LAW3001 กฎหมายอาญา 3 1/2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 หนึ่งมีเรื่องโกรธเคืองสอง วันเกิดเหตุหนึ่งเห็นสองนั่งอยู่บนแคร่หน้าบ้าน หนึ่งเดินเข้าไปตบสองตกจากแคร่ เมื่อสองลุกขึ้นหนึ่งเข้าไปจิกผมและผลักจนสองล้มลงก้นกระแทกพื้น ทําให้สองแท้งลูกที่เพิ่งตั้งครรภ์ได้สามเดือน โดยที่หนึ่งก็ไม่รู้ว่าสองกําลังตั้งครรภ์อยู่ ดังนี้ หนึ่งจะมีความผิดต่อร่างกาย ฐานใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 295 “ผู้ใดทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้น กระทําความผิดฐานทําร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษ”

มาตรา 297 “ผู้ใดกระทําความผิดฐานทําร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทําร้ายรับ อันตรายสาหัส ต้องระวางโทษ

อันตรายสาหัสนั้น คือ

(5) แท้งลูก”

วินิจฉัย

ความผิดฐานทําร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 297 เป็นเหตุ ที่ทําให้ผู้กระทําผิดฐานทําร้ายร่างกายตามมาตรา 295 ต้องรับโทษหนักขึ้น เพราะผลที่เกิดจากการกระทํา โดยที่ ผู้กระทําผิดไม่จําต้องประสงค์ต่อผลหรือยอมเล็งเห็นผลถึงอันตรายสาหัสนั้น แต่อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นจะต้องพิจารณาก่อนว่าการกระทํานั้นเป็นความผิดฐานทําร้ายร่างกายตามมาตรา 295 หรือไม่

สําหรับความผิดฐานทําร้ายร่างกายตามมาตรา 295 มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้คือ

1 ทําร้าย

2 ผู้อื่น

3 จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น

4 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่หนึ่งมีเจตนาทําร้ายสอง โดยหนึ่งเดินเข้าไปตบสองตกจากแคร่ เมื่อสองลุกขึ้น หนึ่งก็ได้เข้าไปจิกผมและผลักจนสองล้มลงก้นกระแทกพื้น การกระทําดังกล่าวถือว่าเป็นความผิดฐานทําร้าย ร่างกายตามมาตรา 295 แล้ว เมื่อผลที่เกิดจากการกระทําผิดดังกล่าวทําให้สองแท้งลูก ซึ่งเป็นอันตรายสาหัสตาม มาตรา 297(5) และถือเป็นผลที่ทําให้หนึ่งต้องรับโทษหนักขึ้นโดยที่หนึ่งไม่จําต้องประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลถึงอันตรายสาหัสนั้น และเมื่อเป็นผลที่ธรรมดาย่อมเกิดขึ้นได้จากการที่หนึ่งทําร้ายสองโดยมีเจตนาทําร้าย ดังนั้น หนึ่งจึงมีความผิดฐานทําร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 297(5)

สรุป

หนึ่งมีความผิดฐานทําร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 297(5)

 

ข้อ 2 นายเสือฆ่าคนตายแล้วหลบหนีในระหว่างทางพบนายเอกจอดรถจักรยานยนต์อยู่ที่พักริมทาง นายเสือได้ใช้อาวุธปืนขู่เข็ญเอารถจากนายเอกแล้วขับรถเป็นพาหนะหลบหนี หลังจากขับขี่รถไปได้ประมาณ 10 กิโลเมตร นายเสือก็จอดรถทิ้งไว้ข้างทางโดยมิได้ซุกซ่อน ส่วนตัวนายเสือก็หลบหนีต่อไป

จากข้อเท็จจริงดังกล่าวให้วินิจฉัยว่า นายเสือจะมีความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 309 วรรคแรก “ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กําลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้นหรือจํายอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษ”

องค์ประกอบความผิดฐานทําให้เสื่อมเสียเสรีภาพตามมาตรา 309 วรรคแรก ประกอบด้วย

1 ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด

2 โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กําลังประทุษร้าย

3 จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้นหรือจํายอมต่อสิ่งนั้น

4 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นายเสือใช้อาวุธปืนขู่เข็ญเอารถจักรยานยนต์จากนายเอก จนทําให้นายเอกกลัวและยอมให้นายเสือขับรถไปนั้น การกระทําของนายเสือถือว่าเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ๆ หรือจํายอมต่อสิ่งใด โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต และนายเอกก็ได้จํายอมตามที่ถูกนายเสือข่มขืนใจ หรือขู่เข็ญแล้ว อีกทั้งการกระทําของนายเสือก็เป็นการกระทําโดยเจตนา ดังนั้น นายเสือจึงมีความผิดฐานข่มขืนใจ ผู้อื่นตามมาตรา 309 วรรคแรก

สรุป

นายเสือจะมีความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานข่มขืนใจผู้อื่นตามมาตรา 309 วรรคแรก

 

ข้อ 3 นาย ก. กู้เงินจากนายแดง จํานวน 28,000 บาท เมื่อถึงกําหนดชําระ นาย ก. ไม่ยอมชําระ นายแดงไปที่บ้านของนาย ก. เพื่อทวงหนี้ นาย ก. บอกนายแดงว่ายังไม่มีเงินชําระ นายแดงจึงบอกนาย ก. ไปว่า ถ้าไม่มีเงินชําระจะยึดทรัพย์ของนาย ก. นาย ก. ไม่ยอมให้ยึดและขอเวลาผ่อนชําระ นายแดงไม่ยอมผ่อนผัน นายแดงถือโอกาสยกเครื่องซักผ้า ราคา 11,880 บาท โทรทัศน์ราคา 10,000 บาท เครื่องเล่น CD ราคา 3,500 บาท ยกใส่ท้ายรถกระบะของนายแดง จากนั้น นายแดงพูดว่า “หากอยากได้ทรัพย์สินคืนให้นาย ก. นําเงินไปชําระ ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในสัญญากู้เงินกําหนดว่า “หาก นาย ก. ไม่ยอมชําระเงินให้ยึดทรัพย์สินของนาย ก. ได้”

ดังนี้ นายแดงมีความผิดเกี่ยวกับ ทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย

1 เอาไป

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นายแดงถือโอกาสยกเครื่องซักผ้าราคา 11,880 บาท โทรทัศน์ราคา 10,000 บาท เครื่องเล่น CD ราคา 3,500 บาท ใส่ท้ายรถกระบะของนายแดง และพูดกับนาย ก. ว่า “หากอยากได้ ทรัพย์สินคืนให้นาย ก. นําเงินไปชําระ” นั้น แม้จะเป็นการเอาทรัพย์สินของนาย ก. ไปเพียงเพื่อจะให้นาย ก. นําเงินกู้ไปชําระก็ตาม แต่การกระทําของนายแดงเป็นการบังคับให้นาย ก. ชําระหนี้โดยพลการ ซึ่งไม่มีอํานาจจะกระทําได้ตามกฎหมาย การกระทําของนายแดงจึงถือว่าเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต คือ เพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย นายแดงจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 (เทียบฎีกาที่ 11225/2555)

สรุป นายแดงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

 

ข้อ 4 นายหนึ่งเป็นเจ้าของร้านขายของชํา วันเกิดเหตุนายสองเข้าไปซื้อสบู่ในร้านของนายหนึ่ง 1 ก้อน ราคา 3 บาท นายสองส่งธนบัตรใบละ 100 บาทให้ นายหนึ่งส่งสบู่ให้พร้อมเงินทอน 97 บาท นายสองรับสบู่พร้อมเงินทอนแล้วจึงเดินออกจากร้านไป ต่อมาประมาณ 15 นาที นายสองกลับมาที่ร้านของ นายหนึ่งและบอกนายหนึ่งว่า ซื้อผิดไปขอคืน นายหนึ่งยอมให้คืนโดยดี นายสองส่งสบู่คืนให้นายหนึ่ง พร้อมเงินทอน 57 บาท โดยยักเอาไว้เสีย 40 บาท นายหนึ่งรับเงินทอนไปโดยไม่ทันได้นับดู แล้วคืนธนบัตรใบละ 100 บาท ให้นายสองไป

ดังนี้ นายสองมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 341 “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิด ข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทําความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 ประกอบด้วย

1 หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ

(ก) แสดงข้อความเป็นเท็จ หรือ

(ข) ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง

2 โดยการหลอกลวงนั้น

(ก) ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือ

(ข) ทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสองส่งสบู่คืนให้นายหนึ่งพร้อมเงินทอน 57 บาท โดยยักเอาไว้เสีย 40 บาทนั้น ถือเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ ในจํานวนเงินที่ส่งคืนให้นายหนึ่งว่าครบ 97 บาท ทั้ง ๆ ที่ความจริงเป็นเงินเพียง 57 บาท และโดยการหลอกลวงดังกล่าวทําให้นายสองได้ไปซึ่งธนบัตรใบละ 100 บาทจากนายหนึ่ง โดยนายสองมีเจตนาทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิชอบด้วยกฎหมายในเงินกําไร 40 บาท จากการหลอกลวงดังกล่าว ดังนั้น การกระทําของนายสองจึงมีความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341

สรุป

นายสองมีความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341

 

LAW3001 กฎหมายอาญา3 S/2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 เอกมีอาชีพทําสวนผลไม้ มะม่วงและเงาะที่ปลูกไว้ออกผลมากมายยังไม่ทันได้เก็บขาย มีคนร้ายแอบปีนรั้วลวดหนามเข้ามาขโมยผลไม้ของเอกหลายครั้ง เอกจึงต่อสายไฟเข้ากับรั้วลวดหนาม แล้วปล่อยกระแสไฟฟ้าเพื่อป้องกันไม่ให้คนร้ายเข้ามาลักผลไม้ของตน แต่ปรากฏว่าโทเดินผ่านมา บังเอิญไปถูกรั้วลวดหนามจึงถูกไฟฟ้าดูดถึงแก่ความตาย ข้อเท็จจริงปรากฏว่าก่อนหน้าที่โทจะถูก ไฟฟ้าดูด มีสุนัขวิ่งมาโดนรั้วถูกไฟฟ้าดูด แต่ดิ้นหลุดไปได้ไม่ตาย ดังนี้ เอกจะมีความผิดต่อชีวิต ฐานใด หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 290 วรรคแรก “ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290 วรรคแรก ประกอบด้วย

1 ทําร้ายผู้อื่น

2 เป็นเหตุให้ผู้ถูกทําร้ายถึงแก่ความตาย

3 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอกปล่อยกระแสไฟฟ้าที่รั้วลวดหนามเพื่อป้องกันขโมย จนทําให้โท ถูกไฟฟ้าดูดถึงแก่ความตายนั้น แม้เอกจะไม่ได้ต้องการทําอันตรายต่อผู้ใด แต่เอกย่อมเล็งเห็นได้ว่า เมื่อมีผู้มาถูกกระแสไฟฟ้าดูดย่อมเป็นอันตรายได้อย่างแน่นอน จึงถือได้ว่าเอกมีเจตนาย่อมเล็งเห็นผลในการทําให้ผู้อื่นเป็นอันตรายแล้ว แต่การกระทําของเอกเช่นนี้ไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา เพราะเหตุว่า เอกไม่มีความประสงค์ต่อชีวิตของโท และการที่เอกปล่อยกระแสไฟฟ้าที่รั้วลวดหนามนั้น ก็ไม่อาจเล็งเห็นได้ว่าจะทําให้โทถึงแก่ความตายแต่อย่างใด เพราะไม่แน่นอนว่าคนที่ถูกไฟฟ้าดูดจะต้องตาย

แต่อย่างไรก็ตาม การที่เอกปล่อยกระแสไฟฟ้าที่รั้วลวดหนามนั้น ย่อมเล็งเห็นได้ว่าอาจทําให้ผู้อื่นเป็นอันตรายแก่กายได้อย่างแน่นอน ดังนั้น จึงถือได้ว่าเอกมีเจตนาทําร้าย เมื่อปรากฏว่าโทมาถูกไฟฟ้าดูดตาย เอกจึงมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290 วรรคแรก

สรุป

เอกมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290 วรรคแรก

 

ข้อ 2 นายเล็กยืมเงินจากนายใหญ่ 2 หมื่นบาท นายใหญ่เห็นว่านายเล็กเป็นเพื่อนบ้านจึงไม่ได้ทําหลักฐานการกู้ยืมตามที่กฎหมายกําหนด นายเล็กรับปากว่าจะคืนเงินที่ยืมภายใน 3 เดือน ต่อมาเมื่อถึงกําหนด นายใหญ่ทวงถามให้นายเล็กคืนเงิน แต่นายเล็กอ้างว่ายังไม่มีเงินจะคืนให้และยังพูดท้าทายให้นายใหญ่ไปฟ้องเอา วันเกิดเหตุนายใหญ่พกอาวุธเข้าไปในบ้านของนายเล็กแล้วใช้อาวุธขู่เข็ญให้นายเล็กหาเงินมาคืน นายเล็กบอกให้นายใหญ่รออยู่ที่บ้านแล้วจะออกไปเบิกเงินที่ธนาคารมาคืนให้ แต่เมื่อออกจากบ้านนายเล็กกลับไปแจ้งความและพาเจ้าพนักงานตํารวจมาจับกุมนายใหญ่ ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า

นายใหญ่จะมีความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 80 “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้วแต่ การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด

ผู้ใดพยายามกระทําความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้ สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 309 วรรคแรก “ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กําลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้นหรือจํายอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานทําให้เสื่อมเสียเสรีภาพตามมาตรา 309 ประกอบด้วย

1 ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด

2 โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กําลังประทุษร้าย

3 จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้นหรือจํายอมต่อสิ่งนั้น

4 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นายใหญ่พกอาวุธเข้าไปในบ้านของนายเล็ก แล้วใช้อาวุธขู่เข็ญ ให้นายเล็กหาเงินมาคืนนั้น การกระทําของนายใหญ่เช่นนี้ ย่อมถือว่าเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใดหรือ จํายอมต่อสิ่งใด โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพตามมาตรา 309 วรรคแรก

แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายเล็กยังไม่ได้หาเงินมาคืนตามที่ถูกนายใหญ่ข่มขืนใจ เนื่องจาก นายเล็กได้ไปแจ้งความและพาเจ้าพนักงานตํารวจมาจับกุมนายใหญ่เสียก่อน ดังนั้น จึงเป็นกรณีที่นายใหญ่ได้ลงมือ กระทําไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล จึงเป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใดตามมาตรา 309 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80

สรุป

นายใหญ่มีความผิดฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใดหรือจํายอมต่อสิ่งใดตาม มาตรา 309 วรรคแรก ประกอบมาตรา 80

 

 

ข้อ 3 ดําไปขอยืมรถจักรยานยนต์ของขาวหนึ่งวัน โดยดําหลอกขาวว่าจะขี่ไปเยี่ยมมารดาของตนที่ป่วยหนักนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลและรถจักรยานยนต์ของดําเสียใช้ยังไม่ได้ ขาวให้ดํายืมรถจักรยานยนต์คันนี้ตามที่ดําต้องการ เมื่อขาวมอบรถจักรยานยนต์ให้ดํา ดําได้ขี่รถจักรยานยนต์คันนี้ไปขายให้กับมืดทันที ดําได้เงินจากการขายรถคันนี้แล้วรีบไปเล่นการพนันที่บ้านของเขียวตามความประสงค์ ที่แท้จริงของดํานั่นเอง ให้วินิจฉัยว่าดํามีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้น กระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย

1 เอาไป

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 นั้น จะต้องเป็นกรณีการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั่นเอง ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตในขณะที่ผู้เอาทรัพย์สินนั้นครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ (ตามมาตรา 352 วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่ดําไปขอยืมรถจักรยานยนต์ของขาวโดยหลอกว่าจะขี่ไปเยี่ยมมารดาของตนที่ป่วยหนักนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล และรถจักรยานยนต์ของดําเสียยังใช้ไม่ได้นั้น เป็นเพียงการใช้ กลอุบายของดําเพื่อเอารถจักรยานยนต์ของขาวไปเท่านั้น ดังนั้น สัญญายืมย่อมไม่เกิดขึ้น และการที่ขาวได้ส่งมอบการครอบครองรถจักรยานยนต์ให้แก่ดําจึงมิใช่การส่งมอบตามสัญญายืมที่จะทําให้การครอบครองรถจักรยานยนต์ตกไปอยู่กับดํา แต่เป็นการส่งมอบให้เพราะถูกดําหลอกลวง

กรณีดังกล่าว จึงถือว่าเป็นกรณีที่ดําได้แย่งการครอบครองรถจักรยานยนต์ไปจากขาวซึ่งเป็นการเอาไปซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น และเมื่อเป็นการเอาไปโดยเจตนา และโดยทุจริต จึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ทุกประการ ดังนั้น ดําจึงมีความผิด ฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 และเป็นการลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย

สรุป

ดํามีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

 

 

ข้อ 4 หนึ่งต้องเดินทางไปทํางานต่างจังหวัดนาน 2 เดือน จึงเอารถจักรยานยนต์ไปฝากไว้กับสอง หลังจากรับฝากไว้เพียง 20 วัน สองเกิดมีความจําเป็นจะต้องใช้เงิน จึงเอารถของหนึ่งไปจํานําไว้กับแดงเป็นเงิน 5,000 บาท ตั้งใจว่าตอนสิ้นเดือนเงินเดือนออกก็จะเอาเงินไปไถ่คืนก่อนที่หนึ่งจะกลับมา แต่ปรากฏว่า หนึ่งทํางานเสร็จกลับมาก่อนกําหนด สองยังไม่ทันได้ไปไถ่รถคืน เมื่อหนึ่งมาขอรถคืน สองไม่มีรถคืนให้หนึ่งโกรธจึงไปแจ้งความดําเนินคดีกับสอง ดังนี้ สองจะมีความผิดอาญาฐานใด หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 352 วรรคแรก “ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทําความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกตามมาตรา 352 วรรคแรก ประกอบด้วย

1 ครอบครองทรัพย์

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม

4 โดยเจตนา

5 โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่งต้องเดินทางไปทํางานต่างจังหวัดและได้เอารถจักรยานยนต์ไปฝากไว้กับสองนั้น ถือว่าหนึ่งได้มอบการครอบครองรถจักรยานยนต์ให้กับสอง และถือว่าสองได้ครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นแล้ว การที่สองมีความจําเป็นต้องใช้เงินและได้เอารถของหนึ่งไปจํานําไว้กับแดงนั้น การกระทําของสองไม่ถือว่า เป็นการเบียดบังทรัพย์ของผู้อื่น เพราะกรณีที่จะถือว่าเป็นการเบียดบังทรัพย์ของผู้อื่นนั้น จะต้องเป็นการกระทํา ในลักษณะที่เป็นการตัดกรรมสิทธิ์ในตัวทรัพย์นั้นจากเจ้าของทรัพย์โดยเด็ดขาด แต่ตามข้อเท็จจริง การที่สองได้เอารถของหนึ่งไปจํานํานั้น เป็นการเอาไปจํานําเพียงชั่วคราว โดยตั้งใจว่าจะเอาเงินไปไถ่คืนก่อนที่หนึ่งจะกลับมา การกระทําของสองจึงไม่เป็นการกระทําในลักษณะที่เป็นการตัดกรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นจากหนึ่งเจ้าของทรัพย์ อันจะถือว่าเป็นการเบียดบังทรัพย์ของผู้อื่นแต่อย่างใด ดังนั้น สองจึงไม่มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 352 วรรคแรก

สรุป

สองไม่มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 352 วรรคแรก

 

LAW3001 กฎหมายอาญา3 2/2555

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 เอไม่พอใจที่กลุ่มเด็กวัยรุ่นชอบมาจับกลุ่มเพื่อแข่งรถจักรยานยนต์กันตรงบริเวณหน้าบ้านของเอส่งเสียงเร่งเครื่องยนต์ดังรบกวน เคยออกไปขอให้ไปแข่งกันที่อื่น แต่กลุ่มแข่งรถก็ไม่สนใจยังคงมา ส่งเสียงรบกวนเป็นประจํา วันเกิดเหตุกลุ่มเด็กวัยรุ่นประมาณ 15 คนมาจับกลุ่มส่งเสียงดังอีกเช่นเคย เอจึงใช้อาวุธปืนยิงไปยังกลุ่มเด็กวัยรุ่นเหล่านั้น 1 นัด โดยมิได้ต้องการฆ่าใครแต่ยิงไปด้วยความโมโห ปรากฏว่ากระสุนปืนถูกต้นแขนของบีได้รับอันตรายสาหัส ดังนี้ เอจะมีความผิดต่อชีวิตและ ร่างกายฐานใด

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคสอง “กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทําและในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 80 “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้วแต่ การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด

ผู้ใดพยายามกระทําความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้ สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 288 “ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาตามมาตรา 288 ประกอบด้วย

1 ฆ่า

2 ผู้อื่น

3 โดยเจตนา

การกระทําที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 288 นั้น นอกจากจะมีการกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการฆ่าบุคคลอื่นแล้ว ผู้กระทํายังต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสอง ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายในด้วย อาจจะเป็นเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลก็ได้

สําหรับเจตนาเล็งเห็นผล หมายความว่า ผู้กระทําเล็งเห็นได้ว่าผลนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอนเท่าที่จิตใจของบุคคลในฐานะเช่นนั้นจะเล็งเห็นได้ ดังนั้นหากผู้กระทําเล็งเห็นว่าผลนั้นจะเกิดขึ้น แม้ในที่สุดผลจะไม่เกิด ผู้กระทําก็ต้องรับผิดฐานพยายาม

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอใช้อาวุธปืนยิงไปยังกลุ่มเด็กวัยรุ่น 1 นัดนั้น แม้ข้อเท็จจริงเอมิได้ ต้องการฆ่าใครแต่ยิงไปด้วยความโมโหก็ตาม แต่โดยลักษณะของการกระทําเช่นนั้น เอย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าการใช้ อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธที่ร้ายแรงยิ่งเข้าไปยังกลุ่มเด็กวัยรุ่น กระสุนปืนอาจถูกเด็กวัยรุ่นคนใดคนหนึ่งตายได้ ดังนั้น จึงถือว่าเอมีเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยหลักย่อมเล็งเห็นผลตามมาตรา 59 วรรคสอง

และเมื่อปรากฏว่าเอได้ลงมือกระทําความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทํานั้นไมบรรลุผล คือ กระสุนปืนถูกต้นแขนของบีได้รับอันตรายสาหัสเท่านั้นไม่ถึงแก่ความตาย ดังนั้นเอจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า ตามมาตรา 288 ประกอบกับมาตรา 80

สรุป

เอมีความผิดฐานพยายามฆ่าตามมาตรา 288 ประกอบกับมาตรา 80

 

ข้อ 2 นายมืดกับ น.ส.ฟ้าเคยเป็นคนรักและได้เสียกันมาก่อน ต่อมา น.ส.ฟ้าได้ไปมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนายอาทิตย์และมีโครงการจะแต่งงานกัน น.ส.ฟ้าจึงเลิกติดต่อกับนายมืด นายมืดได้เขียน จดหมายส่งทางไปรษณีย์ถึง น.ส.ดาราซึ่งเป็นเพื่อนของ น.ส.ฟ้า โดยบรรยายความในจดหมายถึง ความสัมพันธ์ขั้นได้เสียกันกับ น.ส.ฟ้าให้ น.ส.ดาราได้รับรู้เพื่อให้ น.ส.ดาราไปห้ามปรามมิให้ น.ส.ฟ้า แต่งงานกับนายอาทิตย์และกลับมาคืนดีกับตน น.ส.ดาราได้นําจดหมายฉบับนั้นไปให้ น.ส.ฟ้าอ่าน น.ส.ฟ้าไม่พอใจการกระทําของนายมืดจึงนําจดหมายไปเป็นหลักฐานดําเนินคดีกับนายมืดว่า กระทําความผิดฐานหมิ่นประมาท ในชั้นพิจารณาคดีนายมืดรับสารภาพว่าเป็นคนเขียนจดหมาย ดังกล่าวจริง แต่ข้อความในจดหมายก็เป็นเรื่องจริง จึงขอพิสูจน์ความจริง

ดังนี้ อยากทราบว่านายมืดจะขอพิสูจน์ความจริงได้หรือไม่ และการกระทําของนายมืดจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 326 “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษ”

มาตรา 330 “ในกรณีหมิ่นประมาท ถ้าผู้ถูกหาว่ากระทําความผิดพิสูจน์ได้ว่าข้อที่หาว่า หมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์ ถ้าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว และ การพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326 ประกอบด้วย

1 ใส่ความผู้อื่น

2 ต่อบุคคลที่สาม

3 โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง

4 โดยเจตนา

คําว่า “ใส่ความ” ตามนัยมาตรา 326 หมายความว่า พูดหาเหตุร้าย หรือกล่าวหาเรื่องร้าย ให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย โดยเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง ซึ่งกระทําต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้น เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นายมืดได้เขียนจดหมายส่งทางไปรษณีย์ถึง น.ส.ดาราซึ่งเป็นเพื่อน ของ น.ส.ฟ้า โดยบรรยายความในจดหมายถึงความสัมพันธ์ขั้นได้เสียกันกับ น.ส.ฟ้าให้ น.ส.ดาราได้รับรู้นั้น ถือว่า เป็นการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทําให้ น.ส.ฟ้าเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ดังนั้นนายมืดจึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326

ส่วนการที่นายมืดจะขอพิสูจน์ว่าข้อความในจดหมายเป็นความจริงนั้น กรณีนี้ถือว่าเข้าข้อห้าม พิสูจน์ตามมาตรา 330 วรรคสอง เพราะข้อหาที่ว่าเป็นการหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์นั้นจะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน ดังนั้นนายมืดจึงขอพิสูจน์ความจริงไม่ได้

สรุป

การกระทําของนายมืดเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326 และนายมืดจะขอพิสูจน์ความจริงไม่ได้ เพราะเข้าข้อห้ามไม่ให้พิสูจน์ตามมาตรา 330 วรรคสอง

 

ข้อ 3 นาย ก. ขับรถจักรยานยนต์ไปจอดไว้หน้าตลาด จากนั้นก็เดินเข้าไปซื้อของในตลาด จําเลยถือโอกาสขึ้นนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ เสร็จแล้วจําเลยเข็นรถจักรยานยนต์ของนาย ก. เคลื่อนที่ไปได้ 1 เมตร นาย ก. มาพบเข้าเสียก่อน จําเลยจึงทิ้งรถวิ่งหนีไป ดังนี้ จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้น กระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย

1 เอาไป

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

คําว่า “เอาไป” หมายความว่าเอาไปจากการครอบครองของผู้อื่นจะด้วยวิธีการใดก็ได้ แต่ต้องเป็นการทําให้ทรัพย์นั้นเคลื่อนที่ไปจากที่เดิมในลักษณะที่จะพาเอาไปได้ โดยเป็นการตัดกรรมสิทธิ์ของเจ้าของทรัพย์ มิใช่เป็นการเอาไปชั่วคราว

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่จําเลยได้ขึ้นนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ของนาย ก. แล้วจําเลยเข็นรถจักรยานยนต์ของนาย ก. เคลื่อนที่ไปได้ 1 เมตรนั้น ถือว่าจําเลยได้แย่งการครอบครองทรัพย์ของนาย ก. ไปได้ สําเร็จแล้วอันเป็นการเอาไปซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น เมื่อจําเลยได้กระทําโดยเจตนาและโดยทุจริต การกระทําของจําเลยจึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ ดังนั้นจําเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 3011/2551)

สรุป

จําเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

 

ข้อ 4 วันเกิดเหตุขณะที่นายจันทร์เดินอยู่ริมถนน นายอังคารถือโอกาสกระชากสร้อยคอทองคําของนายจันทร์จากทางด้านหลังจนขาดติดมือของนายอังคารไปและกําลังจะวิ่งหนี นายจันทร์หันไป เห็นนายอังคารและตรงเข้าไปจับชายเสื้อของนายอังคารไว้ นายอังคารจึงใช้มือซ้ายล้วงเข้าไปที่เอวด้านขวาและจับด้ามมีดที่เหน็บไว้ที่เอวเพื่อให้นายจันทร์เห็นว่ามีอาวุธ และอยู่ในกิริยาอาการ ที่พร้อมจะชักอาวุธออกมา ทั้งยังใช้สายตาข่มขู่จ้องเขม็งมายังนายจันทร์ ทําให้นายจันทร์ยอมปล่อยมือที่จับชายเสื้อของนายอังคาร ต่อมานายอังคารจึงวิ่งหลบหนีไป ดังนี้ นายอังคารมีความผิด เกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 339 “ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กําลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้าย เพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทําความผิดนั้น หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม

ผู้นั้นกระทําความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 ประกอบด้วย

1 ลักทรัพย์

2 โดยใช้กําลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้าย

3 โดยเจตนา

4 เจตนาพิเศษ เพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทําความผิดนั้น หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอังคารกระชากสร้อยคอทองคําของนายจันทร์จนขาดติดมือ ของนายอังคารไปนั้น การกระทําของนายอังคารดังกล่าวถือว่าเป็นการเอาไปจากการครอบครองซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นแล้ว และเมื่อได้กระทําโดยเจตนาและโดยมีเจตนาทุจริตคือเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สําหรับตนเอง การกระทําของนายอังคารจึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

และตามข้อเท็จจริง แม้จะไม่ปรากฏว่าขณะที่นายอังคารกระชากสร้อยคอทองคําของนายจันทร์ และกําลังจะวิ่งหนีนั้น นายจันทร์ได้ตรงเข้าไปจับชายเสื้อของนายอังคารไว้ นายอังคารไม่ได้พูดขู่เข็ญว่าในทันใดนั้น จะใช้กําลังประทุษร้ายนายจันทร์ก็ตาม แต่การที่นายอังคารได้ใช้มือซ้ายล้วงเข้าไปที่เอวด้านขวาและจับด้ามมีดที่เหน็บไว้ที่เอวเพื่อให้นายจันทร์เห็นว่ามีอาวุธ และอยู่ในกิริยาอาการที่พร้อมจะชักอาวุธออกมา ทั้งยังใช้สายตาข่มขู่ จ้องเขม็งมายังนายจันทร์ ทําให้นายจันทร์ยอมปล่อยมือที่จับชายเสื้อของนายอังคารนั้น ถือว่านายอังคารมีเจตนา เพื่อให้นายจันทร์เกิดความกลัวและทําให้นายจันทร์อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ การกระทําของนายอังคาร ถือได้ว่าเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้าย เพื่อให้ความสะดวกแก่การพาเอาทรัพย์นั้นไป หรือเพื่อยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ การกระทําของนายอังคารจึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานชิงทรัพย์ตาม มาตรา 339 ดังนั้น นายอังคารจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์ (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 8043/2554)

สรุป

นายอังคารมีความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339

LAW3001 กฎหมายอาญา3 1/2555

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1. หนึ่งขับขี่รถยนต์มาด้วยความเร็วและขณะที่กําลังขับขึ้นสะพานก็มิได้ชะลอความเร็วลง ขณะเดียวกับที่สองได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ย้อนศรข้ามสะพานลงมาอย่างเร็วเช่นกัน ทําให้ชนกับรถของหนึ่งอย่างแรง สองถึงแก่ความตายในที่เกิดเหตุ หนึ่งถูกดําเนินคดีในข้อหากระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ข้อเท็จจริงปรากฏแก่ศาลว่า จุดที่เกิดเหตุเป็นเชิงสะพาน หนึ่งไม่สามารถมองเห็นรถของสอง และแม้ว่าหนึ่งจะขับรถอย่างระมัดระวังโดยลดความเร็วลง ถึงอย่างไรรถของหนึ่งก็ต้องชนกับสองอยู่ดี

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า หนึ่งจะมีความผิดต่อชีวิตอย่างไรหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคสี่ “กระทําโดยประมาท ได้แก่ กระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทํา โดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่”

มาตรา 291 “ผู้ใดกระทําโดยประมาท และการกระทํานั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้อง ระวางโทษ”

วินิจฉัย องค์ประกอบความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 291 ประกอบด้วย

1 กระทําด้วยประการใด ๆ

2 การกระทํานั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

3 โดยประมาท

ความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 291 นั้น จะต้องเป็นการกระทํา ที่ผู้กระทําได้กระทําโดยประมาทตามมาตรา 59 วรรคสี่ และการกระทํานั้นทําให้เกิดผลคือเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ ความตาย ตามหลักที่ว่า “ถ้าไม่มีการกระทํา (โดยประมาท) ผลจะไม่เกิด” แต่ถ้าผลที่เกิดขึ้นนั้น แม้ไม่มีการกระทําของบุคคลนั้น ผลก็ยังคงเกิดขึ้นเช่นกัน ดังนี้จะถือว่าผลเกิดจากการกระทําของเขาไม่ได้ ตามหลักที่ว่า “แม้ไม่มี การกระทํา ผลก็ยังเกิด”

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่งขับขี่รถยนต์มาด้วยความเร็วและขณะที่กําลังขับขึ้นสะพานก็มิได้ ชะลอความเร็วลง ทําให้ชนกับรถจักรยานยนต์ของสองที่ได้ขับขี่ย้อนศรข้ามสะพานลงมาอย่างเร็วเช่นกัน เป็นเหตุให้สองถึงแก่ความตายนั้น หนึ่งจะมีความผิดต่อชีวิตฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม มาตรา 291 หรือไม่นั้น

เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การที่รถยนต์ของหนึ่งชนกับรถจักรยานยนต์ของสองและเป็นเหตุให้สองถึงแก่ความตายนั้น ความตายของสองไม่ได้เกิดจากการขับรถยนต์โดยประมาทของหนึ่งโดยตรง เพราะแม้หนึ่งจะขับรถยนต์โดยประมาทแต่การที่สองขับขี่รถจักรยานยนต์ย้อนศรลงมาอย่างเร็วเช่นนี้ หากหนึ่ง ไม่ประมาทขับรถด้วยความเร็วปกติก็ไม่สามารถหยุดรถได้ทันรถของหนึ่งก็ต้องชนกับรถของสองอยู่ดี ซึ่งเป็นไปตาม หลักที่ว่า “แม้ไม่มีการกระทํา (โดยประมาทของหนึ่ง) ผลก็ยังเกิด” กล่าวคือ จะถือว่าการที่สองถึงแก่ความตาย

เป็นผลที่เกิดจากการกระทําโดยประมาทของหนึ่งไม่ได้ ดังนั้น หนึ่งจึงไม่มีความผิดต่อชีวิตฐานประมาทเป็นเหตุ ให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

สรุป

หนึ่งไม่มีความผิดต่อชีวิตฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

 

ข้อ 2 นางเดือนรับ น.ส.หน่อยเป็นสาวใช้ทํางานบ้าน น.ส.หน่อยคบหาชอบพออยู่กับนายเอก แต่นางเดือนกีดกันไม่ให้ น.ส.หน่อยพานายเอกเข้าไปในบ้าน น.ส.หน่อยรู้ว่านางเดือนเป็นเจ้ามือขายหวยใต้ดิน จึงบอกเรื่องราวของนางเดือนให้นายเอกฟัง วันหนึ่งนายเอกได้ขู่เข็ญนางเดือนให้ยอมให้ตนเข้าไปหา น.ส.หน่อยในบ้านโดยห้ามไม่ให้กีดกันไม่เช่นนั้นนายเอกจะไปบอกตํารวจว่านางเดือนเป็นเจ้ามือขายหวย นางเดือนกลัวว่านายเอกจะนําเรื่องไปบอกตํารวจ จึงยอมให้นายเอกเข้าบ้านโดยไม่ได้กีดกันแต่อย่างใด ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าการกระทําของนายเอกจะเป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพหรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 309 วรรคแรก “ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กําลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้นหรือจํายอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานทําให้เสื่อมเสียเสรีภาพตามมาตรา 309 ประกอบด้วย

1 ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด

2 โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กําลังประทุษร้าย

3 จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้นหรือจํายอมต่อสิ่งนั้น

4 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกได้ขู่เข็ญนางเดือนให้ยอมให้ตนเข้าไปหา น.ส.หน่อยในบ้าน โดยห้ามไม่ให้กีดกันไม่เช่นนั้นนายเอกจะไปบอกตํารวจว่านางเดือนเป็นเจ้ามีอขายหวยใต้ดิน จนทําให้นางเดือนกลัว และยอมให้นายเอกเข้าไปในบ้านโดยไม่ได้กีดกันนั้น การกระทําของนายเอกถือว่าเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทํา การใด ๆ ไม่กระทําการใดหรือจํายอมต่อสิ่งใด และนางเดือนก็ได้จํายอมตามที่ถูกนายเอกข่มขืนใจหรือยู่เข็ญแล้ว อีกทั้งการกระทําของนายเอกก็เป็นการกระทําโดยเจตนา นายเอกจึงมีความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานข่มขืนใจผู้อื่น ตามมาตรา 309 วรรคแรก

สรุป

การกระทําของนายเอกเป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานข่มขืนใจผู้อื่นตามมาตรา 309 วรรคแรก

 

ข้อ 3 จําเลยไปซื้อสินค้าที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง จําเลยเอาสุราต่างประเทศจํานวน 12 ขวด ราคา 3,200 บาท ของผู้เสียหายใส่ไว้ในลังน้ำปลา และใช้สก็อตเทปปิดไว้ไม่ให้เห็นสินค้าในลัง จากนั้น จําเลยนําน้ำปลาอีก 1 ลัง วางทับลังดังกล่าว แล้วนําไปชําระเงินกับพนักงานแคชเชียร์ของผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงได้ความว่าน้ำปลาลังละ 210 บาท 2 ลัง คิดเป็นเงิน 420 บาท ดังนี้ จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้น กระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย

1 เอาไป

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จําเลยเอาสุราต่างประเทศใส่ไว้ในลังน้ำปลาแล้วใช้สก็อตเทปปิดบังไว้ โดยนําลังน้ำปลาอีกใบหนึ่งมาวางทับ จากนั้นจึงนําไปชําระเงินนั้น ย่อมแสดงให้เห็นว่าจําเลยมีเจตนาทุจริตที่จะเอาทรัพย์ของห้างฯ ผู้เสียหายไปตั้งแต่แรกแล้ว และการที่จําเลยนําลังน้ำปลาซึ่งมีสุราต่างประเทศซุกซ่อนอยู่ภายใน ไปชําระราคาเท่ากับน้ำปลา จนพนักงานแคชเชียร์มอบลังน้ำปลาทั้งสองลังให้แก่จําเลยไป เป็นเพียงกลอุบายของจําเลยเพื่อให้บรรลุผลคือการเอาสุราต่างประเทศของผู้เสียหายไปโดยทุจริตเท่านั้น พนักงานแคชเชียร์ซึ่งเป็น ตัวแทนของผู้เสียหายมิได้มีเจตนาส่งมอบการครอบครองสุราต่างประเทศให้แก่จําเลย การกระทําของจําเลยจึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ดังนั้นจําเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ (ฎีกาที่ 3935/2553)

สรุป

การกระทําของจําเลยเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

 

ข้อ 4 วันเกิดเหตุจําเลยไปที่บ้านของนาย ก. จําเลยขู่เข็ญนาย ก. ให้นาย ก. ส่งเงินให้แก่จําเลยจํานวน 100,000 บาท โดยจําเลยพูดว่าถ้านาย ก. ไม่ให้ จําเลยจะใช้อาวุธปืนยิงนาย ก. ให้ตายในขณะนั้น ปรากฏว่านาย ก. เกิดความกลัวจึงส่งเงินให้แก่จําเลย ดังนี้ จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่

เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 339 วรรคแรก “ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กําลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้ กําลังประทุษร้าย เพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทําความผิดนั้น หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม ผู้นั้นกระทําความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 วรรคแรก ประกอบด้วย

1 ลักทรัพย์

2 โดยใช้กําลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้าย

3 โดยเจตนา

4 เจตนาพิเศษ เพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ หรือพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทําความผิดนั้น หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จําเลยขู่เข็ญนาย ก. ให้นาย ก. ส่งเงินให้แก่จําเลยจํานวน 100,000 บาท โดยจําเลยพูดว่า ถ้านาย ก. ไม่ให้ จําเลยจะใช้อาวุธปืนยิงนาย ก. ให้ตายในขณะนั้น ทําให้นาย ก. เกิดความกลัว จึงส่งเงินให้แก่จําเลยนั้น การกระทําของจําเลยถือว่าเป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้าย โดยมี เจตนาพิเศษคือเพื่อให้นาย ก. ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น และเมื่อการกระทําของจําเลยเป็นการกระทําโดยเจตนา จึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 ดังนั้นจําเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์

สรุป

จําเลยมีความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339

 

LAW3001 กฎหมายอาญา 3 s/2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 บุญยอดว่าจ้างบรรจงให้เข้าทํางานเป็นลูกจ้างในบ้าน บรรจงเกิดความโลภแอบเอายานอนหลับให้บุญยอดกิน เมื่อบุญยอดนอนหลับไม่รู้สึกตัวด้วยฤทธิ์ยา บรรจงได้ลักเอาทรัพย์สินมีค่าของบุญยอด แล้วหลบหนีออกจากบ้านไป ปล่อยให้บุญยอดนอนหมดสติเพียงลําพัง ปรากฏว่ามีคนจุดไฟเผา ทุ่งหญ้าหลังบ้าน ไฟได้ลุกลามมาจนไหม้บ้าน ทําให้บุญยอดซึ่งนอนหมดสติไม่สามารถลุกหนีไฟ ได้ทัน จึงถูกไฟคลอกตาย ดังนี้ บรรจงจะมีความผิดต่อชีวิตและร่างกายฐานใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 295 “ผู้ใดทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้น กระทําความผิดฐานทําร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบของความผิดฐานทําร้ายร่างกายตามมาตรา 295 ประกอบด้วย

