LAW1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมสัญญา S/2548

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LW  203  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  นายกิ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ  ได้ส่งจดหมายทางไปรษณีย์เสนอขายบ้านของตน  1  หลัง  ราคา  2  ล้านบาท  ไปยังนายก้านซึ่งอยู่ที่จังหวัดแพร่  เมื่อวันที่  1  พฤษภาคม  2549  หลังจากส่งจดหมายไปแล้วนายกิ่งได้ประสบอุบัติเหตุถึงแก่ความตายในวันที่  2  พฤษภาคม  2549  นายก้านได้รับจดหมายเสนอขายบ้านของนายกิ่งในวันที่  3  พฤษภาคม  2549  

พอวันที่  5  พฤษภาคม  2549  นายก้านได้ตอบตกลงซื้อบ้านไปยังนายกิ่ง  วันที่  6  พฤษภาคม  2549  นายก้านได้ทราบข่าวการตายของนายกิ่ง  วันที่  7  พฤษภาคม  2549  ทายาทของนายกิ่งได้รับจดหมายตอบตกลงซื้อบ้านของนายก้าน  ดังนี้อยากทราบว่า

(1) การแสดงเจตนาเสนอขายบ้านของนายกิ่งมีผลในกฎหมายประการใด  เพราะเหตุใด

(2) สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างทายาทของนายกิ่งกับนายก้านเกิดขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  169  วรรคสอง  การแสดงเจตนาที่ได้ส่งออกไปแล้วย่อมไม่เสื่อมเสียไป  แม้ภายหลังการแสดงเจตนานั้นผู้แสดงเจตนาจะถึงแก่ความตาย

มาตรา  360  บทบัญญัติแห่งมาตรา  169  วรรคสองนั้น  ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าหากว่า…ก่อนจะสนองรับนั้น  คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่า  ผู้เสนอตาย

วินิจฉัย

(ก)  นายกิ่งได้แสดงเจตนาโดยส่งจดหมายเสนอขายบ้าน  1  หลัง  ราคา  2  ล้านบาทให้แก่นายก้าน  เมื่อนายกิ่งได้ส่งจดหมายซึ่งเป็นการแสดงเจตนาไปแล้ว  ถึงแม้หลังจากนั้นนายกิ่งได้ถึงแก่ความตาย  การแสดงเจตนาขายบ้านของนายกิ่งก็ยังมีผลสมบูรณ์ไม่เสื่อมเสียไป  ตามมาตรา  169  วรรคสอง

(ข)  นายก้านได้รับจดหมายเสนอขายบ้านของนายกิ่งในวันที่  3  พฤษภาคม  2549  จึงได้ตอบตกลงซื้อบ้านไปยังนายกิ่งในวันที่  5  พฤษภาคม  โดยไม่ทราบข่าวการตายของนายกิ่ง  สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างทายาทของนายกิ่งกับนายก้านจึงเกิดขึ้น  เพราะนายก้านมาทราบข่าวการตายของนายกิ่งในวันที่  6  พฤษภาคม  2549  หลังจากได้ตอบจดหมายตกลงซื้อไปแล้ว  กรณีนี้จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตาม  มาตรา  360

ข้อ  2  นายแดงเป็นหนี้เงินกู้นายดำจำนวน  
200,000  บาท  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  นายแดงก็ไม่นำเงินไปชำระ  นายดำได้ทวงถามให้ชำระหลายครั้ง  นายแดงก็ยังผิดนัดชำระหนี้ตลอดมา  นายดำจึงขู่นายแดงว่าถ้าไม่หาทรัพย์มาเป็นหลักประกันจะฟ้องเรียกเงินกู้ต่อศาล  นายแดงกลัวถูกฟ้องจึงได้นำสร้อยคอทองคำหนักหนึ่งบาทมาให้นายดำยึดไว้เป็นหลักประกัน  กรณีนี้นายแดงอ้างว่าการที่ตนนำสร้อยคอทองคำมาให้นายดำยึดไว้เป็นเพราะการข่มขู่ของนายดำจึงตกเป็นโมฆียะ  ดังนี้อยากทราบว่า  ข้ออ้างของนายแดงฟังขึ้นหรือไม่  เพราเหตุใด
ธงคำตอบมาตรา  165  การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม  ไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่วินิจฉัยนายแดงเป็นหนี้เงินกู้นายดำ  จำนวน  200,000  บาท  เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายแดงไม่นำเงินไปชำระ  นายดำจึงขู่นายแดงว่าถ้าไม่หาทรัพย์มาเป็นหลักประกันจะฟ้องเรียกเงินกู้ต่อศาล  นายแดงกลัวถูกฟ้องจึงได้นำสร้อยคอทองคำหนักหนึ่งบาทมาให้นายดำยึดไว้เป็นหลักประกัน  เช่นนี้นายแดงจะอ้างว่าการที่ตนนำสร้อยคอทองคำมาให้นายดำยึดไว้เป็นเพราะการข่มขู่ของนายดำจึงตกเป็นโมฆียะหาได้ไม่  เพราะนายดำมีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย ที่จะฟ้องนายแดงต่อศาลได้อยู่แล้ว  เป็นการใช้สิทธิตามปกตินิยม  ไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่สรุป  ข้ออ้างของนายแดงฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ  3  นายเอกได้ยืมรถยนต์จากนายโท  1  คัน  เมื่อวันที่  10  เมษายน  2549  โดยจะไปทำธุระที่จังหวัดเชียงใหม่กำหนดระยะเวลา 1  เดือนแล้วจะนำมาคืน  ปรากฏว่านายเอกทำธุระไม่เสร็จเมื่อถึงวันครบกำหนดจึงขอขยายระยะเวลาออกไปอีก  7  วัน  โดยมิได้มีการกำหนดวันเริ่มต้นแห่งระยะเวลาที่ขยายออกไป  นายโทตกลงยินยอมให้ขยายได้  ดังนี้อยากทราบว่า

(ก)  กำหนดระยะเวลา  1  เดือน ที่นายเอกจะต้องนำรถยนต์มาคืนให้แก่นายโท  จะครบกำหนดเมื่อใด  จงอธิบาย

(ข)  ระยะเวลาที่ขยายออกไปอีก  7  วัน  จะตรงกับวันใด  จงอธิบายธงคำตอบ

มาตรา  193/3  วรรคสอง  ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็น…เดือน…มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน…

มาตรา  193/5  วรรคสอง  ถ้าระยะเวลามิได้กำหนดนับแต่วันต้นแห่ง…เดือน…ระยะเวลา  ย่อมสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่ง…เดือน…สุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลานั้น…

มาตรา  193/7  ถ้ามีการขยายระยะเวลาออกไปโดยมิได้มีการกำหนดวันเริ่มต้นแห่งระยะ เวลาที่ขยายออกไปให้นับวันที่ต่อจากวันสุดท้ายของระยะเวลาเดิมเป็นวันเริ่ม ต้น

วินิจฉัย

(ก)  นายเอกได้ยืมรถยนต์จากนายโท  1  คัน  เมื่อวันที่  10  เมษายน  2549  มีกำหนดระยะเวลา  1  เดือน  การเริ่มต้นนับระยะเวลามิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน  ให้เริ่มนับหนึ่งในวันรุ่งขึ้นคือวันที่  11  เมษายน  2549  ซึ่งวันที่  11  เมษายน  2549  มิใช่วันต้นแห่งเดือน  ดังนั้นระยะเวลา  1  เดือน  ย่อมสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งเดือนสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่มคือวันที่  10  พฤษภาคม  2549 

ดังนั้น นายเอกจะต้องนำรถยนต์มาคืนให้แก่นายโท  ในวันที่  10  พฤษภาคม  2549

(ข)  เมื่อนายเอกต้องนำรถยนต์มาคืนให้แก่นายโทในวันที่  10  พฤษภาคม  2549  แต่นายเอกได้ขอขยายระยะเวลาออกไปอีก  7  วัน  โดยมิได้มีการกำหนดวันเริ่มต้นแห่งระยะเวลาที่ขยายออกไป  ระยะเวลาที่ขยายออกไปจึงต้องเริ่มนับวันที่ต่อจากวันสุดท้ายของระยะเวลาเดิมเป็นวันเริ่มต้น  คือวันที่  11  พฤษภาคม  2549  ระยะเวลา  7  วันจึงสิ้นสุดลงในวันที่  17  พฤษภาคม  2549

ดังนั้นระยะเวลาที่ขยายออกไปอีก  7  วัน  จะตรงกับวันที่  17  พฤษภาคม  2549

 


ข้อ  4  ในวันที่  1  พฤษภาคม  2549  นายอาทิตย์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายม้าชื่อแก้ววิเศษจากนายพุธ  1  ตัว  ราคา  3  แสนบาท  โดยมีเงื่อนไขบังคับก่อนว่านายพุธจะส่งมอบม้า แก้ววิเศษให้แก่นายอาทิตย์พร้อมทั้งขอรับชำระเงินทั้งหมดต่อเมื่อนายอาทิตย์ ถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล  รางวัลที่  2  ในงวดวันที่  16  พฤษภาคม  2549  ต่อมาวันที่  13  พฤษภาคม  2549  ได้เกิดฝนตกหนักฟ้าจึงผ่าคอกม้าของนายพุธ  เป็นเหตุให้ม้าชื่อแก้ววิเศษโดนฟ้าผ่าถึงแก่ความตาย  ดังนี้  อยากทราบว่า  นายอาทิตย์จะต้องชำระเงินจำนวน  3  แสนบาท  ให้แก่นายพุธหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  371  วรรคแรก  บทบัญญัติที่กล่าวมาในมาตราก่อนนั้น  ท่าน มิให้ใช้บังคับถ้าเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่มีเงื่อนไขบังคับก่อนและทรัพย์อัน เป็นวัตถุแห่งสัญญานั้นสูญหายหรือทำลายลงในระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ

วินิจฉัย

ในวันที่  1  พฤษภาคม  2549  นายอาทิตย์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายม้าชื้อแก้ววิเศษจากนายพุธ  1  ตัว  ราคา  3  แสนบาท  โดยมีเงื่อนไขบังคับก่อนว่านายพุธจะส่งมอบม้าให้แก่นายอาทิตย์พร้อมทั้งขอรับเงินทั้งหมด  ต่อเมื่อนายอาทิตย์ถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลรางวัลที่  2  ปรากฏว่าวันที่  13  พฤษภาคม  2549  ฟ้าผ่าม้าแก้ววิเศษถึงแก่ความตาย  ม้าซึ่งเป็นทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาได้สูญหรือทำลายไปในระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จจึงมิให้นำมาตรา  370  มาใช้บังคับตาม  มาตรา  371  แม้สัญญาซื้อขายม้าแก้ววิเศษจะเป็นทรัพย์เฉพาะสิ่ง  แต่ถ้าเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่มีเงื่อนไขบังคับก่อนและทรัพย์นั้นได้สูญหรือทำลายไปในระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ  กรรมสิทธิ์ในทรัพย์นั้นย่อมเป็นของผู้ขายคือนายพุธ  ความเสียหายจึงตกเป็นพับแก่นายพุธ  นายพุธจะเรียกให้นายอาทิตย์ชำระเงินค่าม้าแก้ววิเศษไม่ได้

สรุป  นายอาทิตย์จึงไม่ต้องชำระเงินค่าม้าให้แก่นายพุธแต่อย่างใด

LAW1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมสัญญา 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LW  203  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  ชเยน  ตกลงจ้าง  พิมพ์มณี  มาเป็นนักแสดงละครทีวีโดยเข้าใจว่าพิมพ์มณีเป็นหลานสาวของคุณหญิงพิมพ์แข  ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเสียง  เพราะจะทำให้ละครของตนโด่งดัง  มีผู้ติดตามดูมากและหาผู้สนับสนุนละครได้ง่าย  แต่ความจริงพิมพ์มณีมีชื่อจริงว่า  เหมียว  เป็นบุตรสาวของแม่ค้าขายขนม  

หลังจากตกลงจ้างแล้ว  เมื่อเริ่มการถ่ายทำละคร  ปรากฏว่าพิมพ์มณีก็แสดงได้ดีสมบทบาทของการเป็นนักแสดงทุกอย่าง  หลังจากถ่ายละครไปได้สองครั้ง  ชเยนทราบความจริงว่าพิมพ์มณีนั้นแท้จริงมิใช่หลานสาวของคุณหญิงพิมพ์แข  จึงไม่ประสงค์จะจ้างให้ถ่ายละครต่อไป  หากชเยนมาปรึกษาท่านว่า  จะทำประการใดได้บ้างหรือไม่  ท่านจะแนะนำชเยนอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  157  การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน  เป็นโมฆียะ

ความสำคัญผิดตามวรรคหนึ่ง  ต้องเป็นความสำคัญผิดในคุณสมบัติซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ  ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิดดังกล่าว  การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น

วินิจฉัย

การที่ชเยนตัดสินใจจ้างพิมพ์มณีมาเป็นนักแสดงโยสำคัญผิดว่าเป็นหลานคุณหญิงพิมพ์แข  แต่ความจริงไม่ใช่นั้น  กรณีนี้ถือได้ว่าชเยนได้แสดงเจตนาโยความสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลคือพิมพ์มณี  ซึ่งแต่เนื่องจากว่าคุณสมบัติของพิมพ์มณีดังกล่าวหาเป็นผลให้สัญญาจ้างดังกล่าวตกเป็นโมฆียะไม่  

เพราะจากข้อเท็จจริงได้ความว่า  ถึงแม้พิมพ์มณีจะมิได้เป็นคนๆเดียวกันตามที่ชเยนเข้าใจ  แต่พิมพ์มณีก็ยังสามารถแสดงละครทีวีได้เป็นอย่างดีสมความต้องการของชเยน  ดังนี้ถือได้ว่าความสำคัญผิดของชเยนหาใช่สาระสำคัญสำหรับสัญญาจ้างนักแสดงรายนี้แต่อย่างใดไม่  สัญญาดังกล่าวจึงสมบูรณ์ใช้บังคับได้

สรุป  หากชเยนมาปรึกษาข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าจะแนะนำว่า  สัญญานี้สมบูรณ์  ชเยนจึงไม่จำต้องทำประการใดเลย  สัญญาหรือนิติกรรมรายนี้หาตกเป็นโมฆียะ  อันจะทำให้ชเยนมีสิทธิบอกล้างได้แต่อย่างใด

 


ข้อ  2  นาย  ก.  คนไร้ความสามารถ  มีนาย  ข.  บิดาเป็นผู้อนุบาล    เมื่อนาย  ก.  อายุ  18  ปี  ได้ทำสัญญาขายสร้อยคอทองคำหนัก  2  บาท  ให้นาย  ค.  ในราคา  
5,000  บาท  โดยที่นาย  ข.  มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยแต่ประการใด  ในขณะที่นาย  ก.  อายุ  21  ปี  หายจากอาการวิกลจริต  นาย  ข.  ได้ร้องขอต่อศาลและศาลสั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้นาย  ก.  เป็นคนไร้ความสามารถแล้ว  ต่อมานาย  ก.  อายุ  25  ปี  ได้รู้ว่าในขณะที่ตนเป็นคนไร้ความสามารถนั้น  ได้ทำสัญญาขายสร้อยคอทองคำให้นาย  ค.  ไปในราคาถูก  จึงมีความประสงค์จะบอกเลิกสัญญาซื้อขายนี้  แต่เห็นว่าสัญญาซื้อขายนี้ทิ้งระยะเวลาไว้นานถึง  7  ปีแล้ว  จึงมาปรึกษาท่าน

ให้ท่านแนะนำนาย  ก.  ว่า  นาย ก.เป็นผู้มีสิทธิบอกล้างโมฆียะกรรมรายนี้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  175  โมฆียะกรรมนั้น  บุคคลต่อไปนี้จะบอกล้างเสียก็ได้

(2) บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ  เมื่อบุคคลนั้นพ้นจากการเป็นคนไร้ความสามารถแล้ว

มาตรา  179  การให้สัตยาบันแก่โมฆียกรรมนั้น  จะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้กระทำภายหลังเวลาที่มูลเหตุให้เป็นโมฆียะกรรมนั้นหมดสิ้นไปแล้ว

วรรคสอง  บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ  จะให้สัตยาบันแก่โมฆียกรรมต่อเมื่อได้รู้เห็นซึ่งโมฆียกรรมนั้น  ภายหลังที่บุคคลนั้นพ้นจากการเป็นคนไร้ความสามารถแล้ว

มาตรา  181  โมฆียะกรรมนั้น  จะบอกล้างมิได้เมื่อพ้นเวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้หรือเมื่อพ้นเวลาสิบปีนับแต่ได้ทำนิติกรรมอันเป็นโมฆียะนั้น

วินิจฉัย

ข้าพเจ้าให้คำแนะนำแก่นาย  ก.  ดังนี้  นาย  ก.  เป็นผู้มีสิทธิบอกล้างโมฆียกรรม  เพราะนาย  ก.  พ้นจากการเป็นคนไร้ความสามารถแล้ว  เมื่อนาย  ก.  อายุ  21  ปี  (มาตรา  175 (2))

นาย  ก.  ยังมีสิทธิบอกล้างแม้ระยะเวลาของสัญญาซื้อขายจะนานถึง  7  ปีแล้วก็ตาม  เพราะระยะเวลานั้นยังไม่พ้นเวลา  10  ปี  นับแต่ได้ทำสัญญาซื้อขายอันเป็นโมฆียะแต่อย่างไร  (มาตรา  181)

แต่นาย  ก.  จะต้องล้างภายในกำหนดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้  กล่าวคือ  จะบอกล้างมิได้เมื่อพ้นเวลา  1  ปี  นับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้  (มาตรา  181)  ซึ่งได้แก่เวลาที่มูลเหตุให้เป็นโมฆียกรรมนั้นหมดสิ้นไปแล้ว  (มาตรา  179  วรรคหนึ่ง)  สำหรับกรณีนาย  ก.  คนไร้ความสามารถได้แก่เวลาเมื่อ  นาย  ก.  ได้รู้เห็นซึ่งโมฆียกรรมนั้นตอนอายุ  25  ปี  และภายหลังที่พ้นจากการเป็นคนไร้ความสามารถ  (ตามมาตรา  179  วรรคสอง)  นั่นคือ  นาย  ก.  ต้องบอกล้างภายในกำหนดอายุของนาย  ก.  ไม่เกิน  26  ปี

สรุป  นาย  ก.  เป็นผู้มีสิทธิบอกล้าง  และต้องบอกล้างภายในอายุ  26  ปี

 

ข้อ  3  เมื่อวันที่  5  มีนาคม  2547  นางสาวลัดดาได้ทำสัญญาจ้างนางสมจิตซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายเพชรทำแหวนเพชร  1  วง  ราคา  1  แสนบาท  โดยตกลงจะมารับแหวนเพชรในวันที่  25  มีนาคม  2547  พร้อมทั้งชำระเงินค่าแหวนทั้งหมด  เมื่อถึงวันครบกำหนดมารับแหวน  นางสาวลัดดาจ่ายเงินให้นางสมจิตรเพียง  2  หมื่นบาท  ส่วนที่เหลืออีก  8  หมื่นบาท  นางสมจิตยินยอมให้นางสาวลัดดานำมาชำระให้ในวันที่  1  เมษายน  2547  เมื่อหนี้ถึงกำหนดนางสาวลัดดาไม่นำเงินมาชำระ  นางสมจิตได้ติดตามทวงถามตลอดมาจนกระทั่งวันที่  16  มีนาคม  2549

ซึ่งเหลือเวลาอีก  15  วันจะครบกำหนดอายุความ  2  ปี  นางสมจิตได้ส่งจดหมายทวงหนี้ไปถึงนางสาวลัดดาให้นำเงินมาชำระภายในวันที่  22  มีนาคม  2549  มิฉะนั้นจะนำคดีไปฟ้องศาลต่อไป  จดหมายไปถึงบ้านนางสาวลัดดาในวันที่  19  มีนาคม  2549  แต่ปรากฏว่านางสาวลัดดาไม่อยู่บ้าน

นางลินดาซึ่งเป็นมารดาของนางสาวลัดดาเป็นคนรับจดหมายจึงได้เปิดออกอ่าน  เมื่อทราบข้อความแล้วเกรงว่าบุตรของตนจะถูกฟ้องศาล  ในวันที่  20  มีนาคม  2549  นางลินดาจึงได้เขียนจดหมายรับสภาพหนี้ต่อนางสมจิต  มีใจความว่า  นางลินดายินยอมจะชำระหนี้แทนนางสาวลัดดาทั้งหมด  และจะนำเงินไปชำระให้ที่บ้านของนางสมจิตในวันที่  25  มีนาคม  2549

