LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 1/2551

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายวินัยมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษี  2551  ดังนี้

1       รายได้จากการให้คำปรึกษาในประเทศไทยหนึ่งล้านบาท  แต่ได้รับเงินได้ดังกล่าวในต่างประเทศและ

2       เงินปันผลจำนวนเจ็ดแสนบาทโดยบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายในประเทศไทย  หากในปีภาษี  2551  นายวินัยอยู่ในประเทศไทยไม่ถึง  180  วัน  จงวินิจฉัยพร้อมยกมาตราประกอบคำอธิบายของท่านว่า

(ก)  นายวินัยมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้พึงประเมินทั้งสองรายการในประเทศไทยหรือไม่

(ข)  หากนายวินัยต้องเสียภาษีจากกรณีเงินปันผล  นายวินัยมีสิทธิได้รับเครดิตตามประมวลรัษฎากรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  41  วรรคแรก  และวรรคสาม  ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทย  หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ

ผู้ใดอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ  รวมเวลาทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีใด  ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย

มาตรา  47  ทวิ  ให้ผู้มีเงินได้ตามมาตรา  40(4)(ข)  ซึ่งได้รับจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ได้รับเครดิตในการคำนวณภาษี  โดยให้นำอัตราภาษีเงินได้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องเสียหารด้วยผลต่างของหนึ่งร้อยลบด้วยอัตราภาษีเงินได้ดังกล่าวนั้นได้ผลลัพธ์เท่าใดให้คูณด้วยจำนวนเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับ  ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเครดิตในการคำนวณภาษี  ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงินได้ประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้หลายอัตรา  ผู้จ่ายเงินได้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี  ณ  ที่จ่ายให้ชัดเจนว่าเงินได้ที่จ่ายนั้นจำนวนใดได้มาจากกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราใด

เครดิตภาษีที่คำนวณได้ตามความในวรรคหนึ่งให้นำมารวมคำนวณเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามเกณฑ์ในมาตรา  48  เป็นเงินภาษีทั้งสิ้นเท่าใด  ให้นำเครดิตภาษีที่คำนวณได้ดังกล่าวหักออกจากภาษีที่ต้องเสีย  ถ้ายังขาดหรือเหลือเท่าใด  ให้ผู้มีเงินได้เสียภาษีสำหรับจำนวนที่ขาด  หรือมีสิทธิได้รับเงินจำนวนที่เหลือนั้นคืน

ความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมิให้ใช้บังคับแก่ผู้มีเงินได้ซึ่งมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทยและมิได้เป็นผู้อยุ่ในประเทศไทย

 มาตรา  50  ให้บุคคล  ห้างหุ้นส่วน  บริษัท  สมาคม  หรือคณะบุคคลผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  หักภาษีเงินได้ไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมินตามวิธีดังต่อไปนี้

(2) ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(3)  และ  (4)  ให้คำนวณหักตามอัตราภาษีเงินได้  เว้นแต่

(จ)   ในกรณีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(4)(ข)  ให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ  10.0  ของเงินได้

วินิจฉัย

(ก)  นายวินัยมีหน้าที่ต้องนำเงินได้จากการให้คำปรึกษาในประเทศไทยจำนวน  1  ล้านบาทมาเสียภาษีในประเทศไทย  เพราะเงินได้ดังกล่าวเกิดจากแหล่งเงินได้ในประเทศไทย  เนื่องจากหน้าที่งานที่เกิดในประเทศไทย  แม้เงินได้นั้นจะได้รับในต่างประเทศก็ต้องเสียภาษีให้ประเทศไทย  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคแรก

ส่วนเงินปันผลจำนวน  7  แสนบาท  ที่จ่ายโดยบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  นายวินัยต้องนำเงินได้ดังกล่าวมาเสียภาษีในประเทศไทยโดยบริษัทผู้จ่ายเป็นผู้มีหน้าที่หักภาษี  ณ  ที่จ่ายโดยให้คำนวณหักในอัตราร้อยละ  10  ของเงินได้ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  50(2)(จ)

(ข)  นายวินัยต้องเสียภาษีจากเงินปันผลโดยบริษัทผู้จ่ายมีหน้าที่ต้องหักภาษี  ณ  ที่จ่ายในอัตราร้อยละ  10  ของเงินได้  แต่นายวินัยไม่มีสิทธิได้รับเครดิตภาษีเงินปันผลตามประมวลรัษฎากร  เพราะผู้ที่มีสิทธิได้รับเครดิตเงินปันผลจะต้องเป็นผู้ที่มีภูมิลำเนาในประเทศไทยและเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย  ตามมาตรา  47  ทวิวรรคสามประกอบมาตรา  41  วรรคสามแห่งประมวลรัษฎากร  แต่กรณีตามอุทาหรณ์  นายวินัยอยู่ในประเทศไทยไม่ถึง  180  วัน  ถือว่านายวินัยไม่ได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย  จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับเครดิตภาษีตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  47  ทวิ  วรรคสาม

สรุป 

(ก)  นายวินัยมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้พึงประเมินทั้ง  2  รายการในประเทศไทย

(ข)  นายวินัยไม่มีสิทธิได้รับเครดิตภาษีตามประมวลรัษฎากร

 

ข้อ  2  นายสมชายและนางสมศรีเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย  ทั้งสองมีบุตรซึ่งอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูด้วยกันหนึ่งคนคือ  นายน้อย  อายุ  22  ปี  เป็นคนวิกลจริต  นายสมชายเปิดร้านขายเครื่องไฟฟ้าในปี  พ.ศ.2550  มีเงินได้จากการขายเครื่องไฟฟ้าตลอดทั้งปีเป็นเงินจำนวน  500,000  บาท  ส่วนนางสมศรีเปิดร้านขายเสื้อผ้าอยู่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง  ในปี  พ.ศ.2550  มีเงินได้จากการขายเสื้อผ้าตลอดทั้งปีเป็นเงินจำนวน  400,000  บาท  ทั้งสองได้อยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี  สิ้นปีนายสมชายและนางสมศรีจะต้องยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี  แต่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการคำนวณภาษีจึงไปปรึกษานายแดงซึ่งมีร้านค้าอยู่ใกล้เคียงกัน  นายแดงได้ให้คำปรึกษาแก่นายสมชายว่าการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี  (ภ.ง.ด.90)  ให้นายสมชายและนางสมศรีต่างคนต่างยื่นแบบแสดงรายการคนละฉบับ  และต่างคนต่างคำนวณภาษีของตนเอง  ส่วนบุตรชายให้ทั้งสองนำมาหักลดหย่อนได้คนละกึ่งหนึ่ง  เพราะนายน้อยเป็นบุตรที่อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของบุคคลทั้งสอง

ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  คำปรึกษาของนายแดงที่ให้แก่นายสมชายถูกต้องตามที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือเงินได้ประเภทต่อไปนี้  รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอาการที่ผู้จ่ายเงิน  หรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(8) เงินได้จากการธุรกิจ  การพาณิชย์  การเกษตร  การอุตสาหกรรม  การขนส่ง  หรือการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน

(1) ถึง (7) แล้ว

มาตรา  47  เงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  เมื่อได้หักตามมาตรา  42  ทวิถึงมาตรา  46  แล้ว  เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษี  ให้หักลดหย่อนภาษีได้อีกดังต่อไปนี้

(1) ลดหย่อนให้สำหรับ

(ค)  บุตรชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรมของผู้มีเงินได้รวมทั้งบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ด้วย  คนละ  15,000  บาท  แต่รวมกันต้องไม่เกินสามคน

การหักลดหย่อนสำหรับบุตร  ให้หักได้เฉพาะบุตรซึ่งมีอายุไม่เกินยี่สิบปีและยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยหรือชั้นอุดมศึกษา  หรือซึ่งเป็นผู้เยาว์  หรือศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถอันอยู่ในอุปการะเลี้ยงดู  แต่มิให้หักลดหย่อนสำหรับบุตรดังกล่าวที่มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วตั้งแต่  15,000  บาทขึ้นไป  โดยเงินได้พึงประเมินนั้นไม่เข้าลักษณะตามมาตรา  42

มาตรา  57  เบญจ  วรรคแรก  ถ้าภริยามีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  ไม่ว่าจะมีเงินได้พึงประเมินอื่นด้วยหรือไม่  ภริยาจะแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  โดยมิให้ถือว่าเป็นเงินได้ของสามีตามมาตรา  57  ตรีก็ได้

วินิจฉัย

โดยหลักในการเก็บภาษีเงินได้จากสามีและภริยานั้น  ถ้าสามีและภริยาอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  ให้ถือเอาเงินได้พึงประเมินของภริยาเป็นเงินได้ของสามี  และให้สามีมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษี

คำปรึกษาของนายแดงที่ให้แก่นายสมชายไม่ถูกต้อง  เพราะนายสมชายและนางสมศรีเป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย  และได้อยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี  เมื่อนางสมศรีมีเงินได้จากการขายเสื้อผ้าซึ่งเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  8  ตามมาตรา  40(8)  นางสมศรีจึงต้องนำเงินได้จากการขายเสื้อผ้าไปยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีรวมกับนายสมชาย  เพราะถือว่าเงินได้ของนางสมศรีเป็นเงินได้ของนายสมชาย และให้นายสมชายมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษีตามมาตรา  57  ตรี  วรรคแรก

สำหรับการหักลดหย่อนบุตร  การที่นายแดงให้คำปรึกษาว่าให้นายสมชายและนางสมศรีนำบุตรมาหักได้คลละกึ่งหนึ่ง  เป็นการให้คำปรึกษาที่ไม่ถูกต้องเช่นกัน  เพราะบุตรที่จะนำมาหักลดหย่อนได้จะต้องเป็นผู้เยาว์หรือบุตรที่อายุไม่เกิน  25  ปี  และยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย  หรือคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารุและอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของผู้มีเงินได้เท่านั้น  แต่นายน้อยแม้จะเป็นบุตรที่อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูแต่นายน้องก็เป็นเพียงคนวิกลจริตเท่านั้น  เพราะศาลยังไม่ได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ  จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะนำมาหักลดหย่อนได้ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  47(1)(ค)  วรรคแรกและวรรคสี่ 

สรุป  คำปรึกษาของนายแดงที่ให้นายสมชายไม่ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร

 

ข้อ  3  ในปี  พ.ศ.2550  บริษัทไทยบริการ  จำกัด  ได้จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ประกอบกิจการโรงแรมในประเทศไทย  และเปิดสาขา  (Branch)  ประกอบกิจการภัตตาคารในประเทศเวียดนาม  บริษัทฯมีรายได้จากการประกอบกิจการในประเทศ  20  ล้านบาท  และมีรายได้จากสาขาในประเทศเวียดนาม  7  ล้านบาท  โดยรายได้จากกิจการภัตตาคารไม่ได้นำเข้ามาในประเทศไทย  ดังนี้  ในรอบระยะเวลาบัญชี  2550  บริษัทไทยบริการ  จำกัด  จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรจากรายได้ดังกล่าวอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  66  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในประเทศไทย  ต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยจะต้องนำรายได้จากทั่วโลก  (Worldwide  Income Basis)  มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรโดยรวมสาขาในต่างประเทศทุกสาขา  

บริษัทไทยบริการ  จำกัด  เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ดังนั้น  ในรอบระยะเวลาบัญชี  2550  บริษัทไทยบริการ  จำกัด  ต้องนำรายได้จากการประกอบการทั้งหมด  กล่าวคือ  รายได้จากการประกอบกิจการในประเทศไทย  20  ล้านบาท  และรายได้จากสาขาในเวียดนาม  7  ล้านบาท  เป็นจำนวนทั้งสิ้น  27  ล้านบาท  มาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร  มาตรา 66  วรรคแรก

สรุป  บริษัทไทยบริการ  จำกัด  ต้องนำรายได้จากการประกอบการทั้งหมด  27  ล้านบาท  มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร

 

ข้อ  4  บริษัท  Cambodia  Herb  จำกัด  ตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศกัมพูชา  มีวัตถุประสงค์ในการผลิตและจำหน่ายยาสมุนไพร  ไม่มีสาขาหรือสถานประกอบการใดๆในประเทศไทย  บริษัทต้องการที่จะเผยแพร่สูตรการผลิตยาสมุนไพรในประเทศไทย  โดยผู้ที่ต้องการใช้สูตรในการผลิตยาสมุนไพรต่างๆสามารถติดต่อผ่านทางตัวแทน  คือ  นายเตียฮองซึ่งเป็นบุคคลสัญชาติกัมพูชา  และมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย  เมื่อตกลงกันได้แล้วบริษัทก็จะคิดค่าใช้สูตรในการผลิตโดยตรงจากผู้ที่ขอใช้สูตรดังกล่าว  บริษัทเณรแอร์สมุนไพร  จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทไทย  มีความสนใจในสูตรการผลิตยาสมุนไพรดังกล่าวนี้  จึงได้ติดต่อผ่านทางนายเตียฮอง  และต่อมาสามารถตกลงกันได้โดยบริษัทเณรแอร์ต้องจ่ายค่าสิทธิในการผลิตให้แก่  Cambodia  Herb  เป็นเงินจำนวน  10  ล้านบาทต่อปี  ซึ่งเป็นการจ่ายตรงให้แก่  Cambodia  Herb  ไม่ผ่านทางนายเตียฮองแต่อย่างใด  ดังนี้  อยากทราบว่าบริษัท Cambodia  Herb  จำกัด  นายเตียฮอง  และบริษัทเณรแอร์สมุนไพร  จำกัด  มีหน้าที่ต้องเสียภาษีหรือนำส่งภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือ  เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(3) ค่าแห่งกู๊ดวิลล์  ค่าแห่งลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่น  เงินปี  หรือเงินได้มีลักษณะเป็นเงินรายปีอันได้มาจากพินัยกรรม  นิติกรรมอย่างอื่น  หรือคำพิพากษาของศาล

