าขณะพูดผู้ฟังได้ยินหรือเปล่า พิจารณาจาก

1)         ความสนใจฟังของผู้ฟัง            2) เครื่องแต่งกายของผู้ฟัง

3) คำทักทายของผู้ฟัง 4) สีหน้าของผู้ฟัง

ตอบ 4. หลักการพูดสำหรับผู้นำข้อหนึ่งคือ ตามอง (ผู้ฟัง) ปากพูด ซึ่งขณะที่พูดนั้นผู้พูดสามารถตรวจสอบ ได้ง่าย ๆ ว่าผู้ฟังได้ยินเสียงที่พูดหรือเปล่า จากการสังเกตหรือสีหน้ากิริยาทำทางของผู้ฟัง ถ้าผู้ฟังแสดงสีหน้า ไม่ยินดีหรือทำเงี่ยหูฟัง ผู้พูดก็ควรถามก่อนที่จะพูดเรื่องที่เตรียมมาว่า ผู้ฟังได้ยินหรือไม่ (ดูคำอธิบายข้อ 23. ประกอบ)

35.       สิ่งเร้าที่เกิดจากตัวผู้พูดมีผลเชิงรูปธรรมกับผู้ฟัง คือ

1)         บุคลิกภาพและน้ำเสียง           2) ความรู้สึกนึกคิด

3) ระดับการศึกษา      4) ความเชื่อและทัศนคติ

ตอบ 1. สิ่งเร้าที่เกิดจากตัวผู้พูดที่มีผลเชิงรูปธรรมกับผู้ฟัง คือ สิ่งที่ผู้ได้เห็นและได้ยิน เช่น น้ำเสียง เรื่องที่ นำมาพูด การแต่งกาย ท่าทาง การเคลื่อนไหวและบุคลิกภาพของผู้พูด

36.       คำพูดที่มาจากใจ มีความสัมพันธ์อย่างไรในกระบวนการสื่อสารเพื่อสร้างความประทับใจ

1)         มนุษย์ใช้เหตุผลเป็นสิ่งเชื่อมโยงสถานการณ์มากกว่าอารมณ์

2)         เหตุผลเป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่มนุษย์โต้ตอบสิ่งเร้า

3)         มนุษย์รับรู้อารมณ์ความรู้สึกก่อนใช้ความคิดตัดสินเหตุผล

4)         การเลือกที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสารใด ๆ สมองเป็นผู้สั่งการอย่างมีเหตุผล

ตอบ 3. ในกระบวนการสื่อสารเพื่อสร้างความประทับใจนั้น ผู้พูดควรใช้ถ้อยคำอย่างมีความจริงใจ น้ำเสียงที่พูดออกมาแสดงว่าได้พูดออกมาจากใจจริง คำพูดเป็นอย่างไรก็มีความรู้สึกอย่างไร ทั้งนี้เนื่องจากมนุษย์มักจะ รับรู้อารมณ์ความรู้สึกก่อนใช้ความคิดตัดสินใจเหตุผล

37.       ในการวางโครงเรื่องพูด หากมีสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในทางเลวร้าย อะไรคือสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่าง รอบคอบที่สุด

1) การตกลงใจที่จะเลือกใช้ข้อมูล       2) ความกล้าที่จะตัดสินใจเลือกประเด็นหรือเนื้อหาที่จะพูด

3) ปฏิกิริยาของผู้ฟังที่จะแสดงกลับมา 4) องค์ประกอบของกลุ่มผู้ฟัง

ตอบ 2. การเริ่มคิด เป็นขั้นตอนของการริเริ่มที่จะวางเค้าโครงเรื่องที่จะพูดว่า ผู้พูดจะพูดเกี่ยวกับอะไร ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ คือ ผู้พูดจะต้องมีความสำคัญที่จะตัดสินใจเลือกประเด็นหรือเนื้อหาที่ จะพูด โดยเฉพาะหากมีสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในทางเลวร้าย แต่ถ้าไม่เชื่อในความคิดของตนเอง ก็อาจถามผู้ที่รู้จักเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ แล้วก็จะได้หัวข้อที่คิดจะนำไปพูดมากขึ้น

38.       ทำไมผู้เตรียมการจึงต้องมีการเขียนเค้าโครงเรื่อง

1) เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม           2) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในแหล่งที่มาของข้อมูล

3) เพื่อประมวลสาระข้อมูลและจัดลำดับ 4) เพื่อให้ผู้ฟังได้รับการตอบสนองข้อมูลที่มากพอ ตอบ 3. ในการเตรียมเรื่องพูดนั้น ผู้พูดจำเป็นที่จะต้องเขียนโครงร่างหรือโครงเรื่อง (Outline) ขึ้นมาก่อน ทั้งนี้ ก็เพื่อประมวลสาระข้อมูลอันเป็นการเขียนแนวทางว่าเรื่องที่จะพูดนั้นมีหัวข้ออะไร โดยโครงร่างหรือโครงเรื่องนี้ จะช่วยเป็นแนวทางการจัดเรียงเรื่องที่จะพูด ทำให้เนื้อหามีเอกภาพ ไม่สับสน และง่ายแก่การจดจำไปพูด

39.       เหตุใดผู้พูดจึงต้องค้นคว้าข้อมูลเพื่อการนำเสนอ และมีการระบุแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น ๆ

1)         เพื่อให้ได้ข้อมูลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

2)         เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดลึกซึ้งตรงความสนใจของผู้ฟัง

3)         เพื่อแสดงออกถึงการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ เป็นการเคารพแหล่งที่มาก่อนหน้านี้

4)         เพื่อให้การแบ่งหัวข้อ และหาข้อมูลสนับสนุนเป็นไปอย่างราบรื่น

ตอบ 3. การค้นคว้า (Research) ข้อมูลเพื่อนำเสนอเป็นขั้นตอนหลังจากการเขียนโครงเรื่อง ซึ่งวิธีการ ค้นคว้าข้อมูลอาจทำได้ด้วยการอ่านหนังสือ (ตำรา หนังสือพิมพ์ นิตยสารต่าง ๆ ฯลฯ) การสนทนากับบุคคลอื่น การสัมภาษณ์บุคคลสำคัญหรือจากประสบการณ์ของผู้พูดเอง โดยมีการระบุแหล่งที่มาของข้อมูล เพื่อแสดงออกถึงการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ และเป็นการเคารพแหล่งที่มาก่อนหน้านี้

40.       มรรยาททางสังคมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ…..ที่ผู้นำจะต้องขึ้นกล่าวอย่างแยกกันไม่ออก

1) ระบบการสื่อสารมวลชน     2) วัฒนธรรม และแบบปฏิบัติ

3) พัฒนาการทางความคิด      4) ประวัติความเป็นมา

ตอบ 2. มรรยาททางสังคม คือ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีควรพูดอย่างไรจึงจะเหมาะสม ซึ่งการ รู้จักมารยาทของสังคมจะช่วยส่งเสริมให้ผู้นำมีบุคลิกภาพดีขึ้น และทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิดความเลื่อมใสศรัทธา

41.       ไม่ว่าจะขึ้นคำด้วยวิธีการใด ๆ ก็ตาม สิ่งที่ผู้นำจะต้องปฏิบัติเป็นแบบอย่างในการพูดทุกครั้งคือ

1)         ต้องตื่นเต้นเร้าใจเสมอ    

2) กล่าวถึงแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้

3) สอดคล้องกับเนื้อเรื่องที่จะกล่าวในลำดับถัดไป 

4) ต้องทักทายผู้ฟังไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามก่อนเสมอ

ตอบ 3. คำนำ (Introduction) ในการพูด เป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะชักจูงให้ผู้ฟังสนใจฟังต่อไป ซึ่งผู้พูดอาจ ขึ้นต้นด้วยคำจำกัดความ คำถาม สุภาษิต คำคม อารมณ์ขัน ความประหลาดใจ ฯลฯ โดยคำนั้น ๆ จะต้องสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง (Main Body) ที่จะกล่าวในลำดับต่อไป

42.       รสนิยมของผู้นำ หมายถึง

1) การปรากฏตนที่โดดเด่น     

2) ความคิดสร้างสรรค์ที่ล้ำหน้า

3) การเลือกให้เหมาะสมกับโอกาส     

4) ความพอเพียง

ตอบ 3. ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

43.       ความคล่องแคล่ว คือ

1) ว่องไวอย่างมีจังหวะจะโคน             2) เร่งรีบทำให้เสร็จทันกาล

3) พยายามให้เหมาะสมกับโอกาส      4) ทำให้เห็นว่าเร็วเท่าที่จะทำได้

ตอบ 1. ดูคำอธิบายข้อ 5. ประกอบ

44.       ข้อใดกล่าวถูกต้องที่สุดเกี่ยวสับ สติ” ในการพูด

1) คิดให้มาก   2) ทำทุกอย่างให้สงบ

3) ควบคุมตนให้ได้      4) บังคับให้มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด

ตอบ 3. ผู้ที่จะเป็นผู้นำควรมีสติหรือรู้จักควบคุมตนเองห้ได้ ผู้ที่ขาดการควบคุมตัวเองจะทำให้เสียบุคลิกภาพทันที ผู้นำที่ดีจึงต้องครองสติอยู่เสมอ ไม่ปล่อยตนเองให้เป็นทาสทางอารมณ์ เช่น ด่าทอพนักงาน ภารโรง คนขับรถ ฯลฯ และไม่เป็นทาสของมึนเมาหรือยาเสพติด

45.       เมื่อผู้ฟังปรบมืออย่างกึกก้องด้วยความชื่นชม ผู้พูดควรจะ

1)         หยุดพูด จนเมื่อการแสดงความพอใจหมดจบจึงเริ่มพูดต่อ

2)         ยกมือสองข้างขึ้นเหนือศีรษะแล้วโบกไปมา

3)         กล่าวคำว่าขอบคุณแล้วแสดงความเคารพ

4)         เดินลงจากเวทีเพื่อไปสัมผัสมือกับผู้ฟัง

ตอบ 1. ในขณะที่พูด ถ้าผู้ฟังแสดงความพอใจด้วยการหัวเราะหรือปรบมือ ผู้พูดจะต้องหยุดพูดเพื่อรอให้เสียงเหล่านั้นซาหรือจบลงแล้วจึงพูดต่อไปอย่าพูดแข่งกับเสียงต่าง ๆ

46.       ปัญหาความวิตกกังวลของผู้พูดต่อการปรากฏตัวต่อสาธารณะ ส่วนใหญ่มักเกิดจาก

1)         เครื่องแต่งกายที่ไม่เหมาะสม

2)         มาถึงเวลาที่พูดนานมากจนเกินไป

3)         เกรงว่าภาษาที่ใช้ไม่เหมาะกับผู้ฟัง

4)         การไม่รู้จักเจ้าภาพเป็นการส่วนตัว

ตอบ 3. ปัญหาความเครียดและวิตกกังวลของผู้พูดส่วนใหญ่ จะเกิดจากการเตรียมตัวที่ไม่ดีหรือไม่พร้อม จึงทำให้เกรงว่าภาษาที่ใช้จะไม่เหมาะสมกับผู้ฟัง ซึ่งทำให้ผู้พูดเกิดอาการตื่นเวที โดยวิธีแก้ไขประการแรก คือ ผู้พูดต้องเตรียมเรื่องพูดและซ้อมพูดมาอย่างดี เพราะถ้าหากเตรียมตัวพร้อม มีความเข้าใจในเรื่องที่พูดอย่างดีก็จะมีความมั่นใจในตัวเอง เวลาพูดก็จะไม่เกิดความกลัว ความเครียดและวิตกกังวลอีก

47.       ในวิชาการพูดนั้น การพูดกินใจคน” หมายถึง

1) การกล่าวยกยอปอปั้น        2) คำพูดที่เกินความจริง

3) คำหยาบที่ทำให้โกรธทันที   4) การพูดถึงปมด้อย

ตอบ 4. ผู้ที่จะเป็นผู้นำควรหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำที่กินใจคน นั่นคือ หลีกเลี่ยงการพูดถึงปมด้อยหรือ ข้อบกพร่องทั้งทางร่างกายและจิตใจของคนอื่น ซึ่งถือเป็นถ้อยคำที่แสลงใจคนเช่น คำว่า ร่ำรวยหลายแสนหลายล้าน” สำหรับคนหัวล้าน หรือ ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลาย” สำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้ เป็นต้น

48.       ตัวแปรด้านลบที่มีส่วนทำให้เนื้อหาการพูดที่เตรียมมาไม่สามารถถ่ายทอดตามความต้องการในขณะที่ผู้พูดมีความพร้อมอย่างเต็มที่แล้ว คือ

1) อารมณ์       2) บรรยากาศรวมทั้งสิ่งแวดล้อม

3) สถานที่ที่ได้รับเชิญไป         4) การจัดรูปแบบของเวที

ตอบ 2. บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีและที่ดีเกินไปย่อมเป็นอุปสรรคต่อการพูด ทำให้ผลของการพูดไม่ตรงตามจุดมุ่งหมาย และถือเป็นตัวแปรด้านลบที่มีส่วนทำให้เนื้อหาการพูดที่เตรียมมาไม่สามารถถ่ายทอดตามความต้องการได้ ถึงแม้ผู้พูดจะมีความพร้อมอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม

49.       การพูดเรื่องส่วนตัวของผู้นำเองมากเกินไปเป็นการผิดมารยาทในการพูดด้านใด

1) ความไม่รับผิดชอบต่อเนื้อหา           2) ใช้อำนาจไม่ถูกเวลา

3) ไม่ให้เกียรติผู้ฟังเท่าที่ควร   4) ไม่วิเคราะห์ผู้ฟังก่อน

ตอบ 3. ในการพูดนั้น ผู้พูดไม่ควรพูดเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องภายในครอบครัว และไม่ควรพูดอวดตน อวดภูมิ ข่ม หรือถือว่าตนเองดีกว่าผู้ฟัง เพราะนอกจากจะไม่สุภาพแล้ว ยิ่งเป็นการไม่ให้เกียรติผู้ฟังอีกด้วย

50.       หากพิจารณาในเชิงจิตวิทยาแล้ว เหตุใดมนุษย์จึงชอบพูดมากกว่าฟัง

1)         เพราะสามารถสร้างความได้เปรียบในความถูกต้องได้มากกว่า

2)         เพราะการพูดสร้างความมั่นใจและเชื่อมั่นในตนเองได้มากกว่า

3)         เพราะการพูดเป็นช่องทางเลือกข้อมูลได้มากกว่า

4)         เพราะการพูดรับปฏิกิริยาตอบกลับได้มากกว่า

ตอบ 2. โดยปกติแล้วคนเราชอบพูดมากกว่าชอบฟัง เพราะในขณะที่พูดนั้นผู้พูดจะสร้างความมั่นใจและมีความรู้สึกว่าตนมีความเชื่อมั่นในตนเอง ตนได้แสดงความคิดเห็นและได้รับความสนใจจากผู้ฟัง

51.       การพูดเกินเวลาที่กำหนด เป็นการผิดมรรยาทข้อใดมากที่สุด

1)         ไม่มีการเตรียมตัวที่ดีพอ          

2) ขาดการรับฟังความคิดเห็น

3) ไม่นับถือประธานในพิธี       

4) ไม่เคารพสิทธิของผู้ฟัง

ตอบ 4. ในการพูดนั้น ผู้พูดควรพูดให้เหมาะสมกับเวลา อย่าพูดเกินเวลาที่กำหนดเพราะเป็นการแสดงว่าผู้พูดไม่ได้เคารพและไม่ได้รักษาสิทธิที่พึงมีของผู้ฟังเหมือนกับของตนเอง

52.       หากพิจารณาในเชิงพฤติกรรมการสื่อสารแล้ว เหตุใดจึงไม่ควรผูกขาดการพูดไว้ฝ่ายเดียว

1)         เพราะโครงสร้างของกลุ่มเป้าหมายจะมีการเปลี่ยนแปลง

2)         เพราะจะทำให้การตีความหมายของคำพูดเกิดการบิดเบือน

3)         เพราะจะเกิดสภาพการเลือกทิ้งและตีความข่าวสารในลักษณะที่ไม่พึงประสงค์

4)         เพราะไม่เกิดความสมดุลในโครงสร้างของการสื่อสาร

ตอบ 2. ในการพูดนั้น ผู้พูดจะต้องไม่ผูกขาดการพูดแต่เพียงคนเดียวควรจะเปิดโอกาสการตรวจสอบว่าผู้ฟังตีความหมายของข่าวสารได้ตรงกับผู้พูดหรือไม่ เพื่อไม่ทำให้การตีความหมายของข่าวสารเกิดความบิดเบือน

53.       การแก้ปัญหาการพูดในสถานการณ์ที่ไม่สามารถจะเตรียมการพูดล่วงหน้าได้ สิ่งที่น่าจะเป็นตัวช่วยสำคัญ นอกเหนือจาก สติ” คือ

1) ข้อมูลและสถิติเท่าที่จำได้   2) การใช้ภาษาที่สละสลวย

3) ภาพลักษณ์ของบุคคล        4) โครงสร้างการพูดที่จำลองล่วงหน้า

ตอบ 4 การพูดปากเปล่าโดยไม่มีการเตรียมการล่วงหน้า (การพูดโดยกะทันหัน) มีข้อควรปฏิบัติดังนี้ 1. พยายามควบคุมสติไว้ให้ได้ (ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด) 2. ใช้ปัญญาปฏิภาณไหวพริบให้มากที่สุด 3. พยายาม นึกถึงโครงสร้างของการพูด 4. ฝึกพูดในใจในเรื่องที่เตรียมได้ 5. พูดหรือตอบคำถามให้สั้น กระชับ มีประเด็น และมีความหมายชัดเจน อีกทั้งควรเลี่ยงการตอบคำถามที่คลุมเครือ

54.       กิจกรรมในข้อใดต้องใช้คำปฏิสันถารแบบเป็นพิธีการเต็มรูปแบบ

1)         รัฐพิธี   2) ทำบุญผ้าป่า

3) ต้อนรับคุณครูคนใหม่          4) งานเลี้ยงพระบ้านคุณป้า

ตอบ 1. การกล่าวคำปฏิสันถารแบบเป็นพิธีการเต็มรูปแบบ มักใช้ในงานรัฐพิธี เช่น งานวันเฉลิมพระชนม์ พรรษา วันปิยะมหาราช ฯลฯ ซึ่งเป็นงานที่มีคนหลายอาชีพมาชุมชน และมีผู้ว่าราชการจังหวัด หรือ นายอำเภอเป็นประธานกล่าวคำถวายพระพร โดยควรกล่าวคำปฏิสันถารว่า ท่านแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย

55.       ข้อใดทำให้การปรากฏตัวของผู้นำไม่งามสง่า

1) ก้าวย่างอย่างมั่นใจ 2) ขยับแว่น

3)         ปรับไมโครโฟนพอเหมาะกับส่วนสูง   4) กวาดตามองอย่างทั่วถึง

ตอบ 2. ผู้นำควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่จะทำให้ปรากฏตัวไม่สง่างาม ดังนี้

1.         อย่าจับจมูก ทำจมูกฟุดฟิด หรือสูดน้ำมูก

2.         อย่าพะวงมองดูบัตรจดหัวข้อเรื่อง

3.         อย่ายืนพิงโต๊ะที่ยืนพูด

4)         อย่าจับแว่น เอามือเสยผม เกาศีรษะ ขยับกางเกง เลียริมฝีปาก หรือดึงคอเสื้อ ฯลฯ

56.       การตอบคำถามในการพูดโดยไม่มีการเตรียมตัวเอาไว้ล่วงหน้า ผู้นำควรกล่าวในลักษณะใด

1)         ชี้แจงรายละเอียด และให้ข้อมูลตามประสบการณ์

2)         บอกปัดและถ่ายโอนไปให้ผู้ที่รู้มากกว่า หรือน่าจะรับผิดชอบแทนได้

3)         มีประเด็นและความหมายชัดเจน เลี่ยงคำตอบในคำถามที่คลุมเครือ

4)         ใช้สถิติ และข้อมูลทางวิชาการเพื่อสร้างความมั่นใจในการตอบ

ตอบ 3. ดูคำอธิบายข้อ 53. ประกอบ

57.       การพูดโดยมีจุดมุ่งหมายด้านการชักจูงใจต้องอาศัย……เป็นแนวทาง

1)         แผ่นจดข้อความแบบย่อ

2)         การซักซ้อมโดยเน้นลำดับการนำเสนอ

3)         การสร้างความประทับใจจากข้อมูลที่นำเสนอ

4)         ขยายข้อมูลสาระที่มากพอต่อการตัดสินใจ

ตอบ 3 การพูดเพื่อการชักจูงใจต้องอาศัยวิธีการดำเนินการดังนี้

1.         พูดเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเสื่อมใสศรัทธาในตัวผู้พูด

2.         พูดเพื่อให้เกิดความสนใจจากผู้ฟัง

3.         สร้างความพอใจให้แก่ผู้ฟัง

4.         สร้างความไว้วางใจหรือความประทับใจจากข้อมูลที่นำเสนอให้แก่ผู้ฟัง

5.         สร้างความเชื่อมั่น

6.         พูดอย่างมีชีวิตจิตใจ

7.         พูดเร้าหรือกระตุ้นเพื่อให้ผู้ฟังลงมือกระทำ

58.       การเตรียมเอกสาร ผู้เตรียมสามารถจัดทำได้ใน 2 กรณี คือ

1) ผู้พูด ผู้ฟัง    2) ตนเอง คนอื่น

3) เจ้าภาพ ประธานในพิธี       4) ผู้ฟัง ผู้สังเกตการณ์

ตอบ 2. ในการเตรียมเอกสารหรือเรื่องพูดนั้น ควรเตรียมให้เหมาะสมกับบุคลิกภาพและแนวความคิดของผู้พูด โดยสามารถจัดทำการเตรียมหรือเรื่องพูดได้ 2 กรณี คือ 1. เตรียมตัวด้วยตนเอง ซึ่งคนเราย่อมค้นคว้าและ เขียนเฉพาะเรื่องที่ถูกกับนิสัยหรือบุคลิกของตนเองเท่านั้น 2. ให้คนอื่นเตรียมให้ เนื่องจากผู้พูดไม่มีเวลา ซึ่งควรจะเป็นผู้ที่คุ้นเคยจนรู้นิสัยใจคอและความคิดเห็นของผู้ที่คุ้นเคยจนรู้นิสัยในของผู้พูดเป็นอย่างดี และผู้พูดต้องแนะแนวเรื่องไว้ก่อนด้วย

59.       ข้อใดเป็นการแบ่งการพูดตามวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร

1)         เร้าอารมณ์ สร้างจุดสนใจ        2) ให้ความบันเทิง ชักจูงใจ

3) บอกเล่า กล่าวความจริง     4) ท่องจำ กล่าวตามหัวข้อ

ตอบ 2. การพูดตามจุดมุ่งหมายหรือตามวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. การ พูดเพื่อให้ความบันเทิง (The Entertaining Speech) 2. การพูดเพื่อให้ความรู้หรือเล่าข้อเท็จจริง (The Informative or Instructive Speech) 3. การพูดเพื่อชักจูงใจ (The Persuasive of Influenced Speech)

60.       การเตรียมเนื้อหาของรายงานที่จะพูดนั้น ไม่ควรที่จะ….

1) มีหัวข้อที่สั้น กระชับ ชัดเจน            2) ทำหัวข้อย่อย ๆ ให้ง่ายต่อการอ่าน

3) บรรจุเนื้อหาที่สมบูรณ์ของเรื่องลงไป          4) จัดทำอย่างประณีตด้วยความรอบคอบ

ตอบ 3. การเตรียมเรื่องหรือเนื้อหาของรายงานที่จะพูดนั้น ควรเรียบเรียงขึ้นด้วยข้อย่อย ๆ ให้โดดเด่น ง่ายต่อการอ่าน แต่ไม่ควรบรรจุเนื้อหาที่สมบูรณ์ของเรื่องลงไปเพราะจะทำให้มีเนื้อหาและข้อปลีกย่อยมากมาย ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้ฟังจำสับสน เกิดความเบื่อและทำให้เสียเวลา

61.       ในการพูดเพื่อให้สาระความบันเทิง มีอะไรเป็นเนื้อหาสำคัญ

1) สิ่งเร้า          

2) บรรยากาศ  

3) อารมณ์ความรู้สึก 

4) ความต้องการ

ตอบ 3. จุดมุ่งหมายของการพูดเพื่อความบันเทิงก็คือ เพื่อให้ความบันเทิงรื่นเริงสนุกสนานแก่ผู้ฟัง ดังนั้น อารมณ์ขันและความรู้สึกจึงนับว่าเป็นตัวแปรที่สำคัญของการพูดชนิดนี้

62.       ผลที่ได้จากการพูดชักจูงใจ คือ

1) เปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนพฤติกรรม      

2) การทำตามคำสั่ง

3) สร้างภาวะทางอารมณ์กดดัน          

4) ให้ตีความหมายข่าวสาร

ตอบ 1. การพูดเพื่อชักจูงใจ มีจุดมุ่งหมายเพื่อชักจูงให้เห็นด้วยเพื่อให้เปลี่ยนความคิดหรือพฤติกรรม และเพื่อชักจูงให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งผลที่ได้คือ ผู้ฟังเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนพฤติกรรมตามความประสงค์ที่ผู้พูดได้ตั้งไว้

63.       เนื้อหาประเด็นใดที่ไม่จำเป็นต้องพูดรายงานแบบแถลงข้อเท็จจริง

1)         ประเด็นที่วัยรุ่นให้ความสนใจและสนทนาในเครือข่ายออนไลน์

2)         สิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับจัดทำเป็นวาระแห่งชาติ

3)         ปัญหาวิกฤติของประเทศที่ทำให้มหาวิทยาลัยต้องมีการศึกษาค้นคว้า

4)         สถิติ ข้อมูล สาระของแผนเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติใหม่

ตอบ 1. การพูดรายงานแบบแถลงข้อเท็จจริง เป็นการเสนอข้อเท็จจริง หลักฐานข้อมูล/สถิติ วัตถุประสงค์ หลักการ และสมมุติฐานที่จะเกิดขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเป็นการรายงานถึงโครงการหรือนโยบาย ที่จะกระทำ หรือที่กำลังกระทำอยู่

64.       ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เริ่มเข้าทำงาน มิได้หมายถึง

1) ผู้ที่เข้าทำงานเป็นครั้งแรก   2) ผู้ที่มาทำงานเป็นวันแรก

3) ผู้ที่ถูกโอนย้ายมาจากหน่วยงานอื่น 4) ผู้ที่ถูกบรรจุใหม่ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงานบุคคล

ตอบ 2. ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เริ่มทำงาน หมายถึง ผู้ที่ทำงานใหม่เป็นครั้งแรกผู้ที่สอบแข่งขันได้หรือถูกบรรจุ ใหม่แล้วเข้ารายงานตัวเพื่อทำงาน รวมถึงผู้ที่ถูกแต่งตั้งหรือโอนย้ายมาจากหน่วยงานอื่น

65.       ข้อมูลใดที่ผู้บังคับบัญชาจะมอบหมายงานให้กับพนักงานได้อย่างเหมาะสม

1)         เกียรติบัตรรับรองความสามารถ          2) ใบผ่านงาน

3) คำอธิบายงานในหน้าที่       4) ทรานสคริปต์

ตอบ 3. ผู้บังคับบัญชาควรเตรียมหาคำอธิบายในหน้าที่รับผิดชอบของตำแหน่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือพนักงาน จะทำ เพื่อว่าผู้บังคับบัญชาจะใช้อธิบายพูดคุย และมอบหมายงานให้กับพนักงานได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

66.       การพูดในลักษณะวิพากษ์วิจารณ์มีลักษณะเฉพาะที่ต่างจากการพูดประเภทอื่น ๆ อย่างไร

1)         เนื้อหาที่จะพูดต้องเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

2)         ต้องมีการนำเสนอด้วยหลักการติเพื่อก่อ ชมเพื่อให้กำลังใจ

3)         ต้องมีการจัดสมดุลของเนื้อหา และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่กล่าวอ้าง

4)         ต้องมีการใช้กติกา ข้อกำหนด หรือตัวบ่งชี้ต่าง ๆ มาใช้เป็นเกณฑ์

ตอบ 2. การพูดวิจารณ์ หมายถึง การพูดทั้งติและชมสิ่งใดสิ่งหนึ่งในแง่ต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลและถูกหลักวิธีการวิจารณ์ เป็นการพูดที่ต้องใช้หลักการตรรกวิทยา (Logic) หรือหลักทางเหตุผล โดยจะไม่เอาอารมณ์ของ ผู้พูดมาเกี่ยวข้องด้วย

67.       หน้าที่ของผู้บังคับบัญชาโดยตรงที่มีต่อองค์กรเมื่อมีบุคคลใหม่ คือ

1)         แจ้งให้หน่วยงานทราบ            2) พาเดินชมที่ทำงาน

3) พิมพ์นามบัตร          4) เลี้ยงรับรอง

ตอบ 1. หน้าที่โดยตรงของผู้บังคับบัญชาที่มีต่อองค์กรเมื่อมีพนักงานหรือบุคคลากรใหม่ คือ ประกาศคือแจ้งให้ หน่วยงานและพนักงานทุกคนทราบล่วงหน้า โดยอาจส่งอีเมล์ทำจดหมายเวียน หรือติดประกาศที่บอร์ด ประชาสัมพันธ์

68.       มารยาทของรุ่นพี่ที่มีต่อพนักงานใหม่ หลังจากได้รับการแนะนำ คือ

1)         ชวนเลี้ยงฉลอง            2) มอบของที่ระลึก

3) มอบหมายงานพร้อมแบบประเมิน  4) ปรบมือต้อนรับ

ตอบ 4. ในหน่วยงานบางแห่งเมื่อมีการประชุม ผู้บังคับบัญชาแนะนำผู้เริ่มเข้าทำงานใหม่ให้สมาชิกทั้งหมด ทราบอีกครั้ง ซึ่งหลังจากได้รับการแนะนำ ผู้เริ่มเข้าทำงานใหม่จะยืนขึ้นแล้วก้มศีรษะหรือไหว้สมาชิกที่ประชุม และสมาชิกในหน่วยงานก็จะปรบมือต้อนรับ

69.       เพื่อประสานงาน และลดความตึงเครียดในการทำงานช่วงแรกของเจ้าหน้าที่คนใหม่ผู้บังคับบัญชาควรที่จะ……

1) รัดงานเลี้ยงรับน้องใหม่       2) ให้เลขานุการรับส่งถึงบ้าน

3) แนะนำต่อหัวหน้างานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง     4) มอบหมายให้ประชุมแทน

ตอบ 3. ผู้บังคับบัญชาควรแนะนำผู้เริ่มเข้าทำงานใหม่ให้รู้จักกับหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เพื่อจะได้ทำการติดต่อประสานงานกันได้ถูกต้องและรวดเร็วหรือเพื่อลดความตึงเครียดในการทำงานช่วงแรกของผู้เริ่มทำงานใหม่

70.       อำนาจในการออกคำสั่งขึ้นอยู่กับ

1)         การมอบหมายหน้าที่ตามกฎหมายระเบียบซึ่งหน่วยงานนั้นสร้างขึ้นและถือปฏิบัติ

2)         ความสามารถในการพิจารณาโดยอาศัยกฎระเบียบที่มีอยู่

3)         มติของที่ประชุมในการวินิจฉัยสั่งการ

4)         การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้-เสียต่อการตัดสินใจ

ตอบ 4. อำนาจในการออกคำสั่งขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของผู้ใต้บังคับกัญชาหรือผู้มีส่วนได้เสียต่อการ ตัดสินใจออกคำสั่ง ดังนั้นก่อนที่ผู้บังคับบัญชาจะออกคำสั่งควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนว่า คำสั่งมีเหตุผลและ ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถจะปฏิบัติได้หรือไม่เพราะคำสั่งออกไปนั้นย่อมเป็นเครื่องวัดความสามารถของผู้บังคับบัญชาด้วย

71.       การออกคำสั่ง หมายถึง

1)         การควบคุมงานให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน

2)         การบังคับบุคคลให้ปฏิบัติตามด้วยความชอบธรรม

3)         การวินิจฉัยบุคคลตามที่กำหนดในระเบียบ

4)         การสั่งการตามอำนาจหน้าที่

ตอบ 2. การออกคำสั่ง หมายถึง การบังคับบุคคลให้ปฏิบัติตามด้วยความชอบธรรม โดยผู้ที่จะเป็นผู้นำควรเรียนรู้วิธีพูดสั่งการที่มีประสิทธิภาพเพื่อว่าผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาจะได้นำไปปฏิบัติตาม ซึ่งการลงมือปฏิบัติ (Action) นั้นถือเป็นจุดต่างของการสื่อสารโดยการออกคำสั่งจากการสื่อสารในลักษณะอื่น

72.       คำสั่งแบบใดมีความเด็ดขาดสูงสุด

1) ขอร้องให้ทำ            

2)น่าจะ            

3)ต้อง     

4)เสนอให้ทำ

ตอบ 2. วิธีออกคำสั่งประเภทสั่งให้ทำ เป็นคำสั่งที่มีความเด็ดขาดสูงสุดโดยผู้ที่ออกคำสั่งมักเป็นผู้ที่ค่อนข้างอยู่ในระเบียบวินัย เช่น ทหาร หรือผู้บังคับบัญชาที่ไม่คำนึงถึงมนุษย์สัมพันธ์มากนัก ซึ่งผู้สั่งมักจะออกคำสั่ง โดยตรงและคำสั่งนั้นมักสัมพันธ์กับคำว่า ต้อง” เช่น “(ต้อง)” เช็ดโต๊ะตัวนี้” (ต้อง) ไปเอาแฟ้มนั้นมา” หรือ “(ต้อง) ไปตามนายแก้วมาเดี๋ยวนี้” ฯลฯ

73.       ข้อใดมีความสัมพันธ์กับการสั่งให้ทำ

1) ควรจะ         2)น่าจะ            3)ต้อง     4)เลือกเอาว่า

ตอบ 3. ดูคำอธิบายข้อ 72. ประกอบ

74.       ข้อมูลพื้นฐานของคำสั่งในการสื่อสารประกอบด้วย

1) Head Line      2)S  M C  R + F   3)5W1H     4)News

ตอบ 3. การวางแผนงานออกคำสั่ง มุ่งที่จะทำให้คำสั่งสมบูรณ์ (Complete) ซึ่งมีข้อมูลพื้นฐานของคำสั่งใน การสื่อสารประกอบด้วย 5W1คือ คำสั่งนั้นต้องการให้ทำอะไร (What) ทำไมต้อง (Why) จะให้ใครเป็นผู้ทำ (Who) ทำเมื่อไหร่ (When) ทำที่ไหน (Where) และทำอย่างไร (How) รวมทั้งต้องการจำนวนเท่าใดและ คุณภาพขนาดไหน (Quantity and Quality)

75.       การสื่อสารโดยคำสั่ง มีจุดต่างจากการสื่อสารในลักษณะอื่นในประเด็นใด

1) การลงมือปฏิบัติ     2) การประเมินผล

3) ใช้ภาษาที่กระชับ ชัดเจน    4) มีการวิเคราะห์ผู้รับสาร

ตอบ 1. ดูคำอธิบายข้อ 90 ประกอบ

76.       การออกคำสั่งแตกต่างจากการพูดอื่น ๆ อย่างไร

1) ต้องมีการตระเตรียม           2) ต้องมีศิลปะ

3) ต้องมีการติดตามผลงาน     4) ต้องมีรายละเอียด

ตอบ 3. การออกคำสั่งแตกต่างจากการพูดอื่น ๆ คือ จะต้องมีการติดตามผลงานเพื่อให้ทราบว่าคำสั่งนั้น ๆ มีผลมากน้อยเพียงใด โดยประสิทธิภาพของผู้บังคับบัญชานั้นอาจวัดด้วยการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง คำสั่งและการปฏิบัติตามคำสั่ง

77.       เหตุใดผู้นำควรหลีกเลี่ยงการออกคำสั่งในลักษณะ ห้ามกระทำ

1) เพราะพฤติกรรมอยากลอง 2) เพราะพฤติกรรมการมีส่วนร่วม

3) เพราะพฤติกรรมเบี่ยงเบน  4) เพราะพฤติกรรมชิงดีชิงเด่น

ตอบ 1. ข้อควรหลีกเลี่ยงในการออกคำสั่งมีลักษณะดังนี้

1.         อย่าออกคำสั่งในลักษณะของการห้ามกระทำ เพราะจะทำให้ผู้รับคำสั่งมีพฤติกรรมอยากลอง

2.         อย่าออกคำสั่งที่ยุ่งยากและซับซ้อนมากเกินไป

3.         อย่าออกคำสั่งที่ขัดแย้งกันเอง

4.         อย่าสั่งงานแบบก้าวร้าวไว้อำนาจหรือใช้อำนาจบังคับ

5.         อย่าออกคำสั่งใช้ระบบวินัยและระบบทำโทษขึ้นมาอ้าง ฯลฯ

78.       ข้อควรระวังที่สุดสำหรับการพูดเพื่อเล่าประวัติศาสตร์หรือชีวประวัติ ได้แก่

1) ข้อมูลที่ละเอียด      2) ข้อโต้แย้งที่หาข้อสรุปไม่ได้

3) ชื่อที่ถูกต้องของบุคคลสำกัญ         4) ต้นฉบับจากหลายแหล่งอ้างอิง

ตอบ 3. การเล่าประวัติศาสตร์หรือชีวประวัตินั้น ควรระวังเรื่องชื่อที่ถูกต้องของบุคคลสำกัญมากที่สุด นอกจากนี้ยังต้องระวังข้อผิดพลาดต่าง ๆ อีก เช่น 1. ไม่ควรที่จะกล่าวถึงชีวิตส่วนตัวของเจ้าของชีวประวัติ มากเกินไป เพราะจะเป็นการแสดงถึงความไม่นับถือ 2. ควรเล่าเฉพาะเหตุการณ์ที่ผู้อื่นยังไม่รู้ 3. ควรจะอยู่ ในขอบเขตที่เหมาะสม และสุภาพ ไม่ยกย่องจนเกินไป

79.       การพูดเพื่อให้คำปรึกษาลูกน้องที่ดี ผู้นำควรมีเป้าหมายในทิศทางใด

1) กล่าวถึงความจริงทุกอย่างให้รู้       2) บอกหนทางแสวงหาผลประโยชน์

3) สร้างความเป็นกันเองฉันท์พี่น้อง    4) เสนอทางออกที่ดีหรือเหมาะสมที่สุด

ตอบ 4. การพูดเพื่อให้คำปรึกษาที่ดีควรอาศัยแนวคิดการมีส่วนร่วมเป็นหลัก โดยวิธีที่ดีและมีประสิทธิภาพที่ควรจะใช้ในการพูดปรึกษาก็คือการสะท้อนความรู้สึกร่วม ซึ่งมีประโยชน์มากในการให้คำแนะนำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเชิงพฤติกรรมและระเบียบวินัยของผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อสร้างบรรยากาศให้มีความอิสรเสรี ความเข้าใจ ความไว้วางใจกัน อันจะเป็นทางนำไปสู่ที่มาของปัญหา และมีเป้าหมายการแก้ปัญหาไปในทิศทางการ เสนอทางออกที่ดีและเหมาะสมที่สุด

80.       การแก้ปัญหาเชิงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของผู้ใต้บังคับบัญชานั้น ผู้นำองค์กรจะอาศัยการพูดด้วยวิธีการ

1) สะท้อนความรู้สึกร่วม          2) สร้างภาวะกดดันต่อปัญหา

3) สั่งสอนอบรมให้รู้สึกนึก       4) แยกตนเองออกจากปัญหา

ตอบ 1. ดูคำอธิบายข้อ 79. ประกอบ

81.       กระบวนการเจรจากับ Mob ควรเริ่มต้นที่

1)         การนำเสนอเหตุผลและข้อต่อรองที่เป็นไปได้มากที่สุด

2)         ให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจเข้ามาร่วมเจรจาทนที

3)         มอบหมายผู้เกี่ยวข้องและมีความรู้ในเรื่องนั้นนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้อง

4)         การขจัดอารมณ์และความรู้สึกที่เกลียดชังออกไป

ตอบ 4. เมื่อต้องเผชิญหน้ากับ Mob ในช่วงเวลาวิกฤตที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ผู้พูดควรเริ่มต้นกระบวนการเจรจาด้วย การรักษาอารมณ์ให้ปกติ หรือขจัดอารมณ์และความรู้สึกเกลียดชังออกไป รวมถึงควรใช้คำพูดที่สุภาพ มี เหตุผล และที่สำคัญที่สุดคือการให้เกียรติ ซึ่งถือเป็นมรรยาทในการเจรจากับตัวแทน Mob

