LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ให้นักศึกษาทําคําตอบทั้งข้อ (ก) และข้อ (ข)

(ก) ไม่มีความผิด โดยไม่มีกฎหมายไม่มีโทษ โดยไม่มีกฎหมาย โทษที่จะลงแก่ผู้กระทํา ต้องเป็นโทษที่กฎหมายกําหนดไว้

ท่านเข้าใจว่าอย่างไร จงอธิบาย ยกตัวอย่างและเหตุผลประกอบ และ

(ข) ดำนอนละเมอมลักขาวตกเตียง ขาวศีรษะแตกกรณีหนึ่ง
นางส้มแม่ของ ด.ญ.แตงกวาอายุ 15 ปี เด็กออทิสติกช่วยตัวเองไม่ได้ ปล่อยให้ ด.ญ.แตงกวา อดอาหารตาย เพราะสงสารลูกที่ทุกข์ทรมานอีกกรณีหนึ่ง

จงวินิจฉัยความรับผิดในทางอาญาของดําและนางส้ม

ธงคําตอบ
(ก) ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 2 วรรคหนึ่งบัญญัติว่า “บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญา ต่อเมื่อได้กระทําการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทํานั้นบัญญัติเป็นความผิดและกําหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทําความผิดนั้น ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย”

ตามบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่า บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญานั้น ก็ต่อเมื่อประกอบด้วย หลักเกณฑ์ ดังนี้คือ

1. ได้กระทําการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทํานั้นบัญญัติเป็นความผิด หมายความว่า บุคคลนั้นได้กระทําการและการกระทํานั้นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะกระทํานั้นได้บัญญัติว่าเป็นความผิด ถ้าหากในขณะกระทํานั้นไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด การกระทํานั้นย่อมไม่เป็นความผิดตามหลักที่ว่า “ไม่มีความผิด หากไม่มีกฎหมาย”

2. กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทําต้องกําหนดโทษไว้ด้วย เพราะถ้ากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะกระทําได้บัญญัติว่าเป็นความผิดแต่ไม่ได้กําหนดโทษไว้ ผู้กระทําก็ไม่ต้องรับโทษ ตามหลักที่ว่า “ไม่มีโทษ หากไม่มีกฎหมาย” และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทําความผิดนั้น ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายเท่านั้น ซึ่งโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายในปัจจุบันได้แก่ ประหารชีวิต จําคุก กักขัง ปรับ และริบทรัพย์สิน (ป.อาญา มาตรา 18)

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคห้า “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดย ประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

การกระทํา ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทํา เพื่อป้องกันผลนั้นด้วย”

วินิจฉัย กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้
กรณีที่ 1 การที่ดํานอนละเมอผลักขาวตกเตียง ทําให้ขาวศีรษะแตกนั้น ไม่ถือว่าดํามีการกระทําในทางอาญา ดังนั้น ดําจึงไม่มีความรับผิดในทางอาญา ทั้งนี้เพราะกรณีที่จะถือว่าเป็นการกระทําในทางอาญา ซึ่งผู้กระทําอาจจะต้องรับผิดในทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งนั้น จะต้องเป็นการเคลื่อนไหวหรือไม่เคลื่อนไหว ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายโดยรู้สํานึกหรือยู่ภายใต้สภาพบังคับของจิตใจด้วย แต่การที่ดําผลักขาวตกเตียงนั้น แม้จะมีการเคลื่อนไหวร่างกายก็ตาม แต่การเคลื่อนไหวร่างกายของดํานั้นมิได้อยู่ภายใต้สภาพบังคับของจิตใจ แต่อย่างใด

กรณีที่ 2 การที่นางส้มแม่ของ ด.ญ.แตงกวาอายุ 15 ปี เด็กออทิสติกช่วยตัวเองไม่ได้ ปล่อยให้ ด.ญ.แตงกวาอดอาหารตายนั้น ถือว่านางส้มได้มีการกระทําในทางอาญาแล้ว เพราะเป็นการไม่เคลื่อนไหว ส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายโดยรู้สํานึกคืออยู่ภายใต้สภาพบังคับของจิตใจ และถือว่าเป็นการกระทําโดยงดเว้นการที่จักต้องกระทําหรือหน้าที่ตามกฎหมายที่กําหนดให้ตนต้องกระทํา (หน้าที่ที่มารดาจําต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตร) เพื่อป้องกันผลอันจะเกิดขึ้นนั้น และเมื่อนางส้มได้กระทําโดยเจตนาโดยประสงค์ต่อผลที่เกิดขึ้นนั้น นางส้มจึงต้องรับผิดในทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบวรรคสองและวรรคห้า

สรุป
นายดําไม่ต้องรับผิดในทางอาญา แต่นางส้มต้องรับผิดในทางอาญา

 

ข้อ 2. พยายามกระทําความผิด มีหลักกฎหมายและโทษอย่างไรบ้าง จงอธิบาย ยกตัวอย่างและเหตุผลประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 80 “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้วแต่ การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด

ผู้ใดพยายามกระทําความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้ สําหรับความผิดนั้น”

อธิบาย
ตามมาตรา 80 กรณีที่จะถือว่าเป็นพยายามกระทําความผิดจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ที่สําคัญ 3 ประการ คือ

(1) ผู้กระทําจะต้องมีเจตนากระทําความผิด
(2) ผู้กระทําจะต้องลงมือกระทําความผิดแล้ว กล่าวคือ ได้ผ่านขั้นตระเตรียมการไปแล้ว จนถึงขั้นลงมือกระทําการเพื่อให้บรรลุผลตามที่เจตนา
(3) ผู้กระทํากระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทําไม่บรรลุผล

ซึ่งหลักเกณฑ์ข้อ (3) นี้ จะเห็นได้ว่า การพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 อาจแบ่ง ออกเป็น 2 ประเภท คือ

1. พยายามกระทําความผิดที่กระทําไปไม่ตลอด ซึ่งมีองค์ประกอบดังนี้
(1) ผู้กระทําจะต้องได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว หมายถึง ได้กระทําที่พ้นจากขั้น ตระเตรียมการไปแล้วจนถึงขั้นลงมือกระทํา
(2) กระทําไปไม่ตลอด หมายความว่า เมื่อผู้กระทําได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว ได้มีเหตุมาขัดขวางเสียไม่ให้กระทําไปได้ตลอด

ตัวอย่าง ก. ตั้งใจจะยิง ข. จึงยกปืนขึ้นประทับบ่าและจ้องไปที่ ข. พร้อมกับขึ้นนก ในขณะที่กําลังจะลั่นไก ค. ได้มาจับมือ ก. เสียก่อน ทําให้ ก. กระทําไปไม่ตลอด คือไม่สามารถยิง ข. ได้

2. พยายามกระทําความผิดที่กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ซึ่งมี องค์ประกอบ ดังนี้

(1) ผู้กระทําได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว
(2) การกระทํานั้นได้กระทําไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล เหตุที่ ไม่บรรลุผลก็เพราะว่ามีเหตุมาขัดขวางไม่ให้การกระทํานั้นบรรลุผลนั่นเอง

ตัวอย่าง ก. เจตนาฆ่า ข. และได้ยิงปืนไปที่ ข. แต่ลูกปืนไม่ถูก ข. หรือถูก ข. แต่ ข. ไม่ตาย ดังนี้ถือว่า ก. ได้ลงมือกระทําความผิด และได้กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทําไม่บรรลุผล คือ ข. ไม่ตาย ตามที่ ก. ประสงค์

โทษของการพยายามกระทําความผิด
โดยปกติ การพยายามกระทําความผิดนั้น ผู้กระทําจะต้องรับโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น (มาตรา 80 วรรคสอง) เว้นแต่ การพยายามกระทําความผิดบางกรณี ซึ่งถือเป็น ข้อยกเว้น ได้แก่

1. การพยายามกระทําความผิดที่ผู้กระทําต้องรับโทษเท่าความผิดสําเร็จ เช่น การพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 107, มาตรา 108 เป็นต้น

2. การพยายามกระทําความผิดที่ผู้กระทําไม่ต้องรับโทษ เช่น การพยายามกระทําความผิดที่ผู้กระทํายับยั้งเสียเองไม่กระทําการให้ตลอดหรือกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทํานั้นบรรลุผลตามมาตรา 82 หรือ การพยายามกระทําความผิดลหุโทษตามมาตรา 105 เป็นต้น

3. การพยายามกระทําความผิดที่ไม่สามารถจะบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ตามมาตรา 81 ที่ ผู้กระทําต้องรับโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น

 

ข้อ 3. นายเสือต้องการฆ่านายช้างแต่ยังหาอาวุธไม่ได้ นายสิงห์รู้เจตนาของนายเสือจึงให้นายเสื้อยืมอาวุธปืน นายเสือพกปืนใส่กระเป๋ากางเกงไปที่บ้านของนายช้าง ขณะที่นายช้างกําลังเดินออกจากตัวบ้าน นายเสือจึงล้วงเอาปืนในกระเป๋ากางเกงเพื่อจะยิงแต่ด้วยความรีบเร่งปืนหลุดมือหล่นลงพื้น โดยนายเสือยังไม่ได้ยกขึ้นเล็ง ปืนกระทบพื้นกระสุนลั่นแต่ไม่มีใครได้รับอันตรายแต่อย่างใด ดังนี้ อยากทราบว่านายสิงห์จะต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือเว้นแต่ ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยง ส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความ สะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย
ตามบทบัญญัติมาตรา 59 วรรคหนึ่งที่ว่า บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําการ ซึ่งกฎหมายได้บัญญัติไว้เป็นความผิดนั้น คําว่าได้มีการกระทํานี้ จะต้องเลยขั้นตระเตรียมการมาจนถึงขั้นลงมือกระทําแล้ว แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ การที่นายเสือพกปืนใส่กระเป๋ากางเกงไปที่บ้านของนายช้าง และเมื่อพบนายช้างกําลังเดินออกจากตัวบ้าน นายเสือจึงได้ล้วงเอาปืนในกระเป๋ากางเกงเพื่อจะยิงนายช้าง แต่ด้วยความรีบเร่ง ทําให้ปืนหลุดมือหล่นลงพื้นโดยนายเสือยังไม่ได้ยกปืนเล็งไปที่นายช้างนั้น การกระทําของนายเสือจึงอยู่เพียงขั้นตระเตรียมการ ยังไม่ถึงขั้นลงมือกระทําความผิด เพราะยังไม่ถือว่าใกล้ชิดกับความผิดสําเร็จ อีกทั้งเมื่อปืนกระทบพื้น กระสุนลั่นแต่ไม่มีใครได้รับอันตรายแต่อย่างใด นายเสือจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

ส่วนนายสิงห์ซึ่งได้ให้นายเสื้อยืมอาวุธปืนนั้น จะต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีความผิดฐานเป็นผู้ใช้
ความผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 นั้น จะต้องเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่า ด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์นั้นเป็นกรณีที่ นายเสือต้องการฆ่านายช้างอยู่ก่อนแล้วเพียงแต่ยังหาอาวุธไม่ได้ ดังนั้น แม้นายสิงห์จะรู้ถึงเจตนาของนายเสือและให้นายเสื้อยืมอาวุธปืน นายสิงห์ก็ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 เพราะการกระทําของนายสิงห์ ดังกล่าว ไม่ถือว่าเป็นการ “ก่อ” ให้นายเสือกระทําความผิดตามนัยของมาตรา 84 แต่อย่างใด

กรณีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน
ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86 นั้น จะต้องเป็นการกระทําด้วยประการใดๆ อันเป็น การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อนหรือขณะกระทําความผิด แต่เมื่อข้อเท็จจริง ปรากฏว่านายเสือยังไม่ได้ลงมือกระทําความผิด ดังนั้น แม้นายสิงห์จะให้นายเสื้อยืมอาวุธปืน นายสิงห์ก็ไม่มี ความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

สรุป นายสิงห์ไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้หรือผู้สนับสนุน

 

ข้อ 4.นางเดือนขับรถจอดไว้ที่ลานจอดรถห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งโดยติดเครื่องยนต์และเปิดเครื่องปรับอากาศในรถไว้เพราะ ด.ญ.นิดบุตรสาวอายุ 2 ขวบเศษกําลังนอนหลับในรถ นางเดือนล็อคประตูรถแล้วเข้าไปใน ห้างฯ โดยตั้งใจจะซื้อของไม่นานก็กลับ ขณะเดินซื้อของในห้างฯ มีสินค้าลดราคาหลายอย่าง นางเดือน จึงเดินดูเพลินจนลืมว่าติดเครื่องรถไว้ เวลาผ่านไป 45 นาที เครื่องยนต์ดับและเครื่องปรับอากาศในรถ ไม่ทํางาน ด.ญ.นิดตื่นและเดินจะออกจากรถเพราะกําลังจะขาดอากาศหายใจ นายทองดี รปภ. ของห้างฯ เห็นเหตุการณ์แต่ไม่ทราบว่าเป็นรถของใครจึงตัดสินใจทุบกระจกรถด้านคนขับเพื่อช่วย ด.ญ.นิด ไม่ให้ได้รับอันตราย ดังนี้อยากทราบว่านายทองดีจะอ้างเหตุยกเว้นความผิดหรือเหตุยกเว้นโทษ ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสี่และวรรคห้า “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทํา โดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่า นั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

การกระทํา ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทํา เพื่อป้องกันผลนั้นด้วย”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อาฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

วินิจฉัย
การกระทําที่จะถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะมีผลทําให้ผู้กระทําไม่มีความผิด และไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ คือ

(1) มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
(2) ภยันตรายนั้นเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง
(3) ผู้กระทําจําต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นจาก
ภยันตรายนั้น
(4) ต้องได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางเดือนได้ล็อคประตูรถโดยติดเครื่องยนต์และเปิดเครื่องปรับอากาศในรถไว้ เมื่อต่อมาเครื่องยนต์ดับและเครื่องปรับอากาศในรถไม่ทํางาน ทําให้ ด.ญ.นิดบุตรสาวอายุ 2 ขวบเศษ ตื่นและดิ้นจะออกจากรถเพราะกําลังจะขาดอากาศหายใจนั้น ถือว่าได้มีภยันตรายเกิดขึ้นกับ ด.ญ.นิดแล้ว โดยเป็นภยันตรายที่เกิดขึ้นจากการกระทําโดยประมาทของนางเดือนตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสี่และวรรคห้า ซึ่งเป็นเหตุให้ ด.ญ.นิดได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และอาจทําให้ ด.ญ.นิดถึงแก่ความตายได้ถ้าหากนายทองดี รปภ. ของห้างฯ มิได้ให้การช่วยเหลือได้ทัน

การที่นายทองดีได้ตัดสินใจทุบกระจกรถเพื่อช่วย ด.ญ.นิดไม่ให้ได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตนั้น แม้นายทองดีจะได้กระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง และโดยหลักต้องรับผิดตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่เมื่อการกระทําของนายทองดีนั้นเป็นกรณีที่นายทองดีจําต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง เมื่อนายทองดีได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทําของนายทองดีจึงเป็นการกระทําเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น นายทองดีจึงอ้างเหตุยกเว้นความผิดตามมาตรา 68 เพื่อไม่ต้องรับผิดทางอาญาได้

สรุป นายทองดีสามารถอ้างเหตุยกเว้นความผิดตามมาตรา 68 ได้

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายโก๋ออกไปล่าสัตว์ในป่ากับนายเก๋า หลังจากแยกย้ายกันไปสักพักใหญ่ นายโก๋มานั่งพักอยู่ที่จุดนัดพบคอยนายเก๋า ระหว่างนั้นนายโก๋ได้ยินเสียงพุ่มไม้ไหว ก็เข้าใจไปว่าเป็นหมูป่าโดยไม่คิดว่า เป็นนายเก๋าทั้งที่ปกตินายเก๋ามักจะชอบล้อเล่นแบบนี้อยู่เสมอ ด้วยความรีบร้อนไม่ดูให้ดี นายโก๋ ใช้ปืนยิงไปหลังพุ่มไม้นั้น ปรากฏว่าโดนนายเก๋าถึงแก่ความตาย จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญา ของนายโก๋

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสามและวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

ถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้

กระทําโดยประมาท ได้แก่กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 62 วรรคสอง “ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา 59 หรือ ความสําคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคหนึ่ง ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทําความผิด ให้ผู้กระทํารับผิดฐานกระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทํานั้นผู้กระทําจะต้องรับโทษ แม้กระทําโดยประมาท”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายโก๋ใช้ปืนยิงไปที่หลังพุ่มไม้นั้น ถือเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สํานึกแล้ว จึงถือว่านายโก๋มีการกระทําทางอาญา แต่การที่นายโก๋ยิงไปที่หลังพุ่มไม้โดยเข้าใจว่าเป็นสัตว์แต่ ปรากฏว่าไม่ใช่สัตว์แต่เป็นนายเก๋านั้น เป็นกรณีที่นายโก๋ได้กระทําไปโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด คือไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนยิ่งนั้นเป็นคน ดังนั้น จะถือว่านายโก๋ได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของ การกระทําคือการที่นายเก๋าถึงแก่ความตายไม่ได้ กล่าวคือ จะถือว่านายโก๋ได้กระทําโดยเจตนาต่อนายเก๋าไม่ได้ นั่นเอง (มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสองและวรรคสาม)
แต่อย่างไรก็ดี เมื่อการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 59 วรรคสาม ของนายก๋าได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ เพราะตามข้อเท็จจริงนั้นการกระทําของนายโก๋ เป็นการกระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และ