1 ทําร้าย

2 ผู้อื่น

3 จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น

4 โดยเจตนา

การทําร้ายผู้อื่น หมายถึง การกระทําใด ๆ ต่อร่างกายหรือจิตใจของบุคคลอื่นจนเป็นเหตุให้ เกิดอันตรายแก่ผู้ถูกกระทํา ไม่ว่าจะได้กระทําต่อเนื้อตัวหรือร่างกายของบุคคลอื่นโดยตรง หรือกระทําโดยวิธีอื่น เช่น ทําให้เขาตกใจจนสลบ หรือเอายาพิษหรือยานอนหลับให้บุคคลอื่นกินจนทําให้ผู้ถูกกระทํามีอาการสติฟั่นเฟือน หรือหมดสติเป็นเวลานาน ก็ถือว่าเป็นการทําร้ายผู้อื่นแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บรรจงเอายานอนหลับให้บุญยอดกินโดยมีเจตนาให้บุญยอดหมดสติ ไม่รู้สึกตัวเพื่อจะลักเอาทรัพย์สินของบุญยอดจนทําให้บุญยอดหมดสติไม่รู้สึกตัวด้วยฤทธิ์ยานอนหลับนั้น ถือว่า บรรจงได้ลงมือทําร้ายบุญยอดแล้ว และเมื่อบุญยอดได้รับอันตรายแก่จิตใจ การกระทําของบรรจงจึงครบองค์ประกอบ ความผิดฐานทําร้ายร่างกาย ดังนั้นบรรจงจึงมีความผิดฐานทําร้ายร่างกายตาม ป.อาญา มาตรา 295

ส่วนการตายของบุญยอดนั้น มิได้เกิดขึ้นเนื่องจากการกระทําของบรรจง เพราะการที่ไฟไหม้บ้าน จนเป็นเหตุทําให้บุญยอดซึ่งนอนหมดสติไม่สามารถลุกหนีไฟได้ทันจึงถูกไฟคลอกตายนั้น ถือว่าเป็นเหตุแทรกแซง ที่เกิดขึ้นในภายหลังและเป็นเหตุที่บรรจงไม่อาจคาดหมายได้ จึงตัดความสัมพันธ์ระหว่างการทําร้ายกับผลคือ ความตาย ดังนั้นบรรจงจึงไม่ต้องรับผิดในความตายของบุญยอด

สรุป

บรรจงมีความผิดฐานทําร้ายร่างกายตาม ป.อาญา มาตรา 295

 

ข้อ 2 สุดสวยเป็นลูกจ้างร้านอาหารทําหน้าที่พนักงานเสิร์ฟ สมยศพาเพื่อนมาเลี้ยงชําระค่าอาหาร 2,300 บาท โดยชําระเป็นธนบัตรใบละ 1,000 บาท จํานวน 3 ฉบับ สุดสวยรับเงินไปส่งให้สมรพนักงานเก็บเงิน ที่นั่งเก็บเงินที่เคาน์เตอร์ สมรทอนเงินเกินโดยส่งเงินทอนให้สุดสวยไปทอนลูกค้า 800 บาท สุดสวยเห็นก็ไม่ทักท้วง แต่กลับแอบเก็บเงินทอนที่เกิน 100 บาท เอาไว้เป็นของตน ดังนี้ สุดสวย จะมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย

1 เอาไป

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 นั้น จะต้องเป็นกรณีการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั้นเอง ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตในขณะที่ผู้เอาทรัพย์สินนั้นไป ได้ครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ (ตามมาตรา 352 วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์ สุดสวยเป็นลูกจ้างของร้านอาหาร ดังนั้น เงินทอนที่สุดสวยจะเอาไปทอนลูกค้า จึงเป็นเงินของนายจ้างและการครอบครองยังอยู่กับนายจ้าง เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าสุดสวยแอบเอาเงินทอนที่เกินไป เป็นของตน จึงเป็นการแย่งการครอบครองจากผู้อื่น และเมื่อเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยเจตนาและโดยทุจริต สุดสวยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

สรุป

สุดสวยจะมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

 

ข้อ 3 นายเสือจับตัวนางเดือนไปเรียกค่าไถ่ โดยล่ามโซ่ข้อเท้าของนางเดือนไว้กับเสาบ้าน แล้วโทรศัพท์เรียกเอาค่าไถ่จากสามีของนางเดือน นายเสือยังไม่ได้ค่าไถก็ถูกเจ้าพนักงานตํารวจจับขณะเข้าไปในตลาดเพื่อซื้ออาหาร นายเสือจึงพาเจ้าพนักงานตํารวจไปปล่อยตัวนางเดือน โดยนางเดือนไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างใด ดังนี้ให้วินิจฉัยในความผิดที่เกี่ยวกับเสรีภาพฐานเรียกค่าไถ่ว่า นายเสือจะมีความผิดและได้รับโทษอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 313 วรรคแรก “ผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

(3) หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังบุคคลใด ต้องระวางโทษ ”

มาตรา 316 “ถ้าผู้กระทําความผิดตามมาตรา 313 มาตรา 314 หรือมาตรา 315 จัดให้ผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังได้รับเสรีภาพก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา โดยผู้นั้นมิได้รับอันตรายสาหัส หรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต ให้ลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้ แต่ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่ง”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานเอาตัวบุคคลไปหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ตามมาตรา 313 วรรคแรก (3) ประกอบด้วย

1 หน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้ใด

2 โดยเจตนา

3 เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเสือจับตัวนางเดือนไปเรียกค่าไถ่ โดยล่ามโซ่ข้อเท้าของนางเดือน ไว้กับเสาบ้าน และได้กระทําโดยเจตนานั้น ถึงแม้จะยังไม่ได้ค่าไถ่เนื่องจากถูกเจ้าพนักงานตํารวจจับกุมตัวได้ก่อน แต่เมื่อการกระทําของนายเสือครบองค์ประกอบความผิดดังกล่าวข้างต้นแล้ว ย่อมเป็นความผิดสําเร็จตามมาตรา 313 วรรคแรก (3)

ส่วนการที่นายเสือได้พาเจ้าพนักงานตํารวจไปปล่อยตัวนางเดือนออกมา โดยนางเดือนไม่ได้ รับอันตรายแต่อย่างใดนั้น ถือเป็นกรณีที่นายเสือได้จัดให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวหรือผู้ถูกกักขังได้รับเสรีภาพก่อน ศาลชั้นต้นพิพากษา โดยผู้นั้นมิได้รับอันตรายสาหัสหรือตกอยู่ในภาวะอันใกล้จะเป็นอันตรายต่อชีวิต จึงเป็นเหตุให้ศาลลดโทษ คือ ลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกําหนดไว้ได้ แต่ต้องลงโทษไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งสําหรับความผิดนั้น ตามมาตรา 316

สรุป นายเสือมีความผิดฐานเรียกค่าไถ่ตามมาตรา 313 แต่ศาลลดโทษให้ตามมาตรา 316

 

ข้อ 4 นางดารากู้ยืมเงินจากนางสมศรี 20,000 บาท โดยอ้างว่าเดือดร้อนเพราะลูกกําลังจะเปิดเทอมนางสมศรีเห็นว่านางดาราเป็นเพื่อนร่วมงานและเคยช่วยเหลือกันมาก่อน จึงให้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย นางดารารับปากว่าถ้ากู้ยืมเงินสวัสดิการจากที่ทํางานได้จะรีบนํามาคืนให้ ต่อมานางดาราได้รับเงินกู้ สวัสดิการแล้วแต่กลับนําไปใช้จนหมด หลังจากเวลาผ่านไปได้ 2 เดือน นางสมศรีไปทวงถามเอาเงินคืน นางดาราได้ใช้อุบายหลอกลวงว่ายังไม่ได้รับอนุมัติเงินกู้จากสวัสดิการของที่ทํางาน ต่อมา เมื่อนางสมศรีทราบว่านางดาราหลอกลวงจึงได้ไปแจ้งความให้ดําเนินคดีกับนางดาราในข้อหาฉ้อโกง ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า นางดาราจะมีความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 341 “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิด ข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทําความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 ประกอบด้วย

1 หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ

(ก) แสดงข้อความเป็นเท็จ หรือ

(ข) ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง

2 โดยการหลอกลวงนั้น

(ก) ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือ

(ข) ทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นางดารากู้ยืมเงินจากนางสมศรีโดยรับปากว่าถ้ากู้ยืมเงินจากสวัสดิการ ของที่ทํางานได้จะรีบนํามาคืนให้นั้น ไม่ถือว่าดาราได้หลอกลวงนางสมศรีโดยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จแต่อย่างใด เพราะเป็นเพียงการรับปากว่าจะทําสิ่งใดให้ในอนาคตเท่านั้น

ส่วนการที่นางดาราได้ใช้อุบายหลอกลวงนางสมศรีในตอนหลังว่า ยังไม่ได้รับอนุมัติเงินกู้ยืมจากสวัสดิการของที่ทํางานนั้น ก็เป็นการหลอกลวงภายหลังจากนางดาราได้กู้ยืมเงินจากนางสมศรีแล้ว และการหลอกลวงในครั้งหลังนี้ก็ไม่ทําให้นางดาราได้ทรัพย์สินจากนางสมศรีผู้ถูกหลอกลวงแต่อย่างใด ดังนั้นนางดารา จึงไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341

สรุป

นางดาราจะไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงตามข้อกล่าวหา

POL2105 ทฤษฎีการเมืองและจริยธรรม2 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา POL. 2105 ทฤษฎีการเมืองและจริยธรรม 2

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

มาร์กซ์, เลนิน และเมา เซ ตุง

1 “ชนชั้นกลาง” ก่อนปี ค.ศ. 1848 เป็นพวกที่มีแนวคิดในลักษณะ

(1) นิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์

(2) นิยมเผด็จการ

(3) นิยมอนุรักษนิยม

(4) นิยมเสรีนิยม

(5) นิยมทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ 4 หน้า 172 173 สถานการณ์ในช่วงก่อนปี ค.ศ. 1848 ระบบการเมืองพัฒนาล้าหลังกว่าระบบเศรษฐกิจ จะเห็นได้จากระบบเศรษฐกิจจะมีลักษณะเป็นเศรษฐกิจแบบตลาด โดยที่ ระบบการเมืองและกฎหมายจะยังคงเป็นแนวคิดแบบศักดินาอยู่ กล่าวคือ ยังไม่มีพรรคการเมือง ไม่มีรัฐธรรมนูญ และคนมีความคิดทางการเมืองแตกต่างกันออกไป โดยชนชั้นฟิวดัล (ศักดินา)จะมีแนวความคิดอนุรักษนิยม ส่วนชนชั้นกลางจะมีแนวความคิดเสรีนิยม

2 “มูลค่าส่วนเกิน” (Surplus Value) หมายถึง

(1) สิ่งที่กรรมกรไม่ควรได้

(2) สิ่งที่กรรมกรควรได้ตามสิทธิ

(3) สิ่งที่กรรมกรควรได้ แต่นายทุนฉกไป

(4) สิ่งที่นายทุนควรได้ตามสิทธิ

(5) สิ่งที่นายทุนควรได้ แต่กรรมกรฉกไป

ตอบ 3 หน้า 183 มูลค่าส่วนเกิน (Surplus Value) คือ ส่วนของผลตอบแทนหรือค่าแรงที่เกิดจากเวลาส่วนเกินที่กรรมกรควรจะได้รับแต่นายทุนฉกไปหรือโกงไป เช่น ในการผลิตสินค้า นายทุนจะ ให้ค่าจ้างกรรมกรโดยให้ทํางาน 16 ชั่วโมง แต่เวลาที่กรรมกรต้องใช้ตามค่าจ้างจริง ๆ เพียง 9 ชั่วโมง ดังนั้นเวลาที่เหลืออีก 7 ชั่วโมง จึงเป็นเวลาส่วนเกินหรือมูลค่าส่วนเกินที่นายทุนเอาไปเป็นกําไรของตัวเอง

3 การขยายตัวของระบบใดต่อไปนี้ที่ทําให้เกิด “ชนชั้นกลาง” ขึ้นในทัศนะของ Marx

(1) ระบบการเมือง

(2) ระบบเศรษฐกิจ

(3) ระบบสังคม

(4) ระบบอุตสาหกรรม

(5) ระบบเกษตรกรรม

ตอบ 4 หน้า 172 ในช่วงปี ค.ศ. 1815 – 1848 นั้น เยอรมนี้กําลังอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ คือ สังคมกําลังพัฒนาจากสังคมเกษตรกรรมไปสู่สังคมอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว ผลจากการขยายตัวของระบบอุตสาหกรรมได้ทําให้มีชนชั้นกลางเกิดขึ้น ซึ่งชนชั้นกลางนี้ก็คือพวกพ่อค้านั่นเอง

4 “การให้ความสนใจต่อชนชั้นที่ยากจน” ของ Marx ได้รับอิทธิพลมาจาก

(1) นักปราชญ์ชาวเยอรมัน

(2) นักปราชญ์ชาวอังกฤษ

(3) นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศส

(4) นักปราชญ์ชาวกรีก

(5) เกิดในตัวของ Marx เอง

ตอบ 3 หน้า 173 คาร์ล มาร์กซ์ (Kart Max) ได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดของนักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสชื่อ ซัง ซิมองต์ (Saint Simon) ซึ่งมีผลต่อการกําหนดทัศนะในการมองโลกของ Max ตั้งแต่เด็ก คือการให้ความสนใจต่อชนชั้นที่ยากจนในสังคมนั่นเอง

5 ในสังคมใดที่ “คนจะได้รับค่าตอบแทนตามความจําเป็นจากการที่ทํางานเต็มความสามารถ

(1) สังคมคอมมิวนิสต์

(2) สังคมทุนนิยม

(3) สังคมศักดินา

(4) สังคมทาส

(5) สังคมดึกดําบรรพ์

ตอบ 1 หน้า 180 – 188, (คําบรรยาย) Marx อธิบายว่า สังคมจะมีการพัฒนาเป็นยุค ๆ ทั้งหมด 5 ยุคตามรูปแบบการผลิต ได้แก่

1 ยุคสังคมดึกดําบรรพ์ (สังคมบุพกาล) เป็นสังคมที่ไม่มีเครื่องมือการผลิต

2 ยุคสังคมทาส เป็นสังคมที่มนุษย์เริ่มมีเครื่องมือการผลิต มีการสะสมผลผลิต มีทรัพย์สินส่วนตัว และเริ่มมีการแบ่งชนชั้นออกเป็น 2 ชนชั้น คือ ชนชั้นนายทาสที่เป็นเจ้าของเครื่องมือการผลิตและชนชั้นทาสที่ไม่ได้เป็นเจ้าของเครื่องมือการผลิต

3 ยุคสังคมศักดินาหรือฟิวดัล เป็นสังคมที่มีเครื่องมือการผลิตที่ก้าวหน้า มีการใช้เครื่องจักร

4 ยุคสังคมทุนนิยม เป็นสังคมที่กดขี่ทางชนชั้นและลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของกรรมกร ซึ่งทําให้แรงงานกลายเป็นสินค้า และเป็นปัจจัยสําคัญที่ทําให้กรรมกรมีความรู้สึกแปลกแยก กับการดํารงชีวิตมากที่สุด ในขณะที่ทํางานตามความสามารถและพอใจที่จะรับค่าตอบแทนตามความต้องการหรือความสามารถของแต่ละคน

5 ยุคสังคมคอมมิวนิสต์ เป็นสังคมที่ไร้ชนชั้นหรือไม่มีความแตกต่างระหว่างชนชั้น เพราะสังคมเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต ทุกคนทํางานเต็มที่ตามความสามารถและพอใจที่จะรับค่าตอบแทนตามความจําเป็นของตนเอง

6 แนวคิดที่ว่า “คนเป็นผู้สร้างศาสนา ศาสนามิได้สร้างคน” นําไปสู่หลักคิดที่ว่า

(1) ศาสนาคือเครื่องมือในการสร้างความสุขของสังคม

(2) ศาสนาคือความเจริญทางจิตวิญญาณ

(3) ศาสนาคือความร่วมมือร่วมใจของประชาชน

(4) ศาสนาคือเครื่องมือในการมอมเมาประชาชน

(5) ศาสนาคือเครื่องมือในการสร้างชาติ

ตอบ 4 หน้า 174 175, (คําบรรยาย) Marx กล่าวว่า “คนเป็นผู้สร้างศาสนา ศาสนามิได้สร้างคน”ซึ่งเขามองว่า ศาสนาเป็นวิธีที่คนที่ถูกกดขี่แสดงความรู้สึกออกมา เมื่อหมดหวังที่จะมีความเป็นอยู่ ที่ดีกว่าเดิม ดังนั้นคนที่กดขี่จึงใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการมอมเมาประชาชนหรือเกลี้ยกล่อมให้ทุกคนยอมรับสภาพของตนเอง โดย Marx จะเรียกศาสนาว่าเป็น “ฝืนของประชาชน”

7 “ทฤษฎีการต่อสู้ทางชนชั้น” ได้รับอิทธิพลมาจากความวุ่นวายทางการเมืองของประเทศ

(1) อังกฤษ

(2) ฝรั่งเศส

(3) สหรัฐอเมริกา

(4) สเปน

(5) บรัสเซล เบลเยียม

ตอบ 2 หน้า 175 ในช่วงที่มีการปฏิวัติในฝรั่งเศสหลายครั้งนั้น Marx และ Engels ได้ร่วมกันเขียนหนังสือเรื่อง คําประกาศคอมมิวนิสต์ (Communist Manifesto) ขึ้น โดย Max ได้ใช้ความวุ่นวาย ทางการเมืองในช่วงนั้นส่งเสริม “ทฤษฎีการต่อสู้ทางชนชั้น” จนเขาถูกรัฐบาลฝรั่งเศสเนรเทศออกจากกรุงบรัสเซล

8 ตามแนวคิดของ Marx การปฏิวัติจะเกิดขึ้นได้เมื่อ

(1) ระบบทาสได้พัฒนาถึงขั้นที่เจริญสูงสุด

(2) ระบบศักดินาได้พัฒนาถึงขั้นที่เจริญสูงสุด

(3) ระบบทุนนิยมได้พัฒนาถึงขั้นที่เจริญสูงสุด

(4) ระบบคอมมิวนิสต์ได้พัฒนาถึงขั้นที่เจริญสูงสุด

(5) ระบบการเมืองได้พัฒนาถึงขั้นที่เจริญสูงสุด

ตอบ 3 หน้า 190 Max ได้ทํานายอย่างมั่นใจถึงอนาคตของสังคมว่า สังคมทุนนิยมนั้นเมื่อพัฒนาเต็มที่ถึงขั้นที่เจริญสูงสุด จะถูกปฏิวัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยชนชั้นกรรมาชีพ (กรรมกร) และสังคม จะพัฒนาไปเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ในท้ายที่สุด

9 Marx เชื่อว่าสิ่งที่ทําให้สังคมมีความก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ คือ

(1) การเมือง

(2) ความขัดแย้ง

(3) เศรษฐกิจ

(4) ความร่วมมือ

(5) ความปรองดอง

ตอบ 2 หน้า 178 Max ได้รับอิทธิพลทางความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับสังคมมาจาก “กระบวนการวิภาษวิธี”หรือความเป็นปฏิปักษ์ขัดแย้งของ Friedrich Hegel โดยเขาเชื่อว่า ทุกอย่างในโลกนี้มีความขัดแย้งกันในตัวมันเอง และความขัดแย้งนี้จะช่วยพัฒนาสังคมและประวัติศาสตร์ให้ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ

10 “ทุนนิยม” เป็นระบบที่เน้นหนักในเรื่องของ

(1) กําไร

(2) การอยู่รอดของสังคม

(3) ความก้าวหน้าทางวิทยาการ

(4) การเกื้อกูลกันของมนุษย์

(5) คุณธรรม

ตอบ 1 หน้า 183, (คําบรรยาย) Marx อธิบายว่า สิ่งที่เป็นหัวใจของระบบทุนนิยมหรือสิ่งที่นายทุนคํานึงถึงคือ กําไรหรือผลประกอบการที่เพิ่มขึ้น โดยนายทุนจะพยายามเพิ่มทุนคงที่หรือเครื่องจักร ให้มากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้กําไรลดลง ในขณะเดียวกันก็พยายามรักษาอัตราค่าจ้างให้เพียงพอต่อการประทั้งชีวิต นั่นคือ ทุนที่เปลี่ยนแปลงจะต่ำอยู่เสมอเพื่อให้ได้กําไรเพิ่มขึ้นนั่นเอง

11 ในสังคมใดที่มนุษย์ในระดับล่าง เช่นกรรมกรจะเกิดความรู้สึกแปลกแยกกับการดํารงชีวิตมากที่สุด

(1) สังคมดึกดําบรรพ์

(2) สังคมทาส

(3) สังคมศักดินา

(4) สังคมทุนนิยม

(5) สังคมคอมมิวนิสต์

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 5 ประกอบ

  1. พลังในการปฏิวัติ เพื่อเปลี่ยนสังคมจาก “ทุนนิยม” ไปสู่สังคมคอมมิวนิสต์ Marx ระบุว่าต้องเป็นพลังของ ชนชั้นใดเท่านั้น

(1) ชาวนาชาวไร่

(2) กรรมกร

(3) กรรมกรเละชาวนาชาวไร่

(4) นายทุนและขุนศึก

(5) ได้ทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 8. ประกอบ

13 การปฏิวัติในประเทศรัสเซีย เกิดขึ้นใน

(1) ปี ค.ศ. 1789

(2) ปี ค.ศ. 1848

(3) ปี ค.ศ. 1917

(4) ปี ค.ศ. 1932

(5) ปี ค.ศ. 1949

ตอบ 3 หน้า 199 ในปี ค.ศ. 1917 นิโคไล เลนิน (Nicolai Lenin) ได้อ้างว่า รัสเซียมีการปฏิวัติซึ่งเป็นการปฏิวัติโดยชนชั้นกรรมาชีพที่เกิดขึ้นตามคําทํานายของมาร์กซ์

14 การเปลี่ยนแปลงที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติในประเทศรัสเซีย มีผลกระทบมาจาก

(1) การเมือง

(2) เศรษฐกิจ

(3) สังคม

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 1 หน้า 202 การปฏิวัติในประเทศรัสเซียเกิดขึ้นจากสาเหตุสําคัญทางการเมืองการปกครองที่ไม่เป็นธรรม คือความขัดแย้งจากการปกครองของสถาบันกษัตริย์ (กษัตริย์ซาร์) ทําให้รัสเซีย เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองประเทศจากระบบกษัตริย์มาเป็นระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ในที่สุด

15 การลุกขึ้นมาทําการปฏิวัติในประเทศรัสเซีย Lenin ระบุว่า พลังในการปฏิวัติ คือ

(1) กรรมกร

(2) ชาวนาชาวไร่

(3) กรรมกรบวกชาวนาชาวไร่

(4) นายทุนและขุนศึก

(5) กรรมกรและขุนศึก

ตอบ 3 หน้า 186, 200 Lenin เห็นว่า พลังในการที่จะลุกขึ้นมาปฏิวัติสังคมเพื่อขจัดระบบทุนนิยมก็คือ ชนชั้นกรรมาชีพ (กรรมกร) และชาวนาชาวไร่เข้าร่วมด้วย ส่วน Marx มองว่าพลังในการ ที่จะลุกขึ้นมาปฏิวัติสังคมนั้นจะต้องเป็นชนชั้นกรรมาชีพเท่านั้น

16คุณสมบัติของ “นักปฏิวัติอาชีพ” ตามทัศนะ Lenin

(1) เป็นชนชั้นกรรมาชีพที่มีจํานวนน้อยและจิตสํานึกทางการเมือง

(2) ต้องมีวินัยสูง

(3) เป็นชนชั้นใดก็ได้ที่มีจํานวนน้อยและมีจิตสํานึกทางการเมือง

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 203 ในทัศนะของ Lenin นั้น นักปฏิวัติอาชีพหรือชนชั้นปัญญาชนก็คือ ผู้ที่จะมาทําหน้าที่เป็นแกนกลางหรือผู้นําในการปฏิวัติและปลุกจิตสํานึกทางการเมือง ซึ่งนักปฏิวัติอาชีพนี้ไม่จําเป็น ต้องมาจากชนชั้นกรรมาชีพ แต่จะมาจากชนชั้นใดก็ได้ที่มีจิตสํานึกทางการเมือง มุ่งแสวงหาความรู้ในการปฏิวัติ และที่สําคัญคือ จะต้องมีจํานวนน้อยและต้องมีวินัยสูง

17 ในสังคมยุคใดที่ Lenin ระบุว่า สงครามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

(1) ยุคคอมมิวนิสต์

(2) ยุคทุนนิยม

(3) ยุคศักดินา

(4) ยุคทาส

(5) ยุคดึกดําบรรพ์

ตอบ 2 หน้า 205 Lenin เชื่อว่า หากสังคมอยู่ในยุคทุนนิยม สงครามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสงครามเป็นผลมาจากการมีเครื่องมือการผลิตไว้ในครอบครอง นั่นคือ การพัฒนาที่ไม่เท่ากันของระบบทุนนิยมจะทําให้เกิดสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

18 การปฏิวัติในทัศนะของ Lenin แตกต่างไปจาก Max ในข้อใด

(1) ต้องเกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศพร้อม ๆ กัน

(2) ต้องมีเงื่อนไขมาจากเศรษฐกิจ

(3) ต้องเกิดขึ้นที่ละประเทศ

(4) เป็นการปฏิวัติที่เกิดขึ้น

(5) เน้นพลังจากกรรมกร

ตอบ 3 หน้า 206 207 การปฏิวัติในทัศนะของ Lenin แตกต่างไปจาก Marx และ Engels คือการปฏิวัติสามารถเกิดขึ้นในประเทศเดียว (ที่ละประเทศ) ก็ได้ ไม่จําเป็นต้องเกิดขึ้นพร้อมกัน ในหลายประเทศ ภายใต้เงื่อนไขทางการเมือง ไม่จําเป็นต้องมีเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ และการปฏิวัติจะสําเร็จเมื่อมีการใช้ความรุนแรงและใช้กําลังอาวุธอย่างสูงสุด

19 พัฒนาการขั้นตอนสุดท้ายของทุนนิยม ตามทัศนะของ Lenin คือ

(1) ระบบจักรวรรดินิยม

(2) ระบบคอมมิวนิสต์

(3) ระบบศักดินา

(4) ระบบเสรีนิยม

(5) ระบบประชาธิปไตย

ตอบ 1 หน้า 210 – 211 ทฤษฎีจักรวรรดินิยม เป็นแนวคิดของ Lenin ที่ถูกนํามาประยุกต์ใช้ในการศึกษาโครงสร้างที่ไม่เท่าเทียมกันของระบบเศรษฐกิจและการเมือง โดย Lenin อธิบายว่า ทําไมจึงไม่มีการปฏิวัติของชนชั้นกรรมาชีพในประเทศทุนนิยมที่เจริญเต็มที่ ซึ่งคําตอบก็คือ ในระบบทุนนิยมนั้นจะมีการสร้างวิธีการลดความรุนแรงของความขัดแย้งในสังคมทุนนิยมลง โดยการส่งความขัดแย้งไปยังอาณานิคมทั่วโลก ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าการพัฒนาขั้นสุดท้ายของระบบทุนนิยมก็คือระบบจักรวรรดินิยมนั่นเอง

20 “การทําลัทธิ Marx ให้เป็นแบบจีนนั้น” หมายถึง

(1) นําเอาลัทธิ Marx ไปตกแต่งให้เป็นภาษาจีน

(2) นําเอาลัทธิ Marx ไปปรับให้ใช้ได้กับสถานการณ์ในจีนที่เกิดขึ้นจริง

(3) นําเอาลัทธิ Mark มาร่างขึ้นใหม่โดยใช้แนวคิดของ Mao ซึ่งเป็นคนจีน

(4) นําเอาลัทธิ Marx ไปปะปนกับปรัชญาการเมืองของนักปรัชญาจีน เช่น ขงจื้อ เป็นต้น

(5) นําเอาลัทธิ Marx ไปให้คนจีนทั้งประเทศช่วยกันแปลงแก้ไข เพื่อให้เป็นแบบจีนจริง ๆ

ตอบ 2 หน้า 223 “การทําลัทธิ Marx ให้เป็นแบบจีน” ในแนวคิดของเมา เซ ตุง (Mao Tse Tung)หมายถึง การนําเอาลัทธิ Marx ไปปรับให้ใช้ได้กับสถานการณ์ในจีนที่เกิดขึ้นในความเป็นจริง หรือการศึกษาลัทธิ Marx โดยไม่ละเลยเงื่อนไขประวัติศาสตร์และสังคมของจีน มิใช่นําลัทธิ Marx ที่เป็นรูปธรรมที่มองไม่เห็นมาใช้ แต่เป็นลัทธิ Max แบบจีน ๆ ที่คนธรรมดาสามารถเข้าใจได้

21 Mao เชื่อว่า “ประวัติศาสตร์” เป็นเรื่องของ

(1) การต่อสู้ของปรัชญาในแต่ละยุค

(2) การต่อสู้ของชนชั้น

(3) การต่อสู้ของจิตนิยมกับวัตถุนิยม

(4) ข้อ 1 และ 2 (5) ข้อ 2 และ 3 ตอบ 5 หน้า 224 Mao เชื่อว่า ประวัติศาสตร์เป็นการแสดงออกถึงการต่อสู้ของชนชั้นระหว่างชนชั้นผู้กดขี่กับชนชั้นผู้ถูกกดขี่ และเป็นการแสดงถึงการต่อสู้ระหว่างจิตนิยมกับวัตถุนิยมอีกด้วย

22 ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นกรรมาชีพกับชนชั้นนายทุน แก้ไขได้โดย

(1) การปฏิวัติประชาธิปไตย

(2) การปฏิวัติสังคมนิยม

(3) การปฏิวัติประชาชาติ

(4) แก้ไขโดยการแปรเกษตรกรรมให้เป็นแบบรวมหมู่

(5) แก้ไขโดยอาศัยให้แต่ละชนชั้นวิจารณ์ตนเอง

ตอบ 2 หน้า 227 Mao กล่าวว่า ความขัดแย้งที่มีคุณภาพแตกต่างกัน ก็ต้องแก้ด้วยวิธีการที่มีคุณภาพแตกต่างกัน เช่น ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นกรรมาชีพกับชนชั้นนายทุนแก้ด้วยการปฏิวัติ สังคมนิยม, ความขัดแย้งระหว่างมวลประชาชนกับระบอบศักดินาแก้ด้วยการปฏิวัติประชาธิปไตย,ความขัดแย้งระหว่างเมืองขึ้นกับจักรวรรดินิยมแก้ด้วยการปฏิวัติประชาชาติ เป็นต้น

23 การปฏิวัติในจีนตามทัศนะของเมา เซ ตุง มีเป้าหมายอยู่ที่

(1) ล้มล้างนายทุน

(2) ล้มล้างการปกครองของจักรวรรดินิยมต่างชาติ

(3) ล้มล้างพวกปฏิกิริยา

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ข้อ 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 229 Mao อธิบายว่า เป้าหมายของการปฏิวัติจีน คือ การล้มล้างการปกครองของจักรวรรดินิยมต่างชาติและพวกปฏิกิริยา แต่มิได้ทําลายส่วนหนึ่งของลัทธิทุนนิยม ซึ่งสามารถใช้ต่อต้านจักรวรรดินิยมและระบบฟิวดัล

24 Mao ระบุว่า “สงคราม”

(1) เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

(2) เป็นรูปแบบสูงสุดของการต่อสู้

(3) เป็นสิ่งที่แก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมได้

(4) ถูกทุกข้อ

(5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 232 “ทฤษฎีอํานาจมาจากปากกระบอกปืน” ของเมา เซ ตุง นั้นเป็นทฤษฎีที่เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ได้จากการปฏิวัติจีนระหว่างปี ค.ศ. 1930 – 1940 ซึ่งเห็นว่าสงคราม เป็นรูปแบบสูงสุดของการต่อสู้ และสงครามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสงครามเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมได้ 25 ทฤษฎีที่เมา เซ ตุง เรียนรู้จากประสบการณ์การปฏิวัติในจีนระหว่างปี ค.ศ. 1930 – 1940 คือ

(1) การปฏิวัติโลก

(2) ประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์

(3) สงครามกองโจร

(4) อํานาจมาจากปากกระบอกปืน

(5) เผด็จการประชาธิปไตยของประชาชน

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 24. ประกอบ

 

สํานักอนุรักษนิยม (Conservative)

26 ทัศนะของ Hume ต่อความ “ยุติธรรม”

(1) การปฏิบัติต่อทุกคนตามกฎหมาย

(2) การปฏิบัติต่อทุกคนเหมือน ๆ กัน

(3) การปฏิบัติต่อทุกคนตามความเหมาะสม

(4) การยอมรับในทรัพย์สินส่วนบุคคล

(5) การให้กับทุก ๆ คนหรือไม่ให้ใครเลย

ตอบ 4 หน้า 91 ในทัศนะของ Hume นั้น ความยุติธรรม (Justice) หมายถึง การยอมรับในสิทธิการมีทรัพย์สินส่วนบุคคลหรือกรรมสิทธิ์ส่วนตัว

27 Burke ไม่ต่อต้านการปฏิวัติในข้อใด

(1) การปฏิวัติในฝรั่งเศส

(2) การปฏิวัติในสวีเดน

(3) การปฏิวัติในสเปน

(4) การปฏิวัติในอังกฤษ

(5) การปฏิวัติในเยอรมนี

ตอบ 4 หน้า 94 – 95, 100, (คําบรรยาย) แม้ว่า Burke จะมีแนวคิดต่อต้านการปฏิวัติในฝรั่งเศส โซเวียต จีน และเยอรมนี้ก็ตาม แต่เขาก็เห็นด้วยกับการปฏิวัติอันเรื่องเกียรติในอังกฤษและอเมริกา โดย Burke ได้ให้ทัศนะว่าถ้าในสถานการณ์จําเป็นจริง ๆ แล้วให้มีการปฏิวัติได้แต่ต้องกระทําในรูปของวิวัฒนาการแบบค่อยเป็นค่อยไป

28 หลักการที่สํานักอนุรักษนิยมยึดถือ คือ

(1) หลักแห่งความเท่าเทียมกัน

(2) หลักคุณธรรม

(3) หลักเหตุผล

(4) หลักประสบการณ์

(5) หลักจริยธรรม

ตอบ 4 หน้า 85 – 86 หลักการสําคัญของนักคิดในสํานักอนุรักษนิยม (Hume และ Burke) ก็คือการปฏิเสธที่จะยอมรับและเชื่อถือในหลักเหตุผลนิยม โดยหันมาให้ความสําคัญและสนับสนุน ลัทธิประจักษนิยม (Empiricism of Empirical Study) อันหมายถึง การยึดถือหลักประสบการณ์และการสังเกตเป็นสําคัญ

29ข้อใดไม่ใช่ทัศนะของ Burke

(1) ความสามารถของคนไม่เท่ากัน

(2) ประชาชนไม่มีสิทธิต่อต้านรัฐบาล

(3) คัดค้าน “หลักเหตุผลนิยม”

(4) คัดค้านสิทธิที่เป็นนามธรรม

(5) ชนชั้นสูงจะเป็นผู้พิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ

ตอบ 2 หน้า 86, 96, 98, 100, (คําบรรยาย) ทัศนะของ Burke นอกจากตัวเลือกข้อ 1, 3, 4 และ 5 แล้ว Burke ยังกล่าวอีกว่า เมื่อใดที่รัฐบาลใช้อํานาจไปในทางที่ผิดและนําความเดือดร้อนยุ่งเหยิงมาให้ประชาชนก็อาจปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลได้ นั่นคือ ประชาชนมีสิทธิที่จะต่อต้านรัฐบาลที่กดขี่นั้นเอง

30 รัฐที่ดีในทัศนะของ Hume

(1) รัฐประชาธิปไตย

(2) รัฐที่มีความเข้มแข็งมาก ๆ

(3) รัฐคณาธิปไตย

(4) รัฐเผด็จการที่เมตตาธรรม

(5) รัฐที่สร้างความยุติธรรมและสันติภาพ

ตอบ 5 หน้า 91 รัฐที่ดีในทัศนะของ Hume คือ รัฐที่มีหน้าที่ในการสร้างความยุติธรรมและสันติภาพกับความเป็นระเบียบในสังคมให้เกิดขึ้นได้

31 มาตรฐานทางศีลธรรมเกิดจาก

(1) กฎหมาย

(2) ศาสนา

(3) การเรียนรู้จากสังคมอื่น

(4) ความเป็นเหตุเป็นผลของมนุษย์

(5) ประสบการณ์ของมนุษย์

ตอบ 5 หน้า 88 – 89 Hume เห็นว่า มาตรฐานทางศีลธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ถูกกําหนดขึ้นมาจากประสบการณ์ของมนุษย์เอง ซึ่งประสบการณ์นี้จะเป็นเครื่องกําหนดว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรหลีกเลี่ยง อะไรควรรีบรับ ส่วนเหตุผลนั้นเป็นเรื่องที่นั่งคิดขึ้นมาและเป็นเพียงนามธรรมเท่านั้น

32 ข้อใดเป็นข้อสรุปของหน้าที่ “รัฐสภา” ในทัศนะของ Burke

(1) ออกกฎหมาย

(2) ควบคุมรัฐบาล

(3) ตั้งและถอดถอนรัฐบาล

(4) ตั้งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ

(5) เป็นตัวแทนผลประโยชน์และความดีทั่ว ๆ ไปของชาติ

ตอบ 5 หน้า 101 ในทัศนะของ Burke นั้น สมาชิกรัฐสภา (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกับสมาชิกวุฒิสภา)แต่ละคนไม่ใช่เป็นผู้แทนของเขตเลือกตั้ง แต่ถือว่าเป็นตัวแทนของชาติและผลประโยชน์ของชาติ ดังนั้นรัฐสภา (สภาผู้แทนราษฎรกับวุฒิสภา) จึงต้องทําหน้าที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของชาติโดยส่วนรวม ไม่ใช่เพื่อท้องถิ่นแต่เพื่อความดีทั่ว ๆ ไปของชาติ

33 ในทัศนะของ David Hume “รากเหง้าความเป็นมาของรัฐ” มีที่มาจาก

(1) ความเป็นสัญญาประชาคม

(2) ประโยชน์ของมนุษย์

(3) ความสามารถของมนุษย์ในการคิด

(4) ความรู้สึกและสัญชาตญาณของมนุษย์

(5) การครอบครองและใช้กฎหมายบังคับ

ตอบ 2 หน้า 89 90 ในทัศนะของ Hume นั้น สังคมการเมืองหรือรัฐมีรากเหง้าความเป็นมาจาก

1 “ความจําเป็น” ของมนุษย์ที่จะต้องชํารงรักษาสังคมให้มีอยู่เพื่อความยุติธรรม

2 “ความโน้มเอียงตามธรรมชาติ” ที่จะแสวงหาผลประโยชน์ของมนุษย์

3 “นิสัย” ซึ่งเป็นปัจจัยช่วยทําให้เกิดความเคยชินต่อการเคารพเชื่อฟัง

 

สํานักประโยชน์นิยม (The Utilitarians)

34 หลักคิดที่สําคัญของสํานักประโยชน์นิยม

(1) หลักเสรีภาพ

(2) หลักการอยู่อย่างพอเพียง

(3) หลักแห่งความเสมอภาค

(4) หลักประสบการณ์

(5) หลักความสุขสูงสุดของคนหมู่มาก

ตอบ 5 หน้า 138, 142, (คําบรรยาย) หลักคิดที่สําคัญของสํานักประโยชน์นิยมที่ได้นํามาใช้ในการกําหนดนโยบายของรัฐ คือ “หลักการคํานึงถึงความสุขสูงสุดของคนหมู่มาก” หรือ“หลักประโยชน์สูงสุดของคนจํานวนมากที่สุด”

35 รูปแบบของ “รัฐ” ที่ดีที่ “Bentham” สนับสนุน

(1) อํามาตยาธิปไตย

(2) ประชาธิปไตยแบบประธานาธิบดี

(3) ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา

(4) รัฐบาลสายกลาง

(5) รูปแบบใดก็ได้ที่มีกฎหมายที่ดี

ตอบ 3 หน้า 144 145 Bentham เห็นว่า รัฐที่ดีนั้นควรปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาเพราะเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน อีกทั้งยังต้องประกอบด้วยกฎหมายที่ดีและตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งหลักประโยชน์นิยมด้วย

36 ทัศนะของ Bentham ต่อการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

(1) ให้เลือกตั้งทุกปี

(2) ให้มีการเลือกตั้งทุก ๆ 2 ปี

(3) เลือกแบบแบ่งเขต ผสมแบบสัดส่วน

(4) ให้มีการเลือกตั้งทุก ๆ 4 ปี

(5) ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจํานวนหนึ่งในสามทุก ๆ 2 ปี

ตอบ 1 หน้า 143 – 145, 152 Bentham ได้เสนอให้รัฐสภามีเพียงสภาเดียว คือ สภาผู้แทนราษฎรโดยต้องมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกปี ซึ่งประชากรเพศชายเท่านั้นที่มีสิทธิเลือกตั้ง และจัดให้มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรปีละครั้ง เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้มีเวลาพอเพียง ที่จะไปพบราษฎรในท้องถิ่นของตน ส่วนสภาซีเนตหรือวุฒิสภานั้นเขาเห็นว่าไม่มีความจําเป็น และควรยกเลิกไปเสีย

37 ทัศนะของ James Mill ต่อธรรมชาติของมนุษย์

(1) มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน

(2) มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพเท่ากัน

(3) มนุษย์ทุกคนมีเหตุผลเท่ากัน

(4) มนุษย์หวังประโยชน์สูงสุด

(5) มนุษย์มีเสรีภาพอันสมบูรณ์ถ่ายโอนมิได้

ตอบ 4 หน้า 150 – 151, (คําบรรยาย) ในเรื่องธรรมชาติของมนุษย์นั้น James Mill เห็นว่า มนุษย์ทุกคนจะมุ่งแสวงหาผลประโยชน์หรือความสุขให้มากที่สุดในชีวิต แต่มนุษย์ยังไม่สามารถปกครอง ตนเองได้ และในขณะเดียวกันมนุษย์ก็ไม่ไว้วางใจการปกครองโดยคน ๆ เดียวหรือโดยกลุ่มคนเพราะกลัวเสียผลประโยชน์

38 “การห้ามแสดงความคิดเห็น ถือว่าเป็นการปล้นมนุษย์” เป็นทัศนะของใคร

(1) Jeremy Bentham

(2) James Mills

(3) John Stuart Mill

(4) Karl Marx

(5) T.H. Green

ตอบ 3 หน้า 152, 157 – 159, 162 163 แนวความคิดที่สําคัญของ John Stuart Mill ได้แก่

1 เสนอให้สตรีมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้เท่าเทียมกับบุรุษ

2 บุคคลที่ทรยศต่อเพื่อน ที่ไว้วางใจเขาย่อมมีโทษผิด

3 ประโยชน์เป็นเครื่องวัดความดีความชั่วของการกระทํา

4 ให้ความสําคัญในเรื่องเสรีภาพส่วนบุคคลอย่างมาก โดยเชื่อว่า “การห้ามแสดงความคิดเห็น ถือว่าเป็นการปล้นมนุษย์”

