HIS1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา HIS 1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเสือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.         ข้อใดคือความหมายของผู้นำที่มีฤทธิ์อำนาจของชุมชนไทในบริเวณภาคใต้ของจีน

(1)       ผู้นำที่เป็นองค์อวตารของเทพเจ้า

(2)       ผู้นำที่อ้างว่ามีความสัมพันธ์กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ชุมชนนับถือ

(3)       ผู้นำที่เป็นพระจักรพรรดิราช  

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 80-81 ลักษณะผู้นำของชุมชนไทในบริเวณภาคใต้ของจีนประการหนึ่ง คือ ผู้นำจะ อ้างที่มาจากสวรรค์ และยังอ้างว่ามีความสัมพันธ์กับอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชุมชนนับถือ เช่น สามารถติดต่อกับวิญญาณของอดีตผู้นำคนก่อนๆ ได้ ซึ่งนักวิชาการจะเรียกผู้นำในลักษณะนี้ว่า ผู้นำที่มีฤทธิ์อำนาจ” (Big Men or Men of Prowess) และเมื่อผู้นำนี้ตายไปก็จะได้รับการนับถือบูชาว่าเป็นบรรพบุรุษคนหนึ่งด้วย

2.         หลักการเรื่องผู้นำที่เป็นมหาชนสมมุติ ปรากฏในหลักฐานใด

(1)       ไตรภูมิพระร่วง (2) พระไตรปิฎก ตอนอัคคัญสูตร

(3) ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่   (4) ศิลาจารึกหลักที่ 1

ตอบ 2 หน้า 92 ผู้นำที่ดีควรเป็น มหาชนสมมุติ” เป็นหลักการของพุทธศาสนาที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก ตอนอัคคัญสูตร ซึ่งได้กล่าวถึงผู้นำที่ดีว่า ผู้นำหรือกษัตริย์ควรเป็นมนุษย์เหมือน ประชาชนมิใช่เทพเจ้า โดยต้องเป็นมนุษย์ที่ได้รับการยอมรับและเสือกสรรจากประชาชน ให้เป็นผู้นำ เพราะมีคุณธรรมสูงกว่าผู้อื่น จึงจะเรียกว่าเป็นมหาชนสมมุติ

3.         พระจักรพรรดิราชหรือจักรวาทิน มีคุณสมบัติอย่างไร

(1)       มีพระบรมเดชานุภาพจากชัยชนะในสงคราม  (2) มีพระราชฐานะต่ำกว่า มหาชนสมมุติ

(3) ได้ปฏิบัติธรรมสั่งสมบารมีเต็มเปี่ยม          (4) มีคุณสมบัติตรงตามศาสนาพราหมณ์กำหนด

ตอบ 3 หน้า 93 พระตรปิฎกในส่วนสุตตันตปิฎก จักกวัติสูตร ได้ระบุว่า ผู้นำที่มีคุณสมบัติเป็นเลิศ จะได้รับการยกย่องว่าเป็นพระจักรพรรดิราชหรือจักรวาทิน ซึ่งหมายถึง กษัตริย์แห่งจักรวาล หรือพระราชาที่ยิ่งใหญ่กว่าพระราชาทั้งปวง โดยคุณสมบัติของผู้ที่จะได้เป็นพระจักรพรรดิราช ก็คือ ต้องเป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติธรรมสั่งสมบารมีมาเต็มเปี่ยม

4.         ลักษณะของสถาบันกษัตริย์ล้านนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 มีส่วนที่แตกต่างจากสถาบันกษัตริย์สุโขทัย คือ

(1)       ไม่เน้นความสูงส่งของจักรพรรดิราช    (2) ไม่อ้างบทบาทของผู้ปกครองดุจดังพระโพธิสัตว์

(3) ไม่มีการใช้ราชาศัพท์กับกษัตริย์     (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 98 ลักษณะของสถาบันกษัตริย์ล้านนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 จะมีส่วนที่แตกต่างจากสถาบันกษัตริย์สุโขทัย คือ ไม่มีการเน้นความสูงส่งของพระจักรพรรดิราช หรือไม่มีการอ้างบทบาท ของผู้ปกครองดุจดังพระโพธิสัตว์ และไม่มีการใช้คำราชาศัพท์กับกษัตริย์เหมือนดังทางสุโขทัย ส่วนหลักการของธรรมราชาอื่นๆนั้น ทางล้านนาก็ใช้คล้ายคลึงกับสุโขทัย เช่น การเน้นความสำคัญของหลักทศพิธราชธรรม การทำสงครามธรรมยุทธ ฯลฯ

5.         จตุโลกบาล หมายถึงอะไรในทัศนคติของพราหมณ์

(1)       เทวดาหรือยักษ์ผู้รักษาทิศทั้ง 4 ของจักรวาล   (2) พระมหากษัตริย์

(3) ไศเลนทร์ หรือราชาแห่งภูเขา         (4) พระจักรพรรดิราช

ตอบ 1 หน้า 99, (คำบรรยาย) ในทัศนคติของศาสนาพราหมณ์มีความเชื่อว่า ในระบบจักรวาล(Universe or Macrocosmos) มีทิศหลักที่สำคัญอยู่ 4 ทิศ คือ ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ซึ่งแต่ละทิศจะมีเทวดาหรือยักษ์ผู้รักษาทิศทั้ง 4 ของจักรวาลอยู่ประจำ รวมทั้งหมด 4 ตน เรียกว่า โลกาปะละ หรือจตุโลกบาล

6.         ข้อใดถูกในสมัยสุโขทัย

(1)       ไม่ปรากฏอิทธิพลลัทธิเทวราชาในสมัยสุโขทัย            (2) สุโขทัยนำลัทธิเทวราชาเต็มรูปแบบมาใช้

(3)       สุโขทัยนำลัทธิเทวราชามาใช้ในยามที่อาณาจักรแตกแยก หรือมีการแย่งชิงอำนาจ

(4)       ลัทธิเทวราชามีความสำคัญที่สุดในสมัยสุโขทัย

ตอบ 3 หน้า 100 สถาบันกษัตริย์สุโขทัยในสมัยพุทธศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา คงมีการนำคติบางอย่าง ของลัทธิเทวราชามาใช้ แต่อาจใช้ไม่เต็มรูปแบบหรือตลอดเวลา เช่น อาจนำลัทธิเทวราชามาใช้ ในยามที่อาณาจักรแตกแยกและต้องรวบรวมดินแดนขึ้นใหม่ หรือใช้ในยามที่มีการทำรัฐประหาร แย่งชิงอำนาจกษัตริย์พระองค์ก่อน

7.         ข้อใดหมายถึงการปกครองแบบทหาร

(1)       ข้าราชการและประชาชนทุกคนต้องออกรบได้ยามมีศึก

(2)       ใช้การปกครองแบบเข้มงวดและเด็ดขาด

(3)       ข้าราชการและประชาชนทุกคนต้องเป็นทหารทั้งในยามสงบและสงคราม

(4)       สมุหกลาโหมมีอำนาจสูงสุด

ตอบ 1 หน้า 102 การปกครองแบบทหาร หมายถึง ลักษณะการปกครองที่ข้าราชการและประชาชนทุกคนต้องออกรบได้ยามมีศึกสงคราม ซึ่งถือเป็นประเพณีการปกครองของชุมชนไทยมาแต่ดั้งเดิม โดยมีรากฐานมาจากประชากรของชุมชนยังมีจำนวนจำกัด ไม่เพียงพอที่จะจัดแบ่งออกเป็น ทหารประจำการและพลเรือนได้

8.         ข้อใดหมายถึงการปกครองแบบนครรัฐ

(1)       เมืองต่าง ๆ มีลักษณะเป็นอิสระดุจเป็นรัฐหนึ่ง ๆ        (2) แว่นแคว้นมีการรามตัวอย่างหลวม ๆ

(3) การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางไม่มีประสิทธิภาพ  (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 104 – 105160273, (คำบรรยาย) การปกครองแบบนครรัฐ (City State) คือ การปกครอง ส่วนภูมิภาคในลักษณะที่เมืองหรือนครต่าง ๆ มีอิสระดุจเป็นรัฐหนึ่ง ๆ แว่นแคว้นจึงรวมตัวกัน แต่เพียงหลวม ๆ ในลักษณะสมาพันธรัฐ ส่งผลให้การรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางไม่มีประสิทธิภาพ เพราะเมืองหลวงไม่สามารถควบคุมเมืองส่วนภูมิภาคหรือเมืองลูกหลวงได้อย่างแท้จริง ดังนั้น จึงเกิดปัญหาการก่อกบฏของเจ้าเมืองลูกหลวงทั้งในสุโขทัย ล้านนา และอยุธยาตอนต้น

9.         ข้อใดคือจุดมุ่งหมายของกฎมณเฑียรบาล

(1)       เป็นระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน     (2) เป็นหมวดหนึ่งของกฎหมายตราสามดวง

(3)       เพื่อกำหนดหลักปฏิบัติที่บุคคลทั้งหลายต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์

(4)       เป็นการจัดทำเนียบศักดินา

ตอบ 3 หน้า 124 กฎหมายสำคัญที่รองรับสถานะอันสูงส่งดุจเทวะของพระมหากษัตริย์อยุธยาก็คือ กฎมณเฑียรบาล” ที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งถือเป็นเอกสารฉบับแรก ที่บันทึกเกี่ยวกับสถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อยุธยาลงไว้เป็นลายลักษณ์ อักษร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อกำหนดหลักปฏิบัติที่บุคคลทั้งหลายต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์ และพระราชวงศ์ จึงถือเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการเป็นเทวราชาของกษัตริย์อยุธยาได้อย่างดี

10.       ข้อใดหมายถึง จตุสดมภ์

(1)       สมุหกลาโหม สมุหนายก พระคลัง เจ้ากรมลูกขุน

(2)       ตำแหน่งเวียง รัง คลัง นา

(3)       เจ้ากรมช้าง เจ้ากรมม้า สุรัสวดี เจ้ากรมลูกขุน

(4)       รังหน้า เจ้าฟ้า พระองศ์เจ้า หม่อมเจ้า

ตอบ 2 หน้า 147 – 148, (คำบรรยาย) อยุธยามีการจัดแบ่งส่วนราชการในระยะแรกเริ่มเป็นแบบ จตุสดมภ์ (หลักทั้ง 4) คือ มีตำแหน่งและกรมกองสำคัญอยู่ 4 กรม ได้แก่ กรมเวียงหรือกรมเมือง กรมวัง กรมคลัง และกรมนา แต่ต่อมาระบบจตุสดมภ์ซึ่งถือเป็นระบบการปกครองที่มีอายุ ยืนยาวที่สุดก็ได้ถูกยกเลิกอย่างเป็นทางการในสมัยปฏิรูปการปกครองของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) โดยทรงจัดแบ่งส่วนราชการออกเป็นกระทรวง ตามแบบอารยประเทศ

11.       พระราชพิธีใดที่ข้าราชการต้องทำความเคารพพระเชษฐบิดรก่อนพระรัตนตรัย

(1)       พระราชพิธีบรมราชาภิเษก      (2) พระราชพิธีถือนํ้าพระพิพัฒน์สัตยา

(3) พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ       (4) พระราชพิธี ฟันนํ้า

ตอบ 2 หน้า 126140 ในสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ทรงถือว่าอยูในสถานะที่สูงกว่าพระรัตนตรัย ดังหลักฐานจากพระราชพิธีถือนํ้าพระพิพัฒน์สัตยาที่กำหนดให้ข้าราชการต้องถวายสักการะหรือ ทำความเคารพพระเชษฐบิดรก่อนพระรัตนตรัย (พระเชษฐบิดร คือ เทวรูปของสมเด็จพระเจาอู่ทอง และถือว่าเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้วทุกพระองค์)โดยจะต้องกระทำ ปีละ 2 ครั้ง

12.       ข้อใดถูก

(1)       ราชศาสตร์ คือ พระราชกำหนดหรือพระราชบัญญัติ

(2)       ราชศาสตร์ยกเลิกไม่ได้

(3)       ธรรมศาสตร์เป็นสาขาคดีของราชศาสตร์

(4)       กฎหมายธรรมศาสตร์สามารถครอบคลุมกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นในอาณาจักรอยุธยาได้ทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 134 – 135 กฎหมายที่ใช้ตัดสินคดีในสมัยอยุธยา ได้แก่ พระธรรมศาสตร์และพระราชศาสตร์ ซึ่งมีลักษณะดังนี้

1.         พระธรรมศาสตร์เป็นกฎหมายหลักอันศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุด และยกเลิกไม่ได้

2.         พระธรรมศาสตร์ไม่สามารถครอบคลุมกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นในอาณาจักรอยุธยาได้ทั้งหมด

3.         พระราชศาสตร์ คือ พระราชกำหนดหรือพระราชบัญญัติ ซึ่งเป็นสาขาคดีของพระธรรมศาสตร์

4.         กษัตริย์ทรงเป็นผู้ตราพระราชศาสตร์ เพื่อใช้ในกรณีที่มิได้มีข้อตัดสินระบุไว้ในพระธรรมศาสตร์

5.         พระราชศาสตร์อาจถูกยกเลิกโดยกษัตริย์ในรัชกาลต่อ ๆ ไปได้ ฯลฯ

13.       ข้อใดหมายถึง คดีศาลรับสั่ง’’

(1)       คดีที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบให้กรมลูกขุนเป็นผู้ตัดสิน

(2)       คดีความที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนา

(3)       คดีที่พระมหากษัตริย์ทรงตัดสินเองโดยไม่ผ่านกรมลูกขุน

(4)       คดีพิพาทระหว่างคนไทยและคนต่างซาติ

ตอบ 3 หน้า 135 – 136 คดีที่พระมหากษัตริย์อยุธยาทรงมีส่วนร่วมในการพิจารณาด้วย จะเรียกว่า ความรับสั่ง” แต่ถ้าเป็นคดีที่ราษฎรถวายฎีกาขึ้นมา โดยพระมหากษัตริย์ทรงมอบให้ กรมพระตำรวจเป็นผู้สอบสวน และพระองค์จะทรงตัดสินเองโดยไม่ผ่านกรมลูกขุน คดีเช่นนี้ จะเรียกว่า คดีศาลรับสั่ง

14.       ข้อใดคือสาระสำคัญของพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนและพระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง

(1) การกำหนดอัตราเงินเดือนข้าราชการ         (2) การกำหนดศักดินาให้ข้าราชการกรมกองต่าง ๆ

(3) การกำหนดลำดับขั้นและพระยศเจ้านาย  (4) วิวัฒนาการระบบราชการ

ตอบ 2 หน้า 149 การศึกษาลักษณะการบริหารราชการแผ่นดินในส่วนกลางภายหลังการปฏิรูปของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ปรากฏหลักฐานอยู่ในพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนและ พระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมือง ซึ่งเป็นกฎหมายที่เชื่อว่าได้ตราขึ้นในสมัยของพระองค์ โดยมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการกำหนดศักดินาให้แก่ข้าราชการในกรมกองต่าง ๆ จึงให้ความรู้ ในด้านลักษณะการจัดแบ่งกรมกองต่าง ๆ และสายการบังคับบัญชาในสมัยนั้น

15.       การศึกษาพระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนและพระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมืองให้ความรู้ด้านใดบ้าง

(1) การปฏิรูปกฎหมาย           (2) เนื้อที่นาทั่วราชอาณาจักร

(3)       กฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์

(4)       ลักษณะการจัดแบ่งกรมกองต่าง ๆ และสายการบังคับบัญชา

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ

16.       ข้อใดคือนโยบายการปฏิรูประบบราชการของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(1) แบ่งงานบริหารออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน     (2) แบ่งการปกครองออกเป็นภูมิภาค

(3) กระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง            (4) จัดตั้งเมืองลูกหลวงในเขตเมืองชั้นใน

ตอบ 1 หน้า 148 นโยบายการปฏิรูประบบบริหารราชการของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีดังนี้

1.         แบ่งแยกงานบริหารออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน รวมทั้งตั้งกรมสำคัญขึ้นใหม่ 2 กรม คือ กรมกลาโหมทำหน้าที่ดูแลฝ่ายทหาร และกรมมหาดไทยทำหน้าที่ดูแลฝ่ายพลเรือน

2.         จัดการปกครองในรูปรวมอำนาจเข้าสูศูนย์กลาง และยกเลิกระบบเมืองลูกหลวง (แต่มิได้ ยกเลิกเด็ดขาด) โดยจัดให้เขตเมืองชั้นในเป็นเขตมณฑลราชธานี ซึ่งเมืองหลวงเข้าไป ควบคุมโดยตรง

17.       เหตุใดการแบ่งงานตามลักษณะหน้าที่ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงไม่สมบูรณ์

(1)       กรมใหญ่มีงานในความรับผิดชอบหลายประเภท

(2)       เวลาเกิดศึกสงคราม ข้าราชการทุกกรมกองต้องออกไปรบได้เหมือนกันหมด

(3)       กรมที่มีลักษณะงานเป็นแบบทหารถูกจัดไว้ฝ่ายพลเรือน

(4)       ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 155-156 สาเหตุที่ทำให้ระบบแบ่งงานตามลักษณะหน้าที่เฉพาะอย่างในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไม่สมบูรณ์ มีดังนี้

1.         กรมใหญ่ เช่น กรมพระคลังมีงานในความรับผิดชอบหลายประเภทในเวลาเดียวกัน

2.         เวลาเกิดศึกสงคราม ข้าราชการทุกกรมกองต้องออกไปรบได้เหมือนกันหมดถ้าได้รับคำสั่ง

3.         กรมที่มีลักษณะงานเป็นแบบทหารถูกจัดไว้ในฝ่ายพลเรือน ส่วนกรมที่มีลักษณะงาน เป็นพลเรือนกลับถูกจัดไว้ในฝ่ายทหาร

18.       การเปลี่ยนแปลงระบบบริหารราชการส่วนกลางในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีลักษณะแบบใด

(1) แบ่งงานตามหน้าที่โดยเคร่งครัด    (2) ยกเลิกกรมสำคัญ 6 กรม

(3) แบ่งหน้าที่บริหารราชการออกเป็นภูมิภาค (4) กระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง

ตอบ 3 หน้า 157 – 158 การเปลี่ยนแปลงระบบบริหารราชการส่วนกลางในสมัยอยุธยาตอนปลาย คือ ระบบแบ่งงานตามหน้าที่เฉพาะอย่าง (Functional Basis) ออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน สลายไป กลายเป็นระบบแบ่งหน้าที่บริหารราชการออกเป็นส่วนภูมิภาคหรือเขตแดน (Territorial Basis) แทน ดังนี้

1.         กรมกลาโหมปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองภาคใต้

2.         กรมมหาดไทยปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองภาคเหนือ

3.         กรมพระคลังปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองชายทะเลภาคตะวันออก

19.       ข้อใดคือผลจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะงานของกรมกองในส่วนกลางปลายสมัยอยุธยา

(1) เกิดการทำงานซ้ำซ้อนกัน   (2) กรมที่เคยมีหน้าที่เฉพาะอย่างเสื่อมอำนาจลง

(3) กรมย่อยทำงานเป็นอิสระจากกรมใหญ่มากขึ้น (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 158 – 159 ผลจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะงานของกรมกองส่วนกลางในสมัยอยุธยา ตอนปลาย มีดังนี้

1. เกิดการทำงานซ้ำซ้อนกับกรมที่เคยรับผิดชอบงานเฉพาะบางกรมเป็นเหตุให้กรมที่เคยมีหน้าที่เฉพาะอย่างเสื่อมอำนาจลง

2. กรมย่อยทำงานเป็นอิสระจากกรมใหญ่มากขึ้นทุกที

3. การจัดให้กรมเล็กขึ้นสังกัดกรมใหญ่สับสนกันมากขึ้น

20.       เขตมณฑลราชธานี จัดตั้งขึ้นในรัชกาลใด

(1) สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1   (2) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(3) สมเด็จพระนเรศวร (4) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

21.       การปรับปรุงระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมีลักษณะอย่างไร

(1)       มีการจัดตั้งเมืองลูกหลวงและเมืองพระยามหานคร

(2)       มีการแบ่งหัวเมืองในเขตชั้นนอกเป็นเมืองชั้นเอก โท ตรี ตามลำดับ

(3)       มีการกระจายอำนาจสู่ส่วนภูมิภาค    (4) มีการจัดตั้งเขตมณฑลราชธานี

ตอบ 2 หน้า 162 – 164 การปรับปรุงระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในสมัยสมเด็จพระนเรศวร มีดังนี้       1. รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง เพื่อเพิ่มอำนาจให้เมืองหลวงควบคุมเขตภูมิภาคได้มั่นคงขึ้น (แต่มิได้มีผลถาวร)       2. ยกเลิกระบบเมืองลูกหลวงและเมืองพระยามหานครในเขตเมืองชั้นนอก และจัดแบ่งหัวเมืองในเขตชั้นนอกเป็นเมืองชั้นเอก โท ตรี ตามลำดับ

3.         จัดส่งขุนนางออกไปเป็นเจ้าเมืองเหล่านี้ และให้แต่ละเมืองขึ้นตรงต่อเมืองหลวง ฯลฯ

22.       ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เมืองหลวงใช้มาตรการใดในการควบคุมอำนาจเจ้าเมืองในเขตหัวเมืองชั้นนอก

(1)       ให้ขุนนางในเมืองหลวงเป็นผู้แต่งตั้งกรมการเมือง (2) ให้กรมการเมืองรับเงินเดือนจากเมืองหลวง

(3) ให้เจ้านายไปกำกับราชการหัวเมืองชั้นนอก           (4) ยกเลิกระบบกินเมือง

ตอบ 1 หน้า 195 ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 เป็นต้นไป ได้มีการใช้นโยบายแบ่งแยก ความจงรักภักดีออกเป็นสองทาง (Dual Allegiance) กล่าวคือ ให้ขุนนางในเมืองหลวงเป็น ผู้แต่งตั้งกรมการเมืองตำแหน่งต่าง ๆ แทนที่จะให้เจ้าเมืองเป็นผู้แต่งตั้งดังแต่ก่อน เพื่อให้เมืองหลวงมีอำนาจควบคุมเจ้าเมืองในเขตหัวเมืองชั้นนอกได้มากขึ้น เพราะกรมการเมืองย่อม เกิดความภักดีต่อขุนนางในเมืองหลวงซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งตนด้วย มิใช่ภักดีต่อเจ้าเมืองเพียงคนเดียว

23.       ข้อใดคือลักษณะสำคัญของสถาบันกษัตริย์ในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย

(1)       ลักษณะเทวราชามีความสำคัญมากขึ้น           (2) ลดความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์

(3) ลดความสำคัญในเรื่องผู้นำที่มีบารมีสูง     (4) เน้นคติธรรมราชาและพ่อปกครองลูก

ตอบ 4 หน้า 197202 – 204 ลักษณะสำคัญของสถาบันกษัตริย์ในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย มีดังนี้   1. การเน้นคติธรรมราชาและพ่อปกครองลูก 2.ความเชื่อในเรื่องบารมีของพระมหากษัตริย์ยังคงมีอยู่

3.         ความเสื่อมของลักษณะเทวราชา        4. ความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างสมบูรณ์

24.       ราชกิจจานุเบกษาเริ่มพิมพ์เผยแพร่ในรัชกาลใดของสมัยรัตนโกสินทร์

(1)       รัชกาลที่ 4       (2) รัชกาลที่ 5  (3) รัชกาลที่ 6  (4) รัชกาลที่ 7

ตอบ 1 หน้า 199 – 200 รัชกาลที่ 4 ทรงจัดพิมพ์หนังสือทางราชการออกเผยแพร่เป็นรายสัปดาห์ ที่เรียกว่า ราชกิจจานุเบกษา” โดยได้ความคิดและแบบอย่างมาจากตะวันตก ทั้งนี้เพื่อให้ข้อมูลแก่ประชาชนเกี่ยวกับประกาศราชการและกฎหมายต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และปิดหนทาง ที่ขุนนางจะทำดวงตราปลอมเพื่ออ้างรับสั่งกับราษฎร

25.       ข้อใดคือปัญหาในระบบบริหารราชการส่วนกลางในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ก่อนปฏิรูปการปกครอง สมัยรัชกาลที่ 5

(1)       กรมกองต่าง ๆ มีงานหลายประเภทอยู่ในความรับผิดชอบ

(2)       กรมกองต่าง ๆ ได้รับงบประมาณมากเกินไป

(3)       เสนาบดีกรมวังและนครบาลมีรายได้มากเกินไป (4) กองทัพประจำการมีอำนาจมากเกินไป

ตอบ 1 หน้า 222 – 225 ปัญหาในระบบบริหารราชการส่วนกลางในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ก่อนการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้

1.         กรมกองต่าง ๆ มีงานหลายประเภทอยู่ในความรับผิดชอบ

2.         กรมกองต่าง ๆ ไม่สามารถพัฒนาความชำนาญเฉพาะอย่างขึ้นได้

3.         การปฏิบัติราชการก้าวก่ายสับสน ไม่มีประสิทธิภาพ และข้าราชการทุจริตกันแพร่หลาย

4.         ไม่มีการจัดสรรงบประมาณให้แต่ละกรมกอง และไม่มีเงินเดือนให้ข้าราชการ

26.       ข้อใดคือปัญหาในระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาค ก่อนการปฏิรูปการปกครอง

(1)       เจ้าเมืองและกรมการเมืองไม่มีอำนาจในการเก็บภาษี

(2)       หัวเมืองชั้นนอกมีความเป็นอิสระมากเกินไป

(3)       ระบบมณทลเทศาภิบาลขาดประสิทธิภาพ    (4) เมืองประเทศราชไม่มีอำนาจปกครองตนเอง

ตอบ 2 หน้า 225 – 226 ปัญหาในระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคและเขตประเทคราช ก่อนการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้

1.         หัวเมืองชั้นนอกมีความเป็นอิสระมากเกินไป ทำให้เมืองหลวงไม่สามารถควบคุมได้อย่างใกล้ชิด

2.         เจ้าเมืองและกรมการเมืองไม่มีเงินเดือน ทำให้ต้องหารายได้จากการ กินเมือง

3.         ราชธานีให้เขตประเทศราชปกครองตนเอง จึงเปิดโอกาสให้มหาอำนาจเข้าแทรกแซงได้ง่าย

27.       ข้อใดคือผลงานสำคัญในการปฏิรูประบบบริหารส่วนกลางในระยะแรก

(1) การจัดตั้งกระทรวงแบบใหม่ 12 กระทรวง            (2) ระบบทาสถูกยกเลิกโดยเด็ดขาด

(3) มีการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน 2 สภา   (4) มีการปฏิรูประบบศาลอย่างแท้จริง

ตอบ 3 หน้า 227 – 228 รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูประบบบริหารส่วนกลางในระยะแรก (พ.ศ. 2417 – 2418) โดยมีผลงานที่สำคัญ คือ การจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินขึ้นมา 2 สภา ได้แก่

1.         สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (State Council or Council of State)

2.         สภาองคมนตรี (Privy Council)

28.       ข้อใดถูกในสมัยรัตนโกสินทร์

(1)       มีการยกเลิกระบบเมืองประเทศราชโดยเด็ดขาดในสมัยรัชกาลที่ 5

(2)       ระบบมณฑลเทศาภิบาลสามารถแก้ไขปัญหาระบบนครรัฐได้

(3)       การจัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลไม่ได้ทำพร้อมกับทีเดียวทั้งหมด           

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 56234 – 235 รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูประบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคแบบรวมศูนย์อำนาจ โดยการจัดตั้งระบบมณฑลเทศาภิบาลขึ้น แต่มิได้จัดทำพร้อมกันทีเดียวทั่วประเทศ ส่งผลให้ระบบเมืองพระยามหานครหรือนครรัฐสิ้นสุดลง และระบบเมืองประเทศราชถูก ยกเลิกโดยเด็ดขาด ทำให้ประเทศไทยสามารถรวมกันเป็นปึกแผ่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในลักษณะรัฐประชาชาติ (National State) ได้สำเร็จ

29.       ข้อใดคืออุปสรรคในการปฏิรูประบบบริหารราชการส่วนภูมิภาค

(1)       การต่อต้านของฝ่ายอนุรักษนิยมในหัวเมือง

(2)       ขุนนางในเมืองหลวงไม่ต้องการยกเลิกระบบกินเมือง

(3)       รัฐบาลไม่สามารถปราบการจลาจลตามหัวเมืองได้    (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 236 – 237 อุปสรรคในการปฏิรูประบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในสมัยรัชกาสที่ 5 นอกจากจะมีปัญหาเรื่องบุคลากรและเงินที่จะใช้ในระบบราชการแบบใหม่แล้ว ยังเกิดปัญหา การต่อต้านของฝ่ายอนุรักษนิยมในหัวเมือง ซึ่งได้แก่ พวกเจ้าเมืองและเจ้าประเทศราชเดิม ทั้งในมณฑลอีสาน พายัพ และปัตตานีในช่วงปี พ.ศ. 2444 – 2445 แต่รัฐบาลก็สามารถ ปราบปรามลงได้สำเร็จ

30.       ข้อใดคือความแตกต่างในการปกครองส่วนท้องถิ่นระหว่างสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์

(1)       มีการเปลี่ยนแปลงหน่วยการปกครองแบบเดิม

(2)       ประชาชนได้เลือกผู้ใหญ่บ้าน และผู้ใหญ่บ้านร่วมกันเลือกกำนัน

(3)       ผู้ใหญ่บ้านและกำนันไม่มีสิทธิเป็นกรรมการสุขาภิบาลตำบล

(4)       มีการจัดตั้งสุขาภิบาลตำบลสมัยอยุธยา และเทศบาลในสมัยรัตนโกสินทร์

ตอบ 2 หน้า 168 – 169236 การปกครองส่วนท้องถิ่นในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์จะมีหน่วย การปกครองเหมือนกัน คือ เป็นหมู่บ้าน ตำบล และอำเภอ แต่ในสมัยรัตนโกสินทร์จะมีการ เปลี่ยนแปลงที่มาของผู้ปกครอง โดยให้ประชาชนได้เลือกผู้ใหญ่บ้าน และผู้ใหญ่บ้านร่วมกัน เลือกกำนัน ส่วนนายอำเภอนั้นแต่งตั้งมาโดยมหาดไทย นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งสุขาภิบาลตำบล ซึ่งกรรมการสุขาภิบาลตำบลจะมาจากผู้ใหญ่บ้านและกำนันที่มาจากการเลือกตั้งนั่นเอง

31.       สังคมไทยมีลักษณะอย่างไร

(1)       เป็นสังคมที่มีการแบ่งชนชั้น แต่เป็นชนชั้นไม่ถาวร

(2)       เป็นสังคมที่อยู่ในระบบผู้อุปถัมภ์-บริวาร

(3)       เป็นสังคมที่มีการปลูกฝังความสำนึกในสถานะของตนเองและผู้อื่นในสังคม           

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 361 – 362 สังคมไทยมีลักษณะสำคัญของชนชั้น ดังนี้

1.         เป็นสังคมที่มีการแบ่งชนชั้น แต่เป็นชนชั้นไม่ถาวร มีการเปลี่ยนแปลงได้เสมอ

2.         เป็นสังคมที่อยู่ในระบบผู้อุปถัมภ์-บริวาร ซึ่งชนชั้นต่าง ๆ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด และต้องพึ่งพาอาศัยกัน

3.         เป็นสังคมที่มีฐานะและความเป็นอยู่คาบเกี่ยวกัน จนแบ่งแยกชนชั้นไม่ได้ชัดเจน

4.         เป็นสังคมที่มีการปลูกฝังความสำนึกในสถานะสูงตํ่าของตนเองและผู้อื่นในสังคมอย่างเด่นชัด

32.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับลูกเจ้าลูกขุนในสมัยสุโขทัย

(1) ไม่ต้องออกรบ        (2) ทำหน้าที่เป็นมูลนาย

(3) ต้องเสียภาษีมากกว่าไพร่  (4) ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการกบฏของลูกเจ้าลูกขุน

ตอบ 2 หน้า 272 – 275 บทบาทหน้าที่และสิทธิของลูกเจ้าลูกขุนในสมัยสุโขทัย มีดังนี้

1.         ช่วยบริหารราชการสำคัญตาง ๆ          2. ปกครองมืองสำคัญในฐานะเจ้าเมืองลูกหลวงทำให้ปรากฎหลักฐานการก่อกบฏของลูกเจ้าลูกขุนทั้งในสุโขทัยและล้านนา

3.         ทำหน้าที่เป็นมูลนายควบคุมไพร่        4. ช่วยพระมหากษัตริย์ออกรบในยามสงคราม

5.         ได้สิทธิพิเศษเหนือไพร่ คือ ไม่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน ไม่ต้องเสียภาษีและมีไพร่ในสังกัดได้ฯลฯ

33.       ข้อใดมิใช่สิทธิของไพร่ในสมัยสุโขทัย

(1) ร้องทุกข์ได้ด้วยตนเอง        (2) ไม่ต้องเสียจกอบ

(3) มีสิทธิแสดงความคิดเห็นเรื่องของบ้านเมือง          (4) ไม่ต้องเสียภาษี

ตอบ 4 หน้า 285287 – 288, (คำบรรยาย) สิทธิของไพร่ในสมัยสุโขทัย มีดังนี้

1.         สิทธิในการร้องทุกข์หรือฟ้องร้องมูลนายต่อพระมหากษัตริย์ได้ด้วยตนเองโดยตรง

2.         สิทธิในการศาล          3. สิทธิในที่ดินที่ได้หักร้างถางพงไว้

4.         สิทธิในการยกมรดกให้แก่ลูกหลาน    5. สิทธิในการค้าขายสินค้าได้ทุกชนิดอย่างเสรี

6.         สิทธิในการได้รับยกเว้นภาษีผ่านด่านหรือไม่ต้องเสียจกอบ แตก็ต้องเสียภาษีชนิดอื่น เช่นภาษีข้าว  

7. สิทธิเสรีภาพในการประกอบอาชีพ

8. สิทธิแสดงความคิดเห็นเรื่องของบ้านเมืองและการปกครองอาณาจักร ฯลฯ

34.       ระบบไพร่มีประโยชน์ต่อรัฐอย่างไร

(1) รัฐได้เกณฑ์แรงงานจากไพร่           (2) รัฐได้เก็บภาษีจากไพร่

(3) รัฐสามารถควบคุมไพร่ให้อยู่ในกฎหมาย   (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 273283, (คำบรรยาย) ประโยชน์ของระบบไพร่ต่อรัฐ มีดังนี้

1.         เพื่อให้รัฐสามารถเกณฑ์แรงงานจากไพร่มาใช้ในเวลาจำเป็นทั้งยามสงบและยามสงคราม

2.         เพื่อให้รัฐควบคุมไพร่ให้อยู่ในกฎหมาย ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง

3.         เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และให้รัฐได้เก็บภาษีอากรจากไพร่หรือสามัญชน

4.         เพื่อผลประโยชน์ของไพร่ในการได้รับความคุ้มครองจากมูลนาย

35.       ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับทาสสมัยล้านนา

(1)       พ่อแม่ขายลูกเป็นข้าได้            (2) มีข้าชนิด ทาสในเรือนเบี้ย” ของสมัยอยุธยา

(3) ล้านนามีการนำ ข้อยมาเป็นข้า” (4) มีหลักฐานมากมายเกี่ยวกับวิธีที่ข้าจะได้เป็นอิสระ

ตอบ 4 หน้า 293 หลักฐานในสมัยล้านนาไม่ได้กล่าวถึงโอกาสที่ข้าหรือทาสจะเป็นอิสระไว้เลย ยกเว้นในกรณีเดียวที่เจ้าขุนมูลนายมาเป็นชู้กับภรรยาของข้า ข้าผู้เป็นสามีจะได้รับอิสระ นอกจากนี้ยังไม่พบหลักฐานที่กล่าวถึงการไถ่ถอนตัวเป็นอิสระของข้าทั้งในสุโขทัยและล้านนา จึงเป็นไปได้ว่าการไถ่ถอนตัวคงมีน้อยมาก หรือไม่มีเลยก็ได้

36.       ในกฎหมายล้านนา การทำผิดในเรื่องเดียวกันแต่ได้รับโทษไม่เท่ากับ ต่อไปนี้ใครรับโทษหนักที่สุด

(1) นายตีน      (2) นายช้าง     (3) นายม้า       (4) กว้าน

ตอบ 2 หน้า 275 ในสมัยล้านนา ลูกเจ้าลูกขุนเมื่อทำผิดจะถูกปรับมากกว่าสามัญชนแม้จะเป็นความผิด อย่างเดียวกัน โดยผู้มีตำแหน่งสูงขึ้นเท่าใดก็จะถูกปรับมากขึ้นตามลำดับ ดังกฎหมายมังรายศาสตร์ ที่ว่า “…นายตีนกินนาหรือกว้านมักเมียท่านให้ไหม 330 เงิน…นายม้ามักเมียท่านให้ไหม 550 เงิน…นายช้างมักเมียท่านให้ไหม 1,100 เงิน…” ฯลฯ

37.       กษัตริย์อยุธยามีนโยบายต่อเจ้านายอย่างไร

(1) ให้เจ้านายบังคับบัญชาไพร่หลวง  (2) ให้เจ้านายเท่านั้นเป็นเสนาบดี

(3) มีมาตรการเพิ่มจำนวนเจ้านายให้มากขึ้น   (4) เจ้านายจะถูกลดความสูงศักดิ์ลงทุกชั่วคน

ตอบ 4 หน้า 141305308313322 – 323 พระมหากษัตริย์อยุธยามีนโยบายลิดรอนอำนาจ เจ้านาย ดังนี้ 1. ควบคุมจำนวนเจ้านายไม่ให้มากเกินไป โดยกำหนดผู้มีสิทธิเป็นเจ้านาย มีได้เพียง 3 ชั่วอายุคน คือ ในชั่วลูก หลาน และเหลนเท่านั้น 2. ลดความสูงศักดิ์ของเจ้านาย ลงทุกชั่วคน จึงไม่อาจกลาวได้ว่าเจ้านายมีความสูงศักดิ์กว่าขุนนาง 3. ไม่ให้เจ้านายได้เป็น เสนาบดีควบคุมการบริหารกรมกองสำคัญในส่วนกลาง และไม่ให้เป็นเจ้าเมืองในส่วนภูมิภาค แต่ให้ขุนนางมีอำนาจหน้าที่นี้แทน 4. ยกเลิกการให้เจ้านายบังคับบัญชาไพร่หลวง แต่ให้ทรงกรม หรือปกครองกรมและบังคับบัญชาไพร่สมแทน 5. ควบคุมจำนวนไพร่สมไม่ให้มากเกินไป ฯลฯ

38.       กษัตริย์อยุธยาทรงมีมาตรการลิดรอนอำนาจของเจ้านายอย่างไร

(1) ยุบเมืองลูกหลวง   (2) ยกเลิกการให้เจ้านายทรงกรม

(3) ยกเลิกการให้เจ้านายบังคับบัญชาไพร่หลวง        (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 37. ประกอบ

39.       การกำหนดศักดินามีประโยชน์อย่างไร

(1) ใช้กำหนดความสูงศักดิ์ของบุคคล (2) ใช้กำหนดบทลงโทษของบุคคล

(3) ใช้กำหนดไพร่ในสังกัดของบุคคล  (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 309359 – 360 ระบบศักดินามีประโยชน์ในการกำหนดฐานะบุคคลในทางสังคมและกำหนดระเบียบในการปกครองด้านต่าง ๆ ดังนี้ 1. เป็นเครื่องมือกำหนดความสูงศักดิ์ ของบุคคล อำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบของบุคคลต่าง ๆ เพื่อจัดระเบียบของสังคม

2.         เป็นเครื่องกำหนดบทลงโทษของบุคคลที่มีความผิด 3. เป็นเครื่องวัดและกำหนดไพร่พล ในสังกัดของบุคคลที่เป็นมูลนาย 4. เป็นเครื่องกำหนดอภิสิทธ์และสิทธิพิเศษบางอย่างให้แก่บุคคล

40.       กฎหมายศักดินาเริ่มปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในรัชกาลใด        

(1) พระเจ้าอู่ทอง

(2) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ          (3) พระนเรศวร            (4) พระเจ้าตากสิน

ตอบ 2 หน้า 357 – 358 กฎหมายศักดินาอาจเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น เพราะปรากฏหลักฐานในกฎหมายลักษณะโจร (จารึกหลักที่ 38) ซึ่งเชื่อว่าทำขึ้นในปี พ.ศ. 1940 แต่มาเริ่มปรากฏ เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจนครั้งแรกในรัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อทรงตรา พระไอยการตำแหน่งนาพลเรือนและพระไอยการตำแหน่งนาทหารหัวเมืองในปี พ.ศ. 1998

41.       ไพร่ชนิดใดมีจำนวนมากที่สุดในสมัยอยุธยา

(1)       ไพรหลวง        (2) ไพร่สม       (3) ไพร่ส่วย     (4) ไพร่อุทิศ

ตอบ 1 หน้า 339 – 341353. (คำบรรยาย) ประเภทของไพรในสมัยอยุธยา มีดังนี้

1.         ไพรสม คือ ไพร่ส่วนตัวของมูลนาย (ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเจ้านาย) มีหน้าที่รับใช้มูลนาย เป็นการส่วนตัว จึงมีความเป็นอยู่ที่สุขสบายและทำงานน้อยกว่าไพร่หลวง

2.         ไพร่หลวง คือ ไพรที่สังกัดกับพระมหากษัตริย์หรือไพร่ของทางราชการ ซึ่งได้มาจากสามัญชน ทั้งหมดที่เหลืออยู่จากการเป็นไพร่สม จึงเป็นไพร่ที่มีจำนวนมากที่สุดและทำงานหนักที่สุด

3.         ไพร่ส่วย คือ ไพร่ที่ไม่ต้องมาให้แรงงาน แต่ส่งสินค้าหรือส่วยมาแทน (ส่วนไพร่อุทิศหรือ ข้าพระอารามก็คือ ทาสวัดส่วนใหญ่ในสมัยอยุธยา)

42.       ไพร่อยุธยาไม่มีสิทธิทำสิ่งใด  

(1) เข้าเวร

(2)       เข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์          (3) ออกรบ       (4) ขายตัวเป็นทาส

ตอบ 2 หน้า 128140, (คำบรรยาย) ในสมัยอยุธยาได้กำหนดให้ชนชั้นเจ้านาย ขุนนาง และพระสังฆราชมีสิทธิเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ได้ แต่จะต้องเข้าเฝ้าตามหมายกำหนดเวลาที่ กำหนดไว้ไนกฎมณเฑียรบาล ส่วนชนชั้นไพร่นั้นไม่มีสิทธิเข้าเฝ้าและมองดูพระมหากษัตริย์ แต่พระมหากษัตริย์จะทรงทราบความเป็นอยู่ของไพร่โดยผ่านเจ้านายหรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่

43.       การสักข้อมือไพร่เพื่อป้องกันไพร่หลบหนี เริ่มทำครั้งแรกในสมัยใด   

(1) พระนเรศวร

(2)       พระนารายณ์   (3) พระเจ้าตากสิน      (4) พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก

ตอบ 3 หน้า 392417, (คำบรรยาย) การสักข้อมือไพร่เป็นตัวอักษรเริ่มทำขึ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินแห่งกรุงธนบุรี และใช้ต่อมาจนถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยได้กำหนดให้สักข้อมือไพร่ไว้ที่ด้านใน ระบุชื่อมูลนายและชื่อเมืองอันเป็นภูมิลำเนาเพื่อป้องกันไพร่หลบหนี สับเปลี่ยนมูลนาย หรือหนีไปหลบซ่อนอยู่ต่างเมืองและตามป่าเขาอีก จึงเป็นทางป้องกันไม่ให้ ไพร่หลวงสูญหาย หรือไม่ให้ไพร่หลวงหนีไปเป็นไพร่สมของมูลนายได้ง่ายอย่างแต่ก่อน

44.       ข้อความที่สักบนข้อมือไพร่คือเรื่องใด

(1) ชื่อไพร่และชื่อมูลนาย

(2)       ชื่อมูลนายและชื่อกรม (3) ชื่อไพร่และชื่อเมือง            (4) ชื่อมูลนายและชื่อเมือง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

45.       ข้อใดถูกต้อง

(1)       ผู้หญิงต้องขึ้นทะเบียนไพร่     (2) พระสงฆ์ไม่ต้องขึ้นทะเบียนไพร่

(3)       ผู้หญิงถูกเกณฑ์แรงงานเช่นเดียวกับชาย       (4) ทาสไมมีศักดินาประจำตัว

ตอบ 1 หน้า 341 – 342, (คำบรรยาย) หลักเกณฑ์การขึ้นทะเบียนไพร่ในสมัยอยุธยา มีดังนี้

1.         ไพร่ที่มีอายุตั้งแต่ 9 ขวบขึ้นไปต้องมาขึ้นทะเบียน แต่ไพร่จะถูกเกณฑ์แรงงานเมื่ออยู่ในวัยฉกรรจ์ (ผู้ที่แต่งงานแล้ว) คือ อายุประมาณตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป

2.         ไพร่ต้องขึ้นทะเบียนกับมูลนายที่มิภูมิลำเนาเดียวกับตน แต่ต่อมาภายหลังไพร่ขึ้นสังกัด กับมูลนายที่อยู่ต่างภูมิลำเนากันได้

3.         ไพร่ต้องขึ้นทะเบียนสังกัดหมวดหมู่เดียวกับพ่อแม่ญาติพี่น้องของตน

4.         ผู้หญิงและพระสงฆ์ก็จะต้องมาขึ้นทะเบียนไพร่ แม้ว่าจะไม่ถูกเกณฑ์แรงงาน นอกจาก เวลาที่จำเป็นจริงๆ ฯลฯ

46.       นายเงินสมัยอยุธยาไม่มีสิทธิเหนือตัวทาสอย่างไร     

(1) ขึ้นค่าตัวทาสได้

(2)       ลงโทษทาสได้ (3) ใช้ทาสเข้าคุกแทนตนเองได้           (4) ใช้ทาสไปรบแทนตนเองได้

ตอน 1 หน้า 352354 – 356 ระบบทาสในสมัยอยุธยา นายเงินมีสิทธิเหนือตัวทาสดังนี้

1.         ใช้งานทาสได้ทุกอย่าง 2. ใช้ทาสไปรับโทษหรือเข้าคุกแทนตนเองได้

3.         ใช้ทาสไปรบแทนตนเองได้       4. ลงโทษทาสได้แต่ต้องไม่ทำให้ทาสนั้นพิการหรือตายไป

5.         ขายทาสต่อไปได้ แต่ขึ้นค่าตัวทาสตามใจชอบไม่ไต้ และถ้าทาสมีเงินมาไถ่ตัว นายเงิน จะไม่ยอมรับค่าตัวทาสไม่ได้ ฯลฯ

47.       กรมใดมีหน้าที่ดูแลชาวมุสลิมในสมัยอยุธยา

(1) กรมท่าขวา (2) กรมท่าซ้าย            (3) กรมสัสดี    (4) กรมพระคลัง

ตอบ 1 หน้า 151364504 ในสมัยอยุธยา หน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลชาวต่างชาติ คือ กรมท่า ซึ่งขึ้นกับกรมพระคลัง แบ่งออกเป็น

1.         กรมท่าซ้าย มีหลวงโชฎึกราชเศรษฐีเป็นเจ้ากรม ทำหน้าที่ดูแลชาวจีน ญี่ปุ่น ฮอลันดา ฝรั่งเศส และโปรตุเกส

2.         กรมท่าขวา มีพระยาจุฬาราชมนตรีเป็นเจ้ากรม ทำหน้าที่ดูแลชาวมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลาม เช่น ชาวอินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ เตอร์ก มลายู ฯลฯ

48.       ท่านคิดว่าสิ่งใดเป็นตัวกำหนดการดำเนินวิถีชีวิตของคนสมัยอยุธยาได้ชัดเจนที่สุด

(1) ลัทธิเทวราชา         (2) หลักธรรมราชา       (3) ระบบผูกขาด         (4) ระบบศักดินาและระบบไพร่

ตอบ 4 หน้า 336 – 337357, (คำบรรยาย) สิ่งที่เป็นตัวกำหนดการดำเนินวิถีชีวิตของคนไทย ในสมัยอยุธยาที่ชัดเจนที่สุด ได้แก่

1.         ระบบศักดินา เป็นการจัดระเบียบสังคมของอยุธยาที่สำคัญยิ่ง และมีผลต่อวิถีชีวิตของบุคคล ในสังคม (ดูคำอธิบายข้อ 39. ประกอบ)

2.         ระบบไพร่ เป็นระบบการควบคุมแรงงานที่มีประสิทธิภาพ และเป็นตัวกำหนดการดำเนินชีวิต ของคนในสมัยอยุธยา (ดูคำอธิบายข้อ 34. ประกอบ)

49.       เจ้าพระยาจักรี เป็นราชทินนามของกรมใด

(1) มหาดไทย  (2) กลาโหม     (3) นครบาล    (4) คลัง

ตอบ 1 หน้า 150 – 152319 – 320, (คำบรรยาย) หน้าที่ในตำแหน่งของกรมกองต่าง ๆ จะมียศ และราชทินนามกำกับไว้โดยเฉพาะ ดังนี้

1.         เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ฯ เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมมหาดไทย

2.         เจ้าพระยามหาเสนาบดีวิริยภักดีฯ เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมกลาโหม

3.         เจ้าพระยาพระคลัง หรือเจ้าพระยาโกษาธิบดี เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมพระคลัง หรือโกษาธิบดี

4.         พระยาพลเทพราชเสนาบดีฯ เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมนาหรือเกษตราธิการ ฯลฯ

50.       ยศสูงสุดของขุนนางในประวัติศาสตร์ คือยศใด

(1)       กรมสมเด็จพระ            (2) กรมพระ     (3) สมเด็จเจ้าพระยา   (4) เจ้าพระยา

ตอบ 3 หน้า 319405, (คำบรรยาย) ยศสมเด็จเจ้าพระยา ถือเป็นยศสูงสุดของขุนนางในประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งเริ่มมีขึ้นครั้งแรกในสมัยกรุงธนบุรี โดยสมเด็จเจ้าพระยาจะมีอยู่ทั้งหมด 4 พระองค์ คือ

1.         สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ (ทองด้วง) หรือรัชกาลที่ 1 ในเวลาต่อมา

2.         สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดีส บุนนาค)

3.         สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ (ทัด บุนนาค)

4.         สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)

51.       บุคคลใดต่อไปนี้มีศักดินาสูงสุดสมัยอยุธยา

(1)       เจ้าพระยากลาโหม      (2) วังหน้า       (3) วังหลัง       (4) พระมหากษัตริย์

ตอบ 2 หน้า 309357 กฎหมายอยุธยากำหนดให้ประชาชนทุกคนยกเว้นพระมหากษัตริย์ จะได้รับ พระราชทานศักดินาประจำตัวเป็นจำนวนเลขลดหลั่นกันไปตามยศและตำแหน่ง โดยผู้ที่มีศักดินา สูงสุดในสมัยอยุธยา คือ เจ้านายระดับกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) มีศักดินา 100,000 ไร่ ส่วนผู้ที่มีศักดินาตํ่าสุด คือ ยาจก วณิพก ทาส และลูกทาส มีศักดินา 5 ไร่

52.       ตัวอย่างของขุนนางที่เลื่อนฐานะขึ้นเป็นกษัตริย์ได้สำเร็จในประวัติศาสตร์ คือใคร

(1)       พระเจ้าปราสาททอง (2) พระมหาจักรพรรดิ    (3) พระบรมไตรโลกนาถ (4) พระเอกาทศรถ

ตอบ 1 หน้า 44324 ตัวอย่างของขุนนางที่เลื่อนฐานะขึ้นเป็นกษัตริย์ได้สำเร็จในประวัติศาสตร์ คือ ออกญาหรือพระยาศรีวรวงศ์ ซึ่งต่อมาได้เลื่อนยศเป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ เป็นขุนนางสมัยอยุธยาที่กำจัดยุวกษัตริย์ถึง 2 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเชษฐาธิราช และสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ รวมถึงเจ้านายชั้นสูงอีกจำนวนหนึ่ง ก่อนได้ขึ้นครองราชย์ เป็นสมเด็จพระเจ้าปราสาททองในเวลาต่อมา

53.       ตำแหน่งวังหน้าในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก คือใคร

(1)       กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท     (2) กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์

(3)       กรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ    (4) กรมขุนอิศเรศรังสรรค์

ตอบ 1 หน้า 394 ตำแหน่งวังหน้าที่มีอำนาจและความสามารถมากที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์ ได้แก่ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (วังหน้าในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หรือรัชกาลที่ 1) ที่มีความขัดแย้งกับกษัตริย์ ถึงขนาดนำปืนขึ้นประจำป้อมและหันปากกระบอกปืน เข้าหากัน แต่เรื่องร้ายก็ยุติลงได้เพราะพระพี่นางทั้งสองพระองค์เข้าห้ามปราม และ กรมพระราชวังบวรฯ สิ้นพระชนม์ไปก่อนในปี พ.ศ. 2446

54.       ตำแหน่ง สมเด็จเจ้าพระยา” ในประวัติศาสตร์ไทยมีกี่พระองค์

(1) 2 พระองค์  (2) 3 พระองค์  (3) 4 พระองค์  (4) พระองค์เดียว

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 50. บระกอบ

55.       มหาอำนาจตะวันตกชาติใดได้รับสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเป็นชาติแรกในราชอาณาจักรไทยสมัยรัตนโกสินทร์

(1) อังกฤษ      (2) ฝรั่งเศส      (3) ดัตช์           (4) โปรตุเกส

ตอบ 1 หน้า 439547 – 548, (คำบรรยาย) ภายหลังที่ไทยทำสนธิสัญญาบาวริ่งกับอังกฤษในปี พ.ศ. 2398 ประเทศไทยได้เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต (เสียเอกราชด้านการศาล) ให้กับ ประเทศอังกฤษเป็นชาติแรก คือ คนต่างชาติและคนในบังคับของต่างชาติเมื่อมีเรื่องกับคนไทยก็ดี หรือมีเรื่องในหมู่พวกตัวเองก็ดี จะต้องขึ้นศาลกงสุลของชาติตนหรือชาติที่ตนได้ไปขึ้นทะเบียนไว้ ทำให้ศาลไทยไม่สามารถเอาผิดกับคนต่างชาติที่อยูในเมืองไทยและทำผิดกฎหมายไทยได้ ซึ่งต่อมาตั้งแต่ พ.ศ. 2399 – 2442 ก็มีประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส โปรตุเกส สเปน ญี่ปุ่น ฯลฯ เข้ามาทำสัญญาในลักษณะเดียวกันนี้อีกหลายประเทศ

56.       ข้อใดถูกต้องในสมัยต้นรัตนโกสินทร์

(1) ขุนนางได้เลือกสรรกษัตริย์ (2) ขุนนางไม่ได้ประโยชน์จากระบบเจ้าภาษีนายอากร

(3)       ขุนนางตระกูลบุนนาคหมดอำนาจลง  (4) ไพร่หลวงหนีไปเป็นไพร่สมกันมาก

ตอบ 1 หน้า 400 – 404 ปัจจัยที่ทำให้ขุนนางในสมัยต้นรัตนโกสินทร์มีอำนาจเพิ่มมากขึ้น ได้แก่

1.         ขุนนางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระมหากษัตริย์

2.         ไพร่หลวงในสังกัดขุนนางที่หลบหนีไปเป็นไพร่สมมีจำนวนลดลง ทำให้ขุนนางมีความมั่นคงมากขึ้น

3.         คณะเสนาบดีซึ่งส่วนใหญ่เป็นขุนนางได้เลือกสรรพระมหากษัตริย์

4.         ขุนนางจำนวนหนึ่งได้ประโยชน์จากระบบเจ้าภาษีนายอากร

5.         ขุนนางตระกูลบุนนาคมีอำนาจโดดเด่นที่สุดตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์จนถึงต้นรัชกาลที่ 5 ฯลฯ

57.       การปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 มีผลต่อขุนนางอยางไร

(1)       ขุนนางได้เป็นเสนาบดีมากกว่าเจ้านาย

(2)       ขุนนางไม่ได้เป็นข้าหลวงเทศาภิบาลอีกต่อไป

(3)       ขุนนางตระกูลบุนนาคเสื่อมอิทธิพลลง

(4)       ขุนนางได้เก็บเงินจากเจ้าภาษีไว้เป็นสมบัติส่วนตัวมากกว่าแต่ก่อน

ตอบ 3 หน้า 398411 – 412 การปฏิรูประบบราชการและการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 มีผลต่อขุนนาง ดังนี้

1.         คณะเสนาบดีรุนเก่าที่มีตระกูลบุนนาคเป็นผู้นำเสื่อมอิทธิพลลง โดยเสนาบดีหรือข้าหลวงเทศาภิบาลรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้านาย แต่ถ้าเป็นขุนนางก็จะเป็นขุนนาง ตระกูลอื่น เช่น ตระกูลอมาตยกุล และกัลยาณมิตร

2.         ข้าราชการมีเงินเดือน และการใช้เงินส่วนของรัฐเพื่อกิจการส่วนตัวนับเป็นของต้องห้าม

3.         มีการเปิดรับสามัญชนที่มีการศึกษาดีเข้าสู่ระบบราชการ ฯลฯ

58.       ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์มีการปฏิรูประบบไพร่อย่างไร

(1) ยกเลิกการสักข้อมือไพร่     (2) ห้ามไพร่เปลี่ยนมูลนาย

(3)       ยกเลิกการเกณฑ์แรงงานไพร่สม         (4) ไพร่หลวงต้องเข้าเดือนออกสามเดือน

ตอบ 4 หน้า 186417 – 419, (คำบรรยาย) ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์โดยเฉพาะรัชกาลที่ 2มีการปฏิรูประบบไพร่ ดังนี้            1. มีการสักข้อมือไพร่เช่นเดียวกับสมัยรัชกาลที่ 1

2.         ลดเวลาการเกณฑ์แรงงานไพร่หลวงลงเหลือปีละ 3 เดือน เรียกว่า เข้าเดือนออกสามเดือน

3.         ไพร่สมก็ถูกเกณฑ์แรงงานโดยให้มาเข้าเวรปีละ 1 เดือน

4.         ให้ไพร่เปลี่ยนมูลนายได้ แต่ต้องเป็นมูลนายในหัวเมืองเดียวกับไพร่ ฯลฯ

59.       ปัญหาการเมืองที่เกิดจากชาวจีนในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ได้แก่เรื่องใด

(1)       ชาวจีนมักแข็งข้อต่อขุนนาง     (2) ชาวจีนต่อต้านชาวตะวันตก

(3)       ชาวจีนนิยมไปจดทะเบียนเป็นคนในบังคับอังกฤษ     (4) ชาวจีนต่อต้านระบบเจ้าภาษีนายอากร

ตอบ 3 หน้า 439 ในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ชาวจีนได้ก่อปัญหาทางการเมืองให้แก่รัฐบาลไทย โดยการตั้งสมาคมลับของชาวจีนหรีออั้งยี่ขึ้นมาหลายกลุ่ม และมีกิจกรรมหลายด้านที่ทำผิด กฎหมายไทย แต่พวกอั้งยี่ก็สามารถลอยนวลอยู่เหนือกฎหมายไทยได้ เพราะคนจีนจำนวนมาก นิยมไปจดทะเบียนเป็นคนในบังคับตะวันตกชาติต่าง ๆ โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศส ซึ่งเมื่อ มีคดีเกิดขึ้นก็สามารถขึ้นศาลกงสุลของชาติที่ตนได้ไปขึ้นทะเบียนไว้ และตำรวจไทยจะจับกุมตัวได้ ก็ต่อเมื่อกงสุลของชาตินั้นอนุมัติแล้วเท่านั้น (ดูคำอธิบายข้อ 55. ประกอบ)

60.       การเลิกทาสในเมืองไทยไม่มีการนองเลือดอย่างในสหรัฐอเมริกา เพราะรัชกาลที่ 5 ทรงดำเนินการยกเลิก อย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ใช้เวลากว่ากี่ปี จึงเลิกทาสได้สำเร็จ

(1) 10 ปี          (2) 15 ปี          (3) 20 ปี          (4) 30 ปี

ตอบ 4 หน้า 433,516,(คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทรงดำเนินการเลิกทาสจนสำเร็จ โดยพระองค์ ทรงใช้นโยบายทางสายกลาง คือ ดำเนินการเลิกทาสไปทีละขั้นตอน มิใช่รวบรัดเลิกทาสทั้งหมด ในคราวเดียวกัน รวมเวลาที่ใช้ทั้งหมดกว่า 30 ปี จึงทรงสามารถเลิกทาสได้อย่างเด็ดขาด โดยไม่มีการนองเลือดเหมือนการเลิกทาสในประเทศสหรัฐอเมริกา

61.       ข้อใดคือลักษณะการทำการเกษตรกรรมสมัยสุโขทัย

(1)       การปลูกพืชไร่ขนาดใหญ่         (2) การทำการเกษตรเพื่อการส่งออก

(3) พื้นที่เพาะปลูกมีจำกัด       (4) ข้าวเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ

ตอบ 3 หน้า 474 การทำการเกษตรกรรมในสมัยสุโขทัยจะมีข้อจำกัดในเรื่องผลผลิต โดยเฉพาะผลิตผลที่สำคัญที่สุด คือ ข้าวนั้นคงจะกระทำกันได้ในปริมาณที่พอกินพอใช้ในอาณาจักรเท่านั้น เพราะพื้นที่เพาะปลูกมีจำกัด กำลังคนก็มีจำกัด และงานชลประทานก็ทำในปริมาณจำกัดเช่นกัน จึงเป็นเหตุให้ในบางครั้งบางคราวเกิดขาดแคลนข้าวขึ้นในสุโขทัย จนต้องสั่งซื้อข้าวมาจากอยุธยา

62.       เมืองใดที่มีความสำคัญในแง่การค้าช้างสมัยสุโขทัย

(1)       เมืองสุรินทร์     (2) เมืองราด    (3) เมืองกำแพงเพชร   (4) เมืองสุโขทัย

ตอบ2 หน้า 475 – 476 การค้าช้างในสมัยสุโขทัยคงจะเป็นการค้าที่ใหญ่โต ดังหลักฐานในศิลาจาริกสุโขทัยว่า เมืองกว้างช้างหลาย” หมายถึง ถ้าต้องการช้างมาใช้งานหรือจับมาขาย ก็สามารถจับมาได้โดยเสรี ไม่ต้องเสียภาษีอากร และทางรัฐมิได้หวงห้าม ซึ่งเมืองสำคัญที่คุมกิจกรรมการค้าช้าง คือ เมืองราด สงไปขายยังเมืองตอนใต้ของสุโขทัย เช่น อโยธยา สุพรรณภูมิ และเมืองทางชายทะเลตะวันออก

63.       ตลาดปสาน” สัมพันธ์กับข้อใด

(1) ตลาดที่มีห้องหรือร้านเป็นแถวติดต่อกัน    (2) ลานกิจกรรมในสมัยสุโขทัย

(3) ตลาดใหญ่ที่สุดในสมัยสุโขทัย      (4) ตลาดขนาดใหญ่ของเมืองปสาน

ตอบ 1 หน้า 477 ในศิลาจารึกมีคำว่า ตลาดปสาน” ซึ่งนักศึกษาวิชาการทางประวัติศาสตร์หลายท่าน มีความเห็นว่าตลาดปสาน หมายถึง ตลาดที่มีห้องหรือร้านเป็นแถวติดต่อกัน ส่วนใหญ่จะอยู่ ในย่านชุมนุมชน เพราะมีบ้านเล็กบ้านใหญ่อยู่ในบริเวณเดียวกัน

64.       ข้อใดไม่ใช่ลักษณะของเครื่องสังคโลกสมัยสุโขทัย

(1) สีที่นิยมมากที่สุด คือ สีเขียวไข่กา  (2) เครื่องสังคโลกและมีลวดลายแบบไทยเท่านั้น

(3) จาน ชาม เป็นภาชนะที่นิยมมากที่สุด        (4) สุโขทัยรับอิทธิพลมาจากจีน

ตอบ 2 หน้า 479 ลักษณะของเครื่องสังคโลกสมัยสุโขทัย มีดังนี้

1.         เป็นสินค้าออกที่สำคัญของสุโขทัย

2. มีสีที่นิยมและขึ้นชื่อลือชามากที่สุด คือ สีเขียวไข่กา

3.         ได้รับอิทธิพลจากจีนทั้งรูปทรงและกรรมวิธีแบบอย่าง

4.         ภาชนะที่นิยมและพบมากที่สุด คือ จานและชาม 5. มีรูปแบบและลวดลายแบบจีน แทบทั้งสิ้น ส่วนที่เป็นของไทย ได้แก่ รูปเทพนม ยักษ์ นาคปักษ์ พลสิงห์ ฯลฯ

65.       ข้อใดอธิบายลักษณะของ ไหเมาะตะมะ” ได้ถูกต้อง

(1) สีเขียวไข่กา            (2) มักใช้บรรจุอาหารแห้ง

(3) สีน้ำตาลไหม้          (4) พบว่าเป็นที่นิยมของพ่อค้าทางเกวียน

ตอบ 3 หน้า 479 เครื่องปั้นดินเผาสุโขทัยที่เอามาขายได้อย่างดีที่เมาะตะมะ มักเป็นพวกไหขนาดใหญ่ เคลือบสีนํ้าตาลไหม้สำหรับใส่น้ำ นํ้ามัน นํ้าตาล หรือบรรจุของอื่น ๆ จะเป็นที่นิยมของ นักเดินเรือมาก จึงมีการซื้อขายกันแพร่หลายจนคนเรียกกันติดปากว่า ไหเมาะตะมะ

66.       ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่าภาษีที่รัฐเรียกเก็บในสมัยสุโขทัย คือข้อใด

(1)       จกอบ (2) อากร          (3) ฤชา            (4) ส่วย

ตอบ 1 หน้า 480 – 482, (คำบรรยาย) ตามหลักฐานในสมัยสุโขทัย พบว่า ภาษีที่รัฐเรียกเก็บ มีเพียง 2 ชนิด ได้แก่ 1. จกอบ คือ ภาษีที่เก็บจากสินค้าผ่านด่าน ซึ่งเชื่อกันว่าก่อนสมัยพ่อขุนรามคำแหง รัฐบาลจะตั้งด่านเก็บภาษีนี้ แต่พอมาถึงสมัยพ่อขุนรามคำแหงทรงให้ยกเลิก ภาษีนี้เสีย 2. ภาษีข้าว โดยให้เก็บภาษีข้าว 1 ส่วน จากผลผลิตข้าว 10 ส่วน แต่ถ้าผู้ใดผลิตข้าวไม่ได้ก็ไม่ให้เก็บเลย นอกจากนี้ผู้ปกครองยังไม่ให้เพิ่มอัตราภาษีจากที่เคยเก็บกันมา แต่โบราณซึ่งถือว่าชอบธรรมแล้ว

67.       ข้อใดอธิบายถึงระบบเศรษฐกิจสมัยอยุธยาได้ถูกต้อง          

(1) ระบบเศรษฐกิจพอเพียง

(2)       ระบบเศรษฐกิจการตลาด       (3) ระบบเศรษฐกิจเสรี            (4) ระบบเศรษฐกิจแบบยังชีพ

ตอบ 2 หน้า 469 – 471558 พื้นฐานระบบเศรษฐกิจไทยมีวิวัฒนาการ ดังนี้

1.         เริ่มต้นมาจากเศรษฐกิจแบบหมู่บ้านในสมัยสุโขทัย ซึ่งผลิตเพื่อการบริโภคและแลกเปลี่ยน

2.         ระบบเศรษฐกิจแบบการตลาดในสมัยอยุธยา ซึ่งผูกพันกับการแสวงหาตลาดการค้าทั้งภายในและภายนอกประเทศ           3. ระบบเศรษฐกิจแบบเงินตรา ซึ่งเริ่มปรากฏชัดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ดังจะเห็นได้จากการที่รัฐเก็บส่วยจากไพร่ในรูปแบบเงินตรา

4.         ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ซึ่งเป็นการผลิตเพื่อการค้าส่งออกในปัจจุบัน

68.       ข้อใดแสดงถึงการสนับสนุนของรัฐด้านการเกษตรกรรมสมัยอยุธยา

(1)       การขยายพื้นที่การทำนา          (2) การให้ความคุ้มครองแก่ต้นข้าว

(3)       พิธีกรรมต่าง ๆ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจต่อเกษตรกร           (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 489 – 491, (คำบรรยาย) ผู้ปกครองอยุธยามีนโยบายสนับสนุนด้านเกษตรกรรมโดยเฉพาะการทำบาปลูกข้าว ดังนี้ 1. ขยายพื้นที่การทำนาเพาะปลูก 2. คุ้มครองป้องกัน ภยันตรายที่จะเกิดกับต้นข้าว โดยการออกกฎหมายคุ้มครองแก่ต้นข้าว และลงโทษผู้ทำลาย ต้นข้าวอย่างรุนแรง 3. ให้กำลังใจแก่ชาวนา โดยอาศัยพิธีกรรมทางศาสนาต่าง ๆ เพื่อสร้าง ขวัญและกำลังใจ 4. ส่งเสริมแรงงานในภารเพาะปลูก 5. ขจัดปัดเป่าการทะเลาะวิวาท 5.การชลประทาน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่รัฐบาลอยุธยาให้ความสำคัญน้อยที่สุด

69.       ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับ สัตว์มีคุณ” สมัยอยุธยา

(1) เป็นสัตว์ที่ได้รับพระราชทาน          (2) ช้าง ม้า วัว และควาย

(3) เจ้าของต้องทำการล้อมคอกสัตว์ประเภทนี้            (4) กฎหมายให้การคุ้มครอง

ตอบ 1 หน้า 493 – 494, (คำบรรยาย) ในสมัยอยุธยา สัตว์ที่มีความสำคัญจนถึงกับระบุไว้ในกฎหมายว่าเป็น สัตว์มีคุณ” ได้แก่ ช้าง ม้า โค (วัว) และกระบือ (ควาย) ซึ่งมีข้อสังเกตดังนี้

1.         มีกฎหมายให้การคุ้มครองสัตว์มีคุณ และมีกฎหมายคุ้มครองผู้ที่รับจ้างเลี้ยงสัตว์มีคุณด้วย

2.         ค่าตัวของสัตว์มีคุณตัวเมียมีค่ามากกว่าตัวผู้

3.         เจ้าของสัตว์ต้องล้อมรั้วทำคอกขังไว้ หรือไม่ก็ต้องผูกเชือกใส่ปลอกไว้

4.         นิยมเลี้ยงโคและกระบือตัวผู้ไว้ไถนา ส่วนแม่โคนั้นสามารถซื้อขายได้ ฯลฯ

70.       การขุดแร่ในสมัยอยุธยา พบว่าแร่ชนิดใดที่รัฐสามารถหาได้ในพื้นที่ที่อยู่ใกล้ราชธานีมากที่สุด

(1) ทองคำ       (2) เหล็ก          (3) ดีบุก           (4) ไข่มุก

ตอบ 2 หน้า 496 แหล่งแร่เหล็กของไทยในสมัยอยุธยาจะอยู่ที่หัวเมืองเหนือ ได้แก่ แถบเมืองสุโขทัย เมืองพิษณุโลก เมืองกำแพงเพชร และเมืองเพชรบูรณ์ ซึ่งถือเป็นแหล่งแร่ที่รัฐสามารถ หาได้ในพื้นทีที่อยู่ใกล้ราชธานี (อยุธยา) มากที่สุด โดยเมืองกำแพงเพชรเป็นที่รู้จักกันดีว่า มีแร่เหล็กกล้าอันเป็นเหล็กเนื้อดีวิเศษ” ส่วนแร่เหล็กหางกุ้ง เหล็กล่มเลย และเหล็กน้ำพี้ มีหลักฐานว่าได้บรรทุกเรือหางเหยี่ยวจากเพชรบูรณ์มาขายที่พระนครศรีอยุธยา

71.       ข้อใดม่ใช่คุณลักษณะของตลาดสมัยคยุธยา

(1)       เป็นสถานที่ให้ความคุ้มครองผู้รับซื้อของโจรโดยที่ไม่ทราบว่าเป็นของโจร

(2)       คุ้มครองการกรรโชกทรัพย์      (3) เป็นสถานที่นำนักโทษไปขออาหารรับประทาน

(4) เป็นที่พักแรมจากการเดินทาง

ตอบ 4 หน้า 497 ตลาดสมัยอยุธยานอกจากเป็นแหล่งขายสินค้านานาชนิดแล้ว ยังมีคุณสมบัติพิเศษ ด้านต่าง ๆ คือ 1. เป็นสถานที่ให้ความคุ้มครองผู้รับซื้อของโจรโดยที่ไม่ทราบว่าเป็นของโจร

2.         เป็นสถานที่คุ้มครองจากการรีดไถ และการกรรโชกทรัพย์พ่อค้าแม่ค้าจากพวกตามเสด็จ

3.         เป็นสถานที่ลงโทษผู้กระทำผิดกฎหมายการค้าขาย เช่น การขายสินค้าเกินราคาควบคุม การซื้อขายสินค้าต้องห้าม ฯลฯ 4. เป็นสถานที่ที่นักโทษไปขออาหารรับประทานเพื่อยังชีพ

72.       อยุธยาเริ่มทำการค้ากับต่างชาติในสมัยใด    

(1) พระเจ้าอู่ทอง

(2)       สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (3) สมเด็จพระรามาธีบดีที่ 2      (4) สมเด็จพระนารายณ์

ตอบ 1 หน้า 499 ประเทศไทยดำเนินการค้ากับต่างประเทศมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และดำเนินเรื่อยมา จนถึงสมัยอยุธยาเมื่อพระเจ้าอู่ทองทรงตั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยการค้าส่วนใหญ่ ในระยะแรกจะเป็นการค้ากับประเทศทางตะวันออก ได้แก่ จีน และญี่ปุ่น ส่วนการค้ากับ ประเทศยุโรปตะวันตกจะเริ่มขึ้นในรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

73.       สินค้าที่อยุธยานำไปจำหน่ายกับจีน คือสินค้าใด

(1) ดีบุก           (2) เครื่องสังคโลก       (3) สินค้าป่า    (4) ผ้าไหม

ตอบ 3 หน้า 500 สินค้าที่ไทยนำไปจำหน่ายยังเมืองจีนในสมัยอยุธยา ได้แก่

1.         พวกสินค้าป่า เช่น ไม้ฝาง ไม้หอมต่าง ๆ

2.         เครื่องเทศ เช่น กระวาน กานพลู พริกไทย      3. สัตว์ที่หายาก เช่น นกยูง นกแก้วห้าสี

4.         ผลิตผลจากสัตว์ป่า เช่น งาช้าง นอระมาด (นฤมาตหรือนอแรด) หนังสัตว์ ฯลฯ

74.       พืชไร่ชนิดใดมีความสำคัญมากที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

(1) อ้อย           (2) ปอ (3) พริก           (4) มันสำปะหลัง

ตอบ 1 หน้า 523 ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อ้อยเป็นพืชไร่ที่มีความสำคัญมากที่สุด และผู้ปกครอง ก็ให้การสนับสนุนมากที่สุด เพราะนํ้าตาลที่ทำจากอ้อยได้ทำกำไรงามให้กับประเทศ จนได้ชื่อว่า เป็นพืชส่งออกมากที่สุดและเป็นสินค้าออกอันดับ 1 ของไทย ดังปรากฏในสมัยรัชกาลที่ 3 และต้นรัชกาลที่ 4 ไทยส่งนํ้าตาลออกเฉลี่ยปีละ 50,000 – 90,000 หาบ

75.       การบำรุงการเลี้ยงสัตว์นํ้าในสมัยรัชกาลที่ 6 ขึ้นอยู่ในการดูแลของหน่วยงานใด

(1) กรมประมง            (2) อำเภอ (3) กระทรวงเกษตราธิการ (4) สภาเผยแพร่พานิชย์

ตอบ 3 หน้า 527 – 528 ในสมัยรัชกาลที่ 6 กระทรวงเกษตราธิการได้ตั้งกองบำรุงรักษาสัตว์นํ้าขึ้น และได้จ้างผู้ชำนาญพิเศษเรื่องสัตว์นํ้า คือ ดร.ฮิว แมคคอร์มิค สมิธ (Dr.Hugh Mc.Cormic Smith) ชาวอเมริกันมาช่วยงาน หลังจากนั้นจึงได้จัดตั้งกรมรักษาสัตว์นํ้าขึ้นในกระทรวง เกษตราธิการ มีหน้าที่บำรุงรักษาและเพาะพันธุสัตว์น้ำ โดยมี ดร.ฮิว เป็นเจ้ากรมตั้งแต่วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2469

76.       ข้อใดไม่ใช่ประเภทของการทำเหมืองแร่ในสมัยรัตนโกสินทร์

(1) ทำเหมือง   (2) เหมืองแล่น (3) เหมืองคล้า (4) เหมืองใหญ่

ตอบ 1 หน้า 534 การทำเหมืองแร่ในสมัยรัตนโกสินทร์มีอยู่ 3 ประเภท ดังนี้

1.         เหมืองแล่น 2. เหมืองคล้า        3. เหมืองใหญ่ (ส่วนคำว่า ทำเหมือง” เป็นคำเรียกการขุดแร่ดีบุก แล้วเรียกบริเวณที่ขุดแร่ว่า เหมือง”)

77.       อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ชาวจีนสามารถควบคุมเศรษฐกิจไทยไว้ได้

(1) ชาวจีนมีสิทธิในการประกอบอาชีพ            (2) ชาวจีนสามารถเดินทางได้ทั่วประเทศ

(3)       ชาวจีนไม่อยู่ในระบบไพร่         (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 538 สาเหตุที่ชาวจีนสามารถควบคุมเศรษฐกิจไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นไว้ได้ เมื่อ พิจารณาในด้านการเมืองการปกครองอาจวิเคราะห์ได้ ดังนี้ 1. รัฐบาลไทยไม่กีดกันผู้อพยพชาวจีน 2. ชาวจีนที่อยู่ในประเทศมีสิทธิเท่าราษฎรไทย เช่น มีสิทธิในการประกอบอาชีพ และสามารถเดินทางทั่วพระราชอาณาจักรได้ (ถือเป็นอภิสิทธิ์เหนือพ่อค้าต่างชาติตะวันตก)

3.         ชาวจีนไม่อยู่ในระบบไพร่ จึงมีเวลาประกอบอาชีพส่วนตัวได้ตลอดเวลา

78.       ลักษณะการค้าขายในภาคเหนือมักพบสัตว์ประเภทใดเป็นพาหนะขนส่งสินค้า

(1)       วัวชน   (2) วัวต่าง        (3) วัวแล่น       (4) ม้า

ตอบ 2 หน้า 539 – 540 ลักษณะการค้าขายในชุมชนภาคเหนือสมัยรัตนโกสินทร์ คือ การค้าขาย ด้วยพาหนะวัวต่าง ซึ่งเป็นพาหนะขนส่งสินค้าที่เจริญรุ่งเรืองในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 โดยมีศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ ได้แก่ เชียงใหม่ และท่าอิฐ แต่เมื่อรัฐบาลไทยได้ดำเนินการพัฒนาการคมนาคมทางบก ก็ส่งผลกระทบให้พ่อค้าวัวต่างต้องเลิก อาชีพไป เพราะมีรถยนต์เข้ามาขนส่งสินค้าและสิ่งของแทนวัวต่าง

79.       ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการตั้งหน่วยงานใดขึ้นเพื่อรวบรวมรายได้เข้าสู่ศูนย์กลาง

(1) หอรัษฎากรพิพัฒน์ (2) เจ้าภาษีนายอากร (3) กรมพระคลังสินค้า            (4) กรมท่าซ้าย

ตอบ 1 หน้า 228555 การแก้ไขเปลี่ยนแปลงระบบการคลังในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้

1.         จัดตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ เพื่อควบคุมกรมกองต่าง ๆ ให้ส่งภาษีตามกำหนด และเป็นหน่วยงาน ที่รวบรวมภาษีรายได้ที่เคยกระจัดกระจายเข้าสู่ศูนย์กลาง คือ พระคลังหลวง

2.         ตราพระราชบัญญัติสำหรับหอรัษฎากรพิพัฒน์ และตราพระราชบัญญัติเจ้าภาษีนายอากรขึ้น ในปี พ.ศ. 2416

80.       ผลจากสนธิสัญญาบาวริ่งประการหนึ่ง คือ การยกเลิกการผูกขาดสินค้าทุกประเภท ยกเว้นสินค้าใด

(1)       ข้าว     (2) ดีบุก           (3) ฝิ่น (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 470547 – 548558 การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทยเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อไทยทำสนธิสัญญาบาวริ่งกับอังกฤษในปี พ.ศ. 2398 ซึ่งมีผลดังนี้

1.         ข้าวกลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญแทนนํ้าตาล         2. สามารถยกเลิกระบบพระคลังสินค้าและการผูกขาดสินค้าทุกประเภทที่ดำเนินมาตั้งแต่สมัยอยุธยา (ยกเว้นการค้าฝิ่น)

3.         ไทยเปิดการค้าอย่างเสรี ไม่มีสินค้าต้องห้ามเหมือนแต่ก่อน (ยกเว้นอาวุธยุทธภัณฑ์ ปืน และกระสุนดินดำต้องขายให้รัฐบาล) ฯลฯ

81.       วิวัฒนาการด้านความเชื่อของมนุษย์ เริ่มจากความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องใด        

(1) การนับถือเทพเจ้าองค์เดียว

(2)       การนับถือวิญญาณบรรพบุรุษ           (3) การนับถือธรรมชาติ           (4) การนับถือเทพเจ้าหลายองค์

ตอบ 3 หน้า 570 – 571 วิวัฒนาการด้านความเชื่อของมนุษย์มีลำดับขั้นตอนดังนี้

1. การบูชานับถือธรรมชาติ      2. การนับถือผีสางเทวดาหรือลัทธิวิญญาณนิยม

3.         การบูชาบรรพบุรุษ       4. การนับถือเทพเจ้าหลายองค์

5.         การนับถือเทพเจ้าหลายองค์ แต่แบ่งแยกหน้าที่ของเทพเจ้าแต่ละองค์ให้ต่างกัน

6.         การนับถือพระเจ้าองค์เดียว    7. การละจากความงมงายไปสู่ความคิดที่มีเหตุมีผล ซึ่งทำให้เกิดพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ศาสนาหนึ่งของโลก

82.       ความเชื่อดั้งเดิมของชนชาติไทยเป็นลักษณะใด        

(1) การนับถือและบูชาเทพเจ้า

(2)       การนับถือผีสางเทวดา (3) การนับถือผู้ปกครอง          (4) การนับถือตนเองเป็นใหญ่

ตอบ 2 หน้า 572 ชนชาติไทยมีความเชื่อถือดั้งเดิมไม่ต่างไปจากชนชาติอื่นๆ คือ การเริ่มนับถือธรรมชาติที่อยู่แวดล้อมก่อน และต่อมาก็เชื่อและนับถือผีสางเทวดาเพราะคิดว่าในธรรมชาติ แต่ละอย่างมีวิญญาณสิ่งอยู่ ดังนั้นการนับถือผีสางเทวดาจึงเป็นความเชื่อดั้งเดิมของชนชาติไทย ที่ฝังลึกอยู่ภายในจิตใจยากที่จะลบเลือน เพราะแม้ภายหลังที่คนไทยนับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ความเชื่อในผีสางเทวดาก็ยังคงอยู่

83.       หลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงให้เห็นการรับพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิช่วงระยะแรก คือข้อใด

(1)       พระพุทธรูป     (2) สถูป-เจดีย์ (3) ธรรมจักรศิลา         (4) สถูปและธรรมจักรศิลา

ตอบ 4 หน้า 574 – 575 หลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงให้เห็นการรับพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ ช่วงระยะแรก ได้แก่ กวางและธรรมจักรศิลา ซึ่งในโบราณวัตถุเหล่านี้มีคาถาที่เหมือนกับคาถา สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช นอกจากนั้นโบราณสถานที่พบอีกหลายแห่งก็สร้างตามคติเก่า สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ได้แก่ พระสถูปพระปฐมเจดีย์องค์เดิม และพระแท่นต่าง ๆ

84.       ในสมัยสุโขทัยรับพุทธศาสนาลังกาวงค์เข้ามาในช่วงเวลาของกษัตริย์พระองค์ใด

(1) พ่อขุนผาเมือง        (2) พ่อขุนศรีอินทราทิตย์

(3)       พ่อขุนรามคำแหง         (4) พระมหาธรรมราชาที่ 1

ตอบ 3 หน้า 582 พระสงฆ์ไทยที่ไปศึกษาพุทธศาสนาที่ลังกา ได้นำพุทธศาสนาเถรวาทแบบลังกาวงศ์ มาเผยแผ่ที่เมืองนครศรีธรรมราชก่อน จนกระทั่ง พ.ศ. 1800 เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เสด็จไปยังหัวเมืองฝ่ายใต้ ทรงเกิดความเลื่อมใสในพระสงฆ์เหล่านี้ จึงทรงอาราธนาให้พระสงฆ์ นำพระพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทอย่างลังกาวงศ์มาเผยแผ่และประดิษฐานที่เมืองสุโขทัย

85.       พระสงฆ์ที่ไปศึกษาพุทธศาสนาที่ลังกาต้องปฏิบัติในเรื่องใด

(1)       ต้องบวชใหม่เป็นพระสงฆ์ในสายลังกาวงศ์ก่อนศึกษาพระธรรม

(2)       ต้องศึกษาภาษาบาลีมาก่อน

(3)       ต้องไม่เคยบวชในนิกายใดมาก่อน

(4)       ต้องเป็นชาวสิงหลเท่านั้น และไม่เคยบวชมาก่อน

ตอบ 1 หน้า 582 พระสงฆ์ต่างชาติที่ไปศึกษาพุทธศาสนาที่ลังกา จะต้องอุปสมบทหรือบวชใหม่ แปลงเป็นพระสงฆ์ในนิกายลังกาวงศ์ก่อนที่จะศึกษาพระธรรม นอกจากนี้พระสงฆ์ต่างชาติ ยังต้องศึกษาและเรียนรู้ภาษาบาลีจนเชี่ยวชาญ และใช้เวลาศึกษาพระธรรมวินัยในลังกา เป็นเวลานานหลายปี จึงจะเดินทางกลับโดยนำพระพุทธศาสนาลัทธิเถรวาทอย่างลังกาวงศ์ ไปเผยแผ่และประดิษฐานในประเทศของตนได้

86.       ต้นเค้าของมหานิกายในสมัยสุโขทัยเกิดขึ้นอย่างไร

(1)       คณะสงฆ์ทั้งคณะเหนือและคณะใต้รวมกัน

(2)       คณะสงฆ์ฝ่ายเถรวาทแบ่งแยกจากคณะสงฆ์ฝ่ายมหายาน

(3)       คณะสงฆ์คามวาสีรวมกับคณะสงฆ์อรัญวาสี

(4)       คณะสงฆ์อรัญวาสีมีความน่าเลื่อมใสน้อยกว่าคณะสงฆ์คามวาสี

ตอบ 1 หน้า 582 – 583 ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง พระพุทธศาสนาในสุโขทัยแบ่งออกเป็น 2 คณะ ได้แก่ คณะเหนือ ซึ่งเป็นพระสงฆ์เดิมที่มีอยู่ก่อนแล้ว และคณะใต้ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ลัทธิลังกาวงศ์ ที่เข้ามาใหม่ และมีวัตรปฏิบัติที่น่าเลื่อมใสกว่าพระสงฆ์เดิม ทำให้การบวชเรียนในลัทธิลังกาวงศ์ เป็นที่นิยมแพร่หลายมากกว่า ประกอบกับจำนวนพระสงฆ์เดิมค่อย ๆ ลดน้อยลง จึงเกิดการรวมกัน ของคณะสงฆ์ทั้งคณะเหนือและคณะใต้ จนกลายเป็นต้นเค้าของพระสงฆ์คณะมหานิกายในปัจจุบัน

87.       ความเลื่อมใสในพุทธศาสนาของคนไทยสมัยอยุธยา ปรากฏในรูปแบบใด

(1) การประกอบพิธีทางพุทธศาสนา   (2) การทำบุญ ทำทาน

(3)       การสร้างวัดและปฏิสังขรณ์วัด            (4) มีปรากฏทั้งในข้อ 12 และ 3

ตอบ 4 หน้า 589 – 592, (คำบรรยาย) สิ่งที่แสดงถึงความเจริญและความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ของคนไทยในสมัยอยุธยา จะสังเกตได้จากการที่พระมหากษัตริย์และประชาชนทำนุบำรุง พระพุทธศาสนาด้วยการสร้างวัดและปฏิสังขรณ์วัด รวมทั้งรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี ทางพระพุทธศาสนา เช่น การทำบุญทำทาน การตักบาตร การประกอบพิธีทางพุทธศาสนา การบำเพ็ญกุศลในโอกาสต่าง ๆ ตลอดจนพิธีกรรมต่าง ๆ ที่ต้องมีพิธีสงฆ์เป็นองคํประกอบ เป็นต้น

88.       มหาธาตุวิทยาลัย” จัดตั้งขึ้นในสมัยใด

(1) รัชกาลที่ 1  (2) รัชกาลที่ 3  (3) รัชกาลที่ 5  (4) รัชกาลที่ 7

ตอบ 3 หน้า 607 ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการจัดตั้งสถานศึกษาทางพระพุทธศาสนาขึ้น 2 แห่ง ได้แก่

1.         มหาธาตุวิทยาลัย สร้างขึ้นที่วัดมหาธาตุในปี พ.ศ. 2432 ต่อมาเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย 2. มหามกุฎราชวิทยาลัย ซึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2436

89.       ข้อใดชี้ให้เห็นว่าหลักธรรมของพระพุทธศาสนาเกี่ยวข้องกับความสุขของฆราวาส

(1)       พระพุทธศาสนาแบ่งความสุขเป็นโลกียสุขและโลกุตตระสุข

(2)       พระพุทธศาสนาสอนเรื่องสามิสสุขและอามิสสุข

(3)       พระพุทธศาสนาเน้นเรื่องนิพพานเท่านั้น         (4) ถูกเฉพาะข้อ 1 และ 2

ตอบ 1 หน้า 619 พระพุทธศาสนาแบ่งความสุขออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. โลกียสุข เป็นความสุข ของปุถุชนหรือฆราวาสผู้ครองเรือน ซึ่งเป็นสุขที่พัวพันกับทรัพย์สมบัติและวัตถุต่าง ๆ ตลอดจน อารมณ์      2. โลกุตตระสุข เป็นความสุขของผู้สิ้นกิเลสและสำเร็จอรหัตผลแล้ว จึงเป็นสุขที่เที่ยงแท้ยั่งยืน ไม่พัวพันกับวัตถุหรืออารมณ์ใด ๆ