ครั้นถึงกำหนดนางลินดาหาเงินจำนวนดังกล่าวไม่ได้จึงไม่ได้นำเงินไปชำระ  นางสมจิตจึงฟ้องนางสาวลัดดาต่อศาลในวันที่  13  กันยายน  2549  นางสาวลัดดาต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความแล้ว  นางสมจิตอ้างว่ายังไม่ขาดอายุความ  เพราะอายุความสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่  20  มีนาคม  2549  ดังนี้  อยากทราบว่าข้ออ้างของนางสมจิตฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

หมายเหตุ  มาตรา  193/34  สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความสองปี

(1) ผู้ประกอบการค้า… เรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบ…

ธงคำตอบ

มาตรา  193/14  อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1)  ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง  โดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้

วินิจฉัย

นางสาวลัดดาได้ค้างจ่ายเงินค่าจ้างทำแหวนเพชรแก่นางสมจิตรเป็นเงินจำนวน  8  หมื่นบาท  โดยกำหนดจะนำมาชำระให้ในวันที่  1  เมษายน  2547  เมื่อหนี้ถึงกำหนด  นางสาวลัดดาไม่นำเงินมาชำระ  ต่อมาเมื่อวันที่  20  มีนาคม  2549  นางลินดาซึ่งเป็นมารดาของนางสาวลัดดาได้เขียนหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่นางสมจิตร  และพร้อมที่จะนำเงินไปชำระให้ในวันที่  25  มีนาคม  2549  การที่นางลินดาเขียนหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่นางสมจิตไม่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง  เนื่องจากลินดามิใช่ลูกหนี้  และนางสาวลัดดาก็มิได้มอบให้เป็นตัวแทน  จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตาม  มาตรา  193/14 (1)  การจ้างทำของมีกำหนดอายุความ  2  ปี  ตาม  มาตรา  193/34  (1)  เพราะฉะนั้นนางสมจิตจะต้องนำคดีมาฟ้องร้องต่อศาลภายในวันที่  1  เมษายน  2549  แต่ปรากฏว่านางสมจิตนำคดีมาฟ้องศาลในวันที่  13  กันยายน  2549  คดีจึงขาดอายุความแล้ว

ดังนั้น  ข้ออ้างของนางสมจิตจึงฟังไม่ขึ้น

 


ข้อ  4  นายสมบัติซึ่งอยู่ที่จังหวัดลพบุรีส่งจดหมายเสนอขายรถยนต์คันหนึ่งของตนให้แก่นายสุเทพซึ่งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร  ในราคา  400,000  บาท  โดยระบุไปในจดหมายเสนอขายนั้นด้วยว่า  ถ้าท่านต้องการซื้อรถยนต์คันนี้  ขอให้ตอบไปยังข้าพเจ้าภายในวันที่  10  พฤศจิกายน  พ.ศ.2548  นายสุเทพส่งจดหมายตอบตกลงซื้อรถยนต์คันนั้นตามราคาที่นายสมบัติเสนอ  แต่จดหมายของนายสุเทพไปถึงนายสมบัติเมื่อวันที่  15  พฤศจิกายน  พ.ศ.2548  อย่างไรก็ตาม  เป็นที่เห็นได้ชัดเจนจากตราไปรษณีย์ซึ่งประทับบนซองจดหมายว่านายสุเทพส่งจดหมายฉบับนั้นตั้งแต่วันที่  2  พฤศจิกายน  พ.ศ.2548  เช่นนี้  จดหมายตอบตกลงซื้อรถยนต์ที่นายสุเทพส่งถึงนายสมบัติมีผลในกฎหมายประการใด

ธงคำตอบ

มาตรา  358  ถ้าคำบอกกล่าวสนองมาถึงล่วงเวลา  แต่เป็นที่เห็นประจักษ์ว่าคำบอกกล่าวนั้นได้ส่งโดยทางการซึ่งตามปกติควรจะมาถึงภายในเวลากำหนดนั้นไซร้  ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งโดยพลันว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า  เว้นแต่จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นก่อนแล้ว

ถ้าผู้เสนอละเลยไม่บอกกล่าวดังว่ามาในวรรคต้น  ท่านให้ถือว่าคำบอกกล่าวสนองนั้นมิได้ล่วงเวลา

วินิจฉัย

คำสนองของนายสุเทพ  ไปถึงนายสมบัติล่าช้ากว่าเวลาที่นายสมบัติกำหนดไว้  แต่เป็นที่เห็นได้ชัดเจนจากตราไปรษณีย์ซึ่งประทับตราบนซองจดหมายว่านายสุเทพส่งจดหมายฉบับนั้นตั้งแต่วันที่  2  พฤศจิกายน  พ.ศ.  2548  ซึ่งตามกปกติจดหมายฉบับนั้นควรจะไปถึงนายสมบัติก่อนวันที่  10  พฤศจิกายน  พ.ศ.  2548  อันเป็นเวลาที่นายสมบัติกำหนดไว้  ในกรณีเช่นนี้  คำสนองของนายสุเทพจะเป็นคำสนองล่วงเวลาหรือไม่  ก็ขึ้นอยู่กับว่านายสมบัติซึ่งเป็นผู้เสนอได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่  ซึ่งในเรื่องนี้กฎหมายกำหนดหน้าที่ของผู้เสนอไว้ว่า  ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่ผู้สนองโยพลันว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า  เว้นแต่จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นไว้ก่อนแล้ว ดังนั้น 

(1) ถ้านายสมบัติปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าว  กฎหมายจึงจะถือว่าจดหมายคำสนองของนายสุเทพเป็นคำสนองล่วงเวลา

(2) แต่ถ้านายสมบัติละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าว  กฎหมายให้ถือว่าจดหมายคำสนองของนายสุเทพเป็นคำสนองที่มิได้ล่วงเวลา  (ซึ่งมีผลให้สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างนายสมบัติกับนายสุเทพเกิดขึ้น)

LAW1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมสัญญา 2/2549

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LW  203  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  นางมะโรงซึ่งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร  ได้ตกลงให้นางมะเส็งเช่าบ้านของตนที่ซื้อทิ้งไว้ที่จังหวัดเชียงใหม่โดยไม่ได้กำหนดเวลาการเช่ากันไว้  ต่อมาอีกสองปีนางมะโรงต้องการไปใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่  นางมะโรงจึงต้องการบอกเลิกสัญญาเช่าดังกล่าว  นางมะโรงจึงได้ส่งหนังสือบอกเลิกการเช่าถึงนางมะเส็งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ  โดยจ่าหน้าซองถึงนางมะเส็งตามที่อยู่บ้านที่เช่า

เมื่อเจ้าพนักงานไปรษณีย์นำหนังสือบอกเลิกการเช่าไปส่งให้นางมะเส็งถึงสามครั้ง  แต่ไม่มีผู้รับเนื่องจากนางมะเส็งปิดประตูหน้าต่างแอบเงียบอยู่ในบ้าน  สุดท้ายเจ้าพนักงานไปรษณีย์จำต้องส่งหนังสือ ฉบับดังกล่าวกลับคืนมายังบ้านของนางมะโรงที่กรุงเทพมหานคร  โดยทำหมายเหตุลงไว้ด้วยว่า  

ส่งแล้วแต่ผู้รับไม่ยอมรับ  หลังจากที่นางมะโรงได้รับคืนหนังสือดังกล่าว  นางมะโรงมีความรู้สึกโกรธนางมะเส็งเป็นอันมาก  จึงโทรศัพท์ไปหานางมะเส็งแต่นางมะเส็งไม่รับโทรศัพท์  ด้วยความโกรธจัดนางมะโรงจึงตัดสินใจเดินทางไปบอกเลิกสัญญาเช่ากับนางมะเส็งที่จังหวัดเชียงใหม่ด้วยตนเอง  

ขณะที่นางมะโรงอยู่ที่ท่าอากาศยานนานาชาติจังหวัดเชียงใหม่  นางมะโรงได้พบนางมะเส็งโดยบังเอิญ  นางมะโรงจึงพูดบอกเลิกสัญญาเช่ากับนางมะเส็งในขณะนั้นทันที  แต่นางมะเส็งได้เอามืออุดหูไว้  ไม่ยอมให้ตนได้ยิน  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  การแสดงเจตนาบอกเลิกการเช่าของนางมะโรงในพฤติการณ์ต่างๆ  ข้างต้นถือได้ว่ามีผลเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าบ้านหลังดังกล่าวแล้วหรือไม่  อย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  168  การแสดงเจตนาที่กระทำต่อบุคคลซึ่งอยู่เฉพาะหน้าให้ถือว่ามีผลนับแต่ผู้รับการแสดงเจตนาได้ทราบการแสดงเจตนานั้น  ความข้อนี้ให้ใช้ตลอดถึงการที่บุคคลหนึ่งแสดงเจตนาไปยังบุคคลอีกคนหนึ่งโดยทางโทรศัพท์

มาตรา  169  การแสดงเจตนาที่กระทำต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้าให้ถือว่ามีผลนับแต่เวลาที่การแสดงเจตนานั้นไปถึงผู้รับการแสดงเจตนา

วินิจฉัย

นาง มะโรงซึ่งอยู่ที่กรุงเทพมหานครต้องการบอกเลิกสัญญาเช่าโดยได้ส่งหนังสือบอก เลิกการเช่าถึงนางมะเส็งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับดังกล่าว  ถือได้ว่าเป็นการที่นางมะโรงได้แสดงเจตนาบอกเลิกการเช่าต่อนางมะเส็งซึ่งเป็นบุคคลผู้มิได้อยู่เฉพาะหน้า  เพราะทั้งสองไม่สามารถที่จะติดต่อทำความเข้าใจกันได้ในทันทีทันใด  ดังนี้  การบอกเลิกสัญญาเช่าจะมีผลก็ต่อเมื่อการแสดงเจตนานั้นไปถึงผู้รับการแสดงเจตนา  ตามมาตรา  169

การที่นางมะโรงได้ส่งหนังสือบอกเลิกการเช่าถึงนางมะเส็งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ  โดยเจ้าพนักงานไปรษณีย์นำหนังสือบอกเลิกการเช่าไปส่งให้นางมะเส็ง  แต่นางมะเส็งพยายามหลีกเลี่ยงไม่ยอมรับการแสดงเจตนาทั้งที่ตนรู้อยู่ว่าเป็นหนังสือบอกเลิกการเช่าแต่ก็ยังไม่ยอมรับไว้  ดังนี้ถือว่าการบอกเลิกการเช่า  มีผลนับแต่เวลาที่เจ้าพนักงานไปรษณีย์นำจดหมายไปส่งยังบ้านที่เช่าแล้ว  เนื่องจากการแสดงเจตนานั้นไปถึง  ผู้รับการแสดงเจตนาแล้ว  ตามมาตรา  169  ส่วนพฤติการณ์ของนางมะโรงต่อๆมา

ไม่ว่าจะเป็นการที่โทรศัพท์ไปหานางมะเส็งแต่นางมะเส็งไม่รับโทรศัพท์  หรือที่นางมะโรงได้พูดบอกเลิกสัญญาเช่ากับนางมะเส็งในขณะที่พบนางมะเส็งที่สนามบินแต่นางมะเส็งได้เอามืออุดหูไว้ไม่ยอมให้ตนได้ยิน  หาจำเป็นต้องพิจารณาไม่  เนื่องจากว่าการแสดงเจตนาได้มีผลนับแต่เวลาที่เจ้าพนักงานไปรษณีย์นำจดหมายไปส่งยังบ้านเช่าแล้ว  จึงไม่ต้องพิจารณามาตรา  168  อีก

สรุป  การแสดงเจตนาบอกเลิกการเช่าของนางมะโรงถือว่ามีผลเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าบ้านหลังดังกล่าวแล้ว  นับแต่เวลาที่เจ้าพนักงานไปรษณีย์นำจดหมายไปส่งยังบ้านที่เช่าแล้ว  ตามมาตรา  169

 


ข้อ  2  นาย  ก.  ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงหนึ่งของนาย  ข.  โดยที่นาย  ข. ไม่รู้ว่าที่ดินของตนจะถูกเวนคืนเพื่อสร้างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีม่วงของ  รฟม.  อยู่  ทั้งนี้  นาย  ข.  ได้นำโฉนดที่ดินมาให้นาย  ก.  ดู  และพูดรับรองว่าที่ดินไม่มีภาระผูกพันใดๆทั้งสิ้น  ต่อมาปรากฏว่าที่ดินของนาย  ข.  แปลงดังกล่าวถูกเวนคืน

นาย  ก.  จึงบอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับนาย  ข.  โดยอ้างว่าถูกนาย  ข.  ใช้กลฉ้อฉลหลอกลวงตน  ข้ออ้างของนาย  ก.  ฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  159  การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ

การที่กลฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง  จะต้องถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าวการอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น

วินิจฉัย

ในขณะที่นาย  ก.  และนาย  ข.  ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินกันนั้น  นาย  ข.  ไม่รู้ว่าที่ดินจะถูกเวนคืนกรณีดังกล่าว  นาย  ข.  ได้นำโฉนดที่ดินมาให้  นาย  ก.  ดู  และพูดรับรองว่าที่ดินไม่มีภาระผูกพันใดๆเท่านั้น  นาย  ข.  มิได้หลอกลวงหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับที่ดินซึ่งตกอยู่ในเขตที่ต้องถูกทางราชการเวนคืนแต่อย่างใด

สรุป  ดังนั้น  ข้ออ้างของนาย  ก.  ฟังไม่ขึ้น  กรณีไม่เป็นกลฉ้อฉลแต่อย่างใด  (เทียบเคียงคำพิพากษา  ฎีกาที่  151-152/2537)

 


ข้อ  3  ในเดือนตุลาคม  2547  นายเด่นได้ใช้บัตรเครดิตของธนาคารสยามจำกัด  ซื้อสินค้าตามหางสรรพสินค้าและกดเงินสดจากตู้  
ATM  ของธนาคารเป็นเงินจำนวน  50,000  บาท  ซึ่งนายเด่นจะต้องชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้ธนาคารฯ  ภายในวันที่  10  พฤศจิกายน  2547  แต่เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  นายเด่นมิได้นำเงินไปชำระ  ธนาคารจึงได้มีหนังสือทวงถามให้นายเด่นนำเงินที่ค้างไปชำระพร้อมดอกเบี้ย  แต่นายเด่นไม่สามารถชำระหนี้ได้  จนกระทั่งวันที่  3  พฤศจิกายน  2549  ซึ่งเหลือเวลาอีก  7  วัน  จะครบกำหนดอายุความ  ธนาคารได้นำคดีไปฟ้องศาล  หลังจากศาลรับฟ้องคดีแล้ว   ทนายความของบริษัทมิได้ติดตามเรื่องจนศาลจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ  ต่อมาธนาคารฯ  ได้ให้ทนายความคนใหม่นำคดีมาฟ้องศาลอีกครั้งหนึ่งในวันที่  20  กุมภาพันธ์  2550  นายเด่นต่อสู้คดีว่าคดีขาดอายุความแล้ว  ดังนี้  อยากทราบว่าข้อต่อสู้ของนายเด่นฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

หมายเหตุ  ป.พ.พ.  มาตรา  193/34  บัญญัติว่า  สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ ให้มีกำหนดอายุความสองปี

(7) บุคคลซึ่งมิได้เข้าอยู่ในประเภทที่ระบุไว้ใน  (1)  แต่เป็นผู้ประกอบธุรกิจในการดูแลกิจการของผู้อื่นหรือรับทำการงานต่างๆ  เรียกเอาสินจ้างอันจะพึงได้รับในการนั้นรวมทั้งเงินที่ได้ออกทดรองไป

ธงคำตอบ

มาตรา  193/14  อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(2) เจ้าหนี้ได้ฟ้องคดี  หรือเพื่อให้ชำระหนี้

มาตรา  193/17  วรรคแรก  ในกรณีที่อายุความสะดุดหยุดลงเพราะเหตุตามมาตรา  193/14(2)  หากคดีนั้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกคำฟ้อง  หรือคดีเสร็จไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะเหตุถอนฟ้องหรือทิ้งฟ้อง  ให้ถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง

วินิจฉัย

นายเด่นได้เป็นหนี้ค่าบัตรเครดิตธนาคารสยามจำกัด เป็นเงินจำนวน  50,000  บาท  ซึ่งนายเด่นจะต้องนำเงินไปชำระภายในวันที่  10  พฤศจิกายน  2547  แต่ปรากฏว่านายเด่นไม่สามารถนำเงินไปชำระได้จนกระทั่งธนาคารได้นำคดีไปฟ้องศาลในวันที่  3  พฤศจิกายน  2549  จึงเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง  ตาม ป.พ.พ.  มาตรา  193/14(2)  หลังจากฟ้องคดีแล้ว  ทนายความของบริษัทได้ทิ้งฟ้องศาลจึงจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ  ให้ถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง  ตาม ป.พ.พ.  มาตรา  193/17  วรรคแรก  การที่ธนาคารฯได้ให้ทนายความคนใหม่นำคดีมาฟ้องศาลอีกครั้งในวันที่  20  กุมภาพันธ์  2550  คดีจึงขาดอายุความแล้วตั้งแต่วันที่  10  พฤศจิกายน  2549

สรุป  ข้อต่อสู้ของนายเด่นจึงฟังขึ้น

 

ข้อ  4  ก.  การชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทนมีหลักเกณฑ์อย่างไร  ให้อธิบายโดยสังเขป

ข.      เมื่อวันที่  20  ตุลาคม  2549  บริษัท  ธัญญกิจพอเพียง  จำกัด  ตกลงซื้อข้าวเปลือกกองหนึ่งทั้งกองจำนวน  20  เกวียนจากนายสมบูรณ์ราคา  200,000  บาท  โดยข้าวเลือกกองนี้กองอยู่บนลานข้างบ้านของนายสมบูรณ์นั้นเอง  กำหนดชำระเงินค่าข้าวเปลือกและส่งมอบข้าวเปลือกกันในวันที่  30  ตุลาคม  2549  แต่เมื่อถึงวันที่  28  ตุลาคม  2549  ปรากฏว่าเกิดอุทกภัย  น้ำท่วมพัดพาเอาข้าวเปลือกกองนั้นสูญหายไปทั้งหมด  นายสมบูรณ์จึงไม่สามารถส่งมอบข้าวเปลือกให้แก่บริษัท  ธัญญกิจพอเพียง  จำกัด  ได้ตามสัญญา  เช่นนี้  บริษัท  ธัญญกิจพอเพียง  จำกัด  ต้องชำระเงินราคาข้าวเปลือกให้แก่นายสมบูรณ์หรือไม่เพียงใด  เพราะเหตุใดธงคำตอบ

ก.      หลักกฎหมาย  มาตรา  369  ในสัญญาต่างตอบแทนนั้น  คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้  แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าหนี้ของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ถึงกำหนดจากหลักกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทนมีหลักเกณฑ์ดังนี้

หลักทั่วไป  คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้  ซึ่งหมายความว่าคู่สัญญาแต่ละฝ่ายต้องชำระหนี้ให้แก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งเป็นการตอบแทนซึ่งกันและกันในขณะเดียวกันนั่นเอง

ข้อยกเว้น  หลักทั่วไปดังกล่าวนี้  มิให้ใช้บังคับ  ถ้าหนี้ของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ถึงกำหนด

ข.    หลักกฎหมาย  มาตรา  370  วรรคแรก  ถ้าสัญญาต่างตอบแทนมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการก่อให้เกิดหรือโอนทรัพย์ สิทธิในทรัพย์เฉพาะสิ่งและทรัพย์นั้นสูญหรือเสียหายไปด้วยเหตุอย่างใดอย่าง หนึ่งอันจะโทษลูกหนี้มิได้ไซร้  ท่านว่า  การสูญหรือเสียหายนั้นตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้

วินิจฉัย

การทำสัญญาซื้อขายข้าวเปลือกกองหนึ่งทั้งกองระหว่างบริษัท  ธัญญกิจพอเพียงจำกัด  กับนายสมบูรณ์เป็นการทำสัญญาต่างตอบแทนมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการโอนทรัพยสิทธิในทรัพย์เฉพาะสิ่งเมื่อปรากฏว่าเกิดอุทกภัย  น้ำท่วมพัดพาเอาข้าวเปลือกซึ่งเป็นทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาสูญหายไปทั้งหมด  จึงเป็นกรณีที่ทรัพย์นั้นสูญหรือเสียหายไปด้วยเหตุอันจะโทษนายสมบูรณ์  (ลูกหนี้ในอันที่จะต้องส่งมอบข้าวเปลือก) มิได้  การสูญหรือเสียหายนั้นจึงตกเป็นพับแก่บริษัท  ธัญญกิจพอเพียง  จำกัด (เจ้าหนี้ในอันที่จะได้รับมอบข้าวเปลือก)

