LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  4  ข้อ

ข้อ  1  การสัมภาษณ์พยานหมายความว่าอย่างไร  มีข้อปฏิบัติในการสัมภาษณ์พยานอย่างไร

ธงคำตอบ

การสัมภาษณ์พยาน  คือ  การสนทนาเผชิญหน้าระหว่างเจ้าหน้าที่ที่สืบสวนพยาน  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อได้ข้อมูลจากผู้ถูกสัมภาษณ์ว่าเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลและสถานที่ในคดี  และมีความรู้ถึงอาชญากรรมหรือสถานการณ์เกี่ยวกับคดีนั้นๆว่าเป็นอย่างไร

การสัมภาษณ์พยานจะต้องกระทำโดยยึดหลักดังนี้

1       จะไม่ถามเชิงแนะนำที่ดูเหมือนว่าต้องการคำตอบอย่างใดอย่างหนึ่ง  เจ้าหน้าที่สืบสวนต้องมีแผนในการสัมภาษณ์เพื่อประหยัดเวลา

2       จะไม่ป้อนข่าวและข้อมูลให้แก่พยานที่ไม่รู้มาก่อน  เพราะพยานอาจจะเพิ่มเติมเรื่องของตนเข้าไปผสมผสานกับคำแนะนำหรือความเห็นจากการป้อนข่าวของเจ้าหน้าที่  ซึ่งอาจเป็นไปโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม  ทำให้ผลที่ได้ในเรื่องดังกล่าวไม่ตรงกับที่พยานได้เห็นเหตุการณ์ในสถานที่เกิดเหตุนั้น

3       สิ่งที่ต้องการได้แก่เรื่องจริงที่จำได้เท่านั้นจึงจะเป็นลักษณะของงานสืบสวนที่กำลังปฏิบัติอยู่

4       ต้องไม่ย่อท้อเมื่อสัมภาษณ์พยานแต่ละคน  จนกว่าจะสามารถรู้เรื่องที่พยานรู้และได้เห็นโดยตลอด  และเข้าใจชัดเจนปรากฏเป็นรูปร่างขึ้นในความคิดขนาดที่ผู้สืบสวนคดีสามารถจินตนาการได้ว่าเป็นคนเห็นหรือได้ยินด้วยตนเองหรือเสมือนกับว่าตนได้อยู่ในที่นั้นด้วย

5       พิจารณาโดยมิให้ผู้ถูกสัมภาษณ์รู้สึกว่าพยานเชื่อถือได้  ไว้ใจได้  และมีความสามารถขนาดไหน  ควรรู้จักธรรมชาติของพยานเพื่อสรุปอย่างตรงประเด็นว่าพยานรู้อะไร  เห็นอะไร  และไม่รู้อะไร  ไม่เห็นอะไร

6       รักษามารยาทที่ดีงามตามแบบแผนและประเพณีของสังคม  ทั้งต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน  (Human  Rights)  ด้วย

 

ข้อ  2  AFIS  คืออะไร  มีขอบข่ายการทำงานอย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

ระบบพิมพ์ลายนิ้วมืออัตโนมัติ  หรือ  AFIS  คือ  เครื่องตรวจลายพิมพ์นิ้วมือโดยอัตโนมัติ  (ลายนิ้วมือ  ฝ่ามือ  ฝ่าเท้า)  ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งในวิชาการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์ของบุคคล

เครื่องตรวจลายนิ้วมืออัตโนมัตินี้  เป็นเครื่องมือที่สามารถทำประโยชน์อย่างมากให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนสอบสวนและติดตามตัวผู้กระทำความผิด  โดยเฉพาะคดีที่ยังหาตัวผู้ต้องสงสัยไม่ได้และคาดว่าผู้ต้องสงสัยน่าจะเคยกระทำความผิดมาก่อน  โดยลายนิ้วมือแฝงที่เก็บได้จากสถานที่เกิดเหตุสามารถนำมาตรวจเปรียบเทียบกับข้อมูลลายพิมพ์นิ้วมือของอาชญากรที่เก็บไว้ในสารบบได้ด้วยความรวดเร็วและถูกต้อง  ซึ่งผลของการปฏิบัติงานมีส่วนช่วยให้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามตัวผู้กระทำผิดได้เป็นจำนวนมาก

ขอบเขตการทำงานของเครื่องตรวจลายนิ้วมืออัตโนมัติ

1       ตรวจเปรียบเทียบลายพิมพ์นิ้วมือแฝงที่เก็บได้จากสถานที่เกิดเหตุ  กับลายพิมพ์นิ้วมือ  10  นิ้วของคนร้ายที่เก็บไว้ในสารบบ  เป็นงานในหน้าที่ของกองพิสูจน์หลักฐาน  ซึ่งเป็นจุดประสงค์สำคัญในการใช้งานของ  AFIS  วิธีนี้เรียกว่า  Latent  to  Inquiry (LI)

2       ตรวจเปรียบเทียบลายพิมพ์นิ้วมือ  10  นิ้ว  ของอาชญากรหรือผู้ต้องสงสัยกับลายนิ้วมือแฝงที่เก็บไว้ในสารบบ เป็นงานในหน้าที่ของกองพิสูจน์หลักฐาน  ซึ่งวิธีการนี้เรียกว่า  Ten  Prin  to  Inquiry  (TLI)

3       ตรวจเปรียบเทียบลายพิมพ์นิ้วมือ  10  นิ้ว  กับลายพิมพ์นิ้วมือ  10  นิ้วในสารบบ  เป็นการตรวจยืนยันตัวบุคคลเพื่อตรวจสอบประวัติ  ซึ่งเป็นงานของกองทะเบียนประวัติอาชญากร  ซึ่งหากขยายเรื่อง  AFIS  ปัจจุบันให้รับข้อมูลพื้นฐานได้  6,000,000  แผ่น  แล้วจะสามารุเปลี่ยนงานตรวจสอบประวัตินี้เป็นระบบคอมพิวเตอร์ได้เช่นกัน  วิธีการนี้เรียกว่า  Ten  Prin  to  Ten  Inquiry  (TI)

4       ตรวจเปรียบเทียบลายนิ้วมือแฝงในคดีหนึ่งกับลายนิ้วมือแฝงในคดีอื่นๆที่เก็บไว้ในสารบบ  เนื่องจากยังไม่สามารถระบุตัวผู้กระทำความผิดได้  เพื่อจะได้ทราบว่าคดีต่างคดีกันได้เกิดขึ้นโดยบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ วิธีการนี้เรียกว่า  Latent  to  Latent  Inquiry  (LLI)  ประโยชน์ที่จะได้รับในการตรวจประเภทนี้ยังมีน้อย  เนื่องจากเป็นวิธีการซึ่งยังไม่สามารถระบุตัวผู้กระทำผิดได้แต่อย่างใด

 

ข้อ  3  เจ้าหน้าที่ของธนาคารไทยพัฒนาได้นำเงินฝากจำนวนหนึ่งล้านบาทของนายชาติซึ่งเป็นลูกค้ารายหนึ่งของธนาคารไทยพัฒนาเข้าบัญชีของนายช่วงโดยผิดพลาด  ปรากฏว่านายช่วงรู้ว่ามีการนำเงินของผู้อื่นเข้าบัญชีของตนโดยผิดพลาด  แต่นายช่วงก็ยังเบิกเงินจำนวนดังกล่าวนั้นออกมาใช้จ่ายจนหมด  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ในส่วนของความผิดอาญาที่นายช่วงได้กระทำลงไปนั้น  ใครเป็นผู้เสียหาย  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

วินิจฉัย

การที่เจ้าหน้าที่ธนาคารไทยพัฒนาได้นำเงินฝากจำนวนหนึ่งล้านบาทของนายชาติซึ่งเป็นลูกค้ารายหนึ่งของธนาคารเข้าบัญชีของนายช่วงโดยผิดพลาด  และนายช่วงได้ถอนเงินดังกล่าวออกไปใช้จนหมด  ถือว่า  ธนาคารเป็นผู้เสียหาย  เพราะเงินที่จ่ายไปเป็นของธนาคาร กล่าวคือ  ธนาคารเป็นที่รับฝากเงิน  ธนาคารสามารถนำเงินที่ฝากนั้นออกไปใช้ได้  แต่ธนาคารต้องคืนเงินที่ฝากให้กับผู้รับฝากจนครบจำนวน  แม้เงินที่ฝากนั้นจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม  ดังนั้น  ธนาคารจึงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอก  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(4)

ข้อ  4  จากข้อเท็จจริงตามข้อสอบในข้อ  3  ข้างต้นนั้น  ถ้าต่อมาปรากฏว่านายชาติซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารไทยพัฒนาได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายช่วงในความผิดฐานยักยอกตาม  ป.อาญา  มาตรา  352  วรรคสอง  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจในการสอบสวนคดีนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(5) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

มาตรา  2(7)  ในประมวลกฎหมายนี้

(7) คำร้องทุกข์  หมายความถึง  การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้นจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดรับโทษ

มาตรา  121  วรรคสอง  แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว  ห้ามมิให้ทำการสอบสวน  เว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

นายชาติไม่เป็นผู้เสียหาย  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(4)  นายชาติจึงร้องทุกข์ไม่ได้  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายชาติได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายช่วง  การร้องทุกข์ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(4)  และ (7)  และเมื่อการร้องทุกข์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  121  วรรคสอง

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 2/2549

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  4  ข้อ

ข้อ  1  เครื่องจับเท็จ (Polygraph)  คืออะไร  มีหลักการวิเคราะห์และประโยชน์อย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

เครื่องจับเท็จจริง  คือ  เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถตรวจและบันทึกการเปลี่ยนแปลงบางอย่างทางสรีระที่ไม่สามารถสังเกตจากภายนอกได้  ซึ่งจะบันทึกออกมาในรูปกราฟที่สามารถนำมาประเมินผลวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ในเรื่องการพูดจริงหรือเท็จ

หลักการวิเคราะห์

เพื่อบันทึกข้อมูลความดันโลหิต  การเต้นของหัวใจ  และการเปลี่ยนแปลงความต้านทานกระแสไฟฟ้าที่ผิวหนัง  แล้วนำข้อมูลที่แสดงเป็นรูปกราฟนั้นมาวิเคราะห์

ประโยชน์ในการใช้เครื่องจับเท็จ

เครื่องจับเท็จเป็นเครื่องมือที่ใช้เพื่อนำข้อมูลที่ได้จากการบันทึกของเครื่องมาเป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์ว่าบุคคลนั้นพูดจริงหรือพูดเท็จ

