LAW3012 กฎหมายปกครอง S/2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3012 กฎหมายปกครอง 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  “หลักการกระจายอำนาจปกครอง”  (Decentralization)  มีความหมายอย่างไร  มีการกระจายอำนาจปกครองได้กี่วิธี  และมีความแตกต่างกันอย่างไร  ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายและตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

หลักการกระจายอำนาจปกครอง  (Decentralization)  หมายถึง  วิธีการที่รัฐมอบอำนาจปกครองบางส่วนให้แก่องค์กรทางการปกครองอื่นนอกจากองค์กรของราชการบริหารส่วนกลาง  เพื่อจัดทำบริการสาธารณะบางอย่าง  โดยมีอิสระตามสมควร  ซึ่งองค์กรทางการปกครองนั้นไม่ต้องขึ้นอยู่ในความบังคับบัญชาของส่วนกลาง  เพียงแต่ขึ้นอยู่ในความกำกับดูแลเท่านั้น  กล่าวอีกนับหนึ่งก็คือ  รัฐมอบอำนาจหน้าที่บางอย่างในการจัดทำบริการสาธารณะซึ่งเจ้าหน้าที่ของราชการบริหารส่วนกลางเป็นผู้ดำเนินงานอยู่ในท้องถิ่นหรือองค์กรอันมิได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรในราชการบริหารส่วนกลางรับไปดำเนินการด้วยงบประมาณ  และเจ้าหน้าที่ของท้องถิ่นหรือองค์กรนั้นเอง  โดยราชการบริหารส่วนกลางเพียงแต่ควบคุมดูแลเท่านั้น  ไม่ได้เข้าไปบังคับบัญชาสั่งการ         

ตามหลักการกระจายอำนาจปกครองนั้น  ได้มีการจำแนกวิธีกระจายอำนาจในทางปกครองได้  2  วิธี  คือ

1       การกระจายอำนาจปกครองตามอาณาเขต  หรือการกระจายอำนาจปกครองให้แก่ท้องถิ่น

เป็นวิธีการกระจายอำนาจให้แก่ส่วนท้องถิ่น  โดยให้ส่วนท้องถิ่นได้มีการจัดตั้งองค์กรขึ้นมาแยกต่างหากจากส่วนกลางและให้มีสภาพเป็นนิติบุคคล  แล้วส่วนกลางก็จะมอบอำนาจให้องค์กรส่วนท้องถิ่นนั้นไปดำเนินจัดทำกิจการบริการสาธารณะ  ตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายได้กำหนดไว้  โดยจะมีการกำหนดขอบเขตหรือพื้นที่ไว้  ซึ่งโดยหลักทั่วไปองค์กรส่วนท้องถิ่นนั้นก็จะไปจัดทำกิจการนอกเขตหรือนอกพื้นที่ที่กำหนดไว้ไม่ได้  นอกจากจะมีกฎหมายบัญญัติยกเว้นไว้โดยเฉพาะ

วิธีกระจายอำนาจปกครองวิธีนี้เป็นวิธีกระจายอำนาจปกครองให้แก่ท้องถิ่นโดยการมอบบริการสาธารณะหลายๆอย่างให้แก่ท้องถิ่นไปจัดทำโดยเจ้าหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นนั้นเอง  และด้วยงบประมาณขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นนั้นเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชนในท้องถิ่นนั้นๆ 

ตัวอย่างของการกระจายอำนาจปกครองให้แก่ท้องถิ่น  ได้แก่  เทศบาล  องค์การบริหารส่วนตำบล  องค์การบริหารส่วนจังหวัด  กรุงเทพมหานคร  และเมืองพัทยา  ซึ่งองค์กรเหล่านี้มีฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้ง  และสามารถดำเนินการบริการสาธารณะได้โดยอิสระ  ไม่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาแต่อยู่ภายใต้อำนาจกำกับดูแลของส่วนกลาง

 2       การกระจายอำนาจตามกิจการ 

เป็นวิธีกระจายอำนาจโดยการที่ส่วนกลางจะมอบบริการสาธารณะอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวให้แก่องค์กรที่มีการจัดตั้งขึ้นโดยมิได้อยู่ในสังกัดของส่วนกลาง  ได้แก่  องค์การของรัฐ  รัฐวิสาหกิจ  และองค์การมหาชน  รับไปดำเนินงานด้วยเงินทุนและด้วยเจ้าหน้าที่ขององค์การนั้นๆ  เช่น  การมอบอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการเดินรถไฟทั่วประเทศให้แก่องค์การของรัฐคือการรถไฟแห่งประเทศไทย  หรือการมอบอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้านครหลวง  หรือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค  เป็นต้น

วิธีกระจายอำนาจตามกิจการนี้  จะแตกต่างกับวิธีกระจายอำนาจตามอาณาเขต  เพราะการกระจายอำนาจตามกิจการนี้  ส่วนกลางจะมอบให้องค์การต่างๆ  ไปจัดทำบริการสาธารณะเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น  และโดยหลักจะไม่มีการกำหนดอาณาเขตหรือพื้นที่ไว้  แต่การกระจายอำนาจให้แก่ส่วนท้องถิ่นนั้น  ส่วนกลางจะมอบอำนาจในการจัดทำบริการสาธารณะหลายๆอย่างให้แก่องค์กรส่วนท้องถิ่นไปดำเนินการ  และจะมีการกำหนดอาณาเขตหรือพื้นที่ไว้ด้วย  และการกระจายอำนาจตามกิจการจะไม่ถือการเลือกตั้งผู้บริหารเป็นเงื่อนไขในการจัดตั้งองค์กรที่ได้รับการกระจายอำนาจ  ซึ่งต่างจากการกระจายอำนาจตามอาณาเขตที่ผู้บริหารต้องมาจากการเลือกตั้งเท่านั้น

 


ข้อ  2  กระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งอนุมัติให้นายแดงซึ่งเป็นข้าราชการในกระทรวงฯ  เบิกค่าเช่าบ้านไปโดยสำคัญผิด  และนายแดงก็ได้เบิกค่าเช่าบ้านที่ตนได้รับอนุมัติอีกทั้งได้นำไปชำระเป็นค่าเช่าหมดแล้ว  ต่อมากระทรวงมหาดไทยได้ทำการเพิกถอนคำสั่งอนุมัติค่าเช่าบ้านที่จ่ายให้แก่นายแดง  พร้อมมีคำสั่งเรียกเงินคืน  ดังนี้  ขอให้ท่านวินิจฉัยว่ากระทรวงมหาดไทยจะเพิกถอนคำสั่งที่อนุมัติให้นายแดงเบิกค่าเช่าบ้านไปโดยที่ทางราชการสำคัญผิดได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  5  คำสั่งทางปกครอง  หมายความว่า  การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ  เปลี่ยนแปลง  โอน  สงวน  ระงับ  หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล  ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว  เช่น  การสั่งการ  การอนุญาต  การอนุมัติ  การวินิจฉัยอุทธรณ์  การรับรอง  และการรับจดทะเบียน  แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ

มาตรา  50  คำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  อาจถูกเพิกถอนทั้งหมดหรือบางส่วนโดยจะให้มีผลย้อนหลังหรือไม่ย้อนหลังหรือมีผลในอนาคตไปถึงขณะใดขณะหนึ่งตามที่กำหนดได้  แต่ถ้าคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งซึ่งเป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้รับ  การเพิกถอนต้องเป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา  51  และมาตรา  52

มาตรา  51  การเพิกถอนคำสั่งทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นการให้เงิน  หรือให้ทรัพย์สิน  หรือให้ประโยชน์ที่อาจแบ่งแยกได้  ให้คำนึงถึงความเชื่อโดยสุจริตของผู้รับประโยชน์ในความคงอยู่ของคำสั่งทางปกครองนั้นกับประโยชน์สาธารณะประกอบกัน

ความเชื่อโดยสุจริตตามวรรคหนึ่งจะได้รับความคุ้มครองต่อเมื่อผู้รับคำสั่งทางปกครองได้ใช้ประโยชน์อันเกิดจากคำสั่งทางปกครอง  หรือได้ดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินไปแล้วโดยไม่อาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้  หรือการเปลี่ยนแปลงจะทำให้ผู้นั้นต้องเสียหายเกินควรแก่กรณี

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่กระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งอนุมัติให้นายแดงเบิกค่าเช่าบ้านไปโดยสำคัญผิดนั้น  คำสั่งอนุมัติดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครอง  ตามมาตรา  5  แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ  และเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ดังนั้นจึงอาจถูกเพิกถอนได้ตามมาตรา  50  แต่การเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวนั้นต้องเป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา  51  ด้วย  ทั้งนี้เพราะคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งซึ่งเป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้รับ

และตามมาตรา  51  นั้น  การที่จะเพิกถอนคำสั่งซึ่งเป็นการให้ประโยชน์แก่ผู้รับ  กล่าวคือเป็นคำสั่งซึ่งเป็นการให้เงิน  (ค่าเช่า)  ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้หรือไม่นั้น  กฎหมายให้คำนึงถึงความเชื่อโดยสุจริตของผู้รับประโยชน์ในความคงอยู่ของคำสั่งทางปกครองนั้นกับประโยชน์สาธารณะประกอบกัน  และความเชื่อโดยสุจริตจะได้รับความคุ้มครองก็ต่อเมื่อผู้รับคำสั่งทางปกครองได้ใช้ประโยชน์อันเกิดจากคำสั่งทางปกครองหรือได้ดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินไปแล้วโดยไม่อาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้

ซึ่งตามอุทาหรณ์  การที่นายแดงเชื่อโดยสุจริตว่าตนมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้  และก็ได้เบิกค่าเช่าบ้านที่ตนได้รับอนุมัติอีกทั้งได้นำไปชำระเป็นค่าเช่าหมดแล้ว  ซึ่งเท่ากับได้ใช้ประโยชน์อันเกิดจากคำสั่งทางปกครองไปแล้ว  และกรณีนี้ถ้าไม่มีการเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวก็ไม่กระทบต่อประโยชน์สาธารณะแต่อย่างใด  ดังนั้นกระทรวงมหาดไทยจะเพิกถอนคำสั่งอนุมัติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวไม่ได้

สรุป  กระทรวงมหาดไทยจะเพิกถอนคำสั่งที่อนุมัติให้นายแดงเบิกค่าเช่าบ้านไปโดยที่ทางราชการสำคัญผิดนั้นไม่ได้

 


ข้อ  3  นายดำสอบแข่งขันได้  และได้รับบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือน  โดยมีกำหนดระยะเวลาทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ  1  ปี  ต่อมาเมื่อนายดำได้ทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการมาได้  6  เดือน  ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา  57  ได้ทำการประเมิน  ปรากกฎว่านายดำมีผลการประเมินทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนด  ดังนี้  ผู้บังคับบัญชาดังกล่าว  จะสั่งให้นายดำออกจากราชการทันทีได้หรือไม่  โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนด  1  ปีเสียก่อน  และนอกจากนั้นจะสั่งให้นายดำคืนเงินเดือนตลอดจนสิทธิประโยชน์ต่างๆที่นายดำได้รับไปในระหว่างนั้นได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  ขอให้ท่านวินิจฉัยพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน  พ.ศ.2551  มาตรา  59

ผู้ได้รับบรรจุและแต่งตั้งตามมาตรา  53  วรรคหนึ่ง  หรือตามมาตรา  55  ให้ทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการและให้ได้รับการพัฒนาเพื่อให้รู้ระเบียบแบบแผนของทางราชการ  และเป็นข้าราชการที่ดีตามที่กำหนดในกฎ  ก.พ.

ผู้ทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการตามวรรคหนึ่งผู้ใด  มีผลการประเมินทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการตามที่กำหนดในกฎ ก.พ. ไม่ต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนด  ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา  57  สั่งให้ผู้นั้นรับราชการต่อไป  ถ้าผู้นั้นมีผลการประเมินทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนด  ก็ให้สั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการได้ไม่ว่าจะครบกำหนดเวลาทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการแล้วหรือไม่ก็ตาม

ผู้ใดถูกสั่งให้ออกจากราชการตามวรรคสอง  ให้ถือเสมือนว่าผู้นั้นไม่เคยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญแต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ  หรือการรับเงินเดือนหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับหรือมีสิทธิจะได้รับจากทางราชการในระหว่างที่ผู้นั้นอยู่ระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายดำได้รับบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนโดยมีกำหนดระยะเวลาทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ  1  ปี  แต่เมื่อนายดำได้ทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการได้  6  เดือน  และมีผลการประเมินทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนด  ดังนี้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา  57  สามารถสั่งให้นายดำออกจากราชการได้โดยไม่จำต้องรอให้ครบกำหนด  1  ปีเสียก่อนแต่อย่างใด  ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551  มาตรา  59  วรรคสอง

สำหรับในส่วนที่เกี่ยวกับเงินเดือนและสิทธิประโยชน์ต่างๆที่นายดำได้รับไปในระหว่างนั้น  นายดำไม่จำต้องคืนให้แก่ทางราชการแต่อย่างใด  และผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา  57  จะสั่งให้นายดำคืนเงินเดือนตลอดจนสิทธิประโยชน์ต่างๆ  ที่นายดำได้รับไปในระหว่างนั้นไม่ได้  ตามมาตรา  พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน  พ.ศ. 2551  มาตรา  59  วรรคสาม

สรุป  ผู้บังคับบัญชาฯ  สั่งให้นายดำออกจากราชการทันทีโดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนด  1  ปีได้  แต่จะสั่งให้นายดำคืนเงินเดือนตลอดจนสิทธิประโยชน์ต่างๆที่นายดำได้รับไปในระหว่างนั้นไม่ได้

 


ข้อ  4  เทศบาลแห่งหนึ่งได้ทำการซ่อมแซมถนนในเขตเทศบาล  นายขาวได้ขับรถตกหลุมที่คนงานเทศบาลได้ชุดไว้  และไม่ได้ปิดหลุม  ทั้งไม่ได้ปักป้ายให้สัญญาณไว้  ดังนี้  นายขาวจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากเทศบาลที่ศาลใด  เพราะเหตุใด  ขอให้ท่านอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542  มาตรา  9  วรรคแรก  (3)

ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้

(3)  คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย  หรือจากกฎ  คำสั่งทางปกครองหรือคำสั่งอื่น  หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ  หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

วินิจฉัย

ตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา  9  วรรคแรก (3)  กรณีที่จะถือว่าเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งเรียกว่า  “ละเมิดทางปกครอง”  และจะเป้นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองนั้น  จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์  2  ประการ  ดังนี้  คือ

1       เป็นคดีหรือข้อพิพาทที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ   และ

2       เป็นคดีหรือข้อพิพาทที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่อย่างใดอย่างหนึ่งใน  4  กรณีดังต่อไปนี้  คือ

(1)  การใช้อำนาจตามกฎหมาย

(2) การออกกฎ  คำสั่งทางปกครอง  หรือคำสั่งอื่น

(3) การละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ

(4) การปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่เทศบาลได้ทำการซ่อมแซมถนนในเขตเทศบาล   และคนงานของเทศบาลได้ทำการขุดหลุมโดยไม่ได้ปิดหลุม  ทั้งไม่ได้ปักป้ายให้สัญญาณไว้จนเป็นเหตุให้นายขาวได้ขับรถตกหลุมดังกล่าวนั้น  การกระทำของเทศบาลไม่ถือว่าเป็นการละเมิดที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ในกรณีอื่นๆ  ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น  แต่เป็นการละเมิดที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ทั่วๆไปของเทศบาล  ซึ่งไม่ได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่กรณี  จึงไม่ใช่เป็นการกระทำละเมิดทางปกครอง  ดังนั้นข้อพิพาทดังกล่าวจึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะรับไว้พิจารณา  นายขาวจึงต้องฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากการกระทำละเมิดทางแพ่งของเทศบาลต่อศาลยุติธรรม

สรุป  นายขาวจะต้องฟ้องเรียกค่าเสียหายจากเทศบาลเป็นคดีแพ่งต่อศาลยุติธรรม  เพราะข้อพิพาทดังกล่าวไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะรับฟ้องไว้พิจารณา   (เทียบคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่  604/2545  , 197/2552  , 800/2551

LAW3012 กฎหมายปกครอง 1/2554

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3012  กฎหมายปกครอง 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายกเทศมนตรีตำบลชมพูออกคำสั่ง  ลงวันที่  16  กรกฎาคม  2554  ห้ามนายแดงใช้อาคารและให้รื้อถอนอาคารของนายแดงซึ่งก่อสร้างโดยมิชอบด้วยกฎหมาย  ซึ่งคำสั่งของนายกเทศมนตรีได้ออกตาม พ.ร.บ. ควบคุมอาคาร  พ.ศ.2522  ซึ่งมิได้บัญญัติถึงขั้นตอนและวิธีดำเนินการของเจ้าหน้าที่ในการจัดให้มีคำสั่งทางปกครองอันเป็นวิธีปฏิบัติราชการไว้โดยเฉพาะ  ดังนี้  คำสั่งของนายกเทศมนตรีดังกล่าวนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด  ขอให้ท่านอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย

พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539  มาตรา  37  วรรคแรก  บัญญัติว่า

คำสั่งทางปกครองที่ทำเป็นหนังสือและการยืนยันคำสั่งทางปกครองเป็นหนังสือต้องจัดให้มีเหตุผลไว้ด้วย  และเหตุผลนั้นอย่างน้อยต้องประกอบด้วย