90.       หลักธรรมในการแก้ปัญหาสังคม มีข้อปฏิบัติสำหรับปรับปรุงตนเองในเรื่องใด

(1) การให้ทุกคนบรรลุถึงโลกุตตระ     (2) การตัดจากกิเลสทั้งปวงซึ่งนำไปสู่นิพพาน

(3)       การให้ทุกคนปลีกตัวออกจากสังคม    (4) การแก้จิตใจของแต่ละคนให้เกิดความสงบ

ตอบ 4 หน้า 628 – 629 จุดมุ่งหมายสำคัญในการแก้ปัญหาสังคมของพระพุทธศาสนา มีข้อปฏิบัติ สำหรับปรับปรุงตบเอง คือ การแก้จิตใจของแต่ละคนให้เกิดความสงบ โดยมีหลักวิธีง่าย ๆ ในการแก้จิตใจตนเองอยู่ 2 วิธี ได้แก่ 1. การสอนให้เชื่อเรื่องกรรมช่วยแก้ปัญหาสังคมได้

2.         การสอนให้พึ่งตนเอง เป็นการวางรากฐานจิตใจไม่ให้อ่อนแอคอยคิดแต่จะพึ่งผู้อื่น

91.       ศาสนาพราหมณ์เกิดจากคติความเชื่อในเรื่องใด

(1) ธรรมชาติ   (2)วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ (3) การเกิด การตาย   (4) ทั้ง 3 ข้อรวมกัน

ตรบ 4 หน้า 635, (คำบรรยาย) ศาสนาพราหมณ์เกิดจากการที่มนุษย์มีความกลัวธรรมชาติซึ่งอยู่ แวดล้อม โดยมนุษย์มีความเชื่อว่าธรรมชาติมีวิญญาณศักดิสิทธิ์แฝงอยู่ จึงบันดาลให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ความหนาวเย็น ความแห้งแล้ง ความมืด ความสว่าง การเกิด การตาย เป็นต้น

92.       ข้อใดไม่ถูกต้องในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พราหมณ์มีหน้าที่และความสำคัญอย่างไร

(1)       พราหมณ์เป็นผู้ติดต่อกับเทพเจ้าและผู้ประกอบพิธีกรรม

(2)       พราหมณ์เป็นผู้สืบทอดวิชาความรู้ในคัมภีร์ไตรเวท

(3)       พราหมณ์เป็นผู้ประกอบพาณิชยกรรม

(4)       พราหมณ์เป็นวรรณะที่กำเนิดมาจากปากของพระพรหม

ตอบ 3 หน้า 636 – 639, (คำบรรยาย) ในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พราหมณ์มีหน้าที่และความสำคัญ ดังนี้

1.         พราหมณ์เป็นวรรณะที่กำเนิดมาจากพระโอษฐ์ (ปาก) ของพระพรหม และถือเป็น วรรณะสูงสุดของอินเดีย

2.         พราหมณ์เป็นผู้ติดต่อกับเทพเจ้า และทำหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์

3.         พราหมณ์เป็นผู้สืบทอดวิชาความรู้ในคัมภีร์พระเวทหรือไตรเวท ฯลฯ

(ส่วนวรรณะแพศย์ เช่น พวกพ่อค้า ชาวไร่ชาวนา ช่างฝีมือ ฯลฯ จะทำหน้าที่ทางด้านกสิกรรม และพาณิชยกรรม)

93.       ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยด้านการปกครองในรูปแบบใด

(1) เทวราชา     (2)       ปิตุลาธิปไตย   (3)       ธรรมราชา        (4)       ประชาธิปไตย

ตอบ 1 หน้า 639 – 640 ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมไทยด้านการปกครองในสมัย อยุธยา คือ กษัตริย์ทรงใช้หลักการแบบเทวราชาของเขมร ซึ่งเขมรรับมาจากอินเดียอีกต่อหนึ่ง มาเป็นหลักในการปกครอง เพราะการขยายตัวของอาณาจักร การมีประชากรจำนวนมากและ กระจัดกระจาย จึงจำเป็นต้องใช้อำนาจเด็ดขาดและศักดิ์สิทธิ์ของเทวราชามาปกครองอาณาจักร

94.       ประเพณีที่มีอิทธิพลศาสนาพราหมณ์ คือประเพณีใด

(1) การเผาศพ (2)การแต่งงาน            (3)ทำบุญขึ้นบ้านใหม่  (4)แห่นางแมว

ตอบ 1 หน้า 640 ประเพณีไทยที่มีอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง ได้แก่ ประเพณีโกนจุก ประเพณีทำบุญอายุและทำขวัญ พระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล ประเพณีการเผาศพ การสร้างศาลพระภูมิ ทำขวัญนาค การรดน้ำสังข์ ตลอดจนพิธีวางศิลาฤกษ์ เป็นต้น

95.       ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ชนชาติสุดท้ายที่เข้ามาเผยแผ่คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก คือชาติใด

(1) ฮอลันดา    (2)       อังกฤษ            (3)       โปรตุเกส         (4)       ฝรั่งเศส

ตอบ 4 หน้า 641 ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ฯ ฝรั่งเศสเป็นชาวตะวันตกชาติสุดท้ายที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทยสมัยอยุธยา โดยมีวัตถุประสงค์ในการเข้ามาเพื่อฟื้นฟูการเผยแผ่ คริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิก ซึ่งเสื่อมโทรมลงภายหลังการเสื่อมอิทธิพลของโปรตุเกส ในภูมิภาคนี้

96.       คณะสอนศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ เริ่มเข้ามาสอนศาสนาอย่างชัดเจนในสมัยใด

(1) สมัยรัตนโกสินทร์   (2) สมัยธนบุรี

(3) สมัยอยุธยาตอนต้น           (4) สมัยสมเด็จพระนเรศวร

ตอบ 1 หน้า 643645 ในสมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นรัชกาลที่ 3 คณะสอนศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์คณะแรกได้เดินทางมาถึงประเทศไทยในปี พ.ศ. 2371 และได้รับอนุญาต จากรัฐบาลไทยให้เผยแผ่และสอนศาสนาให้กับคนไทย มอญ และจีน แต่ขณะนั้นมีการระบาด ของโรคไข้จับสั่น อหิวาตกโรค และไข้ทรพิษ คณะสอนศาสนาจึงช่วยรักษาโรคและแจกยา พร้อมกับเผยแผ่คำสอนของศาสนาไปด้วย

97.       สมัยใดที่คณะสังฆราชและบาทหลวงไม่ปฏิบัติตามพระบรมราชโองการ จึงถูกสั่งให้ออกไปจาก พระราชอาณาจักร

(1) ธนบุรี         (2) อยุธยา       (3) รัตนโกสินทร์          (4) สุโขทัย

ตอบ 1 หน้า 643 ในตอนปลายรัชกาลพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้มีความวุ่นวายทางการเมืองเกิดขึ้นแต่คณะสังฆราชและบาทหลวงศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกไม่ปฏิบัติตามพระบรมราชโองการของพระเจ้ากรุงธนบุรี พระองค์จึงทรงสั่งให้พระสังฆราชและบาทหลวงออกไปจากพระราชอาณาจักร เท่ากับว่าการทำงานของคณะเผยแผ่ศาสนาเหล่านั้นไม่ประสบความสำเร็จนัก ในการเปลี่ยนศาสนาของคนไทย

98.       อิทธิพลของศาสนาอิสลามมีต่อวัฒนธรรมไทยในด้านใดบ้าง

(1) ด้านอาหาร

(2)       ด้านภาษาและการแต่งกาย     (3) การค้า        (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 647 – 649 อิทธิพลของศาสนาอิสลามที่มีต่อวัฒนธรรมไทยมีอยู่หลายด้าน ดังนี้

1. ด้านการเมืองและเศรษฐกิจการค้า 2. ด้านศิลปะ โดยเฉพาะรูปแบบของสถาปัตยกรรมต่าง ๆ  3.ด้านอาหารและของหวานของไทย  4. ด้านภาษา 5. ด้านการแต่งกาย

6.         ด้านดนตรีและนาฏศิลป์

99.       ประเพณีบุญบั้งไฟเป็นการแสดงความเชื่อในเรื่องใด

(1)       ผีสาง   (2) เทวดา        (3) เทพเจ้า      (4) วิญญาณบรรพบุรุษ

ตอบ 2 หน้า 653, (คำบรรยาย) ประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นประเพณีของทางภาคอีสาน ซึ่งเป็นการอ้อนวอน ขอฝนจากเทวดาบนสรวงสวรรค์ที่เรียกว่า พญาแถน” เพื่อให้ฝนตกตามฤดูกาล พืชพันธ์ จะได้อุดมสมบูรณ์ โดยมักจุดบั้งไฟเพื่อบูชาพญาแถนในช่วงเดือน 6 ซึ่งเป็นฤดูกาลทำนา

100.    พระราชพิธีพืชมงคล จัดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ใด

(1)       เป็นอาณัติสัญญาณว่า บัดนี้ฤดูกาลแห่งการทำนาและเพาะปลูกได้เริ่มขึ้นแล้ว

(2)       เป็นพิธีทำขวัญเมล็ดพืชพันธุ์ต่าง ๆ ให้ปราศจากโรคภัยและให้อุดมสมบูรณ์

(3)       เป็นการแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ด้านการเกษตร

(4)       เป็นการแสดงถึงพระบารมีของพระมหากษัตริย์

ตอบ 2 หน้า 640668 พระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล เดิมมีเพียงพิธีพราหมณ์อย่างเดียว เรียกว่า พระราชพิธีจรดพระนังคัล” เป็นพิธีเวลาเช้า คือ ลงมือไถ แต่ก่อนทำที่ทุ่งส้มป่อย นอกพระนคร ต่อมารัชกาลที่ 4 โปรดฯ ให้เพิ่มพิธีสงฆ์ตามคติพระพุทธศาสนาขึ้นอีก เรียกว่า พระราชพิธีพืชมงคล” คือ การทำขวัญเมล็ดพืชพันธุ์ต่าง ๆ ให้ปราศจากโรคภัยและให้ อุดมสมบูรณ์ ซึ่งทำที่ท้องสนามหลวงในพระนคร โดยพิธีทั้งสองนี้จะทำพร้อมกันในคืนเดียว วันเดียวกัน จังได้เรียกชื่อติดกันว่า พระราชพิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล

101.    การศึกษาศิลปกรรมไทยให้ประโยชน์ในการเรียนรู้เรื่องใดเป็นพิเศษ

(1) ศาสนา       (2) ราชสำนัก   (3) เศรษฐกิจ   (4) การเมือง

ตอบ 1 หน้า 681683 การศึกษาศิลปกรรมไทยจะให้ประโยชน์ในการเรียนรู้เรื่องศาสนาเป็นพิเศษ เพราะศิลปกรรมไทยในยุคประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่จะเป็นงานช่างในศาสนา ซึ่งมักจะสร้างขึ้น ตามความเชื่อและความศรัทธาที่มนุษย์มีต่อศาสนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นงานช่างในศาสนา จึงเป็นการแสดงออกของงานศิลปะที่มีคุณค่า มีความหมายต่อวิถีชีวิต และนำแนวความคิด ของคนในอดีตมาสู่คนรุ่นปัจจุบันได้

102.    ลักษณะศิลปะแบบอุดมคติ เห็นได้ชัดเจนยุคใด

(1) ทวารวดี      (2) ลพบุรี         (3) ศรีวิชัย       (4) สุโขทัย

ตอบ 4 หน้า 711 – 712, (คำบรรยาย) ศิลปกรรมไทยเป็นศิลปะแบบอุดมคติ (Idealistic Arts) คือ ศิลปะที่มีความรู้สึกสูงกว่าธรรมชาติทั่วไปและหนักไปทางทิพย์สวรรค์ เป็นศิลปะที่มีแบบอย่าง แห่งความคิดคำนึงโดยเฉพาะ ซึ่งลักษณะศิลปะแบบอุดมคติของชนชาติไทยนี้จะเห็นได้ชัดเจน ที่สุดในศิลปะยุคสุโขทัย โดยเฉพาะประติมากรรมพระพุทธรูปที่เจริญถึงขั้นสูงสุดและแสดง ความเป็นไทยแท้ได้มากกว่าสมัยใด ๆ จนได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของประติมากรรมไทย

103.    สิ่งใดใช้ในการศึกษาลักษณะศิลปะแบบช่างคุปตะในศิลาสลักรูปธรรมจักร

(1) ขนาดของวงธรรมจักร

(2)       ลวดลายประดับ         (3) เรื่องพระพุทธประวัติ          (4) การจารึกคาถา เย ธัมมา

ตอบ 2 หน้า 689, (คำบรรยาย) ศิลาสลักรูปธรรมจักรที่พบในศิลปะสมัยทวารวดี จะมีลวดลายเครื่องประดับคล้ายคลึงกับฝีมือของช่างคุปตะ จึงทำให้เกิดความสงสัยว่าศิลาสลักรูปธรรมจักร เหล่านี้คงจะเป็นฝีเมือของช่างทวารวดีที่ทำขึ้น เพื่อเลียนแบบวัตถุที่สมณทูตในสมัย พระเจ้าอโศกมหาราชนำเข้ามา

104.    บริเวณใดค้นพบเทวรูปศิลาศิลปะร่วมสมัยกับทวารวดีในราวพุทธศตวรรษที่ 12 – 14

(1) เชียงแสน   (2) ปราจีนบุรี   (3) สิงห์บุรี       (4) สุพรรณบุรี

ตอบ 2 หน้า 683691, (คำบรรยาย) ศิลปะแบบเทวรูปรุ่นเก่า หรือวัตถุรุ่นเก่า (พุทธศตวรรษที่ 12 – 14)สร้างขึ้นในศาสนาฮินดู และมีอายุร่วมสมัยกับศิลปะทวารวดีที่สร้างขึ้นในพุทธศาสนา โดยเทวรูป ศิลารุ่นเก่าส่วนใหญ่มักพบในภาคใต้ของไทยแถบเขต จ.สุราษฎร์ธานี และทางภาคตะวันออก แถบดงศรีมหาโพธิ์ จ.ปราจีนบุรี นอกจากนี้ที่เมืองโบราณศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ก็พบด้วยเช่นกัน

105.    วัฒนธรรมทวารวดีที่กระจายหลายแห่งในเขตภูมิภาคของประเทศไทยสะท้อนความเชื่อใด

(1) ลัทธิบูชาบรรพบุรุษและผี  (2) พุทธศาสนาหินยานแบบเถรวาท

(3)       พุทธศาสนาหินยาน มหายาน และฮินดู           (4) พุทธศาสนามหายานแบบอาจาริยวาท

ตอบ 3 หน้า 684 – 685 วัฒนธรรมทวารวดีที่กระจายหลายแห่งในเขตภูมิภาคของประเทศไทยสะท้อนความเชื่อในการนับถือศาสนา ดังนี้

1.         พุทธศาสนาหินยาน (เถรวาท) ดังหลักฐานการพบจารึกคาถา เย ธัมมา และจารึกภาษาบาลี โดยศิลปกรรมที่พบส่วนใหญ่มักสร้างขึ้นในศาสนานี้มากที่สุด

2.         พุทธศาสนามหายาน (อาจาริยวาท) ดังหลักฐานการพบประติมากรรมพระโพธิสัตว์ในพื้นที่ต่าง ๆ

3.         ศาสนาฮินดู ดังหลักฐานการพบศิวลึงค์ และประติมากรรมพระวิษณุเป็นจำนวนมาก

106.    ข้อใดคือประติมากรรมสัญลักษณ์ของศิลปกรรมทวารวดี

(1) ธรรมจักร    (2) ใบเสมาหิน (3) พนัสบดี     (4) ถูกทั้ง 3 ข้อ

ตอบ 4 หน้า 687 – 689, (คำบรรยาย) ประติมากรรมสัญลักษณ์ของศิลปกรรมทวารวดี มีดังนี้

1.         ธรรมจักรและกวางหมอบ เป็นสัญลักษณ์ของพุทธศาสนาในทวารวดีภาคกลาง หมายถึง พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนา ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

2.         ใบเสมาหิน เป็นสัญลักษณ์ของพุทธคาสนาในทวารวดีภาคอีสาน มักสลักเป็นรูปสถูปและ ภาพเล่าเรื่องชาดกหรือพุทธประวัติ

3.         พนัสบดี เป็นสัตว์พาหนะของเทพเจ้าในศาสนาพราหมณ์ มักพบเป็นหน้าสัตว์ที่รองรับ พระพุทธเจ้าประทับยืนหรือนั่ง เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงว่าพุทธศาสนามีอำนาจยิ่งใหญ่กว่า ศาสนาพราหมณ์

107.    ศิลปกรรมศรีวิชัยส่วนใหญ่ร้างขึ้นเพื่อสนองศรัทธาในศาสนาใด

(1) ศาสนาฮินดู            (2) พุทธศาสนาหินยาน

(3)       พุทธศาสนามหายาน   (4) พุทธศาสนาหินยาน และศาสนาฮินดู

ตอบ 3 หน้า 694 ศิลปะศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13 – 18) เกิดขึ้นทางภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งศิลปกรรมศรีวิชัยส่วนใหญ่จะสร้างขึ้นเพื่อสนองศรัทธาในพุทธศาสนามหายานทั้งสิ้น โดยโบราณวัตถุไม่ว่าจะสลักด้วยศิลาหรือหล่อด้วยสัมฤทธิ์ (สำริด) จะมีลักษณะคล้ายคลึง กับของที่พบในเกาะชวาภาคกลางเป็นอย่างมาก

108.    ข้อใดต่อไปนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานศิลปกรรมชั้นยอดของศิลปกรรมศรีวิชัย

(1) พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรครึ่งองค์ พบที่อำเภอไชยา         (2) พระบรมธาตุไชยา อำเภอไชยา

(3) พระพิมพ์ดินดิบลักษณะงดงาม     (4) ถูกทั้ง 3 ข้อ

ตอบ 4 หน้า 694 – 696, (คำบรรยาย) ศิลปกรรมศรีวิชัยที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นงานศิลปกรรมชั้นยอด มีดังนี้

1.         พระบรมธาตุไชยา อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เป็นสถาปัตยกรรมสำคัญที่มีลักษณะ คล้ายคลึงกับบรรดาเจดีย์ในเกาะชวามาก

2.         พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสัมฤทธิ์ (สำริด) ครึ่งองค์ พบที่ อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี เป็นประติมากรรมที่งดงามที่สุดชิ้นหนึ่ง ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร

3.         พระพิมพ์ดิบดิบ ถือเป็นศิลปกรรมที่งดงามอีกอย่างหนึ่งของศิลปะสมัยศรีวิชัย

109.    การพบศิวลึงค์หลายองค์ในภาคใต้ของไทย แสดงถึงความเชื่อเรื่องใด

(1) พราหมณ์   (2) ฮินดู           (3) ฮินดู ไศวนิกาย       (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 636691 ในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย (นับถือพระศิวะหรือพระอิศวรเป็นใหญ่)จะกราบไหว้บูชารูปพระศิวะ ซึ่งนิยมสร้างในรูปสัญลักษณ์เป็นศิวลึงค์ โดยจะพบทั้งในภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออก เช่น เอกามุขลึงค์ พบที่ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี มีอายุราว พุทธศตวรรษที่ 11-12

110.    ข้อใดคือสถานที่ที่ปรากฏสถาปัตยกรรมแบบลพบุรี

(1) วัดกำแพงแลง เพชรบุรี      (2) ปราสาทเมืองสิงห์ กาญจนบุรี

(3) วัตพระพายหลวง สุโขทัย   (4) ถูกทั้ง 3 ข้อ

ตอบ 4 หน้า 699 – 700708, (คำบรรยาย) สถาปัตยกรรมสมัยศิลปะลพบุรี หรือศิลปะขอมใน ประเทศไทยไม่ได้พบแต่ในเขตเมืองละโว้ (ลพบุรี) เท่านั้น แต่กลับพบในบริเวณเมืองต่าง ๆ ในลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยาด้วย เช่น ปราสาทเมืองต่ำ จ.บุรีรัมย์ปราสาทหินพิมาย จ.นครราชสีมาปราสาทหินพนมรุ้ง และทับหลังสลักรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ จ.บุรีรัมย์ปราสาทเมืองสิงห์ จ.กาญจนบุรีพระปรางค์สามยอดและพระปรางค์แขก จ.ลพบุรีปราสาทแบบขอมที่วัดกำแพงแลง จ.เพชรบุรีวัดพระพายหลวง วัดศรีสวาย และศาลตาผาแตง จ.สุโขทัย (แสดงถึงอิทธิพลวัฒนธรรมขอมก่อนการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย) 

111.    ศิลปกรรมแหล่งใดแสดงถึงอิทธิพลวัฒนธรรมขอมก่อนการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย

(1) วัดศรีชุม     (2) วัดพระเชตุพนฯ      (3) วัดพระมหาธาตุ     (4) วัดพระพายหลวง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 110. ประกอบ

112.    สถาปัตยกรรมเชียงแสนที่เป็นลักษณะร่วมกับสถาปัตยกรรมสุโขทัย คือข้อใด

(1) เจดีย์ทรงเหลี่ยม    (2) เจดีย์ทรงกลมแบบลังกา

(3) วิหาร 7 ยอด           (4) เจดีย์ทรงยอดดอกบัวตูม

ตอบ 2 หน้า 710715 – 716, (คำบรรยาย) เจดีย์ทรงระฆัง หรือเจดีย์ทรงกลมแบบลังกาเป็นสถาปัตยกรรมล้านนาหรือเชียงแสนที่เป็นลักษณะร่วมกับสถาปัตยกรรมสุโขทัย โดยมีต้นแบบมาจากลังกา แต่ล้านนารับรูปแบบเจดีย์ทรงนี้มาจาก 2 ทาง คือ รับผ่านมาทางพุกาม และรับมาจากสุโขทัย ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนบางส่วนจนกลายเป็นลักษณะเฉพาะของล้านนา ซึ่งที่นับว่างดงามที่สุด ได้แก่ พระธาตุหริภุญไชย จ.ลำพูน

113.    พระพุทธรูปปางลีลา ศิลปกรรมสุโขทัย สื่อความหมายถึงตอนใดในพุทธประวัติ

(1) การแสดงปฐมเทศนา         (2) การตรัสรู้

(3) การเสด็จลงจากดาวดึงส์   (4) การประกาศพระธรรมคำสั่งสอน

ตอบ 3 หน้า 712 พระพุทธรูปยืนในศิลปกรรมสุโขทัยหมวดใหญ่ มักนิยมทำเป็นพระพุทธรูปปางลีลา ลอยตัวที่มีความงดงามไม่น้อยหน้าไปกว่ากัน และถือได้ว่าเป็นลักษณะเฉพาะของสุโขทัย ซึ่งน่าจะมีที่มาจากภาพพุทธประวัติตอนเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

114.    ปางใดเป็นพุทธศิลป์ที่นิยมสร้างในสมัยศิลปะลพบุรี

(1) ปางมารวิชัย           (2) ปางมารวิชัยนาคปรก         (3) ปางสมาธิ  (4) ปางสมาธินาคปรก

ตอบ 4 หน้า 701, (คำบรรยาย) พระพุทธรูปที่นิยมสร้างในสมัยศิลปะลพบุรี คือ พระพุทธรูปปางสมาธิ นาคปรก (มีนาคประกอบ หรือมีขนดนาคสอบลงเบื้องล่าง) ประทับนั่งขัดสมาธิราบ และมัก จะสลักด้วยศิลาทราย ต่อมาในสมัยหลังประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ 17 มักนิยมสลักเป็น พระพุทธรูปนาคปรกแบบทรงเครื่องซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นศิลปะลพบุรีอย่างแท้จริง ไม่ใช่ศิลปะขอม

115.    สถาปัตยกรรมในศิลปะแบบลพบุรี มีลักษณะเด่นคืออะไร

(1) สร้างจากศิลาหรืออิฐ         (2) สร้างจากศิลาหรืออิฐเป็นพุทธสถาน

(3) สร้างจากศิลาหรืออิฐเป็นเทวสถาน            (4) สร้างจากศิลาหรืออิฐเป็นพุทธสถานและเทวสถาน

ตอบ 4 หน้า 699 สถาปัตยกรรมสำคัญใบศิลปะแบบลพบุรี ได้แก่ ปราสาท ซึ่งมีลักษณะเด่น คือ มักสร้างขึ้นจากศิลาหรืออิฐ เพื่อเป็นประธานของพุทธสถานและเทวสถาน (เทวาลัย) โดยมี จุดประสงค์หลักเพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูป เทวรูป หรือถวายบรรพบุรุษ ตลอดจน เป็นศาสนสถานประจำชุมชน

116.    ลักษณะสถาปัตยกรรมที่สมัยอยุธยาเป็นต้นแบบให้แก่สมัยรัตนโกสินทร์ ยกเว้นข้อใด (1) โบสถ์วิหารมีประตูแต่ไม่นิยมมีหน้าต่าง    (2) หลังคาลดหลั่นเป็นชั้น ๆ

(3) จำหลักตกแต่งหน้าบัน และมีช่อฟ้าใบระกา          (4) สร้างพระอารามหลวงในเขตพระราชฐาน

ตอบ 1 หน้า 599723729, (คำบรรยาย) ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบประเพณีที่สมัยอยุธยา เป็นต้นแบบให้แก่สมัยรัตนโกสินทร์ มีดังนี้ 1. โบสถ์วิหารมีฐานอ่อนโค้ง มีประตูและนิยม เจาะช่องหน้าต่างรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยมีบานหน้าต่างเปิด-ปิด 2. หลังคาลดหลั่นเป็นชั้น ๆ นิยมใช้เครื่องไม้จำหลักตกแต่งหน้าบัน และประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์

3.         นิยมสร้างพระอารามหลวงในเขตพระราซฐาน เช่น วัดพระศรีสรรเพชญในสมัยอยุธยา และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ในสมัยรัตนโกสินทร์ ฯลฯ

117.    จิตรกรรมสมัยอยุธยาตอนปลายที่เจริญสูงสุดและพัฒนาการสู่สมัยรัตนโกสินทร์ คือข้อใด

(1) ลายกำมะลอ         (2) เทพชุมนุม  (3) ทศชาติ       (4) ถูกทั้ง 3 ข้อ

ตอบ 4 หน้า 727733, (คำบรรยาย) จิตรกรรมสมัยอยุธยาตอนปลายที่เจริญสูงสุดและพัฒนาการมาสู่ สมัยรัตนโกสินทร์ คือ ลายกำมะลอ หรือภาพทิวทัศน์ตามแบบจีน ซึ่งได้ให้อิทธิพลต่อจิตรกรรม ในสมัยรัชกาลที่ 3 นอกจากนี้ภาพเทพชุมนุม ภาพพุทธประวัติหรือทศชาติ และภาพไตรภูมิ ยังให้แบบแผนการเขียนภาพบนฝาผนังโบสถ์ในจิตรกรรมตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1-3 อีกด้วย

118.    วัดนิเวศธรรมประวัติ อยุธยา เป็นศิลปะแบบใด

(1) แบบจีน      (2) แบบโกธิก  (3) แบบนีโอคลาสสิก  (4) แบบญี่ปุ่น

ตอบ 2 หน้า 730 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงสร้างวัดไว้น้อยแห่ง แต่บางแห่งแสดงถึงศิลปกรรมตะวันตก เช่น วัดนิเวศธรรมประวัติ อ.บางปะอิน จ.อยุธยา สร้างเลียนแบบศิลปะโกธิกในยุโรป และ วัดเบญจมบพิตร กรุงเทพฯ สร้างด้วยหินออนจากอิตาลี ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่าง วัฒนธรรมตะวันออกกับตะวันตก

119.    สถาปัตยกรรมตามแบบแผนประเพณีสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นตรงกับข้อใด

(1)       พระปรางค์วัดระฆังและพระเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ วัดพระเชตุพนฯ

(2)       พระปรางค์วัดอรุณราชวราราม

(3)       โบสถ์วิหารวัดราชโอรส และวัดเทพธิดา

(4)       เจดีย์รูปเรือสำเภา วัดยานนาวา

ตอบ 1 หน้า 724730, (คำบรรยาย) สถาปัตยกรรมตามแบบแผนประเพณีในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 1 – 3) จะนิยมสร้างพระปรางค์ และพระเจดีย์ไม้สิบสองหรือพระเจดีย์ทรงเครื่องตามแบบ สมัยอยุธยาตอนปลาย ซึ่งที่สำคัญคือ พระปรางค์วัดระฆัง และพระเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ วัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์) ที่สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 ส่วนพระปรางค์วัดอรุณราชวราราม สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2 แต่มาแล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 3 ถือเป็นพระปรางค์ที่มีรูปแบบ รุดหน้าเป็นเอกลักษณ์พิเศษของกรุงรัตนโกสินทร์

120.    รัชกาลที่ 4 ทรงแก้ไขลักษณะพระพุทธรูปขึ้นใหม่ให้มีลักษณะคล้ายสามัญชน คือข้อใด

(1) จีวรบางแนบเนื้อ    (2) ขัดสมาธิราบ          (3) ไม่มีพระเกตุมาลา  (4) มีขนาดใหญ่

ตอบ 3 หน้า 732, (คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงแก้ไขลักษณะพระพุทธรูปขึ้นใหม่ เพื่อให้ มีลักษณะคล้ายสามัญชนยิ่งขึ้น คือ ไม่มีพระเกตุมาลาหรืออุษณีษะ จีวรเป็นริ้วตามธรรมชาติ ของผ้า ประทับนั่งขัดสมาธิเพชร และรายละเอียดของพระวรกายเป็นไปตามสรีระของมนุษย์ ตามปกติ จึงจัดเป็นพระพุทธรูปแบบสมจริง เช่น พระพุทธนิรันตรายที่โปรดให้สร้างขึ้น แต่ไม่เป็นที่นิยมกันนัก

HIS1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา HIS 1201 พื้นฐานวัฒนธรรมไทย

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.         ถํ้าตาด้วง อยู่จังหวัดอะไร

(1)       ราชบุรี  (2) อุทัยธานี    (3) กาญจนบุรี (4) อุดรธานี

ตอบ 3 หน้า 7 ถํ้าตาด้วง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี เป็นถํ้าที่พบหลักฐานทางประวัติศาสตร์เป็นภาพเขียนสี ซึ่งแสดงขบวนแห่กลองมโหระทึก มีอายุประมาณ 2,000 – 2,500 ปี

2.         ลักษณะสำคัญของวัฒนธรรมทวารวดีคืออะไร         

(1) นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท

(2)       ใช้ภาษาสันสกฤต       (3) รับวัฒนธรรมเขมร  (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 13-14 ลักษณะสำคัญของวัฒนธรรมทวารวดี คือ การนับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาท เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งรับผ่านมาจากมอญ แต่พุทธศาสนานิกายมหายานและศาสนาพราหมณ์ก็เป็น ที่ยอมรับด้วยแต่ไม่มากนัก โดยภาษาที่ใช้มีทั้งภาษามอญ สันสกฤต และบาลี ลักษณะตัวอักษร เป็นแบบอินเดียใต้ ทั้งนี้วัฒนธรรมทวารวดียังปรากฏอยู่ทั้งในเขตภาคเหนือ ภาคใต้ และ ภาคอีสานตอนบนของไทย ซึ่งนักวิชาการเชื่อว่าอิทธิพลของเขมรทั้งทางการเมืองและวัฒนธรรม ยังมาไม่ถึงแว่นแคว้นบริเวณนี้

3.         ภาพสลักกองกำลัง เสียมกุก” ปรากฏอยู่ที่ใด

(1)       ปราสาทบายน ประเทศกัมพูชา          (2) ปราสาทนครวัด ประเทศกัมพูชา

(3)       วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ประเทศไทย           (4) วัดพระศรีสรรเพชญ ประเทศไทย

ตอบ 2 หน้า 17 ภาพสลักนูนตํ่าที่ระเบียงปราสาทนครวัด ประเทศกัมพูชา เป็นภาพที่แสดงกองทัพ สยกุก” หรือเสียมกุก ซึ่งเป็นกองกำลังส่วนหนึ่งในกองทัพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (พ.ศ. 1656 – 1693) แห่งกัมพูชา ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าพวกทหารเสียมเหล่านี้ถูกเกณฑ์ ไปจากบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา

4.         กษัตริย์พระองค์แรกของกรุงสุโขทัยคือใคร    

(1) พ่อขุนผาเมือง

(2)       พ่อขุนศรีอินทราทิตย์   (3) พ่อขุนศรีนาวนำถม            (4) พ่อขุนรามคำแหง

ตอบ 3 หน้า 23, (คำบรรยาย) หลักฐานสุโขทัยเท่าที่มีปรากฏ ได้กล่าวถึงกษัตริย์พระองค์แรกของกรุงสุโขทัย คือ พ่อขุนศรีนาวนำถม ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพ่อขุนผาเมือง ผู้ปกครองเมืองราด ส่วนกษัตริย์สุโขทัยพระองค์ต่อมา คือ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ หรือมีพระนามเดิมว่า พ่อขุนบางกลางหาว ซึ่งเป็นพระสหายของพ่อขุนผาเมือง

5.         ราชวงศ์ลาวจก สถาปนาอาณาจักรใด           

(1) หริภุญไชย

(2)       หิรัญนครเงินยาง         (3) นครศรีธรรมราช     (4) ทวารวดี

ตอบ 2 หน้า 20 แคว้นเงินยางเชียงแสน หรือหิรัญนครเงินยาง สถาปนาขึ้นโดยราชวงศ์ลาวจกในพุทธศตวรรษที่ 17 ซึ่งในสมัยของพระยาเจื๋อง ขอบข่ายของแคว้นเงินยางได้ขยายขึ้นไป ถึงสิบสองปันนา หลวงพระบาง และเวียงจันทน์ ต่อมาลูกหลานของพระยาเจื๋องได้ปกครอง อีก 4 – 5 คน ก็ถึงสมัยของพระยามังราย

6.         ข้อใดคือความหมายของผู้นำที่มีฤทธิ์อำนาจของชุมชนไทในบริเวณภาคใต้ของจีน

(1)       ผู้นำที่เป็นองค์อวตารของเทพเจ้า

(2)       ผู้นำที่อ้างว่ามีความสัมพันธ์กับอำนาจศักดิ์สิทธิ์ที่ชุมชนนับถือ

(3)       ผู้นำที่เป็นพระจักรพรรดิราช   (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 80-81 ลักษณะผู้นำของชุมชนไทใบบริเวณภาคใต้ของจีนประการหนึ่ง คือ ผู้นำจะ อ้างที่มาจากสวรรค์ และยังอ้างว่ามีความสัมพันธ์กับอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชุมชนนับถือ เช่น สามารถติดต่อกับวิญญาณของอดีตผู้นำคนก่อนๆ ได้ ซึ่งนักวิชาการจะเรียกผู้นำในลักษณะนี้ว่า ผู้นำที่มีฤทธิ์อำนาจ” (Bi§ Men or Men of Prowess) และเมื่อผู้นำนี้ตายไปก็จะได้รับ การนับถือบูชาว่าเป็นบรรพบุรุษคนหนึ่งด้วย

7.         หลักการเรื่องผู้นำที่เป็นมหาชนสมมุติ ปรากฏในหลักฐานใด

(1)       ไตรภูมิพระร่วง (2) พระไตรปิฎก ตอนอัคคัญสูตร

(3)       ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่         (4) ศิลาจารึกหลักที่ 1

ตอบ 2 หน้า 92 ผู้นำที่ดีควรเป็น มหาชนสมมุติ” เป็นหลักการของพุทธคาสนาที่ปรากฏอยูในพระไตรปิฎก ตอนอัคคัญสูตร ซึ่งได้กล่าวถึงผู้นำที่ดีว่า ผู้นำหรือกษัตริย์ควรเป็นมนุษย์เหมือน ประชาชนมิใช่เทพเจ้า โดยต้องเป็นมนุษย์ที่ได้รับการยอมรับและเลือกสรรจากประชาชน ให้เป็นผู้นำ เพราะมีคุณธรรมสูงกว่าผู้อื่น จึงจะเรียกว่าเป็นมหาชนสมมุติ

8.         พระจักรพรรดิราชหรือจักรวาทิน มีคุณสมบัติอย่างไร

(1)       มีพระบรมเดชานุภาพจากชัยชนะในสงคราม  (2) มีพระราชฐานะต่ำกว่า มหาชนสมมุติ

(3)       ได้ปฏิบัติธรรมสั่งสมบารมีจนเต็มเปี่ยม           (4) มีคุณสมบัติตรงตามศาสนาพราหมณ์กำหนด

ตอบ 3 หน้า 93 พระไตรปิฎกในส่วนสุตตันตปิฎก จักกวัติสูตร ได้ระบุว่า ผู้นำที่มีคุณสมบัติเป็นเลิศ จะได้รับการยกย่องว่าเป็นพระจักรพรรดิราชหรือจักรวาทิน ซึ่งหมายถึง กษัตริย์แห่งจักรวาล หรือพระราชาที่ยิ่งใหญ่กว่าพระราชาทั้งปวง โดยคุณสมบัติของผู้ที่จะได้เป็นพระจักรพรรดิราช ก็คือ ต้องเป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติธรรมสั่งสมบารมีมาเต็มเปี่ยม

9.         ลักษณะของสถาบันกษัตริย์ล้านนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 มีส่วนที่แตกต่างจากสถาบันกษัตริย์สุโขทัย คือ

(1)       ไม่เน้นความสูงส่งของพระจักรพรรดิราช         (2) ไม่อ้างบทบาทของผู้ปกครองดุจดังพระโพธิสัตว์

(3) ไม่มีการใช้ราชาศัพท์กับกษัตริย์     (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 98 ลักษณะของสถาบันกษัตริย์ล้านนาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 20 จะมีส่วนที่แตกต่าง จากสถาบันกษัตริย์สุโขทัย คือ ไม่มีการเน้นความสูงส่งของพระจักรพรรดิราช หรือไม่มีการ อ้างบทบาทของผู้ปกครองดุจดังพระโพธิสัตว์ และไม่มีการใช้คำราชาศัพท์กับกษัตริย์เหมือนดังทางสุโขทัย ส่วนหลักการของธรรมราชาอื่น ๆ นั้น ทางล้านนาก็ใช้คล้ายคลึงกับสุโขทัย เช่น การเน้นความสำคัญของหลักทคพิธราชธรรม การทำสงครามธรรมยุทธ ฯลฯ

10.       ข้อใดถูกเกี่ยวกับสมัยสุโขทัย

(1)       ไม่ปรากฏอิทธิพลลัทธิเทวราชาในสมัยสุโขทัย

(2)       สุโขทัยนำลัทธิเทวราชาเต็มรูปแบบมาใช้

(3)       สุโขทัยนำลัทธิเทวราชามาใช้ในยามที่อาณาจักรแตกแยก หรือมีการแย่งชิงอำนาจ

(4)       ลัทธิเทวราชามีความสำคัญที่สุดในสมัยสุโขทัย

ตอบ2 หน้า 100 สถาบันกษัตริย์สุโขทัยในสมัยพุทธศตวรรษที่ 20 เป็นต้นมา คงมีการนำคติบางอย่าง ของลัทธิเทวราชามาใช้ แต่อาจใช้ไม่เต็มรูปแบบหรือตลอดเวลา เช่น อาจนำลัทธิเทวราชามาใช้ ในยามที่อาณาจักรแตกแยกและต้องรวบรวมดินแดนขึ้นใหม่ หรือใช้ในยามที่มีการทำรัฐประหาร แย่งชิงอำนาจกษัตริย์พระองค์ก่อน

11.       ข้อใดหมายถึงการปกครองแบบทหาร

(1)       ข้าราชการและประชาชนทุกคนต้องออกรบได้ยามมีศึก

(2)       ข้าราชการและประชาชนทุกคนต้องเป็นทหารทั้งในยามสงบและสงคราม

(3)       สมุหกลาโหมมีอำนาจสูงสุด  

(4) ใช้การปกครองแบบเข้มงวดและเด็ดขาด

ตอบ 1 หน้า 102 การปกครองแบบทหาร หมายถึง ลักษณะการปกครองที่ข้าราชการและประชาชนทุกคนต้องออกรบได้ยามมีศึกสงคราม ซึ่งถือเป็นประเพณีการปกครองของชุมชนไทยมาแต่ดั้งเดิม โดยมีรากฐานมาจากประชากรของชุมชนยังมีจำนวนจำกัด ไม่เพียงพอที่จะจัดแบ่งออกเป็น ทหารประจำการและพลเรือนได้

12.       ข้อใดคือจุดมุ่งหมายของกฎมณเฑียรบาล    

(1) เป็นระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน

(2)       เป็นการจัดทำเนียบศักดินา   

(3) เป็นหมวดหนึ่งของกฎหมายตราสามดวง

(4)       เพื่อกำหนดหลักปฏิบัติที่บุคคลทั้งหลายต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์และพระราชวงศ์

ตอบ 4 หน้า 124 กฎหมายสำคัญที่รองรับสถานะอันสูงส่งดุจเทวะของพระมหากษัตริย์อยุธยาก็คือ กฎมณเฑียรบาล” ที่ตราขึ้นในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งถือเป็นเอกสารฉบับแรกที่บันทึกเกี่ยวกับสถานะและพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อยุธยาลงไว้เป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อกำหนดหลักปฏิบัติที่บุคคลทั้งหลายต้องกระทำต่อพระมหากษัตริย์และพระราชวงค์ จึงถือเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการเป็นเทวราชาของกษัตริย์อยุธยาได้อย่างดี

13.       พระราชพิธีใดที่ข้าราชการต้องทำความเคารพพระเชษฐบิดรก่อนพระรัตนตรัย

(1)       พระราชพิธีบรมราชาภิเษก      (2) พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา

(3)       พระราชพีธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ            (4) พระราชพิธิฟันนา

ตอบ 2 หน้กํ 126140 ในสมัยอยุธยา พระมหากษัตริย์ทรงถือว่าอยู่ในสถานะที่สูงกว่าพระรัตนตรัย ดังหลักฐานจากพระราชพิธีถือนํ้าพระพิพัฒน์สัตยาที่กำหนดให้ข้าราชการต้องถวายสักการะ หรือทำความเคารพพระเชษฐบิดรก่อนพระรัตนตรัย (พระเชษฐบิดร คือ เทวรูปของสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง และถือว่าเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้วทุกพระองค์)โดยจะต้องกระทำปีละ 2 ครั้ง

14.       ข้อใดถูกต้อง

(1)       พระราชศาสตร์ คือ พระราชกำหนดหรือพระราชบัญญัติ

(2)       ราชศาสตร์ยกเลิกไม่ได้           (3) ธรรมศาสตร์เป็นหมวดหนึ่งของราชศาสตร์

(4)       กฎหมายธรรมศาสตร์สามารถครอบคลุมกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นในอาณาจักรอยุธยาได้ทั้งหมด

ตอบ1 หน้า 134 – 135 กฎหมายที่ใช้ตัดสินคดีในสมัยอยุธยา ได้แก่ พระธรรมศาสตร์และพระราชศาสตร์ ซึ่งมีลักษณะดังนี้

1.         พระธรรมศาสตร์เป็นกฎหมายหลักอันศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุด และยกเลิกไม่ได้

2.         พระธรรมศาสตร์ไม่สามารถครอบคลุมกรณีพิพาทที่เกิดขึ้นในอาณาจักรอยุธยาได้ทั้งหมด

3.         พระราชศาสตร์ คือ พระราชกำหนดหรือพระราชบัญญัติ ซึ่งเป็นสาขาคดีของพระธรรมศาสตร์

4.         กษัตริย์ทรงเป็นผู้ตราพระราชศาสตร์ เพื่อใช้ในกรณีที่มิได้มีข้อตัดสินระบุไว้ในพระธรรมศาสตร์

5.         พระราชศาสตร์อาจถูกยกเลิกโดยกษัตริย์ในรัชกาลต่อ ๆ ไปได้ ฯลฯ

15.       ข้อใดคือนโยบายการปฏิรูประบบราชการของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(1) แบ่งงานบริหารออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน     (2) แบ่งการปกครองออกเป็นภูมิภาค

(3)       กระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง      (4) จัดตั้งเมืองลูกหลวงในเขตเมืองชั้นใน

ตอบ 1 หน้า 148 นโยบายการปฏิรูประบบบริหารราชการของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ มีดังนี้

1.         แบ่งแยกงานบริหารออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน รวมทั้งตั้งกรมสำคัญขึ้นใหม่ 2 กรม คือ กรมกลาโหมทำหน้าที่ดูแลฝ่ายทหาร และกรมมหาดไทยทำหน้าที่ดูแลฝ่ายพลเรือน

2.         จัดการปกครองในรูปรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง และยกเลิกระบบเมืองลูกหลวง (แต่มิได้ ยกเลิกเด็ดขาด) โดยจัดให้เขตเมืองชั้นในเป็นเขตมณฑลราชธานี ซึ่งเมืองหลวงเข้าไป ควบคุมโดยตรง

16.       เหตุใดการแบ่งงานตามลักษณะหน้าที่ในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจึงไม่สมบูรณ์

(1)       กรมใหญ่มีงานในความรับผิดชอบหลายประเภท

(2)       เวลาเกิดศึกสงคราม ข้าราชการทุกกรมกองต้องออกไปรบได้เหมือนกันหมด

(3)       กรมที่มีลักษณะงานเป็นแบบทหารถูกจัดไว้ฝ่ายพลเรือน      

(4) ถูกทุกข้อ ตอบ 4 หน้า 155 – 156 สาเหตุที่ทำให้ระบบแบ่งงานตามลักษณะหน้าที่เฉพาะอย่างในสมัยมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไม่สมบูรณ์ มีดังนี้

1.         กรมใหญ่ เช่น กรมพระคลังมีงานในความรับผิดชอบหลายประเภทในเวลาเดียวกัน

2.         เวลาเกิดศึกสงคราม ข้าราชการทุกกรมกองต้องออกไปรบได้เหมือนกันหมดถ้าได้รับคำสั่ง

3.         กรมที่มีลักษณะงานเป็นแบบทหารถูกจัดไว้ในฝ่ายพลเรือน ส่วนกรมที่มีลักษณะงาน เป็นพลเรือนกลับถูกจัดไว้ในฝ่ายทหาร

17.       การเปลี่ยนแปลงระบบบริหารราชการส่วนกลางในสมัยอยุธยาตอนปลาย มีลักษณะแบบใด

(1) แบ่งงานตามหน้าที่โดยเคร่งครัด    (2) ยกเลิกกรมสำคัญ 6 กรม

(3) แบ่งหน้าที่บริหารราชการออกเป็นภูมิภาค (4) กระจายอำนาจออกจากศูนย์กลาง

ตอบ 3 หน้า 157 – 158 การเปลี่ยนแปลงระบบบริหารราชการส่วนกลางในสมัยอยุธยาตอนปลาย คือ ระบบแบ่งงานตามหน้าที่เฉพาะอย่าง (Functional Basis) ออกเป็นฝ่ายทหารและพลเรือน สลายไป กลายเป็นระบบแบ่งหน้าที่บริหารราชการออกเป็นส่วนภูมิภาคหรือเขตแดน (Territorial Basis) แทน ดังนี้

1.         กรมกลาโหมปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองภาคใต้

2.         กรมมหาดไทยปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองภาคเหนือ

3.         กรมพระคลังปกครองทหารและพลเรือนในหัวเมืองชายทะเลภาคตะวันออก

18.       เขตมณฑลราชธานี จัดตั้งขึ้นในรัชกาลใด

(1) สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1   (2) สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ

(3) สมเด็จพระนเรศวร (4) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 15. ประกอบ

19.       ข้อใดไม่ใช่แนวทางการปกครองแบบธรรมราชา

(1)       กษัตริย์ต้องเป็นผู้บวงสรวงผีบรรพบุรุษ

(2)       ผู้น้ำที่ดีควรเป็นมหาชนสมมุติ

(3)       กษัตริย์ต้องปกครองตามหลักธรรมสำหรับพผู้ปกครอง

(4)       กษัตริย์ต้องบำรุงประชาชนให้อยู่ดีกินดี

ตอบ 1 หน้า 92 – 95 แนวทางการปกครองแบบธรรมราชา ซึ่งเป็นอุดมการณ์การปกครอง ตามหลักพุทธศาสนา มีดังนี้

1.         ผู้นำที่ดีควรเป็นมหาชนสมมุติ (ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ)

2.         ผู้นำที่มีคุณสมบัติเป็นเลิศจะได้รับยกย่องเป็นพระจักรพรรดิราชหริอจักรวาทิน (ดูคำอธิบายข้อ 8. ประกอบ)

3.         ผู้นำหรือกษัตริย์ต้องปกครองตามหลักธรรมสำหรับผู้ปกครอง และต้องเอาใจใส่ทำนุบำรุง ประชาชนให้อยู่ดีกินดี มิให้ถูกกดขี่ข่มเหง ฯลฯ

20.       ข้อใดที่แสดงว่าพระมหากษัตริย์ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ยึดอุดมการณ์ธรรมราชา

(1)       การตรากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม         (2) การสังคายนาพระไตรปิฎก

(3) การลดเวลาเกณฑ์แรงงานราษฎร (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 183 – 186 พระมหากษัตริย์ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นทรงยึดอุดมการณ์ธรรมราชา เป็นหลักสำคัญที่สุด โดยมีแนวทางดังนี้

1.         ทรงตรากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับศีลธรรม ซึ่งมิได้เกียวกับราชกรบ้านเมืองโดยตรงแต่อย่างใด

2.         ทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนา โดยการสังคายนาพระไตรปิฎก ปฏิสังขรณ์วัดวาอารามและ พระพุทธรูปจำนวนมาก

3.         ทรงปกป้องคุ้มครองประชาชน โดยการลดเวลาเกณฑ์แรงงานราษฎร และดูแลมิให้มูลนาย ข่มเหงรังแกราษฎร ฯลฯ

21.       ข้อใดคือลักษณะสำคัญของสถาบันกษัตริย์ในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย

(1) ลักษณะเทวราชามีความสำคัญมากขึ้น     (2) ลดความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์

(3) ลดความสำคัญในเรื่องผู้นำที่มีบารมีสูง     (4) เน้นคติธรรมราชาและพ่อปกครองลูก

ตอบ 4 หน้า 197202 – 204 ลักษณะสำคัญของสถาบันกษัตริย์ในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย มีดังนี้

1.         การเน้นคติธรรมราชาและพ่อปกครองลูก

2.         ความเชื่อในเรื่องบารมีของพระมหากษัตริย์ยังคงมีอยู่

3.         ความเสื่อมของลักษณะเทวราชา

4.         ความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างสมบูรณ์

22.       ราชกิจจานุเบกษามีการพิมพ์เผยแพร่ในสมัยรัชกาลใด

(1) รัชกาลที่ 4  (2) รัชกาลที่ 5  (3) รัชกาลที่ 6  (4) รัชกาลที่ 7

ตอบ 1 หน้า 199 – 200 รัชกาลที่ 4 ทรงจัดพิมพ์หนังสือทางราชการออกเผยแพร่เป็นรายสัปดาห์ เรียกว่า ราชกิจจานุเบกษา” โดยได้ความคิดและแบบอย่างมาจากตะวันตก ทั้งนี้เพื่อให้ข้อมูลแก่ประชาชนเกี่ยวกับประกาศราชการและกฎหมายต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และ ปิดหนทางที่ขุนนางจะทำดวงตราปลอมเพื่ออ้างรับสั่งกับราษฎร

23.       ข้อใดคือผลงานสำคัญในการปฏิรูประบบบริหารส่วนกลางในระยะแรก

(1) การจัดตั้งกระทรวงแบบใหม่ 12 กระทรวง            (2) ระบบทาสถูกยกเลิกโดยเด็ดขาด

(3) มีการจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน 2 สภา   (4) มีการปฏิรูประบบการศาลอย่างแท้จริง

ตอบ 3 หน้า 227 – 228 รัชกาลที่ 5 ทรงปฏิรูประบบบริหารส่วนกลางในระยะแรก (พ.ศ. 2417 – 2418) โดยมีผลงานที่สำคัญ คือ การจัดตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินขึ้นมา 2 สภา ได้แก่

1.         สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน (State Council or Council of State)

2.         สภาองคมนตรี (Privy Council)

24.       เมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จขึ้นปกครองประเทศด้วยพระองค์เอง ทรงปฏิรูปประเทศด้านใดเป็นอันดับแรก

(1) การคลัง     (2) การปกครอง          (3) การบริหารราชการ (4) สังคม

ตอบ 1 หน้า 205 เมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จขึ้นปกครองประเทศด้วยพระองค์เองแล้ว ทรงเร่งปฏิรูปประเทศ ด้านการคลังก่อนด้านอื่นเป็นอันดับแรก จากนั้นการปฏิรูประบบบริหารราชการและระบบสังคม ก็ตามมา เพื่อสร้างควมมั่นคงเข้มแข็งให้แก่อาณาจักรไทยในช่วงที่จักรวรรดินิยมตะวันตก กำลังมีความรุนแรงถึงขีดสุด ซึ่งส่งผลให้อำนาจบริหารมารวมศูนย์ที่องค์พระมหากษัตริย์มากขึ้น

25.       ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับระบบมณฑลเทศาภิบาล

(1) จัดตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5            (2) เป็นการบริหารราชการส่วนภูมิภาค

(3)       ได้รับแนวทางจากการปกครองของฝรั่งเศสที่ปกครองอินโดจีน

(4)       เป็นระบบที่เมืองหลวงสามารถควบคุมบริเวณทั้งหมดของอาณาจักรและประเทศราชได้อย่างทั่วถึง

ตอบ 3 หน้า 56234 – 236 ระบบมณฑลเทศาภิบาลที่จัดตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 มีลักษณะดังนี้

1.         เป็นการบริหารราชการส่วนภูมิภาคแบบรวมศูนย์อำนาจ เพื่อให้เมืองหลวงควบคุมบริเวณ ทั้งหมดของอาณาจักรและเขตประเทศราชได้อย่างทั่วถึง

2.         ได้รับแนวทางจากการปกครองของอังกฤษในพม่าและมลายู

3.         ข้าหลวงเทศาภิบาลเป็นคนในสังกัดกระทรวงมหาดไทยในกรุงเทพฯ ที่ได้รับแต่งตั้งโดยตรง ออกไปจากเมืองหลวง

4.         ระบบมณฑลเทศาภิบาลจัดตั้งตามความพร้อมในแต่ละภูมิภาค มิได้จัดทีเดียวทั่วประเทศ

5.         ผลสำเร็จในการปฏิรูปทำให้ประเทศไทยสามารถผนวกดินแดนในเขตชั้นนอกและเขต ประเทศราชให้เป็นปึกแผ่นอันหนึ่งอันเดียวกับส่วนกลางในลักษณะรัฐประชาชาติ (National state) ได้สำเร็จ

26.       ข้อใดคืออุปสรรคที่ทำให้การปฏิรูปราชการแผ่นดินในช่วงแรกของรัชกาลที่ 5 ต้องหยุดชะงัก

(1) การขัดขวางจากพวกอนุรักษนิยม  (2) การแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตก

(3) การขาดประสบการณ์ของกลุ่มสยามหนุ่ม            (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 227 – 229 อุปสรรคที่ทำให้การปฏิรูปราชการแผนดินในระยะแรกของรัชกาลที่ 5 ต้องหยุดชะงักลง ได้แก่

1.         การขัดขวางจากฝ่ายอนุรักษนิยมทั้งในลักษณะของการดื้อแพ่งและการต่อต้านด้วยกำลังอาวุธ

2.         การแทรกแซงของมหาอำนาจตะวันตก

3.         การขาดประสบการณ์ของกลุ่มสยามหนุ่ม โดยเฉพาะบรรดาสมาชิกสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ซึ่งยังไม่คุ้นเคยกับการแสดงความคิดเห็น และยังเกรงกลัวต่ออิทธิพลของฝ่ายอนุรักษนิยมอยู่

27.       ผลสำเร็จในการปฏิรูประบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดจากข้อใด

(1)       การใช้ระบบ กินเมือง”       (2) การเพิ่มอำนาจให้เมืองประเทศราช

(3) การจัดตั้งระบบมณฑลเทศาภิบาล           (4) การฟื้นฟูระบบเมืองลูกหลวง

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 25. ประกอบ

28.       ช่องทางที่สำคัญที่สุดในการเผยแพร่อุดมการณ์ตะวันตกเข้าสู่คนไทยคือข้อใด

(1) การขยายตัวทางการศึกษาแผนใหม่          (2) การจัดทำราชกิจจานุเบกษา

(3) การจัดทำหนังสือพิมพ์       (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 239 – 240 ช่องทางที่สำคัญที่สุดในการเผยแพร่อุดมการณ์ตะวันตกเข้าสู่คนไทย คือ การขยายตัวทางการศึกษาแผนใหม่ ซึ่งเริ่มอย่างจริงจังในสมัยรัชกาลที่ 5 เพราะเมื่อผู้มีการศึกษาดี และมีสำนึกทางการเมืองสูงเข้าสู่ระบบราชการแล้ว บุคคลเหล่านี้ก็ต้องการพัฒนาประเทศ ให้เจริญตามแบบตะวันตก จึงพยายามล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เนื่องจากเชื่อมั่นว่า ระบอบประชาธิปไตยจะนำมาซึ่งความเจริญของประเทศ

29.       ข้อใดคือยุคทองของหนังสือพิมพ์ในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย

(1) สมัยรัชกาลที่ 4      (2) สมัยรัชกาลที่ 5      (3) สมัยรัชกาลที่ 6      (4) สมัยรัชกาลที่ 7

ตอบ 3 หน้า 240 หนังสือพิมพ์ฉบับแรกของไทยเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อ ดร.บรัดเลย์ได้จัดพิมพ์ หนังสือพิมพ์ “Bangkok Recorder” ขึ้นในปี พ.ศ. 2387 หลังจากนั้นในสมัยพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ซึ่งเริ่มขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 ก็มีผู้จัดทำหนังสือพิมพ์เรื่อยมาจนถึงยุคทองของหนังสือพิมพ์ ในสมัยรัชกาลที่ 6 ทำให้ข่าวสารทางการเมืองเริ่มเป็นที่น่าสนใจของประชาชนมากขึ้น

30.       ขบถผู้มีบุญ คือ การต่อต้านอำนาจส่วนกลาง เกิดขึ้นในมณฑลใด

(1) พายัพ        (2) อีสาน         (3)       ภูเก็ต   (4)       ปัตตานี

ตอบ 2 หน้า 236 – 237 การปฏิรูปส่วนภูมิภาคในสมัยรัชกาลที่ 5 ต้องเผชิญกับปัญหาการต่อต้าน อำนาจส่วนกลางจากฝ่ายอนุรักษนิยมในหัวเมือง ซึ่งได้แก่ พวกเจ้าเมืองและเจ้าประเทศราชเดิม โดยการต่อต้านจะเกิดขึ้นทั้งในมณฑลอีสาน พายัพ และปัตตานี ดังนี้

1.         ในมณฑลอีสานเกิด ขบถผีบุญ หรือขบถผู้มีบุญ” ขึ้นในปลายปี พ.ศ. 2444

2.         ในมณฑลพายัพหรือภาคเหนือเกิด ขบถเงี้ยวเมืองแพร่” ขึ้นในปี พ.ศ. 2445

3.         ในมณฑลปัตตานีเกิด ขบถพระยาแขกเจ็ดหัวเมือง” ขึ้นในปลายปี พ.ศ. 2444

31.       เมืองสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย ตั้งอยู่บนที่ราบลุ่มแม่นํ้าใด

(1) เจ้าพระยา  (2) ปิง  (3)       ยม       (4)       น่าน

ตอบ 3 หน้า 23 – 24. (คำบรรยาย) บริเวณที่ตั้งของอาณาจักรสุโขทัยอยู่ในเขตภาคกลางตอนบนของประเทศไทยในปัจจุบัน โดยเมืองสุโขทัย-ศรีสัชนาลัย ตั้งอยู่บบที่ราบลุ่มแม่น้ำยม ซึ่งอยู่ ทางด้านทิศตะวันออกของตัวเมือง และมีศูนย์กลางของชุมชนเมื่อแรกตั้งอยู่ที่เมืองเก่าสุโขทัย บริเวณวัดพระพายหลวง หลังจากนั้นในสมัยพ่อขุนรามคำแหงจึงย้ายศูนย์กลางของราชธานี มาอยู่ในตัวเมืองสุโขทัยปัจจุบัน บริเวณวัดมหาธาตุ

32.       ชุมชนแห่งแรกของสุโขทัย มีศูนย์กลางอยู่ที่วัดใด

(1) วัดพระพายหลวง   (2) วัดมหาธาตุ            (3)       วัดศรีสวาย      (4)       วัดศรีชุม

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ

33.       เบื้องหัวนอนเมืองสุโขทัยนี้มีกุฎีพิหาร ปู่ครูอยู่ มีสรีดภงส์…” ถามว่าเบื้องหัวนอนในศิลาจารึกหลักที่ 1 นี้ หมายถึงทิศใด

(1)       ทิศตะวันออก   (2) ทิศตะวันตก           (3) ทิศเหนือ     (4) ทิศใต้

ตอบ 4 หน้า 589, (คำบรรยาย) ในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 หรือจารึกพ่อขุนรามคำแหง ได้กล่าวถึงทิศทั้ง 4 ซึ่งมีชื่อเรียกแตกต่างจากปัจจฺบัน กล่าวคือ เบื้องต้นนอน (ทิศเหนือ)เบื้องหัวนอน (ทิศใต้)เบื้องตะวันออก (ทิศตะวันออก) และเบื้องตะวันตก (ทิศตะวันตก)

34.       ผู้ปกครองที่อธรรม เบียดเบียนประชาชน กินสินบนจากลูกความ ตายไปต้องตกนรก หรือเกิดเป็นเปรต ได้รับความทรมานอย่างมาก” เป็นข้อความที่ปรากฏอยู่ในเอกสารใด

(1) ไตรภูมิพระร่วง       (2) มังรายศาสตร์        (3) มหาชาติคำหลวง   (4) กฎหมายตราสามดวง

ตอบ 1 หน้า 277 หนังสือเรื่องไตรภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วง ซึ่งเชื่อว่าเป็นพระราชนิพนธ์ของพระมหาธรรมราชาลิไทย ได้มีการปลูกฝังความเชื่อว่าลูกเจ้าลูกขุนที่เป็นขุนธรรมย่อมมีผลให้ ดินฟ้าอากาศเป็นปกติตามฤดูกาล และย่อมเป็นที่รักของเทวดา ส่วนผู้ปกครองที่อธรรม เบียดเบียนประชาชน กินสินบนจากลูกความ ตายไปต้องตกนรก หรือเกิดเป็นเปรต ได้รับความทรมานอย่างมาก

35.       ข้อใดถูกต้องในอาณาจักรสุโขทัย

(1) ไพร่มีจำนวนน้อยกว่ากลุ่มอื่น         (2) ไพร่มีจำนวนมากเกินความต้องการของรัฐ

(3) ประชากรมีจำนวนจำกัด    (4) ไม่มีทาสวัด

ตอบ 3 หน้า 270 – 271281289 – 290293, (คำบรรยาย) สังคมไทยสมัยอาณาจักรสุโขทัย และล้านนาในพุทธศตวรรษที่ 19 – 21 จะมีลักษณะคล้ยคลึงกันมากที่สุด ดังนี้

1.         จำนวนของประชากรมีจำกัด   2. มีการแบ่งลักษณะชนชั้นแบบไม่ถาวร

3.         ประชากรส่วนใหญ่เป็นชนชั้นไพร่หรือสามัญชน ซึ่งถือเป็นชนชั้นที่มีจำนวนมากที่สุด แต่ก็ยังมีจำนวนที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการแรงงานของรัฐ

4.         เป็นสังคมที่มีข้าหรือทาส ซึ่งจัดเป็นชนชั้นตํ่าสุดของสังคม ได้แก่ ทาสเชลย ทาสวัดหรือ ข้าพระอาราม ฯลฯ

5.         มีการจัดระเบียบและควบคุมสังคมด้วยการกำหนดความสัมพันธ์แบบผู้อุปถัมภ์-บริวาร (Patron-client Relationship) ฯลฯ

36.       พระราชนิพนธ์ของพญาลิไทยเรื่องไตรภูมิพระร่วง สะท้อนให้เห็นความสามารถของลูกเจ้าลูกขุนในด้านใด

(1) ด้านการปกครองและสงคราม       (2) ด้านการปกครองและอักษรศาสตร์

(3) ด้านการปกครองและด้านศาสนา  (4) ด้านอักษรศาสตร์และด้านศาสนา

ตอบ 4 หน้า 96105272584, (คำบรรยาย) หนังสือเรื่องไตรภูมิกถาหรือไตรภูมิพระร่วงของพระมหาธรรมราชาลิไทย (พญาลิไทย) ได้สะท้อนให้เห็นความสามารถของลูกเจ้าลูกขุนในด้าน อักษรศาสตร์และด้านศาสนา เพราะพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ถือเป็นผลงานสำคัญทางอักษรศาสตร์ และยังมีเนื้อหาเป็นคัมภีร์ทางพุทธศาสนาโดยตรง จึงถือเป็นหลักฐานที่ทำให้รู้ถึงความเจริญรุ่งเรือง ของพระพุทธศาสนาในกรุงสุโขทัยได้เป็นอย่างดี

37.       หน้าที่ในการสร้างป้อม กำแพงเมือง คูเมือง บ่อนํ้า อ่างเก็บนํ้า เป็นหน้าที่ของชนกลุ่มใด

(1) ลูกเจ้าลูกขุน          (2) ขุนนางชั้นผู้น้อย     (3) ไพร่            (4) ทาส

ตอบ 3 หน้า 283 – 285, (คำบรรยาย) ไพร่ในสมัยสุโขทัยมีหน้าที่ให้แรงงานกับรัฐทั้งในด้านการสงคราม และการก่อสร้างนานาประการ เช่น ป้อม กำแพงเมือง คูเมือง บ่อนา อ่างเก็บน้ำ วัดวาอาราม ถนนหนทางต่าง ๆ ฯลฯ นอกจากนี้ยังต้องให้แรงงานในด้านการเพาะปลูก และการทำอุตสาหกรรม แต่แรงงานก็มีอยู่อย่างจำกัด

38.       ในศิลาจารึกสุโขทัยมีข้อความเกี่ยวกับไพร่อยู่หลายคำ ถามว่าไพร่ในข้อใดหมายถึงทาส

(1) ไพร่ฟ้าหน้าใส        (2) ไพร่ฟ้าหน้าปก       (3) ไพร่ไท        (4) ไพร่ฟ้าข้าไท

ตอบ 4 หน้า 271289 – 290, (คำบรรยาย) ในศิลาจารึกสุโขทัย คำว่า ไพร่” หมายถึง สามัญชน โดยทั่วๆ ไป ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ ส่วนสร้อยที่ต่อท้ายคำว่าไพร่จะมีความหมายเฉพาะตัว ที่บ่งบอกถึงลักษณะของไพร่ที่แตกต่างกันไป เช่น ไพร่ฟ้าหน้าใส/ไพร่ไท (ประชาชนทั่วไป),ไพร่ฟ้าหน้าปก (ประชาชนที่มีทุกข์ร้อน)ไพร่ฟ้าข้าไท (ทาส ซึ่งมีสถานะตํ่าสุดในสังคม) เป็นต้น

39.       เข้า 10 วัน ออก 10 วัน” เป็นการเกณฑ์แรงงานในสมัยใด

(1)       สุโขทัย            (2) ล้านนา       (3) อยุธยา       (4) รัตนโกสินทร์

ตอบ 2 หน้า 284 เอกสารของล้านนาได้ระบุถึงการเกณฑ์แรงงานไพรในสมัยล้านนาว่า รัฐบาลจะเกณฑ์แรงงานไพร่ 10 วัน และปล่อยไปทำไร่นาของตนได้ 10 วัน สลับกันไป เรียกว่า เข้า 10 วัน ออก 10วัน” รวมแล้วจะเท่ากับถูกเกณฑ์แรงงาน6 เดือนใน 1 ปีซึ่งเท่ากับเวลาที่ไพร่ของ อาณาจักรอยุธยาถูกเกณฑ์เช่นกัน

40.       สังคมสมัยใดที่มีความคล้ายคลึงกันมากที่สุด           

(1) สุโขทัย-ล้านนา

(2)       สุโขทัย-อยุธยา           (3) ล้านนา-อยุธยา      (4) สุโขทัย-รัตนโกสินทร์ตอนต้น

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 35. ประกอบ

41.       ขุนนางในสมัยอยุธยาไม่มีสิทธิทำสิ่งใด         

(1) เป็นเจ้าเมือง

(2)       เป็นเสนาบดี   (3) เข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์     (4) ไปมาหาสู่กันอย่างเสรี

ตอบ 4 หน้า 310323 – 324326329332 พระมหากษัตริย์ทรงคานอำนาจขุนนางสมัยอยุธยา ดังนี้

1.         กำหนดให้ความเป็นขุนนางอยู่ในพระราชอำนาจของกษัตริย์

2.         กำหนดโครงสร้างของระบบราชการให้มีลักษณะลิดรอนอำนาจขุนนางมิให้รวมตัวกันได้

3.         ตรากฎหมายควบคุมการปฏิบัติหน้าที่ของขุนนางไว้อย่างเข้มงวด

4.         ควบคุมการเคลื่อนไหวของขุนนาง มิให้ขุนนางไปมาหาสู่กันเอง หรือไปติดต่อกับเจ้านาย อย่างเสรี ฯลฯ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นสิทธิของขุนนางในสมัยอยุธยา)

42.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับขุนนางสมัยอยุธยา

(1) รายได้สำคัญของขุนนาง คือ เงินเดือน       (2) ขุนนางยกยศให้เป็นมรดกของลูกได้

(3)       เจ้านายทุกองค์มีศักดินาสูงกว่าขุนนาง          (4) ขุนนางมีศักดินาตั้งแต่ 400 ไร่ขึ้นไป ตอบ 4 หน้า 314322328 ข้อสังเกตเกี่ยวกับความสูงศักดิของขุนนางในสมัยอยุธยา มีดังนี้

1.         ขุนนางต้องมีศักดินาตั้งแต่400ไร่ขึ้นไปส่วนข้าราชการที่มีศักดินาต่ำกว่400ไร่ จะเป็นเพียงขุนหมื่น

2.         ยศ ราชทินนาม ตำแหน่ง และศักดินา มิใช่ของสืบตระกูลจะยกเป็นมรดกต่อไปให้ลูกหลานมิได้

3.         ไม่สามารถกล่าวได้ว่าเจ้านายเป็นกลุ่มที่มีความสูงศักดิ์หรือมีศักดินาสูงกว่าขุนนาง

4.         ขุนนางสมัยอยุธยาไม่มีเงินเดือน แต่มีรายได้หลักจากการกินตำแหน่งและกินเมือง ฯลฯ

43.       การเป็นเจ้านายในสมัยอยุธยากำหนดไว้กี่ชั่วคน

(1) 2 ชั่วคน      (2) 3 ชั่วคน      (3) 4 ชั่วคน      (4) ตลอดชีพ

ตอบ 2 หน้า 141305308313 – 314 พระมหากษัตริย์อยุธยาทรงควบคุมอำนาจของเจ้านาย ดังนี้

1.         กำหนดความสูงศักดิ์ของเจ้านายให้มีอยู่เพียง 3 ชั่วอายุคน และลดความสูงศักดิ์ของเจ้านายลง ทุกชั่วอายุคน

2.         ลิดรอนอำนาจเจ้านายไม่ให้มีมากเกินไป เช่น ไม่ให้เจ้านายดำรงตำแหน่งเสนาบดี และเจ้าเมือง

3.         ให้เจ้านายอยู่ในเมืองหลวงและปกครองกรมย่อย ๆ

4.         ให้เจ้านายเป็นมูลนายบังคับบัญขาไพร่สม แต่มีการควบคุมจำนวนไพร่สมไม่ให้มีมากเกินไป

5.         ออกกฎหมายควบคุมการเคลื่อนไหวของเจ้านาย ฯลฯ

44.       กษัตริย์อยุธยาทรงควบคุมอำนาจเจ้านายอย่างไร

(1) ไม่ยอมให้เจ้านายได้ปกครองกรม  (2) ไม่ยอมให้เจ้านายเป็นมูลนายของไพร่

(3)       ไม่ยอมให้เจ้านายอยู่ในเมืองหลวง      (4) ไม่ยอมให้เจ้านายมีอำนาจมากเกินไป

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 43. ประกอบ

45.       เจ้าพระยาจักรี เป็นยศและราชทินนามประจำกรมใด

(1) มหาดไทย  (2)       กลาโหม           (3)       คลัง     (4)       นครบาล

ตอบ 1 หน้า 150 – 152319 – 320, (คำบรรยาย) หน้าที่ในตำแหน่งของกรมกองต่าง ๆ จะมียศ และราชทินนามกำกับไว้โดยเฉพาะ ดังนี้

1.         เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ฯ เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมมหาดไทย

2.         เจ้าพระยามหาเสนาบดีวิริยภักดีฯ เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมกลาโหม

3.         เจ้าพระยาพระคลัง หรือเจ้าพระยาโกษาธิบดี เป็นยศและราชทินนามของขุนนางกรมพระคลัง หรือโกษาธิบดี

4.         พระยายมราชอินทราธิบดีฯ เป็นยศและราชเทินนามของขุนนางกรมเวียงหรือนครบาล ฯลฯ

46.       ไพร่หลวงไม่มีสิทธิทำสิ่งใด

(1) ยกมรดกให้ลูก       (2)แต่งงานกับไพร่สม  (3)       ย้ายไปเป็นไพร่สม       (4)ถวายฎีกา

ตอบ 3 หน้า 339342345 กษัตริย์อยุธยาทรงมีนโยบายลดจำนวนไพร่สม เพื่อลิดรอนอำนาจของ เจ้านายที่เป็นมูลนายของไพร่สมส่วนใหญ่ และเพิ่มจำนวนไพร่หลวงเพื่อความมั่นคงของกษัตริย์ จึงมีการออกกฎหมายห้ามจดทะเบียนลูกหลานของไพร่หลวงย้ายไปเป็นไพร่สม ส่วนไพร่สม สามารถย้ายไปเป็นไพร่หลวงได้เสมอ แต่เนื่องจากสภาพความเป็นอยู่ของไพร่สมที่สุขสบายกว่า จึงส่งผลให้ไพร่หลวงนิยมหนีไปเป็นไพร่สม ทำให้การควบคุมจำนวนไพร่สมไม่ได้ผลนัก (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นสิทธิของไพร่หลวงในสมัยอยุธยา)

47.       ผู้ใดมีศักดินาสูงสุดในสมัยอยุธยา

(1) พระเจ้าแผ่นดิน      (2)       วังหน้า (3)       เจ้าพระยากลาโหม      (4)       เจ้าพระยาจักรี

ตอบ 2 หน้า 309357 กฎหมายอยุธยากำหนดให้ประชาชนทุกคนยกเว้นพระมหากษัตริย์ จะได้รับ พระราชทานศักดินาประจำตัวเป็นจำนวนเลขลดหลั่นกันไปตามยศและตำแหนง โดยผู้ที่มีศักดินา สูงสุดในสมัยอยุธยา คือ เจ้านายระดับกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) มีศักดินา 100,000 ไร่ ส่วนผู้ที่มีศักดินาต่ำสุด คือ ยาจก วณิพก ทาส และลูกทาส มีศักดินา 5 ไร่

48.       การกำหนดศักดินามีประโยชน์อย่างไร

(1)       ใช้กำหนดความสูงศักดิ์ของบุคคล      (2) ใช้กำหนดบทลงโทษของบุคคล

(3) ใช้กำหนดไพร่ในสังกัดของบุคคล  (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 309359 – 360 ระบบศักดินามีประโยชน์ในการกำหนดฐานะบุคคลในทางสังคมและ กำหนดระเบียบในการปกครองด้านต่าง ๆ ดังนี้  

1. เป็นเครื่องมือกำหนดความสูงศักดิ์ของบุคคล อำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบของบุคคลต่าง ๆ เพื่อจัดระเบียบของสังคม

2.         เป็นเครื่องกำหนดบทลงโทษของบุคคลที่มีความผิด    3. เป็นเครื่องวัดและกำหนดไพร่พลในสังกัดของบุคคลที่เป็นมูลนาย 4. เป็นเครื่องกำหนดอภิสิทธิ์และสิทธิพิเศษบางอย่างให้แก่บุคคล

49.       ทาสในสมัยอยุธยามีกี่ชนิด

(1)       3 ชนิด  (2) 4 ชนิด        (3) 5 ชนิด        (4) 7 ชนิด

ตอบ 4 หน้า351 พระไอยการทาสในกฎหมายตราสามดวงได้กล่าวถึงทาสในสมัยอยุธยาไว้7ชนิด ได้แก่

1.         ทาสที่ไถ่มาด้วยทรัพย์ (แบ่งย่อยออกได้เป็นทาสสินไถ่ประเภทขายขาด และขายฝาก)

2.         ลูกทาสเกิดในเรือนเบี้ย (เด็กที่เกิดจากทาส)  3. ทาสที่ได้แต่บิดามารดา

4.         ทาสที่มีผู้ยกให้            5. ทาสที่ช่วยไว้ให้พ้นจากโทษปรับ

6.         ทาสที่ได้เลี้ยงไว้ในยามข้าวยากหมากแพง      7. ทาสเชลย

50.       ข้อยมาเป็นข้า” เป็นทาสชนิดหนึ่งของล้านนา เทียบได้กับทาสชนิดใดของสมัยอยุธยา

(1)       ทาสสินไถ      (2) ทาสในเรือนเบี้ย    (3) ทาสเชลย   (4) ทาสที่ได้มาจากการช่วยให้พ้นโทษ

ตอบ 3 หน้า 290351, (คำบรรยาย) ข้าหรือทาสของล้านนามี 5 ชนิด คือ 1. ข้าที่ซื้อด้วยข้าวของ ซึ่งตรงกับทาสสินไถ่ของอยุธยา      2. ลูกช้าหญิง ซึ่งตรงกับทาสในเรือนเบี้ยของอยุธยา

3.         มอบตัวเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสที่เลี้ยงไว้ในยามข้าวยากหมากแพงของอยุธยา

4.         ฉิบหายด้วยความผิดจึงเข้าเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสที่ได้มาด้วยการช่วยให้พ้นโทษปรับของอยุธยา

5.         ข้อยมาเป็นข้า ซึ่งตรงกับทาสเชลยของอยุธยา

51.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับไพร่สม

(1)       กษัตริย์มีนโยบายลดจำนวนไพร่สม    (2) กษัตริย์มีนโยบายเพิ่มจำนวนไพร่สม

(3) มีสภาพความเป็นอยู่ลำบากกว่าไพร่หลวง            (4) นิยมหนีไปเป็นไพร่หลวง

ตอบ1 ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ

52.       การสักข้อมือไพร่ เพื่อวัตถุประสงค์ใดเป็นสำคัญ      

(1) เพื่อป้องกันไพร่หลบหนี

(2)       เพื่อรู้ชื่อมูลนาย           (3) เพื่อรู้จำนวนไพร่     (4) เพื่อรู้ภูมิลำเนาไพร่

ตอบ 1 หน้า 392417, (คำบรรยาย) การสักข้อมือไพร่เป็นตัวอักษรเริ่มทำขึ้นครั้งแรกตั้งแต่สมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินแห่งกรุงธนบุรี และใช้ต่อมาจนถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยได้กำหนดให้ สักข้อมือไพร่ไว้ที่ด้านใน ระบุชื่อมูลนายและชื่อเมืองอันเป็นภูมิลำเนาเพื่อป้องกันไพร่หลบหนี สับเปลี่ยนมูลนาย หรือหนีไปหลบซ่อนอยู่ต่างเมืองและตามป่าเขาอีก จึงเป็นทางป้องกันไม่ให้ ไพร่หลวงสูญหาย หรือไม่ให้ไพรหลวงหนีไปเป็นไพร่สมของมูลนายได้ง่ายอย่างแต่ก่อน

53.       เหตุใดไพร่จึงถูกเกณฑ์แรงงานลดลงในสมัยรัตนโกสินทร์

(1)       มีแรงงานชาวจีนเข้ามามาก     (2) การเน้นการปกครองแบบธรรมราขา

(3)       รัฐต้องการให้ไพร่มีเวลาปลูกข้าวมากขึ้น        (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 416 – 424, (คำบรรยาย) ปัจจัยที่ทำให้ไพร่ถูกเกณฑ์แรงงานลดลงในสมัยรัตนโกสินทร์ จนกระทั่งมีการยกเลิกระบบไพร่อย่างสิ้นเชิงในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้ 1. กษัตริย์เน้นอุดมการณ์ ปกครองแบบธรรมราชา    2. การคุกคามและการเผยแพร่แนวคิดของมหาอำนาจตะวันตก

3.         การเปลี่ยนแปลงลักษณะเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้รัฐต้องการให้ไพร่มีเวลาปลูกข้าวมากขึ้น

4.         มีกรรมกรชาวจีนเข้ามาเป็นแรงงานในไทยมากขึ้น

5.         ภาวการณ์ทำสงครามและการถูกรุกรานโดยอาณาจักรใกล้เคียงกับไทยหมดไป

54.       สมเด็จเจ้าพระยา” เป็นยศสูงสุดของขุนนางในประวัติศาสตร์ไทย ถามว่าสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใด มีอำนาจมากที่สุด

(1)       สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกฯ     (2) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์

(3) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ         (4) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์

ตอบ 4 หน้า 405, (คำบรรยาย) สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้รับสถาปนา เป็นสมเด็จเจ้าพระยาองค์ที่ 4 ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยตามประวัติท่านผู้นี้ เป็นบุตรชายของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิส บุนนาค หรือสมเด็จองค์ใหญ่) ต่อมาได้รับราชการเป็นสมุหกลาโหมในสมัยรัชกาลที่ 4 และเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงถือเป็นสมเด็จเจ้าพระยาองค์ที่มีอำนาจมากที่สุด

55.       ข้อใดถูกต้องในสมัยรัตนโกสินทร์      

(1) คณะเสนาบดีได้เลือกสรรพระมหากษัตริย์

(2)       ขุนนางไม่นิยมส่งลูกหลานหญิงเข้ารับราชการฝ่ายใน

(3)       ขุนนางไม่ได้ประโยชน์จากระบบภาษีนายอากรเลย

(4)       ตำแหน่งสมเด็จเจ้าพระยากระจายไปให้แก่ขุนนางหลายตระกูล

ตอบ 1 หน้า 400 – 405 ปัจจัยที่ทำให้ขุนนางในสมัยต้นรัตนโกสินทร์มีอำนาจเพิ่มมากขึ้น ได้แก่

1.         ขุนนางมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพระมหากษัตริย์ โดยนิยมส่งลูกหลานหญิงเข้ารับราชการฝ่ายใน ทำให้ขุนนางและพระราชวงศ์เกี่ยวดองเป็นญาติกัน

2.         คณะเสนาบดีซึ่งส่วนใหญ่เป็นขุนนางได้เลือกสรรพระมหากษัตริย์

3.         ขุนนางได้ประโยชน์จากระบบเจ้าภาษีนายอากร

4.         ขุนนางตระกูลบุนนาคมีอำนาจโดดเด่นที่สุด โดยขุนนางตระกูลนี้ได้ดำรงยศสมเด็จเจ้าพระยา ทุกองค์ ซึ่งไม่มีขุนนางตระกูลอื่นใดได้ดำรงยศอันสูงสุดนี้เลย ฯลา

56.       ในสมัยรัชกาลใดที่เปิดโอกาสให้ไพร่ได้เข้าถวายตัวเป็นขุนนางเป็นครั้งแรก เนื่องมาจากปัญหาขาดแคลนขุนนาง

(1)       รัชกาลที่ 1       (2) รัชกาลที่ 2  (3) รัชกาลที่ 3  (4) รัชกาลที่ 4

ตอบ 1 หน้า 316408, (คำบรรยาย) ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์การถวายตัวเป็น ขุนนางให้มาจากเชื้อสายไหนก็ได้ โดยไม่มีข้อขีดคั่นเรื่องชาติวุฒิ คือ ต้องเป็นผู้สืบเชื้อสายมาจาก อัครมหาเสนาบดีเหมือนดังเช่นในสมัยอยุธยาอีก ทำให้ไพร่หรือสามัญชนที่มีความประพฤติดี มีความรู้ความสามารถ มีโอกาสเข้าถวายตัวเป็นขุนนางได้เป็นครั้งแรก เนื่องจากในสมัยนี้ เกิดปัญหาขาดแคลนขุนนาง แต่ไพร่ก็เข้ามาสู่ระบบขุนนางได้ยาก เพราะลูกหลานของขุนนาง ก็มักจะได้เป็นขุนนางต่อมานั่นเอง

57.       การปฏิรูปในรัชกาลที่ 5 ก่อให้เกิดผลอย่างไรต่อขุนนาง

(1) ขุนนางตระกูลบุนนาคมีอิทธิพลเพิ่มมากขึ้น          (2) ขุนนางตระกูลบุนนาคหมดบทบาทไปอย่างมาก

(3) ขุนนางมีรายได้หลักจากการ กินตำแหน่ง”       (4) ขุนนางไม่ได้เป็นข้าหลวงเทศาภิบาล

ตอบ 2 หน้า 398411 – 412 การปฏิรูประบบราชการและการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 มีผลต่อ ขุนนาง ดังนี้ 1. คณะเสนาบดีรุนเก่าที่มีขุนนางตระกูลบุนนาคเป็นผู้นำเสื่อมอิทธิพลลงและ หมดบทบาทไปอย่างมาก โดยเสนาบดีหรือข้าหลวงเทศาภิบาลรุ่นใหม่ส่วนใหญ่จะเป็นเจ้านาย แต่ถ้าเป็นขุนนางก็จะเป็นขุนนางตระกูลอื่น เช่น ตระกูลอมาตยกุล และกัลยาณมิตร

2.         ข้าราชการมีเงินเดือน และการใช้เงินส่วนของรัฐเพื่อกิจการส่วนตัวนับเป็นของต้องห้าม

3.         มีการเปิดรับสามัญชนที่มีการศึกษาดีเข้าสู่ระบบราชการ ฯลฯ

58.       พ่อแม่หรือสามีจะขายลูกและภรรยาให้เป็นทาสโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอมจะกระทำไม่ได้ ถามว่า เริ่มประกาศใช้ครั้งแรกในรัชกาลใด

(1)       รัชกาลที่ 2       (2) รัชกาลที่ 3  (3) รัชกาลที่4   (4) รัชกาลที่ 5

ตอบ 3 หน้า 199 ในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงช่วยยกฐานะสตรีและเด็ก โดยการเริ่มประกาศใช้กฎหมาย ห้ามบิดามารดาและสามีขายบุตรและภรรยาลงเป็นทาสโดยที่เจ้าตัวไม่สมัครใจ แต่ในกรณีที่บุตรและภรรยายอมให้ขาย การกำหนดค่าตัวต้องเป็นราคาที่เจ้าตัวยินยอมพร้อมใจด้วย

59.       เวลาหนึ่ง ข้าราชการเข้าเฝ้าที่โรงแสงพร้อมกัน ครั้งนั้นยังไม่มีธรรมเนียมที่จะสวมเสื้อเข้าเฝ้า จึงดำรัสว่า คนที่ไม่สวมเสื้อเหมือนเปลือยกาย ร่างกายจะเป็นกลากเกลื้อนก็ดี หรือเหงื่อออกมาก็ดี โสโครกนัก…” ตั้งแต่นั้นมาโปรดให้ขุนนางสวมเสื้อเข้าเฝ้า ถามว่าคือรัชกาลใด

(1)       รัชกาลที่3        (2) รัชกาลที่ 4  (3) รัชกาลที่     5          (4) รัชกาลที่ 6

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ในปี พ.ศ. 2395 รัชกาลที่ 4 ทรงสั่งให้ยกเลิกการเข้าเผ้าแบบตัวเปล่าไม่สวมเสื้อ ตามแบบราชประเพณีโบราณ โดยพระองค์มีพระราชดำรัสให้เจ้านายและขุนนางสวมเสื้อ เวลาเข้าเฝ้าเป็นครั้งแรกตามแบบอารยธรรมตะวันตก ดังหลักฐานจากข้อความใน พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 4 ข้างต้น

60.       เหตุเกิดในเมืองไทยภายหลังการทำสนธิสัญญาบาวริ่งในรัชกาลที่ 4 กล่าวคือ คนจีนจดทะเบียนเป็นคน ในบังคับอังกฤษ ทำผิดกฎหมายไทย ถามว่าศาลใดเป็นผู้พิจารณาคดี

(1) ศาลไทย     (2) ศาลจีน       (3) ศาลอังกฤษ           (4) ได้ทั้ง 3 ศาล

ตอบ 3 หน้า 439547 – 548, (คำบรรยาย) ภายหลังที่ไทยทำสนธิสัญญาบาวริ่งกับอังกฤษในสมัย รัชกาลที่ 4 เมื่อปี พ.ศ. 2398 ประเทศไทยได้เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต (เสียเอกราชด้านการศาล) ให้กับประเทศอังกฤษเป็นชาติแรก คือ คนต่างชาติและคนในบังคับของต่างชาติเมื่อมีเรื่องกับคนไทยก็ดี หรือมีเรื่องในหมู่พวกตัวเองก็ดี จะต้องขึ้นศาลกงสุลของชาติตนหรือชาติ ที่ตนได้ไปขึ้นทะเบียนไว้ ทำให้ศาลไทยไม่สามารถเอาผิดกับคนต่างชาติที่อยู่ในเมืองไทยและ ทำผิดกฎหมายไทยได้ ซึ่งต่อมาตั้งแต่ พ.ศ. 2399 – 2442 ก็มีประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส โปรตุเกส สเปน ญี่ปุ่น ฯลฯ เข้ามาทำสัญญาในลักษณะเดียวกันนี้อีกหลายประเทศ

61.       ระบบเศรษฐกิจไทยปัจจุบันสัมพันธ์กับข้อใดมากที่สุด

(1) การเกษตร (2) อุตสาหกรรม          (3) การค้าส่งออก        (4) เศรษฐกิจยังชีพ

ตอบ 3 หน้า 469 – 471558 พื้นฐานระบบเศรษฐกิจไทยมีวิวัฒนาการ ดังนี้

1.         เริ่มต้นมาจากเศรษฐกิจแบบหมู่บ้านในสมัยสุโขทัย ซึ่งผลิตเพื่อการบริโภคและแลกเปลี่ยน