เครื่องจับเท็จใช้ในงานด้านการสืบสวนเพื่อประโยชน์  ดังนี้

1)    ตรวจพยานบุคคลว่าเชื่อถือได้เพียงใด

2)    เพื่อคัดแยกผู้บริสุทธิ์ออก

3)    จำกัดจำนวนผู้ต้องสงสัย

4)    ช่วยพนักงานสอบสวนในการสืบหาตัวผู้กระทำผิด

 

ข้อ  2  ให้อธิบายความหมายของการตรวจสถานที่เกิดเหตุ  และมีหลักการปฏิบัติในการตรวจอย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

การตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ  หมายความถึง  การตรวจวิเคราะห์สถานที่ที่เป็นจุดเริ่มแรกของการกระทำความผิดทั้งหลาย  รวมทั้งบริเวณที่เกี่ยวเนื่องจากการกระทำผิดนั้นๆด้วย  โดยมีวัตถุประสงค์จะแสวงหาและรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆที่จะเป็นประโยชน์ในการติดตามตัวคนร้ายและพิสูจน์การกระทำความผิด  ผู้ที่ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุจำต้องตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วยความละเอียดรอบคอบเพื่อให้ทราบเบื้องต้นว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำความผิด  กระทำอย่างไร  ด้วยวิธีการใด  วันเวลาที่เกิดเหตุ  และมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายในการกระทำผิดอย่างไร  เนื่องจากโดยหลักการแล้วไม่มีอาชญากรรมใดที่กระทำได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้ในสถานที่เกิดเหตุ  ดังนั้น  ถ้าผู้ตรวจที่เกิดเหตุได้ทำการตรวจสถานที่เกิดเหตุอย่างมีระเบียบแบบแผน  ขั้นตอน  ตามหลักการแล้ว  จะทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากพยานวัตถุต่างๆในสถานที่เกิดเหตุซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จสามารถคลี่คลายคดีนั้นๆได้

หลักการตรวจสถานที่เกิดเหตุ

ในการตรวจสถานที่เกิดเหตุ  มีหลักปฏิบัติตามขั้นตอนดังนี้

1       เมื่อได้รับแจ้งเหตุต้องรีบเดินทางไปให้ถึงสถานที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุด  เพราะว่าถ้าปล่อยไว้เนิ่นนาน  ร่องรอยพยานหลักฐานอาจถูกทำลาย  สูญหาย  หรืออาจเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพ  ซึ่งการไปถึงสถานที่เกิดเหตุด้วยความรวดเร็วจะก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ  เช่น  สามารถระงับเหตุได้ทันท่วงที  ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บได้ ก่อนที่เหตุการณ์จะลุกลามอันทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรง  นอกจากนี้หากคนร้ายยังอยู่ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจพบตัวคนร้ายและทำการจับกุมตัวได้

2       เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุแล้ว  ต้องกันบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกจากบริเวณที่เกิดเหตุแล้วจึงเริ่มลงมือตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วยความละเอียดถี่ถ้วน  เพราะการป้องกันรักษาสถานที่เกิดเหตุให้อยู่ในสภาพเดิมมากที่สุดถือว่าเป็นหัวใจของการตรวจสถานที่เกิดเหตุเพื่อนำไปสู่การคลี่คลายคดีได้ในที่สุด

3       ทำแผนที่สังเขปและถ่ายรูปสิ่งต่างๆในที่เกิดเหตุ  ซึ่งการถ่ายรูปไว้จะช่วยในการพิจารณาในภายหลังได้อีกในกรณีที่เรามองข้ามบางสิ่งบางอย่างไป

4       การค้นหาร่องรอยและพยานหลักฐานต้องทำการเก็บให้ถูกต้องตามหลักกฎหมายหรือตามหลักวิทยาศาสตร์เพื่อป้องกันการผิดพลาด  และสามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานในขั้นพิจารณาของศาลได้  หรือสามารถส่งไปตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้  โดยวัตถุที่ส่งไปตรวจไม่เสียหาย

5       ในขณะทำการตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุควรสอบถามว่ามีผู้ใดเข้าไปในที่เกิดเหตุหรือมีการเคลื่อนย้ายสิ่งของใดหรือไม่  และถ้าพบบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับเหตุการณ์ให้รีบซักถามหรือสอบสวนทันที

6       ในคดีสำคัญๆถ้าเห็นว่า  การตรวจสถานที่เกิดเหตุอาจไม่ละเอียดเพียงพอหรือต้องให้ผู้เชี่ยวชาญมาร่วมตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วย  ก็ให้ป้องกันรักษาสถานที่เกิดเหตุให้คงสภาพเดิมมากที่สุด  เช่น  กรณีสถานที่เกิดเหตุอยู่ในอาคาร  ตัวบ้าน  ห้อง  ให้กั้นโดยการปิดล็อกทางเข้าทุกทาง  หรือหากสถานที่เกิดเหตุอยู่นอกอาคาร  เช่น  บนทางเท้า  สวนสาธารณะ  ให้ใช้เชือกหรือแผงเหล็กจราจรกั้นล้อมบริเวณที่เกิดเหตุไว้  ห้ามบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปในสถานที่เกิดเหตุได้  หรืออาจจัดยามเฝ้าเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใดเข้าไปทำลายพยานหลักฐานเพื่อประโยชน์ในการตรวจในคราวต่อไป

7       กรณีพบผู้บาดเจ็บในสถานที่เกิดเหตุ  ให้ทำการปฐมพยาบาลแล้วรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลเป็นอันดับแรก  ในการนำส่งผู้บาดเจ็บควรมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปด้วยทุกครั้ง  เพราะผู้บาดเจ็บอาจพูดอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีได้  โดยเฉพาะคำกล่าวของคนใกล้ตายที่รู้ว่าจะถึงแก่ความตายสามารถใช้เป็นพยานหลักฐานทางคดีได้  ในกรณีที่พบศพห้ามเคลื่อนย้ายจนกว่าจะได้รับการชันสูตรพลิกศพตามกฎหมาย

8       สิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดแรกควรปฏิบัติขณะที่รอผู้ชำนาญการมาถึง  เจ้าหน้าที่ตำรวจในสถานที่เกิดเหตุไม่ควรปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์  ควรใช้เวลาระหว่างการรอคอยนี้ให้เป็นประโยชน์ด้วย

 

ข้อ  3  เอ็มได้เปิดบัญชีเงินฝากไว้กับธนาคารแห่งหนึ่งเป็นจำนวนหนึ่งพันบาท  หลังจากนั้นไม่ได้เอาเงินฝากอีกเลย  ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ธนาคารได้นำเงินฝากจำนวนสองหมื่นบาทของอ้วนซึ่งเป็นลูกค้าอีกรายหนึ่งของธนาคารเข้าบัญชีของเอ็มโดยผิดพลาด  เอ็มรู้ว่ามีการนำเงินของผู้อื่นเข้าบัญชีของตนโดยผิดพลาด  แต่เอ็มก็ยังถอนเงินดังกล่าวออกไปใช้จนหมด  การกระทำดังกล่าวของเอ็มจึงเป็นความผิดฐานยักยอกตาม  ป.อาญา  มาตรา  352  วรรคสอง ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ในความผิดดังกล่าวนี้ใครเป็นผู้เสียหาย  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

วินิจฉัย

การที่เจ้าหน้าที่ธนาคารได้นำเงินฝากจำนวนสองหมื่นบาทของอ้วนซึ่งเป็นลูกค้าอีกรายหนึ่งของธนาคารเข้าบัญชีของเอ็มโดยผิดพลาด  และเอ็มได้ถอนเงินดังกล่าวออกไปใช้จนหมด  ถือว่าธนาคารเป็นผู้เสียหาย  เพราะเงินที่จ่ายไปเป็นของธนาคาร  กล่าวคือ  ธนาคารเป็นที่รับฝากเงิน  ธนาคารสามารถนำเงินที่ฝากนั้นออกไปใช้ได้  แต่ธนาคารต้องคืนเงินที่ฝากให้กับผู้รับฝากจนครบจำนวน  แม้เงินที่ฝากนั้นจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม  ดังนั้น  ธนาคารจึงเป็นผู้เสียหายในความผิดฐานยักยอก  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(4)

ข้อ  4  เกรียงไกรงัดตู้โทรศัพท์สาธารณะขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยแล้วเอาเหรียญกษาปณ์ที่ค้างอยู่ในตู้ไป  โดยเงินดังกล่าวนั้นเป็นเงินของประชาชนที่มาใช้โทรศัพท์แล้วไม่สามารถติดต่อปลายทางได้  ทำให้เหรียญกษาปณ์ตกลงไปในช่องคืนเหรียญ  แต่เจ้าของเหรียญกษาปณ์ยังเอาเหรียญกษาปณ์คืนไปไม่ได้เพราะเหรียญกษาปณ์ติดค้างอยู่บนกระดาษที่เกรียงไกรเอาไปอุดไว้  หลังจากนั้นเกรียงไกรก็เข้าไปงัดตู้โทรศัพท์โดยใช้ลวดเขี่ยให้เหรียญกษาปณ์ไหลลงมาแล้วเอาเหรียญนั้นไป  ปรากฏว่าองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับเกรียงไกรในความผิดฐานลักทรัพย์  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  การร้องทุกข์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(5) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

มาตรา  2(7)  ในประมวลกฎหมายนี้

(7) คำร้องทุกข์  หมายความถึง  การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้นจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดรับโทษ

วินิจฉัย

ถือได้ว่าเหรียญกษาปณ์ดังกล่าวนั้นยังเป็นของผู้ใช้โทรศัพท์อยู่  เพราะเหตุที่เหรียญติดค้างเพราะกระดาษที่เกรียงไกรเอาไปอุดไว้ความครอบครองยังอยู่กับเจ้าของเหรียญกษาปณ์อยู่  ผู้เสียหายในคดีนี้ก็คือ  ประชาชนที่มาใช้โทรศัพท์  ดังนั้น  การร้องทุกข์ขององค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เพราะองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายตาม  ป. วิอาญา มาตรา  2(4) (7)

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  4  ข้อ

ข้อ  1  จงอธิบายความหมายของพยานหลักฐาน  และคุณค่าของพยานวัตถุ

ธงคำตอบ

พยานหลักฐาน  หมายถึง  พยานวัตถุ  พยานเอกสาร  หรือพยานบุคคล  ซึ่งน่าจะพิสูจน์ได้ว่าจำเลยมีความผิดหรือบริสุทธิ์  ใช้อ้างเป็นพยานหลักฐานได้  แต่ต้องเป็นพยานชนิดที่มิได้เกิดจากการจูงใจ  มีคำมั่นสัญญา  ขู่เข็ญ  หลอกลวง  หรือมิชอบประการอื่นๆ