(1)  ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ

(2) ข้อกฎหมายที่อ้างอิง

(3) ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายกเทศมนตรีตำบลชมพูออกคำสั่ง  ลงวันที่  16  กรกฎาคม  2554  ซึ่งเป็นคำสั่งที่เป็นหนังสือห้ามนายแดงใช้อาคารและให้รื้อถอนอาคารของนายแดงซึ่งก่อสร้างโดยมิชอบด้วยกฎหมายตาม  พ.ร.บ.  ควบคุมอาคาร  พ.ศ.2522  นั้น  เนื่องจากคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครองจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของ พ.ร.บ.  วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ.2539  ดังนั้นคำสั่งทางปกครองดังกล่าวเมื่อเป็นคำสั่งทางปกครองที่ทำเป็นหนังสือ  เจ้าหน้าที่ผู้ออกคำสั่งจึงต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา  37  วรรคแรก แห่ง  พ.ร.บ.  วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  ด้วย  กล่าวคือ  จะต้องจัดให้มีเหตุผลไว้ด้วย  และเหตุผลนั้นอย่างน้อยต้องมีข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ  ข้อกฎหมายที่อ้างอิง  และข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ

แต่ตามอุทาหรณ์ดังกล่าว  ปรากฏว่าคำสั่งทางปกครองนั้นไม่มีการระบุข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญให้เห็นว่า  อาคารมีสภาพที่อาจเป็นภยันตรายตามข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจออกคำสั่งห้ามใช้อาคารพิพาทอย่างไร  ตลอดจนมิได้ระบุข้อกฎหมายที่อ้างอิงและข้อพิพาทและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ  ดังนั้นคำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมาย  เพราะขัดต่อบทบัญญัติมาตรา  37  วรรคแรก

สรุป  คำสั่งของนายกเทศมนตรีดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เพราะเป็นคำสั่งที่ขัดต่อบทบัญญัติมาตรา  37  วรรคแรก  แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ.2539

 


ข้อ  2  นายขาวสอบชิงทุนรัฐบาลเพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศตามความต้องการของกรมการปกครอง  กระทรวงมหาดไทย  ต่อมานายขาวศึกษาจบกลับมาแล้วผู้บังคับบัญชาจะต้องดำเนินการสรรหานายขาวโดยวิธีใดก่อนที่จะบรรจุให้เข้ารับราชการเป็นข้าราชการในกรมการปกครองต่อไป  ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตาม พ.ร.บ.  ระเบียบข้าราชการพลเรือน  พ.ศ.2551

มาตรา  55  ในกรณีที่มีเหตุพิเศษ  ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา  57  อาจคัดเลือกบรรจุบุคคลเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งโดยไม่ต้องดำเนินการสอบแข่งขันตามมาตรา  53  ก็ได้  ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์  วิธีการ  และเงื่อนไขที่  ก.พ. กำหนด

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายขาวสอบชิงทุนรัฐบาลเพื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศตามความต้องการของกระทรวงมหาดไทยนั้น  เมื่อนายขาวศึกษาจบกลับมาแล้วก็จะต้องกลับมาทำงานใช้ทุนอยู่แล้ว  ดังนั้นการที่ผู้บังคับบัญชาจะบรรจุและแต่งตั้งให้นายขาวเข้ารับราชการจึงไม่ต้องดำเนินการสรรหาโดยวิธีสอบแข่งขันตามมาตรา  53  แต่อย่างใดอีก  และกรณีนี้ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ  ผู้บังคับบัญชาจึงสามารถทำการสรรหาโดยวิธีการคัดเลือกได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  55  ดังกล่าวข้างต้น

สรุป  ผู้บังคับบัญชาสามารถทำการสรรหานายขาวเพื่อบรรจุเข้ารับราชการได้โดยวิธีการคัดเลือกตามมาตรา  55

 


ข้อ  3  การจัดองค์กรของรัฐในรูปของการบริหารราชการส่วนภูมิภาค  และการจัดองค์กรของรัฐในรูปของการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นแตกต่างกันอย่างไร  จงอธิบายตามที่ได้ศึกษามา

ธงคำตอบ

การจัดองค์กรของรัฐในรูปของการบริหารราชการส่วนภูมิภาค  เป็นการจัดองค์กรของรัฐตามหลักการกระจายการรวมศูนย์อำนาจปกครอง  หรือหลักการแบ่งอำนาจปกครอง  ซึ่งเป็นวิธีการที่ส่วนกลางมอบอำนาจการตัดสินใจหรือการวินิจฉัยสั่งการบางส่วนให้แก่เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้แทนของส่วนกลางไปปฏิบัติหน้าที่ในส่วนภูมิภาคทั่วราชอาณาจักร  เพื่อจัดทำบริการสาธารณะที่กฎหมาย  รัฐบาล  หรือผู้บังคับบัญชามอบหมาย  โดยเจ้าหน้าที่เหล่านั้นยังอยู่ภายใต้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นของส่วนกลาง

สำหรับการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคของไทยนั้น  เป็นไปตามกฎหมายดังนี้  คือ

1       ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน  พ.ศ. 2534  ซึ่งได้กำหนดให้จัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคออกเป็นจังหวัดและอำเภอ

2       ตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่  พุทธศักราช  2457  ซึ่งกำหนดให้จัดระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาคเป็นตำบลและหมู่บ้าน

การจัดองค์กรของรัฐในรูปของการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น  เป็นการจัดองค์กรของรัฐตามหลักกระจายอำนาจทางปกครอง  และเป็นการกระจายอำนาจทางพื้นที่หรือทางเขตแดน  โดยส่วนกลางจะมอบอำนาจการจัดทำบริการสาธารณะบางอย่าง  ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้จัดทำ  ซึ่งในการจัดทำบริการสาธารณะนี้จะถูกจำกัดขอบเขตโดยพื้นที่หรืออาณาเขตขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นๆ  ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปกครองท้องถิ่นเพื่อสนองตอบต่อความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นนั้นๆ  ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของส่วนกลาง

สำหรับการจัดระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถิ่นของไทยนั้นมีอยู่  2  ระบบ  ได้แก่

1       ระบบทั่วไป  ที่ใช้แก่ท้องถิ่นทั่วไป  ซึ่งมีอยู่  3  รูปแบบ  คือ

(1)  เทศบาล  ซึ่งการจัดระเบียบบริหารราชการเป็นไปตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496

(2) องค์การบริหารส่วนตำบล  ซึ่งการจัดระเบียบราชการเป็นไปตามพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล  พ.ศ.2537และ

(3) องค์การบริหารส่วนจังหวัด  ซึ่งการจัดระเบียบบริหารราชการเป็นไปตามพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540

2  ระบบพิเศษ  ที่ใช้เฉพาะท้องถิ่นบางแห่ง  ซึ่งมีอยู่  2  รูปแบบ  คือ

(1)  กรุงเทพมหานคร ซึ่งการจัดระเบียบบริหารราชการเป็นไปตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528  และ

(2) เมืองพัทยา  ซึ่งการจัดระเบียบบริหารราชการเป็นไปตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา  พ.ศ. 2542

 


ข้อ  4  เทศบาลตำบลดงลานได้มีคำสั่งเป็นหนังสือให้นายแดงเจ้าของร้านไก่เลิศรสรื้อถอนเล้าไก่ซึ่งสร้างรุกล้ำทางหลวงในเขตเทศบาลฯ  และให้ชำระภาษีป้ายโฆษณาร้านค้า  1  หมื่นบาทภายใน  30  วัน  ทั้งนี้มิได้แจ้งสิทธิในการอุทธรณ์และระยะเวลาในการอุทธรณ์ไว้ในคำสั่งแต่อย่างใด  วันรุ่งขึ้นนายแดงได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวด้วยวาจาต่อนายกเทศมนตรีฯ  ว่าเป็นการออกคำสั่งโดยมิชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากใช้ดุลพินิจในการตีความกฎหมายคำว่า  เล้าไก่เช่นเดียวกับคำว่าอาคาร  และการประเมินภาษีก็ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด    อีก  3  วันต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฯ  ที่นายกเทศมนตรีฯได้แต่งตั้งขึ้นได้ยกเรื่องการออกคำสั่งดังกล่าวขึ้นพิจารณาเองโดยที่นายแดงไม่ได้อุทธรณ์หรือร้องขอเป็นหนังสือต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฯแต่อย่างใด  และเห็นว่าคำสั่งของเทศบาลฯชอบด้วยกฎหมาย  เทศบาลฯจึงได้แจ้งคำสั่งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ฯเป็นหนังสือให้แก่นายแดงทราบ  หากวันรุ่งขึ้นนายแดงได้มาปรึกษาท่านเพื่อจะฟ้องเทศบาลฯ  เป็นคดีต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้รื้อถอนเล้าไก่และชำระภาษี  เนื่องจากไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ดังนี้ท่านจะให้คำแนะนำแก่นายแดงในกรณีนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

มาตรา  5  คำสั่งทางปกครอง  หมายความว่า  การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ  เปลี่ยนแปลง  โอน  สงวน  ระงับ  หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล  ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว  เช่น  การสั่งการ  การอนุญาต  การอนุมัติ  การวินิจฉัยอุทธรณ์  การรับรอง  และการรับจดทะเบียน  แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ

มาตรา  40  คำสั่งทางปกครองที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้งต่อไปได้  ให้ระบุกรณีที่อาจอุทธรณ์หรือโต้แย้ง  การยื่นคำอุทธรณ์หรือคำโต้แย้ง และระยะเวลาสำหรับการอุทธรณ์หรือการโต้แย้งดังกล่าวไว้ด้วย

ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนบทบัญญัติตามวรรคหนึ่ง  ให้ระยะเวลาสำหรับการอุทธรณ์หรือการโต้แย้งเริ่มนับใหม่ตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งหลักเกณฑ์ตามวรรคหนึ่ง  แต่ถ้าไม่มีการแจ้งใหม่และระยะเวลาดังกล่าวมีระยะเวลาสั้นกว่าหนึ่งปี  ให้ขยายเป็นหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับคำสั่งทางปกครอง

มาตรา  44  วรรคสอง  คำอุทธรณ์ต้องทำเป็นหนังสือโดยระบุข้อโต้แย้งและข้อเท็จจริง  หรือข้อกฎหมายที่อ้างอิงประกอบด้วย

และตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542

มาตรา  9  ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องต่อไปนี้

(1)    คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครอง  หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ  คำสั่ง  หรือการกระทำอื่นใด

เรื่องดังต่อไปนี้ไม่อยู่ในอำนาจศาลปกครอง

(2)    คดีที่อยู่ในอำนาจของศาลเยาวชนและครอบครัว  ศาลแรงงาน  ศาลภาษีอากร

มาตรา  42  วรรคสอง  ในกรณีที่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนหรือวิธีการสำหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายในเรื่องใดไว้โดยเฉพาะ การฟ้องคดีปกครองในเรื่องนั้นจะกระทำได้ต่อเมื่อมีการดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการดังกล่าว  และได้มีการสั่งการตามกฎหมายนั้น  หรือมิได้มีการสั่งการภายในเวลาอันสมควรหรือภายในเวลาที่กฎหมายนั้นกำหนด

มาตรา  72  ในการพิพากษาคดี  ศาลปกครองมีอำนาจกำหนดบังคับอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้

(1)    สั่งให้เพิกถอนกฎหรือคำสั่ง  หรือสั่งห้ามการกระทำทั้งหมดหรือบางส่วน  ในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  9(1)

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยอยู่  2  ประเด็น  ได้แก่

ประเด็นที่  1  นายแดงจะฟ้องเทศบาลตำบลดงลานเป็นคดีต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้รื้อถอนเล้าไก่และชำระภาษีโดยอ้างว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้หรือไม่  ซึ่งประเด็นนี้สามารถวินิจฉัยได้ดังนี้  คือ

1        กาที่เทศบาลตำบลดงลาน  ซึ่งเป็นราชการส่วนท้องถิ่นและมีฐานะเป็นหน่วยงานทางปกครองได้มีคำสั่งเป็นหนังสือให้นายแดงรื้อถอนเล้าไก่ฯ  และให้ชำระภาษีฯนั้น  ถือว่าคำสั่งของเทศบาลฯเป็นคำสั่งทางปกครองตามมาตรา  5  แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ.2539

2        การที่เทศบาลฯ  มิได้แจ้งสิทธิในการอุทธรณ์และระยะเวลาในการอุทธรณ์ไว้ในคำสั่งทางปกครองตามมาตรา  40  วรรคหนึ่ง  ทำให้ระยะเวลาสำหรับการอุทธรณ์หรือการโต้งแย้งขยายเป็น 1 ปี  นับแต่วันที่ได้รับคำสั่งตามมาตรา  40  วรรคท้าย  แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ

3        การที่นายแดงได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของเทศบาลด้วยวาจานั้น  ถือว่าไม่เป็นไปตามมาตรา  44  วรรคสอง  แห่ง พ.ร.บ.  วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ  เพราะคำอุทธรณ์นั้นต้องทำเป็นหนังสือโดยระบุข้อโต้แย้งและข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่อ้างอิงประกอบด้วย  ดังนั้นคำอุทธรณ์ของนายแดงจึงไม่มีผล

4        การที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์  ได้ยกเรื่องการออกคำสั่งดังกล่าวขึ้นพิจารณาเองและเห็นว่าคำสั่งของเทศบาลฯ  ชอบด้วยกฎหมาย  จึงได้แจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ฯให้นายแดงทราบนั้น  ดังนี้เมื่อมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ฯ  จึงถือได้ว่ามีการอุทธรณ์ตามมาตรา  44  แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯแล้ว

5        เมื่อถือว่านายแดงได้มีการดำเนินการตามขั้นตอนตามที่กฎหมายได้กำหนดก่อนฟ้องคดีตามมาตรา  42  วรรคสอง  แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯแล้ว  นายแดงจึงสามารถนำคดีมาฟ้องต่อศาลได้

ประเด็นที่ 2  เมื่อนายแดงสามารถนำคดีมาฟ้องต่อศาลได้  ดังนี้ศาลใดมีอำนาจรับฟ้องไว้พิจารณา  ซึ่งในประเด็นที่  2  นี้  จะต้องแยกวินิจฉัยออกเป็น  2  กรณี  คือ

กรณีที่  1  กรณีที่นายแดงจะฟ้องเป็นคดีต่อศาล  เพื่อขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งที่ให้ตนรื้อถอนเล้าไก่ซึ่งสร้างรุกล้ำทางหลวงในเขตเทศบาลฯ

คดีนี้เมื่อนายแดงฟ้องเทศบาลฯว่าได้ออกคำสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อให้ศาลเพิกถอนคำสั่งดังกล่าวตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา 9 วรรคหนึ่ง(1) มาตรา 42 และมาตรา 72(1) ดังนั้น  คดีนี้จึงอยู่ในอำนาจของศาลปกครองที่จะรับฟ้องไว้พิจารณา  นายแดงจึงต้องฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครอง

กรณีที่  2  กรณีที่นายแดงจะฟ้องเป็นคดีต่อศาลเนื่องจากเห็นว่าการประเมินภาษีของเทศบาลฯและให้ชำระภาษีนั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครอง  แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลภาษีอากรตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา 9 วรรคสอง (3)  เพราะเป็นคดีแพ่งที่เป็นเรื่องพิพาทเกี่ยวกับสิทธิเรียกร้องของรัฐในหนี้ค่าภาษีอากร  ดังนั้น  คดีนี้ถ้านายแดงจะฟ้องจึงต้องฟ้องต่อศาลภาษีอากร

สรุป  เมื่อนายแดงมาปรึกษาข้าพเจ้าเพื่อจะฟ้องเทศบาลฯ  เป็นคดีต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้รื้อถอนเล้าไก่และชำระภาษีเนื่องจากไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่นายแดงตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น 

LAW3012 กฎหมายปกครอง 2/2554

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3012 กฎหมายปกครอง 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายแดงเป็นชาวเขาบริเวณชายแดนจังหวัดเชียงรายได้รับโอนสัญชาติไทย  ต่อมานายแดงถูกตำรวจจับโดยข้อหาว่าค้ายาบ้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยโดยอาศัยอำนาจตาม  พ.ร.บ. สัญชาติฯจึงมีคำสั่งเพิกถอนสัญชาติของนายแดง  ดังนี้  นายแดงจะอุทธรณ์คำสั่งของรัฐมนตรีดังกล่าวได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

ตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539

มาตรา  44  วรรคแรก ภายใต้บังคับมาตรา  48  ในกรณีที่คำสั่งทางปกครองใดไม่ได้ออกโดยรัฐมนตรี  และไม่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนอุทธรณ์ในฝ่ายปกครองไว้เป็นการเฉพาะ  ให้คู่กรณีอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองนั้นโดยยื่นต่อเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งทางปกครองในสิบห้าวัน  นับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าว

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยโดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ สัญชาติฯได้มีคำสั่งเพิกถอนสัญชาติของนายแดงนั้น  ถือว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครอง  ตามนัยของมาตรา  5  แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  เพราะเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล  ดังนั้น  กา  รที่นายแดงจะอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองดังกล่าวของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้หรือไม่  จึงต้องพิจารณาตามหลักเกณฑ์เรื่องการอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองของเจ้าหน้าที่ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  44 แห่ง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539

