LAW2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ1 นายส้มว่าจ้างนายเงาะให้ก่อสร้างห้องน้ำที่บ้านของนายส้มและตกลงให้สร้างห้องน้ำให้เสร็จในวันที่ 1 ธันวาคม 2556 หลังจากที่ได้ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่บ้านนายส้ม ดังนั้น สำนักงานเขตจึงมีคำสั่งห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือเข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุเพลิงไหม้ ทำให้นายเงาะ ไม่สามารถเข้าไปสร้างห้องน้ำได้ ต่อมาหลังจากนั้น นายส้มได้ซ่อมแซมบ้านจนเสร็จ นายส้มได้ทำหนังสือแจ้งแก่นายเงาะให้มาดำเนินการสร้างห้องน้ำหลายครั้ง แต่นายเงาะก็เพิกเฉย ดังนี้ จงวินิจฉัยว่า ใครตกเป็นผู้ผิดนัด เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 203 วรรคแรก “ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนได้โดยพลันดุจกัน”

มาตรา 204 วรรคแรก “ถ้าหนี้ถึงกำหนดชำระแล้ว และภายหลังแต่นั้นเจ้าหนี้ได้ให้คำเตือน

ลูกหนี้แล้ว ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ไซร้ ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้ว”

มาตรา 205 “ตราบใดการชำระหนี้ยังมิได้กระทำลง เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้

ไม่ต้องรับผิดชอบ ตราบนั้นลูกหนี้ยังหาได้ชื่อว่าผิดนัดไม่ ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายส้มได้ว่าจ้างนายเงาะให้ก่อสร้างห้องน้ำที่บ้านของนายส้มและ

ตกลงให้สร้างให้เสร็จในวันที่ 1 ธันวาคม 2556 นั้น เมื่อต่อมาได้เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่บ้านของนายส้มและหลังเกิดเหตุ สำนักงานเขตได้มีคำสั่งห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือเข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุเพลิงไหม้นั้น ทำให้นายเงาะไม่สามารถเข้าไปสร้างห้องน้ำได้ กรณีเช่นนี้ จึงเป็นกรณีที่การชำระหนี้ยังมิได้กระทำลง เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบตามมาตรา 205 ดังนั้นกรณีนี้ นายเงาะลูกหนี้จึงยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด

การที่หนี้มีกำหนดเวลาชำระหนี้ในวันที่ 1 ธันวาคม 2556 นั้น เวลากำหนดชำระหนี้นั้นได้

ขยายออกไปโดยผลของกฎหมาย ดังนั้น หนี้ระหว่างนายส้มกับนายเงาะจึงเป็นหนี้ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้ตามมาตรา 203 วรรคแรก และการที่นายส้มได้ทำหนังสือแจ้งแก่นายเงาะหลายครั้งให้มาดำเนินการสร้างห้องน้ำ หลังจากที่นายล้มได้ซ่อมแซมบ้านเสร็จ ถือได้ว่าเป็นการเตือนให้นายเงาะลูกหนี้ชำระหนีแล้ว เมื่อนายเงาะยังเพิกเฉยจึงถือว่านายเงาะตกเป็นผู้ผิดนัดตามมาตรา 204 วรรคแรก (เทียบเคียงฎีกาที่ 4521 – 4522/2553)

สรุป. นายเงาะลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดในกรณีที่นายส้มได้ทำหนังสือแจ้งให้นายเงาะมาดำเนินการสร้างห้องน้ำหลังจากที่นายส้มได้ซ่อมแซมบ้านเสร็จแต่นายเงาะยังเพิกเฉย จึงตกเป็นผู้ผิดนัดเพราะเจ้าหนี้ได้เตือนแล้วตามมาตรา 204 วรรคแรก

 

 

ข้อ 2 จันทร์เป็นเจ้าหนี้อังคารห้าแสนบาท ต่อมาอังคารทำสัญญาซื้อที่ดินแปลงหนึ่งจากพุธ โดยชำระราคาครบถ้วนแล้ว และถึงกำหนดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกันแล้ว แต่อังคารเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องบังคับให้พุธจดทะเบียนโอนที่ดินมาเป็นของตน โดยอังคารไม่มีทรัพย์สินอื่น ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า จันทร์จะใช้สิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินของอังคาร (ลูกหนี้) ในกรณีตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างอังคารกับพุธได้อย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ดามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 233 “ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง หรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง เป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้ เว้นแต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้”

วินิจฉัย

การที่เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามมาตรา 233 นั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์

ดังต่อไปนี้

  1. ลูกหนี้ขัดขืนหรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง
  2. ปรากฏว่าการขัดขืนหรือเพิกเฉยของลูกหนี้นั้นเป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ และ
  3. การที่เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ได้นั้นต้องปรากฏว่าไม่ใช่ข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จันทร์เป็นเจ้าหนี้อังคาร และต่อมาอังคารทำสัญญาซื้อที่ดินแปลงหนึ่งจากพุธ โดยชำระราคาครบถ้วนแล้ว แต่เมื่อถึงกำหนดจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินกันแล้ว อังคารกลับเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องบังคับให้พุธจดทะเบียนโอนที่ดินนาเป็นของตน อีกทั้งอังคารก็ไม่มีทรัพย์สินอื่น ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าอังคารซึ่งเป็นลูกหนี้เพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเป็นเหตุให้จันทร์ผู้เป็นเจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ และกรณีดังกล่าวก็ไม่ใช่ข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้ ดังนั้น จันทร์ผู้เป็นเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินของอังคาร ซึ่งเป็นลูกหนีได้

โดยจันทร์สามารถใช้สิทธิเรียกร้องของอังคารตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างอังคารกับพุธ โดยการฟ้องบังคับให้พุธจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่อังคารได้ตามมาตรา 233

สรุป จันทร์สามารถใช้สิทธิในการควบคุมกองทรัพย์สินของอังคาร (ลูกหนี้) ได้ โดยการใช้สิทธิเรียกร้องของอังคารตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่อังคารมีอยู่ฟ้องบังคับให้พุธจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่อังคารได้

 

 

ข้อ 3. นวยเมฆตกลงจ้างนายสามารถและนางสาวสดใสนักร้องชื่อดังให้มาแสดงการร้องเพลงคู่ (ชาย-หญิง) ในงานวันเกิดอายุครบรอบ 60 ปี ของนายเมฆ ซึ่งตรงกับวันที่ 7 ตุลาคม 2556 โดยมีข้อตกลงว่า นายเมฆจะจ่ายค่าจ้างให้แก่นายสามารถและนางสาวสดใสหลังการแสดงเสร็จสิ้นลง ปรากฏว่า ในวันที่ 6 ตุลาคม 2556 นายสามารถล้มป่วยกะทันหัน แพทย์วินิจฉัยว่า นายสามารถเป็นโรคเส้นเสียงอักเสบขั้นรุนแรง ไม่สามารถร้องเพลงได้ตลอดชีวิต เมื่อถึงกำหนดวันแสดง ทั้งนายสามารถและนางสาวสดใสจึงไม่มาทำการแสดงตามสัญญาจ้าง ทำให้นายเมฆเสียหน้าต่อบรรดาแขกผู้มาร่วมงานเป็นอย่างมาก

ดังนี้ นายสามารถและนางสาวสดใสจะต้องร่วมกันรับผิดต่อนายเมฆหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 219 “ถ้าการชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัย เพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นภายหลังที่ได้ก่อหนี้ และซึ่งลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดชอบนั้นไซร้ ท่านว่าลูกหนี้เป็นอันหลุดพ้นจากการชำระหนี้นั้น

ถ้าภายหลังที่ได้ก่อหนี้ขึ้นแล้วนั้น ลูกหนี้กลายเป็นคนไม่สามารถชำระหนี้ได้ไซร้ ท่านให้ถือเสมือนว่าเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้การชำระหนี้ตกเป็นอันพ้นวิสัยฉะนั้น”

มาตรา 295 “ข้อความจริงอื่นใด นอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 292 ถึง 294 นั้น เมื่อเป็นเรื่องท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดก็ย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น เว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับสภาพแห่งหนี้นั่นเอง

ความที่ว่ามานี้ เมื่อจะกล่าวโดยเฉพาะก็คือว่าให้ใช้แก่การให้คำบอกกล่าวการผิดนัด การที่หยิบยกอ้างความผิด การชำระหนี้อันเป็นพ้นวิสัยแก่ฝ่ายลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่ง กำหนดอายุความหรือการที่อายุความสะดุดหยุดลง และการที่สิทธิเรียกร้องเกลื่อนกลืนกันไปกับหนี้สิน”

มาตรา 301 “ถ้าบุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระมิได้ ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกัน”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายเมฆตกลงจ้างนายสามารถและนางสาวสดใสให้มาแสดงการร้องเพลงคู่ (ชาย-หญิง) เป็นกรณีที่บุคคลหลายคนเป็นหนี้อันจะแบ่งชำระมิได้โดยวัตถุประสงค์หรือเจตนาของคู่สัญญา

เนื่องจากเป็นหนี้กระทำการตามสัญญาที่ต้องทำเป็นคู่ ซึ่งตามบทบัญญัติมาตรา 301 ได้วางหลักให้บุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดเช่นอย่างลูกหนี้ร่วมกัน ดังนั้น นายสามารถและนางสาวสดใสจึงอยู่ในฐานะลูกหนี้ร่วมของนายเมฆ

ต่อมาการที่นายสามารถเป็นโรคเส้นเสียงอักเสบขั้นรุนแรง ไม่สามารถร้องเพลงได้ตลอดชีวิตเป็นกรณ์ที่ลูกหนี้กลายเป็นคนไม่สามารถชำระหนี้ได้ภายหลังที่ได้ก่อหนี้ขึ้น ซึ่งตามมาตรา 219 วรรคสอง ให้ถือเสมือนว่าเป็นพฤติการณ์ที่ทำให้การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยอันส่งผลให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากการชำระหนี้ ดังนั้น

นายสามารถจึงไม่ต้องรับผิดต่อนายเมฆตามมาตรา 219 วรรคแรก

และแม้ว่าการชำระหนี้อันเป็นพ้นวิสัยแก่ฝ่ายลูกหนี้ร่วมกันคนหนึ่งนั้น จะเป็นเหตุส่วนตัวกล่าวคือ เป็นข้อความจริงที่ท้าวถึงตัวลูกหนี้ร่วมกันคนใดย่อมเป็นไปเพื่อคุณและโทษแต่เฉพาะแก่ลูกหนี้คนนั้น ตามนัยมาตรา 295 วรรคสองก็ตาม แต่เมื่อหนี้ที่นายสามารถและนางสาวสดใสต้องชำระแก่นายเมฆ เป็นหนี้อันจะแบ่งชำระมิได้ จึงเป็นกรณีที่ขัดกับสภาพแห่งหนี้นั้นเอง ส่งผลให้เหตุส่วนตัวที่เกิดขึ้นกับนายสามารถส่งผลไปยังนางสาวสดใสลูกหนี้ร่วมอีกคนหนึ่งด้วย นางสาวสดใสจึงสามารถอ้างเหตุที่การชำระหนี้กลายเป็นพ้นวิสัยเกิดขึ้นกับนายสามารถ เพื่อให้ตนเองหลุดพ้นจากความรับผิดต่อนายเมฆได้เช่นเดียวกัน ตามนัยมาตรา 295 วรรคแรก

สรุป จากเหตุผลที่กล่าวมาในข้างต้น นายสามารถและนางสาวสดใสจึงไม่ต้องร่วมกันรับผิดต่อนายเมฆ

 

 

ข้อ 4. นายนวลซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ เป็นเจ้าหนี้เงินทกู้นายอินซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 100,000 บาทโดยมีนายพวงเป็นผู้ค้ำประกันหนี้เงินทกู้นี้โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ต่อมานายนวลได้สั่งซื้อสินค้าจากนายอาจซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ในราคา 100,000 บาท เมื่อหนี้ทั้งสองจำนวนถึงกำหนดชำระแล้ว

นายนวลกับนายอาจได้พบกันและตกลงกันว่านายนวลจะโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้เงินกู้ที่นายนวลเป็นเจ้าหนี้นายอิน จำนวน 100,000 บาท ให้แก่นายอาจ เพื่อเป็นการชำระค่าสินค้า จำนวน 100,000 บาท ที่นายนวลเป็นหนี้นายอาจอยู่ ทั้งสองฝ่ายได้ทำสัญญาเป็นหนังสือโดยนายนวลคนเดียวลงชื่อในสัญญาดังกล่าว แต่ในสัญญาดังกล่าวมิได้กล่าวถึงการค้ำประกันของนายพวง จากนั้น นายนวลได้มีจดหมายบอกกล่าวการโอนสิทธิเรียกร้องไปให้นายอินทราบแล้ว

ต่อมา นายอินไม่ยอมชำระเงินจำนวน 100,000 บาท และนายพวงก็ปฏิเสธไม่ยอมชำระหนี้ตามที่ค้ำประกันแก่นายอาจ นายอาจจึงฟ้องคดีต่อศาลเรียกร้องเงินจำนวนดังกล่าวจากนายอินและนายพวง นายอินต่อสู้ว่า การโอนดังกล่าวไม่ใช่การโอนสิทธิเรียกร้องแต่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ และถึงแม้จะเป็นการโอนสิทธิเรียกร้องก็เป็นโมฆะเพราะไม่ได้ลงลายมือชื่อนายอาจผู้รับโอนด้วย ส่วนนายพวงต่อสู้ว่า การค้ำประกับระงับไปแล้วเพราะมีการแปลงหนี้ใหม่ โดยนายพวงมิได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ที่เกิดขึ้นใหม่ จึงไม่ต้องรับผิดต่อนายอาจ

ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ดังกล่าวของนายอินกับนายพวงฟังขึ้นหรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 305 วรรคแรก “เมื่อโอนสิทธิเรียกร้องไป สิทธิจำนองหรือจำนำที่มีอยู่เกี่ยวพันกับสิทธิเรียกร้องนั้นก็ดี สิทธิอันเกิดขึ้นแต่การค้ำประกันที่ให้ไว้เพื่อสิทธิเรียกร้องนั้นก็ดี ย่อมตกไปได้แก่ผู้รับโอนด้วย”

มาตรา 306 วรรคแรก “การโอนหนี้อันจะพึงต้องชำระแก่เจ้าหนี้คนหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงนั้น

ถ้าไม่ทำเป็นหนังสือ ท่านว่าไม่สมบูรณ์ อนึ่งการโอนหนี้นั้นท่านว่าจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้ หรือบุคคลภายนอกได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้จะได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น คำบอกกล่าวหรือความยินยอมเช่นว่านี้ ท่านว่าต้องทำเป็นหนังสือ”

มาตรา 349 วรรคแรกและวรรคสาม “เมื่อคู่กรณีที่เกี่ยวข้องได้ทำสัญญาเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ไซร้ ท่านว่าหนี้นั้นเป็นอันระงับสิ้นไปด้วยแปลงหนี้ใหม่

ถ้าแปลงหนี้ใหม่ด้วยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ ท่านให้บังคับด้วยบทบัญญัติทั้งหลายแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยโอนสิทธิเรียกร้อง ”

มาตรา 352 “คู่กรณีในการแปลงหนี้ใหม่อาจโอนสิทธิจำนำ หรือจำนองที่ได้ให้ไว้เป็นประกันหนี้เดิมนั้นไปเป็นประกันหนี้รายใหม่ได้เพียงเท่าที่เป็นประกันวัตถุแห่งหนี้เดิม แต่หลักประกันเช่นว่านี้ถ้าบุคคลภายนอกเป็นผู้ให้ไว้ไซร้ ท่านว่าจำต้องได้รับความยินยอมของบุคคลภายบอกนั้นด้วยจึงโอนได้”

มาตรา 698 “อันผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นจากความรับผิดในขณะเมื่อหนี้ของลูกหนี้ระงับสิ้นไปไม่ว่าเพราะเหตุใดๆ”

วินิจฉัย

จากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ เป็นกรณีที่นายนวลกับนายอาจมีเจตนาจะทำสัญญาโอนสิทธิเรียกร้องกัน มิใช่การทำสัญญาแปลงหนี้ใหม่โดยเปลี่ยนตัวเจ้าหนี้ตามมาตรา 349 วรรคสาม และการโอนสิทธิเรียกร้องนั้น มาตรา 306 วรรคแรก บัญญัติเพียงว่า จะต้องทำเป็นหนังสือจึงจะสมบูรณ์ และการโอนนั้นจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้หรือบุคคลภายบอกได้แต่เมื่อได้บอกกล่าวการโอนไปยังลูกหนี้หรือลูกหนี้ได้ยินยอมด้วยในการโอนนั้น

โดยได้ทำคำบอกกล่าวหรือความยินยอมเป็นหนังสือ หาได้บัญญัติว่า การโอนจะต้องทำเป็นหนังสือและลงลายมีอชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอนไม่ ดังนั้น การโอนสิทธิเรียกร้องที่ได้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้โอนแต่ฝ่ายเดียวก็เป็นการโอนที่สมบูรณ์ การโอนสิทธิเรียกร้องรายนี้จึงใช้บังคับได้ และมีผลผูกพันนายอินในอันที่จะต้องชำระหนี้แก่นายอาจ

ส่วนนายพวงนั้นเมื่อปรากฎว่าการทำสัญญาระหว่างนายนวลกับนายอาจเป็นการโอนสิทธิเรียกร้อง การค้ำประกับของนายพวงต่อนายอินจึงตกได้แก่นายอาจด้วยตามมาตรา 305 วรรคแรก และการค้ำประกันไม่ได้ระงับเพราะไม่ใช่การแปลงหนี้ใหม่ตามมาตรา 349 วรรคแรกมาตรา 352 และมาตรา 698ดังนั้นข้อต่อสู้ของ

นายอินและนายพวงจึงฟังไม่ขึ้น นายอินและนายพวงจึงต้องชำระหนี้แก่นายอาจ (เทียบเคียงฎีกาที่ 6816/2537)

สรุป ข้อต่อสู้ดังกล่าวของนายอินและนายพวงฟังไม่ขึ้น

THA1002 ความรู้ทั่วไปทางวรรณคดีไทย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา THA 1002 ความรู้ทั่วไปทางวรรณคดีไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ

1. พระภิกษุเจ้าฟ้าวชิรญาณพบศิลาจารึกหลักที่ 1 นี้ ณ เมืองใด

(1) สวรรคโลก

(2) ศรีสัชชนาลัย

(3) สระหลวง

(4) สุโขทัย

ตอบ 4 หน้า 44, (ศิลาจารึก หน้า 5 – 6), (คำบรรยาย) ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 3) สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ (หรือรัชกาลที่ 4 ในเวลาต่อมา) ในขณะที่ ยังทรงผนวชเน้นพระภิกษุเจ้าฟ้าวชิรญาณ (ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์) ได้เสด็จประพาสเมืองเหนือ เพื่อนมัสการเจดียสถานต่าง ๆ และได้ทรงพบศิลาจารึกหลักที่ 1 หรือศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งมีลักษณะเป็นแท่นศิลารูปสี่เหลี่ยมมียอดแหลมมน พร้อมกับพระแท่นมนังคศิลาบาตรที่เนินปราสาทเก่าเมืองสุโขทัยเมื่อปี พ.ศ. 2376 จึงโปรดให้ชะลอมาไว้ที่กรุงเทพฯ ปัจจุบันนี้อยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ด้านเหนือชั้นบน ซึ่งเป็นห้องแสดงศิลปะสมัยสุโขทัย

2. จารึกหลักที่ 1 นี้เข้าใจว่าจารึกในรัชสมัยกษัตริย์พระองค์ใด

(1) พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (2) พ่อขุนบานเมือง

(3) พ่อขุนรามคำแหง (4) ไม่สามารถระบุให้ชัดเจนได้

ตอบ 3 (ศิลาจารึก หน้า 6) ศาสตราจารย์ยอร์ฃ เซเดส์ ผู้เชี่ยวชาญต้านศิลาจารึกชาวฝรั่งเศส

ได้สันนิษฐานไว้ว่า ศิลาจารึกหลักที่ 1 หรือศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงคงจะจารึกขึ้นในปีที่ฉลองพระแท่นมนังคศิลาบาตรซึ่งตรงกับมหาศักราช 1214 (หรือตรงกับ พ.ศ. 1835ใน รัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหง) เพราะมีข้อความกล่าวถึงพระแท่นมนังคศิลาบาตรในด้านที่ 3 นอกจากนี้หนังสือประชุมจารึกสยาม ภาคที่ 1 จารึกกรุงสุโขทัย ฉบับพิมพ์ พ.ศ. 2467 ยังได้ อธิบายว่า “ผู้แต่งศิลาจารึกนี้เห็นจะเป็นพ่อขุนรามคำแหงทรงแต่งเอง ถ้ามิฉะนั้นก็คงตรัสสั่ง ให้แต่งขึ้นแลจารึกไว้

3. ค่านิยมทางสังคมที่ปรากฏในจารึกพ่อขุนรามคำแหงที่เด่นชัดมากที่สุดได้แก่ข้อใด

(1) ให้เกียรติพ่อค้า (2) ยกย่องสถาบันครอบครัว

(3) ยกย่องเชิดชูผู้มีทรัพย์สมบัติ (4) ยกย่องและเคร่งครัดศาสนา

ตอบ 4 (ศิลาจารึก หน้า 23 – 24) ค่านิยมทางสังคมและลักษณะนิสัยของคนไทยที่ปรากฏในศิลาจารึก หลักที่ 1 หรือศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงที่เด่นชัดมากที่สุด ได้แก่ การยกย่องและเคร่งครัดศาสนา เนื่องจากคนไทยในสมัยสุโขทัยมีศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมาก มักชอบให้ทานแก่คนทั่วไป และถวายทานกับพระสงฆ์ ดังข้อความในศิลาจารึกที่ว่า “คนในเมืองสุโขทัยนี้ มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน… ฝูงท่วยมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน…’’

4. ข้อใดเป็นคุณสมบัติที่ทำให้ศิลาจารึกหลักที่ 1 เป็นวรรณคดี

(1) พูดสั้นกินความมาก (2) มิสัมผัสหลายตอนพรรณนาความละเอียดลออ

(3) ภาษาง่าย ประโยคสั้น (4) เรียบเรียงอย่างประณีตไพเราะอย่างยิ่ง

ตอบ 3 หน้า 44 – 45 ศิลาจารึกหลักที่ 1 หรือศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง เป็นวรรณกรรมที่ต้องการ จะบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ไว้เป็นหลักฐาน ไม่ได้ตั้งใจแต่งให้เป็นเรื่องบันเทิง แต่มีเนื้อหาและศิลปะ การแต่งที่ดี มีการเรียบเรียงถ้อยคำ ทำให้มีลักษณะเป็นวรรณคดีประยุกต์ได้ กล่าวคือ

1. ใช้ประโยคสั้นและภาษาที่ง่ายไม่ซับซ้อนทำให้อ่านง่ายและเข้าใจได้สะดวก

2. ข้อความบางตอนมีลักษณะเป็นกลอน มีเสียงสัมผัสกระทบกระทั่ง ไพเราะ มีกวีโวหารลึกซึ้ง

3. ใช้ประโยคที่สมดุล มีจำนวนคำเท่ากัน มีความหมายเข้าคู่กัน และมีน้ำหนักเสียงก้ำกึ่งกัน

5. รูปศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมีลักษณะเช่นไร

(1) กลมรี

(2) ยาวรี

(3) สี่เหลี่ยมยอดแหลมมน

(4) รูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

6. คำว่า “กระพัดลยาง” ที่ปรากฏในจารึกพ่อขุนรามคำแหงมีความหมายว่าอย่างไร

(1) ขอสับช้าง (2) สายรัดสัปคับ (3) กูบช้าง (4) สัปคับ

ตอบ 2 (ศิลาจารึก หน้า 30, 41, 59) คำว่า ‘‘กระพัดลยาง” หมายถึง สายรัดสัปคับผูกช้างไม่ให้เคลื่อนที่ โดยคำว่า “กระพัด” แปลว่า ผูกหรือสายสำหรับผูกสัปคับ สายที่รัดสัปคับ ซึ่งเหนี่ยวไว้กับโคนหางของช้าง ส่วนคำว่า “ลยาง” แปลว่า สัปคับ (แหย่งช้าง หรือทีนั่งบนหลังช้าง)

7. ภาษาใดใช้มากที่สุดในจารึกพ่อขุนรามคำแหง

(1) ภาษาไทยแท้

(2) ภาษาบาลี

(3) ภาษาลาว

(4) ภาษาเขมร

ตอบ 1 หน้า 44 ศิลาจารึกหลักที่ 1 หรือศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง นับเป็นเอกสารภาษาไทยที่ใช้ คำไทยแห้มากที่สุดฉบับหนึ่ง ถ้าจะประมวลคำที่ใช้ในจารึกจะมีประมาณ 1,500 คำ เมื่อตัดคำซ้ำออกจะเหลือประมาณ 405 คำ ในจำนวนนี้เป็นคำไทยแท้ราว 319 คำ เป็นคำที่มีรากศัพท์ มาจากเขมร 13 คำ ชื่อเฉพาะ 11 คำ มีมูลรากมาจากภาษาบาลีและอื่น ๆ อีกประมาณ 62 คำ

8. สำนวนภาษาที่ปรากฏในจารึกพ่อขุนรามคำแหงว่า “สวนดูแท้แล” มีความหมายว่าอย่างไร

(1) ส่วนที่อุดมสมบูรณ์ (2) สอบสวนดูแล้ว (3) ทำสิ่งใดเฉพาะตัว (4) ดูแลสวนอย่างดียิ่ง

ตอบ 2 (ศิลาจารึก หน้า 19, 39, 52) คำวา “สวนดูแท้แล” หมายถึง สอบสวนดูแน่แล้ว สอบถามดู แน่แล้ว ไต่สวบ สอบสวน

9. ชาวต่างชาติท่านใดอ่านศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงแล้วเผยแพร่สู่นานาชาติ

(1) หมอบรัดเลย์ (2) ศ.ศิลป์ พีระศรี (3) ศ.ยอร์ช เซเตส์ (4) ยอร์ข เอช.เอาห์

ตอบ 3 (ศิลาจารึก หน้า 6-7) ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านศิลาจารึกชาวฝรั่งเศส นับเป็นผู้มีพระคุณต่อวงการศิลาจารึกของไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีส่วนสำคัญในการอ่านและ ตรวจแปลศิลาจารึกต่าง ๆ ให้ถูกต้องบริบูรณ์ และแปลเป็นภาษาฝรั่งเศส เพื่ออำนวยประโยชน์ แกนักปราชญ์ทั้งหลายที่สนใจ รวมทั้งเพื่อเผยแพรความสำคัญของศิลาจารึกและชื่อเสียงของ ประเทศไทยไปยังนานาประเทศ

10. ข้อความใดหมายถึง การตัดสินคดีความอย่างเที่ยงธรรม

(1) บ่เข้าผู้ลักมักผู้ซ่อน (2) จึงแล่งความแก่ขาด้วยซื่อ

(3) เห็นข้าวท่านบ่ใคร่พีน (4) ผิดแผกแสกว้างกัน

ตอบ 2 (ศิลาจารึก หน้า 19, 39, 51 – 52) ข้อความที่ว่า “จึงแล่งความแก่ขาด้วยซื่อ” หมายถึง ตัดสินคดีความอย่างเที่ยงธรรม หรือตัดสินความแก่เขาทั้งสองด้วยความยุติธรรม (ส่วนข้อความที่ว่า “บ่เข้าผู้ลักมักผู้ซ่อน” หมายถึงไม่เข้ากับผู้ร้ายลักทรัพย์ ไม่เห็นแก่ผู้รับของโจร “เห็นข้าว ท่านบ่ใคร่พีน” หมายถึง เมื่อใครเอาข้าวของมาให้ก็ไม่ยินดี, “ผิดแผกแสกว้างกัน” หมายถึง ผิดใจแตกแยกเป็นความกัน)

11. ลิลิตพระลอเป็นวรรณคดีที่แต่งสมัยเดียวกันวรรณคดีเรื่องใด

(1) ลิลิตโองการแช่งน้ำ (2) ลิลิตตะเลงพ่าย

(3) ลิลิตนารายณ์สิบปาง (4) ลิลิตเพชรมงกุฎ

ตอบ 1 หน้า 50. 64. (ลิลิตพระลอ หน้าคำนำ) วรรณคดีในสมัยอยุธยาตอนต้น ตั้งแต่สมัย

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (อู่ทอง) – สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พ.ศ. 1893 – 2072) มีอยู่ 4 เรื่อง ได้แก่ 1. ลิลิตโองการแช่งน้ำ 2. ลิลิตยวนพ่าย 3. มหาชาติคำหลวง 4. ลิลิตพระลอ

12. ข้อใดกล่าวถึงลิลิตพระลอได้ถูกต้อง

(1) น่าจะมีเค้าเรื่องจริงจากนิยายล้านช้าง (2) เป็นวรรณคดีทีแต่งสมัยอยุธยาตอนต้น

(3) ผู้แต่งคือ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (4) จบลงด้วยความโกรธแค้นของพระเจ้าย่า

ตอบ 2 หน้า 59, (ลิลิตพระลอ หน้าคำนำ) ศาสตราจารย์ ม.ร.ว.สุมนชาติ สวัสดิกุล กล่าวว่า ลิลิตพระลอเป็นวรรณคดีที่แต่งขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้นก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ เพราะเป็นเรื่องสำนวนเก่ารุ่นราวคราวเดียวกับมหาชาติคำหลวง โคลงคำสรวลศรีปราชญ์ ลิลิตยวนพ่าย และทวาทศมาส นอกจากนี้ยังมีเนื้อเรื่องเป็นนิทานปรัมปราของไทยโบราณ ทางภาคเหนือ (ล้านนาไทย คือ มณฑลพายัพ) ซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นนิทานพื้นเมืองท้องถิ่น ของชาวจังหวัดแพร่ น่าน และเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริง

13. “รอนลาวกาวตาวตัดหัว ตัวกลิ้งกลาดดาษดวน ฝ่ายข้างยวนแพ้พ่าย… ฝ่ายข้างไทยไชเยศร์ คืนยัง ประเทศพิศาล” ข้อความนี้กล่าวถึงสงครามในรัชกาลใด

(1) สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง

(2) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(3) สมเด็จพระนารายณ์มหาราช

(4) สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

ตอบ 2 หน้า 61, (ลิลิตพระลอ หน้า 1) ข้อความเริ่มเรื่องในลิลิตพระลอข้างต้น เป็นร่ายนำเรื่องที่ กล่าวถึงสงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับล้านนาไทย ซึ่งผลปรากฏว่าฝ่ายล้านนาไทยเป็นฝ่ายแพ้ เมื่อสอบสวนกับพงศาวดารจึงได้ความว่า สงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยากับล้านนาไทยเกิดขึ้น ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งตรงกับเรื่องลิลิตยวนพ่าย

14. จบเสร็จมหาราชเจ้า นิพนธ์

ยอยศพระลอคน หนึ่งแท้

พี่เลี้ยงอาจเอาตน ตายก่อน พระนา

ในโลกนี้สุดแล้ เลิศล้ำคุงสวรรค์ฯ

“มหาราชเจ้า นิพนธ์” สันนิษฐานว่าคือพระมหากษัตริย์องค์ใด

(1) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (2) สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

(3) สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (4) สมเด็จพระเจ้าบรมโกศ

ตอบ 2 หน้า 61 – 62, (ลิลิตพระลอ หน้า 150) ศาสตราจารย์ ม.ร.ว.สุมนชาติ สวัสดิกุล ได้สันนิษฐานว่า เรื่องลิลิตพระลอน่าจะเขียนขึ้นก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ โดยมหาราชเจ้า ผู้นิพนธ์เรื่อง ลิลิตพระลอ คือ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชสมบัติในระหว่าง ปี พ.ศ. 2034 – 2072 ส่วนพระเยาวราชผู้คัดเขียนลิขิต คือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 หรือสมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร ผู้เป็นพระราชโอรส

15. จากโจทย์ข้อ 14. “พี่เลี้ยง” หมายถึงใคร

(1) พระเพื่อนพระแพง (2) นางรื่นนางโรย (3) นายแก้วนายขวัญ (4) ท้าวพิไชยพิษณุกร

ตอบ 3 (ลิลิตพระสอ หน้า 135, 150) โคลงท้ายเรื่องลิลิตพระลอข้างต้น ได้กล่าวถึงพี่เลี้ยงของ พระลอ คือ นายแก้วนายขวัญ ซึ่งถูกทหารของพระเจ้าย่ายิงธนูเข้าใส่จนสิ้นชีวิตไปก่อน พระลอ ผู้เป็นเจ้านาย

16. นางลักษณวดีคือใคร

(1) มเหสีของพระลอ (2) มเหสีของท้าวพิไชยพิษณุกร

(3) พระราชมารดาของพระลอ (4) พระราชมารดาของพระเพื่อนพระแพง

ตอบ 1 (ลิลิตพระสอ หน้า 2 – 4), (คำบรรยาย) เนื้อเรื่องตอนต้นของเรื่องลิลิตพระลอได้กล่าวถึงเมือง 2 เมือง ซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน คือ เมืองสรวงและเมืองสรอง โดยมีตัวละครที่สำคัญดังนี้

1. เมืองสรวงมีกษัตริย์ชื่อว่า ท้าวแมนสรวง มีพระมเหสี คือ พระนางนาฎบุญเหลือ และ มีพระราชโอรสองค์หนึ่งชื่อ พระลอ ซึ่งต่อมาได้สมรสกับนางลักษณวดี ผู้เป็นอัครมเหสี

2. เมืองสรองมีกษัตริย์ชื่อว่า ท้าวพิมพิสาครราช ซึ่งเป็นพระสวามีของพระเจ้าย่า ผู้มีฐานะเป็น นางสนม โดยมีพระโอรสที่เกิดจากพระมเหสี คือ ท้าวพิไชยพิษณุกร ซึ่งต่อมาได้สมรสกับ เจ้าดาราวดี จนมีพระราชธิดา 2 พระองค์ คือ พระเพื่อนกับพระแพง

17. “พระองค์กลมกล้องแกล้ง เอวอ่อนอรอรรแถ้ง” หมายถึงใคร

(1) พระเพื่อน (2) พระแพง (3) พระลอ (4) พระนางนาฎบุญเหลือ

ตอบ 3 (ลิ.ลิตพระสอ หน้า 5 – 6), (คำบรรยาย) พระลอ จัดเป็นตัวละครที่มีอุดมคติด้านความงามเลิศ และมีขัตติยมานะสมเป็นกษัตริย์ โดยพระองค์ทรงมีรูปโฉมงดงาม ดังบทชมความงาม ในโคลงและร่ายที่ยอเกียรติพระลอว่า “…พระองค์กลมกล้องแกล้ง เอวอ่อนอรอรรแถ้ง ถ้วนแห่งเจ้ากูงาม บารมีฯ… พิศดูคางสระสม พิศศอกลมกลกลึง สองไหล่พึงใจกาม อกงามเงื่อนไกรสร พระกรกลงวงคช…”

18. พระสวามีของพระเจ้าย่าคือใคร

(1) ท้าวพิไชยพิษณุกร (2) ท้าวแมนสรวง

(3) ท้าวพิมพิสาครราช (4) ไม่ปรากฏนามในเรื่อง

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

19. “พิศดูคางสระสม พิศศอกลมกลกลึง สองไหล่พึงใจกาม อกงามเงื่อนไกรสร พระกรกลงวงคช”

ข้อความนี้เป็นบทชมความงามของใคร

(1) พระเพื่อนพระแพง

(2) พระลอ

(3) พระนางนาฎบุญเหลือ

(4) ท้าวพิไชยพิษณุกร

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ

20. เรื่องลิลิตพระลอมีคุณค่าด้านใดมากที่สุด

(1) ให้ข้อคิดและคติเตือนใจ

(2) ให้ความไพเราะและอารมณ์สะเทือนใจ

(3) ให้ทราบประวัติศาสตร์และการศึกสงคราม

(4) ให้ทราบการเมืองการปกครองสมัยอยุธยา

ตอบ 2 หน้า 57, 62 – 64, 198 เรื่องลิลิตพระลอมีคุณค่าในด้านการให้ความไพเราะและอารมณ์ สะเทือนใจมากที่สุด ทำให้ลิลิตพระลอเป็นวรรณคดีที่ไพเราะจับใจคนทั่วไป เพราะประกอบด้วย เนื้อเรื่องอันกินใจ มีศิลปะการเรียบเรียงถ้อยคำทีประณีตไพเราะ มีบทบรรยายพรรณนาถึง ความงามและความรู้สึกลึกซึ้งของอารมณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะความรัก จึงเข้าถึงอารมณ์และ จิตใจของผู้อ่านให้บังเกิดความซาบซึ้ง และตระหนักในอารมณ์เหล่านั้นอย่างแท้จริง

จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 21. – 30.

(1) สารคดี (2) ร้อยกรอง (3) บทละคร (4) สารบันเทิง

21. สาวิตรี

ตอบ 3 หน้า 145, 192 บทละครร้องเรื่องสาวิตรี เป็นงานพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 ซึ่งใช้เล่น ละครร้อง คือ ละครที่ใช้ร้องเพลงในการแสดงตลอดเรื่อง ไม่มีการพูด

22. พระราชพิธีสิบสองเดือน

ตอบ 1 หน้า 143 – 144, (คำบรรยาย) พระราชพิธีสิบสองเดือน เป็นงานพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5 โดยมีลักษณะการแต่งเป็นความเรียงร้อยแก้วประเภทสารคดี และมีเนื้อหาเป็นการอธิบาย พระราชพิธีต่าง ๆ ที่ทำเป็นประจำในแต่ละเดือน ซึ้งต่อมาได้รับการยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่า “เป็นยอดของความเรียงอธิบาย”

23. หลวงจำเนียรเดินทาง

ตอบ 3 หน้า 157, 191 บทละครพูดเรื่องหลวงจำเนียรเดินทาง เป็นงานพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 ซึ่งทรงดัดแปลงมาจากบทละครฝรั่งเศสจากต้นฉบับของเออเยน ลาบีช โดยมักใช้เล่นละครพูด คือ ละครที่ตัวละครแสดงด้วยวิธีพูดล้วน ๆ ไม่มีดนตรี หรือการขับร้องใด ๆ ประสม

24. โคลงโลกนิติ

ตอบ 2 หน้า 138, 140 – 141, 162 งานพระนิพนธ์ประเภทร้อยกรองในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ สมเด็จกรมพระยาเดชาดิศร กวีในสมัยรัชกาลที่ 3 มีดังนี้

1. โลกนิติคำโคลง หรือโคลงโลกนิติ ซึ่งเป็นงานที่สำคัญทีสุด และมีการรวบรวมชำระเมื่อ พ.ศ. 2374

2. โคลงนิราศเสด็จไปทัพเวียงจันทน์ (แต่เป็นนิราศที่แต่งไม่จบ)

3. ฉันท์ดุษฎีสังเวย ซึ่งมีอยู่หลายเรื่อง

25. กองทัพธรรม

ตอบ 4 หน้า 177 สารบันเทิง หมายถึง หนังสือประเภทบันเทิงคดี (เรื่องที่แต่งขึ้น) แต่มีเนื้อหา หนักไปทางสาระ และแม้จะมีความจริงปนอยู่ด้วย ก็ยังไม่นับเป็นสารคดีโดยแท้ทีเดียว เช่น เรื่องอานนท์พุทธอนุชา ของวศิน อินทสระ, เรื่องกองทัพธรรม หรือเชิงผาหิมพานต์ ของสุชีพ ปุญญานุภาพ เป็นต้น

26. มหาเวสสันดรชาดก

ตอบ 2 หน้า 142, 162 งานพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 4 มีดังนี้ 1. บทละครเรื่องรามเกียรติ์บางตอน

2. ร้อยกรองประเภทร่ายยาวมหาเวสสันดรชาดก 5 กัณฑ์

3. ร้อยแก้วประเภทประกาศและพระบรมราชาธิบายต่าง ๆ

27. พม่าเสียเมือง

ตอบ 1 หน้า 175 สารคดีประเภทวิชาการตามสาขาวิชาต่าง ๆ ซึ่งไม่ถึงขั้นเป็นตำรับตำรา แต่เป็นจำพวกหนังสืออ่านประกอบเพื่อความรู้เพิ่มเติม เช่น พม่าเสียเมือง ชอง ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช

28. รามเกียรติ์

ตอบ 3 หน้า 99 ละครรำคงรุ่งเรืองขึ้นมากในสมัยอยุธยาตอนปลาย โดยมีบทละครที่ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง และสมัยที่แต่งว่าเป็นสมัยอยุธยาตอนใดเหลือมา 15 เรื่อง ขาดหายไม่ครบฉบับบริบูรณ์สักเรื่องเดียวได้แก่

1.รามเกียรติ์ 2.การเกษ 3. คาวี 4.ไชยทัต 5.พิกุลทอง

6. พิมพ์สวรรค์ 7. พิณสุริวงค์ 8. นางมโนห์รา 9. โม่งป่า 10. มณีพิไชย 11.สังข์ศิลป์ไชย 12.สุวรรณศิลป์ 13.สุวรรณหงส์ 14.สังข์ทอง 15.โสวัต

29. อานนท์พุทธอนุชา

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 25. ประกอบ

30. เชิงผาหิมพานต์

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 25. ประกอบ

31. ข้อใดเป็นวรรณกรรมมุขปาฐะ

(1) เพลงชาน้อง ร้องเรือ

(2) จดหมายเหตุลาลูแบร์

(3) ตำนานพระนางจามเทวีวงศ์

(4) นิราศลอนดอน ของหม่อมราโชทัย

ตอบ 1 หน้า 40 – 41 วรรณกรรมมุขปาฐะ คือ วรรณกรรมที่ถ่ายทอดด้วยปาก ไม่ได้จดบันทึกไว้ เป็นลายลักษณ์อักษร บางครั้งอาจเรียกว่า “วรรณกรรมปาก หรือวรรณคดีปาก” ซึ่งเป็น วรรณกรรมอีกประเภทหนึ่งที่สูญหายไปมาก แต่ก็แสดงให้เห็นลักษณะนิสัยของคนไทยได้ เป็นอย่างดี ได้แก่ เพลงพื้นเมืองต่าง ๆ เช่น เพลงชาน้อง ร้องเรือ เป็นต้น

32. ข้อใดไม่เป็นวรรณคดี

(1) สังข์ทองตอนทิ้งพวงมาลัย (2) วิวาห์พระสมุทร (3) เกิดวังปารุสก์ (4) ละครมืด

ตอบ 3 หน้า 3- 4, 177, 189 – 192, (คำบรรยาย) พระราชกฤษฎีกาวรรณคดีสโมสร พ.ศ. 2457 มาตรา 7 กำหนดว่า หนังสือที่เป็นวรรณคดีได้มีอยู่ 5 ชนิด คือ 1. บทกวีนิพนธ์ (บทร้อยกรอง ที่กวีเป็นผู้แต่งขึ้น) เช่น ลิลิตพระลอ เสภาเรื่องขุนข้างขุนแผน อิเหนา ฯลฯ 2. บทละครไทย ที่เป็นบทละครรำ ได้แก่ บทละครมืดหรือละครดึกดำบรรพ์ เช่น สังข์ทองตอนทิ้งพวงมาลัย ฯลฯ 3. นิทาน นวนิยาย และเรื่องสั้น 4. บทละครปัจจุบันตามแบบตะวันตก เช่น เรื่องวิวาห์พระสมุทร พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 รวมทั้งบทภาพยนตร์ต่าง ๆ ฯลฯ 5. คำอธิบายในรูปของบทความต่าง ๆ เช่น บทวิจารณ์ บทบรรณาธิการในหนังสือพิมพ์ หรือเป็นหนังสือขนาดเล็ก (Pamphlet) ฯลฯ (ส่วนอัตชีวประวัติเรื่องเกิดวังปารุสก์ พระนิพนธ์ในพระองศ์เจ้าจุลจักรพงษ์ จัดเป็นวรรณกรรมที่ทรงแต่งเล่าเรื่องตนเอง)

33. ข้อไดไม่ถูกต้อง

(1) วรรณคดีไทยมีร้อยแก้วมากกว่าร้อยกรอง

(2) วรรณคดีไทยส่วนใหญ่น่าเสนอพุทธปรัชญา

(3) วรรณคดีในอดีตของไทยแต่งเพื่ออารมณ์มากกว่าเพื่อปัญญา

(4) วรรณคดีไทยให้ความสำคัญกับศิลปะการแต่งมากกว่าเนื้อหา

ตอบ 1 หน้า 193 – 200 ลักษณะของวรรณคดีไทยในอดีตก่อนรับอิทธิพลตะวันตก (ตั้งแต่สมัย สุโขทัย – สมัยรัชกาลที่ 3) มีดังนี้

1. วรรณคดีร้อยกรองมีจำนวนมากกว่าร้อยแก้ว

2. เนื้อเรื่องอยู่ในวงแคบ และเน้นใช้จินตนาการไกลตัว เช่น เรื่องยักษ์ เทวดา ฯลฯ

3. ให้ความสำคัญกับศิลปะการแต่งมากกว่าเนื้อหา 4. มีธรรมเนียมนิยมในการบรรยาย

5. เป็นวรรณคดีเพื่ออารมณ์มากกว่าเป็นวรรณคดีเพื่อปัญญา

6. ส่วนใหญ่นำเสนอพุทธปรัชญาแบบพื้น ๆ ง่าย ๆ

7. กวีมักแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ ฯลฯ

34. ข้อใดไม่ใช่ธรรมเนียมนิยมในการแต่งของวรรณคดีไทย

(1) มักมีบทอัศจรรย์แทรกอยู่เสมอ (2) มักจบท้ายด้วยบทประณามพจน์เสมอ

(3) มักมีบทชมความงามของบ้านเมือง (4) มักมีบทสรรเสริญพระมหากษัตริย์

ตอบ 2 หน้า 195 – 200 ธรรมเนียมนิยมในการแต่งของวรรณคดีไทยในอดีต มีดังนี้

1. มีโครงสร้างที่มีแบบแผน คือ ขึ้นต้นด้วยบทไหว้หรือประณามบท (ประณามพจน์)

และจบเรื่องด้วยการบอกชื่อผู้แต่งและสาเหตุที่แต่งขึ้น 2. มักเป็นร้อยกรองขนาดยาว

3. มีบทพรรณบาธรรมชาติ หรือบทชมความงามของบ้านเมือง 4. มีบทรักระหว่างเพศ หรือ บทอัศจรรย์แทรกอยู่เสมอ 5. มีบทสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์ ฯลฯ

35. ลักษณะ “เข้าแบบ” หมายถึงอย่างไร

(1) มีโครงสร้างของเรื่องที่ชัดเจน (2) แต่งวรรณคดีได้อย่างวิจิตรบรรจง

(3) มีธรรมเนียมการแต่งตามบูรพาจารย์ (4.) แสดงความสามารถเชิงกวีอย่างเติมที่

ตอบ 3 หน้า 195 – 196 การแต่งวรรณคดีในลักษณะ “เข้าแบบ” หรือบางครั้งอาจเรียกว่า

“เหยียบความ” หมายถึง การแต่งที่เหมือนกันหรือมีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยจะนิยม ให้มีธรรมเนียมการแต่งตามบูรพาจารย์ แต่ถ้ากวีต้องการแสดงฝีมือหรือผีปากที่แท้จริงแล้ว จะใช้วิธีพรรณนาเรื่องเดียวกันให้มีกระบวนความแปลกและแตกต่างกันออกไปบ้าง

36. ถ้าเปรียบการแต่งวรรณคดีเหมือนการร้อยมาลัย เนื้อเรื่องจะเปรียบได้กับอะไร

(1) ดอกไม้ (2) เข็มร้อยมาลัย (3) ด้ายหรือเส้นไหม (4) ริบบิ้นตกแต่งมาลัย

ตอบ 3 หน้า 196 วรรณคดีร้อยกรองของไทยในอดีตมีลักษณะเป็นมัณฑนศิลป์ คือ ศิลปะในเชิง ตกแต่งประดับประดา หรือการประดิษฐ์ประดอยถ้อยคำ โดยกวีเปรียบเทียบถ้อยคำว่า ประดุจดอกไม้งาม ในขณะที่เนื้อเรื่องเปรียบประดุจด้ายหรือเส้นไหม ซึ่งร้อยเอาดอกไม้นั้น เป็นพวงมาลัยดอกไม้ที่ประดิษฐ์แล้วอย่างวิจิตรบรรจง ควรแก่การสวมไว้เหนือเศียร

37. “ไว้ปากไว้วากย์วาที ไว้วงศ์กวี ไว้เกียรติและไว้นามกร” ข้อความนี้ กวีแต่งวรรณคดีขึ้นเพื่ออะไร

(1) เพื่อฝากวรรณคดีให้อยู่คู่โลก

(2) เพื่อแสดงฝีมือเชิงกวีให้ประจักษ์

(3) เพื่อเน้นเกียรติยศของวงศ์ตระกูล

(4) เพื่อให้ผู้อ่านชื่นชมต่อไปภายหน้า

ตอบ 2 หน้า 147. 196 – 197 คำประพันธ์ข้างต้นมาจากวรรณคดีเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ ของนายชิต บุรทัต กวีในสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งท่านได้แสดงจุดมุ่งหมายในการแต่งไว้ว่า เพื่อแสดงฝีมือ เชิงกวีให้ประจักษ์ไว้ในวงวรรณคดี และเพื่อเป็นเกียรติยศชื่อเสียง

38. ข้อความในข้อ 37. ข้างต้นนี้ น่าจะมาจากวรรณคดีเรื่องใด

(1) กากีคำกลอน (2) พระอภัยมณี (3) นิราศนรินทร์ (4) สามัคคีเภทคำฉันท์

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 37. ประกอบ

39. ข้อใดไมใช่กวีโวหาร

(1) การเปรียบอุปมาอุปไมย (2) การใช้คำซ้ำหลายครั้ง (3) การใช้สัญลักษณ์ (4) การพูดเกินจริง

ตอบ 2 หน้า 199 กวีโวหาร ได้แก่ ภาพพจน์ซึ่งเป็นภาษาของอารมณ์ โดยกวีโวหารของวรรณคดีไทย ในอดีตมักจะกล่าวถึง 1. การเปรียบเทียบอุปมาอุปไมย 2. การพูดเกินจริง 3. การพูดน้อย กินความกว้าง 4. การใช้สัญลักษณ์ 5. การพูดอย่างหนึ่ง โดยมีเจตนาอีกอย่างหนึ่ง

40. ข้อใดไม่ใช่คุณค่าของวรรณคดี

(1) ให้ความเพลิดเพลินสนุกสนาน (2) ให้ความรู้เรื่องพิธีกรรมต่าง ๆ

(3) ให้เกิดความรู้ในการเอาตัวรอด (4) ให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์การเมือง

ตอบ 4 (คำบรรยาย) คุณคำของวรรณคดี มีดังนี้ 1. ให้ความเพลิดเพลินสนุกสนาน

2. ให้ได้รับความรู้เรื่องวัฒนธรรมประเพณีและพิธีกรรมต่าง ๆ 3. ให้ได้รับความรู้ความคิด จากธรรมดาธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งแทนด้วยตัวละครในเรื่อง เช่น ความรู้เท่าทันคน ความรู้ ในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่าง ๆ ฯลฯ 4. ให้คติหรือแง่คิดทางศีลธรรม ฯลฯ

41. ข้อใดไม่ใช่เนื้อหาของวรรณคดีไทยในอดีต

(1) บทประกอบพิธีกรรม (2) บทสดุดีพระมหากษัตริย์

(3) บันทึกทางประวัติคาสตร์ (4) ปรัชญาเกี่ยวกับชีวิตและความตาย

ตอบ 4 หน้า 194 เนื้อหาของวรรณคดีไทยในอดีตจะจำกัดอยู่ในวงแคบ ดังนี้ 1. ศาสนาและคำสอน 2. เรื่องเล่า เช่น นิทาน บทพากย์โขน หนัง บทละครรำ 3. บทพรรณนา เช่น นิราศ 4 บทเพลง เช่น บทมโหรี 5. บทสดุดี ยอเกียรติพระมหากษัตริย์ 6. บทเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรม เช่น บทกล่อมช้าง โองการแช่งน้ำ 7. บันทึกทางประวัติศาสตร์ พงศาวดาร และ จดหมายเหตุ 8. แบบเรียน 9. กฎหมาย (กฎมณเฑียรบาล) 10. ตำราบางเรื่อง

42. วรรณคดีเรื่องใดไม่มีบทไหว้ครู

(1) กำสรวลศรีปราชญ์ (2) สมุทรโฆษคำฉันท์ (3) อนิรุทธคำฉันท์ (4) นิราศเมืองเพชรบุรี

ตอบ 4 หน้า 135. (THA 3201 (TH 331) หน้า 113 – 114), (คำบรรยาย) พระสุนทรโวหาร (ภู่) มีผลงานวรรณกรรมประเภทนิราศคำกลอนอยู่ 8 เรื่อง ซึ่งทั้งหมดจะดำเนินเรื่องทันที โดย ไม่มีบทไหว้ครู ได้แก่ 1. นิราศเมืองแกลง 2. นิราศพระบาท 3. นิราศภูเขาทอง 4. นิราศสุพรรณ 5. นิราศวัดเจ้าฟ้า 6. นิราศอิเหนา 7. นิราศพระประธม 8. นิราศเมืองเพชรบุรี

43. วรรณคดีเรื่องใดไม่ไม่รากฎชื่อผู้แต่ง

(1) ลิลิตโองการแช่งน้ำ

(2) ลิลิตยวนพ่าย

(3) ลิลิตตะเลงพ่าย

(4) ลิลิตนิทราชาคริต

ตอบ 2 หน้า 54 – 56 ลิลิตยวนพ่ายมีลักษณะดังนี้

1. แต่งเป็นลิลิต มีร่ายนำ (ร่ายดั้น) 60 วรรค และมีร่ายในระหว่างเรื่อง (ร่ายสุภาพ) อีก 10 วรรค รวมกับโคลงดั้นบาทกุญชรอีก 291 โคลง 2. กล่าวถึงการศึกสงครามระหว่างไทย (อยุธยา) ที่รบชนะเชียงใหม่ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

3. เป็นลิลิตยอ/เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

4. ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่งและเวลาที่แต่งเอาไว้

44. ข้อไดมีความหมายตรงกับคำว่านิราศมากที่สุด

(1) บทพรรณนาเมื่อคนรักจากไป (2) บทพรรณนาเมื่อต้องพลัดพรากสมมุติ

(3) บทพรรณนาเมื่อต้องเดินทางท่องเที่ยว (4) บทพรรณนาเมื่อต้องจากสถานที่และหญิงที่รัก

ตอบ 4 หน้า 129 นิราศ หมายถึง บทประพันธ์พรรณนาความเมื่อต้องจากสถานที่และหญิงที่รักไป ซึ่งอาจเป็นบทพรรณนาความเมื่อผู้แต่งจากไปจริงก็มี ที่เป็นนิราศสมมุติแต่งคร่ำครวญถึงนางที่รักโดยไม่จากไปไหนก็มี และที่เอาเค้าเรื่องวรรณคดีมาแต่งเป็นบทคร่ำครวญของตัวละคร ที่จากกันก็มี

45. ข้อใดมีลักษณะของการพรรณนาความ

(1) โอ้แม่ฝรั่งข้างรั้ว แม่จะสุกคาขั้วคอยใคร อีกสักกี่เดือนกี่ปี แม่ถึงจะมีน้ำใจ

(2) ฝ่ายฟ้อนละครใน หริรักษจักรี โรงริมคีรีมี กลลับบ่แลชาย

(3) ลับแลเร่งแลลับ นกหว้าจับไปว่าวอน ชายใดได้ดวงสมร วานนกหว้าว่าขอคืน

(4) เคยหมอบใกล้ได้กลิ่นสุคนธ์ตรลบ ละอองอบรสรื่นชนนาสา สิ้นแผ่นดินสิ้นรสสุคนธา วาสนาเราก็สิ้นเหมือนกลิ่นสุคนธ์

ตอบ 4 หน้า 2, (ดูคำอธิบายข้อ 42. และ 44. ประกอบ) คำประพันธ์ในตัวเลือกข้อ 4 มาจากวรรณคดี เรื่องนิราศภูเขาทอง ของพระสุนทรโวหาร (ภู่) ซึ่งแสดงลักษณะของบทพรรณนาความตามแบบนิราศคำกลอนได้เป็นอย่างดี

46. จากข้อ 45. ตัวเลือกใด มีกวีโวหารในลักษณะของการเล่นคำอย่างชัดเจน

(1) ข้อ 1 (2) ข้อ 2 (3) ข้อ 3 (4) ข้อ 4

ตอบ 3 หน้า 104 – 105, 166, 171 การเล่นคำ เป็นกลวิธีที่ให้ความไพเราะด้านเสียงอีกวิธีหนึ่ง

ซึ่งการซ้ำคำซ้ำความและเล่นอักษรล้วนช่วยให้เกิดเสียงเสนาะและให้ความรู้สึกในด้านความหมาย เช่น คำประพันธ์ในตัวเลือกข้อ 3 มาจากวรรณคดีเรื่องกาพย์นิราศพระบาท หรือกาพย์ห่อโคลง ประพาสธารโศก ของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรฯ (เจ้าฟ้ากุ้ง) ซึ่งมีการเล่นคำด้วยการกล่าวซ้ำคำว่า “ลับ/แล/นกหว้า” ทำให้มีเสียงไพเราะ และยังได้ผลในการเน้นหรือย้ำความนั้นให้ชัดเจน ตระหนักยิ่งขึ้น เป็นการสร้างเอกภาพเน้นความนั้น

47. ข้อใดแสดงลักษณะของกวีที่แต่งวรรณคดีไทยในอดีตได้ชัดเจนที่สุด

(1) แสดงการเลียนแบบกวีในอดีตทั้งหมด

(2) แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนของกวีอยู่เสมอ

(3) แสดงการแข่งขันความสามารถเชิงกวีตลอดเวลา

(4) แสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 33. ประกอบ

48. การเกลากลอน หมายถึงอย่างไร

(1) การแต่งด้วยคำกลอน (2) การแก้ไขให้ไพเราะขึ้น

(3) การวิพากษ์วิจารณ์คำประพันธ์ (4) การแต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทใดก็ได้

ตอบ 1 หน้า 161, (ลิลิตพระลอ หน้า 2) การเกลากลอน หมายถึง การแต่งด้วยคำกลอน ซึ่งใน ปัจจุบันเรียกว่าแต่งเป็นร้อยกรอง คือ วรรณกรรมประเภทที่มีลักษณะบังคับในการแต่ง หรือมีการกำหนดคณะ ทั้งนี้คำว่า “เกลากลอน” มีปรากฏในลิลิตพระลอ ดังโคลงที่ว่า “…เกลากลอนกล่าวกลการ กลกล่อมใจนา ถวายบำเรอท้าวไท้ ธิราชผู้มีบุญฯ”

49. ข้อใดเป็นวรรณศิลป์

(1) แสดงภาษาสุภาพไพเราะ

(2) แสดงเนื้อหาจรรโลงใจ

(3) แสดงภาพพจน์เปรียบเทียบ

(4) แสดงปรัชญาแง่คิดเรื่องชีวิต

ตอบ 3 หน้า 5, 7 – 33, 167 วรรณศิลป์ หมายถึง ศิลปะแห่งการเรียบเรียงถ้อยคำ อันประกอบไปด้วย ความรู้สึกสะเทือนใจและจินตนาการ และสร้างขึ้นเป็นรูปมีเรื่องราวเป็นรายละเอียดจนได้รับการยกย่อง โดยองค์ประกอบของวรรณศิลป์ ได้แก่

1. อารมณ์สะเทือนใจ

2. ความนึกคิดและ จินตนาการ เช่น การแสดงภาพพจน์โดยใช้โวหารเปรียบเทียบอุปมาอุปไมย การใช้สัญลักษณ์ ฯลฯ

3. การแสดงออก

4. ท่วงทำนองแต่งหรือสไตล์

5. เทคนิคหรือกลวิธี

6. องค์ประกอบ

50. ข้อใดแสดงลักษณะโดดเด่นของคำประพันธ์บทนี้

“เอออุเหม่นะมึงชิช่างกระไร ทุทาสสถุลฉะนี้ไฉน ก็มาเป็น” มากที่สุด

(1) เสียงสัมผัสสระสั้นยาวจัดวางอย่างไพเราะ (2) มีจังหวะและเสียงของคำสอดคล้องกับเนื้อหา

(3) มีการใช้คำที่เหมาะสมกับอารมณ์ของกวี (4) เสียงสัมผัสพยัญชนะสอดคล้องกับสัมผัสสระ

ตอบ 2 หน้า 33, 164 คำประพันธ์ข้างต้นมาจากวรรณคดีเรื่องสามัคคีเภทคำฉันท์ ของนายชิต บุรทัต ตอนพระเจ้าอชาตคัตรูกริ้ววัสสการพราหมณ์ที่ทัดทานมิให้พระองค์ยกทัพไปลิจฉวี โดยผู้แต่ง ได้ใช้อิทีสังฉันท์ที่มีครุลหุสลับกันอย่างกระชั้น ทำให้มีลีลาจังหวะและเสียงของคำสอดคล้อง กับเนื้อหา คือ มีเสียงหนักเบากระชั้นกระชากเหมาะแก่การแสดงอารมณ์โกรธ

51. เหตุผลข้อใดที่นักวรรณคดีไทยตั้งต้นยุคสมัยวรรณคดีไทยเพียงสมัยสุโขทัยเท่านั้น

(1) ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์กรณีสมัยพระเจ้าปราสาททอง

(2) ก่อนสมัยสุโขทัยคนไทยยังอยู่ในระยะตั้งตัว

(3) อุปกรณ์การเขียนยังไม่ถาวรนัก

(4) ทั้ง 3 เหตุผลรวมกัน

ตอบ 4 หน้า 39 – 40 สาเหตุที่นักวรรณคดีไทยตั้งต้นยุคสมัยวรรณคดีไทยเพียงแค่สมัยสุโขทัยเท่านั้น มีดังนี้

1. ในสมัยก่อนสุโขทัยคนไทยยังอยู่ในระยะตั้งตัว จึงทำให้ไม่มีเวลาสร้างหรือเก็บรักษาวรรณกรรม

2. อุปกรณ์การเขียนยังไม่ถาวรนัก เช่น กระดาษ และมีศัตรูตามธรรมชาติช่วยทำลายหนังสือ

3. การศึกสงครามทำให้ชาติไทยต้องสูญเสียวรรณกรรมไปมาก

4. ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์กรณีสมัยพระเจ้าปราสาททอง ทำให้ประชาชนเอาหนังสือไปทิ้งน้ำ

5. การศึกษายังอยู่ในวงแคบ คนที่รู้หนังสือมีน้อย

52. การแบ่งวรรณคดีไทยใช้สิ่งใดเป็นเกณฑ์

(1) เมืองหลวง (2) ราชวงศ์ (3) แบ่งตามยุค (4) ไม่กำหนดตายตัว

ตอบ 1 หน้า 41 – 43 การแบ่งสมัยวรรณคดีไทยมีอยู่หลายแบบ แต่ลงรอยกันโดยถือเอาเมืองหลวง หรือนครหลวงเป็นจุดศูนย์กลาง เรียกว่า แบ่งตามนครหลวง หรือแบ่งตามสมัยประวัติศาสตร์ ซึ่งมีอยู่ 4 สมัย ดังนี้ 1. สมัยกรุงสุโขทัย 2. สมัยกรุงศรีอยุธยา 3. สมัยกรุงธนบุรี 4. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ หรือกรุงเทพฯ

53. ตำราเรียนกระบวนวิชา THA 1002 กำหนดให้นักศึกษาเรียนวรรณคดีสมัยกรุงสุโขทัยกี่เรื่อง

(1)4 เรื่อง (2) 5 เรื่อง (3) 6 เรื่อง (4) 7 เรื่อง

ตอบ 2 หน้า 43, 49, 64 ตำราเรียนกระบวนวิชา THA 1002 (TH 102) กำหนดให้นักศึกษา เรียนวรรณคดีสมัยกรุงสุโขทัยจำนวน 5 เรื่อง ได้แก่

1. ศิลาจารึกหลักที่ 1 หรือศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง (ร้อยแก้ว)

2. ศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง (ร้อยแก้ว)

3. สุภาษิตพระร่วง หรือบัญญัติพระร่วง (ร้อยกรอง)

4. ไตรภูมิพระร่วง หรือเตภูมิกถา (ร้อยแก้ว)

5. นางนพมาศหรือเรวดีนพมาศ หรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (ร้อยแก้ว)

54. วรรณคดีสมัยสุโขทัยเรืองใดแต่งเป็นร้อยกรอง

(1) ไตรภูมิพระร่วง (2) ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง

(3) นางนพมาศ (4) สุภาษิตพระร่วง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 53. ประกอบ

55. วรรณคดีสมัยสุโขทัยเรื่องใดอาจกล่าวได้ว่าเป็นวิทยานิพนธ์เล่มแรกของไทย

(1) ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง

(2) ไตรภูมิพระร่วง

(3) ศิลาจารีกวัดป่ามะม่วง

(4) นางนพมาศ

ตอบ 2 หน้า 46 – 48. (คำบรรยาย) ไตรภูมิพระร่วง หรือเตภูมิกถา เป็นงานพระราชนิพนธ์ของพญาลิไทยที่จัดเป็นวรรณคดีศาสนา และมีลักษณะเป็นงานค้นคว้า รวบรวมความรู้จากคัมภีร์ ต่าง ๆ ในพุทธศาสนาถึง 30 คัมภีร์ จึงนับได้ว่าเป็นวิทยานิพนธ์เล่มแรกของไทย โดยมีสารัตถะ สำคัญอยู่ที่แนวความคิดและความเชื่อถือของคนโบราณที่ใช้จินตนาการสร้างนรกและสวรรค์ขึ้น เพื่อช่วยควบคุมความประพฤติให้คนละชั่วและจูงใจให้ทำความดี จึงถือเป็นคู่มือสำคัญในการ สอนศีลธรรม และสกัดกั้นความประพฤติผิดของบุคคลในสังคมตลอดมาเป็นเวลานาน

56. ข้อใดกล่าวถึงสุภาษิตพระร่วงไม่ถูกต้อง

(1) เป็นภาษิตไทยแท้

(2) แสดงค่านิยมของคนไทยในอดีต

(3) เข้าใจว่าแต่งหลังสมัยสุโขทัยมาก

(4) ใช้คำยากและรูปประโยคต่างจากจารึกพ่อขุนราม

ตอบ 4 หน้า 45 – 46, (คำบรรยาย) สุภาษิตพระร่วง หรือบัญญัติพระร่วง มีลักษณะดังนี้

1. เขียนเป็นทำนองสั่งสอน (Didactic Poetry) เกี่ยวกับข้อประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสม กับบุคคลและสถานที่ 2. แต่งเป็นร้อยกรองทั้งเรื่อง 3. เข้าใจว่าแต่งหลังสมัยสุโขทัยมาก 4. รูปประโยคคล้ายหลักศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง เป็นคำง่าย ข้อความไม่ซับซ้อน

5. เป็นภาษิตไทยแท้ 158 บท 6. มีคุณค่าแสดงถึงอุดมคติและค่านิยมของสังคมไทยในอดีต ฯลฯ

57. ไตรภูมิพระร่วงมีสารัตถะตรงกับข้อใด

(1) ให้ละชั่วทำความดี (2) อ้างนรกให้คนกลัว (3) เอาสวรรค์มาล่อ (4) เชื่อถือไม่ได้

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 55. ประกอบ

58. วรรณคดีเรื่องใดที่ถือว่าเป็นต้นแบบทางวัฒนธรรมและประเพณีของไทย

(1) ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง 12) สุภาษิตพระร่วง

(3) ไตรภูมิพระร่วง (4) นางนพมาศ

ตอบ 4 หน้า 48 – 49, (คำบรรยาย) นางนพมาศหรือตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ มีเนื้อเรื่องตอนต้นกล่าวถึงมนุษยชาติ และกล่าวถึงกำเนิดนางนพมาศ การถวายตัวเข้ารับราชการฝ่ายใน พิธีต่าง ๆ ที่ทำกันอยู่เป็นประเพณีในกรุงสุโขทัยตลอดเวลา 9 เดือน และกล่าวถึงวัตรปฏิบัติอันควรประพฤติ ของข้าราชการฝ่ายในทั้งโดยตรงและโดยวิธีใช้นิทานเปรียบเทียบเชิงสอน ดังนั้นจึงถือเป็น วรรณคดีต้นแบบที่เป็นแบบแผนทางวัฒนธรรมและประเพณีให้กับสังคมไทยในสมัยต่อมา

59. วรรณคดีเรื่องใดที่แต่งเป็นทำนองสั่งสอนที่เรียกว่า “Didactic Poetry”

(1) ศิลาจารีกวัดป่ามะม่วง (2) สุภาษิตพระร่วง

(3) ไตรภูมิพระร่วง (4) ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 56. ประกอบ

60. ข้อไดกล่าวถึงลิลิตโองการแช่งน้ำไม่ถูกต้อง

(1) เลิกใช้เมื่อปี พ.ศ. 2475

(2) เป็นวรรณคดีประเภทลิลิตเรื่องแรกของไทย

(3) ใช้ในพิธีแช่งน้ำที่ไทยรับมาจากอินเดียโดยตรง

(4) เนื้อความสาปแช่งผู้ทรยศและให้ศีลให้พรผู้จงรักภักดี

ตอบ 3 หน้า 50-51, (คำบรรยาย) ลิลิตโองการแช่งน้ำ มีลักษณะดังนี้

1. เชื่อกันว่าแต่งขึ้นในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)

2. เป็นวรรณคดีประเภทลิลิตเรื่องแรกของไทย

3. มีวัตถุประสงค์การแต่งเพื่อประโยชน์ทางการเมืองการปกครอง

4. ใช้ในพระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ซึ่งเป็นพิธีแช่งน้ำที่ไทยรับมาจากขอมโดยตรง และเลิกใช้ไปเมื่อปี พ.ศ. 2475

5. เนื้อเรื่องขึ้นต้นด้วยคำว่า “โอม” เป็นการกราบไหว้เทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู คือ “ตรีมูรติ” หมายถึง พระนารายณ์ พระอิศวร และพระพรหม ดังตัวอย่างตอน ไหว้พระนารายณ์ที่ว่า “โอมสิทธิสรวงศรีแกล้ว แผ้วมฤตยู เอางูเป็นแท่น…”

6. เนื้อความตอนท้ายเป็นการสาปแช่งผู้ทรยศและให้ศีลให้พรผู้จงรักภักดี ฯลฯ

61. คำว่า “โอม” มีความหมายตามข้อใด

(1) พระนารายณ์ พระอิศวร พระพรหม

(2) สวรรค์ มนุษย์ นรก

(3) พระอินทร์ พระพรหม พระนารายณ์

(4) พระนารายณ์ พระศิวะ พระอิศวร

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 60. ประกอบ

62. ลิลิตโองการแช่งน้ำนักวรรณคดีเชื่อว่าแต่งขึ้นมาสมัยใด

(1) พระเจ้าทรงธรรม

(2) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(3) สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1

(4) สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 60. ประกอบ

63. ข้อใดเป็นวัตถุประสงค์ของการแต่งลิลิตโองการแช่งน้ำ

(1) การเมืองการปกครอง

(2) เครื่องมือสอนศีลธรรม

(3) ความเชื่อที่มนุษย์มีต่อไสยศาสตร์

(4) พิธีสงฆ์

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 60. ประกอบ

64. ข้อความต่อไปนี้ “โอมสิทธิสรวงศรแกล้ว แผ้วมฤตยู เอางูเป็นแท่น แกว่นกลืนฟ้ากลืนดิน บินเอาครุธมาขี่” เป็นคำกล่าวบูชาเทพเจ้าองค์ใด

(1) พระอิศวร (2) พระพรหม (3) พระนารายณ์ (4) พระยม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 60. ประกอบ

65. ข้อใดกล่าวถึงมหาชาติคำหลวงไม่ถูกต้อง

(1) แต่งเป็นร่ายยาว

(2) ใช้สำหรับสวดเข้าทำนองหลวง

(3) แต่งในรัชสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(4) เนื้อเรื่องกล่าวถึงการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์

ตอบ 1 หน้า 56 – 57, (คำบรรยาย) มหาชาติคำหลวง เป็นวรรณคดีที่แต่งขึ้นในรัชสมัยของ

สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งพระองค์ทรงเป็นประมุขในการแต่ง โดยมีการประชุมนักปราชญ์ ราชบัณฑิตและพระเถระผู้ใหญ่ร่วมกันแต่งเพื่อใช้สำหรับสวด (ไมใช่เทศน์) เข้าทำนองหลวง ให้อุบาสกและอุบาสิกาฟัง แต่งด้วยคำประพันธ์หลายชนิดปนกัน จึงจัดเป็นบทร้อยกรองที่มี ลักษณะครบทั้งกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ และร่าย ส่วนเนื้อหานั้นจะเป็นเรื่องราวของการบำเพ็ญทานบารมี ทานอุปบารมี และทานปรมัตถบารมีในพระชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์ หรือที่ เรียกว่า “มหาชาติ” (ชาติที่ยิ่งใหญ่ คือ การเป็นพระเวสสันดร)

66. ข้อใดกล่าวถึงลิลิตยวนพ่ายผิดจากความเป็นจริง

(1) ลักษณะคำประพันธ์เป็นร่ายสุภาพกับโคลงสี่สุภาพ (2) ยอพระเกียรติสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(3) เรื่องการรบระหว่างอยุธยากับเชียงใหม่ (4.) ผู้แต่งและเวลาที่แต่งไม่ชัดเจน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

67. วรรณคดีสโมสรยกย่องวรรณคดีเรื่องใดว่าเป็นยอดของวรรณคดีประเภทลิลิต

(1) ลิลิตโองการแช่งน้ำ

(2) ลิลิตยวนพ่าย

(3) ลิลิตพระลอ

(4) ลิลิตตะเลงพ่าย

ตอบ 3 หน้า 55, 57 – 58, 65, 134 วรรณคดีสโมสรได้ตัดสินเมื่อปี พ.ศ. 2459 ยกย่องว่า ลิลิตพระลอ ถือเป็นยอดในกระบวนกลอนลิลิตทั้งหลาย ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ประทาน อธิบายเหตุที่ยกย่องลิลิตพระลอว่ายอดเยี่ยมเป็นใจความโดยสรุปว่า ลิลิตพระลอดีโดย สำนวนโวหารการแต่ง และยังได้เปรียบลิลิตยวนพ่ายและลิลิตตะเลงพ่ายในด้านเนื้อเรื่อง เพราะลิลิตพระลอเป็นวรรณคดีเพื่อความบันเทิงใจเรื่องแรกที่เกิดขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น ซึ่งผู้แต่งจะพรรณนาให้จับใจอย่างไรก็ได้ ไม่เหมือนกับลิลิตยวนพ่ายและลิลิตตะเลงพ่ายที่เป็น เรื่องพงศาวดารและเป็นวรรณคดีเฉลิมพระเกียรติ จะแต่งให้หรูหราออกไปนอกเรื่องไม่ได้

68. วรรณคดีเรื่องใดไม่ใช่วรรณคดีเฉลิมพระเกียรติ

(1) ลิลิตยวนพ่าย (2) ลิลิตตะเลงพ่าย (3) ลิลิตพระลอ (4)ทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 67. ประกอบ

69. วรรณคดีเพื่อความบันเทิงใจเกิดขึ้นครั้งแรกสมัยใด

(1) สุโขทัย (2)อยุธยาตอนต้น (3) อยุธยาตอนกลาง (4) อยุธยาตอนปลาย

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 67. ประกอบ

70. วรรณคดีเรื่องใดเกิดขึ้นสมัยพระเจ้าทรงธรรม

(1) โคลงนิราศนครสวรรค์ (2) ปุณโณวาทคำฉันท์

(3) มหาชาติคำหลวง (4) กาพย์มหาชาติ

ตอบ 4 หน้า 66 – 67, (คำบรรยาย) ในสมัยพระเจ้าทรงธรรมมีวรรณคดีที่ปรากฏหลักฐานว่าเกิดขึ้น ในสมัยของพระองค์อยู่เพียงเรื่องเดียว คือ กาพย์มหาชาติ ดังที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราขานุภาพ ได้ทรงพระนิพนธ์อธิบายไว้ในการพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี พ.ค. 2459 ว่า “ข้าพเจ้าเข้าใจว่าประชุมนักปราชญ์ราชบัณฑิตแต่งขึ้นในแผ่นดินพระเจ้าทรงธรรมระหว่าง พ.ค. 2145 – 2170 ด้วยมีเนื้อความในพระราชพงศาวดารกล่าวไว้ว่าในแผ่นดินนั้นได้แต่งมหาชาติคำหลวงอีกครั้งหนึ่ง…’’

71. คำประพันธ์ประเภทใดได้รับความนิยมอย่างยิ่งในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

(1) โคลงสี่สุภาพ (2) ฉันท์ (3) ร่ายยาว (4) กาพย์ห่อโคลง

ตอบ 1 หน้า 59, 68 – 69, 92 – 93 ความเจริญด้านร้อยกรองในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช คือ กวีมักจะนิยมแต่งฉันท์และโคลงสี่สุภาพมากกว่าลักษณะการแต่งอย่างอื่นโดยเฉพาะโคลงสี่สุภาพ จะนิยมแต่งกันอย่างแพร่หลายและเจริญเด่นที่สุด จนแม้แต่สตรีซึ่งถือกันว่ามีการศึกษาน้อย และ ไม่มีความสามารถในการแต่งหนังสือ หรือนายประตูพระราชวังก็สามารถแต่งโคลงกันได้เป็นอย่างดี

72. เรื่องใดเป็นบทพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

(1) โคลงตรีพิธประดับ

(2) เสือโคคำฉันท์

(3) สมุทรโฆษคำฉันท์ตอนต้น

(4) โคลงท้าวทศรถสอนพระราม

ตอบ 4 หน้า 69, 71 – 72 งานพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มี 4 เรื่อง คือ

1. สมุทรโฆษคำฉันท์ (ตอนกลาง)

2. โคลงสุภาษิต 3 เรื่อง คือ โคลงท้าวทศรถสอนพระราม โคลงพาลีสอนน้อง และโคลงราชสวัสดิ์

3. เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา 4. โคลงเบ็ดเตล็ด

73. วรรณคดีเรื่องใดมีประวัติการแต่งที่ยาวนานที่สุดในการแต่งวรรณคดีของไทย

(1) สมุทรโฆษคำฉันท์

(2) เสือโคคำฉันท์

(3) รามเกียรติ์

(4) อนิรุทธคำฉันท์

ตอบ 1 หน้า 76 – 77 สมุทรโฆษคำฉันท์เป็นวรรณคดีที่ได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสรว่า เป็นยอดของวรรณคดีประเภทคำฉันท์ นอกจากนี้ยังมีประวัติที่พิสดาร ดังนี้

1. มีกวีสำคัญต่างสมัยแต่งต่อกันถึง 3 คน นับเป็น 3 สำนวน และนับเวลาเริ่มต้นจนแต่งจบ ได้ประมาณ 2 ศตวรรษ จึงนับเป็นวรรณคดีไทยที่มีประวัติการแต่งยาวนานมากที่สุด

2. มีวัตถุประสงค์การแต่งเพื่อใช้เป็นบทพากย์หนังใหญ่ จึงมีการดำเนินเรื่องตามแบบ การเล่นหนังใหญ่ในสมัยนั้น

74. พระโหราธิบดีแต่งจินดามณีโดยมีวัตถุประสงค์ตามข้อใด

(1) เพื่อสดุดียอพระเกียรติ (2) เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรม

(3) เพื่อใช้สอนความประพฤติของปวงชน (4) เพื่อใช้เป็นตำราและสารคดี

ตอบ 4 หน้า 70, 79, 92 วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนกลางมีเนื้อเรื่องแบ่งตามวัตถุประสงค์การแต่งดังนี้

1. เพื่อเล่าเรื่องทำนองนิทาน (ทางศาสนา) เช่น เสือโคคำฉันท์ สมุทรโฆษคำฉันท์ ฯลฯ

2. เพื่อสอนใจสอนความประพฤติ เช่น โคลงพาลีสอนน้อง ฯลฯ

3. เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมโดยเฉพาะ เช่น ฉันท์ดุษฎีสังเวยกล่อมช้าง ฯลฯ

4. เพื่อสดุดียอพระเกียรติ เช่นโคลงเฉลิมพระเกียรติพระนารายณ์ ฯลฯ

5. เพื่อใช้เป็นนิราศคร่ำครวญแสดงความรู้สึกของกวี เช่น โคลงทวาทศมาส ฯลฯ

6. เพื่อใช้เป็นสารคดีและตำรา เช่น พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐฯ และแบบเรียนจินดามณี ของพระโหราธิบดี ฯลฯ

75. เรื่องใดเป็นวรรณคดีทีแต่งขึ้นเพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมโดยเฉพาะ

(1) จินดามณี (2) ฉันท์กล่อมช้าง (3) โคลงทวาทศมาศ (4) โคลงพาลีสอนน้อง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 74. ประกอบ

76. กาพย์เจริญรุ่งเรืองที่สุดในสมัยใด

(1) สมัยอยุธยาตอนต้น (2) สมัยอยุธยาตอนกลาง

(3) สมัยอยุธยาตอนปลาย (4) สมัยอยุธยาตอนต้นและตอนกลาง

ตอบ 3 หน้า 95, 110 – 111 วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนปลาย สรุปได้ดังนี้

1. จำนวนกวีและวรรณคดีน้อยกว่าสมัยอยุธยาตอนกลาง แต่มีกวีสตรีและพระภิกษุซึ่งมีฝีปากดีเยี่ยม

2. ลักษณะการแต่งมีครบทุกอย่าง โดยเฉพาะกาพย์และกลอนเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด

3. การละครเจริญทั้งบทและวิธีแสดง

4. เนื้อเรื่องขยายออกโดยรับเอาเรื่องอิเหนาจากชวามา

5. ต้นฉบับขาดสูญไม่ครบตลอดเรื่องเป็นส่วนมาก ฯลฯ

77. กวีสมัยอยุธยาตอนปลายท่านใดที่มีผลงานไม่มาก แต่ได้รับการยกย่องว่ามีโวหารเชิงเปรียบเทียบอย่างยอดเยี่ยม

(1) เจ้าฟ้าอภัย (2) เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรฯ

(3) พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (4) พระมหานาควัดท่าทราย

ตอบ 4 หน้า 108 – 109 พระมหานาควัดท่าทราย เป็นกวีสมัยอยุธยาตอนปลายที่เป็นบรรพชิต

โดยผลงานของท่านมีไม่มากนัก ได้แก่ 1. บุณโณวาทคำฉันท์ เป็นฉันท์ที่ได้รับคำยกย่องเป็น อันมากจากผู้อ่าน เพราะได้พรรณนาความเกี่ยวกับประวัติและงานฉลองสมโภชพระพุทธบาท ที่สระบุรี 2. โคลงนิราศพระพุทธบาท ซึ่งได้รับการยกย่องว่าดีเยี่ยมเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะ โวหารเชิงเปรียบเทียบอุปมาอุปไมย

78. วรรณคดีเรื่องใดที่กล่าวถึงการมาตรัสรู้ของพระศรีอาริยเมตไตรยในอนาคตกาล

(1) ปุณโณวาทคำฉันท์ (2) มหาชาติคำหลวง

(3) นันโทปนันทสูตรคำหลวง (4) พระมาลัยคำหลวง

ตอบ 4 หน้า 103 – 104, (คำบรรยาย) พระมาลัยคำหลวง เป็นงานพระนิพนธ์ทางด้านศาสนาของเจ้าฟ้าธรรมธิเบศรฯ โดยได้เค้าเรื่องมาจากคัมภีร์มาเลยสูตร ซึ่งเนื้อเรื่องจะกล่าวถึงพระอินทร์ และพระธรรมเทศนา (คำสอน) ของพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ คือ พระศรีอาริย์ (พระศรีอาริยเมตไตรย)ที่ลงมาตรัสรู้สั่งสอนประชาชนในอนาคตกาล จึงนับเป็นเรื่องที่ถูกใจคนไทย เพราะแม้จะเป็น คติข้างมหายาน แต่นับได้ว่าเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสั่งสอนให้คนอยู่ใบศีลธรรมอันดี ละเว้นความชั่วด้วยความเชื่อว่าจะได้ประโยชน์สุขภายหน้า

79. เจ้าฟ้ากุณฑล เจ้าฟ้ามงกุฎ สร้างสรรค์วรรณคดีเรื่องใดไว้

(1) กาพย์ห่อโคลง

(2)ดาหลัง อิเหนา

(3) กลบทศิริวิบุลภิติ

(4) โคลงชลอพระพุทธไสยาสน์

ตอบ 2 หน้า 107 – 108, 111, (คำบรรยาย) ในสมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งตรงกับรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เจ้าฟ้ากุณฑลและเจ้าฟ้ามงกุฎซึ่งเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ทรงเป็นผู้นิพนธ์บทละครรำเรื่องอิเหนาเป็นครั้งแรก โดยรับเอาเค้าเรื่อง จากชวามานิพนธ์ขึ้นพระองค์ละเรื่อง กล่าวคือ เจ้าฟ้ากุณฑลทรงนิพนธ์เรื่องอิเหนาใหญ่ (ดาหลัง) และเจ้าฟ้ามงกุฎทรงนิพนธ์เรื่องอิเหนาเล็ก (อิเหนา)

80. ข้อใดกล่าวถึงหลวงศรีปรีชา (เซ่ง) ไม่ถูกต้อง

(1) เป็นต้นแบบแนวทางแต่งของสุนทรภู่ (2) นิยมแต่งกลอนที่ยากสลับซับช้อน

(3) คิริวิบุลกิติแต่งเป็นกลอนกลบท 86 ชนิด (4) นิยมแต่งเป็นกลอนกลบท

ตอบ1 หน้า 109 หลวงศรีปรีชา (เซ่ง) เป็นกวีในสมัยอยุธยาตอนปลายที่แต่งเรื่องศิริวิบุลกิติ

เป็นกลอนกลบททั้งสิ้น 86 ชนิด ไม่มีกลอนธรรมดาเลย ซึ่งวิธีการแต่งกลอนกลบทเป็นเรื่องยาว ตลอดทั้งเรื่องนี้ถือเป็นวิธีที่ยากและซับช้อน เพราะมีการเพิ่มข้อบังคับในการแต่งให้มากขึ้น กว่าการแต่งกลอนธรรมดา ทำให้แต่งยากขึ้น และเป็นทางแสดงฝีมือของผู้แต่งได้มากขึ้น

81. ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับวรรณคดีในสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี

(1) เริ่มฟื้นฟูให้แต่งวรรณคดีขึ้นใหม่ (2) ดำรงลักษณะวรรณคดีเก่าให้คงอยู่

(3) รวบรวมวรรณคดีเก่าไว้อีกครา (4) ทุกเรื่องแต่งขึ้นอย่างดีมีศิลปะ

ตอบ 4 หน้า 112 – 116, (THA 3201 (TH 331) หน้า 22, 34) ลักษณะของวรรณคดีในสมัย

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี มีดังนี้ 1. ช่วงระยะเวลาการแต่งวรรณคดีมีระยะสั้นเพียง 15 ปี

2. มีวรรณคดีประมาณ 5 เรื่อง แต่งเป็นร้อยกรองทุกฉบับ

3. พระมหากษัตรีย์ทรงต้องการเก็บรวบรวมวรรณคดีเก่าไว้อีกวาระหนึ่ง

4. บทร้อยกรองสมัยนี้มิใช่เรื่องที่มีศิลปะการแต่งที่ดีเด่นนัก แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่าได้เริ่มฟื้นฟู การแต่งวรรณคดีขึ้นใหม่ และดำรงลักษณะวรรณคดีเก่าให้คงอยู่ ฯลฯ

82. บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอนท้าวมาลีวราชว่าความ มีนัยยะในเรื่องใด

(1) ความรักแท้ (2) ความยุติธรรม (3) ความซื่อสัตย์ (4) ความแม่นยำทางกฎหมาย

ตอบ 2 หน้า 112- 114 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงพระราชนิพนธ์บทละครรำเรื่องรามเกียรติ์ ไว้ 4 ตอน (แต่ทั้ง 4 ตอนนี้เป็นตอนท้ายของเรื่องรามเกียรติ์) คือ

1. ตอนพระมงกุฎ

2. ตอนหนุมานเกี้ยวนางวานรินทร์ (นางวานรินทร์เป็นนางฟ้าถูกสาป ต้องคอยบอกทางให้ หนุมานไปฆ่าวิรุณจำบัง จึงจะพ้นคำสาป)

3. ตอนท้าวมาลีวราชว่าความด้วยความเที่ยงตรง ให้โจทก์จำเลย (เหมาะที่จะเป็นคติธรรมด้านความยุติธรรมและสำหรับผู้พิพากษามากที่สุด)

4. ตอนทศกัณฐ์ตั้งพิธีทรายกรดและปลุกเสกหอกกบิลพัสดุ

83. บทละครในข้อ 82. เป็นผลงานของใคร

(1) สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (2) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ

(3) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (4) เจ้าพระยาพระคลัง (หน)

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 82. ประกอบ

84. วรรณคดีเรื่องใดเป็นส่วนหนึ่งของนิทานเวตาล

(1) ลิลิตเพชรมงกุฎ (2) ลิลิตตะเลงพ่าย (3) ลิลิตศรีวิชัยชาดก (4) ลิลิตพยุหยาตราเพชรพวง

ตอบ 1 หน้า 114 – 115 ลิลิตเพชรมงกุฎ ของหลวงสรวิชิต (เจ้าพระยาพระคลัง หน) ซึ่งเป็นกวี

ในสมัยกรุงธนบุรี มีลักษณะการแต่งเป็นลิลิตสุภาพ ประกอบด้วยโคลงสี่สุภาพและร่ายสุภาพ โดยเนื้อเรื่องกล่าวถึงนิทานที่เวตาลเล่าถวายท้าววิกรมาทิตย์

85. วรรณคดีในข้อ 84. เป็นผลงานของใคร

(1) สุนทรภู่

(2) หลวงสรวิชิต

(3) นายสวนมหาดเล็ก

(4) พระมหามนตรี (ทรัพย์)

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 84. ประกอบ

86. “คนไทยรบพม่าไป แต่งรามเกียรติ์ไป” เป็นคำกล่าวในรัชสมัยใด

(1) พระเจ้ากรุงธนบุรี

(2) รัชกาลที่ 1

(3) รัชกาลที่ 2

(4) รัชกาลที่ 3

ตอบ1 หน้า 112 เมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงกู้อิสรภาพได้สำเร็จในปีที่เสียกรุงแก่พม่าเมื่อ

ปี พ.ศ. 2310 การวรรณคดีของเรากลับตั้งตัวได้ใหม่ ประกอบกับความสนพระทัยของพระองค์ จึงได้มีการเริ่มแต่งหนังสือขึ้นใหม่ในระหว่างการฟื้นตัวและกู้เอกราช จนอาจารย์เจือ สตะเวทิน ได้กล่าวว่า “คนไทยรบพม่าไป แต่งรามเกียรติ์ไป’’

87. ในสมัยรัชกาลที่ 1 มีจุดมุ่งหมายใดในการแต่งรามเกียรติ์

(1) เพื่อใช้เล่นละคร (2) เพื่อเฉลิมพระเกียรติ

(3) เพื่อรวบรวมเรื่องให้สมบูรณ์ (4) เพื่อแสดงความสามารถของกวี

ตอบ 3 หน้า 119 – 120 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ (รัชกาลที่ 1) ทรงมีพระเจตนาที่จะ

รวบรวมเรื่องรามเกียรติ์อันเป็นเรื่องขนาดยาวเข้าไว้ด้วยกันทั้งหมดเพื่อให้เป็นฉบับที่สมบูรณ์ มากกว่าที่จะใช้เป็นบทละคร ฝีพระโอษฐ์อยู่ในขั้นปานกลาง โดยพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้ผู้มี ความสามารถในการแต่งแบ่งกันแต่งเป็นตอนๆ ไป ทรงพระราชนิพนธ์เองบ้างและทรงแก้ไข ทักท้วงข้อความของผู้อื่น จึงได้รับถวายพระเกียรติยศว่าเป็นผู้ทรงพระราชนิพนธ์

88. วรรณคดีประเภทใดได้รับความนิยมมากในสมัยรัชกาลที่ 2

(1) บทเสภา (2) บทละคร (3) บทเห่เรือ (4) บทกลอนมโหรี

ตอบ 2 หน้า 128, 132 รัชกาลที่ 2 ทรงมีความสนพระทัยในวรรณคดีประเภทการละครเป็นอย่างยิ่งโดยพระองค์ทรงพระราชนิพนธ์บทละครไว้หลายเรื่อง ทั้งที่เป็นเรื่องทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นใหม่ และที่ปรับปรุงของเก่า ทำให้ในระหว่างรัชกาลของพระองค์ วรรณคดีไทยโดยเฉพาะด้านบท ละครรำเจริญเฟื่องฟูมาก และได้รับความนิยมมากกว่าประเภทอื่น

89. ความเคลื่อนไหวใดไม่ได้เกิดขึ้นสมัยรัชกาลที่ 3

(1) เกิดกวีหญิง (2) เกิดวรรณกรรมลื่อสารมวลชน

(3) เกิดการเรียนรู้ตามอัธยาศัย (4) เกิดวรรณคดีที่ใช้ฉากต่างประเทศ

ตอบ 4 หน้า 137 – 142, 148 – 149 ความเคลื่อนไหวทางวรรณคดีในสมัยรัชกาลที่ 3 มีดังนี้

1. จารึกวัดโพธิ์ ซึ่งถือเป็นสถานที่ให้วิชาความรู้แก่ผู้สนใจได้ศึกษาเรียนรู้ตามอัธยาศัยด้วยตนเอง เป็นทำนองมหาวิทยาลัยเปิดในปัจจุบัน

2. การเกิดวรรณกรรมสื่อสารมวลชนขึ้นเป็นครั้งแรก โดยบาทหลวงชาวอเมริกันชื่อหมอบรัดเลย์ ได้ออกหนังสือพิมพ์ฉบับแรกของไทย คือ บางกอกรีคอร์เดอร์ เมื่อ พ.ศ. 2387 แต่ออกได้ ไม่นานก็เลิกไป

3. มีกวีสตรีเกิดขึ้น ได้แก่ คุณพุ่ม (มีฉายาว่า “บุษบาท่าเรือจ้าง”) และคุณสุวรรณ ฯลฯ (ส่วนวรรณคดีที่ใช้ฉากต่างประเทศในการบรรยายเรื่องเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4)

90. วรรณกรรมเรื่องใดมีที่มาแตกต่างจากเรื่องอื่น

(1) สามก๊ก (2) ไซฮั่น (3) ราชาธิราช (4) ระเด่นลันได

ตอบ 4 หน้า 119, 124 – 125, 128, 140, 184 ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้เริ่มมีวรรณคดีร้อยแก้ว เพื่อความบันเทิงขึ้นเป็นครั้งแรก โดยการแปลพงศาวดารต่างประเทศ 3 เรื่อง ได้แก่

1. สามก๊ก เจ้าพระยาพระคลัง (หน) อำนวยการแปลจากพงศาวดารจีน

2. ราชาธิราช เจ้าพระยาพระคลัง (หน) อำนวยการแปลจากพงศาวดารมอญ

3. ไซฮั่น กรมพระราชวังหลังทรงอำนวยการแปลจากพงศาวดารจีน

(ส่วนเรื่องระเด่นลันได ของพระมหามนตรี (ทรัพย์) เป็นบทประพันธ์ล้อเลียนวรรณคดีเก่า)

91. วรรณคดีประเภทใดตรงกับคำกล่าวนี้ “เขียนเป็นร้อยกรองเกี้ยวกันระหว่างชายหญิง”

(1) นิราศ

(2) เสภา

(3) เพลงยาว

(4) บทดอกสร้อย

ตอบ 3 หน้า 107, 128 – 129 เพลงยาว เป็นบทประพันธ์ร้อยกรองเกี้ยวกันระหว่างหญิงชายถือเป็นนิพนธ์ศิลป์ที่เป็นสื่อของความรัก มีบทฝากรัก ชมโฉม ตัดพ้อ พรรณนาความอาลัย หรือแสดงความหมดหวัง โดยมีลักษณะการแต่งเป็นกลอนแปด (บางทีเรียกกลอนเพลงยาว)ขึ้นต้นด้วยวรรครับ คือ ขึ้นต้นด้วยวรรคทางขวามือ

92. พระมหามนตรี (ทรัพย์) แต่งวรรณคดีในลักษณะใด

(1) ล้อเลียนวรรณคดีเก่า (2) แสดงความตลกขบขัน

(3) สอบศาสนาและศีลธรรม (4) แสดงภูมิหลังทางวรรณกรรม

ตอบ 1 หน้า 140, (THA 3201 (TH 331) หน้า 156) พระมหามนตรี (ทรัพย์) เป็นกรีสมัยรัชกาลที่ 3 ที่มีชื่อเสียงมากเมื่อถึงแก่กรรมแล้ว และนับเป็นผู้ที่ก้าวหน้าเกินยุคสมัยในด้านการแต่งกลอนทำนอง เสียดสี (Satire) คือ เพลงยาวแคะได้พระยามหาเทพ (ทองปาน) และบทประพันธ์ล้อเลียน วรรณคดีเก่า (Parody) คือ เรื่องระเด่นลันได ซึ่งแต่งขึ้นเพื่อล้อเลียนวรรณคดีเรื่องอิเหนา โดย นอกจากกระบวนกลอนจะดีอย่างยิ่งแล้ว ยังได้แสดงอารมณ์ขันและบทล้อเลียนอันแยบยลอีกด้วย

93. วรรณคดีในข้อ 92. คือเรื่องใด

(1) พระมะเหลเถไถ (2) พระอภัยมณี (3) ลิลิตพระลอ (4) ระเด่นลันได

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ

94. วรรณคดีเรื่องใดที่ผู้แต่งถูกกล่าวว่าเป็นผู้เสียจริต

(1) ระเด่นลันได (2) พระมะเหลเถไถ (3) กากีคำกลอน (4) สาวิตรี

ตอบ 2 หน้า 140, (THA 3201 (TH 331) หน้า 158 – 161) คุณสุวรรณ เป็นกวีสตรีในสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นศิษย์ของสุนทรภู่ ต่อมาท่านได้เสียจริตแต่เขียนกลอนที่อ่านในเชิงขบขันกันทั่วบ้านทั่วเมือง คือ บทประพันธ์ล้อเลียนวรรณคดีเก่า (Parody) เรื่องอุณรุทร้อยเรื่อง และพระมะเหลเถไถ ซึ่งเข้าใจ ว่าแต่งในสมัยรัชกาลที่ 4 นอกจากนี้ยังมีกลอนเพลงยาวทำนองเสียดสี (Satire) คือ เพลงยาว จดหมายเหตุเรื่องกรมหมื่นอัปสรสุดาเทพประชวร และกลอนเพลงยาวเรื่องหม่อมเป็ดสวรรค์

จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 95-98

(1) Vendetta (2) Madame Butterfly (3) The Apple Tree (4) The Necklace

95. ข้อใดสัมพันธ์กับวรรณกรรมไทยเรื่องความพยาบาท

ตอบ 1 หน้า 144, 151, 156,(คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เกิดนวนิยายแปลเรื่องแรกของไทย คือ เรื่องความพยาบาท ของแม่วัน (พระยาสุรินทรราชา) ซึ่งเป็นเรื่องแปลมาจากเรื่อง Vendetta ของ Marie Corelli นักเขียนสตรีชาวอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2443 และต่อมาเรื่องความพยาบาท ก็ได้ลงตีพิมพ์ในหนังสือประเภทนิตยสารชื่อ “ลักวิทยา” โดยมีพระราชวรวงศ์เธอ พระองศ์เจ้า- รัชนีแจ่มจำรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) เป็นผู้ดำเนินการ

96. ข้อใดสัมพันธ์กับวรรณกรรมไทยเรื่องสร้อยคอที่หาย

ตอบ 4 หน้า 146, 151, 158, (คำบรรยาย) เรื่องสั้นแปลเรื่องแรกของไทย คือ เรื่องสร้อยคอที่หาย เป็นผลงานที่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ (ประเสริฐอักษร) กวีในสมัย รัชกาลที่ 6 ทรงได้เค้าโครงเรื่องและดัดแปลงมาจากต้นฉบับเรื่อง The Necklace ของนักประพันธ์ ชาวฝรั่งเศสชื่อ Guy de Maupassant

97. ข้อใดสัมพันธ์กับวรรณกรรมไทยเรื่องพยอมไพร

ตอบ 3 หน้า 155, 159 เรื่องพยอมไพร เป็นผลงานที่แม่อนงค์ (มาลัย ชูพินิจ) ดัดแปลง (Adaptation) มาจากเรื่อง The Apple Tree ของ Galsworthy

98. ข้อใดสัมพันธ์กับวรรณกรรมไทยเรื่องสาวเครือฟ้า

ตอบ 2 หน้า 146, 157 – 158, 192, (คำบรรยาย) บทละครร้องสลับพูดเรื่องสาวเครือฟ้า

ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ เป็นเรื่องดัดแปลงจากโอเปร่าเรื่อง Madame Butterfly ซึ่งเป็นนวนิยายของ John Luther Long อุปรากรของ Giacomo Puccini โดยมักใช้เล่นละครร้องสลับพูด คือ การแสดงที่ใช้วิธีการร้องเพลงเป็นส่วนใหญ่ แต่พูดได้บ้าง (พูดทบทวนเรื่องที่ร้องไปแล้ว เพื่อให้ฟังเรื่องได้ชัดเจนขึ้น ถ้าอ่านบทที่ไม่มีคำพูดประกอบเลย ก็จะเข้าใจเรื่องได้ตลอด) ซึ่งในปัจจุบันได้นำมาแสดงเป็นละครเวทีใช้ชื่อว่า “มิสไชง่อน”

จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 99. – 102.

(1) เรื่องแปล (2) เรื่องดัดแปลง (3) เรื่องแต่งใหม่ (4) เรื่องจริง

99. จดหมายจางวางหร่ำ เป็นวรรณกรรมประเภทใด

ตอบ 2 หน้า 17 – 18, 146, 156, 158 จดหมายจางวางหร่ำ เป็นผลงานของพระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจำรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.) ซึ่งเป็นเรื่องดัดแปลงแนวความคิด มาจากเรื่อง The Letters of a Self-made Merchant to His Son โดยมีเนื้อหาสาระ เป็นจดหมายจากบิดาถึงบุตร เพื่อตักเตือนสั่งสอนเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ของบุตรให้มีความขยัน หมั่นขวนขวายหาความรู้ใส่ตัว รู้จักประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย

100. สนุกนิ์นึก เป็นวรรณกรรมประเภทใด

ตอบ 3 หน้า 144, 151,(คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เกิดเรื่องสั้นเรื่องแรกของไทยที่เป็นเรื่อง แต่งขึ้นใหม่ คือ เรื่องสนุกนิ์นึก ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ซึ่งแต่งขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2429 โดยมีตัวละครเอกในเรื่องเป็นพระและใช้ฉากจริงในวัดบวรนิเวศวิหาร ทำให้เกิด ข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องสั้นเรื่องนี้อย่างกว้างขวาง จนกระทั่งไม่สามารถตีพิมพ์ตอนจบได้

101. ลิลิตนิทราชาคริต เป็นวรรณกรรมประเภทใด

ตอบ 2 หน้า 143 – 144, 150, 155 ลิลิตนิทราชาคริต เป็นงานพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 5 ซึ่งเดิมเป็นนิทานของชาวอาหรับ แต่รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชนิพนธ์เป็นเรื่องดัดแปลงตามเค้าเรื่องในนิทานชุด Arabian Night ตอน The Sleeper Awaken จากต้นฉบับฝรั่งเศสของ Anthony Galland ทำให้เกิดเสภาอาบูหะซันและบทละครเรื่องอาบูหะซันขึ้นในเวลาต่อมา

102. เวนิสวาณิช เป็นวรรณกรรมประเภทใด

ตอบ 1 หน้า 150, 156 – 157 บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 ที่เป็นเรื่องแปลและดัดแปลง มาจากต้นฉบับของวิลเลี่ยม เชกสเปียร์ (William Shakespeare) ได้แก่

1. เวนิสวาณิช ทรงแปลจาก The Merchant of Venice

2. ตามใจท่าน ทรงแปลจาก As You Like It

3. โรเมโอและจูเลียต ทรงแปลจาก Romeo and Juliet

4. พญาราชวังสัน เป็นเสภาที่ทรงดัดแปลงจาก Othello ฯลฯ

จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 103. – 106.

(1) ละครพูด (2) ละครร้องสลับพูด

(3) ละครสังคีต (4) ละครแบบเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำรง

103. วิวาห์พระสมุทร มักใช้เล่นละครประเภทใด

ตอบ 3 หน้า 192 ละครสังคีต คือ ละครที่มีบทพูดและบทร้องสำคัญเท่าเทียมกัน จะตัดบทพูดหรือ บทร้องออกไปไม่ได้ เพราะจะทำให้เสียการดำเนินเรื่อง เช่น บทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 เรื่องวั่งตี่ และเรื่องวิวาห์พระสมุทร เป็นต้น

104. ราชาธิราช ตอนมังมหานรธา มักใช้เล่นละครประเภทใด

ตอบ 4 หน้า 190 ละครแบบเจ้าพระยามหินทรคักดิ์ธำรง เป็นละครผู้หญิงที่หัดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยมีลักษณะเป็นละครแบบรวม คือ รวมแบบละครนอก ละครใน และงิ้วจีนปนกัน จึงเป็น ละครอีกแบบหนึ่งที่แปลกออกไป มีผู้นิยมดูมาก และมีบทละครที่ดัดแปลงมาจากพงศาวดารมอญ เช่น เรื่องราชาธิราช ตอนสมิงนครอินทร์รบกับมังมหานรธา เป็นต้น

105. หลวงจำเนียรเดินทาง มักใช้เล่นละครประเภทใด

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 23. ประกอบ

106. สาวเครือฟ้า มักใช้เล่นละครประเภทใด

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 98. ประกอบ

107. การใช้นามแฝงปรากฏเป็นครั้งแรกในหนังสือใด

(1) ลักวิทยา

(2) ทวีปัญญา

(3) วชิรญาณ

(4) ถลกวิทยา

ตอบ 3 หน้า 143 ,149 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้เริ่มมีการใช้นามแฝงอันเป็นแบบอย่างของประเทศตะวันตก ในการแต่งหนังสือ ซึ่งเริ่มปรากฏขึ้นครั้งแรกในหนังสือวชิรญาณเมื่อ พ.ศ. 2427

108. หนังสือในข้อ 107. เกิดขึ้นในรัชสมัยใด

(1) รัชกาลที่ 4 (2) รัชกาลที่ 5

(3) รัชกาลที่ 6 (4) รัชกาลที่ 7

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 107. ประกอบ

109. ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับจดหมายเหตุราชทูตไทยไปอังกฤษ

(1) ใช้ฉากประเทศยุโรป (2) เกิดการซื้อขายลิขสิทธิ์

(3) คำประพันธ์ประเภทร้อยแก้ว (4) บันทึกสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ .

ตอบ 2 หน้า 142, 149, (THA 3201 (TH 331) หม่อมราโชทัย (ม.ร.ว.กระต่าย อิศรางกูร) เป็นกวีในสมัยรัชกาลที่ 4 ที่มีบทบาทเป็นนักการทูต โดยท่านมีผลงานสำคัญ 2 เรื่อง เป็นวรรณคดีไทยที่ใช้ฉากในประเทศยุโรปมาบรรยายเรื่องเป็นครั้งแรก ได้แก่

1. จดหมายเหตุราชทูตไทยไปอังกฤษ (ร้อยแก้ว) เป็นบันทึกเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ไทยส่งคณะทูต ไปอังกฤษในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าๆ เมื่อปี พ.ศ. 2400

2. นิราศลอนดอน (ร้อยกรอง) เป็นวรรณคดีที่มีการซื้อขายลิขสิทธิ์เป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2405

110. ข้อใดไม่ใช่พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

(1) ไกลบ้าน (2) ลิลิตนิทราชาคริต

(3) บทละครเรื่องเงาะป่า (4) กามนิต-วาสิฏฐี

ตอบ 4 หน้า 143 – 144, 147 งานพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่5)มีดังนี้ 1.พระราชพิธีสิบสองเดือน 2.ไกลบ้าน 3.พระราชวิจารณ์ต่างๆ 4. ลิลิตนิทราชาคริต 5. บทละครเรื่องเงาะปา 6. กวีนิพนธ์เบ็ดเตล็ด

(ส่วนเรื่องกามนิต-วาลิฏฐี เป็นผลงานของเสฐียรโกเศศและนาคะประทีป)

111. ข้อใดคือลักษณะของละครแบบตะวันออก

(1) ถ่ายทอดชีวิตจริง (2) แสดงอารมณ์รุนแรง

(3) เป็นแบบอุดมคติมุ่งแต่เรื่องดีงาม (4) กล้าล้อเลียนและวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง

ตอบ 3 หน้า 186 ละครแบบตะวันออกจะมีลักษณะเป็นแบบอุดมคติ (Idealism) มุ่งแต่เรื่องดีงาม หรือเน้นความอภิรมย์หลีกหนีจากอารมณ์รุนแรงและเรื่องร้าย (Escape Literature) ซึ่งต่างจาก ละครแบบตะวันตกที่เป็นการถ่ายทอดเอาชีวิตจริงไปแสดงบนเวที การดูละครก็คือดูชีวิตของ ตนเอง บางครั้งอาจมีการแสดงอารมณ์รุนแรง กล้าล้อเลียนและวิพากษ์วิจารณ์ตนเอง จึงเป็น ละครประเภทสมจริง (Realism)

112. จากการศึกษาประวัติวรรณคดีไทยนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สรุปได้ว่าผู้แต่งวรรณคดีไทยเน้นเรื่องใด เป็นสำคัญ

(1) ใช้วรรณคดีถ่ายทอดจินตนาการใกล้ตัว (2) ใช้วรรณคดีเป็นเครื่องมือพัฒนาประเทศ

(3) ใช้วรรณคดีถ่ายทอดแนวคิดหริอปรัชญาชีวิต (4) ใช้วรรณคดีสร้างความบันเทิงและประเทืองปัญญา

ตอบ 4 (คำบรรยาย) จากการศึกษาประวัติวรรณคดีไทยนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สรุปได้ว่า ผู้แต่ง วรรณคดีไทยเน้นใช้วรรณคดีเพื่อสร้างความบันเทิงและประเทืองปัญญาเป็นสำคัญ โดยมุ่งให้ ผู้อ่านได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลินใจไปตามเนื้อเรื่อง ควบคู่ไปกับการให้ความรู้ความคิด เพื่อประเทืองปัญญาไปพร้อม ๆ กัน

113. คำกล่าวข้อใดถูกต้อง

(1) วรรณคดีร้อยกรองและร้อยแก้วพัฒนามาพร้อมกัน

(2) วรรณคดีร้อยกรองได้รับความนิยมมาก่อนร้อยแก้ว

(3) วรรณคดีเรื่องแรกของไทยเป็นคำประพันธ์ร้อยกรอง

(4) ปัจจุบันวรรณคดีร้อยกรองได้รับความนิยมมากกว่าร้อยแก้ว

ตอบ 2 หน้า 193, 201, (ศิลาจารึก หน้า 7), (คำบรรยาย) วรรณคดีร้อยกรองพัฒนาขึ้นและได้รับ ความนิยมมาก่อนร้อยแก้ว ทั้ง ๆ ที่วรรณคดีเรื่องแรกของไทย คือ ศิลาจารึกหลักที่ 1 หรือ ศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง จะแต่งเป็นวรรณคดีร้อยแก้วก็ตาม ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 จนถึงปัจจุบัน ความนิยมในการเขียนร้อยกรองค่อย ๆ ลดลง ส่วนร้อยแก้วกลับเจริญขึ้น อย่างรวดเร็วและได้รับความนิยมมากกว่าร้อยกรองจนถึงปัจจุบัน

114. ข้อใดไมใช่ลักษณะของร้อยกรองในอดีต

(1) เนื้อเรื่องอยู่ใบวงแคบ (2) ใช้จินตนาการใกล้ตัว

(3) มีธรรมเนียมในการบรรยาย (4) เป็นพุทธปรัชญาพื้น ๆ ง่าย ๆ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 33. ประกอบ

115. ข้อไดไมใช่ลักษณะของร้อยแก้วในปัจจุบัน

(1) เนื้อเรื่องขยายไปในวงกว้าง (2) มีรูปแบบการแต่งที่หลากหลาย

(3) มีเทคนิคในการแต่งมากขึ้นกว่าเดิม (4) นักเขียนมุ่งผลิตงานโดยไม่คำนึงถึงค่าตอบแทน

ตอบ 4 หน้า 202 – 204 ลักษณะของร้อยแก้วในปัจจุบันภายหลังได้รับอิทธิพลตะวันตกแล้ว มีดังนี้ 1. มีรูปแบบการแต่งที่หลากหลาย

2. เนื้อเรื่องขยายไปในวงกว้าง

3. แนวนิยมและปรัชญาการแต่งเบนแบบตะวันตก

4. มีเทคนิคในการแต่งมากขึ้นกว่าเดิม 5. มีความก้าวหน้าด้านสื่อมวลชน 6. มีแนวการเขียนแบบวิจารณ์ 7. นักเขียนมุ่งผลิตงาบโดยคำนึงถึงคำตอบแทน 8. มีการรวมกลุ่มนักเขียน

116. วรรณกรรมเรื่องใดได้รับรางวัลซีไรต์ประจำปี 2556

(1) คนแคระ (2) หัวใจห้องที่ห้า

(3) แม่น้ำรำลึก (4) แดดเช้าร้อนเกินกว่าจะนั่งจิบกาแฟ

ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) คณะกรรมการตัดสินรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน (ซีไรต์) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้หนังสือประเภทกวีนิพนธ์เรื่อง “หัวใจห้องที่ห้า” ของอังคาร จันทาทิพย์ ได้รับรางวัลซีไรต์ประจำปี พ.ศ. 2556

117. ใครเป็นผู้แต่งวรรณกรรมในข้อ 116.

(1) อังคาร จันทาทิพย์ (2) วิภาส ศรีทอง

(3) จเด็จ กำจรเดช (4) เรวัตร พันธุพิพัฒน์

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 116. ประกอบ

จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ 118. – 120.