82.       พฤติกรรมของ Mob มีสาเหตุมาจาก

1) การสูญเสียผลประโยชน์    

2) ความไม่เข้าใจข้อมูลที่แท้จริง

3) วาระซ่อนเร้นของการสื่อสาร           

4) สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยภาวะกดดันร่วม

ตอบ 4. ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ

83.       ข้อไดแสดงออกถึงความรู้สึกร่วมที่มีต่อ Mob

1)         พวกคุณจะมาทำไม ไม่มีอะไรทำกันแล้วหรือ

2)         ข้อมูลที่เรียกร้องมา ผมยังไม่ได้รับรางวัลจากต้นสังกัด รอไปก่อนก็แล้วกัน

3)         ในฐานะผู้รับผิดชอบหน่วยงานนี้ เห็นใจคุณอย่างมาก และเข้าใจการกระทำเหล่านี้

4)         จะอยู่กันอีกนานไหม จะได้เกณฑ์รถสุขา ต่อน้ำไปให้พวกคุณ

ตอบ 3. เมื่อต้องการเผชิญหน้ากับ Mob ผู้พูดต้องแสดงความรู้สึกร่วม คือ พยายามใช้คำพูดที่แสดงว่าผู้พูด เป็นฝ่ายเดียวกับ Mob และมีความตั้งใจจะช่วยเหลือและให้ความร่วมมือ   เช่น ผมเข้าใจพวกคุณดีครับ” “ผมพยายามหาหนทางแก้ไขโดยเร็วที่สุด”“ตอนนี้กำลังเจรจากับ ฝ่าย…..อยู่คะ” ฯลฯ

84.       หาก Mob เข้าสู่กระบวนการเจรจาอยู่อย่างสงบแล้ว สาระที่ควรจะพูดจากันคือ

1)         ทางออก ทางเลือก ข้อเสนอที่เป็นไปได้

2)         การสร้างข้อตกลงร่วมที่จะไปเอาผิดหลังสลายการชุมชน

3)         เงื่อนไขที่ต้องปฏิบัติตามข้อเสนอที่ฝ่ายฝูงชนเรียกร้อง

4)         นัดเวลา และกำหนดการที่กลับมาชุมนุมหากข้อตกลงไม่เป็นที่ยอมรับ

ตอบ 1. เมื่อ Mob ถูกยับยั้งหรือเข้าสู่กระบวนการเจรจาอย่างสงบแล้ว สิ่งที่ควรจะทำต่อไป คือ ช่วยพกเขาคิดหาทางออก ทางเลือก หรือข้อเสนอแนะให้พวกเขาใช้วิธีอื่นที่เป็นไปได้

85.       มรรยาทในการเจรจากับตัวแทน Mob ข้อใดสำคัญที่สุด

1) การให้เกียรติ           2) ข้อมูลสำคัญ           3) ผลการตอบแทน      4) เวลา

ตอบ 1. ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ

86.       การขอความช่วยเหลือจาก หน่วยเหนือ” ของผู้บังคับบัญชาระดับต้นทำไปด้วยเหตุผลใด

1.         ต้องการลงโทษ            2) ทำงานให้สมเกียรติ

3) มีสิ่งที่อยู่เกินอำนาจตัดสินใจ          4) เป็นการประเมินผลการปฏิบัติงาน

ตอบ 3. ผู้บังคับบัญชาระดับต้นจะพูดปรึกษาหรือขอความช่วยเหลือจาก หน่วยเหนือ” หรือผู้บังคับบัญชา ระดับเหนือขึ้นไป เนื่องจากได้พยายามพูดแนะและปฏิบัติด้วยความเยือกเย็นก็ยังประพฤติปฏิบัติตนเช่นเดิม จนเกินอำนาจการตัดสินใจของผู้บังคับบัญชาระดับต้น ทั้งนี้ควรให้ผู้บังคับบัญชาระดับเหนือขึ้นไปตัดสินใจเองว่าจะทำอย่างไร

87.       เมื่อ Mob คาดคั้นเรื่องระยะเวลาที่จะให้คำตอบ ผู้นำควรตอบอย่างไร

1) จะพิจารณาภายใน 24 ชั่วโมง        2) ขอเวลา 3 วัน

3) จะพิจารณาโดยเร็วที่สุด      4) ขอหารือผู้บริหารก่อน

ตอบ 3. ในกรณีที่ Mob มุ่งหวังจะให้ได้คำตอบอย่างรวดเร็วจนถึงกับกำหนดเวลาไว้ด้วยนั้น ผู้นำควรหาทางออกอย่างสุขุมและละมุนละม่อม ซึ่งอาจจะทำได้โดยการออกแถลงการณ์ หรือ ให้คำมั่นสัญญาว่าได้รับข้อเรียกร้อง และจะเรียกประชุมผู้บริหารทั้งหมดเพื่อพิจารณาปัญหาโดยด่วน หรืออาจพูดไปในแนวที่ว่า จะพิจารณาให้คำตอบโดยเร็วที่สุด

88.       ข้อใดกล่าวถูกต้องในเรื่องการสนทนาแบบสองต่อสอง

1) เป็นช่องทางให้สำนึกผิด     2) กล่าวสนับสนุนการกระทำ

3) รายงานข้อผิดพลาดที่น่าอับอาย     4) ทำให้กล้าที่จะพูดความจริง

ตอบ 4. การพูดกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่ทำงานมีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง คือ การสนทนาแบบสองต่อสองระหว่าง ผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งจะทำให้ทั้งสองฝ่ายกล้าที่จะพูดความจริงต่อกัน โดยผู้บังคับบัญชาจะพูดเน้นถึงหน้าที่ที่ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบแล้วชี้แจงให้ทราบข้อผิดพลาดหรือข้อบกพร่องในหน้าที่ และรับฟังการให้เหตุผลของผู้ใต้บังคับบัญชา

89.       การเรียกชื่อผู้ใต้บังคับบัญชาที่ถูกกล่าวตักเตือน มีผลทางการสื่อสารอย่างไร

1) สร้างจิตสำนึกที่ดี    2) ให้รับรู้ว่ามีสถานะเช่นไร

3) แบ่งแยกและจัดลำดับชั้น   4) ยังให้เกียรติและเป็นพวกเดียวกันอยู่

ตอบ 4. ข้อแนะนำสำหรับผู้นำหรือผู้บังคับบัญชาในขณะที่พูดกับผู้ใต้บังคับบัญชา ได้แก่ 1. ควรเรียกชื่อผู้ใต้บังคับบัญชา หลีกเลี่ยงการใช้คำว่า แกลื้อ,   เพื่อแสดงว่าดังให้เกียรติและเป็นพวกเดียวดันอยู่ 2. ควรมีความอดกลั้น มีอารมณ์เยือกเย็น และให้ความเป็นกันเอง 3. ควรมีความยุติธรรมต่อผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างจริงใจ 4. ควรแสดงความปรารถนาดีต่อผู้ใต้บังคับบัญชา

90.       ข้อใดคือหลักการเสนอเนื้อหาในการบรรยายสรุป

1) อยากจะบอกอะไรก็บอกมา            2) เรื่องเล็กเรื่องใหญ่สำคัญหมด

3) ไม่มีอะไรในกอไผ่    4) อะไรควรรู้ต้องได้รู้

ตอบ 4. การพูดบรรยายสรุป (Briefing) ผู้พูดต้องเสนอข้อมูลและเนื้อหาที่สำคัญของเรื่องที่จะพูด โดยเสนอ ส่วนประกอบที่สำคัญของเรื่องราวในแบบของการพูดมิใช่การย่อหรือสรุปความ ทั้งนี้ในการเตรียมตัวพูดบรรยายสรุปนั้น ผู้พูดควรระลึกไว้เสมอว่าผู้ฟังต้องการทั้งเนื้อหาที่ครบและเนื้อหาที่มีสาระสมควรจะรู้ หรือยึดหลักการ นำเสนอเนื้อหาที่ว่าอะไรควรรู้ต้องได้รับรู้

91.       ข้อใดมิใช่องค์ประกอบที่สำคัญของการบรรยายสรุป

1) มีประเด็นสารครบถ้วน        

2) รวดเร็วทันเหตุการณ์

3) กระชับ ชัดเจน        

4) มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น

ตอบ 2. องค์ประกอบที่สำคัญของการพูดบรรยายสรุป คือ 1. ต้องได้เนื้อความหรือประเด็นสาระครบ 2. ต้องมีการเสนอที่กระจ่างชัดเจน 3. ต้องได้เนื้อความที่สั้นและกระชับ 4. ต้องเปิดโอกาสให้ผู้ฟังซักถามหรือมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นไต้

92.       แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการตอบข้อซักถามข้องใจ คือ

1) เพิ่มเติม       

2) บอกเป็นนัย 

3) ให้ความจริง            

4) เน้นย้ำ

ตอบ 4. แนวคิดหรือวัตถุประสงค์ของการตอบข้อซักถามข้องใจ คือ

1.         ให้โอกาสผู้พูดเน้นย้ำเนื้อหาสาระสำคัญของเรื่องที่พูดอีกครั้งหนึ่ง

2.         ให้โอกาสผู้ฟังซักถามข้อสงสัยหรือความข้องใจต่าง ๆ ให้หมดไป

3.         ให้โอกาสผู้ฟังเสนอข้อคิดเห็นที่แตกต่างหรือขัดแย้งกับผู้พูด

4.         เปิดโอกาสให้ผู้พูดแสดงความสามารถในการพูด เพื่อเพิ่มความศรัทธา ความเชื่อถือ และความไว้วางใจของผู้ฟังที่มีต่อผู้พูด

5.         เป็นการสร้างมนุษย์สัมพันธ์ระหว่างผู้พูดกับผู้ฟัง (ผลพลอยได้)

93.       การใช้เครื่องมือประกอบการนำเสนอนั้น

1)         เตรียมมาให้มากเท่าที่จะทำได้ แล้วเลือกใช้ตามสถานการณ์

2)         เน้นที่คุณภาพ สมจริง ก้าวให้ทันตามเทคโนโลยี

3)         ให้พิจารณาจากวัตถุประสงค์และความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย

4)         ถือเสมือนว่า ทำหน้าที่ให้บุคคลได้ทุกกรณี

ตอบ 3. การใช้เครื่องมือโสตทัศนะประกอบการนำเสนอเนื้อหาเน้นให้พิจารณาจากวัตถุประสงค์และความสนใจ ของกลุ่มเป้าหมายเป็นหลัก ซึ่งชนิดเครื่องมือโสดทัศนะที่ใช้มีอยู่ 3 ชนิด คือ 1. เครื่องมือจริง 2. เครื่องมือบุคคล 3. เครื่องมือเทียม (แผ่นแสดงภาพหรือแผนภูมิกระดานดำแผ่นปลิวภาพนิ่งเครื่องขยายเสียง ฯลฯ)

94.       สิ่งใดเป็นผลพลอยได้จากการตอบข้อซักถามข้องใจ

1) ความกระจ่าง          2) มนุษย์สัมพันธ์         3) ข้อแนะนำ    4) รู้เท่าทันสื่อ

ตอบ 2. ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ

95.       คุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ตอบซักถามข้องใจในด้านการสร้างบรรยากาศการสนทนา คือ

1) มีบุคลิกภาพดี ทำตนสง่างาม         2) ต้องไม่แสดงอาการเบื่อหน่าย

3) รู้จักลูกล่อลูกชนในการโต้ตอบ        4) มีความรู้เฉพาะด้าน

ตอบ 2. คุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ตอบข้อซักถามข้องใจในด้านการสร้างบรรยากาศการสนทนา คือ แสดง ความเต็มใจที่จะตอบข้อซักถาม ไม่แสดงทำทางเบื่อหน่ายเหนื่อย หรือรำคาญ เช่น เอามือเท้าคาง เกาศีรษะ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด หาว ฯลฯ

96.       สาเหตุของความทุกข์ในกระบวนการสื่อสาร คือ

1)         ความไม่พอใจจากสิ่งใดก็ตามที่รับรู้อยู่

2)         การรับรู้ข้อมูลที่ไม่เพียงพอ

3)         การไม่สามารถแสดงพฤติกรรมบางอย่างออกมา

4)         การกระทำที่ขัดต่อความรู้สึกและอารมณ์ของบุคคล

ตอบ 1. สาเหตุของความทุกข์ คือ ความไม่พอใจจากสิ่งใดก็ตามที่รับรู้อยู่ ซึ่งหน้าที่ๆสำคัญที่สุดประการหนึ่งของผู้นำหรือผู้บังคับบัญชาก็คือ การบำบัดความทุกข์หรือข้อข้องใจในการปฏิบัติงานของเพื่อนร่วมงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชา(ดูคำอธิบายข้อ 10. ประกอบ)

97.       การบำบัดความทุกข์มีเงื่อนไขสำคัญร่วมกันในทุกรณีคือ

1)         ต้องเขียนหรือปันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อเป็นหลักฐาน

2)         ต้องสามารถระบุได้ว่าความไม่พอใจมีสาเหตุมาจากสิ่งใดกันแน่

3)         ต้องหาผู้รับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นให้ได้

4)         ต้องเปิดโอกาสให้ได้แสดงออกและสื่อสารออกมาด้วยช่องทางที่มีอยู่

ตอบ 4. การแก้หรือวิธีบำบัดความทุกข์หรือข้อข้องใจมีอยู่ด้วยกันหลายวิธีแต่ส่วนใหญ่แล้วมักจะปฏิบัติตาม ขั้นตอนหรือมีเงื่อนไขสำคัญร่วมกันในกรณีทุกกรณี คือ เปิดโอกาสให้ผู้ร้องทุกข์เข้าพบ เพื่อจะได้แสดงออกและสื่อสารออกมาด้วยช่องทางที่มีอยู่ ไม่ควรขัดขวางไม่พอใจหรือยังไม่สามารถแก้ไขคำร้องทุกข์ขึ้นได้ ก็จะต้องเสนอเรื่องไปยังผู้บังคับบัญชาสูงสุดต่อไป

98.       ถ้าจะพูดให้ฝูงชนยอม ไม่ควรหลีกเลี่ยงการพูดแบบไหน

1) การพูดทักทาย        2) การพูดอย่างมีเหตุผล

3) การพูดให้รู้สึกว่าเราเห็นใจเขา        4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3. ลักษณะการพูดที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อเผชิญหน้ากับฝูงซน (Mob) คือ การพูดอย่างมี เหตุผลการพูดขัดหรือแสดงความไม่เห็นชอบด้วย และการพูดท้าทายซึ่งการพูดที่ดีที่สุด นั่นคือ พยายามพูด ให้ฝูงชนรู้สึกว่าเราเห็นใจเขา

99.       อิทธิพลของหลักธรรมในพุทธศาสนา เกี่ยวข้องอย่างไรกับภาวะผู้นำ

1)         หลักธรรมของศาสนาพุทธเป็นปรัชญาสำคัญในการดำรงชีวิดของคนไทย

2)         ประชาชนคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธส่วนใหญ่นับถือหลักธรรมะ

3)         พุทธศาสนา เป็นแรงผลักดันให้คนไทยมีความร่วมแรงร่วมใจในการทำงานให้สำเร็จลงได้

4)         ถูกทุกข้อ

ตอบ 4. อิทธิพลของหลักธรรมในพุทธศาสนาเกี่ยวข้องกับภาวะผู้นำ คือ หลักธรรมของศาสนาพุทธเป็น ปรัชญาสำคัญในการดำรงชีวิตของคนไทย เมื่อประชาชนคนไทยส่วนใหญ่เชื่อและนับถือในหลักธรรมแล้ว พุทธศาสนาจึงเป็นแรงผลักดันในจิตใจของคนไทยซึ่งในด้านความร่วมแรงร่วมใจในการทำงานให้สำเร็จลงได้ และเป็นแรงผลักดันให้ยอมรับพฤติกรรมของคนบางคนในสังคม

100.    ผู้ที่มีอิทธิพลในสังคมไทยตามการศึกษาของ Blanchard คือคนกลุ่มใด

1) ข้าราชการ   2) นักการเมืองและทหาร

3) พระสงฆ์และครู      4) เชื้อพระวงศ์

ตอบ 4. Blanchard เห็นว่า ในสังคมไทยนั้นผู้ที่เป็นเชื้อพระวงศ์หรือผู้ทำงานใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทจะเป็น ที่ยอมรับนับถือมากที่สุด และรองลงมาคือ นักการเมืองชั้นสูง นายทหารชั้นผู้ใหญ่ ข้าราชการและครู ลดหลั่นกันลงมาตามลำดับจนถึงพ่อค้าและกรรมกร

 

MCS3181 การพูดสำหรับผู้นำ เตรียมสอบปี 2557 ชุด1

MCS3181 การพูดสำหรับผู้นำ ข้อสอบชุดที่1 2557

1.         ‘No one is natural leader or born leader’ หมายความว่าอย่างไร

1) ไม่มีใครเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ 

2) โดยกำเนิด ไม่มีใครป็นผู้นำ

3) ไม่มีใครเป็นผู้นำโดยธรรมชาติหรือโดยกำเนิด        

4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3) หลักสำคัญของผู้นำในแง่สังคม คือ

1.         ไม่มีใครเป็นผู้นำโดยธรรมชาติหรือโดยกำเนิด (No one is natural leader or born leader

2.         ไม่มีบุคลิกภาพหรือลักษณะใดที่จะทำให้ใครคนใดคนหนึ่งเป็นผู้นำโดยอัตโนมัติแต่จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์หรือสิ่งแวดล้อมเป็นกรณี ๆ ไป

2.         ในสังคมแต่ละกลุ่มจะมีผู้นำแบบต่าง ๆ โดยวิเคราะห์แบบของผู้นำจากอะไร

1)         จากลักษณะของผู้นำ  

2) ลักษณะวิธีการใช้อำนาจควบคุม

3) ลักษณะวิธีการทำงาน        

4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3) ในสังคมของชุมชนแต่ละกลุ่มจะมีผู้นำแบบต่าง ๆ ซึ่งได้มีผู้วิเคราะห์แบบของผู้นำด้านต่าง ๆ ไว้โดยพิจารณาจาก 1. สถานะของผู้นำ 2. ลักษณะและวิธีการใช้อำนาจ 3. ลักษณะวิธีการทำงาน 4. ลักษณะของการใช้อำนาจบังคับควบคุม

3.         ลักษณะที่เป็นสากลของผู้นำคือ

1) มีความมั่นใจและไว้วางใจผู้อื่น       

2) มีการให้เกียรติผู้อื่น

3) มีความคิดเป็นของตนเอง    

4) มีความคิดริเริ่มที่ดี

ตอบ 4. ลักษณะที่ดีที่เป็นสากลของผู้นำคือ มีความรู้ (Knowledge), มีสติปัญญา (Intelligence), มี ความรับผิดชอบ (Responsibility), มีความคิดริเริ่ม (Initiative), มีความมุ่งมั่นติดตามงาน (Persistence), รู้ ธรรมชาติของมนุษย์ (Know Human Nature) และมีความมั่นใจในตนเอง (Self-confidence)

4.         ผู้นำแบบ Normality Power Leaders คือผู้นำลักษณะใด

1)         ผู้นำแบบใช้อำนาจธรรมเนียมประเพณีบังคับ

2)         ผู้นำแบบอ้างเอาธรรมเนียมประเพณีการบังคับบัญชาใช้กับผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ร่วมงาน

3)         ผู้นำแบบใช้อำนาจอัตถประโยชน์บังคับ         4) ถูกทั้งข้อ 1 และข้อ 2

ตอบ 4. ผู้นำแบบใช้อำนาจธรรมเนียมประเพณีบังคับ (Normality Power Leaders) มักจะอ้างเอา ธรรมเนียมประเพณีในการบังคับบัญชามาใช้กับผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ร่วมงานเพื่อความร่วมมือปฏิบัติตามความประสงค์ เช่น อ้างว่าต้องเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ เป็นต้น

5.         ปัจจัยสำคัญในเมืองไทยที่มีอิทธิพลต่อการเป็นผู้นำ คืออะไร

1)         การศึกษา        2) ศาสนา

3) รายได้ของประชาชนและขนบธรรมเนียม    4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4. ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเป็นผู้นำ ตลอดจนการพูดของผู้นำในสังคมไทย ได้แก่ การศึกษา พุทธศาสนา รายได้ของประชาชน และขนบธรรมเนียมประเพณีบางประการ

6.         ผู้นำแบบพระเดช (Legal leadership) หมายถึง ผู้นำแบบได

1)         ผู้นำที่ได้อำนาจมาตามตัวบทกฎหมาย ปฏิบัติการใช้กฎหมายเป็นหลัก มีระเบียบแบบแผน

2)         ผู้นำที่ปฏิบัติงานปราศจากความยืดหยุ่น (Flexibility)

3)         ผู้นำที่พิจารณาผู้ใต้บังคับบัญชาในทาง Negative เสมอ 4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4. ผู้นำแบบใช้พระเดช (Legal leadership) หมายถึง ผู้นำหรือหัวหน้าซึ่งได้อำนาจมาตามบท กฎหมาย ปฏิบัติโดยใช้กฎหมายเป็นหลัก มีระเบียบแบบแผนเป็นที่ตั้ง และการปฏิบัติงานปราศจากความ ยืดหยุ่น (Flexibility) ดังนั้นจึงมักจะพิจารณาผู้ใต้บังคับบัญชาไปไนทาง Negative เสมอ

7.         ส่วนประกอบสำคัญส่วนหนึ่งช่วยทำไห้การพูดประสบผลสำเร็จ

1) บุคลิกภาพ  2) ทัศนคติ       3) แรงจูงใจ     4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1. บุคลิกภาพ (Personality) เป็นส่วนประกอบสำคัญส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้การพูดประสบ ความสำเร็จ โดยบุคลิกภาพเป็นสิ่งที่สามารถแก้ไข ปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงได้ซึ่งผู้ที่มีความขยันหมั่นเพียร ในการฝึกฝน มีความอดทน มีความใส่ใจ ยอมรับและรักที่แก้ไขข้อบกพร่องของตน

8.         Eye-Contact เป็นเครื่องมือช่วยสร้างอะไรของมนุษย์ได้

1) สร้างมิตรภาพและศัตรู       2) สร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี

3) สร้างความจริงไจ     4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2. สายตา (Eye-contact) เป็นเครื่องมือช่วยสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีของมนุษย์ได้และมี ความสำคัญในการสร้างทิ้งมิตรและศัตรู ซึ่งในขณะที่พูดนั้นผู้นำควรใช้สายตามองผู้ฟังหรือผู้ที่ตนพูดด้วยอย่างมี ไมตรีและจริงใจ ทั้งนี้อย่าแสดงออกว่ามองอย่างเสียไม่ได้หรือฝืนใจมอง และอย่ามองข้ามศีรษะผู้ฟัง

9.         Speed หมายถึงอะไร

1) ลีลา จังหวะการพูด 2) การพูดเป็นจังหวะ วรรคตอน

3) การพูดที่รู้จักทอดเสียงให้พอเหมาะและถูกด้อง     4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4. Speed หมายถึง ลีลา จังหวะการพูด หรือการพูดให้ได้จังหวะ ได้วรรคตอน รู้จักทอดเสียง ให้พอเหมาะและถูกต้อง ซึ่งอัตราการพูดที่เหมาะสมคือ 120-180 คำ/นาที ทั้งนี้จังหวะการพูดจะช่วยสร้าง บุคลิกภาพของผู้พูดให้ดียิ่งขึ้น และยังทำให้ผู้ฟังศรัทธาในตัวผู้พูดอีกด้วย

10.       ถ้าท่านต้องการมีบุคลิกภาพที่ดี ต้องปฏิบัติในข้อใด

1) ขยันฝึกฝนตนเอง มีความอดทน      

2) ยอมรับ มีความใสใจ และรักที่จะแก้ไขข้อบกพร่องของตน

3) มีการพัฒนาและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตนเองเสมอ           

4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4. ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ

11.       การพูด ถ้าจะพูดได้ดีมีประสิทธิภาพต้องประกอบด้วย

1) การดูแลรักษาสุขภาพ         

2) รับประทานอาหารให้อิ่มพอดี

3) รักษาอวัยวะต่าง ๆ ให้ปกติ 

4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4. แนวทางปฏิบัติทั่วไปที่ช่วยให้ผู้พูดสามารถพูดได้ดีและมีประสิทธิภาพ มีดังนี้ 

1. รักษา อารมณ์ให้ปกติ 

2. พักผ่อนร่างกายอย่างเพียงพอ 

3. รับประทานอาหารให้พอดี 

4. ออกกำลังกายให้ พอสมควรและสม่ำเสมอ 

5. รักษาอวัยวะต่าง ๆ ที่ปากให้ปกติ เช่น ไม่เจ็บคอ ไม่ไอ ปากไม่เป็นแผล ไม่ปวดฟัน ฯลฯ 

6. รักษาอวัยวะบริเวณจมูกและศีรษะให้อยู่ในสภาพปกติ เช่น ไม่เป็นหวัด ไม่ปวดหู ไม่ปวดดั้งจมูก ฯลฯ

12.       เครื่องมือที่เป็นประโยชน์มากในการพูด คือข้อใด

1) ไมโครโฟน   

2) Microphone Fright        

3) Conversation style        

4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1. ไมโครโฟน เป็นเครื่องมือที่เป็นประโยชน์มากในการพูด ไม่ว่าจะเป็นการพูดที่เป็นพิธีการ หรือไม่เป็นพิธีการก็ตาม โดยปัจจุบันนิยมใช่ไมโครโฟนเพื่อช่วยให้ผู้ฟังได้ยินทั่วถึงกันหรือเมื่อมีเสียงรบกวนผู้ พูดก็จะสามารถเรียกความสนใจของผู้ฟังได้ (ส่วน Microphone Fright คือ การตื่นไมโครโฟน และ Conversation คือ การพูดในแนวสนทนา)

13.       ความจริงใจของคำพูด (Sincerity) แสดงออกมาได้โดย

1) น้ำเสียงที่ปรุงแต่งให้มีจังหวะ ดังกังวาน     2) อากัปกิริยาที่แสดงออกไม่ตั้งใจ

3) Spontaneous action พูดอย่างไรก็มีความรู้สึกอย่างนั้น 4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3. การใช้ถ้อยคำอย่างมีความจริงใจหรือความจริงของคำพูด (Sincerity) แสดงออกมาได้โดย น้ำเสียงที่แสดงว่าได้พูดออกมาจากใจจริงและอากัปกิริยาที่เป็นไปอย่างธรรมชาติมากที่สุด นั่นคือ คำพูดเป็น อย่างไรก็มีความรู้สึกอย่างนั้น (Spontaneous action) ซึ่งในกระบวนการสื่อสารเพื่อสร้างความประทับใจนั้น ผู้ พูดควรใช้ถ้อยคำหรือคำพูดที่มาจากใจเพราะมนุษย์มักจะรับรู้อารมณ์ความรู้สึกก่อนใช้ความคิดตัดสินเหตุผล

14.       ผู้นำที่ดีควรรักในข้อใดต่อไปนี้ให้ดี

1) การใช้ภาษาให้เหมาะสมกับผู้ฟัง    2) ต้องฝึกฝนการออกเสียงภาษาไทย

3) ต้องอ่านหนังสือมาก ๆ        4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1. ผู้ที่จะเป็นผู้นำที่ดีควรรู้รักการใช้ภาษาให้เหมาะสมกับผู้ฟังและเรื่องที่พูด ซึ่งการจะใช้ภาษา ถ้อยคำ และสำนวนได้ดีนั่นต้องอาศัยการฝึกฝนและการท่องจำจากความรู้ภาษาไทย

15.       Good Taste หมายถึงอะไร

1) ผู้ที่จะเป็นผู้นำที่ดี ควรแสดงออกถึงรสนิยมที่ดี       2) การมีรสนิยมที่ดี

3) เพราะมีฐานะดีพอแล้ว      4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2. Good Taste หมายถึง การมีรสนิยมที่ดี ซึ่งผู้ที่จะเป็นผู้นำควรแสดงออกถึงรสนิยม เช่น ถ้า เรามีฐานะที่จะซื้อรถยนต์ดี ๆ สักคันหนึ่ง ผู้ที่มีรสนิยมดีก็ควรซื้อรถที่ทำให้เกิดความภาคภูมิใจและเกิดความ เสื่อมใส เพราะเมื่อมีฐานะดีพอแล้วก็ควรแสดงออกถึงรสนิยมที่ถูกต้องด้วย นอกจากนี้รสนิยมยังหมายถึง การเลือก ให้เหมาะสมกับโอกาสและสถานที่ เช่น การแต่งกายสุภาพเหมาะสมกับโอกาสและสถานที่ แสดงถึงรสนิยมที่ดี มากกว่าเครื่องแต่งกายราคาแพงแต่ไม่สุภาพ เป็นต้น

16.       บุคลิกภาพของผู้นำต่อที่ส่าธารณะ สมควรปรับปรุงให้เหมาะกับอะไร

1) กาลเทศะ    2) บุคคล         3) สิ่งแวดล้อม 4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4. บุคลิกภาพของผู้นำต่อที่สาธารณะนั้นควรปรบปรุงให้ดีและเหมาะสมกับบุคคล กาลเทศะและ สิ่งแวดล้อม โดยปรังปรุงตั้งแต่การแต่งกาย การเดิน การยืน การนั่ง สีหน้าและการยิ้ม การใช้สายตา การใช้ เสียงและจังหวะการพูด การใช้ไมโครโฟน การใช้ภาษา การมีมารยาทในสังคม การรู้จักควบคุมสติ ความคล่องแคล่ว การมีรสนิยม 

17.       การรู้จักมารยาทของสังคม จะมีส่วนร่วมส่งเสริม

1)         ความมีเสน่ห์ เท่ห์ ของมนุษย์   2) ความเสื่อมใสและศรัทธา

3) บุคลิกภาพให้ดีขึ้น  4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3. มรรยาททางสังคม คือ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและแบบปฏิบัติของแต่ละสังคม โดยผู้นำควรรู้ว่าการพูดในงานพิธีต่าง ๆ ของสังคมนั้น ๆ ควรพูดอย่างไรจึงจะเหมาะสม ซึ่งการรู้จักมารยาท ของสังคมจะช่วยส่งเสริมให้ผู้นำมีบุคลิกภาพดีขึ้น และทำให้ผู้นำมีบุคลิกภาพดีขึ้น และทำให้ผู้ที่พบเห็นเกิด ความเสื่อมใสศรัทธา

18.       การแสดงหรือเสนอข้อคิดเห็นต่อผู้ฟังก็คือ

1) การเตรียมเรื่องที่จะพูด       2) จุดมุ่งหมายของการพูด

3) การพูดเพื่อให้ความรู้           4) การพูดชักจูงใจ

ตอบ 2. จุดมุ่งหมายของการพูด คือ การแสดงหรือเสนอข้อคิดเห็นต่อผู้ฟัง ซึ่งก่อนที่จะเตรียมเรื่องไป พูดนั้นผู้พูดควรตั้งคำถามกับตัวเอง 3 ประการ คือ 1) เรื่องที่จะไปพูด 2) ผู้ฟังเป็นใคร 3) จะต้องไปพูดที่ ใดและมีเวลาพูดเท่าไร

19.       มีอะไรบ้างที่นับว่าเป็นบุคลิกภาพที่ไม่เหมาะสมหรือไม่ดีงาม

1) ขณะที่นั่งฟังผู้อื่น สั่นเท้า แคะจมูก 2) ดึงหนวด

3) เกาศีรษะ นั่งไหล่เอียง         4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4. บุคลิกภาพที่ไม่เหมาะสมขณะที่นั่งฟังคนอื่นพูด เช่น การเอามือยันคาง สั่นเท้า แคะจมูก นั่งถ่างขา ถึงหนวด  เกาศีรษะ นั่งไหล่เอียง นั่งหลังค่อม หาวนอน ฯลฯ

20.       The Structure of Speech การจัดเรื่อง เป็นขั้นตอนใดของการเตรียมเรื่องที่จะพูด

1) ขั้นเริ่มแรกของการพูด         2) ขั้นการเตรียมเรื่องพูด

3) ขั้นเตรียมเนื้อหาการพูด      4) ขั้นสุดท้ายของการเตรียมเรื่องไปพูด

ตอบ 4. การจัดเรื่องพูด (The Structure of Speech) จะเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการเตรียมเรื่องไปพูด ซึ่งการจัดการนั้นจะต้องจัดให้เนื้อหาเป็นอันหนึ่งอันเดียวสัน (Unity) และต่อเนื่องกัน เพื่อว่าผู้ฟังจะได้ติดตาม และเข้าใจเรื่องนั้นแต่ต้นจนจบ โดยมีลำดับขั้นตอนเริ่มจากคำปฏิสันถาร คำนำ (Introduction) เนื้อเรื่อง (Main Body) และบทสรุป (Conclusion)

21.       การพูดที่มีการขออภัย แสดงถึงอะไรของผู้พูด

1) ผู้พูดขาดความเชื่อมั่นในตนเอง       

2) ผู้พูดถ่อมตัว แสดงความสุภาพ

3) ผู้พูดให้เกียรติผู้ฟัง  

4) ผู้พูดมีมารยาทที่ดีต่อสังคม

ตอบ 1. หลังจากคำกล่าวคำปฏิสันถารสับผู้ฟังแล้ว ผู้พูดจะต้องไม่กล่าวคำขออภัยหรือขอโทษต่าง ๆ ที่แสดงถึงข้อบกพร่องของตนเอง เพราะคำพูดขออภัยเหล่านั้นเป็นการแสดงถึงการขาดความสามารถของผู้พูดขาดความเชื่อมั่นในตนเอง และเป็นการแสดงถึงความสงสารหรือเห็นใจของตนเอง ซึ่งจะทำให้ผู้ฟังขาดความนิยมและศรัทธาในตัวผู้พูด

22.       การพูดที่มีประสบการณ์ สามารถสร้างอะไรในการพูดได้ดี

1)         ความรู้สึกที่ดีต่อผู้ฟัง   

2) สร้างอารมณ์ขันในการพูด

3) สร้างการพูดให้มีชีวิตชีวา    

4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2. อารมณ์ขัน (Humor) ทำให้การพูดมีชีวิตชีวาขึ้น ผู้พูดที่มีประสบการณ์ในการ พูดเท่านั้นที่จะสอดแทรกหรือสร้างอารมณ์ขันในการพูดได้ดี มิฉะนั้นผู้พูดจะดูเป็นตัวตลกไป และถ้าผู้พูดเป็นผู้พูดข้อความที่ตลกเอง ผู้พูดไม่ควรหัวเราะ นอกเสียจากว่าไม่สามารถจะควบคุมตัวเองไว้ได้และเรื่องตลกนั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตนเอง

23.       เสียงที่เหมาะสมในการพูดคือ

1) เสียงที่หวาน ไพเราะ น่าฟัง 2) เสียงที่เป็นธรรมชาติ มีจังหวะ มีน้ำหนัก น่าฟัง

3) เสียงพูดที่มีเสียงท่องหรืออ่าน         4) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2. Harley Grawville Baker ผู้กำกับเวทีและนักเขียนบทละคร ได้กล่าวว่า ไม่มีเครื่องมือใด ๆ ที่จะมีความสำคัญและเป็นคู่แข่งของเสียงที่เปล่งออกมาอย่างธรรมชาติได้” หรืออาจกล่าวได้ว่าเสียงที่เหมาะสม ในการพูดคือ เสียงที่เป็นธรรมชาติ ได้จังหวะ มีน้ำหนัก กังวานและน่าฟัง

24.       Harley Grawville Baker มีอาชีพ

1) ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์     2) ผู้กำกับเวทีและนักเขียนบทละคร

3) นักแสดงละครเวที   4) นักร้อง

ตอบ 2. ดูคำอธิบายข้อ 23. ประกอบ

25.       คำกล่าวที่ว่า ไม่มีเครื่องมือใด ๆ ที่จะมีความสำคัญและเป็นคู่แข่งของเสียงที่เปล่งออกมาอย่างธรรมชาติ ได้” เป็นคำกล่าวของบุคคลใด

1) George M.     2) Bender, James F.

3) Flippo, Edwin B.   4) Garket Grawville Baker

ตอบ 4. ดูคำอธิบายข้อ 23. ประกอบ

26.       เมื่อผู้นำเผชิญหน้ากับ Mob และอยู่ฝ่ายเดียวกับ Mob ผู้นำจะต้องพูดอย่างไร

1) พูดให้ความเห็นใจ แสดงอยู่ฝ่ายเดียวกับ Mob  2) พูดขัดหรือคัดค้าน

3) พูดยุยง ส่งเสริม      4) ผิดทุกข้อ

ตอบ 1. เมื่อผู้นำเผชิญหน้ากับฝูงชนหรือ Mob และอยู่ฝ่ายเดียวกับ Mob ผู้นำต้องพยายามพูดให้ฝูง ชนรู้สึกว่าเราเห็นใจและเป็นฝ่ายเดียวกับเขา ในขณะเดียวกันก็จะต้องพยายามพูดชักจูงหรือกระทำการใด ๆ เพื่อเบนความสนใจหรือสถานการณ์ที่ทำให้พวกเขาได้คิดและได้ไตร่ตรองหรือเป็นการผ่อนเหตุการณ์นั้นให้ ผ่อนคลายลง

27.       ผู้บรรยายสรุปในการพูดทุกครั้งที่ทำให้การพูดดำเนินไปอย่างกระฉับกระเฉงว่องไว โดยมีอัตราการพูดที่ พอเหมาะ……คำ/นาที

1) 120 – 150 คำ/นาที 2) 120 – 160 คำ/นาที

3) 120 – 170 คำ/นาที 4) 120 – 180 คำ/นาที

ตอบ 4. ในการพูดบรรยายสรุปทุกครั้ง ผู้พูดจะเริ่มพูดโดยยึดหลักที่ว่า เริ่มต้นพูดให้ตรงต่อเวลา ให้ การพูดดำเนินไปอย่างกระฉับกระเฉงว่องไว มีอัตราการพูดที่พอเหมาะ (ประมาณ 120-180 คำ/นาที) และให้ จบลงในเวลาที่กำหนดไว้

28.       ชนิดของเครื่องมือโสตทัศนะที่ใช้ในการประกอบการพูดมีอยู่…ชนิด

1)         2 ชนิด  2) 3 ชนิด         3) 4 ชนิด         4) 5 ชนิด

ตอบ 2. เครื่องมือโสตทัศนะ (Audio-visual Aids) มีอยู่ 3 ชนิด ดังนี้1. เครื่องมือจริง (The Real) หมายถึง เครื่องมือที่มีให้ดูจริงประกอบการพูดหรือเมื่อมีการพูดเกี่ยวกับอะไรก็มีให้ดูจริง เช่น ถ้ามีการพูด เกี่ยวกับเครื่องแบบก็มีเครื่องแบบจริงให้ดู ฯลฯ2. เครื่องมือบุคคล (The Personal ) หมายถึง เครื่องมือที่ กำลังลงมือแสดงหรือกำลังแสดงการกระทำ 3. เครื่องมือเทียม (The Representational) หมายถึง เครื่องมือที่ใช้แทนเครื่องมือจริง เช่น ภาพยนตร์ แผ่นภาพ แผนที่ แผนภูมิ การเขียนกระดานดำ ฯลฯ

29.       เครื่องมือบุคคล หมายถึง เครื่องมืออะไร

1)         เครื่องมือที่กำลังลงมือแสดง    2) เครื่องมือที่กำลังแสดงการกระทำ

3)         เครื่องมือจริงคือปืน มีการยิงปืนให้ดู   4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4. ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ

30.       The Real หมายถึง เครื่องมือโสตทัศนะแบบใด

1)         เครื่องมือจริงที่มีให้ดูจริงประกอบการพูด

2)         เครื่องมือจริง ถ้ามีการพูดเกี่ยวกับเครื่องแบบก็มีเครื่องแบบจริงให้ดู

3)         เครื่องมือที่มีการพูดเกี่ยวกับอะไรก็มีให้ดูจริง 4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4. ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ

31.       สัปปุริสธรรม 7 ประการต่อไปนี้ ข้อใดไม่เกี่ยวข้อง

1) อัตตัญญุตา   

2) อัตตัญมุตา    

3) อัตถัญญุตา   

4) มัตตัญญุตา

ตอบ 2. สัปปุริสธรรม 7 ประการ ได้แก่

1. ธัมมัญญู – เป็นผ้รู้จักเหตุ 

2.อัตถัญญู – เป็นผ้รู้จักผล

3.อัตตัญญู เป็นผู้รู้จักตน 

4.มัตตัญญู – เป็นผู้รู้จักประมาณ 

5.กาลัญญู – เป็นผู้รู้จักกาล            

6.ปริสัญญู – เป็นผู้รู้จักชุมชน   

7.ปุคคลัญญุตา – เป็นผู้รู้จักบุคคล

32.       ทศพิธราชธรรม เป็นธรรมสำหรับพระราชาหรือนักปกครอง เกี่ยวข้องกับข้อใดต่อไปนี้มากที่สุด

1) รัก โลภ โกรธ หลง   

2) ปริจาคะ อาววะ มัทวะ

3) อหิงสา        

4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2. ทศพิธราชธรรม” เป็นหลักธรรม 10 ประการสำหรับพระราชา นักปกครอง หรือแม้แต่ ผู้ใต้บังคับบัญชา ตลอดจนราษฎรทั่วไปที่พึงปฏิบัติต่อกัน อันได้แก่ 

1. ทาน (การให้) 

2. ศีล (ความประพฤติ)  

3. บริจาค (การสละ)

4. อาชวะ (ความตรง) 

5. มัทวะ (ความอ่อนโยน) 

6. ตปะ (ความเพียร) 

7. อโกธะ (ความไม่โกรธ)

8. อวิหิงสา (ความไม่เบียดเบียน)

9. ขันติ (ความอดทน) 

10. อวิโรธนะ (ความไม่ผิด)

33.       ข้อใดต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับอธิศีลสิกขา

1)         สัมมากัมมันตะ            

2) สัมมาวายามะ         

3) สัมมาสมาธิ 

4) สัมมาสังกัปปะ

ตอบ 1. (ดูคำอธิบายข้อ 33. ประกอบ) ความสัมพันธ์ระหว่างไตรสิขากับมรรค มีดังนี้

1.         อธิศีลสิกขา (ศีล) สัมพันธ์กับสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ

2.         อธิจิตสิกขา (สมาธิ) สัมพันธ์กับสัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

3.         อธิปัญญาสิกขา (ปัญญา) สัมพันธ์กับสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ

34.       สัมมาทิฐิ หมายถึงอะไร

1)         คิดในทางที่ถูกต้อง      2) ประกอบอาชีพในทางที่ถูก

3) เห็นชอบว่าความดีมีอยู่จริง 4) รู้ตัวอยู่เสมอ

ตอบ 3. วิธีปฏิบัติในทางพระพุทธศาสนาจะใช้มัชฌิมาปฏิปทา” หรือ มรรค” อันหมายถึง ทางสายกลาง ซึ่งมีองค์ประกอบ 8 อย่าง คือ

1.         สัมมาทิฐิ (เห็นชอบ) หมายถึง คิดในทางที่ถูกต้อง

2.         สัมมาสังกัปปะ (ดำริชอบ) หมายถึง คิดในทางที่ถูกต้อง

3.         สัมมาวาจา (วาจาชอบ) หมายถึง พูดถ้อยคำที่ไม่มีโทษ

4.         สัมมากัมมันตะ (กระทำชอบ) หมายถึง ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

5.         สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ) หมายถึง ประกอบอาชีพสุจริต

6.         สัมมาวายามะ (พยายามชอบ) หมายถึง มีความเพียรพยายาม

7.         สัมมาสติ (ระลึกชอบ) หมายถึง รู้ตัวอยู่เสมอ

8.         สัมมาสมาธิ (ตั่งจิตมั่นชอบ) หมายถึง มีจิตใจแน่วแน่

35.       พรหมวิหาร 4 ประการต่อไปนี้ ข้อใดเกี่ยวข้องมากที่สุด

1 มุทิตา           2) อุเบกขา       3) กรุณาตา     4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 12 หลักธรรมสำคัญที่นักปกครองทุกคนต้องมีเพื่อเป็นสิริมงคลแห่งตนคือ พรหมวิหาร 4 ซึ่ง ประกอบไปด้วย

1.         เมตตา คือ อยากให้ผู้อื่นเป็นสุข

2.         กรุณา คือ อยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์

3.         มุทิตา คือ ยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี

4.         อุเบกขา คือ การวางตัวเป็นกลาง

36.       หลักธรรมในเรื่อง ไตรสิกขา” พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งตรงกับคำสอนของพระพุทธศาสนาข้อใด

1) ทำจิตใจของตนให้ผ่องใส (ปัญญา)            2) ทำตนให้มีสติ (สมาธิ)

3) ประพฤติตนแต่ความดี (ศีล)           4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1. หลักธรรมในเรื่อง ไตรสิขา” นั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในโอวาปาติโมกข์ซึ่งตรงกับคำสอนอันเป็นหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา 3 ข้อ คือ 1. ไม่ประพฤติชั่วทั้งปวง (ศีล) 2) ประพฤติตนแต่ ความดี (ศีล)3. ทำจิตใจของตนให้ผ่องใส (ปัญญา)

37.       ไตรสิกขา’’ เป็นหลักที่พระพุทธศาสนาใช้เป็นระบบ….