คุณค่าของพยานหลักฐาน  ความสำคัญของพยานหลักฐานอยู่ที่การยอมรับของศาล  หากศาลยอมรับถือว่าพยานมีน้ำหนักรับฟังได้

คุณค่าของพยานวัตถุ

1       เป็นสิ่งที่พิสูจน์ถึงการเกิดขึ้นจริงของคดี  หรือเป็นการพิสูจน์ว่ามีความผิดเกิดขึ้น

2       เชื่อมโยงผู้ต้องสงสัยให้เข้ามาเกี่ยวข้องกับผู้เสียหายหรือสถานที่เกิดเหตุ

3       สามารถชี้ตัวผู้กระทำความผิด  และป้องกันผู้บริสุทธิ์ที่ถูกกล่าวหาได้

4       สามารถยืนยันคำให้การของผู้เสียหาย

5       ทำให้เกิดการรับสารภาพ

6       เชื่อถือได้มากกว่าประจักษ์พยาน

7       ช่วยศาลในการวินิจฉัยคดี  โดยเฉพาะพยานที่ผ่านการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์

8       ใช้ในการยุติข้อโต้แย้งของคดี

 

ข้อ  2  ความแตกต่างระหว่างการฆ่าตัวตายกับการถูกฆาตกรรมในการสืบสวนมีหลักการพิจารณาสำคัญๆอะไรบ้าง  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ความแตกต่างระหว่างการฆ่าตัวตายกับการถูกฆาตกรรมในการสืบสวนมีหลักการพิจารณา  ดังนี้

1       พิจารณาจากบาดแผล

–                    ตำแหน่งของบาดแผล  จำนวนบาดแผล  จุดเริ่มต้นของบาดแผล  บาดแผลที่กระดูก  บาดแผลจากการป้องกันตัว

–                    แผลที่เกิดจากการพยายามฆ่าตัวตาย

–                    การฉีกขาดของเครื่องแต่งกาย

–                    คราบโลหิตที่มือ

–                    อาวุธ  การเลือกอาวุธ  จำนวนอาวุธ

–                    ร่องรอย  สิ่งของต่างๆ  เช่น  เสื้อผ้า  กางเกง

–                    การไหลของโลหิต

2       ร่องรอยการต่อสู้ในสถานที่เกิดเหตุ

–                    รอยโลหิต  ร่องรอยการดิ้นรนต่อสู้  การล้มลงของเฟอร์นิเจอร์

–                    ร่อยรอยอาวุธ  กรณีพบรอย  เช่น  รอยมีด  รอบขวาน  รอยถูกยิง  ปลอกกระสุน

–                    บาดแผลป้องกันตัว

–                    รอบขีดข่วน  รอยถลอกตามร่างกาย

–                    สภาพของเสื้อผ้าฉีกขาด

3       เหตุจูงใจในการตาย

สภาพปัญหาทางร่างกาย  จิตใจ  ปัญหาครอบครัว  การเรียน  การทำงาน  ปัญหาทางเศรษฐกิจ  อาจสอบถามจากญาติ เพื่อน  คนใกล้ชิด

 4       สภาพทางเข้า  ออก ของสถานที่เกิดเหตุ

5       ร่องรอยอาชญากรรมอื่นในสถานที่เกิดเหตุ

 

ข้อ  3  นายต้น  อายุ  21  ปี  เป็นบุตรบุญธรรมของนายต้อม  ต่อมานายต้นถูกนายเตี้ยฆ่าตาย  นายต้อมจึงไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายเตี้ย  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  การร้องทุกข์ของนายต้อมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

มาตรา  2(7)  ในประมวลกฎหมายนี้

(7) คำร้องทุกข์  หมายความถึง  การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้นจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดรับโทษ

มาตรา  3 (1)  บุคคลดังระบุในมาตรา  4, 5 และ  6  มีอำนาจจัดการต่อไปนี้แทนผู้เสียหายตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ

(1) ร้องทุกข์

มาตรา  5(2)  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา  ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

วินิจฉัย

บุตรบุญธรรมไม่ใช่ผู้สืบสันดาน  ปละผู้รับบุตรบุญธรรมก็ไม่ใช่บุพการีของบุตรบุญธรรมเช่นกัน  ตามมาตรา  5(2)  นายต้อมจึงไม่ใช่ผู้เสียหายประเภทเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทน  ตามมาตรา  2(4)  ประกอบมาตรา  5(2)  ดังนั้น  การร้องทุกข์ของนายต้อมจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  2  (7)  ประกอบมาตรา 3 (1)

ข้อ  4  จากข้อเท็จจริงตามข้อสอบในข้อ  3  ให้วินิจฉัยว่า  พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจในการสอบสวนคดีนี้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  121  วรรคแรก  พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทั้งปวง

วินิจฉัย

การที่นายต้นถูกนายเตี้ยฆ่าตาย  เป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน  พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้  แม้การร้องทุกข์ของนายต้อมไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม  เนื่องจากในคดีความผิดอาญาแผ่นดินนั้น  พนักงานสอบสวนชอบที่จะทำการสอบสวนได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคำร้องทุกข์จากผู้เสียหาย  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  121  วรรคแรก  (ฎ. 1681/2535 ฎ. 784/2483)

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน ภาคฤดูร้อน/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  4  ข้อ

ข้อ  1  จงอธิบายถึงวิธีการสืบสวนคดีอาญาว่ามีอะไรบ้าง

ธงคำตอบ

วิธีการสืบสวนคดีอาญามี  5  วิธีคือ

1       การซักถามบุคคล

2       การตรวจสถานที่เกิดเหตุ

3       การเฝ้าตรวจบุคคลสิ่งของและสถานที่โดยวิธีปิด

4       การใช้สายลับ

5       ข่าวกรองตำรวจ

ข้อ  2  การสอบสวนมีความสำคัญต่อการฟ้องคดีอาญาของพนักงานอัยการอย่างไร  ให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบคำอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  120  ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใด  โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติมาตรา  120  อำนาจของพนักงานอัยการในการฟ้องคดีอาญาทั้งปวงนั้นหมายถึงคดีอาญาทุกความผิด  ไม่ว่าจะเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัวหรือต่ออาญาแผ่นดินก็ตาม  พนักงานอัยการจะฟ้องคดีได้ก็ต่อเมื่อมีการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนในความผิดนั้นแล้วเท่านั้น  อนึ่ง  การสอบสวนนั้นจะต้องชอบด้วยกฎหมายด้วย  ถ้าการสอบสวนของพนักงานสอบสวนเป็นไปโยไม่ชอบ  พนักงานอัยการก็ไม่มีอำนาจฟ้อง  (ฎ. 3831/2532)

 

ข้อ  3  นายสนิทเป็นทนายความของนายสนอง  (ตัวความ)  ต่อมาปรากฏว่านายสนิทรับชำระเงินจำนวนหนึ่งแสนบาทจากฝ่ายตรงข้าม โดยที่นายสนองไม่ได้มอบหมายให้นายสนิทมีอำนาจรับเงินจากฝ่ายตรงข้าม  และนายสนิทได้เบียดบังเงินจำนวนดังกล่าวไว้เป็นของตนโดยทุจริต  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  ในความผิดอาญาที่นายสนิทได้กระทำไปนั้นใครคือผู้เสียหาย  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

วินิจฉัย

นายสนอง  (ตัวความ)  ไม่เป็นผู้เสียหาย  ผู้เสียหายในกรณีนี้คือฝ่ายตรงข้ามที่เป็นเจ้าของเงิน  ตาม  ป.วิ. อ. มาตรา  2 (4)  เนื่องจากเงินดังกล่าวนายสนิททนายความไม่ได้รับมอบอำนาจจากนายสนองให้มีอำนาจรังเงินจากฝ่ายตรงข้าม  เมื่อฝ่ายตรงข้ามมอบเงินให้แก่นายสนิท  เงินนั้นก็ยังคงเป็นของฝ่ายตรงข้าม  ไม่ได้เป็นของนายสนิทแต่อย่างใด  ดังนั้น  นายสนองไม่เป็นผู้เสียหายและไม่มีอำนาจร้องทุกข์  (ฎ. 815/2535 (ที่ประชุมใหญ่))

ข้อ  4  จากข้อเท็จจริงตามข้อสอบในข้อ  3  ข้างต้นนั้น  ถ้าต่อมาปรากฏว่านายสนองได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายสนิทในความผิดอาญาดังกล่าว  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจในการสอบสวนคดีนี้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ในประมวลกฎหมายนี้

(4) ผู้เสียหาย  หมายความถึง  บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4, 5 และ  6

มาตรา  2(7)  ในประมวลกฎหมายนี้

(7) คำร้องทุกข์  หมายความถึง  การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้นจะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดรับโทษ

มาตรา  121  วรรคสอง  แต่ถ้าเป็นคดีความผิดโดยส่วนตัว  ห้ามมิให้ทำการสอบสวน  เว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

นายสนอง  (ตัวความ)  ไม่เป็นผู้เสียหาย  ตาม  ป.วิ.อ. มาตรา  2(4)  นายสนองจึงร้องทุกข์ไม่ได้  เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายสนองได้ไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายสนิท  การร้องทุกข์ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ตาม  ป.วิ.อ มาตรา  2(4)  และ  (7)  และเมื่อการร้องทุกข์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนตาม  ป.วิ.อ  มาตรา  121  วรรคสอง

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 2/2551

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  ในทางคดีอาญา  การตรวจสถานที่เกิดเหตุถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากพยานหลักฐานต่างๆ  ในสถานที่เกิดเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ให้อธิบายว่าหลักการตรวจสถานที่เกิดเหตุควรมีหลักปฏิบัติขั้นตอนอย่างไร

ธงคำตอบ

1       เมื่อได้รับแจ้งเหตุต้องรีบเดินทางไปให้ถึงสถานที่เกิดเหตุโดยเร็วที่สุดและปลอดภัย

2       เมื่อไปถึงต้องกันบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากบริเวณที่เกิดเหตุ  แล้วจึงเริ่มลงมือตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วยความละเอียดถี่ถ้วน  ป้องกันสถานที่เกิดเหตุให้อยู่ในสภาพเดิมให้มากที่สุด

3       ทำแผนที่สังเขป  และถ่ายรูปสิ่งต่างๆในที่เกิดเหตุไว้

4       ค้นหาร่องรอยและพยานหลักฐาน  ต้องทำการเก็บให้ถูกต้องตามหลักกฎหมายและตามหลักวิทยาศาสตร์  เพื่อให้สามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานในชั้นศาลได้

5       ในขณะทำการตรวจสถานที่เกิดเหตุควรสอบถามว่ามีผู้ใดเข้าไปในที่เกิดเหตุหรือไม่  มีการเคลื่อนย้ายสิ่งของใดหรือไม่