มาตรา  70  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทยแต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(2)(3)(4)(5)  หรือ  (6)  ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย  ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นเสียภาษี โดยให้ผู้จ่ายหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  แล้วนำส่งอำเภอท้องที่พร้อมกับยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมินนั้น  ทั้งนี้ให้นำมาตรา  54  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  มีลูกจ้าง  หรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อ  ในการประกอบกิจการในประเทศไทย  ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย  ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทยและให้ถือว่าบุคคลผู้เป็นลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อเช่นว่านั้นไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล  เป็นตัวแทนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และให้บุคคลนั้นมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  เฉพาะที่เกี่ยวกับเงินได้หรือผลกำไรที่กล่าวแล้ว

วินิจฉัย

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และไม่มีสาขาในประเทศไทย  หากมีลักษณะตามที่ประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก  กำหนดไว้ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทย  ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1       บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ

2       มีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อในประเทศไทย

3       ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินหรือผลกำไรในประเทศไทย

บริษัท  Cambodia  Herb  จำกัด  ไม่มีสาขาหรือสถานประกอบการใดๆในประเทศไทย  แต่การที่บริษัทมีนายเตียฮองซึ่งเป็นตัวแทนในการประกอบกิจการในประเทศไทย  ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินค่าสิทธิในการผลิตยาสมุนไพรอันเป็นเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย  ถือว่า บริษัท  Cambodia  Herb  จำกัด  ประกอบกิจการในประเทศไทย  นายเตียฮองซึ่งเป็นตัวแทนจึงมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีสำหรับเงินได้ดังกล่าว  ดังนั้นบริษัท  Cambodia  Herb  จำกัด  จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยโดยนายเตียฮองเป็นผู้มีหน้าที่ยื่นแบบรายการภาษีดังกล่าว  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก

สำหรับการที่บริษัทเณรแอร์สมุนไพร  จำกัด  ได้จ่ายเงินค่าสูตรในการผลิตสมุนไพรให้แก่บริษัท  Cambodia  Herb  จำกัด  แม้ว่าจะเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(3)  ก็ตาม  แต่เมื่อเป็นกรณีที่ถือว่า บริษัท  Cambodia  Herb  จำกัด  ประกอบกิจการในประเทศไทยซึ่งต้องเสียภาษีตามประมวลรัษฎากรมาตรา  76  ทวิ  วรรคแรกแล้ว  จึงไม่ต้องเสียภาษีตามมาตรา  70  วรรคแรกอีก บริษัทเณรแอร์สมุนไพร  จำกัด  จึงไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษีนำส่งค่าสิทธิในการผลิตยาสมุนไพรที่จ่ายให้แก่บริษัท  Cambodia  Herb  จำกัด  แต่อย่างใด

สรุป  บริษัท  Cambodia  Herb  จำกัด  มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในประเทศไทยโดยมีนายเตียฮองเป็นผู้มีอำนาจยื่นแบบรายการภาษีดังกล่าว  สำหรับเงินค่าสูตรในการผลิตยา  บริษัทเณรแอร์สมุนไพร  จำกัด  ไม่มีหน้าที่ต้องหักภาษี 

LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 2/2551

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ก  อธิบายความแตกต่างของหน่วยภาษีที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร  กรณีกิจการร่วมค้าตามมาตรา  39  และห้างหุ้นส่วนสามัญที่ไม่ใช่นิติบุคคล

ข  บริษัท  A  เป็นบริษัทจำกัด  จดทะเบียนขึ้นตามกฎหมายประเทศญี่ปุ่น  มีสำนักงานสาขาที่จังหวัดชลบุรีหากในรอบระยะเวลาบัญชี  2551  บริษัท  A  มีรายได้จากการประกอบกิจการในประเทศไทยจำนวน  50  ล้านบาท  และมีรายได้จากสำนักงานอื่นๆทั่วโลกอีก  150  ล้านบาท  จงวินิจฉัยว่า  บริษัท  A  มีภาระภาษีเงินได้ในประเทศไทยหรือไม่  จากฐานใด  และหากมีภาระภาษีการคำนวณรายได้คิดตามกฎหมายอย่างไรจากจำนวนเท่าใด

ธงคำตอบ

มาตรา  39  ในหมวดนี้  เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

(2) กิจการร่วมค้า  ซึ่งได้แก่กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางค้าหรือหากำไรระหว่างบริษัทกับบริษัท  บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  หรือระหว่างบริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา  คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล  ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือนิติบุคคลอื่น

มาตรา  66  วรรคสอง  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในที่อื่นๆรวมทั้งในประเทศไทย  ให้เสียภาษีในกำไรสุทธิจากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในประเทศไทยในรอบระยะเวลาบัญชีและการคำนวณกำไรสุทธิให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับมาตรา  65  และมาตรา  65  ทวิ  แต่ถ้าไม่สามารถจะคำนวณกำไรสุทธิดังกล่าวแล้วได้ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการประเมินภาษีตามมาตรา  71(1)  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

ก  อธิบาย

กิจการร่วมค้า  คือ  กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางการค้าหรือหากำไร  อันเป็นการค้าโดยสัญญาระหว่างคู่ค้าที่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเป็นนิติบุคคลเสมอ  ได้แก่  กิจการที่ดำเนินการร่วมกันเป็นทางการค้าหรือหากำไร  ระหว่างบริษัทกับบริษัท  บริษัทกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  หรือระหว่างบริษัทและหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลกับบุคคลธรรมดา  คณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล  ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือนิติบุคคลอื่น

ส่วนห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคล  คือ  การที่บุคคลธรรมดาตั้งแต่  2  คนขึ้นไปตกลงหุ้นกันไม่ว่าจะเป็นเงิน  แรงงาน  ทรัพย์สิน  ฯลฯ เพื่อกระทำกิจการร่วมกันโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะแบ่งผลกำไรที่ได้แต่กิจการนั้น  โดยที่หุ้นส่วนทั้งหมดต้องมีสภาพเป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น  ไม่มีนิติบุคคล

ข  วินิจฉัย

บริษัท  A  เป็นบริษัทจำกัด  จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายประเทศญี่ปุ่นมีสำนักงานสาขาที่จังหวัดชลบุรี  กรณีเช่นนี้  ถือว่าบริษัท  A  เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และกระทำกิจการในที่อื่นๆรวมทั้งประเทศไทย  ซึ่งบริษัท  A  มีภาระภาษีในประเทศจากฐานกำไรสุทธิโดยคำนวณจากรายได้ที่ได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ทำในประเทศไทย  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  66  วรรคสอง

ดังนั้น  จำนวนเงินที่บริษัท  A  ต้องนำมารวมคำนวณ  คือ  50  ล้านบาท  ที่ได้จากสำนักงานสาขาในประเทศไทยเท่านั้น

สรุป  บริษัท  A  มีภาระภาษีในประเทศไทยจากฐานกำไรสุทธิโดยคำนวณจากรายได้ที่ได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ทำในประเทศไทย  คือ  จำนวน  50  ล้านบาท

 

ข้อ  2  นายสมชัยและนางนงเยาว์เป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายและอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี  ในปีภาษี  2550  นายสมชัยมีเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(1)  จำนวน  1,500,000  บาท  นางนงเยาว์ภริยามีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  จำนวน  1,000,000  บาท  และมีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(2)  จำนวน  1,000,000  บาท  นายสมชัยและนางนงเยาว์ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา  (ภ.ง.ด.90  และ  ภ.ง.ด.91)  ในเดือนมีนาคม  2551  โดยนายสมชัยได้นำเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(2)  ของนางนงเยาว์มารวมยื่นเป็นเงินได้พึงประเมินในแบบรายการภาษีของตน  และนางนงเยาว์ได้นำเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  ในส่วนของตนไปแยกยื่นแบบรายการภาษีเอง  ส่วนการหักค่าใช้จ่ายนั้นนางนงเยาว์นำค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  และ  (2)  ซึ่งหักได้ร้อยละ  40  แต่รวมกันไม่เกิน  60,000  บาท  ตามประมวลรัษฎากรมาตรา  42  ทวิ  ไปหักในแบบรายการภาษีของตนทั้งจำนวน  60,000  บาท  สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(2)  ที่นำไปยื่นในแบบรายการภาษีของนายสมชัยไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใดๆ  เจ้าพนักงานประเมินเห็นว่าการยื่นแบบรายการภาษีของนายสมชัยและนางนงเยาว์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  โดยเฉพาะในส่วนเกี่ยวกับการหักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้ของนางนงเยาว์จะต้องถัวเฉลี่ยค่าใช้จ่ายตามสัดส่วนของเงินได้เพื่อไปหักทั้งในแบบรายการภาษีของนายสมชัยและนางนงเยาว์  ดังนั้น  อยากทราบว่าข้ออ้างของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าวรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือ  เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(1) เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน  ค่าจ้าง  เบี้ยเลี้ยง  โบนัส  เบี้ยหวัด  บำเหน็จ  บำนาญ  เงินค่าเช่าบ้าน  เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า  เงินที่นายจ้างจ่ายชำระหนี้ใดๆซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระ  และเงิน  ทรัพย์สินหรือประโยชน์ใดๆบรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน

(2) เงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ  หรือจากการรับทำงานให้  ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียม  ค่านายหน้า  ค่าส่วนลด  เงินอุดหนุนในงานที่ทำ  เบี้ยประชุม  บำเหน็จ  โบนัส  เงินค่าเช่าบ้าน  เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่ผู้จ่ายเงินได้ให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า  เงินที่ผู้จ่ายเงินได้จ่ายชำระหนี้ใดๆซึ่งผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องชำระ  และเงิน  ทรัพย์สิน  หรือประโยชน์ใดๆบรรดาที่ได้เนื่องจากน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ  หรือจากการรับทำงานให้นั้นไม่ว่าหน้าที่  หรือตำแหน่งงาน  หรืองานที่รับทำให้นั้นจะเป็นการประจำหรือชั่วคราว

มาตรา  42  ทวิ  วรรคแรก  เงินได้พึงประเมินตามความในมาตรา  40(1)  และ  (2)  ยอมให้หักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาได้ร้อยละ  40  แต่รวมกันต้องไม่เกิน  60,000  บาท

มาตรา  57  ตรี  วรรคแรก  ในการเก็บภาษีเงินได้จากสามีและภริยานั้น  ถ้าสามีและภริยาอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  ให้ถือเอาเงินได้พึงประเมินของภริยาเป็นเงินได้ของสามี  และให้สามีมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษี  แต่ถ้าภาษีค้างชำระและภริยาได้รับแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า  7  วันแล้ว  ให้ภริยาร่วมรับผิดในการเสียภาษีที่ค้างชำระนั้นด้วย

มาตรา  57  เบญจ  วรรคแรก  ถ้าภริยามีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  ไม่ว่าจะมีเงินได้พึงประเมินอื่นด้วยหรือไม่  ภริยาจะแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  โดยมิให้ถือว่าเป็นเงินได้ของสามีตามมาตรา  57  ตรีก็ได้

วินิจฉัย

ในการเก็บภาษีเงินได้จากสามีและภริยานั้น  ถ้าสามีและภริยาอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษีที่ล่วงมาแล้วให้ถือเอาเงินได้พึงประเมินของภริยาเป็นเงินได้ของสามีมีหน้าที่และความรับผิดชอบในการยื่นรายการและเสียภาษี  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  57  ตรี  วรรคแรก  แต่ในส่วนเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  นั้น  ภริยาจะแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  โดยมิให้ถือเป็นเงินได้ของสามีตามมาตรา  57  ตรีได้  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  57  เบญจ  วรรคแรก  ดังนั้น  การที่นางนงเยาว์นำเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  ของตนไปแยกยื่นรายการภาษีต่างหากจากนายสมชัยจึงเป็นไปโดยถูกต้องแล้ว