นายโก๋อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ กล่าวคือ ถ้านายโก๋ใช้ความระมัดระวัง พิจารณาให้ดีไม่รีบร้อนก็จะรู้ว่าหลังพุ่มไม้นั้นเป็นนายเก๋าไม่ใช่สัตว์ เพราะนายเก๋มากจะหยอกล้อเล่นแบบนี้เป็นประจํา ดังนั้น นายโก๋จึงต้องรับผิดฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 62 วรรคสอง ประกอบมาตรา 59 วรรคสี่

สรุป
นายโก๋ต้องรับผิดฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 62 วรรคสอง ประกอบมาตรา 59 วรรคสี่

 

ข้อ 2. นายแดงต้องการฆ่านายดํา วันหนึ่งนายแดงเห็นนายดํานั่งรับประทานอาหารอยู่กับนางขาว นายแดงจึงใช้ปืนลูกซองยิงไปที่นายดํา กระสุนถูกนายดําได้รับบาดเจ็บและบางส่วนของกระสุนยังกระจาย ไปถูกนางขาวถึงแก่ความตาย เศษกระสุนส่วนหนึ่งไปถูกกระจกรถยนต์ของนายฟ้าแตกเสียหาย
จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายแดง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสองและวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่า นั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไป ตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ความรับผิดทางอาญาของนายแดง แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของนายแดงต่อนายดํา
การที่นายแดงใช้ปืนยิงไปที่นายดํานั้น เป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และใน ขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํา คือความตายของผู้ที่ตนยิง ดังนั้น การกระทําของนายแดง จึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เมื่อกระสุนถูกนายดําได้รับบาดเจ็บไม่ถึงแก่ความตาย การกระทําของนายแดงจึงเป็นการกระทําที่ได้กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล นายแดงจึงมี ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 80

ความรับผิดของนายแดงต่อนางขาว
การที่นายแดงใช้ปืนยิงไปที่นายดําในขณะที่นายดํานั่งรับประทานอาหารอยู่กับนางขาวนั้น นายแดงย่อมเล็งเห็นผลของการกระทําของตนอยู่แล้วว่า กระสุนปืนอาจถูกนางขาวได้ ดังนั้น เมื่อกระสุนที่นายแดง ได้ยิงไปนั้นได้ถูกนางขาวถึงแก่ความตาย การกระทําของนายแดงต่อนางขาวดังกล่าวจึงเป็นการกระทําโดยเจตนา ย่อมเล็งเห็นผลตามมาตรา 59 วรรคสอง นายแดงจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผลตาม มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง

ส่วนกรณีที่เศษกระสุนส่วนหนึ่งไปถูกกระจกรถยนต์ของนายฟ้าแตกเสียหายนั้น ถือเป็นการกระทําโดยประมาทของนายแดงตามมาตรา 59 วรรคสี่ แต่เนื่องจากการทําให้เสียทรัพย์ของผู้อื่นโดยประมาทนั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด ดังนั้น นายแดงจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาในความเสียหายต่อกระจกรถยนต์ ของนายฟ้า ตามหลักเกณฑ์มาตรา 59 วรรคหนึ่ง ที่ว่าบุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาเมื่อได้กระทําโดยประมาท ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท

สรุป
นายแดงต้องรับผิดทางอาญาต่อนายดําฐานพยายามฆ่านายดําตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 80 และรับผิดทางอาญาต่อนางขาวฐานฆ่านางขาวตายโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผลตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง แต่นายแดงไม่ต้องรับผิดทางอาญาในความเสียหายต่อกระจกรถยนต์ของนายฟ้า

 

ข้อ 3. บุญจงต้องการทําร้ายสมหมาย บุญจงจึงบอกสุทินให้ตีศีรษะสมหมาย ถ้าไม่ตีจะกดรีโมทระเบิดตึกราคา 10 ล้านบาทของสมหมายซึ่งได้วางระเบิดไว้แล้ว สุทินกลัวบุญจงระเบิดตึกจึงใช้ไม้ตีศีรษะ สมหมาย สมหมายหลบและล้มลง สุทินจะตีซ้ำ แมนบุตรของสมหมายเห็นเข้าจึงผลักสุทินล้มลง ได้รับบาดเจ็บ สมหมายลุกขึ้นได้ใช้เท้าเตะไปที่หน้าสุทิน จงวินิจฉัยความรับผิดของบุญจง สุทิน แมน และสมหมาย

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 67 “ผู้ใดกระทําความผิดด้วยความจําเป็น
(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อํานาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ
(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้ พ้นโดยวิธีอื่นใดได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน

ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวานหรือยุยง ส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของ โทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ บุญจง สุทิน แมน และสมหมาย จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของบุญจง
การที่บุญจงบอกสุทินให้ตีศีรษะสมหมาย ถ้าไม่มีจะกดรีโมทระเบิดตึกราคา 10 ล้านบาทของสมหมายซึ่งได้วางระเบิดไว้แล้วนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดด้วยการบังคับขู่เข็ญแล้ว บุญจงจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคหนึ่ง และเมื่อความผิดที่ใช้ได้กระทําลงคือสุทินได้ใช้ไม้ตีศีรษะสมหมายแล้ว ดังนั้น บุญจงผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84 วรรคสอง

กรณีของสุทิน
การที่สุทินใช้ไม้ตีศีรษะสมหมาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของสุทินจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตาม มาตรา 59 วรรคสอง สุทินจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การที่สุทินใช้ไม้ตีศีรษะสมหมายนั้น สุทินได้กระทําไปเพราะอยู่ภายใต้อํานาจบังคับของบุญจง ซึ่งสุทินไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ เมื่อสุทินได้กระทําไปไม่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทําของสุทินจึงเป็นการกระทําความผิดด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67 (1) ดังนั้น สุทินจึงมีความผิดแต่ ไม่ต้องรับโทษ

กรณีของแมน
การที่แมนบุตรของสมหมายผลักสุทินล้มลงได้รับบาดเจ็บนั้น ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของแมนจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง แมนจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การที่แมนผลักสุทินล้มลงได้รับบาดเจ็บนั้น แมนได้กระทําไปเพื่อป้องกันสิทธิของสมหมายให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายของสุทิน และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง เมื่อแมนได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทําของแมนจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 68 ดังนั้น แมนจึงไม่ต้องรับผิดต่อสุทิน

กรณีของสมหมาย
การที่สมหมายได้ใช้เท้าเตะไปที่หน้าสุทินนั้น ถือเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของสมหมายจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง จึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การกระทําของสมหมายนั้น สมหมายสามารถอ้างได้ว่าได้กระทําความผิด เพราะเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลดหย่อนผ่อนโทษได้ตามมาตรา 72 เพราะสมหมายถูกสุทินข่มเหงอย่าง ร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และได้กระทําต่อสุทินในขณะนั้น

สรุป
บุญจงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้และรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84
สุทินมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 67 เพราะเป็นการกระทําความผิด
ด้วยความจําเป็น
แมนไม่ต้องรับผิดทางอาญา เพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม
มาตรา 68
สมหมายต้องรับผิดทางอาญา แต่อ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลดหย่อน ผ่อนโทษได้ตามมาตรา 72.

 

ข้อ 4. ประชากับสมเดชร่วมกันวางแผนฆ่าชุมพล โดยตกลงกันให้ประชาไปหลอกชุมพลออกจากบ้านมาให้สมเดชยิง อรสาแอบได้ยินประชากับสมเดชวางแผนฆ่าชุมพล และทราบว่าสมเดชไม่มีอาวุธปืน อรสาได้ฝากอาวุธปืนแก่วันรบมาให้สมเดช โดยสมเดชไม่ทราบว่าเป็นปืนของอรสา ระหว่างที่ประชาเดินทางไปบ้านชุมพล สมเดชพบชุมพลโดยบังเอิญ จึงยิงชุมพลตายก่อนที่ประชาจะพบกับชุมพล
ดังนี้ ประชา และอรสา ต้องรับผิดทางอาญาฐานใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สมเดชใช้อาวุธปืนยิงชุมพลตาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของสมเดชจึงเป็นการกระทํา โดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น สมเดชจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง (ในความผิด ฐานฆ่าชุมพลตายโดยเจตนา)

สําหรับประชาและอรสา จะต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่สมเดชยิงชุมพลตายอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของประชา
แม้ประชาจะได้ร่วมวางแผนกับสมเดชเพื่อที่จะฆ่าชุมพล แต่ในขณะที่สมเดชใช้ปืนยิงชุมพลถึงแก่ความตายนั้น ประชาไม่ได้อยู่ร่วมด้วย จึงถือว่าประชาขาดเจตนาที่จะร่วมกันกระทําความผิด ดังนั้นประชา จึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ประชาได้ร่วมกันวางแผนเพื่อฆ่าชุมพล โดยตกลงให้ประชาไปหลอกชุมพลออกมาจากบ้านเพื่อให้สมเดชยิงนั้น ถือเป็นการกระทําอันเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการ ที่ผู้อื่นกระทําความผิด ดังนั้นประชาจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

กรณีของอรสา
การที่อรสาแอบได้ยินประชากับสมเดชวางแผนฆ่าชุมพล และทราบว่าสมเดชไม่มีอาวุธปืนจึงได้ฝากอาวุธปืนแก่วันรบเพื่อนํามาให้สมเดชนั้น แม้สมเดชจะไม่ทราบว่าเป็นปืนของอรสาก็ตาม การกระทําของอรสา ถือเป็นการกระทําอันเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิด ดังนั้นอรสาจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

สรุป ประชาและอรสาจะต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

LAW2006 กฎหมายอาญา1 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายต้อยขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนด ในคืนวันที่ฝนตกถนนลื่น ขณะนายต้อยขับรถเลี้ยวในทางโค้ง นายต้อยไม่ได้ชะลอความเร็วยังคงขับรถเกินอัตราที่กฎหมายกําหนดไว้ นายต้อยเห็นนายต้องกําลังหาบเต้าหู้ขายและกําลังเดินข้ามถนนจะพ้นอยู่แล้ว นายต้อยจึงรีบห้ามล้อทันทีแต่ไม่ทันเพราะรถได้ลื่นไปชนหาบเต้าหู้ของนายต้อง หาบเต้าหูของนายต้องเสียหายทั้งหมด แต่ตัวนายต้องไม่เป็นอะไรเลย จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายต้อย

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสองและวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายต้อยขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกําหนดในคืนวันที่ฝนตกถนนลื่น และขณะที่นายต้อยขับรถเลี้ยวในทางโค้งก็ไม่ได้ชะลอความเร็ว ยังคงขับรถเกินอัตราที่กฎหมายกําหนดไว้ เป็นเหตุให้ห้ามล้อไม่ทันจนทําให้ชนหาบเต้าหู้ของนายต้องเสียหายทั้งหมดนั้น ถือว่านายต้อย มิได้มีเจตนากระทําให้ทรัพย์ของนายต้องเสียหาย เนื่องจากนายต้อยไม่ได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลที่เกิดขึ้นนั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง

แต่อย่างไรก็ดี การกระทําของนายต้อยดังกล่าวนั้น ถือเป็นการกระทําโดยปราศจากความระมัดระวังตามภาวะวิสัยของคนขับรถในพฤติการณ์เช่นนั้น ซึ่งนายต้อยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ การกระทําของนายต้อยจึงเป็นการกระทําโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ เป็นเหตุให้ทรัพย์สินคือหาบเต้าหู้ของนายต้องเสียหาย แต่เนื่องจากการกระทําโดยประมาททําให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหายนั้น กฎหมายอาญามิได้บัญญัติเป็นความผิด ดังนั้น นายต้อยจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

สรุป
นายต้อยไม่ต้องรับผิดในทางอาญาต่อนายต้อง

 

ข้อ 2.นายสาธิตทราบมาว่านางสาวจิตฝันมีความระแวงว่ามีคนจะมาฆ่าตน นายสาธิตจึงหลอกนางสาวจิตฝัน ว่าจะมีคนแต่งชุดนักเรียนแบบในรูปที่ให้ดูมาฆ่านางสาวจิตฝัน วันหนึ่งนางสาวจิตฝันเห็นนางสาวพันล้านแต่งชุดนักเรียนเหมือนที่นายสาธิตบอก นางสาวจิตฝันคิดว่านางสาวพันล้าน เป็นคนที่นายสาธิตพูดถึง จึงได้ชักมีดออกมาแทงนางสาวพันล้านทันที แต่นางสาวพันล้านหลบทัน นางสาวจิตฝันจะแทงซ้ำอีก นางสาวบานชื่นและนางสาวรื่นรมย์เพื่อนนักเรียนของนางสาวพันล้าน เห็นเข้าพอดี จึงได้เข้ามาขัดขวางทําให้ทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บไปด้วย จงวินิจฉัยความรับผิด ทางอาญาของนางสาวจิตฝัน

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติ ให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นํา กฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 61 “ผู้ใดเจตนาจะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทําต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสําคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสําคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทําโดยเจตนาหาได้ไม่”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไป ตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ นางสาวจิตฝันจะต้องรับผิดทางอาญา ดังนี้คือ

ความรับผิดทางอาญาของนางสาวจิตฝันต่อนางสาวพันล้าน
การที่นางสาวจิตฝันได้ใช้มีดแทงนางสาวพันล้านนั้น ถือว่านางสาวจิตฝันได้กระทําต่อ นางสาวพันล้านโดยเจตนา เพราะนางสาวจิตฝันได้กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน นางสาวจิตฝันได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง และแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า นางสาวจิตฝันได้กระทําต่อนางสาวพันล้านเพราะเข้าใจผิดคิดว่านางสาวพันล้านเป็นคนที่จะมาฆ่านางสาวจิตฝัน เนื่องจากเห็นนางสาวพันล้านแต่งชุดนักเรียนเหมือนกับที่นายสาธิตบอก นางสาวจิตฝันก็จะยกเอาความสําคัญผิดใน ตัวบุคคลดังกล่าวมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทําต่อนางสาวพันล้านไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องถือว่านางสาวจิตฝัน ได้มีเจตนาฆ่านางสาวพันล้านด้วยตามมาตรา 61 และต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การที่นางสาวจิตฝันได้ใช้มีดแทงนางสาวพันล้นนั้น นางสาวพันล้านหลบทัน และเมื่อนางสาวจิตฝันจะแทงซ้ำอีกก็ถูกนางสาวบานชื่นและนางสาวรื่นรมย์ขัดขวาง ทําให้การกระทําของนางสาวจิตฝันซึ่งได้กระทําไปตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล คือนางสาวพันล้านไม่ตาย ตามที่นางสาวจิตฝันต้องการ ดังนั้น นางสาวจิตฝันจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่านางสาวพันล้านโดยสําคัญผิด ในตัวบุคคลตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง มาตรา 61 และมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

ความรับผิดทางอาญาของนางสาวจิตฝันต่อนางสาวบานชื่นและนางสาวรื่นรมย์
การที่นางสาวจิตฝันใช้มีดแทงนางสาวพันล้านแต่นางสาวพันล้านหลบทัน และเมื่อนางสาวจิตฝัน จะแทงซ้ำอีก ก็ถูกนางสาวบานชื่นและนางสาวรื่นรมย์ขัดขวางทําให้ทั้งสองได้รับบาดเจ็บนั้น ผลของการกระทําที่เกิดขึ้นกับนางสาวบานชื่นและนางสาวรื่นรมย์เป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไป จึงต้องถือว่านางสาวจิตฝันได้กระทําโดยเจตนาต่อนางสาวบานชื่นและนางสาวรื่นรมย์ บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้นด้วยตามมาตรา 60 ดังนั้น เมื่อนางสาวบานชื่นและนางสาวรื่นรมย์ไม่ตาย จึงถือว่านางสาวจิตฝันได้ลงมือกระทําความผิดและได้กระทําไปตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล นางสาวจิตฝันจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านางสาวบานชื่น และนางสาวรื่นรมย์โดยเจตนาโดยพลาดตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และมาตรา 60 ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

สรุป
นางสาวจิตฝันต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านางสาวพันล้านโดยสําคัญผิดใน ตัวบุคคลตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และมาตรา 61 ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

นางสาวจิตฝันต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านางสาวบานชื่นและนางสาวรื่นรมย์ โดยพลาดตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และมาตรา 60 ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

 

ข้อ 3. นายโก๋มีเรื่องโกรธเคืองกับนายชัยในเรื่องแย่งจีบผู้หญิงคนเดียวกัน วันเกิดเหตุนายโก๋ดื่มสุรามีอาการมึนเมาไปยืนท้าทายที่หน้าประตูรั้วบ้านนายชัย “ไอ้ชัยมึงออกมาต่อยกับกูตัวต่อตัวถ้ามึงแน่จริง” นายชัยได้ยินเช่นนั้นจึงพกอาวุธปืนไว้ที่เอวเปิดประตูรั้วบ้านออกไปพบนายโก๋เกิดการทะเลาะวิวาทกัน นายโก๋ชักมีดออกมาจะจ้วงแทงนายชัย นายชัยใช้ปืนยิงนายโก๋กระสุนถูกนายโก๋ถึงแก่ความตาย และกระสุนยังเลยไปถูกนายเฮงซึ่งขี่รถจักรยานผ่านมาถึงแก่ความตายอีกด้วย ดังนี้นายชัยจะต้อง รับผิดทางอาญาโดยยกเหตุใดมายกเว้นความผิด หรือลดหย่อนผ่อนโทษได้หรือไม่อย่างไร