6       ในคดีสำคัญควรเรียกผู้เชี่ยวชาญมาร่วมตรวจสถานที่เกิดเหตุด้วย

7       กรณีมีผู้บาดเจ็บให้ปฐมพยาบาลแล้วรีบนำตัวส่งโรงพยาบาล

ข้อ  2  เจ้าพนักงานผู้สอบสวนคดีอาญา  นอกจากจะต้องเป็นผู้รู้ตัวบทกฎหมายแล้ว  ผู้สืบสวนจะต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญและยึดถือหลักปฏิบัติอย่างไร

ธงคำตอบ

ผู้สืบสวนที่ดีควรจะต้องมีคุณสมบัติและยึดถือหลักปฏิบัติดังต่อไปนี้

1       ต้องตั้งตนเป็นกลาง

2       มีความอดทนและเพียรพยายาม

3       มีปฏิภาณไหวพริบดี

4       มีความกล้าหาญ

5       ต้องเพาะความนิยม

6       ต้องมีความรอบคอบ

7       มีความรู้เกี่ยวกับเทคนิคสมัยใหม่

8       มีความสำนึกในเกียรติและซื่อตรงต่อหน้าที่

 

ข้อ  3  นายเจมส์  อายุ  18  ปี  บิดาและมารดาถึงแก่ความตายหมดแล้ว  นายเจมส์มีพี่ชายเพียงคนเดียวคือนายโจ  ต่อมานายเจมส์ถูกนายจอมฆ่าตาย  นายโจจึงไปแจ้งข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายจอม  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  คำกล่าวหาของนายโจเป็นคำร้องทุกข์ตามกฎหมายหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)    ผู้เสียหายหมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา  4  ,  5     และ   6

มาตรา  2(7)  คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตามซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

มาตรา  3 (1)  บุคคลดั่งระบุในมาตรา  4, 5  และ  6  มีอำนาจจัดการต่อไปนี้แทนผุ้เสียหายตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ

(1) ร้องทุกข์

มาตรา  5 (2)  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้

(2) ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีภรรยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา  ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

วินิจฉัย

ภายใต้บทบัญญัติแห่ง  ป. วิอาญา  มาตรา  2 (4)  ผู้เสียหายหมายความถึงบุคคล  2  จำพวก  คือ  ผู้ได้รับความเสียหายโดยตรง  กับบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทน  ซึ่งได้แก่บุคคลดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4 , 5 และ 6  ซึ่งตามมาตรา  5 (2)  นั้น  เป็นการจัดการแทนกันได้ระหว่างบุคคลสองคู่ด้วยกัน  คือ

1       ผู้บุพการีกับผู้สืบสันดาน

2       สามีกับภริยา

ซึ่งจะเห็นว่าพี่ชายไม่ใช่ผู้เสียหายประเภทเป็นผู้มีอำนาจจัดการแทน  ตามมาตรา  2 (4)  ประกอบมาตรา  5 (2)  นายโจจึงร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายจอม  ตามมาตรา  2 (7)  ประกอบมาตรา  3 (1)  ไม่ได้  ดังนั้นคำกล่าวหาของนายโจจึงไม่เป็นคำร้องทุกข์ตามกฎหมาย

ข้อ  4  จากข้อเท็จจริงตามข้อสอบในข้อ  3  ข้างต้นนั้น  ให้วินิจฉัยว่า  พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจในการสอบสวนคดีนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

มาตรา  121  วรรคแรก  พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทั้งปวง

วินิจฉัย

การที่นายเจมส์ถูกนายจอมฆ่าตาย  เป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน  พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้  เนื่องจากในคดีความผิดอาญาแผ่นดินนั้น  พนักงานสอบสวนชอบที่จะทำการสอบสวนได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคำร้องทุกข์จากผู้เสียหาย  ตาม  ป. วิ . อาญา  มาตรา  121  วรรคแรก  เทียบนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1681 / 2535 , 784/2483)

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน ซ่อมภาคฤดูร้อน/2551

การสอบซ่อมภาค  2  และภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  ผู้เสียหายในคดีอาญามีความหมายว่าอย่างไร  มีกี่ประเภท  อะไรบ้าง  ให้อธิบายมาโดยละเอียด  พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)  ผู้เสียหาย  หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดังบัญญัติไว้ในมาตรา  4  5  และ  6

จากนิยามความหมายดังกล่าว  สามารถแยกอธิบายได้ดังนี้

1       ผู้เสียหายโดยตรง  คือ  ผู้เสียหายที่แท้จริง  ซึ่งการจะพิจารณาว่าบุคคลใดจะเป็นผู้เสียหายโดยตรงหรือเป็นผู้เสียหายโดยแท้จริงนั้น  มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้  คือ

 ต้องมีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้น

บุคคลนั้นจะต้องเป็นผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดนั้น

เป็นความเสียหายต่อสิทธิ

บุคคลนั้นต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย

2       ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย  คือ  แม้ไม่ได้เป็นผู้เสียหายแท้จริงแต่กฎหมายบัญญัติให้อยู่ในความหมายของคำว่า  ผู้เสียหาย  ด้วย

ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย

มาตรา  4  ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นหญิงมีสามีและเป็นผู้เสียหายโดยตรง  หญิงมีสามีนั้นสามารถฟ้องคดีอาญาได้เองโดยไม่ต้องได้รับอนุญาตจากสามีก่อน  ตามกฎหมายถือว่าหญิงมีสามีมีอำนาจเต็มทุกประการ  ทั้งนี้ตาม  ป.วิอาญา  มาตรา  4  วรรคแรก

มาตรา  4  วรรคสอง  มามีมีอำนาจจัดการ  (ฟ้องคดีอาญา)  แทนภริยาได้ต่อเมื่อได้รับอนุญาตโดยชัดแจ้งจากภริยา  แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งมาตรา  5(2)  ด้วย

ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย

มาตรา  5  บุคคลที่มีอำนาจจัดการแทนตามมาตรา  5  นั้นได้แก่

(1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล  เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำต่อผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล

(2) ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  สามีหรือภริยา  เฉพาะแต่ในความผิดอาญาซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้

(3) ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่นๆของนิติบุคคล  เฉพาะความผิดซึ่งกระทำลงแก่นิติบุคคลนั้น

ผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย  ตามมาตรา  6

กรณีที่จะมีการร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลนั้นตั้งผู้แทนเฉพาะคดีตามมาตรา  6  นั้น  มีอยู่  2  ประการ  คือ

(1) ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์  ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม  หรือผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถจะทำการตามหน้าที่โดยเหตุหนึ่งเหตุใด  หรือผู้แทนโดยชอบธรรมมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เยาว์

(2) ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้วิกลจริตหรือคนไร้ความสามารถ  ไม่มีผู้อนุบาล  หรือผู้อนุบาลไม่สามารถจะทำการตามหน้าที่โดยเหตุหนึ่งเหตุใด  หรือผู้อนุบาลมีผลประโยชน์ขัดกันกับคนไร้ความสามารถ

 

ข้อ  2  คำร้องทุกข์กับคำกล่าวโทษแตกต่างกันอย่างไร  ให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

คำร้องทุกข์กับคำกล่าวโทษเป็นกระบวนการในการดำเนินคดีอาญาภายใต้ระบบกล่าวหา  โดยมีข้อแตกต่างกันดังนี้

คำร้องทุกข์  หมายถึง  การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ  (ป. วิอาญา  มาตรา  2(7))

คำกล่าวโทษ  หมายถึง  การที่บุคคลอื่นซึ่งไม่ใช่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ว่ามีบุคคลรู้ตัวหรือไม่ก็ดี  ได้กระทำความผิดอย่างหนึ่งขึ้น  (ป. วิอาญา  มาตรา  2(8))

ข้อ  3  นางสาวน้ำ  อายุ  17  ปี  ถูกนายเสือกระทำอนาจาร  ให้วินิจฉัยว่า  นางสาวน้ำซึ่งยังเป็นผู้เยาว์อยู่จะไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนด้วยตนเองเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายเสือได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2  (4)  ผู้เสียหาย  หมายถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา  4  , 5    และ  6

มาตรา  2  (7)  คำร้องทุกข์  หมายถึง  การที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตาม  ซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

วินิจฉัย

นางสาวน้ำซึ่งยังเป็นผู้เยาว์อยู่สามารถร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนด้วยตนเองเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายเสือได้  ตามมาตรา  2(4) , (7)  เนื่องจากศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานว่า  การร้องทุกข์ไม่ใช่การทำนิติกรรม  เมื่อมีอายุพอสมควรย่อมร้องทุกข์เองได้  เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติตัดสิทธิแต่อย่างใด

ข้อ  4  นายเมฆเป็นทนายความของนายหมอก  (ตัวความ)  ต่อมาปรากฏว่านายเมฆรับชำระเงินจำนวนห้าหมื่นบาทจากฝ่ายตรงข้าม  โดยที่นายหมอกไม่ได้มอบหมายให้นายเมฆมีอำนาจรับเงินจากฝ่ายตรงข้าม  และนายเมฆได้เบียดบังเงินจำนวนดังกล่าวไว้เป็นของตนโดยทุจริต  นายหมอกจึงไปแจ้งข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับนายเมฆ  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  121  วรรคสอง  แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว  ห้ามมิให้ทำการสอบสวนเว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

คดีนี้ผู้เสียหายคือคู่ความฝ่ายตรงข้ามที่เป็นเจ้าของเงินในความผิดฐานยักยอกทรัพย์  ดังนั้น  เมื่อผู้เสียหายไม่ได้ร้องทุกข์พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวน  เนื่องจากในคดีความผิดต่อส่วนตัว  ถ้าสอบสวนโดยไม่มีคำร้องทุกข์หรือมีคำร้องทุกข์แต่เป็นคำร้องทุกข์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ถือว่าไม่มีการสอบสวนคดีนั้น  ตาม  ป. วิ. อาญา  มาตรา  121  วรรคสอง

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน ภาคฤดูร้อน/2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงขั้นตอน  เค้าโครงการดำเนินคดีอาญา  ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา  ตั้งแต่มีการกระทำความผิดอาญาจนถึงศาลมาโดยสังเขป  พร้อมอ้างหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

ขั้นตอน  เค้าโครงการดำเนินคดีอาญา  ตาม  ป.วิ.อาญา  มีดังนี้

1       เริ่มต้นด้วยการมีคำกล่าวหาว่ามีการกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้น  คำกล่าวหาเช่นว่านี้ก็ได้แก่  คำร้องทุกข์โดยผู้เสียหาย  ตาม  ป.วิ. อาญา  มาตรา  2(7)  หรือคำกล่าวโทษตาม  มาตรา  2 (8)  โดยอาจเป็นการกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  123  และประกอบมาตรา  127  หรืออาจจะเป็นการกล่าวหาต่อพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ  ซึ่งมีหน้าที่รองหรือเหนือพนักงานสอบสวนและเป็นผู้ซึ่งมีหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยตามกฎหมายก็ได้  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  124  และประกอบมาตรา  127  กรณีของคำกล่าวโทษ

