การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2547
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW3011 กฎหมายลักษณะพยาน
คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน จำนวน 3 ข้อ
ข้อ 1 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ 100,000 บาท โดยยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราตามกฎหมาย ปรากฏตามหนังสือสัญญากู้ยืมเงินท้ายฟ้อง ครั้นเมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระตามสัญญา จำเลยไม่ชำระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย โจทก์บอกกล่าวทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้อง รวมเป็นเงิน 150,000 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปีของเงินต้น 100,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์ ไม่เคยได้รับเงินและไม่ได้ลงชื่อในหนังสือสัญญากู้ยืมเงินตามฟ้องลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นลายมือชื่อปลอม หากศาลฟังว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยจริงแล้ว จำเลยก็ไม่ต้องชดใช้เงินตามฟ้องแก่โจทก์ เมื่อหกเจ็ดปีที่ผ่านมา ภริยาของจำเลยเคยกู้ยืมเงินจากโจทก์โดยจำเลยลงชื่อในหนังสือสัญญาซึ่งยังไม่ได้กรอกข้อความมอบให้โจทก์ยึดถือไว้ แต่ภริยาของจำเลยก็ได้ชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ครบถ้วนตรงตาม
สัญญาแล้ว โจทก์ไม่คืนหนังสือสัญญาที่จำเลยทำไว้โดยอ้างว่าหาหนังสือสัญญาดังกล่าวไม่พบ หากพบแล้วจะนำมาคืนให้ เมื่อภริยาของจำเลยหลงลืมไม่ได้ติดตามทวงถาม โจทก์กลับนำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวมากรอกข้อความและฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละสิบห้าต่อปี เพราะตามสัญญาระบุให้คิดดอกเบี้ยตามกฎหมายคือร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเท่านั้น และสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยนี้ขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
เช่นนี้ คดีมีประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นำสืบประการใด จงอธิบายเหตุผลประกอบด้วย
ธงคำตอบ
มาตรา 84 วรรคแรก ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใดๆ เพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตนให้หน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงนั้นตกอยู่แก่คู่ความฝ่ายที่กล่าวอ้าง
มาตรา 177 วรรคสอง ให้จำเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การว่า จำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้งเหตุแห่งการนั้น
วินิจฉัย
ประเด็นข้อพิพาท หมายถึง ข้ออ้างข้อเถียงในปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างในคำคู่ความ และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ ดังนั้นปัญหาข้อใดที่ฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้างและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท
กรณีตามอุทาหรณ์ คดีมีประเด็นข้อพิพาทประการใดนั้น เห็นว่า เมื่อพิจารณาตามคำให้การของจำเลยมีหลายนัย กล่าวคือ ตอนแรกจำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์ ไม่เคยได้รับเงิน และไม่ได้ลงชื่อในหนังสือสัญญากู้เงินตามฟ้อง ลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นลายมือชื่อปลอม แต่ในต่อมาจำเลยกลับให้การว่า สัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องเกิดจากภริยาจำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์และจำเลย ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาโดยไม่ได้กรอกข้อความ ต่อมาภริยาจำเลยได้ชำระหนี้ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่ได้คืนสัญญากู้ยืมเงินที่จำเลยลงลายมือชื่อไว้โดยไม่ได้กรอกข้อความนั้น แล้วโจทก์กรอกข้อความในสัญญาดังกล่าวโดยที่ไม่มีมูลหนี้ต่อกัน จะเห็นได้ว่า คำให้การของจำเลยเป็นคำให้การที่ขัดแย้งกัน ถือไม่ได้ว่าเป็นคำให้การที่ชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีประเด็นนำสืบตามคำให้การ แต่คำให้การดังกล่าวเป็นที่เข้าใจได้ความตามฟ้องจึงจะชนะคดีได้ (ฎ. 7714/2547 ฎ. 609/2530)
