LAW4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4002 การว่าความ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็บอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เมื่อท่านเป็นทนายฝึกหัดอยู่ในสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ได้รับมอบหมายจาก หัวหน้าสำนักงานให้สอบข้อเท็จจริงและทำความเห็นในกรณีที่มีผู้ประสงค์จะยื่นคำร้องขอเป็น ผู้จัดการมรดก ท่านมีแนวโน้มที่จะสอบข้อเท็จจริงในประเด็นใดบ้าง ให้ระบุหัวข้ออย่างน้อย 4 หัวข้อ และสรุปความเห็นเสนอต่อหัวหน้าสำนักงาน

ธงคำตอบ

เมื่อข้าพเจ้าเป็นทนายฝึกหัดอยู่ในสำนักงานกฎหมาย และได้รับมอบหมายจากหัวหน้าสำนักงาน ให้สอบข้อเท็จจริง และทำความเห็นในกรณีที่มีผู้ประสงค์จะยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกนั้น ข้าพเจ้ามีแนวโน้ม ที่จะสอบข้อเท็จจริง และสรุปความเห็นเสนอต่อหัวหน้าสำนักงานในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้

1.         การตายของเจ้ามรดกมีใบมรณบัตรหรือไม่ เพราะใบมรณบัตรถือว่าเป็นเอกสารที่สำคัญ ที่สุดใบการยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก กล่าวคือ เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแสดงว่าเจ้ามรดกได้ตายแล้ว นั่นเอง

2.         ทะเบียนบ้านของผู้ตาย (เจ้ามรดก) ที่มีตัวหนังสิอประทับคำว่า ตาย” มีหรือไม่ เพราะ เอกสารดังกล่าวถือว่ามีความสำคัญเช่นเดียวกับใบมรณบัตร

3.         ใบขณะที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย เจ้ามรดกมีทายาทโดยธรรมที่มีสิทธิรับมรดกหรือไม่ ถ้ามี ก็ต้องระบุด้วยว่ามีใครบ้าง และเป็นทายาทโดยธรรมในฐานะใด

4.         ผู้ยื่นคำร้องขอมีความเกี่ยวข้องกับทรัพย์มรดกหรือไม่ เช่นเป็นผู้มีสิทธิที่จะได้รับทรัพย์ มรดกหรือไม่ ถ้ามีสิทธิได้รับทรัพย์มรดก จะมีสิทธิในฐานะใด เช่น เป็นผู้มีสิทธิในฐานะทายาทโดยธรรม หรือในฐานะผู้รับพินัยกรรม

5.         ทรัพย์มรดกของผู้ตายมีอะไรบ้าง และมีเอกสารเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของผู้ตายหรือไม่

6.         เจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมไว้หรือไม่

7.         ผู้ยื่นคำร้องมีความจำเป็นที่จะต้องร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งให้ผู้ร้องขอเป็นผู้จัดการ มรดกเพราะเหตุใด หรือให้ศาลมีคำสั่งให้จัดการทรัพย์มรดกอย่างไร

8.         มีพินัยกรรมแต่งตั้งให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ หรือมีหนังสือให้ความยินยอม ของทายาทคนอื่น ๆ ให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่

 

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2555 บริษัท เจเจคอมพิวเตอร์ จำกัด จดทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียน หุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ มีวัตถุประสงค์ในการจำหน่ายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สำนักงานทุกชนิด โดยมีนายดี สุขสันต์ และนายเด่น มีสุข เป็นกรรมการ ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญแทนบริษัทได้ลงลายมือชื่อทำสัญญาขายเครื่อง คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะกับนายสมจิต เชิดชู จำนวน 10 เครื่อง มูลค่าทั้งสิ้นรวม 300,000 บาท โดย ในสัญญาได้ระบุให้นายสมจิต ชำระเงินในวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 ซึ่งเป็นวันส่งมอบสินค้า ครั้นเมือถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 บริษัทฯ ได้ส่งมอบคอมพิวเตอร์ทั้ง 10 เครื่องให้กับนายสมจิต แต่นายสมจิต ได้แจ้งแก่บริษัทว่าขอโอนเงินเข้าไปชำระผ่านบัญชีธนาคารให้แก่บริษัทฯ เอง ในวันนี้ และขอเลขที่บัญชีเอาไว้ จวบจนล่วงเลยมาถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2555 นายสมจิตฯ ก็ยังไม่ชำระ บริษัทฯ ได้มืการติดตามทวงถามทางโทรคัพทํหลายครั้ง และส่งจดหมายลงทะเบียนไปรษณีย์เรียกให้ นายสมจิตฯ ชำระราคาส่วนที่เหลือ แต่นายสมจิตฯ เพิกเฉย บริษัทฯ จึงทำหนังสือมอบอำนาจแต่งตั้ง ให้นายใจดี ไม้งาม ผู้จัดการเป็นโจทก์ในการฟ้องคดีนี้โดยเรียกให้นายสมจิตฯ ชำระหนี้ทั้งหมด หากชำระไม่ได้ขอให้ส่งคืนคอมพิวเตอร์ทั้งหมดพร้อมค่าเสียหายจำนวน 50,000 บาท

ดังนี้ นายใจดี ไม้งาม ได้ติดต่อให้ท่านเป็นทนายความให้กับบริษัทฯ และในฐานะทนายความของ บริษัทฯ ให้ท่านยื่นคำฟ้องเรียกให้นายสมจิตฯ ชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายที่เหลือตามความประสงค์ ของตัวความ

ธงคำตอบ

คำฟ้อง

ข้อ 1. โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียน ณ สำนักงานพะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ใช้ชื่อว่า บริษัท เจเจคอมพิวเตอร์ จำกัด มีวัตถุประสงค์ ในการจำหน่ายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สำนักงานทุกชนิด โดยมีนายดี สุขสันต์ และนายเด่น มีสุข เป็นกรรมการ ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญแทนบริษัท รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองเอกสารท้ายฟ้อง หมายเลข 1

ในการฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายใจดี ไม้งาม กรรมการบริษัทโจทก์มีอำนาจ ฟ้องคดีแทน รายละเอียดปรากฏตามหนังสือมอบอำนาจท้ายคำฟ้องหมายเลข 2

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2555 โจทก์ได้ทำสัญญาขายเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะกับ จำเลยจำนวน 10 เครื่อง มูลค่ารวม 300,000 บาท (สามแสนบาทถ้วน) โดยในสัญญาได้ระบุให้จำเลยชำระเงิน ในวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 ซึ่งเป็นวันส่งมอบสินค้า รายละเอียดปรากฏตามสัญญาซื้อขาย ฉบับลงวันที่ 10 พฤษภาคม 2555 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3

ข้อ 3. ครั้นเมื่อถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2555 โจทก์ได้ส่งมอบคอมพิวเตอร์ทั้ง 10 เครื่อง ให้กับจำเลย แต่จำเลยได้แจ้งแก่โจทก์โดยขอชำระผ่านบัญชีธนาคารให้แก่โจทก์เองในวันดังกล่าว จวบจนล่วงเลย มาถึงวันที 30 พฤษภาคม 2555 จำเลยก็ยังไม่ชำระซึ่งถือเป็นการผิดนัดชำระหนี้

โจทก์ได้มีการติดตามทวงถามทางโทรศัพท์หลายครั้ง จนท้ายสุดโจทก์ได้ส่งหนังสือทวงถาม ลงทะเบียนไปรษณีย์เรียกให้จำเลยชำระราคา 300,000 บาท (สามแสนบาทถ้วน) หากชำระไมได้ให้ส่งมอบสินค้าคืน ทั้งหมดรวมทั้งค่าเสียหายให้กับโจทก์จำนวน 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน) รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือทวงถามและไปรษณีย์ตอบรับเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 และ 5 จำเลยได้รับหนังสือทวงถามและ ไปรษณีย์ตอบรับแต่กลับเพิกเฉย

โจทก์ไม่มีทางใดจะเรียกร้องจากจำเลยได้ จึงขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

ลงชื่อ……..(ลายมือขอนักศึกษา)…………ทนายโจทก์

คำฟ้องฉบับนี้ ข้าพเจ้า (ระบุชื่อนักศึกษา) ทนายโจทก์เป็นผู้เรียงและพิมพ์

ลงชื่อ……….(ลายมือชื่อนักศึกษา)………..ผู้เรียงและพิมพ์

คำขอท้ายฟ้อง

1.         ให้จำเลยชำระราคาคอมพิวเตอร์ทั้งหมดจำนวน 300,000 บาท (สามแสนบาทถ้วน) หากชำระไม่ได้ให้คืนคอมพิวเตอร์ทั้งหมดพร้อมค่าเสียหายจำนวน 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน)

2.         ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของจำนวนเงินค่าคอมพิวเตอร์ทั้งหมดนับแต่ วันฟ้องจนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้น

3.         ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์

 

ข้อ 3. ข้อเท็จจริงในสำนวนการสอบสวนได้ความว่า เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2555 เวลาประมาณ 14.00 นาฬิกา ขณะที่นายสมศักดิ์ คนขยัน กำลังนั่งอยู่ในร้านขายทองรูปพรรณของตนอยู่นั้น ซึ่งตั้งอยู่ที่ แขวงพระโขนง เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ได้มีนายหอย นายแหบ และนายหด เข้ามาในร้าน แล้วนายหอยได้ชักอาวุธปืนออกมาจี้เล็งไปยังนายสมศักดิ์มิให้ต่อสู้ขัดขืนและสั่งให้หมอบลงกับพื้น มิฉะนั้นจะยิงให้ตาย นายสมศักดิ์จึงหมอบลงกับพื้น แล้วนายแหบก็ใช้ค้อนทุบกระจกตู้ทองและร่วมกับ นายหดกวาดเอาสร้อยคอทองคำลายต่าง ๆ ไป 150 เส้น น้ำหนัก 250 บาท ราคาทั้งสิ้น 5,500,000 บาท ใส่ถุงผ้าที่เตรียมมาแล้วพากันหลบหนีไป ต่อมาวันที่ 2 ตุลาคม 2555 เจ้าพนักงานตำรวจจับนายหอย กับนายแหบได้ที่บ้านพักพร้อมกับยึดสร้อยทองคำที่ปล้นไปจำนวน 100 เส้น น้ำหนัก 200 บาท ราคา 4,400,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งที่ปล้นมาเป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวบสถานีตำรวจ นครบาลพระโขนงทำการสอบสวน ขั้นสอบสวนทั้งสองให้การรับสารภาพ เมื่อครบกำหนดควบคุมตัว พนักงาบสอบสวนจึงได้นำทั้งสองไปฝากขังที่ศาลจังหวัดพระโขนง ตามคดีหมายเลขดำที่ ฝ. 2130/2555 ต่อมาเมื่อสอบสวนเสร็จ พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายอาญาใต้ (พระโขนง)

ข้อกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่า ในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ

(1)       ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2)       ให้ยืนให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3)       ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4)       ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ

(5)       ให้พ้นจากการจับกุม

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุก…

มาตรา 340 ผู้ใดชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิด ฐานปล้นทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุก …

หากท่านเป็นพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ให้ท่านเรียงคำฟ้องในข้อหาปล้นทรัพย์ เฉพาะ เนื้อหาคำฟ้องภาคความผิดและการได้ตัวมาดำเนินคดีโดยไม่ต้องคำนึงถึงแบบพิมพ์คำฟ้อง

ธงคำตอบ

หากข้าพเจ้าเป็นพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ ข้าพเจ้าจะเรียงคำฟ้องในข้อหา ปล้นทรัพย์ ดังต่อไปนี้

คำฟ้องอาญา

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2555 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง อีกหนึ่งคบได้กระทำการอันเป็นความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือได้บังอาจร่วมลักเอาสร้อยคอทองคำลายต่าง ๆไป 150 เส้น น้ำหนัก 250 บาท ราคาทั้งสิ้น 5,500,000 บาท (ห้าล้านห้าแสนบาท) ซองนายลมศักดิ คนขยัน ผู้เสียหายไป โดยทุจริต โดยในการลักทรัพย์ดังกล่าว จำเลยทั้งสองกับพวกไต้ร่วมกันใช้อาวุธปืนจี้ขู่เข็ญผู้เสียหายมิให้ต่อสู้ขัดขืน มิฉะนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายยิงผู้เสียหายให้ถึงแก่ความตาย เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์ นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือให้พ้นจากการจับกุม

เหตุเกิดที่แขวงพระโขนง เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร

ข้อ 2. ต่อมาวันที่ 2 ตุลาคม 2555 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมกับยึดสร้อยทองคำ จำนวน 100 เส้น น้ำหนัก 200 บาท ราคา 4,400,000 บาท (สี่ล้านสี่แสนบาท) ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งที่จำเลยทั้งสอง กับพวกปล้นเอาไปดังกล่าวในฟ้องข้อ 1. เป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวบทำการสอบสวน

ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ

ของกลางพนักงานสอบสวนเก็บรักษาไว้

ระหว่างสอบสวนจำเลยทั้งสองถูกควบคุมตัวมาตลอด ขณะนี้ต้องขังอยู่ตามหมายของศาลนี้ ในคดีหมายเลขดำที่ ฝ. 2130/2555 ขอศาลเบิกตัวจำเลยทั้งสองมาพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

LAW4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4002 การว่าความ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เมื่อผู้สูงอายุชายวัย 84 ปี มาขอให้ท่านในฐานะนักกฎหมายจัดทำพินัยกรรมแบบธรรมดาซึ่งต้องมีผู้เขียนพินัยกรรมและพยานลงชื่อรับรองสองคนนั้น ท่านควรมีข้อแนะนำต่อผู้ประสงค์จะทำพินัยกรรม อย่างไรบ้าง ให้ยกหัวข้อที่จะแนะนำอย่างน้อย 4 หัวข้อ

ธงคำตอบ

เมื่อมีบุคคลมาขอให้ข้าพเจ้าจัดทำพินัยกรรมธรรมดาซึ่งต้องมีผู้เขียนพินัยกรรมและพยาน ลงชื่อรับรองสองคนนั้น ข้าพเจ้าจะมีข้อแนะนำต่อบุคคลผู้ประสงค์จะทำพินัยกรรมดังกล่าว (ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 1656) ดังนี้คือ

1.         ต้องทำเป็นหนังสือ โดยผู้ทำพินัยกรรมจะเขียนหรือพิมพ์เอง หรือจะให้ผู้อื่นเขียน หรือพิมพ์แทนก็ได้ หากใช้วิธีเขียนก็ต้องเขียนทั้งฉบับ หากใช้วิธีพิมพ์ก็ต้องพิมพ์ทั้งฉบับ และในการเขียนต้องใช้ คน ๆ เดียวเขียนพินัยกรรมทั้งฉบับ และในการพิมพ์ก็ต้องใช้เครื่องพิมพ์เครื่องเดียวกันทั้งฉบับ

2.         ต้องลง วัน เดือน ปี ขณะที่ทำพินัยกรรม เพราะถ้าไม่ลง วัน เดือน ปี ที่ทำพินัยกรรม แล้วย่อมไม่ถือว่าเป็นพินัยกรรมที่ถูกต้องตามกฎหมาย

3.         ผู้ทำพินัยกรรมต้องลงลายมือชื่อในพินัยกรรมไว้ต่อหน้าพยานอย่างน้อยสองคน พร้อมกัน ในกรณีที่ผู้ทำพินัยกรรมไมลงลายมือชื่อ ผู้ทำพินัยกรรมอาจลงลายพิมพ์นิ้วมือก็ได้โดยมีพยาน ลงลายมือชื่อรับรองลายพิมพ์นิ้วมือของผู้ทำพินัยกรรมไว้ด้วยสองคนในขณะนั้น (ป.พ.พ. มาตรา 1665) แต่จะ ใช้ตราประทับแทนการลงลายมือชื่อหรือลงแกงได หรือลงเครื่องหมายอย่างอื่นแทนการลงลายมือชื่อไม่ได้

4.         พยานอย่างน้อยสองคนซึ่งผู้ทำพินัยกรรมลงลายมือชื่อไว้ต่อหน้านั้นต้องลงลายมือชื่อ รับรองลายมือชื่อของผู้ทำพินัยกรรมไว้ในขณะทำพินัยกรรม จะลงลายมือชื่อในเวลาอื่นไม่ได้

และพยานในพินัยกรรมจะต้องเป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว และต้องไม่เป็นบุคคลวิกลจริต หรือบุคคลที่ศาลลังให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และต้องไมเป็นคนหูหนวก เป็นใบ้หรือตาบอดทั้งสองข้าง

5.         การขูดลบ ตกเติม หรือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างอื่นซึ่งพินัยกรรมนั้นย่อมไม่สมบูรณ์ เว้นแต่จะไต้ปฏิบัติตามแบบอย่างเดียวกันกับการทำพินัยกรรมตามมาตรานี้ (ป.พ.พ. มาตรา 1656 วรรคสอง)