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น…”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สาหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายชัยได้ใช้ปืนยิงนายโก๋กระสุนถูกนายโก้ถึงแก่ความตายนั้น ถือว่านายชัยได้กระทําต่อนายโก๋โดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันนายชัยได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น ดังนั้น นายชัยจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายโก๋ ตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

และการที่นายชัยได้ใช้ปืนยิงนายโก๋นั้น นอกจากกระสุนปืนจะถูกนายโก๋ถึงแก่ความตายแล้ว กระสุนยังเลยไปถูกนายเฮงถึงแก่ความตายด้วยนั้น ผลของการกระทําที่เกิดขึ้นกับนายเฮงเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปจึงต้องถือว่านายชัยได้กระทําโดยเจตนาต่อนายเฮงบุคคลซึ่งได้รับผลร้ายาจากการกระทํานั้นด้วย ตามมาตรา 60 ดังนั้น นายชัยจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายเฮงตายโดยเจตนาด้วยตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 60

ส่วนการที่นายชัยจะยกเหตุใดมายกเว้นความรับผิด หรือลดหย่อนผ่อนโทษได้หรือไม่อย่างไรนั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีแรก นายชัยจะยกเหตุการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 มายกเว้น ความรับผิดไม่ได้ ทั้งนี้เพราะแม้ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์จะปรากฏว่า การที่นายชัยได้ใช้ปืนยิงนายโก๋นั้น เนื่องมาจากการที่นายโก๋ซึ่งมีเรื่องกับนายชัยได้ดื่มสุราจนมีอาการมึนเมาและได้ไปยืนท้าทายที่หน้าประตูรั้วบ้านนายชัยดังกล่าวนั้น แม้ว่านายชัยไม่มีหน้าที่ต้องหลบหนีก็ตาม แต่หากนายชัยไม่สมัครใจที่จะวิวาทหรือต่อสู้กับ นายโก๋ นายชัยก็ชอบที่จะไม่ออกไปพบนายโก๋ เมื่อนายชัยได้พกอาวุธปืนและเปิดประตูรั้วบ้านออกไปพบนายโก๋ ย่อมแสดงให้เห็นว่านายชัยสมัครใจเข้าวิวาทและต่อสู้กับนายโก๋โดยไม่มีกฎหมายให้อํานาจ และการที่นายโก๋ ได้ชักมีดออกมาเพื่อจ้วงแทนนายชัย ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่วิวาทกันกับนายชัย ดังนั้น การที่นายชัย ใช้ปืนยิงนายโก๋จนถึงแก่ความตาย นายชัยจะอ้างว่าเป็นการกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ไม่ได้

กรณีที่ 2 การที่นายชัยได้ใช้ปืนยิงนายโก๋ถึงแก่ความตายนั้น นายชัยจะยกเหตุบันดาลโทสะ ตามมาตรา 72 มาเป็นเหตุเพื่อลดหย่อนผ่อนโทษไม่ได้ เพราะการที่นายโก๋ได้มายืนท้าทายและเรียกให้นายชัย ออกมาต่อยกันตัวต่อตัวนั้น ไม่ถือว่าเป็นกรณีที่นายชัยได้ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด ดังนั้น นายชัยจะอ้างว่าตนได้กระทําไปเพราะเหตุบันดาลโทสะตามมาตรา 72 ไม่ได้

สรุป
นายชัยต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายโก๋ตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายเฮงตายโดยเจตนาโดยพลาดตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 60

นายชัยจะอ้างเหตุการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 หรือเหตุบันดาลโทสะ ตามมาตรา 72 ขึ้นมาเพื่อยกเว้นความรับผิด หรือเพื่อลดหย่อนผ่อนโทษไม่ได้

 

ข้อ 4. หนึ่งกับสองร่วมกันวางแผนที่บ้านหนึ่งจะฆ่าเชิดโดยตกลงกันให้สองไปหลอกเชิดออกจากบ้านมาให้หนึ่งเป็นคนยิง แจ๋วน้องสาวหนึ่งแอบได้ยินนําความมาเล่าให้อรสาซึ่งเคยอยู่กินกับเชิดแล้วถูกเชิดทอดทิ้งไป อรสาจึงไปขโมยปืนพกขนาด .38 ของบิดามาให้แจ๋วฝากไปให้หนึ่งใช้ยิงเชิด โดยห้ามแจ๋วไม่ให้บอกว่าเป็นปืนของใครให้บอกแต่ว่าเป็นปืนของผู้หวังดี หนึ่งรับปืนจากแจ๋วโดยไม่รู้ว่าเป็นปืนของใคร จึงให้สองไปหลอกเชิดออกจากบ้านมาตรงที่หนึ่งซุ่มอยู่แล้วหนึ่งใช้ปืนกระบอกนั้นยิงเชิดตาย ดังนี้ สอง แจ๋ว และอรสา จะต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่หนึ่งใช้ปืนยิงเชิดตายอย่างไรหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้สําหรับ ความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่งใช้ปืนพกยิงเชิดตาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของหนึ่งจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น หนึ่งจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง (ในความผิดฐาน ฆ่าเชิดตายโดยเจตนา)

สําหรับสอง แจ๋ว และอรสา จะต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่หนึ่งใช้ปืนยิงเชิดตายอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของสอง
การที่สองได้ร่วมกันกับหนึ่งวางแผนเพื่อจะฆ่าเชิด โดยให้สองเป็นผู้ไปหลอกเชิดมาให้หนึ่งเป็นคนยิงนั้น ถือว่าสองมีเจตนาร่วมกันกับหนึ่งในการกระทําความผิดตั้งแต่แรกจนถึงขั้นลงมือกระทําความผิดแล้วโดยเป็นการแบ่งหน้าที่กันทํา ดังนั้น เมื่อหนึ่งใช้ปืนยิงเชิดตาย สองจึงต้องรับผิดทางอาญาร่วมกับหนึ่ง ในฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

กรณีของแจ๋ว
การที่แจ๋วได้เอาปืนของอรสาไปให้หนึ่ง โดยที่รู้อยู่แล้วว่าหนึ่งจะเอาปืนนั้นไปยิงเชิดนั้น การกระทําของแจ๋วถือว่าเป็นการกระทําโดยมีเจตนาให้ความช่วยเหลือให้ความสะดวกก่อนการกระทําความผิด ดังนั้นแจ๋วจึงต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่หนึ่งใช้ปืนนั้นยิงเขิดตายในฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

กรณีของอรสา
การที่อรสารู้ว่าหนึ่งจะฆ่าเชิด จึงได้ขโมยปืนพกของบิดามาให้แจ๋วฝากไปให้หนึ่งใช้ยิงเชิดนั้น แม้ว่าหนึ่งรับปืนจากแจ๋วโดยไม่รู้ว่าเป็นปืนของใครก็ตาม การกระทําของอรสาถือว่าเป็นการกระทําโดยมีเจตนาให้ความช่วยเหลือ ให้ความสะดวกก่อนการกระทําความผิด ดังนั้น อรสาจึงต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่หนึ่ง ใช้ปืนยิงเชิดตายในฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

สรุป
สองต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83
แจ๋วและอรสา ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ดําขับรถยนต์กระบะไปตามถนนเพื่อจะไปรับผักมาขายที่ตลาด ระหว่างทางพบแดง เขียว แสด ซึ่งนัดกันขับรถมอเตอร์ไซค์ขนาด 100 ซีซี คนละคันขับซิ่งแข่งกันมาตลอดทาง ทั้ง 3 คน ขับรถมอเตอร์ไซค์แซงปาดหน้ารถกระบะของดําขึ้นไปข้างหน้า บีบแตรเยาะเย้ย ดำเร่งความเร็วรถยนต์กระบะอย่างรวดเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไล่ชนมอเตอร์ไซค์ของแดง เขียว แสด ไล่ชนที่ละคน เมื่อไล่ทัน รถมอเตอร์ไซค์ก็พุ่งชนอย่างแรง แดง เขียว แสด ได้รับบาดเจ็บ จงวินิจฉัยความรับผิดของดําที่มีต่อแดง เขียว และแสด ว่ามีอย่างไรบ้าง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ดําขับรถยนต์กระบะไปตามถนน และถูกแดง เขียว แสด ขับรถ มอเตอร์ไซค์แซงปาดหน้าและบีบแตรเยาะเย้ย ทําให้ดําเร่งความเร็วรถยนต์กระบะอย่างรวดเร็ว และเมื่อไล่ทัน รถมอเตอร์ไซค์ของแดง เขียว แสดแล้ว ดําก็ขับรถยนต์กระบะพุ่งชนรถมอเตอร์ไซค์ของแดง เขียว แสด ที่ละคน อย่างแรงจนทําให้แดง เขียว แสด ได้รับบาดเจ็บนั้น พฤติการณ์ของดําแม้ว่าจะมิได้มีความประสงค์ให้แดง เขียว แสด ถึงแก่ความตายก็ตาม แต่การที่ดําได้ขับรถยนต์กระบะด้วยความเร็วสูงไล่ชนรถมอเตอร์ไซค์ของแดง เขียว แสด ที่ละคนนั้น ดําย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าอาจทําให้แดง เขียว แสด ถึงแก่ความตายได้ เมื่อดําได้กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา การกระทําของดําจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง ดําจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่เมื่อการกระทําของดําดังกล่าวมิได้ทําให้แดง เขียว แสด ถึงแก่ความตาย จึงเป็นกรณีที่ดํา ได้ลงมือกระทําความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ดังนั้น ดําจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่า แดง เขียว แสด ตามมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

สรุป
ดําต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่าแดง เขียว แสด ตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและ วรรคสอง ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

 

ข้อ 2. ข้อยกเว้นของหลักกฎหมายที่ว่า “บุคคลจักต้องรับผิดในทางอาญาเมื่อได้กระทําโดยเจตนา” มีอย่างไรบ้าง จงอธิบายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา”

อธิบาย
ตามบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่า บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้มีการกระทํา ซึ่งการกระทํา หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สํานึก กล่าวคือ เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายที่อยู่ภายใต้บังคับของจิตใจนั่นเอง และการกระทํายังให้หมายความรวมถึงการไม่เคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สํานึกด้วย ดังจะเห็นได้จากมาตรา 59 วรรคห้า ซึ่งบัญญัติว่า “การกระทําให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทําเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย”

และโดยหลักทั่วไป การกระทําซึ่งจะทําให้บุคคลผู้กระทําต้องรับผิดในทางอาญานั้นจะต้องเป็นการกระทําโดยเจตนา คือ เป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น (มาตรา 59 วรรคสอง)

แต่อย่างไรก็ดี ตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง มีข้อยกเว้นว่า บุคคลอาจจะต้องรับผิดในทางอาญา แม้จะมิได้กระทําโดยเจตนาก็ได้ ถ้าเข้ากรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้คือ

(1) เป็นการกระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายได้บัญญัติให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทําโดยประมาท เช่น กระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นต้น หรือ

(2) เป็นการกระทําที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ต้องรับผิดแม้กระทําโดยไม่มีเจตนา (ความผิดเด็ดขาด) เช่น การกระทําความผิดตามประมวลรัษฎากร เป็นต้น หรือ

(3) เป็นการกระทําความผิดลหุโทษตามประมวลกฎหมายนี้ แม้กระทําโดยไม่มีเจตนาก็เป็นความผิด เว้นแต่ตามบทบัญญัติความผิดนั้นจะมีความบัญญัติให้เห็นเป็นอย่างอื่น (มาตรา 104)

 

ข้อ 3. นายเดชพบนายเอกคู่อริยืนอยู่คนเดียว จึงเดินเข้าไปหาด่าว่าด้วยถ้อยคําหยาบคายและต่อยเตะนายเอกจนล้มลง แล้วนายเดชก็เดินจากไป นายเอกโกรธลุกขึ้นมาได้คว้าไม้วิ่งไล่ตาม พอทันกัน ใช้ไม้ตีไปที่ศีรษะนายเดช นายเดชก้มหลบทัน ไม้เลยไปถูกนายเฮงซึ่งเดินสวนมาพอดี ศีรษะแตก ล้มลง นายเอกรีบเดินหนีไป นายเฮงลุกขึ้นมาได้ด้วยความโกรธที่ถูกนายเอกตี วิ่งเข้าไปในบ้านซึ่งอยู่ห่างประมาณ 30 เมตร หยิบปืนออกมาวิ่งไล่ตามจนทันแล้วใช้ปืนยิงนายเอก แต่กระสุนปืนไม่ลั่น เพราะลืมบรรจุกระสุน ดังนี้ นายเอกและนายเฮง จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร และจะอ้างเหตุผลใด มายกเว้นความผิดหรือลดหย่อนโทษได้หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติ ให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นํา กฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอด แล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”
มาตรา 81 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดกระทําการโดยมุ่งต่อผลซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด แต่การกระทํานั้นไม่สามารถจะบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทําหรือเหตุแห่งวัตถุที่มุ่งหมายกระทําต่อ ให้ถือว่าผู้นั้นพยายามกระทําความผิด แต่ให้ลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ นายเอกและนายเฮง จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร และจะอ้างเหตุใด มายกเว้นความรับผิดหรือลดหย่อนโทษได้หรือไม่นั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายเอก
การที่นายเอกใช้ไม้ตีไปที่ศีรษะนายเดชนั้น ถือว่านายเอกมีเจตนาทําร้ายนายเดชแล้ว เพราะการกระทําของนายเอกเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายเอกจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง นายเอกจึงต้อง รับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และแม้การกระทําของนายเอกจะได้กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผลเพราะนายเดชก้มหลบทัน นายเอกก็ต้องรับผิดฐานพยายามทําร้ายนายเดชตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายเอกได้กระทําต่อนายเดชนั้น เนื่องมาจากนายเอกถูกนายเดชด่าว่าด้วยถ้อยคําหยาบคายและถูกนายเดชต่อยเตะจนนายเอกล้มลง จึงถือได้ว่าการที่นายเอกได้ใช้ไม้ตีนายเดชนั้น เป็นเพราะนายเอกบันดาลโทสะเนื่องจากถูกนายเดชข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ดังนั้น นายเอก จึงอ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลดหย่อนโทษได้ตามมาตรา 72

ส่วนการที่นายเอกมีเจตนาทําร้ายนายเดช แต่ผลของการกระทําไปเกิดกับนายเฮงโดยพลาดไป ตามกฎหมายให้ถือว่านายเอกได้เจตนากระทําต่อนายเฮงบุคคลที่ได้รับผลร้ายนั้นด้วยตามมาตรา 60 แต่เมื่อเจตนาตอนแรกของนายเอกเป็นการกระทําเพราะบันดาลโทสะ ดังนั้นนายเอกสามารถอ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ ศาลลดหย่อนโทษได้เช่นเดียวกันตามมาตรา 72 ประกอบมาตรา 60

กรณีของนายเฮง
การที่นายเฮงถูกนายเอกตี ด้วยความโกรธจึงวิ่งเข้าไปในบ้านซึ่งอยู่ห่างประมาณ 30 เมตร แล้วหยิบปืนออกมายิงนายเอก แต่กระสุนไม่ลั่นเพราะลืมบรรจุกระสุนนั้น การกระทําของนายเฮงเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายเฮง จึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง นายเฮงจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่าตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อการกระทําของนายเฮง เป็นการกระทําที่ถือได้ว่าลงมือกระทําแล้ว แต่การกระทําไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทํา และนายเฮงได้กระทําไปเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ดังนั้น นายเฮงจึงมีความผิดฐานพยายามกระทําความผิดตาม มาตรา 81 วรรคหนึ่ง และสามารถอ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลดหย่อนโทษได้ตามมาตรา 72

สรุป
นายเอกต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามทําร้ายนายเดชตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง และมีความผิดฐานทําร้ายนายเฮงโดยพลาดตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งประกอบ มาตรา 60 แต่นายเอกสามารถอ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลดหย่อนโทษได้ตามมาตรา 72

นายเฮงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามกระทําความผิดที่ไม่สามารถบรรลุผลได้อย่าง แน่แท้ตามมาตรา 81 วรรคหนึ่ง แต่สามารถอ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลดหย่อนโทษได้ตามมาตรา 72

 