ซึ่งตาม  พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  มาตรา  44  วรรคแรกนั้นได้บัญญัติหลักไว้ว่า  คู่กรณีสามารถอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองของเจ้าหน้าที่ได้  ก็เฉพาะคำสั่งทางปกครองที่ไม่ได้ออกโดยรัฐมนตรี  และไม่มีกฎหมายกำหนดขั้นตอนอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองเป็นการเฉพาะ

แต่เมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์นั้น  คำสั่งทางปกครองที่ให้เพิกถอนสัญชาติของนายแดง  เป็นคำสั่งทางปกครองที่ออกโดยรัฐมนตรีว่าการกระททรวงมหาดไทย  ดังนั้น  แม้นายแดงจะไม่พอใจในคำสั่งของรัฐมนตรีฯ  นายแดงก็จะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อรัฐมนตรีหาได้ไม่  เพราะต้องห้ามตามมาตรา  44  วรรคแรก  ดังกล่าวข้างต้น  นายแดงได้แต่ฟ้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของรัฐมนตรีฯ  ได้ต่อศาลปกครองโดยตรงเท่านั้น

สรุป  นายแดงจะอุทธรณ์คำสั่งเพิกถอนสัญชาติของรัฐมนตรีดังกล่าวไม่ได้  เพราะต้องห้ามตามมาตรา  44  วรรคแรก  แห่งพ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539

 


ข้อ  2  นายขาวได้รับบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนในหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง  ต่อมานายขาวถูกศาลตัดสินให้เป็นบุคคลล้มละลาย  ดังนี้ ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้นายขาวออกจากราชการทันที  และเรียกเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับอยู่ก่อนมีคำสั่งให้ออกนั้นได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551

มาตรา  67  ผู้ได้รับบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญและแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งใดตามมาตรา  53  วรรคหนึ่ง  มาตรา  55 มาตรา  56  มาตรา  63  มาตรา  64  และมาตรา  65  หากภายหลังปรากฏว่าขาดคุณสมบัติทั่วไปหรือมีลักษณะต้องห้ามโดยไม่ได้รับการยกเว้นตามมาตรา  36  ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา  57  สั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการโดยพลัน  แต่ทั้งนี้ไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติไปตามอำนาจและหน้าที่  และการรับเงินเดือนหรือผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับหรือมีสิทธิจะได้รับจากทางราชการก่อนมีคำสั่งให้ออกนั้น

มาตรา  36  ข(6)  ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนต้องมีคุณสมบัติทั่วไป  และไม่มีลักษณะต้องห้าม  ดังต่อไปนี้

ข.  ลักษณะต้องห้าม

(6)  เป็นบุคคลล้มละลาย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายขาวได้รับบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนในหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง  และต่อมานายขาวได้ถูกศาลตัดสินให้เป็นบุคคลล้มละลายนั้น  กรณีดังกล่าวเข้าลักษณะตามบทบัญญัติมาตรา  67  ประกอบกับมาตรา  36  ข(6)  กล่าวคือนายขาวเป็นผู้ที่ได้รับบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ  แล้วต่อมาภายหลังปรากฏว่านายขาวมีลักษณะต้องห้ามคือเป็นบุคคลล้มละลายและไม่ได้รับการยกเว้น  ดังนั้น  ผู้บังคับบัญชาจึงสั่งให้นายขาวออกจากราชการทันทีได้

แต่อย่างไรก็ตาม  การสั่งให้นายขาวออกจากราชการได้ทันทีนั้น  ตามมาตรา  67  ได้บัญญัติไว้ว่า  จะไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่นายขาวได้ปฏิบัติไปตามอำนาจและหน้าที่และการรับเงินเดือนหรือผลประโยชน์อื่นใด  ที่ได้รับหรือมีสิทธิจะได้รับจากทางราชการก่อนมีคำสั่งให้ออกนั้น  ดังนั้น  ผู้บังคับบัญชาจะเรียกเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับอยู่ก่อนมีคำสั่งให้ออกนั้นไม่ได้

สรุป  ผู้บังคับบัญชาจะสั่งให้นายขาวออกจากราชการทันทีได้  แต่จะเรียกเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนที่ได้รับอยู่ก่อนมีคำสั่งให้ออกนั้นไม่ได้

 


ข้อ  3  บริการสาธารณะคืออะไร  มีกี่ประเภท  จงอธิบายตามที่ได้ศึกษามา

ธงคำตอบ

บริการสาธารณะ  (Public Service) หมายถึง  กิจการที่อยู่ในความอำนวยการหรือในกำกับดูแลของฝ่ายปกครองที่จัดทำเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน

กิจกรรมที่จะถือว่าเป็นบริการสาธารณะนั้นจะต้องประกอบด้วยเงื่อนไข  2  ประการ  คือ

1)    จะต้องเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับบุคคลในกฎหมายมหาชนหรือนิติบุคคลมหาชน  ซึ่งหมายถึง  นิติบุคคลมหาชนเป็นผู้ประกอบกิจกรรมด้วยตนเอง  อันได้แก่  กิจกรรมที่รัฐ  องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือรัฐวิสาหกิจเป็นผู้ดำเนินการ  และยังหมายความรวมถึงกรณีที่รัฐมอบกิจกรรมของรัฐบางประเภทให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ  โดยฝ่ายปกครองใช้อำนาจกำกับดูแลบางประการและอยู่ภายใต้ระบบพิเศษด้วย

2)    จะต้องเป็นกิจกรรมที่มีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะและตอบสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน

1       ประเภทของบริการสาธารณะ

บริการสาธารณะแบ่งออกเป็น  3  ประเภทใหญ่ๆดังนี้  คือ

1)    บริการสาธารณะปกครอง

บริการสาธารณะปกครอง  คือ  กิจการรมที่โดยสภาพแล้วเป็นงานในหน้าที่ของฝ่ายปกครองที่จะต้องจัดทำเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน  ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องการดูแลความปลอดภัยและความสงบสุขของชุมชน  ที่รัฐหรือฝ่ายปกครองจัดทำให้ประชาชนโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทน  และนอกจากนี้  เนื่องจากเนื้อหาของบริการสาธารณะทางปกครองจะเป็นเรื่องที่เป็นหน้าที่เฉพาะของฝ่ายปกครองที่ต้องอาศัยเทคนิคพิเศษ  รวมทั้งอำนาจพิเศษของฝ่ายปกครองตามกฎหมายมหาชนในการจัดทำบริการสาธารณะด้วย  ดังนั้นบริการสาธารณะประเภทนี้  ฝ่ายปกครองจึงไม่สามารถมอบให้องค์กรอื่นหรือเอกชนเข้ามาดำเนินการแทนได้

ตัวอย่างบริการสาธารณะทางปกครองดังกล่าวข้างต้น  เช่น  กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการรักษาความสงบภายใน  การป้องกันประเทศ  การสาธารณสุข  การอำนวยความยุติธรรม  การต่างประเทศ  และการคลัง  เป็นต้น  ซึ่งแต่เดิมนั้น  บริการสาธารณะทุกประเภทจัดว่าเป็นบริการสาธารณะทางปกครองทั้งสิ้น  แต่ต่อมาเมื่อกิจกรรมเหล่านี้มีมากขึ้น  และมีรูปแบบและวิธีการในการจัดทำที่แตกต่างกันออกไป  จึงเกิดประเภทใหม่ๆของบริการสาธารณะขึ้นมาอีก

2)    บริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม

บริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรม  คือ  บริการสาธารณะที่เน้นทางด้านการผลิต  การจำหน่าย  การให้บริการ  และมีการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้รับดังเช่นกิจการของเอกชน  (วิสาหกิจเอกชน)  ซึ่งมีความแตกต่างกับบริการสาธารณะทางปกครองอยู่ด้วยกัน  4 ประการ  คือ

(1) วัตถุแห่งบริการ  บริการสาธารณะทางปกครองจะมีวัตถุแห่งบริการเพื่อสนองความต้องการของประชาชนในประเทศแต่เพียงอย่างเดียว ส่วนบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมนั้น  มีวัตถุแห่งบริการด้านเศรษฐกิจเหมือนกับวิสาหกิจเอกชน  คือ  เน้นทางด้านการผลิต  การจำหน่าย  การให้บริการ  และมีการแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้รับดังเช่นกิจการของเอกชน

(2) วิธีปฏิบัติงาน  บริการสาธารณะทางปกครองจะมีวิธีปฏิบัติงานที่รัฐสร้างขึ้นมาเป็นแบบเดียวกัน  มีระบบบังคับบัญชาซึ่งใช้กับผู้ปฏิบัติงานทุกคน  ในขณะที่บริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมจะมีวิธีปฏิบัติงานที่สร้างขึ้นมาเองแตกต่างไปจากบริการสาธารณะที่มีลักษณะทางปกครอง  ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและเหมาะสมในการดำเนินการ

(3) แหล่งที่มาของเงินทุน  บริการสาธารณะทางปกครองจะมีแหล่งที่มาของเงินทุนจากรัฐแต่เพียงอย่างเดียว  โดยรัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบเงินทุนทั้งหมดที่นำมาใช้จ่ายในการดำเนินการ  ส่วนบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมนั้น  แหล่งรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากค่าตอบแทนการบริการของผู้ใช้บริการ

(4) ผู้ใช้บริการ  สถานภาพของผู้ใช้บริการสาธารณะทางปกครองนั้นจะถูกกำหนดโดยกฎข้อบังคับทั้งหมด  ซึ่งรวมตั้งแต่การกำหนดองค์กร  การจัดองค์กร  และการปฏิบัติงาน  ดังนั้น  ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้บริการกับผู้ให้บริการสาธารณะประเภทนี้จึงมีลักษณะเป็นนิติกรรมที่มีเงื่อนไขและไม่เท่าเทียมกัน  ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้บริการของบริการสาธารณะทางอุตสาหกรรมและพาณิชยกรรมจะมีลักษณะเสมอภาคกัน  เพราะถูกกำหนดโดยสัญญาตามกฎหมายเอกชน

3)    บริการสาธารณะทางสังคมและวัฒนธรรม

บริการสาธารณะทางสังคมและวัฒนธรรม  คือ  บริการสาธารณะที่เป็นการให้บริการทางสังคมและวัฒนธรรมที่ต้องการความอิสระคล่องตัวในการทงานโดยไม่มุ่นเน้นการแสวงหากำไร  เช่น  การแสดงนาฏศิลป์  พิพิธภัณฑ์  การกีฬา  การศึกษาวิจัยฯ

 


ข้อ  4  เมื่อวันที่  10  มกราคม  พ.ศ.2554  นายเอกและราษฎรในเขตพื้นที่ตำบลยางชุม  อำเภอสูงเนิน  ได้ทราบว่าได้มีการประกาศบังคับใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินอำเภอสูงเนินให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ.2554  นายเอกและประชาชนในเขตพื้นที่ดังกล่าวเห็นว่าพระราชกฤษฎีกาฯฉบับนี้  ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการกระทบต่อการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและจะส่งผลกระทบต่อราษฎรฯ ผู้ขอออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินต่อทางราชการเพราะจะทำให้ราษฎรฯไม่สามารถขอออกหนังสือแสดงสิทธิต่อทางราชการได้  ต่อมาวันที่ 20 มีนาคม 2555  นายเอกและราษฎรฯเห็นว่ากรณีเพื่อเป็นการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและคุ้มครองสิทธิของตน  จึงได้ยื่นฟ้องกรณีนี้เป็นคดีต่อศาลปกครองฯ  เพื่อขอให้ศาลปกครองฯ เพิกถอนพระราชกฤษฎีกาฯดังกล่าว  ดังนี้  หากท่านเป็นศาลปกครองฯ  ท่านจะรับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตาม พ.ร.บ.  จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542

มาตรา  49  “การฟ้องคดีปกครองจะต้องยื่นฟ้องภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี  หรือนับแต่วันที่พ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือร้องขอต่อหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดและไม่ได้รับหนังสือชี้แจงจากหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ  หรือได้รับแต่เป็นคำชี้แจงที่ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าไม่มีเหตุผลแล้วแต่กรณี  เว้นแต่จะได้มีบทกฎหมายเฉพาะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา  52  “การฟ้องคดีปกครองที่เกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะหรือสถานะของบุคคลจะยื่นฟ้องคดีเมื่อใดก็ได้

การฟ้องคดีปกครองที่ยื่นเมื่อพ้นกำหนดเวลาการฟ้องคดีแล้ว  ถ้าศาลปกครองเห็นว่าคดีที่ยื่นฟ้องนั้นจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือมีเหตุจำเป็นอื่นโดยศาลเห็นเองหรือคู่กรณีมีคำขอ  ศาลปกครองจะรับไว้พิจารณาก็ได้”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  การฟ้องคดีปกครองต่อศาลปกครองจะต้องยื่นฟ้องภายใน  90  วันนับแต่วันที่รู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดี (มาตรา 49)  ซึ่งตามอุทาหรณ์  การที่นายเอกและราษฎรในเขตพื้นที่ตำบลยางชม  อำเภอสูงเนินได้ทราบว่าได้มีการประกาศบังคับใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินอำเภอสูงเนินให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน  พ.ศ. 2554  เมื่อวันที่ 10  มกราคม  พ.ศ.2554  ซึ่งนายเอกและราษฎรในพื้นที่ดังกล่าวเห็นว่าพระราชกฤษฎีกาฯ  ฉบับนี้ออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเป็นการกระทบต่อการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะฯ  ดังนั้นเพื่อเป็นการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและคุ้มครองสิทธิของตน  นายเอกและราษฎรฯ  จึงได้ยื่นฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครอง  เพื่อขอให้ศาลปกครองเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาฯ  ดังกล่าว  เมื่อวันที่  20  มีนาคม  2555

กรณีตามอุทาหรณ์  จะเห็นได้ว่านายเอกและราษฎรฯ  ได้ยื่นฟ้องคดีดังกล่าวเมื่อพ้นกำหนดเวลาการฟ้องคดีตามมาตรา  49  แล้ว  และกรณีดังกล่าวก็ไม่ใช่เป็นคดีที่เกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ  ตามมาตรา  52  วรรคหนึ่ง  ที่ผู้ฟ้องคดีจะยื่นฟ้องเมื่อใดก็ได้  ดังนั้นโดยหลักแล้วศาลปกครองจะไม่รับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณา

แต่อย่างไรก็ดี  ตามข้อเท็จจริงในคดีนี้ถือได้ว่าเป็นคดีที่เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม  และจะเป็นการคุ้มครองสิทธิของราษฎรตามมาตรา  52 วรรคสอง  ซึ่งศาลปกครองมีอำนาจที่จะรับฟ้องไว้พิจารณาได้  ดังนั้น  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลปกครอง  ข้าพเจ้าจะรับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณา

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลปกครองจะรับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาตามมาตรา  52  วรรคสอง  แห่ง  พ.ร.บ.  จัดตั้งศาลปกครองฯ พ.ศ.2542

LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 1/2545

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง  โจทก์กับจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันให้จำเลยผ่อนชำระหนี้เดือนละ  100,000  บาท  เป็นเวลา  2  ปี  ศาลพิพากษาตามยอม  ต่อมาโจทก์มาขอออกหมายบังคับคดีอ้างว่า  จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ  จำเลยยื่นคำร้องว่า  จำเลยได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความถูกต้องมาโดยตลอด  ศาลจึงนัดไต่สวนคำร้องของจำเลย  ในชั้นไต่สวนจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยาน  แต่จะขออ้างตัวจำเลยเองเป็นพยาน  โจทก์คัดค้านว่า  จำเลยไม่มีสิทธิอ้างตนเป็นพยาน  ให้วินิจฉัยว่า  จำเลยจะมีสิทธินำสืบตัวเองเป็นพยานหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  88  วรรคแรก  เมื่อคู่ความฝ่ายใดมีความจำนงที่จะอ้างอิงเอกสารฉบับใดหรือคำเบิกความของพยานคนใด  หรือมีความจำนงที่จะให้ศาลตรวจบุคคล  วัตถุ  สถานที่  หรืออ้างความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้ง  เพื่อเป็นพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้าง  หรือข้อเถียงของตน ให้คู่ความฝ่ายนั้นยื่นต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวันซึ่งบัญชีระบุพยานโดยแสดงหรือสภาพของเอกสารที่จะอ้าง  และรายชื่อที่อยู่ของบุคคล  วัตถุ  หรือสถานที่ซึ่งคู่ความฝ่ายนั้นระบุอ้างเป็นพยาน  หรือขอให้ศาลไปตรวจ  หรือขอให้ตั้งผู้เชี่ยวชาญแล้วแต่กรณี  พร้อมทั้งสำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวในจำนวนที่เพียงพอ  เพื่อให้คู่ความฝ่ายอื่นมารับไปจากเจ้าพนักงานศาล

วินิจฉัย

สำหรับบทบัญญัติเรื่องการยื่นบัญชีระบุพยานตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  ดังกล่าวนั้น  ใช้บังคับเฉพาะการสืบพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้ออ้างข้อเถียงในประเด็นแห่งคดีตามคำฟ้องคำให้การเท่านั้น  ไม่ใช้บังคับกับการไต่สวนคำร้องคำขอเพื่อสนับสนุนข้ออ้างในคำร้องคำขอที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี (ฎ. 4276/2532)  นอกจากนี้  ในการไต่สวนคำร้องคำขอก็ไม่มีวันนัดสืบพยาน  มีแต่วันไต่สวนซึ่งไม่ใช่วันสืบพยาน  ดังนั้น  โดยสภาพจึงเห็นได้ว่าในการไต่สวนคำร้องคำขอปลีกย่อยจึงไม่อยู่ในบังคับตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  ถึงแม้ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้ก็นำพยานหลักฐานเข้าสืบในชั้นไต่สวนคำร้องคำขอได้  (ฎ. 3341/2529)