6.         ผู้เขียนและพยานในการทำพินัยกรรม รวมทั้งคู่สมรส จะเป็นผู้รับทรัพย์ตามพินัยกรรมไม่ได้

 

 

ข้อ 2. คำฟ้องคดีอาญา

ข้อเท็จจริง ในสำนวนการสอบสวนคดีเรื่องหนึ่งได้ความว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลาประมาณ 03.30 นาฬิกา นายจอมกับนายจิต ได้เข้าไปในวัดขุนข้าง ตั้งอยู่ที่หมู่ 2 ตำบล ตาลเตี้ย อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย แล้วลักรถจักรยานยนต์ จำนวน 1 คัน ราคา 45,000 บาท ของนายพงศ์ศักดิ์ มารวย ซึ่งจอดอยู่ข้างโบสถในวัด แล้วหลบหนีไป ตอมาวันที่ 20 มีนาคม 2556 เวลาประมาณ 10.00 นาฬิกา เจ้าพนักงานจับนายจอมและนายจิตได้พร้อมกับยึดรถจักรยานยนต์ คันที่ทั้งสองร่วมกันลักเอาไปดังกล่าวเป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน ชั้นสอบสวนนายจอมให้การปฏิเสธ ส่วนนายจิตให้การรับสารภาพ พนักงานสอบสวนได้นำตัว ทั้งสองไปฝากขังไว้ที่ศาลจังหวัดสุโขทัยตามคดีหมายเลขดำที่ ฝ. 339/2556 เสร็จแล้วสรุปสำนวน การสอบสวนส่งพนักงานอัยการจังหวัดสุโขทัย

ข้อกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐาน…

มาตรา 335 ผู้ใดลักทรัพย์

(1) ในเวลากลางคืน

(7) โดย… หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ต้องระวางโทษ…

มาตรา 335 ทวิ ผู้ใดลักทรัพย์ที่เป็น…

ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคแรก ได้กระทำในวัด สำนักสงฆ์ สถานอันเป็นที่เคารพใน ทางศาสนา… ผู้กระทำต้อง ระวางโทษ…

สมมุติว่า นักศึกษาเป็นพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดสุโขทัย ได้มีคำสั่งฟ้องคดีนี้ให้เรียงคำฟ้องนายจอมกับนายจิต เฉพาะเนื้อหาคำฟ้องในภาคการกระทำความผิดและการได้ตัวมาดำเนินคดี เท่านั้น ทั้งนี้ไม่ต้องคำนึงถึงแบบพิมพ์คำฟ้องแต่ประการใด

ธงคำตอบ

ถ้าข้าพเจ้าเป็นพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดสุโขทัยผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ ข้าพเจ้า จะเรียงคำฟ้องเพื่อฟ้องนายจอมกับนายจิตในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ ดังต่อไปนี้

คำฟ้องอาญา

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2556 เวลากลางคืนก่อนเทียง จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำการ อันเป็นความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ ได้บังอาจร่วมกันเอารถจักรยานยนต์ จำนวน 1 คัน ราคา 45,000 บาท (สี่หมื่นห้าพันบาทถ้วน) ของบายพงศ์ศักดิ์ มารวย ผู้เสียหายซึ่งจอดอยู่ข้างโบสถ์ในวัดไปโดยทุจริต

เหตุเกิดที่ ตำบลตาลเตี้ย อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย

ข้อ 2. ต่อมาวันที่ 20 มีนาคม 2556 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมกัน ยึดรถจักรยานยนต์คันที่จำเลยทั้งสองร่วมกันลักเอาไปดังกล่าวในฟ้องข้อ 1. เป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวบ

ขั้นสอบสวน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธ แต่คดีมีมูล ของกลางพนักงานสอบสวนเก็บรักษาไว้

ระหว่างสอบสวน จำเลยทั้งสองถูกควบคุมตัวมาตลอด ตามหมายขังของศาลนี้ในคดีหมายเลขดำ ที่ ฝ.339/2556 ขอศาลเบิกตัวจำเลยทั้งสองมาพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

 

 

ข้อ 3. บริษัท ผลไม้ไทย จำกัด จดทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ มีวัตถุประสงค์ในการจำหน่ายผลไม้คัดสรรทุกชนิด โดยมีนายอำนวย ยิ่งยวด และนายประสาน สิงหภพ เป็นกรรมการบริหารมีอำนาจลงลายมือชื่อและ ประทับตราสำคัญแทนบริษัท เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2556 บริษัทฯ ได้ทำสัญญาขายมะม่วงอย่างดี จำนวน 500 กล่องราคารวมทั้งหมด 200,000 บาทให้แก่นายปรีดา มงคลทรัพย์ โดยในสัญญาระบุให้ ชำระราคาและรับมอบมะม่วงในวันที่ 22 มกราคม 2556 

ครั้นเมื่อถึงวันที่ 22 มกราคม 2556 นายปรีดาฯ บิดพลิ้วไม่ยอมชำระราคาและไม่ยอมรับมอบมะม่วงกลับปล่อยทิ้งไว้หน้าโกดังเก็บสินค้าตนเอง ไม่แจ้งกลับให้ทางบริษัทฯ ทราบว่าไม่ต้องการมะม่วงกว่าบริษัทจะทราบก็ล่วงเลยเวลาไป 7 วันแล้ว ส่งผลให้ทางบริษัทฯ เกิดความเสียหายเพราะมะม่วงเน่าเสียเกือบทั้งหมด รวมถึงมีค่าใช้จ่าย ในการขนส่ง การจัดเตรียมสินค้าทั้งหมดเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท 

บริษัทฯ ได้มีการติดตามทวงถาม ทางโทรศัพท์กับนายปรีดาฯ หลายครั้ง และส่งจดหมายลงทะเบียนไปรษณีย์เรียกให้นายปรีดาฯ ดังกล่าวชำระราคาและค่าเสียหายในราคาสินค้าทั้งหมดและที่เกิดขึ้น บริษัทฯ โดยนายอำนวย ยิ่งยวด และนายประสาน สิงหภพ จึงได้ทำหนังสือมอบอำนาจแต่งตั้งให้ท่านเป็นตัวแทนในการฟ้องคดี และเป็นทนายความให้กับบริษัทฯ ดังนั้นในฐานะทนายความของบริษัทฯ ให้ท่านยื่นคำฟ้องเรียกให้ นายปรีดาฯ ชำระราคารวมถึงค่าเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดตามความประสงค์ของตัวความ

ธงคำตอบ

คำฟ้อง

ข้อ 1. โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จดทะเบียน ณ สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรุงเทพมหานคร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ใช้ชื่อว่า บริษัท ผลไม้ไทย จำกัด มีวัตถุประสงค์ในการ จำหน่ายผลไม้คัดสรรทุกชนิด โดยมีนายอำนวย ยิ่งยวด และนายประสาน สิงหภพ เป็นกรรมการบริหารมีอำนาจ ลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญแทนบริษัท รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองเอกสารท้ายฟ้อง หมายเลข 1

ในการฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้มอบอำนาจให้ (ชื่อนักศึกษา) มีอำนาจฟ้องคดีแทน

รายละเอียดปรากฏตามหนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้อง หมายเลข 2

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2556 โจทก์ได้ทำสัญญาขายมะม่วงอย่างดีจำนวน 500 กล่อง ราคารวมทั้งหมด 200,000 บาท (สองแสบบาทถ้วน) ให้แก่จำเลย โดยในสัญญาได้ระบุให้จำเลยชำระราคาและ รับมอบสินค้าในวันที่ 22 มกราคม 2556 รายละเอียดปรากฏตามสัญญาซื้อขาย ฉบับลงวันที่ 20 มกราคม 2556 เอกสารท้ายฟ้อง หมายเลข 3

ข้อ 3. ครั้นถึงวันที่ 22 มกราคม 2556 จำเลยปฏิเสธไม่ยอมชำระราคาและไม่ยอมรับมอบสินค้า กลับปล่อยทิ้งไว้หน้าโกดังสินค้า โดยจำเลยไม่ได้แจ้งกลับให้โจทก์ทราบว่าไม่ต้องการสินค้า และกว่าโจทก์จะทราบ ก็ล่วงเลยเวลาไป 7 วันแล้ว ส่งผลให้ทางโจทก์ได้รับความเสียหายเพราะสินค้าเน่าเสียเกือบทั้งหมด รวมถึง มีค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และการจัดเตรียมสินค้าทั้งหมดเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท (สองแสนบาทถ้วน)

โจทก์ได้มีการติดตามทวงถามทางโทรศัพท์กับจำเลยหลายครั้ง จนท้ายสุดโจทก์ได้ส่งหนังสือ ทวงถามลงทะเบียนไปรษณีย์เรียกให้จำเลยชำระราคาและค่าเสียหายในราคาสินค้าทั้งหมดและที่เกิดขึ้นเป็นเงิน  200,000 บาท (สองแสนบาทถ้วน) รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือทวงถามและไปรษณีย์ตอบรับเอกสารท้ายฟ้อง หมายเลข 4 และ 5 จำเลยได้รับหนังสือทวงถามและไปรษณีย์ตอบรับ แต่กลับเพิกเฉย

โจทก์ไม่มีทางใดจะเรียกร้องจากจำเลยได้ จึงขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

ลงชื่อ…….(ลายมือชื่อนักศึกษา)…….ทนายโจทก์

คำฟ้องฉบับนี้ ข้าพเจ้า (ระบุชื่อนักศึกษา) ทนายโจทก์เป็นผู้เรียงและพิมพ์

ลงชื่อ…….(ลายมือชื่อนักศึกษา)…….ผู้เรียงและพิมพ์

คำขอท้ายฟ้อง

1.         ให้จำเลยชำระราคาและค่าเสียหายในราคาสินค้าทั้งหมดและที่เกิดขึ้นเป็นเงินจำนวน

200,000 บาท (สองแสนบาทถ้วน)

2.         ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของจำนวนเงินค่าเสียหายทั้งหมดนับแต่วันฟ้อ จนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้น

3.         ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์

LAW4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4002 การว่าความ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ตระกูลธราธรเทพมีนายเทวพันธ์แต่งงานกับนางดารามีบุตรด้วยกันจำนวน 5 คน เรียงลำดับดังนี้ คือ

1.         ชายใหญ่ นักโบราณคดี ข้าราชการประจำกรมศิลปากร อาจารย์พิเศษของคณะสังคมศาสตร์

2.         ชายรุจ ทำงานเป็นนักการทูต ประจำกระทรวงต่างประเทศ

3. ชายภัทร มีอาชีพเป็นหมอ- ศัลยแพทย์ประสาทอันดับ 1 ของประเทศไทย และอาจารย์สอนนักศึกษาแพทย์

4. ชายเล็ก มีอาชีพเป็นวิศวกรโยธา และ

5. ชายพีรี รับราชการเป็นข้าราชการในกองทัพอากาศโดยมียศ ทางทหารเป็นเรืออากาศโท วันที่ 10 พฤษภาคม 2556 นายเทวพันธ์พานางดาราไปท่องเที่ยวเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปรากฏว่าประสบอุบัติเหตุจมน้ำเสียชีวิตทั้งคู่ ทำให้ย่าเอียดที่เกษียณอายุราชการ จากการเป็นนางพยาบาล ที่ครองตัวเป็นโสดเพราะผิดหวังจากความรักในครั้งยังเป็นสาวแรกรุ่น ปัจจุบันอายุ 70 ปี ซึ่งเป็นน้องสาวของนายเทวพันธ์ จึงมีความประสงค์จะเข้ามาช่วยดูแลเงินในบัญชีธนาคารออมสิน บ้านพักตากอากาศที่เกาะสมุย และทรัพย์สินอื่น ๆ ของพี่ชาย ก่อนที่จะแบ่งทรัพย์สิน เหล่านั้นให้แก่หลาน ๆ ที่ต่างยังคงไมมีครอบครัวกัน ซึ่งบรรดาหลาน ๆ ต่างก็ยินยอม ระหว่างที่กำลัง มีข่าวร้ายนั้นเอง นายแก้วซึ่งเป็นหัวหน้าโจรที่ได้แฝงกายเข้ามาเป็นคนใช้ในบ้าน ได้ทำการขโมย โต๊ะเครื่องแป้งของย่าเอียด แต่ทว่าถูกจับได้ขณะกำลังหลบหนีออกไปยังบ้านข้าง ๆ ย่าเอียดจึงมาปรึกษา กับนายพินิจ รักยุติธรรม ผู้เป็นทนายความอันดับต้น ๆ ของประเทศเพื่อขอคำปรึกษาดังต่อไปนี้

1.1       การร่างหนังสือให้ความยินยอมในการร้องขอให้ย่าเอียดเป็นผู้จัดการมรดก  (10 คะแนน)

1.2       เรียงคำร้องขอตั้งย่าเอียดเป็นผู้จัดการมรดก  (15 คะแนน)

ธงคำตอบ

ทำที่………………………….

วันที่……….เดือน……….พ.ศ………….    

ข้าพเจ้าทั้งหลายผู้มีรายชื่อดังต่อไปนี้

1.         นายชายใหญ่ ธราธรเทพ

2.         นายชายรุจ ธราธรเทพ

3.         นายชายภัทร ธราธรเทพ

4.         นายชายเล็ก ธราธรเทพ

5.         นายชายพีรี ธราธรเทพ

เป็นทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกของ นายเทวพันธ์ ธราธรเทพ ผู้วายชนม์ขอให้ความยินยอม และไม่คัดค้านในการที่นางสาวเอียด ธราธรเทพ ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกต่อศาล ข้าพเจ้าทั้งหลายจึงลงลายมือชื่อ ไว้เป็นสำคัญ

1.         ลงชื่อ………………………………………..(นายชายใหญ่ ธราธรเทพ)

2.         ลงชื่อ………………………………………..(นายชายรุจ ธราธรเทพ)

3.         ลงชื่อ……………………………………….. (นายชายภัทร ธราธรเทพ)

4.         ลงชื่อ……………………………………….. (นายชายเล็ก ธราธรเทพ)

5.         ลงชื่อ……………………………………….. (นายชายพีร์ ธราธรเทพ)

 

1.2       คำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก

ข้าพเจ้า นางสาเอียด ธราธรเทพ ผู้ร้อง เชื้อขาติ ไทย สัญชาติ ไทย อาชีพ เกษียณอายุราชการ

เกิดวันที่…………เดือน…………พ.ศ…………อายุ 7อยู่บ้านเลขที่………..หมู่ที่………ถนน……..