ข้อ 4. หนึ่ง สอง และสาม ร่วมกันวางแผนจะขโมยเหล้าที่ร้านนายเจริญในเวลากลางคืน โดยหนึ่งเป็นคนจัดหารถยนต์มาให้ แต่ไม่ได้ไปร่วมขโมยด้วย เมื่อได้รถยนต์แล้วสองเป็นคนขับรถยนต์พาสามไปจอดที่หน้าร้านนายเจริญ สามแต่เพียงคนเดียวเป็นผู้ปีนและงัดประตูเข้าไปในร้าน และขโมยเหล้ามา ส่งให้สองที่ยืนดูต้นทางอยู่หน้าร้าน และรับเหล้าไปไว้ในรถยนต์ เมื่อขโมยได้เหล้าตามที่ต้องการแล้ว สองขับรถยนต์พาสามเอาเหล้าไปส่งให้หนึ่งที่บ้าน หนึ่งขับรถยนต์ไปหาสี่ สี่รู้ว่าเป็นเหล้าที่ขโมยมา ก็ยังช่วยพาหนึ่งไปขายเหล้าให้กับนายห้า ดังนี้ หนึ่ง สอง และสี่ จะต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่สามขโมยเหล้าร้านนายเจริญในฐานเป็นตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุนอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ หนึ่ง สอง และสี่ จะต้องร่วมรับผิดทางอาญาในความผิดที่สามขโมยเหล้าร้านนายเจริญในฐานเป็นตัวการ ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุน หรือไม่อย่างไร แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของสอง
การที่สองได้ร่วมวางแผนกับสามเพื่อขโมยเหล้าที่ร้านนายเจริญ และในขณะที่สามได้ปีนและงัดประตูเข้าไปในร้าน สองก็ยืนดูต้นทางอยู่หน้าร้าน ถือได้ว่าสองและสามมีเจตนาร่วมกันกระทําความผิดและได้ร่วมกันถึงขั้นลงมือกระทําความผิดโดยแบ่งหน้าที่กันทําและอยู่ใกล้พร้อมที่จะช่วยเหลือกันได้ ความผิดฐานลักทรัพย์ดังกล่าว (การขโมยเหล้า) จึงเป็นความผิดที่เกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป คือเกิดจากการกระทําของสองและสาม ดังนั้น สองจึงต้องร่วมรับผิดทางอาญากับสามในฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

กรณีของหนึ่ง
แม้หนึ่งจะได้ร่วมวางแผนกับสองและสามเพื่อขโมยเหล้าที่ร้านนายเจริญก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าในขณะที่สองและสามขโมยเหล้านั้นหนึ่งไม่ได้อยู่ร่วมด้วย แต่หนึ่งได้ขออยู่ที่บ้าน ซึ่งหนึ่งไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย จึงถือไม่ได้ว่าหนึ่งเป็นตัวการร่วมในการขโมยเหล้า แต่อย่างไรก็ตาม การที่หนึ่งได้ร่วมวางแผนกับสองและสามและเป็นคนจัดหารถยนต์มาให้ ถือเป็นการกระทําอันเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิด ดังนั้น หนึ่งจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

กรณีของสี่
สี่ไม่ได้ร่วมวางแผนกับหนึ่ง สอง และสาม เพื่อขโมยเหล้าที่ร้านนายเจริญ จึงมิใช่ตัวการ และการที่สี่ได้ช่วยหนึ่งขายเหล้าทั้งที่รู้ว่าเป็นเหล้าที่ขโมยมา สี่ก็ไม่ต้องรับผิดในฐานเป็นผู้สนับสนุน เพราะการที่สี่ ได้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้น ก็เป็นการกระทําหลังจากที่ความผิดฐานลักทรัพย์ (ขโมยเหล้า) สําเร็จแล้ว ซึ่งกรณีที่จะเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนนั้นจะต้องเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะกระทําความผิดเท่านั้น การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกภายหลังการกระทําความผิด จึงเป็นผู้สนับสนุนไม่ได้ ดังนั้น สี่จึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุนแต่อย่างใด แต่สี่ต้องรับผิดทางอาญาฐานใหม่ คือฐานรับของโจร

สรุป
หนึ่งต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86
สองต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83
สี่ไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุน แต่ต้องรับผิดฐานรับของโจร

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายมึนงงเข้าสอบกฎหมายอาญา 1 แต่ทําข้อสอบไม่ได้ จึงโมโหตำราที่อ่านมาทั้งคืน และไม่คิดจะอยู่ร่วมกับตําราอีกต่อไป เมื่อออกจากห้องสอบมาจึงคว้าตําราบนเก้าอี้หน้าห้องสอบไปโยนทิ้ง ที่บ่อน้ำหน้ามหาวิทยาลัยโดยไม่ทันดูให้ดีเสียก่อน ปรากฏว่าเป็นตําราของนางสาวงงงวย ซึ่งเสียหายทั้งหมด จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายมึนงง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

ถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่า นั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 62 วรรคสอง “ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา 59 หรือความสําคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคหนึ่ง ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทําความผิด ให้ผู้กระทํารับผิดฐานกระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่าการกระทํานั้นผู้กระทําจะต้องรับโทษ แม้กระทําโดยประมาท”

วินิจฉัย
โดยหลักแล้วบุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือในกรณีที่กฎหมายได้บัญญัติ ไว้โดยชัดแจ้งให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

การกระทําโดยเจตนา ได้แก่การกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น แต่อย่างไรก็ตามถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็น องค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้ คือจะถือว่า ผู้กระทําได้กระทําโดยเจตนาไม่ได้นั่นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมึนงงได้เอาตําราบนเก้าอี้หน้าห้องสอบไปโยนทิ้งที่บ่อน้ำหน้ามหาวิทยาลัยนั้น เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สํานึกจึงถือว่าเป็นการกระทําทางอาญาแล้ว แต่การกระทําดังกล่าวของนายมึนงงจะถือว่าเป็นการกระทําโดยเจตนาหาได้ไม่ เพราะนายมึนงงได้กระทําโดยมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็น

องค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 59 วรรคสาม คือไม่รู้ว่าตําราที่ตนเอาไปทิ้งที่บ่อน้ำนั้นเป็นทรัพย์ของผู้อื่น ไม่ใช่ตําราหรือทรัพย์ของตนเอง ดังนั้นนายมึนงงจึงไม่มีความรับผิดทางอาญาฐานทําให้เสียทรัพย์ (องค์ประกอบ ของความผิดฐานทําให้เสียทรัพย์ตาม ป.อาญา มาตรา 358 คือ 1. ทําให้เสียหาย ทําลาย ทําให้เสื่อมค่า หรือทําให้ ไร้ประโยชน์ 2. ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย 3. โดยเจตนา)

และแม้ว่าการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดนั้น ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของนายมึนงงเนื่องจากการที่นายมึนงงได้เอาตําราไปทิ้งบ่อน้ำนั้น ได้กระทําโดยไม่ทันดูให้ดีว่าไม่ใช่ตําราของตนเอง แต่นายมึนงงก็ไม่ต้องรับผิดฐานประมาททําให้เสียทรัพย์ทั้งนี้เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้การกระทําโดย ประมาททําให้เสียทรัพย์นั้นเป็นความผิดแต่อย่างใดตามมาตรา 59 วรรคสี่ ประกอบกับมาตรา 62 วรรคสอง ดังนั้นนายมึนงงจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป นายมึนงงไม่มีความรับผิดทางอาญา

 

ข้อ 2. คุณหญิงแย้มเกลียดเย็นที่ได้รับความรักจากเจ้าคุณเพียงคนเดียว คุณหญิงแย้มจึงคิดจะฆ่าเย็นแต่กลับเห็นช้อยเป็นเย็น เมื่อใช้ปืนยิงช้อยถึงแก่ความตายแล้ว กระสุนยังเลยไปถูกชดที่กําลังทําอาหารในครัวที่อยู่ห่างออกไปได้รับบาดเจ็บสาหัส และทําให้ถ้วยลายครามสมัยอยุธยาตอนต้นของแช่มที่ชดถืออยู่ตกแตกอีกด้วย จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของคุณหญิงแย้ม

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสองและวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

การกระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นํากฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 61 “ผู้ใดเจตนาจะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทําต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสําคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสําคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทําโดยเจตนาหาได้ไม่”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไป ตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ความรับผิดทางอาญาของคุณหญิงแย้ม แยกพิจารณาได้ดังนี้
ความรับผิดของคุณหญิงแย้มต่อช้อย
การที่คุณหญิงแย้มใช้ปืนยิงช้อยโดยเข้าใจว่าเป็นเย็นนั้น เป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํา คือ ความตายของผู้ที่ตนยิง ดังนั้น การกระทําของคุณหญิงแย้มจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง และกรณีดังกล่าวนี้คุณหญิงแย้มจะยกเอาความสําคัญผิดขึ้นมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่ได้มีเจตนากระทําต่อซอยไม่ได้ตามมาตรา 61 ดังนั้น คุณหญิงแย้มจึงต้อง รับผิดทางอาญาต่อช้อยฐานกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

ความรับผิดของคุณหญิงแย้มต่อชด
การที่คุณหญิงแย้มใช้ปืนยิงช้อย และกระสุนยังได้เลยไปถูกชุดบาดเจ็บด้วยนั้น ถือเป็นกรณีที่คุณหญิงแย้มเจตนาจะกระทําความผิดต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําไปเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ซึ่งตามกฎหมายให้ถือว่าคุณหญิงแย้มกระทําโดยเจตนาต่อบุคคลที่ได้รับผลร้ายนั้นด้วย ดังนั้น เมื่อคุณหญิงแย้มมีเจตนาฆ่า มาตั้งแต่ต้น เจตนาที่โอนมายังชดก็คือ เจตนาฆ่าเช่นเดียวกัน เมื่อปรากฏว่าชดเพียงแต่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ไม่ถึงแก่ความตาย คุณหญิงแย้มจึงต้องรับผิดต่อชดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยพลาดตามมาตรา 60 ประกอบมาตรา 80

ส่วนกรณีที่กระสุนเลยไปถูกชดและทําให้ถ้วยลายครามของแช่มที่ชดถืออยู่ตกแตกได้รับความเสียหายด้วยนั้น ถือเป็นกรณีที่คุณหญิงแย้มได้กระทําโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ แต่เนื่องจากการ ทําให้เสียทรัพย์ของผู้อื่นโดยประมาทไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด คุณหญิงแย้มจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญา ในความเสียหายต่อถ้วยลายครามของแขม ทั้งนี้ตามหลักในมาตรา 59 วรรคหนึ่งที่ว่า บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญา เมื่อได้กระทําโดยประมาทก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท

สรุป
คุณหญิงแย้มต้องรับผิดทางอาญาต่อช้อยฐานฆ่าช้อยตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 61 และรับผิดทางอาญาต่อชดฐานพยายามฆ่าชดโดยพลาดตามมาตรา 60 ประกอบ มาตรา 80 แต่คุณหญิงแย้มไม่ต้องรับผิดทางอาญาในความเสียหายต่อถ้วยลายครามของแช่ม

 

ข้อ 3. ส้มใช้ปืนขู่บังคับให้เงาะตีศีรษะมังคุด หากไม่ทําส้มจะยิงเงาะให้ตาย เงาะกลัวส้มยิงตน เงาะจึงใช้ไม้ตีมังคุด มังคุดเห็นเงาะเงื้อไม้ขึ้นตีมังคุด จึงใช้ไม้ที่ถืออยู่ตีไปที่เงาะ ไม้กระเด็นหลุดมือไปถูกส้มด้วย ดังนี้
ส้ม เงาะ และมังคุดจะมีความรับผิดทางอาญาและมีเหตุที่เป็นคุณทางกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งขัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นํากฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 67 “ผู้ใดกระทําความผิดด้วยความจําเป็น
(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อํานาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ
(2) เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน

ถ้าการกระทํานั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วานหรือยุยง ส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของ โทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 89 “ถ้ามีเหตุส่วนตัวอันควรยกเว้นโทษ ลดโทษ หรือเพิ่มโทษแก่ผู้กระทําความผิดคนใด จะนําเหตุนั้นไปใช้แก่ผู้กระทําความผิดคนอื่นในการกระทําความผิดนั้นด้วยไม่ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ส้ม เงาะ และมังคุด ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของส้ม
การที่ส้มใช้ปืนขู่บังคับเงาะให้ตีศีรษะมังคุดนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิด ด้วยการบังคับขู่เข็ญแล้ว ส้มจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคหนึ่ง และเมื่อความผิดที่ใช้ได้กระทําลง คือ เงาะได้ใช้ไม้ตีไปที่มังคุด ดังนั้นส้มผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84 วรรคสอง และกรณีนี้ส้มไม่ได้รับการยกเว้นโทษตามมาตรา 89 เพราะถึงแม้การที่เงาะใช้ไม้ตีมังคุดจะกระทําด้วยความจําเป็นและได้รับยกเว้นโทษ ตามมาตรา 67 ก็ตาม แต่การได้รับยกเว้นโทษดังกล่าวถือเป็นเหตุส่วนตัวของเงาะจะนํามาใช้กับส้มด้วยไม่ได้

ความรับผิดของเงาะ
การที่เงาะใช้ไม้ตีไปที่มังคุดถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน ผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของเงาะจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เงาะจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การที่เงาะใช้ไม้ตีไปที่มังคุดนั้น เงาะได้กระทําไปเพราะอยู่ภายใต้อํานาจบังคับของส้ม ซึ่งเงาะไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ เมื่อเงาะได้กระทําไปไม่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทําของเงาะจึงเป็นการกระทําความผิดด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67 (1) ดังนั้น เงาะจึงมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ

ความรับผิดของมังคุด
การที่มังคุดใช้ไม้ตีไปที่เงาะถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน ผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของมังคุดจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง มังคุดจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม การที่มังคุดได้ใช้ไม้ตีไปที่เงาะนั้น มังคุดได้กระทําไปเพื่อป้องกันสิทธิของตน ให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายของเงาะ และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง เมื่อมังคุดได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทําของมังคุดจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม มาตรา 68 ดังนั้น มังคุดจึงไม่ต้องรับผิดต่อเงาะ

และเมื่อการกระทําของมังคุดเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้ว่าไม้ได้หลุดจากมือมังคุด เลยไปถูกส้มด้วย ซึ่งถือเป็นกรณีที่มังคุดเจตนากระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไปและกฎหมายให้ถือว่ามังคุดเจตนากระทําต่อส้มโดยพลาดไปตามมาตรา 60 ก็ตาม แต่เมื่อเจตนาตอนแรกของมังคุดเป็นการกระทําป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปก็ถือเป็นผลที่เกิดจากการกระทําป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ด้วย ดังนั้น มังคุดจึงไม่ต้องรับผิดต่อส้มเช่นเดียวกัน

สรุป ส้มต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 และรับโทษเสมือนตัวการ
เงาะต้องรับผิดทางอาญา แต่ไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 67 เพราะเป็นการกระทํา ความผิดด้วยความจําเป็น

มังคุดไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 เพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 4. นงเยาว์ได้บอกกับนงลักษณ์ลูกน้องว่า นงนุชกําแหงมากสมควรตายได้แล้ว นงลักษณ์ได้ยินเช่นนั้นก็ทราบทันทีว่านงเยาว์ต้องการให้ฆ่านงนุช นงลักษณ์ได้ร่วมกับนงคราญที่เป็นเพื่อนสนิทกันวางแผนฆ่านงนุช โดยนงลักษณ์ไปขอยืมอาวุธปืนจากนงนภา โดยบอกกับนงนภาว่าจะนําอาวุธปืนไว้ป้องกันตัวเพราะมีคนปองร้าย นงนภาทราบดีว่านงลักษณ์จะนําปืนไปฆ่าคนแต่ไม่ยอมบอกกับตน นงนภาเองก็อยากให้นงนุชตายอยู่แล้ว จึงให้นงลักษณ์ยืมอาวุธปืน นงลักษณ์ได้ปืนมาก็นั่งซ้อนท้าย รถจักรยานยนต์ที่นงคราญเป็นผู้ขับขี่ นงลักษณ์ใช้ปืนของนงนภายิงนงนุชตาย ดังนี้ นงเยาว์ นงคราญ และนงนภา ต้องร่วมรับผิดในการกระทําของนงลักษณ์อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้เก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วาน หรือ ยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการ ที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นงลักษณ์ใช้อาวุธปืนยิงนงนุชตาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนงลักษณ์จึงเป็นการ กระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง นงลักษณ์จึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประเด็นที่ต้อง วินิจฉัยมีว่า นงเยาว์ นงคราญ และนงนภา ต้องรับผิดในการกระทําของนงลักษณ์อย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของนงเยาว์
การที่นงเยาว์ได้บอกกับนงลักษณ์ลูกน้องว่า นงนุชกําแหงมากสมควรตายได้แล้ว เมื่อนงลักษณ์ ได้ยินเช่นนั้นจึงทราบทันทีว่านงเยาว์ต้องการให้ฆ่านงนุชนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดแล้ว นงเยาว์จึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคหนึ่ง และเมื่อผู้ถูกใช้คือนงลักษณ์ ได้ลงมือกระทําความผิด ตามที่ก่อ นงเยาว์ผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84 วรรคสอง

ความรับผิดของนงคราญ
การที่นงคราญได้ร่วมวางแผนกับนงลักษณ์เพื่อฆ่านงนุช และได้ขี่รถจักรยานยนต์ให้นงลักษณ์ ซ้อนท้ายไปฆ่านงนุชนั้น การกระทําของนงคราญถือเป็นการร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันกับนงลักษณ์ ดังนั้น นงคราญจึงต้องรับผิดฐานเป็นตัวการร่วมกับนงลักษณ์ตามมาตรา 83

ความรับผิดของนงนภา
การที่นงนภาให้นงลักษณ์ยืมอาวุธโดยรู้อยู่แล้วว่านงลักษณ์จะไปยิงนงนุชนั้น การกระทําของนงนภาถือเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิด ดังนั้น นงนภาจึงต้องรับผิดฐาน เป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