ส่วนการหักค่าใช้จ่ายนั้น  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  42  ทวิ  ให้สิทธิแก่ผู้มีเงินได้พึงประเมินที่จะได้รับประโยชน์ในการที่จะหักค่าใช้จ่ายจากเงินได้ของตนทั้งเป็นเงินได้ตามมาตรา  40(1)  และเงินได้ตามมาตรา  40(2)  โดยยอมให้หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ร้อยละ  40 แต่จะหักค่าใช้จ่ายจากเงินได้ทั้งสองประเภทดังกล่าวรวมกันได้ไม่เกิน  60,000  บาท  โดยมิได้กำหนดหลักเกณฑ์และรายละเอียดว่าต้องหักจากเงินได้พึงประเมินประเภทใดในสัดส่วนเท่าใด  หรือต้องถัวเฉลี่ยกันอย่างไร  จึงมิใช่ว่ากรณีมีเงินได้พึงประเมินทั้งสองประเภทจะต้องถัวเฉลี่ยกันค่าใช้จ่ายกันดังที่เจ้าพนักงานประเมินกล่าวอ้างไม่  เมื่อกฎหมายเปิดช่องไว้เช่นนี้เท่ากับมอบอำนาจในการตัดสินใจให้แก่ผู้มีเงินได้พึงประเมินว่าควรจะเลือกหักค่าใช้จ่ายในเงินได้ประเภทใด  อย่างไร  ในกรณีที่ผู้มีเงินได้พึงประเมินที่อาจหักค่าใช้จ่ายได้ทั้งสองประเภท  ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการบรรเทาภาระภาษีตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในส่วนนี้  ดังเช่น  กรณีที่นางนงเยาว์เลือกหักค่าใช้จ่ายจากเงินได้ตามมาตรา  40(1)  อย่างเดียวเต็มจำนวน  60,000  บาท  ในแบบรายการภาษีของตน  ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  42  ทวิ  วรรคแรก  เพียงประเภทเดียว  โดยไม่ประสงค์จะหักค่าใช้จ่ายตามมาตรา  40(2)  ซึ่งนายสมชัยสามีมีหน้าที่ยื่นรายการและเสียภาษีในส่วนเงินได้พึงประเมินของนางนงเยาว์ผู้เป็นภริยาตามความในมาตรา  57  ตรี  ข้ออ้างของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าวจึงไม่อาจรับฟังได้  (ฎ.6220/2549)

สรุป  ข้ออ้างของเจ้าพนักงานประเมินดังกล่าวไม่อาจรับฟังได้

 

ข้อ  3  บริษัท  ไทยก่อสร้าง  จำกัด  ได้จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในปี  พ.ศ.2549  ปรากฏว่าในปี  พ.ศ.2551  ได้ไปเปิดสาขา  (Branch)  ที่ประเทศลาว  และประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้างโดยมีรายได้จำนวน  100  ล้านบาทและฝากไว้ที่ธนาคาร  ณ  ประเทศลาวเพื่อการลงทุนต่อไปไม่นำจำนวนเงินนั้นเข้ามาในประเทศไทย  จงวินิจฉัยว่า  ในการคำนวณกำไรสุทธิประจำรอบระยะเวลาบัญชี  2551  ตามประมวลรัษฎากร  บริษัทไทยก่อสร้าง  จำกัด  ต้องนำยอดรายได้  100  ล้านบาทดังกล่าว  มารวมคำนวณกำไรสุทธิกับรายได้อื่นๆด้วยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  66  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และกระทำกิจการในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยจะต้องนำรายได้จากทั่วโลก  (Worldwide  Income Basis)  มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรโดยรวมสาขาในต่างประเทศทุกสาขา   ทั้งนี้ไม่คำนึงว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น  จะนำเงินได้ดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม

บริษัทไทยก่อสร้าง  จำกัด  เป็นบริษัทที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ดังนั้น  ไม่ว่าจะมีรายได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการ  ณ  ที่ใด  ก็ต้องนำยอดรายได้เหล่านั้นทั้งหมด  (100  ล้านบาท)  มาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีตามประมวลรัษฎากร  ทั้งนี้  แม้จะไม่นำจำนวนเงินดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยก็ตาม

สรุป  บริษัทไทยก่อสร้าง  จำกัด  ต้องนำยอดรายได้  100  ล้านบาท  ดังกล่าวมาคำนวณเพื่อเสียภาษีตามประมวลรัษฎากร

 

ข้อ  4  นายจอห์นเป็นชาวอเมริกัน  ทำงานอยู่ที่บริษัทฟามาซีชิคอล  จำกัด  ซึ่งอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา  ได้รับเงินเดือนคอดเป็นเงินบาทเดือนละ  300,000  บาท  บริษัทฯมีโรงงานผลิตยารักษาโรคต่างๆขายทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกาและต่างประเทศ  บริษัทฯต้องการยาในประเทศไทย  เมื่อวันที่  1  กุมภาพันธ์  2552  บริษัทฯจึงได้ส่งนายจอห์นให้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยเพื่อเสนอขายยาของบริษัทฯให้กับร้านขายยาในประเทศไทย  การเดินทางมาครั้งนี้ของนายจอห์นเพื่อมาทำงานให้กับบริษัทฯ  นายจอห์นจะอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา  1  เดือน  ส่วนเงินเดือนที่ได้รับในเดือนกุมภาพันธ์  2552  จำนวน  300,000  บาท  บริษัทฯได้โอนเข้าบัญชีของนายจอห์นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา  และนายจอห์นได้นำเงินเดือนที่ได้รับในเดือนมกราคม  2552  ติดตัวเข้ามาจ่ายในประเทศไทยเป็นจำนวน  100,000  บาท ในระหว่างที่อยู่ในประเทศไทย  นายจอห์นซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลและถูกรางวัลประจำงวดวันที่  16  กุมภาพันธ์  2552  เป็นจำนวนเงิน 50,000  บาท  เมื่อนายจอห์นอยู่ครบกำหนดได้เดินทางกลับประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่  1  มีนาคม  2552  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่านายจอห์นจะต้องนำเงินได้ทั้งสามจำนวนดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทยหรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  41  ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทย  หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ

ผู้อยู่ในประเทศไทย  มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ  ต้องเสียภาษีเงินได้ตามบทบัญญัติในส่วนนี้  เมื่อนำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย

ผู้ใดอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ  รวมเวลาทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีใด  ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย

มาตรา  42  เงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้

(11)                    รางวัลเพื่อการศึกษาหรือค้นคว้าในวิทยาการ  รางวัลสลากกินแบ่งหรือสลากออมสินของรัฐบาล  รางวัลที่ทางราชการจ่ายให้ในการประกวดหรือแข่งขัน  ซึ่งผู้รับมิได้มีอาชีพในการประกวดหรือแข่งขัน  หรือสินบนรางวัลที่ทางราชการจ่ายให้เพื่อประโยชน์ในการปราบปรามกระทำความผิด

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นในประเทศไทย  ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย  ต่อเมื่อเงินได้พึงประเมินนั้น  เกิดเนื่องจากหน้าที่การงานที่ทำในประเทศไทย  หรือกิจการที่ทำในประเทศไทยหรือกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย  (มาตรา  41  วรรคแรก)

ส่วนในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นนอกประเทศ  ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีให้กับประเทศไทยต่อเมื่อผู้มีเงินได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย  และมีเงินได้พึงประเมิน  เนื่องจากหน้าที่การงานที่ทำในต่างประเทศหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศหรือทรัพย์สินที่อยู่ต่างประเทศ  และได้นำเงินได้นั้นเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกับปีที่อยู่ในประเทศไทย  (มาตรา  41  วรรคสองและวรรคสาม)

เงินเดือนที่นายจอห์นได้รับจากบริษัทฟามาซีซิคอล  จำนวน  300,000  บาท  ของเดือนกุมภาพันธ์  2552  บริษัทฯได้โอนเข้าบัญชีของนายจอห์นที่ประเทศสหรัฐอเมริกา  นายจอห์นต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทย  เพราะเป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในประเทศไทย  ไม่ว่าเงินเดือนที่ได้รับนั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคแรก

สำหรับเงินที่นายจอห์นนำเข้ามาใช้จ่ายจำนวน  100,000  บาท  แม้จะเป็นเงินเดือนที่ได้รับในเดือนมกราคม  2552  เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศ  และได้นำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคสอง  แต่เมื่อนายจอห์นอยู่ในประเทศไทยเพียง  1  เดือน  ซึ่งถือว่าไม่ถึง  180  วัน  ในปีภาษี  2552  จึงไม่ต้องนำจำนวนเงินดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทยเพราะไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคสองและวรรคสาม

ส่วนเงินได้จากการถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล  จำนวน  50,000  บาท  นายจอห์นไม่ต้องนำมาเสียภาษีเพราะได้รับยกเว้น  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  42(11)

สรุป  นายจอห์นต้องนำเงินได้มาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทยเฉพาะเงินเดือนที่นายจอห์นได้รับจากบริษัทฟามาซีซิคอล  จำนวน  300,000  บาท  ส่วนเงินที่นายจอห์นนำเข้ามาใช้จ่ายจำนวน  100,000  บาท  และเงินได้จากการถูกสลากกินแบ่งรัฐบาล  จำนวน  50,000  บาท  ไม่ต้องนำจำนวนเงินดังกล่าวมาคำนวณเสียภาษี

LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร S/2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ในปีภาษี  2551  นายยูโร  ชาวเยอรมันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ได้เดินทางเข้ามาแก้ไขระบบคอมพิวเตอร์ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศไทยเป็นเวลา  30  วัน  ได้รับเงินค่าตอบแทนจำนวน  500,000  บาท  โดยบริษัทฯผู้ว่าจ้างจะโอนเงินเข้าบัญชีให้กับนายยูโรที่ประเทศเยอรมันภายในวันที่  30  ธันวาคม  2551  จงวินิจฉัยว่า  นายยูโรต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากรให้กับประเทศไทยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  41  วรรคแรก  ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทย  หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ

วินิจฉัย

โดยหลัก  ในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นในประเทศไทย  ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย  ต่อเมื่อเงินได้พึงประเมินนั้นเกิดเนื่องจาก

1       หน้าที่งานที่ทำในประเทศไทย  หรือ

2       กิจการที่ทำในประเทศไทย  หรือ

3       กิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือ

4       ทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย

นายยูโร  ชาวเยอรมัน  เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ได้เดินทางเข้ามาแก้ไขระบบคอมพิวเตอร์ให้กับบริษัทแห่งหนึ่งในประเทศไทย  โดยได้รับค่าตอบแทนเป็นจำนวน  500,000  บาท  ซึ่งค่าตอบแทนที่นายยูโรได้รับดังกล่าวถือว่าเป็นเงินได้  เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในประเทศไทย  ดังนั้น  นายยูโรจึงต้องนำเงินได้ดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับประเทศไทย  ตามประมวลกฎหมายรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคแรก  ทั้งนี้  โดยไม่คำนึงว่านายยูโรจะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่  และไม่ว่าเงินได้ดังกล่าวจะจ่ายในหรือนอกประเทศก็ตาม

สรุป  นายยูโรจะต้องนำรายได้ดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา  ตามประมวลรัษฎากรให้กับประเทศไทย

 

ข้อ  2  ในปีภาษี  2551  เด็กชายดำอายุ  10 ปี  กำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่  4  (ป.4)  ของโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง  โดยมีนายเอกเป็นบิดาประกอบอาชีพรับราชการได้รับเงินเดือนตลอดทั้งปี  จำนวน  500,000  บาท  และนางโทมารดา  มีอาชีพขายของชำได้รับเงินตลอดทั้งปี  800,000  บาท  ปรากฏว่าเด็กชายดำได้รับเงินจากการถ่ายแบบโฆษณาจำนวน  200,000  บาท  นายเอกและนางโทได้อยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี  จงวินิจฉัยว่า  นายเอก  นางโท  และเด็กชายดำ  มีหน้าที่ในการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากรอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือเงินได้ประเภทต่อไปนี้  รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอาการที่ผู้จ่ายเงิน  หรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(1) เงินได้เนื่องจากการจ้างงานไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน  ค่าจ้าง  เบี้ยเลี้ยง  โบนัส  เบี้ยหวัด  บำเหน็จ  บำนาญ  เงินค่าเช่าบ้าน  เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า  เงินที่นายจ้างชำระหนี้ใดๆซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระ  และเงิน ทรัพย์สิน  หรือประโยชน์ใดๆบรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน

(8) เงินได้จากการธุรกิจ  การพาณิชย์  การเกษตร  การอุตสาหกรรม  การขนส่ง  หรือการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน

(1) ถึง (7) แล้ว

มาตรา  56  วรรคแรก  ให้บุคคลทุกคน  เว้นแต่ผู้เยาว์  หรือผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ  ยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินที่ตนได้รับในระหว่างปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  พร้อมทั้งข้อความอื่นๆภายในเดือนมีนาคมทุกๆ  ตามแบบที่อธิบดีกำหนดต่อเจ้าพนักงานซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้ง  ถ้าบุคคลนั้น

(1) ไม่มีสามีหรือภริยา  และมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเกิน  30,000  บาท

มาตรา  56  ทวิ  เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีก่อนถึงกำหนดเวลาตามมาตรา  56  ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นรายการตามมาตรา  56  มาตรา  57 มาตรา  57  ทวิ  และมาตรา  57  ตรี  ยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดแสดงรายการเงินได้เฉพาะตามมาตรา  40(5) (6) (7)  หรือ  (8) ไม่ว่าจะมีเงินได้ประเภทอื่นรวมอยู่ด้วยหรือไม่  ที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน  ภายในเดือนกันยายนของทุกปีภาษี

เงินได้ตามมาตรา  40(5)  ตามวรรคหนึ่ง  ไม่รวมถึงเงินกินเปล่า  เงินช่วยค่าก่อสร้าง  เงินค่าซ่อมแซมค่าแห่งอาคารหรือโรงเรือนที่ได้รับกรรมสิทธิ์

การยื่นรายการตามวรรคหนึ่ง  ให้คำนวณภาษีตามมาตรา  48  โดยหักลดหย่อนตามมาตรา  47  ให้กึ่งหนึ่ง  และชำระภาษีถ้ามี  พร้อมกับการยื่นรายการนั้นต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา  56

ภาษีที่ชำระตามวรรคสาม  ให้ถือเป็นเครดิตในการคำนวณภาษีที่ต้องชำระตามมาตรา  57  จัตวา