1.ฝึกคนให้มีความรัก สามัคคีกัน         2) ฝึกคนให้มีวิธีปฏิบัติที่เรียกว่า มรรค

3) ฝึกคนในสังคมให้เดินทางสายกลาง           4) ถูกทั้งข้อ 2 และ ข้อ 3

ตอบ 4. ไตรสิกขา’’ เป็นหลักที่พระพุทธศาสนาใช้เป็นระบบการฝึกคนในสังคมเชิงปฏิบัติโดยมีวิธี ปฏิบัติที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หรือมรรค กันเป็นทางดำเนินชีวิตที่สอดคล้องในกฎธรรมชาติที่เรียกว่า ทางสายกลาง

38.       Teaching Machine เป็นการฝึกอบรมและการสอนแบบใด

1)         การสอนแบบบรรยาย  2) การสอนสำเร็จรูป

3) การสัมมนา 4) การสาธิต

ตอบ 2. การสอนสำเร็จรูป (Programmed Instruction) หรือที่เรียกว่า Teaching Machine เป็นการ เรียกเกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องจักร และอุปกรณ์ไว้พร้อม โดยไม่จำเป็นต้องมีผู้สอน ซึ่งวิธีการก็คือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนจะแยกเรื่องที่เรียนออกเป็นส่วนย่อย ๆ ผู้ที่เรียนตั้งแต่ต้นจนจบจะได้ความรู้ที่สัมพันธ์กันตามลำดับจนจบหลักสูตร

39.       Authority เกี่ยวข้องกันอย่างไรกับข้อความต่อไปนี้

1) อำนาจในการออกคำสั่งให้คนปฏิบัติตาม   2) ก่อนที่จะออกคำสั่ง ควรพิจารณาให้รอบคอบ

3) คำสั่งเป็นเครื่องวัดความสามารถของผู้บังคับบัญชา 4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4. อำนาจในการออกคำสั่ง (Authority) ให้คนปฏิบัติตาม ขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของ ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้ที่มีส่วนได้เสียต่อการตัดสินใจออกคำสั่ง ดังนั้นก่อนที่ผู้บังคับบัญชาจะออกคำสั่งจึงควร พิจารณาให้รอบคอบก่อนว่า คำสั่งนั้นมีเหตุผลและผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถจะปฏิบัติได้หรือไม่ เพราะคำสั่งที่ ออกไปนั้นย่อมเป็นเครื่องวัดความสามารถของผู้บังคับบัญชาด้วย

40.       การพูดเป็น

1)         การสื่อสารหน่วยย่อยที่สุดเพื่อพิจารณาตามปริมาณสื่อที่ใช้

2)         ผลรวมของสิ่งเร้ากับสิ่งแวดล้อมที่ใช้นำเสนอข้อมูลข่าวสาร

3)         รูปแบบหนึ่งของการสื่อสารแบบวัจนภาษา

4)         การสื่อสารระหว่างเครือข่ายที่สื่อสารมวลชนใช้อยู่

ตอบ 3. การพูด (Speech) เป็นรูปแบบหนึ่งของการสื่อสารแบบวัจนภาษา คือ ภาษาที่เป็นถ้อยคำ เช่น ภาษาพูด ภาษาเขียน ฯลฯ แต่การพูดก็ต้องอาศัยการสื่อสารแบบอวัจนภา คือ ภาษาที่ไม่ใช่ถ้อยคำ เช่น น้ำเสียง สำเนียง กิริยาท่าทาง สีหน้า ฯลฯ เข้ารวมกับวัจนภาษาด้วยดังนั้นการพูดจึงเป็นการสื่อสารที่ไม่สามารถแยกจากอวัจนภาษาอย่างเด็ดขาด

41.       Special Purpose program เป็นการอบรมเพื่อจุดมุ่งหมายอย่างไร

1) เป็นการอบรมหลักสูตรพิเศษเพื่อฝึกอบรมพนักงาน 

2) เป็นการฝึกอบรมแบบสาธิต 

3) เป็นการสัมมนา    

4) เป็นการศึกษา Case study

ตอบ 1. การฝึกอบรมพิเศษ (Special purpose Program) เป็นการอบรมเพื่อจุดมุ่งหมายอย่างใด อย่างหนึ่ง เช่น นายจ้างอาจจะจัดหลักสูตรพิเศษขึ้นเพื่ออบรมพนักงานของตนโดยนายจ้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด หรือนายจ้างอาจจะส่งพนักงานไปฝึกงานกับสถาบันการศึกษาหรือองค์การต่าง ๆ ที่จัดให้มีการ อบรมขึ้น

42.       ความเป็นพิธีการของการสื่อสารพิจารณาจาก

1)         ระเบียบแบบแผน        

2) ความคุ้นเคย

3) สายการบังคับบัญชา          

4) เอกสารสั่งการ

ตอบ 1. การติดต่อสื่อสารแบบพิธีการ (Formal Communication) หมายถึง การติดต่อสื่อสารที่มีระเบียบแบบแผน และมีข้อกำหนดไว้อย่างชัดเจน เช่น การติดต่อสื่อสารในวงราชการซึ่งต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษรหรือปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน กฎเกณฑ์ และธรรมเนียมของการบริหารราชการ เป็นต้น

43.       ขณะที่ผู้นำพูดไปควรแสดงท่าทางอย่างไร

1)         ปล่อยตัวตามสบาย โดยพิจารณาการแสดงออกจากผู้ฟังเป็นสำคัญ

2)         ยิ้ม หัวเราะ แสดงออกทางอารมณ์ตามที่เตรียมมา

3)         รักษาตำแหน่งของมืออย่าให้เกะกะ หรือสูงต่ำเกินไป

4)         กอดอกแสดงความภาคภูมิใจในความเป็นผู้นำความคิดตลอดเวลาที่พูด

ตอบ 4. การแสดงท่าทางการประกอบการพูด เป็นสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของผู้ฟัง และทำให้การพูดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผู้พูดควรจะแสดงท่าทางประกอบการพูดต่อเมื่อต้องการอธิบายหรือเน้นข้อความที่พูด แต่ที่สำคัญก็คือ ในขณะที่ยืนพูดจะต้องไม่ยืนกอดอกเอามือท้าวสะเอว เอามือใส่กระเป๋า หรือเอามือไขว้หลัง เป็นอันขาด

44.       สมรรถภาพในการพูดของผู้นำพิจารณาได้จาก

1) ความนิยม   2) ประสิทธิผล

3) ช่วงเวลาอยู่ในตำแหน่ง                   4) ลูกน้อง

ตอบ 2. ผู้นำต้องมีสมรรถภาพ (Competence) ครบทุกทาง ทั้งทางความต้องการทางจิตวิทยาของผู้ตาม ความรู้ความชำนาญในเทคนิคเฉพาะที่ปฏิบัติงาน โดยผู้นำที่มีสมรรถภาพจะพิจารณาได้จากประสิทธิภาพของงาน ดังนั้นสมรรถภาพในการพูดของผู้นำก็พิจารณาได้จากประสิทธิผลของการพูดนั้นเอง

45.       การร่วมใจ (Empathy) ของผู้นำหมายถึง

1 ใช้ภาษาให้ถูกต้องกับรสนิยม          2) ทำตัวตามสมัยนิยม

3) เอาใจมาใส่ใจเรา    4) แสดงความรู้สึกตามใจผู้ตาม

ตอบ 3. การร่วมใจ (Empathy) ของผู้นำ หมายถึง การเอาใจเขามาใส่ใจเราโดยผู้นำจะต้องรับฟังและแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มใจต่อผู้ร่วมงาน ต้องแสดงตัวว่าเป็นพวกเดียวกับพวกเขา รู้ถึงความต้องการทางอารมณ์หรือแสดงตัวเป็นผู้แทนในความรู้สึกนึกคิดความเดือดร้อน และผลประโยชน์ของกลุ่มผู้ร่วมงาน

46.       Feedback คือ

1. ปาหินถามทาง             2) เสียงบ่นของบริวาร

3. พูดไปสองไพเบี้ย     4) ไกลปืนเที่ยง

ตอบ 2. Feedback คือ ข้อมูลย้อนกลับหรือปฏิกิริยาตอบสนองของผู้รับสาร (ผู้ฟัง) ต่อผู้ส่งสาร (ผู้พูด) หรือสารมีทั้งที่เห็นชัดเจนจากคำพูด (เสียงบ่น) สีหน้า กิริยาทำทาง ฯลฯล และพฤติกรรมที่ปกปิดซ่อนเร้นภายในจิตใจ ซึ่งผู้พูดสามารถตรวจสอบและทราบผลการพูดของตนเองได้จาก Feedback ของผู้ฟัง

47.       ข้อใดเป็นวินัยที่ควรปฏิบัติของผู้นำในฐานะนักพูดที่ดี

1)         ตรงเวลาเพื่อจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ ต่อหน้าลูกน้อง

2)         มาก่อนเวลาเพื่อตระเตรียมสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง

3)         ทำทุกอย่างเอง เพื่อความสมบูรณ์แบบในการพูด

4)         ตรวจบันทึกข้อมูลการพูดที่ผ่านมา แล้วแจ้งให้ลูกน้องทราบด้วยเอกสาร

ตอบ 2. การพูดที่มีประสิทธิภาพนั้น ผู้พูดจะต้องมีการเตรียมตัวที่ดี และควรจะมาก่อนเวลาพูดเพื่อตระเตรียมต่าง ๆ ด้วยตนเอง เช่น สำรวจเวที สถานที่ และอุปกรณ์ด้วยตนเอง เพื่อสร้างความคุ้นเคยและไม่ให้เกิดความผิดพลาดในการพูด

48.       ประโยชน์ของการสื่อสารในแง่การวินิจฉัยสั่งการพิจารณาจาก

1)         การยอมรับในอำนาจ   2) ความถูกต้อง รวดเร็ว

3) ถ่ายโอนนวัตกรรมได้มากขึ้น           4) ลดปริมาณข่าวสารลง

ตอบ 2. ประโยชน์ของการติดต่อสื่อสารสำหรับผู้นำหรือหัวหน้างาน มีดังนี้

1.         ช่วยทำให้การวินิจฉัยสั่งการไปอย่างรวดเร็ว แม่นยำ และถูกต้องยิ่งขึ้น

2.         ช่วยทำให้เกิดการประสานงานที่ดีระหว่างผู้บังคับบัญชา และผู้ใต้บังคับบัญชาหรือช่วยให้ ทำงานสอดคล้องกัน ไม่ทำงานซ้อนหรือก้าวก่ายกัน

3.         ช่วยทำให้การควบคุมงานตามสายการบังคับบัญชามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

4.         ช่วยก่อให้เกิดความสามัคคีในหน่วยงาน เกิดขวัญในการทำงาน และทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าใจในหน่วยงานดีขึ้น

49.       การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายเพื่อตรวจสอบความเชื่อและทัศนคติมีผลอย่างไรต่อการเตรียมข้อมูลในการพูด แต่ละครั้งของผู้นำ

1)         เพื่อสร้างรูปแบบสื่อสารและระดับความซับซ้อนของข้อมูลที่นำเสนอ

2)         เพื่อเปิดประเด็นและหัวข้อที่จะพูดให้เหมาะสม

3)         เพื่อต้องการทราบแนวโน้มการตัดสินใจในเรื่องที่จะเป็นส่วนได้-เสียของผู้ฟัง

4)         เพื่อกำหนดวาระรับรู้และกระบวนการออกแบบเนื้อหา

ตอบ 3. การวิเคราะห์ผู้ฟังเพื่อตรวจสอบความเชื่อ ความคิดเห็น และทัศนคติ และทำให้ผู้พูดทราบถึง แนวโน้มการตัดสินใจเรื่องที่จะเป็นส่วนได้-เสียของผู้ฟัง เพื่อให้ผู้พูดสามารถเตรียมข้อมูลในการพูดและครั้งได้ สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้ฟังเชื่อและยึดถือ ไม่ไปขัดแย้งหรือดูถูกความเชื่อ ความคิดเห็น และทัศนคติของผู้ที่มีอยู่ แต่เติม

50.       บุคลิกภาพของผู้นำ

1)         เปลี่ยนแปลงได้           2) ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

3) คงที่และตายตัว      4) เป็นอัตลักษณ์เฉพาะ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ

51.       การประเมินผลการพูด ที่ผู้นำต้องการไปใช้เป็นข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับอะไร

1)         สร้างประเด็นและความนำสนใจในการนำเสนอครั้งต่อไป

2)         สำรวจกรอบแนวคิด และความเชื่อด้านต่าง ๆ ที่จะเป็นภัยต่อสังคม

3)         พิจารณาปฏิกิริยาตอบกกับด้านต่าง ๆ ที่มีเกี่ยวกับประเด็นสาระของการสื่อสาร

4)         กำหนดประเด็นที่สื่อมวลชนควรรับรู้และนำเสนอในรูปของเอกสารเผยแพร่

ตอบ 1. ประโยชน์ของการประเมินผล (Evaluation) การพูด คือ

1.         นำไปใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการสร้างประเด็นและความนำสนใจในการนำเสนอครั้งต่อไป

2.         ช่วยในการปรับปรุงบุคลิกภาพผู้พูด

3.         ช่วยยกระดับจิตใจผ่านการฟังและการหาเหตุผล

4.         เพื่อสร้างเสริมสติปัญญา

5.         ช่วยยกระดับจิตใจผ่านการฟังและการเหตุผล

52.       การมีคู่ครองที่เหมาะสมมีส่วนสนับสนุนผู้นำด้านใด

1)         อรรถประโยชน์            

2) ผลประโยชน์

3) ภาพพจน์     

4) ภาพลักษณ์

ตอบ 4. ผู้ที่จะเป็นผู้นำควรเลือกคู่ครองหรือคู่ชีวิตที่เหมาะสมและมีบุคลิกที่ดีพอสมควร เพราะในการ ไปปรากฏตัวในที่ชุมชนนั้น บางครั้งคู่ชีวิตของผู้นำจะต้องปรากฏตัวด้วยถ้าคู่ชีวิตมีบุคลิกภาพดี มีมรรยาท งดงาม ก็จะช่วยส่งเสริมหรือสนับสนุนภาพลักษณ์ของผู้นำให้ดียิ่งขึ้น

53.       การตรวจสอบง่าย ๆ ว่าขณะพูดผู้ฟังได้ยินหรือเปล่า พิจารณาจาก

1)         ความสนใจฟังของผู้ฟัง            2) เครื่องแต่งกายของผู้ฟัง

3) คำทักทายของผู้ฟัง 4) สีหน้าของผู้ฟัง

ตอบ 4. หลักการพูดสำหรับผู้นำข้อหนึ่งคือ ตามอง (ผู้ฟัง) ปากพูด ซึ่งขณะที่พูดนั้นผู้พูดสามารถ ตรวจสอบได้ง่าย ๆ ว่าผู้ฟังได้ยินเสียงที่พูดหรือเปล่า จากการสังเกตหรือสีหน้ากิริยาท่าทางของผู้ฟัง ถ้าผู้ฟัง แสดงสีหน้าไม่ยินดีหรือทำท่าเงี่ยหูฟัง ผู้พูดก็ควรถามก่อนที่จะพูดเรื่องที่เตรียมมาว่า ผู้ฟังได้ยินหรือไม่ (ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ)

54.       คำพูดที่มาจากใจ มีความสัมพันธ์อย่างไรในกระบวนการสื่อสารเพื่อสร้างความประทับใจ

1)         มนุษย์ใช้เหตุผลเป็นสิ่งเชื่อมโยงสถานการณ์มากกว่าอารมณ์

2)         เหตุผลเป็นปฏิกิริยาตอบสนองที่มนุษย์โต้ตอบสิ่งเร้า

3)         มนุษย์รับรู้อารมณ์ความรู้สึกก่อนใช้ความคิดตัดสินเหตุผล

4)         การเลือกที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสารใด ๆ สมองเป็นผู้สั่งการอย่างมีเหตุผล

ตอบ 3. ดูคำอธิบายข้อ 13. ประกอบ

55.       การเริ่มต้นเนื้อหาของการพูด ผู้นำควรหลีกเลี่ยงเนื้อหาในลักษณะใด

1)         สภาพการจราจรที่รายงานผ่าน สวพ. 91

2)         หัวข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับเช้า

3)         ฝาท่อระบายน้ำที่เจ้าหน้าที่เผลอเปิดเอาไว้หน้าสำนักงาน

4)         เรื่องส่วนตัวของลูกน้องที่กำลังตกเป็นข่าวหน้าหนังสือพิมพ์

ตอบ 4. ในการเริ่มต้นเนื้อหาของการพูดนั้น จะต้องมีคำนำเพื่อเป็นการเกริ่นหรือเสนอที่มาของเรื่องที่จะพูดก่อน ซึ่งเป็นการเรียกความสนใจเบื้องต้นของผู้ฟัง ดังนี้ผู้พูดที่ฉลาดจะด้องระมัดระวังในเรื่องคำนำหรือ อารัมภบทเป็นอย่างมาก ถ้าคำนำดี ผู้ฟังจะเกิดความเสื่อมใสศรัทธา ทำให้ตั้งใจฟังมากขึ้น แต่ถ้าคำนำไปกระทบเรื่องส่วนตัวของผู้พูดหรือพูดเรื่องส่วนตัวของตนเอง ผู้ฟังก็จะขาดความศรัทธาในตัวผู้พูด ซึ่งก็จะส่งผล ให้การพูดไม่ประสบผลสำเร็จ

56.       สิ่งเร้าที่เกิดจากตัวผู้พูดมีผลเชิงรูปธรรมกับผู้ฟัง คือ

1) บุคลิกภาพและน้ำเสียง      2) ความรู้สึกนึกคิด

3) ระดับการศึกษา      4) ความเชื่อมและทัศนคติ

ตอบ 1. สิ่งเร้าที่เกิดจากตัวผู้พูดที่มีผลเชิงรูปธรรมกับผู้ฟัง คือ สิ่งที่ผู้ได้เห็นและได้ยิน เช่น น้ำเสียง เรื่องที่นำมาพูด การแต่งกาย ท่าทาง การเคลื่อนไหวและบุคลิกภาพของผู้พูด

57.       ในการวางโครงเรื่องพูด หากมีสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในทางเลวร้าย อะไรคือสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่าง รอบคอบที่สุด

1) การตกลงใจที่จะเลือกใช้ข้อมูล       2) ความกล้าที่จะตัดสินใจเลือกประเด็นหรือเนื้อหาที่จะพูด

3) ปฏิกิริยาของผู้ฟังที่จะแสดงกลับมา 4) องค์ประกอบของกลุ่มผู้ฟัง

ตอบ 2. การเริ่มคิด เป็นขั้นตอนของการริเริ่มที่จะวางเค้าโครงเรื่องที่จะพูดว่า ผู้พูดจะพูดเกี่ยวกับอะไร ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ คือ ผู้พูดจะต้องมีความสำคัญที่จะตัดสินใจเลือกประเด็น หรือเนื้อหาที่จะพูด โดยเฉพาะหากมีสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในทางเลวร้าย แต่ถ้าไม่เชื่อนั้นในความคิดของตนเอง ก็อาจถามผู้ที่รู้จักเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ แล้วก็จะได้หัวข้อที่คิดว่าจะนำไปพูดมากขึ้น

58.       เหตุใดผู้พูดจึงต้องค้นคว้าข้อมูลเพื่อการนำเสนอ และมีการระบุแหล่งที่มาของข้อมูลนั้น ๆ

1)         เพื่อให้ได้ข้อมูลมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

2)         เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ละเอียดลึกซึ้งตรงความสนใจของผู้ฟัง

3)         เพื่อแสดงออกถึงการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ เป็นการเคารพแหล่งที่มาก่อนหน้านี้

4)         เพื่อให้การแบ่งหัวข้อ และหาข้อมูลสนับสนุนเป็นไปอย่างราบรื่น

ตอบ 3. การค้นคว้า (Research) ข้อมูลเพื่อนำเสนอเป็นขั้นตอนหลังจากการเขียนโครงเรื่อง ซึ่งวิธีการค้นคว้าข้อมูลอาจทำได้ด้วยการอ่านหนังสือ (ตำรา หนังสือพิมพ์ นิตยสารต่าง ๆ ฯลฯ) การสนทนากับบุคคลอื่น การสัมภาษณ์บุคคลสำคัญหรือจากประสบการณ์ของผู้พูดเอง โดยมีการระบุแหล่งที่มาของข้อมูล เพื่อแสดงออกถึงการอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ และเป็นการเคารพแหล่งที่มาก่อนหน้านี้

59.       ทำไมผู้เตรียมการจึงต้องมีการเขียนเค้าโครงเรื่อง

1) เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม           2) เพื่อสร้างความเชื่อนั้นในแหล่งที่มาของข้อมูล

3) เพื่อประมวลสาระข้อมูลและจัดลำดับ        4) เพื่อให้ผู้ฟังได้รับการตอบสนองข้อมูลที่มากพอ

ตอบ 3. ในการเตรียมเรื่องพูดนั้น ผู้พูดจำเป็นที่จะต้องเขียนโครงร่างหรือโครงเรื่อง (Outline) ขึ้นมาก่อน ทั้งนี้ก็เพื่อประมวลสาระข้อมูลอ้นเป็นการเขียนแนวทางว่าเรื่องที่จะพูดนั้นมีหัวข้ออะไร โดยโครงร่างหรือ โครงเรื่องนี้จะช่วยเป็นแนวทางการตัดเรียงเรื่องที่จะพูด ทำให้เนื้อหามีเอกภาพ ไม่สับสน และง่ายแก่การจดจำ ไปพูด

60.       มรรยาททางสังคมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ……ที่ผู้นำจะต้องขึ้นกล่าวอย่างแยกกันไม่ออก

1) ระบบการสื่อสารมวลชน     2) วัฒนธรรม และแบบปฏิบัติ

3) พัฒนาการทางความคิด      4) ประวัติความเป็นมา

ตอบ 2. ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ

61.       รสนิยมของผู้นำ หมายถึง

1) การปรากฏตนที่โดดเด่น     

2) ความคิดสร้างสรรค์ที่ล้ำหน้า

3) การเลือกให้เหมาะสมกับโอกาส     

4) ความพอเพียง

ตอบ 3. ดูคำอธิบายข้อ 15. ประกอบ

62.       ความคล่องแคล่ว คือ

1) ว่องไวอย่างมีจังหวะจะโคน      

2) เร่งรีบทำให้เสร็จทันกาล

3) พยายามให้เหมาะสมกับโอกาส      

4) ทำให้เห็นว่าเร็วเท่าที่จะทำได้

ตอบ 1. ผู้นำควรมีความคล่องแคล่วว่องไว (Active) ซึ่งเรามักจะนิยมและเลื่อมใสผู้ที่ทำงาน คล่องแคล่วมากกว่าผู้ที่ทำงานอืดอาด ล่าช้า ทั้งนี้ความคล่องแคล่วว่องไวจะต้องเป็นอย่างมีจังหวะจะโคน ไม่ใช่ หลุกหลิกหรือพลุกพล่าน เพราะจะไม่มีความหมายหรือไม่ได้ผลดีแต่กลับทำให้น่ารำคาญมากยิ่งขึ้น

63.       ไม่ว่าจะขึ้นคำด้วยวิธีการใด ๆ ก็ตาม สิ่งที่ผู้นำจะต้องปฏิบัติเป็นแบบอย่างในการพูดทุกครั้งคือ

1) ต้องตื่นเต้นเร้าใจเสมอ        2) กล่าวถึงแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้

3) สอดคล้องกับเนื้อเรื่องที่จะกล่าวในลำดับถัดไป 4) ต้องทักทายผู้ฟังไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามก่อนเสมอ

ตอบ 3. คำนำ (Introduction) ในการพูด เป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะชักจูงให้ผู้ฟังสนใจฟังต่อไป ซึ่งผู้พูดอาจขึ้นต้นด้วยคำจำกัดความ คำถาม สุภาษิต คำคม อารมณ์ขัน ความประหลาดใจ ฯลฯ โดยคำนั้น ๆ จะต้องสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง (Main Body) ที่จะกล่าวในลำดับต่อไป

64.       เมื่อผู้ฟังปรบมืออย่างถึกก้องด้วยความชื่นชม ผู้พูดควรจะ

1)         หยุดพูด จนเมื่อการแสดงความพอใจหมดจบจึงเริ่มพูดต่อ

2)         ยกมือสองข้างขึ้นเหนือศีรษะแล้วโบกไปมา

3)         กล่าวคำว่าขอบคุณแล้วแสดงความเคารพ

4)         เดินลงจากเวทีเพื่อไปสัมผัสมือกับผู้ฟัง

ตอบ 1. ในขณะที่พูด ถ้าผู้ฟังแสดงความพอใจด้วยการหัวเราะหรือปรบมือ ผู้พูดจะต้องหยุดพูดเพื่อรอ ให้เสียงเหล่านั้นซาหรือจบลงแล้วจึงพูดต่อไปอย่าพูดแข่งกับเสียงต่าง ๆ

65.       ในวิชาการพูดนั้น การพูดกินใจคน” หมายถึง

1) การกล่าวยกยอปอปั้น        2) คำพูดที่เกินความจริง

3) คำหยาบที่ทำให้โกรธทันที   4) การพูดถึงปมด้อย

ตอบ 4. ผู้ที่จะเป็นผู้นำควรหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำที่กินใจคน นั้นคือ หลีกเลี่ยงการพูดถึงปมด้อยหรือข้อบกพร่องทั้งทางร่างกายและจิตใจของคนอื่น ซึ่งถือเป็นถ้อยคำที่แสลงใจคนเช่น คำว่า ร่ำรวยหลายแสน หลายล้าน” สำหรับคนหัวล้าน หรือ ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลาย‘’ สำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้ เป็นต้น

66.       ข้อใดกล่าวถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับ สติในการพูด

1) คิดให้มาก   2) ทำทุกอย่างให้สงบ

3) ควบคุมตนให้ได้      4) บังคับให้มีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด

ตอบ 3. ผู้ที่จะเป็นผู้นำควรมีสติหรือรู้จักควบคุมตนเองให้ได้ ผู้ที่ขาดการควบคุมตัวเองจะทำให้เสียบุคลิกภาพทันที ผู้นำที่ดีจึงต้องครองสติอยู่เสมอ ไม่ปล่อยตนเองให้เป็นทาสทางอารมณ์ เช่น ด่าทอพนักงาน ภารโรง คนขับรถ ฯลฯ และไม่เป็นทาสของมึนเมาหรือยาเสพติด

67.       หากพิจารณาในเชิงจิตวิทยาแล้ว เหตุใดมนุษย์จึงชอบพูดมากกว่าฟัง

1)         เพราะสามารถสร้างความได้เปรียบในความถูกต้องได้มากกว่า

2)         เพราะการพูดสร้างความมั่นใจและเชื่อมั่นในตนเองได้มากกว่า

3)         เพราะการพูดเป็นช่องทางเลือกข้อมูลได้มากกว่า

4)         เพราะการพูดรับปฏิกิริยาตอบกลับได้มากกว่า

ตอบ 2. โดยปกติแล้วคนเราชอบพูดมากกว่าชอบฟัง เพราะในขณะที่พูดนั้นผู้พูดจะสร้างความมั่นใจ และมีความรู้สึกตนมีความเชื่อมั่นในตนเอง ตนได้แสดงความคิดเห็นและได้รับความสนใจจากผู้ฟัง

68.       ตัวแปรด้านลบที่มีส่วนทำให้เนื้อหาการพูดที่เตรียมมาไม่สามารถถ่ายทอดตามความต้องการในขณะที่ผู้พูดมีความพร้อมอย่างเต็มที่แล้ว คือ

1) อารมณ์                   2) บรรยากาศรวมทั้งสิ่งแวดล้อม

3) สถานที่ที่ได้รับเชิญไป         4) การจัดรูปแบบของเวที

ตอบ 2. บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดีและที่ดีเกินไปย่อมเป็นอุปสรรคต่อการพูด ทำให้ผลของการพูดไม่ตรงตามจุดมุ่งหมาย และถือเป็นตัวแปรด้านลบที่มีส่วนทำให้เนื้อหาการพูดที่เตรียมมาไม่สามารถถ่ายถอดทอดตามความต้องการได้ ถึงแม้ผู้พูดจะมีความพร้อมอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม

69.       ปัญหาความวิตกกังวลของผู้พูดต่อการปรากฏตัวต่อสาธารณะ ส่วนใหญ่มักเกิดจาก

1) เครื่องแต่งกายที่ไม่เหมาะสม          2) มาถึงเวลาที่พูดนานมากจนเกินไป

3) เกรงว่าภาษาที่ใช้ไม่เหมาะกับผู้ฟัง 4) การไม่รู้จักเจ้าภาพเป็นการส่วนตัว

ตอบ 3. ปัญหาความเครียดและวิตกกังวลของผู้พูดส่วนใหญ่ จะเกิดจากการเตรียมตัวที่ไม่ดีหรือไม่พร้อม จึงทำให้เกรงว่าภาษาที่ใช้จะไม่เหมาะสมกับผู้ฟัง ซึ่งทำให้ผู้พูดเกิดอาการตื่นเวที โดยวิธีแก้ไขประการแรก คือ ผู้พูดต้องเตรียมเรื่องพูดและซ้อมพูดมาอย่างดี เพราะถ้าหากเตรียมตัวพร้อม มีความเข้าใจในเรื่องที่พูดอย่างดีก็จะมีความมั่นใจในตัวเอง เวลาพูดก็จะไม่เกินความกลัว ความเครียดและวิตกกังวลอีก

70.       การพูดเกินเวลาที่กำหนด เป็นการผิดมรรยาทข้อใดมากที่สุด

1) ไม่มีการเตรียมตัวที่ดีพอ      2) ขาดการรับฟังความคิดเห็น

3) ไม่นับถือประธานในพิธี       4) ไม่เคารพสิทธิของผู้ฟัง

ตอบ 4. ในการพูดนั้น ผู้พูดควรพูดให้เหมาะสมกับเวลา อย่าพูดเกินเวลาที่กำหนดเพราะเป็นการ แสดงว่าผู้พูดไม่ได้เคารพและไม่ได้รักษาสิทธิที่พึงมีของผู้ฟังเหมือนกับของตนเอง

71.       หากพิจารณาในเชิงพฤติกรรมการสื่อสารแล้ว เหตุใดจึงไม่ควรผูกขาดการพูดไว้ฝ่ายเดียว

1)         เพราะโครงสร้างของกลุ่มเป้าหมายจะมีการเปลี่ยนแปลง

2)         เพราะจะทำให้การตีความหมายของคำพูดเกิดการบิดเบือน

3)         เพราะจะเกิดสภาพการเลือกตีความข่าวสารในลักษณะที่ไม่พึงประสงค์

4)         เพราะไม่เกิดความสมดุลในโครงสร้างของการสื่อสาร

ตอบ 2. ในการพูดนั้น ผู้พูดจะต้องไม่ผูกขาดการพูดแต่เพียงคนเดียวควรจะเปิดโอกาสการตรวจสอบ ว่าผู้ฟังตีความหมายของข่าวสารได้ตรงกับผู้พูดหรือไม่เพื่อไม่ทำให้การตีความหมายของข่าวสารเกิดความบิดเบือน

72.       การพูดเรื่องส่วนตัวของผู้นำเองมากเกินไปเป็นการผิดมารยาทในการพูดด้านใด

1)         ความไม่รับผิดชอบต่อเนื้อหา   

2) ใช้อำนาจไม่ถูกเวลา

3) ไม่ให้เกียรติผู้ฟังเท่าที่ควร   

4) ไม่วิเคราะห์ผู้ฟังก่อน

ตอบ 3. ในการพูดนั้น ผู้พูดไม่ควรพูดเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องภายในครอบครัว และไม่ควรพูด อวดตน อวดภูมิ ข่ม หรือถือว่าตนเองดีกว่าผู้ฟัง เพราะนอกจากจะไม่สุภาพแล้ว ยังเป็นการไม่ให้เกียรติผู้ฟัง อีกด้วย

73.       กิจกรรมในข้อใดต้องใช้คำปฏิสันถารแบบเป็นพิธีการเต็มรูปแบบ

1)         รัฐพิธี   2) ทำบุญผ้าป่า

3) ต้อนรับคุณครูคนใหม่          4) งานเลี้ยงพระบ้านคุณป้า

ตอบ 1. การกล่าวคำปฏิสันถารแบบเป็นพิธีการเต็มรูปแบบ มักใช้ในการชุมนุม และมีผู้ว่าราชการจังหวัด หรือนายอำเภอเป็นประธานกล่าวคำถวายพระพร โดยควรกล่าวคำปฏิสันถารว่า ท่านแขกผู้มีเกียรติทั้งหลาย

74.       ข้อใดทำให้การปรากฏตัวของผู้นำไม่งามสง่า

1) ก้าวอย่างมั่นใจ       2) ขยับแว่น

3) ปรับไมโครโฟนพอเหมาะกับส่วนสูง            4) กวาดตามองอย่างทั่วถึง

ตอบ 2. ผู้นำควรหลีกเลี่ยงการกระทำที่จะทำให้ปรากฏตัวไม่สง่างาม ดังนี้

1.         อย่าจับจมูก ทำจมูกฟุดฟิด หรือสูดน้ำมูก

2.         อย่าพะวงมองดูบัตรจดหัวข้อเรื่อง

3.         อย่ายืนพิงโต๊ะที่ยืนพูด

4)         อย่าจับแว่น เอามือเสยผม เกาศีรษะ ขยับกางเกง เลียริมฝีปาก หรือดึงคอเสื้อ ฯลฯ

75.       ข้อใดเป็นการแบ่งการพูดตามวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร

1) เร้าอารมณ์ สร้างจุดสนใจ   2) ให้ความบันเทิง ชักจูงใจ

3) บอกเล่า กล่าวความจริง     4) ท่องจำ กล่าวตามหัวข้อ

ตอบ 2. การพูดตามจุดมุ่งหมายหรือตามวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1. การพูดเพื่อให้ความบันเทิง (The Entertaining Speech) 2. การพูดเพื่อให้ความรู้หรือเล่าข้อเท็จจริง (The Informative or Instructive Speech) 3. การพูดเพื่อชักจูงใจ (The Persuasive of Influenced speech)

76.       การตอบคำถามในการพูดโดยไม่มีการเตรียมตัวเอาไว้ล่วงหน้า ผู้นำควรกล่าวในลักษณะ

1)         ชี้แจงรายละเอียด และให้ข้อมูลตามประสบการณ์

2)         บอกปัดและถ่ายโอนไปให้ผู้ที่รู้มากกว่า หรือนำจะรับผิดชอบแทนได้

3)         มีประเด็นและความหมายชัดเจน เลี่ยงคำตอบในคำถามที่คลุมเครือ

4)         ใช้สถิติ และข้อมูลทางวิชาการเพื่อสร้างความมั่นใจในการตอบ

ตอบ 3. การพูดบางเปล่าโดยไม่มีการเตรียมการล่วงหน้า (การพูดโดยกะทันหัน) มีข้อควรปฏิบัติดังนี้

1.         พยายามควบคุมสติไว้ให้ได้ (ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด)

2.         ใช้ปัญญาปฏิภาณไหวพริบให้มากที่สุด

3.         พยายามนึกถึงโครงสร้างของการพูด

4.         ฝึกพูดในใจเรื่องที่เตรียมได้

5.         พูดหรือตอบคำถามให้สั้น กระชับ มีประเด็น และมีความหมายชัดเจน อีกทั้งควรเลี่ยงการตอบคำถามที่คลุมเครือ

77.       การแก้ปัญหาการพูดในสถานการณ์ที่ไม่สามารถจะเตรียมการพูดล่วงหน้าได้ สิ่งที่น่าจะเป็นตัวช่วยสำคัญ นอกเหนือจาก สติ” คือ

1)         ข้อมูลและสถิติเท่าที่จำได้

2)         การใช้ภาษาที่สละสลวย

3)         ภาพลักษณ์ของบุคคล

4)         โครงสร้างการพูดที่จำลองล่วงหน้า

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 76. ประกอบ

78.       การเตรียมสาร ผู้เตรียมสามารถจัดทำได้ใน 2 กรณี คือ

1)         ผู้พูด ผู้ฟัง        2) ตนเอง คนอื่น

3) เจ้าภาพ ประธานในพิธี       4) ผู้ฟัง ผู้สังเกตการณ์

ตอบ 2. ในการเตรียมสารหรือเรื่องที่พูดนั้น ควรเตรียมให้เหมาะสมกับบุคลิกภาพและแนวความคิดของผู้พูด โดยสามารถจัดทำการเตรียมสารหรือเรื่องพูดได้ 2 กรณี คือ 1. เตรียมด้วยตนเอง ซึ่งคนเราย่อม ค้นคว้าและเขียนเฉพาะเรื่องที่ถูกกับนิสัยหรือบุคลิกของตนเองเท่านั้น 2. ให้คนอื่นเตรียมให้ เนื่องจากผู้พูดไม่ มีเวลา ซึ่งควรจะเป็นผู้ที่คุ้นเคยจนรู้นิสัยใจคอและความคิดเห็นของผู้พูดได้เป็นอย่างดี และผู้พูดต้องแนะนำ แนวเรื่องไว้ก่อนด้วย