ตรอก/ซอย…………ตำบล/แขวง………….อำเภอ/เขต……………จังหวัด  

ขอยื่นคำร้องมีข้อความตามที่จะกล่าวต่อไปนี้

ข้อ 1. ผู้ร้องเกี่ยวข้องเป็นน้องสาวของนายเทวพันธ์ ธราธรเทพ ผู้วายชนม์ ปรากฏตามบัญชี เครือญาติ เอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 1

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2556 นายเทวพันธ์ ธราธรเทพ ถึงแก่กรรมจากการจมน้ำ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปรากฏตามสำเนามรณบัตร เอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 2

ข้อ 3. นายเทวพันธ์ ธราธรเทพ ผู้วายชนม์ มีมรดก คือ เงินฝากอยู่ในธนาคารออมสิน

สาขา………เป็นจำนวน…………บาท บ้านและที่ดินจำนวน………….แปลง ราคา……….บาท รายละเอียด ปรากฏตามบัญชี เอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 3

มรดกดังกล่าวนี้ นายเทวพันธ์ ธราธรเทพ ผู้วายชนม์ ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้แต่อย่างใด

ข้อ 4. ผู้ร้องมีเหตุขัดข้องไม่สามารถจัดการมรดกของผู้ตายได้ เนื่องจากธนาคารผู้รับฝากเงิน คือธนาคารออมสิน และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปฏิเสธไม่ดำเนินการจ่ายเงินและโอนที่ดินให้แก่ผู้ร้อง โดยอ้างว่าให้นำคำสั่งศาลตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกมาแสดงก่อนจึงจะจัดการให้

ผู้ร้องเป็นผู้บรรลุนิติภาวะ และไม่เป็นบุคคลวิกลจริต บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ หรือบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย มีความสามารถที่จะจัดการมรดกรายนี้ได้

ฉะนั้น ขอศาลได้โปรดไต่สวนคำร้อง และมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของ นายเทวพันธ์ ธราธรเทพ ผู้วายชนม์ ต่อไป

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

ลงชื่อ…………………………..ทนายผู้ร้อง

คำร้องฉบับนี้ ข้าพเจ้า………………………….ทนายผู้ร้องเป็นผู้เรียงและพิมพ์

ลงชื่อ………………………….ผู้เรียงและพิมพ์

 ข้อ 2. เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2556 ร้านนิยมปุ๋ยและอาหารสัตว์ได้ทำสัญญาขายปุยจำนวน 100 กระสอบ ให้กับนายขจร ไพศาลกุล โดยในสัญญาระบุให้ชำระราคาก่อน 5 หมื่นบาทในวันทำสัญญาและอีก 5 หมื่นบาทให้ชำระในวันรับมอบสินค้าคือวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 ครั้นเมื่อถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 ร้านนิยมปุ๋ยและอาหารสัตว์ได้ส่งมอบปุ๋ยแกนายขจรฯ ครบถ้วน แต่นายขจรฯ ไม่ยอมชำระ ราคาปุ๋ยที่เหลือ จวบจนวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 ร้านนิยมปุ๋ยและอาหารสัตว์ได้ส่งหนังสือทวงถาม ลงทะเบียนไปรษณีย์เรียกให้นายขจรฯ ชำระราคาส่วนที่เหลือแต่นายขจร เพิกเฉย ดังนั้น ร้านนิยมปุ๋ยและอาหารสัตว์จึงมอบอำนาจให้นายกิตติ บุญใหญ่ เป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้เพื่อเรียกให้ นายขจร ชำระราคาส่วนที่เหลือคืน ให้ท่านในฐานะทนายความคดีนี้ร่างคำฟ้องคดีแพ่งพร้อม คำขอท้ายฟ้องโดยไม่คำนึงถึงแบบพิมพ์ศาล

ธงคำตอบ

คำฟ้องแพ่ง

ข้อ 1. โจทก์เป็นร้านค้าปุ๋ยและอาหารสัตว์ประกอบกิจการขายปุ๋ยและอาหารสัตว์ ได้มอบอำนาจ ให้นายกิตติ บุญใหญ่ เป็นผู้ฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ รายละเอียดปรากฏตามหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2556 โจทก์ได้ทำสัญญาขายปุ๋ยจำนวน 100 กระสอบให้กับ จำเลย โดยในสัญญาได้ระบุให้จำเลยชำระราคาก่อนจำนวน 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน) ในวันทำสัญญา และอีก 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน) ให้จำเลยชำระในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 ซึ่งเป็นวันรับมอบสินค้า รายละเอียดปรากฏตามสัญญาซื้อขายฉบับลงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2556 เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2

ข้อ 3. ครั้นเมื่อถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2556 โจทก์ได้ส่งมอบปุ๋ยแก่จำเลยครบถ้วน แต่จำเลย ไม่ยอมชำระราคาปุ๋ยที่เหลือ จวบจบวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2556 โจทก์ได้ส่งหนังสือทวงถามลงทะเบียนไปรษณีย์ เรียกให้จำเลยชำระราคาส่วนที่เหลือ แต่จำเลยเพิกเฉย รายละเอียดปรากฏตามหนังสือทวงถามและไปรษณีย์ ตอบรับเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3

โจทก์ไม่มีทางใดจะเรียกร้องจากจำเลยได้ จึงขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

ลงชื่อ………..(ลายมือชื่อนักศึกษา)………..ทนายโจทก์

คำร้องฉบับนี้ ข้าพเจ้า (ระบุชื่อนักศึกษา) ทนายโจทก์เป็นผู้เรียงและพิมพ์

ลงชื่อ……………(ลายมือชื่อนักศึกษา)……………..ผู้เรียงและพิมพ์

คำขอท้ายฟ้อง

1.         ให้จำเลยชำระราคาปุ๋ยส่วนที่เหลือเป็นเงินจำนวน 50,000 บาท (ห้าหมื่นบาทถ้วน)

2.         ให้จำเลยชำระดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของจำนวนเงินค่าปุ๋ยส่วนที่เหลือนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระแก่โจทก์เสร็จสิ้น

3.         ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์

 

 

ข้อ 3. ข้อเท็จจริง จากการเตรียมคดีในสำนวนการสอบสวนเรื่องหนึ่งได้ความว่า เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2556 เวลาประมาณ 05.00 นาฬิกา ขณะที่นางสาววนิดา งามสม กำลังเดินอยู่ในตลาดบางแค แขวงบางแค เขตบางแค กรุงเทพมหานคร ได้ถูกนายฉก ยอดเลว กระชากกระเป๋าสตางค์ ราคา 12,000 บาท ซึ่งมีเงินจำนวน 7,000 บาทบรรจุอยู่ในกระเป๋าอย่างแรงจนนางสาววนิดาล้มลงและได้รับบาดเจ็บ เป็นแผลที่แขนและหัวเข่าถลอก ต่อมาวันที่ 12 มกราคม 2556 เวลา 16.00 นาฬิกา เจ้าพนักงาน จับนายฉกได้ พร้อมกับกระเป๋าสตางค์ที่นายฉกลักเอาไปดังกล่าวเป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ชั้นสอบสวนนายฉกให้การรับสารภาพ กระเป๋าสตางค์ของกลางได้คืนให้แก่นางสาววนิดา และนำ นายฉกไปฝากขังที่ศาลอาญา ในคดีหมายเลขดำที่ ฝ. 293/2556

ข้อกฎหมาย

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ…

มาตรา 336 “ผู้ใดลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ผู้นั้นกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษ…

ให้นักศึกษาในฐานะพนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญาธนบุรี เรียงคำฟ้องคดีนี้เพื่อฟ้องต่อศาลอาญา- ธนบุรีต่อไป โดยให้เรียงเฉพาะเนื้อหาคำฟ้องภาคการกระทำความผิดและการได้ตัวมาดำเนินคดี โดยไม่ต้องคำนึงถึงแบบพิมพ์คำฟ้อง

ธงคำตอบ

ข้าพเจ้าในฐานะพนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญาธนบุรี ผู้รับผิดชอบในการดำเนินคดีนี้ ข้าพเจ้าจะเรียงคำฟ้องเพื่อฟ้องนายฉก ยอดเลว ในข้อหาวิงราวทรัพย์ ดังนี้

คำฟ้องอาญา

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2556 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยได้บังอาจลักทรัพย์คือ กระเป๋าสตางค์ราคา 12,000 บาทซึ่งมีเงินจำนวน 7,000บาทบรรจุอยู่ในกระเป๋าของนางสาววนิดา งามสม ผู้เสียหาย ไปโดยทุจริต ในการลักทรัพย์ดังกล่าว จำเลยได้กระชากทรัพย์ที่ลักอย่างแรงอันถือเป็นการฉกฉวยเอาซึ่งหน้า เป็นเหตุให้ผู้เสียหายล้มลงและได้รับบาดเจ็บเป็นแผลที่แขนและหัวเข่าถลอก และเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตราย แก่กายหรือจิตใจ

เหตุเกิดที่แขวงบางแค เขตบางแค กรุงเทพมหานคร

ข้อ 2. ต่อมาวันที่ 12 มกราคม 2556 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานจับจำเลยได้ พร้อมกับ กระเป๋าสตางค์ที่จำเลยได้ลักเอาไปตามฟ้องข้อ 1 เป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน

ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ ของกลางผู้เสียหายได้รับคืนไปแล้ว

ระหว่างสอบสวน จำเลยถูกควบคุมตัวมาตลอด ตามหมายขังของศาลนี้ในคดีหมายเลขดำ ที่ ฝ. 293/2556 ขอศาลเบิกตัวจำเลยมาเพื่อพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

LAW4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ห้างหุ้นส่วนสามัญนำโชค เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ดำเนินกิจการแบ่งพื้นที่ให้เช่า ค้าขายเป็นห้อง ๆ จำนวน 50 ห้อง ตั้งอยู่ในตลาดตะวันนา บางกะปิ กรุงเทพมหานคร

เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2554 ห้างฯ ได้ทำสัญญาให้นางสาวสาวิตรี มีชัย เช่าค้าขายเป็นรายเดือนเก็บค่าเช่า เดือนละ 15,000 บาท โดยเริ่มเช่าตั้งแต่วันที่ 1มกราคม 2555จนถึง 31 ธันวาคม 2555 ครั้นเมือวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 นางสาวสาวิตรีฯ ไมชำระค่าเช่า จวบจนล่วงเลยมาถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2555 ทางห้างฯ ได้พยายามติดต่อทวงถามหลายครั้งแต่นางสาวสาวิตรีฯ บ่ายเบี่ยงขอเลื่อนมาตลอด และ ยังคงดำเนินการค้าขายของตนเองในห้องเช่าห้องนั้นตลอดมา

จนวันที่ 1 กรกฎาคม 2555 ทางห้างฯ จึงได้ทวงถามค่าเช่าเป็นหนังสือไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับเรียกร้องให้นางสาวสาวิตรีฯ ย้ายออก พร้อมเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระของเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนทั้งหมด และแจ้งให้นางสาวสาวิตรีฯ ย้ายออกไปจากห้องเช่านางสาวสาวิตรีฯ ได้รับหนังสือแล้วแต่ยังคงเพิกเฉย ห้างฯ ต้องการฟ้องขับไล่ นางสาวสาวิตรีฯ พร้อมเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระ 2 เดือน จำนวน 30,000 บาท

ทางห้างฯ จึงได้ทำหนังสือ มอบอำนาจให้นายปริญญา บุญชัย เป็นตัวแทนในการดำเนินคดีนี้โดยให้ท่านในฐานะทนายความ ทำการร่างคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องคดีนี้โดยเน้นเฉพาะเนื้อหาคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องโดย ไม่คำนึงถึงแบบพิมพ์ศาล

ธงคำตอบ

คำฟ้อง

ข้อ 1. โจทก์เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนใช้ชื่อว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญนำโชค” ดำเนิน กิจการแบ่งพื้นที่ให้เช่าค้าขายเป็นห้อง ๆ จำนวน 50 ห้อง ตั้งอยู่ในตลาดตะวันนา บางกะปิ กรุงเทพมหานคร

ในการฟ้องคดีนี้โจทก์ได้มอบอำนาจให้นายปริญญา บุญชัย ดำเนินการฟ้องคดีแทนโจทก์ ราpละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2554 โจทก์ได้ทำสัญญาให้จำเลยเช่าค้าขายเป็นรายเดือน เก็บค่าเช่าเดือนละ 15,000 บาท (หนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน) โดยเริ่มเช่าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือเช่าฉบับลงวันที่ 31 ธันวาคม 2554 เอกสารท้ายฟ้อง หมายเลข 2

ข้อ 3. ครั้นเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2555 จำเลยไม่ชำระค่าเช่า จวบจนล่วงเลยมาถึงสิ้นเดือน มิถุนายน2555 โจทก์ได้พยายามติดต่อทวงถามหลายครั้ง แต่จำเลยบ่ายเบี่ยงขอเลื่อนมาตลอด และยังคงดำเนินการ ค้าขายของจำเลยในห้องเช่าห้องนั้นตลอดมา

จนวันที่ 1 กรกฎาคม 2555 โจทก์จึงได้ทวงถามค่าเช่าเป็นหนังสือไปรษณีย์ลงทะเบียน ตอบรับเรียกร้องให้จำเลยย้ายออกพร้อมเรียกค่าเช่าที่ค้างชำระของเดือนพฤษภาคมและมิถุนายนทั้งหมด และแจ้ง ให้จำเลยย้ายออกไปจากห้องเช่า จำเลยได้รับหนังสือแล้วแต่ยังคงเพิกเฉย รายละเอียดปรากฏตามสำเนาหนังสือ ทวงถามและไปรษณีย์ตอบรับเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 และ 4

ข้อ 4. โจทก์ไม่มีทางอื่นใดจะตกลงกับจำเลยได้อีก หากจำเลยยังคงอยู่ในห้องเช่าต่อไปจะทำให้ โจทก์ขาดรายได้เดือนละ 15,000 บาท (หนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน)ดังนั้นโจทก์จึงขอบารมีศาลเป็นที่พึ่งได้โปรดพิจารณา ขับไล่จำเลย และให้จำเลยขำระค่าเช่าที่จำเลยค้างชำระโจทก์ 2 เดือน จำนวน 30,000 บาท (สามหมื่นบาทถ้วน) แก่โจทก์ด้วย

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

คำขอท้ายฟ้อง

1.         ขอให้จำเลยและบริวารย้ายออกจากห้องเช่าโจทก์พร้อมชำระค่าเช่าที่ค้างชำระจำนวน 30,000 บาท (สามหมื่นบาทถ้วน) แก่โจทก์

2.         ขอให้จำเลยชำระค่าเช่าแก่โจทก์เดือนละ 15,000บาท(หนึ่งหมื่นห้าพันบาทถ้วน) นับจาก วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะย้ายออก

3.         ขอให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแก่โจทก์

 

 

ข้อ 2. หากท่านมีหน้าที่ต้องร่างสัญญาเช่าทรัพย์ ท่านมีหลักเกณฑ์วางหัวข้อสำคัญในการร่างไว้อย่างไรให้ยกตัวอย่างอย่างน้อย 4 หัวข้อ

ธงคำตอบ

หลักเกณฑ์ของหัวข้อสำคัญในการร่างสัญญาเช่าทรัพย์ ได้แก่

1.         ชื่อของคู่สัญญาแต่ละฝ่าย

2.         เจตนาของคู่สัญญา

3.         รายละเอียดของทรัพย์ที่เช่า

4.         วันเริ่มทำสัญญาและวันสิ้นสุดของสัญญา

5.         หน้าที่และความรับผิดชอบของคู่สัญญาแต่ละฝ่าย

6.         กรณีที่มีการผิดสัญญาจะบังคับกันอย่างไร

7.         ถ้าร่างสัญญามีสองฉบับและเป็นร่างสองภาษาคือมีทังร่างภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ ให้ถือเอาร่างภาษาไทยเป็นข้อปฏิบัติ

8.         หากภาษาที่ร่างเป็นภาษาต่างประเทศ ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่า ถ้ามีข้อพิพาทเกิดขึ้น ให้ฟ้องที่ศาลในประเทศไทย

 

 

ข้อ 3. ข้อเท็จจริง ตามสำนวนการสอบสวนได้ความว่า เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2556 เวลาประมาณ 22.45 นาฬิกา นายตุ้ย ประเทศเตือน นายวุฒิ ชนะมิตร และนายสมัย มูฮะหมัด ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ไปที่ร้านค้าสะดวกซื้อ 7-11 สาขาอ่อนนุช ที่ถนนสุขุมวิท แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร

เมื่อไปถึงร้านดังกล่าวนายสมัยได้ไปเฝ้าหน้าร้าน จากนั้นนายตุ้ยและนายวุฒิได้เข้าไปในร้านแล้ว นายตุ้ยใช้อาวุธมีดปลายแหลมยาว 12 นิ้ว จี้ น.ส.สุจินทรา ปั่นคำ พนักงานประจำร้าน พร้อมทั้ง ตะโกนว่า เปิดลิ้นชักและเอาเงินมาให้หมดมิฉะนั้นจะแทงทำร้าย น.ส.สุจินทรา จึงได้เปิดลิ้นชัก ตามคำสั่งของนายตุ้ย หลังจากนั้นนายวุฒิได้หยิบเงินในลิ้นชักไปเป็นจำนวน 1,440 บาท แล้วทั้งคู่ได้วิ่ง ออกไปขึ้นรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่บริเวณใกล้เคียงก่อนขับหลบหนีไปพร้อมกับนายสมัย ต่อมา วันที่ 1 ตุลาคม 2556 เจ้าพนักงานตำรวจจับนายตุ้ยและนายวุฒิได้ พร้อมกับยึดอาวุธมิดปลายแหลมที่ ใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพระโขนงทำการสอบสวน

ชั้นสอบสวนนายตุ้ยให้การรับสารภาพ ส่วนนายวุฒิให้การปฏิเสธ ระหว่างสอบสวน พนักงานสอบสวนได้นำทั้งสองไปฝากขังไว้ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ตามคดีหมายเลขดำที่ ฝ.1325/2556 เมื่อสอบสวนเสร็จจึงส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมทำความเห็นว่าควรสั่งฟ้องนายตุ้ย นายวุฒิ และ นายสมัย ไปยังพนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ แต่นายสมัยนั้นยังจับไม่ได้ จึงออก หมายจับไว้

ข้อกฎหมาย

มาตรา 339 ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ

(1)       ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2)       ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3)       ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4)       ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ

(5)       ให้พ้นจากการจับกุม

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษ      

มาตรา 340 ผู้ใดชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิด ฐานปล้นทรัพย์ ต้องระวางโทษ

ถ้าในการปล้นทรัพย์ ผู้กระทำแม้แต่คนหนึ่งคนใดมีอาวุธติดตัวไปด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษ        

ให้นักศึกษาในฐานะพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบคดีนี้ ซึ่งมีคำสั่งฟ้องตามความเห็นของพนักงานสอบสวนเรียงคำฟ้องนายตุ้ยเป็นจำเลยที่ 1 และนายวุฒิเป็นจำเลยที่ 2 ในข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ (เฉพาะภาคการกระทำความผิดและการได้ตัวมาดำเนินคดีเท่านั้น โดยไม่ต้องคำนึงถึงแบบพิมพ์ คำฟ้องแต่อย่างใด) เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ต่อไป