สรุป นงเยาว์ต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้และต้องรับโทษเสมือนตัวการ
นงคราญต้องรับผิดฐานเป็นตัวการ นงนภาต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1. นายนัทกลับบ้านมากลางดึก ได้ทราบข่าวจากนางจอยที่เป็นภริยาว่า โดเรม่อนน้องหมาที่เลี้ยงไว้มากัด ด.ญ.ส้มจี๊ดที่เป็นลูกสาวได้รับบาดเจ็บที่ขาขวา นายนัทโมโหมากตั้งใจว่าจะไม่อยู่ร่วมโลกกับโดเรม่อน อีกต่อไป จึงนั่งรอโดเรม่อนกลับเข้ามาในบ้าน เพราะโดเรม่อนได้หนีออกจากบ้านไปหลังจากกัด ด.ญ.ส้มจี๊ด ผ่านไปครู่ใหญ่มีน้องหมาตัวหนึ่งลอดประตูรั้วบ้านเข้ามาและเข้ามาคุ้ยเขียกองขยะในถังขยะหน้าบ้านกินด้วยความหิวโหย ในเวลานั้นเองนายนัทเดินไปที่รถเพื่อหยิบไม้กอล์ฟจากรถออกมาตี ที่หัวน้องหมาตัวนั้นจนน้องหมาตายคาที่ ปรากฏว่า น้องหมาตัวนั้นไม่ใช่โดเรม่อนของนายนัท แต่เป็นน้องหมาโนปิตะของนายบอลที่เป็นเพื่อนบ้าน โนปิตะมีสีและรูปร่างใกล้เคียงกับโดเรม่อนมาก
ให้นักศึกษาวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายนัท พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบการวินิจฉัย

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง วรรคสาม และวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

ถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความ ระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 62 วรรคสอง “ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา 59 หรือความสําคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคหนึ่ง ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทําความผิด ให้ผู้กระทํารับผิดฐานกระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทํานั้นผู้กระทําจะต้องรับโทษ แม้กระทําโดยประมาท”

วินิจฉัย
โดยหลักแล้วบุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือในกรณีที่กฎหมายได้บัญญัติ ไว้โดยชัดแจ้งให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

การกระทําโดยเจตนา ได้แก่การกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น แต่อย่างไรก็ตามถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้ คือจะถือว่า ผู้กระทําได้กระทําโดยเจตนาไม่ได้นั่นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายนัทได้ใช้ไม้กอล์ฟตีน้องหมา คือ โนปิตะตายนั้นเป็นการเคลื่อนไหว ร่างกายโดยรู้สํานึกจึงถือว่าเป็นการกระทําทางอาญาแล้ว แต่การกระทําดังกล่าวของนายนัทจะถือว่าเป็นการกระทําโดยเจตนาหาได้ไม่ เพราะนายนัทได้กระทําโดยมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 59 วรรคสาม คือไม่รู้ว่าน้องหมาที่ตนใช้ไม้กอล์ฟตีจนตายนั้นเป็นทรัพย์ของผู้อื่นไม่ใช่โดเรม่อนสุนัขของตนเอง ดังนั้นนายนัทจึงไม่มีความรับผิดทางอาญาฐานทําให้เสียทรัพย์ (องค์ประกอบของความผิดฐานทําให้เสียทรัพย์ ตาม ป.อาญา มาตรา 358 คือ 1. ทําให้เสียหาย ทําลาย ทําให้เสื่อมค่า หรือทําให้ไร้ประโยชน์ 2. ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย 3. โดยเจตนา)

และแม้ว่าการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดนั้น ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของนายนัทเนื่องจากนายนัทได้ที่โนบิตะซึ่งเป็นสุนัขของนายบอลตายนั้น ได้กระทําโดยไม่ทันดูให้ดีว่าไม่ใช่โดเรม่อนสุนัขของตน แต่นายนัทก็ไม่ต้องรับผิดฐานประมาททําให้เสียทรัพย์ทั้งนี้เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้การกระทําโดยประมาททําให้เสียทรัพย์นั้นเป็นความผิดแต่อย่างใดตามมาตรา 59 วรรคสี่ ประกอบกับมาตรา 62 วรรคสอง ดังนั้นนายนัทจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป
นายนัทไม่มีความรับผิดทางอาญา

 

ข้อ 2. แจ็คต้องการฆ่าแคนดี้ เพราะแคนดี้เป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่สําคัญของแจ็ค วันหนึ่งแจ็คเห็นน้ำตาลเดินมาเข้าใจว่าเป็นแคนดี้ จึงใช้ปืนขนาด .38 มม. ที่พกอยู่เป็นอาวุธเล็งปืนไปที่น้ำตาล น้ำตาลตาไวเห็นทันพอดี จึงตีลังกาหลบแจ็ค ทําให้กระสุนไม่ถูกน้ำตาลเลย แต่กระสุนกลับเลยไปถูกขวัญ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทําให้น้องหมาของแป๋มที่ขวัญอุ้มอยู่ตกลงไปในท่อจนตาย จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของแจ็คต่อผู้เสียหายทุกราย พร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดย ประมาทหรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นํากฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 61 “ผู้ใดเจตนาจะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทําต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสําคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสําคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทําโดยเจตนาหาได้ไม่”

มาตรา 80 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แจ็คต้องการฆ่าแคนดี้ เมื่อเห็นน้ำตาลเดินมาเข้าใจว่าเป็นแคนดี้ จึงใช้ปืนเล็งและยิงไปที่น้ำตาลโดยสําคัญผิดนั้น การกระทําของแจ็คเป็นการกระทําโดยเจตนาประสงค์ต่อผลตาม มาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทําและในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อ ผลของการกระทํานั้น แต่เมื่อกระสุนปืนไม่ถูกน้ำตาล จึงเป็นกรณีที่แจ็คได้ลงมือกระทําความผิดซึ่งได้กระทําไป ตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล คือน้ำตาลไม่ตายตามที่แจ็คต้องการ แจ็คจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าน้ำตาลโดยสําคัญผิดในตัวบุคคลตามมาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง มาตรา 61 และมาตรา 80 วรรคหนึ่ง แจ็คจะอ้างว่าได้กระทําเพราะเหตุสําคัญผิดว่าน้ำตาลเป็นแคนดี้เป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทําโดยเจตนาหาได้ไม่

การที่กระสุนปืนไม่ถูกน้ำตาลแต่เลยไปถูกขวัญได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยนั้น เป็นกรณีที่แจ็คได้ กระทําโดยเจตนาต่อน้ำตาลแต่ผลของการกระทําเกิดแก่ขวัญโดยพลาดไป ให้ถือว่าแจ็คได้กระทําโดยเจตนาต่อขวัญ บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทําด้วยตามมาตรา 60 และเมื่อขวัญไม่ตายเพียงแต่ได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นแจ็คจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าขวัญโดยพลาดไปตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 60 และมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

ส่วนการที่กระสุนปืนไปถูกขวัญทําให้น้องหมาของแป๋มที่ขวัญอุ้มอยู่ตกลงไปในท่อจนตายนั้น แจ็คไม่ต้องรับผิดฐานทําให้เสียทรัพย์ เพราะมิใช่การกระทําโดยพลาดตามมาตรา 60 ทั้งนี้เพราะผลร้ายที่ เกิดขึ้นโดยพลาดไม่ได้เป็นผลประเภทเดียวกับที่เจตนากระทํา กล่าวคือเมื่อเป็นการกระทําโดยเจตนาต่อบุคคล แต่ผลร้ายเกิดขึ้นกับทรัพย์จึงไม่อยู่ในความหมายของคําว่าพลาด แต่อย่างไรก็ดีการกระทําของแจ็คเป็นการกระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ จึงถือว่าเป็นการกระทําโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ แต่แม้จะเป็นการกระทําโดยประมาท แจ็คก็ไม่มีความผิด เพราะการทําให้เสียทรัพย์โดยประมาทนั้น ไม่มี กฎหมายบัญญัติให้เป็นความผิดแต่อย่างใด

สรุป
แจ็คต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่าน้ำตาล
แจ็คต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่าขวัญ
แจ็คไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานทําให้เสียทรัพย์ของแป๋ม

 

ข้อ 3. เฮงโชคดีถูกลอตเตอรี่ได้เงินมาดีใจชวนดํา ขาว และเขียว มารับประทานอาหารและดื่มสุราที่บ้านในตอนค่ำ เมื่อดื่มสุรากันจนเมา ได้พูดคุยกันเรื่องร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ ดํากับขาวความเห็น ไม่ตรงกันเกิดการทะเลาะกันเสียงดัง ดําโมโหคว้าขวดสุราตีศีรษะขาวแตกเลือดไหลแดง เฮงและเขียว ช่วยห้ามมิให้ทะเลาะกัน และนั่งดื่มสุรากันต่อไป สักครู่ขาวขอตัวกลับบ้านไปทําแผล เมื่อส่องกระจก เห็นศีรษะแตกมาก อีกประมาณ 2 ชั่วโมง ขาวถือมีดดาบย้อนกลับไปที่บ้านเฮง พบว่าทุกคนเมาสุรา นอนหลับกันหมดแล้ว ขาวเห็นดําเมาสุรานอนหลับอยู่ จึงใช้มีดดาบที่ถือติดตัวมาฟันศีรษะดํา อย่างแรง 2 ครั้ง ถึงแก่ความตาย ดังนี้ ขาวจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร และจะอ้างเหตุใด มายกเว้นโทษหรือลดหย่อนโทษได้หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

วินิจฉัย
ตามอุทาหรณ์ การที่ขาวใช้มีดดาบฟันศีรษะดําอย่างแรง 2 ครั้ง เป็นเหตุให้ดําถึงแก่ความตายนั้น ถือว่าขาวมีเจตนาฆ่าดํา เพราะเป็นกรณีที่ขาวได้กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันขาวก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้นขาวจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อดําตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง ฐานฆ่าดําตายโดยเจตนา

และกรณีดังกล่าว ขาวไม่สามารถอ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลงโทษน้อยกว่าที่ กฎหมายได้กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นได้ เพราะกรณีที่ผู้กระทําความผิดจะอ้างว่าได้กระทําความผิดเพราะเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลดหย่อนผ่อนโทษให้ตามมาตรา 72 นั้น จะต้องเป็นการกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหง ในขณะนั้นคือในขณะที่ถูกข่มเหงนั่นเอง แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์จะเห็นได้ว่าระยะเวลาที่ขาวกระทําต่อดำกับการที่ขาวถูกดําตีศีรษะนั้นไม่ต่อเนื่องกัน เนื่องจากปรากฏว่าหลังจากที่ดําใช้ขวดสุราตีศีรษะขาวนั้น ทั้งสองคนยังคงร่วมดื่มสุรากันต่อไป และเมื่อขาวได้ขอตัวกลับบ้านไปทําแผลอีกประมาณ 2 ชั่วโมง ขาวจึงย้อนกลับมาและใช้มีดดาบที่ถือติดตัวมาฟันศีรษะดํา จึงไม่ถือว่าขาวได้กระทําความผิดต่อดําในขณะบันดาลโทสะอยู่ ดังนั้น ขาวจึง ไม่สามารถอ้างได้ว่าตนได้กระทําความผิดโดยบันดาลโทสะตามมาตรา 72

สรุป
ขาวจะต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่าดําตายโดยเจตนา โดยจะอ้างเหตุบันดาลโทสะ เพื่อให้ศาลลดหย่อนผ่อนโทษให้ตามมาตรา 72 ไม่ได้

 

ข้อ 4. นางสีถูกนายใหญ่สามีทําร้ายบ่อยจึงกลับไปหานางอ่อนมารดาที่บ้าน เล่าเรื่องที่ถูกสามีทําร้าย ซึ่งขณะนั้นนางอ่อนกําลังนั่งพูดคุยอยู่กับนายสอนบุตรชายซึ่งเป็นน้องชายของนางสี นายสอนได้ยิน แล้วรู้สึกสงสารนางสีพี่สาว นายสอนไปปรึกษากับนายเชิดเพื่อนสนิท นายเชิดยุให้ฆ่านายใหญ่ พร้อมกับลุกไปหยิบปืนพกในห้องมาส่งให้นายสอนแล้วชวนกันไปขอยืมรถยนต์จากนายช้างเพื่อใช้เป็นพาหนะ นายช้างรู้ความประสงค์รับอาสาขับรถยนต์พานายสอนและนายเชิดไปส่งจุดที่จะลอบยิง นายใหญ่แล้วจะกลับมารับเมื่อยิงนายใหญ่ตายแล้ว นายเชิดเป็นคนดูต้นทางและให้สัญญาณให้นายสอนเป็นคนยิงนายใหญ่ นายสอนยิงนายใหญ่ตายแล้ว นายเชิดได้โทรศัพท์ให้นายช้างขับรถยนต์ มารับแล้วทั้งสามก็หลบหนีไปด้วยกัน ดังนี้ นางสี นายเชิด และนายช้าง จะต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่นายสองยิงนายใหญ่ตายอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้สําหรับ ความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสอนใช้ปืนพกยิงนายใหญ่ตาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนายสอนจึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น นายสอนจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคหนึ่ง (ในความผิดฐานฆ่านายใหญ่ตายโดยเจตนา)

สําหรับนางสี นายเชิด และนายช้าง จะต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่นายสอนยิงนายใหญ่ตาย อย่างไรหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนางสี
การที่นางสีถูกนายใหญ่สามีทําร้ายบ่อยจึงกลับบ้านและเล่าเรื่องที่ถูกสามีทําร้ายให้นางอ่อน มารดาฟัง ทําให้นายสอนน้องชายของนางสีซึ่งกําลังนั่งพูดคุยอยู่กับนางอ่อนได้ยินแล้วรู้สึกสงสารนางสีพี่สาวจึงไปยิงนายใหญ่ตายนั้น จะเห็นได้ว่านางสีมิได้มีเจตนาก่อให้นายสอนกระทําความผิดแต่อย่างใด นางสีจึงไม่ใช่ผู้ใช้ ตามนัยของมาตรา 84 ดังนั้น นางสีจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่นายสอนยิงนายใหญ่ตาย

กรณีของนายเชิด
การที่นายเชิดยุให้นายสอนฆ่านายใหญ่พร้อมลุกไปหยิบปืนพกในห้องมาส่งให้นายสอน แล้วชวนกันไปขอยืมรถยนต์จากนายช้างเพื่อใช้เป็นพาหนะ อีกทั้งนายเชิดจะเป็นคนดูต้นทางและให้สัญญาณให้นายสอน เป็นคนยิงนายใหญ่ และเมื่อนายสอนยิงนายใหญ่ตายแล้ว ทั้งนายสอนและนายเชิดก็ได้หลบหนีไปด้วยกันนั้น ถือว่า นายเชิดมีเจตนาร่วมกันกระทําความผิดกับนายสอนตั้งแต่แรกจนถึงขั้นลงมือกระทําความผิดแล้วโดยเป็นการแบ่งหน้าที่กันทํา ดังนั้น นายเชิดจึงต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่นายสอนยิงนายใหญ่ตายฐานเป็นตัวการร่วมกับ นายสอนตามมาตรา 83

กรณีของนายช้าง
การที่นายช้างรู้ความประสงค์ของนายสอนที่จะไปลอบฆ่านายใหญ่ ได้รับอาสาขับรถยนต์พานายสอนและนายเชิดไปส่งยังจุดที่จะลอบยิงนายใหญ่แล้วจะกลับมารับเมื่อยิงนายใหญ่ตายแล้วนั้น การกระทําของนายช้างถือว่าเป็นการให้ความสะดวกหรือช่วยเหลือนายสอนและนายเชิดก่อนการกระทําความผิด ดังนั้น นายช้างจึงต้องรับผิดทางอาญาในความผิดที่นายสอนยิงนายใหญ่ตายฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

อนึ่ง การกระทําของนายช้างไม่เป็นการกระทําในฐานะตัวการตามมาตรา 83 เพราะในขณะที่นายสอนยิงนายใหญ่ตายนั้น นายช้างมิได้อยู่ในที่เกิดเหตุในลักษณะพร้อมที่จะช่วยเหลือกันได้ จึงไม่เข้าลักษณะของตัวการตามนัยมาตรา 83

สรุป นางสีไม่ต้องรับผิดทางอาญาเพราะมิได้เป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84
นายเชิดต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83
นายช้างต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ก. คนบ้ารักษาตัวกับแพทย์แล้วคิดว่าตัวเองหายปกติดี พฤติกรรมบางครั้งไม่ยอมกินยาที่แพทย์สั่งบางครั้งก็กินยา วันเกิดเหตุ ก. เดินมาตลาดพบ ข. รอรถเมล์จะไปทํางาน ก. ไม่พอใจ ข. ที่มองหน้าตน ก. ชกเตะ ข. ล้มลงและจะกระทืบซ้ำ ข. ลุกขึ้นต่อยคาง ก. ก. สลบ ดังนี้ ก. และ ข. จะต้องรับผิด รับโทษในทางอาญาอย่างใด หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 65 “ผู้ใดกระทําความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสําหรับความผิดนั้น

แต่ถ้าผู้กระทําความผิดยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ผู้นั้น ต้องรับโทษสําหรับความผิดนั้น แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุการกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ก. และ ข. จะต้องรับผิดรับโทษในทางอาญา อย่างใด หรือไม่ แยกพิจารณา ได้ดังนี้