จำเลยจะมีสิทธินำสืบตัวเองเป็นพยานได้หรือไม่  เห็นว่า  การไต่สวนคำร้องของจำเลยที่อ้างว่าได้ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลพิพากษาตามยอมแล้วนั้น  เป็นการไต่สวนเพื่อให้ทราบว่าจำเลยปฏิบัติผิดข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ต่อศาลหรือไม่  ไม่ใช่เป็นการสืบพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงในประเด็นแห่งคดีที่พิพาทกันตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคแรก  (ฎ. 421/2532)  ดังนั้น  จำเลยจึงมีสิทธินำสืบตัวเองเป็นพยานได้  โดยไม่ต้องยื่นบัญชีระบุพยาน

สรุป  จำเลยจึงมีสิทธินำสืบตัวเองเป็นพยานได้


ข้อ  2  คดีแพ่งเรื่องหนึ่ง  โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระค่าเบี้ยประกันภัยที่ค้างชำระเป็นเงิน  
7,000,000  บาท  จำเลยยื่นคำให้การว่า  โจทก์ตกลงทำสัญญาประกันภัยโดยตกลงลดเบี้ยประกันภัยให้แก่จำเลยในอัตราร้อยละ  70  ของเบี้ยประกันภัยทั้งหมดเป็นเงิน  7,000,000  บาท  จำเลยได้ชำระเบี้ยประกันภัยไปอัตราร้อยละ  30  ของเบี้ยประกันภัยทั้งหมดเป็นเงิน  3,000,000  บาท  และโจทก์ได้มอบกรมธรรม์ประกันภัยให้จำเลยแล้ว  ถือว่าจำเลยชำระเบี้ยประกันภัยครบถ้วน  ตามพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย  พ.ศ.2535  มาตรา  7  แล้ว  จำเลยจึงไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ขอให้ยกฟ้องโจทก์  ศาลกำหนดให้โจทก์มีหน้าที่นำสืบก่อน  เมื่อโจทก์นำนายซื่อสัตย์เข้าเบิกความถึงเรื่องที่จำเลยค้างชำระเบี้ยประกันภัยเป็นเงิน  7,000,000  บาท  เสร็จแล้วจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายที่นำสืบหลังได้นำจดหมายที่โจทก์เขียนถึงจำเลยซึ่งมีข้อความตอนหนึ่งว่า  โจทก์ตกลงลดเบี้ยประกันภัยให้แก่จำเลยในอัตราร้อยละ  70  ของเบี้ยประกันภัยทั้งหมด  คิดเป็นเงิน  7,000,000  บาท  และท้ายจดหมายดังกล่าวได้ลงลายมือชื่อโจทก์ไว้  มานำสืบตามที่จำเลยให้การไว้  แต่ขณะที่จำเลยนำสิบถึงจดหมายดังกล่าว  โจทก์โต้แย้งว่า  ขณะที่
โจทก์นำนายซื่อสัตย์เข้าเบิกความ  จำเลยไม่ได้ซักค้านพยานโจทก์ไว้ถึงข้อเท็จจริงที่ว่า  โจทก์ตกลงลดเบี้ยประกันภัยให้อัตราร้อยละ  70  ของเบี้ยประกันภัยทั้งหมด  ถือว่าเป็นการจู่โจมทางพยานหลักฐานและอาเปรียบโจทก์  ศาลจะรับฟังมาวินิจฉัยเป็นผลร้ายแก่โจทก์มิได้  ต้องห้ามมิให้รับฟังตามกฎหมายลักษณะพยาน

ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่าข้อโต้แย้งของโจทก์รับฟังได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ 

มาตรา  89  ถ้าคู่ความฝ่ายใดอันมีหน้าที่นำพยานมาสืบภายหลัง  ประสงค์จะสืบพยานของตน  (ก)  เพื่อหักล้าง  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขถ้อยคำพยานของฝ่ายที่นำสืบก่อนในข้อความทั้งหลายซึ่งพยานเช่นว่านั้นเป็นผู้รู้เห็น  หรือ  (ข)  เพื่อพิสูจน์ข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งอันเกี่ยวด้วยการกระทำ  หรือถ้อยคำ  หรือหนังสือซึ่งพยานเช่นว่านั้นได้กระทำขึ้น    แม้ถึงว่าพยานเช่นว่านั้นจะมิได้เบิกความถึงข้อเหล่านี้ก็ดี  ให้คู่ความฝ่ายที่ต้องนำพยานมาสืบภายหลัง  ถามค้านพยานเช่นว่านั้นเสียในเวลาที่พยานเบิกความ  เพื่อให้พยานมีโอกาสอธิบายถึงข้อความเหล่านั้น

ถ้าคู่ความฝ่ายใดมิได้ถามค้านพยานของคู่ความฝ่ายที่นำสืบก่อนดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว  ต่อมานำพยานมาสืบถึงข้อความดังกล่าวข้างต้น คู่ความฝ่ายที่สืบพยานก่อนชอบที่จะคัดค้านได้  และในกรณีเช่นว่านี้  ให้ศาลปฏิเสธไม่ยอมรับฟังคำพยานเช่นว่ามานั้น

แต่ถ้าคู่ความฝ่ายที่นำมาสืบภายหลัง  แสดงให้เป็นที่พอใจของศาลว่าเมื่อเวลาพยานเบิกความนั้นตนไม่รู้  หรือไม่มีเหตุอันควรรู้ถึงข้อความดังกล่าวมาแล้ว  หรือถ้าศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นต้องสืบพยานเช่นว่านี้  ศาลจะยอมรับฟังคำพยานเช่นว่านี้ก็ได้  แต่ในกรณีเช่นนี้  คู่ความที่ได้นำพยานสืบก่อนจะเรียกพยานที่เกี่ยวข้องมาสืบอีกก็ได้  หรือเมื่อศาลเห็นสมควรจะเรียกมาสืบเองก็ได้

วินิจฉัย

ในกรณีคู่ความซึ่งมีหน้าที่นำพยานมาสืบภายหลังต้องถามค้านพยานของคู่ความฝ่ายที่นำสืบก่อนในเวลาที่พยานเบิกความตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  89  นั้น  จะต้องเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายที่มีหน้าที่นำสืบภายหลังประสงค์จะสืบพยานของตนเพื่อหักล้าง  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำพยานฝ่ายที่นำสืบก่อนในข้อความทั้งหลาย  ซึ่งพยานของฝ่ายนำสืบก่อนเป็นผู้รู้เห็นด้วย  หรือเพื่อพิสูจน์ข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งอันเกี่ยวด้วยการกระทำ  หรือถ้อยคำหรือหนังสือซึ่งพยานเช่นว่านั้นได้กระทำขึ้นโดยเฉพาะ  กฎหมายจึงบัญญัติให้ผู้นำสืบพยานภายหลังถามค้านไว้ก่อน  เพื่อให้พยานผู้นั้นอธิบายข้อความที่ตนรู้เห็นในข้อที่ฝ่ายหลังนั้นนำสืบไว้เสียก่อน  เพื่อป้องกันมิให้ฝ่ายหลังเอาเปรียบโดยนำสืบหักล้างมิให้ฝ่ายแรกรู้ตัว  ไม่มีโอกาสเสนอพยานหลักฐานครบถ้วนเป็นการเสียความยุติธรรม

แต่อย่างไรก็ตามถ้าจำเลยยกข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การแล้ว  จำเลยก็มีสิทธินำสืบตามประเด็นที่ให้การได้โดยไม่ต้องถามค้านพยานโจทก์ตามมาตรา  89  ไว้อีก  ทั้งนี้เพราะวัตถุประสงค์ของการถามค้านพยานตามมาตรา  89  ก็เพื่อไม่ให้คู่ความฝ่ายที่นำสืบพยานภายหลังจู่โจมในทางพยานหลักฐานโดยที่ฝ่ายแรกไม่รู้ตัว  เป็นการเอาเปรียบกันในเชิงคดี  แต่การที่จำเลยยกข้อต่อสู้ในประเด็นใดไว้ในคำให้การแล้ว โจทก์ย่อมรู้ล่วงหน้าแล้วว่าจำเลยจะสืบพยานในเรื่องใด  ไม่เป็นการเอาเปรียบกัน  จำเลยจึงไม่จำต้องถามค้านไว้แต่อย่างใด  (ฎ. 3892/2540 ฎ. 2099/2514)

ข้อโต้แย้งของโจทก์รับฟังได้หรือไม่  เห็นว่า  ข้อเท็จจริงตามคดีนี้รับฟังได้ว่า  จำเลนนำจดหมายมาสืบหักล้างพยานโจทก์โดยไม่ได้ถามค้านพยานโจทก์ไว้  ไม่ใช่เป็นการจู่โจมทางพยานหลักฐานหรือเอาเปรียบโจทก์  เพราะเป็นการที่จำเลยนำสืบหักล้างพยานโจทก์โดยตรงไปตามคำให้การของจำเลยแล้วว่า  โจทก์ได้ตกลงลดเบี้ยประกันภัยให้แก่จำเลยอัตราร้อยละ  70  ของเบี้ยประกันภัยทั้งหมด  คิดเป็นเงิน  7,000,000  บาท  โจทก์ไม่เสียเปรียบ  กรณีไม่ต้องด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  89  วรรคสอง  ศาลรับฟังพยานเช่นว่านั้น  ข้อโต้แย้งของโจทก์จึงรับฟังไม่ได้  (ฎ. 1201/2541)

สรุป  ข้อโต้แย้งของโจทก์ฟังไม่ขึ้น


ข้อ  3  โจทก์ฟ้องว่า  โจทก์มอบอำนาจให้นายนิติเป็นผู้มีอำนาจดำเนินคดีแทนโจทก์  เมื่อปี  2533  โจทก์ได้มอบที่ดินพิพาทให้จำเลยครอบครองทำประโยชน์ต่างดอกเบี้ยเงินกู้ซึ่งโจทก์ได้กู้ยืมไปจากจำเลย  ต่อมาเมื่อปี  2544  โจทก์ได้ชำระเงินกู้คืนให้แก่จำเลยเสร็จสิ้นแล้ว  และทวงถามให้จำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทคืน  แต่จำเลยปฏิเสธ  ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์

จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า  จำเลยไม่เคยรู้จักนายนิติมาก่อน  จึงไม่ขอรับรองการมอบอำนาจของโจทก์  จำเลยไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อทำประโยชน์ต่างดอกเบี้ย  แต่จำเลยได้ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์และได้ชำระเงินค่าที่ดินครบถ้วนแล้วโจทก์จึงมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทขอให้ยกฟ้อง

ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  คดีมีประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นำสืบอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

มาตรา  177  วรรคสอง  ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า  จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน  รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น

วินิจฉัย

ประเด็นข้อพิพาท  หมายถึง  ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ  และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ  ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว  ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท

ดังนี้  ประเด็นข้อพิพาทตามอุทาหรณ์จึงมีเพียงว่า  จำเลยต้องส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์หรือไม่  (หากตอบว่าประเด็นข้อพิพาทมีว่า  จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อทำประโยชน์ต่างดอกเบี้ยตามฟ้องหรือไม่  หรือจำเลยได้ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์หรือไม่  ก็อนุโลมว่าถูกต้องพอใช้ได้)

ส่วนการที่จำเลยให้การว่า  จำเลยไม่เคยรู้จักนายนิติมาก่อน  จึงไม่ขอรับรองการมอบอำนาจของโจทก์นั้น  เป็นคำให้การที่ปฏิเสธไม่ชัดแจ้งและมิได้อ้างเหตุแห่งการปฏิเสธตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  จึงไม่ก่อให้เกิดประเด็นข้อพิพาท  ข้อเท็จจริงจึงรับฟังยุติว่า  โจทก์มอบอำนาจให้นายนิติเป็นผู้ฟ้องคดีแทนโจทก์จริง(ฎ. 2307/2533)

สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  วรรคแรก  (ปัจจุบันคือ  มาตรา  84/1)  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใดผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ  ซึ่งตามข้อเท็จจริงดังกล่าวโจทก์ฟ้องกล่าวอ้างว่าส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยครอบครองทำประโยชน์ต่างดอกเบี้ย  การที่จำเลยให้การปฏิเสธชัดแจ้งโดยยกข้อต่อสู้ว่าโจทก์ขายที่ดินพิพาทให้จำเลยแล้ว  เท่ากับจำเลยให้การปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทในฐานะทำกินต่างดอกเบี้ย  แต่จำเลยครอบครองอย่างเป็นเจ้าของเนื่องจากได้ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์แล้ว  ดังนั้นประเด็นที่ว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทต่างดอกเบี้ยหรือไม่   จึงยังคงมีอยู่  เพราะยังไม่ถือว่าจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงแล้ว  เมื่อโจทก์กล่าวอ้าง  จำเลยปฏิเสธโจทก์มีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์ตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  84  วรรคแรก  (ปัจจุบันคือมาตรา  84/1)

ส่วนที่จำเลยอ้างว่าจำเลยได้ซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์และได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว  เป็นเพียงการให้เหตุผลประกอบการปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ตามฟ้องเท่านั้น  มิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่ยกขึ้นต่อสู้หรือกล่าวอ้างขึ้นใหม่  โจทก์จึงยังมีหน้าที่นำสืบอยู่  (ฎ. 5400/2537)

สรุป  คดีมีประเด็นข้อพิพาท  คือ  จำเลยต้องส่งมอบที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์หรือไม่  และหน้าที่นำสืบตามประเด็นข้อพิพาทตกแก่โจทก์  

LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 2/2545

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงิน  50,000  บาท  ปรากฏตามสำเนาสัญญากู้  ซึ่งแนบท้ายฟ้องแล้วไม่ยอมชำระคืน  จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กู้  ชั้นพิจารณาโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยาน  แต่ไม่ได้ระบุต้นฉบับสัญญากู้ในบัญชีระบุพยาน  ดังนี้  โจทก์จะนำสืบต้นฉบับสัญญากู้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  87  ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใดเว้นแต่

(1) พยานหลักฐานนั้นเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในคดีจะต้องนำสืบ  และ

(2) คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา  88  และ  90  แต่ถ้าศาลเห็นว่า  เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม  จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้  ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้

วินิจฉัย

หลักการยื่นบัญชีระบุพยาน  ถ้าคู่ความฝ่ายใดไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยาน  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  รวมทั้งยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานแล้ว  แต่ศาลไม่อนุญาต  ย่อมมีผลตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  87(2)  คือ  ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานนั้น

โจทก์จะนำสืบต้นฉบับสัญญากู้ได้หรือไม่   เห็นว่า  แม้ในขณะที่โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานโจทก์จะไม่ได้ระบุต้นฉบับสัญญากู้ในบัญชีระบุพยานก็ตาม  แต่การที่โจทก์ได้แนบสำเนาสัญญากู้มาท้ายคำฟ้อง  ถือว่าสำเนาเอกสารนั้นเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้อง  อันแสดงให้เห็นเจตนาของโจทก์ว่าจำนงจะอ้างอิงพยานเอกสารนั้นสนับสนุนข้ออ้างในคำฟ้องของตนแล้วตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  ทั้งกรณีเช่นนี้จำเลยก็มีโอกาสได้เห็นสัญญากู้แล้วแต่แรก  ดังนั้นโจทก์จึงไม่จำเป็นต้องระบุต้นฉบับสัญญากู้ในบัญชีระบุพยานอีก  และกรณีไม่ทำให้จำเลยเสียเปรียบ  โจทก์สามารถนำสืบต้นฉบับสัญญากู้ได้ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  87(2)  (ฎ. 901/2493)

สรุป  โจทก์สามารถนำสืบต้นฉบับสัญญากู้ได้


ข้อ  2  เข็มทองฟ้องคดีการกู้ยืมเงิน  
500,000  บาท  จากปอฝ้าย  ในคำฟ้องอ้างเอกสารสัญญากู้เงินเป็นหลักฐานและอ้างหลักฐานการกู้เงินเป็นจดหมายระหว่างเข็มทองและปอฝ้าย  ซึ่งต้นฉบับเอกสารดังกล่าว  ปอฝ้ายเป็นฝ่ายเก็บไว้  โดยที่เข็มทองมีแต่เพียงสำเนาทั้งสัญญากู้เงินและจดหมายโต้ตอบการกู้ยืมเงิน  หลังจากยื่นบัญชีระบุพยานแล้ว  เข็มทองได้ยื่นคำขอเป็นคำร้องขอให้ปอฝ้ายส่งต้นฉบับเอกสารทั้งหลักฐานการกู้ยืมเงินและจดหมายโต้ตอบการกู้ยืมเงิน  แต่ปรากฏว่าปอฝ้ายยกเหตุว่า  เข็มทองส่งสำเนาพยานเอกสารให้แก่ตน  จึงไม่ขอส่งต้นฉบับเอกสารทั้งหมดให้แก่ศาล  อยากทราบว่าข้ออ้างของปอฝ้ายรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบายพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

มาตรา  90  วรรคแรก  วรรคสามและวรรคห้า  ให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารเป็นพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของตนตามมาตา  88  วรรคหนึ่ง  ยื่นต่อศาลและส่งให้คู่ความฝ่ายอื่นซึ่งสำเนาเอกสารนั้นก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน

คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงพยานหลักฐานไม่ต้องยื่นสำเนาเอกสารต่อศาล  และไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารให้คู่ความฝ่ายอื่นในกรณีดังต่อไปนี้

(2) เมื่อคู่ความฝ่ายใดอ้างอิงเอกสารฉบับเดียวหรือหลายฉบับที่อยู่ในความครอบครองของคู่ความฝ่ายอื่นหรือของบุคคลภายนอก

กรณีตาม  (2)  ให้คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกเอกสารนั้นมาจากผู้ครอบครองตามมาตรา  123  โดยต้องยื่นคำร้องต่อศาลภายในกำหนดเวลาตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง  แล้วแต่กรณี  และให้คู่ความฝ่ายนั้นมีหน้าที่ติดตามเพื่อให้ได้เอกสารดังกล่าวมาภายในเวลาที่ศาลกำหนด

มาตรา  123  วรรคแรก  ถ้าต้นฉบับเอกสารซึ่งคู่ความฝ่ายหนึ่งอ้างอิงเป็นพยานหลักฐานนั้นอยู่ในความครอบรองของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง  คู่ความฝ่ายที่อ้างจะยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งส่งต้นฉบับเอกสารแทนการที่ตนจะต้องส่งสำเนาเอกสารนั้นก็ได้  ถ้าศาลเห็นว่าเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานสำคัญ  และคำร้องนั้นฟังได้  ให้ศาลมีคำสั่งให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยื่นต้นฉบับเอกสารต่อศาลภายในเวลาอันสมควรแล้วแต่ศาลจะกำหนด  ถ้าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมีต้นฉบับเอกสารอยู่ในครอบครองไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเช่นว่านั้นให้ถือว่าข้อเท็จจริงแห่งข้ออ้างที่ผู้ขอจะต้องนำสืบโดยเอกสารนั้น  คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้ยอมรับแล้ว 

วินิจฉัย

ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  90  วรรคแรกดังกล่าว  ได้กำหนดให้คู่ความที่ได้ระบุพยานเอกสารไว้ในยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  88  วรรคแรก  ต้องส่งสำเนาพยานเอกสารนั้นล่วงหน้าก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า  7  วัน  ให้แก่ศาลและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง  แต่ทั้งนี้ก็มีข้อยกเว้นไว้ใน  ป.วิ.พ.  มาตรา  90  วรรคสามให้คู่ความไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารล่วงหน้าดังกล่าวได้  หากปรากฏว่า  (2)  ต้นฉบับเอกสารอยู่ในความครอบครองของคู่ความฝ่ายอื่นหรือของบุคคลภายนอก  เพราะโดยสภาพแล้ว  สำเนาต้องทำจากต้นฉบับ  แต่เมื่อคู่ความฝ่ายที่อ้างอิงเอกสารไม่มีต้นฉบับก็ไม่สามารถจัดการทำสำเนาส่งต่อศาลหรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้  กรณีจึงต้องปฏิบัติตาม 

ป.วิ.พ.  มาตรา  90  วรรคห้า  ประกอบมาตรา  123  วรรคแรก  คือ  ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยื่นต้นฉบับเอกสารต่อศาลแทนการที่ตนจะต้องส่งสำเนาเอกสารนั้นต่อไป

ข้ออ้างของปอฝ้ายรับฟังได้หรือไม่  เห็นว่าภายหลังจากที่เข็มทองได้ยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคแรกแล้ว เข็มทองได้ยื่นคำขอเป็นคำร้องขอให้ปอฝ้ายส่งต้นฉบับเอกสารหลักฐานการกู้ยืมเงินและจดหมายโต้ตอบการกู้ยืมเงิน  จึงเป็นกรณีที่ต้นฉบับเอกสารนั้นอยู่ในความครอบครองของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง  ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นข้อยกเว้นที่ไม่ต้องส่งสำเนาเอกสารนั้นตาม  ป.วิ.พ. มาตรา  90  วรรคสาม

และเมื่อได้ความว่า  ปอฝ้ายไม่ยอมส่งต้นฉบับเอกสารให้แก่เข็มทองตามที่เข็มทองขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกเอกสารนั้นมาจากปอฝ้ายตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  90  วรรคห้า  กรณีเช่นนี้  ต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่เข็มทองจะนำสืบโดยเอกสาร  คือข้อความที่ปรากฏในหลักฐานการกู้ยืมเงินและจดหมายโต้ตอบการกู้ยืมเงินนั้น  ปอฝ้ายได้ยอมรับว่ามีอยู่ตามฟ้องแล้วตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  123  วรรคแรก  โดยไม่ต้องอาศัยพยานหลักฐานเลย  ข้ออ้างของปอฝ้ายที่ว่าเข็มทองมิได้ส่งสำเนาพยานเอกสารให้จึงรับฟังไม่ได้  (เทียบ ฎ. 183  185/2597 ฎ. 2016/2517)

สรุป  ข้ออ้างของปอฝ้ายรับฟังไม่ได้


ข้อ  3  ในคดีอาญา  หากปรากฏว่าจำเลยได้ยอมรับว่ากระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องไว้จริง  ศาลสามารถพิพากษาลงโทษจำเลยได้โดยมิต้องสืบพยานได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  จงอธิบาย  พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

อธิบาย 

เนื่องจากในคดีอาญานั้น  บุคคลทุกคนรวมทั้งผู้ต้องหาจะได้รับการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาว่าเป็นผู้กระทำความผิด  ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของโจทกี่จะต้องนำสืบข้อเท็จจริงในคดี  โดยนำพยานหลักฐานมาสืบต่อศาลว่า  ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรจนกว่าศาลจะพอใจว่าจำเลยกระทำผิดจริง  จึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้

แต่อย่างไรก็ตาม  ในกรณีที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณา  ศาลอาจลงโทษจำเลยโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานดังกล่าวก็ได้  ทั้งนี้ตามที่  ป.วิ.อ.  มาตรา  176  วรรคแรก  บัญญัติไว้  กล่าวคือ

ในชั้นพิจารณาถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง  ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานต่อไปก็ได้  เว้นแต่  คดีที่มีข้อหาในความผิดที่จำเลยรับสารภาพนั้น  กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่  5  ปี  ขึ้นไป  หรือโทษสถานที่หนักกว่านั้น  ศาลจะต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยกระทำผิดจริง

จากหลักกฎหมายดังกล่าว  ทำให้เห็นว่าในคดีที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณาอาจแยกพิจารณาได้  2  กรณี  คือ

1       คดีที่จำเลยให้การรับสารภาพว่ากระทำผิดตามฟ้องไม่ได้กำหนดอัตราโทษจำคุกอย่างต่ำไว้  หรือมีกำหนดอัตราโทษจำคุกอย่างต่ำน้อยกว่า  5  ปี

ในคดีอาญาใดที่กฎหมายไม่ได้กำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้  เช่น  ความผิดฐานลักทรัพย์กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน  3  ปี  และปรับไม่เกิน  6,000  บาท  จะเห็นว่ากฎหมายไม่ได้กำหนดโทษจำคุกขั้นต่ำไว้เลย  เพียงแต่กำหนดขั้นสูงว่าไม่เกิน  3  ปี  หรือในกรณีที่อัตราโทษอย่างต่ำน้อยกว่า  5  ปี  เช่น  ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่  2  ถึง  20  ปี  ถือว่ามีอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่  2  ปีขึ้นไป  ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง  ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้  มีผลเท่ากับว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องฟังเป็นยุติตามคำรับสารภาพของจำเลย  ศาลสามารถนำไปวินิจฉัยตัดสินคดีได้  โดยโจทก์ไม่ต้องสืบพยาน  แต่อย่างไรก็ตามแม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ  แต่ถ้ามีเหตุอันควรสงสัยว่าจำเลยมิได้กระทำตามที่รับสารภาพศาลจะให้คู่ความสืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้  มิใช่ต้องฟ้องตามคำรับสารภาพของจำเลยเสมอไป

2       คดีที่จำเลยให้การรับสารภาพว่ากระทำผิดตามฟ้องมีอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกตั้งแต่  5  ปีขึ้นไป  หรือโทษสถานอื่นที่หนักกว่านั้น

สำหรับกรณีนี้หมายถึง  ข้อหาในความผิดซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพนั้น  กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่  5  ปีขึ้นไป  เช่น ระวางโทษจำคุกตั้งแต่  5  ถึง  20  ปี  หรือโทษสถานอื่นที่หนักกว่านั้น  เช่น  ความผิดที่มีโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือโทษประหารชีวิตสถานเดียว  แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ  กฎหมายก็บังคับให้ศาลต้องฟังพยานหลักฐานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง  จึงจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้ตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  176  วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตามก็มิได้หมายความว่า  หากจำเลยรับสารภาพแล้ว  ศาลจะต้องพิพากษาลงโทษจำเลยเสมอไป  เมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดจริง  หรือการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด  หรือมีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยไม่ควรต้องรับโทษ  ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้

LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน S/2545

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ตามหนังสือกู้จำนวน  500,000  บาท  จำเลยให้การต่อสู้กู้เพียง  400,000  บาท  แต่โจทก์ขอให้ทำหนังสือกู้  500,000  บาท  มิฉะนั้นจะไม่ยอมให้กู้  จำเลยจึงยอมทำหนังสือสัญญากู้  500,000  บาท  ฉะนั้น  จำเลยขอชำระหนี้ให้เพียง  400,000  บาท 

ถ้าท่านเป็นศาลในคดีนี้  ท่านจะจัดให้ดำเนินการสืบพยานในประเด็นใดหรือไม่  เพราะเหตุใด  ยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

มาตรา  94  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้  แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ข)  ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า  ยังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

แต่ว่าบทบัญญัติแห่งมาตรานี้  มิให้ใช้บังคับในกรณีที่บัญญัติไว้ในอนุมาตรา  (2)  แห่งมาตรา  93  และมิให้ถือว่าเป็นการตัดสิทธิคู่ความในอันที่จะกล่าวอ้างและนำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างว่า  พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ถูกต้องทั้งหมด  หรือแต่บางส่วน  หรือสัญญาหรือหนี้อย่างอื่นที่ระบุไว้ในเอกสารนั้นไม่สมบูรณ์  หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ย่อมต้องห้ามมิให้นำพยานบุคคลมาสืบแทนพยานเอกสาร  ในเมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง  หรือขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่ง  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก  เว้นแต่กรณีอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ที่สามารถนำสืบพยานบุคคลหักล้างพยานเอกสารได้  คือ

1       กรณีต้นฉบับเอกสารสูญหาย  หรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย  หรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น

2       พยานเอกสารที่แสดงนั้นเป็นเอกสารปลอม

3       พยานเอกสารที่แสดงนั้นไม่ถูกต้องทั้งหมดหรือบางส่วน

4       สัญญาหรือหนี้ที่ระบุไว้ในเอกสารไม่สมบูรณ์

5       คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตีความหมายผิด

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ตามหนังสือสัญญากู้จำนวน  500,000  บาท  จำเลยให้การต่อสู้ว่ากู้เพียง  400,000  บาท  แต่โจทก์ขอให้ทำหนังสือกู้  500,000  บาท  มิฉะนั้นจะไม่ยอมให้กู้  ดังนี้  ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นเรื่องเรียกเงินกู้จำนวน  500,000  บาท  ตามสัญญากู้เงินในกรณีดังกล่าว  ถือว่าจำเลยยอมรับการเป็นหนี้และความถูกต้องแห่งเอกสาร  ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเด็นข้อพิพาทในการกู้เงินหรือไม่จึงเป็นอันยุติลง

ส่วนจำนวนเงินที่โต้เถียงกันอยู่  เมื่อปรากฏหลักฐานกู้เงินเป็นจำนวน  500,000  บาท  จึงเป็นกรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  (ป.พ.พ.  มาตรา  653  วรรคแรก)  จำเลยย่อมจะขอนำสืบพยานบุคคลว่าความจริงรับเงินไปเพียง  400,000  บาท  ผิดแผกไปจากที่ปรากฏในเอกสารไม่ได้  เพราะเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร  ต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  ทั้งกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นตามวรรคสองแต่อย่างใด  ดังนั้น  หากข้าพเจ้าเป็นศาลจะพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวน  500,000  บาท  โดยไม่ต้องสืบพยาน  (เทียบ  ฎ. 108/2516 (ประชุมใหญ่))

สรุป  หากข้าพเจ้าเป็นศาลจะพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้จำนวน  500,000  บาท  โดยไม่ต้องสืบพยาน

หมายเหตุ  ข้อเท็จจริงนี้จำเลยต่อสู้แต่เพียงว่าได้รับเงินไปเพียง  400,000  บาท  ไม่ได้ให้การโดยชัดแจ้งว่าอีก  100,000  บาท  จำเลยยังไม่ได้รับอันจะทำให้สัญญากู้ไม่สมบูรณ์ซึ่งสามารถนำพยานบุคคลมานำสืบหักล้างเอกสารได้ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94  วรรคท้าย  (ฎ. 4674/2543  ฎ. 5348/2540)


ข้อ  2  ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง  โจทก์ประสงค์จะขอนำสืบพยานเอกสารจำนวน  50  รายการ  และพยานบุคคลอีก  10  คน  ปรากฏว่า  หลังจากการยื่นบัญชีระบุพยาน  โจทก์จัดทำรายการเอกสารขาดไป  15  รายการ  และจำเป็นต้องสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมอีก  5  คน  อยากทราบว่าในกรณีนี้  โจทก์จะดำเนินการอย่างไร  และมีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการยื่นบัญชีระบุพยานอย่างไรบ้าง  จงอธิบาย  (โจทก์ทราบเรื่องการจัดทำพยานไม่ครบหลังจากวันสืบพยาน  7  วัน)

ธงคำตอบ

มาตรา  88  วรรคแรกและวรรคสอง  เมื่อคู่ความฝ่ายใดมีความจำนงที่จะอ้างอิงเอกสารฉบับใดหรือคำเบิกความของพยานคนใด  หรือมีความจำนงที่จะให้ศาลตรวจบุคคล  วัตถุ  สถานที่  หรืออ้างความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้ง  เพื่อเป็นพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้าง  หรือข้อเถียงของตน  ให้คู่ความฝ่ายนั้นยื่นต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวันซึ่งบัญชีระบุพยานโดยแสดงหรือสภาพของเอกสารที่จะอ้าง  และรายชื่อที่อยู่ของบุคคล  วัตถุ  หรือสถานที่ซึ่งคู่ความฝ่ายนั้นระบุอ้างเป็นพยาน  หรือขอให้ศาลไปตรวจ  หรือขอให้ตั้งผู้เชี่ยวชาญแล้วแต่กรณี  พร้อมทั้งสำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวในจำนวนที่เพียงพอ  เพื่อให้คู่ความฝ่ายอื่นมารับไปจากเจ้าพนักงานศาล

ถ้าคู่ความฝ่ายใดมีความจำนงจะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม  ให้ยื่นคำแถลงขอระบุพยานเพิ่มเติมต่อศาลพร้อมกับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมและสำเนาบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมดังกล่าวได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันสืบพยาน

วินิจฉัย

ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการยื่นบัญชีระบุพยานไว้ว่า  ในการยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรก  ต้องยื่นต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า  7  วัน  โดยยื่นพร้อมสำเนาบัญชีระบุพยานเพื่อให้คู่ความฝ่ายอื่นมารับไปจากเจ้าพนักงานศาล  (ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคแรก)

และในส่วนการยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม  ต้องยื่นต่อศาลภายใน  15  วัน  นับแต่วันสืบพยาน  โดยยื่นเป็นคำแถลงขอระบุพยานเพิ่มเติมพร้อมกับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม  และสำเนาบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม  (ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคสอง)

เมื่อได้ความว่าภายหลังจากที่โจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานในครั้งแรกแล้ว  โจทก์จัดทำรายการเอกสารขาดไป  15  รายการ  และมีความจำเป็นต้องสืบพยานบุคคลเพิ่มเติมอีก  5  คน  ดังนั้น  เมื่อโจทก์มีความประสงค์จะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม  และปรากฏว่ายังอยู่ภายในระยะ  15  วัน  นับแต่วันสืบพยานโจทก์  โจทก์จึงชอบที่จะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมโดยทำเป็นคำแถลงขอระบุพยานเพิ่มเติมพร้อมกับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมและสำเนาบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม   ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคสอง

สรุป  เมื่อโจทก์มีความประสงค์จะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม  โจทก์ก็ชอบที่จะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมโดยทำเป็นคำแถลงขอระบุพยานเพิ่มเติมพร้อมกับบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมและสำเนาบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม


ข้อ  3  โจทก์ฟ้องคดีอาญาว่าจำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์เป็นอันตรายสาหัส  จำเลยรับว่าทำร้ายร่างกายโจทก์จริง  แต่เนื่องจากโจทก์มีอาวุธปืน  และจำเลยอยู่ในภาวะคับขัน  จำเลยจึงใช้มีดฟันเพื่อให้ตนเองปลอดภัย  ดังนี้  คดีนี้ใครมีหน้าที่นำสืบอย่างไร  และหากทั้งสองฝ่ายไม่สืบพยาน  ศาลจะพิพากษาคดีอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

มาตรา  15  วิธีพิจารณาข้อใดซึ่งประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ  ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับเท่าที่พอจะใช้บังคับได้

มาตรา  227  ให้ศาลใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง  อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริง  และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น

เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่  ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย

วินิจฉัย

เนื่องจากในคดีอาญา  ป.วิ.อ.  ไม่ได้บัญญัติเรื่องหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ไว้  จึงอาศัย  ป.วิ.อ.  มาตรา  15  นำ  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  (ปัจจุบันคือ  มาตรา  84/1)  มาใช้  กล่าวโดยสรุปคือ  ในคดีอาญานั้น  บุคคลทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาว่าเขาเป็นผู้กระทำความผิด  (ป.วิ.อ.  มาตรา  227)  ดังนั้นเมื่อโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิด  ถ้าจำเลยให้การปฏิเสธ  หรือแม้จะไม่ให้การเลย หน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ย่อมตกอยู่แก่โจทก์  ยกเว้นใน  2 กรณี  คือ

1       จำเลยให้การยอมรับตามฟ้องโจทก์  แต่อ้างเหตุยกเว้นโทษ

2       มีกฎหมายสันนิษฐานว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด  ทั้งสองกรณีนี้ภาระการพิสูจน์ย่อมตกอยู่แก่จำเลย

การที่จำเลยรับว่าได้ทำร้ายร่างกายโจทก์จริง  แต่เนื่องจากโจทก์มีอาวุธปืนและจำเลยอยู่ในภาวะคับขันจึงใช้มีดฟันเพื่อให้ตนเองปลอดภัย กรณีจึงเป็นการที่จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยกระทำเพื่อป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายตาม  ป.อ.  มาตรา  68  จำเลยไม่มีความผิด  กรณีจึงเท่ากับว่าจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด  จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะนำสืบว่าจำเลยทำร้ายโจทก์โดยเจตนา  ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนตาม

 ป.วิ.พ.  มาตรา  84  (ปัจจุบันคือ  มาตรา  84/1)  ประกอบ  ป.วิ.อ.  มาตรา  15  (ฎ. 943/2508  ฎ. 2019/2514)

และหากทั้งสองฝ่ายไม่สืบพยาน  ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องได้  เพราะการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุตาม  ป.อ.  มาตรา  68  ถือว่าจำเลยปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด  ทั้งนี้  เพราะการป้องกันเป็นการกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  โจทก์มีหน้าที่นำสืบ  และหากทั้งสองฝ่ายไม่สืบพยาน  ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องได้

หมายเหตุ  ป.วิ.อ.  มาตรา  174  ไม่ใช่บทบัญญัติเรื่องหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ในคดีอาญา  เป็นเพียงบทกำหนดหน้าที่นำสืบก่อนหรือกำหนดลำดับนำพยานเข้าสืบในคดีอาญาว่าโจทก์ต้องนำพยานเข้าสืบก่อนเสมอ  จะให้จำเลยนำสืบก่อนไม่ได้  (ฎ. 1217/2503)  ส่วนหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์ก็เป็นไปตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84 (ปัจจุบันคือมาตรา  84/1)  ประกอบ  ป.วิ.อ.  มาตรา  15  ดังที่กล่าวถึงข้างต้น  (ฎ. 3146/2543)

LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 1/2546

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  คดีแพ่งโจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปจำนวน  1,000,000  บาท  ครบกำหนดชำระหนี้คืนแล้ว  โจทก์ทวงถามแต่จำเลยเพิกเฉย  ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้ยืมจำนวน  1,000,000  บาทแก่โจทก์  จำเลยให้การว่าได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ตามฟ้องจริง  แต่เลยได้ชำระหนี้คืนโจทก์แล้วเป็นเงิน  500,000  บาท  จำเลยยังคงค้างชำระเงินโจทก์เพียง  500,000  บาทเท่านั้น

ระหว่างการสืบพยานโจทก์  โจทก์ได้เบิกความตอบทนายโจทก์ว่าจำเลยยังไม่เคยชำระหนี้เงินยืมให้แก่โจทก์เลย  จำเลยจึงนำจดหมายของโจทก์ที่เขียนถึงจำเลย  โดยมีข้อความว่า  ตามที่จำเลยส่งเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวน  500,000  บาท  มาชำระหนี้ให้นั้นโจทก์ได้รับไว้แล้ว  มาถามโจทก์ว่าเป็นจดหมายของโจทก์หรือไม่  โจทก์รับว่าเป็นจดหมายที่โจทก์เขียนไปถึงจำเลยจริง  แต่โจทก์ไม่ได้รับเงินเนื่องจากเช็คถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน  และจำเลยไม่มีสิทธิอ้างจดหมายดังกล่าวเป็นพยานเนื่องจากจำเลยไม่ได้อ้างไว้ในบัญชีระบุพยาน  หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่โจทก์อ้าง  ให้วินิจฉัยว่าศาลจะรับฟังจดหมายดังกล่าวเป็นพยานจำเลยได้หรือไม่ 

ธงคำตอบ

มาตรา  87  ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใดเว้นแต่

(2) คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา  88  และ  90  แต่ถ้าศาลเห็นว่า  เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม  จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้  ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้

วินิจฉัย

หลักการยื่นบัญชีระบุพยาน  ถ้าคู่ความฝ่ายใดไม่ยื่นบัญชีระบุพยานรวมทั้งยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานแล้ว  แต่ศาลไม่อนุญาต  กรณีย่อมมีผลตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  87(2)  คือ  ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานนั้น

หากข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามโจทก์อ้างศาลจะรับฟังจดหมายดังกล่าวเป็นพยานจำเลยได้หรือไม่  เห็นว่า  การที่จำเลยนำจดหมายของโจทก์มาซักค้านโจทก์ในคดีนี้ถือเป็นการพิสูจน์ต่อพยานตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  120  ถ้าโจทก์ยอมรับความถูกต้องแท้จริงของเอกสาร  ข้อเท็จจริงตามเอกสารนั้นย่อมยุติ  ศาลย่อมรับฟังเอกสารนั้นเป็นพยานได้โดยไม่จำต้องระบุไว้ในบัญชีระบุพยานกรณีถือเป็นข้อยกเว้นของการยื่นบัญชีระบุพยาน

แต่เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้  แม้โจทก์จะยอมรับว่าจดหมายที่จำเลยนำมาซักค้านเป็นจดหมายของโจทก์ก็ตาม  แต่โจทก์ก็ปฏิเสธว่าเช็คถูกปฏิเสธการจ่ายเงิน  ข้อเท็จจริงที่จำเลยต้องการพิสูจน์ว่าโจทก์ได้รับเงิน  500,000  บาท  ไปแล้วจึงยังไม่ยุติ  เมื่อจำเลยมิได้ระบุจดหมายดังกล่าวไว้ในบัญชีระบุพยาน  จำเลยจึงไม่มีสิทธิอ้างเป็นพยานได้ต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  87(2)  ข้ออ้างของโจทก์ฟังขึ้น

สรุป  ศาลไม่อาจรับฟังจดหมายเป็นพยานจำเลยได้


ข้อ  2  โจทก์ฟ้องว่าเมื่อระหว่างปี  2542 
 2545  โจทก์และจำเลยได้อยู่กินฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน  และได้ร่วมกันซื้อที่ดิน  1  แปลง  เนื้อที่  1  ไร่  โดยได้จดทะเบียนกรรมสิทธิ์เป็นชื่อของจำเลยเพียงผู้เดียว  ตามสำเนาโฉนดที่ดินท้ายฟ้อง  เมื่อปลายปี 2545  โจทก์กับจำเลยตกลงแยกทางกัน  โจทก์ขอให้จำเลยจดทะเบียนให้โจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินครึ่งหนึ่งแต่จำเลยไม่ยินยอม  ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนให้โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินดังกล่าว  จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า  เงินที่ซื้อที่ดินแปลงพิพาทเป็นเงินส่วนตัวของจำเลยเพียงผู้เดียว  โจทก์ไม่ได้ร่วมออกเงินด้วย  ขอให้ยกฟ้อง

ระหว่างการสืบพยาน  โจทก์อ้างว่าตนเองเป็นพยานเบิกความว่า  เงินที่นำมาซื้อที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นเงินที่ได้มาจากการที่โจทก์และจำเลยร่วมกันทำธุรกิจ  แต่ได้จดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นชื่อจำเลยเพียงผู้เดียวก่อน  จำเลยแถลงโต้แย้งว่าศาลจะรับฟังคำเบิกความดังกล่าวของโจทก์ไม่ได้  เนื่องจากเป็นการสืบพยานบุคคลเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในโฉนดที่ดินพิพาท  ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง  มาตรา  94  ให้วินิจฉัยว่าข้ออ้างของจำเลยฟังขึ้นหรือไม่ 

ธงคำตอบ

มาตรา  94  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้  แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ข)  ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า  ยังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

มาตรา  1373  ถ้าทรัพย์สินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้จดไว้ในทะเบียนที่ดิน  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลผู้มีชื่อในทะเบียนเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง

วินิจฉัย

ในกรณีที่ห้ามมิให้นำสืบพยานบุคคลแก้ไขเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารนั้นตาม 

ป.วิ.พ.  มาตรา  94  บัญญัติมิให้รับฟังพยานบุคคลเฉพาะที่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงเท่านั้น  ส่วนในกรณีที่ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  กรณีเช่นนี้  คู่สัญญาก็อาจนำพยานบุคคลมาสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงพยานเอกสารได้  ไม่ต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94  แต่ประการใด

ข้อพิพาทในคดีนี้เป็นกรณีที่โจทก์อ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินพิพาทกับจำเลยโดยมีกรรมสิทธิ์คนละครึ่ง  จะเห็นได้ว่า ข้อพิพาทดังกล่าวจึงมิใช่กรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสาร  กล่าวคือ  ไม่ใช่กรณีที่กฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือ  หรือทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  หรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญแต่ประการใด

ดังนั้น  ระหว่างการสืบพยาน  การที่โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่าเงินที่นำมาซื้อที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นเงินที่ได้มาจากการที่โจทก์และจำเลยร่วมกันทำธุรกิจ  แต่ได้จดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นชื่อจำเลยเพียงผู้เดียวก่อน  เป็นกรณีโจทก์อ้างว่ามีส่วนเป็นเจ้าของรวมในที่ดิน  กรณีเช่นนี้  โจทก์จึงมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนได้ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94 (ฎ. 12/2538)

ส่วนการที่จำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินพิพาท  ก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของกฎหมาย  ว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ตาม  ป.พ.พ. มาตรา  1373  เท่านั้น  แต่ก็มิใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาด  โจทก์จึงมีสิทธิที่จะอ้างตนเองเป็นพยานเพื่อนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้  ไม่ต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  เพราะมิใช่การนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในโฉนดที่ดิน  (ฎ. 800/2510)

สรุป  ข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น  โจทก์มีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบสนับสนุนข้ออ้างของตนได้


ข้อ  3  โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยชำระราคาสินค้าที่จำเลยซื้อไปจากโจทก์หลายครั้งแล้วยังไม่ชำระ  จำเลยให้การว่า  จำเลยไม่ชำระราคาเพราะสินค้าที่โจทก์ส่งมอบไม่มีคุณภาพ  จำเลยนำไปใช้แล้วเกิดความเสียหาย  ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมเพราะไม่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา  คำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา  และคดีของโจทก์ขาดอายุความแล้วเพราะมิได้ฟ้องคดีภายในกำหนด  2  ปี  นับแต่วันส่งมอบ  ขอให้ยกฟ้อง

เช่นนี้  คดีมีประเด็นพิพาทและหน้าที่นำสืบประการใด  และถ้าคู่ความต่างแถลงไม่ติดใจสืบพยาน  ศาลจะตัดสินให้ฝ่ายใดเป็นฝ่ายชนะคดี   

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

วินิจฉัย

ประเด็นข้อพิพาท  หมายถึง  ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ  และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ  ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว  ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท

ดังนั้น  เมื่อพิจารณาจากคำฟ้องและคำให้การของโจทก์จำเลยแล้ว  ประเด็นข้อพิพาทจึงมีดังนี้

1       จำเลยต้องชำระราคาตามฟ้องหรือไม่

2       คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่

ส่วนที่จำเลยให้การว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมนั้น  จำเลยให้การเพียงแต่ยกถ้อยคำตามกฎหมายอ้างโดยไม่ได้บรรยายฟ้องว่าฟ้องอขงโจทก์ไม่ชัดแจ้งอย่างไร  คำให้การของจำเลยจึงแสดงเหตุแห่งการปฏิเสธไม่ชัดแจ้ง  ไม่ชอบด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  ดังนั้น  จึงไม่มีประเด็นให้ศาลวินิจฉัย  คดีจึงฟังได้เป็นยุติว่า  คดีของโจทก์ไม่เคลือบคลุม  (ฎ. 913/2509  ฎ. 48/2536)

สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  วรรคแรก  (ปัจจุบันคือมาตรา  84/1)  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ  ซึ่งแยกพิจารณาตามประเด็นได้ดังนี้

ประเด็นแรก  ที่ว่า  จำเลยต้องชำระราคาตามฟ้องหรือไม่  เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยซื้อสินค้าไปจากโจทก์แล้วไม่ชำระ  จำเลยไม่ได้ให้การปฏิเสธว่าจำเลยไม่ได้ซื้อสินค้าไจปากโจทก์ตามฟ้อง  ถือว่าจำเลยให้การรับว่าจำเลยได้ซื้อสินค้าไปจากโจทก์ตามฟ้อง  แต่กล่าวข้อเท็จจริงขึ้นใหม่เรื่องสินค้าไม่มีคุณภาพขึ้นปฏิเสธ  ความรับผิดเพื่อไม่ต้องชำระราคาสินค้า  ดังนั้น  จำเลยจึงมีหน้าที่นำสืบในประเด็นข้อนี้ (ฎ. 1719/2549)

ประเด็นที่สอง  ที่ว่า  คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่  แม้จำเลยจะเป็นฝ่ายกล่าวอ้างประเด็นข้อนี้ขึ้นมา  แต่ศาลฎีกาก็ได้วางบรรทัดฐานไว้ว่า  การที่โจทก์ฟ้องนั้นสันนิษฐานว่าเป็นการฟ้องภายในกำหนดอายุความ  เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธ  โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ปรากฏว่าคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ  (ฎ. 3042/2548 ฎ. 4610/2547)

คดีนี้  ถ้าคู่ความต่างแถลงไม่ติดใจสืบพยาน  โจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบในประเด็นข้อที่สอง  ต้องเป็นฝ่ายแพ้คดีในประเด็นข้อนี้  เพราะถือว่าคดีขาดอายุความแล้ว  และเมื่อโจทก์เป็นฝ่ายฟ้องคดีโจทก์ย่อมแพ้คดีทั้งสำนวน  ส่วนจำเลยแม้ไม่ได้สืบพยานตามที่มีหน้าที่นำสืบในประเด็นแรก  ก็ยังเป็นฝ่ายชนะคดีได้

สรุป  ประเด็นข้อพิพาท  มีดังนี้

1       จำเลยต้องชำระราคาตามฟ้องหรือไม่  หน้าที่นำสืบข้อนี้ตกแก่จำเลย

2       คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่  หน้าที่นำสืบข้อนี้ตกแก่โจทก์

และถ้าคู่ความต่างแถลงไม่ติดใจสืบพยาน  ศาลจะตัดสินให้จำเลยเป็นฝ่ายชนะคดี

LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน S/2546

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่นา  ส.ค.1  จากจำเลย  อ้างว่าเป็นมรดกของปู่โจทก์  ซึ่งตกได้แก่โจทก์และจำเลยร่วมกัน  และได้ครอบครองร่วมกันมา  จำเลยให้การว่าปู่ของโจทก์ยกที่นาพิพาทให้แก่บิดาของจำเลยก่อนตาย  จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลาประมาณ  30  ปีแล้ว  อีกทั้งโจทก์และบิดาโจทก์ไม่เคยเกี่ยวข้องด้วยเลย  ดังนี้ให้นักศึกษาพิจารณาว่าคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทอย่างไรบ้าง  และฝ่ายใดมีหน้าที่นำสืบ  จงอธิบายพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

(2) ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์แต่เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา  1369  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินไว้  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า  บุคคลนั้นยึดถือเพื่อตน

มาตรา  1372  สิทธิซึ่งผู้ครอบครองใช้ในทรัพย์สินที่ครอบครองนั้น  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสิทธิซึ่งผู้ครอบครองมีตามกฎหมาย

วินิจฉัย

ประเด็นข้อพิพาท  หมายถึง  ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ  และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ  ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว  ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท

การที่โจทก์กล่าวอ้างว่าที่พิพาทดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดถึงตน  พร้อมกับขอแบ่งที่พิพาทดังกล่าว  จึงเท่ากับว่า  โจทก์กล่าวอ้างในฐานะที่ตนมีสิทธิในที่ดินมรดก  และจากที่จำเลยให้การถึงการที่ได้รับที่นา  และมีการครอบครองมาโดยตลอดเป็นเวลาประมาณ 30  ปี  จึงเท่ากับว่า  จำเลยปฏิเสธว่าที่พิพาทไม่ใช่มรดก  ดังนี้  ประเด็นข้อพิพาทที่ว่า  ที่นาพิพาทเป็นมรดกหรือไม่

สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  (ปัจจุบันคือ  มาตรา  84/1)  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ  แต่อย่างไรก็ตาม  ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว  เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  ที่นาพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า  (ส.ค.1)  และจำเลยครอบครองอยู่  กรณีเช่นนี้  จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม  ป.พ.พ. มาตรา  1369  และมาตรา  1372  ที่บัญญัติว่า  เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง  เมื่อโจทก์กล่าวอ้างที่นา  ส.ค.1  เป็นมรดก  โจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบก่อนว่าที่นาพิพาทเป็นมรดกดังโจทก์อ้าง  เพราะจำเลยให้การปฏิเสธ  (ฎ. 376/2525 ฎ. 3059  3060/2516)

สรุป  คดีมีประเด็นข้อพิพาท  คือ  ที่นาพิพาทดังกล่าวเป็นมรดกหรือไม่  และหน้าที่นำสืบตามประเด็นข้อพิพาทตกแก่โจทก์

หมายเหตุ  กรณีที่จะปรับเข้าข้อสันนิษฐานตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1373  ได้นั้น  เฉพาะกรณีที่พิพาทกันว่าใครมีสิทธิดีกว่ากันในที่ดินที่มีโฉนดหรือที่ดินที่มี  น.ส. 3  หรือ  น.ส.3  ก.  เท่านั้น (ฏ. 3565/2538)  ส่วนที่ดิน  ส.ค.1  ไม่ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1373  แต่ในกรณีเช่นนี้ถือว่าผู้ที่ครอบครองที่ดินอยู่ได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามมาตรา  1369  และ  1372  ที่ว่า  ผู้ที่ยึดถืออยู่นั้นเป็นการยึดถือเพื่อตนและมีสิทธิครอบครอง  (ฎ. 2550/2543)


ข้อ  2  โจทก์จำเลยพิพาทกันว่าที่งอกริมตลิ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลย  การพิจารณาของศาลชั้นต้นได้สั่งให้มีการเดินเผชิญสืบที่ดินพิพาทดังกล่าว  ในประเด็นที่ว่าฝ่ายใดเป็นผู้ครอบครองที่พิพาท  แล้ววินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏจากการเดินเผชิญสืบว่าที่พิพาทดังกล่าวไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของทั้งโจทก์และจำเลย  แต่เป็นที่ชายเลนน้ำท่วมถึงจะเป็นที่ชายตลิ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน  โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง  อยากทราบว่าคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าววินิจฉัยโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  86  เมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานใดเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังไม่ได้ก็ดี  หรือเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้  แต่ได้ยื่นฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ให้ศาลปฏิเสธไม่รับพยานหลักฐานนั้นไว้

เมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานใดฟุ่มเฟือยเกินสมควร  หรือประวิงให้ชักช้าหรือไม่เกี่ยวแก่ประเด็น  ให้ศาลมีอำนาจงดการสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้น  หรือพยานหลักฐานอื่นต่อไป

เมื่อศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเป็นการจำเป็นที่จะต้องนำพยานหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับประเด็นในคดีมาสืบเพิ่มเติม  ให้ศาลทำการสืบพยานหลักฐานต่อไป  ซึ่งอาจรวมทั้งการที่จะเรียกพยานที่สืบแล้วมาสืบใหม่ด้วย  โดยไม่ต้องมีฝ่ายใดร้องขอ

มาตรา  87  ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใดเว้นแต่

(1) พยานหลักฐานนั้นเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในคดีจะต้องนำสืบ  และ

(2) คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา  88  และ  90  แต่ถ้าศาลเห็นว่า  เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม  จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้  ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  การที่ศาลจะรับฟังพยานหลักฐาน  กรณีย่อมจะต้องเป็นพยานหลักฐานตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  86  และมาตรา  87  กล่าวคือ  จะต้องเป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี  หรือประเด็นข้อพิพาทและจะต้องเป็นข้อเท็จจริงตามข้ออ้างข้อเถียงในคำฟ้องหรือคำให้การ  มิฉะนั้น  ย่อมจะถือเป็นการนอกฟ้อง  นอกคำให้การหรือนอกประเด็น

คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าววินิจฉัยโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  การที่โจทก์และจำเลยพิพาทกันดังกล่าว  ประเด็นข้อพิพาทในคดีจึงมีเพียงว่าที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่งอกริมตลิ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือของจำเลยเท่านั้น  ไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าที่พิพาทเป็นที่ชายตลิ่งหรือไม่  ดังนั้นการที่ศาลพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏขึ้นจากการเดินเผชิญสืบว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่กรรมสิทธิ์ของโจทก์และจำเลย  แล้ววินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน  กรณีจึงถือเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา  ต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  87  ที่ศาลวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ชายตลิ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน  โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง  จึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้อง  นอกประเด็น  คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  (ฎ. 3415/2535)

สรุป  คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าววินิจฉัยโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย


ข้อ  3  แดงกู้เงินเขียวโดยแดงได้ทำหนังสือกู้เงินจำนวน  
300,000  บาท  ให้เขียว  โดยที่เขียวมิได้ลงลายมือชื่อ  คงมีแต่แดงผู้เดียวและมิได้กำหนดเวลาการชำระหนี้ต่อกัน  ต่อมาปรากฏว่าแดงลงทุนค้าขายขาดทุนมาก  เขียวเกรงว่าจะไม่ได้รับเงินกู้คืน  จึงฟ้องแดงขอให้ชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงิน  และขอนำเหลืองเป็นพยานบุคคลมาสืบให้เห็นว่าแดงเป็นผู้กู้เงินจากเขียวจริง  ดังนี้อยากทราบว่าเขียวมีสิทธินำเหลืองเข้าสืบได้หรือไม่  และแดงจะต้องชำระหนี้พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราเท่าใดหรือไม่  เพราะเหตุใดจงอธิบายพร้อมหลักกฎหมาย 

ธงคำตอบ

มาตรา  94  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้  แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ข)  ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า  ยังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  224  วรรคแรก  หนี้เงินนั้น  ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างเวลาผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี  ถ้าเจ้าหนี้อาจจะเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอย่างอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย  ก็ให้คงส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น

มาตรา  653  วรรคแรก  การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น  ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ  จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

วินิจฉัย

ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  653  วรรคแรก  กำหนดว่า  การกู้ยืมเงินกว่า  2,000  บาท  ขึ้นไปนั้น  กฎหมายบังคับว่า  ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด  ซึ่งก็คือ  ผู้กู้  เป็นสำคัญเท่านั้นจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้  กฎหมายหาได้บัญญัติให้ผู้ให้กู้ลงลายมือชื่อด้วยแต่อย่างใดไม่  ดังนั้น  สัญญากู้ยืมเงินที่มีแดงผู้กู้แต่ผู้เดียวลงลายมือชื่อ  ย่อมถือเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  653  วรรคแรกแล้ว  ย่อมฟ้องร้องบังคับคดีได้  (ฎ. 6930/2537)  ส่วนในกรณีที่มิได้กำหนดวันชำระหนี้เงินกู้คืนไว้เขียวก็ย่อมมีสิทธิเรียกให้แดงทำการชำระหนี้ได้โดยพลัน  นับแต่วันที่แดงผู้กู้ได้รับมอบเงินกู้จากเขียว  (ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  203  วรรคแรก)  ส่วนดอกเบี้ยจากหนี้เงินกู้นั้น  โดยหลักแล้ว  เขียวจะเรียกดอกเบี้ยจากแดงไม่ได้เพราะคู่สัญญาไม่มีเจตนาจะเรียกดอกเบี้ยแก่กัน  กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่ง  ป.พ.พ.  มาตรา  7  ที่ว่า  ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กัน  ซึ่งหมายความเฉพาะกรณีที่คู่สัญญาตกลงกันหรือมีเจตนาที่จะเรียกดอกเบี้ยจากกัน  แต่มิได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้เท่านั้น  เขียวจึงเรียกดอกเบี้ยเงินกู้จากแดงในอัตราร้อยละ  7.5  ต่อปี  ตาม  ป.พ.พ. มาตรา  7  ไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่เขียวฟ้องแดงให้ชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ย  ถือว่าการฟ้องคดีต่อศาลเป็นการบอกกล่าวทวงถามไปในตัว  กรณีนี้ถือว่าลูกหนี้ผิดนัดเพราะเขาเตือนแล้วในวันฟ้อง  (ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  204  วรรคแรก)  เขียวจึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ  7.5  ต่อปีได้นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  224  วรรคแรก  (ฎ. 1137/2540)

ส่วนการที่เขียวขอนำเหลืองพยานบุคคลมาสืบอธิบายให้เห็นว่า  เขียวได้มีการให้แดงกู้เงินตามสัญญากู้  ก็ไม่ถือเป็นการนำสืบเพิ่มเติม  หรือเปลี่ยนแปลงข้อความในเอกสารอันจะต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  แต่อย่างใด  เขียวจึงขอนำนายเหลืองพยานบุคคลมาสืบได้  (ฎ. 1302/2535)

สรุป  เขียวมีสิทธินำเหลืองเข้าสืบได้  และแดงจะต้องชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  224  วรรคแรก

หมายเหตุ  จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น  ผู้จัดทำเห็นว่ายังมีประเด็นที่น่าสนใจอยู่อีกหลายประการ  จึงนำเสนอเพื่อประโยชน์แก่นักศึกษาโดยสังเขปดังนี้

1       เมื่อหลักฐานการกู้ยืมไม่ได้ระบุเวลาชำระหนี้ไว้  ถือเป็นหนี้ที่ไม่มีกำหนดเวลาชำระหนี้  จะนำสืบพยานบุคคลว่ามีกำหนดเวลาชำระโดยตกลงให้ผ่อนชำระหนี้เป็นงวดๆ ไม่ได้  เป็นการสืบเพิ่มเติมข้อความในเอกสาร  ต้องห้ามตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  (ฎ. 1962/2525  ฎ. 1124/2511)

2       สัญญากู้ยืมไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้  ต้องฟังว่าสัญญากู้ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้จะนำสืบพยานบุคคลไม่ได้  (ฎ. 9866/2544)

3       ถ้าสัญญากู้ยืมระบุว่าแดงกู้ยืมเงินของผู้ให้กู้  โดยมิได้ระบุชื่อเขียวว่าเป็นผู้ให้กู้  เขียวนำพยานบุคคลมาสืบ  อธิบายให้เห็นว่าเขียวเป็นผู้ให้แดงกู้ยืมเงินได้  ไม่เป็นการสืบเพิ่มเติมเอกสารตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  (ฎ.  1302/2535)

LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 2/2547

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์  100,000  บาท  โดยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราตามกฎหมาย  ปรากฏตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินท้ายฟ้อง  ครั้นเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระตามสัญญา  จำเลยไม่ชำระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย  โจทก์บอกกล่าวทวงถามแล้ว  จำเลยเพิกเฉย  ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้อง  รวมเป็นเงิน  150,000  บาท  และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีของเงินต้น  100,000  บาท  นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า  จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์  ไม่เคยได้รับเงินและไม่ได้ลงชื่อในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นลายมือชื่อปลอม  หากศาลฟังว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยจริงแล้ว  จำเลยก็ไม่ต้องชดใช้เงินตามฟ้องแก่โจทก์  เมื่อหกเจ็ดปีที่ผ่านมา  ภริยาของจำเลยเคยกู้ยืมเงินจากโจทก์โดยจำเลยลงชื่อในหนังสือสัญญาซึ่งยังไม่ได้กรอกข้อความมอบให้โจทก์ยึดถือไว้ แต่ภริยาของจำเลยก็ได้ชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ครบถ้วนตรงตาม

สัญญาแล้ว  โจทก์ไม่คืนหนังสือสัญญาที่จำเลยทำไว้โดยอ้างว่าหาหนังสือสัญญาดังกล่าวไม่พบ  หากพบแล้วจะนำมาคืนให้  เมื่อภริยาของจำเลยหลงลืมไม่ได้ติดตามทวงถาม  โจทก์กลับนำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวมากรอกข้อความและฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้  โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้  โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี  เพราะตามสัญญาระบุให้คิดดอกเบี้ยตามกฎหมายคือร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเท่านั้น  และสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยนี้ขาดอายุความแล้ว  ขอให้ยกฟ้อง

เช่นนี้  คดีมีประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นำสืบประการใด  จงอธิบายเหตุผลประกอบด้วย

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

มาตรา  177  วรรคสอง  ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า  จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน  รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น

วินิจฉัย

ประเด็นข้อพิพาท  หมายถึง  ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ  และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ  ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว  ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท

กรณีตามอุทาหรณ์  คดีมีประเด็นข้อพิพาทประการใดนั้น  เห็นว่า  เมื่อพิจารณาตามคำให้การของจำเลยมีหลายนัย  กล่าวคือ  ตอนแรกจำเลยให้การว่า  จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์  ไม่เคยได้รับเงิน  และไม่ได้ลงชื่อในหนังสือสัญญากู้เงินตามฟ้อง  ลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นลายมือชื่อปลอม  แต่ในต่อมาจำเลยกลับให้การว่า  สัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องเกิดจากภริยาจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์และจำเลย ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาโดยไม่ได้กรอกข้อความ  ต่อมาภริยาจำเลยได้ชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว  แต่โจทก์ไม่ได้คืนสัญญากู้ยืมเงินที่จำเลยลงลายมือชื่อไว้โดยไม่ได้กรอกข้อความนั้น  แล้วโจทก์กรอกข้อความในสัญญาดังกล่าวโดยที่ไม่มีมูลหนี้ต่อกัน  จะเห็นได้ว่า  คำให้การของจำเลยเป็นคำให้การที่ขัดแย้งกัน  ถือไม่ได้ว่าเป็นคำให้การที่ชัดแจ้ง  ไม่ชอบด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีประเด็นนำสืบตามคำให้การ  แต่คำให้การดังกล่าวเป็นที่เข้าใจได้ความตามฟ้องจึงจะชนะคดีได้  (ฎ.  7714/2547  ฎ. 609/2530)

คำให้การในส่วนที่ว่า  โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ  15  ต่อปีนั้น  ในส่วนนี้ถือเป็นคำให้การที่ปฏิเสธโดยชัดแจ้งชอบด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  มีประเด็นข้อพิพาทที่ต้องกำหนด

คำให้การในส่วนที่ว่า  โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้นั้น  ในส่วนนี้ไม่มีผลกระทบต่อการแพ้ชนะของคดี  จึงไม่ต้องกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาท

และคำให้การในส่วนที่ว่า  สิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยขาดอายุความแล้ว  ในส่วนนี้จำเลยให้การเพียงลอยๆ  โดยไม่ได้อ้างเหตุว่าขาดอายุความเพราะเหตุใด  ถือว่าไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธ  คำให้การของจำเลยจึงไม่ชอบด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  ไม่มีประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัย  จึงไม่ต้องกำหนดเป็นประเด็นพิพาท  (ฎ. 2941/2547)

ดังนั้น  คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทดังนี้  คือ

1       จำเลยได้กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่

2       โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ  15  ต่อปีหรือไม่

สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  (ปัจจุบันคือ  มาตรา  84/1)  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ  ซึ่งแยกพิจารณาตามประเด็นได้ดังนี้

ประเด็นแรก  ตามข้อพิพาทที่ว่า  จำเลยได้กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่  เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้าง  จำเลยให้การปฏิเสธ  โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบ  ส่วนคำให้การของจำเลยดังกล่าวปฏิเสธไม่ชัดแจ้งจึงไม่ชอบด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  177  วรรคสอง  จำเลยจึงไม่มีประเด็นนำสืบตามคำให้การ  (ฎ . 7047/2540)

ประเด็นที่สอง  ตามข้อพิพาทที่ว่า  โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ  15  ต่อปีหรือไม่  ประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวถือเป็นการตีความตามข้อตกลงในสัญญา  จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย  ซึ่งศาลสามารถวินิจฉัยได้เอง  คู่ความไม่ต้องนำสืบ

สรุป  คดีมีประเด็นข้อพิพาทดังนี้  คือ

1       จำเลยได้กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่  และหน้าที่นำสืบตกอยู่แก่โจทก์

2       โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ  15  ต่อปีหรือไม่  คู่ความไม่ต้องนำสืบเป็นปัญหาข้อกฎหมาย  ที่ศาลสามารถวินิจฉัยได้เอง


ข้อ  2  คดีอาญาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายดำเป็นจำเลยที่  1  นายขมเป็นจำเลยที่  2  กล่าวหาว่า  จำเลยทั้งสองร่วมกันลักทรัพย์ของนางสาวสวยผู้เสียหาย  จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด  หลังจากที่สืบพยานโจทก์ปากนางสาวสวยผู้เสียหายเสร็จแล้ว  นายดำได้แถลงขอถอนคำให้การเดิม  และขอให้การใหม่  เป็นรับสารภาพผิดตามฟ้อง    ศาลสั่งให้โจทก์แยกฟ้องนายขมจำเลยที่  2 เป็นคดีใหม่  และพิพากษาในคดีเดิมให้จำคุกนายดำมีกำหนด  6  เดือน  ต่อมาเมื่อโจทก์ฟ้องนายขมเป็นคดีใหม่  ในระหว่างการพิจารณาคดี  โจทก์ได้อ้างคำเบิกความนางสาวสวย  ซึ่งอยู่ในคดีเดิมเป็นพยาน  และอ้างนายดำซึ่งศาลพิพากษาลงโทษในคดีเดิมไปแล้วเป็นพยาน  นายขมต่อสู้คดีว่าคำเบิกความของนางสาวสวยในคดีเดิมรับฟังเป้นพยานไม่ได้  เนื่องจากโจทก์มิได้นำนางสาวสวยมาเบิกความต่อหน้านายขมในคดีใหม่  และการที่โจทก์อ้างนายดำเป็นพยานก็ต้องห้ามตามกฎหมายเนื่องจากเป็นการอ้างจำเลยผู้ร่วมกระทำความผิดกับนายขมเป็นพยาน