2.         เศรษฐกิจแบบตลาดในสมัยอยุธยา ซึ่งผูกพันกับการแสวงหาตลาดการค้าทั้งภายในและ ภายนอกประเทศ

3.         เศรษฐกิจแบบเงินตรา ซึ่งเริ่มปรากฏชัดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ดังจะเห็นได้จากการที่ รัฐเก็บส่วยจากไพร่ในรูปแบบเงินตรา

4.         เศรษฐกิจแบบทุนนิยม ซึ่งเป็นระบบการผลิตเพื่อการค้าส่งออกในปัจจุบัน

62.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับการกสิกรรมสมัยสุโขทัย

(1) พื้นที่เพาะปลูกด้านเกษตรมีจำนวนมาก    (2) พื้นที่เพาะปลูกมีจำกัด

(3) มีนํ้าพอเพียงต่อการทำเกษตรกรรม           (4) ข้าวเป็นสินค้าออกสำคัญ

ตอบ 2 หน้า 473 – 474 การกสิกรรมในสมัยสุโขทัยจะมีข้อจำกัดในเรื่องผลผลิต โดยเฉพาะผลิตผล ที่สำคัญที่สุด คือ ข้าวนั้นคงจะกระทำกันได้ในปริมาณที่พอกินพอใช้ในอาณาจักรเท่านั้น เพราะพื้นที่เพาะปลูกมีจำกัด กำลังคนก็มีจำกัด และงานชลประทานก็ทำในปริมาณจำกัดเช่นกัน จึงเป็นเหตุให้ในบางครั้งบางคราวเกิดขาดแคลนข้าวขึ้นในสุโขทัย จนต้องสั่งซื้อข้าวมาจากอยุธยา

63.       ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับระบบชลประทานสมัยสุโขทัย

(1) ท่อปู่พระญาร่วง     (2) ตริภังค์(3) สรีดภงส์           (4) ตระพัง

ตอบ 2 หน้า 474 ผู้ปกครองสุโขทัยได้ช่วยเหลือด้านระบบชลประทาน ดังนี้ 1. การสร้างสริดภงส์ คือ เขื่อนเก็บกักนํ้า ซึ่งเป็นทำนบเก็บกักนํ้าไว้ภายในหุบเขา          2. การขุดสระที่เรียกว่าตระพัง” 3 แห่ง คือ ตระพังทอง ตระพังเงิน และตระพังสอ        3. การสร้างเหมืองฝายดังหลักฐานที่กล่าวถึงการพบท่อระบายน้ำเพื่อนำนํ้าเข้ามาที่มีชื่อว่า ท่อปู่พระญาร่วง

64.       การบริโภคข้าวในสมัยสุโขทัย ข้อใดถูกต้อง

(1) อยุธยาซื้อข้าวจากสุโขทัยมากที่สุด            (2) จีนซื้อข้าวจากสุโขทัยมากที่สุด

(3) ลังกาซื้อข้าวจากสุโขทัยมากที่สุด  (4) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 62. ประกอบ

65.       ข้อใดคือลักษณะเศรษฐกิจสมัยสุโขทัย

(1) การตลาด   (2) การค้าเสรี  (3) ยังชีพ         (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 287480 ลักษณะเศรษฐกิจสมัยสุโขทัยเป็นแบบการค้าเสรี โดยผู้ปกครองได้ส่งเสริม ให้ราษฎรสามารถค้าขายสินค้าต่างๆ ได้อย่างเสรีตามความต้องการ ดังข้อความในศิลาจาริก ที่ว่า ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใครค้าม้าค้า ใครจักใคร่ค้าเงินค้าทองค้า…

66.       ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับเศรษฐกิจสมัยสุโขทัย

(1) มีธนบัตรใช้ในการแลกเปลี่ยน       (2) ใช้ระบบทองคำในการแลกเปลี่ยน

(3) ใช้เงินในการซื้อขายสินค้า (4) ยังไม่มีระบบเงินตรา

ตอบ3 หน้า 482 ในสมัยสุโขทัย เงินตราที่ใช้เป็นเครื่องแลกเปลี่ยนในการซื้อขายสินค้า มีดังนี้

1.         เงินพดด้วง ซึ่งสันนิษฐานว่าพ่อขุนรามคำแหงเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้น โดยนำแร่เงินมาจาก ต่างประเทศ แล้วเอามาหล่อหลอมทำเป็นเงินตรา        2. เบี้ย (เปลือกหอย) นำมาจากาวต่างประเทศที่เที่ยวเสาะหาตามชายทะเลแล้วเอามาขายในเมืองไทย

67.       ปัจจัยสำคัญในการประกอบอาชีพของคนสมัยอยุธยา คือข้อใด

(1) ที่ดิน           (2) สินทรัพย์    (3) เงินทุน        (4) ตลาด

ตอบ 1 หน้า 487 – 488 ปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญในการประกอบอาชีพของคนสมัยอยุธยา ได้แก่ 1. กรรมสิทธิ์ที่ดิน 2. แรงงานไพร่และทาส

68.       ราษฎรที่ต้องการใช้ประโยซนัจากที่ดินต้องปฏิบัติอย่างไร    

(1) ให้เข้าไปใช้ที่ดินได้ทันที

(2)       แจ้งเรื่องต่อกษัตริย์     (3) แจ้งเรืองต่อผู้ใหญ่บ้าน      (4) แจ้งเรื่องต่อกรมนาเจ้าสัด

ตอบ 4 หน้า 488 – 489 การจับจองที่ดินทำนาในสมัยอยุธยานั้น ราษฎรที่ต้องการใช้ประโยชน์จากที่ดินต้องปฏิบัติตามระเบียบราชการ คือ ผู้ใดปรารถนาที่จะ โก่นซ่าง เลิกรั้ง ทำนา” จะต้อง ไปแจ้งเรื่องแก่เจ้าหน้าที่บ้านเมือง ซึ่งได้แก่ กรมนาเจ้าสัด เพื่อไปตรวจสอบว่ามีนามากน้อยเพียงใด

69.       ช้อใดไม่ใช่นโยบายของผู้ปกครองที่สนับสนุนการทำนาในสมัยอยุธยา

(1)       ขยายพื้นที่การทำนา    (2) การป้องกันภัยที่จะเกิดกับต้นข้าว เช่น การออกกฎหมาย

(3)       มีพิธีกรรมเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ (4) รับประกันราคาข้าว

ตอบ 4 หน้า 489 – 491, (คำบรรยาย) ผู้ปกครองอยุธยามีนโยบายสนับสนุนการทำนาปลูกข้าว ดังนี้

1.         ขยายพื้นที่ทำนาเพาะปลูก

2.         คุ้มครองป้องกันภยันตรายที่จะเกิดกับต้นข้าว โดยมีกฎหมายลงโทษผู้ทำลายต้นข้าวอย่างรุนแรง

3.         ให้กำลังใจแก่ชาวนา โดยอาศัยพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ

4.         ส่งเสริมแรงงานในการเพาะปลูก

5.         ขจัดปัดเป่าการทะเลาะวิวาท

6.         การชลประทาน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่รัฐบาลอยุธยาให้ความสำคัญน้อยที่สุด

70.       พืชไร่พืชสวนชนิดใดที่กฎหมายสมัยอยุธยาระบุให้ความคุ้มครองมากที่สุด

(1) มะม่วงมหาชนก     (2) ทุเรียน        (3) แก้วมังกร   (4) หมาก

ตอบ 2 หน้า 493, (คำบรรยาย) ทุเรียน เป็นพืชมีผลที่กฎหมายสมัยอยุธยาให้ความคุ้มครองมากที่สุด และถือว่ามีคุณค่าทางกฎหมายสูงกว่าพืชมีผลชนิดอื่น ๆ เนื่องจากกฎหมายได้กำหนดค่าปรับ แก่ผู้ที่ลักตัดต้นทุเรียนไว้ด้วยอัตราที่สูงที่สุด คือ ถ้าลักตัดต้นใหญ่มีผล ปรับต้นละ 200,000 เบี้ย และถ้าลักตัดต้นใหญ่แต่โกร๋น ปรับต้นละ 100,000 เบี้ย เป็นต้น

71.       เกี่ยวกับ สัตว์มีคุณ” ข้อใดผิด

(1) ได้แก่ นกยูง ช้าง ม้า ควาย            (2) ตัวเมียมีค่ามากกว่าตัวผู้

(3) ซื้อขายได้   (4) กฎหมายคุ้มครองผู้ที่รับจ้างเลี้ยงสัตว์มีคุณด้วย

ตอบ 1 หน้า 493 – 494, (คำบรรยาย) ในสมัยอยุธยา สัตว์ที่มีความสำคัญจนถึงกับระบุไว้ในกฎหมาย ว่าเป็น สัตว์มีคุณ” ได้แก่ ช้าง ม้า โค และกระบือ ซึ่งมีข้อสังเกตดังนี้

1.         มีกฎหมายคุ้มครองสัตว์มีคุณหลายมาตรา และมีกฎหมายคุ้มครองผู้ที่รับจ้างเลี้ยงสัตว์มีคุณด้วย

2.         ค่าตัวของสัตว์มีคุณตัวเมียมีค่ามากกว่าตัวผู้

3.         นิยมเลี้ยงโคและกระบือตัวผู้ไว้ไถนา ส่วนแม่โคนั้นสามารถซื้อขายได้ ฯลฯ

72.       ข้อใดกล่าวถึง การจับสัตว์นํ้า” ในสมัยอยุธยาได้ถูกต้องที่สุด

(1) สามารถจับได้ตลอดทั้งปี เพราะมีแหล่งน้ำมาก     (2) ห้ามจับในวันเฉลิมพระชนม์ฯ

(3) ห้ามจับในวันพระ   (4) ข้อ 2 และ 3 ถูก

ตอบ 3 หน้า 494 – 495 การจับสัตว์นํ้าในสมัยอยุธยา ได้มีประกาศของทางการที่กำหนดวันและเวลาที่ห้ามจับปลา แต่ก็เป็นนโยบายของกษัตริย์บางรัชกาล หาได้ยึดเป็นหลักปฏิบัติทุกรัชกาลไม่ เช่น ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ได้มีประกาศห้ามทำประมงในวันพระ 8 คํ่า และ 15 ค่ำ ทั้งในเขตเมืองและนอกเขต

73.       พระคลังสินค้า” ไม่ได้ทำหน้าที่ใด

(1)       รวบรวมสินค้าที่หายากและมีน้อยทั้งหมด       (2) ดำเนินการค้าผูกขาด

(3) กำหนดประเภทของสินค้าต้องห้าม           (4) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 4 หน้า 504 – 505 ในระยะที่อยุธยามีชาวตะวันตกเข้ามาค้าขายกับไทย ทำให้ทางราชการไทย ต้องตั้ง กรมพระคลังสินค้า” ซึ่งขึ้นกับกรมพระคลัง เพื่อทำหน้าที่ดังนี้ 1. ดำเนินการค้า แบบผูกขาด  2. รวบรวมสินค้าพื้นเมืองที่หายากและมีน้อยทั้งหมด       3. กำหนดประเภท

ของสินค้าต้องห้าม ซึ่งต้องซื้อขายกับกรมพระคลังสินค้าเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ฯลฯ

74.       การอนุญาตให้ไพร่กลับไปทำนาเกิดขึ้นในสมัยใด

(1) รัชกาลที่ 2  (2) รัชกาลที่ 3  (3) รัชกาลที่ 4  (4) รัชกาลที่ 5

ตอบ 3 หน้า 518 นโยบายการส่งเสริมการทำนาในสมัยรัชกาลที่ 4 มีดังนี้

1.         ทรงส่งเสริมแรงงานในการทำนา โดยอนุญาตให้ไพร่หลวงขณะมารับราชการลากลับบ้าน ไปทำนาของตนในหน้านาได้

2.         ทรงเปิดให้ขายข้าวออกนอกประเทศ เพื่อช่วยให้ชาวนาขายข้าวได้ราคาดีกว่าแต่ก่อน

3.         ทรงแนะนำพันธ์ข้าวที่จะทำรายได้ให้กับชาวนา

4.         ทรงขจัดอุปสรรคเรื่องน้ำและแก้ปัญหาคดีความต่างๆ ที่จะขัดขวางการทำนา

5.         ทรงยินดีรับความรู้ความก้าวหน้าทางวิชาการของชาวตะวันตก

75.       ข้อใดไม่ใช่นโยบายส่งเสริมการทำนาในสมัยรัชกาลที่ 5

(1)       การอนุญาตให้ไพร่กลับไปทำนา         (2) ขุดคลองขยายพื้นที่เพาะปลูก

(3) จัดหาพันธ์ข้าวที่มีคุณภาพ (4) นำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในการปลูกข้าว

ตอบ 1 หน้า 519 – 521 นโยบายการส่งเสริมการทำนาในสมัยรัชกาลที่ 5 มีดังนี้

1.         การขุดคลองขยายพื้นที่เพาะปลูก เพื่อเพิมผลผลิตข้าวให้มากขึ้น

2.         การจัดหาพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ           3. การจัดหาเครื่องมือทำนาที่ทันสมัย ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาใช้ในการปลูกข้าว (ดูคำอธิบายข้อ 74. ประกอบ)

76.       คลองใดไม่ได้ขุดในสมัยรัชกาลที่ 5    

(1) คลองรังสิต

(2)       คลองแสนแสบ           (3) คลองประเวศบุรีรมย์         (4) คลองทวีวัฒนา

ตอบ 2 หน้า 519 – 520, (คำบรรยาย) การขุดคลองในสมัยรัชกาลที่ 5 มีทั้งที่รัฐบาลขุดเอง เช่นคลองนครเนื่องเขตร์ (พ.ศ. 2419) คลองประเวศบุรีรมย์และคลองทวีวัฒนา (พ.ศ. 2421) ฯลฯ และคลองที่พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ บริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม” ขุดขึ้น เช่น คลองรังสิตประยูรศักดิ (พ.ศ. 2433) ฯลฯ รวมทั้งคลองที่พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ เอกชนขุดเป็นรายๆ ไป เช่น คลองหลวงแพ่ง (พ.ศ. 2431) คลองบางพลีใหญ่ (พ.ศ. 2441) ฯลฯ

77.       องค์กรหรือหน่วยงานใดมีบทบาทในการขุดคลองสมัยรัชกาลที่ 5     

(1) กรมพระคลังข้างที่

(2)       บริษัทคูโบต้า  (3) บริษัทขุดคลองแลคูนาสยาม         (4) บริษัทขุดคลองสยาม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 76. ประกอบ

78.       ข้อไดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับการส่งเสริมการทำนาสมัยรัชกาลที่ 6

(1) ขยายการถือครองที่ดินกว้างขวางขึ้น         (2) ให้ชายฉกรรจ์ไม่ต้องรับราชการทหาร

(3)       ออก พ.ร.บ. ชั่งตวงวัด (4) ใช้ระบบชักกันโฮในการชั่งตวงวัด

ตอบ 4 หน้า 521 – 522 นโยบายการส่งเสริมการทำนาในสมัยรัชกาลที่ 6 มีดังนี้

1.         ขยายการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยเฉพาะที่มณฑลภาคใต้

2.         แก้ปัญหาแรงงาน โดยให้ชายฉกรรจ์อายุ 25 – 30 ปี ไม่ต้องไปรับราชการทหาร

3.         แก้ปัญหาพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบในเรื่องความไมเที่ยงตรงของเครื่องชั่งตวงวัด

โดยการออก พ.ร.บ. ชั่งตวงวัด พ.ศ. 2466 และให้ใช้มาตราเมตริกซ์แบบสากลแทน ฯลฯ

79.       พืชที่ส่งออกมากที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น คือพืซชนิดใด

(1) ข้าว            (2) หมาก         (3) อ้อย           (4) พริกไทย

ตอบ 3 หน้า 523 ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น อ้อยเป็นพืชที่มีความสำคัญที่สุด และผู้ปกครองก็ให้ การสนับสนุนมากที่สุด เพราะน้ำตาลที่ทำจากอ้อยได้ทำกำไรงามให้กับประเทศ จนได้ชื่อว่า เป็นพืชส่งออกมากที่สุดและเป็นสินค้าออกอันดับ 1 ของไทย ดังปรากฏว่าในสมัยรัชกาลที่ 3 และต้นรัชกาลที่ 4 ไทยส่งนํ้าตาลออกเฉลี่ยปีละ 50,000 – 90,000 หาบ

80.       ตลาดค้าโคที่สำคัญของสยาม คือที่ใด

(1) จีน  (2) ญี่ปุ่น         (3) อินเดีย       (4) สิงคโปร์

ตอบ 4 หน้า 526 ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการส่งโคกระบือไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ซึ่งตลาดสินค้าโค ที่สำคัญ คือ สิงคโปร์โดยมีการส่งโคกระบือเป็นสินค้าออกใน ร.ศ. 116 เป็นจำนวน 4,891 ตัว และใน ร.ศ. 117 ส่งไปขายมากกว่าคือ 14,310 ตัว

81.       ข้อใดเป็นความเชื่ออันดับแรกของมนุษย์และวิวัฒนาการขั้นสุดท้ายด้านความเชื่อของมนุษย์

(1)       การบูชาธรรมชาติ –» ละจากความงมงายไปสู่ความคิดที่มีเหตุมีผล

(2)       การบูชาบรรพบุรุษ –» การนับถือเทพเจ์า

(3)       การบูชาเทพเจ้า –การประกอบพิธีกรรม    

(4) การบูชาธรรมชาติ –การประกอบพิธีกรรม

ตอบ 1 หน้า 570 – 571 วิวัฒนาการด้านความเชื่อของมนุษย์มีลำดับขั้นตอน ดังนี้ 1. การบูชานับถือธรรมชาติ          2. การนับถือผีสางเทวดาหรือลัทธิวิญญาณนิยม 3. การบูชาบรรพบุรุษ4.          การนับถือเทพเจ้าหลายองค์ 5. การนับถือเทพเจ้าหลายองค์ แต่แบ่งแยกหน้าที่ของ

เทพเจ้าแต่ละองค์ให้ต่างกัน    6. การนับถือพระเจ้าองค์เดียว 7. การละจากความงมงายไปสู่ความคิดที่มีเหตุมีผล ซึ่งทำให้เกิดพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่ศาสนาหนึ่งของโลก

82.       พระพุทธศาสนาเริ่มเผยแผ่เข้าสู่ดินแดนสุวรรณภูมิในสมัยใด           

(1) พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช

(2)       กุบไลข่าน        (3) พระเจ้าอโศกมหาราช        (4) พระเจ้าอชาตศัตรู

ตอบ 3 หน้า 574 ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชทรงมีพระประสงค์จะให้พระพุทธศาสนาลัทธิเถรวาท แพร่หลายไปยังดินแดนต่าง ๆ จึงโปรดให้จัดภิกษุออกเป็น 9 คณะ โดยมีคณะที่สำคัญอยู่ 2 คณะ ได้แก่     

1. คณะที่หนึ่ง มีพระมหินทรเถระโอรสของพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นหัวหน้านำพระพุทธศาสนาไปประดิษฐานที่ลังกา           

2. คณะที่สอง มีพระโสณะเถระกับพระอุดตระเถระ เป็นหัวหน้านำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ยังสุวรรณภูมิเมื่อประมาณ พ.ศ. 300

83.       คัมภีร์ฤคเวทและคัมภีร์สามเวท เป็นคัมภีร์เนื่องในศาสนาใด

(1) ศาสนาพุทธ           (2) ศาสนาพราหมณ์ (3) ศาสนาคริสต์            (4) ศาสนาอิสลาม

ตอบ 2 หน้า 571 คำสาธยายร่ายมนต์อ้อนวอนขอให้อำนาจศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้มครองตน ได้แก่ คัมภีร์ฤคเวทและสามเวทของศาสนาพราหมณ์ ซึ่งเป็นบทสวดแสดงพิธีการต่าง ๆ

84.       ก่อนที่มนุษย์นับถือผีสางเทวดานั้น มีพื้นฐานความเชื่อในเรื่องใดมาก่อน

(1) นับถือวิญญาณ     (2)นับถือเทพเจ้า         (3) นับถือธรรมชาติ     (4)นับถือศาสดา

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ

85.       ในสุโขทัยมีการจารึกถึงการนับถือ พระขะพุงผี” หมายถึงความเชื่อในเรื่องใด

(1) นับถือบรรพบุรุษ    (2)       นับถือไสยศาสตร์        (3) นับถือผี      (4)นับถือศาสนา

ตอบ 3 หน้า 583 – 584 ในศิลาจารึกหลักที่ 1 มีการจารึกถึงพระขะพุงผี ซึ่งถือว่ามีความสำคัญที่สุดในเมืองสุโขทัย เพราะเป็นผู้ที่สามารถทำให้บ้านเมืองล่มจมและเจริญได้ แสดงให้เห็นชัด ถึงอิทธิพลความเชื่อถือเดิมในคติการนับถือผีสางเทวดาว่าฝังรากอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าจะนับถือ พระพุทธศาสนาแล้วก็ตาม

86.       หลักฐานในข้อใดที่ทำให้รู้ถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาในสุโขทัย

(1) ไตรภูมิพระร่วง       (2)       พงศาวดาร       (3) พระไตรปิฎก          (4)       ศิลาจารึก

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 36. ประกอบ

87.       ก่อนที่สุโขทัยจะรับเอาพระพุทธศาสนามหายานเข้ามา ได้มีการนับถือลัทธิใด

(1) ลัทธิตันตระ            (2)       ลัทธิหินยาน     (3) ลัทธิวัชรยาน          (4)       ลัทธิเชน

ตอบ 2 หน้า 576581 – 582, (คำบรรยาย) พระพุทธศาสนาสมัยสุโขทัยเมื่อแรกตั้งคงจะ มีทั้งลัทธิเถรวาทหรือหินยาน และลัทธิมหายานปะปนกัน ดังนั้นคนไทยสมัยสุโขทัยที่นับถือพระพุทธศาสนาจึงมีอยู่ 2 พวก คือ

1.         พวกที่นับถือลัทธิหินยานซึ่งมีอยู่ก่อน

2.         พวกที่นับถือลัทธิมหายานที่แพรหลายเข้าสู่สุโขทัยในภายหลัง โดยมาจากกัมพูชา (ขอมหรือเขมร) เผยแผ่เข้าสู่กรุงสุโขทัยทางหนึ่ง และมาจากกรุงศรีวิชัยในเกาะสุมาตรา เผยแผ่มาทางเมืองนครศรีธรรมราชเข้าสู่กรุงสุโขทัยอีกทางหนึง

88.       ในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทยมีศาสนาใดที่เข้ามาผสมผสานกับพระพุทธศาสนา จนก่อให้เกิดพิธีกรรม ในศาสนา

(1) ศาสนาฮินดู            (2) ศาสนาคริสต์          (3) ศาสนาเชน (4) ศาสนาอิสลาม

ตอบ1 หน้า 584, (คำบรรยาย) ในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทย แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองมาก แต่กษัตริย์ก็มิได้ทรงกีดกันศาสนาอื่น ตรงกันข้ามกลับทรงอุปถัมภ์ศาสนา ต่าง ๆ ที่ประชาชนนับถือร่วมกับศาสนาพุทธ เช่น ศาสนาฮินดู ซึ่งจะเห็นได้จากพิธีกรรม ต่าง ๆ มักจะเอาศาสนาฮินดูเข้ามาผสมผสานกับพระพุทธศาสนาได้เป็นอย่างดี

89.       พระสงฆ์ที่ชอบอยู่สันโดษ ไม่เข้ามาอยู่ในเมือง ได้แก่พระสงฆ์ในพวกใด

(1) คามวาสี     (2) อรัญวาสี    (3) ลังกาวงศ์   (4) คันถธุระ

ตอบ 2 หน้า 584 – 585 ในสมัยพระมหาธรรมราชาลิไทยได้แบ่งคณะสงฆ์ออกเป็น 2 ผ่าย ดังนี้

1.         คณะคามวาสี หรือฝ่ายคันถธุระ คือ พระสงฆ์ที่เรียนรู้ภาษาบาลี ศึกษาพระไตรปิฎก แล้วนำไปเทศนาสั่งสอนประชาชน มักอยู่ตามวัดในเมืองหรือในหมู่บ้าน

2.         คณะอรัญวาสี หรือฝ่ายวิปัสนาธุระ คือ พระสงฆ์ที่ยึดถือการธุดงค์ท่องไปตามป่า ยึดมั่น การบำเพ็ญภาวนาหาความสงบ มักชอบอยู่สันโดษตามวัดในป่าเขา ไม่เข้ามาอยู่ในเมือง

90.       พระพุทธศาสนามหายานแพร่หลายเข้าสู่สุโขทัยโดยทางใด

(1)       จากอินเดียสู่ลังกาแล้วเข้าสู่กรุงสุโขทัย           (2) จากอาณาจักรทมิฬสู่กรุงสุโขทัย

(3)       จากเส้นทางสายไหม   (4) จากขอมเผยแผ่เข้าสู่กรุงสุโขทัย

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 87. ประกอบ

91.       คัมภีร์พระไตรปิฎกในพุทธศาสนาลังกาวงศ์ใช้ภาษาใดในการบันทึก

(1)       ภาษาสันสกฤต           (2) ภาษามอญโบราณ (3) ภาษาบาลี  (4) ภาษาขอม

ตอบ 3 หน้า 581 – 582, (คำบรรยาย) พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จะถือคติอย่างหินยาน และ คัมภีร์พระไตรปิฎกจะใช้ภาษามคธ (ภาษาบาลี) ซึ่งเมื่อไทยนับถือลัทธิลังกาวงศ์ พระสงฆ์ไทย จึงเลิกศึกษาพระธรรมวินัยในภาษาสันสกฤตอย่างแต่ก่อน และเปลี่ยนมาศึกษาภาษามคธ (ภาษาบาลี) นับตั้งแต่นั้นมา

92.       บุคคลในข้อใดเป็นผู้ก่อตั้งคณะสงฆ์นิกายใหม่ที่เรียกว่า ธรรมยุตินิกาย

(1) เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์

(2)       กรมพระยานริศรานุวัติวงศ์     (3) เจ้าฟ้ามงกุฎ          (4) กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ตอบ 3 หน้า 602 ในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าฟ้ามงกุฎ (รัชกาลที่ 4 ในเวลาต่อมา) ทรงเป็นผู้นำในการปฏิรูปการพระพุทธศาสนา ซึ่งการปฏิรูปที่สำคัญ คือ การจัดตั้งคณะสงฆ์นิกายใหมที่เรียกว่า ธรรมยุตินิกาย” ซึ่งเป็นคณะทีปฏิบัติตามพระวินัยเคร่งครัดมาก ดังนั้นจึงนับเป็นการเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การพระพุทธศาสนาในประเทศไทย

93.       วรรณกรรมเรื่องใดแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา

(1) ไตรภูมิพระร่วง       (2) มหาชาติคำหลวง   (3) ไตรภูมิโลกวินิจฉัย (4) ปฐมสมโพธิ์

ตอบ 2 หน้า 594, (คำบรรยาย) สิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในสมัยอยุธยา ประการหนึ่ง คือ เกิดวรรณคดีทางพุทธศาสนาขึ้นหลายเรื่อง เช่น เรื่องมหาชาติคำหลวง กาพย์มหาชาติ สมุทรโฆษคำฉันท์ นันโทปนันทสูตรคำหลวง พระมาลัยคำหลวง และ ปุณโณวาทคำฉันท์ เป็นต้น

94.       การทำสังคายนาพระไตรปิฎกในสมัยรัตนโกสินทร์ กระทำขึ้นในรัชกาลใด

(1) รัชกาลที่ 1  (2) รัชกาลที่ 4  (3) รัชกาลที่ 5  (4) รัชกาลที่ 9

ตอบ 1 หน้า 597 – 598 ในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการทำสังคายนาพระไตรปิฎก ในปี พ.ศ. 2331 ซึ่งนับเป็นครั้งที่ 9 เพราะนับตั้งแต่อยุธยาเสียกรุงให้แก่พม่าครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 2310 บ้านเมืองก็ระส่ำระสาย และพระพุทธศาสนาในสมัยอยุธยาตอนปลายเสื่อมโทรมมาก จึงทรงมีพระราชประสงค์ที่จะทำการสังคายนารวบรวมพระไตรปิฎกขึ้นไว้ให้สมบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง เรียกว่า พระไตรปิฎกฉบับทอง

95.       การแบ่งพระสงฆ์เป็นสามคณะ คือ คณะคามวาสี คณะอรัญวาสี และคณะป่าแก้ว เกิดขึ้นในสมัยใด

(1) สมัยสุโขทัย            (2) สมัยอยุธยา           (3) สมัยธนบุรี  (4) สมัยรัตนโกสินทร์

ตอบ 2 หน้า 592 – 593, (คำบรรยาย) ในสมัยสมเด็จพระนครินทราธิราช (สมเด็จพระอินทรราชา)ได้มีพระสงฆ์ไทยกลุ่มหนึ่งเดินทางไปประเทศลังกาเพื่ออุปสมบทบวชแปลงเป็นนิกายวันรัตนวงศ์ ในสำนักพระวันรัตนิมหาเถระ และเมื่อกลับมายังกรุงศรีอยุธยาก็ได้จัดตั้งนิกายลังกาวงศ์ขึ้มอีกนิกายหนึ่ง เรียกว่า วันรัตนวงศ์ (คณะป่าแก้ว) ทำให้พระสงฆ์ในสมัยอยุธยาแบ่งออกเป็น 3 คณะ ได้แก่ 1. คณะคามวาสี   2. คณะอรัญวาสี         3. คณะป่าแก้ว (วันรัตนวงศ์)

96.       พระราชพิธีฉัตรมงคล เริ่มครั้งแรกในรัชกาลใด

(1) รัชกาลที่ 3  (2) รัชกาลที่ 4  (3) รัชกาลที่ 5  (4) รัชกาลที่ 6

ตอบ 2 หน้า 669 พระราชพิธีฉัตรมงคล เริ่มปรากฏครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 4 เพราะกษัตริย์ทรงเห็นว่า วันบรมราชาภิเษกเป็นมหามงคลสมัย ซึ่งประเทศที่มีพระเจ้าแผ่นดินปกครองย่อมถือว่าเป็น วันนักขัตฤกษ์มงคล จึงทรงเห็นสมควรที่จะมีการสมโภชพระมหาเศวตฉัตรให้เป็นสวัสดิมงคล แก่ราชสมบัติ และจัดการพระราชกุศลที่พระราชทานชื่อว่า ฉัตรมงคล

97.       พิธีจรดพระนังคัลเป็นพิธีพราหมณ์ ต่อมารัชกาลที่ 4 ได้ทรงเพิ่มพิธีสงฆ์ขึ้นต่างหากเรียกว่าอะไร

(1) แรกนาขวัญ           (2) พิรุณศาสตร์           (3) พืชมงคล    (4) ทำขวัญเมล็ดพืช

ตอบ 3 หน้า 640668 พิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล แต่เดิมมีเพียงพิธีพราหมณ์อย่างเดียว เรียกว่า พิธีจรดพระนังคัล” เป็นพิธีเวลาเช้า คือ ลงมือไถ แต่ก่อนทำที่ทุ่งส้มป่อยนอกพระนคร ต่อมา รัชกาลที่ 4 โปรดฯ ให้เพิ่มพิธีสงฆ์ตามคติพระพุทธศาสนาขึ้นอีก เรียกว่า พิธีพืชมงคล” คือ การทำขวัญพืช ซึ่งทำที่ท้องสนามหลวงในพระนคร โดยพิธีทั้งสองนี้จะทำพร้อมกันในคืนเดียว วันเดียวกัน จึงได้เรียกชื่อติดกันว่า พิธีพืชมงคลและจรดพระนังคัล

98.       วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ไทย เริ่มมีขึ้นในสมัยใด

(1) สุโขทัย       (2) อยุธยา       (3) ธนบุรี         (4) รัตนโกสินทร์

ตอบ 1 หน้า 662 วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีจนถึง พ.ศ. 2483 แต่ต่อมาทางราชการได้เปลี่ยนใหม่โดยกำหนดเอาวันที่ 1 มกราคมของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ เพื่อให้เข้ากับหลักสากลที่นานาประเทศนิยมปฏิบัติกัน อย่างไรก็ตามแม้จะมีการเปลี่ยน วันขึ้นปีใหม่ แต่ประชาชนก็ยังยึดถือว่าวันสงกรานต์มีความสำคัญ

99.       ข้อใดจัดเป็นประเพณีส่วนรวม

(1) โกนจุก       (2) วันมาฆบูชา           (3) การเผาศพ (4) ทำบุญเลี้ยงพระขึ้นบ้านใหม่

ตอบ 2 หน้า 655658 ประเพณีสวนรวม คือ ประเพณีที่ประชาชนทั่วไปนิยมปฏิบัติร่วมกัน ซึ่งมักจะ มีงานรื่นเริงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ได้แก่ ประเพณีทำบุญวันขึ้นปีใหม่ประเพณีเกี่ยวกับเทศกาล ต่าง ๆ เช่น เทศกาลเข้าพรรษา เทศกาลสารทประเพณีในวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่น วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชา เป็นต้น (ส่วนตัวเลือกข้ออื่นเป็นประเพณีส่วนบุคคล หรือประเพณีเกี่ยวกับชีวิต อาจเรียกว่าประเพณีครอบครัวก็ได้)

100.    ศาสนาใดมีอิทธิพลต่อศิลปกรรมไทยน้อยที่สุด

(1) ศาสนาพุทธ           (2) ศาสนาพราหมณ์    (3) ศาสนาฮินดู            (4) ศาสนาคริสต์

ตอบ 4 หน้า 683685691, (คำบรรยาย) ศิลปกรรมไทยเกิดจากแรงบันดาลใจของศาสนาพุทธมากที่สุด จึงปรากฏศิลปกรรมทางพุทธศาสนาทั้งแบบเถรวาทและมหายานอยู่อย่างมากมาย รองลงมาคือ ศิลปกรรมเนื่องในศาสนาพราหมณ์และฮินดู เพราะปรากฏว่ามีการสร้างเทวรูปพระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม ฯลฯ ตามสถานที่ต่าง ๆ อย่างแพร่หลาย (ส่วนศาสนาคริสต์มีอิทธิพล ต่อศิลปกรรมไทยน้อยที่สุด)

101.    ศิลปกรรมไทยมีประโยชน์ในการศึกษาพื้นฐานวัฒนธรรมไทย เพราะเหตุใด

(1)       เป็นข้อมูลสนับสนุนทางประวัติศาสตร์

(2)       ทำให้แยกวัฒนธรรมไทยแท้จริงออกจากวัฒนธรรมอื่นได้

(3)       ศิลปกรรมไทยมีอัตลักษณ์ไม่รับรับอิทธิพลศิลปะสกุลช่างใด ๆ

(4)       ศิลปะใช้อธิบายกำเนิดและที่มาของชนชาติไทยได้

ตอบ 2 หน้า 681, (คำบรรยาย) ศิลปกรรมไทยเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงวัฒนธรรมที่สมบูรณ์กว่าด้านอื่น ๆ เพราะการแสดงออกทางศิลปกรรมของไทยแต่ละสมัยจะแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเป็น ลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากศิลปะของเขมรหรือชวา ดังนั้นศิลปกรรมไทยจึงให้ประโยชน์ในการศึกษา พื้นฐานวัฒนธรรมไทย เนื่องจากทำให้แยกวัฒนธรรมไทยแท้จริงออกจากวัฒนธรรมอื่นๆ ได้

102.    ลักษณะศิลปะแบบอุดมคติ เห็นได้ชัดเจนในยุคใด

(1) ทวารวดี      (2) ลพบุรี         (3) ศรีวิชัย       (4) สุโขทัย

ตอบ 4 หน้า 711 – 712, (คำบรรยาย) ศิลปกรรมไทยเป็นศิลปะแบบอุดมคติ (Idealistic Arts) คือ ศิลปะที่มีความรู้สึกสูงกว่าธรรมชาติทั่วไปและหนักไปทางทิพย์สวรรค์ เป็นศิลปะที่มีแบบอย่าง แห่งความคิดคำนึงโดยเฉพาะ ซึ่งลักษณะศิลปะแบบอุดมคติของชนชาติไทยนี้จะเห็นได้ชัดเจนที่สุดในศิลปะยุคสุโขทัย โดยเฉพาะประติมากรรมพระพุทธรูปที่เจริญถึงขั้นสูงสุดและ แสดงความเป็นไทยแท้ได้มากกว่าสมัยใด ๆ จนได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของประติมากรรมไทย

103.    การแบ่งยุคศิลปะ กำหนดด้วยอะไร

(1) สมัยอาณาจักร      (2) ลักษณะของศิลปะ            (3) สมัยประวัติศาสตร์            (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 683, (คำบรรยาย) ศิลปกรรมในประเทศไทยมิได้แบ่งยุคสมัยตามประวัติศาสตร์ไทยที่รู้จัก กันอย่างทั่วไป แต่การแบ่งยุคศิลปกรรมได้แบ่งย่อยออกเป็นสมัยต่าง ๆ โดยมีชื่อเรียกตามสมัย หรือราชวงศ์ ตลอดจนแบ่งตามรูปแบบและลักษณะของศิลปะ ระยะเวลา ถิ่นกำเนิดหรือสถานที่ ที่ค้นพบ ซึ่งเริ่มตั้งแต่โบราณสถานและโบราณวัตถุเก่าแก่ที่สุดที่ค้นพบ

104.    เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง พบในศิลปะใดต่อไปนี้มากเป็นพิเศษ

(1) อยุธยารัตนโกสินทร์        (2)       สุโขทัย,เชียงแสน

(3)อู่ทองสุโขทัย        (4)       อยุธยาเชียงแสน

ตอบ 1 หน้า 724730 ในสมัยอยุธยาตอนปลายจะนิยมสร้างพระเจดีย์เหลี่ยมเพิ่มมุม หรือเรียกว่า เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง ต่อมานิยมเพิ่มรายละเอียดต่าง ๆ เข้าไป โดยประดับด้วยปูนปั้นตาม ส่วนต่าง ๆ ของเจดีย์ เพิ่มบัวทรงคลุ่มรองรับทรงระฆัง และทำทรงคลุ่มเถาแทนปล้องไฉน ซึ่งเรียกเจดีย์แบบนี้ว่า เจดีย์ทรงเครื่อง และความนิยมในการสร้างเจดีย์แบบนี้ก็สืบเนื่องมาถึง สมัยรัตนโกสินทร์ โดยเฉพาะในช่วงรัชกาลที่ 1-3

105.    จิตรกรรมสมัยรัตนโกสินทร์เกี่ยวข้องกับเรื่องอะไรบ้าง

(1) พุทธประวัติ            (2)ชาดก          (3)ไตรภูมิ        (4)ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 733 แบบแผนของจิตรกรรมไทยบนฝาผนังโบสถ์ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 – 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คือ ส่วนเหนือหน้าต่างเขียนภาพเทพชุมนุม ส่วนล่างในแนวเดียวกับหน้าต่าง เขียนภาพพุทธประวัติ (ชาดก) หรือทศชาติ ด้านหลังพระประธานเขียนภาพไตรภูมิ ด้านหน้า เขียนพุทธประวัติตอนมารวิชัย โดยภาพเขียนในช่วงนี้ใช้สีและปิดทองลงบนภาพทั้งสิ้น

106.    พระที่นั่งองค์ใดมีแรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยา

(1) พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน    (2) พระที่นั่งไพศาลทักษิณ

(3)       พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท       (4) พระที่นังดุสิตมหาปราสาท

ตอบ 4 หน้า 729, (คำบรรยาย) พระที่นังดุสิตมหาปราสาท เป็นสถาปัตยกรรมแบบประเพณีในพระบรมมหาราชวังที่รัชกาลที่ 1 โปรดฯ ให้สร้างตามแบบพระที่นั่งสุริยามรินทร์ในสมัยอยุธยา โดยนับเป็นพระที่นั่งองค์ที่ 2 ที่สร้างขึ้นแทนพระที่นั่งอินทราภิเษกมหาปราสาท ซึ่งได้รับ แบบอย่างมาจากพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทในสมัยอยุธยา แต่มาถูกไฟไหม้ไปเมื่อ พ.ศ. 2332

107.    หากจะศึกษาสถาปัตยกรรมอยุธยาในยุคกลางจะไปศึกษาที่วัดใด

(1) วัดราชบูรณะ         (2) วัดพระราม (3) วัดพระศรีสรรเพชญ (4) วัดไชยวัฒนาราม

ตอบ 3 หน้า 724 เจดีย์ที่เป็นหลักของพระอารามในสถาปัตยกรรมสมัยอยุธยาตอนกลาง มักจะสร้าง เป็นเจดีย์ทรงกลมแบบลังกา หรือที่เรียกกันว่าเจดีย์ทรงระฆังตามแบบของสุโขทัย เช่น พระเจดีย์ใหญ่ 3 องค์ ในวัดพระศรีสรรเพชญ ซึ่งสร้างใน พ.ศ. 2035 ตรงกับรัชสมัย พระรามาธิบดีที่ 2

108.    พุทธศิลป์อู่ทองมีลักษณะที่สังเกตได้จากข้อใด         

(1) มักสลักจากศิลา    (2) มีไรพระศก

(3) ขมวดพระเกศามีขนาดใหญ่          (4) นิยมสร้างพระพุทธรูปหลายองค์บนฐานเดียวกัน

ตอบ 2 หน้า 720, (คำบรรยาย) ลักษณะเฉพาะของพระพุทธรูปสมัยอู่ทองควรสังเกตจากพระพักตร์ ที่ประดับด้วยไรพระศก (เส้นขอบหน้าผาก) และมีขมวดพระเกศาหรือเส้นพระศกที่เล็กแบบ หนามขนุน ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่เหมือนกันของพุทธศิลป์แบบอู่ทองทุกรุ่น

109.    เครื่องสังคโลกในศิลปกรรมสุโขทัยใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง

(1) เป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน        (2) เป็นเครื่องประดับสถาปัตยกรรม

(3) เป็นของเล่นเด็ก     (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ.4 หน้า 479713,(คำบรรยาย) เครื่องสังคโลกในศิลปกรรมสมัยสุโขทัยจะมีทั้งที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เช่น จาน ชาม ขวด ตลับ ฯลฯ และที่ใช้เป็นเครื่องประดับ สถาปัตยกรรม เช่น กระเบื้องเคลือบมุงหลังคา ช่อฟ้า บราลี พลสิงห์ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีเครื่องปั้นที่ใช้เป็นของเล่นเด็ก เช่น ตุ๊กตาสังคโลกหรือตุ๊กตาเสียกบาล รูปช้าง ทวารบาล ฯลฯ

110.    พระพุทธรูปเอกลักษณ์พิเศษของสุโขทัยอยู่ในอิริยาบถใด

(1) นั่ง  (2) นอน           (3) ยืน (4) เดิน

ตอบ 4 หน้า 712, (คำบรรยาย) ในสมัยสุโขทัยศิลปินนิยมสร้างพระพุทธรูปครบทั้ง 4 อิริยาบถได้ เป็นครั้งแรก คือ นั่ง นอน ยืน และเดิน แต่ที่เด่นจนถือเป็นเอกลักษณ์พิเศษของสุโขทัย คือ ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปหล่อหรือสลัก แม้แต่พระพิมพ์ก็นิยมทำพระพุทธรูปปางลีลา (เดิน) เสียเป็นส่วนมาก ซึ่งพระพุทธรูปปางลีลานี้นับว่ามีลักษณะงดงามและเป็นฝีมือช่างที่วิเศษที่สุด จนถือได้ว่าเป็นลักษณะเฉพาะของสุโขทัย

111.    ยุคใดต่อไปนี้ไม่มีตัวอย่างศิลปกรรมอิทธิพลศาสนาพุทธมหายานให้ศึกษาได้ในขณะนี้

(1) ทวารวดี      (2) ศรีวิชัย       (3) ลพบุรี         (4) เชียงแสน

ตอบ 4 หน้า 685694699715, (คำบรรยาย) ศิลปะล้านนาหรือเชียงแสนในช่วงแรกนั้นได้รับ อิทธิพลหรือมีพื้นฐานมาจากศิลปะหริภุญไชย และมีการพัฒนาลักษณะรูปแบบโดยมีอิทธิพล ของศิลปะพม่าสมัยพุกามเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งศิลปกรรมล้านนาหรือเชียงแสนมักจะสะท้อน อิทธิพลของพุทธศาสนาลัทธิเถรวาท (หินยาน) แบบลังกาวงค์เป็นส่วนใหญ่ (ส่วนตัวเลือกข้ออื่น ปรากฏตัวอย่างศิลปกรรมอิทธิพลศาสนาพุทธมหายาน)

112.    ในภาพจำหลักลายเส้นที่วัดศรีชุม สุโขทัย เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

(1) ไตรภูมิ       (2) ชาดก         (3) รัตนตรัยมหายาน   (4) พระอดีตพุทธเจ้า

ตอบ 2 หนา 713, (คำบรรยาย) จิตรกรรมเรื่องชาดกสมัยที่เก่าที่สุด ซึ่งถือกันว่าเป็นต้นเค้าของจิตรกรรมฝาผนังไทย คือ จิตรกรรมสมัยสุโขทัย โดยได้มีการค้นพบภาพจำหลักลายเส้นบนแผ่นหิน ที่วัดศรีชุม จ.สุโขทัย ซึ่งเป็นภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติและชาดกเรื่องพระเจ้าห้าร้อยชาติ จารไว้บนหินชนวนกรุที่เพดานวัด ทั้งนี้ภาพดังกล่าวเป็นภาพชาดก 550 เรื่อง แต่นำมาเขียน เพียง 100 เรื่อง โดยมีจารึกสรุปตามชื่อเรื่อง

113.    พระพุทธรูปแสดงการบรรลุโพธิญาณ เป็นพระพุทธรูปที่แสดงปางใด

(1) ปางสมาธิ  (2) ปางลีลา     (3) ปางมารวิชัย           (4) ปางประทานพร

ตอบ 3 (คำบรรยาย) พระพุทธรูปปางมารวิชัย หรือปางตรัสรู้ เป็นปางของพระพุทธเจ้าตอนตรัสรู้ หรือบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณโดยลักษณะของพระพุทธองค์จะประทับนั่งขัดสมาธิใต้ต้นโพธิ์ พระหัตถ์ขวาคว่ำลงบนพระชงฆ์ขวา นิ้วพระหัตถ์ชี้ลงยังแผ่นดิน ส่วนพระหัตถ์ซ้ายวางหงายอยู่ เหนือพระเพลา

114.    ข้อความในข้อใดไม่ถูกต้อง

(1)       สมัยสุโขทัย เป็นยุคที่การสร้างพระพุทธรูปเจริญถึงขีดสูงสุด

(2)       สมัยอยุธยา เป็นยุคที่การสร้างสถาปัตยกรรมเจริญถึงขีดสูงสุด

(3)       สมัยสุโขทัย ขาดหลักฐานที่แสดงถึงการนับถือศาสนาพราหมณ์

(4)       สมัยอยุธยา ศิลปกรรมขาดความสืบเนื่องจากสมัยอู่ทอง

ตอบ 3 หน้า 708 งานศิลปกรรมในช่วงแรกของสุโขทัย ยังคงปรากฏอิทธิพลของศิลปะขอมทั้งในงานสถาปัตยกรรมและประติมากรรม ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการนับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และคาสนาพุทธผ่ายมหายาน เช่น ศาลตาผาแดงที่เมืองเก่าสุโขทัย รวมทั้งประติมากรรมรูปเทวดา และเทวนารีที่พบในบริเวณปราสาท จัดเป็นศิลปะขอมแบบนครวัดตอนปลายต่อบายน เป็นต้น

115.    รูปแบบประติมากรรมที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษในสมัยลพบุรี คืออะไร

(1) พระพุทธรูปปางไสยาสน์   (2) พระพุทธรูปปางนาคปรก

(3) พระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาท          (4) พระพุทธรูปก่อนการตรัสรู้

ตอบ 2 หน้า 700 – 701, (คำบรรยาย) รูปแบบประติมากรรมสมัยศิลปะลพบุรีที่ได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษ คิอ พระพุทธรูปปางนาคปรก (มีนาคประกอบ หรือมีขนดนาคสอบลงเบื้องล่าง) ประทับนั่งปางสมาธิ ขัดสมาธิราบ ซึ่งมักจะสลักด้วยศิลาทราย ต่อมาในสมัยหลังประมาณ ปลายพุทธศตวรรษที่ 17 มักนิยมสลักเป็นพระพุทธรูปนาคปรกแบบทรงเครื่อง มีสีพระพักตร์ ค่อนข้างถมึงทึง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นศิลปะลพบุรีอย่างแท้จริง ไม่ใช่ศิลปะขอม

116.    อะไรเป็นเหตุที่ทำให้มีการสร้างพระพิมพ์ในทุกสมัย

(1) การสืบอายุพระศาสนา      (2) การระลึกถึงสังเวชนียสถาน

(3) การเผยแผ่พระพุทธศาสนา           (4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 688696705 – 706 การสร้างพระพิมพ์ในแต่ละสมัยจะมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันไป ดังนี้

1.         เพื่อเป็นของที่ระลึกถึงการได้ไปบูชาสังเวชนียสถาน 4 แห่งในอินเดีย

2.         เพื่อเป็นที่เคารพบูชา และเผยแผ่พระพุทธศาสนา      3. เพื่อสืบอายุพระพุทธศาสนา

4.         เพื่อปรมัตถประโยชน์ของผู้มรณภาพ 5. เพื่อแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา

117.    ข้อใดเป็นการอธิบายลักษณะของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสมัยศรีวิชัย

(1) มีอิริยาบถครบทั้งสี่อิริยาบถ          (2) หล่อจากสำริด มีการตกแต่งเครื่องประดับงดงาม

(3) พบจำนวนน้อยกว่าพระพุทธรูป     (4) ลักษณะศิลปะเป็นแบบอินเดียผสมลังกา

ตอบ 2 หน้า 685694 – 695 ศิลปะศรีวิชัย (พุทธศตวรรษที่ 13 – 18) จะสร้างขึ้นตามคติพุทธศาสนามหายานทั้งสิ้น โดยเฉพาะความนิยมสร้างพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ประจำกัลป์ปัจจุบันและเป็นที่นิยมนับถือมาก ทั้งนี้ลักษณะพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรของศิลปะศรีวิชัย มักหล่อจากสำริด และมีการตกแต่งเครื่องประดับงดงาม ซึ่งที่สวยงามที่สุดแต่มีเพียงครึ่งองค์ คือ ประติมากรรมพระอวโลกิเตศวรสัมฤทธิ์ (สำริด) พบที่หน้าวัดพระบรมธาตุไชยา จ.สุราษฎร์ธานี มีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 14 – 15

118.    ลักษณะในข้อใดปรากฏ ณ พระบรมธาตุไชยา

(1) มีประตูทางเข้าทั้งหมดรวม 3 ด้าน (2) มีเจดีย์จำลองเล็ก ๆ ประดับบนหลังคาแต่ละมุม

(3) ใช้ศิลาแลงกับอิฐขนาดใหญ่ในการสร้าง   (4) มีพระพุทธรูปประจำทุกด้าน ด้านละ 3 องค์

ตอบ 2 หน้า 694 – 695, (คำบรรยาย) สถาปัตยกรรมที่สำคัญของศิลปะศรีวิชัย คือ พระบรมธาตุไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีรูปแบบลักษณะคล้ายคลึงกับบรรดาเจดีย์ในเกาะชวามาก กล่าวคือ เป็นเจดีย์ก่ออิฐทรงเหลี่ยมจัตุรมุขย่อมุม โดยมุขด้านหน้าเปิดให้มีทางเข้าได้ แต่อีก 3 ด้านจะทึบทั้งหมด องค์เจดีย์มักทำเป็นมณฑปเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูป ซึ่งมีทั้งหมด 180 องค์ ส่วนบนมีเจดีย์จำลององค์เล็ก ๆ ประดับไว้บนหลังคาแต่ละมุม และเรือนยอดมียอดบริวาร และยอดประธานรวมกันได้ 5 ยอด จึงเรียกว่า เจดีย์ทรงปราสาทห้ายอด

119.    ศิลปะใดสะท้อนถึงการนับถือคาสนาพุทธมหายานมากเป็นพิเศษในสมัยศิลปะศรีวิชัย

(1) พระคณปติ            (2)       พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร

(3) ศิวลึงค์       (4)       พระวิษณุสวมหมวกแขกทรงกระบอก

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 117. ประกอบ

120.    พระพุทธรูปสมัยศรีวิชัยองค์ใหญ่ศิลปะชั้นเยี่ยม แสดงปางอะไร

(!) มารวิชัย      (2)       สมาธิ

(3) มารวิชัยนาคปรก   (4)       สมาธินาคปรก

ตอบ 3 หน้า 695, (คำบรรยาย) ประติมากรรมศรีวิชัยในระยะหลังเป็นสมัยอิทธิพลศิลปะขอมซึ่งมีการสร้างพระพุทธรูปด้วย โดยพระพุทธรูปสมัยศรีวิชัยองค์ใหญ่ที่สำคัญและนับเป็นศิลปะ ชั้นเยี่ยม ได้แก่ พระพุทธรูปนาคปรกสัมฤทธิ์ (สำริด) พบที่วัดเวียง อ.ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งแสดงพระหัตถ์ทำปางมารวิชัยแปลกจากทั่วไปที่นิยมทำปางสมาธิ

HIS1002 อารยธรรมตะวันออก การสอบไล่ภาค1 ปีการศึกษา2555

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา HIS 1002 อารยธรรมตะวันออก

ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.     มนุษย์เริ่มมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งในสมัยใด

(1)   สมัยหิน    

(2) สมัยหินใหม่

(3) สมัยหินเก่า 

(4) สมัยเหล็ก

ตอบ 2 หน้า 6268(คำบรรยาย) ยุคหินใหม่ (มีอายุราว 6,000 – 4,000 ปี) เป็นยุคที่มนุษย์เริ่มทำการเกษตรกรรมคือ เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์แทนการเร่ร่อนและล่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหาร นอกจากนี้ยังเป็นยุคที่เริ่มมีการสร้างที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งแล้วอยู่รวมกันเป็นชุมชน เริ่มรู้จักการทำเครื่องจักสาน ภาชนะดินเผา และเครื่องมือหินขัดขึ้นใช้ มิการแบ่งงานกันทำ เริ่มมีการปกครองแบบพ่อกับลูก มีการติดต่อกันระหวางชุมชนเพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม รวมทั้งมีความเชื่อในเรื่องเทพเจ้าและโลกหน้าซึ่งเป็นที่มาของศาสนา ดังนั้นยุคหินใหม่จึงเป็นยุคของการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์

2.     ข้อใดคือแหล่งอารยธรรมเริ่มแรกของโลก

(1) ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา     

(2) ลุ่มแม่นํ้าโขง      

(3) ลุ่มแม่น้ำท่าจีน   

(4) ลุ่มแม่นํ้าไนล์

ตอบ 4 หน้า 765 (เล่มเก่า) แหล่งอารยธรรมเริ่มแรกของโลกเกิดขึ้นในเอเชียหรือซีกโลกตะวันออกเมื่อประมาณ 3500 B.Cบริเวณลุ่มแม่นํ้าสำคัญ 4 แห่ง ดังนี้

1.     ลุ่มแม่น้ำไทกริสและยูเฟรตีส ในอิรัก  

2. ลุ่มแม่นํ้าไนล์ ในอียิปต์

3.     ลุ่มแม่น้ำสินธุ ในอินเดีย    

4. ลุ่มแม่นํ้าฮวงโห ในจีน

3.     พีระมิดถูกสร้างขึ้นในสมัยใดของอารยธรรมอียิปต์โบราณ

(1) สมัยราชวงศ์       

(2) สมัยต้นราชวงศ์  

(3) สมัยจักรวรรดิ    

(4) สมัยอาณาจักรเก่า

ตอบ 4 ในช่วงราชวงศ์ที่ 3-6 ในสมัยอาณาจักรเก่า

ของอียิปต์โบราณ ถือว่าเป็นยุคที่มีความเจริญทางด้านสถาปัตยกรรมสูงมาก โดยผลงานเด่นคือการสร้างพีระมิด ซึ่งพบว่ามีการสร้างพีระมิดมากถึง 20 องศ์ จนเป็นผลให้สมัยอาณาจักรเก่าถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “สมัยพีระมิด” (The Pyramid Age)

4.     หลักฐานที่ถูกค้นพบในสมัยหลังชิ้นใดที่ทำให้นักวิชาการศึกษาอารยธรรมอียิปต์โบราณได้

(1) ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี   

(2) จารึกโรเซตตา

(3) บัญญัติสิบประการ      

(4) อักษรคูนิฟอร์ม

ตอบ 2 หน้า 18 จารึกโรเซตตา (The Rosetta Stoneเป็นแผ่นหินที่ถูกค้นพบในปี A.D1799 โดยนักภาษาศาสตร์ชาวฝรั่งเศสชื่อ ชอง ฟรองซัว ของโปลิออง (Jean Francois Champollion)

ได้ใช้เวลา 14 ปี ในการศึกษาจนสามารถถอดข้อความในแผนจารึกซึ่งใช้ทั้งอักษรไฮโรกลิฟิกอักษรไฮราติก และอักษรกรีกโบราณได้สำเร็จ ทำให้นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ได้รู้ความเป็นไปทางประวัติศาสตร์และอารยธรรมอียิปต์โบราณ จนทำให้จารึกโรเซตตาถูกเรียกว่า “กุญแจสู่อียิปต์ศาสตร์” (A Key to Egyptology)

5.     ข้อใดคือเทพสูงสุดของอียิปต์โบราณ  

(1) เทพอะตัน

(2)   ไม่มีเพราะนับถือศาสนาอิลลาม  

(3) อัลเลาะห์    

(4) อะฮูรา มาสดา

ตอบ 1 หน้า 15 – 1775 (เล่มเก่า) ในเรื่องศาสนาของอียิปต์โบราณมี 3 ประเด็นสำคัญ คือ

1. ชาวอียิปต์โบราณยึดมั่นในเทพเจ้าหลายองค์

2. เป็นกลุ่มชนแรกที่เชื่อในเรื่องวิญญาณเป็นอมตะ วันพิพากษา และโลกหน้ามีจริง ซึ่งจากความเชื่อดังกล่าวได้นำไปสู่การสร้างมัมมี่ คัมภีร์มรณะหรือคัมภีร์ผู้ตาย และพีระมิดซึ่งใช้เป็นที่เก็บพระศพและสมบัติของกษัตริย์

3. เป็นผู้นำในการปฏิรูปศาสนา โดยเฉพาะในสมัยฟาโรห์อะเมนโฮเต็ปที่ 4 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิรูปศาสนาคนแรกของอียิปต์โบราณและของโลก ซึ่งหลักของการปฏิรูปศาสนา คือการยึดมั่นในเทพเจ้าอะตัน (Atonหรือสุริยเทพเป็นเทพเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว

6.     ข้อใดคือชื่อตัวอักษรของอารยธรรมอียิปต์โบราณ

(1)   Hieratic   

(2) Ziggurat     

(3) Cuneiform

(4) Papyrus

ตอบ 1 หน้า 17 – 18 เมื่อประมาณ 3000 B.Cชาวอียิปต์โบราณได้ประดิษฐ์ตัวอักษรรูปภาพไฮโรกลิฟิก(Hieroglyphicsขึ้น โดยเริ่มแรกนั้นจะมีประมาณ 700 ตัว ซึ่งผู้ที่สามารถเขียนและอ่านได้ คือ พระและอาลักษณ์ ต่อมาจึงมีการปรับปรุงตัวอักษรรูปภาพเพื่อให้เขียนได้ง่ายขึ้นและให้มีจำนวนน้อยลง ทำให้มีการประดิษฐ์ตัวอักษรไฮราติก (Hieraticขึ้นในปี 1100 B.Cและพัฒนามาเป็นตัวอักษรเดโมติก (Demoticซึ่งมีจำนวนตัวอักษรเพียง 24 ตัวในปี 700 B.C.

7.     การสร้างพีระมิดสัมพันธ์กับเรื่องใด

(1) การแพทย์  

(2) ศาสนา       

(3) คณิตศาสตร์

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 5. ประกอบ

8.     ข้อใดถูกต้องที่สุด

(1)   อารยธรรมอียิปต์โบราณมีอายุเก่าแก่ที่สุดของอารยธรรมมนุษย์

(2)   อารยธรรมอียิปต์โบราณเจริญเติบโตมาจากการค้าทางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

(3)   อียิปต์อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่เหล็กซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างชาติ

(4)   อียิปต์สามารถรวมชาติได้ก่อนดินแดนอื่น

ตอบ 4 หน้า9,11,20 ชาวอียิปต์โบราณเป็นกลุ่มชนแรกที่นำการสร้างความมั่นคงทางการเมือง นั่นคือ ในสมัยราชวงศ์ ชาวอียิปต์สามารถรวมดินแดนเพื่อจัดตั้งชาติได้สำเร็จก่อนดินแดนอื่นและรักษาความเป็นชาติได้ยาวนานถึง 2,160 ปี

9.     ข้อใดสัมพันธ์กับอารยธรรมเมโสโปเตเมีย

(1) เจริญมาจากพื้นที่ทะเลทราย

(2) การเข้ามาแหล่งทรัพยากรของหลายกลุ่มชน

(3)   อารยธรรมที่มืพัฒนาการโดยกลุ่มคนชนชาติเดียว

(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก

ตอบ 2 อารยธรรมเมโสโปเตเมียเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นหนึ่งในสองอารยธรรมเริ่มแรกของโลก ซึ่งลักษณะของอารยธรรมเมโสโปเตเมียมีดังนี้

1. เป็นอารยธรรมที่เกิดขึ้นบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกริสละยูเฟรติสที่มีดินอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นจึงมีประโยขน้ต่อการทำเกษตรกรรมเป็นอย่างยิ่ง

2. ประชากรในเมโสโปเตเมียเป็นกลุ่มชนหลายเชื้อชาติ จึงทำให้มีการทำสงครามแย่งชิงอำนาจกันอยู่ตลอดเวลา

3. ไม่มีภูเขาและทะเลทรายเป็นปราการทางธรรมชาติ จึงทำให้มีต่างชาติเข้ามารุกรานและตั้งอาณาจักรอยู่ตลอดเวลา

10.   สุเมเรียนเป็นกล่มคนเชื้อชาติใด

(1)   เซมิติก     

(2) อาหรับ      

(3) มองโกลอยด์       

(4) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 4 หน้า 21 – 2282 (เล่มเก่า) สุเมเรียนเป็นชนชาติแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานและวางรากฐานทางอารยธรรมในเมโสโปเตเมีย ทั้งนี้ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าสุเมเรียนเป็นกลุ่มชนเชื้อชาติใดแต่มีการสันนิษฐานวาน่าจะเป็นกลุ่มชนที่อพยพจากเอเชียกลางแล้วเข้ามาตั้งมั่นในพื้นที่ทางตอนใต้ของเมโสโปเตเมียซึ่งเรียกว่า “ซูเมอร์” เมื่อประมาณ 5000 B.Cจากนั้นจึงรวมตัวกัน เป็นนครรัฐ (CityStatesเช่น Uruk, Ur, Eridu ฯลฯ โดยแต่ละนครรัฐจะปกครองตนเอง มีอิสระไม่ขึ้นต่อกัน และมีการแย่งชิงความเป็นใหญ่ระหว่างกันอยู่บ่อยครั้ง

11.   ข้อใดคือเซมิติกกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งมั่นยังดินแดนเมโสโปเตเมีย

(1)   สุเมเรียน  

(2) อัคคาเดียน 

(3) บาบิโลเนียน       

(4) อะมอไรท์

ตอบ 2 หน้า 24 – 25 อัคคาเดียนเป็นเซมิติกกลุ่มแรกที่เข้ามามีบทบาทในดินแดนเมโสโปเตเมียโดยได้อพยพมาจากคาบสมุทรอาระเบียแล้วเข้ามาตั้งมั่นในดินแดนอัคคัดบริเวณตอนกลางของเมโสโปเตเมียเมื่อประมาณ 3000 B.Cต่อมาในปี 2371 B.Cซาร์กอนแห่งอัคคัดซึ่งทรงรบชนะสุเมเรียน ได้รวมดินแดนซูเมอร์เข้ากับอัคคัดและจัดตั้งจักรวรรดิอัคคาเดียน ซึ่งเป็นจักรวรรดิแรกของโลกขึ้นมา โดยมีกรุงอัคคัดเป็นเมืองหลวง

12.   มรดกทางอารยธรรมที่สำคัญของอะมอไรท์คือข้อใด

(1)   ด้านกฎหมาย    

(2) ด้านศาสนา 

(3) การชลประทาน  

(4) ด้านอักษรศาสตร์

ตอบ 1 หน้า 25 – 26 อะมอไรท์หรือบานิโลเนียนเป็นกลุ่มชนที่รับ สืบทอด และส่งต่ออารยธรรมสุเมเรียน-อัคคาเดียนในทุกด้าน ซึ่งมรดกทางอารยธรรมที่สำคัญที่อะมอไรท์โห่ไว้แก่โลกคือ

ด้านการปกครองและกฎหมาย ได้แก่ ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี (The Code of Hammurabi) ซึ่งเป็นประมวลกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุด และมีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยตัวอักษรคูนิฟอร์ม

13.   อัสซีเรียนสามารถขยายอำนาจเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ของโลกโบราณได้โดยอาศัยอะไร

(1)   การพัฒนาและใช้แร่เหล็ก

(2) การชลประทาน

(3) ความสามารถของกษัตริย์    

(4) การค้า

ตอบ 3 หน้า 29 – 31 อัสซีเรียนเป็นกลุ่มชนที่เก่งในการรบ จนได้รับการยกย่องว่าเป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมโสโปเตเมียสมัยโบราณและเป็นโรมันแห่งเอเชีย ซึ่งปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้อัสซีเรียนสามารถขยายอำนาจจนเป็นจักรวรรดิที่มีความมั่นคงเกือบ 300 ปีและยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกโบราณมี 3 ประการ คือ

1. กษัตริย์เก่งในการรบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกษัตริย์อัสซูร์บานิปาลซึ่งทรงมีความสามารถทั้งในการรบและการปกครอง

2. ทหารมีวินัยและได้รับการฝึกเป็นอย่างดี

3. มีอาวุธที่ทำจากเหล็ก

14.   ข้อใดไม่สัมพันธ์กับอารยธรรมของแคลเดียน     

(1) สวนลอยที่บาบิโลน

(2) กำแพงอิชตา      

(3) การกำหนดดวงดาวสำคัญ 7 ดวง 

(4) อัสซูร์บานิปาล

ตอบ 4 หน้า 3293 (เล่มเก่า) มรดกทางอารยธรรมที่แคลเดียนให้ไว้แก่โลก มีดังนี้

1.     มีความเจริญสูงสุดทางด้านสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ที่สำคัญ ได้แก่ สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน และกำแพงอิชตา

2.     มีการกำหนดให้ดวงดาวสำคัญ 7 ดวง ได้แก่ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ เป็นชื่อของวันต่าง ๆ ใน 1 สัปดาห์

15.   ข้อใดสัมพันธ์กับพวกฮิตไตท์

(1)   เซมิติก     

(2) เมโโปเตเมีย     

(3) อนาโตเลีย  

(4) เป็นพวกพ่อค้า

ตอบ 3 หน้า 35 – 38 ฮิตไตท์เป็นชนเผ่าอินโด-ยูโรเปียนที่อพยพจากอเชียกลางเข้ามาตั้งมั่นในพื้นที่ทางตะวันออกของเอเชียไมเนอร์แถบคาบสมุทรอนาโตเนีย (ประเทศตุรกีในปัจจุบัน) โดยฮิตไตท์เป็นผู้วางรากฐานอารยธรรมเอเชียไมเนอร์ นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องว่าเป็น“นักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งเอเชียไมเนอธ์สมัยโบราณ” ซึ่งปัจจัยที่เอื้ออำนวยให้ฮิตไตท์มีชัยชนะเหนือข้าศึกในการสู้รบ ได้แก่

1.     เป็นกลุ่มชนที่มีความสามารถในการถลุงแร่เหล็ก และนำเหล็กมาทำอาวุธและรถศึกเทียมม้าฝีเท้าดีเพื่อใช้ในสงคราม

2.     ทหารฮิตไตท์ได้รับการฝึกจนมีความชำนาญในการใช้อาวุธ อีกทั้งรอบรู้ยุทธวิธีในการรบและยึดมั่นในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด ทำให้กองทัพมีความแข็งแกร่ง

16.   สิ่งใดที่ทำให้ฮิตไตท์มีชัยเหนือข้าศึกในการสู้รบ

(1)   มีกองกำลังที่มากกว่า 

(2) มีเวทมนตร์

(3)   ความสามารถในการถลุงแร่เหล็ก

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 15. ประกอบ

17.   ข้อใดคืออารยธรรมที่โดดเด่นของพวกฟินิเชียน

(1)   ด้านการสงคราม       

(2) ด้านการปกครอง

(3) ด้านการค้าขาย   

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 39 – 40 อารยธรรมที่โดดเด่นของฟินิเชียนมี 2 ด้าน คือ

1.     ด้านการค้าขาย นั่นคือ เป็นกลุ่มชนแรกที่นำการสำรวจเส้นทางเดินเรือเพื่อการค้า การจัดตั้ง นิคมการค้า และการเดินเรือค้าขายในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จนทำให้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “พ่อค้าทางเรือผู้ยิ่งใหญ่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของตะวันออกกลางสมัยโบราณ” และเป็นผู้ถ่ายทอดอารยธรรมโลกตะวันออกสู่โลกตะวันตกควบคู่ไปกับการค้าขายทางเรือ

2.     ด้านภาษา นั่นคือ เป็นผู้ประดิษฐ์พยัญชนะสมบูรณ์แบบ 22 ตัว อันเป็นรากฐานของพยัญชนะที่โลกตะวันตกหรือยุโรปใช้ในปัจจุบัน

18.   มรดกทางอารยธรรมที่สำคัญของชาวฮิบรูซึ่งได้สร้างไว้ให้แก่โลกคือข้อใด

(1)   ศาสนา     

(2) หลักนิติศาสตร์    

(3) การค้า

(4) การถลุงแร่เหล็ก

ตอบ 1 หน้า 45 – 46 มรดกทางอารยธรรมที่สำคัญที่ฮิบรูหรือยิวให้ไว้แก่โลก ได้แก่

1.     ศาสนายูดาห์ (Judahเป็นศาสนาแรกของสังคมฮิบรูที่เกิดขึ้นในดินแดนตะวันออกกลางและเป็นหนึ่งในศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดของโลก โดยเกิดขึ้นในขณะที่ฮิบรูอยูภายใต้การปกครองของเปอร์เซียโบราณ

2.     วรรณกรรม ได้แก่ พระคัมภีร์เก่าหรือคัมภีร์ฮิบรู ซึ่งมีคุณค่าทั้งทางด้านศาสนาและประวัติศาสตร์ ทั้งนี้แหล่งกำเนิดอารยธรรมฮิบรูในปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประทศอิสราเอล

19.   ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับพวกอราเมียน

(1)   ความสามารถด้านการค้าทางทะเล      

(2) เป็นผู้เผยแผ่คริสต์ศาสนา

(3) ความสามารถด้านการค้าทางบก   

(4) สร้างพยัญชนะสมบูรณ์ขึ้นเป็นกลุ่มแรก

ตอบ 3 หน้า 46 – 47 อราเมียนเป็นเซมิติกกลุ่มที่สามที่อพยพจากเมโโปเตเมียเข้ามาตั้งมั่นในดินแดนชายฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่ซีเรีย ทั้งนี้อราเมียนจะมีความลามารถในด้านการค้าทางบก จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “พ่อค้าทางบกที่ยิ่งใหญ่ของตะวันออกกลางสมัยโบราณ” โดยเส้นทางการค้าทางบกของอราเมียน ได้แก่ เมโสโปเตเมีย เปอร์เซีย ชายฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และดินแดนลุ่มแม่น้ำไนล์ มีศูนย์กลางการปกครองและการค้าขายอยู่ที่เมืองดามัสกัส และใช้ภาษาอารมิกหรือภาษาอราเมอิก (Aramaic)เพื่อประโยชน์ในการทำการค้าขาย

20.   ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับอาณาจักรลีเดีย

(1)   ตั้งมั่นอยู่ที่ดินแดนเมโสโปเตเมีย

(2) มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล

(3) นำเงินเหรียญเป็นตัวกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยน       

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 47 – 48 ลีเดียนเป็นชนเผ่าอินโด-ยูโรเปียนที่เข้ามาตั้งมั่นในดินแดนลีเดีย ซึ่งเป็นพื้นที่ทางตะวันตกตอนกลางของเอเชียไมเนอร์ โดยชาวลีเดียนจะเก่งในการรบและการค้าขายมีศูนย์กลางการปกครองและการค้าขายอยู่ที่เมืองซาร์ดีส ซึ่งมรด ความเจริญที่ลีเดียนให้แก่โลก ก็คือ เป็นกลุ่มชนแรกที่นำการผลิตเงินเหรียญที่ทำจากทองคำเพื่อนำมาใช้เป็นตัวกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยน จนทำให้เกิดความมั่งคั่งจากการทำการค้า เป็นผลให้ลีเดียนได้รับการยกย่องว่าเป็น “พ่อค้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งเอเชียไมเนอร์สมัยโบราณ”

21.   ข้อใดคือระบบการปกครองจักรวรรดิของเปอร์เซียโบราณ

(1)   Democracy      

(2) Aristocracy

(3) The Satrapy System  

(4) The Therapy System

ตอบ 3 หน้า 5256 – 5759 จักรวรรดิเปอร์เซียโบราณรับรูปแบบการปกครองมาจากอัสซีเรียน โดยเริ่มรับในสมัยไซรัสที่ 2 และนำมาปรับปรุงจนรูปแบบการปกครองมีความสมบูรณ์ ในสมัยดาริอุสที่ 1 (Darius Iซึ่งเป็นสมัยที่ถือว่าเป็นยุคทองของจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณโดยหลักในการปกครองจักรวรรดิของดาริอุสที่ 1 ประการหนึ่ง ก็คือ เน้นกระจายการปกครอง จากส่วนกลางไปสู่ส่วนภูมิภาคด้วย 2 วิธี คือ กำหนดภูมิภาคสำคัญและเมืองศูนย์กลางของภูมิภาคและการปกครองระบบเขต (The Satrapy Systemที่มุ่งการเข้าถึงประชาชนและพื้นที่ด้วยการปฏิบัติจริง

22.   จักรวรรดิเปอร์เซียโบราณเจริญถึงขีดสุดในสมัยใด

(1)   Cyrus II    

(2) Darius I      

(3) Cambyses 

(4) Xersis I

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 21. ประกอบ

23.   ศาสนาโซโรแอสเตอร์มีลักษณะตรงกับข้อใด

(1)   เอกเทวนิยม     

(2) อเทวนิยม   

(3) นับถือเทพเจ้าหลายองค์

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 58 – 59 กษัตริย์ไซรัสที่ 2 ทรงกำหนดให้ศาสนาโซโรแอสเตอร์เป็นศาสนาของจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณ (550 – 330 B.C.) ซึ่งหลักคำสอนของศาสนานี้มี 4 ประการ คือ

1.     มีลักษณะเป็นเอกเทวนิยม (Monotheistic) นั่นคือ ให้ยึดมั่นในเทพเจ้าอะฮูรา มาสดาเพียงองค์เดียว    

2. คิด พูด และทำความดี

3.     ไม่คิด ไม่พูด และไม่ทำความชั่ว

4. วันพิพากษาและโลกหน้ามีจริง

 24.  ศาสนาในดินแดนตะวันออกกลางใดต่อไปนี้ถือกำเนิดขึ้นแรกสุด

(1) Zoroaster  

(2)   Judah      

(3)   Christ       

(4)   Buddhism

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 18.  ประกอบ

25.   คริสต์ศาสนาถือกำเนิดขึ้นในสังคมฮิบรูขณะอยู่ภายใต้การปกครองของใคร

(1) ยิว     

(2)   เปอร์เซีย  

(3)   ออตโตมาน      

(4)   โรมัน

ตอบ 4 หน้า 44 ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่สองของสังคมฮิบรูซึ่งถือกำเนิดขึ้นในขณะที่ฮิบรูอยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน โดยโรมันได้กดขี่ข่มเหงและลิดรอนเสรีภาพทางศาสนาของชาวยิว รวมทั้งมีการปราบปรามยิวอย่างโหดเหี้ยมทารุณ จนกระทั่งในศฅวรรษที่ 1 A.Dยิวหวาดกลัวการทำลายล้างของโรมัน เป็นผลให้ยิวส่วนใหญ่อพยพออกจากปาเลสไตน์เข้ามาอาศัยอยู่ในอียิปต์และยุโรป

26.   หลักแห่งศาสนาอิสลามที่สำคัญคือ

(1) ความรัก     

(2)   ปัจจัย 4    

(3)   ศรัทธา 6  

(4)   บัญญัติ 10

ตอบ 3 หลักสำคัญประการหนึ่งแห่งศาสนาอิสลามคือ ศรัทธา 6 ประการ ซึ่งถือว่าเป็นศีลทางใจของมุสลิม ประกอบด้วย 

1. ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียวคือ อัลเลาะห์เจ้า     

2. ศรัทธาในทูตสวรรค์กาเบรียล

3. ศรัทธาในองค์มูฮัมหมัด

4.     ศรัทธาในคัมภีร์กุรอาน     

5. ศรัทธาในวันพิพากษา   

6. ศรัทธาในความเป็นไปทั้งหลายเกิดจากการกำหนดของพระผู้เป็นเจ้า

27.   ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับ “The Hijira Era

(1)   สมัยประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญของอารยธรรมอิสลาม

(2)   ปีแห่งการเดินทางของมูฮัมหมัดจากเมดินามาเมกกะ

(3)   ปีแห่งการเดินทางของมูฮัมหมัดจากเมกกะมาเมดินา   

(4) ข้อ 1 และ 2 ถูก

ตอบ 3 หน้า 65 – 66 ศักราชมุสลิมหรือศักราชฮิจิรา (The Hijira Eraได้เริ่มต้นขึ้นในปี 622 ซึ่งถือว่าเป็นปีแห่งการเดินทางขององค์มูฮัมหมัดจากเมืองเมกกะมายังเมืองเมดินา และสามารถวางรากฐานของศาสนาอิสลามและสังคมมุสลิมได้อย่างมั่นคงที่เมดินา

28.   ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับออตโตมาน เติร์ก

(1) เริ่มมีบทบาทในหน้าประวัติศาสตร์ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11  

(2) มีอีกชื่อเรียกคือ “เซลจุก เติร์ก”

(3) เป็นสาขาหนึ่งของพวกอารยัน      

(4) เป็นเติร์กกลุ่มสุดท้ายที่รุกรานยุโรป

ตอบ 4 หน้า 77 – 8588 ออตโตมาน เติร์ก เป็นกลุ่มเติร์กที่เข้ามามีบทบาทในเอเซียไมเนอร์ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 11 โดยในปี 1453 มูฮัมหมัดที่ 2 (Muhammad II) ได้นำกองกำลังมุสลิมยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้สำเร็จ ส่งผลให้จักรวรรดิไบแซนไทน์ของโรมันตะวันออกต้องล่มสลายลง นอกจากนี้ยังเป็นเติร์กกลุ่มสุดท้ายที่รุกรานยุโรป เป็นเติร์กกลุ่มสุดท้ายที่ถือครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของตะวันออกกลาง เป็นบรรพบุรุษของประชาชนตุรกีในปัจจุบัน เป็นผู้นำการปกครองจักรวรรดิยาวนานถึง 623 ปี รวมทั้งเป็นผู้ผสมผสานความเจริญของโลกตะวันออกและโลกตะวันตภได้เป็นอย่างดี

29.   ออตโตมาน เติร์ก สามารถยึดครองกรุงคอนสแตนติโนเปลได้ในสมัยใด

(1) Muhammad II   

(2) Ismail

(3) Sultan Sulaiman

(4) Mustafa

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ

30.   จักรวรรดิออตโตมานสิ้นสุดลงเมื่อใด

(1) ผลจาก The Treaty of Sevres of 1919       

(2) การปฏิจัติโดยกลุ่ม Young Turk

(3) สุลต่าน Abdul Hamid I สละราชฯ

(4) ผลจาก The Balkan War

ตอบ 1 หน้า 83140 (เล่มเก่า) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 กลุ่มยังเติร์กได้นำกองกำลังของจักรวรรดิออตโตมานเข้าร่วมกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง โดยหวังว่าถ้าเป็นฝ่ายชนะจะทำให้ออตโตมานได้ดินแดนที่สูญเสียไปให้แก่อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซียกลับคืนมา ผลของสงครามปรากฎว่ามหาอำนาจกลางเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ทำให้ดินแดนของจักรวรรดิออตโตมานต้องถูกนำเข้าสู่ระบบดินแดนในอาณัติ (The Mandate Systemโดยมีอังกฤษและฝรั่งเศสซึ่งเป็นชาติผู้นำฝ่ายส้มพันธมิตรเข้าดูแลรักษาความสงบตามข้อกำหนดแห่ง The Treaty of Sevres of 1919 จึงนับได้ว่าปี 1919 จักรวรรดิออตโตมานได้สิ้นสุดอำนาจลงโดยสิ้นเชิง

31.   พื้นที่ส่วนใดของจีนเป็นทะเลทรายเป็นส่วนใหญ่

(1) ภาคตะวันตก      

(2) ภาคตะวันออก    

(3) ภาคใต้       

(4) ภาคกลาง

ตอบ 1 หน้า 97 – 98 จีนตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปเอเชีย และมีพื้นที่รวมทั้งหมดประมาณ 9.6 ล้านตร.กม. ซึ่งพื้นที่ประมาณ 2ใน 3ของประเทศที่อยู่ทางภาคตะวันตกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะปกคลุมด้วยภูเขา เทือกเขา และที่ราบสูง ส่วนพื้นที่อีกประมาณ 11.4% ของประเทศจะเป็นทะเลทราย ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ทางภาคตะวันตก เช่น ทะเลทรายโกบี ทะเลทรายตากลีมากัน เป็นต้น

32.   ศาสนาพุทธเข้าสู่จีนในสมัยใด

(1) จิ๋น     

(2) ฮั่น    

(3) สุ้ง     

(4) ถัง

ตอบ 2 (HI 103 เลขพิมพ์ 54191 หน้า 278 – 279) ความเจริญที่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น มีดังนี้

1.     มีระบบการสอบแข่งขันเข้ารับราชการเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยใช้ตำราของขงจื๊อเป็นแนวทาง

2.     เป็นสมัยแรกที่ศาสนาพุทธเผยแผ่จากอินเดียเข้าสู่จีน

3.     เกิดผลงานเขียนทางประวัติศาสตร์ของนักจดบันทึกเหตุการณ์ในราชสำนักจีน 2 ตระกูล คือ “เฉอซี” หรือบันทึกของนักประวัติศาสตร์ ผลงานของตระกูลซือมา และ “ฮั่นชู”หรือประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่นตอนต้น ผลงานของตระกูลปัน ฯลฯ

33.   ราขวงศ์ใดที่ปกครองจีนต่อจากราชวงศ์จิ๋น

(1) แมนจู

(2) สุย     

(3) มองโกล     

(4) ฮั่น

ตอบ 4 หน้า 169 – 170 (เล่มเก่า)(HI 103 เลขพิมพ์ 54191 หน้า 278) หลังจากราชวงศ์จิ๋นเสื่อมลง อันเนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิจิ๋นซี ฮ่องเต้ หลิวปัง สามัญชนคนแรกในประวัติศาสตร์จีนได้รวบรวมสมัครพรรคพวกก่อการกบฏที่เรียกว่า “กบฏชาวนา” ขึ้น และสามารถล้มล้างราชวงศ์จิ๋นได้สำเร็จ จากนั้นเขาจึงตั้งราชวงศ์ใหม่เรียกว่า “ราชวงศ์ฮั่น” ขึ้นปกครองแผ่นดินจีน และสถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิ โดยทรงพระนามว่า “ฮั่นเกาสู” ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น

34.   ผลงานใดที่เป็นจุดเด่นของจีนในสมัยราชวงศ์จิ๋น

(1)   การรวบรวมแผ่นดินที่แตกแยกเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน

(2)   การขยายดินแดนได้กว้างขวางที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์จีน

(3)   การเปิดประเทศต้อนรับชาวต่างชาติเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

(4) ถูกทุกข้อ

 ตอบ 1 หน้า 109167 – 169 (เล่มเก่า) ผลงานที่สำคัญของจิ๋นซี ฮ่องเต้ จักรพรรดิผู้ยิงใหญ่แห่งราชวงศ์จิ๋น มีดังนี้   

1. ทรงรวบรวมแผ่นดินจีนที่แตกแยกในสมัยราชวงศ์โจวเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันได้สำเร็จ ซึ่งต่อมาก็คือ ประเทศจีน (China)

2. ทรงปกครองจักรวรรดิด้วยการรวมอำนาจเข้าสู่รัฐบาลกลาง และทรงเป็นประมุขผู้มีอำนาจเด็ดขาดเพียงองศ์เดียว

3.     ประกาศให้นำตัวอักษรจีนมาใช้เขียนในรูปแบบเดียวกันทั่วประเทศ

4.     ทรงต่อเดิมและเชื่อมกำแพงเมืองที่มีอยู่เข้าด้วยกับเป็นกำแพงเมืองจีน ฯลฯ

35.   แม่นํ้าสายใดที่เชื่อมระหว่างจีนภาคเหนือกับภาคกลางเข้าด้วยกัน

(1) แม่น้ำแยงซี

(2) แม่น้ำฮวงโห      

(3) แม่นํ้าชี      

(4) คลองใหญ่

ตอบ 2 หน้า 97 – 99146 (เล่มเก่า)149 – 150 (เล่มเก่า) แม่น้ำฮวงโหหรือแม่นํ้าเหลืองเป็นแม่นํ้าที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศ โดยจะเชื่อมระหว่างจีนภาคเหนือกับภาคกลางเข้าด้วยกันนอกจากนี้ยังเป็นแม่นํ้าที่มีความสำคัญต่อประวัติคาสตร์จีน นั่นคือ เป็นแม่น้ำที่สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่สองฟากฝั่งที่แม่นํ้าไหลผ่าน รวมทั้งเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมเริ่มแรกของจีนในยุคหินใหม่ประมาณ 4000 B.Cมาแล้ว ดังจะเห็นได้จากการขุดค้นพบภาชนะเครื่องปั้นดินเผา (ลีและเสียน) และเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำมาจากดินเหนียวคลุกกับใบไม้ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเจริญของจีนในยุคก่อนประวัติศาสตร์

36.   แม่น้ำเหลืองมีความสำคัญอย่างไรในประวัติศาสตร์จีน

(1)   เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมเริ่มแรกของจีน

(2)   เป็นแม่นํ้าที่นำความอุดมสมบูรณ์มาสู่สองข้างฝั่งที่แม่น้ำไหลผ่าน

(3)   มีการขุดพบภาชนะและเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากดินเหนียวคลุกกับใบไม้       

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 35. ประกอบ

37.   การแบ่งชนชั้นของจีนโดยอาศัยเชื้อชาติเป็นตัวกำหนดเกิดขึ้นในสมัยใด

(1)   ถัง  

(2) เซีย    

(3) ชาง    

(4) ชิง

ตอบ 4 หน้า 111(คำบรรยาย) สังคมจีนเป็นสังคมที่มีการแบ่งชนชั้นซึ่งเป็นไปตามแนวคิดฃองขงจื๊อโดยปกติแล้วจะแบ่งออกเป็น 5 ชนชั้นโดยอาศัยอาชีพเป็นเกณฑ์ ยกเว้น 2 ราชวงศ์ของจีนซึ่งเป็นชาวต่างชาติ คือ ราชวงศ์มองโกล (ราชวงศ์หยวน) และราชวงศ์แมนจู (ราชวงศ์ชิง) จะมีเพียง 4 ชนขั้นโดยอาศัยเชื้อชาติเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง และมักกำหนดให้ผู้ที่มีเชื้อชาติของตนเป็นชนชั้นสูง

38.   ตระกูลซือมา และตระกูลปัน มีหน้าที่ใดในราชสำนักจีนโบราณ(1) นักสำรวจ

(2) นักการทหาร      

(3) นักจดบันทึกเหตุการณ์ในราชสำนัก      

(4) นักโหราศาสตร์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 32. ประกอบ

39.   ในสมัยล่าอาณานิคม เมืองท่าใดที่ราชสำนักจีนอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาทำการค้าขายได้

(1) นิงโป 

(2) มาเก๊า

(3) ฟูเจา  

(4) ปักกิ่ง

ตอบ 2 หน้า 112(คำบรรยาย) ในสมัยล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ประเทศจีน (สมัยราชวงศ์หมิง)ในขณะนั้นได้เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายขึ้นโดยทั่วไป เมื่อดัตช์และโปรตุเกสเข้ามาช่วยจีนปราบกบฏและพวกโจรสลัด ทำให้ราชสำนักจีนตอบแทนทั้ง 2 ชาติด้วยการอนุญาตให้เข้ามาตั้งสถานีการค้าได้ โดยให้โปรตุเกสมาตั้งที่มาเก๊า ส่วนดัตช์ให้มาตั้งที่เอหมึง ต่อมาอังกฤษได้เดินทางเข้ามายังจีน

เพื่อเรียกร้องให้จีนเปิดประเทศ แม้จีนจะปฏิเสธ แต่ก็อนุญาตให้อังกฤษเข้ามาตังสถานีการค้าได้ที่เมืองแคนตอน

40.   ใครคือบิดาแห่งประเทศจีนยุคใหม่

(1)   เติ้งเสี่ยวผิง       

(2) โจวเอินไหล

(3) ซุนยัดเซ็น  

(4) จูเต้

ตอบ 1 หน้า 115(คำบรรยาย) เติ้งเสี่ยวผิง เป็นผู้ปกครองจีนรุ่นใหม่ทีได้รับการยกย่องว่าเป็น“บิดาแห่งประเทคจีนยุคใหม่” เนื่องจากเขาได้นำคำขวัญที่ว่า “แมวขาวแมวดำไม่สำคัญขอให้จับหนูได้ก็แล้วกัน” มาใช้เป็นนโยบายในการลร้างความกินดีอยู่ดี รวมทั้งใช้นโยบาย 4 ทันสมัยเพื่อพัฒนาประเทคให้ทันสมัยทั้งทางด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม วิทยาคาสตร์และเทคโนโลยีและการป้องกันประเทศ ส่งผลให้จีนกลายเป็นชาติที่มีการพัฒนด้านเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก

41.   คำสั่งสอนในลัทธิเต๋าให้ปฏิบัติตนไปตามธรรมชาติ ส่วนขงจื๊อสอนว่าอย่างไร

(1) ให้ยึดถือตามคำสั่งสอนของบิดามารดา  

(2) ให้เชื่อฟังบรรพบุรุษ

(3)   ให้ดูอดีตเป็นตัวอย่าง 

(4) ให้เชื่อเรื่องลี้ลับที่มีอยู่ในธรรมชาติ

ตอบ 1 หน้า 106 – 107160 (เล่มเก่า) แนวคิดของขงจื๊อจะเน้นความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคมในโลกนี้มากกว่าชีวิตในโลกหน้า รวมทั้งเน้นให้มนุษย์รู้จักหน้าที่และฐานะของตนเองในสังคมเพราะถ้าสมาชิกในสังคมรู้จักหน้าที่ของเขาเองแล้ว สังคมก็จะเป็นสุขได้โดยสังคมที่ดีนั้นทุกคนจะต้องยึดถือตามหลักอาวุโสและขนบธรรมเนียมประเพณี เช่น บุตรจะต้องยึดถือตามคำสั่งสอน

ของบิดามารดา ผู้น้อยต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ ฯลฯ นอกจากนี้ขงจื๊อยังเห็นว่าเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สามารถนำมาใช้เป็นบทเรียนในการดำเนินชีวิตได้ด้วย

42.   สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 มีเป้าหมายที่สำคัญด้านใด

(1) การเมือง    

(2) การทหาร   

(3) การต่างประเทศ  

(4) การศึกษา

ตอบ 1 หน้า 113,(คำบรรยาย) สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1(ค.ศ. 1894 – 1895)เป็นสงครามระหว่างราชวงศ์แมนจูของจีนกับจักรพรรดิเมจิแห่งณี่ป่น ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่ญี่ปุ่นต้องการครอบครองคาบสมุทรเกาหลีซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของญี่ปุ่นในด้านความมั่นคง อีกทั้งญี่ปุ่นต้องการเข้าไปขยายอิทธิพลทางการเมืองและเศรษฐกิจในจีน โดยผลของสงครามปรากฏว่าจีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อญี่ปุ่นซึ่งจีนเคยดูถูกว่าเป็นชาติที่ด้อยอารยธรรม และทำให้จีนต้องสูญเสียเกาหลีไปในที่สุด

43.   ทฤษฎีแห่งสวรรค์ที่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์โจว มีแนวคิดที่สำคัญอย่างไร

(1)   องค์จักรพรรดิมีฐานะเป็นบุตรแห่งสวรรค์

(2)   ผู้ให้กำเนิดอารยธรรมจีน ได้แก่ เทพเจ้าฮ่วงตี่

(3)   เมื่อโลกมีดวงอาทิตย์ดวงเดียว แผ่นดินจีนก็ต้องมีจักรพรรดิองค์เดียว

(4)   บุรุษเพศคือช้างเท้าหน้า สตรีเพศคือช้างเท้าหลัง

ตอบ 1 หน้า 102 ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกได้เกิดแนวคิดทางการเมืองที่ยอดเยี่ยม นั่นคือ ทฤษฎีแห่งสวรรค์ โดยกษัตริย์โจวถือว่าตนนั้นเป็น “โอรสหรือบุตรแห่งสวรรค์” หมายถึง องค์จักรพรรดิที่สวรรค์ส่งลงมาปกครองมนุษย์ และได้รับอำนาจที่สวรรค์มอบให้เพื่อ

ปกครองโลกเรียกว่า “ อาณัติแห่งสวรรค์ ”

44.   ในสมัยสาธารณรัฐ เจียงไคเช็คคือผู้นำพรรคก๊กมินตั๋ง ส่วนเมาเซตุงคือใคร

(1) ตัวแทนของรัสเซียที่ส่งมาดูแลผลประโยชน์ในจีน  

(2) สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน

(3) นักศึกษาวิชาทหารที่กำลังศึกษาอยูในญี่ปุ่น   

(4) เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลี

 ตอบ 2 หน้า 113 – 114(คำบรรยาย) เมาเซตุง เป็นหนึ่งในปัญญาชนจีนที่ร่วมกันจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้นในปี ค.ศ. 1921 เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการปฏิรูปประเทศจีนในสมัยสาธารณรัฐต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ร่วมกับซุนยัดเซ็นผู้นำพรรคก๊กมินตั๋งจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้นในปี ค.ศ. 1923 แต่หลังจากที่ซุนยัดเซ็นถึงแก่อสัญกรรม พรรคก๊กมินตั๋งภายใต้การนำของเจียงไคเช็คไม่ศรัทธาต่อพรรคคอมมิวนิสต์ จึงได้เกิดความขัดแย้งกันจนนำไปสู่สงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อ จนกระทั่งสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1949 ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์เป็นฝ่ายชนะ ทำให้เจียงไคเช็คต้องหลบหนีไปตั้งประเทศสาธารณรัฐจีนขึ้นใหม่ที่เกาะไต้หวัน

45.   จีนสูญเสียเกาะฮ่องกงไปให้อังกฤษตามสนธิสัญญาฉบับใด

(1) ฮ่องกง

(2) เซี่ยงไฮ้      

(3) นานกิง       

(4) ปักกิ่ง

ตอบ 3 หน้า 112 – 113216 – 217 (เล่มเก่า) สงครามฝิ่น เป็นสงครามระหว่างจีนกับอังกฤษ ซึ่งหลังจากที่จีนพ่ายแพ้แก่อังกฤษในปี ค.ศ. 1842 ทำให้จีนต้องลงนามใบสนธิสัญญาทีไม่เสมอภาคฉบับแรกกับขาติตะวันตก เรียกว่า “สนธิสัญญานานกิง” (Treaty of Nanking) ซึ่งผลก็คือ จีนต้องยกเกาะฮ่องกงให้อังกฤษและต้องเปิดเมืองท่าอีก 5 แห่ง ได้แก่ แคนตอน เอหมึง ฟูเจา นิงโป และเซี่ยงไฮ้ ให้เป็นเขตสัมปทานอยู่ในความดูแลของอังกฤษ อีกทั้งต้องสูญเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตหรือสิทธิทางการศาล ต้องชดใช้ค่าฝิ่นที่จีนทำลายไป ต้องสูญเสียสิทธิในการกำหนดอัตราภาษี และต้องยอมรับเงื่อนไขของความเป็นมิตรที่ดีของต่างชาติ

46.   เกาะฮอกไกโดในอดีตมีความสำคัญด้านใด

(1) อารยธรรม 

(2) การท่องเที่ยว      

(3) การทหาร   

(4) การรักษาสิ่งแวดล้อม

ตอบ 1 หน้า 121(คำบรรยาย) เกาะที่สำคัญของญี่ปุ่นมีอยู่ 4 เกาะ ได้แก่     

1. เกาะฮอกไกโด เป็นเกาะทางตอนเหนือของญี่ปุ่น และถือว่าเป็นศูนย์กลางอารยธรรมเริ่มแรกของญี่ปุ่น

2.     เกาะฮอนชู เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดา 4 เกาะ มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุด มีพื้นที่ราบมากที่สุดของประเทศ และถือว่าเป็นศูนย์กลางทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และ การปกครองของญี่ปุ่น       

3. เกาะชิโกกุ เป็นเกาะที่มีขนาดเล็ที่สุด โดยมีชื่อเสียงในเรื่องความงดงามของหมู่เกาะและชายฝั่งทะเล    

4. เกาะคิวชิว เป็นเกาะแรกที่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการติดต่อกับชาวยุโรป โดยมีท่าเรือที่สำคัญอยู่ที่เมืองนางาซากิ

47.   นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของญี่ปุ่นมีชื่อว่าอะไร

(1) นายอาเบะ  

(2) นายไคฟู    

(3) นายซูซูกิ    

(4) นายโนดะ

ตอบ 4 (จากข่าว) นายโยซิฮิโกะ โนดะ เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 54 และคนปัจจุบันของญี่ปุ่น ซึ่งสังกัดพรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น (DPJโดยเริ่มดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนับตั้งแต่ วันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา จนกระทั่งประกาศยุบสภาในวันที่ 16 พฤศจิกายนพ.ศ. 2555 เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ (ผลการเลือกตั้งของญี่ปุ่นในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า นายชินโซะ อาเบะ ผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDPได้ชนะการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนล่าสุดของญี่ปุ่น)

48.   ใครคือผู้ที่ได้รับการบันทึกว่าเป็นผู้ก่อตั้งประเทศญี่ปุ่น

(1) ยามาโมโต  

(2) อิเคดะ

(3) เทนโน       

(4) ฟูจิวารา

 ตอบ 3 หน้า 125 จากหนังสือโคจิกิและหนังสือนิฮอง โชกิ ได้กล่าวถึงเรื่องราวของชาวญี่ปุ่นในลักษณะของเทพนิยายว่า แผ่นดินญี่ปุ่นสร้างขึ้นโดยเทพเจ้า มีศูนย์กลางอยู่บนที่ราบยามาโตทางตอนกลางของเกาะฮอนชู ผู้ปกครองซึ่งได้แก่องค์จักรพรรดิและประชาชนล้วนสืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าทั้งสิ้น โดยจักรพรรดิพระองค์แรกซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งประเทศญี่ปุ่นทรงมีพระนามว่า “จิมมู เทนโน” เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์หรือเทพีอะมาเตระสึ โดยขึ้นครองราชย์เมื่อประมาณปี 660 B.C.