79.       ในการพูดเพื่อให้สาระความบันเทิง มีอะไรเป็นเนื้อหาสำคัญ

1)         สิ่งเร้า 2) บรรยากาศ   3) อารมณ์ความรู้สึก    4) ความต้องการ

ตอบ 3. จุดมุ่งหมายของการพูดเพื่อความบันเทิงก็คือ เพื่อให้ความบันเทิงรื่นเริงสนุกสนานแก่ผู้ฟัง ดังนั้นอารมณ์ขันและความรู้สึกจึงนับว่าเป็นตัวแปรที่สำคัญของการพูดชนิดนี้

80.       การเตรียมเนื้อหาของรายงานที่ถูกต้องนั้น ไม่ควรที่จะ

1) มีหัวข้อที่สั้น กระชับ ชัดเจน            2) ทำหัวข้อย่อย ๆ ให้ง่ายต่อการอ่าน

3) บรรจุเนื้อหาที่สมบูรณ์ของเรื่องลงไป          4) จัดทำอย่างประณีตด้วยความรอบคอบ

ตอบ 3. การเตรียมเรื่องหรือเนื้อหาของรายงานที่จะพูดนั้น ควรเรียบเรียงขึ้นด้วยความประณีตและ รอบคอบ ใจความที่สำคัญของเนื้อหาจะต้องสั้น กระชับ ชัดเจน มีการทำหัวข้อย่อย ๆ ให้โดดเด่น ง่ายต่อการ อ่าน แต่ไม่ควรบรรจุเนื้อหาที่สมบูรณ์ของเรื่องลงไปเพราะจะทำให้มีเนื้อหาและข้อปลีกย่อยมากมาย ซึ่งเป็นเหตุ ให้ผู้ฟังจำสับสน เกิดความเบื่อและทำให้เสียเวลา

81.       ผลที่ได้จากการพูดชัดจูงใจ คือ

1) เปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนพฤติกรรม      

2) การทำตามคำสั่ง

3) สร้างภาวะทางอารมณ์กดดัน          

4) ให้ตีความหมายข่าวสาร

ตอบ 1. การพูดเพื่อชักจูงใจ มีจุดมุ่งหมายเพื่อชักจูงให้เห็นด้วยเพื่อให้เปลี่ยนความคิดหรือพฤติกรรม และเพื่อชักจูงให้ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งผลที่ได้คือ ผู้ฟังเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนพฤติกรรมตามความประสงค์ที่ผู้พูดได้ตั้งไว้

82.       การพูดโดยมีจุดมุ่งหมายด้านการชักจูงใจต้องอาศัย……เป็นแนวทาง

1) แผ่นจดข้อความแบบย่อ      

2) การซักซ้อมโดยเน้นลำดับการนำเสนอ

3) การสร้างความประทับใจจากข้อมูลที่นำเสนอ 

4) ข้อมูลขยายข้อมูลสาระที่มากพอต่อการตัดสินใจ

ตอบ 3 การพูดเพื่อการชักจูงใจต้องอาศัยวิธีการดำเนินการดังนี้

1.         พูดเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเสื่อมใสศรัทธาในตัวผู้พูด

2.         พูดเพื่อให้เกิดความสนใจจากผู้ฟัง

3.         สร้างความพอใจให้แก่ผู้ฟัง

4.         สร้างความไว้วางใจหรือความประทับใจจากข้อมูลที่นำเสนอให้แก่ผู้ฟัง

5.         สร้างความเชื่อมั่น

6.         พูดอย่างมีชีวิดจิตใจ

7.         พูดเร้าหรือกระตุ้นเพื่อให้ผู้ฟังลงมือกระทำ

83.       ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เริ่มเข้าทำงาน มิได้หมายถึง

1) ผู้ที่เข้าทำงานเป็นครั้งแรก   2) ผู้ที่มาทำงานเป็นวันแรก

3) ผู้ที่ถูกโอนย้ายมาจากหน่วยงานอื่น  4) ผู้ที่ถูกบรรจุใหม่ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงานบุคคล

ตอบ 2. ผู้ใต้บังคับบัญชาที่เริ่มทำงาน หมายถึง ผู้ที่ทำงานใหม่เป็นครั้งแรกผู้ที่ส่งสอบแข่งขันได้หรือ ถูกบรรจุใหม่แล้วเข้ารายงานตัวเพื่อทำงาน รวมถึงผู้ที่ถูกแต่งตั้งหรือโอนย้ายมาจากหน่วยงานอื่น

84.       ข้อมูลใดที่ผู้บังคับบัญชาจะมอบหมายงานให้กับพนักงานได้อย่างเหมาะสม

1) เกียรติบัตรรับรองความสามารถ     2) ใบผ่านงาน

3) คำอธิบายงานในหน้าที่       4) ทรานสคริปต์

ตอบ 3. ผู้บังคับบัญชาควรเตรียมหาคำอธิบายในหน้าที่รับผิดชอบของตำแหน่งที่ผู้ใต้บังคับบัญชาหรือ พนักงานจะทำ เพื่อว่าผู้บังคับบัญชาจะใช้อธิบายพูดคุย และมอบหมายงานให้กับพนักงานได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม

85.       เนื้อหาประเด็นใดที่ไม่จำเป็นต้องพูดรายงานแบบแถลงข้อเท็จจริง

1)         ประเด็นที่วัยรุ่นให้ความสนใจและสนทนาในเครือข่ายออนไลน์

2)         สิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญกับจัดทำเป็นวาระแห่งชาติ

3)         ปัญหาวิกฤติของประเทศที่ทำให้มหาวิทยาลัยต้องมีการศึกษาค้นคว้า

4)         สถิติ ข้อมูล สาระของแผนเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติใหม่

ตอบ 1. การพูดรายงานแบบแถลงข้อเท็จจริง เป็นการเสนอข้อเท็จจริง หลักฐาน ข้อมูล/สถิติ วัตถุประสงค์ หลักการ และสมมุติฐานที่จะเกิดขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วจะเป็นการรายงานถึงโครงการ หรือนโยบายที่จะกระทำ หรือที่กำลังกระทำอยู่

86.       การพูดในลักษณะวิพากษ์วิจารณ์มีลักษณะเฉพาะที่ต่างจากการพูดประเภทอื่น ๆ อย่างไร

1)         เนื้อหาที่จะพูดต้องเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

2)         ต้องมีการนำเสนอด้วยหลักการติเพื่อก่อ ชมเพื่อให้กำลังใจ

3)         ต้องมีการจัดสมดุลของเนื้อหา และผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่กล่าวอ้าง

4)         ต้องมีการใช้กติกา ข้อกำหนด หรือตัวบ่งชี้ต่าง ๆ มาใช้เป็นเกณฑ์

ตอบ 2. การพูดวิจารณ์ หมายถึง การพูดทั้งติและชมสิ่งใดสิ่งหนึ่งในแง่ต่าง ๆ อย่างมีเหตุผลและถูกหลักวิธีการวิจารณ์ เป็นการพูดที่ต้องใช้หลักการตรรกวิทยา (Logic) หรือหลักทางเหตุผล โดยจะไม่เอาอารมณ์ของผู้พูดมาเกี่ยวข้องด้วย

87.       หน้าที่ของผู้บังคับบัญชาโดยตรงที่มีต่อองค์กรเมื่อมีบุคคลใหม่ คือ

1) แจ้งให้หน่วยงานทราบ        2) พาเดินชมที่ทำงาน

3) พิมพ์นามบัตร          4) เลี้ยงรับรอง

ตอบ 1. หน้าที่โดยตรงของผู้บังคับบัญชาที่มีต่อองค์กรเมื่อมีพนักงานหรือบุคคลากรใหม่ คือ ประกาศ คือแจ้งให้หน่วยงานและพนักงานทุกคนทราบล่วงหน้า โดยอาจส่งอีเมล์ทำจดหมายเวียน หรือติดประกาศที่ บอร์ดประชาสัมพันธ์

88.       มารยาทของรุ่นพี่ที่มีต่อพนักงานใหม่ หลังจากได้รับการแนะนำ คือ

1) ชวนเลี้ยงฉลอง       2) มอบของที่ระลึก

3) มอบหมายงานพร้อมแบบประเมิน  4) ปรบมือต้อนรับ

ตอบ 4. ในหน่วยงานบางแห่งเมื่อมีการประชุม ผู้บังคับบัญชาแนะนำผู้เริ่มเข้าทำงานใหม่ให้สมาชิก ทั้งหมดทราบอีกครั้ง ซึ่งหลังจากได้รับการแนะนำ ผู้เริ่มเข้าทำงานใหม่จะยืนขึ้นแล้วก้มศีรษะหรือไหว้สมาชิกที่ ประชุม และสมาชิกในหน่วยงานก็จะปรบมือต้อนรับ

89.       เพื่อประสานงาน และลดความตึงเครียดในการทำงานช่วงแรกของเจ้าหน้าที่คนใหม่ผู้บังคับบัญชาควรจะ….

1) จัดงานเลี้ยงรับน้องใหม่      2) ให้เลขานุการรับส่งถึงบ้าน

3) แนะนำต่อหัวหน้างานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง     4) มอบหมายให้ประชุมแทน

ตอบ 3. ผู้บังคับบัญชาควรแนะนำผู้เริ่มเข้าทำงานใหม่ให้รู้จักกับหัวหน้าหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อจะได้ทำการติดต่อประสานงานกันได้ถูกต้องและรวดเร็วหรือเพื่อลดความตึงเครียดในการทำงาน ช่วงแรกของผู้เริ่มทำงานใหม่

90.       การออกคำสั่งเป็นการแก้ปัญหาการบิดเบือนข่าวสารด้วยการ…….

1) สร้างข่าวสารที่ไม่สามารถปฏิเสธการรับรู้ได้ 2) จัดกระบวนการสื่อสารใหม่ระหว่างผู้รับส่งข่าวสาร

3) กำจัดข้อจำกัดในการสื่อสารออกไป            4) สร้างแบบแผนอันเป็นที่ยอมรับเพื่อลดอคติ

ตอบ 3. การออกคำสั่ง หมายถึง การบังคับบุคคลให้ปฏิบัติตามด้วยความชอบธรรม และเป็นการ แก้ปัญหาการบิดเบือนของข่าวสารด้วยการจำกัดข้อจำกัดในการสื่อสารออกไป โดยผู้ที่ผู้จะเป็นผู้บังคับบัญชา หรือผู้นำควรเรียนรู้วิธีพูดสั่งการที่มีประสิทธิภาพเพื่อว่าผู้ที่จะอยู่ใต้บังคับบัญชาจะได้นำไปปฏิบัติ (Action) นั้น ถือเป็นจุดต่างของการสื่อสารโดยการออกคำสั่งในลักษณะอื่น

91.       การออกคำสั่ง หมายถึง

1)         การควบคุมงานให้เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน

2)         การบังคับบุคคลให้ปฏิบัติตามด้วยความชอบธรรม

3)         การวินิจฉัยบุคคลตามที่กำหนดในระเบียบ

4)         การสั่งการตามอำนาจหน้าที่

ตอบ 2. ดูคำอธิบายข้อ 90. ประกอบ

92.       อำนาจในการออกคำสั่งขึ้นอยู่กับ

1)         การมอบหมายหน้าที่ตามกฎหมาระเบียบซึ่งหน่วยงานนั้นสร้างขึ้นและถือปฏิบัติ

2)         ความสามารถในการพิจารณาโดยอาศัยกฎระเบียบที่มีอยู่

3)         มติของที่ประชุมในการวินิจฉัยสั่งการ

4)         การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียต่อการตัดสินใจ

ตอบ 4. อำนาจในการออกคำสั่งขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมของผู้ใต้บังคับบัญชาหรือผู้มีส่วนได้เสียต่อ การตัดสินใจออกคำสั่ง ดังนั้นก่อนที่ผู้บังคับบัญชาจะออกคำสั่งควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนว่า คำสั่งมีเหตุผล และผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถจะปฏิบัติได้หรือไม่เพราะคำสั่งออกไปนั้นย่อมเป็นเครื่องวัดความสามารถของผู้บังคับบัญชาด้วย

93.       คำสั่งแบบใดมีความเด็ดขาดสูงสุด

1) ขอร้องให้ทำ            2) น่าจะ           3) ต้อง             4) เสนอให้ทำ

ตอบ 3. วิธีออกคำสั่งประเภทสั่งให้ทำ เป็นคำสั่งที่มีความเด็ดขาดสูงสุดโดยผู้ที่ออกคำสั่งมักเป็นผู้ที่ค่อนข้างอยู่ในระเบียบวินัย เช่น ทหาร หรือผู้บังคับบัญชาที่ไม่คำนึงถึงมนุษย์สัมพันธ์มากนัก ซึ่งผู้สั่งมักจะออก คำสั่งโดยตรงและคำสั่งนั้นมักส้มพันธ์กับคำว่า ต้อง’’เช่น “(ต้อง)” เช็ดโต๊ะตัวนี้ (ต้อง) ไปเอาแฟ้มนั้นมา หรือ “(ต้อง) ไปตามนายแก้วมาเดี๋ยวนี้’’ ฯลฯ

94.       ข้อใดมีความสัมพันธ์กับการสั่งให้ทำ

1) ควรจะ         2) น่าจะ           3) ต้อง 4) เลือกเอาว่า

ตอบ 3. ดูคำอธิบายข้อ 93. ประกอบ

95.       ข้อมูลพื้นฐานของคำสั่งในการสื่อสารประกอบด้วย

1) Head Line      2) s M c R + F     3) 5W1H     4) News

ตอบ 3. การวางแผนงานออกคำสั่ง มุ่งที่จะทำให้คำสั่งสมบูรณ (Complete) ซึ่งมีข้อมูลพื้นฐานของ คำสั่งในการสื่อสารประกอบด้วย 5W1คือ คำสั่งนั้นต้องการให้ทำอะไร (What) ทำไมต้อง (Why) จะให้ใคร เป็นผู้ทำ (Who) ทำเมื่อไหร่ (When) ทำที่ไหน (Where) และทำอย่างไร (How) รวมทั้งต้องการจำนวนเท่าใด และคุณภาพขนาดไหน (Quantity and Quality)

96.       การสื่อสารโดยคำสั่ง มีจุดต่างจากการสื่อสารในลักษณะอื่นในประเด็นใด

1) การลงมือปฏิบัติ     2) การประเมินผล

3) ใช้ภาษาที่กระชับ ชัดเจน    4) มีการวิเคราะห์ผู้รับสาร

ตอบ 1. ดูคำอธิบายข้อ 90 ประกอบ

97.       ข้อควรระวังที่สุดสำหรับการพูดเพื่อเล่าประวัติศาสตร์หรือชีวประวัติ ได้แก่

1)         ข้อมูลที่ละเอียด

2)         ข้อโต้แย้งที่หาข้อสรุปไม่ได้

3)         ชื่อที่ถูกต้องของบุคคลสำคัญ

4)         ต้นฉบับจากหลายแหล่งอ้างอิง

ตอบ 3. การเล่าประวัติศาสตร์หรือชีวประวัตินั้น ควรระวังเรื่องชื่อที่ถูกต้องของบุคคลสำคัญมากที่สุด นอกจากนี้ยังต้องระวังข้อผิดพลาดต่าง ๆ อีก เช่น 1. ไม่ควรที่จะกล่าวถึงชีวิตส่วนตัวของเจ้าของชีวประวัติมากเกินไป เพราะจะเป็นการแสดงถึงความไม่นับถือ 2. ควรเล่าเฉพาะเหตุการณ์ที่ผู้อื่นยังไม่รู้ 3. ควรจะอยู่ ในขอบเขตที่เหมาะสม และสุภาพ ไม่ยกย่องจนเกินไป

98.       การพูดเพื่อให้คำปรึกษาลูกน้องที่ดี ผู้นำควรมีเป้าหมายในทิศทางใด

1)         กล่าวถึงความจริงทุกอย่างให้รู้

2)         บอกหนทางแสวงหาผลประโยชน์

3)         สร้างความเป็นกันเองฉันท์พี่น้อง

4)         เสนอทางออกที่ดีหรือเหมาะสมที่สุด

ตอบ 4. การพูดเพื่อให้คำปรึกษาที่ดีควรอาศัยแนวคิดการมีส่วนร่วมเป็นหลัก โดยวิธีที่ดีและมี ประสิทธิภาพที่ควรจะใช้ในการพูดปรึกษาก็คือการสะท้อนความรู้สึกร่วม ซึ่งมีประโยชน์มากในการให้คำแนะน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาเชิงพฤติกรรมและระเบียบวินัยของผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อสร้างบรรยากาศให้มีความ อิสรเสรี ความเข้าใจ ความไว้วางใจกัน อันจะเป็นทางนำไปสู่ที่มาของปัญหา และมีเป้าหมายการแก้ปัญหาไปในทิศทางการเสนอทางออกที่ดีและเหมาะสมที่สุด

99.       เหตุใดผู้นำควรหลีกเลี่ยงการออกคำสั่งในลักษณะ ห้ามกระทำ”

1)         เพราะพฤติกรรมอยากลอง

2)         เพราะพฤติกรรมการมีส่วนร่วม

3)         เพราะพฤติกรรมเบี่ยงเบน

4)         เพราะพฤติกรรมชิงดีชิงเด่น

ตอบ 1. ข้อควรหลีกเลี่ยงในการออกคำสั่งมีลักษณะดังนี้

1.         อย่าออกคำสั่งในลักษณะของการห้ามกระทำ เพราะจะทำให้ผู้รับคำสั่งมีพฤติกรรมอยากลอง

2.         อย่าออกคำสั่งที่ยุ่งยากและซับซ้อนมากเกินไป

3.         อย่าออกคำสั่งที่ขัดแย้งกันเอง

4.         อย่าสั่งงานแบบก้าวร้าวหรือใช้อำนาจบังคับ

5.         อย่าออกคำสั่งโดยใช้ระบบวินัยและระบบทำโทษขึ้นมาอ้าง ฯลฯ

100.    การจัดการกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่ขาดความสุภาพที่ดีที่สุดคือ

1)         มีท่าทางต่อต้าน เป็นผู้นำในการปิดกั้นพฤติกรรมโดยสังคม

2)         ประจานให้อายและเกิดความสำนึก

3)         สะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้รับทราบ

4)         ทำตนเป็นแบบอย่างที่ดี

ตอบ 4. เทคนิคหรือวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไม่มีความสุภาพที่ดี ผู้นำหรือ ผู้บังคับบัญชาควรจะทำตัวเองให้เป็นตัวอย่างในการแสดงกิริยาวาจาสุภาพกับคนทั่วไปหรือประชาชนที่มาติดต่อ โดยหาโอกาสมาช่วยงานในแผนกนั้นบ้าง

MCS3151 การสื่อสารเพื่อมนุษยสัมพันธ์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา MCS3151 การสื่อสารเพื่อมนุษยสัมพันธ์

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1.      การสื่อสารเพื่อมนุษยสัมพันธ์มุ่งเน้นการสื่อสารระดับใด      

(1) การสื่อสารระหว่างบุคคล

(2)    การสื่อสารในกลุ่ม      

(3) การสื่อสารในที่ชุมชน       

(4) การสื่อสารมวลชน

ตอบ 1 หน้า 147, (คำบรรยาย) การสื่อสารเพื่อมนุษยสัมพันธ์จะมุ่งเน้นการสื่อสารระหว่างบุคคล(Interpersonal Communication) เป็นสำคัญ เพราะการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ส่วนใหญ่ จะใช้การสื่อสารระหว่างบุคคลในการแลกเปลี่ยนข่าวสาร ความคิดเห็น อารมณ์ และความรู้สึกต่าง ๆ รวมทั้งทำให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างกัน ดังนั้นการสื่อสารระหว่างบุคคลจึงเป็นปัจจัยสำคัญ ในการดำรงชีวิตและเป็นสื่อสำคัญในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ในสังคม

2.      ข้อใดแสดงถึงความหมายของมนุษยสัมพันธ์

(1)    การเรียนรู้ที่จะพัฒนาตนเอง    

(2) การเรียนรู้ที่จะสื่อสารให้ใจเข้าใจกัน

(3)    การเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันในสังคม      

(4) การเรียนรู้ให้เป็นคนดีของสังคม

ตอบ 3 หน้า 1 – 4, 23 นักวิชาการได้ให้ความหมายของมนุษยสัมพันธ์ (Human Relations)ไว้มากมาย แต่ความหมายที่สั้นและตรงที่สุดเห็นจะได้แก่ความหมายที่ว่า การติดต่อสัมพันธ์ ระหว่างผู้คน ทักษะการมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างมนุษย์ หรือทักษะในการปรับตัว เพื่อให้มนุษย์สามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข

3.      ข้อใดแสดงถึงการมีแนวคิดเชิงบวก

(1)    การยอมรับชะตากรรม            (2) การยอมรับความแตกต่างของบุคคล

(3) การยอมรับธรรมชาติของมนุษย์   (4) การมองเห็นโอกาสในวิกฤต

ตอบ 2 หน้า 3, 17, 19, (คำบรรยาย) ปัจจัยหรือจุดเริ่มด้นของการสร้างมนุษยสัมพันธ์ คือ ตนเอง โดยเริ่มจากการรู้จักและเข้าใจตนเอง ขณะเดียวกันก็ต้องรู้จักและเข้าใจผู้อื่นด้วย ทั้งนี้บุคคล ต้องรู้จักมองโลกในแง่ดีหรือมีทัศนคติ/แนวคิดเชิงบวก (Positive Thinking) ต่อตนเอง ต่อผู้อื่น และต่อสิ่งต่าง ๆ เช่น การยอมรับความแตกต่างของบุคคล เป็นต้น

4.      ข้อใดแสดงว่ามนุษยสัมพันธ์เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ 

(1) มนุษยสัมพันธ์เป็นกฎเกณฑ์ที่สามารถพัฒนาได้

(2)    การสร้างมนุษยสัมพันธ์ต้องอาศัยการเรียนรู้จากทฤษฎีและตำรา

(3)    มนุษยสัมพันธ์มีความสำคัญทั้งในชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงาน

(4)    การสร้างมนุษยสัมพันธ์ต้องอาศัยหลักการและการฝึกทักษะ

ตอบ 4 หน้า 3-4, 16, (คำบรรยาย) แนวคิดที่ว่ามนุษยสัมพันธ์เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์นั้น หมายถึง การศึกษามนุษยสัมพันธ์ต้องอาศัยการเรียนรู้จากหลักการ ทฤษฎีหรือกฎเกณฑ์ และแนวคิดต่าง ๆ ทางด้านมนุษยสัมพันธ์ ในขณะเดียวกันก็ต้องอาศัยการฝึกทักษะการแสดงออกอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับบุคคล โอกาส และสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5.      การอยู่ร่วมกันของมนุษย์เมื่อเริ่มรวมกลุ่มเป็นสังคม มีลักษณะอย่างไร

(1)    อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข           (2) อยู่ร่วมกันอย่างไม่เป็นทางการ และเป็นไปโดยอัตโนมัติ

(3) อยู่ร่วมกันอย่างเป็นทางการ และไม่เสมอภค (4) อยู่ร่วมกันอย่างมีปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด และเป็นกันเอง

ตอบ 2 หน้า 9 ความสัมพันธ์ของมนุษย์ในยุคที่เริ่มอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มสังคมนั้น จะมีลักษณะ ของการอยู่ร่วมกันอย่างไม่เป็นทางการ และเป็นไปโดยอัตโนมัติ แต่เมื่อมนุษย์อยู่ร่วมกันเป็น สังคมใหญ่ขึ้น สังคมมนุษย์ได้แตกเป็นกลุ่มเป็นสถาบันย่อย ๆ ตามความจำเป็น ทำให้ลักษณะ ความสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกันเป็นไปในรูปแบบที่เป็นทางการขึ้น แต่ก็เป็นความสัมพันธ์ ที่ไม่เสมอภาค เพราะมีการเอารัดเอาเปรียบกัน

6.      ข้อใดแสดงถึงแนวคิดการสื่อสารเพื่อมนุษยสัมพันธ์ที่สอดคล้องกับหลักการด้านสิทธิมนุษยชน

(1)    เข้าใจในความเป็นปัจเจกบุคคล         (2) เคารพความเสมอภาคระหว่างบุคคล

(3) ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล       (4) พยายามสร้างความสมานฉันท์ในสังคม

ตอบ 2 หน้า 2, 29 – 30, (คำบรรยาย) ธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดพื้นฐานในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ประการหนึ่ง คือ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ (Human Dignity) ซึ่งมนุษย์ควรติดต่อสัมพันธ์กับด้วย ความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน โดยต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของแนวคิดด้านสิทธิมนุษยชนของ องค์การสหประชาชาติ ดังนั้นมนุษย์จึงควรเคารพในความเสมอภาคระหว่างบุคคล โดยไม่แบ่งแยก ฐานะชนชั้น แต่ควรยกย่องให้เกียรติและยอมรับนับถือในฐานะที่เป็นมนุษย์เหมือนกัน

ข้อ 7. – 9. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1) เฮ็นรี่ แกนต์

(2)    เอลตัน เมโย   (3) แอนดรู ยูรี            (4) โรเบิร์ต โอเวน       (5) เฟเดอริก เทย์เลอร์

7.      ใครคือนายจ้างคนแรกที่จุดประกายให้มีการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับคนงาน

ตอบ 4 หน้า 11-12, (คำบรรยาย) โรเบิร์ต โอเวน (Robert Owen) เป็นเจ้าของกิจการชาวเวลส์ คนแรกตามประวัติคาสตร์อุตสาหกรรมของอังกฤษที่มีความคิดริเริ่มในการเอาใจใส่ความเป็นอยู่ ของคนงาน โดยยอมรับว่าต้องให้ความสำคัญกับจิตใจและความต้องการของลูกจ้างคนงาน ซึ่งเขาได้พยายามปรับปรุงสวัสดิการต่าง ๆ ของลูกจ้าง เช่น ปรับปรุงสถานที่ทำงานและสิ่งแวดล้อม ให้สะอาด ปรับปรุงสภาพในการทำงานให้ดีกว่าที่เคยเป็นอยู่ และเป็นนายจ้างคนแรกที่ต่อต้าน การใช้แรงงานเด็ก ฯลฯ ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้จุดประกายและเริ่มต้นแนวคิดการสร้างสัมพันธภาพ ระหว่างลูกจ้างกับนายจ้างเป็นคนแรก จนได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการบริหารงานบุคคล

8.      ใครคือนายจ้างที่จูงใจให้คนงานเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานด้วยเงินรางวัลพิเศษ

ตอบ 1 หน้า 13 ในปี ค.ศ. 1912 เฮ็นรี่ แอล. แกนต์ (Henry L. Gantt) เป็นวิศวกรหนุ่มที่ได้คิดหา วิธีจูงใจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของคนงาน โดยเขาได้ขยายแนวคิดของเฟเดอริก ดับบลิว. เทย์เลอร์ (Federick WTaylor) มาผสมผสานกับของตัวเอง เช่น สนับสนุนให้เกิดการทำงานเป็นทีม โดยทดลองเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของคนงานด้วยการให้เงินโบนัส หรือเงินรางวัลพิเศษ เพื่อเป็นแรงจูงใจแก่คนงานที่สามารถทำงานเสร็จก่อนเวลาที่กำหนด

9.      ใครคือนายจ้างที่ริเริ่มในเรื่องสวัสดิการในการรักษาพยาบาล

ตอบ 3 หน้า 12 แอนดรู ยูรี (Andrew Ure) ได้เขียนบทความที่ให้ความสำคัญแก่ มนุษย์และเป็นผู้ริเริ่มการให้สวัสดิการแก่คนงาน โดยเฉพาะในด้านสุขภาพและการรักษาพยาบาล ซึ่งเขาได้เสนอให้ปรับปรุงการจัดสวัสดิการต่าง ๆ ดังนี้  1. จัดให้มีชั่วโมงพักระหว่างการทำงาน

2.      ปรับสถานที่ทำงานให้ถูกสุขลักษณะ 3. เมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย คนงานต้องได้รับการดูแล รักษาพยาบาล และได้รับค่าจ้างระหว่างหยุดพักรักษาตัวด้วย 4. ส่งเสริมให้คนงานมีสุขภาพดี โดยจัดสนามและอุปกรณ์การออกกำลังกายแก่คนงาน

10.    ข้อใดไม่ใช่ปัจจัยที่คณะผู้ศึกษากรณีฮอธอร์นตั้งใจศึกษา

(1)    ระยะเวลาหยุดพักในการทำงาน        (2) การรวมกลุ่มของคนงาน

(3)    แสงสว่างในที่ทำงาน   (4) ทัศนคติของลูกจ้างต่อนายจ้าง

ตอบ 2 หน้า 13 – 14, (คำบรรยาย) ศาสตราจารย์เอลตัน เมโย (Elton Mayo) เป็นหัวหน้าคณะผู้ที่ ศึกษากรณีฮอธอร์น (Hawthorne Studies) คือ การศึกษาปัจจัยแห่งประสิทธิภาพของการทำงาน ในโรงงานแห่งหนึ่ง โดยศึกษาปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ได้แก่ ระยะเวลาหยุดพัก ในการทำงาน และแสงสว่างหรืออุณหภูมิในที่ทำงาน รวมทั้งศึกษาปัจจัยด้านทัศนคติของลูกจ้าง ต่อนายจ้าง (ส่วนปัจจัยที่ไม่ได้ตั้งใจศึกษา คือ การรวมกลุ่มของคนงานที่ไม่เป็นทางการ แต่ปัจจัย ดังกล่าวดึงดูดความสนใจของคณะผู้ศึกษาวิจัย จึงทำการศึกษาต่อ)

11.    ข้อใดเป็นผลของการศึกษาฮอธอร์น  

(1) ยอมรับการรวมกลุ่มที่ไม่เป็นทางการของคนงาน

(2)    ปรับสภาพแวดล้อมการทำงานให้ถูกสุขลักษณะ

(3)    ยอมรับว่าคนงานเป็นปัจจัยสำคัญที่แตกต่างจากปัจจัยอื่น

(4)    เพิ่มสวัสดิการและอัตราค่าจ้างแก่คนงาน

ตอบ 3 หน้า 14 สิ่งที่พบจากผลของการศึกษากรณีฮอธอร์น ทำให้รู้ว่าต้องให้ความสำคัญที่จิตใจ และความต้องการของคนงาน โดยให้มองคนงานว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่แตกต่างไปจากปัจจัยอื่น ๆ หากความต้องการ ความรู้สึกนึกคิด และแรงจูงใจไม่ได้รับการสนองตอบ หรือปล่อยให้เกิด ความขัดแย้งขึ้นก็จะก่อให้เกิดปัญหาที่สลับซับซ้อนตามมา

12.    ปฏิกิริยาป้อนกลับจากคู่สื่อสาร แสดงถึงปัจจัยใดที่ทำให้บุคคลมีความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์

(1) สภาพแวดล้อม    

(2) พันธุกรรม 

(3) การอบรมสั่งสอน  

(4) ประสบการณ์

ตอบ 4 หน้า 15, (คำบรรยาย) ปัจจัยที่ทำให้บุคคลมีความสามารถด้านมนุษยสัมพันธ์ ได้แก่

1.      สภาพแวดล้อม ถือเป็นปัจจัยเริ่มแรก เช่น สายใยรักในครอบครัว หรือความรักความเอาใจใส่ ในครอบครัว การเลี้ยงดูในวัยเด็ก ๆลฯ 2. การอบรมสั่งสอน เช่น การรับฟังความรู้หรือ ข้อแนะนำเกี่ยวกับพฤติกรรมการแสดงออกที่เหมาะสมจากพ่อแม่ ครู และญาติพี่น้อง ฯลฯ 3.ประสบการณ์ที่ได้รับ เช่น ปฏิกิริยาตอบกลับ หรือปฏิกิริยาป้อนกลับ (Feedback) จาก คู่สื่อสารหรือคนรอบตัว ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคูสื่อสาร และคำวิพากษ์วิจารณ์จากบุคคลอื่น

13.    สภาพแวดล้อมทางจิตวิทยาของบุคคล แสดงถึงสาเหตุใดที่ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์

(1) ความแตกต่างในด้านประสบการณ์        (2) ความแตกต่างในด้านภูมิหลัง

(3) ความแตกต่างในด้านความคิดเห็น          (4) ความแตกต่างในด้านผลประโยชน์

ตอบ 3 หน้า 16, 79, (คำบรรยาย) สาเหตุที่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น ได้แก่

1.      ความแตกต่างด้านประสบการณ์และภูมิหลัง เช่น อายุ เพศ อาชีพ การศึกษา สถานภาพ ทางเศรษฐกิจและสังคม ฯลฯ

2.      ความแตกต่างด้านความคิดเห็น เป็นความแตกต่างของสภาพแวดล้อมทางจิตวิทยาของบุคคล ในลักษณะที่เป็นนามธรรม เช่น ความเชื่อ ทัศนคติ ค่านิยม และรสนิยม ฯลฯ ซึ่งหากไมยอมรับกันแล้ว ความเข้าใจระหว่างกันก็จะเกิดขึ้นได้ยาก

3.      ความแตกต่างด้านผลประโยชน์ คือ ผลประโยชน์ขัดกัน ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งในรูปของสิ่งของ วัตถุ เงินทอง ชื่อเสียง ลาภ ยศ ฯลฯ มักทำให้เกิดความไม่พอใจและความแตกแยกได้ง่าย เพราะธรรมชาติของคนเราจะไม่ยอมเสียเปรียบใคร

ข้อ14-16 ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1) การติดต่อสื่อสาร (2) การรู้จักตนเอง      (3) การจูงใจ

(4)    ความไว้วางใจ  (5) การเปิดเผยตนเอง

14.    องค์ประกอบข้อใดทำให้คู่สื่อสารกล้าแสดงออกซึ่งความรู้สึกที่แท้จริง

ตอบ 4 หน้า 18, 217, (คำบรรยาย) ความไว้วางใจ (Trust) ถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการสร้าง มนุษยสัมพันธ์ เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้คู่สื่อสารมีความเชื่อใจกันและกล้าที่จะเปิดเผยตนเอง (Self Disclosure) ต่อกัน หรือกล้าแสดงออกซึ่งอารมณ์ ความรู้สึกที่แท้จริง และความคิดเห็น ต่าง ๆ อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งทำให้คู่สื่อสารแต่ละฝ่ายมีการแลกเปลี่ยนข่าวสารอย่างอิสรเสรี จนสามารถรับรู้และเข้าใจอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างถูกต้อง เช่น ความรู้สึกเชื่อมันและไว้วางใจกัน ในขณะเล่นตุ๊กตาล้มลุก เป็นต้น

15.    องค์ประกอบข้อใดเปรียบเหมือนหัวใจของมนุษยสัมพันธ์

ตอบ 1 หน้า 17 การติดต่อสื่อสาร (Communication) มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ จนมีผู้เปรียบว่าการติดต่อสื่อสารเป็นหัวใจของมนุษยสัมพันธ์ เพราะการสื่อสาร คือ สิ่งที่แสดงถึง ความสัมพันธ์ของมนุษย์ (Communication is the human connection) เป็นเครื่องมือ ที่ทำให้เข้าใจตนเองและผู้อื่น เนื่องจากการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างตัวเรากับบุคคลอื่น ต้องกระทำผ่านการติดต่อสื่อสาร

16.    องค์ประกอบข้อใดทำให้คู่สื่อสารมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน

ตอบ 5 หน้า 18, 55, (คำบรรยาย) การเปิดเผยตนเอง (Self Disclosure) เป็นขั้นตอนที่ช่วยพัฒนา ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เพราะเป็นการแสดงออกถึงสิ่งที่อยู่ภายในตัวเราให้ผู้อื่นได้ทราบ เช่น อารมณ์ ความรู้สึก ทัศนคติ ความคิดเห็น และปฏิกิริยาโต้ตอบต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ดังนั้น การเปิดเผยตนเองจึงทำให้คู่สื่อสารรู้จักและเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น ทำให้สามารถคาดคะเน ความคิด รวมทั้งเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมการสื่อสารกับผู้อื่นให้ตรงเป้าหมายและมีประสิทธิภาพ

17.    ข้อใดแสดงถึงประโยชน์ในการศึกษาธรรมชาติของมนุษย์

(1)    เข้าใจความคิดและการกระทำของมนุษย์       (2) ยอมรับในความแตกต่างของมนุษย์

(3) นำไปพัฒนาตัวตนของมนุษย์      (4) รู้จักวิธีที่เหมาะสมในการสร้างความสัมพันธ์กับมนุษย์

ตอบ 4 หน้า 24 การศึกษาธรรมชาติของมนุษย์มีประโยชน์ต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ดังนี้

1.      ทำให้รู้จักและเข้าใจตนเองในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่ง 2. ทำให้รู้จักและเข้าใจบุคคลอื่น ในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน 3. เกิดการยอมรับตนเองและบุคคลอื่นตามธรรมชาติ ของแต่ละฝ่าย 4. ทำให้รู้จักวิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่เหมาะสมตามหลักมนุษยสัมพันธ์

18.    ข้อใดไม่ใช่ลักษณะตามธรรมชาติของมนุษย์ 

(1) ชอบการเปลี่ยนแปลง

(2)    ไม่ชอบการบังคับ        (3) ชอบซ้ำเติม           (4) มักง่าย

ตอบ 1 หน้า 23 – 24 ลักษณะทั่วไปตามธรรมชาติของมนุษย์ที่คล้ายคลึงกัน มีดังนี้ 1. อิจฉาริษยา ไมชอบเห็นคนอื่นดีกว่าตน 2. มีสัญชาตญาณแห่งการทำลาย 3. ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง   4.มีความต้องการทางเพศ 5. หวาดกลัวภัยอันตรายต่าง ๆ        6. กลัวความเจ็บปวด  7. โหดร้าย ชอบซ้ำเติม 8. ชอบความสะดวกสบาย มักง่าย ไม่ชอบระเบียบและการถูกบังคับ 9. ชอบความตื่นเต้น ชอบการผจญภัย ฯลฯ

ข้อ19-21 ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1) เก้าจื๊อ      (2) ขงจื๊อ        (3) ซุ่นจื๊อ        (4) เม่งจื๊อ

19.    นักปรัชญาชาวจีนท่านใด เชื่อว่าการแก้ไขตนเอง คือ การแก้ไขปัญหาที่สาเหตุ

ตอบ หน้า 32, (คำบรรยาย) ขงจื๊อ ได้กล่าววาทะที่ว่า เราไม่สามารถห้ามนกบินข้ามหัวเราได้แต่เราสามารถทำให้นกไม่ขี้รดหัวเราได้ ด้วยการหาหมวกมาใส่” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวคิด ด้านมนุษยสัมพันธ์ที่ให้ความสำคัญกับการยอมรับธรรมชาติของผู้อื่น คือ ถ้าเราต้องการ จะอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นได้อย่างมีความสุขแห้จริงแล้ว ก็สมควรแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่ถูกต้อง โดยเปลี่ยนแปลงแก้ไขปัญหาที่ตนเอง ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่สาเหตุหรือต้นเหตุ ดีกว่าที่จะไปแก้ไข หรือพยายามเปลี่ยนแปลงบุคคลอื่นซึ่งเป็นเรื่องยาก และเป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุมากกว่า

20.    นักปรัชญาชาวจีนท่านใด เชื่อว่ามนุษย์มีลักษณะของมบุษยสัมพันธ์อยู่ในตนเอง

ตอบ 4 หน้า 26, (คำบรรยาย) เม่งจื๊อ เชื่อว่า ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนมีความดีติดตัวมาโดยกำเนิด ฃึ่งได้แก่      1. มีความรู้สึกเมตตากรุณา หมายถึง ความมีมนุษยธรรม

2.      มีความรู้สึกละอายและรังเกียจต่อบป หมายถึง การยึดมั่นในหลักศีลธรรมความดีงาม

3.      มีความรู้สึกอ่อนน้อมถ่อมตน หมายถึง การปฏิบัติตนอันเหมาะสม ซึ่งถือเป็นคุณลักษณะที่ แสดงถึงการมีทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์อยู่ในตนเอง

4.      มีความรู้สึกในสิ่งที่ถูกและผิด หมายถึง ความมีสติปัญญา

21.    นักปรัชญาชาวจีนท่านใด เชื่อว่าสภาพแวดล้อมที่ดีจะพัฒนามนุษย์ให้เป็นคนดีได้

ตอบ 3 หน้า 26 ซุ่นจื๊อ มองวา ธรรมชาติของมนุษย์เป็นคนไม่ดีเป็นทุนเติมติดตัวมา แต่การที่ เป็นคนดีเพราะสภาพแวดล้อมที่ดีพัฒนามนุษย์ให้เป็นคนดีขึ้นมาได้ และท่านยังมีความเห็น ว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับสติปัญญาและความหยาบกระด้าง ซึ่งสติปัญญานี้สามารถพัฒนา สภาพหยาบกระด้างที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ให้มาเป็นบุคคลที่มีบุคลิกภาพอันงดงาม และสมบูรณได้ด้วยการฝึกอบรม