5 การปกครองควรมี 2 ขั้นตอน คือ การปกครองโดยผ่านผู้แทน และการปกครองโดยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ 6 ให้ความสําคัญกับสิทธิของคนกลุ่มน้อย (Minority Right) โดยเสนอให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน

7 ผลของการกระทําเป็นเครื่องตัดสินว่าการกระทํานั้นถูกหรือผิด ฯลฯ

39 การเลือกผู้แทน “แบบสัดส่วน เป็นทัศนะของใคร

(1) Jeremy Bentham

(2) James Mill

(3) John Stuart Mill

(4) John Locke

(5) Thomas Hobbes

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ  38 ประกอบ

40 นักคิดที่เสนอให้สิทธิสตรีเท่าเทียมบุรุษในการใช้สิทธิเลือกตั้ง คือ

(1) Jeremy Bentham

(2) James Mill

(3) John Stuart Mill

(4) Jeremy Bentham & James Mill

(5) James Mill & John Stuart Mill

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ

41 Jeremy Bentham และ James MIL มีชีวิตอยู่ในสังคมสมัยใด

(1) สังคมทาส

(2) สังคมศักดินา

(3) สังคมอุตสาหกรรม

(4) สังคมถึงอุตสาหกรรม

(5) สังคมทุนนิยม

ตอบ 3 หน้า 137 Jeremy Bentham และ James Miแ มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 18 – 19 ซึ่งเป็นสมัยของการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศอังกฤษ ที่ส่งผลทําให้เกิดชนชั้นใหม่ขึ้นในสังคมอังกฤษ คือ ชนชั้นกรรมกรหรือชนชั้นผู้ใช้แรงงาน

 

มองเตสกิเออ (Montesquieu)

42 สาเหตุของการเกิด “สงคราม” ในทัศนะของมองเตสกิเออ

(1) เกิดเมื่อมนุษย์มีความขัดแย้งกัน

(2) เป็นสภาวะของมนุษย์ในธรรมชาติ

(3) เป็นภาวะสงครามของทุก ๆ คนต่อทุก ๆ คน

(4) มนุษย์โดยสัญชาตญาณชอบทําร้ายกัน

(5) เกิดขึ้นภายหลังเมื่อมนุษย์มีสังคมการเมืองแล้ว

ตอบ 5 หน้า 50 – 51 มองเตสกิเออ กล่าวถึงสภาวะสงครามว่าเกิดขึ้นหลังจากที่มนุษย์ได้เข้าสู่สังคมการเมืองหรือดํารงชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นแล้ว ทําให้มนุษย์ลืมธรรมชาติของตนเสีย กล่าวคือ มนุษย์ได้ลืมความอ่อนแอ ความขี้ขลาด และความหวาดกลัวซึ่งเป็นสิ่งที่เคยมีอยู่ก่อน ดังนั้น สังคมจึงได้กลายเป็นเครื่องมือในการใช้กําลังของมนุษย์

43 มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติในทัศนะของมองเตสกิเออ

(1) ขี้ขลาดและหวาดกลัว

(2) รุกรานซึ่งกันและกัน

(3) มีความสงบสันติ

(4) มีความเสมอภาค

(5) มนุษย์คิดว่าตนเองเหนือกว่าบุคคลอื่น

ตอบ 1 หน้า 49 มองเตสกิเออ เห็นว่า มนุษย์โดยธรรมชาติเป็นสัตว์โลกที่มีความอ่อนแอ ขี้ขลาดและหวาดกลัวเป็นคุณสมบัติประจําตัว ดังนั้นจึงทําให้ไม่มีใครกล้าที่จะรุกรานซึ่งกันและกัน เพราะต่างคนต่างก็หวาดกลัวซึ่งกันและกัน โดยก่อนหน้าที่สังคมจะเกิดขึ้นนั้น แต่ละคนจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวและคิดว่าตนเองด้อยกว่าคนอื่น

44 กฎเกณฑ์ที่มนุษย์บัญญัติขึ้นกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครอง

(1) State Law

(2) Civil Law

(3) Rule of Law

(4) Political Law

(5) International Law

ตอบ 4 หน้า 51 มองเตสกิเออ ได้จําแนกกฎหมายที่มนุษย์สร้างหรือบัญญัติขึ้นออกเป็น 3 ประเภท คือ

1 กฎหมายระหว่างประเทศ (International Law) คือ กฎเกณฑ์ที่มนุษย์บัญญัติขึ้นเพื่อกําหนด ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ

2 กฎหมายการเมือง (Political Law) คือ กฎเกณฑ์ที่ มนุษย์บัญญัติขึ้นเพื่อกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครอง (ประชาชน)

3 กฎหมายเอกชน (Civil Law) คือ กฎเกณฑ์ที่มนุษย์บัญญัติขึ้นเพื่อกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชน

45 วิธีการแยกอํานาจ (Separation of Power) เป็นผลดีในด้านใด

(1) การแบ่งงานกันทํา

(2) ประชาชนมีส่วนร่วม

(3) เกิดประสิทธิภาพการบริหาร

(4) การผ่อนปรนการใช้อํานาจ

(5) ด้านความมั่นคงของประเทศ

ตอบ 4 หน้า 58, 62, (คําบรรยาย) มองเตสกิเออ ได้เสนอให้มีการจัดตั้งรัฐบาลสายกลางเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีหลักประกันในอิสรภาพทางการเมือง โดยจัดให้มีระบบการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) และระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลแห่งอํานาจขององค์กรทั้ง 3 ฝ่าย อันได้แก่ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ซึ่งทัศนะดังกล่าวนี้จะเป็นผลดีในด้าน การผ่อนปรนการใช้อํานาจปกครอง และยังถือเป็นรากฐานของระบบรัฐสภา ระบบประธานาธิบดีและระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภาในปัจจุบัน

46 ความคิดการแยกอํานาจของมองเตสกิเออมาจากการศึกษาระบบการเมืองของประเทศใด

(1) ฝรั่งเศส

(2) อังกฤษ

(3) สหรัฐอเมริกา

(4) สวิตเซอร์แลนด์

(5) กรีกโบราณ

ตอบ 2 หน้า 48 ความคิดทางการเมืองในเรื่องการแยกอํานาจที่มองเตสกิเออเสนอนั้น เป็นผลมาจากการศึกษาระบบการเมืองการปกครองของประเทศอังกฤษในขณะนั้น ซึ่งมองเตสกิเออเข้าใจว่าเป็นระบบการแบ่งแยกอํานาจ แต่ในความเป็นจริงปรากฏว่ามองเตสกิเออเข้าใจผิดในเรื่องนี้

47 หลักการตรวจสอบและถ่วงดุลแห่งอํานาจ (Check and Balance) ปัจจุบันใช้ในประเทศใด

(1) อังกฤษ

(2) ฝรั่งเศส

(3) เยอรมนี

(4) สหรัฐอเมริกา

(5) ประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตย

ตอบ 4 หน้า 62 หลักการตรวจสอบและถ่วงดุลแห่งอํานาจ (Check and Balance) ที่มองเตสกิเออเสนอนั้น นับว่าเป็นรากฐานที่สําคัญของระบบประธานาธิบดี (Presidential System) ที่มีใช้อยู่ในประเทศสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน

48 การตรวจสอบภายในอํานาจตุลาการของรัฐบาลสายกลางสามารถกระทําได้โดยวิธีใด

(1) การแต่งตั้ง

(2) การคัดเลือก

(3) การเลือกตั้ง

(4) การสอบแข่งขัน

(5) การลงโทษตามกฎหมาย

ตอบ 3 หน้า 60 มองเตสกิเออ เห็นว่า การตรวจสอบภายในอํานาจตุลาการของรัฐบาลสายกลางนั้นสามารถกระทําได้โดยการเลือกตั้งผู้ทําหน้าที่ตุลาการและการให้ทําหน้าที่เป็นคราว ๆ ไปซึ่งถือว่าเป็นการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ได้อีกทางหนึ่ง

49 หลักยึดของรัฐบาลสายกลาง คือ

(1) กฎหมายที่ดี

(2) จริยธรรม

(3) เกียรติยศ

(4) เสรีภาพ

(5) อิสรภาพทางการเมือง

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 45 ประกอบ

50 ดินแดนขนาดกลางเหมาะสําหรับรัฐบาลรูปแบบใดในทัศนะของมองเตสกิเออ

(1) แบบสาธารณรัฐ

(2) แบบกษัตริย์

(3) แบบเผด็จการ

(4) แบบประชาธิปไตย

(5) แบบประธานาธิบดี

ตอบ 2 หน้า 61 มองเตสกิเออ ได้จําแนกรูปรัฐบาลตามหลักดินแดนออกเป็น 3 ประเภท คือ

1 รัฐบาลแบบสาธารณรัฐ เป็นรูปการปกครองที่เหมาะสมกับดินแดนขนาดเล็ก

2 รัฐบาลแบบกษัตริย์ เป็นรูปการปกครองที่เหมาะสมกับดินแดนขนาดกลาง คือ ไม่กว้างใหญ่หรือเล็กจนเกินไป

3 รัฐบาลแบบเผด็จการหรือทรราช เป็นรูปการปกครองที่เหมาะสมกับดินแดนขนาดใหญ่

 

มาเคียเวลลี่

51 มาเคียเวลลี่ ผลิตงานชิ้นสําคัญ คือ

(1) Modern Machine

(2) The Fox

(3) The Prince

(4) Magna Carta

(5) The Element of Law

ตอบ 3 หน้า 1 – 2 มาเคียเวลลี่ เกิดที่เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ในประเทศอิตาลีเมื่อปี ค.ศ. 1969โดยเขาได้เขียนหนังสือไว้หลายเล่มทั้งในด้านการเมืองและบทละคร ได้แก่ ผู้ปกครองหรือมุขชน (The Prince), บทสนทนา (The Discourses) เป็นต้น ซึ่งงานเขียนส่วนใหญ่ของมาเคียเวลลี่นั้นเป็นผลิตผลในช่วงที่เขาตกอับหมดอํานาจวาสนาทางการเมือง

52 สาระสําคัญของงานเขียนทางการเมืองมุ่งเน้นในเรื่องใดเป็นพิเศษ

(1) รัฐในอุดมคติ

(2) วิธีการ (Means)

(3) จุดหมายปลายทาง (Ends)

(4) การใช้เล่ห์เหลี่ยม

(5) เสรีภาพของผู้ปกครอง

ตอบ 2 หน้า 2, (คําบรรยาย) มาเคียเวลลี่ ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์ที่สําคัญที่สุดของยุคนวสมัย(Modern Time) โดยเขาเป็นเมธีคนแรกที่บุกเบิกการศึกษาวิชาปรัชญาการเมือง และได้เสนอทัศนะที่มีลักษณะผิดเผกไปจากลักษณะความคิดทางการเมือง (เชิงอุดมคติ) ในสมัยกลาง อย่างชัดเจน ซึ่งจะศึกษาและถ่ายทอดความคิดทางการเมืองในเชิงปรัชญาตามสภาพที่เป็นจริง นอกจากนี้งานเขียนทางการเมืองของเขาส่วนใหญ่ยังให้ความสนใจเป็นพิเศษสําหรับผู้ปกครอง ในการวิเคราะห์เพื่อแสวงหาวิธีการ (Means) ที่สามารถปฏิบัติในการที่จะได้มาซึ่งอํานาจ

53 ในทัศนะมาเคียเวลลี่ ผู้ปกครองควรมีขันติเพื่อ

(1) ทบทวนท่าทีของศัตรู

(2) ข่มความรู้สึกที่แท้จริง

(3) รับฟังคําวิจารณ์โดยสุจริตใจ

(4) ให้เกิดความยําเกรง

(5) แสดงความเป็นราชสีห์

ตอบ 3 หน้า 5 ในทัศนะของมาเคียเวลลี่นั้น ผู้ปกครองควรมีขันติเพื่อยอมรับฟังคําวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตใจของเหล่าขุนนาง เพราะจะทําให้ได้ทราบถึงความเป็นไปที่แท้จริงของสถานการณ์ต่าง ๆ

54 หากการปฏิรูปหมายถึงการเปลี่ยนแปลง ผู้ที่มีแนวโน้มต่อต้านคือ

(1) ทหาร

(2) ขุนนางอํามาตย์

(3) ผู้ที่ได้ประโยชน์จากแบบแผนเก่า

(4) ปัญญาชน

(5) เครือญาติ

ตอบ 3 หน้า 3 มาเคียเวลลี่ กล่าวว่า ผู้ที่ทําการปฏิรูปจะสร้างศัตรูหรือมีแนวโน้มถูกต่อต้านจากผู้ที่เคยได้รับผลประโยชน์จากแบบแผนเก่า ๆ ส่วนผู้ที่ได้ประโยชน์จากระเบียบใหม่ ๆ นั้นอาจจะสนับสนุนผู้ปกครองคนใหม่ แต่การสนับสนุนนั้นยังหาความมั่นคงไม่ได้ อาจเป็นการสนับสนุนเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ เพราะยังไม่เชื่อในความมั่นคงของสิ่งใหม่รวมทั้งผู้ปกครองใหม่มากนัก

55 ตามทัศนะของมาเคียเวลลี่ ศัตรูโดยธรรมชาติสําหรับนักปฏิรูปคือ

(1) ทหารในระบอบเก่า

(2) เหล่าอํามาตย์ขุนนาง

(3) ผู้ที่ได้ประโยชน์จากแบบแผนเก่า

(4) ปัญญาชนประเภทอนุรักษนิยม

(5) อาณาจักรข้างเคียง

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 54 ประกอบ

56 มาเคียเวลลี่สอนว่าคนรอบข้างผู้ปกครองมักชอบ

(1) นินทาผู้ปกครอง

(2) เพ็ดทูลสิ่งที่ผู้ปกครองชอบได้ยิน

(3) แสดงความจงรักภักดีจนเกินเลย

(4) แสวงหาอามิสสินจ้าง

(5) มีนิสัยสุรุ่ยสุร่าย

ตอบ 2 หน้า 5 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า คนรอบข้างผู้ปกครอง (มุขบุรุษหรือมุขชน) ทั้งพวกขุนนางหรือข้าราชการมักชอบประจบสอพลอ ชอบเพ็ดทูลสิ่งที่ผู้ปกครองชอบได้ยินมากกว่าสิ่งที่ควรจะฟังหรือ ชอบปิดกั้นความจริงที่ผู้ปกครองควรจะทราบ ซึ่งหากผู้ปกครองค้นพบคุณสมบัติดังกล่าวนี้ในตัวข้าราชการผู้ใด ก็ควรที่จะลงโทษหรือกําจัดโดยเร็ว เพราะพวกนี้เองที่จะเป็นผู้ทําลายเสถียรภาพของผู้ปกครอง

57 มาเคียเวลลี่เชื่อว่าปัญหาของรูปแบบการปกครองเฉพาะ เช่น ราชาธิปไตย อภิชนาธิปไตย หรือ ประชาธิปไตย

(1) การไร้เมตตาธรรม

(2) การไม่มีนโยบายที่ชัดเจน

(3) การสนับสนุนตัวบุคคล

(4) การขาดเสถียรภาพ

(5) การเน้นแต่เพียงประสิทธิภาพ

ตอบ 4 หน้า 8 มาเคียเวลลี เชื่อว่า ระบบการปกครองเฉพาะแบบ เช่น ราชาธิปไตย อภิชนาธิปไตยและประชาธิปไตยเป็นสิ่งดี แต่ระบบการปกครองเฉพาะแบบนี้ก็มีข้อบกพร่องที่สําคัญ คือการขาดเสถียรภาพ และความดีของระบบก็มักจะถูกทําลายลงด้วยตัวของมันเองในเวลาไม่นานนัก

58 คําพูดใดเป็นแนวความคิดของมาเคียเวลลี่

(1) ไม่มีผู้ใดใหญ่ค้ำฟ้า

(2) มนุษย์ย่อมรู้จักความพอเหมาะพอดี

(3) ธรรมชาติสร้างให้คนคิดว่าไม่มีสิ่งใดที่ไม่อาจแสวงหาได้

(4) ความรักชาติเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อแผ่นดิน

(5) มนุษย์เป็นสัตว์การเมืองที่ไม่อาจปฏิเสธชุมชนการเมืองได้

ตอบ 3 หน้า 2 มาเคียเวลลี่ กล่าวว่า ความกระหายของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่รู้จักอิ่ม คนถูกสร้างมาโดยธรรมชาติให้คิดว่าไม่มีสิ่งใดที่ไม่อาจแสวงหาได้ แต่โดยโชคชะตาแล้วคนจะสมปรารถนาในบางสิ่งเท่านั้น ดังนั้นจิตของคนจึงมีความไม่พอใจชั่วนิรันดร์

59 วาทะสําคัญของมาเคียเวลลี่ คือ

(1) การปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชน และของประชาชน

(2) ทหารแก่ไม่เคยตาย เพียงแต่เลือนหายไปจากความทรงจํา

(3) อนุสาวรีย์แห่งปรีชาชาญย่อมยืนนานกว่าอนุสาวรีย์แห่งอํานาจ

(4) อย่าถามว่าประเทศชาติจะทําอะไรให้ท่าน แต่ควรถามว่าท่านจะทําอะไรให้แก่ประเทศชาติ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 (คําบรรยาย) วาทะของบุคคลสําคัญ ๆ มีดังนี้

1 รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน – อับราฮัม ลินคอล์น

2 ทหารแก่ไม่เคยตาย เพียงแต่เลือนหายไปจากความทรงจํา – ดักลาส แมคอาร์เธอร์

3 อนุสาวรีย์แห่งปรีชาชาญย่อมยืนนานกว่าอนุสาวรีย์แห่งอํานาจ – ฟรานซิส เบคอน

4 อย่าถามว่าประเทศชาติจะทําอะไรให้ท่าน แต่ควรถามว่าท่านจะทําอะไรให้แก่ประเทศชาติ –

จอห์น เอฟ. เคนเนดี

60 ตามทัศนะของมาเคียเวลลี่ หนทางในการรักษาไว้ซึ่งอํานาจสําหรับผู้ที่ขึ้นสู่อํานาจด้วยการสืบสันตติวงศ์ คือ

(1) ใช้กําลังเข้าจัดการกับผู้แข็งข้อ

(2) การใช้เมตตาธรรมกับทุกฝ่ายอย่างเสมอหน้ากัน

(3) การใช้นโยบายที่ถูกต้องในการปกครองประเทศ

(4) มีการรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย

(5) การดําเนินรอยตามแบบแผนประเพณีดังเดิม

ตอบ 5 หน้า 3 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า สิ่งฉลาดที่ผู้ปกครองที่ขึ้นสู่บัลลังก์ด้วยการสืบสันตติวงศ์ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง คือ การรักษาแบบแผนประเพณีดั้งเดิมของประเทศไว้ อย่าพยายามเสี่ยงเปลี่ยนแปลง ขนบธรรมเนียมของเดิมเสียใหม่ ทั้งนี้เพราะสิ่งแวดล้อมและขนบธรรมเนียมประเพณีเดิมนั้นสนับสนุนการครองอํานาจอันชอบธรรมของผู้ปกครองเป็นอย่างดีอยู่แล้ว

61 มุขบุรุษต้องมีคุณสมบัติของสุนัขจิ้งจอก เพราะ

(1) ต้องมีพรรคพวก

(2) ต้องมีความเฉลียวฉลาด

(3) ต้องมีความเย่อหยิ่ง

(4) ต้องรักษาสัจจะ

(5) ต้องทําร้ายผู้อื่นลับหลัง

ตอบ 2 หน้า 7 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า ผู้ปกครองหรือมุขบุรุษควรมีคุณสมบัติแห่งจิ้งจอกและราชสีห์รวมเข้าไว้ด้วยกัน กล่าวคือ ผู้ปกครองควรมีความเฉลียวฉลาดดุจดังสุนัขจิ้งจอก และมีความเข้มแข็งอย่างราชสีห์ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะสามารถผจญกับเล่ห์เหลี่ยมและปราบปรามผู้ที่ตนปกครองได้นั่นเอง

62 ในทัศนะของมาเคียเวลลี มุขบุรุษต้องเล่นการเมืองเพื่อ

(1) รักษาไว้ซึ่งอํานาจของตนเอง

(2) เพื่อสร้างความชอบธรรม

(3) เพื่อขยายฐานอํานาจ

(4) ข้อ 2 และ 3

(5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 5 หน้า 9 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า การเมืองเป็นเรื่องของอํานาจ นักการเมืองปรารถนาที่จะได้มาหรือผดุงรักษาไว้ซึ่งอํานาจ ดังนั้นจุดประสงค์ที่ผู้ปกครองหรือมุขบุรุษต้องเข้ามาเล่นการเมือง ก็เพื่อการรักษาไว้ซึ่งอํานาจของตนหรือเพื่อการเพิ่มขยายฐานอํานาจทางการเมืองโดยเฉพาะ

63 ทหารรับจ้างมีปัญหาเรื่องความสวามิภักดิ์ เพราะ

(1) ขาดประสิทธิภาพ

(2) ไม่ใช่คนท้องถิ่น

(3) เห็นแก่อามิสสินจ้าง

(4) ถูกแทรกแซงได้ง่าย

(5) ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน

ตอบ 3 หน้า 4 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า กองทัพที่ดีนั้นจะต้องประกอบด้วยทหารประจําการหรือทหารเกณฑ์ไม่ใช่ทหารรับจ้าง เพราะทหารเกณฑ์เท่านั้นที่จะมีความกล้าหาญและพร้อมจะสละชีวิตในสมรภูมิ ส่วนทหารรับจ้างมักจะมีปัญหาเรื่องความสวามิภักดิ์เนื่องจากเห็นแก่อามิสสินจ้างมากกว่าหน้าที่ในสมรภูมิ ดังนั้นแทนที่จะส่งเสริมอํานาจผู้ปกครอง กลับจะทําลายอํานาจของผู้ปกครองในที่สุด

 

ฮอบส์

64 ในสภาวะธรรมชาติ ฮอบส์เชื่อว่าสังคมการเมือง

(1) ยังไม่เกิดขึ้น

(2) มีแต่การแก่งแย่งชิงดี

(3) ปราศจากกฎหมาย

(4) เต็มไปด้วยนักเลงการเมือง

(5) ขาดความเข้มแข็ง

ตอบ 1 หน้า 17 – 20 สภาวะธรรมชาติในทัศนะของฮอบส์ หมายถึง สภาวะที่ปราศจากรัฐบาลซึ่งอาจจะเป็นสภาวะก่อนที่จะเกิดสังคมการเมือง หรือเป็นสภาวะที่ยังไม่มีผู้ปกครองที่มีอํานาจ ที่แท้จริงในบ้านเมือง โดยในสภาวะธรรมชาตินั้นทุกคนจะมีสิทธิเสรีภาพ และมีอิสรภาพที่จะทําอะไรก็ได้เพื่อตอบสนองความต้องการของตน แต่เมื่อมีความต้องการในสิ่งเดียวกัน ปัญหาการแบ่งปันจึงเกิดขึ้น ทําให้มนุษย์ต้องแข่งขันกันแสวงหาอํานาจเหนือคนอื่นอยู่ร่ำไปจนนําไปสู่ “สภาวะสงคราม” ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองในที่สุด

65 ฮอบส์เชื่อว่ามนุษย์เราสมัครใจมอบอํานาจให้แก่ผู้อื่น เพราะ

(1) เป็นธรรมชาติของการเมือง

(2) ต้องการป้องกันตนเองจากภัยภายนอก

(3) เพื่อพิทักษ์เสรีภาพ

(4) เพื่อยุติความทะเยอทะยานของผู้มีอํานาจ

(5) เป็นความประสงค์ของพระเจ้า

ตอบ 2 หน้า 21 ฮอบส์ เชื่อว่า การที่มนุษย์สมัครใจยอมมอบอํานาจให้แก่ผู้อื่นนั้น เป็นเพราะว่ามนุษย์ต้องการป้องกันตนเองจากการรุกรานจากภายนอก และต้องการป้องกันไม่ให้มนุษย์ทําอันตรายต่อกันและกัน

66 ผลอะไรจะเกิดขึ้นตามมา หากผู้ปกครองถึงแก่กรรมลงภายหลังที่สัญญาประชาคมได้กระทําไปแล้ว

(1) สิ้นสุดสัญญา สังคม และรัฐ

(2) สัญญายังคงผูกมัดคู่สัญญา

(3) สัญญาที่ผูกมัดก็หมดโดยปริยาย

(4) เสียงจํานวนมากสามารถแก้ไขสัญญาเดิมได้

(5) เลือกตั้งผู้ปกครองใหม่แทนคนเก่า

ตอบ 1 หน้า 22 – 24 ฮอบส์ เห็นว่า การจัดตั้งรัฐเป็นผลมาจากการทําสัญญาประชาคม ซึ่งองค์อธิปัตย์จะมีฐานะเป็นคนธรรมดา (Natural Person) และเป็นคนสมมุติ (Artificial Person) โดยฮอบส์ ไม่ได้แยกความแตกต่างระหว่างสังคม รัฐ และรัฐบาลออกจากกัน ดังนั้นถ้าไม่มีคนธรรมดา (ผู้ปกครองหรือองค์อธิปัตย์) ที่มีอํานาจบังคับใช้เจตนารมณ์แล้ว ก็ย่อมจะเป็นการสิ้นสุดสัญญาสังคม และรัฐ มนุษย์ก็จะกลับไปสู่สภาวะธรรมชาติเหมือนเดิม

67 คําว่า “ความยุติธรรม และ อยุติธรรม” ใช้เกณฑ์อะไรเป็นเครื่องตัดสิน

(1) กฎหมาย

(2) ผลประโยชน์ส่วนรวม

(3) สัญญา

(4) ความสามัคคี

(5) ความชอบธรรม

ตอบ 3 หน้า 26 ในทัศนะของฮอบส์นั้น ความยุติธรรมหรืออยุติธรรมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้มีการทําสัญญาประชาคมแล้ว กล่าวคือ เมื่อได้ทําสัญญากันแล้ว ผู้ละเมิดสัญญาหรือการไม่ปฏิบัติตามสัญญาก็คือความอยุติธรรม ส่วนความยุติธรรมก็คือสิ่งที่ไม่อยุติธรรมหรือการปฏิบัติตามสัญญานั่นเอง

68 “สภาวะสงคราม” เกิดขึ้น ณ ที่ใด

(1) สภาพธรรมชาติ

(2) สังคมการเมือง

(3) สังคมบุพกาล

(4) สังคมสมัยใหม่

(5) สังคมเกิดจากสัญญา

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 64 ประกอบ

69 เมื่อทําสัญญาประชาคมแล้ว ผู้ใต้ปกครองสามารถทําอะไรได้บ้าง

(1) เปลี่ยนตัวผู้ปกครอง

(2) การใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งคราว

(3) การไม่ใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นบางครั้ง

(4) การถอดถอนองค์อธิปัตย์

(5) การบอกเลิกสัญญาที่ทําไปแล้ว

ตอบ 5 หน้า 24, (คําบรรยาย) ฮอบส์ อธิบายว่า การเปลี่ยนแปลงหรือถอดถอนองค์อธิปัตย์นั้นแม้จะกระทํามิได้ แต่ประชาชนในฐานะผู้ใต้ปกครองก็มีสิทธิขัดขืนต่อองค์อธิปัตย์ได้ นั่นคือ เมื่อประชาชนตกอยู่ในสภาวะอันตรายเนื่องด้วยองค์อธิปัตย์จะทําลายชีวิตของตนเองแล้ว การใช้สิทธิตามธรรมชาติเพื่อการคุ้มครองตนเองของมนุษย์ย่อมกระทําได้ ทั้งนี้โดยการร่วมกันบอกเลิกสัญญาที่ทําไปแล้วเพื่อเริ่มต้นทําสัญญากันใหม่

70 ฮอบส์เชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากแรงกระตุ้น 2 ประการ คือ

(1) กิเลสและตัณหา

(2) ความอยากและความไม่อยาก

(3) การเคลื่อนไหวและการหยุดนิ่ง

(4) ความรุนแรงและความสงบ

(5) โลกียธรรมและโลกุตรธรรม

ตอบ 2 หน้า 16 ฮอบส์ เชื่อว่า พฤติกรรมของมนุษย์นั้นเป็นผลมาจากแรงกระตุ้นภายใน 2 ประเภท คือ

1 ความอยากหรือความต้องการ (Appetite/Desire)

2 ความไม่อยากหรือความไม่ต้องการ (Aversion) นอกจากนี้ความรักหรือความเกลียด ความดีหรือความชั่ว ก็เป็นความรู้สึกที่เกิดจากแรงกระตุ้นทั้ง 2 ประเภทนี้เช่นเดียวกัน 3 ล็อค

71 ล็อคเห็นว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนบุคคลเกิดจาก

(1) การถ่ายโอนเป็นมรดกตกทอด

(2) การประกาศความเป็นเจ้าของ

(3) การยอมรับความเป็นเจ้าของของผู้ใดผู้หนึ่งโดยผู้อื่น

(4) การใช้แรงงานต่อสิ่งของนั้น ๆ

(5) การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตามกฎหมาย

ตอบ 4 หน้า 34 ล็อค เห็นว่า สรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ตามธรรมชาติในโลกนี้ทั้งหมดเป็นของทุกคน(ชาวโลกทั้งมวล) หรือทุกคนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินร่วมกัน โดยแต่ละคนสามารถมีกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินส่วนตัวหรือส่วนบุคคล (Private Property) ได้ ก็ต่อเมื่อเขาได้ใช้แรงงานจากร่างกาย เคลื่อนย้ายหรือเก็บเกี่ยวของสิ่งนั้น รวมทั้งในการสะสมทรัพย์สินก็จะต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นด้วย

72 ล็อคเห็นว่าสัญญาประชาคมเกิดขึ้นโดย

(1) ผู้ที่เข้มแข็งกว่าหยิบยื่นให้

(2) การตกลงทําสัญญาสันติภาพ

(3) อัตโนมัติตามสภาวะธรรมชาติ

(4) ความเกรงกลัวต่อภัยคุกคามจากภายนอก

(5) การยินยอมสมัครใจเพื่อการดํารงอยู่ร่วมกัน

ตอบ 5 หน้า 36 ล็อค เห็นว่า การทําสัญญาประชาคมเพื่อการดํารงอยู่ร่วมกันเป็นสังคมหรือประชาคมเดียวกันนั้น จะเป็นไปด้วยความสมัครใจหรือความยินยอมของทุกคน โดยทุกคนมุ่งหวังที่จะดํารงชีวิตอย่างสะดวกสบาย มีความปลอดภัย และมีความสงบสุขในการใช้ทรัพย์สินของตน อย่างมั่นคง และเป็นความมั่นคงที่ยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่ไม่เข้าร่วม

73 “สภาวะสงคราม” ในทัศนะของล็อค หมายถึง

(1) ความขัดแย้งทําลายเสรีภาพ

(2) สงครามระหว่างรัฐ

(3) การใช้กําลังเข้ายึดอํานาจ

(4) สภาพที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ตามธรรมชาติ

(5) ความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง

ตอบ 1 หน้า 35 ล็อค เห็นว่า ข้อบกพร่องของสภาวะธรรมชาติเป็นสาเหตุที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งจนกระทั่งนําไปสู่ “สภาวะสงคราม” ซึ่งจะทําลายเสรีภาพของมนุษย์ในที่สุด

74 หากรัฐบาลถูกยุบ ประชาชนจะต้องทําอะไรในอันดับต่อไป

(1) ทําสัญญาก่อตั้งสังคมใหม่

(2) เลือกตั้งรัฐบาลใหม่

(3) ดูแลความปลอดภัยให้แก่ตนเอง

(4) ใช้สิทธิพิเศษ

(5) ใช้อํานาจสหพันธ์

ตอบ 2 หน้า 38, 43, (คําบรรยาย) ล็อค กล่าวว่า รัฐบาลกับสังคมไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลสามารถกระทําได้โดยไม่กระทบต่อสังคม ดังนั้นหากรัฐบาลถูกยุบ ประชาชนต้องทําการเลือกตั้งหรือสถาปนารัฐบาลขึ้นใหม่ ที่เรียกว่าเปลี่ยนความยินยอม ซึ่งต้องเป็นไปตามเสียงข้างมากเท่านั้น

75 ผู้ที่ได้รับความยินยอมจากเสียงข้างมากของประชาชนตามหลักแห่งสัญญาประชาคม คือผู้ใด

(1) นิติบัญญัติ

(2) บริหาร

(3) ตุลาการ

(4) ทรัสตรี

(5) องค์อธิปัตย์

ตอบ 2 หน้า 36 – 38 ตามหลักการแห่งสัญญาประชาคมนั้น ล็อค อธิบายว่า การสถาปนารัฐบาลถือว่าเป็นเรื่องของการให้ความยินยอมเช่นเดียวกับการสถาปนาสังคมการเมืองหรือรัฐ กล่าวคือ การสถาปนารัฐจะเป็นไปในลักษณะของการให้ความยินยอมโดยเอกฉันท์ ส่วนการสถาปนารัฐบาล(ฝ่ายบริหาร) นั้นจะเป็นไปในลักษณะของการให้ความยินยอมโดยเสียงข้างมากของประชาชน

76 ใครเป็นเจ้าของสรรพสิ่งที่มีอยู่โดยธรรมชาติในโลกนี้

(1) พระผู้เป็นเจ้า

(2) ชาวโลกทั้งมวล

(3) รัฐบาลของแต่ละประเทศ

(4) องค์การสหประชาชาติ

(5) ไม่มีผู้ใดเป็นเจ้าของ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 71. ประกอบ

77 ทัศนะของล็อคต่อทรัพย์สิน

(1) ยอมรับทรัพย์สินส่วนบุคคล (Private Property)

(2) ต่อต้านทรัพย์สินส่วนบุคคล

(3) ทรัพย์สินส่วนบุคคลเกิดเมื่อมีกฎหมาย

(4) ทรัพย์สินส่วนบุคคลเกิดเมื่อมีสังคมการเมือง

(5) ทรัพย์สินส่วนบุคคลเป็นที่มาของความไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 71 ประกอบ

78 สภาวะแห่งความเสมอภาคในสภาวะธรรมชาติ หมายถึง ความเท่าเทียมกันในด้านใด

(1) ความเป็นมนุษย์

(2) ร่างกายและจิตใจ

(3) ความดีงาม

(4) ความมีเหตุผล

(5) สิทธิและอํานาจ

ตอบ 5 หน้า 33 ในทัศนะของล็อคนั้น มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติมีลักษณะที่สําคัญอยู่ 2 ประการ คือ

1 สภาวะแห่งเสรีภาพอันสมบูรณ์ หมายถึง ทุกคนมีอิสระเสรีอย่างเต็มเปี่ยมที่จะกระทําสิ่งใด ๆไม่ว่าจะเป็นการใช้ทรัพย์สินหรือร่างกายของเขาตามที่เขาเห็นว่าเหมาะสมภายใต้กฎธรรมชาติโดยไม่จําเป็นต้องขออนุญาตหรือขึ้นอยู่กับเจตจํานงของผู้อื่น

2 สภาวะแห่งความเสมอภาค หมายถึง ทุกคนมีความเท่าเทียมกันในสิทธิและอํานาจ โดยที่ อํานาจและสิทธิทั้งหมดอยู่ที่บุคคลแต่ละคน เพราะฉะนั้นในฐานะเป็นมนุษย์ด้วยกัน จึงไม่มีผู้ใดมีอํานาจหรือสิทธิเหนือผู้อื่น

79 ข้อใดเป็นการแสดงออกโดยชัดแจ้ง (Express Consent) ในการทําสัญญาประชาคม

(1) การยอมอ่อนข้อต่อเสียงข้างน้อย

(2) การใช้สิทธิเลือกตั้ง

(3) การอาศัยอยู่ในสังคม

(4) การได้ประโยชน์จากสังคม

(5) การไม่มีความขัดแย้ง

ตอบ 2 หน้า 37 ล็อค เห็นว่า การให้ความยินยอมมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ

1 การให้ความยินยอม โดยชัดแจ้ง (Express Consent) เป็นการแสดงความสมัครใจหรือความยินยอมออกมาให้ปรากฏ โดยที่คนอื่นสามารถรู้เห็นได้ เช่น การยินยอมที่จะอยู่ร่วมกันเป็นสังคม การยินยอมต่อเสียงของฝ่ายข้างมาก และการใช้สิทธิเลือกตั้ง

2 การให้ความยินยอมโดยปริยาย (Tacit Consent) จะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลอาศัยอยู่ในสังคมและได้รับประโยชน์จากสังคม เช่น บริการสาธารณะต่าง ๆ

80 รัฐบาลเกิดเมื่อใดในทัศนะของล็อค

(1) เมื่อมีสัญญาประชาคม

(2) เมื่อประชาชนเลือกตัวแทนไปทําหน้าที่นิติบัญญัติ

(3) เมื่อเสียงข้างมากในองค์กรนิติบัญญัติยกอํานาจสูงสุดให้แก่องค์กรอื่น

(4) เมื่อมีกฎหมาย

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 38 ล็อค เห็นว่า การสถาปนารัฐบาลนั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อฝ่ายเสียงข้างมากในสังคมตกลงที่จะยกอํานาจสูงสุดให้แก่องค์กรหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่คู่สัญญา แต่จะอยู่ในฐานะเป็นตัวแทนทําหน้าที่ให้แก่สังคมเป็นส่วนรวม

81 ข้อใดเป็นแนวความคิดของล็อค

(1) คนคือสัตว์การเมือง

(2) มนุษย์เกิดมาพร้อมความป่าเถื่อน

(3) มนุษย์มีเหตุผลและมีเมตตาธรรม

(4) ไม่มีสังคมใดที่มีเสรีภาพโดยสมบูรณ์

(5) ความเสมอภาคได้มาด้วยการต่อสู้

ตอบ 3 หน้า 33 ล็อค เห็นว่า โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์มีคุณสมบัติประจําตัว คือ ความมีเหตุผลอันเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้แก่มนุษย์ทุกคน ซึ่งนอกจากความมีเหตุผลแล้วมนุษย์ยังมีความเมตตาธรรม ใฝ่สันติ และสุขุมรอบคอบอีกด้วย

 

รุสโซ

82 สิ่งซึ่งมนุษย์ได้มาทดแทนกับการสูญเสียความบริสุทธิ์และความดีงามในสังคมการเมืองนั้นคืออะไร

(1) ความเสมอภาค

(2) สันติภาพ

(3) เสรีภาพทางการเมือง

(4) ความปลอดภัย

(5) ความสมบูรณ์ทางจิตใจ

ตอบ 5 หน้า 69 – 70, (คําบรรยาย) รุสโซ เห็นว่า การเกิดสังคมการเมืองเป็นผลมาจากสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ต้องการความสมบูรณ์โดยการอาศัยอยู่ร่วมกัน แม้ว่าจะมีส่วนทําลายความบริสุทธิ์ และความดีงามของมนุษย์ก็ตาม แต่สิ่งที่มนุษย์ได้รับการทดแทนจากการสูญเสียความบริสุทธิ์และความดีงามในสังคมการเมืองสมัยใหม่นั้นก็คือ ความสมบูรณ์ทางจิตใจ

83 “การเสียความบริสุทธิ์ของมนุษย์”

(1) สังคมธรรมชาติ

(2) สังคมการเมือง

(3) สังคมเมือง

(4) สังคมที่พัฒนาแล้ว

(5) สังคมบุพกาล

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 82 ประกอบ

84 สิ่งที่ถือว่าเป็น “ความไม่เท่าเทียมกันในสภาวะธรรมชาติ”

(1) ร่างกาย

(2) เสรีภาพ

(3) ทรัพย์สิน

(4) ความเสมอภาค

(5) ความปลอดภัยในชีวิต

ตอบ 1 หน้า 69, 75 สภาวะธรรมชาติในทัศนะของรุสโซนั้น เป็นสภาวะที่มีแต่สันติภาพมนุษย์มีเสรีภาพและความเสมอภาคอย่างบริบูรณ์เท่าเทียมกัน แต่ในขณะเดียวกันมนุษย์ ก็มีความไม่เท่าเทียมกันโดยธรรมชาติอยู่บ้างบางประการ เช่น ความแข็งแรงของร่างกายความมากน้อยของอายุ เพศ พละกําลัง ความสามารถของสติปัญญา เป็นต้น

85 มนุษย์สามารถสนองตอบต่อสัญชาตญาณที่ต้องการความสมบูรณ์ได้โดยวิธีใด

(1) การแข่งขันระหว่างกัน

(2) การร่วมมือระหว่างกัน

(3) การดํารงชีพแบบต่างคนต่างอยู่

(4) การทําสัญญาประชาคม

(5) การทําอะไรตามใจปรารถนา

ตอบ 2 หน้า 69 รุสโซ อธิบายว่า ความสมบูรณ์นั้นมนุษย์หาได้จากการร่วมมือหรือการพึ่งพิงบุคคลอื่นดังนั้นการสนองตอบต่อสัญชาตญาณที่มนุษย์ต้องการความสมบูรณ์ก็คือ การร่วมมือระหว่างกันนั่นเอง

86 แนวความคิดใดที่ไม่ใช่แนวคิดของรุสโซ

(1) สัญญาประชาคม

(2) เสรีภาพและความเสมอภาค

(3) เจตจํานงทั่วไป

(4) สุนัขจิ้งจอกกับราชสีห์

(5) ความเน่าเฟะของวิทยาศาสตร์

ตอบ 4 หน้า 69 – 77, (คําบรรยาย) แนวความคิดที่สําคัญของรุสโซ ได้แก่

1การเกิดระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนตัว จะนําไปสู่ความไม่เสมอภาคในหมู่มนุษย์

2 มนุษย์เราเกิดมาย่อมใฝ่หาเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ

3 การปฏิเสธเสรีภาพ คือ การปฏิเสธในการแยกแยะสิ่งที่ผิดและสิ่งที่ถูก

4 มนุษย์เราเกิดมาถูกจองจําในอาณาจักรแห่งความคิด

5 คนจะยินดีอยู่ในรัฐมากขึ้นเมื่อมีส่วนร่วมในการออกกฎหมายมากขึ้น

6 การทําสัญญาประชาคมจะก่อให้เกิดเสรีภาพ (แบบใหม่) และความเสมอภาคขึ้น

7 เจตจํานงทั่วไปคือเจตจํานงของคนทุกคน

8 ความเน่าเฟะของวิทยาศาสตร์ในทํานองว่าความเจริญก้าวหน้าทางศิลปะและวิทยาศาสตร์จะทําให้คนหนีไกลออกไปจากธรรมชาติ เป็นต้น