49.   ชนกลุ่มใดที่เชื่อว่าเป็นผู้อพยพเข้าไปตั้งรกรากในญี่ปุ่นเป็นพวกแรก

(1) ชาวไอนุ     

(2) ชาวมองโกเลีย    

(3) ชาวตะวันออกกลาง     

(4) ชาวจีน

ตอบ 1 หน้า 123(คำบรรยาย) ในช่วงประมาณ 20,000 – 10,000 B.Cพวกไอบุซึ่งเป็นบรรพบุรุษกลุ่มแรกของญี่ปุ่น ได้อพยพเข้ามาตั้งรกรากอยู่บนเกาะฮอกไกโดทางภาคเหนือของญี่ปุ่น โดยเป็นพวกที่มีเชื้อสายคอเคซอยด์มากกว่ามองโกลอยด์ ดังนั้นจึงมีลักษณะคล้ายชาวยุโรป มากกว่าชาวเอเฃีย นั่นคือ เป็นคนผิวขาว หน้าแบน ตาสีฟ้า ขนดก และมีรูปร่างไม่สูงนัก ปัจจุบันพวกไอนุจะอาศัยอยู่มากบนเกาะฮอกไกโดและเกาะคูริล

50.   โชกุนตระกูลโตกูกาวาได้รับการยอมรับจากชาวญี่ป่นในด้านใดมากที่สุด

(1) ความเจริญด้านการศึกษา    

(2) ความเจริญทางด้านเศรษฐกิจ

(3) ความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง   

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 131 – 133(HI 103 เลขพิมพ์ 54191 หน้า 308 – 309311313317 – 318) ในสมัยโชกุนตระกูลโตกูกาวา เป็นสมัยที่ระบอบศักดินาเจริญสูงสุด และเป็นยุคที่ญี่ปุ่นเกิดความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองอย่างทีไม่เคยประสบมาก่อน ซึ่งส่งผลต่อความเจริญของญี่ปุ่นดังนี้

1.     ทำให้เกิดความเจริญทางด้านการปกครอง เนื่องจากมีการแบ่งชนชั้นในสังคมอย่างตายตัว มีการจัดแบ่งชนชั้นของขุนนาง รวมทั้งมีการนำวิธีการควบคุมทางสังคมที่เรียกว่า“ระบบซันกิน โกไต” มาใช้ ทำให้โชกุนปกครองญี่ปุ่นได้ยาวนานถึง 300 ปี

2.     ทำให้เกิดความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก และทำให้ชนชั้นพ่อค้ากลายเป็นชนชั้นที่สำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ

3.     ทำให้เกิดความเจริญทางด้านการศึกษา เนื่องจากความสงบในระเทศทำให้ซามูไรใช้เวลาว่างในการศึกษาหาความรู้ อีกทั้งโชกุนต้องการส่งเสริมให้คนมีการศึกษาตามหลักปรัชญาของขงจื๊อ ทำให้ชาวญี่ปุ่นมีการศึกษาที่ดีขึ้น

51.   ญี่ปุ่นปิดประเทศในปี 1637 มาจากสาเหตุด้านใด

(1)   การก้าวก่ายกิจการภายในประเทศโดยองค์กรศาสนาของชาวต่างชาติ

(2)   ความปลอดภัยของประเทศจากการคุกคามจากฝรั่งเศส

(3)   เพื่อเตรียมพร้อมในการจัดระเบียบด้านการเดินเรือของประเทศใหม่    

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 132291 – 293 (เล่มเก่า) ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 โชกุนตระกูลโตกูกาวาเกรงว่า องค์กรศาสนาของชาวต่างชาติในนามคณะมิชชันนารีที่เผยแผ่ศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่นจะเข้ามก้าวก่ายกิจการภายในประเทศ จนทำให้ประเทศแตกแยกกันและทำให้อำนาจของพระองค์ลดน้อยลง ด้วยเหตุนี้องค์โชกุนจึงได้ประกาศปิดประเทศเพื่อเลิกติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตกนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1637 – 1854 ยกเว้นจีนในฐานะของมิตรเก่าและดัตช์ที่ญี่ปุ่นเห็นว่าเป็นชาติที่ไม่ชอบก้าวก่ายการเมืองภายในขององค์โชกุน ซึ่งทั้ง 2 ชาติจะได้รับอนุญาตให้เข้ามาค้าขายได้เป็นครั้งคราว

52.   โจมอนและยาโยอิเป็นภาซนะเครื่องปั้นดินเผา ส่วนทูมูลิคืออะไร

(1)   เป็นภาชนะเครื่องปั้นดินเผาเช่นกัน

(2)   เป็นเครื่องประดับอันมีค่าขององค์จักรพรรดิและเชื้อพระวงศ์ในกรุงเกียวโต

(3)   สุสานของบุคคลสำคัญของประเทศโดยเฉพาะองค์จักรพรรดิที่ได้รับอิทธิพลมาจากเกาหลี

(4)   กองกำลังหลักของกองทัพญี่ปุ่นที่ประจำการตามชายแดนในสมัยโชกุนตระกูลมินาโมโต

ตอบ 3 หน้า 124- 125 หลักฐานทางด้านโบราณคดีของญี่ปุ่นในสมัยโบราณมี 3วัฒนธรรมที่สำคัญ ได้แก่

1.     วัฒนธรรมโจมอน เป็นวัฒนธรรมเครื่องปั้นดินเผาลายเชือก ซึ่งพบมากทางภาคตะวันออกและภาคเหนือของประเทศ

2.     วัฒนธรรมยาโยอิ เป็นวัฒนธรรมที่พบมากที่เกาะคิวชิว ซึ่งหลักฐานที่สำคัญ เช่น เครื่องปั้นดินเผายาโยอิ การนำเหล็กและทองสัมฤทธิ์จากจีนมาหล่อเป็นดาบ ฯลฯ

3.     วัฒนธรรมทูมูลิ เป็นวัฒนธรรมที่รับมาจากเกาหลีโดยผ่านกลุ่มชนชั้นสูงในสังคม ซึ่งจะมีลักษณะเป็นสุสานหรือหลุมฝังศพขนาดใหญ่ที่ใช้บรรจุศพของบุคคลสำคัญของประเทศโดยเฉพาะองค์จักรพรรดิ โดยเริ่มปรากฏครั้งแรกบนเกาะคิวชิว

53.   หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นเปลี่ยนเป้าหมายของประเทศจากการพัฒนาการทหารไป่สู่ด้านใด

(1) ด้านการศึกษา    

(2) ดำเนินการผูกมิตรด้วยการคืนดินแดนที่ยึดมาได้ระหว่างสงคราม

(3) เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นสำคัญ      

(4) ผิดทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 135 – 136 ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นมุ่งขยายอำนจทางการทหารเป็นหลักแต่หลังจากพายแพ้อย่างย่อยยับในสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นก็เปลี่ยนไปพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โดยได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากสหรัฐอเมริกา ประกอบกับความสามารถของชาวญี่ปุ่นเองที่เป็นทั้งนักคิดและนักประดิษฐ์ การมีทำเลที่ตั้งที่หมาะสม การที่ญี่ปุ่นไม่นิยมสงครามเหมือนแต่กอน รวมทั้งนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มีการวางแผนไว้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ญี่ปุ่นฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและกลายเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจประเทศหนึ่ง

ของโลก (G8) ในปัจจุบัน

54.   ศาสนาพุทธนิกายเซนและลัทธิบูชิโดเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดในสมัยใด

(1) สมัยนาราและเฮอิอัน  

(2) สมัยจักรวรรดินิยมของญี่ปุ่น

(3) สมัยโชกุนเรืองอำนาจ 

(4) ทศวรรษแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 20

ตอบ 3 หน้า 129 – 131 ญี่ปุ่นในสมัยศักดินายุคแรกหรือสมัยโชกุนเรืองอำนาจได้มีความเจริญทีสำคัญดังนี้

1. เศรษฐกิจของญี่ปุ่นขึ้นอยู่กับการค้าขายและอุตสาหกรรม

2. ศาสนาพุทธนิกายเซนแพร่หลายเข้าสู่ญี่ปุ่น ซึ่งหลักคำสอนของนิกายนี้ตรงกับความต้องการของพวกซามูไร

3.     เกิดชนชั้นนักรบหรือพวกซามูไรขึ้นในสังคม ซึ่งมีหลักเกณฑ์ในการดำรงชีวิตของตนที่เรียกว่า “ลัทธิบูชิโด”       

4. เกิดความเจริญทางด้านศิลปะ การละคร และวรรณคดี

55.   ข้อใดถูกที่สุด

(1)   ศาสนาพุทธเข้าสู่จีนก่อนที่ชาวญี่ป่นจะรับนับถือลัทธิชินโต

(2)   ชาวญี่ปุ่นโบราณมีความส้มพันธ์ใกล้ชิดกับเกาหลีมาก่อนจีน

(3)   รัฐคายาที่ญี่ปุ่นเข้าไปยึดครองเป็นเวลานานถึง 500 ปี ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก

(4)   การปฏิรูปไทกาเป็นการนำคำสั่งสอนของขงจื๊อมาใช้

ตอบ 4 หน้า 127 – 128(HI 103 เลขพิมพ์ 54191 หน้า 316) ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ผู้ปกครองญี่ปุ่นเกิดความประทับใจในรูปแบบการปกครองของจีนสมัยราชวงศ์ถัง ประกอบกับได้รับอิทธิพล

จากลัทธิขงจื๊อ ทำให้ญี่ปุ่นปฏิรูปการปกครองตามแบบจีน ซึ่งที่สำคัญ ได้แก่ ธรรมนูญการปกครองบ้านเมือง 17ข้อในปี ค.ศ. 604โดยเจ้าชายโชโทกุ และการปฏิรูปไทกาในปี ค.ศ.645โดย เจ้าชายนากาโนะ โอเยะ ซึ่งมีสาระสำคัญคล้ายกันคือ ให้องค์จักรพรรดิมีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน การรวมอำนาจไว้ที่รัฐบาลกลาง การสอบแข่งขันเข้ารับราชการโดยใช้ตำราของขงจื๊อ และการแบ่งชนชั้นในสังคมตามแนวคิดในลัทธิขงจื๊อ

56.   จักรพรรดิจิมมู เทนโน สืบเชื้อสายมาจากเทพองศ์ใด

(1) เทพเจ้าผู้สร้างโลก       

(2) เทพเจ้าแห่งจักรวาล

(3) เทพเจ้าแห่งดวงอทิตย์

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 48. ประกอบ

57.   เกาหลีแตกแยกออกเป็น 2 ประเทศ หลังสงครามใด

(1) สงครามจีน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 1   

(2) สงครามโลกครั้งที่ 2

(3) สงครามเกาหลี    

(4) สงครามจีน-เกาหลี ครั้งที่ 1

ตอบ 2 หน้า 144162 ในปี ค.ศ. 1910 (ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20) เกาหลี ตกเป็นอาณานิคมของญี่ปุ่นจนถึงปี ค.ศ. 1945 เมื่อญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาหลีจึงได้รับเอกราชและตกอยู่ภายใต้การดูแลร่วมของสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกาที่พยายามให้มีการจัดตั้งรัฐบาลเกาหลีที่มีอำนาจเต็มขึ้น แต่ด้วยแนวคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต่างกัน เกาหลีจึงแตกแยกออกเป็น 2 ประเทศคือ เกาหลีเหนือ (นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์) และเกาหลีใต้ (นิยมลัทธิประชาธิปไตย) ตรงเส้นขนานที่ 38 องศาเหนือซึ่งเป็นเขตปลอดทหาร

58.   ปัจจัยด้านใดที่ทำให้เกาหลีเป็นชาติที่อ่อนแอในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกด้วยกัน

(1) ด้านการต่างประเทศ

(2) ด้านภูมิศาสตร์    

(3) ด้านการศึกษา    

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 141144(HI 103 เลขพิมพ์ 54191 หน้า 330) ด้วยเหตุที่สภาพทางภูมิศาสตร์ของเกาหลีเป็นคาบสมุทรที่ล้อมรอบไปด้วยประเทศมหาอำนาจ 3 ชาติ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และรัสเซีย รวมทั้งอาณาจักรโบราณของชนเผ่าเร่ร่อนทางภาคเหนือ ตลอดจนความสำคัญทางจุดยุทธศาสตร์ ทำให้เกาหลีต้องตกเป็นสมรภูมิรบหลายครั้ง แม้เกาหลีจะพยายามหลีกเลี่ยงสงครามด้วยการใช้นโยบายแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวและยึดมั่นในสันติภาพจนได้รับสมญานามว่า “รัฐฤๅษี” แต่เกาหลีก็ไม่เคยพบกับความสงบ ถ้าไม่ตกเป็นอาณานิคม ก็ต้องสูญเสียอำนาจอธิปไตยไป ส่งผลให้เกาหลีกลายเป็นประเทศที่อ่อนแอเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกด้วยกัน

59.   คิม จองอึน คือใคร

(1) ประธานาธิบดีของเกาหลีใต้ 

(2) นายกรัฐมนตริของเกาหลีใต้

(3) ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ   

(4) ประธานพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลี

ตอบ 3 (คำบรรยาย) คิม จองอึน เป็นผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือคนปัจจุบัน โดยดำรงตำแหน่งหลังจากที่นายคิม จองอิล ผู้เป็นบิดาถึงแก่อสัญกรรม โดยคิม จองอึน ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพประชาชนเกาหลีอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ทั้งนี้เขาได้เป็นผู้ริเริ่มการเปลี่ยนแปลงนโยบายใหม่ ๆ หลายอย่งในเกาหลีเหนือ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้แก่ประเทศ รวมทั้งมุ่งพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจของประเทศเป็นสำคัญ

60.   ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 เกาหลีตกเป็นอาณานิคมของใคร

(1) จีน     

(2) ญี่ปุ่น 

(3) สหรัฐอเมริกา     

(4) อังกฤษ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ

61.   ข้อใดต่อไปนี้ไม่ได้หมายถึง เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) มีหลายชาติพันธุ์ 

(2) ดินแดนแห่งเครื่องทศ

(3) ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมจากอินเดียมากที่สุด 

(4) อยู่ติดมหาสมุทรแอตแลนติก

ตอบ 4 หน้า 255270 – 271273 – 275323 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asia) หมายถึง ดินแดนในเอเชียตะวันออกส่วนที่อยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่ซึ่งเป็นแหลมอินโดจีนและดินแดนที่เป็นหมู่เกาะต่าง ๆ ซึ่งกระจายอยู่ทั้งในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกนอกจากนี้ยังเป็นดินแดนที่มีประชากรหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่ เป็นแหล่งที่มาของเครื่องเทศโดยเฉพาะในหมู่เกาะต่าง ๆ รวมทั้งเป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ระหว่างอินเดียและจีน จึงเป็นแหล่งรับวัฒนธรรมจากทั้ง 2 ประเทศ โดยดินแดนต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้จะได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดียเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นเวียดนามเพียงประเทศเดียวที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีน

62.   แม่นํ้าสายใดยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) แม่นํ้าโขง   

(2)   แม่นํ้าเจ้าพระยา

(3)   แม่นํ้าอิระวดี    

(4) แม่นํ้าแดง

ตอบ 1 หน้า 256 – 257542 (เล่มเก่า) แม่น้ำโขง ถือว่าเป็นแม่นํ้าสายที่ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหิมาลัย เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านหลายประเทศ ได้แก่ จีน ลาว พม่า ไทย กัมพูชา และไหลลงสู่ทะเลจีนใต้ที่เวียดนาม นอกจากนี้ยังเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างไทยกับลาวอีกด้วย

63.   แม่นํ้าสำคัญของประเทศลาว คือแม่น้ำสายใด

(1) แม่นํ้าโขง   

(2)   แม่น้ำแดง

(3)   แม่นํ้าดำ  

(4) แม่นํ้าสาละวิน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 62.  ประกอบ

64.   ภาษาใดจัดอยู่ในกลุ่ม AustroAsiatic

(1) ภาษาพม่า  

(2)   ภาษาไทย 

(3)   ภาษาจีน  

(4) ภาษามอญ

ตอบ 4 หน้า 259 ประชากรของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบ่งออกตามภาษาพูดได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้

1.     กลุ่มพูดภาษาตระกูล SinoTibetan ได้แก่ ภาษาจีน ภาษาทิเบต-พม่า ภาษากะเหรี่ยง และภาษาแม้ว-เย้า

2.     กลุ่มพูดภาษาตระกูล TaiKadai ได้แก่ ภาษาไทหรือไต และกาษากะได สำหรับภาษาไทยในปัจจุบันก็จัดอยู่ในตระกูลนี้ด้วย

3.     กลุ่มพูดภาษาตระกูล AustroAsiatic ได้แก่ ภาษามอญ-เขมร ภาษาเวียด-มวง และภาษาเซนอย-เซมัง

4.     กลุ่มพูดภาษาตระกูล Austronesian หรือ MalayoPolynesian ได้แก่ ภาษาจาม และภาษามาเลย์

65.   ภาษาไทยจัดอยู่ในกลุ่มตระกูลภาษาใด

(1) SinoTibetan

(2) TaiKadai  

(3) AustroAsiatic

(4) Malayo-Polynesian

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 64. ประกอบ

66.   ประชากรกลุ่มมองโกลอยด์เหนือมีลักษณะทางกายภาพแบบใด

(1) ตัวเตี้ย ผิวดำ ผมหยิก  

(2)   ตัวสูง ผิวขาว ผมหยิก

(3) ตัวเล็ก ผิวขาวเหลือง ผมเหยียดตรง      

(4)   ตัวสูง ผิวดำ ผมหยิก

ตอบ 3 หน้า 543 (เล่มเก่า)(คำบรรยาย) ประชากรของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบ่งออกตามลักษณะทางกายภาพได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้

1.     ออสตราลอยด์ (Australoidเป็นประชากรเชื้อสายอินโดนีเซีย-มาเลเซียที่อาศัยอยู่ตามหมู่เกาะฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ส่วนใหญ่จะตัวเตี้ย ผิวดำ และผมหยิก

2.     มองโกลอยด์ (Mongoloidเป็นกลุ่มชนมองโกลอยด์เหนือที่อพยพมาจากตอนเหนือของจีนแล้วเข้ามาอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่ของภูมิภาคนี้ เช่น ชาวไทย ลาว พม่า ฯลฯ ส่วนใหญ่จะตัวเล็ก ผิวขาวเหลือง และผมเหยียดตรง

67.   ทะเลอันดามันเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรใด

(1) มหาสมุทรอินเดีย

(2)   มหาสมุทรแปซิฟิก

(3) มหาสมุทรอาร์กติก     

(4)   มหาสมุทรแอตแลนติก

ตอบ 1 หน้า 541 (เล่มเก่า)(คำบรรยาย) ดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เปรียบเสมือนเป็นกำแพงที่แบ่งเขตมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกออกจากกัน โดยทางฝั่งตะวันตก ได้แก่ ทะเลอันดามันของไทย ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรอินเดีย ส่วนทางฝั่งตะวันออก ได้แก่ อ่าวไทยและทะเลจีนใต้ ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิก

68.   วัฒนธรรมฟิงนอยเอียน เป็นวัฒนธรรมหินเก่าที่อยู่ในประเทศใด

(1) พม่า  

(2) ลาว   

(3) เวียดนาม   

(4) ไทย

ตอบ 4 หน้า 266 ยุคหินเก่า มีอายุประมาณ 500,000 – 10,000 ปีมาแล้ว วัฒนธรรมหินเก่าใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีชื่อวัฒนธรรมแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศตามสถานที่ที่พบก่อ ได้แก่ วัฒนธรรมอันยาเธียนในพม่า วัฒนธรรมฟิงนอยเอียนในไทย วัฒนธรรมแทมปาเนียน ในมาเลเซีย และวัฒนธรรมปัตจิตาเนียนในอินโดนีเซีย

69.   ข้อใดต่อไปนี้ไม่ได้หมายถึงมนุษย์ชวา

(1) ค้นพบโดย อูยีน ดูบัว ศัลยแพทย์ชาวฮอลันดา

(2) ยืนสองขา

(3) ความจุสมองเท่ามนุษย์ในปัจจุบัน 

(4) เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์

ตอบ 3 หน้า 266 – 267548 (เล่มเก่า) ในปี ค.ศ. 1891 อูยีน ดูบัว (Eugene Duboisศัลยแพทย์าวออลันดา ได้ค้นพบซากฟอลซิลของมนุษย์โฮโม อีเรคตัส (Homo erectusหรือมนุษย์ชวาบริเวณเกาะชวาประเทศอินโดนีเซียเป็นครั้งแรกโดยนักมานุษยวิทยาได้จัดมนุษย์ชวาที่ขุดพบนี้ว่าเป็นมนุษย์วานร (Pithecanthropusซึ่งเป็นบรรพบุรุษเริมแรกของมนุษย์ โดยสามารถยืนสองขาได้ แต่มีขนาดของสมองเล็กกว่ามนุษย์ในปัจจุบัน และมีชีวีตอยู่ในยุคน้ำแข็งตอนต้น

70.   ข้อใดคือวัฒนธรรมยุคหินใหม่

(1) เพาะปลูก-เลี้ยงสัตว์     

(2) เคลื่อนย้ายตามฤดูกาล

(3) อาศัยอยู่ตามถํ้า   

(4) ใช้เครื่องมือหินกะเทาะ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

71.   ข้อใดไมใช่วัฒนธรรมของอินเดียที่เข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) พระพุทธศาสนา 

(2) ศาสนาคริสต์      

(3)   ภาษาสันสกฤต  

(4) ภาษาบาลี

ตอบ 2 หน้า 273 – 274 วัฒนธรรมอินเดียที่แพร่เข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ระบบเหรียญกษาปณ์ ระบบตราประทับ เทคนิคการใช้อิฐหรือหินเพื่อใช้ก่อสร้างศาสนสถาน ศาสนวัตถุ และศิลปกรรมต่าง ๆ รูปแบบของเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องประดับ และอุปกรณ์กีฬาบางประเภท ระบบการปกครอง ศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ รวมทั้งภาษาสันสกฤต ภาษาบาลี และรูปแบบตัวอักษร

72.   อิทธิพลจีนส่งผลแก่วัฒนธรรมของชาติใดมากที่สุด

(1) ฟิลิปปินส์   

(2) เวียดนาม   

(3)   กัมพูชา    

(4) มาเลเซีย

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

73.   ตามความเชื่อของชาวฟูนันเชื่อว่ากษัตริย์อยู่ในฐานะใด

(1) เจ้าแห่งแม่นํ้า     

(2) เจ้าแห่งป่าไม้     

(3)   เจ้าแห่งภูเขา    

(4) เจ้าแห่งสุวรรณภูมิ

ตอบ 3 หน้า 279 – 281568 (เล่มเก่า) จากเอกสารของจีนได้บันทึกเอาไว้ว่า ฟูนันเป็นอาณาจักร ที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยชาวอินเดียชื่อ โกณฑัญญะ มีเมืองหลวงชื่อ วยาธปุระ มีเมืองท่าทีสำคัญคือ เมืองออกแก้ว และมีศูนย์กลางของอาณาจักรอยู่ทางตอนใต้องประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน ทั้งนี้คำว่า “ฟูนัน” เป็นการเรียกตามแบบจีน หากเป็นภาษาเขมรจะเรียกร่า บนัมหรือพนม” แปลว่า ภูเขา และชาวฟูนันจะเรียกประมุขว่า “กรุง บบัม” แปลว่า กษัตริย์แห่งภูเขา เนื่องจากชาวฟูนันเชื่อว่ากษัตริย์จะอยู่ในฐานะเจ้าแห่งภูเขา (Kings of the Mountainsหรือไศลราชา

74.   เมืองหลวงของฟูนันคือเมืองใด

(1) เมืองออกแก้ว     

(2) เมืองวยาธปุระ    

(3) เมืองนครปฐม    

(4) เมืองบิญดิ่น

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 73. ประกอบ

75.   กษัตริย์องค์ใดของเขมรที่เป็นผู้สร้างปราสาทนครวัด

(1) พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 

(2) พระเจ้าชัยวรมันที่ 2

(3) พระเจ้าชัยวรมันที่ 7    

(4) พระเจ้าอีศานวรมัน

ตอบ 1 หน้า 286 ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 17 พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ได้ขยายอาณาเขตออกไปด้วยการทำสงครามและเข้ายึดอาณาจักรจามปา ทรงเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่ และได้สร้าง ปราสาทนครวัดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นสุดยอดของสถาปัตยกรรมเขมรและเป็นสัญลักษณ์แห่งพระราชอำนาจของพระองค์ที่เมืองพระนคร

76.   ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่กลุ่มเมืองมอญ

(1) พะโค 

(2) สะเทิม

(3) เมาะตะมะ  

(4) พุกาม

ตอบ 4 หน้า 292 – 294. 299 กลุ่มชนเชื้อชาติมอญได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณพม่าตอนล่างด้านตะวันออกของแม่นํ้าอิระวดี ซึ่งชาวพม่าจะเรียกพวกมอญว่า “เตลง” ทั้งนี้พวกมอญได้ตั้งเมืองหลวง อยู่ที่เมืองสะเทิมหรือเมืองสุธรรมวดี บริเวณปากอ่าวเมืองเมาะตะมะชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของประเทศพม่า ต่อมาเมื่อมอญถูกชนชาติพม่ารุกราน จึงถอยร่นลงมาอยู่ทางตอนใต้และสถาปนารัฐของตนขึ้นมาใหม่ที่เมืองพะโคหรือเมืองหงสาวดีในปี พ.ศ. 1368

77.   ตามบันทึกของจีน ชาวจามมีลักษณะอย่างไร

(1) ผิวขาว ผมเหยียดตรง  

(2) ตาลึก ผมดำ

(3) ตาโต ผิวขาว      

(4) ตัวใหญ่ ผมเหยียดตรง

ตอบ 2 หน้า 287 ตามบันทึกของจีนระบุว่า อาณาจักรจามปาหรือลินยี่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอาณาจักรจีนหรือบริเวณตอนกลางของเวียดนาม และอยู่ทางภาคเหนือของอาณาจักรฟูนัน ซึ่งในปัจจุบันก็คือบริเวณที่เป็นเมืองเว้ เมืองกวังนัม เมืองถัวเถียน เมืองผันรัง และเมืองญาตรังของเวียดนาม ทั้งนี้ลักษณะของชาวจามโดยทั่วไปจะมีลูกตาลึก จมูกเป็นสันโด่ง ผมดำและหยิก

78.   สถาปัตยกรรมที่สำคัญของราชวงศ์สัญไชยแห่งชวา คือข้อใด

(1) ปราสาทนครวัด  

(2) บุโรพุทโธ  

(3) ปรันบานัน 

(4) อานันทะเจดีย์

ตอบ 3 หน้า 313(คำบรรยาย) ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 14 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในอาณาจักรชวาภาคกลาง กล่าวคือ ราชวงศ์สัญชัยสามารถแยกตัวออกจากอำนาจของราชวงศ์ไศเลนทร์ได้สำเร็จ และสามารถยึดอาณาจักรชวาจากราชวงศ์ไศเลนทร์กลับคืนมาได้ เมื่อราชวงศ์สัญชัยขึ้นมามีอำนาจ ทำให้ศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกายเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง และสร้างศาสนสถานที่สวยงามไม่แพ้บุโรพุทโธ ได้แก่ เทวาลัยปรัมบานัน ซึ่งใช้เป็นสุสานบรรจุพระศพของกษัตริย์และสมาชิกในพระราชวงศ์

79.   ข้อใดกล่าวถึงอาณาจักรทวารวดีไม่ถูกต้อง

(1) ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากอินเดีย

(2) นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาท

(3) ศูนย์กลางอยู่ในเขตภาคกลางของประเทศไทย

(4) ขยายอิทธิพลทางวัฒนธรรมไปไกลจนถึงเขมร

ตอบ 4 หน้า 301 – 303 ทวารวดีเป็นอาณาจักรแรกที่มีศูนย์กลางอยู่บริเวณลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยาในเขตภาคกลางของประเทศไทย รวมทั้งเป็นอาณาจักรที่มีการติดต่อและรับวัฒนธรรมจากอินเดียโดยชาวทวารวดีส่วนใหญ่จะนับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาท แต่ก็พบว่ามีบางกลุ่มที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูทั้งลัทธิไศวนิกายและลัทธิไวษณพนิกาย ต่อมาเมื่อเขมรเข้าสู่สมัยเมืองพระนคร ทวารวดีก็ถูกเขมรเข้าครอบงำทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม

80.   ข้อใดไม่ใช่แรงจูงใจที่ทำให้ชาวยุโรปเดินทางเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) ทาส   

(2) การสำรวจดินแดนใหม่

(3) การค้า

(4) การเผยแผ่ศาสนาคริสต์

ตอบ 1 หน้า 323 – 324591 – 592 (เล่มเก่า)(คำบรรยาย) แรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ชาวยุโรปเดินทางเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีดังนี้

1. เอเชียตะวันออกเฉียงต้มีชื่อเสียงในเรื่องความมั่งคั่ง

2.ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมและผูกขาดการค้าเครื่องเทศ       

3. ต้องการเผยแผ่ศาสนาคริสต์

4.ชาวยุโรปมีความสามารถในการต่อเรือที่ดีขึ้น ทำให้เกิดความมั่นใจในการเดินทางข้ามมหาสมุทรเพื่อสำรวจเส้นทางการค้าและดินแดนใหม่

5. ต้องการแสวงหาความมั่งคั่งทางวัตถุโดยเฉพาะทองคำ

6. ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้ต้องการแสวงหาแหล่งวัตถุดิบเพิ่มขึ้น และหาตลาดเพื่อระบายสินค้าที่ผลิตได้ ทั้งนี้โปรตุเกสเป็นชาวยุโรปชาติแรกที่เดินทางเข้ามายังภูมิภาคนี้ ตามมาด้วยสเปน ดัตช์ และอังกฤษ

81.   ชาวยุโรปชาติใดเดินทางเข้ามาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นชาติแรก

(1) สเปน 

(2) โปรตุเกส   

(3) ดัตช์   

(4) อังกฤษ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 80. ประกอบ

82.   ศูนย์กลางของสเตรทเซทเทิลเมนท์ของอังกฤษอยู่ที่ใด

(1) สิงคโปร์     

(2)   ปีนัง 

(3)   มะละกา    

(4)   พม่า

ตอบ 2 หน้า 336 หลักจากที่อังกฤษสามารถเข้ายึดครองปีนัง มะละกา และสิงคโปร์ได้สำเร็จแล้วในปี พ.ศ. 2373 อังกฤษจึงประกาศรวมอาณานิคมบริเวณคาบสมุทรมลายู อันได้แก่ สิงคโปร์ ปีนัง และมะละกา เข้าเป็น “สเตรทเซทเทิลเมนท์” (The Straits Settlementโดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เกาะปีนัง

83.   ชาวยุโรปชาติใดที่ประสบความสำเร็จในด้านการเลิกทาสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) โปรตุเกส   

(2)   สเปน       

(3)   ดัตช์ 

(4)   ฝรั่งเศส

ตอบ 2 หน้า 330 หลังจากที่สเปนได้เข้าปกครองฟิลิปปินส์แล้ว สเปนได้ออกกฎหมายห้ามการมีทาสจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2132 จึงได้ยกเลิกทาสทั่วไปในฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นการลดอำนาจของกลุ่มเจ้านายชนพื้นเมือง ดังนั้นจึงถือว่าสเปนเป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จในด้านการเลิกทาสในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

84.   ดัตช์ได้ใช้นโยบายใดเพื่อปรับปรุงสวัสดิการคนพื้นเมืองในบังคับให้ดีขึ้น

(1)   Culture System        

(2)   Encomienda   

(3)   Ethical Policy  

(4)   ไม่มีข้อถูก

ตอบ 3 หน้า 334 ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ดัตช์ได้มีการปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจบนเกาะชวาของอินโดนีเซีย เรียกว่า “Ethical Policy” ซึ่งเป็นนโยบายที่จัดการบริการสวัสดิการสาธารณะให้มากขึ้น โดยดัตช์ได้นำเงินมาบำรุงการศึกษา สาธารณสุข การเกษตร และการคมนาคม ซึ่งต่อมาชาวอินโดนีเซียที่มีการศึกษาไม่พอใจที่ไม่มีสิทธิในการปกครองประเทศ ระบบนี้จึงเป็นแรงกระตุ้นประการหนึ่งที่ทำให้เกิดลัทธิชาตินิยมในอินโดนีเซีย

85.   ข้อใดต่อไปนี้ไมได้หมายถึง เฟอร์ดินาล แมกเจลแลน

(1) เป็นนักเดินเรือชาวโปรตุเกส

(2)   เป็นผู้เดินทางมาถึงฟิลิปปินส์     

(3) เป็นผู้เดินทางรอบโลกได้สำเร็จเป็นคนแรก

(4)   เป็นผู้ทำให้ชาวสเปนถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมากในฟิลิปปินส์

ตอบ 1 หน้า 328 – 329600 (เล่มเก่า) เฟอร์ดินาล แมกเจลแลน เป็นนักเดินเรือชาวสเปนที่สามารถเดินทางรอบโลกได้สำเร็จเป็นคนแรก โดยในปี พ.ศ. 2055 แมกเจลแลนได้เดินทางมาถึงหมู่เกาะวิสายะของฟิลิปปินส์ตามคำสั่งของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งสเปน ที่ให้ค้นหาเส้นทางมายังหมู่เกาะเครื่องเทศและยึดดินแดนที่ค้นพบ ต่อมาเขาได้เดินทางมาถึงเกาะลิมาซาวาและเกาะเซบูโดยได้ผูกมิตรกับหัวหน้าเกาะทั้งสอง และที่เกาะเซบูเขาได้เข้าไปแทรกแซงการเมืองภายในหมู่เกาะทำให้คนพื้นเมืองไม่พอใจ ส่งผลให้แมกเจลแลนและชาวสเปนจำนวนมากถูกฆ่าตายในฟิลิปปินส์

86.   ข้อใดหมายถึงสนธิสัญญาซารากอสสา

(1)   สนธิสัญญาที่กำหนดเส้นแบ่งดินแดนเพื่อแบ่งเขตผลประโยชน์ของโปรตุเกสกับสเปน

(2)   สนธิสัญญาที่ให้สเปนกับโปรตุเกสออกสำรวจดินแดนต่าง ๆ คนละเส้นทางกัน

(3)   สนธิสัญญาที่โปรตุเกสทำกับชาวพื้นเมืองเพื่อผูกขาดการค้าเครื่องเทศ

(4)   สนธิสัญญาที่ดัตช์ทำกับชาวพื้นเมืองเพื่อผูกขาดการค้าเครื่องเทศ

ตอบ 1 หน้า 328 ด้วยเหตุที่ทั่งสเปนและโปรตุเกสต่างก็ต้องการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ในปี พ.ศ. 2072 สเปนและโปรตุเกสได้ทำ “สนธิสัญญาซารากอสสา” ระหว่างกัน โดยมีการกำหนดเส้นแบ่งดินแดนเพื่อกำหนดเขตผลประโยชน์ของทั้ง 2 ฝ่ายให้ชัดเจน

 

ตั้งแต่ข้อ 87. – 90. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) ระบบวันดาลา     

(2) ระบบการเพาะปลูก

(3)   ระบบโปโล       

(4) ระบบเอ็นคอมเมียนดา

87.   ระบบการเกณฑ์แรงงานชาวพื้นเมีองที่สเปนนำมาใช้กับฟิลิปปินส์

ตอบ 3 หน้า 330 การที่สเปนได้จัดระบบชนชั้นในสังคมของฟิลิปปินส์ใหม่ ทำให้สเปนสามารถแสวงหาผลประโยชน์จากชาวพื้นเมืองได้โดยผ่าน 2 ระบบ ดังนี้

1.     ระบบโปโล (Polo Systemเป็นระบบเกณฑ์แรงงานที่ให้ชาวพื้นเมืองทุกคนยกเว้นหัวหน้าเผ่าและลูกชายคนแรกของหัวหน้าเผ่า ต้องอุทิศแรงงานให้ทางราชการ

2.     ระบบวันดาลา (Vandala Systemเป็นระบบบังคับซื้อสินค้ โดยบังคับให้ชาวพื้นเมืองขายสินค้าให้สเปนในราคาต่ำ

88.   ระบบการถือครองที่ดินที่สเปนนำมาใช้กับฟิลิปปินส์

ตอบ 4 หน้า 330 ระบบเอ็นคอมเมียนดา (Encomiendaคือ ระบบการถือครองที่ดินที่สเปนนำมาใช้ในฟิลิปปินส์ โดยให้ผู้มีสิทธิ์ถือครองที่ดินที่เรียกว่า “เอ็นคอมเมียนโดโรส”(Encomiendorosเรียกเก็บผลประโยชน์จากบุคคลที่เข้ามาทำมาหากินในที่ดินของตนได้ แต่ผู้เข้ามาทำกินในที่ดินนี้จะต้องนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก

89.   ระบบที่บังคับให้ชาวพื้นเมืองขายสินค้าให้สเปนในราคาตํ่า

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 87. ประกอบ

90.   ระบบที่จัดสรรพื้นที่สำหรับปลูกพืชที่เป็นสินค้าส่งออกที่รัฐบาลต้องการ

ตอบ 2 หน้า 334 ในพุทธศตวรรษที่ 24 ดัตช์ได้นำระบบวัฒนธรรม (Culture Systemหรือระบบการเพาะปลูก (Cultivation Systemมาใช้แสวงหากำไรในเกาะชวา โดยผู้ที่เสนอระบบนี้คือ โยฮานเนส วาน เดน บอสช์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าหลวงใหญ่ โดยระบบนี้เป็นการสนับสนุนให้ทุกหมู่บ้านจัดสรรพื้นที่สำหรับเพาะปลูกพืชที่เป็นสินค้าส่งออกที่รัฐบาลต้องการ เช่น อ้อย กาแฟ คราม ฯลฯ เพื่อจ่ายเป็นภาษีให้แก่รัฐบาลอาณานิคม จากนั้นรัฐก็จะนำสินค้าดังกล่าวไปขายในยุโรป

91.   กลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้ที่ไม่มีทางออกสู่ทะเลมีกี่ประเทศ

(1) หนึ่งประเทศ       

(2) สองประเทศ

(3) สามประเทศ

(4) สี่ประเทศ

ตอบ 2 หน้า 171(คำบรรยาย) ภูมิภาคเอเชียใต้ (South Asiaคือ ดินแดนที่ตั้งอยู่ระหว่างเอเชียตะวันตกเฉียงใต้กับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันประกอบด้วยประเทศต่าง ๆ 7 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ เนปาล ภูฏาน ศรีลังกา และมัลดีฟส์ ซึ่งประเทศที่ไม่มีพื้นที่ติดทะเลมี 2 ประเทศคือ เนปาล และภูฏาน ส่วนประเทศที่มีลักษณะเป็นเกาะมี 2 ประเทศคือ ศรีลังกา และมัลดิฟส์

92.   กลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้ที่มีลักษณะเป็นเกาะมีกี่ประเทศ

(1) หนึ่งประเทศ       

(2) สองประเทศ

(3) สามประเทศ

(4) สี่ประเทศ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 91. ประกอบ

93.   เมื่อเปรียบเทียบความเจริญของแหล่งอารยธรรมเริ่มแรกของโลกพบว่าอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุมีความเจริญสูงสุดด้านใด

(1)ด้านการชลประทาน     

(2) ด้านการแพทย์    

(3) ด้านสุขาภิบาล    

(4)   ด้านเกษตรกรรม

ตอบ 3 หน้า 183 – 186188(คำบรรยาย) ความเจริญของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ มีดังนี้

1.     เป็นสังคมเมืองที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลกโบราณ

2. เป็นชนกลุ่มแรกของโลกที่รู้จักจัดห้องน้ำแบบยืนตักอาบและทำท่อระบายน้ำทิ้ง ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีความเจริญสูงสุดด้านสุขาภิบาลและด้านสาธารณสุข

3. รู้จักทอผ้าฝ้ายเพื่อทำเป็นเครื่องนุ่งห่ม

4.     มีการทำอาวุธและเครื่องมือเครื่องใช้จากทองแดง ทองคำ เงิน สำริด หรือหินมีค่าโดยไม่พบวัตถุใดที่ทำด้วยเหล็ก ฯลฯ

94.   ผู้สร้างอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุมีผิวพรรณเหมือนใครมากที่สุด

(1) แอนนา วินทัวร์  

(2)   วีเจย์ ซิงห์ 

(3) มาเรีย ซาราโปวา

(4)   โรเจอร์ เฟเดอเรอร์

ตอบ 2 หน้า 174183188 อารยธรรมลุ่มแม่นํ้าสินธุเป็บอารยธรรมเริ่มแรกของเอเชียใต้และของโลกโดยเป็นอารยธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 5,000 ปีมาแล้ว ทั้งนี้ชนชาติที่เป็นผู้สร้างอารยธรรมลุ่มแม่นํ้าสินธุคือ พวกทราวิฑหรือดราวิเดียน (Dravidiansซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเดิมของอินเดีย โดยพวกทราวิฑจะมีผิวดำ ตัวเล็ก และจมูกกว้าง หรือที่รู้จักกันในชื่อ“ทัสยุหรือมิลักขะ” ปัจจุบันอาศัยอยู่ทางตอบใต้ของอินเดียและเกาะศรีลังกา ซึ่งตัวอย่างของผู้ที่มีผิวพรรณเหมือนพวกทราวิฑ ได้แก่ วิเจย์ ซิงห์ เป็นต้น

95.   มรดกด้านอารยธรรมของลุ่มแม่นํ้าสินธุที่ตกทอดมายังอินเดียรุ่นหลังได้แก่เรื่องใด

(1) ตัวอักษร    

(2) ศาสนา       

(3) ระบบวรรณะ      

(4) การปกครอง

ตอบ 2 หน้า 183186 – 188 มรดกด้านอารยธรรมของลุ่มแม่นํ้าสินธุที่ตกทอดถึงอินเดียรุ่นหลังที่สำคัญที่สุด ก็คือ ความเชื่อทางศาสนา เช่น การนับถือเจ้าแม่หรือมหามาตา การบูชาพระศิวะและศิวลึงค์ การบูชาวัวตัวผู้ การบูชาต้นโพธิ์และต้นไทร เป็นต้น ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าชาวฮินดูสมัยใหม่เป็นหนี้ชาวสินธุอยู่มาก

96.   ถ้าจัดนักรบซามูไรของญี่ปุนโบราณเข้ามาอยูใบระบบวรรณะของอินเดียโบราณ ควรจัดไว้ในวรรณะใด

(1) พราหมณ์   

(2) กษัตริย์      

(3) แพศย์

(4) ศูทร

ตอบ 2 หน้า 195 – 196 ในเรื่องระบบวรรณะของสังคมอินเดียโบราณจะเป็นไปตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งเชื่อว่า พระพรหมเป็นผู้สร้าง โดยทรงสร้างมนุษย์เพื่อสันติจากอวัยวะของพระองค์ 4 ส่วน ได้แก่

1.     วรรณะพราหมณ์ (สร้างจากพระโอษฐ์หรือปาก) จัดเป็นชนชั้นสูงสุดของสังคม ได้แก่ นักบวช นักปราชญ์ และครูอาจารย์ สีประจำวรรณะคือ สีขาว

2.     วรรณะกษัตริย์ (สร้างจากพระพาหาหรือแขน) ได้แก่ นักปกครอง ทหารหรือนักรบและตำรวจ สีประจำวรรณะคือ สีแดง

3.     วรรณะแพศย์หรือไวศยะ (สร้างจากพระโสณีหรือสะโพก) ได้แก่ เกษตรกร พ่อค้า นายธนาคาร ฯลฯ สีประจำวรรณะคือ สีเหลือง

4.     วรรณะศูทร (สร้างจากพระบาทหรือเท้า) จัดเป็นชนชั้นตํ่าสุดของสังคม ได้แก่ พวกกรรมกรและข้าหรือทาส สีประจำวรรณะคือ สีดำ

97.   การจัดคนเข้าอยู่ในหลักอาศรม 4 ของอินเดียโบราณเพื่อวัตถุประสงค์ใด

(1) กำหนดหน้าที่     

(2) กำหนดอาชีพ     

(3) กำหนดภูมิลำเนา

(4) กำหนดศาสนา

ตอบ 1 หน้า 199 หลักอาศรม 4 ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ได้แบ่งชีวิตคนออกเป็น 4 วัยเพื่อให้คนในแต่ละอาศรมทำหน้าที่ให้เหมาะกับวัย ดังนี้

1.     พรหมจรรยาศรมหรือพรหมจารี (อายุ 1 – 25 ปี) เป็นวัยแห่งการศึกษา

2.     คฤหัสถาศรมหรือคฤหัสถ์(อายุ 26-50 ปี)เป็นวัยแห่งการครองเรือนหรือการแต่งงานมีครอบครัว (ปัจจุบันไทเกอร์วูดส์อดีตนักกอล์ฟมือหนี่งของโลกมีอายุ 37 ปีดังนั้นจึงจัดอยู่ในกลุ่มนี้)

3.     วานปรัสถาศรมหรือวานปรัสถ์ (อายุ 51 – 75 ปี) เป็นวัยแห่งการบริการสังคม

4.     สันยัสตาศรมหรือสันยาสี (อายุ 76 – 100 ปี) เป็นวัยแห่งการกระทำเพื่อมนุษยชาติโดยการออกบวชตลอดชีพเพื่อแสวงหาโมกษะ

98.   ถ้าจัดไทเกอร์ วูดส์ อดีตนักกอถ์ฟมือหนึ่งของโลกเข้าอยู่ในหลักอาศรม 4 ควรจัดไว้ไนอาศรมใด

(1) พรหมจรรยาศรม

(2)   คฤหัสถาศรม    

(3)   วานปรัสถาศรม

(4)   สันยัสตาศรม

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 97.  ประกอบ

99.   ภาษาใดของอินเดียในปัจจุบันที่มีผู้พูดได้มากที่สุด

(1) อูรดู   

(2)   ฮินดี

(3)   เบงกาลี    

(4)   บาลี

ตอบ 2 หน้า 175 – 176(คำบรรยาย) อินเดียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางด้านภาษาโดยมีภาษาพูดกว่า 200 ภาษา และหากนับรวมภาษาถิ่นด้วยจะมีราว 800 ภาษา ทั้งนี้ภาษาต่าง ๆ ที่ใช้กันอยู่ในอินเดียปัจจุบันจะเป็นภาษาอินโด-อารยันสมัยใหม่ที่ถือกำเนิดมาจากภาษาสันสกฤต เช่น ภาษาฮินดี อูรดู เบงกาลี คุชราตี ฯลฯ โดยภาษาที่คนอินเดียพูดและใช้กันมากที่สุดในปัจจุบันคือภาษาฮินดี รองลงมาได้แก่ภาษาอรดู และภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาราชการทีใช้สอนในมหาวิทยาลัย

100. ศาสนาสิกข์เกิดจากการนำเอาหลักคำสอนของศาสนาคู่ใดมาผสมผสานกัน

(1)   ฮินดู/พุทธ

(2)   ฮินดู/อิสลาม     

(3)   เชน/พุทธ 

(4)   คู่อื่น

ตอบ 2 หน้า 222 ศาสนาสิกข์ เป็นศาสนาใหม่ที่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์มุสลิมเติร์ก โดยมีศาสดาองค์แรกคือ คุรุนานัก ซึ่งหลักการของศาสนาสิกข์คือ ต้องการผสมผสานคาสนาฮินดูกับศาสนาอิสลามเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างความกลมเกลียวให้เกิดขึ้นในสังคม โดยคำสอนสำคัญจะเน้นเรื่องพระเจ้าองค์เดียว และปฏิเสธการถือชั้นวรรณะ

101. คำสอนเรื่องใดที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงปฏิเสธ

(1) ระบบวรรณะ

(2) พรหมลิขิต 

(3) กฎแห่งกรรม      

(4) แม่น้ำคงคาศักดิ์สิทธิ์ล้างบาปได้

ตอบ 3 หน้า 203 – 207 ศาสนาพุทธเป็นศาสนาลำดับที่ 3 ที่เกิดขึ้นในอินเดีย โดยเป็นศาสนาที่มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะสอนด้วยหลักเหตุและผลที่สามารถทดสอบความจริงได้ด้วยตนเอง นอกจากนี้ยังเชื่อในเรื่องกฎแห่งกรรม นั่นคือ สิ่งที่ทำให้มนุษย์สุขหรือทุกข์หรือทำให้คนเราเกิดมาไม่เท่าเทียมกัน เป็นผลมาจากการกระทำหรือความประพฤติของเราเอง ซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยไม่ใช่ผลของกรรมเก่า (ส่วนความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในเรื่องระบบวรรณะ พระเจ้าสร้างโลก พรหมลิขิต การฆ่าสัตว์บูชายัญ การสวดอ้อนวอนหรือบวงสรวงเพื่อขอพรจากพระเจ้า และการล้างบาปในแม่นำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธ)

102. พุทธศาสนาเริ่มเผยแผ่ออกบอกประเทศอินเดียครั้งแรกในสมัยใด

(1) พระเจ้าจันทรคุปต์      

(2) พระเจ้าพิมพิสาร

(3) พระเจ้ามิลินท์     

(4พระเจ้าอโศก

ตอบ 4 หน้า 214 – 217 พระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์เมารยะหรือโมริยะทรงมีพระราชกรณียกิจที่สำคัญดังนี้     

1. ทรงใช้อำนาจปกครองราษฎรแบบพ่อปกครองลูกและทรงเป็นธรรมราชา

2. ทรงเป็นนักปฏิบัติธรรม 

3. ทรงเปลี่ยนจากนโยบายการขยายอำนาจโดยการรุกรานมาเป็นนโยบายสันติภาพ โดยส่งสมณทูตออกไปเผยแผ่พุทธศาสนารวม 9 สายไปทั่วอินเดียทุกภาคและออกนอกประเทศอินเดียเป็นครั้งแรก

4.     ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกของพุทธศาสนา จนทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองที่สุดในยุคนี้ เช่น โปรดให้สร้างพระธรรมจักรขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทบพระธรรมคำสอน มีการสร้างสถูปเจดีย์และวิหารจำนวน 84,000 แห่ง เป็นต้น

103. พระธรรมจักรเป็นสัญลักษณ์แทนพระธรรมคำสอนของพุทธศาสนา เริ่มเกิดขึ้นครั้งแรกในราชวงศ์ใด

(1) โมริยะ/เมารยะ   

(2) คุปตะ 

(3) อินโด-แบคเทรีย 

(4) โมกุล

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 102. ประกอบ

104. กวีเอกแห่งราชวงศ์คุปตะที่ได้รับสมญานามว่า “เช็คสเปียร์แห่งอินเดีย” ได้แก่ผู้ใด

(1) พราหมณ์จารนักย์      

(2) พราหมณ์วิษณุศรมัน  

(3) กาลิทาส     

(4) พระนาคเสน

ตอบ 3 หน้า 219 – 221 ในสมัยราชวงศ์คุปตะได้ชื่อว่าเป็น “ยุคทองของอินเดียโบราณ” เพราะมีความเจริญด้านศิลปวิทยาการต่าง ๆ ดังนี้

1.     ได้ชื่อว่าเป็นยุคทองของวรรณคดีสันสกฤต โดยกวีเอกในสมัยนี้ ได้แก่ กาลิทาส ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “เช็คสเปียร์แห่งอินเดีย” โดยมีผลงานเด่นที่รู้จักไปทั่วโลกคือบทละครเรื่องศกุนตลา

2.     มีมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย เช่น มหาวิทยาลัยตักศิลา นาลันทา ฯลฯ

3.     อารยภัททะ นักคณิตศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของยุคนี้ได้ประดิษฐ์ตัวเลขอารบิกและระบบทศนิยมขึ้นเป็นคนแรกของโลก

4.     เกิดผลงานชิ้นเอกด้านจิตรกรรมหรือภาพเขียนสี นั่นคือ จิตรกรรมบนฝาผนังถํ้าอชันตาถํ้าที่ 1 โดยเฉพาะรูปพระโพธิสัตว์ปัทมปาณี เป็นต้น

105. จิตรกรรมฝาผนังที่ถํ้าอชันตา โดยเฉพาะรูปพระโพธิสัตว์ปัทมปาณี เป็นผลงานชิ้นเอกของอินเดียในราชวงศ์ใด

(1) โมริยะ/เมารยะ   

(2) คุปตะ 

(3) กุษาณ

(4) อินโด-แบคเทรีย

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 104. ประกอบ

106. พระจักรพรรดิพระองค์ใดได้ชื่อว่าเป็นผู้นำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่จักรวรรดิโมกุล

(1) พระเจ้าบาบูร์     

(2) พระเจ้าชาห์เจฮาน      

(3) พระเจ้าโอรังเซ็บ

(4) พระเจ้าอักบาร์

ตอบ 4 หน้า 224 – 225(คำบรรยาย) พระเจ้าอักบาร์มหาราช ทรงเป็นหนึ่งในพระจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ในสมัยจักรวรรดิโมกุล โดยเป็นผู้ที่ทำให้จักรวรรดิโมกุลเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดและมีอาณาเขตกว้างขวาง ซึ่งผลงานที่สำคัญของพระองค์มีดังนี้ 

1. ทรงยกย่องและผูกมิตรกับพวกฮินดูมากกว่าสมัยอื่นๆ

2. ทรงมีขันติธรรมในศาสนาหรือให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาซึ่งถือว่าเป็นหัวใจหลักในการปกครองประเทศ เนื่องจากทำให้ทุกศาสนาอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติและทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข    

3. ทรงยกเลิกการเก็บภาษีจิสยา (Jizya)

4.     ทรงลดภาษีให้พ่อค้าเพื่อสนับสนุนการค้า เป็นต้น

 107.       ท่านคิดว่าคุณธรรมข้อใดที่องค์ประมุขอินเดียควรนำมาใช้ในการปกครองเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง

(1) เมตตาธรรม

(2) ยุติธรรม     

(3) สามัคคีธรรม      

(4) ขันติธรรมในศาสนา

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 106. ประกอบ

108. ท่านคิดว่าการแทรกแซงของอังกฤษในเรื่องใดที่เปีนสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดกบฏซีปอย

(1) ด้านการปกครอง

(2) ด้านการต่างประเทศ    

(3) ด้านเศรษฐกิจ     

(4) ด้านสังคม

ตอบ 4 หน้า 232 – 234 Lord Dalhousie เป็นข้าหลวงใหญ่ชาวอังกฤษที่ได้ออกกฎหมายแทรกแซงอินเดียหลายเรื่อง จนเป็นชนวนที่ทำให้เกิด “กบฏซีปอย” ขึ้นในปี ค.ศ. 1857ซึ่งการแทรกแซงดังกล่าวมีดังนี้

1.     ออกกฎหมายยึดครองดินแดนที่เรียกว่า “Doctrine of Lapse” ทำให้ประเพณีในการสืบราชสมบัติของเจ้าผู้ครองนครเปลี่ยนไป

2.     ออกกฎหมายสำรวจโฉนดที่ดิน ซึ่งกำหนดว่า ถ้าเจ้าของที่ดินไม่มีโฉนดมาแสดงก็ให้ยึดเป็นของอังกฤษ

3.     ออกกฎหมายแทรกแซงทางด้านสังคมและศาสนา เช่น ให้ยกเลิกพิธีสุตตี (Sutteeออกกฎหมายให้หญิงม่ายแต่งงานใหม่ได้ยกเลิกการฆ่าเด็กทารกแรกเกิดและประเพณี ฆ่าคนบูชายัญ ฯลฯ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ถือว่าเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดกบฏซีปอย

4.     สาเหตุปัจจุบันทันด่วนคือ อังกฤษได้นำปืนเล็กยาวมาให้ทหารซีปอยใช้ โดยได้นำนํ้ามันหมูและไขวัวมาใช้เป็นนํ้ามันหล่อลื่นลูกปืนชนิดใหม่ ทำให้ทหารซีปอยทั้งมุสลิมและฮินดูรู้สึกว่าเป็นการดูหมิ่นศาสนาของตน

109. ข้าหลวงใหญ่ที่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดกบฏซีปอยได้แก่ผู้ใด

(1) Lord Bentinck   

(2) Lord Dalhousie

(3) Lord Curzon      

(4) Lord Walesley

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 108. ประกอบ

110. เมืองกัวเป็นเมืองที่สะท้อนอิทธิพลของมหาอำนาจชาติใด

(1) โปรตุเกส   

(2) ดัตซ์  

(3) อังกฤษ      

(4) ฝรั่งเศส

ตอบ 1 (HI 103 เลขพิมพ์ 54191 หน้า 129133) ใบสมัยราชวงศ์โมกุล โปรตุเกสเป็นชาวยุโรปชาติแรกที่เดินทางเข้ามาค้าขายในอินเดียแถบขายฝั่งทะเลตะวันตกนับจกบอมเบย์ไปจนถึงเกาะลังกาควบคู่ไปกับการเผยแผ่ศาลนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ทั้งนี้ศูนย์กลางการค้าที่ใหญ่ที่สุดของโปรตุเกสจะอยู่ที่เมืองกัว (Goaโดยประชาชนที่อาศัยอยู่ในเมืองกัวและนับถือศาสนาคริสต์จะถูกเรียกว่า “ชาวกวน”

111. ข้อใดเป็นคุณสมบัติของเนาโรชิ

(1) เป็นผู้ให้กำเนิดลัทธิชาตินิยม

(2) เป็นบิดาแห่งวิชาเศรษฐศาสตร์

(3)   เป็นผู้ก่อตั้งสมาคมผู้รับใช้แห่งอินเดีย 

(4) เป็นคนแรกที่สอบเข้าทำงานใน I.C.Sได้

ตอบ 1 หน้า 238(คำบรรยาย) เนาโรชิ (Naorojiเป็นบุคคลแรกที่เรืยกร้องสิทธิ์ให้ชาวอินเดียโดยชี้ให้เห็นว่าอังกฤษเอารัดเอาเปรียบอินเดีย อังกฤษควรเลิกตักตวงผลประโยชน์จากอินเดีย อังกฤษควรรับคนอินเดียเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐให้มากขึ้น รวมทั้งเรียกร้องให้ชาวอินเดียมีบทบาทในเรื่องกฎหมายและภาษีให้มากกว่านี้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาได้รับสมญานามว่าเป็น “มหาบุรุษผู้อาวุโสของอินเดีย” (The Grand Old Man of Indiaและเป็น “บิดาแห่งนักชาตินิยมอินเดีย” เนื่องจากเป็นผู้ให้กำเนิดลัทธิชาตินิยมในอินเดีย

112. MorleyMinto Reforms of 1909 มีความสำคัญที่สุดต่อชาวอินเดียในเรื่องใด

(1)   อังกฤษให้ผู้พิพากษาชาวพื้นเมืองมีสิทธ์พิพากษาคดีที่คู่ความเป็นชาวยุโรปในตำบลได้

(2)   ชาวอินเดียมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันในหน่วยงานของรัฐ

(3)   อังกฤษให้สิทธิ์หญิงม่ายแต่งงานใหม่ได้

(4)   อังกฤษให้สิทธิ์ชาวอินเดียมีผู้แทนอย่างน้อย 1 คนในสภาทั้งระดับท้องถิ่นและส่วนกลาง

ตอบ 4 หน้า 242 – 243 ในปี ค.ศ. 1909 อังกฤษได้ออกกฎหมายปฏิรูปมอร์เลย์-มินโต (MorleyMinto Reformsซึ่งมีสาระสำคัญคือ ให้สิทธิ์ชาวอินเดียเลือกผู้แทน 2 คน เพื่อเข้าเป็นสมาชิกสภารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอินเดียที่กรุงลอนดอน โดยชาวอินเดีย 1 คนจะประจำอยู่ในสภาบริหารของข้าหลวงใหญ่อังกฤษในส่วนกลาง ส่วนอีกคนหนึ่งจะประจำอยู่ในสภาระดับท้องถิ่น คือ สภาบรหารประจำแคว้นแต่ละแคว้นของอินเดีย ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ถูกมองว่าเป็นการปูพี้นฐานการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและระบบรัฐสภาให้แก่อินเดีย

113. ข้อใดมิใช่คุณสมบัติของ “อินเดียของอังกฤษ” (The British India)

(1)   รัฐที่อังกฤษปกครองโดยตรง

(2)   รัฐที่อังกฤษปกครองโดยอ้อม

(3)   รัฐใหญ่ที่มีความสำคัญด้านการปกครอง เศรษฐกิจ และการต่างประเทศ

(4)   รัฐส่วนใหญ่ของอินเดีย มีเนื้อที่ประมาณ 2/3 ของประเทศ

ตอบ 2 หน้า 234 – 235(คำบรรยาย) หลังจากที่อังกฤษเข้าปกครองอินเดียในปี ค.ศ. 1858 แล้วอังกฤษได้ดำเนินการปกครองอินเดียทั้งทางตรงและทางอ้อมดังนี้

1.     ดินแดนที่อังกฤษปกครองโดยตรง เรียกว่า “อินเดียของอังกฤษ” (British Indiaมีเนื้อที่ประมาณ 2 ใน 3 ของประเทศ ส่วนมากเป็นรัฐหรือมณฑลที่ตั้งอยู่ตามชายฝั่งทะเลรวม 11 รัฐ และเป็นรัฐใหญ่ที่มีความสำคัญทั้งทางด้านการปกครอง เศรษฐกิจ และการต่างประเทศ

2.     ดินแดนที่อังกฤษปกครองโดยอ้อม เรียกว่า “รัฐอิสระ” (Indian Statesมีเกือบ 600 รัฐครอบคลุมเนื้อที่ประมาณ 1 ใน 3 ของประเทศ มีการปกครองที่ขึ้นตรงต่อเจ้าผู้ครองนครรัฐหรือสุลต่าน โดยอังกฤษจะคุมเฉพาะด้านต่างประเทศ การทหาร และการคลัง

114. นักชาตินิยมคนใดที่ชาวอินเดียไม่ว่านับถือศาสนาใดไว้วางใจมากที่สุด

(1) เนห์รู 

(2) มหาตมะ คานธี   

(3) เนาโรชิ      

(4) โกขะเล

ตอบ 2 หน้า 241(คำบรรยาย) มหาตมะ คานธี (Mahatma Gandhiเป็นนักต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดองอินเดียที่สามารถดึงมวลชนทั่วประเทศเข้ามาร่วมในขบวนการชาตินิยมได้สำเร็จ โดยคานธีถือว่าเป็นรัฐบุรุษที่มีความสามารถเป็นเยี่ยมไนการรวมผู้นำฝ่ายต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ทั้งผู้นำหัวสมัยใหม่ ผู้นำที่ยึดนโยบายสายกลาง ผู้นำที่เป็นพวกอนุรักษนิยม และผู้นำชาวมุสลิม จนทำให้ท่านได้รับการยกย่องจากชาวอินเดียว่าเป็น “บาบูจี” หรือผู้เป็นที่เคารพรัก

115. ข้อใดเป็นหัวใจของการต่อสู้ของขบวนการสัตยาเคราะห์

(1)   การต่อสู้ทุกรูปแบบเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราช

(2)   การต่อสู้โดยใช้พลังธรรมะ ถ้าไม่สำเร็จจึงค่อยใช้กำลัง

(3)   การดื้อแพ่งโดยไม่ให้ความร่วมมือทุกรูปแบบ

(4)   การต่อสู้โดยไม่ใช้กำลัง แต่ใช้พลังธรรมะและการเจรจาต่อรอง

 ตอบ 4 หน้า 241 – 242 มหาตมะ คานธี เป็นนักชาตินิยมที่เรียกร้องเอกราชให้อินเดีย โดยใช้วิธีการต่อสู้ที่เรียกว่า “การต่อต้านเงียบ” หรือ “ขบวนการสัตยาเคราะห์” ซึ่งเป็นการต่อสู้โดยสันติวิธีและไม่ใช้กำลัง แต่ใช้พลังธรรมะและการเจรจาต่อรอง โดยสัตยาเคราะห์ประกอบด้วยหลักใหญ่ 3 ประการ ได้แก่

1. สัตยะ คือ ความจริง      

2. อหิงสา คือ ความไม่เบียดเบียนให้เสียเลือดเนื้อ ไม่ใช้กำลัง หรือวิธีรุนแรง 

3. การดื้อแพ่ง คือ การไม่ปฏิบัติตาม ไม่เชื่อฟังและไม่ใช้อาวุธต่อสู้กับผู้ปกครอง เช่น การประท้วงด้วยการอดอาหารการเดินขบวนประท้วง ฯลฯ

116. ใครคือบิดาแห่งประเทศปากีสถาน

(1) เนห์รู 

(2) มหาตมะ คานธี   

(3) อาลี จินนาห์

(4) โกขะเล

ตอบ 3 หน้า 241, 244 – 245(คำบรรยาย) มูฮัมหมัด อาลี จินนาห์ (Muhammad Ali Jinnah)ประธานพรรคสันนิบาตมุสลิม เป็นนักชาตินิยมที่ต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชให้อินเดียควบคู่ไปกับการต่อสู้เพื่อชาวอินเดียที่เป็นมุสลิม โดยการประชุมสันนิบาตมุสลิมทีละโฮร์ในปี ค.ศ. 1940 จินนาห์ได้เสนอข้อมติเพื่อขอแยกมุสลิมออกจากฮินดูมาตั้งประเทศปากีสถาน จนกระทั่งเมื่ออินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี ค.ศ. 1947 อินเดียได้แยกออกเป็น 2 ประเทศคือ อินเดียและปากีสถาน ทำให้จินนาห์ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งประเทศปากีสถาน”

117. พ.ร.บ. ฉบับใดที่ชาวอินเดียถือว่าลิดรอนสิทธิเสรีภาพของชาวอินเดียที่สุด

(1) Arms Act   

(2) Universitees Act

(3) Rowlatt Act        

(4) MontaguChelmford Reforms

ตอบ 3 หน้า 243 จากการที่นักชาตินิยมอินเดียซึ่งนำโดยติลัก ได้มีการเรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเองที่เข้มข้นและรุนแรง ทำให้อังกฤษออกกฎหมายเพื่อป้องกันการจลาจลที่เรียกว่า “กฎหมายโรว์แลตต์” (Rowlatt Act of 1919) ซึ่งมีสาระสำคัญว่า รัฐบาลมีอำนาจในการจับกุมคุมขังผู้ต้องสงสัยว่าก่อการจลาจลหรือคิดร้ายต่อรัฐบาลได้ทันที โดยไม่มีการสอบสวนหรือขึ้นศาล ซึ่งนักชาตินิยมมองว่าเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของชาวอินเดียอย่างรุนแรง จนเป็นสาเหตุให้คานธี ลุกขึ้นมาเป็นผู้นำในการประท้วงอังกฤษเสียเอง

118. ตามคติความเชื่อในระบบวรรณะของอินเดียโบราณ สีเหลืองเป็นสีประจำวรรณะใด

(1) พราหมณ์   

(2)   กษัตริย์    

(3)   แพศย์      

(4)   ศูทร

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 96. ประกอบ

119. ท่านคิดว่าด้วยลักษณะภูมิศาสตร์แบบใดที่ทำให้ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รับอารยธรรมจากอินเดีย

(1) ที่ตั้ง   

(2) รูปร่าง

(3)   ขนาด       

(4)   ภูมิประเทศ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

120. สาธุ! พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ถ้าลูกช้างสอบได้จะบูมรามคำแหงถวาย 10 จบ… ถามว่าการกระทำดังกล่าวแสดงถึงอิทธิพลของศาสนาใดมากที่สุด

(1) พุทธ  

(2)   เชน 

(3)   ฮินดู

(4)   อิสลาม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 101. ประกอบ

HIS1002 อารยธรรมตะวันออก การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา HIS 1002 อารยธรรมตะวันออก

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.         มนุษย์สมัยโบราณเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัยจากดินแดนตอนในเข้าตั้งมั่นใกล้แหล่งนํ้าเพื่อจุดประสงค์ใดเป็นสำคัญ

(1) การคมนาคม        

(2) การปกครอง         

(3) การเกษตรกรรม    

(4) การค้าขาย

ตอบ 3 หน้า 5-6, (คำบรรยาย) ความเจริญของมนุษย์สมัยโบราณเริ่มมีขึ้นในยุคหิน โดยในยุคหินเก่านั้น มนุษย์เริ่มอาศัยอยู่ในถํ้า และเริ่มรู้จักการใช้ไฟปรุงอาหารให้สุก ให้ความอบอุ่น และให้แสงสว่าง ต่อมาในยุคหินใหม่มนุษย์เริ่มรู้จักการทำเกษตรกรรมคือ เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์แทนการเร่ร่อน และล่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหาร อีกทั้งเริ่มมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง โดยมีการเคลื่อนย้าย ที่อยู่อาศัยจากดินแดนตอนในเข้ามาตั้งมั่นใกล้ลุ่มแม่นั้าใหญ่เพื่อมุ่งที่จะใช้นํ้าในการทำเกษตรกรรม และดำรงชีวิตเป็นสำคัญ ซึ่งจากจุดนี้เองที่ทำให้อารยธรรมโลกโบราณค่อย ๆ ถือกำเนิดขึ้น อย่างจริงจัง

2.         มนุษย์สมัยโบราณรู้จักการทำเกษตรกรรมในช่วงเวลาใด

(1) ยุคหินเก่า 

(2) ยุคหินใหม่

(3) ยุคทองแดง           

(4) ยุคสำริด

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3.         อารยธรรมใดเก่าแก่ที่สุด

(1) อารยธรรมเมโสโปเตเมีย  

(2) อารยธรรมอียิปต์โบราณ

(3) อารยธรรมอินเดียโบราณ  

(4) อารยธรรมกรีกโบราณ

ตอบ 1 หน้า 2181 (เล่มเก่า) อารยธรรมเมโสโปเตเมียเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นหนึ่งในสองอารยธรรมเริ่มแรกของโลก อารยธรรมนี้มีแหล่งกำเนิดบนดินแดนระหว่างแม่นํ้าไทกริส และยูเฟรตีส หรือที่เรียกว่า “เมโสโปเตเมีย” ซึ่งหมายถึง ดินแดนระหว่างแม่นํ้าสองสาย นอกจากนี้เราสามารถเรียกดินแดนนี้ได้อีกอย่างหนึ่งว่า “ดินแดนพระจันทร์เสี้ยว”(Fertile Crescent) ปัจจุบันดินแดนเมโสโปเตเมียเป็นที่ตั้งของประเทศอิรัก

4.         “ดินแดนตะวันออกกลาง” คือดินแดนส่วนใด

(1) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้   

(2) ยุโรปตะวันออกเฉียงใต้

(3) เอเชียตะวันตกเฉียงใต้     

(4) ยุโรปตะวันตกเฉียงใต้

ตอบ 3 หน้า 7 ดินแดนตะวันออกกลางหรือตะวันออกใกล้ (The Middle East or Near East) คือ ดินแดนเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่าง 3 ทวีป ได้แก่ ทวีปเอเชีย แอฟริกา และยุโรป ในปัจจุบันคือพื้นที่นับจากอัฟกานิสถานไปทางตะวันตกถึงชายฝั่งตะวันออกของ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน คาบสมุทรอนาโตเลีย คาบสมุทรอาระเบีย และอียิปต์ โดยตะวันออกกลาง เป็นแหล่งกำเนิดของ 2 อารยธรรมเริ่มแรกของโลกคือ อารยธรรมเมโสโปเตเมีย และอารยธรรม อียิปต์โบราณ รวมทั้งเป็นแหล่งกำเนิดของ 3 ศาสนาหลักของโลกคือ ศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม

5.         อักษรภาพของอารยธรรมอียิปต์โบราณมีชื่อเรียกว่าอะไร

(1) เดโมติก    

(2) ไฮราติก     

(3) ไฮโรกลิฟิก

(4) เดโมกลิฟิก

ตอบ 3 หน้า 17 – 18 ชาวอียิปต์โบราณได้ประดิษฐ์ “ตัวอักษรภาพไฮโรกลิฟิก” (Hieroglyphics) ขึ้นเมื่อประมาณ 3000 B.C. ซึ่งแต่เดิมนั้นตัวอักษรนี้มีประมาณ 700 ตัว ต่อมาพระและอาลักษณ์ ได้ปรับปรุงตัวอักษรภาพไฮโรกลิฟิกเพื่อให้เขียนได้ง่ายขึ้น และให้มีจำนวนน้อยลงด้วยการประดิษฐ์ ตัวอักษรไฮราติก (Hieratic) ขึ้นในปี 1100 B.C. และพัฒนามาเป็นตัวอักษรเดโมติก (Demotic) ซึ่งมีจำนวนตัวอักษรเพียง 24 ตัว ในปี 700 B.C.