ดังนั้น  ถึงแม้นายสมบูรณ์ไม่สามารถส่งมอบข้าวเปลือกให้แก่บริษัท  ธัญญกิจพอเพียง  จำกัดได้  บริษัท  ธัญญกิจพอเพียง  จำกัด  ก็ยังต้องชำระเงินราคาข้าวเปลือกให้แก่นายสมบูรณ์เต็มจำนวนตามสัญญา คือ  200,000  บาท

LAW1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมสัญญา S/2549

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW  1003  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  แดงซื้อสลากกาชาดจำนวน  5  ใบ  กำหนดออกรางวัลในวันที่  31  ธันวาคม  2549  ในวันที่  1  ธันวาคม  2549  ดำและขาวซึ่งเป็นน้องของแดงได้อ้อนวอนขอสลากกาชาดกับแดง  แดงจึงจำใจให้  สลากกาชาดดังกล่าวแก่ดำและขาวไปคนละ  1  ใบ  เมื่อถึงกำหนดออกรางวัลในวันที่  31  ธันวาคม  2549  ปรากฏว่าสลากใบที่แดงให้ขาวไปนั้นถูกรางวัลที่  1  แดงเสียดายจึงไปทวงสลากคืนจากขาวโดยอ้างว่าตนมิได้มีเจตนาจะให้สลากกาชาดนั้นแก่ขาวจริงๆ  ขาวไม่ยอมคืน  แดงจึงฟ้องคดีเรียกสลากกาชาดใบที่ถูกรางวัลดังกล่าวคืนจากขาว  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  แดงมีสิทธิเรียกสลากกาชาดคืนจากขาวหรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  154  การแสดงเจตนาใดแม้ในใจจริงผู้แสดงเจตนาจะมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ตนได้แสดงออกมาก็ตาม  หาเป็นมูลให้การแสดงเจตนานั้นเป็นโมฆะไม่  เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงนั้น

วินิจฉัย

เป็นเรื่องการแสดงเจตนาซ่อนเร้น  ซึ่งมีหลักคือ  การแสดงเจตนาไม่เป็นโมฆะ  แม้ในใจจริงของผู้แสดงเจตนาจะมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ได้แสดงออกมาก็ตาม

ข้อยกเว้น  การแสดงเจตนานั้นจะตกเป็นโมฆะ  ต่อเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง  (ฝ่ายผู้รับการแสดงเจตนา)  ได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงเจตนา  ในขณะที่แสดงเจตนานั้น 

ดังนั้น  นิติกรรม อันเกิดจากการแสดงเจตนาซ่อนเร้นนั้นจะตกเป็นโมฆะหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่าคู่ กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนเร้นของผู้แสดงเจตนาในขณะแสดงเจตนา นั้นหรือไม่  ถ้ารู้นิติกรรมนั้นก็ต้องตกเป็นโมฆะ  แต่ถ้าไม่รู้นิติกรรมนั้นก็ไม่ตกเป็นโมฆะ

จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น  การกระทำของแดงเป็นการแสดงเจตนาทำนิติกรรมในรูปสัญญาให้สลากกาชาดแก่ขาว  ถึงแม้แดงอ้างว่าในใจจริงแล้วตนมิได้มีเจตนาจะให้สลากกาชาดนั้นแก่ขาวจริงๆ  ก็ตาม  การแสดงเจตนาของแดงไม่ตกเป็นโมฆะตามมาตรา  154  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ  กฎหมายถือว่าการแสดงออกมาภายนอกสำคัญยิ่งกว่าเจตนาซ่อนอยู่ในใจนั่นเอง  ดังนั้นสัญญาให้สลากกาชาดแก่ขาวเป็นอันสมบูรณ์

สรุป  แดงไม่มีสิทธิเรียกสลากกาชาดคืนแก่ขาว

 


ข้อ  2  นางทองแดงเป็นหนี้เงินกู้นางทองเหลือง  2  ล้านบาท  เมื่อครบกำหนดชำระหนี้  นางทองแดงได้สั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ให้แก่นางทองเหลือง  เมื่อนางทองเหลืองนำเช็คไปขึ้นเงิน  แต่ถูกธนาคารปฏิเสธจ่ายเงินนางทองเหลืองจึงขู่นางทองแดงว่าจะแจ้ง ความต่อตำรวจให้ดำเนินคดีกับนางทองแดงตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอัน เกิดจากการใช้เช็ค  ถ้านางทองแดงไม่ออกเช็คแก่นางทองเหลืองใหม่  ด้วยความกลัวนางทองแดงจึงได้สั่งจ่ายเช็คให้นางทองเหลืองใหม่ตามที่นางทองเหลืองต้องการ  ดังนี้  การสั่งจ่ายเช็คของนางทองแดงดังกล่าวมีผลอย่างไรตามกฎหมาย  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  164  วรรคแรก  การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่เป็นโมฆียะ

มาตรา  165  วรรคแรก  การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยมไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่

วินิจฉัย

จะเห็นได้ว่าโดยหลักแล้ว  การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่หมายความว่า  เป็นการใช้อำนาจบังคับจิตใจของบุคคล  เพื่อให้เขาเกิดความกลัวแล้วแสดงเจตนาทำนิติกรรมออกมาตามที่ผู้ข่มขู่ต้องการ  การแสดงเจตนานั้นตกเป็นโมฆะ  แต่มีข้อยกเว้นว่า  ถ้าเป็นการข่มขู่โดยชอบด้วยกฎหมายแล้วย่อมทำได้  ไม่ตกเป็นโมฆียะ  เช่น   การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม  ตามมาตรา  165  วรรคแรก  ซึ่งเป็นการใช้สิทธิโยชอบด้วยกฎหมาย  เป็นการใช้สิทธิซึ่งตนมีอยู่อย่างที่ปกติคนทั่วไปเขาใช้กัน  เช่น  การใช้สิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ใช้หนี้ตน  เป็นต้น

จากข้อเท็จจริง  ปรากฏว่า  การที่นางทองแดงเป็นหนี้นางทองเหลืองอยู่  2  ล้านบาท  เมื่อถึงกำหนดเวลาชำระหนี้  นางทองแดงได้สั่งจ่ายเช็คให้นางทองเหลืองไป  แต่เช็คถูกปฏิเสธการจ่ายเงินจากธนาคาร  นางทองเหลืองจึงขู่นางทองแดงให้ออกเช็คใหม่  มิฉะนั้นจะแจ้งความต่อตำรวจให้ดำเนินคดีกับนางทองแดงนั้น  เป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิโยชอบด้วยกฎหมายในฐานะเป็นเจ้าหนี้

เมื่อนางทองแดงสั่งจ่ายเช็คให้นางทองเหลืองใหม่  แม้จะเกิดจากความกลัวต่อการข่มขู่จากนางทองเหลืองก็ไม่เป็นการข่มขู่อันเป็นเหตุให้การสั่งจ่ายเช็คตกเป็นโมฆียะ  ตามมาตรา  164  แต่อย่างใด

สรุป  การสั่งจ่ายเช็คของนางทองแดงมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะ  เพราะการขู่ของนางทองเหลืองเป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม 

 


ข้อ  3  นายอาทิตย์ยืมเงินไปจากนายพุธจำนวน  
2,000,000  บาท  เมื่อวันที่  1  มกราคม  2540  โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาไว้  ต่อมาวันที่  5  พฤศจิกายน  2549  นายพุธทวงถามให้นายอาทิตย์ชำระหนี้เงินยืมนั้น    วันที่  20  พฤศจิกายน  2549  นายอาทิตย์นำเงินไปชำระให้นายพุธ  1,000,000  บาท  หลังจากนั้นนายอาทิตย์ไม่เคยชำระหนี้ให้นายพุธอีกเลย  จนถึงวันที่  20  มีนาคม  2550  นายพุธจึงยื่นฟ้องให้นายอาทิตย์ชำระเงินยืมที่ค้างอยู่  1,000,000  บาท  นายอาทิตย์ให้การต่อสู้ว่าคดีที่นายพุธฟ้องขาดอายุความแล้ว  ดังนี้  ข้อต่อสู้ของนายอาทิตย์ฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  193/12  อายุความเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป  ถ้าเป็นสิทธิเรียกร้องให้งดเว้นกระทำการอย่างใดเริ่มนับแต่เวลาแรกที่ฝ่าฝืนกระทำการนั้น

มาตรา  193/14  อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้  ชำระหนี้ให้บางส่วน  ชำระดอกเบี้ย  ให้ประกัน  หรือกระทำการใดๆอันปราศจากข้อสงสัยให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง

มาตรา  193/15  เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว  ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด  ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น

มาตรา  193/30  อายุความนั้น  ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี

มาตรา  203  วรรคแรก  ถ้าเวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้  หรือจะอนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงก็ไม่ได้ไซร้  ท่านว่าเจ้าหนี้ย่อมจะเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลัน  และฝ่ายลูกหนี้ก็ย่อมจะชำระหนี้ของตนโดยพลันดุจกัน

วินิจฉัย  

การกู้ยืมเงินนั้นกฎหมายไม่ได้บัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ  จึงต้องใช้อายุความ  10  ปี  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  193/30

และเมื่อมีการกู้ยืมไม่ได้กำหนดระยะเวลาชำระคืนไว้  ผู้ให้กู้ยืมย่อมมีสิทธิเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลันตามมาตรา  203  วรรคแรก  อายุความจึงเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป  กล่าวคือ  นับแต่วันกู้ยืมตามมาตรา  193/12

การที่นายอาทิตย์นำเงินบางส่วนไปชำระหนี้ให้นายพุธเมื่อวันที่  20  พฤศจิกายน  2549  ในขณะที่หนี้ยังไม่ขาดอายุความจึงเป็นการรับสภาพหนี้  ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา  193/14(1)

เมื่ออายุความสะดุดหยุดลง  จะต้องเริ่มนับอายุความใหม่นับแต่วันนั้นตามมาตรา  193/15  นายพุธยื่นฟ้องเมื่อวันที่  20  มีนาคม  2550  ยังไม่เกิน  10  ปี  คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ

สรุป  ข้อต่อสู้ของนายอาทิตย์ฟังไม่ขึ้น

 


ข้อ  4  นายเอกไปหานายโทเจ้าของฟาร์มเพาะเลี้ยงสุนัขที่ตั้งอยู่บริเวณหุบเขาแห่งหนึ่งในจังหวัดเพชรบูรณ์  นายเอกได้ซื้อสุนัขพันธุ์บางแก้วที่นายโทได้เลี้ยงไว้เพื่อขายจำนวน  15  ตัว  โดยนายเอกตกลงให้นายโทคัดเลือกสุนัขจากสุนัขที่นายโทเลี้ยงไว้ในฟาร์มของนายโทเท่านั้น  โดยทั้งคู่นัดจะมาคัดเลือกและรับสุนัขจำนวนดังกล่าวในอีกสามวันข้างหน้า  ในคืนนั้นเกิดฝนตกหนักมากติดต่อกันเป็นเวลานาน  จนทำให้เกิดโคลนถล่มทับสุนัขในฟาร์มตายทั้งหมด  โชคดีที่นายโทรอดชีวิตอย่างหวุดหวิด  นายโทจึงไม่สามารถส่งมอบสุนัขพันธุ์บางแก้วจำนวนดังกล่าวให้นายเอกได้  ถ้าต่อมานายโทมาเรียกให้นายเอกชำระราคาค่าสุนัขโดยอ้างว่า  
การที่สุนัขตายนั้นมิใช่ความผิดของตน  ตนจึงมีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามสัญญา  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายเอกจะต้องชำระราคาค่าสุนัขดังกล่าวให้แก่นายโทหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  370  วรรคแรก  ถ้าสัญญาต่างตอบแทนมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการก่อให้เกิดหรือโอนทรัพย์ สิทธิในทรัพย์เฉพาะสิ่งและทรัพย์นั้นสูญหรือเสียหายไปด้วยเหตุอย่างใดอย่าง หนึ่งอันจะโทษลูกหนี้มิได้ไซร้  ท่านว่า  การสูญหรือเสียหายนั้นตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้

มาตรา  372  วรรคแรก  นอกจากกรณีที่กล่าวไว้ในสองมาตราก่อน  ถ้าการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ไม่ได้ไซร้  ท่านว่าลูกหนี้หามีสิทธิจะรับชำระหนี้ตอบแทนไม่

วินิจฉัย

การที่นายเอกซื้อสุนัขพันธุ์บางแก้วที่นายโทเพาะเลี้ยงไว้ในฟาร์มเพื่อขายจำนวน  15  ตัว  โดยตกลงให้นายโทคัดเลือกสุนัขให้จากสุนัขในฟาร์มของตน  และจะนัดมาคัดเลือกและรับสุนัขอีกสามวันข้างหน้านั้น  แสองว่า  นายโทลูกหนี้ยังมิได้คัดเลือกกำหนดทรัพย์ที่จะส่งมอบยังไม่ถือว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่มีวัตถุประสงค์เป็นการโอนทรัพย์เฉพาะสิ่ง  (คือทรัพย์ที่ระบุไว้เป็นที่ชัดเจนและแน่นอนแล้ว)  กรณีจึงไม่ตกอยู่ในบังคับตามมาตรา  370  วรรคแรก  ความสูญหรือเสียหาย  จึงไม่ตกเป็นพับแก่นายเอกเจ้าหนี้  ดังนั้น  การที่นายโทไม่สามารถส่งมอบสุนัขให้นายเอกได้ตามสัญญาเพราะในคืนวันนั้นเกิดโคลนถล่มทับสุนัขที่เลี้ยงไว้ตายทั้งหมด  นายโทไม่มีสุนัขดังกล่าวส่งมอบให้แก่นายเอกอีกต่อไป  ซึ่งถือได้ว่าเป็นกรณีการชำระหนี้ของนายโทตกเป็นพ้นวิสัย  เพราะเหตุอันจะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมิได้  นายโทไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตอบแทนตามมาตรา  372  วรรคแรก 

สรุป  นายเอกจึงไม่ต้องชำระค่าสุนัขดังกล่าวให้แก่นายโทแต่อย่างใด

LAW1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมสัญญา 1/2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LW  203  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  (ก)  เมื่อผู้แสดงเจตนาได้ส่งการแสดงเจตนาไปแล้ว  ผู้แสดงเจตนาตายหรือถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ  ตามหลักทั่วไปแล้ว  การแสดงเจตนานั้นมีผลในกฎหมายประการใด  ให้อธิบาย

(ข)  นายแดงอยู่ที่จังหวัดอุทัยธานี  ส่งจดหมายโดยทางไปรษณีย์เสนอขายบ้านหลังหนึ่งของตนที่จังหวัดอุทัยธานีให้แก่นายเขียวซึ่งอยู่ที่จังหวัดลพบุรีในราคาหนึ่งล้านบาท  หลังจากส่งจดหมายไปแล้ว  5  วัน  นายแดงถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ  นายเขียวไม่รู้ว่านายแดงถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ  
นายเขียวได้เขียนจดหมายส่งทางไปรษณีย์สนองตอบตกลงซื้อบ้านส่งไปให้นายแดง  นางเหลืองซึ่งอยู่ในบ้านเดียวกันกับนายแดงได้รับจดหมายดังกล่าวไว้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  คำเสนอขายบ้านของนายแดงมีผลในกฎหมายหรือไม่ประการใด  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  169  วรรคสอง  การแสดงเจตนาที่ได้ส่งออกไปแล้วย่อมไม่เสื่อเสียไป  แม้ภายหลังการแสดงเจตนานั้นผู้แสดงเจตนาจะถึงแก่ความตายหรือถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

จากหลักการข้างต้นจะเห็นได้ว่า  ในกรณีที่ผู้แสดงเจตนาได้ส่งการแสดงเจตนาออกไปแล้ว  หลังจากนั้นผู้แสดงเจตนาถึงแก่ความตายหรือถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ  ตามหลักทั่วไปในมาตรา  169  วรรคสอง  การแสดงเจตนานั้นไม่เสื่อมเสียไปตามตัวบุคคลผู้แสดงเจตนา  เมื่อการแสดงเจตนานั้นไปถึงผู้รับการแสดงเจตนาแล้ว  การแสดงเจตนานั้นก็มีผลในทางกฎหมายได้

(ข)  มาตรา  360  บทบัญญัติแห่งมาตรา  169  วรรคสองนั้น  ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าหากว่าขัดกับเจตนาอันผู้เสนอได้แสดงหรือหากว่าก่อนจะสนองรับนั้น  คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่า  ผู้เสนอตายหรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถวินิจฉัย  กรณีตามอุทาหรณ์  ไม่ปรากฏว่านายแดงผู้เสนอขายบ้านได้แสดงเจตนาไว้ขัดกับบทบัญญัติแห่งมาตรา  169  วรรคสอง  และเมื่อนายเขียวเขียนจดหมายสนองตอบตกลงซื้อบ้าน  นายเขียวก็ไม่รู้ว่านายแดงถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ  กรณีไม่ต้องตามาตรา  360  จึงต้องบังคับตามหลักทั่วไปใน มาตรา  169  วรรคสอง  ซึ่งได้อ้างไว้แล้วในข้อ  (ก)  ดังนั้นการแสดงเจตนาเป็นคำเสนอขายบ้านของนายแดงจึงไม่เสื่อมเสียไปยังคงมีผลสมบูรณ์  เมื่อนายเขียวตอบตกลงซื้อ  สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างนายแดงและนายเขียวจึงเกิดขึ้น

สรุป  คำเสนอขายบ้านของนายแดงมีผลสมบูรณ์  ไม่เสื่อมเสียไป

 


ข้อ  2  นาย  ก.  เป็นลูกหนี้บัตรเครดิตธนาคารแห่งหนึ่ง  แล้วไม่เคยผ่อนชำระหนี้เลย  ธนาคารจึงว่าจ้างบริษัทติดตามหนี้  ดำเนินการทวงถามให้นาย  ก.  ชำระหนี้  โดยบริษัทฯใช้วิธีโทรศัพท์ถึงที่ทำงานขู่ว่าจะฟ้องหัวหน้างาน  ถ้านาย  ก.  ไม่ชำระหนี้   นาย  ก.  ก็ยังคงไม่ชำระ  บริษัทฯจึงทำหนังสือถึง นาย ก.  ให้ชำระหนี้  มิฉะนั้นจะดำเนินการฟ้องร้องเป็นคดีต่อศาล

ดังนี้ถามว่า  การติดตามทวงถามของบริษัทฯ ที่มีต่อนาย   ก.  กระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  164  วรรคแรก  การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่เป็นโมฆียะ

มาตรา  165  วรรคแรก  การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยมไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่

วินิจฉัย  จากบทบัญญัติดังกล่าว  จะเห็นได้ว่าโดยหลักแล้ว  การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่หมายความว่า  เป็นการใช้อำนาจบังคับจิตใจของผู้คน  เพื่อให้เขาเกิดความกลัวแล้วแสดงเจตนาทำนิติกรรมออกมาตามที่ผู้ข่มขู่ต้องการ  การแสดงเจตนานั้นย่อมตกเป็นโมฆียะ  แต่มีข้อยกเว้นว่า  ถ้าเป็นการข่มขู่โดยชอบด้วยกฎหมายแล้วย่อมทำได้  ไม่ตกเป็นโมฆียะ  เช่น  การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยม  ตามาตรา  165  วรรคแรก  ซึ่งเป็นการใช้สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย  เป็นการใช้สิทธิซึ่งตนมีอยู่อย่างที่ปกติคนทั่วไปเขาใช้กัน  เช่น  การใช้สิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ใช้หนี้ตน  เป็นต้น

ดังนั้นการทวงถามหนี้ของบริษัท  จึงกระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมาย  เพราะเป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยมที่กฎหมายให้สิทธิเจ้าหนี้ติดตามทวงถามลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้  แม้การข่มขู่ไม่ว่าโดยทางโทรศัพท์หรือการทำเป็นหนังสือนั้น  จะทำให้นาย ก.  เกิดความกลัวก็ตาม  กรณีจึงไม่เป็นการข่มขู่ที่มีผลเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