87 ผู้เป็นเจ้าของหรือทรงไว้ซึ่งอํานาจอธิปไตยจะมีโอกาสใช้อํานาจนี้ของตนเมื่อใด

(1) เป็นรัฐบาล

(2) บัญญัติกฎหมาย

(3) ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

(4) เปลี่ยนแปลงรัฐบาล

(5) ทําสัญญาประชาคม

ตอบ 2 หน้า 78 รุสโซ เห็นว่า อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชนทั้งหมด (ประชาชนทั้งมวล)และประชาชนสามารถใช้อํานาจอธิปไตยนี้ได้โดยการทําหน้าที่บัญญัติกฎหมาย เพราะว่าในการบัญญัติกฎหมายนั้นประชาชนมีอํานาจเต็มที่ไม่ต้องเชื่อฟังใคร

88 ข้อใดเป็นผลงานของรุสโซ

(1) Social Contract และ The Prince

(2) Emile และ Das Capital

(3) The Spirit of the Laws

(4) Confessions และ The Old Regime

(5) Social Contract และ Emile

ตอบ 5 หน้า 66 – 67 ผลงานที่สําคัญของรุสโซ ได้แก่

1 The Origin of Inequality

2 Political Economy

3 La Nouvelle Heloise

4 Social Contract

5 Emile

6 Confessions the

7 Dialogues

8 Constitution for Corsica

9 Consideration on the Government of Poland

89 “มนุษย์ในสังคมอารยะเป็นทาสที่ถูกจองจําอยู่ในจักรวรรดิแห่งความคิด (The Empire of Opinion) ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง” ข้อความที่ขีดเส้นใต้ หมายถึงอะไร

(1) ผลประโยชน์ส่วนรวม

(2) การคํานึงถึงผลประโยชน์ผู้อื่น

(3) การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

(4) การไม่พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

(5) พฤติกรรมของเราถูกกําหนดโดยบุคคลอื่น ๆ

ตอบ 3 หน้า 72 ในทัศนะเกี่ยวกับความเป็นทาสนั้น รุสโซ เห็นว่า ทั้งผู้กดขี่และถูกกดขี่ต่างก็อยู่ในเครื่องพันธนาการเช่นกัน ซึ่งพวกเขาต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน และต่างก็ตกอยู่ในหลุมพราง ของกันและกัน นั่นคือ มนุษย์ในสังคมอารยะเป็นทาสที่ถูกจองจําอยู่ในจักรวรรดิแห่งความคิด (The Empire of Opinion) ของเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง

90 รุสโซเห็นว่าอุปสรรคสําคัญต่อการบรรลุเจตจํานงทั่วไป คือ

(1) สัญญาประชาคมที่บกพร่อง

(2) การมีผู้ปกครองที่ไม่เป็นธรรม

(3) การยึดมั่นในผลประโยชน์ส่วนตน

(4) การละเมิดสัญญาแต่ฝ่ายเดียว

(5) การใช้ความรุนแรงเข้าจัดการปัญหา

ตอบ 3 หน้า 75, 77 รุสโซ เห็นว่า เจตจํานงทั่วไปเป็นเจตจํานงที่แสดงออกเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมหรือผลประโยชน์ของคนทุกคนเป็นหลัก ดังนั้นใครก็ตามที่มีความเห็นแตกต่างจาก เจตจํานงทั่วไปย่อมแสดงว่าเขาได้หลงผิดไป เพราะตกอยู่ภายใต้ผลประโยชน์ส่วนตัวครอบงํา ซึ่งรุสโซเรียกว่าเกิดเจตจํานงเฉพาะส่วนนั่นเอง

 

เฮเกล

  1. แนวความคิดเรื่อง “รัฐ” ของเฮเกล ในระยะต่อมาถูกนํามาตีความเพื่อสนับสนุนการเมืองการปกครอง ระบอบใดในสังคม

(1) อํานาจนิยม

(2) ประชาธิปไตยทางตรง

(3) ประชาธิปไตยทางอ้อม

(4) อภิชนาธิปไตย

(5) คอมมิวนิสต์

ตอบ 1 หน้า 132 133 ในปัจจุบันแนวความคิดเรื่องรัฐของเฮเกลนั้น มีอิทธิพลต่อระบบการเมืองของโลกพอสมควร โดยเฉพาะในประเทศกําลังพัฒนาที่ใช้ระบอบการปกครองแบบอํานาจนิยม

92 “รัฐธรรมนูญแห่งรัฐ”

(1) เจตจํานงของกฎหมาย

(2) ที่มาแห่งอํานาจอธิปไตย

(3) ตัวแทนจิตวิสัย (Subject Spirit)

(4) ตัวแทนจิตโลก (World Spirit)

(5) การประนีประนอมผลประโยชน์

ตอบ 4 หน้า 122 เฮเกล อธิบายว่า รัฐธรรมนูญแห่งรัฐเป็นตัวแทนจิตโลก (World Spirit) และเป็นองค์อินทรีย์หรือสิ่งมีชีวิต (Organism) ในกระบวนการพัฒนาอันเป็นการแสดงตัวของจิต (Idea) ซึ่งผู้ทําหน้าที่นิติบัญญัติที่ผ่านหรือตรากฎหมายออกมานั้น จะเป็นเพียงการดําเนินงานเพื่อให้รัฐธรรมนูญก้าวหน้าหรือพัฒนาไปสู่เป้าหมายของจิตโลกเท่านั้น

93 ความคิด (Idea) ของรัฐ แสดงให้เห็นได้โดยผ่านสถาบันใดของรัฐ

(1) กฎหมาย

(2) ผู้แทนราษฎร

(3) สภานิติบัญญัติ

(4) กฎหมายรัฐธรรมนูญ

(5) เจตจํานงทั่วไป

ตอบ 4 หน้า 132 เฮเกล อธิบายว่า ความคิด (Idea) ของรัฐจะแสดงออกมาให้เห็นในกฎหมายรัฐธรรมนูญของแต่ละรัฐ กฎหมายระหว่างประเทศ และประวัติศาสตร์โลก โดยเฉพาะกฎหมายรัฐธรรมนูญนั้นถือได้ว่าเป็นสถาบันสูงสุดที่กําหนดรูปแบบของสถาบันการเมืองของแต่ละประเทศ

94 วิธีการใดที่สามารถแก้ไขความเสื่อมทราม (Corruption) อันเป็นผลจากการมีสันติภาพอันถาวร (1) การทําสงคราม

(2) การเปลี่ยนระบบบริหาร

(3) การแก้ไขสนธิสัญญา

(4) การปฏิรูปโครงสร้าง

(5) การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเป็นครั้งคราว

ตอบ 1 หน้า 130 เฮเกล เห็นว่า สงครามระหว่างรัฐคือปัจจัยที่ทําให้เกิดการพัฒนาประเทศ เนื่องจากเป็นเสมือนตัวเร่งไปสู่สภาวะใหม่ที่ดีกว่า โดยช่วยขจัดฝ่ายที่เก่าแก่และล้าสมัยให้หมดสิ้นไป แล้วเปิดโอกาสให้ฝ่ายที่เข้มแข็งกว่าเข้ามาแทนที่ นอกจากนี้การทําสงครามยังเป็นวิธีการที่สามารถแก้ไขความเสื่อมทราม (Corruption) อันเป็นผลจากการมีสันติภาพอันถาวรอีกด้วย

95 “รัฐ”

(1) จิตร่วม

(2) องค์อินทรีย์

(3) สิ่งที่มีเหตุผลสูงสุด

(4) ข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 118 ในทัศนะของเฮเกลนั้น รัฐถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มีเหตุผลสูงสุด (Supreme Rational)เพราะรัฐมีจุดมุ่งหมายเป็นของตนเองและมีเงื่อนไขของความเป็นจริงมากกว่าครอบครัวและสังคมพลเรือน นอกจากนี้รัฐยังเป็นองค์อินทรีย์ (ส่วนรวม) ที่ประกอบขึ้นจากส่วนย่อย (สังคมพลเรือน) ทั้งหมด หรือเป็นจิตร่วมหรือจิตภววิสัย หรือเป็นจิตร่วมของประชาชาติที่แสดงออกถึงเจตนารมณ์ของสังคมทั้งหมดและครอบคลุมมนุษย์ผู้เป็นสมาชิกทุกคนด้วย

96 ภาวะผสมผสาน (Synthesis) ระหว่างความรักและการแข่งขันนั้นเป็นอะไร

(1) ความสุขที่ถาวร

(2) ความตื่นเต้นเร้าใจ

(3) ความมีเอกภาพ

(4) ความมีเหตุมีผล

(5) ความจงรักภักดี

ตอบ 4 หน้า 116 – 117, 121 ตามแนวคิดเรื่องกระบวนการวิภาษวิธีของเฮเกลนั้น รัฐเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างครอบครัว (ความรัก) ซึ่งเป็น Thesis กับสังคมพลเรือน (การแข่งขัน) ซึ่งเป็น Antithesis ดังนั้นรัฐจึงถือได้ว่าเป็นภาวะผสมผสาน (Synthesis) ซึ่งมีความสมบูรณ์กว่า โดยจะมีเกณฑ์ที่ใช้ตัดสินความสมบูรณ์นี้ก็คือ ความมีเหตุมีผลและเสรีภาพ

 

ฟาสซิสต์และนาซี

97 หลักการที่สําคัญในประเด็นใดต่อไปนี้ที่ฟาสซิสต์ต่างจากนาซี

(1) ชาติ

(2) เชื้อชาติ

(3) รัฐ

(4) ผู้นํา

(5) ประชาชน

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ลัทธิฟาสซิสต์และลัทธินาซีมีหลักการสําคัญที่แตกต่างกันก็คือ หลักชาตินิยม (Nationalism) โดยลัทธิฟาสซิสต์จะเป็นชาตินิยมแบบธรรมดาที่สนับสนุนให้ประชาชน เกิดความรู้สึกรักชาติอย่างไม่มีเหตุผล เช่น การสนับสนุนให้รัฐบาลเป็นจักรวรรดินิยม ส่วนลัทธินาซีนั้นเป็นชาตินิยมแบบเชื้อชาติ โดยมีความเชื่ออย่างฝังแน่นที่ว่าอารยันเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าชาติอื่น

98 ความเชื่อที่ว่าอารยันเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่

(1) ชาติ

(2) เชื้อชาติ

(3) รัฐ

(4) ผู้นํา

(5) ประชาชน

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 97 ประกอบ

99 ลักษณะใดที่ไม่ปรากฏในลัทธิฟาสซิสต์

(1) Irrationalism

(2) Nationalism

(3) Internationalism

(4) Social Darwinism

(5) Elitism

ตอบ 3 หน้า 301 – 302, (คําบรรยาย) หลักการพื้นฐานที่สําคัญของลัทธิฟาสซิสต์ มีดังนี้

1 หลักความไม่มีเหตุผล (Irrationalism) โดยมีความเชื่อที่ว่ามนุษย์ไม่มีเหตุผลเป็นแรงผลักให้ดําเนินการใด ๆ เพื่อส่วนรวม

2 หลักชาตินิยมหรือความรักชาติ (Nationalism) โดยสนับสนุนให้ประชาชนสร้างความรู้สึกรักชาติอย่างไม่มีเหตุผล

3 หลักทฤษฎีการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของ Charles Darwin ซึ่งเรียกว่า Social Darwinism 4 หลักว่าด้วยรัฐ (State)

5 หลักว่าด้วยเรื่องผู้นํา (Elitism)

6 หลักว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจ (Economic)

100 ความเชื่อที่ว่ามนุษย์ไม่มีเหตุผลเป็นแรงผลักให้ดําเนินการใด ๆ เพื่อส่วนรวม

(1) Irrationalism

(2) Nationalism

(3) Internationalism

(4) Social Darwinism

(5) Elitism ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 99. ประกอบ

 

LAW3001 กฎหมายอาญา3 2/2554

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554 ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นางสาวส้มเป็นพวกมิจฉาชีพ มักแฝงตัวเป็นผู้โดยสารนั่งรถโดยสารไปต่างจังหวัดไกล ๆ หาจังหวะลักทรัพย์ผู้โดยสารในรถ วันเกิดเหตุ นางสาวส้มนั่งรถโดยสารจากกรุงเทพฯ ไปจังหวัดสงขลา ระหว่างทางนางสาวส้มสังเกตเห็นนายโอผู้โดยสารที่นั่งคู่มากับตนท่าทางมีฐานะ แต่งตัวดี สวมสร้อยคอทองคําและใส่นาฬิการาคาแพง จึงทําทีตีสนิทชวนพูดคุย เมื่อได้โอกาสก็เอาเครื่องดื่มที่ผสมยานอนหลับอย่างแรง มีฤทธิ์กดประสาทจะทําให้นอนหลับไม่รู้ตัวหลายชั่วโมง ให้นายโอดื่มเพื่อจะได้ปลดทรัพย์นายโอได้ง่าย แต่ปรากฏว่ายานอนหลับเสื่อมจึงไม่ทําให้นายโอหลับอย่างที่นางสาวสมต้องการ ดังนี้

นางสาวส้มจะมีความผิดต่อชีวิตร่างกายฐานใด หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 81 วรรคแรก “ผู้ใดกระทําการโดยมุ่งต่อผลซึ่งกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด แต่การกระทํานั้นไม่สามารถจะบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทําหรือเหตุแห่งวัตถุที่มุ่งหมายกระทําต่อ ให้ถือว่าผู้นั้นพยายามกระทําความผิด แต่ให้ลงโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับ ความผิดนั้น”

มาตรา 295 “ผู้ใดทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้น กระทําความผิดฐานทําร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย องค์ประกอบของความผิดฐานทําร้ายร่างกายตามมาตรา 295 ประกอบด้วย

1 ทําร้าย

2 ผู้อื่น

3 จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น

4 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ น.ส.ส้มได้เอาเครื่องดื่มที่ผสมยานอนหลับอย่างแรงให้นายโอดื่ม โดยมีเจตนาให้นายโอหมดสติเป็นเวลาหลายชั่วโมงนั้น ย่อมถือว่า น.ส.ส้มได้ลงมือทําร้ายนายโอโดยเจตนาแล้ว แต่เมื่อปรากฏว่ายานอนหลับเสื่อมทําให้นายโอไม่ได้รับอันตราย จึงถือเป็นการกระทําที่ไม่สามารถบรรลุผลได้ อย่างแน่แท้เพราะเหตุปัจจัยที่ใช้ในการกระทํา คือ ยานอนหลับที่เสื่อม ดังนั้น น.ส.ส้มจึงต้องรับผิดฐาน พยายามทําร้ายร่างกายที่ไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ตามมาตรา 295 ประกอบมาตรา 81

สรุป น.ส.ส้มมีความผิดฐานพยายามทําร้ายร่างกายตามมาตรา 295 ประกอบมาตรา 81

 

ข้อ 2. นายอาทิตย์เสียพนันฟุตบอล 3 หมื่นบาท แล้วไม่มีเงินจ่ายจึงได้วางแผนกับนายศุกร์หลอกเอาเงินจากนางเดือนมารดาของนายอาทิตย์ โดยให้นายศุกร์ล่ามโซ่ที่ขาของนายอาทิตย์ไว้กับเสาบ้านแล้วถ่ายรูปไว้ หลังจากนั้น นายศุกร์ก็ส่งรูปถ่ายมาให้นางเดือนดูพร้อมกับขู่เข็ญเอาเงินจากนางเดือน 3 หมื่นบาท โดยอ้างว่าได้จับตัวนายอาทิตย์ไว้ ถ้านางเดือนไม่ยอมให้เงินก็จะฆ่านายอาทิตย์ นางเดือนกลัวว่า นายอาทิตย์จะได้รับอันตรายจึงยอมมอบเงินให้แก่นายศุกร์ตามที่ถูกขู่เข็ญ ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า การกระทําของนายศุกร์จะเป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพในฐานเรียกค่าไถ่หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 313 วรรคแรก “ผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

(1) เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป

(2) เอาตัวบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีไปโดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กําลังประทุษร้าย ใช้อํานาจครอบงําผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด หรือ

(3) หน่วงเหนี่ยว หรือกักขังบุคคลใด ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย องค์ประกอบความผิดฐานเรียกค่าไถ่ตามมาตรา 313 วรรคแรก ประกอบด้วย

1 เอาตัวเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไป หรือ

2 เอาตัวบุคคลอายุกว่า 15 ปีไปโดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กําลังประทุษร้าย ใช้อํานาจครอบงําผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด หรือ

3 หน่วงเหนี่ยว หรือกักขังบุคคลใด

4 โดยเจตนา

5 เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นายอาทิตย์วางแผนกับนายศุกร์เพื่อหลอกเอาเงินจากนางเดือน มารดาของนายอาทิตย์ โดยให้นายศุกร์ล่ามโซ่ที่ขาของนายอาทิตย์ไว้กับเสาบ้านแล้วถ่ายรูปไว้ แล้วส่งไปให้ นางเดือนดูเพื่อขู่เข็ญเอาเงินจากนางเดือนนั้น เมื่อปรากฏว่าเป็นการสมคบกันระหว่างนายอาทิตย์กับนายศุกร์ และนายศุกร์ไม่ได้มีการกระทําตามมาตรา 313(1)-(3) แต่อย่างใด ดังนั้น การกระทําของนายศุกร์จึงไม่เป็นความผิด เกี่ยวกับเสรีภาพในฐานเรียกค่าไถ่ตามมาตรา 313

สรุป การกระทําของนายศุกร์ไม่เป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพในฐานเรียกค่าไถ่ตามมาตรา 313

 

ข้อ 3 จําเลยกับนาย ก. นั่งรถโดยสารประจําทางคันเดียวกัน โดยที่นั่งของจําเลยและของนาย ก. อยู่ติดกัน ขณะเกิดเหตุ นาย ก. เกิดปวดห้องน้ำจึงลุกจากที่นั่งแล้ววางกระเป๋าสตางค์ไว้ตรงที่นั่ง จากนั้น นาย ก. ได้บอกกับจําเลยว่า “ดูกระเป๋าให้ด้วยเดียวจะมารับคืน” ขณะที่นาย ก. อยู่ในห้องน้ำ ปรากฏว่าจําเลยเปิดกระเป๋าของนาย ก. แล้วหยิบเอาเงินไป 2,000 บาท ดังนี้ จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้น กระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย

1 เอาไป

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 นั้น จะต้องเป็นกรณีการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั่นเอง ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตในขณะที่ผู้เอาทรัพย์สินนั้นไป ได้ครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ (ตามมาตรา 352 วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก. บอกจําเลยว่า “ดูกระเป๋าให้ด้วย เดี๋ยวจะมารับคืน” นั้น กรณีดังกล่าวถือเป็นการมอบหมายให้จําเลยช่วยดูแลทรัพย์เป็นการชั่วคราว ยังไม่ถึงกับเป็นการฝากทรัพย์ จึงยังไม่เป็นการส่งมอบการครอบครอง การครอบครองกระเป๋าสตางค์จึงยังคงอยู่ที่นาย ก. ดังนั้น การที่จําเลย เปิดกระเป๋าของนาย ก. แล้วหยิบเอาเงินไป 2,000 บาท จึงเป็นการแย่งการครอบครองจากผู้อื่น และเมื่อเป็นการ เอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยเจตนาและโดยทุจริต จําเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 (เทียบฎีกาที่ 179/2507)

สรุป จําเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

 

ข้อ 4 จําเลยที่ 1 และจําเลยที่ 2 สมคบกันที่จะไปลักทรัพย์ที่บ้านของนาย ก. วันเกิดเหตุ จําเลยที่ 1, จําเลยที่ 2 พากันไปที่บ้านของนาย ก. จําเลยที่ 1 ยกโทรทัศน์ของนาย ก. เดินเคลื่อนที่ไปได้ 2 เมตร ปรากฏว่าคนเฝ้าบ้านของนาย ก. มาพบเข้าพอดี จําเลยที่ 2 จึงเดินเข้าไปจูงมือคนเฝ้าบ้านของ นาย ก. พาเข้าไปในห้องครัว จากนั้นจําเลยที่ 1 และจําเลยที่ 2 ช่วยกันยกโทรทัศน์เดินออกจาก บ้านของนาย ก. แล้วหลบหนีไป ดังนี้ จําเลยที่ 1 และจําเลยที่ 2 มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้น กระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

มาตรา 339 “ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กําลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้าย

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทําความผิดนั้น หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม ผู้นั้นกระทําความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 ประกอบด้วย

1 ลักทรัพย์

2 โดยใช้กําลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้าย

3 โดยเจตนา

4 เจตนาพิเศษ เพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์ หรือพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทําความผิดนั้น หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่จําเลยที่ 1 ยกโทรทัศน์ของนาย ก. เคลื่อนที่ไปได้ 2 เมตรนั้น ถือเป็นการทําให้ทรัพย์เคลื่อนที่ไปจากที่เดิมในลักษณะที่จะพาเอาไปได้ จึงถือได้ว่าจําเลยที่ 1 แย่งการครอบครอง ไปจากนาย ก. โดยทุจริต และเป็นการแย่งการครอบครองสําเร็จ อันถือเป็นการลักทรัพย์ตามมาตรา 334 แล้ว

ส่วนการที่จําเลยที่ 2 เดินเข้าไปจูงมือคนเฝ้าบ้านของนาย ก. พาเข้าไปในห้องครัวนั้น ถือเป็นการกระทําใด ๆ ซึ่งเป็นเหตุให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ อันถือได้ว่าเป็น การใช้กําลังประทุษร้ายแล้ว เมื่อปรากฏว่าจําเลยที่ 1 และจําเลยที่ 2 มีเจตนาร่วมกันและมีการกระทําร่วมกัน ซึ่งถือเป็นตัวการร่วมอันต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้นจากการกระทําของกันและกัน ดังนั้น การกระทําของจําเลยที่ 1 และจําเลยที่ 2 จึงถือเป็นการร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้กําลังประทุษร้าย โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความสะดวกแก่ การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป อันเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 ดังนั้น จําเลยที่ 1 และ จําเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 ประกอบมาตรา 83 (เทียบฎีกาที่ 1609/2516)

สรุป จําเลยที่ 1 และจําเลยที่ 2 มีความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 ประกอบ มาตรา 83

 

POL2105 ทฤษฎีการเมืองและจริยธรรม 2 s/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2105 ทฤษฎีการเมืองและจริยธรรม 2

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

มาร์กซ์, เลนิน และเมา เซ ตุง

1 ชนชั้นที่จะมีความสนใจในด้านการเมืองมาก คือ

(1) ชนชั้นนํา

(2) ชนชั้นผู้ปกครอง

(3) ชนชั้นกลาง

(4) ชนชั้นล่าง

(5) สนใจอัตราใกล้เคียงกัน

ตอบ 3 หน้า 172 การขยายตัวของระบบอุตสาหกรรมได้ทําให้มี “ชนชั้นกลาง” เกิดขึ้น ซึ่งชนชั้นกลางนี้ก็คือพวกพ่อค้า โดยพวกนี้ต่อมาได้ยกระดับจากการเป็นพ่อค้าไปเป็นนักอุตสาหกรรมที่มีความมั่งคั่งและเป็นผู้ที่มีความสนใจในด้านการเมืองอย่างมาก

2 นักคิดคนใดที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดของ Kart Mark

(1) ฟรีดริช เฮเกล

(2) เซ็นต์ โธมัส อไควนัส

(3) โธมัส ฮอบส์

(4) มาเคียเวลลี่

(5) เจอเรมี เบนธัม

ตอบ 1 หน้า 173 – 175, 177 นักคิดที่มีอิทธิพลต่อแนวคิดของ Max ได้แก่ ซัง ซิมองต์ (Saint Simon),ฟรีดริช เฮเกล (Friedr ch Hegel), อดัม สมิธ (Adam Smith), เดวิด ริคาร์โด (David Ricardo),ชาร์ลส์ ดาร์วิน (Charles Darwin) เป็นต้น

3 สิ่งที่ Kart Marx มองว่าเป็นเครื่องมือในการเกลี้ยกล่อมให้คนทุกคนยอมรับสภาพของตนเอง คือ

(1) การศึกษา

(2) สถานภาพทางเศรษฐกิจ

(3) ชนชั้นในสังคม

(4) วัฒนธรรม

(5) ศาสนา

ตอบ 5 หน้า 174 – 175 คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) มองว่า ศาสนาเป็นวิธีที่คนที่ถูกกดขี่แสดงความรู้สึกออกมา เมื่อหมดหวังที่จะมีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิม ดังนั้นคนที่กดขี่จึงใช้ศาสนา เป็นเครื่องมือในการเกลี้ยกล่อมให้ทุกคนยอมรับสภาพของตนเอง โดย Marx จะเรียกศาสนาว่าเป็น “ฝิ่นของประชาชน” 4 Adam Smith และ David Ricardo เป็นนักคิดที่มีผลต่อแนวคิดในด้านใดของ Marx

(1) การศึกษาด้านการเมือง

(2) เศรษฐกิจการเมือง

(3) ศาสนาและการเมือง

(4) วัฒนธรรมทางการเมือง

(5) ทุกข้อที่กล่าวมา

ตอบ 2 หน้า 175, 182 พื้นฐานความคิดทางเศรษฐศาสตร์ของ Marx ได้รับอิทธิพลมาจากความคิดของนักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ คือ Adam Smith และ David Ricardo นักคิดแบบเสรีนิยม โดย Max ได้เขียนบทความเรื่อง “ข้อเขียนทางเศรษฐกิจและทางปรัชญา” ขึ้น เพื่อวิพากษ์วิจารณ์เศรษฐกิจการเมืองที่เป็นจริง

5 แนวคิดของ Kart Marx ที่มีผลมาจากการปฏิวัติในฝรั่งเศส คือ

(1) การกดขี่ขูดรีดมูลค่าส่วนเกิน

(2) ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงของสังคมในยุคต่าง ๆ

(3) แนวคิดด้านวัตถุนิยม

(4) การต่อสู้ทางชนชั้น

(5) เผด็จการชนชั้นกรรมาชีพ

ตอบ 4 หน้า 175 ในช่วงที่มีการปฏิวัติในฝรั่งเศสหลายครั้งนั้น Max และ Engels ได้ร่วมกันเขียนหนังสือเรื่อง คําประกาศคอมมิวนิสต์ (Communist Manifesto) ขึ้น โดย Marx ได้ใช้ความวุ่นวาย ทางการเมืองในช่วงนั้นส่งเสริม “ทฤษฎีการต่อสู้ทางชนชั้น” จนเขาถูกรัฐบาลฝรั่งเศสเนรเทศ ออกจากกรุงบรัสเซล

6 สิ่งที่ “Marx” เห็นว่าเป็นตัวจัดระบบสังคม คือ

(1) ระบบการศึกษา

(2) ระบบการเมือง

(3) ระบบเศรษฐกิจ

(4) ระบบสาธารณสุข

(5) ระบบด้านศาสนา

ตอบ 3 หน้า 177 Marx เห็นว่า สิ่งที่เป็นตัวจัดระบบสังคมก็คือระบบเศรษฐกิจ โดยเขาเชื่อว่าเศรษฐกิจเป็นปัจจัยที่สําคัญที่สุดในการควบคุมสังคม การเมือง และความคิดของคน

7 ระบบเศรษฐกิจที่ “Marx” เห็นว่าเลวร้ายมากที่สุด คือ

(1) ระบบเศรษฐกิจแบบทาส

(2) ระบบเศรษฐกิจแบบศักดินา

(3) ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม

(4) ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม

(5) ระบบเศรษฐกิจแบบยูโทเปีย

ตอบ 3 หน้า 177 Marx เห็นว่า ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเป็นตัวการที่ทําให้คนจนต้องทุกข์ยากลําบากเป็นระบบที่เลวร้ายมากที่สุด โดยดูได้จากประวัติศาสตร์การเกิดและวิธีการทํางานของ ระบบทุนนิยมที่ทําลายความเป็นมนุษย์ ซึ่งทั้งประวัติศาสตร์และวิธีการทํางานของระบบนี้ Marx ใช้เป็นพื้นฐานในการทํานายอนาคตของโลกคือ ผลสุดท้ายสังคมทุนนิยมจะทําลายตัวเอง และสุดท้ายสังคมจะพัฒนาเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ที่สมาชิกทุกคนเสมอภาคและมีเสรีภาพอย่างแท้จริง

8 แนวคิดที่ว่า “ทุกอย่างในโลกนี้มีความขัดแย้งกันในตัวมันเอง และความขัดแย้งนี้จะช่วยพัฒนาสังคมและประวัติศาสตร์ให้ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ” ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า

(1) กระบวนการวิภาษวิธี

(2) โครงสร้างส่วนบน

(3) โครงสร้างส่วนกลาง

(4) ความสัมพันธ์ทางการผลิต

(5) รูปแบบการผลิต

ตอบ 1 หน้า 178 Max ได้รับอิทธิพลทางความคิดพื้นฐานเกี่ยวกับสังคมมาจาก “กระบวนการวิภาษวิธี”หรือความเป็นปฏิปักษ์ขัดแย้งของ Friedrich Hegel โดยเขาเชื่อว่า ทุกอย่างในโลกนี้มีความขัดแย้งกันในตัวมันเอง และความขัดแย้งนี้จะช่วยพัฒนาสังคมและประวัติศาสตร์ให้ก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ

9 “Marx” บอกว่าสังคมมีการพัฒนาโดยมีอะไรเป็นตัวกําหนด

(1) แนวคิด

(2) จิตใจ

(3) วัตถุ

(4) ถูกทุกข้อ

(5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 178 – 180 Marx ได้นําเอาแนวความคิดที่ผสมระหว่างความเป็นปฏิปักษ์ขัดแย้ง (Dialectic) ความคิดวัตถุนิยม (Materialism) และหลักเศรษฐกิจกําหนด (Economic Determinism) มาอธิบายถึงประวัติความเป็นมาของสังคม โดยเขาพยายามชี้ให้เห็นว่า สังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง หรือมีการพัฒนาโดยมีวัตถุหรือรูปแบบการผลิตเป็นเครื่องกําหนดรูปแบบของสังคมและชีวิตนั้นเรียกว่า วัตถุนิยมประวัติศาสตร์ (Historical Materialism)

10 มูลค่าส่วนเกิน (Surplus Value) คือ

(1) กําไรของนายทุน

(2) การขาดทุนของกรรมกร

(3) ภาษีมูลค่าเพิ่ม

(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 1 หน้า 183 มูลค่าส่วนเกิน (Surplus Value) คือ ส่วนของผลตอบแทนหรือค่าแรงที่เกิดจากเวลาส่วนเกินที่กรรมกรควรจะได้รับแต่นายทุนโกงไป เช่น ในการผลิตสินค้า นายทุนจะให้ค่าจ้าง กรรมกรโดยให้ทํางาน 16 ชั่วโมง แต่เวลาที่กรรมกรต้องใช้ตามค่าจ้างจริง ๆ เพียง 9 ชั่วโมง ดังนั้นเวลาที่เหลืออีก 7 ชั่วโมง จึงเป็นเวลาส่วนเกินหรือมูลค่าส่วนเกินที่นายทุนเอาไปเป็น กําไรของตัวเอง

11 สังคมที่เต็มไปด้วยการกดขี่ทางชนชั้น คือ สังคมทุนนิยมและยังเป็นสังคมที่

(1) เน้นเรื่องผลกําไรของกรรมกร

(2) ส่งเสริมคนทํางานมากกว่าเครื่องจักร

(3) ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์

(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1 และ 3

ตอบ 3 หน้า 184 185, (คําบรรยาย) Max อธิบายว่า ในสังคมทุนนิยมนั้น นอกจากจะเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยการกดขี่ทางชนชั้นแล้ว ยังเป็นสังคมของการผลิตที่ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ หรือ ที่เรียกว่า“ความรู้สึกแปลกแยก” (Alienation) ซึ่งดูได้จากความจริงที่ว่า ยิ่งกรรมกรผลิตมาก กรรมกรก็ยิ่งจนลง และกรรมกรยิ่งมีชีวิตที่คุณค่าความเป็นมนุษย์ลดลง เมื่อสินค้าที่กรรมกรผลิตมีค่ามากขึ้น จึงทําให้ผลงานมีค่ามากกว่าคน

12 เผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพ คือ

(1) การปกครองแบบทาส

(2) การปกครองแบบศักดินา

(3) การปกครองแบบนายทุน

(4) การปกครองแบบสังคมนิยม

(5) การปกครองแบบทหาร

ตอบ 4 หน้า 186, (คําบรรยาย) ในแนวคิดของ Marx นั้น เผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพก็คือการปกครองแบบสังคมนิยมหรืออํานาจนิยมแบบเบ็ดเสร็จ โดยมีเป้าหมาย 2 ประการ คือ 1กวาดล้างโครงสร้างระบบนายทุน 2 สร้างสถาบันทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองมาแทนที่

13 “ในสังคมที่รัฐจะค่อย ๆ สลายตัวไป กองทัพ ตํารวจ ระบบราชการ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นโดยชนชั้นปกครองก็จะสลายตัวไป ไม่มีความแตกต่างระหว่างชนชั้น” คือ

(1) สังคมดึกดําบรรพ์หรือสังคมบุพกาล

(2) สังคมทาส

(3) สังคมศักดินา

(4) สังคมทุนนิยม

(5) สังคมคอมมิวนิสต์

ตอบ 5 หน้า 187 – 188 Marx เชื่อว่า ในสังคมคอมมิวนิสต์นั้นเมื่อชนชั้นกรรมาชีพปกครองไปได้ระยะหนึ่ง รัฐ กองทัพ ตํารวจ ระบบราชการ รวมทั้งกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่สร้างขึ้นโดยชนชั้นปกครอง จะค่อย ๆ สลายตัวไป ไม่มีความแตกต่างระหว่างชนชั้น ทุกคนเสมอภาคกัน ไม่มีความแตกต่าง ระหว่างงานและรายได้ ไม่มีการใช้เงินตรา ทุกคนทํางานเต็มที่ตามความสามารถของตน และพอใจที่จะได้รับค่าตอบแทนตามความจําเป็นของตน ซึ่งถือได้ว่าเป็นยุคที่ให้เสรีภาพแก่ปัจเจกชนมากที่สุด หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ สังคมคอมมิวนิสต์เป็นสังคมที่ไร้รัฐนั่นเอง

14 Lenin บอกว่า “จํานวนต้องมีน้อยและต้องมีวินัยที่เข้มแข็ง” คือ

(1) ชนชั้นกรรมาชีพ

(2) ทรอส

(3) พรรคเมนเชวิค

(4) นักปฏิวัติอาชีพ

(5) พรรคบอลเชวิค

ตอบ 4 หน้า 203 ในทัศนะของเลนิน (Lenin) นั้น นักปฏิวัติอาชีพหรือชนชั้นปัญญาชนก็คือ ผู้ที่จะมาทําหน้าที่เป็นแกนกลางหรือผู้นําในการปฏิวัติและปลุกจิตสํานึกทางการเมือง ซึ่งนักปฏิวัติอาชีพนี้ ไม่จําเป็นต้องมาจากชนชั้นกรรมาชีพ แต่จะมาจากชนชั้นใดก็ได้ที่มีจิตสํานึกทางการเมือง มุ่งแสวงหาความรู้ในการปฏิวัติ และที่สําคัญคือ จะต้องมีจํานวนน้อยและต้องมีวินัยที่เข้มแข็ง

15 หน้าที่ของ “พรรค” ในแนวคิดของ Lenin

(1) จัดการปฏิวัติให้เป็นระบบ

(2) วางแผนการสู้รบกับพระมหากษัตริย์

(3) จัดการล้มล้างเจ้าของที่ดิน

(4) วางแผนพัฒนาเครื่องมือในการผลิต

(5) ชี้ทางให้ชนชั้นนายทุน

ตอบ 1 หน้า 203 ในแนวคิดของ Lenin นั้น พรรคจะมีหน้าที่จัดการปฏิวัติให้เป็นระบบ และชี้ทางให้ชนชั้นกรรมาชีพ รวมทั้งเป็นผู้นําเสนอแนะให้รู้จักใช้กลยุทธ์ในการปฏิวัติ เช่น การจู่โจม การฝึกอบรมทหารเพื่อการปฏิวัติ การรวบรวมข่าวสาร การสร้างขวัญและกําลังใจในการปฏิวัติ มีการบริหารแบบทหาร มีวินัยที่เข้มงวด และมีหลักการที่แข็งแรง

16 Lenin บอกว่า “สงครามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” หากสังคมอยู่ใน

(1) ระบอบประชาธิปไตย

(2) ระบอบอํานาจนิยม

(3) ระบอบศักดินา

(4) ระบอบทุนนิยม

(5) ทุกระบอบ

ตอบ 4 หน้า 205 Lenin เชื่อว่า หากสังคมอยู่ในระบอบทุนนิยม สงครามเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะสงครามเป็นผลมาจากการมีเครื่องมือการผลิตไว้ในครอบครอง นั่นคือ การพัฒนาที่ไม่เท่ากันของระบอบทุนนิยมจะทําให้เกิดสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

17 สงครามที่ทําโดยชนชั้นที่ถูกกดขี่ เพื่อต่อต้านผู้กดขี่ “Lenin” ถือว่าเป็น

(1) สงครามจักรวรรดินิยม

(2) สงครามเพื่อรุกรานผู้อื่น

(3) สงครามเพื่อกอบกู้อิสรภาพ

(4) สงครามเพื่อความยุติธรรม

(5) สงครามประกาศศักดา

ตอบ 4 หน้า 205, (คําบรรยาย) Lenin เห็นว่า “สงครามเพื่อความยุติธรรม” คือ สงครามที่เกิดขึ้นเพื่อการดําเนินการทางการเมืองของชนชั้นผู้ถูกกดขี่ เพื่อต่อต้านผู้กดขี่ เช่น สงครามที่ทําโดยสปาร์ตาคัสในสมัยโรมโบราณ, สงครามกลางเมืองในอเมริกา เป็นต้น

18 Lenin กล่าวว่า “การปฏิวัติสังคมนิยม” จะสําเร็จได้ต้อง

(1) เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในหลายประเทศ ต้องรุนแรงโดยการใช้อาวุธ

(2) เกิดขึ้นภายในประเทศเดียว ต้องรุนแรงโดยการใช้อาวุธ

(3) ใช้กําลังของชนชั้นปกครองอย่างจริงจัง ต้องรุนแรงโดยการใช้อาวุธ

(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 3

(5) ถูกทั้งข้อ 2 และ 3

ตอบ 2 หน้า 206 207, 211 Lenin กล่าวว่า “การปฏิวัติสังคมนิยม” จะสําเร็จได้ต้องมีเงื่อนไขดังนี้

1 เกิดขึ้นในประเทศเดียวก็ได้ ไม่จําเป็นต้องเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในหลายประเทศ

2 ต้องเกิดด้วยความรุนแรงโดยการใช้กําลังอาวุธ โดยต้องมีเงื่อนไขคือสงครามภายใน

3 เกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขทางการเมือง ไม่จําเป็นต้องมีเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ เป็นต้น

19 พลังในการลุกขึ้นมาปฏิวัติสังคมในแนวคิดของ Lenin คือ

(1) ชนชั้นกรรมกร

(2) ชนชั้นชาวนาชาวไร่

(3) ชนชั้นนายทุนน้อย

(4) ชนชั้นกรรมกร และชาวนาชาวไร่

(5) ชนชั้นกรรมาชีพ

ตอบ 4 หน้า 186, 200 Lenin เห็นว่า พลังในการที่จะลุกขึ้นมาปฏิวัติสังคมเพื่อขจัดระบบทุนนิยมก็คือ ชนชั้นกรรมาชีพ (กรรมกร) และชาวนาชาวไร่เข้าร่วมด้วย ส่วน Marx มองว่าพลังในการที่จะลุกขึ้นมาปฏิวัติสังคมนั้นจะต้องเป็นชนชั้นกรรมาชีพเท่านั้น

20 “จักรวรรดินิยม” ในแนวคิดของ Lenin คือ

(1) การขยายอาณาจักรโดยการใช้อาวุธ

(2) การขยายอาณาจักรโดยการใช้ปัญญาเทคโนโลยี

(3) การขยายอาณาจักรโดยการใช้การลงทุน

(4) การขยายอาณาจักรโดยการยึดครองพื้นที่

(5) การขยายอาณาจักรโดยการใช้การศึกษา

ตอบ 3 หน้า 210 211 Lenin เห็นว่า “จักรวรรดินิยม” เป็นการขยายของระบบทุนนิยม นั่นคือเป็นการขยายอาณาจักรโดยการใช้การลงทุน กล่าวคือ จะมีการรวมทุนการผลิตจนทําให้เกิดระบบผูกขาดทั้งทางการลงทุนและการธนาคาร แล้วก็ส่งทุนออกนอกประเทศ โดยมีการแบ่งโลก ระหว่างประเทศมหาอํานาจเพื่อแสวงหาผลประโยชน์และขยายการลงทุนที่ประเทศอื่นต่อไป

21 “การทําลัทธิมาร์กซ์ให้เป็นแบบจีน” ในแนวคิดของ Mao คือ

(1) ยึดแนวคิดของ Karl Marx โดยเข้มงวด

(2) ไม่ยึดแนวคิดของ Karl Marx เลย

(3) ปรับแนวคิดของ Kart Marx ให้กับสถานการณ์ในรัสเซีย

(4) ปรับแนวคิดของ Kart Marx ให้คนจีนธรรมดาสามารถเข้าใจได้

(5) ยึดแนวคิดของ “Mao” เป็นหลักในการปรับแนวคิดของ Kart Marx มาใช้ในจีน

ตอบ 4 หน้า 223 “การทําลัทธิมาร์กซ์ให้เป็นแบบจีน” ในแนวคิดของเมา เซ ตุง (Mao Tse Tung)หมายถึง การนําเอาทฤษฎีของ Marx มาใช้โดยปรับให้เข้ากับสถานการณ์ที่เป็นจริงในจีน หรือ การศึกษาลัทธิมาร์กซ์โดยไม่ละเลยเงื่อนไขประวัติศาสตร์และสังคมของจีน มิใช่นําลัทธิมาร์กซ์ที่เป็นรูปธรรมที่มองไม่เห็นมาใช้ แต่เป็นลัทธิมาร์กซ์แบบจีน ๆ ที่คนธรรมดาสามารถเข้าใจได้