2       พนักงานสอบสวนจะดำเนินการสอบสวนตามคำกล่าวหา  ซึ่งจะมีอำนาจสอบสวนได้ทั้งกรณีความผิดต่อส่วนตัวและความผิดต่ออาญาแผ่นดิน

3       เมื่อพนักงานสอบสวนผู้รับผิดในการสอบสวนเห็นว่าการสอบสวนเสร็จแล้วก็ต้องสรุปสำนวนพร้อมทำความเห็นทางคดี  เช่น  งดการสอบสวน  ควรให้งดการสอบสวน  สั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง  แล้วส่งสำนวนต่อไปยังพนักงานอัยการ (ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  140 , 141  และมาตรา  142)

4       เมื่อสำนวนส่งถึงพนักงานอัยการ  พนักงานอัยการก็จะมีความเห็นทางคดี  เช่น  สั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง  ถ้าพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องก็ต้องส่งสำนวนเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ว่าราชการจังหวัด  แล้วแต่กรณี  (ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา  145)  และถ้าผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ว่าราชการจังหวัด  แล้วแต่กรณีมีความเห็นแย้งคำสั่งของพนักงานอัยการ  ก็ให้ส่งสำนวนพร้อมความเห็นที่แย้งกันไปยังอัยการสูงสุดเพื่อชี้ขาด  และกฎหมายกำหนดว่าให้แจ้งคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีนี้ให้ผู้ต้องหาและผู้ร้องทุกข์ทราบด้วย  และถ้าผู้ต้องหาถูกควบคุมหรือขังอยู่ให้จัดการปล่อยตัวไปหรือขอให้ศาลปล่อยแล้วแต่กรณี  (ตาม ป.วิ.อาญา  มาตรา  146)  และนอกจากนี้  มาตรา  147  ยังกำหนดไว้อีกว่า  เมื่อมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีแล้ว  ห้ามมิให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับบุคคลนั้นเรื่องเดียวกันนั้นอีก  เว้นแต่จะได้พยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดี  ซึ่งน่าจะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้

5       ในกรณีพนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้อง  กระบวนการพิจารณาก็จะไปสู่ศาลชั้นต้น  คือพนักงานอัยการจะยื่นฟ้องคดีต่อศาล  ซึ่งในกรณีพนักงานอัยการฟ้องนี้จะไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่ก็ได้  (ตาม ป.วิ.อาญา  มาตรา  162 (2))  แต่ถ้ากรณีผู้เสียหายหรือราษฎรฟองกันเองต้องไต่สวนมูลฟ้องทุกกรณี  (ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  162 (1))

6       เมื่อได้มีการยื่นฟ้องคดีต่อศาลแล้ว  คดีก็จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลต่อไป  ถึงแม้ว่าจะได้ฟ้องคดีต่อศาลแล้วก็ตาม  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทยพุทธศักราช  2550  ในหมวด  3  ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย  มาตรา  39  ก็ได้  บัญญัติคุ้มครองไว้ว่า  ในคดีอาญา  ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด

 

ข้อ  2  สิทธิของผู้ต้องหาในการดำเนินคดีอาญามีอะไรบ้าง  ให้ตอบเป็นข้อๆพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

ในการดำเนินคดีอาญาผู้ต้องหามีสิทธิดังนี้

1       กรณีผู้ต้องหาเป็นนิติบุคคล  ย่อมมีสิทธิตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  7

ในกรณีที่นิติบุคคลเป็นผู้ต้องหา  การสอบสวนผู้ต้องหาที่เป็นนิติบุคคลนั้นกฎหมายให้ออกหมายเรียกผู้จัดการ  หรือผู้แทนอื่นๆของนิติบุคคลนั้นให้ไปยังพนักงานสอบสวนได้  และถ้าผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกจะออกหมายจับผู้นั้นมาก็ได้  แต่เมื่อจับมาแล้วจะใช้บทบัญญัติว่าด้วยปล่อยชั่วคราวกับผู้นั้นไม่ได้

2       สิทธิของผู้ต้องหา  ตาม ป.วิ.อาญา  มาตรา  7/1

ผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหาซึ่งถูกควบคุมหรือขัง  มีสิทธิแจ้งหรือขอให้เจ้าพนักงานแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งผู้ถูกจับกุมหรือผู้ต้องหามีสิทธิดังต่อไปนี้ด้วย

(1) พบและปรึกษาผู้ซึ่งจะเป็นทนายความเป็นการเฉพาะตัว

(2) ให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้ใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้ในชั้นสอบสวน

(3) ได้รับการเยี่ยมหรือติดต่อกับญาติได้ตามสมควร

(4) ได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร็วเมื่อเกิดการเจ็บป่วย

ให้พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจซึ่งมอบตัวผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหามีหน้าที่แจ้งให้ผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหานั้นทราบในโอกาสแรกถึงสิทธิดังกล่าว

3       สิทธิของผู้ต้องหา  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  134  ซึ่งโดยสรุปคือ

(1) ผู้ต้องหามีสิทธิได้รับการสอบสวนด้วยความรวดเร็ว  ต่อเนื่อง  และเป็นธรรม

(2) พนักงานสอบสวนต้องให้โอกาสผู้ต้องหาที่จะแก้ข้อหา  และแสดงข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์แก่ตนได้

4       สิทธิของผู้ต้องหา  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  135  ซึ่งโดยสรุปก็คือ

(1) ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต  หรือในคดีที่ผู้ต้องหามีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา  ก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่  ถ้าไม่มีให้รัฐจัดหาทนายความให้

(2) ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุก  ก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่  ถ้าไม่มีและผู้ต้องหาต้องการทนายความ  ให้รัฐจัดหาทนายความให้

5       สิทธิของผู้ต้องหา  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  134/3  ซึ่งโดยสรุปก็คือ

ผู้ต้องหามิสิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้

6       สิทธิของผู้ต้องหา  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  135  ซึ่งโดยสรุปก็คือ

ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะไม่ถูกสอบสวนโดยมิชอบด้วย  ป.วิอาญา มาตรา  135

7       สิทธิของผู้ต้องหา  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย  พ.ศ. 2550  อาทิเช่น

(1) ในคดีอาญา  ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด (มาตรา  39) 

(2) สิทธิที่จะได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม  รวมทั้งสิทธิในการสอบสวนอย่างถูกต้อง  รวดเร็ว  เป็นธรรม  และการไม่ให้ถ้อยคำเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง  (มาตรา  40 (4))

(3) สิทธิที่จะได้รับความคุ้มครอง  และความช่วยเหลือที่จำเป็นและเหมาะสมจากรัฐ (มาตรา  40 (5))

 

ข้อ  3  หนุ่ยกับโหน่งสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกันจนได้รับบาดเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย  ดังนี้  ให้วินิจฉัยว่า  หนุ่ยจะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้สอบสวนดำเนินคดีกับโหน่งในข้อหาความผิดฐานทำร้ายร่างกายได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)    ผู้เสียหายหมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา  4    5     และ   6

มาตรา  2(7)  คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตามซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

วินิจฉัย

หนุ่ยจะร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้สอบสวนดำเนินคดีกับโหน่งในข้อหาความผิดฐานทำร้ายร่างกายไม่ได้  เพราะหนุ่ยไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย  เนื่องจากหนุ่ยเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นผู้กระทำความผิดด้วยจึงไม่เป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย  ดังนั้น  หนุ่ยจึงไม่มีอำนาจร้องทุกข์  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2 (4) และ (7)

ข้อ  4  จากข้อเท็จจริงตามข้อสอบในข้อ  3 ข้างต้นนั้น  ให้วินิจฉัยว่า  ถ้าหนุ่ยได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับโหน่งแล้ว  พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด 

มาตรา  121  วรรคแรก  พนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนคดีอาญาทั้งปวง

วินิจฉัย

การที่หนุ่ยกับโหน่งสมัครใจวิวาททำร้ายร่างกายกันจนได้รับบาดเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่าย  เป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดินพนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้  เนื่องจากในคดีความผิดต่ออาญาแผ่นดินนั้น  พนักงานสอบสวนชอบที่จะทำการสอบสวนได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคำร้องทุกข์จากผู้เสียหาย  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  121  วรรคแรก  (เทียบนัยคำพิพากษาฎีกาที่  1681/2535,  748/24831)

LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน 1/2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW3035 การสืบสวนและสอบสวน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ

ข้อ  1  หลักการสัมภาษณ์พยานมีอะไรบ้าง  ให้อธิบายโดยละเอียด

ธงคำตอบ

การสัมภาษณ์พยานจะต้องกระทำโดยยึดหลัก  ดังนี้

1       จะไม่ถามเชิงแนะนำที่ดูเหมือนว่าต้องการคำตอบอย่างใดอย่างหนึ่ง  เจ้าหน้าที่สืบสวนต้องมีแผนในการสัมภาษณ์เพื่อประหยัดเวลา

2       จะไม่ป้อนข่าวและข้อมูลให้แก่พยานที่ไม่รู้มาก่อน  เพราะพยานอาจจะเพิ่มเติมเรื่องของตนเข้าไปผสมผสานกับคำแนะนำหรือความเห็นจากการป้อนข่าวของเจ้าหน้าที่  ซึ่งอาจเป็นไปโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม  ทำให้ผลที่ได้ในเรื่องดังกล่าวไม่ตรงกับที่พยานได้เห็นเหตุการณ์ในสถานที่เกิดเหตุนั้น

3       สิ่งที่ต้องการได้แก่เรื่องจริงที่จำได้เท่านั้นจึงจะเป็นลักษณะของงานสืบสวนที่กำลังปฏิบัติอยู่

4       ต้องไม่ย่อท้อเมื่อสัมภาษณ์พยานแต่ละคน  จนกว่าจะสามารถรู้เรื่องที่พยานรู้และได้เห็นโดยตลอด  และเข้าใจชัดเจนปรากฏเป็นรูปร่างขึ้นในความคิดขนาดที่ผู้สืบสวนคดีสามารถจินตนาการได้ว่าเป็นคนเห็นหรือได้ยินด้วยตนเองหรือเสมือนกับว่าตนได้อยู่ในที่นั้นด้วย