สรุป  การติดตามทวงถามของบริษัทฯ  ที่มีต่อนาย  ก.  กระทำไปโดยชอบด้วยกฎหมาย

หมายเหตุ  กรณีตามอุทาหรณ์นั้น  ธนาคารแห่งประเทศไทยที่มีหน้าที่กำกับดูแลธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินต่างๆ  กำลังเตรียมจัดทำแนวนโยบายในการติดตามทวงถามหนี้  เพื่อดูแลไม่ให้ประชาชนถูกใช้ความรุนแรง  ซึ่งแนวปฏิบัตินี้เป็นเพียงการขอความร่วมมือ  ไม่ได้บังคับใช้เป็นกฎหมายแต่อย่างใด

 


ข้อ  3  เมื่อวันที่  10  กุมภาพันธ์  2538  นายวิทยาได้ทำสัญญากู้เงินจากนายวุฒิชัย  จำนวนสามแสนบาทตกลงดอกเบี้ยร้อยละ  12  ต่อปี  กำหนดชำระหนี้คืนภายในวันที่  10  กุมภาพันธ์  2539  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระ  นายวิทยาไม่นำเงินมาชำระให้แก่นายวุฒิชัย  จนกระทั่งวันที่  10  มกราคม  2549  ซึ่งเหลือเวลาอีก  1  เดือนจะครบกำหนดอายุความ  นายวิทยาได้เขียนหนังสือไปถึงนายวุฒิชัยว่า  
เพราะฉะนั้นเพื่อความสะดวกและถูกต้องในการชำระเงินต้นและดอกเบี้ยคืนคุณ  

ซึ่งบัดนี้ผมได้เตรียมไว้แล้วตามสมควร  ผมขอเชิญคุณไปพบเพื่อคิดบัญชีเงินกู้ดังกล่าวให้ทราบจำนวนแน่นอน  และต่อมานายวิทยาได้เขียนจดหมายไปยังนายวุฒิชัยอีกฉบับหนึ่งว่า  ขอให้คุณคิดดอกเบี้ยเสียใหม่เป็นร้อยละ  12  ต่อปีตามข้อตกลงที่แล้วมา  ทั้งนี้เพื่อผมจะได้จัดการชำระหนี้ของคุณให้เสร็จสิ้นไป โดยเร็วที่สุด  หลังจากนั้นทั้งสองก็ยังมีข้อโต้เถียงกันในเรื่องจำนวนเงินดอกเบี้ยที่คิดไม่ตรงกัน

นายวิทยาจึงยังไม่นำเงินไปชำระ  นายวุฒิชัยจึงนำคดีมาฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่  4  กันยายน  2550  นายวิทยาต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความแล้ว  นายวุฒิชัยอ้างว่าคดียังไม่ขาดอายุความเพราะอายุความสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่  10  มกราคม  2549  ดังนี้อยากทราบว่าข้ออ้างของนายวุฒิชัย  ฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

หมายเหตุ  ป.พ.พ.  มาตรา  193/30  บัญญัติว่า  อายุความนั้นถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ  ให้มีกำหนดสิบปี

ธงคำตอบ

มาตรา 193/30  อายุความนั้น  ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี

มาตรา  193/14  อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้

วินิจฉัย   กรณีตามอุทาหรณ์  นายวิทยาได้ทำสัญญากู้เงินจากนายวุฒิชัยจำนวนสามแสนบาทกำหนดชำระคืน  ในวันที่  10  กุมภาพันธ์  2539  แต่นายวิทยาไม่นำเงินมาชำระให้แก่นายวุฒิชัยเลย  อายุความฟ้องเรียกเงินกู้คืน  กฎหมายมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ  จึงถือว่ามีกำหนดอายุความ  10  ปี  นับแต่วันถึงกำหนดชำระตามมาตรา  193/30  ซึ่งอายุความจะครบกำหนดสิบปีในวันที่  10  กุมภาพันธ์  2549

แต่ปรากฏว่าเมื่อวันที่  10  มกราคม  2549  ซึ่งเหลือเวลาอีก  1  เดือนจะครบกำหนดอายุความ  10  ปี  นายวิทยาได้เขียนหนังสือยอมรับต่อนายวุฒิชัยว่าตนเป็นหนี้อยู่จริง  และจะได้จัดการชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นโดยเร็วแม้จะมีข้อโต้เถียงในเรื่องจำนวนเงินไม่ตรงกัน  แต่การเขียนหนังสือดังกล่าวเป็นการที่ลูกหนี้ได้รับสภาพหนี้ต่อเจ้า หนี้ตามสิทธิเรียกร้องแล้วจึงเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่ 10  มกราคม  2549  ตามาตรา  193/14 (1)  จึงเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น  และจะสิ้นสุดลงในวันที่  10  มกราคม  2559  เมื่อนายวุฒิชัยได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 4  กันยายน  2550  ซึ่งยังไม่เกินวันที่  10   มกราคม  2559  คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ

สรุป  ข้ออ้างของนายวุฒิชัยที่ว่าคดียังไม่ขาดอายุความจึงฟังขึ้น

 


ข้อ  4  (ก)  คำเสนอคืออะไร  การแสดงเจตนาอันจะถือได้ว่าเป็นคำเสนอต้องมีลักษณะอย่างไร  ให้อธิบายโดยสังเขป

(ข)  นายแดงซึ่งอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชส่งจดหมายทางไปรษณีย์เสนอขายรถยนต์คันหนึ่งของตนแก่นายดำซึ่งอยู่ที่จังหวัดนครพนม  ราคา  350,000  บาท  โดยมิได้กำหนดว่าถ้านายดำต้องการซื้อจะต้องตอบภายในเวลาใด  เช่นนี้  นายแดงจะถอนคำเสนอขายรถยนต์ดังกล่าวได้หรือไม่  เมื่อใดธงคำตอบ

(ก)  คำเสนอ  คือ  นิติกรรมฝ่ายเดียวชนิดที่ต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา  เกิดขึ้นโดยบุคคลฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาต่อบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งแจ้งให้ทราบว่าตนมีความประสงค์จะผูกพันตนทำสัญญาด้วยในประการใด  และขอให้บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งนั้นร่วมทำสัญญาด้วยตามที่เสนอไปนั้นการแสดงเจตนาอันจะถือได้ว่าเป็นคำเสนอต้องมีลักษณะดังนี้

(1) เป็นข้อความชัดเจนและแน่นอน

(2) มีความมุ่งหมายว่า  ถ้ามีคำสนอง  สัญญาเกิดขึ้นทันที

(ข)  มาตรา  355  บุคคลทำคำเสนอไปยังผู้อื่นซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทางและมิได้บ่งระยะเวลาให้ทำคำสนอง  จะถอนคำเสนอของตนเสียภายในเวลาอันควรคาดหมายว่าจะได้รับคำบอกกล่าวสนองนั้น  ท่านว่าหาอาจจะถอนได้ไม่วินิจฉัย  เวลาอันควรคาดหมายว่าจะได้รับคำบอกกล่าวสนอง  พิจารณาได้จากระยะเวลาในการติดต่อสื่อสารกันระหว่างนายแดงกับนายดำ  กล่าวคือ  นายแดงส่งจดหมายทางไปรษณีย์เสนอขายรถยนต์จากจังหวัดนครศรีธรรมราชไปยังนายดำซึ่งอยู่ที่จังหวัดนครพนม  ตามปกติใช้เวลาประมาณ  3  วัน  ให้เวลานายดำคิดตรึกตรองตัดสินใจ  1  วัน  เมื่อนายดำตัดสินใจซื้อรถยนต์คันนั้นจะส่งจดหมายทางไปรษณีย์ตอบตกลงซื้อรถยนต์คันนั้นไปยังนายแดงจะต้องใช้เวลาอีกประมาณ  3  วัน  รวมเป็นเวลาอันควรคาดหมายว่าจะได้รับคำบอกกล่าวสนองในกรณีนี้  คือประมาณ  7  วันนับแต่วันที่นายแดงส่งจดหมายเสนอขายรถยนต์แก่นายดำ

ดังนั้น  ในกรณีนี้นายแดงจะถอนคำเสนอขานรถยนต์ดังกล่าวได้ต่อเมื่อพ้นเวลา  7  วัน  นับแต่วันที่นายแดงส่งจดหมายเสนอขายรถยนต์แก่นายดำ

สรุป  นายแดงจะถอนคำเสนอขายรถยนต์คันดังกล่าวได้ต่อมเอพ้นเวลา  7  วันนับแต่วันที่นายแดงส่งจดหมายเสนอขายรถยนต์แก่นายดำ

LAW1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมสัญญา 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา 2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 1003  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  (ก)  การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง  มีผลในกฎหมายประการใด  ให้อธิบายโดยสังเขป

(ข)  นายอาทิตย์กับนางจันทราตกลงทำสัญญากันหลอกๆว่านายอาทิตย์ขายรถยนต์คันหนึ่งของตนให้แก่นางจันทราในราคา  400,000  บาท  นายอาทิตย์ได้ส่งมอบรถยนต์ให้แก่นางจันทรา  แต่ไม่มีการชำระราคากันจริง  ต่อมาอีก  7  วัน  นางจันทราเอารถยนต์คันนั้นไปขายให้แก่นายอังคารในราคา  380,000  บาท  หลังจากนั้นอีก  1  เดือน  นายอาทิตย์ทราบเรื่องจึงบอกกล่าวเรียกร้องให้นายอังคารเอารถยนต์มาส่งคืนให้แก่ตนโดยอ้างว่ารถยนต์เป็นของตน  


ตนมิได้ขายรถยนต์คันนั้นให้แก่นางจันทราจริงๆ  นายอังคารไม่ยอมคืนรถยนต์ให้แก่นายอาทิตย์และบอกแก่นายอาทิตย์ว่า  ตนจะคืนรถยนต์ให้ต่อเมื่อได้รับเงินคืน  
380,000  บาท  ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้ความว่าในขณะที่นายอังคารซื้อรถยนต์จากนางจันทรานั้น  นายอังคารรู้ว่านายอาทิตย์ไม่ได้ขายรถยนต์คันนั้นให้แก่นางจันทราจริงๆ  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  นายอังคารต้องส่งคืนรถยนต์ให้แก่นายอาทิตย์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  155  วรรคแรก  การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ  แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอก  ผู้กระทำการโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้

วินิจฉัย

(ก)  การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง  คือ  การที่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายสมรู้หรือตกลงกันกระทำหรือแสดงกิริยาอาการ อย่างใดยอย่างหนึ่งออกให้ดูเหมือนเป็นการแสดงเจตนาแต่แท้จริงแล้วเป็นการลวง  เจตนาอันแท้จริงของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายที่สมรู้กันนั้นมิได้ต้องการให้เกิดผลในทางกฎหมายซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวในสิทธิแต่อย่างใด

การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง  มีผลในกฎหมายตามาตรา  155วรรคแรก  คือ  ตกเป็นโมฆะ  ไม่ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณีแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม  ถ้ามีบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย  กฎหมายคุ้มครองบุคคลภายนอกโดยบัญญัติห้ามมิให้บุคคลใดๆยกความเป็นโมฆะของการแสดงเจตนาลวงขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอก  ซึ่งเป็นผู้ (1)  กระทำการโดยสุจริต  และ (2)  ต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น

กระทำโดยสุจริต  หมายความว่า  กระทำโดยไม่รู้และไม่มีเหตุอันควรรู้ถึงการที่ไม่มีสิทธิหรือความบกพร่องแห่งสิทธิที่มีมาในอดีต (ฎ. 540/2490)

ต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น  หมายความว่า  บุคคลภายนอกที่เข้ามาเกี่ยวข้องนั้นได้รับความเสียหาย  เนื่องจากได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดไปเพราะหลงเชื่อการแสดงเจตนาลวงนั้น

ดังนั้นหากบุคคลภายนอกกระทำการโดยไม่สุจริตแต่เกิดความเสียหายกับตน  หรือบุคคลภายนอกกระทำการโดยสุจริต  แต่ไม่ได้รับความเสียหายแล้ว  กฎหมายก็จะไม่คุ้มครองบุคคลภายนอกบุคคลใดๆสามารถยกเอาความเป็นโมฆะดังกล่าวขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกได้

(ข)  กรณีตามอุทาหรณ์  นายอาทิตย์กับนางสาวจันทราสมรู้กันแสดงเจตนาลวงว่านายอาทิตย์ขายรถยนต์ให้แก่นางจันทรา  สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างนายอาทิตย์กับนางจันทราจึงตกเป็นโมฆะ  ตามาตรา  155  วรรคแรกตอนต้น  ต่อมานางจันทราขายรถยนต์คันนั้นให้แก่นายอังคาร  โดยในขณะที่นายอังคารซื้อรถยนต์จากนางจันทรานั้น   นายอังคารก็รู้ว่านายอาทิตย์ไม่ได้ขายรถยนต์คันนั้นให้แก่นางจันทราจริงๆ  กรณีจึงถือได้ว่า  นายอังคารซึ่งเป็นบุคคลภายนอกกระทำโดยไม่สุจริต  (ฎ  . 1020/2504)  นายอังคารจึงไม่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมาย  ตามาตรา  155  วรรคแรก ตอนท้าย  ดังนั้น  เมื่อนายอาทิตย์เรียกร้องให้นายอังคารส่งรถยนต์แก่ตนนายอังคารจึงต้องส่งคืนรถยนต์ให้นายอาทิตย์

สรุป  นายอังคารต้องส่งคืนรถยนต์ให้แก่นายอาทิตย์

 


ข้อ  2  จากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  176  วรรคสอง  บัญญัติว่า  
ถ้าบุคคลใดได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าการใดเป็นโมฆียะ  เมื่อบอกล้างแล้วให้ถือว่าบุคคลนั้นได้รู้ว่าการนั้นเป็นโมฆียะนับแต่วันที่ได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าเป็นโมฆียะ

ให้นักศึกษาตอบคำถามดังต่อไปนี้

(ก)  บุคคลใดได้แก่บุคคลใดบ้าง

(ข)  มาตรา  176  วรรคสอง  ดังกล่าวนั้นใช้เป็นหลักในการพิจารณากรณีใด  อธิบายให้เข้าใจ

ธงคำตอบ

(ก)  คำว่า  บุคคลใด ในมาตรา  176  วรรคสองนี้  นอกจากหมายความถึงคู่กรณีแห่งนิติกรรมฝ่ายที่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายชดใช้ให้แทนแล้ว  ยังหมายความรวมถึงบุคคลภายนอกซึ่งมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากการที่นิติกรรมตกเป็นโมฆียะด้วย

(ข)  ใช้เป็นหลักในการพิจารณาว่า  บุคคลใดกระทำการโดยไม่สุจริตเมื่อใด  เพื่อผลการบอกล้างโมฆียกรรมนั้น  ในกรณีให้ผู้เป็นคู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม  หากปรากฏว่าทรัพย์ที่จะต้องคืนเกิดดอกผลมา  ดอกผลนั้นจะตกเป็นของฝ่ายใด  ตามหลักเกณฑ์เรื่องการได้กรรมสิทธิ์ในดอกผล

มาตรา  415  บุคคลผู้ได้รับทรัพย์สินไว้โดยสุจริต  ย่อมจะได้ดอกผลอันเกิดแต่ทรัพย์สินนั้นตลอดเวลาที่ยังคงสุจริตอยู่…

ดังนั้นถ้าบุคคลผู้ได้รับทรัพย์สินไว้ตามโมฆียกรรมโดยไม่รู้และไม่ควรจะได้รู้ว่านิติกรรมนั้นเป็นโมฆียะ  บุคคลนั้นย่อมอยู่ในฐานะ  สุจริต  เมื่อมีการบอกล้างโมฆียะกรรม  บุคคลนั้นย่อมมีสิทธิได้ดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินที่ได้รับไว้นั้น

แต่ถ้าบุคคลผู้ได้รับทรัพย์สินไว้ตามโมฆียะกรรมโดยรู้ว่านิติกรรมนั้นเป็นโมฆียะ  บุคคลนั้นย่อมอยู่ในฐานะ  ไม่สุจริต  เมื่อมีการบอกล้างโมฆียะกรรม  บุคคลนั้นย่อมไม่มีสิทธิได้ดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินที่ได้รับไว้นั้น

 

ข้อ  3  อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  193/12  หมายความว่าอย่างไร  แยกออกเป็นกี่กรณี  อะไรบ้าง  จงอธิบาย  พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  193/3  ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นหน่วยเวลาที่สั้นกว่าวัน  ให้เริ่มต้นนับในขณะที่เริ่มการนั้น

ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นวัน  สัปดาห์  เดือนหรือปี  มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน  เว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาที่ถือได้ว่าเป็นเวลาเริ่มต้นทำการงานกันตามประเพณี

มาตรา  193/12  อายุความเริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป  ถ้าเป็นสิทธิเรียกร้องให้งดเว้นกระทำการอย่างใดเริ่มนับแต่เวลาแรกที่ฝ่าฝืนกระทำการนั้น

อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  193/12  หมายความว่า  เจ้าหนี้สามารถบังคับตามสิทธิเรียกร้องได้ตั้งแต่เมื่อใด  อายุความก็เริ่มนับแต่เมื่อนั้น  ซึ่งแยกออกเป็น  2  กรณี  ดังนี้

1       สิทธิเรียกร้องอันเกิดจากนิติกรรมซึ่งกำหนดเวลาชำระหนี้  ในกรณีที่นิติกรรมมีกำหนดเวลาชำระหนี้แน่นอน  เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกร้องให้ลุกนี้ชำระหนี้ตามนิติกรรมนั้นได้ตั้งแต่เมื่อถึงกำหนดชำระหนี้  อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันถึงกำหนดชำระหนี้  โดยเริ่มนับหนึ่งในวันรุ่งขึ้น  ตามหลักเกณฑ์การคำนวณนับระยะเวลา  ตามมาตรา  193/3  วรรคสอง

ตัวอย่าง  ก.  กู้เงิน  ข.  ไป  100,000  บาท  เมื่อวันที่  12  มกราคม  2548  มีกำหนดระยะเวลาชำระหนี้ ใน  1  ปี  นับตั้งแต่วันทำสัญญา  ระยะเวลา  1  ปี  จะครบกำหนดในวันที่  12  มกราคม  2549  อายุความฟ้องร้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องของ  ข.  ในกรณีนี้เริ่มตั้งแต่วันที่ครบกำหนด  1  ปี  นับตั้งแต่วันทำสัญญาโดยเริ่มนับหนึ่งในวันรุ่งขึ้น

2       สิทธิเรียกร้องอันเกิดจากนิติกรรมซึ่งไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้  ในกรณีที่นิติกรรมไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้แน่นอน  เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ตามนิติกรรมนั้นได้โดยพลัน  ตามมาตรา  203  ในกรณีเช่นนี้อายุความเริ่มต้นนับตั้งแต่วันทำนิติกรรม  โดยเริ่มนับหนึ่งในวันรุ่งขึ้น  ตามหลักเกณฑ์การคำนวณนับระยะเวลาตามมาตรา  193/3  วรรคสอง

ตัวอย่าง  ก.  กู้เงิน  ข.  ไป  100,000  บาท  เมื่อวันที่  12  มกราคม  2548  โดยมิได้กำหนดระยะเวลาในการใช้คืน  และไม่ปรากฏพฤติการณ์ใดที่จะพึงอนุมานกำหนดเวลาใช้เงินคืนได้  ในกรณีเช่นนี้  ข.  เจ้าหนี้ย่อมเรียกให้  ก.  ลูกหนี้ใช้เงินคืนได้ตั้งแต่วันทำนิติกรรม  ตามมาตรา  203  อายุความฟ้องร้องบังคับตามสิทธิเรียกร้องของ  ข.  ในกรณีนี้จึงเริ่มนับแต่วันทำนิติกรรม  โดยเริ่มนับหนึ่งในวันรุ่งขึ้น

 