22 “Mao” เชื่อว่า ประวัติศาสตร์ เป็น

(1) ตัวบ่งบอกถึงกําหนดทิศทางของอนาคต

(2) สิ่งที่บอกเล่าเรื่องเก่า ๆ ที่ควรศึกษา

(3) การพูดถึงการเมืองในอดีต

(4) การแสดงออกซึ่งการต่อสู้ระหว่างชนชั้น

(5) การแสดงออกซึ่งความคิดเก่า ความคิดใหม่ และความคิดใหม่สุด

ตอบ 4 หน้า 224 Mao เชื่อว่า ประวัติศาสตร์เป็นการแสดงออกถึงการต่อสู้ทางชนชั้นระหว่างชนชั้นผู้กดขี่กับชนชั้นผู้ถูกกดขี่ และเป็นการแสดงถึงการต่อสู้ระหว่างจิตนิยมกับวัตถุนิยมอีกด้วย

23 “Mao” บอกว่า การแบ่งงานกันทําจะก่อให้เกิด

(1) ความมั่งคั่งส่วนบุคคล

(2) การกดขี่

(3) ชนชั้น

(4) ถูกทุกข้อ

(5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 225 Mao เชื่อว่า เมื่อมีการพัฒนาการผลิตก็จะเกิดการแบ่งงานกันทําซึ่งเป็นงานที่ใช้สมองและงานที่ใช้แรงงาน ก่อให้เกิดชนชั้น ทรัพย์สินหรือความมั่งคั่งส่วนบุคคล และการกดขี่เอาเปรียบ

24 “ความขัดแย้งระหว่างมวลประชาชนกับระบอบศักดินา” เมา บอกว่าต้องแก้ด้วย

(1) การปฏิวัติสังคมนิยม

(2) การปฏิวัติประชาธิปไตย

(3) การปฏิวัติประชาชาติ

(4) ถูกทุกข้อ

(5) ผิดทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 227 Mao กล่าวว่า ความขัดแย้งที่มีคุณภาพแตกต่างกัน ก็ต้องแก้ด้วยวิธีการที่มีคุณภาพแตกต่างกัน เช่น ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นกรรมาชีพกับชนชั้นนายทุนแก้ด้วยการปฏิวัติ สังคมนิยม, ความขัดแย้งระหว่างมวลประชาชนกับระบอบศักดินาแก้ด้วยการปฏิวัติประชาธิปไตย,ความขัดแย้งระหว่างเมืองขึ้นกับจักรวรรดินิยมแก้ด้วยการปฏิวัติประชาชาติ เป็นต้น

25 “พรรคจะมีการปกครองในลักษณะเผด็จการประชาธิปไตยของประชาชน” เพราะ

(1) พรรคใหญ่ที่สุด

(2) พรรคมีการใช้ระบบประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์

(3) พรรคมีหน้าที่กําจัดความขัดแย้งต่าง ๆ

(4) พรรคเป็นตัวแทนของประชาชนทุกชนชั้น

(5) พรรคต้องป้องกันการรุกรานจากศัตรูภายนอก

ตอบ 4 หน้า 231 ในปี ค.ศ. 1949 เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ประสบชัยชนะ Mao ก็พยายามปกครองประเทศจีนโดยใช้หลักการประชาธิปไตยแบบใหม่ตามที่ประกาศไว้ โดยมีพรรคคอมมิวนิสต์ เป็นแกนนําที่สําคัญ และมีการปกครองในลักษณะเผด็จการประชาธิปไตยของประชาชน เนื่องจากพรรคเป็นตัวแทนของประชาชนทุกชนชั้นนั่นเอง

 

มาเคียเวลลี่

26 สาเหตุที่นิคโคโล มาเคียเวลลี่ ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์ที่สําคัญที่สุดของยุคนวสมัยเพราะเป็นผู้

(1) ศึกษาการเมืองอย่างมีอุดมการณ์

(2) ใฝ่ความเป็นประชาธิปไตย

(3) ศึกษาการเมืองตามสภาพที่เป็นจริง

(4) ฝักใฝ่ความทันสมัย

(5) ใช้สถิติประกอบการศึกษา

ตอบ 3 หน้า 2, (คําบรรยาย) มาเคียเวลลี่ ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์ที่สําคัญที่สุดของยุคนวสมัย(Modern Time) โดยเขาเป็นเมธีคนแรกที่บุกเบิกการศึกษาวิชาปรัชญาการเมือง และได้เสนอ ทัศนะที่มีลักษณะผิดเผกไปจากลักษณะความคิดทางการเมือง (เชิงอุดมคติ) ในสมัยกลาง อย่างชัดเจน ซึ่งจะศึกษาและถ่ายทอดความคิดทางการเมืองในเชิงปรัชญาตามสภาพที่เป็นจริง นอกจากนี้งานเขียนทางการเมืองของเขาส่วนใหญ่ยังให้ความสนใจเป็นพิเศษสําหรับผู้ปกครองในการวิเคราะห์เพื่อแสวงหาวิธีการ (Means) ที่สามารถปฏิบัติในการที่จะได้มาซึ่งอํานาจ

27 “ธรรมชาติของมนุษย์

(1) ความเมตตา

(2) ชอบท้าทายอํานาจ

(3) ความเห็นแก่ตัว

(4) อยากอยู่ร่วมกัน

(5) เกรงกลัวต่ออํานาจ

ตอบ 3 หน้า 2 – 3, (คําบรรยาย) มาเคียเวลลี่ เห็นว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเป็นคนที่เห็นแก่ตัวก้าวร้าว แสวงหา พยายามที่จะหลีกเลี่ยงอันตราย และโลภในผลกําไร จึงทําให้มีชีวิตอยู่ในภาวะ ของการดิ้นรนและแข่งขันกันเองอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้คนยังปล่อยจิตให้ตกอยู่ภายใต้ การครอบงําของกิเลสตัณหา ดังนั้นสิ่งที่รัฐหรือสังคมการเมืองจะสามารถนํามาใช้เป็นมาตรการควบคุมความเห็นแก่ตัวอันเป็นธรรมชาติที่ชั่วร้ายของมนุษย์ก็คือ การใช้อํานาจบังคับ

28 ในทัศนะมาเคียเวลลี ผู้ปกครองควรมีขันติเพื่อ

(1) ทบทวนท่าทีของศัตรู

(2) ข่มความรู้สึกที่แท้จริง

(3) รับฟังคําวิจารณ์โดยสุจริตใจ

(4) ให้เกิดความยําเกรง

(5) แสดงความเป็นราชสีห์

ตอบ 3 หน้า 5 ในทัศนะของมาเคียเวลลี่นั้น ผู้ปกครองควรมีขันติเพื่อยอมรับฟังคําวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตใจของเหล่าขุนนาง เพราะจะทําให้ได้ทราบถึงความเป็นไปที่แท้จริงของสถานการณ์ต่าง ๆ

29 มาเคียเวลลี่ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเขียนงานของตนเองเพื่อประจบ

(1) ผู้นําตระกูลเมดิซี่

(2) กษัตริย์ของอิตาลี

(3) ผู้นําเมืองฟลอเรนซ์

(4) ผู้นํากรุงโรม

(5) ทรราช

ตอบ 1 หน้า 7 ในงานเขียนเกี่ยวกับรูปแบบการปกครองนั้น มาเคียเวลลี่ เห็นว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบบการปกครองที่เหมาะสมที่สุดสําหรับอิตาลี แต่มิได้หมายความว่าระบบ การปกครองโดยคน ๆ เดียวที่มีอํานาจสูงสุดเด็ดขาดเป็นระบบการปกครองที่ดีที่สุดซึ่งจากทัศนะ ดังกล่าวนี้ทําให้มาเคียเวลลี่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เขียนงานของตนเองขึ้นมาเพราะต้องการประจบผู้นําตระกูลเมดิซี่ เพื่อขอตําแหน่งทางการเมืองเท่านั้นเอง

30 มาเคียเวลลี่ สอนว่าคนรอบข้างผู้ปกครองมักชอบ

(1) นินทาผู้ปกครอง

(2) เพ็ดทูลสิ่งที่ผู้ปกครองชอบได้ยิน

(3) แสดงความจงรักภักดีจนเกินเลย

(4) แสวงหาอามิสสินจ้าง

(5) มีนิสัยสุรุ่ยสุร่าย

ตอบ 2 หน้า 5 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า คนรอบข้างผู้ปกครอง (มุขบุรุษหรือมุขชน) ทั้งพวกขุนนางหรือข้าราชการมักชอบประจบสอพลอ ชอบเพ็ดทูลสิ่งที่ผู้ปกครองชอบได้ยินมากกว่าสิ่งที่ควรจะฟังหรือ ชอบปิดกั้นความจริงที่ผู้ปกครองควรจะทราบ ซึ่งหากผู้ปกครองค้นพบคุณสมบัติดังกล่าวนี้ในตัวข้าราชการผู้ใด ก็ควรที่จะลงโทษหรือกําจัดโดยเร็ว เพราะพวกนี้เองที่จะเป็นผู้ทําลายเสถียรภาพของผู้ปกครอง

31 แนวความคิดที่สําคัญของมาเคียเวลลี่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ

(1) ภาวะความเป็นผู้นํา

(2) เงื่อนไขระบอบประชาธิปไตย

(3) เผด็จการที่มีคุณธรรม

(4) ยุทธวิธีในการขยายดินแดน

(5) เป้าหมายแห่งรัฐ

ตอบ 1 หน้า 9 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า คุณค่าของรัฐบาลแห่งประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรัฐมีผู้นําที่เข้มแข็ง โดยเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนอาจเป็นผู้วางรูปแบบหลักการแห่งรัฐธรรมนูญ แต่เขาทั้งหลายจะต้องอยู่ภายใต้การนําของผู้นําที่เข้มแข็ง เสถียรภาพและความไพบูลย์แห่ง สาธารณรัฐจึงจะบังเกิดขึ้นได้ ดังนั้นแนวความคิดที่สําคัญของเขาจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาวะความเป็นผู้นํานั่นเอง

32 สิ่งที่มุขบุรุษพึงมีเยี่ยงสุนัขจิ้งจอก คือ

(1) การมีพรรคพวก

(2) ความเฉลียวฉลาด

(3) ความเย่อหยิ่ง

(4) ความว่องไว

(5) ความเด็ดขาด

ตอบ 2 หน้า 7 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า ผู้ปกครองหรือมุขบุรุษควรมีคุณสมบัติแห่งจิ้งจอกและราชสีห์รวมเข้าไว้ด้วยกัน กล่าวคือ ผู้ปกครองควรมีความเฉลียวฉลาดดุจดังสุนัขจิ้งจอก และมีความเข้มแข็งอย่างราชสีห์ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะสามารถผจญกับเล่ห์เหลี่ยมและปราบปรามผู้ที่ตนปกครองได้นั่นเอง

33 “ทหารเกณฑ์”

(1) การดุลอำนาจ

(2) สงครามระหว่างรัฐ

(3) ความจงรักภักดีต่อผู้ปกครอง

(4) ความขี้ขลาด

(5) ความกล้าหาญ

ตอบ 5 หน้า 4 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า กองทัพที่ดีนั้นจะต้องประกอบด้วยทหารประจําการหรือทหารเกณฑ์ไม่ใช่ทหารรับจ้าง เพราะทหารเกณฑ์เท่านั้นที่จะมีความกล้าหาญและพร้อมจะสละชีวิตในสมรภูมิ ส่วนทหารรับจ้างมักจะมีปัญหาเรื่องความสวามิภักดิ์เนื่องจากเห็นแก่อามิสสินจ้างมากกว่าหน้าที่ในสมรภูมิ ดังนั้นแทนที่จะส่งเสริมอํานาจผู้ปกครอง กลับจะทําลายอํานาจของผู้ปกครองในที่สุด

34 มาเคียเวลลี่ แนะนําว่าการรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของผู้นําทําให้

(1) ผู้นําไม่ต้องรักษาสัจจะ

(2) ผู้นําต้องกล้าได้กล้าเสีย

(3) ผู้นําต้องรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา

(4) ผู้นําต้องรักษาสัจจะ

(5) ถูกทั้งข้อ 2, 3 และ 4

ตอบ 1 หน้า 7 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า ผู้ปกครองต้องเป็นคนที่มีเล่ห์เหลี่ยมและไม่รักษาสัจจะ หากสัจจะนั้นจะทําลายผลประโยชน์ของตนเอง โดยเขาให้เหตุผลว่า “การรักษาสัจจะนั้น เป็นสิ่งดี หากคนทั้งหมดเป็นคนดี แต่คนตามธรรมชาตินั้นเลว และไม่รักษาสัจจะกับผู้ปกครอง ดังนั้นผู้ปกครองก็ไม่จําเป็นที่จะต้องรักษาสัจจะกับเขา”

35 สิ่งใดที่รัฐสามารถนํามาใช้เป็นมาตรการควบคุมความเห็นแก่ตัวของมนุษย์

(1) ศาสนา

(2) การศึกษาอบรม

(3) อํานาจบังคับ

(4) การสถาปนาระบบกรรมสิทธิ์ร่วม

(5) การยกเลิกกรรมสิทธิ์

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 27. ประกอบ

36 ข้อใดคือรูปการปกครองที่นํามาซึ่งความวุ่นวายทางการเมือง

(1) เผด็จการเบ็ดเสร็จ

(2) สมบูรณาญาสิทธิราชย์

(3) ประชาธิปไตย

(4) อภิชนาธิปไตย

(5) สาธารณรัฐแบบผสม (ประชาธิปไตยกับอภิชนาธิปไตย)

ตอบ 3 หน้า 8 มาเคียเวลลี่พอใจในรูปการปกครองแบบสาธารณรัฐที่มีลักษณะผสมผสานระหว่างอภิชนาธิปไตยและประชาธิปไตย โดยเขาเห็นว่ารูปการปกครองแบบประชาธิปไตยจะก่อให้เกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวายทางการเมืองได้ เพราะถ้าให้ประชาชนทั่วไปเป็นผู้พิทักษ์เสรีภาพแล้วพวกอภิชนจะไม่ไว้วางใจและอาจก่อการขัดขืนหรือปฏิวัติขึ้นได้

37 “อันตรายของผู้ปกครองอันเกิดจากขุนนางหรือข้าราชการ” เป็นผลของ

(1) การกดขี่รังแกประชาชน

(2) การใช้อภิสิทธิ์แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน

(3) การปรารถนาอํานาจหรือความมักใหญ่ใฝ่สูง

(4) การปิดกั้นความจริงที่ผู้ปกครองควรทราบ

(5) การฉ้อราษฎร์บังหลวง

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 30. ประกอบ

38 “วิธีดําเนินการกับโชคชะตาของผู้ปกครอง”

(1) การใช้ความรักและความยําเกรง

(2) การยึดมั่นศรัทธาในศาสนา

(3) การทําความดี

(4) การวางแผนการไว้ล่วงหน้า

(5) ความกล้าหาญ

ตอบ 5 หน้า 6 มาเคียเวลลี่ เชื่อว่า โชคชะตา (Fortuna) นั้นเป็นผู้ควบคุมการกระทําของเราครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งให้อยู่ในความควบคุมของเรา ดังนั้นแม้ว่าโชคชะตาจะมีอิทธิพลต่อความเป็นไป และเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดหมายล่วงหน้าได้ก็ตาม แต่ถ้าผู้ปกครองหรือมุขบุรุษมีความกล้าหาญและมีสติปัญญารอบคอบเพียงพอแล้ว ก็ย่อมจะหลีกเลี่ยงชะตากรรมที่กําหนดโดยโชคชะตาได้

 

ฮอบส์

39 ฮอบส์เป็นนักคิดที่สนับสนุนระบอบ

(1) ประชาธิปไตย

(2) ธนาธิปไตย

(3) อํามาตยาธิปไตย

(4) สมบูรณาญาสิทธิราชย์

(5) สังคมนิยม

ตอบ 4 หน้า 13, 25, 27 แม้ว่าฮอบส์จะสนับสนุนให้องค์อธิปัตย์หรือกษัตริย์หรือผู้ปกครองเป็นผู้ใช้อํานาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียวตามหลักการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือ แบบเผด็จการเบ็ดเสร็จก็ตาม แต่องค์อธิปัตย์ของฮอบส์นั้นจะเป็นบุคคลหรือคณะบุคคล ที่ได้อํานาจมาจากการทําสัญญาระหว่างประชาชน โดยที่ทุกคนตกลงยินยอมพร้อมใจหรือ เห็นพ้องต้องกันด้วยเสียงข้างมากที่จะมอบอํานาจให้แก่ผู้ปกครอง ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย

40 ความเท่าเทียมกันทางร่างกาย หมายถึง

(1) ในด้านกําลังกาย

(2) ในด้านอวัยวะ

(3) ในด้านการต่อสู้ความคิดอ่าน

(4) ในด้านความอ่อนแอเหมือน ๆ กัน

(5) ในด้านการใช้อาวุธ

ตอบ 3 หน้า 16 ฮอบส์ เห็นว่า ความเท่าเทียมกันทางร่างกาย หมายถึง ความเท่าเทียมกันในด้านการต่อสู้ความคิดอ่าน โดยเขาอธิบายว่า แม้คนเราจะมีความแตกต่างกันในด้านกําลังกายและความคิดอ่านก็ตาม แต่เขาไม่อาจจะอาศัยเหตุผลแห่งความแตกต่างนี้เป็นข้ออ้างเพื่อประโยชน์ ของตนเหนือคนอื่นได้ตลอดไป ทั้งนี้เพราะว่าแม้คนที่อ่อนแอที่สุดก็มีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะกําจัดคนที่แข็งแรงที่สุดได้ ซึ่งถ้าไม่กระทําการด้วยเล่ห์ก็โดยการร่วมมือกับผู้อื่น

41 สัญญาประชาคมเป็นสิ่งจําเป็น เพราะ

(1) มนุษย์ขาดวินัย

(2) ความอ่อนแอของพลังศาสนจักร

(3) มนุษย์รักและเคารพกติกา

(4) ธรรมชาติของมนุษย์ที่ชอบทําร้ายซึ่งกันและกัน

(5) มนุษย์ต้องการความหลุดพ้น

ตอบ 4 หน้า 21, 24 ฮอบส์ เห็นว่า การทําสัญญาประชาคมถือเป็นข้อตกลงระหว่างมนุษย์ที่จะยุติการกระทําอันตรายต่อกันและกัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การทําสัญญาประชาคม ก็คือ การสละสิทธิตามธรรมชาติในส่วนที่จะทําร้ายผู้อื่นเพื่อปกป้องและรักษาตนเองให้ปลอดภัย ดังนั้นการบอกเลิกสัญญาจึงเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่พึงกระทํา เพราะจะขัดแย้งกับกฎธรรมชาติของมนุษย์ที่ว่ามนุษย์จะไม่ทําอะไรที่เป็นการทําร้ายตัวเอง

42 ฮอบส์เชื่อว่าสภาวะแห่งพันธะสัญญาจะสิ้นสุดลงเมื่อองค์อธิปัตย์

(1) ถูกโค่นล้มโดยปวงชน

(2) ไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน

(3) ตกลงกับปวงชนที่จะยกเลิกสัญญา

(4) ถูกโค่นล้มโดยขุนนางอํามาตย์

(5) ถูกรัฐอื่นรุกราน

ตอบ 2 หน้า 24 ฮอบส์ เห็นว่า ในกรณีที่องค์อธิปัตย์ไม่สามารถปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ประชาชนได้ หรือไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองได้ ก็หมายความว่า เขาได้ สูญเสียอํานาจและหมดสภาพความเป็นองค์อธิปัตย์ไปโดยปริยาย สภาวะแห่งพันธะสัญญาก็จะสิ้นสุดลง แต่ละคนก็จะตกอยู่ในสภาวะธรรมชาติตามเดิม

43 ตามทฤษฎีสัญญาประชาคมนั้น “องค์อธิปัตย์ไม่มีวันที่จะกระทําผิด” ข้อความที่ขีดเส้นใต้อธิบายได้ จากเหตุผลใด

(1) การผูกมัดจากสัญญา

(2) การไม่ถูกผูกมัดโดยสัญญา

(3) การปฏิบัติไปตามตัวบทกฎหมาย

(4) การเป็นตัวแทนเจตจํานงทั่วไป

(5) การเป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตย

ตอบ 2 หน้า 24 ตามทฤษฎีสัญญาประชาคมของฮอบส์นั้น องค์อธิปัตย์จะทําหน้าที่เป็นเพียงผู้รับมอบอํานาจตามที่คู่สัญญาหรือประชาชนทั้งหลายได้ตกลงกันไว้ ดังนั้นองค์อธิปัตย์จึงไม่มีข้อผูกพัน ใด ๆ ที่จะต้องปฏิบัติตามหรือรับผิดชอบต่อคู่สัญญา ซึ่งในเมื่อเป็นผู้ที่อยู่นอกเหนือสัญญาแล้ว ก็จะไม่มีการกระทําใด ๆ ขององค์อธิปัตย์ที่จะถือว่าเป็นการละเมิดสัญญา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่ว่าองค์อธิปัตย์ จะทําอะไรก็ไม่มีความผิดนั่นเอง

44 “อํานาจร่วม” (Common Power) ตามทฤษฎีสัญญาประชาคมมีต้นตอหรือที่มาจากกลุ่มหรือบุคคลใด

(1) องค์อธิปัตย์

(2) สภาผู้แทนราษฎร

(3) คณะรัฐมนตรี

(4) คู่สัญญา

(5) บุคคลสมมุติ

ตอบ 4 หน้า 21 – 22, 24 ฮอบส์ เห็นว่า อํานาจร่วม (Common Power) หรือการก่อตั้งรัฏฐาธิปัตย์นั้นเป็นผลมาจากการทําสัญญาประชาคมระหว่างคนทุกคนที่เป็นคู่สัญญากัน โดยเห็นพ้องต้องกัน ที่จะมอบอํานาจและสละสิทธิ์ตามธรรมชาติของตนให้แก่บุคคลที่สาม ซึ่งไม่ใช่คู่สัญญา แต่จะอยู่ในฐานะเป็นองค์อธิปัตย์หรือรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งเป็นผู้ใช้อํานาจร่วมหรืออํานาจอธิปไตย โดยอํานาจอธิปไตยนี้ถือเป็นอํานาจเด็ดขาดขององค์อธิปัตย์

45 การได้มาซึ่งอํานาจขององค์อธิปัตย์สอดคล้องกับหลักการของแนวความคิดหรือทฤษฎีใด

(1) เทวสิทธิ์

(2) ปฏิวัติ

(3) เผด็จการ

(4) ประชาธิปไตย

(5) ข้อ 1 และ 3

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 39 ประกอบ

46 การใช้อํานาจขององค์อธิปัตย์สอดคล้องกับหลักการของแนวความคิดหรือทฤษฎีใด

(1) รัฐธรรมนูญ

(2) การกระจายอํานาจ

(3) เผด็จการเบ็ดเสร็จ

(4) ประชาธิปไตย

(5) นิติธรรม

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 39. ประกอบ

47 ข้อใดที่ถือว่าเป็นสาระสําคัญของการทําสัญญาประชาคม

(1) การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล

(2) การไม่เปลี่ยนแปลงรัฐบาล

(3) การสละสิทธิธรรมชาติ

(4) การไม่สละสิทธิธรรมชาติ

(5) การหาหลักประกันการละเมิดสัญญา

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ

48 บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดอยู่ในฐานะที่เป็นผู้ใช้อํานาจร่วมตามแนวความคิดของสัญญาประชาคม

(1) พระมหากษัตริย์

(2) ผู้แทนราษฎร

(3) คณะรัฐมนตรี

(4) ประชาชนทั้งหมด

(5) องค์อธิปัตย์

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 44. ประกอบ

49 ล็อคได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งวิชารัฐศาสตร์ในประเทศ

(1) สหรัฐอเมริกา

(2) อิตาลี

(3) ฝรั่งเศส

(4) ฮอลแลนด์

(5) เยอรมนี

ตอบ 4 หน้า 31 – 32 ล็อค เป็นนักปราชญ์ทางการเมืองชาวอังกฤษที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งวิชารัฐศาสตร์ในประเทศฮอลแลนด์ และถูกขนานนามว่าเป็นผู้ให้กําเนิดแนวความคิดเสรีนิยม นอกจากนี้แนวความคิดของเขายังมีอิทธิพลและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่นักคิด ทั้งมองเตสกิเออ, รุสโซ, เดอ ทอคเกอร์วิลล์ และนักคิดร่วมสมัยในฝรั่งเศสก็ได้ใช้ทฤษฎีของล็อคในการวิเคราะห์ระบบเก่าอย่างมีประสิทธิภาพด้วย

50 ล็อคเห็นว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนบุคคลเกิดจาก

(1) การถ่ายโอนเป็นมรดกตกทอด

(2) การประกาศความเป็นเจ้าของ

(3) การยอมรับความเป็นเจ้าของของผู้ใดผู้หนึ่งโดยผู้อื่น

(4) การใช้แรงงานต่อสิ่งของนั้น ๆ

(5) การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตามกฎหมาย

ตอบ 4 หน้า 34 ล็อค เห็นว่า สรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ตามธรรมชาติในโลกนี้ทั้งหมดเป็นของทุกคน(ชาวโลกทั้งมวล) หรือทุกคนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินร่วมกัน โดยแต่ละคนสามารถมีกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินส่วนตัวหรือส่วนบุคคล (Private Property) ได้ก็ต่อเมื่อเขาได้ใช้แรงงานจาก ร่างกายเคลื่อนย้ายหรือเก็บเกี่ยวของสิ่งนั้น รวมทั้งในการสะสมทรัพย์สินก็จะต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นด้วย

51 ฝ่ายนิติบัญญัติในฐานะสูงสุดหรือ Supreme Power นั้นตรงกับข้อใด

(1) เป็นองค์อธิปัตย์

(2) เป็นที่มาของฝ่ายบริหาร

(3) เป็นองค์กรที่ใช้สิทธิพิเศษ

(4) เป็นองค์กรที่แสดงเจตจํานงของรัฐ

(5) เป็นผู้ออกกฎหมายควบคุมประชาชน

ตอบ 5 หน้า 39 – 40 ในทัศนะของล็อคนั้น ฝ่ายนิติบัญญัติจะเป็นองค์กรที่ใช้อํานาจสูงสุดภายในรัฐเหนืออํานาจอื่นทั้งหมด (Supreme Power) ซึ่งทําหน้าที่เป็นผู้ออกกฎหมายควบคุมประชาชนเท่านั้นแต่ฝ่ายนิติบัญญัติก็ไม่ได้เป็นองค์กรที่ใช้อํานาจอธิปไตยหรือเป็นองค์อธิปัตย์ภายในรัฐแต่อย่างใด

52 บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดที่ถือได้ว่าเป็นองค์อธิปัตย์แห่งรัฐที่แท้จริง

(1) ประชาชนทั้งหมด

(2) ประชาชนส่วนใหญ่

(3) ผู้ใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง

(4) ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นรัฐบาล

(5) ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 40 ล็อค เห็นว่า ประชาชนทั้งหมด (ประชาชนทั้งมวล) จะอยู่ในฐานะเป็นองค์อธิปัตย์แห่งรัฐที่แท้จริง แต่สามารถใช้อํานาจอธิปไตยได้เป็นครั้งคราวในกรณีที่รัฐบาลถูกยุบเท่านั้น

53 เกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ถูกต้อง ปัจจัยอะไรที่ใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินชี้ขาด

(1) การครอบครอง

(2) การใช้สอยส่วนตัว

(3) การรับรองโดยกฎหมาย

(4) การใช้แรงงาน การสะสมที่ไม่ก่อความเสียหายต่อผู้อื่น

(5) การใช้แรงงานของตนเอง

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 50 ประกอบ

54 ธรรมชาติของมนุษย์

(1) มีเมตตาธรรม

(2) มีเหตุผลและใฝ่สันติ

(3) มีความสุขุม

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 33 ล็อค เห็นว่า โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์มีคุณสมบัติประจําตัว คือ ความมีเหตุผลอันเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้แก่มนุษย์ทุกคน ซึ่งนอกจากความมีเหตุผลแล้วมนุษย์ยังมีความเมตตาธรรม ใฝ่สันติ และสุขุมรอบคอบอีกด้วย

55 ผู้ที่อยู่ในฐานะ “องค์อธิปัตย์” ในทัศนะของล็อค

(1) รัฐบาล

(2) องค์กรนิติบัญญัติ

(3) ประชาชนทั้งมวล

(4) ตุลาการ

(5) ฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ และตุลาการ

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 52 ประกอบ

56 สภาวะแห่งความเสมอภาคในสภาวะธรรมชาติ หมายถึง ความเท่าเทียมกันในด้านใด

(1) ความเป็นมนุษย์

(2) ร่างกายและจิตใจ

(3) ความดีงาม

(4) ความมีเหตุผล

(5) สิทธิและอํานาจ

ตอบ 5 หน้า 33 ในทัศนะของล็อคนั้น มนุษย์ในสภาวะธรรมชาติมีลักษณะที่สําคัญอยู่ 2 ประการ คือ

1 สภาวะแห่งเสรีภาพอันสมบูรณ์ หมายถึง ทุกคนมีอิสระเสรีอย่างเต็มเปี่ยมที่จะกระทําสิ่งใด ๆไม่ว่าจะเป็นการใช้ทรัพย์สินหรือร่างกายของเขาตามที่เขาเห็นว่าเหมาะสมภายใต้กฎธรรมชาติ โดยไม่จําเป็นต้องขออนุญาตหรือขึ้นอยู่กับเจตจํานงของผู้อื่น

2 สภาวะแห่งความเสมอภาค หมายถึง ทุกคนมีความเท่าเทียมกันในสิทธิและอํานาจ โดยที่อํานาจและสิทธิทั้งหมดอยู่ที่บุคคลแต่ละคน เพราะฉะนั้นในฐานะเป็นมนุษย์ด้วยกันจึงไม่มีผู้ใดมีอํานาจหรือสิทธิเหนือผู้อื่น

57 ล็อคถูกขนานนามว่าเป็นผู้ให้กําเนิดแนวความคิด

(1) อนุรักษนิยม

(2) ประชานิยม

(3) เสรีนิยม

(4) สังคมนิยม

(5) วัตถุนิยมวิภาษวิธี

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 49 ประกอบ

 

รุสโซ

58 รุสโซ เชื่อว่าแม้ว่าสภาพธรรมชาติจะเป็นสภาพที่น่าอยู่ แต่สังคมการเมืองเกิดขึ้นเพราะ

(1) มนุษย์เราเป็นสัตว์การเมือง

(2) มนุษย์เราชอบทดลองสังคมรูปแบบใหม่

(3) มนุษย์เราต้องการความสมบูรณ์โดยการอยู่อาศัยร่วมกัน

(4) มนุษย์เราต้องการหลีกหนีจากสภาพแวดล้อมที่ป่าเถื่อน

(5) มนุษย์เราไม่มีทางเลือกอื่น

ตอบ 3 หน้า 69 – 70, (คําบรรยาย) รุสโซ เห็นว่า การเกิดสังคมการเมืองเป็นผลมาจากสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ต้องการความสมบูรณ์โดยการอาศัยอยู่ร่วมกัน แม้ว่าจะมีส่วนทําลายความบริสุทธิ์ และความดีงามของมนุษย์ก็ตาม แต่สิ่งที่มนุษย์ได้รับการทดแทนจากการสูญเสียความบริสุทธิ์ และความดีงามในสังคมการเมืองสมัยใหม่นั้นก็คือ ความสมบูรณ์ทางจิตใจ

59 “สิ่งที่มนุษย์ได้รับการทดแทนจากการเสียความบริสุทธิ์ในสังคมสมัยใหม่”

(1) ความเสมอภาคทางการเมือง

(2) ความเสมอภาคในกรรมสิทธิ์

(3) ความสมบูรณ์ในการดํารงชีพ

(4) ความปลอดภัยในชีวิต

(5) ความสมบูรณ์ทางจิตใจ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 58. ประกอบ

60 “ผลอันเกิดจากที่มนุษย์ต้องการความสมบูรณ์”

(1) สภาวะสงคราม

(2) ความอิจฉาริษยา

(3) ความขยันขันแข็ง

(4) การร่วมมือกับผู้อื่น

(5) ความสุขในอนาคต

ตอบ 4 หน้า 69 รุสโซ อธิบายว่า ความสมบูรณ์นั้นมนุษย์หาได้จากการร่วมมือหรือการพึ่งพิงบุคคลอื่นดังนั้นผลอันเกิดจากการที่มนุษย์ต้องการความสมบูรณ์ก็คือ การร่วมมือกับผู้อื่นนั่นเอง

61 “รัฐบาล” ตามแนวคิดสัญญาประชาคม หมายถึงบุคคลหรือสถาบันใด

(1) นิติบัญญัติ

(2) บริหาร

(3) ตุลาการ

(4) องค์อธิปัตย์

(5) ข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 2 หน้า 79 ตามทฤษฎีสัญญาประชาคม รุสโซ อธิบายว่า “รัฐบาล” หมายถึงผู้ที่ใช้อํานาจบริหารซึ่งมีฐานะเป็นเพียงแค่องค์กรที่รับมอบอํานาจอธิปไตยที่เป็นของประชาชนเท่านั้น อีกทั้งรัฐบาล เป็นเพียงคณะบุคคลที่นําเอาเจตจํานงทั่วไปมาปฏิบัติ รัฐบาลไม่ใช่องค์อธิปัตย์ เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลเป็นผลมาจากกฎหมายมิใช่เป็นการทําสัญญา

62 รุสโซ เชื่อว่ามนุษย์เราจะปราศจากเสรีภาพหากปราศจาก

(1) กฎหมายที่เป็นธรรม

(2) ผู้นําที่ทรงคุณธรรม

(3) ระบบการตรวจสอบที่ดี

(4) ความเสมอภาค

(5) หลักประกันทางกฎหมาย

ตอบ 4 หน้า 81 รุสโซ เชื่อว่า ถ้ามนุษย์ปราศจากเสียซึ่งความเสมอภาค การใช้เสรีภาพของมนุษย์นั้นย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าคน ๆ หนึ่งตกเป็นทาสของอีกคนหนึ่งนั้นหมายถึงว่า เขาได้สูญเสียความเสมอภาคของความเป็นมนุษย์ไปแล้ว เสรีภาพของเขาจึงขึ้นอยู่กับผู้เป็นนายเท่านั้น

63 “มนุษย์เกิดมาอย่างเสรี แต่ต้องตกอยู่ภายใต้พันธนาการทุกแห่งหน” คําว่า “พันธนาการ” หมายถึง

(1) การบีบบังคับโดยผู้ปกครอง

(2) การตกเป็นทาสแห่งอารมณ์ของตนเอง

(3) ขนบธรรมเนียมประเพณีและข้อบังคับต่าง ๆ

(4) สภาวะแห่งความเป็นทาส

(5) ความเชื่อในศาสนา

ตอบ 3 หน้า 67, 71 – 72 จากคํากล่าวข้างต้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปของสังคมสมัยใหม่ซึ่งความเป็นอิสระหรือภาวะที่เป็นเสรีนั้นได้ถูกทําลายลงโดยสถาบันการปกครองและอารยธรรม ของมนุษย์ ซึ่งเป็นเครื่องพันธนาการหรือโซ่ตรวนบันทอนเสรีภาพของมนุษย์ในลักษณะที่แฝงมาในรูปอื่น เช่น กฎหมาย ขนบธรรมเนียมประเพณี ปทัสถานของสังคม ข้อบังคับต่าง ๆ เป็นต้น

64 สิ่งที่ถือว่าเป็นสาระสําคัญที่สุดของเจตจํานงทั่วไปนั้นคืออะไร

(1) เสียงข้างมาก

(2) เสียงเอกฉันท์

(3) ผลประโยชน์ของทุกคน

(4) ผลประโยชน์ของคนแต่ละคน

(5) ความสมบูรณ์ทางจิตใจ

ตอบ 3 หน้า 75, 77, (คําบรรยาย) รุสโซ เห็นว่า เจตจํานงทั่วไปเป็นเจตจํานงที่แสดงออกเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมหรือผลประโยชน์ของคนทุกคนเป็นหลัก ส่วนเจตจํานงเฉพาะส่วน เป็นเจตจํานงที่แสดงออกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือผลประโยชน์ของแต่ละคนเป็นหลัก

65 “ผู้ทรงอํานาจอธิปไตย”

(1) ประชาชนส่วนใหญ่

(2) ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง

(3) ประชาชนทั้งมวล

(4) สภาผู้แทนราษฎร

(5) รัฐบาล ตอบ 3 หน้า 78 รุสโซ เห็นว่า อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชนทั้งมวล และประชาชนสามารถใช้อํานาจอธิปไตยนี้ได้โดยการทําหน้าที่บัญญัติกฎหมาย เพราะว่าในการบัญญัติกฎหมายนั้นประชาชนมีอํานาจเต็มที่ไม่ต้องเชื่อฟังใคร

66 สิ่งที่นําไปสู่ความไม่เสมอภาคในทัศนะของรุสโซ คือ

(1) กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม

(2) ระบบกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินส่วนบุคคล

(3) ระบบอภิสิทธิ์ชน

(4) สภาวะสงคราม

(5) การใช้เสรีภาพอย่างเกินขอบเขต

ตอบ 2 หน้า 69 70 รุสโซ เห็นว่า การเกิดระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนตัวนั้นจะนําไปสู่ความไม่เสมอภาคในหมู่มนุษย์ ซึ่งเรียกว่า ความไม่เสมอภาคทางการเมืองหรือความไม่เสมอภาค ทางจิตใจ ตัวอย่างที่พอจะเห็นได้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรวย ความจน มีเกียรติ ไร้เกียรติเกิดอภิสิทธิ์ชน สามัญชน เป็นต้น

 

เฮเกล

67 เหตุผลใดที่เฮเกลใช้ในการสนับสนุนความคิดที่ว่า รัฐควรเป็นสถาบันที่มีอํานาจสูงสุดในสังคม

(1) รัฐเป็นผู้ทําให้ความคิดทางจริยธรรมและเสรีภาพของพลเมืองเป็นจริงขึ้นมา

(2) การเปลี่ยนแปลงสังคมแบบรุนแรงและถอนรากถอนโคน

(3) ความเสมอภาคของปัจเจกบุคคล

(4) รัฐเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต

(5) รัฐเป็นเครื่องมือของชนชั้น

ตอบ 1 หน้า 116, 121 ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับ “รัฐ” ถือได้ว่าเป็นหัวใจของปรัชญาการเมืองของเฮเกลโดยเขาเห็นว่ารัฐควรเป็นสถาบันที่มีอํานาจสูงสุดในสังคม ทั้งนี้เพราะรัฐเป็นผู้ทําให้ความคิดทางจริยธรรมและเสรีภาพของพลเมืองปรากฏเป็นจริงขึ้นมาในสังคม

68 ตามแนวความคิดเรื่องจิตนิยม (Iclealism) เฮเกลแบ่งความเป็นจริงออกเป็น 2 ส่วน อะไรบ้าง

(1) สสารกับอสสาร

(2) จิตกับกาย

(3) จิตกับวัตถุ

(4) ตัวตนและไม่ใช่ตัวตน

(5) กายภาพกับชีวภาพ

ตอบ 1 หน้า 110 ในเรื่องจิตนิยม (Idealism) นั้น เฮเกล เห็นว่า สรรพสิ่งทั้งหลายที่เป็นจริงจะมีองค์ประกอบอยู่ 2 ส่วน ได้แก่ 1 สสาร คือ เป็นวัตถุ มองเห็น และจับต้องได้

2 อสสาร คือ ไม่เป็นวัตถุ มองไม่เห็น และจับต้องไม่ได้

69 ข้อใดเป็นการอธิบาย “การเปลี่ยนแปลง (Becoming)” ในทัศนะของเฮเกล

(1) ทุกสิ่งมีสภาวะที่เป็นอยู่ (Beirg) กับสภาวะที่ยังไม่ได้เป็น (Not Being) อยู่ในตัวของมันเอง

(2) ทุกสิ่งมีสภาวะที่ “ปฏิเสธ” (Negation) กับสภาวะธรรมชาติ

(3) ทุกสิ่งเป็น “สภาวะขัดแย้ง” กับประวัติศาสตร์

(4) ทุกสิ่งเป็นพลวัตและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

(5) ทุกสิ่งมีเหตุผล แต่ขัดแย้งกันเองเสมอ

ตอบ 1 หน้า 111 เฮเกล อธิบายว่า การเปลี่ยนแปลง (Becoming) หมายถึง การเปลี่ยนสภาพหรือสถานภาพของสรรพสิ่งทั้งหลายจากที่เคยเป็นอยู่ไปสู่สภาพอื่น ซึ่งแตกต่างไปจากเดิม กล่าวคือ เขาเห็นว่าทุกสิ่งจะมีสภาวะที่เป็นอยู่ (Being) กับสภาวะที่ยังไม่ได้เป็น (Not Being) อยู่ภายในตัวของมันเองในเวลาเดียวกัน ดังนั้นจึงทําให้เกิดการขัดแย้งระหว่างลักษณะทั้งสองขึ้น ซึ่งการขัดแย้งนี้ก็จะนําไปสู่การผสมผสานเกิดเป็นสิ่งใหม่หรือสภาวะใหม่ที่ดีกว่าของเดิม

70 อะไรเป็นตัวแทนอํานาจของ “รัฐ” ในทัศนะของเฮเกล

(1) ครอบครัว

(2) สิทธิประชาชน

(3) กฎหมาย

(4) กลุ่มผลประโยชน์

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 3 หน้า 120 เฮเกล เห็นว่า ตัวแทนอํานาจของ “รัฐ” ได้แก่ 1 รัฐธรรมนูญหรือการบริหารภายในของแต่ละรัฐ 2 กฎหมายระหว่างประเทศ 3 ประวัติศาสตร์โลก

71 “จิต” (Idea)

(1) อสสาร

(2) มนุษย์

(3) ความขัดแย้ง

(4) การเปลี่ยนแปลง

(5) ความไม่เปลี่ยนแปลง

ตอบ 1 หน้า 110 111 ในทัศนะของเฮเกลนั้น จิตหรือความคิด (Idea) คือ ส่วนที่มีลักษณะเป็นอสสาร ซึ่งจะมีบทบาทในการกําหนดส่วนที่เป็นสสาร กล่าวคือ จิตจะทําหน้าที่เป็นประธานส่วนวัตถุหรือสรรพสิ่งทั้งหลายจะเป็นกรรมหรือผู้ถูกกระทํา

72 ปัจจัยที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการพัฒนาประเทศได้แก่ข้อใด