ธงคำตอบ

ในฐานะพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบคดีนี้ ข้าพเจ้าจะเรียงคำฟ้องนายตุ้ยเป็นจำเลยที่ 1 และ นายวุฒิเป็นจำเลยที่ 2 ในข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์ เพื่อยื่นฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ ดังนี้

คำฟ้องอาญา

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2556 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัว มาฟ้องอีกหนึ่งคน โดยมีอาวุธมีดปลายแหลมยาว 12 นิ้ว ติดตัวไปด้วย ได้บังอาจร่วมกันใช้อาวุธมีดที่ติดตัวมา ดังกล่าวจี้ขู่เข็ญ น.ส.สุจินทรา ปั่นคำ ผู้เสียหาย ว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อให้ความสะดวกแก่การ ลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ ปกปิดการกระทำความผิดนั้นหรือ ให้พ้นจากการจับกุม แล้วลักเอาเงินจำนวน 1,440 บาท (หนึ่งพันสี่ร้อยสี่สิบบาทถ้วน) ซึ่งอยู่ในความครอบครอง ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต

เหตุเกิดที่แขวงบางจาก เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร

ข้อ 2. ต่อมาวันที่ 1 ตุลาคม 2556 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้ พร้อมกับยึดอาวุธมีดปลายแหลมที่ใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน

ขั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ

อาวุธมีดปลายแหลมของกลาง เจ้าพนักงานเก็บรักษาไว้

ระหว่างสอบสวน จำเลยทั้งสองถูกควบคุมตัวมาตลอด ขณะนี้ต้องขังอยู่ตามหมายขังของศาลนี้ ในคดีหมายเลขดำที่ ฝ.1325/2556 ขอศาลเบิกตัวจำเลยทั้งสองมาพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

LAW4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ในการยกร่างพระราชบัญญัติเพื่อใช้เป็นกฎหมาย ท่านมีหลักเกณฑ์อย่างใด ให้ยกตัวอย่างเฉพาะ หลักเกณฑ์มาอย่างน้อย 4 ประการ

ธงคำตอบ

ในการยกร่างพระราชบัญญัติเพื่อใช้เป็นกฎหมายนั้น จะต้องพิจารณาถึงหลักเกณฑ์ที่สำคัญหลายประการ เช่น

1.         ประเภทของร่างพระราชบัญญัติ

ร่างพระราชบัญญัติจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ร่างพระราชบัญญัติทั่วไป และ ร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน ถ้าเป็นร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวด้วยการเงิน จะเสนอได้ต้องมีคำรับรองชอง นายกรัฐมีตริ

2.         เนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติ

เนื้อหาของร่างพระราชบัญญัตินั้น จะกำหนดเนื้อหาในเรื่องใดก็ได้ แต่ต้องไม่ขัดหรือ แย้งกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ หรือหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญทั่วไปที่เรียกว่า ประเพณีการปกครองของ ประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย

3.         การเสนอร่างพระราชบัญญัติ

ผู้มีสิทธิเสนอร่างพระราชบัญญัติติตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ได้แก่

(1)       คณะรัฐมนตรี

(2)       สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวนไม่น้อยกว่า 20 คน

(3)       ศาลหรือองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ เฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดองค์กร และกฎหมายที่ประธานศาลและประธานองค์กรนั้นเป็นผู้รักษาการ

(4)       ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่า 10,000 คน (สามารถเข้าชื่อเสนอร่าง พระราชบัญญัติที่มีเนื้อหาเฉพาะ หมวด 3 สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย และหมวด 5 แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ)

4.         การพิจารณาลงมติร่างพระราชบัญญัติ

ผู้มีอำนาจพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ ได้แก่ รัฐสภาซึ่งเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งประกอบด้วย สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดยการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินั้น จะต้องมีการพิจารณา ให้ความเห็นชอบในสภาผู้แทนราษฎรก่อนส่งให้วุฒิสภาพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด

5.         การลงนามประกาศใช้และการโฆษณาบังคับใช้

ร่างพระราชบัญญัติที่ได้รับความห็นชอบจากรัฐสภาแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้น ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายภายใน 20 วัน เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อได้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้บังคับเป็นกฎหมายได้

 

ข้อ 2. นางกะรัตได้ทำสัญญาให้นางสาวสายน้ำผึ้งกู้ยืมเงินจำนวน 5,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อปี มีการส่งมอบและทำสัญญาในวันที่ 10 มกราคม 2556 โดยมีกำหนดชำระคืนภายใน 1 ปี ครั้นพอครบกำหนดระยะเวลา 1 ปี นางสาวสายน้ำผึ้งกลับเพิกเฉย นางกะรัตจึงได้ส่งหนังสือทวงถาม ลงทะเบียนไปรษณีย์ให้นางสาวสายน้ำผึ้งชำระเงินจำนวน 5,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 500,000 บาท แต่นางสาวสายน้ำผึ้งกลับเพิกเฉย ดังนั้นให้ท่านในฐานะทนายความฟ้องเรียกคืน เงินกู้ทั้งหมดพร้อมตอกเบี้ยจากนางสาวสายน้ำผึ้ง โดยร่างคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องคดีแพ่งคดีนี้

ธงคำตอบ

คำฟ้องแพ่ง

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2556 จำเลยได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ไปเป็นจำนวน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) โดยจำเลยยอมจ่ายดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี มีกำหนดเวลาใช้คืนภายใน 1 ปี ซึ่งจำเลย ได้รับเงินจำนวนที่กู้ไปครบถ้วนแล้ว และได้ทำสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐานในวันดังกล่าว รายละเอียดปรากฏตาม สำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 10 มกราคม 2556 เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 1

ข้อ 2. เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการชำระหนี้ตามสัญญากู้ จำเลยไม่ยอมชำระหนี้เงินกู้จำนวน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) ดังกล่าว ทั้งไม่เคยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามสัญญาเลย โจทก์ได้ทวงถามแล้ว แต่จำเลยกลับเพิกเฉย การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการผิดสัญญากู้ยืมเงิน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย

จำเลยต้องรับผิดชำระต้นเงินคืนให้แก่โจทก์จำนวน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) และ ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี จากเงินต้นดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท (ห้าแสนบาทถ้วน) รวมเป็นเงิน ที่จำเลยจะต้องชำระคืนให้แก่โจทก์ 5,500,000 บาท (ห้าล้านห้าแสนบาทถ้วน)

โจทก์ไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับจำเลยได้ จึงต้องมาฟ้องเป็นคดีนี้ เพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง เพื่อบังคับจำเลยต่อไป

ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

คำขอท้ายฟ้อง

ข้อ 1. ขอให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5,500,000 บาท (ห้าล้านห้าแสบบาทถ้วน)

ข้อ 2. ขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี จากต้นเงิน 5,000,000 บาท (ห้าล้านบาทถ้วน) นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จสิ้น

ข้อ 3. ขอให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์

 

ข้อ 3. ข้อเท็จจริงในสำนวนการสอบสวนได้ความว่า เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2556 เวลาประมาณ 13.00 นาฬิกา ขณะที่นายชีวา ชุ่มชื่น กำลังนั่งอยู่ในร้านขายทองรูปพรรณของตนอยู่นั้น ซึ่งตั้งอยู่ที่ แขวงพระนคร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ได้มีนายหนึ่ง นายสอง และนายสามเข้ามาในร้านแล้ว นายหนึ่งได้ชักอาวุธปืนออกมาจี้เล็งไปยังนายชีวามิให้ต่อสู้ขัดขืนและสั่งให้หมอบลงกับพื้นมิฉะนั้น จะยิงให้ตาย นายชีวาจึงหมอบลงกับพื้น แล้วนายสองก็ใช้ค้อนทุบกระจกตู้ทองและร่วมกับนายสาม กวาดเอาสร้อยคอทองคำลายต่าง ๆ ไป 200 เส้น น้ำหนัก 300 บาท ราคาทั้งสิ้น 7,000,000 บาท ใส่ถุงผ้าที่เตรียมมาแล้วพากับหลบหนีไป่ ต่อมาวันที่ 27 ธันวาคม 2556 เจ้าพนักงานตำรวจจับนายหนึ่งกับนายสองได้ที่บ้านพักพร้อมกับยึดสร้อยคอทองคำที่ปล้นไปจำนวน 100 เส้น น้ำหนัก 200 บาท ราคา 6,000,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่งที่ปล้นมาเป็นของกลาง นำส่งพนักงาบสอบสวบสถานีตำรวจนครบาลพระนครทำการสอบสวบ ชั้นสอบสวนทั้งสองให้การรับสารภาพ เมื่อครบกำหนดควบคุมตัว พนักงานสอบสวนจึงได้นำทั้งสองไปฝากขังที่ศาลอาญา ตามคดีหมายเลขดำที่ ฝ. 205/2557 ต่อมา เมื่อสอบสวนเสร็จ พนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการ

ข้อกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่า ในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ

(1)       ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2)       ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3)       ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4)       ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ

(5)       ให้พ้นจากการจับกุม

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุก        

มาตรา 340 ผู้ใดชิงทรัพย์โดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกับตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้นั้นกระทำความผิด ฐานปล้นทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุก  

หากท่านเป็นพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ให้ท่านเรียงคำฟ้องในข้อหาปล้นทรัพย์ เฉพาะเนื้อหาคำฟ้องภาคความผิดและการได้ตัวมาดำเนินคดีโดยไม่ต้องคำนึงถึงแบบพิมพ์คำฟ้อง

ธงคำตอบ

หากข้าพเจ้าเป็นพนักงานอัยการผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ ข้าพเจ้าจะเรียงคำฟ้องในข้อหา ปล้นทรัพย์ ดังต่อไปบี้

คำฟ้องอาญา

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2556 เวลากลางวัน จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง อีกหนึ่งคน ได้กระทำการอันเป็นความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ ได้บังอาจร่วมกับลักเอาสร้อยคอทองคำลายต่าง ๆ จำนวน 200 เส้น น้ำหนัก 300 บาท ราคาทั้งสิ้น 7,000,000 บาท (เจ็ดล้านบาท) ขอ4นายชีวา ชุ่มชื่น ผู้เสียหายไปโดยทุจริต โดยในการลักทรัพย์ดังกล่าว จำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันใช้อาวุธปีนจี้ขู่เข็ญผู้เสียหายมิให้ต่อสู้ขัดขืน มิฉะนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายยิงผู้เสียหายให้ถึงแก่ความตาย เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์ นั้นไป ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือให้พ้นจากการจับกุม

เหตุเกิดที่แขวงพระนคร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

ข้อ 2. ต่อมาวันที่ 27 ธันวาคม 2556 เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมกับยึด สร้อยทองคำ จำนวน 100 เส้น น้ำหนัก 200 บาท ราคา 6,000,000 บาท (หกล้านบาท) ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนหนึ่ง ที่จำเลยทั้งสองกับพวกปล้นเอาไปดังกล่าวในฟ้องข้อ 1. เป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน ชั้นสอบสวนจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ของกลางพนักงานสอบสวนเก็บรักษาไว้

ระหว่างสอบสวนจำเลยทั้งสองถูกควบคุมตัวมาดลอด ขณะนี้ต้องขังอยู่ตามหมายของศาลนี้ ในคดีหมายเลขดำที่ ฝ. 205/2557 ขอศาลเบิกตัวจำเลยทั้งสองมาพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

LAW4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิขา LAW 4002 การว่าความและการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเขมชาติได้ทำสัญญาให้บางสาวหนูเล็กกู้ยืมเงินจำนวน 15,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 10 ต่อปี มีการส่งมอบและทำสัญญาในวันที่ 10 เมษายน 2556 โดยมีกำหนดชำระคืนภายใน 1 ปี ครั้นพอครบกำหนดระยะเวลา 1 ปี นางสาวหนูเล็กกลับเพิกเฉย นายเขมชาติจึงได้ส่งหนังสือทวงถาม ลงทะเบียนไปรษณีย์ให้นางสาวหนูเล็กชำระเงินจำนวน 15,000,000 บาทพร้อมดอกเบี้ย 1,500,000 บาท แต่นางสาวหนูเล็กกลับเพิกเฉย ดังนั้น ให้ท่านในฐานะทนายความส่งหนังสือทวงถามไปยัง บางสาวหนูเล็กอีกครั้งหนึ่งจากนั้นให้ร่างฟ้องคดีแพ่งเรียกคืนเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยทั้งหมดจาก นางสาวหนูเล็ก โดยร่างเฉพาะเนื้อหาคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องคดีแพ่งคดีนี้

ธงคำตอบ

หนังสือบอกกล่าวเรื่องขอให้ข้าระหนี้

                                                                                                     ทำที่……………………………       

                                                              วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2557   

เรื่อง     ขอให้ชำระหนี้

เรียบ    นางสาวหนูเล็ก ผู้กู้

อ้างถึง หนังสือสัญญากู้ยืมเงินระหว่าง นายเขมชาติ ผู้ให้กู้ กับนางสาวหนูเล็กผู้กู้ ฉบับลงวันที่ 10 เมษายน 2556

ตามสัญญากู้ยืมเงินที่อ้างถึง ท่านได้กู้ยืมเงินไปจาก นายเขมชาติ ผู้ให้กู้จำนวน 15,000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน) โดยท่านตกลงชำระดอกเบี้ยใบอัตราร้อยละ 10 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวและสัญญาจะคืน ต้นเงินกู้และดอกเบี้ยให้แก่ผู้ให้กู้ภายในกำหนด 1 ปีนั้น

บัดนี้ปรากฏว่า เมื่อครบกำหนดตามสัญญาวันที่ 10 เมษายน 2557 ท่านมิได้นำต้นเงินพร้อมดอกเบี้ย มาชำระนับเป็นเวลาสองเดือนเศษแล้ว จึงถือได้ว่าท่านผิดสัญญาตามที่ได้ตกลงกันไว้ ผู้ให้กู้จึงได้มอบหมายให้ ข้าพเจ้าดำเนินการทวงถามท่านให้ชำระเงินต้นจำนวน 15,000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน) พร้อมทั้งดอกเบี้ย ตามสัญญาอีกจำนวน 1,500,000 บาท (หนึ่งล้านห้าแสนบาทถ้วน) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 16,500,000 บาท (สิบหกล้าน ห้าแสนบาทถ้วน)

ข้าพเจ้าในฐานะทนายความผู้รับมอบอำนาจจึงเรียนมายังท่าน เพื่อนำเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยจำนวน ดังกล่าวไปชำระให้กับ นายเขมชาติ ผู้ให้กู้ ภายในกำหนด 30 วัน นับแต่วันที่ท่านได้รับหนังสือฉบับนี้ ก่อนที่ข้าพเจ้า จะได้ดำเนินการทางคดีกับท่านต่อไป

ขอแสดงความนับถือ

…………………………

(                                 )

ทนายความผู้รับมอบอำนาจ

คำฟ้องแพ่ง

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2556 จำเลยได้กู้ยืมเงินจากโจทก์ไปเป็นจำนวน 15.000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน)โดยจำเลยยอมจ่ายดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี มีกำหนดเวลาใช้คืนภายใน 1 ปี ซึ่งจำเลย ได้รับเงินจำนวนที่กู้ไปครบถ้วนแล้ว และได้ทำสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐานในวันดังกล่าว รายละเอียดปรากฏตาม สำเนาภาพถ่ายหนังสือสัญญากู้ยืมเงินฉบับลงวันที่ 10 เมษายน 2556 เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข 1

ข้อ 2. เมื่อครบกำหนดระยะเวลาการชำระหนี้ตามสัญญากู้ จำเลยไม่ยอมชำระหนี้เงินกู้จำนวน 15,000,000 บาท (ลืบห้าล้านบาทถ้วน) ดังกล่าว ทั้งไม่เคยชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ตามสัญญาเลย โจทก์ได้ทวงถาม แล้วแต่จำเลยกลับเพิกเฉย การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการผิดสัญญากู้ยืมเงิน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย

จำเลยต้องรับผิดชำระต้นเงินคืนให้แก่โจทก์จำนวน 15,000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน) และ ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี จากเงินต้นดังกล่าวเป็นจำนวนเงิน 1,500,000 บาท (หนึ่งล้านห้าแสบบาทถ้วน) รวมเป็นเงินที่จำเลยจะต้องชำระคืนให้แก่โจทก์ 16,500,000 บาท (สิบหกล้านห้าแสนบาทถ้วน)

โจทก์ไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับจำเลยได้ จึงต้องมาฟ้องเป็นคดีนี้ เพื่อขอบารมีศาลเป็นที่พึ่ง เพื่อบังคับจำเลยต่อไป

คำขอท้ายฟ้อง

ข้อ 1. ขอให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยที่ค้างชำระรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 16,500,000 บาท (สิบหกล้านห้าแสนบาทถ้วน)

ข้อ 2.ขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อปี จากต้นเงิน 15,000,000 บาท (สิบห้าล้านบาทถ้วน) นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จสิ้น

ข้อ 3. ขอให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์

 