(1) นวนิยาย (2) เรื่องสั้น (3) กวีนิพนธ์ (4) สารคดี

118. วรรณกรรมในข้อ 117. เป็นวรรณกรรมประเภทใด

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 116. ประกอบ

119. ในปี 2557 เรื่องที่ได้รางวัลซีไรต์เป็นวรรณกรรมประเภทใด

ตอบ 2 (ความรู้ทั่วไป) รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียน หรือซีไรต์ (The S.E.A. Write Award) ของประเทศไทย เริ่มมีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2522 โดยแต่ละปีที่ผ่านมาจะประกาศ รับพิจารณาวรรณกรรมวนเวียนอยู่เพียง 3 ประเภท คือ นวนิยาย เรื่องสั้น และบทกวีนิพนธ์ ซึ่งหากในปี พ.ศ. 2556 วรรณกรรมประเภทกวีนิพนธ์ได้รับรางวัลซีไรต์ ดังนั้นในปีถัดไป วรรณกรรมที่ได้รับรางวัลซีไรต์ก็จะเป็นวรรณกรรมประเภทเรื่องสั้น (พ.ศ. 2557) และ นวนิยาย (พ.ศ. 2558) ตามลำดับ

120. ในปี 2558 เรื่องที่ได้รางวัลซีไรต์เป็นวรรณกรรมประเภทใด

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 119. ประกอบ

SOC1003 สังคมวิทยาและมนุษยวิทยาเบื้องต้น ภาค 1 ปีการศึกษา 2552

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2552

ข้อสอบกระบวนวิชา SOC1003 สังคมวิทยาและมนุษยวิทยาเบื้องต้น

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. ตัวเลือกใดไม่ใช่ความเห็นว่าทำไมมนุษย์จึงต้องมาอยู่รวมกันเป็นสังคม

(1) มนุษย์ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ในระยะเริ่มต้น

(2) มนุษย์ต้องอาศัยความร่วมมือและแบ่งงานกันทำ

(3) แต่ละบุคคลมีความสามารถควบคุมธรรมชาติได้

(4) แต่ละบุคคลมีความสามารถจำกัดเฉพาะตัว

(5) การถ่ายทอดวัฒนธรรมต้องทำต่อเนื่องกันไปไม่ขาดระยะ

ตอบ 3 ปัจจัยที่ทำให้มนุษย์ต้องมาอยู่รวมกันเป็นสังคม ได้แก่

1.มนุษย์มีระยะแห่งการเป็นทารกนานและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ในระยะเริ่มต้นของชีวิต จึงจำเป็นต้องมีผู้เลี้ยงดูในขณะที่เป็นทารก

2.มนุษย์มีความสามารถด้านสมอง สามารถคิดค้นและควบคุมธรรมชาติได้ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือและแบ่งงานกันทำกับคนอื่น ๆ ในสังคม เพราะการควบคุมธรรมชาตินั้นบุคคลคนเดียวไม่สามารถที่จะกระทำได้ และแต่ละบุคคลก็มีความสามารถจำกัดเฉพาะตัว

3.มนุษย์สามารถสร้างและถ่ายทอดวัฒนธรรม ซึ่งการถ่ายทอดวัฒนธรรมเป็นกระบวนการที่จะต้องกระทำต่อเนื่องกันไปไม่ขาดระยะ ทำให้มีความจำเป็นที่มนุษย์ต้องมาอยู่ร่วมกันตลอดไป

2. ผู้ใดทำให้สังคมวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ทางสังคม

(1) ค้องท์ (Comte) และบาร์นส์ (Barnes)

(2) บาร์นส์ (Barnes) และสเปนเซอร์ (Spencer)

(3) สเปนเซอร์ (Spencer) และค้องท์ (Comte)

(4) มาลินอฟสกี้ (Malinowski) และมาร์กซ์ (Marx)

(5) เวเบอร์ (Weber) และเดอร์ไคม์ (Durkherm)

ตอบ 3 สเปนเซอร์ (Spencer) และค้องท์ (Comte) เป็นผู้ที่ทำให้ความรู้เกี่ยวกับคนและสังคมหรือสังคมวิทยากลายเป็น “วิทยาศาสตร์ทางสังคม” ขึ้นมา โดยพยายามใช้วิธีการศึกษาทุกขั้นตอนเหมือนกับการทดลองวิทยาศาสตร์ในการแสวงหาความรู้และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการศึกษามนุษย์และสังคมมนุษย์

3. การศึกษาสังคมในระยะเริ่มแรกเป็นแบบใด

(1) สามัญสำนึก (2) ตั้งและทดสอบสมมติฐาน

(3) วิเคราะห์เชิงเหตุผล (4) อธิบายด้วยทฤษฎี (5) สรุปตามข้อเท็จจริง

ตอบ 1 ในระยะเริ่มแรกของการศึกษาสังคมนั้น ความรู้ที่ได้รับมักจะออกมาในรูปของสามัญสำนึก(Common Sense) คือ เป็นข้อสรุปที่เกิดจากความรู้สำนึกคิดของแต่ละคนว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ซึ่งทำให้การตั้งกฏเกณฑ์และทฤษฎีของการศึกษาในสังคมในสมัยนั้นยังไม่สามารถจัดได้ว่าเป็นศาสตร์ (Science)

4. นักวิชาการท่านใดเปรียบสังคมเหมือนร่างกายมนุษย์ อวัยวะทุกส่วนจะแสดงอาการหรือพฤติกรรมที่ได้รับมอบหมาย

(1) อริสโตเติล (Aristotle) และดาร์วิน (Darwin)

(2) ค้องท์ (Comte) และบาร์นส (Barnes)

(3) เดอร์ไคม์ (DurKheim) และเวเบอร์ (Weber)

(4) มาร์กซ์ (Marx) และลีซ (Leach)

(5) เรดคลิฟฟ์-บราวน์ (Radcliffe-Brown) และมาลินอฟสกี้ (Malinowski)

ตอบ 5 เรดคลิฟฟ์-บราวน์ (Radcliffe-Brown) และมาลินอฟสกี้ (Malinowski) เป็นนักวิชาการที่

ได้ศึกษาสังคมโดยเน้นการศึกษาด้านโครงสร้างและหน้าที่ ด้วยการเปรียบเทียบว่าสังคมเป็น

เสมือนร่างกายมนุษย์ โดย “โครงสร้าง” ทางด้านร่างกายเมื่อประกอบกันแล้วก็จะเป็นร่างกาย

มนุษย์ที่สมบูรณ์ อวัยวะทุกส่วนจะมี “หน้าที่” และจะแสดงกิริยาอาการหรือพฤติกรรมที่ได้รับ

มอบหมาย สังคมก็เป็นเช่นเดียวกัน โดยมีการแบ่งระบบความสัมพันธ์ของคนออกเป็นส่วนต่าง

ๆ และแต่ละส่วนก็จะมีหน้าที่แสดงไปตามบทบาทที่ถูกกำหนดไว้

5. ตัวเลือกใดไม่ใช่ผลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสังคมมนุษย์

(1) ทำให้มนุษย์สามารถแยกตัวอยู่โดดเดี่ยวได้

(2) ทราบแนวทางประพฤติปฏิบัติตามกฎหมายที่สังคมกำหนดขึ้น

(3) เข้าใจโครงสร้างและรูปแบบของสังคม

(4) เกิดประโยชน์ต่อทุกวิชาชีพเพราะต้องสัมพันธ์กับสังคม

(5) เข้าใจสาเหตุที่กำหนดพฤติกรรมเบี่ยงเบน

ตอบ 1 ผลที่ได้รับจากการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสังคมมนุษย์ มีดังนี้

1.เข้าใจลักษณะ รูปแบบ และโครงสร้างของสังคมตนเองและสังคมอื่น ๆ ซึ่งทำให้ทราบถึงแนวทางประพฤติปฏิบัติตามกเกณฑ์ที่สังคมได้กำหนดขึ้น

2.สามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อสมาชิกร่วมสังคมและสมาชิกร่วมโลก เข้าใจสถานภาพและบทบาทของตนเองและผู้อื่น ทั้งนี้ก็เนื่องจากมนุษย์จะแยกตัวอยู่โดดเดี่ยวไม่ได้

3.เข้าใจสาเหตุที่กำหนดพฤติกรรมเบี่ยงเบน และปรากฏการณ์ทางสังคมที่เป็นโทษ

4.เกิดประโยชน์ต่อทุกวิชาชีพ เพราะทุกฝ่ายต่างจะต้องใช้วิชาชีพนั้น ๆ กับคนในสังคมทั้งสิ้น

6. ตัวเลือกใดไม่ใช่สาระของสังคมวิทยา

(1) ศึกษาความสัมพันธ์ของบุคคลในสังคม (2) ศึกษาสังคมมนุษย์ทั้งสังคม

(3) ศึกษาสังคมทั้งในส่วนย่อยของสังคมและส่วนใหญ่ (4) ศึกษาว่าสังคมประเภทใดสามารถคงอยู่ได้นาน

(5) ศึกษาสถาบันต่าง ๆ ตั้งแต่สถาบันครอบครัว จนถึงสถาบันการเมืองแต่ไม่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ

ตอบ 5 สาระของสังคมวิทยา มีดังนี้

1.ศึกษาความสัมพันธ์ของบุคคลในสังคม เช่น ระหว่างบิดามารดากับบุตร พี่กับน้อง ฯลฯ

2.ศึกษาสังคมมนุษย์ทั้งสังคมโดยพยายามศึกษาสังคมทั้งในส่วนย่อยของสังคมและส่วนใหญ่คือ ศึกษาภาวะหรือโครงสร้างภายในของสังคม และลักษณะภายในของสังคมต่าง ๆ เช่นศึกษาว่าสังคมประเภทใดสามารถคงอยู่ได้นาน

3.ศึกษาสถาบันต่าง ๆ ตั้งแต่สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันเศรษฐกิจจนถึงสถาบันการเมืองระดับรัฐ

7. สังคมวิทยาเกิดขึ้นมาเพราะสาเหตุใด

(1) ความสนใจสภาพแวดล้อมของชนบทที่เปลี่ยนไป เพราะการปฏิวัติทางการเกษตร

(2) คนสังคมยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีมากเกินไป ทำให้สังคมภายหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมมีปัญหา

(3)ชาวไร่ชาวนาขยายพื้นที่เกษตรกรรมมากขึ้นภายหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม

(4)ชาวชนบทมีสิทธิเสรีภาพในความเป็นอยู่มากเกินไป สังคมจึงเกิดปัญหา

(5)เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนโครงสร้างของสังคม

ตอบ 5 สังคมวิทยาเกิดขึ้นเพื่อสนองตอบต่อวิกฤตการณ์และปัญหาของประเทศยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่19 โดยมีองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดวิชาสังคมวิทยาก็คือ ผลสะท้อนของการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสังคมตะวันตกเป็นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งก่อให้เกิดความหวังและความตื่นตระหนกในเรื่องชีวิตอนาคต ดังนั้นสังคมวิทยาจึงเกิดขึ้นมาเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนโครงสร้างของสังคม

8. ฉายาของสังคมวิทยาว่า “ราชินีแห่งศาสตร์” มีความหมายอย่างไร

(1) ศาสตร์ที่มีทฤษฎีมากกว่าศาสตร์ชนิดอื่น (2) ศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์

(3) ศาสตร์ที่มีวิธีการศึกษาหลากหลาย (4) ศาสตร์ที่แตกแขนงออกไปหลายสาขา

(5) ศาสตร์ที่มีผู้นิยมศึกษามาก

ตอบ 4 ออกัส ค้องท์ (Comte) เป็นผู้ให้ฉายาสังคมวิทยาว่าเป็น “ราชินีแห่งศาสตร์” ทั้งนี้เนื่องจากสังคมวิทยาเป็นศาสตร์ที่แตกแขนงออกไปเป็นหลายสาขา ซึ่งเปรียบเสมือนสตรีผู้สูงศักดิ์ที่มีบุตรธิดามาก และยังหมายถึงการมีความสำคัญแทรกอยู่ในบรรดาวิทยาการต่าง ๆ

9. ความสัมพันธ์กันทางสังคมแบ่งได้เป็น 2 ประเภทตามตัวเลือกใด

(1) สถานภาพ และค่านิยม (2) บทบาท และโครงสร้างสังคม

(3) สถานภาพ และบทบาท (4) โครงสร้างสังคม และค่านิยม

(5) โครงสร้างสังคม และการปะทะสังสรรค์ทางสังคม

ตอบ 3 ความสัมพันธ์กันทางสังคม (Social Relations) แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

1. สถานภาพ (Status) 2. บทบาท (Role)

10. ตัวเลือกใดไม่ใช่รูปแบบของกระบวนการทางสังคมตามแนวคิดของปาร์ค และเบอร์เกรส (Park andBurgress)

(1) การร่วมมือกันปฏิบัติงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์

(2) การดิ้นรนสู่เป้าหมายเดียวกันของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป

(3) กระบวนการที่บุคคลตกลงยินยอมปรับตัวให้เข้ากัน

(4) ทัศนคติหรือความเห็นของบุคคล 2 ฝ่าย ไม่ตรงกัน

(5) กระบวนการเปลี่ยนแปลงตามวัยของบุคคลในสังคม

ตอบ 5 Park และ Burgress แบ่งกระบวนการทางสังคมออกเป็น 5 รูปแบบ ดังนี้

1.การร่วมมือ เป็นกระบวนการที่บุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปปฏิบัติตามหรือร่วมมือกันปฏิบัติงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์

2.การแข่งขัน เป็นการดิ้นรนสู่เป้าหมายเดียวกันของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป

3.การสมานลักษณ์ เป็นกระบวนการที่บุคคลตกลงยินยอมที่จะปรับตัวให้เข้ากัน

4.การกลืนกลายหรือการปรับปรน เป็นกระบวนการผสมกลืนกลนของบุคคลแต่ละกลุ่มในเรื่องทัศนคติ ความเชื่อ วัฒนธรรม ฯลฯ

5.การขัดกัน เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเมื่อทัศนคติหรือความเห็นของบุคคล 2 ฝ่าย ไม่ตรงกัน

11. ตัวเลือกใดไม่ใช่จุดมุ่งหมายของการอบรมให้รู้ระเบียบสังคม

(1) ปลูกฝังระเบียบวินัย (2) ปลูกฝังความมุ่งหวัง (3) ให้รู้จักบทบาททางสังคม

(4) ให้เกิดทักษะความรู้ความชำนาญที่จะร่วมกิจกรรมกับผู้อื่น

(5) ให้รู้จักใช้ไหวพริบหลบหลีกปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม

ตอบ 5 จุดมุ่งหมายของการอบรมให้เรียนรู้ระเบียบของสังคม ได้แก่ การปลูกฝังระเบียบวินัยปลูกฝังความมุ่งหวัง สอนให้คนรู้จักบทบาททางสังคมและทัศนคติต่าง ๆ รวมทั้งเพื่อให้เกิดทักษะหรือความรู้ความชำนาญที่จะร่วมกิจกรรมกับผู้อื่น

12. การอธิบายโดยวิธีอุปนัย (Inductive Method) หมายถึงตัวเลือกใด

(1) เลือกประชากรส่วนหนึ่งมาศึกษาแล้วสรุปว่าประชากรทั้งหมดมีลักษณะอย่างไร

(2) ศึกษาประชากรทั้งหมดแล้วสรุปว่าประชากรส่วนย่อยมีลักษณะอย่างไร

(3) ศึกษาประชากรทั้งหมดแล้วสรุปว่าประชากรทั้งหมดมีลักษณะอย่างไร

(4) ศึกษาประชากรส่วนหนึ่งแล้วสรุปว่าประชากรส่วนนั้นมีลักษณะอย่างไร

(5) เลือกประชากรส่วนหนึ่งมาศึกษาแล้วนำไปเปรียบเทียบกับลักษณะของประชากรส่วนใหญ่หรือทั้งหมด

ตอบ 1 หลักตรรกวิทยาที่สำคัญ มีดังนี้

1. วิธีนิรนัย (Deductive Method) เป็นการอธิบายส่วนใหญ่มาหาส่วนน้อย

2. วิธีอุปนัย (Inductive Method) เป็นการอธิบายในเชิงเป็นไปได้ เมื่อรู้ว่าส่วนน้อยเป็นอย่างไรก็นำไปอธิบายส่วนใหญ่ โดยจะเลือกจำนวนประชากรจำนวนหนึ่งมาศึกษาแล้วสรุปว่าจำนวนประชากรทั้งหมดมีลักษณะอย่างเดียวกับตัวอย่างที่ศึกษา

13. การลงแขกช่วยกันทำนา คือวัฒนธรรมตามตัวเลือกใด

(1) ขนบธรรมเนียมประเพณี

(2) สิ่งที่ได้รับการยอมรับและยกย่องมาเป็นเวลานานแล้ว

(3) สิ่งที่ดีงามได้รับการปรุงแต่งให้ดีแล้ว

(4) มาจากรากศัพท์ “วัฒน” หรือ “พัฒนะ” ซึ่งแปลว่าเจริญ

(5) ความประพฤติล้าหลังนำไปสู่ความเสื่อม

ตอบ 1 ความหมายของ “วัฒนธรรม” แบ่งออกเป็น 3 ความหมายใหญ่ ๆ ดังนี้ คือ

1.วัฒนธรรมตามรากศัพท์เดิม หมายถึง สิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ได้รับการปรุงแต่งให้ดีแล้ว

2.วัฒนธรรม คือ ขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ เช่น การหมั้น การสมรส การขึ้นบ้านใหม่การบวชนาค การลงแขกช่วยกันทำนา การแห่นางแมวขอฝน ฯลฯ

3.วัฒนธรรมตามนัยแห่งสังคมศาสตร์ ถือว่ามีความหมายกว้างขวางที่สุด เพราะมีขอบเขตเกินกว่าการเป็นสิ่งดีงามหรือเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี

14. ตัวเลือกใดไม่ใช่วัฒนธรรมอันเป็นผลจากการเรียนรู้

(1) การใช้ศัพท์สแลงที่นิยมพูดกัน (2) การแปรงฟัน

(3) การใช้โทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุด (4) การสัมผัสมือแสดงการทักทาย

(5) การกะพริบตาเพื่อไล่เหงื่อที่ไหลเข้าตา

ตอบ 5 วัฒนธรรมเป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ ได้แก่ การใส่ผมปลอม การจงใจกะพริบตาการจงใจทำตาหลิ่ว การแปรงฟัน การเข้าคิว การไปดูภาพยนตร์ การใช้ศัพท์สแลง การใช้โทรศัพท์ การสัมผัสมือแสดงการทักทาว ฯลฯ ส่วนพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของร่างกาย

15. ตัวเลือกใดไม่ใช่วัฒนธรรมที่มีการส่งต่อหรือได้รับถ่ายทอด

(1) การบังคับให้เลิกกินหมากในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

(2) การแต่งกายตามแบบนักร้องนักแสดง

(3) การอบรมให้รู้จักประเพณีการไหว้

(4) การที่สุนัขหรือแมวได้รับการฝึกให้ถ่ายในพื้นที่ที่กำหนด

(5) การใช้คำภาษาอังกฤษแทนคำภาษาไทย

ตอบ 4 วัฒนธรรมที่มีการส่งต่อหรือได้รับการถ่ายทอดนั้น อาจเป็นโดยเจตนาคือโดยจงใจ เช่น การอบรมให้รู้จักประเพณีการไหว้ การบังคับให้คนไทยใส่หมวกและให้เลิกกินหมากในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ฯลฯ หรือไม่จงใจก็ได้ เช่น การนิยมทรงผมหรือการแต่งตัวแบบดารา การใช้คำภาษาอังกฤษแทนคำภาษาไทย ฯลฯ (โดยวัฒนธรรมไม่มีในสังคมที่ต่ำกว่ามนุษย์)

16. พัฒนาการ (Development) หมายถึงตัวเลือกใด

(1) การเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบต่อสังคมและศาสนาอย่างมาก

(2) การเปลี่ยนแปลงที่มีการวางแผนหรือจงใจให้มีการเปลี่ยนแปลง

(3) การเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

(4) การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ เป็นไปได้โดยธรรมชาติ

(5) การรัฐประหารเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ตอบ 2 ศัพท์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม มีดังนี้

1.วิวัฒนาการ (Evolution) คือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นช้า ๆ เป็นไปโดยธรรมชาติและกิจวัตร

2.พัฒนาการ (Development) คือ การเปลี่ยนแปลงที่มีการวางแผนหรือจงใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

3.การปฏิรูป (Reform) คือ การเปลี่ยนแปลงที่มีผลกระทบมากของสังคมและศาสนา

4.การปฏิวัติ (Revolution) คือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างขนานใหญ่มีผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

17. วัฒนธรรมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจ ตรงกับคำกล่าวใด

(1) ท่านไม่อาจกระโดดลงไปในแม่น้ำเดิมได้ 2 ครั้ง

(2) น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา

(3) งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา

(4) น้ำขึ้นให้รีบตัก

(5) น้ำมีสภาพที่ไหลลงสู่ที่ต่ำเสมอ

ตอบ 1 ข้อความที่แสดงให้เห็นว่าวัฒนธรรมมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจและมีมานานแล้วคือ You can’t jump into the same river twice แปลว่า “ท่านไม่อาจกระโดดลงไปในแม่น้ำสายเก่าได้ 2 ครั้ง” กล่าวคือ วัฒนธรรมเปรียบเสมือนกับแม่น้ำซึ่งไม่อยู่คงที่ และตัวผู้กระโดดเองก็เปลี่ยนแปลงจากเดิมแม้จะห่างกันเพียง 1 นาที

18. ตัวเลือกใดเป็นอนุวัฒนธรรมท้องถิ่น (Regional Subculture)

(1) ชาวนามีวิถีการดำรงชีวิตต่างจากชาวประมง

(2) คนวรรณะศูทรในแคว้นปัญจาบมีขนบปฏิบัติต่างจากคนวรรณะอื่น

(3) ชาวเหนือมีการผูกข้อมือหรือทำบายศรีสู่ขวัญ

(4) ชาวชนบทในเอมริกาใช้เครื่องทุ่นแรงแทนแรงงานคนหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม

(5) คนเชื้อสายมอญจัดงานสงกรานต์ต่างจากคนท้องถิ่นอื่น

ตอบ 3 อนุวัฒนธรรมท้องถิ่น (Regional Subculture) เป็นอนุวัฒนธรรมชนิดหนึ่งซึ่งมองในแง่ภูมิศาสตร์ กล่าวคือ สภาพทางภูมิศาสตร์มีส่วนทำให้ขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษา สำเนียงพูดการแต่งกาย อาหาร ลักษณะเคหสถาน การประกอบอาชีพ อุปนิสัยใจคอแตกต่างกันไปบ้างในแต่ละท้องถิ่น เช่น ภาคเหนือมีการผูกข้อมือหรือทำบายศรีสู่ขวัญ ภาคอีสานมีการเล่นบ้องไฟภาคกลางนิยมเพลงเรือ ฯลฯ

19. ตัวเลือกใดแสดงถึงความเฉื่อยทางวัฒนธรรมด้านวัตถุกับวัตถุ

(1) ถนนสร้างได้ช้ากว่าปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น

(2) เครื่องจักรสำหรับลักลอบตัดไม้พัฒนาเร็วกว่ากฎหมาย

(3) โจรผู้ร้ายพัฒนากรรมวิธีโจรกรรมได้ไวกว่าการปราบปราม

(4) ความเจริญทำให้มีระบบโรงงาน ส่งผลให้คนทำงานนอกบ้านมากขึ้น

(5) ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พัฒนาช้ากว่าการผลิตอาวุธสงคราม

ตอบ 1 ความเฉื่อยทางวัฒนธรรม แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ

1.อัตราการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกันระหว่างวัฒนธรรมด้านวัตถุกับวัตถุ เช่น รถยนต์มีเพิ่มมากขึ้นในอัตราที่สูงกว่าเนื้อที่ถนน กระสุนปืนสามารถผลิตได้เร็วกว่าตัวปืน ฯลฯ

2.อัตราการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างกันระหว่างวัฒนธรรมด้านวัตถุกับอวัตถุ เช่น เครื่องจักรตัดไม้ทันสมัยยิ่งขึ้นแต่กฎหมายควบคุมการทำลายป่าเกิดขึ้นช้าโจรกรรมวิธีใหม่ ๆ แต่วิธีการปราบปรามยังล้าหลังตามไม่ค่อยทัน ฯลฯ

20. ข้อใดเป็นลักษณะของกลุ่มคน

(1) เป็นจำนวนรวม (2) มีแบบแผนบางอย่างร่วมกัน

(3) มีความรู้สึกสำนึกเป็นพวกเดียวกัน (4) มีการติดต่อกันตามสภาพและบทบาท

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ลักษณะของ “กลุ่ม” เป็นสังกัปที่นักสังคมวิทยาให้ความหมายไว้แตกต่างกัน เช่น

1.คนจำนวนหนึ่งมาอยู่รวมกัน หรือกำลังรอคอยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับ“จำนวนรวม”

2.คนจำนวนหนึ่งที่มีลักษณะบางอย่างเหมือนกัน ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับ “จำนวนพวก”

3.คนจำนวนหนึ่งซึ่งมีแบบแผนบางอย่างร่วมกัน มีการกระทำโต้ตอบซึ่งกันและกัน และมีการติดต่อสัมพันธ์กันตามสภาพและบทบาท

4.กลุ่มสังคมหรือกลุ่มคนจำนวนหนึ่งซึ่งมีความรู้สึกสำนึกเป็นพวกเดียวกัน ฯลฯ

21. ข้อใดเป็นตัวอย่างของกลุ่มทุติยภูมิ

(1) ครอบครัว

(2) กลุ่มเพื่อนเล่น

(3) เพื่อนบ้านละแวกเดียว

(4) ชมรมอนุรักษ์นกเงือก

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 กลุ่มทุติยภูมิ (Secondary Group) เป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ มีการติดต่อทางสังคมที่ห่างเหินและระยะสั้น การติดต่อสัมพันธ์เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนดหรือตามหน้าที่ การติดต่อมุ่งให้ได้ประโยชน์มากกว่าความรู้สึกส่วนตัวโดยกลุ่มทุติยภูมิแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ

1.กลุ่มสมาคมหรือองค์การ เช่น สมาคมศิษย์เก่า ชมรมอนุรักษ์นกเงือก ฯลฯ

2. กลุ่มชาติพันธุ์ 3. กลุ่มชนชั้น

22. นักวิชาการท่านใดบัญญัติศัพท์คำว่า “กลุ่มปฐมภูมิ” (Primary Group)

(1) คูลีย์ (Cooley)

(2) ค้องท์ (Comte)

(3) เดอร์ไคม์ (Durkheim)

(4) มาร์กซ์ (Marx)

(5) เวเบอร์ (Weber)

ตอบ 1 กลุ่มปฐมภูมิ (Primary Group) เป็นกลุ่มคนที่มีขนาดเล็ก และมีการติดต่อกันทางสังคมใกล้ชิดสนิทสนม กระทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยมีจุดหมายร่วมกัน และมักจะใช้ความรู้สึกทางสังคมใกล้ชิดสนิทสนม กระทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยมีจุดหมายร่วมกัน และมักจะใช้ความรู้สึกอารมณ์ มากกว่าเหตุผล ตัวอย่างของกลุ่ม เช่น ครอบครัว เพื่อนเล่น เพื่อนบ้าน ฯลฯ โดยผู้บัญญัติศัพท์คำว่า Primary Group ก็คือ คูลีย์ (Cooley) นักสังคมวิทยาชาวอเมริกัน

23. ข้อใดเปรียบได้กับกลุ่ม “Gemeischaft”

(1) กลุ่มปฐมภูมิ (2) กลุ่มชนชั้น (3) กลุ่มชาติพันธุ์

(4) สมาคมศิษย์เก่า (5) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 1 ผู้บัญญัติศัพท์คำว่า Gemeinschaft และ Gesellschaft คือ ทอนนีย์ (Tonnies) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน โดยได้ให้ความหมายไว้อย่างหยาบ ๆ ว่า Gemeinschaft คือ ชุมชน(Community) ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับกลุ่มปฐมภูมิ เช่น กลุ่มคนในชนบท หรือชุมชนใน

24. ระยะห่างทางสังคมเป็นเกณฑ์วัดอะไร

(1) การวัดระดับความใกล้ชิด (2) การยอมรับ (3) อคติที่มีต่อกลุ่มอื่น

(4) การวัดกลุ่มเรา-กลุ่มเขา (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ระยะห่างทางสังคม (Social Distance) เป็นศัพท์ทางจิตวิทยาสังคม เป็นการวัดระดับของ

ความใกล้ชิด หรือการยอมรับ หรืออคติที่เรารู้สึกต่อคนกลุ่มอื่น และสามารถนำมาใช้วัดความ

เป็นกลุ่มเรา-กลุ่มเขาได้เป็นอย่างดี

25. สถาบันทางสังคมที่เก่าแก่ที่สุดคือข้อใด

(1) ครอบครัว

(2) ศาสนา

(3) การศึกษา

(4) การเมือง (5) เศรษฐกิจ

ตอบ 1 ในทางสังคมวิทยาถือว่า ครอบครัวมีลักษณะที่มีความเป็นสถาบันอยู่ 3 ประการด้วยกัน คือ

1.เป็นสถาบันทางสังคม หมายถึง มีรูปแบบที่เป็นกระสวนทางพฤติกรรมตามหน้าที่อย่างที่สังคมกำหนด และมีโครงสร้างทางสังคมที่เป็นตัวกำหนดค่านิยม

2.เป็นสถาบันที่เก่าแก่ที่สุดของสังคม มีมาพร้อมกับมนุษย์ และคงอยู่กับมนุษย์ตลอดเวลา

3.เป็นสถาบันสากล เนื่องจากมีปรากฏในทุกสังคม

26. การศึกษา “เพศศึกษา” และ “เพศสัมพันธ์” จัดเป็นการศึกษาครอบครัวแบบใด

(1) สุขศาสตร์ (2) จิตวิทยา (3) สังคมวิทยา (4) มานุษยวิทยา (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 แนวการศึกษาครอบครัว แบ่งออกเป็น 2 แนว คือ

1.แนวสังคมศาสตร์ เป็นหลักวิชาที่ต้องศึกษาเน้นหนักถึงความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันทางสังคมในด้านมานุษยวิทยา สังคมวิทยา และจิตวิทยา

2.แนวสุขศาสตร์ เป็นการศึกษาเพื่อประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นซึ่งมุ่งเน้นที่ตนเองเป็นหลักโดยจะให้ความสนใจในเรื่องการศึกษาเพศศึกษา (Sex Education) เพศสัมพันธ์ (SexRelation)

27. ครอบครัวประเภทใดให้สิทธิ์อำนาจแก่ผู้อาวุโส

(1) ครอบครัวเดียว (2) ครอบครัวขยาย (3) ครอบครัวประกอบร่วม

(4) ครอบครัวพหุคู่ครอง (5) ครอบครัวภาวะจำยอม

ตอบ 2 ครอบครัวขยาย มีลักษณะสำคัญดังนี้

1.เป็นครอบครัวร่วม ซึ่งประกอบด้วยครอบครัวหน่วยกลางตั้งแต่ 2 ครอบครัวขึ้นไป หรือเป็นครอบครัวที่มีสมาชิกช่วงวัย

2.อำนาจสิทธิ์ขาดภายในครอบครัวขึ้นอยู่กับระบบอาวุโสสูงสุดจะได้รับการยกย่องจากสมาชิกครอบครัว

3.ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกจะกระจายมากกว่าครอบครัวหน่วยกลางซึ่งส่วนใหญ่มักปรากฏในสังคมเกษตรกรรมหรือสังคมดั้งเดิม อันเป็นสังคมล้าหลัง

28. หน้าที่ของครอบครัวคือข้อใด

(1) สร้างสมาชิกใหม่ให้สังคม (2) หล่อหลอมสมาชิกให้เป็นสมาชิกที่ดีทางสังคม

(3) ปลูกฝังบุคลิกภาพ (4) ทำหน้าที่แทนสถาบันอื่น ๆ

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้าที่ของครอบครัว มีดังนี้

1.ช่วยสร้างสมาชิกใหม่ให้กับสังคม

2.เป็นแหล่งหล่อหลอมให้สมาชิกของครอบครัวสามารถดำรงตนเป็นสมาชิกที่ดีและอยู่ในสังคมได้

3.ช่วยเสริมสร้างและปลูกผังบุคลิกภาพให้กับสมาชิกในครอบครัว

4.ช่วยทำหน้าที่แทนสถาบันทางสังคมอื่น

29. ข้อใดคือการสิ้นสภาพครอบครัว

(1) ตาย (2) หย่า (3) การมีภรรยาน้อย

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 การสิ้นสภาพครอบครัว มี 2 ประการ คือ

1.การสิ้นโดยธรรมชาติ เป็นการสิ้นสภาพครอบครัวในรูปของความตาย

2.การสิ้นโดยกติกาทางสังคม (การสิ้นตามกฎหมาย) แบ่งออกเป็น 2 วิธี ได้แก่ การหย่า และศาลสั่ง (สั่งให้การสมรสสิ้นสุดลง)

30. ศาสนาประกอบด้วยลักษณะตามตัวเลือกใด

(1) มีศาสดาผู้ก่อตั้ง (2) มีคำสอน (3) มีหลักความเชื่อ

(4) มีพิธีกรรม (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ศาสนาต้องประกอบด้วยลักษณะทั้งหมดหรือส่วนมาก ดังต่อไปนี้

1. มีศาสดาผู้ก่อตั้ง 2. มีคำสอนเกี่ยวกับหลักศีลธรรมจรรยา 3. มีหลักความเชื่อถือ อันเป็นที่หมาย 4. มีพิธีกรรม 5. มีสถาบันทางศาสนา

31. ศาสนาจุลภาค หมายถึงข้อใด

(1) ศาสนาหลัก

(2) ศาสนาสถาบัน

(3) การผูกพันอยู่กับสภาวะเหนือธรรมชาติ

(4) ความเชื่อที่มีรูปแบบมั่นคง

(5) ความเชื่อจากข้อกำหนดของสังคม

ตอบ 3 ศาสนาโดยการยอมรับ แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ

1.ศาสนามหัพภาค หมายถึง ศาสนาหลักหรือศาสนาสถาบัน ซึ่งเป็นระบบความเชื่อที่เกิดขึ้น

จากข้อกำหนดของสังคม และมีรูปแบบความเชื่อที่มั่งคง มักเป็นศาสนาของโลกหรือเป็นที่

ยอมรับกันทั่วโลก เช่น ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ฯลฯ

2.ศาสนาจุลภาค หมายถึง ศาสนาย่อยหรือศาสนาธรรมชาติ ซึ่งเป็นระบบความเชื่อที่ผูกพันอยู่

กับสภาวะเหนือธรรมชาติ โดยจะยอมรับนับถือกันเฉพาะคนบางกลุ่มบางเหล่าเท่านั้น เช่น

การนับถือผีบรรพบุรุษ การนับถือวิญญาณ การนับถือไสยศาสตร์ เครื่องราง ฯลฯ

32. ท่านใดกล่าวถึงความสำคัญของศาสนาว่า “มีประโยชน์ในด้านปลอบประโลมใจในยามทุกข์ยาก”

(1) ฟรอยด์ (Freud)

(2) มาร์กซ์ (Marx)

(3) เวเบอร์ (Weber)

(4) มาลินอฟสกี้ (Malinowski)

(5) วอร์เนอร์ (Warner)

ตอบ 1 ความสำคัญของศาสนาในทางสังคมวิทยานั้น ได้มีผู้แสดงความเห็นไว้ดังนี้

1.ฟรอยด์ (Freud) เห็นว่า ศาสนามีประโยชน์ในด้านเป็นเครื่องปลอบประโลมใจในยามทุกข์ยาก

2.มาร์กซ์ (Marx) ศาสนาเป็นยาเสพติด เพราะก่อให้เกิดความงมงาย และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิวัติทางการเมือง ซึ่งเป็นการมองศาสนาไปในแง่ร้าย

3.มาลินนอฟสกี้ (Malinowski) เห็นว่า ศาสนาและพิธีกรรมมักเกี่ยวพันกับความไม่แน่ใจในเรื่องธรรมชาติ ความเกรงกลัวในสิ่งที่ไม่แน่นอนหรือสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ ทำให้คนมุ่งไปที่ศาสนาหรือพิธีกรรม

33. ข้อใดไม่ใช่ความเชื่อประเภทอเทวนิยม

(1) อาศัยเหตุผล

(2) เน้นความเป็นจริง

(3) พิสูจน์ได้ตามหลักเหตุผล

(4) ผูกพันกับเทพเจ้า

(5) เกิดจากสติปัญญาของมนุษย์

ตอบ 4 อเทวนิยม เป็นระบบความเชื่อที่อาศัยเหตุผลและความจริงเป็นสำคัญโดยไม่ผูกพันอยู่กับเทพเจ้าหรือไม่ผูกพันอยู่กับสภาวะเหนือธรรมชาติ เน้นหลักคำสอนทางศาสนาที่มีอยู่ตามความเป็นจริงเป็นวิทยาศาสตร์ และเป็นระบบความเชื่อที่เกิดจากความก้าวหน้าด้านสติปัญญาของมนุษย์

34. พุทธศาสนามีคำสอนให้รู้จักใช้วิญญาณ ไม่เชื่อใครง่าย ๆ ใช้หลักเหตุผลคือข้อใด

(1) กาลามสูต (2) กาลามสูตร (3) กาลลามสูต (4) กาลลามสูตร (5) พระไตรปิฎก

ตอบ 2 พระพุทธศาสนามีคำสอนปรากฏใน “กาลามสูตร” ซึ่งสอนให้รู้จักการใช้วิจารณญาณโดยการไม่เชื่อใครง่าย ๆ แต่ให้ใช้หลักเหตุผล และเชื่อโดยไตร่ตรองด้วยสติปัญญา โดยมีหลัก 10 ข้อเช่น 1. อย่าเชื่อโดยได้รับฟังกันมา 2. อย่าเชื่อโดยเห็นว่าเป็นของเก่า 3. อย่าเชื่อโดยเป็นข่าวลือ 4. อย่าเชื่อโดยอ้างตำรา เป็นต้น

35. ใครเป็นคนกล่าวว่า “การให้การศึกษาแก่เยาวชนมีผลกระทบต่อชะตากรรม”

(1) ค้องท์ (Comte) (2) อริสโตเติล (Aristotle) (3) เบคอน (Bacon)

(4) เพลโต (Plato) (5) ซอคคราติส (Socrates)

ตอบ 2 ปราชญ์หลายท่านให้ทัศนะเกี่ยวกับความสำคัญของการศึกษาไว้ต่าง ๆ กัน เช่น

1.พระพุทธเจ้า ทรงถือว่า ความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์และการศึกษาคือการให้พ้นอวิชชา (ความไม่รู้) เพื่อมุ่งให้ชีวิตหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

2.อริสโตเติล (Aristotle) กล่าวว่า การให้การศึกษาแก่เยาวชนมีผลกระทบต่อชะตากรรมแห่งอาณาจักร

3.ฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) กล่าวว่า ความรู้คืออำนาจ ความรู้และอำนาจของมนุษย์เป็นของอย่างเดียวกัน

4.รัสเซลล์ (Russell) เห็นว่า การศึกษาควรมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดบุคลิกภาพที่พึงปรารถนา 4 ประการ ได้แก่ พละ ธิติ สุขุมสัญญา และปัญญา

36. ข้อใดเป็นความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษากับการเมือง

(1) การวิจัยเพื่อทำให้เกิดการพัฒนาในโรงงาน

(2) ประเทศสหรัฐอเมริกาปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาเพื่อเน้นการศึกษาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

(3) สังคมอุตสาหกรรมต้องการผู้ที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี

(4) เทคโนโลยีทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการบริหารจัดการในสถานประกอบการ

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 กรณีตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษากับการเมือง ได้แก่

1.ประเทศเยอรมันในยุคฮิตเลอร์ ได้มีการสังหารหมู่คนเชื้อสายยิวเป็นจำนวนมากซึ่งทำให้คนที่มีความรู้ความสามารถหลบหนีออกจากประเทศไปอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา เช่น ไอน์สไตน์ผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพันธภาพ

2.ประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นผลอันเนื่องมาจากสหภาพโซเวียตสามารถส่งดาวเทียมขึ้นไปโคจรรอบโลกได้เป็นชาติแรกทำให้รัฐบาลอเมริกันรู้สึกเสียเกียรติภูมิในวงการเมืองระหว่างประเทศ ฯลฯ

37. ข้อใดแสดงถึงประเภทความรู้ของ “ปรัชญาการอุดมศึกษา” เพื่อความเลอเลิศทางปัญญา

(1) วิชาการ (2) วิชาชีพ (3) วิชาชื่นชอบ

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 5 ปรัชญาการอุดมศึกษา แบ่งออกเป็น 2 แนว ดังนี้

1.ปรัชญาการอุดมศึกษาแนวที่หนึ่ง ให้ความสำคัญกับวิชาการและวิชาชื่นชอบเป็นอันดับแรกโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อความเลิศเลอทางปัญญาหรือความเป็นเลิศทางวิชาการ

2.ปรัชญาการอุดมศึกษาแนวที่สอง เน้นวิชาชีพและวิชาชูชาติหรือวิชาช่วยชุมชน โดยมีลักษณะในเชิงเล็งผลปฏิบัติหรือสัมฤทธิ์คติ เพื่อนำความรู้มาประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์

38. ข้อใดคือมหาวิทยาลัยแบบตลาดวิชาในปัจจุบัน

(1) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

(3) มหาวิทยาลัยมหิดล (4) มหาวิทยาลัยรามคำแหง

(5) มหาวิทยาลัยทักษิณ

ตอบ 4 มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นมหาวิทยาลัยแบบตลาดวิชาของไทยซึ่งได้เปิดสอนครั้งแรกในปีพ.ศ. 2514 โดยมีลักษณะของการเป็นมหาวิทยาลัยแบบตลาดวิชาคือ เปิดกว้างในแง่จำนวน เปิดกว้างในแง่อายุ และเปิกกว้างในแง่ความหลากหลายของประสบการณ์

39. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ “การศึกษาควรเป็นการสัมผัสกับความจริง”

(1) การศึกษาเพื่อการพัฒนา (2) การศึกษาเพื่อสร้างนักวิชาการ

(3) การศึกษาควรสนใจหาความรู้ทุกเรื่อง (4) การศึกษาควรเรียนรู้จากทฤษฎี

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 ชูมัคเกอร์ (Schumacher) เห็นด้วยกับแนวคิด “การศึกษาเพื่อการพัฒนา”โดยเขากล่าวว่าประเด็นหลักของการศึกษาควรเป็นการเกี่ยวพันหรือการสัมผัสกับความเป็นจริง

40. สำนักงานใหญ่ของ “มหาวิทยาลัยสหประชาชาติ” ตั้งอยู่ที่เมืองใด

(1) นิวยอร์ก (2) โตเกียว (3) ลอนดอน (4) ปารีส (5) โรม

ตอบ 2 มหาวิทยาลัยสหประชาชาติ (United University: UNU) มีสำนักงานใหญ่อยู่ ณ มหานครโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น โดยผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการริเริ่มให้มีสถาบันแห่งนี้ขึ้นคือ นายอูถั่น (U Thant) อดีตเลขาธิการขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งเป็นชาวพม่า

41. การเปลี่ยนแปลงทางประชากรในแต่ละสังคมเกิดจากอะไร

(1) การเกิด

(2) การตาย

(3) การย้ายถิ่น

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 กระบวนการทางประชากรที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางประชากร ได้แก่

1. การเกิดหรือการเจริญพันธุ์ 2. การตาย 3. การอพยพหรือย้ายถิ่น

42. การเพิ่มของประชากรโลกก่อนปี ค.ศ. 1950 เกิดขึ้น ณ ภูมิภาคใด

(1) เอเชีย

(2) ยุโรป

(3) ลาตินอเมริกา

(4) แอฟริกา

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 การเพิ่มของประชากรโลกก่อนปี ค.ศ. 1950 มีอัตราการเพิ่มอย่างสูงในบริเวณภูมิภาคยุโรป และบริเวณที่ชาวยุโรปเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่เท่านั้น แต่หลังจากปี ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา อัตราการเพิ่มขึ้นอย่างสูงของประชากรโลกได้มาเกิดขึ้นในบริเวณภูมิภาคแถบเอเชีย ลาตินอเมริกา และแอฟริกา ซึ่งในปัจจุบันอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในภูมิภาคแถบเอเชียและลาตินอเมริกา

43. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ “การกระจายตัวของประชากรโลก” ในอนาคต

(1) ประเทศที่พัฒนามีจำนวนประชากรมากกว่าประเทศกำลังพัฒนา

(2) ประชากรที่อยู่ในเมืองมีจำนวนประชากรมากกว่าชนบท

(3) เมืองในประเทศกำลังพัฒนาจะกลายเป็นเมืองขนาดยักษ์ที่มีประชากรอยู่อาศัยหนาแน่น

(4) เมืองไนประเทศที่พัฒนาแล้วจะกลายเป็นเมืองขนาดยักษ์ที่มีประชากรอยู่อาศัยหนาแน่น

(5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 แนวโน้มการกระจายตัวของประชากรโลกในอนาคตนั้นพบว่า “ประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองจะมีจำนวนประชากรมากกว่าชนบท” โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการอพยพจากชนบทเข้าสู่เมือง ทำให้เกิดปัญหาการเติบโตของเมืองต่าง ๆ ซึ่งจะนำไปสู่เมืองขนาดยักษ์ (Gigantism) ซึ่งในปัจจุบันก็กำลังกลายเป็นปัญหาร่วมระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา

44. ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการเพิ่มประชากรในประเทศไทย

(1) ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ประชากรไทยมีอัตราเพิ่มสูง

(2) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประชากรไทยมีอัตราเพิ่มสูง

(3) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประชากรไทยมีอัตราการตายลดลง

(4) ข้อ 2 และ 3

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 การเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศไทยนั้นมีลักษณะเช่นเดียวกับการเพิ่มขึ้นของประชากรในภูมิภาคแถบเอเชียและลาตินอเมริกา โดยจะเพิ่มช้าในตอนแรกแล้วค่อย ๆ เร็วขึ้นในตอนหลังโดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งสาเหตุที่ไทยมีอัตราเพิ่มของประชากรเร็วก็เนื่องมาจากอัตราการตายลดลงอย่างรวดเร็วและอัตราการเกิดยังอยู่ในระดับสูง รวมทั้งการขยายงานด้านสาธารณสุขทำให้คนมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

45. ประชากรสมัยก่อนประวัติศาสตร์เป็นอย่างไร

(1) เกิดสูง ตายสูง (2) เกิดสูง ตายต่ำ (3) เกิดต่ำ ตายสูง

(4) เกิดต่ำ ตายต่ำ (5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 การเปลี่ยนแปลงทางประชากรประกอบด้วยขั้นหรือระดับความผันแปรได้ 4 – 5 ขั้น คือ

1.ขั้นที่อัตราการเกิดสูงและอัตราการตายสูง ซึ่งประชากรสูง ซึ่งประชากรต่อสู้เพื่อการมีชีวิตรอดในสมัยก่อนประวัติศาสตร์

2.ขั้นที่อัตราการเกิดสูงและอัตราการตายลดลง ซึ่งปรากฏในยุโรปราวศตวรรษที่ 17 – 18

3.ขั้นที่อัตราการเกิดเริ่มลดลง แต่ก็ยังสูงกว่าอัตราการตาย ปรากฏเฉพาะในยุโรปและสหรัฐอเมริกาในตอนปลายศตวรรษที่ 19

4.ขั้นที่ทั้งอัตราการเกิดและอัตราการตายลดลงอยู่ในระดับต่ำเท่าเทียมกัน พบได้ในสังคมส่วนใหญ่ของยุโรปและประเทศที่มีการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมสูง

5.ขั้นที่อัตราการตายสูงกว่าอัตราการเกิด พบในเยอรมันตะวันตก

46. สังคมลักษณะใดที่มีการจัดระดับช่วงชั้นอย่างซับซ้อน

(1) สังคมชนเผ่าเร่ร่อน (2) สังคมเพาะปลูก (3) สังคมอุตสาหกรรม

(4) สังคมชนบท (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 การจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคม เป็นระบบซึ่งใช้เพื่อแบ่งแยกระดับความแตกต่างของแต่ละบุคคลตลอดจนการเปลี่ยนแปลงระดับของคนในแต่ละสังคมและแต่ละกลุ่ม ยิ่งสังคมเจริญมากขึ้นหรือความแตกต่างของคนมีมากขึ้นแล้ว จะเป็นผลทำให้มีการจัดลำดับช่วงชั้นซับซ้อนตามด้วย

47. ข้อใดเป็นระบบช่วงชั้น ซึ่งมีรูปแบบที่แน่นอนตายตัว

(1) ชนชั้น (2) ฐานันดร (3) วรรณะ (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 วรรณะ (Caste) เป็นระบบการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคมโดยเน้นถึงความสัมพันธ์ของสถานภาพซึ่งจำกัดบุคคลที่จะให้ได้รับสถานภาพสูงขึ้นกว่าเมื่อเขาเกิด โดยระบบวรรณะเป็นระบบช่วงชั้นซึ่งมีรูปแบบที่แน่นอนตายตัว

48. วิธีการใดที่ใช้ศึกษาการจำลำดับช่วงชั้นของคนในสังคมโดยดูจากชื่อเสียง

(1) การประเมินค่าบุคคลโดยบุคคลอื่น (2) การวิเคราะห์บทบาทที่บุคคลแสดงอยู่

(3) การสุ่มตัวอย่าง (4) การประเมินตนเองว่าอยู่ในชนชั้นใด

(5) การศึกษาเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่การงานของบุคคล

ตอบ 1 หลักเกณฑ์ที่ใช้ศึกษาการจัดลำดับช่วงชั้นของคนในสังคมมี 3 วิธี คือ

1.การศึกษาแบบวัตถุวิสัย ซึ่งศึกษาโดยการวิเคราะห์ปัจจัยเกี่ยวกับรายได้ อาชีพ อำนาจตำแหน่ง และทรัพย์สมบัติ

2.การศึกษาแบบอัตวิสัย ซึ่งขึ้นอยู่กับความรู้สึกของบุคคลที่คิดว่าตนเองอยู่ในชนชั้นใดของสังคม

3.การศึกษาโดยดูจากชื่อเสียง ซึ่งขึ้นอยู่กับการประเมินค่าบุคคลโดยบุคคลอื่น

49. “บุคคลที่เกิดในตระกูลเก่าแก่ มั่งคั่ง ผู้ดีเก่า” ในทัศนะของวอร์เนอร์ (Warner) จัดอยู่ในชนชั้นใด

(1) ชนชั้นสูงระดับสูง (2) ชนชั้นสูงระดับกลาง (3) ชนชั้นสูงระดับต่ำ

(4) ชนชั้นกลางระดับสูง (5) ชนชั้นกลางระดับต่ำ

ตอบ 1 วอร์เนอร์ (Warner) ได้แบ่งระดับชั้นทางสังคมออกเป็น 6 ชนชั้น ดังนี้

1.ชนชั้นสูงระดับสูง ได้แก่ พวกปัญญาชนที่มีตระกูลเก่าแก่ มีความมั่งคั่ง ผู้ดีเก่า

2.ชนชั้นสูงระดับต่ำ ได้แก่ พวกเศรษฐีใหม่ กิริยามารยาทยังไม่สุภาพ มีการศึกษาไม่สูงนัก

3.ชนชั้นกลางระดับสูง ได้แก่ ครอบครัวที่ประสบความสำเร็จในอาชีพปานกลาง

4.ชนชั้นกลางระดับต่ำ ได้แก่ พวกเสมียน พนักงาน คนงานมีฝีมือ

5.ชนชั้นต่ำระดับสูง ได้แก่ คนงานกรรมกรที่ไม่ค่อยมีฝีมือ ให้ความเชื่อถือได้

6.ชนชั้นต่ำระดับต่ำ ได้แก่ คนงานกรรมกรที่ไม่มีฝีมือ

50. ข้อใดเป็น “การจราจรภาพทางสังคม” แบบแนวดิ่ง

(1) กรรมกรที่ไร้ฝีมือเปลี่ยนเป็นกรรมกรที่มีฝีมือ

(2) ช่างไม้เปลี่ยนเป็นช่างปูน

(3) พนักงานขายเสื้อผ้าเปลี่ยนเป็นพนักงานขายเครื่องสำอาง

(4) ชาวนาเปลี่ยนเป็นชาวไร่

(5) พนักงานดูแลความปลอดภัยทำหน้าที่ดูแลตึกสูง 8 ชั้น

ตอบ 1 การจราจรภาพทางแนวดิ่งหรือแนวตั้ง อาจเป็นไปได้ 2 ทาง คือ

1.การจราจรภาพในทางที่ต่ำลง เช่น บุคคลซึ่งเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเปลี่ยนไปเป็นบุคคลธรรมดาไม่มีตำแหน่งใด ๆ การเป็นอาจารย์เปลี่ยนมาเป็นคนขายของ ฯลฯ

2.การจราจรภาพในทางที่สูงขึ้น เช่น สามัญชนไปแต่งงานกับกษัตริย์ก็จะเปลี่ยนสถานภาพในทางที่สูงขึ้น กรรมกรที่ไร้ฝีมือเปลี่ยนเป็นกรรมกรที่มีฝีมือ ฯลฯ

51. “บุคคล กลุ่มสังคม พยายามควบคุมพฤติกรรมตลอดจนความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่น ด้วยวิธีการสื่อความหมายต่าง ๆ โดยแต่ละแบบมีเจตนาซ่อนเร้นเหตุผล เพื่อทำให้ผู้รับข่าวสารจักได้เกิดความเชื่อถือในเรื่องนั้น ๆ” เป็นหลักการของกลไกอะไร

(1) วัฒนธรรม

(2) กลอุบาย

(3) แลกเปลี่ยน

(4) กฎระเบียบ

(5) บังคับ

ตอบ 2 กลไกกลอุบาย เป็นหลักการซึ่งใช้โดยบุคคลหรือกลุ่มเพื่อพยายามที่จะควบคุมพฤติกรรมตลอดจนความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่นด้วยวิธีการสื่อความหมายต่าง ๆ โดยแต่ละแบบนั้นการสื่อข้อความจะมีเจตนาที่พยายามซ่อนเร้นเหตุผลที่แท้จริง เพื่อทำให้ผู้รับข่าวสารเกิดความเชื่อถือในเรื่องนั้น ๆ

52. กลไกอะไรจัดเป็นกลไกกลอุบายแบบใช้ถ้อยคำภาษา (Verbal Manipulation)

(1) การโฆษณาชวนเชื่อ (2) เรื่องตลกขบขัน การใช้ภาษาเฉพาะ

(3) การพูดโกหก การให้สมญา (4) ข้อ 2 และ 3 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 การควบคุมทางสังคมด้วยกลไกกลอุบาย มี 2 วิธี คือ

1.กลอุบายที่ใช้ถ้อยคำภาษา (Verbal Manipulation) ได้แก่ การโฆษณาชวนเชื่อเรื่องตลกขบขัน การพูดปดมดเท็จ การให้สมญา (เช่น เฒ่าหัวงู ใบมีดโกนอาบน้ำผึ้ง) และการใช้ภาษาเฉพาะ

2.กลอุบายที่ไม่ใช่ถ้อยคำภาษา (Nonverbal Manipulation) ได้แก่ การจัดฉากและการแสดง การปิดบังข่าวสาร การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ การหนีปัญหาและการเกณฑ์เอาเป็นพวก

53. “ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อ ชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ…” จัดเป็นผลมาจากกลไกอะไร

(1) การรวมตัวอย่างถาวร (Permanent Unification)

(2) การรวมตัวชั่วคราว (Temporary Unification)

(3) การรวมเป็นบางส่วน (Partial Unification)

(4) แลกเปลี่ยน (Exchange)

(5) กลอุบาย (Manipulative)

ตอบ 1 การรวมตัวอย่างถาวร (Permanent Unification) เป็นกลไกที่จะนำมาใช้เมื่อบุคคลกลุ่มหรือสังคมต่าง ๆ ได้ตัดสินใจมารวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในทุก ๆ เรื่อง ซึ่งได้พิจารณาแล้วเห็นว่าการรวมกันจะเป็นการรวมพลังที่ก่อให้เกิดความมั่นคง และจะมีสิ่งสูญเสียเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีสิ่งสูญเสียเลย ดังจะเห็นได้จากเนื้อเพลงชาติไทยที่ว่า “ประเทศไทย รวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย เป็นประชารัฐ…”

54. วิธีการควบคุมสังคมให้มีระเบียบตามแนวคิดของนักสังคมวิทยาคืออะไร

(1) การให้รางวัลโดยตรง (2) การให้รางวัลด้วยสัญลักษณ์

(3) การลงโทษด้วยสัญลักษณ์ (4) การลงโทษทางร่างกายโดยตรง

(5) การให้รางวัล (Rewards) และการลงโทษ (Punishments)

ตอบ 5 การให้รางวัล (Rewards) และการลงโทษ (Punishments) เป็นวิธีการควบคุมสังคมให้มีระเบียบและจูงใจให้บุคคลประพฤติปฏิบัติตามในสิ่งที่สังคมยอมรับซึ่งนักสังคมวิทยาเน้นว่าในทางปฏิบัติไม่มีระบบการควบคุมใดมีประสิทธิภาพเท่ากับการบังคับใช้ (Sanctions) ซึ่งก็คือการให้รางวัลและการลงโทษนั่นเอง

55. “บรรทัดฐาน สถานภาพและบทบาท การบังคับใช้ กลุ่ม ความแตกต่างและช่วงชั้นทางสังคม”จัดเป็นกลยุทธ์ในการควบคุมสังคมแบบใด

(1) กลไกทางวัฒนธรรม (Cultural Strategies)

(2) กลไกแลกเปลี่ยน (Exchange Strategies)

(3) กลไกกฎระเบียบ (Procedural Strategies)

(4) กลไกกลอุบาย (Manipulative Strategies)

(5) กลไกบังคับ (Coercive Strategies)

ตอบ 1 กลไกทางวัฒนธรรม (Cultural Strategies) ที่ใช้ในการควบคุมทางสังคมประกอบด้วย

1.บรรทัดฐาน 2. การบังคับใช้ 3. สถานภาพและบทบาท 4. การเข้ากลุ่มและการเข้าสังคม 5. ความแตกต่างทางสังคมและชั้นทางสังคม

56. ผู้ใดเห็นว่ารัฐ (State) สำคัญกว่าสังคม (Society)

(1) มาร์กซ์ (Marx) (2) โบแดง (Bodin) (3) เฮเกล (Hegel)

(4) ข้อ 2 และ 3 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 โบแดง (Bodin) และเฮเกล (Hegel) เป็นผู้ที่เห็นตรงกันข้ามว่า “รัฐมีอำนาจและมีความสำคัญมากกว่ารัฐ” ส่วนมาร์กซ์ (Marx) เป็นผู้ที่เห็นตรงกันข้ามว่า “สังคมมีอำนาจและมีความสำคัญมากกว่ารัฐ”

57. แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) เห็นว่าการจัดระเบียบบริหารงานแบบราชการ (Bureaucracy) มีลักษณะอย่างไร

(1)ยึดถือมาตรฐานความเป็นกลางหรือยึดระบบคุณธรรม (Merit System)

(2)ยึดความเสมอภาคที่ว่า “ทุกคนเท่าเทียมกัน ; All men are created equal”

(3)ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสถาบันสังคมและการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยระยะแรก

(4)ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) เห็นว่า การจัดระเบียบบริหารงานแบบราชการ(Bureaucracy) จะมีลักษณะทั้งความประสานและความขัดแย้งเกิดขึ้นในตัวยึดมาตรฐานความเป็นกลางหรือระบบคุณธรรม (Merit System) และยึดความเสมอภาคที่ว่า “ทุกคนเท่าเทียมกัน” (All men are created equal) ซึ่งมีส่วนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสถาบันสังคม และมีผลต่อการพัฒนาสถาบันประชาธิปไตยโดยเฉพาะในระยะแรก ๆ แต่ถ้าใช้ระบบราชการเกินขอบเขตก็จะทำให้เกิดผลเสียต่อประชาธิปไตย เพราะรัฐจะกลายเป็นผู้มีอำนาจมากเกินไป เช่นเดียวกับระบบสังคมนิยม ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามเสรีภาพส่วนบุคคลและทำลายเสถียรภาพทางการเมืองอย่างมาก

58. แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) เห็นว่า “การจัดระเบียบบริหารงานแบบราชการ ; Bureaucracy”ในเชิงที่เป็นโทษต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย คืออะไร

(1) หากนำสิ่งดังกล่าวมาใช้เกินขอบเขตจะทำให้รัฐมีอำนาจมาก

(2) เมื่อรัฐมีอำนาจมากจักนำสังคมไปสู่ระบบสังคมนิยม

(3) รัฐมีอำนาจมากเป็นภัยคุกคามเสรีภาพส่วนบุคคล การดังกล่าวเป็นการทำลายเสถียรภาพทางการเมือง

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

59. ปัจจัยอะไรสนับสนุนการปกครองระบอบประชาธิปไตย

(1) ระดับการศึกษา (2) ฐานะทางเศรษฐกิจ (3) การมีลักษณะเป็นเมือง

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ปัจจัยที่สนับสนุนหรือเอื้อต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย ได้แก่

1. ระดับการศึกษาของประชาชน 2. การพัฒนาทางเศรษฐกิจ 3. บุคลิกภาพแบบประชาธิปไตย

4. เสถียรภาพของสถาบันทางการเมือง 5. พัฒนาทางการปกครองและการบริหาร

60. การปกครองระบอบประชาธิปไตยจะมีเสถียรภาพ ตามแนวความคิดของทอคเกอวิลล์ (Alexis de

Tocqueville) เห็นว่าควรจะมีสิ่งใด

(1) สหจิต (Consensus)

(2) ความขัดแย้ง (Conflict)

(3) กฎเหล็กแห่งคณาธิไตย (Iron Law of Oligarchy)

(4) สหจิต (Consensus) และความขัดแย้ง (Conflict)

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ทอคเกอวิลล์ (Tocqueville) มองว่า การเมืองแบบประชาธิปไตยจะอยู่รอดได้ก็ต่อเมื่อมีดุลยภาพระหว่างความเข้าใจกันได้หรือสหจิต (Consensus) และความขัดแย้ง (Conflict) ดังนั้นเพื่อก่อให้เกิดดุลยภาพดังกล่าวเขาจึงต้องการสนับสนุนให้มีระบบการเมืองแบบกลุ่มหลากหลายขึ้นในสังคม คือ ให้มีอิสระและมีความแตกต่างในการปกครองท้องถิ่น ไม่ใช่ปล่อยให้อำนาจไปรวมอยู่ที่รัฐซึ่งเป็นศูนย์กลางแต่เพียงแห่งเดียว

61. ลักษณะพฤติกรรมฝูงชนที่ “ไม่มีโครงสร้าง” หมายถึงในฝูงชนไม่มีสิ่งใดที่ได้กำหนดไว้ก่อน

(1) บรรทัดฐาน

(2) สถานภาพและบทบาท

(3) การให้รางวัลและการลงโทษ

(4) ข้อ 2 และ 3

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 พฤติกรรมฝูงชน มีลักษณะที่สำคัญดังนี้

1.เกิดขึ้นแบบทันทีทันใดและดำรงอยู่ในระยะเวลาอันสั้น

2.ไม่มีโครงสร้าง หมายถึง ไม่มีการกำหนดสถานภาพ บทบาท และความสัมพันธ์ของสมาชิก

3.สมาชิกที่เข้าร่วมมีจำนวนไม่แน่นอน

4. ไม่มีบรรทัดฐานทางสังคมควบคุม

5. ไม่มีตัวตน

6. ไม่มีการเจาะจงตัวบุคคล

7. อยู่ในสภาวะที่ชักจูงได้ง่าย

8. มีการระบาดทางอารมณ์

62. ลักษณะของพฤติกรรมฝูงชนคืออะไร

(1) ไม่มีโครงสร้าง

(2) จำนวนสมาชิกไม่แน่นอน

(3) ไม่มีบรรทัดฐาน ชักจูงง่ายและมีการระบาดทางอารมณ์อย่างรวดเร็ว

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

63. ฝูงชนวุ่นวาย (Mob) ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) การลงประชาทัณฑ์ (Lynching Mob) (2) การจลาจล (Riot)

(3) ออร์จี (Orgy) (4) ความแตกตื่น (Panic)

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ประเภทของฝูงชนที่บ้าคลั่งหรือฝูงชนวุ่นวาย (Mob) ซึ่งแบ่งออกตามจุดประสงค์และความรุนแรง ได้แก่

1.Lynching Mob เช่น การรุมประชาทัณฑ์ การจับผู้ที่คิดว่ากระทำผิดแขวนคอ

2.การจลาจล (Riot) เช่น การจลาจลด้านเชื้อชาติ ศาสนา และความยุติธรรม

3.Orgy เช่น การมั่วสุมทางเพศ การคลั่ง เต้นรำ กินเหล้า

4.ฝูงชนที่แตกตื่น (Panic) เช่น ไฟไหม้ เรือล่ม น้ำท่วม

64. วิธีการควบคุมพฤติกรรมฝูงขนที่ไม่นิยมนำมาใช้เพราะอาจลุกลามจนยากที่จะควบคุมได้แก่ตัวเลือกใด

(1) ให้สติสมาชิกที่เข้าร่วมฝูงชน เพื่อมีปัญญาไม่เกิดอารมณ์คล้อยตาม

(2) การเกณฑ์ผู้นำมาเป็นพวก

(3) ใช้กำลังบังคับ

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 การควบคุมพฤติกรรมฝูงชนที่จัดเป็นการควบคุมจากภายนอก ได้แก่

1. โดยสภาพดินฟ้าอากาศ 2. โดยการเข้าแทรกแซงเพื่อแยกฝูงชนให้เป็นกลุ่มเล็ก ๆ

3. โดยการใช้กำลังบังคับ ซึ่งเป็นวิธีที่รุนแรงจึงไม่นิยมนำมาใช้เพราะอาจลุกลามไปสู่เรื่องอื่นๆได้

65. ประโยชน์ของพฤติกรรมฝูงชนคืออะไร

(1) ผ่อนคลายพิธีการที่ตึงเครียดลง เช่น ฝูงชนชุมนุม ดูกีฬา ฟังเพลง

(2) ใช้สภาวการณ์ฝูงสนับสนุนอาชีพหรือความสำคัญของตนเองในรูปของ “หน้าม้า”

(3) เปลี่ยนกลุ่มเขาหรือกลุ่มวงนอกให้เป็นกลุ่มเราหรือกลุ่มวงใน

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ประโยชน์ของพฤติกรรมฝูงชน ได้แก่

1.เป็นการผ่อนคลายพิธีการที่ตึงเครียดลง เพราะบรรยากาศเป็นกันเอง เช่น ฝูงชนงานเลี้ยงงาน เต้นรำ การแข่งขันกีฬา

2.อาศัยสภาวการณ์ของฝูงชนที่สนับสนุนอาชีพหรือความสำคัญของตนเอง โดยนักแสดงหรือนักพูดบางคนจะลงทุนจ้าง “หน้าม้า” มาเป็นผู้นำในการปรบมือโห่ร้อง

3.เป็นการสร้างความสัมพันธร์ ะหว่างบุคคลขึ้น จากการเป็นกลุ่มเขาหรือกลุ่มวงนอก(Out-Group) มาเป็นกลุ่มเราหรือกลุ่มวงใน (In-Group)

66. “พฤติกรรมของกลุ่มในลักษณะที่บุคคลทั้งหลายในกลุ่มนั้น กระทำด้วยแรงจูงใจ ความรู้สึกและทัศนคติที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เสมือนว่ากลุ่มนั้นคือ คนคนเดียว” เป็นความหมายของอะไร

(1) จำนวนรวม (Aggregation)

(2) จำแนกพวก (Collective Behavior)

(3) กลุ่มสังคม (Social Group)

(4) พฤติกรรมรวมหมู่ (Collective Behavior)

(5) กลุ่มอ้างอิง (Reference Group)

ตอบ 4 พฤติกรรมรวมหมู่ (Collective Behavior) เป็นพฤติกรรมการแสดงออกของฝูงชนในลักษณะที่บุคคลทั้งหลายภายในกลุ่มนั้น กระทำด้วยแรงจูงใจ ความรู้สึก และทัศนคติที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เสมือนว่ากลุ่มนั้นคือ คนคนเดียว ดังนั้น สภาพแห่งการเป็นพฤติกรรมรวมหมู่จึงมีผลทางจิตวิทยาสังคม ทำให้เกิดความรู้สึกร่วมกันว่าทุก ๆ คนจะมีอารมณ์ ความหวังและวัตถุประสงค์เดียวกันในการกระทำใด ๆ

67. ข้อใดคือการแก้ปัญหาสังคมแบบย่อย (Piecemeal)

(1) การแก้ปัญหาความยากจนโดยแจกอาหาร

(2) การแก้ปัญหาน้ำท่วมด้วยการแจกถุงยังชีพ

(3) การแก้ปัญหาไฟไหม้โดยสร้างที่พักชั่วคราว

(4) การแก้ปัญหาโรคระบาดโดยแจกยา

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 แนวทางในการแก้ไขปัญหาสังคม อาจแบ่งออกเป็นหลักใหญ่ ๆ ได้ 2 ประการ คือ

1.การแก้ไขปัญหาแบบย่อย (Piecemeal) เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยไม่มีการวางแผนมาก่อน เช่น การแก้ปัญหาความยากจน ความอดอยากขาดแคลนและช่วยผู้ประสบภัยด้วยการแจกสิ่งของ อาหาร ยารักษาโรค และการสร้างที่พักชั่วคราวฯลฯ

2.การแก้ไขปัญหาแบบรวมถ้วนทั่ว (Wholesale) เป็นการแก้ปัญหาระยะยาวแบบมีการวางแผนมาก่อน (แก้ปัญหาที่ต้นตอหรือสาเหตุของปัญหา) มีการประเมินผล มีการตรวจสอบและปัญหานั้น ๆ จะไม่เกิดขึ้นมาอีก เช่น การแก้ปัญหาความยากจนด้วยการฝึกอาชีพให้ ฯลฯ

68. ปัจจัยใดที่ทำให้เกิดปัญหาความยากจนในภูมิภาคเอเชีย

(1) การว่างงาน

(2) สภาพของดินฟ้าอากาศ

(3) คนร่ำรวยมีโอกาสเพิ่มพูนรวยได้มากกว่าคนยากจน

(4) ความเชื่อทางด้านไสยศาสตร์และโชคลาง

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาความยากจนในประเทศกำลังพัฒนา มีดังนี้

1. สภาพของดินฟ้าอากาศไม่เอื้ออำนวย ทำให้ได้ผลิตผลต่ำ

2. ปัจจัยทางด้านวัฒนธรรมและสังคม เช่น มีความเชื่อถือทางด้านไสยศาสตร์ และโชคลางของขลังมากเกินไป

4.การพัฒนาเศรษฐกิจยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เพราะคนร่ำรวยมีโอกาสเพิ่มพูนรายได้ของตนมากกว่าคนยากจน

5.ขาดดุลการค้ามาก 5. การว่างงาน 6. การกระจายรายได้ยังใช้ไม่ได้ผลเท่าที่ควร

69. เมื่อ 400 ปีก่อนคริสตกาลหมอชาวกรีก ฮิปโปเครตีส ค้นพบน้ำยาสกัดจากฝิ่นสามารถใช้รักษาโรคใด

(1) หอบหืด (2) หัวใจ (3) ทางเดินอาหาร

(4) ขจัดความเจ็บปวด (5) หวัด

ตอบ 4 เมื่อ 400 ปีก่อนคริสตกาล มีหมอชาวกรีกชื่อ ฮิปโปเครตีส ได้ค้นพบน้ำยาชนิดที่สกัดจากฝิ่นสามารถใช้รักษาโรคได้ โดยชาวอียิปต์และชาวจีนใช้ยานี้เพื่อรักษาและขจัดความเจ็บปวด ดังนั้นแต่เดิมมนุษย์เราจึงรู้จักแต่ส่วนดีของยาเสพติด

70. สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เสนอวิธีการใดในการแก้ปัญหาสังคม

(1) จ้างผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศเป็นที่ปรึกษา

(2) ส่งนักวิชาการไทยไปศึกษาต่างประเทศให้มากขึ้น

(3) พัฒนาแบบไทย ๆ ไม่ลอกเลียนต่างชาติ

(4) เปิดการค้าเสรีกับต่างประเทศให้มากขึ้น

(5) ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีให้มากขึ้น

ตอบ 3 สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เห็นว่า ความยากจนทำให้เกิดปัญหาสังคม และในการพัฒนาด้านเศรษฐกิจสังคม การเมือง ควรพัฒนาในแบบไทย ๆ ไม่ควรลอกเลียนต่างชาติมากเกินไป

71. ข้อใดคือโรคประสาทนิวราสธิเนีย (Neurasthenia)

(1) กลัววัตถุสิ่งของและทุกสิ่งทุกอย่าง

(2) วิตกกังวลกลัวว่าจะได้พบในสิ่งที่ตัวเกลียด

(3) ย้ำคิดย้ำทำ

(4) คิดว่าตนเองเจ็บป่วย

(5) มึนศีรษะ หงุดหงิด คิดว่าโลกนี้มีแต่ความทุกข์ไม่น่าอยู่

ตอบ 5 โรคประสาท สามารถแบ่งออกได้เป็น 8 ประเภท คือ

1. โรคประสาทหวาดกังวล มักวิตกกังวลกลัวว่าจะได้พบในสิ่งที่ตัวเกลียด

2. โรคประสาทตื่นกลัว มักกลัววัตถุสิ่งของและทุกสิ่งทุกอย่าง

3. โรคประสาทย้ำคิดย้ำทำ

4. โรคประสาทเศร้า

5. โรคประสาทนิวราสธิเนีย (Neurastyenia) มักมึนศีรษะ หงุดหงิด นอนไม่หลับ และคิดว่าโลกนี้มีแต่ความทุกข์ไม่น่าอยู่

6. โรคประสาทดีเปอร์ซันนัลไลเซชั่น (Depersonalization) มักรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวไม่น่าอยู่

7.โรคประสาทสุขภาพ มักคิดว่าตนเองเจ็บป่วย

8.โรคประสาทฮีสทีเรีย (Hysteria) มักทำงานอย่างใจลอย อ่อนเพลี ไม่มีแรง เพราะขาดแรงจูงใจและแรงกระตุ้น

72. ตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาการทำแท้งคืออะไร

(1) การจัดการเรียนแบบสหศึกษา

(2) การเปิดสอนเพศศึกษาในระดับมัธยมศึกษา

(3) พ่อแม่ปล่อยปละละเลยทำแต่งานไม่มีเวลาให้ลูก

(4) คลินิกเถื่อนมีมาก

(5) ยาเสพติด

ตอบ 5 ยาเสพติดเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาการทำแท้งขึ้น ทั้งนี้เพราะเมื่อเสพเข้าไปแล้ว พอยาออกฤทธิ์จะรู้สึกว่าอะไร ๆ ก็สวยงามไปหมด โลกนี้น่าอยู่ จนลืมความทุกข์ยากทรมานและลืมปัญหาต่าง ๆ ที่กำลังประสบอยู่

73. เกณฑ์ใดที่นิยมนำมาจำแนกชนกลุ่มน้อย

(1) ความทันสมัย (2) ชาติพันธุ์ (3) ระดับการศึกษา

(4) ฐานะทางการเมือง (5) รายได้

ตอบ 2 เกณฑ์ที่ใช้จำแนกชนกลุ่มน้อยพิจารณาได้จากองค์ประกอบ 3 ลักษณะ คือ

1.ความแตกต่างด้านเชื้อชาติหรือเผ่าพันธุ์ (Race) ซึ่งแสดงออกมาเป็นลักษณะ ทางกายภาพเช่น รูปร่าง สีผิว สีผม ฯลฯ

2.ความแตกต่างด้านวัฒนธรรมที่ยึดถือปฏิบัติ (Ethnicity) เช่น ภาษา ศาสนาขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ รูปแบบความสัมพันธ์ การจัดลำดับชั้นทางสังคม ฯลฯ

3.ความแตกต่างด้านกลุ่มโลหิต (Blood Group) ซึ่งถูกกำหนดโดย พันธุกรรม แต่เนื่องจากเป็นเกณฑ์ที่ไม่สะดวกในการนำมาใช้ปฏิบัติจึงไม่เป็นที่นิยมใช้กัน (ส่วนใหญ่จึงพิจารณาจากเกณฑ์ที่ 1 และ 2 เป็นสำคัญ)

74. ข้อใดคือชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของชนกลุ่มน้อย

(1) กลุ่มด้วยอิทธิพล (2) กลุ่มมวลชน (3) คนชายขอบ

(4) ชนต่างวัฒนธรรม (5) กลุ่มถูกลิดรอนผลประโยชน์

ตอบ 4 ชนกลุ่มน้อย (Minority Group) หรือชนต่างวัฒนธรรม หมายถึง กลุ่มชนที่มีการยึดถือวัฒนธรรมในรูปแบบที่แตกต่างไปจากชนกลุ่มใหญ่ (Majority Group) และเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดในเรื่องจำนวนนักวิชาการบางท่านจึงเรียกชนกลุ่มใหญ่ว่า “กลุ่มครอบครอง” และเรียกชนกลุ่มน้อยว่า “กลุ่มใต้ครอบครอง” เพราะชนกลุ่มใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลและมีบทบาททั้งทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ดังนั้นชนกลุ่มใหญ่จึงเป็นกลุ่มที่กำหนดว่ากลุ่มใดเป็นชนกลุ่มน้อย

75. สังคมแบบทวิวัฒนธรรมที่ชัดเจนที่สุดได้แก่ข้อใด

(1) ไทย (2) จีน (3) สวิตเซอร์แลนด์ (4) สหรัฐอเมริกา (5) แคนาดา

ตอบ 5 สังคมลักษณะต่าง ๆ ที่เกิดจากการมีชนต่างวัฒนธรรมในสังคมนั้น ๆ มีดังนี้

1.สังคมหลากหลายหรือพหุสังคม (Plural Society) คือ สังคมที่มีคนหลายเชื้อชาติ หลายภาษา หลายศาสนา และหลายวัฒนธรรม อาศัยรวมอยู่ปะปนกัน จึงเกิดมีบริเวณวัฒนธรรมและอนุวัฒนธรรมที่แตกต่างกันขึ้นมา เช่น สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น

2.สังคมแบบทวิวัฒนธรรม (Cultural Dualism) คือ สังคมที่มีประชากรส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจาก 2 เชื้อชาติ หรือ 2 วัฒนธรรม เช่น แคนาดา ประชากรส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากอังกฤษและฝรั่งเศส เป็นต้น

76. ชนกลุ่มน้อยในข้อใดขนานนามตนเองว่า “ชิคาโน”

(1) อเมริกันนิโกร (2) อเมริกันเชื้อสายยิว (3) อเมริกาเชื้อสายเม็กซิกัน

(4) อเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น (5) อเมริกันเชื้อสายโปรตุเกส

ตอบ 3 ภายในหมู่ชนกลุ่มน้อยและชนกลุ่มใหญ่ อาจเกิดความรู้สึกและมีการแสดงพฤติกรรมออกมาใน2 รูปแบบ คือ

1. อคติของชนกลุ่มใหญ่ที่มีต่อชนกลุ่มน้อย ด้วยการขนานนามกลุ่มอื่นในทางที่ไม่ดี เช่น คนจีนถูกเรียกว่าเจ๊ก คนอินเดียถูกเรียกว่าแขก คนม้งถูกเรียกว่าแม้ว คนข่าถูกเรียกว่าผีตองเหลือง ฯลฯ

2.อคติของชนกลุ่มน้อยทีมีต่อชนกลุ่มใหญ่ ด้วยการเรียกกลุ่มของตนในทางที่ดี เช่นคนนิโกรเรียกกลุ่มของตนเองว่าอาฟโรอเมริกา คนอเมริกันเชื้อสายเม็กซิกันเรียกตนเองว่าชิคาโนฯลฯ

77. ข้อใดคือความหมายของพหุสังคม (Plural Society)

(1) สังคมที่มีคนหลายเชื้อชาติหลายภาษา (2) สังคมที่มีคนหลายศาสนาและวัฒนธรรม

(3) สังคมที่มีอนุวัฒนธรรมแตกต่างกัน (4) สังคมที่มีบริเวณวัฒนธรรมแตกต่างกัน

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 75. ประกอบ

78. นโยบายใดเหมาะสมแก่การแก้ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดภาคใต้

(1) การแยกพวก (2) การกีดกันให้อยู่แยก (3) การผสมผสานชาติพันธุ์

(4) การรวมพวก (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 นโยบายรวมพวก (Integration) หมายถึง การที่รัฐบาลยอมให้ชนต่างวัฒนธรรมยึดถือและปฏิบัติตามวัฒนธรรมรูปแบบเดิมของตนได้ และในขณะเดียวกันทั้งชนกลุ่มน้อยและชนกลุ่มใหญ่ก็ยังมีการติดต่อสัมพันธ์กันอย่างดีในด้านต่าง ๆ ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ชนกลุ่มน้อยเกิดความรู้สึกผูกพันว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ต้องให้ความซื่อสัตย์และความจงรักภักดี เช่น นโยบายแก้ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดภาคใต้

79. ทฤษฎีที่นิยมกันมากในโลกตะวันตก

(1) วิวัฒนาการ (2) โครงสร้าง – การหน้าที่ (3) วัฏจักร

(4) การขัดแย้ง (5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 ทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolutionary Theory) เป็นทฤษฎีที่นิยมกันมากในโลกตะวันตกโดยเชื่อว่า สังคมก้าวหน้าขึ้นจากสภาพที่อยู่กันง่าย ๆ ไม่สลับซับซ้อนและขยายตัวไปเรื่อย ๆจนกระทั่งมีความซับซ้อนสูงขึ้น ซึ่งการมีสภาพสังคมที่สลับซับซ้อนขึ้นนั้นถือว่าเป็นความก้าวหน้า

80. แนวคิดเชิงวัฏจักรกล่าวถึงการกำเนิดของอารยธรรมว่าเกี่ยวกับความสามารถใน “การสนองตอบที่ประสบความสำเร็จต่อการท้าทายต่าง ๆ” เป็นแนวคิดของใคร

(1) มาร์กซ์ (Marx) (2) ทอยนบี (Toynbee) (3) สเปนเซอร์ (Spencer)

(4) เมอร์ตัน (Merton) (5) โซโรคิน (Sorokin)

ตอบ 2 ทอยนบี (Toynbee) กล่าวว่า การกำเนิดของอารยธรรมนั้นเกี่ยวกับความสามารถใน“การสนองตอบที่ประสบความสำเร็จต่อการท้าทายต่าง ๆ” กล่าวคือ อารยธรรมจะเติบโตหรือพัฒนาขึ้น หลังจากมีการสนองที่ประสบความสำเร็จต่อ ๆ กันเป็นช่วง ๆ ซึ่งการตอบสนองที่ได้ผลนี้ถือเป็นผลงานของกลุ่มน้อยหรือคนส่วนน้อยที่มีนฤมิตกรรม

81. ความเชื่อที่ว่าของที่เกิดขึ้นมาภายหลังย่อมดีกว่าของที่มีอยู่เดิมเป็นผลมาจากทฤษฎีใด

(1) การขัดแย้ง

(2) โครงสร้างและการหน้าที่

(3) วัฏจักร

(4) วิวัฒนาการ

(5) การขึ้นและลง

ตอบ 4 ทฤษฎีวิวัฒนาการทำให้เกิดความเชื่อที่ว่า ของที่เกิดขึ้นมาภายหลังย่อมดีกว่าของที่มีอยู่เดิมเข้าทำนองว่าของ “ใหม่” ดีกว่าของ “เก่า” ดังจะเห็นได้จากการโฆษณาสินค้าทุกวันนี้มักหนักไปในทางที่ว่าเป็นของรุ่นใหม่หรือรุ่นล่าสุดโดยยึดข้อสมมติฐานว่าย่อมดีกว่ารุ่นเก่า

82. ทฤษฎีใดที่ไม่สนใจเรื่องความเป็นมาและการคาดการณ์ความเป็นไปในอนาตตแต่สนใจการทำหน้าที่ หรือการให้ประโยชน์ต่าง ๆ

(1)การขัดแย้ง (2) โครงสร้างและการหน้าที่ (3) วัฏจักร

(4) วิวัฒนาการ (5) ความทันสมัย

ตอบ 2 ทฤษฎีการหน้าที่หรือทฤษฎีโครงสร้างและการหน้าที่ จะเน้นในเรื่องบทบาทของแต่ละสังคมและการทำหน้าที่หรือการให้ประโยชน์ต่าง ๆ โดยไม่สนใจที่จะตั้งคำถามว่าสังคมจะผ่านกระบวนการในรูปใด ไม่สนใจเรื่องความเป็นมาและการคาดการณ์ความเป็นไปในอนาคต

83. อ็อกเบิร์น (Ogburn) ย้ำว่านวัตกรรมขึ้นอยู่กับปัจจัยใด

(1) ความสามารถทางสมอง (2) ความจำเป็น (3) ความรู้ที่มีอยู่

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 อ็อกเบิร์น (Ogburn) ได้ย้ำว่า นวัตกรรมขึ้นอยู่กับความสามารถทางสมอง ความต้องการ(หรือความจำเป็น) และความรู้เดิมที่มีอยู่ ดังนั้นเมื่อเป็นความต้องการของสังคมจึงได้มีการค้นคว้าศึกษาโดยใช้ความรู้ที่มีอยู่พร้อมทั้งความสามารถทางปัญญาที่จะใช้ศึกษาค้นคว้า

84. “สภาพสังคมที่สลับซับซ้อนถือว่าเป็นความก้าวหน้า” เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของทฤษฎีใด

(1) วัฏจักร (2) วิวัฒนาการ (3) โครงสร้าง – การหน้าที่

(4) การขัดแย้ง (5) การขึ้นและลง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 79. ประกอบ

85. ใครเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักสังคมวิทยาชนบทคนแรกของโลก

(1) ค้องท์ (Comte) (2) สเปนเซอร์ (Spencer) (3) เจฟเฟอสัน (Jefferson)

(4) เลอเปล (Le Play) (5) เวเบอร์ (Weber)

ตอบ 4 ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักสังคมวิทยาชนบทคนแรกของโลกคือ เลอเปล (Le Play)นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส ซึ่งได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับครอบครัวชนบทและองค์การต่าง ๆในชนบท โดยการใช้หลักสังเกตการณ์ การเก็บ และการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์

86. ตัวเลือกใดที่ใช้เป็นเกณฑ์ในการพิจารณาข้อแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบท

(1) ประชากร (2) นิเวศน์ (3) สังคมและวัฒนธรรม

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หลักเกณฑ์ในการพิจารณาข้อแตกต่างระหว่างเมืองกับชนบท มีดังนี้

1.ด้านประชากร ได้แก่ ขนาดและความหนาแน่น ระดับการศึกษา สถานภาพการสมรสและระดับรายได้

2.ด้านนิเวศน์ ได้แก่ สิ่งแวดล้อม การแบ่งพื้นที่ทำประโยชน์ สิ่งแวดล้อมในการทำงานการพึ่งพาระหว่างหน่วยของสังคม และอาชีพ

3.ด้านสังคมและวัฒนธรรม ได้แก่ สิ่งแวดล้อมด้านเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความเชื่อ และขนบธรรมเนียมประเพณี การเคลื่อนย้าย ฯลฯ

87. ข้อใดคือคุณสมบัติดั้งเดิมของชุมชนชนบท

(1) แต่ละหมู่บ้านมักอยู่โดดเดี่ยว (2) มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

(3) ประกอบอาชีพด้านการเกษตร (4) ผลิตเพื่อบริโภค

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 คุณสมบัติดั้งเดิมของชุมชนชนบท มีดังนี้

1.ความโดดเดี่ยว (Isolation)

2.ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Homogeneity)

3.การใช้แรงงานเพื่อการเกษตร (Agricultural Employment)

4.การเศรษฐกิจ (ผลิต) เพื่อการบริโภค (Subsistence Economy)

88. การตั้งถิ่นฐานของหมู่บ้านชนบทไทยโดยทั่วไปมีลักษณะใด

(1) หมู่บ้านเกษตรกรรม (2) แบบไม่มีการวางแผน (3) หมู่บ้านป่าไม้

(4) หมู่บ้านสหกรณ์ (5) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 5 การตั้งถิ่นฐานของหมู่บ้านชนบทไทยโดยทั่วไปจะเป็นแบบไม่มีการวางแผนโดยมีการตั้งถิ่นฐานแบบหมู่บ้านเกษตรกรรม ซึ่งจะตั้งบ้านเรือนตามที่ลุ่ม ที่ดอน เนิน ชายป่า ชายเขา เส้นทางคมนาคม และส่วนใหญ่จะตั้งตามริมฝั่งน้ำ (ส่วนการตั้งถิ่นฐานชนิดที่มีการวางแผนนั้นนับว่ามีน้อยมาก คงมีแต่เฉพาะหมู่บ้านสหกรณ์ นิคมสร้างตนเองและหมู่บ้านป่าไม้ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นมาเท่านั้น)

89. ข้อใดเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสังคมชนบทที่เกิดจากภายในสังคมชนบท

(1) การผสมผสานทางวัฒนธรรม (2) การเลียนแบบ (3) การพัฒนา

(4) การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม (5) การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่

ตอบ 5 สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงในสังคมชนบทเกิดจากปัจจัย 2 ประการ คือ

1.สาเหตุจากภายในสังคมชนบทเอง เช่น การเกิด การตาย การย้ายถิ่น การแปรปรวนของธรรมชาติ ผู้ร้ายหรือการสู้รบ การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ ฯลฯ

2.สาเหตุจากภายนอกสังคมชนบท เช่น การผสมผสานทางวัฒนธรรม การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม การคมนาคมติดต่อสื่อสาร การเลียนแบบ การพัฒนา ฯลฯ

90. สังคมวิทยานคร ตรงกับคำศัพท์ใดในภาษาอังกฤษ

(1) Rural Sociology (2) Urban Sociology (3) Gender Sociology

(4) Climate Sociology (5) Paleo Sociology

ตอบ 2 สังคมวิทยานคร (Urban Sociology) บางครั้งจะเรียกว่า สังคมวิทยานาครหรือสังคมวิทยาเมือง เป็นการศึกษาทางสังคมโดยเน้นหนักถึงการศึกษาชีวิตของมนุษย์ในเมืองและกระบวนการการกลายเป็นเมือง ซึ่งมักจะศึกษาเปรียบเทียบกับสังคมวิทยาชนบท (Rural Sociology)

91. ตัวอย่างใดที่มีลักษณะเป็นเอกนคร (Primate City)

(1) มะนิลา

(2) จาการ์ตา

(3) พนมเปญ

(4) กรุงเทพฯ

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 เอกนคร (Primate City) เป็นลักษณะของเมืองในประเทศใดประเทศหนึ่งซึ่งมีขนาดใหญ่มากใหญ่กว่าเมืองในขนาดรอง ๆ ลงไปอย่างมากเหลือเกิน โดยที่ความเจริญของเมืองไม่ได้มาจากสาเหตุของการขยายตัวทางอุตสาหกรรม แต่มาจากการเป็นศูนย์รวมของทุกสิ่งทุกอย่างทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ตัวอย่างของเมืองที่มีลักษณะเป็นเอกนคร เช่น กรุงเทพมหานครมะนิลา จาการ์ตา พนมเปญ โคลัมโบ ฯลฯ

92. “บริเวณรอบนอกของเขตในเมือง ซึ่งประชากรอาศัยอยู่เบาบางกว่าเขตเมืองมักจะเป็นที่อยู่อาศัยมากกว่าย่านธุรกิจการค้า” เรียกว่าอะไร

(1) เขตเมือง (2) เขตชานเมือง (3) เขตชนบท

(4) เขตเอกบุรี (5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 พื้นที่ของกรุงเทพมหานคร แบ่งออกได้เป็น 3 เขตใหญ่ ๆ ดังนี้

1.เขตเมือง (Urban Area) ได้แก่ บริเวณอันเป็นที่ตั้งของสถานธุรกิจการค้าและบริการต่าง ๆ เช่น ถนนเจริญกรุง เยาวราช บางลำพู ฯลฯ

2.เขตชานเมือง (Suburban Area) ได้แก่ บริเวณรอบนอกของเขตในเมือง ซึ่งมีประชากรอาศัยกันอยู่อย่างเบาบางกว่าในเมือง และมักจะเป็นที่อยู่อาศัยมากกว่าย่านธุรกิจการค้า

3.เขตชนบท (Rural Area) ได้แก่ เขตที่ถัดจากชานเมืองออกไป ซึ่งมีประชากรประกอบอาชีพเกษตรกรรม และมีวิถีชีวิตเช่นเดียวกับชาวชนบท

93. ทฤษฎีการขยายตัวของเมืองที่เก่าแก่ที่สุด ได้แก่ ทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีรูปดาว (2) ทฤษฎีรูปวงกลม (3) ทฤษฎีรูปพาย

(4) ทฤษฎีหลายศูนย์กลาง (5) ทฤษฎีเงา

ตอบ 1 ทฤษฎีรูปดาว (Star Theory) เป็นทฤษฎีการขยายตัวของเมืองที่เก่าแก่ที่สุดเกิดขึ้นในปีค.ศ. 1903 โดยอาร์.เอ็ม.เฮิร์ด (R.M. Hurd) ได้ศึกษาพบว่า เมืองจะขยายตัวออกจากศูนย์กลางไปตามเส้นทางการคมนาคมขนส่ง ซึ่งทำให้เป็นรูปคล้ายดาวหรือแมงกะพรุน

94. เวอเนอร์ สอมบารท์ (Werner Sombart) มีทัศนะเกี่ยวกับเมืองอย่างไร

(1) เมืองคือสถานที่ธนาคารและร้านค้าตั้งอยู่

(2) เมืองเป็นจุดศูนย์กลางสำคัญที่ทุกอย่างเกิดขึ้น

(3) ชาวเมืองส่วนใหญ่จะใช้เวลาส่วนใหญ่ทำงานในเมือง

(4) ธรรมชาติของเมืองจะต้องเป็นกาฝากของชนบท

(5) ถนนทุกสายมุ่งสู่เมือง

ตอบ 4 ในทัศนะเกี่ยวกับเมืองที่ว่า “ธรรมชาติของเมืองจะต้องเป็นกาฝากของชนบท” นั้นเวอเนอร์ สอมบารท์ (Werner Sombart) กล่าวว่า เมืองคือที่รวมของมนุษย์ที่ต้องพึ่งพาผลผลิตทางการเกษตรกรรมและแรงงานจากชนบทเพื่อความอยู่รอดของตนเอง ความต้องการอาหารทุกวันทำให้เมืองต้องขึ้นอยู่กับเขตชนบท จึงมักจะมีคำโบราณว่า “ชนบทคือชีวิต ส่วนเมืองนั้นคือกาฝาก”

95. ความรู้ทางนิเวศวิทยามีมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณแล้ว หรือเรียกสาขาวิชานี้ว่าอะไร

(1) ชีววิทยา (2) ชีววิทยาสิ่งแวดล้อม (3) โบราณคดีศึกษา

(4) มานุษยวิทยาโบราณ (5) โบราณคดี

ตอบ 2 ความรู้ทางด้านนิเวศวิทยานั้นมีมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณแล้ว ซึ่งเห็นได้จากข้อเขียนของนักปรัชญากรีกในสมัยก่อน แต่นิเวศวิทยาได้ถูกพิจารณาให้เป็นศาสตร์โดยอิสระเมื่อต้นศตวรรษนี้เอง โดยปกติวิชานี้ถือเป็นสาขาหนึ่งของชีววิทยา หรือบางครั้งเรียกว่า “ชีววิทยาทางสิ่งแวดล้อม”

96. “ป่า ภูเขา ทะเลทราย” เป็นตัวอย่างระบบนิเวศน์ประเภทใด

(1) Rural Ecosystems

(2) Urban Ecosystems

(3) Productive Ecosystems

(4) Managed Natural Ecosystems

(5) Mature Natural Ecosystems

ตอบ 5 ระบบนิเวศน์ของมนุษย์แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ

1. Mature Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่อยู่ในสภาพธรรมชาติอย่างแท้จริงไม่มีผู้คนอยู่อาศัย เช่น ป่า ภูเขา ทะเลทราย

2. Managed Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และดัดแปลง เช่น สวนสาธารณะ อุทยาน

3. Productive Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริงเพื่อให้ได้ผลิตผลต่าง ๆ เช่น ฟาร์ม ปศุสัตว์ เหมืองแร่

4. Urban Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้อาศัยประกอบกิจการทำงานต่าง ๆเช่น บริเวณย่านอุตสาหกรรม บริเวณเมืองเล็กและเมืองใหญ่

97. พื้นที่ดินของโลก 58.4 ล้านตารางไมล์ นั้น มีพื้นที่เหมาะสมในการเพาะปลูกหรือการกสิกรรมได้ในสัดส่วนเท่าใด

(1) 1 ต่อ 5 (2) 1 ต่อ 4 (3) 1 ต่อ 3

(4) 2 ต่อ 3 (5) 3 ต่อ 5

ตอบ 3 พื้นที่ดินของโลกมีทั้งหมด 58.4 ล้านตารางไมล์ ประกอบด้วยพื้นที่ที่เหมาะแก่การเพาะปลูกหรือการกสิกรรม 30% (คิดเป็นสัดส่วน 1 ต่อ 3 ของพื้นที่ทั้งหมด), เป็นภูเขา 20%, เป็นทะเลทรายที่ราบสูง 20%, อยู่ใต้น้ำแข็งหรือหิมะ 20% และเป็นที่ดินประเภทอื่น ๆ อีก 10%

98. ข้อใดจัดเป็นมลพิษ (Pollutant)

(1) ตะกั่ว

(2) ปรอท

(3) กัมมันตรังสี

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 มลพิษ (Pollutant) อาจเป็นสารประกอบทางเคมีชนิดเดียว เช่น ตะกั่ว ปรอท ฯลฯ หรือสารประกอบทางเคมีหลายชนิด เช่น ดีดีที คาร์บอนมอนอกไซด์ ฯลฯ หรือการรวมตัวที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นของวัตถุต่าง ๆ เช่น ตะกอนหรือของเสียจากท่อน้ำทิ้ง เสียง กัมมันตรังสี ความร้อน ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ถือว่าเป็นมลพิษทั้งสิ้น

99. น้ำทะเลมีปริมาณร้อยละเท่าใดของน้ำที่มีอยู่บนโลกทั้งหมด

(1) 97 (2) 60 (3) 25 (4) 14 (5) 3

ตอบ 1 ปริมาณร้อยละของน้ำที่มีอยู่บนโลก แบ่งเป็น น้ำทะเล 97% และน้ำจืด 3%

100. คำว่า “Anthropology” มีความหมายตามรากศัพท์ว่าอะไร

(1) ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับลักษณะทางกายภาพของมนุษย์

(2) ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตพวกไพรเมท

(3) ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับกำเนิดและวิวัฒนาการของมนุษย์

(4) ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์

(5) ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์

ตอบ 5 มนุษย์วิทยา (Anthropology) หมายถึง ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์ โดยคำว่าAnthropology นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คำ ได้แก่ Anthropos แปลว่า มนุษย์และ Logia แปลว่า ความรู้ที่จัดไว้เป็นระเบียบแบบแผนแล้วหรือเป็นศาสตร์

101. ข้อใดไม่ใช่สาขาของวิชามนุษย์วิทยาวัฒนธรรม

(1) มานุษยวิทยาสังคม

(2) มานุษยวิทยาภาษาศาสตร์

(3) ชาติพันธุ์วิทยา

(4) ชาติพันธุ์วรรณนา

(5) โบราณคดีสมัยประวัติศาสตร์

ตอบ 5 วิชามานุษยวิทยา แบ่งออกเป็น 2 สาขาใหญ่ คือ

1. มานุษยวิทยากายภาพ

2. มานุษยวิทยาวัฒนธรรม ซึ่งแบ่งแยกย่อยออกเป็น โบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์มานุษยวิทยาภาษาศาสตร์ มานุษยวิทยาสังคม ชาติพันธุ์วิทยา และชาติพันธุ์วรรณนา

102. มานุษยวิทยากายภาพศึกษาสิ่งมีชีวิตเริ่มจากสัตว์จำพวกใด

(1) ปลาวาฬ (2) ช้าง (3) กุ้ง (4) ไพรเมท (5) ไซโตซีน

ตอบ 4 มานุษยวิทยากายภาพ เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการกำเนิดของมนุษย์ในแง่สรีรวิทยา โดยมุ่งเน้นการศึกษาสัตว์ตระกูล Homo Sapiens ชนิดต่าง ๆ ในด้านโครงสร้างของอวัยวะทางร่างกายอย่างละเอียด ซึ่งได้พยายามค้นคว้าศึกษาวิวัฒนาการจากจุดเริ่มต้นที่เรียกกันว่า ไพรเมท(Primate) หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มาจนกระทั่งถึงการมีลักษณะที่เป็นรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ในปัจจุบัน

103. มนุษย์จำพวกใดมีลักษณะทางกายภาพใกล้เคียงกับมนุษย์ปัจจุบันมากที่สุด

(1) นีแอนเดอร์ธัล (2) โครมันยอง (3) มนุษย์ปักกิ่ง

(4) ออสตราโลพิเธซัน (5) มนุษย์ชวา

ตอบ 2 มนุษย์โครมันยอง (Cro-Magnon Man) มีชีวิตอยู่ราว 40,000 ปีมานี้เอง และเชื่อกันว่ามีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกับมนุษย์ปัจจุบันมากที่สุด ดังนั้นจึงมีลักษณะเป็นตัวแทนของมนุษย์ปัจจุบัน โดยมนุษย์เหล่านี้จะมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันตามระยะเวลาของการมีชีวิตอยู่ เช่น Swanscombe Man, Kanam Man และ Kanjera Man เป็นต้น

104. ใครคือผู้ให้กำเนิดทฤษฎีวิวัฒนาการ

(1) ไทเลอร์ (Tilor) (2) เมนเดล (Mendel) (3) ลินเน่ (Linne)

(4) ดาร์วิน (Darwin) (5) ปาสเตอร์ (Pasteur)

ตอบ 4 ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Darwin) เป็นผู้ให้กำเนิดทฤษฎีวิวัฒนาการ และได้รับยกย่องว่าเป็น“บิดาแห่งทฤษฎีวิวัฒนาการ” ซึ่งเขาได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ On the Origin of Species by Means of Natural Selection โดยได้กล่าวถึงหลักฐานการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตและแนวความคิดเกี่ยวกับการเลือกสรรตามธรรมชาติ

105. ในระยะแรกเริ่ม (ปลายศตวรรษที่ 19) นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมเน้นศึกษาและวิเคราะห์วิถีชีวิตของมนุษย์ในสังคมใด

(1) สังคมอุตสาหกรรม (2) สังคมดั้งเดิม (3) สังคมเมือง

(4) สังคมเกษตรกรรม (5) สังคมชนบท

ตอบ 2 ในระยะแรกเริ่ม (ปลายศตวรรษที่ 19) นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมได้เน้นศึกษาและวิเคราะห์ขนบธรรมเนียมประเพณี ลักษณะชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ในสังคมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมดั้งเดิม (Primitive Societies)

106. ข้อใดคือชนชั้นในลาตินอเมริกา

(1) ชนชั้นสูง (2) ชนชั้นกลาง (3) ชนชั้นต่ำ

(4) ข้อ 1 และ 3 (5) ข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 ในลาตินอเมริกามีชนชั้นอยู่ 3 ชนชั้น คือ ชนชั้นสูง ชนชั้นกลาง และชนชั้นต่ำ โดยชนชั้นต่ำจะรับการขนานนามตามคำสเปนว่า Pueblo และคำโปรตุเกสว่า Povo ซึ่งชนชั้นที่คนทั่วไปรังเกียจ คือ คนนิโกรและคนอินเดีย

107. ปัญหาสังคมในลาตินอเมริกาเกี่ยวข้องกับปัจจัยใดน้อยที่สุด

(1) ชนชั้น (2) เชื้อชาติ (3) การศึกษาอาชีพ

(4) รายได้ (5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 2 สังคมในลาตินอเมริกานั้นไม่มีปัญหาเชื้อชาติ แต่มักมีปัญหาในเรื่องการแบ่งชนชั้นการศึกษาอาชีพ รายได้ และกิริยามารยาท ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ต้องระวังในการยึดถือปฏิบัติ

108. คนเอเชียเชื้อชาติใดที่ได้ชื่อว่ามีความผูกพันกับชาติของตนเองมากที่สุด

(1) ญี่ปุ่น (2) อินโดนีเซีย (3) กัมพูชา

(4) อินเดีย (5) เกาหลี

ตอบ 1 คนเอเชียส่วนใหญ่นั้นจะไม่ค่อยมีความผูกพันและไม่ค่อยภาคภูมิใจกับชาติของตนเท่าที่ควรและมักจะไม่ค่อยนิยมใช้ของที่ผลิตในประเทศ แต่ชอบใช้ของใช้ที่มาจากต่างประเทศ ยกเว้นเพียงชาวญี่ปุ่นเท่านั้นที่ได้ชื่อว่ามีความผูกพันกับชาติของตนเองมากที่สุด

109. ข้อใดคือลักษณะภาพแบบเดียวกัน (Stereotype) ของวัฒนธรรมเอเชีย

(1) ความกลมกลืนกับธรรมชาติ (2) นิยมหาความสุขทางใจ

(3) เชื่อฟังผู้มีอำนาจ (4) นิยมใช้สันติวิธี

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ลักษณะภาพแบบเดียวกัน (Stereotype) ของวัฒนธรรมเอเชีย คือ นิยมใช้สันติวิธี ทำอะไรมักจะอะลุ่มอล่วยกัน มีความกลมกลืนกับธรรมชาติ นิยมหาความสุขทางด้านจิตใจ ทำบุญให้ทานเพื่อความสบายในบั้นปลายของชีวิตทั้งในชาตินี้และชาติหน้า เชื่อฟังผู้มีอำนาจ ผู้มีอาวุโสและถือความสำคัญของกลุ่ม

110. ศาสนาใดมีผู้นับถือมากที่สุดในภูมิภาคตะวันออกกลาง

(1) พุทธ (2) คริสต์ (3) อิสลาม (4) ฮินดู (5) ซิกซ์

ตอบ 3 ศาสนาที่ประชาชนในตะวันออกกลางนับถือศรัทธามากที่สุด คือ ศาสนาอิสลาม ซึ่งชาวตะวันออกกลาง ได้แก่ จอร์แดน เลบานอน อิสราเอล ซีเรีย อิรัก อิหร่าน คูเวต บาเรนซาอุดิอาระเบีย กาตาร์ โอมาน เยเมน สหรัฐอาหรับอีมิเรต ฯลฯ

111. ชนชาติใดที่มี “ภาพพิมพ์” เป็นคน “ตระหนี่”

(1) อิสราเอล

(2) อิหร่าน

(3) อินเดีย

(4) จีน

(5) ไต้หวัน

ตอบ 1 ภาพพิมพ์หรือภาพแบบเดียวกัน (Stereotype) ของชนชาติใด ชนชาติหนึ่งมักมีแนวโน้มที่จะถูกมองไปในทางลบ เช่น คนแขก (อินเดีย) ถูกมองว่าขี้โกงหรือชอบเอาเปรียบ, คนยิวหรืออิสราเอลถูกมองว่าเป็นคนตระหนี่, คนอังกฤษถูกมองว่าหัวเก่าเก็บตัวและเย่อหยิ่ง, คนยุโรปมองคนอเมริกันว่าฝึกมารยาทมาน้อยและไร้รสนิยมด้านศิลปะ หรือความสวยงาม, คนอังกฤษมองพวกลาติน (สเปน อิตาลี อเมริกาใต้) ว่าเชื่อถือไม่ได้ และเจ้าอารมณ์ ฯลฯ

112. ข้อใดคือความหมายของ “ลักษณะอุปนิสัยประจำชาติ”

(1) ลักษณะทางบุคลิกภาพที่ค่อนข้างมีอยู่ประจำ

(2) ลักษณะพิเศษอันทำให้แต่ชาติแตกต่างกัน

(3) ระบบบุคลิกภาพซึ่งมีอยู่ในสมาชิกส่วนใหญ่ในสังคม

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ลักษณะประจำชาติหรืออุปนิสัยประจำชาติ มีความหมายต่าง ๆ กัน ดังนี้

1.ระบบบุคลิกภาพซึ่งมีอยู่ในสมาชิกส่วนส่วนใหญ่ในสังคม หรือลักษณะที่เด่นพิเศษ อันทำให้นานาชาติแตกต่างกัน

2.ลักษณะบุคลิกภาพที่ค่อนข้างจะมีอยู่เป็นประจำ

3.โครงสร้างแห่งบุคลิกภาพ ซึ่งวางอยู่บนสมมติฐานที่ว่าเป็นลักษณะของสมาชิกของสังคมเดียวกัน

113. วัฒนธรรมมีอิทธิพลในการหล่อหลอมบุคลิกภาพโดยผ่านกระบวนการใด

(1) สังคมประกฤติ (Socialization)

(2) การเลียนแบบ (Imitation)

(3) การยึดติด (Attachment)

(4) การสร้างความนิยมชมชอบ (Popularity)

(5) การป้องกันตนเอง (Self-Defense)

ตอบ 1 ในเรื่องวัฒนธรรมและบุคลิกภาพนั้น คนในแต่ละสังคมได้สร้างวัฒนธรรมของตนเองขึ้นมาและวัฒนธรรมนี้ได้มีอิทธิพลในการหล่อหลอมบุคลิกภาพหรือมีอิทธิพลเหนือบุคลิกภาพของบุคคลทั่วไปในสังคมทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม โดยผ่านกระบวนการสังคมกรณ์หรือสังคมประกฤติ (Socialization)

114. หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 รุธ เบเนดิกท์ (Ruth Benedict) ได้ศึกษาอุปนิสัยของชนชาติใดในเอเชีย

(1) จีน (2) ญี่ปุ่น (3) อินเดีย (4) ปากีสถาน (5) ศรีลังกา

ตอบ 2 รุธ เบเนดิกท์ (Ruth Benedict) นักมานุษยวิทยาทางวัฒนธรรมชาวอเมริกัน ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับอุปนิสัยประจำชาติของคนญี่ปุ่นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นมา ชื่อว่า “ดอกเบญจมาศและดาบ (ซามูไร)” โดยเขาเห็นว่า บุคลิกภาพของคนญี่ปุ่นนั้นจะเป็นเสมือนดอกเบญจมาศและดาบซามูไร คือ จะอ่อนน้อมภายนอกแต่แข็งแกร่งภายใน

115. ตามทัศนะของเอมบรี (Embree) เห็นว่าอุปนิสัยประจำชาติของคนไทยเป็นอย่างไร

(1) ขาดเมตตา (2) ขาดความสามัคคี (3) ขาดวินัย

(4) รู้จักประสานประโยชน์ (5) ชาตินิยม

ตอบ 3 จอห์น เอมบลี (Embree) นักมานุษยวิทยาตะวันตก กล่าวว่า “คนไทยชอบสนุกและมีโครงสร้างทางบุคลิกภาพและทางสังคมหลวม ๆ คือ ขาดวินัย

116. ข้อใดเป็นค่านิยมของสังคมไทยซึ่งเป็นลักษณะของสังคมเกษตรกรรม

(1) การถือฐานานุรูป (2) การถือประโยชน์ของตนเอง (3) การถืออำนาจ

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ตามทัศนะของ ดร. อดุล วิเชียรเจริญ ค่านิยมในสังคมเกษตร ได้แก่

1. ความเฉื่อย 2. การถือฐานานุรูป 3. การถือความสัมพันธ์ส่วนตัว

4. การถือประโยชน์ตนเอง 5. การถืออำนาจซึ่งจะตรงกันข้ามกับค่านิยมในสังคมอุตสาหกรรม ได้แก่

(1). ความฉับพลัน (2). การถือความสามารถ (3). การถือหลักเกณฑ์

(4). การถือประโยชน์ส่วนรวม (5). การถือเสรีภาพ

117. ประเทศใดถือเป็นแม่แบบในการจัดการสังคมสงเคราะห์

(1) สหรัฐอเมริกา (2) อังกฤษ (3) ฝรั่งเศส (4) อิตาลี (5) กรีก

ตอบ 2 ประเทศอังกฤษนับว่าเป็นประเทศแรกที่ริเริ่มและถือเป็นแม่แบบในการจัดการสังคมสงเคราะห์โดยจะเห็นได้จากการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับความผาสุกของส่วนร่วมเป็นลายลักษณ์อักษรเช่น ในปี ค.ศ. 1601 สมัยพระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 1 ได้ทรงออกกฎหมายเพื่อช่วยเหลือคนจนที่เรียกว่า Elizabethan Poor Law เป็นต้น

118. ข้อใดคือวิธีการของสังคมสงเคราะห์ที่จัดเป็นการให้บริการโดยอ้อม (Indirect Service)

(1) การสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย (2) การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม

(3) การสำรวจวิจัยทางสังคมสงเคราะห์ (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 3 วิธีการของสังคมสงเคราะห์ มี 5 วิธีการ ได้แก่

1. การสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย (Social Case Work)

2. การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม (Social Group Work)

3. การจัดระเบียบชุมชน (Community Organization)

4. การสำรวจวิจัยทางสังคมสงเคราะห์ (Social Research)

5. การบริหารงานสวัสดิการสังคม (Social Welfare Administration)

โดย 3 วิธีแรกจัดเป็นการให้บริการโดยตรง (Direct Service)

ส่วน 2 วิธีการหลังจัดเป็นการให้บริการทางอ้อม (Indirect Service)

119. ความรู้ใดบ้างที่นำมาใช้ในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์

(1) หลักความจริงและทฤษฎี (2) ความรู้ทางสังคมศาสตร์

(3) ความรู้ทางสังคมวิทยา (4) ความรู้ทางจิตวิทยา (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ความรู้ที่นำมาใช้ในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์นั้น ได้แก่

1.หลักความจริงและทฤษฎีในงานสังคมสงเคราะห์

2. ความรู้ทางด้านสังคมศาสตร์ เช่น ความรู้ทางสังคมวิทยา จิตวิทยา จิตวิทยาสังคมเศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ฯลฯ

120. สาระใดของ “สิทธิมนุษยชน” ที่พิจารณาได้ว่าเกี่ยวข้องกับการสังคมสงเคราะห์

(1) การคุ้มครองป้องกันเด็กทุกคนในสังคมไทย

(2) การช่วยเหลือเด็กในทุกครอบครัวในสังคม

(3) การช่วยเหลือผู้หญิงที่มีบุตรยากโดยใช้การแพทย์ที่ทันสมัย

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 สาระสำคัญของ “สิทธิมนุษยชน” ที่เกี่ยวข้องกับการสังคมสงเคราะห์ ได้แก่