ข้อ  4  เมื่อวันที่  2  กุมภาพันธ์  2551  ก.  อยู่กรุงเทพฯ  ได้ไปเที่ยวบ้าน  ข.  ที่จังหวัดเชียงใหม่แล้วเห็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนองค์หนึ่งของ  ข.  ก็ชอบใจอยากได้  เมื่อกลับกรุงเทพฯ  ก.  ได้ส่งจดหมายทางไปรษณีย์เสนอซื้อพระพุทธรูปองค์นั้นจาก  ข.  ราคา  1  ล้านบาท  โดยได้แจ้งไปในคำเสนอนั้นด้วยว่า  ถ้า  ข.  ตกลงจะขายต้องตอบตกลงมาภายในวันที่  15  กุมภาพันธ์  2551  เมื่อ  ข.  ได้รับจดหมายของ  ก.  ข.  ได้เขียนจดหมายตอบและส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนมายัง  ก.  แต่ปรากฏว่าเกิดฝนตกหนัก  น้ำท่วมจังหวัดเชียงใหม่  จดหมายของ  ข.  จึงมาถึง  ก.  ที่กรุงเทพฯ  เมื่อวันที่  18  กุมภาพันธ์  2551  ซึ่งล่าช้ากว่าเวลาที่  ก.  กำหนด  อย่างไรก็ตามเมื่อดูที่ซองจดหมายของ  ข.  เป็นที่เห็นได้ว่า  ข.  ได้ส่งจดหมายฉบับนั้นตั้งแต่วันที่  9  กุมภาพันธ์  2551  ซึ่งตามปกติจดหมายฉบับนั้นควรมาถึง  ก.  ภายในเวลาที่  ก.  กำหนด

ถ้า  ก.  ไม่ต้องการซื้อพระพุทธรูปองค์นั้นและมาปรึกษาท่าน  ท่านจะให้คำแนะนำแก่  ก.  ว่า  ก.  ต้องดำเนินการอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  358  ถ้าคำบอกกล่าวสนองถึงล่วงเวลา  แต่เป็นที่เห็นประจักษ์ว่าคำบอกกล่าวนั้นได้ส่งโดยทางการซึ่งตามปกติควรจะมาถึงภายในเวลากำหนดนั้นไซร้  ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งโดยพลันว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า  เว้นแต่จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นก่อนแล้ว

ถ้าผู้เสนอละเลยไม่บอกกล่าวดังว่ามาในวรรคต้น  ท่านให้ถือว่าคำบอกกล่าวสนองนั้นมิได้ล่วงเวลา

วินิจฉัย  ตามอุทาหรณ์  คำสนองขายพระพุทธรูปของ  ข.  ไปถึง  ก.  ล่าช้ากว่าเวลาที่  ก.  กำหนดไว้  แต่เป็นที่เห็นได้ชัดจากตราไปรษณีย์ซึ่งประทับบนซองจดหมายคำสนองนั้นว่า  ข.  ส่งจดหมายฉบับนั้นตั้งแต่  วันที่  9  กุมภาพันธ์  พ.ศ.  2551  ซึ่งตามปกติจดหมายฉบับนั้นควรจะมาถึง  ก.  ก่อน  วันที่  15 กุมภาพันธ์  พ.ศ.2551  อันเป็นเวลาที่  ก.  กำหนดไว้  มนกรณีดังกล่าวนี้คำสนองของ  ข.  จะเป็นคำสนองล่วงเวลารึไม่  ขึ้นอยู่กับว่า  ก.  (ผู้เสนอ)  ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ตามาตรา  358  หรือไม่  ซึ่งในเรื่องนี้  กฎหมายกำหนดหน้าที่ของผู้เสนอไว้ว่า  ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่ผู้สนองโดยพลันว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า  เว้นแต่ได้บอกกล่าวเช่นนั้นไว้ก่อนแล้ว  ดังนั้น  ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำสำหรับกรณีเช่นนี้แก่  ก.  ว่า  ถ้า  ก.  ไม่ต้องการซื้อพระพุทธรูปองค์นั้น  ก.  จำต้องปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าว  โดยการที่  ก.  ผู้เสนอ ต้องบอกกล่าวแก่  ข.  ผู้สนองโดยพลัน  ว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า  คือวันที่  18  กุมภาพันธ์  2551 เว้นแต่  ก.  จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นแก่  ข.  ไว้ก่อนแล้ว  กฎหมายจึงจะถือว่า  จดหมายคำสนองของ  ข.  เป็นคำสนองล่วงเวลา  หามีผลให้สัญญาซื้อขายพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนระหว่าง  ก.  กับ  ข.  เกิดขึ้นไม่  แต่ถ้า  ก.  ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าว  กฎหมายให้ถือว่าจดหมายคำสนองของ ข  เป็นคำสนองที่มิได้ล่วงเวลา  ซึ่งมีผลให้สัญญาซื้อขายพระพุทธรูปสมัยเชียงแสนระหว่าง  ก.  กับ  ข.  เกิดขึ้น

สรุป  ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำ แก่  ก.  ว่า  ก.  ต้องดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนดไว้  โดย  ก.  ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่  ข.  ผู้สนองโดยพลันว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า  จึงจะถือว่า  จดหมายคำสนองของ  ข.  เป็นคำสนองล่วงเวลา   สัญญาซื้อขายระหว่าง  ก.  กับ  ข.  ไม่เกิดขึ้น

LAW1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมสัญญา S/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา 2550

ข้อสอบกระบวนวิชา LW 203 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ 1  นิติกรรมที่กฎหมายบังคับว่า  จะต้องทำเป็นหนังสือแตกต่างจากนิติกรรมที่จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างไร  ให้อธิบายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  152  การใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้การนั้นเป็นโมฆะ

อธิบาย  นิติกรรมที่กฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือนั้นคือ  นิติกรรมที่กฎหมายบังคับไว้ให้ทำในลักษณะของแบบบังคับนั้นเองและหากเป็นแบบบังคับแล้ว  ผลตามกฎหมายตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  152  คือ  ถ้าผู้ทำนิติกรรมมิได้ทำตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้นั้น  นิติกรรมนั้นก็จะตกเป็นโมฆะ

นิติกรรมที่ต้องทำเป็นหนังสือ  หมายถึง  นิติกรรมที่ต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร  โดยลงลายมือชื่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย  จะมีเพียงหลักฐานเป็นหนังสือไม่ได้  ทั้งนี้การทำเป็นหนังสือที่ต้องลงลายมือชื่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายนี้  ไม่มีบทบัญญัติใดระบุว่าคู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายจะต้องลงชื่อในวันทำสัญญานั้น

ตัวอย่างเช่น  สัญญาเช่าซื้อ  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  572  วรรคสอง  ที่กำหนดให้สัญญาเช่าซื้อต้องทำเป็นหนังสือ  หมายถึงว่าเจ้าของทรัพย์สินผู้ให้เช่าซื้อและผู้เช่าซื้อจะต้องลงลายมมือชื่อในหนังสือสัญญาเช่าซื้อด้วยกันทั้งสองฝ่าย  สัญญาเช่าซื้อจึงจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย  ดังนั้นหากสัญญาเช่าซื้อใดตกลงด้วยวาจา  หรือในกรณีที่มีการทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อ  แต่ผู้ให้เช่าซื้อหรือผู้เช่าซื้อแต่เพียงฝ่ายเดียวลงลายมือชื่อในสัญญา  ถือได้ว่ามิได้ทำตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้  ตามมาตรา  572  วรรคสอง  สัญญาเช่าซื้อดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ

สำหรับลักษณะของการทำหลักฐานเป็นหนังสือนั้นคือ  การเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร  มีข้อความทุกอย่างของนิติกรรมประเภทนั้นครบถ้วน  มีลายมือชื่อของคู่สัญญาฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญ  ทั้งหมดนี้ไม่จำต้องมีหรือได้ทำขึ้นในขณะที่ทำนิติกรรม

นิติกรรมที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น  เป็นเพียงนิติกรรมที่กฎหมายกำหนดว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือเพื่อใช้ในการฟ้องร้องและต้องมีลายมือชื่อของผู้รับผิด  แม้นิติกรรมนั้นกฎหมายจะกำหนดให้ต้องมีหลักฐาน  แม้จะไม่มีหลักฐานในขณะทำนิติกรรม  นิติกรรมนั้นก็เป็นนิติกรรมที่สมบูรณ์ตามกฎหมายทุกประการเพียงแต่คู่กรณีจะฟ้องกันโดยที่ไม่มีหลักฐานนั้นไม่ได้

ตัวอย่างเช่น  สัญญากู้ยืมเงิน  ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  653  วรรคแรก  ที่กำหนดว่าการกู้ยืมเงินเกินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่  แสดงให้เห็นชัดอยู่ในตัวว่าบทบัญญัติดังกล่าวมิได้บังคับว่าต้องทำสัญญากู้ยืมเป็นหนังสือ  เหมือนเช่นสัญญาเช่าซื้อดังกล่าวข้าง  ต้นแต่อย่างใด  เพียงแต่หากประสงค์จะฟ้องร้องบังคับคดีในชั้นศาล  คู่สัญญาจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ  จึงจะฟ้องร้องกันได้  ดังนั้นในขณะทำสัญญากู้ยืมเงินกัน  เมื่อมีการส่งมอบเงินที่ยืมให้ผู้กู้ยืมแล้ว  สัญญากู้ยืมเงินย่อมสมบูรณ์ตามกฎหมาย  แม้ไม่ได้ทำเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือก็ตาม  และทั้งนี้หลังจากรับมอบเงินแล้ว  คู่สัญญาจะทำสัญญากู้ยืมเงินกันในภายหลังเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องก็ได้

อย่างไรก็ดีข้อแตกต่างที่สำคัญอีกประการหนึ่งก็คือ  นิติกรรมที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น  ต้องมีลายมือชื่อของฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญเท่านั้น  แม้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งจะมิได้ลงลายมือชื่อ  ก็ไม่ทำให้หลักฐานเป็นหนังสือนั้นเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  152  เพราะนิติกรรมที่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือมิใช่แบบของนิติกรรมที่กฎหมายบังคับไว้ให้ต้องทำเป็นหนังสือนั่นเอง

 


ข้อ  2  นายทำใจเจ้าของที่ดินตกลงทำนิติกรรมจะซื้อขายที่ดินชายทะเล  จำนวน  120  ไร่  ให้แก่นายทำดี  ต่อมาปรากฏว่า  ทางราชการได้ประกาศว่าจะมีโครงการตัดถนนผ่านที่ดินดังกล่าวซึ่งจะทำให้ที่ดินมีราคาสูงขึ้น  นายทำใจรู้สึกเสียดายที่ดินของตน  นายทำใจจึงไปทวงที่ดินคืนจากนายทำดี  โดยอ้างว่า  “นิติกรรมจะซื้อขายที่ดินที่ตนทำกับนายทำดีเป็นโมฆียะ  

เพราะนายทำดีนิ่งเสียไม่ไขข้อความจริงเกี่ยวกับโครงการจะตัดถนนผ่านที่ดินดังกล่าว  ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของนายทำดีที่จะต้องบอกให้ตนทราบ  ตนจึงขอบอกล้างนิติกรรมดังกล่าว  ดังนี้อยากทราบว่าการแสดงเจตนาทำนิติกรรมจะซื้อขาย ที่ดินระหว่างนายทำใจกับนายทำดีมีผลทางกฎหมายเป็นอย่างไร  และข้ออ้างของนายทำใจฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบายธงคำตอบ

มาตรา  162  ในนิติกรรมสองฝ่าย  การที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งจงใจนิ่งเสียไม่แจ้งข้อความจริงหรือคุณสมบัติอันคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งมิได้รู้  การนั้นจะเป็นฉ้อฉล  หากพิสูจน์ได้ว่าถ้ามิได้นิ่งเสียเช่นนั้น  นิติกรรมนั้นก็คงมิได้กระทำขึ้น

วินิจฉัย

การแสดงเจตนาเนื่องจากถูกกลฉ้อฉลโดยการนิ่ง  ตามมาตรา  162  มีหลักเกณฑ์อันจะทำให้นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆียะ  ประกอบด้วย

1       เป็นนิติกรรมสองฝ่าย

2       จงใจนิ่งเสีย  ไม่แจ้งข้อความจริงหรือคุณสมบัติอันคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งมิได้รู้  โดย

(ก)  คู่กรณีฝ่านั้นมีหน้าที่ๆจะต้องบอกความจริง  หรือ

(ข)  มีพฤติการณ์อันแสดงออกทำให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเข้าใจผิด

3       ถึงขนาดว่าถ้ามิได้นิ่งเสียเช่นนั้น  นิติกรรมนั้นก็คงจะมิได้กระทำขึ้นกรณีตามอุทาหรณ์  การแสดงเจตนาของนายทำใจเจ้าของที่ดินที่ตกลงทำนิติกรรมจะซื้อขายที่ดินกับนายทำดีดังกล่าว  มีผลสมบูรณ์ใช้บังคับได้  และข้ออ้างของนายทำใจผู้จะขายฟังไม่ขึ้น  เพราะแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่านิติกรรมดังกล่าวเป็นนิติกรรมสองฝ่าย  และนายทำดีผู้จะซื้อจงใจนิ่งเสียไม่ไขข้อความจริงเกี่ยวกับโครงการจะตัดถนนผ่านที่ดินดังกล่าวก็ตาม  ซึ่งนายทำใจผู้จะขายมิได้รู้มาก่อนและถ้าฝ่ายนายทำดีผู้จะซื้อมิได้นิ่งเสียเช่นนั้น  สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินก็มิได้ทำขึ้น  แต่การที่นายทำดีผู้จะซื้อนิ่งเสียไม่ไขข้อความจริงเกี่ยวกับโครงการจะตัดถนนผ่านที่ดินดังกล่าวหรือไม่  มิใช่หน้าที่ของนายทำดีผู้จะซื้อที่จะต้องบอกกล่าวข้อความจริงดังกล่าว  หากแต่เป็นหน้าที่ของนายทำใจผู้จะขายที่ดินที่จะต้องขวนขวายแสวงหาความจริงเอาเอง  ดังนั้นการกระทำของนายทำดีผู้จะซื้อจึงไม่เป็นกลฉ้อฉลโดยการนิ่ง  ตามมาตรา  162  เพราะนายทำดีไม่มีหน้าที่บอกกล่าวความจริง  สัญญาจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์  (ฎ. 1131/2532)

สรุป  การแสดงเจตนาทำนิติกรรมดังกล่าวมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย  และข้ออ้างของนายทำใจฟังไม่ขึ้น

 


ข้อ  3  นางสาวเก่งเรียน  นักศึกษาปี  3  คณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยรามคำแหง  ได้ตกลงทำสัญญาเช่าบ้านกับนายสาคร  1  หลัง  เพื่อเรียนหนังสือ  โดยทำสัญญาเช่ากันในวันที่  29  กุมภาพันธ์  2551  มีกำหนดระยะเวลาการเช่ากัน  1  ปี  ดังนี้อยากทราบว่า

ก.      สัญญาเช่าบ้านของนางสาวเก่งเรียนจะสิ้นสุดลงเมื่อใด

ข.      เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง  ปรากฏว่านางสาวเก่งเรียนจบการศึกษาพอดี  แต่นางสาวเก่งเรียนต้องการอยู่ต่อเพื่อรอรับพระราชทานปริญญาบัตร  นางสาวเก่งเรียนจึงขอเช่าบ้านนายสาครต่อออกไปอีก  1  เดือนครึ่ง  โดยนายสาครยินยอมและมิได้มีการกำหนดวันเริ่มต้นแห่งระยะเวลาที่ขยายออกไป  ระยะเวลาเช่าที่ขยายออกไปจะสิ้นสุดลงเมื่อใดหมายเหตุ  เดือนกุมภาพันธ์  ปี  พ.ศ. 2551  มี  29  วัน

ธงคำตอบ

มาตรา  193/3  ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นหน่วยเวลาที่สั้นกว่าวัน  ให้เริ่มต้นนับในขณะที่เริ่มการนั้น

ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นวัน  สัปดาห์  เดือนหรือปี  มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน  เว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาที่ถือได้ว่าเป็นเวลาเริ่มต้นทำการงานตามประเพณี

มาตรา  193/5  ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นสัปดาห์  เดือน  หรือปี  ให้คำนวณตามปีปฏิทิน

ถ้าระยะเวลามิได้กำหนดนับแต่วันต้นแห่งสัปดาห์  วันต้นแห่งเดือนหรือปี  ระยะเวลาย่อมสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งสัปดาห์  เดือน  หรือปีสุดท้าย  อันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลานั้น  ถ้าระยะเวลานับเป็นเดือนหรือปีนั้น  ไม่มีวันตรงกันในเดือนสุดท้าย  ให้ถือเอาวันสุดท้ายแห่งเดือนนั้น เป็นวันสิ้นสุดระยะเวลา

มาตรา  193/6  ถ้าระยะเวลากำหนดเป็นเดือนและวัน   หรือกำหนดเป็นเดือนและส่วนของเดือนให้นับจำนวนเดือนเต็มก่อน  แล้วจึงนับจำนวนวันหรือส่วนของเดือนเป็นวัน

ถ้าระยะเวลากำหนดเป็นส่วนของปี  ให้คำนวณส่วนของปีเป็นเดือนก่อนหากมีส่วนของเดือนให้นับส่วนของเดือนเป็นวัน

การคำนวณส่วนของเดือนตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง  ให้ถือว่าเดือนหนึ่งมีสามสิบวัน

มาตรา  193/7  ถ้ามีการขยายระยะเวลาออกไปโดยมิได้มีการกำหนดวันเริ่มต้นแห่งระยะเวลาที่ขยายออกไป  ให้นับวันที่ต่อจากวันสุดท้ายของระยะเวลาเดิมเป็นวันเริ่มต้น

วินิจฉัย

(ก)  นางสาวเก่งเรียนนักศึกษาปี  3  คณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยรามคำแหง  ได้ตกลงทำสัญญาเช่าบ้านกับนายสาคร  โดยทำสัญญาเช่ากันในวันที่  29  กุมภาพันธ์  2551  มีกำหนดระยะเวลาการเช่า  1  ปี  การเริ่มต้นนับระยะเวลามิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน  ให้เริ่มนับหนึ่งในวันรุ่งขึ้น  คือ  วันที่  1  มีนาคม  2551  ตามมาตรา  193/3  วรรคสองซึ่งวันที่  1  มีนาคม  2551  เป็นวันเริ่มนับมิใช่วันต้นแห่งปี  คือ  วันที่  1  มกราคม  2551    เพราะฉะนั้นกำหนดระยะเวลา  1  ปี  น่าจะสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงเดือนสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลานั้น  คือ  วันที่  29  กุมภาพันธ์  2552  ตามมาตรา  193/5  วรรคสอง  แต่เนื่องจากเดือนกุมภาพันธ์ในปี  พ.ศ.  2552  มีเพียง   28  วันเท่านั้น  ดังนั้นวันสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์คือ  วันที่  28  กุมภาพันธ์  2552  จึงเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลาตามสัญญาเช่าบ้านของนางสาวเก่งเรียน  ตามาตรา  193/5  วรรคสองตอนท้าย

(ข)  เมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลง  แต่นางสาวเก่งเรียนได้ขอเช่าบ้านนายสาครต่อออกไปอีก  1  เดือนครึ่ง  โดยนายสาครยินยอมและมิได้มีการกำหนดวันเริ่มต้นแห่งระยะเวลาที่ขยายออกไป  ระยะเวลาที่ขยายจึงต้องเริ่มต้นนับตั้งแต่วันที่  1  มีนาคม  2552  อันเป็นวันต่อจากวันสุดท้ายของระยะเวลาเดิมเป็นวันเริ่มต้น  ตามมาตรา  193/7แต่เนื่องจากระยะเวลาการเช่าบ้านที่ขยายออกไปอีกเดือนครึ่งดังกล่าว  ถือว่าการขยายระยะเวลากรณีนี้เป็นระยะเวลาที่กำหนดเป็นเดือนและส่วนของเดือน  ดังนั้นการคำนวณระยะเวลาในกรณีนี้จึงต้องนับจำนวนเดือนเต็มก่อน  แล้วจึงนับส่วนของเดือนเป็นวันในภายหลัง  กล่าวคือ  ให้คำนวณระยะเวลาขยายออกไปอีก  1  เดือนเต็มก่อน  เมื่อวันที่เริ่มต้นนับคือวันที่  1  มีนาคม  2552  ตามาตรา  193/7  ระยะเวลาย่อมสิ้นสุดลงตรงกับวันที่  31  มีนาคม  2552  ตามาตรา  193/5  วรรคแรก  หลังจากนั้นจึงจะนับส่วนของเดือน  คือ  ครึ่งเดือนซึ่งเท่ากับ  15  วัน  เพราะ  1  เดือนมี  30  วันเท่ากันหมด  ตามมาตรา  193/6  วรรคแรกและวรรคสาม  จึงต้องนับระยะเวลาต่อออกไปอีก  15  วัน  ระยะเวลาของสัญญาเช่าที่ขยายออกไปย่อมสิ้นสุดลงในวันที่  15  เมษายน  2552