6.         จงยึดมั่นในพระเจ้าอะตันเพียงองค์เดียว เป็นหลักปรัชญาศาสนาของใคร

(1) โมเสส       

(2) อะเมนโฮเต็ปที่ 4

(3) กษัตริย์ซาร์กอนแห่งอัคคัด

(4) ศาสดาโซโรแอสเตอร์

ตอบ 2 หน้า 17 ฟาโรห์อะเมนโฮเต็ปที่ 4 หรืออัคนาตัน ได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิรูปศาสนาคนแรกของอียิปต์โบราณและคนแรกของโลก ซึ่งหลักปรัขญาของการปฏิรูปศาสนาของพระองค์คือ จงยึดมั่นในเทพเจ้าอะตัน (Aton) หรือสุริยเทพเป็นเทพเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว

7.         ยุคทองของอารยธรรมอียิปต์โบราณอยู่ในช่วงเวลาใด

(1) สมัยจักรวรรดิ       

(2) สมัยอาณาจักรใหม่          

(3) สมัยราชวงศ์         

(4) สมัยอาณาจักรกลาง

ตอบ 3 หน้า 9-10 อียิปต์โบราณสมัยราชวงศ์ (3100 – 940 B.C.) เป็นช่วงเวลาที่อียิปต์โบราณจัดตั้งชาติ และรักษาความเป็นชาติได้ยาวนานถึง 2,160 ปี กษัตรีย์ส่วนใหญ่ในสมัยนี้เป็นชาวอียิปต์โบราณ มีทั้งหมด 21 ราชวงศ์ และถือว่าเป็น “ยุคทองของอารยธรรมอียิปต์โบราณ” ซึ่งสมัยราชวงศ์ แบ่งออกเป็น 4 สมัยย่อย ได้แก่ สมัยต้นราชวงศ์ สมัยอาณาจักรเก่า สมัยอาณาจักรกลาง และ สมัยอาณาจักรใหม่หรือสมัยจักรวรรดิ

8.         พีระมิดคือสุสานหินยอดแหลม เป็นที่เก็บศพและสมบัติผู้ตาย ถามว่าพีระมิดเริ่มสร้างเมื่อไร

(1) สมัยก่อนราชวงศ์  

(2) สมัยจักรวรรดิ       

(3) สมัยราชวงศ์         

(4) สมัยอาณาจักรเก่า

ตอบ 4 หน้า 9 – 1018 – 1968 – 69 (เล่มเก่า) ในช่วงราชวงศ์ที่ 3-6 ในสมัยอาณาจักรเก่า ของอียิปต์โบราณ เป็นยุคที่มีความเจริญทางด้านสถาปัตยกรรมสูงมาก โดยมีการสร้างพีระมิด ซึ่งเป็นสุสานหินยอดแหลมเพื่อเก็บพระศพและสมบัติของฟาโรห์ขึ้นเป็นครั้งแรก ทั้งนี้พบว่า มีการสร้างพีระมิดมากถึง 20 องศ์ จนเป็นผลให้สมัยอาณาจักรเก่าถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “สมัยพีระมิด” (The Pyramid Age)

9. ใครคือฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่องศ์สุดท้ายของอียิปต์โบราณ

(1) เมนตูโฮเต็ปที่ 1    

(2) รามเซสที่ 2           

(3) เซติที่ 4     

(4) ทัสโมสที่ 3

ตอบ 2 หน้า 13 รามเซสที่ 2 เป็นฟาโรห์ในราชวงศ์ที่ 19 แห่งสมัยอาณาจักรใหม่ โดยทรงเก่งในการรบ มีชัยชนะเหนือฮิตไตท์ และได้รับการยกย่องว่าเป็น “ฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่องศ์สุดท้ายของอียิปต์โบราณ” (The Last of the Great Pharaoh) ซึ่งผลงานชิ้นสุดท้ายของพระองค์คือ ปลดปล่อยฮิบรูให้พ้นจากการเป็นทาส โดยโมเสสเป็นผู้นำฮิบรูมุ่งเดินทางกลับปาเลสไตน์

10.       มรดกความเจริญที่อะมอไรท์ให้แก่โลกคือด้านใด

(1) การปกครอง         

(2) ศาสนา      

(3) สถาปัตยกรรม      

(4) ภาษา

ตอบ 1 หน้า 25 – 26 อะมอไรท์หรือบาบิโลเนียนเป็นกลุ่มชนที่รับ สืบทอด และส่งต่ออารยธรรมสุเมเรียน-อัคคาเดียนในทุกด้าน โดยมรดกความเจริญทางอารยธรรมที่สำคัญที่อะมอไรท์ให้ไว้ แก่โลกคือ ด้านการปกครอง ได้แก่ ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี (The Code of Hammurabi) ซึ่งเป็นประมวลกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุด และมีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยตัวอักษรคูนิฟอร์ม เป็นฉบับแรกของโลก

11.       สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลนเป็นผลงานสถาปัตยกรรมเด่นของกลุ่มชนใด

(1) แคลเดียน 

(2) อัสซีเรียน  

(3) แคสไซท์    

(4) อราเมียน

ตอบ 1 หน้า 3293 (เล่มเก่า) มรดกความเจริญทางอารยธรรมที่สำคัญที่แคลเดียนให้ไว้แก่โลก ได้แก่

1.         ด้านสถาปัตยกรรม ที่เด่น ได้แก่ สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน และกำแพงอิชต้า ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

2.         ด้านโหราศาสตร์ ได้แก่ การกำหนดดวงดาวสำคัญ 7 ดวง คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ เป็นชื่อของวันต่าง ๆ ใน 1 สัปดาห์

12.       เอกสารใดที่ทำให้นักประวัติศาสตร์ได้รู้เรื่องราวของฮิบรูสมัยโบราณ

(1) คัมภีร์เก่า  

(2) คัมภีร์ใหม่ 

(3) บัญญัติสิบประการ          

(4) คัมภีร์อะเวสต้า

ตอบ 1 หน้า 4045100 (เล่มเก่า) วรรณกรรมที่สำคัญของฮิบรูหรือยิวคือ พระคัมภีร์เก่าหรือคัมภีร์ฮิบรู (The Old Testament or The Hebrew Bibleซึ่งเรื่องราวที่ถูกบันทึกลงในคัมภีร์เก่าได้ทำให้ นักประวัติศาสตร์รู้ว่าชาวฮิบรูโบราณเป็นชนเผ่าเซมิติกที่มีถิ่นฐานเดิมอยู่ทางตอนเหนือของ เมโสโปเตเมีย โดยประชาชนส่วนใหญ่จะมีฐานะยากจน ประกอบอาชีพเกษตรกรรม และเร่ร่อนเพื่อหาทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์

13.       ขณะจัดตั้งศาสนายูดาห์ ฮิบรูอยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มชนใด

(1) กรีก          

(2) โรมัน         

(3) ออตโตมาน เติร์ก  

(4) เปอร์เซียโบราณ

ตอบ 4 หน้า 4245 ศาสนายูดาห์เป็นศาสนาแรกของสังคมฮิบรูที่เกิดขึ้นในดินแดนตะวันออกกลาง และเป็นหนึ่งในศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดของโลก โดยถือกำเนิดขึ้นในศตวรรษที่ 6 B.Cขณะที่ฮิบรูอยู่ภายใต้การปกครองของเปอร์เซียโบราณ ซึ่งหลักคำสอนของศาสนานี้ก็คือ ยึดมั่นในยะโฮวาเจ้า เพียงองค์เดียว ทำแต่ความดี ละเว้นการทำความชั่ว และเชื่อว่าวันพิพากษาและโลกหน้ามีจริง

14.       การสาบสูญของชนสิบเผ่าฮิบรู เป็นการกระทำของกลุ่มชนใด

(1) อัสซีเรียน  

(2) ฮิตไตท์      

(3) แคสไซท์    

(4) โรมัน

ตอบ 1 หน้า 42 – 43 อาณาจักรอิสราเอล เป็นอาณาจักรฮิบรูโบราณที่ยู่ทางตอนเหนือของปาเลสไตน์ โดยมีกรุงซามาเรียเป็นเมืองหลวง ประชาชนคือฮิบรู 10 ตระกูล (เผ่า) ที่สืบเชื้อสายมาจากจาคอบ ต่อมาในปี 721 B.Cกองกำลังทหารอัสซีเรียนภายใต้การนำของซาร์กอนที่ 2 ได้บุกยึดอาณาจักรนี้สำเร็จ และได้กวาดต้อนฮิบรู 10 ตระกูลไปเป็นทาสเชลยที่เมโสโปเตเมีย นับตั้งแต่นั้นฮิบรู 10 ตระกูล ก็หายสาบสูญไปจากประวัติศาสตร์โลก เหตุการณ์ในครั้งนี้รู้จักกันในนาม “การสาบสูญของชน 10 ตระกูล” (The Ten Lost Tribes)

15.       สิ่งใดเก่าแก่ที่สุด

(1) ไฮโรกลิฟิก

(2) คูนิฟอร์ม   

(3) สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน

(4) พีระมิด

ตอบ 2 หน้า 23(คำบรรยาย) อักษรคูนิฟอร์มหรืออักษรรูปลิ่ม (Cuneiformซึ่งเป็นศิลปะการเขียนของชาวสุเมเรียนในดินแดนเมโสโปเตเมีย ถือว่ามีอายุเก่าแก่มากที่สุดในโลก (3500 B.C.) โดย อักษรคูนิฟอร์มเป็นตัวอักษรเครื่องหมายที่มีลักษณะคล้ายรูปตัววีในภาษาอังกฤษ ซึ่งชาวสุเมเรียน จะจารึกตัวอักษรคูนิฟอร์มลงบนแผ่นดินเหนียวขณะเปียก และนำไปตากแดดหรือเผาให้แห้ง เพื่อเก็บรักษา ข้อความส่วนใหญ่ที่จารึกจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาและการปกครอง

16.       กลุ่มชนแรกที่มีความเชื่อในเรื่องวิญญาณเป็นอมตะ วันพิพากษา และโลกหน้ามีจริง คือกลุ่มชนใด

(1) ดราวิเดียน

(2) ฟินิเชียน   

(3) อียิปต์โบราณ       

(4) ฮิบรู

ตอบ 3 หน้า 17 ชาวอียิปต์โบราณเป็นกลุ่มชนแรกที่มีความเชื่อในเรื่องวิญญาณเป็นอมตะ วันพิพากษา และโลกหน้ามีจริง นั่นคือ เชื่อว่าผู้ที่ทำความดี เมื่อตายไปดวงวิญญาณจะคงอยู่ และจะเกิดใหม่ ในโลกหน้าที่อุดมสมบูรณ์ ด้วยความเชื่อดังกล่าวได้นำไปสู่การสร้างมัมมี่ คัมภีร์มรณะหรือ คัมภีร์ผู้ตาย และสุสานหินพีระมิดเพื่อใช้เป็นที่เก็บพระศพและสมบัติของฟาโรห์

17.       แหล่งกำเนิดอารยธรรมฟินิเชียน ในปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศอะไร

(1) ซีเรีย         

(2) เลบานอน 

(3) จอร์แดน    

(4) อิสราเอล

ตอบ 2 หน้า 39 – 40 อารยธรรมฟินิเชียนมีแหล่งกำเนิดอยู่บริเวณดินแดนฟินิเชียบนชายฝั่งตะวันออก ของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (ประเทศเลบานอนในปัจจุบัน) ซึ่งฟินิเชียนได้ชื่อว่าเป็นผู้วางรากฐาน อารยธรรมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นพ่อค้าทางเรือผู้ยิ่งใหญ่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ของตะวันออกกลางสมัยโบราณ และเป็นผู้ถ่ายทอดอารยธรรมโลกตะวันออกสู่โลกตะวันตก ได้เป็นอย่างดีควบคู่ไปกับการค้าขายทางเรือ

18.       กลุ่มชนใดวางรากฐานอารยธรรมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

(1) ฮิบรู          

(2) ฟินิเชียน   

(3) อราเมียน  

(4) สุเมเรียน

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ

19.       ใครคือผู้นำในการจัดตั้งจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณ

(1) ไซรัสที่ 2   

(2) ดาริอุสที่ 1

(3) นาโบนิคัสที่ 3       

(4) โครอีซุสที่ 4

ตอบ 1 หน้า 51 ไซรัสที่ 2 เป็นกษัตริย์องค์ที่ 4 ของเปอร์เซีย ซึ่งทรงเก่งในการรบและการขยายดินแดน โดยในปี 550 B.Cเมื่อไซรัสที่ 2 มีชัยชนะเหนือเมดีสแล้ว พระองค์ได้รวมมีเดียเข้ากับเปอร์เซีย และเรียกดินแดนนี้ว่า “เปอร์เซีย” จากนั้นทรงนำการจัดตั้งจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณขึ้น โดยกำหนดให้ซูซาเป็นเมืองหลวง

20.       กลุ่มชนใดได้รับการยกย่องว่าเป็น “พ่อค้าทางบกที่ยิ่งใหญ่ของตะวันออกกลางสมัยโบราณ”

(1) อราเมียน  

(2) เซลจุก เติร์ก         

(3) ออตโตมาน เติร์ก  

(4) ฟินิเชียน

ตอบ 1 หน้า 46 – 47 อารยธรรมอราเมียนมีแหล่งกำเนิดอยู่บริเวณดินแดนซีเรียบนชายฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (ประเทศซีเรียในปัจจุบัน) ทั้งนี้อราเมียนได้รับการยกย่องว่าเป็น “พ่อค้าทางบกที่ยิ่งใหญ่ของตะวันออกกลางสมัยโบราณ” โดยเส้นทางการค้าทางบกของอราเมียน ได้แก่ เมโสโปเตเมีย เปอร์เซีย ชายฝั่งตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และดินแดน ลุ่มแม่น้ำไนล์ มีศูนย์กลางการปกครองและการค้าขายอยู่ที่เมืองดามัสกัส และใช้ภาษาอารมิก เพื่อประโยชน์ในการค้าขายทางบก

21.       กลุ่มชนใดได้รับการยกย่องว่าเป็น “พ่อค้าทางทะเลที่ยิ่งใหญ่ของตะวันออกกลางสมัยโบราณ”

(1) พินิเชียน   

(2) ออตโตมาน เติร์ก  

(3) อราเมียน  

(4) ฮิตไตท์

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ

22.       ศูนย์กลางของจักรวรรดิลิเดียนคือดินแดนใด

(1) เอเชียไมเนอร์        

(2) เมโสโปเตเมีย       

(3) ปาเลสไตน์

(4) คาบสมุทรอาระเบีย

ตอบ 1 หน้า 47 – 48 ในปี 680 B.Cชาวลิเดียนได้ร่วมกันจัดตั้งอาณาจักรลิเดียนขึ้นที่บริเวณ ดินแดนลิเดียในเอเชียไมเนอร์ (ประเทศตุรกีในปัจจุบัน) ซึ่งลิเดียนจะเก่งในการรบและการค้าขาย จึงทำให้พื้นที่ของอาณาจักรขยายใหญ่เป็นจักรวรรดิลิเดียนโดยมีกรุงซาร์ดีสเป็นเมืองศูนย์กลาง ทั้งการปกครองและการค้าขาย ซึ่งมรดกความเจริญที่ลิเดียนให้ไว้แก่โลกก็คือ เป็นกลุ่มชนแรกที่นำ การผลิตเงินเหรียญทองคำเพื่อนำมาใช้เป็นตัวกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยน และจากความมั่งคั่ง ทางการค้าเป็นผลให้ลิเดียนได้รับการยกย่องว่าเป็น “พ่อค้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งเอเชียไมเนอร์สมัยโบราณ”

23.       กษัตริย์เปอร์เซียโบราณรับเอารูปแบบการปกครองจักรวรรดิมาจากกลุ่มชนใด

(1) อิยิปต์โบราณ       

(2) อัสซีเรียน  

(3) ฮิบรู          

(4) โรมัน

ตอบ 2 หน้า 5256 – 5759 จักรวรรดิเปอร์เซียโบราณรับรูปแบบการปกครองจักรวรรดิมาจากอัสซีเรียน โดยเริ่มรับในสมัยไซรัสที่2 และนำมาปรับปรุงจนรูปแบบการปกครองมีความสมบูรณ์ ในสมัยดาริอุสที่ 1 (Darius Iซึ่งเป็นสมัยที่ถือว่าเป็นยุคทองของจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณ โดยหลักในการปกครองจักรวรรดิซองดาริอุสที่ 1 ประการหนึ่งก็คือ เน้นกระจายการปกครอง จากส่วนกลางไปสู่ส่วนภูมิภาคด้วย 2 วิธี คือ กำหนดภูมิภาคสำคัญและเมืองศูนย์กลางของภูมิภาค และการปกครองระบบเขต (The Satrapy Systemที่มุ่งการเข้าถึงประชาชนและพื้นที่ ด้วยการปฏิบัติจริง

24.       ถนนสายยุทธศาสตร์ที่สำคัญของจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณเชื่อมดินแดนเปอร์เซียกับดินแดนใด

(1) ปาเลสไตน์

(2) คาบสมุทรอนาโตเลีย

(3) คาบสมุทรบอลข่าน          

(4) เมโสโปเตเมีย

ตอบ 2 หน้า 5257 ในสมัยดาริอุสที่ 1 แห่งจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณ ทรงให้มีการสร้างถนนหลวง (The Royal Road or The Royal Post Road or The Kings Highwayหรือถนนสายยุทธศาสตร์ ที่เชื่อมจากเมืองหลวงซูซาในจักรวรรดิเปอร์เซียไปสู่เอเชียไมเนอร์บนคาบสมุทรอนาโตเลีย โดยมีปลายทางสิ้นสุดที่อีเพซุสซึ่งเป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเลอีเจียน ซึ่งถนนหลวงสายนี้จะใช้ประโยชน์ เพื่อการคมนาคม การค้าขาย การเคลื่อนกองกำลังทหาร และการสื่อสารส่งข่าวในทุกพื้นที่ของจักรวรรดิ

25.       หลักของศาสนาโซโรแอสเตอร์กำหนดไว้อย่างไร

(1) วิญญาณเป็นอมตะ          

(2) วันพิพากษาและโลกหน้ามีจริง

(3) รักและเมตตาเพื่อนมนุษย์

(4) ยึดมั่นในพระผู้เป็นเจ้าเพียงองค์เดียว

ตอบ 2 หน้า 58 – 59 กษัตริย์ไซรัสที่ 2 ทรงกำหนดให้ศาสนาโซโรแอสเตอร์เป็นศาสนาของจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณ (550 – 330 B.C.) ซึ่งหลักคำสอนของศาสนานี้มี 4 ประการ คือ

1. มีลักษณะเป็นเอกเทวนิยม (Monotheisticนั่นคือ ให้ยึดมั่นในเทพเจ้าอะฮูรา มาสดา เพียงองค์เดียว           

2. คิด พูด และทำความดี

3. ไม่คิด ไม่พูด และไม่ทำความชั่ว     

4. วันพิพากษาและโลกหน้ามีจริง

26.       ข้อใดถูก

(1)       ศาสนาโซโรแอสเตอร์คือศาสนาของจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณ

(2)       อะมอไรท์นำการสร้างจักรวรรดิแรกของโลก

(3)       แหล่งกำเนิดอารยธรรมฮิตไตท์ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศเลบานอน

(4)       อับราฮัมคือผู้นำฮิบรูอพยพจากดินแดนลุ่มแม่นํ้าไนล์มุ่งกลับสู่ดินแดนปาเลสไตน์

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 25. ประกอบ

27.       ยุคทองของอารยธรรมอิสลามอยู่ในช่วงเวลาใด

(1) ราชวงศ์อุมัยยัด    

(2) ออตโตมาน เติร์ก

(3) ราชวงศ์อับบาสิต  

(4) กาหลิบสี่องศ์

ตอบ 3 อารยธรรมอิสลามหรือมุสลิมมีแหล่งกำเนิดอยู่ในคาบสมุทรอาระเบีย (ประเทศซาอุดิอาระเบียในปัจจุบัน) ซึ่งในช่วงเวลาที่จักรวรรดิอิสลามอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์อับบาสิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การนำของกาหลิบฮารัน เอล-ราชิด นั้นได้รับการยกย่องว่าเป็น “ยุคทองของอารยธรรมอิสลาม” โดยแท้จริง

28.       ใครคือกาหลิบองค์แรกของจักรวรรดิมุสลิม

(1) อาบู บากร์

(2) โอธมาน    

(3) อาลี          

(4) มูวียะ

ตอบ 1 หน้า 66 – 67 จักรวรรดิอิสลามในช่วงปี 632 – 661 จะอยู่ภายใต้การนำของกาหลิบ 4 องค์ โดยมีเมดินาเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของจักรวรรดิอิสลาม ทั้งนี้ชาวมุสลิมจะเป็นผู้เลือกกาหลิบ ทั้ง 4 องค์เป็นผู้นำสังคมมุสลิม ได้แก่ อาบู บากร์ (ได้รับเลือกให้เป็นกาหลิบองค์แรกของ จักรวรรดิมุสลิม) โอมาร์ โอธมาน และอาลี

29.       ออตโตมาน เติร์ก คือใคร

(1)       เติร์กกลุ่มสุดท้ายที่รุกรานยุโรป

(2)       เติร์กผู้นำกองกำลังมุสลิมในสงครามครูเสด

(3)       เติร์กผู้ขับไล่ไบแซนไทน์ออกจากคาบสมุทรอนาโตเลีย

(4)       เติร์กผู้นำการบริหารจักรวรรดิมุสลิมในสมัยราชวงศ์อับบาสิต

ตอบ 1 หน้า 77 – 8588 ออตโตมาน เติร์ก เป็นกลุ่มเติร์กที่เข้ามามีบทบาทในเอเชียไมเนอร์ในช่วง ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 11 โดยในปี 1453 มูฮัมหมัดที่ 2 (Muhammad IIได้นำกองกำลังมุสลิม ยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้สำเร็จ ส่งผลให้จักรวรรดิไบแซนไทน์ของโรมันตะวันออกต้องล่มสลายลง นอกจากนี้ยังเป็นเติร์กกลุ่มสุดท้ายที่รุกรานยุโรป เป็นเติร์กกลุ่มสุดท้ายที่ถือครอง พี้นที่ส่วนใหญ่ของตะวันออกกลาง เป็นบรรพบุรุษของประชาชนตุรกีในปัจจุบัน เป็นผู้นำการปกครองจักรวรรดิยาวนานถึง 623 ปี รวมทั้งเป็นผู้ผสมผสานความเจริญของโลกตะวันออก และโลกตะวันตกได้เป็นอย่างดี

30.       ทำไมมุสลิมไม่พอใจในคำประกาศบัลฟอร์ปี 1917

(1)       ยิวประกาศจัดตั้งประเทศอิสราเอล

(2)       อังกฤษสนับสนุนการจัดตั้งรัฐยิวในดินแดนอาหรับ

(3)       ออตโตมาน เติร์ก ประกาศเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะในสงครามโลกครั้งที่สอง

(4)       สหรัฐอเมริกาประกาศให้ความช่วยเหลือด้านยุทธปัจจัยแก่อิสราเอล

ตอบ2 หน้า 140 (เล่มเก่า)(คำบรรยาย) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่1 กลุ่มยังเติร์กได้นำกองกำลังจักรวรรดิออตโตมานเข้าร่วมกับฝ่ายอักษะหรือฝ่ายมหาอำนาจกลาง แต่ชาวอาหรับหรือชาวมุสลิม ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของออตโตมานในปาเลสไตน์ได้ร่วมมือกับอังกฤษซึ่งเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร เนื่องจากอังกฤษสัญญาว่าจะสนับสนุนชาวอาหรับให้หลุดพ้นจากอำนาจของออตโตมาน และก่อตั้งชาติอาหรับเมื่อสิ้นสุดสงคราม ต่อมาในปี ค.ศ. 1917 อังกฤษก็ได้ออกคำประกาศบัลฟอร์ (The Balfour Declarationเพื่อสนับสนุนการจัดตั้งรัฐยิวในดินแดนอาหรับ (ปาเลสไตน์)ซึ่งคำประกาศนี้ได้สร้างความไม่พอใจให้แก่ชาวมุสลิมเป็นอย่างมาก

31.       ประเทศใดในอดีตได้รับการขนานนามว่าเป็น “ยักษใหญ่แห่งเอเชีย”

(1) จีน

(2) ญี่ปุ่น        

(3) เกาหลีเหนือ          

(4) เกาหลีใต้

ตอบ 1 หน้า 97 นับตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา จีนถือเป็นประเทศที่มีอิทธิพลมากที่สุดในภูมิภาค เอเชียตะวันออก ทั้งทางด้านการทหาร เศรษฐกิจ สังคม โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรมซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย อาทิเช่น ลัทธิขงจื๊อ เรื่องราวของจิ๋นซี ฮ่องเต้ เมาเซตุง อาหารจีน ประเพณีการไหว้เจ้า ฯลฯ ซึ่งจากความยิ่งใหญ่ดังกล่าวทำให้มีผู้ขนานนามจีนว่าเป็น “ยักษใหญ่แห่งเอเชีย” หรือ “พญามังกร”

32.       แม่นํ้าใดอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก

(1) แม่นํ้าเจ้าพระยา   

(2) แม่นํ้าโขง  

(3) แม่นํ้ายูเฟรติส       

(4) แม่นํ้าเหลือง

ตอบ 4 หน้า 97146 (เล่มเก่า) แม่นํ้าฮวงโหหรือแม่น้ำเหลืองที่ไหลผ่านจีนถือว่าเป็นแม่น้ำสายสำคัญ สายหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออก โดยจะเชื่อมระหว่างจีนภาคเหนือกับภาคกลางเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ยังเป็นแม่นํ้าที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์จีน นั่นคือ เป็นแม่น้ำที่สร้างความ อุดมสมบูรณ์ให้แก่สองฟากฝั่งที่แม่นํ้าไหลผ่าน รวมทั้งเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมเริ่มแรกของจีน

33.       จีนประดิษฐ์ปฏิทินขึ้นใช้เป็นครั้งแรกในสมัยใด

(1) จักรพรรดิหยู่         

(2) จักรพรรดิเหยา      

(3) จักรพรรดิจิ๋น         

(4) จักรพรรดิถังเกาจง

ตอบ 2 หน้า 98 – 100 จักรพรรดิเหยาและจักรพรรดิชุน เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 4 และ 5 ในรัชสมัยของ กษัตริย์ฮวงตี่ของจีน ซึ่งทั้ง 2 พระองค์ถือเป็นกษัตริย์ที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมและมีแนวคิดประชาธิปไตย จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “กษัตริย์นักประชาธิปไตย” โดยความเจริญที่สำคัญในยุคนี้ได้แก่ มีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ มีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขของชาวบ้าน และมีฐานะเป็นเทพเจ้า นอกจากนี้ยังมีการจัดระบอบการปกครองที่เข้มแข็ง และรู้จักประดิษฐ์ปฏิทินขึ้นใช้เป็นครั้งแรก

34.       ภาชนะเครื่องปั้นดินเผาลี เป็นความเจริญในสมัยใดของจีน

(1) ยุคหินเก่า 

(2) ยุคหินกลาง          

(3) ยุคหินใหม่

(4) ยุคสำริด

ตอบ 3 หน้า 99150 (เล่มเก่า) จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดพบบริเวณตอนกลางของจีนแถบลุ่มแม่นํ้าเหลือง ทำให้นักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่เชื่อว่า ความเจริญของจีนในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ น่าจะเกิดขึ้นในยุคหินใหม่หรือเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งหลักฐานสำคัญที่แสดง ให้เห็นถึงความเจริญเริ่มแรกซองจีน ได้แก่ ภาชนะเครื่องปั้นดินเผาลีและเสียน

35.       ชาวจีนโบราณนิยมนำกระดูกจากสัตว์ชนิดใดมาใช้เป็นเครื่องมือในการทำนายโชคชะตา

(1) กระดองเต่า          

(2) กระดูกวัว  

(3) กระดูกเสือ

(4) กระดูกแรด

ตอบ 1 หน้า 100 ชาวจีนโบราณมีความเชื่อในเรื่องการทำนายโชคชะตา โดยเฉพาะในกลุ่มบุคคลชั้นสูง ที่นิยมการทำนายโชคชะตาด้วยกระดูกสัตว์ขนาดใหญ่หรือกระดองเต่า ซึ่งวิธีการก็คือ บันทึก ข้อความที่ต้องการลงบนวัตถุดังกล่าวแล้วนำไปเผาไฟ โดยความร้อนจะทำให้เกิดรอยแตก ถ้าปลายรอยแตกชี้ไปที่ข้อความใด ข้อความนั้นก็คือคำทำนาย

36.       ราชวงศ์ใดเป็นผู้นำเรื่อง “อาณัติแห่งสวรรค์” มาใช้ในการปกครองประเทศเป็นครั้งแรก

(1) ราชวงศ์เฉีย          

(2) ราชวงศ์โจว           

(3) ราชวงศ์ถัง

(4) ราชวงศ์ฮั่น

ตอบ 2 หน้า 102 ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันตก ผู้ปกครองจีนได้นำแนวคิดทางการเมืองที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเรียกว่า “ทฤษฏีแห่งสวรรค์” มาใช้ในการปกครองประเทศเป็นครั้งแรก โดยกษัตริย์โจวจะถือว่า ตนเป็น “โอรสหรือบุตรแห่งสวรรค์” หมายถึง องศ์จักรพรรดิที่สวรรค์ส่งลงมาปกครองมนุษย์ และได้รับอำนาจที่สวรรค์มอบให้เพื่อใช้ปกครองโลกเรียกว่า “อาณัติแห่งสวรรค์”

37.       “บันทึกความทรงจำของสานุศิษย์ 4 เล่ม” เชื่อว่าเป็นคำสั่งสอนในลัทธิใดของจีน

(1) เต๋า

(2) ขงจื๊อ        

(3) ขงจื๊อใหม่  

(4) นิติธรรมนิยม

ตอบ 2 หน้า 105 – 106160 (เล่มเก่า) ขงจื๊อ เป็นนักปรัชญาคนสำคัญซองจีนในยุคโจวตะวันออก ซึ่งหสักคำสอนของขงจื๊อจะเน้นความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสังคมในโลกนี้มากกว่าชีวิต ในโลกหน้า รวมทั้งเน้นให้มนุษย์รู้จักหน้าที่และฐานะของตนเองในสังคม ทั้งนี้คัมภีร์สำคัญที่ ได้รวบรวมคำสอนของลัทธิขงจื๊อเอาไว้มี 2 ชุด ได้แก่ ตำรามีค่า 5 เล่มของขงจื๊อ และบันทึก ความทรงจำของสานุศิษย์ 4 เล่ม

38.       ราชวงศ์ใดที่บังคับให้ชาวจีนโกนผมส่วนหน้าและไว้ผมเปียตามความนิยมของชนเผ่าตน

(1) ราชวงศ์จีน

(2) ราชวงศ์ถัง

(3) ราชวงศ์หยวน       

(4) ราชวงศ์ชิง

ตอบ 4 หน้า 111-112 ในสมัยที่ราชวงศ์ชิงหรือราชวงศ์แมนจูปกครองจีนได้มีการนำกฎเกณฑ์ ทางสังคมเข้ามาใช้ เพื่อเป็นมาตรการป้องกันความปลอดภัยและต้องการรักษาเอกลักษณ์ ของชาวแมนจู ที่สำคัญ ได้แก่   

1. บังคับให้ใช้ภาษาแมนจูเป็นภาษาของทางราชการ

2. บังคับให้ชาวจีนแต่งกายแบบชาวแมนจู    

3. ห้ามชาวจีนแต่งงานกับชาวแมนจู

4. บังคับให้ชาวจีนโกนผมส่วนหน้าประมาณครึ่งศีรษะและไว้ผมเปีย

5. ห้ามชาวแมนจูค้าขาย

6. ชาวจีนจะเข้ารับราชการต้องผ่านการสอบไล่ ส่วนชาวแมนจูได้รับสิทธิพิเศษโดยไม่ต้องสอบ

39.       เมื่อเดินทางมาค้าขายกับจีน พ่อค้าชาวอังกฤษได้รับอนุญาตให้ตั้งสถานีการค้าที่เมืองท่าใด

(1) มาเก๊า       

(2) ฮ่องกง      

(3) แคนตอน   

(4) เอหมึง

ตอบ 3 หน้า 112(คำบรรยาย) ในสมัยล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ประเทศจีน (ปลายสมัยราชวงศ์หมิง ถึงต้นราชวงศ์แมนจู) ในขณะนั้นได้เกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายขึ้นโดยทั่วไป เมื่อดัตช์และโปรตุเกส เข้ามาช่วยจีนปราบกบฏและพวกโจรสลัด ทำให้ราชสำนักจีนตอบแทนทั้ง 2 ชาติด้วยการอนุญาต ให้เข้ามาตั้งสถานีการค้าได้ โดยให้โปรตุเกสมาตั้งที่มาเก๊า ส่วนดัตช์ให้มาตั้งที่เอหมึง ต่อมา อังกฤษได้เดินทางเข้ามายังจีนเพื่อเรียกร้องให้จีนเปิดประเทศ แม้จีนจะปฏิเสธ แต่ก็อนุญาตให้ พ่อค้าชาวอังกฤษเข้ามาตั้งสถานีการค้าได้ที่เมืองแคนตอน

40.       สงครามใดที่ทำให้จีนต้องตกเป็นประเทศกึ่งอาณานิคมของชาติตะวันตก

(1) สงครามเทียนสิน  

(2) สงครามเรือแอร์โรว์           

(3) สงครามฝิ่น           

(4) กบฏนักมวย

ตอบ 3 หน้า 112 – 113216 – 217 (เล่มเก่า) สงครามฝิ่น เป็นสงครามระหว่างจีนกันอังกฤษ ที่งหลังจาก ที่จีนพ่ายแพ้แก่อังกฤษในปี ค.ค. 1842 ทำให้จีนต้องลงนามในสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคฉบับแรก กับอังกฤษ เรียกว่า “สนธิสัญญานานกิง” (Treaty of Nankingซึ่งผลก็คือ จีนต้องยกเกาะฮ่องกง ให้อังกฤษและต้องเปิดเมืองท่าอีก 5แห่ง ได้แก่ แคนตอน เอหมึงฟูเจา นิงโป และเซี่ยงไฮ้ให้เป็น เขตสัมปทานอยู่ในความดูแลของอังกฤษ อีกทั้งต้องสูญเสียสิทธิใบการปกครองหรืออำนาจอธิปไตย จนตกเป็นประเทศกึ่งอาณานิคมของชาติตะวันตก ต้องสูญเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตหรือ สิทธิทางการศาล ต้องชดใช้ค่าฝิ่นที่จีนทำลายไป ต้องสูญเสียสิทธิในการกำหนดอัตราภาษี และต้องยอมรับเงื่อนไขของความเป็นมิตรที่ดีของต่างชาติ

41.       ตราบเท่าที่แผ่นดินจีนมีดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียว จีนก็ต้องมีจักรพรรดิเพียงพระองค์เดียว เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นในสมัยใด        

(1) ราชวงค์โจว

(2) สมัยจักรพรรดิ 5 พระองค์ 

(3) สมัยสามก๊ก          

(4) ราชวงค์จิ๋น

ตอหน้า 109 ในสมัยราชวงศ์จิ๋นจะถือว่าองค์จักรพรรดิเป็นประมุขสูงสุดในการปกครอง ทั้งนี้ เป็นไปตามแนวความคิดของจิ๋นซี ฮ่องเต้ ที่ว่า “ตราบเท่าที่แผ่นดินจีนมีดวงอาทิตย์เพียงดวงเดียว จีนก็ต้องมีจักรพรรดิเพียงพระองค์เดียว ”

42. “ระบบนาบ่อ ระบบนาเฉลี่ย ระบบ 3 หัวหน้า” เน้นในการแก้ปัญหาทางด้านใด

(1) เพื่อจัดหาอาชีพให้ชาวจีน 

(2) เพื่อปฏิรูปการจัดเก็บภาษี

(3) เพื่อการปฏิรูประบบชลประทาน   

(4) เพื่อป้องกันการบุกรุกป่าสงวน

ตอบ 2 หน้า109-111 วิธีการที่รัฐบาลจีนนำมาใช้เพื่อปฏิรูปการจัดเก็บภาษีในอดีตมีดังนี้

1.ระบบนาบ่อในสมัยราชวงศ์โจว       

2. ระบบนาเฉลี่ยและระบบ 3 หัวหน้าในสมัยราชวงศ์ถัง

3. ระบบภาษีคู่และระบบเก็บรวบยอดในสมัยราชวงศ์หมิง

43. นายซุนยัดเซ็น มีผลงาน

(1) การทหาร  

(2) การแพทย์ 

(3) การเมือง   

(4) การศึกษา

ตอบ 3 หน้า 113219 – 220 (เล่มเก่า)(คำบรรยาย) ซุนยัดเซ็นเป็นผู้ที่มีผลงานโดดเด่นทางด้าน การเมืองในประเทศจีน โดยในปี ค.ศ. 1912 ซุนยัดเซ็นได้ทำการปฏิวัติยึดอำนาจราชวงศ์แมนจู โดยเปลี่ยนระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบสาธารณรัฐที่เมืองนานกิงเป็นผลสำเร็จภายใต้การร่วมมือของหยวนซือไข ทำให้จักรพรรดิปูยีซึ่งเป็นจักรพรรดิ องศ์สุดท้ายของราชวงศ์แมนจูสละราชสมบัติในปีเดียวกัน จากนั้นหยวนซือไขก็ได้รับการแต่งทั้ง ให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกแห่งสาธารณรัฐจีน จีนจึงก้าวเข้าสู่สมัยสาธารณรัฐ อย่างสมบูรณ์นับตั้งแต่นั้น

44.       ชื่อใดเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของจีนแผ่นดินใหญ่ในปัจจุบัน

(1) สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนจีน    

(2) สาธารณรัฐจีน

(3) สาธารณรัฐประชาชนจีน  

(4) ราชอาณาจักรจีน

ตอบ 3 (ข่าว) จีนแผ่นดินใหญ่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ซึ่งมีการปกครอง แบบลัทธิสังคมนิยมในลักษณะของตนเอง โดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้กำหนดนโยบายต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีนายหู จิ่นเทา เป็นประธานาธิบดี เลขาธิการพรรค และประธานคณะกรรมาธิการทหารส่วนกลาง และมีนายเหวิน เจียเป่า เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2546 จนถึงปัจจุบัน

45.       ใครคือผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่มีชัยชนะเหนือพรรคก๊กมินตั๋งในปี 1949

(1) เจียงไคเช็ค

(2) เมาเซตุง   

(3) เติ้งเสี่ยวผิง

(4) โจวเอินไหล

ตอบ 2 หน้า 114(คำบรรยาย) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในจีน โดยมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์จีนนำโดยเมาเซตุงกับพรรคก๊กมินตั๋ง หรือพรรคจีนคณะชาติ (พรรคชาตินิยม) นำโดยเจียงไคเช็ค สงครามในครั้งนี้สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1949 ซึ่งผลปรากฏว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นฝ่ายชนะ

46.       ในจำนวนเกาะที่ใหญ่ที่สุด 4 เกาะของญี่ปุ่น เกาะใดเจริญมากที่สุด

(1) ฮอกไกโด  

(2) ฮอนชู        

(3) ริวกิว         

(4) ชิโกกุ

ตอบ 2 หน้า 121(คำบรรยาย) เกาะที่สำคัญของญี่ปุ่นมีอยู่ 4 เกาะ ได้แก่  

1. เกาะฮอกไกโดเป็นเกาะทางตอนเหนือของญี่ปุ่น และถือว่าเป็นศูนย์กลางอารยธรรมเริ่มแรกของญี่ปุ่น

2. เกาะฮอนชู เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดา 4 เกาะ มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นที่สุด มีพื้นที่ราบมากที่สุดของประเทศ และเป็นศูนย์กลางทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการปกครองของญี่ปุ่น ซึ่งถือว่าเป็นเกาะที่มีความเจริญมากที่สุด  

3. เกาะชิโกกุเป็นเกาะที่มีขนาดเล็กที่สุด โดยมีชื่อเสียงในเรื่องความงดงามของหมู่เกาะและชายฝั่งทะเล

4. เกาะคิวชิว เป็นเกาะแรกที่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการติดต่อกับชาวยุโรป โดยมีท่าเรือ ที่สำคัญอยู่ที่เมืองนางาซากิ

47.       บรรพบุรุษของญี่ปุ่นนักวิชาการส่วนใหญ่ในปัจจุบันเชื่อว่าอพยพมาจากทางภาคใดของทวีปเอเชียมากที่สุด

(1) ภาคเหนือ 

(2) ภาคใต้      

(3) ภาคตะวันตก        

(4) ภาคตะวันออก

ตอบ 3 (HIS 1003 เลขพิมพ์ 55187 หน้า 301304)(คำบรรยาย) นักวิชาการส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เชื่อว่า บรรพบุรุษของญี่ปุ่นอพยพมาจากทางภาคตะวันตกของทวีปเอเชียมากที่สุด โดยเข้ามา ตั้งรกรากอยู่ในหมู่เกาะทางภาคเหนือ จากนั้นจึงขยายตัวลงสู่ภาคใต้ และมาตั้งอาณาจักรแรก ทางภาคตะวันออกของเกาะฮอนชู ต่อมาได้ขยายอิทธิพลไปทั่วหมู่เกาะน้อยใหญ่ที่สำคัญ 4 เกาะ ด้วยกัน คือ เกาะฮอกไกโด เกาะฮอนชู เกาะชิโกกุ และเกาะคิวชู (เกาะคิวชิว)

48.       โจมอน ยาโยอิ และทูมูลิ คืออะไร

(1) เครื่องดนตรีชนิดหนึ่งของพวกไอนุ

(2) ความเจริญรุ่นแรกของญี่ปุ่นโบราณ

(3) ความรู้ที่ชาวญี่ปุ่นรับมาจากเกาหลี โดยเฉพาะทางด้านการเกษตร         

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 2 หน้า 124 – 125 หลักฐานทางโบราณคดีที่สำคัญที่แสดงให้เห็นถึงความเจริญรุ่นแรกของญี่ปุ่น ในสมัยโบราณ ได้แก่

1. วัฒนธรรมโจมอน เป็นวัฒนธรรมเครื่องปั้นดินเผาลายเชือก ซึ่งพบมากทางภาคตะวันออก และภาคเหนือของญี่ปุ่น

2. วัฒนธรรมยาโยอิ เป็นวัฒนธรรมที่พบมากบนเกาะคิวชิว ซึ่งหลักฐานที่สำคัญ เช่น เครื่องปั้นดินเผายาโยอิ การนำเหล็กและทองสำริดจากจีนมาหล่อเป็นดาบ ฯลฯ

3.         วัฒนธรรมทูมูลิ เป็นวัฒนธรรมที่รับมาจากเกาหลีโดยผ่านกลุ่มชนชั้นสูงในสังคม ซึ่งจะมีลักษณะเป็นสุสานหรือหลุมฝังศพขนาดใหญ่ที่ใช้บรรจุศพของบุคคลสำคัญของประเทศโดยเฉพาะองค์จักรพรรดิ โดยเริ่มปรากฏครั้งแรกบนเกาะคิวชิว

49.       หนังสือโคจิกิ และนิฮอง โชกิ ให้ความรู้ในเรื่องใดของชาวญี่ปุ่นโบราณมากที่สุด

(1) บันทึกการสู้รบครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาวญี่ปุ่นเหนือทุ่งราบเซกิกาฮารา

(2) การเดินทางของชาวตะวันตกเข้าสู่เกาะฮอกไกโดในสมัยล่าอาณานิคม

(3) ชัยชนะของขุนนางตระกูลมินาโมโตที่มีต่อขุนนางตระกูลฟูจิวารา

(4) ประวัติศาสตร์การก่อตั้งประเทศญี่ปุ่นโดยเชื้อสายของเทพเจ้าอะมาเตระสึ

ตอบ 4 หน้า 125 จากหนังสือโคจิกิและหนังสือนิฮอง โชกิ ได้กล่าวถึงเรื่องราวของชาวญี่ปุ่นโบราณ ในลักษณะของเทพนิยายว่า แผ่นดินญี่ปุ่นสร้างขึ้นโดยเทพเจ้า มีศูนย์กลางอยู่บนที่ราบยามาโต ทางตอนกลางของเกาะฮอนชู องค์จักรพรรดิและประชาชนล้วนสืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าทั้งสิ้น โดยจักรพรรดิพระองค์แรกซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งประเทศญี่ปุ่นทรงมีพระนามว่า “จิมมู เทนโน” เป็น ผู้สืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์หรือเทพีอะมาเตระสึ ซึ่งขึ้นครองราชย์เมื่อประมาณปี 660 B.C.

50.       ข้อใดคือความเจริญที่ญี่ปุ่นรับมาจากจีน

(1) ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก

(2) อุตสาหกรรมการต่อเรือเดินสมุทรด้วยเหล็กกล้า

(3) การนับถือความบริสุทธิ์ในธรรมชาติ         

(4) สถาปัตยกรรมการก่อสร้างแห่งเมืองนารา

ตอบ 4 หน้า 126 – 129 ความเจริญที่สำคัญที่ญี่ปุ่นโบราณรับมาจากจีน ได้แก่

1. ตัวอักษรจีน

2. รูปแบบการปกครองในสมัยราชวงศ์ถังของจีน      

3. ศาสนาพุทธ

4. สถาปัตยกรรม โดยมีการสร้างบ้านเมืองเพื่อรองรับหน่วยงานปกครองต่างๆ เช่น ปราสาทราชวัง สถานที่ราชการ ฯลฯ มีการจำลองรูปแบบตึกรามบ้านช่องจากจีน และมีการก่อสร้างเมืองสำคัญ ที่สวยงาม เช่น เมืองหลวงแห่งนครนารา เมืองหลวงเกียวโตแห่งยุคเฮอิอัน เป็นต้น

51.       ผู้นำท่านใดไม่มีบทบาทเลยในการปฏิรูปการเมืองการปกครองครั้งใหญ่ตามแบบอย่างจีนในคริสต์ศตวรรษ ที่ 6 ของญี่ปุ่น

(1) เจ้าชายโชโทกุ       

(2) องค์จักรพรรดิเทนจิ

(3) ฟูจิวารา โนะ คามาทาริ    

(4) ผู้นำกลุ่มนักรบซามูไรที่เดินทางกลับมาจากจีน

ตอบ 4 หน้า 127 – 128(คำบรรยาย) ในคริสต์ศตวรรษที่ 6 ผู้ปกครองญี่ปุ่นเกิดความประทับใจ ในรูปแบบการปกครองของจีนสมัยราชวงศ์ถัง ประกอบกับได้รับอิทธิพลจากลัทธิขงจื๊อ ทำให้ญี่ปุ่นปฏิรูปการเมืองการปกครองครั้งใหญ่ตามแบบจีน ซึ่งที่สำคัญ ได้แก่

1. ธรรมนูญการปกครองบ้านเมือง 17ข้อในปีค.ศ.604 เป็นผลงานของเจ้าชายโชโทกุ

2. การปฏิรูปไทกะในปี ค.ศ. 645 เป็นผลงานของเจ้าชายนากาโนะ โอเยะ หรือจักรพรรดิเทนจิ และฟูจิวารา โนะ คามาทาริ

52.       ข้อใดไม่ใช่หลักการที่นักรบซามูไรต้องปฏิบัติตามที่กำหนดไว้ใน “ลัทธิบูชิโด”

(1) ให้การยกย่องต่อสตรีเพศ 

(2) จงรักภักดีต่อเจ้านายแม้ตัวตายก็ต้องยอม

(3) เสียชีพอย่าเสียสัตย์         

(4) แสวงหาความรู้ใหม่ ๆ เพื่อการพัฒนาประเทศ

ตอบ 4 หน้า 130 ลัทธิบูชิโดในสมัยศักดินาเป็นหลักปฏิบัติตนในการดารงชีวิตของชนชั้นนักรบ หรือพวกซามูไร ซึ่งประกอบด้วย การยกย่องให้เกียรติสตรี การหยิ่งในเกียรติของตนเอง (เสียชีพอย่าเสียสัตย์) ความกล้าหาญ ความจงรักภักดี ความกตัญญูกตเวที เป็นต้น

53.       การจัดแบ่งชนชั้นผู้นำในญี่ปุ่นเป็น โตซามา ฟูได และชิมปัน เกิดขึ้นในสมัยใด

(1)       เมื่อจิมมู เทนโน ประกาศรวมแผ่นดินญี่ปุ่นที่แตกแยกขึ้นเป็นหนึ่งเดียวกันในปี ค.ศ. 660

(2)       เมื่อผู้ปกครองประเทศญี่ปุ่นหันไปรับวัฒนธรรมความเจริญจากจีนในปี ค.ศ. 500

(3)       เมื่อผู้นำตระกูลโตกูกาวาได้อำนาจเหนือแผ่นดินญี่ปุ่นในปี ค.ศ. 1602

(4)       เมื่อถูกเปิดประเทศโดยสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1858

ตอบ 3 หนำ 131(คำบรรยาย) ในสมัยศักดินา เมื่อโชกุนตระกูลโตกูกาวาขึ้นมามีอำนาจเหนือแผ่นดินญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1602 ได้มีการจัดแบ่งชนชั้นผู้นำซึ่งเป็นชนชั้นขุนนางหรือเจ้าผู้ครองแคว้นต่าง ๆใหม่ โดยแบ่งออกเป็น 3 ชนชั้น ได้แก่ ชนชั้นชิมปัน ฟูได และโตซามา ซึ่งส่วนใหญ่มักถูกส่งไป ปกครองตามท้องถิ่นที่ห่างไกลจากเมืองหลวง

54.       ในสมัยปิดประเทศ ญี่ปุ่นขับไล่ชาวต่างชาติออกจากประเทศ ยกเว้นชาติใด

(1) จีนซึ่งเป็นชาติเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์มาช้านาน

(2) ดัตช์ที่ผู้ปกครองญี่ปุ่นเห็นว่าไม่เคยแทรกแซงกิจการภายในของตน

(3) ถูกเฉพาะข้อ 1      

(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หนำ 132291 – 293 (เล่มเก่า) ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 โชกุนตระกูลโตกูกาวา เกรงว่าองค์กรศาสนาของชาวต่างชาติในนามคณะมิชชันนารีที่เผยแผ่ศาสนาคริสต์ในญี่ปุ่น จะเข้ามาก้าวก่ายกิจการภายใบประเทศ จนทำให้ประเทศแตกแยกกันและทำให้อำนาจของ พระองค์ลดน้อยลง ด้วยเหตุนี้องค์โชกุนจึงได้ประกาศปิดประเทศและขับไล่ชาวต่างซาติออกไป โดยไม่ติดต่อค้าขายกับชาติใดๆ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1637 – 1854 ยกเว้นจีนในฐานะของมิตรเก่า หรือชาติเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์มาช้านาน และดัตช์ที่ญี่ปุ่นเห็นว่าเป็นชาติที่ไม่เคยแทรกแซงการเมืองและกิจการภายในขององค์โชกุน ซึ่งทั้ง 2 ชาติจะได้รับอนุญาตให้เข้ามาค้าขายได้ เป็นครั้งคราว

55.       เหตุใดที่ทำให้ชาวตะวันตกในระยะแรก ๆ ไม่สนใจติดต่อกับญี่ปุ่นมากเท่าที่มีกับจีน

(1) ทรัพยากรของญี่ปุ่นมีน้อยกว่า      

(2) เส้นทางเดินเรือไปญี่ปุ่นลำบากมีเกาะแก่งทั่วไป

(3) กิตติศัพท์ว่าชาวญี่ปุ่นเป็นชนชาติที่โหดร้าย ป่าเถื่อน และทรัพยากรธรรมชาติไม่อุดมสมบูรณ์

(4)       ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 133 ในระยะแรก ๆ ช่วงก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 19 ชาวตะวันตกไม่สนใจติดต่อกับญี่ปุ่น มากเท่าที่มีกับจีน เพราะญี่ปุ่นไม่เจริญเท่าจีน สินค้าก็มีจำกัดและไม่น่าสนใจ ทรัพยากรธรรมชาติ ก็ไม่อุดมสมบูรณ์และมีน้อยกว่า เกาะแก่งทั่วไปที่มีอยู่มากมายยังทำให้เส้นทางการเดินเรือไปญี่ปุ่น ยากลำบาก ประกอบกับกิตติศัพท์ของชาวญี่ปุ่นที่ว่าเป็นชาติที่โหดร้าย และป่าเถื่อนด้วย

56.       ผู้นำรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นเริ่มทำการปฏิรูปประเทศในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 หลังเหตุการณ์ใด

(1) การยอมรับในความอ่อนแอของตนหลังถูกสหรัฐอเมริกาบังคับให้เปิดประเทศ

(2) เมื่อโชกุนตระกูลโตกูกาวายอมลงจากอำนาจหลังปกครองมานานกว่า 200 ปี

(3) เมื่อมีการอัญเชิญองค์จักรพรรดิจากเมืองเกียวโตมาประทับที่เมืองเอโดะ

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หนำ 113(คำบรรยาย) ภายหลังจากที่ญี่ปุ่นพ่ายแพ้ต่อกองเรือของสหรัฐอเมริกาที่เดินทางเข้ามาบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ จนทำให้ญี่ปุ่นยอมรับในความอ่อนแอในระบอบโชกุนของตน และเลื่อมใสในเทคโนโลยีของตะวันตกมากกว่าจีน ประกอบกับโชกุนตระกูลโตกูกาวาซึ่งปกครองญี่ปุ่นมานานกว่า 200 ปี (ค.ศ. 1602 – 1867) ยอมลงจากอำนาจในปี ค.ศ. 1868 จากนั้นได้อัญเชิญ องค์จักรพรรดิจากเมืองเกียวโตมาประทับที่เมืองเอโดะเพื่อให้กลับคืบสู่อำนาจตามเดิม ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ผู้นำรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นตื่นตัวที่จะเริ่มทำการปฏิรูปประเทศในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งนับเป็นการเริ่มต้นยุคใหม่ของญี่ปุ่นที่เรียกว่า “ยุคเมจิ”

57.       ญี่ปุ่นรุกรานจีนในสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 มาจากสาเหตุใดเป็นสำคัญ

(1)       ญี่ปุ่นต้องการทดลองศักยภาพทางทหารที่ตนรับมาใหม่จากตะวันตก

(2)       ญี่ปุ่นต้องการเกาหลีเป็นฐานในการรุกรานเอเชียในอนาคต

(3)       ญี่ปุ่นต้องการยุติข้อขัดแย้งภายในประเทศด้วยการดึงความสนใจออกนอกประเทศ

(4)       ญี่ปุ่นต้องการสั่งสอนเกาหลี และเตือนจีนไม่ให้เข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของตน

ตอบ 2 หน้า 113(คำบรรยาย) สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1894 – 1895) เป็นสงครามระหว่าง ราชวงศ์แมนจูของจีนกับจักรพรรดิเมจิแห่งญี่ปุ่น ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่ญี่ปุ่นต้องการครอบครอง คาบสมุทรเกาหลีเพื่อเป็นฐานในการรุกรานเอเชียในอนาคต อีกทั้งยังต้องการเข้าไปขยายอิทธิพล ทางการเมืองและเศรษฐกิจในจีน โดยผลของสงครามปรากฏว่าจีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อญี่ปุ่น ซึ่งจีนเคยดูถูกว่าเป็นชาติที่ด้อยอารยธรรม และทำให้จีนต้องสูญเสียเกาหลีไปในที่สุด

58.       เครื่องปั้นดินเผาลายฟันหวีเป็นความเจริญในสมัยโบราณของชาติใด

(1) จีน

(2) เกาหลี      

(3) ญี่ปุ่น        

(4) มองโกเลีย

ตอบ 2 หน้า 145 – 146 ความเจริญทางวัฒนธรรมของเกาหลีในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ แบ่งออกเป็น 2 สมัย คือ

1. วัฒนธรรมจุลมุนหรือจุลจีมุน เป็นวัฒนธรรมเครื่องปั้นดินเผาลายฟันหวี ซึ่งพบมากทางภาคตะวันตกของคาบสมุทรเกาหลี        

2. วัฒนธรรมมูมุน เป็นวัฒนธรรมเครื่องปั้นดินเผาที่พบมากทางภาคใต้ของคาบสมุทรเกาหลีซึ่งเป็นดินแดนที่ชนเผ่าฮั่นอาศัยอยู่

59.       ความเจริญของเกาหลีโบราณส่วนใหญ่นำมาจากชาติใด

(1) สหรัฐอเมริกา        

(2) อังกฤษ     

(3) จีน

(4) ชาวเกาหลีพัฒนาขึ้นมาเอง

ตอบ 3 (คำบรรยาย) เกาหลีโบราณได้รับแบบอย่างความเจริญส่วนใหญ่มาจากจีน เช่น รูปแบบการปกครองที่ทำให้รัฐบาลกลางเข้มแข็งขึ้น การบริหารราชการ การสอบไล่เพื่อเข้ารับราชการ ศาสนาพุทธ ลัทธิขงจื๊อ เป็นต้น

60.       ผู้นำญี่ปุ่นคนปัจจุบันคือใคร

(1) อาเบะ       

(2) ฮาโตยามา

(3) ซูซูกิ          

(4) โนบุ

ตอบ 1 (ข่าว) ผลการเลือกตั้งของญี่ปุ่นในวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมา ปรากฏว่า นายชินโซะ อาเบะ ผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDPได้ชนะการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนปัจจุบันของญี่ปุ่น

61. ธงชาติของสาธารณรัฐอินเดียมี 3 แถบ จากบนมาล่างคือ แถบสีส้ม แถบสีขาว และแถบสีเขียว ถามว่าตรงกลางผืนธงแถบสีขาวมีสัญลักษณ์รูปอะไรปรากฏอยู่

(1) รูปพระอาทิตย์      

(2) รูปมังกร    

(3) รูปพระจันทร์เสี้ยว 

(4) รูปพระธรรมจักร

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ธงชาติของสาธารณรัฐอินเดียประกอบด้วยแถบสี 3 แถบ คือ แถบบนสีส้ม แถบล่างสีเขียว ส่วนแถบกลางสีขาวจะมืรูปพระธรรมจักรอยู่ตรงกลาง ซึ่งพระธรรมจักร ดังกล่าวก็คือสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธนั่นเอง

62.       ศาสนาใดมีผู้นับถือมากที่สุดในภูมิภาคเอเชียใต้

(1) พุทธ          

(2) สิกข์          

(3) ฮินดู          

(4) อิสลาม

ตอบ 3 หน้า 175 ภูมิภาคเอเชียใต้หรืออนุทวีปอินเดียได้ชื่อว่าเป็นดินแดนที่ประชากรมีความหลากหลาย ในการนับถือศาสนา โดยคิดเป็นอัตราส่วนร้อยละเรียงตามลำดับจากมากไปนัอยได้ดังนี้

1. พราหมณ์-ฮินดู 83.5%      

2. อิสลาม 10.7%

3. คริสต์ 2.4%

4. สิกข์ 1.8%

5. เชน พุทธ โซโรแอสเตอร์และอื่น ๆ 1.6%

63.       แหล่งอารยธรรมเริ่มแรกในเอเชียใต้ ปัจจุบันเนื้อที่ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศใด

(1) ปากีสถาน

(2) อินเดีย      

(3) เนปาล      

(4) บังกลาเทศ

ตอบ 1 หน้า 183 – 184188 อารยธรรมลุ่มแม่นํ้าสินธุเป็นอารยธรรมเริ่มแรกของเอเชียใต้ และของโลก โดยเป็นอารยธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ หรืออินดัสในประเทศปากีสถานปัจจุบันทั้งนี้ได้มีการขุดพบซากเมืองโบราณสำคัญ 2 เมือง คือ เมืองโมเหนโจดาโรและฮารัปปา โดยพบว่าสิ่งก่อสร้างของทั้ง 2 เมืองนั้นส่วนใหญ่ทำมาจากอิฐเผาไฟ ที่มีคุณภาพดี นอกจากนี้ชาวสินธุยังเป็นชนกลุ่มแรกของโลกที่รู้จักจัดห้องน้ำแบบยืนตักอาบ และทำท่อระบายนํ้าโสโครก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุมีความเจริญสูงสุด ด้านสุขาภิบาล เมื่อเทียบกับแหล่งอารยธรรมเริ่มแรกในบริเวณอื่น

64.       สิ่งก่อสร้างที่เมืองโมเหนโจดาโรและฮารัปปาที่ขุดพบบริเวณลุ่มแม่นํ้าสินธุนั้น ส่วนใหญ่ใช้วัสดุอะไร ในการก่อสร้าง

(1) ศิลาแลง   

(2) อิฐ 

(3) ไม้ 

(4) หินแกรนิต

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ

65.       นักวิชาการจัดให้แหล่งอารยธรรมลุ่มแม่นํ้าสิบธุมีความเจริญสูงสุดด้านสุขาภิบาล เมื่อเทียบกับแหล่งอารยธรรม เริ่มแรกในบริเวณอื่น ถามว่าด้วยเหตุใด

(1) ชาวสินธุส่วนใหญ่สร้างบ่อนํ้าไว้ในบ้าน    

(2) ชาวสินธุรู้จักประดิษฐ์ตัวอักษรใช้

(3) ชาวสินธุรู้จักนำโลหะมาใช้ทำเครื่องมือเครื่องใช้   

(4) ชาวสินธุรู้จักทำท่อระบายนํ้าโสโครก

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ

66.       สัตว์ชนิดใดที่ชาวอารยันยุคพระเวทใช้เป็นหน่วยวัดความมั่งคั่ง

(1) วัวตัวเมีย  

(2) ควายตัวเมีย         

(3) แพะตัวเมีย

(4) แกะตัวเมีย

ตอบ 1 หน้า 193 ในยุคพระเวท สัตว์ที่ชาวอารยันให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือ วัวตัวเมีย ซึ่งถือว่า เป็นหน่วยวัดความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ อีกทั้งวัวตัวเมียยังให้แรงงาน ให้นม-เนย และลูกด้วย

67.       การบริโภคเนื้อสัตว์ชนิดใดที่ชาวฮินดูถือว่าบาปมหันต์

(1) วัว 

(2) ม้า 

(3) นกยูง        

(4) ช้าง

ตอบ 1 หน้า 187 ชาวสิบธุที่เป็นฮินดูจะบูชาวัวตัวผู้ เพราะถือว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์และเป็นพาหนะของพระศิวะ ซึ่งถ้าใครรับประทานเนื้อวัวจะถือว่าเป็นบาปอย่างมหันต์ นอกจากนี้ยังมีการบูชาต้นโพธิ์และต้นไทร มีการบูชาไฟ พระอาทิตย์ งู หรือพญานาคด้วย

68.       ถ้าจัดพ่อค้าส้มตำ-ไก่ย่าง เข้าอยู่ใบระบบวรรณะ จะจัดไว้ในวรรณะใด

(1) พราหมณ์  

(2) กษัตริย์     

(3) แพศย์       

(4) ศูทร

ตอบ 3 หน้า 195 – 196 ในเรื่องระบบวรรณะของสังคมอินเดียโบราณจะเป็นไปตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งเชื่อว่า พระพรหมเป็นผู้สร้าง โดยทรงสร้างมนุษย์เพื่อสันติ จากอวัยวะของพระองค์ 4 ส่วน ได้แก่

1.         วรรณะพราหมณ์ (สร้างจากพระโอษฐ์หรือปาก) จัดเป็นชนชั้นสูงสุดของสังคม ได้แก่ นักบวช นักปราชญ์ และครูอาจารย์ สีประจำวรรณะคือ สีขาว

2.         วรรณะกษัตริย์ (สร้างจากพระพาหาหรือแขน) ได้แก่ นักปกครอง ทหารหรือนักรบ และตำรวจ สีประจำวรรณะคือ สีแดง

3.         วรรณะแพศย์หรือไวศยะ (สร้างจากพระโสณีหรือสะโพก) ได้แก่ เกษตรกร พ่อค้า นายธนาคาร ฯลฯ สีประจำวรรณะคือ สีเหลือง

4.         วรรณะศูทร (สร้างจากพระบาทหรือเท้า) จัดเป็นชนชั้นต่ำสุดของสังคม ได้แก่ พวกกรรมกร และข้าหรือทาส สีประจำวรรณะคือ สีดำ

69.       “จัณฑาล’’ เป็นพวกนอกวรรณะ เป็นชนชั้นตํ่าสุดที่สังคมรังเกียจ ถามว่าเป็นลูกที่เกิดจากการแต่งงานระหว่างพ่อกับแม่ในวรรณะใด

(1) พราหมณ์-ศูทร      

(2) ศูทร-พราหมณ์      

(3) กษัตริย์-ศูทร         

(4) คู่อื่น

ตอบ 2 การที่สามีวรรณะศูทรแต่งงานกับภรรยาวรรณะพราหมณ์ บุตรที่เกิดมาจะเรียกว่า “จัณฑาล”

70.       “วัยรุ่นเป็นวัยเสี่ยงควรหลีกเลี่ยงเส้นทางเอดส์” เป็นคำขวัญชนะเลิศจากการประกวดรางวัลในโครงการ ป้องกันโรคเอดส์ของมหาวิทยาลัยรามคำแหงประจำปี 2535 จากคำขวัญดังกล่าว ถามว่าวัยรุ่นตามคติฮินดู คือคนในอาศรมใด

(1) พรหมจรรยาศรม   

(2) คฤหัสถาศรม        

(3) วานปรัสถาศรม    

(4) สันยัสตาศรม

ตอบ 1 หน้า 199 หลักอาศรม 4 ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ได้แบ่งชีวิตคนออกเป็น 4 วัย เพื่อให้คนในแต่ละอาศรมทำหน้าที่ให้เหมาะกับวัย ดังนี้

1.         พรหมจรรยาศรมหรือพรหมจารี (อายุ 1 – 25 ปี) เป็นวัยแห่งการศึกษา (วัยรุ่นจะมีอายุ ระหว่าง 13 – 19 ปี ดังนั้นจึงจัดอยู่ในกลุ่มนี้)

2.         คฤหัสถาศรมหรือคฤหัสถ์ (อายุ 26 – 50 ปี) เป็นวัยแห่งการครองเรือนหรือการแต่งงาน มีครอบครัว

3.         วานปรัสถาศรมหรือวานปรัสถ์ (อายุ 51 – 75 ปี) เป็นวัยแห่งการบริการสังคม

4.         สันยัสตาศรมหรือสันยาสี (อายุ 76 – 100 ปี) เป็นวัยแห่งการกระทำเพื่อมนุษยชาติ โดยการออกบวชตลอดชีพเพื่อแสวงหาโมกษะ

71.       การบริโภคแบบมังสวิรัติเป็นแนวปฏิบัติสอดคล้องกับผู้นับถือศาสนาใดมากที่สุด

(1) พุทธ          

(2) เชน           

(3) สิกข์          

(4) ฮินดู

ตอบ 2 หน้า 202 มหาพรต 5 คือ ข้อปฏิบัติพื้นฐานของนักบวชในศาสนาเชน เช่น นักบวชต้องดำรงชีพ แบบอหิงสา นั่นคือ ต้องไม่ทำอันตรายสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย นักบวชต้องฉันอาหารแบบมังสวิรัติ และฉันมื้อเดียว นักบวชต้องถือศีลอดโดยทรมานตนด้วยการอดอาหาร ถ้าปฏิบัติเคร่งครัดก็ให้ อดอาหารจนตาย เป็นต้น

72.       สมัยใดที่อินเดียนิยมเจาะภูเขาเป็นลูก ๆ ให้เป็นถํ้าเพื่อสร้างเทวสถานและพุทธสถาน

(1) สมัยพุทธกาล       

(2) สมัยมหากาพย์     

(3) สมัยราชวงศ์เมารยะ         

(4) สมัยราชวงศ์คุปตะ

ตอบ 4 หน้า 219221 – 222 ในสมัยราชวงศ์คุปตะได้ชื่อว่าเป็น “ยุคทองของอินเดียโบราณ” โดยมีความเจริญประการหนึ่งทางด้านสถาปัตยกรรมและจิตรกรรมที่เด่น ๆ คือ การเจาะภูเขา เป็นลูก ๆ ให้เป็นถํ้าเพื่อสร้างสังฆารามหรือเทวสถานและพุทธสถานที่มีชื่อเสียงที่สุดคือถ้ำอชันตา ซึ่งภาพเขียนสีรูปพระโพธิสัตว์บปัทมปาณีบนฝาผนังถํ้าที่ 1 ถือว่าเป็นจิตรกรรมชิ้นเอกของยุค

73. “จะต้องปกครองโดยธรรม จะต้องบริหารโดยธรรม จะทำให้ประชาชนชื่นชอบโดยธรรม และจะคุ้มครองประชาชนโดยธรรม ” ข้อความดังกล่าวสอดคล้องกับบุคคลในข้อใดที่สุด

(1) พระเจ้าจันทรคุปต์

(2) พระเจ้าอโศก        

(3) พระเจ้ากนิษกะ    

(4) พระเจ้าอักบาร์

ตอบ 2 หน้า 214 – 217 พระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์เมารยะหรือโมริยะ ทรงมีพระราชกรณียกิจที่สำคัญดังนี้

1.         ทรงใช้อำนาจปกครองราษฎรแบบพ่อปกครองลูก และทรงเป็นธรรมราชา ดังคำกล่าวใน ศิลาจารึกพิเศษแห่งกลิงคะฉบับที่ 1 ว่า “…จะต้องปกครองโดยธรรม จะต้องบริหารโดยธรรม จะทำให้ประชาชนชื่นชอบโดยธรรม และจะคุ้มครองประชาชนโดยธรรม”

2.         ทรงส่งสมณทูตออกไปเผยแผ่ศาสนารวม 9 สายไปทั่วอินเดียทุกภาคและออกนอก ประเทศอินเดียเป็นครั้งแรก

3.         โปรดให้สร้างพระธรรมจักรขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนพระธรรมคำสอน เช่น ปางปฐมเทศนาจะทำเป็นภาพพระธรรมจักรและมีกวางหมอบ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงโปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันหรือป่ากวางแห่งกรุงราชคฤห์ เป็นต้น

74. “เรื่องบางเรื่องบอกแต่ภรรยา เรื่องบางเรื่องนั้นหนาบอกสหาย เรื่องบางเรื่องบอกเฉพาะเจ้าลูกชาย เรื่องบางเรื่องไม่อาจบอกทุกผู้คน” (จากนิทานปัญจตันตระ) ถามว่าเป็นมรดกด้านอารยธรรมสมัยใด

(1) ราชวงศ์เมารยะ    

(2) ราชวงศ์คุปตะ       

(3) ราชวงศ์กุษาณะ   

(4) ราชวงศ์โมกุล

ตอบ 2 หน้า 219 – 220 ในสมัยราชวงศ์คุปตะมีวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงมากชิ้นหนึ่งคือ นิทานปัญจตันตระ(หลักคำสอน 5 ประการ) ซึ่งแต่งเป็นร้อยแก้วผสมกับคติพจน์ในแบบร้อยกรองที่สอดแทรก เล่ห์เหลี่ยมและกลอุบายต่าง ๆ เพื่อเตือนใจผู้อ่าน โดยมีสาระสำคัญ เช่น การจะบอกเรื่องราว ใด ๆ กับใคร ต้องดูให้เหมาะสมกับเรื่องที่จะบอกหรือปรึกษา ดังภาษิตที่ว่า “เรื่องบางเรื่อง บอกแต่ภรรยา เรื่องบางเรื่องนั้นหนาบอกสหาย เรื่องบางเรื่องบอกเฉพาะเจ้าลูกชาย เรื่องบางเรื่องไม่อาจบอกทุกผู้คน” เป็นต้น

75.       พระธรรมจักรและกวางหมอบ เป็นสัญลักษณ์แทนปางปฐมเทศนา โปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน (ป่ากวาง) ถามว่าเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยใด

(1) พระเจ้าพิมพิสาร   

(2) พระเจ้าอชาติศัตรู 

(3) พระเจ้าอโศก        

(4) พระเจ้ามิลินท์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 73. ประกอบ

76.       “เป็นหยาดนํ้าตาบนใบหน้าอันงดงามแห่งนิรันดรกาล” (A drop of tear on the beautiful face of eternityเป็นวาทะของรพินทรนาถ ฐากูร นักเขียนวรรณกรรมรางวัลโนเบลที่มีต่อสิ่งใด

(1) ปราสาททัชมาฮาล

(2) ป้อมแดง

(3) สุวรรณวิหาร         

(4) อนุสาวรีย์มหาตมะ คานธี

ตอบ 1 หน้า 226 ปราสาททัชมาฮาลสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชาห์เจฮาน เพื่อใช้เป็นสุสานเก็บพระศพของพระมเหสีมุมทัช โดยทัชมาฮาลจะสร้างด้วยหินอ่อนสีขาว ประดับประดาด้วยอัญมณีที่ประมาณค่าไม่ได้ เป็นศิลปะฮินดูผสมมุสลิม และจัดเป็นสถาปัตยกรรมที่มีความงดงามจนนับเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ในปัจจุบันทัชมาฮาลได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลก ทั้งนี้ รพินทรนาถ ฐากูร นักเขียนวรรณกรรมรางวัลโนเบล ได้ให้คำจำกัดความของปราสาทแห่งนี้ว่า “เป็นหยาดนํ้าตาบนใบหน้าอันงดงามแห่งนิรันดรกาล” (A drop of tear on the beautiful face of eternity)

77.       ข้อใดมิใช่คุณสมบัติของศาสนาเชน

(1) อหิงสาเป็นหัวใจคำสอน   

(2) ปฏิเสธการฆ่าสัตว์บูชายัญ

(3) เชื่อในเรื่องพระเจ้า

(4) มีหลักคำสอนคล้ายคลึงกับพุทธศาสนา

ตอบ 3 หน้า 202 – 203205 – 207 ศาสนาพุทธและศาสนาเชนจะมีหลักคำสอนที่คล้ายคลึงกันมากที่สุด โดยเฉพาะหลักอนุพรต 5 ของเชนจะเหมือนกับศีล 5 ของพุทธ นอกจากนี้ทั้ง 2 ศาสนา ยังมีทัศนะที่ขัดแย้งกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เหมือนกันคือ ปฏิเสธเรื่องพระเจ้าสร้างโลก ระบบวรรณะ การสวดอ้อนวอนหรือบวงสรวงเพื่อขอพรจากพระเจ้า การล้างบาปในแม่นํ้าคงคาอันศักดิสิทธิ์ และที่สำคัญก็คือ ปฏิเสธเรื่องการฆ่าสัตว์บูชายัญ ซึ่งตรงกับหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของศาสนาเชนคือ การไม่เบียดเบียน (หลักอหิงสา) เป็นคุณธรรมอย่างยิ่ง

78.       คุณสมบัติที่สำคัญของพระเจ้าอักบาร์ในเรื่องใดที่ทำให้พระองค์ทรงปกครองอินเดียได้อย่างสงบสุข

(1) ทรงเป็นธรรมราชา

(2) ทรงมีขันติธรรมในศาสนา

(3) ทรงใช้อุดมการณ์แบบพ่อปกครองลูก      

(4) ทรงแบ่งการปกครองอาณาจักรออกเป็นมณฑล

ตอบ 2 หน้า 224 – 225(คำบรรยาย) พระเจ้าอักบาร์มหาราช ทรงเป็นหนึ่งในพระจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ ในสมัยจักรวรรดิโมกุลแห่งอินเดีย โดยเป็นผู้ที่ทำให้จักรวรรดิโมกุลเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด และมีอาณาเขตกว้างขวาง ซึ่งผลงานที่สำคัญประการหนึ่งของพระองค์ก็คือ ทรงมีขันติธรรม ในศาสนาหรือให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจหลักในการปกครองประเทศ เนื่องจากทำให้ทุกศาสนาอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติและทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข

79.       มหาอำนาจตะวันตกชาติแรกที่เข้าไปมีอิทธิพลในอินเดีย สามารถแย่งตลาดการค้าจากพ่อค้าอาหรับได้สำเร็จ ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ได้แก่ชาติใด

(1) ดัตช์          

(2) ฝรั่งเศส     

(3) โปรตุเกส  

(4) อังกฤษ

ตอบ 3 หน้า 231(HIS 1003 เลขพิมพ์ 55187 หน้า 129133387) โปรตุเกสเป็นมหาอำนาจตะวันตกชาติแรกที่เข้าไปมีอิทธิพลสูงสุดในอินเดียในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยได้เดินเรือเข้ามาค้าขายในอินเดียแถบชายฝั่งทะเลตะวันตกนับจากบอมเบย์ไปจนถึงเกาะลังกาควบคู่ไปกับการเผยแผ่ ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก จนสามารถแย่งตลาดการค้ามาจากพ่อค้าอาหรับที่มีอิทธิพล อยู่ในดินแดนนี้ได้สำเร็จ ทั้งนี้ศูนย์กลางการค้าที่ใหญ่ที่สุดของโปรตุเกสจะอยู่ที่เมืองกัว (Goa)

80.       อังกฤษถือเป็นนโยบายสำคัญที่จะไม่แทรกแซงทางด้านสังคมของอินเดียภายหลังเหตุการณ์ใด

(1) ยึดเมืองกัลกัตตา  

(2) กบฏซีปอย

(3) แบ่งแคว้นเบงกอล

(4) ออก พ.ร.บ. มหาวิทยาลัย

ตอบ 2 หน้า 234447 – 448 (เล่มเก่า) ภายหลังเหตุการณ์กบฏซีปอย รัฐบาลอังกฤษได้ดำเนินนโยบาย ปกครองอินเดียเป็นแบบอนุรักษนิยม โดยถือเป็นนโยบายสำคัญที่จะไม่แทรกแซงทางด้านลังคม และขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวอินเดีย แต่จะปฏิบัติกิจกรรมทางสังคมเฉพาะในกลุ่มของคนอังกฤษเท่านั้น นอกจากนี้ยังทำให้องค์ประมุขของอังกฤษเข้ามาปกครองอินเดียแทนบริษัท อินเดียตะวันออกตามพระราชบัญญัติ The Better Government of India 1858 อีกด้วย

81.       ข้อใดจัดเป็นเหตุปัจจุบันทันด่วนที่ทำให้เกิดกบฏซีปอย

(1) ออกกฎหมายให้หญิงม่ายแต่งงานใหม่ได้

(2) The Doctrine of Lapse

(3) ออกกฎหมายยกเลิกการฆ่าคนบูชายัญ

(4) อังกฤษนำปืนชนิดใหม่ (Enfield Rifleมาให้ทหารซีปอยใช้

ตอบ 4 หน้า 232 – 234 Lord Dalhousie เป็นข้าหลวงใหญ่ชาวอังกฤษที่ได้ออกกฎหมายแทรกแซงอินเดียหลายเรื่อง จนเป็นชนวนที่ทำให้เกิด “กบฏซีปอย” ขึ้นในปี ค.ศ. 1857 ซึ่งการแทรกแซงดังกล่าวมีดังนี้

1.         ออกกฎหมายยึดครองดินแดนที่เรียกว่า “The Doctrine of Lapse” ทำให้ประเพณี ในการสืบราชสมบัติของเจ้าผู้ครองนครเปลี่ยนไป

2.         ออกกฎหมายสำรวจโฉนดที่ดิน ซึ่งกำหนดว่า ถ้าเจ้าของที่ดินไม่มีโฉนดมาแสดงก็ให้ยึด เป็นของอังกฤษ

3.         ออกกฎหมายแทรกแซงทางด้านสังคมและศาสนา เช่น ให้ยกเลิกพิธีสุตติ (Suttee),ออกกฎหมายให้หญิงม่ายแต่งงานใหม่ได้ยกเลิกการฆ่าเด็กทารกแรกเกิดและประเพณี ฆ่าคนบูชายัญ ฯลฯ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ถือว่าเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดกบฏซีปอย

4.         สาเหตุปัจจุบันทันด่วนคือ อังกฤษได้นำปืนเล็กยาว (Enfield Rifleมาให้ทหารซีปอยใช้ โดยได้นำนํ้ามันหมูและไขวัวมาใช้เป็นนํ้ามันหล่อลื่นลูกปืนชนิดใหม่ ทำให้ทหารซีปอย ทั้งมุสลิมและฮินดูรู้สืกว่าเป็นการดูหมิ่นศาสนาของตน

82.       นักชาตินิยมคนใดที่หัวรุนแรงที่สุด และไม่ยอมรับการปฏิรูปใด ๆ ในแนวทางของอังกฤษ แต่กลับฟื้นฟู ขนบธรรมเนียมโบราณของอินเดียขึ้นมาใหม่ เพื่อปลุกจิตสำนึกชาตินิยม

(1) Tilak    

(2) Nehru 

(3) Jinnah

(4) Benerjee

ตอบ 1 หน้า 239(คำบรรยาย) พาล คงคาธาร ติลัก (Bal Gangadhar Tilakเป็นนักชาตินิยมหัวรุนแรง ที่สุดของอินเดีย โดยเขาจะไม่ยอมรับการปฏิรูปใด ๆ ในแนวทางของอังกฤษ นอกจากนี้ยังเป็น ผู้บุกเบิกการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดชาตินิยมของอินเดียมาเป็นขบวนการประชาชนโดยยึตคติว่า “การปกครองตนเองเป็นสิทธิอันชอบธรรมของประชาชน และประชาชนต้องการปกครองตนเอง” รวมทั้งเป็นผู้ฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณของอินเดียขึ้นมาใหม่ เพื่อปลุกจิตสำนึกชาตินิยมในหมู่ชาวอินเดีย ทั้งนี้ติลักได้รับสมญานามจากชาวอินเดียว่า “โลกมานยะ” แต่ชาวอังกฤษ กลับตั้งฉายาว่าเป็น “บิดาแห่งความยุ่งยากในประวัติศาสตร์อินเดีย”

83.       ใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิดสันนิบาตมุสลิม

(1) Ranade        

(2) Gokhale       

(3) Jinnah

(4) Sir Syed Ahmed Khan

ตอบ 4 หน้า 241 เซอร์ไซยิด อาหมัด ข่าน (Sir Syed Ahmed Khanเป็นมุสลิมคนแรกที่ลุกขึ้นมา ปฏิรูปการศึกษาด้านสังคมและศาสนาอิสลาม ทั้งนี้เขาได้เรียกร้องให้ชาวมุสลิมร่วมมือกัน ก่อตั้งพรรคมุสลิมของตนขึ้นและเป็นผลสำเร็จในปี ค.ศ. 1906 ชื่อว่า “สันนิบาตมุสลิม” (Muslim Leagueโดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ ต่อสู้เพื่อชาวอินเดียที่เป็นมุสลิมโดยเฉพาะ

84.       ข้อใดเป็นหัวใจของการต่อสู้ของขบวนการสัตยาเคราะห์

(1)       การต่อสู้ทุกรูปแบบเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราช

(2)       การดื้อแพ่งโดยไม่ให้ความร่วมมือ

(3)       การต่อสู้โดยใช้พลังธรรมะ ถ้าไม่สำเร็จจึงค่อยใช้กำลัง

(4)       การต่อสู้โดยไม่ใช้กำลัง แต่ใช้พลังธรรมะและการเจรจาต่อรอง

ตอบ 4 หน้า 241 – 242 มหาตมะ คานธี เป็นนักชาตินิยมที่เรียกร้องเอกราชให้อินเดีย โดยใช้ วิธีการต่อสู้ทีเรียกว่า “การต่อต้านเงียบ” หรือ “ขบวนการสัตยาเคราะห์” ซึ่งเป็นการต่อสู้ โดยสันติวิธีและไม่ใช้กำลัง แต่ใช้พลังธรรมะและการเจรจาต่อรอง โดยสัตยาเคราะห์ ประกอบด้วยหลักใหญ่ 3 ประการ ได้แก่

1.         สัตยะ คือ ความจริง

2.         อหิงสา คือ ความไม่เบียดเบียนให้เสียเลือดเนื้อ ไม่ใช้กำลัง หรือวิธีรุนแรง

3.         การดื้อแพ่ง คือ การไม่ปฏิบัติตาม ไม่เชื่อฟัง และไม่ใช้อาวุธต่อสู้กับผู้ปกครอง

85.       สาเหตุสำคัญที่สุดที่เป็นแรงกระตุ้นให้การเรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเองของชาวอินเดียรุนแรงยิ่งขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 คือเรื่องใด        

(1) การปฏิวัติฝรั่งเศส

(2) การปฏิวัติรัสเซีย   

(3) ญี่ปุ่นรบชนะรัสเซีย

(4) คำแถลงการณ์ของประธานาธิบดีวิลสันแห่งสหรัฐอเมริกา เรื่องให้ประชาชนมีสิทธิเลือกรัฐบาลปกครองตนเอง

ตอบ 4 หน้า 243495 – 496 (เล่มเก่า) คำแถลงการณ์ของประธานาธิบดีวิลสันแห่งสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1917 โดยเฉพาะประเด็นที่ 14 เรื่องที่ให้ประชาชนมือัตตาวินิจฉัยหรือมีสิทธิเลือกรัฐบาล ขึ้นมาปกครองตนเองนั้น ได้กลายมาเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่เป็นแรงกระตุ้นให้การเรียกร้องสิทธิ ในการปกครองตนเองของชาวอินเดียรุนแรงยิ่งขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งในขณะนั้น รัฐบาลอังกฤษยังลังเลที่จะตระหนักถึงคำเรียกร้องของอินเดีย

86.       ทำไมชาวอินเดียจึงชอบ The MorleyMinto Reforms

(1)       เป็นครั้งแรกที่ชาวอินเดียได้สิทธิเลือกรัฐบาลตนเอง

(2)       เป็นครั้งแรกที่ชาวอินเดียได้เข้าไปนั่งในสภา

(3)       เป็นครั้งแรกที่ชาวอินเดียได้เข้าไปทำงานในหน่วยงานของรัฐ

(4)       เป็นครั้งแรกที่ชาวอินเดียมีเสรีภาพในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

ตอบ 2 หน้า 242 – 243 ในปี ค.ศ. 1909 อังกฤษได้ออกกฎหมายปฏิรูปมอร์เลย์-มินโต (The MorleyMinto Reformsซึ่งมีสาระสำคัญคือ การเปิดโอกาสให้ชาวอินเดียได้เข้าไปนั่งในสภาเป็นครั้งแรก ด้วยการให้สิทธิชาวอินเดียเลือกผู้แทน 2 คน เพื่อเข้าเป็นสมาชิกสภารัฐมนตรีว่าการกระทรวง อินเดียที่กรุงลอนดอน โดยซาวอินเดีย 1 คนจะประจำอยู่ในสภาบริหารของข้าหลวงใหญ่อังกฤษ ในส่วนกลาง ส่วนอีกคนหนึ่งจะประจำอยู่ในสภาระดับท้องถิ่นคือ สภาบริหารประจำแคว้นแต่ละแคว้นของอินเดีย ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ถูกมองว่าเป็นการปูพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาให้แก่อินเดีย

87.       ทำไมชาวอินเดียจึงไม่ชอบ The Rowlatt Act

(1)       อังกฤษห้ามชาวอินเดียมีอาวุธในครอบครอง

(2)       อังกฤษห้ามชาวอินเดียออกหนังสือพิมพ์เป็นภาษาท้องถิ่น

(3)       อังกฤษยกเลิกอำนาจของผู้พิพากษาชาวพื้นเมืองที่มีสิทธิพิพากษาคดีคู่ความที่เป็นชาวยุโรปในตำบลได้

(4)       อังกฤษให้สิทธิเจ้าหน้าที่จับกุมคุมขังผู้คิดล้มล้างรัฐบาลโดยไม่ต้องดำเนินการตามขบวนการยุติธรรม

ตอบ 4 หน้า 243 จากการที่นักชาตินิยมอินเดียซึ่งนำโดยติลัก ได้มีการเรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเองที่เข้มข้นและรุนแรง ทำให้อังกฤษออกกฎหมายเพื่อป้องกันการจลาจลที่เรียกว่า “กฎหมายโรว์แลตต์” (The Rowlatt Act of 1919) ซึ่งมีสาระสำคัญว่า รัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ มีสิทธิอำนาจในการจับกุมคุมขังผู้ต้องสงลัยว่าก่อการจลาจลหรือคิดล้มล้างรัฐบาลได้ทันที โดยไม่ต้องดำเนินการสอบสวนหรือขึ้นศาลตามขบวนการยุติธรรม ซึ่งนักชาตินิยมมองว่า เป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของชาวอินเดียอย่างรุนแรง จนเป็นสาเหตุให้คานธีลุกขึ้นมา เป็นผู้นำในการประท้วงอังกฤษเสียเอง

88.       ท่านคิดว่าชาวปากีสถานกับชาวบังกลาเทศมีเรื่องใดเหมือนกันที่สุด

(1) ผิวพรรณ   

(2) ภาษา        

(3) ศาสนา      

(4) คิลปวัฒนธรรม

ตอบ 3 (คำบรรยาย) จากการเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของชาวปากีสถาน (ปากีสถานตะวันตก) กับชาวบังกลาเทศ (ปากีสถานตะวันออก) พบว่า ชาวปากีสถาน กับชาวบังกลาเทศจะมีความแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องเชื้อชาติ วิถีชีวิต ผิวพรรณ ภาษา และศิลปวัฒนธรรม แต่มีสิ่งที่เหมือนกันเพียงเรื่องเดียวคือ คนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมซึ่งนับถือ ศาสนาอิสลาม

89.       มรดกอารยธรรมอินเดียเรื่องใดที่ทำให้ชาวอินเดียยิ่งใหญ่กว่าจีน ทั้งนี้เพราะจีนรับอารยธรรมด้านดังกล่าว ไปจากอินเดีย

(1) ศาสนา      

(2) ตัวเลขอารบิก       

(3) ระบบเศรษฐกิจ    

(4) รูปแบบการปกครอง

ตอบ 1 หน้า 174(คำบรรยาย) อินเดียโบราณได้ชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดของ 4 ศาสนาสำคัญของโลก คือ พราหมณ์-ฮินดู เชน พุทธ และสิกข์ ซึ่งจากมรดกอารยธรรมในด้านศาสนานี้เองที่ทำให้ ชาวอินเดียยิ่งใหญ่กว่าจีน ทั้งนี้เพราะจีนรับอารยธรรมด้านดังกล่าวไปจากอินเดียนั่นเอง

90. “สาธุ! เจ้าพ่อ ช่วยให้ลูกเรียนจบรามด้วยเถิด ถ้าจบเมื่อใดลูกจะนำพิซซ่า 1 ชุด กับไวน์ 1 ขวด มาถวายเจ้าพ่อ” จากข้อความดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของศาสนาใดมากที่สุด

(1) พุทธ          

(2) พราหมณ์  

(3) เชน           

(4) สิกข์

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 77. ประกอบ

91.       ที่ราบลุ่มแม่น้ำแดงเป็นที่อยู่ของชนกลุ่มใด

(1) พม่า          

(2) ลาว           

(3) กัมพูชา     

(4) เวียดนาม

ตอบ 4 หน้า 257 พื้นที่ราบลุ่มแม่นํ้าผืนใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วย 3 เขต ดังนี้

1.         ที่ราบลุ่มแม่นํ้าอิระวดีและสาละวิน ปัจจุบันเป็นเขตที่ตั้งถิ่นฐานของชาวมอญและพม่า

2.         ที่ราบลุ่มแม่นํ้าเจ้าพระยาและแม่น้ำโขง เป็นที่ราบลุ่มที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันเป็นเขตที่ตั้งถิ่นฐานของคนไทย ลาว และกัมพูชา (เขมร)

3.         ที่ราบลุ่มแม่นํ้าแดง เป็นเขตที่ตั้งถิ่นฐานของชนกลุ่มตระกูลไทหรือชนชาติไทยในปัจจุบัน ชาวจีน และชาวเวียดนาม

92.       ข้อใดคือประเทศที่เกิดใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) สิงคโปร์    

(2) บรูไน         

(3) ติมอร์ตะวันออก    

(4) อินโดนีเซีย

ตอบ 3 หน้า 256 สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์เลสเต (Democratic Republic of TimorLesteหรือติมอร์ตะวันออก เป็นประเทศที่พึ่งเกิดขึ้นใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเคยเป็น อาณานิคมของโปรตุเกสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2063 ภายหลังโปรตุเกสถอนตัวออกไป จึงถูกผนวก เข้าเป็นจังหวัดที่ 27 ของอินโดนีเซียในปี พ.ศ. 2518 จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2542 ติมอร์เลสเต จึงได้แยกตัวเป็นอิสระและได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2545

93.       วัฒนธรรมอันยาเธียนเป็นวัฒนธรรมยุคหินเก่าในประเทศใด

(1) พม่า          

(2) ไทย           

(3) มาเลเซีย   

(4) อินโดนีเซีย

ตอบ 1 หน้า 266 ยุคหินเก่า มีอายุประมาณ 500,000 – 10,000 ปีมาแล้ว วัฒนธรรมหินเก่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีชื่อวัฒนธรรมแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศตามสถานที่ที่พบก่อน ได้แก่ วัฒนธรรมอันยาเธียนในพม่า วัฒนธรรมฟิงนอยเอียนในไทย วัฒนธรรมแทมปาเนียน ในมาเลเซีย และวัฒนธรรมปัตจิตาเนียนในอินโดนีเซีย

94.       ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับยุคหินเก่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) มนุษย์อาศัยอยู่ตามถ้ำ     

(2) ใช้เครื่องมือหินกะเทาะ

(3) มีการเลี้ยงสัตว์     

(4) มีบรรพบุรุษมนุษย์อาศัยอยู่

ตอบ 3 หน้า 266 ยุคหินเก่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีลักษณะสังคมเป็นแบบสังคมนายพรานและยังคงเป็นทาสของธรรมชาติอยู่ นั่นคือ มนุษย์ดำรงชีวิตด้วยการหาของป่าและล่าสัตว์ ไม่มีการตั้งถิ่นฐานที่แน่นอน มักอาศัยอยู่ตามถํ้า เพิงผา หรือที่ราบริมแม่นํ้า มีการนำหินกรวดแม่นํ้ามาทำเป็นเครื่องมือหินกะเทาะ ซึ่งเจ้าของเครื่องมือหินกะเทาะเหล่านี้ก็คือ กลุ่มบรรพบุรุษของมนุษย์นั่นเอง

95.       ข้อใดคือโบราณวัตถุสำคัญของวัฒนธรรมดองซอน

(1) ภาชนะดินเผาสามขา       

(2) กลองมโหระทึก

(3) ภาชนะดินเผาลายเขียนสี 

(4) เครื่องประดับทำจากกระดูกสัตว์

ตอบ 2 หน้า 270(คำบรรยาย) วัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในยุคเหล็กหรือยุคโลหะ ได้แก่

1.         วัฒนธรรมดองซอน เป็นวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นทางตอนเหนือของเวียดนาม โดยมีการขุดค้นพบ โบราณวัตถุที่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้หลายอย่างที่ทำจากสำริดและเหล็ก เซช่น มีดสั้น ดาบ ขวาน เครื่องประดับ และที่เด่นที่สุดก็คือ กลองมโหระทึกสำริด

2.         วัฒนธรรมบ้านเชียง เป็นวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นที่ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี โดยมีการขุดค้นพบภาชนะดินเผาลายเขียนสีแดงบนพื้นสีขาวนวล ซึ่งมีอายุราว 2,300 – 1,800 ปี

96.       บ้านเชียงเป็นแหล่งโบราณคดีที่อยู่ในจังหวัดใด

(1) กาญจนบุรี

(2) อุบลราชธานี         

(3) อำนาจเจริญ         

(4) อุดรธานี

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 95. ประกอบ

97.       ข้อใดไม่ใช่สินค้าที่ชาวอินเดียต้องการจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) เครื่องเทศ 

(2) ทองคำ      

(3) ไม้หอม      

(4) นํ้าหอม

ตอบ 4 หน้า 271 – 272 สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ชาวอินเดียต้องการเข้ามาติดต่อสัมพันธ์กับดินแดนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็คือ ต้องการสินค้าจากภูมิภาคนี้ อันได้แก่ ทองคำ เครื่องเทศ ไม้หอม และยางไม้หอม โดยเฉพาะทองคำนั้นชาวอินเดียมีความต้องการมากที่สุด

98.       “เย่ห์” เป็นชื่อที่จีนเรียกชนกลุ่มใด

(1) เวียดนาม  

(2) ลาว           

(3) ไทย           

(4) กัมพูชา

ตอบ 1 หน้า 274 – 275289 หลังจากที่จีนสมัยราชวงศ์จิ๋นเข้าปกครองเวียดนามบริเวณแม่นํ้าแดง และแม่นํ้าดำในตังเกี๋ยและอันนัมตอนเหนือ จีนได้ให้ชาวเวียดนามหรือที่ชาวจีนเรียกว่า “เย่ห์” ปกครองกันเอง ซึ่งต่อมาจีนก็เรียกอาณาจักรของชาวเวียดนามนี้ว่า “นานเย่ห์หรือนามเวียด” (Nam Viet)

99.       ชาวเขมรโบราณเชื่อว่าบรรพบุรุษของพวกเขาคือใคร

(1) พญานาค  

(2) สิงห์          

(3) พระศิวะ    

(4) ฤษี

ตอบ 1 หน้า 280 ตามตำนานของชาวกัมพูชากล่าวว่า หลังจากพราหมณ์ชาวอินเดียชื่อ โกณฑัญญะ ได้อภิเษกสมรสกับพระนางโสมาซึ่งเป็นธิดาของพญานาคแล้ว พญานาคซึ่งเป็นพ่อจึงช่วยดื่มนํ้าทะเลจนเหือดแห้งเพื่อสร้างอาณาจักรให้แก่บุตรเขย และตั้งซื่ออาณาจักรนี้ว่า “กัมโพ” ดังนั้นชาวเขมรโบราณจึงเชื่อว่าพญานาคเป็นบรรพบุรุษของพวกเขานั่นเอง

100.    ข้อใดต่อไปนี้เก่าแก่ที่สุด

(1) เจนละ      

(2) ฟูนัน         

(3) ทวารวดี    

(4) จามปา

ตอบ 2 หน้า 279 – 281 จากเอกสารของจีนได้บันทึกเอาไว้ว่า ฟูนันเป็นอาณาจักรที่เก่าแก่ที่สุด ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 6 โดยพราหมณ์ ชาวอินเดียชื่อ โกณฑัญญะ มีเมืองหลวงชื่อ วยาธปุระ มีเมืองท่าที่สำคัญคือ เมืองออกแก้ว และมีศูนย์กลางของอาณาจักรอยู่ทางตอนใต้ของประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน

101.    ข้อใดคือความสำคัญของเมืองออกแก้ว

(1) เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรจามปา       

(2) เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา

(3) เป็นเมืองท่าสำคัญของอาณาจักรฟูนัน     

(4) เป็นแหล่งผลิตเหล็กที่สำคัญ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 100. ประกอบ