1.ให้มีการคุ้มครองป้องกันต่อเด็กทุกคนในสังคม

2.ให้มีการช่วยเหลืออย่างเต็มที่แก่เด็กทุกครอบครัวในสังคม

3.ให้มีการสงเคราะห์ช่วยเหลือสำหรับผู้เป็นมารดาทั้งก่อนและหลังคลอด ฯลฯ

SOC1003 สังคมวิทยาและมนุษยวิทยาเบื้องต้น S/2552

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2552

ข้อสอบกระบวนวิชา SOC1003 สังคมวิทยาและมนุษยวิทยาเบื้องต้น

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1 เพราะเหตุใด ผู้ที่เรียนแพทย์แผนไทยของมหาวิทยาลัยรามคำแหงจึงต้องเรียน วิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเบื้องต้น (SO 103)

1 เพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ

2 เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับคนและสังคม

3 เพื่อเป็นไปตามแผนการศึกษาทั่วไป

4 เพื่อสร้างดุลยภาพแก่สังคม

5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ถูกทั้งหมด

เหตุผลสำคัญที่กำหนดให้กระบวนวิชา “สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเบื้องต้น” หรือ SO 103 เป็นวิชาบังคับพื้นฐานของนักศึกษาคณะต่างๆในมหาวิทยาลัยรามคำแหง ก็คือ เพื่อความเป็นเลิศทางวิชาการ ซึ่งเป็นไปตามแผนการศึกษาทั่วไป และเพื่อสร้างดุลภาพให้แก่สังคมในการเตรียมความพร้อมให้กับนักศึกษาสามารถทำงานที่เกี่ยวข้องกับคนและสังคมได้เมื่อสำเร็จการศึกษาออกไป

2 ออกัส ค้องท์ (Auguste Comte) และเฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ (Herbert Spencer) เป็นผู้บุกเบิกในการแสวงหาความรู้และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมนุษย์และสังคมอย่างเป็นระบบจนทำให้ความรู้ด้านนี้ เรียกว่าอะไร

1 วิทยาศาสตร์ประยุกต์ 2 วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ 3 วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์

4 วิทยาศาสตร์ทางสังคม 5 วิทยาศาสตร์เฉพาะ

ตอบ 4 วิทยาศาสตร์ทางสังคม

ออกัส ค้องท์ (Auguste Comte) และเฮอร์เบิร์ต สเปนเซอร์ (Herbert Spencer) เป็นนักคิดนักวิชาการกลุ่มแรกที่ได้พยายามทำให้ความรู้เกี่ยวกับคนและสังคมให้กลายเป็น “วิทยาศาสตร์ทางสังคม” ขึ้นมา โดยพยายามใช้วิธีการศึกษาทุกขั้นตอนเหมือนกับการทดลองวิทยาศาสตร์ธรรมชาติในการแสวงหาความรู้และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมนุษย์และสังคมมนุษย์อย่างเป็นระบบ

3 นักปราชญ์ท่านใดกล่าวว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม

1 เพลโต (Plato) 2 อริสโตเติล (Aristotle) 3 ดาร์วิน (Darwin)

4 ค้องท์ (Comte) 5 เดอร์ไคม์ (Durkheim)

ตอบ 2 อริสโตเติล (Aristotle)

อริสโตเติล (Aristotle) นักปรัชญาชาวกรีก ได้กล่าวว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” (Social Animal) ซึ่งหมายความว่า มนุษย์จะมีชีวิตอยู่รวมกันเป็นหมู่เหล่า มีความเกี่ยวข้องและสัมพันธ์กันในหมู่สมาชิก มีความจำเป็นต้องติดต่อและเกี่ยวข้องกับผู้อื่นอยู่เสมอ

4 เอ็ดมันด์ ลีช (Edmund Leach) นำเสนอแนวคิดใดที่ได้จากการศึกษาสังคมชาวกะฉิ่นในประเทศพม่า

1 สังคมไม่จำเป็นต้องมีดุลยภาพเสมอไป 2 สังคมจะต้องมีความสมดุล

3 การขัดแย้งจะเกิดขึ้นพร้อมกับการประนีประนอม 4 สังคมอยู่รอดเพราะการประนีประนอม

5 การขัดแย้งก่อให้เกิดความสมดุล

ตอบ 1 สังคมไม่จำเป็นต้องมีดุลยภาพเสมอไป

เอ็ดมันด์ ลีช (Edmund Leach) กล่าวว่า สังคมไม่จำเป็นต้องมีดุลยภาพเสมอไป ทั้งนี้เพราะสังคมอาจเกิดความไม่สงบและเปลี่ยนจากรูปแบบหนึ่งไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่งแล้วอาจเปลี่ยนกลับคืนมาเป็นลักษณะเดิมอีก เช่น สังคมชาวกะฉิ่นในประเทศพม่า ซึ่งเขาได้ใช้เวลาในการศึกษาอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานหลายปี

5 แนวคิดของ ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในโลก มีอิทธิพลต่อนักวิชาการทางสังคมวิทยาท่านใด

1 เพลโต (Plato) 2 ค้องท์ (Comte) 3 สเปนเซอร์ (Spencer)

4 มาร์กซ์ (Marx) 5 ข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 ข้อ 2 และ 3

ค้องท์ (Comte) และสเปนเซอร์ (Spencer) เป็นนักสังคมวิทยารุ่นแรกที่สนใจศึกษาถึงการกำเนิดของสังคม วิวัฒนาการของสังคม และความน่าจะเป็นของสังคมในอนาคต ซึ่งเป็นแนวคิดที่ได้รับอิทธิพลมาจากแนวการศึกษาวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในโลกของชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) นักชีววิทยาชาวอังกฤษ

6 ข้อใดที่ไม่ใช่ลักษณะของ “ศาสตร์ทางสังคม”

1 มีการสังเกต ตรวจสอบ ทดลอง

2 อธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมอย่างเป็นระบบและมีหลักเกณฑ์

3 ใช้สามัญสำนึก

4 มีหลักการสามารถอธิบายบนพื้นฐานของทฤษฎี

5 มีความรู้สนับสนุน

ตอบ 3 ใช้สามัญสำนึก

ลักษณะของ “ศาสตร์ทางสังคม” มีดังนี้

1 มีการสังเกต ยืนยันข้อเท็จจริง อธิบาย ตรวจสอบ ทดลอง และอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมอย่างเป็นระบบและมีหลักเกณฑ์

2 มีหลักการ มีวิทยาการ โดยอาศัยพื้นฐานของทฤษฎีที่มีระบบระเบียบ

3 ต้องมาจากการศึกษาและค้นคว้า

4 มีความรู้สนับสนุน

7 ข้อใดเป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์

1 ฟิสิกส์ 2 รัฐศาสตร์ 3 สังคมวิทยา 4 เคมี 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ถูกทั้งหมด วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ได้แก่ ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ เคมี รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา ฯลฯ (ส่วนวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ได้แก่ วิศวกรรมศาสตร์ การบัญชี เภสัชกรรม การแพทย์ การเมือง กฎหมาย บริหารธุรกิจ การสังคมสงเคราะห์ ฯลฯ)

8 คำว่า Socius ในภาษาละตินหมายถึง

1 สังคม 2 เพื่อน 3 วัฒนธรรม 4 ถ้อยคำ 5 ชาติพันธุ์

ตอบ 2 เพื่อน

คำว่า Sociology (สังคมวิทยา) มาจากศัพท์ 2 คำ คือ คำว่า Socius ซึ่งเป็นภาษาละตินมีความหมายว่า “เพื่อน”” (Companion) และคำว่า Logos ซึ่งเป็นภาษากรีก มีความหมายว่า “ถ้อยคำ” (Word) เมื่อรวมคำทั้ง 2 นี้เข้าด้วยกันก็จะแปลว่า การพูดคุยเกี่ยวกับสังคม

9 เพลโตเขียนหนังสือชื่ออะไรที่บรรยายสภาพสังคมที่เลอเลิศที่สุด

1 อุตมรัฐ 2 กลไกของสังคม 3 ประชาธิปไตยของปวงชน

4 รัฏฐาธิปัตย์ 5 เสนาสมาคม

ตอบ 1 อุตมรัฐ

ผลงานของเพลโต (Plato) ในหนังสือชื่อ The Republic (อุตมรัฐ) ได้บรรยายถึงสภาพสังคมที่เลอเลิศที่สุด เป็นสังคมที่มีแต่ความผาสุก เพราะผู้ปกครองเป็นราชาปราชญ์ (Philosopher King) คือ เป็นทั้งราชาที่มีอำนาจและเป็นปราชญ์ (ทรงไว้ซึ่งความรู้)

10 นักสังคมวิทยาชื่อ แม็กซ์ เวเบอร์ เป็นคนชนชาติใด

1 ฝรั่งเศส 2 อังกฤษ 3 เยอรมัน 4 สหรัฐอเมริกา 5 สเปน

ตอบ 3 เยอรมัน

แม็กซ์ เวเบอร์ (Max Weber) เป็นนักสังคมวิทยาชาวเยอรมันที่สนับสนุนการใช้วิธีการศึกษาที่เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า “แวร์สเตเฮ็น” (Verstehen) แปลว่า Understanding (ความเข้าใจ) ซึ่งเป็นวิธีการที่เน้นความเข้าใจรวมๆกันมากกว่าในรายละเอียดของปรากฏการณ์ทางสังคม

11 สังคมวิทยาแนวใหม่ เน้นศึกษาเรื่องอะไร

1 ปัญหาสังคม

2 การจัดระเบียบทางสังคม

3 การแก้ไขปัญหา มุ่งให้สังคมดีขึ้น

4 ข้อ 1 และ 3

5 ผิดทั้งหมด

ตอบ 5 ผิดทั้งหมด

สังคมวิทยาแนวใหม่เน้นศึกษาเรื่องการเปลี่ยนแปลง โดยศาสตราจารย์ซีไรท์ มิลส์ (C. Wright Mills) ได้ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงแทนที่จะย้ำเรื่องการอยู่คงที่หรือการมีเสถียรภาพในสังคม

12 หลักตรรกศาสตร์ในทางสังคมศาสตร์ได้แก่วิธีการแบบใดที่นำมาใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม

1 นิรนัย 2 อุปนัย 3 ตรรกนัย 4 ข้อ 1 และ 2 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ข้อ 1 และ 2

ในทางสังคมศาสตร์ได้นำเอาหลักตรรกวิทยา (ตรรกศาสตร์) มาใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม ดังนี้

1 วิธีนิรนัย (Deductive Method) เป็นการอธิบายส่วนใหญ่มาหาส่วนน้อย

2 วิธีอุปนัย (Inductive Method) เป็นการอธิบายในเชิงเป็นไปได้ เมื่อรู้ว่าส่วนน้อยเป็นอย่างไรก็นำไปอธิบายส่วนใหญ่

13 ข้อใดคือความหมายของวัฒนธรรมตามรากศัพท์เดิม

1 ดนตรีของบีโธเฟน 2 การสมรส 3 การเข้าแถวเคารพธงชาติ

4 วรรณกรรมล้อการเมือง 5 การแห่นางแมว

ตอบ 1 ดนตรีของบีโธเฟน

ตัวอย่างของวัฒนธรรมตามรากศัพท์เดิม ได้แก่

1 ภาพวาดของจิตรกรที่มีชื่อเสียง เช่น แองเจโล โกแก็ง ปิกัสโซ ฯลฯ รวมถึงภาพวาดหรือจิตรกรรมฝาผนังตามระเบียงในโบสถ์วิหารของวัดวาอารามต่างๆ

2 ดนตรีของคีตกวีเอก เช่น บีโธเฟน โมสาร์ต และดรตรีไทยของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ ฯลฯ

3 วรรณคดีอมตะ เช่น บทละครของเชกส์เปียร์ วรรณกรรมของสุนทรภู่ ฯลฯ

14 วัฒนธรรมตามนัยแห่งสังคมศาสตร์ครอบคลุมถึงพฤติกรรมใด

1 พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ 2 ขนบธรรมเนียมประเพณี 3 สถาบันทางสังคม

4 ข้อ 1 และ 2 5 ข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 ข้อ 1, 2 และ 3

วัฒนธรรมตามนัยแห่งสังคมศาสตร์ครอบคลุมถึงพฤติกรรมหรือทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งมีลักษณะดังนี้

1 พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ ด้วยการสื่อสารต่อกัน

2 ขนบธรรมเนียมประเพณีหรือจารีตที่มีการประพฤติปฏิบัติต่อกันมา

3 สถาบันทางสังคมต่างๆ เช่น สถาบันศาสนา การศึกษา การเมือง ฯลฯ

15 ข้อใดไม่จัดว่าคือวัฒนธรรม

1 สัญชาตญาณ 2 เครื่องคอมพิวเตอร์ 3 ความศรัทธา

4 ของเล่นเด็ก 5 แฟชั่น

ตอบ 1 สัญชาตญาณ

ตัวอย่างวัฒนธรรมของมนุษย์ ได้แก่

1 วัฒนธรรมทางวัตถุ เช่น กระดานชนวน สมุด สายไฟฟ้า เครื่องวิทยุ เครื่องคอมพิวเตอร์ ของเล่นเด็ก แฟชั่น ฯลฯ

2 วัฒนธรรมทางอวัตถุ เช่น ศาสนา ศีลธรรม ศรัทธา ความเป็นผู้นำ ฯลฯ (ส่วนสัตว์ที่ต่ำกว่ามนุษย์นั้นจะไม่มีหรือไม่สามารถมีวัฒนธรรมได้ เนื่องจากสัตว์ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยสัญชาตญาณ)

16 ข้อใดไม่ใช่วัฒนธรรมสากล

1 ภาษาเขียน 2 ภาษาพูด 3 ครอบครัว 4 ระบบเศรษฐกิจ 5 ศาสนา

ตอบ 1 ภาษาเขียน

สภาวะแห่งการเป็นวัฒนธรรมสากลหรือความเหมือนกันของวัฒนธรรมต่างๆที่มีในทุกสังคม ได้แก่ 1 ภาษาพูด 2 ระบบการสมรส ระบบครอบครัว และระบบเครือญาติ 3 การแบ่งมนุษย์ตามอายุและเพศ 4 การปกครองหรือมีรัฐบาล 5 ศาสนา 6 ระบบความรู้ 7 ระบบเศรษฐกิจ 8 กิจกรรมเกี่ยวกับการนันทนาการ 9 ศิลปะ

17 ข้อใดคือลักษณะของ “กระสวน” (Pattern)

1 การแปรงฟัน 2 การทักทายกัน 3 การขับรถตามช่องทางจราจร

4 การยื่นแบบเสียภาษีอากร 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ถูกทั้งหมด

กระสวน (Pattern) หมายถึง รูปแบบอันเกิดขึ้นจากการกระทำซ้ำๆกัน เช่น การทักทายกัน การแปรงฟัน การเขียนหนังสือ การเข้าแถว การขับรถตามช่องทางจราจร การยื่นแบบเสียภาษีอากร การเข้านั่งสอบตามระเบียบของสถาบัน ฯลฯ

18 ลักษณะของกลุ่มชนบางกลุ่มที่ “ต่อต้าน” วัฒนธรรมส่วนใหญ่ของสังคม อาจเรียกในทางสังคมวิทยาว่าอะไร

1 อนุวัฒนธรรม 2 สัมพันธภาพทางวัฒนธรรม 3 ความล้าทางวัฒนธรรม

4 ปฏิวัฒนธรรม 5 ทวิมาตรฐาน

ตอบ 4 ปฏิวัฒนธรรม

ปฏิวัฒนธรรม (Counterculture) หมายถึง ลักษณะของกลุ่มชนบางกลุ่มที่ “ต่อต้าน” วัฒนธรรมส่วนใหญ่ของสังคม เช่น การอยู่ร่วมกันของหนุ่มสาวโดยมิได้สมรส กลุ่มเด็กวัยรุ่นสร้างวัฒนธรรมในระบบความสัมพันธ์ในกลุ่มตน (แก๊งเด็กแว้น หรือพฤติกรรมฮิปปี้ในยุค 1960) ฯลฯ

19 ผู้ใดบัญญัติศัพท์คำว่า “วัฒนธรรม”

1 พระมหาพูล 2 กรมพระยาดำรงราชานุภาพ 3 จอมพล ป. พิบูลสงคราม

4 ม.ล.ปิ่น มาลากุล 5 กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์

ตอบ 5 กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์

ในปี พ.ศ. 2475 พระวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ขณะทรงพระยศเป็นพระองค์เจ้าวรรณไวทยากรทรงเป็นผู้บัญญัติศัพท์คำว่า “วัฒนธรรม”

20 ข้อใดไม่ใช่กลุ่มทุติยภูมิ

1 เพื่อนเล่น เพื่อนบ้าน 2 กลุ่มชาติพันธุ์ 3 กลุ่มชนชั้น

4 สมาคม 5 องค์การ

ตอบ 1 เพื่อนเล่น เพื่อนบ้าน

กลุ่มทุติยภูมิ (Secondary Group) เป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ มีการติดต่อทางสังคมที่ห่างเหินและระยะสั่น การติดต่อสัมพันธ์เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนดหรือตามหน้าที่ การติดต่อมุ่งให้ได้ประโยชน์มากกว่าความรู้สึกส่วนตัว โดยกลุ่มทุติยภูมิแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ 1 กลุ่มสมาคมหรือองค์กร 2 กลุ่มชาติพันธุ์ 3 กลุ่มชนชั้น (ส่วนกลุ่มปฐมภูมินั้นเป็นกลุ่มที่มีขนาดเล็ก มีการติดต่อใกล้ชิดสนิทสนม กระทำกิจกรรมต่างๆ โดยมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน และมักจะใช้ความรู้สึก อารมณ์ มากกว่าเหตุผล ตัวอย่างของกลุ่ม เช่น เพื่อนเล่น เพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมก๊วน ฯลฯ)

21 ข้องใดคือความหมายของกลุ่มสังคม

1 กลุ่มคนจำนวนหนึ่ง

2 มีการกระทำตอบโต้ซึ่งกันและกัน

3 มีความรู้สึกเป็นพวกพ้องเดียวกัน

4 ข้อ 1 และ 3

5 ข้อ 1 , 2 และ 3

ตอบ 5 ข้อ 1 , 2 และ 3

กลุ่มสังคม หมายถึง กลุ่มคนจำนวนหนึ่งมาอยู่รวมกัน มีความรู้สึกสำนึกเป็นพวกเดียวกัน มีแบบแผนบางอย่างร่วมกัน มีการกระทำโต้ตอบซึ่งกันและกัน มีการติดต่อสัมพันธ์กันตามสถานภาพและบทบาท และมีความเชื่อในด้านคุณค่าร่วมกันหรือคล้ายคลึงกัน เช่น ครอบครัว กลุ่มเพื่อน กลุ่มอาชีพ กลุ่มเชื้อชาติ ฯลฯ

22 “นายเอกตัดผมทรงดาราเกาหลีตามแบบนายต้น ซึ่งเป็นเพื่อนซี้ร่วมก๊วนเดียวกัน นายต้นเลียนแบบทรงผมนี้จากละครซีรีย์เกาหลีในทีวี” ข้อความดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของกลุ่มสังคมชนิดใด

1 กลุ่มปฐมภูมิ 2 กลุ่ม ทุติยภูมิ 3 กลุ่มอ้างอิง 4 ข้อ 1 และ 3 5 ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 ข้อ 1 และ 3

กลุ่มอ้างอิง (Reference Group) หมายถึง กลุ่มคนที่เป็นแบบแผนของพฤติกรรม ซึ่งอาจเป็นอะไรหรือใครก็ได้ที่เป็นแบบอย่างหรือแนวทางที่คนยึดถือเป็นหลักในการตัดสินใจหรือเป็นแนวทางในการแสดงออกของพฤติกรรม เช่น ดารา นักร้อง นักแสดง ภาพยนตร์ ลัทธิความเชื่อ คำสอน สุภาษิต คติพจน์ วีรบุรุษ สิ่งของ หรือแม้กระทั่งบุคคลที่เก่งกล้า แต่มีพฤติกรรมที่ละเมิดบรรทัดฐานของสังคม เช่น หัวหน้าโจร หัวหน้าแก๊งวัยรุ่น ฯลฯ (ดูคำอธิบายข้อ 20 ประกอบ)

23 ข้อใดไม่สอดคล้องกับ Gemeinschaft

1 ยึดมั่นในประเพณี 2 ไม่เป็นทางการ 3 ใกล้ชิดสนิทสนม

4 การตัดสินใจใช้ความรู้สึกและอารมณ์ 5 ขึ้นกับการต่อรองผลประโยชน์

ตอบ 5 ขึ้นกับการต่อรองผลประโยชน์

Gemeinschaft (เกไมน์ชาฟท์) มีลักษณะความสัมพันธ์ที่สำคัญ ดังนี้ 1 ใกล้ชิดตัวต่อตัว 2 การติดต่อเป็นแบบไม่เป็นทางการ 3 ยึดมั่นในประเพณี 4 การตัดสินใจใช้ความรู้สึกและอารมณ์ 5 สัมพันธ์สนิทสนมในทุกเรื่อง (ส่วน Gesellschaft เกเซลล์ซาฟท์) มีลักษณะความสัมพันธ์ที่สำคัญ ดังนี้ 1 ห่างเหินไม่สนิทสนม 2 การติดต่อเป็นแบบทางการ 3 ขึ้นอยู่กับการต่อรองผลประโยชน์ 4 ใช้เหตุผลเป็นหลัก 5 สัมพันธ์เฉพาะเรื่อง เฉพาะหน้าที่

24 การแบ่งขั้วทางการเมือง การเป็นศัตรู และใช้ความรุนแรงกับฝ่ายตรงข้าม ลักษณะทั้งสามแบบนี้อธิบายด้วยแนวความคิดใด

1 กลุ่มชนชั้น 2 กลุ่มเราและกลุ่มเขา 3 Gesellschaft

4 ระยะห่างทางสังคม 5 กลุ่มทุติยภูมิ

ตอบ 2 กลุ่มเราและกลุ่มเขา

กลุ่มเรา คือ กลุ่มที่เรามีความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกับเรา มีลักษณะสำคัญคือ มีความรู้สึกผูกพันและยึดเหนี่ยวระหว่างสมาชิก มีความซื่อสัตย์และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความรู้สึกเป็นมิตร ส่วนกลุ่มเขา คือ กลุ่มที่ไม่ใช่พวกเรา มีลักษณะสำคัญคือ มีความรู้สึกห่างเหิน หลีกเลี่ยง มีความรู้สึกมุ่งร้าย ไม่ร่วมมือ มีความรู้สึกเป็นศัตรู

25 ระบบครอบครัวที่ชายหญิงมีคู่สมรสมากกว่า 1 คน คือข้อใด

1 ครอบครัวซ้อน 2 ชายมีภรรยาหลายคน 3 หญิงมีสามีหลายคน

4 ครอบครัวที่เกิดจากการสมรสหมู่ 5 ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 ครอบครัวซ้อน

ครอบครัวประกอบร่วมหรือครอบครัวซ้อน เป็นระบบครอบครัวที่ชายหญิงสามารถมีคู่สมรสได้มากกว่า 1 คน ที่เรียกว่าหลายผัวหลายเมียหรือพหุคู่ครอง (Polygamy) ซึ่งแยกออกเป็น 1 ชายมีภรรยาหลายคน (พหุภรรยา) ซึ่งมีในสังคมชาวมุสลิม 2 หญิงมีสามีหลายคน (พหุสามี) ซึ่งยังปรากฏอยู่ในชาวทิเบตบางกลุ่ม 3 ครอบครัวที่เกิดจากการสมรสหมู่ ซึ่งปัจจุบันได้สูญหายไปจากโลกนี้แล้ว ยังคงเหลือแต่เพียงหลักฐานว่าเคยมีอยู่เท่านั้น 4 ครอบครัวภาระหรือครอบครัวภาวะจำยอม

26 ครอบครัวที่เราถือกำเนิดมาจัดว่าเป็นครอบครัวประเภทใด

1 ครอบครัวเล็ก 2 ครอบครัวสร้างสมาชิกใหม่ 3 ครอบครัวปฐมนิเทศ

4 ครอบครัวขยาย 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 ครอบครัวปฐมนิเทศ

ประเภทครอบครัวจัดตามลักษณะและหน้าที่ มี 2 ประการ ดังนี้

1 ครอบครัวปฐมนิเทศ (Family of Orientation) เป็นครอบครัวอาศัยเกิด (ถือกำเนิด) คือ ครอบครัวของบิดามารดาของเรานั่นเอง

2 ครอบครัวสร้างสมาชิกใหม่ (Family of Procreation) คือครอบครัวที่เกิดจากตัวของเราเอง โดยการสมรส และการมีบุตรสืบสกุล

27 ครอบครัวประเภทใดที่สูญหายไปแล้ว เหลือเพียงหลักฐานว่าเคยมีอยู่เท่านั้น

1 ครอบครัวสมรสหมู่ 2 ครอบครัวปฐมนิเทศ 3 ครอบครัวภาวะจำยอม

4 ครอบครัวหลายสามี 5 ครอบครัวประกอบร่วม

ตอบ 1 ครอบครัวสมรสหมู่ ดูคำอธิบายข้อ 25 ประกอบ

28 ข้อใดคือลักษณะที่สำคัญของครอบครัวขยาย

1 ปรากฏทั่วไปเป็นสากล 2 อำนาจภายในครอบครัวขึ้นอยู่กับระบบอาวุโส

3 ประกอบด้วยสมาชิกเพียง 2 ช่วงวัย 4 เป็นครอบครัวที่มีสามีหลายคนแต่มีภรรยาคนเดียว

5 เป็นครอบครัวที่มีภรรยาหลายคนแต่มีสามีคนเดียว

ตอบ 2 อำนาจภายในครอบครัวขึ้นอยู่กับระบบอาวุโส

ครอบครัวขยาย (Extended Family) มีลักษณะที่สำคัญดังนี้

1 เป็นครอบครัวร่วม (Join Family) ซึ่งประกอบด้วยครอบครัวเล็กตั้งแต่ 2 ครอบครัวขึ้นไป

2 อำนาจสิทธิ์ขาดภายในครอบครัวขึ้นอยู่กับระบบอาวุโส

3 ส่วนใหญ่มักปรากฏในสังคมเกษตรหรือสังคมดั้งเดิม

29 การศึกษาวิวัฒนาการของครอบครัว เช่น การมีบุตรสืบสกุล จักเป็นแนวการศึกษาอะไร

1 มานุษยวิทยา 2 สังคมวิทยา 3 จิตวิทยา 4 เพศศึกษา 5 กายวิภาค

ตอบ 1 มานุษยวิทยา

การศึกษาครอบครัวตามแนวมานุษยวิทยา เป็นการศึกษาครอบครัวโดยเริ่มจากการที่หญิงหนึ่งคนหรือมากกว่านั้นอยู่ร่วมกับชายหนึ่งคนหรือมากกว่านั้นและมีบุตรด้วยกัน มีความสัมพันธ์ทางเพศอันเป็นที่ยอมรับกันทางสังคม โดยมีวัตถุประสงค์ในการอยู่ร่วมกันเพื่อต้องการมีบุตรไว้สืบสกุล อันเป็นเรื่องของวิวัฒนาการของมนุษย์เอง

30 ศาสนามีความสำคัญต่อสังคมของมนุษย์ โดยเป็นตัวเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาวะเหนือธรรมชาติ คำว่าสภาวะเหนือธรรมชาติตรงกับศัพท์ใด

1 Human Beings 2 Religion 3 Function 4 Supernature 5 Structure

ตอบ 4 Supernature

ศาสนา (Religion) นั้นมีความสำคัญต่อสังคมของมนุษย์มาแต่ยุคดึกดำบรรพ์ เพราะเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาวะเหนือธรรมชาติ (Supernature) และเพื่อความสบายใจของมนุษย์

31 การนับถือไสยศาสตร์ เครื่องราง จัดเป็นศาสนาแบบใด

1 ศาสนาหลัก

2 ศาสนาจุลภาค

3 ศาสนามหัพภาค

4 ประเพณี

5 ศาสนาธรรมชาติ

ตอบ 2 ศาสนาจุลภาค

ศาสนาโดยการยอมรับ แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ

1 ศาสนามหัพภาค เป็นระบบศาสนาอันเป็นที่ยอมรับกันของคนส่วนใหญ่หรือทั้งสังคม มักเป็นศาสนาของโลกหรือเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก เช่น ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ฯลฯ

2 ศาสนาจุลภาค เป็นระบบศาสนาย่อยอันเป็นที่ยอมรับนับถือกันเฉพาะคนบางกลุ่มบางเหล่าเท่านั้น เช่น การนับถือผีบรรพบุรุษ การนับถือวิญญาณ การนับถือไสยศาสตร์ เครื่องราง ฯลฯ

32 โดยหลักการทั่วไป ศาสนา แปลว่าอะไร

1 ความจงรักภักดี 2 พระ 3 ศาสดา 4 สมณเพศ 5 คำสอน

ตอบ 5 คำสอน

ตามหลักการทั่วไปแล้ว ศาสนา แปลว่า “คำสอน” ดังนั้นจึงถืออย่างเคร่งครัดว่า ลัทธิที่จะยอมเรียกว่าศาสนานั้นต้องปรากฏตัวผู้สอน ผู้ตั้ง ผู้ประกาศ หรือศาสดา ที่รู้จักกันแน่นอน และยอมรับว่าเป็นความจริงทางประวัติศาสตร์

33 ผู้ใดให้ทัศนะว่า “ศาสนาก่อให้เกิดความงมงาย เป็นอุปสรรคต่อการปฏิวัติทางการเมืองและเป็นยาเสพติด”

1 ฟรอยด์ (Freud) 2 มาร์กซ์ (Marx) 3 มาลินนอฟสกี้ (Malinowski)

4 เรดคลิฟฟ์ – บราวน์ (Radcliffe – Brown) 5 มีด (Mead)

ตอบ 2 มาร์กซ์ (Marx)

ความสำคัญของศาสนาในทางสังคมวิทยานั้น ได้มีผู้แสดงความเห็นไว้ดังนี้

1 ฟรอยด์ (Freud) เห็นว่า ศาสนามีประโยชน์ในด้านเป็นเครื่องปลอบประโลมใจในยามทุกข์ยาก

2 มาร์กซ์ (Marx) ถือว่า ศาสนาเป็นยาเสพติด เพราะก่อให้เกิดความงมงาย และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิวัติทางการเมือง ซึ่งเป็นการมองศาสนาไปในแง่ร้าย

3 มาลินนอฟสกี้ (Malinowski) เห็นว่า ศาสนาและพิธีกรรมมักเกี่ยวพันกับความไม่แน่ใจในเรื่องธรรมชาติ ความเกรงกลัวในสิ่งที่ไม่แน่นอนหรือสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ ทำให้คนมุ่งไปที่ศาสนาหรือพิธีกรรม

34 “พระเจ้าและจักรวาลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่อาจแยกจากกัน ทุกอย่างอยู่ในความดูแลของพระเจ้า” เป็นระบบความเชื่อแบบใด

1 สัพพัตถเทวนิยม 2 พหุเทวนิยม 3 เอกเทวนิยม 4 อเทวนิยม 5 เทวนิยม

ตอบ 1 สัพพัตถเทวนิยม

เทวนิยม เป็นระบบความเชื่อที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แบ่งเป็น 3 ประการ คือ

1 เอกเทวนิยม เชื่อว่า ทุกสิ่งในโลกเกิดจากการสร้างสรรค์ของพระเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น เช่น ศาสนาคริสต์ อิสลาม ซิกข์ ยิว ฯลฯ

2 พหุเทวนิยม เชื่อว่า โลกนี้เกิดจากพระเจ้าหลายพระองค์ที่ทรงบัญชาให้เป็นไป โดยแต่ละพระองค์ทรงปฏิบัติหน้าที่ต่างๆกัน เช่น ศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ฯลฯ

3 สัพพัตถเทวนิยม เชื่อว่า พระเจ้าและจักรวาลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่อาจแยกออกจากกันได้ ทุกอย่างอยู่ในความดูแลของพระเจ้าทั้งสิ้น เช่น แผ่นดินพระแม่ธรณีเป็นผู้ดูแลรักษา ฯลฯ

35 การศึกษาในเชิงพุทธศาสตร์เน้นอะไร

1 การศึกษาผูกพันกับคุณธรรม 2 ความรู้คืออำนาจ 3 การศึกษาสร้างพลเมืองดี

4 การหลุดพ้นจากอวิชา 5 การศึกษามีผลกระทบต่อชะตากรรม

ตอบ 4 การหลุดพ้นจากอวิชา

การศึกษาในเชิงพุทธศาสตร์ คือ เน้นการหลุดพ้นจากอวิชา (ความไม่รู้) เพื่อชีวิตจะได้ล่วงพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด โดยในทางพุทธศาสนาถือว่าความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้มนุษย์พ้นจากความทุกข์ การเวียนว่ายตายเกิดจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อพ้นจากอวิชา

36 มหาวิทยาลัยสหประชาชาติแตกต่างจากมหาวิทยาลัยทั่วไปด้านใด

1 ห้องสมุด 2 อาจารย์ 3 นักศึกษา 4 อาคารเรียน 5 การประสาทปริญญา

ตอบ 5 การประสาทปริญญา

มหาวิทยาลัยสหประชาชาติ เป็นสถาบันที่มีรูปแบบของมหาวิทยาลัยทั่วๆไป คือ อาคารเรียน ห้องสมุด อาจารย์ และนักศึกษา แต่จะมีลักษณะคล้ายกันกับสถาบันวิจัยมากกว่าสถานศึกษา ดังนั้นจะไม่มีการสอนและไม่มีการประสาทปริญญา

37 White Collar Workers มีมากในสังคมยุคใด

1 สังคมเกษตรกรรมแบบดั้งเดิม 2 สังคมเกษตรกรรมในยุคอุตสาหกรรม

3 สังคมอุตสาหกรรมแบบผลิต 4 สังคมอุตสาหกรรมบริการ

5 ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 สังคมอุตสาหกรรมบริการ

ในยุคอุตสาหกรรมบริการ (Service Industry) มีความจำเป็นที่จะให้มีการศึกษาที่ค่อนข้างสูงขึ้นสำหรับคนทั่วไปเพื่อเป็น “ผู้ทำงานคอเสื้อขาว” (White Collar Workers) ส่วนในยุคอุสาหกรรมแบบผลิต (Manufacturing Industry) คนทำงานจำนวนมากมักจะมีลักษณะเป็นกรรมกรหรือเป็น “ผู้ทำงานคอเสื้อสีน้ำเงิน” (Blue Collar Workers)

38 “Holocaust” หมายถึงข้อใด

1 สติปัญญาของคนเชื้อชาติต่างๆไม่แตกต่างกัน 2 การสังหารหมู่คนเยอรมันเชื้อสายยิว

3 คนเยอรมันสูญเสียคนที่มีความรู้ความสามารถ 4 การต่อต้านคนเชื้อสายเซไมท์

5 คนเชื้อสายยิวมีสติปัญญาเหนือกว่าคนชาติอื่น

ตอบ 2 การสังหารหมู่คนเยอรมันเชื้อสายยิว

ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เกิดปรากฏการณ์ Holocaust ในเยอรมันยุคเผด็จการฟาสซิสต์โดยพรรคนาซีของฮิตเลอร์ คือ การสังหารหมู่คนเยอรมันเชื้อสายยิว อันเป็นส่วนหนึ่งลัทธิต่อต้านยิว ส่งผลให้สหรัฐอเมริกาเป็นฝ่าย “ได้ประโยชนจากมันสมอง” จากคนยิวที่มีความรู้ความสามารถที่หลบหนีมาเรียกว่า สมองรับ (Brain Gain) ส่วนฝ่ายเยอรมันเป็นฝ่ายสูญเสียประโยชน์เรียกว่า สมองล่องหรือสมองไหล (Brain Drain)

39 ลัทธิต่อต้านยิว ส่งผลให้สหรัฐอเมริกาได้รับประโยชน์จากคนที่มีความรู้ความสามารถที่หลบหนีมาซึ่งถือว่า “ได้ประโยชน์จากมันสมอง” นั้นเรียกว่าอะไร

1 สมองล่อง 2 สมองไหล (Brain Drain) 3 สมองรับ (Brain Gain)

4 ข้อ 1 และ 2 5 ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 สมองรับ (Brain Gain) ดูคำอธิบายข้อ 38 ประกอบ

40 ปรัชญาการศึกษาที่มีลักษณะเชิง “สัมฤทธิคติ” มีลักษณะอย่างไร

1 เน้นการประยุกต์วิชาการ 2 เน้นความเป็นเลิศทางวิชาการ 3 เคร่งทฤษฎี

4 ขาดการสัมผัสกับโลกภายนอก 5 ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 เน้นการประยุกต์วิชาการ

ปรัชญาการศึกษาที่มีลักษณะในเชิงเล็งผลปฏิบัติหรือเชิง “สัมฤทธิคติ” (Pragmatic) นั้น จะเน้นการประยุกต์วิชาการและเริ่มเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป โดยจะถือว่าสถาบันอุดมศึกษาเป็นแหล่งประสาทวิทยาการ ซึ่งมุ่งหนักไปในทางที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์ได้

41 อะไรคือปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในขนาดของประชากร

1 ภาวะเจริญพันธ์

2 อัตราการเกิด

3 อัตราการตาย

4 การอพยพ

5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ถูกทั้งหมด

กระบวนการทางประชากรอันเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในขนาดของประชากร ได้แก่

1 ภาวะการเจริญพันธุ์ หมายถึง จำนวนประชากรที่ให้กำเนิดบุตรได้จริงๆ โดยวัดได้จากการหาอัตราการเกิดของประชากร ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุเมื่อแรกสมรส การอยู่เป็นโสดอย่างถาวร การไม่สมรสใหม่ของหญิงหม้ายและหย่าร้าง การงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ การคุมกำเนิด และการตายของเด็กทารก

2 อัตราการตาย

3 อัตราการอพยพหรือย้ายถิ่น

42 ประชากรโลกมีอัตราการเพิ่มสูงสุดในภูมิภาคใด

1 เอเชีย 2 ยุโรป 3 อเมริกา 4 ออสเตรเลีย 5 นิวซีแลนด์

ตอบ 1 เอเชีย

การเพิ่มของประชากรโลกหลังปี ค.ศ.1950 เป็นต้นมา มีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างสูงในบริเวณภาคแถบเอเชีย ลาตินอเมริกา และแอฟริกา ซึ่งในปัจจุบันการเพิ่มของประชากรโลกก็ยังอยู่ในอัตราที่สูง โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและลาตินอเมริกา

43 อะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางประชากรก่อนปี ค.ศ.1950 ในภูมิภาคยุโรป

1 การเกิด 2 การตาย 3 การย้ายถิ่น 4 สงครามและภัยพิบัติ 5 ข้อ 1 และ 2

ตอบ 5 ข้อ 1 และ 2

สาเหตุหรือปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางประชากรก่อนปี ค.ศ.1950 ในบริเวณภูมิภาคแถบยุโรป คือ

1 การปฏิวัติด้านการเกษตรในศตวรรษที่ 17 และการปฏิวัติด้านอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 18

2 การเปลี่ยนแปลงด้านการเกิดและการตาย

44 นักประชากรศาสตร์ได้ชี้ปัญหาใด คือปัญหาร่วมระหว่างประเทศในปัจจุบัน

1 การเติบโตของเมืองขนาดยักษ์ 2 การลดลงของประชากร 3 การขยายตัวของชนบท

4 ความอดอยากหิวโหย 5 อัตราการตายเพิ่มขึ้น

ตอบ 1 การเติบโตของเมืองขนาดยักษ์

นักประชากรศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นปัญหาร่วมระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาในปัจจุบัน คือ ปัญหาการเติบโตของเมืองต่างๆซึ่งจะนำไปสู่เมืองขนาดยักษ์

45 ประเทศกำลังพัฒนามีการเปลี่ยนแปลงทางประชากรลักษณะใด

1 อัตราการเกิดและอัตราการตายต่ำเท่าเทียมกัน 2 อัตราการเกิดและอัตราการตายสูง

3 อัตราการเกิดสูงและอัตราการตายลดลง 4 อัตราการตายสูงกว่าอัตราการเกิด

5 ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 อัตราการเกิดสูงและอัตราการตายลดลง

ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางประชากรในลักษณะอัตราการเกิดสูงและอัตราการตายลดลง ในขณะที่ประเทศพัฒนาส่วนใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางประชากรในลักษณะอัตราการเกิดและอัตราการตายลดลงอยู่ในระดับต่ำเท่าเทียมกัน

46 ข้อใดคือตัวอย่างของสถานภาพที่ติดมาแต่กำเนิด (Ascribed Status)

1 อายุ 2 เพศ 3 ระดับการศึกษา 4 ข้อ 1 และ 2 5 ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 ข้อ 1 และ 2

สถานภาพของบุคคล แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1 สถานภาพที่ติดตัวมาแต่กำเนิด (Ascribed Status) เช่น เพศ อายุ ผิวพรรณ รูปร่างหน้าตา ชาติตระกูล วรรณะ ศาสนา ฯลฯ

2 สถานภาพสัมฤทธิ์ (Achieved Status) เป็นผลสำเร็จจากการกระทำตามวิถีทางของแต่ละบุคคลที่ขึ้นอยู่กับความสามารถ เช่น การศึกษา อาชีพ อำนาจ รายได้ ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม ฯลฯ

47 ผู้ใดมีแนวคิดว่า “อำนาจ” ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองเป็นพื้นฐานในการอธิบายถึงระบบชนชั้น

1 มาร์กซ์ (Marx) 2 เวเบอร์ (Weber) 3 วอร์เนอร์ (Warner)

4 กอฟฟ์แมน (Goffman) 5 เบอร์แทรนด์ (Bertrand)

ตอบ 2 เวเบอร์ (Weber)

การจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคมตามแนวทัศนะของเวเบอร์ (Weber) ขึ้นอยู่กับ “อำนาจ” โดยเขาได้อ้างถึงอำนาจที่มีประสิทธิภาพที่จะควบคุมการกระทำของมนุษย์ ซึ่งอำนาจพื้นฐานนี้สามารถแยกโดยลักษณะพฤติกรรมได้ 3 ลักษณะ ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

48 ตัวเลือกใดนำมาใช้วิเคราะห์ในการจัดช่วงชั้นทางสังคมแบบวัตถุวิสัย (Objective Approach)

1 ความรู้สึก 2 ความสำนึก 3 ชื่อเสียง 4 ศักดิ์ศรี 5 อาชีพ

ตอบ 5 อาชีพ

หลักเกณฑ์ที่ใช้ศึกษาการจัดลำดับช่วงชั้นของคนในสังคมมี 3 วิธี คือ

1 การศึกษาแบบวัตถุวิสัย (Objective Approach) จะกระทำได้โดยการวิเคราะห์ปัจจัยอันเกี่ยวข้องกับรายได้ อาชีพ อำนาจ ตำแหน่ง และทรัพย์สมบัติ

2 การศึกษาแบบอัตวิสัย (Subjective Approach) ซึ่งขึ้นอยู่กับความรู้สึกของบุคคลที่คิดว่าตนเองอยู่ในชนชั้นใดของสังคม

3 การศึกษาโดยดูจากชื่อเสียง (Reputational Approach) ซึ่งขึ้นอยู่กับการประเมินค่าบุคคลโดยบุคคลอื่น

49 ข้อใดใช้เป็นเกณฑ์การจัดช่วงชั้นทางสังคม

1 เกียรติยศ 2 ความมั่งคั่ง 3 ความเป็นเจ้าของอำนาจ 4 ข้อ 1 และ 2 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ถูกทั้งหมด

เกณฑ์ที่ใช้วัดการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคม ได้แก่ เกียรติยศศักดิ์ศรีของครอบครัว อาชีพ ความเป็นเจ้าของความมั่งคั่ง ความเป็นเจ้าของในอำนาจ การมีเวลาว่าง สภาพการศึกษาและการประสบความสำเร็จ ถิ่นที่อยู่อาศัย รสนิยม เป็นต้น

50 ระบบวรรณะปรากฏใช้ในที่ใดบ้าง

1 อินเดีย 2 อียิปต์ 3 ฝรั่งเศส 4 ข้อ 1 และ 2 5 ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 ข้อ 1 และ 2

วรรณะ (Caste) เป็นระบบการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคมโดยเน้นถึงความสัมพันธ์ของสถานภาพ ซึ่งจำกัดบุคคลที่จะให้ได้รับสถานภาพสูงขึ้นกว่าเมื่อเขาเกิด ตัวอย่างของระบบวรรณะที่เห็นได้ชัดเจน ได้แก่ อินเดีย นอกจากนี้ยังมีปรากฏในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เช่น อียิปต์ เปอร์เซีย กรีก และโรม ซึ่งไม่เข้มงวดนัก

51 ข้อใดคือจุดมุ่งหมายของระบบการควบคุมทางสังคม

1 เพื่อให้บุคคลประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่สังคมคาดหวัง

2 เพื่อควบคุมภาวะทางการเมือง

3 เพื่อควบคุมภาวะทางเศรษฐกิจ

4 เพื่อความเป็นธรรมในสังคม

5 เพื่อแก้ปัญหาในสังคม

ตอบ 1 เพื่อให้บุคคลประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่สังคมคาดหวัง

จุดมุ่งหมายของระบบการควบคุมทางสังคม คือ เพื่อให้บุคคลประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่สังคมคาดหวัง โดยระบบการควบคุมทางสังคมอาจจำแนกออกได้เป็น 2 ประการ คือ

1 เป็นระบบของกฎระเบียบและค่านิยมที่ต้องยอมรับไปปฏิบัติ และระบบของความเชื่อที่เป็นเหตุผลของกฎระเบียบและค่านิยมดังกล่าว

2 ระบบการให้รางวัลและการลงโทษ เพื่อจูงใจให้บุคคลประพฤติปฏิบัติตามในสิ่งที่สังคมยอมรับ

52 กลไกควบคุมทางสังคมข้อใดมีผลต่อการจัดระเบียบทางสังคม

1 กลไกทางวัฒนธรรม 2 กลไกกฎระเบียบ 3 กลไกบังคับ

4 กลไกกลอุบาย 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 กลไกทางวัฒนธรรม

กลไกทางวัฒนธรรมที่ใช้ในการควบคุมทางสังคมแต่ละประเภทจะมีผลต่อหรือมีบทบาทสำคัญทั้งในกระบวนการจัดระเบียบสังคมและพัฒนาบุคคล

53 กลไกการบังคับใช้ ทั้งการให้รางวัลและการลงโทษจะเกี่ยวพันกับตัวเลือกใด

1 บทบาท 2 สถานภาพ 3 บรรทัดฐานทางสังคม

4 เครือข่ายทางสังคม 5 การขัดเกลาทางสังคม

ตอบ 3 บรรทัดฐานทางสังคม

การบังคับใช้ (Sanctions) การให้การตอบแทน เช่น รางวัลและการลงโทษ โดยจะมีความเกี่ยวพันกับบรรทัดฐานทางสังคม (Norms) กล่าวคือ บุคคลที่ปฏิบัติตามบรรทัดฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในสังคมย่อมคาดได้ว่าจะได้รับผลตอบแทนเป็นรางวัล แต่หากละเว้นที่จะปฏิบัติตามบรรทัดฐานดังกล่าวย่อมคาดได้ว่าจะได้รับการลงโทษ

54 การประนีประนอมและการมีผู้ชี้ขาด เป็นกลไกการควบคุมทางสังคมแบบใด

1 บังคับ 2 กฎระเบียบ 3 แลกเปลี่ยนสมานลักษณ์

4 การถอนตัว 5 การรวมกำลัง

ตอบ 3 แลกเปลี่ยนสมานลักษณ์

กลไกแลกเปลี่ยนประเภทการสมานลักษณ์ ประกอบด้วย

1 การประนีประนอม 2 การมีผู้ชี้ขาดหรือคนกลาง 3 การอดกลั้น

55 กลุ่มสังคมที่ไม่เป็นทางการ (Informal Groups) จะใช้กลไกควบคุมสังคมแบบใด

1 กลไกกฎระเบียบ 2 กลไกการแลกเปลี่ยน 3 กลไกทางวัฒนธรรม

4 ข้อ 1 และ 2 5 ข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 ข้อ 2 และ 3

ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ (Informal Groups) และกลุ่มที่เป็นทางการ (formal Groups) คือ กลุ่มที่มีโครงสร้างแบบไม่เป็นทางการจะไม่ใช้กลไกกฎระเบียบ แต่กลุ่มทางการมักใช้กลไกเกี่ยวกับกฎระเบียบเสมอ ส่วนกลไกที่มักใช้กับทั้งกลุ่มทางการและกลุ่มไม่เป็นทางการ เช่น กลไกการแลกเปลี่ยน กลไกทางวัฒนธรรม กลไกบังคับใช้ เป็นต้น

56 ปัจจัยทางสังคมอะไรที่ไม่มีผลต่อการกำหนดนโยบายทางการเมือง

1 เพศและอายุ 2 เชื้อชาติและศาสนา 3 ภาษาและอาชีพ

4 การศึกษา 5 ผิดทั้งหมด

ตอบ 5 ผิดทั้งหมด

ปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อการกำหนดระบบ รูปแบบ และนโยบายทางการเมือง ได้แก่ มิติทางสังคม เช่น กลุ่มประชากร สถานภาพ ครอบครัว เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา เพศ อายุ ฯลฯ และมิติทางเศรษฐกิจ เช่น ฐานะทางเศรษฐกิจ ลำดับชั้น อาชีพ รายได้ ระดับการศึกษา ฯลฯ

57 สังคมที่พัฒนาแล้ว ดังเช่นประเทศต่างๆในยุโรปและดินแดนที่ชาวยุโรปอพยพไปตั้งถิ่นฐาน (เช่นประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์) มักใช้การจัดองค์กรทางการเมืองเป็นแบบใด

1 เบ็ดเสร็จเผด็จการ 2 คอมมิวนิสต์ 3 ประชาธิปไตย 4 ลัทธิฟาสซิสม์ 5 ลัทธินาซี

ตอบ 3 ประชาธิปไตย

ลักษณะวัฒนธรรมในสังคมตะวันตกหรือสังคมที่พัฒนาแล้วดังเช่นประเทศต่างๆในทวีปยุโรปและดินแดนที่ชาวยุโรปอพยพไปตั้งถิ่นฐาน เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฯลฯ มักจะให้ความสำคัญกับระบอบประชาธิปไตย ยกย่องผู้ประสบความสำเร็จด้วยตนเอง เน้นความสำคัญของตัวบุคคล (Individualism) มีประชาธิปไตย ทำงานตามระเบียบกฎเกณฑ์หรือหน้าที่อย่างเคร่งครัด และนิยมวัตถุ (Materialism)

58 การเมืองมีบทบาทที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของการพัฒนาต่อสิ่งใด

1 การเจริญเติบโตของเมือง 2 การวางผังเมือง

3 การกระจายตัวของประชากรและการใช้อำนาจในสังคม 4 ข้อ 1 และ 2

5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ถูกทั้งหมด

ความสัมพันธ์ระหว่างสังคมกับการเมืองที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของการพัฒนา เช่น การขยายตัวของเมือง (การเจริญเติบโตของเมือง) การวางผังเมือง การกระจายตัวของประชากร ภาวะความเป็นผู้นำ การใช้อำนาจในสังคม การจัดองค์การทางการเมือง ฯลฯ

59 ผู้ใดเห็นว่ารัฐ (State) สำคัญกว่าสังคม (Society)

1 มาร์กซ์ (Marx) 2 โบแดง (Bodin) 3 เฮเกล (Hegel)

4 โบแดงและเฮเกล 5 มาร์กซ์ โบแดงและเฮเกล

ตอบ 4 โบแดงและเฮเกล

โบแดง (Bodin) และเฮเกล (Hegel) เป็นนักสังคมวิทยาที่มีทัศนะว่า “รัฐมีอำนาจและมีความสำคัญมากกว่าสังคม” ส่วนมาร์กซ์ (Marx) เป็นผู้ที่เห็นตรงกันข้ามว่า “สังคมมีอำนาจและมีความสำคัญมากว่ารัฐ”

60 ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคในการปกครองระบอบประชาธิปไตย จากการค้นพบของมิเชลส์ (Robert Michels) คืออะไร

1 สหจิต (Consensus) 2 ความขัดแย้ง (Conflict)

3 กฎเหล็กแห่งคณาธิปไตย (Iron Law of Oligarchy)

4 การจัดระเบียบบริหารแบบราชการ (Bureaucracy) 5 การจัดองค์การ (Organization)

ตอบ 3 กฎเหล็กแห่งคณาธิปไตย (Iron Law of Oligarchy)

มิเชลส์ (Michels) พบว่า ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยก็คือ กฎเหล็กแห่งคณาธิปไตย (Iron Law of Oligarchy) ซึ่งมีปรากฏอยู่ในพรรคการเมืองแบบสังคมนิยมที่อำนาจอยู่ในมือบุคคลกลุ่มน้อย ผู้บริหารมีอำนาจมาก และไม่ต้องการจะถูกออกจากตำแหน่งเดิม เพราะเกรงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะทำให้ตนเองเกิดความเดือดร้อนและปราศจากการมีตำแหน่งอำนาจ

61 พฤติกรรมรวมหมู่ (Collective Behavior) มีความหมายเป็นเช่นเดียวกันกับอะไร

1 กลุ่มปฐมภูมิ

2 กลุ่มทุติยภูมิ

3 เกไมน์ชาฟท์

4 เกเซลล์ชาฟท์

5 ผิดทั้งหมด

ตอบ 5 ผิดทั้งหมด

พฤติกรรมรวมหมู่ (Collective Behavior) เป็นพฤติกรรมการแสดงออกของฝูงชนในลักษณะที่บุคคลทั้งหลายภายในกลุ่มนั้น กระทำด้วยแรงจูงใจ ความรู้สึก และทัศนคติที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เสมือนว่ากลุ่มนั้นคือคนคนเดียว ดังนั้นสภาพแห่งการเป็นพฤติกรรมรวมหมู่จึงมีผลทางจิตวิทยาสังคม ทำให้เกิดความรู้สึกร่วมกันว่าทุกๆคนจะมีอารมณ์ ความหวัง และวัตถุประสงค์เดียวกันในการกระทำใดๆ (ดูคำอธิบายข้อ 20 และ 23 ประกอบ)

62 ลักษณะของฝูงชนได้แก่ตัวเลือกใด

1 เกิดกะทันหันแบบทันทีทันใด

2 จำนวนสมาชิกมากน้อยขึ้นอยู่กับสถานที่และเวลา

3 ปราศจากโครงสร้าง เช่น สถานภาพและบทบาท

4 ข้อ 1 และ 2

5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ถูกทั้งหมด

ลักษณะของพฤติกรรมฝูงชน มีดังนี้

1 เกิดขึ้นแบบทันทีทันใดและดำรงอยู่ในระยะเวลาอันสั้น

2 ไม่มีโครงสร้าง (เช่น สถานภาพและบทบาท) เกิดขึ้นแบบไม่ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า

3 สมาชิกที่เข้าร่วมมีจำนวนไม่แน่นอน อาจมีจำนวนมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสถานที่และเวลา

4 ไม่มีบรรทัดฐานทางสังคมควบคุม

5 ไม่มีตัวตน

6 ไม่มีการเจาะจงตัวบุคคล

7 อยู่ในสภาวะที่ชักจูงได้ง่าย

8 มีการระบาดทางอารมณ์

63 การระบาดทางอารมณ์เป็นไปอย่างรวดเร็วมีสาเหตุมาจากอะไร

1 ความใกล้ชิดทางร่างกาย 2 ความสนใจทางอารมณ์ร่วมกัน

3 บรรทัดฐานทางอารมณ์ที่เข้มงวด 4 ข้อ 1 และ 2

5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ถูกทั้งหมด

การระบาดทางอารมณ์ (Emotional Contagion) มักจะเป็นไปได้ง่ายและรวดเร็วสาเหตุเป็นเพราะฝูงชนเป็นกลุ่มคนที่อยู่ใกล้ชิดกันทางด้านร่างกาย ซึ่งทำให้อารมณ์รุนแรงยิ่งขึ้น โดยการระบาดทางอารมณ์จะเป็นกลไกที่สำคัญที่ทำให้เกิดพฤติกรรมฝูงชน

64 ฝูงชนแสดงออก (Expressive Crowd) มีชื่อเรียกเป็นอย่างอื่นว่าอย่างไร

1 ฝูงชนบังเอิญ (Casual Crowd) 2 ฝูงชนเต้นรำ (Dancing Crowd)

3 ม็อบ (Mob) 4 ฝูงชนลงมือกระทำ (Active Crowd)

5 ฝูงชนลงประชาทัณฑ์ (Lynching Mob)

ตอบ 2 ฝูงชนเต้นรำ (Dancing Crowd)

ฝูงชนแสดงออก (Expressive Crowd) เป็นฝูงชนที่แสดงออกถึงอารมณ์ที่ตื่นเต้น สนุกสนาน เฮฮา ป่าเถื่อน และมัวเมา การเต้นรำ กระทืบเท้า หรือปรบมือให้จังหวะ และการมั่วสุมทางเพศ เป้นต้น ซึ่งฝูงชนประเภทนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ฝูงชนเต้นรำ (Dancing Crowd)

65 ฝูงชนวุ่นวาย (Mob) ได้แก่อะไร

1 ฝูงชนลงประชาทัณฑ์ (Lynching Mob) 2 การจลาจล (Riot)

3 ออร์จี (Orgy) 4 ความแตกตื่น (Panic) 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ถูกทั้งหมด

ประเภทฝูงชนที่บ้าคลั่งหรือฝูงชนวุ่นวาย (Mob) สามารถแบ่งออกตามจุดประสงค์และความรุนแรง ได้ดังนี้

1 Lynching Mob เช่น การรุมประชาทัณฑ์ การจับผู้ที่คิดว่ากระทำผิดแขวนคอ ฯลฯ

2 การจลาจล (Riot) เช่น การจลาจลด้านเชื้อชาติ ศาสนา และความยุติธรรม ฯลฯ

3 Orgy เช่น การมั่วสุ่มทางเพศ การคลั่งเต้นรำ กินเหล้า ฯลฯ

4 ฝูงชนที่แตกตื่น (Panic) เช่น ไฟไหม้ เรือล่ม น้ำท่วม ฯลฯ

66 ข้อใดเป็นปัญหาสังคมที่เป็นต้นเหตุของปัญหาอื่นๆ

1 ความยากจน 2 การว่างงาน 3 แหล่งเสื่อมโทรม 4 การค้ามนุษย์ 5 วัยรุ่นติดตาม

ตอบ 1 ความยากจน

ความยากจน หมายถึง การขาดแคลนปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิต ซึ่งถือเป็นปัญหาสังคมที่เป็นต้นเหตุของปัญหาอื่นๆ หรือเชื่อมโยงไปสู่ปัญหาอื่นๆ

67 กรณีใดจัดเป็นปัญหาสังคม

1 “แสวง”ดำรงชีวิตเป็นขอทาน 2 “สวย” ขายตัวเพื่อเลี้ยงลูก

3 “สดใส” หลอกหญิงสาวค้าประเวณี 4 “แสง” ร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน

5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ถูกทั้งหมด

ปัญหาสังคม (Social Problems) หมายถึง ภาวะหรือสถานการณ์ที่มีผลกระทบกระเทือนต่อคนจำนวนหนึ่งและเป็นจำนวนมากพอที่จะคิดว่าไม่อาจทนอยู่ในสภาพเช่นนั้นได้ตลอดไป ต้องมีการเปลี่ยนแปลงและแก้ไขปัญหาร่วมกัน เช่น ปัญหายาเสพติด ปัญหามลพิษ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง ปัญหาการทำแท้ง ปัญหาความยากจน ปัญหาการขาดดุลการค้า ปัญหาโรคจิตโรคประสาท ฯลฯ

68 การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เรียกว่าอะไร

1 การฉ้อราษฎร์ 2 การบังหลวง 3 การฉ้อราษฎร์บังหลวง

4 การโกงประชาชนโดยชอบ 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 การฉ้อราษฎร์

การฉ้อราษฎร์ หมายถึง การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐแสวงหาผลประโยชน์หรือเบียดบังเอาผลประโยชน์ของราษฎร์ (ประชาชน) ไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (การโกงราษฎร์) ส่วนการบังหลวง หมายถึง การกระทำด้วยวิธีหนึ่งวิธีใดที่นำเอาผลประโยชน์จากราชการไปใช้ส่วนตัว หรือการเบียดบังของหลวงไปเป็นสมบัติของตนเอง

69 แนวทางใดที่นิยมใช้แก้ปัญหาสังคม

1 การแก้ปัญหาแบบย่อยหรือระยะสั้น 2 การแก้ปัญหาแบบรวมถ้วนทั่วหรือระยะยาว

3 การแก้ปัญหาแบบสหวิทยาการ 4 ข้อ 1 และ 2

5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ข้อ 1 และ 2

แนวทางในการแก้ไขปัญหาสังคม อาจแบ่งออกเป็นหลักใหญ่ๆได้ 2 ประเภท คือ

1 การแก้ไขปัญหาแบบย่อย (Piecemeal) เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยไม่มีการวางแผนมาก่อน เช่น การแก้ปัญหาความยากจน ความอดอยากขาดแคลน และช่วยผู้ประสบภัยด้วยการแจกสิ่งของ เสื้อผ้า อาหาร และยารักษาโรค ฯลฯ

2 การแก้ไขปัญหาแบบรวมถ้วนทั่ว (Wholesale) เป็นการแก้ปัญหาระยะยาวแบบมีการวางแผนมาก่อน (แก้ปัญหาที่ต้นตอหรือสาเหตุของปัญหา) มีการประเมินผล มีการตรวจสอบ และปัญหานั้นๆจะไม่เกิดขึ้นมาอีก เช่น การแก้ปัญหาความยากจนด้วยการฝึกอาชีพให้ ฯลฯ

70 “ปัญหาสังคมไทยเกี่ยวพันประดุจลูกโซ่” เป็นทัศนะของนักวิชาการท่านใด

1 พระพยอม กัลป์ยาโน 2 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช 3 ท่านผู้หญิงสุมาลี จาติกวนิช

4 นายแพทย์ประเวศ วะสี 5 ด.ร.สิปปนนท์ เกตุทัต

ตอบ 2 ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มีทัศนะว่า ปัญหาสังคมของไทยเราในปัจจุบันจะเกี่ยวพันประดุจลูกโซ่ การที่จะแก้ปัญหาสังคมไทยให้อยู่ดีกินดีมีความสุข ควรจะแก้ปัญหาชาวนา

71 ประเทศใดในทวีปเอเชียเป็นสมาชิกขององค์การประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออกหรือโอเปค

1 พม่า

2 มาเลเซีย

3 ฟิลิปปินส์

4 ไต้หวัน

5 อินโดนีเซีย

ตอบ 5 อินโดนีเซีย

องค์การของประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเป็นสินค้าออกหรือโอเปค (OPEC) ในปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 11 ประเทศ โดยเป็นประเทศในทวีปเอเชีย 7 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย ซาอุดิอาระเบีย อิรัก อิหร่าน คูเวต กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นประเทศในทวีปแอฟริกา 3 ประเทศ คือ แอลจีเรีย ลิเบีย และไนจีเรีย เป็นประเทศในทวีปอเมริกาใต้ 1 ประเทศ คือ เวเนซุเอลา

72 ข้อใดคือคำที่ใช้แทน “ชนต่างวัฒนธรรม”

1 กลุ่มครอบครอง 2 กลุ่มอิทธิพล 3 ชนกลุ่มใหญ่ 4 ชนกลุ่มน้อย 5 ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 ชนกลุ่มน้อย

ชนกลุ่มน้อย (Minority Group) หรือชนต่างวัฒนธรรม หมายถึง กลุ่มชนที่มีการยึดถือวัฒนธรรมในรูปแบบที่แตกต่างไปจากชนกลุ่มใหญ่ (Majority Group) หรือกลุ่มอิทธิพล (Dominant Group) และเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดในเรื่องจำนวน นักวิชาการบางท่านจึงเรียกชนกลุ่มใหญ่ว่า “กลุ่มครอบครอง” และเรียกชนกลุ่มน้อยว่า “กลุ่มใต้ครอบครอง” เพราะชนกลุ่มใหญ่จะเป้นกลุ่มที่มีอิทธิพลและมีบทบาททั้งทางสังคมการเมือง และเศรษฐกิจ ดังนั้นชนกลุ่มใหญ่จึงเป็นกลุ่มที่กำหนดว่ากลุ่มใดเป็นชนกลุ่มน้อย

73 ข้อใดคือกลุ่มผู้กำหนดว่าชนกลุ่มใดคือชนกลุ่มน้อย

1 ชนกลุ่มใหญ่ 2 กลุ่มอิทธิพล 3 กลุ่มครอบครอง 4 ข้อ 1 และ 2 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ถูกทั้งหมด ดูคำอธิบายข้อ 72 ประกอบ

74 เกณฑ์ใดเป็นที่นิยมใช้ในการจำแนกชนกลุ่มน้อย

1 เชื้อชาติ พันธุกรรม 2 วัฒนธรรมที่ยึดถือปฏิบัติ 3 กลุ่มโลหิต

4 ข้อ 1 และ 2 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ข้อ 1 และ 2

เกณฑ์ที่ใช้จำแนกชนกลุ่มน้อยพิจารณาได้จากองค์ประกอบ 3 ลักษณะ คือ

1 ความแตกต่างด้านเชื้อชาติหรือเผ่าพันธุ์ (Race) ซึ่งเป็นความแตกต่างด้านพันธุกรรมที่แสดงออกมาเป็นลักษณะทางกายภาพ เช่น รูปร่าง สีผิว สีผม ฯลฯ

2 ความแตกต่างด้านวัฒนธรรมที่ยึดถือปฏิบัติ (Ethnicity) เช่น ภาษา ศาสนา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี รูปแบบความสัมพันธ์ การจัดลำดับชั้นทางสังคม ฯลฯ

3 ความแตกต่างด้านกลุ่มโลหิต (Blood Group) ซึ่งถูกกำหนดโดยพันธุกรรม แต่เนื่องจากเป็นเกณฑ์ที่ไม่สะดวกในการนำมาใช้ปฏิบัติจึงไม่เป็นที่นิยมกัน (ส่วนใหญ่จึงพิจารณาจากเกณฑ์ที่ 1 และ 2 เป็นสำคัญ)

75 ตัวอย่างของสังคมใดที่มีลักษณะเป็นแบบทวิวัฒนธรรม

1 สหรัฐอเมริกา 2 สวิตเซอร์แลนด์ 3 แคนาดา 4 ข้อ 1 และ 2 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 แคนาดา

สังคมลักษณะต่างๆที่เกิดจากการมีชนต่างวัฒนธรรม มีดังนี้

1 สังคมหลากหลายหรือพหุสังคม (Plural Society) คือ สังคมที่มีชนหลายเชื้อชาติ หลายภาษา หลานศาสนา และหลายวัฒนธรรม หรือมีลักษณะแบบพหุวัฒนธรรม (Plural Culture) อาศัยรวมอยู่ปะปนกัน เช่น สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น

2 สังคมแบบทวิวัฒนธรรม (Cultural Dualism) คือ สังคมที่มีประชากรส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจาก 2 เชื้อชาติหรือ 2 วัฒนธรรม เช่น แคนาดา ประชากรส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจากอังกฤษและฝรั่งเศส เป็นต้น

76 ประเทศไทยใช้นโยบายใดในการแก้ปัญหาชาวเขา

1 การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม 2 การแยกพวก 3 การรวมพวก

4 การผสมผสานชาติพันธุ์ 5 การยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม

ตอบ 1 การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม

การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม (Assimilation) เป็นนโยบายที่ประเทศไทยใช้ในการแก้ไขปัญหาชาวเขา ซึ่งมีข้อดีคือ ทำให้เกิดความเข้าใจและใกล้ชิดติดต่อกันมากขึ้น ทำให้ชาวเขาไม่เกิดความรู้สึกแตกแยกโดดเดี่ยว และทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคม

77 ชนกลุ่มน้อยใดในประเทศไทยที่มีระยะห่างทางสังคมกับชนกลุ่มใหญ่มากที่สุด

1 ชาวจีน 2 ชาวไทยมุสลิม 3 ชาวเขา 4 จังหวัดภาคใต้ 5 ชาวเวียดนาม

ตอบ 4 จังหวัดภาคใต้

ในการศึกษาเกี่ยวกับชาวไทยมุสลิมโดยเฉพาะใน 4 จังหวัดภาคใต้นั้น พบว่า มีการยึดถือวัฒนธรรมที่ยึดมั่นและเคร่งครัดในหลักการและคุณค่าแห่งศาสนามาก มีความเชื่อและพฤติกรรมวิถีการดำเนินชีวิตเป็นไปตามครรลองแห่งศาสนา จนทำให้เกิดความรู้สึกว่าตนเองเป็นคนละกลุ่มคนละพวกกับชาวไทยพุทธ กลายเป็นความรู้สึกแยกพวกซึ่งเมื่อเทียบกับชาวจีน ชาวเขา ชาวเวียดนาม ชาวไทยมุสลิม ฯลฯ ที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคอื่นๆของประเทศไทยแล้ว ถือได้ว่าชาวไทยมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้จะมีระยะห่างทางสังคมกับชนกลุ่มใหญ่ของประเทศมากที่สุด

78 คำกล่าวในข้อใดที่สนับสนุนเรื่องการเปลี่ยนแปลง

1 ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ 2 การเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมชาติของทุกอย่างทั้งกายภาพและนามธรรม

3 น้ำขึ้นให้รีบตัก 4 ข้อ 1 และ 2 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ข้อ 1 และ 2

คำกล่าวของนักปราชญ์ที่สนับสนุนเรื่องการเปลี่ยนแปลง มีดังนี้

1 เฮอราไคลตูส (Heraclitus) กล่าวว่า “ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ” ดังทัศนะที่ว่า “ไม่มีใครสามารถกระโดดลงไปในแม่น้ำได้สองครั้ง”

2 ไวท์เฮด (Whitehead) กล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมชาติของทุกอย่าง” ซึ่งการเปลี่ยนแปลงมีปรากฏทั้งในส่วนที่เป็นโลกแห่งกายภาพและโลกแห่งนามธรรม

79 สังคมแบบใดที่มีการเปลี่ยนแปลงง่ายที่สุด

1 หมู่บ้าน 2 สถาบัน 3 องค์การ 4 ประเทศ 5 ทวีป

ตอบ 1 หมู่บ้าน

การเปลี่ยนแปลง หมายถึง การที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งแปรเปลี่ยนสภาพจากเดิมไปสู่สภาพใหม่ที่แตกต่าง โดยอาศัยองค์ประกอบของเวลาเป็นเครื่องกำหนด ซึ่งการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นง่ายหรือยากนั้นก็ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของสังคมนั้นๆ จากตัวเลือกที่โจทย์ให้มาจะเห็นว่าสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงง่ายที่สุดคือ หมู่บ้าน รองลงมาได้แก่ สถาบัน องค์การ ประเทศ และทวีป ตามลำดับ

80 แนวความคิดแบบใดไม่นิยมการเปลี่ยนแปลง

1 สังคมนิยม 2 ทุนนิยม 3 อนุรักษ์นิยม 4 ชาตินิยม 5 อรัฐนิยม

ตอบ 3 อนุรักษ์นิยม

แนวความคิดแบบอนุรักษ์นิยม เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งเกิดจากความเชื่อที่ว่า การเปลี่ยนแปลงย่อมนำไปสู่ความไม่ดีหรือนำไปสู่ความเสื่อม ดังนั้นพวกที่มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมจึงไม่นิยมการเปลี่ยนแปลง

81 การเปลี่ยนแปลงตามความคิดของเพลโต (Plato) จาก “ราชาธิปไตย วีรชนาธิปไตย คณาธิปไตย ประชาธิปไตย และทุชนาธิปไตย” เป็นไปตามทฤษฎีใด

1 ทฤษฎีวัฏจักร

2 ทฤษฎีวิวัฒนาการ

3 ทฤษฎีขัดแย้ง

4 ทฤษฎีโครงสร้าง – หน้าที่

5 ทฤษฎีมาร์กซ์

ตอบ 1 ทฤษฎีวัฏจักร

ตามทฤษฎีวัฏจักรหรือการหมุนเวียนนั้น เพลโต (Plato) ได้แบ่งการเปลี่ยนแปลงของรัฐออกเป็น 5 ยุค ดังนี้

1 อภิชนาธิปไตยหรือราชาธิปไตย 2 วีรชนาธิปไตย 3 คณาธิปไตย 4 ประชาธิปไตย 5 ทุชนาธิปไตย

82 แนวความคิดของโซโรคิน (Sorokin) ที่ว่า “สังคมมนุษย์วนเวียนอยู่กับสังคมสามระบบ อายตนะ เหนืออายตนะและอุดมคติ” จัดเป็นการเปลี่ยนแปลงตามทฤษฎีใด

1 วัฏจักร

2 วิวัฒนาการ

3 ขัดแย้ง

4 โครงสร้างหน้าที่

5 เรียนรู้

ตอบ 1 วัฏจักร

โซโรคิน (Sorokin) เป็นนักทฤษฎีวัฏจักรที่มีแนวความคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงว่า สังคมมนุษย์วนเวียนอยู่กับสังคมสามระบบ ซึ่งเขาเรียกว่า “มหาระบบ (Supersystem) ได้แก่ อายตนะ เหนืออายตนะ และอุดมคติ

83 ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) เน้นกระบวนการแบบใด

1 การแข่งขัน 2 การร่วมมือ 3 การขัดแย้ง 4 การปรับปรนเข้าหากัน 5 การผสมกลมกลืน

ตอบ 1 การแข่งขัน

ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) เน้นกระบวนการแบบการแข่งขัน โดยถือว่าในโลกของสิ่งมีชีวิตหรอการวิวัฒนาการทางธรรมชาตินั้น การเจริญเติบโตขึ้นอยู่กับการแข่งขันและเป็นผลให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “ผู้รอดอยู่คือผู้ชนะ” (Survival of the Fittest)

84 ข้อใดคือกลุ่มเป้าหมายของการศึกษาสังคมวิทยาชนบท

1 ชาวไร่ 2 ชาวนาและชาวสวน 3 ชาวประมง

4 ข้อ 1 และ 2 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ถูกทั้งหมด

สังคมวิทยาชนบท (Rural Sociology) หมายถึง สังคมวิทยาเฉพาะทางที่มีกลุ่มเป้าหมายของการศึกษา คือ ชาวไร่ ชาวสวน ชาวประมง ตลอดถึงลักษณะความสัมพันธ์และปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในสังคมชนบท

85 สังคมวิทยาชนบทมักศึกษาเปรียบเทียบกับสาขาวิชาใด

1 สังคมวิทยาการเมือง 2 สังคมวิทยาอาชีพ 3 มานุษยวิทยา

4 สังคมวิทยาอุตสาหกรรม 5 สังคมวิทยาอาชีพ

ตอบ 1 สังคมวิทยาการเมือง

สังคมวิทยาชนบทมักจะนิยมศึกษาเปรียบเทียบกับสังคมวิทยาเมือง โดยจะศึกษาถึงความเกี่ยวพันกับสังคมเมือง เพราะปรากฏการณ์ในสังคมเมืองอาจจะส่งผลสะท้อนไปสู่ชนบททำให้ชนบทเปลี่ยนแปลงไป เป็นการหาวิธีเสริมสร้างชีวิตชนบทให้มั่นคง

86 ข้อใดคือคุณสมบัติ “ดั้งเดิม” ของชนบท

1 ตั้งถิ่นฐานแบบอยู่โดดเดี่ยว 2 มีความเหมือนในวิถีชีวิต 3 ครอบครัวเป็นทั้งแหล่งผลิตและบริโภค

4 ข้อ 1 และ 3 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ถูกทั้งหมด

คุณสมบัติดั้งเดิมของชุมชนชนบท มีลักษณะดังนี้

1 ความโดดเดี่ยว (Isolation) ในการตั้งถิ่นฐาน ซึ่งมักกระจัดกระจายกันอยู่ตามไร่นา

2 ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Homogeneity) ทั้งในด้านเชื้อชาติ ประเพณี และภูมิหลังทางวัฒนธรรม

3 การใช้แรงงานเพื่อการเกษตร (Agricultural Employment) ทำให้มีความเหมือนในวิถีชีวิตความเป้นอยู่ ซึ่งจะเกี่ยวพันกับการเกษตรกรรมไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

4 การเศรษฐกิจเพื่อการบริโภค (Subsistence Economy) หรือเศรษฐกิจพอเพียง โดยครอบรัวจะเป็นทั้งหน่วยผลิตและหน่วยบริโภค

87 ผู้ใดได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาหรือปรมาจารย์คนแรกของสังคมวิทยาชนบท

1 ค้องท์ (Comte) 2 สเปนเซอร์ (Spencer) 3 เดอร์ไคม์ (Durkheim)

4 เวเบอร์ (Weber) 5 ผิดทั้งหมด

ตอบ 5 ผิดทั้งหมด

ผู้ได้รับยกย่องว่าเป็นนักสังคมวิทยาชนบทคนแรกของโลกคือ เลอเปล (Le Piay) นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส ซึ่งได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับครอบครัวชนบท และองค์การต่างๆในชนบท โดยการใช้หลักสังเกตการณ์ การเก็บ และการรวบรวมข้อมูลต่างๆด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์

88 ข้อใดคือสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจาก “ปัจจัยภายใน ของสังคมชนบท

1 นวัตกรรมภูมิปัญญาชาวบ้าน 2 การแพร่กระจายทาวัฒนธรรม

3 การขอยืมวัฒนธรรม 4 ข้อ 2 และ 3 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 นวัตกรรมภูมิปัญญาชาวบ้าน

สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงในสังคมชนบทเกิดจากปัจจัยสำคัญ 2 ประการ คือ

1 สาเหตุจากภายในสังคมชนบทเอง เช่น การเกิด การตาย การย้ายถิ่น การแปรปรวนของธรรมชาติ ผู้ร้ายหรือการสู้รบ การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ (นวัตกรรมภูมิปัญญาชาวบ้าน) ฯลฯ

2 สาเหตุจากภายนอกสังคมชนบท เช่น การผสมผสานทางวัฒนธรรม การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม การคมนาคมติดต่อสื่อสาร การเลียนแบบ การพัฒนา ฯลฯ

89 สิ่งที่ทุกเมืองมีคล้ายคลึงกันได้แก่อะไร

1 ภาระหน้าที่ (Function) 2 รูปแบบ (Pattern)

3 วัฒนธรรม (Culture) ที่เป็นอย่างเดียวกัน 4 ข้อ 1 และ 2

5 ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 ข้อ 1 และ 2

เมืองแต่ละเมืองจะมีภาระหน้าที่ (Function) และรูปแบบ (Pattern) ที่คล้ายคลึงกันแต่จะมีความเป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่แตกต่างกันไป

90 พัฒนาการของการขนส่งที่มีอิทธิพลต่อการเจริญเติบโตของนครต่างๆในประเทศสหรัฐอเมริกา จากอดีตถึงปัจจุบันตามแนวคิดของ แมคเคนซี (Mackenzie) ได้แก่ตัวเลือกใด (กำหนดให้ ก = ทางรถยนต์ ข = ทางน้ำ และ ค = ทางรถไฟ)

1 ก. ข. ค. 2 ค. ข. ก. 3 ข. ก. ค. 4 ข. ค. ก. 5 ค. ก. ข.

ตอบ 4 ข. ค. ก.

พัฒนาการของการขนส่งที่สำคัญซึ่งมีอิทธิพลต่อการเติบโตของนครต่างๆในประเทศสหรัฐอเมริกา เรียงตามลำดับจากอดีตถึงปัจจุบันตามแนวความคิดของแมคเคนซี (Mackenzie) ได้แก่ พัฒนาการของการขนส่งทางน้ำ ทางรถไฟ และทางรถยนต์

91 สิ่งช่วยค้ำจุนเมืองหรือสนับสนุนให้เกิดเมือง (The Support of Cities) ได้แก่อะไร

1 การเป็นศูนย์กลางคอยรับสิ่งบริการจากอาณาบริเวณรอบๆเมือง

2 เส้นทางคมนาคมขนส่ง (Transport Centers)

3 การหน้าที่พิเศษ (Specialized Function Cities)

4 ข้อ 1 และ 2

5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ถูกทั้งหมด

สิ่งที่ช่วยค้ำจุนเมืองหรือสนับสนุนให้เกิดเมือง (The Support of Cities) ได้แก่ 1 การเป็นศูนย์กลางคอยรับสิ่งบริการต่างๆจากอาณาบริเวณรอบๆเมือง 2 เมืองที่เป็นเส้นทางคมนาคมขนส่ง (Transport Centers) 3 เมืองที่เกิดจากหน้าที่พิเศษ (Specialized Function Cities) 4 การผสมผสานกันของปัจจัยทั้ง 3 ดังได้กล่าวมาแล้ว

92 เมืองอะไรเกิดจากการหน้าที่พิเศษ (Specialized Function Cities)

1 ไมอามี่ พัทยา 2 สแกนตัน 3 พิทส์เบิร์ก 4 ข้อ 1 และ 3 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ถูกทั้งหมด

เมืองซึ่งเกิดจากหน้าที่พิเศษ คือ เมืองที่เกิดขึ้นเนื่องจากการให้บริการบางอย่าง เช่น เหมืองแร่ โรงงานอุตสาหกรรม หรือการพักผ่อน ฯลฯ หรือเป็นเมืองที่เกิดขึ้นเนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติเฉพาะอย่าง เช่น เมืองไมอามี่ พัทยา สแกนตัน พิทส์เบิร์ก ฯลฯ

93 ตัวเลือกใดจัดเป็นทฤษฎีการขยายตัวของเมือง

1 ทฤษฎีรูปดาว (Star Theory) 2 ทฤษฎีรูปวงกลม (Concentric Zone Theory)

3 ทฤษฎีรูปพาย (Sector Theory) 4 ทฤษฎีพหุศูนย์กลาง (Multiple Nuclei)

5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ถูกทั้งหมด

ทฤษฎีการขยายตัวของเมือง มีดังนี้ 1 ทฤษฎีรูปดาว (Star Theory) 2 ทฤษฎีรูปวงกลม (Concentric Zone Theory) 3 ทฤษฎีรูปพาย (Sector Theory) 4 ทฤษฎีหลายศูนย์กลางหรือพหุศูนย์กลาง (Multiple Nuclei)

94 มนุษยนิเวศวิทยา จัดเป็นสาขาในศาสตร์ใด

1 สังคมวิทยา 2 ชีววิทยาพันธุกรรม 3 สมุทรศาสตร์ 4 ฟิสิกส์ 5 เคมี

ตอบ 1 สังคมวิทยา

มนุษยนิเวศวิทยา เป็นวิชาหนึ่งในแขนงสาขาสังคมวิทยาที่เน้นการศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม โดยได้นำเอาความรู้และประสบการณ์จากหลายสาขาวิชาเข้ามารวมในศาสตร์นี้ เช่น เศรษฐศาสตร์ การเมือง สังคม สังคมวิทยา จริยศาสตร์ เคมี และชีววิทยา (ซึ่งเป็นวิชาที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องมากที่สุด)

95 “วนอุทยาน สวนสาธารณะ” เป็นตัวอย่างของระบบนิเวศน์ประเภทใด

1 ประเภทที่มนุษย์ได้เกี่ยวข้องโดยดัดแปลงปรับปรุง 2 ประเภทธรรมชาติที่ไม่ได้นำมาใช้ประโยชน์

3 ประเภทที่มนุษย์นำมาใช้ประโยชน์จริง 4 ประเภทที่มนุษย์อาศัยและประกอบกิจการงาน

5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 ประเภทที่มนุษย์ได้เกี่ยวข้องโดยดัดแปลงปรับปรุง

ระบบนิเวศน์ของมนุษย์ (มนุษยนิเวศวิทยา) แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ

1 Mature Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่อยู่ในสภาพธรรมชาติอย่างแท้จริง ไม่มีคนอยู่อาศัย เช่น ป่า ภูเขา ทะเลทราย ฯลฯ

2 Managed Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องและดัดแปลงปรับปรุง เช่น วนอุทยาน สวนสาธารณะ ฯลฯ

3 Productive Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง เพื่อให้ได้ผลผลิตต่างๆ เช่น ฟาร์ม ปศุสัตว์ เหมืองแร่ ฯลฯ

4 Urban Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้อาศัยประกอบกิจการทำงานต่างๆ เช่น บริเวณย่านอุตสาหกรรม บริเวณเมืองเล็กและเมืองใหญ่ ฯลฯ

96 ปัญหาอากาศเสีย เกิดจากสาเหตุใดมากที่สุด

1 สิ่งปฏิกูล 2 สารหนู 3 สารจากรถยนต์ 4 ยาฆ่าแมลง 5 ผิดทั้งหมด

ตอบ 3 สารจากรถยนต์

ปัญหาของอากาศเสียมากที่สุดมาจากสารรถยนต์ คือ ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ 73 % ไฮโดรคาร์บอน 56 % ไนโตรเจนออกไซด์ 50 % และซัลเฟอร์ไดออกไซด์ 3.4 %

97 พลังงานไฮโดรอิเล็กตริก เกิดจากข้อใด

1 ถ่านหิน 2 ก๊าซธรรมชาติ 3 พลังงานจากแสงอาทิตย์

4 การสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 การสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า

พลังงานไฮโดรอิเล็กตริก เป็นพลังงานที่ได้จากการสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งพลังงานนี้ถูกนำมาใช้ในโลกได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับพลังงานที่ได้จากน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้เพราะการสร้างเขื่อนมีข้อจำกัดอยู่ที่สถานที่ที่จะต้องเลือกใช้และอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ของป่าไม้ได้

98 ข้อใดคือตัวอย่างของดินเสียที่เกิดจากสาเหตุทางสังคม

1 การใช้ดีดีที 2 การใช้ยาปราบศัตรูพืช 3 การตัดไม้ทำลายป่า

4 การเผาหญ้า 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ถูกทั้งหมด

สาเหตุทางสังคมที่ทำให้เกิดดินเสีย ได้แก่ 1 การใช้สารเคมีในเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม เช่น กรด ด่าง ดีดีที ยาฆ่าแมลง ยาปราบศัตรูพืช ฯลฯ 2 การทิ้งสิ่งปฏิกูลและอินทรียวัตถุ เช่น ขยะมูลฝอย ซากสัตว์ ฯลฯ 3 การทำลายป่าไม้ด้วยการตัดและการเผาป่า 4 การเปิดหน้าดินโดยไม่ได้มีการรักษาสภาพดิน เช่น การทำเหมืองแร่

99 มานุษยวิทยากายภาพศึกษาด้านใด

1 โบราณคดี 2 ศึกษาสรีรวิทยาของคน 3 ชาติพันธุ์วิทยา

4 ชาติพันธุ์วรรณนา 5 ภาษาศาสตร์

ตอบ 2 ศึกษาสรีรวิทยาของคน

มานุษยวิทยากายภาพ เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการกำเนิดของมนุษย์ในแง่สรีรวิทยาโดยมุ่งเน้นศึกษาสัตว์ตระกูล Homo Sapiens ชนิดต่างๆ ในด้านโครงสร้างของอวัยวะทางร่างกายอย่างละเอียด ซึ่งได้พยายามค้นคว้าศึกษาวิวัฒนาการจากจุดเริ่มต้นที่เรียกกันว่า ไพรเมท (Primate) หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มาจนกระทั่งถึงการมีลักษณะที่เป็นรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ในปัจจุบัน

100 “มนุษย์ชวา มนุษย์ปักกิ่ง” เป็นขั้นใดของวิวัฒนาการของมนุษย์

1 Australopithecines 2 Pithecanthropus Erectus 3 Neanderthal Man

4 Cro – Magnon Man 5 Anthropoidea

ตอบ 2 Pithecanthropus Erectus

Pithecanthropus Erectus จะมีลักษณะเป็นมนุษย์ที่คล้ายกับวานรและเดินตัวตรง ตัวอย่างของมนุษย์วานรนี้ ได้แก่ มนุษย์ชวา มนุษย์ปักกิ่ง มนุษย์ไฮเดลเบอร์ก ฯลฯ

101 ข้อใดเป็นตัวอย่างของมนุษย์ชาติพันธุ์ผิวขา

1 พวกเอสกิโม

2 พวกมาลายัน

3 พวกอารยัน

4 พวกปิ๊กมี่

5 พวกปาปัวนิวกินี

ตอบ 3 พวกอารยัน

โดยปกติมนุษย์อาจจำแนกออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้ คือ

1 มนุษย์ชาติพันธ์ผิวขาวหรือคอเคซอยด์ (Caucasoid) ได้แก่ พวกอารยัน แฮมิติก และเซมิติก

2 มนุษย์ชาติพันธุ์ผิวเหลืองหรือมองโกลอยด์ (Mongoloid) ได้แก่ พวกมองโกลอยด์ มาลายัน อินเดียแดง และเอสกิโม

3 มนุษย์ชาติพันธุ์ผิวดำหรือนีกรอยด์ (Negroid) ได้แก่ พวกแอฟริกัน ปาปัวนิวกีนี และปิ๊กมี่

102 “การให้การศึกษา” เป็นการโต้ตอบทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับความต้องการของมนุษย์ด้านใด

1 การถ่ายทอดทางวัฒนธรรม 2 การติดต่อสื่อสาร 3 ความพอใจด้านวัตถุ

4 การกระทำกิจกรรมร่วมกัน 5 การควบคุมทางสังคม

ตอบ 1 การถ่ายทอดทางวัฒนธรรม

มาลินอฟสกี้ (Malinowski) ได้กล่าวถึงความสอดคล้องระหว่างความต้องการของมนุษย์กับสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ดังนี้คือ การให้การศึกษาเป็นการโต้ตอบทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับความต้องการด้านการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม ภาษาเป็นการโต้ตอบทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับความต้องการด้านการสื่อสาร ระบบเศรษฐกิจและวัฒนธรรมทางวัตถุเป็นการโต้ตอบทางวัฒนธรรมกับความต้องการด้านความพอใจทางด้านวัตถุ ฯลฯ

103 ปรมาจารย์ทางมานุษยวิทยาวัฒนธรรมท่านใดที่สอนลูกศิษย์ให้ทำหน้าที่เสมือน “กล้องถ่ายรูป” ในการจับภาพวัฒนธรรมของสังคมแต่ละสังคม

1 เบเนดิกท์ (Benedict) 2 เรดคลิฟฟ์ – บราวน์ (Radcliffe – Brown)

3 มาลินอฟสกี้ (Malinowski) 4 โบแอส (Boas) 5 ไทเลอร์ (Tylor)

ตอบ 4 โบแอส (Boas)

โบแอส (Boas) ถือเป็นปรมาจารย์ทางมานุษยวิทยาวัฒนธรรม ซึ่งเขาได้สอนลูกศิษย์ให้ทำหน้าที่เสมือนเป็น “กล้องถ่ายรูป” ในการจับภาพวัฒนธรรมของสังคมแต่ละสังคมโดยย้ำว่านักมานุษยวิทยาควรจะเรียนรู้ภาษาพื้นเมืองของกลุ่มคนที่ต้องการไปศึกษา เพื่อจะได้รับความรู้จากสังคมนั้นๆอย่างละเอียดลึกซึ้ง

104 การศึกษาวัฒนธรรม โดยการเปรียบเทียบวัฒนธรรมของสังคมต่างๆเป็นการศึกษาของสาขาวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรมสาขาใด

1 โบราณวิทยาวัฒนธรรมสาขาใด 2 โบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ 3 มานุษยวิทยาภาษาศาสตร์

4 ชาติพันธุ์วรรณนา 5 มานุษยวิทยาสังคม

ตอบ 3 มานุษยวิทยาภาษาศาสตร์

ชาติพันธุ์วิทยา (Ethnology) เป็นวิชาที่ศึกษาเปรียบเทียบวัฒนธรรมของสังคมต่างๆว่าเหมือนกันหรือแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งจะเกี่ยวพันธุ์กับมานุษยวิทยาวัฒนธรรมมากจนนักวิชาการบางท่านถึงกับกล่าวว่าชาติพันธุ์วิทยาก็คือมานุษยวิทยาวัฒนธรรมนั่นเอง

105 ข้อใดที่ไม่ใช่ลักษณะวัฒนธรรมตะวันตก

1 การปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย 2 ยกย่องผู้ประสบความสำเร็จ

3 เชื่อฟังผู้สูงอายุ 4 นิยมวัตถุ 5 เน้นความสำคัญของตัวบุคคล

ตอบ 3 เชื่อฟังผู้สูงอายุ ดูคำอธิบายข้อ 57 ประกอบ

106 วัฒนธรรมใดที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของประเทศสเปน และโปรตุเกส

1 วัฒนธรรมยุโรป 2 วัฒนธรรมเอเชีย 3 วัฒนธรรมอเมริกาเหนือ

4 วัฒนธรรมอเมริกาใต้ 5 วัฒนธรรมแอฟริกา

ตอบ 4 วัฒนธรรมอเมริกาใต้

วัฒนธรรมอเมริกาใต้ส่วนใหญ่นั้นได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของประเทศสเปนและโปรตุเกส แม้ว่าทั้งสองประเทศจะเข้าครอบครองดินแดนแถบนี้และนำวัฒนธรรมยุโรปมาเผยแพร่ แต่ประชาชนทั่วไปก็ยังนิยมยึดถือแนวความคิดของพวกอินคาอยู่

107 ประเทศไทยอยู่ในทวีปเอเชียกลุ่มใด

1 เอเชียเหนือ 2 เอเชียใต้ 3 เอเชียตะวันตก

4 เอเชียตะวันออก 5 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ตอบ 5 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ประชากรในเอเชียอาจจำแนกได้เป็น 6 กลุ่ม ดังนี้ 1 เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ (ตะวันออกกลาง) เช่น อิสราเอล ซาอุดิอารเบีย ฯลฯ 2 เอเชียใต้ เช่น อินเดีย บังคลาเทศ ฯลฯ 3 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย มาเลเซีย ฯลฯ 4 เอเชียตะวันออก เช่น จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ 5 เอเชียใน เช่น ทิเบต ฯลฯ 6 เอเชียเหนือ เช่น ไซบีเรีย ฯลฯ

108 ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของวัฒนธรรมแอฟริกา

1 แต่งงานกับภรรยาได้หลายๆคน 2 ร่วมมือกันทำงานเป็นกลุ่ม 3 ชอบดูการต่อสู้วัวกระทิง

4 ชอบดนตรีประเภทตึงตังโครมคราม 5 เคารพเครือญาติผู้ใหญ่

ตอบ 3 ชอบดูการต่อสู้วัวกระทิง

ลักษณะสำคัญของวัฒนธรรมแอฟริกา ได้แก่

1 ให้เกียรติผู้สูงอายุ เคารพญาติผู้ใหญ่

2 ชอบดนตรีและเพลงประเภทตึงตังโครมครา (Jazz)

3 การทำงานเพื่อประโยชน์ของสาธารณชนมักมีการร่วมมือกันเป็นกลุ่ม

4 ชายชาวแอฟริกันคนหนึ่งอาจแต่งงานกับภรรยาได้หลายๆคน

5 ผู้หญิงเมื่อแต่งงานแล้วจะต้องมาอยู่บ้านสามีและทำงานให้ครอบครัวของสามี ฯลฯ

109 ประเภทใดที่มีประชากรที่เป็น “ชนชั้นกลาง” มากที่สุด

1 จีน 2 ญี่ปุ่น 3 รัสเซีย 4 สหรัฐอเมริกา 5 อินเดีย

ตอบ 4 สหรัฐอเมริกา

สหรัฐอเมริกา มีประชากรที่เป็นชนชั้นกลางมากที่สุด สถานภาพทางสังคมของบุคคลขึ้นอยู่กับทรัพย์สมบัติของบุคคล และให้โอกาสบุคคลในการแสวงหาความก้าวหน้าของชีวิตโดยเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเกิดในชาติตระกูลสูงหรือต่ำ ยากจนหรือร่ำรวย

110 “คนไทยมีโครงสร้างทางบุคลิกภาพและทางสังคมหลวมๆคือ ขาดวินัย” เป็นทัศนะของใคร

1 รัสเซลล์ (Russell) 2 เอมบรี (Embree) 3 สเปนเซอร์ (Spencer)

4 ค้องท์ (Comte) 5 ฟิลลิปส์ (Phillips)

ตอบ 2 เอมบรี (Embree)

จอห์น เอมบรี (Embree) นักมานุษยวิทยาตะวันตก กล่าวว่า “คนไทยชอบสนุกและมีโครงสร้างทางบุคลิกภาพและทางสังคมหลวมๆ คือ ขาดวินัย”

111 ตามทัศนะของสมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพ ตัวเลือกใดคือลักษณะอุปนิสัยประจำชาติของคนไทย

1 รักความเป็นไท

2 มีความอดกลั้น

3 รู้จักประนีประนอม

4 ข้อ 1 และ 2

5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ถูกทั้งหมด

ลักษณะอุปนิสัยประจำชาติของคนไทยตามทัศนะของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ มี 3 ประการ ได้แก่

1 การรักความเป็นไท คือ การรักอิสรภาพเสรี ดังคำกล่าวที่ว่า “พูดได้ตามใจคือไทยแท้”

2 การปราศจากวิหิงสา คือ การไม่ชอบเบียดเบียน มีความอดกลั้น

3 การประสานประโยชน์ คือ กรรู้จักประนีประนอม มีการโอนอ่อนและอะลุ่มอล่วย มีลักษณะเล็งผลปฏิบัติหรือสัมฤทธิคติ

112 ตามทัศนะของไพฑูรย์ เครือแก้ว ค่านิยมประการหนึ่งของคนไทยคือ “การเป็นเจ้านาย” มีความหมายตามตัวเลือกใด

1 การมียศฐาบรรดาศักดิ์ 2 การมีอำนาจหน้าที่ 3 การมีใจกว้าง

4 ข้อ 1 และ 2 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 ข้อ 1 และ 2

ตามทัศนะของไพฑูรย์ เครือแก้ว ลักษณะของ “การเป็นเจ้านาย” ของคนไทยมีความหมาย 3 ประการ คือ

1 การได้รับการแต่งตั้งให้มีเกียรติและตำแหน่งในสังคม รวมถึงการได้ยศฐาบรรดาศักดิ์

2 การทำงานเบาหรือมีอาชีพที่ต้องนั่งโต๊ะหรือมีอยู่มีกินโดยไม่ต้องทำอะไร

3 การมียศฐาบรรดาศักดิ์ การมีอำนาจหน้าที่

113 ตามทัศนะของ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ ตัวเลือกใดเป็นค่านิยมเฉพาะของสังคมไทย

1 ระบบครอบครัวเดี่ยว 2 การรักความเป็นอิสระ 3 การถือความสามารถ

4 ข้อ 1 และ 2 5 ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 ข้อ 1 และ 2

ค่านิยมซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของคนไทย ตามทัศนะของ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ มีดังนี้ 1 การรักความเป็นอิสระ 2 การนิยมระบบครอบครัวเดี่ยวหรือครอบครัวเล็ก 3 การเล็งผลปฏิบัติหรือสัมฤทธิคติ 4 การยกย่องฐานะและบทบาทของสตรี

114 ตามทัศนะของทอคเกอวิลล์ (Tocqueville) คนอเมริกันมีอุปนิสัยอย่างไร

1 รักความเป็นปัจเจก 2 ชอบการรวมกลุ่ม 3 รักความเสมอภาค

4 ข้อ 1 และ 2 5 ข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 ข้อ 2 และ 3

ตามทัศนะของทอคเกอวิลล์ (Tocqueville) คนอเมริกันมีอุปนิสัยรักความเสมอภาคและชอบการรวมกลุ่ม คือ ชอบการจัดตั้งสมาคมหรือองค์การต่างๆตามความสมัครใจ ซึ่งอุปนิสัยดังกล่าว ทอคเกอวิลล์ถือว่าเอื้อต่อความเป็นประชาธิปไตยให้สหรัฐอเมริกา

115 ผลงานใดของเบเนดิกท์ (Benedict) ที่ศึกษาอุปนิสัยของคนญี่ปุ่น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

1 โกโบริและดาบซามูไร 2 โกโบริและฮิเดโกะ 3 ดอกเบญจมาศและดาบซามูไร

4 ดอกมะลิและดาบซามูไร 5 เพิร์ล ฮาร์เบอร์ (Pearl Harbour) และดาบซามูไร

ตอบ 3 ดอกเบญจมาศและดาบซามูไร

รุธ เบเนดิกท์ (Benedict) นักมานุษยวิทยาทางวัฒนธรรมชาวอเมริกันได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับอุปนิสัยประจำชาติของคนญี่ปุ่นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นมาชื่อว่า “ดอกเบญจมาศและดาบ(ซามูไร)” โดยเขาเห็นว่า บุคลิกภาพของคนญี่ปุ่นนั้นจะเป็นเสมือนดอกเบญจมาศและดาบซามูไร คือ จะอ่อนน้อมภายนอกแต่แข็งแกร่งภายใน

116 การสังคมสงเคราะห์ถือกำเนิดขึ้นในประเทศใด

1 อังกฤษ 2 สหรัฐอเมริกา 3 ฝรั่งเศส 4 ญี่ปุ่น 5 แคนาดา

ตอบ 1 อังกฤษ

ประเทศอังกฤษนับว่าเป็นประเทศแรกที่ริเริ่มและถือเป็นแม่แบบในการจัดการสังคมสงเคราะห์ โดยจะเห็นได้จากการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับความผาสุกของส่วนนวมเป็นลายลักษณ์อักษร เช่น ในปี ค.ศ. 1601 พระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 1 ได้ทรงออกกฎหมายเพื่อช่วยเหลือคนจนที่เรียกว่า Elizabethan Poor Law ซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายแม่บทในการวางรากฐานด้านการสังคมสงเคราะห์

117 ข้อใดจัดว่าคือวิธีการสังคมสงเคราะห์ที่ให้บริการโดยตรง

1 การจัดระเบียบชุมชน 2 การสำรวจวิจัยทางสังคมสงเคราะห์

3 การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม 4 ข้อ 1 และ 2 5 ข้อ 1 และ 3

ตอบ 5 ข้อ 1 และ 3

วิธีการของสังคมสงเคราะห์ มี 5 วิธีการ ได้แก่

1 การสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย (Social Case Work)

2 การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม (Social Group Work)

3 การจัดระเบียบชุมชน (Community Organization)

4 การสำรวจวิจัยทางสังคมสงเคราะห์ (Social Research)

5 การบริหารงานสวัสดิการสังคม (Social Welfare Administration)

โดย 3 วิธีการแรกจัดเป็นการให้บริการโดยตรง (Direct Service) ส่วน 2 วิธีการหลังจัดเป็นการให้บริการทางอ้อม (Indirect Service)

118 ข้อใดไม่ใช่หลักการสำคัญในงานสังคมสงเคราะห์

1 หลักในการยอมรับ 2 หลักการให้ Client มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา

3 หลักการรักษาความลับของ Client 4 หลักการถือความสัมพันธ์ส่วนตัว

5 หลักการให้ความสำคัญต่อตัวบุคคล

ตอบ 4 หลักการถือความสัมพันธ์ส่วนตัว

หลักการสำคัญในงานสังคมสงเคราะห์ มีดังนี้ 1 หลักในการยอมรับและเข้าใจผู้มีปัญหาหรือผู้รับบริการ Client 2 หลักในการติดต่อสื่อสารให้เข้าใจซึ่งกันและกัน 3 หลักในการให้ความสำคัญต่อตัวบุคคล 4 หลักการให้ Client เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา 5 หลักการเก็บปัญหาของ Client ให้เป็นความลับ 6 หลักการตระหนักในตัวเองของนักสังคมสงเคราะห์ คือ การสร้างความสัมพันธ์ด้านวิชาชีพแต่ไม่สร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้รับบริการ

119 ข้อใดคือขั้นตอนการปฏิบัติงานขั้นแรกที่นักสังคมสงเคราะห์ต้องทำก่อนขั้นอื่น

1 การวิเคราะห์และวินิจฉัย 2 การค้นคว้าหาข้อเท็จจริง 3 การให้การแก้ไข

4 การประเมินผล 5 การสื่อความหมาย

ตอบ 2 การค้นคว้าหาข้อเท็จจริง

การค้นคว้าหาข้อเท็จจริง (Fact Finding เป็นขั้นตอนการปฏิบัติงานขั้นแรก ที่นักสังคมสงเคราะห์จะต้องทำก่อนงานอื่น โดยพยายามรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้มีปัญหา (Client) ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมาหรือปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งข้อเท็จจริงที่ได้จะเป็นแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับปัญหาของ Client

120 นักสังคมสงเคราะห์ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มบุคคล และจัดบุคคลเข้าเป็นสมาชิกในกลุ่มใด

1 กลุ่มครอบครัว 2 กลุ่มเพื่อน 3 สังคมที่มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน

4 ข้อ 1 และ 2 5 ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ถูกทั้งหมด

นักสังคมสงเคราะห์ได้พยายามศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มกับบุคคลและจัดบุคคลให้เข้าอยู่ใน 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 1 กลุ่มครอบครัว 2 กลุ่มเพื่อน 3 สังคมที่มีวัตถุประสงค์ร่วมกัน

SOC1003 สังคมวิทยาและมนุษยวิทยาเบื้องต้น การสอบไล่ภาค1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา SOC 1003 สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเบื้องต้น

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. เพราะเหตุใดมนุษย์จึงต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม

(1) เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานของชีวิต

(2) เพื่อการมีอำนาจเหนือกลุ่มอื่น

(3) เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อื่น

(4) เพื่อรวบรวมกำลังไว้ต่อสู้ศัตรู

(5) เพื่อแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ต่างจากสัตว์เพราะมีวัฒนธรรม

ตอบ 1 หน้า 1-2 สาเหตุที่มนุษย์จึงต้องมาอยู่รวมกับเป็นสังคม เพราะ

1. มนุษย์มีระยะแห่งการเป็นทารกนานและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ในระยะเริ่มต้นของชีวิต ทำให้ มนุษย์จำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันและสร้างแบบแผนความสัมพันธ์ในรูปของครอบครัวขึ้น

2. มนุษย์มีความสามารถด้านสมอง สามารถคิดค้นและควบคุมธรรมชิาติได้ ก็เป็นสาเหตุสำคัญ ที่มนุษย์จะต้องอยู่รวมกับเป็นกลุ่ม เพื่อทำกิจกรรมตอบสนองความต้องการพื้นฐานของชีวิต

3. มนุษย์สามารถสร้างและถ่ายทอดวัฒนธรรม เพื่อตอบสนองความต้องการด้านความรัก ความอบอุ่น ฯลฯ

2. ตัวเลือกใดเป็นผลจากการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสังคมมนุษย์

(1) เข้าใจสังคมของตน

(2) เข้าใจกฎเกณฑ์ของสังคม

(3) เข้าใจสังคมอื่นที่สัมพันธ์ด้วย

(4) เข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคม

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 4-5 ผลที่ได้รับจากการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสังคมมนุษย์ มีดังนี้

1. เข้าใจลักษณะ รูปแบบ และโครงสร้างสังคมของตนและสังคมอื่นที่สัมพันธ์ด้วย ทำให้ทราบถึง กลไกการทำงานของสังคม และแนวทางประพฤติปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนดขึ้น

2. สามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อสมาชิกรวมสังคมและสมาชิกร่วมโลก เข้าใจสถานภาพ และบทบาทของตนเองและผู้อื่น ทั้งนี้ก็เนื่องจากมนุษย์จะแยกตัวอยู่โดดเดี่ยวไม่ได้

3. เข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคมที่เป็นโทษและสาเหตุที่กำหนดพฤติกรรมเบี่ยงเบน

4. เกิดประโยชน์ต่อทุกวิชาชีพ โดยใช้เป็นวิชาความรู้ควบคู่กับการศึกษาวิชาอื่น ๆ เพราะ ทุกฝ่ายต่างจะต้องใช้วิชาชีพนั้น ๆ กับคนในสังคมทั้งสิ้น

3. ผู้ใดสร้างหลักการและกฎเกณฑ์การศึกษาสังคมโดยเน้นวิเคราะห์ “การกระทำทางสังคม”

(1) เดอร์ไคม์ (Durkheim) (2) เวเบอร์ (Weber) (3) มาร์กซ์ (Marx)

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 6 เดอร์ไคม์ (Durkheim) และเวเบอร์ (Weber) ได้พยายามสร้างหลักการและกฎเกณฑ์ ของการศึกษาสังคมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยพิจารณารายละเอียดหรือระบบความสัมพันธ์’ของคน ในแง่ต่าง ๆ กัน ในรูปของสถาบันทางสังคม และศึกษาเปรียบเทียบระหว่างสังคม ตลอดจน เน้นวิเคราะห์ “การกระทำทางสังคม”

4. การศึกษาสังคมวิทยาด้วยสามัญสำนึกเกิดขึ้นเมื่อใด

(1) ก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม (2) ก่อนปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18

(3) หลังปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 2-3 การศึกษาสังคมวิทยาด้วยสามัญสำนึก (Common Sense) เกิดขึ้นก่อนปลาย คริสต์ศตวรรษที่ 18 หรือก่อนการปฎิวิติอุตสาหกรรม ต่อมาในราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 การศึกษาสังคมวิทยาก็ได้แปรเปลี่ยนไปใช้วิธีการแบบวิทยาศาสตร์ (Science) ซึ่งเป็นผล มาจากอิทธิพลของการปฏิวั้ติอุตสาหกรรมในปี ค.ศ. 1767

5 ผู้ใดไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่า “ทุกสังคมต้องมีดุลยภาพทางสังคม”

(1) มาลินอฟสกี้ (Malinowski) (2) ลีช (Leach)

(3) แรดคลิฟ-บราวน์ (Raddiffe-Brown) (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 7 ลีช (Leach) ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดที่ว่า “ทุกสังคมต้องมีดุลยภาพทางสังคม”โดยเขากล่าวว่า สังคมไม่จำเป็นต้องมีดุลยภาพเสมอไป ทั้งนี้เพราะสังคมอาจจะเกิด ความไม่สงบและเปลี่ยนจากรูปแบบหนึ่งไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง แล้วอาจเปลี่ยนกลับคืนมา เป็นลักษณะเดิมอิก เช่น สังคมชาวกะฉิ่นในประเทศพม่า ซึ่งเขาได้ใช้เวลาในการศึกษาอยู่ที่นั่น เป็นเวลานานหลายปี

6 ในการศึกษาสังคม การใช้เหตุผลและทฤษฎีทำการวินิจฉัยข้อเท็จจริงและนำมาแยกเป็นหมวดหมู่เรียกว่า วิธีอะไร

(1) Abstract

(2) Empiricism (3) Rationalism (4) General Law (5) Proposition

ตอบ 3 หน้า 15 สังคมวิทยาเป็นศาสตร์ที่มีเหตุผล เนื่องจากมีวิธีการศึกษา 2 วิธีการ คือ

1. Empiricism เป็นวิธีการศึกษาที่ได้มาจากประสบการณ์และข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการสังเกตพิจารณาและการทดลอง ดังนั้นพวก Empiricist จะออกไปรวบรวมข้อเท็จจริง จากประสบการณ์เพื่อใช้ประกอบการศึกษาสังคม

2. Rationalism เป็นวิธีการที่เน้นถึงเหตุผลและทฤษฎีซึ่งได้มาจากการวินิจฉัยตามหลักตรรกวิทยา (Logic) โดยพวก Rationalist จะทำการวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้วนำมาแยกแยะ ผสมผสานเข้าเป็นหมวดหมู่

7 สาขาวิขาใดเป็นศาสตร์ประยุกต์

(1) ฟิลิกส์

(2) สังคมวิทยา (3) บริหารธุรกิจ (4) คณิตศาสตร์ (5) เศรษฐศาสตร์

ตอบ 3 หน้า 14, (คำบรรยาย) วิทยาศาสตร์ประยุกต์ ได้แก่ วิศวกรรมศาสตร์ แพทยศาสตร์ เภสัชกรรม บริหารธุรกิจ การบัญชี การเมือง กฎหมาย การสังคมสงเคราะห์ ฯลฯ (ส่วนวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ได้แก่ เคมี ชีววิทยา ฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมวิทยา ฯลฯ)

8 คำว่า Socius ใบภาษาละตินหมายถึงอะไร

(1) สังคม

(2) เพื่อน (3) วัฒนธรรม (4) ถ้อยคำ (5) ชาติพันธุ์

ตอบ 2 หน้า 16 สังคมวิทยา (Sociology) มาจากศัพท์ 2 คำ คือ คำว่า Socius ซึ่งเป็นภาษาละดิน มีความหมายว่า “เพื่อน” (Companion) และคำว่า Logos ซึ่งเป็นภาษากรีก มีความหมายว่า “ถ้อยคำ” (Word) เมื่อรวมคำทั้ง 2 เข้าด้วยกันก็จะแปลว่า การพูดคุยเกี่ยวกับสังคม

9 ผู้ใดแบ่งการศึกษาทางสังคมวิทยาออกเป็นสังคมสถิตและสังคมพลวัต

(1) ค้องท์ (Comte) (2) เดอร์ไคม์ (Durkheim) (3) เวเบอร์ (Weber)

(4) มาร์กซ์ (Marx) (5) สเปนเซอร์ (Spencer)

ตอบ 1 หน้า 18 – 19 ค้องท์ (Comte) ได้แบ่งการศึกษาทางสังคมวิทยาออกเป็น 2 สาขา ได้แก่

1. สังคมสถิต (Social Statics) เป็นการศึกษาเรื่องราวภายในสังคม คือ ศึกษาส่วนย่อย ได้แก่ สถาบันต่าง ๆ ทางสังคม เช่น สถาบันเศรษฐกิจ สถาบันครอบครัว สถาบันการเมือง สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา ฯลฯ

2. สังคมพลวัต (Social Dynamics) เป็นการศึกษาสังคมทั้งสังคม โดยเน้นการศึกษาในเรื่อง ที่ว่าสังคมเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมีวิวัฒนาการความเป็นมาหรือเป็นไปอย่างไร ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

10. ผู้ใดได้รับการยกย่องว่าเป็นปฐมาจารย์ของสังคมวิทยาปัจจุบัน

(1) ค้องท์ (Comte) (2) เวเบอร์ (Weber) (3) มาร์กซ์ (Marx)

(4) เพลโต (Plato) (5) เดอร์ไคม์ (Durkheim)

ตอบ 1 หน้า 18 ค้องท์ (Comte) ถือกันว่าเป็นปฐมาจารย์ (อาจารย์คนแรก) ของสังคมวิทยาในสมัย ปัจจุบัน คือ สังคมวิทยาในฐานะที่เป็นวิทยาศาสตร์แห่งสังคม

11. สาระของวิชาสังคมวิทยาได้แก่ตัวเลือกใด

(1) สังคมมนุษย์

(2) จักรวาล

(3) สถาบันทางสังคม

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 5 หน้า 21-22 สาระของวิชาสังคมวิทยา มีดังนี้ 1. ศึกษาความสัมพันธ์ของบุคคลในสังคม