ข้อ 2. ในสำนวนการสอบสวนคดีเรื่องหนึ่งได้ความว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เวลาประมาณ 14.00 นาฬิกา นายหมูกับนายหมีได้เข้าไปลักเอารถจักรยานยนต์ ราคา 35,000 บาท ของบายแช่ม ชิดชอบ ที่จอดอยู่ในโรงรถของบ้านพักอาศัยของนายแช่มฯ ซึ่งตั้งอยู่ที่ถนนเจริญกรุง แขวงบางรัก เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ครั้นต่อมาวันที่ 2 มกราคม 2557 เวลาประมาณ 12.00 นาฬิกา เจ้าพนักงานจับนายหมูได้พร้อมกับยึดรถจักรยานยนต์ที่นายหมูกับนายหมีร่วมกับลักเอาไปดังกล่าว เป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน ขั้นสอบสวนนายหมูให้การรับสารภาพ พนักงานสอบสวนได้นำตัวนายหมูไปฝากขังไว้ที่ศาลจังหวัดพระโขนง ในคดีหมายเลขดำที่ ฝ.60/2557 เสร็จแล้วสรุปสำนวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดพระโขนง ส่วนนายหมียังจับตัวไม่ใด้แต่ใด้ออกหมายจับไว้

ข้อกฎหมาย ประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น…ไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐาน…

มาตรา 335 ผู้ใดลักทรัพย์

(1) ในเวลากลางคืน

(8)       ในเคหสถาน…

(9)       โดย…หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป ต้องระวางโทษ …

หากนักศึกษาเป็นพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดพระโขนง ผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ และมีคำสั่งฟ้องนายหมูในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ ให้เรียงคำฟ้องคดีนี้เฉพาะเนื้อหาคำฟ้อง ในภาคการกระทำความผิดและการได้ตัวนายหมีมาดำเนินคดีเท่านั้น ทั้งนี้ไมต้องคำนึงถึง แบบพิมพ์คำฟ้องแต่ประการใด

ธงคำตอบ

ถ้าข้าพเจ้าเป็นพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการจังหวัดพระโขนง ผู้รับผิดชอบดำเนินคดีนี้ และ มีคำสั่งฟ้องนายหมูในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ ข้าพเจ้าจะเรียงคำฟ้องคดีนี้ ดังต่อไปนี้

คำฟ้องอาญา

ข้อ 1. เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2556 เวลากลางวัน จำเลยนี้กับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีกหนึ่งคน ได้กระทำการอันเป็นความผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ ได้บังอาจลักเอารถจักรยานยนต์จำนวน 1 คัน ราคา 35,000 บาท (สามหมื่นห้าพันบาท) ของนายแช่ม ชิดชอบ ผู้เสียหายไปโดยทุจริต โดยในการลักทรัพย์ดังกล่าว จำเลยและพวก ได้เข้าไปในโรงรถของบ้านพักอาศัยอันเป็นเคหสถานของผู้เสียหาย และได้เอาทรัพย์ดังกล่าวของผู้เสียหาย ที่จอดอยู่ไป

เหตุเกิดที่แขวงบางรัก เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร

ข้อ 2. ต่อมาวันที่ 2 มกราคม 2557 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานจับจำเลยนี้มาได้พร้อมกับยึด รถจักรยานยนต์ที่จำเลยกับพวกร่วมกันลักเอาไปเป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวนทำการสอบสวน

ขั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ

ของกลางพนักงานสอบสวนเก็บรักษาไว้

ระหว่างสอบสวบ จำเลยถูกควบคุมตัวมาตลอด ตามหมายขังของศาลนี้ในคดีหมายเลขดำที่ ฝ.60/2557 ขอศาลเบิกตัวจำเลยมาเพื่อพิจารณาพิพากษาลงโทษตามกฎหมายต่อไป

 

ข้อ 3. นายมกราสมรสกับนางกุมพาในวันแม่แห่งชาติอันตรงกับวันเกิดของนายมกราพอดี อยู่อาศัยที่บ้านเลขที่ 666 ถนนรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร 10240 เปิดร้านขายขนมไทย มีบุตรด้วยกัน 3 คน คือ นายมีนา นายเมษา และนายพฤษภา ต่อมาเมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 นางกุมพาเสียชีวิตลงด้วยโรคชราที่โรงพยาบาลรามคำแหง บรรดาทายาทจึงตกลงให้นายมกรา อายุ 57 ปี สัญชาติไทย เชื้อชาติไทย ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการมรดกของนางกุมพา คือ เงินสดฝากอยู่ใน ธนาคารมหานคร สาขาบางกะปิ เป็นเงินจำนวน 100 ล้านบาท ที่ดินโฉนดเลขที่ 123/56 ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร มีราคาประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งนางกุมพาไม่ได้ทำ พินัยกรรมเอาไว้แต่อย่างใด ให้นักศึกษาเขียนคำร้องตั้งผู้จัดการมรดก (เขียนแต่เนื้อหา ไม่ต้องคำนึงถึงแบบฟอร์ม)

ธงคำตอบ

คำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดก

ข้าพเจ้า นายมกรา ผู้ร้อง เชื้อชาติไทย สัญชาติไทย อาชีพ ค้าขาย เกิดวันที่ 12 เดือน สิงหาคม พ.ค. 2500 อายุ 5ปี อยู่บ้านเลขที่ 666 หมู่ที่ –  ถนนรามคำแหง ตรอก/ซอย – ตำบล/แขวง หัวหมาก. อำเภอ/เขต บางกะปิ จังหวัด กรุงเทพมหานคร 10240 ขอยื่นคำร้องมีข้อความตามที่จะกล่าวต่อไปนี้

ข้อ 1. ผู้ร้องเกี่ยวข้องเป็นสามีของนางกุมพา ผู้วายชนม์ ปรากฏตามบัญชีเครือญาติ เอกสาร ท้ายคำร้องหมายเลข 1

ข้อ 2. เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2557 นางกุมพาถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา ณ โรงพยาบาลรามคำแหง แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ปรากฏตามสำเนามรณบัตร เอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 2

ข้อ 3. นางกุมพา ผู้วายชนม์ มีมรดก คือ เงินฝากอยู่ในธนาคารมหานคร สาขาบางกะปิ เป็น จำนวน 100 ล้านบาท ที่ดินจำนวน 1 แปลง ราคา 50 ล้านบาท รายละเอียดปรากฏตามบัญชีเอกสารท้ายคำร้อง หมายเลข 3

มรดกดังกล่าวนี้ นางกุมพา ผู้วายชนม์ ไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้แต่อย่างใด

ข้อ 4. ผู้ร้องมีเหตุขัดข้องไม่สามารถจัดการมรดกของผู้ตายได้ เนื่องจากธนาคารผู้รับฝากเงิน คือธนาคารมหานคร และเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดสมุทรสาคร ปฏิเสธไม่ดำเนินการจ่ายเงินและโอนที่ดินให้แก่ผู้ร้อง โดยอ้างว่าให้นำคำสั่งศาลตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกมาแสดงก่อนจึงจะจัดการให้

ผู้ร้องเป็นผู้บรรลุนิติภาวะ และไม่เป็นบุคคลวิกลจริต บุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ หรือบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย มีความสามารถที่จะจัดการมรดกรายนี้ได้

ฉะนั้น ขอศาลได้โปรดไต่สวนคำร้อง และมีคำสั่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของนางกุมพาผู้วายชนม์ต่อไป

LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 1/2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายวิเชียรทำงานอยู่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง  ได้รับเงินเดือนๆละ  50,000  บาท  เมื่อวันที่  20  มกราคม  2550  นายวิเชียรได้ประกอบพิธีสมรสและจดทะเบียนสมรสกับนางสาวพิสมัย  ในการสมรสครั้งนี้นายสมศักดิ์บิดาของนายวิเชียรได้ยกเรือนหอให้แก่นายวิเชียรและนางพิสมัย  1  หลัง  ราคา  3  ล้านบาท  ก่อนทำการสมรสนางพิสมัยได้ทำประกันชีวิตไว้กับบริษัทประกันชีวิตจำกัด  อายุกรมธรรม์มีกำหนด  15  ปี  ส่งเบี้ยประกันปีละ  15,000  บาท  หลังจากสมรสแล้วนางพิสมัยไม่ได้ประกอบอาชีพใดๆทั้งสิ้น  นอกจากนี้นายวิเชียรได้ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลในงวดวันที่  1  ตุลาคม  2550  และถูกรางวัล  30,000  บาท  ดังนี้อยากทราบว่า

(ก)  เงินได้ที่นายวิเชียรได้รับทั้งเงินเดือน  เรือนหอ  และรางวัลสลากกินแบ่งจะต้องนำมายื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่  เพราะเหตุใด

(ข)  นายวิเชียรจะนำนางพิสมัยมาหักลดหย่อนได้หรือไม่  และเงินเบี้ยประกันชีวิตของนางพิสมัยนายวิเชียรจะนำมาหักลดหย่อนเบี้ยประกันในปีภาษี  2550  ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  41  ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทย  หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ

มาตรา  42  เงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้

(10)                    เงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะ  โดยหน้าที่ธรรมจรรยา  เงินได้ที่ได้รับจากการรับมรดกหรือจากการให้โดยเสน่ห์หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี

(11)                    รางวัลเพื่อการศึกษาหรือค้นคว้าในวิทยาการ  รางวัลสลากกินแบ่งหรือสลากออมสินของรัฐบาล  รางวัลที่ทางราชการจ่ายให้ในการประกวดหรือแข่งขัน  ซึ่งผู้รับมิได้มีอาชีพในการประกวดหรือแข่งขัน  หรือสินบนรางวัลที่ทางราชการจ่ายให้เพื่อประโยชน์ในการปราบปรามกระทำความผิด

มาตรา  47  เงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  เมื่อได้หักตามมาตรา  42  ทวิถึงมาตรา  46  แล้ว  เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษี  ให้หักลดหย่อนได้อีกดังต่อไปนี้ 

(1) ลดหย่อนให้สำหรับ

(ข)  สามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้  30,000  บาท

(ง) เบี้ยประกันภัยที่ผู้มีเงินได้จ่ายไปในปีภาษีสำหรับการประกันชีวิตของผู้มีเงินได้ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน  10,000  บาท  ทั้งนี้ เฉพาะในกรณีที่กรมธรรม์ประกันชีวิตมีกำหนดเวลาตั้งแต่สิบปีขึ้นไป  การประกันชีวิตนั้นได้เอาประกันไว้กับผู้รับประกันภัยที่ประกอบกิจการประกันชีวิตในราชอาญาจักร

ในกรณีสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้มีการประกันชีวิต  และความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษีให้หักลดหย่อนได้ด้วยสำหรับเบี้ยประกันที่จ่ายสำหรับการประกันชีวิตของสามีหรือภริยานั้นตามเกณฑ์ในวรรคหนึ่ง

วินิจฉัย

(ก)  เงินเดือนที่นายวิเชียรได้รับจะต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพราะเป็นเงินที่ได้รับจากแหล่งเงินได้ในประเทศไทย  เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในประเทศไทย  จึงต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากรมาตรา  41  วรรคแรก

สำหรับเงินได้จากเรือนหอราคา  3  ล้านบาทที่นายวิเชียรและนางพิสมัยได้รับจากนายสมศักดิ์บิดาเป็นเงินได้ที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษี  เพราะเรือนหอนั้นได้ให้ในวันสมรส  ซึ่งเป็นเงินได้จากการให้โดยเสน่ห์หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี  จึงได้รับยกเว้นตามประมวลรัษฎากรมาตรา  42(10)

ส่วนเงินได้จากการถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลที่นายวิเชียรได้รับจำนวน  30,000  บาท  ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษี  เพราะเป็นเงินได้ที่ได้รับยกเว้นตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  42(11)

(ข)  นายวิเชียรสามารถนำนางพิสมัยมาหักลดหย่อนได้เพราะนางพิสมัยเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย  โดยไม่จำต้องอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี  และนางพิสมัยก็ไม่ได้ประกอบอาชีพใดจึงนำมาหักลดหย่อนได้ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  47  (1)(ข)

ส่วนเงินเบี้ยประกันชีวิตของนางพิสมัย  นายวิเชียรจะนำมาหักลดหย่อนไม่ได้  เพราะการจะหักลดหย่อนสำหรับเบี้ยประกันชีวิตนั้นจะต้องเป็นกรณีที่สามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้มีการประกันชีวิตและความเป็นสามีภริยาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี  ทั้งนี้ให้หักลดหย่อนสำหรับเบี้ยประกันที่จ่ายสำหรับการประกันชีวิตของสามีหรือภริยาได้ไม่เกิน  10,000  บาท  แต่กรณีนี้  นายวิเชียรและนางพิสมัยมิได้อยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี  (ปีภาษีคือ  1  ม.ค.  ถึง  31  ธ.ค.)  จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  47 (1)(ง)  วรรคสอง

สรุป 

(ก)  เงินได้ที่นายวิเชียรได้รับเฉพาะเงินเดือนเท่านั้นที่ต้องนำมายื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

(ข)  นายวิเชียรสามารถนำนางพิสมัยมาหักลดหย่อนได้  แต่ในส่วนเบี้ยประกันชีวิตในปีภาษี  2550  นายวิเชียรไม่สามารถนำมาหักลดหย่อนได้

 

ข้อ  2  Food  Production  &  Corporation  (ชื่อย่อ  “Food  Production”  เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และมีสาขาอยู่ในประเทศไทย  สำนักงานใหญ่ของ  Food  Production  มีข้อผูกพันตามสัญญาที่จะต้องจ่ายค่าบริการในการติดตั้งเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตสินค้าให้แก่  Machine  Service  Corporation  จำนวน  100  ล้านบาท  จึงได้สั่งให้สาขาในประเทศไทยส่งเงินจำนวน  80  ล้านบาท  เพื่อนำไปชำระค่าบริการดังกล่าว  ดังนี้  อยากทราบว่าสาขาในประเทศไทยของ  Food  Production  จะนำเงินจำนวน  80  ล้านบาท  ที่ส่งไปชำระค่าบริการของสำนักงานใหญ่มาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีในประเทศไทยได้หรือไม่  และจะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินจำนวนดังกล่าวด้วยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  65  วรรคแรก  เงินได้ที่ต้องเสียภาษีตามความในส่วนนี้คือกำไรสุทธิซึ่งคำนวณได้จากรายได้จากกิจการ  หรือเนื่องจากกิจการที่กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีหักด้วยรายจ่ายตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา  65  ทวิ  และมาตรา  65  ตรี  และรอบระยะเวลาบัญชีดังกล่าวให้มีกำหนดสิบสองเดือน

มาตรา  65  ทวิ  การคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสิทธิในส่วนนี้ให้เป็นไปตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้

(1) รายการที่ระบุไว้ในมาตรา  65  ตรี  ไม่ให้ถือเป็นรายจ่าย

มาตรา  65  ตรี  รายการต่อไปนี้ไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ

(14)รายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายเพื่อกิจการในประเทศไทยโดยเฉพาะ

มาตรา  70  ทวิ  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใดจำหน่ายเงินกำไรหรือเงินประเภทอื่นใดที่กันไว้จากกำไรหรือที่ถือได้ว่าเป็นเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย  ให้เสียภาษีเงินได้  โดยหักภาษีจากจำนวนเงินที่จำหน่ายนั้นตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลแล้วนำส่งอำเภอท้องที่พร้อมกับยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเจ็ดวันนับแต่วันจำหน่าย

วินิจฉัย

แม้ว่า Food  Production  สาขาประเทศไทยและสำนักงานใหญ่จะเป็นนิติบุคคลเดียวกัน  แต่การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับ  Food Production  ในกรณีนี้จะต้องเสียภาษีในกำไรสุทธิจากกิจการหรือเนื่องจากกิจการในประเทศไทยในรอบระยะเวลาบัญชี  และการคำนวณกำไรสุทธิให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับมาตรา  65  และมาตรา  65  ทวิ  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  66  วรรคสอง  ดังนั้น  ทั้งรายได้และรายจ่ายที่จะใช้ในการคำนวณสุทธิจะต้องเกี่ยวเนื่องกับกิจการในประเทศไทย  การที่  Food  Production  สาขาประเทศไทยส่งเงินจำนวน  80  ล้านบาท  เพื่อนำไปใช้ชำระค่าบริการของสำนักงานใหญ่  ซึ่งเป็นรายจ่ายที่มิใช่รายจ่ายเพื่อกิจการในประเทศไทยโดยเฉพาะ  เป็นรายจ่ายต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  65  ตรี  (14)  และไม่อาจนำรายจ่ายดังกล่าวมาใช้ในการคำนวณกำไรสุทธิของสาขาได้ตามกฎหมาย