คำให้การในส่วนที่ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนั้น ในส่วนนี้ถือเป็นคำให้การที่ปฏิเสธโดยชัดแจ้งชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง มีประเด็นข้อพิพาทที่ต้องกำหนด
คำให้การในส่วนที่ว่า โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้นั้น ในส่วนนี้ไม่มีผลกระทบต่อการแพ้ชนะของคดี จึงไม่ต้องกำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาท
และคำให้การในส่วนที่ว่า สิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยขาดอายุความแล้ว ในส่วนนี้จำเลยให้การเพียงลอยๆ โดยไม่ได้อ้างเหตุว่าขาดอายุความเพราะเหตุใด ถือว่าไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธ คำให้การของจำเลยจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง ไม่มีประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัย จึงไม่ต้องกำหนดเป็นประเด็นพิพาท (ฎ. 2941/2547)
ดังนั้น คดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทดังนี้ คือ
1 จำเลยได้กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่
2 โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีหรือไม่
สำหรับหน้าที่นำสืบหรือภาระการพิสูจน์นั้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 84 (ปัจจุบันคือ มาตรา 84/1) ได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้ว่า ผู้ใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงใด ผู้นั้นมีหน้าที่นำสืบ ซึ่งแยกพิจารณาตามประเด็นได้ดังนี้
ประเด็นแรก ตามข้อพิพาทที่ว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้าง จำเลยให้การปฏิเสธ โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบ ส่วนคำให้การของจำเลยดังกล่าวปฏิเสธไม่ชัดแจ้งจึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสอง จำเลยจึงไม่มีประเด็นนำสืบตามคำให้การ (ฎ . 7047/2540)
ประเด็นที่สอง ตามข้อพิพาทที่ว่า โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีหรือไม่ ประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวถือเป็นการตีความตามข้อตกลงในสัญญา จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งศาลสามารถวินิจฉัยได้เอง คู่ความไม่ต้องนำสืบ
สรุป คดีมีประเด็นข้อพิพาทดังนี้ คือ
1 จำเลยได้กู้ยืมเงินและรับเงินไปจากโจทก์ตามฟ้องหรือไม่ และหน้าที่นำสืบตกอยู่แก่โจทก์
2 โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีหรือไม่ คู่ความไม่ต้องนำสืบเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ที่ศาลสามารถวินิจฉัยได้เอง
ข้อ 2 คดีอาญาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องนายดำเป็นจำเลยที่ 1 นายขมเป็นจำเลยที่ 2 กล่าวหาว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันลักทรัพย์ของนางสาวสวยผู้เสียหาย จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำความผิด หลังจากที่สืบพยานโจทก์ปากนางสาวสวยผู้เสียหายเสร็จแล้ว นายดำได้แถลงขอถอนคำให้การเดิม และขอให้การใหม่ เป็นรับสารภาพผิดตามฟ้อง ศาลสั่งให้โจทก์แยกฟ้องนายขมจำเลยที่ 2 เป็นคดีใหม่ และพิพากษาในคดีเดิมให้จำคุกนายดำมีกำหนด 6 เดือน ต่อมาเมื่อโจทก์ฟ้องนายขมเป็นคดีใหม่ ในระหว่างการพิจารณาคดี โจทก์ได้อ้างคำเบิกความนางสาวสวย ซึ่งอยู่ในคดีเดิมเป็นพยาน และอ้างนายดำซึ่งศาลพิพากษาลงโทษในคดีเดิมไปแล้วเป็นพยาน นายขมต่อสู้คดีว่าคำเบิกความของนางสาวสวยในคดีเดิมรับฟังเป้นพยานไม่ได้ เนื่องจากโจทก์มิได้นำนางสาวสวยมาเบิกความต่อหน้านายขมในคดีใหม่ และการที่โจทก์อ้างนายดำเป็นพยานก็ต้องห้ามตามกฎหมายเนื่องจากเป็นการอ้างจำเลยผู้ร่วมกระทำความผิดกับนายขมเป็นพยาน
ให้วินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายขมทั้งสองประการฟังขึ้นหรือไม่
ธงคำตอบ
มาตรา 172 วรรคแรก การพิจารณาและสืบพยานในศาลให้ทำโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลยเว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น
มาตรา 232 ห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยาน
วินิจฉัย