มาตรา  57  ถ้าผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  56  วรรคหนึ่ง  เป็นผู้เยาว์  ผู้ที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถหรือเป็นผู้อยู่ในต่างประเทศ  ให้เป็นหน้าที่ของผู้แทนโดยชอบธรรม  ผู้อนุบาล  ผู้พิทักษ์  หรือผู้จัดการกิจการอันก่อให้เกิด เงินได้พึงประเมินนั้น  แล้วแต่กรณี  ต้องปฏิบัติตามมาตรา  56  วรรคหนึ่ง  และเป็นตัวแทนในการชำระภาษี

มาตรา  57  ตรี  วรรคแรก  ในการเก็บภาษีเงินได้จากสามีและภริยานั้น  ถ้าสามีและภริยาอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  ให้ถือเอาเงินได้พึงประเมินของภริยาเป็นเงินได้ของสามี  และให้สามีมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษี  แต่ถ้าภาษีค้างชำระและภริยาได้รับแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า  7  วันแล้ว  ให้ภริยาร่วมรับผิดในการเสียภาษีที่ค้างชำระนั้นด้วย

มาตรา  57  เบญจ  วรรคแรก  ถ้าภริยามีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  ไม่ว่าจะมีเงินได้พึงประเมินอื่นด้วยหรือไม่  ภริยาจะแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  โดยมิให้ถือว่าเป็นเงินได้ของสามีตามมาตรา  57  ตรีก็ได้

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ถ้าสามีและภริยาอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี  ให้ถือว่าเงินได้ของภริยาเป็นเงินได้ของสามี  แต่ภริยามีสิทธิที่จะนำเงินได้พึงประเมินประเภทที่  1  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(1)  มาแยกยื่นรายการภาษี  โดยมิให้ถือเป็นเงินได้ของสามีได้

นายเอก  นางโทและเด็กชายดำมีหน้าที่ในการชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากรอย่างไร  เห็นว่า  เมื่อนายเอกและนางโทได้อยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี  และต่างฝ่ายต่างมีเงินได้  ดังนั้น  นายเอกและนางโทสามีภรรยาต้องยื่นภาษีร่วมกัน  โดยให้เสียภาษีในชื่อของนายเอกสามี  ตามประมวลรัษฎากรมาตรา  57  ตรี  วรรคแรก  และในกรณีนี้  นางโทไม่มีสิทธิแยกยื่นรายการภาษี  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  57  เบญจ  วรรคแรก  เพราะเงินได้ที่นางโทได้รับจากการขายของชำ  ถือว่าเป็นเงินได้จากการพาณิชย์  อันเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  8  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(8)  มิใช่เงินได้พึงประเมินประเภทที่  1  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(1)

ส่วนเงินได้จากการถ่ายโฆษณาของเด็กชายดำ  จำนวน  2  แสนบาท  เงินได้ดังกล่าวถือว่าเป็นเงินได้จากการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1) ถึง  (7)  อันเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  8  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(8)  ต้องยื่นชำระภาษี  ในชื่อของเด็กชายดำในฐานะเป็นผู้มีเงินได้  โดยกำหนดให้ผู้แทนโดยชอบธรรมคือ  นายเอก  หรือนางโท  บิดามารดาเป็นผู้ดำเนินการแทน  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  56  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  57

และเมื่อนางโท  และเด็กชายดำเป็นผู้มีเงินได้พึงประเมินประเภทที่  8  ตามประมวลรัษฎากรมาตรา  40(8)  ทั้งสองคนต้องยื่นชำระภาษีแบบครึ่งปี  ในกรณีเงินได้ของนางโท  นางโทต้องเป็นผู้ยื่นรายการภาษีแบบครึ่งปีในนามของตนเอง  ภายในเดือนกันยายน  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  56  และกรณีเด็กชายดำ  ก็ต้องยื่นชำระภาษี  ในชื่อของเด็กชายดำในฐานะเป็นผู้มีเงินได้  โดยกำหนดให้ผู้แทนโดยชอบธรรม  คือ  นายเอก  หรือนางโท  บิดามารดาเป็นผู้ดำเนินการแทน  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  56  ทวิ  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  57

สรุป  นายเอกและนางโทสามีภรรยาต้องยื่นภาษีร่วมกัน  โดยให้เสียภาษีในชื่อของนายเอกสามี  ส่วนเงินได้จากการถ่ายโฆษณาของเด็กชายดำต้องยื่นชำระภาษี  ในชื่อของเด็กชายดำในฐานะเป็นผู้มีเงินได้  โดยกำหนดให้ผู้แทนโดยชอบธรรม  คือ  นายเอก  หรือนางโท  บิดามารดาเป็นผู้ดำเนินการแทน

และสำหรับการยื่นชำระภาษีแบบครึ่งปีนางโทต้องยื่นในนามของตนเอง  และเด็กชายดำก็ต้องยื่นชำระภาษี  ในชื่อของเด็กชายดำในฐานะเป็นผู้มีเงินได้  โดยกำหนดให้ผู้แทนโดยชอบธรรม  คือ  นายเอก  หรือนางโท  บิดามารดาเป็นผู้ดำเนินการแทน

 

ข้อ  3  บริษัทสยามการบิน  จำกัด  ได้จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยโดยในรอบระยะเวลาบัญชี  2551  บริษัทฯมีรายได้จากการขนส่งผู้โดยสารจากประเทศกัมพูชาไปประเทศสิงคโปร์จำนวน  10  ล้านบาท  และฝากเงินจำนวนนี้ไว้ที่ธนาคารในประเทศสิงคโปร์  และมีรายได้จากการขนส่งผู้โดยสารจากประเทศไทยไปประเทศมาเลเซียและประเทศสิงคโปร์  จำนวน  20  ล้านบาท  โดยฝากไว้กับธนาคารในประเทศไทย  จงวินิจฉัยว่าในรอบระยะเวลาบัญชี  2551  บริษัทสยามการบิน  จำกัด  มีภาระต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรจากรายได้ดังกล่าวทั้งหมดอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  66  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  หรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และกระทำกิจการในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยจะต้องนำรายได้จากทั่วโลก  (Worldwide  Income Basis)  มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรโดยรวมสาขาในต่างประเทศทุกสาขา   ทั้งนี้ไม่คำนึงว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น  จะนำเงินได้ดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยหรือไม่ก็ตาม

บริษัทสยามการบิน  จำกัด  เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ดังนั้นในรอบระยะเวลาบัญชี  2551  บริษัทสยามการบิน  จำกัด  ต้องนำรายได้จากการประกอบการทั้งหมด  กล่าวคือ  รายได้จากการขนส่งผู้โดยสารจากประเทศกัมพูชาไปประเทศสิงคโปร์จำนวน  10  ล้านบาท  และรายได้จากการขนส่งผู้โดยสารจากประเทศไทยไปประเทศมาเลเซียและประเทศสิงคโปร์  จำนวน  20  ล้านบาท  เป็นจำนวนทั้งสิ้น  30  ล้านบาท  มาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  66  วรรคแรก

สรุป  บริษัทสยามการบิน  จำกัด  ต้องนำรายได้จากการประกอบกิจการทั้งหมด  30  ล้านบาท  มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร

 

ข้อ  4  บริษัทอเมริกันคอมพิวเตอร์โปรแกรม  จำกัด  เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกาไม่มีสาขาหรือสถานประกอบการในประเทศไทย  ในรอบระยะเวลาบัญชี  2551  ได้ส่งตัวแทนเข้ามาเซ็นสัญญาขายโปรแกรมคอมพิวเตอร์ในประเทศไทยกับบริษัทคอมอัจฉริยะ  จำกัด  ราคา  200  ล้านบาท  โดยบริษัทไทยคอมฯจะโอนเงินชำระราคาไปยังบริษัทอเมริกันคอมฯภายใน  1  เดือนหลังจากทำสัญญากันแล้ว  จงวินิจฉัยว่า  บริษัทอเมริกันคอมพิวเตอร์โปรแกรม  จำกัด  ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากรายได้ดังกล่าวตามประมวลรัษฎากรหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  มีลูกจ้าง  หรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อ  ในการประกอบกิจการในประเทศไทย  ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย  ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทยและให้ถือว่าบุคคลผู้เป็นลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อเช่นว่านั้นไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล  เป็นตัวแทนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และให้บุคคลนั้นมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  เฉพาะที่เกี่ยวกับเงินได้หรือผลกำไรที่กล่าวแล้ว

วินิจฉัย

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และไม่มีสาขาในประเทศไทย  หากมีลักษณะตามที่ประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก  กำหนดไว้ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทย  ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1       บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ

2       มีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อในประเทศไทย

3       ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินหรือผลกำไรในประเทศไทย

สำหรับหลักเกณฑ์ประการที่  3  นี้  ในกรณีที่มีการซื้อขายสินค้า  หากได้มีการทำสัญญาซื้อขายในประเทศไทยก็ถือได้ว่ามีการประกอบกิจการในประเทศไทยแล้ว  ส่วนการส่งมอบและการชำระราคา  เป็นหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติของคู่สัญญาเท่านั้น  มิใช่สาระสำคัญของสัญญา แม้จะมีการส่งมอบหรือชำระราคาในต่างประเทศก็ตาม  ก็ยังถือเป็นการประกอบกิจการในประเทศไทย  (ฎ.2637/2521)

บริษัทอเมริกันคอมพิวเตอร์โปรแกรม  จำกัด  เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามกฎหมายต่างประเทศ  ได้ส่งตัวแทนเข้ามาเซ็นสัญญาขายโปรแกรมฯ  กับบริษัทไทยคอมอัจฉริยะ  จำกัดในประเทศไทย  ราคา  200  ล้านบาท  กรณีเช่นนี้ถือว่า  บริษัทอเมริกันฯ  ได้ประกอบกิจการในประเทศไทย  อันเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้  หรือผลกำไรในประเทศไทย  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก ดังนั้น  ในรอบระยะเวลาบัญชี  2551  บริษัทอเมริกันฯ  จึงต้องนำรายได้จำนวน  200  ล้านบาท  มาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล  ตามประมวลรัษฎากรให้กับประเทศไทย

สรุป  บริษัทอเมริกันฯ  ต้องนำรายได้จำนวน  200  ล้านบาท  มาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล  ตามประมวลรัษฎากรให้กับประเทศไทย

LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 1/2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

นักศึกษาที่ลงทะเบียนกระบวนวิชา  LA  401  (รหัส  52…  เป็นต้นไป)  ให้ทำข้อ 1  3

นักศึกษาที่ลงทะเบียนกระบวนวิชา  LW  406  (รหัส  51…ลงไป)  ให้ทำข้อ  1  4

ข้อ  1  บริษัท  เหลืองแดงเขียว  จำกัด  ได้ทำสัญญาว่าจ้างนายเหลืองซึ่งมีสัญชาติไทยให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสาขาของบริษัทฯ  ณ ประเทศสิงคโปร์  โดยทางบริษัทฯได้โอนเงินค่าจ้างไปเข้าบัญชีของนายเหลืองในต่างประเทศ  และในขณะเดียวกันบริษัทฯ  ได้ว่าจ้างนางเขียวซึ่งมีสัญชาติมาเลเซียให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสาขาของบริษัทฯ  ที่จังหวัดอุบลราชธานี  โดยบริษัทฯ  ได้โอนเงินค่าจ้างไปยังประเทศมาเลเซีย

นอกจากนี้บริษัทฯ  ได้ตกลงจ้างนางสาวแดงซึ่งเป็นนายหน้าอิสระสัญชาติไทย  (ไม่ได้เป็นลูกจ้างของบริษัทฯ)  ให้ทำหน้าที่นายหน้าที่ประเทศสหรัฐอเมริกาแก่บริษัท  โดยบริษัท  ตกลงจะโอนเงินให้นางสาวแดงที่ประเทศไทย  หากปรากฏข้อเท็จจริงว่า  นอกจากนางเขียวกรณีนายเหลืองและนางสาวแดงไม่ได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยในปีภาษีที่เกิดเงินได้แต่อย่างใด  จงวินิจฉัยว่าทั้งสามคนนี้มีภาระภาษีเงินได้ในประเทศไทยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  41  ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทย  หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ

ผู้อยู่ในประเทศไทย  มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ  ต้องเสียภาษีเงินได้ตามบทบัญญัติในส่วนนี้  เมื่อนำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย

ผู้ใดอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ  รวมเวลาทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีใด  ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นในประเทศไทย  ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย  ต่อเมื่อเงินได้พึงประเมินนั้น  เกิดเนื่องจากหน้าที่การงานที่ทำในประเทศไทย  หรือกิจการที่ทำในประเทศไทยหรือกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย  (มาตรา  41  วรรคแรก)

ส่วนในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นนอกประเทศ  ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีให้กับประเทศไทยต่อเมื่อผู้มีเงินได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย  และมีเงินได้พึงประเมิน  เนื่องจากหน้าที่การงานที่ทำในต่างประเทศหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศหรือทรัพย์สินที่อยู่ต่างประเทศ  และได้นำเงินได้นั้นเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกับปีที่อยู่ในประเทศไทย  (มาตรา  41  วรรคสองและวรรคสาม)