22.    นักจิตวิทยาคนใดมองธรรมชาติของมนุษย์ว่าป่าเถื่อน และเห็นแก่ตัว

(1) โทมัส ฮอบส์         

(2) จอห์น ลอค           

(3) มาสโลว์    

(4) คาร์ล โรเจอร์

ตอบ 1 หน้า 28 โทมัส ฮอบส์ (Thomas Hobb) ได้แสดงแนวคิดเรื่องธรรมชาติของมนุษย์ว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นป่าเถื่อน เห็นแก่ตัว โอ้อวดตน ยื้อแย่งแข่งดีกันโดยไม่มีขอบเขต เอาแต่ใจ หยาบคาย และอายุสั้น แต่ถ้าพบกับความทุกข์ยากแล้ว มนุษย์จึงจะลด ความเห็นแก่ตัวลง และสังคมจะช่วยให้เขาดีขึ้น

ข้อ 23. – 24. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1) กลุ่มปัญญานิยม (2) กลุ่มพฤติกรรมนิยม (3) กลุ่มมนุษยนิยม .          (4) กลุ่มจิตวิเคราะห์

23.    นักจิตวิทยากลุ่มใดเชื่อว่าพฤติกรรมมนุษย์เป็นผลมาจากระบบจิตใต้สำนึก

ตอบ 4 หน้า 29 กลุ่มจิตวิเคราะห์ ได้แก่ ฟรอยด์ (Freud) และฟรอม (Fromm) มีความเชื่อในเรื่องของจิตและพฤติกรรมภายใน โดยเชื่อว่าธรรมชาติของมนุษย์มีความเลวติดตัวมาแต่กำเนิดและ พฤติกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์เกิดมาจากสัญชาตญาณภายในของบุคคล ซึ่งประกอบด้วยจิต (จิตไร้สำนึก จิตใต้สำนึก และจิตในสำนึก) และแรงขับพื้นฐาน (แรงขับที่จะดำรงชีวิต แรงขับที่จะทำลาย และแรงขับทางเพศ)โดยเมื่อมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมก็จะแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ออกมา

24.    ธรรมชาติของมนุษย์ในแนวคิดของเก้าจื๊อ สอดคล้องกับแนวคิดนักจิตวิทยากลุ่มใด

ตอบ 2 หน้า 26, 28, (คำบรรยาย) เก้าจื๊อ มองว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นไม่ดีและไม่ชั่ว เปรียบเหมือน กับกระแสน้ำที่รวนเร (ไม่รู้จักทิศทาง) โดยถ้าเปิดทางทิศตะวันออก น้ำก็จะหลไปทางทิศตะวันออก แต่ถ้าเปิดทางทิศตะวันตกน้ำก็จะไหลไปทางทิศตะวันตก ซึ่งจะสอดคล้องกับความเชื่อของ นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยมที่ว่า มนุษย์เกิดมาไม่ดีและไม่เลว เมื่อเกิดมาแล้วจะดีหรือไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม มนุษย์จึงเป็นผลิตผลของสิ่งแวดล้อม

ข้อ 25. – 27. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1)    บุคคลย่อมมีความแตกต่าง     (2) การศึกษาบุคคลในลักษณะผลรวม

(3)    พฤติกรรมของบุคคลย่อมมีสาเหตุ       (4) ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

25.    แนวคิดข้อใดนำไปสู่การจูงใจบุคคลอื่นได้

ตอบ 3 หน้า 29 – 30, (คำบรรยาย) ธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดพื้นฐานในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ประการหนึ่ง คือ พฤติกรรมของบุคคลย่อมมีสาเหตุ (Cause Behavior) ดังนั้นมนุษย์จึงต้องการ แรงจูงใจ (Motivation) อันเป็นพื้นฐานไปสู่การจูงใจบุคคลอื่นให้คล้อยตาม หรือจูงใจให้บุคคล เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้

26.    การยอมรับที่จะปรับเปลี่ยนตนเองดีกว่าไปเปลี่ยนแปลงผู้อื่น เป็นผลมาจากแนวคิดข้อใด

ตอบ 1 หน้า 29, (คำบรรยาย) ธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดพื้นฐานในการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ประการหนึ่ง คือ บุคคลย่อมมีความแตกต่าง (Individual Difference) ซึ่งบุคคลแต่ละคนล้วน มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว จึงไม่ควรพยายามเปลี่ยนแปลงคนอื่นให้ต้องคิดหรือทำทุกอย่าง เหมือนตนเอง แต่ควรยอมรับและเคารพในความเป็นปัจเจกบุคคล หรือยอมรับธรรมชาติของ แต่ละบุคคล (ทั้งของตนเองและผู้อื่น) โดยแนวคิดนี้จะสอดคล้องกับขงจื๊อที่เน้นการยอมรับ ที่จะปรับเปลี่ยนตนเองดีกว่าไปเปลี่ยนแปลงผู้อื่น (ดูคำอธิบายข้อ 19. ประกอบ)

27.    สังคมที่ไม่มีการแบ่งชนชั้น เป็นผลมาจากการยอมรับแนวคิดข้อใด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ

ข้อ 28. – 30. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี X         (2) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Y

(3) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี Z         (4) ธรรมชาติของมนุษย์ตามแนวคิดด้านมานุษยวิทยา

28.    แนวคิดข้อใดเชื่อว่ามนุษย์มีสติปัญญาที่เป็นเหตุจูงใจในการทำงาน

ตอบ 3 หน้า 31 ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี ของเรดดิน เชื่อว่า มนุษย์มีความซับซ้อน แต่จะมีลักษณะทั่วไป คือ            1. ตั้งใจทำงานที่ตนรับผิดชอบเพื่อให้งานบรรลุเป้าหมาย 2.มีสติปัญญา มีวุฒิภาวะ และมีเหตุผล ซึ่งเป็นเหตุจูงใจในการทำงาน 3.ยอมรับพฤติกรรมความดีและไม่ดี อันเกิดจากการกระทำของตนเอง สถานการณ์ และสิ่งแวดล้อม 4.มนุษย์ต้องติดต่อเกี่ยวข้องและพึ่งพาอาศัยกัน โดยได้รับอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อม

29.    นายจ้างควรรู้จักยกย่องชมเชยบุคลากรที่มีธรรมชาติตามแนวคิดข้อใด

ตอบ 2 หน้า 30-31, (คำบรรยาย) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี มีลักษณะทั่วไป คือ

1.      การออกแรงกายและการใช้สมองในการทำงาน เป็นของธรรมดาเหมือนกับการเล่นหรือการพักผ่อน ซึ่งจะทำให้มนุษย์มีทัศนคติที่ดี เกิดความรักในงาน พึงพอใจและมีความสุขในการทำงาน

2.      บุคคลจะทำงานในหน้าที่ด้วยการสั่งงานและควบคุมตนเอง

3.      ควรใช้แรงเสริมทางบวกเป็นสิ่งตอบแทนเพื่อจูงใจให้บุคคลทำงาน คือ การยกยองชมเชย การให้รางวัลเพื่อเป็นกำลังใจกับผลสำเร็จของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้มีโอกาส แสดงผลงานและความสามารถในการทำงานตามที่เขาต้องการ ฯลฯ

30.    บุคลากรที่ขาดความรับผิดชอบและขาดความกระตือรือร้นในการปฏิบัติหน้าที่ แสดงถึงธรรมชาติตามแนวคิดข้อใด

ตอบ 1 หน้า 30, (คำบรรยาย) ธรรมชาติของมนุษย์ตามทฤษฎี มีลักษณะทั่วไป คือ

1.      มีนิสัยไม่ชอบทำงาน ถ้ามีโอกาสก็จะหลบหลีกหรือหลีกเลี่ยงการทำงานทันที หรือมักจะ ทำงานแบบ เช้าชาม เย็นชาม” 2. เพราะมีนิสัยไม่ชอบทำงาน จึงต้องใช้แรงเสริมทางลบ เพื่อจูงใจให้ทำงาน คือ ใช้การบังคับควบคุม และมีบทลงโทษ เพื่อให้ทำงานจนบรรลุผลสำเร็จ ตามวัตถุประสงค์ขององค์การ 3. ชอบทำงานตามนายสั่ง ขาดความรับผิดชอบ และขาดความกระตือรือร้นในการปฏิบัติหน้าที่การงาน แต่ต้องการความมั่นคงและปลอดภัยเหนือสิ่งอื่นใด

ข้อ 31. – 36. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1) Survival Needs 

(2) Primary Needs 

(3) Secondary Needs 

(4) Wants

31.    ความต้องการปัจจัย 4 ของบุคคล แสดงถึงความต้องการข้อใด

ตอบ 2 หน้า 34 – 35, 38 ความต้องการทางต้านสรีระหรือร่างกาย (Physiological Needs) หรือ บางทีเรียกว่า ความต้องการขั้นต้น (Primary Needs) เป็นความต้องการที่จำเป็นขั้นพื้นฐาน ของมนุษย์ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการทางกายหรือทางวัตถุตามแนวคิดของศาสนาพุทธ คือ ความต้องการปัจจัยสี่ของมนุษย์ อันได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค นอกจากนั้นความต้องการในขั้นบี้ยังรวมถึงความต้องการทางเพศเพื่อการดำรงเผ่าพันธุ์สืบต่อไป ของมนุษย์ การขับถ่าย และการนอนหลับพักผ่อนเพื่อบรรเทาความเหน็ดเหนื่อยด้วย

32.    Social Needs หมายถึงความต้องการข้อใด

ตอบ 3 หน้า 34 – 35 ความต้องการทางต้านลังคม (Social Needs) หรือต้านจิตวิทยา (Psychological Needs) หรือบางทีเรียกว่า ความต้องการขั้นรอง (Secondary Needs) มีลักษณะที่สรุปได้ 

1.      มักเกิดจากประสบการณ์ของแต่ละบุคคล

2.      แต่ละบุคคลจะมีความต้องการและความเข้มข้นไม่เท่ากัน

3.      เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ แม้แต่ในบุคคลคนเดียวกัน

4.      มักเกิดขึ้นเมื่อบุคคลอยู่ในกลุ่มสังคมมากกว่าอยู่คนเดียว

5.      บุคคลมักไม่แสดงออกอย่างเปิดเผยและซ่อนเร้นความต้องการในขั้นนี้ไว้

6.      บางครั้งมีลักษณะเป็นนามธรรมและไม่ชัดเจน ไม่เหมือนความต้องการด้านร่างกาย

7.      มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์

33.    พฤติกรรมที่ทำให้บุคคลอยู่รอด หมายถึงความต้องการข้อใด

ตอบ 1 หน้า 34 การอยู่รอด (Survival Needs) เป็นแรงจูงใจสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้บุคคลทำงาน ซึ่งการอยู่รอดมิใช่ความปรารถนาของมนุษย์ แต่เป็นพฤติกรรมที่ทำเพื่อความอยู่รอดของชีวิต เช่น เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ข้าวยากหมากแพง โดยแท้จริงแล้วบุคคลบางคนไม่ได้ต้องการปลูกผัก และพืชสวนครัว แต่เนื่องจากว่าเงินที่หามาได้จากการทำงานอย่างอื่นไม่เพียงพอที่จะหาซื้อ ก็เลยต้องทำเพื่อการอยู่รอด เพราะถ้าไม่ทำก็อาจไม่มีจะกิน

34.    ความต้องการข้อใดที่บุคคลไม่แสดงออกอย่างเปิดเผย

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 32. ประกอบ

35.    ความฟุ่มเฟือยของบุคคล เป็นผลมาจากความต้องการข้อใด

ตอบ 4 หน้า 34, (คำบรรยาย) ความปรารถนา (Wants) เป็นความต้องการที่ไม่ใช่ความจำเป็นขั้นต้น สำหรับมนุษย์ เพราะเป็นสิ่งที่เราต้องการจะมี แต่ถ้าไม่มีก็ไม่ตาย จึงเป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์เกิด กิเลสตัณหา และใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยสุรุยสุร่าย เช่น ซื้อรถยนต์ เสื้อผ้าสวย ๆ หรือบ้านสวย ๆ ฯลฯ แต่ความปรารถนาก็เป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้บุคคลทำงาน และอาจจะทำงานหนักกว่าคนอื่น เพราะความปรารถนาในสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นหากมนุษย์ใช้ชีวิตตามแนวคิดความพอเพียงก็จะช่วยลด ความต้องการขั้นนี้ได้

36.    การดำรงเผ่าพันธุ์สืบต่อไปของมนุษย์ แสดงถึงความต้องการข้อใด

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ

ข้อ 37. – 38. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1)ภวตัณหา  (2)กามตัณหา            (3)วิภวตัณหา (4)อิฏฐารมณ์

37.    คำกล่าวที่ว่า การได้อยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์” แสดงถึงความต้องการข้อใด

ตอบ 3 หน้า 36 วิภวตัณหา แปลว่า อยากให้ไป ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกามตัณหาและภวตัณหา กล่าวคือ เมื่อเราอยากได้สิ่งหนึ่งสิ่งใด (กามตัณหา) และได้มาแล้ว เราก็ยึดถือหวงแหนไว้ เพราะอยากให้สิ่งนั้นคงอยู่ (ภวตัณหา) แต่ต่อมาเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายในสิ่งนั้น จึงอยากให้ สิ่งนั้นพ้นหูพันตาไปเสีย (วิภวตัณหา)ไม่ว่าจะโดยวิธีใดก็ตาม ซึ่งตรงกับคำกล่าวที่ว่า การได้อยู่กับสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์

38.    นักการเมืองที่ต้องการอยูในตำแหน่งรัฐมนตรีต่อไป แสดงถึงความต้องการข้อใด

ตอบ 1 หน้า 36 ภวตัณหา แปลว่า ความมี ความเป็น หรืออยากให้อยู่ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจาก กามตัณหา หมายความว่า เมื่อบุคคลต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (กามตัณหา) และได้สิ่งนั้นมา สมปรารถนาแล้ว ก็จะมีความพึงพอใจและยึดถือผูกพันอยู่กับสิ่งนั้น จึงอยากให้สิ่งนั้นอยู่กับตน หรืออยากให้ตนอยู่กับสิ่งนั้นตลอดไป

39.    นักศึกษาที่เรียบจบแล้วได้รับปริญญาบัตร แสดงถึงการได้รับการตอบสนองความต้องการตามหลักศาสนาพุทธข้อใด

(1) ลาภ         (2) ยศ            (3) สรรเสริญ  (4) สุข

ตอบ 2 หน้า 36 – 37 อิฏฐารมณ์ เป็นธรรมหมวดหนึ่งที่กล่าวถึงสิ่งซึ่งเป็นที่ปรารถนาของมนุษย์ทุกคน ได้แก่ 1. ลาภ คือ ทรัพย์สินเงินทองและสิ่งของต่าง ๆ 2. ยศ คือ ตำแหน่งหน้าที่ เหรียญตรา ปริญญาบัตร หรือวิทยฐานะ 3. สรรเสริญ คือ คำยกย่องชมเชย ความเคารพนับถือรักใคร่ จากผู้อื่น 4. สุข (ทั้งกายและใจ) คือ มีความสะดวกสบายทางกาย มีความสมหวัง และไมมี ความกังวลใด ๆ เพราะเพียบพร้อมสมบูรณ์ไปทุกอย่าง

ข้อ 40. – 45. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1) Self-realization and Fulfilment Needs       (2) Esteem and Status Needs

(3) Belonging and Social Activity Needs (4) Safety and Security Needs

(5)    Physiological Needs

40.    นักเรียนไทยสร้างชื่อเสียงคว้าเหรียญทองโอลิมปิกวิชาการหลายสาขาวิชา กรณีนี้แสดงถึงการได้รับการ ตอบสนองความต้องการข้อใด

ตอบ 2 หน้า 38 – 39, (คำบรรยาย) ความต้องการเกียรติยศชื่อเสียงและตำแหน่งหน้าที่ (Esteem and Status Needs) คือ ความต้องการให้สังคมยกย่องนับถือและยอมรับตนว่าเป็นคนสำคัญ ของกลุ่มสมาชิก ซึ่งบุคคลนั้นต้องมีองค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ การมีความรู้ความสามารถประสบ ผลสำเร็จในกิจการงาน มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง มีฐานะมั่นคง มีความเชื่อมั่น หรือมั่นใจในศักยภาพของตนเอง ฯลฯ ดังนั้นมนุษย์จึงพยายามพัฒนาศักยภาพของตนเองให้เหนือกว่าคนอื่น โดยการสร้างสมความรู้ความสามารถ ทำตนให้เป็นที่รู้จัก และแก่งแย่งแข่งขันกันเพื่อให้ได้รับความต้องการในขั้นนี้ เช่น การได้รับรางวัลจากการประกวด หรือจากการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ เป็นต้น

41.    การรณรงค์ กินของร้อน ใช้ช้อนกลาง ล้างมือบ่อย ๆ” เพื่อนำไปสู่การตอบสนองความต้องการข้อใด

ตอบ 4 หน้า 38, (คำบรรยาย) ความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง (Safety and Security Needs) ในด้านต่าง ๆ มีดังนี้          1. ด้านอาชีพการงาน ได้แก่ นโยบายการปรับเงินเดือนผู้จบปริญญาตรีเป็น 15,000 บาท นโยบายปรับเงินเดือนข้าราชการเท่าเอกชน ฯลฯ

2.      ด้านร่างกาย โดยไม่ถูกทำร้ายหรือถูกคุกคาม ได้แก่ การทำประกับชีวิต การรณรงค์ โทรไม่ขับ/เมาไม่ขับ การรณรงค์ให้กินของร้อน ใช้ช้อนกลาง ล้างมือบ่อย ๆ ฯลฯ

3.      ด้านที่อยู่อาศัย ได้แก่ โครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจ โครงการหอพักติดดาว/เพื่อนข้างห้อง เตือนภัย การเตรียมกระสอบทรายเพื่อฟ้องกันน้ำท่วมบ้าน การติดตั้งกล้องวงจรปิด ฯลฯ

4.      ด้านชีวิตความเป็นอยู่และทรัพย์สิน ไต้แก่ นโยบายพักชำระหนี้เกษตรกร นโยบายเรียนฟรี 15 ปี นโยบายเพิ่มรายได้ให้ประชาชน นโยบายประชานิยมของพรรคการเมืองต่าง ๆ ฯลฯ

42.    นโยบาย เรียนฟรี 15ปีอย่างมีคุณภาพ” เป็นนโยบายที่ตอบสนองความต้องการข้อใด

ตอบ ดูคำอธิบายข้อ 41. ประกอบ

43.    การเคารพกฎหมายของบุคคล นำไปสู่การได้รับการตอบสนองความต้องการข้อใด

ตอบ 3 หน้า 38 – 39, (คำบรรยาย) ความต้องการความรักและร่วมกิจกรรมในสังคม (Belonging and Social Activity Needs) คือ ความต้องการแสดงตัวและมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสังคม โดยจะเกิดขึ้นในลักษณะของการยอมปฏิบัติตนตามกรอบกติกามารยาทของสังคม หรือการมี พฤติกรรมตามที่สังคมกำหนด ได้แก่ การเคารพกฎหมาย จารีตประเพณี และค่านิยม เพื่อให้ สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมและให้สังคมยอมรับเข้าเป็นสมาชิกหรือเป็นหมู่เป็นพวกเดียวกัน

44.    การบรรลุความต้องการที่เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วย เป็นพฤติกรรมที่ได้รับการตอบสนองความต้องการข้อใด

ตอบ 1 หน้า 38 – 39, (คำบรรยาย) ความต้องการความสมหวังและความสำเร็จในชีวิตด้วยตนเอง(Self-realization and Fulfilment Needs) เป็นความต้องการขั้นสูงสุด คือ ต้องการพัฒนา ความเป็นมนุษย์ให้สูงขึ้น หรือปรารถนาให้ประสบความสำเร็จในชีวิตตามอุดมการณ์ ความหวัง หรือความฝันอันสูงสุดที่ตั้งเอาไว้ ซึ่งบุคคลที่ได้รับการตอบสนองหรือบรรลุความต้องการขั้นนี้ จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่มีสัจการแห่งตน จะต้องเผื่อแผ่ความสำเร็จที่เป็นประโยชน์ ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วย ไม่ใช่ทำเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองเพียงอย่างเดียว

45.    ม.ร. จัดโครงการหอพักติดดาวเพื่อให้นักศึกษาได้พักอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี เป็นการตอบสนองความต้องการข้อใด

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 41. ประกอบ

46.    คำกล่าวทีว่า อย่าตัดสินเพียงแค่ภายนอก” แสดงถึงความแตกต่างของมนุษย์ข้อใด

(1)    สังคม  (2) รสนิยม     (3) รูปร่าง หน้าตา      (4) พฤติกรรม

ตอบ 3 หน้า 42 – 43, (คำบรรยาย) ความแตกต่างของมนุษย์ในด้านรูปร่าง หน้าตา ท่าทาง คือมนุษย์เลือกเกิดไม่ได้แล้วแต่บุญนำกรรมแต่ง ทำให้แต่ละคนมีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ทุกคนก็ล้วนมีสิทธิเสรีภาพและความเป็นคนเสมอกันหมด ดังนั้นในการสร้างความสัมพันธ์กัน จึงไม่ควรมีอคติ หรือให้ความสำคัญกับรูปร่าง หน้าตา ท่าทาง และรูปลักษณ์ภายนอกของคน ดังคำกล่าวที่ว่า อย่าตัดสินเพียงแค่ภายนอก

47.    ศาสนาพุทธเปรียบคนที่มีสติปัญญาฉลาดน้อยกับดอกบัวข้อใด      

(1) ดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำ

(2)    ดอกบัวที่กำลังโผล่พ้นน้ำ       (3) ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ (4) ดอกบัวที่อยู่ในโคลนตม

ตอบ 3 หน้า 43 – 44 พุทธศาสนาได้เปรียบเทียบสติปัญญาที่แตกต่างกันของมนุษย์ไว้กับดอกบัว4 เหล่า คือ 1. ดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำพร้อมที่จะบาน เปรียบได้กับคนที่มีความเฉลียวฉลาด  2.ดอกบัวที่กำลังโผล่พ้นน้ำ เปรียบได้กับคนที่มีสติปัญญาฉลาดปานกลาง  3.ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ เปรียบได้กับคนที่มีสติปัญญาฉลาดน้อย  4.ดอกบัวที่อยู่ในโคลนตม เปรียบได้กับคนที่มิสติปัญญาโง่ทึบ

ข้อ 48. – 50. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1)โครงสร้างแบบหลวม ๆ     (2) โครงสร้างที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพ

(3)    โครงสร้างที่แบ่งชนชั้น            (4) โครงสร้างแบบสังคมเกษตร (5) โครงสร้างที่ยึดถือประเพณี

48.    คนไทยมักขาดความกระตือรือร้น เป็นผลมาจากโครงสร้างใดของสังคม

ตอบ 2 หน้า 47, (คำบรรยาย) โครงสร้างที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพ คือ ความเปลี่ยนแปลง ของชีวิตความเป็นอยู่และสถานะทางสังคมมีน้อย โดยความเปลี่ยนแปลงมักจะเกิดขึ้นกับคน ที่อยู่ในเมืองหลวงมากกว่าในชนบท จึงทำให้คนไทยขาดความทะเยอทะยาน ขาดความกระตือรือร้น ไม่ชอบการแข่งขัน ยอมรับชีวิตตามสภาพที่เป็นอยู่ และมักยอมรับในชะตากรรมที่เกิดขึ้นหรือยอมรับ ชะตาฟ้าลิขิต” เช่น เกิดมาจนก็ต้องจนต่อไปแข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งวาสนาแข่งไม่ได้ ฯลฯ

49.    ละครไทยมักมีเนื้อหาประเภทดอกฟ้ากับหมาวัด แสดงถึงโครงสร้างใดของสังคม

ตอบ 3 หน้า 47, (คำบรรยาย) โครงสร้างที่แบ่งชนชั้น หรือมีลักษณะของชนชั้น คือ สังคมไทยจะมี การแบ่งชนชั้นตามวงศ์สกุล อำนาจหน้าที่ ฐานะทางเศรษฐกิจ การศึกษา และอาชีพ ฯลฯ แต่การแบ่งชนชั้นก็ไม่เคร่งครัดมากเท่ากับสังคมอินเดีย เช่น ละครไทยมักมีเนื้อหาประเภท ดอกฟ้า (ผู้หญิงที่มีฐานะรวย) กับหมาวัด (ผู้ชายที่มีฐานะจน) ฯลฯ

50.    คนไทยขาดระเบียบวินัยในการดำเนินชีวิต เป็นผลมาจากโครงสร้างใดของสังคม

ตอบ 1 หน้า 47, (คำบรรยาย) โครงสร้างแบบหลวม ๆ คือ บุคคลที่อยู่ในสังคมสามารถเลือกปฏิบัติ ในสิ่งที่ตนเองพอใจได้โดยไม่ต้องเคร่งครัดในกฎระเบียบมากนัก ทำให้คนไทยมีความยืดหยุ่นสูง ไม่ยึดอะไรเป็นกฎเกณฑ์ตายตัว และชอบประกอบอาชีพอิสระ ซึ่งมีข้อดีคือ สามารถปรับตัว และอยู่ร่วมกันอย่างประนีประนอม รอมชอม อะลุ้มอล่วยต่อกัน แต่ข้อเสียคือ ขาดระเบียบวินัย ในการดำเนินชีวิต ไม่เคารพกฎกติกา และมักทำอะไรตามอำเภอใจ เช่นทำอะไรตามใจคือไทยแท้ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ตามใจผู้นอน ฯลฯ

ข้อ 51. – 53. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1) เคารพผู้อาวุโส     (2) นับถือศาสนาพุทธ            (3) กตัญญู

(4)    ชอบความโก้หรู            (5) ชอบความสบาย

51.    ผู้ชายไทยมักบวชก่อนเบียด เป็นพฤติกรรมที่สอดคล้องกับค่านิยมใด

ตอบ 3 หน้า 48 – 49, (คำบรรยาย) ค่านิยมของสังคมไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีอยู่มากมาย 

1.      นับถือศาสนาพุทธ คือ ยึดถือหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือยอมรับในกฎแห่งกรรม เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วคิดดี ทำดีเวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวรเวรกรรมมีจริง ฯลฯ

2.      เคารพผู้อาวุโส คือ การปฏิบัติต่อผู้อาวุโสในทางที่ดี เชื่อฟังคำสั่งสอน ยกย่องและให้เกียรติ ผู้อาวุโส เช่น การจัดงานมุทิตาจิตผู้เกษียณอายุ ฯลฯ

3. กตัญญู คือ ความเป็นผู้รู้คุณที่บุคคล สังคม หรือประเทศชาติได้ทำให้แก่ตน เช่น ผู้ชายไทยมักนิยมทดแทนบุญคุณพ่อแม่ด้วยการบวช ก่อนเบียด (บวชก่อนแต่งงาน) ฯลฯ

4. ชอบสบาย คือ ชอบความสะดวกสบาย ไม่อยากลำบาก

5.      ชอบความโก้หรู คือ ชอบอวดประชันกัน เพราะกลัวน้อยหน้าผู้อื่น จึงนิยมจัดงานที่มีพิธีการ ใหญ่โตในลักษณะ ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ” ฯลฯ

52.    คนไทยมักกลัวน้อยหน้าผู้อื่น เป็นผลมาจากค่านิยมใด

ตอบ ดูคำอธิบายข้อ 51. ประกอบ

53.    คนไทยเชื่อแนวคิดทีว่า ทำดีได้ดี” เป็นผลมาจากค่านิยมใด

ตอบ ดูคำอธิบายข้อ 51. ประกอบ

54.    ความสามารถในการควบคุมการแสดงออกของตนเองได้อย่างเหมาะสม เป็นผลมาจากการศึกษาตนเองในขั้นตอนใด

(1) การรู้จักตนเอง     (2) การเข้าใจตนเอง   (3) การยอมรับตนเอง            (4) การพัฒนาตนเอง

ตอบ 4 หน้า 53 – 54, 78, (คำบรรยาย) การศึกษาตนเองตามแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์ แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอนตามลำดับ ดังนี้ 1. การรู้จักตนเอง (To Know) คือ การสำรวจตัวเองในด้านต่าง ๆ ว่าเป็นอย่างไร 2. การเข้าใจตนเอง (To Understand) คือ การวิเคราะห์ตนเองเพื่อหาสาเหตุ ว่าทำไมเราจึงมีลักษณะเช่นนั้น ซึ่งจะนำไปสู่ขั้นตอนการยอมรับตนเอง 3. การยอมรับตนเอง (To Accept) คือ การยอมรับหรือรับรู้ศักยภาพและข้อดีข้อด้อยของตนเอง ซึ่งเมื่อยอมรับได้ แล้วก็จะนำไปสู่ขั้นตอนการพัฒนาตนเอง 4. การพัฒนาตนเอง (To Develop) คือ การแก้ไข ปรับปรุงจุดด้อย จุดอ่อน และข้อบกพร่องของตัวเอง เพื่อให้บุคคลมีความสามารถในการควบคุม จิตใจ อารมณ์ และการแสดงออกของตนเองได้อย่างเหมาะสม ซึ่งถือเป็นเป้าหมายและประโยชน์ ของการศึกษาตนเอง

ข้อ 55. – 56. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1) Self Awareness (2) Self Acceptance (3) Self Actualization (4) Self Disclosure

55.    ความสามารถในการแยกแยะข้อดีข้อด้อยของตนเอง เป็นผลมาจากแนวคิดข้อใด

ตอบ 2 หน้า 17 – 18, 54 – 55 แนวคิดเกี่ยวกับตนเอง (Self Concept) ประการหนึ่ง ได้แก่ การยอมรับตนเอง (Self Acceptance) คือ การรู้ว่าตนเองเป็นคนอย่างไร ทำให้เกิดการรับรู้ เกี่ยวกับตบเอง ซึ่งจะช่วยให้บุคคลสามารถแยกแยะข้อดีข้อเด่นและข้อด้อยของตนเอง เพื่อหาทางปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น ดังนั้นการยอมรับตนเองจึงนำไปสู่การพัฒนาตนเอง และยอมรับในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวเรา

56.    การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น นำไปสู่แนวคิดเกี่ยวกับตนเองข้อใด

ตอบ 1 หน้า 17, 54 แนวคิดเกี่ยวกับตนเอง (Self Concept) ประการหนึ่ง ได้แก่ การรู้ตนเอง (Self Awareness) คือ การรู้ตนเองว่าเป็นใคร มีลักษณะอย่างไร ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกิดจาก ประสบการณ์และการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น แต่มีข้อควรระวัง คือ ไม่ควรมองตนเองสูงหรือต่ำ กว่าความเป็นจริง เพราะจะมีผลต่อประสิทธิภาพของการสื่อสาร ดังนั้นแนวคิดเกี่ยวกับตนเอง และการรู้ตนเองนี้จึงเป็นพื้นฐานในการเปิดตนเองออกสู่การติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น

ข้อ 57. – 58. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1) Labeling      (2) Social Comparison

(3) Interpersonal Relationships       (4) Significant Others

57.    การให้ความสำคัญกับบุคคลที่ใกล้ชิด เป็นการเรียนรู้ตนเองตามแนวคิดใด

ตอบ 4 หน้า 60 การยอมรับของบุคคลที่มีความสำคัญต่อเรา (Significant others) คือ การเรียบรู้ตนเอง จากการยอมรับหรือไม่ยอมรับของบุคคลที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับตนเอง เช่น พ่อ แม่ พี่น้อง ฯลฯ ซึ่งมีความสำคัญมาก เพราะการที่เราให้ความสำคัญกับบุคคลที่ใกล้ชิด จะทำให้เรามีความรู้สึก พึงพอใจหรือเจ็บปวดมากหากได้รับปฏิกิริยาโต้ตอบจากบุคคลใกล้ชิดเหล่านี้ ดังนั้นการกระทำ ต่าง ๆ ของบุคคลใกล้ชิดจึงสามารถกำหนดพฤติกรรมของเราได้

58.    พฤติกรรมที่แตกต่างระหว่างตัวเรากับผู้อื่น ทำให้เกิดการเรียนรู้ตนเองตามแนวคิดข้อใด

ตอบ 2 หน้า 59 การเปรียบเทียบในสังคม (Social Comparison) คือ การวินิจฉัยหรือดูว่าพฤติกรรม ของเราแตกต่างกับพฤติกรรมของผู้อื่นในสังคมอย่างไร หากคนอื่น ๆ ในสังคมปฏิบัติอย่างหนึ่ง แล้วได้รับการยอมรับว่าดี เราก็ปฏิบัติตาม แต่ถ้าคนอื่น ๆ ว่าไม่ดี เราก็ไมทำ ขึ้นอยู่กับกลุ่มคน ในสังคมแล้วเราก็ปฏิบัติตามนั้น

ข้อ 59. – 60. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1) ศึกษาและประเมินตนเอง            (2) ยอมรับและตระหนักในความต้องการที่จะปรับปรุงตนเอง

(3) มีแรงจูงใจในการปรับปรุงตนเอง (4) วางแผนในการปรับปรุงตนเอง

59.    การแสดงออกซึ่งความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย อยู่ในขั้นตอนใดของการพัฒนาตนเอง

ตอบ 3 หน้า 64, (คำบรรยาย) มีแรงจูงใจในการปรับปรุงตนเอง ถือเป็นการตอบสนองความต้องการ ส่วนบุคคล ได้แก่   1. ความต้องการมีบุคลิกภาพที่ดีและเป็นที่ดึงดูดใจของเพศตรงข้ามทำให้บุคคลต้องการปรับปรุงตนเองในระดับสูง เช่น การดูแลรูปร่างผิวพรรณให้มีเสน่ห์ ๆลฯ

2.      ความต้องการเป็นที่ชื่นชมหรือได้รับการยกย่องจากสังคม คือ ต้องการให้เป็นที่รัก ที่ชื่นชม และเป็นที่ยอมรับของคนในสังคม

3.      ความต้องการความมั่นคงปลอดภัยในอาชีพและสังคม ทำให้บุคคลต้องปรับปรุงตนเองด้าน การแต่งกาย กิริยามารยาท ความขยัน และแสดงออกซึ่งความรับผิดชอบในการทำงาน

4.      ความต้องการอำนาจ เพื่อให้มีสง่าราศี น่าเชื่อถือ และน่ายำเกรง

60.    การเข้าอบรมเพื่อพัฒนาบุคลิกภาพ อยู่ในขั้นตอนใดของการพัฒนาตนเอง

ตอบ 2 หน้า 63 – 64 ยอมรับและตระหนักในความต้องการที่จะปรับปรุงตนเอง คือ การยอมรับข้อบกพร่องและตระหนักถึงความสำคัญองบุคลิกภาพว่า เป็นเครื่องมือที่นำไปสู่การยอมรับนับถือ ศรัทธา ความสัมพันธ์อันดี และความสำเร็จ พร้อมกันนี้ก็มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะพัฒนาหรือปรับปรุงแก้ไขจุดอ่อนข้อบกพร่องของตนเอง โดยการศึกษาหาข้อมูลและวิธีการที่ดีที่สุด เพื่อนำมาปรับปรุงตนเอง เช่น ปรึกษาแพทย์ ผู้รู้ อ่านหนังสือ บทความ หรือเข้ารับการอบรม เพื่อพัฒนาบุคลิกภาพและศักยภาพตามความเหมาะสม

ข้อ 61. – 62. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1)    Inferior     (2) Superior      (3) Equal  (4) Introvert

61.    บุคคลที่ชอบออกคำสั่งให้ผู้อื่นทำตาม เป็นผลมาจากการยอมรับตนเองข้อใด

ตอบ 2 หน้า 60, (คำบรรยาย) Superior คือ การยอมรับว่าตนเองดีกว่าผู้อื่น ซึ่งจะทำให้มีความมั่นใจ ในตนเองสูง และตีคุณค่าของตนเองสูงกว่าผู้อื่นด้วย เพราะเชื่อว่าตนเองเก่งกว่า มีสถานภาพ สูงกว่า และมีศักยภาพหรือมีความรู้ความสามารถเหนือกว่า ดังนั้นจึงมักชอบดูหมิ่นและ วางอำนาจเหนือคู่สื่อสาร รวมทั้งชอบออกคำสั่งให้ผู้อื่นเชื่อฟังและปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข หรือไม่มีข้อโต้แย้ง

62.    ข้าราชการ คือ ผู้ที่ทำงานให้ประชาชนชื่นใจ แสดงถึงการยอมรับตนเองของข้าราชการในลักษณะใด

ตอบ 1 หน้า 60, (คำบรรยาย) Inferior คือ การยอมรับว่าตนเองต่ำต้อยกว่าคนอื่น หรือมีสถานภาพที่ต่ำกว่าคู่สื่อสาร ซึ่งจะทำให้มีความมั่นใจในตัวเองต่ำ และตีคุณค่าของตนเองต่ำกว่าผู้อื่น ดังนั้น จึงทำให้เกิดพฤติกรรมอ่อนน้อมถ่อมตน ยอมรับฟังความคิดเห็น ให้เกียรติ เชื่อฟังและคล้อยตาม โดยไม่โต้แย้ง เพื่อให้ผู้ที่สื่อสารด้วยเกิดความพึงพอใจ ประทับใจ และรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า เช่น พฤติกรรมการหาเสียงของนักการเมืองที่เน้นว่าประชาชนสำคัญที่สุดแนวคิดทางธุรกิจที่เน้นว่า ลูกค้า คือ พระเจ้า ลูกค้าถูกเสมอ”, แนวคิดของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ว่า โรงพักเพื่อประชาชน” และแนวคิดที่ว่า ข้าราชการ คือ ผู้ที่ทำงานให้ประชาชนชื่นใจ” เป็นต้น

63.    ข้อใดไม่ใช่แนวทางการพัฒนาตนเองในด้านการพูด  

(1)ไม่พูดเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น

(2)    ใช้อารมณ์ในการพูดเพื่อให้คล้อยตาม            

(3) พูดในเรื่องผู้ฟังสนใจ        

(4) พูดคุยด้วยเรื่องที่สนุกสนาน

ตอบ 2 หน้า 66 – 68 แนวทางการพัฒนาตนเองในด้านการพูดหรือสนทนา มีดังนี้

1.      พูดจาด้วยถ้อยคำที่สุภาพ       2. มีน้ำเสียงนุ่มนวล   3. ฝึกการใช้คำถามให้เหมาะสม

4.      พูดในเรื่องที่ผู้ฟังชอบ พอใจและสนใจ ไม่ควรพูดในสิ่งที่ตนเองถนัดและสนใจ

5.      เลือกส่วนดีเด่นของคู่สนทนามาพูด    6. พูดอย่างมีเหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ในการพูด

7. ใช้ศิลปะในการสนทนา เช่น ไม่ควรขัดคอหรือโต้แย้งความคิดของคู่สนทนาทันทีหลีกเลี่ยง การพูดเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นรู้จักสรรหาเรื่องที่สนุกสนานมาพูดคุยกันในวงสนทนา,ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการสนทนา ฯลฯ

64.    การยอมรับว่ามนุษย์ผิดพลาดได้ นำไปสู่แนวทางการพัฒนาตนเองข้อใด

(1) ฝึกการให้ความรักผู้อื่น    (2) ฝึกการให้อภัยผู้อื่น

(3)    ฝึกใช้อำนาจเหนือผู้อื่นให้น้อยลง       (4) ฝึกให้มีจสงบ

ตอบ 2 หน้า 73 ฝึกการให้อภัยผู้อื่นและตนเอง คือ การไม่ลงโทษผู้อื่นและตนเองเมื่อกระทำผิดพลาด เพราะการไม่ให้อภัยผู้อื่นและตนเองย่อมทำให้เกิดความทุกข์ทรมานใจ ดังนั้นบุคคลจึงควร พิจารณาตนเองว่าการกระทำของตนเองเหมาะสมและถูกต้องหรือไม่ และเมื่อกระทำอะไร ลงไปแล้วผู้อื่นพอใจหรือไม่ ทั้งนี้เมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นแล้วก็ควรยอมรับสภาพที่เกิดขึ้น และพยายามลืม โดยถือว่าความผิดพลาดย่อมเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน

65.    บุคคลที่ชอบควบคุมพฤติกรรมของผู้อื่น แสดงถึงการขาดการพัฒนาตนเองข้อใด

(1) การใช้อำนาจเหนือผู้อื่น   (2) ฝึกการเอาชนะตนเอง

(3) ฝึกจัดการกับความโกรธและความเกลียด           (4) ฝึกมิให้แสดงตนเหนือผู้อื่น

ตอบ 1 หน้า 72, (คำบรรยาย) ฝึกการใช้อำนาจเหนือผู้อื่นให้น้อยลง คือ การเปลี่ยนการโต้เถียงผู้อื่น ให้เป็นการอภิปรายแทน การหัดยอมแพ้แม้ว่าจะเป็นฝ่ายถูกก็ตาม และรู้จักกล่าวคำขอโทษ ทันทีเมื่อมีผู้อื่นกระทำให้เราเดือดร้อนหรือลำบากใจโดยไม่ได้เจตนา ซึ่งจะเหมาะกับบุคคลที่ ชอบใช้อำนาจเหนือผู้อื่น ไม่ยอมแพ้ ชอบโต้เถียงเพื่อเอาชนะ และพยายามควบคุมพฤติกรรม ของผู้อื่นเพราะคิดว่าตนเองสำคัญ ทั้งนี้เพื่อให้รู้จักคิดถึง ยอมรับ และเห็นด้วยกับผู้อื่นมากขึ้น

66.    จงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ เป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับการพัฒนาตนเองข้อใด

(1) ฝึกการเอาชนะตนเอง      (2) ฝึกการรักตนเอง

(3) ฝึกให้มีใจสงบ     (4) ฝึกการตั้งเป้าหมายในชีวิต

ตอบ 2 หน้า 69, (คำบรรยาย) ฝึกให้รักตนเองตามสภาพที่เป็นอยู่ คือ การฝึกให้รู้จักรักตนเอง รู้จัก ให้คุณค่า รู้จักพึงพอใจในตนเองและสภาพที่ตนเองเป็นอยู่ ดังคำกล่าวที่ว่า จงพอใจในสิ่งที่ตนเอง มีอยู่/เป็นอยู่” โดยพยายามพัฒนาตนให้มีคุณค่ายิ่งขึ้น แล้วจะทำให้เรารู้จักรักและพอใจผู้อื่น ชื่นมยินดี และเห็นคุณค่าผู้อื่นได้ นอกจากนี้ยังต้องรู้จักให้คุณค่าแก่ตนเองด้วยการมองภาพพจน์ ของตนเองในเชิงบวก ซึ่งจะส่งผลให้บุคคลเกิดความรักและภาคภูมิใจในตนเองมากขึ้น

67.    การรู้จักเคารพกฎระเบียบและเกรงใจผู้อื่น นำไปสู่แนวทางการพัฒนาตนเองข้อใด

(1) ฝึกเป็นคนตรงต่อเวลา     (2) ฝึกการเอาชนะตนเอง

(3) ฝึกสร้างความประทับใจ  (4) ฝึกการแสดงออกที่เหมาะสม

ตอบ 1 หน้า 71, (คำบรรยาย) ฝึกเป็นคนตรงต่อเวลา คือ การแสดงออกถึงการมีวินัย มีความซื่อสัตย์ และมีความรับผิดชอบ โดยเริ่มต้นจากการไม่เป็นคนผัดวันประกันพรุ่งและทำตัวให้เป็นคนที่ เตรียมพร้อมต่อสถานการณ์ต่าง ๆ อยู่เสมอ ไม่เป็นคนประมาทหรือละเลยต่อเหตุการณ์ที่อาจ เกิดขึ้นได้แบบไม่คาดฝัน รวมทั้งฝึกเป็นคนเคารพกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดและรู้จักเกรงใจผู้อื่น ไม่ทำให้ผู้อื่นรอคอยโดยไม่จำเป็น

68.    ข้อใดแสดงถึงเป้าหมายในการศึกษาบุคคลอื่นตามแนวคิดด้านมนุษยสัมพันธ์

(1) รู้จัก          (2) เข้าใจ       (3) ยอมรับ     (4) พัฒนา

ตอบ 3 หน้า 78, (คำบรรยาย) เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์สำคัญในการศึกษาบุคคลอื่นตามแนวคิด ด้านมนุษยสัมพันธ์ คือ การยอมรับตัวตนตามลักษณะที่เป็นจริงหรือตามธรรมชาติของบุคคลอื่น โดยต้องตั้งอยู่บนแนวคิดพื้นฐานสำคัญที่ว่ามนุษย์มีความแตกต่างกัน ซึ่งเมื่อเรายอมรับในเรื่อง ความแตกต่างของบุคคลได้แล้ว ก็จะทำให้การสร้างความสัมพันธ์นั้นดีและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น รวมทั้งยังทำให้ตัวเราปรับตัวเข้ากับบุคคลนั้น ๆ ได้อีกด้วย

69.    การศึกษาบุคคลอื่นต้องอยู่บนพื้นฐานแนวคิดใด

(1) ความต้องการของบุคคล  (2) ความเสมอภาคของบุคคล

(3) การเอาใจเขามาใสใจเรา (4) ความแตกต่างของบุคคล

ตอบ ดูคำอธิบายข้อ 68. ประกอบ 

ข้อ 70. – 71, ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1) ค่านิยม    (2) ประสบการณ์       (3) ความเชื่อ  (4) ทัศนคติ

70.    ผลสำรวจโพลต่าง ๆ เป็นผลมาจากสภาพแวดล้อมทางจิตวิทยาข้อใด

ตอบ 4 หน้า 43, 79 – 81, (คำบรรยาย) ทัศนคติ (Attitude) เป็นท่าทีหรือความรู้สึกที่แตกต่างกัน ของแต่ละบุคคล ซึ่งแสดงออกต่อสิ่งใดสิงหนึ่งในทางบวกหรือลบ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย พอใจ หรือไม่พอใจ ชอบหรือไม่ชอบ ฯลฯ จึงเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ไม่มีการประเมินว่าถูกหรือผิด ซึ่งเมื่อเรามีทัศนคติในทิศทางใดก็จะมีพฤติกรรมการแสดงออกที่สอดคล้องกับทิศทางนั้น เช่น ผลสำรวจจากโพลต่าง ๆ เป็นต้น

71.    พสกนิกรชาวไทยเฝ้ารับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในวันฉัตรมงคลอย่างเนืองแน่น เป็นพฤติกรรมที่มาจากสภาพแวดล้อมทางจิตวิทยาข้อใด

ตอบ 1 หน้า 48, 79, 81 ค่านิยม (Value) หมายถึง สิ่งที่สังคมใดสังคมหนึ่งเห็นว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่า น่ายกย่อง ถูกต้องดีงาม และเป็นที่ยอมรับในสังคม หรือเป็นความรู้สึกในทางที่ดีที่บุคคลมีต่อ สิ่งต่าง ๆ หรือสภาพการณ์ต่าง ๆ ดังนั้นค่านิยมจึงผูกพันกับคุณค่าความดีหรือไม่ดีมากกว่าความเชื่อ เช่น ค่านิยมเรื่องการเคารพในสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังจะเห็นได้จากการที่พสกนิกรชาวไทย เฝ้ารับเสด็จฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในวันฉัตรมงคลอย่างเนืองแน่น เป็นต้น

72.    การสังเกตสีหน้าแววตาของคู่สื่อสาร เป็นการศึกษาบุคคลโดยใช้แนวคิดใด

(1)วิธีธรรมชาติ          

(2)ทฤษฎีบุคลิกภาพ

(3) ทฤษฎีหน้าต่างโจฮารี่       

(4) ทฤษฎีการวิเคราะห์ติดต่อสัมพันธ์

ตอบ 1 หน้า 82 – 83 บารอน (Baron) และบรายน์ (Bryne) ได้เสนอการศึกษาบุคคลด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งหมายถึง วิธีการสังเกตพฤติกรรมภายนอกโดยทั่ว ๆ ไป 

1.      พิจารณาใบหน้าของบุคคล คือ การสังเกตดูว่ามีการแสดงออกทางสีหน้าอย่างไร

2.      สังเกตแววตาหรือดวงตา ดังคำกล่าวที่ว่า ดวงตา คือ หน้าต่างของหัวใจ

3.      สังเกตกิริยาท่าทาง การพูดจา และบุคลิกภาพโดยรวม 4. พิจารณาเจตนารมณ์ของพฤติกรรมบุคคล

ข้อ 73. – 77. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1) Open Area  (2) Blind Area  (3) Hidden Area (4) Unknown Area

73.    นายกฯ ให้สัมภาษณ์ว่ายินดีรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย แนวทางดังกล่าวจะช่วยลดพฤติกรรมส่วนใด

ตอบ 2 หน้า 83, 86 การพยายามลดพฤติกรรมบริเวณจุดบอด (Blind Area) ให้น้อยลง โดยใช้วิธีการขยายพฤติกรรมบริเวณเปิดเผยตามแนวนอน (à) คือ การรับข้อมูลย่อนกลับหรือ ปฏิกิริยาป้อนกสับจากคู่สื่อสาร รับฟังความคิดเห็น ข้อเสนอแนะต่าง ๆ หรือให้คนอื่นบอก ข้อบกพร่องของตนเองแล้วนำมาแก้ไข

74.    การเปิดเผยข้อบกพร่องของตนเองแก่คู่สื่อสาร ช่วยลดพฤติกรรมส่วนใด

ตอบ 3 หน้า 83, 86 การพยายามลดพฤติกรรมบริเวณซ่อนเร้น (Hidden Area) ให้น้อยลง โดยใช้วิธีการขยายพฤติกรรมบริเวณเปิดเผยตามแนวดิ่ง มีอยู่ 2 วิธี คือ

1.      ให้ความเชื่อถือไว้วางใจ โดยการเปิดเผยความในใจ หรือเปิดเผยข้อบกพร่องของตนเอง ให้แก่คนอื่นหรือคู่สื่อสารทราบ เพื่อจะได้ช่วยกันแก้ไข

2.      มีความหวังดีต่อกัน โดยการรู้จักวิจารณ์ข้อบกพร่องของคนอื่น

75.    พฤติกรรมส่วนใดที่แสดงออกด้วยความตั้งใจ และต้องการให้ผู้อื่นรับรู้

ตอบ 1 หน้า 83 – 85 บริเวณเปิดเผย (Open Area) หมายถึง บริเวณพฤติกรรมภายนอกที่บุคคล ตั้งใจหรือเจตนาแสดงออกอย่างเปิดเผย ทำให้คู่สื่อสารสามารถรับรู้พฤติกรรมและเจตนาของ แต่ละฝ่ายได้ ทั้งนี้เมื่อคู่สื่อสารเริ่มรู้จักหรือยังไม่คุ้นเคยกัน บริเวณเปิดเผยจะลดลงเพราะยังสงวน ท่าทีกันอยู่ แต่หากคู่สื่อสารมีความสนิทสนมคุ้นเคยและจริงใจต่อกัน บริเวณเปิดเผยก็จะเปิด กว้างมากขึ้น ซึ่งพฤติกรรมส่วนนี้จะเป็นประโยชน์และมีความจำเป็นต่อการสร้างมนุษยสัมพันธ์ เพราะทำให้คู่สื่อสารมีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อกัน มีการเปิดเผยตนเอง และจริงใจต่อกันมากขึ้น ดังคำกล่าวที่ว่า มองตาก็รู้ใจ

76.    บุคคลที่รับฟังข้อวิจารณ์น้อย และไม่รู้จักวิจารณ์ผู้อื่น จะมีพฤติกรรมส่วนใดมากที่สุด

ตอบ 4 หน้า 83, 87 บุคคลประเภทโง่เขลา คือ บุคคลที่รับฟังข้อวิจารณ์น้อย และไม่รู้จักวิจารณ์ผู้อื่น (ฟังน้อยและพูดน้อย) จะมีพฤติกรรมบริเวณมืดมน (Unknown Area) หรืออวิชชามากที่สุด แต่จะมีพฤติกรรมบริเวณเปิดเผย (Open Area) น้อยที่สุด

77.    บุคคลที่ชอบพูดมากกว่าชอบฟังผู้อื่น จะมีพฤติกรรมส่วนใดมากที่สุด

ตอบ 2 หน้า 83, 87, (คำบรรยาย) บุคคลที่ให้ข้อติชมมาก แต่รับข้อติชมจากผู้อื่นน้อย (พูดมากกว่าฟัง) คือ บุคคลที่ไม่ยอมรับฟังคำวิจารณ์ของผู้อื่น แต่ชอบพูดวิจารณ์ผู้อื่นมากกว่า (ชอบประเมินคนอื่น โดยไม่สนใจที่จะประเมินตนเอง) จะมีพฤติกรรมบริเวณจุดบอด (Blind Area) มากที่สุด แต่จะมีพฤติกรรมบริเวณซ่อนเร้น (Hidden Area) น้อยที่สุด

ข้อ 78. – 82. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปบี้สำหรับตอบคำถาม

(1)    พฤติกรรมแบบพ่อแม่  (2) พฤติกรรมแบบผู้ใหญ่

(3) พฤติกรรมแบบเด็ก          (4) พฤติกรรมแบบพิธีการ

78.    บุคคลที่มีลักษณะหัวโบราณ และยึดถือประเพณี เป็นผลมาจากพฤติกรรมส่วนใด

ตอบ 1 หน้า 89 – 90, (คำบรรยาย) พฤติกรรมแบบพ่อแม่ (Parent Ego State : P) จะแสดงออก ในลักษณะของพฤติกรรมทางบวก เช่น ความรักใคร่ อบรมสั่งสอน ห่วงใย หวังดี ปลอบประโลม ให้กำลังใจ ฯลฯ แต่ในขณะเดียวกันก็จะมีลักษณะของพฤติกรรมทางลบด้วย เช่น เกรี้ยวกราด ดุด่าว่ากล่าว ใช้อำนาจสั่งการเหนือผู้อื่น ตำหนิติเตียน ประชดประชัน เยาะเย้ย เจ้ากี้เจ้าการ ชอบควบคุมพฤติกรรมของผู้อื่น ฯลฯ นอกจากนี้ยังรวมถึงการยึดถือระเบียบแบบแผน จารีตประเพณี และเชื่อถือคติโบราณ จึงมักทำให้มีบุคลิกภาพแบบหัวโบราณ ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงของสังคม แต่จะมีความเมตตากรุณา

79.    การอวยพรวันเกิดเพื่อน ๆ แสดงถึงพฤติกรรมส่วนใด

ตอบ 4 หน้า 93, (คำบรรยาย) พฤติกรรมแบบพิธีการ คือ การกระทำเพื่อมารยาท หรือการกระทำ ตามกฎเกณฑ์ชองสังคม เช่น การรู้จักไปลามาไหว้ การจับมือ การทักทายปราศรัยหรือกล่าว คำว่า สวัสดี” เมื่อเจอกัน การกล่าวต้อนรับ การเลี้ยงต้อนรับ การปรบมือให้กำลังใจผู้พูด การกล่าวอวยพรเมื่อไปร่วมงานวับเกิดหรืองานเทศกาลปีใหม่ การรดนำขอพรจากผู้ใหญ่ ในวันสงกรานต์ และการจัดงานในเทศกาลสำคัญ ๆ ฯลฯ

80.    ผู้บริหารที่ยึดถือกฎเกณฑ์มากกว่าความคิดสร้างสรรค์ เป็นผลมาจากพฤติกรรมส่วนใด

ตอบ 2 หน้า 89, 92 ผู้บริหารที่มีพฤติกรรมแบบผู้ใหญ่ (Adult Ego State : A) จะมีลักษณะ ดังนี้

1.      มีวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการทำงานตามข้อมูลและข้อเท็จจริง

2.      ยึดถือว่างานสำคัญกว่าการเล่น         3. ยึดความถูกต้องและระเบียบแบบแผนมากกว่าความคิดสร้างสรรค์            4. เป็นคนมีเหตุผล 5. เคร่งครัดในกฎเกณฑ์

81.    จินตนาการของบุคคล แสดงถึงพฤติกรรมส่วนใด

ตอบ 3 หน้า 89 – 90, (คำบรรยาย) พฤติกรรมแบบเด็ก (Child Ego State : C) มักแสดงออกใน ลักษณะที่มีจินตนาการสร้างสรรค์ มีอารมณ์สุนทรีย์หรืออารมณ์ศิลปิน สดชื่น มีชีวิตชีวา และ กล้าหาญ ซึ่งจะทำให้โลกนี้มีสิ่งแปลกใหม่ มีสิงประดิษฐ์ที่งดงามแปลกตา มีนักเขียน นักกลอน มีผลงานด้านศิลปะต่าง ๆ และทำให้โลกมีชีวิตชีวาด้วยเสียงเพลง เสียงดนตรี เสียงหัวเราะ การแสดงท่าขบขัน ฯลๆ นอกจากนี้ก็ยงมีพฤติกรรมที่แสดงออกถึงความดื้อรั้น สนใจแต่ ความสุขของตนเอง เอาแต่ใจ ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ไม่ควบคุมตนเอง แต่คำพูดที่ แสดงออกนั้นจะเปิดเผย อิสระ และตรงไปตรงมา

82.    ผู้บริหารที่เป็นกันเองและมีอารมณ์ขันกับลูกน้อง แสดงถึงพฤติกรรมส่วนใด

ตอบ 1 หน้า 89, 91 – 92 ผู้บริหารที่มีพฤติกรรมแบบพ่อแม่ (Parent Ego State : P)

1. ถือว่าลูกน้องเหมือนลูกหลานที่จะอบรมสั่งสอนได้

2.      เอาใจใส่ดูแลการทำงาบของลูกน้องอย่างใกล้ชิด       

3. เป็นกันเอง มีอารมณ์ขัน

4.      เห็นอกเห็นใจ เป็นห่วงลูกน้อง และให้ความช่วยเหลือ

5.      ร่วมคิด ร่วมปรึกษากับลูกน้องที่มีพฤติกรรมแบบเด็กเท่านั้น

6.      ถือว่างานต้องมาก่อนความสนุกสนานบันเทิง            

7. ต้องการให้ลูกน้องยกย่องให้เกียรติ 8. มักชอบใช้อำนาจเหนือลูกน้องจนกลายเป็นเผด็จการ

ข้อ 83. – 84. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1)    I’m not OK., You’re OK.   

(2) I’m OK., You’re not OK.

(3)    I’m not OK., You’re not OK.     

(4) I’m OK., You’re OK.

83.    คนที่มี Positive Thinking เป็นผลมาจากการรับรู้ตนเองและผู้อื่นอย่างไร

ตอบ 4 หน้า 94 ฉันดีคุณก็ดีด้วย (I’m OK., You’re OK.) เป็นทัศนคติที่บ่งบอกให้ทราบว่าเป็น บุคคลที่มีสุขภาพจิตสมบูรณ์และประสบความสำเร็จในชีวิต เพราะมองตนเอง ผู้อื่น และ สิ่งแวดล้อมในแง่ดี (Positive Thinking) โดยยอมรับว่าทุกคนมีค่าหรือมีส่วนดีด้วยกันทั้งนั้น จึงเป็นทัศนคติที่นำไปสู่ประสิทธิภาพใบการสร้างมนุษยสัมพันธ์ ทำให้สามารถติดต่อสัมพันธ์ กับคนอื่นได้อย่างมีความสุข ซึ่งก็จะทำให้ชีวิตมีความสุขไปด้วย

84.    คนที่ต้องการกำลังใจและการเอาใจใส่จากผู้อื่น เป็นผลมาจากการรับรู้ข้อใด

ตอบ 1 หน้า 93 ฉันเลวแต่คุณดี (I’m not OK., You’re OK.) เป็นทัศนคติที่แสดงถึงภาวะจิต ของคนที่ไม่มีความสุข จึงเป็นบุคคลที่ต้องการกำลังใจ ต้องการความสนใจและเอาใจใส่จาก ผู้บังคับบัญชาหรือผู้อื่น มักจะมองตนเองในแง่ลบ ชอบตำหนิตนเอง แต่กลับมองผู้อื่นในแง่ดี และยกย่องชมเชยผู้อื่น เช่น คำพูดที่ว่า ฉันเป็นดอกหญ้าที่ไร้ค่าแต่เธอเป็นดอกฟ้าผู้สูงส่ง”, “ทำอย่างไรฉันถึงจะเก่งได้เหมือนเธอ” เป็นต้น

85.    ตามแนวคิดของเชลดัน บุคคลที่ชอบวิตกกังวล และชอบอยู่ตามลำพัง จะมีบุคลิกภาพแบบใด

(1) อ้วน          (2) ล่ำสัน       (3) ผอม          (4) สมส่วน

ตอบ 3 หน้า 95 เชลดัน (Sheldon) ได้จัดแบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 3 ประเภท ดังนี้

1.      รูปร่างอ้วน (Endomorphy) มักขอบสนุกสนานร่าเริง และโกรธง่ายหายเร่ว ฯลฯ

2.      รูปร่างล่ำสัน (Mesomorphy) แข็งแรง มีร่างกายสมส่วน เป็นคนคล่องแคล่วว่องไว มีน้ำใจเป็นนักกีฬา มีเพื่อนมาก และชอบช่วยเหลือผู้อื่น ฯลฯ

3.      รูปร่างผอม (Ectomorphy) มักเคร่งขรึม เอาการเอางาน ใจน้อย ชอบวิตกกังวล ไม่ชอบการต่อสู้ และชอบอยู่ตามลำพัง ฯลฯ

86.    ข้อใดแสดงถึงพฤติกรรมแบบ Extrovert

(1)ขี้อาย         (2)ปรับตัวเก่ง (3) เชื่อมั่นตนเอง        (4)อารมณ์ดี

ตอบ 4 หน้า 95, (คำบรรยาย) คาร์ล จี. จุง (Carl G. Jung) ได้แบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 3 ประเภท คือ

1.      ชอบเก็บตัว (Introvert) เป็นพวกเชื่อมั่นในตนเอง ยึดตัวเองเป็นใหญ่ ขี้อาย เก็บความรู้สึก ชอบอยู่ตามลำพัง ปรับตัวยาก เห็นแก่ตัว ฯลฯ

2.      ชอบแสดงตัว (Extrovert) เป็นพวกไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอน เปิดเผย เข้าสังคมเก่ง อารมณ์ดี ชอบทำกิจกรรม ฯลฯ

3.      ประเภทกลาง ๆ (Ambivert) เป็นพวกไม่เก็บตัวหรือแสดงตัวมากเกินไป ปรับตัวเก่งหรือ ปรับตัวได้ตามสถานการณ์ และมักจะมีนิสัยเรียนรู้การอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข จึงเป็น บุคลิกภาพที่แสดงถึงทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ที่ดี

ข้อ 87. – 88. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1) นกฮูก       (2) สุนัขจิ้งจอก          (3) ฉลาม       (4) ตุ๊กตาหมี  (5) เต่า

87.    สัญลักษณ์ใดแสดงถึงบุคลิกภาพของผู้บริหารที่ขาดความรับผิดชอบ

ตอบ 5 หน้า 96 ผู้บริหารประเภทไม่เอาไหน (Impoverished Manager) จะมีสัญลักษณ์เป็นเต่า” เพราะไม่กล้าเผชิญปัญหา และเมื่อมีความผิดเกิดขึ้นก็มักจะโทษผู้อื่นหรือโยนความผิด ให้ลูกน้อง ขาดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ยอมตามผู้อื่นด้วยความขุ่นเคืองใจ มองผู้อื่นในแง่ร้าย โดยจะบริหารงานแบบสบาย ๆ ไม่สนใจลูกน้องและงาน ชอบอยู่เฉย ๆ ใครจะทำอะไรก็ทำไป และเมื่อเกิดความผิดพลาดจะไม่รับผิดชอบไมว่ากรณีใด ๆ

88.    สัญลักษณ์ใดแสดงถึงบุคลิกภาพของผู้บริหารที่รู้จักควบคุมอารมณ์และรับฟังลูกน้อง

ตอบ 1 หน้า 97, (คำบรรยาย) ผู้บริหารประเภทใจเย็น (Team Manager) จะมีสัญลักษณ์เป็น นกฮูก” คือ เป็นบุคคลที่พยายามศึกษาความต้องการของตนเองและผู้อื่น แล้วแก้ปัญหาความขัดแย้ง ด้วยการควบคุมอารมณ์ รับฟังผู้อื่นด้วยความเข้าใจ พูดจาไพเราะ และแสดงความคิดเห็นเพื่อแสวงหาทางเลือกในการแก้ปัญหาหลาย ๆ ทาง จึงถือว่าเป็นผู้บริหารที่มีบุคลิกภาพและแนวคิด ด้านมนุษยสัมพันธ์ในการทำงาน ทำให้สามารถสร้างมนุษยสัมพันธ์กับลูกน้องได้ดีที่สุด

ข้อ 89. – 91. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1) การรับรู้ด้วยความประทับใจ        (2) การรับรู้โดยการประเมินคนอื่น

(3) อิทธิพลทางสังคม            (4) ความสัมพันธ์ทางสังคม

89.    การจดจำพฤติกรรมทางสังคมที่แตกต่างจากคนทั่วไป แสดงถึงแนวคิดใด

ตอบ 2 หน้า 130 หลักการรับรู้ทางสังคมโดยการประเมินบุคคลอื่น มีดังนี้

1.      เรามักสนใจการกระทำที่แสดงให้เห็นถึงมูลเหตุที่ชัดเจน

2.      เรามักจดจำพฤติกรรมทางสังคมที่แตกต่างจากคนทั่วไปได้ดี

3.      เรามักประเมินและยอมรับสิ่งที่เขาแสดงออกในที่ส่วนตัวมากกว่าในที่สาธารณะ

4.      เรามักประเมินพฤติกรรมจากการกระทำที่แสดงออกอย่างเสมอต้นเสมอปลายเป็นเวลานาน ๆ

5.      เรามักตัดสินคนอื่นที่สนับสนุนความคาดหวังของเราที่เคยมีมาต่อบุคคลนั้น

90.    ประสบการณ์ครั้งแรก นำไปสู่แนวคิดข้อใด

ตอบ1 หน้า 127 – 129, 155, (คำบรรยาย) การรับรู้ทางสังคมด้วยความรู้สึกประทับใจ มักเกิดจาก ปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้ 1. ความประทับใจครั้งแรก ประสบการณ์ครั้งแรก หรือปรากฏการณ์ครั้งแรก ของคู่สื่อสาร คือ การรับรู้ว่าชอบหรือไม่ชอบบุคคลที่เราพบเห็นเป็นครั้งแรก

2.      ปรากฏการณ์ภายนอก คือ บุคลิกภาพภายนอกของบุคคล ได้แก่ รูปร่างหน้าตา

3.      การสื่อสารเชิงอวัจนะหรือพฤติกรรมการแสดงออกทางอวัจนภาษา (ภาษากาย) คือ

การสื่อสารกันโดยไม่ต้องใช้คำพูด เช่น สีหน้า สายตา ท่าทางและการสัมผัส น้ำเสียง ฯลฯ

91.    แรงดึงดูดใจของคู่สื่อสาร นำไปสู่แนวคิดข้อใด

ตอบ 4 หน้า 133, (คำบรรยาย) ปัจจัยที่ก่อให้เกิดแรงดึงดูดจทางสังคมของคู่สื่อสาร จนนำไปสู่ แนวคิดความสัมพันธ์ทางสังคม 

1.      ความใกล้ชิดทางกายภาพ คือ ความใกล้ชิดกับทางด้านสถานที่ เช่นในห้องเรียน หรือ เพื่อนร่วมงานในที่ทำงานเดียวกัน

2.      ทัศนคติที่คล้ายคลึงกัน คือ มีความสนใจร่วมกัน หรือมีทัศนคติหลาย ๆ อย่างตรงกับมาก่อน

3.      รูปร่างหน้าตา หรือบุคลิกภาพที่ดี นับเป็นปัจจัยที่มิอิทธิพลมากขึ้นในปัจจุบัน

ข้อ 92. – 93. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1) การถอยหนี          

(2) การชดเชย            

(3) การกลบเกลื่อน 

(4) การหาเหตุผล          

(5) การถดถอย

92.    ข้อใดแสดงถึงการป้องกันตนเองแบบมะนาวหวาน

ตอบ 4 หน้า 138 – 139 การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง (Rationalization) แบ่งออกเป็น 2 แบบ 

1. องุ่นเปรี้ยว (Sour Grape) คือ การหาเหตุผลโดยอ้างว่าไม่ชอบ หรือหาข้อเสียของสิ่งนั้น มาอ้างเป็นเหตุผลที่ตนประสบความล้มเหลว เช่น สอบบรรจุเข้าทำงานราชการไม่ได้ ก็อ้างว่างานราชการเงินเดือนน้อย ฯลฯ           

2. มะนาวหวาน (Sweet Lemon) คือการหาเหตุผลโดยอ้างว่าชอบ หรือกล่าวอ้างข้อดีของสิ่งนั้น ๆ เช่น ทำงานราชการอยู่ ก็อ้างว่าเป็นงานที่มีเกียรติทั้ง ๆ ที่ไม่สามารถหางานอื่นมาทำแทนได้ ฯลฯ

93.    การแสดงพฤติกรรมแบบเด็ก ๆ เป็นการป้องกันตนเองด้วยวิธีใด

ตอบ 5 หน้า 138, (คำบรรยาย) การถดถอย (Regression) คือ กลไกที่เกิดขึ้นเมื่อบุคคลตกอยู่ใน ภาวะวิตกกังวลและไม่อาจจะขจัดความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นได้ จึงหาทางออกโดยการย้อนไป แสดงพฤติกรรมแบบเด็ก ๆ เพื่อลดความวิตกกังวล เช่น ร้องไห้ ปัสสาวะรดที่นอน กระทืบเท้า แลบลิ้น อ่านหนังสือการ์ตูน ฯลฯ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งที่บุคคลเคยทำในอดีตสมัยเด็ก ๆ และนำกลับมาใช้ใหม่เมื่อตนเองมีปัญหาในการปรับตัว

94.    ผู้อาวุโสในสังคมไทยที่เข้าวัดฟังธรรม ทำให้ได้รับการยอมรับจากสังคมตามแนวคิดใด

(1) อ้างความด้อยของตนเอง (2) อ้างชื่อเสียงของกลุ่ม

(3)    สวบบทบาทตามความคาดหวังของผู้อื่น

(4)    สวมบทบาทตามคุณลักษณะที่ไม่พึงปรารถนาของตน

ตอบ 4 หน้า 135, (คำบรรยาย) การสวมบทบาทตามคุณลักษณะที่ไม่พึงปรารถนาหรือไม่พึงประสงค์ ของตน ได้แก่ ความพิการทั้งทางกายและทางจิต ความยากจน และความชรา โดยบุคคลที่มี คุณลักษณะเหล่านี้มักจะถูกบังคับให้กระทำตามบทบาทของตนทั้งโดยตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ เพื่อให้ผู้อื่นประทับใจและสังคมยอมรับ เช่น ผู้สูงอายุหรือผู้อาวุโสที่เข้าวัดเพื่อฟังพระเทศน์ ธรรมะคนชราที่เข้าวัดเพื่อทำบุญ ตักบาตร ปฏิบัติธรรม และฝึกนั่งสมาธิอย่างสม่ำเสมอคนจนที่ใช้ชีวิตอย่างพอเพียง ฯลฯ

95.    ข้อใดไมไข่ลักษณะของการสื่อสารระหว่างบุคคล

(1)    เป็นการแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างคู่สื่อสาร 2 คน

(2)    เป็นการสื่อสารแบบเผชิญหน้า

(3)    เป็นการสื่อสารแบบสองทาง

(4)    ผ่านสื่อที่รับ – ส่งข่าวสารได้ครั้งละ 2 คน

ตอบ 1 หน้า 148 – 149, (คำบรรยาย) ลักษณะของการสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication) มีดังนี้

1.      เป็นกระบวนการแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างคูสื่อสารอย่างน้อย 2 คน หรือเป็นการสื่อสาร ระหว่างบุคคลในกลุ่มเล็ก ๆ ก็ได้

2.      เป็นการสื่อสารแบบเผชิญหน้า (Face to Face Communication)

3.      เป็นการสื่อสารแบบสองทาง (Two-way Communication) ที่มีปฏิกิริยาป้อนกลับ

4.      เป็นการสื่อสารแบบผ่านสื่อ (Interpose Communication) ที่รับ-ส่งข่าวสารได้ครั้งละ 2 คน หรือไม่เกินครั้งละ 2 คน เช่น การพดคุยทางโทรศัพท์ ฯลฯ

96.    การสื่อสารระหว่างบุคคลทำให้เกิดการปรับตัวเข้ากับสังคม แสดงถึงวัตถุประสงค์ใดของการสื่อสาร ระหว่างบุคคล

(1) เพื่อค้นพบตัวเอง  (2) เพื่อค้นพบโลกภายนอก

(3) เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมาย     (4) เพื่อโน้มน้าวใจ

ตอบ 1 หน้า 151 เพื่อค้นพบตัวเอง (Personal Discovery) คือ การได้มีโอกาสสื่อสารกับบุคคลอื่น โดยเฉพาะการสื่อสารแบบเผชิญหน้า จะทำให้เราได้รู้จักตนเองด้วยการสังเกตจากปฏิกิริยา ป้อนกลับของผู้อื่น ซึ่งจะส่งผลให้ได้รู้ความคิดของตนเองว่าแตกต่างจากผู้อื่นในสังคมอย่างไร ดังนั้นการสื่อสารระหว่างบุคคลจึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้คนรู้จักการปรับตัวให้เข้ากับสังคม รวมทั้งได้พิจารณาข้อบกพร่องและข้อได้เปรียบของตน

97.    ข้อใดไม่ใช่แนวคิดที่ถูกต้องของการสื่อสารเชิงอวัจนะ

(1)    อวัจนสารทำให้การสื่อสารชัดเจนยิ่งขึ้น

(2)    อวัจนสารมีแทรกอยู่ในทุกสถานการณ์ของการสื่อสาร

(3)    อวัจบสารมีอิทธิพลต่อผู้รับสารน้อยกว่าวัจนสาร 5 เท่า

(4)    การสื่อสารเชิงอวัจนะแสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

ตอบ 3 หน้า 153 – 154 แนวคิดที่ถูกต้องของการสื่อสารเชิงอวัจนะหรือการใช้อวัจนสาร (Nonverbal Communication) มีดังนี้

1.      อวัจนสารแสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์

2.      อวัจนสารมีแทรกอยู่ในทุกสถานการณ์ของการสื่อสารที่เราไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ไม่ว่า พฤติกรรมนั้นจะแสดงโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม

3.      อวัจนสารมีความครอบคลุมกว้างขวางแทบจะไม่มีขอบเขตจำกัด (ไร้ขอบเขต) ไม่ว่าจะเป็น การแสดงออกทางด้านน้ำเสียง ท่าทาง หรือสีหน้า

4.      อวัจนสารมีหน้าที่ในการสื่อสาร ทำให้การสื่อสารชัดเจนถูกต้องและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น

5.      อวัจนสารสามารถส่งผลกระทบและมีอิทธิพลต่อผู้รับสารมากกว่าวัจนสารถึง 5 เท่า ฯลฯ

ข้อ 98. – 99. ให้ใช้ตัวเลือกต่อไปนี้สำหรับตอบคำถาม

(1) Honesty      (2) Supportiveness  (3) Positiveness        (4) Empathy

98.    คู่สื่อสารที่ไม่เป็นปฏิปักษ์กัน แสดงถึงปัจจัยใดในการเพิ่มประสิทธิภาพของการสื่อสารระหว่างบุคคล

ตอบ 2 หน้า 162, (คำบรรยาย) การได้รับการสนับสนุน (Supportiveness) คือ การสื่อสารจะดำเนินไปไต้อย่างสนุกสนานและราบรื่นต่อเมื่อคู่สื่อสารรู้สึกว่า คนที่ตนกำลังสื่อสารด้วยนั้น ไม่ไต้เป็นปฏิปักษ์กับตน ดังนั้นการสื่อสารที่ดีจึงควรเปิดโอกาสให้คู่สื่อสารแสดงความคิดเห็น ของตนอย่างเสรี และหลีกเลี่ยงความคิดที่ขัดแย้งของแต่ละฝ่ายโดยไม่จำเป็น

99.    ความสามารถในการเอาใจเขามาใส่ใจเรา แสดงถึงปัจจัยใดในการเพิ่มประสิทธิภาพของการสื่อสาร ระหว่างบุคคล

ตอบ 4 หน้า 161 – 162 พฤติกรรมความเห็นอกเห็บใจ (Empathy) หรือความสามารถในการเอาใจเขามาใส่ใจเรา หมายถึง ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น หรือความสามารถในการรับรู้และ เข้าใจถึงความรู้สึกและความคิดเห็นของคู่สื่อสารในแต่ละสถานการณ์ได้เสมือนเป็นคน ๆ นั้น ซึ่งจะช่วยให้คู่สื่อสารปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการสื่อสารของตนให้เป็นที่พอใจซึ่งกันและกันได้

100. การพูดจาไพเราะและให้เกียรติคู่สื่อสาร แสดงถึงปัจจัยที่ส่งเสริมการสื่อสารระหว่างบุคคลข้อใด

(1) ลักษณะดึงดูดใจ (2) ความใกล้ชิด        (3) การให้แรงเสริม    (4) ความคล้ายคลึง

ตอบ หน้า 158, 160 การให้แรงเสริมแก่คู่สื่อสาร (Reinforcement) คือ คนเรามีแนวโน้มจะ สื่อสารกับคนที่ให้สิ่งที่ตนพอใจหรือคนที่ให้แรงเสริมแก่ตน โดยแรงเสริมนั้นอาจเป็นวัตถุ สิ่งของหรือตัวเสริมแรงทางสังคม ได้แก่ การพูดจาไพเราะ การยกย่องชมเชย และการให้ เกียรติกัน ซึ่งจะต้องมีลักษณะของความจริงใจ ไม่เสแสร้ง และไม่แอบแฝงผลประโยชน์ เช่น คนเรามักไม่อยากสนทนากับเพื่อนที่ชอบขัดคอหรือโต้แย้ง แต่มักชอบพูดคุยกับเพื่อน ที่ยินดีและแสดงความนับถือยกย่องในความสำเร็จของเรา เป็นต้น

 

MCS2603 สื่อมวลชนเพื่อการโฆษณา แนวข้อสอบปี 2557 ชุดที่3

แนวข้อสอบกระบวนวิชา MCS2603 สื่อสารมวลชนเพื่อการโฆษณา ชุดที่3

1.         เมื่อกล่าวถึงการโฆษณามักหมายถึงการสื่อสารผ่านสื่อประเภทใด

(1)       บุคคล  

(2) สิ่งพิมพ์ที่จัดส่งทางไปรษณีย์

(3) สื่อมวลชน  

(4) ป้ายโฆษณาต่าง ๆ

ตอบ 3 การที่สื่อมวลชนได้รับการยอมรับว่าเป็นสื่อหลักของการโฆษณาหรือมีบทบาทต่อการโฆษณาเนื่องมาจากเหตุผลต่างๆ ดังต่อไปนี้

1.         เป็นสื่อที่นำเสนอข่าวสารการตลาดหรือการโฆษณาไปยังผู้รับสารหรือผู้บริโภคจำนวนมากพร้อมๆกัน

2.         มีความครอบคลุมสูงเข้าถึงประชาชนได้เกือบทุกพื้นที่

3.         ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อหัวต่ำมาก

4.         ประชาชนมีความภักดีต่อสื่อ

5.         เป็นสื่อที่น่าเชื่อถือ

2.         ข้อใดคือลักษณะสำคัญของการโฆษณา

(1)       เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ

(2)       เป็นการชักจูงใจด้วยการสัญญาว่าจะให้ของรางวัลต่าง ๆ

(3)       ต้องระบุว่าใครคือผู้ออกแบบข่าวสารการโฆษณา

(4)       ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าเวลาและเนื้อที่ในสื่อโฆษณา

ตอบ 4 ลักษณะสำคัญของการโฆษณามีดังนี้

1.         เป็นการสื่อสารที่ไม่เป็นส่วนบุคคลไม่เจาะจงเป็นรายบุคคล และไม่เป็นการสื่อสารแบบเผชิญหน้า ระหว่างผู้ส่งสารกับผู้รับสารแต่จะเป็นการสื่อสารผ่านสื่อมวลชนที่มุ่งตรงไปยังบุคคลจำนวนมากใน คราวเดียวกัน

2.         เป็นการส่งเสริมสินค้า บริการ หรือความคิด

3.         มีการระบุผู้อุปถัมภ์หรือผู้ออกค่าใช้จ่ายในการโฆษณา

4.         ต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าเวลาและค่าเนื้อที่ในสื่อโฆษณา

5.         เป็นข่าวสารหรือเป็นการสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจ

3.         ข้อใดคือจุดมุ่งหมายของข่าวสารการโฆษณา

(1)       เพื่อแจ้งข่าวสารให้ประชาชนทราบ      (2) เพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์หรือความคิด

(3) เพื่อการเสริมการขายโดยพนักงานขาย    (4) เพื่อการจัดจำหน่ายสินค้า

ตอบ 1 การสื่อสารการโฆษณา เป็นกิจกรรมการสื่อสารเพื่อส่งข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการไปยังผู้บริโภค กลุ่มเป้าหมาย โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อแจ้งให้ทราบ (Inform) และโน้มน้าวใจ (Persuade) ให้มีพฤติกรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ซื้อสินค้าหรือใช้บริการ เป็นต้น

4.         ข้อใดคือบทบาทหน้าที่สำคัญของการโฆษณา

(1)       แจ้งข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน

(2)       การเสนอข้อเท็จจริงทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์