(1) สงครามระหว่างรัฐ

(2) ความสงบภายใน

(3) แผนพัฒนาประเทศ

(4) การระดมทุนภายในประเทศ

(5) การระดมทุนภายนอกประเทศ

ตอบ 1 หน้า 130 เฮเกล เห็นว่า สงครามระหว่างรัฐคือปัจจัยที่ทําให้เกิดการพัฒนาประเทศ เนื่องจากเป็นเสมือนตัวเร่งไปสู่สภาวะใหม่ที่ดีกว่า โดยช่วยขจัดฝ่ายที่เก่าแก่และล้าสมัยให้หมดสิ้นไป แล้วเปิดโอกาสให้ฝ่ายที่เข้มแข็งกว่าเข้ามาแทนที่ นอกจากนี้การทําสงครามยังเป็นวิธีการที่สามารถแก้ไขความเสื่อมทราม (Corruption) อันเป็นผลจากการมีสันติภาพอันถาวรอีกด้วย

73 แนวความคิดเกี่ยวกับ “ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับรัฐ” มีอิทธิพลต่อลัทธิใด

(1) ประชาธิปไตย

(2) สังคมนิยม

(3) คอมมิวนิสต์

(4) ฟาสซิสต์

(5) เลเซแฟร์

ตอบ 4 หน้า 121, 132 แนวความคิดของเฮเกลที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับรัฐในลักษณะที่รัฐเป็นสถาบันที่มีอํานาจสูงสุดเหนือเอกชนหรือบุคคล และบุคคลจะต้องเคารพบูชารัฐนั้น ได้มีอิทธิพลต่อลัทธิฟาสซิสต์ในอิตาลี และลัทธินาซีในเยอรมนี้ในเวลาต่อมา โดยได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์โลกอย่างยิ่งใหญ่และกว้างขวาง

 

ฟาสซิสต์

74 ความเชื่อที่ว่าอารยันเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่

(1) ชาติ

(2) เชื้อชาติ

(3) รัฐ

(4) ผู้นํา

(5) ประชาชน

ตอบ 2 (คําบรรยาย) ลัทธิฟาสซิสต์และลัทธินาซีมีหลักการสําคัญที่แตกต่างกันก็คือ หลักชาตินิยม(Nationalism) โดยลัทธิฟาสซิสต์จะเป็นชาตินิยมแบบธรรมดาที่สนับสนุนให้ประชาชนเกิดความรู้สึก รักชาติอย่างไม่มีเหตุผล เช่น การสนับสนุนให้รัฐบาลเป็นจักรวรรดินิยม ส่วนลัทธินาซีนั้นเป็นชาตินิยมแบบเชื้อชาติ โดยมีความเชื่ออย่างฝังแน่นที่ว่าอารยันเป็นชนชาติที่ยิ่งใหญ่เหนือกว่าชาติอื่น

75 ความเชื่อที่ว่ามนุษย์ไม่มีเหตุผลเป็นแรงผลักให้ดําเนินการใด ๆ เพื่อส่วนรวม

(1) Irrationalism

(2) Nationalism

(3) Internationalism

(4) Social Darwinism

(5) Elitism

ตอบ 1 หน้า 301 302, (คําบรรยาย) หลักการพื้นฐานที่สําคัญของลัทธิฟาสซิสต์ มีดังนี้

1 หลักความไม่มีเหตุผล (Irrationalism) โดยเชื่อว่ามนุษย์ไม่มีเหตุผลเป็นแรงผลักให้ดําเนินการใด ๆ เพื่อส่วนรวม

2 หลักชาตินิยมหรือความรักชาติ (Nationalism) โดยสนับสนุนให้ประชาชนสร้างความรู้สึกรักชาติอย่างไม่มีเหตุผล

3 หลักทฤษฎีการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดของ Charles Darwin ซึ่งเรียกว่า Social Darwinism 4 หลักว่าด้วยรัฐ (State)

5 หลักว่าด้วยเรื่องผู้นํา (Elitism)

6 หลักว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจ (Economic)

 

สํานักอนุรักษนิยม (Conservative)

76 สิ่งที่เป็นเงื่อนไขแรกของความ “สมบูรณ์ของมนุษย์” ในทัศนะของ Burke

(1) มนุษย์สมบูรณ์ได้ด้วยสติปัญญา

(2) มนุษย์สมบูรณ์ได้ด้วยการเรียนรู้

(3) มนุษย์สมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในสังคมการเมือง

(4) มนุษย์สมบูรณ์ได้ด้วยกฎหมาย

(5) มนุษย์สมบูรณ์ได้ด้วยการพัฒนาตนเอง

ตอบ 3 หน้า 97 Burke มีทัศนะที่คล้ายกันกับ Aristotle บิดาทางรัฐศาสตร์ในเรื่องของมนุษย์กับสังคมการเมืองที่ว่า มนุษย์จะสมบูรณ์อยู่ได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในสังคมการเมืองหรืออยู่ใน Polis เท่านั้น

77 สิ่งที่ Burke ไม่ได้นําเสนอ

(1) ความสามารถของคนไม่เท่ากัน

(2) ประชาชนไม่มีสิทธิต่อต้านรัฐบาล

(3) คัดค้าน “หลักเหตุผลนิยม”

(4) คัดค้านสิทธิที่เป็นนามธรรม

(5) ชนชั้นสูงจะเป็นผู้พิทักษ์สิทธิและเสรีภาพ

ตอบ 2 หน้า 86, 96, 98, 100, (คําบรรยาย) ทัศนะของ Burke นอกจากตัวเลือกข้อ 1, 3, 4 และ 5 แล้ว Burke ยังกล่าวอีกว่า เมื่อใดที่รัฐบาลใช้อํานาจไปในทางที่ผิดและนําความเดือดร้อนยุ่งเหยิง มาให้ ประชาชนก็อาจปฏิวัติโค่นล้มรัฐบาลได้ นั่นคือ ประชาชนมีสิทธิที่จะต่อต้านรัฐบาลที่กดขี่นั่นเอง

78 รากฐานที่มาของมาตรฐานทางศีลธรรมเกิดจาก

(1) กฎธรรมชาติ

(2) ศาสนา ความเชื่อ

(3) การเรียนรู้จากสังคมอื่น

(4) ความเป็นเหตุเป็นผลของมนุษย์

(5) ประสบการณ์ของมนุษย์ ตอบ 5 หน้า 88 89 Hume เห็นว่า มาตรฐานทางศีลธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ถูกกําหนดขึ้นมาจากประสบการณ์ของมนุษย์เอง ซึ่งประสบการณ์นี้จะเป็นเครื่องกําหนดว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรหลีกเลี่ยง อะไรควรรีบรับ ส่วนเหตุผลนั้นเป็นเรื่องที่นั่งคิดขึ้นมาและเป็นเพียงนามธรรมเท่านั้น

79 การก่อตั้งของรัฐหรือสถาบันต่าง ๆ ในทัศนะของ Burke

(1) เกิดจากหลักแห่งเสรีภาพ

(2) เกิดจากความสามารถในการคิดค้นของมนุษย์

(3) เกิดจากธรรมเนียมประเพณี

(4) เกิดจากหลักกฎหมาย

(5) เกิดจากการพัฒนาของสังคม

ตอบ 3 หน้า 97, (คําบรรยาย) Burke เห็นว่า รัฐหรือสถาบันต่าง ๆ ที่คนก่อตั้งขึ้นมานั้นเป็นการก่อตั้งขึ้นมาจากขนบธรรมเนียมและจารีตประเพณีในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเชื่องช้า เป็นระเบียบที่ละเล็กทีละน้อยต่อเนื่องกับอดีต โดยที่มีผลประโยชน์ของคนส่วนรวมเป็นพลัง ผลักดันให้ทุกคนเห็นพ้องต้องกันในการกําหนดโครงสร้างของสังคมการเมืองที่ซับซ้อน หรือโครงสร้างของประเพณีและสถาบันต่าง ๆ ขึ้นมา

80 การกําเนิดของสังคมการเมืองในทัศนะของ Hume

(1) ความก้าวร้าว

(2) ภาวะสงคราม

(3) มนุษย์มีเหตุผล

(4) คนมาอยู่รวมกันมาก ๆ

(5) ความโน้มเอียงตามธรรมชาติ

ตอบ 5 หน้า 89 – 90 ในทัศนะของ Hume นั้น สังคมการเมืองหรือรัฐมีรากเหง้าความเป็นมาจาก

1 “ความจําเป็น” ของมนุษย์ที่จะต้องชํารงรักษาสังคมให้มีอยู่เพื่อความยุติธรรม

2 “ความโน้มเอียงตามธรรมชาติ” ที่จะแสวงหาผลประโยชน์ของมนุษย์

3 “นิสัย” ซึ่งเป็นปัจจัยช่วยทําให้เกิดความเคยชินต่อการเคารพเชื่อฟัง

81 Hume เสนอว่า “สิ่งที่บอกการกระทําของมนุษย์ว่าดีหรือไม่ดี” วัดได้จากอะไร

(1) คุณธรรม

(2) ความรู้สึก

(3) อารมณ์สงบ

(4) ภูมิปัญญา

(5) มาตรฐานทางศีลธรรม

ตอบ 2 หน้า 88, (คําบรรยาย) Hume เห็นว่า สิ่งที่เป็นตัวบอกหรือกําหนดคุณค่าการกระทําของมนุษย์ว่ามีคุณค่าแค่ไหน ดีหรือไม่ดีอย่างไร ก็คือความรู้สึก ซึ่งแม้ว่าในบางครั้งเหตุผลอาจช่วยนําการกระทําให้บรรลุผลแห่งคุณค่าได้เช่นกัน แต่บทบาทของเหตุผลยังเป็นรองความรู้สึกเพราะ “เหตุผลเป็นทาสของอารมณ์” นั่นเอง

82 ที่มาของมาตรฐานทางศีลธรรม ในทัศนะของ Hume

(1) มนุษย์มีเหตุมีผล

(2) กฎหมาย คือ ส่วนสําคัญของศีลธรรม

(3) ความรู้สึกจะบอกมาตรฐานทางศีลธรรม

(4) มาตรฐานทางศีลธรรมมีอยู่ในภาวะธรรมชาติ

(5) ประสบการณ์ของมนุษย์จะกําหนดมาตรฐานทางศีลธรรม

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ  78 ประกอบ

83 ในทัศนะของ Hume สังคมการเมืองเกิดขึ้นเพราะเหตุใด

(1) ความที่พึ่งพากัน

(2) ความหวาดกลัวอันตราย

(3) ความมีเหตุผลของมนุษย์

(4) การยึดครองและใช้กฎหมายที่ดี

(5) ความจําเป็น ความโน้มเอียงตามธรรมชาติ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 80 ประกอบ

 

สํานักประโยชน์นิยม (The Utilitarians)

จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคําถามข้อ 84. – 88.

(1) Jeremy Bentham

(2) James Mill

(3) John Stuart Mill

(4) Jeremy Bentham & James Mill

(5) James Mill & John Stuart Mill

84 “ผู้แทนต้องมีสองสถานะ” เป็นทัศนะของใคร

ตอบ 2 หน้า 150 – 152, (คําบรรยาย) แนวความคิดที่สําคัญของ James Mitt ได้แก่

1 จุดหมายปลายทางของรัฐบาลก็คือ ความสุขมากที่สุดของประชากรจํานวนมากที่สุด

2 รูปแบบของรัฐบาลที่ต้องการคือ รัฐประชาธิปไตยหรือระบอบประชาธิปไตยทางรัฐสภา(ระบบผู้แทน)

3 การมีรัฐบาลที่ดีขึ้นอยู่กับการที่ประชาชนสามารถตรวจสอบผู้ปกครองได้

4 เสนอให้มีการเลือกตั้งผู้แทน (ระบบรัฐสภา) เพื่อมาทําหน้าที่ตรวจสอบผู้ปกครอง

5 ผู้แทนราษฎรทุกคนต้องมีสองสถานะ คือ เป็นผู้แทนซึ่งต้องใช้อํานาจเหนือผู้อื่นและเป็นสมาชิกของชุมชน 6 นิยมการปกครองโดยชนชั้นกลางเช่นเดียวกับ Aristotle ฯลฯ

85 ผู้ให้ความสําคัญกับเสรีภาพ (Liberty) ของมนุษย์มากที่สุด

ตอบ 3 หน้า 152, 157 – 159, 161 – 163 แนวความคิดที่สําคัญของ John Stuart Mill ได้แก่

1 เสนอให้สตรีมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งได้เท่าเทียมกับบุรุษ

2 บุคคลที่ทรยศต่อเพื่อนที่ไว้วางใจเขาย่อมมีโทษผิด

3 ประโยชน์เป็นเครื่องวัดความดีความชั่วของการกระทํา

4 ให้ความสําคัญในเรื่องเสรีภาพ (Liberty) ส่วนบุคคลอย่างมาก โดยเชื่อว่า “การห้ามแสดงความคิดเห็นถือว่าเป็นการปล้นมนุษย์”

5 จุดหมายปลายทางของรัฐบาลก็คือ การทําให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น

6 การปกครองควรมี 2 ขั้นตอน คือ การปกครองโดยผ่านผู้แทน และการปกครองโดยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ 7 ผลของการกระทําเป็นเครื่องตัดสินว่าการกระทํานั้นถูกหรือผิด

8 ให้ความสําคัญกับสิทธิของคนกลุ่มน้อย (Minority Right) โดยเสนอให้มีการเลือกตั้ง ยการ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน ฯลฯ

(ส่วนของ Bentham & James Mill นั้น จะเน้นการปกครองโดยเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก แม้จะต้องละเมิดสิทธิของคนกลุ่มน้อยก็ตาม)

86 ผู้ที่เน้นการปกครองโดยเสียงส่วนใหญ่เป็นหลัก แม้จะต้องละเมิดสิทธิของคนกลุ่มน้อยก็ตาม

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 35 ประกอบ

87 “การมีรัฐบาลที่ดีขึ้นอยู่กับการที่ประชาชนสามารถตรวจสอบผู้ปกครองได้” เป็นทัศนะของใคร

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 84 ประกอบ

88 “จุดหมายปลายทางของรัฐบาลคือ การทําให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น” เป็นทัศนะของใคร

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 85 ประกอบ

89 James Mill นิยมการปกครองโดย

(1) ชนชั้นสูง

(2) ชนชั้นกลาง

(3) ชนทุกหมู่เหล่า

(4) King

(5) นายทุน

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 84 ประกอบ

90 ในทัศนะของ Bentham คนเชื่อผู้ปกครอง เพราะ

(1) เกรงกลัว

(2) มีเหตุผล

(3) เห็นว่ารัฐบาลดี

(4) เป็นผู้เลือกรัฐบาลเอง

(5) ผลประโยชน์ของตน

ตอบ 5 หน้า 138 Bentham มีทัศนะตรงกับ Thomas Hobbes ที่ว่า “คนเราเชื่อฟังผู้ปกครองไม่ใช่เป็นเพราะพันธะข้อผูกพันทางกฎหมายหรือทางศีลธรรม หากเป็นเพราะว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ของตน”

91 รูปแบบรัฐบาลในความประสงค์ของ James Milt

(1) รัฐคณาธิปไตย

(2) รัฐประชาธิปไตย

(3) รัฐบาลโดยผู้เชี่ยวชาญ

(4) รัฐบาลที่ประชาชนสนับสนุน

(5) ปกครองโดยคนกลุ่มน้อยที่มีคุณภาพ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 84 ประกอบ

 

มองเตสกิเออ (Montesquieu)

92 องค์กรที่ไม่เป็น “องค์กรประจํา” ในทัศนะของ Montesquieu

(1) นิติบัญญัติ

(2) บริหาร

(3) ตุลาการ

(4) พรรคการเมือง

(5) องค์กรอิสระ

ตอบ 3 หน้า 60 Montesquieu เห็นว่า องค์กรตุลาการไม่ควรเป็นองค์กรประจํา แต่ควรเป็นการใช้อํานาจในลักษณะชั่วคราว เมื่อตัดสินคดีเสร็จก็หมดหน้าที่ เมื่อเกิดข้อพิพาทก็ให้เลือกตั้งตุลาการเป็นคราว ๆ ไป โดยผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งนั้นก็ให้มาจากกลุ่มประชาชน

93 ปัจจัยที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีหลักประกันในอิสรภาพทางการเมืองตามแนวคิดของรัฐบาลสายกลาง (1) การเลือกตั้ง

(2) หลักนิติธรรม

(3) การกระจายอํานาจ

(4) การทําสัญญาประชาคม

(5) การแบ่งแยกและถ่วงดุลอํานาจ

ตอบ 5 หน้า 58, 62, (คําบรรยาย) Montesquieu ได้เสนอให้มีการจัดตั้งรัฐบาลสายกลางเพื่อส่งเสริมให้ประชาชนมีหลักประกันในอิสรภาพทางการเมือง โดยจัดให้มีระบบการแบ่งแยกอํานาจ (Separation of Power) และระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลแห่งอํานาจขององค์กรทั้ง 3 ฝ่าย อันได้แก่ ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการ ซึ่งทัศนะดังกล่าวนี้จะเป็นผลดีในด้าน การผ่อนปรนการใช้อํานาจปกครอง และยังถือเป็นรากฐานของระบบรัฐสภา ระบบประธานาธิบดีและระบบกึ่งประธานาธิบดี-กึ่งรัฐสภาในปัจจุบัน

94 ความสํานึกต่อส่วนรวมและความรักชาติ คือ คุณธรรมที่ช่วยค้ําจุนรัฐบาลแบบใด

(1) กษัตริย์

(2) ทรราช

(3) สายกลาง

(4) สาธารณรัฐ

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 53 – 54 Montesquieu ได้แยกหลักการของรัฐบาลหรือสิ่งที่เป็นพลังช่วยค้ำจุนให้แก่รัฐบาลแบบต่าง ๆ ไว้ดังนี้ 1 หลักการของรัฐบาลแบบสาธารณรัฐ คือ คุณธรรม (Virtue) หรือความสํานึกต่อส่วนรวมและความรักชาติ 2 หลักการของรัฐบาลแบบกษัตริย์ คือ เกียรติยศ (Honour) 3หลักการของรัฐบาลแบบเผด็จการ คือ ความกลัว (Fear)

95 แนวความคิดของการแยกอํานาจเป็นผลจากการศึกษาระบบการเมืองของประเทศใด

(1) กรีก

(2) โรมัน

(3) อิตาลี

(4) อังกฤษ

(5) ฝรั่งเศส

ตอบ 4 หน้า 48 ความคิดทางการเมืองในเรื่องการแยกอํานาจที่ Montesquieu เสนอนั้น เป็นผลมาจากการศึกษาระบบการเมืองการปกครองของประเทศอังกฤษในขณะนั้น ซึ่ง Montesquieu เข้าใจว่าเป็นระบบการแบ่งแยกอํานาจ แต่ในความเป็นจริงปรากฏว่า Montesquieu เข้าใจผิดในเรื่องนี้

96 เกียรติยศ (Honour) คือ คุณธรรมที่ช่วยค้ําจุนรัฐบาลแบบใดในความคิดของมองเตสกิเออ

(1) แบบกษัตริย์

(2) แบบทรราช

(3) แบบสายกลาง

(4) แบบสาธารณรัฐ

(5) แบบประชาธิปไตย

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 94 ประกอบ

  1. ระบบการเมืองใดที่มีลักษณะขัดแย้งกับทฤษฎีการแยกอํานาจ

(1) รัฐสภา

(2) สายกลาง

(3) กึ่งประธานาธิบดี

(4) ประธานาธิบดี

(5) อภิชนาธิปไตย

ตอบ 5 (ดูคําอธิบายข้อ 93. ประกอบ), (คําบรรยาย) ระบบอภิชนาธิปไตยหรือการปกครองโดยคณะบุคคลหมายถึง ระบบการปกครองที่บุคคลคณะหนึ่งสามารถกําหนดกฏเกณฑ์การบริหารประเทศได้ ตามที่กลุ่มของตนปรารถนา โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อบําบัดทุกข์บํารุงสุขให้กับราษฎรและเป็นการปกครองของชนชั้นสูงหรือโดยขุนนางหรือปัญญาชน

98 หลักการของรัฐบาลเผด็จการ คือ

(1) กฎหมายที่เคร่งครัด

(2) จริยธรรม

(3) เกียรติยศ

(4) เสรีภาพ

(5) ความกลัว

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 94 ประกอบ

99 กฎเกณฑ์ที่มนุษย์บัญญัติขึ้นเพื่อกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชน

(1) กฎหมายอาญา

(2) กฎหมายมหาชน

(3) กฎหมายการเมือง

(4) กฎหมายปกครอง

(5) กฎหมายเอกชน

ตอบ 5 หน้า 51 Montesquieu ได้จําแนกกฎหมายที่มนุษย์สร้างหรือบัญญัติขึ้นออกเป็น 3 ประเภท คือ

1 กฎหมายระหว่างประเทศ (International Law) คือ กฎเกณฑ์ที่มนุษย์บัญญัติขึ้นเพื่อกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐ

2 กฎหมายการเมือง (Political Law) คือ กฎเกณฑ์ที่มนุษย์บัญญัติขึ้นเพื่อกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างผู้ปกครองกับผู้ใต้ปกครอง (ประชาชน)

3 กฎหมายเอกชน (Civil Law) คือ กฏเกณฑ์ที่มนุษย์บัญญัติขึ้นเพื่อกําหนดความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับเอกชน

100 องค์กรหรือสถาบันใดที่จะช่วยตรวจสอบและจํากัดอํานาจการบริหารที่ป้องกันการใช้อํานาจเกินขอบเขต

(1) กองทัพ

(2) ขุนนาง

(3) นิติบัญญัติ

(4) รัฐธรรมนูญ

(5) กฎหมายการเมือง

ตอบ 2 หน้า 53, 60 ในทัศนะของ Montesquieu นั้น สถาบันตัวกลางในรัฐบาลแบบกษัตริย์ หมายถึงสถาบันที่อยู่ระหว่างกษัตริย์กับประชาชน ซึ่งก็คือบรรดาขุนนางและข้าราชการ โดยจะเป็นผู้ทําหน้าที่ช่วยเหลือกษัตริย์ในการบริหารงาน รวมทั้งยังเป็นสถาบันที่ช่วยตรวจสอบและจํากัด อํานาจบริหารของกษัตริย์ไม่ให้กลายเป็นผู้เผด็จการหรือทรราชที่ใช้อํานาจนอกเหนือจากที่กฎหมายกําหนด

 

ENG1002 ประโยคและศัพท์ทั่วไป 1/2559

การสอบภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา ENG 1002 ประโยคและศัพท์ทั่วไป

Choose the correct answer.

Part I : Structure (ภาคโครงสร้าง)

1 It rains a lot in the south, _______ ?

1 is it

2 does it

3 isn’t it

4 doesn’t it

ตอบ 4 หน้า 175 เป็นเรื่อง tag-question ที่ให้ตอบส่วนหางหรือส่วนหลัง โดยกำหนดว่าถ้าข้างหน้า เป็นประโยคบอกเล่าข้างหลังจะต้องเป็นรูปปฏิเสธรูปย่อ เช่น

–              John is a student, isn’t he?

–              Tourists will visit the palace, won’t they?

สำหรับข้อนี้มีกริยา rains ทำส่วนหลังต้องใช้ verb to do มาช่วยในรูปเอกพจน์ก็คือ does และทำเป็นปฏิเสธรูปย่อคือ doesn’t และเรื่องสรรพนาม ให้ it มาก็ตอบส่วนหางเป็น it

2              You’re going to the party,_____ ?

1 are you

2 do you

3 did you

4 aren’t you

ตอบ 4     ดูคำอธิบายในข้อ 1 ที่ผ่านมา เป็นเรื่องประโยคคำถามส่วนหางนั่นเอง You’re ย่อมาจาก You are ฉะนั้นทำเป็นปฏิเสธรูปย่อ คือ aren’t และสรรพนาม you ก็ตอบ you

3 _______ do you want to go?

1 Why

2 Where

3 When

4 All are correct

ตอบ 4 หน้า 172- 173 ในรูป Wh-question ประเภท when, where, why, who, whom, how

ที่นิยมให้ตอบออกประมาณ 2-3 ข้อทุกเทอม การถามแบบ Why ถามถึงเหตุผลว่า ทำไม ส่วน Where ถามสถานที่ว่า ที่ไหน และ When ถามถึงเวลาว่า เมื่อไร ข้อนี้ตอบถูกทุกข้อ

  1. We told them _______ the movie was funny.

1 if

2 whether

3 that

4 what

ตอบ 3 หน้า 186 -187 เราดูจากตัวเลือก เราจะรู้ทันทีว่าเป็นเรื่องของ indirect speech เป็นการนำ ประโยคคำพูดมาพูดหรือเล่าให้คนอื่นฟัง เราดูจากกริยาหลักให้มาเป็น told them แสดงว่า เดิมมาจากประโยคคำพูด “said to + กรรมที่เป็นบุคคล” ที่เป็นประโยคบอกเล่า ฉะนั้นจะเชื่อมต้วย that ดูจากประโยคเดิม

Direct Speech = We said to them, “The movie is funny.”

Indirect Speech = We told them that the movie was funny.

ถ้าหากว่าเดิมมาจากประโยคคำถามละก็ กริยาหลักจะเป็น asked  แล้วต้องเชื่อมด้วย if

หรือ whether หรือ what  แต่ข้อนี้เป็น told จึงเชื่อมด้วย that

5              He said that he  ______ hungry.

1 is

2 was

3 were

4 will be

ตอบ 2 หน้า 193 – 194 ก็เป็นเรื่อง Indirect Speech เรารู้จากกริยาหลักว่า said that ประโยคย่อย ที่ตามมาก็ต้องเปลี่ยนกริยาให้เป็นรูปอดีตด้วยคือ กริยาช่องที่ 2 ประธานเป็น he จึงตอบ was

6              When he arrived, we ______ lunch.

1 are having

2 were having

3 have

4 would have

ตอบ 2 หน้า 53 เห็นคำเชื่อมด้วย When เป็น 2 เหตุการณ์ ให้เดาปัจจุบันคู่กับปัจอุบัน และอดีตดู่กับอดีต ดูสูตร ออกทุกเทอมในการเชื่อมด้วย when, while หรือ as มีทั้ง ปัจจุบันและอดีต

1  While S + is/am/are VIng, S +V1

As

2 While S + is/am/are Ving, S + is/am/are Ving

3 While/As S + was, were Ving, S +V2

4 While/As S + was, were Ving, S + was/were Ving

5 When S + V2   when S + was/were Ving

arrived              ตอบ were having

 

ตอบ were having

ให้นักศึกษาเวลาสอบเดาไว้ ถ้าให้ Past Simple (V2) ก็ต้องคู่กับอดีตด้วยกันจาก ตัวเลือกข้อนี้เราเห็นเลยว่ามีอดีตคือ were having เท่านั้นที่ถูก ช้อย 1 และ 3 เป็นปัจจุบันจึงผิด และช้อย 4 คำว่า would จะไม่มีตอบใน Tense มีแต่รูปอนาคตคือ will เท่านั้น ส่วนใหญ่ เราตอบ would ในเรื่อง if

7 I ______ the party, but my friend wanted to go home.

1 have enjoyed

2 enjoy

3 was enjoying

4 had enjoyed

ตอบ 3 ลักษณะเดียวกับข้อ 8 เมื่อเราเห็นกริยาช่องที่ 2 wanted เป็นอดีต แสดงว่าเราก็ต้องตอบอดีตด้วยเช่นกัน คงเหลือช้อย 3 และ 4 เราตอบ Past Continuous Tense (S + was/were Ving) แสดงอาการกำลังกระทำแล้วมีอีกเหตุการณ์ตามมา

8 He _____  a corner and ______ drawing.

1 finds; starting

2 found; had started

3 finds, starts

4 found; started

ตอบ 4 หน้า 24 – 25 จากโจทย์ไม่มีตัวบอกเวลาเหตุการณ์ให้เราเดาได้ แต่เราสังเกตจากโจทย์ว่ามีประธานเดียวกันคือ He และมีคำเชื่อม and ฉะนั้นกริยาที่ตอบก็ต้องเป็นกริยาขนานกัน เช่น V1 คู่กับ V1 หรือ V2 คู่กับ V2 ทีนี้เราก็มาดูตัวเลือก ด้วยการตัดที่เห็นชัด ๆ ว่าไม่ถูกออกไปก่อน เช่น ช้อย 1 ใช้ starting เป็น Ving เลยไม่ถูก ช้อย 2 ก็ไม่ถูก ต้องเป็นกริยาขนานกัน ดั่ง ช้อย 3 และ 4 ที่เป็น V1 คู่กับ V1 หรือ V2 คู่กับ V2 เราก็มาดูความเป็นไปได้จากโจทย์ว่าถ้าเป็น เหตุการณ์ที่เกิดเป็นประจำเราใช้ V1 แต่ถ้าเป็นการเล่าเหตุการณ์ ๆหนึ่งที่ผ่านเราตอบ V2 โจทย์ ตอบว่าเป็นการเล่าเหตุการณ์เพราะบอกว่าเขาเจอ (found) และก็เริ่ม (started) เป็นการเล่า เหตุการณ์อันหนึ่ง

9 Did she ____  early?

1 left

2 leave

3 leaving

4 to leave

ตอบ 2 หน้า 172-173 ในรูปประโยคคำถาม ถ้าใช้ Did มาช่วยแล้วซึ่งอยู่หน้าประธาน she เพราะเป็นประโยคคำถาม กริยาหลักตามมาต้องเป็นกริยาช่องที่ 1 ไม่ผันเสมอคือไม่ต้องมี to หรือ ing เป็นกริยาช่องที่ 1 ธรรมดา จึงตอบ leave

10           He looked at me _____ he were angry.

1 as

2 that

3 if

4 as if

ตอบ 4 หน้า 138 – 139 เป็นเรื่อง as if/ as though

1            S + V1 as if/as though     S + V2

2            S + V2 as if/as though     S + hadV3

ตรงสูตรที่ 1 looked             ตอบ were

หมายเหตุ การสมมติเช่นเรื่อง if, as if/as though, wish จะตอบ were ไม่ตอบ was ถึงแม้ประธานจะเป็นเอกพจน์ นั่นคือ he were, she were, it were เป็นต้น เรารู้จากกริยาตัวหลังว่าเป็น he were แสดงว่าคำเชื่อมที่ตอบมาจากเรื่อง as if นั่นเอง ถ้าเป็นเรื่อง if จะต้องมี will หรือ would

11           What she _____ to do is important.

1 will want

2 has wanted

3 wants

4 wanted

ตอบ 3 หน้า 7-9 กริยาบางตัวไม่นิยมใช้ Ving เรามีเรียน ออกทุกเทอม ให้ตอบเป็นPresent Simple Tense (S + V1) มักเป็นกริยาที่แสดงความรู้สึก อารมณ์หรือการรับรู้เช่น รัก ชอบ เกลียด ต้องการ รู้สึก รสชาติ ได้กลิ่น เป็นต้นคือให้ตอบกริยาช่องที่ 1 เช่น

like love               hate       appear  hope

dislike   want      look       smell     taste

ข้อนี้ให้กริยา want มาจึงตอบ wants

12           He walked as though he ______ in a hurry.

1 were

2 is

3 will be

4 would be

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 10 ในเรื่อง as if หรือ as though ที่นิยมให้ตอบ were

13           I wish we  _____ here.

1 don’t live

2 didn’t live

3 hadn’t lived

4 haven’t lived

ตอบ 2 หน้า 147 เป็นการใช้ wish ดูสูตร

1 S + wish/wishes  S        +             V2 หรือ were

2 S + wished  S   +             had V3

3 S + wish/wishes  S        +             would/could V1

4 S + wished  S   +             would/could have V3

ข้อนี้ให้ wish มาตรงกับสูตรที่ 1 ตอบกริยาส่วนหลังคือ V2 = didn’t live ในรูปปฏิเสธ

14           I wish I ______ Jane this morning.

1 have seen

2 see

3 had seen

4 haven’t lived

ตอบ 3 ดูสูตรเรื่อง wish ที่ให้ในข้อ 13 ประกอบ ถ้าตรงสูตรที่ 1 ให้ wish มาเราตอบ V2 ส่วนหลัง คือ saw ไม่มีในตัวเลือก ฉะนั้นก็มองลงมาตอบในแบบสูตรที่ 2 แทนคือ had V3 ได้ นั่นคือ ตอบรูปอดีต จึงตอบเป็น had seen

15           His brother ______ a teddy bear to him last week.

1 gives

2 gave

3 has given

4 was giving

ตอบ 2 หน้า 24 – 25 ใช้ Past Simple Tense (S + V2) แสดงถึงเหตุการณ์ที่สิ้นสุดลงไปแล้วใน อดีตหรือเป็นการเล่าเรื่องราวในอดีต มักจะมีคำบอกเวลา เช่น yesterday, ago, in + ปีอดีต, in the past, last + เวลา เช่น last year, last night, last summer, last Sunday, this morning (เมื่อเช้านี้) ข้อนี้ให้ last week มาเป็นอดีต จึงตอบ gave (give gave given)

16           Tom wishes he  ____ the answer.

1 know

2 knew

3 have known

4 knowing

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 13 ประกอบเรื่อง wishes ให้กริยาช่องที่ 1 มาตอบกริยาช่องที่ 2 ส่วนหลังก็คือ knew มาจาก know knew known

17 I think it would be a good idea if you ______ with us.

1 go

2 will go

3 are going

4 went

ตอบ 4 หน้า 148 ข้อนี้เป็นเรื่องกลุ่มสมมติที่ขึ้นประโยคด้วยคำต่อไปนี้ให้ตอบกริยาช่องที่ 2 ออกทุกเทอม 1-2ข้อ จำไปใช้

If only

It’s time

It’s about time                                    S + V2 ก็คือ went

It’s high time that

He’d rather

I think it would be a good idea if

18           She usually ______ to visit her parents.

1 went

2 go

3 has gone

  1. goes

ตอบ 4 หน้า 6 ใช้Present Simple Tense (S + V1) แสดงเหตุการณ์หรือการกระทำที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เป็นนิสัย สม่ำเสมอ ทำทุกวัน ประโยคที่เป็นความจริงเสมอ จริงตามธรรมชาติ จริงในปัจจุบัน สำนวน สุภาษิต หรือเกิดขึ้นในปัจจุบันมีคำบอกเวลาเช่น always, usually, often, sometimes, normally, frequently, nowadays , every + ช่วงเวลา เช่น every day (ทุกวัน) every week, every month, every year (ทุกปี) at present (ในปัจจุบัน) เป็นต้น

สำหรับข้อนี้มีคำบอกเวลาคือ usually เกิดประจำ จึงตอบกริยาช่องที่ 1 เอกพจน์คือ goes

19           That old man always ______ , but nobody _______attention.

1 complained; paid

2 has complained; has paid

3 complains; pays

4 complaining; paying

ตอบ 3     ดูคำอธิบายข้อ 18 เพิ่มเติม เรารู้จากคำบอกเวลา always ทำเป็นประจำทุกวัน ใช้ Present

Simple Tense = V1 คือ complains และ pays

20           I’ll ask him how long he _______ .

1 waits

2 has waited

3 waited

4 has been waiting

ตอบ 4 หน้า 68-69 หรือ 72 ใช้ Present Perfect (S + has/have + V3) แสดงเหตุการณ์ที่เกิดติดต่อกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและจะดำเนินต่อไปในอนาคต ออกสอบทุกเทอม จำคำบอกเวลาใช้เช่น for (เป็นเวลา), since (ตั้งแต่), just (เพิ่งจะ), recently (เร็ว ๆนี้), lately, yet, already, ever, how long 5 all day (ตลอดวัน) อย่างข้อนี้มีคำบอก เวลาคือ how long ตอบ has waited และมีตัวเลือก Present Perfect Continuous Tense (S + has/have + been + Ving) เป็นการกระทำต่อเนื่องที่ไม่ขาดสาย มักใช้กับกริยา waiting (รอคอยต่อเนื่อง) หรือ raining (ฝนตกต่อเนื่อง) ถ้าช้อย 2 และ 4 ชนกันแบบนี้ ให้ตอบhas been waiting เพราะรอคอยต่อเนื่องไม่ขาดสาย

21   She _____ the car ______

1 (blank); washed

2 is; washing

3 got; washed

4 had; washed

ตอบ 4 หน้า 163 เป็นโครงสร้างในเรื่อง Passive Voice โดยใช้ในรูปของ Verb to have หรือ Verb to get ให้จำ จะออกข้อสอบประมาณ 1-2 ข้อ ก็คือ เมื่อเห็น have/ has/ had หรือ get/got ให้ + V3 ดูสูตร

S + has/have/had + สิ่งของ + V3

หรือ S + get/got + V3 ได้เลย

สำหรับข้อนี้ใช้ had + สิ่งของ + V3 เพราะแสดงถึงการเอารถล้าง ไม่ใช่แสดงได้รับ

22           She _____ last week.

1 fired

2 got fired

3 had been fired

4 was being fired

ตอบ 2     ดูคำอธิบายข้อ 21 ประกอบ สำหรับรูปถูกกระทำ Passive อย่างหนื่งโดยใช้ got + V3 = got fired แสดงถึงการได้รับถูกขับไล่ออกจากงาน

23           He ____ to be a spy.

1 is said

2 said

3 says

4 is saying

ตอบ 1 หน้า 162 โครงสร้าง Passive Reporting Verb เป็นประเภทกริยารายงานมักจะใช้รูปดังนี้

It is/was said/known/reported + to + V1

ฉะนั้นจึงตอบ is said to be

24           Young people in the United States _______ independent.

1 has

2 are

3 have

4 being

ตอบ 2 ดูคำอธิบายในข้อ 18 ที่ผ่านมา ข้อสอบก็มีออกโจทย์แบบนี้ทุกเทอมคือไม่มีคำบอกเวลา แต่เป็น โจทย์ที่เป็นจริงเสมอ จริงตามธรรมชาติ จริงที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อย่างข้อนี้ กล่าวว่าคนหนุ่มสาวในสหรัฐเป็นคนที่มีอิสระเสรีภาพ ใช้ verb to be คือ are

25 He _____ the piano since he was a child.

 

1 has played

2 played

3 had played

4 was playing

ตอบ 1 ดูคำอธิบายในข้อ 20 ที่ผ่านมาโดยคำบอกเวลา since ใช้ Present Perfect Tense = has played

26 The game ______ if it rains.

1 should cancel

2 cancels

3 cancelled

4 should be cancelled

ตอบ 4 หน้า 124- 130 เป็นเรื่อง Passive ถูกกระทำ เราสามารถดูได้หลายจุดว่าโจทย์แบบไหนเป็น เรื่องนี้ เช่น ท้ายประโยคบางข้อมีคำว่า by (โดย) หรือดูประธานเป็นสิ่งไม่มีชีวิตก็ต้องถูกกระทำ อย่างเช่นข้อนี้ประธานเป็น The game เกมส์ซึ่งต้องถูกยกเลิกเพราะยกเลิกเองไม่ได้ แน่นอน จึงใช้รูป verb to be + V3 = was cancelled แต่ข้อนี้ใช้กริยาช่วย should ก็ ต้องเป็นรูป should be + V3 = should be cancelled

27 This sweater _____ in Ireland.

1 made

2 has made

3 was made

4 is making

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 26 ประกอบลักษณะเดียวกันคือประธานเป็นสิ่งของ This sweater (เสื้อหนาว) หรือขนมปังก็เคยออกสอบ (This bread) หรือ สินค้าก็ต้องถูกทำขึ้นมาใช้ verb to be + V3 = was made

28  She ______ a winter coat today.

1 wears

2 is wearing

3 worn

4 has worn

ตอบ 2 หน้า 38 ใช้ Present Continuous Tense (S + is/am/are Ving) กับเหตุการณ์ หรือการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูด เดามักคำบอกเวลาจำนะออกทุกเทอมเช่น now, right now, at the/this moment สำหรับข้อนี้มีคำบอกเวลาคือ today ว่าวันนี้เธอกำลังใส่อะไร แสดงปัจจุบันในขณะนั้น

29 The film ______ into many different languages.

1 has translated

2 was translating

3 has been translated

4 translates

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 26 ที่ผ่านมา ใช้รูป Passive เพราะประธาน The film (ภาพยนตร์) จะต้องถูก แปลหรือตีความเป็นหลาย ๆ ภาษา ใช้รูปถูกกระทำของ Present Perfect Tense จะเป็น has been + Verb 3 = has been translated

30 He said that his name ____Sam.

1 was

2 is

3 were

4 are

ตอบ 1     ดูคำอธิบายในข้อ 5 ที่ผ่านมา มีคำว่า said กริยาส่วนหลังก็ตอบเป็นกริยาช่องที่ 2 คือ was

31 My sister _____ she could help me.

1 ask if

2 asked if

3 said if

4 ask whether

ตอบ 2 หน้า 203 – 204 เป็น indirect speech เรารู้จากกริยาช้อยบังคับให้ตอบคือ asked ซึ่งมาจากประโยคคำถาม และคำเชื่อมก็ต้องเป็น if หรือ whether เท่านั้น ถ้าเป็น said ต้องใช้ that และตอบ asked เพราะถ้า ask กริยาช่องที่ 1 ประธานเอกพจน์กริยา asks ต้องมี s แต่ช้อยไม่มี ฉะนั้นช้อย 1 และ 4 ผิดอยู่แล้ว

32           The teacher said we ______ arrive early.

1 ought

2 have to

3 had to

4 would

ตอบ 3 ลักษณะเดียวกับข้อ 30 ว่าเราเห็น said แสดงว่ากริยาส่วนหลังควรเป็นอดีตด้วย นั่นคือ had to + V1 ว่า ต้องมาเช้าตรู่ เพราะ had to แสดงจำเป็น ส่วน would (จะ) แสดงอนาคตไม่ตรงกับโจทย์

33           She  _____ she would be here soon.

1 says

2 say

3 has said

4 said

ตอบ 4     เราเห็นกริยา would เป็นอดีต แสดงว่ากริยาหลักส่วนหน้าก็ควรเป็นอดีตด้วยคือ said

34           ______ you ever _______ durian?