แต่อย่างไรก็ตามการที่  Food  Production  สาขาประเทศไทยส่งเงินจำนวน  80  ล้านบาท  ไปใช้ในการชำระค่าบริการซึ่งเป็นรายจ่ายของสำนักงานใหญ่  ถือว่าเป็นการจำหน่ายเงินกำไรหรือที่ถือได้ว่าเป็นเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย  จึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้โดยหักจากจำนวนเงินที่จำหน่ายออกไปตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับกรณีนี้คืออัตราร้อยละ  10  ตามประมวลรัษฎากรมาตรา  70  ทวิวรรคแรก

สรุป  Food  Production  ไม่สามารถนำเงินจำนวน  80  ล้านบาท  มาหักเป็นรายจ่ายได้แต่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล  โดยหักจากจำนวนที่จำหน่ายออกไปในอัตราร้อยละ  10

 

ข้อ  3  เด็กชายแดงเป็นผู้เยาว์และมีบิดาชอบด้วยกฎหมายคือ  นายดำ  หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าทั้งคู่เป็นผู้อยู่ในประเทศไทยตลอดปีภาษี  2550  และในปีภาษีดังกล่าว  เด็กชายแดงได้รับเงินปันผลจากหุ้นของบริษัทแห่งหนึ่งที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศไทย  เป็นจำนวนเงิน  1,400,000  บาท 

จงวินิจฉัยว่าหากเงินได้ดังกล่าวถูกนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีประจำปีแล้ว

(ก)  เงินได้ดังกล่าวถือเป็นเงินได้พึงประเมินของเด็กชายแดง  หรือถือเป็นเงินได้ของนายดำผู้เป็นบิดาชอบด้วยกฎหมาย  และเพราะเหตุใด

(ข)  เงินได้ดังกล่าวจะสามารถเครดิตภาษีตามมาตรา  47  ทวิ  แห่งประมวลรัษฎากรได้หรือไม่  และหากได้รับจำนวนเครดิตภาษีจะมีจำนวนเท่าใด  และเครดิตดังกล่าวถือเป็นเงินได้พึงประเมินด้วยหรือไม่  เพราะเหตุใด  (อัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลปัจจุบันเท่ากับร้อยละ  30)

ธงคำตอบ

มาตรา  39  ในหมวดนี้  เว้นแต่ข้อความจะแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น

เงินได้พึงประเมิน  หมายความว่าเงินได้อันเข้าลักษณะพึงเสียภาษีในหมวดนี้เงินได้ที่กล่าวนี้ให้หมายความรวมตลอดถึงทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้รับ  ซึ่งอาจคิดคำนวณได้เป็นเงิน  เงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆ  และเครดิตภาษีตามมาตรา  47  ทวิด้วย

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือ  เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(4) เงินได้ที่เป็น

(ข)  เงินปันผล  เงินส่วนแบ่งของกำไร  หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  กองทุนรวม  หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม  พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม  เงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีไว้  ณ  ที่จ่ายตามกฎหมายว่าด้วยภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเฉพาะส่วนที่เหลือจากถูกหักภาษีไว้  ณ  ที่จ่าย  ตามกฎหมายดังกล่าว

เพื่อประโยชน์ในการคำนวณเงินได้ตามวรรคหนึ่ง  ในกรณีที่บุตรชอบด้วยกฎหมายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเป็นผู้มีเงินได้และความเป็นสามีของบิดาและมาดาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี  ให้ถือว่าเงินได้ของบุตรดังกล่าวเป็นเงินได้ของบิดา

มาตรา  47  ทวิ  ให้ผู้มีเงินได้ตามมาตรา  40(4)(ข)  ซึ่งได้รับจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ได้รับเครดิตในการคำนวณภาษี  โดยให้นำอัตราภาษีเงินได้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องเสียหารด้วยผลต่างของหนึ่งร้อยลบด้วยอัตราภาษีเงินได้ดังกล่าวนั้นได้ผลลัพธ์เท่าใดให้คูณด้วยจำนวนเงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่ได้รับ  ผลลัพธ์ที่ได้เป็นเครดิตในการคำนวณภาษี  ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้จ่ายเงินได้ประกอบกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้หลายอัตรา  ผู้จ่ายเงินได้ต้องระบุในหนังสือรับรองการหักภาษี  ณ  ที่จ่ายให้ชัดเจนว่าเงินได้ที่จ่ายนั้นจำนวนใดได้มาจากกิจการที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราใด

วินิจฉัย

(ก)  การที่เด็กชายแดงได้รับเงินปันผลจากหุ้นของบริษัทแห่งหนึ่งที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  4  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(4)(ข)  เมื่อเด็กชายแดงได้รับเงินปันผลในขณะยังไม่บรรลุนิติภาวะโดยมีนายดำบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง  ในกรณีเช่นนี้  เงินได้ดังกล่าวถือเป็นเงินได้พึงประเมินของนายดำผู้เป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมาย  อันถือว่าเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองของเด็กชายแดง  ซึ่งเป็นผู้เยาว์ในขณะที่ได้รับเงินปันผล  ทั้งนี้  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(4)(ข)  วรรคสอง

(ข)  เงินได้ดังกล่าว  สามารถได้รับเครดิตภาษีเงินปันผลตามประมวลรัษฎากรมาตรา  47  ทวิ  เนื่องจากบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลเป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  และผู้รับเงินปันผลเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย  ในกรณีนี้จะได้รับเครดิตภาษีเท่ากับอัตราภาษีเงินได้ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องเสีย (ร้อยละ30)  หารด้วยผลต่างของหนึ่งร้อยลบด้วยอัตราภาษีเงินได้ดังกล่าว  และคูณด้วยจำนวนเงินปันผลที่ได้รับ

และเครดิตภาษีจำนวน  600,000  บาท  ดังกล่าว  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  39  ให้ถือเป็นเงินได้พึงประเมินของนายดำด้วย

สรุป

(ก)  เงินได้ดังกล่าวถือเป็นเงินได้ของนายดำ

(ข)  เงินได้ดังกล่าวสามารถได้รับเครดิตภาษีเป็นจำนวน  600,000  บาท  และให้ถือเป็นเงินได้พึงประเมินของนายดำด้วย

 

ข้อ  4  บริษัทอเมริกัน  โฮลดิ้ง  จำกัด  ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศสหรัฐอเมริกา และมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย  บริษัทอเมริกันฯได้ซื้อหุ้นของบริษัทเทเลคอมไทยแลนด์  จำกัด  (มหาชน)  จำนวน  1,000  ล้านบาท  ปรากฏว่าในปี  พ.ศ.  2550  บริษัทเทเลคอมไทยฯ  ได้จ่ายเงินปันผล  จำนวน  10  ล้านบาทให้แก่บริษัทอเมริกันฯ  โดยโอนเงินผ่านธนาคารและมิได้หักภาษีเงินได้  ณ  ที่จ่าย  ดังนี้

จงวินิจฉัยว่า  บริษัทเทเลคอมไทยแลนด์  จำกัด  (มหาชน)  จะมีหน้าที่หักภาษีเงินได้  ณ  ที่จ่ายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือ  เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(4) เงินได้ที่เป็น

(ข) เงินปันผล  เงินส่วนแบ่งของกำไร  หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  กองทุนรวม  หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม  พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม  เงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีไว้  ณ  ที่จ่ายตามกฎหมายว่าด้วยภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเฉพาะส่วนที่เหลือจากถูกหักภาษีไว้  ณ  ที่จ่าย  ตามกฎหมายดังกล่าว

เพื่อประโยชน์ในการคำนวณเงินได้ตามวรรคหนึ่ง  ในกรณีที่บุตรชอบด้วยกฎหมายที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเป็นผู้มีเงินได้และความเป็นสามีของบิดาและมาดาได้มีอยู่ตลอดปีภาษี  ให้ถือว่าเงินได้ของบุตรดังกล่าวเป็นเงินได้ของบิดา

มาตรา  70  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทยแต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(2)(3)(4)(5)  หรือ  (6)  ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย  ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นเสียภาษี โดยให้ผู้จ่ายหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  แล้วนำส่งอำเภอท้องที่พร้อมกับยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมินนั้น  ทั้งนี้ให้นำมาตรา  54  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

วินิจฉัย

การหักภาษี  ณ  ที่จ่ายตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  70  วรรคแรก  ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1       ผู้รับเงินต้องเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ

2       บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลดังกล่าวจะต้องมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย  และ

3       เงินได้ที่จ่ายจะต้องเป็นเงินได้ตามมาตรา  40(2)(3)(4)(5)  หรือ  (6)  ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทยเท่านั้น

บริษัทอเมริกัน  โอลดิ้ง  จำกัด  เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทย  ในปี  พ.ศ.2550  ได้รับเงินปันผลจำนวน  100  ล้านบาท  ที่จ่ายจากประเทศไทยโดยบริษัทเทเลคอมไทยแลนด์  จำกัด (มหาชน)  เงินได้ดังกล่าวถือว่าเป็นเงินได้จากเงินปันผลจากบริษัทหรือห้างหุนส่วนนิติบุคคล  อันถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  4 ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(4)(ข)  ดังนั้น  บริษัทเทเลคอมไทยแลนด์  จำกัด  (มหาชน)  ผู้จ่าย  ต้องมีหน้าที่หักภาษีเงินได้  ณ  ที่จ่ายจากเงินปันผลดังกล่าวตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  70  วรรคแรก

สรุป  บริษัทเทเลคอมไทยแลนด์  จำกัด  (มหาชน)  มีหน้าที่หักภาษีเงินได้  ณ  ที่จ่ายจากเงินปันผลดังกล่าว

LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ธนคารสยามไทย  จำกัด   มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ถนนรัชดา  กรุงเทพมหานคร  ธนาคารสยามไทย  จำกัด  มีสาขาทั้งในประเทศและต่างประเทศ  ในเดือนมกราคม    2550  ธนาคารสยามไทย  จำกัด  ได้ไปเปิดสาขาที่รัฐแคลิฟอร์เนีย  ประเทศสหรัฐอเมริกา  การเปิดธนาคารสาขาแห่งใหม่นี้ทางสำนักงานใหญ่ได้ส่งนายเสกสรรซึ่งเป้นพนักงานของธนาคารไปเป็นผู้จัดการธนาคารสาขาแคลิฟอร์เนีย  เกี่ยวกับเงินเดือนของนายเสกสรรทางสำนักงานใหญ่ได้ส่งเงินเดือนไปให้นายเสกสรรที่ประเทศสหรัฐอเมริกาทุกเดือน  สำหรับสาขาที่ประเทศสหรัฐอเมริกา  นายเสกสรรได้จ้างนางสาวกรุณาซึ่งเป็นคนไทยอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามาเป้นพนักงานของธนาคารสำหรับบริการลูกค้าที่เป็นคนไทย  โดยธนาคารสาขาในสหรัฐอเมริกาเป็นผู้จ่ายเงินเดือนให้แก่นางสาวกรุณาทุกเดือน

ดังนี้  อยากทราบว่า  เงินเดือนของนายเสกสรรและของนางสาวกรุณาจะต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทยตามประมวลรัษฎากรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  41  วรรคแรก  ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทย  หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ

วินิจฉัย

โดยหลัก  ในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นในประเทศไทย  ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย  ต่อเมื่อเงินได้พึงประเมินนั้นเกิดเนื่องจาก

1       หน้าที่งานที่ทำในประเทศไทย  หรือ

2       กิจการที่ทำในประเทศไทย  หรือ

3       กิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือ

4       ทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย

การที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารสยามไทย  จำกัด  (มหาชน)  ได้ส่งนายเสกสรรซึ่งเป็นพนักงานของธนาคารไปเป็นผู้จัดการธนาคารสาขาแคลิฟอร์เนีย  และทางสำนักงานใหญ่ได้ส่งเงินเดือนไปให้นายเสกสรรทุกเดือน  ถือว่าเงินเดือนที่นายเสกสรรได้รับเป็นเงินได้พึงประเมินที่เกิดขึ้นเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคแรก  นายเสกสรรจึงต้องมีหน้าที่ต้องนำเงินเดือนที่ได้จากสำนักงานใหญ่ในประเทศไทย  มาเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย  ทั้งนี้โดยไม่ต้องคำนึงว่านายเสกสรรจะเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยหรือไม่  และไม่ว่าเงินเดือนที่ได้รับนั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศก็ตาม

สำหรับนางสาวกรุณา  นายเสกสรรได้จ้างนางสาวกรุณา  ซึ่งเป็นคนไทยอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามาเป็นพนักงานของธนาคารโดยธนาคารสาขาเป็นผู้จ่ายเงินเดือนให้แก่นางสาวกรุณาทุกเดือน  กรณีนี้นางสาวกรุณาไม่ต้องเสียภาษีให้แก่ประเทศไทย  เพราะสำนักงานใหญ่ในประเทศไทยมิได้เป็นผู้จ่ายเงินเดือน  และธนาคารสาขาในต่างประเทศก็เป็นกิจการนอกประเทศของสำนักงานใหญ่ในประเทศไทย  ฉะนั้นเงินเดือนที่นางสาวกรุณาได้รับจึงเป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศมิใช่เงินได้เนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  เมื่อนางสาวกรุณามิได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย  และมิได้นำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย  จึงไม่ต้องเสียภาษี  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคแรก

สรุป

เงินเดือนของนายเสกสรรต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทย  ส่วนนางสาวกรุณาไม่ต้องนำเงินเดือนมาเสียภาษีให้แก่ประเทศไทย

 

ข้อ  2  บริษัทไทยพาณิชยนาวี  จำกัด  เป็นบริษัทที่จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินกิจการขนส่งทางทะเลทั้งในประเทศและต่างประเทศ  ปรากฏว่า  ในรอบระยะเวลาบัญชี  2550  บริษัทฯมีรายได้จากการขนส่งสินค้าจากประเทศอินเดียและประเทศจีนเข้ามาในประเทศไทยจำนวน  700  ล้านบาท

ดังนี้  จงวินิจฉัยว่า  บริษัทไทยพาณิชยนาวี  จำกัด  ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรจากรายได้ดังกล่าวหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  66  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในประเทศไทย  ต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้

วินิจฉัย

โดยหลัก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนจำกัด  ที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  จะต้องนำรายได้ทั่วโลก  (Worldwide  Income  Basis)  มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล  ตามประมวลรัษฎากร  โดยรวมทั้งสาขาในต่างประเทศทุกสาขา

บริษัทไทยพาณิชยนาวี  จำกัด  เป็นบริษัทที่จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  อันถือว่าเป็นบริษัทที่จดทะเบียนตามกฎหมายไทย  ดังนั้นในรอบระยะเวลาบัญชี  2550  บริษัทไทยพาณิชยนาวี  จำกัด  ต้องนำรายได้จากการขนส่งสินค้า  700  ล้านบาท  มาคำนวณกำไรสุทธิเมื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  66  วรรคแรก

สรุป  บริษัทไทยพาณิชยนาวี  จำกัด  ต้องนำรายได้  700  ล้านบาท  มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร

 

ข้อ  3  นายวินิจมีบุตรชาย  1  คน  อายุ  23  ปี  กำลังศึกษาต่อในระดับปริญญาโทอยู่ในประเทศอังกฤษส่วนภรรยาเสียชีวิตแล้ว  ในปีภาษี 2550  นายวินิจได้รับเงินได้พึงประเมินจากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์  จำนวน  3  ล้านบาท  เงินส่วนแบ่งกำไรจากการเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญจำนวน  5  ล้านบาท  เงินได้จากการขายรถยนต์ซึ่งซื้อมาใช้ส่วนตัวจำนวน  1  ล้านบาท  และได้รับค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยจากการประกันอัคคีภัยบ้านที่ให้เช่าจำนวน  2  ล้านบาท 

ดังนี้  อยากทราบว่า  นายวินิจต้องนำเงินได้พึงประเมินทุกจำนวนไปยื่นแบบรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือไม่  และมีสิทธิหักลดหย่อนสำหรับบุตรและการศึกษาบุตรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  42  เงินได้พึงประเมินประเภทต่อไปนี้  ให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้

(9) การขายสังหาริมทรัพย์อันเป็นมรดก  หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร  แต่ไม่รวมถึงเรือกำปั่น  เรือที่มีระวางตั้งแต่หกตันขึ้นไปเรือกลไฟ

(13)                    ค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิด  เงินที่ได้จากการประกันภัยหรือการฌาปนกิจสงเคราะห์

(14)                    เงินส่วนแบ่งของกำไรจากห้างหุ้นส่วนสามัญ  หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลซึ่งต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  แต่ไม่รวมถึงเงินส่วนแบ่งของกำไรจากกองทุนรวม

มาตรา  47  เงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  เมื่อได้หักตามมาตรา  42  ทวิถึงมาตรา  46  แล้ว  เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษี  ให้หักลดหย่อนภาษีได้อีกดังต่อไปนี้