การที่บริษัท  เหลืองแดงเขียว  จำกัด  ได้ทำสัญญาว่าจ้างนายเหลืองให้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสาขาของบริษัทฯ  ณ  ประเทศสิงคโปร์  โดยทางบริษัทฯ  ได้โอนเงินค่าจ้างไปเข้าบัญชีของนายเหลืองยังต่างประเทศ  กรณีถือว่าเงินค่าจ้างที่นายเหลืองได้รับเป็นเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคแรก  นายเหลืองจึงต้องมีหน้าที่ต้องนำเงินดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย  ทั้งนี้  โดยไม่ต้องคำนึงว่านายเหลืองจะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่  และไม่ว่าเงินเดือนที่ได้รับนั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศก็ตาม

สำหรับนางเขียว  ซึ่งบริษัทฯได้ว่าจ้างนางเขียวซึ่งมีสัญชาติมาเลเซียทำหน้าที่เป็นผู้จัดการสาขาของบริษัทฯ  ที่จังหวัดอุบลราชธานี  โดยบริษัทฯ  ได้โอนเงินค่าจ้างไปยังประเทศมาเลเซีย  กรณีถือว่าเงินค่าจ้างที่นางเขียวได้รับเป็นเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นเนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในประเทศไทยตามประมวลรัษฎากรมาตรา  41  วรรคแรก  นางเขียวจึงมีหน้าที่ต้องนำเงินดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทยเช่นกัน  ทั้งนี้  ไม่ว่าเงินเดือนที่ได้รับนั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศก็ตาม

ส่วนนางสาวแดงที่ได้รับค่าจ้างจากการเป็นนายหน้าที่ประเทศสหรัฐอเมริกาแก่บริษัทฯ  ถือเป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคสอง  นางสาวแดงไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวมาเสียภาษีให้กับประเทศไทย  เพราะแม้บริษัทฯ  ได้โอนให้นางสาวแดงที่ประเทศไทย  แต่เมื่อนางสาวแดงไม่ได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยในปีภาษีที่เกิดเงินได้  นางสาวแดงจึงไม่ต้องนำจำนวนเงินดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทย  เพราะไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา 41  วรรคสองและวรรคสาม

สรุป  นายเหลืองและนางเขียวมีภาระภาษีในประเทศไทย  ส่วนนางสาวแดงไม่มีภาระต้องเสียภาษีให้กับประเทศไทย  เพราะนางสาวแดงไม่ได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย

 

ข้อ  2  นายแดงทำงานเป็นพนักงานเก็บเงินของบริษัท  อุปกรณ์การแพทย์  จำกัด  ได้รับเงินเดือนๆละ  20,000  บาท  นายแดงได้นำรถยนต์ส่วนตัวของตนมาใช้ในกิจการของบริษัทฯ  และบริษัทฯได้จ่ายค่าน้ำมันรถยนต์แบบเหมาจ่ายให้แก่นายแดงเดือนละ  4,000  บาท โดยมิได้คำนึงว่านายแดงจะได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้นหรือไม่  และไม่ต้องนำใบเสร็จมาแสดงแก่บริษัทฯแต่อย่างใด  ในปีภาษี  2551 นายแดงได้รับเงินค่าน้ำมันจากบริษัทฯ  เป็นเงินรวมตลอดทั้งปีจำนวน  48,000  บาท  ปรากฏว่าเมื่อวันที่  10  มีนาคม  2551  รถยนต์ของนายแดงถูกนายเขียวขับชนโดยประมาทเป็นเหตุให้รถยนต์ของนายแดงได้รับความเสียหาย  แต่นายแดงได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย  นายแดงจึงเรียกค่าสินไหมทดแทนจากการทำละมิดของนายเขียวเพื่อเป็นค่าซ่อมรถยนต์และค่ารักษาพยาบาลเป็นเงินจำนวน  40,000  บาท ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าเงินได้ที่นายแดงได้รับทั้งสองจำนวนจะต้องนำมารวมคำนวณกับเงินเดือนเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือ  เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(1) เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน  ค่าจ้าง  เบี้ยเลี้ยง  โบนัส  เบี้ยหวัด  บำเหน็จ  บำนาญ  เงินค่าเช่าบ้าน  เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า  เงินที่นายจ้างจ่ายชำระหนี้ใดๆซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระ  และเงิน  ทรัพย์สินหรือประโยชน์ใดๆบรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน

มาตรา  42  เงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้  ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้

(1) ค่าเบี้ยเลี้ยงหรือพาหนะ  ซึ่งลูกจ้างหรือผู้รับหน้าที่หรือตำแหน่งงานหรือผู้รับทำงานให้ได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น

(13)  ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด  เงินที่ได้จากการประกันภัยหรือการฌาปนกิจสงเคราะห์

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วเงินค่าพาหนะซึ่งลูกจ้างได้รับจากนายจ้างอันจะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  42(1)  จะต้องเป็นค่าพาหนะซึ่งลูกจ้างได้จ่ายไปโดยสุจริตตามความจำเป็นเฉพาะในการที่ต้องปฏิบัติการตามหน้าที่ของตนและได้จ่ายไปทั้งหมดในการนั้น  ซึ่งตามข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  ค่าน้ำมันรถยนต์ที่บริษัทฯจ่ายให้นายแดงซึ่งเป็นลูกจ้างของบริษัทฯ  ที่นำรถยนต์ส่วนตัวของตนมาใช้ในกิจการของบริษัทฯ  มีลักษณะเป็นการเหมาจ่าย  โดยมิได้คำนึงว่าจะจ่ายไปหมดในการนั้นหรือไม่  เงินค่าน้ำมันรถยนต์ที่บริษัทเหมาจ่ายให้แก่นายแดงเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  ซึ่งไม่ได้รับยกเว้นมาตรา  42(1)  (ฎ.5330/2537)

ดังนั้น  นายแดงจึงต้องนำเงินค่าน้ำมันรถยนต์จำนวน  48,000  บาท  ไปรวมคำนวณกับเงินเดือนเพื่อนำไปเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

ส่วนเงินค่าสินไหมทดแทนจำนวน  40,000  บาท  ที่นายแดงได้รับจากนายเขียวเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด  จึงได้รับยกเว้นตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  42(13)  ดังนั้น  นายแดงจึงไม่ต้องนำเงินจำนวนดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

สรุป  นายแดงต้องนำเงินค่าน้ำมันรถยนต์จำนวน  48,000  บาท  ไปรวมคำนวณกับเงินเดือนเพื่อนำไปเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น  ส่วนเงินค่าสินไหมทดแทนจำนวน  40,000  บาท  ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

 

ข้อ  3  ในรอบระยะเวลาบัญชี  2552  บริษัท  ไทยวิศวกรรม  จำกัด  (มหาชน)  ได้เช่ารถยกตีนตะขาบ  (Crawler  Crane)  พร้อมอุปกรณ์จากบริษัท  โตโย  จำกัด  ผู้ให้เช่าในประเทศญี่ปุ่นและได้ซื้ออุปกรณ์กำเนิดกำลัง  (Generator)  พร้อมอุปกรณ์จากบริษัท  เยาเส็ง  จำกัด  ผู้ขายในประเทศสิงคโปร์ เพื่อนำมาใช้ในโครงการขยายโรงกลั่นของบริษัท  ปิโตรไทย  จำกัด  (มหาชน)  บริษัทฯผู้ให้เช่าและบริษัทฯ  ผู้ขายทั้งสองเป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศญี่ปุ่นและสิงคโปร์  มิได้ประกอบกิจการหรือมีตัวแทนหรือสถานประกอบการถาวร  (Permanent  Establishment)  ใดๆในประเทศไทยจงวินิจฉัยว่า  บริษัท  โตโย  จำกัด  และบริษัท  เยาเส็ง  จำกัด  ต้องมีภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรหรือไม่  อย่างไร  (ไม่ต้องพิจารณาเรื่องอนุสัญญาว่าด้วยการยกเว้นการเก็บภาษีซ้ำซ้อน)

ธงคำตอบ

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือ  เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(5) เงินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้เนื่องจาก

(ก)  การให้เช่าทรัพย์สิน

(8) เงินได้จากการธุรกิจ  การพาณิชย์  การเกษตร  การอุตสาหกรรม  การขนส่ง  หรือการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  ถึง  (7)  แล้ว

มาตรา  70  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  มิได้ประกอบกิจการในประเทศไทยแต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(2) (3) (4) (5) หรือ (6)  ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย  ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นเสียภาษี  โดยให้ผู้จ่ายหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  แล้วนำส่งอำเภอท้องที่พร้อมกับยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมินนั้น  ทั้งนี้ให้นำมาตรา  54  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

วินิจฉัย

การหักภาษี  ณ  ที่จ่ายตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  70  วรรคแรก  ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1       ผู้รับเงินจะต้องเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายต่างประเทศ

2       บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวจะต้องมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย  และ

3       เงินได้ที่จ่ายจะต้องเป็นเงินได้ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40 (2) (3) (4) (5) หรือ (6)  ที่จ่ายจากหือในประเทศไทยเท่านั้น

บริษัท  ไทยวิศวกรรม  จำกัด  (มหาชน)  จ่ายเงินค่าเช่ารถยกและค่าซื้อเครื่องกำเนิดกำลัง  ให้แก่บริษัท  โตโย  จำกัด  ผู้ให้เช่าในประเทศญี่ปุ่นและบริษัท  เยาเส็ง  จำกัด  ผู้ขายในประเทศสิงคโปร์  โดยผู้ให้เช่าและผู้ขายมิได้ประกอบกิจการหรือมีตัวแทนหรือสถานประกอบการถาวรในประเทศไทย  จะมีภาระภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร  ดังนี้

1       กรณีบริษัท  โตโย  จำกัด  ได้รับค่าเช่าอันเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา  40(5)  จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  70  โดยบริษัทไทยวิศวกรรม  จำกัด  (มหาชน)  ต้องหักภาษีเงินได้ไว้  ณ  ที่จ่ายในอัตราร้อยละ  15  ของยอดเงินได้พึงประเมินที่จ่าย

2       กรณีบริษัท  เยาเส็ง  จำกัด  ได้รับเงินจากการขายสินค้า  อันเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา  40(8)  จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล  เพราะไม่เข้าเงื่อนไขตามประมวลรัษฎากรมาตรา  70  ที่บังคับเฉพาะเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(2)  (6)  เท่านั้น

สรุป  บริษัท  โตโย  จำกัด  จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับประเทศไทย  ส่วนบริษัทเยาเส็ง  จำกัด  ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล

 

ข้อ  4  Marine  Shipping  &  Transportation  Corporation  (Marine  Corp)  เป็นบริษัทซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของสหรัฐอเมริกา  ประกอบกิจการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศโดยทางเรือ  มีสาขาตั้งอยู่ในประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย  บริษัท  ไทยนำสินฟู้ด  โปรดักส์  จำกัด  (ไทยนำสิน)  ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งตามกฎหมายไทย  ตั้งอยู่ที่จังหวัดนราธิวาส  ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายอาหารฮาลาล ไทยนำสินได้ขายสินค้าอาหารให้แก่ผู้ซื้อในประเทศกาตาร์  จึงได้ว่าจ้างให้  Marine  Corp  สาขามาเลเซียขนส่งสินค้าดังกล่าวไปยังประเทศกาตาร์  โดยไทยนำสินได้ขนสินค้าดังกล่าวทางรถบรรทุกไปส่งมอบให้แก่ Marine  Corp  ในประเทศมาเลเซีย  Marine  Corp ได้คิดค่าบริการในการขนสินค้าดังกล่าวจำนวน  10  ล้านบาท  อยากทราบว่า Marine  Corp  ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับการประกอบกิจการขนส่งระหว่างประเทศจากยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายของค่าบริการรับขนของตามประมวลรัษฎากรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  66  วรรคสอง  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในที่อื่นๆรวมทั้งในประเทศไทย  ให้เสียภาษีในกำไรสุทธิจากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำในประเทศไทยในรอบระยะเวลาบัญชีและการคำนวณกำไรสุทธิให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับมาตรา  65  และมาตรา  65  ทวิ  แต่ถ้าไม่สามารถจะคำนวณกำไรสุทธิดังกล่าวแล้วได้ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการประเมินภาษีตามมาตรา  71(1)  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา  67  การเสียภาษีตามความในส่วนนี้  ให้เสียตามอัตราที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีเงินได้ท้ายหมวดนี้  เว้นแต่ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามมาตรา  66  วรรคสอง  กระทำกิจการขนส่งผ่านประเทศต่างๆให้เสียภาษีเฉพาะกิจการขนส่งตามเกณฑ์ดังต่อไปนี้

(2) ในกรณีรับขนของ  ให้เสียภาษีในอัตราร้อยละ  3  ของค่าระวางค่าธรรมเนียม  และประโยชน์อื่นใดที่เรียกเก็บ  ไม่ว่าในหรือนอกประเทศไทยก่อนหักรายจ่ายใดๆ  เนื่องจากในการรับขนของออกจากประเทศไทยนั้น

วินิจฉัย

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการขนส่งระหว่างประเทศซึ่งต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลยอดรายรับค่าระวาง  ค่าธรรมเนียม และประโยชน์อื่นใดที่เรียกเก็บไม่ว่าในหรือนอกประเทศไทยก่อนหักรายจ่ายใดๆ  เนื่องในการรับขนของออกจากประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  67(2)  นั้นจะต้องเป็นกรณีที่บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในที่อื่นๆรวมทั้งประเทศไทย  กล่าวคือ  ต้องมีการกระทำกิจการในประเทศไทยและเป็นการประกอบกิจการขนส่งผ่านประเทศต่างๆด้วย  (มาตรา  66  วรรคสองประกอบมาตรา  67)