(3)       สร้างความแตกต่างระหว่างสินค้าที่โฆษณากับสินค้าของคู่แข่ง

(4)       การจัดจำหน่ายสินค้า

ตอบ 3 หน้าที่สำคัญของการโฆษณา มีดังนี้

1.         เพื่อสื่อสารข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์

2.         เพื่อบอกถึงความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์ที่โฆษณากับคู่แข่งขัน

3.         เพื่อกระตุ้นให้ใช้ผลิตภัณฑ์

4.         เพื่อช่วยให้มีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น

5.         เพื่อเพิ่มความชอบ และสร้างความภักดีต่อตราสินค้าหรือธุรกิจ โดยบอกเหตุผลที่ผู้บริโภคควรเลือกใช้สินค้ายี่ห้อของเราตลอดไป

6.         เพื่อช่วยลดต้นทุนรวมด้านการขาย

5.         การโฆษณาเพื่อการประชาสัมพันธ์เรียกอีกอย่างว่าอะไร

(1)       โฆษณาผลิตภัณฑ์      (2) โฆษณาแนวความคิด

(3) โฆษณาสถาบัน     (4) โฆษณาเพื่อบริการสาธารณะ

ตอบ 3 การโฆษณาสถาบัน (Institutional Advertising) หมายถึง การโฆษณาที่มีจุดมุ่งหมายในการสร้างจินตภาพหรือภาพลักษณ์ (Image) ที่ดีให้กับสถาบันหรือองค์การที่เป็นผู้โฆษณาซึ่งการโฆษณาสถาบันนี้อาจ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การโฆษณาเพื่อการประชาสัมพันธ์” (Corporate Advertising)

6.         การโฆษณาระดับชาติมักเป็นการโฆษณาที่เน้นอะไรเป็นหลัก

(1)       ชื่อยี่ห้อและตราสินค้า  (2) สถานที่จำหน่ายสินค้า

(3) ความเป็นชุมชนท้องถิ่น      (4) องค์กรหรือสถาบันผู้จำหน่ายสินค้า

ตอบ 1 การโฆษณาระดับชาติ (National Advertising) หรือบางครั้งอาจเรียกว่าการโฆษณาชื่อยี่ห้อ (Brand Advertising) โดยการโฆษณาทางสื่อมวลชนส่วนใหญ่จะเป็นการโฆษณาระดับชาติที่มีพื้นที่ครอบคลุมทั่วประเทศ และมักเป็นการโฆษณาภายใต้ชื่อยี่ห้อหรือตราสินค้าโดยผู้อุปถัมถ์ที่เป็นผู้ผลิตหรือตัวแทน จำหน่ายแต่ผู้เดียวของสินค้ายี่ห้อนั้น

7.         เมื่อสินค้าอยู่ในช่วงอิ่มตัวแนวทางการโฆษณาควรเน้นอะไร

(1)       กล่าวถึงชื่อสินค้าและแสดงภาพสินค้าบ่อยครั้ง

(2)       กล่าวถึงประสบการณ์ของบริษัทผู้โฆษณา

(3)       ความภักดีต่อชื่อยี่ห้อ

(4)       ชี้ให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างสินค้าที่โฆษณากับคู่แข่ง

ตอบ 2 สินค้าที่อยู่ในช่วงอิ่มตัว (Maturity) เป็นช่วงที่สินค้าได้รับการยอมรับพอสมควรแล้วและมีลูกค้าบางกลุ่ม ที่สนใจสินค้าของเราเป็นพิเศษ ดังนั้นกิจกรรมส่งเสริมการขายจึงมีความจำเป็นน้อยลง แต่จะเน้นการ โฆษณาและการประชาสัมพันธ์ เช่น การกล่าวถึงประสบการณ์ของบริษัทผู้โฆษณา ซึ่งเป็นเจ้าของสินค้า ทั้งนี้เพื่อย้ำถึงภาพลักษณ์ของสินค้าและตราสินค้า เป็นต้น

8.         การตอบสนองสารในขั้นตอนใดที่เป็นการตอบสนองในระดับ The Affective Stage

(1)       รู้          (2) ตระหนักรู้

(3) เข้าใจ         (4) สนใจ

ตอบ 4 ขั้นตอนการตอบสนองต่อข่าวสารจะเป็นไปตามลำดับขั้นตอนพื้นฐาน 3 ขั้นตอน ดังนี้

1.         ขั้นความรู้ (The Cognitive Stage) ได้แก่ ขั้นตระหนักรู้ หรือรู้จัก มีความรู้เกี่ยวกับสินค้า หรือความ เข้าใจ ฯลฯ

2.         ขั้นความรู้สึก (The Affective Stage) ได้แก่ ขั้นของความสนใจความชอบการยอมรับ และการ จดจำ ฯลฯ

3.         ขั้นแสดงพฤติกรรม (The Behavioral Stage) เช่น การทดลองใช้ การไปชื้อหา การแนะนำให้ผู้อื่นไปซื้อหรือการห้ามไม่ให้ซื้อ เป็นต้น

9.         การแบ่งส่วนตลาดออกตามลักษณะความต้องการเป็นการแบ่งโดยใช้ปัจจัยใด

(1)       ภูมิหลัง            (2) แรงจูงใจ

(3) รายได้        (4) ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม

ตอบ 2 การแบ่งส่วนตลาดตามลักษณะความต้องการโดยใช้แรงจูงใจ เช่น คนที่ต้องการได้รับการยกย่องกับคนที่ ต้องการความปลอดภัย เป็นต้น ซึ่งจะทำให้นักโฆษณาทราบว่าควรจะเข้าไปสนองความต้องการซึ่งเป็นที่มาแห่งแรงจูงใจของกลุ่มเป้าหมายของเราได้อย่างไร โดยแรงจูงใจ (Motivation) นี้จะประกอบด้วย ความต้องการ (Needs) แรงขับ (Drives) และเป้าหมาย (Goals)

10.       ความภักดีต่อตรายี่ห้อ มีความสำคัญอย่างไร

(1)       หากผู้บริโภคจดจำชื่อยี่ห้อสินค้าได้ จะทำให้ผู้บริโภคซื้อสินค้ามากยิ่งขึ้น

(2)       เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกภาพของผู้บริโภค

(3)       เป็นสิ่งที่ทำให้นักโฆษณาทราบว่าผู้บริโภคมีรูปแบบการดำเนินชีวิตอย่างไร

(4)       หากผู้บริโภคยึดมั่นต่อสินค้ายี่ห้อใด สินค้ายี่ห้อนั้นย่อมมีการเจริญเติบโตทางธุรกิจ

ตอบ 4 ความภักดีในยี่ห้อ (Brand Loyalty) เป็นสิ่งบ่งชี้ให้ทราบถึงความยึดมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้ายี่ห้อใด ยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งจะทำให้สินค้ายี่ห้อนั้นมีการเจริญเติบโตทางธุรกิจโดยระดับความภักดีในยี่ห้อนี้จะมีตั้งแต่ กลุ่มลูกค้าที่ภักดีอย่างมั่นคงแน่นแฟ้น ซึ่งจะเจาะจงชื่อสินค้าทุกครั้งที่ซื้อ จนถึงกลุ่มที่ไม่มีความภักดีใน ยี่ห้อเลย กล่าวคือ จะซื้อสินค้าที่ราคาถูกหรือหาซื้อได้สะดวกเท่านั้น

11.       คนกลุ่มใดไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของการโฆษณาทางหนังสือพิมพ์

(1) เยาวชนอายุต่ำกว่า 15ปี  

(2) แม่บ้าน

(3) หนุ่มสาววัยทำงาน 

(4) ชายวัยกลางคน

ตอบ 1 ข้อเสียเปรียบของหนังสือพิมพ์อย่างหนึ่ง คือ การครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายมีจำกัด โดยจะมีคนเพียงบางกลุ่มเท่านั้นที่อ่านหนังสือพิมพ์เป็นประจำ เช่น คนในเขตเมืองและมีการศึกษา ส่วนคนที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีมักจะไม่ชอบอ่านหนังสือพิมพ์ และกลุ่มผู้สูงอายุคนในชนบท พื้นที่ทุรกันดารหรือไร้การศึกษาก็ไม่สามารถรับข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ได้ ดังนั้นหนังสือพิมพ์จึงมิใช่สื่อที่ใช้ได้กับประชากรทุกกลุ่ม

12.       การกำหนดกลุ่มเป้าหมายการโฆษณามีความสำคัญอย่างไร

(1)       ทำให้ธุรกิจสร้างผลกำไรได้มากยิ่งขึ้น

(2)       ทำให้ทราบถึงส่วนแบ่งการตลาดของสินค้า

(3)       ช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพการโฆษณา

(4)       ช่วยทำให้การโฆษณาชัดเจน ตรงประเด็นและเข้าใจง่าย

ตอบ 3 การทำความรู้จักกับกลุ่มเป้าหมาย เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการโฆษณาเพราะมนุษย์เรามีความแตกต่างกันในหลาย ๆด้าน รวมทั้งความสนใจและความชอบของแต่ละคนก็แตกต่างกัน ทำให้ผลิตกัณฑ์ไม่ สามารถตอบสนองความต้องการของคนทุกกลุ่มได้ ดังนั้นการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนจึงช่วยให้นักโฆษณาสามารถกำหนดการสื่อสารได้อย่างเหมาะสมสำหรับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย

13.       ข้อใดเป็นความต้องการทางสังคม

(1) อาหาร ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า (2) ความรัก

(3) ความปลอดภัย      (4) ได้รับการยอมรับนับถือ

ตอบ 2 ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ จะแสดงถึงระดับความตองการของมนุษย์ 5 ระดับตามลำดับ ความสำคัญดังนี้

1.         ความต้องการทางร่างกาย ซึ่งจะได้แก่อาหาร ที่อยู่อาศัย เสื้อผ้า และความต้องการทางเพศ เป็นต้น

2.         ความต้องการความปลอดภัย

3.         ความต้องการทางสังคม ได้แก่ ความต้องการความรักและการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม ความชอบ ความรู้สึกเป็นเจ้าของและได้รับการยอมรับจากผู้อื่น

4.         ความต้องการการยอมรับนับถือ

5.         ความต้องการประสบความสำเร็จตามที่ตนปรารถนา

14.       การตัดสินใจเรื่องใดที่สำคัญที่สุด ต่อการใช้สื่อมวลชนเพื่อการโฆษณา

(1)       การจัดจำหน่าย           (2) การเลือกใช้สื่อที่เหมาะสม

(3) .การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์          (4) การสร้างความประทับใจ

ตอบ 2 (คำบรรยาย) การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ (Product Positioning) เป็นการทำให้ผู้บริโภครับรู้เกี่ยวกับสินค้า ในภาพลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยการพยายามกำหนดตำแหน่งให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคจนเข้าสู่การรับรู้และการจดจำได้นอกจากนี้ยังหมายถึง การกำหนดฐานะของสินค้าโดยใช้วิธีศึกษาสิ่งแวดล้อมทางการ ตลาด ซึ่งการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์นี้ถือเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญของธุรกิจหรือต่อการใช้สื่อมวลชน เพื่อการโฆษณา

15.       ข้อใดเป็นข้อได้เปรียบสำคัญของการใช้สื่อมวลชนในการโฆษณา

(1)       เข้าถึงคนได้จำนวนมาก           (2) ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว

(3) ค่าใช้จ่ายน้อย        (4) เป็นสื่อที่ส่งตรงถึงผู้รับ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ


16.       ข้อใดคือข้อจำกัดสำคัญของการใช้สื่อมวลชนเพื่อการโฆษณา

(1)       มีบุคคลอื่นๆ ได้เห็นโฆษณาด้วย

(2)       ผู้บริโภคไม่ได้ใช้สื่อมวลชนด้วยเจตนาที่จะดูโฆษณา

(3)       สื่อบางประเภทเจาะจงกลุ่มเป้าหมายได้

(4)       มีเนื้อหาสาระที่ดึงดูดความสนใจของสาธารณชนทั่วไป ทำให้มีผู้รับมากเกินไป

ตอบ 2 ข้อจำกัดสำคัญของการใช้สื่อมวลชนในการโฆษณา มีดังนี้

1.         ประชาชนไม่ได้เจตนาจะดูโฆษณาทางสื่อมวลชน

2.         หากสิ่งโฆษณานั้นไม่มีความน่าสนใจ หรือไร้รสนิยม จะทำให้ผู้ชมหรือผู้ฟังมองว่าเป็นสิ่งน่ารำคาญ และมีความรู้สึกไม่ดีได้

3.         หากสิ่งที่ผู้บริโภคได้รับไม่เป็นไปตามที่ได้โฆษณาไว้ จะทำให้ถูกมองว่าเป็นการโฆษณาหลอกลวง

4.         สื่อต่างๆ มีภาพลักษณ์ของตัวสื่อเอง

5.         สื่อต่างๆ มีสังคมวิทยาของสื่อ

17.       ข้อใดเป็นเครื่องกำหนดพฤติกรรมการบริโภคของคนในสังคม

(1)       ปทัสถานทางสังคมและวัฒนธรรม      (2) การโฆษณาทางสื่อมวลชน

(3) รายได้โดยเฉลี่ยของคนในครอบครัว          (4) ปริมาณผลผลิตและรายได้

ตอบ 1 ปทัสถานทางสังคม วัฒนธรรม และค่านิยม ถือเป็นปัจจัยทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อการซื้อของผู้บริโภค รวมทั้งยังเป็นเครื่องกำหนด หรือเป็นสิ่งชี้นำสมาชิกของสังคมให้มีแนวทางการดำรงชีวิต ตลอดจนพฤติกรรมการบริโภคของคนในสังคมว่าจะไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง เช่น คนที่อยู่ในสังคม บริโภคก็จะมีพฤติกรรมการซื้อสินค้าตามความนิยม ตามแฟชั่นโดยมิได้คำนึงถึงเหตุผลหรือความจำเป็น เป็นต้น

18 ข้อใดคือความหมายของ บุคลิกภาพ

(1)       เป็นสิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาแต่กำเนิด เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวมนุษย์

(2)       สิ่งที่กระตุ้นให้คนเราแสดงพฤติกรรมออกมาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง

(3)       ความรู้สึกที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และความรู้สึกนี้จะนำไปสู่พฤติกรรมการแสดงออก

(4)       เป็นผลรวมของลักษณะพฤติกรรมภายนอกและความนึกคิดหรือพฤติกรรมภายในของบุคคลที่ทำให้เขาแตกต่าง ไปจากคนอื่น

ตอบ 4 บุคลิกภาพ (Personality) หมายถึง ผลรวมของอุปนิสัยซึ่งทำให้บุคคลหนึ่งแตกต่างจากบุคคลอื่น หรือเป็นเครื่องบ่งบอกว่าบุคคลนั้นมองโลกอย่างไร รับรู้ และตีความสิ่งต่างๆ รอบตัวเขาอย่างไร และตอบสนอง ต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างมีเหตุผลหรือด้วยอารมณ์ นอกจากนี้บุคลิกภาพยังเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความคิดและ ทัศนคติของบุคคลนั้นๆ ด้วย

19.       การโฆษณามีบทบาทต่อการรับรู้ตราสินค้าอย่างไร

(1)       ทำให้ผู้บริโภครับรู้เกี่ยวกับตราสินค้าตามความเป็นจริง

(2)       ทำให้ผู้บริโภคตระหนักถึงอรรถประโยชน์ที่แท้จริงของสินค้า

(3)       ทำให้ผู้บริโภครับรู้ว่าตราสินค้านั้นมีคุณค่าเกินกว่าประโยชน์ใช้สอย

(4)       ทำให้รู้จักชื่อสินค้า

ตอบ 3 การรับรู้ของผู้บริโภคเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะนักการตลาดมักตั้งนิยมของสินค้าว่า สินค้าคือสิ่งที่ผู้บริโภคมองว่ามันเป็น” ดังนั้นถ้าการโฆษณาเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของตราสินค้าและสามารถทำให้ ผู้บริโภครับรู้ว่า ตราสินค้านั้นมีค่ามากกว่าที่เป็นอยู่จริง (Consumer’s Surplus) หรือมีคุณค่าเกินประโยชน์ ใช้สอย ก็จะทำให้ธุรกิจสามารถนำคุณค่าเหล่านี้มาใช้เป็นประโยชน์ต่อการกำหนดราคาสินค้าได้

20.       ความเข้าใจ (Comprehension) เป็นผลมาจากอะไร

(1) การเปิดรับ (2) การใส่ใจ

(3) การตระหนัก (4) ความพึงพอใจ

ตอบ 2 แบบจำลองกระบวนการข้อมูล (Information Processing Model) จะมีลำดับขั้นตอนดังนี้

1.         ขั้นการนำเสนอสาร (Message Presentation)

2.         ขั้นความใส่ใจ (Attention)

3.         ขั้นความเข้าใจ (Comprehension)

4.         ขั้นการยอมรับ (Yielding)

5.         ขั้นการจดจำ (Retention)

6.         ขั้นแสดงพฤติกรรม (Behavior)

21.       ข้อใดเป็นการลำดับขั้นตอนการตอบสนองสารได้ถูกต้อง

(1)       สนใจ ใส่ใจ ยอมรับ จดจำ ซื้อ

(2)       สนใจ รู้จัก ต้องการ จดจำ ซื้อ

(3)       นำเสนอ ใส่ใจ เข้าใจ ยอมรับ จดจำ ซื้อ

(4)       นำเสนอ รู้จัก ชอบ ต้องการ มั่นใจ ซื้อ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 20. ประกอบ

22.       การวางแผนสื่อโฆษณาต้องคำนึงถึงขั้นตอนใดของพฤติกรรมการเลือกรับสาร

(1) Selective Exposure      

(2) Selective Attention

(3) Selective Perception   

(4) Selective Retention

ตอบ การทำความเข้าใจพฤติกรรมการเลือกรับสารจะมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อนักโฆษณาในการวางแผนสื่อโฆษณา โดยการพิจารณาว่าจะเลือกใช้สื่อโฆษณาอะไรบ้างในช่วงเวลาใด และต้องใช้งบประมาณเท่าไรจึง จะผ่านขั้นตอนของการเลือกเปิดรับ (Selective Exposure) ของผู้รับสาร และจะออกแบบข่าวสารการโฆษณาอย่างไรจึงจะผ่านขั้นตอนของการเลือกใส่ใจ (Selective Attention) และเลือกรับรู้ (Selective Perception) จนถึงขั้นที่ผู้รับสารเลือกที่จะจดจำ (Selective Retention) ได้

23.       การโฆษณาแบบตอบรับทันทีเป็นกิจกรรมการสื่อสารการตลาดประเภทใด

(1)       การส่งเสริมการขาย    (2) การประชาสัมพันธ์

(3) การโฆษณาทางไปรษณีย์  (4) การตลาดแบบเจาะตรง

ตอบ 4 การตลาดแบบเจาะจง (Direct Marketing or Direct-response Marketing) หมายถึง การสื่อสารโดยตรง ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดการตอบสนองและหรือก่อให้เกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยน ขึ้น โดยการตลาดแบบเจาะตรง จะได้แก่ การขายตรง (Direct Selling) การขายทางโทรศัพท์หรือโทรสาร (Telemarketing) และการโฆษณาแบบตอบรับทันที (Direct Response Ads) เช่น การโฆษณาส่งตรงทาง ไปรษณีย์ เป็นต้น

24.       ข้อใดเป็นข้อได้เปรียบของการขายโดยพนักงานขาย

(1)       ความน่าเชื่อถือสูง        (2) เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้จำนวนมาก

(3) ปรับเนื้อหาไต้ตามปฏิกิริยาของผู้รับสาร    (4) ผู้รับสารตั้งใจฟัง

ตอบ 3 เนื่องจากการขายโดยใช้พนักงานขายเป็นการติดต่อสื่อสารแบบเผชิญหน้า (Face-to-face Communication) ระหว่างผู้ขายกับผู้ที่คาดว่าจะเป็นผู้ซื้อ ดังนั้นจึงมีความยืดหยุ่นสูงกว่าการโฆษณา เพราะผู้ขายสามารถ สังเกตปฏิกิริยาของผู้ซื้อไปด้วยและสามารถปรับเนื้อหาของข่าวสารได้อย่างเหมาะสมกับปฏิกิริยา สถานการณ์และความต้องการของผู้ซื้อ

25.       การโฆษณาแบบ Split Run เป็นการโฆษณาลักษณะใด

(1)       เจาะจงลงโฆษณาทางวิทยุกระจายเสียงเฉพาะช่วงคั่นระหว่างรายการ

(2)       เจาะจงลงโฆษณาทางหนังสือพิมพ์เพื่อเข้าถึงผู้อ่านภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง

(3)       แบ่งภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์เป็นช่วงๆ ลงในรายการใดรายการหนึ่ง

(4)       ตัดภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ให้สั้นลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย

ตอบ 2 การโฆษณาระดับภูมิภาค (Regional Advertising) เป็นการโฆษณาที่ครอบคลุมภูมิใดภูมิภาคหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมทั้งประเทศ เช่น ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือภาคใต้ เป็นต้น สื่อที่ใช้จึงเป็นสื่อที่ ครอบคลุมในระดับภูมิภาค เช่น การโฆษณาแบบ Split Run ทางหนังสือพิมพ์เพื่อเข้าถึงผู้อ่านภูมิภาคใด ภูมิภาคหนึ่ง เป็นต้น


26.       การใช้กลยุทธ์การโฆษณาที่ผู้บริโภคเป็นหลักมักใช้แนวทางการนำเสนอแบบใด

(1) การให้คำมั่นสัญญา          (2) การสาธิตการทำงานของสินค้า

(3) ใช้สินค้าเป็นพระเอก          (4) รายงานผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์

ตอบ 1 กลยุทธ์การโฆษณาที่เน้นผู้บริโภคเป็นหลัก (Prospect-centered Strategies) เป็นกลยุทธ์การเสนอข่าวสาร การโฆษณาภายใต้แนวคิดทางการตลาดที่เน้นผู้บริโภคซึ่งอาจทำได้หลายลักษณะได้แก่การกล่าวถึงประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับ (Benefits), การให้คำมั่นสัญญา (Promises). การบอกถึงเหตุผลว่าทำไมจึงควรใชสินค้า (Reason Why) และการกล่าวถึงข้อเสนอขายที่เด่นชัด (Unique Selling Proposition : USP)

27.       ฝ่ายใดในบริษัทตัวแทนการโฆษณาที่ทำหน้าที่วางแผนจัดทำงบประมาณการโฆษณาและควบคุมการใช้จ่าย งบประมาณให้เป็นไปตามแผนงานที่วางไว้

(1)       ฝ่ายบริหารงานทั่วไป   (2) ฝ่ายบริหารงานลูกค้า

(3) ฝ่ายสร้างสรรค์การโฆษณา           (4) ฝ่ายสื่อโฆษณา

ตอบ 4 หน้าที่และความรับผิดชอบของฝ่ายสื่อโฆษณา (Media Department) มีดังนี้

1. เป็นผู้วางแผนเกี่ยวกับการใช้และการซื้อสื่อโฆษณา ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

2.         วางกลยุทธ์ในการใช้สื่อโฆษณา

3.         ติดต่อจองเนื้อที่โฆษณา และซื้อเนื้อที่โฆษณาให้เป็นไปตามแผนงานที่ได้วางไว้

4.         ควบคุมการซื้อสื่อโฆษณาให้ได้ผลคุ้มค่ามากที่สุด

5.         จัดสรรและควบคุมการ.ใช้งบประมาณ รวมทั้งติดตามการใช้สื่อของคู่แข่งขัน ฯลฯ

28.       ข้อใดเป็นปัจจัยที่ใช้ในการแบ่งส่วนตลาดแบบ (Demographic Segmentation

(1) เพศ อายุ การศึกษา รูปแบบการดำเนินชีวิต (2) เพศ อายุ ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม (3) รูปแบบการดำเนินชีวิต บุคลิกภาพ แรงจูงใจ (4) แรงจูงใจ ทัศนคติ รูปแบบการดำเนินชีวิต ตอบ 2 ปัจจัยที่ใช้ไนการแบ่งส่วนตลาดตามลักษณะทางทะเบียนภูมิหลัง (Demographic Segmentation) ได้แก่ อายุ เพศ สถานภาพครอบครัว การศึกษา อาชีพ และรายได้ ซึ่งในวงการโฆษณามักจะนำไปรวมกับอาชีพ และการศึกษา แล้วรวมเรียกว่า สถานะทางสังคมและเศรษฐกิจ” (Socio-economic Status : SES)

29.       แบบจำลองการสื่อสารในข้อใดที่กล่าวถึงการจดจำ (Retention)

(1) The Hierarchy of Effects Model  (2) AIDA Model

(3) Innovation Adoption Model       (4) Information-processing Model

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 20. ประกอบ

30.       เนื้อหาในโฆษณามักส่งเสริมค่านิยมแบบใด

(1) อนุรักษ์นิยม           (2) ประเพณีนิยม

(3) ปัจเจกนิยม            (4) บริโภคนิยม

ตอบ 4 การโฆษณามักจะสร้างค่านิยมต่างๆ ให้เกิดขึ้นในสังคม เช่น การแบ่งแยกชนชั้นการใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยการมีค่านิยมแบบบริโภคนิยม หรือมีรูปแบบการกระทำบางอย่างเป็นแบบแผนเดียวกัน เช่น รับประทาน อาหารจานด่วน แต่งกายด้วยเสื้อผ้าเครื่องใช้ที่มียี่ห้อ เป็นต้น

31.       คนทั่วไปจะสนใจพยายามทำความเข้าใจและจดจำข่าวสารที่มีลักษณะอย่างไร

(1) ลีลาการสื่อสารเร้าใจ         

(2) สอดคล้องกับประสบการณ์และนิสัย

(3) สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อม       

(4) สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

ตอบ 4 โดยทั่วไปแล้วมนุษย์จะให้ความสนใจและใช้ความพยายามในการที่จะเข้าใจและจดจำข่าวสารที่สามารถ นำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น คนที่จะซื้อรถใหม่ก็จะหาบทความหรือโฆษณาที่เกี่ยวกับรถมาอ่าน การอ่านหนังสือพิมพ์ การดูโทรทัศน์ การฟังวิทยุ ฯลฯ เป็นการกระทำจากการเลือกของเราโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเอาไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ

32.       ข้อใดเป็นตัวอย่างของการแบ่งส่วนตลาดโดยใช้ปัจจัยด้านแรงจูงใจ

(1)       คนที่ต้องการได้รับการยกย่อง กับคนที่ต้องการความปลอดภัย

(2)       คนชอบใช้ชีวิตกลางแจ้ง กับคนที่ชอบใช้ชีวิตอยู่กับบ้าน

(3)       คนที่มีความภักดีต่อตรายี่ห้อ กับคนที่ไม่มีความภักดีต่อตรายี่ห้อ

(4)       คนที่ชอบเป็นผู้นำ กับคนที่ชอบทำตามผู้อื่น

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 9. ประกอบ

33.       การโฆษณาสินค้าโดยใช้วิธีการบรรยายรือพูดกับกล้องโทรทัศน์เป็นการโฆษณาแนวใด

(1) Rational        (2) Emotional

(3) Drama (4) Lecture

ตอบ 4 น้ำเสียงที่ใช้ในการโฆษณาแบบการแนะนำหรือการสอน หรือการบรรยาย (Lecture) จะเป็นลักษณะของ การให้ความรู้หรือเสนอข้อเท็จจริงของสินค้า (ในขณะที่งานโฆษณาบางชิ้นอาจนำเสนอในลักษณะเหมือน ละคร (Drama) ซึ่งจะเป็นการสร้างเรื่องราวหรือบทละครที่แสดงให้เห็นถึงการใช้สินค้าหรือบริการใน สถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง

34.       Selling Premises หมายถึงอะไร

(1) ลีลาน้ำเสียงในการโฆษณา           (2) ข้อเสนอเพื่อการขายสินค้า

(3) สิ่งดึงดูดใจในชิ้นงานโฆษณา        (4) วิธีการนำเสนอข่าวสารการโฆษณา

ตอบ 3 ข้อเสนอเพื่อการขาย (Selling Premises) คือ เหตุผลที่เป็นข้อสนับสนุนการขายสินค้าหรือบริการที่จะปรากฏอยู่ในข่าวสารการโฆษณา โดยกลยุทธ์การกำหนดข้อเสนอเพื่อการขายนี้จะมี 2 ลักษณะ คือ

1.         กลยุทธการใช้สินค้าเป็นหลัก (Product-centered Stategies)

2.         กลยุทธการเน้นผู้บริโภคเป็นหลัก (Prospect-centered Stategies)

35.       การทดสอบผลการโฆษณาข้อใดต่อไปนี้ที่ดำเนินการก่อนนำโฆษณาออกเผยแพร่

(1) Persuasion Test   (2) Direct-response Counts

(3) Recognition Test (4) In-market Test

ตอบ 3 การทดสอบการจดจำได้ (Recognition Tests) เป็นการทดสอบสิ่งโฆษณาเพื่อประเมินความสามารถในการจดจำสิ่งโฆษณาของประชาชนผู้รับสารโดยการจัดฉายภาพยนตร์โฆษณาหรือแสดงสิ่งโฆษณาประเภท สิ่งพิมพ์ให้กลุ่มตัวอย่างดูแล้วสอบถามเกี่ยวกับสิ่งโฆษณาที่พวกเขาเพิ่งได้เห็นนั้น การดำเนินการทั้งหมดนี้ จะต้องทำก่อนนำโฆษณาออกเผยแพร่


36.       แผนส่งเสริมการตลาดเป็นแผนงานเกี่ยวกับอะไร

(1) การสร้างสรรค์ชิ้นงานโฆษณา      (2) การส่งเสริมการขาย

(3) กิจกรรมสื่อสารการตลาด  (4) การกำหนดกลยุทธ์การโฆษณา

ตอบ 3 แผนส่งเสริมการตลาดได้แก่ แผนงานเกี่ยวกับกิจกรรมการสื่อสารการตลาดซึ่งจะต้องเริ่มจากการศึกษา กลุ่มเป้าหมาย การศึกษาวิเคราะห์สินค้า และการศึกษากลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดของคู่แข่ง เพื่อนำมากำหนดวัตถุประสงค์การส่งเสริมการตลาด การกำหนดงบประมาณที่จะต้องใช้และการเลือกใช้ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาดตลอดจนการใช้เครื่องมือการสื่อสารการตลาดอื่น ๆ อย่างเหมาะสมและเพื่อ ประสิทธิผลสูงสุด

37.       การโฆษณาของพรรคการเมืองที่ต้องการเน้นภาพลักษณ์ผู้นำและอุดมการณ์ของพรรคควรใช้สื่อประเภทใด

(1)       วิทยุกระจายเสียง        (2) โปสเตอร์

(3) วิทยุโทรทัศน์          (4) ป้ายข้างรถประจำทาง

ตอบ 3 วิทยุโทรทัศน์ถือเป็นสื่อที่มีผลกระทบ (Impact) ต่อผู้รับสารสูงกว่าส่ออื่น ๆ เนื่องจากเป็นสื่อที่สามารถเสนอเนื้อหาได้หลากหลายรูปแบบทั้งเสียง ภาพ สี การเคลื่อนไหว และการแสดง ทำให้สินค้าธรรมดา ๆ ดูมีความสำคัญน่าตื่นเต้น น่าสนใจ และสามารถสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่างๆ ให้เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าสื่ออื่น ๆ ด้วย

38.       แรงจูงใจประกอบด้วยอะไรบ้าง

(1)การเรียนรู้ การรับรู้ บุคลิกภาพ       (2) การรับรู้ ความเชื่อ ทัศนคติ

(3) ความต้องการ แรงขับ เป้าหมาย    (4) ทัศนคติ บุคลิกภาพ การมองตนเอง

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 9. ประกอบ

39.       การทำความเข้าใจ Self-concept มีประโยชน์ต่อการโฆษณาอย่างไร

(1)       ทำให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ให้ประโยชน์และความพึงพอใจสูงสูด

(2)       ทำให้สามารถเลือกใช้สื่อโฆษณาได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย

(3)       ทำให้ประหยัดงบประมาณการโฆษณา

(4)       ทำให้สามารถสร้างภาพลักษณ์ของสินค้าได้ตรงกับภาพลักษณ์ของกลุ่มเป้าหมาย

คอบ 4 การมองตนเอง (Self-concept) หมายถึง การที่เรามองตนเองว่าเราเป็นอย่างไรมีจุดเด่น จุดด้อยอย่างไร นักโฆษณาที่ทำโฆษณาสินค้าบางประเภท เช่น เสื้อผ้า รถยนต์ บ้าน ฯลฯ ซึ่งเป็นสินค้าที่สะท้อนถึงภาพลักษณ์ ของผู้ใช้จะพยายามเข้าถึง Self-concept ของกลุ่มเป้าหมายของเขาให้ได้ เพื่อที่จะพยายามพัฒนาภาพลักษณ์ ของสินค้าให้สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของกลุ่มเป้าหมาย

40.       การกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ที่เน้นเพื่อการแข่งขันมักใช้วิธีใด

(1) คุณลักษณ์ผลิตภัณฑ์      (2) ราคา/คุณภาพ

(3) ประโยชน์ใช้สอย    (4) ดูจากคู่แข่ง

ตอบ การกำหนดตำแหน่งผลิตกัณฑ์โดยมุ่งเน้นที่การแข่งขัน เป็นวิธีการที่พยายามกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ โดยการเปรียบเทียบสินค้าที่โฆษณากับสินค้าของคู่แข่ง ก็เช่น การใช้คุณลักษณะของผลิตกัณฑ์ที่มี ลักษณะเฉพาะ ซึ่งทำสินค้านั้นแตกต่างจากคู่แข่ง โดยเราอาจใช้คุณสมปติหรือคุณประโยชน์มากกว่าหนึ่งประการในการกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ก็ได้

41.       สิ่งใดที่กำหนดกรอบการอ้างอิงของมนุษย์แต่ละคน

(1) ความต้องการ แรงจูงใจ สื่อที่ใช้     

(2) ประโยชน์ที่คาดหวัง นิสัยส่วนตัว

(3) สภาพเศรษฐกิจ สังคม การเมือง   

(4) การเรียนรู้ ประสบการณ์ ทัศนคติ

ตอบ 4 การถอดรหัส หมายถึง การตีความสารของผู้รับสารให้อยู่ในรูปของความหมายความคิด หรือการรับรู้ที่มีต่อข่าวสารนั้น โดยอาศัยขอบเขตของประสบการณ์ (Field of Experience) หรือกรอบของการอ้างอิง (Frame of Reference) อันประกอบด้วย ประสบการณ์ การรับรู้ ทัศนคติ บุคลิกภาพ ภาพลักษณ์ต่อตนเอง และค่านิยมมาประกอบในการกำหนดรู้ความหมายของสารที่ตนได้รับ

42.       ข้อใดคือเกณฑ์การพิจารณาเลือกสื่อโฆษณาประเภทสิ่งพิมพ์

(1)       ลักษณะของผู้อ่าน คุณภาพการพิมพ์ คุณภาพเนื้อหา

(2)       ความนิยมของสื่อ จำนวนผู้อ่าน ช่วงเวลาการโฆษณา

(3)       การครอบคลุมของสื่อ ราคาของสิ่งพิมพ์ จำนวนหน้าของสิ่งพิมพ์

(4)       ขนาดของสิ่งพิมพ์ ชนิดของกระดาษที่ใช้พิมพ์ จำนวนพิมพ์

ตอบ 1 การเลือกว่าจะใช้หนังสือพิมพ์ฉบับใดเป็นสื่อการโฆษณานั้น มีข้อพิจารณาดังต่อไปนี้

1.         ลักษณะของผู้อ่าน       2. เนื้อหาของคุณภาพด้านบทความ

3.         การซ้ำซ้อนของผู้อ่าน   4. ความคุ้มค่าด้านราคา

5. คุณภาพการพิมพ์

43.       ข้อใดเป็นอัตราค่าโฆษณาสำหรับการลงโฆษณาปกติโดยไม่มีส่วนลด

(1)       Flat Rate  (2) Special Rate

(3) Contract Rate       (4) Short Rate

ตอบ 1 Flat Rate หมายถึง อัตราค่าโฆษณาแบบไม่มีส่วนลดสำหรับการซื้อเนื้อที่โฆษราสินค้าหรือบริการใน ตำแหน่งใด ๆ ที่ไม่เจาะจงในหนังสือพิมพ์

44.       ข้อใดเป็นวิธีการกำหนดงบประมาณการส่งเสริมการตลาดแบบก้าวหน้า

(1)       การจัดสรรงบประมาณเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดขายในอดีต

(2)       การจัดสรรงบประมาณโดยดูจากส่วนแบ่งการขาย

(3)       การกำหนดงบประมาณโดยดูจากคู่แข่ง

(4)       การกำหนดงบประมาณโดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์

ตอบ 4 วิธีการกำหนดงบประมาณโดยพิจารณาจากวัตถุประสงค์และงานที่จะทำ เป็นวิธีการกำหนดงบประมาณ แบบก้าวหน้า กล่าวคือ กำหนดแผนการส่งเสริมการตลาดโดยพิจารณาจากสถานการณ์แวดล้อมและสภาพ การแข่งขันในตลาด จากนั้นก็กำหนดงบประมาณตามกิจกรรมที่จะทำตามแผนการส่งเสริมการตลาดนั้น

45.       การกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์พิจารณาจากอะไร

(1)       สภาพตลาด สภาพการแข่งขัน สื่อที่ใช้

(2)       นโยบายบริษัท ลักษณะของสินอ้า ราคา การจัดจำหน่าย

(3)       จุดเด่นของสินค้า ความต้องการผู้ซื้อ กลยุทธ์ของคู่แข่ง

(4)       จุดเด่นของสินค้า ราคาของสินค้า สถานที่จัดจำหน่ายสินค้า

ตอบ 3 การวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ (Product Positioning) หมายถึง ศิลป์และศาสตร์ของการทำให้สินค้าหรือบริการของเรา มีความสอดคล้องกับลักษณะของกลุ่มเป้าหมายด้วยวิธีการใด ๆ ก็ตามที่จะทำให้ กลุ่มเป้าหมายมองเห็นสินค้าของเรามีความหมายแตกต่างจากสินค้าของคู่แข่ง ซึ่งวิธีการกำหนดตำแหน่ง ผลิตภัณฑ์นี้สามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับสถานการณ์จุดเด่นของสินค้า ความต้องการของผู้บริโภค และ กลยุทธ์ของคู่แข่ง


46.       
ให้กำลังฉุดลากมหาศาล เร่งแซงทันใจ ประหยัดน้ำมันเป็นเยี่ยม พร้อมมาตรฐานใหม่ในการบำรุงรักษาด้วยการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุก 20,000 กิโลเมตร” ข้อความดังกล่าวเป็นวิธีการเขียนข้อความโฆษณาแบบใด

(1)       Straightforward       (2)       Dialogue

(3)       Monologue      (4)       Humor

ตอบ 1 วิธีการเขียนข้อความโฆษณาแบบเสนอข้อเท็จจริงอย่างตรงไปตรงมา (Straightforward Factual) นั้นเนื้อหาที่ปรากฏในข้อความโฆษณาจะมีลักษณะคล้ายกับเนื้อหาในข่าวหรือสารคดีของหนังสือพิมพ์และนิตยสาร แต่ในขณะเดียวกันก็เสนอข้อเท็จจริงที่ชัดเจนเพียงพอที่จะทำให้ผู้อ่านสนใจและเกิดความต้องการในสินค้าหรือบริการที่โฆษณา

47.       สื่อโฆษณาประเภทใดที่ผู้รับสารตั้งใจรับมากที่สุด

(1)       วิทยุกระจายเสียง        (2)       วิทยุโทรทัศน์

(3)       ป้ายโฆษณา    (4)       หนังสือพิมพ์

ตอบ 4 หนังสือพิมพ์ถือเป็นสื่อโฆษณาที่ประชาชนตั้งใจอ่าน เนื่องจากประชาชนบางกลุ่มจะใช้เป็นแหล่งข้อมูล สำหรับการจับจ่ายซื้อของ ดังนั้นหากเราต้องการโฆษณากิจกรรมส่งเสริมการขาย (ลด แลก แจก แถม ฯลฯ ) หนังสือพิมพ์จึงเป็นทางเลือกที่ดี เพราะผู้บริโภคจะนำข้อมูลที่ได้มาประกอบการตัดสินใจว่าจะซื้อสินค้า ยี่ห้อไหน และไปซื้อที่ใด

48.       ข้อเสียเปรียบสำคัญของการโฆษณาทางสื่อมวลชนคืออะไร

(1) ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยต่อหัวสูง          (2) ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ

(3) มีบุคคลอื่นได้รู้เห็นด้วย      (4) ผู้รับสารไม่เจตนารับ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