5       พิจารณาโดยมิให้ผู้ถูกสัมภาษณ์รู้สึกว่าพยานเชื่อถือได้  ไว้ใจได้  และมีความสามารถขนาดไหน  ควรรู้จักธรรมชาติของพยานเพื่อสรุปอย่างตรงประเด็นว่าพยานรู้อะไร  เห็นอะไร  และไม่รู้อะไร  ไม่เห็นอะไร

6       รักษามารยาทที่ดีงามตามแบบแผนและประเพณีของสังคม  ทั้งต้องคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน  (Human  Rights)  ด้วย

 

ข้อ  2  ความแตกต่างระหว่างการฆ่าตัวตายกับการถูกฆาตกรรม  พิจารณาเฉพาะบาดแผลมีอะไรบ้าง  ให้อธิบายโดยละเอียด  (ไม่น้อยกว่า 5  ลักษณะ)

ธงคำตอบ

กรณีตามปัญหาพิจารณาได้ดังนี้

จุดสังเกต

การฆ่าตัวตาย

การถูกฆาตกรรม

1  ตำแหน่งของบาดแผล จำกัดเฉพาะบริเวณที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง  ส่วนใหญ่จะมีบาดแผลด้านหน้า  ส่วนใหญ่จะกระทำที่จุดสำคัญ  เช่น ลำคอ  อก  ท้องข้อพับ  แขน  ข้อมือ  และจะไม่กระทำในส่วนอื่นที่ไม่จำเป็น หากพบบาดแผลที่ด้านหลังหรือส่วนอื่นที่ไม่ใช่จุดสำคัญของร่างกายแล้วเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะถูกฆ่า
2  บาดแผลที่เกิดจากการพยายามฆ่าตัวตาย –  มักจะมีแผลที่เกิดจากการพยายามฆ่าตัวตาย  บาดแผลที่เกิดจากการ พยายามฆ่าตัวตายเป็นตัวตัดสินว่าเป็นการฆ่าตัวตาย  เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการพิจารณา

–  มักจะขนานกับแผลที่ทำให้ถึงแก่ความตาย  เช่น  ส่วนใหญ่จะเป็นแผลที่ตื้น  และมีหลายแห่ง

–  แต่ก็น้อยที่พบแผลที่เกิดจากการพยายามฆ่าตัวตายที่อยู่คนละตำแหน่งกับผลที่ทำให้ถึงแก่ความตายตามลำคอ  อก  ข้อพับแขน  ข้อมือ  ซึ่งบาดแผลที่เกิดจากการ พยายามฆ่าตัวตาย  โดยการแทงนั้น  ส่วนใหญ่จะเป็นแผลตื้นที่แทงด้วยปลายของมีคมมักจะมีหลาย แห่ง

–  ไม่มีบาดแผลที่เกิดจากการพยายามฆ่าตัวตาย  หากมีบาดแผลหลายแห่ง  ทิศทางจะไม่คงที่  ผู้ถูกฆาตกรรมจะต่อสู้ดิ้นรน  ดังนั้น  จะไม่มีทางเป็นไปได้ที่บาดแผลอยู่ในแนวเดียวกัน

–  อาจมีบางครั้งที่ทำให้ดูเหมือนกับเป็นการฆ่าตัวตายโดยการทำให้เกิดแผลที่เกิดจากการพยายามฆ่าตัวตาย  ในกรณีนี้จะเป็นแผลที่ไม่ได้เกิดขึ้นขณะที่มีชีวิต

3  จำนวนบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ ความตาย ปกติบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ความตายจะมีเพียงที่เดียวเท่านั้น  มีบ้างเป็นบางครั้งที่มีบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ความตายมากกว่า  2  แห่งพร้อมกัน หากมีบาดแผลที่ทำให้ถึงแก่ความตายมากกว่า  2  แห่ง  ให้พิจารณาว่าเป็นการถูกฆาตกรรม  หากทำให้เกิดบาดแผลเป็นจำนวนมากให้พิจารณาว่าเกิดจากความโกรธแค้นอย่างรุนแรง
4  ความลึกของบาดแผล ส่วนใหญ่เป็นบาดแผลที่ตื้น มีแผลลึกเป็นจำนวนมากหรือแทงจนทะลุ
5  จุดเริ่มต้นของบาดแผล –  บาดแผลเริ่มจากฝั่งตรงข้ามของมือที่ถนัดและถูกปาดไปทางด้านมือที่ถนัด

–  จุดเริ่มต้นบาดแผลนั้นจะลึก

–  ตำแหน่งทิศทางและลักษณะของบาดแผลจะไม่คงที่เมื่อเปรียบเทียบจากมือที่ถนัด
 

6  บาดแผลที่กระดูก

 

–  กรณีแทงบริเวณด้านหน้าอกมักจะหลีกเลี่ยงกระดูกหน้าอกหรือกระดูกซี่โครง  จะแทงระหว่างกระดูกซี่โครง

–  แต่หากของมีคมนั้นมีขนาดใหญ่  อาจทำให้เกิดบาดแผลที่กระดูกซี่โครงด้วย

 

–  หากแทงที่กระดูกหน้าอกให้พิจารณาว่าเป็นการฆาตกรรม  และหากเป็นการแทงจนกระทั่งทำให้กระดูกซี่โครงถูกตัดขาดให้พิจารณาว่าน่าจะเป็นการฆาตกรรม

7  มีบาดแผลเกิดจากการต่อสู้ป้องกันตัวหรือไม่ มือหรือแขนไม่มีบาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้ป้องกันตัว  มีบ้างเป็นบางครั้งที่ถูกของมีคมนั้นพลาดทำให้เกิดบาดแผลขึ้น มักจะพบเห็นบาดแผลที่เกิดจากการต่อสู้ป้องกันตัวตามแขน  ขา  เนื่องจากกำหรือใช้มือรับอาวุธของฝ่ายตรงข้าม
     


 

ข้อ  3  ดินออกเช็คหนึ่งฉบับชำระหนี้เงินกู้ยืมแก่ฟ้า  จำนวนเงินที่ระบุในเช็คคือ  120,000  บาท  ซึ่งจำนวนเงิน  120,000  บาทนี้  เป็นเงินต้น  100,000  บาท  และเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ  10  ต่อเดือน  เป็นเวลาสองเดือน  คิดเป็นดอกเบี้ย  20,000  บาท  รวมเป็นเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นจำนวนเงิน  120,000  บาท  เมื่อเช็คถึงกำหนดชำระ  ฟ้าได้นำเช็คไปขึ้นเงินที่ธนาคาร  แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินอ้างว่าเงินในบัญชีไม่พอจ่าย  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ฟ้าจะร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับดินในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  2(4)    ผู้เสียหายหมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง  รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้  ดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา  4    5     และ   6

มาตรา  2(7)  คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตามซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

วินิจฉัย

จำนวนเงินในเช็คพิพาทได้รวมดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราร้อยละ  10  ต่อเดือนเข้าไว้ด้วยกัน  ซึ่งเป็นอัตราที่ผิดกฎหมาย  ถือได้ว่าฟ้าเป็นผู้กระทำผิดในส่วนของดอกเบี้ยที่ฟ้าคิดเกินอัตราตามกฎหมาย  แม้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน  ฟ้าก็ไม่เป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย  กรณีจึงไม่เป็นผู้เสียหายตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(4)  ฟ้าจึงร้องทุกข์ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(7)  ไม่ได้

ข้อ  4  จากข้อเท็จจริงตามข้อสอบในข้อ  3  ข้างต้นนั้น  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ถ้าฟ้าได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สอบสวนดำเนินคดีกับดินแล้ว  พนักงานสอบสวนจะมีอำนาจสอบสวนคดีนี้ได้หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  2(7)  คำร้องทุกข์  หมายความถึงการที่ผู้เสียหายได้กล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้  ว่ามีผู้กระทำความผิดขึ้น  จะรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ก็ตามซึ่งกระทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย  และการกล่าวหาเช่นนั้นได้กล่าวโดยมีเจตนาจะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษ

มาตรา  121  วรรคสอง  แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว  ห้ามมิให้ทำการสอบสวนเว้นแต่จะมีคำร้องทุกข์ตามระเบียบ

วินิจฉัย

การแจ้งข้อกล่าวหาของฟ้าไม่เป็นคำร้องทุกข์  ตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  2(7)  พนักงานสอบสวนจึงไม่มีอำนาจสอบสวนตาม  ป.วิ.อาญา  มาตรา  121  วรรคสอง   เนื่องจากการดำเนินคดีอาญาของไทยเป็นระบบกล่าวหา  ไม่ใช่ระบบไต่สวน  ดังนั้น  เจ้าพนักงานของรัฐจะมีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีอาญาได้นั้น  ก็ต้องปรากฏว่ามีคำร้องทุกข์ของผู้เสียหายโดยถูกต้องตามกำหมายก่อนนั่นเอง

LAW 3016 กฎหมายปกครอง การสอบไล่ภาค 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3016 กฎหมายปกครอง (สำหรับนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์)

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  ก  จงอธิบายเรื่องต่อไปนี้

–                    ยกตัวอย่างกฎหมายปกครองมาสามฉบับ

–                    อธิบายว่าเพราะเหตุใดกฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายปกครอง

–                    หน่วยงานของรัฐได้แก่หน่วยงานใด

–                    เจ้าหน้าที่ของรัฐได้แก่ใครบ้าง

–                    การใช้อำนาจทางปกครองเป็นอย่างไร

–                    การบริการสาธารณะหมายความว่าอย่างไร

ข  จงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายปกครอง  หน่วยงานของรัฐ  เจ้าหน้าที่ของรัฐ  การใช้อำนาจปกครอง  การบริการสาธารณะ  และศาลปกครอง

ธงคำตอบ  ก

–                    กฎหมายปกครองมีอยู่ประมาณเจ็ดร้อยกว่าฉบับ  เช่น  กฎหมายที่ดิน  และพระราชบัญญัติต่างๆ  นักศึกษาจะยกตัวอย่างกฎหมายฉบับใดก็ได้มา  3  ฉบับ  (ยกเว้นกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา)  เช่น  พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน  พ.ศ. 2534  พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน  พ.ศ. 2535  พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร  พ.ศ. 2528  เป็นต้น

–                    กฎหมายดังกล่าวเป็นกฎหมายปกครองเพราะเป็นกฎหมายบัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ  และเมื่อเกิดกรณีพิพาทเป็นกรณีพิพาททางปกครอง  จะต้องนำคดีให้ศาลปกครองเป็นผู้พิจารณา

–                    หน่วยงานของรัฐ  ได้แก่  หน่วยงานในการบริหารราชการส่วนกลาง  ส่วนภูมิภาค  ส่วนท้องถิ่น  และรัฐวิสาหกิจ