1 Did; ate

2 Do; ate

3 Have; eaten

4 Had; eaten

ตอบ 3 ดูคำอธิบายในข้อ 20 ที่ผ่านมา มีคำบอกเวลา ever (เคย) ใช้ Present Perfect Tense = have eaten

35           It’s the first time he ______ across the river.

1 swam

2 had swum

3 swims

4 has swum

ตอบ 4     จากประโยคกล่าวว่า เป็นครั้งแรก (It is the first time) เหมือนกับคำว่า ever (เคย) ที่เขาได้ว่ายนํ้าข้ามแม่นํ้า แสดงถึงการกระทำเพิ่งจะสิ้นสุดไปไม่นานนั่นเอง ถ้าเราดูช้อยอื่น เช่นช้อย 1 เป็นอดีต แต่โจทย์เจาะว่าเป็นครั้งแรกที่เคยทำอย่างนั้นอย่างนี้ ช้อย 2 ก็เป็นอดีต ไม่ถูกต้อง ช้อย 3 เป็นกริยาช่องที่ 1 ต้องเป็นเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำจึงจะใช้ V1

36           I _____  anything since six o’clock this morning.

1 had not eaten

2 did not eat

3 do not eat

4 haven’t eaten

ตอบ 4     ดูคำอธิบายในข้อ 20 ที่ผ่านมา มีคำบอกเวลา คือ since ออกทุกเทอม ตอบ

Present Perfect Tense = have not eaten

37           Mother ______ you now; go to see her.

1 calls

2 called

3 is calling

4 has called

ตอบ 3     ดูคำอธิบายข้อ 28 เพิ่มเติม มีคำบอกเวลา now ใช้ Present Continuous Tense = is calling

38           This year, the company _____ a large budget deficit.

1 had

2 has

3 have

4 having

ตอบ 2     เราดูจากคำบอกเวลาว่า This year (ปีนี้) แสดงว่าเหตุการณ์ยังดำเนินอยู่ ใช้รูปปัจจุบันคือ V1= has เอกพจน์ ส่วน having ใช้ Ving มาเลยไม่มี verb to be อยู่ข้างหน้าไม่ถูกต้อง

39           Your car is dirty. I _____ you wash it.

1 helped

2 help

3 have helped

4 will help

ตอบ 4 หน้า 104 ใช้Future Simple Tense (S + will/shall + VI) แสดงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มักมีคำบอกเวลา เช่น tomorrow, soon, next + ช่วงเวลา เช่น next year, next month, tonight, in a few minutes, in half an hour เป็นต้น สำหรับข้อนี้ เกริ่นมาในปัจจุบันก่อนว่ารถสกปรก ฉันจะช่วยคุณล้างรถ แสดงเจตนาใช้will

40           I wonder what _____ happen.

1 have

2 had

3 would

4 will

ตอบ 4     ที่โจทย์มีกริยาช่องที่ 1 คือ happen เราต้องหาช้อยที่ตามด้วยกริยาช่องที่ 1 ได้ เราตัดช้อยที่เห็นว่าไม่ถูกก่อนคือช้อยที่ 1 และ 2 เพราะ have, had ไม่ตามด้วยกริยาช่องที่ 1 จะต้องด้วยกริยา ช่องที่ 3 เท่านั้น ส่วน would กับ will ตามด้วยกริยาช่องที่ 1 ได้ แต่เราสังเกตจากคำว่า wonder เป็นกริยาช่องที่ 1 ปัจจุบัน ฉะนั้นเราก็ต้องปัจจุบันไปด้วยคือ will

41           She cried when she knew that someone ______ her bicycle.

1 has stolen

2 had stolen

3 stole

4 steal

ตอบ 2 ดูหน้า 85 -86 ใช้ Past Perfect Tense (S + had + V3) ดู่กับ Past Simple Tense (S + V2) โดยเหตุการณ์เกิดก่อนใช้ Past Perfect เหตุการณ์เกิดทีหลังใช้ Past Simple Tense หรือดูง่าย ๆ เราเห็นกริยาช่องที่ 2 คือ cried หรือ knew เป็นอดีต แสดงว่าอีกประโยคก็ต้องเป็น อดีตคงเหลือช้อย 2 และ 3 เป็นอดีต เราตอบข้อนี้ในรูป Past Perfect เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดก่อน จึงตอบ had stolen หรือดูสูตรการเชื่อมด้วย before, when, after ออกสอบทุกเทอม โดยคำเชื่อม ไว้ต้นประโยคหรือไว้กลางประโยคก็ได้

1              S + had  V3   before        S + V2

2              S +  V2          after             S + had V3

3              Before + S +V2 ,              S + had V3

4              After +    S +had V3,         S + V2

5              When +  S +  V2              S + had V3

ข้อนี้ตรงกับสูตรที่ 5 ให้มา knew         had stolen

42           Economics  _______ an important field of study for politicians.

1 was

2 is

3 has

4 have

ตอบ 2     ดูคำอธิบายในข้อ 24 เป็นโจทย์แสดงความเป็นจริงเสมอใช้กริยาช่องที่ 1

43           Mary ______ in her journal every day.

1 writes

2 has written

3 write

4 had written

ตอบ 1 ลูคำอธิบายในข้อ 18 มีคำบอกเวลา every day ทำทุกวัน ตอบกริยาช่องที่ 1 เอกพจน์

44           When I  ______ breakfast, I ______more energetic.

1 had eaten; would feel

2 ate; will feel

3 eat; would feel

4 eat, feel

ตอบ 4     ดูคำอธิบายข้อ 8 ที่ผ่านมา ตอบกริยาขนานกันคือ V1 คู่กับ V1 ตรงกับช้อย 4

45           If I _____ time, I _____ you.

1 have; would help

2 had; would help

3 had, will help

4 have; will have helped

ตอบ 2     ดูสูตรการใช้ If มี 4 แบบ จำให้ได้ออกสอบทุกเทอม สำหรับข้อนี้ตรงกับสูตรที่ 3

1              If    S       + V1 ,    S + V1

2              If    S       + V1 ,    S + will V1

3              If    S       + V2 ,    S + would/could + V1

4              If    S       + had V3 ,            S + would have V3

ข้อนี้โจทย์สามารถตอบตรงกับสูตรที่ 3 เพราะเราเห็นกริยาช่องที่ 2 = had แสดงว่าส่วนหลังก็จะเป็น would V1 = would help ถ้าให้ตอบ have ส่วนหลังต้องเป็น will help

46           He _____ for three hours when I called him.

1 is writing

2 had been writing

3 writes

4 wrote

ตอบ 2     ดูคำอธิบายข้อ 41 ที่ผ่านมา เชื่อมด้วย when ตรงกลางก็จะเป็นสูตร

S   +  had    V3    +    when   +   S  + V2

ตอบ had been writing แทนได้           called

47           His mother was angry when she saw what _______ .

1 happens

2 has happened

3 had happened

4 would happen

ตอบ 3     ลักษณะเดียวกับข้อ 41 ที่ผ่านมา

48           If the price ______ down, I would buy that car.

1 had gone

2 goes

3 have gone

4 went

ตอบ 4     ดูคำอธิบาย1ข้อ 45 เรื่อง if สูตรที่ 3

  1. Most children ______ to enjoy having siblings.

1 seem

2 seemed

3 have seemed

4 are seeming

ตอบ 1     ดูคำอธิบายข้อ 11  เพิ่มเติม กริยา seem ไม่ใช้รูป mg ตอบกริยาช่องที่ 1 = seem

50           If he were here now, he ______ paint the living room.

1 will help

2 had helped

3 would help

4 helped

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 45 ได้เลย ตรงกับสูตรที่ 3

51           She _____ a story yesterday.

1 writes

2 has written

3 wrote

4 had written

ตอบ 3     ดูคำอธิบาย1ข้อ 22 ประกอบ มีคำบอกเวลาคือ yesterday (เมื่อวานนี้) เป็นอดีตตอบกริยาช่องที่ 2 คือ wrote

52           He ______ the task when she returned.

1 completed

2 had completed

3 completes

4 was completed

ตอบ 2     ดูคำอธิบายข้อ 41,46,47 ที่ผ่านมา เชื่อมด้วย when อยู่ตรงกลาง

53           When I arrived at the office, my friend _____ home already.

1 went

2 had gone

3 has gone

4 goes

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 41,46,47 ที่ผ่านมา เชื่อมด้วย when อยู่ต้นประโยค

54           By seven o’ clock, she _______ with them for twelve hours.

1 will play

2 will have been playing

3 would play

4 is playing

ตอบ 2     ใช้Future Perfect Tense (S + will/shall + have V3) หรือ Future Perfect Continuous Tense (S + will/shall + have been Ving) กับคำบอกเวลาที่ขึ้นต้นด้วย คำว่า “by” (ประมาณ ราวๆ) เช่น by next year, by the end of this year, by tomorrow, by that time, by then จึงตอบ will have been playing

55           He _____ this article for three weeks by this time tomorrow.

1 will write

2 has written

3 would write

4 will have been writing

ตอบ 4     ดูคำอธิบายข้อ 54 ที่ผ่านมา

56           She _____ an examination paper at 10 a.m. tomorrow.

1 wrote

2 write

3 will be writing

4 has written

ตอบ 3 หน้า 107 -108 ใช้ Future Continuous Tense (S + will/shall be + Ving) แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคตและระบุเวลาที่แน่นอนได้เช่น (at) this time tomorrow, tomorrow evening สำหรับข้อนี้มีคำบอกเวลาคือ at 10 a.m. tomorrow จึง ตอบ will be writing

57           If she ______ her money in a computer company, she would be rich today.

1 invests

2 invested

3 will invest

4 is investing

ตอบ 2     ดูคำอธิบายเรื่อง if สูตรที่ 3 ได้

58           _______ I the president, I’d make a lot of changes.

1 Were

2 Had

3 Am

4 Have

ตอบ 1     เป็นการตัด if ออกใน สูตรที่ 3 โดยสังเกตจากส่วนหลัง มี

3  Were + S +     ……..  , S   +    would V1

4 Had   +  S +       V3     , S +    would/could have V3

(3)  Were     ส่วน I’d ย่อมาจาก I would make

59           ______  I only tried harder, I could have done better.

1 Were

2 Had

3 Am

4 Have

ตอบ 2     ดูคำอธิบาย1ข้อ 58 ที่ผ่านมา ตรงกับการตัด if ออกสูตรที่ 4 เพราะเรารู้จากส่วนหลังเป็น could have done จึงตอบส่วนหน้าเป็น had tried ตัด if ออก จึงเป็น Had I tried

60           In the back yard, the boys ______ .

1 had played

2 are playing

3 play

4 have played

ตอบ 2     ดูคำอธิบายข้อ 28 เพิ่มเติมเป็นการบอกเหตุการณ์เกิดขึ้นในขณะที่พูดว่า “ในสนามหลังบ้าน เด็กๆ กำลังเล่นกัน” ใช้ Present Continuous Tense = are playing

61           She can’t come to see you now; she ______ a bath.

1 has

2 is having

3 has had

4 was having

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 37     เพิ่มเติม จากคำบอกเวลา     now

62           It _______ any more.

1 would not rain

2 does not min

3 has not rain

4 is not raining

ตอบ 4     ดูคำอธิบายข้อ 60 ที่ผ่านมา คือ แสดงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูดว่า “ฝนไม่ตกแล้ว”

63           I  ______ to bed now.

1 went

2 has gone

3 am going

4 going

ตอบ 3     ดูคำอธิบายข้อ 61 ที่ผ่านมา เมื่อเห็น now ตอบ am going

64           They _____ probably  _____ now.

1 are; sleeping

2 (blank); sleeps

3 have; slept

4 will; sleep

ตอบ 1     เห็น now ลักษณะเดียวกับข้อ 61 และ 63

65           She _____ while I _____ dinner.

1 writes; cook

2 was writing; was cooking

3 has written; have cooked

4 will write; cooked

ตอบ 2 หน้า 53 เห็น as หรือ while เป็น 2 เหตุการณ์ ให้เดาปัจจุบันคู่กับปัจจุบัน และอดีตคู่กับอดีต ดูสูตรออกทุกเทอมในการเชื่อม while หรือ as มีทั้งปัจจุบันและอดีต

1 S + V2                         while S + was/were Ving

as

2 S + was/were Ving   while S + was/were Ving

as

was writing         was cooking เหตุการณ์เกิดพร้อมกัน

66           She  ______ an essay when I called her at 8 p.m.

1 wrote

2 had written

3 write

4 was    writing

ตอบ 4     ดูคำอธิบายข้อ 6 เพิ่มเติม เราใช้ was writing + when + V2 เพราะเป็นเหตุการณ์แสดงอาการกำลังเขียน

67           I remember when I _____ fifteen years old.

1 were

2 was

3 am

4 will be

ตอบ 2     เป็นการเล่าเหตุการณ์ในอดีตสมัยที่อายุ 15 ปี ใช้Past Simple Tense คือ V2 = was

68           The place where I ______ was very windy.

1 have waited

2 am waiting

3 waited

4 was waiting

ตอบ 4     เราเห็นคำว่า was เป็นอดีต เราก็เดาตอบเป็นอดีตด้วย เหลือช้อย 3 และ 4 ตอบช้อย 4 เพราะแสดงเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ใช้ Past Continuous Tense ส่วนอีกเหตุการณ์ใช้ Past Simple Tense

69 My sister fell asleep while she ______ TV.

1 is watching

2 watches

3 was watching

4 has watched

ตอบ 3     ดูสูตรการเชื่อมด้วย while ในข้อ 65

1  S + V 2             while S + Was/were Ving

fell มาจาก fell ตอบ    was watching

70           ______ you go with US?

1 Would

2 Will

3 Do

4 Did

ตอบ 2     ประโยคต้องการถามว่าคุณจะไปกับพวกเราไหม เราใช้ Will แสดงอนาคตว่า “จะ”

71 What _____ is it today?

1 time

2 (blank)

3 day

4 about

ตอบ 3     เป็นประโยคคำถามว่า “วันนี้เป็นวันอะไร?” ก็ต้องใช้คำว่า day ไม่มีใครถามว่า “วันนี้เป็นเวลากี่โมง?” ซึ่งต้องถามว่า “กี่โมงแล้ว” จะเป็น What time is it? แต่ถ้ามี today วันนี้ก็คือ ถามวันว่าเป็นวันอะไร

72 The war started in 1941, _____ ?

  1. didn’t they 2. did it 3. did they 4. didn’t it

ตอบ 4 เป็นเรื่อง tag question ส่วนหาง มีคำกรยา started เป็นกริยาช่องที่ 2 ใช้ did แทน ทำเป็นปฏิเสธรูปย่อคือ didn’t และคำนามthe war เปลี่ยนเป็นสรรพนามคือ it

73  They were leaving when I _____ home.

1 came

2 had come

3 come

4 would come

ตอบ 1     ดูสูตรการใช้ when

S   +   was/were Ving + when + S + V2

were  leaving               ตอบ came

74 She had already left when I ______

1 have arrived

2 would arrive

3 arrived

4 had arrived

ตอบ 3     ดูสูตรการใช้ when

S  +  had V3   +   when   +   S +  V2

had left                     ตอบ arrived

 

75           He  ______ that he had just returned.

1 explain

2 explains

3 explained

4 had explained

ตอบ 3     เราเดาจากส่วนหลังให้มา had returned เป็น Past Perfect Tense ก็ต้องคู่กับ Past Simple Tense ( S + V2) เสมอ จึงตอบ explained

 

Part II : Vocabulary (คำศัพท์)

76           The terrorists set off the bomb in front of the police station.

1 built

2 triggered

3 placed

4 hid

ถาม        ผุ้ก่อการร้ายได้ก่อให้เกิดระเบิดหน้าสถานีตำรวจ

ตอบ 2     บทที่ 4 หน้า 59

1 สร้าง   2 ก่อให้เกิด            3 วาง      4 ซ่อน

triggered = set off = ก่อให้เกิด

77           Children need a good diet.

1 calorie

2 food

3 balance

4 eating

ถาม เด็ก ๆ ต้องการโภชนาการที่ดี

ตอบ 2     บทที่ 4 หน้า 58

1 แคลอรี่ 2 อาหาร 3 ความสมลุล        4 การกิน

diet = food = อาหาร

78           She used fresh strawberries as a _______ on her cake.

1 painting

2 style

3 garnish

4 beauty

ถาม  เธอใช้สตรอเบอรี่สดเป็น ______ บนขนมเค้กของเธอ

ตอบ 3     บทที่ 4 หน้า 58

1 ภาพวาด             2 รูปแบบ                3 สิ่งที่ใช้ตกแต่งอาหาร 4 ความสวยงาม

จากช้อยเราเดา ก็คือให้นึกถึงคำศัพท์ที่เรามีเรียนในวิชานี้ ENG 1002 ว่ามีตัวไหนบ้าง ก็จะรู้ว่าเรามีเรียนคำศัพท์จากช้อยนี้ตัวเดียวคือ garnish

79           A collection of stamps will be _____ soon.

1 established

2 played

3 displayed

4 corrected

ถาม        ของสะสมแสตมป์จะถูก ______ เร็ว ๆ นี้

ตอบ 3 บทที่ 10 หน้า 168

1 ก่อตั้ง   2 เล่น      3 สาธิต แสดง        4 แก้ไข

จากช้อยมีเรียนช้อย 1 กับ 3  แต่เดาของสะสมก็ต้องเอามาสาธิต โชว์

80           This case is difficult and complex.

1 compared

2 complicated

3 activated

4 related

ถาม        คดีนี้ยากและซับซ้อน

ตอบ 2     บทที่ 11 หน้า 179

1 เปรียบเทียบ        2 ซับช้อน 3 กระตุ้น               4 เกี่ยวข้อง

complex = complicated = ซับซ้อน

81 No passengers ______ the plane crash.

1 helped

2 existed

3 survived

4 passed

ถาม ไม่มีผู้โดยสาร ______ จากเหตุเครื่องบินตก

ตอบ3      บทที่ 11 หน้า 179

1 ช่วยเหลือ 2 มีอยู่ 3 รอดชีวิต 4 ผ่าน

82           The manager cut back the budget of the company.

1 enlarged

2 completed

3 reduced

4 examined

ถาม        ผู้จัดการตัดงบประมาณของบริษัทลง

ตอบ 3     บทที่ 12 หน้า213

1 ทำให้ใหญ่ขึ้น      2 ทำให้สำเร็จ        3 ลดลง 4 ตรวจสอบ

cutback = reduced = ลดลง ตัดทอน

83           This sum of money is given for the entire year.

1 complete

2 whole

3 suitable

4 desired

ถาม        เงินจำนวนนี้ถูกมอบให้ใช้สำหรับทั้งปี

ตอบ 2     บทที่ 12 หน้า 213

1 ทำให้สมถูรณ์     2 ทั้งหมด 3 เหมาะสม 4 ปรารถนา

entire = whole, total = ทั้งหมด

84           ______ are victims of greedy merchants.

1 Procedure

2 Murder

3 Consumers

4 Messengers

ถาม         ______ เป็นเหยื่อของพ่อค้าที่ละโมบ

ตอบ 3     บทที่ 3 หน้า 45

1 กระบวนการ       2 การฆาตกรรม    3 ผู้บริโภค 4 ผู้ส่งของ

85           The host _____ and welcomed her guests.

1 called

2 shouted

3 greeted

4 carried

ถาม เจ้าภาพ _____ และต้อนรับบรรดาแขกของเธอ

ตอบ 3     บทที่ 1 หน้า 13

1 เรียก    2 ตะโกน 3 ทักทาย 4 นำพา

เดามีเรียนตัวเดียวคือ greet

86           Mother told me to ______ home on weekends.

1 send

2 bring

3 return

4 start

ถาม        แม่บอกฉันให้ _____ บ้านในวันเสาร์อาทิตย์

ตอบ 3     บทที่ 1 หน้า 14

1 ส่ง        2 นำพา  3 กลับ ส่งคืน 4 เริ่ม

เดามีเรียนคำศัพท์ตัวเดียวคือ returned

87 Melon _____ is juicy.

1 fresh

2 meat

3 flesh

4 texture

ถาม _____ แตงโมหวานฉ่ำ

ตอบ 3 บทที่ 4 หน้า 57

1 สด       2 เนื้อ (สัตว์)           3 เนื้อ(ผลไม้) 4 เนื้อผ้า

88 This factory _____ good products

1 manufactures

2 builds

3 uses

4 happens

ถาม โรงงานนี้ _____ สินค้าที่มีคุณภาพดี

ตอบ 1 บทที่ 3 หน้า 45

1 ผลิต    2 สร้าง   3 ใช้ 4 เกิดขึ้น

เดามีเรียนคำศัพท์ตัวเดียวคือ manufacture = produce = ผลิด

 

89 Please _____ your hand when you want to ask a question.

1 push

2 refine

3 press

4 raise

ถาม        กรุณา ______ มือของคุณขึ้นเมื่อคุณต้องการถามคำถาม

ตอบ 4     บทที่ 1    หน้า 13

1 ผลักดัน 2 คำให้สละสลวย 3 กดบีบ 4 ยกขึ้น

90 Nobody ______ responsibility for the bomb.

1 asked

2 claimed

3 requested

4 stated

ถาม        ไม่มีใคร _____ ความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ระเบิดครั้งนี้

ตอบ 2     บทที่ 5    หน้า 77

1 ถาม     2 กล่าวอ้าง  3 ขอร้อง            4 ระบุ กล่าว

91 News is _____ daily.

1 made

2 produced

3 reported

4 created

ถาม  ข่าวถูก ______ ประจำวัน

ตอบ 3     บทที่ 5 หน้า 77

1 คำ       2 ผลิต 3 รายงาน 4 สร้างสรรค์ผลิต

92 The mother _____ her baby with blanket.

1 hid

2 closed

3 sealed

4 covered

ถาม        แม่ _____ ผ้าห่อให้ลูกของเธอ

ตอบ 4     บทที่ 5    หน้า 77

1 ซ่อน     2 ปิด 3 ปิดผนึก     4 ห่อ

กริยา covered มักตามด้วย with = ห่อ ปกคลุม

93           Behind the abominable look lies a good heart.

1 ugly

2 disgusting

3 pale

4 stunning

ถาม        ภายใต้รูปลักษณ์หน้าตาที่น่ารังเกียจเป็นจิตใจที่ดีงาม

ตอบ 2 บทที่ 5 หน้า77

1 อัปลักษณ์ 2 น่ารังเกียจ     3 ซีดเซียว 4 สวยลํ้าเลิศ

abominable = disgusting, odious = น่ารังเกียจ

94           This _____ aims to help poor people.

1 construction

2 audition

3 foundation

4 function

ถาม  ______ นี้มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้

ตอบ 3     บทที่ 9 หน้า 153

1 การก่อสร้าง       2 การได้ยิน            3 มูลนิธิ  4 หน้าที่

95           The number of serious ______ had risen last year.

1 causes

2 events

3 crimes

4 situations

ถาม จำนวน  ______ ที่ร้ายแรงได้เพิ่มขึ้นเมื่อปีที่แล้ว

ตอบ 3     บทที่ 6 หน้า93

1 สาเหตุ 2 เหตุการณ์           3 อาชญากรรม      4 สถานการณ์

เดามีเรียนคำศัพท์ตัวเดียวคือ crime = อาชญากรรม

96           He sold his import and export company.

1 fortune

2 property

3 business firm

4 welfare

ถาม        เขาขายบริษัทนำเข้าและส่งออกของเขา

ตอบ 3     บทที่ 6 หน้า 92

1 โชคชะตา 2 ทรัพย์สมบัติ   3 บริษัท  4 สวัสดิการ

company = business firm = บริษัท

97           The flood _____ his fruit garden.

1 left

2 damaged

3 washed

4 took

ถาม        นํ้าท่วมทำให้ สวนผลไม้ของเขา _____ .

ตอบ 2 บทที่ 2 หน้า 29

1 ละทิ้ง   2 ทำให้เสียหาย     3 ล้าง      4 นำเอามา

ถ้าดูจากช้อยมีเรียนคำศัพท์ตัวเดียว คือ damaged = spoiled = ทำให้เสียหาย

98           The ______ of a broken glass cut his hand.

1 part

2 cap

3 track

4 fragment

ถาม         ของแก้วที่แตกบาดมือของเขา

ตอบ 4 บทที่ 9 หน้า 154

1 ส่วน     2 ที่คลุม  3 เส้นทาง 4 เศษ ชิ้นส่วน

99           This ointment can heal the wound.

1 bind

2 cure

3 serve

4 cut

ถาม ยาขี้ผึ้งนี้สามารถรักษาบาดแผลได้

ตอบ 2 บทที่ 9 หน้า 154

1 ผูกมัด 2 รักษาให้หาย       3 บริการ4 ตัด

heal = cure = treatment = รักษา

100 Durians are plentiful in this season.

1 delicious

2 great

3 easy

4 abundant

ถาม ทุเรียนมีมากมายในฤดูนี้

ตอบ 4 บทที่ 7 หน้า 117

1 อร่อย 2 มากยิ่งใหญ่ 3 ง่าย 4 มากมาย อุดมสมบูรณ์

101 He exercised his power in the wrong way.

1 energy

2 force

3 duty

4 method

ถาม เขาใช้อำนาจของเขาในทางที่ผิด

ตอบ 2 บทที่ 8 หน้า 138

1 พลัง 2 อำนาจกำลัง 3 หน้าที่ 4 วิธี

power = force = อำนาจกำลัง

 

102 Since he had no children, nobody ______ his fortune.

1 convince

2 rescue

3 inherited

4 help

ถาม        เพราะเขาไม่มีลูก จึงไม่มีใคร _____ สมบัติของเขา

ตอบ 3     บทที่ 2 หน้า29

1 ทำให้เชื่อ 2 ช่วยเหลือจากอันตราย 3 ได้รับมรดก           4 ช่วยเหลือ

103         He went the wrong direction.

1 cause

2 way

3 target

4 route

ถาม        เขาเดินผิดทิศทาง

ตอบ 2     บทที่ 8 หน้า 138

1 สาเหตุ 2 ทิศทาง 3 เป้าหมาย 4 เส้นทาง

104         Try to use your power effectively.

1 quickly

2 efficiently

3 carefully

4 hastily

ถาม        จงพยายามใช้อำนาจของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ

ตอบ 2     บทที่ 8 หน้า 137

1 อย่างรวดเร็ว 2 อย่างมีประสิทธิภาพ 3 อย่างระมัดระวัง 4 อย่างเร่งรีบ

105         All ______ are kept in the garage.

1 mobiles

2 appearances

3 partitions

4 vehicles

ถาม _____ ทั้งหมดถูกเก็บไว้ในสวน

ตอบ 4     บทที่ 7 หน้า 117

1 โมบาย 2 การปรากฎตัว    3 การแบ่งแยก       4 ยานพาหนะ

เดามีเรียนคำศัพท์ตัวเดียวคือ vehicles = conveyance = ยานพาหนะ

106 It is not safe to go out alone.

1 affected

2 secure

3 informed

4 bereaved

ถาม        ไม่ปลอดภัยที่ออกไปข้างนอกคนเดียว

ตอบ 2     บทที่ 7 หน้า 117

1 มีผลกระทบ        2 ปลอดภัย 3 บอกให้ทราบ  4 ที่สูญเสียไป

safe = secure, not dangerous = ปลอดภัย

107 He always comes home at 6:45 precisely.

1 slowly

2 lately

3 seriously

4 exactly

ถาม        เขามักจะกลับบ้านเวลา 6.45 นาฬิกาตรงเสมอ

ตอบ 4     บทที่ 1 หน้า 14

1 อย่างช้า ๆ 2. หมู่นี้ เร็วๆ นี้ 3 อย่างร้ายแรง      4 อย่างพอดี ถูกต้อง

precisely = exactly, accurately = อย่างถูกต้อง พอดี

108 He cannot answer because he does not _____ the question.

1 know

2 explain

3 understand

4 describe

ถาม        เขาตอบไม่ได้เพราะเขาไม่ _____ คำถาม

ตอบ3      บทที่ 8 หน้า137

1 รู้          2 อธิบาย 3 เข้าใจ 4 บรรยาย

109  She is an important ______ in Thai politics.

1 star

2 image

3 role

4 figure

ถาม        เธอเป็น _____ สำคัญคนหนึ่งในการเมืองไทย

ตอบ 4     บทที่ 2 หน้า 29

1 ดารา   2 ภาพลักษณ์        3 บทบาท               4 บุคคลสำคัญ

มีเรียนตัวเดียวคือ figure = character = บุคคลสำคัญ

110         The young reporter is very efficient.

1 announcer

2 news presenter

3 exporter

4 journalist

ถาม        ผู้สื่อข่าวหนุ่มคนนั้นมีความสามารถมาก

ตอบ 4     บทที่ 6 หน้า 92

1 ผู้ประกาศข่าว    2 ผู้นำเสนอข่าว     3 ผู้ส่งออก              4 ผู้สื่อข่าว

111         That chef has a great cooking ability.

1 cause

2 capability

3 behavior

4 abundance

ถาม        เชฟคนนั้นมีความสามารถในการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง

ตอบ 2     บทที่ 10 หน้า 167

1 สาเหตุ 2 ความสามารถ    3 พฤติกรรม 4 มากมาย

112         There is no connection between the two murder cases.

1 power

2 relation

3 link

4 intention

ถาม        ไม่มีความเกี่ยวข้องกันระหว่างคดีฆาตกรรม 2 คดี

ตอบ 3 บทที่ 6 หน้า 93

1 อำนาจ 2 ความสัมพันธ์     3 ความเกี่ยวข้อง   4 ความตั้งใจ

connection = link = ความเกี่ยวข้อง เชื่อมโยง

113 The _____ people may look clumsy because they walk slowly.

1 ugly

2 elderly

3 steady

4 lazy

ถาม        ผู้คนที่ _____ อาจจะดูงุ่มง่ามเพราะพวกเขาเดินช้า

ตอบ 2     บทที่ 1 หน้า 14

1 น่าเกลียด 2 ผู้สูงอายุ         3 อย่างมั่นคง         4 ขี้เกียจ

114 Her baby is very strong.

1 smart

2 affected

3 healthy

4 developing

ถาม ลูกของเธอแข็งแรงมาก

ตอบ 3     บทที่ 7 หน้า 117

1 ฉลาดเฉลียว       2 มีผลกระทบต่อ 3 แข็งแรง สุขภาพดี 4 กำลังพัฒนา

healthy = strong = แข็งแรง สมบูรณ์

115 Some flowers are edible.

1 lovable

2 eatable

3 suitable

4 changeable

ถาม        ดอกไม้บางชนิดรับประทานได้

ตอบ 2     บทที่ 4 หน้า 57

1 เป็นที่รัก              2 รับประทานได้ 3 เหมาะสม 4 สามารถเปลี่ยนได้

edible = eatable = รับประทานได้

116 Water is easily ______ when people are careless.

1 concerned

2 tasted

3 multiplied

4 polluted

ถาม นํ้า _____ ได้ง่ายเมื่อผู้คนไม่ระมัดระวัง

ตอบ 4 บทที่ 3 หน้า 45

1 ห่วงใยกังวล       2 รสชาติ 3 เพิ่มทวีคูณ          4 ทำให้สกปรก

polluted = tainted, stained = ทำให้สกปรก เป็นมลพิษ

117 The stamp _____ is arranged every year .

1 collection

2 work

3 exhibition

4 measurement

ถาม        _____ แสตมป์ถูกจัดขึ้นทุกปี

ตอบ 3     บทที่ 2 หน้า 29

1 การสะสม           2 งาน     3 การแสดงนิทรรศการ 4 การวัด

118         She is very popular among her friends.

1 smart

2 well-liked

3 successful

4 broad

ถาม        เธอเป็นที่ชื่นชอบมากในกลุ่มเพื่อน ๆ ของเธอ

ตอบ 2     บทที่ 2 หน้า 28

1 ฉลาดเฉลียว 2 เป็นที่รู้จัก   3 ประสบความสำเร็จ 4 กว้างขวาง

popular = well-liked = เป็นที่ชื่นชอบ

119         Raw food does not go through any process.

1 way

2 demand

3 function

4 method

ถาม        อาหารดิบไม่ผ่านกรรมวิธีใด ๆ มาก่อนเลย

ตอบ 4 บทที่ 3 หน้า 45

1 วิธีทาง 2 ความต้องการ     3 หน้าที่  4 ขบวนการกรรมวิธี

process = method, procedure = ขบวนการ กรรมวิธี

120         Tissue paper can be _____ .

1 surrounded

2 recycled

3 concerned

4 advertised

ถาม        กระดาษทิชชู่สามารถ _____ ได้.

ตอบ 2     บทที่ 3 หน้า 46

1 ถูกล้อมรอบ 2 ถูกนำไปผ่านกรรมวิธีแล้วกลับมาใช้ใหม่ได้ 3 กังวลห่วงใย 4 โฆษณา

ENG1002 ประโยคและศัพท์ทั่วไป 2/2558

การสอบภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา ENG 1002 ประโยคและศัพท์ทั่วไป

Choose the correct answer.

Part I : Structure (ภาคโครงสร้าง)

1              For over a year,  Thomas ______ tennis.

1 will have played

2 has been playing

3 will play

4 played

ตอบ 2 หน้า 68-69 หรือ 72 ใช้ Present Perfect (S + has/have + V3) แสดงเหตุการณ์ที่ เกิดติดต่อกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและจะดำเนินต่อไปในอนาคต ออกสอบทุกเทอม จำคำบอกเวลาไว้เช่น for (เป็นเวลา), since (ตั้งแต่), just (เพิ่งจะ), recently (เร็ว ๆนี้), lately, yet, already, ever, how long 5 all day (ตลอดวัน) อย่างข้อนี้มีคำบอก เวลาคือ for over a year ตอบ has played แต่ตัวเลือกไม่มีก็ให้จำเลยว่า ตอบ Present Perfect Continuous Tense (S + has/have + been + Ving) เป็นการกระทำต่อเนื่อง ที่ไม่ขาดสาย แทนได้เลย ออกสอบแบบนี้ประจำ ใช้แทนกันได้ จึงตอบ has been playing

2              His dog got _______ by the bad boy.

1 kick

2 kicking

3 kicked

4 being kicked

ตอบ 3 หน้า 163 เป็นโครงสร้างในเรื่อง Passive Voice โดยใช้ในรูปของ Verb to have หรือ Verb to get ให้จำจะออกข้อสอบประมาณ 1-2 ข้อ ก็คือ เมื่อเห็น have/ has/ had หรือ get/got ให้+V3            ดูสูตร

S + has/have/had + สิ่งของ + V3

หรือ S + get/got + V3 ได้เลย

ข้อนี้ให้ got ตอบกริยาช่องที่ 3 คือ kicked (kick)

3              If you arrive at ten, I ______ by that time.

1 have slept

2 would sleep

3 am sleeping

4 will be sleeping

ตอบ 4     ดูสูตรการใช้ If มี 4 แบบ จำให้ได้ออกสอบทุกเทอม สำหรับข้อนี้ตรงกับสูตรที่ 3

1 If      S  +    VI         ,      S     +      V1

2 If     S +    VI          ,      S     +      will V1

3 If     S +    V2         ,       S     +     would/could + V1

4 If    S  +   hadV3    ,      S     +     would have V3

ข้อนี้โจทย์สามารถตอบตรงกับสูตรที่ 2 เพราะเราเห็นกริยาช่องที่ 1 = arrive คู่กับส่วนหลัง คือ will sleep ไม่มีก็สามารถใช้รูปอนาคต Future Continuous (S + will be + Ving) แทนก็ได้

4              Henry watched TV while he _______ for his girl-friend.

1 has been waiting

2 was waiting

3 will wait

4 waits

ตอบ 2 หน้า 53 เห็น as หรือ while เป็น 2 เหตุการณ์ ให้เดาปัจจุบันคู่กับปัจจุบัน และอดีตคู่กับอดีต ดูสูตรออกทุกเทอมในการเชื่อม while หรือ as มีทั้งปัจจุบันและอดีต

1              While  S + is/am/are ving,   S +V1

As

2              While       S + is/am/are Ving, S + is/ain/are Ving

3              While/As S + was, were Ving, S +V2

4              While/As S + was, were Ving, S + was/were Ving

5              S + V2   while S + was/were Ving

watched              ตอบ was waiting

จากโจทย์ตรงกับสูตรที่ 5 ให้จำหลังคำเชื่อม While หรือ As (ในขณะที่) ใช้เหมือนกัน คือหลังคำเชื่อม As/While ตอบรูป Continuous Tense (is, am, are, หรือ อดีต was, were + Ving) ถ้าให้อดีตมาก็คู่กับอดีต ถ้าให้ปัจจุบันมาก็คู่ปัจจุบัน สำหรับ โจทย์ข้อนี้ให้ watched เป็นอดีต ฉะนั้นส่วนหลังก็คู่อดีตคือ Past Continuous = was waiting

5 Please don’t call me tomorrow. I ______ .

1 was working

2 has worked

3 will be working

4 had worked

ตอบ 3 หน้า 104 ใช้Future Simple Tense (S + will/shall + V1) แสดงเหตุการณ์ที่จะเกิดฃื้นในอนาคต มักมีคำบอกเวลา เช่น tomorrow, soon, next + ช่วงเวลา เช่น next year, next month, tonight, in a few minutes, in half an hour เป็นต้น เราตอบ will work แต่ถ้าไม่มีในตัวเลือก ยังไงก็ต้องตอบรูปอนาคต แต่เปลี่ยนเป็น Future Continuous Tense (S+will be + Ving) ก็ได้จึงตอบ will be working

6 Since 8:30 a.m., my students ______ the literature exam.

1 took

2 will have taken

3 have been taking

4 had been taking

ตอบ 3 ดูคำอธิบายในข้อ 1. ที่ผ่านมาว่าเห็นคำบอกเวลา since ก็ตอบ Present Perfect หรือ Present Perfect Continuous = have been taking ก็ได้

7              Who ______ you ______ to see tomorrow?

1 have; gone

2 are; going

3 are; gone

4 would ; see

ตอบ 2 หน้า 104 เราเห็นคำบอกเวลา tomorrow เป็นอนาคตแน่นอนว่าตอบ will you see แต่ไม่มีในตัวเลือก เราสังเกตจากที่โจทย์ว่ามี to แสดงว่าสามารถเลือกสิ่งที่แทนอนาคตได้ที่เรามีเรียนนั้นก็คือ is, am, are going to นั่นเอง จึงตอบ are you going to see

8              As Mary ______ , her legs became numb.

1 was swimming

2 will swim

3 has swum

4 is swimming

ตอบ 1 ดูคำอธิบายในข้อ 4 ที่ผ่านมาเชื่อมต้วย while/as ขึ้นต้นประโยคในสูตรที่ 3 ดังนี้

3  While/As    S + was, were Ving,                          S    +   V2

ตอบ was swimming became        (มาจาก become)

9              She ______ in this department for 44 years by next year.

1 would teach

2 will teach

3 teaches

4 will have been teaching

ตอบ 4 หน้า 112 ใช้ Future Perfect Tense (S + will/shall + have V3) หรือ Future Perfect Continuous Tense (S + will/shall + have been Ving) กับคำบอกเวลาที่ขึ้นต้นด้วย คำว่า “by” (ประมาณ ราวๆ) เช่น by next year, by the end of this year, by tomorrow, by that time หรือดูจากโจทย์ข้อนี้มีคำบอกเวลา for 44 years by next year จึง ตอบ will have been teaching นิยมออกสักข้อ

10           When Tom was young, he ______ to be a soldier.

1 will want

2 has wanted

3 wanted

4 wants

ตอบ 3 หน้า 24 – 25 ใช้ Past Simple Tense ( S + V2) แสดงถึงเหตุการณ์ที่สิ้นสุดลงไปแล้วในอดีตหรือเป็นการเล่าเรื่องราวในอดีต มักจะมีคำบอกเวลา เช่น yesterday, ago, in + ปีอดีต, in the past, last + เวลา เช่น last year, last night, last summer, last Sunday, this morning (เมื่อเช้านี้) หรือ When I was young (สมัยผมเป็นหนุ่มสาว) เป็นการเล่าอดีต ฉะนั้นจึงตอบอดีต V2 = wanted

11           What she ______ do if she can’t go to the party?

1 would

2 are

3 have

4 will

ตอบ 4 เป็นเรื่อง if ด้วยการยกมาไว้กลางประโยค ข้อนี้ตรงกับสูตรที่ 2

1  S    + V1                       if/unless      S         +             VI

2  S    + will V1                if/unless     S         +             VI

3  S   + would V1            if/unless     S         +             V2

4  S   + would have V3   if/unless     S        +       had V3

สูตรที่ 2   will she do                                               can’t go

12           While we ______ at Fashion Island, we met our former classmates.

1 were shopping

2 have been shopping

3 will have been shopping

4 shopped

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 4 หรือ 8 ก็ได้ เชื่อมด้วย While

3    While/As     S  +   was, were   Ving,   S    +    V2

ตอบ were shopping         met

13           They ______ a promotion last week.

1 will have got

2 got

3 would have got

4 have got

ตอบ 2     ดูคำอธิบายในข้อ 10 ที่ผ่านมา โดยมีคำบอกเวลาอดีตคือ last week จึงตอบ V2 = got

14           He thinks his mother ______ the scarf he bought for her.

1 will have liked

2 will like

3 would like

4 will be like

ตอบ 2     เราดูจากคำกริยา thinks (คิด) ยังเป็นความคิดอยู่และเป็นปัจจุบัน ฉะนั้นส่วนที่ตามก็ตอบในรูปของอนาคต ในทำนองเขาคิดว่าเขาจะ., อย่างนั้นอย่างนี้จึงตอบ Future ธรรมดาคือ will V1 =  will like คำหรับช้อยที่ 1 เป็นรูป Future Perfect Tense จะใช้กับโจทย์ที่มีคำบอกเวลา by…. เราได้เจอมาในข้อ 9 แล้ว ส่วน 3 would เป็นอดีตจึงผิด และ 4. will be + V3 เท่านั้น แต่นี่ be +V1 (like) ไม่ถูกหลัก

15           Phil  _____ to play golf better since 2011.

1 has been trying

2 will try

3 tries

4 tried

ตอบ 1     ดูคำอธิบายในข้อ 1 ที่ผ่านมา เห็นคำบอกเวลา since … จึงตอบ Present Perfect Tense

= has been + Ving

16           They  _____ to help the injured cow now.

1 try

2 tried

3 are trying

4 have been trying

ตอบ 3 หน้า 38 ใช้Present Continuous Tense (S + is/am/are Ving) กับเหตุการณ์หรือการกระทำที่กำลังเกิดขึ้นในขณะที่พูด เดามักคำบอกเวลาจำนะออกทุกเทอมเช่น now, right now, at the/this moment จึงตอบ are trying

17           If she sold her house, she _____ a condo near the river.

1 bought

2 had bought

3 would buy

4 have bought

ตอบ 3     ดูสูตรการใช้ If มี 4 แบบ จำให้ได้ออกสอบทุกเทอม สำหรับข้อนี้ตรงกับสูตรที่ 3

1 If             S              +             V1           ,               S              +             V1

2 If             S              +             V1           ,               S              +             will V1

3 If             S              +             V2           ,               S              +             would/could +   V1

4 If           S            +            had V3 ,               S             +             would have V3

ข้อนี้โจทย์สามารถตอบตรงกับสูตรที่ 3 เพราะเราเห็นกริยาช่องที่ 2 = sold แสดงว่าส่วน หลังก็จะเป็น would V1 = would buy

18           Digital television ______ popular among most Thais now.

1 is

2 was

3 has been

4 will be

ตอบ 1     หน้า 6 ใช้ Present Simple Tense (S + V1) แสดงเหตุการณ์หรือกไรกระทำที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เป็นนิสัย สม่ำเสมอ ทำทุกวัน ประโยคที่เป็นคำนวน สุภาษิต หรือเกิดขึ้น ในปัจจุบันมีคำบอกเวลาเช่น always, usually, often, sometimes, normally, frequently, nowadays , every + ช่วงเวลา เช่น every day (ทุกวัน) every week, every month, every year (ทุกปี) at present (ในปัจจุบัน) เป็นต้น

สำหรับข้อนี้มีคำบอกเวลาคือ now (ปัจจุบัน) ขออธิบายตรงนี้อย่างข้อ 16 มีคำบอก เวลา now เหมือนกัน เราตอบ Present Continuous ก่อนเลยเหมือนในข้อ 16 ที่ผ่านมา แต่ข้อนี้เราก็เจอ now แต่ Present Continuous ไม่มี ก็หันมาตอบ Present Simple (S +V1) เพราะยังไงก็เป็นปัจจุบัน จึงตอบ is

19           _______ in that room, I would stop him.