เมื่อ  Marine  Corp มีสาขาอยู่ในประเทศสิงคโปร์และมาเลเซียโดยไม่ปรากฏว่ามีสาขาหรือกระทำกิจการอยู่ในประเทศไทย  Marine  Corp  จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีจากค่าบริการรับขนของดังกล่าวแต่อย่างใด  ดังนั้น  เมื่อ  Marine  Corp  ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลดังกล่าวแล้ว  กรณีจึงไม่ต้องพิจารณาว่าค่าบริการที่   Marine  Corp  ได้รับเป็นกรณีเนื่องจากการรับขนของออกไปจากประเทศไทยหรือไม่

สรุป  Marine  Corp  ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลดังกล่าว     

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 2/2546

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  4  ข้อ

ข้อ 1  การสืบสวนและการสอบสวนมีความแตกต่างกัน  จึงให้ท่านอธิบายถึงความแตกต่างของการสืบสวนและสอบสวนอย่างน้อย  4 ประเด็น

ธงคำตอบ

การสืบสวน  หมายความถึง  การแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐาน  ซึ่งพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้ปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน  และเพื่อที่จะทราบรายละเอียดแห่งความผิด  ตาม  ป.วิอาญา  มาตรา  2(10)

การสอบสวน  หมายความถึง  การรวบรวมพยานหลักฐาน  และการดำเนินการทั้งหลายอื่นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา  เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิดและเพื่อจะเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(11)

จากนิยามความหมายดังกล่าว  สามารถแยกความแตกต่างระหว่างการสืบสวนและการสอบสวนได้ดังนี้

1       วิธีการ

–                    การสืบสวน  เป็นลักษณะของการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด  ซึ่งอาจจะเป็นขั้นตอนก่อนที่จะมีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้นก็ได้

–                    การสอบสวน  เป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่เกิดขึ้นและมีการกล่าวหาในความผิดนั้น

2       สิ่งที่ต้องการ 

–                    การสืบสวน  สิ่งที่ต้องการคือ  ข้อเท็จจริงพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด

–                    การสอบสวน  สิ่งที่ต้องการคือ  พยานหลักฐาน  ซึ่งแบ่งได้เป็นพยานบุคคล  พยานวัตถุ  และพยานเอกสาร

3       วัตถุประสงค์ 

–                    การสืบสวน  เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน  และเพื่อทราบรายละเอียดแห่งความผิด

–                    การสอบสวน  เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา  หรือพิสูจน์ความผิดและเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ  ซึ่งอาจจะไม่มีผู้กระทำผิดตามที่กล่าวหาก็ได้

4       เจ้าพนักงานที่มีอำนาจ

–                    การสืบสวน  ได้แก่  พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ  รวมทั้งเจ้าพนักงานอื่นๆตามกฎหมายเฉพาะ  เช่น  พัศดี  เจ้าพนักงานกรมสรรพสามิต  กรมศุลกากร  กรมเจ้าท่า  พนักงานตรวจคนเข้าเมือง  เป็นต้น

–                    การสอบสวน  ได้แก่  พนักงานสอบสวน  ซึ่งหมายถึง  เจ้าพนักงานซึ่งกฎหมายให้มีอำนาจและหน้าที่ทำการสอบสวน  ดังที่บัญญัติไว้ใน  ป.วิอาญา  มาตรา  18, 19, 20 และ  21

5       เงื่อนไข

–                    การสืบสวน  สามารถกระทำก่อน  ขณะ  หรือหลังจากเหตุเกิดก็ได้  โดยไม่จำเป็นต้องมีความผิดเกิดขึ้น

–                    การสอบสวน  ต้องมีความผิดเกิดขึ้น  หรือมีการกล่าวหาในความผิดนั้นจึงทำการสอบสวน

 

ข้อ  2  การตรวจสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอมีความสำคัญยิ่งสำหรับการสืบสวนและการสอบสวน  จึงให้ท่านอธิบายถึงความหมายของสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ  และประโยชน์ของการตรวจสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอโดยสังเขป

ธงคำตอบ

สารพันธุกรรมหรือ DNA เป็นสารที่มีความจำเพาะสูงในแต่ละบุคคล  จึงใช้ในการตรวจพิสูจน์ตัวบุคคล  ไม่ว่าจะเป็น  DNA  จากคราบโลหิต  อสุจิ  เซลล์ของรากผม  ขน  ชิ้นส่วนของกระดูก  ฯลฯ  โดยมีวิธีการคือ  การนำสารพันธุกรรมที่ได้รับมาสกัดแยกและเพิ่มปริมาณตามเทคนิค  PCR (Polymerase  Chain  Reaction)  แล้วนำผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรวจสอบเฉพาะก็จะสามารถทำให้ทราบแบบของสารพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิตนั้นได้

เทคนิคการตรวจหาสารพันธุกรรมนี้มีประโยชน์ในด้านการสืบสวนและการสอบสวนดังนี้  คือ

1       การตรวจพิสูจน์ในคดีข่มขืนกระทำชำเรา

2       การตรวจพิสูจน์ในคดีฆาตกรรม

3       การตรวจพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างบิดา  มารดา  และบุตร

4       การตรวจพิสูจน์โครงสร้างกระดูกหรือชิ้นส่วนของมนุษย์เพื่อนำมาพิสูจน์ตัวบุคคลซึ่งถูกฆาตกรรมหรือสูญหายไป

5       การตรวจผลของ  DNA  เพื่อพิสูจน์การติดเชื้อเอดส์  (HIV)  ของบุคคล

 

ข้อ  3  คดีความผิดฐานบุกรุก  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  362  เป็นความผิดอันยอมความได้  ในกรณีที่ผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์ตามระเบียบพนักงานสอบสวนจะทำการสอบสวนคดีนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  ให้อธิบายพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  121  วรรคสอง  แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว  ห้ามมิให้ทำการสอบสวนเว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

กรณีความผิดอันยอมความได้  ตาม  ป.อาญา  ซึ่งมีความหมายอย่างเดียวกับความผิดต่อส่วนตัว  ตาม  ป.วิอาญา  ในกรณีที่ผู้เสียยังไม่ได้ร้องทุกข์ตามระเบียบในความผิดอันยอมความได้  พนักงานสอบสวนจึงทำการสอบสวนคดีนี้ไม่ได้  ตาม  ป.วิอาญา  มาตรา  121  วรรคสอง  เนื่องจากในคดีความผิดต่อส่วนตัว  ถ้าสอบสวนโดยไม่มีคำร้องทุกข์หรือมีคำร้องทุกข์แต่เป็นคำร้องทุกข์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ถือว่าไม่มีการสอบสวนคดีนั้น

ข้อ  4  เจมส์ออกเช็คหนึ่งฉบับสั่งจ่ายเงินห้าหมื่นบาทเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อคอมพิวเตอร์แก่เจน  แต่เมื่อเช็คถึงกำหนดใช้เงินเจนได้นำเช็คดังกล่าวไปขึ้นที่ธนาคาร  ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน  อ้างว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่าย  เจนจึงไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า  ขอแจ้งเรื่องเจมส์จ่ายเช็คไม่มีเงิน  โดยแจ้งไว้เป็นหลักฐานเพื่อกันไม่ให้คดีขาดอายุความ  ถ้าหากเจมส์ไม่ชำระเงินจะมาแจ้งความดำเนินคดีต่อไป  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  การแจ้งความดังกล่าวถือเป็นการร้องทุกข์หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(7)  คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตามซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

วินิจฉัย

การแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า  ว่า  ขอแจ้งเรื่องเจมส์จ่ายเช็คไม่มีเงิน  โดยแจ้งไว้เป็นหลักฐานเพื่อกันไม่ให้คดีขาดอายุความ  ถ้าหากเจมส์ไม่ชำระเงินจะมาแจ้งความดำเนินคดีต่อไป”  นั้น  ถือว่าการแจ้งความดังกล่าวนี้ไม่เป็นคำร้องทุกข์  กรณีที่จะถือว่าเป็นคำร้องทุกข์  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(7)  นั้น  ผู้เสียหายจะต้องกล่าวหาโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ  แต่กรณีตามปัญหายังไม่ได้ความว่าเจน  (ผู้เสียหาย)  มีเจตนาให้เจมส์ผู้กระทำความผิดได้รับโทษแต่อย่างใด  กรณีจึงไม่เป็นคำร้องทุกข์

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 1/2546

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  4  ข้อ

ข้อ  1  การตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการสืบสวนคดีอาญา  ดังนั้น  ให้ท่านอธิบายความหมายของการตรวจสถานที่เกิดเหตุ  และปัจจัยที่ทำให้สถานที่เกิดเหตุเสียหาย

ธงคำตอบ

การตรวจสถานที่เกิดเหตุ  หมายถึง  การตรวจสถานที่ที่มีการกระทำผิดเกิดขึ้น  และอาจหาพยานวัตถุได้ด้วย  ซึ่งจะทำให้ผู้ไปตรวจอ่านสภาพได้ว่าใครเป็นผู้กระทำความผิด  ทำอย่างไร  ด้วยวิธีการใด  เมื่อเวลาอะไร  และประสงค์ต่ออะไร

ปัจจัยที่ทำให้สถานที่เกิดเหตุเสียหาย

1       ไทยมุง

2       ผู้มาเฝ้าสถานที่เกิดเหตุมาช้าไป

3       มีการเปลี่ยนแปลงสถานที่เกิดเหตุด้วยความตั้งใจของคนร้าย

4       มีการเปลี่ยนแปลงรูปคดีด้วยเหตุผลของคนบางคน

5       สภาพภูมิประเทศ

ข้อ  2  ให้ท่านอธิบายหลักการทำงานของเครื่องจับเท็จ  และหลักการนำบุคคลเข้าตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จ

ธงคำตอบ

หลักการทำงานของเครื่องจับเท็จ  คือ  การบันทึกข้อมูลความดันโลหิต  การเต้นของหัวใจ  การหายใจ  มาเปลี่ยนแปลงความต้านทานกระแส  ไฟฟ้าที่ผิวหนัง  และนำข้อมูลซึ่งแสดงเป็นรูปภาพมาวิเคราะห์

หลักการนำบุคคลเข้าตรวจสอบด้วยเครื่องจับเท็จมีดังนี้

1       ต้องได้รับความยินยอมด้วยความสมัครใจ

2       ชี้แจงการทำงานให้ทราบ

3       แนะนำให้เข้าใจ

4       ก่อนตรวจสอบควรสังเกตกริยาผู้รับการตรวจสอบซักระยะ

5       เมื่อผู้รับการตรวจสอบเข้าตรวจสอบ  ผู้คุมคดีควรแยกไปเสีย

 

ข้อ  3  ปลารับฝากนาฬิกาข้อมือ  2  เรือนจากป้อม  โดยรับฝากที่ประเทศมาเลเซียเพื่อนำไปให้ภรรยาของป้อมที่อำเภอเมือง  จังหวัดเชียงใหม่  ปรากฏว่าปลาไม่ได้นำนาฬิกาข้อมือ  2  เรือนนั้นไปให้ภรรยาของป้อม  ต่อมาป้อมทราบเรื่องจึงไปทวงถามปลา  โดยป้อมได้ทวงถามปลาที่อำเภอเมือง  จังหวัดเชียงใหม่  แต่ปลาปฏิเสธว่าไม่ได้รับฝาก  ป้อมจึงได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองจังหวัดเชียงใหม่  เพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับปลา  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่  มีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้หรือไม่   

ธงคำตอบ

มาตรา  18  ในจังหวัดอื่นนอกจากจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี  พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่  ปลัดอำเภอและข้าราชการตำรวจซึ่งมียศตั้งแต่ชั้นนายร้อยตำรวจตรีหรือเทียบเท่านายร้อยตำรวจตรีขึ้นไป  มีอำนาจสอบสวนความผิดอาญาซึ่งได้เกิดหรืออ้าง  หรือเชื่อว่าได้เกิดในเขตอำนาจของตน  หรือผู้ต้องหามีที่อยู่  หรือถูกจับในเขตอำนาจของตนได้

มาตรา  121  วรรคสอง  แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว  ห้ามมิให้ทำการสอบสวนเว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

จากข้อเท็จจริง  การที่ป้อมไปทวงถามปลาที่  อ.เมือง  จ.เชียงใหม่  แต่ปลาปฏิเสธว่าไม่ได้รับฝากทรัพย์  มูลความผิดฐานยักยอกทรัพย์เกิดเมื่อปลาปฏิเสธว่าไม่ดีรับฝากทรัพย์  เหตุจึงเกิดที่  อ.เมือง  จ.เชียงใหม่  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  18  วรรคแรก  เมื่อปลาผู้เสียหายร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง  จ.เชียงใหม่  ดังนั้น  พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมือง จ.เชียงใหม่  จึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  121  วรรคสอง  ประกอบมาตรา  18  วรรคแรก  (ฎ. 1573/2535)

ข้อ  4  สนิทออกเช็คเพื่อชำระหนี้ค่าชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์แก่สนอง  แต่เมื่อเช็คถึงกำหนดใช้เงิน  สนองได้นำเช็คดังกล่าวไปขึ้นที่ธนาคาร  ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน  อ้างว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่าย  ต่อมาสนองได้โอนเช็คฉบับดังกล่าวนั้นให้แก่สนั่น  และสนั่นได้นำเช็คนั้นไปยื่นที่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน  แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินอีก  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  ใครเป็นผู้เสียหายที่จะมีสิทธิร้องทุกข์ขอให้ดำเนินคดีกับสนิทในข้อหาความผิดตาม  พ.ร.บ.  ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คได้  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)    ผู้เสียหายหมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา  4  ,  5     และ   6