2. ศึกษาสังคมมนุษย์ทั้งสังคม 3. ศึกษาสถาบันทางสังคม

12. การออกไปรวบรวมข้อเท็จจริงจากประสบการณ์เพื่อใช้ในการศึกษาสังคม เรียกว่าวิธีการอะไร

(1) Abstract

(2) Empiricism

(3) Rationalism

(4) General Law

(5) Proposition

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 6. ประกอบ

13. ผู้ใดบัญญัติศัพท์ “วัฒนธรรม” ขึ้นในปี พ.ศ. 2475

(1) พระมหาพูล

(2) เสฐียรโกเศศ

(3) นาคประทีป

(4) พระศรีสุนทร

(5) พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร

ตอบ 5 หน้า 56 พ.ศ. 2475 พระวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ขณะทรงพระยศเป็น พระองศ์เจ้าวรรณไวทยากรทรงเป็นผู้ริเริ่มบัญญัติศัพท์คำว่า “วัฒนธรรม” ขึ้นเป็นคนแรก

14. งานเขียนเรื่อง “ขุนข้างขนแผน” เป็นตัวอย่างของวัฒนธรรมตามความหมายในแง่ใด

(1) สิ่งดีงามหรือได้รับการปรุงแต่งให้ดีแล้ว (2) ความหมายตามรากศัพท์เดิม

(3) ตามนัยทางสังคมศาสตร์ (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 56 – 57, (คำบรรยาย) วัฒนธรรมตามรากศัพท์เติม หมายถึง สิ่งที่ดีงามหรือสิ่งที่ได้รับ การปรุงแต่งให้ดีแล้วหรือสิ่งที่ได้รับการยอมรับและยกย่องมาเป็นเวลานานแล้ว ตัวอย่างเช่น

1. ภาพวาดของจิตรกรที่มืชื่อเสียง เช่น แองเจโล โกแก็ง ปิกัสโซ ฯลฯ รวมถึงภาพวาดหรือ จิตรกรรมฝาผนังตามระเบียงในโบสถ์วิหารของวัดวาอารามต่าง ๆ

2. ดนตรีของคีตกวีเอก เช่น บีโธเฟน โมสาร์ต และดนตรีไทยของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ ฯลฯ

3. วรรณคดีอมตะ เช่น บทละครของเชกส์เปียร์ พระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์และอิเหนา งานเขียนเรื่องขุนข้างขุนแผนของสุนทรภู่ ฯลฯ

15. ความหมายของคำว่า “วัฒนธรรม’’ ที่กว้างขวางครอบคลุมทุกสิ่งที่เป็นผลผลิตของมนุษย์ได้แก่ความหมายของวัฒนธรรมในข้อใด

(1) รากศัพท์เดิม (2) สิ่งดีงาม

(3) ขนบธรรมเนียมประเพณี (4) นัยทางสังคมศาสตร์ (5) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 58 – 59 วัฒนธรรมตามนัยแห่งสังคมศาสตร์มีความหมายกว้างขวางมากที่สุด คือ ครอบคลุมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นผลผลิตหรือผลงานหรือผลแห่งการกระทำของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมทางวัตถุหรือทางอวัตถุ และมีขอบเขตเกินกว่าการเป็นสิ่งที่ดีงามหรือ เป็นขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ

16. ตัวเลือกใดเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวงจรชีวิตของมนุษย์

(1) การเกิด การตาย

(2) สงกรานต์ (3) แห่นางแมวขอฝน (4) ทอดกฐิน (5) เทศน์มหาชาติ

ตอบ 1 หน้า 57 – 58 วัฒนธรรมที่หมายถึงขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ จะเกี่ยวข้องกับ

1. ขนบธรรมเนียมประเพณีที่เกี่ยวข้องกับวาระสำคัญ ๆ ของการดำเนินชีวิตของ “บุคคล” ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย อันเป็นวงจรชีวิตของมนุษย์

2. ประเพณีที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของ “คนในสังคม” เช่น ประเพณีสงกรานต์ แห่นางแมวขอฝน ทอดกฐิน ทอดผ้าป่า เทศน์มหาชาติ เข้าพรรษา ออกพรรษา ลอยกระทง ฯลฯ

17. ตัวเลือกใดคือลักษณะของวัฒนธรรม

(1) เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ

(2) คือพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้

(3) มองเห็นสัมผัสได้

(4) ปรากฏในสิ่งมีชีวิตทุกหนทุกแห่ง

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 2 หน้า 61 ลักษณะของวัฒนธรรมตามคำนิยามมาตรฐาน มี 6 ลักษณะ คือ

1. เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ (ไม่ไช่ปรากฏการณ์ธรรมชาติ)

2. เป็นรูปแบบหรือกระสวนแห่งพฤติกรรมอันเกิดจากการเรียนรู้

3. เป็นผลหรือผลิตผลของพฤติกรรม (ทั้งที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้หรือมองเห็นสัมผัสได้)

4. เป็นสิงที่สมาชิกของสังคมรู้สึกว่ามีส่วนร่วมเป็นเจ้าของไม่มากก็น้อย

5. มีการถูกส่งต่อหรือได้รับการถ่ายทอดมา

6. มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจศีล

18. ตัวเลือกใดเป็นตัวอย่างของรูปแบบหรือกระสวนแห่งพฤติกรรม (Pattern)

(1) ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ แม่ ลูก (2) การปะทะสังสรรค์ระหว่างครูกับศิษย์

(3) มือกระตุกกลับเมื่อสัมผัสของร้อนจัด (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 64 ตัวอย่างของรูปแบบหรือกระสวนแห่งพฤติกรรม (Pattern) ในความหมายว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เมื่อมีการติดต่อกันหรือที่เรียกว่า มีการปะทะสังสรรค์กัน เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ แม่ ลูก การปะทะสังสรรค์กันระหว่าง ครูกับศิษย์ นายจ้างกับลูกจ้าง ฯลฯ

19. ตะปู ไขควง ดินสอ เป็นตัวอย่างของโครงสร้างวัฒนธรรมประเภทใด

(1) Culture Complex

(2) Culture Trait (3) Culture Lae (4) Subculture (5) Counterculture

ตอบ 2 หน้า 91 โครงสร้างของวัฒนธรรมประกอบด้วย 2 หน่วยใหญ่ ๆ ได้แก่

1. หน่วยเล็กที่สุด (Culture Trait) คือ พฤติกรรมอันเกิดจากการเรียนรู้หรือผลผลิตทางวัตถุ ซึ่งย่อยที่สุดจนเชื่อว่าแยกให้เล็กลงกว่านั้นโดยมีลักษณะแบบเดิมไม่ได้ ได้แก่ วัฒนธรรม ทางวัตถุ เช่น ตะปู ไขควง ดินสอ ผ้าเข็ดหน้า ฯลฯ และวัฒนธรรมทางอวัตถุ เช่น การไหว้ การจับมือ การขับรถ การวิ่ง ฯลฯ

2. หน่วยที่สลับซับซ้อน (Culture Complex) คือ การรวมกลุ่มหรือการรวมเป็นชุดของ หน่วยย่อยที่สุดที่เกี่ยวพันกัน เช่น การเต้นรำ การสวดมนต์ ครอบครัว ศาสนา ฯลฯ

20. ตัวเลือกใดคือความหมายของคำว่า “กลุ่มสังคม”

(1) กลุ่มคนที่มีสำนึกเป็นพวกเดียวกัน

(2) กลุ่มคนที่กำลังรอคอยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง

(3) กลุ่มคนที่มีลักษณะบางอย่างเหมือนกัน

(4) กลุ่มคนที่ขาดระเบียบ

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 98 กลุ่มสังคม หมายถึง กลุ่มคนที่มีการกระทำโต้ตอบซึ่งกันและกัน มีการติดต่อสัมพันธ์กัน ตามสถานภาพและบทบาท มีความรู้ลืกสำนึกเป็นพวกเดียวกัน และมีความเชื่อในด้านคุณค่า ร่วมกันหรือคล้ายคลึงกัน เช่น ครอบครัว กลุ่มเพื่อน กลุ่มอาชีพ กลุ่มเชื้อชาติ ฯลฯ

21. การติดต่อสัมพันธ์กันโดยใช้ความรู้สึกอารมณ์ ปรากฏในกลุ่มใด

(1) ปฐมภูมิ

(2) ทุติยภูมิ

(3) ตติยภูมิ

(4) จตุภูมิ

(5) ไตรภูมิ

ตอบ 1 หน้า 98 กลุ่มปฐมภูมิ (Primary Group) เป็นกลุ่มคนที่มีขนาดเล็ก มีการติดต่อสัมพันธ์กัน ทางสังคมใกล้ชิดสนิทสนม กระทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยมีจุดหมายร่วมกัน และมักใช้อารมณ์ ความรู้สึกมากกว่าเหตุผล ตัวอย่างเช่น ครอบครัว เพือนสนิท เพื่อนเล่น เพื่อนบ้าน ฯลฯ โดยผู้บัญญัติศัพท์คำว่า Primary Group ก็คือ คูลีย์ (Cooley) นักสังคมวิทยาชาวอเมริกัน

22. กลุ่มสังคมชนิดใดเอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชน

(1) กลุ่มปฐมภูมิ

(2) กลุมทุติยภูมิ

(3) กลุ่มปฐมฐาน

(4) กลุ่มอ้างอิง

(5) กลุ่มเขา

ตอบ 1 หน้า 98 – 99 กลุ่มปฐมภูมิ (Primary Group) มีความสำคัญดังนี้

1. เป็นกลุ่มแรกที่มนุษย์ เป็นสมาชิก คือ ครอบครัว 2. เป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่อบรมขัดเกลาทางสังคม (Socialization)

3. เป็นกลุ่มสำคัญที่ส่งเสริมหรือต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ เช่น เอื้อประโยชน์ต่อการพัฒนาชุมชนที่อยูห่างไกล

4. เป็นประโยชน์ในด้านการสร้างขวัญกำลังใจ

23. ตัวเลือกใดคือลักษณะความสัมพันธ์ของกลุ่มทุติยภูมิ

(1) สัมพันธ์กันทุกด้าน

(2) สัมพันธ์กันยาวนาน

(3) สัมพันธ์กันเฉพาะด้าน

(4) เน้นความรู้สึกอารมณ์

(5) เน้นความใกล้ชิดทางกายภาพ

ตอบ 3 หน้า 99, 101 กลุ่มทุติยภูมิ (Secondary Group) เป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ มีการติดต่อทางสังคมห่างเหินระยะสั้น การติดต่อสัมพันธ์เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนดหรือตามหน้าที่ ขาดความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ขาดความสนิทสนมคุ้นเคยเป็นส่วนตัว สัมพันธ์กันเฉพาะด้าน หรือเฉพาะส่วน มีกฎเกณฑ์การควบคุมทางสังคมอย่างเป็นทางการ ความคิดเห็นของกลุ่มมุ่งที่เหตุผลและเน้นด้านประสิทธิภาพ เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย กองทัพ สมาคม องค์กร บริษัท ฯลฯ

24. นักวิชาการท่านใดเป็นผู้บัญญัติศัพท์คำว่า “กลุ่มปฐมภูมิ”

(1) มาร์กซ์(Marx)

(2) เวเบอร์ (Weber) (3) คูลีย์ (Cooley) (4) ทอนนี่ (Tonnies) (5) ค้องท์ (Comte)

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 21. ประกอบ

25. “แก๊งเด็กแว้น” จัดเป็นกลุ่มสังคมประเภทใด

(1) ทุติยภูมิ

(2) ปฐมภูมิ (3) อ้างอิง (4) กลุ่มเขา (5) ข้อ 3 และ 4

ตอบ 3 หน้า 100 กลุ่มอ้างอิง (Reference Group) หมายถึง กลุ่มคนที่เป็นแบบแผนของพฤติกรรม ซึ่งอาจเป็นอะไรหรือใครก็ได้ที่เป็นแบบอย่างหรือแนวทางที่คนยึดถือเป็นหลักในการตัดสินใจ หรือเป็นแนวทางในการแสดงออกของพฤติกรรม เช่น ดารา นักร้อง นักแสดง ละครโทรทัคน์ ภาพยนตร์ ลัทธิความเชื่อ คำสอน สุภาษิต คติพจน์ วีรบุรุษ สิ่งของ หรือบุคคล/กลุ่มบุคคลที่เก่งกล้าแต่มีพฤติกรรมที่ละเมิดบรรทัดฐานของสังคม เช่น หัวหน้าโจร แก๊งเด็กแว้น ฯลฯ

26. ครอบครัวที่มีคู่สมรสมากกว่า 1 คน จัดเป็นครอบครัวรูปแบบใด

(1) ครอบครัวขยาย

(2) ครอบครัวปฐมนิเทศ (3) ครอบครัวเดี่ยว (4) ครอบครัวหน่วยกลาง (5) ครอบครัวประกอบร่วม

ตอบ 5 หน้า 115 – 116 ครอบครัวประกอบร่วมหรือครอบครัวซ้อน เป็นระบบครอบครัวที่ชายหญิง สามารถมีคู่สมรสได้มากกว่า 1 คนที่เรียกว่าหลายผัวหลายเมีย (พหุคู่ครอง) ซึ่งแยกออกเป็น

1. ชายมีภรรยาหลายคน (พหุภรรยา) 2. หญิงมีสามีหลายคน (พหุสามี) ซึ่งยังปรากฏอยู่ในชาวทิเบตบางกลุ่ม 3. ครอบครัวที่เกิดจากการสมรสหมู่ ซึ่งปัจจุบันได้สูญหายไปจากโลกนี้แล้ว เหลือเพียงหลักฐานเพื่อการศึกษาเท่านั้น 4. ครอบครัวภาระหรือครอบครัวภาวะจำยอม

27. ตัวเลือกใดไม่ใช่การจำแนกครอบครัวตามขนาดและรูปแบบ

(1) ครอบครัวปฐมนิเทศ (2) ครอบครัวหน่วยกลาง (3) ครอบครัวขยาย

(4) ครอบครัวประกอบร่วม (5) ครอบครัวเดี่ยว

ตอบ 1 หน้า 114-115 การจำแนกครอบครัวตามขนาดและรูปแบบ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ

1. ครอบครัวหน่วยกลางหรือครอบครัวเดี่ยว 2. ครอบครัวขยาย 3. ครอบครัวประกอบร่วม

28. ข้อใดคือลักษณะสำคัญของครอบครัวขยาย

(1) ปรากฏทั่วไปเป็นสากล

(2) อำนาจขึ้นอยู่กับผู้อาวุโส (3) หญิงมีสามีได้หลายคน

(4) สามีมีภรรยาได้หลายคน (5) ประกอบด้วยสมาชิกเพียง 2 ช่วงวัย

ตอบ 2 หน้า 114 – 115 ครอบครัวขยาย (Extended Family) มีลักษณะสำคัญดังนี้

1. เป็นครอบครัวร่วม ประกอบด้วยครอบครัวเดี่ยวตั้งแต่ 2 ครอบครัวขึ้นไป

2. อำนาจสิทธิ์ขาดภายในครอบครัวขึ้นอยู่กับผู้อาวุโส/ระบบอาวุโส

3. ส่วนใหญ่มักปรากฏในสังคมเกษตรกรรมหรือสังคมดั้งเดิมอันเป็นสังคมล้าหลัง

29. การมีคู่สมรสต่างพวกหรือต่างวงศ์วานกันเรียกว่าอะไร

(1) Endogamy

(2) Exogamy (3) Homogamy (4) Heterogamy (5) Polygamy

ตอบ 2 หน้า 119 การเลือกคู่สมรสโดยพิจารณาจากเกณฑ์บุคคลที่เป็นคู่สมรสด้วย มีข้อที่

ควรพิจารณาอยู่ 2 ประเภท คือ 1. คู่สมรสเป็นพวกเดียวกันหรือวงศ์วานเดียวกัน

(Endogamy) ซึ่งมุ่งความสนิทสนมกันภายในวงศ์วานเป็นหลัก เช่น มีเชื้อชาติเดียวกัน เป็นคนท้องถิ่นเดียวกัน นับถือศาสนาเดียวกัน นิยมลัทธิการเมืองเดียวกัน ฯลฯ 2. คู่สมรสต่างพวกหรือต่างวงศ์วานกัน (Exogamy) แต่เป็นความพอใจของคู่สมรส ซึ่งต่างฝ่ายต่างมีความพอใจในกันและกันจนเกิดสภาพการแต่งงานกันขึ้น

30. ข้อใดกล่าวถึงศาสนาไม่ถูกต้อง

(1) ปรากฏเฉพาะในสังคมที่เจริญแล้ว

(2) เป็นความเชื่อโดยปราศจากการเคารพบูชา (3) มีการกวดขันเรื่องความจงรักภักดี

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 128, 131 โดยทัวไปศาสนาจะมีปรากฏในทุกสังคมทั้งสังคมที่เจริญแล้วและ ยังด้อยความเจริญ ศาสนาเป็นความเชื่อถือโดยมีความศักดิ์สิทธิ์และการเคารพบูชา ศาสนาต้องมีคำสอนทางศีลธรรมจรรยาและต้องมีการกวดขันเรื่องความจงรักภักดี

31. “ความเกรงกลัวสิ่งที่ไมีแน่นอน สิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ ทำให้คนมุ่งไปที่ศาสนาหรือพิธีกรรม” เป็นความเห็น ของนักวิชาการท่านใด

(1) ฟรอยด์ (Freud)

(2) มาร์กซ์ (Marx)

(3) เวเบอร์ (Weber)

(4) ค้องท์ (Comte)

(5) มาลินอฟสกี้ (Malinowski)

ตอบ 5 หน้า 133, 350 ความสำคัญของศาสนาในทางสังคมวิทยานั้น ได้มีผู้แสดงความเห็นไว้ดังนี้

1. ฟรอยด์ (Freud) เห็นว่า ศาสนามีประโยชน์ในด้านเป็นเครื่องปลอบประโลมใจในยามทุกข์ยาก

2. มาร์กซ์ (Marx) ถือว่า ศาสนาเป็นยาเสพติด เพราะก่อให้เกิดความงมงาย และเป็นอุปสรรค ต่อการปฏิวิตทางการเมือง ซึ่งเป็นการมองศาสนาไปในแง่ร้าย

3. มาลินอฟสกี้ (Malinowski) เห็นว่า ศาสนาและพิธีกรรมมักเกี่ยวพันกับความไม่แน่ใจ ในเรื่องธรรมชาติ ความเกรงกลัวในสิ่งที่ไม่แน่นอน/สิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ ทำให้คนมุ่งไปที่ ศาสนาหรือพิธีกรรม

32. เพราะเหตุใด มนุษย์จึงบนบานศาลกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ

(1) มนุษย์มีความเชื่อมั่นในตนเองสูง

(2) มนุษย์ไม่มีความเชื่อมั่นในตนเอง

(3) มนุษย์ใช้หลักเหตุผล

(4) มนุษย์ศรัทธาในสิ่งเหนือธรรมชาติ

(5) ข้อ 2 และ 4

ตอบ 2 หน้า 133 – 134 ความจำเป็นที่มนุษย์ต้องมีศาสนา เกิดจากสาเหตุ 3 ประการ คือ

1. มนุษย์ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง มนุษย์จึงบนบานศาลกล่าวต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเคารพนับถือ เพื่อขอให้ตนได้รับในสิ่งที่ต้องการหรือสิ่งอันพึงประสงค์

2. มนุษย์ไม่เข้าใจสภาวะแวดล้อมที่แท้จริง มนุษย์จึงพยายามหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ

3. มนุษย์ต้องการนำศาสนามาควบคุมพฤติกรรมของสังคม เพื่อให้สังคมอยู่ด้วยความสงบสุข

33. ศาสนาใดมีความเชื่อประเภทพหุเทวนิยม

(1) คริสต์

(2) อิสลาม (3) ฮินดู (4) พุทธ (5) เต่า

ตอบ 3 หน้า 139 – 140 ความเชื่อทางศาสนา มี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1. เทวนิยม (Theism) เป็นระบบความเชื่อที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แบ่งออกเป็น เอกเทวนิยม (เชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว) เช่น ศาสนาคริสต์ อิสลาม ฯลฯ, พหุเทวนิยม (นับถือ พระเจ้าหลายพระองค์) เช่น ศาสนาฮินดู ฯลฯ, สัพพัตถเทวนิยม (เชื่อว่าพระเจ้าและจักรวาล เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) เช่น เชื่อว่าแผ่นดินมีแม่พระธรณีเป็นผู้ดูแลปกปักรักษา ฯลฯ

2. อเทวนิยม (Atheism) เป็นระบบความเชื่อที่อาศัยเหตุผลและความเป็นจริงเป็นสำคัญ โดยไม่ผูกพันอยู่กับเทพเจ้า เช่น ศาสนาพุทธ เซนช เต๋า ฯลฯ

34. นักวิชาการท่านใดพิจารณาว่าศาสนามีอิทธิพลตอความก้าวหน้าของระบบอุตสาหกรรม

(1) ฟรอยต์ (Freud) (2) มาร์กซ์ (Marx) (3) เวเบอร์ (Weber)

(4) เดอร์ไคม์ (Durkheim) (5) มาลินอฟสกี้ (Malinowski)

ตอบ 3 หน้า 136, (คำบรรยาย) เวเบอร์ (Weber) เป็นนักวิชาการที่พิจารณาว่า ความเชื่อทางศาสนามีอิทธิพลต่อความเจริญก้าวหน้าของระบบอุตสาหกรรม เพราะศาสนาเป็นตัวกระตุ้นหรือประคับประคองให้มนุษย์ในสังคมเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการ

35. อะไรคือสาระสำคัญของการศึกษาสาขาสังคมวิทยาการศึกษา

(1) ความเชื่อของมนุษย์ (2) การจัดองค์การของมหาวิทยาลัยรามคำแหง

(3) สถานภาพและบทบาทของครู (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 151 สังคมวิทยาการศึกษาเน้นศึกษาสาระสำคัญ 4 ประการ ได้แก่

1. ความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษากันสังคม เช่น สถานภาพและบทบาทของครู ฯลฯ

2. สถาบันต่าง ๆ ทางการศึกษา ทั้งระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา

3. การจัดองค์การทางการศึกษา เช่น การจัดองค์การของ ม.รามคำแหง ฯลฯ

4. การศึกษาในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของสถาบันอื่น ๆ

36. พระพุทธศาสนาถือว่า วัฏสงสารจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อพ้นจากอวิชชา ซึ่งเป็นกระบวนการเกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่ที่เรียกว่าอะไร

(1) ไตรลักษณ์

(2) ไตรสิกขา (3) ปฏิจจสมุปบาท (4) กรรมบถ (5) ธรรมนิยาม

ตอบ 3 หน้า 152 พระพุทธศาสนาถือว่าความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้มนุษย์หลุดพ้นจาก ความทุกข์ พระพุทธองค์ทรงถือว่าอวิชชา (ความไม่รู้) เป็นต้นเหตุแห่งวัฏสงสารอันเป็นการ เวียนว่ายตายเกิดในห้วงแห่งทุกข์ วัฏสงสารจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อพ้นจากอวิชชาอันเป็นจุดเริ่มต้น แห่งกระบวนการอันเกี่ยวเนื่องเป็นลูกโซ่ที่เรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท” (การที่สิ่งทั้งหลายอาศัย ซึ่งกันและกัน) ดังนั้นการศึกษาในเชิงพุทธศาสตร์จึงมีความหมายเพื่อให้หลุดพ้นจากอวิชชา หรือความไม่รู้เพื่อชีวิตจะได้ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก

37. การศึกษาในสมัยอารยธรรมกรีกโบราณเน้นเรื่องใด

(1) คุณธรรม

(2) การเกษตร (3) การปกครอง (4) คุณลักษณะ (5) การสงคราม

ตอบ 1 หน้า 152 – 153 ในสมัยอารยธรรมกรีกโบราณ การศึกษาผูกพันกับคุณธรรม ซึ่งคำว่าการศึกษาในภาษากรีก เรียกว่า Paedeia หมายถึง การเรียนคุณธรรม โดยสรุปการศึกษา ในทัศนะกรีกโบราณ หมายถึง การเป็นคนดีและเป็นพลเมืองดี่นั่นเอง

38. ผลิตผลของปรัชญาการศึกษาระดับอุดนศึกษาที่เน้นความเลอเลิศทางปัญญาโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ที่มีต่อสังคมสอดคล้องกับตัวเลือกใด

(1) นักวิชาการด้านการพัฒนา (2) นักวิชาการนํ้านิ่งไหลลึก

(3) นักวีชาการเคร่งทฤษฎี (4) นักวิชาการพายเรือในอ่าง

(5) นักวิชาการเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ

ตอบ 3 หน้า 166 ผลิตผลของปรัชญาการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่เน้นความเลอเลิศทางปัญญาโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ที่มีต่อสังคม คือ การสร้างนักคิดและนักวีชาการประเภทเคร่งทฤษฎี จนกระทั้งมีฉายาเรียกว่าเป็นนักวิชาเกินที่ติดอยู่กับหลักวิชาแนะแนวคิดเชิงนิรนัย (การตั้ง สมมุติฐานหรือหลักที่ถือว่าเป็นจริงอยู่แล้วไว้เป็นเกณฑ์) มากกว่าอุปนัย (การพิจารณาข้อมูล ให้แน่ชัด/พยายามดูสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอและน่าไปประยุกต์ในภาคปฏิบัติ)

39. มหาวิทยาลัยเปิดหรือตลาดวิชาแห่งแรกของประเทศไทยจัดการศึกษาในระยะเริ่มแรกแบบใด

(1) ใครใคร่ค้าค้า (2) ใครใคร่เรียนเรียน (3) มุกติศึกษา (4) เน้นการปฏิบัติ (5) เน้นการวิจัย

ตอบ 2 หน้า 174 – 175 มหาวิทยาลัยเปิดหรือตลาดวิชาแห่งแรกของไทย คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และการเมือง ซึ่งได้รับการสถาปนาเมื่อ พ.ศ. 2476 โดยจัดการศึกษาในระยะเริ่มแรกเป็นแบบ “ใครใคร่เรียนเรียน” คือ ผู้ที่ประสงค์จะเรียนสามารถเข้าเรียนได้โดยไม่จำกัดวุฒิการศึกษา

40. ตัวเลือกใดคือปรัชญาการศึกษาของมหาวิทยาลัยสหประชาชาติ

(1) มุ่งให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง (2) มุ่งความเป็นเลิศทางวิชาการ

(3) มุ่งให้มนุษยชาติแสวงหาความรู้ (4) ส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรมของโลก

(5) แก้ปัญหาและสรรค์สร้างสวัสดิการของมนุษยชาติ

ตอบ 5 หน้า 177 – 178 ปรัชญาการศึกษาของมหาวิทยาลัยสหประชาชาติจะเน้นในเรื่องความเข้าใจกัน ระหว่างมวลมนุษย์ การอยู่ร่วมกับของคนต่างชาติต่างภาษาและต่างวัฒนธรรม การดำรงรักษาไว้ ซึ่งสันติภาพและความมั่นคง โดยมีปรัชญาหลัก คือ การมุ่งแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความเป็น ความตายของมนุษยชาติ และเพื่อสรรค์สร้างสวัสดิการของปวงชน

41. วิชาประชากรศาสตร์ถือกำเนิดขึ้นเมื่อใด

(1) คริสต์ศตวรรษที่ 17

(2) คริสต์ศตวรรษที่ 18

(3) กลางคริสต์ศตวรรษที่ 19

(4) ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20

(5) กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20

ตอบ 5 หน้า 185 ประชากรศาสตร์ เป็นศาสตร์สาขาใหม่ของสังคมศาสตร์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้เอง สืบเนื่องจากในปี ค.ศ. 1949 องค์การสหประชาชาติได้จัดประชุมสัมมนาเกี่ยวกับทรัพยากรของโลก และมีการสำรวจประชากรในฐานะผู้บริโภคด้วย ซึ่งผลจากการประชุมพบว่าทรัพยากรต่าง ๆ ของโลกได้ถูกทำลายอย่างมากมาย ทั้งนี้เนื่องมาจากการที่ ประชากรมีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้เกิดการตื่นตัวศึกษาเกี่ยวกับประชากรมากขึ้น

42. การปะทุทางประชากร (Population Explosion) ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กำเนิดขึ้นในภูมิภาคใด

(1) เอเชีย

(2) แอฟริกา

(3) ยุโรป

(4) อเมริกาเหนือ

(5) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 5 หน้า 189 การปะทุทางประชากร (Population Explosion) ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2เกิดขึ้นในภูมิภาคแถบเอเชีย ลาตินอเมริกา และแอฟริกา ทั้งนี้เพราะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เหล่านี้มีนโยบายพัฒนาประเทศ โดยได้นำเอาความเจริญด้านการแพทย์และด้านวิทยาการ ยารักษาโรคจากประเทศพัฒนาแล้วมาเผยแพร่ ทำให้อัตราการตายลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่อัตราการเกิดยังอยู่ในระดับสูง จึงเป็นผลให้อัตราการเพิ่มของประชากรสูงขึ้น อย่างรวดเร็ว

43. ในปี ค.ศ. 2020 อัตราการเกิดอย่างหยาบของประเทศหนึ่งมีค่าเท่ากับ 20 หมายความอย่างไร

(1) ภาวะเจริญพันธุ์อยู่ในระดับทดแทน (2) ปีนั้นมีเด็กเกิดใหม่ร้อยละ 20

(3) ปีนั้นมีเด็กเกิดรอด 20 คน (4) ปีนั้นเด็กชายเกิดมากกว่าเด็กหญิง 20 คน

(5) ในปีนั้น ประชากร 1,000 คน มีเด็กเกิดมีชีวิต 20 คน

ตอบ 5 หน้า 185 อัตราการเกิดอย่างหยาบ (Crude Birth Rate : CBR) เป็นการคำนวณหาจำนวน คนเกิด/ประชากร 1,000 คน/ปี ดังนั้นอัตราการเกิดอย่างหยาบของประชากรมีค่าเท่ากับ 20 ก็หมายความว่า ใบปีนั้น ประชากร 1,000 คน มีคนเกิดรอดชีวิต 20 คน

44. หากพิจารณาในภาพรวม อัตราการเกิดและอัตราการตายของประเทศที่พัฒนาแล้วมีลักษณะเช่นไร

(1) อัตราการเกิดต่ำ อัตราการตายต่ำ (2) อัตราการเกิดสูง อัตราการตายต่ำ

(3) อัตราการเกิดตํ่า อัตราการตายสูง (4) อัตราการเกิดสูง อัตราการตายสูง

(5) อัตราการเกิดมากกว่าอัตราการตาย

ตอบ 1 หน้า 190, 195, (คำบรรยาย) หากพิจารณาในภาพรวม ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ จะมีการเปลี่ยนแปลงทางประชากรในลักษณะที่อัตราการเกิตและอัตราการตายลดลงอยู่ใน ระดับต่ำเท่าเทียมกัน ส่วนประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางประชากร ในลักษณะที่อัตราการเกิดยังสูงอยู่แต่อัตราการตายลดตํ่าลง

45. ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Baby Boom หมายถึงตัวเลือกใด

(1) มีเด็กชายเกิดมากกว่าเด็กหญิง

(2) มีเด็กหญิงเกิดมากกว่าเด็กชาย (3) อัตราการเกิดเท่ากับอัตราการตาย

(4) มีเด็กเกิดมากในประเทศกำลังพัฒนา (5) อัตราการตายมากกว่าอัตราการเกิด

ตอบ 4 หน้า 190 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เกิดปรากฏการณ์ Baby Boom คือ มีเด็กเกิดอย่างมากมายในประเทคต่าง ๆ ทำให้ประเทศแถบที่กำลังพัฒนา เช่น เอเชีย และลาตินอเมริกา ประมาณ 40% ของประชากรทั้งประเทศเป็นเด็กอายุตํ่ากว่า 15 ปี และส่วนหนึ่งได้เข้าสู่วัย ที่สามารถให้กำเนิดบุตรได้

46. ตัวกำหนดช่วงชั้นทางสังคมได้แก่ตัวเลือกใด

(1) สีผิว

(2) ชาดิตระกูล (3) หน้าที่การงาน (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 197, (คำบรรยาย) ตัวกำหนดช่วงชั้นทางสังคมที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันของบุคคล ได้แก่ ตัวแปรที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้หรือแก้ไขได้ยากมาก เช่น อายุ เพศ สีผิว ความสามารถของร่างกายและสมอง ฯลฯ และตัวแปรที่ได้มาโดยการสร้างขึ้น เช่น วรรณะ ชาติตระกูล หน้าที่การงาน และยศฐาบรรดาศักดิ์ ฯลฯ

47. ผู้ใดมีแนวคิดว่า “อำนาจทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง” เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดชนชั้น

(1) มาร์กซ์ (Marx) (2) เวเบอร์ (Weber) (3) วอร์เนอร์ (Warner)

(4) เพลโต (Plato) (5) ค้องท์ (Comte)

ตอบ 2 หน้า 203 เวเบอร์ (Weber) มีแนวคิดว่า “อำนาจทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง”เป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดชนชั้น โดยเวเบอร์ใช้ตัวกำหนด “ชนชั้น สถานภาพ และพรรค” ศึกษาการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคม

48. ตัวเลือกใดนำมาใช้วิเคราะห์การจัดช่วงชั้นทางสังคมแบบวัตถุวิสัย (Objective Approach)

(1) ความรู้สึก (2) ความสำนึก (3) ชื่อเสียง (4) ศักดิ์ศรี (5) อาชีพ

ตอบ 5 หน้า 201 – 202 หลักเกณฑ์ที่ใช้ศึกษาการจัดลำดับช่วงชั้นของคนในสังคมมี 3 วิธี คือ

1. การศึกษาแบบวัตถุวิสัย (Objective Approach) จะกระทำได้โดยการวิเคราะห์ปัจจัย อันเกี่ยวข้องกับรายได้ อาชีพ อำนาจ ตำแหน่ง และทรัพย์สมบัติ

2. การศึกษาแบบอัตวิสัย (Subjective Approach) ซึ่งขึ้นอยู่กับความรู้สึกสำนึกของบุคคลที่ คิดว่าตนเองอยู่ในชนชั้นใดของสังคม

3. การศึกษาโดยดูจากชื่อเสียง/เกียรติยศ/ศักดิ์ศรี (Reputational Approach) ซึ่งขึ้นอยู่กับการประเมินค่าโดยบุคคลต่อบุคคลอื่น

49. นักวิชาการท่านใดเน้นว่าชนชั้นถูกกำหนดโดยปัจจัยทางเศรษฐกิจ

(1) มาร์กซ์ (Marx)

(2) เวเบอร์ (Weber) (3) วอร์เนอร์ (Warner) (4) เพลโต (Plato) (5) ค้องท์ (Comte)

ตอบ 1 หน้า 202 – 203 มาร์กซ์ (Marx) เป็นนักวิชาการที่อธิบายการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคมด้วยทฤษฎี “ตัวกำหนดทางเศรษฐกิจ” เช่น ระบบการผลิต การแลกเปลี่ยน ผู้ผลิต ผู้บริโภค ฯลฯ โดยมาร์กซ์ให้ทัศนะว่า ปัจจัยสำคัญที่มีส่วนมีบทบาท ได้แก่ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ

50. ตัวอย่างของฐานันดรได้แก่ตัวเลือกใด

(1) ผู้ที่ได้รับสมญาตามพฤติกรรมประจำเพศ

(2) โสเภณีที่ประสบความสำเร็จในอาชีพ

(3) บุคคลที่มีสถานะเท่าเทียมกันในสังคม

(4) พระและขุนนางในยุโรปสมัยกลาง

(5) คนวรรณะศูทรแต่งงานกับคนวรรณะพราหมณ์

ตอบ 4 หน้า 199 ฐานันดร (Estate) เป็นระบบการแบ่งช่วงชั้นทางสังคมที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยกลางของ ยุโรป เดิมมีเพียง 2 ฐานันดร ได้แก่ นักบวช (พระ) และขุนนาง ต่อมามีเพิ่มขึ้นอีก เช่น พ่อค้า สามัญชน เป็นระบบที่มีกฎหมายกำหนดสิทธิหน้าที่ของคนแตกต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ ของบุคคลต่อที่ดิน โดยการเขยิบฐานะเป็นไปได้ และไม่มีศาสนาคํ้าจุนเหมือนระบบวรรณะ

51. สังคมต้องสนองตอบความด้องการในเรื่องใดให้กับสมาชิก

(1) ความต้องการทางร่างกาย

(2) ความต้องการการรวมกลุ่ม

(3) ความต้องการที่เกิดจากสัญชาตญาณ

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 211 สังคมต้องสนองตอบความต้องการให้กับสมาชิกของสังคมในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้

1. ความต้องการทางร่างกาย ซึ่งเน้นความต้องการพื้นฐานขั้นต่ำสุดของมนุษย์

2. ความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคงในชีวิต

3. ความต้องการการรวมกลุ่มความต้องการความรัก และการได้รับการยอมรับ

4. ความต้องการได้รับการเคารพนับถือและความต้องการเกียรติยศชื่อเสียง

5. ความต้องการที่แท้จริงของตนเอง

52. ข้อใดเป็นตัวอย่างของรูปแบบการอบรมชั้นปฐมภูมิ (Primary Socialization)

(1) ครอบครัวอบรมสั่งสอนเรื่องหน้าที่ให้กับสมาชิก

(2) หน่วยงานจัดอบรมความรู้และทักษะเฉพาะตำแหน่งให้พนักงาน

(3) โรงเรียนจัดหลักสูตรพระพุทธศาสนาในชีวิตประจำวันให้นักเรียน

(4) กรรมกรรวมกลุ่มกันเพื่อเรียกร้องให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างสูงขึ้น

(5) ประเทศต่าง ๆ รวมตัวกันเพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้า

ตอบ 1 หน้า 241 การอบรมทางสังคม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. การอบรมชั้นปฐมภูมิ (Primary Socialization) เริ่มตั้งแต่ครอบครัวทำหน้าที่ให้การอบรม สั่งสอนเด็กในเรื่องความรัก หน้าที่ และสิทธิต่าง ๆ เพื่อให้เด็กเข้ากับคนอื่น ๆ ในสังคมได้

2. การอบรมชั้นทุติยภูมิ (Secondary Socialization) จะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลได้ผ่านกระบวนการ อบรมทางสังคมชั้นปฐมภูมิแล้ว และต้องการเข้ากลุ่มสังคมหรือเปลี่ยนสภาพทางสังคม

53. กลไกการบังคับใช้ ทั้งการให้รางวัลและการลงโทษมีความเกี่ยวข้องกับตัวเลือกใด

(1) บทบาท (2) เครือข่ายทางสังคม (3) สถานภาพ

(4) บรรทัดฐานทางสังคม (5) การขัดเกลาทางสังคม

ตอบ 4 หน้า 224 กลไกการบังคับใช้ (Sanctions) คือ การให้การตอบแทน เช่น รางวัล (Rewards) และการลงโทษ (Punishment) มีความเกี่ยวพันกับบรรทัดฐานทางสังคม (Norms) กล่าวคือ บุคคลที่ปฏิบัติตามบรรทัดฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในสังคมย่อมคาดได้ว่าจะได้รับผลตอบแทน หรือรางวัล แต่ถ้าละเว้นหรือไม่ปฏิบัติตามบรรทัดฐานย่อมคาดได้ว่าจะได้รับการลงโทษ

54. “มารยาททางสังคมหรือสมบัติผู้ดี” เป็นกลไกควบคุมทางสังคมตามตัวเลือกใด

(1) กลไกการแลกเปลี่ยน

(2) กลไกกฎระเบียบ (3) กลไกทางวัฒนธรรม (4) กลไกกลอุบาย (5) กลไกการถอนตัว

ตอบ 3 หน้า 222 – 223 กลไกทางวัฒนธรรมที่ใช้ในการควบคุมทางสังคม ประกอบด้วย

1. บรรทัดฐาน ได้แก่ กฎหมาย ข้อบังคับ ข้อห้าม จารีต ประเพณี วิถีประชา (เช่น มารยาท ทางสังคมต่าง ๆ หรือสมบัติผู้ดี) ฯลฯ

2. การบังคับใช้

3. สถานภาพและบทบาท

4. การเข้ากลุ่มและการเข้าสังคม 5. ความแตกต่างทางสังคมและชั้นทางสังคม

55. ตัวอย่างการควบคุมทางสังคมด้วยกลไกการบังคับแบบไม่รุนแรงได้แก่ตัวเลือกใด

(1) การก่อการร้าย

(2) การปฏิวัติ (3) การจลาจล (4) การระงับการให้บริการ (5) การสลายม็อบ

ตอบ 4 หน้า 237 – 238 กลไกการบังคับ (Coercive Strategies) เป็นกลไกการควบคุมทางสังคมที่จะนำมาใช้ก็ต่อเมื่อได้พยายามใช้กลไกอื่น ๆ แล้วประสบความล้มเหลว แบ่งเป็น 2 วิธี คือ

1. การบังคับแบบไม่รุนแรง เช่น การใช้คำขู่ การประณาม การระงับการให้บริการ ฯลฯ

2. การบังคับแบบรุนแรง เช่น การปฏิวัติ การจลาจล การสลายม็อบ การก่อการร้าย ฯลฯ

56. ปัจจัยทางสังคมที่ไม่มีผลต่อการกำหนดนโยบายทางการเมือง ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) เพศและอายุ

(2) ภาษาและอาชีพ (3) การศึกษา (4) เชื้อชาติและศาสนา (5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 248 สังคมวิทยาการเมืองจะศึกษาปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อการจัดหรือกำหนดระบบ/ รูปแบบองค์กรและนโยบายทางการเมือง ได้แก่ มิติทางสังคม เช่น กลุ่มประชากร สถานภาพ เพศ วัย (อายุ) เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ระดับการศึกษา ฯลฯ และมิติทางเศรษฐกิจ เช่น การผลิต อาชีพ รายได้ ฐานะ ฯลฯ

57. พฤติกรรมการเมืองได้แก่ตัวเลือกใด

(1) การเกิดอุดมการณ์ทางการเมือง

(2) การจัดองค์การทางการเมือง (3) การขยายตัวของเมือง

(4) การอพยพเข้าสู่เมือง (5) การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ตอบ 5 หน้า 248 สังคมวิทยาการเมืองศึกษาถึงปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อพฤติกรรมทางการเมือง เช่น การออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง การเข้าร่วม กิจกรรมทางการเมือง รวมทั้งการสนับสนนหรือคัดค้านกลุ่มการเมืองและพรรคการเมือง ฯลฯ

58. ทอคเกอวิลล์ (Tocqueville) ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างทฤษฏีเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย จากสังคมใด

(1) ฮังการี (2) ออสเตรีย (3) อังกฤษ (4) อเมริกัน (5) เยอรมัน

ตอบ 4 หน้า 250, 459 ทอคเกอวิลล์ (Tocqueville) ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับ การปกครองระบอบประชาธิปไตยจากสังคมอเมริกันโดยเขาต้องการสนับสนุนให้มีระบบการเมือง แบบกลุ่มหลากหลายขึ้นในสังคม คือ ให้มีความแตกต่างและอิสระในการปกครองท้องถิ่น ไม่ใช่ปล่อยให้อำนาจไปรวมอยู่ที่รัฐซึ่งเป็นศูนย์กลางแต่เพียงแห่งเดียว

59. ในสมัยกลางของยุโรป ผู้มีอำนาจมากทั้งทางธรรมและทางโลกได้แก่ผู้ใด

(1) จักรพรรดิ (2) พระ (3) ขุนนาง (4) พ่อค้า (5) ชนชั้นกลาง

ตอบ 2 หน้า 248 ในสมัยกลางของยุโรปซึ่งเป็นยุคของการรวมตัวกันเป็นจักรวรรดิ พระเป็นผู้มี บทบาทสำคัญมากทั้งทางโลก (อาณาจักร) และทางธรรม (ศาลนจักร) ซึ่งทั้ง 2 องค์กรนี้ รวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มิได้แยกจากกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า พระในศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะสันตะปาปามีบทบาทมากทั้งทางสังคม การเมืองการปกครอง และการศาสนา มีหน้าที่ควบคุมดูแลประชาชน และบริหารงานบ้านเมืองไปด้วยในขณะเดียวกัน

60. ตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมคือตัวเลือกใด

(1) ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ (2) ความขัดแย้งระหว่างเพศ

(3) ความขัดแย้งระหว่างอาชีพ (4) ความขัดแย้งระหว่างชนชั้น

(5) ความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติ

ตอบ 4 หน้า 250, 320 – 322 ตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางสังคม คือ ความขัดแย้งระหว่างชนชั้น โดยสังคมจะปราศจากการขัดแย้งก็ต่อเมื่อเป็น สังคมคอมมิวนิลต์ที่แท้จริง น้นคือ ไม่มีรัฐ ไม่มีรัฐบาล เพราะตราบใดที่มีรัฐนั่นก็จะหมายถึง มีการใซ้อำนาจรัฐบังคับกดขี่

61. ฝูงชนที่บ้าคลั่ง (Mob) มีลักษณะอย่างไร

(1) มีสถานการณ์ทำให้เกิดความตื่นเต้น

(2) มีการแสดงออกถึงพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง

(3) มีจุดสนใจอยู่ที่สิ่งเร้าภายนอก

(4) มีจุดประสงค์สร้างแบบแผนใหม่

(5) มีการมั่วสุมในด้านต่าง ๆ

ตอบ 2 หน้า 256 ฝูงชนที่บ้าคลั่ง (Mob) เป็นฝูงชนที่ถูกกระตุ้นหรือเร้าอารมณ์ให้แสดงออกถึง พฤติกรรมที่ก้าวร้าว รุนแรง เชิงทำลาย และเร่งด่วนในการปฏิบัติการ โดยมีจุดมุงหมาย เพื่อระบายความเครียด ความอัดอั้นตันใจ ความเคียดแค้น และความกลัว

62. ตัวเลือกใดจัดว่าเป็นพฤติกรรมฝูงชน

(1) นักเรียนยืนรอรถประจำทางอยู่ที่ป้ายจอดรถหน้าโรงเรียน

(2) นักเรียนชายกลุ่มใหญ่แอบเล่นไพ่หลังห้องเรียน

(3) นักเรียนยืนเข้าแถวยาวเพื่อซื้ออาหารกลางวันรับประทาน

(4) นักเรียนจำนวนมากเข้าชมการแสดงนาฏศิลป์ในหอประชุม

(5) นักเรียนทั้งหมดออกกำลังกายหน้าเสาธงหลังเคารพธงชาติ

ตอบ 2 หน้า 253 พฤติกรรมฝูงชน เป็นปรากฏการณ์หนึ่งทางสังคม เป็นพฤติกรรมที่เป็นไปเอง โดยปกติวิสัย ซึ่งเกิดจากกลุ่มคนที่ขาดระเบียบอย่างทันทีทันใด โดยไม่มีการวางแผน และ ไม่ได้มีการคาดหมายหรอทำนายไว้ล่วงหน้า แต่สภาวการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมขณะนั้นส่งเสริม

63. การควบคุมฝูงชนโดยวิธีธรรมชาติได้แก่ตัวเลือกใด

(1) แยกผู้นำกลุ่ม

(2) การมีโครงสร้างของกลุ่มที่มั่นคง (3) สภาพดินฟ้าอากาศ

(4) ความก้าวหน้าของระบบการสื่อสาร (5) การกระชับพื้นที่

ตอบ 3 หน้า 258, (คำบรรยาย) การควบคุมฝูงชนโดยวิธีธรรมชาติ ได้แก่ การอาศัยสภาพดินฟ้าอากาศ ที่เป็นอุปสรรคทำให้พฤติกรรมฝูงชนเกิดขึ้นได้ยาก เช่น ฝนตก อากาศหนาวจัด ร้อนจัด ฯลฯ

64. ฝูงชนแสดงออก (Expressive Crowd) มีชื่อเรียกอย่างอื่นว่าอะไร

(1) ฝูงชนบังเอิญ (Casual Crowd) (2) ฝูงชนเต้นรำ (Dancing Crowd)

(3) ฝูงชนที่บ้าคลั่ง (Mob)

(4) ฝูงชนลงมือกระทำ (Acting Crowd) (5) ฝูงชนลงประชาทัณฑ์ (Lynching Mob)

ตอบ 2 หน้า 256 ฝูงชนแสดงออก (Expressive Crowd) เป็นฝูงชนที่แสดงออกถึงอารมณ์ที่ตื่นเต้น สนุกสนาน เฮฮา ป่าเถื่อน และมัวเมา เช่น การเต้นรำ กระทืบเท้า หรือปรบมือให้จังหวะ และการมั่วสุมทางเพศ ฯลฯ ซึ่งฝูงชนประเภทนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ฝูงชนเต้นรำ (Dancing Crowd)

65. นักสังคมวิทยาสนใจพฤติกรรมฝูงชนประเภทใดมากที่สุด

(1) ฝูงชนบังเอิญ

(2) ฝูงชนแสดงออก (3) ฝูงชนลงมือกระทำ (4) ผู้ดูหรือผู้ฟัง (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 3 หน้า 255 ฝูงชนลงมือกระทำ (Acting Crowd) เป็นฝูงชนที่มีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ และ พร้อมที่จะแสดงออกถึงความก้าวร้าว รุนแรง เชิงทำลาย ซึ่งฝูงชนประเภทนี้จะได้รับความสนใจ จากนักสังคมวิทยาและนักรัฐศาสตร์มาก เพราะการระบาดทางอารมณ์จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว และเร่งด่วนในการปฏิบัติการ โดยฝูงชนประเภทนี้ได้แก่ Mob ประเภทต่าง ๆ

66. จากคำกล่าวที่ว่า “มบุษย์เกิดความคับแค้นเพราะมีความต้องการมากแต่สมปรารถนาน้อย” จัดเป็นคำกล่าวที่บ่งถึงสิ่งใด

(1) ความหมายของปัญหาสังคม

(2) ประเภทปัญหาสังคม (3) แนวทางแก้ไขปัญหาสังคม

(4) แนวทางป้องกันปัญหาสังคม (5) สาเหตุของปัญหาสังคม

ตอบ 5 หน้า 261, (คำบรรยาย) อุดม โปษะกฤษณะ ได้กล่าวถึงสาเหตุของปัญหาสังคมไว้ว่าความรุนแรงและความคุกรุ่นของคนต่อปัญหาต่างๆ จะแอบแฝงอยู่กับผู้ที่มีความคับแค้นเพราะ มีความต้องการมากแต่ได้รับความสมปรารถนาน้อย การจะบรรเทาเบาบางปัญหาหรือลดปัญหา ต่าง ๆ ลง คนเราจะต้องตัดไฟความปรารถนา ตัณหา ความโลภ และพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่

67. จากคำกล่าวของสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ว่า “การแก้ป้ญหาชาติโดยประหยัด งดใช้สินค้าฟุ่มเฟือย เพื่อความอยู่รอด ของตนและประเทศชาติ” คือวิธีการแก้ไขปัญหาสังคมที่มีสาเหตุมาจากตัวเลือกใด

(1) ความยากจน

(2) การว่างงาน (3) พฤติกรรมเบี่ยงเบน (4) สถานภาพขัดกัน (5) บรรทัดฐานขัดกัน

ตอบ 1 หน้า 262 สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เห็นว่า ความยากจนทำให้เกิดปัญหาสังคม และในการพัฒนา ต้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ควรพัฒนาในแบบไทย ๆ ไม่ควรลอกเลียนต่างชาติมากเกินไป ในการที่จะแก้ปัญหาของชาติบ้านเมืองได้นั้น คนเราควรเริ่มประหยัด งดใช้สินค้าฟุ่มเฟือย เพื่อความอยู่รอดของตัวเองและประเทศชาติ

68. ผู้ที่ได้รับความกระทบกระเทือนจากภาวะเงินเฟ้อมากที่สุดคือใคร

(1) นายทุน

(2) เกษตรกร (3) นักบริหาร (4) นักธุรกิจ (5) นักการธนาคาร

ตอบ 2 หน้า 266 เงินเฟ้อ หมายถึง ปรากฏการณ์ที่ระดับราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

เป็นระยะเวลาติดต่อกันยาวนานพอสมควร ซึ่งเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น คนยากจนที่มีรายได้น้อย จะได้รับผลกระทบกระเทือนมากที่สุด เพราะรายได้ของประชาชนไม่ได้เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกัน ส่วนคนรํ่ารวยมีกิจการอุตสาหกรรมใหญ่โต มีที่ดินและอาคารมากมาย จะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะเมื่อเงินเสื่อมค่าลงก็สามารถขึ้นราคาสินค้าและค่าเช่าได้

69. ตัวเลือกใดเป็นการแก้ปัญหาสังคมแบบรวมถ้วนทั่ว

(1) การแก้ไขปัญหาแบบย่อย

(2) การแก้ไขปัญหาระยะสั้น (3) การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า

(4) การแก้ไขปัญหาแบบมีการวางแผน (5) การแก้ไขปัญหาแบบไม่มีการวางแผน

ตอบ 4 หน้า 261 แนวทางในการแก้ไขปัญหาสังคม แบ่งออกเป็นหลักใหญ่ ๆ ได้ 2 ประการ คือ

1. การแก้ไขปัญหาแบบย่อย (Piecemeal) เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยไมมีการวางแผนมาก่อน เช่น การแก้ปัญหาความยากจน ความอดอยากขาดแคลน และช่วยผู้ประสบภัยด้วยการแจกสิ่งของ เสื้อผ้า อาหาร และยารักษาโรค ฯลฯ

2. การแก้ไขปัญหาแบบรวมถ้วนทั่ว (Wholesale) เป็นการแก้ปัญหาระยะยาวแบบมีการวางแผน มาก่อน (แก้ปัญหาที่ต้นตอหรือสาเหตุของปัญหา) มีการประเมินผล มีการตรวจสอบ และ ปัญหานั้น ๆ จะไม่เกิดขึ้นมาอีก เช่น การแก้ป้ญหาความยากจนด้วยการฝึกอาชีพให้ ฯลฯ

70. ในอดีต ปัญหาความยากจนไม่จัดเป็นปัญหาสังคมเพราะสอดคล้องกับความเชื่อใด

(1) ความไม่เสมอภาคทางอาชีพ (2) ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจ

(3) เทคโนโลยีของคนยากจนไมก้าวหน้า (4) คนยากจนด้อยศักดิ์ศรี

(5) คนยากจนประพฤติผิดกฎเกณฑ์ของระเบียบประเพณีศีลธรรม

ตอบ 5 หน้า 268 ในอดีต ปัญหาความยากจนไม่จัดเป็นปัญหาสังคม เพราะมีความเชื่อกันว่า ผู้ยากจนนั้น ได้เคยประพฤติในสิ่งที่ไม่ดี ประพฤติผิดกฎเกณฑ์ของระเบียบประเพณีศีลธรรม เช่น อกตัญญู ต่อผู้มีคุณ ฆ่าคนตาย พระเจ้าจึงลงโทษให้เกิดมาไม่เหมือนผู้อื่น ดังนั้นคนยากจนจึงต้องไปเกิด กลางป่ากลางเขา หนาวเย็นและไม่มีเสื้อผ้าให้ความอบอุ่นเพียงพอ

71. การศึกษาชนต่างวัฒนธรรมควรจะต้องพิจารณาจากอะไร

(1) ความสัมพันธ์ระหว่างชนกลุ่มน้อยกับชนกลุ่มใหญ่

(2) ความขัดแย้ง ปฏิกิริยาระหว่างชนกลุ่มใต้ครอบครองและกลุ่มครอบครอง

(3) กฎหมายของคนกลุ่มใหญ่หรือกลุ่มครอบครอง

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 287 – 288 ลักษณะที่ควรนำมาพิจารณาในการศึกษาเรื่องชนกลุ่มน้อย มีดังนี้

1. ความสัมพันธ์ระหว่างชนกลุ่มน้อยกับชนกลุ่มใหญ่

2. ชนกลุ่มน้อยมักด้อยอิทธิพลทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง

3. ความขัดแย้ง/ปฏิกิริยาตอบโต้ระหว่างชนทั้ง 2 กลุ่ม

4. การมีอคติต่อเชื้อชาติ/เผ่าพันธ์ หรือชาติพันธ์นิยม (Ethnocentrism) ระหว่างกัน ฯลา

72. “ชนกลุ่มน้อย” มีความหมายเช่นเดียวกับตัวเลือกใด

(1) กลุ่มใต้ครอบครอง

(2) ชนต่างวัฒนธรรม

(3) กลุ่มอิทธิพล

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 285 ชนกลุ่มน้อย (Minority Group) หรือชนต่างวัฒนธรรม หมายถึง กลุ่มชนที่มีการยึดถือ วัฒนธรรมในรูปแบบที่แตกต่างไปจากชนกลุ่มใหญ่ (Majority Group) หรือกลุ่มอิทธิพล (Dominant Group) และเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดในเรื่องจำนวน นักวิชาการบางท่าน จึงเรียกชนกลุ่มใหญ่ว่า “กลุ่มครอบครอง” และเรียกชนกลุ่มน้อยว่า “กลุ่มใต้ครอบครอง” เพราะชนกลุ่มใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลและมีบทบาททั้งทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ดังนั้นชนกลุ่มใหญ่จึงเป็นผู้ที่กำหนดว่ากลุ่มใดเป็นชนกลุ่มน้อย เช่น ชนกลุ่มน้อยที่อพยพเข้ามา อาศัยรวมอยู่กับเจ้าของถิ่นหรือเจ้าของประเทศจัดเป็นชนกลุ่มน้อย ส่วนเจ้าของถิ่นหรือ เจ้าของประเทศจัดเป็นชนกลุ่มใหญ่ ฯลฯ

73. เกณฑ์ที่ใข้จำแนกชนกลุ่มน้อยได้แก่ตัวเลือกใด

(1) ความแตกต่างด้านชาติพันธุ์

(2) ความแตกต่างทางวัฒนธรรม (3) ความแตกต่างทางกลุ่มโลหิต

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 286 – 287 เกณฑ์ที่ใช้จำแนกชนกลุ่มน้อยพิจารณาได้จากองค์ประกอบ 3 ลักษณะ คือ

1. องค์ประกอบด้านเชื้อชาติ/เผ่าพันธ์/ชาติพันธ์ (Race) ซึ่งเป็นความแตกต่างด้านพันธุกรรม ที่แสดงออกมาเป็นลักษณะทางกายภาพ เช่น รูปร่าง สีผิว สีผม ฯลฯ

2. ความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ยึดถือปฏิบัติ (Ethnicity) เช่น ภาษา ศาสนา ความเชื่อ ชนบธรรมเนียมประเพณี รูปแบบความสัมพันธ์ การจัดลำดับชั้นทางสังคม ฯลา

3. ความแตกต่างของกลุ่มโลหิต (Blood Group) ซึ่งถูกกำหนดโดยพันธุกรรม แต่เนื่องจาก เป็นเกณฑ์ที่ไม่สะดวกในการนำมาใช้ปฏิบัติจึงไม่เป็นที่นิยมใช้กัน (ส่วนใหญ่จึงพิจารณา จากเกณฑ์ที่ 1 และ 2 เป็นสำคัญ)

74. ตัวเลือกใดเป็นนโยบายแก้ไขปัญหาชนกลุ่มน้อยที่นิยมใช้ในปัจจุบัน

(1) การแยกพวก (2) การทำลายล้างเผ่าพันธุ์ (3) การกักบริเวณ

(4) การกีดกันให้แยกอยู่ (5) การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม

ตอบ5 หน้า 293 – 294 นโยบายที่ใช้แก้ปัญหาชนกลุ่มน้อย แบ่งออกได้เป็น 2 แนว ดังนี้

1. นโยบายที่ค่อนข้างรุนแรง ขัดกับหลักมนุษยธรรม และไม่นิยมใช้ ได้แก่ นโยบายแยกพวก นโยบายทำลายล้าง นโยบายเนรเทศ นโยบายกีดกันให้อยู่แยก นโยบายแบ่งแยกดินแดน และนโยบายเอาเป็นเชลย

2. นโยบายที่นุ่มนวล ตรงตามหลักศีลธรรม หลักเสมอภาค และนิยมใช้ในสภาวการณ์ปัจจุบัน ได้แก่ นโยบายรวมพวก นโยบายการผสมผสานชาติพันธุ์ นโยบายการยอมรับความหลากหลาย ทางวัฒนธรรม และนโยบายการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม

75. มาตรการขั้นสูงสุดที่ฮิตเลอร์ปฏิบัติต่อชาวยิวและยิปซีคือข้อได

(1) แยกพวก (2) ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (3) กีดกันให้อยู่แยก

(4) รวมพวก (5) เนรเทศ

ตรบ 2 หน้า 293, (คำบรรยาย) มาตรการขั้นสูงสุดที่ฮิตเลอร์ปฏิบัติต่อชาวยิวและยิปซีในระหว่าง ปี ค.ศ. 1933 – 1945 คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide)

76. ตามแนวคิดของริสแมน (Riesman) รูปแบบการเปลี่ยนแบ่ลงของสังคมไทยเป็นอย่างไร

(1) เปลี่ยนแปลงจากสำนึกนำสู่ผู้อื่นนำ (2) เปลี่ยนแปลงจากประเพณีนำสู่สำนึกนำ

(3) เปลี่ยนแปลงจากผู้อื่นนำสู่สำนึกนำ (4) เปลี่ยนแปลงจากประเพณีนำสู่ผู้อื่นนำ

(5) เปลี่ยนแปลงจากผู้อื่นนำสู่ประเพณีนำ

ตอบ4 หน้า 331 – 332 รูปแบบสังคมตามทัศนะของริสแมน (Riesman) แบ่งเป็น 3 รูปแบบและ เปลี่ยนแปลงเป็นขั้นตอนดังนี้ 1. สังคมประเพณีนำ 2. สังคมสำนึกนำ 3. สังคมผู้อื่นนำ ซึ่งสังคมอเมริกันจะเป็นไปตามรูปแบบที่ริสแมนได้กล่าวไว้ ส่วนสังคมไทยข้ามขั้นตอนจาก รูปแบบสังคมประเพณีนำไปสู่สังคมผู้อื่นนำ โดยขาดขั้นสังคมสำนึกนำ

77. ในทัศนะของเพลโต (Plato) พัฒนาการขั้นแรกของรัฐคือข้อใด (1) ทุชนาธิปไตย

(2) ไร้อธิปไตย (3) คณาธิปไตย (4) รัฐธิปไตย (5) อภิชนาธิปไตย

ตอบ 5 หน้า310-311 ในทัศนะของเพลโต (Plato) การเปลี่ยนแปลงของรัฐมีพัฒนาการแบ่งออกเป็น 5 ยุค ดังนี้ 1. อภิชนาธิปไตยหรือราชาธิปไตย 2. วีรชนาธิปไตย 3. คณาธิปไตย 4. ประชาธิปไตย 5. ทุชนาธิปไตย

78. ทฤษฎีใดมีแนวคิดว่า “สภาพสังคมที่สลับซับซ้อน ถือว่าเป็นความก้าวหน้า”

(1) ทฤษฎีวัฏจักร (2) ทฤษฎีวิวัฒนาการ (3) ทฤษฎีการหน้าที่

(4) ทฤษฎีการขัดแย้ง (5) ทฤษฎีจิตวิทยาสังคม

ตอบ 2 หน้า 313 ทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolutionary Theory) เป็นทฤษฎีที่นิยมกันมากในโลกตะวันตก โดยเชื่อว่า สังคมก้าวหน้าขึ้นจากสภาพที่อยูกันง่าย ๆ ไม่สลับซับซ้อนและขยายตัวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีความซับซ้อนหรือสภาวะเชิงซ้อนสูงขึ้น ซึ่งการมีสภาพสังคมที่สลับซับซ้อนขึ้นนั้น ถือว่าเป็นความก้าวหน้า

79. กระบวนการเปลี่ยนแปลง 3 ขั้นตอน “จุดยืน จุดแย้ง จุดยุบ” เป็นแนวความคิดของใคร

(1) มาร์กซ์ (Marx) (2) ค้องท์ (Comte) (3) ทอยน์บี (Toynbee)

(4) พาร์สัน (Parson) (5) สเปนเซอร์ (Spencer)

ตอบ1 หน้า 320 – 321 ทฤษฎีการขัดแย้งเป็นแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx)ซึ่งได้อธิบายการเปลี่ยนแปลงหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ โดยกระบวนการ 3 อย่าง คือ

1. Thesis (จุดยืน) ได้แก่ สภาพที่เป็นอยู่แล้ว

2. Antithesis (จุดแย้ง) ได้แก่ สภาพที่ตรงข้ามหรือขัดแย้งกับสิ่งที่มีอยู่หรือเป็นอยู่แล้ว

3. Synthesis (จุดยุบ) ได้แก่ ผลแห่งการปะทะกันหรือขัดแย้งกันของ 2 กระบวนการแรก

80. แนวความคิดแบบใดไม่นิยมการเปลี่ยนแปลง

(1) อนุรักษนิยม

(2) สังคมนิยม (3) ทุนนิยม (4) ชาตินิยม (5) ลัทธินิยม

ตอบ 1 (คำบรรยาย) อนุรักษนิยม (Conservatism) เป็นแนวความคิดที่ไม่นิยมการเปลี่ยนแปลง ตองการอนุรักษ์หรือรักษาของเดิมเอาไว้ จัดเป็นอุดมคติทางการเมือง/เศรษฐกิจ/สังคมที่มี แนวโน้มเป็นไปในทางต่อต้านการเปลี่ยนแปลง โดยยึดถือสนับสนุนระเบียบแบบแผนเดิม ที่ตั้งมั่นอยู่แล้ว

81. สังคมลักษณะใดเปลี่ยนแปลงได้ง่าย

(1) สังคมยึดถือประเพณี

(2) สังคมยกย่องผู้อาวุโส

(3) สังคมบูชาบรรพบุรุษ

(4) สังคมยึดถือปัจเจกบุคคล

(5) สังคมที่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ตอบ 4 หน้า 328, (คำบรรยาย) โครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมมีผลต่ออัตราการเปลี่ยนแปลงในสังคม ที่อำนาจส่วนใหญ่ตกอยู่กับผู้อาวุโส เช่น สังคมจีนที่ยึดถือประเพณีและบูชาบรรพบุรุษจะมี แนวโน้มเปลี่ยนแปลงน้อย หรือในสังคมที่เน้นรูปแบบความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและฝึกให้ บุคคลรับผิดชอบต่อกลุ่มจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ซึ่งจะตรงกันข้ามกับสังคม ที่เน้นปัจเจกบุคคลจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายมาก

82. ตัวเลือกใดที่ไม่จัดว่าเป็นคุณสมบัติดั้งเดิมของชุมชนชนบท

(1) ความโดดเดี่ยว (2) อาชีพเกษตรกรรม (3) การผลิตเพื่อการค้า

(4) การผลิตเพื่อบริโภค (5) ความสัมพันธ์แน่นแฟ้น

ตอบ 3 หน้า 340 – 341, (คำบรรยาย) คุณสมบัติดั้งเดิมของชุมชนชนบท มีลักษณะดังนี้

1. ความโดดเดี่ยว (Isolation) มีการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนกระจัดกระจายกันอยู่ตามไร่นา

2. ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Homogeneity) หรือความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นทั้งในด้าน เชื้อชาติ ขนบธรรมเนียมประเพณี และภูมิหลังทางวัฒนธรรม

3. การใช้แรงงานเพื่อการเกษตร (Agricultural Employment) ทำให้มีความเหมือนในวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ซึ่งจะเกี่ยวพันกับการเกษตรกรรมไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

4. การเศรษฐกิจเพื่อการบริโภค (Subsistence Economy) หรือเศรษฐกิจพอเพียง โดยครอบครัวจะเป็นทั้งหน่วยผลิตและหน่วยบริโภค มีทั้งปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์

83. ในการพัฒนาชนบทต้องพัฒนาอะไรเป็นอันดับแรก

(1) สภาพแวดล้อม

(2) คุณภาพคน (3) การศึกษา (4) บทบาทผู้นำ (5) เศรษฐกิจ

ตอบ 2 หน้า 338 ในการพัฒนาชนบทนั้น ต้องมุ่งพัฒนาคน (คุณภาพของคน) เป็นอันดับแรกและการพัฒนาคนนั้นต้องพัฒนาความคิดของเขา อะไรคือตัวบงการให้คนชนบทคิดเช่นนั้น ทำเช่นนั้น ค่านิยมหรือวัฒนธรรม ซึ่งการศึกษาสังคมชนบทจะช่วยให้เราเข้าใจได้

84. “ชนบทคือชีวิต ส่วนเมืองนั้นคือกาฝาก” หมายถึงตัวเลือกใด

(1) เมืองไม่ต้องพึ่งพาชนบท (2) ชาวเมืองชอบไปเที่ยวชนบท

(3) ชนบทต้องพึ่งพาเมืองเพื่อความอยู่รอด (4) ชนบทและเมืองต่างพึ่งตนเองได้

(5) เมืองต้องพึ่งพาผลผลิตทางเกษตรกรรมจากชนบท

ตอบ 5 หน้า 366 มีคำโบราณกล่าวว่า ชนบทคือชีวิต ส่วนเมืองนั้นคือกาฝาก หมายความว่า เมืองคือที่รวมของมนุษย์ที่ต้องพึงพาผลผลิตทางเกษตรกรรมและแรงงานจากชนบท เพื่อการอยู่รอดของตนเอง ความต้องการอาหารทุกวันทำให้เมืองต้องขึ้นอยู่กับเขตชนบท

85. ครอบครัวชนบทไทยมีแนวโน้มเป็นแบบใดมากขึ้น

(1) ครอบครัวขยาย

(2) ครอบครัวเดียว (3) ครอบครัวร่วม (4) ครอบครัวใหญ่ (5) ครอบครัวขยายตัวคราว

ตอบ 2 หน้า 348 – 349 ครอบครัวชนบทไทยมีลักษณะเด่นดังนี้ 1. เป็นครอบครัวขยายชั่วคราวแต่ปัจจุบันมีแนวโน้มเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น 2. เป็นครอบครัวแบบผัวเดียวเมียเดียว การสืบสกุลถือข้างฝ่ายบิดาเป็นหลัก 3. มีความเข้มข้นของความสัมพันธ์ทางสายโลหิต

4. ยึดมั่นในขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม และไม่ค่อยสนใจกิจการบ้านเมือง ฯลฯ

86. เพราะเหตุใดจึงต้องคึกษาชุมชนชนบท

(1) เพื่อเข้าใจวิถีชีวิตของชาวชนบท

(2) เพื่อเปลี่ยนแปลงชนบทให้เป็นเมือง (3) เพื่อให้รัฐบาลควบคุมได้ทั่วถึง

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 1 หน้า 337 – 338 สาเหตุที่ต้องมีการศึกษาสังคมวิทยาชนบท มีดังนี้

1. เนื่องจากชาวโลกส่วนใหญ่เป็นชาวชนบท ประกอบอาชีพทางการเกษตร

2. เพื่อต้องการทราบและเข้าใจในวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริง ประเพณี วัฒนธรรม

สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของชาวชนบท

3. เพื่อประโยชน์ในด้านการพัฒนาชนบท

4. เพื่อจะได้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างเมืองกับชนบท เช่น ชาวเมืองต้องพึ่งพาชนบทในด้านผลิตผล- การเกษตร ส่วนชาวชนบทก็ต้องพึ่งพาเมืองในด้านการซื้อเครื่องมือเครื่องใช้ด้านการเกษตร ฯลฯ

87. ตัวเลือกใดคือสาเหตุการเปลี่ยนแปลงจากภายในสังคมชนบท

(1) การเลียนแบบ (2) การพัฒนา (3) การประดิษฐ์

(4) การติดต่อสื่อสาร (5) การกระจายทางวัฒนธรรม

ตอบ 3 หน้า 358 – 359 สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมชนบทเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ

1. ปัจจัยภายในสังคมชนบทเอง เช่น การเกิด การตาย การย้ายถิ่น การแปรปรวนของธรรมชาติ ผู้ร้ายหรือการสู้รบ การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ (ภูมิปัญญาชาวบ้านที่เกิดจากนวัตกรรม) ฯลฯ

2. ปัจจัยภายนอกสังคมซนบท เช่น การผสมผสานทางวัฒนธรรม การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม การคมนาคมติดต่อสื่อสาร การเลียนแบบ (การขอยืมวัฒนธรรม) การพัฒนา ฯลฯ

88. สิ่งที่ช่วยคํ้าจุนเมือง (The Support of Cities) ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) วัตถุดิบ

(2) การคมนาคมทั่วถึง (3) ความอุดมสมบูรณ์ (4) การให้บริการ (5) ถูกทั้งหมด ตอบ 5 หน้า 368 สิ่งที่ช่วยคํ้าจุนเมือง (The Support of Cities) ได้แก่ 1. วัตถุดิบ

2. การคมนาคมขนส่ง 3. ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นดิน

4. การให้บริการ เช่น ร้านค้า ธนาคาร โรงพยาบาล ฯลฯ

89. ทฤษฎีการขยายตัวของเมืองทฤษฎีใดที่เก่าแก่ที่สุด

(1) รูปดาว

(2) รูปพาย (3) รูปวงกลม (4) รูปคันธนู (5) รูปสามเหลี่ยม

ตอบ 1 หน้า 374 ทฤษฎีรูปดาว (Star Theory) เป็นทฤษฎีการขยายตัวของเมืองที่เก่าแก่ที่สุด เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1903โดย อาร์.เอ็ม. เฮิร์ด (R.M. Hurd) ได้ศึกษาพบว่า เมืองจะขยายตัว ออกจากศูนย์กลางไปตามเส้นทางการคมนาคมขนส่ง ซึ่งทำให้เป็นรูปคล้ายดาวหรือแมงกะพรุน

90. เมืองอันดับ 2 ที่นำมาเปรียบเทียบกับความเป็นเอกนครของกรุงเทพมหานครได้แก่ตัวเลือกใด

(1) สงขลา (2) เชียงราย (3) เชียงใหม่ (4) นครราชสีมา (5) ขอนแก่น

ตอบ 3 หน้า 381 เมืองอันดับ 2 ที่นำมาเปรียบเทียบกับความเป็นเอกนครของกรุงเทพมหานคร

ได้แก่ เชียงใหม่ โดยเขตเมืองของกรุงเทพฯ มีขนาดใหญ่กว่าเมืองเชียงใหม่ถึงประมาณ 35 เท่าตัว

91. การขยายตัวของกรุงเทพมหานครเป็นไปตามทฤษฎีใด

(1) รูปดาว

(2) รูปวงกลม

(3) รูปพาย

(4) หลายศูนย์กลาง

(5) หลายรูปแบบ

ตอบ 4 หน้า 382 การขยายตัวของกรุงเทพฯ เป็นไปตามทฤษฎีหลายศูนย์กลาง (Multiple Nuclei) คือ มีศูนย์กลางอยู่หลายแห่ง ซึ่งในสมัยก่อนศูนย์การค้าอยู่ที่บางรัก บางลำพู ฯลฯ แต่ต่อมา ก็เกิดศูนย์กลางขึ้นอีกหลายแห่ง เช่น ราชประสงค์ ประตูนํ้า ราชดำริ ศูนย์การค้าสยาม ฯลฯ และปัจจุบันได้เกิดศูนย์กลางขึ้นตามย่านชานเมือง เช่น ลาดพร้าว รามคำแหง บางแค ฯลฯ

92. ตัวเลือกใดคือลักษณะความเป็นเมืองของประเทศที่กำลังพัฒนา

(1) ประชากรในเมืองหลวงเพิ่มขึ้นน้อย (2) มีสาธารณูปโภคกระจายทุกภูมิภาค

(3) มีความเป็นเอกนคร (4) ขนาดของเมืองต่าง ๆ ใกล้เคียงกัน

(5) มีศูนย์กลางความเจริญกระจายอยู่ตามเมืองต่าง ๆ

ตอบ 3 หน้า 380 – 381 ลักษณะความเป็นเมืองของประเทศที่กำลังพัฒนาหรือด้อยพัฒนา ทั้งในทวีปเอเขีย แอฟริกา และลาตินอเมริกา จะมีความเป็นเอกนคร (Primate City)โดยที่ประเทศนั้น ๆ จะมีเมือง ๆ หนึ่งที่มีขนาดใหญ่มาก ใหญ่กว่าเมืองในขนาดรอง ๆ ลงไป อย่างมากเหลือเกิน

93. “มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตบางกะปิ” จัดอยู่ในเขตใด

(1) เขตเมือง

(2) เขตขนบท (3) เขตค้าขาย (4) เขตปริมณฑล (5) เขตชานเมือง

ตอบ 1 หน้า 383, (คำบรรยาย) แต่เดิมนั้นย่านหัวหมาก เขตบางกะปิ ลาดพร้าว จัดเป็นเขตชานเมืองแต่ปัจจุบันบริเวณแถบนี้กลายสภาพเป็นเขตเมืองหมดแล้ว

94. นิเวศวิทยา (Ecology) เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับอะไร

(1) สิ่งแวดล้อม (2) วัฒนธรรม (3) การเมือง (4) ประวัติศาสตร์ (5) เศรษฐกิจ

ตอบ 1 หน้า 391 นิเวศวิทยา (Ecology) เป็นศาสตร์ที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับ สิ่งแวดล้อม เพราะสิ่งมีชีวิตไม่สามารถอยู่ได้โดยลำพัง จะต้องมีบทบาทและเกี่ยวข้องกับ สิ่งแวดล้อม จึงทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่เป็นระบบนิเวศน์ (Ecosystem) ขึ้นมา โดยปกติ วิชานี้ถือเป็นสาขาหนึ่งของชีววิทยา บางครั้งจึงเรียกว่า ชีววิทยาทางสิ่งแวดล้อม

95. ตัวอย่างของ Managed Natural Ecosystems ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) ป่าทุ่งใหญ่ (2) ทะเลทราย (3) นิคมอุตสาหกรรม

(4) อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ (5) ฟาร์มเลี้ยงไก่ของบริษัทขนาดใหญ่

ตอบ 4 หน้า 391 – 392 ระบบนิเวศน์ของมนุษย์ (มนุษยนิเวศวิทยา) แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ

1. Mature Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่อยู่ในสภาพธรรมชาติอย่างแท้จริง ไม่มีคนอยู่อาศัย เช่น ป่า ภูเขา ทะเลทราย ฯลฯ

2. Managed Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และดัดแปลง เช่น สวนสาธารณะ อุทยาน อุทยานแห่งชาติ ฯลฯ

3. Productive Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง เพื่อให้ได้ผลิตผลและทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ฟาร์ม ปศุสัตว์ เหมืองแร่ ฯลฯ

4. Urban Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้อาศัยประกอบกิจการทำงานต่าง ๆ เช่น บริเวณย่านอุตสาหกรรม บริเวณเมืองเล็กและเมืองใหญ่ ฯลฯ

96. สาเหตุใดทำให้เกิดอากาศเสียมากที่สุด

(1) โรงงานพลังงาน

(2) อุตสาหกรรม (3) การขนส่ง (4) ขยะมูลฝอย (5) มูลสัตว์เลี้ยง

ตอบ 3 หน้า 399 สาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหามลภาวะจากอากาศเสียมากที่สุด คือ การขนส่ง 55%รองลงมา ได้แก่ โรงงานพลังงาน 17% อุตสาหกรรม 14% ขยะมูลฝอย 4% และอื่น ๆ 10%

97. สัดส่วนของน้ำตามธรรมชาติชนิดใดมีมากที่สุดในโลก

(1) นํ้าจืด

(2) นํ้าทะเล (3) นํ้ากร่อย (4) นํ้าฝน (5) น้ำบาดาล

ตอบ 2 หน้า 398 ทรัพยากรนํ้าที่มนุษย์ใช้หมุนเวียนอยู่ในโลกนี้ส่วนใหญ่เป็นนํ้าทะเล (97%)ส่วนที่เหลือเป็นนํ้าจืด (3%) โดยนํ้าธรรมชาติที่มนุษย์ใข้สอยเพื่อประโยชน์ต่าง ๆ แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ นํ้าฝน, นํ้าท่า (นํ้าที่อยู่ผิวดิน), นํ้าบาดาล (น้ำใต้ดิน) และนํ้าทะเล

98. ข้อใดคือแหล่งน้ำธรรมชาติที่อยู่ใต้ผืนดิน

(1) น้ำฝน

(2) น้ำบาดาล (3) น้ำท่า (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 97. ประกอบ

99. มานุษยวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับอะไร

(1) สังคม

(2) วิวัฒนาการของมนุษย์ (3) มนุษย์

(4) ประเพณีของมนุษย์ (5) วัฒนธรรมของมนุษย์

ตอบ 3 หน้า 409, 411 มานุษยวิทยา (Anthropology) หมายถึง ศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับมนุษย์ (ตัวมนุษย์และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น) โดยคำว่า Anthropology มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก 2 คำ ได้แก่ Anthropos แปลว่า มนุษย์ และ Logia แปลว่า ศาสตร์หรือความรู้ที่จัดไว้เป็นระเบียบ แบบแผนแล้ว ทั้งนี้มานุษยวิทยาจะจำแนกออกเป็น 2 สาขาใหญ่ คือ มานุษยวิทยากายภาพ (ศึกษาเกี่ยวกับตัวมนุษย์) และมานุษยวิทยาวัฒนธรรม (ศึกษาเกี่ยวกับสิ่งที่มบุษย์สร้างขึ้น)

100. ตัวเลือกใดไม่ใช่จุดเน้นของการศึกษาวิชามานุษยวิทยากายภาพ

(1) วิวัฒนาการของมนุษย์ (2) กำเนิดของมนุษย์

(3) ความแตกต่างของมนุษย์ยุคปัจจุบัน (4) การแบ่งกลุ่มชาติพันธุ์ของมนุษย์

(5) เทคโนโลยีและวัฒนธรรมทางวัตถุของมนุษย์ในอดีต

ดอน 5 หน้า 412 – 422 จุดเน้นของการศึกษาวิชามานุษยวิทยากายภาพ มีดังนี้ 1. กำเนิดของมนุษย์ 2. วิวัฒนาการของมนุษย์ 3. ปัจจัยที่ทำให้มนุษย์ยุคปัจจุบันมีความแตกต่างกัน 4. การแบ่งกลุ่มชาติพันธุของมนุษย์ 5. ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม

101. ตัวเลือกใดเป็นตัวอย่างของมนุษย์ชาติพันธุ์ผิวขาว

(1) เอลกิโม

(2) มาลายัน

(3) อารยัน

(4) ปิ๊กมี่

(5) ปาปัวนิวกินี

ตอบ 3 หน้า 420 มนุษย์ชาติพันธุ์ผิวขาว (Caucasoid) แบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยได้ดังนี้ 1. พวกอารยัน เช่น กรีก 2. พวกแฮมิติก เช่น อียิปต์โบราณ 3. พวกเซมิติก เช่น บาบิโลเนีย และอัสสิเริย ซึ่งพวกเซมิติกนี้อาจแบ่งออกเป็นกลุ่มนอร์ดิก (สแกนดิเนเวีย) และกลุ่มเมดิเตอร์เรเนียน

102. มนุษย์จำพวกใดมีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงกับมนุษย์ปัจจุบัน

(1) มนุษย์ชวา

(2) มนุษย์ปักกิ่ง

(3) มนุษย์สุมาตรา

(4) มนุษย์โครมันยอง

(5) มนุษย์นีแอนเดอร์ธัล

ตอบ 4 หน้า 417 – 418 มนุษย์โครมันยอง (Cro-Magnon Man) มีชีวิตอยู่ราว 40,000 ปีมานี้เอง และเชื่อกันว่ามีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึงหรือใกล้เคียงกับมนุษย์ปัจจุบันมากที่สุด ดังนั้น จึงมีลักษณะเป็นตัวแทนหรือเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ในปัจจุบันโดยมนุษย์เหล่านี้จะมีชื่อเรียก ต่าง ๆ กันตามระยะเวลาของการมีชีวิตอยู่ เช่น Swanscombe Man, Fontechevade Man, Kanam Man และ Kanjera Man เป็นต้น

103. ตัวอย่างของมนุษย์กลุ่มผิวเหลือง (Mongoloid) ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) อารยัน

(2) เอสกิโม (3) แฮมิติก (4) เซมิติก (5) นอร์ดิก

ตอบ 2 หน้า 420 มนุษย์ชาติพันธุ์ผิวเหลือง (Mongoloid) แบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยได้ดังนี้

1. พวกมองโกลอยด์ อยู่แถบทวีปเอเชียตะวันออก เช่น จีน ทิเบต และมองโกเลีย

2. พวกอินเดียนแดง อยู่แถบทวีปอเมริกาเหนือและใต้

3. พวกเอสกิโม อยู่แถบเหนือสุดของทวีปอเมริกา (รัฐอลาสก้าและตอนเหนือของแคนาดา)

4. พวกมาลายัน เช่น มลายู ชวา ไทย และบาหลี

104. ตัวเลือกใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการศึกษามานุษยวิทยาวัฒนธรรม

(1) กำเนิดในสังคมตะวันตก (2) ช่วงแรก ๆ เน้นการศึกษาสังคมดั้งเดิม

(3) เน้นการศึกษาสังคมขนาดเล็ก (4) เน้นการศึกษาสังคมในเชิงวิถีชีวิต

(5) เน้นการศึกษาสังคมโดยใช้วิธีการเชิงปริมาณ

ตอบ 5 หน้า 423, 434, (คำบรรยาย) นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมเน้นศึกษาและวิเคราะห์ขนบธรรมเนียม ประเพณี และลักษณะวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ในสังคมต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน สังคมดั้งเดิมและสังคมขนาดเล็กที่โครงสร้างทางสังคมไม่สลับซับซ้อน ซึ่งสาเหตุที่นักมานุษยวิทยา ให้ความสนใจศึกษาสังคมดั้งเดิม ก็เพราะสามารถศึกษาถึงต้นกำเนิดของวัฒนธรรมนั้น ๆ ได้ และสามารถเข้าใจถึงหน้าที่ประโยชน์ฃองวัฒนธรรมแต่ละประเภทได้ง่าย แต่ปัจจุบันสังคม เหล่านี้ได้สูญหายไปเกือบหมด นักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมจึงหันไปสนใจศึกษาสังคมชนบท และแม้กระทั่งสังคมเมืองแทน แต่ก็เน้นการใช้วิธีการทางมานุษยวิทยาเป็นเครื่องมือใช้ศึกษา

105. ศาสนาอิสลามมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนในบริเวณใดมากที่สุด

(1) ตะวันออกไกล

(2) ตะวันออกใกล้ (3) ตะวันออกกลาง (4) เอเชียใต้ (5) เอเชียเหนือ

ตอบ 3 หน้า 451, 452 ศาสนาอิสลามมีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนในบริเวณตะวันออกกลาง มากที่สุด โดยประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวอาหรับ เช่น อิรัก อิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย คูเวต กาตาร์ ฯลฯ

106. วัฒนธรรมใดที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมของประเทศสเปนและโปรตุเกส

(1) วัฒนธรรมยุโรป (2) วัฒนธรรมอเมริกาเหนือ (3) วัฒนธรรมเอเชีย

(4) วัฒนธรรมอเมริกาใต้ (5) วัฒนธรรมแอฟริกัน

ตอบ 4 หน้า 446 วัฒนธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมในภูมิภาคอเมริกาใต้ (ลาตินอเมริกา) คือ สเปนและโปรตุเกส ซึ่งแต่เดิมนั้นประเทศในภูมิภาคนี้ได้รับวัฒนธรรมจากพวกอินเดียนแดง ที่เรียกตัวเองว่า อินคา หรือลูกพระอาทิตย์

107. ประเทศไทยอยู่ในบริเวณใดของทวีปเอเชีย

(1) เอเชียตะวันตกเฉียงเหนือ

(2) เอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ (3) เอเชียกลาง

(4) เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ (5) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ตอบ 5 หน้า 451 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วย ไทย เวียดนาม กัมพูชา ลาว พม่า มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และบรูไน

108. วัฒนธรรมใดมีการแบ่งคนออกเป็นวรรณะ

(1) จีน (2) ญี่ปุ่น (3) มาเลเซีย (4) รัสเซีย (5) อินเดีย

ตอบ 5 หน้า 452 วัฒนธรรมอินเดียมีการแบ่งคนในสังคมออกเป็นชนชั้นต่าง ๆ 4 วรรณะ คือวรรณะพราหมณ์ (เป็นวรรณะสูงสุด) วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์ และวรรณะศูทร จึงทำให้ เกิดความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ถ้าในกรณีที่คนต่างวรรณะสมรสกัน บุตรที่เกิดมาจะเป็นจัณฑาล ซึ่งถือเป็นพวกที่ต่ำต้อยที่สุด

109. ประเทศใดมีสัดส่วนประชากรชนชั้นกลางมากที่สุด

(1) จีน (2) ญี่ปุ่น (3) เยอรมนี (4) สหรัฐอเมริกา (5) รัสเซีย

ตอบ 4 หน้า 443 สหรัฐอเมริกา สถานภาพทางสังคมของบุคคลขึ้นอยู่กับทรัพย์สมบัติ ให้โอกาสบุคคลในการแสวงหาความก้าวหน้าของชีวิตเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเกิดในชาติตระกูลสูงหรือต่ำ ยากจนหรือร่ำรวย สัตส่วนประชากรอยู่ในระดับชนชั้นกลางมากที่สุด ยกย่องค่าของคน ดังนั้น ค่าจ้างแรงงานจึงสูง ถือทัศนคติที่ว่า ความนิยมชมชอบของคนขึ้นอยู่กับความสำเร็จในชีวิต

110. การศึกษาลักษณะอุปนิสัยประจำชาติมีความสัมพันธ์กับตัวเลือกใด

(1) บุคลิกภาพ (2) ทัศนคติ (3) วัฒนธรรม (4) ค่านิยม (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 458 ลักษณะอุปนิสัยประจำชาติ หมายถึง ลักษณะทางบุคลิกภาพที่ค่อนข้างจะมีอยู่ เป็นประจำ รวมทั้งองค์ประกอบทางวัฒนธรรมและโครงสร้างทางสถาบันต่าง ๆ ซึ่งพอจะเห็บ เด่นชัดอันทำให้สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างสังคมหนึ่งกับอีกสังคมหนึ่ง โดยบุคลิกภาพนี้ จะรวมถึงค่านิยม ทัศนคติ และความนึกคิดหรือมโนภาพโดยทั่วไป ซึ่งแสดงออกมาในรูปของ พฤติกรรมต่าง ๆ

111. ผู้ใดกล่าวว่า “สังคมไทยมีโครงสร้างแบบหลวม ๆ (Loosely Structured)”

(1) ทอคเกอวิลล์ (Tocqueville)

(2) เบนเนดิกต์ (Benedict)

(3) เอมบรี (Embree)

(4) ดร.อดุล วิเชียรเจริญ

(5) สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ตอบ 3 หน้า 464 จอห์น เอมบรี (Embree) นักมานุษยวิทยาตะวันตก กล่าวว่า “คนไทยชอบสนุก และมีโครงสร้างทางบุคลิกภาพและทางสังคมหลวม ๆ คือ ขาดวินัย”

112. ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยตามทัศนะของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพคือตัวเลือกใด

(1) รักความเป็นไท

(2) เคร่งครัดระเบียบวินัย

(3) วัตถุนิยม

(4) มักน้อย

(5) ปัจเจกบุคคลนิยม

ตอบ 1 หน้า 464 ลักษณะอุปนิสัยของคนไทยตามทัศนะของสมเด็จกรมพระยาดำรงราขานุภาพ มี 3 ประการ คือ การรักความเป็นไท ปราศจากวิหิงสา และการรู้จักประสานประโยชน์

113. ตัวเลือกใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับค่านิยมซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสังคมไทย

(1) รักความเป็นอิสระ (2) นิยมมีครอบครัวเดี่ยว (3) เล็งผลปฎิบัติ

(4) ชอบสนุกสนาน (5) ยกย่องฐานะและบทบาทของสตรี

ตอบ 4 หน้า 471 – 472 ค่านิยมซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสังคมไทยตามทัศนะของ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ มี 4 ประการ คือ การรักความเป็นอิสระ นิยมมีครอบครัวเดี่ยว การเล็งผลปฏิบัติ (เป็นค่านิยม ที่ไม่ส่งเสริมให้คนไทยเป็นนักคิดแบบนามธรรม) และยกย่องฐานะและบทบาทของสตรี

114. ตามทัศนะของ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ ค่านิยมที่ไม่ส่งเสริมให้คนไทยเป็นนักคิดแบบนามธรรมได้แก่ตัวเลือกใด

(1) การถือฐานานุรูป (2) การเล็งผลปฏิบัติ (3) ความเฉื่อย

(4) การถือหลักเกณฑ์ (5) การถือประโยชน์ตนเอง

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 113. ประกอบ

115. ตามทัศนะของ ดร.ไพฑูรย์ เครือแก้ว ผู้ที่ถูกตำหนิว่าเป็น “ลูกทรพี” หมายถึงผู้ที่ขาดคุณสมบัติค่านิยม ตามตัวเลือกใด

(1) ใจนักเลง

(2) การศึกษา (3) ความกตัญญู (4) การรู้จักที่ต่ำที่สูง (5) อำนาจ

ตอบ 3 หน้า 475 – 478 ค่านิยมของคนไทยตามทัศนะของ ดร.ไพฑูรย์ เครือแก้ว มี 9 ประเภท ได้แก่ ความมั่งคั่ง (มีอิทธิพลเป็นตัวกำหนดรูปแบบพฤติกรรมของคนไทย) อำนาจ ความเป็นผู้ใหญ่ จิตใจนักเลง การเป็นเจ้านาย การมีใจกว้าง ความกตัญญูรู้คุณ (ผู้ที่ขาดคุณสมบัติค่านิยมนี้ จะถูกตำหนิว่าเป็นลูกทรพี) การยกย่องปราชญ์ และความเคารพนบนอบรู้จักที่ตํ่าที่สูง

116. ประเทศใดริเริ่มงานด้านสังคมสงเคราะห์

(1) เยอรมนี (2) โปแลนด์ (3) อังกฤษ (4) สเปน (5) ฝรั่งเศส

ตอบ 3 หน้า 481 – 482, (คำบรรยาย) ประเทศอังกฤษนับว่าเป็นประเทศแรกที่ริ่เริ่มและถือเป็น แม่แบบในการจัดการสังคมสงเคราะห์ โดยจะเห็นได้จากการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับ ความผาสุกของส่วนรวมเป็นลายลักษณ์อักษร เช่นในปีค.ศ. 1601 พระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 1 ได้ทรงออกกฎหมายเพื่อช่วยเหลือคนจนที่เรียกว่า Elizabethan Poor Law ซึ่งถือเป็น กฎหมายแม่บทในการวางรากฐานด้านการสังคมสงเคราะห์

117. ตัวเลือกใดจัดเป็นวิธีการสังคมสงเคราะห์ที่ให้บริการโดยตรง

(1) การจัดระเบียบชุมชน (2) การวิจัยทางสังคมสงเคราะห์

(3) การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 5 หน้า 482 – 483 วิธีการสังคมสงเคราะห์ มี 5 วิธีการ ได้แก่ 1. การสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย

2. การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม 3. การจัดระเบียบชุมชน (โดย 3 วิธีแรกนี้จัดเป็การให้บริการโดยตรง)

4. การวิจัยทางสังคมสงเคราะห์ 5. การบริหารงานสวัสดิการสังคม

(และ 2 วิธีหลังจัดเนินการให้บริการทางอ้อม)

118. ตัวเลือกใดไม่ใช่หลักการสำคัญในงานสังคมสงเคราะห์

(1) หลักการยอมรับ (2) หลักการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา

(3) หลักการรักษาความลับ (4) หลักการถือความสัมพันธ์ส่วนตัว

(5) หลักการให้ความสำคัญต่อตัวบุคคล

ตอบ 4 หน้า 487 – 488 หลักการสำคัญในงานสังคมสงเคราะห์ มีดังนี้

1. หลักการยอมรับ 2. หลักการติดต่อสื่อสารให้เข้าใจกันและกัน

3. หลักการให้ความสำคัญต่อตัวบุคคล 4. หลักการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา

5. หลักการรักษาความลับ 6. หลักการไม่ถือความสัมพันธ์ส่วนตัว

119. ขั้นตอนการปฏิบัติงานของนักสังคมสงเคราะห์ขั้นตอนใดที่จะพิจารณาดูว่า สิ่งที่ทำไปแล้วตั้งแต่ต้นถูกต้องหรือไม่

(1) การหาข้อเท็จจริง (2) การวิเคราะห์

(3) การวินิจฉัย (4) การวางแผน (5) การประเมินผล

ตอบ 5 หน้า 488 – 490 ขั้นตอนในการปฏิบัติงานของนักสังคมสงเคราะห์ มี 4 ประการ ดังนี้

1. ต้องมีหลักการค้นคว้าหาข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นขั้นตอนเริ่มแรกหรือขั้นตอนเบื้องต้น

2. การวิเคราะห์และวินิจฉัยปัญหา 3. การให้การแก้ไขปัญหา

4. การประเมินผล โดยจะพิจารณาดูว่าสิ่งท็ทำไปแล้วตั้งแต่ต้นถูกต้องหรือไม่

120. การสังคมสงเคราะห์เกิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่สมัยใด

(1) หลังสงครามอินโดจีน (2) กรุงศรีอยุธยาตอนต้น (3) สุโขทัย

(4) กรุงศรีอยุธยาตอนปลาย (5) จอมพล ป. พิบูลสงคราม

ตอบ 3 หน้า 482 สำหรับในประเทศไทยอาจกล่าวได้ว่า การสังคมสงเคราะห์เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัย สุโขทัย คือ พ่อเมืองจะแจกอาหารและเครื่องนุ่งห่มให้แก่คนชรา นอกจากนั้นศาสนาพุทธก็ มีอิทธิพลต่อการสังคมสงเคราะห์ด้วย เพราะหลักธรรมของพระพุทธเจ้าอบรมสั่งสอนให้มีใจ เมตตากรุณา ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

SOC1003 สังคมวิทยาและมนุษยวิทยาเบื้องต้น การสอบไล่ภาค2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา SOC 1003 สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเบื้องต้น

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. มาร์กซ์ (Marx) ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Critique of Political Economy มีทัศนะในการศึกษาสังคมอย่างไร

(1) การขัดกับระหว่างคน 2 กลุ่มในแต่ละสังคมเป็นไปตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

(2) สังคมไม่จำเป็นต้องมีดุลยภาพ

(3) สังคมมีโครงสร้างเหมือนร่างกายมนุษย์

(4) สังคมไม่จำเป็นต้องมีความขัดแย้ง

ตอบ 1 หน้า 7 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ได้มองสังคมในแง่ของการ“ขัดกัน” ของคนในสังคม โดยเขากล่าวไว้ในหนังสือชื่อ Critique of Political Economy ว่า การขัดกันระหว่างคน 2 กลุ่มในแต่ละสังคมเกิดขึ้นตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ กล่าวคือ สังคมเศรษฐกิจโบราณมีการขัดแย้งกันระหว่างทาสกับนายทาส ในสังคมเศรษฐกิจ สมัยกลางมีการขัดแย้งกันระหว่างข้าติดที่ดินกับเจ้าของที่ดิน และในสังคมเศรษฐกิจทุนนิยม มีการขัดแย้งกันระหว่างชนชั้นกรรมาชีพ (กรรมกร) กับนายทุน ซึ่งความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนี้ จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม จนกระทั่งกลายเป็นสังคมนิยมและสังคมคอมมิวนิสต์

2. มนุษย์มีความคล้ายคลึงกับสัตว์ในด้านใดมากที่สุด

(1) รู้จักสื่อความหมาย

(2) มีการย้ายที่อยู่

(3) รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม

(4) รู้จักพึ่งพาอาศัยกัน

ตอบ 1 หน้า 81 มนุษย์มีความคล้ายคลึงกับสัตว์ในด้านการรู้จักสื่อความหมายมากที่สุด มนุษย์มีการ ติดต่อสื่อสารโดยใช้สัญลักษณ์ ภาษา และยังมีการถ่ายทอดวัฒนธรรมถึงกันได้ในขณะที่สัตว์ ประเภทต่าง ๆ ก็สามารถติดต่อสื่อสารกันได้บ้างแต่เป็นไปในระดับต่ำมาก

3. ตัวเลือกใดเป็นความรู้แบบสามัญสำนึก

(1) ปรากฏการณ์ที่สามารถมองเห็นและประสบได้ด้วยประสาทสัมผัส

(2) ปรากฏการณ์ที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์

(3) ปรากฏการณ์ที่สามารถจำแนกออกเป็นหมวดหมู่ได้

(4) ปรากฏการณ์ที่สามารถจัดระเบียบหาความสัมพันธ์ระหว่างกันได้

ตอบ 1 หน้า 2 ความรู้แบบสามัญสำนึก (Common Sense) คือ ปรากฏการณ์ทางสังคมที่สามารถ มองเห็นและประสบได้ด้วยประสาทสัมผัส ทั้งนี้การศึกษาเกี่ยวกับ “คนและสังคม” ในระยะ เริ่มแรกมีลักษณะเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์ซึ่งเป็นความรู้ที่ได้รับมาในรูปของสามัญสำนึก

4. เพราะเหตุใดจึงต้องศึกษาสังคม

(1) เพื่อเข้าใจลักษณะ รูปแบบ และโครงสร้างของสังคม

(2) เพื่อให้สามารถสร้างความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นได้

(3) เพื่อชี้แนวทางการแก้ไขปัญหาสังคม

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 4-5 สาเหตุที่ต้องศึกษาสังคมก็เพราะจะได้รับประโยชน์ดังนี้

1. เพื่อให้เข้าใจลักษณะ รูปแบบ และโครงสร้างของสังคมตนเองและสังคมอื่นที่สัมพันธ์ด้วย ทำให้ทราบถึงกลไกการทำงานของสังคมและแนวทางประพฤติปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่สังคม กำหนดขึ้น

2. เพื่อให้สามารถสร้างความสัมพันธ์อันดีกับบุคคลอื่น/ต่อสมาชิกร่วมสังคมและสมาชิกร่วมโลก เข้าใจสถานภาพและบทบาทของตนเองและผู้อื่น เนื่องจากมนุษย์จะแยกตัวอยู่โดดเดี่ยวไม่ได้

3. เพื่อให้เข้าใจปรากฏการณ์ทางสังคมที่เป็นโทษและสาเหตุที่กำหนดพฤติกรรมเบี่ยงเบน เข้าใจปัญหาและสามารถชี้แนวทางการแก้ไขปัญหาสังคมได้

4. เกิดประโยชน์ต่อทุกวิชาชีพ โดยใช้เป็นวิชาความรู้ควบคู่กับการศึกษาวิชาอื่น ๆ เพราะ ทุกฝ่ายต่างจะต้องใข้วิชาชีพนั้น ๆ กับคนในสังคมทั้งสิ้น

5. เพราะเหตุใดสังคมวิทยาจึงเน้นการศึกษาสังคมโดยการสุ่มตัวอย่าง

(1) ง่ายและสะดวกต่อการศึกษา (2) เน้นการสังเกตส่วนบุคคล

(3) เพื่อทำนายปรากฏการณ์ในอนาคต (4) ศึกษาสังคมปัจจุบันซึ่งมีขนาดใหญ่

ตอบ 4 หน้า 49 – 50, (คำบรรยาย) สังคมวิทยามีแนวโน้มศึกษาสังคมปัจจุบัน สังคมที่รู้หนังสือ และสังคมเชิงซ้อน โดยมีแนวโน้มที่จะใช้วิธีการศึกษาแบบสุ่มตัวอย่าง (Sampling) มากกว่า การศึกษาเป็นรายกรณี (Case Studies) ทั้งนี้เพราะการสุ่มตัวอย่างจะเน้นในเรื่องจำนวน (เนื่องจากสังคมปัจจุบันมีขนาดใหญต้องใช้วิธีสุ่มตัวอย่างจึงจะสามารถทำได้) ส่วนการศึกษา เป็นรายกรณีจะเน้นในเรื่องเวลาและความถี่ถ้วน

6. ประเพณีบวชนาค ฉัตร และการบวงสรวงเทวดา เป็นตัวอย่างการศึกษาสังคมแบบใด

(1) การแข่งขัน (2) สัญลักษณ์ (3) ดุลยภาพทางสังคม (4) พฤติกรรมเฉพาะกิจ

ตอบ 2 หน้า 8 วิธีการศึกษาสังคมโดยมองพฤติกรรมในรูปของ “สัญลักษณ์” (Symbol) เช่น ในสังคมที่มีกษัตริย์จะมีฉัตรหรือสัญลักษณ์ที่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่ว ๆ ไป นอกจากนี้ ประเพณีการบวชนาค การแห่นางแมว หรือการบวงสรวงเทวดาของคนในบางสังคมนั้น จะเป็นการแสดงออกในรูปลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความหมายที่สำคัญบางอย่างของสังคม ในบางสังคมสีดำหมายถึง ความโศกเศร้า และบางสังคมใช้ดอกกุหลาบเป็นสื่อที่แสดง ความหมายถึงความรัก ความสดชื่น เป็นต้น

7. คำว่า Sociology มาจากคำในภาษาใด

(1) อังกฤษกับฝรั่งเศส (2) ละตินกับผ่รั่งเศส (3) ละดินกับกรีก (4) กรืกกับอังกฤษ

ตอบ 3 หน้า 16 สังคมวิทยา (Sociology) มาจากศัพท์ 2 คำ คือ คำว่า Socius ซึ่งเป็นภาษาละติน มีความหมายว่า “เพื่อน” (Companion) และคำว่า Logos ซึ่งเป็นภาษากรีก มีความหมายว่า “ถ้อยคำ” (Word) เมื่อรวมคำทั้ง 2 เข้าด้วยกันก็จะแปลว่า การพูดคุยเกี่ยวกับสังคม

8. ใครเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง “กฎระเบียบเกี่ยวกับวิธีการทางสังคมวิทยา”

(1) ค้องท์ (Comte) (2) เวเบอร์ (Weber)

(3) เดอร์ไคม์ (Durkheim) (4) สเปนเซอร์ (Spencer)

ตอบ 3 หน้า 20 อิมิลี เดอร์ไคม์ (Emile Durkheim) เป็นนักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศสที่สนใจศึกษา สังคมวิทยาเปรียบเทียบ (Comparative Sociology) โดยเขาได้เขียนหนังสือเรื่อง “กฎหรือ ระเบียบเกี่ยวกับวิธีการทางสังคมวิทยา”

9. เพลโต (Plato) บรรยายสภาพสังคมเลอเลิศที่สุดไว้ในหนังสือชื่ออะไร

(1) อุตมรัฐ (2) อุดมคติรัฐ (3) อุดมการณ์รัฐ (4) อมตรัฐ

ตอบ 1 หน้า 17 – 18 ข้อเขียนของเพลโต (Plato) มีหลักสังคมวิทยาอยู่มาก โดยเฉพาะในหนังสือชื่อ The Republic (อุตมรัฐ) ซึ่งเขียนขึ้นมาเพื่อบรรยายสภาพสังคมที่เลอเลิศที่สุด เป็นรัฐในอุดมคติ ที่ประชาชนมีแต่ความผาสุก เพราะผู้ปกครองเป็น “ราชาปราชญ์” (Philosopher King) คือเป็นทั้งราชาที่มีอำนาจและเป็นปราซญ์ที่ทรงไว้ซึ่งความรู้

10. ใครเป็นผู้สนับสนุนการใช้วิธีการศึกษาที่เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า “แวร์สเตเฮ็น” (Verstehen)

(1) เดอร์ไคม์ (Durkheim) (2) มาร์กซ์ (Marx)

(3) ค้องท์ (Comte) (4) เวเบอร์ (Weber)

ตอบ 4 หน้า 20 เวเบอร์ (Weber) เป็นนักสังคมวิทยาชาวเยอรมันที่สนับสนุนการใช้วิธีการศึกษาที่ เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า “แวร์สเตเฮ็น” (Verstehen) แปลว่า Understanding (ความเข้าใจ) ซึ่งเป็นวิธีการที่เน้นความเข้าใจรวม ๆ กันมากกว่าในรายละเอียดของปรากฏการณ์ทางสังคม

11. สังคมสถิตตามทัศนะของค้องท์ (Comte) หมายถึงอะไร

(1) โครงสร้าง-หน้าที่ของสังคม

(2) การเปลี่ยนแปลงทางสังคม

(3) สภาวะสมบูรณภาพของสังคม

(4) วิวัฒนาการของสังคม

ตอบ 1 หน้า 18 – 19 ค้องท์ (Comte) ได้แบ่งการศึกษาทางสังคมวิทยาออกเป็น 2 สาขา ได้แก่

1. สังคมสถิต (Social Statics) เป็นการศึกษาเรื่องราวภายในสังคม คือ ศึกษาส่วนย่อย ได้แก่ โครงสร้าง-หน้าที่ของสถาบันต่าง ๆ ทางสังคม เช่น สถาบันเศรษฐกิจ สถาบันครอบครัว สถาบันการเมือง สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา ฯลฯ

2. สังคมพลวัต (Social Dynamics) เป็นการศึกษาสังคมทั้งสังคม โดยเน้นการศึกษาในเรื่อง ที่ว่าสังคมเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมีวิวัฒนาการความเป็นมาหรือเป็นไปอย่างไร ซึ่งเป็น การศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

12. หลักตรรกศาสตร์ในทางสังคมศาสตร์ที่นำมาใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม ได้แก่วิธีการแบบใด

(1) นิรนัยและตรรกนัย

(2) อุปนัยและตรรกนัย

(3) นิรนัยและอัตนัย

(4) นิรนัยและอุปนัย

ตอบ 4 หน้า 43 ในทางสังคมศาสตร์ได้นำเอาหลักดรรกวิทยา (ตรรกศาสตร์) มาใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม ดังนี้

1. วิธีนิรนัย (Deductive Method) เป็นการอธิบายส่วนใหญ่มาหาส่วนน้อย

2. วิธีอุปนัย (Inductive Method) เป็นการอธิบายในเชิงเป็นไปได้ เมื่อรู้ว่าส่วนน้อยเป็นอย่างไร ก็นำไปอธิบายส่วนใหญ่

13. การตื่นตัวในวัฒนธรรมประจำชาติโดยจะมีการพูดถึง “เอกลักษณ์ของชาติหรือวัฒนธรรมอันดีงาม”มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด

(1) ต้องการเอกราช (2) เกิดการสู้รบกับประเทศเพื่อนบ้าน

(3) วัฒนธรรมต่างชาติกำลังแผ่ขยายอิทธิพลเข้ามา (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 55 การตื่นตัวในทางวัฒนธรรมประจำชาติมักมีมากในช่วงที่มีความรู้สึกว่าวัฒนธรรม ต่างชาติกำลังแผ่ขยายอิทธิพลเข้ามา ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวนี้จะมีการพูดถึง “ เอกลักษณ์ ของชาติ” หรือ “วัฒนธรรมอันดีงาม” ของชาติอยู่บ่อย ๆ

14. ตัวเลือกใดเป็นความหมายของวัฒนธรรมตามนัยแห่งสังคมศาสตร์

(1) ความเชื่อ (2) ขนบธรรมเนียมและประเพณีต่าง ๆ

(3) ทุกสิ่งที่ดีงาม (4) ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นผลงานของมนุษย์

คอบ 4 หน้า 58 – 59 วัฒนธรรมตามนัยแห่งสังคมศาสตร์มีความหมายกว้างขวางมากที่สุด คือ ครอบคลุมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นผลผลิตหรือผลงานหรือผลแห่งการกระทำของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมทางวัตถุหรือทางอวัตถุ และมีขอบเขตเกินกว่าการเป็นสิ่งที่ดีงาม หรือเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ

15. ตัวอย่างใดที่มีความหมายว่า “หายนะธรรม” (Decadence)

(1) บทประพันธ์เรื่องขุนข้างขุนแผน (2) ดนตรีของไชคอฟสกี้

(3) บทละครของเชคสเปียร์ (Shakespeare) (4) ความฟุ้งเฟ้อและฟุ่มเฟือยปลายจักรวรรดิโรมัน

ตอบ 4 หน้า 57 วัฒนธรรมตามความหมายตามรากศัพท์เดิมมาจากศัพท์ “วัฒนะ” หรือ “พัฒนะ” ซึ่งแปลว่า “เจริญ” ดังนั้นจึงตรงข้ามกับคำว่า “หายนะธรรม” (Decadence) ซึ่งเป็นการ ประพฤติอันนำไปสู่ความเสื่อมหรือเป็นการเจริญลง ตัวอย่างเช่น ความฟุ้งเฟ้อและฟุ่มเฟือย ปลายจักรวรรดิโรมัน เป็นยุคที่มีการประพฤติปฏิบัติอย่างโหดร้ายทารุณ อันเป็นผลทำให้ จักรวรรดิโรมันแตกสลายในที่สุด ฯลฯ

16. พิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นประเพณีเกี่ยวข้องกับอะไร

(1) ชีวิตบุคคล (2) อำนาจพระมหากษัตริย์ (3) การปกครอง (4) การทำมาหากิน

ตอบ 4 หน้า 57 – 58, (คำบรรยาย) ขนบรรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ เป็นวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับ

1. วาระสำคัญของชีวิตบุคคล การดำเนินขีวิตของบุคคลตั้งแต่เกิดจนกระทั่งสิ้นชีวิต

2. ประเพณีต่าง ๆ ของสังคมเอง ซึ่งเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่และการทำมาหากินหรือ การประกอบอาชีพของคนในสังคม เช่น พิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ฯลฯ

17. ข้อใดเป็นลักษณะของวัฒนธรรมตามคำนิยามมาตรฐาน

(1) เป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติ (2) เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากสัญชาตญาณ

(3) เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ (4) เป็นปฏิกิริยาทางสรีระ

ตอบ 3 หน้า 61 ลักษณะของวัฒนธรรมตามคำนิยามมาตรฐาน มี 6 ลักษณะ คือ

1. เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ (ไม่เป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติ ไม่เป็นพฤติกรรม ที่เกิดจากสัญชาตญาณ และไม่เป็นปฏิกิริยาทางสรีระ)

2. เป็นรูปแบบหรือกระสวนแห่งพฤติกรรมอันเกิดจากการเรียนรู้

3. เป็นผลหรือผลิตผลของพฤติกรรม (ทั้งที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้หรือมองเห็นสัมผัสได้)

4. เป็นสิงที่สมาชิกของสังคมรู้สึกว่ามีส่วนร่วมเป็นเจ้าของไม่มากก็น้อย

5. มีการถูกส่งต่อหรือได้รับการถ่ายทอดมา 6. มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจศีล

18. สังคมใดมีความแตกต่างกันในเรื่องอนุวัฒนธรรมของแต่ละอาชีพอย่างมาก จนก่อให้เกิดระบบวรรณะขึ้นมา