กรณีของ ก.
การที่ ก. ชกเตะ ข. จนล้มลงและจะกระทืบซ้ำนั้น ถือว่า ก. ได้กระทําต่อ ข. โดยเจตนา เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา และในขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง ซึ่งโดยหลักแล้ว ก. จะต้องรับผิดและรับโทษตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม ปอ. มาตรา 65 วรรคแรก ได้กําหนดไว้ว่า หากผู้กระทําผิดได้กระทําในขณะที่ไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ สําหรับความผิดนั้น ตามข้อเท็จจริงแม้ว่า ก. จะเป็นคนบ้า แต่พฤติกรรมของ ก. ดังกล่าว ถือเป็นการกระทําความผิด (ทําร้ายร่างกายผู้อื่น) ในขณะที่ ก. ยังสามารถรู้ผิดชอบ หรือยังสามารถบังคับตนเองได้บ้าง ดังนั้น ก. จึงต้องรับผิด และรับโทษฐานทําร้ายผู้อื่นตามมาตรา 65 วรรคสอง ประกอบมาตรา 59 วรรคแรก ศาลจะไม่ลงโทษ ก. เลยไม่ได้ แต่ศาลอาจจะลงโทษน้อยเพียงใดก็ได้ และอาจจะลงโทษน้อยกว่าโทษขั้นต่ำก็ได้

กรณีของ ข.
การที่ ข. ลุกขึ้นต่อยคาง ก. จน ก. สลบนั้น ถือว่า ข. ได้กระทําต่อ ก. โดยเจตนาเพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา และในขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง ซึ่งโดยหลักแล้ว ข. จะต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ ข. ต่อยคาง ก. นั้น เป็นเพราะ ก. ชกเตะ ข. จนล้มลงและจะกระทืบซ้ำ การกระทําของ ก. จึงถือเป็นภยันตรายที่ละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ดังนั้น การที่ ข. ต่อยคาง ก. จึงเป็นการกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายนั้น และเป็นการกระทําที่พอสมควรแก่เหตุ จึงถือว่าเป็นการกระทําที่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ข. จึงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป
ก. จะต้องรับผิดและรับโทษทางอาญาฐานทําร้ายร่างกายผู้อื่น แต่ศาลจะลงโทษน้อย เพียงใดก็ได้ ส่วน ข. ไม่ต้องรับผิดและรับโทษทางอาญา เพราะเป็นการกระทําเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. พยายามกระทําความผิด มีหลักกฎหมายและโทษอย่างไรบ้าง จงอธิบาย และยกตัวอย่าง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 80 “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้วแต่ การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด

ผู้ใดพยายามกระทําความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้ สําหรับความผิดนั้น”

อธิบาย
ตามมาตรา 80 กรณีที่จะถือว่าเป็นพยายามกระทําความผิดจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ที่สําคัญ 3 ประการ คือ

(1) ผู้กระทําจะต้องมีเจตนากระทําความผิด
(2) ผู้กระทําจะต้องลงมือกระทําความผิดแล้ว กล่าวคือ ได้ผ่านขั้นตระเตรียมการไปแล้ว จนถึงขั้นลงมือกระทําการเพื่อให้บรรลุผลตามที่เจตนา
(3) ผู้กระทํากระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทําไม่บรรลุผล

ซึ่งหลักเกณฑ์ข้อ (3) นี้ จะเห็นได้ว่า การพยายามกระทําความผิดตามมาตรา 80 อาจแบ่ง ออกเป็น 2 ประเภท คือ การ

1. พยายามกระทําความผิดที่กระทําไปไม่ตลอด ซึ่งมีองค์ประกอบดังนี้

(1) ผู้กระทําจะต้องได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว หมายถึง ได้กระทําที่พ้นจากขั้น ตระเตรียมการไปแล้วจนถึงขั้นลงมือกระทํา

(2) กระทําไปไม่ตลอด หมายความว่า เมื่อผู้กระทําได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว ได้มีเหตุมาขัดขวางเสียไม่ให้กระทําไปได้ตลอด

ตัวอย่าง ก. ตั้งใจจะยิง ข. จึงยกปืนขึ้นประทับบ่าและจ้องไปที่ ข. พร้อมกับขึ้นนก นี้ ในขณะที่กําลังจะลั่นไก ค. ได้มาจับมือ ก. เสียก่อน ทําให้ ก. กระทําไปไม่ตลอด คือไม่สามารถยิง ข. ได้

2. พยายามกระทําความผิดที่กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ซึ่งมี องค์ประกอบ ดังนี้

(1) ผู้กระทําได้ลงมือกระทําความผิดแล้ว
(2) การกระทํานั้นได้กระทําไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล เหตุที่ ไม่บรรลุผลก็เพราะว่ามีเหตุมาขัดขวางไม่ให้การกระทํานั้นบรรลุผลนั่นเอง

ตัวอย่าง ก. เจตนาฆ่า ข. และได้ยิงปืนไปที่ ข. แต่ลูกปืนไม่ถูก ข. หรือถูก ข. แต่ ข. ไม่ตาย ดังนี้ถือว่า ก. ได้ลงมือกระทําความผิด และได้กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทําไม่บรรลุผล คือ ข. ไม่ตาย ตามที่ ก. ประสงค์

โทษของการพยายามกระทําความผิด
โดยปกติ การพยายามกระทําความผิดนั้น ผู้กระทําจะต้องรับโทษสองในสามส่วนของโทษที่ กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น (มาตรา 80 วรรคสอง) เว้นแต่การพยายามกระทําความผิดบางกรณี ซึ่งถือเป็น ข้อยกเว้น ได้แก่

1. การพยายามกระทําความผิดที่ผู้กระทําต้องรับโทษเท่าความผิดสําเร็จ เช่น การพยายาม กระทําความผิดตามมาตรา 107, มาตรา 108 เป็นต้น

2. การพยายามกระทําความผิดที่ผู้กระทําไม่ต้องรับโทษ เช่น การพยายามกระทําความผิดที่ผู้กระทํายับยั้งเสียเองไม่กระทําการให้ตลอดหรือกลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทํานั้นบรรลุผลตามมาตรา 82 หรือ การพยายามกระทําความผิดลหุโทษตามมาตรา 105 เป็นต้น

3. การพยายามกระทําความผิดที่ไม่สามารถจะบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ตามมาตรา 81 ที่ผู้กระทําต้องรับโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น

 

ข้อ 3. เฮงโชคดีถูกหวยได้เงินมาจึงชวนดํา เหลือง และเขียว มาร่วมดื่มสุราฉลองที่บ้าน เมื่อดื่มสุรากันจนเมาได้พูดคุยเรื่องการเมืองกัน เฮงกับดําความเห็นไม่ตรงกันทะเลาะกันเสียงดัง เฮงคว้าขวดสุรา ตีศีรษะดําแตก เหลืองกับเขียวได้เข้าห้ามและขอร้องให้เลิกทะเลาะกัน เฮงกับดํา เหลือง เขียว ได้ร่วมกันดื่มสุราต่อไป ต่อมาดําขอตัวกลับไปก่อน อีกสองชั่วโมงดําถือมีดโต้ย้อนกลับมาที่บ้านเฮง เห็นเฮง เหลือง เขียว เมาสุรานอนหลับกันหมดแล้ว ดําใช้มีดฟันที่แขนเฮงขาด ได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนี้ เฮงและดําจะต้องรับผิดทางอาญา โดยจะอ้างเหตุใดมายกเว้นความผิด หรือลดหย่อนผ่อนโทษ ได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ เฮงและดําจะต้องรับผิดทางอาญา โดยจะอ้างเหตุใดมายกเว้นความผิด หรือลดหย่อนผ่อนโทษได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ ดังนี้

กรณีของเฮง
การที่เฮงใช้ขวดสุราตีศีรษะดํา ถือว่าเฮงได้กระทําต่อดําโดยเจตนา เพราะเป็นการกระทํา โดยรู้สํานึกในการกระทํา และในขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น เฮงจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อดําตามมาตรา 59 วรรคแรก โดยเฮงจะอ้างเหตุใดมายกเว้นความผิดหรือ ลดหย่อนผ่อนโทษไม่ได้

กรณีของดํา
การที่ดําใช้มีดโต้ฟันแขนเฮงจนขาดนั้น ถือว่าดําได้กระทําต่อเฮงโดยเจตนา เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น ดําจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อเฮงตามมาตรา 59 วรรคแรก

และกรณีนี้ดําไม่สามารถอ้างเหตุบันดาลโทสะได้ เพราะกรณีที่ผู้กระทําความผิดจะอ้างว่าได้กระทําความผิดเพราะเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ศาลลดหย่อนผ่อนโทษให้ตามมาตรา 72 นั้น จะต้องเป็นการกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นคือในขณะที่ถูกข่มเหงนั่นเอง แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์จะเห็นได้ว่า ระยะเวลาที่ดํากระทําต่อเฮงกับการที่ดําถูกเฮงตีศีรษะนั้นไม่ต่อเนื่องกัน เนื่องจากปรากฏว่าหลังจากที่เฮงตีศีรษะ ดํา ทั้งสองคนยังคงร่วมดื่มสุรากันต่อไป และดําได้ขอตัวกลับบ้านไปก่อนแล้ว อีกสองชั่วโมงกว่าจึงกลับมาทําร้าย เฮง ดังนั้นจึงไม่สามารถอ้างว่าเป็นการกระทําโดยบันดาลโทสะตามมาตรา 72 ได้

สรุป
เฮงและดําจะต้องรับผิดทางอาญา โดยจะอ้างเหตุใดมายกเว้นความผิดหรือลดหย่อน ผ่อนโทษไม่ได้เลย

 

ข้อ 4. พล นิกร กิมหงวน ร่วมกันวางแผนจะฆ่าแห้ว โดยตกลงให้พลเป็นคนจัดหาปืนมาให้นิกรเป็นคนยิง ส่วนกิมหงวนจะเป็นคนดูต้นทางและส่งสัญญาณให้นิกร เมื่อพลจัดหาปืนมาให้นิกรแล้ว ทั้งสามคนก็ไปดักซุ่มอยู่ข้างทางที่ทราบว่าแห้วจะเดินผ่าน ระหว่างซุ่มรออยู่นั้น พลเกิดเปลี่ยนใจชวนให้ นิกรกับกิมหงวนเลิกล้มความตั้งใจที่จะฆ่าแห้ว แต่นิกรกับกิมหงวนไม่ยอม พลจึงขอตัวกลับบ้าน ไปก่อน หลังจากนั้นเมื่อแห้วเดินผ่านมา กิมหงวนซึ่งเป็นคนคอยดูต้นทางให้สัญญาณ นิกรจึงใช้ปืนยิงแห้วถึงแก่ความตาย

ดังนี้ พล นิกร กิมหงวน จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความ สะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การกระทําของพล นิกร กิมหงวน จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของพล
แม้พลจะได้ร่วมวางแผนกับนิกรและกิมหงวนเพื่อจะฆ่าแห้ว แต่ในขณะที่นิกรใช้ปืนยิงแห้วถึงแก่ความตายนั้น พลไม่ได้อยู่ร่วมด้วย เนื่องจากพลเกิดเปลี่ยนใจและขอตัวกลับบ้านไปก่อน จึงถือว่าพลขาดเจตนา ที่จะร่วมกระทําความผิด ดังนั้น พลย่อมไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

แต่อย่างไรก็ตาม การที่พลได้วางแผนช่วยจัดหาปืนมาให้นิกรใช้ยิงแห้วนั้น ถือว่าเป็นการกระทําอันเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิด ดังนั้น พลจึงต้องรับผิดทางอาญา ในฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

กรณีของนิกร
การที่นิกรใช้ปืนยิงแห้วถึงแก่ความตายนั้น ถือว่านิกรได้กระทําต่อแห้วโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง เพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น นิกรจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคแรก

กรณีของกิมหงวน
การที่กิมหงวนร่วมกันวางแผนกับนิกรเพื่อฆ่าแห้ว และคอยดูต้นทางพร้อมทั้งส่งสัญญาณให้นิกรยิงแห้วจนถึงแก่ความตายนั้น ถือว่ากิมหงวนมีเจตนาร่วมกันกระทําความผิดกับนิกร และการกระทําของ กิมหงวนถือว่าเป็นส่วนหนึ่งเพื่อให้การฆ่าแห้วบรรลุผลสําเร็จ ดังนั้น เมื่อนิกรยิงแห้วตาย จึงถือว่ากิมหงวนร่วมกัน กระทําความผิดกับนิกรฐานฆ่าแห้วตายโดยเจตนา และต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

สรุป
พลต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86
นิกรต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคแรก
กิมหงวนต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)
ข้อ 1. นายแดงกับนายดําเป็นเพื่อนรักกัน ทั้งสองคนเข้าป่าล่าสัตว์เป็นงานอดิเรกด้วยกันเป็นประจํา วันหนึ่งทั้งคู่ได้นัดกันไปล่าสัตว์ตามปกติ โดยนัดเจอกันเวลาบ่ายโมงตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ นายแดงล่าสัตว์ไม่ได้เลย จึงรู้สึกเบื่อหน่าย มานั่งรอนายดําก่อนเวลานัดจนเผลอหลับไป เมื่อใกล้เวลาบ่ายโมง นายแดงได้ยินเสียงดังอยู่หลังพุ่มไม้ที่ตนนอนอยู่ ด้วยความรีบร้อนไม่ทันดูให้ดีเสียก่อนจึงชักปืนจากเอว ขึ้นยิ่งไปทันที ปรากฏว่าเป็นนายดําที่จะเข้ามาหยอกล้อเล่นเหมือนที่เคยทําประจํา กระสุนถูกอวัยวะสําคัญทําให้นายดําถึงแก่ความตายทันที จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายแดง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสอง วรรคสามและวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

การกระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

ถ้าผู้กระทํามิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้นมิได้

กระทําโดยประมาท ได้แก่กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 62 วรรคสอง “ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา 59 หรือ ความสําคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทําความผิด ให้ผู้กระทํา รับผิดฐานกระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทํานั้นผู้กระทําจะต้องรับโทษ แม้กระทําโดยประมาท”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงใช้ปืนยิงไปที่หลังพุ่มไม้นั้น ถือเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สํานึกแล้ว จึงถือว่านายแดงมีการกระทําทางอาญา แต่การที่นายแดงยิงไปที่หลังพุ่มไม้โดยเข้าใจว่าเป็นสัตว์ แต่ปรากฏว่าไม่ใช่สัตว์แต่เป็นนายดํานั้น เป็นกรณีที่นายแดงได้กระทําไปโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด คือไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนยิ่งนั้นเป็นคน ดังนั้น จะถือว่านายแดงได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทําคือการที่นายดําถึงแก่ความตายไม่ได้ กล่าวคือ จะถือว่านายแดงได้กระทําโดยเจตนาต่อนายดําไม่ได้นั่นเอง (มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสาม)

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อการไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 59 วรรคสาม ของนายแดงได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ เพราะตามข้อเท็จจริงนั้นการกระทําของนายแดง เป็นการกระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และนายแดงอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ กล่าวคือ ถ้านายแดงใช้ความระมัดระวัง พิจารณาให้ดีไม่รีบร้อนก็จะรู้ว่าหลังพุ่มไม้นั้นเป็นนายดําไม่ใช่สัตว์ เพราะนายดํามักจะหยอกล้อเล่นแบบนี้เป็นประจํา ดังนั้น นายแดงจึงต้องรับผิดฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 62 วรรคสอง ประกอบมาตรา 59 วรรคสี่

สรุป นายแดงต้องรับผิดฐานกระทําโดยประมาทตามมาตรา 62 วรรคสองประกอบมาตรา 59 วรรคสี่

 

ข้อ 2. เรยาเกลียดณฤดีที่ได้รับความรักจากคุณใหญ่เพียงคนเดียว เรยาจึงคิดจะฆ่าณฤดี แต่กลับเห็นเด่นจันทร์เป็นณฤดี เมื่อใช้ปืนยิงเด่นจันทร์ถึงแก่ความตายไปแล้ว กระสุนที่ใช้ยิงเด่นจันทร์นั้นยังเลยไปถูกสินธรที่เดินอยู่ห่างออกไปได้รับบาดเจ็บสาหัส นอกจากนี้กระสุนยังแฉลบไปถูกรถยนต์ของสินธร ที่เด่นจันทร์ซื้อให้ราคา 20 ล้านบาท ได้รับความเสียหายอีกด้วย จงวินิจฉัยความรับผิดชอบทางอาญา
ของเรยา

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาทหรือ เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่า นั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”
มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติ ให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทํากับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นํา กฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทําให้หนักขึ้น”

มาตรา 61 “ผู้ใดเจตนาจะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทําต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสําคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสําคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทําโดยเจตนาหาได้ไม่”

มาตรา 80 วรรคแรก “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไป ตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ความรับผิดทางอาญาของเรยา แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของเรยาต่อเด่นจันทร์
การที่เรยาใช้ปืนยิงเด่นจันทร์โดยเข้าใจว่าเป็นณฤดีนั้น เป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํา คือ ความตายของผู้ที่ตนยิง ดังนั้น การกระทําของเรยา จึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง และกรณีดังกล่าวนี้เรยาจะยกเอาความสําคัญผิดขึ้นมา เป็นข้อแก้ตัวว่าไม่ได้มีเจตนากระทําต่อเด่นจันทร์ไม่ได้ตามมาตรา 61 ดังนั้น เรยาจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อเด่นจันทร์ฐานกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคแรก

ความรับผิดของเรยาต่อสินธร
การที่เรยาใช้ปืนยิงเด่นจันทร์ และกระสุนยังได้เลยไปถูกสินธรบาดเจ็บด้วยนั้น ถือเป็นกรณีที่เรยาเจตนาจะกระทําความผิดต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําไปเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ซึ่งตามกฎหมายให้ถือว่าเรยากระทําโดยเจตนาต่อบุคคลที่ได้รับผลร้ายนั้นด้วย ดังนั้น เมื่อเรยามีเจตนาฆ่ามาตั้งแต่ต้น เจตนาที่โอนมายังสินธรก็คือ เจตนาฆ่าเช่นเดียวกัน เมื่อปรากฏว่าสินธรเพียงแต่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น ไม่ถึงแก่ความตาย เรยาจึงต้องรับผิดต่อสินธรฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยพลาดตามมาตรา 60 ประกอบมาตรา 80

ส่วนกรณีที่กระสุนยังแฉลบไปถูกรถยนต์ของสินธรได้รับความเสียหายด้วยนั้น ถือเป็นกรณี ที่เรยากระทําโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ แต่เนื่องจากการทําให้เสียทรัพย์ของผู้อื่นโดยประมาทไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด เรยาจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาในความเสียหายต่อรถยนต์ของสินธร ทั้งนี้ตามหลัก ในมาตรา 59 วรรคแรกที่ว่า บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาเมื่อได้กระทําโดยประมาทก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติ ให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท

สรุป
เรยาต้องรับผิดทางอาญาต่อเด่นจันทร์ฐานกระทําต่อเด่นจันทร์โดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคแรกประกอบมาตรา 61 และรับผิดทางอาญาต่อสินธรฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยพลาดตามมาตรา 60 ประกอบ มาตรา 80 แต่เรยาไม่ต้องรับผิดทางอาญาในความเสียหายต่อรถยนต์ของสินธร

 

ข้อ 3. ก. ใช้ปืนขู่บังคับ ข. ให้ตีศีรษะ ค. หากไม่ตี ก. จะยิง ข. ให้ตาย ข. กลัว ก. ยิงตน ข. จึงใช้ไม้ตีไปที่ ค.
ค. เห็น ข. เงื้อไม้ขึ้นตีตน ค. จึงใช้ไม้ที่ถืออยู่ตีไปที่ ข. และไม้ได้หลุดจากมือ ค. เลยไปถูก ก. ด้วย
ดังนี้ ก. ข. และ ค. ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้าง วานหรือยุยง ส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา ยังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของ โทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 89 “ถ้ามีเหตุส่วนตัวอันควรยกเว้นโทษ ลดโทษ หรือเพิ่มโทษแก่ผู้กระทําความผิดคนใด จะนําเหตุนั้นไปใช้แก่ผู้กระทําความผิดคนอื่นในการกระทําความผิดนั้นด้วยไม่ได้”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ก. ข. และ ค. ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของ ก.
การที่ ก. ใช้ปืนขู่บังคับ ข. ให้ตีศีรษะ ค. นั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดด้วย การบังคับขู่เข็ญแล้ว ก. จึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคแรก และเมื่อความผิดที่ใช้ได้กระทําลง คือ ข. ได้ใช้ไม้ตีไปที่ ค. ก. ผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84 วรรคสอง และกรณีนี้ ก. ไม่ได้รับการยกเว้นโทษ ตามมาตรา 89 เพราะถึงแม้การที่ ข. ใช้ไม้ตี ค. จะกระทําด้วยความจําเป็นและได้รับยกเว้นโทษตามมาตรา 67 ก็ตาม แต่การได้รับยกเว้นโทษดังกล่าวถือเป็นเหตุส่วนตัวของ ข. จะนํามาใช้กับ ก. ด้วยไม่ได้

ความรับผิดของ ข.
การที่ ข. ใช้ไม้ตีไปที่ ค. ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน ผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของ ข. จึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ข. จึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ ข. ใช้ไม้ตีไปที่ ค. นั้น ข. ได้กระทําไปเพราะอยู่ภายใต้อํานาจบังคับ ของ ก. ซึ่ง ข. ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ เมื่อ ข. ได้กระทําไปไม่เกินสมควรแก่เหตุ การกระทําของ ข. จึงเป็นการกระทําความผิดด้วยความจําเป็นตามมาตรา 67(1) ดังนั้น ข. จึงมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ

ความรับผิดของ ค.
การที่ ค. ใช้ไม้ตีไปที่ ข. ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกัน ผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของ ค. จึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ค. จึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ ค. ได้ใช้ไม้ตีไปที่ ข. นั้น ค. ได้กระทําไปเพื่อป้องกันสิทธิของตน ให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายของ ข. และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง เมื่อ ค. ได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทําของ ค. จึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ดังนั้น ค. จึงไม่ต้องรับผิดต่อ ข.

และเมื่อการกระทําของ ค. เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้ว่าไม้ได้หลุดจากมือ ค. เลยไปถูก ก. ด้วย ซึ่งถือเป็นกรณีที่ ค. เจตนากระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไปและกฎหมายให้ถือว่า ค. เจตนากระทําต่อ ก. โดยพลาดไปตามมาตรา 60 ก็ตาม แต่เมื่อเจตนาตอน แรกของ ค. เป็นการกระทําป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปก็ถือเป็นผลที่เกิดจากการ กระทําป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ด้วย ดังนั้น ค. จึงไม่ต้องรับผิดต่อ ก. เช่นเดียวกัน

สรุป
ก. ต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 และรับโทษเสมือนตัวการ
ข. ต้องรับผิดทางอาญา แต่ไม่ต้องรับโทษตามมาตรา 67 เพราะเป็นการกระทําความผิด ด้วยความจําเป็น
ค. ไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 เพราะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 4. เนวินได้บอกกับบรรจงลูกน้องว่า สุเทพกําแหงมากสมควรตายได้แล้ว บรรจงได้ยินเช่นนั้นทราบทันทีว่าเนวินต้องการให้ฆ่าสุเทพ บรรจงได้ร่วมกับสุขุมเพื่อนกันวางแผนฆ่าสุเทพ โดยบรรจงไปขอยืม อาวุธปืนจากสุขสม โดยบอกกับสุขสมว่าจะนําอาวุธปืนไว้ป้องกันตัวเพราะมีคนปองร้าย สุขสมทราบดีว่าบรรจงจะนําอาวุธปืนไปยิงสุเทพ แต่ไม่กล้าบอกความจริง สุขสมเองอยากให้สุเทพตายอยู่แล้ว จึงให้บรรจงยืมอาวุธปืน บรรจงได้อาวุธปืนจากสุขสมแล้วได้นั่งซ้อนรถจักรยานยนต์ที่สุขุมเป็นผู้ขับขี่ บรรจงใช้อาวุธปืนยิงสุเทพตาย ดังนี้ เนวิน สุขุม และสุขสมต้องรับผิดในการกระทําของบรรจงอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทําความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือ ยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทําความผิด
ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทําความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทําลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํายังไม่ได้กระทําหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บรรจงใช้อาวุธปืนยิงสุเทพตาย ถือว่าเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของบรรจงจึงเป็นการกระทํา โดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง บรรจงจึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า เนวิน สุขุม และสุขสม ต้องรับผิดในการกระทําของบรรจงอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของเนวิน
การที่เนวินได้บอกกับบรรจงลูกน้องว่า สุเทพกําแหงมากสมควรตายได้แล้ว เมื่อบรรจงได้ยิน เช่นนั้นจึงทราบทันทีว่าเนวินต้องการให้ฆ่าสุเทพนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ผู้อื่นกระทําความผิดแล้ว เนวินจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคแรก และเมื่อผู้ถูกใช้คือ บรรจง ได้ลงมือกระทําความผิดตามที่ก่อ เนวินผู้ใช้จึงต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา 84 วรรคสอง

ความรับผิดของสุขุม
การที่สุขุมได้ร่วมวางแผนกับบรรจงเพื่อฆ่าสุเทพ และได้ขี่รถจักรยานยนต์ให้บรรจงซ้อนท้ายไปยังสุเทพนั้น การกระทําของสุขุมถือเป็นการร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันกับบรรจง สุขุมจึงต้องรับผิดฐานเป็น ตัวการร่วมกับบรรจงตามมาตรา 83

ความรับผิดของสุขสม
การที่สุขสมให้บรรจงยืมอาวุธโดยรู้อยู่แล้วว่าบรรจงจะไปยิงสุเทพนั้น การกระทําของสุขสม ถือเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทําความผิด สุขสมจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน ตามมาตรา 86

สรุป
เนวินต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้และต้องรับโทษเสมือนตัวการ
สุขุมต้องรับผิดฐานเป็นตัวการ สุขสมต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายโก๋ขับรถยนต์ด้วยความเร็วสูงเข้ามาในถนนซอยในหมู่บ้านซึ่งมีคนอาศัยจํานวนมาก ปรากฏว่ามีเด็กวิ่งไล่จับกันมาวิ่งตัดหน้ารถยนต์ที่นายโก๋ขับมา นายโก๋ตกใจเหยียบห้ามล้อพร้อมกับหันพวงมาลัยหลบเด็กเป็นเหตุให้รถยนต์ไปกระแทกกับรถยนต์ของนายเฮงซึ่งจอดอยู่ริมถนนหน้าบ้านได้รับความเสียหาย และด้วยความแรงรถยนต์ของนายเฮงยังกระเด็นไปกระแทกรถยนต์ของนายโชคดีซึ่งจอดอยู่ถัดไปได้รับความเสียหายอีกด้วย ดังนี้ นายโก๋จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรก วรรคสองและวรรคสี่ “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น

การกระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ นายโก๋มิได้มีเจตนากระทําต่อนายเฮงและนายโชคดี เนื่องจากไม่ได้ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลที่จะเกิดขึ้นกับนายเฮงและนายโชคดีตามมาตรา 59 วรรคสอง แต่การที่นายโก๋ขับรถด้วยความเร็วสูงเข้าไปในถนนซอยในหมู่บ้าน ซึ่งมีผู้อาศัยอยู่มาก ถือเป็นการกระทําโดยปราศจากความระมัดระวัง ตามภาวะวิสัยของคนขับรถในพฤติการณ์เช่นนั้น ซึ่งนายโก๋อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ การกระทําของนายโก๋จึงเป็นการกระทําโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ เป็นเหตุให้ทรัพย์สิน คือ รถยนต์ของนายเฮงและนายโชคดีเสียหาย แต่เนื่องจากกระทำโดยประมาททำให้ทรัพย์ผู้อื่นเสียหาย กฎหมายอาญามิได้บัญญัติเป็นความผิด นายโก๋จึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

สรุป นายโก๋ไม่ต้องรับผิดทางอาญา

 

ข้อ 2. นายเอกใช้อาวุธปืนไปซุ่มเจตนาจะยิงนายดำคู่อริให้ตาย ในตอนค่ำเห็นนายโทน้องชายของนายเอกใส่เสื้อสีดำเดินมาด้วยความรีบร้อนไม่ดูให้ดี นายเอกเข้าใจว่าเป็นนายดำคู่อริ นายเอกใช้ปืนยิงไป กระสุนถูกนายโทถึงแก่ความตาย และลูกกระสุนปืนยังเลยไปถูกนางสาวชมพู ซึ่งขี่รถจักรยานจะกลับบ้านได้รับบาดเจ็บอีกด้วย ดังนี้ นายเอกจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติ ให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น”

มาตรา 61 “ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิด ผู้นั้นจะยกเอาความสําคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่”

มาตรา 80 วรรคแรก “ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด หรือกระทำไปตลอด แล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ นายเอกจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของนายเอกต่อนายโท
การที่นายเอกใช้อาวุธปืนยิงไปถูกนายโทถึงแก่ความตายนั้น ถือว่านายเอกได้กระทำต่อนายโท โดยเจตนา เพราะนายเอกได้กระทำโดยรู้สํานึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันนายเอกได้ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง

และแม้ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์นั้น นายเอกจะมีเจตนาฆ่านายดํา แต่ได้ลงมือกระทำต่อนายโท เพราะเข้าใจผิดคิดว่านายโทเป็นนายดำคนที่นายเอกต้องการฆ่า นายเอกจะยกเอาความสําคัญผิดดังกล่าว มาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทำต่อนายโทไม่ได้ ดังนั้น จึงต้องถือว่านายเอกมีเจตนาฆ่านายโทด้วยตาม มาตรา 61 และเมื่อกระสุนถูกนายโทถึงแก่ความตาย นายเอกจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายโทโดยสำคัญผิด ในตัวบุคคลตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 61

ความรับผิดของนายเอกต่อนางสาวชมพู่
การที่นายเอกใช้อาวุธปืนยิงไปที่นายโท กระสุนถูกนายโทถึงแก่ความตาย และยังเลยไปถูก นางสาวชมพู่ได้รับบาดเจ็บนั้น ผลของการกระทำที่เกิดขึ้นกับนางสาวชมพู่เป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไป จึงต้องถือว่านายเอกได้กระทำโดยเจตนาต่อนางสาวชมพู่ บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้นด้วยตามมาตรา 60

ดังนั้น เมื่อนางสาวชมพูไม่ถึงแก่ความตายจึงถือว่านายเอกได้ลงมือกระทำความผิดและได้กระทำไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล นายเอกจึงต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านางสาวชมพู่โดยเจตนาโดยพลาด ตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 60

สรุป
นายเอกต้องรับผิดทางอาญาฐานฆ่านายโทตายโดยสำคัญผิดในตัวบุคคลตามมาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 61 และต้องรับผิดทางอาญาฐานพยายามฆ่านางสาวชมพูโดยเจตนาโดยพลาดตาม มาตรา 59 วรรคแรก ประกอบมาตรา 60

 

ข้อ 3. นายโก๋ต้องการจะฉุด น.ส.ชมพูสาวที่ตนหลงรัก นายโก๋ขอร้องนายก้านให้ขับรถยนต์มาส่งและจอดรออยู่หน้าประตูรั้วบ้าน น.ส.ชมพู นายโก๋คนเดียวได้เดินเข้าไปในบ้านฉุดข้อมือลาก น.ส.ชมพู เพื่อจะพามาขึ้นรถยนต์ที่จอดรออยู่ น.ส.ชมพู่ร้องให้มารดาช่วย นางเชยมารดาได้ยินเสียงร้องวิ่ง ออกมาจากหลังบ้านตรงเข้าทุบตีนายโก๋ กลับถูกนายโก๋ถีบจนล้มลง นางเชยจึงไปหยิบปืนในห้อง ออกมายิงไป 2 นัด ถูกนายโก๋ขณะกําลังฉุดลาก น.ส.ชมพู่ ลูกกระสุนปืนถูกนายโก๋ถึงแก่ความตาย และลูกปืนยังเลยไปถูกนายก้านซึ่งนั่งรออยู่ในรถยนต์ถึงแก่ความตายอีกด้วย ดังนี้ นางเชยจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น…”

มาตรา 68 “ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นางเชยจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ วินิจฉัยได้ดังนี้
การที่นางเชยใช้อาวุธปืนยิงนายโก๋ตาย ขณะที่นายโก๋กําลังฉุดลาก น.ส.ชมพูอยู่นั้น การกระทำของนางเชยเป็นการกระทําโดยรู้สำนึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้น การกระทำของนางเชยจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ซึ่งโดยหลักแล้วนางเชยจะต้องรับผิด ทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การกระทำของนางเชยถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของ น.ส.ชมพู่ ให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง อีกทั้งนางเชย ได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของนางเซยจึงเป็นการกระทำที่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น นางเชยจึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อนายโก๋ตามมาตรา 68

และเมื่อการที่นางเชยใช้อาวุธปืนยิงนายโก๋นั้น ลูกปืนยังเลยไปถูกนายก้านซึ่งนั่งรออยู่ในรถยนต์ ถึงแก่ความตายอีกด้วย การกระทำของนางเชยต่อนายก้านนั้นถือว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาโดยพลาดไปตาม มาตรา 60 แต่เมื่อเจตนาตอนแรกของนางเชยเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น ผลที่เกิดขึ้น โดยพลาดจึงเป็นผลที่เกิดจากการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายด้วยตามมาตรา 60 ประกอบมาตรา 68 นางเชย จึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อนายก้านเช่นกัน

สรุป
นางเชยไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อนายโก๋และนายก้าน เพราะเป็นการกระทำเพื่อ ป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 4. นายแก้วทำธุรกิจถูกนายโดมคู่แข่งกลั่นแกล้งช่วงชิงผลประโยชน์ทำให้นายแก้วขาดทุนเกิดความแค้น จึงว่าจ้างนายโก๋ให้ฆ่านายโดมด้วยเงินห้าแสนบาท นายโก๋รับเงินค่าจ้างแล้วได้ไปขอยืมปืนจากนายกว้าง นายกว้างให้ยืมปืนโดยรู้ว่านายโก๋จะเอาไปยิงนายโดม นายโก๋ได้ปืนแล้วไปดักลอบจะยิงนายโดมที่บริเวณหน้าบ้านนายโดม เห็นนายโดมเดินออกมาจําได้ว่าเป็นเพื่อนนักเรียนเก่าที่เคยเรียนมาด้วยกัน จึงเปลี่ยนใจไม่ชักปืนออกมายิง นายโก๋ได้นําปืนไปคืนนายกว้างและนําเงินไปคืนนายแก้ว

ดังนี้ นายแก้ว นายกว้าง และนายโก๋จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรก “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาทหรือเว้นแต่ในกรณี ที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา”