1 If I would

2 If I be

3 Were I

4 Had I

ฅอบ 3 หน้า 124 -130 เป็นเรื่องการตัด if ออกไปมีสูตรที่ 3 และ 4 ของ if สำหรับข้อนี้ตรงกับ สูตรที่ 3 โดยสังเกตจากส่วนหลัง มี would stop = would VI ที่ 3 ยก Were ขึ้นหน้าประธาน และส่วนหลังคู่กันคือ would V1

3              Were + S + ………  ,  S + would V1

4              Had   +   S + V3      , S + would/could have V3

(3)          Were that girl                 would stop

20           As it ______ , we stayed at school.

1 rain

2 rained

3 was raining

4 has been raining

ตอบ 3     ดูคำอธิบายข้อ 4 ข้อ 8 ข้อ 12 ก็ได้ เชื่อมด้วย While

3  While/As    S   + was, were Ving,   S   +  V2

ตอบ was raining                     stayed

21           If I had cancelled my appointment, I ______ with you.

1 might go

2 went

3 have gone

4 might have gone

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 17 ที่ผ่านมา จำใหัได้ออกสอบทุกเทอม สำหรับข้อนี้ตรงกับสูตรที่ 4

1 If             S              +             V1           ,               S              +             V1

2 If             S              +             V1           ,               S              +             will V1

3 If             S              +             V2           ,               S              +             would/could +   V1

4 If            S            +           had V3   ,             S            +      would/could/might have V3

had cancelled                                    ตอบ might have gone

22           At this time last month, we _____ in America.

1 stayed

2 will stay

3 had been staying

4 were staying

ตอบ 4 หน้า 53 ใช้Past Continuous Tense (S + was/were +Ving) แสดงเหตุการณ์ ที่กำลังดำเนินอยู่ ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งในอดีต ซึ่งมักจะมีคำบอกเวลาในอดีตด้วย เช่น (at) this time last year, at 9 p.m. last night ออกทุกเทอม 1- 2 ข้อ อย่างข้อนี้มี คำบอกเวลา at this time last month จึงตอบ were staying

23 ______ the boy my son, I _____ very glad.

1 If; will be

2 Were; would be

3 Unless; will be

4 Had; would be

ตอบ 2     ดูคำอธิบายข้อ 19 ที่ผ่านมา เป็นการตัด if ออกใน สูตรที่ 3 โดยสังเกตจากส่วนหลัง มี

3              Were + S + ……..     , S + would V1

4              Had   +  S +   V3      , S + would/could have V3

(3)          Were the boy                  would be

24           At 9 a.m. this morning, I ______to see a doctor.

1 went

2 go

3 will go

4 have gone

ตอบ 1 ดูคำอธิบายในข้อ 10 ที่ผ่านมา มีคำบอกเวลาในอดีตคือ at 9 a.m. this morning (เก้าโมงเมื่อเช้านี้) เป็นการพูดเวลาที่ผ่านไปแล้วก็ตอบเป็นอดีต คือ V2 = went

25           _____ you ______for someone now?

1 Will; wait

2 Have; been waiting

3 Were; waiting

4 Are; waiting

ตอบ 4     ดูคำอธิบายในข้อ 16 ที่ผ่านมาโดยคำบอกเวลา now เราตอบ Present Continuous Tense (S + is,am,are + Ving) ก่อนอันดับแรก ตรงกับ are you waiting

26           While my dad ______ the car, my mother cooked.

1 washed

2 will wash

3 has washed

4 was washing

ตอบ 4     ดูคำอธิบายข้อ 4 ข้อ 8 ข้อ 12 ข้อ 20 ก็ได้เหมือนกันหมดก็คือเชื่อมด้วย While

3  While/As    S   +    was, were    Ving,   S   +  V2

ตอบ was washing                      cooked

27           She wishes she ______ a talk show host.

1 were

2 is

3 will be

4 is going to be

ตอบ 1 หน้า 147 เป็นการใช้ wish ดูสูตร

1 S + wish/wishes  S            + V2 หรือ were

2 S + wished                           S + had V3

3 S + wish/wishes                 S + would/could V1

4 S + wished                           S + would/could have V3

หมายเหตุ  กลุ่มการสมมติเช่นเรื่อง as if/as though, wish, if ต้องตอบ were  ถึงแม้ประธานเป็นเอกพจน์เช่น I was, she was แต่เรื่องสมมติต้อง I were, she were ออกบ่อยมาก

28 At the moment, the company ______ on a new product.

1 is working

2 will work

3 has worked

4 will have worked

ตอบ 1     ดูคำอธิบายในต้อ 16 ที่ผ่านมาโดยมีคำบอกเวลาคือ at the moment ตอบ Present Continuous Tense  = is working

29           If Mary  _______ interview, she can get a job.

1 passes

2 had passed

3 passed

4 was passing

ตอบ 1     ดูคำอธิบายต้อ 17 ที่ผ่านมา จำให้ได้ออกสอบทุกเทอม สำหรับข้อนี้ตรงกับสูตรที่ 2

1 If          S      +      V1       ,        S      +     V1

2 If         S       +      V1       ,         S     +    will/can V1

3 If         S       +       V2       ,         S     +    would/could + V1

4 If         S       +    hadV3  ,         S  +    would/could/might have V3

สูตรที่ 2   passes  can get

30           It is true that all men ______mortal.

1 have been

2 will be

3 are

4 were

ตอบ 3     ดูคำอธิบายในข้อ 18 ที่ผ่านมา เดาจากคำว่า It is แสดงว่าเป็นปัจจุบัน ส่วนหลังก็เป็นปัจจุบัน จึงตอบ Present Simple = V1 = are

31           Bob ______ for two hours.

1 is studying

2 had studied

3 has studied

4 will have รณdied

ตอบ 3     ดูคำอธิบายในข้อ 1 ที่ผ่านมา ว่ามีคำบอกเวลา for two hours ตอบ Present Perfect Tense

(s + has/have + V.) ได้เลย = has studied

32           Sarah wishes she _____ the final exam.

1 pass

2 passes

3 had passed

4 has passed

ตอบ 3 ดูคำอธิบายในข้อ 27 ที่ผ่านมาเป็นเรื่องการใช้ wish ให้สังเกตส่วนหลังตอบเป็นอดีตหมด

1 s              +             wish/wishes S  + V2 หรือ were

2 s              +             wished s                +           had V3

3 s              +             wish/wishes         +           would/could V1

4 s              +             wished s                +           would/could have V3

ถ้ามองสูตรที่ 1 ว่าให้wishes มาตอบ V2 หรือ were แต่ในตัวเลือกไม่มี สังเกต wish เป็นการสมมติ ฉะนั้น V2 อดีตไม่มี เราก็หันมาตอบอดีตตัวอื่นแทน นั้นคือ had V3 = had passed แทนก็ได้ นอกนั้นเป็นปัจจุบันหมด ตัวเลือกที่ 1 และ 2 เป็น Present Simple

4 เป็น Present Perfect จึงผิด เราตอบ Past Simple (V2) หรือ Past Perfect (had V3) แทนกันได้

33           Usually it _____ quite warm in summer.

1 is

2 was

3 has been

4 will be

ตอบ 1     ดูคำอธิบายในข้อ 18 ที่ผ่านมา เราเห็นคำบอกเวลา usually  จึงตอบ Present Simple

Tense (S +V1) = is

34           It’s time she _____ to bed.

1 had gone

2 goes

3 must go

4 went

ตอบ 4 หน้า 148 ข้อนี้เป็นเรื่องกลุ่มสมมติที่ขึ้นประโยคด้วยคำต่อไปนี้ให้ตอบกริยาช่องที่ 2 ออก ทุกเทอม 1- 2 ข้อ

If only >

It’s time >

It’s about time>                                          S + V2

It’s high time that>

He’d rather>

I think it would be a good idea if>

ตรงกับ It’s time ตอบกริยาช่องที่ 2 คือ went

35           He acts as if he ______ guilty.

1 was not

2 were not

3 had not

4 would not

ตอบ 2 หน้า 138 – 139 เป็นเรื่อง as if/ as though

1              S + V1  as if/as though  S + V2

2              S + V2  as if/as though  S + hadV3

ตรงสูตรที่     1 acts                       ตอบ     were

หมายเหตุ การสมมติเช่นเรื่อง if, as if/as though, wish จะตอบ were ไม่ตอบ was ถึงแม้ประธานจะเป็นเอกพจน์ นั่นคือ he were, she were, it were เป็นต้น

36           They _____ married for ten years.

1 were

2 are

3 will be

4 have been

ตอบ 4     ดูคำอธิบายในข้อ 1 ที่ผ่านมา มีคำบอกเวลา คือ for ten years ออกทุกเทอม ตอบ Present Perfect = have been

37           My wife preferred that he ______ the seminar with her.

1 attends

2 attend

3 attended

4 was attending

ตอบ 2 หน้า 148 -14 9 เป็นคำกริยายกเว้นที่มี 5 ตัวเห็นแล้วตอบข้างหลังเป็นกริยาช่องที่ 1 ไม่ผัน คือกริยาไม่เติม s/ed เลย เช่น ask, want 5hาเป็น Verb to be ต้องเป็น be

S + suggest, insist, require, recommend, prefer + that    S +  V1 ไม่ผัน

preferred that ตอบ attend

38           This morning, the traffic ______ not congested.

1 was

2 is

3 has been

4 will be

ตอบ 1     ดูคำอธิบายข้อ 24 ประกอบ คำว่า This morning (เมื่อเช้านี้) แสดงว่าเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว จึงตอบอดีต V2 = was

39           During World War II, many innocent people _____ killed.

1 are

2 were

3 will be

4 have been

ตอบ 2 ดูคำอธิบาย1ข้อ 10 ที่ผ่านมา คำบอกเวลาคือ       During World War II        ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว ตอบ V2 = were

40           She _____ help her daughter if she asks her.

1 will

2 have

3 was

4 had

ตอบ 1     เป็นเรื่อง if อยู่กลางประโยค เรื่อง if ต้นประโยคกลางประโยคออกทุกเทอม

1 S              + V1          If/unless           S              +             V1

2 S              + will V1  if/unless           S              +             V1

3 S + would V1         if/unless           S            +              V2

4 S + would have V3 if/unless        S              +             had V3

สูตรที่ 2   will help                                                                         asks

41           _______ my reason, he would have agreed with me.

1 If he knew

2 Have he known

3 Had he known

4 If he has known

ตอบ 3     ดูคำอธิบายข้อ 19 ที่ผ่านมาว่าเห็นส่วนหลังเป็น would have agreed ตรงกับการตัด if ออกใน สูตรที่ 4 ดังนี้

3              Were + S +  …….. , S + would V1

4              Had +   S +   V3    , S + would/could have V3

(4)          Had he known             would have agreed

42           He wishes he ……… a superstar.

1 is

2 were

3 will be

4 is going to be

ตอบ 2     ดูคำอธิบายในข้อ27 ตอบ were

43           After the children ______ their milk, they went to bed.

1 drink

2 will be drinking

3 will drink

4 had drunk

ตอบ 4 สูตรการเชื่อมด้วย before, when, after ออกสอบทุกเทอม โดยคำเชื่อม ไว้ต้นประโยคหรือไว้กลางประโยคก็ได้

1 S + had V3 before            S + V2

2 S + V2   after                    S + hadV3

3 Before +S+V2    ,               S + hadV3

4 After + S +had V3,            S + V2

5 When + S + V2 ,               S + had V3

ตรงกับสูตรที่ 4 หลัง after ตอบ had drunk ส่วนหลังให้มาแล้ว V2 = went

44           Frank _____ lately ______ his doctorate in Sociology.

1 finishes; (blank)

2 finished; (blank)

3 has; finished

4 will; finish

ตอบ 3     ดูคำอธิบายข้อ 1 ที่ผ่านมา มีคำบอกเวลาคือ lately (หมู่นี้) ตอบ Present Perfect Tense

(S + has/have V3) = has finished

45           For a decade, Pamela _____ export business.

1 did

2 will do

3 has done

4 will have done

ตอบ 3     ดูคำอธิบายข้อ 1 เช่นกันว่าเจอคำบอกเวลา for a decade (เป็นเวลา 10 ปี) ตอบ Present Perfect Tense = has done

46           He asked me _____ anyone about it.

1 to tell not

2 to riot tell

3 not to tell

4 to tell no

ตอบ 3 หน้า 205 – 206 เป็นเรื่อง Indirect Speech เอาคำพูดมาเล่าให้ฟังอีกทีหนึ่ง แล้วเปลี่ยนให้กลาย มาเป็นประโยคบอกเล่าธรรมดา ข้อนี้เรารู้จากกริยา “asked” แสดงว่ามาจากประโยคคำสั่ง ขอร้อง แนะนำที่มีกริยาเช่น“asked/requested/begged/ordered/ordered/advised/warned” เป็นต้น ให้เชื่อม ประโยคด้วยการใช้ to และถ้ามี not ด้วย ให้ใส่ไว้หน้า to ก็เป็น not to + V1 = not to tell

47           There  _____ the parade!

1 went

2 goes

3 will go

4 has gone

ตอบ 2 หน้า 7 ใช้Present Simple Tense (S + V1) ในประโยคอุทาน สังเกตจากการลง ท้ายด้วยเครื่องหมายตกใจ หรือดูจากต้นประโยคขึ้นต้นด้วย Here, There, How + adj., What สำหรับข้อนี้ขึ้นต้นด้วย Here และประธานมี they ก็ตอบกริยาช่องที่ 1 คือ come ดูตัวอย่างอื่น ๆ เทียบดู

–              Here comes my friend!

–              How kind you are!

–              Here is the ugly cat!

ฉะนั้นข้อนี้ก็ตอบกริยาช่องที่ 1 เอกพจน์คือ goes

48           _______will you see tomorrow?

1 Which

2 Whom

3 Why

4 Whose

ตอบ        เป็นประโยคคำถามประเภท Wh-questions ออกทุกเทอมประมาณ 2-3 ข้อ เราจะเห็นประธานคือ you และมีกริยาหลักคือ see ให้เราตอบหลังกริยาแสดงต้องการรูปกรรม นั่นคือ ถามว่า ‘‘พรุ่งนี้คุณจะไปพบใคร?” จึงตอบ Whom

49           Where will you ______ next month?

1 stayed

2 stay

3 staying

4 to stay

ตอบ 2 เราเห็นกริยาช่วย will ยกไว้หน้าประธาน you เพราะเป็นประโยคคำถาม ก็เหมือนเราดูในประโยคบอกเล่าว่ากริยาช่วย will ตามด้วยกริยาช่องที่ 1 เสมอ เช่น will go, will do, will stay ทำเป็นคำถามก็เป็น will you stay เท่านั้นเอง

50           As Jack  ______ for his friend, he heard a loud noise.

1 waited

2 will wait

3 was waiting

4 has waited

ตอบ 3     ดูคำอธิบายข้อ 4/8/20/26 ที่ผ่านมาเหมือนกันหมด เรื่อง As เหมือน while ตอบ Past Continuous ได้เลย = was waiting

51           ______ did he miss his class?

1 What

2 Who

3 Why

4 Which

ตอบ 3     เป็นประโยคคำถามว่า ทำไมเขาขาดเรียน? Why = ทำไม

52           Tigers _____ wild animals.

1 are

2 were

3 will be

4 have been

ตอบ1      ดูคำอธิบายข้อ 18/30 ที่ผ่านมา ว่าเป็นประโยคที่เป็นจริงตามธรรมชาติ (เสือเป็นสัตว์ป่า) และประธานเป็นพหูพจน์จึงตอบ are (V1)

53           _____  do you want me to do?

1 Whose

2 What

3 Which

4 Where

ตอบ 2     ประโยคคำถามนี้ลงท้ายด้วยกริยา do แสดงว่าต้องการรูปกรรมว่า “คุณต้องการให้ฉันทำอะไร” = What = อะไร

54           She _____ cooking breakfast an hour ago.

1 finishes

2 finished

3 will finish

4 has finished

ตอบ 2     ดูคำอธิบายในข้อ 10 ที่ผ่านมา มีคำบอกเวลาคือ ago (ที่ผ่านมา) เป็นอดีตตอบ V2 = finished

55  _____ will you finish your homework?

1 What

2 When

3 Where

4 Which

ตอบ 2     เป็นประโยคคำถาม ว่า “คุณจะทำการบ้านเสร็จเมื่อไหร่” ถามเวลา คือ When

56           Alice  ______ in a few seconds.

1 arrive

2 arrived

3 is arriving

4 had arrived

ตอบ 3     หน้า 38 -39 เราเห็นคำบอกเวลาว่า in a few seconds (ในสองสามวินาที)แสดงว่าเป็นอนาคตใช้ Future Simple คือ will arrive แต่ไม่มีในตัวเลือก ตอบแทนอนาคตได้ ก็จะมีปัจจุบัน อดีตอย่างในตัวเลือก 2 และ 4 ผิดก่อนแล้ว เราสามารถแทนอนาคตได้มี

1 Present Simple (V1) นั่นคือ arrives เพราะประธานเป็นเอกพจน์กริยาก็ต้องเอกพจน์ คือ arrives แต่ arrive ในตัวเลือก 1 จึงไม่ถูกต้อง หันมา แทนอนาคตได้มีอีก คือ Present Continuous (is, am, are + Ving) = is arriving จึงตอบตัวเลือกที่ 3  ง่ายมากๆ ออก บ่อยเหมือนกัน

57           We should go out, _______ ?

1 shouldn’t we

2 shall we

3 shouldn’t US

4 shan’t we

ตอบ1      หน้า 175 เป็นเรื่อง tag-question ที่ให้ตอบส่วนหาง โดยกำหนดว่าถ้าข้างหน้าเป็นประโยคบอกเล่าข้างหลังจะต้องเป็นรูปปฏิเสธรูปย่อ เช่น

–              John is a student, isn’t he?

–              Tourists will visit the palace, won’t they?

เราต้องดู 2 ชุดคือ 1 เรื่องกริยาอย่างข้อนี้ให้มาคือ should ก็ตอบส่วนหางว่า shouldn’t และสรรพนามให้มาแล้วคือ we ก็ยก we ไปเลย

58           My teacher said the former name of Nakhon Ratchasima _____ Korat,

1 has been

2 is

3 be

4 were

ตอบ 2     ประโยคถึงแม้จะมีคำว่า said ก็ตามแต่ประโยคส่วนหลังเป็นความจริงว่า “ชื่อเดิมของนครราชสีมาคือโคราช” จึงตอบเป็นกริยาช่องที่ 1 ในประโยคที่เป็นจริงซึ่งข้อสอบมักให้เราตอบ ประโยคที่เป็นจริงตัวเลือกมักเป็น is หรือ are (เหมือนที่ตอบในข้อ 52 คือ are) เราไม่ตอบ be เพราะกริยายังไม่ผันตามประธาน ส่วนตัวเลือก 4 ผิดอยู่แล้วเพราะประธานเป็นเอกพจน์ were ไม่ได้ และตัวเลือก 1 has been เราตอบเจอมาหลายข้อแล้วที่มีคำบอกเวลาเช่น for, since, lately

59           The old saying “A dead man tells no tales” _____ always true.

1 is

2 was

3 will be

4 has been

ตอบ 1     ดูคำอธิบายข้อ 30 หรือ 52 ประกอบ หรือเราเดาถ้าเจอโจทย์ที่มีเครื่องหมายคำพูดแสดงว่าเป็นประโยคสำนวน สุภาษิต ตอบกริยาช่องที่ 1 ได้เลยในรูป Present Simple (VI) = is

60           She told me that she _____ her car.

1 sells

2 will sell

3 has sold

4 had sold

ตอบ4.     หน้า 86 เมื่อเห็นกริยาหลักมี “said, told, thought, asked” ส่วนหน้าให้ตอบส่วนหลังเป็นกริยาช่องที่ 2 อย่างข้อนี้คือ sold แต่ไม่มีก็ตอบ had V3 (Past Perfect Tense) = had sold ได้เลย

61           Dave _____ a doctor for many years before he changed his career.

1 was

2 will be

3 has been

4 had been

ตอบ 4     สูตรการเชื่อมด้วย before, when, after ออกสอบทุกเทอม แต่คำเชื่อมไว้ต้นประโยคหรือไว้กลางประโยคก็ได้

1 S + hadV3 before             S + V2

2 S +V2 after                        S + had V3

3 Before + S +V2   ,               S + had V3

4 After + S +had V3,            S + V2

5 When + S + V2 ,               S + hadV3

ตรงกับสูตรที่ 1 เชื่อมด้วย before กลางโจทยํให้มาส่วนหลังคือกริยาช่องที่ 2 = changed ฉะนั้นตอบส่วนหน้าคือ had been = Past Perfect Tense (S+hadV3) ในเหตุการณ์ที่เกิดก่อน ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดทีหลังตามมาใช่ Past Simple (S +V2) ดูสูตร ง่ายกว่ากันเยอะ

62           My sister said she _____ an appointment with the doctor.

1 has made

2 was making

3 would be made

4 had made

ตอบ 4     ดูคำอธิบายช่อ 60 ที่ผ่านมา

63           Now he_____ golf with his boss.

1 has been playing

2 is playing

3 plays

4 played

ตอบ 2 ดูคำอธิบายช่อ 16 ที่ผ่านมา เมื่อเห็น now ตอบ is playing

64           I _____ my friend if I could go with him.

1 asks

2 ask

3 asked

4 asking

ตอบ 3     เป็นเรื่อง indirect speech เมื่อเราเห็นเชื่อมด้วย “if หรือ whether” แสดงว่ามาจากประโยคคำถามเดิม กริยาส่วนหน้าจะเป็น asked และต้องเป็นอดีตด้วยคือมี -ed

65           He _____ to tell the truth.

1 asks

2 was asked

3 had asked

4 ask

ตอบ 2     อย่าลืม เราก็มีเรียนอีกเรื่องนั่นคือ Passive Voice ในรูปประธานถูกกระทำโดยใช่รูป verb to be + V3 สำหรับข้อนี้ เขาได้ถูกขอให้บอกความจริง จึงเป็นรูป was asked (ถูกขอ)

66           Yesterday the sun _______ around 5:30 p.m.

1 sets

2 set

3 will set

4 has set

ตอบ 2     เราเห็นคำบอกเวลา yesterday (เมื่อวานนี้) เป็นอดีตตอบกริยาช่องที่ 2 คือ set set set รูปเดิมในกริยาสามช่อง สำหรับกริยาตัวนี้ ฉะนั้นก็ตอบ set (V2)

67           A meeting ______ to clear the problem.

1 arranges

2 is arranged

3 arrange

4 had arranged

ตอบ 2     เราดูจากประธาน A meeting (การประชุม) ไม่มีชีวิตจะต้องใช่รูปถูกกระทำก็คือ ถูกจัดขึ้นมาเป็น รูป passive voice = verb to be + V3 = is arranged

68           While the children ______ TV, their mother arrived home.

1 watched

2 will have watched

3 have been watching

4 were watching

ตอบ 4     ออกบ่อยมาก ดูจากข้อข้างหน้าออกมาหลายข้อแล้ว ก็ตอบ Past Continuous Tense ได้เลย = were watching

69           Hua-Hin ______ in the South.

1 is

2 was

3 will be

4 has been

ตอบ 1     ประโยคเป็นความจริง “หัวหินอยู่ทางภาคใต้ของไทย”  จึงตอบ is

70 ______ far is the road?

1 Where

2 How

3 Why

4 When

ตอบ 2     เป็นรูปประโยคคำถามเราเห็นคำคุณศัพท์เช่น far, large, long ก็คู่กับ How ได้ เป็น How far, How large, How big เป็นต้น

71           Last year, my husband ______ a birthday party at home.

1 holds

2 held

3 had held

4 is holding

ตอบ 2     มีคำบอกเวลาคือ last year เป็นอดีต จึงตอบกริยาช่องที่ 2 คือ held มาจากกริยาช่องที่ 1 คือ hold

72           This land _____ by my ancestors.

1 owns

2 is owning

3 is owned

4 will own

ตอบ 3     ถ้าเราเห็นคำว่า by คำว่าหมายถึง “โดย” ก็เป็นประโยคถูกกระทำอีกรูปแบบหนึ่ง ฉะนั้นประธานสิ่งของว่า ที่ดินผืนนี้ถูกเป็นเจ้าของโดย…. = is owned

73           Let’s go home, _______ ?

1 win you

2 shall we

3 shall US

4 will we

ตอบ 2     สำหรับข้อนี้เป็นเรื่อง tag ส่วนหางกรณียกเว้น คือ การขึ้นต้นประโยคมี 2 กรณี ให้ตอบส่วนหลังคงที่ จำออกบ่อย เช่น

–              Let’s go home, shall we? ขึ้นต้นด้วย Let’s ให้ตอบ shall we อย่างข้อนี้

–              Clean the table, will YOU? ขึ้นต้นด้วยกริยาช่องที่ 1 ให้ตอบ will you

74           Jim ______ sentenced to death for committing a serious crime two years ago.

1 is

2 was

3 will be

4 has been

ตอบ 2     มีคำบอกเวลาอดีตคือ two years ago (เมื่อสองปีที่แถ้ว) ตอบอดีต V2 = was

  1. John had his house _______ .

1 painting

2 painted

3 being painted

4 to paint

ตอบ 2     ดูคำอธิบายข้อ 2 ที่ผ่านมา

S + has/have/had + สิ่งของ + V3

had + house (บ้าน) + V3 ก็คือ painted

 

Part II: Vocabulary (คำศัพท์)

76           You are not allowed to   wear a ______ here.

1 distance

2 factor

3 mask

4 fragment

ถาม        คุณไม่ได้รับอนุญาตให้สวม ______ ที่นี่

ตอบ 3 บทที่ 2 หน้า 29

1 ระยะทาง 2 ปัจจัย              3 หน้ากาก             4 เศษชิ้น

77           The ______ of this book is interesting.

1 chair

2 rank

3 title

4 area

ถาม         ______ ของหนังสือเล่มนี้น่าสนใจ

ตอบ 3 บทที่ 9 หน้า 153

1 ประธาน              2 ตำแหน่ง 3 ชื่อเรื่อง             4 พื้นที่

78           In many countries, ______ is measured in miles.

1 journey

2 trip

3 distance

4 tour

ถาม        ในหลาย ๆ ประเทศ ______ ถูกวัดเป็นไมล์

ตอบ 3     บทที่ 8 หน้า 138

1 การเดินทาง        2 การเดินทาง 3 ระยะทาง    4 การท่องเที่ยว

สำหรับข้อนี้ไม่ยากตรงที่ดูตัวเลือกว่าเรามีเรียนภาคศัพท์ในเล่มนี้เท่านั้นมีตัวเลือกเดียวคือ distance

79           George a fortune from his parents.

1 advertised

2 classified

3 inherited

4 affected

ถาม        จอร์จ______ทรัพย์สมบัติจากพ่อแม่ของเขา

ตอบ 3     บทที่ 2 หน้า 29

1 โฆษณา              2 จัดหมวดหมู่        3 ได้รับมรดก         4 มีผลต่อ

80           The good ______will bring success.

1 method

2 way

3 system

4 1 and 3              are correct

ถาม         ______ ที่ดีจะนำไปสู่ความสำเร็จ

ตอบ 4     บทที่ 9หน้า 153

1 วิธีแนวทาง         2 วิธีแนวทาง 3 ระบบ 4 ถูกทั้ง1และ3

81 A very famous make-up ______ died last week.

1 evidence

2 artist

3 experiment

4 experience

ถาม         ______ แต่งหน้าที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งเสียชีวิตเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ตอบ2      บทที่2 หน้า30

1 หลักฐาน

2 ศิลปินช่าง

3 การทดลอง

4 ประสบการณ์

82           When there is no moonlight, the stars will ______ .

1 affect

2 appear

3 move

4 reform

ถาม        เมื่อไม่มีแสงจันทร์ ดวงดาวก็จะ ______ .

ตอบ 2     บทที่ 7 หน้า 118

1 มีผลต่อ 2 ปรากฎโผล่ 3 เคลื่อนย้าย 4 ปฏิรูป

83           Can you _____ her to come here? We’d love to have her with US.

1 convince

2 construe

3 press

4 greet

ถาม คุณสามารถ ______ เธอมาที่นี่ได้ไหม พวกเราอยากจะให้เธอมาร่วมกับพวกเราด้วย

ตอบ 1 บทที่ 5 หน้า 78

1 โน้มน้าว              2 ตีความ 3 กดบีบ 4 ทักทาย

84           Some disease need urgent _______ .

1 development

2 health

3 treatment

4 consideration

ถาม        โรคบางชนิดต้องการ ______ ที่เร่งด่วน

ตอบ 3     บทที่ 7 หน้า 118

1 การพัฒนา 2 สุขภาพ         3 การรักษาเยียวยา              4 การพิจารณา

85           The “baby boom” ______ was born after W.W.II.

1 group

2 age

3 generation

4 period

ถาม         “เบบี้บูม” เกิดขึ้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง

ตอบ 3     บทที่ 10 หน้า 167

1 กลุ่ม 2 อายุ         3 รุ่น สมัย               4 ช่วงเวลา

86           To have good health, one needs a healthy ______ .

1 diet

2 figure

3 artist

4 company

ถาม        เพื่อการมีสุขภาพที่ดี เราต้องการ _____ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ตอบ 1     บทท 4 หนา 58

1 อาหาร 2 บุคคลสำคัญ 3 ศิลปิน       4 บริษัท

87           The doctor’s ______ is correct.

1 analysis

2 way

3 instrument

4 location

ถาม        _______ ของแพทย์นั้นเป็นที่ถูกต้อง

ตอบ 1     บทที่ 9 หนา 153

1 การวิเคราะห์ 2 แนวทาง วิธี              3 เครื่องมือเครื่องใช้               4 ทำเล ที่ตั้ง

88           There is no _____ on the moon.

1 survivor

2 living

3 physical

4 existence

ถาม        ไม่มี _____ อยู่บนดวงจันทร์

ตอบ 4     บทที่ 11 หน้า 179

1 ผู้รอดชีวิต 2 มีชีวิตอยู่        3 ทางกายภาพ      4 สิ่งมีชีวิต

89           Lions are ______ ; men are not.

1 crimes

2 beasts

3 consumers

4 companies

ถาม        สิงโตเป็น ______ แต่มนุษย์ไม่เป็น

ตอบ 2     บทที่ 5 หน้า 77

1 อาชญากรรม      2 สัตว์โลก              3 ผู้บริโภค              4 บริษัท

90           When you drive, you have to _____ the wheel.

1 treat

2 manage

3 mend

4 control

ถาม        เมื่อคุณขับรถ คุณต้อง _____ ล้อ

ตอบ 4 บทที่7 หน้า 118

1 ปฏิบัติต่อ รักษา 2 จัดการ 3 ซ่อมแซม              4 ควบคุม

91           John is ______ for his corruption.

1 various

2 notorious

3 healthy

4 genetic

ถาม จอห์น _____ กับการฉ้อโกงของเขา

ตอบ 2     บทที่ 2 หน้า 29

1 หลากหลาย        2 มีชื่อเสียงในทางไม่ดี 3 แข็งแรง         4 ทางพันธุกรรม

92           The child has _____ problems from her upbringing.

  1. wisdom

2 heart

3 brain

4 mental

ถาม        เด็กคนนั้นมีฟ้ญหา _____ จากการเลี้ยงดูอบรมสั่งสอนของเธอ

ตอบ 4     บทที่ 11 หน้า 179

1 ความเฉลียวฉลาด 2 หัวใจ 3 สมอง   4 ทางจิตใจ

มีเรียน mental เกี่ยวกับทางจิตใจ ตัวเดียว

93           Police have found more ______ in the murder case.

1 crowd

2 equal

3 evidence

4 exhibition

ถาม        ตำรวจพบ ______ เพิ่มขึ้นในคดีฆาตกรรม

ตอบ 3     บทที่ 5 หน้า78

1 ฝูงชน   2 เท่าเทียมกัน       3 หลักฐาน             4 นิทรรศการ

94           This method of teaching aims at the student ______ .

1 center

2 way

3 direction

4 conclusion

ถาม        วิธีการสอนนี้มุ่งไปยัง ______ นักศึกษา

ตอบ 1 บทที่ 12 หน้า 212

1 ศูนย์กลาง 2 แนวทางวิธี    3 ทิศทาง 4 การสรุป

95           She accepted a new job for ______reasons.

1 various

2 huge

3 impossible

4 notorious

ถาม        เธอยอมรับงานใหม่ด้วยเหตุผล ______ .

ตอบ 1     บทที่ 1 หน้า 13

1 ที่หลากหลาย     2 ใหญ่โต 3 เป็นไปไม่ได้        4 มีชื่อเสียงในด้านไม่ดี

96           Don’t _____ the small details.

1 cross

2 overlook

3 watch

4 stare

ถาม อย่า ______ รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ

ตอบ 2     บทที่ 9 หน้า 153

1 ข้าม     2 มองข้าม              3 เฝ้าดู   4 จ้อง

97           The black box has the _____ of the flight.

1 history

2 legend

3 record

4 story

ถาม        กล่องดำมี _____ ของการบินของเครื่องบิน

ตอบ 3     บทที่ 12 หน้า 213

1 ประวัติศาสตร์ 2 ตำนาน    3 บันทึก ประวัติ     4 เรื่องราว

98           An unhappy school _____ can affect a student’s education.

1 company

2 environment

3 appliance

4 ability

ถาม         ______ ของโรงเรียนที่ไม่มีความสุขสามารถส่งผลต่อการเรียนของนักเรียนได้

ตอบ 2     บทที่ 3 หน้า46

1 บริษัท 2 สิ่งแวดล้อม          3 เครื่องมือเครื่องใช้               4 ความสามารถ

99           In winter all of the houses were ______ with snow.

1 devoted

2 demanded

3 enlarged

4 covered

ถาม        ในฤดูหนาว บ้านทุกหลังถูก _____ ด้วยหิมะ

ตอบ 4     บทที่ 5 หน้า 77

1 อุทิศตน               2 ต้องการเรียกร้อง 3 ทำให้ใหญ่ขึ้น      4 ปกคลุม

100         He _____ in the forest by eating forest fruit.

1 tried

2 walked

3 survived

4 helped

ถาม        เขา ______ ในป่าด้วยการกินผลไม้ป่า

ตอบ 3     บทที่ 11 หน้า 179

1 พยายาม 2 เดิน  3 รอดชีวิต              4 ช่วยเหลือ

101         He experimented over  and over until he felt satisfied with the result.

1 tested

2 enlarged

3 forgave

4 devoted

ถาม        เขาได้ทำการทดลองครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งเขารู้สึกพึงพอใจกับผลลัพธ์

ตอบ 1     บทที่ 4 หน้า 59

1 ทำการทดลอง 2 ทำให้ใหญ่ขึ้น         3 ยกโทษให้อภัย    4 อุทิศตน

experimented = tested = ทำการทดลอง

102         We met each other by a coincidence.

1 action

2 event

3 accident

4 intention

ถาม        เราเจอกันด้วยเหตุบังเอิญ

ตอบ 3     บทที่ 8 หน้า 138

1 การกระทำ 2 เหตุการณ์    3 เหตุบังเอิญ         4 ความตั้งใจ

coincidence = accident = โดยเหตุบังเอิญ

103         The rescue team rescued a dog from drowning.

1 saved

2 inherited

3 interviewed

4 healed

ถาม        หน่วยกู้ภัยช่วยเหลือสุนัขจาการจมนํ้า

ตอบ 1 บทที่ 2 หน้า 30

1 ช่วยเหลือจากอันตราย 2 ได้รับมรดก               3 สัมภาษณ์ 4 รักษา

104         She actually drove the car when the accident happened.

1 instantly

2 really

3 intentionally

4 finally

ถาม        อันที่จริงแล้วเธอเป็นขับรถเมื่อตอนที่อุบัติเหตุเกิดขึ้น

ตอบ 2 บทที่ 10 หน้า 167

1 อย่างสม่ำเสมอ 2 อันที่จริง 3 อย่างตั้งใจ          4 ในที่สุด

105         What is your attitude towards soldiers?

1 damage

2 process

3 mind

4 disease

ถาม        ทัศนคติของคุณที่มีต่อทหารคืออะไร

ตอบ 3     บทที่ 3 หน้า 47

1 ความเสียหาย    2 กระบวนการ 3 ทัศนคติ      4 โรค เชื้อโรค

106         Respect does not occur  from power but from good deeds.

1 electric

2 force

3 central

4 treat

ถาม        การเคารพนับถือไม่ได้เกิดขึ้นจากอำนาจแต่มาจากการกระทำความดี

ตอบ 2 บทที่ 8 หน้า 138

1 ไฟฟ้า 2 อำนาจ  3 ศูนย์กลาง           4 รักษา

107         His ability is outstanding.

1 knowledge

2 capability

3 degree

4 power

ถาม        ความสามารถของเขาเป็นที่โดดเด่น

ตอบ 2     บทที่ 10 หน้า 167

1 ความรู้ 2 ความสามารถ    3 ระดับ   4 อำนาจ

108         I won’t concern myself about it at all.

1 worry

2 gift

3 garnish

4 honor

ถาม        ตัวของฉันเองจะไม่กังวลเกี่ยวกับมันเลย

ตอบ 1     บทที่ 3 หน้า 46

1 กังวล 2 พรสวรรค์              3 สิ่งที่ใช้ตกแต่งอาหาร 4 ให้เกียรติ

109         I’m not related to Pim at all.

1 bereaved

2 active

3 edible

4 associated

ถาม        ฉันไม่เกี่ยวข้องกับพิมเลย

ตอบ 4     บทที่ 6 หน้า 93

1 ที่สูญเสียไป 2 กระฉับกระเฉง           3 สามารถทานได้  4 เกี่ยวข้อง

110         The lesson was wrongly construed.

1 told

2 translated

3 refined

4 explained

ถาม        บทเรียนนี้ถูกตีความไว้อย่างไม่ถูกต้อง

ตอบ 4 บทที่ 8หน้า 138

1 บอก     2 แปลความ           3 ทำให้สละสลวย 4 อธิบายตีความ

111         This car is produced in a fixed number.

1 large

2 excellent

3 limited

4 familiar

ถาม        รถยนต์รุ่นนี้ถูกผลิตในจำนวนที่จำกัด

ตอบ 3 บทที่ 10 หน้า 167

1 ขนาดใหญ่ 2 ยอดเยี่ยม วิเศษ 3 จำกัด            4 คุ้นเคย

112         The number of murders is increasing every year.

1 killings

2 centers

3 calories

4 connections

ถาม        จำนวนของการฆาตกรรมกำลังเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปี

ตอบ 1     บทที่ 6 หน้า 92

1 การฆาตกรรม 2 ศูนย์กลาง               3 แคลอรี่                 4 ความเกี่ยวข้อง

113         They have a very deep connection.

1 victim

2 activity

3 link

4 neighbor

ถาม        พวกเขามีความเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง

ตอบ 3     บทที่ 6 หน้า 93

1 เหยื่อ   2 กิจกรรม 3 ความเกี่ยวข้อง 4 เพื่อนบ้าน

114         He has a complex personality.

1 double

2 difficult

3 detailed

4 complicated

ถาม        เขามีบุคลิกที่ซับซ้อน

ตอบ 4     บทที่ 11 หน้า 179

1 สองเท่า               2 ยาก     3 รายละเอียด 4 สลับซับซ้อน

115         Pim’s ancestors were from Burma.

1 artists

2 forebears

3 figures

4 attitudes

ถาม        บรรพบุรุษของพิมมาจากพม่า

ตอบ 2     บทที่ 5 หน้า 78

1 จิตรกร 2 บรรพบุรุษ           3 บุคคลสำคัญ      4 ทัศนคติ

116         This shop sells many kinds of appliances.

1 instruments

2 tools

3 gadgets

4 machines

ถาม        ร้านมีขายเครื่องมือเครื่องใช้หลายประเภทจำนวนมาก

ตอบ 1     บทที่ 7 หน้า 118

1 เครื่องมือ เครื่องใช้ 2 อุปกรณ์ 3 เครื่องใช้ในครัว 4 เครื่องจักร

117         Roy was one of the bystanders at the scene of the incident.

1 demands

2 passers-by

3 directions

4 diseases

ถาม        รอยเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่สัญจรไปมาในบริเวณที่เกิดอุบัติเหตุ

ตอบ 2 บทที่ 6 หน้า 93

1 ต้องการ เรียกร้อง 2 ตู้ที่สัญจรไปมา 3 ทิศทาง 4 โรค เชื้อโรค

118         He checked the letter before sending.

1 corrected

2 examined

3 cheered

4 shook

ถาม        เขาตรวจทานจดหมายก่อนส่งไป

ตอบ 2     บทที่ 12 หน้า 212

1 แก้ไข   2 ตรวจสอบ           3 โห่ร้อง  4 สั่นเขย่า

119         Paul is one of the native people of the province.

1 active

2 indigenous

3 awesome

4 bereaved

ถาม พอลเป็นหนึ่งในบรรดาคนพื้นเมืองของจังหวัดนี้

ตอบ 2     บทที่ 5 หน้า 77

1 กระฉับกระเฉง 2 พื้นเมือง 3 ดีเยี่ยม 4 ที่สูญเสียไป

120         Our OTOP products are the equal oFf those produced anywhere.

1 huge

2 same

3 related

4 associated

ถาม        สินค้าโอทอปของพวกเราเป็นที่ทัดเทียมกับสินค้าที่ผลิตออกมาไม่ว่าที่ไหนก็ตาม

ตอบ 2 บทที่ 1 หน้า 14

1 ใหญ่โต   2 เท่าเทียมกัน    3 เกี่ยวข้อง             4 เกี่ยวข้องกับ

WordPress Ads
error: Content is protected !!