(1) สหรัฐอเมริกา (2) อินเดีย (3) ทิเบต (4) ปากิสถาน

ตอบ 2 หน้า 87 อนุวัฒนธรรมทางอาชีพ ได้แก่ ผู้ที่ประกอบอาชีพแต่ละอาชีพมักจะมีแบบหรือวิถีการดำรงชีวิตแตกต่างกัน เช่น ในสังคมอินเดียความแตกต่างในเรื่องอนุวัฒนธรรมของแต่ละอาชีพ มีอย่างมากจนก่อให้เกิดระบบวรรณะขึ้นมา โดยวรรณะใหญ่ ๆ ของอินเดียมีด้วยกันทั้งหมด 4 วรรณะ คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ (พ่อค้า) และศูทร (ผู้ใช้แรงงาน)

19. ผู้ใดบัญญัติศัพท์ “ความล้าทางวัฒนธรรม”

(1) เช็คสเปียร์ (Shakespeare) (2) โครเบอร์ (Kroeber)

(3) อ็อกเบิร์น (Ogburn) (4) ริสแมน (Riesman)

ตอบ 3 หน้า 92 ผู้บัญญัติศัพท์ “ความล้าหรือความเฉื่อยทางวัฒนธรรม” คือ อ็อกเบิร์น (Ogburn) นักวิชาการชาวอเมริกัน โดยเขาให้คานิยามไว้ว่า ความล้าหรือความเฉื่อยทางวัฒนธรรม ได้แก่ ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ยังคงอยู่จนเกินเลยเวลาที่เป็นประโยชน์ได้ โดยล้าหลังหรือตามไม่ทัน วัฒนธรรมส่วนอื่น ๆ ซึ่งแต่ก่อนนี้เคยเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน

20. ความหมายของกลุ่มสังคมได้แก่ตัวเลือกใด

(1) กลุ่มคนที่กำลังรอคอยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (2) กลุ่มคนที่มีการโต้ตอบกันทางสังคม

(3) กลุ่มคนที่มีลักษณะบางอย่างเหมือนกัน (4) กลุ่มคนที่ขาดระเบียบ

ตอบ 2 หน้า 98 กลุ่มสังคม หมายถึง กลุ่มคนที่มีการกระทำโต้ตอบซึ่งกันและกัน มีการติดต่อสัมพันธ์กัน ตามสถานภาพและบทบาท มีความรู้สึกสำนึกเป็นพวกเดียวกัน และมีความเชื่อในด้านคุณค่า ร่วมกันหรือคล้ายคลึงกัน เช่น ครอบครัว กลุ่มเพื่อน กลุ่มอาชีพ กลุ่มเชื้อชาติ ฯลฯ

21. กลุ่มชนิดใดที่ส่งเสริมการพัฒนาชุมชนที่อยู่ห่างไกล

(1) กลุ่มปฐมภูมิ

(2) กลุ่มทุติยภูมิ

(3) กลุ่มอ้างอิง

(4) กลุ่มเอ็นจีโอ

ตอบ 1 หน้า 98 – 99 กลุ่มปฐมภูมิ (Primary Group) มีความสำคัญดังนี้

1. เป็นกลุ่มแรกที่มนุษย์เป็นสมาชิก คือ ครอบครัว

2. เป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่อบรมขัดเกลาทางสังคม (Socialization)

3. เป็นกลุ่มสำคัญที่ส่งเสริมหรือต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ เช่น เอื้อประโยชน์หรือ ส่งเสริมการพัฒนาชุมชนที่อยู่ห่างไกล

4. เป็นประโยชน์ในด้านการสร้างขวัญกำลังใจ

22. กลุ่มซึ่งมีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน มีประเพณีและวัฒนธรรมเหมือนกัน หมายถึงกลุ่มใด

(1) กลุ่มทุติยภูมิ

(2) กลุ่มสมาคม

(3) กลุ่มอ้างอิง

(4) กลุ่มชาติพันธุ์

ตอบ 4 หน้า 100 กลุ่มชาติพันธุ์ (Ethnic Group) เป็นกลุ่มคนซึ่งมีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน มีประเพณีและวัฒนธรรมเหมือนกัน เช่น พวกชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างจาก คนกลุ่มใหญ่ในแง่เชื้อชาติ ประเพณี และวัฒนธรรม

23. กลุ่มชาติพันธุ์เป็นตัวอย่างของกลุ่มใด

(1) กลุ่มชนชั้น (2) กลุ่มอาชีพ (3) กลุ่มอ้างอิง (4) กลุ่มทุติยภูมิ

ตอบ 4 หน้า 99 – 100 กลุ่มทุติยภูมิ (Secondary Group) เป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ มีการติดต่อทาง สังคมที่ห่างเหิน ระยะสั้น การติดต่อสัมพันธ์เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนดหรือตามหน้าที่ ขาดความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ขาดความสนิทสนมคุ้นเคยเป็นส่วนตัว การติดต่อมุ่งให้ได้ ประโยชน์มากกว่าความรู้สึกส่วนตัว ความคิดเห็นของกลุ่มมุ่งที่เหตุผลและเน้นด้านประสิทธภาพ โดยกลุ่มทุติยภูมิแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ

1. กลุ่มสมาคมหรือองค์การ 2. กลุ่มชาติพันธุ์

3. กลุ่มชนชั้น

24. ระยะห่างทางสังคมเป็นการวัดอะไร

(1) ระยะทาง

(2) ระยะเวลา (3) ระดับความใกล้ชิดหรือการยอมรับ (4) ระดับการพัฒนาสังคม

ตอบ 3 หน้า 103, (คำบรรยาย) ระยะห่างทางสังคม (Social Distance) เป็นการวัดระดับของ ความใกล้ชิดสนิทสนม หรือการยอมรับ หรืออคติที่เรามีความรู้สึกต่อคนกลุ่มอื่น และ สามารถนำมาใช้วัดความเป็นกลุ่มเรากลุ่มเขาได้เป็นอย่างดี โดยแบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ

1. ระดับแนวราบ (แนวนอน) เป็นความสัมพันธ์ของคนที่มีสถานภาพเท่าเทียมกันหรืออยู่ใน ระดับเดียวกัน เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ญาติพี่น้อง เพื่อน ผู้ร่วมงาน ฯลฯ

2. ระดับแนวดิ่ง (แนวตั้ง) เป็นความสัมพันธ์ของคนที่มีสถานภาพต่างกัน เช่น ความสัมพันธ์ ระหว่างพ่อแม่กับลูก นายจ้างกับลูกจ้าง เจ้านายกับลูกน้อง ฯลฯ

25. สถาบันที่เก่าแก่ที่สุดของสังคมได้แก่สถาบันอะไร

(1) ศาสนา (2) การปกครอง (3) ครอบครัว (4) เศรษฐกิจ

ตอบ 3 หน้า 107 ในทางสังคมวิทยาถือว่า ครอบครัวมีลักษณะที่มีความเป็นสถาบัน 3 ประการ คือ

1. เป็นสถาบันทางสังคม ซึ่งมีรูปแบบหรือแบบแผนที่เป็นกระสวนทางพฤติกรรมตามหน้าที่ ตามที่สังคมกำหนดขึ้น และมีโครงสร้างทางสังคมที่เป็นตัวกำหนดค่านิยมที่แท้จริง

2. เป็นสถาบันที่เก่าแก่ที่สุดของสังคม มีมาพร้อมกับมนุษย์ และคงอยู่กับมนุษย์ตลอดเวลา

3. เป็นสถาบันสากล เนื่องจากมีปรากฏในทุกสังคม

26. ตัวเลือกใดคือครอบครัวที่จัดตามลักษณะและหน้าที่

(1) ครอบครัวเล็ก

(2) ครอบครัวปฐมนิเทศ (3) ครอบครัวสร้างสมาชิกใหม่ (4) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 114 ประเภทครอบครัวจัดตามลักษณะและหน้าที่ มี 2 ประการ ดังนี้

1. ครอบครัวปฐมนิเทศ (Family of Orientation) เป็นครอบครัวอาศัยเกิด คือ ครอบครัวของ บิดามารดาของเรานั่นเอง

2. ครอบครัวสร้างสมาชิกใหม่ (Family of Procreation) คือ ครอบครัวที่เกิดจากตัวของเราเอง โดยการสมรส และการมีบุตรสืบสกุล

27. ครอบครัวที่ชายหญิงสามารถมีคู่สมรสได้มากกว่า 1 คน เรียกว่าอะไร

(1) หลายผัวหลายเมีย (2) คู่ครองร่วม (3) พหุคู่ครอง (4) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า115-116 ครอบครัวประกอบร่วมหรือครอบครัวซ้อนเป็นระบบครอบครัวที่ชายหญิง สามารถมีคู่สมรสได้มากกว่า 1 คนที่เรียกว่าหลายผัวหลายเมีย (พหุคู่ครอง) ซึ่งแยกออกเป็น

1. ชายมีภรรยาหลายคน (พหุภรรยา)

2. หญิงมีสามีหลายคน (พหุสามี) ซึ่งยังปรากฏอยู่ในชาวทิเบตบางกลุ่ม

3. ครอบครัวที่เกิดจากการสมรสหมู่ ซึ่งปัจจุบันได้สูญหายไปจากโลกนี้แล้ว เหลือเพียงหลักฐาน เพื่อการศึกษาเท่านั้น

4. ครอบครัวภาระหรือครอบครัวภาวะจำยอม

28. องค์การสหประชาชาติกำหนดสถานะการสมรสของมนุษย์ไว้อย่างไร

(1) โสด สมรส แยกกันอยู่ (2) โสด สมรส หย่า

(3) โสด สมรส หย่า ร้าง (4) โสด สมรส แยกกันอยู่ ร้าง หย่า หม้าย

ตอบ 4 หน้า 118, (คำบรรยาย) องค์การสหประชาชาติได้มีมติกำหนดสถานะการสมรสของมนุษย์ ไว้ 6 ประการ คือ

1. โสด เป็นสถานะการสมรสที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน

2. สมรส (แตงงาน) 3. แยกกันอยู่ 4. ร้าง 5. หย่า 6. หม้าย

29. การศึกษาครอบครัวโดยเน้นการอยู่ร่วมกับของชายหญิงเพื่อต้องการมีบุตรไว้สืบสกุล เป็นแนวการศึกษาด้านใด

(1) มานุษยวิทยา (2) สังคมวิทยา (3) จิตวิทยา (4) เพศศึกษา

ตอบ 1 หน้า 108 การศึกษาครอบครัวตามแนวมานุษยวิทยา เป็นการศึกษาครอบครัวโดยเริ่มจาก การที่หญิงหนึ่งคนหรือมากกว่านั้นอยู่ร่วมกับชายหนึ่งคนหรือมากกว่านั้นและมีบุตรด้วยกัน มีความสัมพันธ์ทางเพศอันเป็นที่ยอมรับกันทางสังคม โดยมีวัตถุประสงคัในการอยู่ร่วมกัน เพื่อต้องการมีบุตรไว้สืบสกุล อันเป็นเรื่องของวิวัฒนาการของมนุษย์เอง

30. ตัวเลือกใดคือตัวอย่างของศาสนาธรรมชาติ

(1) ลัทธิเต๋า (2) ศาสนาชินโต

(3) การเคารพบูขารุกขเทวดา (4) ศาสนาพราหมณ์

ตอบ 3 หน้า 129 – 130 ความเป็นมาของศาสนาโดยวิวัฒนาการ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. ศาสนาธรรมชาติ เป็นระบบความเชื่อที่บริสุทธิ์ ไม่มีการดัดแปลงแก้ไข เช่น การนับถือผี นับถือวิญญาณ นับถือเจ้าป่าเจ้าเขา การเคารพบูขารุกขเทวดา ฯลฯ

2. ศาสนาสถาบันหรือศาสนาหลัก เป็นระบบความเชื่อที่เกิดขึ้นจากข้อกำหนดของสังคม โดยนำศาสนาธรรมชาติมาปรับปรุงแก้ไขและจัดรูปแบบให้มีความสมบูรณ์ยิงขึ้น เช่น ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ชินโต ลัทธิเต๋า ขงจื๊อ ฯลฯ

31. มาลินอฟสกี้ (Malinowski) มีความเห็นต่อศาสนาอย่างไร

(1) ทำให้เกิดความงมงาย

(2) เป็นยาเสพติด

(3) ช่วยปลอบใจยามทุกข์ยาก

(4) เกิดขึ้นเพราะมนุษย์ไม่แน่ใจในธรรมชาติ

ตอบ 4 หน้า 133,350 ความสำคัญของศาสนาในทางสังคมวิทยานั้น ได้มีผู้แสดงความเห็นไว้ดังนี้

1. ฟรอยด (Freud) เห็นว่า ศาสนามีประโยชน์ในด้านเป็นเครื่องปลอบประโลมใจในยามทุกข์ยาก

2. มาร์กซ์ (Marx) ถือว่า ศาสนาเป็นยาเสพติด เพราะก่อให้เกิดความงมงาย และเป็นอุปสรรค ต่อการปฏิวัติทางการเมือง ซึ่งเป็นการมองศาสนาไปในแง่ร้าย

3. มาลินอฟสกี้ (Malinowski) เห็นว่า ศาสนาและพิธีกรรมมักเกี่ยวพันกับความไม่แน่ใจ ในเรื่องธรรมชาติ ความเกรงกลัวในสิ่งที่ไม่แน่นอน/สิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ ทำให้คนมุ่งไปที่ ศาสนาหรือพิธีกรรม

32. เพราะเหตุใดมนุษย์จึงจำเป็นต้องมีศาสนา

(1) ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง

(2) ไม่เข้าใจสภาวะแวดล้อมที่แท้จริง

(3) เพื่อนำศาสนามาควบคุมพฤติกรรม

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 133 – 134 ความจำเป็นที่มนุษย์ต้องมีศาสนาเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ กัน 3 ประการ คือ

1. มนุษย์ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง จึงแสวงหาวิธีการมาช่วยปลอบประโลมใจ

2. มนุษย์ไม่เข้าใจสภาวะแวดล้อมที่แท้จริง จึงพยายามหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ

3. มนุษย์ต้องการนำศาสนามาควบคุมพฤติกรรมของสังคม เพื่อให้สังคมอยู่ด้วยความสงบสุข

33. การจัดประเภทความเชื่อทางศาสนาเป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่ข้อใด

(1) เอกเทวนิยม และพหุเทวนิยม (2) พหุเทวนิยม และอเทวนิยม

(3) เทวนิยม และอเทวนิยม (4) เอกเทวนิยม และอเทวนิยม

ตอบ 3 หน้า 139 – 140 การจัดประเภทความเชื่อทางศาสนา มี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1. เทวนิยม (Theism) เป็นระบบความเชื่อทว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แบ่งออกเป็น เอกเทวนิยม (เชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว) เช่น ศาสนาคริสต์ อิสลาม ฯล*า, พหุเทวนิยม (นับถือ พระเจ้าหลายพระองค์) เช่น ศาสนาฮินดู ๆลา, สัพพัตถเทวนิยม (เชื่อว่าพระเจ้าและจักรวาล เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) เช่น เชื่อว่าแผ่นดินมีแม่พระธรณีเป็นผู้ดูแลปกปักรักษา ฯลฯ

2. อเทวนิยม (Atheism) เป็นระบบความเชื่อที่อาศัยเหตุผลและความเป็นจริงเป็นสำคัญ โดยไม่ผูกพันอยู่กับเทพเจ้า เช่น ศาสนาพุทธ เชน เต๋า ฯลฯ

34. ศาสนาใดเป็นศาสนาประเภทพหุเทวนิยม

(1) คริสต์ (2) อิสลาม (3) ฮินดู (4) พุทธ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 33. ประกอบ

35. ในอารยธรรมกรีกโบราณ การศึกษาผูกพันกับเพเดีย (Paedeia) หมายความว่าอย่างไร

(1) การศึกษาผูกพันกับผู้สอน (2) การศึกษาผูกพันกับปัญญา

(3) การศึกษาผูกพันกับคุณธรรม (4) การศึกษาผูกพันกับเทพเจ้า

ตอบ 3 หน้า 152 – 153 ในอารยธรรมกรีกโบราณ การศึกษาผูกพันกับคุณธรรม (ภาษากรีกเรียกว่า Paedeia) ซึ่งคำว่าการศึกษาในภาษากรีก หมายถึง การเรียนคุณธรรม โดยสรุปการศึกษา ในทัศนะกรีกโบราณ หมายถึง การเป็นคนดีและเป็นพลเมืองดี

36. กระบวนการอันเกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่ที่เรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท” หมายถึงข้อใด

(1) สิ่งทั้งหลายยอมอาศัยซึ่งกันและกัน (2) สิ่งทั้งหลายย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

(3) สิ่งทั้งหลายย่อมเป็นอัตตา (4) สิ่งทั้งหลายศึกษาได้ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา

ตอบ 1 หน้า 152 พระพุทธศาสนาถือว่าความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้มนุษย์หลุดพ้นจาก ความทุกข์ พระพุทธองค์ทรงถือว่าอวิชชา (ความไม่รู้) เป็นต้นเหตุแห่งวัฏสงสารอันเป็นการ เวียนว่ายตายเกิดในห้วงแห่งทุกข์ วัฏสงสารจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อพ้นจากอวิชชาอันเป็นจุดเริ่มต้น แห่งกระบวนการอันเกี่ยวเนื่องเป็นลูกโซ่ที่เรียกว่า ‘’ปฏิจจสมุปบาท” (การที่สิ่งทั้งหลายอาศัย ซึ่งกันและกัน) ดังนั้นการศึกษาในเชิงพุทธศาสตร์จึงมีความหมายเพื่อให้หลุดพ้นจากอวิชชา หรือความไม่รู้เพื่อชีวิตจะได้ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก

37. ผู้สำเร็จการศึกษาที่เน้นความเลอเลิศทางปัญญามักถูกเปรียบเทียบกับคุณลักษณะใด

(1) เหยียบขี้ไก่ไม่ผ่อ (2) เข็นครกขึ้นภูเขา

(3) ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด (4) เขียนเสือให้วัวกลัว

ตอบ 3 หน้า 164 – 167 ผลิตผลของปรัชญาการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่เน้นความเลอเลิศทางปัญญา โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ที่มีต่อสังคม คือ การสร้างนักคิดและนักวิชาการประเภทเคร่งทฤษฎี จนกระทั่งมีฉายาว่าเป็นนักวิชาเกิน หากมหาวิทยาลัยใดนิยมปรัชญาแนวนี้ย่อมทำให้สถาบัน มีลักษณะเป็นแบบหอวิมานงาช้างหรือ “ปัญญาปราสาท” ที่ให้ความสำคัญกับวิชาการและวิชาชื่นชอบโดยไม่ได้อยู่ในปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้สำเร็จการศึกษามักถูกเปรียบเทียบได้ กับคุณลักษณะดังคำพังเพยของไทยที่ว่า “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” คือ มีความรู้มาก แต่ไม่สามารถนำความรู้นั้นไปใช้ให้เป็นประโยชน์ได้

38. มุกติศึกษาหมายถึงข้อใด

(1) ผู้หลุดพ้นจากวัฏสงสาร (2) ผู้เข้าถึงปัญญา

(3) ผู้มีคุณธรรม (4) ผู้เป็นอิสระจากอคติหรือความเชื่อที่ปราศจากเหตุผล

ตอบ 4 หน้า 165 ปรัชญาการศึกษาแนวแรกที่เน้นหนักไปทาง “ศิลปศาสตร์ศึกษา” (Liberal Education) ซึ่งบางครั้งเรียกว่า Liberal Arts หมายถึง ศิลปวิทยาการที่ทำให้คนมีเสรี ได้มีบางท่านใช้ศัพท์ “มุกติศึกษา” หมายถึง การหลุดออกหรือการเป็นอิสระจากอคติหรือ ความเชื่อต่าง ๆ ที่ปราศจากเหตุผล

39. มหาวิทยาลัยเปิดแบบตลาดวิชาแห่งแรกของไทยคือมหาวิทยาลัยใด

(1) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

(2) สุโขทัยธรรมาธิราช (3) รามคำแหง (4) ธรรมศาสตร์และการเมือง

ตอบ 4 หน้า 174 – 175 มหาวิทยาลัยเปิดหรือตลาดวิชาแห่งแรกของไทย คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งได้รับการสถาปนาเมื่อ พ.ศ. 2476 โดยจัดการศึกษาในระยะเริ่มแรกเป็นแบบ “ใครใคร่เรียนเรียน” คือ ผู้ที่ประสงค์จะเรียนสามารถเข้าเรียนได้โดยไม่จำกัดวุฒิการศึกษา

40. มหาวิทยาลัยใดมีปรัชญาการศึกษาที่เน้นการแก้ปัญหาเพื่อสวัสดิการของปวงชน

(1) มหาวิทยาลัยเปิดของประเทศอังกฤษ (2) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง

(3) มหาวิทยาลัยสหประชาชาติ (4) มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ตอบ 3 หน้า 177 – 178 ปรัชญาการศึกษาของมหาวิทยาลัยสหประชาชาติจะเน้นในเรื่องความเข้าใจกัน ระหว่างมวลมนุษย์ การอยู่ร่วมกันของคนต่างชาติต่างภาษาและต่างวัฒนธรรม การดำรงรักษาไว้ ซึ่งสันติภาพและความมั่นคง โดยมีปรัชญาหลัก คือ การมุ่งแก้ป้ญหาที่เกี่ยวข้องกับความเป็น ความตายของมนุษยชาติ และเพื่อสรรค์สร้างสวัสดิการของปวงชน

41. วิชาประชากรศาสตร์เกิดขึ้นเนื่องจากอะไร

(1) อัตราการเกิดสูง

(2) อัตราการตายสูง

(3) การอพยพย้ายถิ่นสูงขึ้น

(4) อัตราการเพิ่มชองประชากรโลกสูงขึ้น

ตอบ 4 หน้า 185 ประชากรศาสตร์ เป็นสาสตร์สาขาใหม่ของสังคมศาสตร์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 นี้เอง สืบเนื่องจากในปี ค.ศ. 1949 องค์การสหประชาชาติได้จัดประชุมสัมมนาเกี่ยวกับทรัพยากรของโลก และมีการสำรวจประชากรในฐานะผู้บริโภคด้วย ซึ่งผลจาก การประชุมพบว่าทรัพยากรต่าง ๆ ของโลกได้ถูกทำลายอย่างมากมาย ทั้งนี้เนื่องมาจากการที่ ประชากรมีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงทำให้เกิดการตื่นตัวศึกษาเกี่ยวกับประชากรมากขึ้น

42. หลังปี ค.ศ. 1950 ประชากรโลกเพิ่มขึ้นมากในภูมิภาคใด

(1) ยุโรป

(2) เอเชีย

(3) แอฟริกา

(4) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 188 – 189 การเพิ่มของประชากรโลกก่อนปี ค.ศ. 1950 มีอัตราการเพิ่มอย่างสูงในบริเวณ ภูมิภาคแถบยุโรป และบริเวณที่ชาวยุโรปเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่เท่านั้น แต่หลังจากปี ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา อัตราการเพิ่มขึ้นอย่างสูงของประชากรโลกได้มาเกิดขึ้นใบบริเวณภูมิภาคแถบเอเชีย ลาตินอเมริกา และแอฟริกา ซึ่งในปัจจุบันอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในภูมิภาคแถบเอเชียและลาตินอเมริกา

43. ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของประชากรในประเทศที่พัฒนาแล้วมีลักษณะอย่างไร

(1) อัตราการตายสูง (2) ประชากรวัยชราเพิ่มขึ้น

(3) อัตราการเกิดสูงขึ้น (4) ประชากรวัยชราลดลง

ตอบ 2 หน้า 190, 195, (คำบรรยาย) หากพิจารณาในภาพรวม ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่ จะมีการเปลี่ยนแปลงทางประชากรในลักษณะที่อัตราการเกิดและอัตราการตายลดลงอยู่ใน ระดับตํ่าเท่าเทียมกัน และประชากรวัยชราเพิ่มขึ้น ส่วนประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่จะมี การเปลี่ยนแปลงทางประชากรในลักษณะที่อัตราการเกิดยังสูงอยู่แต่อัตราการตายลดต่ำลง

44. กระบวนการทางประชากรที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ได้แก่ข้อใด

(1) ครอบครัว การศึกษา และความเชื่อ (2) สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง

(3) การเกิด การตาย และการย้ายถิ่น (4) สถานภาพ บทบาท และสถาบัน

ตอบ 3 หน้า 185 – 187 กระบวนการทางประชากรที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางประชากร ได้แก่

1. การเจริญพันธุ์ (การเกิด) หมายถึง จำนวนประชากรที่ให้กำเนิดบุตรได้จริง ๆ โดยวัดได้จาก การคำนวณหาอัตราการเกิดของประชากร ซึ่งขึ้นอยู่กับอายุเมื่อแรกสมรส การอยู่เป็นโสด อย่างถาวร การไม่สมรสใหม่ของหญิงหม้ายและหย่าร้าง การงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์โดยสมัครใจหรือไม่สมัครใจ การคุมกำเนิดโดยวิธีการต่าง ๆ และการตายของเด็กทารก

2. การตาย 3. การอพยพหรือย้ายถิ่น

45. ปรากฏการณ์ที่เรียกว่าการปฏิวัติทางครอบครัว (Family Revolution) ได้แก่ข้อใด

(1) หนุ่มสาวจะแต่งงานช้าลงหรือไม่แต่งงานเลย (2) จำนวนบุตรต่อครอบครัวสูงกว่าระดับทดแทน

(3) เพศหญิงเป็นผู้นำครอบครัว (4) มีแนวโน้มเป็นครอบครัวขยายมากขึ้น

ตอบ 1 หน้า 188 – 189 นักประชากรชาวยุโรปเห็นพ้องต้องกันว่า สภาวการณ์ทางด้านเศรษฐกิจ มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านคุณค่าและแบบแผนการดำเนินชีวิต นอกจากนี้วิธีการควบคุม การเกิดหรือการคุมกำเนิดยังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย สตรีออกทำงานนอกบ้านมากขึ้น ค่าเช่าบ้านแพงขึ้นและมีขนาดเล็กลง และยังมีแนวโน้มว่า คนหนุ่มสาวจะแต่งงานช้าลงหรือไม่ แต่งงานเลย ซึ่งนักประชากรเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า การปฏิวัติครอบครัว (Family Revolution)

46. การแบ่งช่วงชั้นในยุโรปสมัยกลางใช้ระบบใด

(1) ชนชั้น (2) วรรณะ (3) ฐานันดร (4) สถานภาพ

ตอบ 3 หน้า 199 ฐานันดร (Estate) เป็นระบบการแบ่งช่วงชั้นทางสังคมที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยกลาง ของยุโรป เดิมมีเพิยง 2 ฐานันดร ได้แก่ นักบวช (พระ) และขุนนาง ต่อมามีเพิ่มขึ้นอีก เช่น พ่อค้า สามัญชน เป็นระบบที่มีกฎหมายกำหนดสิทธิหน้าที่ของคนแตกต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยูกับความสัมพันธ์ของบุคคลต่อที่ดิน โดยการเขยิบฐานะเป็นไปได้ และไม่มีศาสนาค้ำจุนเหมือน ระบบวรรณะ

47. ตัวเลือกใดเป็นสถานภาพติดตัวของบุคคล

(1) การเป็นสมาชิกของสังคม

(2) ชาติตระกูล (3) สิทธิของคนในสังคม (4) ศักดิ์ศรีที่แต่ละคนมีอยู่

ตอบ 2 หน้า 25, 197 – 198 สถานภาพของบุคคล แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. สถานภาพติดตัว (Ascribed Status) คือ สถานภาพที่บุคคลได้รับมาโดยอัตโนมัติ อันมี รากฐานมาจากการถือกำเนิด เช่น อายุ เพศ ผิวพรรณ ชาติตระกูล ความเป็นลูก ฯลฯ

2. สถานภาพสัมฤทธิ์ (Achieved Status) คือ สถานภาพที่บุคคลได้รับมาจากการกระทำ หรือผลสำเร็จจากการกระทำตามวิถีทางของบุคคลนั้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความสามารถและ ประสิทธิภาพที่บุคคลแสดงออกเมื่อมีโอกาส จึงมีส่วนทำให้บุคคลมีฐานะทางสังคม เช่น การศึกษา อาชีพ รายได้ อำนาจ ฯลฯ

48. ตัวเลือกใดเป็นการจัดช่วงชั้นโดยอิทธิพลของศาสนา

(1) วรรณะ (2) ฐานันดร (3) ชนชั้น (4) ศักดินา

ตอบ 1 หน้า 198 – 199 วรรณะ (Caste) เป็นระบบการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคมโดยมีอิทธิพล ของศาสนาเข้ามาเกื้อหนุน และเน้นถึงความสัมพันธ์ของสถานภาพของบุคคลในสังคม ซึ่ง จำกัดบุคคลไม่ให้ได้รับสถานภาพสูงขึ้นกว่าเมื่อเขาเกิด ดังนั้นระบบวรรณะจึงเป็นระบบช่วงชั้น ซึ่งมีรูปแบบที่แน่นอนตายตัว (ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ)

49. เกณฑ์ใดใช้วัดการจัดลำดับชนชั้น (Class) ของสังคม

(1) เกียรติยศศักดิ์ศรี (2) อำนาจ (3) ศาสนา (4) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 200 – 201 เกณฑ์ที่ใช้วัดการจัดลำดับชนชั้น (Class) ของสังคม ได้แก่ เกียรติยศศักดิ์ศรี ของครอบครัวซึ่งตกทอดมาถึงลูกหลาน อาชีพ ฐานะทางเศรษฐกิจ ความมั่งคั่ง อำนาจ การมีเวลาว่าง ระดับการศึกษา ความสามารถและการประสบความสำเร็จ ถิ่นที่อยู่อาศัย รสนิยม การแสดงตนและการยอมรับ เป็นต้น

50. ตัวอย่างใดเป็นการจราจรภาพทางสังคมในแนวดิ่ง (Vertical Mobility)

(1) สามัญชนแต่งงานกับเจ้านาย (2) ช่างปูนเปลี่ยนอาชีพเป็นช่างทาสี

(3) แม่ค้าหาบเร่ย้ายไปขายในห้างสรรพสินค้า (4) กระเป๋ารถได้เลื่อนเป็นคนขับโดยสาร

ตอบ 1 หน้า 205 – 206 การจราจรภาพทางสังคมในแนวดิ่งหรือแนวตั้ง (Vertical Mobility)ซึ่งเป็นไปได้ใน 2 ทาง คือ 1. การจราจรภาพในทางตํ่าลง ตัวอย่างเช่น บุคคลซึ่งเคยดำรง ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเปลี่ยนไปเป็นบุคคลธรรมดา ฯลฯ 2. การจราจรภาพในทางสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น สามัญชนไปแต่งงานกับเจ้านาย ฯลฯ

51. การควบคุมทางสังคมคืออะไร

(1) กรรมวิธีในการควบคุมไม่ให้สมาชิกแสดงพฤติกรรมฝืนสังคม

(2) กระบวนการในการสร้างกลไกป้องกันพฤติกรรมเบี่ยงเบน

(3) รูปแบบสถิตแห่งสังคม

(4) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 215 การควบคุมทางสังคม หมายถึง กรรมวิธีหรือกระบวนการต่าง ๆ ในการควบคุมสังคม เพื่อป้องกันพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนจากปกติหรือพฤติกรรมที่ฝืนสังคมมิให้เกิดขึ้น หรือป้องกัน มิให้พฤติกรรมดังกล่าวที่เกิดขึ้นแล้วมีผลเสียหายอย่างรุนแรงต่อสังคม

52. ตัวอย่างใดเป็นรูปแบบการอบรมขั้นปฐมภูมิ (Primary Socialization)

(1) ครอบครัวอบรมสั่งสอนเรื่องหน้าที่ในสังคมให้กับสมาชิก

(2) หน่วยงานจัดอบรมความรู้และทักษะเฉพาะตำแหน่งให้พนักงาน

(3) โรงเรียนจัดหลักสูตรพระพุทธศาสนาในชีวิตประจำวันให้นักเรียน

(4) กรรมกรรวมกลุ่มกันเพื่อเรียกร้องให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างสูงขึ้น

ตอบ 1 หน้า 241 การอบรมทางสังคม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. การอบรมขั้นปฐมภูมิ (Primary Socialization) เริ่มตั้งแต่ครอบครัวทำหน้าที่ให้การอบรม สั่งสอนเด็กในเรื่องความรัก หน้าที่ และสิทธิต่าง ๆ เพื่อให้เด็กเข้ากับคนอื่น ๆ ในสังคมได้

2. การอบรมขั้นทุติยภูมิ (Secondary Socialization) จะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลได้ผ่านกระบวนการ อบรมทางสังคมขั้นปฐมภูมิแล้ว และต้องการเข้ากลุ่มสังคมหรือเปลี่ยนสภาพทางสังคม

53. ตัวเลือกใดเป็นการควบคุมทางสังคมที่เป็นกลไกทางวัฒนธรรม

(1) สถานภาพและบทบาท

(2) การถอนตัว (3) การบังคับใช้ (4) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 222 – 223 กลไกทางวัฒนธรรมที่ใช้ในการควบคุมทางสังคม ประกอบด้วย

1. บรรทัดฐาน ได้แก่ กฎหมาย ข้อบังคับ ข้อห้าม อารีต ประเพณี วิถีประชา (เช่น มารยาท ทางสังคมต่าง ๆ หรือสมบัติผู้ดี) ฯลฯ 2. การบังคับใช้ 3. สถานภาพและบทบาท

4. การเข้ากลุ่มและการเข้าสังคม 5. ความแตกต่างทางสังคมและขั้นทางสังคม

54. ข้อใดเป็นการควบคุมทางสังคมที่เป็นกลไกการใช้อุบาย

(1) การใช้เทคโนโลยี

(2) การใช้กฎระเบียบ ข้อบังคับ (3) การใช้ถ้อยคำภาษา (4) การใช้คนจำนวนมากต่อรอง

ตอบ 3 หน้า 234 กลไกกลอุบายที่ใช้ในการควบคุมทางสังคม แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ

กลอุบายที่ใช้ถ้อยคำภาษา และกลอุบายที่ไม่ใช้ถ้อยคำภาษา

55. ข้อใดคือตัวอย่างของวิธีการควบคุมทางสังคมที่เป็นสัญลักษณ์เชิงปฎิฐาน

(1) การให้รางวัลเป็นเงิน (2) การลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ไร้คุณธรรม

(3) การให้อำนาจ (4) การให้เหรียญตรา

ตอบ 4 หน้า 217 วิธีการควบคุมทางสังคมที่เป็นสัญลักษณ์เชิงปฏิฐาน (เชิงบวก) ได้แก่ การซุบซิบในทางดี การจูงใจและการโฆษณาชวนเชื่อ การโฆษณา การยกย่องสรรเสริญเยินยอ และการให้ เหรียญตราเกียรติยศที่เป็นสิ่งแสดงสถานภาพที่สูงขึ้น เช่น การมอบครื่องราชอิสริยาภรณ์ ฯลฯ

56. สังคมวิทยาการเมืองเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวิชาใด

(1) สังคมวิทยากับภูมิศาสตร์

(2; สังคมวิทยากับรัฐศาสตร์ (3) สังคมวิทยากับปรัชญา (4) สังคมวิทยากับมานุษยวิทยา

ตอบ 2 หน้า 247 สังคมวิทยาการเมือง เป็นศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับวิชาสังคมวิทยาและรัฐศาสตร์โดยสังคมวิทยาเน้นศึกษาถึงพฤติกรรมความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มสังคม ส่วนรัฐศาสตร์เน้นศึกษาถึงพฤติกรรมทางการเมืองของมนุษย์ การปกครอง การใช้อำนาจ และสภาวะทางการเมืองที่มีผลต่อรัฐหรือประเทศหรือสังคมโดยส่วนรวม

57. สังคมที่พัฒนาแล้ว เช่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา มักใช้การจัดองค์กรทางการเมืองแบบใด

(1) อนาธิปไตย (2) สังคมนิยม (3) ประชาธิปไตย (4) ประธานาธิปไตย

ตอบ 3 หน้า 442 – 443, (คำบรรยาย) ลักษณะวัฒนธรรมในสังคมตะวันตกหรือสังคมที่พัฒนาแล้ว ดังเช่นประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปและดินแดนที่ชาวยุโรปอพยพไปตั้งถิ่นฐาน เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฯลฯ มักจะให้ความสำคัญกับระบอบประชาธิปไตย ยกย่อง ผู้ประสบความสำเร็จด้วยตนเอง เน้นความสำคัญของตัวบุคคล (Individualism) มีประชาธิปไตย ทำงานตามระเบียบกฎเกณฑ์หรือหน้าที่อย่างเคร่งครัด และนิยมวัตถุ (Materialism)

58. ข้อใดคือปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมทางการเมือง

(1) การออกเสียงเลือกตั้ง (2) การมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเมือง

(3) การสนับสบุนหรือคัดค้านทางการเมือง (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 248 สังคมวิทยาการเมืองศึกษาถึงปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อพฤติกรรมทางการเมือง เช่น การออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง ส.ส. การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง การเข้าร่วม กิจกรรมทางการเมือง รวมทั้งการสนับสนุนหรือคัดค้านกลุ่มการเมืองและพรรคการเมือง ฯลฯ

59. ข้อใดไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในยุโรปสมัยกลาง

(1) ศาสนา รัฐ และลังคมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

(2) ศาสนจักรครองอำนาจทางการเมืองและอำนาจทางศาสนา

(3) การถกเถียงเกี่ยวกับสังคมและรัฐว่าใครควรมีอำนาจมากกว่ากัน

(4) แนวคิดเรื่องพลเมือง (Citizen) ยังไม่เกิดขึ้น

ตอบ 4 หน้า 248 – 249 ในสมัยกลางของยุโรปซึ่งเป็นยุคของการรวมตัวกันเป็นจักรวรรดิ พระเป็น ผู้มีบทบาทสำคัญมากทั้งทางโลก (อาณาจักร) และทางธรรม (ศาสนจักร) ซึ่งทั้ง 2 องค์กรนี้ รวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มิได้แยกจากกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า พระในศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะสันตะปาปามีบทบาทมากทั้งทางสังคม การเมืองการปกครอง และการศาสนา มีหน้าที่ควบคุมดูแลประชาชน และบริหารงาบบ้านเมืองไปด้วยในขณะเดียวกัน ต่อมาได้มีการถกเถียงเกี่ยวกับสังคมและรัฐว่าใครควรมีอำนาจมากกว่ากัน ดังนั้นสังคมวิทยาการเมือง จึงพยายามเข้ามามีบทบาทในการประสานและยุติข้อถกเถียง โดยนำเอาศาสตร์ทางด้าน สังคมวิทยาและรัฐศาสตร์มาศึกษาพิจารณาประกอบกัน

60. ตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) ความขัดแย้งที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมคือตัวเลือกใด

(1) ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ (2) ความขัดแย้งระหว่างเพศ

(3) ความขัดแย้งระหว่างอาชีพ (4) ความขัดแย้งระหว่างชนชั้น

ตอบ 4 หน้า 250, 320 – 322 ตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางสังคม คือ ความขัดแย้งระหว่างชนชั้น โดยสังคมจะปราศจากการขัดแย้งก็ต่อเมื่อเป็น สังคมคอมมิวนิสต์ที่แท้จริง นั่นคือ ไม่มีรัฐ ไม่มีรัฐบาล เพราะตราบใดที่มีรัฐนั่นก็จะหมายถึง มีการใช้อำนาจรัฐบังคับกดขี่

61. พฤติกรรมฝูงชนเกิดจากอะไร

(1) กลุ่มคนที่ขาดระเบียบอย่างทันทีทันใด

(2) สมากชิกลุ่มมีความผูกพันกันมากเกินไป

(3) ใช้บรรทัดฐานทางสังคมที่เข้มงวดเกินไป

(4) สมาชิกกลุ่มมีความคาดหวังสูง

ตอบ 1 หน้า 253 พฤติกรรมฝูงชน เป็นปรากฏการณ์หนึ่งทางสังคม เป็นพฤติกรรมที่เป็นไปเอง โดยปกติวิสัย ซึ่งเกิดจากกลุ่มคนที่ขาดระเบียบอย่างทันทีทันใด โดยไม่มีการวางแผน และ ไม่ได้มีการคาดหมายหรือทำนายไว้ไล่วงหน้า แต่สภาวการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมขณะนั้นส่งเสริม

62. ฝูงชนที่บ้าคลั่ง (Mob) มีลักษณะอย่างไร

(1) มีสถานการณ์ให้เกิดความตื่นเต้น

(2) มีจุดสนใจอยู่ที่สิ่งเร้าภายนอก

(3) มีการแสดงออกถึงพฤติกรรมรุนแรง

(4) มีจุดประสงค์สร้างแบบแผนใหม่

ตอบ 3 หน้า 256 ฝูงชนที่บ้าคลั่ง (Mob) เป็นฝูงชนที่ถูกกระตุ้นหรือเร้าอารมณ์ให้แสดงออกถึง พฤติกรรมที่ก้าวร้าว รุนแรง เชิงทำลาย และเร่งด่วนในการปฏิบัติการ โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อระบายความเครียด ความอัดอั้นตันใจ ความเคียดแค้น และความกลัว

63. ในสถานการณ์ที่ทำให้เกิดตกใจกลัว เช่น นํ้าท่วม ก่อให้เกิดฝูงชนประเภทใด

(1) Riot

(2) Orgy

(3) Panic

(4) Audience

ตอบ 3 หบ้า 257 ฝูงชนที่แตกตื่น (Panic) เป็น Mob หรือฝูงชนที่บ้าคลั่งประเภทที่ตื่นตกใจกลัว การระบาดทางอารมณ์เกิดขึ้นโดยไม่ต้องมีสิ่งเร้า เพราะสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดจะทำให้เกิด ความตื่นกลัวโดยไม่ได้คาดเอาไว้ล่วงหน้า เช่น ไฟไหม้ เรือล่ม นํ้าท่วม ฯลฯ โดยสเมลเซอร์ (Smelser) เป็นนักสังคมวิทยาที่กล่าวว่า “ฝูงชนที่แตกตื่นเป็นฝูงชนที่รู้สึกตัวว่าอยู่ในอันตราย อันยิ่งใหญ่ ไม่มีทางหนี หรือมีทางหนีมากมายแต่หนีไม่ได้”

64. ฝูงชนแสดงออก (Expressive Crowd) มีชื่อเรียกอย่างอื่นว่าอะไร

(1) ฝูงชนลงประชาทัณฑ์ (2) ฝูงชนเต้นรำ

(3) ม็อบ (4) ฝูงชนลงมือกระทำ

ตอบ 2 หน้า 256 ฝูงชนแสดงออก (Expressive Crowd) เป็นฝูงชนที่แสดงออกถึงอารมณ์ที่ตื่นเต้น สนุกสนาน เฮอา ป่าเถื่อน และมัวเมา เช่น การเต้นรำ กระทืบเท้า หรือปรบมือให้จังหวะ และ การมั่วสุมทางเพศ ฯลฯ ซึ่งฝูงชนประเภทนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ฝูงชนเต้นรำ (Dancing Crowd)

65. การรุมประชาทัณฑ์เป็นพฤติกรรมฝูงชนประเภทใด

(1) Orgy (2) Lynching Mob

(3) Audience (4) Convention

ตอบ 2 หน้า 256 – 257 ประเภทของฝูงชนที่บ้าคลั่งหรือฝูงชนวุ่นวาย (Mob) สามารถแบ่งออก ตามจุดประสงค์และความรุนแรง ได้ดังนี้

1. Lynching Mob เช่น การรุมประชาทัณฑ์ การจับผู้ที่คิดว่ากระทำผิดแขวนคอ ฯลฯ

2. การจลาจล (Riot) เช่น การจลาจลด้านเชื้อชาติ ศาสนา และความยุติธรรม ฯลฯ

3. Orgy เช่น การมั่วสุมทางเพศ การคลั่งเต้นรำ กินเหล้า ฯลฯ

4. ฝูงชนที่แตกตื่น (Panic) เช่น ไฟไหม้ เรือล่ม นํ้าท่วม ฯลฯ

66. คำกล่าวที่ว่า “มนุษย์เกิดความคับแค้นเพราะมีความต้องการมากแต่สมปรารถนาน้อย” เป็นคำกล่าว ที่บ่งถึงสิ่งใด *

(1) สาเหตุของปัญหาสังคม (2) ประเภทปัญหาสังคม

(3) แนวทางแก้ไขปัญหาสังคม (4) แนวทางป้องกันปัญหาสังคม

ตอบ 1 หน้า 261, (คำบรรยาย) อุดม โปษะกฤษณะ ได้กล่าวถึงสาเหตุของปัญหาสังคมไว้ว่าความรุนแรงและความคุกรุ่นของคนต่อป่ญหาต่าง ๆ จะแอบแฝงอยู่กับผู้ที่มีความคับแค้น เพราะมีความต้องการมากแต่ได้รับความสมปรารถนาน้อย การจะบรรเทาเบาบางปัญหาหรือ ลดปัญหาต่าง ๆ ลง คนเราจะต้องตัดไฟความปรารถนา ตัณหา ความโลภ และพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่

67. ปัญหาสังคมได้แก่ตัวเลือกใด

(1) ความยากจน และการแบ่งชนชั้น

(2) การว่างงาน และการแบ่งวรรณะ

(3) การแบ่งชนชั้น และการฉ้อราษฎร์บังหลวง

(4) ความยากจน การว่างงาน และการฉ้อราษฎร์บังหลวง

ตอบ 4 หน้า 262, (คำบรรยาย) ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มีทัศนะว่า ปัญหาสังคมของไทยในปัจจุบัน จะเกี่ยวพันประดุจลูกโซ่ สิ่งแรกที่เป็นปัญหาสังคมของไทยคือ ปัญหาชลประทาน ตามมาด้วย ปัญหาระบบการเกษตร การว่างงาน การบุกรุกป่าสงวน อัตราการเกิดสูง ป็ญหาการลงทุน ฯลฯ นอกจากนี้ปัญหาสังคมของไทยยังได้แก่ ปัญหาความยากจน และการฉ้อราษฎร์บังหลวง ฯลฯ

68. การนำเสื้อผ้าอาหารไปแจกผู้ประสบภัยน้ำท่วมเป็นการแก้ไขป้ญหาสังคมแบบใด

(1) แบบย่อย (2) แบบรวมถ้วนทั่ว (3) แบบวางแผน (4) แบบป้องกัน

ตอบ 1 หน้า 261 แนวทางในการแก้ไขปัญหาสังคม แบ่งออกเป็นหลักใหญ่ ๆ ได้ 2 ประการ คือ

1. การแก้ไขปัญหาแบบย่อย (Piecemeal) เป็นการแก้ป้ญหาระยะสั้นหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยไม่มีการวางแผนมาก่อน เช่น การแก้ปัญหาความยากจน ความอดอยากขาดแคลน และช่วยผู้ประสบภัยด้วยการแจกสิ่งของ เสื้อผ้า อาหาร และยารักษาโรค ฯลฯ

2. การแก้ไขปัญหาแบบรวมถ้วนทั่ว (Wholesale) เป็นการแก้ปัญหาระยะยาวแบบมีการวางแผน มาก่อน (แก้ปัญหาที่ต้นตอหรือสาเหตุของปัญหา) มีการประเมินผล มีการตรวจสอบ และ ปัญหานั้น ๆ จะไม่เกิดขึ้นมาอีก เช่น การแก้ปัญหาความยากจนด้วยการฝึกอาชีพให้ ฯลฯ

69. ปัญหาใดสัมพันธ์กับความไม่เสมอภาคและโอกาสในการทำมาหากิน ทำให้เกิดการขาดแคลนปัจจัย ในการดำรงชีพ

(1) โรคจิตโรคประสาท (2) ยาเสพติด (3) การทำแท้ง (4) ความยากจน

ตอบ 4 หน้า 268 ความยากจน หมายถึง การขาดแคลนปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิต ความรู้สึกไม่พอใจในสภาพความเป็นอยู่ของตนในปัจจุบันที่มีสภาพแร้นแค้น การกินอยู่อดอยาก ไม่มีความสุขสบายเท่าที่ควร ซึ่งสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของปัญหาความยากจนเกิดจากความไม่เสมอภาคและโอกาสในการทำมาหากิน จึงทำให้เกิดการขาดแคลนปัจจัยในการดำรงชีพ

70. ตัวเลือกใดเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหายาเสพติด

(1) การรักษาโดยวิธีหักดิบ (2) การพักฟื้นทางกาย ใจ และฝึกอาชีพ

(3) การติดตามผล (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 275 แนวทางการแก้ไขปัญหายาเสพติด มีดังนี้

1. รักษาโดยใช้วิธีหักดิบ หรือใช้วิธีให้ยาเมทาดัน หรือใช้สมุนไพร หรือการให้สัจจะ

2. ระยะพักฟื้น มีการพักฟื้นร่างกาย ฟื้นฟูจิตใจ ช่วยแก้ป้ญหาให้ และฝึกอาชีพให้

3. ระยะติดตามผล ติดตามดูว่าหลังจากรับการบำบัดแล้ว ผู้ติตยาหันไปเสพอีกหรือไม่

71. เกณฑ์ใดใช้จำแนกชนกลุ่มน้อย

(1) เชื้อชาติ

(2) วัฒนธรรม

(3) กลุ่มโลหิต

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 286 – 287 เกณฑ์ที่ใช้จำแนกชนกลุ่มน้อยพิจารณาได้จากองค์ประกอบ 3 ลักษณะ คือ

1. องค์ประกอบด้านเชื้อชาติ/เผ่าพันธ์/ชาติพันธ์ (Race) ซึ่งเป็นความแตกต่างด้านพันธุ์กรรมที่แสดงออกมาเป็นลักษณะทางกายภาพ เช่น รูปร่าง สีผม สีผิว (ได้แก่ ผิวขาวหรือคอเคซอยด์ ผิวเหลืองหรือมองโกลอยด์ ผิวดำหรือนิกรอยด์)

2. ความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ยึดถือปฏิบัติ (Ethnicity) เช่น ภาษา ศาสนา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี รูปแบบความสัมพันธ์ การจัดลำดับขั้นทางสังคม ฯลฯ

3. ความแตกต่างของกลุ่มโลหิต (Blood Group) ซึ่งถูกกำหนดโดยพันธุกรรม แต่เนื่องจาก เป็นเกณฑ์ที่ไม่สะดวกในการนำมาใช้ปฏิบัติจึงไม่เป็นที่นิยมใช้กัน ส่วนใหญ่จึงพิจารณา จากเกณฑ์ที่ 1 และ 2 เป็นสำคัญ

72. ชนกลุ่มน้อยมีความหมายตรงข้ามกับตัวเลือกใด

(1) กลุ่มอาณานิคม

(2) กลุ่มใต้ครอบครอง

(3) กลุ่มอิทธิพล

(4) กลุ่มผลประโยชน์

ตอบ 3 หน้า 285 ชนกลุ่มน้อย (Minority Group) หรือชนต่างวัฒนธรรม หมายถึง กลุ่มชนที่มีการ ยึดถือวัฒนธรรมในรูปแบบที่แตกต่างไปจากชนกลุ่มใหญ่ (Majority Group) หรือกลุ่มอิทธิพล (Dominant Group) และเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดในเรื่องจำนวน นักวิชาการบางท่าน จึงเรียกชนกลุ่มใหญ่ว่า “กลุ่มครอบครอง” และเรียกชนกลุ่มน้อยว่า “กลุ่มใต้ครอบครอง” เพราะชนกลุ่มใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลและมีบทบาททั้งทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ดังนั้นชนกลุ่มใหญ่จึงเป็นผู้ที่กำหนดว่ากลุ่มใดเป็นชนกลุ่มน้อย เช่น ชนกลุ่มน้อยที่อพยพเข้ามาอาศัยรวมอยู่กับเจ้าของถิ่นหรือเจ้าของประเทศจัดเป็นชนกลุ่มน้อย ส่วนเจ้าของถิ่นหรือ เจ้าของประเทศจัดเป็นชนกลุ่มใหญ่ ฯลฯ

73. คอเคซอยด์ มองโกลอยด์ และนิกรอยด์ เกี่ยวข้องกับเกณฑ์การจำแนกชนกลุ่มน้อยแบบใด

(1) องด์ประกอบชาติพันธุ์ (2) อารยันและไมใช่อารยัน

(3) ความแตกต่างทางวัฒนธรรม (4) ความแตกต่างกลุ่มโลหิต

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 71. ประกอบ

74. ตัวอย่างใดเป็นความรู้สึกชาติพันธุ์นิยมที่เกิดภายในกลุ่มสมาชิกของชนกลุ่มน้อย

(1) คนนิโกรเรียกตัวเองว่าอาฟโรอเมริกัน (2) คนจีนถูกเรียกว่าเจ๊ก

(3) คนอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นถูกเรียกว่าแจ๊ป (4) คนอินเดียถูกเรียกว่าแขก

ตอบ 1 หน้า 287 – 288 ภายในหมู่ชนกลุ่มน้อยและชนกลุ่มใหญ่ อาจเกิดความรู้สึกที่เรียกว่า การมีอคติต่อเชื้อชาติหรือชาติพันธุนิยม (Ethnocentrism) โดยจะแสดงพฤติกรรมดังนี้

1. อคติของชนกลุ่มใหญ่ที่มีต่อชนกลุ่มมน้อย ด้วยการขนานนามกลุ่มอื่นในทางที่ไม่ดี เช่น คนจีนถูกเรียกว่า เจ๊ก, คนอินเดียถูกเรียกว่า แขก, พวกนิโกรถูกเรียกว่า นิกเกอร์,คนญวนถูกเรียกว่า แกว, คนอเมริกันเชื้อสายญี่ป่นถูกเรียกว่า แจ๊บ ฯลฯ

2. อคติของชนกลุ่มน้อยที่มีต่อชนกลุ่มใหญ่ ดัวยการเรียกกลุ่มของตนในทางที่ดี เช่น คนนิโกร เรียกกลุ่มของตนเองว่า อาฟโรอเมริกัน, คนอเมริกาเชื้อสายเม็กซิกันเรียกตนเองว่า ชิคาโน ฯลฯ

75. ประเทศไทยใช้นโยบายใดในการแก้ไขปัญหาชาวเขา

(1) การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม (2) การแยกพวก

(3) การยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม (4) การผสมผสานชาติพันธุ์

ตอบ 1 หน้า 299 การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม (Assimilation) เป็นนโยบายที่ประเทศไทยใช้ใน การแกไขปัญหาขาวเขา ซึ่งมีข้อดีคือ ทำให้เกิดความเข้าใจและใกล้ชิดติดต่อกันมากขึ้น ทำให้ ชาวเขาไม่เกิดความรู้สึกแตกแยกโดดเดี่ยว และทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคม

76. ตามแนวคิดของริสแมน (Riesman) รูปแบบการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยเป็นอย่างไร

(1) เปลี่ยนแปลงจากผู้อื่นนำสู่ประเพณีนำ (2) เปลี่ยนแปลงจากประเพณีนำสู่สำนึกนำ

(3) เปลี่ยนแปลงจากผู้อื่นนำสู่สำนึกนำ (4) เปลี่ยนแปลงจากประเพณีนำสู่ผู้อื่นนำ

ตอบ 4 หน้า 331 – 332 รูปแบบสังคมตามทัศนะของริสแมน (Riesman) แบ่งเป็น 3 รูปแบบและ เปลี่ยนแปลงเป็นขั้นตอนดังนี้ 1. สังคมประเพณีนำ 2. สังคมสำนึกนำ 3. สังคมผู้อื่นนำ ซึ่งสังคมอเมริกันจะเป็นไปตามรูปแบบที่ริสแมนได้กล่าวไว้ ส่วนสังคมไทยข้ามขั้นตอนจาก รูปแบบสังคมประเพณีนำไปสูสังคมผู้อื่นนำ โดยขาดขั้นสังคมสำนึกนำ

77. แนวคิดสำคัญของทฤษฎีวัฏจักรคืออะไร

(1) อารยธรรมจะพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง (2) อารยธรรมจะคงอยู่ตลอดกาล

(3) อารยธรรมเมื่อมีการรุ่งเรื่องกย่อมมีการล่มสลาย (4) มนุษย์เป็นผู้สร้างอารยธรรม

ตอบ 3 หน้า 309 – 312 ทฤษฎีวัฏจักร เป็นแนวคิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่กล่าวถึง การเปลี่ยนแปลงในเชิงวัฏจักรหรือการสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่เสมอ ไม่มีความถาวรของ ยุคใดยุคหนึ่งหรือสังคมใดสังคมหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อมีจุดเริ่มต้นก็ต้องมีจุดสิ้นสุด เมื่อถึงจุดสิ้นสุด ก็จะกลับมาจุดเริ่มต้น หรือเมื่อมีการเจริญรุ่งเรืองก็ย่อมมีการล่มสลาย และเมื่อมีการล่มสลาย ก็จะกลับมาเจริญรุ่งเรืองสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่เสมอ

78. แนวคิดของสเปนเซอร์ (Spencer) จัดอยู่ในทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีจิตวิทยาสังคม (2) ทฤษฎีวัฏจักร (3) ทฤษฎีการหน้าที่ (4) ทฤษฎีวิวัฒนาการ

ตอบ 4 หน้า 315 แนวคิดของสเปนเซอร์ (Spencer) จัดอยู่ในทฤษฎีวิวัฒนาการ โดยเขากล่าวถึง การวิวัฒนาการว่าเป็นเสมือนกระบวนการแห่งการเติบโต ทั้งนี้โดยการเปรียบเทียบสังคมว่า เป็นเสมือนสิ่งมีชีวิต

79. กระบวนการเปลี่ยนแปลง 3 ขั้นตอน “จุดยืน จุดแย้ง จุดยุบ” เป็นแนวความคิดของใคร

(1) มาร์กซ์ (Marx) (2) ทอยน์บี (Toynbee) (3) ค้องท์ (Comte) (4) พาร์สัน (Parson)

ตอบ 1 หน้า 320 – 321 ทฤษฎีการขัดแย้งเป็นแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ซึ่งได้อธิบาย การเปลี่ยนแปลงหรือปรากฏการณต่าง ๆ โดยกระบวนการ 3 อย่าง คือ

1. Thesis (จุดยืน) ได้แก่ สภาพที่เป็นอยู่แล้ว

2. Antithesis (จุดแย้ง) ได้แก่ สภาพที่ตรงข้ามหรือขัดแย้งกับสิ่งที่มีอยู่หรือเป็นอยู่แล้ว

3. Synthesis (จุดยุบ) ได้แก่ ผลแห่งการปะทะกันหรือขัดแย้งกันของ 2 กระบวนการแรก

80. การปกครองในทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) รูปแบบใด สังคมจึงหยุดเปลี่ยนแปลง

(1) ระบบสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ (2) ระบบทาสบรรพกาล

(3) ระบบศักดินา (4) ระบบนายทุน

ตอบ 1 หน้า 321 – 322 รูปแบบการเมืองการปกครองตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) มี 5 รูปแบบ ดังนี้

1. ระบบคอมมิวนิสต์ดั้งเดิม 2. ระบบทาสบรรพกาล 3. ระบบศักดินา

4. ระบบนายทุน (ทุนนิยม) 5. ระบบสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ (หยุดการเปลี่ยนแปลง)

81. ตามความคิดของเพลโต (Plato) “การเปลี่ยนแปลงจากราชาธิปไตย วีรชนาธิปไตย คณาธิปไตย ประชาธิปไตยและทุชนาธิปไตย” เป็นไปตามทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีการใช้อำนาจ

(2) ทฤษฎีวิวัฒนาการ

(3) ทฤษฎีวัฎจักร

(4) ทฤษฎีโครงสร้าง-หน้าที่

ตอบ 3 หน้า 310 – 311 ตามทฤษฎีวัฏจักรหรือการหมุนเวียนนั้น เพลโต (Plato) ได้แบ่งการเปลี่ยนแปลงของรัฐออกเป็น 5 ยุค ดังนี้ 1. อภิชนาธิปไตยหรือราชาธิปไตย 2. วีรชนาธิปไตย 3.คณาธิปไตย 4. ประชาธิปไตย 5. ทุชนาธิปไตย

82. ตัวเลือกใดเป็นสาเหตุจากภายนอกที่ทำให้สังคมชนบทเกิดการเปลี่ยนแปลง

(1) การแปรปรวนของธรรมชาติ

(2) การตาย

(3) การพัฒนา

(4) การอพยพย้ายถิ่น

ตอบ 3 หน้า 358 – 359 สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมชนบทเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ

1. ปัจจัยภายในสังคมชนบทเอง เช่น การเกิด การตาย การย้ายถิ่น การแปรปรวนของธรรมชาติ ผู้ร้ายหรือการสู้รบ การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ (ภูมิปัญญาชาวบ้านที่เกิดจากนวัตกรรม) ฯลฯ

2. ปัจจัยภายนอกสังคมชนบท เช่น การผสมผสานทางวัฒนธรรม การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม การคมนาคมติดต่อลี่อสาร การเลียนแบบ การขอยืมวัฒนธรรม การพัฒนา ฯลฯ

83. ในการพัฒนาชนบทต้องพัฒนาอะไรเป็นอันดับแรก

(1) การศึกษา (2) เศรษฐกิจ (3) สภาพแวดล้อม (4) คุณภาพของคน

ตอบ 4 หน้า 338 ใบการพัฒนาชนบทนั้น ต้องมุ่งพัฒนาคน (คุณภาพของคน) เป็นอันดับแรกและการพัฒนาคนนั้นต้องพัฒนาความคิดของเขา อะไรคือตัวบงการให้คนชนบทคิดเช่นนั้น ทำเช่นนั้น ค่านิยมหรือวัฒนธรรม ซึ่วการศึกษาสังคมชนบทจะช่วยให้เราเข้าใจได้

84. สังคมวิทยาชนบทมักศึกษาเปรียบเทียบวิชาใด

(1) สังคมวิทยาบ้านนา

(2) สังคมวิทยาการพัฒนา (3) สังคมวิทยาอุตสาหกรรม (4) สังคมวิทยานคร

ตอบ 4 หน้า 335, 363 สังคมวิทยาชนบทมักจะนิยมศึกษาเปรียบเทียบกับสังคมวิทยานครหรือสังคมวิทยานาครหรือสังคมวิทยาเมือง โดยจะศึกษาถึงความเกี่ยวพันกับสังคมเมือง เพราะปรากฏการณ์ในสังคมเมืองอาจจะส่งผลสะท้อนไปสู่ชนบท ทำให้ชนบทเปลี่ยนแปลงไป เป็นการหาวิธีเสริมสร้างชีวิตชนบทให้มั่นคง

85. การตั้งถิ่นฐานของชาวชนบทไทยส่วนมากมีลักษณะใด

(1) หมู่บ้านสหกรณ์ (2) นิคมสร้างตนเอง (3) หมู่บ้านเกษตรกรรม (4) หมู่บ้านเศรษฐกิจ

ตอบ 3 หน้า 346 การตั้งถิ่นฐานของชาวชนบทไทยส่วนมากมีลักษณะเป็นการตั้งถิ่นฐานที่ไม่มีการ วางแผน มีการตั้งถิ่นฐานแบบหมูบ้านเกษตรกรรม ซึ่งตั้งบ้านเรือนตามที่ลุ่มที่ดอน ที่เนิน ชายป่า ชายเขา ตามเส้นทางคมนาคม และตามริมฝั่งน้ำ

86. คุณสมบัติดั้งเดิมของชนบทคืออะไร

(1) ตั้งถิ่นฐานแบบโดดเดี่ยว (2) มีวิถีชีวิตคล้ายคลึงกัน

(3) ครอบครัวเป็นแหล่งผลิตและบริโภค (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 340 – 341, (คำบรรยาย) คุณสมบัติดั้งเดิมของชุมชนชนบท มีลักษณะดังนี้

1. ความโดดเดี่ยว (Isolation) มีการตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนกระจัดกระจายกันอยู่ตามไร่นา

2. ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Homogeneity) หรือความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นทั้งในด้าน เชื้อชาติ ขนบธรรมเนียมประเพณ์ และภูมิหลังทางวัฒนธรรม

3. การใช้แรงงานเพื่อการเกษตร (Agricultural Employment) มีวิถีชีวิตคล้ายคลึงกันหรือ มีความเหมือนในวิถีชีวิตความเป็นอยู่ ซึ่งจะเกี่ยวพันกับการเกษตรกรรมไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

4. การเศรษฐกิจเพื่อการบริโภค (Subsistence Economy) หรือเศรษฐกิจพอเพียง โดยครอบครัวจะเป็นทั้งหน่วยผลิตและหน่วยบริโภค มีทั้งปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์

87. นักวิชาการท่านใดได้รับการยกย่องว่าเป็นนักสังคมวิทยาชนบทคนแรกของโลก

(1) รัสเซลล์ (Russell) (2) เลอเปล (Le Play)

(3) เจฟเฟอร์สัน (Jefferson) (4) มาลินอฟสกี้ (Malinowski)

ตอบ 2 หน้า 336 ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักสังคมวิทยาชนบทคนแรกของโลกคือ เลอเปล (Le Play) นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส ซึ่งได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับครอบครัวชนบทและองค์การต่าง ๆ ในชนบท โดยการใช้หลักสังเกตการณ์ การเก็บและการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ด้วยวิธีการทาง วิทยาศาสตร์

88. ทฤษฎีใดกล่าวว่า “เมืองจะขยายตัวจากศูนย์กลางไปตามเส้นทางการคมนาคมขนส่ง”

(1) ทฤษฎีหลายศูนย์กลาง (2) ทฤษฎีรูปวงกลม

(3) ทฤษฎีรูปดาว (4) ทฤษฎีรูปสามเหลี่ยม

ตอบ 3 หน้า 374 ทฤษฎีรูปดาว (Star Theory) เป็นทฤษฎีการขยายตัวของเมืองเริ่มแรกที่เก่าแก่ที่สุด เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1903โดยอาร์.เอ็ม. เฮิร์ด (R.M. Hurd) ได้ศึกษาพบว่า “เมืองจะขยายตัว ออกจากศูนย์กลางไปตามเส้นทางการคมนาคมขนส่ง” ซึ่งทำให้เป็นรูปคล้ายดาวหรือแมงกะพรุน

89. ทฤษฎีการขยายตัวของเมืองในข้อใดเป็นทฤษฎีเริ่มแรก

(1) ทฤษฎีรูปดาว (2) ทฤษฎีรูปพาย (3) ทฤษฎีรูปสามเหลี่ยม (4) ทฤษฎีรูปคันธนู

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 88. ประกอบ

90. ตัวเลือกใดไม่ใช่การดำรงชีวิตแบบเมือง

(1) มีรายได้เป็นรายเดือน

(2) มีแบบแผนการใช้เวลา (3) มีอาชีพให้บริการ (4) มีความสัมพันธ์แบบปฐมภูมิ

ตอบ 4 หน้า 365 – 366, (คำบรรยาย) การดำรงชีวิตแบบเมือง ได้แก่ ไม่ได้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม(การเพาะปลูกอยู่กับดินทราย) อาชีพส่วนใหญ่จะเป็นอาชีพบริการ การค้าและอุตสาหกรรม ที่มีรายได้เป็นรายเดือน มีแบบแผนการใช้เวลา และมีความสัมพันธ์แบบทุติยภูมิ คือ มีความสัมพันธ์กันตามสถานภาพและบทบาท

91. เมืองไมอามี่ เป็นเมืองประเภทใด

(1) เมืองพักผ่อนตากอากาศ

(2) เมืองท่า

(3) เมืองศูนย์รวมการคมนาคมขนส่ง

(4) เมืองศูนย์กลางการขายส่งและปลีก

ตอบ 1 หน้า 370 – 371 เมืองซึ่งเกิดจากหน้าที่พิเศษ คือ เมืองที่เกิดขึ้นเนื่องจากการให้บริการ บางอย่าง เช่น เหมืองแร่ โรงงานอุตสาหกรรม หรือการพักผ่อน ฯลฯ หรือเป็นเมืองที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติเฉพาะอย่าง เช่น เมืองไมอามี่ (เป็นเมืองพักผ่อนตากอากาศ) สแกนตัน พิทส์เบิร์ก พัทยา ฯลฯ

92. ตามทัศนะของคูลีย์ (Cooley) ปัจจัยใดที่ก่อให้เกิดเมืองมากที่สุด

(1) การปกครองและศาสนา

(2) เหมืองแร่

(3) จำนวนประชากร

(4) เมื่อมีการหยุดพักขนสินค้า

ตอบ 4 หน้า 370 ปัจจัยที่ทำให้เกิดเมืองในทัศนะของคูลีย์ (Cooley) คือ การหยุดพักเพื่อขนส่งสินค้าโดยเขากล่าวว่า เส้นทางคมนาคมขนส่งไม่ได้ทำให้เกิดเมือง แต่เมื่อมีการหยุดพักเพื่อขนส่งสินค้า ก็จะทำให้เกิดเมือง ได้แก่ เมืองท่าบางเมือง เช่น ฮ่องกง และโคเปนเฮเกน ฯลฯ

93. “เยาวราช” จัดอยู่ในเขตใด

(1) เขตเมือง (2) เขตอุตสาหกรรม (3) เขตขานเมือง (4) เขตปริมณฑล

ตอบ 1 หน้า 382 – 383 พื้นที่ของกรุงเทพมหานคร แบ่งออกได้เป็น 3 เขตใหญ่ ๆ ดังนี้

1. เขตเมือง (Urban Area) ได้แก่ บริเวณอันเป็นที่ตั้งของสถานธุรกิจการค้าและบริการต่าง ๆ เช่น ถนนเจริญกรุง เยาวราช บางลำพู ราชประสงค์ ประตูน้ำ ฯลฯ

2. เขตชานเมือง (Suburban Area) ได้แก่ บริเวณรอบนอกของเขตในเมือง ฃึ่งมีประชากร อาศัยกันอยู่อย่างเบาบางกว่าในเขตเมือง และมักจะเป็นที่อยู่อาศัยมากกว่าย่านธุรกิจการค้า

3. เขตชนบท (Rural Area) ได้แก่ เขตที่ถัดจากชานเมืองออกไป ซึ่งมีประชากรประกอบอาชีพ เกษตรกรรม และมีวิถีซีวิตเช่นเดียวกับชาวชนบท

94. ตัวอย่างใดจัดอยู่ในระบบนิเวศน์แบบ Mature Natural Ecosystems

(1) สวนสาธารณะ (2) ภูเขา (3) ฟาร์ม (4) ทุ่งเลี้ยงสัตว์

ตอบ 2 หน้า 391 – 392 ระบบนิเวศน์ของมนุษย์ (มนุษยนิเวศวิทยา) แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ

1. Mature Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่อยู่ในสภาพธรรมชาติอย่างแท้จริง ไม่มีคนอยู่อาศัย เช่น ป่า ภูเขา ทะเลทราย ฯลฯ

2. Managed Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และดัดแปลง เช่น สวนสาธารณะ อุทยาน อุทยานแห่งชาติ ฯลฯ

3. Productive Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง เพื่อให้ได้ผลิตผลและทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ฟาร์ม ปศุสัตว์ เหมืองแร, ฯลฯ

4. Urban Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้อาศัยประกอบกิจการทำงานต่าง ๆ เช่น บริเวณย่านอุตสาหกรรม บริเวณเมืองเล็กและเมืองใหญ่ ฯลฯ

95. ระดับเสียงที่เหมาะสมกับสุขภาพของมนุษย์ควรอยู่ในระดับใด

(1)ไม่ควรเกิน 30 เดซิเบล

(2) ไม่ควรเกิน 40 เดซิเบล (3) ไม่ควรเกิน 50 เดซิเบล (4) ไม่ควรเกิน 85 เดซิเบล

ตอบ 4 หน้า 403 ระดับปกติของเสียงที่เหมาะสมกับสุขภาพของมนุษย์ควรจะอยู่ในระดับไม่เกิน85 เดซิเบล เพราะถ้าเกิน 85 เดซิเบล นับว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยในต่างประเทศได้ มีกฎหมายกำหนดระดับเสียงในโรงงานไม่ให้ดังเกิน 85 เดซิเบล

96. “ทะเลทราย” จัดเป็นระบบนิเวศน์ของมนุษย์ประเภทใด

(1) Mature Natural Ecosystems (2) Managed Natural Ecosystems

(3) Productive Natural Ecosystems (4) Urban Ecosystems

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 94. ประกอบ

97. พลังงานไฮโดรอิเล็กตริกเกิดจากอะไร

(1) การสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้า (2) ก๊าซธรรมชาติ

(3) แสงอาทิตย์ (4) นํ้ามัน

ตอบ 1 หน้า 395 พลังงานไฮโดรอิเล็กตริก เป็นพลังงานที่ได้จากทารสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งพลังงานนี้ถูกนำมาใช้ในโลกได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับพลังงานที่ได้จากนํ้ามัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้เพราะการสร้างเขื่อนมีข้อจำกัดอยู่ที่สถานที่ที่จะต้องเลือกใช้ และอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศของป่าไม้ได้

98. ปัญหาอากาศเสียเกิดจากสาเหตุใดมากที่สุด

(1) ขยะมูลฝอย (2) การขนส่ง (3) ยาปราบศัตรูพืฃ (4) อุตสาหกรรม

ตอบ 2 หน้า 399 สาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหามลภาวะจากอากาศเสียมากที่สุด คือ การขนส่ง 55% รองลงมา ได้แก่ โรงงานพลังงาน 17% อุตสาหกรรม 14% ขยะมูลฝอย 4% และอื่น ๆ 10%

99. วิชามานุษยวิทยาถือกำเนิดขึ้นในทวีปใด

(1) ลาตินอเมริกา (2) ยุโรป (3) แอฟริกา (4) เอเชีย

ตอบ 2 (คำบรรยาย) วิชามานุษยวิทยา (Anthropology) ถือกำเนิดขึ้นในสังคมยุโรป ประมาณปลาย- ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการล่าอาณานิคม โดยในระยะแรกนี้จะเน้นการศึกษาสังคมดั้งเดิม ที่ไม่ใช่สังคมของคนผิวขาวและสังคมตะวันตก เช่น สังคมดั้งเดิมของแอฟริกาและเอเชีย เป็นต้น

100. “มนุษย์ชวา มนุษย์ปักกิ่ง” เป็นตัวอย่างวิวัฒนาการของมนุษย์ในขั้นใด

(1) Australopithecines (2) Pithecanthropus Erectus

(3) Neanderthal Man (4) Cro-Magnon Man

ตอบ 2 หน้า 417 Pithecanthropus Erectus จะมีลักษณะเป็นมนุษย์ที่คล้ายกับวานรและเดินตัวตรง ตัวอย่างของมนุษย์วานรนี้ได้แก่ มนุษย์ชวา มนุษย์ปักกิง และมนุษย์ไฮเดลเบอร์ก ฯลฯ

101. ตัวเลือกใดเป็นตัวอย่างของสายสกุล Homo Sapiens

(1) มนุษย์

(2) ชิมแปนซี

(3) กอริลลา

(4) อุรังอุตัง

ตอบ 1 หน้า 409 คำว่า “มนุษย์” เป็นคำที่ใช้รียกสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง ซึ่งอยู่ในสายสกุลที่เรียกว่า Homo Sapiens อันเป็นสัตว์เลือดอุ่นจำพวก 2 มือ 2 เท้า ไม่มีหาง

102. กลุ่มชนใดที่ไม่ใช่กลุ่มชนที่นักมานุษยวิทยารุ่นบุกเบิกสนใจศึกษา

(1) คนป่าในคองโก

(2) คนพื้นเมืองในออสเตรเลีย

(3) อินเดียนแดงในอเมริกาเหนือ

(4) ชาวนาบนเกาะชวา

ตอบ 4 หน้า 423, (คำบรรยาย) กลุ่มชนที่นักมานุษยวิทยาในยุคบุกเบิกสนใจศึกษา คือ สังคมดั้งเดิม (Primitive Societies) หมายถึง สังคมที่มีโครงสร้างไม่สลับซับซ้อน มีการใช้เครื่องมือหรือ เทคโนโลยีแบบง่าย ๆ มีจำนวนคนในสังคมไม่มากนัก มีความรู้สึกนึกคิด/ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมเดียวกัน การแบ่งงานกันทำมีน้อย ตัวอย่างของสังคมชนิดนี้ เช่น พวกคนป่า ชาวเขา ชาวเกาะ พวกอินเดียนแดง คนพื้นเมืองในออสเตรเลีย ฯลฯ โดยสาเหตุที่นักมานุษยวิทยา ให้ความสนใจกลุ่มคนพวกนี้ก็เพราะสามารถศึกษาถึงต้นกำเนิดของวัฒนธรรมนั้น ๆ และ สามารถเข้าใจถึงหน้าที่ประโยชน์ของวัฒนธรรมแต่ละประเภทได้ง่าย

103. การศึกษาวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรมมีแนวทางอย่างไร

(1) ศึกษาสังคมอย่างเป็นองค์รวมและเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสังคม

(2) การศึกษาแบบมีส่วนร่วม (3) เน้นการออกแบบสอบถามและสุ่มตัวอย่าง

(4) เน้นการศึกษาเฉพาะกรณีหรือรายกรณี

ตอบ 4 หน้า 432 – 433 การศึกษาวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรม ตามปกตินักมานุษยวิทยาจะสนใจ ศึกษาสังคมเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ห่างไกลอารยธรรมที่เจริญ วิธีการศึกษามักจะนิยมศึกษาเฉพาะกรณี หรือรายกรณี (Case Study) ของแต่ละสังคม โดยเลือกสังคมที่ต้องการศึกษาแล้วเข้าไปอาศัย อยูในสังคมนั้นระยะเวลาหนึ่งด้วยตนเอง หรือที่เรียกว่าการศึกษางานสนาม โดยใช้เครื่องมือ ในการทดสอบแบบเฝ้าสังเกต การตีความหมาย และการเปรียบเทียบ

104. ตัวเลือกใดเป็นตัวอย่างของมนุษย์ชาติพันธุผิวเหลือง

(1) อียิปต์ จีน (2) อินเดียนแดง กรีก (3) กรีก อียิปต์ 14) จีน อินเดียนแดง

ตอบ 4 หน้า 420 มนุษย์ชาติพันธุผิวเหลือง (Mongoloid) แบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยได้ดังนี้

1. พวกมองโกลอยด์ อยู่แถบทวีปเอเชียตะวันออก เช่น จีน ทิเบต และมองโกเลีย

2. พวกอินเดียนแดง อยู่แถบทวีปอเมริกาเหนือและใต้

3. พวกเอสกีโม อยู่แถบเหนือสุดของทวีปอเมริกา (รัฐอลาสก้าและตอนเหนือของแคนาดา)

4. พวกมาลายัน เช่น มลายู ขวา ไทย และบาหลี

105. ตัวเลือกใดไม่ใช่ลักษณะวัฒนธรรมตะวันตก

(1) ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย (2) เน้นความสำคัญของตัวบุคคล

(3) เชื่อฟังผู้มีอำนาจ ผู้มีอาวุโส (4) นิยมวัตถุ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

106. ข้อใดคืออารยธรรมกระแสหลักของเอเชีย

(1) จีน (2) ญี่ปุน (3) อินเดีย (4) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 452 อารยธรรมกระแสหลักของเอเชีย ส่วนใหญ่แล้วรับมาจาก 2 แห่ง คือ

1. อารยธรรมจีน ได้รับอิทธิพลจากขงจื๊อ นิยมการทำตามประเพณี

2. อารยธรรมอินเดีย ได้รับอิทธิพลจากศาสนาต่าง ๆ ที่ถือกำเนิดจากอินเดีย

107. ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดการแบ่งช่วงชั้นทางสังคมในวัฒนธรรมอเมริกาใต้ สอดคล้องกับค่านิยมตามคำกล่าวใด

(1) ทองแท้ไม่แพ้ไฟ

(2) มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่ (3) เงินทองของนอกกาย (4) เงินคือพระเจ้า

ตอบ 2 หน้า 448 ชาวอเมริกาใต้มักมีคำขวัญทำนองไทย ๆ ว่า มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่หรือเงินทำให้ผิวคนขาวขึ้น ไพร่ดูเป็นผู้ดี คนไม่สวยดูเป็นคนสวย ความรํ่ารวยทำให้คนผิวดำ ชาวนิโกรผิวขาวขึ้น แลดูเป็นผู้ดีน่าคบหาสมาคม ส่วนคนผิวขาวที่ยากจน คือ คนผิวดำที่ได้รับ การรังเกียจกีดกันทั่วไป คนร่ำรวยมีอำนาจได้รับการยกย่อง

108. ตัวเลือกใดสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมอเมริกันน้อยที่สุด

(1) ฮ่องกงดีสนีย์แลนด์

(2) คำว่า Hot Dog, Freeway, Color (3) อาหารจานด่วน (4) วัฒนธรรมไวน์

ตอบ 4 (คำบรรยาย) วัฒนธรรมอเมริกัน หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถือกำเนิดและถูกถ่ายทอดมาจากอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นแนวทางการดำรงชีวีต ระเบียบประเพณี ค่านิยม ภาษาหรือ คำศัพท์ต่าง ๆ ตลอดจนอาหารการกินต่าง ๆ เช่น อาหารจานด่วน (Fast Food) คำว่า “Hot Dog”, “Freeway”, “Color” ภาพยนตร์ฮอลีวูด (Hollywood) สวนสนุกขนาดใหญ่ (Disneyland) ๆลฯ ส่วนวัฒนธรรมไวน์ เป็นวัฒนธรรมฝรั่งเศส

109. ชาวอินเดียนแดงในทวีปอเมริกาใต้เรียกตัวเองว่าอะไร

(1) อารยัน (2) อินคา (3) เซเมติก (4) นิกริโต

ตอบ 2 หน้า 446 วัฒนธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมในภูมิภาคอเมริกาใต้ (ลาตินอเมริกา) คือ สเปนและโปรตุเกส ซึ่งแต่เดิมนั้นประเทศในภูมิภาคนี้ได้รับวัฒนธรรมจากพวกอินเดียนแดง ที่เรียกตัวเองว่า อินคา หรือลูกพระอาทิตย์

110. ตัวเลือกใดคือลักษณะของภาพพิมพ์

(1) มักมีแนวโน้มในทางลบ (2) ภาพรวมของชนชาติใดชาติหนึ่ง

(3) เป็นภาพแบบเดียวกัน (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 457 ภาพพิมพ์ (Stereotype) คือ การมองภาพรวมหรืออุปนิสัยประจำชาติของชนชาติใดชาติหนึ่งว่ามีลักษณะเป็นภาพแบบเดียวกัน ซึ่งมักมีแนวโน้มถูกมองไปในทางลบ หรือเชิงนิเสธ เช่น ภาพพิมพ์ของคนบางชาติมีระเบียบวินัย, คนบางชาติอยู่สบาย ๆ ไม่ค่อย มีหลักเกณฑ์อะไรนัก, คนบางชาติ (เช่น อังกฤษ) เป็นคนประเภท “เก็บตัว” ไม่สนิทกับ คนแปลกหน้าได้ง่าย ฯลฯ

111. การมองภาพรวมหรืออุปนิสัยประจำชาติมักมีแนวโน้มไปลักษณะใด

(1) เชิงนิเสธ

(2) สร้างสรรค์

(3) เป็นกลาง

(4) เชิงปฏฐาน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 110. ประกอบ

112. ตัวเลือกใดเป็นการมองอุปนิสัยประจำชาติในเชิงนิเสธ

(1) คนแอฟริกันด้อยพัฒนา

(2) คนญี่ปุ่นมีวินัย

(3) คนไทยใจดี

(4) คนจีนค้าขายเก่ง

ตอบ 1 หน้า 461 – 462 การมองอุปนิสัยประจำชาติของชาติอื่นในทางนิเสธ เช่น

1. ชาวตะวันตกมักมองคนเอเชียและคนแอฟริกันว่าเป็นชาติด้อยพัฒนาไม่สนใจในความเจริญ

2. คนอเมริกันมักมองคนยุโรปโดยเฉพาะคนอังกฤษว่าเป็นคนหัวเก่า

3. คนอังกฤษและอเมริกันมักมองพวกลาติน สเปน อิตาลี อเมริกาใต้ ว่าเป็นพวกเชื่อถือไม่ได้ และเจ้าอารมณ์ ฯลฯ

113. ผู้ใดแต่งหนังสือเรือง “ดอกเบญจมาศและดาบ” เพื่อศึกษาอุปนิสัยประจำชาติ

(1) โบแอส (Boas) (2) มี้ด (Mead) (3) เบเนติกท์ (Benedict) (4) เวนย์ (Wayne)

ตอบ 3 หน้า 459 รุธ เบเนดิทท์ (Ruth Benedict) ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลอเมริกันให้ศึกษาลักษณะนิสัยของคนญี่ปุ่นซึ่งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีผลงานเชียนชื่อ “ดอกเบญจมาศ และดาบซามูไร” โดยเห็นว่า บุคลิกของคนญี่ปุ่นจะเป็นเสมือนดอกเบญจมาศและดาบซามูไร คือ จะอ่อนน้อมภายนอกแต่จะแข็งแกร่งภายใน

114. นัทวิชาการท่านใดให้ทัศนะว่า “คนไทยชอบสนุกและมีโครงสร้างทางบุคลิกภาพและทางสังคมหลวม ๆคือ ขาดวินัย”

(1) เอมบรี (Embree)

(2) ทอคเกอวิลล์ (Tocqueville) (3) คูเวียร์ (Cuvier) (4) บาร์เกอร์ (Barker)

ตอบ 1 หน้า 464 จอห์น เอมบรี (Embree) นักมานุษยวิทยาตะวันตก กล่าวว่า “คนไทยชอบสนุกและมีโครงสร้างทางบุคลิกภาพและทางสังคมหลวม ๆ คือ ขาดวินัย”

115. อุปสรรคในการศึกษาอุปนิสัยประจำชาติได้แก่อะไร

(1) ปรัชญาความเชื่อ (2) ความรู้สึกชาตินิยม (3) ชนกลุ่มน้อย (4) จำนวนประชากร

ตอบ 2 หน้า 461 ปัญหาหรืออุปสรรคในการศึกษาลักษณะอุปนิสัยประจำชาติประการหนึ่ง คือการมองและการตัดสินว่าสิ่งใดเป็นลักษณะอุปนิสัยประจำชาติของคนชาติอื่นเป็นไปอย่างผิวเผิน และมักมีอคติในใจ โดยเฉพาะในยุคที่ความรู้สึกชาตินิยมมีมาก หรือการมีความรู้สึกว่ากลุ่มตน ดีกว่ากลุ่มอื่น (Ethnocentrism) ย่อมทำให้เห็นว่าวัฒนธรรมชองชาติตนเองสูงกว่าชาติอื่น มองเห็นแต่ลักษณะนิสัยที่ไม่ดีของชาติอื่น และมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อให้เข้าได้กับ ความเชื่อเดิมของตน อันเป็นผลทำให้มีการดูถูกและเกิดการเข้าใจผิดกันระหว่างชาติ

116. การสังคมสงเคราะห์ถือกำเนิดขึ้นในประเทศใด

(1) อิตาลี (2) ฝรั่งเศส (3) เยอรมัน (4) อังกฤษ

ตอบ 4 หน้า 481 – 482, (คำบรรยาย) ประเทศอังกฤษนับว่าเป็นประเทศแรกที่ริเริ่มและถือเป็นแม่แบบ ในการจัดการสังคมสงเคราะห์ โดยจะเห็นได้จากการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับความผาสุก ของส่วนรวมเป็นลายลักษณ์อักษร เช่นในปี ค.ศ. 1601 พระนางเจ้าอสิซาเบธที่ 1ได้ทรง ออกกฎหมายเพื่อซ่วยเหลือคนจนที่เรียกว่า Elizabethan Poor Law ซึ่งถือเป็นกฎหมายแม่บท ในการวางรากฐานด้านการสังคมสงเคราะห์

117. องค์ความรู้ด้านใดที่นำมาประยุกต์ใช้ในงานสังคมสงเคราะห์

(1) เศรษฐศาสตร์ (2) รัฐศาสตร์ (3) จิตวิทยา (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 484 ในการดำเนินงานทางสังคมสงเคราะห์ย่อมเกี่ยวพันกับปัญหาหลายด้าน และต้อง อาศัยองค์ความรู้จากศาสตร์ต่างๆ นำมาประยุกต์ใช้ในงานสังคมสงเคราะห์ เช่น สังคมวิทยา จิตวิทยา เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ เป็นต้น

118. กฎหมายที่ถือว่าเป็นแม่บทของงานสังคมสงเคราะห์ในประเทศอังกฤษกำหนดให้ความช่วยเหลือบุคคลกลุ่มใด

(1) เด็กกำพร้า (2) คนยากจน (3) คนชรา (4) หญิงหม้าย

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 116. ประกอบ

119. ขั้นตอนการปฏิบัติงานของนักสังคมสงเคราะห์ ขั้นตอนใดที่จะได้ทราบว่า ผู้มีปัญหา (Client) มีความเป็นมา และประวัติอย่างไร มีปัญหาเดือดร้อนอะไร

(1) การหาข้อเท็จจริง (2) การวางแผน (3) การวิเคราะห์ (4) การประเมินผล

ตอบ 1 หน้า 488 – 489 ขั้นตอนการค้นคว้าหาข้อเท็จจริง เป็นขั้นตอนการปฏิบัติงานของ

นักสังคมสงเคราะห์ขั้นแรกที่จะต้องทำก่อนงานอื่นโดยพยายามรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้มีปัญหา (Client) ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมาหรือปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งข้อเท็จจริงที่ได้จะเป็นแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับปัญหาของ Client

120. วิธีการสังคมสงเคราะห์ข้อใดที่ใช้กิจกรรมเป็นสื่อในการพัฒนาความต้องการความสามารถของสมาชิก

(1) การสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย (2) การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม

(3) การพัฒนาชุมชน (4.) การจัดองค์การชุมชน

ตอบ 2 หน้า 483 การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม (Social Group Work) โดยนักสังคมสงเคราะห์จะเป็นผู้นำในการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งอาศัยกิจกรรมต่าง ๆ เป็นสื่อ เพื่อเป็นการพัฒนาความต้องการและความสามารถของสมาชิก

SOC1003 สังคมวิทยาและมนุษยวิทยาเบื้องต้น การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา SOC 1003 สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเบื้องต้น

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. นักปรัชญาท่านใดกล่าวว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม”

(1) เพลโต (Plato)

(2) อริสโตเติล (Aristotle)

(3) ค้องท์ (Comte)

(4) เวเบอร์ (Weber)

(5) มาร์กซ์ (Marx)

ตอบ 2 หน้า 1 อริสโตเติล (Aristotle) นักปรัชญาชาวกรีก ได้กล่าวไว้ว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” (Social Animal) หมายความว่า มนุษย์จะมีชีวิตอยู่รวมกันเป็นหมู่เหล่า มีความเกี่ยวข้อง และสัมพันธ์กันในหมู่มวลสมาชิก มีความจำเป็นต้องติดต่อและเกี่ยวข้องกับผู้อื่นอยู่เสมอ

2. การศึกษาก่อนที่วิชาสังคมวิทยากำเนิดขึ้นเป็นแบบใด

(1) ใช้หสักวิทยาศาสตร์

(2) ใช้สามัญสำนึก

(3) ใช้หลักการคาดคะเน

(4)ใช้หลักเหตุผล

(5) ใช้จิตใต้สำนึก

ตอบ 2 หน้า 2-3, (คำบรรยาย) การใช้สามัญสำนึก (Common Sense) ศึกษาสังคม เกิดขึ้น ในช่วงระยะเริ่มแรกก่อนที่วิชาสังคมวิทยาจะกำเนิดขึ้น คือ ก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ต่อมาในราวปลายศตวรรษที่ 18 (หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม) การศึกษาสังคมก็เปลี่ยน จากการใช้สามัญสำนึกมาเป็นวิทยาศาสตร์ทางสังคม (Social Sciense)

3. ผู้ที่พยายามทำให้ความรู้เกี่ยวกับคนและสังคมเป็นวิทยาศาสตร์ทางสังคมเป็นคนแรกคือผู้ใด

(1) ค้องท์ (Comte)

(2) ลีช (Leach)

(3) ริกกส์ (Riggs)

(4) เวเบอร์ (Weber)

(5) มาร์กซ์ (Marx)

ตอบ 1 หน้า 3 ค้องท์ (Comte) และสเปนเซอร์ (Spencer) เป็นนักคิดนักวิชาการกลุ่มแรกที่ได้พยายามทำให้องค์ความรู้เกี่ยวกับคนและสังคมให้กลายเป็น “วิทยาศาศตร์ทางสังคม” ขึ้นมา โดยพยายามใช้วิธีการศึกษาทุกขั้นตอนเหมือนกับการทดลองวิทยาศาสตร์ธรรมชาติในการ แสวงหาความรู้และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับมนุษย์และสังคมมนุษย์อย่างเป็นระบบ

4. ผู้แต่งหนังสือชื่อ Critique of Political Economy คือใคร

(1) ค้องท์ (Comte) (2) มาร์กซ์ (Marx) (3) เวเบอร์ (Weber)

(4) เดอร์ไคม์ (Durkheim) (5) สเปนเซอร์ (Spencer)

ตอบ 2 หน้า 7 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ได้มองสังคมในแง่ของการ“ขัดกัน” ของคนในสังคม โดยเขากล่าวไว้ในหนังสือชื่อ Critique of Political Economy ว่า การขัดกันระหว่างคน 2 กลุ่มในแต่ละสังคมเกิดขึ้นตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ กล่าวคือ สังคมเศรษฐกิจโบราณมีการขัดแย้งกันระหว่างทาสกับนายทาส ในสังคมเศรษฐกิจ สมัยกลางมีการขัดแย้งกับระหว่างข้าติดที่ดินกับเจ้าของที่ดิน และในสังคมเศรษฐกิจทุนนิยม มีการขัดแย้งกันระหว่างชนชั้นกรรมาชีพ (กรรมกร) กับนายทุน ซึ่งความขัดแย้งระหว่างชนชั้นนี้ จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม จนกระทั่งกลายเป็นสังคมนิยมและสังคมคอมมิวนิสต์

5. การศึกษาแบบ “สายใยพฤติกรรมเฉพาะกิจ” มีพื้นฐานมาจากทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีการแข่งขัน (2) ทฤษฎีความขัดแย้ง (3) ทฤษฎีโครงสร้าง

(4) ทฤษฎีหน้าที่ (5) ทฤษฎีดุลยภาพทางสังคม

ตอบ 1 หน้า 7-8 วิธีการศึกษาแบบ “สายใยของพฤติกรรมเฉพาะกิจ” เป็นทฤษฎีที่พยายามจะหลีกเลี่ยงการศึกษาสังคมโดยเน้นแบบแผนของพฤติกรรมของคนทั้งสังคมว่าเป็นแบบใดแบบหนึ่ง ตามกฎเกณฑ์ของสังคมที่วางไว้ ซึ่งทฤษฎีนี้มีพื้นฐานมาจาก “ทฤษฎีการแข่งขัน’’

6. คำว่า Socius กับ Logos ที่นำมาผสมกันเป็น Sociology มีรากศัพท์มาจากภาษาใด

(1) เยอรมันกับกรีก (2) เยอรมันกับละติน (3) ละตินกับกรีก

(4) กรีกกับอังกฤษ (5) ละตินกับอังกฤษ

ตอบ 3 หน้า 16 Sociology (สังคมวิทยา) มาจากศัพท์ 2 คำ คือ คำว่า Socius ซึ่งเป็นภาษาละติน มีความหมายว่า “เพื่อน” (Companion) และคำว่า Logos ซึ่งเป็นภาษากรีก มีความหมายว่า “ถ้อยคำ” (Word) เมื่อรวมคำทั้ง 2 เข้าด้วยกันก็จะแปลว่า การพูดคุยเกี่ยวกับสังคม

7. ข้อใดไม่ใช่สาระของวิชาสังคมวิทยา

(1) ความสัมพันธ์ของบุคคล (2) สังคมมนุษย์ (3) สถาบันทางสังคม

(4) รากศัพท์ของภาษาพูด (5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 21-22 สาระของวิชาสังคมวิทยาจะศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ดังนี้

1. ความสัมพันธ์ของบุคคลในสังคม เช่น ระหว่างสามีภริยา มารดากับบุตร พี่กับน้อง ฯลฯ

2. สังคมมนุษย์ทั้งสังคม เช่น โครงสร้างของสังคม ลักษณะภายในของสังคม ฯลฯ

3. สถาบันทางสังคม เช่น สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา ฯลฯ

8. ข้อใดเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดวิชาสังคมวิทยา

(1) การปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป (2) ชาวชนบทอพยพเข้าเมือง

(3) ชาวไร่ชาวนากลายเป็นกรรมกร (4) ชนบทกลายเป็นเมือง (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 17 องค์ประกอบสำคัญที่ทำให้เกิดวิชาสังคมวิทยา คือ ผลสะท้อนของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป ทำให้โครงสร้างของสังคมตะวันตกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ได้แก่ ชาวชนบทอพยพเคลื่อนย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง ชาวไร่ชาวนากลายเป็นกรรมกร และ หมู่บ้านชนบทกลายเป็นเมือง

9. คาสตร์สาขาใดเกิดขึ้นพร้อมกับสังคมวิทยา

(1) วิทยาศาสตร์

(2) โหราคาสตร์ (3) จิตวิทยา (4) รัฐคาสตร์ (5) ปรัชญา

ตอบ 3 หน้า 16 จุดเริ่มแรกของสังคมวิทยาในปลายคริสต่คตวรรษที่ 18 และคริสติศตวรรษที่ 19 ก็คือ วิทยาคาสตร์ได้เกิดขึ้นมาใหม่พร้อมกัน 2 สาขา ได้แก่

1. จิตวิทยา (Psychology) ซึ่งเป็นศาสตร์ว่าด้วยพฤติกรรมของมนุษย์

2. สังคมวิทยา (Sociology) ซึ่งเป็นศาสตร์เกี่ยวกับสังคมมนุษย์

10. เวเบอร์ (Weber) เป็นนักสังคมวิทยาชนชาติใด

(1) ฝรั่งเศส

(2) อังกฤษ (3) เยอรมัน (4) สเปน (5) ออสเตรีย

ตอบ 3 หน้า 20 เวเบอร์ (Weber) เป็นนักสังคมวิทยาชาวเยอรมันที่สนับสนุนการใช้วิธีการศึกษาที่ เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า “แวร์สเตเฮน” (Verstehen) แปลว่า Understanding (ความเข้าใจ) ซึ่งเป็นวิธีการที่เน้นความเข้าใจรวม ๆ กันมากกว่าในรายละเอียดของปรากฏการณ์ทางสังคม

11. สาขาวิขาใดเป็นศาสตร์บริสุทธิ์

(1) บริหารธุรกิจ

(2) สังคมสงเคราะห์

(3) แพทยศาสตร์

(4) สังคมวิทยา

(5) วิศวกรรมศาสตร์

ตอบ 4 หน้า 14 วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ได้แก่ ฟิสิกส์ ดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ เคมี ชีววิทยา รัฐศาสตร์ เศรษฐคาสตร์ สังคมวิทยา ฯลฯ (ส่วนวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ได้แก่ วิศวกรรมศาสตร์ การบัญชี เภสัชกรรม แพทยศาสตร์ การเมือง กฎหมาย บริหารธุรกิจ การสังคมสงเคราะห์ ฯลฯ)

12. ทฤษฎีสัญญาสังคมเชื่อว่า เดิมมนุษย์มีสภาพความเป็นอยู่อย่างไร

(1) อยู่รวมกันเป็นสังคมเหมือนปัจจุบัน

(2) ไม่ได้อยู่รวมกันเป็นสังคมเหมือนปัจจุบัน

(3) มีความสุขสูงสุด

(4) มนุษย์กับสังคมแยกกันเป็นคนละส่วน

(5) มีการแบ่งงานกันทำ

ตอบ 2 หน้า 33 ทฤษฎีสัญญาสังคมจะเน้นถึงสภาพธรรมชาติ โดยเชื่อว่า มนุษย์แต่ดั้งเดิมนั้นอาศัยอยู่ตามสภาพธรรมชาติ มิได้รวมกันอยู่ในสังคมเช่นปัจจุบัน แต่เนื่องจากความชั่วร้าย ความยุ่งยากสับสน การเพิ่มจำนวนของมนุษย์ ตลอดจนอารยธรรมเป็นเหตุให้มนุษย์จำต้อง ละทิ้งสภาพธรรมชาติและสัญญาด้วยความสมัครใจที่จะอยู่ร่วมกันในสังคม ทั้งนี้โดยมุ่งหวัง ที่จะได้รับความคุ้มครองและประโยชน์สุขเป็นการตอบแทน

13. ผู้ใดบัญญัติศัพท์ Culture ว่า “ภูมิธรรม”

(1) พระมหาพูล

(2) สุนทรภู่ (3) จางวางหรำ

(4) พระยาอุปกิตศิลปสาร (5) พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร

ตอบ 1 หน้า 55 – 56 ก่อนที่จะมีศัพท์คำว่า “วัฒนธรรม” ขึ้นมานั้น ได้มีพระภิกษุรูปหนึ่ง คือ พระมหาพูล แห่งวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏ์ ได้ทดลองใช้คำว่า “ภูมิธรรม” เพื่อแปลคำว่า Culture จากศัพท์ภาษาอังกฤษ

14. ความหมายของวัฒนธรรมตามรากศัพท์เดิม ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) สิ่งประดิษฐ์

(2) สิ่งดีงาม (3) วิถีชีวิต (4) ทัศนคติ (5) ความเชื่อ

ตอบ 2 หน้า 56 ความหมายของวัฒนธรรมตามรากศัพท์เดิม ได้แก่ สิ่งดีงาม สิ่งที่ได้รับการปรุงแต่ง ให้ดีแล้ว หรือสิ่งที่ได้รับการยอมรับและยกย่องมาเป็นเวลานานแล้ว

15. วัฒนธรรมในความหมายใดคือสิ่งที่ได้รับการยอมรับและยกย่องเป็นเวลานาน

(1) ตามรากศัพท์เดิม

(2) ประเพณี (3) วิถีชีวิต (4) ตามนัยสังคมศาสตร์ (5) ทัศนคติ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ

16. ตัวอย่างของสภาวะแห่งการเป็นวัฒนธรรมสากลคือข้อใด

(.1) ความแตกต่างกันเรื่องศาสนา (2) ความแตกต่างด้านการสมรสและครอบครัว

(3) ทุกสังคมมีการปกครองหรือรัฐบาล (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 3 หน้า 76 – 78 สภาวะแห่งการเป็นวัฒนธรรมสากลหรือความเหมือนกันของวัฒนธรรมต่าง ๆ ได้แก่

1. ทุกสังคมมีภาษาพูด 2. ทุกสังคมมีระบบการสมรส ระบบครอบครัว และระบบเครือญาติ

3. ทุกสังคมมีการแบ่งมนุษย์ตามอายุและเพศ 4. ทุกสังคมมีการปกครองหรือมีรัฐบาล 5. ทุกสังคมมีศาสนา (ระบบความเชื่อ) 6. ทุกสังคมมีระบบความรู้

7. ทุกสังคมมีระบบเศรษฐกิจ 8. ทุกสังคมมีกิจกรรมเกียวกับการนันทนาการ

9. ทุกสังคมมีศิลปะ

17. ตัวเลือกใดคือวัฒนธรรมตามนัยสังคมศาสตร์

(1) การอ่านหนังสือก่อนสอบ

(2) การเข้าแถวซื้อตั๋วรถไพ่ฟ้า (3) การค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต

(4) การส่งข้อความทางไลน์ (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 58, (คำบรรยาย) วัฒนธรรมตามนัยแห่งสังคมศาสตร์ ได้แก่ วัฒนธรรมที่เข้ารูปแบบ หรือมีลักษณะเบ็เนกระสวน (รูปแบบอันเกิดขึ้นจากการกระทำซํ้า ๆ กัน) ซึ่งมีการส่งต่อถ่ายทอด โดยใช้สัญลักษณ์ เช่น การทักทาย การพูดคุย การโทรศัพท์ การส่งข้อความทางไลน์ การเขียนหนังสือ การอ่านหนังสือ การค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต การเข้าแถว การดูหนัง/ฟังเพลง ฯลฯ

18. ในสังคมใด ระบบวรรณะก่อให้เกิดอนุวัฒนธรรมทางอาชีพ (Occupational Subculture)

(1) สหรัฐอเมริกา (2) อินเดีย (3) ทิเบต (4) ปากีสถาน (5) จีน

ตอบ 2 หน้า 87 อนุวัฒนธรรมทางอาชีพ ได้แก่ ผู้ที่ประกอบอาชีพแต่ละอาชีพมักจะมีแบบหรือวิถี การดำรงชีวิตแตกต่างกัน เช่น ในสังคมอินเดียความแตกต่างในเรื่องอนุวัฒนธรรมของแต่ละอาชีพ มีอย่างมากจนก่อให้เกิดระบบวรรณะขึ้นมา โดยวรรณะใหญ่ ๆ ของอินเดียมีด้วยกันทั้งหมด 4 วรรณะ คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ (พ่อค้า) และศูทร (ผู้ใช้แรงงาน)

19. วัฒนธรรมเกิดขึ้นได้อย่างไร

(1) การเรียนรู้

(2) พันธุกรรม (3) การวิเคราะห์ (4) การสังเกต (5) กฎแห่งกรรม

ตอบ 1 หน้า 61 วัฒนธรรมตามคำนิยามมาตรฐาน มี 6 ลักษณะ คือ

1. เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ (ไม่ได้เกิดจากพันธุกรรม/กฎแห่งกรรม/ฟ้าลิขิต)

2. เป็นรูปแบบหรือกระสวนแห่งพฤติกรรมอันเกิดขึ้นจากการเรียนรู้

3. เป็นผลหรือผลิตผลแห่งการเรียนรู้ 4. เป็นสิ่งที่สมาชิกของสังคมมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ 5. มีการถูกส่งต่อหรือได้รับการถ่ายทอดมา 6. มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจศีล

20. การจัดกลุ่มนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รามคำแหง เกษตรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นการจัดกลุ่มในลักษณะใด

(1) จำนวนรวม

(2) จำแนกพวก (3) กลุ่มสังคม (4) กลุ่มอ้างอิง (5) กลุ่มฝูงชน

ตอบ 2 หน้า 97 กลุ่มที่มีลักษณะเหมือนกับจำแนกพวก (Category) หมายถึง คนจำนวนหนึ่งที่มีลักษณะ บางอย่างเหมือนกัน เช่น เพศเดียวกัน เป็นนักศึกษาเหมือนกัน เป็นเศรษฐีเหมือนกัน เป็นต้น

21. กลุ่มประเภทใดเป็นความสัมพันธ์แบบชุมชน

(1) Association

(2) Reference Group

(3) Secondary Group

(4) Gemeinschaft

(5) Gesellschaft

ตอบ 4 หน้า 103 – 104 เพ่อร์ดินันด์ ทอนนี (Ferdinand Tonnies) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ได้ให้ความหมายว่า Gemeinschaft คือ ชุมชน (Community) จะมีลักษณะความสัมพันธ์ คล้ายคลึงกับกลุ่มแบบปฐมภูมิมาก เช่น หมู่บ้านชาวนา สังคมชนบท ชุมชนในสมัยศักดินา ฯลฯ ส่วน Gesellschaft คือ สังคม (Society) จะมีลักษณะความสัมพันธ์คล้ายคลึงกับกลุ่มแบบ ทุติยภูมิมาก เช่น สังคมสมัยใหม่โดยทั่วไป สังคมอุตสาหกรรม สังคมเมือง ฯลฯ

22. กลุ่มชนิดใดมีการติดต่อสัมพันธ์โดยเน้นหน้าที่และผลประโยชน์เป็นหลัก

(1) ครอบครัว

(2) องค์กรบริษัท

(3) เพื่อนเล่น

(4) เด็กวัยรุ่น

(5) เพื่อนสนิท

ตอบ 2 หน้า 99, 101 กลุ่มทุติยภูมิ (Secondary Group) เป็นกลุ่มขนาดใหญ่ มีการติดต่อทางสังคม ห่างเหิน ระยะสั้น การติดต่อสัมพันธ์เป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่สังคมกำหนดหรือตามหน้าที่ โดยเน้น หน้าที่และผลประโยชน์เป็นหลักหรือมุ่งประโยชน์มากกว่าความรู้สึกส่วนตัว โดยจะสัมพันธ์กัน เฉพาะเรื่องเฉพาะส่วน การตัดสินใจใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ เช่น สมาคม องค์กร บริษัท ฯลฯ

23. ตัวเลือกใดเป็นความสัมพันธ์ในกลุ่มทุติยภูมิ

(1) สัมพ์นธ์กันทุกเรื่อง

(2) สัมพันธ์แบบเครือญาติ

(3) สัมพันธ์เฉพาะเรื่อง

(4) ใช้อารมณ์ความรู้สึก

(5) สัมพันธ์กันลึกซึ้ง

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 22. ประกอบ

24. ผู้ใดบัญญัติศัพท์คำว่า “ระยะห่างทางสังคม”

(1) ทอนนี (Tonnies) (2) คูลีย์ (Cooley) (3) บอกาดัส (Bo§ardus)

(4) เวเบอร์ (Weber) (5) มาร์กซ์ (Marx)

ตอบ 3 หน้า 103 ระยะห่างทางสังคม (Social Distance) เป็นศัพท์ทางจิตวิทยาสังคม โดยผู้ตั้งศัพท์นี้ คือ บอกาดัส (Bogardus) ซึ่งระยะห่างทางสังคม เป็นการวัดระดับของความใกล้ชิด หรือ การยอมรับ หรืออคติที่เรารู้สึกต่อคนกลุ่มอื่น และสามารถนำมาใช้วัดความเป็นกลุ่มเรา กลุ่มเขาได้เป็นอย่างดี

25. ตัวเลือกใดเป็นการจัดประเภทของครอบครัวตามลักษณะและหน้าที่

(1) ครอบครัวปฐมนิเทศ (2) ครอบครัวสร้างสมาชิกใหม (3) ครอบครัวหน่วยกลาง

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 114 การจัดประเภทของครอบครัวตามลักษณะและหน้าที่ มี 2 ประการ ดังนี้

1. ครอบครัวปฐมนิเทศ (Family of Orientation) เป็นครอบครัวอาศัยเกิด คือ ครอบครัว ของบิดามารดาของเรานั่นเอง 2. ครอบครัวสร้างสมาชิกใหม่ (Family of Procreation)เป็นครอบครัวที่เกิดจากตัวของเราเอง โดยการสมรส และการมีบุตรสืบสกุล

26. ครอบครัวขนาดเล็กที่สุคคือครอบครัวชนิดใด

(1) ครอบครัวขยาย (2) ครอบครัวร่วม (3) ครอบครัวประกอบร่วม

(4) ครอบครัวหน่วยกลาง (5) ครอบครัวภาวะจำยอม

ตอบ 4 หน้า 114 – 115 การจัดประเภทครอบครัวตามขนาดและรูปแบบ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ

1. ครอบครัวหน่วยกลาง เป็นครอบครัวขนาดเล็กที่สุด 2. ครอบครัวขยาย 3. ครอบครัวประกอบร่วม

27. ครอบครัวที่สูญหายไปแล้วเหลือเพียงหลักฐานว่าเคยมีอยู่ ได้แก่ครอบครัวประเภทใด

(1) ครอบครัวสมรสหมู่ (2) ครอบครัวปฐมนิเทศ (3) ครอบครัวภาวะจำยอม

(4) ครอบครัวสามีหลายคน (5) ครอบครัวประกอบร่วม

ตอบ 1 หน้า 115 – 116 ครอบครัวประกอบร่วมหรือครอบครัวซ้อน เป็นระบบครอบครัวที่ชายหญิง สามารถมีคู่สมรสได้มากกว่า 1 คนที่เรียกว่าหลายผัวหลายเมีย (พหุคู่ครอง) ซึ่งแยกออกเป็น 1. ชายมีภรรยาหลายคน (พหุภรรยา) 2. หญิงมีสามีหลายคน (พหุสามี) ซึ่งยังปรากฏอยู่ในชาวทิเบตบางกลุ่ม 3. ครอบครัวที่เกิดจากการสมรสหมู่ ซึ่งปัจจุบันได้สูญหายไปจากโลกนี้แล้ว เหลือเพียงหลักฐานเพื่อการศึกษาเท่านั้น 4. ครอบครัวภาระหรือครอบครัวภาวะจำยอม

28. การสิ้นสภาพครอบครัวโดยกติกาทางสังคม ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) ตาย

(2) หย่า (3) ศาลสั่ง (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 117 การสิ้นสภาพครอบครัว มี 2 ประการ คือ 1. การสิ้นโดยธรรมชาติ เป็นการสิ้นสภาพครอบครัวในรูปของความตาย 2. การสิ้นโดยกติกาทางสังคม (การสิ้นตามกฎหมาย) แบ่งออกเป็น 2 วิธี ได้แก่ การหย่า และศาลสั่ง (สั่งให้การสมรสสิ้นสุดลง)

29. ตัวเลือกใดคือการเลือกคู่สมรสที่มีรสนิยมตรงกัน

(1) Endogamy

(2) Exogamy (3) Homogamy (4) Heterogamy (5) Polygamy

ตอบ 3 หน้า 119 การเลือกคู่จากความพอใจของคู่สมรสเอง มีเกณฑ์ที่ควรพิจารณา 2 ประการ คือ

1. มีรสนิยมตรงกัน (Homogamv) เป็นการเลือกคู่จากคนที่มีความคล้ายคลึงกันกับตน ในด้านต่าง ๆ เช่น อุปนิสัย ทัศนคติ รสนิยม สติปัญญา การศึกษา เชื้อชาติ ศาสนา ฯลฯ

2. มีรสนิยมต่างกัน (Heterogamy) เช่น การเลือกคู่จากคนต่างเชื้อชาติต่างศาสนา ฯลฯ

30. หากพิจารณาความเป็นมาโดยวิวัฒนาการ พระพุทธศาสนาจัดเป็นคาสนาประเภทใด (1) ศาสนาธรรมชาติ

(2) ศาสนาสถาบัน (3) ศาสนาของโลก (4) ศาสนามหัพภาค (5) ศาสนาจุลภาค

ตอบ 2 หน้า 129 – 130 ความเป็นมาของศาสนาโดยวิวัฒนาการ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. ศาลนาธรรมชาติ เป็นระบบความเชื่อที่บริสุทธิ์ ไม่มีการดัดแปลงแก้ไข เช่น การนับถือผี นับถือวิญญาณ นับถือเจ้าป่าเจ้าเขา การเคารพบูชารุกขเทวดา ฯลฯ

2. ศาสนาสถาบันหรือศาสนาหลัก เป็นระบบความเชื่อที่เกิดขึ้นจากข้อกำหนดของสังคม โดยนำศาสนาธรรมชาติมาปรับปรุงแก้ไขและจัดรูปแบบให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เช่น ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ชินโต ลัทธิเต๋า ขงจื๊อ ฯลฯ