มาตรา 84 “ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้ บังคับ ขู่เข็ญ จ้างวาน หรือยุยง ส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใด ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ ถ้าความผิดมิได้กระทำลง ไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษ ที่กำหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการ ที่ผู้อื่นกระทําความผิดก่อน หรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทําความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือ หรือให้ความ สะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทําความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายแก้ว นายกว้าง และนายโก๋ จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ความรับผิดของนายโก๋
ตามบทบัญญัติมาตรา 59 วรรคแรก จะเห็นได้ว่าโดยปกติบุคคลจะต้องรับผิดทางอาญา ก็ต่อเมื่อ ได้มีการกระทําการซึ่งกฎหมายบัญญัติไว้เป็นความผิด ซึ่งคําว่าได้มีการกระทํานี้ จะต้องเลยขั้นตระเตรียมการมา จนถึงขั้นลงมือกระทําแล้ว แต่กรณีตามข้อเท็จจริงนายโก๋เพียงแต่ไปดักลอบจะยิงนายโดม แต่ยังไม่ได้ชักปืนออกมาจ้องยิงไปที่นายโดม การกระทําของนายโก๋จึงอยู่เพียงขั้นตระเตรียมการเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นลงมือกระทําความผิด เพราะยังไม่ถือว่าใกล้ชิดกับความสําเร็จ ดังนั้น นายโก๋จึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อนายโดม

ความรับผิดของนายแก้ว
การที่นายแก้วได้ว่าจ้างนายโก๋ให้ฆ่านายโดมด้วยเงินห้าแสนบาทนั้น ถือเป็นการ “ก่อ” ให้ ผู้อื่นกระทําผิดแล้ว นายแก้วจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ตามมาตรา 84 วรรคแรก และเมื่อปรากฏว่าความผิดที่ใช้ ยังมิได้กระทําลงเพราะนายโก๋ผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทํา นายแก้วจึงต้องรับโทษหนึ่งในสามของโทษที่กําหนดไว้สําหรับ ความผิดนั้นตามมาตรา 84 วรรคสอง

ความรับผิดของนายกว้าง
การที่นายกว้างให้นายโก๋ยืมปืนโดยรู้ว่านายโก๋จะเอาไปยิงนายโดมนั้น ถึงแม้จะเป็นการกระทํา อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่ผู้อื่นในการกระทําความผิด แต่เมื่อปรากฏว่านายโก๋ยังไม่ได้ลงมือกระทําความผิด นายกว้างจึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

สรุป
นายแก้วจะต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้ใช้และรับโทษหนึ่งในสามตามมาตรา 84 ส่วนนายกว้างและนายโก๋ไม่ต้องรับผิดทางอาญา

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2006 กฎหมายอาญา 1
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาเมื่อใด มีหลักกฎหมายและข้อยกเว้นอย่างไรบ้าง จงอธิบายและ
ยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรก “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา”

อธิบาย
ตามบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่า บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้มีการกระทำ ซึ่งการกระทำ หมายถึง การเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สํานึก กล่าวคือ เป็นการเคลื่อนไหวร่างกายที่อยู่ภายใต้บังคับ ของจิตใจนั่นเอง และการกระทำยังให้หมายความรวมถึงการไม่เคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สํานึกด้วย ดังจะเห็นได้จาก มาตรา 59 วรรคห้า ซึ่งบัญญัติว่า “การกระทําให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทําเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย”

และโดยหลักทั่วไป การกระทําซึ่งจะทําให้บุคคลผู้กระทําต้องรับผิดในทางอาญานั้น จะต้องเป็นการกระทําโดยเจตนา คือ เป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น (มาตรา 59 วรรคสอง)

การกระทําโดยเจตนา แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ
1. การกระทําโดยเจตนาประสงค์ต่อผล ซึ่งจะประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือ

(1) เป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา หมายถึง การรู้ถึงการเคลื่อนไหวหรือ การไม่เคลื่อนไหวของร่างกายนั่นเอง และ

(2) ในขณะกระทําผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น หมายถึง ในขณะ กระทํานอกจากจะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกแล้ว ผู้กระทํายังมีความประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น ๆ ตามที่ ผู้กระทํามุ่งหมายให้เกิดขึ้นด้วย

ตัวอย่าง แดงต้องการฆ่าดําจึงใช้ปืนยิงไปที่ดําและถูกดําตาย ดังนี้การที่แดงใช้ปืนยิงไปที่ดําถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สํานึก และความตายของดําถือว่าเป็นผลที่แดงประสงค์จะให้เกิดขึ้น

2. การกระทําโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล ซึ่งประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2 ประการ คือ

(1) เป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา และ

(2) ในขณะกระทําผู้กระทําย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น หมายถึง เป็นการกระทําที่ผู้กระทํามิได้ประสงค์ต่อผล กล่าวคือ มิได้มุ่งหมายให้ผลเกิดขึ้น แต่ผู้กระทําย่อมเล็งเห็นได้ว่าผลนั้น จะต้องเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน

ตัวอย่าง แดงเชื่อว่าดำเป็นคนอยู่ยงคงกระพันยิงไม่เข้า จึงทดลองใช้ปืนยิงไปที่ดํา และถูกดำตาย ดังนี้ การที่แดงใช้ปืนยิงดำ แดงไม่มีความประสงค์จะให้ดําตายเป็นเพียงการทดลองความอยู่ยงคงกระพันเท่านั้น แต่การกระทําของแดงย่อมเล็งเห็นได้ว่า ถ้ากระสุนปืนถูกดำย่อมทําให้ดำตายได้ จึงถือว่าแดง มีเจตนาฆ่าดำโดยหลักย่อมเล็งเห็นผล

แต่อย่างไรก็ดี ตามมาตรา 59 วรรคแรก มีข้อยกเว้นว่า บุคคลอาจจะต้องรับผิด ในทางอาญา แม้จะมิได้กระทําโดยเจตนาก็ได้ ถ้าเข้ากรณีอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้คือ

(1) เป็นการกระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายได้บัญญัติให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทําโดยประมาท เช่น กระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นต้น หรือ

(2) เป็นการกระทําที่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยชัดแจ้งให้ต้องรับผิดแม้กระทําโดย ไม่มีเจตนา (ความผิดเด็ดขาด) เช่น การกระทําความผิดตามประมวลรัษฎากร เป็นต้น หรือ

(3) เป็นการกระทําความผิดลหุโทษตามประมวลกฎหมายนี้ แม้กระทําโดย ไม่มีเจตนาก็เป็นความผิด เว้นแต่ ตามบทบัญญัติความผิดนั้นจะมีความบัญญัติให้เห็นเป็นอย่างอื่น (มาตรา 104)

 

ข้อ 2. นาย ก. และนาง ข. เป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย อยู่มาวันหนึ่งนาย ก. สามีเห็นนาย ค. และนาง ข. กําลังทําชู้กัน นาย ก. โกรธจึงยิงนาย ค. และนาง ข. ตายคาที่ จงวินิจฉัยความรับผิดของนาย ก.

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทําโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

วินิจฉัย

การกระทําที่จะถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งจะมีผลทําให้ผู้กระทําไม่มีความผิด และไม่ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 68 ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ คือ

(1) มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
(2) ภยันตรายนั้นเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง
(3) ผู้กระทําจําต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายนั้น
(4) ต้องได้กระทําไปพอสมควรแก่เหตุ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก. ยิงนาย ค. และนาง ข. ตายนั้น การกระทําของนาย ก. เป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของนาย ก. จึงเป็นการกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ซึ่งโดยหลักแล้วนาย ก. จะต้องรับผิด ทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นาย ก. ยิงนาย ค. และนาง ข. ตายในขณะกําลังทําชู้กันนั้น ถือได้ว่า เป็นการกระทําที่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะการที่นาย ค. กับนาง ข. ทําชู้กันนั้น ถือว่า มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายเกิดขึ้นและทําให้นาย ก. เสียหายต่อสิทธิในชื่อเสียง และเกียรติของนาย ก. ซึ่งเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนาง ข. และการที่นาย ค. กับนาง ข. กําลังทําชู้กันนั้น ถือว่าเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง นาย ก. จึงต้องกระทําเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายนั้น และเมื่อ การกระทําของนาย ก. เป็นการกระทําที่พอสมควรแก่เหตุ จึงครบองค์ประกอบของการกระทําที่ถือว่าเป็นการ ป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ดังนั้น นาย ก. จึงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับผิดทางอาญาแต่อย่างใด

สรุป
นาย ก. ไม่ต้องรับผิดทางอาญาเพราะเป็นการกระทําที่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. ร.ต.อ.เก่งกับ ส.ต.อ.กล้าเข้าเวรเดินตรวจตราท้องที่ในเวลากลางคืนเพื่อดูแลความสงบเรียบร้อยให้กับประชาชน พบนายโก๋กับพวกอีกห้าคนยืนจับกลุ่มในที่มืดแต่ละคนมีท่อนเหล็กแป็บ ร.ต.อ.เก่ง กับ ส.ต.อ.กล้าจึงเข้าไปสอบถาม นายโก๋กับพวกไม่พอใจจึงรุมตี ร.ต.อ.เก่งกับ ส.ต.อ.กล้าจนล้มลง ขณะจะใช้ท่อนเหล็กตีซ้ำ ร.ต.อ.เก่งชักปืนยิงสวนไปหนึ่งนัดกระสุนถูกนายโก๋ถึงแก่ความตาย พวกนายโก๋ที่เหลือจึงพากันหันหลังวิ่งหนี ส.ต.อ.กล้าลุกขึ้นมาได้ชักปืนยิงพวกที่กําลังวิ่งหนี ถูกลูกกระสุนปืนตายไปอีก 1 คน ดังนี้ ร.ต.อ.เก่งกับ ส.ต.อ.กล้า จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคแรกและวรรคสอง “บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทํา โดยเจตนาเว้นแต่จะได้กระทําโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทําโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทําโดยไม่มีเจตนา

กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทํา และในขณะเดียวกันผู้กระทํา ประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 68 “ผู้ใดจําต้องกระทําการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทําพอสมควรแก่เหตุ การกระทํานั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด”

มาตรา 72 “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทําความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ร.ต.อ.เก่ง และ ส.ต.อ.กล้า จะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของ ร.ต.อ.เก่ง
การที่ ร.ต.อ.เก่งได้ชักปืนออกมายิงนายโก๋กับพวกหนึ่งนัดและกระสุนถูกนายโก๋ถึงแก่ความตาย ถือว่า ร.ต.อ.เก่งได้กระทําต่อนายโกโดยเจตนาเพราะเป็นการกระทําโดยรู้สํานึกในการกระทําและใน ขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง ซึ่งโดยหลักแล้ว ร.ต.อ.เก่งย่อม จะต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การที่ ร.ต.อ.เก่งได้ใช้ปืนยิงนายโก๋นั้น เป็นเพราะนายโก๋กับพวกรุมตี ร.ต.อ.เก่ง และเมื่อ ร.ต.อ.เก่งล้มลงนายโก๋กับพวกก็จะใช้ท่อนเหล็กตีซ้ำ การกระทำของนายโก่กับพวกจึงถือว่าเป็นภยันตรายที่ ละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ดังนั้นการที่ ร.ต.อ.เก่งชักปืนยิงสวนไปเพียงหนึ่งนัด จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นจากภยันตรายนั้น และเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ จึงถือว่าเป็นการ กระทำที่เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 68 ร.ต.อ.เก่ง จึงไม่มีความผิดและไม่ต้องรับผิดทางอาญา

กรณีของ ส.ต.อ.กล้า
การที่ ส.ต.อ.กล้าได้ใช้ปืนยิงไปที่พวกของนายโก๋ที่กําลังวิ่งหนีและถูกลูกกระสุนปืนตายไป อีก 1 คนนั้น ถือว่า ส.ต.อ.กล้าได้กระทำโดยเจตนาเพราะเป็นการกระทําโดยรู้สำนึกในการกระทำ และใน ขณะเดียวกันก็ได้ประสงค์ต่อผลของการกระทำนั้นตามมาตรา 59 วรรคสอง ดังนั้น ส.ต.อ.กล้าจึงต้องรับผิดทาง อาญาตามมาตรา 59 วรรคแรก และการกระทำของ ส.ต.อ.กล้าจะอ้างว่าเป็นการกระเพื่อป้องกันสิทธิของตน ให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายไม่ได้ เพราะภยันตรายดังกล่าวนั้น ได้ผ่านพ้นไปแล้ว และไม่มีภยันตรายใด ๆ แล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม การกระทําของ ส.ต.อ.กล้า ถือว่าเป็นการกระทำไปโดยบันดาลโทสะ ตามมาตรา 72 เพราะการที่พวกของนายโก๋ได้รุมตี ส.ต.อ.กล้าโดยไม่มีอำนาจนั้น ถือเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม และ ส.ต.อ.กล้าก็ได้กระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ดังนั้น ศาลจะลงโทษ ส.ต.อ.กล้า น้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้เพียงใดก็ได้

สรุป
ร.ต.อ.เก่งไม่ต้องรับผิดทางอาญา เพราะเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ส.ต.อ.กล้าต้องรับผิดทางอาญาฐานกระทำโดยเจตนา แต่อ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อให้ ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ได้

 

ข้อ 4. หนึ่ง สอง สาม ร่วมกันวางแผนขโมยวัวบ้านนายรวย โดยหนึ่งเข้าไปต้อนวัวที่อยู่ในคอก ส่วนสองดูต้นทางอยู่ใกล้ ๆ เมื่อหนึ่งต้อนวัวมาให้สองแล้ว สองแต่ผู้เดียวได้ต้อนวัวไปส่งให้สามที่รออยู่ที่ ชายทุ่งซึ่งห่างจากบ้านนายรวยประมาณ 1 กิโลเมตร สามได้วัวจากสองแล้วก็ต้อนวัวต่อเพื่อจะนําไปขาย พบสี่กลางทางโดยบังเอิญได้ขอให้สี่ช่วยต้อนวัว สี่ช่วยต้อนวัวให้ทั้งที่รู้ว่าเป็นวัวที่ขโมย ดังนี้ สอง สาม และสี่ จะต้องร่วมรับผิดทางอาญาในความผิดที่หนึ่งขโมยวัวของนายรวยในฐาน เป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สำหรับความผิดนั้น”

มาตรา 86 “ผู้ใดกระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการ ที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทําความผิด แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความ สะดวกนั้นก็ตาม ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กําหนดไว้ สําหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ สอง สาม และสี่ จะต้องร่วมรับผิดทางอาญาในความผิดที่หนึ่งขโมยวัว ของนายรวยในฐานเป็นตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน หรือไม่อย่างไร แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของสอง
การที่สองได้ร่วมวางแผนกับหนึ่งเพื่อขโมยวัวบ้านนายรวย และในขณะที่หนึ่งได้เข้าไปต้อนวัวที่อยู่ในคอกสองก็ดูต้นทางอยู่ใกล้ ๆ นั้น ย่อมถือได้ว่าเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ ดังนั้น ความผิดฐานลักทรัพย์ (ขโมยวัว) ดังกล่าวจึงเป็นความผิดที่เกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปคือเกิดจากการกระทำของหนึ่งและสอง สองจึงต้องร่วมรับผิดทางอาญาในฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83

กรณีของสาม
แม้สามจะได้ร่วมวางแผนกับหนึ่งและสองเพื่อขโมยวัวบ้านนายรวยก็ตาม แต่ในขณะที่หนึ่ง ขโมยวัวนั้นสามไม่ได้อยู่ร่วมด้วย แต่สามได้รออยู่ที่ชายทุ่งซึ่งอยู่ห่างจากบ้านนายรวยประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย จึงถือไม่ได้ว่าสามเป็นตัวการร่วมในการขโมยวัว แต่อย่างไรก็ตาม การที่สาม ได้ร่วมวางแผนกับหนึ่งและสองและไปรออยู่เพื่อที่จะต้อนวัวไปขายนั้น ถือว่าเป็นการกระทําอันเป็นการ ช่วยเหลือและให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด ดังนั้น สามจึงต้องรับผิดทางอาญาในฐานเป็น ผู้สนับสนุนตามมาตรา 86

กรณีของสี่
สี่ไม่ได้ร่วมวางแผนกับหนึ่ง สอง และสาม เพื่อขโมยวัวบ้านของนายรวยจึงมิใช่ตัวการ และการที่สี่ได้ช่วยสามต้อนวัวทั้งที่รู้ว่าเป็นวัวที่ขโมยมา สี่ก็ไม่ต้องรับผิดในฐานเป็นผู้สนับสนุน เพราะการที่สี่ ได้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้น ก็เป็นการกระทำหลังจากที่ความผิดฐานลักทรัพย์ (ขโมยวัว) สำเร็จแล้ว ซึ่งกรณีที่จะเป็นความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนนั้นจะต้องเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะกระทำความผิดเท่านั้น การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกภายหลังการกระทำความผิด จึงเป็นผู้สนับสนุนไม่ได้ ดังนั้น สี่จึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุนแต่อย่างใด แต่สี่ต้องรับผิดทางอาญาฐานใหม่ คือฐานรับของโจร

สรุป
สองต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการตามมาตรา 83
สามต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา 86
สี่ไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุน แต่ต้องรับผิดฐานรับของโจร

WordPress Ads
error: Content is protected !!