ดังนั้นระยะเวลาการเช่าที่ขยายออกไปอีกเดือนครึ่งจึงสิ้นสุดลงในวันที่  15  เมษายน  2552

สรุป  (ก)  สัญญาเช่าบ้านของนางสาวเก่งเรียนจะสิ้นสุดลงในวันที่  28  กุมภาพันธ์  2552

(ข)  ระยะเวลาการเช่าที่ขยายออกไปอีกเดือนครึ่งสิ้นสุดลงในวันที่  15  เมษายน  2552 

 


ข้อ  4  นายอิ่มอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี  ได้โทรศัพท์ไปหานายอดเพื่อนสนิท  และนายอิ่มได้พูดเสนอขายรถยนต์  1  คัน  ให้นายอดในราคา  
400,000  บาท  ในระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์  แต่นายอดไม่ได้ตอบกลับมาทันทีว่าจะซื้อหรือไม่อย่างไร  นายอิ่มเห็นนายอดไม่สนใจรถยนต์ของตน  เมื่อกลับถึงบ้านนายอิ่มได้ส่งจดหมายเสนอขายรถยนต์คันดังกล่าว  ให้นายอี๊ดซึ่งอยู่จังหวัดสมุทรสาครในราคาเท่ากัน  กับที่เสนอขายนายอด  โดยนายอิ่มได้กำหนดไปในจดหมายด้วยว่า  ถ้านายอี๊ดต้องการซื้อรถยนต์ของตน  ต้องสนองตอบกลับมาภายในวันที่  20  พฤษภาคม  2551  ปรากฏว่าเมื่อถึงวันที่กำหนดคือ  วันที่  20  พฤษภาคม  2551  แล้วนายอี๊ดก็มิได้สนองตอบกลับมาแต่อย่างใด  จะมีก็แต่จดหมายคำสนองของนายอดที่ตอบกลับมายังนายอิ่มว่าตนตกลงซื้อรถยนต์ของนายอิ่มที่เสนอขาย  ดังนี้อยากทราบว่า  ถ้านายอิ่มเปลี่ยนใจไม่ต้องการขายรถยนต์ของตนให้กับนายอดและนายอี๊ด  นายอิ่มจะทำได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  354  คำเสนอจะทำสัญญาอันบ่งระยะเวลาให้ทำคำสนองนั้น  ท่านว่าไม่อาจจะถอนได้ภายในระยะเวลาที่บ่งไว้

มาตรา  356  คำเสนอทำแก่บุคคลผู้อยู่เฉพาะหน้า  โดยมิได้บ่งระยะเวลาให้ทำคำสนองนั้นเสนอ  ณ  ที่ใดเวลาใดก็ย่อมจะสนองรับได้แต่  ณ  ที่นั้นเวลานั้น  ความข้อนี้ท่านให้ใช้ตลอดถึงการที่บุคคลคนหนึ่งทำคำเสนอไปยังบุคคลอีกคนหนึ่งทางโทรศัพท์ด้วย

มาตรา  357  คำเสนอใดเขาบอกปัดไปยังผู้เสนอแล้วก็ดี  หรือมิได้สนองรับภายในเวลากำหนดดังกล่าวมาในมาตราทั้งสามก่อนนี้ก็ดี  คำเสนอนั้นท่านว่าเป็นอันสิ้นความผูกพันแต่นั้นไป

มาตรา  360  บทบัญญัติแห่งมาตรา  169  วรรคสองนั้น  ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าหากว่าขัดกับเจตนาอันผู้เสนอได้แสดง  หรือหากว่าก่อนจะสนองรับนั้น  คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้เสนอตายหรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ

วินิจฉัย

กรณีแรก  การที่นายอิ่มซึ่งอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี  ได้โทรศัพท์ไปหานายอดเพื่อนสนิทและนายอิ่มได้พูดเสนอขายรถยนต์ให้นายอดระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์  ถือได้ว่านายอิ่มได้ทำคำเสนอต่อบุคคลซึ่งอยู่เฉพาะหน้าโดยมิได้บ่งระยะเวลาให้ทำคำสนอง  ตามาตรา  356  ซึ่งสัญญาซื้อขายรถยนต์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นเป็นสัญญาขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนายอดได้ทำคำสนองกลับมาทันที  ณ  ที่นั้นเวลานั้น  แต่เนื่องจากว่านายอดผู้รับคำสนองมิได้ทำคำสนองกลับมาเป็นจดหมายในภายหลังนั้นก็ตาม  ก็หาทำให้คำเสนอที่สิ้นผลผูกพันไปแล้วกลับมามีผลอีกไม่  สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างนายอิ่มและนายอดก็หาอาจเป็นสัญญาได้ไม่  ดังนั้นนายอิ่มสามารถเปลี่ยนใจไม่ขายรถยนต์คันดังกล่าวให้นายอดได้

กรณีที่สอง  การที่นายอิ่มส่งจดหมายเสนอขายรถยนต์คันดังกล่าว  ให้นายอี๊ดซึ่งอยู่จังหวัดสมุทรสาคร  โดยนายอิ่มได้กำหนดไปในจดหมายด้วยว่า  ถ้านายอี๊ดต้องการซื้อรถยนต์ของตน  ต้องสนองตอบกลับมาภายในวันที่  20  พฤษภาคม  2551  ถือได้ว่านายอิ่มได้ทำคำเสนอต่อบุคคลซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทาง  โดยได้บ่งระยะเวลาให้ทำคำสนอง  ตามาตรา  354  ถ้านายอิ่มเปลี่ยนใจไม่ขายรถยนต์ของตน  นายอิ่มก็สามารถทำได้อยู่แล้วโดยผลทางกฎหมาย  กล่าวคือ  สัญญาซื้อขายรถยนต์ดังกล่าวจะเกิดเป็นสัญญาขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนายอี๊ดได้ทำคำสนองกลับไปถึงนายอิ่มผู้ทำคำเสนอภายในระยะเวลาที่บ่งไว้คือ  ภายในวันที่  20  พฤษภาคม  2551  ตามมาตรา  360  แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงวันที่กำหนด  คือ  วันที่  20  พฤษภาคม  2551  แล้ว  นายอี๊ดก็มิได้ทำคำสนองกลับมาแต่อย่างใด  ดังนี้ถือได้ว่าคำเสนอของนายอิ่มเป็นอันสิ้นผลผูกพันนับแต่เวลาที่ นายอี๊ดผู้รับคำเสนอมิได้ทำคำสนองรับมาภายในระยะเวลาที่บ่งไว้ดังกล่าวข้าง ต้น  ตามาตรา  357  สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างนายอิ่มและนายอี๊ดก็หาอาจเกิดเป็นสัญญาได้ไม่  ดังนั้น  นายอิ่มสามรถเปลี่ยนใจไม่ขายรถยนต์ของตนให้แก่นายอี๊ดได้  ตั้งแต่วันที่  20  พฤษภาคม  2551

สรุป  นายอิ่มสามารถเปลี่ยนใจไม่ขายรถยนต์ของตนให้กับนายอดและนายอี๊ดได้

LAW1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมสัญญา 1/2551

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา LW 203  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ 

ข้อ 1  ก. ในกรณีแสดงเจตนาต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า  เมื่อผู้แสดงเจตนาได้ส่งการแสดงเจตนาไปแล้ว  ผู้แสดงเจตนาถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ  ตามหลักทั่วไป  การแสดงเจตนานั้นมีผลในกฎหมายประการใด

ข .นายสมบัติซึ่งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร  ส่งจดหมายโดยทางไปรษณีย์เสนอขายบ้านหลังหนึ่งของตนซึ่งอยู่ในกรุงเทพ มหานครให้แก่นายอาทิตย์ซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ในราคาห้าล้านบาท  หลังจากส่งจดหมายไปแล้ว  5  วัน

นายสมบัติถูกศาลแพ่งสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ  นายอาทิตย์ได้ทราบข่าวว่านายสมบัติถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถแล้ว  แต่อยากได้บ้านหลังนั้น  นายอาทิตย์จึงเขียนจดหมายส่งทางไปรษณีย์สนองตอบตกลงซื้อบ้านส่งไปให้นายสมบัติ  ณ  ที่อยู่ของนายสมบัติ  นางสมศรีซึ่งเป็นผู้อนุบาลของนายสมบัติได้รับจดหมายดังกล่าวไว้  ดังนี้สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างนายสมบัติกับนายอาทิตย์เกิดขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

 ก.      มาตรา  169  วรรคสอง  การแสดงเจตนาที่ได้ส่งออกไปแล้วย่อมไม่เสื่อมเสียไป  แม้ภายหลังการแสดงเจตนานั้นผู้แสดงเจตนาจะถึงแก่ความตาย  หรือถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

อธิบาย  หลักกฎหมายดังกล่าวนี้เป็นหลักทั่วไปของผลในกฎหมายกรณีแสดงเจตนาต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า  เมื่อผู้แสดงเจตนาได้ส่งการแสดงเจตนาไปแล้ว  หลังจากนั้นผู้แสดงเจตนา

(1) ตาย

(2) ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ  หรือ

(3) ถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถกฎหมายบัญญัติไว้เป็นหลักทั่วไปว่า  การแสดงเจตานั้นไม่เสื่อมเสียไป  ยังคงมีผลสมบูรณ์

ข.      มาตรา  360  บทบัญญัติแห่งมาตรา  169  วรรคสองนั้น  ท่านมิให้ใช้บังคับ  ถ้าหากว่า…ก่อนจะสนองรับนั้น  คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่า  ผู้เสนอตายหรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถวินิจฉัย 

กรณีตามอุทาหรณ์  ปรากฏว่าก่อนที่นายอาทิตย์จะทำคำสนองตอบตกลงซื้อบ้านของนายสมบัติ  นายอาทิตย์ได้รู้อยู่แล้วว่านายสมบัติถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถแล้ว  กรณีต้องตามข้อยกเว้นในมาตรา  360  ซึ่งมิให้นำบทบัญญัติมาตรา  169  วรรคสอง  มาใช้บังคับ  จึงมีผลให้การแสดงเจตนาเสนอขายบ้านของนายสมบัติเป็นอันเสื่อมเสียไป

กรณีดังกล่าวนี้จึงไม่มีคำเสนอของนายสมบัติ  มีแต่เพียงคำสนองของนายอาทิตย์  ถึงแม้นางสมศรีผู้อนุบาลของนายสมบัติได้รับจดหมายำสนองของนายอาทิตย์ไว้  สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างนายสมบัติกับนายอาทิตย์ก็ไม่เกิดขึ้น

สรุป  สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างนายสมบัติกับนายอาทิตย์ไม่เกิดขึ้น

 


ข้อ  2  เมื่อวันที่  1  ตุลาคม  2541  นาย ก. คนไร้ความสามารถได้ให้แหวนเพชรหนัก  1  กะรัต แก่นาย ข. หลังจากนั้นอีก 6 ปี  นาย ก. หายจากอาการวิกลจริต  ผู้อนุบาลได้ร้องขอและศาลได้สั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้นาย ก. เป็นคนไร้ความสามารถแล้ว  ตาม ป.พ.พ. มาตรา 31  จนกระทั่งเมื่อวันที่  1  ตุลาคม  2551  นาย ก.  จำได้ว่าตนได้ให้แหวนเพชรแก่นาย  ข.  ประสงค์จะบอกล้างโมฆียกรรมนี้   จึงมาปรึกษาให้ท่านแนะนำนาย ก. ให้ถูกต้องตามหลักกฎหมาย

ธงคำตอบ

มาตรา  179  วรรคสอง  บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ  จะให้สัตยาบันแก่โมฆียกรรมต่อเมื่อได้รู้เห็นซึ่งโมฆียกรรมนั้น  ภายหลังที่บุคคลนั้นพ้นจากการเป็นคนไร้ความสามารถแล้ว

มาตรา  181  โมฆียะกรรมนั้น  จะบอกล้างมิได้เมื่อพ้นเวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้หรือเมื่อพ้นเวลาสิบปีนับแต่ได้ทำนิติกรรมอันเป็นโมฆียะนั้น

วินิจฉัย

กำหนดการบอกล้างโมฆียะกรรม  ตามมาตรา  181  นั้น  จะบอกล้างมิได้เมื่อพ้นเวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้  ซึ่งกำหนดเวลาดังกล่าวนั้น  ในกรณี นาย ก.  คนไร้ความสามารถคือ วันที่  1  ตุลาคม  2551  ซึ่งเป็นวันที่นาย ก.  ได้รู้เห็น(จำได้ว่า)  ซึ่งโมฆียกรรมนั้น  หลังจากที่ศาลได้สั่งเพิกถอนคำสั่งที่ให้เป็นคนไร้ความสามารถแล้วเมื่อประมาณ  4  ปี  ที่ผ่านมาตามมาตรา  179  วรรคสอง

แต่อย่างไรก็ตาม  เวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้นั้นต้องไม่เกดินเวลาสิบปีนับแต่ได้ทำนิติกรรมอันเป็นโมฆียะนั้น  ซึ่งในวันที่  1  ตุลาคม  2551  เป็นวันที่ครบสิบปีพอดี

ข้าพเจ้าจะแนะนำให้นาย  ก.  ต้องใช้สิทธิบอกล้างในวันที่  1  ตุลาคม  2551  ถ้าเกินกว่านั้นจะพ้นเวลาสิบปีนับแต่ได้ทำโมฆียะกรรมขึ้น

สรุป  นาย ก.  ต้องใช้สิทธิบอกล้างภายในวันที่  1  ตุลาคม  2551

 


ข้อ 3  เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์  2548  นายเฉลิมได้ซื้อเชื่อเครื่องปรับอากาศจากร้านของนายเกษม  จำนวน 3 เครื่องเป็นเงิน  250,000  บาท  โดยตกลงจะนำเงินมาชำระให้ในวันที่  10  มีนาคม  2548  เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายเฉลิมไม่นำเงินมาชำระ  นายเกษมได้ทวงถามตลอดมา  จนกระทั่งวันที่  1  มีนาคม  2550  ซึ่งเหลือเวลาอีก  9  วันจะครบกำหนดอายุความ  2  ปี  นายเกษมได้นำคดีมาฟ้องศาลเรียกเงินค่าซื้อของเชื่อ  ต่อมาวันที่  7  มีนาคม  2550  นายเฉลิมได้ไปขอร้องให้นายเกษมถอนฟ้องและได้ทำหนังสือให้นายเกษมไว้  1  ฉบับ  มีใจความยอมรับว่าเป็นหนี้นายเกษมจริงและจะนำเงินมาชำระให้ในวันที่  10  เมษายน  2550  นายเกษมจึงไปถอนฟ้องคดีครั้นถึงกำหนดนายเฉลิมไม่นำเงินมาชำระให้ตามที่ตกลงกันไว้  นายเกษมจึงได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่  30  กันยายน  2551  นายเฉลิมต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความแล้ว  เพราะนายเกษมถอนฟ้องอายุความจึงไม่สะดุดหยุดลง  

ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ข้อต่อสู้ของนายเฉลิมฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

หมายเหตุ  มาตรา  193/34  สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้  ให้มีกำหนดอายุความสองปี

(1) ผู้ประกอบการค้า…เรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบธงคำตอบ

มาตรา  193/14  อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้…

(2) เจ้าหนี้ได้ฟ้องคดี… เพื่อให้ชำระหนี้มาตรา  193/17  วรรคแรก  ในกรณีที่อายุความสะดุดหยุดลงเพราะเหตุตามาตรา 193/14(2)  หากคดีเสร็จไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะเหตุถอนฟ้อง…  ให้ถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  นายเฉลิมได้ซื้อเชื่อเครื่องปรับอากาศจากร้านของนายเกษมเป็นเงินจำนวน  250,000  บาท  โดยตกลงจะนำเงินมาชำระให้ในวันที่  10  มีนาคม  2548  เมื่อหนี้ถึงกำหนด  นายเฉลิมไม่นำเงินมาชำระจนกระทั่งวันที่  1  มีนาคม  2550  ซึ่งเหลือเวลาอีก  9  วัน  จะครบกำหนดอายุความ  2  ปี  ตามมาตรา  193/34(1)  นายเกษมได้นำคดีมาฟ้องศาลจึงเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง  ตามมาตรา  193/14(2)  แต่ปรากฏว่า  คดีเสร็จไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะนายเกษมไปถอนฟ้องคดีให้ถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง  ตามมาตรา 193/17  วรรคแรก  อายุความจึงนับต่อไป  ในวันที่ 7  มีนาคม  2550  นายเกษมได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้แก่นายเกษม  1  ฉบับ  จึงเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง  ตามมาตรา  193/14(1)  อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันที่  7  มีนาคม  2550  และจะครบ  2  ปี  ในวันที่  7  มีนาคม  2552  นายเกษมได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่  30  กันยายน  2551  คดีจึงไม่ขาดอายุความ

สรุป  นายเฉลิมต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความแล้ว  เพราะนายเกษมถอนฟ้องอายุความจึงไม่สะดุดหยุดลง  ข้อต่อสู้ของนายเฉลิมจึงฟังไม่ขึ้น

 


ข้อ  4  นายอู่ทองตกลงขายรถยนต์กระบะคันหนึ่งให้แก่นายพิชัย  
800,000 บาท  โดยนายพิชัยได้ชำระเงินค่ารถยนต์เป็นเงินสด  จำนวน  200,000  บาท  ในวันทำสัญญานายอู่ทองได้ส่งมอบรถยนต์กระบะคันดังกล่าวซึ่งตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ให้แก่นายพิชัยแล้ว  แต่เนื่องจากรถยนต์กระบะของนายอู่ทองยังผ่อนชำระกับนายดุสิตไม่หมด   นายอู่ทองจึงยังไม่ได้รับโอนทะเบียนรถยนต์กระบะคันดังกล่าวจากนายดุสิตแต่อย่างใด  ทั้งสองฝ่ายจึงตกลงกำหนดเงื่อนไขให้กรรมสิทธิ์ยังไม่โอนไปยังนายพิชัยจนกว่านายอู่ทองจะผ่อนชำระราคารถยนต์กับนายดุสิตจนหมด  และได้รับโอนทะเบียนรถยนต์กระบะเรียบร้อยแล้ว  

ในระหว่างนั้นปรากฏว่า  ได้เกิดเพลิงไหม้ในบริเวณชุมชนใกล้เคียงกับบ้านของนายพิชัย  แล้วเพลิงได้ลุกลามมาไหม้บ้านของนายพิชัยเสียหายหมดทั้งหลัง  รวมทั้งรถยนต์กระบะที่นายพิชัยได้รับมอบไว้ด้วย  จนรถยนต์กระบะคันดังกล่าวไม่สามารถใช้การได้เลย

ดังนี้  นายอู่ทองจะมีสิทธิเรียกให้นายพิชัยชำระราคารถยนต์กระบะส่วนที่เหลือให้แก่นายอู่ทองหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  370  วรรคแรก  ถ้าสัญญาต่างตอบแทนมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการก่อให้เกิดหรือโอนทรัพย์ สิทธิในทรัพย์เฉพาะสิ่งและทรัพย์นั้นสูญหรือเสียหายไปด้วยเหตุอย่างใดอย่าง หนึ่งอันจะโทษลูกหนี้มิได้ไซร้  ท่านว่า  การสูญหรือเสียหายนั้นตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้

มาตรา  371  วรรคแรก  บทบัญญัติที่กล่าวมาในมาตราก่อนนี้  ท่าน มิให้ใช้บังคับถ้าเป็นสัญญาต่างตอบแทนมีเงื่อนไขบังคับก่อนและทรัพย์อันเป็น วัตถุแห่งสัญญานั้นสูญหรือทำลายลงในระหว่างที่เงื่อนไขยังไม่สำเร็จ

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  การทำสัญญาซื้อขายรถยนต์กระบะระหว่างนายอู่ทองและนายพิชัยเป็นการทำ สัญญาต่างตอบแทนซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นการโอนทรัพย์สิทธิในทรัพย์เฉพาะสิ่ง  เมื่อ ปรากฏว่ารถยนต์ที่นายพิชัยได้ครอบครองไว้ถูกไฟไหม้เสียหายหมดโดยไฟลุกลามมา จากชุมชนในบริเวณใกล้เคียงกับบ้านของนายพิชัยด้วยเหตุอันโทษใครไม่ได้  ก่อนที่นายอู่ทองจะผ่อนชำระราคารถยนต์กับนายดุสิตจนหมด  และได้รับโอนทะเบียนรถยนต์กระบะเรียบร้อยแล้ว  ถือได้ว่าเป็นกรณีที่ทรัพย์นั้นสูญหรือถูกทำลายลงในระหว่างเงื่อนไขยังไม่สำเร็จ  กรณีนี้จะนำบทบัญญัติของมาตรา  370  มาใช้บังคับไม่ได้  การสูญหรือเสียหายนั้นหาตกเป็นพับแก่นายพิชัยหรือเจ้าหนี้ไม่