–                    เจ้าหน้าที่ของรัฐ  ได้แก่  บุคคลหรือคณะบุคคลที่ใช้อำนาจหรือได้รับมอบให้ใช้อำนาจทางปกครอง  ได้แก่  ข้าราชการ  พนักงานเจ้าหน้าที่ฯ

–                    การใช้อำนาจทางปกครอง  คือการที่เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจตามกฎหมาย  แล้วทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  โอน  สงวน  หรือระงับต่อสถานภาพหรือสิทธิของบุคคล  ไม่ว่าจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวร

ธงคำตอบ  ข

กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ  โดยหน่วยงานของรัฐ  หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ  จะใช้อำนาจปกครอง  หรือจะดำเนินการในการบริการสาธารณะได้จะต้องมีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจหน้าที่ไว้  และเมื่อเกิดปัญหาจากการใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายเรียกว่าเป็นกรณีพิพาททางปกครอง  จะต้องนำคดีไปฟ้องยังศาลปกครอง  เนื่องจากศาลปกครองมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาคดีปกครอง

 


ข้อ  2  ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า  ผู้ฟ้องคดีกับพวกซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจได้ร่วมกันจับกุมผู้ลักลอบนำน้ำมันโซล่าหลบหนีภาษีศุลกากร  (น้ำมันเถื่อน)  เข้ามาในราชอาณาจักร  พร้อมทั้งยึดเรือของกลาง  จำนวน  2  ลำ  ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค  3  มีคำพิพากษาให้ริบของกลางดังกล่าว  แต่ศาลฎีกาพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์  ต่อมาเจ้าของเรือได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดสตูลเพื่อขอคืนเรือของกลาง

และคดีอยู่ระหว่างการไต่สวนของศาล  ปรากฏว่าเรือของกลางทั้ง  2  ลำได้หายไป  ผู้ฟ้องคดีจึงได้แจ้งความไว้เป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมองสตูล  แต่ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสตูลผู้ถูกฟ้องคดีมิได้ลง บันทึกประจำวันและไม่ได้มีการดำเนินการตามที่ผู้ฟ้องคดีแจ้งความร้องทุกข์

จงวินิจฉัยว่า

1       ผู้ฟ้องคดีมีอำนาจฟ้องหรือไม่  หลักกฎหมายมาตราใดบัญญัติว่าอย่างไร

2       ฟ้องศาลใด  หลักกฎหมายมาตราใดบัญญัติว่าอย่างไร

3       หากท่านเป็นศาลจะวินิจฉัยคดีนี้ว่าอย่างไร

ธงคำตอบ

1       ผู้ฟ้องคดีมีอำนาจฟ้องตามมาตรา  42  แห่งพระราชบัญญัติ  จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ.  2542  เนื่องจากเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย  หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้อันเนื่องจากการกระทำหรืองดเว้นการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา  42  วรรคหนึ่ง

2       ต้องนำคดีไปฟ้องศาลปกครองที่อยู่ในเขตอำนาจ  ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542  มาตรา  9  วรรคหนึ่ง  (2)  บัญญัติว่า  คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าที่ตามที่กำหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ  หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

3       สั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติหน้าที่ภายในเวลาที่ศาลปกครองกำหนด  ในกรณีที่มีการฟ้องว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร  ตามบทบัญญัติมาตรา  72 (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542 

 


ข้อ  3  
หลักกระจายอำนาจปกครองนั้นเป็นวิธีการจัดระเบียบการปกครองโดยให้ท้องถิ่นต่างๆ  มีความเป็นอิสระตามสมควรที่จะปกครองตนเองโดยราษฎรในท้องถิ่นนั้น  ราชการบริหารส่วนกลางเป็นแต่เพียงกำกับดูแลเท่านั้น  ดังนี้ให้อธิบายสาระสำคัญของ  หลักกระจายอำนาจปกครอง  และ  การกำกับดูแล  ตามที่ได้ศึกษามา

ธงคำตอบ

หลักการกระจายอำนาจทางปกครอง  เป็นวิธีการที่รัฐมอบอำนาจปกครองบางส่วนให้องค์การอื่นนอกจากราชการบริหารส่วนกลางจัดทำบริการสาธารณะบางอย่างโดยมีอิสระตามสมควร  ไม่ต้องขึ้นอยู่ในความบังคับบัญชาของราชการบริหารส่วนกลาง

ลักษณะสำคัญของหลักกระจายอำนาจปกครอง

1       มีการแยกหน่วยงานออกไปเป็นองค์กรนิติบุคคลอิสระจากราชการบริหารส่วนกลาง

2       มีการเลือกตั้ง

3       มีความเป็นอิสระที่จะวินิจฉัยสั่งการและดำเนินการด้วยงบประมาณและด้วยเจ้าหน้าที่ของตนเอง

การกำกับดูแล  เป้นความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรควบคุมกำกับ  ได้แก่  อำนาจกำกับดูแลของส่วนกลางที่มีอยู่เหนือองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น  ไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา  อำนาจกำกับดูแลเป็นอำนาจที่มีเงื่อนไข  จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจและต้องเป็นไปตามรุปแบบที่กฎหมายกำหนด

ลักษณะทั่วไปของการกำกับดูแล

1       อำนาจกำกับดูแลจะต้องก่อตั้งขึ้นโดยกฎหมาย

2       อำนาจกำกับดูแลต้องมาจากส่วนกลาง

3       อำนาจกำกับดูแลเฉพาะความชอบด้วยกฎหมาย

 


ข้อ  4  ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยอาศัยอำนาจตามกฎหมายข้าราชการตำรวจ  แต่งตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงพันตำรวจเอกรักรามผู้ใต้บังคับบัญชา  และได้มีคำสั่งพักราชการพันตำรวจเอกรักรามในระหว่างการสอบสวนวินัยร้ายแรง  เพื่อรอฟังผลการสอบสวน  โดยอ้างว่าพันตำรวจเอกรักรามดำเนินการปกปิดและทำลายพยานหลักฐานสำคัญ

ในการสอบสวนพันตำรวจเอกรักรามเห็นว่าคำสั่งพักราชการมีผลกระทบต่อสถานภาพของ สิทธิและหน้าที่ของตนเองแม้จะเป็นการชั่วคราวก็ตาม  โดยที่ตนเองไม่มีโอกาสโต้แย้งแสดงหลักฐานเพื่อประกอบการพิจารณาออกคำสั่งพักราชการ  แต่ในขณะที่ผู้บังคับบัญชาทั้งสองกลับเห็นว่า  คำสั่งพักราชการเป็นเพียงคำสั่งภายในเพื่อรอฟังผลการสอบสวนวินัยของคณะกรรมการสอบสวนวินัยเท่านั้น

ซึ่งผลการสอบสวนอาจไม่ปรากฏมูลเหตุความผิดวินับร้ายแรงก็ได้  ดังนี้  พันตำรวจเอกรักรามจะโต้แย้งว่า  คำสั่งพักราชการเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  ยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน  (ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ.  2539  หรือพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542)

ธงคำตอบ

คำสั่งพักราชการโจทก์เพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณาเป็นคำสั่งทางปกครอง  มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของพันตำรวจเอกรักราม  แม้จะเป็นการชั่วคราว  แต่ก็ถือว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งทางปกครอง  ตามนัยที่บัญญัติไว้ในมาตรา  5 (1)  ห่างพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  ให้นิยามคำว่า 

คำสั่งทางปกครอง  หมายความว่า  (1)  การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ  เปลี่ยนแปลง  โอน  สงวน  ระงับ  หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว  เช่น  การสั่งการ  การอนุญาต  การอนุมัติ  การวินิจฉัยอุทธรณ์  การรับรอง  และการรับจดทะเบียน  แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ

ซึ่งพระราชบัญญัติดังกล่าวคำสั่ง พักราชการเจ้าหน้าที่พิจารณาทางปกครองจะเห็นสมควรเปิดโอกาสให้คู่กรณีมี สิทธิทราบข้อเท็จจริงและมีโอกาสโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตนได้ตามมาตรา  30 (6)  (กฎกระทรวงฉบับที่  2  พ.ศ. 2540)  เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเจ้าหน้าที่มิได้ให้โอกาสพันตำรวจเอกรัก รามทราบข้อเท็จจริงก่อนและไม่ให้โต้แย้งแสดงพยานหลักฐานที่อาศัยเป็นเหตุใน การออกคำสั่งพักราชการ  คำสั่งพักราชการจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่อาจถูกเพิกถอนได้

หรือพันตำรวจเอกรักรามอาจขอให้ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งพักราชการว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เนื่องจากเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่ง เนื่องจากกระทำโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนที่กำหนดไว้สำหรับการกระทำนั้น ได้  ตามมาตรา  9(1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542

สรุป  พันตำรวจเอกรักรามสามารถโต้แย้งคำสั่งพักราชการว่าเป็นคำสั่งไม่ชอบ ด้วยกฎหมายเนื่องจากไม่เปิดโอกาสให้คู่กรณีได้รับทราบข้อเท็จจริงและมีโอกาส โต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตน  ตามมาตรา  30  พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539

หรือพันตำรวจเอกรักรามสามารถโต้แย้งคำสั่งพักราชการว่าเป็นคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เนื่องจากกระทำโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบขั้นตอนที่กำหนดไว้สำหรับการออกคำสั่งทางปกครอง  ตามมาตรา  9 (1)  พะราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542

LAW 3016 กฎหมายปกครอง การสอบไล่ภาค 2/2549

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

 ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 3016 กฎหมายปกครอง (สำหรับนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์)

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  จงทำตามคำสั่งต่อไปนี้

ก)     กฎหมายใดต่อไปนี้เป็นกฎหมายปกครองเพราะเหตุผลใด  (20  คะแนน  หากตอบผิดจะไม่ได้คะแนนในข้อนี้เลย  เพราะถือว่าเป็นสาระสำคัญของวิชา)

1)    ประมวลกฎหมายอาญา

2)    ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

3)    พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง  ทบวง  กรม

4)    พระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบราชการกรมกสิกรรม

5)    กฎกระทรวง

6)    พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาล

7)    ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร

8)    เทศบัญญัติ

ข)     คำสั่งทางปกครอง  หมายความว่าอย่างไร  พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ 

กฎหมายที่จะเป็นกฎหมายปกครองนั้น  จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ  2  ประการ  คือ

1       จะต้องเป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานของรัฐ  หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ

2       จะต้องเป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติ  (รัฐสภา)  เท่านั้น  ซึ่งอาจใช้ชื่อของกฎหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง  คือ  พระราชบัญญัติ  พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ  พระราชกำหนด  หรือในรูปของกฎหมายอื่นๆ  เช่น  ประมวลกฎหมาย  เป็นต้น