102.    ยุคเมืองพระนครของเขมรโบราณเริ่มต้นขึ้นในสมัยกษัตริย์พระองค์ใด

(1) พระเจ้าชัยวรมันที่ 1

(2) พระเจ้าชัยวรมันที่ 2

(3) พระเจ้าชัยวรมันที่ 5

(4) พระเจ้าชัยวรมันที่ 7

ตอบ 2 หน้า 285 เขมรโบราณยุคเมืองพระนครเริ่มต้นขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าชายเขมร ที่เสด็จกลับมาจากชวา โดยทรงรวบรวมเจนละบกและเจนละนํ้าเข้าด้วยกันได้สำเร็จ และทรงให้ชื่อใหม่ว่า “อาณาจักรกัมพูชา ” จากนั้นจึงสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ แห่งอาณาจักรกัมพูชา ในสมัยนี้ถือว่าเป็นยุคที่เขมรโบราณรุ่งเรืองที่สุด และมีการสร้างราชธานี ขึ้นหลายแห่ง ได้แก่ อินทรปุระ หริหราลัย อมเรนทรปุระ และมเหนทรบรรพต

103.    ปราสาทบายนสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ใด

(1) เป็นศูนย์กลางของเมืองพระนครหลวง     

(2) เป็นพุทธสถาน

(3) เป็นที่พักคนเดินทาง         

(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 286573 (เล่มเก่า)(คำบรรยาย) ปราสาทบายนสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โดยได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนานิกายมหายาน ลักษณะเด่นของปราสาทบายนคือ บนยอดของปรางค์ทุกองค์จะมีการแกะสลักเป็นรูปพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรผันพระพักตร์ออกไปทั้งสี่ทิศโดยมีจุดประสงค์ในการสร้างก็เพื่อเป็นศูนย์กลางของเมืองพระนครหลวงหรือนครธม และเป็นพุทธสถานหรือศาสนบรรพตประจำราชธานีบริเวณกลางมืองพระนศร

104.    “ลินยี่” หมายถึงอาณาจักรใด

(1) พุกาม       

(2) ชวา           

(3) จามปา      

(4) เวียดนาม

ตอบ 3 หน้า 287 ตามบันทึกของจีนระบุว่า อาณาจักรจามปาหรือลินยี่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอาณาจักรจีน หรือบริเวณตอนกลางของเวียดนาม และอยู่ทางภาคเหนือของอาณาจักรฟูนัน ซึ่งในปัจจุบันก็คือ บริเวณที่เป็นเมืองเว้ เมืองกวังนัม เมืองถัวเถียน เมืองผันรัง และเมืองญาตรังของเวียดนาม ทั้งนี้ลักษณะของชาวจามโดยทั่วไปจะมีลูกตาลึก จมูกเป็นสันโด่ง ผมดำและหยิก

105.    ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่กลุ่มเมืองมอญ

(1) พะโค        

(2) สะเทิม      

(3) เมาะตะมะ

(4) พุกาม

ตอบ 4 หน้า 292 – 294299 กลุ่มชนเชื้อชาติมอญได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณพม่าตอนล่างด้านตะวันออกของแม่นํ้าอิระวดี ซึ่งชาวพม่าจะเรียกพวกมอญว่า “เตลง” ทั้งนี้พวกมอญได้ตั้ง เมืองหลวงอยู่ที่เมืองสะเทิมหรือเมืองสุธรรมวดี บริเวณปากอ่าวเมืองเมาะตะมะ ต่อมาเมื่อ มอญถูกชนชาติพม่ารุกราน จึงถอยร่นลงมาอยู่ทางตอนใต้และสถาปนารัฐของตนขึ้นมาใหม่ที่ เมืองพะโคหรือเมืองหงสาวดีในปี พ.ศ. 1368

106.    ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับอาณาจักรพุกาม

(1) รับพุทธศาสนามาจากอินเดียโดยตรง       

(2) กษัตริย์องค์สำคัญคือ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้

(3) เป็นอาณาจักรแรกที่ปกครองโดยชาวพม่า           

(4) ที่ตั้งอาณาจักรมีความอุดมสมบูรณ์

ตอบ 3 หน้า 294 – 296 พุกามเป็นอาณาจักรแรกที่ปกครองโดยชาวพม่า โดยตั้งอยู่บริเวณตอนกลาง ของลุ่มแม่น้ำอิระวดี และอยู่ในเขตที่แห้งแล้งที่สุดของพม่า กษัตริย์องค์สำคัญของอาณาจักรพุกาม คือ พระเจ้าอโนรธา ซึ่งได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองและความยิ่งใหญ่ให้กับอาณาจักรพุกาม อย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์พม่า โดยพระองค์ทรงขยายดินแดนออกไปโดยอ้าง สิทธิธรรมทางพุทธศาสนาในการโจมตีและยึดครองดินแดนต่าง ๆ ซึ่งดินแดนสำคัญที่เข้าไป ยึดครองก็คือ เมืองสะเทิม

107.    โบราณสถานสมัยทวารวดีส่วนใหญ่ใช้วัสดุใดในการก่อสร้าง

(1) อิฐ 

(2) หินทราย   

(3) ศิลาแลง   

(4) ปูน

ตอบ 1 หน้า 302 โบราณสถานส่วนใหญ่ในสมัยทวารวดีจะใช้อิฐเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง อาจมีการใช้ศิลาแลงบ้างแต่ไม่พบการใช้หินในการก่อสร้าง สำหรับอิฐที่ใช้นั้นเป็นอิฐเผาอย่างดีที่ไส้สุกตลอด เนื้ออิฐแข็ง มีขนาดใหญ่ มีส่วนผสมของแกลบข้าวเหนียวปลูก และมีการตกแต่ง โดยใช้ปูนปั้นประดับ

108.    ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับพ่อขุนรามคำแหง

(1) พระนามเดิมคือ กัมรเตงอัญศรีอินทรบดีนทราทิตย์          

(2) เป็นโอรสของพ่อขุนบางกลางหาว

(3) เคยปกครองที่เมืองศรีสัชนาลัย    

(4) เป็นพระสหายกับพระยามังราย

ตอบ 1 หน้า 303 พ่อขุนรามคำแหงเป็นพระราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์หรือพ่อขุนบางกลางหาว ซึ่งมีพระนามเดิมคือ กัมรเตงอัญศรีอินทรบดีนทราทิตย์ ต่อมาพ่อขุนรามคำแหงได้ขึ้นปกครอง เมืองศรีสัชนาลัยสืบต่อจากพระเชษฐานามว่าพ่อขุนบานเมือง จากนั้นก็เสด็จขึ้นเสวยราชย์ เป็นกษัตริย์ครองอาณาจักรสุโขทัยและพัฒนาฟื้นฟูบูรณะบ้านเมืองทุกด้านจนมีความมั่นคง และสงบสุข ทั้งนี้พระองค์ทรงมีพระสหาย 2 องค์ คือ พระยามังราย เจ้าเมืองเชียงราย และพระยางำเมือง เจ้าเมืองพะเยา

109.    ข้อใดกล่าวถึงกรุงศรีอยุธยาถูกต้อง

(1) วัดที่สำคัญที่สุดของกรุงศรีอยุธยาคือ วัดราชบูรณะ         

(2) มีราชวงศ์ปกครอง 6 ราชวงศ์

(3) ไม่สามารถผนวกสุโขทัยเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยาได้สำเร็จ

(4) เป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของภูมิภาค

ตอบ 4 หน้า 305 – 307 กรุงศรีอยุธยาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นราชธานีของไทยในปี พ.ศ. 1893 ต่อมาในปี พ.ศ. 1981 อาณาจักรอยุธยาสามารถผนวกเอาอาณาจักรสุโขทัยเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยาได้สำเร็จ และตั้งแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 กรุงศรีอยุธยาก็เข้าสู่ยุคทองของศิลปะและวิทยาการ โดยมีการสร้างวัดทั้งในเมืองหลวงและหัวเมืองต่าง ๆ ที่สำคัญที่สุดคือ วัดพระศรีสรรเพชญ จนกระทั่งในสมัยพระเจ้าปราสาททอง กรุงศรีอยุธยาก็มีความมั่งคั่งสมบูรณ์ และเป็นศูนย์กลางการค้านานาชาติที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้อาณาจักรอยุธยามีกษัตริย์ปกครองทั้งหมด 34 พระองค์ จาก 5 ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์อู่ทอง สุพรรณภูมิ สุโขทัย ปราสาททอง และบ้านพลูหลวง

110.    คชมาดา เป็นเสนาบดีคนสำคัญของอาณาจักรใด

(1) ศรีวิชัย      

(2) สิงหะส่าหรี

(3) มัชปาหิต   

(4) เคดีรี

ตอบ 3 หน้า 315 – 316 มัชปาหิตเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจและความเจริญสูงสุดในประวัติศาสตร์ของอินโดนีเซีย โดยผู้ที่มีความสามารถและมีส่วนสำคัญในการขยายอำนาจของมัชปาหิตก็คือ มหาเสนาบดีคนสำคัญชื่อ คชมาดา (Gajah Madaซึ่งได้ดำเนินนโยบายแผ่อำนาจออกไปยัง เกาะอื่น ๆ ในหมู่เกาะอินโดนีเซีย และจัดตั้งสหพันธรัฐอินโดนีเซียขึ้น ทั้งนี้หลังจากที่คชมาดา เสียชีวิต อาณาจักรมัชปาหิตก็เสื่อมลงตามลำดับ

111.    ข้อใดไม่ใช่แรงจูงใจที่ทำให้ชาวยุโรปเดินทางเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) ทาส

(2) การปฏิวัติอุตสาหกรรม     

(3) การค้า      

(4) การเผยแผ่ศาสนาคริสต์

ตอบ 1 หน้า 323 – 324591 – 592 (เล่มเก่า)(คำบรรยาย) แรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ชาวยุโรป เดินทางเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีดังนี้

1.         เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีชื่อเสียงในเรื่องความมั่งคั่ง

2.         ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมและผูกขาดการค้าเครื่องเทศ

3.         ต้องการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ไปสู่พวกนอกศาสนา

4.         ชาวยุโรปมีความสามารถในการต่อเรือที่ดีขึ้น ทำให้เกิดความมั่นใจในการเดินทางข้ามมหาสมุทร เพื่อสำรวจเส้นทางการค้าและดินแดนใหม่

5.         ต้องการแสวงหาความมั่งคั่งทางวัตถุโดยเฉพาะทองคำ

6.         ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้เกิดความต้องการแสวงหาแหล่งวัตถุดิบเพิ่มขึ้น และหาตลาดเพื่อระบายสินค้าที่ผลิตได้

112.    ศูนย์กลางของสเตรทเซทเทิลเมนท์ของอังกฤษอยู่ที่ใด

(1) สิงคโปร์    

(2) ปีนัง          

(3) มะละกา   

(4) พม่า

ตอบ 2 หน้า 336 หลังจากที่อังกฤษสามารถเข้ายึดครองปีนัง มะละกา และสิงคโปร์ได้สำเร็จแล้ว ในปี พ.ศ. 2373 อังกฤษจึงประกาศรวมอาณานิคมบริเวณคาบสมุทรมลายู อันได้แก่ สิงคโปร์ ปีนัง และมะละกา เข้าเป็น “สเตรทเซทเทิลเมนท์” (The Straits Settlementโดยมีศูนย์กลาง อยู่ที่เกาะปีนัง

113.    ชาวยุโรปชาติใดที่ประสบความสำเร็จในการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) โปรตุเกส  

(2) สเปน        

(3) ดัตช์          

(4) ฝรั่งเศส

ตอบ 2 หน้า 329(คำบรรยาย) สเปนถือว่าเป็นชาวยุโรปที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในฟิลิปปินส์ ซึ่งสเปน จะเน้นให้คนพื้นเมืองกลับใจมานับถือศาสนาคริสต์เอง โดยไม่ได้ใช้วิธีบังคับข่มขู่ วิธีนี้ทำให้มีชาวพื้นเมืองหันมานับถือศาสนาคริสต์กันมากถึง 92% ของประชากรทั้งประเทศ

114.    ดัตช์ได้เปลี่ยนชื่อเมืองจาการ์ตาเป็นชื่อใด

(1) ปัตตาเวีย  

(2) มะตะรัม   

(3) บันทัม       

(4) มะละกา

ตอบ 1 หน้า 611 (เล่มเก่า) เมื่อดัตช์หรือฮอลันดาได้เข้าไปแทรกแซงทางการเมืองในหมู่เกาะอินโดนีเชีย ในช่วงเหตุการณ์การแย่งชิงราชสมบัติในบันทัม ทำให้ดัตช์มีอำนาจในบันทัม และขับไล่พ่อค้าชาวอังกฤษที่ค้าขายอยู่ในบันทัมไปอยู่ที่จาการ์ตา (Jakartaซึ่งต่อมาดัตช์ได้เปลี่ยนชื่อเมืองนี้ เป็น “ปัตตาเวีย” (Batavia)

115.    ข้อใดคือเมืองหลวงของฟิลิปปินส์

(1) มะละกา   

(2) มะละแหม่ง          

(3) มะนิลา     

(4) โมลุกกะ

ตอบ 3 หน้า 329 สเปนสามารถยึดฟิลิปปินส์ได้สำเร็จในครั้งที่ 5 นำโดยเลกัซปีในปี พ.ศ. 2108 โดยกองกำลังทหารของเลกัซปีได้ขึ้นบกที่หมู่เกาะวิสายะและตั้งมั่นอยู่ที่เกาะเซบู ซึ่งเป็น ศูนย์กลางของการขยายอาณาเขตออกไปยังเกาะต่าง ๆ และในปี พ.ศ. 2114 เลกัซปีก็ยึด มะนิลาได้และประกาศให้มะนิลาเป็นเมืองหลวงของฟิลิปปินส์จนถึงปัจจุบัน

116.    บริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ตั้งอยู่บนเกาะใด

(1) เกาะสุมาตรา        

(2) เกาะบอร์เนียว      

(3) เกาะชวา   

(4) เกาะสุลาเวสี

ตอบ 3 หน้า 331 ในปี พ.ศ. 2145 ดัตช์ได้จัดตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (The Dutch East India Company : v.o.c.) ขึ้นที่บันทัมบนเกาะชวา เพื่อระดมทุนจากกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ มาสร้างกองเรือพาณิชย์และกองเรือคุ้มกันขนาดใหญ่ ทำให้บริษัทสามารถนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการแสวงหาผลประโยชน์ในดินแดนแถบนี้ ส่งผลให้การค้าเครื่องเทศของดัตช์ขยายตัว อย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทอินเดียตะวันออกมีกำไรมหาศาล และทำให้บันทัมกลายเป็น ศูนย์กลางการค้าในบริเวณนี้

ตั้งแต่ข้อ 117. – 120. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) ระบบวันดาลา      

(2) ระบบการเพาะปลูก

(3) ระบบโปโล

(4) ระบบเอ็นคอมเมียนดา

117.    ระบบการเกณฑ์แรงงานชาวพื้นเมืองที่สเปนนำมาใช้กับฟิลิปปินส์

ตอบ 3 หน้า 330 การที่สเปนได้จัดระบบชนชั้นในสังคมของฟิลิปปินส์ใหม่ ทำให้สเปนสามารถ แสวงหาผลประโยชน์จากชาวพื้นเมืองได้โดยผ่าน 2 ระบบ ดังนี้

1.         ระบบโปโล (Polo Systemเป็นระบบเกณฑ์แรงงานที่ให้ชาวพื้นเมืองทุกคยกเว้นหัวหน้าเผ่าและลูกชายคนแรกของหัวหน้าเผ่า ต้องอุทิศแรงงานให้ทางราชการ

2.         ระบบวันดาลา (Vandala Systemเป็นระบบบังคับซื้อสินค้า โดยบังคับให้ชาวพื้นเมือง ขายสินค้าให้สเปนในราคาตํ่า

118.    ระบบที่จัดสรรพื้นที่สำหรับปลูกพืชที่เป็นสินค้าส่งออกที่รัฐบาลต้องการ

ตอบ 2 หน้า 334 ในพุทธศตวรรษที่ 24 ดัตฃ์ได้นำระบบวัฒนธรรม (Culture Systemหรือระบบ การเพาะปลูก (Cultivation Systemมาใช้แสวงหากำไรในเกาะชวา โดยผู้ที่เสนอระบบนี้คือ โยฮานเนส วาน เดน บอสซ์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าหลวงใหญ่ โดยระบบนี้เป็นการสนับสนุน ให้ทุกหมู่บ้านจัดสรรพื้นที่สำหรับเพาะปลูกพืชที่เป็นสินค้าส่งออกที่รัฐบาลต้องการ เช่น อ้อย กาแฟ คราม ฯลฯ เพื่อจ่ายเป็นภาษีให้แก่รัฐบาลอาณานิคม จากนั้นรัฐก็จะนำสินค้าดังกล่าว ไปขายในยุโรป

119.    ระบบที่บังคับให้ชาวพื้นเมืองขายสินค้าให้สเปนในราคาต่ำ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 117. ประกอบ

120.    ระบบการถือครองที่ดินที่สเปนนำมาใช้กับฟิลิปปินส์

ตอบ 4 หน้า 330 ระบบเอ็นคอมเมียนดา (Encomiendaคือ ระบบการถือครองที่ดินที่สเปนนำมาใช้ในฟิลิปปินส์ โดยให้ผู้มีสิทธิ์ถือครองที่ดินที่เรียกว่า “เอ็นคอมเมียนโดโรส” (Encomiendorosเรียกเก็บผลประโยชน์จากบุคคลที่เข้ามาทำมาหากินในที่ดินของตนได้ แต่ผู้เข้ามาทำกินในที่ดินนี้จะต้องนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก

HIS 1002 อารยธรรมตะวันออก การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา HIS 1002 อารยธรรมตะวันออก

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.    ในวิชาอารยธรรมตะวันออก “ดินแดนตะวันออกกลาง” มีความสำคัญอย่างไร

(1)   เป็นแหล่งกำเนิดศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม

(2)   เป็นที่ตั้งของพีระมิดและสวนลอยบาบิโลน

(3)   เป็นแหล่งความเจริญเริ่มแรกของโลก

(4)   เป็นแหล่งเชื่อมทวีปทั้ง 3 คือ เอเชีย ยุโรป และแอฟริกา

ตอบ 3 หน้า 7 ดินแดนตะวันออกกลางหรือตะวันออกใกล้ (The Middle East หรือ Near Eastคือ ดินแดนเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่าง 3 ทวีป ได้แก่ ทวีปเอเชีย แอฟริกา และยุโรป โดยเป็นดินแดนที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ในแง่ของการเป็นแหล่งกำเนิด อารยธรรมและความเจริญเริ่มแรกของโลก คือ อารยธรรมเมโสโปเตเมียและอารยธรรม อียิปต์โบราณ รวมทั้งเป็นแหล่งกำเนิดของ 3 ศาสนาหลักของโลก คือ ศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม

2.    ดินแดนตะวันออกกลาง” คือดินแดนส่วนใด

(1) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(2) ยุโรปตะวันออกเฉียงใต้

(3) เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ 

(4) ยุโรปตะวันตกเฉียงใต้

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3.    มนุษย์สมัยโบราณรู้จักการทำเกษตรกรรมในช่วงเวลาใด

(1) ยุคหินเก่า  

(2) ยุคหินใหม่  

(3) ยุคทองแดง 

(4) ยุคสำริด

ตอบ 2 หน้า 6(คำบรรยาย) ยุคหินใหม่ เป็นยุคที่มนุษย์เริ่มรู้จักการทำเกษตรกรรมคือ เพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์ แทนการเร่ร่อนและล่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหาร อีกทั้งเริ่มมีที่อยู่อาศัยเป็น หลักแหล่ง โดยมีการเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัยจากดินแดนตอนในเข้ามาตั้งมั่นใกล้ลุ่มแม่นํ้าใหญ่ เพื่อมุ่งที่จะใข้น้ำในการทำเกษตรกรรมและดำรงชีวิตเป็นสำคัญ ซึ่งจากจุดนี้เองที่ทำให้ อารยธรรมโลกโบราณค่อย ๆ ถือกำเนิดขึ้นอย่างจริงจัง

4.    มนุษย์สมัยโบราณกลุ่มใดทิ้งร่องรอยความเจริญที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด

(1) สุเมเรียน    

(2) อียิปต์โบราณ    

(3) เปอร์เซียโบราณ 

(4) ฮิบรู

ตอบ 2 หน้า 1118-20 อารยธรรมอียิปต์โบราณมีแหล่งกำเนิดอยู่บริเวณดินแดนลุ่มแม่นํ้าไนล์ โดยชาวอียิปต์ได้รับการยกย่องว่า “เป็นผู้สร้างถาวรวัตถุที่ยิ่งใหญ่ของโลกโบราณ” เนื่องจาก เป็นชนชาติที่มีความรอบรู้และแม่นยำทางด้านคณิตศาสตร์และเรขาคณิต มีทักษะและ ความขำนาญในการก่อสร้าง และกษัตริย์เก่งในการรบและการปกครอง ทำให้ชาวอียิปต์ ได้ทิ้งร่องรอยความเจริญที่เป็นรูปธรรมไว้ให้แก่โลกมากที่สุด เช่น มหาพีระมิดที่เมืองกีซา วิหารเทพเจ้าอะมอนที่คาร์นัค เป็นต้น

5.    มนุษย์สมัยโบราณเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัยจากดินแดนตอนในเข้าตั้งมั่นใกล้แหล่งนํ้าเพื่อจุดประสงค์ใดเป็นสำคัญ

(1)   การคมนาคม   

(2)   การปกครอง    

(3)   การเกษตรกรรม

(4)   การค้า,ขาย

ตอบ 3     ดูคำอธิบายข้อ 3. ประกอบ

6.    อารยธรรมของมนุษย์สมัยโบราณกลุ่มใดได้ทิ้งร่องรอยความเจริญไว้มากที่สุด

(1)   สุเมเรียน  

(2)   อียิปต์โบราณ  

(3)   เปอร์เซียโบราณ

(4)   ฮิบรู

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

7.    อารยธรรมอียิปต์โบราณเกิดขึ้นที่บริเวณใด 

(1) แม่น้ำไทกริส-ยูเฟรตีส

(2) แม่นํ้าไนล์  

(3) เมืองอเล็กซานเดรีย    

(4) แม่นํ้าสินธุ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

8.    ยุคทองของอารยธรรมอียิปต์โบราณอยู่ในช่วงเวลาใด

(1)   สมัยก่อนราชวงศ์     

(2)   สมัยอาณาจักรเก่า   

(3)   สมัยอาณาจักรใหม่   

(4)   สมัยราชวงศ์

ตอบ 4 หน้า 9-10 อียิปต์โบราณสมัยราชวงศ์ (3100 – 940 B.C.) เป็นช่วงเวลาที่อียิปต์โบราณจัดตั้งชาติและรักษาความเป็นชาติได้ยาวนานถึง 2,160 ปี กษัตริย์ส่วนใหญ่ในสมัยนี้เป็นชาวอียิปต์โบราณ มีทิ้งหมด 21 ราชวงศ์ และถือว่าเป็น “ยุคทองของอารยธรรมอียิปต์โบราณ”ซึ่งสมัยราชวงศ์แบ่งออกเป็น 4 สมัยย่อย ได้แก่ สมัยต้นราชวงศ์ สมัยอาณาจักรเก่า สมัยอาณาจักรกลาง และสมัยอาณาจักรใหม่หรือสมัยจักรวรรดิ

9. อียิปต์โบราณเริ่มสร้างพีระมิดในสมัยใด  

(1) สมัยราชวงศ์

(2) สมัยอาณาจักรเก่า     

(3) สมัยอาณาจักรกลาง   

(4) สมัยจักรวรรดิ

ตอบ 2 หน้า 9 – 1018 – 1968 – 69 (เล่มเก่า) ในช่วงราชวงศ์ที่ 3 – 6 (2665 – 2200 B.C.) ในสมัยอาณาจักรเก่าของอียิบต์โบราณ เป็นยุคที่มีความเจริญทางด้านสถาปัตยกรรมสูงมาก โดยมีการสร้างพีระมิดซึ่งเป็นสุสานหินยอดแหลมเพื่อเก็บพระศพและสมบัติของฟาโรห์ขึ้นเป็นครั้งแรก ทั้งนี้พบว่ามีการสร้างพีระมิดมากถึง 20 องค์ จบเป็นผลให้สมัยอาณาจักรเก่า ถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “สมัยพีระมิด” (The Pyramid Age)

10.  ตัวอักษรภาพของอียิปต์โบราณมีชื่อเรียกว่าอะไร

(1)   ไฮโรกลิฟิก     

(2) เดโมติก     

(3) ไฮราดิก    

(4) เดโมติก

ตอบ 1 หน้า 17 – 18 ชาวอียิปต์โบราณได้เริ่มประดิษฐ์ “ตัวอักษรภาพไฮโรกลิฟิก” (Hieroglyphicsขึ้นเมื่อประมาณ 3000 B.Cซึ่งแต่เดิมนั้นตัวอักษรนี้มีประมาณ 700 ตัว ต่อมาพระและอาลักษณ์ได้ปรับปรุงตัวอักษรภาพไฮโรกลิฟิกเพื่อให้เขียนได้ง่ายขึ้น และให้มีจำนวนน้อยลง ด้วยการประดิษฐ์ตัวอักษรไฮราติก (Hieraticขึ้นในปี 1100 B.Cและพัฒนามาเป็นตัวอักษร เดโมติก (Demoticซึ่งมีจำนวนตัวอักษรเพียง 24 ตัว ในปี 700 B.C.

11.  จุดมุ่งหมายในการปฏิรูปศาสนาของฟาโรห์อะเมนโฮเต็ปที่ 4 คืออะไร

(1)   โอซิริสคือเทพเจ้าสูงสุดของชาวอียิปต์โบราณ    

(2) คัมภีร์มรณะคือเอกสารยืนยันความดีของผู้ตาย

(3) เชื่อในเทพเจ้าอะตันเพียงพระองค์เดียว  

(4) เชื่อในวันพิพากษาโลกและเชื่อว่าโลกหน้ามีจริง

ตอบ 3 หน้า 17 ฟาโรห์อะเมนโฮเต็ปที่ 4 หรืออัคนาตัน ได้ชื่อว่าเป็นนักปฏิรูปศาสนาคนแรกของอียิปต์โบราณและคนแรกชองโลก ซึ่งหลักปรัชญาอันเป็นจุดมุ่งหมายในการปฏิรูปศาสนาของพระองค์คือ จงยึดมั่นในเทพเจ้าอะตัน (Atonหรือสุริยเทพเป็นเทพเจ้าสูงสุดเพียงองค์เดียว

12.  ข้อใดถูก

(1)   อียิปต์โบราณเป็นกลุ่มชนแรกที่เชื่อเรื่องวิญญาณเป็นอมตะ วันพิพากษา และโลกหน้ามีจริง

(2)   โอซิริสคือเทพเจ้าสูงสุดของอียิปต์โบราณ

(3)   ชาวอียิปต์โบราณรู้จักการชลประทานในสมัยอาณาจักรกลาง

(4)   โรมันคือชาวยุโรปกลุ่มแรกที่ปกครองดินแดนลุ่มแม่นํ้าไนล์

ตอบ 1 หน้า 17 ชาวอียิปต์โบราณเป็นกลุ่มชนแรกที่มีความเชื่อในเรื่องวิญญาณเป็นอมตะ วันพิพากษา และโลกหน้ามีจริง นั่นคือ เชื่อว่าผู้ที่ทำความดี เมื่อตายไปดวงวิญญาณจะคงอยู่ และจะเกิดใหม่ ในโลกหน้าที่อุดมสมบูรณ์ ด้วยความเชื่อดังกล่าวได้นำไปสู่การสร้างมัมมี่ คัมภีร์มรณะหรือ คัมภีร์ผู้ตาย และสุสานหินพีระมิดเพื่อใช้เป็นทื่เก็บพระศพและสมบัติของฟาโรห์

13.  กลุ่มชนใดได้รับการยกย่องว่า “เป็นผู้สร้างถาวรวัตถุที่ยิ่งใหญ่ของโลกโบราณ”

(1)   สุเมเรียน  

(2)   อียิปต์โบราณ  

(3) ฮิตไตท์     

(4)   กรีกโบราณ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 4. ประกอบ

14.  พีระมิดคือสุสานหินยอดแหลม เป็นที่เก็บศพและสมบัติผู้ตาย ถามว่าพีระมิดเริ่มสร้างเมื่อไร

(1) สมัยก่อนราชวงศ์

(2)   สมัยจักรวรรดิ  

(3) สมัยราชวงศ์

(4)   สมัยอาณาจักรเก่า

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 9. ประกอบ

15.  ใครคือฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่องค์สุดท้ายของอียิปต์โบราณ

(1) เมนตูโฮเต็ปที่ 1  

(2)   รามเซสที่ 2     

(3) ทัสโมสที่ 3 

(4)   เซติที่ 4

ตอบ 2 หน้า 13 รามเซสที่ 2 เป็นฟาโรห์ในราชวงศ์ที่ 19 แห่งสมัยอาณาจักรใหม่ โดยทรงเก่งในการรบ มีชัยชนะเหนือฮิตไตท์ และได้รับการยกย่องว่าเป็น “ฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่องค์สุดท้ายของอียิปต์โบราณ” (The Last of the Great Pharaohซึ่งผลงานชิ้นสุดท้ายของพระองค์คือ ปลดปล่อยฮิบรูให้พ้นจากการเป็นทาส โดยโมเสสเป็นผู้นำฮิบรูมุ่งเดินทางกลับปาเลสไตน์

16.  อักษรภาพเริ่มแรกของอียิปต์โบราณมีชื่อเรียกว่าอะไร

(1)   ไฮราติก  

(2)   เดโมติก   

(3)ไฮโรกลิฟิก 

(4)   เดโมกลิฟิก

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 10. ประกอบ

17. จงยึดมั่นในพระเจ้าอะตันเพียงองค์เดียว เป็นหลักปรัชญาศาสนาของใคร 

(1) โมเสส

(2) อะเมนโฮเต็ปที่ 4 

(3) กษัตริย์ซาร์กอนแห่งอัคคัด  

(4) โซโรแอสเตอร์

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 11. ประกอบ

18.  กลุ่มชนแรกที่มีความเชื่อในเรื่องวิญญาณเป็นอมตะ วันพิพากษา และโลกหน้ามีจริง คือกลุ่มชนใด

(1) ดราวิเดียน 

(2) ฟินิเชียน    

(3) อียิปต์โบราณ    

(4)   ฮิบรู

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 12. ประกอบ

19. อารยธรรมใดเก่าแก่ที่สุด    

(1) อารยธรรมเมโสโปเตเมีย

(2) อารยธรรมอียิปต์โบราณ     

(3) อารยธรรมอินเดียโบราณ    

(4) อารยธรรมกรีกโบราณ

ตอบ 1 หน้า 2181 (เล่มเก่า) อารยธรรมเมโสโปเตเมียเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นหนึ่งในสองอารยธรรมเริ่มแรกของโลก อารยธรรมนี้มีแหล่งกำเนิดในดินแดนระหว่างแม่นํ้าไทกริสและยูเฟรตีส หรือที่เรียกว่า “เมโสโปเตเมีย” ซึ่งเราสามารถเรียกดินแดนนี้ได้อีกอย่างหนึ่งว่า “ดินแดน พระจันทร์เสี้ยว’ (Fertile Crescentปัจจุบันดินแดนเมโสโปเตเมียเป็นที่ตั้งของประเทศอิรัก

20.  กลุ่มชนใดเป็นผู้วางรากฐานอารยธรรมเมโสโปเตเมีย

(1) ฮิตไตท์     

(2) อัคคาเดียน 

(3) อะมอไรท์   

(4) สุเมเรียน

ตอบ 4 หน้า 21 – 2282 (เล่มเก่า) สุเมเรียนเป็นกลุ่มชนเชื้อชาติใดนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีการสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นกลุ่มชนที่อพยพจากเอเชียกลางแล้วเข้ามาตั้งมั่นในพื้นที่ทางตอนใต้ของเมโสใปเตเมียซึ่งเรียกว่า “ซูเมอร์” เมื่อประมาณ 5000 B.Cและถือเป็นผู้วางรากฐาน อารยธรรมเมใสโปเตเมีย ซึ่งอารยธรรมที่เด่น ๆมี 7 ด้าน ได้แก่ ด้านการปกครอง สังคม การประกอบอาชีพ ศาสนา ศิลปะการเขียน สถาปัตยกรรม และวิทยาศาสตร์

21.  จุดมุ่งหมายของการสร้างซิกกูแรตคืออะไร

(1) เป็นวิหารเทพเจ้า 

(2) เป็นที่เก็บศพและสมบัติผู้ตาย

(3) เป็นสถานที่ศึกษากลุ่มดาวบนท้องฟ้า   

(4) เป็นที่อยู่ของผู้ปกครองนครรัฐ

ตอบ 1 หน้า 23 – 24 สถาปัตยกรรมที่เด่นที่สุดของชาวสุเมเรียนก็คือ มหาวิหารหอคอยหรือซิกกูแรต (Zigguratที่นครรัฐเออรุค ซึ่งสร้างขึ้นด้วยอิฐ โดยมีจุดมุ่งหมายในการสร้างก็คือ ใข้เป็นวิหารเทพเจ้า ซึ่งขึ้นบนสุดของซิกกูแรตจะถูกกำหนดให้เป็นที่ประทับของเทพเจ้าและเป็นศาสนสถาน สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

22. สิ่งใดเก่าแก่ที่สุด 

(1) ไฮโรกลิฟิก

(2) คูนิฟอร์ม   

(3) สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน    

(4) พีระมิด

ตอบ 2 หน้า 23(คำบรรยาย) อักษรคูนิฟอร์มหรืออักษรรูปลิ่ม (Cuneiformซึ่งเป็นศิลปะการเขียนของชาวสุเมเรียนในดินแดนเมโสโปเตเมีย ถือว่ามีอายุเก่าแก่มากที่สุดในโลก (3500 B.C.) โดย อักษรคูนิฟอร์มเป็นตัวอักษรเครื่องหมายที่มีลักษณะคล้ายรูปตัววีในภาษาอังกฤษ ซึ่งชาวสุเมเรียน จะจารึกตัวอักษรคูนิฟอร์มลงบนแผ่นดินเหนียวขณะเปียก และนำไปตากแดดหรือเผาให้แห้ง เพื่อเก็บรักษาข้อความส่วนใหญ่ที่จารึกจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาและการปกครอง

23.  มรดกความเจริญที่แคลเดียนให้แก่โลกคือด้านใด

(1)   การปกครอง    

(2) สถาปัตยกรรม    

(3)   ศาสนา    

(4) ภาษา

ตอบ 2 หน้า 3293 (เล่มเก่า) มรดกความเจริญทางอารยธรรมที่สำคัญที่แคลเดียนให้ไว้แก่โลก ได้แก่

1.    ด้านสถาปัตยกรรมที่เด่น ได้แก่ สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน และกำแพงอิชต้า ซึ่งสร้างขึ้น ในสมัยของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

2. ด้านโหราศาสตร์ ได้แก่ การกำหนดดวงดาวสำคัญ 7 ดวง คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ เป็นชื่อของวันดต่าง ๆ ใน 1 สัปดาห์

24.  มรดกความเจริญที่อะมอไรท์ให้แก่โลกคือด้านใด

(1) การปกครอง

(2) ศาสนา      

(3) สถาปัตยกรรม    

(4) ภาษา

ตอบ 1 หน้า 25 – 26 อะมอไรท์หรือบาบิโลเนียนเป็นกลุ่มชนที่รับ สืบทอด และส่งต่ออารยธรรม สุเมเรียน-อัคคาเดียนในทุกด้าน โดยมรดกความเจริญทางอารยธรรมที่สำคัญที่อะมอไรท์ให้ไว้ แก่โลกคือ ด้านการปกครอง ได้แก่ ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี (The Code of Hammurabiซึ่งเป็นประมวลกฎหมายที่เก่าแก่ที่สุด และมีการจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยตัวอักษรคูนิฟอร์ม เป็นฉบับแรกของโลก

25.  แหล่งกำเนิดอารยธรรมฟินิเชียน ในปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศอะไร

(1)   ซีเรีย

(2)   เลบานอน 

(3) จอร์แดน    

(4)   อิสราเอล

ตอบ 2 หน้า 39 – 40 อารยธรรมฟินิเชียนมีแหล่งกำเนิดอยู่บริเวณดินแดนฟินิเชียบนชายฝั่งตะวันออก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (ประเทศเลบานอนในปัจจุบัน) ซึ่งฟินิเชียนได้ชื่อว่าเนิบผู้วางรากฐาน อารยธรรมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นพ่อค้าทางเรือผู้ยิ่งใหญ่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ของตะวันออกกลางสมัยโบราณ และเป็นผู้ถ่ายทอดอารยธรรมโลกตะวันออกสู่โลกตะวันตก ได้เป็นอย่างดีควบคู่ไปกับการค้าขายทางเรือ

26.  กลุ่มชนใดได้รับการยกย่องว่าเป็น “นักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งเอเชียไมเนอร์สมัยโบราณ”

(1)   อัสซีเรียน 

(2)   ฮิตไตท์   

(3) ฟินิเชียน    

(4)   ออตโตมาน เติร์ก

ตอบ 2 หน้า 35 38 ฮิตไตท์เป็นชนเผ่าอินโด-ยูโรเปียนที่อพยพจากเอเชียกลางเข้ามาตั้งมั่นในพื้นที่ทางตะวันออกของเอเชียไมเนอร์แถบคาบสมุทรอนาโตเลีย (ประเทศตุรกีในปัจจุบัน) โดยฮิตไตท์ เป็นผู้วางรากฐานอารยธรรมเอเชียไมเนอร์ นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องว่าเป็น “นักรบผู้ยิ่งใหญ่ แห่งเอเชียไมเนอร์สมัยโบราณ” ซึ่งการรบของฮิตไตท์มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งขยายดินแดนและ อำนาจ แสวงหาเส้นทางการค้า และแสวงหาแร่เหล็กเพื่อนำมาทำของใช้และอาวุธ

27.  ข้อใดถูก

(1)   มรดกความเจริญทื่อราเมียนให้แก่โลกคือการเดินเรือค้าขายในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

(2)   สุเมเรียนนำการวางรากฐานอารยธรรมในดินแดนเอเชียไมเนอร์

(3)   พยัญชนะที่ยุโรปใช้กันในปัจจุบันมีรากฐานมาจากพยัญชนะฟินิเชียน

(4)   มรดกความเจริญที่ฮิบรูให้แก่โลกคือด้านสถาปัตยกรรม

ตอบ 3 หน้า 40 มรดกความเจริญเด่นที่ฟินิเชียนให้ไว้แก่โลกคือ เป็นกลุ่มชนแรกที่นำการประดิษฐ์ พยัญชนะสมบูรณ์แบบ 22 ตัว ต่อมาเมื่อกรีกรับและนำพยัญชนะฟินิเชียนไปใช้ในยุโรป กรีกได้พัฒนาและเพิ่มพยัญชนะจาก 22 ตัวเป็น 26 ตัว ดังนั้นพยัญชนะฟินิเชียนจึงเป็น รากฐานของพยัญชนะที่โลกตะวันตกหรือยุโรบใช้ในปัจจุบัน

28.  แหล่งกำเนิดอารยธรรมอิสลามคือดินแดนใด

(1)   ตะวันออกกลาง

(2) คาบสมุทรอนาโตเลีย

(3) คาบสมุทรอาระเบีย

(4) คาบสมุทรบอลข่าน

ตอบ 3 หน้า 6372 – 75 อารยธรรมอิสลามหรือมุสลิมมีแหล่งกำเนิดอยู่ในคาบสมุทรอาระเบีย (ประเทศซาอุดิอาระเบียในปัจจุบัน) ซึ่งในช่วงเวลาที่จักรวรรดิอิสลามอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์อับบาสิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การนำของกาหลิบฮารัน เอล-ราชิด นั้น ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ยุคทองของอารยธรรมอิสลาม” โดยแท้จริง

29.  ยุคทองของอารยธรรมอิสลามคือช่วงเวลาใด

(1)   ออตโตมาน เติร์ก

(2) ราชวงศ์อุมัยยัด  

(3)   เซลจุก เติร์ก    

(4)   ราชวงศ์อับบาสิต

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ

30.  ใครคือกาหลิบองค์แรกของจักรวรรดิมุสลิม

(1)   อาบู บากร์

(2) โอธมาน    

(3)   อาลี 

(4)   มูวียะ

ตอบ 1 หน้า 66 – 67 จักรวรรดิอิสลามในช่วงปี 632 – 661 จะอยู่ภายใต้การนำของกาหลิบ 4 องค์ โดยมีเมดินาเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของจักรวรรดิอิสลาม ทั้งนี้ชาวมุสลิมจะเป็นผู้เลือกกาหลิบ ทั้ง 4 องค์เป็นผู้นำสังคมมุสลิม ได้แก่ อาบู บากร์ (ได้รับเลือกให้เป็นกาหลิบองค์แรกของ จักรวรรดิมุสลิม) โอมาร์ โอธมาน และอาลี

31. ประเทศจีนตั้งอยู่ในภูมิภาคใด     

(1) เอเชียตะวันออก

(2) เอเชียใต้    

(3) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(4) เอเชียกลาง

ตอบ 1 หน้า 97 จีนเป็นประเทศหนึ่งที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกโดยมีพื้นที่รวมทั้งหมดประมาณ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งพื้นที่ประมาณ 2 ใน 3 ของประเทศที่อยู่ทางภาคตะวันตกและ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะปกคลุมด้วยภูเขา เทือกเขา และที่ราบสูง เช่น ภูเขาหิมาลัย ภูเขาคุนลุ้น ที่ราบสูงทิเบต ฯลฯ ส่วนพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้และภาคใต้เป็นที่ราบ ที่ลาดเอียงไปสู่มหาสมุทรแปซิฟิก

32.  พื้นที่ราบของจีนมีมากทางส่วนใดของประเทศ

(1) ภาคเหนือ  

(2) ภาคตะวันตก     

(3) ภาคตะวันออกเฉียงใต้

(4) ภาคตะวันออก

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 31. ประกอบ

33.  เครื่องปั้นดินเผาลีและเสียนเกิดขึ้นในสมัยใดของจีน

(1) 4,000 ปีก่อนคริสตกาล      

(2) 3,000 – 2,000 ปีก่อนคริสตกาล

(3) 2,000 – 1,000 ปีก่อนคริสตกาล 

(4) 1,000 ปีก่อนคริสตกาล

ตอบ 1 หน้า 99150 (เล่มเก่า) จากหลักฐานทางโบราณคดีที่ขุดพบบริเวณตอนกลางของจีนแถบลุ่มแม่น้ำเหลือง ทำให้นักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่เชื่อว่า ความเจริญของจีนในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ น่าจะเกิดขึ้นในยุคหินใหม่หรือเมื่อประมาณ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งหลักฐานสำคัญที่แสดง ให้เห็นถึงความเจริญเริ่มแรกของจีน ได้แก่ ภาชนะเครื่องปั้นดินเผาลีและเสียน

34.  ข้อใดเป็นความเจริญที่เกิดขึ้นในจีนสมัยราชวงศ์โจว

(1)   ความเป็นกษัตริย์นักประชาธิปไตยของกษัตริย์เหยากับกษัตริย์ชุน

(2)   แนวคิดที่ว่าด้วย “อาณัติแห่งสวรรค์”

(3)   ตัวอักษรจีนที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

(4)   ลัทธิขงจื๊อใหม่ของนักปรัชญาที่ชื่อชูสี

ตอบ 2 หน้า 102 ความเจริญเด่นที่เกิดขึ้นในจีนสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกคือ ผู้ปกครองได้นำแนวคิด ทางการเมืองที่ยอดเยี่ยมซึ่งเรียกว่า “ทฤษฎีแห่งสวรรค์” มาใช้ในการปกครองประเทศเป็น ครั้งแรก โดยกษัตริย์โจวจะถือว่าตนเป็น “โอรสหรือบุตรแห่งสวรรค์” หมายถึง องค์จักรพรรดิ ที่สวรรค์ส่งลงมาปกครองมนุษย์ และได้รับอำนาจที่สวรรค์มอบให้เพื่อใช้ปกครองโลกเรียกว่า “อาณัติแห่งสวรรค์”

35.  จีนโบราณยุคใดที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นยุคทองทางด้านปรัชญา

(1) ราชวงศ์เซีย

(2) ราชวงศ์ชาง

(3) ราชวงศ์โจว

(4) ราชวงศ์จิ๋น

ตอบ 3 จีนในสมัยราชวงศ์ โจวตะวันออกแบ่งออกเป็น 2 ยุคใหญ่ ๆ ด้วยกัน คือ

1. ยุคฤดูใบไม้ร่วงและฤดูใบไม้ผลิ (722 – 481 B.C.) ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ยุคทองทางด้านปรัชญา” โดยนักปรัชญาที่สำคัญในยุคนี้มี 3 ท่าน ได้แก่ ขงจื๊อ เล่าสือ และโมจื๊อ

2. ยุคแห่งความแตกแยก (403 – 221 B.C.) เป็นยุคที่บ้านเมืองเกิดสงครามจนถึงขั้นที่เรียกว่า “ภาวะจลาจลหรือเลียดก๊ก” ซึ่งทำให้เกิด การเสนอข้อคิดเห็นทางปรัชญาขึ้นมากมาย โดยนักปรัชญาที่สำคัญในยุคนี้มี 3 ท่าน ได้แก่ เม่งจื๊อ ซุนจื๊อ และฮั่นไฝสือแห่งสำนักฝาเจี่ยหรือนิติธรรมนิยม

36.  ข้อใดไม่ใช่ผลงานที่สำคัญของจิ๋นซี ฮ่องเต้

(1)   เป็นผู้นำลัทธิขงจื๊อมาใช้เป็นแนวทางในการปกครองประเทศ

(2)   เป็นผู้นำแนวคิดหลักของลัทธิฝาเจี่ยมาใช้ในการรวมแผ่นดินที่แตกแยกเข้าด้วยกัน

(3) เป็นผู้สร้างกำแพงเมืองจีน    

(4) ประกาศให้ใช้ตัวอักษรแบบเดียวกันทั้งประเทศ

ตอบ 1 ผลงานที่สำคัญของจิ๋นซี ฮ่องเต้ จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่ง

ราชวงค์จิ๋น มีดังนี้

1. ทรงนำแนวคิดหลักของสำนักฝาเจี่ยมาใช้ในการรวบรวมแผ่นดินจีนที่แตกแยกในสมัยราชวงศ์โจวเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันได้สำเร็จ ซึ่งต่อมาก็คือ ประเทศจีน (China)

2.    ทรงปกครองจักรวรรดิด้วยการรวมอำนาจเข้าสู่รัฐบาลกลาง และทรงเป็นประมุขผู้มีอำนาจเด็ดขาดเพียงองค์เดียว     

3. ประกาศให้นำตัวอักษรจีนมาใช้เขียนในรูปแบบเดียวกันทั่วประเทศ 4. ทรงต่อเติมและเชื่อมกำแพงเมืองที่มีอยู่เข้าด้วยกันเป็นกำแพงเมืองจีน ฯลฯ

37.  ข้อใดเป็นรายได้หลักของจีนในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์

(1) กำไรจากการออกพันธบัตรเงินกู้  

(2) ผลผลิตจากสินค้าด้านเกษตรกรรม

(3)   ภาษีที่เก็บจากธุรกิจค้าฝิ่นของชาวจีน 

(4) รายได้จากการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

ตอบ 2 หน้า 109(คำบรรยาย) เศรษฐกิจของจีนในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะขึ้นอยู่กับการเกษตรเป็นหลัก โดยเน้นไปที่การใช้ประโยชน์บนที่ดินและการทำเกษตรกรรม ซึ่งรายได้หลักของ รัฐบาลจีนในสมัยนี้จะมาจากการขายผลผลิตสินค้าด้านเกษตรกรรม การเก็บภาษที่ดิน ภาษีรัชชูปการ และภาษีจากการผูกขาดสินค้าบางชนิด ได้แก่ เกลือ เหล็ก เหล้า และใบชา

38.  การพ่ายแพ้ในสงครามฝิ่นทำให้จีนต้องสูญเสียดินแดนใดให้กับอังกฤษ

(1) ปักกิ่ง 

(2) เทียนสิน    

(3) นานกิง      

(4) ฮ่องกง

ตอบ 4 หน้า 112 – 113216 – 217 (เล่มเก่า) ผลของสงครามฝิ่นระหว่างจีนกับอังกฤษในปี ค.ศ. 1842 ปรากฏวาจีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ทำให้จีนต้องลงนามในสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคฉบับแรกกับอังกฤษ เรียกว่า “สนธิสัญญานานกิง” (Treaty of Nankingซึ่งส่งผลทำให้จีนต้องยกเกาะฮ่องกง ให้อังกฤษและต้องเปิดเมืองท่าอีก 5 แห่ง ได้แก่ แคนดอน เอหมึง ฟูเจา นิงโป และเซี่ยงไฮ้ ให้เป็นเขตสัมปทานอยู่ในความดูแลของอังกฤษ อีกทั้งต้องสูญเสียสิทธิในการปกครองหรือ อำนาจอธิปไตยจนตกเป็นประเทศกึ่งอาณานิคมของชาติตะวันตก ต้องสูญเสียสิทธิสภาพนอก อาณาเขตหรือสิทธิทางการศาล ต้องชดใช้ค่าฝิ่นที่จีนทำลายไป ต้องสูญเสียสิทธิในการกำหนด อัตราภาษี และต้องยอมรับเงื่อนไขของความเป็นมิตรที่ดีของต่างชาติ

39.  ราชวงศ์ใดที่ไม่ใช่ชาวฮั่นที่มาปกครองจีน

(1) ราชวงศ์จิ๋น 

(2) ราชวงศ์หยวน    

(3) ราชวงศ์ถัง  

(4) ราชวงศ์สุย

ตอบ 2 หน้า (เล่มเก่า) 194207209(คำบรรยาย) ในประวัติศาสตร์ของจีนเกือบทุกราชวงศ์จะอยู่ภายใต้การปกครองของชาวฮั่นหรือชาวจีนแท้ๆ ยกเว้น 2 ราชวงศ์ที่จีนตกอยู่ภายใต้การปกครองของชนเผ่าที่ไม่ใช่ชาวฮั่นหรือเป็นชาวต่างชาติ นั่นคือ ราชวงศ์หยวนหรือราชวงศ์มองโกล ซึ่งนับเป็นราชวงศ์ต่างชาติราชวงศ์แรกที่เข้ามาปกครองจีน และราขวงศ์ชิงหรือราชวงศ์แมนจู

40. ชาติตะวันตกเดินทางสู่จีนในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เพื่อจุดประสงค์ใด 

(1) ค้าขายและเผยแผ่ศาสนา

(2)   สำรวจดินแดนเพื่อนำไปสร้างแผนที่   

(3) เพื่อล่าอาณานิคม

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชาติตะวันตกเริ่มเดินทาง เข้ามาในเอเชียมากขึ้น โดยในปี ค.ศ. 1514 ได้มีชาวตะวันตกชาติแรกเดินทางเข้ามาติดต่อ ค้าขายกับจีนคือ พ่อค้าชาวโปรตุเกส ตามมาด้วยฮอลันดา (ดัตช์) อังกฤษ และฝรั่งเศส โดยมี วัตถุประสงค์หลักในการเดินทางเข้ามาก็เพื่อเผยแผ่ศาสนาคริสต์และต้องการติดต่อค้าขายกับจีน

41.  ข้อใดเป็นไปตามลำดับของการจัดชนชั้นของจีนโบราณ

(1)   นักปกครอง ชาวไร่ชาวนา ช่างฝีมือ พ่อค้า ผู้ไม่มีอาชีพ

(2)   นักปกครอง ช่างฝีมือ ชาวไร่ชาวนา พ่อค้า ผู้ไม่มีอาชีพ

(3)   นักปกครอง พ่อค้า ชาวไร่ชาวนา ช่างฝีมือ ผู้ไม่มีอาชีพ

(4)   นักปกครอง ช่างฝีมือ พ่อค้า ชาวไร่ชาวนา ผู้ไม่มีอาชีพ

ตอบ 1 หน้า 111(คำบรรยาย) สังคมจีนโบราณส่วนใหญ่จะมีการแบ่งชนชั้นตามเกณฑ์อาชีพออกเป็น 5 ชนชั้นตามแนวคิดของขงจื๊อ ได้แก่

1. ผู้ปกครอง (นักปกครอง) ถือว่าเป็นชนชั้นสูงสุด และได้รับการยกย่องว่าเป็น “ผู้ดี”

2. ชาวไร่ชาวนา

3. ช่างฝีมือ

4. พ่อค้า ถือว่าเป็น อาชีพที่ตํ่าต้อย

5. บุคคลผู้ไม่มีอาชีพหรือมีอาชีพแต่ผิดกฎหมาย เช่น พวกอาชญากร ฯลฯ

42.  มาตรการทางสังคมใดที่ผู้ปกครองแมนจูบังคับให้ชาวจีนทุกคนต้องปฏิบัติ

(1)   ชาวจีนไม่ต้องสอบเข้ารับราชการตามแบบอย่างจีนโบราณ

(2)   ชาวจีนไม่อาจเดินทางออกนอกประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต

(3) ชาวจีนต้องแต่งกายและโกนศีรษะตามแบบยย่างชาวแมนจู

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 3 หน้า 111-112 ผู้ปกครองในสมัยราชวงศ์ชิงหรือราชวงศ์แมนจูได้นำมาตรการทางสังคมเข้ามาใช้ โดยบังคับให้ชาวจีนทุกคนต้องปฏิบัติตาม เพื่อป้องกันความปลอดภัยและรักษาเอกลักษณ์ของชาวแมนจู ที่สำคัญ ได้แก่     

1. ชาวจีนต้องใช้ภาษาแมนจูเป็นภาษาของทางราชการ

2. ชาวจีนต้องแต่งกายแบบชาวแมนจู 

3. ห้ามชาวจีนแต่งงานกับชาวแมนจู

4. ชาวจีนต้องโกนผมส่วนหน้าประมาณครึ่งศีรษะและไว้ผมเปียแบบชาวแมนจู

5. ชาวจีนที่จะเข้ารับราชการต้องผ่านการสอบไล่ตามแบบอย่างจีนโบราณ ส่วนชาวแมนจู ได้รับสิทธิพิเศษโดยไม่ต้องสอบ

43.  ใครคือบิดาแห่งนักปฏิวัติ

(1) จิ๋นซี ฮ่องเต้

(2) ซุนยัดเซ็น  

(3) เมาเซตุง    

(4) เติ้งเสี่ยวผิง

ตอบ 2 หน้า 113219 – 220 (เล่มเก่า)(คำบรรยาย) ซุนยัดเซ็นเป็นผู้ที่มีผลงานโดดเด่นทางด้านการเมืองในประเทศจีน โดยในปี ค.ศ. 1912ซุนยัดเซ็นได้ทำการปฏิวัติยึดอำนาจราชวงศ์แมนจู โดยเปลี่ยนระบอบการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราขย์ไปสู่ระบอบสาธารณรัฐที่เมืองนานกิงเป็นผลสำเร็จภายใต้การร่วมมือของหยวนซือไข จนกระทั่งนำพาจีนก้าวเข้าสู่สมัยสาธารณรัฐอย่างสมบูรณ์ จึงทำให้ได้รับการยกย่องว่าเป็น “บิดาแห่งนักปฏิวัติจีนสมัยใหม่ นับตั้งแต่นั้น

44.  พรรคคอมมิวนิสต์จีนจัดตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อใด

(1) ปี 1912    

(2) ปี 1921    

(3) ปี 1945    

(4) ปี 1949

ตอบ 2 หน้า 114(คำบรรยาย) ในปี ค.ศ. 1921 ป้ญญาชนจีน 13 คน (รวมถึงเมาเซตุง) ได้ร่วมกัน จัดตั้งพรรคคอมมิวนิลต์จีนขึ้นอย่างเป็นทางการ เพื่อใช้เป็นทางเลือกใหม่ในการปฏิรูปประเทศจีน ในสมัยสาธารณรัฐ ซึ่งแนวทางดังกล่าวก็คือ การสร้างรัฐสังคมนิยมของจีนด้วยการปฏิรูปประเทศ ให้เป็นไปตามอุดมการณ์ของลัทธิมาร์กซ์ (Marxism)เลนิน (Leninismและเมา (Maoismนั่นเอง

45.  ใครคือผู้นำประเทศจีนคนปัจจุบัน

(1) นายหู จิ่นเทา     

(2) นายหลี ต้าเจ้า    

(3) นายสี จิ้นผิง

(4) นายหู เหยาบาง

ตอบ 3 (คำบรรยาย) นายสี จิ้นผิง เป็นผู้นำสูงสุด (ประธานาธิบดี) แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนคนปัจจุบัน โดยเริ่มดำรงตำแหน่งในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556 ซึ่งสี จิ้นผิง ถือว่าเป็นหัวหน้าของคณะผู้นำจีนรุ่นที่ 5 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ส่วนนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของจีนคือ หลี่ เค่อเฉียง

46.  เกาะฮอกไกโดตั้งอยู่ทางภาคใดของญี่ปุ่น

(1) ภาคเหนือ  

(2) ภาคใต้      

(3) ภาคตะวันตก     

(4) ภาคตะวันออก

ตอบ 1 หน้า 121(คำบรรยาย) เกาะที่สำคัญของญี่ปุ่นมีอยู่ 4 เกาะ ได้แก่

1.    เกาะฮอกไกโด เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของญี่ปุ่น และถือว่าเป็นแหล่งกำเนิด อารยธรรมเริ่มแรกของญี่ปุ่น

2.    เกาะฮอนขู เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดา 4 เกาะ และถือว่ามีความเจริญมากที่สุด โดยเป็นศูนย์กลางทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการปกครองของญี่ปุ่น

3.    เกาะชิโกกุ เป็นเกาะที่มีขนาดเล็กที่สุด โดยมีชื่อเสียงในเรื่องความงดงามของหมู่เกาะและขายฝั่งทะเล

4.    เกาะคิวชิว เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของญี่ปุ่น และเป็นเกาะแรกที่ได้รับอิทธิพลอย่างมาก จากการติดต่อกับชาวยุโรป

47.  แหล่งกำเนิดอารยธรรมเริ่มแรกของญี่ปุ่นอยู่บนเกาะใด

(1) เกาะฮอกไกโด   

(2) เกาะฮอนชู 

(3) เกาะชิโทกุ  

(4) เกาะกิวชู

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 46. ประกอบ

48.  จิมมู เทนโน คือใคร

(1)   ผู้ก่อตั้งประเทศญี่ปุ่นขึ้นเมื่อ 660 ปีก่อนคริสตกาล

(2)   หลานชายของนินิงิผู้สืบเชื้อสายมาจากเทพีแห่งดวงอาทิตย์

(3) ผู้นำคนสำคัญคนหนึ่งตามตำนานความเชื่อของชาวญี่ปุ่นโบราณ(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หนังสือโคจิกิและหนังสือนิฮอง โชกิ เป็นงานบันทึกทาง ประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นโบราณ โดยกล่าวถึงเรื่องราวของชาวญี่ปุ่นในลักษณะเทพนิยายว่า แผ่นดินญี่ปุ่นสร้างขึ้นโดยเทพเจ้า มีศูนย์กลางอยู่บนที่ราบยามาโตทางตอนกลางของเกาะฮอนชู องค์จักรพรรดิและประชาชนล้วนสืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าทั้งสิ้น โดยจักรพรรดิพระองค์แรก ตามตำนานความเชื่อของชาวญี่ปุ่นทรงมีพระนามว่า “จิมมู เทนโน” ซึ่งเป็นหลานชายของนินิงิผู้สืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์หรือเทพีอะมาเตระสึ โดยขึ้นครองราชย์และก่อตั้งประเทศญี่ปุ่นขึ้นเมื่อ 660 ปีก่อนคริสตกาล

49.  หนังสือ “โคจิกิ” และ “นิฮอง โชกิ” เป็นผลงานประเภทใด

(1)   บันทึกทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นโบราณ

(2)   บันทึกการผจญภัยของบรรดาเหล่าซามูไรในสมัยโชกุนเรืองอำนาจ

(3)   เป็นบันทึกบทเพลงจองผู้คนในราชสำนัก

(4)   ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 48. ประกอบ

50.  ชาวไอนุ คือใคร

(1)   เป็นบรรพบุรุษรุ่นแรกที่เดินทางมาตั้งรกรากในญี่ปุ่น

(2)   เป็นผู้นำอารยธรรมจีนมาเผยแพร่ในญี่ปุ่น

(3)   เป็นศาสดาแห่งลัทธิชินโต

(4)   เป็นนักรบผู้เก่งกล้าแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออก

ตอบ 1 หน้า 123(คำบรรยาย) พวกไอนุ ถือว่าเป็นบรรพบุรุษกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งรกรากอยู่บนเกาะฮอกไกโดทางภาคเหนือของญี่ปุ่นในช่วงประมาณ 20,000 – 10,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยเป็นพวกที่มีเชื้อสายคอเคซอยด์มากกว่ามองโกลอยด์ ดังนั้นจึงมีลักษณะคล้ายชาวยุโรป มากกว่าชาวเอเชีย นั่นคือ เป็นคนผิวขาว หน้าแบน ตาสีฟ้า ขนดก และมีรูปร่างไม่สูงนัก ปัจจุบันพวกไอนุจะอาศัยอยู่มากบนเกาะฮอกไกโดและเกาะคูริล

51.  วัฒนธรรมทูมูลิ ญี่ปุ่นรับมาจากใคร

(1) จีน    

(2) มองโกเลีย  

(3) เกาหลี

(4) ไต้หวัน

ตอบ 3 หน้า 124 – 125 วัฒนธรรมทูมูลิหรือวัฒนธรรมหลุมฝังศพ เป็นวัฒนธรรมความเจริญรุ่นแรกของญี่ปุ่นโบราณอย่างหนึ่งที่รับมาจากเกาหลีโดยผ่านกลุ่มชนชั้นสูงในสังคม ซึ่งจะมีลักษณะเป็น สุสานหรือหลุมฝังศพขนาดใหญ่ที่ใช้บรรจุศพของบุคคลสำคัญจองประเทศโดยเฉพาะองค์จักรพรรดิ ทั้งนี้จะมีการนำเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น รูปตุ๊กตาดินเผาหรือตัวฮานีวา อาวุธของนักรบ และเครื่องประดับต่าง ๆ ฝังรวมลงไปในหลุมฝังศพด้วย โดยเริ่มปรากฏขึ้นครั้งแรกบนเกาะคิวชิว

52.  ลัทธิชินโตของญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลมาจากใคร

(1) จากธรรมชาติอันงดงามของญี่ปุ่นเอง    

(2) จากจีนโดยผ่านมาทางเกาหลี

(3) จากรัสเซียโดยผ่านมาทางจีน      

(4) จากอินเดียโดยผ่านมาทางจีน

ตอบ 1 หน้า 126(คำบรรยาย) ลัทธิชินโต เป็นลัทธิดั้งเดิมของญี่ปุ่นโบราณ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากธรรมชาติอันงดงามและสิ่งแวดล้อมที่นำรื่นรมย์ของญี่ปุ่นเอง โดยเน้นการควบคุมธรรมชาติ มากกว่าความหวาดกลัว และเชื่อว่าสรรพสิ่งทั้งหลายมีวิญญาณ ดังนั้นจึงมีการนับถือธรรมชาติ โดยไม่มีเกณฑ์ใด ๆ แน่นอน ทั้งนี้ในปี ค.ศ. 1868 รัฐบาลญี่ปุ่นได้สถาปนา “ลัทธิชินโตของรัฐ” ขึ้น ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของญี่ปุ่นที่เน้นความเป็นชาตินิยม และการนับถือองค์จักรพรรดิ ว่ามีฐานะเป็นเทพ

53.  ญี่ปุ่นในสมัยโชกุนเรืองอำนาจ โชกุนตระกูลใดสร้างความเจริญให้กับประเทศมากที่สุด

(1) ตระกูลมินาโมโต 

(2) ตระกูลอาชิกากา

(3) ตระกูลโตกูกาวา 

(4) ตระกูลแห่งที่ราบยามาโต

ตอบ 3 หน้า 131(คำบรรยาย) ญี่ปุ่นในสมัยศักดินาหรือสมัยโชกุนเรืองอำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายใต้การนำของโชกุนตระกูลโตกูกาวานั้น นับเป็นสมัยที่สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับประเทศญี่ปุ่นมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความเจริญทางด้านการปกครอง เศรษฐกิจ และการศึกษา นอกจากนี้ยังเป็นสมัยที่ชาวญี่ปุ่นให้การยอมรับว่าเกิดความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองมากที่สุด อย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน จนอาจกล่าวได้ว่า “ความเจริญเติบโตของญี่ปุ่นในสมัยใหม่ต่างก็มีรากฐานมาจากความเจริญที่เกิดขึ้นในสมัยนี้เกือบทั้งนั้น”

54. พรรคการเมืองใดที่มีอำนาจบริหารประเทศญี่ปุ่นอยู่ในปัจจุบัน

(1) พรรคการเมืองใหม่

(2) พรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น

(3) พรรคเสรีประชาธิปไตย

(4) พรรคประชาชนรุ่นใหม

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ญี่ปุ่นมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ซึ่งนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันคือ นายชินโซะ อาเบะ หัวหน้าพรรคเสรีประชาธิปไตย ได้รับการแต่งตั้งให้ ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555 (ค.ศ. 2012)

55.  ใครคือนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นคนปัจจุบัน

(1) นายซูซูกิ   

(2) นายคัง

(3) นายฟูจิมูริ  

(4) นายอาเบะ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 54. ประกอบ

56.  คำว่า “ถังจิ๋ว” หมายถึงประเทศใด

(1) เกาหลี

(2) ไต้หวัน      

(3) จีน    

(4) ญี่ปุ่น

ตอบ 1เกาหลีโบราณมีการปกครองที่เรียกว่า“สมัย 3 อาณาจักร” (Three Kingdomsซึ่งเป็นอาณาจักรของชาวเกาหลีแท้ๆ ประกอบด้วย อาณาจักรโคคูเรียวหรือโคกูรยอ (มีอิทธิพลมากที่สุด) อาณาจักรปักเจ และอาณาจักรซิลลา ซึ่งได้ชื่อว่า “ถังจิ๋วหรือถังน้อย” (Little Tangเนื่องจากได้รับเอาแบบอย่างความเจริญมาจากจีนในสมัยราขวงศ์ถัง

57.  ทำไมเกาหลีในอดีตจึงเป็นประเทศที่อ่อนแอในกลุ่มเอเชียตะวันออก

(1)   สถานที่ตั้งไม่ปลอดภัยเพราะอยู่ท่ามกลางประเทศมหาอำนาจ

(2)   คนเกาหลีมีนิสัยชอบชักศึกเข้าบ้าน

(3) คบเกาหลียากจนเพราะขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ   

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 141(HIS 1003 เลขพิมพ์ 55187 หน้า 330) ด้วยเหตุที่เกาหลีมีสภาพทางภูมิศาสตร์ หรือสถานที่ตั้งที่ไม่ปลอดภัยเนื่องจากอยู่ท่ามกลางประเทศมหาอำนาจ 3 ชาติ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และรัสเซีย รวมทั้งอาณาจักรโบราณของชนเผ่าเร่ร่อนทางภาคเหนือ ตลอดจนความสำคัญทางจุดยุทธศาสตร์ ทำให้เกาหลีต้องตกเป็นสมรภูมิรบหลายครั้ง แม้เกาหลีจะพยายามหลีกเลี่ยงสงครามด้วยการใช้นโยบายแยกตัวอยู่อย่างโดดเดี่ยวและยึดมั่นในสันติภาพจนได้รับสมญานาม ร้า “รัฐฤๅษี” แต่เกาหลีก็ไม่เคยพบกับความสงบ ถ้าไม่ตกเป็นอาณานิคม ก็ต้องสูญเสีย อำนาจอธิปไตยไป ส่งผลให้เกาหลีในอดีตกลายเป็นประเทศที่อ่อนแอเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศ เอเชียตะวันออกด้วยกัน

58.  หลังสงครามใดที่เกาหลีแตกออกเป็น 2 ประเทศจนถึงปัจจุบัน

(1) สงครามฝิ่น 

(2) สงครามปราบกบฏนักมวย

(3) สงครามระหว่างเกาหลีกับญี่ปุ่นปี 1910

(4) สงครามระหว่างเกาหลีด้วยกันในปี 1950

ตอบ 3 หน้า 144162 สงครามระหว่างเกาหลีกับญี่ปุ่นเกิดขึ้นในช่วงปี ค.ค. 1910 – 1945 ต่อมา เมื่อญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เกาหลีจึงได้รับเอกราชและตกอยู่ภายใต้การดูแลร่วมของสหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกา ซึ่งพยายามให้มีการจัดตั้งรัฐบาลเกาหลีที่มีอำนาจเต็มขึ้น แต่ด้วยแนวคิดและอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต่างกัน เกาหลีจึงแตกแยกออกเป็น 2 ประเทศ คือ เกาหลีเหนือ (นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์) และเกาหลีใต้ (นิยมลัทธิประชาธิปไตย) ตรงเส้นขนาน ที่ 38 องศาเหนือซึ่งเป็นเขตปลอดทหาร

59. เกาหลีในสมัย 3 อาณาจักร ประกอบด้วยอาณาจักรใดบ้าง

(1) โคกูรยอ ปักเจ ซิลลา

(2) โคเรียว ยี โชซอน

(3) ปักเจ โชซอน โคกูรยอ

(4) ซิลลา คายา มิมานา

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 56. ประกอบ

60.  คิม จองอึน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งใดในเกาหลีเหนือ

(1) นายกรัฐมนตรี    

(2) ประธานรัฐสภา

(3) ผู้นำสูงสุดของประเทศ 

(4) ผู้นำฝ่ายค้านในรัฐสภา

ตอบ 3 (คำบรรยาย) คิม จองอึน เป็นผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือคนปัจจุบัน โดยได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพประชาชนเกาหลีอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ทั้งนี้เขาได้เป็นผู้ริเริ่มการเปลี่ยนแปลงนโยบายใหม่ ๆ หลายอย่างในเกาหลีเหนือ เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้แก่ประเทศ รวมทั้งมุ่งพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ ของประเทศเป็นสำคัญ

61.  แหล่งอารยธรรมเริ่มแรกในเอเชียใต้เกิดขึ้นบริเวณที่ราบลุ่มแม่นํ้าใด

(1) สินธุ  

(2) คงคา 

(3) พรหมบุตร  

(4) ยมุนา

ตอบ 1 หน้า 183 – 184188 อารยธรรมลุ่มม้ำสินธุเป็นอารยธรรมเริ่มแรกของเอเชียใต้และของโลก โดยเป็นอารยธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุ หรืออินดัสในประเทศปากีสถานปัจจุบัน ทั้งนี้ได้มีการขุดพบซากเมืองโบราณสำคัญ 2 เมือง คือ เมืองโมเหนโจดาโรและฮารัปปา โดยพบว่าสิ่งก่อสร้างของทั้ง 2 เมืองนั้นส่วนใหญ่ทำมาจากอิฐเผาไฟ ที่มีคุณภาพดี นอกจากนี้ชาวสินธุยังเป็นชนกลุ่มแรกของโลกที่รู้จักจัดห้องน้ำแบบยืนตักอาบ และทำท่อระบายนํ้าโสโครก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอารยธรรมลุ่มแม่นํ้าสินธุมีความเจริญสูงสุด ด้านสุขาภิบาล เมื่อเทียบกับแหล่งอารยธรรมเริ่มแรกในบริเวณอื่นของโลก

62.  มรดกอารยธรรมในข้อใดมีอายุน้อยที่สุด

(1) พีระมิด

(2) ปราสาทนครวัด  

(3) ปราสาททัชมาฮาล     

(4) อักษรคูนิฟอร์ม

ตอบ 3 หน้า 226(คำบรรยาย) ปราสาททัชมาฮาล เป็นมรดกทางอารยธรรมของราชวงศ์โมกุลแห่งอินเดีย โดยสร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 17 (ช่วงปี ค.ศ. 1630 – 1652) ในสมัยพระเจ้าซาห์เจฮาน เพื่อใช้เป็นสุสานเก็บพระศพของพระมเหสีมุมทัช ซึ่งทัชมาฮาลจะสร้างด้วยหินอ่อนสีขาว ประดับประดาด้วยอัญมณีที่ประมาณค่าไม่ได้ เป็นศิลปะฮินดูผสมมุสลิม และจัดเป็น สถาปัตยกรรมที่มีความงดงามจนนับเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก ในปัจจุบันทัชมาฮาล ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลก ทั้งนี้ รพินทรนาถ ฐากูร นักเขียนวรรณกรรมรางวัลโนเบล ได้ให้คำจำกัดความของปราสาทแห่งนี้ว่า “เป็นหยาดนํ้าตาบนใบหน้าอันงดงามแห่งนิรันดรกาล” (ดูคำอธิบายข้อ 9. และ 22. ประกอบ)

63.  ประเทศใดในเอเชียใต้ที่มีเสันพรมแดนติดต่อกับประเทศอัฟกานิสถาน

(1) อินเดีย

(2) เนปาล

(3) บังกลาเทศ 

(4) ปากีสถาน

ตอบ 4 หน้า 171173 ปากีสถานเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียใต้โดยมีอาณาเขตหรือ เส้นพรมแดนทางทิศเหนือติดกับจีน ทางทิศตะวันตกติดกับอิหร่านและอัฟกานิสถาน ทางทิศตะวันออกติดกับอินเดีย และทางทิศใต้ติดกับทะเลอาหรับ

64.  อารยธรรมเริ่มแรกในเอเชียใต้มีความเจริญสูงสุดด้านใด เมื่อเทียบกับแหล่งอารยธรรมเริ่มแรกบริเวณอื่นของโลก

(1) ด้านสถาปัตยกรรม     

(2) ด้านสุขาภิบาล   

(3) ด้านชลประทาน  

(4) ด้านการแพทย์

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

65.  จากหลักฐานด้านโบราณคดีที่พบในบริเวณแหล่งอารยธรรมเริ่มแรกของเอเชียใต้ ทำให้เชื่อว่ามีการบูชาเทพเจ้าองค์ใด

(1) พระอินทร์   

(2) พระอัคนี    

(3) พระศิวะ     

(4) พระพรหม

ตอบ 3 หน้า 186 – 187,356 (เล่มเก่า)(HIS 1003 เลขพิมพ์ 55187 หน้า 83) ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่นํ้าสินธุอันเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุซึ่งเป็นอารยธรรมเริ่มแรกของเอเชียใต้นั้น ได้มีการขุดพบดวงตราที่มีการแกะสลักเป็นรูปพระศิวะนั่งขัดสมาธิอยู่บนบัลลังก์ และมีสัตว์อยู่ล้อมรอบ (ปางปศุบดี) นอกจากนี้ยังพบหินสลักเป็นรูปศิวลึงค์ซึ่งเป็นลัทธิหนึ่ง ในไศวนิกายของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู จึงทำให้เชื่อกันว่าชาวสินธุมีการเคารพบูชาพระศิวะ และได้กลายเป็นมรดกทางศาสนาให้ชาวฮินดูนับถือมาจนถึงปัจจุบัน

66.  สัตว์ชนิดใดถือเป็นหน่วยวัดความมั่งคั่งของพวกอารยันสมัยพระเวท

(1) ช้าง   

(2)   ม้า  

(3)   ควาย      

(4)   วัว

ตอบ 4 หน้า 193 ในสมัยพระเวท สัตว์ที่ชาวอารยันให้ความสำคัญมากทื่สุดก็คือ วัวตัวเมีย ซึ่งถือว่า เป็นหน่วยวัดความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ อีกทั้งวัวตัวเมียยังให้แรงงาน ให้นม-เนย และลูกด้วย

67.  ตามความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ คนในวรรณะใดที่พระเจ้าสร้างจากพระพาหา

(1) พราหมณ์   

(2)   กษัตริย์   

(3)   แพศย์     

(4)   ศูทร

ตอบ 2 หน้า 195 – 196(คำบรรยาย) ในเรื่องระบบวรรณะของสังคมอินเดียโบราณจะเป็นไปตามคติความเชื่อชองศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งเชื่อว่า พระเจ้า (พระพรหม) เป็นผู้สร้าง โดยทรงสร้างมนุษย์เพื่อสันติจากอวัยวะของพระองค์ 4 ล่วน ได้แก่

1.    วรรณะพราหมณ์ (สร้างจากพระโอษฐ์หรือปาก) จัดเป็นชนชั้นสูงสุดของสังคม ได้แก่ นักบวช นักปราชญ์ และครูอาจารย์

2.    วรรณะกษัตริย์(สร้างจากพระพาหาหรือแขน) ได้แก่ นักปกครอง ทหารหรือนักรบ และตำรวจ

3.    วรรณะแพศย์หรือไวศยะ (สร้างจากพระโสณีหรือสะโพก) ได้แก่ เกษตรกร พ่อค้า นายธนาคาร ฯลฯ

4.    วรรณะศูทร (สร้างจากพระบาทหรือเท้า) จัดเป็นชนชั้นต่ำสุดของสังคม ได้แก่ พวกกรรมกร และข้าหรือทาส

68. ขงจื๊อกล่าวว่า ‘สังคมจะสงบสุข ถ้าทุกคนปฏิบัติตามหน้าที่” หลักปฏิบัติตามหน้าที่ของฮินดูประกาศชัดเจน ในเรื่องใด

(1) พิธีบูชายัญ

(2) ระบบวรรณะ

(3) หลักอาศรม 4    

(4) การบวงสรวงเซ่นไหวั

ตอบ 3 หน้า 199(คำบรรยาย) ตามคำสอนของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูนั้น หลักอาศรม 4 หมายถึง ธรรมหรือหลักการปฏิบัติหน้าที่ของตนตามวัยหรือตามขั้นตอนของชีวิต ซึ่งประกอบด้วย

1.    พรหมจรรยาศรมหรือพรหมจารี (อายุ 1 – 25 ปี) เป็นวัยแห่งการศึกษา

2.    คฤหัสถาศรมหรือคฤหัสถ์ (อายุ 26 – 50 ปี) เป็นวัยแห่งการครองเรือนหรือการแต่งงานมีครอบครัว

3. วานปรัสถาศรมหรือวานปรัสถ์ (อายุ 51 – 75 ปี) เป็นวัยแห่งการบริการสังคม

4.    สันยัสตาศรมหรือสันยาสี (อายุ 76 – 100 ปี) เป็นวัยแห่งการกระทำเพื่อมนุษยชาติ โดยการออกบวชตลอดชีพเพื่อแสวงหาโมกษะ

69.  ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติของศาสนาเชน

(1) อหิงสาเป็นหัวใจคำสอน

(2) การอดอาหารตายเป็นการปฏิบัติขั้นสูงสุด

(3)   ปฏิเสธการฆ่าสัตว์บูชายัญ

(4) เชื่อในเรื่องพระเจ้า

ตอบ 4 หน้า 202 – 203205 – 207 ศาสนาเชนมีหลักคำสอนที่คล้ายคลึงกับศาสนาพุทธมากที่สุด โดยมีลักษณะคำสอนเป็นแบบอเทวนิยมซึ่งขัดแย้งกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดูหลายเรื่อง เช่น ไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้าสร้างโลก ระบบวรรณะ การล้างบาปในแม่นํ้าคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ ปฏิเสธการฆ่าสัตว์บูชายัญ ฯลฯ ทั้งนี้เชนจะเน้นหัวใจคำสอนในเรื่องการไม่เบียดเบียน (หลักอหิงสา)เป็นคุณธรรมอย่างยิ่งทั้งในระดับคฤหัสถ์ทั่วไปและระดับนักบวช โดยเฉพาะนักบวชนั้น ต้องฉันอาหารแบบมังสวิรัติและฉันมื้อเดียว และต้องถือศีลอดโดยทรมานตนด้วยการอดอาหาร ถ้าปฏิบัติขั้นสูงสุดก็ให้อดอาหารจนตาย

70.  ศาสนาใดที่มีผู้นับถือมากเป็นอันดับสูงสุดในเอเชียใต้

(1) ฮินดู  

(2) อิสลาม      

(3) สิกข์  

(4) คริสต์

ตอบ 1 หน้า 175 ภูมิภาคเอเชียใต้หรืออนุทวีปอินเดียได้ชื่อว่าเป็นดินแดนที่ประชากรมีความหลากหลาย ในการนับถือศาสนา โดยคิดเป็นอัตราส่วนร้อยละเรียงตามลำดับจากมากไปน้อยได้ดังนี้

1.    พราหมณ์-ฮินดู 83.5%    

2. อิสลาม 10.7%    

3. คริสต์ 2.4% 

4. สิกข์ 1.8%

5. เชน พุทธ โซโรแอสเตอร์และอื่น ๆ 1.6%

71.  พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงใช้อำนาจปกครองแบบพ่อปกครองลูกและทรงเป็นธรรมราชา ถามว่า ทรงดำเนินการเหมือนกับกษัตริย์พระองค์ใดของอินเดีย

(1) พระเจ้าพิมพิสาร 

(2) พระเจ้าจันทรคุปต์

(3) พระเจ้าอโศก     

(4) พระเจ้ากนิษกะ

ตอบ 3 หน้า 214 – 215(คำบรรยาย) พ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งอาณาจักรสุโขทัยของไทย ทรงใข้อำนาจปกครองราษฎรแบบพ่อปกครองลูก และทรงเป็นธรรมราชา ซึ่งจะเหมือนกับการปกครองในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งราชวงค์เมารยะหรือโมริยะของอินเดีย

72.  สถานที่พระพุทธเจ้าประสูติ คือสวนลุมพินีวัน ถามว่าปัจจุบันอยู่ในเขตประเทศใด

(1) อินเดีย

(2) เนปาล

(3) ปากีสถาน  

(4) ศรีลังกา

ตอบ 1 หน้า 203(HIS 1003 เลขพิมพ์ 55187 หน้า 104) ศาสดาของศาสนาพุทธคือ พระพุทธเจ้าหรือสิทธัตถะ ซึ่งทรงประสูติเมื่อวันเพ็ญเดือน 6 ขึ้น 15 คํ่า ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ณ สวนลุมพินีวัน บริเวณกรุงกบิลพัสดุ ในประเทศอินเดียปัจจุบัน จากนั้นเมื่อพระชนมายุได้ 29 ปี ได้ทรงออกผนวช เพื่อแสวงหาสัจธรรม โดยทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาที่ฝั่งแม่นํ้าเนรัญชราเป็นเวลา 6 ปี และได้ตรัสรู้ ใต้ต้นโพธิ์ หลังจากนั้นพระองค์ได้ใช้เวลา 45 ปี ในการเผยแผ่ศาสนาไปยังเมืองต่างๆ

73.  สุวรรณวิหารหรือวิหารทองคำในแคว้นปัญจาบ เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาใด

(1) สิกข์  

(2) เชน   

(3) พุทธ  

(4) ฮินดู

ตอบ 1 (HIS 1003 เลขพิมพ์ 55187 หน้า 129131) ศาสนาสิกข์เกิดขึ้นในแคว้นปัญจาบเมื่อปี ค.ศ. 1440 ซึ่งผู้ที่ก่อตั้งคือ ท่านกะบีร์ โดยมีเป้าหมายที่จะรวมเอาศาสนาฮินดูและศาสนาอิสลาม เข้าด้วยกัน แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ สำหรับผู้ที่ประกาศศาสนานี้อย่างจริงจังคือ คุรุนานัก โดยศูนย์กลางของศาสนาสิกข์อยู่ที่สุวรรณวิหารหรือวิหารทองคำ เมืองอมฤตสาร์ แคว้นปัญจาบ ประเทศปากีสถาน

74.  พุทธศาสนาเจริญสูงสุดจนถึงขั้นส่งสมณทูตออกไปเผยแผ่นอกชมพูทวีปครั้งแรก เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์ใด

(1) เมารยะ      

(2) คุปตะ 

(3) กุษาณะ     

(4) โมกุล

ตอบ 1 หน้า 213 – 217 ในสมัยราชวงศ์เมารยะแห่งอินเดียภายใต้การนำของพระเจ้าอโศกมหาราขนั้น ถือเป็นสมัยที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสูงสุด โดยพระองศ์ทรงส่งสมณทูตออกไปเผยแผ่ศาสนา รวม 9 สายไปทั่วอินเดียทุกภาคและออกนอกประเทศอินเดีย (ชมพูทวีป) เป็นครั้งแรก รวมทั้งยังโปรดให้สร้างพระธรรมจักรขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนพระธรรมคำสอน เช่น ปางปฐมเทศนาจะทำเป็นภาพพระธรรมจักรและมีกวางหมอบ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงโปรด ปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันหรือป่ากวางแห่งกรุงราชคฤห์ เป็นต้น

75.  บทละครเรื่องศกุนตลา เป็นผลงานในราชวงศ์ใด

(1) เมารยะ

(2) คุปตะ 

(3)   กุษาณะ   

(4)   โมกุล

ตอบ 2 หน้า 219 ในสมัยราชวงศ์คุปตะได้ชื่อว่าเป็น “ยุคทองของอินเดียโบราณ” และเป็น “ยุคทองของวรรณคดีสันสกฤต” โดยกวีเอกในสมัยนี้ได้แก่ กาลิทาส ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “เช็คสเปียร์แห่งอินเดีย” โดยผลงานเด่นที่รู้จักไปทั่วโลกคือ บทละครเรื่องศกุนตลา

76.  พระธรรมจักรและกวางหมอบเป็นสัญลักษณ์หมายถึงปางปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้า ถามว่าสัญลักษณ์ ดังกล่าวเริ่มมีครั้งแรกในรัชกาลใด

(1) พระเจ้าจันทรคุปต์

(2) พระเจ้าพินทุสาร 

(3)   พระเจ้าอโศก   

(4)   พระเจ้ามิลินท์

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 74. ประกอบ

77.  จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่สุดท้ายของอินเดียก่อนตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 19 องค์ประมุข นับถือศาสนาใด

(1) ฮินดู  

(2)   สิกข์

(3)   อิสลาม    

(4)   พุทธ

ตอบ 3 หน้า 213224 – 225 จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ของอินเดียในประวัติศาสตร์มี 3 อาณาจักร ได้แก่ จักรวรรดิเมารยะ จักรวรรดิคุปตะ และจักรวรรดิโมกุล ซึ่งจักรวรรดิโมกุลถือว่าเป็นจักรวรรดิสุดท้ายก่อนที่อินเดียจะตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 19 โดยเป็นกลุ่มชนมุสสิมเชื้อสายมองโกลที่นับถือศาสนาอิสลาม มีองค์ประมุขหรือจักรพรรดิมุสลิมปกครอง 6 พระองศ์ ซึ่งองค์สุดท้ายคือ พระเจ้าโอรังเซ็บ

78. กษัตริย์พระองค์ใดที่เชื่อกันว่าเป็นสาเหตุแห่งความเสื่อมของจักรวรรดิโมกุล

(1) พระเจ้าอักบาร์    

(2) พระเจ้าหุบายัน   

(3) พระเจ้าจาหันกีร์  

(4) พระเจ้าโอรังเซ็บ

ตอบ 4 หน้า 225 – 226 พระเจ้าโอรังเซ็บเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายของจักรวรรดิโมกุลที่มีพระทัยแคบที่สุดในเรื่องศาสนา โดยทรงเป็นมุสลิมที่เคร่งครัดอย่างมาก ทรงขาดขันติธรรมในศาสนา และบังคับให้คนปฎิบัติตามกฎของศาสนาอิสลาม จนเป็นสาเหตุที่ทำให้รัฐต่าง ๆ แยกตัว เป็นอิสระส่งผลให้อาณาจักรที่เคยมั่นคงแตกแยกและค่อย ๆ เสื่อมลงในที่สุด

79.  ศาสนาสิกข์เกิดจากการนำเอาหลักคำสอนบางประการของศาสนาฮินดูกับศาสนาอะไรมาผสมกัน

(1) พุทธ  

(2)   คริสต์     

(3)   อิสลาม    

(4)   เชน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 73. ประกอบ

80.  “คนพาลทำความชั่ว แม้จะไปสู่แม่นํ้าแห่งใดก็ไม่บริสุทธิ์ขึ้นมาได้” ข้อความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธความเชื่อในเรื่องใดของศาสนาพราหมณ์

(1) การบูชายัญ

(2)   ระบบวรรณะ    

(3)   การล้างบาป    

(4)   พระเจ้า

ตอบ 3 หน้า 205 – 207, (ดูคำอธิบายข้อ 69. ประกอบ) พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธความเชื่อของศาสนา พราหมณ์-ฮินดูเหมือนกับศาสนาเชนเรื่องหนึ่ง คือ การล้างบาปในแม่นํ้าคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเห็นได้จากคำกล่าวที่ว่า “คนพาลทำความชั่ว แม้จะไปสู่แม่นํ้าแห่งใดก็ไม่บริสุทธิ์ขึ้นมาได้”

81.  ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ชาติมหาอำนาจคู่ใดแข่งขันกันสร้างอิทธิพลในอินเดีย

(1) อังกฤษ-ฝรั่งเศส  

(2)   อังกฤษ-ดัตช์   

(3)   โปรตุเกส-ดัตช์ 

(4)   ฝรั่งเศส-ดัตช์

ตอบ 1 หน้า 231(HIS 1003 เลขพิมพ์ 55187 หน้า 134) ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 อังกฤษและฝรั่งเศส ได้ทำสงคราม 7 ปี (ค.ศ. 1756 – 1763) เพื่อแข่งขันกันสร้างอิทธิพลในอินเดีย ผลปรากฏว่า อังกฤษเป็นฝ่ายชนะ หลังจากนั้นทั้งสองประเทศได้ยุติสงครามลงด้วยสนธิสัญญาปารีสในปี ค.ศ. 1763 ส่งผลสำคัญทำให้อังกฤษแสวงหาอำนาจทางการค้าและการเมืองในอินเดียเพียงชาติเดียว จนสามารถครอบครองอินเดียได้ทั้งประเทศโดยสมบูรณ์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19

82.  พิธีสุตตีหรือสตี (Suttee or Sateeเป็นพิธีเกี่ยวกับอะไร

(1) ฆ่าคนบูชายัญ    

(2) การแต่งงานในวัยเด็ก

(3) ฆ่าเด็กทารกแรกเกิด   

(4) หญิงม่ายเผาตัวตายทั้งเป็นพร้อมศพสามี

ตอบ 4 หน้า 232 – 234 Lord Dalhousie เป็นข้าหลวงใหญ่ชาวอังกฤษที่ได้ออกกฎหมายแทรกแซงอินเดียหลายเรื่อง จนเป็นชนวนที่ทำให้เกิด “กบฏซีปอย” ขึ้นในปี ค.ศ. 1857 ซึ่งการแทรกแซง ดังกล่าวมีดังนี้