หากแต่นายอู่ทองลูกหนี้ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายต้องเป็นผู้รับผลแห่งภัยพิบัติเอง  นายอู่ทองจึงหามีสิทธิเรียกให้นายพิชัยชำระราคาค่ารถยนต์กระบะส่วนที่เหลืออยู่ได้ไม่  ตามมาตรา  371  วรรคแรก  อีกทั้งกรณีนี้ไม่จำต้องอ้างมาตรา  372  ซึ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทนอื่นด้วย

สรุป  นายอู่ทองไม่มีสิทธิเรียกให้นายพิชัยชำระราคารถยนต์กระบะส่วนที่เหลือให้แก่นายอู่ทอง

LAW1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมสัญญาภาค 2/2551

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2551

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อข้อ 1.  ก . การแสดงเจตนาต่อผู้เยาว์ หรือคนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถมีผลในกฎหมายประการใด ให้อธิบายโดยสังเขป

ข . นายแดงทำสัญญาเช่าบ้านของนางเหลืองมีกำหนด 2 ปี อัตราค่าเช่าเดือนละ 8,000 บาท หลังจากเช่าได้ 7 เดือน นายแดงวิกลจริตและถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถและไม่ได้ชำระค่าเช่าให้ แก่นางเหลืองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางเหลืองได้ส่งจดหมายเตือนให้นายแดงชำระค่าเช่าแต่นายแดงก็ยังไม่นำค่าเช่า มาชำระ นางเหลืองจึงบอกเลิกสัญญาไปยังนายแดง

ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้ความว่าใน ระหว่างที่นายเขียวซึ่งเป็นผู้อนุบาลของนายแดงเดินทางไปต่างประเทศ ไม่รู้เรื่องที่นางเหลืองบอกเลิกสัญญาไปยังนายแดง ดังนี้ การบอกเลิกสัญญาเช่าที่นางเหลืองได้บอกกล่าวไปยังนายแดงมีผลในกฎหมายอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

 หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 170 การแสดงเจตนาซึ่งกระทำต่อผู้เยาว์ หรือผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นบุคคลไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับการแสดงเจตนาไม่ได้ เว้นแต่ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ แล้วแต่กรณีของผู้รับการแสดงเจตนานั้นได้รู้ด้วย หรือได้ให้ความยินยอมไว้ก่อนแล้ว

ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับ ถ้าการแสดงเจตนานั้นเกี่ยวกับการที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้เยาว์หรือคนเสมือนไร้ความสามารถกระทำได้เองโดยลำพัง

ก.      อธิบาย

กรณีการแสดงเจตนาต่อผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

เป็นกรณีที่บุคคลภายนอกมาแสดงเจตนาต่อผู้บกพร่องในความสามารถ หาใช่เป็นเรื่องที่ผู้บกพร่องในความสามารถได้แสดงเจตนาต่อบุคคลภายนอกไม่ ผู้บกพร่องในความสามารถในที่นี้ได้แก่ ผู้เยาว์ซึ่งมีผู้แทนโดยชอบธรรมคุ้มครองดูแล คนไร้ความสามารถซึ่งมีผู้อนุบาลคุ้มครองดูแล และคนเสมือนไร้ความสามารถซึ่งมีผู้พิทักษ์คุ้มครองดูแล

หลักทั่วไป ผู้แสดงเจตนาจะยกเอาการแสดงเจตนานั้น ขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับการแสดงเจตนาซึ่งเป็นผู้เยาว์ คนไร้ความสามรถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถนั้นไม่ได้

ข้อยกเว้น ผู้แสดงเจตนาสามารถยกเอาการแสดงเจตนาขึ้นมาต่อสู้กับผู้รับการแสดงเจตนาได้ถ้าเป็นกรณีต่อไปนี้

1.        ผู้คุ้มครองดูแลผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (ได้แก่ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์) แล้วแต่กรณี ได้รู้ถึงการแสดงเจตนานั้นด้วยหรือได้ให้ความยินยอมไว้ก่อนแล้ว (มาตรา 170 วรรคแรก)  หรือ

2.        การแสดงเจตนานั้น กฎหมายบัญญัติให้ผู้เยาว์ คนเสมือนไร้ความสามารถกระทำได้เองโดยลำพัง ตามมาตรา 170 วรรคสอง (สังเกตว่า กรณีนี้กฎหมายไม่ได้บัญญัติรวมถึงคนไร้ความสามารถ เพราะคนไร้ความสามารถไม่อาจทำนิติกรรมได้เองโดยลำพัง)

ข . วินิจฉัย

กรณี ตามอุทาหรณ์ ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การบอกเลิกสัญญาเช่าที่นางเหลืองบอกกล่าวไปยังนายแดงมีผลในทางกฎหมายหรือไม่ อย่างไร เห็นว่า ในขณะที่นางเหลืองแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาเช่าบ้านไปยังนายแดงซึ่งเป็นคนไร้ ความสามารถ โดยนายเขียวผู้อนุบาลได้เดินทางไปต่างประเทศและไม่ทราบการเลิกสัญญาดังกล่าว กรณีเช่นนี้ถือเป็นการแสดงงเจตนาต่อคนไร้ความสามารถโดยผู้อนุบาลไม่ได้รู้ ด้วยหรือได้ไห้ความยินยอมไว้ก่อน กรณีจึงต้องตามหลักทั่วไปของการแสดงเจตนาต่อผู้บกพร่องในความสามารถที่ผู้ แสดงเจตนาจะยกเอาการแสดงเจตนานั้นขึ้นมาต่อสู้กับผู้รับการแสดงเจตนาไม่ได้  ตามมาตรา  170  วรรคแรก

ดังนั้น  การที่นางเหลืองบอกเลิกสัญญาเช่า  โดยบอกกล่าวไปยังนายแดงคนไร้ความสามารถโดยผู้อนุบาลไม่ได้รู้ด้วยหรือมิได้ให้ความยินยอมไว้ก่อน  มีผลในทางกฎหมายคือ  นางเหลืองจะยกเอาการบอกเลิกสัญญาเช่าบ้านขึ้นต่อสู้นายแดงไม่ได้

สรุป  ผลทางกฎหมาย คือ นางเหลืองจะยกเอาการบอกเลิกสัญญาเช่าบ้านขึ้นต่อสู้นายแดงคนไร้ความสามารถไม่ได้

 


ข้อ 2.  กรณีโมฆียะกรรมได้กระทำขึ้นโดยคนไร้ความสามรถนั้น ถามว่าใครบ้างเป็นผู้มีสิทธิบอกล้างโมฆียะกรรมนั้นในทุกกรณี อธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 175 โมฆียะกรรมนั้น บุคคลต่อไปนี้จะบอกล้างเสียก็ได้

(2 ) บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ เมื่อบุคคลนั้นพ้นจากการเป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถแล้ว หรือผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์แล้วแต่กรณีแต่คนเสมือนไร้ความสามารถจะบอกล้างก่อนที่ตนจะพ้น จาการเป็นคนเสมือนไร้ความสามรถก็ได้ถ้าได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์

ถ้าบุคคลผู้ทำนิติกรรมอันเป็นโมฆียะถึงแก่ความตายก่อนมีการบอกล้างโมฆียะกรรม ทายาทของบุคคลดังกล่าวอาจบอกล้างโมฆียะกรรมนั้นได้

อธิบาย

การบอกล้างโมฆียะกรรม” คือ การแสดงเจตนาทำลายโมฆียะกรรมให้กลายเป็นโมฆะกรรมย้อนหลังไปถึงวันเวลาที่ทำนิติกรรมนั้น

กรณีโมฆียะกรรมได้ทำขึ้นโดยคนไร้ความสามารถ ผู้มีสิทธิบอกล้างโมฆียะกรรมนั้น ได้แก่

1. คนไร้ความสามารถ แต่จะทำการบอกล้างโมฆียะกรรมได้ต่อเมื่อได้พ้นจากการเป็นคนไร้ความสามารถแล้ว

2. ผู้อนุบาล เนื่องจากคนไร้ความสามารถอยู่ในความดูแลของผู้อนุบาล

3.  ทายาทของคนไร้ความสามารถ ในกรณีที่ผู้ไร้ความสามารถได้ถึงแก่ความตายก่อนมีการบอกล้างโมฆียะกรรม ตามมาตรา 175 วรรคสอง ที่ว่า ถ้าบุคคลผู้ทำนิติกรรมอันเป็นโมฆียะถึงแก่ความตายก่อนมีการบอกล้างโมฆียะกรรม ทายาทของบุคคลดังกล่าวอาจบอกล้างโมฆียะกรรมนั้นได้” แต่ถ้าผู้ไร้ความสามารถยังมีชีวิตอยู่ทายาทจะไม่มีสิทธิบอกล้างโมฆียะกรรมเลย เว้นแต่ ทายาทนั้นมีฐานะเป็นผู้อนุบาลด้วย

 


ข้อ 3.  นายแดงได้ทำบัตรเครดิตกับธนาคารสยามไทย จำกัด จำนวน 1 ใบ ธนาคารกำหนดเงิน  50,000 บาทในเดือนกันยายน 2549 นายแดงได้นำบัตรเครดิตไปซื้อสินค้ารวมเป็นเงินทั้งสิ้น 35,000 บาท ธนาคารฯ กำหนดให้นายแดงนำเงินไปชำระภายในวันที่ 10 ตุลาคม 2549 ถ้าชำระภายในกำหนดนายแดงไม่ต้องเสียดอกเบี้ย แต่พอถึงกำหนดนายแดงไม่นำเงินไปชำระให้แก่ธนาคาร ธนาคารได้มีหนังสือทวงถามมาหลายครั้ง  แต่นายแดงก็ไม่นำเงินไปชำระ

จนกระทั่งวันที่ 1 ตุลาคม 2551 ซึ่งเหลือเวลา 9 วัน จะครบกำหนดอายุความ 2 ปี นายแดงได้นำเงินไปชำระโดยผ่านเครื่องรับชำระเงินเป็นจำนวน 2,000 บาท หลังจากนั้นนายแดงมิได้นำเงินไปชำระให้ธนาคารฯ อีกเลย ต่อมาธนาคารฯได้นำคดีมาฟ้องศาลเรียกทั้งเงินที่ค้างชำระพร้อมดอกเบี้ยในวันที่  2  มีนาคม  2552  นายแดงต่อสู้ว่าขาดอายุความแล้ว ธนาคารฯ อ้างว่ายังไม่ขาดเพราะอายุความสะดุดหยุดลงในวันที่  1  ตุลาคม  2551  ดังนี้  อยากทราบว่าข้ออ้างของธนาคารฯ ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใดหมายเหตุ   ป.พ.พ. มาตรา 193/34 บัญญัติว่า สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ ให้มีกำหนดอายุความสองปี

(7) บุคคลซึ่งมิได้เข้าอยู่ในประเภทที่ระบุไว้ใน (1) แต่เป็นผู้ประกอบธุรกิจในการดูแลกิจการของผู้อื่น… เรียกเอาสินจ้างอันจะพึงได้รับในการนั้น…

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/14 อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้  ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง

มาตรา 193/15 เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น

มาตรา  193/34  สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความสองปี

(7)  บุคคลซึ่งมิได้เข้าอยู่ในประเภทที่ระบุไว้ใน (1) แต่เป็นผู้ประกอบธุรกิจในการดูแลกิจการของผู้อื่นหรือรับทำการงานต่าง ๆ เรียกเอาสินจ้างอันจะพึงได้รับในการนั้น รวมทั้งเงินที่ได้ออกทดรองไป

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า ข้ออ้างของธนาคารฯ ที่ว่าคดียังไม่ขาดอายุความเพราะอายุความสะดุดหยุดลงนั้น ฟังขึ้นหรือไม่ เห็นว่า นายแดงได้ทำบัตรเครดิตไว้กับธนาคารฯ และธนาคารฯได้กำหนดวงเงิน 50,000 บาท และกำหนดให้นายแดงนำเงินไปชำระภายในวันที่ 10 ตุลาคม 2549 การที่นายแดงได้นำบัตรเครดิตไปซื้อสินค้าและบริการรวมทั้งสิ้น 35,000 บาท  กรณีเช่นนี้ถือว่านายแดงเป็นหนี้ธนาคารฯ  อยู่เพียง  35,000  บาทเท่านั้น  แม้บัตรเครดิตจะกำหนดวงเงินไว้ถึง  50,000  บาท  ก็เป็นเพียงแต่การจำกัดมิให้นายแดงใช้บัตรเครดิตซื้อสินค้าและบริการเกินไปกว่าวงเงินที่กำหนดไว้ในการให้สินเชื่อบัตรเครดิตเท่านั้น หามีผลทำให้นายแดงเป็นหนี้ธนาคาร 50,000 บาท แต่อย่างใด

เมื่อ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันที่ 10 ตุลาคม 2549 ซึ่งเป็นวันถึงกำหนดชำระหนี้ นายแดงไม่ได้นำเงินไปชำระให้แก่ธนาคารฯ เช่นนี้สิทธิเรียกร้องของธนาคารย่อมเกิดขึ้นนับแต่วันนั้นเป็นต้นไป อายุความก็เริ่มนับตั้งแต่วันที่อาจใช้สิทธิเรียกร้องเป็นต้นไปเช่นเดียวกัน ตามมาตรา 193/12 โดยเริ่มนับในวันรุ่งขึ้นคือ วันที่ 11 ตุลาคม 2549 ส่วนกำหนดอายุความนั้น กรณีธนาคารฯ เป็นผู้ประกอบธุรกิจในการรับการทำการงานต่างๆ โดยให้ลูกค้านำบัตรเครดิตไปใช้ซื้อสินค้าได้ก่อนแล้วธนาคารฯ  จะมาเรียกเก็บเงินจากลูกค้าในภายหลังถือได้ว่าเป็นการเรียกเอาค่าที่ได้ออกเงินทดรองจ่ายไปก่อน สิทธิเรียกร้องของธนาคารฯ ในกรณีนี้มีอายุความ 2 ปี ตามมาตรา 193/34(7) ดังนั้นอายุความตามสิทธิเรียกร้องของธนาคารฯ จึงจะครบกำหนดในวันที่ 10 ตุลาคม 2551 (ฏ.1517/2550)

แต่ต่อมาในวันที่ 1 ตุลาคม 2551 ซึ่งเหลือเวลาอีก 9 วันจะครบกำหนดอายุความ 2 ปีดังกล่าว  นายแดงได้นำเงินไปชำระโดยผ่านเครื่องชำระเงินเป็นจำนวน 2000 บาท และหลังจากนั้นนายแดงก็มิได้นำเงินไปชำระให้ธนาคารฯ อีกเลย จึงเป็นกรณีที่นายแดงชำระเงินให้ธนาคารเจ้าหนี้แต่เพียงบางส่วน อันถือว่าเป็นการรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้องแล้ว ตามมาตรา 193/14(1) อายุความสะดุดหยุดลง และเมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้วระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ แต่ให้นับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น กรณีนี้จึงต้องเริ่มนับอายุความใหม่เท่าอายุความเดิม 2 ปี ตามมาตรา 193/34(7) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551 ซึ่งเป็นวันที่อายุความสะดุดหยุดลง ตามมาตรา 193/15

ดังนั้นเมื่อธนาคารฯ นำคดีมาฟ้องในวันที่ 2 มีนาคม 2552 ซึ่งยังไม่เกิน 2 ปีนับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2551  คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ ข้ออ้างของธนาคารฯ ที่ว่าคดียังไม่ขาดอายุความเพราะอายุความสะดุดหยุดลงแล้วจึงฟังขึ้น (ฎ. 8801/2550)

สรุป  ข้ออ้างของธนาคารฯ ฟังขึ้น

 

ข้อ 4.    ก.  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กำหนดหลักเกณฑ์การชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทนไว้        อย่างไร อธิบายโดยสังเขป

ข . บริษัทโกงกางค้าไม้ จำกัด ผู้ได้รับสัมปทานทำไม้ในเขตป่าชายเลนตกลงขายไม้ฟืน จำนวน 1 ต้น แก่นายสักราคา 800,000 บาท ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2552 ทั้งสองฝ่ายกำหนดเวลาชำระราคาไม้ฟืนและกำหนดส่งมอบไม้ฟืนกันในวันที่ 19 มีนาคม 2552 แต่เมื่อถึงวันที่ 4 มีนาคม 2552 บริษัทโกงกางค้าค้าไม้ จำกัด ได้รับคำสั่งจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมปทานทำไม้ในเขตป่าชายเลนที่จะตัดไม้ฟืนเพื่อส่งมอบให้นายสักนั้นเป็นอันสิ้นสุดลง ซึ่ง ณ เวลานั้นบริษัทโกงกางค้าไม้ จำกัด  ยังไม่ได้เริ่มทำการตัดฟันไม้ฟืนในป่าชายเลนแต่อย่างใด  จึงเป็นเหตุให้บริษัทโกงกางค้าไม้  จำกัด ไม่สามารถส่งมอบไม้ฟืนที่ซื้อขายให้แก่นายสักได้

ดังนี้  บริษัทโกงกางค้าไม้ จำกัด มีสิทธิเรียกให้นายสักชำระราคาไม้ฟืนดังกล่าวหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  369 ในสัญญาต่างตอบแทนนั้น คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง

จะชำระหนี้หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าหนี้ของคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ถึงกำหนด

มาตรา 372 วรรคแรก นอกจากกรณีที่กล่าวไว้ในสองมาตราก่อน ถ้าการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็ไม่ได้ไซร้  ท่านว่าลูกหนี้หามีสิทธิจะรับชำระหนี้ตอบแทนไม่

ก.      อธิบาย

สัญญาต่างตอบแทน” คือ สัญญาที่ก่อให้เกิดหนี้ทำให้คู่สัญญาต่างมีหนี้ที่ต้องชำระตอบแทนกัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เป็นสัญญาที่คู่สัญญาแต่ละฝ่ายต่างเป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกันนั่นเอง เช่น สัญญาซื้อขาย ผู้ขายย่อมมีหน้าที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินที่ซื้อขาย และผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องชำระราคาตอบแทนเป็นต้น

สำหรับหลักเกณฑ์การชำระหนี้ตามสัญญาต่างตอบแทน มีดังนี้

หลักทั่วไป คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งจะไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะชำระหนี้ หรือขอปฏิบัติการชำระหนี้ก็ได้ กล่าวคือ คู่สัญญาในสัญญาต่างตอบแทนต้องชำระหนี้ตอบแทนกันในขณะเดียวกันในเมื่อถึงกำหนดชำระแล้วพร้อมกัน ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้และไม่เสนอที่จะชำระหนี้ของตนตามข้อผูกพันในสัญญา  คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งอาจปฏิเสธไม่ยอมชำระหนี้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ตอบแทนก็ได้

ตัวอย่าง ก. ตกลงซื้อรถยนต์จาก ข. 1  คัน เมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ก. เรียกให้ ข. ส่งมอบรถยนต์ให้แก่ตน แต่ยังไม่ยอมชำระราคารถยนต์ให้ ข. เช่นนี้ ข. อาจปฏิเสธไม่ส่งมอบรถยนต์ให้ ก. จนกว่าจะได้ชำระราคาจาก ก. ก็ได้

ข้อยกเว้น แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าหนี้ของคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งยังไม่ถึงกำหนด กล่าวคือ ในกรณีที่สัญญาต่างตอบแทนใดมีข้อกำหนดเงื่อนไขเวลาการชำระหนี้ ซึ่งมีผลให้คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้รับประโยชน์จากเงื่อนไขเวลา  คือ ยังไม่ต้องชำระหนี้ตอบแทนในทันทีที่ทำสัญญากัน แต่จะต้องชำระเมื่อถึงกำหนดเวลาที่กำหนดไว้และเจ้าหนี้จะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนถึงที่กำหนดไว้ไม่ได้

ตัวอย่าง ก. ตกลงซื้อรถยนต์จาก ข. ในราคา 50,000 บาท โดยมีข้อตกลงกันว่า ข. ยอมให้ ก. ผ่อนชำระราคาเป็นรายเดือนๆ ละ 5,000 บาท มีกำหนด 10 เดือน เช่นนี้เป็นกรณีที่สัญญาต่างตอบแทนมีข้อกำหนดเงื่อนเวลาในการชำระราคารถยนต์  ดังนั้น  ข  องส่งรถยนต์ให้  ก  ในทันที  เพราะหนี้ของ  ข  ถึงกำหนดชำระแล้ว  แต่ ก. ยังไม่ต้องชำระราคาทั้งหมดให้ ข. ในทันทีแต่ต้องชำระให้เป็นรายเดือนตามที่ตกลงกันไว้  ถ้า ข. เรียกให้ ก. ชำระราคารถยนต์ทั้งหมดในทันที ก. ย่อมปฏิเสธได้ (ตามมาตรา 369 ตอนท้าย)

ข.      วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า บริษัทฯ มีสิทธิเรียกให้นายสักชำระราคาไม้ฟืนดังกล่าวได้หรือไม่ เห็นว่า การที่บริษัทฯ ไม่สามารถส่งมอบไม้ฟืนให้แก่นายสักได้ เพราะได้รับคำสั่งจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้สัมปทานทำไม้ในเขตป่าชายเลนที่จะตัดไม้ฟืนเพื่อส่งมอบให้นายสักนั้นเป็นอันสิ้นสุดลง ทำให้การชำระหนี้ที่บริษัทฯ จะส่งไม้ฟืนให้แก่นายสักเป็นไปไม่ได้

การชำระหนี้ของบริษัทฯ (การส่งไม้)จึงตกเป็นพ้นวิสัยเพราะเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมิได้ และสัญญาการซื้อขายไม้ฟืนที่บริษัทฯ ทำกับนายสักนั้นมีลักษณะเป็นสัญญาต่างตอบแทน ซึ่งคู่สัญญามีหนี้ที่จะต้องชำระตอบแทนกัน ดังนั้นเมื่อบริษัทฯไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่นายสักได้ (ส่งมอบไม้ฟืน) บริษัทฯ  ก็หามีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตอบแทนจากนายสักดุจเดียวกัน  ตามมาตรา  369  ประกอบมาตรา  372  วรรคแรก  บริษัทฯ จึงเรียกให้นายสักชำระราคาไม้ฟืนไม่ได้ (ฎ. 149/2539)

สรุป   บริษัทฯ เรียกให้นายสักชำระราคาไม้ฟืนไม่ได้

LAW1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมสัญญา ภาคฤดูร้อน/2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2551

 ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1003 

 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (ข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1.  