31. มาร์กซ์ (Marx) มีทัศนะต่อศาสนาว่าอย่างไร

(1) มีประโยชน์ด้านปลอบประโลมใจ

(2) เป็นอุปสรรคต่อการปฏิวัติทางการเมือง

(3) เป็นยาเสพติด

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 133.350 ความสำคัญของศาสนาในทางสังคมวิทยานั้น ได้มีผู้แสดงความเห็นไว้ดังนี้

1. ฟรอยด์ (Freud) เห็นว่า ศาสนามีประโยชน์ในด้านเป็นเครื่องปลอบประโลมใจในยามทุกข์ยาก

2. มาร์กซ์ (Marx) ถือว่า ศาสนาเป็นยาเสพติด เพราะก่อให้เกิดความงมงาย และเป็นอุปสรรค ต่อการปฏิวัติทางการเมือง ซึ่งเป็นการมองศาสนาไปในแง่ร้าย

3. มาลินอฟสกี้ (Malinowski) เห็นว่า ศาสนาและพิธีกรรมมักเกี่ยวพันกับความไม่แน่ใจ ในเรื่องธรรมชาติ ความเกรงกลัวในสิ่งที่ไม่แน่นอน/สิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ ทำให้คนมุ่งไปที่ ศาสนาหรือพิธีกรรม

32. เพราะเหตุใดมนุษย์จึงสร้างศาสนาขึ้นมา

(1) มนุษย์ต้องการควบคุมธรรมชาติ

(2) มนุษย์ไม่เข้าใจสภาพแวดล้อมที่แท้จริง

(3) มนุษย์ยึดตัวเองเป็นสรณะ

(4) มนุษย์ต้องการแสดงความสามารถ

(5) มนุษย์เข้าใจตนเอง

ตอบ 2 หน้า 133 – 134 ความจำเป็นที่มนุษย์ต้องมีศาสนาเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ กัน 3 ประการ คือ

1. มนุษย์ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง จึงแสวงหาวิธีการมาช่วยปลอบประโลมใจ

2. มนุษย์ไม่เข้าใจสภาวะแวดล้อมที่แท้จริง จึงพยายามหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ

3. มนุษย์ต้องการนำศาสนามาควบคุมพฤติกรรมของสังคม เพื่อให้สังคมอยู่ด้วยความสงบสุข

33. พฤติกรรมใดจัดว่าเป็นการยอมรับศาสนาของมนุษย์

(1) การยึดถือคำสอนของศาสดา

(2) การเซ่นไหว้วิญญาณบรรพบุรุษ

(3) การบูขาพระแม่คงคา

(4) การบูชารูปเคารพ

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 135 – 136 พฤติกรรมที่จัดว่าเป็นการยอมรับศาสนาของมนุษย์ มี 3 วิธี คือ

1. การบูชารูปเคารพ ซึ่งถือเป็นวิธีการปฏิบัติพื้นฐานของมนุษย์ที่แสดงถึงการยอมรับเอาศาสนา มาใช้ในสังคม ได้แก่ การสร้างรูปเคารพที่เป็นรูปคน (มนุษย์สรีระ) เช่น พระพุทธรูป เทวรูป ฯลฯ

2. การเซ่นสรวงสังเวย 3. การทำทุกรกิริยา

34. “หลักกาลามสูตร” ในพระพุทธศาสนา สอนเกี่ยวกับเรื่องใด

(1) การมีความซื่อสัตย์ (2) การใช้วิจารณญาณ (3) การมีความเพียร

(4) การบริหารเวลา (5) การประพฤติผิดทางเพศ

ตอบ 2 หน้า 140 หลักกาลามสูตรในทางพระพุทธศาสนานั้น เน้นสอนให้รู้จักการใช้วิจารณาญาณ คือ การไม่เชื่อใครง่าย ๆ แต่ให้เชื่อโดยใช้หลักเหตุผล และให้ศึกษาพิจารณาไตร่ตรองโดยถ่องแท้ ด้วยสติปัญญาของตนเอง ซึ่งหลักในกาลามสูตรมีด้วยกัน 10 ข้อ

35. นักปราชญ์ท่านใดมีความเห็นว่าการศึกษาควรมีจุดหมายเพื่อให้เกิดบุคลิกภาพที่พึงปรารถนา 4 ประการ

(1) เพลโต (Plato) (2) เบคอน (Bacon) (3) ค้องท์ (Comte)

(4) รัสเซลล์ (Russell) (5) โซเครติส (Socrates)

ตอบ 4 หน้า 152 – 153 ปราชญ์หลายท่านให้ทัศนะเกี่ยวกับความสำคัญของการศึกษาไว้ต่าง ๆ กัน เช่น

1. พระพุทธเจ้า ทรงถือว่า ความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ และการศึกษาคือการให้พ้นอวิชชา (ความไม่รู้) เพื่อมุ่งให้ชีวิตหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

2. อริสโตเติล (Aristotle) กล่าวว่า การให้การศึกษาแก่เยาวชนมีผลกระทบต่อชะตากรรม (ความเจริญและความเสื่อม) แห่งอาณาจักร และเป้าหมายสูงสุดหรืออุดมคติของการศึกษา คือ การเตรียมบุคคลให้รู้จักหาความสุขอย่างถูกต้อง กล่าวคือ การเข้าถึงปัญญาอันเป็นทิพย์

3. เบคอน (Bacon) กล่าวว่า ความรู้คืออำนาจ ความรู้และอำนาจของมนุษย์เป็นของอย่างเดียวกัน

4. รัสเซลล์ (Russell) เห็นว่า การศึกษาควรมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้เกิดบุคลิกภาพที่พึงปรารถนา 4 ประการ ได้แก่ พละ ธิติ สุขุมสัญญา และปัญญา

36. ตัวเลือกใดคือเป้าหมายของการศึกษาตามแนวพุทธศาสตร์

(1) เทวโองการ

(2) พิธีกรรม (พิธีการ) (3) สังสารวัฏ (4) โมกษะ (5) การพ้นจากอวิชชา

ตอบ 5 หน้า 152 พระพุทธศาศนาถือว่าความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ พระพุทธองค์ทรงถือว่าอวิชชา (ความไม่รู้) เป็นต้นเหตุแห่งวัฏสงสารอันเป็นการ เวียนว่ายตายเกิดในห้วงแห่งทุกข์ วัฏสงสารจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อพ้นจากอวิชชาอันเป็นจุดเริ่มต้น แห่งกระบวนการอันเกี่ยวเนื่องเป็นลูกโซ่ที่เรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท” (การที่สิ่งทั้งหลายอาศัย ซึ่งกับและกัน) ดังนั้นเป้าหมายของการศึกษาในเชิงพุทธศาสตร์จึงมีความหมายเพื่อให้หลุดพ้น จากอวิชชาหรือความไม่รู้เพื่อชีวิตจะได้ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก

37.. การจัดองค์การทางการศึกษาของไทยมีลักษณะเป็นแบบใด

(1) รัฐบาลเป็นผู้จัดการ (2) ส่วนใหญ่เอกชนเป็นผู้จัดการ

(3) ท้องถิ่นเป็นผู้จัดการ (4) ภูมิภาคเป็นผู้จัดการ (5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 160 การจัดองค์การทางการศึกษาของประเทศไทยมีลักษณะเป็นแบบ “เอกรัฐ” คือ ระบบการศึกษาจะขึ้นอยู่กับรัฐบาลกลางเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะต่างจากประเทศที่เป็นสหพันธรัฐ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ฯลฯ ที่จะให้มลรัฐและรัฐบาลท้องถิ่นเป็นผู้จัดการศึกษา

38. ปรัชญาการศึกษาระดับอุดมศึกษาในปัจจุบัน เน้นด้านใด

(1) ความเป็นเลิศทางวิชาการ (2) การศึกษาเพื่อนำไปสร้างทฤษฏี (3) ด้านศิลปวัฒนธรรม

(4) ศิลปศาสตร์ศึกษา (5) การประยุกต์วิชาการให้สอดคล้องกับสภาพสังคม

ตอบ 5 หน้า 166 – 167, (คำบรรยาย) ปรัชญาการศึกษาระดับอุดมศึกษาในปัจจุบันจะมุ่งเน้นใน ด้านการประยุกต์วิชาการให้สอดคล้องกับสภาพสังคม นั่นคือ มีลักษณะในเชิงเล็งผลปฏิบัติ หรือเชิงสัมฤทธคติ โดยมุ่งให้เรียนรู้วิชาอันนำไปประกอบอาชีพได้

39. มหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกของประเทศไทยคือมหาวิทยาลัยใด

(1) ธรรมศาสตร์และการเมือง

(2) รามคำแหง (3) สุโขทัยธรรมาธิราช (4) เชียงใหม่ (5) นเรศวร

ตอบ 1 หน้า 174 – 175 มหาวิทยาลัยเปิดหรือตลาดวิชาแห่งแรกของไทย คือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และการเมือง ซึ่งได้รับการสถาปนาเมื่อ พ.ศ. 2476 โดยจัดการศึกษาในระยะเริ่มแรกเป็นแบบ “ใครใคร่เรียนเรียน’’ คือ ผู้ที่ประสงค์จะเรียนสามารถเข้าเรียนได้โดยไม่จำกัดวุฒิการศึกษา

40. การดำเนินงานของมหาวิทยาลัยสหประชาชาติเน้นปรัชญาการศึกษาตามตัวเลือกใด

(1) มุ่งควบคุมจำนวนบัณฑิตของโลก (2) มุ่งวิจัยความสามารถของบัณฑิต

(3) มุ่งผลิตนักวิจัย (4) มุ่งผลิตบัณฑิตเพื่อไปพัฒนาสังคม

(5) มุ่งวิจัยเกี่ยวกับความเป็นความตายของมนุษยชาติ

ตอบ 5 หน้า 177 – 178 การดำเนินงานของมหาวิทยาลัยสหประชาชาติเน้นปรัชญาการศึกษา คือ การมุงแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของมนุษยชาติ และเพื่อสวัสดิการของ ปวงชน ซึ่งลักษณะของมหาวิทยาลัยนี้เป็นคล้ายสถาบันวิจัยมากกว่าการเป็นสถานศึกษา แม้ชื่อจะระบุว่าเป็นมหาวิทยาลัย แต่ไม่มีการสอบและไม่มีการประสาทปริญญา

41. วิชาประชากรศาสตร์เกิดขึ้นเมื่อใด

(1) ก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม

(2) กลางศตวรรษที่ 20

(3) ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2

(4) ต้นศตวรรษที่ 20

(5) อัตราการเกิดสูงขึ้น

ตอบ 2 หน้า 185 ประชากรศาสตร์ เป็นศาสตร์สาขาใหม่ของสังคมศาสตร์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณกลางศตวรรษที่ 20 นี้เอง สืบเนื่องจากในปี ค.ศ. 1949 องค์การสหประชาชาติได้จัดประชุมสัมมนา เกี่ยวกับทรัพยากรของโลก และมีการสำรวจประชากรในฐานะผู้บริโภคด้วย ผลจากการประชุม พบวาทรัพยากรต่าง ๆ ของโลกได้ถูกทำลายอย่างมากมาย ทั้งนี้เนื่องมาจากการที่ประชากร มีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จีงทำให้เกิดการตื่นตัวศึกษาเกี่ยวกับประชากรมากขึ้น

42. กระบวนการทางประชากรที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางประชากร ได้แก่ข้อใด

(1) วัฒนธรรม คำนิยม อุดมการณ์

(2) สังคม เศรษฐกิจ การเมือง

(3) การเกิด การตาย การย้ายถิ่น

(4) สถานภาพ บทบาท สถาบัน

(5) ครอบครัว การศึกษา ความเชื่อ

ตอบ 3 หน้า 185 – 187 กระบวนการทางประชากรที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางประชากร ได้แก่

1. การเจริญพันธุ์ (การเกิด) หมายถึง จำนวนประชากรที่ให้กำเนิดบุตรได้จริง ๆ

2. การตาย 3. การอพยพหรือย้ายถิ่น

43. เดวิส (Davis) และเบลก (Blake) เสนอทัศนะเกี่ยวกับเรื่องใด

(1) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการกลายเป็นเมือง (2) ปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราการเกิด

(3) ปัจจัยที่ส่งผลต่ออัตราการตาย (4) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการย้ายถิ่น

(5) ปัจจัยที่ส่งผลต่อความยืนยาวของชีวิตมนุษย์

ตอบ 2 หน้า 185 – 186 เดวิส (Davis) และเบลก (Blake) ได้เสนอทัศนะเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อ อัตราการเกิดว่าขึ้นอยู่กับอายุเมื่อแรกสมรส การอยู่เป็นโสดอย่างถาวร การไม่สมรสใหม่ของ หญิงหม้ายและหย่าร้าง การงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์โดยสมัครใจหรือไม่สมัครใจ การคุมกำเนิด โดยวิธีการต่าง ๆ และการตายของเด็กทารก

44. แบบแผนการเพิ่มของประชากรใบประเทศไทยมีลักษณะอย่างไร

(1) เพิ่มเร็วในตอบแรกแล้วช้าลงในตอนหลัง

(2) เพิ่มช้าตอนแรกแล้วเร็วขึ้นในตอนหลัง ปัจจุบันชะลอตัวช้าลง

(3) ลักษณะเดียวกับการเพิ่มขึ้นของประชากรประเทศแถบเอเชียและลาตินอเมริกา

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 191, (คำบรรยาย) แบบแผนการเพิ่มของประชากรในประเทศไทยมีลักษณะเช่นเดียวกับ การเพิ่มของประชากรในภูมิภาคแถบเอเชียและลาตินอเมริกา ซึ่งมีลักษณะเพิ่มช้าในตอนแรกแล้ว ค่อย ๆ เร็วขึ้นในตอนหลัง (โดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2) และในปัจจุบันได้ชะลอตัวช้าลง

45. ในปัจจุบันประเทศที่มีการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมสูงจะมีลักษณะทางประชากรอย่างไร

(1) อัตราการเกิดสูง อัตราการตายสูง (2) อัตราการเกิดตํ่า อัตราการตายสูง

(3) อัตราการเกิดสูง อัตราการตายตํ่า (4) อัตราการเกิดตํ่า อัตราการตายตํ่า

(5) อัตราการอพยพจากเมืองไปสู่ชนบทมากกว่าจากชนบทสู่เมือง

ตอบ 4 หน้า 195 ในปัจจุบันประเทศที่มีการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรมสูงส่วนใหญ่จะมีลักษณะ ทางประชากรที่ทั้งอัตราการเกิดและอัตราการตายลดลงอยู่ในระดับที่ต่ำเท่าเทียมกัน ดังนั้น ประชากรจึงเพิ่มขึ้นช้ามาก ซึ่งเห็นได้ชัดในสังคมส่วนใหญ่ของยุโรป

46. ตัวเลือกใดคือตัวอย่างของสถานภาพที่ติดมาแต่กำเนิด (Ascribed Status)

(1) อายุ (2) เพศ (3) ระดับการศึกษา

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 25, 197 – 198 สถานภาพของบุคคล แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. สถานภาพที่ติดมาแต่กำเนิด (Ascribed Status) เป็นสถานภาพที่ได้รับมาโดยอัตโนมัติ อันมีรากฐานมาจากการถือกำเนิด เช่น เพศ อายุ ผิวพรรณ ชาติตระกูล วรรณะ ศาสนา ฯลฯ

2. สถานภาพสัมฤทธิ์ (Achieved Status) เป็นผลสำเร็จจากการกระทำตามวิถีทางของ แต่ละบุคคลที่ขึ้นอยู่กับความสามารถ เช่น การศึกษา อาชีพ อำนาจ รายได้ ฯลฯ

47. ตัวเลือกใดคือรูปแบบของการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคม

(1) วรรณะ (2) ฐานันดร (3)กลุ่มสังคม

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 198 รูปแบบการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคม มี 3 ประเภท คือ 1. วรรณะ (Caste) 2. ฐานันดร (Estate) 3. ชนชั้น (Class)

48. ตัวเลือกใดเป็นวิธีการศึกษาการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคม

(1) การศึกษาแบบวัตถุวิสัย (2) การศึกษาแบบอัตวิสัย

(3) การศึกษาโดยดูจากชาติพันธุ์ (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 201 วิธีการศึกษาการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคม มีหลักเกณฑ์ที่ใช้ศึกษา 3 วิธี คือ

1. การศึกษาแบบวัตถุวิสัย 2. การศึกษาแบบอัตวิสัย 3. การศึกษาโดยดูจากชื่อเสียง

49. ชนชั้น สถานภาพ และพรรค (Class, Status, Party) เป็นแนวคิดการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคมของผู้ใด

(1) ไซท์ (Sites) (2) ค้องท์ (Comte) (3) วอร์เนอร์ (Warner)

(4) มาร์กซ์ (Marx) (5) เวเบอร์ (Weber)

ตอบ 5 หน้า 203 ทัศนะหรือแนวคิดการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคมของแม็ก เวเบอร์ (Max Weber) คือ ชนชั้น สถานภาพ และพรรค (Class, Status, Party) โดยเวเบอร์มุ่งความสนใจของเขาไป ที่สังคมอุตสาหกรรม และโดยเฉพาะสังคมระบบทุนนิยม

50. นักวิชาการท่านใดที่มีทัศนะว่า “ การจัดช่วงชั้นทางสังคมถูกกำหนดโดยปัจจัยทางเศรษฐกิจ ”

(1) ไซท์ (Sites) (2) ค้องท์ (Comte) (3) วอร์เนอร์ (Warner)

(4) มาร์กซ์ (Marx) (5) เวเบอร์ (Weber)

ตอบ 4 หน้า 202 – 203 มาร์กซ์ (Marx) เป็นนักวิชาการที่อธิบายการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคมด้วย ทฤษฎี “ตัวกำหนดทางเศรษฐกิจ” เช่น ระบบการผลิต การแลกเปลี่ยน ผู้ผลิต ผู้บริโภค ฯลฯ โดยมาร์กซ์ให้ทัศนะว่า ปัจจัยสำคัญที่มีส่วนมีบทบาท ได้แก่ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ

51. ตัวเลือกใดคือจุดมุ่งหมายของระบบการควบคุมทางสังคม

(1) เพื่อควบคุมภาวะทางการเมือง

(2) เพื่อควบคุมภาวะทางเศรษฐกิจ

(3) เพื่อความเป็นธรรมในสังคม

(4) เพื่อแก้ปัญหาในสังคม

(5) เพื่อให้บุคคลประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่สังคมคาดหวัง

ตอบ 5 หน้า 215 จุดมุ่งหมายของระบบการควบคุมทางสังคม คือ เพื่อให้บุคคลประพฤติปฏิบัติ

ในสิ่งที่สังคมคาดหวัง โดยระบบการควบคุมทางสังคมอาจจำแนกออกได้เป็น 2 ประการ คือ

1. เป็นระบบของกฎระเบียบและค่านิยมที่ต้องยอมรับไปปฏิบัติ และระบบของความเชื่อที่ เป็นเหตุผลของกฎระเบียบและค่านิยมดังกล่าว

2. ระบบการให้รางวัลและการลงโทษ เพื่อจูงใจให้บุคคลประพฤติปฏิบัติตามในสิ่งที่สังคมยอมรับ

52. หากสังคมไม่สามารถสนองตอบความต้องการของมนุษย์ได้ จะเกิดผลอย่างไรกับสังคม

(1) ดุลยภาพของสังคม

(2) สังคมสลายตัว

(3) เครือข่ายทางสังคม

(4) บูรณาการสังคม

(5) การยึดเหนี่ยวทางสังคม

ตอบ 2 หน้า 213 หากสังคมไม่สามารถตอบสนองความต้องการเบื้องต้นหรือความต้องการมูลฐาน (Basic Needs) ของมนุษย์ได้ ก็จะทำให้สังคมสลายตัว (Disorganization of Society) ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของสังคมที่พึงต้องสนองตอบความต้องการข้างต้นเพื่อป้องกันการสลายตัวของสังคม

53. การควบคุมทางสังคมด้วยกลอุบายใช้ถ้อยคำภาษา ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) การปิดบังข่าวสาร

(2) การเปลี่ยนกฎระเบียบ

(3) การโฆษณาชวนเชื่อ

(4) การเกณฑ์เอาเป็นพวก

(5) การหนีปัญหา

ตอบ 3 หน้า 234 – 237 กลวิธีการใช้กลอุบาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. กลอุบายทื่ใช้ถ้อยคำ ภาษา เช่น การโฆษณาชวนเชื่อ เรื่องตลกขบขัน การพูดปดมดเท็จ การให้สมญา และการใช้ ภาษาเฉพาะ 2. กลอุบายที่ไม่ใช้ถ้อยคำภาษา เช่น การจัดฉากและการแสดง การปิดบังข่าวสาร การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบ การหนีปัญหา และการเกณฑ์เอาเป็นพวก

54. ตัวเลือกใดเป็นการควบคุมทางสังคมที่เป็นกลไกทางวัฒนธรรม

(1) ปทัสถานทางสังคม

(2) การประนีประนอม (3) การปรับปรน (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 1 หน้า 221, 222 กลไกทางวัฒนธรรมที่ใช้ในการควบคุมทางสังคม ประกอบด้วย

1. บรรทัดฐานหรือปทัสถานทางสังคม 2. การบังคับใช้ 3. สถานภาพและบทบาท

4. การเข้ากลุ่มและการเข้าสังคม 5. การจำแนกความแตกต่างและชั้นทางสังคม

55. กลุ่มสังคมที่ไม่เป็นทางการ (Informal Groups) จะใช้กลไกควบคุมสังคมแบบใด

(1) กลไกกฎระเบียบ (2) กลไกการแลกเปลี่ยน (3) กลไกทางวัฒนธรรม

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 243 ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ (Informal Groups) และ กลุ่มที่เป็นทางการ (Formal Groups) คือ กลุ่มที่มีโครงสร้างแบบไม่เป็นทางการจะไม่ใช้ กลไกกฎระเบียบ แต่กลุ่มที่มีโครงสร้างแบบทางการมักใช้กลไกเกี่ยวกับกฎระเบียบเสมอ ส่วนกลไกที่มักใช้กับทั้งกลุ่มทางการและกลุ่มไม่เป็นทางการ ได้แก่ กลไกการแลกเปลี่ยน กลไกกลอุบาย กลไกการรวมตัวเข้าด้วยกัน กลไกทางวัฒนธรรม กลไกบังคับใช้ เป็นต้น

56. สังคมวิทยาการเมืองสนใจศึกษาเรื่องอะไร

(1) อิทธิพลของสังคมต่อกระบวนการทางการเมือง

(2) สภาพของสังคมต่อการจัดรูปแบบทางการเมือง

(3) ปัจจัยทางสังคมที่มีต่อพฤติกรรมทางการเมือง

(4) โครงสร้างทางสังคมกับสถาบันทางการเมือง (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 247 – 248 สังคมวิทยาการเมืองสนใจศึกษาเรื่องต่างๆ ดังนี้ 1. อิทธิพลของสังคม ที่มีต่อกระบวนการทางการเมือง 2. โครงสร้างของสังคมกับสถาบันทางการเมือง

3. ปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อการจัดระบบ รูปแบบ และนโยบายทางการเมือง

4. ปัจจัยทางสังคมที่มีผลตอพฤติกรรมทางการเมือง

5. สภาพของสังคมต่อการจัดรูปแบบทางการเมืองการปกครอง ฯลฯ

57. “กฎเหล็กแห่งคณาธิปไตย” เป็นแนวคิดของผู้ใด

(1) มิเชลส์ (Michels)

(2) เวเบอร์ (Weber) (3) มาร์กซ์ (Marx) (4) เฮเกล (Hegel) (5) โบแดง (Bodin)

ตอบ 1 หน้า 251 มิเชลส์ (Michels) พบว่า ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย ก็คือ กฎเหล็กแห่งคณาธิปไตย (Iron Law of Oligarchy) ซึ่งมีปรากฏอยู่ในพรรคการเมืองแบบ สังคมนิยม ที่อำนาจอยู่ในมือบุคคลกลุ่มน้อย ผู้บริหารมีอำนาจมาก และไม่ต้องการจะออกจาก ตำแหน่งเดิม เพราะเกรงว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะทำให้ตนเองเกิดความเดือดร้อนและ ปราศจากการมีตำแหน่งอำนาจ

58. การศึกษาทางสังคมวิทยาการเมืองตามทัศนะเวเบอร์ (Weber) ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) การใช้อำนาจรัฐกดขี่ผู้อยู่ใต้ปกครอง (2) การมีดุลยภาพของสังคม

(3) ความขัดแย้งระหว่างชนชั้น (4) การจัดระบบราชการกับประชาธิปไตย

(5) การมีดุลยภาพระหว่างความเข้าใจกับความขัดแย้ง

ตอบ 4 หน้า 250 เวเบอร์ (Weber) เป็นผู้เสนอแนวคิดโดยมุ่งประเด็นไปที่การจัดระบบแบบราชการ (Bureaucratization) ทั้งนี้เพราะระบบราชการมีทั้งความประสานและความขัดแย้งเกิดขึ้นในตัว โดยยึดถือมาตรฐานความเป็นกลางและความเสมอภาค มีส่วนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสถาบันสังคม และมีผลต่อการพัฒนาสถาบันประชาธิปไตยโดยเฉพาะในระยะแรก ๆ

59. สังคมวิทยาการเมืองเกิดขึ้นในสมัยใด

(1) ก่อนคริสตกาล (2) ต้นคริสตกาล

(3) ยุโรปสมัยกลาง (4) หลังยุคกลางของยุโรป (5) คริสต์ศตวรรษที่ 20

ตอบ 4 หน้า 248 สังคมวิทยาการเมืองเริ่มมีจุดกำเนิดมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจและการศาสนาหลังสมัยกลางของยุโรป (ประมาณศตวรรษที่ 16) โดยได้มีการก่อตัวเป็นศาสตร์ ที่เริ่มการศึกษาและวิเคราะห์กันอย่างจริงจัง หลังจากที่ได้มีการแบ่งแยกกันระหว่างสังคมกับ การเมืองหรือสังคมกับรัฐ

60. ปัจจัยที่เป็นอุปสรรคต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตย จากการค้นพบของมิเชลล์ (Michels)ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) สหจิต (Consensus)

(2) ความขัดแย้ง (Conflict) (3) การจัดองค์การ (Organization)

(4) กฎเหล็กแห่งคณาธิปไตย (Iron Law of Oligarchy)

(5) การจัดระเทียบบริหารแบบราชการ (Bureaucracy)

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

61. พฤติกรรมฝูงชนเกิดจากอะไร

(1) กลุ่มคนที่ขาดระเบียบอย่างทันทีทันใด

(2) มีการวางแผนล่วงหน้านานเกินไป

(3) สมาชิกกลุ่มมีความคาดหวังสูง

(4) ใช้บรรทัดฐานทางสังคมเข้มงวดเกินไป

(5) สมาชิกกลุ่มมีความผูกพันกันมากเกินไป

ตอบ 1 หน้า 253 – 254 พฤติกรรมฝูงชนเป็นปรากฏการณ์หนึ่งทางสังคมที่เกิดจากกลุ่มคนที่ขาดระเบียบ อย่างทันทีทันใด โดยไม่ได้มีการคาดหมายไว้ล่วงหน้า แต่สภาวการณ์ต่าง ๆ ทางสังคมขณะนั้น ส่งเสริม และเป็นพฤติกรรมที่ไม่มีบรรทัดฐานทางสังคมควบคุม

62. เมื่อเกิดเหตุชุมนุมประท้วง “ตู้โทรศัพท์สาธารณะจำนวนมากถูกทำลายแต่จับผู้กระทำผิดไม่ได้”แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมฝูงชนในลักษณะใด

(1) เกิดขึ้นทันทีทันใด

(2) การระบาดทางอารมณ์

(3) ไม่มีตัวตน

(4) ไร้บรรทัดฐาน

(5) ไม่มีการกำหนดสถานภาพและบทบาท

ตอบ 3 หน้า 254 เหตุการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมฝูงชนในลักษณะที่ไม่มีตัวตนเพราะฝูงชนประกอบด้วยคนหลายคนไปอยู่ร่วมกัน โดยแต่ละคนจะไม่มีการสนใจกันเป็น ส่วนตัว แต่จะถือว่าทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม และพฤติกรรมของกลุ่มที่แสดงออกมา ก็ไม่มีคนต้องรับผิดชอบ เช่น การเผาตึก การทำลายสิ่งของหรือสาธารณสมบัติ ฯลฯ

63. ตัวเลือกใดเป็นตัวอย่างของฝูงชนประเภทสนุกสนานรื่นเริง

(1) Orgy

(2) Riot

(3) Panic

(4) Lynching

(5) Acting

ตอบ 1 หน้า 257 Orgy เป็นฝูงชนประเภทที่สนุกสนานรื่นเริงไปในทิศทางที่เสเพล และนำไปสู่ความสนุกสนานที่เลยเถิด เป็นการปลดปล่อยความตึงเครียด ซึ่งเกิดจากบรรทัดฐานทางสังคม ที่ควบคุมพฤติกรรมอยู่ เช่น การมั่วสุมทางเพศ การคลั่งเต้นรำ กินเหล้า ฯลฯ

64. ข้อใดคือรูปแบบของพฤติกรรมฝูงชน (Crowd)

(1) ผู้ดูหรือผู้ฟัง

(2) ม็อบ (Mob) (3) การประชุมสัมมนา (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ผิดทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 256 รูปแบบหรือชนิดของพฤติกรรมฝูงชน (Crowd) แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ

1. ผู้ดูหรือผู้ฟัง (Audience) 2. ฝูงชนที่บ้าคลั่งหรือม็อบ (Mob)

65. ผู้ดูกีฬาหรือคอนเสิร์ตเป็นฝูงชนประเภทใด (1) Expressive Crowd

(2) Casual Crowd (3) Orgy (4) Acting Crowd (5) Conventional Crowd

ตอบ 5 หน้า 255 Conventional Crowd (ฝูงชนชุมนุม) หมายถึง ฝูงชนที่มารวมตัวกันโดยจะมีสัญลักษณ์บางอย่าง (แบบแผนหรือความสำนึกเป็นพวกเดียวกัน) ควบคุมอยู่ เช่น การดูกีฬา ภาพยนตร์ ดนตรีหรือคอนเสิร์ต การอภิปราย ปาฐกถา ฯลฯ ซึ่งจะมีการกำหนดเวลาและ สถานที่เอาใว้ล่วงหน้า โดยสมาชิกที่เข้าร่วมจะต้องปฏิบัติตามแบบแผนที่กำหนดไว้

66. “ภาวะหรือสถานการณ์ที่มีผลกระทบกระเทือนต่อคนจำนวนหนึ่ง และเป็นจำนวนมากพอที่จะคิดว่า ไม่อาจทนอยู่ในสภาพเช่นนั้นตลอดไป” หมายถึงอะไร

(1) สถานภาพ

(2) บทบาท (3) ปัญหาสังคม (4) บรรทัดฐาน (5) ค่านิยม

ตอบ 3 หน้า 261 – 282 ปัญหาสังคม (Social Problems) หมายถึง สภาวะหรือสถานการณ์ที่กำหนด ได้ว่าเป็นข้อขัดข้องหรือมีผลกระทบกระเทือนต่อคนจำนวนหนึ่ง และเป็นจำนวนมากพอที่จะคิดว่า ไม่อาจทนอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้ตลอดไป ต้องมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไข เอาชนะหรือปรับตัวตาม เช่น ปัญหาน้ำมันและภาวะการครองซีพ ปัญหาดุลการค้า ปัญหายาเสพติด ปัญหาความยากจน ปัญหาโรคจิตโรคประสาท ปัญหาการทำแท้ง ปัญหาการฉ้อราษฎร์บังหลวง ฯลฯ

67. “สถานการณ์ที่กำหนดได้ว่าเป็นข้อขัดข้องที่จะต้องแก้ไข เอาชนะหรือปรับตัวตาม” จัดเป็นแนวความคิดตามตัวเลือกใด

(1) ความหมายของสังคม

(2) ความหมายของปัญหา (3) ประเภทของปัญหา

(4) แนวทางแก้ไขปัญหา (5) แนวทางการวิเคราะห์ปัญหาของสังคม

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 66. ประกอบ

68. “การเอาของไปแจกให้กลุ่มผู้ยากจน” เป็นแนวทางแก้ปัญหาแบบใด

(1) แบบตัดไฟแต่ต้นลม (2) แบบวัวหายล้อมคอก (3) แบบเฉพาะหน้า

(4) แบบระยะยาว (5) แบบผสมผสาน

ตอบ 3 หน้า 261 แนวทางในการแก้ไขปัญหาสังคม แบ่งออกเป็นหลักใหญ่ๆ ได้ 2 ประการ คือ

1. การแก้ไขปัญหาแบบย่อย (Piecemeal) เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โดยไม่มีการวางแผนมาก่อน เช่น การแก้ปัญหาความยากจน ความอดอยากขาดแคลน และช่วยผู้ประสบภัยด้วยการแจกสิ่งของ เสื้อผ้า อาหาร และยารักษาโรค ฯลฯ

2. การแก้ไขปัญหาแบบรวมถ้วนทั่ว (Wholesale) เป็นการแก้ปัญหาระยะยาวแบบมีการวางแผน มาก่อน (แก้ปัญหาที่ต้นตอหรือสาเหตุของปัญหา) มีการประเมินผล มีการตรวจสอบ และปัญหานั้น ๆ จะไม่เกิดขึ้นมาอีก เช่น การแก้ปัญหาความยากจนด้วยการฝึกอาชีพให้ ฯลฯ

69. “การโกงประชาชน การเบียดบังหลวง การใช้เวลาราชการไปทำงานส่วนตัว และการเลือกที่รักมักที่ชัง”หมายถึงตัวเลือกใด

(1) การฉ้อราษฎร์ (2) การบังหลวง

(3) การฉ้อหลวง (4) การฉ้อฉล (5) การฉ้อราษฎร์บังหลวง

ตอบ 5 หน้า 281 “การฉ้อราษฎร์” หมายถึง การเบียดบังเอาผลประโยชน์ของราษฎร (ประชาชน)ไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (การโกงราษฎร), “การบังหลวง” หมายถึง การกระทำด้วยวิธีหนึ่ง วิธีใดที่นำเอาผลประโยชน์จากราชการไปใช้ส่วนตัว หรือการเบียดบังของหลวงไปเป็นสมบัติ ของตนเอง, “การฉ้อราษฎร์บังหลวง” ครอบคลุมไปถึงการใช้เวลาราชการไปทำงานส่วนตัว การเอาของราชการไปใช้ส่วนตัว การเลือกที่รักมักที่ชัง และการกินสินบน

70. ข้อใดเป็นปัญหาสังคม

(1) ปัญหาความยากจน (2) ปัญหายาเสพติด

(3) ปัญหานํ้ามันและภาวะการครองชีพ (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 ดูคำอธิบายข้อ 66. ประกอบ

71. นโยบายที่ไทยใข้กับชาวจีนในประเทคไทยได้แก่นโยบายใด

(1) การแยกพวก

(2) การทำลายเผ่าพันธุ์

(3) การกีดกันให้แยกอยู่

(4) การแบ่งแยกดินแดน

(5) การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม

ตอบ 5 หน้า 293 – 294, 297, 299, 301 นโยบายที่ใช้แก้ปัญหาชนกลุ่มน้อย แบ่งเป็น 2 แนว คือ

1. นโยบายที่ค่อนข้างรุนแรง ขัดกับหลักมนุษยธรรม และไม่นิยมใช้ ได้แก่ การแยกพวก การทำลายล้าง การเนรเทศ การกีดกันให้อยู่แยก การแบ่งแยกดินแดน และการเอาเป็นเชลย

2. นโยบายที่นุ่มนวล ตรงตามหลักศีลธรรม หลักเสมอภาค และนิยมใช้ในสภาวการณ์ปัจจุบัน ได้แก่ การรวมพวก (ใช้กับชาวไทยมุสลิมใน 4 จังหวัดภาคใต้) การผสมผสานชาติพันธุ์ การยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม และการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม (ใช้กับ ชาวจีนและชาวเขาในประเทศไทย)

72. “ชนกลุ่มหนึ่งอพยพมาอาศัยรวมอยู่กับเจ้าของถิ่นหรือเจ้าของประเทศ” หมายถึงตัวเลือกใด

(1) ชนกลุ่มอิทธิพล

(2) ชนกลุมลี้ภัย

(3) ชนกลุ่มน้อย

(4) ชนกลุ่มใหญ่

(5) ชนกลุ่มพลัดถิ่น

ตอบ 3 หน้า 285 ชนกลุ่มน้อย (Minority Group) หรือชนต่างวัฒนธรรม หมายถึง กลุ่มชนที่มีการ ยึดถือวัฒนธรรมในรูปแบบที่แตกต่างไปจากชนกลุ่มใหญ (Majority Group) หรือกลุ่มอิทธิพล (Dominant Group) และเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดในเรื่องจำนวน นักวิชาการบางท่าน จึงเรียกชนกลุ่มใหญ่ว่า “กลุ่มครอบครอง” และเรียกชนกลุ่มน้อยว่า “กลุ่มใต้ครอบครอง” เพราะชนกลุ่มใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลและมีบทบาททั้งทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ดังนั้นชนกลุ่มใหญ่จึงเป็นผู้ที่กำหนดว่ากลุ่มใดเป็นชนกลุ่มน้อย เช่น ชนกลุ่มน้อยที่อพยพ เข้ามาอาศัยรวมอยู่กับเจ้าของถิ่นหรือเจ้าของประเทศจัดเป็นชนกลุ่มน้อย ส่วนเจ้าของถิ่น หรือเจ้าของประเทศจัดเป็นชนกลุ่มใหญ่ ฯลฯ

73. คอเคซอยด์ (Caucasoid) มองโกลอยด์ (Mongoloid) นิกรอยด์ (Negroid) เป็นการจำแนกโดยใช้เกณฑ์ใด

(1) เชื้อชาติ (2) กลุ่มโลหิต (3) บรรทัดฐาน (4) วัฒนธรรม (5) ข้อ 2 และ 4

ตอบ 1 หน้า 286 – 287 เกณฑ์ที่ใช้จำแนกชนกลุ่มน้อยพิจารณาได้จากองค์ประกอบ 3 ลักษณะ คือ

1. องค์ประกอบด้านเชื้อชาติ/เผ่าพันธุ์/ชาติพันธุ์ (Race) ซึ่งเป็นความแตกต่างด้านพันธุกรรมที่แสดงออกมาเป็นลักษณะทางกายภาพ เช่น รูปร่าง สีผม สีผิว (ได้แก่ ผิวขาวหรือคอเคซอยด์ /Caucasoid, ผิวเหลืองหรือมองโกลอยด์/Mongoloid, ผิวดำหรือนิกรอยด์/Negroid)

2. ความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ยึดถือปฏิบัติ (Ethnicity) เช่น ภาษา ศาสนา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณี รูปแบบความสัมพันธ์ การจัดลำดับชั้นทางสังคม ฯลฯ

3. ความแตกต่างของกลุ่มโลหิต (Blood Group) ซึ่งถูกกำหนดโดยพันธุกรรม แต่เนื่องจาก เป็นเกณฑ์ที่ไม่สะดวกในการนำมาใช้ปฏิบัติจึงไม่เป็นที่นิยมใช้กัน (ส่วนใหญ่จึงพิจารณา จากเกณฑ์ที่ 1 และ 2 เป็นสำคัญ)

74. การหลงวัฒนธรรมหรือยึดวัฒนธรรมของตนเป็นศูนย์กลาง (Ethnocentrism) มีผลให้เกิดสิ่งใด

(1) อคติต่อเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ (2) การปฏิบัติไม่เท่าเทียม

(3) การขัดแย้งทางวัฒนธรรม (4) ข้อ 1 และ 2 (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 287, (คำบรรยาย) การหลงหรือยึดวัฒนธรรมของตนเองเป็นศูนย์กลางจะมีผลให้เกิด อคติต่อเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์หรือชาติพันธุ์นิยม (Ethnocentrism) เกิดการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกัน เกิดปฏิกิริยาต่อต้านตอบโต้ และเกิดการขัดแย้งทางวัฒนธรรม ทั้งนี้เพราะคนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน (อาจเป็นชนกลุ่มน้อยหรือชนกลุ่มใหญ่) จะมีความรู้สึกว่าเชื้อชาติหรือวัฒนธรรมซองกลุ่มตนดีกว่า และมองกลุ่มอื่นว่าด้อยกว่า จึงเกิดอคติและดูถูกกีดกันกลุ่มอื่น

75. สหรัฐอเมริกาและสวิตเซอร์แลนด์ จัดเป็นสังคมแบบใด

(1) สังคมปฐมฐาน (2) สังคมวัฒนธรรมเดียว (3) สังคมทวิวัฒนธรรม

(4) สังคมสมานรูป (5) พหุสังคมหรือสังคมหลากหลาย

ตอบ 5 หน้า 289 – 291 สังคมลักษณะต่าง ๆ ที่เกิดจากการมีชนต่างวัฒนธรรม มีดังนี้

1. สังคมหลากหลายหรือพหุสังคม (Plural Society) คือ สังคมที่มีคนหลายเชื้อชาติ หลายภาษา หลายศาสนา และหลายวัฒนธรรม หรือมีลักษณะแบบพหุวัฒนธรรม (Plural Culture) อาศัยรวมอยู่ปะปนกัน เช่น สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น

2. สังคมแบบทวิวัฒนธรรม (Cultural Dualism) คือ สังคมที่มีประชากรส่วนใหญ่สืบเชื้อสาย มาจาก 2 เชื้อชาติหรือ 2 วัฒนธรรม เช่น แคนาดา ประชากรส่วนใหญ่สืบเชื้อสายมาจาก อังกฤษและฝรั่งเศส เป็นต้น

76. การรับเอาวัฒนธรรมของสังคมอื่นเข้ามาผสมกับวัฒนธรรมของตน เรียกว่าอะไร

(1) การผสมผสานทางวัฒนธรรม (2) การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม

(3) ความเฉื่อยทางวัฒนธรรม (4) การปฏิวัติวัฒนธรรม

(5) ความล้าทางวัฒนธรรม

ตอบ 1 หน้า 326 การผสมผสานทางวัฒนธรรม (Acculturation) คือ เมื่อมีการกระจายเผยแพร่ ทางวัฒนธรรมแล้ว สังคมที่รับเอาวัฒนธรรมนั้น ๆ ไปจะต้องมีการปรับปรุงผสมผสานให้เข้า กันได้กับวัฒนธรรมเดิมที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ด้วย

77. อะไรคือแนวคิดสำคัญของทฤษฎีวัฏจักร

(1) อารยธรรมจะพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง

(2) อารยธรรมจะคงอยู่ตลอดกาล (3) อารยธรรมจะอยู่คู่อาณาจักรแต่ละแห่ง

(4) มนุษย์เป็นผู้สร้างอารยธรรม (5) อารยธรรมเมื่อมีการรุ่งเรืองย่อมมีการล่มสลาย

ตอบ 5 หน้า 309 – 312 ทฤษฎีวัฏจักร เป็นแนวคิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในเชิงวัฏจักรหรือการสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่เสมอ ไม่มีความถาวรของ ยุคใดยุคหนึ่งหรือสังคมใดสังคมหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อมีจุดเริ่มต้นก็ต้องมีจุดสิ้นสุด เมื่อถึงจุดสิ้นสุด ก็จะกลับมาจุดเริ่มต้น หรือเมื่อมีการเจริญรุ่งเรืองก็ย่อมมีการล่มสลาย และเมื่อมีการล่มสลาย ก็จะกลับมาเจริญรุ่งเรืองสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่เสมอ

78. แนวคิดของสเปนเซอร์ (Spencer) จัดอยู่ในทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีขัดแย้ง (2) ทฤษฎีวัฏจักร (3) ทฤษฎีการหน้าที่

(4) ทฤษฎีวิวัฒนาการทางสังคม (5) ทฤษฎีจิตวิทยาสังคม

ตอบ 4 หน้า 315 แนวคิดของสเปนเซอร์ (Spencer) จัดอยู่ในทฤษฎีวิวัฒนาการ (ทฤษฎีวิวัฒนาการ ทางสังคม) โดยเขากล่าวถึงการวิวัฒนาการว่าเป็นเสมือนกระบวนการแห่งการเติบโต ทั้งนี้ โดยการเปรียบเทียบสังคมว่าเป็นเสมื่อนสิ่งมีชีวิต

79. ในทฤษฎีของมาร์กซ์ (Marx) คำว่า Thesis หมายถึงตัวเลือกใด

(1) สภาพที่เป็นอยู่แล้ว (2) สภาพตรงข้าม (3) ดุลยภาพ

(4) สภาพที่ไม่เป็นอยู่ (5) สภาพคล้ายคลึง

ตอบ 1 หน้า 320 – 321 ทฤษฎีการขัดแย้งเป็นแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ซึ่งได้อธิบาย การเปลี่ยนแปลงหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ โดยกระบวนการ 3 อย่าง คือ

1. Thesis (จุดยืน)ได้แก่ สภาพที่เป็นอยู่แล้ว

2. Antithesis (จุดแย้ง) ได้แก่ สภาพที่ตรงข้ามหรือขัดแย้งกับสิ่งที่มีอยู่หรือเป็นอยู่แล้ว

3. Synthesis (จุดยุบ) ได้แก่ ผลแห่งการปะทะกันหรือขัดแย้งกันของ 2 กระบวนการแรก

80. ข้อความใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับทฤษฎีโครงสร้าง-การหน้าที่

(1) การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเพราะแรงผลักดันทางวัตถุ

(2) การเปลี่ยนแปลงมีกระบวนการเริ่มจากจุดยืน (Thesis)

(3) การเปลี่ยนแปลงสามารถปรับตัวให้เข้ากับระบบในสภาพการสมดุลแห่งพลวัต

(4) การเปลี่ยนแปลงเกิดจากการมีปัจจัยทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น

(5) การเปลี่ยนแปลงเกิดความคิดที่เป็นนามธรรม

ตอบ 3 หน้า 317 – 318 ทฤษฎีโครงสร้างและการหน้าที่ อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคม และวัฒนธรรมไว้ประการหนึ่ง คือ ระบบสังคมมีสภาพเป็น “การสมดุลแห่งพลวัต” นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงสามารถปรับตัวให้เข้ากับระบบโดยมีการเปลี่ยนแปลงแต่เพียงเล็กน้อย

81. กระบวนการที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) การขอยืม

(2) การค้นพบ

(3) การประดิษฐ์

(4) การกระจาย

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 324 – 326 กระบวนการที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม ได้แก่ 1. การขอยืม 2. นวัตกรรม 3. การค้นพบ 4. การประดิษฐ์ 5. การกระจาย

82. นักวิชาการท่านใดได้รับการยกย่องว่าเป็นนักสังคมวิทยาชนบทคนแรกของโลก

(1) ค้องท์ (Comte)

(2) สเปนเซอร์ (Spencer)

(3) เวเบอร์ (Weber)

(4) เลอเปล (Le Play)

(5) เจฟเฟอร์สัน (Jefferson)

ตอบ 4 หน้า 336 ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักสังคมวิทยาชนบทคนแรกของโลกคือ เลอเปล (Le Play) ชาวฝรั่งเศส ซึ่งได้ทำการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับครอบครัวชนบทและองค์การต่าง ๆ ในชนบท โดยการใช้หลักสังเกตการณ์ การเก็บและการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์

83. ตัวเลือกใดคือคุณสมบัติดั้งเดิมของชุมชนชนบท

(1) ผลิตเพื่อการค้า

(2) ผลิตเพื่อบริโภค (3) การให้บริการ (4) พึ่งพาตนเองน้อย (5) เศรษฐกิจแบบตลาด

ตอบ 2 หน้า 340 – 341 คุณสมบัติดั้งเดิมของชุมชนชนบท มีดังนี้ 1. ความโดดเดี่ยว (Isolation) 2. ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน (Homogeneity) 3. การใช้แรงงานเพื่อการเกษตร (Agricultural Employment) 4. การเศรษฐกิจเพื่อการบริโภค (Subsistence Economy)

84. ตัวเลือกใดเป็นสาเหตุภายนอกที่ทำให้สังคมชนบทเกิดการเปลี่ยนแปลง

(1) การเกิด (2) การย้ายถิ่น (3) การเลียนแบบ

(4) การประดิษฐ์สิ่งใหม่ (5) การแปรปรวนของธรรมชาติ

ตอบ 3 หน้า 358 – 359 สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมชนบทเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ

1. ปัจจัยภายในสังคมชนบทเอง เช่น การเกิด การตาย การย้ายถิ่น การแปรปรวนของธรรมชาติ ผู้ร้ายหรือการสู้รบ การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ (ภูมิปัญญาชาวบ้านที่เกิดจากนวัตกรรม) ฯลฯ

2. ปัจจัยภายนอกสังคมชนบท เช่น การผสมผสานทางวัฒนธรรม การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม การคมนาคมติดต่อสื่อสาร การเลียบแบบ (การขอยืมวัฒนธรรม) การพัฒนา ฯลฯ

85. การตั้งถิ่นฐานของชาวชนบทไทยส่วนมากมีลักษณะใด

(1) หมู่บ้านสหกรณ์

(2) นิคมสร้างตนเอง (3) หมู่บ้านวงกลม (4) หมู่บ้านเศรษฐกิจ (5) หมู่บ้านเกษตรกรรม

ตอบ 5 หน้า 346 การตั้งถิ่นฐานของชาวชนบทไทยส่วนมากมีลักษณะเป็นการตั้งถิ่นฐานที่ไม่มี การวางแผน มีการตั้งถิ่นฐานแบบหมู่บ้านเกษตรกรรม ซึ่งตั้งบ้านเรือนตามที่ลุ่มที่ดอน ที่เนิน ชายปา ชายเขา ตามเส้นทางคมนาคม และตามริมฝั่งน้ำ

86. วิถีชีวิตของชาวชนบทเกี่ยวข้องกับอะไรมาก

(1) ศาสนา

(2) การศึกษา (3) การผลิต (4) การเมือง (5) การให้บริการ

ตอบ 3 หน้า 340 – 341, (คำบรรยาย) คนชนบทจะมีการใช้แรงงานเพื่อการเกษตร เกือบทุกคน ในชนบทจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกษตร ถ้าไม่ปลูกพืชก็เลี้ยงสัตว์หรือทำการประมง ดังนั้น ลักษณะวิถีชีวิตความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของนบชนบทจึงเกี่ยวพันกับการเกษตรกรรม หรือเกี่ยวข้องกับการผลิต (ผลิตผลทางการเกษตร) ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมเป็นอย่างมาก

87. เพราะเหตุใดเมืองและชนบทจึงอยู่โดดเดี่ยวไม่ได้

(1) เมืองต้องพึ่งผลผลิตด้านเกษตรจากชนบท

(2) ชนบทต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากเมือง (3) ชนบทต้องพึ่งพาแรงงานจากเมือง

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 หน้า 366 เมือง คือ ที่รวมของมนุษย์ที่ต้องพึ่งพาผลผลิตทางเกษตรกรรมและแรงงาน จากชนบทเพื่อความอยู่รอดของตนเอง ซึ่งชนบทก็จะได้ผลตอบแทนหรือการพึ่งพาเมือง ในด้านความคุ้มครองทางด้านการทหารและเทคโนโลยีหรือสิ่งฟุ่มเฟือยต่าง ๆ ดังนั้นเมือง และชนบทจึงอยู่โดดเดี่ยวไม่ได้ ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

88. ตัวเลือกใดถูกต้องเกี่ยวกับสังคมวิทยานคร

(1) ศึกษาชีวิตของผู้ที่อยู่ในเขตเมือง

(2) ศึกษากระบวนการกลายเป็นเมือง (3) เปรียบเทียบกับสังคมวิทยาชนบท

(4) ศึกษาโครงสร้างของเมือง (5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 363 สังคมวิทยานคร (Urban Sociology) บางครั้งจะเรียกว่า สังคมวิทยานาครหรือสังคมวิทยาเมือง เป็นการศึกษาทางสังคมโดยเน้นหนักถีงการศึกษาชีวิตของมนุษย์ที่อยู่ ในเขตเมือง ศึกษาระบบสังคม วัฒนธรรม โครงสร้าง หน้าที่ และกระบวนการกลายเป็นเมือง ซึ่งมักจะศึกษาเปรียบเทียบกับสังคมวิทยาชนบท (Rural Sociology)

89. ทฤษฎีใดกล่าวว่า “เมืองจะขยายตัวจากศูนย์กลางไปตามเส้นทางการคมนาคมขนส่ง”

(1) ทฤษฎีรูปพาย (2) ทฤษฎีรูปวงกลม (3) ทฤษฎีรูปดาว

(4) ทฤษฎีรูปเหลี่ยม (5) ทฤษฎีหลายศูนย์กลาง

ตอบ 3 หน้า 374 ทฤษฎีรูปดาว (Star Theory) เป็นทฤษฎีการขยายตัวของเมืองที่เก่าแก่ที่สุด เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1903โดย อาร์.เอ็ม. เฮิร๎ด (R.M. Hurd) ได้ศึกษาพบว่า เมืองจะขยายตัว ออกจากศูนย์กลางไปตามเส้นทางการคมนาคมขนส่ง ซึ่งทำให้เป็นรูปคล้ายดาวหรือแมงกะพรุน

90. การขยายตัวของเมืองตามทฤษฎีรูปวงกลม เขตพื้นที่ชั้นในนสุด (วงที่ 1) คือเขตอะไร

(1) ศูนย์กลางของเมือง (2) แหล่งเสื่อมโทรม (3) แหล่งคนยากจน

(4) ที่อยู่อาศัยของชนชั้นกลาง (5) ที่อยู่อาศัยของคนชั้นสูง

ตอบ 1 หน้า 374 – 375 ทฤษฎีรูปวงกลม (Concentric Zone Theory) อธิบายว่า นครใหญ่ ๆ ประกอบด้วยเขตต่าง ๆ เป็นรูปวงกลมซ้อนกัน 5 วง จากเขตพื้นที่ชั้นในสุดมานอกสุดดังนี้ วงที่ 1 เป็นเขตศูนย์กลางของเมือง, วงที่ 2 เป็นเขตผ่านหรือเขตเสื่อมโทรม,วงที่ 3 เป็นเขตที่อยูอาศัยของคนยากจน, วงที่ 4 เป็นเขตที่อยู่อาศัยของชนชั้นกลาง,วงที่ 5 เป็นเขตที่อยู่อาศัยของชนชั้นสูง

91. ตามทัศนะของคูลีย์ (Cooley) ปัจจัยใดที่ก่อให้เกิดเมืองมากที่สุด

(1) เส้นทางคมนาคมขนส่ง

(2) จำนวนประชากร

(3) เหมืองแร่

(4) การปกครองและศาสนา

(5) เมื่อมีการหยุดพักขนสินค้า

ตอบ 5 หน้า 370 ปัจจัยที่ทำให้เกิดเมืองในทัศนะของคูลีย์ (Cooley) คือ การหยุดพักเพื่อขนส่งสินค้า โดยเขากล่าวว่า เส้นทางคมนาคมขนส่งไม่ได้ทำให้เกิดเมือง แต่เมื่อมีการหยุดพักเพื่อขนส่งสินค้า ก็จะทำให้เกิดเมือง ได้แก่ เมืองท่าบางเมือง เช่น ฮ่องกง และโคเปนเฮเกน ฯลฯ

92. ตัวเลือกใดเป็นลักษณะของเมืองในประเทศกำลังพัฒนา

(1) มีความเป็นเมืองมากเกินไป

(2) มีลักษณะแบบเอกนครชัดเจน

(3) การขยายขนาดของเมืองมีอัตราสูงกว่าการขยายตัวทางอุตสาหกรรม

(4) การขยายขนาดของเมืองขึ้นอยู่กับการย้ายถิ่นเข้ามาอยูในเมืองของชาวชนบท

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 380 ลักษณะความเป็นเมืองและการขยายขนาดของเมืองในประเทศกำลังพัฒนา มีดังนี้

1. การขยายขนาดของเมืองเป็นไปใบอัตราสูงกว่าการขยายตัวทางอุตสาหกรรม

2. การขยายขนาดของเมืองขึ้นอยู่กับผลของการเพิ่มโดยธรรมชาติ (ผลต่างระหว่างจำนวน การเกิดและการตาย) ของประชากรในเมืองร่วมกับผลจากการย้ายถิ่นเข้าของชาวชนบท

3. การย้ายถิ่นเข้าสู่เมืองมีสาเหตุผลักดันจากชนบทมากกวาแรงดึงดูดของเมือง

4. มีความเป็นเมืองมากเกินไป

5. มีลักษณะเป็นแบบเอกนครอย่างชัดเจน

93. ออยท์ (Hoyt) เป็นเจ้าของแนวความคิดเกี่ยวกับการขยายตัวของเมืองในลักษณะใด

(1) รูปดาว (2) รูปพาย (3) รูปวงรี

(4) รูปสามเหลี่ยม (5) รูปวงกลม

ตอบ 2 หน้า 376 ทฤษฎีรูปพาย (Sector Theory) ของโฮเบอร์ ฮอยท์ (Homer Hoyt) อธิบายว่า ส่วนต่าง ๆ ของเมืองประกอบด้วยกิจกรรมและประชากรในส่วนต่าง ๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องแบ่งเขต เป็นรูปวงกลมซ้อนกันเสมอไป กล่าวคือ บริเวณเขตอุตสาหกรรมไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นโดยรอบ อาณาบริเวณศูนย์กลางของเมือง แต่อาจเจริญหรือขยายตัวตามริมทางรถไฟเป็นแนวตรง หรือ ส่วนต่าง ๆ อาจจะมีจุดเริ่มต้นจากศูนย์กลางของเมืองแล้วขยายไปตามแนวยาวออกไปสู่ชานเมือง

94. ศาสตร์ที่ศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) นิเวศวิทยา (2) มนุษยนิเวศวิทยา (3) ชีววิทยา

(4) พฤกษศาสตร์ (5) ภูมิศาสตร์

ตอบ 2 หน้า 391 มบุษยนิเวศวิทยา เป็นวิชาหนึ่งในแขนงสาขาสังคมวิทยาที่มีขอบเขตการศึกษา เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม โดยมนุษย์นิเวศวิทยาได้นำเอาความรู้และประสบการณ์จากหลายสาขาวิชาเข้ามารวมในศาสตร์นี้ เช่น เคมี เศรษฐศาสตร์ การเมือง สังคม และจริยศาสตร์ รวมทั้งชีววิทยา (ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องมากที่สุด)

95. ข้อใดจัดอยู่ใบระบบนิเวศน์แบบ Mature Natural Ecosystems

(1) ทุ่งเลี้ยงสัตว์ (2) ย่านอุตสาหกรรม (3) ภูเขา

(4) สวนสาธารณะ (5) ฟาร์ม

ตอบ 3 หน้า 391 – 392 ระบบนิเวศน์ของมนุษย์ (มนุษยนิเวศวิทยา) แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ

1. Mature Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่อยู่ในสภาพธรรมชาติอย่างแท้จริง ไม่มีคนอยู่อาศัย เช่น ป่า ภูเขา ทะเลทราย ฯลฯ

2. Managed Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง และตัดแปลง เช่น สวนสาธารณะ อุทยาน อุทยานแห่งชาติ ฯลฯ

3. Productive Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง เพื่อให้ได้ผลิตผลและทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ฟาร์ม ปศุสัตว์ เหมืองแร่ ฯลฯ

4. Urban Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้อาศัยประกอบกิจการทำงานต่าง ๆ เช่น บริเวณย่านอุตสาหกรรม บริเวณเมืองเล็กและเมืองใหญ่ ฯลฯ

96. ตัวอย่างการใช้พลังงานไฮโดรอีเล็กตริก ได้แก่ตัวเลือกใด

(1) บ่อน้ำมันที่ฝาง (2) เขื่อนภูมิพล (3) โรงไฟฟ้าวัดเลียบ

(4) เหมืองลิกไนท์ที่ลำปาง (5) โรงงานผลิตก๊าซธรรมชาติที่บางปะกง

ตอบ 2 หน้า 395 พลังงานไฮโดรอีเล็กตริก เป็นพลังงานที่ได้จากการสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งพลังงานนี้ถูกนำมาใช้ในโลกได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับพลังงาบที่ได้จากน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ทั้งนี้เพราะการสร้างเขื่อนมีข้อจำกัดอยู่ที่สถานที่ที่จะต้องเลือกใช้ และอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศของป่าไม้ได้

97. พลังงานจากแหล่งใดที่มนุษย์นำมาใช้มากที่สุด

(1) ถ่านหิน

(2) นํ้ามัน (3) ลม (4) นิวเคลียร์ (5) แสงอาทิตย์

ตอบ 2 หน้า 395 แหล่งพลังงานในด้านต่าง ๆ ของโลกที่มนุษย์นำมาใช้มากที่สุด คือ น้ำมัน (42.7%) รองลงมาตามลำดับ ได้แก่ ถ่านหิน (36.6%), ก๊าซธรรมชาติ (18.3%), ไฮโดรอีเล็กตริก (2.1%) และนิวเคลียร์ (0.3%)

98. ตัวเลือกใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ “น้ำ”

(1) 97% ของนํ้าในโลกเป็นน้ำทะเล

(2) สามารถใช้พลังนํ้าผลิตพลังงานได้ (3) น้ำฝนเป็นน้ำที่อยู่บนผิวดิน

(4) น้ำเป็นทรัพยากรที่มีการหมุนเวียน (5) นํ้าเสียเกิดจากอินทรียสารซึ่งถูกย่อยสลายได้

ตอบ 3 หน้า 398 นํ้าเป็นทรัพยากรที่มีการหมุนเวียน ส่วนใหญ่ของนํ้าในโลกเป็นนํ้าทะเล 97%ที่เหลืออีก 3% เป็นนํ้าจืด นํ้าเป็นปัจจัยสำคัญในการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากการสร้างเขื่อน นํ้าธรรมชาติแบ่งเป็น 4 ประเภท คอ น้ำฝน, น้ำท่า (น้ำที่อยู่ผิวดิน), นํ้าบาดาล (น้ำใต้ดิน)และน้ำทะเล โดยนํ้าเสียเกิดจากอินทรียสารซึ่งถูกย่อยสลายได้

99. วิชามานุษยวิทยาถือกำเนิดขึ้นในบรรยากาศทางสังคมแบบใด

(1) การปฏิวัติเกษตรกรรม (2) การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (3) การปฏิรูปศาสนา

(4) การล่าอาณานิคม (5) การปฏิวัติอุตสาหกรรม

ตอบ 4 (คำบรรยาย) วิชามานุษยวิทยา (Anthropology) ถือกำเนิดขึ้นในสังคมยุโรป ประมาณ ปลายศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นช่วงที่มีบรรยากาศของการล่าอาณานิคม โดยในระยะแรกนี้จะ เน้นการศึกษาสังคมดั้งเดิมที่ไม่ใช่สังคมของคนผิวขาวและสังคมตะวันตก เช่นสังคมดั้งเดิม ของแอฟริกาและเอเชีย เป็นต้น

100. มานุษยวิทยากายภาพศึกษาด้านใด

(1) โบราณคดี

(2) สรีระของมนุษย์ (3) ชาติวงศ์ชองมนุษย์ (4) ภาษาของมนุษย์ (5) ชาติพันธุ์วรรณนา

ตอบ 2 หน้า 412 มานุษยวิทยากายภาพ (Physical Anthropology) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับการกำเนิดของมนุษย์ในแง่สรีรวิทยา โดยมุ่งเน้นศึกษาสัตว์ตระกูล Homo Sapiens ชนิดต่าง ๆ ในด้านโครงสร้างของอวัยวะทางร่างกายอย่างละเอียด ซึ่งได้พยายามค้นคว้าศึกษาวิวัฒนาการ จากจุดเริ่มต้นที่เรียกกันว่า ไพรเมท (Primate) หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มาจนกระทั่งถึง การมีลักษณะที่เป็นรูปร่างเหมือนกับมนุษย์ในปัจจุบัน

101. ผู้ใดเป็นผู้ริเริ่มจำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นจำพวกต่าง ๆ

(1) ดาร์วิน (Darwin)

(2) ลามาร์ค (Lamarck)

(3) ลินเน (Linne)

(4) เมนเดล (Mendel)

(5) วอลเลซ (Wallace)

ตอบ 3 หน้า 414, (คำบรรยาย) ลินเน (Linne) นักชีววิทยาชาวสวีเดน เป็นผู้ที่ริเริ่มจำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นจำพวกต่าง ๆ ด้วยการจัดระบบวิธีการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตแบบทวินาม (Binomial) ไว้ในหนังสือชื่อ System of Nature โดยลักษณะของชื่อสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด จะประกอบด้วยชื่อ Genus (สกุล) และ species (ชนิด)

102. “การให้การศึกษา” เป็นการโต้ตอบทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับความต้องการของมนุษย์ด้านใด

(1) การถ่ายทอดทางวัฒนธรรม

(2) การติดต่อสื่อสาร

(3) ความเจริญด้านวัตถุ

(4) การทำกิจกรรมร่วมกัน

(5) การควบคุมทางสังคม

ตอบ 1 หน้า 424 มาลินอฟสกี้ (Malinowski) ได้กล่าวถึงความสอดคล้องระหว่างความต้องการของ มนุษย์กับสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เกิดตามมา ดังนี้ การให้การศึกษา เป็นการโต้ตอบทางวัฒนธรรมเพื่อสนองตอบความต้องการด้านการถ่ายทอดทางวัฒนรรรม ภาษาเป็นการโต้ตอบทางวัฒนธรรมเพื่อสนองตอบความต้องการด้านการติดต่อสื่อสาร กฎเกณฑ บทลงโทษ และประเพณีเป็นการโต้ตอบทางวัฒนธรรมเพื่อสนองตอบความต้องการ ด้านการควบคุมทางสังคม ฯลฯ

103. ปัจจัยใดที่ทำให้มนุษย์แตกต่างกันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในยีนส์ (Genes)

(1) การแยกเผ่า (2) การผสมเป็นพันธุ์ใหม่ (3) การผ่าเหล่า

(4) การแยกอยู่โดดเดี่ยว (5) การเลือกสรรพันธุ์โดยธรรมชาติ

ตอบ 3 หน้า 418 การผ่าเหล่า (Mutation) เป็นปัจจัยที่ทำให้มนุษย์มีความแตกต่างกันเนื่องจาก เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในยีนส์ (Genes) ที่สืบทอดผ่านทางพันธุกรรม โดยอณู ของโปรตีนจำนวนมากซึ่งเป็นองค์ประกอบทางชีวเคมีเข้าไปปรุงแต่งพื้นฐานทางพันธุกรรม ทำให้ลูกหลานที่เกิดฃึ้นมีลักษณะแตกต่างกันออกไป

104. ปรมาจารย์ทางมานุษยวิทยาวัฒนธรรมท่านใดสอนให้ศิษย์ทำหน้าที่เสมือน “กล้องถ่ายรูป” ในการจับภาพวัฒนธรรมของสังคมแต่ละสังคม

(1) เบเนดิกท์ (Benedict)

(2) ไทเลอร์ (Tylor) (3) โบแอส (Boas)

(4) มาลินอฟสกี้ (Malinowski) (5) เรดคลิฟฟ์-บราวน์ (Radcliffe-Brown)

ตอบ 3 หน้า 429 – 430 โบแอส (Boas) เป็นปรมาจารย์ทางมานุษยวิทยาวัฒนธรรมที่ได้พร่ำสอน ลูกศิษย์ให้ทำหน้าที่เสมือนเป็น “กล้องถ่ายรูป” ในการจับภาพวัฒนธรรมของสังคมแต่ละสังคม โดยยํ้าว่านักมานุษยวิทยาควรจะเรียนรู้ภาษาพื้นเมืองของกลุ้มคนที่ต้องการไปศึกษา เพื่อจะได้รับความรู้จากสังคมนั้น ๆ อย่างละเอียดลึกซึ้ง

105. การนอนหลับพักผ่อนหลังอาหารมื้อกลางวัน (Siesta) เป็นวัฒนธรรมของภูมิภาคใด

(1) เอเชียเหนือ (2) ยุโรปเหนือ (3) ยุโรปใต้ (4) อเมริกากลาง (5) เอเชียใต้

ตอบ 3 หน้า 444 ปัจจุบันความนิยมในการหยุดกิจการ 2 ชั่วโมง เพื่อนอนหลับพักผ่อนหลังอาหาร มื้อกลางวัน แล้วจึงเปิดกิจการใหม่ในตอนบ่ายจนถึงคำ ยังคงมีอยู่ในยุโรปทางตอนใต้ ได้แก่ อิตาลี กรีซ และสเปน ทั้งนี้เนื่องจากยุโรปทางตอนใต้นั้นอากาศร้อนเกินไป

106. ตัวเลือกใดไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมอเมริกัน

(1) วัฒนธรรมยีนส์ (2) ร้านกาแฟสตาร์บัค (3) แมคโดบัล

(4) ไก่ทอดเคเอฟชี (5) วรรณกรรมและภาพยนตร์เรื่องแฮรี่ พอตเตอร์

ตอบ 5 (คำบรรยาย) วัฒนธรรมอเมริกัน หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถือกำเนิดและถูกถ่ายทอดมาจาก อเมริกาไม่ว่าจะเป็นแนวทางการดำรงชีวิต ระเบียบประเพณี ค่านิยม ภาษาหรือคำศัพท์ต่าง ๆ ตลอดจนอาหารการกิน เป็นต้นว่าอาหารจานด่วน (Fast Food) เช่น กาแฟสตาร์บัค, ไก่ทอด เคเอฟชี, แฮมเบอร์เกอร์แมคโดบัล ฯลฯ วัฒนธรรมยีนส์, การ์ตูนเป็ดโดนัลและหนูมิกกี้เมาส์, คำว่า “hot dog” “ weekend” “freeway” ส่วนวรรณกรรมและภาพยนตร์เรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ เป็นวัฒนธรรมของยุโรป (อังกฤษ)

107. ประชากรส่วนใหญ่ในทวีปแอฟริกานับถือศาสนาใด

(1) อิสลาม

(2) คริสต์ (3) ฮินดู (4) ซิกข์ (5) ยูดาย

ตอบ 2 หน้า 448 ประชากรสวนใหญ่ในทวีปแอฟริกานับถือศาสนาคริสต์ รองลงมาคือ อิสลาม ส่วนศาสนาพุทธเกือบไม่มีเลย

108. ตัวเลือกใดไม่ใช่ลักษณะของวัฒนธรรมแอฟริกา

(1) ชายแต่งงานกับหญิงได้หลายคน

(2) ร่วมมือกันทำงานเป็นกลุ่ม (3) นิยมดูการต่อสู้กับวัวกระทิง

(4) เคารพเครือญาติผู้ใหญ่ (5) ชอบดนตรีประเภทตึงตังโครมคราม

ตอบ 3 หน้า 449 – 450 ลักษณะสำคัญของวัฒนธรรมแอฟริกา ได้แก่

1. ให้เกียรติผู้สูงอายุ เคารพญาติผู้ใหญ่

2. ชอบดนตรีและเพลงประเภทตึงตังโครมคราม (Jazz)

3. การทำงานเพื่อประโยชน์ฃองสาธารณชนมักมีการร่วมมือกันเป็นกลุ่ม

4. ชายชาวแอฟริกันคนหนึ่งอาจแต่งงานกับภรรยาได้หลาย ๆ คน

5. ผู้หญิงเมื่อแต่งงานแล้วจะต้องมาอยู่บ้านสามีและทำงานให้ครอบครัวของสามี ฯลฯ

109. ตามทัศนะซองมาลินอฟสกี้ (Malinowski) มนุษย์สร้างวัฒนธรรมด้านใดเพื่อตอบสนองความต้องการในการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม

(1) ระบบเครือญาติ

(2) สันทนาการ (3) ศิลปะ (4) การศึกษา (5) เศรษฐกิจ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 102. ประกอบ

110. ตัวเลือกใดถูกต้องเกี่ยวกับ “อุปนิสัยประจำชาติ”

(1) ระบบบุคลิกภาพซึ่งมีอยู่ในสมาชิกส่วนใหญ่ของสังคม

(2) ลักษณะเด่นพิเศษที่ทำให้นานาชาติแตกต่างกัน

(3) ลักษณะเด่นที่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างสังคมหนึ่งกับสังคมอื่น

(4) โครงสร้างแห่งบุคลิกภาพ บนสมมติฐานว่า เป็นลักษณะของสมาชิกในสังคมเดียวกัน

(5) ถูกทั้งหมด

ตอบ 5 หน้า 458 ลักษณะประจำชาติหรืออุปนิสัยประจำชาติ มีความหมายดังต่อไปนี้

1. ระบบบุคลิกภาพซึ่งมีอยู่ในสมาชิกส่วนใหญ่ของสังคม และจัดเป็นเอกลักษณ์หรือลักษณะ ที่เด่นพิเศษอันทำให้นานาชาติแตกต่างกัน

2. ลักษณะเด่นอันทำให้สามารถแยกแยะความแตกด่างระหว่างสังคมหนึ่งกับอีกสังคมหนึ่งได้

3. โครงสร้างแห่งบุคลิกภาพซึ่งวางอยู่บนสมมติฐานที่ว่าเป็นลักษณะของสมาชิกของสังคมเดียวกัน

111. เอมบรี (Embree) มีทัศนะว่าลักษณะอุปนิสัยของคนไทยเป็นอย่างไร

(1) รักความเป็นธรรม

(2) ขาดวินัย

(3) ใจนักเลง

(4) ชอบอิสรภาพ

(5) เคารพผู้อาวุโส

ตอบ 2 หน้า 464 จอห์น เอมบรี (Embree) นักมานุษยวิทยาตะวันตก กล่าวว่า “คนไทยชอบสนุก และมีโครงสร้างทางบุคลิกภาพและทางสังคมหลวม ๆ คือ ขาดวินัย”

112. ลักษณะอุปนิสัยการประสานประโยชน์ของคนไทย หมายถึงตัวเลือกใด

(1) ชอบสนุกสนาน

(2) เล็งผลปฏิบัติ

(3) รักอิสรภาพ

(4) มีความอดกลั้น

(5) ไม่ชอบเบียดเบียนผู้อื่น

ตอบ 2 หน้า 464 – 465 ลักษณะอุปนิสัยซองคนไทยตามทัศนะของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ มี 3 ประการ ได้แก่

1. การรักความเป็นไท คือ การรักอิสรภาพเสรี ดังคำกล่าวทีว่า “พูดได้ตามใจคือไทยแท้”

หรือ “ทำอะไรได้ตามใจคือไทยแท้”

2. การปราศจากวิหิงสา คือ การไม่ชอบเบียดเบียน มีความอดกลั้น และมีขันติธรรม

3. การประสานประโยชน์ คือ การรู้จักประนีประนอม มีการโอนอ่อนและอะลุ่มอล่วย มีลักษณะเล็งผลปฏิบัติหรือสัมฤทธิคติ

113. คำกล่าวว่า “ทำอะไรได้ตามใจคือไทยแท้” ซชี้ให้เห็นลักษณะนิสัยของคนไทยข้อใด

(1) ความมักน้อย (2) ประสานประโยชน์ (3) รักความเป็นอิสรภาพ

(4) ปราศจากวิหิงสา (5) จิตใจนักเลง

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 112. ประกอบ

114. ตัวเลือกใดเป็นค่านิยมในสังคมอุตสาหกรรม

(1) ถืออำนาจ (2) ถือประโยชน์ตนเอง (3) ถือหลักเกณฑ์

(4) ถือฐานานุรูป (5) ความเฉื่อย

ตอบ 3 หน้า 473 ตามทัศนะของ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ ค่านิยมในสังคมอุตสาหกรรม ได้แก่ 1. ความฉับพลัน 2. การถือความสามารถ 3. การถือหลักเกณฑ์ 4. การถือประโยชน์ส่วนรวม 5. การถือเสรีภาพ

ซึ่งจะตรงกันข้ามกับค่านิยมในสังคมเกษตร ได้แก่

1. ความเฉื่อย 2. การถือฐานานุรูป 3. การถือความสัมพันธ์ส่วนตัว

4. การถือประโยชน์ตนเอง 5. การถืออำนาจ

115. ตามทัศนะของ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ ค่านิยมใดที่ไม่ส่งเสริมให้คนไทยเป็นนักคิดแบบนามธรรม

(1) ความเฉื่อย (2) การเล็งผลปฏิบัติ (3) การถือฐานานุรูป

(4) การถือหลักเกณฑ์ (5) การถือประโยชน์ตนเอง

ตอบ 2 หน้า 472 ค่านิยมที่เด่นชัดอีกอย่างหนึ่งของคนไทยตามทัศนะของ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ คือ การเล็งผลปฏิบัติหรือสัมฤทธิคติ กล่าวคือ คนไทยมักไม่ยึดถือสิ่งที่ไม่เห็นผลหรือไม่สอดคล้อง กับประโยชน์ของตน นักคิดไทยมักจะแสดงความคิดออกมาในรูปซึ่งจับต้องได้ ดังนั้นจึงทำให้ เป็นการยากแก่คนไทยที่จะเป็นนักคิดแบบนามธรรม (Abstract Thinker)

116. ตัวเลือกใดกล่าวไว้ถูกต้อง

(1) การสังคมสงเคราะห์มีวิวัฒนาการมาจากการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

(2) การสังคมสงเคราะห์มีวิวัฒนาการมาจากสภากาชาดสากล

(3) การสังคมสงเคราะห์มีวิวัฒนาการมาจากสนธิสัญญาแวร์ชาย

(4) การสังคมสงเคราะห์มีวิวัฒนาการมาจากสันนิบาตชาติ

(5) การสังคมสงเคราะห์มีวิวัฒนาการมาจากสหประชาชาติ

ตอบ 1 หน้า 481 หากพิจารณาในแง่หลักสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาที่สนับสนุนการสังคมสงเคราะห์ แล้ว การสังคมสงเคราะห์มีวิวัฒนาการมาจากแนวความคิดซึ่งเป็นความต้องการขั้นพื้นฐาน ของมนุษย์ 3 ประการ ดังนี้ 1. ความรู้สึกที่จะอยู่ร่วมกัน

2. ต้องการความคุ้มครองปกป้องร่วมกัน 3. ต้องการความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

117. ตัวเลือกใดตรงกับคำว่า Client ของงานสังคมสงเคราะห์

(1) ผู้รับบริการ

(2) ผู้ป่วย (3) ผู้ให้คำปรึกษา (4) ผู้ให้บริการ (5) นักจิตวิทยา

ตอบ 1 หน้า 483, 485, 487 คำว่า Client ในงานสังคมสงเคราะห์ หมายถึง ผู้รับบริการ ซึ่งเป็นผู้ที่มีปัญหา และต้องการคำแนะนำ/ปรึกษา ดังนั้นการปฏิบัติงานของการสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย จึงเกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่มีปัญหาและต้องการความช่วยเหลือ

118. ข้อใดไม่ใช่หลักของการสัมภาษณ์ในงานสังคมสงเคราะห์

(1) Person

(2) Problem (3) Place (4) Process (5) Predict

ตอบ 5 หน้า 489 “4D” คือ หลักที่นักสังคมสงเคราะห์ใช้ทำการสัมภาษณ์เพื่อค้นหาข้อเท็จจริง ในงานสังคมสงเคราะห์ ซึ่งมีดังนี้

1. Person หมายถึง ผู้รับบริการและบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้อง

2. Problem หมายถึง ต้องจับประเด็นที่เป็นปัญหาให้ได้

3. Place หมายถึง สถานที่หรือองค์การหรือหน่วยงานสังคมสงเคราะห์ที่ให้บริการ

4. Process หมายถึง มีลำดับขั้นตอนในการซักถาม

119. งานสังคมสงเคราะห์ในสหรัฐอเมริกาได้รับอิทธิพลจากประเทศใด

(1) อังกฤษ

(2) ฮังการี (3) เยอรมัน (4) ฝรั่งเศส (5) ออสเตรีย

ตอบ 1 หน้า 482 ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 การสังคมสงเคราะห์ได้เจริญขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากแบบอย่างของประเทศอังกฤษ

120. วิธีการสังคมสงเคราะห์ใดที่ใช้กิจกรรมเป็นสื่อในการพัฒนาความต้องการความสามารถของสมาชิก

(1) การจัดระเบียบชุมชน (2) การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม

(3) การพัฒนาชุมซน (4) การจัดองค์การชุมชน

(5) การสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย

ตอบ 2 หน้า 483 การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม (Social Group Work) โดยนักสังคมสงเคราะห์จะเป็นผู้นำในการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งอาศัยกิจกรรมต่าง ๆ เป็นสื่อ เพื่อเป็นการพัฒนาความต้องการและความสามารถของสมาชิก

SOC1003 สังคมวิทยาและมนุษยวิทยาเบื้องต้น การสอบไล่ภาค2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา SOC 1003 สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาเบื้องต้น

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1. ตามทัศนะของค้องท์ (Comte) การศึกษาเรื่องราวภายในสถาบันทางสังคม คือการศึกษาในข้อใด

(1) สังคมสถิต

(2) การกระทำทางสังคม

(3) สังคมพลวัต

(4) วิวัฒนาการทางสังคม

ตอบ 1 หน้า 18 – 19 ค้องทํ (Comte) ได้แบ่งการศึกษาทางสังคมวิทยาออกเป็น 2 สาขา ได้แก่

1. สังคมสถิต (Social Statics) เป็นการศึกษาโครงสร้าง-หน้าที่และเรื่องราวภายในสังคม คือ ศึกษาส่วนย่อย ได้แก่ สถาบันต่าง ๆ ทางสังคม เช่น สถาบันเศรษฐกิจ สถาบันครอบครัว สถาบันการเมือง สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา ฯลฯ

2. สังคมพลวัต (Social Dynamics) เป็นการศึกษาสังคมทั้งสังคม โดยเน้นการศึกษาในเรื่อง ที่ว่าสังคมเกิดขึ้นมาได้อย่างไร และมีวิวัฒนาการความเป็นมาหรือเป็นไปอย่างไร ซึ่งเป็น การศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

2. ข้อใดคือลักษณะของการศึกษาแบบ “แวร์สเตเฮ็น” (Verstehen) ของเวเบอร์ (Weber)

(1) เน้นความเข้าใจภาพรวม

(2) ไม่เน้นรายละเอียดของปรากฏการณ์

(3) เชื่อมโยงความหมายของส่วนย่อย

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 20 เวเบอร์ (Weber) เป็นนักสังคมวิทยาชาวเยอรมันที่สนับสนุนการใช้วิธีการศึกษาที่เรียกเป็นภาษาเยอรมันว่า “แวร์สเตเฮ็น” (Verstehen) แปลว่า Understanding (ความเข้าใจ) ซึ่งเป็นวิธีการที่เน้นความเข้าใจรวม ๆ กันมากกว่าในรายละเอียดของปรากฏการณ์ทางสังคม โดยเชื่อมโยงความหมายของส่วนย่อยเพื่อให้อยู่ในโครงสร้างใหญ่หรือประเด็นใหญ่

3. หลักตรรกศาสตร์ในทางสังคมศาสตร์ที่นำมาใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม ได้แก่วิธีการแบบใด

(1) นิรนัยและตรรกนัย

(2) อุปนัยและตรรกนัย

(3) นิรนัยและอัตนัย

(4) นิรนัยและอุปนัย

ตอบ 4 หน้า 43 ในทางสังคมศาสตร์ได้นำเอาหลักตรรกวิทยา (ตรรกศาสตร์) มาใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์ทางสังคม ดังนี้ 1. วิธีนิรนัย (Deductive Method) เป็นการอธิบายส่วนใหญ่ มาหาส่วนน้อย 2. วิธีอุปนัย (Inductive Method) เป็นการอธิบายในเชิงเป็นไปไต้ เมื่อรู้ว่าส่วนน้อยเป็นอย่างไรก็นำไปอธิบายส่วนใหญ่

4. ข้อใดคือขอบเขตของการศึกษาทางสังคมวิทยา

(1) สถาบันทางสังคม

(2) ความสัมพันธ์ของบุคคลในสังคม (3) สังคมมนุษย์ทั้งสังคม (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 21 – 22 สาระของวิชาสังคมวิทยามีขอบเขตในการศึกษาเรื่องราวต่าง ๆ ดังนี้

1. ความสัมพันธ์ของบุคคลในสังคม เช่น ระหว่างสามีภริยา มารดากับบุตร พี่กับน้อง ฯลฯ

2. สังคมมนุษย์ทั้งสังคม เช่น โครงสร้างของสังคม ลักษณะภายในของสังคม ฯลฯ

3. สถาบันทางสังคม เช่น สถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา ฯลฯ

5. ข้อใดชี้ให้เห็นว่า สังคมวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์

(1) ไม่ได้รับอิทธิพลจากศาสตร์อื่น (2) ช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางสังคม

(3) ศึกษาเพื่อสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับสังคม (4) ช่วยวางนโยบายพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม

ตอบ 3 หน้า 14 สิ่งทีชี้ให้เห็นว่าสังคมวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ก็คือ เป็นการศึกษาหาความรู้ ต่าง ๆ ทางสังคมเท่านั้น มิได้นำความรู้มาใช้เพีอประโยชน์บางอย่าง เพียงแต่เป็นผู้เสาะแสวงหา องค์ความรู้ให้ผู้อื่นนำไปใช้ ทั้งนี้นักสังคมวิทยาไม่มีหน้าที่เข้าไปช่วยรัฐบาลวางนโยบายพัฒนา ด้านเศรษฐกิจและสังคม ไม่ได้เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางสังคม

6. คำว่า “วัฒนธรรม” ในสังคมไทยถือกำเนิดขึ้นเมื่อใด

(1) สมัยรัชกาลที่ 6

(2) พ.ศ. 2475 (3) สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม (4) พ.ศ. 2500

ตอบ 2 หน้า 56 พ.ศ. 2475 พระวรวงศ์เธอกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ขณะทรงพระยศเป็นพระองศ์เจ้าวรรณไวทยากรทรงเป็นผู้ริ่เริมบัญญัติศัพท์คำว่า “วัฒนธรรม” ขึ้นเป็นคนแรก

7. ตัวเลือกใดเป็นความหมายของวัฒนธรรมตามนัยแห่งสังคมศาสตร์

(1) ความเชื่อ (2) ขนบธรรมเนียมและประเพณีต่าง ๆ

(3) ทุกสิ่งที่ดีงาม (4) ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นผลงานของมนุษย์

ตอบ 4 หน้า 56-61 ความหมายของวัฒนธรรม แบ่งออกเป็น 3 ความหมายใหญ่ ๆ ดังนี้

1. ความหมายตามรากศัพท์เดิม วัฒนธรรม หมายถึง สิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ได้รับการปรุงแต่งให้ดีแล้ว หรือสิ่งที่ได้รับการยอมรับและยกย่องมาเป็นเวลานานแล้ว

2. วัฒนธรรม ได้แก่ ขนบธรรมเนียมและประเพณีต่าง ๆ เช่น ความเชื่อเกี่ยวกับการตั้งชื่อเด็ก การหมั้น การสมรส การขึ้นบ้านใหม่ การบวชนาค การลงแขกเกี่ยวข้าว ฯลฯ

3. ความหมายตามนัยแห่งสังคมศาสตร์ วัฒนธรรมมีความหมายกว้างขวางมาก คือ ครอบคลุม ถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นผลผลิต/ผลงาน/ผลแห่งการกระทำของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นทางวัตถุ หรืออวัตถุ รวมถึงพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้

8. การตื่นตัวในวัฒนธรรมประจำชาติโดยจะมีการพูดถึง “เอกลักษณ์ของชาติหรือวัฒนธรรมอันดีงาม”มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด

(1) กระแสความคิดชาตินิยมและการต่อสู้เพื่อเอกราช (2) ยามศึกสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน

(3) การไหลบ่าของวัฒนธรรมต่างชาติ (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 3 หน้า 55 การตื่นตัวในทางวัฒนธรรมประจำชาติมักมีมากในช่วงที่มีความรู้สึกว่าวัฒนธรรม ต่างชาติกำลังไหลบ่าและแผ่ขยายอิทธิพลเข้ามา ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวนี้จะมีการพูดถึง “เอกลักษณ์ของชาติ” หรือ “วัฒนธรรมอันดีงาม” ของชาติอยู่บ่อย ๆ

9. ก่อนปรากฏการณ์การปฏิวัติอุตสาหกรรม การศึกษาสังคมเป็นแบบใด

(1) วิทยาศาสตร์ทางสังคม (2)สามัญสำนึก (3)วิทยาศาสตร์ (4)ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 2-3, (คำบรรยาย) การใช้สามัญสำนึก (Common Sense) ศึกษาสังคม เกิดขึ้น ในช่วงระยะเริ่มแรกก่อนที่วิชาสังคมวิทยาจะกำเนิดขึ้น คือ ก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ต่อมาในราวปลายศตวรรษที่ 18 (หลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม) การศึกษาสังคมก็เปลี่ยน จากการใช้สามัญสำนึกมาเป็นวิทยาศาสตร์ทางสังคม (Social Sciense)

10. ข้อใดที่ไม่ใช่ลักษณะของวิทยาศาสตร์ทางสังคม

(1) มีหลักการ สามารถอธิบายบนพื้นฐานของทฤษฎี มีความรู้สนับสบุน

(2) อธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมอย่างเป็นระบบและมีหลักเกณฑ์

(3) มีการสังเกต ตรวจสอบ ทดลอง

(4) รับรู้ผ่านประสาทสัมผัส

ตอบ 4 หน้า 13 สังคมวิทยาเป็นศาสตร์ (วิทยาศาสตร์ทางสังคม) ซึ่ง “ศาสตร์” มีลักษณะดังนี้

1. มีการสังเกต ยืนยันข้อเท็จจริงอย่างชัดเจน มีการอธิบาย ตรวจสอบ ทดลอง และอธิบาย ปรากฏการณ์ทางสังคมอย่างเป็นระบบและมีหลักเกณฑ์

2. มีหลักการ มีวิทยาการ สามารถอธิบายบนพื้นฐานของทฤษฎีที่มีระบบระเบียบ

3. ต้องมาจากการศึกษาและค้นคว้า 4. มีความรู้สนับสนุน

11. มาร์กซ์ (Marx) มีทัศนะในการศึกษาสังคมอย่างไร

(1) การขัดกันระหว่างคน 2 กลุ่มในแต่ละสังคมเป็นไปตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

(2) สังคมมีโครงสร้างเหมือนร่างกายมนุษย์

(3) สังคมมีระบบความสัมพันธ์แบบเครือข่าย

(4) สังคมไม่จำเป็นต้องมีดุลยภาพ

ตอบ 1 หน้า 7 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ได้มองสังคมในแง่ของการ “ขัดกัน” ของคนในสังคม โดยเขากล่าวไว้ในหนังสือชื่อ Critique of Political Economy ว่า การขัดกันระหว่างคน 2 กลุ่มในแต่ละสังคมเกิดขึ้นตลอดเวลาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ กล่าวคือ สังคมเศรษฐกิจโบราณมีการขัดแย้งกันระหว่างทาสกับนายทาส ในสังคมเศรษฐกิจ สมัยกลางมีการขัดแย้งกันระหว่างข้าติดที่ดินกับเจ้าของที่ดิน และในสังคมเศรษฐกิจทุนนิยม มีการขัดแย้งกันระหว่างชนชั้นกรรมาชีพ (กรรมกร) กับนายทุน

12. เพราะเหตุใดสังคมวิทยาจึงเน้นการศึกษาสังคมโดยการสุ่มตัวอย่าง

(1) เน้นการศึกษาส่วนบุคคล

(2) ง่ายและสะดวกต่อการศึกษา

(3) เพื่อทำนายปรากฏการณ์ในอนาคต

(4) ศึกษาสังคมปัจจุบันซึ่งมีขนาดใหญ่

ตอบ 4 หน้า 49 – 50, (คำบรรยาย) สังคมวิทยามีแนวโน้มศึกษาสังคมปัจจุบัน สังคมที่รู้หนังสือ และสังคมเชิงซ้อน โดยมีแนวโน้มที่จะใช้วิธีการศึกษาแบบสุ่มตัวอย่าง (Sampling) มากกว่า การศึกษาเป็นรายกรณี (Case Studies) ทั้งนี้เพราะการสุ่มตัวอย่างจะเน้นในเรื่องจำนวน (เนื่องจากสังคมปัจจุบันมีขนาดใหญ่ต้องใช้วิธีสุ่มตัวอย่างจึงจะสามารถทำได้) ส่วนการศึกษา เป็นรายกรณีจะเน้นในเรื่องเวลาและความถี่ถ้วน

13. ข้อใดไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้มนุษย์มารวมกันเป็นสังคม

(1) มีสัญชาตญาณที่คล้ายคลึงกัน

(2) มีระยะเวลาแห่งการเป็นทารกนาน

(3) มีความสามารถควบคุมธรรมชาติได้

(4) มีความสามารถในการสร้างวัฒนธรรม

ตอบ 1 หน้า 1-2 สาเหตุที่มนุษย์จึงต้องมาอยูรวมกันเป็นสังคม เพราะ

1. มนุษย์มีระยะแห่งการเป็นทารกนานและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ในระยะเริ่มต้นของชีวิต ทำให้ มนุษย์จำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันและสร้างแบบแผนความสัมพันธ์ในรูปของครอบครัวขึ้น

2. มนุษย์มีความสามารถด้านสมอง สามารถคิดค้นและควบคุมธรรมชาติได้ ก็เป็นสาเหตุสำคัญ ที่มนุษย์จะต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม เพื่อทำกิจกรรมตอบสนองความต้องการพื้นฐานของชีวิต

3. มนุษย์สามารถสร้างและถ่ายทอดวัฒนธรรม เพื่อตอบสนองความต้องการด้านความรัก ความอบอุ่น ความคิด ความเชื่อ ศาสนา ค่านิยม ฯลฯ

14. การเปรียบสังคมเป็นเสมือนหนึ่งร่างกายของมนุษย์ เป็นตัวอย่างการศึกษาสังคมแบบใด

(1) การแข่งขัน (2) โครงสร้าง-หน้าที่

(3) ดุลยภาพทางสังคม (4) พฤติกรรมเฉพาะกิจ

ตอบ 2 หน้า 6 ทฤษฎีการศึกษาสังคมโดยเน้นการศึกษาด้านโครงสร้างและหน้าที่ด้วยการเปรียบเทียบว่า สังคมเป็นเสมือนหนึ่งร่างกายของมนุษย์ เช่น มีหัว แขน ขา ตา จมูก ฯลฯ และเมื่อประกอบกัน แล้วก็จะกลายเป็นร่างกายที่สมบูรณ์ อวัยวะทุกส่วนจะมีหน้าที่และจะแสดงกิริยาอาการหรือ พฤติกรรมที่ได้รับมอบหมาย สังคมก็เป็นเช่นเดียวกัน มีการแบ่งระบบความสัมพันธ์ของคน ออกเป็นส่วน ๆ แต่ละส่วนจะมีหน้าที่แสดงไปตามบทบาทที่ถูกกำหนดไว้

15. สังคมวิทยากำเนิดขึ้นพร้อม ๆ กับศาสตร์แขนงใด

(1) ปรัชญา (2) รัฐคาสตร์ (3) จิตวิทยา (4) วิทยาศาสตร์

ตอบ 3 หน้า 16 สังคมวิทยา (Sociology) กำเนิดขึ้นพร้อม ๆ กับจิตวิทยา (Psychology)ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 และคริสต์ศตวรรษที่ 19

16. ข้อใดมิใช่หน่วยเล็กที่สุด (Cultural Trait) ทางวัฒนธรรม

(1) การเคารพธงชาติ (2) การแสดงละคร (3) การขับรถชิดข้าย (4) การจับมือ

ตอบ 2 หน้า 91 โครงสร้างของวัฒนธรรมประกอบด้วย 2 หน่วยใหญ่ ๆ ได้แก่

1. หน่วยเล็กที่สุด (Cultural Trait) คือ พฤติกรรมอันเกิดจากการเรียนรู้หรือผลผลิตทางวัตถุ ซึ่งย่อยที่สุดจนเชื่อว่าแยกให้เล็กลงกว่านั้นโดยมีลักษณะแบบเดิมไม่ได้ ได้แก่ วัฒนธรรม ทางวัตถุ เช่น ตะปู ไขควง ดินสอ ผ้าเช็ดหน้า ฯลฯ และวัฒนธรรมทางอวัตถุ เช่น การไหว้ การจับมือ การขับรถชิดซ้าย การวิ่ง การเคารพธงชาติ ฯลฯ

2. หน่วยที่สลับซับซ้อน (Cultural Complex) คือ การรวมกลุ่มหรือการรวมเป็นชุดของ หน่วยย่อยที่สุดที่เกียวพันกัน เช่น การเต้นรำ การสวดมนต์ การแสดงละคร ฯลฯ

17. ข้อใดเป็นลักษณะของวัฒนธรรมตามคำนิยามมาตรฐาน

(1) พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้

(2) พฤติกรรมตามธรรมชาติ (3) ปฏิกิริยาทางสรีระ (4) พฤติกรรมที่เกิดจากสัญชาตญาณ

ตอบ 1 หน้า 61 ลักษณะของวัฒนธรรมตามคำนิยามมาตรฐาน มี 6 ลักษณะ คือ

1. เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ (ไม่เป็นพฤติกรรมตามธรรมชาติ ไม่เป็นพฤติกรรมที่เกิด จากสัญชาตญาณ และไม่เป็นปฏิกิริยาทางสรีระ)

2. เป็นรูปแบบหรือกระสวนแห่งพฤติกรรมอันเกิดขึ้นจากการเรียนรู้

3. เป็นผลหรือผลิตผลของพฤติกรรม (ทั้งที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้หรือมองเห็นสัมผัสได้)

4. เป็นสิ่งที่สมาชิกของสังคมรู้สึกว่ามีส่วนร่วมเป็นเจ้าของไม่มากก็น้อย

5. มีการถูกส่งต่อหรือได้รับการถ่ายทอดมา 6. มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจศีล

18. ผู้ใดบัญญัติศัพท์ “ความล้าทางวัฒนธรรม” (Culture lag)

(1) ไทเลอร์ (Tylor)

(2) โครเบอร์ (Kroeber) (3) อ็อกเบิร์น (Ogburn) (4) ริสแมน (Riesman)

ตอบ 3 หน้า 92 ผู้บัญญัติศัพท์ “ความล้าหรือความเฉื่อยทางวัฒนธรรม” คือ ร็อกเบิร์น (Ogburn)นักวิชาการชาวอเมริกัน โดยเขาให้คำนิยามไว้ว่า ความล้าหรือความเฉื่อยทางวัฒนธรรม ได้แก่ ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมที่ยังคงอยู่จนเกินเลยเวลาที่เป็นประโยชน์ได้โดยล้าหลังหรือตามไม่ทัน วัฒนธรรมส่วนอื่น ๆ ซึ่งแต่ก่อนนี้เคยเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน

19. ข้อใดไม่ใช่ขนบธรรมเนียมของสังคม

(1) การเกิดและการตายของมนุษย์

(2) การขึ้นบ้านใหม่ (3) การสมรส (4) การลงแขกเกี่ยวข้าว

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ

20. ข้อใดคือสภาพของมนุษย์ที่เรียกว่า “ผูกพันกับกาลเวลา”

(1) มนุษย์อยู่ข้ามกาลเวลา (2) มนุษย์ชอบทำงานตามเวลา

(3) มนุษย์ต้องทำงานแข่งกับเวลา (4) มนุษย์ตายไปแล้วยังทิ้งผลงานไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา

ตอบ 4 หน้า 81 สภาพของมนุษย์ที่เรียกว่า “ผูกพันกับกาลเวลา’’ (Time Binding) คือ เมื่อมนุษย์ ตายไปแล้วยังได้ทิ้งผลงานไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา และไม่ใช่เพียงแค่ศึกษาจากอดีตเท่านั้น แต่ยังมีการคิดก้าวไปข้างหน้าสู่อนาคตด้วย

21. กลุ่มชนิดใดที่ส่งเสริมการพัฒนาชุมชนที่อยู่ห่างไกล

(1) กลุ่มปฐมภูมิ

(2) กลุ่มทุติยภูมิ

(3) กลุ่มอ้างอิง

(4) กลุ่มเอ็นจีโอ

ตอบ 1 หน้า 98 – 99 กลุ่มปฐมภูมิ (Primary Group) มีความสำคัญดังนี้

1. เป็นกลุ่มแรกที่มนุษย์เป็นสมาชิก คือ ครอบครัว

2. เป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่อบรมขัดเกลาทางสังคม (Socialization)

3. เป็นกลุ่มสำคัญที่ส่งเสริมหรือต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้ เช่น เอื้อประโยชน์หรือ ส่งเสริมการพัฒนาชุมชนที่อยู่ห่างไกล

4. เป็นประโยชน์ในด้านการสร้างขวัญกำลังใจ

22. กลุ่มซึ่งมีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน เนื่องจากมีประเพณีและวัฒนธรรมเหมือนกันหมายถึงกลุ่มใด

(1) กลุ่มทุติยภูมิ

(2) กลุ่มสมาคม

(3) กลุ่มอ้างอิง

(4) กลุ่มชาติพันธุ์

ตอบ 4 หน้า 100 กลุ่มชาติพันธุ์ (Ethnic Group) เป็นกลุ่มคนซึ่งมีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันมีประเพณีและวัฒนธรรมเหมือนกัน เช่น พวกชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ซึ่งมีความแตกต่างจาก คนกลุ่มใหญ่ในแง่เชื้อชาติ ประเพณี และวัฒนธรรม

23. กลุ่มชนชั้นจัดเป็นกลุ่มสังคมประเภทใด

(1) กลุ่มชนชั้น

(2) กลุ่มอาชีพ

(3) กลุ่มอ้างอิง

(4) กลุ่มทุติยภูมิ

ตอบ 4 หน้า 99 – 100 กลุ่มทุติยภูมิ (Secondary Group) แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ

1. กลุ่มสมาคมหรือองค์การ 2. กลุ่มชาติพันธุ์ 3. กลุ่มชนชั้น

24. ระยะห่างทางสังคมเป็นการวัดอะไร

(1) ระยะทาง

(2) ระยะเวลา (3) ระดับความใกล้ชิดหรือการยอมรับ (4) ระดับการพัฒนาสังคม

ตอบ 3 หน้า 103 ระยะห่างทางสังคม (Social Distance) เป็นการวัดระดับของความใกล้ชิดสนิทสนมหรือการยอมรับ หรืออคติที่เรามีความรู้สึกต่อคนกลุ่มอื่น และสามารถนำมาใช้วัดความเป็น กลุ่มเรากลุ่มเขาได้เป็นอย่างดี

25. สถาบันที่เก่าแก่ที่สุดของสังคมคือสถาบันในข้อใด

(1) ครอบครัว (2) ศาสนา (3) เศรษฐกิจ (4) การศึกษา

ตอบ 1 หน้า 107 ทางสังคมวิทยาถือว่า ครอบครัวมีลักษณะที่มีความเป็นสถาบัน 3 ประการ คือ

1. เป็นสถาบันทางสังคม ซึ่งมีรูปแบบหรือแบบแผนที่เป็นกระสวนทางพฤติกรรม

2. เป็นสถาบันที่เก่าแก่ที่สุดของสังคม มีมาพร้อมกับมนุษย์ และคงอยู่กับมนุษย์ตลอดเวลา

3. เป็นสถาบันสากล เนื่องจากมีปรากฏในทุกสังคม

26. ข้อใดคือครอบครัวที่มีขนาดเล็กที่สุด

(1) ครอบครัวร่วม

(2) ครอบครัวขยาย (3) ครอบครัวหน่วยกลาง (4) ครอบครัวภาวะจำยอม

ตอบ 3 หน้า 114 – 115 การจัดประเภทครอบครัว สามารถจัดเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. จัดตามลักษณะและหน้าที่ มี 2 ประการ คือ ครอบครัวปฐมนิเทศ และครอบครัวสร้างสมาชิกใหม่

2. จัดตามขนาดและรูปแบบ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ครอบครัวหน่วยกลาง (มีขนาดเล็กที่สุด), ครอบครัวขยาย (เป็นครอบครัวร่วม) และครอบครัวประกอบร่วม (ครอบครัวซ้อน)

27. อะไรคือหน้าที่ที่สำคัญของครอบครัว

(1) สร้างสมาชิกให้กับสังคม (2) หล่อหลอมสมาชิกใหม่ให้อยู่ในสังคมได้ดี

(3) ทำหน้าที่แทนสถาบันอื่นในสังคม (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 116, (คำบรรยาย) หน้าที่ที่สำคัญของครอบครัวที่มีต่อสังคม มีดังนี้

1. ช่วยสร้างสมาชิกให้กับสังคม ซึ่งถือเป็นหน้าที่หลักที่สถาบันอื่นทำแทนไม่ได้

2. ช่วยหล่อหลอมให้สมาชิกของครอบครัวสามารถดำรงตนเป็นสมาชิกที่ดีและอยู่ในสังคมได้

3. ช่วยเสริมสร้าง/ปลูกฝังบุคลิกภาพและให้การศึกษาอบรมด้านศีลธรรม

4. ช่วยทำหน้าที่แทนสถาบันทางสังคมอื่น ๆ เช่น สถาบันการศึกษา ศาสนา ฯลฯ

28. ข้อห้ามการสมรสมีขึ้นระหว่างคนกลุ่มใด

(1) พี่น้องร่วมเฉพาะบิดา

(2) พี่น้องร่วมเฉพาะมารดา (3) บิดากับบุตร (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 119 – 120 ข้อห้ามการสมรส (Incest Taboo) คือ ห้ามสมรสกับบุคคลที่มีความสัมพันธ์ ใกล้ชิดกันทางสายโลหิต หรือห้ามสมรสกับญาติสนิทในครอบครัวหน่วยกลาง ซึ่งมี 2 สักษณะ ดังนี้

1. ญาติแนวดิ่ง/แนวตั้ง ซึ่งสืบสายโลหิตกันโดยตรง ได้แก่ บิดา/มารดากับบุตร

2. ญาติแนวราบ/แนวนอน ซึ่งร่วมสายโลหิตเดียวกัน ได้แก่ พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน พี่น้องร่วมเฉพาะบิดา และพี่น้องร่วมเฉพาะมารดา

29. การศึกษาที่เน้นกำเนิดและวิวัฒนาการของครอบครัว คือแนวทางการศึกษาใด

(1) มานุษยวิทยา (2) สังคมวิทยา (3) จิตวิทยา (4) เพศศึกษา

ตอบ 1 หน้า 108 การศึกษาครอบครัวตามแนวทางมานุษยวิทยา เป็นการศึกษาที่เน้นกำเนิดและ วิวัฒนาการของครอบครัวโดยเริ่มจากการที่หญิงหนึ่งคนหรือมากกว่านั้นอยู่ร่วมกับชายหนึ่งคน หรือมากกว่านั้นและมีบุตรด้วยกัน มีความสัมพันธ์ทางเพศอันเป็นที่ยอมรับกันทางสังคม โดยมีวัตถุประสงค์ในการอยู่ร่วมกันเพี่อต้องการมีบุตรไว้สืบสกุล

30. ตัวเลือกใดคือตัวอย่างของศาสนาธรรมชาติ

(1) ลัทธิเต๋า

(2) ศาสนาชินโต (3) การเคารพบูชารุกขเทวดา (4) ศาสนาพราหมณ์

ตอบ 3 หน้า 129 – 130 ความเป็นมาของศาสนาโดยวิวัฒนาการ แบงออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. ศาสนาธรรมชาติ เป็นระบบความเชื่อที่บริสุทธิ์ ไม่มีการดัดแปลงแก้ไข เช่น การนับถือผี นับถือวิญญาณ นับถือเจ้าป่าเจ้าเขา การเคารพบูชารุกขเทวดา ฯลฯ

2. ศาสนาสถาบันหรือศาสนาหลัก เป็นระบบความเชื่อที่เกิดขึ้นจากข้อกำหนดของสังคม โดยนำศาสนาธรรมชาติมาปรับปรุงแก้ไขและจัดรูปแบบให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เช่น ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ชินโต ลัทธิเต๋า ขงจื๊อ ฯลฯ

31. มาลินอฟสกี้ (Malinowski) มีความเห็นต่อศาสนาอย่างไร

(1) ทำให้เกิดความงมงาย

(2) เป็นยาเสพติด

(3) ช่วยปลอบใจยามทุกข์ยาก

(4) เกิดขึ้นเพราะมนุษย์ไม่แน่ใจในธรรมชาติ

ตอบ 4 หน้า 133,350 ความสำคัญของศาสนาในทางสังคมวิทยานั้น ได้มีผู้แสดงความเห็นไว้ดังนี้

1. ฟรอยด์ (Freud) เห็นว่า ศาสนามีประโยชน์ในด้านเป็นเครื่องปลอบประโลมใจในยามทุกข์ยาก

2. มาร์กซ์ (Marx) ถือว่า ศาสนาเป็นยาเสพติด เพราะก่อให้เกิดความลุ่มหลงงมงาย และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิวัติทางการเมือง ซึ่งเป็นการมองศาสนาไปในแง่ร้าย

3. มาลินอฟสกี้(Malinowski) เห็นว่า ศาสนาและพิธีกรรมต่าง ๆ มักเกี่ยวพันกับความไม่แน่ใจในเรื่องธรรมชาติ ความเกรงกลัวในสิ่งที่ไม่แน่นอน/สิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ ทำให้คนมุ่งไปที่ศาสนาหรือพิธีกรรม

32. เพราะเหตุใดมนุษย์จึงจำเป็นต้องมีศาสนา

(1) เพื่อนำศาสนามาควบคุมพฤติกรรม

(2) ไม่เข้าใจสภาวะแวดล้อมที่แท้จริง

(3) ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 133 – 134 ความจำเป็นที่มนุษย์ต้องมีศาสนาเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ กัน 3 ประการ คือ

1. มนุษย์ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง จึงแสวงหาวิธีการมาช่วยปลอบประโลมใจ

2. มนุษย์ไม่เข้าใจสภาวะแวดล้อมที่แท้จริง จึงพยายามหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจ

3. มนุษย์ต้องการนำศาสนามาควบคุมพฤติกรรมของสังคม เพื่อให้สังคมอยู่ด้วยความสงบสุข

33. การจัดประเภทความเชื่อทางศาสนาเป็น 2 ประเภทใหญ่ ได้แก่ข้อใด

(1) เทวนิยมและอเทวนิยม

(2) พหุเทวนิยมและอเทวนิยม

(3) เอกเทวนิยมและพหุเทวนิยม

(4) เอกเทวนิยมและอเทวนิยม

ตอบ 1 หน้า 139 – 140 การจัดประเภทความเชื่อทางศาสนา มี 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ

1. เทวนิยม (Theism) เป็นระบบความเชื่อที่ว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้างโลก แบ่งออกเป็น

1.1 เอกเทวนิยม (เชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว) เช่น ศาสนาคริสต์ อิสลาม ฯลฯ

1.2 พหุเทวนิยม (นับถือพระเจ้าหลายพระองค์) เช่น ศาสนาฮินดู (พราหมณ์) ฯลฯ

1.3 สัพพัตถเทวนิยม (เชื่อว่าพระเจ้าและจักรวาลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน) เช่น เชื่อว่า แม่นํ้ามีแม่คงคาและแผ่นดินมีแม่พระธรณีเป็นผู้ดูแลปกปักรักษา ฯลฯ

2. อเทวนิยม (Atheism) เป็นระบบความเชื่อที่อาศัยเหตุผลและความเป็นจริงเป็นสำคัญ โดยไม่ผูกพันอยู่กับเทพเจ้า เช่น ศาสนาพุทธ เชน เต๋า ฯลฯ

34. ข้อใดเป็นศาสนาประเภทพหุเทวนิยม

(1) คริสต์ (2) อิสลาม (3) ฮินดู (4) พุทธ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 33. ประกอบ

35. หลักกาลามสูตรในทางพระพุทธศาสนาสอนเรื่องใด

(1) การใช้เหตุผล ไม่เชื่องมงาย (2) การพิจารณาการเกิดขึ้นของกิเลส

(3) การบริจาคทาน (4) การปฏิบัติกรรมฐาน

ตอบ 1 หน้า 140 หลักกาลามสูตรในทางพระพุทธศาสนานั้น เน้นสอนให้รู้จักการใช้วิจารณาญาณ คือ การไม่เชื่อใครง่าย ๆ และไม่เชื่องมงาย แต่ให้เชื่อโดยใช้หลักเหตุผล และให้ศึกษาพิจารณา ไตร่ตรองโดยถ่องแท้ด้วยลติปัญญาซองตนเอง ซึ่งหลักในกาลามสูตรมีด้วยกัน 10 ข้อ

36. ในอารยธรรมกรีกโบราณ การศึกษาผูกพันกับเพเดีย (Paedeia) หมายความว่าอย่างไร

(1) การศึกษาผูกพันกับผู้สอน (2) การศึกษาผูกพันกับปัญญา

(3) การศึกษาผูกพันกับคุณธรรม (4) การศึกษาผูกพันกับเทพเจ้า

ตอบ 3 หน้า 152 – 153 ในอารยธรรมกรีกโบราณ การศึกษาผูกพันกับคุณธรรม (ภาษากรีก เรียกว่า Paedeia) ซึ่งคำว่าการศึกษาในภาษากรีก หมายถึง การเรียนคุณธรรม โดยสรุป การศึกษาในทัศนะกรีกโบราณ หมายถึง การเป็นคนดีและเป็นพลเมืองดี

37. กระบวนการอันเกี่ยวเนื่องกันเป็นลูกโซ่ที่เรียกว่า “ปฏิจจสมุปบาท” หมายถึงข้อใด

(1) สิ่งทั้งหลายย่อมเป็นอัตตา (2) สิ่งทั้งหลายย่อมอาศัยซึ่งกันและกัน

(3) สิ่งทั้งหลายย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป (4) สิ่งทั้งหลายศึกษาได้ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา

ตอบ 2 หน้า 152 พระพุทธศาสนาถือว่าความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้มนุษย์หลุดพ้นจาก ความทุกข์ พระพุทธองค์ทรงถือว่าอวิชชา (ความไม่รู้) เป็นต้นเหตุแห่งวัฏสงสารอันเป็นการ เวียนว่ายตายเกิดในห้วงแห่งทุกข์ วัฏสงสารจะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อพ้นจากอวิชชาอันเป็นจุดเริ่มต้น แห่งกระบวนการอันเกี่ยวเนื่องเป็นลูกโซ่ที่เรียกว่า “ปฎิจจสมุปบาท” (การที่สิ่งทั้งหลายอาศัย ซึ่งกันและกัน) ดังนั้นเป้าหมายของการศึกษาในเชิงพุทธศาสตร์จึงมีความหมายเพื่อให้หลุดพ้น จากอวิชชาหรือความไม่รู้เพื่อชีวิตจะได้ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก

38. ความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษากับสังคมมีลักษณะเช่นไร

(1) ทวิวิถี (2) ยุคลวิถี (3) การจราจรสองทาง (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 153 – 154 ความสัมพันธ์ระหว่างการศึกษากับสังคมมีลักษณะเป็น “ทวิวิถี” หรือ “ยุคลวิถี” ซึ่งอาจเรียกว่า “การจราจรสองทาง” หรือ “การจราจรสวนกัน” ทั้งนี้เพราะ

1. การศึกษามีบทบาทสำคัญในการกำหนดสภาพและกระบวนการของสังคมภายนอก

2. สังคมภายนอกก็มีบทบาทสำคัญในการกำหนดสภาพและความเป็นไปในวงการศึกษา

39. มหาวิทยาลัยใดมีปรัชญาการศึกษาที่เน้นการแก้ปัญหาเพื่อสวัสดิการของปวงชน

(1) มหาวิทยาลัยเปิดของประเทศอังกฤษ (2) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง

(3) มหาวิทยาลัยสหประชาชาติ (4) มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ตอบ 3 หน้า 177 – 178 ปรัชญาการศึกษาของมหาวิทยาลัยสหประชาชาติจะเน้นในเรื่องความเข้าใจกัน ระหว่างมวลมนุษย์ การอยู่รวมกันของคนต่างชาติต่างภาษาและต่างวัฒนธรรม การดำรงรักษาไว้ ซึ่งสันติภาพและความมั่นคง โดยมีปรัชญาหลัก คือ การมุ่งแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของมนุษยชาติ และเพื่อสวัสดิการของปวงชน

40. “ความรู้คืออำนาจ” เป็นทัศนะของปราชญ์ท่านใด

(1) เบคอน (Bacon)

(2) โซเครติส (Socrates) (3) เพลโต (Plato) (4) อริสโตเติล (Aristotle)

ตอบ 1 หน้า 152 – 153 ปราชญ์หลายท่านให้ทัศนะเกี่ยวกับความสำคัญของการศึกษาไว้ต่าง ๆ กัน เช่น

1. พระพุทธเจ้า ทรงถือว่า ความรู้เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการทำให้มนุษย์หลุดพ้นจากความทุกข์ และการศึกษาคือการให้พ้นอวิชชา (ความไม่รู้) เพื่อมุ่งให้ชีวิตหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

2. อริสโตเติล (Aristotle) กล่าวว่า การให้การศึกษาแก่เยาวชนมีผลกระทบต่อชะตากรรม (ความเจริญและความเสื่อม) แห่งอาณาจักร และเป้าหมายสูงสุดหรืออุดมคติของการศึกษา คือ การเตรียมบุคคลให้รู้จักหาความสุขอย่างถูกต้อง กล่าวคือ การเข้าถึงปัญญาอันเป็นทิพย์

3. เบคอน (Bacon) กล่าวว่า ความรู้คืออำนาจ ความรู้และอำนาจของมนุษย์เป็นของอย่างเดียวกัน

4. รัสเซลล์ (Russell) เห็นว่า การศึกษาควรมีจุดนุ่งหมายเพื่อให้เกิดบุคลิกภาพที่พึงปรารถนา 4 ประการ ได้แก่ พละ ธิติ สุขุมสัญญา และปัญญา

41. ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการกระจายตัวของประชากรได้แก่อะไร

(1) การเกิดเมือง

(2) การพัฒนาอุตสาหกรรม

(3) สิ่งแวดล้อม

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 185 ปัจจุบันปัญหาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางประชากรไม่ได้มีเพียง “ปัญหาที่เกิดจากการเพิมขึ้นของประชากรเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงปัญหาการกระจายตัวของประชากร” ซึ่งทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการเกิดเมืองและสิ่งแวดล้อมตามมา เช่น ปัญหาด้านการพัฒนา อุตสาหกรรม และสิ่งประดิษฐ์ ฯลฯ

42. การเปลี่ยนแปลงทางประชากรโลกในอดีตเป็นอย่างไร

(1) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสม่ำเสมอ

(2) เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ สม่ำเสมอ

(3) เพิ่มช้าในตอนแรก เร็วในตอนหลัง

(4) เพิ่มเร็วในตอนแรก ช้าในตอนหลัง

ตอบ 3 หน้า 187 – 188 Hauser นักประชากรชาวอเมริกัน ได้ทำการศึกษาจากสำมะโนประชากร แล้วคำนวณหาจำนวนประชากรย้อนหลัง พบว่า การเพิ่มขึ้นของประชากรโลกในอดีตเป็นไป อย่างช้า ๆ ในตอนแรก และค่อย ๆ เร็วขึ้นในตอนหลัง โดยเฉพาะในช่วง 3 ศตวรรษสุดท้าย คือ ศตวรรษที่ 18, 19 และ 20 ที่อัตราการเพิมขึ้นของประชากรโลกเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก

43. หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อะไรเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อัตราการเพิ่มของประชากรไทยเปลี่ยนแปลงอย่างมาก

(1) คนต่างชาติอพยพเข้ามามากขึ้น

(2) การเพิ่มขึ้นของอัตราเกิด

(3) การลดลงของอัตราเกิด

(4) การเพิ่มขึ้นของอัตราตาย

ตอบ 2 หน้า 192 สาเหตุที่ไทยมีอัตราเพิ่มของประชากรเร็วโดยเฉพาะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เนื่องมาจากอัตราการตายลดลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่อัตราการเกิดยังอยู่ในระดับสูง

44. การปะทุทางประชากร (Population Explosion) มีลักษณะเช่นไร

(1) มีเด็กชายเกิดมากกว่าเด็กหญิง

(2) มีเด็กหญิงเกิดมากกว่าเด็กชาย

(3) มีเด็กเกิดจำนวนมากโดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา

(4) อัตราส่วนทางเพศของประชากรแรกเกิดอยู่ในระดับสมดุล

ตอบ 3 หน้า 189 การปะทุทางประชากร (Population Explosion) ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในภูมิภาคแถบเอเชีย ลาตินอเมริกา และแอฟริกา ทั้งนี้เพราะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา มีนโยบายพัฒนาประเทศ โดยนำเอาความเจริญด้านการแพทย์และด้านวิทยาการยารักษาโรค จากประเทศพัฒนาแล้วมาเผยแพร่ ทำให้อัตราการตายลดลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่อัตราการเกิด ยังอยู่ในระดับสูง จึงเป็นผลให้อัตราการเพิ่มของประชากรสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

45. ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การปฏิวัติครอบครัว (Family Revolution) ข้อใดไม่ใช่

(1) ครอบครัวมีขนาดเล็กลง (2) สตรีออกทำงานนอกบ้านมากขึ้น

(3) หนุ่มสาวแต่งงานช้าหรือไม่แต่งงาน (4) อัตราการเพิ่มตามธรรมชาติมีค่าเป็นศูนย์

ตอบ 4 หน้า 188 – 189 นักประชากรชาวยุโรปเห็นพ้องต้องกันว่า สภาวการณ์ทางด้านเศรษฐกิจ มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงด้านคุณค่าและแบบแผนการดำเนินชีวิต นอกจากนี้วิธีการควบคุม การเกิด (การคุมกำเนิด) ยังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย สตรีออกทำงานนอกบ้านมากขึ้น ค่าเช่าบ้านแพงขึ้นและมีขนาดเล็กลง และยังมีแนวโน้มว่า คนหนุ่มสาวแต่งงานช้าลงหรือ ไม่แต่งงานเลย ซึ่งนักประชากรเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า การปฏิวัติครอบครัว (Family Revolution)

46. กระบวนการทางประชากรที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนนปลงทางประชากร ได้แก่ข้อใด

(1) ครอบครัว การศึกษา และความเชื่อ (2) สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง

(3) การเกิด การตาย และการย้ายถิ่น (4) สถานภาพ บทบาท และสถาบัน

ตอบ 3 หน้า 185 – 187 กระบวนการทางประชากรที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางประชากร ได้แก่ 1. การเจริญพันธุ์ (การเกิด) 2. การตาย 3. การอพยพหรือการย้ายถิ่น

47. การแบ่งช่วงชั้นในยุโรปสมัยกลางใช้ระบบใด

(1) ชนชั้น (2) วรรณะ (3) ฐานันดร (4) สถานภาพ

ตอบ 3 หน้า 199 ฐานันดร (Estate) เป็นระบบการแบ่งช่วงชั้นทางสังคมที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยกลางของ ยุโรป เดิมมีเพียง 2 ฐานันดร ได้แก่ นักบวช (พระ) และขุนนาง ต่อมามีเพิ่มขึ้นอีก เช่น พ่อค้า สามัญชน เป็นระบบที่มีกฎหมายกำหนดสิทธิหน้าที่ของคนแตกต่างกันไป ซึ่งขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ ของบุคคลต่อที่ดิน โดยการเขยิบฐานะเป็นไปได้ และไม่มีศาสนาคํ้าจุนเหมือนระบบวรรณะ

48. ตัวเลือกใดเป็นการจัดช่วงชั้นโดยอิทธิพลของศาสนา

(1) วรรณะ (2) ฐานันดร (3) ชนชั้น (4) ศักดินา

ตอบ 1 หน้า 198 – 199 วรรณะ (Caste) เป็นระบบการจัดลำดับช่วงชั้นทางสังคมโดยมีอิทธิพลของศาสนาคํ้าจุนหรือเกื้อหนุน และเน้นถึงความสัมพันธ์ของสถานภาพของบุคคลในสังคม ซึ่งจำกัดบุคคลไม่ให้ได้รับสถานภาพสูงขึ้นกว่าเมื่อเขาเกิด ดังนั้นระบบวรรณะจึงเป็น ระบบช่วงชั้นซึ่งมีรูปแบบที่แน่นอนตายตัว (ดูคำอธิบายข้อ 47. ประกอบ)

49. ตัวเลือกใดเป็นสถานภาพติดตัวของบุคคล

(1) สิทธิของคนในสังคม

(2) ชาติตระกูล (3) การเป็นสมาชิกของสังคม (4) ศักดิ์ศรีที่แต่ละคนมีอยู่

ตอบ 2 หน้า 25, 197 – 198 สถานภาพของบุคคล แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

1. สถานภาพที่ติดตัวมาแต่กำเนิด (Ascribed Status) เป็นสถานภาพที่ได้รับมาโดยอัตโนมัติ อันมีรากฐานมาจากการถือกำเนิด เช่น เพศ อายุ ผิวพรรณ ชาติตระกูล วรรณะ ศาสนา ฯลฯ

2. สถานภาพสัมฤทธิ์ (Achieved Status) เป็นผลสำเร็จจากการกระทำตามวิถีทางของบุคคล ที่ขึ้นอยู่กับความสามารถและการแสดงบทบาท เช่น การศึกษา อาชีพ อำนาจ รายได้ ฯลฯ

50. ตามทัศนะของเวเบอร์ (Weber) อำนาจทางสังคมของบุคคลเกิดจากอะไร

(1) เกียรติยศ (2) การศึกษา (3) อาชีพ (4) รายได้

ตอบ 1 หน้า 203 ตามทัศนะของแม็ก เวเบอร์ (Max Weber) อำนาจทางสังคมของบุคคลเกิดขึ้น จากเกียรติยศ ซึ่งได้รับจากบุคคลอื่น โดยสถานภาพขึ้นกับชุมชน ในขณะที่เกียรติยศขึ้นอยู่กับ การตัดสินโดยบุคคล ซึ่งเป็นผลให้บุคคลได้รับอำนาจทางสังคม

51. ข้อใดจัดเป็นตัวอย่างของฐานันดร (Estate)

(1) คนที่มีสถานะเท่าเทียมกันในสังคม

(2) พระและขุนนางในสมัยกลางของยุโรป

(3) นักบริหารที่ประสบความสำเร็จในอาชีพ

(4) คนในวรรณะศูทรแต่งงานกับคนในวรรณะพราหมณ์

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 47. ประกอบ

52. กลไกควบคุมทางสังคมข้อใดมีผลต่อการจัดระเบียบทางสังคม

(1) กลไกทางวัฒนธรรม

(2) กลไกกฎระเบียบ

(3) กลไกบังคับ

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 222 กลไกทางวัฒนธรรมที่ใช้ในการควบคุมทางสังคม ประกอบด้วย บรรทัดฐานการบังคับใช้ สถานภาพและบทบาท การเข้ากลุ่มและการเข้าสังคม ความแตกต่างทางสังคม และชั้นทางสังคม ซึ่งกลไกทางวัฒนธรรมแต่ละประเภทจะมีบทบาทสำคัญทั้งในกระบวนการ จัดระเบียบทางสังคมและการพัฒนาบุคคล

53. กลุ่มที่มีโครงสร้างแบบเป็นทางการ มักใช้กลไกควบคุมสังคมแบบใด

(1) สถานภาพ

(2) บทบาท

(3) กฎระเบียบ

(4) วัฒนธรรม

ตอบ 3 หน้า 243 ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างกลุ่มที่ไม่เป็นทางการ (Informal Groups) และ กลุ่มที่เป็นทางการ (Formal Groups) คือ กลุ่มที่มีโครงสร้างแบบไม่เป็นทางการจะไม่ใช้ กลไกกฎระเบียบ แต่กลุ่มที่มีโครงสร้างแบบทางการมักใช้กลไกเกี่ยวกับกฎระเบียบเสมอ ส่วนกลไกที่มักใช้กับทั้งกลุ่มทางการและกลุ่มไม่เป็นทางการ ได้แก่ กลไกการแลกเปลี่ยน กลไกกลอุบาย กลไกการรวมตัวเข้าด้วยกัน กลไกทางวัฒนธรรม กลไกบังคับใช้ เป็นต้น

54. การประนีประนอมและการมีผู้ชี้ขาด เป็นกลไกการควบคุมทางสังคมแบบใด

(1) กฎระเบียบ (2) การบังคับ (3) การแลกเปลี่ยนสมานลักษณ์ (4) การถอนตัว

ตอบ 3 หน้า 232 กลไกการแลกเปลี่ยนสมานลักษณ์ ประกอบด้วย

1. การประนีประนอม 2. การมีผู้ชี้ขาดหรือคนกลาง 3. การอดกลั้น

55. ข้อใดคือตัวอย่างของวิธีการควบคุมทางสังคมที่เป็นสัญลักษณ์เชิงปฏิฐาน

(1) การให้อำนาจ (2) การให้เหรียญตรา

(3) การให้รางวัลเป็นเงิน (4) การลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ไร้คุณธรรม

ตอบ 2 หน้า 217 วิธีการควบคุมทางสังคมที่เป็นสัญลักษณ์เชิงปฏิฐาน (เชิงบวก) ได้แก่ การซุบซิบ ในทางดี การจงใจและการโฆษณาชวนเชื่อ การโฆษณา การยกย่องสรรเสริญเยินยอ และการให้ เหรียญตราเกียรติยศที่เป็นสิ่งแสดงสถานภาพที่สูงขึ้น เช่น การมอบเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ฯลฯ

56. ข้อใดเป็นการควบคุมทางสังคมที่ใช้กลไกการใช้อุบาย

(1) การใช้เทคโนโลยี (2) การใช้กฎระเบียบ ข้อบังคับ

(3) การใช้ถ้อยคำภาษา (4) การใช้คนจำนวนมากต่อรอง

ตอบ 3 หน้า 221, 234 กลไกกลอุบาย ประกอบด้วย 1. กลอุบายที่ใช้ถ้อยคำภาษา

2. กลอุบายที่ไม่ใช้ถ้อยคำภาษา

57. ข้อใดจัดเป็นพฤติกรรมทางการเมือง (1) การขยายตัวของเมือง

(2) การจัดองค์การทางการเมือง (3) การอพยพหรือย้ายถิ่นเข้าสู่เมือง

(4) การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ตอบ 4 หน้า 247 – 248 สังคมวิทยาการเมืองสนใจศึกษาเรื่องต่าง ๆ ดังนี้

1. อิทธิพลของสังคมที่มีต่อกระบวนการทางการเมือง

2. โครงสร้างของสังคมกับสถาบันทางการเมือง

3. ปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อการจัดระบบ รูปแบบ และนโยบายทางการเมือง

4. ปัจจัยทางสังคมที่มีผลต่อพฤติกรรมทางการเมือง เช่น การลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ส.ส.