49.       ปัญหาสำคัญของการโฆษณาทางสื่อมวลชนคืออะไร

(1) เป็นการสื่อสารทางเดียว    (2) ไม่สามารถกำหนดตารางสื่อได้

(3) วัดผลการโฆษณาได้ยาก   (4) ผู้รับสารสามารถเลือกได้

ตอบ 3 ปัญหาสำคัญของการโฆษณาทางสื่อมวลชน คือ วัดผลการโฆษณาได้ยาก เนื่องจากการสื่อสารมวลชนโดยส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นการสื่อสารทางเดียว (One-way Communication) การสื่อสารกลับ (Feedback) จากผู้รับสารไปยังผู้ส่งสารมักเป็นไปได้อย่างล่าช้าหรือกระทำได้ยากเช่น จดหมายจากผู้อ่าน โทรศัพท์จากผู้ฟัง การสำรวจความคิดเห็นของผู้ชม ฯลฯ

50.       Rating หมายถึงอะไร

(1)       อัตราการเข้าถึงของโฆษณาชิ้นใดชิ้นหนึ่ง

(2)       อัตราค่าโฆษณาสื่อใดสื่อหนึ่ง

(3)       ค่าแสดงความนิยมของรายการใดรายการหนึ่ง

(4)       ค่าแสดงความนิยมของรายการใดรายภารหนึ่ง

ตอบ 3 ความนิยมของรายการ (Rating) หมายถึง ค่าร้อยละที่แสดงถึงจำนวนผู้ชมที่ชมรายการใดรายการหนึ่ง จึงเป็นค่าที่แสดงความนิยมของรายการโทรทัศน์รายการใดรายการหนึ่ง

ตั้งแต่ข้อ 51. – 53. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1)       Impact      (2) Reach

(3) Frequency    (4) Continuity

51.       การโฆษณาที่ใช้โทรทัศน์หลาย ๆ ช่องโฆษณาพร้อมกันเป็นการโฆษณาที่เน้นวัตถุประสงค์ข้อใด

ตอบ 3 ความถี่ (Frequency) คือ ค่าที่บอกถึงจำนวนครั้งที่ประชาชนเปิดรับสื่อโฆษณาหนึ่งในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น การโฆษณาที่ใช้โทรทัศน์หลายๆ ช่องโฆษณาพร้อมกัน ซึ่งการโฆษณาบ่อย ๆครั้งจะเป็นผลดีต่อการ ทำความเข้าใจและสร้างการจดจำในข่าวสารการโฆษณาได้  

52. การโฆษณาที่ลงโฆษณาในรายการเดียวกันช่องเดียวกันทุกครั้งเป็นการโฆษณาที่เน้นวัตถุประสงค์ใด

ตอบ 2 (คำบรรยาย) การเข้าถึง (Reach) คือ จำนวนหรือค่าร้อยละของผู้รับสาร ซึ่งได้เห็นหรือทังสื่อใดสื่อหนึ่ง อย่างน้อยหนึ่งครั้ง โดยไม่คำนึงว่าจะได้เปิดรับสื่อนั้นบ่อยครั้งเพียงใด เช่น การโฆษณาที่ลงโฆษณาใน รายการเดียวกันช่องเดียวกันทุกครั้ง ทั้งนี้เพื่อจะดูว่าคนได้เห็นโฆษณาของเรากี่เปอร์เซ็นต์จากจำนวนคน ทั้งหมด

53.       การโฆษราที่ใช้ป้าย Billboard ขนาดใหญ่มาก ๆ เนื่องจากเน้นวัตถุประสงค์ข้อใด

ตอบ 1 การโฆษณากลางแจ้ง (Out door Advertising) เป็นการโฆษณาที่เข้าถึงประชาชนซึ่งอยู่นอกบ้านมักปรากฏ อยู่ในรูปของบิลบอร์ด (Billboard) เช่น โปสเตอร์ ภาพระบายสี และป้ายขนาดใหญ่ โดยสื่อกลางแจ้ง เหล่านี้มักจะมีขนาดใหญ่ มาก ๆ ภาพและข้อความก็ต้องมีขนาดใหญ่ เพื่อให้ผู้รับสารอ่านได้ในระยะไกล และจะมีผลกระทบ (Impact) สูงต่อผู้ชม

54.       การโฆษณาขนาดเต็มหน้าหนังสือพิมพ์เป็นการโฆษณาแบบใด

(1)       Display Advertising (2)       Classified Advertising

(3)       Handbill  (4)       Supplement

ตอบ 1 การโฆษณาทางหนังสือพิมพ์สามารถทำได้หลายรูปแบบ ดังนี้

1.         การโฆษณาขนาดใหญ่ (Display Advertising) โดยอาจเป็นแบบครึ่งหน้าหรือแบบเต็มหน้ามีทั้งที่เป็น โฆษณาสี่สีและ,ขาวดำ

2.         การโฆษณาย่อย (Classified Advertising)

3.         การโฆษณาแทรก (Preprinted Insert) เช่น หนังสือพิเศษ (Supplement) หรือใบปลิว (Handbill) สี่สี ที่จัดพิมพ์ต่างหาก แล้วนำมาแทรกไว้กับหนังสือพิมพ์ เป็นต้น

55.       การโฆษณาในตำแหน่งใดที่ได้รับความสนใจมากที่สุด

(1)       Island Position          (2)       Full Position

(3)       Solus         (4)       Strip

ตอบ 1 ตำแหน่งที่เป็นเกาะ (Island Position) เป็นตำแหน่งการลงโฆษณาโดยให้ชิ้นงานโฆษณาอยู่ตรงกลางและ ล้อมรอบด้วยบรรณาธิกรสาร การเลือกลงโฆษณาในตำแหน่งที่เป็นเกาะมักเป็นการโฆษณาขนาด Junior Page และถือเป็นตำแหน่งที่ได้รับความสนใจมากที่สุด

56.       หลักสำคัญของการสร้างสรรค์โฆษณาทางโทรทัศน์คืออะไร

(1)       ใช้คำพูดบอกเรื่องราวให้มากที่สุด       (2) บอกถึงแนวคิดหลักที่ใช้ในการโฆษณา

(3) ควรเสนอภาพสินค้าตั้งแต่ภาพแรก           (4) เน้นผู้นำเสนอมากกว่าตัวสินค้า

ตอบ 2 ข้อพึงปฏิบัติสำหรับการสร้างสรรค์สิ่งโฆษณาที่ดีเพื่อการโฆษณาทางโทรทัศน์มีดังนี้

1.         ควรใช้ภาพเพื่อบอกเรื่องราวให้มากที่สุด

2.         ต้องแสดงให้เห็นถึงแนวความคิดหลักที่ใช้ในการโฆษณา

3.         นำเสนอภาพของสินค้าและชื่อสินค้าอย่างชัดเจน

4.         พยายามทำให้สินค้าเป็นพระเอก

5.         ควรเริ่มขายสินค้าตั้งแต่ภาพแรก เป็นต้น

57.       การโฆษณาที่เสนอภาพปัญหานานาประการก่อนเสนอภาพสินค้าที่เข้ามาแก้ปัญหาเหล่านั้น เป็นการใช้วิธีการ นำเสนอภาพยนตร์โฆษณาแบบใด

(1) Demonstration    (2) Problem/Solution

(3) Product as Star    (4) Vignette

ตอบ 2 การแก้ปัญหา (Problem/Solution) เป็นการนำเสนอภาพปัญหานานาประการที่อาจจะเกิดขึ้นเมื่อใดเมื่อหนึ่ง จากนั้นก็นำเสนอภาพสินค้า ซึ่งเข้ามาแก้ปัญหานั้น เช่น เสนอภาพหญิงสาวที่มีปัญหาผมแห้งแตกปลาย จากนั้นก็นำเสนอภาพครีมนวดผม และเมื่อหญิงสาวใช้ครีมนวดแล้วเส้นผมกลับมีชีวิตชีวาหายแตกปลายเป็นต้น

58.       ข้อใดเป็นปัจจัยที่ใช้พิจารณาประกอบการกำหนดอัตราค่าโฆษณาทางโทรทัศน์

(1)       การเข้าถึงที่ ความถี่ ผลกระทบ ความต่อเนื่อง

(2)       ความครอบคลุม ความนิยมของรายการ ช่วงเวลาการโฆษณา

(3)       ฤดูกาล สังคมวิทยาของสื่อ งบประมาณการโฆษณา

(4)       งบประมาณ ฤดูการขาย วงจรอายุสินค้า ความหลากหลายของสื่อ

ตอบ 2 การคิดอัตราค่าโฆษณาทางโทรทัศน์จะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้

1.         การครอบคลุมของสัญญาณของสถานีโทรทัศน์ช่องนั้น ๆ (Coverage)

2.         ความนิยมของรายการ (Rating)

3.         ช่องเวลาการโฆษณา (Timing)

59.       ค่า GRP เป็นประโยชน์ต่อการประเมินผลสื่อโฆษณาอย่างไร

(1) เป็นหน่วยวัคจำนวนของชิ้นงานโฆษณา    (2) แสดงถึงผลกระทบของแผนโฆษณา

(3) ช่วยให้ทราบระยะเวลาของโฆษณา          (4) แสดงงบค่าของแผนการโฆษณา

ตอบ 4 คะแนนความนิยมโดยรวม (Gross Rating Point : GRP) เป็นสิ่งที่นักโฆษณาใช้พิจารณาเพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างการเข้าถึง และความถี่ของการโฆษณา ซึ่งค่า GRP จะมีประโยชน์ต่อการประเมินผลสื่อโฆษณา หรือแสดงถึงผลกระทบของแผนโฆษณา โดยจะแสดงค่าของแผนการโฆษณาในรูปของคะแนนความนิยมโดยรวมที่ได้จากแผนงานโฆษณานั้น

60.       หากแผนการใช้สื่อโฆษณาระบุว่ามีการใช้สื่อบางช่วง และเว้นวรรคบางช่วง แสดงว่าแผนการใช้สื่อโฆษณานั้นใช้ รูปแบบความต่อเนื่องแบบใด

(1)       Continuity        (2) Flighting

(3) Fighting        (4) Pulsing

ตอบ 2 การโฆษณาแบบหยุดเป็นพัก ๆ (Flighting) เป็นการซื้อสื่อโฆษณาเป็นบางช่วงและหยุดพักเป็นบางช่วง กล่าวคือ จะซื้อสื่อโฆษณาในช่วงเวลาที่น่าจะขายสินค้าได้มากหรือผู้รับสารเต็มใจที่จะรับข่าวสารการ โฆษณาและหยุดโฆษณาเป็นบางช่วง โดยเฉพาะช่วงที่ไม่น่าจะขายสินค้าได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่าง มากหากสินค้าที่โฆษณานั้นมิใช่สินค้าที่ขายได้ตลอดทั้งปี

61.       Pass-along Audience หมายถึงอะไร

(1) ผู้อ่านที่เป็นผู้ซื้อนิตยสาร   

(2) ผู้ที่เห็นนิตยสารที่ร้านหนังสือ

(3) ผู้อ่านที่ไม่ใช่ผู้ซื้อนิตยสาร  

(4) ผู้ที่เป็นสมาชิกนิตยสาร

ตอบ 3 Pass-along Audience หมายถึง ผู้อ่านที่มิใช่สมาชิกหรือไม่ใช่ผู้ซื้อนิตยสาร เช่น ผู้อ่านที่อ่านนิตยสารตาม ร้านขายหนังสือ ในร้านเสริมสวย ในร้านตัดผม หรือในห้องสมุด ฯลฯ

62.       การซื้อเนื้อที่โฆษณาทางหนังสือพิมพ์โดยไม่เจาะจงตำแหน่งเรียกว่าอะไร

(1) Free Press   

(2) Run of Press

(3) Full Position          

(4) Junior Page

ตอบ 2 ROP (Run of Paper หรือ Run of Press) หมายถึง การลงโฆษณาโดยไม่เจาะจงตำแหน่ง ผู้พิมพ์สามารถลง โฆษณาในตำแหน่งใดก็ได้ในหน้าหนังสือพิมพ์

63.       ข้อใดเป็นบทบาทหน้าที่ของแผนกซื้อสื่อโฆษณา

(1)       รับผิดชอบเกี่ยวกับการผลิตสิ่งโฆษณาสำหรับสื่อมวลชน

(2)       จัดทำตารางสื่อโฆษณา

(3)       กำหนดกลยุทธ์เบื้องต้นของการวางแผนสื่อโฆษณา

(4)       ศึกษา วิเคราะห์ ความเป็นมาของสินค้าเพื่อกำหนดยุทธวิธีการใช้สื่อโฆษณา

ตอบ 2 บทบาทหน้าที่ของแผนกซื้อสื่อโฆษณา ก็คือ การจัดทำตารางสื่อโฆษณา (Media Schedule) ว่าจะซื้อ เวลาทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ช่องใดช่วงเวลาใด และต้องใช้งบประมาณเท่าไร นอกจากนั้นแผนกซื้อสื่อ โฆษณายังต้องมีข้อมูลเกี่ยวกับสื่อด้วยและเมื่อได้ตารางสื่อโฆษณาแล้วก็ต้องนำเสนอให้ฝ่ายบริการลูกค้า เพื่อนำเสนอให้ลูกค้าพิจารณาอนุมัติต่อไป

64.       ข้อใดเป็นข้อได้เปรียบของตัวแทนโฆษณาอิสระ

(1)       มีผู้เชี่ยวชาญและประสบการณ์สูงในการทำโฆษณา

(2)       ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าการตั้งตัวแทนโฆษณาในบริษัท

(3)       มีข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้า

(4)       ผู้โฆษณามั่นใจได้ว่าจะได้งานตรงตามจุดมุ่งหมายขององค์การ

ตอบ 1 ข้อได้เปรียบของตัวแทนโฆษณาอิสระหรือบริษัทโฆษณาอิสระ (Independent Agency) คือ

1.         มีผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงในวงการโฆษณา

2.         เป็นการลงทุนที่ได้รับผลตอบแทนคุ้มค่า

3.         คอยติดตามความเคลื่อนไหว ของตลาดสินค้าและบริการตลอดจนปัญหาการโฆษณาต่าง ๆ อย่าง ต่อเนื่อง

4.         มีแนวคิดสร้างสรรค์ที่ท้าทายและแปลกใหม่

65.       เหตุใดตัวแทนโฆษณาจึงต้องศึกษาวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ก่อนการทำโฆษณา

(1)       เพื่อพัฒนาคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความพอใจของผู้ซื้อ

(2)       เพื่อทำความเข้าใจสถานะของสินค้าในตลาด

(3)       เพื่อหาจุดเด่นที่ทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นแตกต่างจากคู่แข่ง

(4)       เพื่อให้เข้าใจปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค

ตอบ 3 การศึกษาวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ก่อนการทำโฆษณา เป็นการศึกษา ผลิตภัณฑ์นั้นมีคุณลักษณะและสรรพคุณ อย่างไรบ้าง อะไร คือจุดเด่นที่ทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นแตกต่างจากยี่ห้อของคู่แข่ง รวมถึงรายละเอียดต่างๆ ที่ เกี่ยวกับตัวสินค้าไม่ว่าจะเป็นประโยชนใช้สอย รูปลักษณ์ หีบห่อ ชื่อยี่ห้อ ฯลฯ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ต่อ การวางแผนรณรงค์ทางการโฆษณา


66.       แผนโฆษณาที่เป็นแผนรวม (
Total Plan) ประกอบด้วยอะไรบ้าง

(1)       แผนสื่อโฆษณา แผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ แผนการส่งเสริมการขาย

(2)       แผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ แผนการกำหนดราคา แผนการกระจายสินค้า

(3)       แผนงานสื่อโฆษณา แผนงานสร้างสรรค์ การจัดสรรงบประมาณ

(4)       แผนการส่งเสริมการขาย แผนงานสื่อโฆษณา การจัดสรรงบประมาณ

ตอบ 3 การจัดทำแผนรณรงค์ทางการโฆษณาซึ่งเป็นแผนรวม (The Total Plan) จะประกอบด้วยแผนงานสร้างสรรค์ แผนงานสื่อโฆษณา และแผนการจัดสรรงบประมาณซึ่งแผนที่จัดทำนี้จะถูกนำไปเสนอเพื่อขอความเห็นชอบจากลูกค้า

67.       หากจะโฆษณาสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องเสนอรายละเอียดทางเทคนิคมาก ควรจะโฆษณาทางสื่อประเภทใด

(1) วิทยุกระจายเสียง  (2)       วิทยุโทรทัศน์

(3) หนังสือพิมพ์           (4)       โปสเตอร์

ตอบ 3 ข้อได้เปรียบประการหนึ่งของหนังสือพิมพ์ คือ มีเนื้อที่มากพอจะเสนอเนื้อหาการโฆษราที่มีรายละเอียดมาก และเนื่องจากสินค้าบางประเภทใช้วิธีจูงใจให้ซื้อด้วยการชี้แจงแสดงเหตุผล ซึ่งต้องการเนื้อที่มากพอที่จะเสนอรายละเอียดมาก ๆ ได้ดังนั้นหนังสือพิมพ์จึงเป็นสื่อที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการโฆษณา ลักษณะนี

68.       ข้อใดหมายถึง การกำหนดฐานะของสินค้าโดยใช้วิธีศึกษาสิ่งแวดล้อมทางการตลาด

(1) Advertising Concept    (2)       Product Strategy

(3) Product Positioning     (4)       Market Segmentation

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ

69.       Consumer’s Profile หมายถึงอะไร

(1) พฤติกรรมของผู้บริโภค      (2) ก.ระบุวนการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค

(3) พฤติกรรมการซื้อและใช้สินค้า       (4) ลักษณะร่วมของกลุ่มเป้าหมาย

ตอบ 4 หน้า 93 Consumer’s Profile หมายถึง ลักษณะร่วมของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งเป็นลักษณะร่วมของกลุ่ม บุคคลที่คาดว่าจะเป็นผู้สนใจข่าวสารการโฆษณาของเราอย่างจริงจัง โดยอาศัยลักษณะทางทะเบียนภูมิ หลังและลักษณะทางจิตวิทยาประกอบกัน

70.       มิตรภาพที่ดี…ลืมได้ยาก” เป็นข้อความโฆษณาที่ใช้อะไรเป็นสิ่งดึงดูดใจ

(1) Rational Appeal  (2) Emotional Appeal

(3) Idea Appeal (4) Logical Appeal

ตอบ 2 ประเภทของสิ่งดึงดูดใจ (Appeal) ในงานโฆษณาจะแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

1.         สิ่งดึงดูดใจที่ใช้เหตุผล (Rational Appeal) เช่น ราคา คุณภาพ ประโยชน์ใช้สอย และคุณสมบัติของ สินค้า เป็นต้น

2.         สิ่งดึงดูดที่ใช้อารมณ์ (Emotional Appeal) เป็นการใช้ที่กล่าวถึงความภูมิฐาน ความรัก ความห่วงใย ความสุข มิตรภาพ ความมั่นคง ความปลอดภัย ความกลัว เป็นต้น

71.       คุณค่าของสินค้าขึ้นอยู่กับอะไร

(1) การรับรู้ของผู้บริโภค          

(2) ราคา

(3) บุคลิกภาพ 

(4) การจูงใจ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 19. ประกอบ

72.       การแสดงให้เห็นวิธีใช้และลักษณะการทำงานของสินค้าเป็นแนวทางการนำเสนอแบบใด

(1) Product Alone      

(2) Demonstration

(30 Slice of Life 

(4) Presenter

ตอบ 2 การสาธิต (Demonstration) เป็นการนำเสนอเกี่ยวกับการทำงานของสินค้าโดยแสดงให้ผู้บริโภคเห็นว่าเขาจะใช้สินค้าได้อย่างไร หรือสินค้าทำงานอย่างไร และสามารถใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง นอกจากนี้อาจเป็นการสาธิตก่อนและหลังการใช้สินค้า เพื่อแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่ผู้บริโภคจะได้รับ

73.       วัตถุประสงค์การโฆษณาต้องมีความสัมพันธ์กับอะไร

(1)       กลุ่มเป้าหมายการโฆษณา

(2)       วัตถุประสงค์ของสื่อมวลชนที่จะใช้เป็นสื่อโฆษณา

(3)       วัตถุประสงค์การตลาดและนโยบายของบริษัทผู้โฆษณา

(4)       วัตถุประสงค์ของบริษัทผู้โฆษณา

ตอบ 4 สิ่งสำคัญที่ควรนำมาพิจารณา ประกอบการกำหนดวัตถุประสงค์การโฆษณา คือ

1.         ต้องมีความสัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ของบริษัทผู้โฆษณาและวัตถุประสงค์การตลาด

2.         ต้องเป็นสิ่งที่สามารถเป็นไปได้ภายในระยะเวลา งบประมาณ และทรัพยากรที่มีอยู่

3.         ต้องเป็นสิ่งที่สามารถวัดหรือประเมินผลได้

4.         ควรมีลักษณะชัดเจน เจาะจง

74.       หากเป็นสื่อกระจายเสียงและแพร่ภาพ ควรใช้อะไรเป็นปัจจัยการพิจารณาเพื่อเลือกสื่อโฆษณาที่เจาะจง

(1)       ข้อได้เปรียบและข้อเสียเปรียบของสื่อ.            (2) ลักษณะผู้ชม

(3) ความครอบคลุมของสื่อนั้น            (4) รัศมีการกระจายเสียง

ตอบ 3 ข้อพิจารณาในการเลือกใช้สื่อโฆษณา ที่เจาะจงมีดังนี้

1.         หากเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ควรพิจารณาจากจำนวนพิมพ์ของสิ่งพิมพ์คุณภาพการพิมพ์คุณภาพของเนื้อหา ความคุ้มค่าด้านราคา ตำแหน่งที่จะลงโฆษณา ภาพลักษณ์ของสื่อนั้น ลักษณะของผู้อ่านและความ ซ้ำซ้อนของผู้อ่าน

2.         หากเป็นสื่อกระจายเสียงและแพร่ภาพ ควรพิจารณาจากความครอบคลุมของสื่อ ความนิยมของรายการ ความคุ้มค่าด้านราคา เนื้อหาของรายการ และค่าใช้จ่ายในการผลิตสิ่งโฆษณา

3.         ข้อมูลจากการวิจัยเกี่ยวกับสื่อต่าง ๆ

75.       กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดในช่วงแนะนำสินค้า ควรเป็นไปในลักษณะใด

(1)       สร้างความภักดีในชื่อยี่ห้อ

(2)       ใช้การส่งเสริมการขายเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาด

(3)       ใช้การสื่อสารการตลาดแบบเจาะตรง

(4)       ใช้การส่งเสริมการตลาดทุกประเภท

ตอบ 4 ในช่วงแนะนำ เป็นช่วงที่บริษัทเริ่มนำสินค้าออกสู่ตลาดและต้องการให้ผู้บริโภครู้จักสินค้า กลยุทธ์การ ส่งเสริมการตลาดในช่วงนี้ควรใช้กิจกรรมส่งเสริมการตลาดแทบทุกประเภท เช่น ใช้การโฆษณาและการ ประชาสัมพันธ์เป็นกิจกรรมหลักกับสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปหรืออาจใช้การขายโดยพนักงานขายเป็น กิจกรรมหลักกับสินค้าที่มีลักษณะซับซ้อนแสะสินค้าที่ต้องการคำอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสินค้ามาก เป็นต้น


76.       หากต้องการสื่อสารการตลาดเพื่อการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ ควรใช้เครื่องมือสื่อสาร การตลาดประเภทใด

(1) การประชาสัมพันธ์ (2) การส่งเสริมการขาย

(3) การโฆษณา           (4) การตลาดแบบเจาะตรง

ตอบ 3 การโฆษณา (Advertising) เป็นการติดต่อสื่อสารทางด้านตราสินค้า เราจะเลือกใช้การโฆษณาในกรณี ต่อไปนี้

1.         ต้องการสร้างความแตกต่างในสินค้า (Differentiate Product)

2.         ต้องการวางตำแหน่งของตราสินค้า (Brand Positioning) ให้อยู่ในการรับรู้ของผู้บริโภค

3.         ต้องการสร้างผลกระทบ (Impact) ทางด้านภาพลักษณ์ ที่ผู้บริโภคมีต่อสินค้าหรือต่อบริษัทผู้ผลิตสินค้า

4.         ต้องการสร้างการรู้จัก (Awareness)

77.       หากต้องการสร้างผลกระทบด้านภาพลักษณ์ที่ผู้บริโภคมี่ต่อบริษัท ควรใช้เครื่องมือสื่อสารการตลาดประเภทใด

(1) การประชาสัมพันธ์ (2) การส่งเสริมการขาย

(3) การโฆษณา           (4) การตลาดแบบเจาะตรง

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 76. ประกอบ

78.       การโฆษณาที่เน้นคุณสมปติของสินค้าเป็นโฆษณาที่ใช้กลยุทธ์ใด

(1)       Product-centored Strategies   (2) Prospect-centered Strategies

(3) Consumer-centered Strategies   (4) Consumer’s Benefit Strategies

ตอบ 1 กลยุทธ์การใช้สินค้าเป็นหลัก (Product-centered Strategies) เป็นการโฆษณาที่เน้นความสนใจไปที่คุณสมบัติของสินค้า (Attributes) หรือลักษณะเด่นของสินค้า (Features) และออกแบบข่าวสารการโฆษรา โดยมีวิธีการนำเสนอเช่น การทดสอบสินค้าอย่างรุนแรงการพิสูจน์โดยเปรียบเทียบกับสินค้าคู่แข่ง การ สาธิตก่อนและหลังการใช้สินค้า หรือการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับคุณสมบัติของสินค้า

79.       ข้อใดเป็นข้อได้เปรียบของการโฆษณาส่งตรงทางไปรษณีย์

(1) ค่าใช้จ่ายต่อหัวต่ำมาก      (2) การกำหนดตารางสื่อโฆษณาทำได้ง่าย

(3) มีความยืดหยุ่นสูง  (4) สร้างความเชื่อถือได้สูง

ตอบ 3 ข้อได้เปรียบของการโฆษณาส่งตรงทางไปรษณีย์ ได้แก่

1.         เลือกกลุ่มเป้าหมายได้

2.         มีความยืดหยุ่นสูง

3.         มีความเป็นส่วนตัว

4.         ค่าใช้จ่ายโดยรวมของการโฆษณาต่ำกว่าการโฆษณาทางสื่อมวลชน

5.         สามารถใช้เป็นเครื่องมือของการตลาดแบบเจาะตรง

6.         สามารถวัดผลการโฆษณาได้

ตั้งแต่ข้อ 80.-82. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) Coverage      (2) Share of Audience

(3) Rating  (4) Impact

80.       ข้อใดเป็นค่าที่แสดงจำนวนบ้านที่สามารถรับชมโทรทัศน์ช่องใดช่องหนึ่งได้

ตอบ 2 ส่วนแบ่งของผู้ชม (Share of Audience) เป็นค่าร้อยละ ซึ่งแสดงว่าในช่วงเวลาหนึ่งมีบ้านที่มีเครื่องรับ โทรทัศน์จำนวนเท่าใดบ้างที่เลือกรับชมรายการโทรทัศน์แต่ละรายการในช่องใดช่องหนึ่ง

81.       ข้อใดเป็นค่าแสดงจำนวนผู้ชมโทรทัศน์แต่ละช่อง ณ ช่วงเวลาหนึ่ง

ตอบ 1 การครอบคลุม (Coverage) หมายถึง จำนวนบ้านที่สามารถเปิดรับสื่อโฆษณานั้นได้หรือเป็นค่าแสดงจำนวนผู้ชมโทรทัศน์แต่ละช่อง ณ เวลาหนึ่ง ซึ่งเป็นการครอบคลุมของสัญญาณของสถานีโทรทัศน์ช่อง นั้น ๆ

82.       ข้อใดเป็นค่าแสดงจำนวนผู้ชมโทรทัศน์รายการใดรายการหนึ่ง

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 50 ประกอบ

83.       นักโฆษณามีวิธีการอย่างไร จึงทำให้การโฆษณามีผลกระทบ (Impact) สูง

(1)       ผลิตภาพยนตร์โฆษณาที่มีความยาว 60 วินาทีขึ้นไป

(2)       ทำให้เรื่องราวในภาพยนตร์โฆษณาซับซ้อนเพื่อดึงดูดความสนใจ

(3)       นำเสนอข่าวสารการโฆษณาซ้ำ ๆ กันบ่อยครั้ง

(4)       นำเสนอข่าวสารการโฆษณาในสื่อหลายๆ สื่อไม่ซ้ำกัน

ตอบ 3 สารที่ผู้รับสารได้รับจากสื่อมวลชน จะอยู่ในความทรงจำของผู้รับสารเพียงช่วงสั้น ๆ ดังนั้นวิธีการที่นักโฆษณาจะทำให้ผู้รับสารจดจำสารนั้นได้นาน ๆ ยิ่งขึ้น หรือมีผลกระทบ (Impact) สูง ก็คือ การให้เขา เห็นสารนั้นซ้ำๆ กันบ่อยครั้งโดยให้เห็นโฆษณาของเราซ้ำ ๆ ในเวลาที่กำหนดอันจะช่วยให้จำโฆษณา ของเราได้มากขึ้น

84.       การโฆษณาในนิตยสารประเภทใดที่เจาะจงกลุ่มเป้าหมายได้ดีที่สุด

(1) นิตยสารทั่วไป        (2) นิตยสารผู้หญิง

(3) นิตยสารเกี่ยวกับวิชาชีพ    (4) นิตยสารข่าว

ตอบ 2 นิตยสารเพื่อผู้บริโภค (Consumer Magazine) เป็นนิตยสารสำหรับผู้อ่านทั่วไป โดยจะวางจำหน่ายตาม แผงหนังสือทั่วไป สามารถแบ่งออกได้ดังนี้

1.         นิตยสารสำหรับผู้อ่านทั่วไปเช่นสรรสาระ สกุลไทยฯลฯ

2.         นิตยสารสำหรับผู้หญิง เช่น ขวัญเรือน กุลสตรี ฯลฯ ถือเป็นนิตยสารที่เจาะจงกลุ่มเป้าหมายได้ดีที่สุด

3.         นิตยสารที่มีผู้อ่านที่มีความสนใจเฉพาะเรื่อง เช่น กอล์ฟ เทนนิส ฯลฯ

4.         นิตยสารข่าว เช่น มติชนสุดสัปดาห์ ฯลฯ

5.         นิตยสารเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย

85.       การโฆษณาโดยใช้TVC เป็นการโฆษณาแบบใด

(1) การโฆษณาแบบชื้อทั่งรายการ    (2) การโฆษณาแบบสปอต

(3) การโฆษณาแบบประกาศแจ้งความ          (4) การโฆษณาแทรกในรายการ

ตอบ 2 การโฆษณาแบบสปอต (Spot Announcement) เป็นการโฆษณาในช่วงหยุดพักโฆษณา (Commercial Break) ในรายการใดรายการหนึ่ง เพื่อนำเสนอภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ (TV Commercial หรือ TVC) ที่ได้จัดเตรียมไว้ซึ่งภาพยนตร์โฆษณาเหล่านิอาจมีความยาว 15วินาที30วินาที หรือ60วินาที


ตั้งแต่ข้อ 86. – 88. จงใช้ตัวเลือกต่อให้นี้ตอบคำถาม

(1) Day Time      (2) Prime Time

(3) Fringe Time (4) Prime Time Access

86.       การโฆษณาทางโทรทัศน์ระหว่างเวลา 18.30-19.30 น. จัดเป็นช่วงเวลาใด

ตอบ 4 นักโฆษณาจะแบ่งช่วงเวลาของการโฆษณาทางวิทยุโทรทัศน์ มีดังนี้

1.         ช่วงเช้าตรู่ (Early Morning) ได้แก่เวลาประมาณ 6.00-8.00 น.

2.         ช่วงเวลากลางวัน (Day Time) ได้แก่ เวลาประมาณ 8.00 – 16.00 น. เป็นช่วงเวลาที่คนส่วนใหญ่จะ ออกไปทำงานหรือไปโรงเรียน

3.         ช่วงเวลาบ่ายจนถึงเย็น (Fringe Time) ได้แก่ ช่วงเวลาประมาณ 16.00 – 18.30 น. เป็นช่วงเวลาเย็นที่ผู้ชม บางส่วนกลับถึงบ้านแล้วแต่บางส่วนยังอยู่ระหว่างเดินทางกลับบ้าน

4.         ช่วงเวลาก่อนไพร์มไทม์ (Prime Time Access) ได้แก่ ช่วงเวลาประมาณ 18.30-19.30 น.

5.         ช่วงเวลาไพร์มไทม์ (Prime Time) ได้แก่ ช่วงเวลาประมาณ 19.30 – 22.30 น. ถือเป็นช่วงเวลาที่มีผู้ชม รายการโทรทัศน์มากที่สุด

6.         ช่วงเวลาดึก (late Night) ได้แก่ ช่วงเวลาประมาณ 22.30 – 24.00 น.

87.       การโฆษณา.ระหว่างเวลา 16.00.-.18,30 น. เป็นช่วงเวลาใด

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 86. ประกอบ

88.       การโฆษณาระหว่างเวลา 20.00 – 22.00 น.

เป็นช่วงเวลาใด ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 86 ประกอบ

89.       การคำนวณหาส่วนแบ่งของผู้ชมรายการคำนวณจากอะไร

(1) จำนวนรายการ     (2) รัศมีการส่งสัญญาณ

(3) จำนวนผู้ชมโทรทัศน์แต่ละช่อง       (4) ความนิยมของรายการใดรายการหนึ่ง

ตอบ 3 คูคำอธิบายข้อ 80. ประกอบ

90.       TV Commercial หมายถึงอะไร

(1) ช่วงเวลาพักคั่นรายการเพื่อการโฆษณา    (2) การขายสินค้าทางโทรทัศน์

(3) ภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์     (4) การโฆษณาโดยซื้อทั้งรายการ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 85. ประกอบ

91. สี มีอิทธิพลอย่างไรต่อข่าวสารการโฆษณา

(1) แสดงเอกลักษณ์ของสินค้า          

(2) เตือนความจำเกี่ยวกับสินค้า

(3) ช่วยสร้างบรรยากาศและอารมณ์  

(4) สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้สินค้า

ตอบ 2 สี (Color) จะมีอิทธิพลต่อข่าวสารการโฆษณาดังนี้

1.         ดึงดูดความสนใจและโดดเด่นกว่าการโฆษณาขาว/ดำ

2.         สินค้าส่วนใหญ่ดูดีขึ้นเมื่อนำเสนอด้วยภาพสี

3.         สามารถใช้สีสร้างบรรยากาศและอารมณ์ความรู้สึกให้ผู้อ่านคล้อยตามได้

4.         สีช่วยสร้างภาพลักษณ์ของสินค้ามีระดับได้

5.         สร้างความประทับใจได้ดีช่วยให้จดจำได้ง่าย

92.       การโฆษณาทางนิตยสารหน้าใดที่ราคาแพงที่สุด

(1) หน้า 1        

(2) หน้า 2

(3) หน้า 3        

(4) หน้า 4

ตอบ 3 ตำแหน่งที่ดีสำหรับการโฆษณาทางนิตยสารได้แก่

1.         การโฆษณาปกหลังด้านนอก ถือเป็นตำแหน่งที่ดีเยี่ยมสำหรับการโฆษณาทางนิตยสาร

2.         การโฆษณาในหน้า

3.         เป็นการโฆษณาในหน้าแรกของเนื้อในนิตยสาร ถือว่าเป็นตำแหน่งโฆษณาที่ดี

4.         การโฆษณาที่ปกหน้า-หลังด้านใด

5.         ตำแหน่งที่อยู่ติดกับเนื้อหาที่สัมพันธ์กับสินค้าที่โฆษณา

ตั้งแต่ข้อ 93. – 95. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำลาม

(1) Special Rate          (2) Contract Rate

(3) Volume Discount          (4) Short Rate

93.       ข้อใดหมายถึงอัตราค่าโฆษณาในตำแหน่งที่เจาะจง

ตอบ 1 การคิดอัตราค่าโฆษณาของหนังสือพิมพ์จะมีหลายอัตราดังนี้

1.         Flat Rate เป็นอัตราค่าโฆษณาแบบไม่มีส่วนลด

2.         Volume Discount เป็นส่วนลดสำหรับการซื้อเนื้อที่โฆษณาจำนวนหลายหน้าหรือหลายชิ้น ในหนังสือพิมพ์ ฉบับเดียวกัน

3.         Contract Rate เป็นอัตราค่าโฆษณาที่มีการตกลงกันล่วงหน้าหรือต้องทำสัญญาร่วมกันส่วน Short Rate เป็น อัตราค่าโฆษณาที่ไม่สามารถลงโฆษณาตามที่ทำสัญญากันไว้ล่วงหน้า

4.         Special Rate เป็นอัตราค่าโฆษราในตำแหน่งที่เจาะจง

5.         combination Rate เป็นอัตราที่มีส่วนลดในการโฆษณาทางหนังสือพิมพ์หลายฉบับในเครือเดียวกัน

94.       ข้อใดหมายถึงอัตราค่าโฆษณาแบบมีส่วนลดในกรณีที่ลงโษณาหลายชิ้นในฉบับเดียวกัน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 93. ประกอบ

95.       ข้อใดหมายถึงอัตราค่าโฆษณาในกรณีที่บริษัทไม่สามารถลงโฆษณาไต้ตามที่ทำสัญญากันไว้ล่วงหน้า

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 93. ประกอบ


96.       หากค่าโฆษณาของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งคอลัมน์นิ้วละ 800 จำนวนพิมพ์วันละ 600,000 ฉบับ ค่า 
CPM ของ หนังสือพิมพ์นี้เท่ากับเท่าไร

(1)       0.75    (2)       1

(3)       1.33    (4)       1.75

ตอบ 3

97.       หนังสือพิมพ์ข่าวรามคำแหงเป็นหนังสือพิมพ์ขนาดใด

(1)       Half Side .         (2)       Broadsheet

(3)       Tabloid    (4)       Pocket

ตอบ 3 หนังสือพิมพ์ขนาดเล็กหรือขนาดแท็บลอยด์ (Tabloid) หมายถึง หนังสือพิมพ์ที่มีขนาดประมาณครึ่งหนึ่ง ของหนังสือพิมพ์ขนาดใหญ่ ตัวอย่างของหนังสือขนาดนี้ได้แก่ สยามกีฬา สตาร์ซ็อคเกอร์ และข่าวรามคำแหง เป็นต้น

98.       อัตราค่าโฆษณาแบบ combination Rate หมายถึงอะไร

(1)       อัตราที่มีส่วนลดในการโฆษณาทางโทรทัศน์หลายช่วงในรายการเดียวกัน

(2)       อัตราที่มีส่วนลดในการโฆษณาทางวิทยุกระจายเสียงในรายการที่อยู่ในเครือเดียวกัน

(3)       อัตราที่มีส่วนลดในการโฆษณาทางหนังสือพิมพ์หลายฉบับในเครือเดียวกัน

(4)       อัตราค่าโฆษณาแบบมีส่วนลดในกรณีโฆษณาในสื่อหลายๆ สื่อในเครือเดียวกัน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 93. ประกอบ

99.       ข้อใดคือจุดประสงค์ของการวางแผนสื่อโฆษณา

(1)       ให้คนรู้จักสินค้า ให้คนใช้สินค้า ให้ซื้อสินค้า

(2)       การเข้าถึง ความถี่ ความต่อเนื่อง ผลกระทบ

(3)       การเข้าถึง บุคลิกของสินค้า การวางตำแหน่งสินค้า

(4)       การทำให้รู้จักสินค้า การโน้มน้าวใจให้ซื้อสินค้า การวางตำแหน่งสินค้า

ตอบ 2 จุดประสงค์ของการวางแผนสื่อโฆษณา (Media Planning) ประกอบด้วย การกำหนดจุดมุ่งหมายและการ ตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ๆ ดังต่อไปนี้

1. การเข้าถึง (Reach)       2. ความถี่ (Frequency)

3.         ความต่อเนื่อง (Continuity)       4. ผลกระทบ (Impact)

100.    ข้อใดเป็นหน้าที่ของการโฆษณา

(1) รับประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์     (2) สร้างความภักดีต่อธุรกิจ

(3) ส่งเสริมการขาย   (4) เพิ่มต้นทุนของสินค้า

(5) ช่วยการจัดจำหน่าย

ตอบ หน้าที่สำคัญของการโฆษณา มีดังนี้

1.      เพื่อสื่อสารข้อมูลข่าวสารเที่ยวกับผลิตภัณฑ์

2.      เพื่อบอกถึงความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์ที่โฆษณากับคู่แข่งขัน

3.      เพื่อกระตุ้นให้ใช้ผลิตภัณฑ์

4.      เพื่อช่วยให้มีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น

5.      เพื่อเพิ่มความชอบ และสร้างความภักดีต่อตราสินค้าหรือธุรกิจ โดยบอกเหตุผลที่ผู้บริโภคควร เลือกใช้สินค้ายี่ห้อของเราตลอดไป

6.      เพื่อช่วยลดต้นทุนรวมด้านการขาย

WordPress Ads
error: Content is protected !!