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า คำเบิกความของนางสาวสวยในคดีเดิมรับฟังเป็นพยานได้หรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะมิได้นำนางสาวสวยมาเบิกความเป็นพยานในคดีหลังต่อหน้านายขมจำเลยก็ตาม แต่อย่างไรก็ตาม เอได้ความว่า นางสาวสวยได้เบิกความเป็นพยานโจทก์ในคดีแรกต่อหน้านายขมจำเลยมาแล้ว กรณีเช่นนี้ จึงถือได้ว่าคำเบิกความของนางสาวสวยที่โจทก์อ้างได้กระทำโดยเปิดเผยต่อหน้านายขมจำเลยแล้ว จึงรับฟังเป็นพยานในคดีหลังได้ ไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 172 วรรคแรก แต่อย่างใด ข้อต่อสู้ของนายขมจำเลยในประเด็นจึงฟังไม่ขึ้น (ฎ. 1457/2531)
การที่โจทก์อ้างนายดำเป็นพยานต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า บทบัญญัติ ป.วิ.อ. มาตรา 232 ที่ห้ามมิให้โจทก์อ้างจำเลยเป็นพยานนั้น หมายถึงจำเลยในคดีเดียวกันเท่านั้น กรณีนี้แม้นายดำจะถูกกล่าวหาว่าร่วมกระทำความผิดกับนายขมจำเลยและถูกฟ้องเป็นคดีเดียวกันมาแล้วก็ตามแต่ขณะที่โจทก์อ้างนายดำเป็นพยานในคดีนี้นั้น พนักงานอัยการโจทก์ได้แยกฟ้องนายขมเป็นคดีใหม่ และให้ศาลได้พิพากษาลงโทษนายดำในคดีเดิมไปแล้ว ดังนั้น นายดำจึงมิได้มีฐานะเป็นจำเลยในคดีหลัง การที่โจทก์อ้างนายดำเป็นพยานจึงไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 232 แต่อย่างใด ข้อต่อสู้ของนายขมในประเด็นนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน (ฎ. 1202/2520 ฎ. 1513/2532)
สรุป ข้อต่อสู้ของนายขมทั้งสองประการฟังไม่ขึ้น
ข้อ 3 นายแดงทำใบคำเสนอขอสินเชื่อจากธนาคารโดยตกลงจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ต่อมาธนาคารอนุมัติสินเชื่อจำนวน 300,000 บาท นายแดงจึงได้ทำสัญญากู้ยืมเป็นหนังสือให้กับธนาคารโดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ซึ่งนายแดงได้รับเงินกู้ไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระตามสัญญา นายแดงไม่ยอมชำระหนี้ ธนาคารจึงฟ้องนายแดงต่อศาล นายแดงให้การต่อสู้ในประเด็นดอกเบี้ยว่า
ธนาคารเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ดังนี้ ธนาคารจะนำพยานบุคคลมาสืบว่าอัตราดอกเบี้ยในสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวอัตราร้อยละ 19 ต่อปี เป็นอัตราดอกเบี้ยในกรณีที่นายแดงผิดนัดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ
มาตรา 94 เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี
(ข) ขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้างอย่างใดอย่างหนึ่งว่า เมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่า ยังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่อีก
วินิจฉัย
ธนาคารจะนำพยานบุคคลมาสืบว่าอัตราดอกเบี้ยในสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวอัตราร้อยละ 19 ต่อปี เป็นอัตราดอกเบี้ยในกรณีที่นายแดงผิดนัดได้หรือไม่ เห็นว่า นายแดงทำใบเสนอขอสินเชื่อจากธนาคารโดยตกลงจะชำระดอกเบี้ยให้แก่ธนาคารในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี และธนาคารอนุมัติสินเชื่อนายแดงได้ทำสัญญากู้ยืมเงินเป็นหนังสือให้กับธนาคารโดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ซึ่งนายแดงได้รับเงินกู้ไปเรียบร้อยแล้ว จะเห็นได้ว่า ใบเสนอขอสินเชื่อเป็นเพียงคำเสนอของนายแดงที่เสนอต่อธนาคารเท่านั้น ส่วนสัญญากู้ยืมเงินเป็นข้อตกลงในการทำสัญญาที่จัดทำขึ้นภายหลังที่ธนาคารได้พิจารณาคำเสนอของนายแดงแล้ว โจทก์จึงกำหนดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 19 ต่อปี ดังนั้น ข้อความหรือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ธนาคารให้นายแดงกู้ยืม จึงเป็นจำนวนที่ชัดแจ้งไม่มีข้อความเป็นที่น่าสงสัยหรือมีความเป็นสองนัยอันจะต้องตีความตามเจตนาอันแท้จริงของธนาคารแต่อย่างใด ธนาคารจึงไม่มีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในสัญญากู้ยืมเงินอัตราร้อยละ 19 ต่อปี เป็นอัตราดอกเบี้ยกรณีที่จำเลยผิดนัด เพราะต้องห้ามมิให้นำสืบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94(ข) (ฎ. 6509/2545)
สรุป ธนาคารไม่มีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยในสัญญากู้ยืมเงิน อัตราร้อยละ 19 ต่อปี เป็นอัตราดอกเบี้ยกรณีที่จำเลยผิดนัด เพราะต้องห้ามมิให้นำสืบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 94 (ข)