(1) ลดหย่อนให้สำหรับ

(ค)  บุตรชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรบุญธรรมของผู้มีเงินได้รวมทั้งบุตรชอบด้วยกฎหมายของสามีหรือภริยาของผู้มีเงินได้ด้วย  คนละ  15,000  บาท  แต่รวมกันต้องไม่เกินสามคน

การหักลดหย่อนสำหรับบุตร  ให้หักได้เฉพาะบุตรซึ่งมีอายุไม่เกินยี่สิบปีและยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยหรือชั้นอุดมศึกษา  หรือซึ่งเป็นผู้เยาว์  หรือศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถอันอยู่ในอุปการะเลี้ยงดู  แต่มิให้หักลดหย่อนสำหรับบุตรดังกล่าวที่มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วตั้งแต่  15,000  บาทขึ้นไป  โดยเงินได้พึงประเมินนั้นไม่เข้าลักษณะตามมาตรา  42

(ฉ)  บุตรของผู้มีเงินได้ซึ่งมีสิทธิหักลดหย่อนตามเงื่อนไข (ค) และยังศึกษาอยู่ในสถานศึกษาของทางราชการ  สถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันศึกษาเอกชนหรือโรงเรียนราษฎร์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนราษฎร์  ให้หักลดหย่อนเพื่อการศึกษาได้อีกคนละ  2,000  บาท

วินิจฉัย

เงินส่วนแบ่งกำไรจากการเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญ  จำนวน  15  ล้านบาท  ของนายวินิจเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นภาษีตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  42(14)  เนื่องจากห้างหุ้นส่วนสามัญจะต้องนำเงินได้ของห้างหุ้นส่วนไปเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลมาแล้ว ส่วนแบ่งกำไรดังกล่าวจึงไม่ต้องเสียภาษีอีก  ส่วนเงินได้จากการขายรถยนต์ซึ่งซื้อมาใช้ส่วนตัว  จำนวน  1  ล้านบาท  เป็นเงินได้เนื่องจากการขายสังหาริมทรัพย์ที่ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร  ได้รับยกเว้นภาษีตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  42(9)  และค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัยจากการประกันอัคคีภัยบ้านที่ให้เช่าจำนวน  2  ล้านบาท  ก็เป็นเงินได้จากการประกันภัยที่ได้รับยกเว้นภาษีตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  42(13)  เช่นเดียวกัน  ดังนั้น  นายวินิจจึงมีหน้าที่ต้องนำเงินได้พึงประเมินเฉพาะเงินได้จากการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์จำนวน  3  ล้านบาท  ไปยื่นแบบรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น

สำหรับบุตรของนายวินิจซึ่งมีอายุ  23  ปี  และกำลังศึกษาในระดับปริญญาโทซึ่งถือว่าเป็นชั้นอุดมศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ  ก็ย่อมมีสิทธิหักลดหย่อนสำหรับบุตรจำนวน  15,000  บาท  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  47(1)(ค)  วรรคแรกและวรรคสี่  แต่การหักลดหย่อนสำหรับการศึกษาบุตรจำนวน  2,000  บาทนั้น  เนื่องจากบุตรของนายวินิจไม่ได้ศึกษาอยู่ในสถานศึกษาของทางราชการ  สถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันเอกชนตามประมวลรัษฎากร    มาตรา 47(1)(ฉ)  นายวินิจจึงไม่มีสิทธิหักลดหย่อนสำหรับการศึกษาบุตรในส่วนนี้

สรุป  นายวินิจมีหน้าที่ต้องนำเงินได้พึงประเมินเฉพาะเงินได้จากการให้อสังหาริมทรัพย์ไปยื่นแบบรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่านั้น  ส่วนเงินได้พึงประเมินประเภทอื่นได้รับการยกเว้นภาษี  ส่วนบุตร  นายวินิจมีสิทธิหักลดหย่อนจำนวน  15,000  บาท  แต่ไม่มีสิทธิหักลดหย่อนสำหรับการศึกษา

 

ข้อ  4  นายสมัคร  อดีตข้าราชการ  อายุวัย  65  ในปี  2550  ได้รับการติดต่อจากบริษัทริชชี่  จำกัด  ซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศมาเลเซีย  ไม่มีสำนักงานสาขาในประเทศไทย  ว่าจ้างให้นายสมัครทำหน้าที่เป็นผู้แทนของบริษัทริชชี่  จำกัด  ในการลงนามขายสินค้ามูลค่า  500  ล้านบาทให้แก่  บริษัทไทยแท้  จำกัด  ผู้ซื้อซึ่งเป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศไทย  ทั้งนี้การลงนามสัญญามีขึ้นที่กรุงเทพมหานคร  จากข้อเท็จจริงดังกล่าว  จงวินิจฉัยพร้องปรับบทบัญญัติแห่งกฎหมายเพื่อตอบคำถามดังต่อไปนี้

(ก)  บริษัทริชชี่  จำกัด  มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทยจากการขายสินค้าดังกล่าวหรือไม่  เพราะเหตุใด

(ข)  หากบริษัทริชชี่  จำกัด  มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทยจากการขายสินค้าดังกล่าวแล้ว  หน้าที่ในการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีในประเทศไทยเป็นหน้าที่ของผู้ใด

(ค)  หากบริษัทริชชี่  จำกัด  มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทยจากการขายสินค้าดังกล่าวแล้ว  แต่ไม่ประสงค์จะเสียภาษีจากกำไรสุทธิในอัตราร้อยละ  30  จะมีเหตุใดตามกฎหมายที่ทำให้เสียภาษีในอัตราที่ลดลง  และเป็นอัตราใด

  ธงคำตอบ

มาตรา  71  ในกรณีที่

(1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใด  ไม่ยื่นรายการซึ่งจำเป็นต้องใช้ในการคำนวณภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  หรือมิได้ทำบัญชีหรือทำไม่ครบตามที่กำหนดไว้ในมาตรา  17  หรือมาตรา  68  ทวิ  หรือไม่นำบัญชี  เอกสารหรือหลักฐานอื่นมาให้เจ้าพนักงานประเมินทำการไต่สวนตามมาตรา  19  หรือมาตรา  23  เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษีในอัตราร้อยละ  5  ของยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายใดๆหรือยอดขายก่อนหักรายจ่ายใดๆของรอบระยะเวลาบัญชีแล้วแต่อย่างใดจะมากกว่า  ถ้ายอดรายรับก่อนกักรายจ่ายหรือยอดขายก่อนหักรายจ่ายดังกล่าว  ไม่ปรากฏเจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินโดยอาศัยเทียบเคียงกับยอดในรอบระยะเวลาบัญชีก่อนนั้นขึ้นไป  ถ้ายอดในรอบระยะเวลาบัญชีก่อนนั้นขึ้นไปไม่ปรากฏให้ประเมินได้ตามที่เห็นสมควร

มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  มีลูกจ้าง  หรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อ  ในการประกอบกิจการในประเทศไทย  ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย  ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทยและให้ถือว่าบุคคลผู้เป็นลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อเช่นว่านั้นไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล  เป็นตัวแทนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และให้บุคคลนั้นมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  เฉพาะที่เกี่ยวกับเงินได้หรือผลกำไรที่กล่าวแล้ว

ในกรณีที่กล่าวในวรรคแรก  ถ้าบุคคลผู้มีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีไม่สามารถจะคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้ได้  ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการประเมินภาษี  ตามมาตรา  71(1)  มาใช้บังคับโดยอนุโลม 

วินิจฉัย

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และไม่มีสาขาในประเทศไทย  หากมีลักษณะตามที่ประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก  กำหนดไว้ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทย  ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1       บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ

2       มีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อในประเทศไทย

3       ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินหรือผลกำไรในประเทศไทย

(ก)  บริษัทริชชี่  จำกัด  มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทยจากการขายสินค้าดังกล่าว  เนื่องจากเป็นบริษัทต่างประเทศจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศมาเลเซีย  และมีนายสมัครเป็นผู้ทำการแทนในการขายสินค้าในประเทศไทย  ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทยตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก

(ข)  เป็นหน้าที่ของนายสมัคร  เนื่องจากนายสมัครเป็นผู้ทำการแทนของบริษัทต่างประเทศ  คือ  บริษัทริชชี่  จำกัด  ในการขายสินค้าในประเทศไทย  วึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก

(ค)  นายสมัครซึ่งเป็นผู้ทำการแทนของบริษัทต่างประเทศ  คือ  บริษัทริชชี่  จำกัด  ในการขายสินค้าในประเทศไทยซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย  อาจร้องขอต่อกรมสรรพากรว่าไม่สามารถคำนวณกำไรสุทธิได้  จึงขอเสียจากยอดขายก่อนหักค่าใช้จ่าย  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  71(1)  คือ  ในอัตราภาษีร้อยละ  5  จากยอดขาย  500  ล้านบาท  ทั้งนี้  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคสอง

สรุป

(ก)  บริษัทริชชี่  จำกัด  มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้ในประเทศไทย

(ข)  เป็นหน้าที่ของนายสมัครผู้ทำการแทน

(ค)  นายสมัครอาจร้องขอต่อกรมสรรพากรว่าไม่สามารถคำนวณกำไรสุทธิได้  โดยขอเสียจากยอดขายก่อนหักค่าใช้จ่าย

LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร S/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายอุดม  เป็นเจ้าของร้านอาหารทะเลตั้งอยู่ที่กรุงเทพมหานคร  และมีสาขาในย่านธุรกิจหลายแห่งในปีภาษี  2550  นายอุดมมีเงินได้จากการขายอาหารจำนวน  3  ล้านบาท  และในปีเดียวกันนี้เอง  นายอุดมได้เดินทางไปเปิดร้านอาหารไทยที่ประเทศแคนาดา  ในวันที่ 10  มีนาคม  2550  และมีเงินได้จากการขายอาหารจำนวน  5  ล้านบาท  หลังจากนั้นได้เดินทางกลับประเทศไทย  ในวันที่  10  ธันวาคม  2550  โดยนำเงินจำนวน  5  ล้านบาทกลับมาด้วย

จงวินิจฉัยว่า  นายอุดมต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในเงินได้จากการขายอาหารทั้งในประเทศและต่างประเทศตามประมวลรัษฎากรหรือไม่อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  41  ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในประเทศไทย  หรือเนื่องจากกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทยต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  ไม่ว่าเงินได้นั้นจะจ่ายในหรือนอกประเทศ

ผู้อยู่ในประเทศไทย  มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  เนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ  หรือเนื่องจากทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ  ต้องเสียภาษีเงินได้ตามบทบัญญัติในส่วนนี้  เมื่อนำเงินได้พึงประเมินนั้นเข้ามาในประเทศไทย

ผู้ใดอยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายระยะ  รวมเวลาทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดสิบวันในปีภาษีใด  ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  ในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นในประเทศไทย  ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย  ต่อเมื่อเงินได้พึงประเมินนั้น  เกิดเนื่องจากหน้าที่การงานที่ทำในประเทศไทย  หรือกิจการที่ทำในประเทศไทยหรือกิจการของนายจ้างในประเทศไทย  หรือทรัพย์สินที่อยู่ในประเทศไทย  (มาตรา  41  วรรคแรก)

ส่วนในกรณีที่แหล่งเงินได้เกิดขึ้นนอกประเทศ  ผู้มีเงินได้จะต้องเสียภาษีให้กับประเทศไทยต่อเมื่อผู้มีเงินได้เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย  และมีเงินได้พึงประเมิน  เนื่องจากหน้าที่การงานที่ทำในต่างประเทศหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศหรือทรัพย์สินที่อยู่ต่างประเทศ  และได้นำเงินได้นั้นเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกับปีที่อยู่ในประเทศไทย  (มาตรา  41  วรรคสองและวรรคสาม)

ในปีภาษี  2550  นายอุดมมีแหล่งเงินได้จากกิจการในประเทศไทย  จำนวน  3  ล้านบาท  จึงต้องเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  41  วรรคแรก  ส่วนเงินได้จากแหล่งเงินได้นอกประเทศไทย  จำนวน  5  ล้านบาทนั้น  ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ให้กับประเทศไทย  เพราะในปีภาษี  2550  นายดำมิใช่เป็นผู้อยู่ในประเทศไทย  เนื่องจากอยู่ในประเทศไทยไม่ครบ  180  วัน  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา 41  วรรคสอง  และวรรคสาม  ทั้งนี้  แม้นายดำจะนำเงินได้ดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีเดียวกันก็ตาม

สรุป  นายอุดมต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในเงินที่ได้จากการขายอาหารในประเทศไทยเท่านั้น

 

ข้อ  2  ในปีภาษี  2550  นายเอกและนางโท  เป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายและอยู่กินร่วมกันตลอดปีภาษี  โดยต่างฝ่ายต่างมีเงินได้พึงประเมิน  ดังต่อไปนี้

(1) เงินค่านายหน้าจากการเป็นตัวแทนบริษัทผู้รับประกันภัยของนายเอก

(2) เงินได้จากเงินปันผลในการถือหุ้นบริษัทของนายเอก

(3) เงินได้จากการเปิดร้านขายของชำของนายเอก

(4) เงินได้จากเงินเดือนของนางโทในการเป็นลูกจ้างของบริษัทฯ

(5) เงินได้จากการมีบ้านให้เช่าของนางโท

จงวินิจฉัยว่า

 1       ในปีภาษี  2550  นายเอกและนางโท  มีเงินได้พึงประเมินประเภทใดตามประมวลรัษฎากร

2       เงินได้พึงประเมินประเภทใดทั้งของนายเอกและนางโทที่ต้องนำมายื่นแบบแสดงรายการ  (ภ.ง.ด.94)  เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี  ภายในเดือนกันยายน  2550

3       ถ้านางโทต้องการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้ฯ  แยกต่างหากจากสามีแล้วประมวลรัษฎากรกำหนดหลักเกณฑ์ไว้อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือ  เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(1) เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานไม่ว่าจะเป็นเงินเดือน  ค่าจ้าง  เบี้ยเลี้ยง  โบนัส  เบี้ยหวัด  บำเหน็จ  บำนาญ  เงินค่าเช่าบ้าน  เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่นายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า  เงินที่นายจ้างจ่ายชำระหนี้ใดๆซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระ  และเงิน  ทรัพย์สินหรือประโยชน์ใดๆบรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน

(2) เงินได้เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ  หรือจากการรับทำงานให้  ไม่ว่าจะเป็นค่าธรรมเนียม  ค่านายหน้า  ค่าส่วนลด  เงินอุดหนุนในงานที่ทำ  เบี้ยประชุม  บำเหน็จ  โบนัส  เงินค่าเช่าบ้าน  เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้านที่ผู้จ่ายเงินได้ให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า  เงินที่ผู้จ่ายเงินได้จ่ายชำระหนี้ใดๆซึ่งผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องชำระ  และเงิน  ทรัพย์สิน  หรือประโยชน์ใดๆบรรดาที่ได้เนื่องจากน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ  หรือจากการรับทำงานให้นั้นไม่ว่าหน้าที่  หรือตำแหน่งงาน  หรืองานที่รับทำให้นั้นจะเป็นการประจำหรือชั่วคราว

(4) เงินได้ที่เป็น

(ข)  เงินปันผล  เงินส่วนแบ่งของกำไร  หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  กองทุนรวม  หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายโดยเฉาะของประเทศไทยจัดตั้งขึ้นสำหรับให้กู้ยืมเงินเพื่อส่งเสริมเกษตรกรรม  พาณิชยกรรม หรืออุตสาหกรรม  เงินปันผลหรือเงินส่วนแบ่งของกำไรที่อยู่ในบังคับต้องถูกหักภาษีไว้  ณ  ที่จ่ายตามกฎหมายว่าด้วยภาษีเงินได้ปิโตรเลียมเฉพาะส่วนที่เหลือจากถูกหักภาษีไว้  ณ  ที่จ่าย  ตามกฎหมายดังกล่าว

(5) เงินหรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้เนื่องจาก

(ก)  การให้เช่าทรัพย์สิน

(8) เงินได้จากการธุรกิจ  การพาณิชย์  การเกษตร  การอุตสาหกรรม  การขนส่ง  หรือการอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  ถึง  (7)  แล้ว

มาตรา  56  ทวิ  วรรคแรก  เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีก่อนถึงกำหนดเวลาตามมาตรา  56  ให้ผู้มีหน้าที่ยื่นรายการตามมาตรา  56 มาตรา  57  มาตรา  57  ทวิ  และมาตรา  57  ตรี  ยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดแสดงรายการเงินได้เฉพาะตามมาตรา  40(5) (6) (7) หรือ  (8)  ไม่ว่าจะมีเงินได้ประเภทอื่นรวมอยู่ด้วยหรือไม่  ที่ได้รับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน  ภายในเดือนกันยายนของทุกปีภาษี