ก . การแสดงเจตนาซึ่งกระทำต่อผู้เยาว์หรือคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถมีผลในกฎหมายอย่างไร ให้อธิบายโดยสังเขป

ข . นายสุเทพซึ่งมีอายุ 18 ปี ทำสัญญาเช่าบ้านของนายสุธรรมซึ่งมีอายุ 45 ปี มีกำหนดเวลา 2 ปี ค่าเช่าเดือนละ 5, 000 บาท โดยนายสุทินบิดาของนายสุเทพได้รู้เห็นยินยอมด้วย หลังจากเช่าได้ 6 เดือนนายสุเทพไม่ชำระค่าเช่า นายสุธรรมได้บอกกล่าวตักเตือนให้นายสุเทพชำระค่าเช่า แต่นายสุเทพก็ยังไม่นำค่าเช่ามาชำระให้แก่นายสุธรรม นายสุธรรมจึงบอกเลิกสัญญาเช่าไปยังนายสุเทพ

หากปรากฏว่าในขณะที่นายสุธรรมบอกเลิกสัญญาเช่านั้น นายสุทินบิดาของนายสุเทพเดินทางไปต่างจังหวัดไม่รู้ถึงการที่นายสุธรรมบอกเลิกสัญญาเช่าดังกล่าว เช่นนี้ การบอกเลิกสัญญาเช่าบ้านที่นายสุธรรมกระทำต่อนายสุเทพมีผลในกฎหมายอย่างไรหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 170 การแสดงเจตนาซึ่งมีต่อผู้เยาว์ หรือผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นบุคคลไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับการแสดงเจตนาไม่ได้ เว้นแต่ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาลหรือผู้พิทักษ์ แล้วแต่กรณีของผู้รับการแสดงเจตนานั้นได้รู้ด้วย หรือได้ให้ความยินยอมไว้ก่อนแล้ว

ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับ ถ้าการแสดงเจตนานั้นเกี่ยวกับการที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้เยาว์หรือคนเสมือนไร้ความสามารถกระทำได้เองโดยลำพัง

ก . อธิบาย

 กรณีการแสดงเจตนาต่อผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ

เป็นกรณีที่บุคคลภายนอกมาแสดงเจตนาต่อผู้บกพร่องในความสามารถ หาใช่เป็นเรื่องที่ผู้บกพร่องในความสามารถได้แสดงเจตนาต่อบุคคลภายนอกไม่ ผู้บกพร่องในความสามารถในที่นี้ได้แก่ ผู้เยาว์ซึ่งมีผู้แทนโดยชอบธรรมคุ้มครองดูแล คนไร้ความสามารถซึ่งมีผู้อนุบาลคุ้มครองดูแล และคนเสือนไร้ความสามารถซึ่งมีผู้พิทักษ์คุ้มครองดูแล

หลักทั่วไป   ผู้แสดงเจตนาจะยกเอาการแสดงเจตนานั้น ขึ้นเพื่อเป็นข้อต่อสู้ผู้รับการแสดงเจตนาซึ่งเป็นผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถนั้นไม่ได้

 ข้อยกเว้น   ผู้แสดงเจตนาสามารถยกเอาการแสดงเจตนาขึ้นมาต่อสู้กับผู้รับการแสดงเจตนาได้ถ้าเป็นกรณีต่อไปนี้

1.             ผู้คุ้มครองดูแลผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (ได้แก่ผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาล หรือผู้พิทักษ์) แล้วแต่กรณี ได้รู้ถึงการแสดงเจตนานั้นด้วยหรือได้ให้ความยินยอมไว้ก่อนแล้ว (มาตรา 170 วรรคแรก) หรือ

2.             การแสดงเจตนานั้น กฎหมายบัญญัติให้ผู้เยาว์ คนเสมือนไร้ความสามารถกระทำได้เองโดยลำพัง ตามมาตรา 170 วรรคสอง (สังเกตว่า กรณีนี้กฎหมายไม่ได้บัญญัติรวมถึงคนไร้ความสามารถ เพราะคนไร้ความสามารถไม่อาจทำนิติกรรมได้เองโดยลำพัง)

ข . วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นวินิจฉัยมีว่า การบอกเลิกสัญญาเช่าที่นายสุธรรมบอกล่าวไปยังนายสุเทพผู้เยาว์มีผลในทางกฎหมายหรือไม่อย่างไร  เห็นว่า ในขณะที่นายสุธรรมแสดงเจตนาบอกเลิกสัญญาเช่าบ้านไปยังนายสุเทพซึ่งเป็นผู้ เยาว์ โดยนายสุทินผู้แทนโดยชอบธรรมของนายสุเทพมิได้รู้ด้วยหรือให้ความยินยอมไว้ ก่อนแต่อย่างใด และเรื่องมิใช่กิจการที่กฎหมายบัญญัติให้ผู้เยาว์กระทำได้เองโดยลำพัง กรณีจึงต้องตามหลักทั่วไปของการแสดงเจตนาต่อผู้บกพร่องในความสามารถที่ผู้ แสดงเจตนาจะยกเอาการแสดงเจตนานั้นขึ้นมาต่อสู้กับผู้รับการแสดงเจตนาไม่ได้ ตามมาตรา 170 วรรคแรก

ดังนั้น การที่นายสุธรรมบอกเลิกสัญญาเช่าโดยบอกกล่าวไปยังนายสุเทพโดยผู้แทนชอบธรรมของนายสุเทพมิได้รู้ด้วยหรือให้ความยินยอมไว้ก่อน มีผลในทางกฎหมาย คือ นายสุธรรมจะยกเอาการบอกเลิกสัญญาเช่าบ้านขึ้นต่อสู้หรือเรียกร้องสิทธิใด ๆ จากนายสุเทพไม่ได้

สรุป  ผลทางกฎหมาย คือ นายสุธรรมจะยกเอาการบอกเลิกสัญญาเช่าบ้านขึ้นต่อสู้นายสุเทพผู้เยาว์ไม่ได้

 


ข้อ 
2.   นายวิชิตเดินหาซื้อแจกันลายครามในร้านของนายวิชัย เห็นแจกันลายครามโบราณใบหนึ่งในร้าน  นายวิชิตต้องการซื้อแจกันใบนั้น จึงถามนายวิชัยว่า แจกันใบนี้ราคาเท่าไร มีตำหนิหรือไม่” นายวิชัยตอบว่า แจกันใบนี้ไม่มีตำหนิเลย สวยงาม ราคา 10,000 บาท” นายวิชิตหลงเชื่อตามคำตอบของนายวิชัยว่าแจกันใบนั้นไม่มีตำหนิ จึงต่อรองราคา ในที่สุดได้ตกลงซื้อแจกันใบนั้นราคา 8,000 บาท เมื่อนายวิชิตกลับถึงบ้าน ได้ตรวจดูแจกันใบนั้นอย่างละเอียด 

จึงพบว่าแจกันใบนั้นมีรอยร้าวเล็กน้อยซึ่งมองเห็นด้วยตาเปล่าเกือบไม่เห็น ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ได้ความว่า ถึงแม้ว่านายวิชิตรู้ว่าแจกันใบนี้มีรอยร้าวเล็กน้อยเช่นนั้น นายวิชิตก็ซื้อ แต่จะซื้อในราคาเพียง 5,000 บาท ซึ่งเป็นราคาในท้องตลาดทั่วไปสำหรับแจกันที่มีรอยร้าวเล็กน้อยเช่นนั้น ในกรณีดังกล่าวนี้ นายวิชิตจะบอกล้างนิติกรรมซื้อขายแจกันนั้น หรือเรียกร้องอะไรจากนายวิชัยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามมาตราประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 161 ถ้ากลฉ้อฉลเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจให้คู่กรณีฝ่ายหนึ่งยอมรับข้อกำหนดอันหนักยิ่งกว่าที่คู่กรณีฝ่ายนั้นจะยอมรับโดยปกติ คู่กรณีฝ่ายนั้นจะบอกล้างการนั้นหาได้ไม่ แต่ชอบที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายวิชิตได้สอบถามนายวิชัยผู้ขายว่าแจกันใบนี้มีตำหนิหรือไม่ นายวิชัยตอบว่าไม่มีตำหนิ นายวิชิตหลงเชื่อคำตอบของนายวิชัยว่าแจกันใบนี้ไม่มีตำหนิ จึงได้ตกลงซื้อแจกันใบนั้น ในราคา 8,000 บาท กรณีเช่นนี้ ถือว่านายวิชัยผู้ขายแจกันทำกลฉ้อฉลลวงนายวิชิตผู้ซื้อแจกัน

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายวิชิตกลับถึงบ้านได้ตรวจดูแจกันใบนั้นอย่างละเอียด และพบว่าแจกันใบนั้นมีรอยร้าวเล็กน้อยซึ่งมองด้วยตาเปล่าเกือบไม่เห็น แต่อย่างไรก็ตาม แม้นายวิชิตรู้ว่าแจกันใบนั้นมีรอยร้าว นายวิชิตก็ยังคงซื้อแจกันใบนั้นอยู่ดี แต่จะซื้อในราคาท้องตลาดทั่วไปสำหรับแจกันชนิดนั้นที่มีรอยร้าวเช่นนั้น คือ 5,000  บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาที่นายวิชิตได้ตกลงซื้อไปเนื่องจากถูกกลฉ้อฉล คือ 8,000 บาท กรณีนี้จึงเป็นเรื่องที่นายวิชิตแสดงเจตนาทำนิติกรรมเนื่องจากถูกกลฉ้อฉล แต่กลฉ้อฉลของวิชัยมิได้ถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลเช่นนั้น นายวิชัยจะไม่ซื้อแจกันจากนายวิชัย เป็นแต่เพียงเหตุจูงใจให้ยอมรับข้อกำหนดอันหนักยิ่งกว่าที่นายวิชิตจะยอมรับโดยปกติเท่านั้น ดังนั้น นายวิชิตจะบอกล้างสัญญาซื้อขายแจกันนั้นเสียทีเดียวหาได้ไม่ แต่นายวิชิตชอบที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อแลนั้นได้ ซึ่งได้แก่จำนวนเงินที่นายวิชิตต้องจ่ายเกินไปกว่าราคาอันแท้จริงในขณะนั้นคือ 3,000 บาท ทั้งนี้มาตรา 161 (ฎ. 1559/2524)

 สรุป  นายวิชิตจะบอกล้างสัญญาซื้อขายแจกันไม่ได้ แต่นายวิชิตชอบที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อแลนั้นได้ เป็นจำนวนเงิน 3,000 บาท

 


ข้อ 
3.   นายสมบูรณ์ซื้อสินค้าหลายอย่างไปจากร้านของนายกิมแช รวมทั้งหมดเป็นเงิน 45,000 บาท กำหนดชำระเงินราคาสินค้าดังกล่าวภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ซื้อ เมื่อถึงกำหนดชำระเงิน นายสมบูรณ์ไม่ชำระเงินให้แก่นายกิมแช ต่อมาอีก 3 เดือน นายสมบูรณ์ก็ยังคงเพิกเฉย ไม่นำเงินไปชำระให้แก่นายกิมแช นายกิมแชจึงมอบอำนาจให้นายพิทักษ์ซึ่งเป็นทนายความติดตามทวงถามให้นายสมบูรณ์ชำระหนี้ 

นายพิทักษ์ได้ทำหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้นายสมบูรณ์ชำระหนี้ เมื่อนายสมบูรณ์ได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามจากทนายความของนายกิมแช นายสมบูรณ์จึงไปพบนายกิมแช และพูดรับรองว่าตนเป็นลูกหนี้ค่าซื้อสินค้าไปจากนายกิมแชเป็นเงิน 45,000 บาทจริงแต่ในขณะนี้ยังไม่มีเงินที่จะนำมาชำระ ขอผัดผ่อนการชำระหนี้ออกไปอีก 6 เดือน เช่นนี้การกระทำของนายสมบูรณ์เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/14 อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1)  ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อจากเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือ รับสภาพหนี้ให้ ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียก ร้อง

(5)  เจ้าหนี้ได้กระทำการอื่นใดอันมีผลเป็นอย่างเดียวกันกับฟ้องคดี

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพิทักษ์ทนายความของนายกิมแชได้ทำหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้นายสมบูรณ์ชำระหนี้ กรณีเช่นนี้ ไม่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง เพราะมิใช่เป็นการกระทำอันมีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดี ตามาตรา 193/14(5)

 แต่เมื่อนายสมบูรณ์ได้รับหนังสือบอกกล่าวทวงถามจากทนายความของนายกิมแชแล้ว นายสมบูรณ์จึงไปพบนายกิมแชแล้วพูดรับรองว่า ตนเป็นลูกหนี้ค่าซื้อสินค้าไปจากนายกิมแชเป็นเงิน 45,000 บาทจริง แต่ในขณะนี้ยังไม่มีเงินที่จะนำมาชำระ ขอผัดผ่อนการชำระออกไปอีก 6 เดือน ” ดังนี้ปัญหาจึงมีว่า การกระทำของนายสมบูรณ์เช่นนี้ถือเป็นการรับสภาพอันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงหรือไม่ เห็นว่า หากถือว่าการรับสภาพหนี้อาจทำได้ด้วยวาจา ย่อมไม่มีประโยชน์อันใดที่มาตรา 193/14(1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะบัญญัติในข้อความตอนต้นว่า ลูกหนี้อาจรับสภาพหนี้ด้วยการทำเป็นหนังสือ ดังนั้น การที่นายสมบูรณ์ได้ขอผัดชำระหนี้ด้วยวาจาหรือยอมรับด้วยวาจาว่าจะชำระหนี้ ให้แก่นายกิมแชนั้น ยังไม่ถือว่านายสมบูรณ์ได้รับสภาพหนี้ต่อนายกิมแชเจ้าหนี้อันจะทำให้อายุ ความสะดุดหยุดลงแต่อย่างใด เนื่องจากนายสมบูรณ์มิได้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นหนังสือและถือไม่ได้ เป็นการกระทำอันปราศจากข้อสงสัยให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิ เรียกร้องตามมาตรา 193/14(1) (ฎ. 1006/2525  ฎ.539/2526)

สรุป   การกระทำของนายสมบูรณ์ไม่ถือว่าเป็นการรับสภาพหนี้อันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง

 


ข้อ 4.  เมื่อวันที่  1 มีนาคม 2552  นายอาทิตย์ซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ ได้ส่งจดหมายเสนอขายบ้านหลังหนึ่งของตนไปยังนางจันทราซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ในราคา 3 ล้านบาท โดยนายอาทิตย์ได้กำหนดไปในจดหมายด้วยว่าถ้านางจันทราต้องการซื้อบ้านหลังนี้ ให้ตอบไปยังนายอาทิตย์ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2552 นางจันทราส่งจดหมายตอบตกลงซื้อบ้านหลังนั้นตามราคาที่นายอาทิตย์เสนอ แต่จดหมายของนางจันทราไปถึงนายอาทิตย์ในวันที่ 5 เมษายน 2552

อย่างไรก็ตามเมื่อดูตราไปรษณีย์ซึ่งประทับบนซองจดหมายของนางจันทราแล้ว เป็นที่เห็นได้ชัดแจ้งว่านางจันทราได้ส่งจดหมายตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2552 ซึ่งตามปกติจดหมายฉบับนั้นควรไปถึงนายอาทิตย์ก่อนหรือภายในวันที่ 21 มีนาคม 2552 ตามที่นายอาทิตย์กำหนด

เช่นนี้ จดหมายตอบตกลงซื้อบ้านที่นางจันทราส่งไปยังนายอาทิตย์เป็นคำสนองล่วงเวลาหรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 358 ถ้าคำบอกกล่าวสนองมาถึงล่วงเวลา แต่เป็นที่เห็นประจักษ์ว่าคำบอกกล่าวนั้นได้ส่งโดยทางการซึ่งตามปกติ ควรจะมาถึงภายในเวลาที่กำหนดไซร้ ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งโดยพลันว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า เว้นแต่จะบอกกล่าวเช่นนั้นก่อนแล้ว

ถ้าผู้เสนอละเลยไม่บอกกล่าวดั่งว่ามาในวรรคต้น ท่านให้ถือว่าคำบอกกล่าวสนองนั้นมิได้ล่วงเวลา

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ คำสนองของนางจันทราไปถึงนายอาทิตย์ล่าช้ากว่าเวลาที่นายอาทิตย์กำหนดไว้ แต่เป็นที่เห็นได้ชัดเจนจากตราไปรษณีย์ซึ่งประทับบนซองจดหมายว่านางจันทราส่งจดหมายฉบับนั้นตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552 ซึ่งตามปกติจดหมายฉบับนั้นควรจะไปถึงนายอาทิตย์ก่อนหรือภายหลังในวันที่ 31 มีนาคม 2552 อันเป็นเวลาที่นายอาทิตย์กำหนดไว้ ในกรณีเช่นนี้ คำสนองของนางจันทราจะเป็นคำสนองล่วงเวลาหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่านายอาทิตย์ซึ่งเป็นผู้เสนอได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้กฎหมายกำหนดหน้าที่ของผู้เสนอไว้ว่าผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่ผู้สนองโดยพลันว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้าเว้นแต่ จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นไว้ก่อนแล้ว ดังนั้น

1. ถ้านายอาทิตย์ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าว กฎหมายจึงจะถือว่าจดหมายคำสนองของนางจันทราเป็นคำสนองล่วงเวลา

2. แต่นายอาทิตย์ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าว กฎหมายให้ถือว่าจดหมายคำสนองของนางจันทร์เป็นคำสนองที่มิได้ล่วงเวลา ซึ่งมีผลให้สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างนายอาทิตย์กับนางจันทราเกิดขึ้น

สรุป จดหมายตอบตกลงซื้อบ้านของนางจันทราที่ส่งไปยังนายอาทิตย์เป็นคำสนองล่วงเวลาหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่า นายอาทิตย์ซึ่งเป็นผู้เสนอได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ ตามมาตรา 358

WordPress Ads
error: Content is protected !!