5. สภาพของสังคมต่อการจัดรูปแบบทางการเมืองการปกครอง

6. ความสัมพันธ์ระหว่างสังคมกับการเมืองที่ก่อให้เกิดการพัฒนา

58. สังคมวิทยาการเมืองถือกำเนิดจากอะไร

(1) ระบบฟิวดัล (Feudalism) (2) ผลของสงครามครูเสด

(3) สมัยที่เจ้าผู้ครองนครรัฐต่าง ๆ ต่างจับจองอาณาเขตของตน

(4) การเปลี่ยนแปลงทางศาสนา เศรษฐกิจ และการเมืองหลังยุคกลางของยุโรป

ตอบ 4 หน้า 248 สังคมวิทยาการเมืองเริ่มมีจุดกำเนิดมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจและการศาสนาในสมัยหลังยุคกลางของยุโรป (ประมาณศตวรรษที่ 16)

59. ในสมัยกลางของยุโรปผู้ใดมีอำนาจมากทั้งในทางธรรมและทางโลก

(1) ขุนนาง (2) พระ (3) จักรพรรดิ (4) ชนชั้นกลาง

ตอบ 2 หน้า 248 ในสมัยกลางของยุโรปซึ่งเป็นยุคของการรวมตัวกันเป็นจักรวรรดิ พระเป็นผู้มีบทบาทสำคัญมากทั้งทางโลก (อาณาจักร) และทางธรรม (ศาสนจักร) ซึ่งทั้ง 2 องค์กรนี้ รวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มิได้แยกจากกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า พระในศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะสันตะปาปามีบทบาทมากทั้งทางสังคม การเมืองการปกครอง และการศาสนา มีหน้าที่ควบคุมดูแลประชาชน และบริหารงานบ้านเมืองไปด้วยในขณะเดียวกัน

60. ตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) ความขัดแย้งที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมคือความขัดแย้งในข้อใด

(1) ความขัดแย้งระหว่างอาชีพ (2) ความขัดแย้งทางเพศ

(3) ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ (4) ความขัดแย้งระหว่างชนชั้น

ตอบ 4 หน้า 250, 320 – 322 ตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทางสังคม คือ ความขัดแย้งระหว่างชนชั้น (นายทาสกับทาส เจ้าขุนมูลนายกับไพร่ นายทุนกับกรรมกร) โดยสังคมจะปราศจากการขัดแย้งก็ต่อเมื่อเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ที่แท้จริง นั่นคือ ไม่มีรัฐ ไม่มีรัฐบาล เพราะตราบใดที่มีรัฐนั่นก็จะหมายถึงมีการใช้อำนาจรัฐบังคับกดขี่

61. กลไกสำคัญที่ทำให้เกิดพฤติกรรมฝูงชนคือข้อใด

(1) การระบาดทางอารมณ์

(2) การกำหนดสถานภาพและบทบาท

(3) การกำหนดจำนวนสมาชิก

(4) การควบคุมด้วยบรรทัดฐานทางสังคม

ตอบ 1 หน้า 254 – 255 การระบาดทางอารมณ์ (Emotional Contagion) เป็นกลไกสำคัญที่ทำให้ เกิดพฤติกรรมฝูงชน เพราะฝูงชนเป็นกลุ่มคนที่อยู่ใกล้ชิดกันในด้านร่างกาย ดังนั้นการติดต่อกัน ทางอารมณ์จึงเป็นไปได้ง่ายและรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้อารมณ์รุนแรงยิ่งขึ้น นอกจากนี้ฝูงชนยังมี อิทธิพลมาก สามารถครอบงำความรู้สึกนึกคิดของกลุ่มคนที่เข้าร่วมในฝูงชนให้มีอารมณ์และ มีพฤติกรรมคล้อยตามกัน โดยปราศจากเหตุผลและความมีสติ

62. ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม (Social Movement) บนท้องถนนในปัจจุบัน เช่น การต่อต้านการสร้างเขื่อน โรงไฟฟ้า การชุมนุมทางการเมือง ฯลฯ อาจจัดได้ว่าคือฝูงชนประเภทใด

(1) Casual Crowd

(2) Acting Crowd

(3) Conventional Crowd

(4) Expressive Crowd

ตอบ 2 หน้า 255 ฝูงชนลงมือกระทำ (Acting Crowd) เป็นฝูงชนที่มีการเคลื่อนไหวอยู่เสมอ และ พร้อมที่จะแสดงออกถึงความก้าวร้าว รุนแรง เชิงทำลาย ซึ่งฝูงชนประเภทนี้จะได้รับความสนใจ จากนักสังคมวิทยาและนักรัฐศาสตร์มาก เพราะการระบาดทางอารมณ์จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว และเร่งด่วนในการปฏิบัติการ โดยฝูงชนประเภทนี้ได้แก่ Mob ประเภทต่าง ๆ

63. ข้อใดจัดว่าเป็นพฤติกรรมฝูงชน

(1) นักเรียนขั้น ป.4 เรียนวิชาภาษาไทย

(2) นักเรียนนั่งรอรถประจำทางที่หน้าโรงเรียบ

(3) นักเรียนชาย 4 คน เล่นไพ่หลังห้องเรียน

(4) นักเรียนเข้าร่วมฟังธรรมในหอประชุม

ตอบ 4 หน้า 255 ฝูงชนชุมนุม (Conventional Crowd) หมายถึง ฝูงชนที่มารวมตัวกันโดยจะมี สัญลักษณ์บางอย่าง (แบบแผนหรือความสำนึกเป็นพวกเดียวกัน) ควบคุมอยู่ เช่น การดูกีฬา ภาพยนตร์ ดนตรีหรือคอนเสิร์ต ฟังธรรม อภิปราย ปาฐกถา ฯลฯ ซึ่งจะมีการกำหนดเวลา และสถานที่เอาไว้ล่วงหน้า โดยสมาชิกที่เข้าร่วมจะต้องปฏิบัติตามแบบแผนที่กำหนดไว้

64. คำกล่าวว่า “มนุษย์เกิดความคับแค้นเพราะมีความต้องการมากแต่สมปรารถนาน้อย” เป็นคำกล่าว ที่บ่งถึงสิ่งใด

(1) สาเหตุของปัญหาสังคม (2) ประเภทปัญหาสังคม

(3) แนวทางแก้ไขปัญหาสังคม (4) แนวทางป้องกันปัญหาสังคม

ตอบ 1 หน้า 261, (คำบรรยาย) อุดม โปษะกฤษณะ กล่าวถึงสาเหตุของปัญหาสังคมว่า ความรุนแรง และความคุกรุ่นของคนต่อปัญหาต่าง ๆ จะแอบแฝงอยู่กับผู้ที่มีความคับแค้น เพราะมีความ ต้องการมากแต่ได้รับความสมปรารถนาน้อย การจะบรรเทาเบาบางหรือลดปัญหาต่าง ๆ ลง คนเราจะต้องตัดไฟความปรารถนา ตัณหา ความโลภ และพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่

65. การนำเสื้อผ้า/อาหารไปแจกผู้ประสบภัยนํ้าท่วมเป็นการแก้ไขปัญหาสังคมแบบใด

(1) แบบย่อย (2) แบบป้องกัน (3) แบบวางแผน (4) แบบรวมถ้วนทั่ว

ตอบ 1 หน้า 261 แนวทางในการแก้ไขปัญหาสังคม แบ่งออกเป็นหลักใหญ่ ๆ ได้ 2 ประการ คือ

1. การแก้ไขปัญหาแบบย่อย (Piecemeal) เป็นการแก้ปัญหาระยะสั้นหรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยไม่มีการวางแผนมาก่อน เช่น การแก้ปัญหาความยากจน ความอดอยากขาดแคลนและช่วยผู้ประสบภัยด้วยการแจกสิ่งของ เสื้อผ้า อาหาร นำดื่ม และยารักษาโรค ฯลฯ

2. การแก้ไขปัญหาแบบรวมถ้วนทั่ว (Wholesale) เป็นการแก้ปัญหาระยะยาวแบบมี การวางแผนมาก่อน (แก้ปัญหาที่ต้นตอหรือสาเหตุของปัญหา) มีการประเมินผลมีการตรวจสอบ และปัญหานั้น ๆ จะไม่เกิดขึ้นมาอีก เช่น การแก้ปัญหาความยากจน ด้วยการฝึกอาชีพให้ ฯลฯ

66. ข้อใดคือปัญหาสังคมที่เป็นต้นเหตุของปัญหาอื่น ๆ

(1) การว่างงาน (2) ความยากจน (3) การค้ามนุษย์ (4) ยาเสพติด

ตอบ 2 หน้า 268, (คำบรรยาย) ความยากจน หมายถึง การขาดแคลนปัจจัย 4 ในการดำรงชีวิต ซึ่งถือเป็นปัญหาสังคมที่เป็นต้นเหตุของปัญหาอื่น ๆ หรือเซื่อมโยงไปสู่ปัญหาอื่น ๆ

67. “การจับหนูให้แมวกิน” จัดเป็นแนวทางตามตัวเลือกใด

(1) ตัดไฟแต่ต้นลม (2) ล้อมคอกก่อนวัวหาย

(3) วัวหายล้อมคอก (4) แก้ไขปัญหาแบบเฉพาะหน้า

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 65. ประกอบ (แก้ไขปัญหาระยะยาวต้องฝึกแมวให้จับหนู)

68. ข้อใดหมายถึงการโกงประชาชน การเบียดบังของหลวง การใช้เวลาราชการไปทำงานส่วนตัว และการเลือกที่รักมักที่ชัง

(1) การบังหลวง

(2) การฉ้อราษฎร์ (3) การฉ้อราษฎร์บังหลวง (4) การใช้งบประมาณของรัฐบาลเกินความจำเป็น

ตอบ 3 หน้า 281 “การฉ้อราษฎร์” หมายถึง การเบียดบังเอาผลประโยชน์ของราษฎร (ประชาชน) ไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย (การโกงราษฎร), “การบังหลวง” หมายถึง การกระทำด้วยวิธีหนึ่ง วิธีใดที่นำเอาผลประโยชน์จากราชการไปใช้ส่วนตัว หรือการเบียดบังของหลวงไปเป็นสมบัติของตนเอง “การฉ้อราษฎร์บังหลวง” ครอบคลุมไปถึงการใช้เวลาราชการไปทำงานส่วนตัว การเอาของราชการไปใช้ส่วนตัว การเลือกที่รักมักที่ชัง และการกินสินบน

69. ข้อใดคือกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อมากที่ลุด

(1) นายทุน (2)เกษตรกร (3)ข้าราชการ (4)นักธุรกิจ

ตอบ 2 หน้า 266 เงินเฟ้อ หมายถึง ปรากฏการณ์ที่ระดับราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นระยะเวลาติดต่อกันยาวนานพอสมควร ซึ่งเมื่อเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้น คนยากจนที่มีรายได้น้อย จะได้รับผลกระทบกระเทือนมาก เพราะรายได้ของประชาชนไม่ได้เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกัน ส่วนคนรํ่ารวยมีกิจการอุตสาหกรรมใหญ่โต มีที่ดินและอาคารมากมาย จะไม่ได้รับผลกระทบ เพราะเมื่อเงินเสื่อมค่าลงก็สามารถขึ้นราคาสินค้าและค่าเช่าได้ ในขณะที่ข้าราชการและชนชั้นกลางจะได้รับผลกระทบบ้างแต่ไมเท่าคนจน เพราะยังมีรายได้มากพอเป็นค่าใช้จ่าย

70. ข้อใดหมายถึงชนต่างถิ่นที่อพยพเข้ามาอาศัยรวมอยู่กับเจ้าของถิ่นหรือเจ้าของประเทศ

(1) กลุ่มคน (2) กลุ่มขนาดเล็ก (3) ชุมชน (4) ชนกลุ่มน้อย

ตอบ 4 หน้า 285 ชนกลุ่มน้อย (Minority Group) หรือชนต่างวัฒนธรรม หมายถึง กลุ่มชนที่มีการยึดถือ วัฒนธรรมในรูปแบบที่แตกต่างไปจากชนกลุ่มใหญ่ (Majority Group) หรือกลุ่มอิทธิพล (Dominant Group) และเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิดในเรื่องจำนวน นักวิชาการบางท่านจึงเรียกชนกลุ่มใหญ่ว่า “กลุ่มครอบครอง” และเรียกชนกลุ่มน้อยว่า “กลุ่มใต้ครอบครอง” เพราะชนกลุ่มใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลและมีบทบาททั้งทางสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ดังนั้น ชนกลุ่มใหญ่จึงเป็นผู้ที่กำหนดว่ากลุ่มใดเป็นชนกลุ่มน้อย เช่น ชนกลุ่มน้อยที่อพยพเข้ามาอาศัย รวมอยู่กับเจ้าของถิ่นหรือเจ้าของประเทศจัดเป็นชนกลุ่มน้อย ส่วนเจ้าของถิ่นหรือเจ้าของประเทศ จัดเป็นชนกลุ่มใหญ่ ฯลฯ

71. ชนกลุ่มน้อยมีความหมายตรงข้ามกับตัวเลือกใด

(1) กลุ่มอาณานิคม

(2) กลุ่มใต้ครอบครอง

(3) กลุ่มอิทธิพล

(4) กลุ่มผลประโยชน์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ

72. ประเทศไทยใช้นโยบายใดในการปฏิบัติต่อชนกลุ่มน้อยชาวจีน

(1) การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม

(2) การแยกพวก

(3) การยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม

(4) การกีดกัน

ตอบ 1 หน้า 301 ประเทศไทยสามารถใช้นโยบายการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม (Assimilation) กับคนจีนได้ผลดีมากกว่าประเทศอื่น ๆ อีกหลายประเทศ เพราะมีปัจจัยเอื้ออำนวยหลายประการ เช่น มีความสัมพันธ์กันมานาน เป็นเชื่อชาติผิวเหลืองเหมือนกัน มีหลักศาสนา หลักปรัชญา ความเชื่อ ทัศนคติและการมองโลกคล้ายคลึงกัน ฯลฯ

73. ประเทศไทยใช้นโยบายใดในการแก้ไขปัญหาชาวเขา

(1) การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม

(2) การแยกพวก

(3) การยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม

(4) การผสมผสานชาติพันธุ์

ตอบ 1 หน้า 299 การผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรม (Assimilation) เป็นนโยบายที่ประเทศไทยใช้ใน การแก้ไขปัญหาขาวเขา ซึ่งมีข้อดีคือ ทำให้เกิดความเข้าใจและใกล้ชิดติดต่อกันมากขึ้น ทำให้ ชาวเขาไม่เกิดความรู้สึกแตกแยกโดดเดี่ยว และทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคม

74. ตัวอย่างใดเป็นความรู้สึกชาติพันธุ์นิยมที่เกิดภายในกลุ่มสมาชิกของชนกลุ่มน้อย

(1) คนนิโกรเรียกตัวเองว่าอาฟโรอเมริกัน (2) คนจีนถูกเรียกว่าเจ๊ก

(3) คนอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นถูกเรียกว่าแจ๊ป (4) คนอินเดียถูกเรียกว่าแขก

ตอบ. 1 หน้า 287 – 288 ภายในหมู่ชนกลุ่มน้อยและชนกลุ่มใหญ่ อาจเกิดความรู้สึกที่เรียกว่า การมีอคติต่อเชื้อชาติหรือชาติพันธุ์นิยม (Ethnocentrism) โดยจะแสดงพฤติกรรมดังนี้

1. อคติของชนกลุ่มใหญ่ที่มีต่อชนกลุ่มน้อย ด้วยการขนานนามกลุ่มอื่นในทางที่ไม่ดี เช่น คนจีนถูกเรียกว่าเจ๊ก, คนอินเดียถูกเรียกว่า แขก, คนเวียดนามถูกเรียกว่า แกว,คนอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่นถูกเรียกว่า แจ๊ป, พวกนิโกรถูกเรียกว่า นิกเกอร์ ฯลฯ

2. อคติของชนกลุ่มน้อยที่มีต่อชนกลุ่มใหญ่ ด้วยการเรียกกลุ่มของตนในทางที่ดี เช่น คนนิโกร เรียกกลุ่มของตนเองว่า อาฟโรอเมริกัน, คนอเมริกาเชื้อสายเม็กซิกันเรียกตนเองว่า ชิคาโน ฯลฯ

75. ตามแนวคิดของริสแมน (Riesman) รูปแบบการเปลี่ยนแปลงของสังคมไทยเป็นอย่างไร

(1) เปลี่ยนแปลงจากผู้อื่นนำสู่ประเพณีนำ (2) เปลี่ยนแปลงจากประเพณีนำสู่สำนึกนำ

(3) เปลี่ยนแปลงจากผู้อื่นนำสู่สำนึกนำ (4) เปลี่ยนแปลงจากประเพณีนำสู่ผู้อื่นนำ

ตอบ .4 หน้า 331 – 332 รูปแบบสังคมตามทัศนะของริสแมน (Riesman) แบ่งเป็น 3 รูปแบบและ เปลี่ยนแปลงเป็นขั้นตอนดังนี้ 1. สังคมประเพณีนำ 2. สังคมสำนึกนำ 3. สังคมผู้อื่นนำ ซึ่งสังคมอเมริกันจะเป็นไปตามรูปแบบที่ริสแมนได้กล่าวไว้ ส่วนสังคมไทยข้ามขั้นตอนจาก รูปแบบสังคมประเพณีนำไปสู่สังคมผู้อื่นนำ โดยขาดขั้นสังคมสำนึกนำ

76. แนวคิดของสเปนเซอร์ (Spencer) จัดอยู่ในทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีการหน้าที่ (2) ทฤษฎีวัฏจักร

(3) ทฤษฎีจิตวิทยาสังคม (4) ทฤษฎีวิวัฒนาการทางสังคม

ตอบ 4 หน้า 315 แนวคิดของสเปนเซอร์ (Spencer) จัดอยู่ในทฤษฎีวิวัฒนาการ (วิวัฒนาการทางสังคม) โดยเขากล่าวถึงการวิวัฒนาการว่าเป็นเสมือนกระบวนการแห่งการเติบโต ทั้งนี้โดยการ เปรียบเทียบสังคมว่าเป็นเสมือนสิ่งมีชีวิต

77. ตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) สังคมรูปแบบใดยุติการเปลี่ยนแปลง

(1) ระบบสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ (2) ระบบทาสบรรพกาล

(3) ระบบศักดินา (4) ระบบนายทุน

ตอบ 1 หน้า 321 – 322 รูปแบบการเมืองการปกครองตามทัศนะของมาร์กซ์ (Marx) มี 5 รูปแบบ ดังนี้

1. ระบบคอมมิวนิสต์ดั้งเดิม 2. ระบบทาสบรรพกาล 3. ระบบศักดินา

4. ระบบนายทุน (ทุนนิยม) 5. ระบบสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์ (หยุดการเปลี่ยนแปลง)

78. หัวใจสำคัญของทฤษฎีวัฏจักรคืออะไร

(1) มนุษย์เป็นผู้สร้างอารยธรรม (2) อารยธรรมจะคงอยู่ตลอดกาล

(3) อารยธรรมจะพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง (4) อารยธรรมเมื่อมีการรุ่งเรืองย่อมมีการล่มสลาย

ตอบ 4 หน้า 309 – 312 ทฤษฎีวัฎจักร เป็นแนวคิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมที่กล่าวถึง การเปลี่ยนแปลงในเชิงวัฏจักรหรือการสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่เสมอ ไม่มีความถาวรของ ยุคใดยุคหนึ่งหรือสังคมใดสังคมหนึ่ง กล่าวคือ เมื่อมีจุดเริ่มต้นก็ต้องมีจุดสิ้นสุด เมื่อถึงจุดสิ้นสุด ก็จะกลับมาจุดเริ่มต้น หรือเมื่อมีการเจริญรุ่งเรืองก็ย่อมมีการล่มสลาย และเมื่อมีการล่มสลาย ก็จะกลับมาเจริญรุ่งเรืองสลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันอยู่เสมอ

79. กระบวนการเปลี่ยนแปลง 3 ขั้นตอน จุดยืน จุดแย้ง จุดยุบ เป็นแนวความคิดของใคร

(1) มาร์กซ์ (Marx) (2) ทอยน์บี (Toynbee) (3) ค้องท์ (Comte) (4) พาร์สัน (Parson)

ตอบ 1 หน้า 320 – 321 ทฤษฎีการขัดแย้งเป็นแนวคิดของคาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ซึ่งไต้อธิบาย การเปลี่ยนแปลงหรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ โดยกระบวนการ 3 อย่าง คือ

1. Thesis (จุดยืน) ได้แก่ สภาพที่เป็นอยู่แล้ว

2. Antithesis (จุดแย้ง) ได้แก่ สภาพที่ตรงข้ามหรือขัดแย้งกับสิ่งที่มีอยู่หรือเป็นอยู่แล้ว

3. Synthesis (จุดยุบ) ได้แก่ ผลแห่งการปะทะกันหรือขัดแย้งกันของ 2 กระบวนการแรก

80. “สภาพสังคมที่สลับซับซ้อนถือว่าเป็นความก้าวหน้า” คำกล่าวนี้สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงตามทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีการหน้าที่ (2) ทฤษฎีวัฏจักร (3) ทฤษฎีจิตวิทยาสังคม (4) ทฤษฎีวิวัฒนาการ

ตอบ 4 หน้า 313 ทฤษฎีวิวัฒนาการ (Evolutionary Theory) เป็นทฤษฎีที่นิยมกันมากในโลกตะวันตกโดยเชื่อว่า สังคมก้าวหน้าขึ้นจากสภาพที่อยู่กันง่าย ๆ ไม่สลับซับซ้อนและขยายตัวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีความซับซ้อนหรือสภาวะเชิงซ้อนสูงขึ้น ซึ่งการมีสภาพสังคมที่สลับซับซ้อนขึ้นนั้น ถือว่าเป็นความก้าวหน้า

81. ตามความคิดของเพลโต (Plato) “การเปลี่ยนแปลงจากราชาธิปไตย วีรชนาธิปไตย คณาธิปไตย ประชาธิปไตย และทุชนาธิปไตย” เป็นไปตามทฤษฎีใด

(1) ทฤษฎีการใช้อำนาจ

(2) ทฤษฎีวิวัฒนาการ

(3) ทฤษฎีวัฏจักร

(4) ทฤษฎีโครงสร้าง-หน้าที่

ตอบ 3 หน้า 310 – 311 ตามทฤษฎีวัฏจักรหรือการหมุนเวียนนั้น เพลโต (Plato) ได้แบ่งการเปลี่ยนแปลง ของรัฐออกเป็น 5 ยุค ดังนี้ 1. อภิชนาธิปไตยหรือราชาธิปไตย 2. วีรชนาธิปไตย

3. คณาธิปไตย 4. ประชาธิปไตย 5. ทุชนาธิปไตย

82. การศึกษาเรื่องใดที่นำไปสู่ความเข้าใจพฤติกรรมของคนชนบท

(1) ประชากร

(2) สถาบันอนามัย

(3) ค่านิยม

(4) การตั้งถิ่นฐาน

ตอบ 3 หน้า 346 การศึกษาค่านิยมในสังคมชนบทนับเป็นกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ความเข้าใจพฤติกรรม ของคนชนบท ซึ่งจะเอื้ออำนวยต่อการติดต่อสัมพันธ์และการพัฒนาชนบทให้เป็นไปด้วยดี ในทุกด้าน ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง

83. ระบบเศรษฐกิจในชุมชนชนบทดั้งเดิม มีลักษณะอย่างไร

(1) ระบบพึ่งพาตัวเอง

(2) ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด

(3) ระบบเศรษฐกิจเพื่อการค้า

(4) ระบบพึ่งพาหน่วยทางสังคมต่าง ๆ

ตอบ 1 หน้า 340 – 343 ระบบเศรษฐกิจในชุมชนชนบทดั้งเดิมมีลักษณะเป็นระบบพึ่งพาตัวเอง เป็นการผลิตเพื่อการบริโภคมากกว่าเพื่อการค้า การพึ่งพาหน่วยทางสังคมต่าง ๆ มีน้อย ซึ่งแตกต่างจากชีวีตชาวเมืองที่ต้องพึ่งพาอาศัยหน่วยทางสังคมต่าง ๆ อยู่มาก

84. ตัวเลือกใดเป็นสาเหตุจากภายนอกที่ทำให้สังคมชนบทเกิดการเปลี่ยนแปลง

(1) การแปรปรวนของธรรมชาติ (2) การอพยพย้ายถิ่น

(3) การพัฒนา (4) การตาย

ตอบ 3 หน้า 358 – 359 สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมชนบทเกิดจาก 2 ปัจจัย คือ

1. ปัจจัยภายในสังคมชนบท เช่น การเกิด การตาย การอพยพย้ายถิ่น การแปรปรวนของธรรมชาติ ผู้ร้ายหรือการสู้รบ การประดิษฐ์คิดค้นสิ่งใหม่ (ภูมิปัญญาชาวบ้านที่เกิดจากนวัตกรรม) ฯลฯ

2. ปัจจัยภายนอกสังคมชนบท เช่น การผสมผสานทางวัฒนธรรม การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม การคมนาคมติดต่อสื่อสาร การเลียนแบบ (การขอยืมวัฒนธรรม) การพัฒนา ฯลฯ

85. การตั้งถิ่นฐานของหมู่บ้านชนบทไทยโดยทั่วไป มีลักษณะแบบใด

(1) หมู่บ้านสหกรณ์ (2) หมู่บ้านป่าไม้ (3) หมู่บ้านเกษตรกรรม (4) นิคมสร้างตนเอง

ตอบ 3 หน้า 346 การตั้งถิ่นฐานของหมู่บ้านชนบทไทยโดยทั่วไปจะเป็นแบบไม่มีการวางแผน โดยมีการตั้งถิ่นฐานแบบหมู่บ้านเกษตรกรรม ซึ่งจะตั้งบ้านเรือนตามที่ลุ่ม ที่ดอน ที่เนินชายป่า ชายเขา เส้นทางคมนาคม และส่วนใหญ่จะตั้งตามริมฝั่งนํ้า (ส่วนการตั้งถิ่นฐานชนิดที่มีการวางแผนนั้น นับว่ามีน้อยมาก คงมีแต่เฉพาะหมู่บ้านสหกรณ์ นิคมสร้างตนเอง และหมู่บ้านป่าไม้เท่านั้น)

86. ข้อใดคือคุณสมบัติดั้งเดิมของชุมชนชนบท

(1) ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

(2) การใช้แรงงานเพื่อการเกษตร (3) ความโดดเดี่ยว (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 340 – 341 คุณสมบัติดั้งเดิมของชุมชนขนบท มีดังนี้

1. ความโดดเดี่ยว 2. ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

3. การใช้แรงงานเพื่อการเกษตร 4. การเศรษฐกิจเพื่อการบริโภค

87. สังคมวิทยาชนบทมักศึกษาเปรียบเทียบกับวิชาใด

(1) สังคมวิทยาอุตสาหกรรม

(2) สังคมวิทยาการพัฒนา (3) สังคมวิทยาบ้านนา (4) สังคมวิทยานคร

ตอบ 4 หน้า 335, 363 สังคมวิทยาชนบทมักจะนิยมศึกษาเปรียบเทียบกับสังคมวิทยานครหรือ สังคมวิทยานาครหรือสังคมวิทยาเมือง โดยจะศึกษาถึงความเกี่ยวพันกับสังคมเมือง เพราะปรากฏการณ์ในสังคมเมืองอาจจะส่งผลสะท้อนไปสู่ชนบท ทำให้ชนบทเปลี่ยนแปลงไป เป็นการหาวิธีเสริมสร้างชีวิตชนบทให้มั่นคง

88. ในการพัฒนาชนบทต้องพัฒนาอะไรเป็นอันดับแรก

(1) การศึกษา (2) คน (3) อุตสาหกรรม (4) สภาพแวดล้อม

ตอบ 2 หน้า 338 ในการพัฒนาชนบทนั้น ต้องมุ่งพัฒนาคน (คุณภาพของคน) เป็นอันดับแรกและการพัฒนาคนนั้นต้องพัฒนาความคิดของเขา อะไรคือตัวบงการให้คนชนบทคิดเช่นนั้น ทำเช่นนั้น ค่านิยมหรือวัฒนธรรม ซึ่งการศึกษาสังคมชนบทจะช่วยให้เราเข้าใจได้

89. ทฤษฎีใดกล่าวว่า “เมืองจะขยายตัวจากศูนย์กลางไปตามเส้นทางคมนาคมขนส่ง”

(1) ทฤษฎีหลายศูนย์กลาง (2) ทฤษฎีรูปสามเหลี่ยม

(3) ทฤษฎีรูปดาว (4) ทฤษฎีรูปวงกลม

ตอบ 3 หน้า 374 ทฤษฎีรูปดาว (Star Theory) เป็นทฤษฎีการขยายตัวของเมืองที่เก่าแก่ที่สุดเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1903โดย อาร์.เอ็ม. เฮิร์ด (R.M. Hurd) ได้ศึกษาพบว่า “เมืองจะขยายตัว ออกจากศูนย์กลางไปตามเส้นทางการคมนาคมขนส่ง” ซึ่งทำให้เป็นรูปคล้ายดาวหรือแมงกะพรุน

90. ตามทัศนะของคูลีย์ (Cooley) ปัจจัยใดที่ก่อให้เกิดเมืองมากที่สุด

(1) จำนวนประชากร

(2) เหมืองแร่ (3) การปกครองและศาสนา (4) เมื่อมีการหยุดพักขนสินค้า

ตอบ 4 หน้า 370 ปัจจัยที่ทำให้เกิดเมืองในทัศนะของคูลีย์ (Cooley) คือ การหยุดพักเพื่อขนส่งสินค้าโดยเขากล่าวว่า เส้นทางคมนาคมขนส่งไม่ได้ทำให้เกิดเมือง แต่เมื่อมีการหยุดพักเพื่อขนส่งสินค้า ก็จะทำให้เกิดเมือง ได้แก่ เมืองท่าบางเมือง เช่น ฮ่องกง และโคเปนเฮเกน ฯลฯ

91. เมืองไมอามี เป็นเมืองประเภทใด

(1) เมืองพักผ่อนตากอากาศ

(2) เมืองท่า

(3) เมืองศูนย์รวมการคมนาคมขนส่ง

(4) เมืองศูนย์กลางการขายส่งและปลีก

ตอบ 1 หน้า 370 – 371 เมืองซึ่งเกิดจากหน้าที่พิเศษ คือ เมืองที่เกิดขึ้นเนื่องจากการให้บริการ บางอย่าง เช่น เหมืองแร่ โรงงานอุตสาหกรรม หรือการพักผ่อน ฯลฯ หรือเป็นเมืองที่เกิดขึ้น เนื่องจากมีทรัพยากรธรรมชาติเฉพาะอย่าง เช่น เมืองไมอามี่ (เป็นเมืองพักผ่อนตากอากาศ) สแกนตัน พิททส์เบิร์ก พัทยา ฯลฯ

92. ข้อใดเป็นเมืองอันดับสองที่นำมาเปรียบเทียบกับความเป็นเอกนครของกรุงเทพมหานคร

(1)ขอนแก่น

(2)เชียงใหม่

(3)นครราชสีมา

(4)อุบลราชธานี

ตอบ 2 หน้า 381 ความเป็นเอกนครของประเทศไทยจะดูได้จากขนาดของกรุงเทพฯ ที่มีขนาดใหญ่ กว่าเชียงใหม่ที่เป็นเมืองอันดับ 2 ถึงประมาณ 35 เท่าตัว เมื่อพิจารณาจากจำนวนประชากรที่ อาศัยอยู่ในเขตเมืองและเป็นศูนย์รวมของระบบเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในกรุงเทพฯ ทั้งหมด ประชากรในเขตเมืองของประเทศไทยกว่าครึ่งอาศัยในกรุงเทพฯ ในขณะเดียวกันเมืองรอง ๆ ลงไปก็มีระดับความเจริญที่เทียบกันไม่ได้เลยกับกรุงเทพฯ

93. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของเมืองในประเทศกำลังพัฒนา

(1) มีความเป็นเมืองมากเกินไป

(2) มีลักษณะแบบเอกนครชัดเจน

(3) การขยายขนาดของเมืองมีอัตราสูงกว่าการขยายตัวทางอุตสาหกรรม

(4) การย้ายถิ่นเข้าสู่เมืองเพราะแรงดึงดูดของเมืองมากกว่าแรงผลักดันจากชนบท

ตอบ 4 หน้า 380 ลักษณะความเป็นเมืองและการขยายขนาดของเมืองในประเทศกำลังพัฒนา มีดังนี้

1. การขยายขนาดของเมืองเป็นไปในอัตราสูงกว่าการขยายตัวทางอุตสาหกรรม

2. การขยายขนาดของเมืองขึ้นอยู่กับผลของการเพิ่มโดยธรรมชาติ (ผลต่างระหว่างจำนวน การเกิดและการตาย) ของประชากรในเมืองร่วมกับผลจากการย้ายถิ่นเข้าของชาวชนบท

3. การย้ายถิ่นเข้าสู่เมืองมีสาเหตุผลักดันจากชนบทมากกว่าแรงดึงดูดของเมือง

4. มีความเป็นเมืองมากเกินไป 5. มีลักษณะเป็นแบบเอกนครอย่างชัดเจน

94. ข้อใดไม่ใช่เขตเมือง

(1) เทศบาลนคร (2) เทศบาลเมือง (3) เทศบาลตำบล (4) นอกเขตเทศบาล

ตอบ 4 หน้า 364, (คำบรรยาย) ประเทศไทยไม่ได้มีการให้คำจำกัดความที่แน่นอนของคำว่า“เมือง” เอาไว้ แต่เราถือว่า เมือง คือ เขตเทศบาล (ซึ่งประกอบด้วย เขตเทศบาลนคร เขตเทศบาลเมือง และเขตเทศบาลตำบล) รวมถึงกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา

95. ข้อใดเป็นการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในระยะแรกเริ่ม

(1) การตั้งถิ่นฐานแบบรวมกลุ่ม

(2) การตั้งถิ่นฐานแบบกระจาย (3) การตั้งถิ่นฐานแบบเส้นตรง (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 372 – 373 การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ในระยะแรกเริ่ม แบ่งออกเป็น

1. การตั้งถิ่นฐานแบบรวมกลุ่ม (Cluster Settlement) เป็นการตั้งถิ่นฐานแบบที่มิได้มีการ วางแผนไว้ล่วงหน้า เป็นการตั้งบ้านเรือนอยูรวมกันเนป็กลุ่ม ๆ บนพื้นที่ไร่นาของตน

2. การตั้งถิ่นฐานแบบกระจาย (Scattered Settlement) เป็นการตั้งบ้านเรือนแบบครอบครัว ที่กระจัดกระจายอยู่รอบ ๆ ย่านชุมชน ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัด โรงเรียน ตลาด ฯลฯ

3. การตั้งถิ่นฐานแบบเส้นตรง (Line Settlement) เป็นการตั้งบ้านเรือนเรียงรายตาม เส้นทางคมนาคมทั้งทางนํ้าและทางบก เช่น ริมผฝั่งแม่นํ้า ลำคลอง สองฝั่งถนน ฯลฯ

96. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับนํ้า

(1) นํ้าฝนเป็นนํ้าที่อยู่บนผิวดิน (2) นํ้าใช้ในการผลิตพลังงาน

(3) นํ้าเป็นปัจจัยสำคัญต่อการอุตสาหกรรม (4) นํ้าเสียเกิดจากการเจือปนของสารพิษ

ตอบ 1 หน้า 398 น้ำเป็นปัจจัยสำคัญต่อพืช สัตว์ การบริโภค การผลิตอาหาร การอุตสาหกรรม

และการผลิตพลังงาน น้ำธรรมชาติแบ่งเป็น 4 ประเภท คือ นํ้าฝน น้ำทะเล น้ำท่า (น้ำที่อยู่ผิวดิน) และน้ำบาดาล (น้ำใต้ดิน) โดยน้ำเสียมีสาเหตุต่าง ๆ เช่น เกิดจากการเจือปนของสารพิษซึ่งถูกย่อยสลายไม่ได้ และอินทรีย์สารซึ่งถูกย่อยสลายได้ ฯลฯ

97. พลังงานไฮโดรอิเล็กตริก เกิดจากอะไร

(1) เขื่อนผลิตกระแสไพ่ฟ้า

(2) ก๊าชธรรมชาติ (3) แสงอาทิตย์ (4) นํ้ามัน

ตอบ 1 หน้า 395 พลังงานไฮโดรอิเล็กตริก เป็นพลังงานที่ได้จากการสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งพลังงานนี้ถูกนำมาใช้ในโลกได้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นเมื่อเปรียบเทียบกับพลังงานที่ได้จากน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าชธรรมชาติ ทั้งนี้เพราะการสร้างเขื่อนมีข้อจำกัดอยู่ที่สถานที่ที่จะต้อง เลือกใช้ และอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ของป่าไม้ได้

98. ภเขา ทะเลทราย จัดเป็นระบบนิเวศน์ของมนุษย์ประเภทใด

(1) Managed Natural Ecosystems (2) Mature Natural Ecosystems

(3) Productive Ecosystems (4) Urban Ecosystems

ตอบ 2 หน้า 391 – 392 ระบบนิเวศน์ของมนุษย์ (มนุษยนิเวศวิทยา) แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ

1. Mature Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่อยู่ในสภาพธรรมชาติอย่างแท้จริง ไม่มีคนอยู่อาศัย เช่น ป่า ภูเขา ทะเลทราย ฯลฯ

2. Managed Natural Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยดัดแปลงและปรับปรุง เช่น สวนสาธารณะ วนอุทยาน อุทยานแห่งชาติ ฯลฯ

3. Productive Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้ใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง เพื่อให้ได้ผลิตผลและทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ฟาร์ม ปศุสัตว์ เหมืองแร่ ฯลฯ

4. Urban Ecosystems เป็นระบบนิเวศน์ที่มนุษย์ได้อาศัยประกอบกิจการทำงานต่าง ๆ เช่น บริเวณย่านอุตสาหกรรม บริเวณเมืองเล็กและเมืองใหญ่ ฯลฯ

99. ความดังของเสียงระดับใดที่มีอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์

(1) เกิน 30 เดซิเบล (2) เกิน 50 เดซิเบล (3) เกิน 60 เดซิเบล (4) เกิน 85 เดซิเบล

ตอบ 4 หน้า 403 ระดับปกติของเสียงที่เหมาะสมกับสุขภาพของมนุษย์ควรจะอยู่ในระดับไม่เกิน 85 เดซิเบล เพราะถ้าเกิน 85 เดซิเบล นับว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ โดยในต่างประเทศได้ มีกฎหมายกำหนดระดับเสียงในโรงงานไม่ให้ดังเกิน 85 เดซิเบล

100. มนุษย์สายพันธุใดมีความใกล้ชิดทางพันธุกรรมกับมนุษย์ปัจจุบันมากที่สุด

(1) Rodisian Man (2) Pithecanthopus

(3) Ramapithecus (4) Cro-magnon Man

ตอบ 4 หน้า 417 – 418 มนุษย์โครมันยอง (Cro-magnon Man) มีชีวิตอยู่ราว 40,000 ปีมานี้เอง และเชื่อกันว่ามีลักษณะทางกายภาพคล้ายคลึง/ใกล้เคียงและมีความใกล้ชิดทางพันธุกรรมกับ มนุษย์ปัจจุบันมากที่สุด ดังนั้นจึงมีลักษณะเป็นตัวแทนหรือเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ในปัจจุบัน โดยมนุษย์เหล่านี้มีชื่อเรียกต่าง ๆ กันตามระยะเวลาของการมีชีวิตอยู่ เช่น Swanscombe Man, Fontechevade Man, Kanam Man และ Kanjera Man เป็นต้น

101. ผู้ใดคือผู้บุกเบิกวิชาอนุกรมวิธาน (Taxonomy) หรือศาสตร์การจำแนกสิ่งมีขีวิต ออกเป็นประเภทต่าง ๆ

(1) ลีล (Lyell)

(2) ลินเน (Linne)

(3) ลามาร์ก (Lamarck)

(4) ดาร์วิน (Darwin)

ตอบ 2 หน้า 414, (คำบรรยาย) ลินเน (Linne) นักชีววิทยาชาวสวีเดน เป็นผู้เริ่มวิชาอนุกรมวิธาน (Taxonomy) หรือศาสตร์การจำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นประเภทต่าง ๆ ด้วยการจัดระบบวิธีการ ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตแบบทวินาม (Binomial) ไว้ในหนังสือชื่อ System of Nature โดยลักษณะของชื่อสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะประกอบด้วยชื่อ Genus (สกุล) และ species (ชนิด)

102. ข้อใดคือตัวอย่างของมนุษย์กลุ่มผิวเหลือง (Mongoloid)

(1) นอร์ติก

(2) เอสกิโม

(3) แฮมิติก

(4) เซมิติก

ตอบ 2 หน้า 420 มนุษย์ชาติพันธุ์ผิวเหลือง (Mongoloid) แบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยได้ดังนี้

1. พวกมองโกลอยด์ อยู่แถบทวีปเอเชียตะวันออก เช่น จีน ทิเบต และมองโกเลีย

2. พวกอินเดียนแดง อยู่แถบทวีปอเมริกาเหนือและใต้

3. พวกเอสกิโม อยู่แถบเหนือสุดของทวีปอเมริกา (รัฐอลาสก้าและตอนเหนือของแคนาดา)

4. พวกมาลายัน เช่น มลายู ชวา ไทย และบาหลี

103. นักมานุษยวิทยาท่านใดคือบิดาของวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรม

(1) ไทเลอร์ (Tylor)

(2) โบแอส (Boas)

(3) เบเนดิกท์ (Benedict)

(4) มาลินอฟสกี้ (Malinowski)

ตอบ 1 หน้า 428, (คำบรรยาย) ไทเลอร์ (Tylor) นักมานุษยวิทยาชาวอังกฤษ ถือเป็นบิดาของวิชา มานุษยวิทยาวัฒนธรรม เพราะเขามีผลงานการเขียนและค้นคว้าวิจัยในทางมานุษยวิทยาวัฒนธรรมมากมาย และหนังสือของเขาที่ชื่อ Primitive Culture (ค.ศ. 1871) ก็ถือได้ว่าเป็นความพยายาม ในการศึกษาเรื่องวัฒนธรรมของมนุษย์ที่เป็นระบบและมีความสมบูรณ์ที่สุดเล่มแรกของโลก

104. การศึกษาวัฒนธรรมกับบุคลิกภาพของชาวนาไทยจัดอยู่ในสาขาใดของมานุษยวิทยา (1) โบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ (2) มานุษยวิทยาภาษาศาสตร์

(3) มานุษยวิทยาสังคม (4) ชาติพันธุ์วรรณนา

ตอบ 4 หน้า 436 – 437 ชาติพันธุ์วรรณนา (Ethnography) เป็นวิชาที่ศึกษาวัฒนธรรมของสังคมใด สังคมหนึ่งโดยเฉพาะ โดยศึกษาลึกซึ้งถึงรายละเอียดทุกสิ่งทุกอย่างในวัฒนธรรมนั้น ๆ เช่น การศึกษาวัฒนธรรมกับบุคลิกภาพของชาวนาไทย โดยเฮอร์เบิร์ต ฟิลลิป ที่หมู่บ้านบางชัน เขตมีนบุรี ฯลฯ

105. การศึกษาวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรมมีแนวทางอย่างไร

(1) ศึกษาสังคมอย่างเป็นองค์รวมและเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างสังคม

(2) เป็นการออกแบบสอบถามและสุ่มตัวอย่าง

(3) เป็นการศึกษาเฉพาะกรณีหรือรายกรณี

(4) การศึกษาแบบมีส่วนร่วม

ตอบ 3 หน้า 432 – 433 การศึกษาวิชามานุษยวิทยาวัฒนธรรม ตามปกตินักมานุษยวิทยาจะสนใจ ศึกษาสังคมเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ห่างไกลอารยธรรมที่เจริญ วิธีการศึกษามักจะนิยมศึกษาเฉพาะกรณี หรือรายกรณี (Case Study) ของแต่ละสังคม โดยเลือกสังคมที่ต้องการศึกษาแล้วเข้าไปอาศัย อยู่ในสังคมนั้นระยะเวลาหนึ่งด้วยตนเอง หรือที่เรียกว่าการศึกษางานสนาม โดยใช้เครื่องมีอ ในการทดสอบแบบเฝ้าสังเกต การตีความหมาย และการเปรียบเทียบ

106. ต้นกำเนิดชองวัฒนธรรมที่สำคัญของโลกแถบเมโสโปเตเมียตั้งอยู่ในบริเวณลุ่มนํ้าใด

(1) แยงซีเกียง (2) ไนล์ (3) ไทกริส-ยูเฟรติส (4) ดานูบ

ตอบ 3 หน้า 442 บริเวณที่เป็นแหล่งต้นกำเนิดของวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลก คือ ลุ่มแม่นํ้า โดยวัฒนธรรมที่เจริญถึงที่สุดและได้รับการยอมรับว่าเป็นวัฒนธรรมโลกนั้น ได้เริ่มต้นขึ้น ที่แถบเมโสโปเตเมีย (แถบลุ่มแม่นํ้าไทกรีส-ยูเฟรติส), จีน (แถบลุ่มแม่นํ้าแยงซีเกียง),อินเดียตอนเหนือ (แถบลุ่มแม่นํ้าสินธุ) และอียิปต์ (แถบลุ่มแม่น้ำไนล์)

107. ปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดการแบ่งช่วงชั้นทางสังคมในวัฒนธรรมอเมริกาใต้ สอดคล้องกับค่านิยมข้อใด

(1) ชาติกำเนิด (2) ความร่ำรวย (3) ศาสนา (4) การศึกษา

ตอบ 2 หน้า 448 ชาวอเมริกาใต้มักมีคำขวัญทำนองไทย ๆ ว่า มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่หรือเงินทำให้ผิวคนขาวขึ้น ไพร่ดูเป็นผู้ดี คนไม่สวยดูเป็นคนสวย ความร่ำรวยทำให้คนผิวดำ ชาวนิโกรผิวขาวขึ้น แลดูเป็นผู้ดีน่าคบหาสมาคม ส่วนคนผิวขาวที่ยากจน คือ คนผิวดำที่ได้รับ การรังเกียจกีดกันทั่วไป คนร่ำรวยมีอำนาจได้รับการยกย่อง

108. วัฒนธรรมอเมริกาใต้ได้รับอิทธิพลจากชาติตะวันตกใด

(1) โปรตุเกส (2) สเปน (3) กรีซ (4) ข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 446 วัฒนธรรมตะวันตกที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมในภูมิภาคอเมริกาใต้ (ลาตินอเมริกา) คือ สเปนและโปรตุเกส ซึ่งแต่เดิมนั้นประเทศในภูมิภาคนี้ได้รับวัฒนธรรมจากพวกอินเดียนแดง ที่เรียกตัวเองว่า อินคา หรือลูกพระอาทิตย์

109. ข้อใดสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมอเมริกันน้อยที่สุด

(1) การดื่มไวน์ (2) ภาพยนตร์ฮอลลีวูด (Hollywood)

(3) กางเกงยีนส์ (4) อาหารจานด่วน (Fast Food)

ตอบ 1 (คำบรรยาย) วัฒนธรรมอเมริกัน หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ถึอกำเนิดและถูกถ่ายทอดมาจาก อเมริกาไม่ว่าจะเป็นแนวทางการดำรงชีวิต ระเบียบประเพณี ค่านิยม ภาษาหรือคำศัพท์ต่าง ๆ ตลอดจนอาหารการกิน เช่น อาหารจานด่วน (Fast Food), กาแฟสตาร์บัค, ไก่ทอดเคเอฟซี, แฮมเบอร์เกอร์แมคโดนัล, วัฒนธรรมยีนส์, การ์ตูนเป็ดโดนัลและหนูมิกกี้เมาส์, คำว่า “hot dog”, “weekend”, “freeway”, ภาพยนตร์ฮอลลีวูด (Hollywood), สวนสนุก Disneyland ๆลฯ (ส่วนการดื่มไวน์เป็นวัฒนธรรมของฝรั่งเศส)

110. ตัวเลือกใดไม่ใช่ลักษณะของวัฒนธรรมตะวันตก

(1) ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย (2) เน้นความสำคัญของตัวบุคคล

(3) เชื่อฟังผู้มีอำนาจ ผู้มีอาวุโส (4) นิยมวัตถุ

ตอบ 3 หน้า 442 – 443, (คำบรรยาย) ลักษณะวัฒนธรรมในสังคมตะวันตกหรือสังคมที่พัฒนาแล้ว ดังเช่นประเทศต่าง ๆ ในทวีปยุโรปและดินแดนที่ชาวยุโรปอพยพไปตั้งถิ่นฐาน เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฯลฯ มักจะให้ความสำคัญกับระบอบประชาธิปไตย ยกย่อง ผู้ประสบความสำเร็จด้วยตนเอง เน้นความสำคัญของตัวบุคคล (Individualism) มีประชาธิปไตย ทำงานตามระเบียบกฎเกณฑ์หรือหน้าที่อย่างเคร่งครัด และนิยมวัตถุ (Materialism)

111. ตัวเลือกใดคือลักษณะของภาพพิมพ์

(1) มักมีแนวโน้มในทางลบ

(2) ภาพรวมของชนชาติใดชนชาติหนึ่ง

(3) เป็นภาพแบบเดียวกัน

(4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 457 ภาพพิมพ์ (Stereotype) คือ การมองภาพรวมหรืออุปนิสัยประจำชาติของชนชาติใดชนชาติหนึ่งว่ามีลักษณะเป็นภาพแบบเดียวกัน ซึ่งมักมีแนวโน้มถูกมองไปในทางลบ หรือเชิงนิเสธ เช่น ภาพพิมพ์ของคนบางชาติมีระเบียบวินัย, คนบางชาติอยู่สบาย ๆ ไม่ค่อย มีหลักเกณฑ์อะไรนัก, คนบางชาติ (เช่น อังกฤษ) เป็นคนประเภท “เก็บตัว” มักไม่สนิทกับ คนแปลกหน้าได้ง่าย, ชาวยิวมีภาพพจน์ว่า “ตระหนี่” ฯลฯ

112. การมองภาพรวมหรืออุปนิสัยประจำชาติมักมีแนวโน้มไปลักษณะใด

(1) เชิงนิเสธ

(2) สร้างสรรค์

(3) เป็นกลาง

(4) เชิงปฏิฐาน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 111. ประกอบ

113. ชนชาติใดที่มีภาพพจน์ว่า “ตระหนี่” มากที่สุด

(1) อาหรับ

(2) จีน

(3) อังกฤษ

(4) ยิว

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 111. ประกอบ

114. ตามทัศนะของ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ ค่านิยมข้อใดที่ไม่ส่งเสริมให้คนไทยเป็นนักคิดแบบนามธรรม

(1) ความเฉื่อย (2) การเล็งผลปฏิบัติ

(3) การถือประโยชน์ตนเอง (4) การถือหลักเกณฑ์

ตอบ 2 หน้า 472 ค่านิยมที่เด่นชัดอีกอย่างหนึ่งของคนไทยตามทัศนะของ ดร.อดุล วิเชียรเจริญ คือ การเล็งผลปฏิบัติหรือสัมฤทธิคติ กล่าวคือ คนไทยมักไม่ยึดถือสิ่งที่ไม่เห็นผลหรือไม่สอดคล้อง กับประโยชน์ของตน นักคิดไทยมักจะแสดงความคิดออกมาในรูปซึ่งจับต้องได้ ดังนั้นจึงทำให้ เป็นการยากแก่คนไทยที่จะเป็นนักคิดแบบนามธรรม (Abstract Thinker)

115. ราชลัญจกรของญี่ปุ่น มีสิ่งใดเป็นสัญลักษณ์

(1) ดวงอาทิตย์ (2) ดอกซากุระ (3) ดอกเบญจมาศ (4) ดาบซามูไร

ตอบ 3 หน้า 459 รุธ เบเนดิกท์ (Ruth Benedict) ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลอเมริกันให้ศึกษา ลักษณะนิสัยของคนญี่ปุ่นซึ่งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีผลงานเขียนชื่อ “ดอกเบญจมาศ และดาบซามูไร” โดยเห็นว่า บุคลิกของคนญี่ปุ่นจะเป็นเสมือนดอกเบญจมาศและดาบซามูไร คือ จะอ่อนน้อมภายนอกแต่จะแข็งแกร่งภายใน ทั้งนี้ดอกเบญจมาศเป็นราชลัญจกร (ตราประทับ) ของรัฐบาลแห่งพระเจ้าจักรพรรดิญี่ปุ่น

116. การเป็นคนกว้างขวาง เอาเพื่อนเอาฝูง เป็นคนกล้าหาญ เข้มแข็ง สะท้อนค่านิยมใดของคนไทย

(1) การเป็นเจ้านาย (2) ความเป็นผู้ใหญ่ (3) อำนาจ (4) จิตใจนักเลง

ตอบ 4 หน้า 476 ค่านิยมของคนไทยประการหนึ่งตามทัศนะของไพฑูรย์ เครือแก้ว คือ จิตใจนักเลง ซึ่งหมายถึง การมีจิตใจกว้างขวาง เอาเพื่อนเอาฝูง เป็นคนกล้าหาญ เข้มแข็ง ไม่ถือเนื้อถือตัว ไม่ตระหนี่เหนียวแน่น ไม่จุกจิกเรื่องเงินทอง และสามารถเลี้ยงเพื่อนฝูงได้

117. กฎหมายที่ถือว่าเป็นแม่บทของงานสังคมสงเคราะห์ในประเทศอังกฤษ เน้นความข่วยเหลือบุคคลกลุ่มใด

(1) เด็กกำพร้า (2) คนจน (3) คนชรา (4) หญิงหม้าย

ตอบ 2 หน้า 481 – 482, (คำบรรยาย) ประเทศอังกฤษนับว่าเป็นประเทศแรกที่ริเริ่มและถือเป็นแม่แบบ ในการจัดการสังคมสงเคราะห์ โดยจะเห็นได้จากการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับความผาสุก ของส่วนรวมเป็นลายลักษณ์อักษร เช่นในปี ค.ศ. 1601 พระนางเจ้าอลิซาเบธที่ 1ได้ทรง ออกกฎหมายเพื่อช่วยเหลือคนจนที่เรียกว่า Elizabethan Poor Law ซึ่งถือเป็นกฎหมายแม่บท ในการวางรากฐานด้านการสังคมสงเคราะห์

118. วิธีการสังคมสงเคราะห์ข้อใดที่ใช้กิจกรรมเป็นสื่อในการพัฒนาความต้องการและความสามารถของสมาชิก

(1) การสังคมสงเคราะห์เฉพาะราย (2) การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม

(3) การพัฒนาชุมชน (4) การจัดองค์การชุมชน

ตอบ 2 หน้า 483 การสังคมสงเคราะห์กลุ่ม (Social Group Work) โดยนักสังคมสงเคราะห์จะเป็นผู้นำในการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งอาศัยกิจกรรมต่าง ๆ เป็นสื่อ เพื่อเป็นการพัฒนาความต้องการและความสามารถของสมาชิก

119. การสังคมสงเคราะห์กำเนิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่สมัยใด

(1) สุโขทัย (2) กรุงศรีอยุธยาตอนต้น

(3) จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (4) จอมพล ป. พิบูลสงคราม

ตอบ 1 หน้า 482 สำหรับในประเทศไทยอาจกล่าวได้ว่า การสังคมสงเคราะห์เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัย สุโขทัย คือ พ่อเมืองจะแจกอาหารและเครื่องนุ่งห่มให้แก่คนชรา นอกจากนั้นศาสนาพุทธ ก็มีอิทธิพลต่อการสังคมสงเคราะห์ด้วย เพราะหลักธรรมของพระพุทธเจ้าอบรมสั่งสอน ให้มีใจเมตตากรุณา ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

120. งานสังคมสงเคราะห์มีหลักการให้บริการเพื่อช่วยขจัดปัญหาในระดับใด

(1) ระดับบุคคล (2) ระดับกลุ่ม (3) ระดับชุมชน (4) ถูกทั้งหมด

ตอบ 4 หน้า 482 งานสังคมสงเคราะห์เป็นวิชาชีพที่ให้บริการแก่ประชาชนโดยมีวัตถุประสงค์ ที่จะช่วยขจัดปัญหาซึ่งอาจจะเป็นของบุคคลคนเดียว กลุ่ม หรือชุมชน

PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป 1/2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552
ข้อสอบกระบวนวิชา  PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป
 
คำสั่ง  ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว  (ข้อสอบมีทั้งหมด  120  ข้อ)
 
ข้อ  1 – 3 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1)  การสังเกต (Observation)                   (2)  การสำรวจ  (Survey)
(3)  การทดลอง  (Experimentation)          (4)  การทดสอบทางจิตวิทยา  (Psychological  Testing)
(5)  การศึกษาประวัติรายกรณี  (Case  Study)
 
1 เป็นวิธีที่ทำให้แน่ใจได้ว่าเป็นสาเหตุให้เกิดพฤติกรรม
ตอบ  (3)  การทดลอง  (Experimentation)          
เป็นวิธีการศึกษาที่ทำให้วิชาจิตวิทยาได้รับการยอมรับว่าเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง  เพราะเป็นการศึกษาถึงเหตุและผล  โดยผู้ทดลองจะสร้างเหตุการณ์บางอย่างขึ้นมาหรือเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมตามที่ต้องการศึกษาซึ่งเรียกว่า  “ตัวแปรอิสระ”  หรือ  “ตัวแปรต้น”  (สาเหตุของพฤติกรรม”  แล้วคอยสังเกตพฤติกรรมหรือศึกษาผลของการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ  ซึ่งเรียกว่า  “ตัวแปรตาม”  (ผลของพฤติกรรม)  ข้อดีของการทดลองคือ สามารถควบคุมตัวแปรต่างๆที่เป็นสาเหตุของพฤติกรรม  ทำให้แน่ใจได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ  อะไรเป็นผล
2 นักจิตวิทยาสนใจพฤติกรรมใดก็จะเฝ้าติดตามไปเรื่อยๆ
ตอบ  (1)  การสังเกต (Observation)                   
เป็นการแสวงหาข้อเท็จจริงโดยการเฝ้ามองปรากฏการณ์หรือสถานการณ์ตามที่เป็นจริง  โดยที่ผู้ถูกสังเกตไม่รู้สึกตัว  แล้วจึงบันทึกรายละเอียดไว้  ซึ่งเป็นวิธีที่จะช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของคนในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติมากที่สุด
 
3 นักจิตวิทยาทำการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง  แทนการศึกษาจากประชากรทั้งหมด
ตอบ  (2)  การสำรวจ  (Survey)
เป็นวิธีการศึกษาทางจิตวิทยาที่เน้นการศึกษาลักษณะบางลักษณะของบุคคลบางกลุ่มที่ถูกเลือกให้เป็นตัวแทนของประชากรที่ต้องการศึกษาด้วยการออกแบบสอบถามให้ตอบหรือโดยการสัมภาษณ์  และนำคำตอบที่ได้ไปประมวลผลด้วยวิธีการทางสถิติ
 
ข้อ  4 – 7 จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม
(1)  กลุ่มโครงสร้างของจิต                        (2)  กลุ่มพฤติกรรมนิยม                      (3)  กลุ่มจิตวิเคราะห์
(4)  กลุ่มมนุษยนิยม                                   (5)  กลุ่มหน้าที่ของจิต
 
4 นักจิตวิทยาในกลุ่มนี้เชื่อว่ามนุษย์ต้องการพัฒนาตนเองให้ถึง  Self – actualization
ตอบ  (4)  กลุ่มมนุษยนิยม  (Humanistic  Psychology)
จะเน้นในเรื่องของเสรีภาพ  ความต้องการความรัก  ความมีศักดิ์ศรีในตนเอง  การมีความคิดสร้างสรรค์  และที่สำคัญที่สุดก็คือ  มนุษย์มีความต้องการเข้าใจตนเองอย่างถ่องแท้  (Self – actualization)  ซึ่งเป็นความต้องการที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเองให้ถึงขีดสูงสุด  ซึ่งนักจิตวิทยาในกลุ่มนี้  ได้แก่  คาร์ล  โรเจอร์และอับราฮัม  มาสโลว์
 
5 นักจิตวิทยาที่สำคัญในกลุ่มนี้คือ  จอห์น  บี. วัตสัน
ตอบ  (2)  กลุ่มพฤติกรรมนิยม  (Behaviorism)
จะปฏิเสธเรื่องจิตโดยสิ้นเชิง  แต่จะให้ความสำคัญในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง  และเชื่อว่าการวิเคราะห์พฤติกรรมภายนอกให้กระจ่างจะช่วยให้เข้าใจบุคคล  ซึ่งนักจิตวิทยาที่สำคัญในกลุ่มนี้  คือ  จอห์น  บี. วัตสัน  และ  บี.เอฟ. สกินเนอร์
 
6 กลุ่มนี้เชื่อว่าจิตประกอบด้วย  Sensation,  Feeling  และ  Image
ตอบ  (1)  กลุ่มโครงสร้างของจิต  (Structuralism)
จะให้ความสนใจศึกษาองค์ประกอบของจิตสำนึก  3  ลักษณะ  คือ  การรับสัมผัส  (Sensation)  ความรู้สึก  (Image)  และมโนภาพ  (Image)  โดยใช้วิธีการศึกษาที่เรียกว่า  การมองภายใน  (Introspection)  และวิธีการสังเกต – ทดลอง
 
7 การเสนอวิธีบำบัดจิตโดยให้ความสำคัญจิตไร้สำนึก  (จิตใต้สำนึก)
ตอบ  (3)  กลุ่มจิตวิเคราะห์  (Psychoanalysis)  
เกิดจากแนวความคิดของซิกมันด์  ฟรอยด์  โดยเขาได้อธิบายว่า  บุคลิกภาพของบุคคลพัฒนามาจากแรงจูงใจไร้สำนึก  ซึ่งสิ่งที่อยู่ในจิตส่วนที่ไร้สำนึกนี้  ได้แก่  ความปรารถนา  แรงขับทางเพศ  และความก้าวร้าว  เมื่อถูกเก็บกดจะปรากฏออกมาในรูปของความฝัน  ความขัดแย้งใจ  และการพูดพลั้งปาก  ซึ่งฟรอยด์ได้เสนอวิธีบำบัดรักษาทางจิตที่เรียกว่า  จิตวิเคราะห์  โดยให้ความสำคัญกับจิตใต้สำนึกว่าเป็นแหล่งของความคิด  แรงกระตุ้น  และความปรารถนาที่ซ่อนเร้นอยู่ของมนุษย์
 
8 จิตวิทยาคือ  ศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาเรื่องใด
1  การโน้มน้าวจิตใจ                            2  การทำงานของร่างกาย                        3  คุณธรรมจริยธรรม
4  พฤติกรรมของมนุษย์                       5  การทำงานของระบบประสาท
ตอบ  4  พฤติกรรมของมนุษย์                       
จิตวิทยา  (Psychology)  คือ  วิชาหรือศาสตร์ที่ว่าด้วยการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์และกระบวนการของจิต  ซึ่งต้องอาศัยวิธีการศึกษาเชิงจิตวิทยาศาสตร์ในการค้นหาความรู้ด้วย  การสังเกต  ทดลอง  สำรวจ  ศึกษาสหสัมพันธ์  ใช้วิธีการทางคลินิก  และสรุปสิ่งที่ค้นพบอย่างเป็นระบบ  โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อนำความรู้นั้นมาอธิบาย  ทำความเข้าใจ  พยากรณ์หรือทำนายควบคุม  และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนั้นๆ
 
9 การกะพริบตาเมื่อถูกลมพัด  การถอยเท้าหนีเมื่อเหยียบก้นบุหรี่  เป็นลักษณะของอะไร
1  วงจรปฏิกิริยาสะท้อนที่เล็กที่สุด                               2  การตอบสนองอัตโนมัติของระบบประสาท
3  เป็นการเรียนรู้จากสภาพที่เกิดขึ้นจริง                       4  เป็นการแสดงออกทางกายโดยการสั่งของสมอง
5  เป็นการทำงานของระบบกล้ามเนื้อ
ตอบ  1  วงจรปฏิกิริยาสะท้อนที่เล็กที่สุด                               
วงจรปฏิกิริยาสะท้อน (Simple  Reflex  Action)  ถือว่าเป็นวงจรที่เล็กที่สุดของกลไกการตอบสนอง  ซึ่งเป็นการแสดงออกทางร่างกายโดยอัตโนมัติโดยที่สมองไม่ต้องสั่งงาน  แต่วงจรของกระแสประสาทจะผ่านเฉพาะไขสันหลังเท่านั้น  เช่น  การกะพริบตาเมื่อถูกลมพัด  การถอยเท้าหนีเมื่อเหยียบก้นบุหรี่  การยกมือออกเมื่อจับโดนกาน้ำร้อน  เป็นต้น
 
10 อวัยวะภายในร่างกาย  เช่น  กระเพาะอาหาร  ลำไส้  เป็นกล้ามเนื้อและมีลักษณะการทำงานแบบใด
1  กล้ามเนื้อลายทำงานภายใต้อำนาจจิตใจ                   2  กล้ามเนื้อเรียบทำงานนอกอำนาจจิตใจ
3  กล้ามเนื้อหัวใจทำงานนอกอำนาจจิตใจ                   4  กล้ามเนื้อลายทำงานนอกอำนาจจิตใจ
5  กล้ามเนื้อเรียบทำงานภายใต้อำนาจจิตใจ
ตอบ  2  กล้ามเนื้อเรียบทำงานนอกอำนาจจิตใจ
กล้ามเนื้อเรียบ  (Smooth  Muscle)  ประกอบด้วยเซลล์ซึ่งมีลักษณะคล้ายกระสวยทอผ้า  คือ  หัวและท้ายของเซลล์เล็กและแหลมแต่ป่องตรงกลาง  โดยตัวอย่างของกล้ามเนื้อเรียบ  ได้แก่  กล้ามเนื้อกระเพาะอาหาร  กระเพาะปัสสาวะ  ลำไส้  ไต  กะบังลม  มดลูก  ท่อนำไข่  และอวัยวะภายในอื่นๆ  ซึ่งการทำงานของกล้ามเนื้อเรียบจะอยู่นอกอำนาจจิตใจ  (Involuntary  Control)  เพราะถูกควบคุมโดยระบบประสาทอัตโนมัติ

11           ระบบประสาทชนิดใดที่ทำให้ร่างกายมีความสงบและพักผ่อน  การย่อยดี  ความดันโลหิตต่ำ

1  ระบบประสามอัตโนมัติ                                          2  ระบบประสาทโซมาติก

3  ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก                              4  ระบบประสาทซิมพาเธติก

5  ระบบประสาทส่วนกลาง

ตอบ  3  ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก          

ระบบประสาทพาราซิมพาเธติก  (Parasympathetic  Nervous  System) เป็นระบบประสาทที่ทำให้ร่างกายมีความสงบและพักผ่อน  การย่อยดี  ความดันโลหิตต่ำ  ซึ่งการทำงานของระบบนี้จะช่วยทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะสงบ

12           จุดที่  Dendrite  ของตัวหนึ่งรับกระแสประสาทจาก  Axon  ของอีกเซลล์หนึ่งเรียกว่าอะไร

1  Simple  Reflex  Action         2  Neurotransmitter          3  Dendrite

4  Synapse                                5  Nerve  Cell

ตอบ  4  Synapse   

ซีแนปส์ (Synapse)  คือ  จุดที่เดนไดรท์  (Dendrite)  ของเซลล์ประสาทตัวหนึ่งรับกระแสประสาทจากแอ๊กซอน  (Axon)  ของอีกเซลล์หนึ่ง  ซึ่งถือว่าเป็นตัวกำหนดทิศทางการเคลื่อนที่ของกระแสประสาท

 

13           คนที่เป็นโรค  Alzheimer  แสดงว่าขาดการสื่อประสาทชนิดใด

1  Gaba                                     2  Dopamine                  3  Selotonin                     

4  Norepinephrin                      5  Acetylcholin

ตอบ  5  Acetylcholin

อะซีทิลโคลีน (Acetylcholin)  เป็นการสื่อประสาทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระตุ้นความจำ  ถ้าสมองส่วนที่ผลิตสารสื่อประสาทนี้เสียไป  จะทำให้เกิดโรคความจำเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์  (Alzheimer’s  Disease)  ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการหลงลืมและบุคลิกภาพเลื่อนลอย  โดยเฉพาะในคนชราที่มีอายุ  90  ปี

 

14           ในช่วงเวลาที่ลมพัดฝุ่นเข้าตาเราจะหลับตาอย่างรวดเร็ว  เป็นผลมาจากการเชื่อมโยงของอวัยวะใด

1  สมอง             2  เซลล์ประสาท               3  ก้านสมอง               4  ไขสันหลัง             5  ระบบประสาทลิมบิก

ตอบ   4  ไขสันหลัง            

ไขสันหลัง  (Spinal  Cord)  เป็นส่วนหนึ่งของระบบประสาทส่วนกลาง  ซึ่งอยู่ภายในโพรงกระดูกสันหลังที่ติดต่อกับสมองโดยตรง  และเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของระบบประสาทที่บริเวณลำตัวและแขนขา  ซึ่งจะทำงานอย่างรวดเร็วมาก  เช่น  เวลาที่ลมพัดฝุ่นเข้าตา  เราจะหลับตาอย่างรวดเร็ว  เป็นต้น

 

15           “หนีตำรวจโดยการวิ่งข้ามประตูรั้วสูงๆ  หรือกระโดดลงมาจากชั้น  2”  เป็นผลมาจากการทำงานของต่อมใด

1  Pituitary            2  Gonad            3  Adrenal          4  Thyroid          5  Parathyroid

ตอบ   3  Adrenal         

ต่อมหมวกไต่หรือต่อมแอดรีนัล (Adrenal)  มี  2  ชั้น  คือ  เปลือกต่อมหมวกไต  และแกนในต่อมหมวกไต  โดยแกนในต่อมหมวกไตจะสร้างฮอร์โมนสำคัญชนิดหนึ่งคือ  แอดรีนาลิน  (Adrenalin)  ซึ่งจะหลั่งออกมาเมื่อร่างกายอยู่ในภาวะฉุกเฉินตื่นเต้น  เคร่งเครียด  ต่อสู้  ตกใจกลัว  หิวกระหาย  เจ็บปวด  หรือเมื่อออกกำลังกาย

 

16           “ฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้มีความคงที่พอดี”  คือต่อมใด

1  Pituitary           2  Pancreas           3  Adrenal          4  Gonad            5  Thyroid

ตอบ  2  Pancreas          

ตับอ่อนหรือต่อมแพนเครียส  (Pancreas)  จะทำหน้าที่เป็นทั้งต่อมมีท่อและต่อมไร้ท่อโดยจะผลิตฮอร์โมนที่สำคัญคือ  อินซูลิน  (Insulin)  ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เข้มข้นพอดี  ถ้าตับอ่อนผลิตฮอร์โมนอินซูลินในระดับต่ำ  จะทำให้เกิดอาการของโรคเบาหวานขึ้นมาได้

 

17           ฮอร์โมนที่ทำหน้าที่กระตุ้นให้ฮอร์โมนจากต่อมอื่นภายในร่างกายทำงานคือต่อมใด

1  Pituitary           2  Pancreas           3  Adrenal          4  Gonad            5  Thyroid

ตอบ  1  Pituitary          

ต่อมใต้สมอง  (Pituitary  Gland)  เป็นต่อมไร้ท่อที่มีความสำคัญที่สุดของร่างกายเพราะสร้างฮอร์โมนหลายชนิดเพื่อไปควบคุมการทำงานหรือควบคุมการผลิตฮอร์โมนของต่อมไร้ท่ออื่นๆ  ซึ่งเรียกได้อีกชื่อหนึ่งว่า  มาสเตอร์แกลนด์  (Master  Gland)  โดยมีฮอร์โมนที่สำคัญคือ  โกร๊ธฮอร์โมน  ซึ่งจะทำหน้าที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของร่างกายและต่อมน้ำนม

 

18           กระบวนการรับสัมผัสมีความสำคัญอย่างไร

1  เป็นจุดเริ่มต้นของแรงจูงใจ                                       2  ทำการเปลี่ยนข้อมูลดิบเพื่อส่งให้สมอง

3  เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ                                          4  เกี่ยวข้องกับการตอบสนอง

5  เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหา

ตอบ  2  ทำการเปลี่ยนข้อมูลดิบเพื่อส่งให้สมอง

กระบวนการรับสัมผัส  เป็นกระบวนการที่ประสาทสัมผัสทั้ง  5  คือ  ตา  หู  จมูก  ลิ้น  และผิวหนัง  รับสิ่งเร้าจากภายนอกมาสู่ระบบประสาท  แล้วทำการเปลี่ยนข้อมูลดิบ  เพื่อส่งให้สมองและเปลี่ยนเป็นการรับรู้

 

19           กระบวนการรับรู้ทำงานอย่างไร

1  จัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ                                    2  เลือก  จัด  และตีความข้อมูลจากการสัมผัส

3  ตัดสินใจเพื่อตอบสนอง                                          4  เกี่ยวข้องกับการรับข้อมูลที่สัมผัส

5  ถูกทุกข้อ

ตอบ  2  เลือก  จัด  และตีความข้อมูลจากการสัมผัส

กระบวนการรับรู้  เป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องจากการสัมผัสโดยการรับรู้จะมุ่งไปที่ความเข้าใจและการแปลความหมายของสิ่งเร้าที่มากระทบประสาทสัมผัส  ดังนั้นกระบวนการรับรู้จึงเป็นการเลือก  จัด  และตีความข้อมูลจากการสัมผัส  ซึ่งจะขึ้นอยู่กับประสบการณ์ในอดีต  การเรียนรู้  สภาพจิตใจในปัจจุบัน  ตลอดจนการจัดรูปแบบของสิ่งเร้านั้นๆ

 

20           ธรรมชาติของการรับสัมผัสและการรับรู้ของเราเป็นอย่างไร

1              เราไม่สามารถรับสัมผัสทุกอย่างในโลกได้เนื่องจากมนุษย์มีข้อจำกัด

2              การรับสัมผัสจะไม่เกิดขึ้นกับคลื่นแสงที่มีขนาด  500  นาโนมิเตอร์

3              เราเลือกที่จะรับสัมผัสได้

4              เราเลือกที่จะรับรู้ไม่ได้

5              สัมผัสผิวกายของเรา  ได้แก่  กด  เจ็บ  ร้อน  เย็น

ตอบ  1  เราไม่สามารถรับสัมผัสทุกอย่างในโลกได้เนื่องจากมนุษย์มีข้อจำกัด

ธรรมชาติของการรับสัมผัสและการรับรู้ของเรานั้น  เราไม่สามารถรับสัมผัสทุกอย่างในโลกได้เนื่องจากคลื่นที่สายตามนุษย์รับได้มีขีดจำกัดอยู่เพียงระยะประมาณ  380 – 780  นาโนมิเตอร์  (นม.)  เท่านั้น  นอกจากนี้เราเลือกที่จะรับสัมผัสไม่ได้  แต่เราเลือกที่จะรับรู้ได้

21           การทำงานของเซลล์ประสาทรอดส์กับโคนส์เป็นอย่างไร

1              รอดส์กับโคนจะทำงานพร้อมกันในเวลากลางวัน

2              รอดส์จะเหมาะกับการทำงานในที่สว่างจ้ามากกว่าโคนส์

3              รอดส์จะเหมาะกับการทำงานในขณะที่แสงสลัวมากกว่าโคนส์

4              รอดส์จะทำงานกับคลื่นแสงน้ำเงิน – เหลือง ขณะที่โคนส์ทำงานกับคลื่นแสงแดง – เขียว

5              ข้อ  1  และ  2

ตอบ  3 รอดส์จะเหมาะกับการทำงานในขณะที่แสงสลัวมากกว่าโคนส์

ที่ผนังของเรตินา  (Retina)  จะมีเซลล์ประสาทอยู่  2  ชนิดคือ

1              รอดส์  (Rods)  มีลักษณะเป็นแท่งยาว  และไวต่อแสงขาวดำ  จึงเป็นเซลล์ที่รับแสงสลัวในเวลากลางคืน

2              โคนส์  (Cones)  มีลักษณะสั้น  เป็นรูปกรวย  และไวต่อแสงที่เป็นสี  ช่วยทำให้รับภาพสีได้ดี  จึงเป็นเซลล์ที่รับแสงจ้าในเวลากลางวัน  ดังนั้นคนตาบอดสีจึงไม่มีโคนส์อยู่ที่เรตินาเลย

22           นักจิตวิทยาพบปรากฏการณ์ความคงที่ในการรับรู้เรื่องใด

1  สี                    2  ขนาด                  3  รูปร่าง                   4  ข้อ  1  และ  2              5  ข้อ  1 ,  2  และ  3

ตอบ  5  ข้อ  1 ,  2  และ  3        

ปรากฏการณ์คงที่  (Constancy)  เป็นธรรมชาติของเรื่องการรับรู้และการเห็นนั่นคือ  การที่ตาเห็นเพียงส่วนหนึ่ง  แต่ความเข้าใจในการรับรู้ยังอยู่ในสภาพเดิม  ซึ่งแบ่งเป็น  3  ชนิดคือ

1              การคงที่ของสี  เช่น  การที่เรามองเห็นหาดทรายในเวลากลางคืนยังคงเป็นสีขาว  ฯลฯ

2              การคงที่ของขนาด  เช่น  มองจากตึกสูงเห็นคนตัวเท่ามด  แต่เราก็ยังรู้ว่าคนมีขนาดเท่าเดิม  ฯลฯ

3              การคงที่ของรูปร่าง  เช่น  การเห็นเพียงแค่สันหนังสือ  เราก็ยังรับรู้ว่าเป็นหนังสือ  ฯลฯ 

23           คีเนสเตซีสคือสัมผัสในเรื่องใด

1  ความเจ็บปวด             2  การเคลื่อนไหว            3  การทรงตัว              4  ความลึก              5  ความคงที่

ตอบ  2  การเคลื่อนไหว           

สัมผัสคีเนสเตซีส  (Kinesthesis  Sense)  8อ  ประสาทเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว  และกล้ามเนื้อรับสัมผัสต่างๆ  ซึ่งทำให้เราทราบถึงการเคลื่อนไหวของร่างกายว่าอยู่ในสภาพตำแหน่ง  ท่วงท่า  หรือทิศทางใด

24           คลื่นเสียงมีคุณสมบัติอย่างไร

1  ความถี่และเฮิรตซ์                               2  ความแรงและเดซิเบล                        3  ความถี่และความแรง

4  ความดังและความเข้ม                         5  ข้อ  1  และ  2

ตอบ  3  ความถี่และความแรง

กระแสเสียงหรือคลื่นเสียง  (Sound  Wave)  มีคุณสมบัติ  2  ประการ  คือ  ความถี่  (Frequency)  และความแรง  (Amplitude)  ของคลื่น

25           เราจะรับรู้ความรู้สึกเจ็บปวดมากหรือน้อยได้เกี่ยวข้องกับอะไร

1  ทฤษฎีคุมด่าน                                   2  หลักของภาพและพื้น                          3  ทฤษฎีปรปักษ์

4  หลักของเพอร์สเปคทีพ                    5  ทฤษฎีปฏิกิริยาสะท้อน

ตอบ  1  ทฤษฎีคุมด่าน                                  

ทฤษฎีคุมด่าน  (Gate  Control  Theory)  เป็นทฤษฎีการเจ็บปวดที่เชื่อว่า  ไขสันหลังเป็นที่รวมของประสาทใหญ่น้อยที่จะส่งไปยังสมองและที่มาจากกล้ามเนื้อและผิวหนังอื่นๆของร่างกาย  ซึ่งหากบุคคลมีอาการกลัวความเจ็บปวดในสมอง  จะทำให้เกิดกระแสไปเร้าด่านที่ไขสันหลังทำให้ด่านเปิดและส่งกระแสที่เจ็บปวดไปยังสมองได้

26           นักจิตวิทยานำหน้าผามายา  (Visual  Cliff)  มาใช้ในการทดลองเกี่ยวกับอะไร

1  ปรากฏการณ์คงที่                       2  การรับรู้ระยะทาง/ความลึก                   3  การล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคต

4  การกะระยะโดยไม่ต้องอาศัยดวงตา                        5  ผิดทุกข้อ

ตอบ  2  การรับรู้ระยะทาง/ความลึก                  

จากการทดลองเกี่ยวกับการรับรู้ความลึกและระยะทางโดยอาศัยเครื่องมือที่เรียกว่า  หน้าผามายา”  (Visual  Cliff)  พบว่าเมื่อทารกคลานไปถึงกึ่งกลางโต๊ะที่เป็นรอยต่อระหว่างกระจกโปร่งใสกับที่ทาสีตาหมากรุก  (ทำให้แลเห็นเป็นพื้นที่  2  ระดับที่มีความสูงต่ำต่างกัน)  เด็กจะไม่กล้าคลานออกไป  แสดงว่าการรับรู้ความลึกเกิดขึ้นได้เองโดยไม่ต้องเรียนรู้

27           สัมปชัญญะเกี่ยวข้องกับเรื่องใด

1  อารมณ์                                         2 สัญชาตญาณ                                     3  พันธุกรรม

4  การตอบสนองต่อสิ่งเร้า               5  สภาวะรู้ตัวในขณะปัจจุบัน

ตอบ  5  สภาวะรู้ตัวในขณะปัจจุบัน

สัมปชัญญะ  หมายถึง  การรู้ตัวทั่วพร้อมว่ากำลังทำ  พูด  คิด  หรือมีพฤติกรรมใดอยู่  โดยสภาวะที่ร่างกายของบุคคลออกจากสัมปชัญญะหรือขาดสัมปชัญญะ  (การรู้ตัวต่ำ)  ได้แก่  การนอนหลับ  การหมดสติ  การสะกดจิต  การใช้ยาเสพติด  และการนั่งสมาธิภาวนา

28           สภาพจิตใจที่มีความเครียด  สับสนวุ่นวาย  คิดมาก  ฟุ้งซ่าน  คลื่นสมองจะมีคลื่นแบบใด

1  แอลฟา                     2  เดลตา                    3  บีตา                    4  แกมมา                     5  ซิกมา

ตอบ  3  บีตา                   

ในช่วงตื่น  กระแสคลื่นสมองของมนุษย์จะสั้นและถี่  เรียกว่า  คลื่นบีตา (Beta)  โดยเฉพาะในคนที่มีความเครียด  สับสนวุ่นวาย  คิดมาก  ฟุ้งซ่าน  จะมีแต่คลื่นสมองบีตาเท่านั้น  ส่วนในช่วงเคลิ้มหลับหรือก่อนนอนหลับ  หรือในขณะที่ร่างกายมีการผ่อนคลายเต็มที่  หรือในช่วงเวลาที่นั่งเจริญภาวนา  กระแสคลื่นสมองจะยางและห่างขึ้น  เรียกว่า  คลื่นแอลฟา  (Alpha)

29           การขัดขวางไม่ให้มีการนอนหลับทั้งในมนุษย์และสัตว์  จะทำให้เกิดอาการชนิดใด 

1  REM                             2  Non – REM                            3  Microsleep

4  Day  Dreaming             5  ฝันร้าย

ตอบ  3  Microsleep

โดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์และสัตว์ต้องการนอนหลับพักผ่อนตามปกติ  แต่ถ้าการนอนหลับนั้นถูกขัดขวางไม่ให้เกิดขึ้น  ทั้งคนและสัตว์จะมีการสัปหงกเป็นพักๆหรือมีการหลับเป็นช่วงสั้นๆ  ซึ่งเรียกว่า  Microsleep

30           แบบแผนการนอนหลับที่ผิดปกติอันเนื่องมาจากเดินทางข้ามทวีปจากซีกโลกหนึ่งไปยังอีกซีกโลกหนึ่งเรียกว่าอะไร

1  Fatigue                          2  Sleep  Spindle                     3  EEG             

4  Jet  Lag                         5  MRI

ตอบ  4  Jet  Lag                        

นักเดินทางที่ต้องขึ้นเครื่องบินเดินทางข้ามทวีปจากซีกโลกหนึ่งไปยังอีกซีกโลกหนึ่งมักจะเกิดสภาวะที่เรียกว่า  Jet  Lag  คือ  ต้องปรับตัวกับเวลาของประเทศที่เดินทางไปถึงใหม่เนื่องจากแบบแผนการนอนตามธรรมชาติถูกรบกวน

31           กาแฟ  บุหรี่  มีผลต่อภาวะการรู้สึกตัวอย่างไร

1  กดประสาท                                 2  กระตุ้นประสาท                              3  กล่อมประสาท

4  หลอนประสาท                            5  ทำลายประสาท

ตอบ  2  กระตุ้นประสาท    

ยาเสพติดแบ่งตามการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางได้  4  กลุ่ม  คือ

1              ประเภทกดประสาท  ได้แก่  ฝิ่น  มอร์ฟีน  เฮโรอีน  ยาระงับประสาท  ยากล่อมประสาท

2              ประเภทกระตุ้นประสาท  ได้แก่  พวกแอมเฟตามีน  (ยาบ้า)  กระท่อม  โคเคอีน  สารนิโคตรรินในบุหรี่  สารคาเฟอีนในกาแฟหรือชา  และยาแก้ปวด

3              ประเภทหลอนประสาท  ได้แก่  แอลเอสดี  (LSD)  ดีเอ็มที  (DMT)  และเห็ดขี้ควาย

4              ประเภทออกฤทธิ์ผสมผสาน  อาจกด  กระตุ้น  หรือหลอนประสาทร่วมกัน  ได้แก่  กัญชา

32           คลื่นสมองชนิดใดปรากฏขณะที่บุคคลกำลังเจริญสมาธิ

1  ควอนตัม                    2  แกมมา                     3  บีตา                     4 แอลฟา                       5  ถูกทุกข้อ

ตอบ   4 แอลฟา                       ดูคำอธิบายข้อ  28  ประกอบ

33           LSD  เป็นยาเสพติดลักษณะใด       

1  กระตุ้นประสาท                                    2  กดประสาท                                    3  หลอนประสาท

4  ออกฤทธิ์ผสมผสาน                              5  ถูกทุกข้อ

ตอบ  3  หลอนประสาท           ดูคำอธิบายข้อ  31  ประกอบ

34           แอลแลน  ฮอบซัน  และคณะ  อธิบายเกี่ยวกับความฝันไว้อย่างไร

1              เป็นการแสดงออกของความต้องการในระดับจิตใต้สำนึก

2              เป็นเรื่องของความวิตกกังวลและความแปรปรวนของธาตุ

3              เป็นเรื่องของความคิดคำนึงและความรู้สึกที่ต่อเนื่องจากกลางวัน

4              เป็นเรื่องของกระบวนการทางสรีรวิทยาล้วนๆ  ไม่เกี่ยวกับจิตใต้สำนึก

5              เป็นการส่งผ่านของประสบการณ์ย้อนยุคจากบรรพบุรุษที่นอกเหนือจากการรับรู้ในปัจจุบัน

ตอบ   4  เป็นเรื่องของกระบวนการทางสรีรวิทยาล้วนๆ  ไม่เกี่ยวกับจิตใต้สำนึก

Activation – synthesis  Hypothesis  เป็นทฤษฎีความฝันในปัจจุบันที่กำเนิดโดยนักวิทยาศาสตร์ 2  คน  คือ  แอลแลน  ฮอบซัน  และโรเบิร์ต  แมคคาเลย์  ซึ่งเชื่อว่า  ความฝันเป็นกระบวรการทางสรีรวิทยาล้วนๆ  ไม่เกี่ยวกับจิตใต้สำนึกแต่อย่างใด  กล่าวคือ  ในช่วงของการนอนหลับที่มี  REM  เกิดขึ้น  เซลล์ในสมองจะถูกกระตุ้นให้ทำงานตลอดช่วงเวลาที่บุคคลกำลังฝันอยู่

35           เอาสติมาจับที่ลมหายใจ  เมื่อหายใจเข้าภาวนาว่า  พุท”  เมื่อหายใจออกภาวนาว่า  โธ”  เป็นวิธีการฝึกสมาธิแบบใด

1  พอง – ยุบ                     3  ธรรมกาย                   4  เซน                  5  เต๋า

ตอบ  2  อานาปานสติ                

วิธีอานาปานสติ  หมายถึง  การเอาจิตมาจับที่ลมหายใจของผู้ปฏิบัติ  ซึ่งอาจเอาสติมาตั้งไว้ที่ปลายจมูก  เมื่อหายใจเข้าก็ใช้คำบริกรรมภาวนาว่า  พุท”  และเมื่อหายใจออกก็ให้ภาวนาว่า  โธ”  และให้มีสติอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกตลอดเวลา  เพื่อไม่ให้จิตส่งส่ายออกไปภายนอก

36           กรณีที่มีโครโมโซมเพศผิดปกติจะส่งผลอย่างไร

1  อาการปัญญาอ่อน                             2  รูปร่างแคระแกร็น                         3  รูปร่างใหญ่ผิดปกติ

4  เป็นหมัน                                           5  ถูกทุกข้อ

ตอบ  5  ถูกทุกข้อ

กรณีที่มีโครโมโซมเพศผิดปกติจะส่งผลหรือมีอิทธิพลต่อบุคคลในด้านต่างๆ  คือ 

1              ด้านร่างกาย  เช่น  ทำให้มีรูปร่างเล็กแคระแกร็นหรือมีรูปร่างใหญ่ผิดปกติ  ผู้หญิงบางคนอาจไม่มีหน้าอก  ไม่มีประจำเดือน  และเป็นหมัน ฯลฯ

2              ด้านสติปัญญา  เช่น  ทำให้มีอาการของโรคปัญญาอ่อน  ฯลฯ

37           การขาดออกซิเจนเป็นเวลาเท่าใดที่มีผลให้เซลล์สมองของทารกถูกทำลาย

1  18  วินาที                      2  30  วินาที                    3  1  นาที                  4  4  นาที                5  10  นาที

ตอบ  1  18  วินาที                     

สภาวะของการขาดออกซิเจนขณะคลอดมีสาเหตุมาจากการที่ทารกคลอดยากหรือรกไม่เปิด  ทำให้ออกซิเจนเข้าสู่กระแสโลหิตของทารกไม่ได้  ซึ่งหากทารกขาดออกซิเจนประมาณ  18  วินาทีเท่านั้น  จะมีผลต่อเซลล์สมองทำให้เซลล์สมองถูกทำลาย  และถ้าขาดนานๆอาจทำให้ทารกตายได้

38           สุขภาพจิตของแม่ส่งผลต่อเด็กในครรภ์ได้อย่างไร

1  ทำให้เด็กปัญญาอ่อน                                    2  เด็กเกิดความพิการหูหนวกตาบอด

3  เด็กเป็นโรคภูมิแพ้                                        4  ร่างกายอ่อนแอติดเชื้อง่าย

5  ขาดฮอร์โมนบางชนิด

ตอบ  1  ทำให้เด็กปัญญาอ่อน                        

สุขภาพจิตของแม่ในด้านอารมณ์จะส่งผลต่อเด็กในครรภ์เป็นอย่างมาก  เพราะถ้าแม่มีอารมณ์เครียดมากๆหรือนานๆ  จะทำให้ฮอร์โมนในเลือดไม่สมดุล  ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคปัญญาอ่อนชนิด  Mongolism

39           กีเซลล์ได้ทำการศึกษาในเรื่องใด

1  การเรียนรู้ของฝาแฝด                          2  วุฒิภาวะ                         3  ระยะสำคัญของวุฒิภาวะ

4  ประสบการณ์ในระยะฝังใจ                 5  ถูกทุกข้อ

ตอบ  2  วุฒิภาวะ                        

กีเซลล์ (Gesell)  เป็นนักจิตวิทยาที่ศึกษาเรื่องวุฒิภาวะหรือความพร้อมของบุคคล  (Maturation)  และลักษณะพัฒนาการของทารก  โดยเขาเชื่อว่า  ภาวะบุคคลเพียงอย่างเดียวที่มีส่วนรับผิดชอบต่อการเจริญเติบโตและความสามารถของบุคคล”  และ  การเรียนรู้ไม่ว่าลักษณะใดจะไม่ก่อประโยชน์หากร่างกายไม่พร้อมหรือยังไม่มีวุฒิภาวะ

40           ลอเรนซ์ทำการทดลองที่พบความสำคัญในเรื่องใด  (ใช้ตัวเลือกข้อ  39)

ตอบ  4  ประสบการณ์ในระยะฝังใจ                

ลอเรนซ์  (Lorenz)  เป็นผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบฝังใจ  (Imprinting)  โดยเขาได้ทดลองกับห่าน  ซึ่งผลปรากฏว่าเมื่อลูกห่านฟักตัวออกจากไข่มาแล้ว  ลูกห่านจะฝังใจตามสิ่งแรกที่เคลื่อนไหวที่มันได้เห็น  ทั้งนี้ประสบการณ์การเรียนรู้แบบฝังใจจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ  และเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ยาก

41           นักจิตวิทยาท่านใดที่กล่าวถึงความสำคัญของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างเด็กกับบุคลใกล้ชิด

1  ฟรอยด์                   2  อิริคสัน                 3  เพียเจท์                      4  บรูเนอร์                     5  โคลเบิร์ก

ตอบ  2  อิริคสัน                

อิริคสัน  (Erikson)  เป็นผู้ที่ศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับพัฒนาการทางจิตสังคม  (Psychosocial  Stages)  โดยเน้นความสำคัญของความสัมพันธ์และความต้องการทางสังคม  (ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม)  ระหว่างเด็กกับบุคคลใกล้ชิด  ด้วยการศึกษาว่าพัฒนาการทางจิตและสังคมของมนุษย์เกิดขึ้นตั้งแต่แรกคลอดจนกระทั่งการสิ้นสุดของชีวิต  ซึ่งเขาได้แบ่งระยะพัฒนาการของคนในแต่ละวัยออกเป็น  8  ระยะด้วยกัน

42           โครโทโซมคู่ใดปกติ

1  XO                  2  XY                 3  XX                  4  YY                    5  ข้อ  2  และ  3

ตอบ  5  ข้อ  2  และ  3

โดยปกติโครโมโซมเพศของมนุษย์จะเป็นดังนี้

1              เพศชาย  มีโครโมโซมเป็น  XY            

2              เพศหญิง  มีโครโมโซมเป็น  XX

43           เหตุใดจึงเกิดฝาแฝดเหมือน

1              เกิดเซลล์ปฏิสนธิพร้อมกันมากกว่า  1  เซลล์                 

2              เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ปฏิสนธิผิดพลาด

3              สภาพร่างกายของแม่สมบูรณ์มาก

4              แม่มีอายุน้อยเกินไป

5              เป็นไปได้ทุกกรณี

ตอบ  2  เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ปฏิสนธิผิดพลาด

ฝาแฝด  (Twins)  แบ่งเป็น  2  ชนิด  คือ

1              ฝาแฝดเหมือนหรือแฝดแท้  (Identical  Twins)  เกิดจากไข่  1  ใบ  ผสมกับเสปิร์มหรืออสุจิ  1  ตัว  แล้วเซลล์เกิดการแบ่งตัวเป็นตัวอ่อน  2  ตัว  (เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ปฏิสนธิผิดพลาด) ฝาแฝดเหมือนจึงเป็นเพศเดียวกัน

2              ฝาแฝดคล้ายหรือแฝดเทียม  (Fraternal  Twins)  เกิดจากไข่  2  ใบ  ผสมกับเสปิร์มหรืออสุจิ  2  ตัว  เซลล์แบ่งตัวเป็นอิสระจากกัน  (เกิดจากเซลล์ปฏิสนธิพร้อมกันมากกว่า  1  เซลล์ฝาแฝดค้ลายจึงอาจมีเพศเหมือนกันหรือต่างกันก็ได้

 

44           ยีนส์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง  ยกเว้นข้อใด

1  Rh  แฟคเตอร์                                 2  สุขภาพจิตของมารดา                          3  การได้รับรังสีบางชนิด

4  การมีโครโมโซมเพศแบบ  XXY                 5  การมีโครโมโซมเพศแบบ  XYY

ตอบ  3  การได้รับรังสีบางชนิด

โดยทั่วไปแล้วยีนส์ที่อยู่ในร่างกายของคนเรานั้นจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในสภาพการณ์ที่เป็นปกติ  แต่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ด้วยการใช้รังสีเอกเรย์  (X_ray)  หรือการใช้ยาบางชนิด

 

45           การเปรียบเทียบค่าสหสัมพันธ์ของคะแนนสติปัญญาระหว่างกลุ่มฝาแฝดเหมือน  พ่อกับลูก  ฝาแฝดคล้าย  พี่กับน้อง  เพื่อตอบคำถามใด

1  ความสำคัญของพัฒนาการ                  2  ความสำคัญของพันธุกรรม               3  ความสำคัญของสิ่งแวดล้อม

4  ความสำคัญของดารอบรมเลี้ยงดู         5  ความสำคัญของสติปัญญา

ตอบ  2  ความสำคัญของพันธุกรรม              

การเปรียบเทียบค่าสหสัมพันธ์ของคะแนนสติปัญญาในบุคคลที่มีความใกล้ชิดทางพันธุกรรมต่างๆกัน  เช่น  ระหว่างกลุ่มฝาแฝดเหมือน  ฝาแฝดคล้าย  พ่อแม่กับลูก  พี่กับน้อง  ฯลฯ  เพื่อตอบคำถามในเรื่องความสำคัญของพันธุกรรมหรืออิทธิพลของพันธุกรรมที่มีต่อการพัฒนาทางด้านสติปัญญา

46           พฤติกรรมอะไรเกิดมาจากการเรียนรู้

1              การถ่ายภาพกระแสน้ำเพื่อวางไข่ของปลาบางชนิด

2              การไอ

3              การชักใยของแมงมุม

4              การแยกแยะความแตกต่างของกลิ่นของสุนัข

5              การกระตุกมือ

ตอบ  4  การแยกแยะความแตกต่างของกลิ่นของสุนัข

การเรียนรู้  หมายถึง  การเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างถาวรของพฤติกรรมอันเป็นผลเนื่องมาจากประสบการณ์ในอดีต  เช่น  สุนัขดมกลิ่นสามารถแยกความแตกต่างของยาเสพติดหรือวัตถุระเบิดออกจากสิ่งอื่นๆได้  แต่พฤติกรรมบางอย่างของมนุษย์และสัตว์ก็ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้  แต่เกิดจากปฏิกิริยาสะท้อนซึ่งเป็นพฤติกรรมการตอบสนองตามธรรมชาติมาแต่กำเนิด  เช่น  การกะพริบตา  การกระตุกมือ  การไอหรือจาม  ฯลฯ  และเกิดจาก

สัญชาตญาณซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ซับซ้อน  ไม้องเรียนรู้และเป็นลักษณะเฉพาะเผ่าพันธุ์  เช่น  การว่ายน้ำของปลา  การชักใยของแมงมุม  การบินได้ของนก ฯลฯ