ดังนั้นในคำถาม  กฎหมายต่างๆ  ดังกล่าว  ที่จะมาเป็นกฎหมายปกครอง  ได้แก่

3)    พระราชบัญญัติปรับปรุง  กระทรวง  ทบวง  กรม

6)    พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาล

ธงคำตอบ  ข

มาตรา  5  แห่ง  พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง  พ.ศ. 2539  นั้น  คำสั่งทางปกครอง  หมายความว่า

(1) การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ  เปลี่ยนแปลง  โอน  สงวน  ระงับ  หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล  ไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว  เช่น  การสั่งการ  การอนุญาต  การอนุมัติ  การวินิจฉัย  อุทธรณ์  การรับรอง  และการรับจดทะเบียน  แต่ไม่ไหมายความรวมถึงการออกกฎ

(2) การอื่นที่กำหนดในกระทรวง

ตัวอย่างของคำสั่งทางปกครอง  เช่น  การออกใบอนุญาตให้บุคคลกระทำการต่างๆ  หรือคำสั่งลงโทษวินัยข้าราชการ  เป็นต้น

 

ข้อ  2  นายราม  รักเรียน  มีที่ดินอยู่ติดทางหลวงแผ่นดิน  ซึ่งบนท้องถนนหน้าที่ดินของนายรามฯ  เป็นที่กลับรถที่เกิดอุบัติเหตุรุนแรงเป็นประจำ  ดังนั้นกรมทางหลวงจึงขยายผิวจราจรของถนนออกไปเพื่อเป็นที่กลับรถให้เกิดความปลอดภัยแก่ประชาชนผู้สัญจรไปมาบนถนนหลวง  แต่การขยายผิวจราจรของกรมทางหลวงได้รุกล้ำเข้าไปในที่ของนายรามฯ

นายราม  รักเรียน  ไม่พอใจนำคดีไปฟ้องศาลปกครอง  ตามมาตรา  9(3)  พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542

ถามว่า 

1)    ถ้าท่านเป็นศาลปกครองจะรับคดีนี้ไว้พิจารณาหรือไม่  เพราะเหตุใด

2)    มาตรา  9(3)  ดังกล่าว  บัญญัติว่าอย่างไร

ธงคำตอบ

1)    การที่กรมทางหลวงได้ขยายผิวจราจรออกไปเพื่อเป็นที่กลับรถให้เกิดความปลอดภัยแก่ประชาชนผู้สัญจรไปมาบนถนนหลวงนั้น  ถือว่ากมทางหลวงซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองได้กระทำการโดยการใช้อำนาจตามกฎหมาย

แต่เมื่อการขยายผิวจราจรของกรมทางหลวงได้รุกล้ำเข้าไปในที่ของนายรามฯ  ย่อมถือว่าเป็นการกระทำละเมิดต่อนายรามฯ  ซึ่งเป็นเอกชน  และเมื่อกรณีดังกล่าวเป็นการทำละเมิดของหน่วยงานทางปกครองอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย  จึงถือว่าเป็นการกระทำละเมิดทางปกครอง  เมื่อมีข้อพิพาทเกิดขึ้นย่อมอยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครองตามมาตรา  9(3)  แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542

ดังนั้น  ตามปัญหาเมื่อนายราม  รักเรียนไม่พอใจและนำคดีไปฟ้องศาลปกครอง  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลปกครอง  ข้าพเจ้าจะรับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาเพราะเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลปกครองตาม  มาตรา  9(3)

2)    ตามมาตรา  9(3)  แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ. 2542  ได้บัญญัติว่า

ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษา  หรือมีคำสั่งในเรื่องดังต่อไปนี้

(3) คดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทำละเมิด  หรือความรับผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอันเกิดจากการใช้อำนาจตามกฎหมาย  หรือจากกฎ  คำสั่งทางปกครอง  หรือคำสั่งอื่น  หรือจากการละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ  หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร

 

ข้อ  3  จงอธิบายความแตกต่างระหว่างการควบคุมบังคับบัญชากับการควบคุมกำกับดูแลมาโดยละเอียด

ธงคำตอบ

อำนาจบังคับบัญชา  เป็นอำนาจที่หัวหน้าหน่วยงานใช้ปกครองผู้ใต้บังคับบัญชา  เป็นอำนาจที่ไม่มีเงื่อนไข  ผู้บังคับบัญชาสามารถที่จะสั่งการใดๆ  ก็ได้ตามที่เห็นว่าเหมาะสม  สามารถที่จะกลับ  แก้ไข  ยกเลิกเพิกถอน  คำสั่งหรือกรกระทำของผู้ใต้บังคับบัญชาได้เสมอ  เว้นแต่จะมีกฎเกณฑ์บัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นประการอื่น

แต่อย่างไรก็ตามการใช้อำนาจบังคับบัญชานั้นจะต้องชอบด้วยกฎหมายด้วย  จะใช้อำนาจบังคับบัญชาที่ขัดต่อกฎหมายไม่ได้แม้ว่าจะได้ใช้ไปในทางที่เหมาะสมก็ตาม

อำนาจกำกับดูแล  หรืออำนาจควบคุมกำกับ ไม่ใช่เรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา  แต่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรควบคุมกำกับองค์กรภายใต้การควบคุมกำกับ  จึงเป็นอำนาจที่มีเงื่อนไข  คือจะใช้ได้ต่อเมื่อมีกฎหมายให้อำนาจและต้องเป็นไปตามรูปแบบที่กฎหมายกำหนด

ในการควบคุมกำกับนั้น  องค์กรควบคุมกำกับไม่มีอำนาจสั่งการให้องค์กรภายใต้การควบคุมกำกับปฏิบัติตามที่เห็นสมควร  องค์กรภายใต้ควบคุมกำกับมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย  องค์กรควบคุมกำกับจึงเพียงแต่ควบคุมกำกับให้องค์กรภายใต้การควบคุมกำกับปฏิบัติหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น

โดยสรุปอำนาจบังคับบัญชาเป็นอำนาจในระบบการบริหารของนิติบุคคลหนึ่ง  เช่น  ภายในนิติบุคคลที่เรียกว่า  รัฐหรือองค์กรกระจายอำนาจอื่นๆ  เช่น  เทศบาลเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้บังคับบัญชากับผู้ใต้บังคับบัญชา

ส่วนอำนาจควบคุมกำกับเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับนิติบุคคลอื่นๆ  ที่ต้องจัดทำกิจการเฉพาะของตน  ความสัมพันธ์ระหว่างราชการบริหารส่วนกลางและส่วนภูมิภาคของไทยจัดเป็นความสัมพันธ์ในลักษณะการบังคับบัญชา  ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนกลาง  (รวมถึงส่วนภูมิภาค)  กับส่วนท้องถิ่นนั้น  เป็นความสัมพันธ์ในลักษณะการควบคุมกำกับ

 

ข้อ  4  จงอธิบายความหมายของการกระทำทางปกครองและรูปแบบการกระทำทางปกครอง  และให้วินิจฉัยกรณีดังต่อไปนี้ว่าเป็นการกระทำทางปกครองหรือไม่  รูปแบบใด  เพราะเหตุใด

ก)     การที่เจ้าหน้าที่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในคูคลองสาธารณะที่ปลูกสร้างผิดกฎหมาย

ข)     การที่ฝ่ายปกครองตกลงเข้าทำสัญญาเช้าอาคารจากเอกชนเพื่อใช้เป็นที่ทำกรชั่วคราว

ค)     การที่บริษัทเอกชนที่ได้รับอนุญาตตรวจสภาพรถยนต์ออกใบรับรองว่ารถยนต์คันที่มารับการตรวจผ่านการตรวจสภาพ

ธงคำตอบ

การกระทำทางปกครอง  หมายถึง  การกระทำของรัฐที่กระทำโดยองค์กรของรัฐฝ่ายปกครอง  ทั้งนี้โดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติหรือกฎหมายอื่นที่มีค่าเสมอพระราชบัญญัติ

รูปแบบของการกระทำทางปกครอง  สามารถพิจารณาได้ดังนี้

1       คำสั่งทางปกครอง  หมายความว่า  การใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ที่มีผลเป็นการสร้างนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคลในอันที่จะก่อ  เปลี่ยนแปลง  โอน  สงวน  ระงับ  หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลไม่ว่าจะเป็นการถาวรหรือชั่วคราว  เช่น  การสั่งการ  การอนุญาต  การอนุมัติ  การวินิจฉัยอุทธรณ์  การรับรอง  และการรับจดทะเบียน  แต่ไม่หมายความรวมถึงการออกกฎ

2       กฎ  หมายความว่า  พระราชกฤษฎีกา  กฎกระทรวง  ประกาศกระทรวง  ข้อบัญญัติท้องถิ่น  ระเบียบข้อบังคับ  หรือบทบัญญัติอื่นที่มีผลบังคับเป็นการทั่วไป  โดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีหรือบุคคลใดเป็นการเฉพาะ

3       สัญญาทางปกครอง  หมายความรวมถึงสัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทำการแทนรัฐ  และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทานสัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะหรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงหาประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ

4       ปฏิบัติการทางปกครอง  ได้แก่  การกระทำทางปกครองทั้งหลายที่มิใช่การออกกฎ  คำสั่งทางปกครอง  หรือสัญญาทางปกครอง  แต่เป็นการกระทำทางปกครองเพื่อให้บรรลุผลในทางข้อเท็จจริง

ก.      การที่เจ้าหน้าที่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในคูคลองสาธารณะที่ปลูกสร้างผิดกฎหมาย  เป็นการกระทำทางปกครองในรูปแบบปฏิบัติการทางปกครอง  เพราะมิได้มีลักษณะเป็นการแสดงเจตนาใดๆ  ให้ปรากฏต่อผู้ใดเลย  แต่เป็นการกระทำที่เจ้าหน้าที่ใช้กำลังทางกายภาพเพื่อให้เป็นไปตามสิทธิและหน้าที่

ข.      การที่ฝ่ายปกครองตกลงเข้าทำสัญญาเช่าอาคารจากเอกชนเพื่อใช้เป็นการชั่วคราว  ไม่ใช่การกระทำทางปกครองรูปแบบใด  เพราะเป็นความสัมพันธ์ภายใต้ระบบกฎหมายเอกชน

ค.      การที่บริษัทเอกชนที่ได้รับอนุญาตตรวจสภาพรถยนต์ออกใบรับรองว่ารถยนต์คันที่มารับการตรวจสภาพผ่านการตรวจสภาพ  เป็นการกระทำทางปกครองในรูปแบบคำสั่งทางปกครอง  เพราะบริษัทเอกชนได้รับมอบหมายให้ใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย

WordPress Ads
error: Content is protected !!