มาตรา  57  เบญจ  วรรคแรก  ถ้าภริยามีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้ว  ไม่ว่าจะมีเงินได้พึงประเมินอื่นด้วยหรือไม่  ภริยาจะแยกยื่นรายการและเสียภาษีต่างหากจากสามีเฉพาะส่วนที่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)  โดยมิให้ถือว่าเป็นเงินได้ของสามีตามมาตรา  57  ตรีก็ได้

วินิจฉัย

1       เงินค่านายหน้าขากการเป็นตัวแทนบริษัทผู้รับประกันภัยของนายเอก  ถือว่าเป็นเงินได้จากการรับทำงานให้อันเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  2  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(2)

– เงินได้จากเงินปันผลในการถือหุ้นบริษัทของนายเอก  ถือว่าเป็นเงินได้จากเงินปันผลจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  อันเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  4  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(4)(ข)

 เงินได้จากการเปิดร้านขายของชำของนายเอก  ถือว่าเป็นเงินได้จากการพาณิชย์  อันเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  8  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(8)

เงินเดือนของนางโทในการเป็นลูกจ้างของบริษัทฯ  ถือว่าเป็นเงินได้จากการจ้างแรงงานอันเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  1  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(1)

เงินได้จากการมีบ้านให้เช่าของนางโท  ถือว่าเป็นเงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน  อันเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  5  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(5)(ก)

2       เงินได้จากการเปิดร้านขายของชำของนายเอก  และค่าเช่าบ้านของนางโท  อันเป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  40(8)  และมาตรา  40(5)(ก)  ตามลำดับ  ต้องนำมายื่นแบบแสดงรายการ  (ภ.ง.ด.  94)  เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแบบครึ่งปี  ภายในเดือนกันยายน  2550  ตามประมวลรัษฎากรมาตรา  56  ทวิ  วรรคแรก

3       โดยหลัก  ถ้าสามีและภริยาอยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี  เงินได้ของภริยาให้ถือเป็นเงินได้ของสามี  แต่ภริยามีสิทธิที่จะนำเงินได้พึงประเมินประเภทที่  1  ตามมาตรา  40(1)  มาแยกยื่นรายการภาษีโดยมิให้ถือเป็นเงินได้ของสามี

เงินเดือนของนางโท  เป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่  1  ตามมาตรา  40(1)  ในกรณีนี้  นางโทมีสิทธิแยกยื่นรายการภาษี  เฉพาะในส่วนของเงินเดือน  โดยมิให้ถือเป็นเงินได้ของสามีได้ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  57  เบญจ  วรรคแรก

ส่วนเงินจากค่าเช่าบ้านของนางโท  เมื่อได้ความว่า  นายเอกและนางโทได้อยู่ร่วมกันตลอดปีภาษีเงินได้ดังกล่าวจึงเป็นเงินได้ของนายเอกสามี  ตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  57  ตรี  และในกรณีนี้  นางโทไม่มีสิทธิแยกยื่นรายการภาษี  ตามประมวลรัษฎากร  57  เบญจ  เพราะมิใช่เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(1)

 

ข้อ  3  ไทยเดินทะเล  จำกัด  เป็นบริษัทรับจ้างขนส่งสินค้าระหว่างประเทศที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ในรอบระยะเวลาบัญชี  2550 บริษัทฯมีรายได้จากการประกอบกิจการดังนี้

ก.      รายได้จากการขนสินค้าจากประเทศไทยไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา  จำนวน  400  ล้านบาท

ข.      รายได้จากการขนส่งสินค้าจากประเทศอินเดีย  จำกัด  ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากรายได้ดังกล่าวตามประมวลรัษฎากรอย่างไร  เพราะเหตุใด

จงวินิจฉัยว่า  บริษัทไทยเดินทะเล  จำกัด  ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากรายได้ดังกล่าวตามประมวลรัษฎากรอย่างไร  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  66  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศและกระทำกิจการในประเทศไทย  ต้องเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยจะต้องนำรายได้จากทั่วโลก  (Worldwide  Income Basis)  มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรโดยรวมสาขาในต่างประเทศทุกสาขา  

บริษัทไทยเดินทะเล  จำกัด  เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ดังนั้นในรอบระยะเวลาบัญชี  2550  บริษัทไทยเดินทะเล  จำกัด  ต้องนำรายได้จากการประกอบการทั้งหมด  ทั้งตาม  (ก)  และ  (ข)  เป็นจำนวนทั้งสิ้น  1,000  ล้านบาท  มาคำนวณกำไรสุทธิ  เพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล  ตามประมวลรัษฎากรมาตรา  66  วรรคแรก  ทั้งนี้  ไม่ว่าเงินได้ดังกล่าวจะเกิดจากการขนส่งสินค้ามาจากหรือไปจากที่ใดก็ตาม  หากได้ความว่า  บริษัทดังกล่าวได้จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยแล้ว  ต้องนำมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรทั้งสิ้น

สรุป    บริษัทไทยเดินทะเล  จำกัด  ต้องนำรายได้จากการประกอบการทั้งหมด  1,000  ล้านบาท  มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร

 

ข้อ  4  บริษัทโรม  จำกัด  เป็นบริษัทที่จดทะเบียนจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายของประเทศอิตาลี  ไม่มีสาขาหรือสถานประกอบการในประเทศไทย  ได้ทำสัญญารับจ้างซ่อมเครื่องบินของกองทัพอากาศไทย  โดยบริษัทโรง  จำกัด  ได้ส่งตัวแทนเข้ามาทำสัญญารับจ้างซ่อมเครื่องบินในประเทศไทย  แต่การซ่อมเครื่องบินได้กระทำที่ประเทศอิตาลี  เมื่อการซ่อมเครื่องบินแล้วเสร็จ  ทางกองทัพอากาศไทยต้องจ่ายค่าจ้างให้แก่บริษัทโรม  จำกัด  ตามสัญญาจ้างเป็นเงินทั้งสิ้น  10  ล้านบาท  อยากทราบว่า  บริษัทโรม  จำกัด  จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับประเทศไทยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  40  เงินได้พึงประเมินนั้น  คือ  เงินได้ประเภทดังต่อไปนี้รวมตลอดถึงเงินค่าภาษีอากรที่ผู้จ่ายเงินหรือผู้อื่นออกแทนให้สำหรับเงินได้ประเภทต่างๆดังกล่าว  ไม่ว่าในทอดใด

(7) เงินได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนด้วยการจัดหาสัมภาระในส่วนสำคัญนอกจากเครื่องมือ

มาตรา  70  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศมิได้ประกอบกิจการในประเทศไทยแต่ได้รับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(2)(3)(4)(5)  หรือ  (6)  ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย  ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นเสียภาษี โดยให้ผู้จ่ายหักภาษีจากเงินได้พึงประเมินที่จ่ายตามอัตราภาษีเงินได้สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  แล้วนำส่งอำเภอท้องที่พร้อมกับยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดภายในเจ็ดวันนับแต่วันสิ้นเดือนของเดือนที่จ่ายเงินได้พึงประเมินนั้น  ทั้งนี้ให้นำมาตรา  54  มาใช้บังคับโดยอนุโลม

มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก  บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  มีลูกจ้าง  หรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อ  ในการประกอบกิจการในประเทศไทย  ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรในประเทศไทย  ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทยและให้ถือว่าบุคคลผู้เป็นลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อเช่นว่านั้นไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล  เป็นตัวแทนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และให้บุคคลนั้นมีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีตามบทบัญญัติในส่วนนี้  เฉพาะที่เกี่ยวกับเงินได้หรือผลกำไรที่กล่าวแล้ว

วินิจฉัย

บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  และไม่มีสาขาในประเทศไทย  หากมีลักษณะตามที่ประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก  กำหนดไว้ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นประกอบกิจการในประเทศไทย  ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1       บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล  ซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ

2       มีลูกจ้างหรือผู้ทำการแทน  หรือผู้ทำการติดต่อในประเทศไทย

3       ซึ่งเป็นเหตุให้ได้รับเงินหรือผลกำไรในประเทศไทย  สำหรับตามเงื่อนไขประการที่  3  นี้ต้องพิจารณา  ตามลักษณะของสัญญาด้วย  เช่น  สัญญาจ้างทำของหรือให้บริการ  ให้ถือเอาสถานที่ให้บริการเป็นสำคัญ  หากรับจ้างทำของหรือให้บริการนั้นได้ทำในต่างประเทศทั้งหมดก็ไม่ถือว่าบริษัทต่างประเทศนั้นประกอบกิจการในประเทศไทย  แม้สัญญานั้นจะได้ทำในประเทศไทยก็ตาม

บริษัทโรม  จำกัด  เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ  ได้ส่งตัวแทนเข้ามาทำสัญญารับจ้างซ่อมเครื่องบินในประเทศไทย แต่การซ่อมเครื่องบินอันถือว่าเป็นสาระสำคัญของสัญญาจ้างทำของได้กระทำที่ประเทศอิตาลี  เช่นนี้  จึงถือไม่ได้ว่า  บริษัทโรม  จำกัด ได้ประกอบกิจการในประเทศไทย  อันเป็นเหตุให้ได้รับเงินได้หรือผลกำไรแต่อย่างใด  ดังนั้น  จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิตามประมวลรัษฎากร  มาตรา  76  ทวิ  วรรคแรก  รวมทั้งเงินค่าซ่อมเครื่องบินอันเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(7)  ที่กระทำ  ณ  ประเทศอิตาลี  ก็ไม่ต้องเสียภาษีเพราะไม่เข้าเงื่อนไขตามมาตรา  70  วรรคแรกเช่นกัน  ทั้งนี้เนื่องจากมิใช่เงินได้พึงประเมินตามมาตรา  40(2)(3)(4)  หรือ  (6)  ดังนั้น  บริษัทโรม  จำกัด  จึงไม่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรแต่อย่างใด

สรุป  บริษัทโรม  จำกัด  ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลให้กับประเทศไทย

LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร ซ่อม 1/2551

การสอบไล่ภาคซ่อม  1  ปีการศึกษา  2551
ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW4001 กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

 ข้อ 1.    นายจอห์นทำงานกับบริษัทขุดเจาะน้ำมันแห่งหนึ่งในประเทศมาเลเซีย นายจอห์นได้รับเงินเดือน ๆ ละ 200,000 บาท เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2551 บริษัทได้ส่งนายจอห์นมาทำงานกับบริษัทในประเทศไทยแห่งหนึ่งเพื่อสำรวจบ่อน้ำมันในอ่าวไทยเป็นเวลา 3 เดือน เงินเดือนที่นายจอห์นได้รับในระหว่างที่อยู่ในประเทศไทยเป็นเวลา         3 เดือนเป็นเงิน จำนวน 600,000 บาท บริษัทที่ประเทศมาเลเซียได้โอนเข้าบัญชีเงินเดือนของนายจอห์นที่ประเทศมาเลเซีย ในการเดินทางมาประเทศไทยครั้งนี้ นายจอห์นได้นำเงินเดือนที่ได้รับในเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ติดตัวเข้ามาใช้จ่ายในประเทศไทย จำนวน 200,000 บาท เมื่อทำงานเสร็จตามกำหนดนายจอห์นได้เดินทางกลับไปประเทศมาเลเซียในวันที่ 1 กรกฎาคม 2551 ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า เงินเดือนที่นายจอห์นได้รับระหว่างที่มาทำงานในประเทศไทย จำนวน 600,000 บาท และเงินที่นำติดตัวเข้ามา จำนวน 200,000 บาท จะต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทยหรือไม่ เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ  เงินเดือนที่นายจอห์นได้รับในระหว่างที่มาทำงานกับบริษัทในประเทศไทยเพื่อสำรวจบ่อน้ำมันในอ่าวไทย จำนวน 600,000 บาท นายจอห์นต้องนำมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับประเทศไทย เพราะเป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในประเทศไทยตามมาตรา 41 วรรคแรกแห่งประมวลรัษฎากร

ส่วนเงินที่นำติดตัวเข้ามาในประเทศไทยจำนวน 200,000 บาท แม้จะเป็นเงินได้เนื่องจากหน้าที่งานที่ทำในต่างประเทศ และได้นำเข้ามาในประเทศไทยในปีเดียวกับ ที่อยู่ในประเทศไทย ตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร แต่นายจอห์นก็อยู่ในประเทศไทย ในปีภาษี 2551 ไม่ครบ 180 วัน ตามมาตรา 41 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร นายจอห์นจึงไม่ต้องนำเงินได้จำนวนดังกล่าวมาเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ประเทศไทย เพราะไม่เข้าหลักการตามมาตรา 41 วรรคสาม แห่งประมวลรัษฎากร

 

ข้อ 2. นายเอกและนางโทเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งสองมีบุตรที่อยู่ในความอุปการะเลี้ยงดู 1 คน คือ นายสิน อายุ 22 ปี เป็นคนวิกลจริต นายเอกทำงานอยู่รัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งได้รับเงินเดือน ๆ ละ 40,000 บาท นางโทมิได้ทำงาน แต่นางโทได้ประกันชีวิตไว้กับบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต กรมธรรม์มีกำหนด 20 ปี ส่งเบี้ยประกันชีวิตปีละ 20,000 บาท นายเอกและนางโทได้อยู่ร่วมกันตลอดปีภาษี ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

                (ก)  ในการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี นายเอกจะนำนางโทและนายสินบุตรชายมาหักลดหย่อนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

                (ข)  นายเอกจะนำเบี้ยประกันชีวิตของนางโทมาหักลดหย่อนได้หรือไม่ เพียงใด เพราะเหตุใด

                (ค)  เงินเดือนของนายเอกจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายหรือไม่ จงอธิบาย

แนวคำตอบ 

(ก)  ในการยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี นายเอกจะนำนางโทมาหักลดหย่อนได้ เพราะนางโทเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีรายได้ หักลดหย่อนได้ 30,000 บาท ตามมาตรา 47(1) (8) แห่งประมวลรัษฎากร

      สำหรับนายสินบุตรชาย นายเอกจะนำมาหักลดหย่อนไม่ได้ แม้นายสินจะเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย และอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของนายเอก แต่นายสินมีอายุ 22 ปีแล้ว และเป็นคนวิกลจริตที่ไม่ได้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะนำมาหักลดหย่อนได้ ตามมาตรา 47(1)(ค)

(ข)  นายเอกจะนำเบี้ยประกันชีวิตของนางโทมาหักลดหย่อนได้ เพราะความเป็นสามีภริยาระหว่างนายเอกและนางโทได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้หักลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตของนางโทภริยาได้ 10,000 บาท ตามมาตรา 47(1)(ง) วรรคสอง

(ค)  เงินเดือนของนายเอกจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย โดยให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1) แห่งประมวลรัษฎากร หักภาษีเงินได้ไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 50 แห่งประมวลรัษฎากร

 

ข้อ3. บริษัท ไทยเทเลคอม จำกัด เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย    ในรอบระยะเวลาบัญชี 2550 ได้เปิดสาขา (Branch) ที่ประเทศกัมพูชาและดำเนินกิจการด้านการสื่อสาร โดยมีรายได้จำนวน 800 ล้านบาท แต่ฝากไว้ที่ธนาคารในประเทศสิงคโปร์ไม่นำเข้ามาในประเทศไทย รวมทั้งมีรายได้ในประเทศไทย จำนวน 1,000 ล้านบาท จงวินิจฉัยว่า บริษัท ไทยเทเลคอม จำกัด มีภาระต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากรดังกล่าวอย่างไร เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ   บริษัทไทยเทเลคอม จำกัด เป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ดังนั้น ในรอบระยะเวลาบัญชี 2550  ต้องนำรายได้ทั้งหมดจำนวน 1,800 ล้านบาท มาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 66 วรรคแรกแห่งประมวลรัษฎากร โดยหลักรับรู้รายได้ทั่วโลก (Worldwide Income Basis) แม้ว่ารายได้นั้นจะไม่ได้นำเข้ามาในประเทศไทยก็ตาม

ข้อ 4. บริษัท ไทยเดินทะเลระหว่างประเทศ จำกัด เป็นบริษัทที่จดทะเบียนตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ได้ประกอบกิจการรับขนสินค้าในรอบระยะเวลาบัญชี 2550 ดังนี้

                (1)  รายได้จากการขนส่งสินค้าจากประเทศไทยไปยังประเทศจีน จำนวน 200 ล้านบาท

                (2)  รายได้จากการขนส่งสินค้าจากประเทศอินเดียเข้ามาในประเทศไทย 100 ล้านบาท

                จงวินิจฉัยว่า บริษัท ไทยเดินทะเลระหว่างประเทศ จำกัด ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากรายได้ดังกล่าวตามประมวลรัษฎากรอย่างไร เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ  บริษัทไทยเดินทะเลระหว่างประเทศ จำกัด เป็นบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย  ดังนั้น ในรอบระยะเวลาบัญชี 2550 ต้องนำรายได้ทั้งหมดจำนวน 300 ล้านบาท มาคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามมาตรา 66 วรรคแรกแห่งประมวลรัษฎากร

WordPress Ads
error: Content is protected !!