วินิจฉัย

สนองเป็นผู้เสียหาย  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(4)  สนองจึงมีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับสนิทได้  เพราะเป็นผู้ทรงเช็คอยู่ในขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน  เนื่องจากการออกเช็คแต่ละฉบับหากจะเป็นความผิดก็เป็นได้เพียงครั้งเดียว  คือครั้งแรกที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน  (ฎ. 2703/2523) 

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 2/2547

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  4  ข้อ

ข้อ  1  วิธีการเฝ้าตรวจมีกี่วิธีอะไรบ้าง

ธงคำตอบ

การเฝ้าตรวจบุคคล  สิ่งของ  และสถานที่  มีวิธีปฏิบัติอยู่  3  วิธี  คือ

1       การเฝ้าตรวจชนิดเคลื่อนที่  ได้แก่

            การเฝ้าตรวจโดยวิธีเดินสะกดรอย

            การเฝ้าตรวจแบบใช้ยานพาหนะ

2       การเฝ้าตรวจชนิดประจำที่  ได้แก่  การเฝ้าสังเกตเคหะสถาน  อาคาร  สถานที่ต่างๆ

3       การเฝ้าตรวจชนิดใช้เครื่องอิเล็คโทรนิคส์  เช่น  เครื่องลอบฟัง  เครื่องดักฟัง

ข้อ  2  ให้อธิบายลักษณะการตายของบุคคลที่ต้องชันสูตรพลิกศพและไม่ต้องชันสูตรพลิกศพ  โดยสังเขป

ธงคำตอบ

1       การตายที่ต้องชันสูตรพลิกศพ

            ปรากฏเหตุแน่ชัดมีเหตุสงสัย

–                    ฆ่าตัวตาย

–                    ถูกผู้อื่นทำร้ายให้ตาย

–                    ฯลฯ

            ตายระหว่างการควบคุมของเจ้าพนักงาน

2       การตายที่ไม่ต้องถูกชันสูตรพลิกศพ

            ป่วยตายมีหลักฐานปรากฏชัด

            ตายโดยการประหารชีวิตตามกฎหมาย

 

ข้อ  3  นายเอกกับนางอ้อนอยู่กินด้วยกันฉันสามีภรรยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส  ต่อมาได้รับนายโอ่งเป็นบุตรบุญธรรม  ปรากฏว่านายโอ่งถูกนายอ้วนฆ่าตาย  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  นายเอกจะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายอ้วนในความผิดดังกล่าวนั้นได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(1) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

มาตรา  2(7)  ในประมวลกฎหมายนี้

(7) คำร้องทุกข์  หมายความถึง  การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้นจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดรับโทษ

มาตรา  3(1)  บุคคลดั่งระบุในมาตรา  4, 5  และ  6  มีอำนาจจัดการต่อไปนี้แทนผู้เสียหายตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ

(1) ร้องทุกข์

มาตรา  5(2)  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา  ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

วินิจฉัย

ภายใต้บทบัญญัติแห่ง  ป.วิอาญา  มาตรา  2(4)  ผู้เสียหายหมายความถึงบุคคล  2  จำพวก  คือ  ผู้ได้รับความเสียหายโดยตรง  กับบุคคลอื่นที่อำนาจจัดการแทน  ซึ่งได้แก่บุคคลดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6  ซึ่งตามมาตรา  5(2)  นั้น  เป็นการจัดการแทนกันระหว่างบุคคลสองคู่ด้วยกัน  คือ

1       ผู้บุพการีกับผู้สืบสันดาน

2       สามีกับภริยา

ซึ่งจะเห็นว่าบุตรบุญธรรมไม่ใช่ผู้สืบสันดานและผู้รับบุตรบุญธรรมก็ไม่ใช่บุพการีของบุตรบุญธรรม  นายเอกจึงไม่ใช่ผู้เสียหายประเภทเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทน  ตามมาตรา  2(4)  ประกอบมาตรา  5(2)  นายเอกจึงร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายอ้วน  ตามมาตรา  2(7)  ประกอบมาตรา  3(1)  ไม่ได้

ข้อ  4  นางสาวสวย  อายุ  17  ปี  ถูกนายเขี้ยวกระทำอนาจาร  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  นางสาวสวยซึ่งยังเป็นผู้เยาว์อยู่จะไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนด้วยตัวเองเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายเขี้ยวได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

มาตรา  2(7)  ในประมวลกฎหมายนี้

(7) คำร้องทุกข์  หมายความถึง  การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้นจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดรับโทษ

วินิจฉัย

นางสาวสวยซึ่งยังเป็นผู้เยาว์อยู่สามารถร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนด้วยตนเองเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายเขียวได้  ตามมาตรา 2(4) (7)  เนื่องจากศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานว่าการร้องทุกข์ไม่ใช่การทำนิติกรรม  เมื่อมีอายุพอสมควรย่อมร้องทุกข์เองได้  เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติตัดสิทธิแต่อย่างใด

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 1/2547

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  4  ข้อ

ข้อ  1  ในทางคดีอาญา  การตรวจสถานที่เกิดเหตุถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากพยานหลักฐานต่างๆในสถานที่เกิดเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ให้อธิบายว่าหลักการตรวจสถานที่เกิดเหตุควรมีหลักปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างไร

ธงคำตอบ

1       เมื่อได้รับแจ้งเหตุต้องรีบเดินทางไปให้ถึงสถานที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุดและปลอดภัย

2       เมื่อไปถึงต้องกันบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ  แล้วจึงเริ่มลงมือตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วยความละเอียดถี่ถ้วน  ป้องกันสถานที่เกิดเหตุให้อยู่ในสภาพเดิมให้มากที่สุด

3       ทำแผนที่สังเขป  และถ่ายรูปสิ่งต่างๆในที่เกิดเหตุไว้

4       ค้นหาร่องรอยและพยานหลักฐาน  ต้องทำการเก็บให้ถูกต้องตามหลักกฎหมายและตามหลักวิทยาศาสตร์  เพื่อให้สามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้

5       ในขณะทำการตรวจสถานที่เกิดเหตุควรสอบถามว่ามีผู้ใดเข้าไปในที่เกิดเหตุหรือไม่  มีการเคลื่อนย้ายสิ่งของใดหรือไม่

6       ในคดีสำคัญควรเรียกผู้เชี่ยวชาญมาร่วมตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วย

7       กรณีมีผู้บาดเจ็บให้ปฐมพยาบาลแล้วรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล

ข้อ  2  วิธีการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุมีกี่วิธี  อะไรบ้าง

ธงคำตอบ

การตรวจสถานที่เกิดเหตุสามารถทำได้  5  วิธี  คือ

1       วิธีการตรวจที่เกิดเหตุแบบแถวหน้ากระดาน

2       วิธีการตรวจที่เกิดเหตุแบบแถวหน้ากระดานประยุกต์

3       วิธีการตรวจที่เกิดเหตุแบบวงล้อ

4       วิธีการตรวจที่เกิดเหตุแบบวงกลม/ก้นหอย

5       วิธีการตรวจที่เกิดเหตุแบบแบ่งโซน

 

ข้อ  3  คดีความผิดฐานลักทรัพย์  เมื่อความผิดปรากฏต่อพนักงานสอบสวน  แต่ผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ตามระเบียบ  พนักงานสอบสวนจะทำการสอบสวนคดีได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  ให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  121  วรรคแรก  พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทั้งปวง

วินิจฉัย

ความผิดฐานลักทรัพย์เป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน  เมื่อความผิดปรากฏต่อพนักงานสอบสวน  พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้  เนื่องจากในคดีความผิดต่ออาญาแผ่นดินนั้น  พนักงานสอบสวนจึงชอบที่จะทำการสอบสวนได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคำร้องทุกข์จากผู้เสียหายตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  121  วรรคแรก  (ฎ. 1681/2535  ฎ.  784/2483)

ข้อ  4  เป้เป็นเจ้าของร้านอาหาร  เป้ได้มอบหมายให้โป้งซึ่งเป็นลูกเขยเป็นผู้ดูแลร้านอาหารนั้น  โดยโป้งพักอาศัยอยู่ที่ร้านอาหารนั้นด้วย  ปรากฏว่าปอนด์ได้บุกรุกเข้าไปในร้านอาหาร  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  โป้งจะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้สอบสวนดำเนินคดีกับปอนด์ในข้อหาความผิดฐานบุกรุกได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)    ผู้เสียหายหมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา  4  ,  5     และ   6

มาตรา  2(7)  คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตามซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ย่อมเป็นผู้เสียหาย  แต่ในบางกรณีผู้ครอบครองดูแลทรัพย์ในขณะที่เกิดการกระทำความผิดก็เป็นผู้เสียหายได้เช่นกัน  จากข้อเท็จจริงแม้เป้จะเป็นเจ้าของร้านอาหาร  แต่การที่เป้ได้มอบหมายให้โป้งซึ่งเป็นลูกเขยเป็นผู้ดูแลร้านอาหารนั้น  โดยโป้งพักอาศัยอยู่ในร้านอาหารนั้นด้วย  กรณีจึงต้องสงสัยว่าโป้งเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในร้านอาหารดังกล่าวนั้น  เมื่อปอนด์บุกรุกเข้าไปในร้านอาหาร  โป้งจึงเป็นผู้เสียหาย  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(4)  และมีอำนาจร้องทุกข์ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  1(7)  ต่อพนักงานสอบสวนให้สอบสวนดำเนินคดีกับปอนด์ในข้อหาความผิดฐานบุกรุกได้  (ฎ. 1284/2514)

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน ซ่อมภาค 2/2548

การสอบซ่อมภาค  2  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  4  ข้อ

ข้อ  1  การสืบสวนคดีอาญามีวิธีการสืบสวนอยู่หลายวิธี  ให้อธิบายเฉพาะวิธีการตรวจสถานที่เกิดเหตุ  และวิธีการเฝ้าตรวจ  มาโดยสังเขป

ธงคำตอบ

การตรวจสถานที่เกิดเหตุสามารถทำได้  5  วิธี  คือ

1       วิธีการตรวจที่เกิดเหตุแบบแถวหน้ากระดาน

2       วิธีการตรวจที่เกิดเหตุแบบแถวหน้ากระดานประยุกต์

3       วิธีการตรวจที่เกิดเหตุแบบวงล้อ

4       วิธีการตรวจที่เกิดเหตุแบบวงกลม/ก้นหอย

5       วิธีการตรวจที่เกิดเหตุแบบแบ่งโซน

การเฝ้าตรวจบุคคล  สิ่งของ  และสถานที่  มีวิธีปฏิบัติอยู่  3  วิธี  คือ

1       การเฝ้าตรวจชนิดเคลื่อนที่  ได้แก่

            การเฝ้าตรวจโดยวิธีสะกดรอย

            การเฝ้าตรวจแบบใช้ยานพาหนะ

2       การเฝ้าตรวจชนิดประจำที่  ได้แก่  การเฝ้าสังเกตเคหะสถาน  อาคาร  สถานที่ต่างๆ

3       การเฝ้าตรวจชนิดใช้เครื่องอิเล็คโทรนิคส์  เช่น  เครื่องลอบฟัง  เครื่องดักฟัง

ข้อ  2  ให้อธิบายความหมายของคำต่อไปนี้  ผู้ต้องหา  พยานหลักฐาน  พนักงานสอบสวน  และพนักงานอัยการ  พร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

ผู้ต้องหา  หมายถึง  บุคคลผู้ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำความผิดแต่ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(2)

พนักงานอัยการ  หมายความถึง  เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ฟ้องผู้ต้องหาต่อศาล  ทั้งนี้จะเป็นข้าราชการในกรมอัยการ  หรือเจ้าพนักงานอื่นผู้มีอำนาจเช่นนั้นก็ได้  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(5)

พนักงานสอบสวน  หมายความถึง  เจ้าพนักงานซึ่งกฎหมายให้มีอำนาจและหน้าที่ทำการสอบสวน  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(6)

พยานหลักฐาน  หมายถึง  พยานวัตถุ  พยานเอกสาร  หรือพยานบุคคล  ตลอดจนหลักฐานต่างๆซึ่งอาจจะเป็นเครื่องมือพิสูจน์การกระทำได้  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  226

 

ข้อ  3  เปรมยักยอกทรัพย์ของป้อมไปเป็นเงินหนึ่งแสนบาท  ป้อมจึงร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับเปรมในความผิดดังกล่าว  พนักงานสอบสวนรับคำร้องทุกข์ตามระเบียบแล้วเปรมจึงคืนเงินที่ยักยอกไปให้กับป้อมเป็นเงินหนึ่งแสนบาท  ดังนี้  ถ้าท่านเป็นพนักงานสอบสวนจะดำเนินการในคดีดังกล่าวนี้ต่อไปอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  39(2)  สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป

(2) ในคดีความผิดส่วนตัว  เมื่อได้ถอนคำร้องทุกข์  ถอนฟ้องหรือยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย

มาตรา  121  บัญญัติว่า  พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทั้งปวง

แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวห้ามมิให้ทำการสอบสวน  เว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ

มาตรา  126  บัญญัติว่า  ผู้ร้องทุกข์จะแก้คำร้องทุกข์ในระยะใด  หรือจะถอนคำร้องทุกข์เสียเมื่อใดก็ได้

ในคดีซึ่งมิใช่ความผิดต่อส่วนตัว  การถอนคำร้องทุกข์เช่นนั้น  ย่อมไม่ตัดอำนาจพนักงานสอบสวนที่จะสอบสวน  หรือพนักงานอัยการที่จะฟ้องคดีนั้น

วินิจฉัย

ความผิดฐานยักยอกทรัพย์เป็นความผิดต่อส่วนตัว  เมื่อมีการร้องทุกข์จากป้อมผู้เสียหายแล้ว  พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจทำการสอบสวนได้  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  121  วรรคสอง  ต่อมาปรากฏว่าเปรมได้ทำการคืนเงินที่ได้ยักยอกไปแก่ป้อมผู้เสียหายเป็นเงินหนึ่งแสนบาท กรณีนี้แม้ผู้เสียหายจะยอมรับก็ไม่ถือว่าเป็นการถอนคำร้องทุกข์โดยปริยาย  เมื่อไม่มีการถอนคำร้องทุกข์จึงมิใช่กรณีตาม  ป.วิ.อาญา มาตรา  126  ที่พนักงานสอบสวนจะถูกจำกัดอำนาจในการสอบสวนได้  ไม่ถือว่าเป็นการถอนคำร้องทุกข์ตามกฎหมาย  ดังนั้น  พนักงานสอบสวนจึงต้องทำการสอบสวนต่อไป

ข้อ  4   ขาวร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับดำในความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืน  พนักงานสอบสวนรับคำร้องทุกข์ตามระเบียบแล้วทำการสอบสวนโดยไม่สามารถจับตัวดำมาสอบสวนในฐานะผู้ต้องหา  การสอบสวนเสร็จแล้วไม่มีพยานหลักฐานว่าดำกระทำความผิดดังกล่าว  ดังนี้  ถ้าท่านเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในการสอบสวนจะมีความเห็นทางคดีนี้ได้อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  141  วรรคแรก  ถ้ารู้ตัวผู้กระทำความผิด  แต่เรียกหรือจับตัวยังไม่ได้  เมื่อได้รับความตามทางสอบสวนอย่างใด  ให้ทำความเห็นว่าควรสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องส่งไปพร้อมกับสำนวนพนักงานอัยการ

วินิจฉัย

กรณีรู้ตัวผู้กระทำความผิด  แต่เรียกตัวหรือจับตัวยังไม่ได้  เมื่อได้ความตามทางสอบสวนอย่างใด  ให้ทำความเห็นว่าควรสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง  ซึ่งจากข้อเท็จจริงปรากฏว่าไม่สามารถจับตัวดำผู้ต้องหามาสอบสวนได้และเมื่อได้ทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้วปรากฏว่าไม่มีพยานหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าดำกระทำความผิดดังกล่าว  ดังนั้น  พนักงานสอบสวนจะต้องทำความเห็นว่าควรสั่งไม่ฟ้องพร้อมกับสำนวนส่งไปยังพนักงานอัยการ  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  141  วรรคแรก    

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน ภาคฤดูร้อน/2548

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  4  ข้อ

ข้อ  1  ให้อธิบายความแตกต่างระหว่างการสืบสวนกับการสอบสวนมาโดยละเอียด  พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

การสืบสวน  หมายความถึง  การแสวงหาข้อเท็จจริงและหลักฐาน  ซึ่งพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจได้ปฏิบัติตามอำนาจและหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน  และเพื่อที่จะทราบรายละเอียดแห่งความผิด  ตาม  ป.วิอาญา  มาตรา  2(10)

การสอบสวน  หมายความถึง  การรวบรวมพยานหลักฐาน  และการดำเนินการทั้งหลายอื่นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา  เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิดและเพื่อจะเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ  ตาม  ป.วิอาญา  มาตรา  2(11)

จากนิยามความหมายดังกล่าว  สามารถแยกความแตกต่างระหว่างการสืบสวนและการสอบสวนได้ดังนี้

1       วิธีการ

–                    การสืบสวน  เป็นลักษณะของการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด  ซึ่งอาจจะเป็นขั้นตอนก่อนที่จะมีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้นก็ได้

–                    การสอบสวน  เป็นเรื่องที่พนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่เกิดขึ้นและมีการกล่าวหาในความผิดนั้น

2       สิ่งที่ต้องการ

–                    การสืบสวน  สิ่งที่ต้องการคือ  ข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด

–                    การสอบสวน  สิ่งที่ต้องการคือ  พยานหลักฐาน  ซึ่งแบ่งได้เป็นพยานบุคคล  พยานวัตถุ  และพยานเอกสาร

3       วัตถุประสงค์

–                    การสืบสวน  เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน  และเพื่อทราบรายละเอียดแห่งความผิด

–                    การสอบสวน  เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา  หรือพิสูจน์ความผิดและเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ  ซึ่งอาจจะไม่มีผู้กระทำผิดตามที่กล่าวหาก็ได้

4       เจ้าพนักงานที่มีอำนาจ

–                    การสืบสวน  ได้แก่  พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ  รวมทั้งเจ้าพนักงานอื่นๆตามกฎหมายเฉพาะ  เช่น  พัศดี  เจ้าพนักงานกรมสรรพสามิต  กรมศุลกากร  กรมเจ้าท่า  พนักงานตรวจคนเข้าเมือง  เป็นต้น

–                    การสอบสวน  ได้แก่  พนักงานสอบสวน  ซึ่งหมายถึงเจ้าพนักงานซึ่งกฎหมายให้มีอำนาจและหน้าที่ทำการสอบสวน  ดังที่บัญญัติไว้ใน  ป.วิอาญา  มาตรา  18, 19, 20  และ  21

5       เงื่อนไข 

–                    การสืบสวน  สามารถกระทำก่อน  ขณะ  หรือหลังจากเหตุเกิดก็ได้  โดยไม่จำเป็นต้องมีความผิดเกิดขึ้น

–                    การสอบสวน  ต้องมีความผิดเกิดขึ้น  หรือมีการกล่าวหาในความผิดนั้นจึงทำการสอบสวน

 

ข้อ  2  ผู้เสียหายในคดีอาญามีความหมายว่าอย่างไร  มีกี่ประเภท  อะไรบ้าง  และมีหลักเกณฑ์ใดบ้างที่จะพิจารณาว่าบุคคลใดจะเป็นผู้เสียหายตามหลักกฎหมายหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

จากตัวบทกฎหมายดังกล่าว  สามารแยกอธิบายได้ดังนี้

1       ผู้เสียหายโดยตรง  คือ  ผู้เสียหายที่แท้จริง  ซึ่งการพิจารณาว่าบุคคลใดจะเป็นผู้เสียหายตามกฎหมายหรือไม่นั้น  มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้  คือ

            ต้องมีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้น

            บุคคลนั้นจะต้องเป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดนั้น

            เป็นความเสียหายต่อสิทธิ

            บุคคลนั้นต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย

2       ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย  คือ  แม้ไม่ได้เป็นผู้เสียหายแท้จริง  แต่กฎหมายบัญญัติให้อยู่ในความหมายของคำว่า  ผู้เสียหาย  ด้วย

ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย  ตามมาตรา  4

ในคดีอาญาผู้เสียหายเป็นหญิงมีสามีและเป็นผู้เสียหายโดยตรง  หญิงมีสามีนั้นสามารถฟ้องคดีอาญาได้เองโดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากสามีก่อน  ตามกฎหมายถือว่าหญิงมีสามีมีอำนาจเต็มทุกประการ  ทั้งนี้  ตาม  ป.วิอาญา  มาตรา  4  วรรคแรก

และในมาตรา  4  วรรคสอง  ก็ได้บัญญัติต่อไปว่า  สามีมีอำนาจจัดการ  (ฟ้องคดีอาญา)  แทนภริยาได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตโดยชัดแจ้งจากภริยา  แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งมาตรา  5(2)  ด้วย

ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย  ตามมาตรา  5  บุคคลที่มีอำนาจจัดการแทนตามมาตรา  5  นั้น  ได้แก่

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล  เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำต่อผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล

(2) ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยา  เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

(3) ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นๆของนิติบุคคล  เฉพาะความผิดซึ่งกระทำลงแก่นิติบุคคลนั้น

ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย  ตามมาตรา  6

กรณีที่จะมีการร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลตั้งผู้แทนเฉพาะคดีตามมาตรา  6  นั้น  มีอยู่  2  ประการ  คือ

(1) ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์  ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม  หรือผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถจะทำการตามหน้าที่โดยเหตุหนึ่งเหตุใด  หรือผู้แทนโดยชอบธรรมมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เยาว์

(2) ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้วิกลจริตหรือคนไร้ความสามารถ  ไม่มีผู้อนุบาล  หรือผู้อนุบาลไม่สามารถจะทำการตามหน้าที่โดยเหตุหนึ่งเหตุใด  หรือผู้อนุบาลมีผลประโยชน์ขัดกันกับคนไร้ความสามารถ

 

ข้อ  3  โต้งหลอกลวงเตี้ยว่า  จะช่วยให้บุตรของเตี้ยเข้าเป็นเสมียนปกครองได้ตามที่สมัครสอบไว้  เตี้ยหลงเชื่อจึงให้เงินแก่โต้งไป  แต่ปรากฏว่าบุตรของเตี้ยสอบเข้าไม่ได้  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่าเตี้ยจะเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานฉ้อโกงได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

วินิจฉัย

โต้งเพียงหลอกลวงเตี้ยว่าจะช่วยให้บุตรของเตี้ยเข้าเป็นเสมียนปกครองได้ตามที่สมัครสอบไว้  เมื่อไม่ปรากฏว่าเตี้ยให้เงินแก่โต้งไปเพื่อให้โต้งนำไปให้แก่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการสอบคัดเลือกให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยทุจริต  จึงไม่ถือว่าเตี้ยร่วมกับโต้งนำสินบนไปให้เจ้าพนักงานอันเป็นการใช้ให้เจ้าพนักงานกระทำความผิด  ดังนั้น  เตี้ยจึงเป็นผู้เสียหายตาม  ป.วิอาญา  มาตรา  2(4)  มีสิทธิร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีในความผิดฐานฉ้อโกงได้  (ฎ. 4744/2537)

ข้อ  4  ชัยเป็นบุตรบุญธรรมขอบชาติ  ต่อมาชาติถูกชั่วฆ่าตาย  คดีนี้ความผิดเกิดขึ้นในเขตอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก  กรุงเทพฯ  ชัยจึงได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธร  อ.เมือง  จ.นครสวรรค์  เพื่อให้มีการสอบสวนดำเนินคดีกับชั่วในข้อหาความผิดฐานฆ่าชาติตายโดยเจตนา  ในกรณีดังกล่าวนี้ให้วินิจฉัยว่า  การร้องทุกข์ของชัยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  และถ้าต่อมาปรากฏว่าชั่วถูกจับกุมตัวได้ในเขตอำนาจการสอบสวนของสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก  กรุงเทพฯ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก  กรุงเทพฯ  จะมีอำนาจสอบสวนคดีนี้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

มาตรา  2(7)  ในประมวลกฎหมายนี้

(7) คำร้องทุกข์  หมายความถึง  การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้นจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดรับโทษ

มาตรา  3(1)  บุคคลดั่งระบุในมาตรา  4, 5  และ  6  มีอำนาจจัดการต่อไปนี้แทนผู้เสียหายตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ

(1) ร้องทุกข์

มาตรา  5(2)  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา  ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

มาตรา  121  วรรคแรก  พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทั้งปวง

วินิจฉัย

ภายใต้บทบัญญัติแห่ง  ป.วิอาญา  มาตรา  2(4)  ผู้เสียหายหมายความถึงบุคคล  2  จำพวก  คือ  ผู้ได้รับความเสียหายโดยตรง  กับบุคคลอื่นที่อำนาจจัดการแทน  ซึ่งได้แก่บุคคลดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6  ซึ่งตามมาตรา  5(2)  นั้น  เป็นการจัดการแทนกันระหว่างบุคคลสองคู่ด้วยกัน  คือ

1       ผู้บุพการีกับผู้สืบสันดาน

2       สามีกับภริยา

ซึ่งจะเห็นว่าบุตรบุญธรรมไม่ใช่ผู้สืบสันดานและผู้รับบุตรบุญธรรมก็ไม่ใช่บุพการีของบุตรบุญธรรม  ชัยจึงไม่ใช่ผู้เสียหายประเภทเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทน  ตามมาตรา  2(4)  ประกอบมาตรา  5(2)  ชัยจึงร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับชั่วไม่ได้  การร้องทุกข์ของชัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  2 (7)  ประกอบมาตรา  3(1)

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า  ชั่วถูกจับกุมตัวได้ในเขตอำนาจการสอบสวนของสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก  กรุงเทพฯ  พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก  กรุงเทพฯ  ย่อมมีอำนาจสอบสวนคดีนี้  เนื่องจากในคดีความผิดต่ออาญาแผ่นดินนั้น  พนักงานสอบสวนชอบที่จะทำการสอบสวนได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคำร้องทุกข์จากผู้เสียหาย  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  121  วรรคแรก  (ฎ. 1681/2535  ฎ. 784/2483)

WordPress Ads
error: Content is protected !!