ให้วินิจฉัยว่า  ข้อต่อสู้ของนายขมทั้งสองประการฟังขึ้นหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  172  วรรคแรก  การพิจารณาและสืบพยานในศาลให้ทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลยเว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา  232  ห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า  คำเบิกความของนางสาวสวยในคดีเดิมรับฟังเป็นพยานได้หรือไม่  เห็นว่า  แม้โจทก์จะมิได้นำนางสาวสวยมาเบิกความเป็นพยานในคดีหลังต่อหน้านายขมจำเลยก็ตาม  แต่อย่างไรก็ตาม  เอได้ความว่า  นางสาวสวยได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีแรกต่อหน้านายขมจำเลยมาแล้ว  กรณีเช่นนี้  จึงถือได้ว่าคำเบิกความของนางสาวสวยที่โจทก์อ้างได้กระทำโดยเปิดเผยต่อหน้านายขมจำเลยแล้ว  จึงรับฟังเป็นพยานในคดีหลังได้  ไม่ต้องห้ามตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  172  วรรคแรก  แต่อย่างใด  ข้อต่อสู้ของนายขมจำเลยในประเด็นจึงฟังไม่ขึ้น  (ฎ. 1457/2531)

การที่โจทก์อ้างนายดำเป็นพยานต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่  เห็นว่า  บทบัญญัติ  ป.วิ.อ.  มาตรา  232  ที่ห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยานนั้น  หมายถึงจำเลยในคดีเดียวกันเท่านั้น  กรณีนี้แม้นายดำจะถูกกล่าวหาว่าร่วมกระทำความผิดกับนายขมจำเลยและถูกฟ้องเป็นคดีเดียวกันมาแล้วก็ตามแต่ขณะที่โจทก์อ้างนายดำเป็นพยานในคดีนี้นั้น  พนักงานอัยการโจทก์ได้แยกฟ้องนายขมเป็นคดีใหม่  และให้ศาลได้พิพากษาลงโทษนายดำในคดีเดิมไปแล้ว  ดังนั้น  นายดำจึงมิได้มีฐานะเป็นจำเลยในคดีหลัง  การที่โจทก์อ้างนายดำเป็นพยานจึงไม่ต้องห้ามตาม  ป.วิ.อ.  มาตรา  232  แต่อย่างใด  ข้อต่อสู้ของนายขมในประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน  (ฎ. 1202/2520  ฎ.  1513/2532)

สรุป  ข้อต่อสู้ของนายขมทั้งสองประการฟังไม่ขึ้น

 


ข้อ  3  นายแดงทำใบคำเสนอขอสินเชื่อจากธนาคารโดยตกลงจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารในอัตราร้อยละ  14.5  ต่อปี  ต่อมาธนาคารอนุมัติสินเชื่อจำนวน  
300,000  บาท  นายแดงจึงได้ทำสัญญากู้ยืมเป็นหนังสือให้กับธนาคารโดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ  19  ต่อปี  ซึ่งนายแดงได้รับเงินกู้ไปเรียบร้อยแล้ว  เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระตามสัญญา  นายแดงไม่ยอมชำระหนี้  ธนาคารจึงฟ้องนายแดงต่อศาล  นายแดงให้การต่อสู้ในประเด็นดอกเบี้ยว่า

ธนาคารเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด  ดังนี้  ธนาคารจะนำพยานบุคคลมาสืบว่าอัตราดอกเบี้ยในสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวอัตราร้อยละ  19  ต่อปี  เป็นอัตราดอกเบี้ยในกรณีที่นายแดงผิดนัดได้หรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

มาตรา  94  เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง  ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้  แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี

(ข)  ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า  เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า  ยังมีข้อความเพิ่มเติม  ตัดทอน  หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก

วินิจฉัย

ธนาคารจะนำพยานบุคคลมาสืบว่าอัตราดอกเบี้ยในสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวอัตราร้อยละ  19  ต่อปี  เป็นอัตราดอกเบี้ยในกรณีที่นายแดงผิดนัดได้หรือไม่  เห็นว่า  นายแดงทำใบเสนอขอสินเชื่อจากธนาคารโดยตกลงจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารในอัตราร้อยละ  14.5  ต่อปี และธนาคารอนุมัติสินเชื่อนายแดงได้ทำสัญญากู้ยืมเงินเป็นหนังสือให้กับธนาคารโดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ  19  ต่อปี  ซึ่งนายแดงได้รับเงินกู้ไปเรียบร้อยแล้ว  จะเห็นได้ว่า  ใบเสนอขอสินเชื่อเป็นเพียงคำเสนอของนายแดงที่เสนอต่อธนาคารเท่านั้น  ส่วนสัญญากู้ยืมเงินเป็นข้อตกลงในการทำสัญญาที่จัดทำขึ้นภายหลังที่ธนาคารได้พิจารณาคำเสนอของนายแดงแล้ว  โจทก์จึงกำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ  19  ต่อปี  ดังนั้น  ข้อความหรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ธนาคารให้นายแดงกู้ยืม  จึงเป็นจำนวนที่ชัดแจ้งไม่มีข้อความเป็นที่น่าสงสัยหรือมีความเป็นสองนัยอันจะต้องตีความตามเจตนาอันแท้จริงของธนาคารแต่อย่างใด  ธนาคารจึงไม่มีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในสัญญากู้ยืมเงินอัตราร้อยละ  19  ต่อปี  เป็นอัตราดอกเบี้ยกรณีที่จำเลยผิดนัด  เพราะต้องห้ามมิให้นำสืบตาม ป.วิ.พ.  มาตรา  94(ข)  (ฎ.  6509/2545)

สรุป  ธนาคารไม่มีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในสัญญากู้ยืมเงิน  อัตราร้อยละ  19  ต่อปี  เป็นอัตราดอกเบี้ยกรณีที่จำเลยผิดนัด  เพราะต้องห้ามมิให้นำสืบตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  94 (ข)

LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน S/2547

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  จำนวน  3  ข้อ

ข้อ  1  โจทก์ฟ้องว่า  ที่นาพิพาทมี  ส.ค.1  เป็นของโจทก์  ให้จำเลยเช่าแล้วจำเลยไม่ชำระค่าเช่า  โจทก์จะเข้าทำนาเอง  จำเลยกลับบุกรุกเข้าทำนา  ทำให้โจทก์เสียหาย  ขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย  จำเลยให้การว่า  ไม่เคยเช่านาจากโจทก์  แต่โจทก์ได้ขายและตนได้เข้าครอบครองเกินกว่า  10  ปีแล้ว  ไม่เคยบุกรุกที่นาเลย  ดังนี้  อยากทราบว่า  คดีนี้ฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์  จงอธิบาย  พร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

มาตรา  84  วรรคแรก  ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ  เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง

(2) ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายเป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด  คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์แต่เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา  1369  บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินไว้  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า  บุคคลนั้นยึดถือเพื่อตน

มาตรา  1372  สิทธิซึ่งผู้ครอบครองใช้ในทรัพย์สินที่ครอบครองนั้น  ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสิทธิซึ่งผู้ครอบครองมีตามกฎหมาย

วินิจฉัย

ในเรื่องหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  (ปัจจุบันคือมาตรา  84/1)  ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า  ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด  ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ

การที่โจทก์กล่าวอ้างว่าที่นาพิพาทเป็นของโจทก์โดยมี  ส.ค.1  เป็นหลักฐานโจทก์ให้จำเลยเช่าแล้วไม่ชำระค่าเช่า  โจทก์จะเข้าทำ จำเลยกลับบุกรุกเข้าทำ  กรณีจึงเท่ากับโจทก์กล่าวอ้างในฐานะที่ตนมีสิทธิในที่ดิน  (ส.ค.1)  และจากที่จำเลยให้การถึงการที่ได้ที่นามาโดยการที่โจทก์ขายที่นาพิพาทให้จำเลยและครอบครองมาเป็นเวลาเกินกว่า  10  ปีแล้ว  กรณีจึงเท่ากับว่า  จำเลยปฏิเสธว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์  และเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  ที่นาพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า  (ส.ค.1)  และจำเลยครอบครองอยู่  กรณีเช่นนี้  จำเลยย่อมได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1369  และมาตรา  1372  ว่ามีสิทธิครอบครอง  เมื่อโจทก์กล่าวอ้างโจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบก่อนว่า  โจทก์ให้จำเลยเช่าจริงหรือไม่  และจำเลยบุกรุกที่ของโจทก์หรือไม่  ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  84  (ปัจจุบันคือมาตรา  84/1)  (ฎ. 1649/2513)

สรุป  ภาระการพิสูจน์ตกอยู่แก่โจทก์     


ข้อ  2  ในคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง  จำเลยยื่นบัญชีระบุพยาน  เมื่อล่วงเลยระยะเวลาตามที่บัญญัติไว้ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88(1)(2)  โดยมิได้มีการยื่นคำร้องแสดงเหตุผลใดๆ  แก่ศาล  แต่ศาลกลับมีคำสั่งให้รับบัญชีระบุพยานโดยอ้างเหตุว่าจำเลยมิได้มีเจตนาจงใจและไม่ทำให้คู่ความอีกฝ่ายเสียเปรียบ  ดังนี้  คำสั่งของศาลดังกล่าวเป็นคำสั่งที่รับฟังได้หรือไม่  จงอธิบาย  พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ธงคำตอบ

มาตรา  87  ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใดเว้นแต่

(2) คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานหลักฐานได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงพยานหลักฐานนั้นดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา  88  และ  90  แต่ถ้าศาลเห็นว่า  เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม  จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของอนุมาตรานี้  ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้

มาตรา  88  วรรคสาม  เมื่อระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสองแล้วแต่กรณี  ได้สิ้นสุดลงแล้ว  ถ้าคู่ความฝ่ายใดซึ่งได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้ว  มีเหตุอันสมควรแสดงได้ว่าตนไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อประโยชน์ของตนหรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใด  หรือถ้าคู่ความฝ่ายใดซึ่งมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ว่า  มีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้  คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำร้องขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานเช่นว่านั้นต่อศาลพร้อมกับบัญชีระบุพยานและสำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวไม่ว่าเวลาใดๆ  ก่อนพิพากษาคดีและถ้าศาลเห็นว่า  เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเดนเป็นไปโดยเที่ยงธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้น  ก็ให้ศาลอนุญาตตามคำร้อง

วินิจฉัย

ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า  คำสั่งของศาลดังกล่าวเป็นคำสั่งที่รับฟังได้หรือไม่  เห็นว่า  ในกรณีที่คู่ความฝ่ายใดมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกภายในกำหนดตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคแรก  หรือมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมภายในกำหนดตามมาตรา  88  วรรคสอง  คู่ความฝ่ายนั้นก็อาจยื่นคำร้องต่อศาลโดยใช้สิทธิตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคสาม  กล่าวคือ  ยื่นคำร้องขออ้างพยานหลักฐานเช่นว่านั้นต่อศาลพร้อมกับบัญชีระบุพยานโดยแสดงเหตุอันสมควรที่เป็นอุปสรรค  ทำให้ไม่อาจยื่นบัญชีระบุพยานได้ทันตามกำหนดเวลา  ทั้งนี้เพราะการยื่นบัญชีระบุพยานก็เพื่อมิให้คู่ความเกิดความเสียเปรียบได้เปรียบในเชิงคดีที่มีอยู่อย่างชัดแจ้ง  มิฉะนั้นจะกลายเป็นข้อยกเว้นของ  ป.วิ.พ.  มาตรา  88 

ส่วนการที่จะอ้าง ป.วิ.พ.  มาตรา  87(2)  ตอนท้ายที่ว่า  เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี  โดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา  88  ให้ศาลมีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้  ก็จะต้องเข้าเงื่อนไข  3 ประการ  คือ

1       พยานหลักฐานนั้นเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี

2       ศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นต้องสืบพยานนั้น

3       ไม่ทำให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบในเชิงคดี

เมื่อปรากฏว่าจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานครั้งแรกหรือบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมต่อศาล  เมื่อล่วงเลยเวลาตามมาตรา  88  วรรคแรกหรือวรรคสองแล้ว  โดยมิได้ทำคำร้องแสดงว่าเหตุใดจึงยื่นภายในกำหนดเวลาไม่ได้  เพื่อให้ศาลได้มีโอกาสพิจารณาเหตุผลของโจทก์ว่าสมควรจะรับบัญชีระบุพยานไว้หรือไม่  ตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคสาม  ดังนี้  ศาลจะสั่งรับบัญชีระบุพยานของจำเลยโดยเหตุผลเพียงว่าจำเลยไม่มีเจตนาจงใจ  และไม่ทำให้คู่ความอีกฝ่ายเสียเปรียบหาได้ไม่  เพราะข้อได้เปรียบเสียเปรียบในเชิงคดีมีอยู่อย่างชัดแจ้ง  (ฎ. 2591/2520ม  ฎ. 943/2512)

ทั้งการที่จำเลยมิได้ยื่นคำร้องแสดงเหตุผลอันสมควรที่ไม่อาจยื่นบัญชีระบุพยานได้ตามกำหนดเวลาตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  88  วรรคสามย่อมทำให้เกิดการเอาเปรียบโจทก์ในการดำเนินคดีโดยวิธีจู่โจม  พยานหลักฐานทำให้โจทก์ไม่มีโอกาสต่อสู้คดี  ดังนี้  แม้พยานหลักฐานดังกล่าวจะสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีที่ทำให้จำเลยแพ้หรือชนะคดีก็ตาม  แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมไม่สมควรรับฟังเป็นพยานหลักฐานตามข้อยกเว้นของ  ป.พ.พ.  มาตรา  87(2)  ตอนท้าย  กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะให้รับบัญชีระบุพยานของจำเลยได้ตามกฎหมาย  คำสั่งของศาลที่ให้รับบัญชีระบุพยานดังกล่าวย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป  คำสั่งของศาลดังกล่าวย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย


ข้อ  3  นายเสียมราบพยานของนายไทวาจำเลย  ได้เข้านั่งฟังคำเบิกความของนายตะบอง  ซึ่งเป็นพยานของนายไทคมโจทก์ในคดีเรื่องหนึ่งโดยตลอด  เมื่อถึงคราวที่นายเสียมราบจะต้องเบิกความ  นายไทคมโจทก์จึงคัดค้านว่า  คำเบิกความของนายเสียมราบรับฟังไม่ได้ เนื่องจากได้เข้านั่งฟังคำเบิกความของพยานอื่นแล้ว  ขอให้ศาลห้ามมิให้รับฟังคำพยานดังกล่าว  อยากทราบว่า  คำคัดค้านของนายไทคมรับฟังได้หรือไม่  และมีหลักกฎหมายอย่างไรบ้าง  จงอธิบาย 

ธงคำตอบ

มาตรา  114  ห้ามไม่ให้พยานเบิกความต่อหน้าพยานคนอื่นที่จะเบิกความภายหลัง  และศาลมีอำนาจที่จะสั่งพยานอื่นที่อยู่ในห้องพิจารณาให้ออกไปเสียได้

แต่ถ้าพยานคนใดเบิกความโดยได้ฟังคำพยานคนก่อนเบิกความต่อหน้าตนมาแล้ว  และคู่ความอีกกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าศาลไม่ควรฟังคำเบิกความเช่นว่านี้  เพราะเป็นการผิดระเบียบ  ถ้าศาลเห็นว่าคำเบิกความเช่นว่านี้เป็นที่เชื่อฟังได้  หรือมิได้เปลี่ยนแปลงไปโดยได้ฟังคำเบิกความของพยานคนก่อน  หรือไม่สามารถทำให้คำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลเปลี่ยนแปลงไปได้  ศาลจะไม่ฟังว่าคำเบิกความเช่นว่านี้เป็นผิดระเบียบก็ได้

วินิจฉัย

การห้ามไม่ให้พยานคนหลังได้ฟังคำเบิกความของพยานคนก่อนตาม  ป.วิ.พ.  มาตรา  114  ดังกล่าวข้างต้นนั้น  คำว่า  พยานคนก่อน  หมายความถึงพยานฝ่ายของตน  หรือพยานของคู่ความฝ่ายเดียวกันเท่านั้น  ทั้งนี้เพราะอาจทำให้มีโอกาสบิดเบือนคำเบิกความของตนให้สอดคล้องกันได้

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นายเสียมราบเป็นพยานของนายไทวาจำเลย  ซึ่งรับฟังคำเบิกความของนายตะบองซึ่งเป็นพยานของนายไทคมโจทก์  มิใช่พยานของนายไทวาจำเลยด้วยกันเอง  กรณีจึงไม่ต้องด้วย  ป.วิ.พ.  มาตรา  114  เพราะมิใช่เป็นการเบิกความโดยฟังคำพยานคนก่อน

ดังนั้น  คำเบิกความของนายเสียมราบจึงไม่เป็นการผิดระเบียบและสามารถรับฟังได้  คำคัดค้านของนายไทคมจึงรับฟังไม่ได้  (ฎ . 3328/2536)

สรุป  คำคัดค้านของนายไทคมรับฟังไม่ได้

WordPress Ads
error: Content is protected !!