1.    ออกกฎหมายยึดครองดินแดนที่เรียกว่า “The Doctrine of Lapse

2.    ออกกฎหมายสำรวจโฉนดที่ดิน

3.    ออกกฎหมายแทรกแซงทางด้านสังคมและศาสนา เช่น ให้ยกเลิกพิธีสุตตีหรือสตี (Suttee or Sateeที่หญิงม่ายต้องเผาตัวตายทั้งเป็นพร้อมศพสามีออกกฎหมายให้หญิงม่าย แต่งงานใหม่ได้ยกเลิกการฆ่าเด็กทารกแรกเกิดและบระเพณีฆ่าคนบูชายัญ ฯลฯ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ถือว่าเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดกบฏซีปอย

4.    สาเหตุปัจจุบันทันด่วนคือ อังกฤษได้นำปืนเล็กยาว (Enfield Rifleมาให้ทหารซีปอยใช้ โดยได้นำนํ้ามันหมูและไขวัวมาใข้เป็นน้ำมันหล่อลื่นลูกปืนชนิดใหม่ ทำให้ทหารซีปอย ทั้งมุสลิมและฮินดูรู้สึกว่าเป็นการดูหมิ่นศาสนาของตน

83.  ข้อใดคือเหตุปัจจุบันทันด่วนที่ทำให้เกิดกบฏซีปอยขึ้น

(1) The Doctrine of Lapse  

(2) การออกกฎหมายยกเลิกการฆ่าคนบูชายัญ

(3)   การออกกฎหมายสำรวจโฉนดที่ดิน   

(4) การที่อังกฤษนำปืนชนิดใหม่มาให้ทหารซีปอยใช้

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 82. ประกอบ

84.  นโยบายของอังกฤษภายหลังกบฏซีปอยคือการไม่เข้าแทรกแซงอินเดยในด้านใด

(1) ด้านการศึกษา   

(2) ด้านสาธารณสุข

(3) ด้านคมนาคม     

(4) ด้านขนบธรรมเนียมประเพณี

ตอบ 4 หน้า 234447 – 448 (เล่มเก่า) ภายหลังเหตุการณ์กบฏซีปอย รัฐบาลอังกฤษได้ดำเนินนโยบาย ปกครองอินเดียเป็นแบบอนุรักษนิยม โดยถือเป็นนโยบายสำคัญที่จะไม่แทรกแซงทางด้านสังคม และขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวอินเดีย แต่จะปฏิบัติกิจกรรมทางสังคมเฉพาะในกลุ่มของคนอังกฤษเท่านั้น นอกจากนี้ยังทำให้องค์ประมุขของอังกฤษเข้ามาปกครองอินเดียแทนบริษัท อินเดียตะวันออกตามพระราชบัญญัติ The Better Government of India 1858 อีกด้วย

85.  อะไรเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้อังกฤษชนะกบฏซีปอย

(1) ทหารอังกฤษมีความชำนาญในการรบมากกว่า     

(2) ทหารอังกฤษมีอาวุธที่ทันสมัยกว่า

(3) ระบบสื่อสารของอังกฤษมีประสิทธิภาพสูงกว่า

(4) ชาวอินเดียแตกความสามัคคี

ตอบ 4 หน้า 234 สาเหตุสำคัญที่ทำให้อังกฤษชนะกบฏซีปอยได้ มีดังนี้

1. ผู้นำทัพและทหารอังกฤษ มีประสบการณ์และความชำนาญในการรบมากกว่า และมีอาวุธที่ทันสมัยกว่า

2. อังกฤษมีระบบและเครื่องมือการสื่อสารที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงกว่าซึ่งก็คือ เครื่องโทรเลขที่ช่วยให้สามารถส่งข่าวได้อย่างรวดเร็ว 3. ผู้ปกครองหลายรัฐเข้าร่วมกับอังกฤษ เพื่อปราบกบฏซีปอย อันแสดงให้เห็นถึงการแตกความสามัคคีในหมู่ชาวอินเดียเอง ซึ่งถือเป็น สาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้อังกฤษเอาชนะกบฏซีปอยได้สำเร็จ

86.  “อินเดียของอังกฤษ” (British Indiaหมายถึงบริเวณใด

(1)   ดินแดนตะวันตกของอินเดียทั้งหมดซึ่งเป็นฐานทัพเรือที่สำคัญ

(2)   ดินแดนที่อังกฤษซื้อมาจากดัตช์ เพราะดัตช์ถอนตัวไปตั้งที่อินโดนีเซีย

(3)   ดินแดนที่อังกฤษปกครองโดยตรง ส่วนใหญ่เป็นเมืองชายทะเล

(4) ดินแดนที่อังกฤษใช้เจ้าผู้ครองนครปกครองกันเอง อังกฤษคุมเฉพาะบางด้าน

ตอบ 3 หน้า 234 – 235(คำบรรยาย) หลังจากที่อังกฤษเข้าปกครองอินเดียในปี ค.ค. 1858 แล้ว อังกฤษได้ดำเนินการปกครองอินเดียทั้งทางตรงและทางอ้อมดังนี้

1. ดินแดนที่อังกฤษปกครองโดยตรง เรียกว่า “อินเดียของอังกฤษ” (British Indiaมีเนื้อที่ประมาณ 2 ใน 3 ของประเทศ ส่วนมากเป็นรัฐหรือมณฑลที่ตั้งอยู่ตามชายฝั่งทะเลรวม 11 รัฐ และเป็นรัฐใหญ่ที่มีความสำคัญทั้งทางด้านการปกครอง เศรษฐกิจ และการต่างประเทศ

2.    ดินแดนที่อังกฤษปกครองโดยอ้อม เรียกว่า “รัฐอิสระ” (Indian Statesมีเกือบ 600 รัฐ ครอบคลุมเนื้อที่ประมาณฺ 1 ใน 3 ของประเทศ มีการปกครองที่ขึ้นตรงต่อเจ้าผู้ครองนครรัฐ หรือสุลต่าน โดยอังกฤษจะคุมเฉพาะด้านต่างประเทศ การทหาร และการคลัง

87.  ด้วยเหตุใดชาวอินเดียจึงชื่นชอบ The MorleyMinto Reforms

(1) ชาวอินเดียได้สิทธิเข้าไปนั่งในสภา

(2) ชาวอินเดียได้สิทธิมีอาวุธในครอบครอง

(3) ชาวอินเดียมีสิทธิออกหนังสือพิมพ์เป็นภาษาท้องถิ่น

(4) หญิงม่ายชาวอินเดียได้สิทธิแต่งงานใหม่

ตอบ 1 หน้า 242 – 243 ในปี ค.ค. 1909 อังกฤษได้ออกกฎหมายปฏิรูปมอร์เลย์-มินโต (The MorleyMinto Reformsซึ่งมีสาระสำคัญคือ การเปิดโอกาสให้ชาวอินเดียได้เข้าไปนั่งในสภาเป็นครั้งแรก ด้วยการให้สิทธิชาวอินเดียเลือกผู้แทน 2 คน เพื่อเข้าเป็นสมาชิกสภารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอินเดียทกรุงลอนดอน โดยชาวอินเดีย 1 คนจะประจำอยู่ในสภาบริหารของข้าหลวงใหญ่อังกฤษ ในส่วนกลาง ส่วนอีกคนหนึ่งจะประจำอยู่ในสภาระดับท้องถิ่นคือ สภาบริหารประจำแคว้น แต่ละแคว้นของอินเดีย ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ถูกมองว่าเป็นการปูพื้นฐานการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาให้แก่อินเดีย

88.  วิธีการต่อสู้โดยยึดหลักอหิงสาหรือการต่อสู้โดยขบวนการสัตยาเคราะห์ เป็นแนวทางการตอสู้ของ นักชาตินิยมคนใด

(1) เนห์รู  

(2) คานธี 

(3) อาลี จินนาห์

(4) ติลัก

ตอบ 2 หน้า 241 – 242 มหาตมะ คานธี เป็นนักชาตินิยมที่เรียกร้องเอกราชให้อินเดีย โดยใช้วิธีการต่อสู้ที่เรียกว่า “การต่อต้านเงียบ” หรือ “ขบวนการสัตยาเคราะห์” ซึ่งเป็นการต่อสู้โดย สันติวิธีและไม่ใช้กำลัง แต่ใช้พลังธรรมะและการเจรจาต่อรอง โดยสัตยาเคราะห์ประกอบด้วย หลักใหญ่ 3 ประการ ได้แก่  

1. สัตยะ คือ ความจริง

2. อหิงสา คือ ความไม่เบียดเบียนให้เสียเลือดเนื้อ ไม่ใช้กำลัง หรือวิธีรุนแรง

3.    การดื้อแพ่ง คือ การไม่ปฏิบัติตาม ไม่เชื่อฟัง และไม่ใช้อาวุธต่อสู้กับผู้ปกครอง

89.  ท่านคิดว่าชาวปากีสถานกับชาวบังกลาเทศมีเรื่องใดเหมือนกันที่สุด

(1) เชื้อชาติ    

(2)   ผิวพรรณ 

(3)   ภาษา      

(4)   ศาสนา

ตอบ 4 (คำบรรยาย) จากการเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของชาวปากีสถาน (ปากีสถานตะวันตก) กับชาวบังกลาเทศ (ปากีสถานตะวันออก) พบว่า ชาวปากีสถานกับชาวบังกลาเทศจะมีความแตกต่างกันทั้งในเรื่องเชื้อชาติ วิถีชีวิต ผิวพรรณ ภาษา และ ศิลปวัฒนธรรม แต่มีสิ่งที่เหมือนกันเพียงเรื่องเดียวคือ คนส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมซึ่งนับถือ ศาสนาอิสลาม

90. “สาธุ! เจ้าพ่อที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าลูกช้างสอบ HIS 1002 ได้ จะนำพวงมาลัยยาว 20 เมตรมาถวาย”

ถามว่าการกระทำดังกล่าวสะท้อนอิทธิพลของศาสนาใดที่สุด

(1) พราหมณ์   

(2)   พุทธ

(3)   เชน 

(4)   อิสลาม

ตอบ 1 หน้า 202 – 203205 – 206(คำบรรยาย) ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีลักษณะคำสอนเป็นแบบเทวนิยม คือ เชื่อในเรื่องพระเจ้าสร้างโลก ระบบวรรณะ การล้างบาปในแม่นํ้าคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ การฆ่าสัตว์บูชายัญ และการสวดอ้อนวอนหรือบวงสรวงเพื่อขอพรจากพระเจ้า ซึ่งการกระทำที่สะท้อนถึงอิทธิพลของศาสนานี้ เช่น “สาธุ! เจ้าพ่อที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าลูกช้างสอบ HIS 1002 ได้ จะนำพวงมาลัยยาว 20 เมตรมาถวาย” เป็นต้น

91.  คำว่า “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” เริ่มมีใช้เมื่อใด

(1) สงครามโลกครั้งที่ 1    

(2)   สงครามโลกครั้งที่ 2 

(3)   สงครามนโปเลียน    

(4)   สงครามอินโดจีน

ตอบ 2 หน้า 255 คำว่า “เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (South East Asiaเป็นคำใหม่ที่เพิ่งเริ่มมีใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรได้จัดตั้ง “กองบัญชาการด้าน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ขึ้นมา เพื่อประสานงานการทำสงครามโลกกับญี่ปุ่นในภูมิภาคนี้

92.  เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ระหว่างมหาสมุทรใด

(1) มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิก

(2) มหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอาร์กติก

(3) มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแอตแลนติก

(4) มหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรแอตแลนติก

ตอบ 1 หน้า 255541 (เล่มเก่า)(คำบรรยาย) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประกอบด้วยแผ่นดินใหญ่และหมู่เกาะด้านตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของเอเชีย ซึ่งแบ่งมหาสมุทรอินเดีย (ฝั่งทะเล อันดามันของไทย) และมหาสมุทรแปซิฟิก (ฝั่งอ่าวไทยและทะเลจีนใต้) ออกจากกัน โดยมีช่องแคบ เล็ก ๆ 4 แห่งเป็นทางเชื่อมระหว่างมหาสมุทรทั้งสอง ได้แก่ ช่องแคบมะละกา (เชื่อมระหว่างแหลมมลายูกับเกาะสุมาตรา) ช่องแคบซุนดา ช่องแคบลอมบอก และช่องแคบมาคัสซาร์

93. ช่องแคบใดอยู่ระหว่างแหลมมลายูกับเกาะสุมาตรา 

(1) ช่องแคบแมกแจนแลบ

(2) ช่องแคบมาคัสซาร์     

(3) ช่องแคบมะละกา 

(4) ช่องแคบซุนดา

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 92. ประกอบ

94.  เทือกเขาใดที่กั้นเขตแดนระหว่างประเทศพม่า อินเดีย และบังกลาเทศ

(1) อารกันโยมา

(2) ตะนาวศรี   

(3) หิมาลัย      

(4) เปกูโยมา

ตอบ 1 หน้า 256542 (เล่มเก่า) เทือกเขาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีแนวต่อจากเทือกเขาหิมาลัย และเทือกเขาต่าง ๆ ทางตะวันออกของเทือกเขาหิมาลัยในจีน ซึ่งเทือกเขาที่สำคัญ เช่น เทือกเขาอารกันโยมาซึ่งทอดตัวอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศพม่า และกั้นเขตแดนระหว่างพม่า กับอินเดียและบังกลาเทศเทือกเขาเปกูโยมาในพม่าเทือกเขาตะนาวศรีซึ่งกั้นระหว่างพม่า กับไทยไปถึงมลายูเทือกเขาคาร์ดามันในกัมพูชาและลาว และเทือกเขาอันนาไมท์ซึ่งแยกพื้นที่ ของเวียดนามออกจากพื้นที่ของลาวและกัมพูชา

95. ภาษาไทยจัดอยู่ในกลุ่มภาษาพูดตระกูลใด   

(1) ทิเบโต-ไชนีส

(2) ออสโตร-เอเชียติก     

(3) มาลาโย-โพลีเนเชียน  

(4) ไท-กะได

ตอบ 4 หน้า 259(คำบรรยาย) ประชากรของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบ่งออกตามภาษาพูด ได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้

1.    กลุ่มพูดภาษาตระกูลทิเบโต-ไชนีส (SinoTibetanได้แก่ ภาษาจีน ภาษาทิเบต-พม่า ภาษากะเหรี่ยง และภาษาแมว-เย้า

2.    กลุ่มพูดภาษาตระกูลไท-กะได (TaiKadaiได้แก่ ภาษาไทหรือไต และภาษากะได สำหรับภาษาไทยในปัจจุบันก็จัดอยู่ในตระกูลนี้ด้วย

3.    กลุ่มพูดภาษาตระกูล ออสโตร-เอเชียติก (AustroAsiaticได้แก่ ภาษามอญ-เขมร ภาษาเวียด-มวง และภาษาเซนอย-เซมัง

4.    กล่มพูดภาษาตระกูลออสโตรเนเชียนหรือมาลาโย-โพลีเนเชียน (Austronesian หรือ MalayoPolynesianได้แก่ ภาษาจาม และภาษามาเลย์

96.  ข้อใดคือลักษณะเด่นของวัฒนธรรมดองซอน

(1) สร้างบ้านไม้

(2) มีการใช้เหล็ก     

(3) มีการทำกลองมโหระทึก

(4) มีการปลูกข้าว

ตอบ 3 หน้า 270(คำบรรยาย) วัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในยุคเหล็กหรือยุคโลหะ ได้แก่

1. วัฒนธรรมดองซอน เป็นวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นทางตอนเหนือของเวียดนาม โดยมีการขุดค้นพบ โบราณวัตถุที่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้หลายอย่างที่ทำจากสำริดแสะเหล็ก เช่น มีดสั้น ดาบ ขวาน เครื่องประดับ และที่เด่นที่สุดก็คือ กลองมโหระทึกสำริด

2. วัฒนธรรมบ้านเชียง เป็นวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นที่ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี โดยมีการขุดด้นพบ ภาชนะดินเผาลายเขียนสีแดงบนพื้นสีขาวนวล ซึ่งมีอายุราว 2,300 – 1,800 ปี

97.  วัฒนธรรมแทมปาเนียนจัดเป็นวัฒนธรรมที่อยู่ในยุคใด

(1) ยุคหินเก่า  

(2) ยุคหินกลาง

(3) ยุคหินใหม่  

(4) ยุคเหล็ก

ตอบ 1 หน้า 266 ยุคหินเก่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอายุประมาณ 500,000 — 10,000 ปีมาแล้ว ซึ่งวัฒนธรรมหินเก่าในภูมิภาคนี้จะมีชื่อวัฒนธรรมแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ตามสถานที่ที่พบก่อน ได้แก่ วัฒนธรรมอันยาเธียนในพม่า วัฒนธรรมฟิงนอยเอียนในไทย วัฒนธรรมแทมปาเนียนในมาเลเซีย และวัฒนธรรมปัตจิตาเนียนในอินโดนีเซีย

98.  ยุคใดจัดว่าเป็นการปฏิวัติเกษตรกรรมของมนุษย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) ยุคหินเก่า  

(2)   ยุคหินกลาง     

(3)   ยุคหินใหม่

(4) ยุคสำริด

ตอบ 3 หน้า 268(คำบรรยาย) ยุคหินใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอายุประมาณ 6,000 – 4,000 ปี มาแล้ว ซึ่งเป็นยุคของการปฏิวัติเกษตรกรรม โดยมนุษย์จะเริ่มทำการเกษตรกรรมซึ่งเป็นเศรษฐกิจแบบใหม่คือ เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะการปลูกข้าวและผลไม้หลาย ๆ ชนิด นอกจากนี้ยังเป็นยุคที่เริ่มมีการสร้างที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งแล้วอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้าน เริ่มรู้จักการทำเครื่องจักสาน ภาชนะดินเผา และเครื่องมือหินขัดขึ้นใช้ มีการแบ่งงานกันทำ และมีการติดต่อกันระหว่างชุมชนเพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ดังนั้นยุคหินใหม่จึงเป็นยุคของ การเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์

99.  การปลูกข้าวปรากฎขึ้นในช่วงยุคใด

(1) ยุคหินเก่า  

(2)   ยุคหินกลาง     

(3)   ยุคหินใหม่

(4) ยุคสำริด

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 98. ประกอบ

100. “สุวรรณภูมิ” หมายถึงบริเวณใด

(1) พม่า  

(2) ไทย   

(3) มาเลเซีย

(4) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ตอบ 4 หน้า 271 – 272 เนื่องจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่พ่อค้า นักเดินเรือ และนักแสวงโชคชาวจีน อินเดีย เปอร์เซีย กรีก และโรมัน ดังนั้นจึงมีเอกสารโบราณของ กลุ่มประเทศเหล่านี้กล่าวถึงดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเรียกว่า “ ดินแดนสุวรรณภูมิ”หรือดินแดนแห่งทองคำ

101. ข้อใดไม่ใช่หลักฐานจากอินเดียที่แสดงการติดต่อระหว่างอินเดียกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) ศัมภีร์อรรถศาสตร์      

(2) คัมภีร์ปุราณะ     

(3) หนังสือเรื่อง Geographia

(4) ชาดก

ตอบ 3 หน้า 272 – 273558 – 559 (เล่มเก่า) หลักฐานที่แสดงถึงการติดต่อระหว่างอินเดียกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีดังนี้   

1. หลักฐานจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ จารึกเกี่ยวกับอาณาจักรฟูนันและแหลมมลายู

2. หลักฐานจากโรมัน ได้แก่ หนังสือเรื่องภูมิศาสตร์ (Geographiaของปโทเลมี      

3. หลักฐานจากอินเดีย ได้แก่ มหากาพย์รามายณะคัมภีร์อรรถศาสตร์ ชาดก คัมภีร์ปุราณะ นิเทสสะ และจารึกพระเจ้าอโศกมหาราช

4.    หลักฐานของจีน ได้แก่ บันทึกการเดินทางของราชทูตจีน

102. อิทธิพลจีนส่งผลแก่วัฒนธรรมของชาติใดมากที่สุด

(1) ฟิลิปปินส์   

(2) เวียดนาม   

(3) กัมพูชา     

(4) มาเลเซีย

ตอบ 2 หน้า 275(HIS 1003 เลขพิมพ์ 55187 หน้า 368 – 369) เวียดนามเป็นประเทศเดียวในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีนโดยตรง ซึ่งวัฒนธรรมที่จีนนำมาให้ เวียดนาม ได้แก่

1. การปกครองแบบโอรสสวรรค์หรืออาณัติสวรรค์

2. ระเบียบการบริหาร ราชการและระบบการสอบไล่เข้ารับราชการหรือการสอบจอหงวนตามลัทธิขงจื๊อ

3.    ลัทธิขงจื๊อและศาสนาพุทธนิกายมหายาน

4. วรรณคดีและอักษรศาสตร์

5.    วัฒนธรรมความเป็นอยู่และประเพณี เช่น การแต่งกาย การกิน การแต่งงาน การทำศพ เป็นต้น

103. ตามความเชื่อของชาวฟูนันเชื่อว่ากษัตริย์อยู่ในฐานะใด

(1) เจ้าแห่งแม่น้ำ     

(2) เจ้าแห่งป่าไม้      

(3) เจ้าแห่งภูเขา      

(4) เจ้าแห่งสุวรรณภูมิ

ตอบ 3 หน้า 279 – 281568 (เล่มเก่า) จากเอกสารของจีนได้บันทึกเอาไว้ว่า ฟูนันเป็นอาณาจักร ที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 6 โดยมี เมืองหลวงชื่อ วยาธปุระ มีเมืองท่าที่สำคัญคือ เมืองออกแก้ว และมีศูนย์กลางของอาณาจักร อยู่ทางตอนใต้ของประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน ทั้งนี้คำว่า “ฟูนัน” เป็นการเรียกตามแบบจีน หากมาจากภาษาเขมรจะเรียกว่า “บนัมหรือพนม” แปลว่า ภูเขา และชาวฟูนันจะเรียกประมุขว่า “กุรุง บนัม” แปลว่า กษัตริย์แห่งภูเขา เนื่องจากชาวฟูนันเชื่อว่ากษัตริย์จะอยู่ในฐานะเจ้าแห่งภูเขา (Kings of the Mountainsหรือไศลราชา

104. เมืองหลวงของฟูนันคือเมืองใด

(1) เมืองออกแก้ว     

(2) เมืองวยาธปุระ    

(3) เมืองนครปฐม     

(4) เมืองบิญดิ่น

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 103. ประกอบ

105. กษัตริย์องค์ใดของเขมรที่เป็นผู้สร้างปราสาทบายน

(1) พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2

(2) พระเจ้าชัยวรมันที่ 2

(3) พระเจ้าชัยวรมันที่ 7

(4) พระเจ้าอีศานวรมัน

ตอบ 3 หน้า 286573 (เล่มเก่า)(คำบรรยาย) เขมรในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้มีการสร้างปราสาทบายนขึ้นโดยรับอิทธิพลจากพุทธศาสนานิกายมหายาน ลักษณะเด่นของปราสาทบายน คือ บนยอดของปรางค์ทุกองค์จะมีการแกะสลักเป็นรูปพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ผันพระพักตร์ออกไปทั้งสี่ทิศโดยมีจุดประสงค์ในการสร้างก็เพื่อเป็นศูนย์กลางของเมือง พระนครหลวงหรือนครธม และเป็นพุทธสถานหรือศาสนบรรพตประจำราชธานีบริเวณ กลางเมืองพระนคร

106. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่กลุ่มเมืองมอญ

(1) พะโค 

(2) สะเทิม

(3) เมาะตะมะ   

(4) ตองอู

ตอบ 4 หน้า 292 – 294299 กลุ่มชนเชื้อชาติมอญได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณพม่าตอนล่างด้านตะวันออกของแม่น้ำอิระวดี ซึ่งชาวพม่าจะเรียกพวกมอญว่า “เตลง” ทั้งนี้พวกมอญได้ตั้งเมืองหลวงอยู่ที่เมืองสะเทิมหรือเมืองสุธรรมวดี บริเวณปากอ่าวเมืองเมาะตะมะ ต่อมาเมื่อมอญถูกชนชาติพม่ารุกราน จึงถอยร่นลงมาอยู่ทางตอนใต้และสถาปนารัฐของตนขึ้นมาใหม่ ที่เมืองพะโคหรือเมืองหงสาวดีในปี พ.ศ. 1368

107. ตามบันทึกของจีน ชาวจามมีลักษณะอย่างไร     

(1) ผิวขาว ผมเหยียดตรง

(2) ตาลึก ผมดำ      

(3) ตาโต ผิวขาว     

(4) ตัวใหญ่ ผมเหยียดตรง

ตอบ 2 หน้า 287 ตามบันทึกของจีนระบุว่า อาณาจักรจามปาหรือลินยี่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอาณาจักรจีน หรือบริเวณตอนกลางของเวียดนาม และอยู่ทางภาคเหนือของอาณาจักรฟูนัน ซึ่งในปัจจุบันก็คือ บริเวณที่เป็นเมืองเว้ เมืองกวังนัม เมืองถัวเถียน เมืองผันรัง และเมืองญาตรังของเวียดนาม ทั้งนี้ลักษณะของชาวจามโดยทั่วไปจะมีลูกตาลึก จมูกเป็นสันโด่ง ผมดำและหยิก

108. ข้อใดกล่าวถึงอาณาจักรพุกามไม่ถูกต้อง   

(1) พุกามได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากมอญ

(2) กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของพุกามคือ พระเจ้าอโนรธา

(3) พุกามล่มลลายลงเพราะถูกมอญโจมตี

(4)   พุทธศาสนานิกายเถรวาทเจริญรุ่งเรืองในพุกามอย่างมาก

ตอบ 3 หน้า 294 – 296 พุกามเป็นอาณาจักรแรกที่ปกครองโดยชาวพม่า โดยตั้งอยู่บริเวณตอนกลาง ของลุ่มแม่น้ำอิระวดี และอยู่ในเขตที่แห้งแล้งที่สุดของพม่า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพุกามคือ พระเจ้าอโนรธา โดยพระองค์ทรงขยายดินแดนออกไปโดยอ้างสิทธิธรรมทางศาสนาในการโจมตี และยึดครองดินแดนด่าง ๆ และทรงสร้างพุกามให้เป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาท ที่เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ทั้งนี้อาณาจักรพุกามล่มสลายลงเนื่องจากถูกกองทัพมองโกลของ กุบไลข่านเข้าโจมตีในปี พ.ศ. 1821 กอปรกับมีความอ่อนแอภายในอาณาจักร

109. ลถาปัตยกรรมที่สำคัญของราชวงศ์ไคเลนทร์ คือข้อใด

(1) ปราสาทนครวัด  

(2) บุโรพุทโธ  

(3) ปรัมบานัน  

(4) อานันทะเจดีย์

ตอบ 2 หน้า 313(คำบรรยาย) ราชวงศ์ไศเลนทร์ เป็นสมัยที่อาณาจักรชวาภาคกลางมีความเจริญรุ่งเรือง โดยดูได้จากงานสถาปัตยกรรมและประติมากรรม ซึ่งผลงานที่มีชื่อเสียงและกลายเป็นหลักฐาน สำคัญทางโบราณคดีเกี่ยวกับราชวงศ์ไศเลนทร์คือ บุโรพุทโธ (Borobudurซึ่งตั้งอยู่บริเวณ ภาคกลางของเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย ถือว่าเป็นเจดีย์หินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก รวมทั้งเป็นเจดีย์ในพุทธศาสนานิกายมหายาน ลัทธิสิวพุทธ และความเชื่อในเรื่องจักรวาล

110. ข้อใดไม่ใช่แรงจูงใจที่ทำให้ชาวยุโรปเดินทางเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) ทาส  

(2) การสำรวจดินแดนใหม่

(3) การค้า

(4) การเผยแผ่ศาสนาคริสต์

ตอบ 1 หน้า 323 – 324591 – 592 (เล่มเก่า)(คำบรรยาย) แรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ชาวยุโรปเดินทาง เข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีดังนี้

1. เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มืชื่อเสียงในเรื่องความมั่งคั่ง

2. ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมและผูกขาดการค้าเครื่องเทศ

3. ต้องการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ไปสู่ พวกนอกศาสนา

4. ชาวยุโรปมีความสามารถในการต่อเรือที่ดีขึ้น ทำให้เกิดความมั่นใจใน การเดินทางข้ามมหาสมุทรเพื่อสำรวจเส้นทางการค้าและดินแดนใหม่

5. ต้องการแสวงหาความมั่งคั่งทางวัตถุโดยเฉพาะทองคำ

6. ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้เกิดความต้องการ แสวงหาแหล่งวัตถุดิบเพิ่มขึ้น และหาตลาดเพื่อระบายสินค้าที่ผลิตได้

111. ชาวยุโรปชาติใดเดินทางเข้ามาถถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นชาติแรก

(1) สเปน 

(2) โปรตุเกส   

(3) ดัตช์  

(4) อังกฤษ

ตอบ 2 หน้า 324 – 326592 – 594 (เล่มเก่า)(คำบรรยาย) โปรตุเกสเป็นชาวยุโรปชาติแรกที่เดินทาง เข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยในปี ค.ศ. 1511 โปรตุเกสสามารถทำสงครามยึดเมือง มะละกาซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าเครื่องเทศได้สำเร็จเป็นแห่งแรก ซึ่งหลังจากที่ยึดมะละกาได้แล้ว ก็ได้แต่งตั้งผู้ปกครองมะละกาที่เรียกว่า “กะปิตัน” (Kapitanจากนั้นโปรตุเกสได้ปกครองมะละกา แบบทหาร (Fortress System)สร้างป้อมอา ฟาโมซา (A Famosaและสร้างโบสถ์เซนต์พอลขึ้นเพื่อเผยแผ่ศาสนาคริสต์ รวมทั้งส่งคนออกสำรวจหมู่เกาะเครื่องเทศเพื่อต้องการผูกขาดการค้า เครื่องเทศใน Tern ate, Tidore และ Banda อีกด้วย

112. ศูนย์กลางของสเตรทเซทเทิลเมนท์ของอังกฤษอยู่ที่ใด

(1) สิงคโปร์     

(2)   ปีนัง

(3)   มะละกา   

(4) พม่า

ตอบ 2 หน้า 336 หลังจากที่อังกฤษสามารถเข้ายึดครองปีนัง มะละกา และสิงคโปร์ได้สำเร็จแล้ว ในปี พ.ศ. 2373 อังกฤษจึงประกาศรวมอาณานิคมบริเวณคาบสมุทรมลายู อันได้แก่ สิงคโปร์ ปีนัง และมะละกา เข้าเป็น “สเตรทเซทเทิลเมนท์” (The Straits Settlement)โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เกาะปีนัง

113. ชาวยุโรปชาติใดที่ประสบความสำเร็จในด้านการค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) โปรตุเกส   

(2)   สเปน

(3)   ดัตช์

(4) ฝรั่งเศส

ตอบ 3 หน้า 331(คำบรรยาย) ดัตช์หรือฮอลันดาถือว่าเป็นชาวยุโรปที่ประสบความสำเร็จทางด้าน การค้ามากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยในปี พ.ศ. 2173 ดัตช์ได้เข้ามาตั้งสถานีการค้าแห่งแรกที่บันทัมบนเกาะชวา ต่อมาในปี พ.ศ. 2145 ก็ได้ตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำการค้าเครื่องเทศที่สามารถสร้างกำไรได้อย่างมหาศาล ส่งผลให้การค้าเครื่องเทศของดัตช์ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนทำให้บันทัมกลายเป็นศูนย์กลางการค้าในบริเวณนี้

114. ดัตช์ได้ใช้นโยบายใดเพื่อปรับปรุงสวัสดิการคนพื้นเมืองในบังคับให้ดีขึ้น

(1)   Culture System    

(2)   Encomienda 

(3) Ethical Policy  

(4) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 3 หน้า 334 ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ดัตช์ได้มีการปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจบนเกาะชวา โดยใช้นโยบายที่เรียกว่า “Ethical Policy” ซึ่งเป็นนโยบายที่จัดการบริการสวัสดิการสาธารณะ ให้ดีมากขึ้น เช่น การศึกษา สาธารณสุข การเกษตร และการคมนาคม ซึ่งต่อมาชาวอินโดนีเซีย ที่มีการศึกษาไม่พอใจที่ไม่มีสิทธิในการปกครองประเทศ ระบบนี้จึงถือเป็นแรงกระตุ้น ประการหนึ่งที่ทำให้เกิดลัทธิชาตินิยมในอินโดนีเซีย

115. ข้อใดต่อไปนี้ไม่ได้หมายถืง เฟอร์ดินาล แมกเจลแลน  

(1) เป็นนักเดินเรือชาวโปรตุเกส

(2) เป็นผู้เดินทางมาถึงฟิลิปปินส์

(3) เป็นผู้เดินทางรอบโลกได้สำเร็จเป็นคนแรก

(4)   เป็นผู้ทำให้ชาวสเปนถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมากในฟิลิปปินส์

ตอบ 1 หน้า 328 – 329600 (เล่มเก่า) เฟอร์ดินาล แมกเจลแลน เป็นนักเดินเรือชาวสเปนที่สามารถเดินทางรอบโลกได้สำเร็จเป็นคนแรก โดยในปี พ.ค. 2055 แมกเจลแลนได้เดินทางมาถึงหมู่เกาะ วิสายะของฟิลิปปินส์ตามคำสั่งของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งสเปน ที่ให้ค้นหาเส้นทางมายังหมู่เกาะ เครื่องเทศและยึดดินแดนที่ค้นพบ ต่อมาเขาได้เดินทางมาถึงเกาะลิมาซาวาและเกาะเซบู โดย ได้ผูกมิตรกับหัวหน้าเกาะทั้งสอง และที่เกาะเซบูเขาได้เข้าไปแทรกแซงการเมืองภายในหมู่เกาะทำให้คนพื้นเมืองไม่พอใจ ส่งผลให้แมกเจลแลนและชาวสเปนจำนวนมากถูกฆ่าตายในฟิลิปปินส์

116. ข้อใดหมายถึงสนธิสัญญาซารากอสสา

(1)   สนธิสัญญาที่กำหนดเส้นแบ่งดินแดนเพื่อแบ่งเขตผลประโยชน์ของโปรตุเกสกับสเปน

(2)   สนธิสัญญาที่ให้สเปนกับโปรตุเกสออกสำรวจดินแดนต่าง ๆ คนละเส้นทางกัน

(3)   สนธิสัญญาที่โปรตุเกสทำกับชาวพื้นเมืองเพื่อผูกขาดการค้าเครื่องเทศ

(4)   สนธิสัญญาที่ดัตช์ทำกับชาวพื้นเมืองเพื่อผูกขาดการค้าเครื่องเทศ

ตอบ 1 หน้า 328 ด้วยเหตุที่ทั้งสเปนและโปรตุเกสต่างก็ต้องการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ในปี พ.ศ. 2072 สเปนและโปรตุเกสได้ทำ “สนธิสัญญาซารากอสสา” ระหว่างกัน โดยมีการกำหนดเส้นแบ่งดินแดนเพื่อแบ่งเขตผลประโยชน์ของทั้ง 2 ฝ่ายให้ชัดเจน

117. ข้อใดคือระบบ Encomienda

(1)   การแบ่งที่ดินออกเป็นเขต ๆ โดยมีหัวหน้ารับผิดชอบ

(2)   ทุกหมู่บ้านต้องปลูกพืชที่รัฐบาลกำหนดในจำนวนที่รัฐบาลต้องการ

(3)   เจ้าอาณานิคมบังคับให้ชาวพื้นเมืองเปลี่ยนวัฒนธรรมเป็นแบบตะวันตก

(4)   เจ้าอาณานิคมส่งคนจากรัฐบาลกลางมาปกครอง

ตอบ 3 หน้า 330 ระบบเอ็นคอมเมียนดา (Encomiendaคือ ระบบการถือครองที่ดินที่สเปน นำมาใช้ในฟิลิปปินส์ โดยให้ผู้มีสิทธิ์ถือครองที่ดินที่เรียกว่า “เอ็นคอมเมียนโดโรส” (Enccmiendorosเรียกเก็บผลประโยชน์จากบุคคลที่เข้ามาทำมาหากินในที่ดินของตนได้ แต่ชนพื้นเมืองที่เข้ามาทำกินในที่ดินนี้จะต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมเป็นแบบตะวันตกโดยหันมา นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก

118. บารังโกเป็นหน่วยการปกครองของชนพื้นเมืองใด

(1) อินโดนีเซีย 

(2) พม่า  

(3) มาเลเซีย    

(4) ฟิลิปปินส์

ตอบ 4 หน้า 329 – 330 แต่เดิมนั้นฟิลิปปินส์มีการปกครองในรูปแบบของเผ่าต่าง ๆ เป็นลักษณะ การปกครองแบบหมู่บ้าน เรียกว่า “บารังไก” (Barangayโดยมีดาตูเป็นผู้ปกครอง แต่หลังจากที่สเปนเข้ามาปกครองแล้ว สเปนได้จัดการปกครองระดับหมู่บ้าน โดยให้อยู่ภายใต้การปกครองของคาเบซาซึ่งเป็นผู้นำของบารังไก ส่วนในระดับที่สูงกว่าหมู่บ้านก็ใด้จัดตั้งหน่วยการปกครอง ที่เรียกว่า “ปรินซิปาเลีย” (Principaliaขึ้น ซึ่งเป็นการนำเอาหมู่บ้านหลาย ๆ แห่งมารวมกัน ภายใต้การปกครองของผู้นำคนเดียวกัน

119. ข้อใดใม่ใช่อาณาจักรที่ตั้งอยู่บนเกาะชวา

(1) ไคเลนทร์   

(2) มัชปาหิต   

(3) เจนละ

(4) เคดีรี

ตอบ 3 หน้า 313 – 315 อาณาจักรที่ตั้งอยู่บนเกาะชวา ได้แก่     

1. อาณาจักรไศเลนทร์

2. อาณาจักรสัญชัย 

3. อาณาจักรจังกาล่าทางตะวันออก

4. อาณาจักรเคดีรีทางตะวันตก  

5. อาณาจักรสิงหะส่าหรี   

6. อาณาจักรมัชปาหิต

120. ป้อมอา ฟาโมซา ในมะละกาสร้างขึ้นโดยคนกลุ่มใด    

(1) คนพื้นเมืองของมะละกา

(2) ชาวโปรตุเกส     

(3) พ่อค้าอินเดีย     

(4) ชาวอังกฤษ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 111. ประกอบ

HIS1002 อารยธรรมตะวันออก การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา HIS1002 อารยธรรมตะวันออก

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.         ในวิชาอารยธรรมตะวันออก ดินแดนตะวันออกกลาง” มีความสำคัญอย่างไร

(1)       เป็นแหล่งกำเนิดศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม 

(2) เป็นที่ตั้งของพีระมิดและสวนลอยบานิโลน

(3) เป็นแหล่งความเจริญเริ่มแรกของโลก        

(4) เป็นแหล่งเชื่อมทวีป คือ เอเชีย ยุโรป และแอฟริกา

ตอบ 3 หน้า 7 ดินแดนตะวันออกกลางหรือตะวันออกใกล้ (The Middle East หรือ Near East) คือ ดินแดนเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่าง3 ทวีป ได้แก่ทวีปเอเชียแอฟริกาและยุโรป โดยเป็นดินแดนที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ในแง่ของการเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมและ ความเจริญเริ่มแรกของโลก คือ อารยธรวมเมโสโปเตเมียและอารยธรรมอียิปต์โบราณ รวมทั้งเป็น แหล่งกำเนิด 3 ศาสนาหลักของโลก คือ ศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม

2.         ดินแดนตะวันออกกลาง” คือดินแดนส่วนใด          

(1) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(2) ยุโรปตะวันออกเฉียงใต้    

(3) เอเชียตะวันตกเฉียงใต้     

(4) แอฟริกาตะวันออกกลาง

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3.         คำว่า “B.C.” หมายถึงอะไร

(1) พุทธศักราช            (2)       ก่อนสมัยพุทธกาล       (3)       คริสตกาล        (4) ก่อนคริสต์ศักราช

ตอบ 4 หน้า 5, (คำบรรยาย) ก่อนคริสต์ศักราช (Before Christ : B.C.) หมายถึง ช่วงเวลาก่อนพระเยซูประสูติ เช่น 245 ปีก่อน ค.ศ. (หรือ 245 B.C.) หมายถึง 245 ปีก่อนพระเยซูประสูติ

4.         มนุษย์สมัยโบราณรู้จักการทำเกษตรกรรมในช่วงเวลาใด

(1) ยุคหินเก่า   (2)       ยุคหินใหม่       (3)       ยุคทองแดง      (4) ยุคสำริด

ตอบ 2 หน้า 6, (คำบรรยาย) ยุคหินใหม่ เป็นยุคที่มนุษย์เริ่มรู้จักการทำเกษตรกรรมคือ เพาะปลูก และเลี้ยงสัตว์ แทนการเร่ร่อนและล่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหาร อีกทั้งเริ่มมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง โดยมีการเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัยจากดินแดนตอนในเข้ามาตั้งมั่นใกล้ลุ่มแม่น้ำใหญ่ เพื่อมุ่งที่จะใช้น้ำในการทำเกษตรกรรมและดำรงชีวิตเป็นสำคัญ ซึ่งจากจุดนี้เองที่ทำให้ อารยธรรมโลกโบราณค่อย ๆ ถือกำเนิดขึ้นอย่างจริงจัง

5.         มนุษย์สมัยโบราณกลุ่มใดทิ้งร่องรอยความเจริญที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด

(1) สุเมเรียน    (2)       อียิปต์โบราณ  (3)       เปอร์เซียโบราณ          (4) ฮิบรู

ตอบ 2. หน้า 1118-20 อารยธรรมอียิปต์โบราณมีแหล่งกำเนิดอยู่บริเวณดินแดนลุ่มแม่น้ำไนล์ โดยชาวอียิปต์ได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้สร้างถาวรวัตถุที่ยิงใหญ่ของโลกโบราณ” เนื่องจาก เป็นชนชาติที่มีความรอบรู้และแม่นยำทางด้านคณิตศาสตร์และเรขาคณิต มีทักษะและ ความชำนาญในการก่อสร้าง และกษัตริย์เก่งในการรบและการปกครอง ทำให้ชาวอียิปต์ ได้ทิ้งร่องรอยความเจริญที่เป็นรูปธรรมไว้ให้แก่โลกมากที่สุด เช่น มหาพีระมิดที่เมืองกีชา วิหารเทพเจ้าอะมอนที่คาร์นัค เป็นต้น

6.      อารยธรรมใดเก่าแก่ที่สุด

(1) อินเดียโบราณ      (2) อียิปต์โบราณ       (3)     เมใสโปเตเมีย  (4)     กรีกโบราณ

ตอบ 3 หน้า 21, 81 (เล่มเก่า) อารยธรรมเมโสโปเตเมียเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นหนึ่งในสอง อารยธรรมเริ่มแรกของโลก อารยธรรมนี้มีแหล่งกำเนิดบนดินแดนระหว่างแม่น้ำไทกรีสและ ยูเฟรตีส หรีอที่เรียกว่า เมโสโปเตเมีย” ซึ่งเราสามารถเรียกดินแดนนี้ได้อีกอย่างหนึ่งว่า ดินแดนพระจันทร์เสี้ยว” (Fertile Crescent) ปัจจุบันดินแดนเมโสโปเตเมียเป็นที่ตั้งของ ประเทศอิรัก

7.      กลุ่มชนใดเป็นผู้วางรากฐานอารยธรรมเมโสโปเตเมีย

(1) สุเมเรียน  

(2) อัคคาเตียน           

(3)     อะมอไรท์         

(4)     ฮิตไตท์

ตอบ 1 หน้า 21 – 22, 82 (เล่มเก่า) สุเมเรียนเป็นกลุ่มชนเชื้อชาติใดนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีการ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นกลุ่มชนที่อพยพจากเอเชียกลางแล้วเข้ามาตั้งมั่นในพื้นที่ทางตอนใต้ ของเมโสโปเตเมียซึ่งเรียกว่า ซูเมอร์” เมื่อประมาณ 5000 B.C. และถือเป็นผู้วางรากฐาน อารยธรรมเมโสโปเตเมีย ซึ่งอารยธรรมที่เด่น ๆมี 7 ด้าน ได้แก่ ด้านการปกครอง สังคม การประกอบอาชีพ ศาสนา ศิลปะการเขียน สถาปัตยกรรม และวิทยาศาสตร์

8.      จุดมุ่งหมายของการสร้างซิกกูแรตคืออะไร

(1)    เป็นวิหารเทพเจ้า        (2) เป็นที่เก็บศพและสมบัติผู้ตาย

(3) เป็นสถานที่ศึกษากลุ่มดาวบนท้องฟ้า     (4) เป็นที่อยู่ของผู้ปกครองนครรัฐ

ตอบ 1 หน้า 23 – 24 สถาปัตยกรรมที่เด่นที่สุด1ของชาวสุเมเรียนก็คือ มหาวิหารหอคอยหรือซิกกูแรต (Ziggurat) ที่ นครรัฐเออรุค ซึ่งสร้างขึ้นด้วยอิฐ โดยมีจุดมุ่งหมายในการสร้างก็เพื่อใช้เป็น วิหารเทพเจ้า ซึ่งขั้นบนสุดของซิกกูแรตจะถูกกำหนดให้เป็นที่ประทับของเทพเจ้าและเป็น ศาสนสถานสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

9.      สิ่งใดเก่าแก่ที่สุด        

(1) ไฮโรกลิฟิก

(2)    คูนิฟอร์ม        

(3) สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน           

(4) พีระมิด

ตอบ 2 หน้า 23, (คำบรรยาย) อักษรคูนิฟอร์มหรืออักษรรูปลิ่ม (Cuneiform) ซึ่งเป็นศิลปะการเขียน ของชาวสุเมเรียนในดินแดนเมโสโปเตเมีย ถือว่ามีอายุเก่าแก่มากที่สุดในโลก (3500 B.C.) โดย อักษรคูนิฟอร์มเป็นตัวอักษรเครื่องหมายที่มีลักษณะคล้ายรูปตัววีในภาษาอังกฤษ ซึ่งาวสุเมเรียน จะจารึกตัวอักษรคูนิฟอร์มลงบนแผ่นดินเหนียวขณะเปียก และนำไปตากแดดหรือเผาให้แห้ง เพื่อเก็บรักษา ข้อความส่วนใหญ่ที่จารึกจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาและการปกครอง

10.    ยุคทองของอารยธรรมอียิปต์โบราณอยู่ในช่วงเวลาใด

(1) สมัยก่อนราชวงศ์         (2) สมัยราชวงศ์ (3) สมัยอาณาจักรใหม่          (4) สมัยอาณาจักรเก่า

ตอบ 2 หน้า 9-10 อียิปต์โบราณสมัยราชวงศ์ (3100 – 940 B.C.) เป็นช่วงเวลาที่อียิปต์โบราณ จัดตั้งชาติและรักษาความเป็นชาติได้ยาวนานถึง 2,160 ปี กษัตริย์ส่วนใหญ่ในสมัยนี้เป็น ชาวอียิปต์โบราณ มีทั้งหมด 21 ราชวงศ์ และถือว่าเป็น ยุคทองของอารยธรรมอียิปต์โบราณ ซึ่งสมัยราชวงศ์แบ่งออกเป็น 4 สมัยย่อย ได้แก่ สมัยต้นราชวงศ์ สมัยอาณาจักรเก่า สมัยอาณาจักรกลาง และสมัยอาณาจักรใหม่หรือสมัยจักรวรรดิ

11.       ข้อใดถูก

(1)       อียิปต์โบราณเป็นกลุ่มชนแรกทีเชื่อเรื่องวิญญาณเป็นอมตะ วันพิพากษา และโลกหน้ามีจริง

(2)       โอซิริสคือเทพเจ้าสูงสุดของอียิปต์โบราณ

(3)       ชาวอียิปต์โบราณรู้จักการชลประทานในสมัยอาณาจักรกลาง

(4)       โรมันคือชาวยุโรปกลุ่มแรกที่ปกครองดินแดนลุ่มแม่น้ำไนล์

ตอบ 1 หน้า 17 ชาวอียิปต์โบราณเป็นกลุ่มชนแรกที่มีความเชื่อในเรื่องวิญญาณเป็นอมตะ วันพิพากษา และโลกหน้ามีจริง นั่นคือ เชื่อว่าผู้ที่ทำความดี เมื่อตายไปดวงวิญญาณจะคงอยู่ และจะเกิดใหม่ ในโลกหน้าที่อุดมสมบูรณ์ ด้วยความเชื่อดังกล่าวได้นำไปสู่การสร้างมัมมี่ คัมภีร์มรณะหรือ คัมภีร์ผู้ตาย และสุสานหินพีระมิดซึ่งใช้เป็นที่เก็บพระศพและสมบัติของฟาโรห์

12.       กลุ่มชนใดได้รับการยกย่องว่า เป็นผู้สร้างถาวรวัตถุที่ยิ่งใหญ่ของโลกโบราณ

(1)       สุเมเรียน

(2)       อียิปต์โบราณ

(3)       ฮิตไตท์

(4) กรีกโบราณ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 5. ประกอบ

13.       กลุ่มชนใดได้รับการยกย่องว่า เป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งเอเชียโมเนอร์สมัยโบราณ

(1) อัสซีเรียน   

(2)       ฮิตไตท์             

(3)       ฟินิเชียน          

(4) ออตโตมาน เติร์ก

ตอบ 2 หน้า 35 – 38 ฮิตไตท์เป็นชนเผ่าอินโด-ยูโรเปียนที่อพยพจากเอเชียกลางเข้ามาตั้งมั่นในพื้นที่ ทางตะวันออกของเอเชียไมเบอร์แถบคาบสมุทรอนาโตเลีย (ประเทศตุรกีในปัจจุบัน) โดยฮิตไตท์เป็นผู้วางรากฐานอารยธรรมเอเชียไมเบอร์ นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องว่า เป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่ แห่งเอเชียไมเนอร์สมัยโบราณ” ซึ่งการรบของฮิตไตท์มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งขยายดินแดน และอำนาจ แสวงหาเส้นทางการค้าและแสวงหาแร่เหล็กเพื่อนำมาทำของใช้และอาวุธ

14.       กลุ่มชนใดวางรากฐานอารยธรรมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

(1) ฮิบรู

(2)       ฟินิเชียน

(3)       อราเมียน

(4) สุเมเรียน

ตอบ 2 หน้า 39 – 40 ฟินิเชียนเป็นเซมิทกลุ่มแรกที่อพยพจากเมโสโปเตเมียเข้ามาตั้งมั่นในดินแดน ฟินีเชียบนซายฝั่งตะวันออกทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (ประเทศเลบานอนในปัจจุบัน) ซึ่งฟินีเชียน ได้ชื่อว่าเป็นผู้วางรากฐานอารยธรรมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นพ่อค้าทางเรือผู้ยิ่งใหญ่ ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของตะวันออกกลางสมัยโบราณ และเป็นผู้ถ่ายทอดอารยธรรม โลกตะวันออกสู่โลกตะวันตกได้เป็นอย่างดี

15.       ข้อใดถูก

(1)       มรดกความเจริญที่อราเมียนให้แก่โลกคือการเดินเรือค้าขายในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

(2)       สุเมเรียนนำการวางรากฐานอารยธรรมในดินแดนเอเขียไมเนอร์

(3)       พยัญชนะที่ยุโรปใช้กันในปัจจุบันมีรากฐานมาจากพยัญชนะพินีเชียน

(4)       มรดกความเจริญที่ฮิบรูให้แกโลกคือด้านสถาปัตยกรรม

ตอบ 3 หน้า 40 มรดกความเจริญเด่นที่ฟินีเชียนให้ไว้แก่โลกคือ เป็นกลุ่มชนแรกที่นำการประดิษฐ์ พยัญชนะสมบูรณ์แบบ 22 ตัว ต่อมาเมื่อกรีกรับและนำพยัญชนะฟินีเชียนไปใช้ในยุโรป กรีกได้พัฒนาและเพิ่มพยัญชนะจาก 22 ตัวเป็น 26 ตัว ดังนั้นพยัญชนะะฟินิเซียนจึงเป็นรากฐาน ของพยัญชนะที่โลกตะวันตกหรือยุโรปใช้ในปัจจุบัน

16.       แหล่งกำเนิดอารยธรรมฮิบรู ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศอะไร

(1) อิสราเอล

(2)       อิรัก

(3)       อิหร่าน

(4)       ตุรกี

ตอบ 1 หน้า 4046 ฮิบรูหรือยิวเป็นเซมิทกลุ่มที่สองที่อพยพจากเมโสโปเตเมียเข้ามาตั้งมั่นในดินแดนปาเลสไตน์บริเวณตอนใต้สุดของขายฝั่งตะวันออกทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ในปัจจุบัน พื้นที่ส่วนใหญ่ของปาเลสไตน์ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมฮิบรูเป็นที่ตั้งของประเทศอิสราเอล

17.       ศาสนาคริสต์เกิดขึ้นขณะฮิบรูอยู่ใต้การปกครองของกลุ่มชนใด

(1) เปอร์เซียโบราณ

(2)       กรีก

(3)       โรมัน

(4)       มุสลิม

ตอบ 3 หน้า 4459 – 61 ศาลนาคริสต์เนินศาสนาที่สองที่เกิดขึ้นในสังคมฮิบรูหรือยิวในดินแดน ปาเลสไตน์ (ประเทศอิสราเอลในนิจจุบัน) ขณะที่ฮิบรูอยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน ทั้งนี้ นักศาสนศาสตร์เรียกศาสนาคริสต์ว่า บุตรสาวแห่งศาสนายูดาห์” (The Daughter of Judaism) เพราะคัมภีร์เก่าของศาสนายูดาห์เป็นคำสอนพื้นฐานซึ่งนำไปสู่การเกิดศาสนาคริสต์

18.       กลุ่มชนใดได้รับการยกย่องว่า เป็นพ่อค้าทางบกที่ยิ่งใหญ่ของตะวันออกกลางสมัยโบราณ”

(1) อราเมียน

(2)       เซลจุก เติร์ก

(3)       ออตโตมาน เติร์ก

(4)       ฟินิเชียน

ตอบ 1 หน้า 46 – 47 อราเมียนเป็นกลุ่มชนที่อพยพจากเมโสโปเตเมียเข้ามาตั้งมั่นในดินแดนซีเรีย บริเวณตอนเหนือของชายฝั่งตะวันออกทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (ประเทศซีเรียในปัจจุบัน) ทั้งนี้ อราเมียนได้รับการยกย่องว่า เป็นพ่อค้าทางบกที่ยิ่งใหญ่ของตะวันออกกลางสมัยโบราณ” โดยเส้นทางการค้าทางบกของอราเมียน ได้แก่ เมโสโปเตเมีย เปอร์เซีย ชายฝั่งตะวันออก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และดินแดนลุ่มแม่นํ้าไนล์ มีศูนย์กลางการปกครองและการค้าขายอยู่ที่เมืองดามัสกัส และใช้ภาษาอารมิกเพื่อประโยชน์ในการค้าขายทางบก

19.       ศูนย์กลางของจักรวรรดิลิเดียนคือดินแดนใด

(1) เอเชียไมเนอร์         

(2)       เมโสโปเตเมีย  

(3)       ปาเลสไตน์       

(4) คาบสมุทรอาระเบีย

ตอบ 1 หน้า 47 – 48 ในปี 680 B.C. ชาวลิเดียนได้ร่วมกับจัดตั้งอาณาจักรลิเดียนขึ้นในดินแดน ลิเดียบริเวณทางตะวันตกตอนกลางของเอเชียไมเนอร์ (ประเทศตุรกีในปัจจุบัน) ซึ่งลิเดียน จะเก่งในการรบและการค้าขาย จึงทำให้พื้นที่ของอาณาจักรขยายใหญ่เป็นจักรวรรดิลิเดียน โดยมีกรุงซาร์ดีสเป็นเมืองศูนย์กลางทั้งการปกครองและการค้าขาย

20.       ใครคือผู้นำการจัดตั้งจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณ

(1) ดาริอุสที่ 1

(2)       ไซรัสที่ 2

(3)       นาโบนิคัสที่     3

(4) โครอีซุสที่ 4

ตอบ 2 หน้า 51 ไซรัสที่ 2 เนินกษัตริย์องค์ที่ 4 ของเปอร์เซีย ซึ่งทรงเก่งในการรบและการขยายดินแดน โดยในปี 550 B.C. เมื่อไซรัสที่ 2 มีชัยชนะเหนือเมดีสแล้ว พระองค์ได้รวมมีเดียเข้ากับเปอร์เซีย และเรียกดินแดนนี้ว่า “ เปอร์เซีย ” จากนั้นทรงนำการจัดตั้งจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณขึ้น โดยกำหนดให้ซูซาเป็นเมืองหลวง

21.       ผู้ปกครองจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณรับรูปแบบการปกครองมาจากกลุ่มชนใด

(1) ฮิตไตท์

(2)       อัสซีเรียน

(3)       ออตโตมาน เติร์ก

(4) มุสลิม

ตอบ 2 หน้า 5256 – 5759 จักรวรรดิเปอร์เซียโบราณรับรูปแบบการปกครองจักรวรรดิมาจาก อิสซีเรียน โดยเริ่มรับในสมัยไซรัสที่ 2 และนำมาปรับปรุงจนรูปแบบการปกครองมีความสมบูรณ์ ในสมัยดาริอุสที่ 1 (Darius I) ซึ่งเป็นสมัยที่ถือว่าเป็นยุคทองของจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณ โดยหลักในการปกครองจักรวรรดิของดาริอุสที่ 1 ประการหนึ่งก็คือ เน้นกระจายการปกครอง จากส่วนกลางไปสู่ส่วนภูมิภาคด้วย 2วิธี คือ กำหนดภูมิภาคสำคัญและเมืองศูนย์กลางของ ภูมิภาค และการปกครองระบบเขต (The Satrapy System) ที่มุ่งการเข้าถึงประชาชนและ พื้นที่ด้วยการปฏิบัติจริง

22.    หลักการปกครองจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณคืออะไร

(1)    การเข้าถึงประชาชนและพื้นที่

(2) จักรวรรดิคือแผ่นดินและประชาชน

(3) ประชาชนคือผู้รับใช้กษัตริย์

(4) บูชาในบรรพบุรุษและสุริยเทพ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 21. ประกอบ

23.    ถนนสายยุทธศาสตร์ของจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณเชื่อมดินแดนเปอร์เซียกับดินแดนใด

(1) เมโสโปเตเมีย

(2) คาบสมุทรบอลข่าน

(3) คาบสมุทรอนาโตเลีย

(4) ปาเลสไตน์

ตอบ 3 หน้า 52, 57 ในสมัยดาริอุสที่ 1 แห่งจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณ ทรงให้มีการสร้างถนนหลวง (The Royal Road or The Royal Post Road or The King’s Highway) หรือถนนสายยุทธศาสตร์ ที่เชื่อมจากเมืองหลวงซูซาในจักรวรรดิเปอร์เซียไปสู่เอเชียไมเนอร์บนคาบสมุทรอนาโตเลียโดยมี ปลายทางสิ้นสุดที่อีเพซุสซึ่งเป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเลอีเจียน ซึ่งถนนหลวงสายนี้จะใช้ประโยชน์เพื่อการคมนาคม การค้าขาย การเคลื่อนกองกำลังทหาร และการสื่อสารส่งข้าวในทุกพื้นที่ของ จักรวรรดิ

24.    ข้อใดถูก

(1)    ศาสนาโซโรแอสเตอร์คือศาสนาของจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณ

(2)    อะมอไรท์นำการสร้างจักรวรรดิแรกของโลก

(3)    แหล่งกำเนิดอารยธรรมฮิตไตท์ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศเลบานอน

(4)    อับราอัมคือผู้นำฮิบรูอพยพจากดินแดนลุ่มแม่น้ำไนล์มุ่งกลับสู่ดินแดนปาเลสไตน์

ตอบ 1 หน้า 58 – 59 กษัตริย์ไซรัสที่ 2 ทรงกำหนดให้ศาสนาโซโรแอสเตอร์เป็นศาสนาของ

จักรวรรดิเปอร์เซียโบราณ (550 – 330 B.C.) ซึ่งหลักคำสอนซองศาสนานี้มี 4 ประการ คือ

1. มีลักษณะเป็นเอกเทวนิยม (Monotheistic) นั่นคือ ให้ยึดมั่นในเทพเจ้าอะฮูรา มาสดา เพียงองค์เดียว    

2. คิด พูด และทำความดี

3. ไม่คิด ไม่พูด และไม่ทำความชั่ว

4. วันพิพากษาและโลกหน้ามีจริง

25.    “บุตรสาวแห่งศาสนายูดาห์” (The Daughter of Judaism) หมายถึงอะไร

(1) นางมาเรีย            

(2) อิสราเอล  

(3) ศาสนาคริสต์        

(4) กรุงเยรูซาเล็ม

ตอบ ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ

26.    แหล่งกำเนิดอารยธรรมอิสลามคือดินแดนใด

(1) ตะวันออกกลาง   

(2) คาบสมุทรอนาโตเลีย 

(3) คาบสมุทรอาระเบีย 

(4) คาบสมุทรบอลข่าน

ตอบ 3 หน้า 63, 72 – 75 อารยธรรมอิสลามหรือมุสลิมมีแหล่งกำเนิดอยู่ใบคาบสมุทรอาระเบีย (ประเทศซาอุดิอาระเบียในปัจจุบัน) ซึ่งในช่วงเวลาที่จักรวรรดิอิสลามอยู่ภายใต้การปกครอง ของราชวงศ์อับบาสิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การนำของกหลิบฮารัน เอลราชิด นั้น ได้รับการยกย่องว่าเป็น ยุคทองของารยธรรมอิสลาม” โดยแท้จริง

27.       ยุคทองของอารยธรรมอิสลามคือช่วงเวลาใด

(1)       ออตโตมาน เติร์ก

(2) ราชวงศ์อุมัยยัค

(3)       เซลจุก เติร์ก

(4)       ราชวงศ์อับบาสิต

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 26. ประกอบ

28.       ใครคือกาหลิบองค์แรกของจักรวรรดิมุสลิม

(1) อาบู บากร์

(2) โอธมาน

(3) อาลี

(4)       มูวียะ

ตอบ 1 หน้า 66 – 67 จักรวรรดิอิสลามในช่วงปี 632 – 661 จะอยู่ภายใต้การนำของกาหลิบ 4 องค์ โดยมเมดินาเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของจักรวรรดิอิสลาม ทั้งนี้ชาวมุสลิมจะเป็นผู้เลือกกาหลิบ ทั้ง 4 องศ์เป็นผู้นำสังคมมุสลิม ได้แก่ อาบู บากร์ (ได้รับเลือกให้เป็นกาหลิบองศ์แรกของ จักรวรรดิมุสลิม) โอมาร์ โอธมาน และอาลี

29.       มรดกความเจริญที่แคลเดียนให้แก่โลกคือด้านใด

(1)       การปกครอง

(2) สถาปัตยกรรม

(3)       ศาสนา

(4)       ภาษา

ตอบ 2 หน้า 32,93(เล่มเก่า) มรดกความเจริญทางอารยธรรมที่สำคัญที่แคลเดียนให้ไว้แก่โลกได้แก่

1.         ด้านสถาปัตยกรรม ที่เด่นได้แก่ สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน และกำแพงอิชต้า ซึ่งสร้างขึ้น ในสมัยของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

2.         ด้านโหราศาสตร์ ได้แก่ การกำหนดดวงดาวสำคัญ 7 ดวง คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ เป็นชื่อของวันต่าง ๆ ใน 1 สัปดาห์

30.       ออตโตมาน เติร์ก คือใคร       

(1) เติร์กกลุ่มสุดท้ายที่รุกรานยุโรป

(2) เติร์กผู้นำกองกำลังมุสลิมในสงครามครูเสด         

(3) เติร์กผู้ขับไล่ไบแซนไทน์ออกจากคาบสมุทรอนาโตเลีย

(4) เติร์กผู้นำการบริหารจักรวรรดิมุสลิมในสมัยราชวงศ์อับบาสิต

ตอบ 1 หน้า 77 – 8588 ออตโตมาน เติร์ก เป็นกลุ่มเติร์กที่เข้ามามีบทบาทในเอเชียไมเนอร์ในช่วง ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 11 โดยในปี 1453 มูฮัมหมัดที่ 2 (Muhammad II) ได้ นำกองกำลังมุสลิม ยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้สำเร็จ ส่งผลให้จักรวรรดิไบแซนไทน์ของโรมันตะวันออกต้องล่มสลายลง นอกจากนี้ยังเป็นเติร์กกลุ่มสุดท้ายที่รุกรานยุโรป เป็นเติร์กกลุ่มสุดท้ายที่ถือครอง พื้นที่ส่วนใหญ่ของตะวันออกกลาง เป็นบรรพบุรุษของประชาชนตุรกีในปัจจุบัน เป็นผู้นำ การปกครองจักรวรรดิยาวนานถึง 623 ปี รวมทั้งเป็นผู้ผสมผสานความเจริญของโลกตะวันออก และโลกตะวันตกได้เป็นอย่างดี

31.       พื้นที่ทางภาคตะวันตกส่วนใหญ่ของจีนมีลักษณะอย่างไร

(1) เป็นที่สูงกว่าส่วนอื่น ๆ ของประเทศ           

(2) เต็มไปด้วยพื้นน้ำ

(3) เป็นช่องแคบติดกับประเทศอินเดีย            

(4) เป็นที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์

ตอบ 1 หน้า 97 จีนเป็นประเทศหนึ่งที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก โดยมีพื้นที่รวมทั้งหมดประมาณ 9.6 ล้านตารางกิโลเมตร ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่หรือประมาณ 2 ใน 3 ของประเทศที่อยู่ทางภาคตะวันตก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะเป็นพื้นที่ที่สูงกว่าส่วนอื่น ๆ ของประเทศ โดยปกคลุมด้วยภูเขา เทือกเขา และที่ราบสูง เช่น ภูเขาหิมาลัย ภูเขาคุนลุ้น ที่ราบสูงทิเบต ๆลๆ ส่วนพื้นที่ทาง ภาคตะวันออกเฉียงใต้และภาคใต้จะเป็นที่ราบที่ลาดเอียงไปสู่มหาสมุทรแปซิฟิก

32.       กำแพงเมืองจีนเป็นรูปร่างที่สมบูรณ์สมัยใด

(1) ราชวงศ์โจว

(2) ราชวงศ์จีน

(3) ราชวงศ์หมิง

(4) ราชวงศ์หยวน

ตอบ 2 หน้า 102109167 – 169 (เล่มเก่า) ผลงานที่สำคัญของจิ๋นซี ฮ่องเต้ จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ แห่งราชวงศ์จิ๋น มีดังนี้ 1. ทรงนำแนวคิดหลักของสำนักฝาเจี่ยมาใช้ในการรวบรวมแผ่นดินจีน ที่แตกแยกในสมัยราชวงศ์โจวเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันได้สำเร็จ ซึ่งต่อมาก็คือ ประเทศจีน (China) 2. ทรงปกครองจักรวรรดิด้วยการรวมอำนาจเข้าสู่รัฐบาลกลาง และทรงเป็นประมุขผู้มีอำนาจ เด็ดขาดเพียงองศ์เดียว 3. ประกาศให้นำตัวอักษรจีนมาใช้เขียนในรูปแบบเดียวกันทั่วประเทศ 4. ทรงต่อเติมและเชื่อมกำแพงเมืองที่มีอยู่ก่อนแล้วเข้าด้วยกันเป็นกำแพงเมืองจีบที่สมบูรณ์ ฯลฯ

33.       แม่น้ำเหลืองมีความสำคัญในด้านใดมากที่สุด          

(1) แหล่งกำเนิดเครื่องปั้นดินเผาลีและเสียน

(2) ศูนย์กลางวัฒนธรรมเริ่มแรกของจีน         

(3) เป็นที่ตั้งของเมืองโบราณ เช่น เมืองซีอาน

(4) ชาวยุโรปใช้ลำน้ำนี้เป็นเส้นทางลำเลียงกองกำลังเข้ายึดครองจีนในคริสต์ศตวรรษที่ 16

ตอบ 2 หน้า 97 – 99146 (เล่มเก่า)149 – 150 (เล่มเก่า) แม่น้ำฮวงโหหรือแม่น้ำเหลืองเป็นแม่น้ำที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีน โดยจะเชื่อมระหว่างจีนภาคเหนือกับภาคกลางเข้าด้วยกัน นอกจากนี้ยังเป็นแม่น้ำที่มีความสำคัญต่อประรัตศาสตร์จีน นั่นคือ เป็นแม่น้ำที่สร้างความ อุดมสมบูรณ์ให้แก่สองฟากฝั่งที่แม่น้ำไหลผ่าน รวมทั้งเป็นแหล่งกำเนิดหรือศูนย์กลางวัฒนธรรม เริ่มแรกของจีนในยุคหินใหม่ประมาณ 4000 B.C. มาแล้ว ดังจะเห็นได้จากการขุดค้นพบ ภาชนะเครื่องปั้นดินเผาลีและเสียน และเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำมาจากดินเหนียวคลุกกับใบไม้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเจริญของจีนในยุคก่อนประวัติศาสตร์

34.       รายได้หลักของจีนในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้มาจากแหล่งใด

(1)       การค้ากับต่างประเทศ

(2) รายได้จากการเก็บภาษีที่ดิน

(3)       รายได้จากภาษีผ่านทาง

(4) ภาษีศุลกากรและภาษีสรรพสามิต

ตอบ 2 หน้า 109, (คำบรรยาย) เศรษฐกิจของจีนในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะขึ้นอยู่กับการเกษตร เป็นหลัก โดยเน้นไปที่การใช้ประโยชน์บนที่ดินและการทำเกษตรกรรม ซึ่งรายได้หลักของ รัฐบาลจีนในสมัยนี้จะมาจากการขายผลผลิตสินค้าด้านเกษตรกรรม การเก็บภาษีที่ดิน ภาษีรัชชูปการ และภาษีจากการผูกขาดสินค้าบางชนิด ได้แก่ เกลือ เหล็ก เหล้า และใบชา

35.       ผู้ใดไม่ใช่นักประวัติศาสตร์จีนโบราณ

(1) ซือมา เชียง

(2) ปาน กู

(3) ขงจื๊อ

(4) ลี ลีซาน

ตอบ 4 หน้า 105 – 108172 (เล่มเก่า)174 – 175 (เล่มเก่า) นักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของ จีนโบราณ ได้แก่ 1. ซือมา เขียง ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนแรก ของจีน โดยผลงานเด่นของเขาคือ บันทึกของนักประวัติศาสตร์ 2. บุคคลในตระกูลปาน ได้แก่ ปาน เปียวปาน กู และปาน เจา ซึ่งได้นำผลงานของซือมา เชียง มาเขียนเพิ่มเติม เพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น 3. ขงจื๊อ โดยผลงานเด่นของเขาคือ ตำรามีค่า 5 เล่ม หรือคัมภีร์ทั้ง 5 (The Five Classics) ฯลฯ

36.       มรดกที่ราชวงศ์โจวเหลือไว้ให้แก่โลกปัจจุบันคืออะไร

(1)       แนวคิดทางด้านการปกครองที่ว่าจักรพรรดิสืบเชื้อสายมาจากสวรรค์

(2)       เส้นทางเดินเรือเชื่อมภาคเหนือกับภาคใต้ที่เรียกว่า คลองใหญ่

(3)       กระบวนการยุติธรรมที่ก้าวหน้ากว่าชาติตะวันตกในสมัยเดียวกัน

(4)       การจัดกองทัพโดยใช้ ระบอบกองธง” ตามแบบอย่างของชาวฮั่นโบราณ

ตอบ หน้า 102, (คำบรรยาย) มรดกความเจริญที่สำคัญที่จีนสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกให้ไว้แก่โลก ปัจจุบัน คือ แนวคิดทางด้านการเมืองการปกครองที่ยอดเยี่ยมซึ่งเรียกว่า ทฤษฎีแห่งสวรรค์” โดยกษัตริย์จะถือว่าตนเป็น โอรสหรือบุตรแหงสวรรค์” หมายถึง องค์จักรพรรดิที่สืบเชื้อสาย มาจากสวรรค์ให้ลงมาปกครองมนุษย์ และได้รับอำนาจที่สวรรค์มอบให้เพื่อใช้ปกครองโลก เรียกว่า อาณัติแห่งสวรรค์

37.       นักปรัชญาจีนโบราณท่านใดที่มีอิทธิพลแนวคิดเหนือจิ๋นซี ฮ่องเต้ ทางด้านการเมืองมากที่สุด

(1) ขงจื๊อ          

(2) ลีสือ           

(3) ซุนจื๊อ         

(4) โมจื๊อ

ตอบ 2 หน้า 164 (เล่มเก่า)167, (คำบรรยาย) ประเทศจีนสามารถรวมตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ อีกครั้งด้วยความสามารถของจินซี ฮ่องเต้ ผู้นำแห่งอาณาจักรจิ๋น จากนั้นทรงสถาปนาราชวงศ์แรก ขึ้นปกครองจีนในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยอาศัยหลักการของสำนักฝาเจี่ยหรือลัทธินิติธรรม เป็นเครื่องมือในการปกครองภายใต้คำปรึกษาของเสนาบดีลีสือ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าลีสือเป็น นักปรัชญาจีนโบราณที่มีแนวคิดทางด้านการเมืองเหนือกว่าจิ๋นซี ฮ่องเต้ เป็นอย่างมาก

38.       ฝิ่นเป็นสาเหตุของความขัดแย้งใครกับใคร

(1) จีนกับญี่ปุ่น

(2) จีนกับสหรัฐอเมริกา

(3)       จีนกับอังกฤษ

(4)       จีบกับรัสเซีย

ตอบ 3 หน้า 112, (คำบรรยาย) ในสมัยราชวงศ์แมนจูช่วงปี ค.ศ. 1699 ผู้ปกครองจีนได้อนุญาตให้ อังกฤษเข้ามาค้าขายได้ที่เมืองแคนตอน แต่ต้องปฏิบัติตามระบบการค้าที่เมืองแคนตอนของ รัฐบาลจีน ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่ทำให้อังกฤษเสียเปรียบมากที่สุด ต่อมาอังกฤษจึงแก้ปัญหานี้ด้วย การนำฝิ่นเข้ามาขายในจีน ทำให้จีนต้องปราบปรามอย่างหนัก จนนำไปสู่การทำสงคราม ระหว่างจีนกับอังกฤษขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1839 – 1842 เรียกว่า สงครามฝิ่น” ซึ่งผลปรากฏว่า จีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้

39.       สังคมจีนแบ่งชนชั้นออกเป็น 4 ชนชั้นในสมัยใด

(1) หยวน

(2) หมิง

(3)       สมัยสาธารณรัฐ

(4)       สมัยคอมมิวนิสต์

ตอบ 1 หน้า 111, (คำบรรยาย) สังคมจีนเป็นสังคมที่มีการแบ่งชนชั้นซึ่งเป็นไปตามแนวคิดของขงจื๊อ โดยปกติแล้วจะแบ่งออกเป็น 5 ชนชั้นโดยอาศัยอาชีพเป็นเกณฑ์ ยกเว้น 2 ราชวงศ์ของจีน ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ คือ ราชวงศ์มองโกล (ราชวงศ์หยวน) และราชวงศ์แมนจู (ราชวงศ์ชิง)จะมีเพียง 4 ชนชั้นโดยอาศัยเชื้อชาติเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง และมักกำหนดให้ผู้ที่มีเชื้อชาติ ของตนเป็นชนชั้นสูง

40.       ใบสมัยราชวงศ์หมิง คนป่าเถื่อน” หมายถึงชนกลุ่มใด

(1) ชาวตะวันตก

(2) ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(3) ชนกลุ่มน้อยทางภาคเหนือของจีน

(4) ชาวญี่ปุ่น

ตอบ 1 หน้า 204 (เล่มเก่า)215229, (คำบรรยาย) ในสมัยราชวงศ์หมิงช่วงปี ค.ศ. 1514 ได้เริ่ม มีพ่อค้าชาวโปรตุเกสเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายด้วย รวมทั้งได้นำความรู้หรือเทคนิคใหม่ ๆ เข้ามาเผยแพร่ ซึ่งในขณะนั้นพ่อค้าชาวโปรตุเกสไม่ได้รับการต้อนรับมากนัก เนื่องจากชาวจีน มีความคิดว่าตนนั้นเป็นประเทศที่มีความเจริญมากที่สุด จนมองดูชาวตะวันตกชาติต่าง ๆ ว่าเป็น คนป่าเถื่อน” ดังนั้นชาวจีนจึงไม่ยอมรับความเจริญของคนป่าเถื่อนมาใช้ในประเทศของตน

41.ที่เรียกว่า ชาวฮั่น” หมายถึงผู้ใด

(1) ชาวจีนโพ้นทะเล

(2) ชาวจีนที่อาศัยอยู่บนจีนแผ่นดินใหญ่

(3) ชาวจีนไต้หวัน

(4) ชาวจีนที่อพยพไปตั้งรกรากบนคาบสมุทรเกาหลี

ตอบ 2 หน้า 194 (เล่มเก่า)207209, (คำบรรยาย) ในประวัติศาสตร์ของจีนเกือบทุกราชวงศ์จะอยู่ ภายใต้การปกครองของชาวฮั่นหรือชาวจีนแท้ ๆ ทีอาศัยอยู่บนจีนแผ่นดินใหญ่ ยกเว้น 2 ราชวงศ์ ที่จีนตกอยู่ภายใต้การปกครองของชนเผ่าที่ไม่ใช่ชาวฮั่นหรือเป็นชาวต่างซาติ นั่นคือ ราชวงศ์หยวน หรือราชวงศ์มองโกล ซึ่งนับเป็นราชวงศ์ต่างชาติราชวงศ์แรกที่เข้ามาปกครองจีน และราชวงศ์ชิง หรือราชวงศ์แมนจู

42.       ก่อนที่พรรคคอมมิวนิสต์จะมีอำนาจเหนือแผ่นดินจีน พรรคใดปกครองประเทศจีนอยู่

(1) พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า

(2) พรรคบอลเชวิค 28

(3) พรรคก๊กมินตั๋ง

(4) พรรคสมานฉันท์

ตอบ 3 หน้า 113 – 114, (คำบรรยาย) จีนในสมัยสาธารณรัฐ (ค.ศ. 1912 – 1949) ตกอยู่ภายใต้ การปกครองซองพรรคก๊กมินตั๋ง ต่อมาในปี ค.ศ. 1921 ปัญญาชนจีน 13 คน (รวมถึงเมาเซตุง) ได้ร่วมกันจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีนขึ้นอย่างเป็นทางการ จากนั้นพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ร่วมกับ ซุนยัดเซ็นผู้นำพรรคก๊กมินตั๋งจัดตั้งรัฐบาลผสมขึ้นในปี ค.ศ. 1923 แต่หลังจากที่ซุนยัดเซ็น ถึงแก่อสัญกรรม พรรคก๊กมินตั๋งภายใต้การนำของเจียงไคเช็คไม่ศรัทธาต่อพรรคคอมมิวนิสต์ จึงได้เกิดความขัดแย้งกันจนนำไปสู่สงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อจนกระทั้งสิ้นสุดลง ในปี ค.ศ. 1949 ซึ่งพรรคคอมมิวนิสต์เป็นฝ่ายชนะและก้าวขึ้นมามีอำนาจเหนือแผ่นดินจีนนับตั้งแต่นั้น

43.       สงครามใดที่ทำให้จีนต้องเสียอำนาจเหนือเกาหลีไปให้แก่ญี่ปุ่น

(1) สงครามโลกครั้งที่ 1           

(2) สงครามโลกครั้งที่ 2

(3) สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1  

(4) สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2

ตอบ 3 หน้า 113, (คำบรรยาย) สงครามจีน-ญี่ปุนครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1894 – 1895) เป็นสงครามระหว่าง ราชวงศ์แมนจูของจีนกับจักรพรรดิเมจิแห่งญี่ปุ่น ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่ญี่ปุ่นต้องการครอบครอง คาบสมุทรเกาหลีเพื่อเป็นฐานในการรุกรานเอเชียในอนาคต อีกทั้งยังต้องการเข้าไปขยายอิทธิพล ทางการเมืองและเศรษฐกิจในจีน โดยผลของสงครามปราฏว่าจีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อญี่ปุ่น ซึ่งจีนเคยดูถูกว่าเป็นซาติที่ด้อยอารยธรรม และทำให้จีนต้องสูญเสียอำนาจเหนือดินแดนเกาหลี ไปให้แก่ญี่ปุ่นในที่สุด

44.       นายสี จิ้นผิง ดำรงตำแหน่งใดในรัฐบาลอย่างเป็นทางการของจีนปัจจุบัน

(1) ประธานสูงสุดของประเทศ

(2) นายกรัฐมนตรี

(3) ประธานสมัชชาแห่งซาติ

(4) ประธานาธิบดี

ตอบ 4 (คำบรรยาย) นายสี จิ้นผิง เป็นผู้นำสูงสุด (ประธานาธิบดี) แห่งสาธารณรัฐประชาขนจีนคนปัจจุบัน โดยเริ่มดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556 ซึ่งสี จิ้นผิง ถือวาเป็นหัวหน้าของคณะผู้นำจีนรุ่นที่ 5 ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ส่วนนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ของจีนคือ หลี่ เค่อเฉียง

45.       ใครคือผู้นำคำกล่าวที่ว่า แมวขาวแมวดำไม่สำคัญขอให้จับหนูได้ก็พอ

(1) เมาเซตุง

(2) โจวเอินไหล

(3) ซุนยัดเซ็น

(4) เติ้งเสี่ยวผิง

ตอบ 4 หน้า 115, (คำบรรยาย) เติ้งเสี่ยวผิง เป็นผู้ปกครองจีนรุ่นใหม่ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งประเทศจีนยุคใหม่” เนื่องจากเขาได้นำคำขวัญที่ว่า แมวขาวแมวดำไม่สำคัญขอให้ จับหนูได้ก็พอ” มาใช้เป็นนโยบายในการสร้างความกินดีอยู่ดี รวมทั้งใช้นโยบาย 4 ทันสมัย เพื่อพัฒนาประเทศให้ทันสมัยทั้งทางด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการป้องกันประเทศ ส่งผลให้จีนกลายเป็นชาติที่มีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจเร็วที่สุดในโลก

46.       วัฒนธรรมทูมูลิ ญี่ปุ่นรับมาจากชาติใด

(1)  รัสเซีย

(2) จีน

(3) มองโกเลีย

(4) เกาหลี

ตอบ 4 หน้า 125 วัฒนธรรมทูมูลิหรือวัฒนธรรมหลุมฝังศพ เป็นวัฒนธรรมความเจริญรุ่นแรกของญี่ปุ่นโบราณอย่างหนึ่งที่รับมาจากเกาหลีโดยผ่านกลุ่มชนชั้นสูงในสังคม ซึ่งจะมีลักษณะเป็นสุสาน หรือหลุมฝังศพขนาดใหญ่ที่ใช้บรรจุศพของบุคคลสำคัญของประเทศโดยเฉพาะองค์จักรพรรดิ ทั้งนี้จะมีการนำเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น รูปตุ๊กตาดินเผาหรือตัวฮานีวา อาวุธของนักรบ และ เครื่องประดับต่าง ๆ ฝังรวมลงไปในหลุมฝังศพด้วย โดยเริ่มปรากฏขึ้นครั้งแรกบนเกาะคิวชิว

47.       สถาปัตยกรรมที่เมืองนาราและเฮอิอัน ญี่ปุ่นนำแบบอย่างมาจากชาติใด

(1) อิตาลี

(2) กรีก-โรมัน

(3) จีน

(4) เกาหลี

ตอบ 3 หน้า 126 – 129 ความเจริญที่สำคัญที่ญี่ปุ่นโบราณรับมาจากจีน ได้แก่

1. ตัวอักษรจีน 2. รูปแบบการปกครองใบสมัยราชวงศ์ถังของจีน 3. ศาสนาพุทธ 4. สถาปัตยกรรม โดยมีการสร้างบ้านเมืองเพื่อรองรับหน่วยงานปกครองต่าง ๆ เช่น ปราสาทราชวัง สถานที่ราชการ ๆลๆ มีการจำลองรูปแบบตึกรามบ้านช่องจากจีน และ มีการก่อสร้างเมืองสำคัญที่สวยงาม เช่น เมืองหลวงแห่งนครนารา เมืองหลวงเกียวโต แห่งยุคเฮอิอัน เป็นต้น

48.       นอกจากศาสนาพุทธแล้วที่รับมาจากจีน ลัทธิชินโตญี่ปุ่นรับมาจากใคร

(1)       จากนักบวชชาวจีนที่เดินทางเข้ามาแสวงบุญในญี่ปุ่นในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 5

(2)       เป็นความเชื่อดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่นเอง ไม่ได้รับมาจากใคร

(3)       นักบวชจากลังกาเป็นผู้นำเข้ามา สายหนึ่งที่ญี่ปุ่น อีกสายหนึ่งที่จีน

(4)       เป็นผลงานของพระภิกษุนาม ถังซำจั๋ง” ที่นำมาจากอินเดีย

ตอบ 2 หน้า 126, (คำบรรยาย) ลัทธิชินโต เป็นลัทธิความเชื่อดั้งเดิมของชาวญี่ป่นโบราณที่ไม่ได้รับมา จากใคร แต่ได้รับอิทธิพลมาจากธรรมชาติอันงดงามและสิ่งแวดล้อมที่น่ารื่นรมย์ของชาวญี่ปุ่นเอง โดยเน้นการควบคุมธรรมชาติมากกว่าความหวาดกลัว และเชื่อว่าสรรพสิ่งทั้งหลายมีวิญญาณ ดังนั้นจึงมีการนับถือธรรมชาติโดยไม่มีเกณฑ์ใด ๆ แน่นอน ทั้งนี้ในปี ค.ศ. 1868 รัฐบาลญี่ปุ่น ได้สถาปนา ลัทธิชินโตของรัฐ” ขึ้น ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของญี่ปุ่นที่เน้นความเป็นชาตินิยม และการนับถือองค์จักรพรรดิว่ามีฐานะเป็นเทพ

49.       จากเอกสารโบราณของญี่ปุ่น กล่าวว่าผู้รวมอาณาจักรญี่ปุ่นเป็นหนึ่งเดียวคือใคร

(1) เทพีแห่งดวงอาทิตย์นามว่า ระมาเตระสึ    

(2) จักรพรรดิจิมมู เทนโน

(3) จักรพรรดินี นินโทกุ            

(4) โชกุน อิเอยาสิ

ตอบ 2 หน้า 125250 (เล่มเก่า) ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นโบราณนั้น จักรพรรดิจิมมู เทนโน ซึ่งถือว่าเป็นจักรพรรดิพระองค์แรกของญี่ปุ่น และเป็นหลานชายของนินิงิผู้สืบเชื้อสายมาจาก เทพีแห่งดวงอาทิตย์นามว่าอะมาเตระสึ ได้อพยพจากตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะคิวชูไปยังฝั่งตะวันออกของบริเวณยามาโตในที่ราบคิงกิบนเกาะฮอนชูในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 7 และ ที่ตรงนี้เองที่พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์เละก่อตั้งประเทศญี่ปุ่นขึ้นเมื่อ 660 ปีก่อนคริสตกาล

50.       ญี่ปุ่นในสมัยโชกุน โชกุนตระกูลใดสร้างความเจริญให้กับประเทศมากที่สุด

(1)       อาชิกากา

(2) มินาโมโต

(3) โตกูกาวา

(4) สัตโซฮิโต

ตอบ 3 หน้า 131 – 132, (HIS 1003 เลขพิมพ์ 55187 หน้า 302308311) ญี่ปุ่นในสมัยศักดินา มีความเจริญสูงสุดภายใต้การนำของโชกุนตระกูลโตกูกาวา ทั้งนี้มีสาเหตุมาจากความสงบเรียบร้อย ในสังคมอันเกิดจากมาตรการทางสังคม เช่น นโยบาย การเข้าเวร” ที่ขุนนางหรือผู้นำนครรัฐ ต่าง ๆ ต้องเดินทางมาแสดงความจงรักภักดีต่อองค์โชกุนที่เมืองเอโดะในทุก ๆ ปี ระบบซันกิน โกไต และการทหารของโตกูกาวาทำให้การค้าขายเจริญเติบโตอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ซึ่งส่งผลให้เกิดระบบนายทุนขนาดย่อมและเกิดเมืองใหญ่ ๆ ขึ้นหลายแห่ง เช่น เอโดะ โอซากา และเกียวโต ซึ่งก็เจริญขึ้นอย่างมาก จนกลายเป็นศูนย์กลางความเจริญในด้านต่าง ๆ ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า ความเจริญเติบโตของญี่ปุ่นในสมัยใหม่ต่างก็มีรากฐานมาจากความเจริญ ที่เกิดขึ้นในสมัยนี้เกือบทั้งนั้น

51.       เมืองใหญ่ ๆ เช่นโอซากา เอโดะ เจริญขึ้นอย่างมากในญี่ปุ่นในสมัยศักดินามาจากสาเหตุใด

(1)       นโยบายเปิดประเทศต้อนรับความเจริญจากยุโรปและสหรัฐอเมริกา

(2)       นโยบายสร้างความมั่นคงทางการเมืองของโชกุนตระกูลต่าง ๆ

(3)       นโยบาย การเข้าเวร” ที่ผู้นำนครรัฐต่าง ๆ ต้องเดินทางมาแสดงความจงรักภักดีต่อองค์โชกุน

(4)       นโยบายปฏิรูปที่ดินและแจกจ่ายให้แก่ชาวนา

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 50. ประกอบ

52.       บทละครโน” กับ บทละครกาบูกิ” แตกต่างกันอย่างไร

(1)       บทละครโนเป็นที่นิยมในกลุ่มชนชั้นสูง บทละครกาบูกิเป็นที่นิยมของชนชั้นต่ำ

(2)       บทละครโนจัดแสดงในชนบท ส่วนบทละครกาบูกิจัดแสดงในเมืองหลวง

(3)       บทละครโนเกิดขึ้นก่อนบทละครกาบูกิ

(4)       ทั้งบทละครโนและบทละครกาบูกิเป็นที่ต้องห้ามในสมัยโตกูกาวา

ตอบ 1 หน้า 131298 (เล่มเก่า), (คำบรรยาย) การละครของญี่ปุ่นในสมัยศักดินายุคแรกมี 2 แบบ คือ

1.         ละครโน เป็นบทละครร้องหรือละครรำที่มีท่ารำอย่างเลิศและขึงขัง ไม่มียิ้มแย้ม ซึ่งเป็น

ที่นิยมกันในกลุ่มชนชั้นสูงหรือชนชั้นปกครอง ได้แก่ โชกุน พวกไดเมียว และนักรบหรือซามูไร

2.         ละครกาบูกิ เป็นบทละครแบบใหม่ที่มีความครึกครื้นสนุกสนาน ซึ่งเป็นที่นิยมกันในกลุ่ม ชนชั้นกลาง ได้แก่ พวกพ่อค้า และชนชั้นต่ำภายในเมือง