 

47           การวางเงื่อนไขแบบคลาสสิกค้นพบโดยท่านใด

1  สกินเนอร์                2  แบนดูรา             3  ธอร์นไดค์               4  พาฟลอฟ               5  เซียร์ส

ตอบ   4  พาฟลอฟ              

ต้นศตวรรษที่  20  นักสรีรวิทยาชาวรัสเซียชื่อ  อีวาน  พาฟลอฟ  (Ivan  Pavlov)  ได้ค้นพบการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิคซึ่งเกิดขึ้นโดยมีการให้สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขควบคู่กับสิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข  จนก่อให้เกิดการตอบสนองที่ไม่ได้วางเงื่อนไขขึ้น  และเมื่อให้สิ่งเร้าทั้ง  2  ลักษณะบ่อยๆเข้า  สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขจะก่อให้เกิดการตอบสนองขึ้นมาได้เองเรียกว่า  การตอบสนองที่วางเงื่อนไข”  ซึ่งเป็นการตอบสนองที่เกิดจากการเรียนรู้

 

ข้อ  48 – 51  พิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

1  สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข  (CS)                               2  สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข  (US)

3  การตอบสนองที่วางเงื่อนไข  (CR)                   4  การสรุปความเหมือน  (Generalization)

5  การหยุดยั้ง  (Extinction)

 

48           แมวเห็นปลาย่างแล้วน้ำลายไหล

ตอบ  2  สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข  (US)

สิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข  (Unconditioned  Stimulus  :  US)  เป็นสิ่งเร้าที่ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้ที่จะตอบสนองต่อสิ่งนั้น  และมักทำให้เกิดการตอบสนองแบบปฏิกิริยาสะท้อนเช่น  แมวเห็นปลาย่างแล้วน้ำลายไหล  ดังนั้นปลาย่างจึงเป็นสิ่งเร้าที่ไม่ได้วางเงื่อนไข  เนื่องจากทำให้แมวหลั่งน้ำลายซึ่งเป็นปฏิกิริยาสะท้อน 

 

49           ปลาเลิกช่วยมดทำขนม  เพราะมดไม่ยอมแบ่งขนมให้ปลาอีกต่อไป

ตอบ  5  การหยุดยั้ง  (Extinction)

การหยุดยั้งพฤติกรรม   (Extinction)  คือ  การลดลงของการตอบสนองที่เรียนรู้แล้ว  เนื่องจากไม่ได้รับการเสริมแรงเป็นเวลานานก่อนที่จะเกิดการหยุดยั้งของพฤติกรรม  เช่น  ปรากฏการณ์ที่เด็กเลิกงอแงหลังจากที่แม่ทำเป็นเฉยๆ  แลไม่สนใจต่อการร้องไห้ของเขาซึ่งเมื่อทำเช่นนี้หลายๆครั้ง  พฤติกรรมการร้องงอแงของเด็กก็จะลดลงและหมดไปในที่สุด

 

50           เล็กเบื่อบ้าน  ทุกครั้งที่เข้าบ้านมีแต่เรื่อง

ตอบ  3  การตอบสนองที่วางเงื่อนไข  (CR)                  

การตอบสนองที่วางเงื่อนไข  (Conditioned  Response  :  CR)  เป็นการตอบสนองที่เกิดจากการเรียนรู้  ไม่ใช้ปฏิกิริยาสะท้อนธรรมดา  เช่น  เด็กจะเกิดอาการเบื่อบ้าน  เพราะทุกครั้งที่เข้าบ้านจะพบกับเหตุการณ์พ่อแม่ทะเลาะกันเสมอ  เป็นต้น

51           ผู้หญิงเหมือนไม้เลื้อยทุกคน

ตอบ  4  การสรุปความเหมือน  (Generalization)

การสรุปความเหมือน  (Generalization)  หมายถึง  การตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่คล้ายกันกับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขเอาไว้ แล้ว  หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเป็นการขยายผลของการเรียนรู้ไปยังสถานการณ์ใหม่ๆ  ที่คล้ายกัน  เช่น  เด็กที่ถูกไฟไหม้นิ้วโดยบังเอิญขณะเล่นไม้ขีดไฟก็จะกลัวเปลวไฟที่เห็นจากที่จุดบุหรี่  เตาไฟ  เตาผิง  และอื่นๆ  เป็นต้น

ข้อ  52 – 54  พิจารณาจากตัวเลือกต่อไปนี้

1  อัตราส่วนคงที่              2  อัตราส่วนไม่แน่นอน              3  ช่วงเวลาคงที่               4  ช่วงเวลาไม่แน่นอน

52           พนักงานขายประกัน  ขายได้มากได้ส่วนแบ่งมาก

ตอบ  1  อัตราส่วนคงที่             

การเสริมแรงแบบอัตราส่วนคงที่  (Fixed  Ratio)  คือ  การให้การเสริมแรงตามอัตราส่วนของการตอบสนองที่คงที่  โดยจะดูจำนวนครั้งของการตอบสนอง  เช่น  ให้รางวัลเมื่อมีการตอบสนองทุก  3  ครั้ง  ซึ่งการเสริมแรงแบบนี้จะทำให้เกิดอัตราการตองสนองสูงที่สุด  เช่น  การที่พนักงานขายได้รับค่าตอบแทนตามจำนวนของสินค้าที่ขายได้  ดังนั้นพนักงานขายจึงเร่งทำยอดขายเพื่อให้ได้รับผลตอบแทนมากขึ้น

53           ปีใหม่ปีที่แล้วประชาไม่ได้ของขวัญจากใครเลย

ตอบ  2  อัตราส่วนไม่แน่นอน             

การเสริมแรงแบบอัตราส่วนที่ไม่แน่นอน  (Variable  Ratio)  คือ  การให้แรงเสริมต่อการตอบสนองในอัตราที่ไม่แน่นอน  จึงทำให้ยากแก่การทำนายว่าจะได้รับรางวัลเมื่อใด  เช่น  บางครั้งตอบสนอง  2  ครั้งจึงได้รางวัล  แต่บางครั้งต้องตอบสนองถึง  5  ครั้ง  จึงจะได้รางวัล  ซึ่งการเสริมแรงแบบนี้จะทำให้เกิดการตอบสนองในอัตราสูงแต่น้อยกว่าแบบอัตราส่วนคงที่  เช่น  การเล่นพนันตู้สล็อตแมชีน  การซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล  เป็นต้น

 

54           DJ  เพลงประกาศว่า  ใครโทรศัพท์เข้าสถานีเป็นรายที่  100  จะได้ไปเที่ยวเชียงใหม่ฟรี

ตอบ  1  อัตราส่วนคงที่              ดูคำอธิบายที่  52  ประกอบ

 

55           มานะตกวิชาเลขคณิต  ทำให้มานะไม่มีกำลังใจที่จะเรียนหนังสืออีกต่อไป  และคิดว่าตนคงไม่สามารถเรียนหนังสือได้

1  การเสริมแรง                                 2  การลงโทษ                                  3  การหยุดยั้ง

4  การแยกความแตกต่าง                  5  การสรุปความเหมือน

ตอบ   2  การลงโทษ                         

การลงโทษ  หมายถึง  การปรากฏของสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาหรือการนำสิ่งที่พึงปรารถนาออกไป  จึงมีผลให้การตอบสนองลดลง  เช่น  การตี  การเสียสิทธิ์  การจำคุก  การสอบตก  ฯลฯ  ซึ่งการลงโทษจะทำให้เกิดผลข้างเคียง  คือ  เกิดการวางเงื่อนไขเกี่ยวกับความกลัวต่อบุคคล  สถานการณ์  หรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการลงโทษ  กระตุ้นให้เกิดความก้าวร้าวปละเกิดการเรียนรู้ที่จะหนี้และหลีกเลี่ยง  เช่น  นักเรียนที่สอบตกมักจะเกิดความรู้สึกท้อแท้ในการเรียนจนไม่อยากเรียนหนังสืออีกต่อไป

 

56           ความจำระยะสั้นจะมีลักษณะเป็นอย่างไร

1  เก็บข้อมูลไม่จำกัดจำนวน                      2  จำในสิ่งที่มีความหมาย                  3  จำในสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริง

4  จำในสิ่งที่เป็นเรื่องของชีวิตตนเอง         5  ทำงานอยู่ในระดับปฏิบัติการ

ตอบ  5  ทำงานอยู่ในระดับปฏิบัติการ

ความจำระยะสั้น  ทำหน้าที่คล้ายคลังข้อมูลชั่วคราวที่เก็บข้อมูลได้ในจำนวนจำกัดโดยจะเก็บข้อมูลในลักษณะจิรตภาพ  เป็นความจำที่ช่วยป้องกันไม่ให้เราสับสนเกี่ยวกับชื่อ  วันที่  หมายเลขโทรศัพท์  และเรื่องเล็กๆน้อยๆ  นออกจากนี้ยังเป็นความจำในส่วนที่ปฏิบัติงาน  (Working  Memory)  การหมุนโทรศัพท์  การคิดเลขในใจ  การจำรายการสั่งของที่จะซื้อ ฯลฯ

 

57           ภาพติดตาหรือจินตภาพจะคงอยู่ได้กี่วินาที

1  2  วินาที                   2  1  ½  วินาที                3  1  วินาที               4  ½  วินาที            5  ขึ้นอยู่กับบุคคล

ตอบ   4  ½  วินาที           

ความจำจากการรับสัมผัส  คือ  ระบบการจำขั้นแรกที่จะเก็บข้อมูลไว้ในช่วงสั้นๆเพื่อถ่ายข้อมูลไปยังระบบการจำอื่นๆ  เช่น  ถ้าได้เห็นข้อมูล  ภาพติดตา  (Icon)  หรือจินตภาพจะคงอยู่ได้ครึ่งวินาที  แต่ถ้าเป็นการได้ยิน  เสียงก้องหู  (Echo) ของสิ่งที่ได้ยินจะคงอยู่ประมาณ  2  วินาที

 

58           ความจำระยะยาวมีลักษณะเป็นอย่างไร

1  การเกิดจินตภาพ                      2  จำในสิ่งที่มีความหมาย                          3  การได้ยินเสียง

4  ข้อมูลมีจำกัด                            5  ทำงานอยู่ในระดับปฏิบัติการ

ตอบ  2  จำในสิ่งที่มีความหมาย                         

ความจำระยะยาว  จะทำหน้าที่เสมือนคลังข้อมูลถาวรซึ่งบรรจุทุกอย่างที่เรารู้เกี่ยวกับโลกเอาไว้  โดยมีความสามารถในการเก็บข้อมูลไม่จำกัด  และจะเก็บข้อมูลไว้บนพื้นฐานของความหมายและความสำคัญของข้อมูล  ซึ่งความจำระยะยาวนี้มี  2  ประเภท  คือ

1              การจำความหมาย  เป็นการจำความรู้พื้นฐานที่เป็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโลก  เช่น  ชื่อวัน  เดือน  ภาษา  และทักษะการคำนวณง่ายๆ  ฯลฯ

2              การจำเหตุการณ์  เป็นการจำเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง  เป็นการบันทึกเหตุการณ์ในชีวิต

 

59           ข้อใดไม่ใช่วิธีการรักษาความทรงจำให้คงอยู่ได้

1  จำในสิ่งที่มีความหมาย          2  จำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน         3  การสร้างความจำขึ้นมาใหม่

4  มีการบริหารจัดการข้อมูล                        5  สร้างข้อมูลในลักษณะจินตภาพ

ตอบ  5  สร้างข้อมูลในลักษณะจินตภาพ

วิธีการรักษาความทรงจำให้คงอยู่ได้  ได้แก่

1              การจำความหมายและการจำเหตุการณ์

2              กาสร้างความจำขึ้นมาใหม่

3              การบริหารจัดการข้อมูล

 

60           บอกได้ว่า  ร่มนี้เป็นของฉันหายไปเมื่อ  2  เดือนที่แล้ว”  เป็นการวัดความจำแบบใด

1  การระลึกได้  (Recall)                            2  การจำได้  (Recognition)

3  การเรียนซ้ำ  (Relearning)                     4  การบูรณาการใหม่  (Reintegration)

5  การสร้างความจำ  (Construct)

ตอบ  2  การจำได้  (Recognition)

การจำได้  (Recognition)  เป็นการวัดความจำโดยมีสื่อกระตุ้นหรือชี้แนะให้จำได้  เช่น  ข้อสอบแบบเลือกตอบ  หรือการเห็นร่มก็จำได้ว่าเป็นของตนเองที่เคยทำหายไป  การจำได้จะได้ผลดีถ้ามีรูปถ่ายหรือการได้เห็นสิ่งอื่นๆ  มาช่วย  เช่น  การที่ตำรวจนิยมให้พยานชี้ตัวผู้ต้องสงสัยจากภาพถ่ายหรือสเก็ตภาพให้พยานดู  เป็นต้น

61           ใช้เวลาท่องอาขยานถึง  20  ครั้ง  แต่หลังจาก  20  ปีผ่านไป  สามารถท่องอาขยานใช้เวลาเพียง  2  ครั้งก็จำได้เรียกว่าอะไร

1  การระลึกได้  (Recall)                            2  การจำได้  (Recognition)

3  การเรียนซ้ำ  (Relearning)                     4  การบูรณาการใหม่  (Reintegration)

5  การสร้างความจำ  (Construct)

ตอบ  3  การเรียนซ้ำ  (Relearning)                    

การเรียนซ้ำ  (Relearning)  เป็นการวัดความจำในสิ่งที่เราเคยเรียนรู้มาแล้ว  แต่ไม่อาจระลึกหรือจำได้  แต่เมื่อให้เรียนซ้ำอีกก็ปรากฏว่าเราเรียนได้เร็วขึ้นและใช้เวลาเรียนน้อยกว่าเดิมทั้งนี้เพราะเคยมีคะแนนสะสมไว้แล้ว

62           เรียนรู้และจดจำเฉพาะการเรียนสิ่งใหม่และลืมสิ่งที่เคยเรียนมาก่อนเรียกว่าอะไร

1  Retroactive  Inhibition            2  Proactive  Inhibition            3  Repression

4  Decay                                      5  Encoding  Failure

ตอบ  1  Retroactive                    

การรบกวน  (Inhibition)  มักเป็นสาเหตุสำคัญของการลืม  โดยแบ่งออกเป็น  2  ประเภท  คือ

1              Retroactive  Inhibition  คือ  การที่การเรียนรู้ใหม่รบกวน  (ความจำของ)  การเรียนรู้เดิม

2              Proactive  Inhibition  คือ  การเรียนรู้เดิมรบกวน  (ความจำของ)  การเรียนรู้ใหม่

63           การแก้ปัญหาโดยมีการรับรู้  มองเห็นความสัมพันธ์  และคิดได้อย่างฉับพลันเรียกว่าอะไร

1  หยั่งเห็นคำตอบในทันที                   2  ทำความเข้าใจ                  3  ใช้เครื่องจักร

4  ใช้ความใหม่ของคำถาม                   5  แรงจูงใจของผู้แก้ปัญหา

ตอบ  1  หยั่งเห็นคำตอบในทันที                   

การแก้ปัญหาโดยการหยั่งเห็นคำตอบในทันที  เป็นการแก้ปัญหาแบบปรากฏการณ์มองเห็นคำตอบโดยฉับพลัน  ซึ่งมักเกิดขึ้นหลังจากคิดแก้ปัญหาแล้วแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ  การหยั่งเห็นคำตอบในทันทีมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน  และผู้คิดมักสงสัยว่าทำไมความคิดเช่นนี้จึงไม่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้

64           จากการศึกษาของ  Miller  พบว่าความจำระยะสั้นของคนปกติจะเป็นแบบใด

1  5  หน่วย                2  6  หน่วย                3  7  หน่วย               4  8  หน่วย              5  9  หน่วย

ตอบ  3  7  หน่วย              

จอร์จ  มิลเลอร์  ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการทดสอบช่วงการจำตัวเลข  (Digit – span  Test)  โดยเขาเห็นว่า  ความจำระยะสั้นของคนปกติสามารถจำข้อมูลได้ประมาณ  7  +-  2   หน่วย

 

65           ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้บุคคลมีการแสดงพฤติกรรม  คืออะไร

1  สิ่งเร้า                   2  สิ่งแวดล้อม               3 แรงจูงใจ             4  ความรัก              5  การเรียนรู้

ตอบ    3 แรงจูงใจ            

แรงจูงใจ  (Motive)  หมายถึง  สภาวะหรือกระบวนการที่สร้างและเป็นแรงกระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมออกมา  ทั้งที่เป็นพฤติกรรมโดยสัญชาตญาณและพฤติกรรมจากการเรียนรู้  เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่แรงจูงใจนั้นต้องการ  ทั้งนี้แรงจูงใจจะอยู่ในภาวะที่ไม่หยุดนิ่ง  (Dynamic)  และเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา  เพื่อสร้างให้ร่างกายอยู่ในสภาวะที่สมดุล

 

66           ได้มีผู้นำแนวคิดและทฤษฎีแรงจูงใจไปประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ  ยกเว้นด้านใด

1  ศาสนา                                                 2  การเมือง                                   3  การโฆษณาประชาสัมพันธ์

4  ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม                    5  ธุรกิจและการตลาด

ตอบ  4  ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม                   

ในปัจจุบันมีผู้ที่นำแนวคิดและทฤษฎีแรงจูงใจไปประยุกต์ใช้เพื่อเป็นประโยชน์ในงานด้านต่างๆ  มากมาย  ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมืองการปกครอง  การบริหารธุรกิจและการตลาด  การโฆษณาประชาสัมพันธ์  การศึกษา  รวมถึงการศาสนา  โดยนำวิธีการจูงใจไปใช้เพื่อสร้างสภาวะให้บุคคลอันเป็นกลุ่มเป้าหมายได้มีพฤติกรรมไปในแนวทางที่ตนต้องการ

 

67           ข้อใดไม่ใช่กระบวนการของแรงจูงใจ

1  การตอบสนอง  (Response)              2  มโนทัศน์  (Concept)              3  แรงขับ  (Drive)                 4  ความต้องการ  (Need)                      5  เป้าหมาย  (Goal)

ตอบ  2  มโนทัศน์  (Concept)             

กระบวนการของการเกิดแรงจูงใจ  ประกอบด้วยองค์ประกอบ  4  ประการ  คือ

1 ความต้องการ  (Need)        2  แรงขับ  (Drive)    3  การตอบสนอง  (Response)  หรือพฤติกรรม                                                4  เป้าหมาย  (Goal)

 

68           ข้อใดถูกต้อง

A  แรงจูงใจ  (Motive)  หมายถึง  สภาวะที่เป็นแรงกระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมออกมา  เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่แรงจูงใจนั้นต้องการ

 

B  การจูงใจ  (Motivation)  หมายถึง  กระบวนการของการนำปัจจัยต่างๆ  ที่เป็นแรงจูงใจมากระตุ้นให้บุคคลแสดงพฤติกรรมไปอย่างมีทิศทางเพื่อบรรลุเป้าหมาย

 

C  แรงจูงใจ  เป็นภาวะที่ไม่หยุดนิ่ง  (Dynamic)  และเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตลอดเวลา  เพื่อสร้างให้ร่างกายเกิดภาวะสมดุล

 

1  ข้อ  A  และ  B                              2  ข้อ  A  และ  C                          3  ข้อ  B  และ  C

4  ถูกทุกข้อ                                                  5  ผิดทุกข้อ

ตอบ   4  ถูกทุกข้อ                                                 

(ดูคำอธิบายข้อ  65  ประกอบ)  การจูงใจ  (Motivation)  หมายถึง  กระบวนการของการนำปัจจัยต่างๆ  ที่เป็นแรงจูงใจมากระตุ้นหรือผลักดันให้บุคคลแสดงพฤติกรรมไปอย่างมีทิศทาง  เพื่อบรรลุเป้าหมายหรือเงื่อนไขที่ผู้จูงใจต้องการ

 

69           ข้อใดไม่ใช่แรงจูงใจพื้นฐานของมนุษย์

1  หลีกเลี่ยงความเจ็บปวด                       2  ความสุข                                      3  ความหิว

4  ความกระหาย                                      5  ความต้องการทางเพศ 

ตอบ  2  ความสุข                    

แรงจูงใจพื้นฐานของมนุษย์  เป็นแรงจูงใจที่เกิดขึ้นเพื่อความอยู่รอดของชีวิต  แบ่งเป็น  3  ชนิด  ดังนี้

1              แรงจูงใจทางชีวิภาพ  ได้แก่  ความหิวและความกระหาย

2              แรงจูงใจเพื่อการสืบเผ่าพันธุ์  ได้แก่  ความต้องการทางเพศ

3              แรงจูงใจเพื่อหลีกหนีอันตราย  ได้แก่  ความต้องการหลีกหนีความเจ็บปวด

 

70           ทฤษฎีอะไรเกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ

1  ทฤษฎีหลักการมีเหตุผล                  2  ทฤษฎีแรงขับ                    3  ทฤษฎีลำดับขั้นของความต้องการ

4  ทฤษฎีสัญชาตญาณ                         5  ถูกทุกข้อ

ตอบ  5  ถูกทุกข้อ

ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ  ได้แก่

1  ทฤษฎีความต้องการความสุขส่วนตัว                        2  ทฤษฎีสัญชาตญาณ                        

3  ทฤษฎีหลักการมีเหตุผล                                            4  ทฤษฎีแรงขับ                    

5  ทฤษฎีลำดับขั้นของความต้องการ

71           ข้อใดไม่ใช่แรงขับที่จำแนกตามระบบชีววิทยา

1  แรงขับฉุกเฉิน                                2  แรงขับเพื่อการศึกษา                       3  แรงขับเพื่อการอยู่รอดของชีวิต

4  แรงขับเพื่อการสืบพันธุ์                  5  แรงขับเพื่อได้รับการยอมรับ

ตอบ    5  แรงขับเพื่อได้รับการยอมรับ

แรงขับ  (Drive)  สามารถจำแนกตามระบบทางชีววิทยา  ได้เป็น  4  ประเภท  คือ

1  แรงขับเพื่อการอยู่รอดของชีวิต                         2  แรงขับฉุกเฉิน

3  แรงขับเพื่อการสืบพันธุ์                                     4  แรงขับเพื่อการศึกษา

72           ข้อใดเรียงลำดับความต้องการของมาสโลว์  (Maslow)  ได้ถูกต้อง

A  ความต้องการประจักษ์ในตน                                   B  ความต้องการได้รับการยกย่องจากผู้อื่น

C  ความต้องการความรักและการเป็นเจ้าของ               D  ความต้องการทางด้านร่างกาย

E  ความต้องการความปลอดภัยและมั่นคง

1  D  A  E  C  B                     2  A  B  C  D  E                     3  A  B  C  E  D 

4  D  E  A  B  C                     5  D  E  C  B  A

ตอบ  5  D  E  C  B  A

ลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์  มี  5  ขั้น  ดังนี้

1  ความต้องการทางด้านร่างกาย                             2  ความต้องการความปลอดภัยและความมั่นคง

3  ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ        4  ความต้องการได้รับการยกย่องจากผู้อื่น

5  ความต้องการประจักษ์ตน

 

73           ข้อใดถูก

1              แรงจูงใจภายนอกเป็นแรงจูงใจที่สร้างให้บุคคลเกิดสัมพันธภาพกับผู้อื่น

2              แรงจูงใจภายในจำเป็นและสำคัญเท่ากับแรงจูงใจพื้นฐาน

3              แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์เริ่มเกิดเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น

4              แรงจูงใจใฝ่สัมพันธ์ทำให้มนุษย์ดำรงชีวิตเผ่าพันธุ์ของตนได้ต่อไป

5              แรงจูงใจจากการเรียนรู้ที่มีมาตั้งแต่เกิด

ตอบ  1  แรงจูงใจภายนอกเป็นแรงจูงใจที่สร้างให้บุคคลเกิดสัมพันธภาพกับผู้อื่น

แรงจูงใจภายนอก  (Extrinsic  Motive)  หรือแรงจูงใจจากการเรียนรู้  เป็นแรงจูงใจของบุคคลที่เกิดจากการได้รับกระตุ้นจากสิ่งเร้าภายนอก  ทำให้คนเราเกิดจุดมุ่งหมาย  จนนำไปสู่การแสดงพฤติกรรมเพื่อนำตนไปสู่จุดมุ่งหมายนั้น  ซึ่งนับว่าเป็นแรงจูงใจทางสังคมที่สร้างให้บุคคลเกิดสัมพันธภาพกับผู้อื่น

 

74           ทฤษฎีหลักการมีเหตุผล

1  อำมาตยาธิปไตย                                 2  คณาธิปไตย                                     3  เผด็จการ                 

4  สมบูรณาญาสิทธิราชย์                       5  ประชาธิปไตย

ตอบ  5  ประชาธิปไตย

ทฤษฎีหลักการมีเหตุผลจะมีความคล้ายคลึงกับความเชื่อในระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย  นั่นคือ  ผู้นำและสมาชิกของการปกครองระบอบประชาธิปไตยจะมีความเชื่อมั่นในการที่จะแสดงพฤติกรรมและความคิดเห็นระหว่างสมาชิกด้วยกัน  สามารถยอมรับความคิดเห็นของบุคคลอื่นได้  เพราะมีความเชื่อว่าบุคคลทุกคนมีอิสระที่จะกระทำหรือตัดสินใจในสิ่งต่างๆได้อย่างมีเหตุผล

 

75           อารมณ์สำคัญอย่างไร

1              เป็นแรงผลักดันหรือจูงใจให้เกิดความกระตือรือร้น

2              เป็นสัญญาณเตือนภัยให้รู้จักการต่อสู้

3              ทำให้เรียนรู้จักตนเองและผู้อื่น

4              ทำให้มีมนุษยสัมพันธ์

5              ถูกทุกข้อ

ตอบ  5  ถูกทุกข้อ

อารมณ์เป็นเครื่องชี้ถึงความรู้สึกนึกคิด  ช่วยให้เราเรียนรู้จักตนเองและผู้อื่น  เป็นแรงผลักดันหรือแรงจูงใจทำให้เกิดความกระตือรือร้นมีชีวิตชีวา  ทำให้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีให้การช่วยเหลือผู้อื่น  และเป็นสัญญาณเตือนภัยให้รู้จักการต่อสู้  การเอาตัวรอด  และอื่นๆ

 

76           สมองส่วนใดควบคุมระบบประสาทส่วนลิมบิก  (Limbic)

1  โซมาติก              2  ธาลามัส               3  ไฮโปธาลามัส              4  ไคเนสติก               5  คอปัสคอร์ลูซัม

ตอบ  3  ไฮโปธาลามัส             

จากการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางสรีระร่างกาย  เมื่อเกิดอารมณ์  พบว่าศูนย์กลางของการเกิดอารมณ์อยู่ที่การทำงานของระบบประสาทลิมบิก  (Limbic  System)  ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่สมองส่วนที่เรียกว่าไฮโปธาลามัส  (Hypothalamus)  ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบต่อมไร้ท่อและระบบประสาทอัตโนมัติ  ถ้าสมองส่วนไฮโปธาลามัสถูกกระตุ้นจะทำให้เกิดอาการคลั่ง  ดุ  อาละวาด  แต่ถ้าถูกทำลายจะเกิดอาการสงบเฉย

 

77           ศูนย์กลางที่ทำให้เกิดอารมณ์อยู่ที่ใด

1  ระบบประสาทลิมบิก                        2  ระบบประสาทส่วนกลาง                 3  ระบบประสาทมอเตอร์

4  ระบบประสาทกึ่งอัตโนมัติ               5  ระบบประสาทปฏิกิริยาสะท้อน

ตอบ   1  ระบบประสาทลิมบิก             ดูคำอธิบายข้อ  76  ประกอบ

 

78           แอดรีนาลินจะถูกหลั่งออกมาเมื่อใด

1  หัวเราะ                    2  ร้องไห้                    3  ตกใจ                   4  นั่งสมาธิ                  5  นอนหลับ

ตอบ    3  ตกใจ                   

(ดูคำอธิบายข้อ  15  ประกอบ)  อารมณ์หวาดกลัวหรือตกใจกลัวจะก่อให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนแอดรีนาลินจากต่อมหมวกไต  ส่วนอารมณ์โกรธจะก่อให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนนอร์แอดรีนาลิน  ส่วนอารมณ์อื่นๆนักจิตวิทยายังไม่สามารถระบุแบบแผนของการเปลี่ยนแปลงทางสรีระได้อย่างแน่นอน

79           ใครกล่าวว่า  ร่างกายจะแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบก่อน  แล้วจึงเกิดอารมณ์ตามมา

1  จุง               2  วิลเลียม  เจมส์               3  ฟรอยด์                 4  ฟิลิป  บาร์ด              5  พระนันทาจารย์ 

ตอบ   2  วิลเลียม  เจมส์              

วิลเลียม  เจมส์  (William  James)  นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน  อธิบายว่า  ร่างกายของเราจะต้องแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบเป็นอันดับแรกก่อน  แล้วอารมณ์จึงจะเกิดตามมา  ประสบการณ์ทางอารมณ์เป็นผลมาจากการรับรู้การเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย  ดังนั้นหลังจากที่เกิดการเร้าทางกายและพฤติกรรม  จะรู้สึกถึงการเต้นของหัวใจ  หายใจหอบ  หน้าแดง  เหงื่อออก  และนำไปสู่ประสบการณ์ทางอารมณ์

80           พลูทชิค  เชื่อว่า  อารมณ์กลัวทำหน้าที่อะไร

1  ทำลาย                 2  ปฏิเสธ                 3  ปกป้อง                  4  ความร่วมมือ                 5  เสียใจ

ตอบ     3  ปกป้อง              

พลูทชิค  กล่าวว่า  อารมณ์แรกเกิดของมนุษย์คือความกลัว  ซึ่งอารมณ์กลัวจะทำหน้าที่ช่วยปกป้องอันตรายที่จะเข้ามากล้ำกราย

81           ชาร์ลส์  ดาร์วิน  กล่าวว่า  อารมณ์มีความสำคัญอย่างไร

1              การแสดงออกทางอารมณ์ของมนุษย์ไม่แตกต่างไปจากสัตว์

2              บุคคลมีประสบการณ์มากขึ้น  การดัดแปลงอารมณ์ก็จะมีมากขึ้นด้วย

3              บุคคลที่มีอารมณ์ดีจะมีชีวิตยืนยาว

4              อารมณ์ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสรีระ

5              อารมณ์คือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อกรดำรงชีวิตและเผ่าพันธุ์

ตอบ  5  อารมณ์คือสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อกรดำรงชีวิตและเผ่าพันธุ์

ชาร์ลส์  ดาร์วิน  (Charles  Darwin)  กล่าวว่า  อารมณ์เป็นสิ่งที่ค่อยๆพัฒนาขึ้นมาและเกิดอยู่เรื่อยๆในมนุษย์  เพราะอารมณ์คือสิ่งที่จำเป็นและมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตและเผ่าพันธุ์ของมนุษย์  นอกจากนี้ในผลงานเขียนชื่อ  The  Expression  of  Emotion  in  Man  and  Animal  เขาได้กล่าวไว้ว่า  การแสดงออกทางอารมณ์เป็นสิ่งจำเป็นต่อการอยู่รอดของชีวิตมนุษย์

82           การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติส่วนใด  ทำให้เกิดการเตรียมพร้อมร่างกายในภาวะฉุกเฉินเพื่อให้สู้หรือหนี

1  ลิมบิก               2  ซิมพาเธติก                 3  พาราซิมพาเธติก              4  ธาลามัส                 5  ไฮโปธาลามัส

ตอบ  2  ซิมพาเธติก                

การทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติจะเกี่ยวข้องกับการเกิดอารมณ์  โดยระบบประสาทซิมพาเธติกจะเตรียมร่างกายในภาวะฉุกเฉินให้สู้หรือหนี  และทำให้ระบบต่างๆในร่างกายมีอาการตื่นตัวเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น  ส่วนระบบประสาทพาราซิมพาเธติกจะทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะสงบและผ่อนคลาย

83           ข้อใดไม่ใช่แนวทางของการควบคุมอารมณ์

1              อย่ากังวลกับสิ่งที่ทำผิดพลาดไปแล้ว

2              แยกอารมณ์ออกจากสถานการณ์

3              ทำเป็นไม่สนใจกับอารมณ์

4              ยอมรับอารมณ์ที่เกิดขึ้น

5              พยายามเข้าใจความกลัวของอารมณ์

ตอบ  3  ทำเป็นไม่สนใจกับอารมณ์

มุกดา  สุขสมาน  ได้ให้แนวทางในการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในภาวะปกติ  ดังนี้

1              พยายามทำความเข้าใจและหาสาเหตุของความกลัวและความวิตกกังวล  เพื่อนนำมาใช้พิจารณาว่าควรมีการแสดงออกทางอารมณ์อย่างไร

2              ต้องยอมรับอารมณ์ที่เกิดขึ้นและควบคุมให้มีอิทธิพลเหนือตัวเรา

3              แยกอารมณ์ออกจากสถานการณ์

4              อย่ากังวลกับสิ่งที่ผิดพลาดมาแล้ว

5              ใช้ปฏิกิริยาโดยตรงต่อการควบคุมอารมณ์  โดยขจัดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทันที

 

ข้อ  84 – 86  จงเลือกคำตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้

1  Freud  จิตวิเคราะห์                       2  Skinner  พฤติกรรมนิยม                     3  Rogers  มนุษยนิยม

4  Sheldon  โครงสร้างร่างกาย         5  Jung  ประเภทบุคลิกภาพ

84           มะปรางทำทุกอย่างให้มะไฟเข้ามาสนใจตน  แม้จะรู้ว่ามะไฟมีเจ้าของแล้วแต่คิดว่าใครดีใครได้

ตอบ  1  Freud  จิตวิเคราะห์                      

ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์  ได้แบ่งโครงสร้างของบุคลิกภาพเป็น  3  ส่วน  คือ

1              อิด  (Id)  เป็นสัญชาตญาณของจิตใต้สำนึกที่มีมาตั้งแต่แรกเกิด  โดยเป็นพลังจิตที่ขาดการขัดเกลาไม่รับรู้ระเบียบแบบแผนของสังคม  และจะทำตามความพึงพอใจของตัวเองโดยไม่สนใจกับความเป็นจริงภายนอก  เช่น  ความอยากได้สิ่งของของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง

2              อีโก้  (Ego)  จะทำงานโดยยึดหลักแห่งความเป็นจริง  ด้วยการทำความเข้าใจพฤติกรรมควรมีการแสดงออกอย่างไรถึงเป็นที่ยอมรับและเหมาะสมกับสังคม

3              ซูเปอร์อีโก้  (Superego)  จะทำหน้าที่คล้ายมโนธรรมที่คอยตักเตือนให้บุคคลมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี

85           ปราณีขยันทำการบ้านเพราะคุณแม่ฝึกให้ทำการบ้านให้เสร็จก่อนจะเล่นและดูโทรทัศน์

ตอบ  2  Skinner  พฤติกรรมนิยม                

สกินเนอร์  (Skinner)  นักจิตวิทยาพฤติกรรมนิยมหรือจิตวิทยาการเรียนรู้จะเน้นความสำคัญของสิ่งแวดล้อมภายนอกว่าสามารถกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ได้  อีกทั้งเชื่อว่าบุคลิกภาพของมนุษย์จะเกิดจากกระบวนการวางเงื่อนไข  โดยมีรางวัลเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมนั่นคือ  หากทำพฤติกรรมใดแล้วได้รางวัล  บุคคลหรือสัตว์ก็จะทำพฤติกรรมนั้นๆให้ปรากฏบ่อยครั้งขึ้น  ซึ่งแนวคิดนี้นิยมนำมาใช้ในการฝึกเด็กหรือฝึกสัตว์ให้มีพฤติกรรมตามที่เราต้องการได้

 

86           กัลยารูปร่างอ้วนท้วม  ความสุขของเธอคือการรับประทาน  กัลยาเป็นคนสนุกสนานเป็นที่ชอบพอของเพื่อนๆ

ตอบ  4  Sheldon  โครงสร้างร่างกาย        

เชลดอน  (Sheldon)  ได้แบ่งบุคลิกภาพตามโครงสร้างทางร่างกายออกเป็น  3  กลุ่ม  คือ 

1              กลุ่มคนอ้วน  (Endomorphy)  มักจะมีนิสัยร่าเริง  อารมณ์ดี  สนุกสนาน  รักความสบาย  และสนใจการกินหรือชอบกินๆนอนๆ

 

2              กลุ่มที่มีกล้ามเนื้อแข็งแรง  (Mesomorphy)  มักจะมีนิสัยกล้าแสดงออก  มีพลังงานมาก  รักกิจกรรมกลางแจ้ง  และมีลักษณะคล้ายนักกีฬา

 

3              กลุ่มผอมสูง  (Ectomorphy)  มักจะมีลักษณะขี้อาย  กลัว  ไม่กล่าแสดงออก  เป็นคนเฉยๆ  สนใจตนเอง  และรักสันโดษ

 

ข้อ  87 – 90  จงเลือกคำตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้

 

1  Oral                2  Anal              3  Phallic              4  Latency             5  Genital

 

87           ประไพเป็นคนปากตะไกร  ชอบพูดวิพากษ์วิจารณ์คนรอบตัว  ทำให้เกิดมลภาวะ

ตอบ  1  Oral 

ขั้นความสุขอยู่ที่ปาก  (Oral  Stage)  เป็นพัฒนาการของเด็กแรกเกิดถึงอายุ  18  เดือน  เป็นช่วงที่เด็กได้รับความสุขจากการดูดกลืน  หรือได้รับความพึงพอใจจากการกระตุ้นทางปาก  หากเด็กไม่ได้รับความพึงพอใจทางปากในช่วงนี้  เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่จะทำให้มีพฤติกรรมก้าวร้าวทางปาก  เช่น  ชอบโต้เถียง  ปากคอเราะร้าย  ชอบเย้ยถากถางผู้อื่น  เป็นต้น

 

88           การเลียนแบบบทบาททางเพศของเด็กเกิดในพัฒนาการระยะใด

ตอบ  3  Phallic             

ขั้นอวัยวะเพศ  (Phallic  Stage)  เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุระหว่าง  3 – 5 ปี  ซึ่งในระยะนี้เด็กจะมีความรักในพ่อแม่เพศตรงข้ามกับตน  และอิจฉาพ่อแม่เพศเดียวกับตน  รวมทั้งมีการเลียนแบบบทบาทพ่อแม่เพศเดียวกับตนอีกด้วย

 

89           เด็กชายและเด็กหญิงวัย  11  ปี  มักจะเล่นแต่กับเพื่อนเพศเดียวกัน

ตอบ  4  Latency            

ขั้นแอบแฝง  (Latency  Stage)  เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุประมาณ  6  ปีจนถึงวัยรุ่น  ซึ่งในระยะนี้

สัญชาตญาณทางเพศของเด็กจะถูกซ่อนเร้นไว้  เด็กมักจะเล่นกับเพื่อนเพศเดียวกันและมีพฤติกรรมในทางที่ให้สังคมยอมรับมากขึ้น

90           พ่อแม่จะฝึกขับถ่ายให้ลูกในพัฒนาการระยะใด

ตอบ  2  Anal             

ขั้นความสุขอยู่ที่ทวารหนัก  (Anal  Stage)  เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กที่มีอายุราว  2 – 3  ปี  ซึ่งศูนย์กลางความพึงพอใจของเด็กจะอยู่ที่ทวารหนัก  ซึ่งเด็กจะพอใจที่ได้ปลดปล่อยหากในช่วงนี้บิดามารดาที่เคร่งครัดกับเด็กมากเกินไปในเรื่องการขับถ่าย  เมื่อเด็กโตขึ้นจะเกิดความขัดแย้งใจ  เป็นบุคลิกภาพที่จู้จี้  เจ้าระเบียบ  รักษาความสะอาดจนเกินเหตุ  และบางครั้งอาจมีพฤติกรรมประเภทดันทุรังได้ 

91           ทฤษฎี  Self – concept  ของโรเจอร์  เชื่อว่าการที่บุคคลจะมีความสมดุลในบุคลิกภาพขึ้นอยู่กับอะไร

1  การมีแบบอย่างที่เหมาะสม                                            2  การได้รับการตอบสนองความต้องการ

3  การได้รับความรักและการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข  โดยเฉพาะจากบุคคลที่มีความสำคัญ

4  การได้รับการเสริมแรงพฤติกรรมที่พึงประสงค์            5  การปลูกฝังคุณธรรมจากพ่อแม่

ตอบ  3  การได้รับความรักและการยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข  โดยเฉพาะจากบุคคลที่มีความสำคัญ

ทฤษฎีอัตมโนทัศน์  (Self – concept)  ของโรเจอร์  (Rogers)  เชื่อว่า  บุคคลทุกคนสามารถบรรลุถึงความสมดุลในบุคลิกภาพของเขาได้  ซึ่งการที่บุคคลใดก็ตามจะมีความเจริญงอกงามได้เช่นนี้  เขามักเป็นผู้ที่เปิดใจกว้างต่อการรับรู้ในด้านความนึกคิด  ความรู้สึกและประสบการณ์  เมื่อเขามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น  เขาจะต้องได้รับการยอมรับ  ความรัก  และความเอื้ออาทรจากผู้อื่นที่ให้เขาอย่างไม่มีเงื่อนไข

92           แบบทดสอบวัดบุคลิกภาพแบบใดเป็นการฉายภาพจิต

1  TAT               2  MMPI               3  CPI               4  16  PF                5  MBTI

ตอบ  1  TAT              

การฉายภาพจิต  (Projective  Tests)  จะแบ่งออกเป็นแบบทดสอบ  2  ชนิด  คือ

1              แบบทดสอบรอร์ชาค  คือ  แบบวัดบุคลิกภาพโดยใช้ภาพหยดหมึก  10  ภาพ

2              แบบทดสอบ  TAT  คือ  แบบวัดบุคลิกภาพโดยใช้ภาพเหตุการณ์ของชีวิตในแง่มุมต่างๆ  20  ภาพ  โดยนักจิตวิทยาจะถือภาพแล้วให้ผู้ถูกทดสอบเล่าเรื่องอะไรก็ได้ที่ประกอบเป็นคำบรรยายภาพแต่ละภาพ  ซึ่งภาพเหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีลักษณะคลุมเครือ  ทำให้มองได้หลายแง่มุม

93           การทดสอบที่เสนอสิ่งเร้าที่คลุมเครือและให้ผู้รับการทดสอบบรรยายหรือเล่าเรื่องราวจากสิ่งเร้าที่เห็น  (ใช้ตัวเลือกข้อ  92)

ตอบ  1  TAT          ดูคำอธิบายข้อ  92  ประกอบ

 

94           การศึกษาเกี่ยวกับสติปัญญาได้เริ่มเป็นครั้งแรกโดยใคร

1  Simon           2  Binet           3  Galton           4  Spearman          5  Thurstone

ตอบ  3  Galton          

การวัดสติปัญญาริเริ่มขึ้นโดยฟรานซิส  กัลตัน  (Francis  Galton)  ซึ่งให้ความสนใจศึกษาการสืบทอดทางพันธุกรรมเกี่ยวกับความสามารถทางสติปัญญา  โดยนำวิธีการทางสถิติมาใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างความสามารถทางสติปัญญาและความสามารถด้านอื่นๆของบุคคล

 

95           ทฤษฎีองค์ประกอบที่เน้น  G – factor  และ  S – factor  เป็นแนวคิดของใคร

1  Simon           2  Binet           3  Galton           4  Spearman          5  Thurstone

ตอบ  4  Spearman         

ชาร์ล  สเปียร์แมน  (Charles  Spearman)  ผู้ตั้งทฤษฎีตัวปะกอบสองปัจจัยได้อธิบายว่า  สติปัญญาของคนเรานั้นมีองค์ประกอบ  2  ประการ  คือ

1              ตัวประกอบทั่วไป  (G – factor)  เป็นตัวประกอบที่เกี่ยวกับการใช้เหตุผลโดยทั่วๆไป  ซึ่งทุกคนจะมีเหมือนกันหมด 

2              ตัวประกอบเฉพาะ  (S – Factor)  เป็นตัวประกอบที่เกี่ยวกับความสามารถเฉพาะตัวของบุคคล  ซึ่งแต่ละคนจะมีไม่เหมือนกัน  เช่น  ความสามารถด้านศิลปะ  การคำนวณ  การใช้มือ  การออกแบบ  (Design)  ฯลฯ

96           ทฤษฎีองค์ประกอบหลายปัจจัย  เป็นแนวคิดของใคร

1  Simon           2  Binet           3  Galton           4  Spearman          5  Thurstone

ตอบ  5  Thurstone

เทอร์สโตน  และกิลฟอร์ด  (Thurstone  and  Guilford)  ผู้คิดค้นทฤษฎีตัวประกอบหลายปัจจัย  ได้อธิบายว่า  ความสามารถขั้นพื้นฐานที่เป็นส่วนประกอบของสติปัญญามีอยู่  7  ชนิด  คือ  1  ความเข้าใจภาษา

2  ความสามารถใช้คำได้คล่องแคล่ว           3  ความสามารถในการใช้ตัวเลข         4  ความสามารถในการมองเห็นภาพมิติ       5  ความสามารถในการจำ         6  ความสามารถในการรับรู้สิ่งต่างๆ        7  ความสามารถที่จะเข้าใจเหตุผล

 

97           แบบทดสอบที่ดีนั้น  ไม่ว่าจะเป็นใครมาตรวจให้คะแนนจะมีเกณฑ์การให้คะแนนเหมือนกัน”  เรียกว่าอะไร

1  ความเป็นปรนัย  (Objectivity)                     2  ความเชื่อถือได้  (Reliability)

3  ความเที่ยงตรง  (Validity)                           4  ความเป็นมาตรฐาน  (Standardization)

5  เกณฑ์ปกติ  (Norm)

ตอบ  1  ความเป็นปรนัย  (Objectivity)

ความเป็นปรนัย  (Objectivity)  โดยผู้รับการทดสอบจะเป็นใครก็ตามภายใต้สภาพการณ์ที่เป็นมาตรฐานเดียวกันนั้น  แบบทดสอบที่ดีจะต้องให้ผลของคะแนนเหมือนเดิม  ไม่ว่าใครจะเป็นคนตรวจให้คะแนนก็ตาม  โดยจะไม่มีความลำเอียงเข้ามาเกี่ยวข้อง

 

98           แบบทดสอบที่ดีนั้น  ไม่ว่าจะทดสอบกี่ครั้งจะได้คะแนนทดสอบเท่าเดิมหรือใกล้เคียงกัน”  เรียกว่าอะไร

1  ความเป็นปรนัย  (Objectivity)                     2  ความเชื่อถือได้  (Reliability)

3  ความเที่ยงตรง  (Validity)                           4  ความเป็นมาตรฐาน  (Standardization)

5  เกณฑ์ปกติ  (Norm)

ตอบ   2  ความเชื่อถือได้  (Reliability)                  

ความเชื่อถือได้  (Reliability)  เป็นความเที่ยงของแบบทดสอบที่ให้ความคงที่ของคะแนน  โดยแบบทดสอบที่ดีนั้นผู้รับการทดสอบจะต้องทำคะแนนได้ตรงกันทั้งสองครั้งในวันและเวลาต่างกัน

 

99           แบบทดสอบที่ดีนั้นจะต้องมีการกำหนดเวลาในการทดสอบที่ชัดเจน  เรียกว่าอะไร

1  ความเป็นปรนัย  (Objectivity)                     2  ความเชื่อถือได้  (Reliability)

3  ความเที่ยงตรง  (Validity)                           4  ความเป็นมาตรฐาน  (Standardization)

5  เกณฑ์ปกติ  (Norm)

ตอบ  4  ความเป็นมาตรฐาน  (Standardization)

ความเป็นมาตรฐาน  (Standardization)  จะต้องมีลักษณะดังนี้ 

1  กำหนดเวลาในการทดสอบที่แน่นอน         2  กำหนดคำสั่งหรือคำแนะนำในการสอบไว้ชัดเจน

3  แสดงตัวอย่างในการตอบข้อทดสอบ          4  มีวิธีการให้คะแนนที่แน่นอน

5  มีเกณฑ์ปกติ  (Norms)  หรือค่าเฉลี่ยของกลุ่มคนปกติทั่วๆไป

 

100         แบบทดสอบที่ใช้วัดกับผู้ใหญ่  เรียกว่าอะไร

1  WPPSI           2  Colour  PM         3  WISC        4  Verbal  Scale         5  WAIS

ตอบ  5  WAIS

ปัจจุบันนี้แบบทดสอบวัดระดับสติปัญญาของเวคสเลอร์  (Wechsler)  มี  3  ฉบับ  คือ

1              WAIS  ใช้ทดอบกับผู้ใหญ่อายุ  16  ปี  –  75  ปี

2              WISC  ใช้ทดสอบกับเด็กอายุ  5  ปี  –  15  ปี  11  เดือน

3              WPPSI  ใช้ทดสอบกับเด็กอายุ  4  ปี –  6  ปี  6  เดือน

101         ถ้าคะแนนที่ได้จากการทดสอบทางจิตวิทยามีค่าเท่ากับอายุปฏิทินแสดงว่าผู้นั้นมีสติปัญญาอยู่ในเกณฑ์ใด

1  ปัญญาทึบ              2  ค่อนข้างฉลาด               3  ปกติ                 4  คาบเส้น                 5  ค่อนข้างต่ำ

ตอบ  3  ปกติ                

การวัดความสามารถทางสติปัญญาจะถูกวัดออกมาในอัตราส่วนที่เรียกว่า  I.Q.  (Intelligence  Quotient)  ซึ่งเป็นอัตราส่วนระหว่างอายุสมอง  (M.A.)  กับอายุจริงตามปฏิทิน  (C.A.)  คูณด้วย  100  ถ้าคะแนนที่ได้จากการทดสอบทางจิตวิทยามีค่าเท่ากับอายุตามปฏิทินแสดงว่าผู้นั้นมีสติปัญญาอยู่ในระดับไอคิว  100  ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ

102         ข้อใดเป็นลักษณะโครงสร้างแบบทดสอบ  Wechsler

1  การทดสอบเชิงภาษา  +  ประกอบการ                         2  การทดสอบความรู้ทั่วไป  +  การลำดับภาพ

3  การใช้สัญลักษณ์  +  การจำตัวเลข                               4  การลงมือปฏิบัติ  +  ความเข้าใจศัพท์

5  การใช้คำศัพท์  +  การรับรู้เชิงระวางที่

ตอบ  1  การทดสอบเชิงภาษา  +  ประกอบการ                        

ลักษณะโครงสร้างแบบทดสอบสติปัญญาของ  Wechsler  แบ่งออกเป็น  2  หมวด  คือ

1              แบบทดสอบที่วัดความสามารถเชิงภาษา  (Verbal  Scale)

2              แบบทดสอบประกอบการ  (Performance  Scale)

103         ข้อใดไม่ถูกต้องของแบบทดสอบ  Progressive  Matrices

1  หาความสัมพันธ์ระหว่างรูปทรงเรขาคณิต                 2  ใช้ถ้อยคำภาษา  (Verbal)

3  ปัญหาแต่ละข้อจะมีส่วนขาดหายไป                          4  เรียงจากง่ายไปหายาก

5  ใช้แนวคิดการให้เหตุผลของ  Spearman

ตอบ  2  ใช้ถ้อยคำภาษา  (Verbal)

แบบทดสอบโปรเกรสซีฟ  เมตริซีส  (Progressive  Matrices  Test)  เป็นแบบทดสอบที่ไม่ใช้ถ้อยคำภาษา  (Nonverbal)  ที่  J.G. Raven  สร้างขึ้นมาเพื่อใช้วัดความสามารถของบุคคลในการหาความสัมพันธ์ระหว่างรูปทรงเลขาคณิต  โดยปัญหาของแบบทดสอบจะอยู่ในรูปของเมตริก  ซึ่งปัญหาแต่ละข้อจะมีส่วนที่ขาดหายไป  เรียงลำดับจากง่ายไปหายาก  ไม่จำกัดเวลาในการดำเนินการ  และใช้แนวคิดการใช้เหตุผลตามทฤษฎีของสเปียร์แมนคือ  G – factor

 

104         ข้อใดเป็นโรคที่มีสาเหตุทางจิตใจ

1  ไตวายเฉียบพลัน                                    2  เบาหวาน                                    3  นอนไม่หลับ

4  ปวดประจำเดือน                                   5  ลมชัก

ตอบ  3  นอนไม่หลับ

โรคทางกายที่เกิดจากความเครียด  (Psychosomatic  Diseases)  มักเกิดขึ้นกับคนที่มีความเครียดอยู่เสมอๆ  หรือเครียดต่อเนื่องเป็นเวลานาน  โดยไม่ได้รับการแก้ไข  ซึ่งจะส่งผลให้เกิดโรคต่างๆแก่ร่างกาย  เช่น  โรคแผลในกระเพาะอาหาร  โรคหัวใจ  โรคความดัน  โรคปวดศีรษะข้างเดียว  (ไมเกรน)  โรคนอนไม่หลับ  เป็นต้น

 

ข้อ  105 – 108  จงเลือกคำตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้

 

1  ถดถอย  Regression           2  หาเหตุผลเข้าข้างตนเอง  Rationalization

3  ปฏิเสธ  Denial                  4  ชดเชย  Compensation                  5  โยนความผิด  Projection

 

105         สมศรีตรวจพบมะเร็งแต่ไม่ตัดสินใจว่าจะรักษาหรือไม่  ใช้เวลาส่วนใหญ่ศึกษาเรื่องโรคมะเร็ง  และคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านนี้

ตอบ  3  ปฏิเสธ  Denial                 

การไม่รับรู้ความจริงหรือปฏิเสธ  (Denial)  คือ  การไม่ยอมรับความจริง  หรือปฏิเสธเพราะสภาพจิตใจยอมรับไม่ได้  เช่น  ผู้ป่วยที่รู้ว่าตนเป็นโรคร้าย  แต่ยอมรับสภาพความจริงไม่ได้ก็จะปฏิเสธการเข้ารับการรักษา  ซึ่ง ฟรอยด์ถือว่าการปฏิเสธไม่รับรู้ความจริงนี้จัดเป็นกลไกทางจิตที่มีระดับความรุนแรงที่สุด

 

106         มาลัยไปเยี่ยมเด็กที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าพบว่าเด็กชอบเอาศีรษะโขกกับเตียง  ดูดนิ้ว  ปัสสาวะรดที่นอน

ตอบ  1  ถดถอย  Regression          

การถอยหลังเข้าคลอง  (Regression)  เป็นการปรับตัวของบุคคลที่รับสภาพปัจจุบันที่ถูกคุกคามไม่ได้  จึงถอยหลังไปแสดงพฤติกรรมเหมือนกับเด็กๆ  อีกครั้งหนึ่งทั้งที่ผ่านพ้นช่วงพฤติกรรมนั้นมานานแล้ว  เช่น  การกระทืบเท้า  การปัสสาวะรดที่นอน  การดูดนิ้ว  การเอาหัวโขกพื้น  เป็นต้น

 

107         ทุกครั้งที่งานผิดพลาดมานะจะต้องไล่เบี้ยเอากับลูกน้อง

ตอบ  5  โยนความผิด  Projection

การโยนความผิดหรือการกล่าวโทษผู้อื่น  (Projection)  คือ  การโทษผู้อื่นในความผิดที่ตนเองกระทำ  เพื่อให้ความรู้สึกผิดของตนเองมีน้อยลง  จนกระทั่งดูไปว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย

 

108         ธานีชอบผู้หญิงฉลาดแต่มาแต่งงานกับมาลีซึ่งจบเพียงชั้นประถม  ธานีคุยเสมอว่ามาลีเก่งการเรือน  ทำอาหารอร่อย  แม้จะคิดไม่ค่อยทันใคร

ตอบ  2  หาเหตุผลเข้าข้างตนเอง  Rationalization

การเข้าข้างตัวเอง  (Rationalization)  เป็นกลไกป้องกันทางจิตที่บุคคลพยายามหาเหตุผลมาเข้าข้างตนเอง  ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาหน้าหรือภาพพจน์ของตัวเองเอาไว้  ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการปลอบใจตัวเอง  เช่น  บอกว่าแม้ภรรยาของตนจะไม่สวย  แต่ก็นิสัยดี  เหตุที่ตนสอบตกเพราะข้อสอบยากเกินไป  ฯลฯ

 

ข้อ  109 – 111  จงเลือกคำตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้

 

1  Existentialism                   2  Humanism                       3  Behaviorism

4  Psychoanalysis                  5  Neo – Freudian

 

109         การที่บุคคลเผชิญกับความเป็นจริงแห่งชีวิตและรับผิดชอบต่อชีวิต  สามารถตัดสินใจเลือกได้อย่างเหมาะสม  ยืนหยัดตามความเชื่อของตน

ตอบ  1  Existentialism                  

กลุ่มทฤษฎีเพื่อการอยู่รอด  (Existentialism)  เชื่อว่า  ใครก็ตามที่ก้าวพ้นออกมาจากความกลัว  และสามารถแสดงความเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจในชีวิตของเขาเอง  รับผิดชอบต่อชีวิตที่เขาเป็นผู้เลือก  ยืนหยัดอยู่กับความเชื่อ  และเผชิญกับความเป็นจริงแห่งชีวิตได้  เขาเหล่านั้นจะพบกับความหมายที่แท้จริงของชีวิตและเป็นผู้ที่ปรับตัวได้

 

110         การที่บุคคลตระหนักถึงเอกลักษณ์แห่งตน  เช่น  บทบาททางเพศ  อาชีพ  และสามารถพัฒนาความสัมพันธ์ที่มีความหมาย

ตอบ  5  Neo – Freudian

กลุ่มลูกศิษย์ของฟรอยด์ (Neo – Freudian)  มีความเห็นว่า  การปรับตัวจะดีได้นั้นบุคคลจะต้องสามารถพัฒนาตนเอง  สร้างเสริมเอกลักษณ์ที่มั่นคง  ในขณะเดียวกันก็สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับคนอื่นๆได้

 

111         การที่บุคคลตระหนักถึงตนเองอย่างแท้จริง  สามารถพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพแห่งตน  ยอมรับจุดด้อยรู้ถึงจุดแข็ง

ตอบ  2  Humanism                      

กลุ่มมนุษยนิยม  (Humanism)  เชื่อว่า  มนุษย์ควรมีการพัฒนาไปถึงที่สุดเท่าที่ศักยภาพจะอำนวย  โดยเรียกกระบวนการพัฒนาเข้าไปถึงที่สุดของศักยภาพนี้ว่า  การประจักษ์ในตน”  ซึ่งควรจะเป็นเป้าหมายของการงอกงามเติบโตที่แท้จริงของมนุษย์

ข้อ  112 – 113  จงเลือกคำตอบจากตัวเลือกต่อไปนี้

1  Approach – Approach  Conflicts        2  Avoidance – Avoidance  Conflicts

3  Approach – Avoidance  Conflicts      4  Double – Approach – Avoidance  Conflicts

5  ผิดทั้งหมด

 

112         ประชาต้องตัดสินใจว่าจะลงแข่งในรายการนี้หรือไม่  ถ้าไม่ลงจะถูกตัดสิทธิไม่ให้แข่งอีกทั้งปี  ถ้าลงอาจต้องพิการไปตลอดชีวิต  เพราะหมอบอกให้พักช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ตอบ  3  Approach – Avoidance  Conflicts     

ความขัดแย้งใจมี  4  ประเภท  คือ

1              อยากได้ทั้งคู่  (Approach – Approach  Conflicts)  เป็นความขัดแย้งใจในลักษณะ  รักพี่เสียดายน้อง”  คือ  ตัวเลือกทั้งสองเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาทั้งคู่  แต่ต้องเลือกของชอบอย่างใดอย่างหนึ่งในเวลาเดียวกัน

2              อยากหนีทั้งคู่  (Avoidance – Avoidance  Conflicts)  เป้นความขัดแย้งใจในลักษณะ  หนีเสือปะจระเข้)  คือ  เป็นความกดดันที่จะต้องเลือกตัวเลือกที่ไม่พึงปรารถนาทั้งคู่

3              ทั้งรักทั้งชัง  (Approach – Avoidance  Conflicts)  เป้นความขัดแย้งใจในลักษณะ  กลืนไม่เข้าคายไม่ออก”  คือ  ตัวเลือกนั้นเป็นทั้งสิ่งที่ชอบและไม่ชอบในขณะเดียวกันจึงทำให้เกิดความลังเล  เช่น  อยากทานขนมหวานแต่กลัวฟันผุ  อยากทำงานได้เงินแต่กลัวเรียนไม่จบ  เป็นต้น

4              ทั้งชอบและชังในตัวเลือกทั้งคู่  (Double – Approach – Avoidance  Conflicts)  คือ  ตัวเลือกทั้ง  2  มีทั้งดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน  เช่น  เราจะต้องเลือกระหว่างงานใหม่  2  แห่ง  แห่งแรกนั้นถูกใจหมดทุกอย่างแต่เงินเดือนต่ำ  แต่อีกแห่งไม่ถูกใจเลยแต่เงินเดือนสูง  เราจะเลือกแห่งใดเป็นต้น

113         ปราณีอยู่ๆก็ได้งานหลายแห่งในเวลาเดียวกัน  งานดีเงินเดือนมากแต่งานหนักมาก  งานสบายแต่เงินไม่น่าสนใจ  งานน่าสนใจเงินดีแต่ไม่แน่ใจในความมั่นคง  เป็นการตัดสินใจที่ยากมากสำหรับปราณี

ตอบ  4  Double – Approach – Avoidance  Conflicts      ดูคำอธิบายข้อ  112  ประกอบ

ข้อ  114 – 116  จงเลือกตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

1  อคติ                                                      2  เจตคติ                                            3  ความก้าวร้าว                

4  พฤติกรรมแสดงออกเหมาะสม            5  พฤติกรรมช่วยเหลือ

114         มีลักษณะการตัดสินใจล่วงหน้า  เกลียดชังอย่างขาดเหตุผล  นำไปสู่การแบ่งแยก

ตอบ  1  อคติ                                                     

อคติ  เป็นเจตคติทางลบหรือการตัดสินใจล่วงหน้า  เกิดจากความสงสัย  ความกลัว  และความเกลียดอย่างไม่สมเหตุสมผล  บ่อยครั้งที่เจตคติเกิดจากโครงสร้างของอำนาจทางสังคมซึ่งมักเป็นอคติเกี่ยวกับเชื้อชาติ  เพศ  หรืออายุ  และนำมาสู่การแบ่งแยก  (Discrimination)  ในที่สุด

115         เป็นพฤติกรรมที่กล้าแสดงความคิดเห็น  ความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา  ก่อประโยชน์แก่ตนและคู่สนทนา

ตอบ  5  พฤติกรรมช่วยเหลือ

พฤติกรรมการแสดงออกที่เหมาะสมนั้น  ไม่ใช่พฤติกรรมก้าวร้าวแต่เป็นพฤติกรรมที่กล้าแสดงความคิดเห็น  ความรู้สึก  ความปรารถนา  และความเชื่อของตนอย่างตรงไปตรงมา  ซื่อสัตย์ต่อกัน  และเหมาะสมกับกาลเทศะ  ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่นด้วย  ดังนั้นการแสดงออกที่เหมาะสมจึงเป็นการแสดงออกที่ก่อประโยชน์แก่ตนเองและแก่คู่สนทนา

116         เป็นท่าทีความพร้อมที่ประกอบด้วย  ความเชื่อ  ความรู้สึก  และแนวโน้มการกระทำ

ตอบ  2  เจตคติ

เจตคติ  มีองค์ประกอบ  3  อย่าง  คือ

1              องค์ประกอบทางความเชื่อ

2              องค์ประกอบทางอารมณ์หรือความรู้สึก

3              องค์ประกอบทางการกระทำหรือพฤติกรรม

117         การที่เรายอมรับการพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ของ  พ.ญ.  คุณหญิงพรทิพย์  โรจนสุนันท์  แสดงถึงอำนาจทางสังคมกรณีใด

1  อำนาจในการให้รางวัล                       2  อำนาจในการบังคับ                    3  อำนาจตามการอ้างอิง

4  อำนาจตามความเชี่ยวชาญ                  5  อำนาจตามกฎหมาย

ตอบ  4  อำนาจตามความเชี่ยวชาญ                 

อำนาจตามความเชี่ยวชาญ  (Expert  Power)  คือ  อำนาจที่มีพื้นฐานมาจากการยอมรับว่าบุคคลที่เรายอมทำตามนั้นเป็นผู้ที่มีความสามารถ  มีความเชี่ยวชาญ  และนำไปสู่จุดหมายปลายทางได้

118         Group  Sanction  เกิดจากอะไร

1  การคล้อยตามกลุ่ม                            2  การไม่คล้อยตามกลุ่ม                    3  การแสดงมติเอกฉันท์

4  การขาดการหล่อหลอมทางสังคม     5  ผิดทั้งหมด

ตอบ  2  การไม่คล้อยตามกลุ่ม                    

เมื่ออยู่ในกลุ่ม  บุคคลมักได้รับรางวัลจากการคล้อยตามกลุ่ม  และได้รับการปฏิเสธเมื่อไม่คล้อยตาม  การปฏิเสธนี้เรียกว่า  Group  Sanction  ซึ่งมีตั้งแต่การหัวเราะเยาะ  การจ้องมองหรือการไม่ยอมรับ  จนถึงการเนรเทศออกจากกลุ่ม

119         ข้อใดแสดงถึงอิทธิพลทางสังคม

1  การชักจูง             2  การเสนอแนะ              3  การล้างสมอง             4  การอภิปรายกลุ่ม          5  ถูกทุกข้อ

ตอบ  5  ถูกทุกข้อ

อิทธิพลทางสังคม  หมายถึง  การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเนื่องมาจากพฤติกรรมของผู้อื่น  โดยแมคไกวร์  (McGuire)  ได้แบ่งสถานการณ์ที่อาจเกิดอิทธิพลทางสังคมขึ้น  5  สถานการณ์  คือ

1  การเสนอแนะ            2  การคล้อยตาม            3  การอภิปรายกลุ่ม            4  การใช้สารชักจูง         5  การยัดเยียดความคิดให้ผู้อื่น  หรือการล้างสมอง  เป็นสถานการณ์ที่ใช้ทั้ง  4  ลักษณะข้างต้นพร้อมๆกัน

120         บริบททางสังคมคืออะไร

1  อาณาจักรส่วนบุคคล                  2  กลุ่มทุกกลุ่มที่ห้อมล้อมบุคคล                3  ขอบเขตของแต่ละกลุ่ม

4  รอยต่อระหว่างกลุ่มสังคม          5  ถูกทุกข้อ

ตอบ  2  กลุ่มทุกกลุ่มที่ห้อมล้อมบุคคล               

บริบททางสังคม  (สิ่งแวดล้อมทางสังคม)  คือ  กลุ่มทุกกลุ่มที่บุคคลเป็นสมาชิกอยู่  ซึ่งบุคคลแต่ละคนเป็นสมาชิกของหลายกลุ่มในขณะเดียวกัน  โดยในแต่ละกลุ่มจะมีตำแหน่งเป็นสิ่งชี้ให้เห็นบทบาทและสถานภาพของบุคคล

PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป ภาค 2/2553

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  PSY1001 จิตวิทยาทั่วไป

คำสั่ง     ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120  ข้อ)

1.  จิตวิทยา คือ  การศึกษาเชิงวิทยาศาสตร์  ซึ่งได้แก่  วิธีใด

(1)  การสังเกต                                                     

(2) การศึกษาสหสัมพันธ์ 

(3)  การสำรวจ

(4)  การทดลอง

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ (5) ถูกทุกข้อ

2.  ปัญหาใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาโดยตรง

(1)  ปัญหาการฆ่าตัวตาย

(2)  ปัญหาการทำแท้ง

(3) ปัญหานักเรียนตีกัน

(4)  ปัญหาเงินเฟ้อ

(5)  ปัญหาโสเภณี

ตอบ (4)  ปัญหาเงินเฟ้อ                   

3.  พฤติกรรมใดที่ต้องอาศัยการศึกษาโดยการสอบถามหรือสร้างเครื่องมือวัด

(1)  การแสดงออก                               (2)  การจำ                                   (3)  การพูด

(4)  การออกกำลังกาย                         (5)  การเรียน

 ตอบ (2)  การจำ                                  

ข้อ 4. – 8.    จงพิจารณาจับคู่ข้อที่ตรงกัน

(1)  กลุ่มโครงสร้างของจิต                (2)  กลุ่มหน้าที่ของจิต                        (3)  กลุ่มพฤติกรรมนิยม

(4)  กลุ่มเกสตัลท์                              (5)  กลุ่มจิตวิเคราะห์

4.   การเข้าใจบุคคลต้องศึกษาโดยส่วนรวมทั้งหมด   

ตอบ (4)  กลุ่มเกสตัลท์             

5.   ปฏิเสธเรื่องจิต  และเน้นให้ความสำคัญสิ่งเร้าและการตอบสนอง     (3)

ตอบ (3)  กลุ่มพฤติกรรมนิยม

6.  สิ่งที่อยู่ในจิตไร้สำนึกได้แก่  ความปรารถนา   แรงขับทางเพศ  และความก้าวร้าว

ตอบ (5)  กลุ่มจิตวิเคราะห์

7.  ใช้วิธีการศึกษาที่เรียกว่า การมองภายใน”  และวิธีสังเกต – ทดลอง  

ตอบ (1)  กลุ่มโครงสร้างของจิต               

8.  กลุ่มนี้ได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลล์  ดาร์วิน    

ตอบ (2)  กลุ่มหน้าที่ของจิต                       

9.  เพราะเหตุใด  การศึกษาเรื่องอารมณ์จึงเป็นเรื่องยาก

(1) ไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง                (2)  อารมณ์มีความรุนแรง            (3)  อารมณ์ไม่คงที่

(4)  อารมณ์เปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ                        (5)  ถูกทุกข้อ

ตอบ (1) ไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง            

10.  อารมณ์ใดที่เป็นอารมณ์ผสมกันระหว่างรัก  โกรธ  และกลัว

(1)  ว้าวุ่น                    (2)  หวาดหวั่น               (3) อิจฉา             (4)  ผิดหวัง                   (5) รังเกียจ

ตอบ (3) อิจฉา            

11.  ระบบประสาทอัตโนมัติที่มีหน้าที่ทำให้ร่างกายผ่อนคลายสงบลงหลังจากเกิดอารมณ์เต็มที่แล้ว  มีชื่อว่าอะไร

 (1)  ลิมบิก         (2) ซิมพาเธติก           (3) พาราซิมพาเธติก        (4) ไฮโปธาลามส         (5) โซมาติก

ตอบ (1)  ลิมบิก        

12.  ฮอร์โมนที่ร่างกายจะหลั่งเมื่อเรามีอารมณ์โกรธ  ได้แก่  ฮอร์โมนอะไร

 (1)  นอร์แมนรีนาลิน        (2) แอดรีนาลิน       (3)  อินซูลิน         (4) ไทร็อกซิน          (5) ไทโมซิน

ตอบ (1)  นอร์แมนรีนาลิน  

13.  ข้อใดเป็นหน้าที่ของอารมณ์ประหลาดใจ

(1)  ร่วมมือ                                 

(2) การปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่

(3) ปฏิเสธ

(4) รักษาความรู้สึกสูญเสีย

(5)  การสำรวจค้นหา

ตอบ (2) การปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมใหม่       

14.  ใครที่กล่าวว่าการแสดงออกทางอารมณ์เป็นเครื่องช่วยในการอยู่รอดของชีวิต

(1)  ฟรอยด์                (2)  มาสโลว์            (3) แบบดูร่า           (4) โรเบิร์ต  พลูทซิค            (5) ชาร์ลล์ ดาร์วิน

ตอบ (5) ชาร์ลล์ ดาร์วิน

15.  ใครที่เป็นผู้เสนอทฤษฎีการแสดงออกทางใบหน้าซึ่งเป็นการสะท้อนอารมณ์เป็นธรรมชาติของมนุษย์

 (1)  ทอมกินส์          (2) เอ็กแมน                (3) พลูทซิค             (4)  แชคเตอร์          (5) แพงค์เซป

ตอบ (1)  ทอมกินส์         

16.  อารมณ์ที่ท่านชอบมากที่สุด  ได้แก่ อารมณ์ใด

(1)  รื่นเริง            (2) ยอมรับ               (3) คาดหวัง               (4) ตื่นเต้น                  (5) เศร้า

ตอบ (1)  รื่นเริง           

17.  ข้อใดที่เครื่องมือจับเท็จไม่สามารถวัดได้

(1)  การเต้นของหัวใจ                        (2) ความดันโลหิต                               (3) ไขมันในเส้นเลือด

(4)  GSR                                (5) อัตราการหายใจ

ตอบ (3) ไขมันในเส้นเลือด

18.  ทฤษฎีอารมณ์ของใครที่กล่าวว่า อารมณ์เกิดภายหลังการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย

 (1)  เจมส์-แลง                        

(2)  แคนนอน – บาร์ด                          

(3)  แชคเตอร์ – ซิงเกอร์

 (4)  โอลล์ – มิลเนอร์                            

(5)  คาร์ล – แลง

ตอบ (1)  เจมส์-แลง                       

19.  ระยะห่างระหว่างบุคคล ที่เรียกว่า ระยะสาธารณะ  มีระยะกี่ฟุต

(1)  4 ฟุต

(2) 6 ฟุต

(3) 8 ฟุต

(4) 10 ฟุต

(5) 12 ฟุต

ตอบ (5) 12 ฟุต

ข้อ 21. – 25.    จงเลือกจับคู่ข้อที่ตรงกัน

 (1) ตำแหน่ง              (2) บทบาท             (3) ปทัสถาน          (4) สถานภาพ        (5) ความขัดแย้งในบทบาท

21.  นักศึกษาที่จะเข้าห้องสอบต้องแต่งกายเรียบร้อยตามระเบียบของมหาวิทยาลัย   

ตอบ (3) ปทัสถาน       

22.  เป็นการประเมินคุณค่าของตำแหน่งที่เราได้รับโดยสังคม     

ตอบ (4) สถานภาพ        

23.  คนเป็นแม่ต้องเลี้ยงดูแลเอาใจใส่ลูกอย่างใกล้ชิด     

ตอบ (1) ตำแหน่ง             

24.  การเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง     

ตอบ (2) บทบาท            

25.  ชมพู่ต้องตัดสินใจว่าจะเรียนปริญญาโทต่อหรือจะแต่งงานดี     

ตอบ (5) ความขัดแย้งในบทบาท

26.  การเปิดเผยตนเอง”  เป็นหลักของการสร้างมนุษยสัมพันธ์ซึ่งมีเงื่อนไขที่สำคัญอย่างไร

(1)  เปิดเผยให้มากที่สุด                     (2) ขึ้นอยู่กับตัวเรา                              (3)  ต้องพอดีๆ

(4)  ต้องดูท่าทีของอีกฝ่ายหนึ่ง         (5)  เปิดเผยให้น้อยที่สุด

 ตอบ (3)  ต้องพอดีๆ

27.  ข้อใดเป็นทัศนคติ

(1)  จิตวิทยาศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์                          (2) จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้ง

(3)  เรียนจิตวิทยาทำให้เข้าใจตนเองและผู้อื่น              (4)  เรียนจิตวิทยาแล้วสนุกไม่น่าเบื่อ

(5)  ถูกทุกข้อ

ตอบ (4)  เรียนจิตวิทยาแล้วสนุกไม่น่าเบื่อ

28.  ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของผู้ถืออคติสูง

 (1)  ยึดมั่นถือมั่น              (2) มองโลกแง่ดี         (3) อัตนิยม         (4) คล้อยตาม       (5) อนุรักษนิยม

ตอบ (2) มองโลกแง่ดี        

29.  ข้อใดเป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้

(1)  การว่ายน้ำของปลา                       (2) การกะพริบตา                                (3) การชักใยของแมงมุง  

(4)  การวิ่งไปรับโทรศัพท์            (5)  การกระตุกของตา

ตอบ (4)  การวิ่งไปรับโทรศัพท์           

30.  ข้อใดเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการทำให้เกิดการเรียนรู้

(1)  การกระทำซ้ำ                                (2) การเสริมแรง                             (3)  ความพร้อม

(4)  การลงโทษ                                    (5) การสร้างสถานการณ์

ตอบ (2) การเสริมแรง                 

31.  ท่านใดเป็นผู้สร้างทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบการกระทำ

 (1)  Skinner          (2)  Maslow           (3) Piaget              (4) Thorndike         (5) Pavlov

ตอบ (1)  Skinner         

ข้อ 32. – 35.    จงจับคู่กับข้อความที่มีความสัมพันธ์กันในการวางเงื่อนไขแบบคลาสสิค

 (1) ผงเนื้อ                  (2) หนู                    (3) สุนัข                 (4) การหลั่งของน้ำลาย              (5) กระดิ่ง

32.  สิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไข (US)      

ตอบ (1) ผงเนื้อ                 

33.   ส่งเร้าที่วางเงื่อนไข  (CS)    

ตอบ (5) กระดิ่ง

34.  การตอบสนองที่ไม่ได้วางเงื่อนไข  (UR)    

ตอบ (4) การหลั่งของน้ำลาย              

35.  การตอบสนองที่วางเงื่อนไข  (CR)   

ตอบ (4) การหลั่งของน้ำลาย              

36.  นักศึกษาที่ทำคะแนนสอบได้ 80 เปอร์เซ็นต์  จะได้เกรดG  นับว่าเป็นการเสริมแรงแบบใด

(1)  การเสริมแรงแบบช่วงเวลาที่แน่นอน                      (2)  การเสริมแบบแบบเวลาที่ไม่แน่นอน

(3)  การเสริมแรงและอัตราส่วนที่แน่นอน               (4)  การเสริมแรงแบบอัตราส่วนที่ไม่แน่นอน

(5)  การเสริมแรงแบบต่อเนื่อง

ตอบ (3)  การเสริมแรงและอัตราส่วนที่แน่นอน               

37.  เงิน”  เป็นสิ่งเสริมแรงประเภทใด

(1)  สิ่งเสริมแรงปฐมภูมิ                    (2) สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิ                (3) สิ่งเสริมแรงครอบคลุม

(4)  สิ่งเสริมแรงต่อเนื่อง                   (5) สิ่งเสริมแรงครั้งคราว

ตอบ (2) สิ่งเสริมแรงทุติยภูมิ               

38.  ปรากฏการณ์ที่เด็กเลิกงอแง  หลังจากที่ทำเป็นเฉยๆ และไม่สนใจต่อการร้องไห้ของเขา เราเรียกว่าพฤติกรรมนั้นว่าอะไร

 (1)  Generalization                       (2) Extinction                      (3) Discrimination   

(4) Acquisition                            (5) Shaping

 ตอบ (2) Extinction                     

39.  ระบบการจูงใจจะเกิดตามลำดับดังนี้

(1)  ความต้องการ  แรงขับ  การตอบสนอง  สิ่งเร้า  เป้าหมาย

(1)  สิ่งเร้า  แรงขับ  การตอบสนอง  ความต้องการ  เปาหมาย

(3)  สิ่งเร้า  ความต้องการ แรงขับ  การตอบสนอง  เป้าหมาย

(4)  แรงขับ   สิ่งเร้า   การตอบสนอง   ความต้องการ   เป้าหมาย

(5)  เป้าหมาย  สิ่งเร้า  แรงขับ   ความต้องการ   การตอบสนอง

ตอบ (3)  สิ่งเร้า  ความต้องการ แรงขับ  การตอบสนอง  เป้าหมาย

40.  ปรากฏการณ์ที่สมบัติเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรีเพื่อให้มีความรู้สูงขึ้นถึงแม้จะมีอุปสรรคมากมาย ทั้งนี้เพราะสมบัติต้องการตอบสนองในด้านใดตามทัศนะของมาสโลว์

(1)  ความต้องการด้านร่างกาย                                          (2)  ความต้องการความรัก  ความเป็นเจ้าของ

(3)  ความต้องการความมั่นคง  ปลอดภัย                         (4)  ความต้องการประจักษ์ตน

(5)  ความต้องการได้รับการยกย่องจากผู้อื่น

ตอบ (4)  ความต้องการประจักษ์ตน

41.  ข้อใดเป็นแรงจูงใจภายใน

(1)  สมชายทำงานเพื่ออยากได้เงิน                             

(2)  สมศักดิ์ขับแท็กซี่เพื่อเริ่มรายได้กับครอบครัว

(3)  สมหญิงตั้งใจเรียนหนังสือเพื่อความสุขของแม่

(4) สมชัยไปลีลาศเพื่อออกกำลังกาย

(5)  สมถวิลฝึกหัดพิมพ์ดีดเพื่อทำรายงานส่งอาจารย์

ตอบ (4) สมชัยไปลีลาศเพื่อออกกำลังกาย

42.  ความต้องการของมนุษย์ต้องการที่จะป้องกันตนเองนั้น  ตรงกับความต้องการข้อใดตามทัศนะของเมอร์เรย์

 (1)  Need  for  Counteraction     (2) Need for Exhibition        (3) Need for Dominance

 (4)  Need for Defendance         (5) Need for Reference

ตอบ (4)  Need for Defendance        

43.  มนุษย์ทุกคนต้องการหลีกเลี่ยงปมด้อยและความล้มเหลว  ซึ่งตรงกับความต้องการด้านใดตามทัศนะของ เมอร์เรย์

 (1)  Inferiority                     (2) Inviolacy                    (3) Contrasiness               

(4) Nurturance                       (5) Affiliation

ตอบ (1)  Inferiority                    

44.  ข้อใดเป็นการสื่อถึงแรงจูงใจเพื่อการสืบพันธุ์

 (1)  การดูหนัง                                       (2)  การพูด                         (4)  การแสดงออกทางศิลปะ

 (4)  การสนใจเพื่อนเพศตรงข้าม           (5) ถูกทุกข้อ

ตอบ (4)  การสนใจเพื่อนเพศตรงข้าม          

45.  เมื่อเกิดไฟไหม้ขึ้น  มานัสสามารถแบกตุ่มน้ำออกมาจากประตูแคบๆ ได้ แสดงว่าเกิดแรงขับชนิดใดขึ้น

(1)  แรงขับเพื่อการอยู่รอดของชีวิต          (2) แรงขับเพื่อการศึกษา                (3) แรงขับฉุกเฉิน

(4)  แรงขับเพื่อการสืบพันธุ์                      (5)  ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ (3) แรงขับฉุกเฉิน

46.  พฤติกรรมที่วัยรุ่นมักแต่งตัวตามแฟชั่นของดาราทีวี  แสดงถึงการเรียนรู้แบบใด

(1)  การเลียนแบบ

(2) การวางเงื่อนไข                             

(3)  แบบไม่วางเงื่อนไข

(4)  แบบธรรมชาติ

(5)  ไม่มีข้อใดถูก

 ตอบ (1)  การเลียนแบบ 

47.  ทฤษฎีใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับแรงจูงใจ

(1)  ทฤษฎีแรงขับ                                (2)  ทฤษฎีหลักการมีเหตุผล              (3) ทฤษฎีการศึกษา

(4)  ทฤษฎีสัญชาตญาณ                     (5)  ทฤษฎีความต้องการความสุขส่วนตัว

ตอบ (3) ทฤษฎีการศึกษา

48.  ข้อใดที่ไม่ใช่เป็นแรงขับที่จำแนกตามระบบทางชีววิทยา

(1)  แรงขับทางสังคม                 (2)  แรงขับเพื่อการอยู่รอดของชีวิต        (3) แรงขับฉุกเฉิน

(4)  แรงขับเพื่อการสืบพันธุ์              (5)  แรงขับเพื่อการศึกษา

ตอบ (1)  แรงขับทางสังคม 

50.  ฟรอยด์มีแนวคิดว่าโครงสร้างบุคลิกภาพมนุษย์มีลักษณะในข้อใด

(1)  ระดับจิตสำนึก  และไร้สำนัก      (2) อิด  อีโก้  ซุปเปอร์อีโก้       (3)  เก็บตัว และกล้าแสดงออก

(4)  อัตตา  และอัตมโนทัศน์                (5)  ลักษณะประจำตัวแต่ละคน

ตอบ (2) อิด  อีโก้  ซุปเปอร์อีโก้      

51.  ผู้ที่ไม่เชื่อว่ามนุษย์มีการเรียนรู้ผ่านกระบวนการการวางเงื่อนไขคือ

(1)  ธอร์นไดด์           (2) สกินเนอร์            (3) แบนดูร่า           (4) วัตสัน               (5) ฟรอยด์

ตอบ (5) ฟรอยด์

52.  ทฤษฎีใดเชื่อว่ามนุษย์มีอิสรภาพที่จะตัดสินใจ + กำหนดชะตาชีวิตตนเองได้  คือ

(1) ทฤษฎีจิตวิเคราะห์            (2) ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม               (3) ทฤษฎีมนุษยนิยม

(3) ทฤษฎีการสังเกตตัวแบบ             (5) ทฤษฎีประเภทและโครงสร้าง

ตอบ (3) ทฤษฎีมนุษยนิยม

53.  อัตตา (Self)  ตามความหมายของโรเจอร์ คือ

(1)  ความรู้สึก  ทัศนคติที่มีต่อตนเอง                (2)  ประสบการณ์ทั้งทางบวกและลบรอบตัวเรา

(3)  ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับตัวเรา                       (4) ตัวตนในอุดมคติ

(5) การประจักษ์แห่งตน

ตอบ (1)  ความรู้สึก  ทัศนคติที่มีต่อตนเอง 

54.  คาร์ล  จุง  จัดแบ่งบุคลิกภาพเป็นแบบใด

(1) จิตสำนึก           (2) จิตก่อนสำนึก         (3) การเรียนรู้           (4) อัตตา            (5)  การสื่อสาร

ตอบ (1) จิตสำนึก          

55.  การประจักษ์ในตน  (Self Actualization)  เป็นแนวคิดใคร

(1)  มาสโลว์        (2) ฟรอยด์                  (3) สกินเนอร์              (4) โรเจอร์ส                 (5) เซลดอน

ตอบ (1)  มาสโลว์       

56.  ลักษณะที่ใช้ร่วม เช่น คนเหนือสุภาพ  คนใต้รักพวกพ้อง  เรียกว่าอะไร

(1)  ลักษณะศูนย์กลาง                        (2)  ลักษณะแฝง                           (3)  ลักษณะประจำตัวดั้งเดิม

(4)  ลักษณะพื้นผิว                              (5)  ลักษณะสำคัญ

ตอบ (5)  ลักษณะสำคัญ

57.  ฟรอยด์  แบ่งพัฒนาการทางเพศออกเป็นกี่ขั้น

(1)  3 ขั้น                     (2)  4ขั้น              (3) 5 ขั้น                        (4) 6 ขั้น                  (5) 7 ขั้น

58.  ข้อใดไม่ใช่การวัดหรือการประเมินบุคลิกภาพ

(1) การสัมภาษณ์                                 (2) การสังเกต                                         (3)  การใช้แบบสอบถาม

(4) การฉายภาพ                                   (5) การให้คำปรึกษา

ตอบ (5) การให้คำปรึกษา

59.  ฟรอยด์เชื่อว่าในวัยแรกเกิดส่วนที่ให้ความพึงพอใจ หรือให้ความสุขของมนุษย์อยู่ที่ปาก  ซึ่งบริเวณต่างๆของร่างกายที่ให้ความสุขนี้เรียกว่าอะไร

(1)  Oral  Stage                        (2) Fixation                            (3) Latency

(4)  Erogenous  Zone               (5)  Phallic

ตอบ (4)  Erogenous  Zone               

60.  เด็กทารกที่อยากดูดนิ้วแต่ถูกห้ามไม่ให้ดูด  เลยทำให้คับข้องใจและมีความรู้สึกติดค้างในใจไปจนโตฟรอยด์เรียกว่า

(1)  Life  Instinct                (2)  Erogenous Zone                    (3) Oral Stage

(4) Imitation                       (5) Fixation

ตอบ (5) Fixation

61. ผู้ที่คิดทฤษฎีสติปัญญาว่ามีตัวประกอบ 2 ปัจจัย คือ

(1) บิเนต์                  (2) ไซมอน               (3) สเปียร์แมน           (4) กิลฟอร์ด             (5) ราเวน

ตอบ (3) สเปียร์แมน

62.  แบบทดสอบใดใช้วัดสติปัญญาสำหรับผู้ใหญ่

 (1)  WAIS           (2)  WISC              (3)  WPPSI            (4) CPM                (5)  TAT

ตอบ (1)  WAIS         

63.  ข้อใดมีค่าสติปัญญาใกล้เคียงกันที่สุด

(1)  ฝาแฝดคล้ายเลี้ยงดูด้วยกัน         (2) แฝดเหมือนเลี้ยงดูแยกกัน       (3)  พ่อแม่  กับลูก

(4)  พี่น้องเลี้ยงดูด้วยกัน                    (5) ไม่ใช่พี่น้องเลี้ยงดูด้วยกัน

ตอบ (2) แฝดเหมือนเลี้ยงดูแยกกัน

64.  คนที่มีความสามารถในการทำงานด้านศิลปะได้ยอดเยี่ยมแสดงว่า

(1)  มีสติปัญญาดี                 (2) มี G-factor  สูง                              (3)  มี  S-factor  สูง

(4)  ส่วนประกอบด้าน  มิติ” สูง                      (5) มีความอ่อนไหวต่อการรับรู้

ตอบ (3)  มี  S-factor  สูง

65.  สมชายสอนวิชาดนตรีแต่ออกข้อสอบมีเนื้อหาเรื่องพละศึกษาข้อสอบนี้ขาดคุณสมบัติข้อใด

(1)  ความเป็นปรนัย                            (2) ความเชื่อถือได้                              (3)  ความเที่ยงตรง

(4)  ความเป็นมาตรฐาน                     (5)  ความลำเอียง

ตอบ (3)  ความเที่ยงตรง

66.  แบบทดสอบที่มีการกำหนดเวลาในการทดสอบแน่นอน มีคำสั่งชัดเจน  มีวิธีให้คะแนนและมีเกณฑ์ของกลุ่มคนปกติให้ แบบทดสอบนี้มีคุณสมบัติในข้อใด

(1)  ความเป็นปรนัย                            (2)  น่าเชื่อถือได้                                  (3)  เที่ยงตรง

(4)  ไม่มีความลำเอียง                          (5)  มีความเป็นมาตรฐาน

ตอบ (5)  มีความเป็นมาตรฐาน

67.  แบบทดสอบใดที่ทดสอบความสามารถในการใช้เหตุผล  ซึ่งเป็นองค์ประกอบของ G-factor

 (1) Standard PM                              (2) Binet                           (3) WPPSI          

(4) 16 PF                                         (5)  WAIS

68.  Chronological  Age  หรืออายุตามปฏิทิน คืออะไร

(1)  คืออัตราส่วนของไอคิว                               (2)  อายุนับตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันทดสอบ

(3)  อายุที่ใช้คำนวณไอคิว                                 (4)  คะแนนจากแบบทดสอบสติปัญญา

(5)  เกณฑ์มาตรฐานในการวัดไอคิว

ตอบ (2)  อายุนับตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันทดสอบ

69.  ด.ช.เอ  มีอายุจริง 2 ปี 4  เดือน  แต่มีอายุสมองเท่ากับ 2 ปี 2 เดือน ด.ช. เอ มีไอคิวเท่าไร

(1)  82                       (2) 84                       (3) 86                                (4)  92                     (5) 94

ตอบ (4)  92                    

71.  กลุ่มใดเชื่อว่ามนุษย์มีเสรีภาพเต็มที่ในการกระทำของตน  ไม่สามารถโทษผู้อื่นและสิ่งแวดล้อมได้

(1)  กลุ่มจิตวิเคราะห์                           (2)  กลุ่มพฤติกรรมนิยม                     (4)  กลุ่มจิตสังคม

(4)  กลุ่มมนุษยนิยม                             (5)  กลุ่มทฤษฎีการอยู่รอด

ตอบ (5)  กลุ่มทฤษฎีการอยู่รอด

72.  คนที่ปรับตัวไม่ได้เป็นเพราะพลังอีโก้อ่อนแอเกินไปทำให้เกิดการขาดสมดุลระหว่างอิดดับซูเปอร์อีโก้ คือความเชื่อของกลุ่มใด

(1)  กลุ่มจิตสังคม                                (2)  กลุ่มพฤติกรรมนิยม                     (3) กลุ่มจิตวิเคราะห์

(4)  กลุ่มมนุษยนิยม                             (5)  กลุ่มทฤษฎีการอยู่รอด

ตอบ (3) กลุ่มจิตวิเคราะห์

73.  ข้อใดจัดว่าเป็นการปรับตัวไม่ดีไม่เหมาะสม

(1)  ปรับในทางที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง                    (2)  ปรับให้อยู่ดีมีความสุขขึ้น

(3)  ปรับตัวในสังคมอย่างมีประสิทธิภาพ                      (4)  ปรับเพื่อตนเองอยู่รอด

(5)  ปรับตัวโดยไม่กั้นอิสรภาพผู้อื่น

74.  ข้อใดคือสาเหตุของความเครียดที่แท้จริง

(1)  ระบบการแข่งขันในสังคม                                        (2)  อาหารที่เป็นตัวกระตุ้นการเต้นของหัวใจ

(3)  ความรู้สึกหดหู่ดูถูกตนเอง                                      (4) มลพิษในอากาศ

(5) รายได้น้อย                    

ตอบ (4) มลพิษในอากาศ                     

75.  บุคลิกภาพแบบ “A”  มีลักษณะอย่างไร

(1) เก็บตัว                (2) ใจเย็น             (3) ไม่เสี่ยง                        (4) เฉื่อยชา                (5) แข่งขันสูง

ตอบ (5) แข่งขันสูง

76.  โรคปวดศีรษะข้างเดียวซึ่งมีสาเหตุจากความเครียด  เราจัดอยู่ในกลุ่มโรคอะไร

(1)  โรคประสาท     (2) ไซโคโซมาติก     (3) สกิซโซฟรีเนีย     (4) โรความดันสูง    (5) ไมเกรน

ตอบ (2) ไซโคโซมาติก    

77.  ผู้ที่ศึกษาสภาวะร่างกายเมื่อเกิดความเครียด  เป็นนักสรีระศาสตร์ชาวแคนนาดาชื่ออะไร

(1)  เซลเย                               (2)  ฟรอยด์                                           (3) ไฟร์แมน

(4)  โรเซ่นแมน                                   (5)  คอลลาร์ด  และมิลเลอร์

ตอบ (1)  เซลเย                              

78.  เมื่อร่างกายต้องเผชิญสิ่งที่ทำให้เครียดเป็นเวลานานๆ จะเกิดภาวะใด

(1)  การหลั่งฮอร์โมนสู่กระแสโลหิต        (2) สร้างระบบเตือนภัย        (3) สร้างกลไกป้องกันตนเอง

(4)  ร่างกายลดประสิทธิภาพ            (5) เกิดระยะเหนื่อยล้าภูมิคุ้มกันลดลง

ตอบ (1)  การหลั่งฮอร์โมนสู่กระแสโลหิต       

79.  สมชายโกรธนายแต่ทำอะไรไม่ได้  เมื่อกลับบ้านสมชายด่าว่าลูกแทน  สมชายใช้กลไกป้องกันตนเองชนิดใด

(1) การเก็บกด                                      (2)  การหาสิ่งทดแทน                   (3) การโยนความคิด

(4) การไม่รับรู้ความจริง                     (5) การชดเชยสิ่งที่ขาด

ตอบ (2)  การหาสิ่งทดแทน                  

80.  หนีเสือปะจระเข้”  คำพังเพยนี้ตรงกับ Conflicts ชนิดใด

(1)  Approach – Approach Conflicts

(2)  Avoidance – Avoidance Conflicts

(3)  Approach – Avoidance Conflicts

(4)  Avoidance – Approach Conflicts

(5)  Double Approach – Avoidance

ตอบ (2)  Avoidance – Avoidance Conflicts

81. ในการพัฒนาบุคลิกภาพข้อใดถูกที่สุด

(1)  ไม่ควรพูดแง่ดีกับตนเองบ่อยๆ เพราะจะไม่สามารถพัฒนาตนได้

(2)  ควรสำรวจตนเอง  และเชื่อตนเอง  อย่าฟังผู้อื่น

(3)  ไม่ควรนำตนเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น

(4)  การสำรวจปมด้อยตนเองบ่อยๆ จะช่วยพัฒนาบุคลิกภาพดี

(5)  ถูกหมดทุกข้อ

ตอบ (4)  การสำรวจปมด้อยตนเองบ่อยๆ จะช่วยพัฒนาบุคลิกภาพดี

82. ปมเอดิอุส  (Oedipus  Complex)  เกิดในช่วงอายุใด

(1)  ราว 18 เดือน                                 (2)  2 – 3 ปี                                           (3)  3 – 5 ปี

(4)  6 ปี – วัยรุ่น                                   (5)  วัยรุ่นขึ้นไป

ตอบ (3)  3 – 5 ปี

83.  บุคลิกภาพที่จู้จี้  เจ้าระเบียบ  รักษาความสะอาด  จะมีกำเนิดจากพัฒนาการขั้นใด  ตามความเชื่อของฟรอยด์

(1) ขั้นปาก                                            (2)  ขั้นทวารหนัก                          (3) ขั้นอวัยวะเพศ

(4)  ขั้นแอบแฝง                                  (5)  ขั้นมีเพศสัมพันธ์

ตอบ (2)  ขั้นทวารหนัก               

84.  ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อระดับสติปัญญาของมนุษย์                   

(1)  ยีนส์ที่ดี                                  (2)  เพศและสีผิว                          (3)  อายุของแม่ขณะตั้งครรภ์

(4)  เพศและฐานะทางเศรษฐกิจ      (5) ยีนส์ที่ดีบวกกับประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดี

ตอบ (5) ยีนส์ที่ดีบวกกับประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดี

85.  ลักษณะทางพันธุกรรมที่แอบแฝงไม่ปรากฏให้เห็นในรุ่นลูก  แต่ปรากฏในรุ่นหลาน  เหลน ได้คือ

(1)  โครโมโซม                                       (2)  Genotype                      (3)  Phenotype

(4)  Klinefelter’s  Syndrome         (5)  Turner’s  Syndrome

ตอบ (2)  Genotype                     

86.  พันธุกรรมทางด้านร่างกาย  มีผลต่อ…………………….

(1)  บุคลิกภาพของบุคคล               (2)  อารมณ์ของบุคคล          (3)  การรับรู้เกี่ยวกับตนเองของบุคคล

 (4)  ข้อ 1 และ 3                                   (5)  ข้อ 12 และ 3

87.  Down’s Syndrome  แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของพันธุกรรมทางด้าน

(1)  บุคลิกภาพ         (2) อารมณ์         (3) การรับรู้เกี่ยวกับตนเอง      (4) สติปัญญา     (5) ร่างกาย

ตอบ (4) สติปัญญา

88.  บุคคลได้รับอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการเรียนรู้ทางสังคม (Socialization)  ในช่วงใดของชีวิต

(1)  ก่อนเกิด                                         (2)  ขณะเกิด                                         (3)  หลังเกิด

(4)  ขณะเกิดและหลังเกิด                  (5)  ตั้งแต่ 3 เดือนแรกที่อยู่ในครรภ์ของมารดา

ตอบ (3)  หลังเกิด

89.  ข้อใดไม่ถูกต้อง  เมื่อกล่าวถึงอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อพัฒนาการของมนุษย์

(1)  ความเครียดที่ยาวนานของมารดามีผลต่อสติปัญญาของทารกในครรภ์

(2)  สิ่งแวดล้อมเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาบุคลิกภาพและสติปัญญา

(3)  ขณะคลอดถ้าทารกขาดออกซิเจนประมาณ 18 วินาที จะมีผลต่อเซลล์สมอง

(4)  เจตคติของพ่อแม่สำคัญที่สุดในบรรดาสิ่งแวดล้อมในครอบครัวทั้งหมด

(5)  สิ่งแวดล้อมมีผลต่อพัฒนาการทางด้านสังคม อารมณ์ และบุคลิกภาพ

ตอบ (2)  สิ่งแวดล้อมเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาบุคลิกภาพและสติปัญญา

90. บุคคลที่ศึกษาเรื่องการเรียนรู้แบบฝังใจ  (Imprinting) คือ

(1)  คอนราด  ลอเรนซ์ (Konrad  Lorenz)                 (2) กีเซลล์ (Gesell)

(3)  เมนเดล  (Mendel)             (4) เซลดอล (Sheldon)             (5) ลอเรนซ์  และกีเซลล์

ตอบ (1)  คอนราด  ลอเรนซ์ (Konrad  Lorenz)       

91.  ข้อความใดถูกต้องที่สุดในเรื่องลักษณะของพัฒนาการของมนุษย์

(1)  พัฒนาการจะเกิดทุกช่วงของชีวิต

(2)  พัฒนาการจะเป็นไปตามแบบฉบับของอินทรีย์แต่ละชนิด

(3)  บุคคลมีขั้นตอนการเหมือนกันแต่มีอัตราการพัฒนาต่างกัน

(4)  บุคคลแต่ละคนมีอัตราการพัฒนาการไม่เท่ากันในแต่ละช่วงของชีวิต

(5)  ทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ (5)  ทุกข้อที่กล่าวมา

92.  ทฤษฎีพัฒนาการของบุคคลใดต่อไปนี้ที่ให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนากาความเชื่อถือไว้วางใจในช่วงแรกเกิดถึงหนึ่งปีแรกของชีวิต

(1)  ซิกมันด์  ฟรอยด์  (Sigmund  Freud)                     (2)  อิริค  อิริคสัน  (Erik Erikson)

(3)  ชอง  เพียเจท์  (Jean  Piapet)                                (4)  ซัลลิแวน  (Sullivan)

(5)  กู๊ดอินาฟ  (Goodenough)

ตอบ (2)  อิริค  อิริคสัน  (Erik Erikson)

93.  การศึกษาปฏิกิริยาของลูกลิงที่มีต่อแม่ลงเทียมที่ทำด้วยผ้าขนหนูของแฮรี่  ฮาร์โลว์ (Harry  Harlow) นั้นเพื่อทดสอบในเรื่อง

(1)  ความแตกต่างระหว่างวุฒิภาวะกับการสิ่งแวดล้อม

(2)  การเรียนรู้แบบฝังใจที่เปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ยาก

(3)  ความแตกต่างระหว่างพันธุกรรมกับสิ่งแวดล้อม

(4)  ผลของการสัมผัสของแม่ที่ดีต่อพฤติกรรมของลูก

(5)  ความแตกต่างระหว่างวุฒิภาวะกับการเรียนรู้

ตอบ (4)  ผลของการสัมผัสของแม่ที่ดีต่อพฤติกรรมของลูก

94. ข้อความใดต่อไปนี้ถูกต้องในเรื่องของภาวการณ์นอนหลับ

(1)  การนอนที่ดีที่สุด  ไม่ควรต่ำกว่า 8 ชั่วโมงต่อคืน

(2)  คืนสนองของผู้ที่หลับลึกคะเน้นคลื่นชนิดที่เรียกว่า  เดลตา

(3)  บุคคลที่อดนอนมาเป็นเวลาหลายวัน  อาจเป็นโรคจิตได้

(4)  ศูนย์ของการนอนหลับจะอยู่ที่ระบบประสาทซิมพาเธติก

(5)  ทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ (2)  คืนสนองของผู้ที่หลับลึกคะเน้นคลื่นชนิดที่เรียกว่า  เดลตา

95.  EEG  (Electroencephalogram)  คือ

(1)  เครื่องมือวัดความจำ                     (2)  เครื่องมือวัดคลื่นหัวใจ                (5) เครื่องมือวัดคลื่นสมอง

(4)  เครื่องมือจับเท็จ                            (5)  เครื่องมือวัดความลึกในการหลับ

ตอบ (5) เครื่องมือวัดคลื่นสมอง

96.  ทฤษฎีความฝันที่เกี่ยวข้องกับจิตใต้สำนึกเป็นทฤษฎีของ

(1)  คาร์ล จุง                           (2)  ซิกมันด์  ฟรอยด์                (3)  คาร์ล จุง และซิกมันด์ ฟรอยด์

(4)  วิลเลี่ยม ดีเมนท์ และฮอลลัน                     (5)  ซิกมันด์  ฟรอยด์ และแมคคาเลย์

97.  ข้อดีของการฝันในแนวคิดของคาร์ล จุง คือ

(1)  การชดเชยทางจิตใจ                                                    (2)  การกระตุ้นให้เซลล์สมองทำการงาน

(4)  การตอบสนองความต้องการทางเพศ                       (4)  การพัฒนาความสมดุลของบุคลิกภาพ

(5)  ข้อ  1 และ 4

ตอบ (5)  ข้อ  1 และ 4

98.  REM ต่างกับ  N-REM  ตรงที่ว่า

(1)  ความฝันเกิดในช่วง  REM ไม่ใช่  N-REM

(2) ความฝันเกิดในช่วง N-REM ไม่ใช่ REM

(3)  ความฝันเกิดในช่วง N-REM  100%                       

(4) ความฝันเกิดในช่วง N-REM มากกว่า REM

(5)  REM และ N-REM  ไม่มีความแตกต่างกัน

ตอบ (1)  ความฝันเกิดในช่วง  REM ไม่ใช่  N-REM       

99.  ข้อใดถูกต้องในเรื่องของการสะกดจิต

(1)  การสะกดจิตและการนอนหลับเป็นภาวะที่เหมือนกัน

(2)  ไม่ใช่คนทุกคนที่จะสามารถสะกดจิตตนเองได้

(3)  เราสามารถสะกดจิตให้คนอื่นทำพฤติกรรมอะไรก็ได้ตามที่เราปรารถนา

(4)  การสะกดจิตช่วยทำให้ความจำของบุคคลดียิ่งขึ้น

(5)  ความเจ็บป่วยหลายอย่างสามารถบรรเทาลงได้โดยใช้การสะกดจิต

ตอบ (2)  ไม่ใช่คนทุกคนที่จะสามารถสะกดจิตตนเองได้

100.  กลุ่มของยาเสพติดกลุ่มใดบ้างที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางได้

(1)  กลุ่มกด + กระตุ้นประสาท  เท่านั้น                          (2)  กลุ่มกระตุ้น + หลอนประสาท เท่านั้น

(3)  กลุ่มกด + หลอนประสาท  เท่านั้น                           (4)  กลุ่มกด + กระตุ้นและหลอนประสาท

(5)  กลุ่มกด กระตุ้น  หลอนประสาท  และออกฤทธิ์ผสมผสาน

ตอบ (5)  กลุ่มกด กระตุ้น  หลอนประสาท  และออกฤทธิ์ผสมผสาน

101.  ฝิ่น  มอร์ฟีน  เฮโรอีน  จัดเป็นยาเสพติดในประเภทใด

(1)  กดประสาท   

(2)  กระตุ้นประสาท                          

(3)  หลอนประสาท

(4)  ออกฤทธิ์ผมผสาน

(4)  ทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ (1)  กดประสาท                              

102.  ข้อพิสูจน์อย่างหนึ่งที่พบว่า  การฝึกสมาธิทำให้บุคคลมีการผ่อนคลายทางจิตใจ  คือ

(1)  ผู้ที่ฝึกสมาธินานๆ จะมีคลื่นสมองบีตา

(2)  ผู้ที่ฝึกสมาธินานๆ  จะมีคลื่นสมองแอลฟ่า

(3)  ผู้ที่ฝึกสมาธิ  ผิวหนังจะมีความต้านทานต่อกระแสไฟฟ้าต่ำ

(4)  ผู้ที่ฝึกสมาธิ  ผิวหนังจะมีความต้านทานต่อกระแสไฟฟ้าสูง

(5) ข้อ 2 และ 4

ตอบ (5) ข้อ 2 และ 4

103.  ข้อความต่อไปนี้ข้อความใดถูกต้องที่สุดในเรื่องของภาวการณ์รู้ตัวและภาวการณ์ไม่รู้ตัว

(1)  ถ้ามีสิ่งเร้ามากระทบประสาทสัมผัสในระดับสูงจะเกิดความตื่นตัวและเครียดได้

(2)  ในแต่ละช่วงของอายุจะมีแบบแผนในการนอนต่างกันไป

(3)  สารระเหย  เป็นสารเสพติดชนิดกดประสาท

(4)  สมาธิภาวนา  เป็นสภาวะการแน่แน่ของจิต                           (5) ทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ (5) ทุกข้อที่กล่าวมา

104.  วงจรปฏิกิริยาสะท้อน  (Simple  Reflex Action)  เป็นการทำงานในระดับใด

(1)  สมอง             (2) ใยประสาท         (3) ไขสันหลัง        (4) เซลล์ประสาท        (5) ปมประสาท

ตอบ (3) ไขสันหลัง       

105.  ข้อใดไม่ใช่ต่อมไร้ท่อ

(1)  ต่อมหมวกไต        (2) ต่อมใต้สมอง      (3) ต่อมไทรอยด์    (4) ต่อมลูกหมาก      (5) ตับอ่อน

ตอบ (4) ต่อมลูกหมาก

106.  เส้นประสาทสมองหรือเส้นประสาทคราเนียล  (Cranial) มีกี่คู่

(1)  31 คู่                    (2)  24 คู่             (3) 20 คู่                (4) 12 คู่                      (5) 6 คู่

ตอบ (4) 12 คู่                     

107.  ข้อใดต่อไปนี้เป็นระบบประสาทอัตโนมัติ

(1)  ซีรีบรัมซีรีเบลลัม                       (2) ธาลามัสไฮโปธาลามัส               (3) โซมาติกโซมาไตท์

(4)   เมดดูลาซูโดเมดูลา                    (5)  ซิมพาเธติกพาราซิมพาเธติก

ตอบ (5)  ซิมพาเธติกพาราซิมพาเธติก

108.  ข้อใดเป็นลักษณะของแอ๊กซอน  (Axon)

(1)  รับกระแสประสาทเข้าสู่เซลล์                                   (2)  เป็นฉนวนหุ้มเซลล์ประสาท

(3)  เซลล์ประสาทสมอง              (4) นำกระแสประสาทออกจากเซลล์         (5) ประสาทเชื่อมโยง

ตอบ (4) นำกระแสประสาทออกจากเซลล์        

109.  สารสื่อประสาท  คือข้อใด

(1) ชวาน (Schwann)                     (2)  นิวโรทรานสมิตเตอร์  (Neurotransmitter)

(3)  ไมยีลีน (Myelin)                      (4)  ไซโตพลาสซั่ม  (Cytoplasm)

(5)  โบรคา  (Broca)

ตอบ (2)  นิวโรทรานสมิตเตอร์  (Neurotransmitter)

110.  สมองส่วนที่มีขนาดเล็กอยู่ที่ท้ายทอยมีหน้าที่ควบคุมการทรงตัว  คือส่วนใด

(1)  ฟอร์เบรน  (Forebrain)

(2)  ซีรีบรัม  (Cerebrum)

(3) ธาลามัส (Thalamus)

(4)  ซีรีเบลลัม  (Cerebellum)

(5)  เมดดัลลา  (Medulla)

ตอบ (4)  ซีรีเบลลัม  (Cerebellum)         

111.  โกร๊ธฮอร์โมน  (Growth  Hormone)  สร้างโดยต่อมไร้ท่อต่อมใด

(1)  ไทรอยด์  (Thyroid Gland)

(2)  ต่อมหมวกไต  (Adrenal  Gland)

(3)  ตับอ่อน  (Pancreas)

(4)  ต่อมใต้สมอง  (Pituitary  Gland)

(5) ต่อมเพศ  (Gonad)

ตอบ (4)  ต่อมใต้สมอง  (Pituitary  Gland)        

112.  ฮอร์โมนใดที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการเผาผลาญอาหารในร่างกาย

(1) เอสโตรเจน  (Estrogen)            (2)  ไทร็อกซิน  (Thyroxin)         (3)  อินซูลิน (Insulin)

(4)  แอนโดรเจน  (Androgen)         (5)  แอดรีนาลิน  (Adrenalin)

ตอบ (2)  ไทร็อกซิน  (Thyroxin)        

113.  ข้อใดไม่ใช่การวัดความจำ

(1)  การเรียนซ้ำ   (Relearning)         (2)  การระลึกได้ (Recall)

(3)  การรู้ใหม่  (Reknow)

(4)  การจำได้  (Recognition)             (5)  การบูรณาการใหม่  (Reintegration)

ตอบ (3)  การรู้ใหม่  (Reknow)

114.  ชื่อใดต่อไปนี้ที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสการเคลื่อนไหวในส่วนต่างๆ ของร่างกาย

(1)  ผิวหนัง                                       (2)  เทรซโฮลด์                                    (3)  คีเนสเตซีส

(4)  เวสติบิวลาในหูชั้นกลาง            (5)  เวสติบิวลาในหูชั้นนอก

ตอบ (3)  คีเนสเตซีส

115.  การรับรู้  ต้องมีส่วนประกอบที่สำคัญอะไรที่มากกว่าการสัมผัส

(1)  รางวัล                                             (2)  การลงโทษ                                    (3)  ประสบการณ์

(4)  จิตสำนึก                                        (5)  การรู้จักผิดชอบชั่วดี

 ตอบ (3)  ประสบการณ์

116.  การรับรู้ทางสายตาที่ผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนไปจากความเป็นจริง  เรียกว่า

(1)  ภาพลวงตา          (2) ภาพหลอน          (3) ภาพหลงผิด           (4) ภาพสองนัย        (5) ภาพฝังใจ

ตอบ (1)  ภาพลวงตา         

117.  คนสายตาสั้นต้องแก้ไขโดยการใส่แว่นที่ทำด้วยเลนส์แบบใด

(1)  เลนส์นูน                                       (2) เลนส์เว้า                            (3) เลนส์ทรงกระบอก

(4)  เลนส์สามเหลี่ยม                          (5)  เลนส์ปรับระยะ

ตอบ  (2) เลนส์เว้า                

118.  การทดลองเกี่ยวกับการรับรู้ความลึกของเด็กเล็กๆ  นักจิตวิทยาใช้อุปกรณ์ใดๆ

(1)  ห้องจำลอง         (2) ห้องมายา         (3) ทางสองมิติ         (4) หน้าผามายา     (5) ภาพเงาสะท้อน

ตอบ (4) หน้าผามายา

119.  ความจำระบบแรกสุด  คือระบบ

(1)  ความจำขั้นหนึ่ง                           (2)  ความจำจากการรับสัมผัส          (3)  ความจำระยะสั้น

(4)  ความจำคู่                                        (5)  ความจำปฏิบัติงาน

ตอบ (2)  ความจำจากการรับสัมผัส   

120.  เซลล์สำคัญในการรับภาพที่เป็นสีในจอรับภาพเรตินาคืออะไร

 (1)  รอดส์                   

(2)  แกลงเกลีย              

(3) ไบโพลา           

(4) โคนส์            

(5) โฟโตเซลล์

ตอบ (4) โคนส์            

WordPress Ads
error: Content is protected !!