53.       จีนถูกอังกฤษเปิดประเทศ ส่วนญี่ปุ่นถูกชาติใดบังคับให้เปิดประเทศ

(1) รัสเซีย

(2) อังกฤษ

(3) สหรัฐอเมริกา

(4) ฝรั่งเศส

ตอบ 3 หน้า 133 ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ช่วงหลังสงครามฝิ่น ชาติตะวันตกต้องการติดต่อกับญี่ปุ่น มากขึ้น เริ่มจากรัสเซียและอังกฤษที่เดินทางเข้ามาขอเปิดประเทศ แต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่ง มาจบลงที่สหรัฐอเมริกาซึ่งได้ส่งบายพลเรือเปอร์รีพร้อมเรือปืนเพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ ได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1853 ต่อมาญี่ปุ่นได้ยอมลงนามในสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคกับสหรัฐอเมริกา จากนั้นญี่ปุ่นก็ลงนามเปิดประเทศกับชาติตะวันตกอื่น ๆ เพิ่มขึ้น เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย เป็นต้น

54.       พรรคการเมืองใดที่ปกครองประเทศมากครั้งที่สุด หลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2

(1)พรรคความหวังใหม่

(2) พรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น

(3) พรรคเสรีประชาธิปไตย

(4) พรรคปฏิรูปประเทศ

ตอบ 3 หน้า 343 (เล่มเก่า), (คำบรรยาย) พรรคการเมืองที่มีความสำคัญยิ่งของญี่ปุ่นภายหลังพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็คือ พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลที่ปกครอง ประเทศญี่ปุ่นมานานที่สุด (ประมาณ 54 ปี) แต่ในที่สุดก็ต้องหมดอำนาจลงเนื่องจากพ่ายแพ้การเลือกตั้งให้กับพรรคประชาธิปไตยแห่งญี่ปุ่น (DPJ) นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2009 เป็นต้นมา จนกระทั่งผลการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่นในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ที่ผ่านมาปรากฏว่า นายชินโซะ อาเบะ หัวหน้าพรรค LDP ได้กลับคืนสู่อำนาจอีกครั้ง โดยเป็นผู้ชนะการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นคนปัจจุบัน

55.       นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นคนปัจจุบันคือใคร

(1) นายชินโซะ อาเบะ   

(2) นายโคอิซูมิ          

(3) นายอิชิกาวา          

(4) บายซูซูกิ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 54. ประกอบ

56.       ทำไมประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เกาหลีจึงเป็นประเทศที่อ่อนแอที่สุด

(1)       มีเขตแดนติดกับมหาอำนาจ เช่น จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย

(2)       ชาวเกาหลีไม่มีความสามัคคีกัน เช่น เหนือกับใต้

(3)       ชาวเกาหลีผูกพันกับจีนมากเกินไป จนไม่ยอมเปลี่ยนแปลงนโยบายใด ๆ    

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 141, (HIS 1003 เลขพิมพ์ 55187 หน้า 330) ด้วยเหตุที่เกาหลีมีสภาพทางภูมิศาสตร์ หรือสถานที่ตั้งที่ไม่ปลอดภัยเนื่องจากมีเขตแดนติดกับประเทศมหาอำนาจ 3 ชาติ ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น และรัสเซีย รวมทั้งอาณาจักรโบราณของชนเผ่าเร่ร่อนทางภาคเหนือ ตลอดจนความสำคัญ ทางจุดยุทธศาสตร์ ทำให้เกาหลีต้องตกเป็นสมรภูมิรบหลายครั้ง และไม่เคยพบกับความสงบเลย ถ้าไม่ตกเป็นอาณานิคม ก็ต้องสูญเสียอำนาจอธิปไตยไป ส่งผลให้เกาหลีในอดีตกลายเป็น ประเทศที่อ่อนแอเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกด้วยกัน

57.       ข้อใดไม่ได้รวมอยู่ในยุค 3 อาณาจักร

(1) โชซอน

(2) ปักเจ

(3) โคกูรยอ

(4) ซิลลา

ตอบ 1 หน้า 147, (HIS 1003 เลขพิมพ์ 55187 หน้า 328) เกาหลีโบราณมีการปกครองที่เรียกว่า ยุค 3 อาณาจักร” (Three Kingdoms) ซึ่งเป็นอาณาจักรของชาวเกาหลีแท้ ๆ ประกอบด้วย อาณาจักรโคคูเรียวหรือโคกูรยอ (มีอิทธิพลมากที่สุด) อาณาจักรปักเจ และอาณาจักรซิลลา ซึ่งได้ชื่อว่า ถังจิ๋วหรือถังน้อย” (Little Tang) เนื่องจากได้รับเอาแบบอย่างความเจริญมาจาก จีนในสมัยราชวงศ์ถัง

58.       ข้อใดไม่ใช่ความเจริญที่เกาหลีรับไปจากจีน

(1)       ลัทธิขงจื๊อ

(2) ศาสนาพุทธ

(3) ระบบการสอบไล่

(4) ตัวอักษรฮันกูล

ตอบ 4 หน้า 155 – 156, (คำบรรยาย) เกาหลีโบราณได้รับแบบอย่างความเจริญส่วนใหญ่มาจากจีน เช่น รูปแบบการปกครองที่ทำให้รัฐบาลกลางเข้มแข็งขึ้น การบริหารราชการ ระบบการสอบไล่ เพื่อเข้ารับราชการ ศาสนาพุทธ ลัทธิขงจื๊อ เป็นต้น

59.       ยางบัน จุงอิน ยางมิน และชอนมิน คืออะไร

(1)       ชนชั้นจากสูงไปสู่ต่ำในสังคมของเกาหลีโบราณ

(2)       ชนชั้นจากต่ำสุดไปสูงสุดในสังคมสมัยใหม่ของเกาหลี

(3)       ระดับการศึกษาของเกาหลีจากสูงสุดถึงระดับล่างสุด

(4)       ระดับการศึกษาของเกาหลีจากระดับปฐมวัยจนถึงระดับสูงสุด

ตอบ 1 หน้า 157 สังคมเกาหลีโบราณใบสมัยราชวงศ์ที่มีการกำหนดหน้าที่ของคนในสังคมอย่างละเอียด โดยแบ่งออกเป็น 4 ชนชั้น คือ

1.         ชนชั้นยางบัน เป็นชนชั้นสูงสุดในสังคม ได้แก่ ข้าราชการพลเรือน และข้าราชการทหาร ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอำนาจทางการเมืองมากที่สุด

2.         ชนชั้นจุงอิน เป็นชนชั้นกลาง ได้แก่ ข้าราชการในระดับรับนโยบายมาปฏิบัติ

3.         ชนชั้นยางมิน เป็นชนชั้นสามัญชนซึ่งมีจำนวนมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มช่างฝีมือ ช่างประดิษฐ์ ช่างก่อสร้าง และชาวไร่ชาวนา

4.         ซนชั้นชอนมิน เป็นชนชั้นต่ำสุดในสังคม ได้แก่ พวกทาสที่สังกัดรัฐบาลและเอกชน รวมทั้ง นักแสดง สตรีที่ขายบริการ นักไสยศาสตร์ และพ่อค้าขายเนื้อสัตว์

60.       นายคิม จอง-อึน เป็นผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ส่วนของเกาหลีใต้คือใคร

(1) นางปาร์ค กึน-เฮ

(2) นายปัก จุง-ฮี

(3) นายปาร์ค ปอง-จู

(4) นายบัก ฮอน-เซ

ตอบ1 (คำบรรยาย) ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือคนปัจจุบันคือ นายคิม จอง-อึน โดยเริ่มดำรงตำแหน่ง เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2011 ส่วนประธานาธิบดีของเกาหลีใต้คนปัจจุบันก็คือ นางปาร์ค กึน-เฮ โดยเริ่มดำรงตำแหนงเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013

61.       ในบรรดาภาษาต่าง ๆ ของเอเชียใต้ ภาษาใดที่คนพูดได้มากที่สุด

(1) ฮินดี           

(2) อูรดู            

(3) เบงกาลี     

(4) ปัญจาบี

ตอบ 1 หน้า 175 – 176, (คำบรรยาย) อินเดียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางด้านภาษา โดยมี ภาษาพูดกว่า 200 ภาษา และหากนับรวมภาษาถิ่นด้วยจะมีราว 800 ภาษา ทั้งนี้ภาษาต่าง ๆ ที่ใช้กันอยู่ใบอินเดียปัจจุบันจะเป็นภาษาอินโด-อารยันสมัยใหม่ที่ถือกำเนิดมาจากภาษาสันสกฤต เช่น ภาษาฮินดี อูรดู เบงกาลี คุชราติ ๆลฯ โดยภาษาที่คนอินเดียพูดและใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน คือ ภาษาฮินดี รองลงมา ได้แก่ ภาษาอูรดู และภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาราชการที่ใช้สอบในมหาวิทยาลัย

62.       คำสอนของศาสนาพราหมณ์ในเรื่องใดที่ขัดแย้งกับหัวใจคำสอนของศาสนาเชนที่สุด

(1) พรหมลิขิต

(2) ระบบวรรณะ

(3) การล้างบาป

(4) การฆ่าสัตว์บูชายัญ

ตอบ 4 หน้า 202 – 203 ศาสนาเชนมีหลักคำสอนที่คล้ายคลึงกับศาสนาพุทธมากที่สุด โดยมีลักษณะ คำสอนเป็นแบบอเทวนิยมซึ่งขัดแย้งกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดูหลายเรื่อง เช่น ไม่เชื่อในเรื่อง พระเจ้าสร้างโลก ระบบวรรณะ การล้างบาปในแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ การฆ่าสัตว์บูชายัญ ๆลฯ ทั้งนี้การฆ่าสัตว์บูชายัญนั้นถือว่าเป็นคำสอนที่ขัดแย้งอย่างรุนแรง เนื่องจากหลักคำสอนอันเป็น หัวใจของศาสนาเชนคือ การไม่เบียดเบียน (หลักอหิงสา) ซึ่งเป็นคุณธรรมอย่างยิ่งทั้งในระดับ คฤหัสถ์ทั่วไปและระดับนักบวช

63.       องค์การสหประชาชาติประกาศให้วันวิสาขบูชาเป็นวันหยุดสากลของโลก ถามว่าวันดังกล่าวทำให้ระลึกถึง พระพุทธเจ้าที่สอนให้เชื่อในเรื่องใดมากที่สุด

(1) อริยสัจ 4

(2) ไตรลักษณ์

(3)       เหตุผล

(4)       พระเจ้า

ตอบ 1 (คำบรรยาย)    วันวิสาขบูชาตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 และถือว่าเป็นวันประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งปัจจัยสำคัญในการแสวงหาความรู้ของพระพุทธเจ้าก็คือการช้หลักเหตุผลเป็นพื้นฐาน โดยหลักธรรมที่สำคัญซึ่งพระองค์ทรงรู้แจ้ง ได้แก่ อริยสัจ 4 ซึ่งเป็นหลักธรรมที่นำไปสู่การพ้นทุกข์ ประกอบด้วยทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค

64.       คนในวรรณะใดที่ศาสนาพราหมณ์สอนว่า เกิดจากพระโอษฐ์ของพระพรหม

(1) พราหมณ์

(2) กษัตริย์

(3) แพศย์

(4) ศูทร

ตอบ 1 หน้า 195 – 196 (คำบรรยาย) ในเรื่องระบบวรรณะของสังคมอินเดียโบราณจะเป็นไปตาม คติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งเชื่อว่า พระเจ้า (พระพรหม) เป็นผู้สร้าง โดยทรง สร้างมนุษย์เพื่อสันติจากอวัยวะของพระองค์ 4 ส่วน ได้แก่

1.         วรรณะพราหมณ์ (สร้างจากพระโอษฐ์หรือปาก) จัดเป็นชนชั้นสูงสุดของสังคม ได้แก่ นักบวช นักปราชญ์ และครูอาจารย์ สีประจำวรรณะคือ สีขาว

2.         วรรณะกษัตริย์ (สร้างจากพระพาหาหรือแขน) ได้แก่ นักปกครอง ทหารหรือนักรบ และ ตำรวจ สีประจำวรรณะคือ สิแดง

3.         วรรณะแพศย์หรือไวศยะ (สร้างจากพระโสณีหรือสะโพก) ได้แก่ เกษตรกร พ่อค้า นายธนาคาร ฯลฯ สีประจำวรรณะคือ สีเหลือง

4.         วรรณะศูทร (สร้างจากพระบาทหรือเท้า) จัดเป็นชนชั้นต่ำสุดของสังคม ได้แก่ พวกกรรมกร และข้าหรือทาส สีประจำวรรณะคือ สีดำ

65.       ศาสนาใดมีอายุน้อยที่สุด

(1) เชน

(2) สิกข์

(3) คริสต์

(4) อิสลาม

ตอบ 2 หน้า 201203, (คำบรรยาย) อินเดียเป็นแหล่งกำเนิดศาสนาที่สำคัญ 4 ศาสนา เรียงตามลำดับ ได้ดังนี้   

1. ศาสนาพราหมณ์ (1,250 – 850 ปีก่อนคริสตกาล)

2.         ศาสนาเชน (540 – 468 ปีก่อนคริสตกาล)

3.         คาสนาพุทธ (536 – 483 ปีก่อนคริสตกาล)

4.         ศาสนาสิกข์ (ค.ศ. 1440)

66.       สีเหลือง เป็นสีประจำวรรณะใด

(1) พราหมณ์

(2) กษัตริย์

(3) แพศย์

(4) ศูทร

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 64. ประกอบ

67. อะไรคือจุดมุ่งหมายสามัญในการจัดคนเข้าอยู่ในหลักอาศรม 4

(1) เพื่อกำหนดอาชีพ                        

(2) เพื่อกำหนดถิ่นที่อยู่อาศัย

(3) เพื่อกำหนดฐานะทางลังคม           

(4) เพื่อกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบ

ตอบ 4 หน้า 199, (คำบรรยาย) ตามคำสอนของคาสนาพราหมณ์-ฮินดูนั้น หลักอาศรม 4 หมายถึง ธรรมหรือหลักการปฏิบัติหน้าที่ของตนตามวัยหรือตามขั้นตอนของชีวิต โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อกำหนดหน้าที่ความรับผิดขอบของคนในแต่ละอาศรมให้เหมาะกับวัย ซึ่งประกอบด้วย

1.         พรหมจรรยาศรมหรือพรหมจารี (อายุ 1 – 25 ปี) เป็นวัยแห่งการศึกษา

2.         คฤหัสถ์ถาศรมหรือคฤหัสถ์ (อายุ 26 – 50 ปี) เป็นวัยแห่งการครองเรือนหรือการแต่งงาน มีครอบครัว

3.         วานปรัสถาศรมหรือวานปรัสถ์ (อายุ 51 – 75 ปี) เป็นวัยแห่งการบริการสังคม

4.         สันยัสตาศรมหรือสันยาสี (อายุ 76 – 100 ปี) เป็นวัยแห่งการกระทำเพื่อมนุษยชาติ โดยการออกบวชตลอดชีพเพื่อแสวงหาโมกษะ

68. ถ้าจัดกำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. เข้าอยู่ใบหลักอาศรม 4 ควรจัดไว้ในอาศรมใด

(1) พรหมจรรยาศรม

(2) คฤหัสถาศรม

(3) วานปรัสถาศรม

(4) สันยัสตาศรม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 67. ประกอบ

69. พวกทราวิฑ (Dravidians) มีความสำคัญอย่างไรในประวัติศาสตร์อารยธรรมเอเชียใต้

(1) เป็นพวกแรกที่รุกรานอินเดีย

(2) เป็นผู้สร้างอารยธรรมยุคพระเวท

(3) เป็นผู้สร้างอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ

(4) เป็นผู้ก่อตั้งราชวงศ์โมกุล

ตอบ 3 หน้า 174183188 อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเป็นอารยธรรมเริ่มแรกของเอเชียใต้และของโลก โดยเป็นอารยธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำสินธุเมื่อประมาณ 5,000 ปีมาแล้ว ซึ่งเห็นได้จากการขุดพบซากเมืองโบราณสำคัญ 2 เมือง คือ เมืองโมเหนโจดาโร และฮารัปปา ทั้งนี้ชนชาติที่เป็นผู้สร้างอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุก็คือ พวกทราวิฑหรือดราวิเดียน (Dravidians) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเดิมของอินเดีย โดยพวกทราวิฑจะมีผิวดำ ตัวเล็ก และจมูกกว้าง หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘’ทัสยุหรือมิลักขะ ” ปัจจุบันอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของอินเดียและเกาะศรีลังกา

70.เมืองใดเป็นแหล่งอารยธรรมเริ่มแรกในเอเชียใต้

(1) ฮารัปปา

(2) กัลกัตตา

(3) พาราณสี

(4) ตักศิลา

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 69. ประกอบ

71. พระธรรมจักรแทนพระธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนา ถามว่าเริ่มเกิดครั้งแรกในราชวงศ์ใด

(1) คุปตะ

(2) เมารยะ

(3) กุษาณะ

(4) โมกุล

ตอบ 2 หน้า 214 – 217 ในสมัยราชวงศ์เมารยะแห่งอินเดียภายใต้การนำของพระเจ้าอโศกมหาราชนั้น ถือเป็นสมัยที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองสูงสุด โดยพระองศ์ทรงส่งสมณทูตออกไปเผยแผ่ศาสนา รวม 9 สายไปทั่วอินเดียและออกนอกประเทศอินเดียเป็นครั้งแรก เช่น ทรงส่งพระโสณะและ พระอุตตรเถระไปบังดินแดนสุวรรณภูมิ เป็นต้น รวมทั้งยังโปรดให้สร้างพระธรรมจักรขึ้น เป็นครั้งแรก เพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนพระธรรมคำสอน เช่น ปางปฐมเทศนาจะทำเป็นภาพ พระธรรมจักรและมีกวางหมอบ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงโปรดปัญจวัคคีย์ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน หรือสวนกวางแห่งกรุงราชคฤห์ เป็นต้น

72.สัตว์ที่ชาวฮินดูนับถือเป็นสัตว์ศักดิสิทธิ์มาแต่โบราณเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ได้แก่สัตว์ชนิดใด

(1) ช้าง

(2) ม้า

(3) นกยู

(4) วัว

ตอบ 4 หน้า 187 ชาวฮินดูมีการนับถือบูชาวัวตัวผู้มาตั้งแต่สมัยโบราณจนกระทั่งถึงปัจจุบัน เพราะถือว่าเป็นสัตว์ศักดิสิทธิ์และเป็นพาหนะของพระศิวะ ซึ่งถ้าใครรับประทานเนื้อวัวจะถือว่าเป็นบาปอย่างมหันต์

73.พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงใช้อำนาจปกครองแบบพ่อปกครองลูกและทรงเป็นธรรมราชา ซึ่งอุดมการณ์การปกครองดังกล่าวเหมือนกับกษัตริย์พระองค์ใด

(1) พระเจ้าอักบาร์       

(2) พระเจ้ากนิษกะ      

(3) พระเจ้าอโศก         

(4) พระเจ้ามิลินท์

ตอบ 3 หน้า 214 – 215, (คำ บรรยาย) พ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งอาณาจักรสุโขทัยของไทย ทรงใช้อำนาจปกครองราษฎรแบบพ่อปกครองลูกและทรงเป็นธรรมราซา ซึ่งจะเหมือนกับการปกครองในสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งราชวงศ์เมารยะหรือ โมริยะของอินเดีย

74.       บทละครเรื่องศกุนตลา เป็นมรดกด้านวรรณกรรมของอินเดียที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงแปล เป็นภาษาไทย ถามว่าเป็นผลงานในสมัยใด         

(1) ราชวงศ์เมารยะ/โมริยะ

(2) ราชวงศ์คุปตะ        (3) ราชวงศ์อินโด-แบกเทรีย    (4) ราชวงศ์โมกุล

ตอบ 2 หน้า 219 – 222 ใบสมัยราชวงศ์คุปตะได้ข้อว่าเป็น ยุคทองของอินเดียโบราณ” เพราะมี ความเจริญด้านศิลปวิทยาการต่าง ๆ มากมาย ตังนี้

1.         เป็น ยุคทองของวรรณคดีสันสกฤต‘’ โดยกวีเอกในสมัยนี้ได้แก่ กาลิทาส ซึ่งได้รับการยกย่อง ว่าเป็น เช็คสเปียร์แห่งอินเดีย” โดยผลงานเด่นที่รู้จักไปทั่วโลกคือ บทละครเรื่องศกุนตลา ซึ่งเป็นวรรณกรรมอินเดียที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนำมาแปลเป็น ภาษาไทย

2.         มีความเจริญทางด้านสถาปัตยกรรมและจิตรกรรม ที่เด่น ๆ คือ การเจาะภูเขาเป็นลูก ๆ ให้เป็นถ้ำเพื่อสร้างสังฆารามหรือเทวสถานและพุทธสถาน ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ถ้ำอชันตา ซึ่งภาพเขียนสีรูปพระโพธิสัตว์ปัทมปาณีบนฝาผนังถ้ำที่ 1 ถือว่าเป็นจิตรกรรมชิ้นเอกของยุค

75.       กษัตริย์พระองค์ใดทรงมีขันติธรรมในศาสนา

(1) พระเจ้าบาบูร์         (2)พระเจ้าอักบาร์        (3)พระเจ้าจาหันกีร์      (4) พระเจ้าโอรังเซป

ตอบ 2 หน้า 224 – 225, (คำบรรยาย) พระเจ้าอักบาร์มหาราช ทรงเป็นหนึ่งในพระจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ ในสมัยจักรวรรดิโมกุลแห่งอินเดีย โดยเป็นผู้ที่ทำให้จักรวรรดิโมกุลเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด และมีอาณาเขตกว้างขวาง ซึ่งผลงานที่สำคัญประการหนึ่งของพระองศ์ก็คือ ทรงมีขันติธรรม ในศาสนาหรือให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจหลักในการปกครองประเทศ เนื่องจากทำให้ทุกศาสนาอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติและทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข

76.       กษัตริย์พระองค์ใดโปรดให้ส่งสมณทูตมายังดินแดนสุวรรณภูมิเป็นครั้งแรก

(1) พระเจ้าพิมพิสาร (2) พระเจ้ามีลินท์           (3)พระเจ้าอโศก          (4) พระเจ้ากนิษกะ

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 71. ประกอบ

77.       ภาพจิตรกรรมฝาผนังถ้ำอชันตา เป็นรูปพระโพธิสัตว์ปัทมปาณี เป็นผลงานสมัยราชวงศ์ใด

(1) เมารยะ      (2)คุปตะ         (3)อินโด-แบกเทรีย      (4) โมกุล

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 74. ประกอบ

78.       เมืองกัวเป็นศูนย์กลางการปกครองและวัฒนธรรมของชนชาติใดในอินเดีย

(1) ดัตซ์           (2) อังกฤษ     (3) ฝรั่งเศส      (4) โปรตุเกส

ตอบ 4 (HIS 1003 เลขพิมพ์ 55187 หน้า 129133), (คำบรรยาย) โปรตุเกสเป็นมหาอำนาจตะวันตก ชาติแรกที่เข้าไปมีอิทธิพลสูงสุดในอินเดียในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยได้เดินเรือเข้ามาค้าขาย ในอินเดียแถบชายฝั่งทะเลตะวันตกนับจากบอมเบย์ไปจนถึงเกาะลังกาควบคู่ไปกับการเผยแผ่ ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก จนสามารถแย่งตลาดการค้ามาจากพ่อค้าอาหรับที่มีอิทธิพล อยู่ในดินแดนนี้ได้สำเร็จ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองกัว (Goa) ซึงเป็นศูนย์กลางทั้งทางด้านการค้า คาสนาคริสต์ การปกครอง และวัฒนธรรมของโปรตุเกส

79.       ผู้นำคนแรกที่ประสบความสำเร็จในการขยายอำนาจของอังกฤษในอินเดียได้แก่ใคร

(1) ลอร์ด เบนทิงค์       

(2) ลอร์ด ดัลฮูซี           

(3) โรเบิร์ต ไคลพ์         

(4) ฟรังซัว ดูเปลส์

ตอบ 3 หน้า 232, (HIS 1003 เลขพิมพ์ 55187 หน้า 134 – 135), (คำบรรยาย) โรเบิร์ต ไคลพ์ (Robert Clive) เป็นผู้นำคนแรกที่ประสบความสำเร็จในการขยายอำนาจของอังกฤษในอินเดีย โดยสามารถนำทหารเข้ามาบุกยึดที่มั่นที่ Pondicherry ของฝรั่งเศสได้ในปี ค.ศ. 1761 และได้ เข้ายึดเมืองกัลกัตตาเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของอังกฤษในอินเดียได้สำเร็จ จากนั้นอังกฤษก็ แสวงหาอำนาจทางการค้าและการเมืองในอินเดียเพียงชาติเดียว จนสามารถครอบครองอินเดียได้ ทั้งประเทศโดยสมบูรณ์ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19

80.       อะไรคือสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้กบฏซีปอยพ่ายแพ้อังกฤษเมือเทียบกับศึกซูลูในแอฟริกา

(1) อังกถษมีความชำนาญในการรบมากกว่า

(2) อังกฤษมีอาวุธที่ทันสมัยกว่า

(3) อังกฤษมีระบบการสื่อสารที่ทันสมัยกว่า

(4) ความแตกสามัคคีในหมู่ชาวอินเดีย

ตอบ 4 หน้า 234 สาเหตุสำคัญที่ทำให้อังกฤษชนะกบฏซีปอยได้ มีดังนี้

1. ผู้นำทัพและทหารอังกฤษ มีประสบการณ์และความชำนาญในการรบมากกว่า และมีอาวุธที่ทันสมัยกว่า

2.         อังกฤษมีระบบและเครื่องมือการสื่อสารที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงกว่าซึ่งก็คือ เครื่องโทรเลขที่ช่วยให้สามารถส่งข่าวได้อย่างรวดเร็ว

3.         ผู้ปกครองหลายรัฐเข้าร่วมกับอังกฤษเพื่อปราบกบฏซีปอย อันแสดงให้เห็นถึง

การแตกความสามัคคีในหมู่ชาวอินเดียเอง ซึ่งถือเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้กบฏซีปอย พ่ายแพ้อังกฤษเมื่อเทียบกับศึกซูลูในแอพ่ริกาใต้

81.       มหาตมะ คานธี ผู้นำในการต่อสู้เพื่อเอกราชของอินเดีย เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถในด้านใดที่สุด

(1) อักษรศาสตร์

(2) เศรษฐศาสตร์

(3) นิติศาสตร์

(4) รัฐศาสตร์

ตอบ 3 หน้า 241 – 242 มหาตมะ คานธี (Mahatma Gandhi) เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถทางด้าน นิติศาสตร์ และเป็นนักชาตินิยมที่ต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชให้อินเดีย โดยใช้วิธีการต่อสู้ทีเรียกว่า การต่อด้านเงียบ” หรือ ขบวนการสัตยาเคราะห์” ซึ่งเป็นการต่อสู้โดยสันติวิธีและไม่ใช้กำลัง แต่ใช้พลังธรรมะและการเจรจาต่อรอง โดยสัตยาเคราะห์ประกอบด้วยหลักใหญ่ 3 ประการ ได้แก่ 1. สัตยะ คือ ความจริง 2. อหิงสา คือ ความไม่เบียดเบียนให้เสียเลือดเนื้อ ไม่ใช้กำลัง หรือ วิธีรุนแรง     3. การดื้อแพ่ง คือ การไม่ปฏิบัติตาม ไม่เชื่อฟ้ง และไม่ใช้อาวุธต่อสู้กับผู้ปกครอง

82.       นักชาตินิยมคนใดที่ได้รับสมญานามว่า “The Grand Old Man of India”

(1) Naoroji

(2) Nehru

(3) Tilak

(4) Gokhale

ตอบ 1 หน้า 238, (คำบรรยาย) เนาโรชิ (Naoroji) เป็นบุคคลแรกที่เรียกร้องสิทธิให้ชาวอินเดียโดยชี้ให้เห็นว่าอังกฤษเอารัดเอาเปรียบอินเดีย อังกฤษควรเลิกตักตวงผลประโยชน์จากอินเดีย อังกฤษควรรับคนอินเดียเข้าทำงานในหน่วยงานของรัฐให้มากขึ้น รวมทั้งเรียกร้องให้ชาวอินเดีย มีบทบาทใบเรื่องกฎหมายและภาษีให้มากกว่านี้ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาได้รับสมญานามว่าเป็น มหาบุรุษผู้อาวุโสของอินเดีย” (The Grand Old Man of India) และเป็น บิดาแห่ง นักชาตินิยมอินเดีย” เนื่องจากเป็นผู้ให้กำเนิดลัทธิชาตินิยมในอินเดีย

83.    กฎหมายฉบับใดที่ทำให้มหาตมะ คานธี ลุกขึ้นมาเป็นผู้นำในการต่อด้านอังกฤษ

(1)    Morley-Minto Reforms  

(2) Rowlatt Act

(3) Arms Act    

(4) Universities Act

ตอบ 2 หน้า 243 จากการที่นักชาตินิยมอินเดียซึ่งนำโดยติลัก ได้มีการเรียกร้องสิทธิในการปกครอง ตนเองที่เข้มข้นและรุนแรง ทำให้อังกฤษออกกฎหมายเพื่อป้องกันการจลาจลที่เรียกว่า กฎหมายโรว์แลตต์” (Rowlatt Act of 1919) ซึ่งมีสาระสำคัญว่า รัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่ มีสิทธิอำนาจในการจับกุมคุมขังผู้ต้องสงสัยว่าก่อการจลาจลหรือคิดล้มล้างรัฐบาลได้ทันที โดยไม่ต้องดำเนินการสอบสวนหรือขึ้นศาลตามขบวนการยุติธรรม ซึ่งนักชาตินิยมมองว่า เป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของชาวอินเดียอย่างรุนแรง จนเป็นเหตุให้มหาตมะ คานธี ลุกขึ้นมาเป็นผู้นำในการประท้วงต่อต้านอังกฤษเสียเอง

84.    ภายหลังกบฏซีปอย อังกฤษถือเป็นนโยบายสำคัญที่จะไม่เข้าแทรกแซงอินเดียในเรื่องใด

(1) ด้านการปกครอง

(2) ด้านการคลัง

(3) ด้านการทหาร

(4) ด้านสังคม

ตอบ 4 หน้า 234, 447 – 448 (เล่มเก่า) ภายหลังเหตุการณ์กบฏซีบ่อย รัฐบาลอังกฤษได้ดำเนินนโยบาย ปกครองอินเดียเป็นแบบอนุรักษนิยม โดยถือเป็นนโยบายสำคัญที่จะไม่แทรกแซงทางด้านสังคม และขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวอินเดีย แต่จะปฏิบัติกิจกรรมทางสังคมเฉพาะในกลุ่มของ คนอังกฤษเท่านั้น ทั้งนี้เพราะชาวอินเดียไม่ชอบให้ใครมาเปลี่ยนการดำเนินชีวิตของพวกเขา

85.    “อหิงสา” เป็นคุณสมบัติการต่อสู้ที่สอดคล้องกับผู้นำคนใดมากที่สุด

(1) Jinnah                

(2) Nehru    

(3) Gandhi        

(4) Tilak

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ

86.    ข้อใดเป็นหัวใจของการต่อสู้แบบขบวนการสัตยาเคราะห์

(1)    การต่อสู้ทุกรูปแบบเพื่อให้ได้มาซึ่งเอกราช

(2)    การดื้อแพ่งโดยไมให้ความร่วมมือทุกรูปแบบ

(3)    การต่อสู้โดยใช้พลังธรรมะ ถ้าไม่สำเร็จจึงค่อยใช้กำลัง

(4)    การต่อสู้โดยไม่ใช้กำลัง แต่ใช้พลังธรรมะและการเจรจาต่อรอง

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ

87.    ประโยชน์สูงสุดของ “Morley-Minto Reforms” คือเรื่องใด

(1) ปูพื้นฐานการปฏิรูปด้านการศึกษา

(2) ปูพื้นฐานการปฏิรูปด้านคมนาคม

(3) ปูพื้นฐานการปกครองใบระบอบประชาธิปไตย

(4) ปูพื้นฐานใบการปฏิรูปด้านเศรษฐกิจ

ตอบ 3 หน้า 242 – 243 ในปี ค.ศ. 1909 อังกฤษได้ออกกฎหมายปฏิรูปมอรีเลย์-มินโต (Morley- Minto Reforms) ซึ่งมีสาระสำคัญคือ การเปิดโอกาสให้ชาวอินเดียได้เข้าไปนั่งในสภาเป็นครั้งแรก ด้วยการให้สิทธิชาวอินเดียเลือกผู้แทน 2 คน เพื่อเข้าเป็นสมาชิกสภารัฐมนตรีว่าการกระทรวง อินเดียที่กรุงลอนดอน โดยชาวอินเดีย 1 คนจะประจำอยู่ในสภาบริหารของข้าหลวงใหญ่อังกฤษ ในส่วนกลาง ส่วนอีกคนหนึ่งจะประจำอยู่ในสภาระดับท้องถิ่นคือ สภาบริหารประจำแคว้น แต่ละแคว้นของอินเดีย ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ถูกมองว่าเป็นประโยชน์สูงสุดในเรื่องการปูพื้นฐาน การปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาให้แก่อินเดีย

88.       ผู้ที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดีย ได้แก่ใคร

(1) มหาตมะ คานธี

(2) เนห์รู

(3) โกขะเล

(4) เนาโรชิ

ตอบ 2 (คำบรรยาย) นายกรัฐมนตรีคนแรกของอินเดียคือ เยาวห์ลาล เนห์รู (Jawaharlal Nehru) ส่วนประธานาธิบดีคนแรกของอินเดียคือ ดร.ราเซนทรี ประสาท (Dr. Rajendra Prasad) รัฐบุรุษอาวุโสของอินเดีย

89.       ท่านใดได้สมญานามว่าเป็น บิดาแห่งประเทศปากีสถาน

(1) เนห์รู

(2) ติลัก

(3) บาเนอร์จี

(4) อาลี จินนาห์

ตอบ 4 หน้า 241. 244 – 245. (คำบรรยาย) มูฮัมหมัด อาลี จินนาห์ (Muhammad Ali linnah) ประธานพรรคสันนิบาตมุสลิม เป็นนักชาตินิยมที่ต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชให้อินเดียควบคู่ไป กับการต่อสู้เพื่อชาวอินเดียที่เป็นมุสลิม โดยการประชุมสันนิบาตมุสลิมทีละโฮร์ในปี ค.ศ. 1940 จินนาห์ได้เสนอข้อมติเพื่อขอแยกมุสลิมออกจากฮินดูมาตั้งประเทศปากีสถาน จนกระทั่งเมื่อ อินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี ค.ศ. 1947 อินเดียได้แยกออกเป็น 2 ประเทศคือ อินเดีย และปากีสถาน ทำให้จินนาห์ได้รับสมญานามว่าเป็น บิดาแห่งประเทศปากีสถาน‘’

90.       เทพเจ้าองค์ใดเป็นเทพเจ้าผู้ขจัดอุปสรรค ประทานความสำเร็จให้กับมนุษย์ ตามคติฮินดู

(1) พระพรหม

(2) พระวิษณุ

(3) พระศิวะ

(4) พระพิฆเนศ

ตอบ 4 (คำบรรยาย) พระพิฆเนศ (มีพระเศียรเป็นช้าง) เป็นเทพเจ้าฮินดูที่เป็นพระโอรสองพระศิวะ และพระนางอุมาเทวี เป็นเทพเจ้าแห่งสติปัญญาและศิลปะ เป็นเทพเจ้าผู้ขจัดอุปสรรคต่าง ๆ และประทานความสำเร็จให้แก่มนุษย์ อีกทั้งยังเป็นเทพเจ้าที่คนไทยเคารพนับถือมาก จนถูกสร้างเป็นเทวรูปมากที่สุดในเมืองไทยปัจจุบัน

91.       ที่ราบลุ่มแม่น้ำแดงเป็นที่อยู่ของชนกลุ่มใด

(1) พม่า         

(2) ลาว         

(3) กัมพูขา         

(4) เวียดนาม

ตอบ 4 หน้า 257 พื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำผืนใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วย 3 เขต ดังนี้

1.         ที่ราบลุ่มแม่น้ำอิระวดีและสาละวิน ปัจจุบันเป็นเขตที่ตั้งถิ่นฐานของชาวมอญและพม่า

2.         ที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำโขง เป็นที่ราบลุ่มที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบันเป็นเขตที่ตั้งถิ่นฐานของคนไทย ลาว และกัมพูชา (เขมร)

3.         ที่ราบลุ่มแม่น้ำแดง เป็นเขตที่ตั้งถิ่นฐานของชนกลุ่มตระกูลไทหรือชนชาติไทยในปัจจุบัน ชาวจีน และชาวเวียดนาม

92.       ข้อใดคือประเทศเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) สิงคโปร์

(2) บรูไน

(3) ติมอร์ตะวันออก

(4) อินโดนีเซีย

ตอบ 3 หน้า 256 สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์เลสเต (Democratic Republic of Timor-Leste) หรือติมอว์ตะวันออก เป็นประเทศที่พึงเกิดขึ้นใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเคยเป็น อาณานิคมของโปรตุเกสตั้งแต่ปี พ.ศ. 2063 ภายหลังโปรตุเกสถอนตัวออกไป จึงถูกผนวก เข้าเป็นจังหวัดที่ 27 ของอินโดนีเซียในปี พ.ศ. 2518 จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2542 ติมอร์เลสเต จึงได้แยกตัวเป็นอิสระและได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2545

93.       วัฒนธรรมอันยาเธียนเป็นวัฒนธรรมยุคหินเก่าในประเทศใด

(1) พม่า

(2) ไทย

(3) มาเลเซีย

(4) อินโดนีเซีย

ตอบ 1 หน้า 266 ยุคหินเก่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอายุประมาณ 500,000 – 10,000 ปีมาแล้ว ซึ่งวัฒนธรรมหินเก่าในภูมิภาคนี้จะมีชื่อวัฒนธรรมแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศตามสถานที่ ที่พบก่อน ได้แก่ วัฒนธรรมอันยาเธียนในพม่า วัฒนธรรมฟิงนอยเอียนในไทย วัฒนธรรมแเมปาเนียนในมาเลเซีย และวัฒนธรรมปัตจิตาเนียนในอินโดนีเซีย

94.       ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับยุคหินเก่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) มนุษย์อาศัยอยู่ตามถ้ำ

(2) ใช้เครื่องมือหินกะเทาะ

(3) มีการเลี้ยงสัตว์

(4) มีบรรพบุรุษมนุษย์อาศัยอยู่

ตอบ 3 หน้า 266 ยุคหินเก่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีลักษณะสังคมเป็นแบบสังคมนายพรานและ ยังคงเป็นทาสของธรรมชาติอยู่ นั่นคือ มนุษย์ดำรงชีวิตด้วยการหาของป่าและล่าสัตว์ ไม่มีการ ตั้งถิ่นฐานที่แน่นอน มักอาศัยอยู่ตามถ้ำ เพิงผา หรือที่ราบริมแม่น้ำ มีการนำหินกรวดแม่น้ำมา ทำเป็นเครื่องมือหินกะเทาะ ซึ่งเจ้าของเครื่องมือหินกะเทาะเหล่านี้ก็คือ กลุ่มบรรพบุรุษของ มนุษย์นั่นเอง

95.ข้อใดคือโบราณวัตถุสำคัญของวัฒนธรรมดองซอน

(1) ภาชนะดินเผาสามขา

(2) กลองมโหระทึก

(3) ภาชนะดินเผาลายเขียนสี

(4) เครื่องประดับทำจากกระดูกสัตว์

ตอบ 2 หน้า 270, (คำบรรยาย) วัฒนธรรมที่เกิดขึ้นในยุคเหล็กหรือยุคโลหะ ได้แก่

1.         วัฒนธรรมดองซอน เป็นวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นทางตอนเหนือของเวียดนาม โดยมีการขุดค้นพบ โบราณวัตถุที่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้หลายอย่างที่ทำจากสำริดและเหล็ก เช่น มีดสั้น ดาบ ขวาน เครื่องประดับ และที่เด่นที่สุดก็คือ กลองมโหระทึกสำริด

2.         วัฒนธรรมบ้านเชียง เป็นวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นที่ อ.หนองหาน จ.อุดรธานี โดยมีการขุดค้นพบ ภาชนะดินเผาลายเขียนสีแดงบนพื้นสีขาวนวล ซึ่งมีอายุราว 2,300 – 1,800 ปี

96.       บ้านเชียงเป็นแหล่งโบราณคดีอยู่ที่จังหวัดใด

(1) กาญจนบุรี

(2) อุบลราชธานี

(3) อำนาจเจริญ

(4) อุดรธานี

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 95. ประกอบ

97.       ข้อใดไม่ใช่สินค้าที่ชาวอินเดียต้องการจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) เครื่องเทศ          

(2) ทองคำ           

(3) ไม้หอม       

(4) น้ำหอม

ตอบ 4 หน้า 271 สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ชาวอินเดียต้องการเข้ามาติดต่อสัมพันธ์กับดินแดน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็คือ ต้องการสินค้าจากภูมิภาคนี้ อันได้แก่ ทองคำ เครื่องเทศ ไม้หอม และยางไม้หอม โดยเฉพาะทองคำนั้นชาวอินเดียมีความต้องการมากที่สุด

98. “เย่ห์” เป็นชื่อที่จีนเรียกชนกลุ่มใด

(1) เวียดนาม

(2) ลาว

(3) ไทย

(4) กัมพูชา

ตอบ 1 หน้า 274 – 275, 289 หลังจากที่จีนสมัยราชวงศ์จิ๋นเข้าปกครองเวียดนามบริเวณแม่น้ำแดง และแม่น้ำดำในตังเกี๋ยและอันนัมตอนเหนือ จีนได้ให้ชาวเวียดนามหรือที่ชาวจีนเรียกว่า เย่ห์” ปกครองกันเอง ซึ่งต่อมาจีนก็เรียกอาณาจักรของชาวเวียดนามนี้ว่า นานเย่ห์หรือนามเวียด” (Nam Viet)

99. ชาวเขมรโบราณเชื่อว่าบรรพบุรุษของพวกเขาคือใคร

(1) พญานาค

(2) สิงห์

(3) พระศิวะ

(4) ฤาษี

ตอบ 1 หน้า 280 ตามตำนานของชาวกัมพูซากล่าวว่า หลังจากพราหมณ์ชาวอินเดียชื่อ โกณฑัญญะ ได้อภิเษกสมรสกับพระนางโสมาซึ่งเป็นธิดาของพญานาคแล้ว พญานาคซึ่งเป็นพ่อจึงช่วย ดื่มน้ำทะเลจบเหือดแห้งเพื่อสร้างอาณาจักรให้แก่บุตรเขย และตั้งซื่ออาณาจักรนี้ว่ากัมโพช” ดังนั้นชาวเขมรโบราณจึงเชื่อว่าพญานาคเป็นบรรพบุรุษของพวกเขานั่นเอง

100. ข้อใดต่อไปนี้เก่าแก่ที่สุด

(1) เจนละ

(2) ฟูนัน

(3) ทวารวดี

(4) จามปา

ตอบ 2 หน้า 279 – 281 จากเอกสารของจีนได้บันทึกเอาไว้ว่า ฟูนันเป็นอาณาจักรที่เก่าแก่ที่สุด ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 6 โดยพราหมณ์ ชาวอินเดียชื่อ โกณฑัญญะ มีเมืองหลวงชื่อ วยาธปุระ มีเมืองท่าที่สำคัญคือ เมืองออกแก้ว และมีศูนย์กลางของอาณาจักรอยู่ทางตอนใต้ของประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน

101. ข้อใดคือความสำคัญของเมืองออกแก้ว

(1) เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรจามปา

(2) เป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา

(3) เป็นเมืองท่าสำคัญของอาณาจักรฟูนัน

(4) เป็นแหล่งผลิตเหล็กที่สำคัญ

ตอบ ดูคำอธิบายข้อ 100. ประกอบ

102. ยุคเมืองพระนครของเขมรโบราณเริ่มด้นขึ้นในสมัยกษัตริย์พระองศ์ใด

(1)    ชัยวรมันที่ 1

(2) ชัยวรมันที่ 2

(3) ชัยวรมันที่ 5

(4) ชัยวรมันที่ 7

ตอบ 2 หน้า 285 เขมรโบราณยุคเมืองพระนครเริ่มต้นขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ซึ่งเป็น

เจ้าชายเขมรที่เสด็จกลับมาจากชวา โดยทรงรวบรวมเจนละบกและเจนละน้ำเข้าด้วยกันได้สำเร็จ และทรงให้ชื่อใหม่ว่า อาณาจักรกัมพูซา” จากนั้นจึงสถาปนาพระองศ์ขึ้นเป็นจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ แห่งอาณาจักรกัมพูชา ในสมัยนี้ถือว่าเป็นยุคที่เขมรโบราณรุ่งเรืองที่สุด และมีการสร้างราชธานี ขึ้นหลายแห่ง ได้แก่ อินทรปุระ หริหราลัย อมเรนทรปุระ และมเหนทรบรรพต

103. ปราสาทบายนสร้างขึ้นเพื่อจุดประสงค์ใด     

(1) เป็นศูนย์กลางของเมืองพระนครหลวง

(2)    เป็นพุทธสถาน           

(3) เป็นที่พักคนเดินทาง

(4) ถูกทั้งข้อ 1 และ 2

ตอบ 4 หน้า 286, 573 (เล่มเก่า), (คำบรรยาย) ปราสาทบายนสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โดยได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนานิกายมหายาน ลักษณะเด่นของปราสาทบายนคือ บนยอด ของปรางศ์ทุกองค์จะมีการแกะสลักเป็นรูปพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรผันพระพักตร์ ออกไปทั้งสี่ทิศ โดยมีจุดประสงค์ในการสร้างก็เพื่อเป็นศูนย์กลางของเมืองพระนครหลวงหรือ นครธม และเป็นพุทธสถานหรือศาสนบรรพตประจำราชธานีบริเวณกลางเมืองพระนคร

104.    ลินยี่” หมายถึงอาณาจักรใด

(1) พุกาม

(2) ชวา

(3) จามปา

(4) เวียดนาม

ตอบ 3 หน้า 287 ตามบันทึกของจีนระบุว่า อาณาจักรจามปาหรอลินยี่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอาณาจักรจีน หรือบริเวณตอนกลางของเวียดนาม และอยู่ทางภาคเหนือของอาณาจักรฟูนัน ซึ่งในปัจจุบันก็คือ บริเวณที่เป็นเมืองเว้ เมืองกวังนัม เมืองถัวเถียน เมืองผันรัง และเมืองญาตรังของเวียดนาม ทั้งนี้ลักษณะของชาวจามโดยทั่วไปจะมีลูกตาลึก จมูกเป็นลันโด่ง ผมดำและหยิก

105.    ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่กลุ่มเมืองมอญ

(1) พะโค

(2) สะเทิม

(3) เมาะตะมะ

(4) พุกาม

ตอบ 4 หน้า 292 – 294299 กลุ่มชนเชื้อชาติมอญได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณพม่าตอนล่าง

ด้านตะวันออกของแม่น้ำอิระวดี ซึ่งชาวพม่าจะเรียกพวกมอญว่า เตลง” ทั้งนี้พวกมอญได้ตั้ง เมืองหลวงอยู่ที่เมืองสะเทิมหรือเมืองสุธรรมวดี บริเวณปากอ่าวเมืองเมาะตะมะ ต่อมาเมื่อ มอญถูกชนชาติพม่ารุกราน จึงถอยร่นลงมาอยู่ทางตอนใต้และสถาปนารัฐของตนขึ้นมาใหม่ ที่เมืองพะโคหรือเมืองหงสาวดีในปี พ.ศ. 1368

106.    ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับอาณาจักรพุกาม

(1) รับพุทธศาสนามาจากอินเดียโดยตรง

(2) กษัตริย์องค์สำคัญคือ พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้

(3) เป็นอาณาจักรแรกที่ปกครองโดยชาวพม่า

(4) ที่ตั้งอาณาจักรมีความอุดมสมบูรณ์

ตอบ 3 หน้า 294 – 296 พุกามเป็นอาณาจักรแรกที่ปกครองโดยชาวพม่า โดยตั้งอยู่บริเวณตอนกลาง ของลุ่มแม่น้ำอิระวดี และอยู่ในเขตที่แห้งแล้งที่สุดของพม่า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพุกามคือ พระเจ้าอโนรธา โดยพระองค์ทรงขยายดินแดนออกไปโดยอ้างสิทธิธรรมทางศาสนาในการโจมตี และยึดครองดินแดนต่าง ๆ และทรงสร้างพุกามให้เป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาท ที่เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ทั้งนี้อาณาจักรพุกามล่มสลายลงเนื่องจากถูกกองทัพมองโกลของ กุบไลข่านเข้าโจมตีในปี พ.ศ. 1821 กอปรกับมีความอ่อนแอภายในอาณาจักร

107.    โบราณสถานสมัยทวารวดีส่วนใหญ่ใช้วัสดุใดในการก่อสร้าง

(1) อิฐ

(2) หินทราย

(3) ศิลาแลง

(4) ปูน

ตอบ 1 หน้า 302 โบราณสถานส่วนใหญ่ในสมัยทวารวดีจะใช้อิฐเป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง อาจมี การใช้ศิลาแลงบ้างแต่ไม่พบการใช้หินในการก่อสร้าง สำหรับอิฐที่ใช้นั้นเป็นอิฐเผาอย่างดี ที่ไส้สุกตลอด เนื้ออิฐแข็ง มีขนาดใหญ่ มีส่วนผสมของแกลบข้าวเหนียวปลูก และมีการตกแต่ง โดยใช้ปูนปั้นประดับ

108.    ข้อใดกล่าวไม่ถูกต้องเกี่ยวกับพ่อขุนรามคำแหง

(1) พระนามเดิมคือ กัมรเตงอัญศรีอินทรบดีนทราทิตย์

(2) เป็นโอรสของพ่อขุนบางกลางหาว

(3) เคยปกครองที่เมืองศรีสัชนาลัย

(4) เป็นพระสหายกับพระยามังราย

ตอบ 1 หน้า 303 พ่อขุนรามคำแหงเป็นพระราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์หรือพ่อขุนบางกลางหาว ซึ่งมีพระนามเดิมคือ กัมรเตงอัญศรีอินทรบดีนทราทิตย์ ต่อมาพ่อขุนรามคำแหงได้ขึ้นปกครอง เมืองศรีสัชนาลัยสืบต่อจากพระเชษฐานามว่าพ่อขุนบานเมือง จากนั้นก็เสด็จขึ้นเสวยราชย์ เป็นกษัตริย์ครองอาณาจักรสุโขทัยและพัฒนาฟื้นฟูบูรณะบ้านเมืองทุกด้านจนมีความมั่นคง และสงบสุข ทั้งนี้พระองค์ทรงมีพระสหาย 2 องค์ คือ พระยามังราย เจ้าเมืองเชียงราย และ พระยางำเมือง เจ้าเมืองพะเยา

109.    ข้อใดกล่าวถึงกรุงศรีอยุธยาถูกต้อง

(1)       วัดที่สำคัญที่สุดของกรุงศรีอยุธยาคือ วัดราชบูรณะ

(2)       มีราชวงศ์ปกครอง 6 ราชวงศ์

(3)       ไม่สามารถผนวกสุโขทัยเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยาได้สำเร็จ

(4)       เป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของภูมิภาค

ตอบ 4 หน้า 305 – 307 กรุงศรีอยุธยาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นราชธานีของไทยในปี พ.ศ. 1893 ต่อมาในปี พ.ศ. 1981 อาณาจักรอยุธยาสามารถผนวกเอาอาณาจักรสุโขทัยเข้าเป็นส่วนหนึ่ง ของอยุธยาได้สำเร็จ และตั้งแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 กรุงศรีอยุธยาก็เข้าสู่ยุคทองของ ศิลปะและวิทยาการ โดยมีการสร้างวัดทั้งในเมืองหลวงและหัวเมืองต่าง ๆ ที่สำคัญที่สุดคือ วัดพระศรีสรรเพชญ จนกระทั่งในสมัยพระเจ้าปราสาททอง กรุงศรีอยุธยาก็มีความมั่งคั่งสมบูรณ์ และเป็นศูนย์กลางการค้านานาชาติที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งนี้อาณาจักรอยุธยามีกษัตริย์ปกครองทั้งหมด 34 พระองศ์ จาก 5 ราชวงศ์ คือ ราชวงศ์อู่ทอง สุพรรณภูมิ สุโขทัย ปราสาททอง และบ้านพลูหลวง

110.    คชมาดา เป็นเสนาบติคนสำคัญของอาณาจักรใด

(1) ศรีวิชัย

(2) สิงหะส่าหรี

(3) มัชปาหิต

(4) เคดีรี

ตอบ 3 หน้า 315 – 316 มัชปาหิตเป็นอาณาจักรที่มีอำนาจและความเจริญสูงสุดในประวัติศาสตร์ ของอินโดนีเซีย โดยผู้ที่มีความสามารถและมีส่วนสำคัญในการขยายอำนาจของมัชปาหิตก็คือ มหาเสนาบดีคนสำคัญซื่อ คชมาดา (Gajah Mada) ซึ่งได้ดำเนินนโยบายแผ่อำนาจออกไปยัง เกาะอื่น ๆ ในหมู่เกาะอินโดนีเซีย และจัดตั้งสหพันธรัฐอินโดนีเซียขึ้น ทั้งนี้หลังจากที่คชมาดา เสียชีวิต อาณาจักรมัชปาหิตก็เสื่อมลงตามลำดับ

111.    ข้อใดไมใช่แรงจูงใจที่ทำให้ชาวยุโรปเดินทางเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) ทาส

(2) การปฏิวัติอุตสาหกรรม

(3) การค้า

(4) การเผยแผ่ศาสนาคริสต์

ตอบ 1 หน้า 323 – 324591 – 592 (เล่มเก่า), (คำบรรยาย) แรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ชาวยุโรป

เดินทางเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีดังนี้ 1. เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีชื่อเสียงในเรื่อง ความมั่งคั่ง 2. ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมและผูกขาดการค้าเครื่องเทศ 3. ต้องการเผยแผ่ ศาสนาคริสต์ไปสู่พวกนอกศาสนา 4. ชาวยุโรปมีความสามรถในการต่อเรือที่ดีขึ้น ทำให้ เกิดความมั่นใจในการเดินทางข้ามมหาสมุทรเพื่อสำรวจเส้นทางการค้าและดินแดนใหม่ 5. ต้องการแสวงหาความมั่งคั่งทางวัตถุโดยเฉพาะทองคำ 6. ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ทำให้เกิดความต้องการแสวงหาแหล่งวัตถุดิบเพิ่มขึ้น และหาตลาดเพื่อระบายสินค้าที่ผลิตได้

112.    ศูนย์กลางของสเตรทเซทเทิลเมนท์ของอังกฤษอยู่ที่ใด

(1) สิงคโปร์

(2) ปีนัง

(3) มะละกา

(4) พม่า

ตอบ 2 หน้า 336 หลังจากที่อังกฤษสามารถเข้ายึดครองปีนัง มะละกา และสิงคโปร์ได้สำเร็จแล้ว ในปี พ.ศ. 2373 อังกฤษจึงประกาศรวมอาณานิคมบริเวณคาบสมุทรมลายู อันได้แก่ สิงคโปร์ ปีนัง และมะละกา เข้าเป็น สเตรทเซทเทิลเมนท์” (The Straits Settlement)โดยมีศูนย์กลาง อยู่ที่เกาะปีนัง

113.    ชาวยุโรปชาติใดที่ประสบความสำเร็จในการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) โปรตุเกส

(2) สเปน

(3) ดัตช์

(4) ฝรั่งเศส

ตอบ 2 หน้า 329, (คำบรรยาย) สเปนถือว่าเป็นชาวยุโรปที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในการเผยแผ่ ศาสนาคริสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในฟิลิปปินส์ ซึ่งสเปนจะเน้นให้คนพื้นเมืองกลับใจมานับถือศาสนาคริสต์เอง โดยไม่ได้ใช้วิธีบังคับข่มขู่ วิธีนี้ทำให้มีชาวพื้นเมืองหันมานับถือศาสนาคริสต์กับมากถึง 92% ซองประชากรทั้งประเทศ

114.    ดัตช์ได้เปลี่ยนชื่อเมืองจาการ์ตาเป็นชื่อใด

(1) ปัตตาเวีย

(2) มะตะรัม

(3) บันทัม

(4) มะละกา

ตอบ 1 หน้า611(เล่มเก่า) เมื่อดัตช์หรือฮอลันดาได้เข้าไปแทรกแซงทางการเมืองในหมู่เกาะอินโดนีเซีย ในช่วงเหตุการณ์การแย่งชิงราชสมบัติในบันทัม ทำให้ดัตช์มีอำนาจในบันทัม และขับไล่พ่อค้า ชาวอังกฤษที่ค้าขายอยู่ในบันทัมไปอยู่ที่จาการ์ตา (Jakarta) ซึ่งต่อมาดัตช์ได้เปลี่ยนชื่อเมืองนี้ เป็น ตตาเวีย” (Batavia)

115.    ข้อใดคือเมืองหลวงของฟิลิปปินส์

(1) มะละกา    

(2) เกาะบอร์เนียว       

(3) มะนิลา       

(4) เกาะสุลาเวสี

ตอบ 3 หน้า 329 สเปนสามารถยึดฟิลิปปินส์ได้สำเร็จในครั้งที่ 5 นำโดยเลกัซปีในปี พ.ศ. 2108 โดยกองกำลังทหารของเลกัซปีได้ขึ้นบกที่หมู่เกาะวิสายะและตั้งมั่นอยู่ที่เกาะเซบู ซึ่งเป็น ศูนย์กลางของการขยายอาณาเขตออกไปยังเกาะต่าง ๆ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2114 เลกัซปี ก็ยึดมะนิลาได้ และประกาศให้มะนิลาเป็นเมืองหลวงของฟิสิปปีนส์จนถึงปัจจุบัน

116.    บริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ตั้งอยู่บนเกาะใด

(1) เกาะสุมาตรา

(2) เกาะบอร์เนียว

(3) เกาะชวา

(4) เกาะสุลาเวสี

ตอบ 3 หน้า 331 ในปี พ.ศ. 2145 ดัตช์ได้จัดตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (The Dutch East India Company ะ v.o.c.) ขึ้นที่บันทัมบนเกาะชวา เพื่อระดมทุนจากกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ มาสร้างกองเรือพาณิชย์และกองเรือคุ้มกันขนาดใหญ่ ทำให้บริษัทสามารถนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ในการแสวงหาผลประโยชน์ในดินแดนแถบนี้ ส่งผลให้การค้าเครื่องเทศของดัตช์ขยายตัว อย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทอินเดียตะวันออกมีกำไรมหาศาล และทำให้บันทัมกลายเป็นศูนย์กลาง การค้าในบริเวณนี้

ตั้งแต่ข้อ 117. – 120.   จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) ระบบวันดาลา

(2) ระบบการเพาะปลูก

(3) ระบบโปโล

(4) ระบบเอ็นคอมเมียนดา

117.    ระบบการเกณฑ์แรงงานชาวพื้นเมืองที่สเปนนำมาใช้กับฟิลิปปินส์

ตอบ 3 หน้า 330 การที่สเปนได้จัดระบบชนชั้นในสังคมของฟิลิปปินส์ใหม่ ทำให้สเปนสามารถ แสวงหาผลประโยชน์จากชาวพื้นเมืองได้โดยผ่าน 2 ระบบ ดังนี้

1.         ระบบโปโล (Polo System) เป็นระบบเกณฑ์แรงงานที่ให้ชาวพื้นเมืองทุกคนยกเว้นหัวหน้าเผ่าและลูกชายคนแรกของหัวหน้าเผ่า ต้องอุทิศแรงงานให้ทางราชการ

2.         ระบบวันดาลา (Vandala System) เป็นระบบบังคับซื้อสินค้า โดยบังคับให้ชาวพื้นเมือง ขายสินค้าให้สเปนในราคาต่ำ

118. ระบบที่จัดสรรพื้นที่สำหรับปลูกพืชที่เป็นสินค้าส่งออกที่รัฐบาลต้องการ

ตอบ 2 หน้า 334 ในพุทธศตวรรษที่ 24 ดัตช์ได้นำระบบวัฒนธรรม (Culture System) หรือระบบ การเพาะปลูก (Cultivation System) มาใช้แสวงหากำไรในเกาะชวา โดยผู้ที่เสนอระบบนี้คือ โยฮานเนส วาน เดน บอสช์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นข้าหลวงใหญ่ โดยระบบนี้เป็นการสนับสนุน ให้ทุกหมู่บ้านจัดสรรพื้นที่สำหรับเพาะปลูกพืชที่เป็นสินค้าส่งออกที่รัฐบาลต้องการ เช่น อ้อย กาแฟ คราม ฯลฯ เพื่อจ่ายเป็นภาษีให้แก่รัฐบาลอาณานิคม จากนั้นรัฐก็จะนำสินค้าดังกล่าว ไปขายในยุโรป

119. ระบบที่บังคับให้ชาวพื้นเมืองขายสินค้าให้สเปนในราคาต่ำ

ตอบ ดูคำอธิบายข้อ 117. ประกอบ

120. ระบบการถือครองที่ดินที่สเปนนำมาใช้กับฟิลิปปินส์

ตอบ 4 หน้า 330 ระบบเอ็นคอมเมียนดา (Encomienda) คือ ระบบการถือครองที่ดินที่สเปนนำมาใช้ ในฟิลิปปินส์โดยให้ผู้มีสิทธิถือครองที่ดินที่เรียกว่า เอ็นคอมเมียนโดโรส” (Encomiendoros) เรียกเก็บผลประโยชน์จากบุคคลที่เข้ามาทำมาหากินในที่ดินของตนได้ แต่ผู้เข้ามาทำกินในที่ดินนี้ จะต้องนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก

HIS1002 อารยธรรมตะวันออก การสอบไล่ภาค1 ปีการศึกษา2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา HIS 1002 อารยธรรมตะวันออก

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.         ในวิชาอารยธรรมตะวันออก “ดินเดนตะวันออกกลาง” มีความสำคัญอย่างไร

(1)       เป็นแหล่งกำเนิดศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลาม

(2) เป็นที่ตั้งของพีระมิดและสวนลอยบาบิโลน

(3) เป็นแหล่งความเจริญเริ่มแรกของโลก      

(4) เป็นแหล่งเชื่อมทวีป คือ เอเชีย ยุโรป และแอฟริกา

ตอบ 3 หน้า 7 ดินแดนตะวันออกกลางหรือตะวันออกใกล้ (The Middle East หรือ Near East) คือ ดินแดนเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่าง3ทวีป ได้แก่ ทวีปเอเชีย แอฟริกา และยุโรป โดยเป็นดินแดนที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์ในแง่ของการเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมและความเจริญเริ่มแรกของโลก คือ อารยธรรมเมโสโปเตเมียและอารยธรรมอียิปต์โบราณ รวมทั้งเป็นแหล่งกำเนิด 3 ศาสนาหลักของโลก คือ ศาสนายูดาห์ ศาสนาคริสต์ และศาสนาอิสลาม

2.         “ดินแดนตะวันออกกลาง” คือดินแดนส่วนใด 

(1) เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(2)       ยุโรปตะวันออกเฉียงใต้         

(3) เอเชียตะวันตกเฉียงใต้     

(4) แอฟริกาตะวันออกกลาง

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3.         คำว่า “B.C.” หมายถึงอะไร

(1)       พุทธศักราช     

(2)       ก่อนสมัยพุทธกาล      

(3)       คริสตกาล       

(4)       ก่อนคริสต์ศักราช

ตอบ 4 หน้า 5, (คำบรรยาย) ก่อนคริสต์ศักราช (Before Christ : B.C.) หมายถึง ช่วงเวลาก่อนพระเยซูประสูติ เช่น 245 ปีก่อน ค.ศ. (หรือ 245 B.C.) หมายถึง 245 ปีก่อนพระเยซูประสูติ

4.         มนุษย์สมัยโบราณรู้จักการทำเกษตรกรรมในช่วงเวลาใด

(1)       ยุคหินเก่า       

(2)       ยุคหินใหม่      

(3)       ยุคทองแดง     

(4)       ยุคสำริด

ตอบ 2 หน้า 6, (คำบรรยาย) ยุคหินใหม่ เป็นยุคที่มนุษย์เริ่มรู้จักการทำเกษตรกรรมคือ เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ แทนการเร่ร่อนและล่าสัตว์เพื่อนำมาเป็นอาหาร อีกทั้งเริ่มมีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง โดยมีการเคลื่อนย้ายที่อยู่อาศัยจากดินแดนตอนในเข้ามาตั้งมั่นใกล้ลุ่มแม่น้ำใหญ่เพื่อมุ่งที่จะใช้นํ้าในการทำเกษตรกรรมและดำรงชีวิตเป็นสำคัญ ซึ่งจากจุดนี้เองที่ทำให้อารยธรรมโลกโบราณค่อย ๆ ถือกำเนิดขึ้นอย่างจริงจัง

5.         มนุษย์สมัยโบราณกลุ่มใดทิ้งร่องรอยความเจริญที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด

(1)       สุเมเรียน         

(2)       อียิปต์โบราณ 

(3)       เปอร์เซียโบราณ         

(4)       ฮิบรู

ตอบ 2 หน้า 1118-20 อารยธรรมอียิปต์โบราณมีแหล่งกำเนิดอยู่บริเวณดินแดนลุ่มแม่นํ้าไนล์โดยชาวอียิปต์ได้รับการยกย่องว่า “เป็นผู้สร้างถาวรวัตถุที่ยิ่งใหญ่ของโลกโบราณ” เนื่องจากเป็นชนชาติที่มีความรอบรู้และแม่นยำทางด้านคณิตศาสตร์และเรขาคณิต มีทักษะและความชำนาญในการก่อสร้าง และกษัตริย์เก่งในการรบและการปกครอง ทำให้ชาวอียิปต์ได้ทิ้งร่องรอยความเจริญที่เป็นรูปธรรมไว้ให้แก่โลกมากที่สุด เช่น มหาพีระมิดที่เมืองกีซา วิหารเทพเจ้าอะมอนที่คาร์นัค เป็นต้น

6.         อารยธรรมใดเก่าแก่ที่สุด

(1)       อินเดียโบราณ

(2) อียิปต์โบราณ       

(3) เมโสโปเตเมีย       

(4) กรีกโบราณ

ตอบ 3  อารยธรรมเมโสโปเตเมียเป็นอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุด และเป็นหนึ่งในสองอารยธรรมเริ่มแรกของโลก อารยธรรมนี้มีแหล่งกำเนิดบนดินแดนระหว่างแม่น้ำไทกรีสและยูเฟรตีส หรือที่เรียกว่า “เมโสโปเตเมีย” ซึ่งเราสามารถเรียกดินแดนนี้ได้อีกอย่างหนึ่งว่า“ดินแดนพระจันทร์เสี้ยว” (Fertile Crescent) ปัจจุบันดินแดนเมโสโปเตเมียเป็นที่ตั้งของประเทศอิรัก

7.         กลุ่มชนใดเป็นผู้วางรากฐานอารยธรรมเมโสโปเตเมีย

(1)       สุเมเรียน         

(2) อัคคาเดียน           

(3) อะมอไรท์  

(4) ฮิตไตท์

ตอบ 1 หน้า 21 – 2282 (เล่มเก่า) สุเมเรียนเป็นกลุ่มชนเชื้อชาติใดนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีการสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นกลุ่มชนที่อพยพจากเอเชียกลางแล้วเข้ามาตั้งมั่นในพื้นที่ทางตอนใต้ของเมโสโปเตเมียซึ่งเรียกว่า “ซูเมอร์” เมือประมาณ 5000 B.C. และถือเป็นผู้วางรากฐานธารยธรรมเมโสโปเตเมีย ซึงอารยธรรมที่เด่น ๆมี 7 ด้าน ได้แก่ ด้านการปกครอง สังคมการประกอบอาชีพ ศาสนา ศิลปะการเขียน สถาปัตยกรรม และวิทยาศาสตร์

8.         จุดมุ่งหมายของการสร้างซิกกูแรตคืออะไร

(1)       เป็นวิหารเทพเจ้า        

(2) เป็นที่เก็บศพและสมบัติผู้ตาย

(3)       เป็นสถานที่ศึกษากลุ่มดาวบนท้องฟ้า

(4) เป็นที่อยู่ของผู้ปกครองนครรัฐ

ตอบ 1 หน้า 23 – 24 สถาปัตยกรรมที่เด่นที่สุดของชาวสุเมเรียนก็คือ มหาวิหารหอคอยหรือซิกกูแรต(Ziggurat) ที่นครรัฐเออรุค ซึ่งสร้างขึ้นด้วยอิฐ โดยมีจุดมุ่งหมายในการสร้างก็เพื่อใช้เป็นวิหารเทพเจ้า ซึ่งชั้นบนสุดของซึกกูแรตจะถูกกำหนดให้เป็นที่ประทับของเทพเจ้าและเป็นศาสนสถานสำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

9.         สิ่งใดเก่าแก่ที่สุด       

(1) ไฮโรกลิฟิก

(2)       คูนิฟอร์ม        

(3) สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน

(4) พีระมิด

ตอบ 2 หน้า 23, (คำบรรยาย) อักษรคูนิฟอร์มหรืออักษรรูปลิ่ม (Cuneiform) ซึ่งเป็นศิลปะการเขียนของชาวสุเมเรียนในดินแดนเมโสโปเตเมีย ถือว่ามีอายุเก่าแก่มากที่สุดในโลก (3500 B.C.) โดยอักษรคูนิฟอร์มเป็นตัวอักษรเครื่องหมายที่มีลักษณะคล้ายรูปตัววีในภาษาอังกฤษ ซึ่งชาวสุเมเรียนจะจารึกตัวอักษรคูนิฟอร์มลงบนแผ่นดินเหนียวขณะเปียก และนำไปตากแดดหรือเผาให้แห้งเพื่อเก็บรักษา ข้อความส่วนใหญ่ที่จารึกจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนาและการปกครอง

10.       ยุคทองของอารยธรรมอียิปต์โบราณอยู่ในช่วงเวลาใด

(1)       สมัยก่อนราชวงศ์        

(2) สมัยราชวงศ์         

(3) สมัยอาณาจักรใหม่

(4) สมัยอาณาจักรกลาง

ตอบ 2 หน้า 9-10 อียิปต์โบราณสมัยราชวงศ์ (3100 – 940 B.C.) เป็นช่วงเวลาที่อียิปต์โบราณจัดตั้งชาติและรักษาความเป็นชาติได้ยาวนานถึง 2,160 ปี กษัตริย์ส่วนใหญ่ในสมัยนี้เป็นาวอียิปต์โบราณ มีทั้งหมด 21 ราชวงศ์ และถือว่าเป็น “ยุคทองของอารยธรรมอียิปต์โบราณ”ซึ่งสมัยราชวงศ์แบ่งออกเป็น 4 สมัยย่อย ได้แก่ สมัยต้นราชวงศ์ สมัยอาณาจักรเก่าสมัยอาณาจักรกลาง และสมัยอาณาจักรใหม่หรือสมัยจักรวรรดิ

11.       ข้อใดถูก

(1)       อียิปต์โบราณเป็นกลุ่มชนแรกที่เชื่อเรื่องวิญญาณเป็นอมตะ วันพิพากษาโลก และโลกหน้ามีจริง

(2)       โอซิริสคือเทพเจ้าสูงสุดของอียิปต์โบราณ

(3)       ชาวอียิปต์โบราณรู้จักการชลประทานในสมัยอาณาจักรกลาง

(4)       โรมันคือชาวยุโรปกลุ่มแรกที่ปกครองดินแดนลุ่มแม่น้ำไนล์

ตอบ 1 หน้า 17 ชาวอียิปต์โบราณเป็นกลุ่มชนแรกที่มีความเชื่อในเรื่องวิญญาณเป็นอมตะวันพิพากษาโลก และโลกหน้ามีจริง นั่นคือ เชื่อว่าผู้ที่ทำความดี เมื่อตายใปดวงวิญญาณจะคงอยู่และจะเกิดใหม่ในโลกหน้าที่อุดมสมบูรณ์ ด้วยความเชื่อดังกล่าวได้นำไปสู่การสร้างมัมมี่

คัมภีร์มรณะหรือคัมภีร์ผู้ตาย และสุสานหินพีระมิดซึ่งใช้เป็นที่เก็บพระศพและสมบัติของฟาโรห์

12.       กลุ่มชนใดได้รับการยกย่องว่า “เป็นผู้สร้างถาวรวัตถุที่ยิ่งใหญ่ของโลกโบราณ”

(1)       สุเมเรียน         

(2) อียิปต์โบราณ       

(3) ฮิตไตท์      

(4) กรีกโบราณ

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 5. ประกอบ

13.       กลุ่มชนใดได้รับการยกย่องว่า “เป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งเอเชียไมเนอร์สมัยโบราณ’’

(1)       อัสซีเรียน        

(2) ฮิตไตท์      

(3) ฟินิเชียน   

(4) ออตโตมาน เติร์ก

ตอบ 2 หน้า 35 – 38 ฮิตไตท์เป็นชนเผ่าอินโด-ยูโรเปียนที่อพยพจากเอเชียกลางเข้ามาตั้งมั่นในพื้นที่ทางตะวันออกของเอเชียไมเนอร์แถบคาบสมุทรอนาโตเลีย (ประเทศตุรกีในปัจจุบัน) โดยฮิตไตท์เป็นผู้วางรากฐานอารยธรรมเอเชียไมเนอร์ นอกจากนี้ยังได้รับการยกย่องว่า “เป็นนักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งเอเชียไมเนอร์สมัยโบราณ” ซึ่งการรบของฮิตไตท์มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งขยายดินแดนและอำนาจ แสวงหาเส้นทางการค้า และแสวงหาแร่เหล็กเพื่อนำมาทำของใช้และอาวุธ

14.       กลุ่มชนใดวางรากฐานอารยธรรมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

(1) ฮิบรู          

(2) ฟินิเชียน   

(3) อราเมียน  

(4) สุเมเรียน

ตอบ 2 หน้า 39 – 40 ฟินิเชียนเป็นเซมิทกลุ่มแรกที่อพยพจากเมโสโปเตเมียเข้ามาตั้งมั่นในดินแดนฟินิเชียนนชายฝั่งตะวันออกทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (ประเทศเลบานอนในปัจจุบัน) ซึ่งฟินิเชียนได้ชื่อว่าเป็นผู้วางรากฐานอารยธรรมชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เป็นพ่อค้าทางเรือผู้ยิ่งใหญ่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของตะวันออกกลางสมัยโบราณ และเป็นผู้ถ่ายทอดอารยธรรมโลกตะวันออกสู่โลกตะวันตกได้เป็นอย่างดี

15.       ข้อใดถูก

(1)       มรดกความเจริญที่อราเมียนให้แก่โลกคือการเดินเรือค้าขายในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

(2)       สุเมเรียนคือวางรากฐานอารยธรรมในดินแดนเอเชียไมเนอร์

(3)       พยัญชนะที่ยุโรปใช้กันในปัจอุบันมีรากฐานมาจากพยัญชนะฟินิเชียน

(4)       มรดกความเจริญที่ฮิบรูให้แก่โลกคือด้านสถาปัตยกรรม

ตอบ 3 หน้า 40 มรดกความเจริญเด่นที่ฟินิเชียนให้ไว้แก่โลกคือ เป็นกลุ่มชนแรกที่นำการประดิษฐ์พยัญชนะสมบูรณ์แบบ 22 ตัว ต่อมาเมื่อกรีกรับและนำพยัญซนะฟินิเชียนไปใช้ในยุโรปกรีกได้พัฒนาและเพิ่มพยัญชนะจาก 22 ตัวเป็น 26 ตัว ดังนั้นพยัญชนะฟินีเชียนจึงเป็นรากฐานของพยัญขนะที่โลกตะวันตกหรือยุโรปใช้ในปัจจุบัน

16.       แหล่งกำเนิดอารยธรรมฮิบรู ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศอะไร

(1)       อิลราเอล         

(2) อิรัก           

(3) อิหร่าน      

(4) ตุรกี

ตอบ 1 หน้า 40. 46 ฮิบรูหรือยิวเป็นเซมิทกลุ่มที่สองที่อพยพจากเมโสโปเตเมียเข้ามาตั้งมั่นในดินแดนปาเลสไตน์บริเวณตอนใต้สุดของชายฝั่งตะวันออกทะเลเมตีเตอร์เรเนียน ในปัจจุบัน

พื้นที่ส่วนใหญ่ของปาเลสไตน์ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมฮิบรูเป็นที่ตั้งของประเทศอิสราเอล

17.       ศาสนาคริสต์เกิดขึ้นขณะฮิบรูอยู่ใต้การปกครองของกลุ่ชซนใด

(1)       เปอร์เซียโบราณ         

(2) กรีก          

(3) โรมัน         

(4) มุสลิม

ตอบ 3 หน้า 4459 – 61 ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่สองที่เกิดขึ้นในสังคมฮิบรูหรือยิวในดินแดนปาเลสไตน์ (ประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน) ขณะที่ฮิบรูอยู่ภายใต้การปกครองของโรมัน ทั้งนี้นักศาสนศาสตร์เรียกศาสนาคริสต์ว่า “บุตรสาวแห่งศาสนายูดาห์” (The Daughter of Judaism)เพราะคัมภีร์เก่าของศาสนายูดาห์เป็นคำสอนพื้นฐานซึ่งนำไปสู่การเกิดศาสนาคริสต์

18.       กลุ่มชนใดได้รับการยกย่องว่า “เป็นพ่อค้าทางบกที่ยิ่งใหญ่ของตะวันออกกลางสมัยโบราณ”

(1)       อราเมียน        

(2) เซลจุก เติร์ก         

(3) ออตโตมาน เติร์ก  

(4) ฟินิเชียน

ตอบ 1 หน้า 46 – 47 อราเมียนเป็นกลุ่มชนที่อพยพจากเมโสโปเตเมียเข้ามาตั้งมั่นในดินแดนซีเรียบริเวณตอนเหนือของชายฝั่งตะวันออกทะเลเมดิเตอร์เรเนียน (ประเทศซีเรียในปัจจุบัน) ทั้งนี้ อราเมียนได้รับการยกย่องว่า “เป็นพ่อค้าทางบกที่ยิ่งใหญ่ของตะวันออกกลางสมัยโบราณ”โดยเส้นทางการค้าทางบกของอราเมียน ได้แก่ เมโสโปเตเมีย เปอร์เซีย ชายฝั่งตะวันออกทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และดินแดนลุ่มแม่นํ้าไนล์ มีศูนย์กลางการปกครองและการค้าขายอยู่ที่เมืองดามัสกัส และใช้ภาษาอารมิกเพื่อประโยชน์ในการค้าขายทางบก

19.       ศูนย์กลางของจักรวรรดิลิเดียนคือดินแดนใด

(1)       เอเชียไมเนอร์  

(2)       เมโสโปเตเมีย 

(3)       ปาเลสไตน์      

(4) คาบสมุทรอาระเบีย

ตอบ 1 หน้า 47 – 48 ในปี 680 B.Cชาวลิเดียนได้ร่วมกันจัดตั้งอาณาจักรลิเดียนขึ้นในดินแดนลิเดียบริเวณทางตะวันตกตอนกลางของเอเชียไมเนอร์ (ประเทศตุรกีในปัจจุบัน) ซึ่งลิเดียน จะเก่งในการรบและการค้าขาย จึงทำให้พื้นที่ของอาณาจักรขยายใหญ่เป็นจักรวรรดิลิเดียนโดยมีกรุงซาร์ดีสเป็นเมืองศูนย์กลางทั้งการปกครองและการค้าขาย

20.       ใครคือผู้นำการจัดตั้งจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณ

(1)       ดาริอุสที่ 1      

(2)       ไซรัสที่ 2         

(3)       นาโบนิคัสที่     3         

(4) โครอีซุสที่ 4

ตอบ 2 หน้า 51 ไซรัสที่ 2 เป็นกษัตริย์องค์ที่ 4 ของเปอร์เซีย ซึ่งทรงเก่งในการรบและการขยายดินแดนโดยในปี 550 B.Cเมื่อไซรัสที่ 2 มีชัยชนะเหนือเมดีสแล้ว พระองค์ได้รวมมีเดียเข้ากับเปอร์เซียและเรียกดินแดนนี้ว่า “เปอร์เซีย” จากนั้นทรงนำการจัดตั้งจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณขึ้นโดยกำหนดให้ซูซาเป็นเมืองหลวง

21.       ผู้ปกครองจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณรับรูปแบบการปกครองมาจากกลุ่มชนใด

(1)       ฮิตไตท์

(2)       อัสซีเรียน        

(3)       ออตโตมาน เติร์ก        

(4) มุสลิม

ตอบ 2 หน้า 5256 – 5759 จักรวรรดิเปอร์เซียโบราณรับรูปแบบการปกครองจักรวรรดิมาจากอัสซีเรียน โดยเริ่มรับในสมัยไซรัสที่ 2 และนำมาปรับปรุงจนรูปแบบการปกครองมีความสมบูรณ์ในสมัยดาริอุสที่ 1 (Darius Iซึ่งเป็นสมัยที่ถือว่าเป็นยุคทองของจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณโดยหลักในการปกครองจักรวรรดิของดาริอุสที่ 1 ประการหนึ่งก็คือ เน้นกระจายการปกครองจากส่วนกลางไปสู่ส่วนภูมิภาคด้วย 2 วิธี คือ กำหนดภูมิภาคสำคัญและเมืองศูนย์กลางของภูมิภาค และการปกครองระบบเขต (The Satrapy Systemที่มุ่งการเข้าถึงประชาชนและพื้นที่ด้วยการปฏิบัติจริง

22.       หลักการปกครองจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณคืออะไร

(1)       การเข้าถึงประชาชนและพื้นที่

(2) จักรวรรดิคือแผ่นดินและประชาชน

(3)       ประชาชนคือผู้รับใช้กษัตริย์    

(4) บูชาในบรรพบุรุษและสุริยเทพ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 21. ประกอบ

23.       ถนนสายยุทธคาสตร์ของจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณเชื่อมดินแดนเปอร์เซียกับดินแดนใด

(1)       เมโสโปเตเมีย 

(2) คาบสมุทรบอลข่าน

(3) คาบสมุทรอนาโตเลีย        

(4) ปาเลสไตน์

ตอบ 3 หน้า 5257 ในสมัยดาริอุสที่ 1 แห่งจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณ ทรงห้มีการสร้างถนนหลวง(The Royal Road or The Royal Post Road or The Kings Highwayหรือถนนสายยุทธศาสตร์ที่เชื่อมจกเมืองหลวงซูซาในจักรวรรดิเปอร์เซียไปสู่เอเซียไมเนอร์บนคาบสมุทรอนาโตเลีย โดยมีปลายทางสิ้นสุดที่อีเพซุสซึ่งเป็นเมืองท่าชายฝั่งทะเลอีเจียน ซึ่งถบนหลวงสายนี้จะใช้ประโยชน์เพื่อการคมนาคม การค้าขาย การเคลื่อนกองกำลังทหาร และการสื่อสารส่งข่าวในทุกพื้นที่ของจักรวรรดิ

24.       ข้อใดถูก

(1)       ศาสนาโซโรแอสเตอร์คือศาสนาของจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณ

(2)       อะมอไรท์นำการสร้างจักรวรรดิแรกของโลก

(3)       แหล่งกำเนิดอารยธรรมฮิตไตท์ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศเลบานอน

(4)       อับราฮัมคือผู้นำฮิบรูอพยพจากดินแดนสลุ่มแม่นํ้าไนล์มุ่งกลับสู่ดินแดนปาเลสไตน์

ตอบ 1 หน้า 58 – 59 กษัตริย์ไซรัสที่ 2 ทรงกำหนดให้ศาสนาโซโรแอสเตอร์เป็นศาสนาของจักรวรรดิเปอร์เซียโบราณ (550 – 330 B.C.) ซึ่งหลักคำสอนของศาสนานี้มี 4 ประการ คือ

1.         มีลักษณะเป็นเอกเทวนิยม (Monotheisticนั่นคือ ให้ยึดมั่นในเทพเจ้าอะฮูรา มาสดาเพียงองค์เดียว   

2. คิด พูด และทำความดี

3. ไม่คิด ไม่พูด และไม่ทำความชั่ว     

4. วันพิพากษาและโลกหน้ามีจริง

25.       “บุตรสาวแห่งศาสนายูดาห์” (The Daughter of Judaismหมายถึงอะไร

(1)       นางมาเรีย       

(2) อิสราเอล   

(3) ศาสนาคริสต์        

(4) กรุงเยรูซาเล็ม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 17. ประกอบ

26.       แหล่งกำเนิดอารยธรรมอิสลามคือดินแดนใด

(1)       ตะวันออกกลาง          

(2) คาบสมุทรอนาโตเลีย

(3) คาบสมุทรอาระเบีย          

(4) คาบสมุทรบอลข่าน

ตอบ3 หน้า 6372 – 75 อารยธรรมอิสลามหรือมุสลิมมีแหล่งกำเนิดอยู่ในคาบสมุทรอาระเบีย(ประเทศซาอุดิอาระเบียในปัจจุบัน) ซึ่งในซ่วงเวลาที่จักรวรรดิอิสลามอยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์อับบาสิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การนำของกาหลิบฮารัน เอล-ราชิด นั้นได้รับการยกย่องว่าเป็น “ยุคทองของอารยธรรมอิสลาม” โดยแท้จริง

27.       ยุคทองของอารยธรรมอิสลามคือช่วงเวลาใด

(1)       ออตโตมาน เติร์ก        

(2) ราชวงศ์อุมัยยัค    

(3) เซลจุก เติร์ก         

(4)       ราชวงศ์อับบาสิต

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 26. ประกอบ

28.       ใครคือกาหลิบองค์แรกของจักรวรรดิมุสลิม

(1)       อาบู บากร์      

(2)       โอธมาน          

(3) อาลี          

(4)       มูวียะ

ตอบ 1 หน้า 66 – 67 จักรวรรดิอิสลามในช่วงปี 632 – 661 จะอยู่ภายใต้การนำของกาหลิบ 4 องค์โดยมีเมดินาเป็นเมืองหลวงแห่งแรกของจักรวรรดิอิสลาม ทั้งนี้ชาวมุสลิมจะเป็นผู้เลือกกาหลิบทั้ง 4 องค์เป็นผู้นำสังคมมุสลิม ไต้แก่ อาบู บากร์ (ได้รับเลือกให้เป็นกาหลิบองค์แรกของจักรวรรดิมุสลิม)โอมาร์ โอธมาน และอาลี

29.       มรดกความเจริญที่แคลเดียนให้แก่โลกคือด้านใด

(1)       การปกครอง   

(2) สถาปัตยกรรม      

(3) ศาสนา      

(4)       ภาษา

ตอบ 2 หน้า 3293 (เล่มเก่า) มรดกความเจริญทางอารยธรรมที่สำคัญที่แคลเดียนให้ไว้แก่โลก ได้แก่

1.         ด้านสถาปัตยกรรม ที่เด่น ได้แก่ สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน และกำแพงอิชต้า ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์

2.         ด้านโหราศาสตร์ ได้แก่ การกำหนดดวงดาวสำคัญ 7 ดวง คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ ดาวอังคารดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ เป็นชื่อของวันต่าง ๆ ใน 1 สัปดาห์

30.       ออตโตมาน เติร์ก คือใคร       

(1) เติร์กกลุ่มสุดท้ายที่รุกรานยุโรป

(2)       เติร์กผู้นำกองกำลังมุสลิมในสงครามครูเสด 

(3) เติร์กผู้ขับไล่ไบแซนไทน์ออกจากคาบสมุทรอนาโตเลีย

(4)       เติร์กผู้นำการบริหารจักรวรรดิมุสลิมในสมัยราชวงศ์อับบาสิต

ตอบ 1 หน้า 77 – 8588 ออตโตมาน เติร์ก เป็นกลุ่มเติร์กที่เข้ามามีบทบาทในเอเชียไมเนอร์ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 11 โดยในปี 1453 มูฮัมหมัดที่ 2 (Muhammad IIได้นำกองกำลังมุสลิมยึดกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้สำเร็จ ส่งผลให้จักรวรรดิไบแซนไทน์ของโรมันตะวันออกต้องล่มสลายลง นอกจากนี้ยังเป็นเติร์กกลุ่มสุดท้ายที่รุกรานยุโรป เป็นเติร์กกลุ่มสุดท้ายที่ถือครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของตะวันออกกลาง เป็นบรรพบุรุษของประชาชนตุรกีในปัจจุบัน เป็นผู้นำการปกครองจักรวรรดิยาวนานถึง 623 ปี รวมทั้งเป็นผู้ผสมผสานความเจริญของโลกตะวันออกและโลกตะวันตกได้เป็นอย่างดี

31.       คำว่า “เอเชียตะวันออก” เป็นชื่อเรียกที่นิยมกันมากในสมัยใด         

(1) ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20

(2)       สมัยล่าอาณานิคม     

(3) สมัยสงครามฝิ่น   

(5) สมัยสงครามเย็น

ตอบ 1 หน้า 97(HIS 1003 เลขพิมพ์ 55187 หน้า 270) ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกประกอบด้วย จีน เกาหลี มองโกเลีย และไต้หวัน ซึ่งดินแดนแถบนี้เดิมทีชาวจีนเรียกว่า“อาณาจักรกลาง” แต่สำหรับชาวตะวันตกจะรู้จักกันในชื่อ “ตะวันออกไกล” พอมาถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 จึงได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “เอเชียตะวันออก”

32.       สภาพภูมิประเทศทางภาคตะวันตกของจีนมีจุดเด่นในเรื่องใด

(1)       ประกอบไปด้วยที่ราบสูงและเทือกเขา

(2) เป็นที่เหมาะแก่การสร้างสุสานของผู้ปกครอง

(3)       เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชนที่เป็นปฏิบิกษ์ต่อรัฐบาลกลาง

(4)       มีแม่น้ำสำคัญหลายสายไหลผ่านเหมาะแก่การเพาะปลูก

 ตอบ 1 หน้า 97 สภาพภูมิประเทศทางภาคตะวันตกของจีนโดยส่วนใหญ่หรือประมาณ 2 ใน 3 ของประเทศจะเป็นพื้นที่ที่สูงกว่าส่วนอื่น ๆ ของประเทศ โดยประกอบไปด้วยภูเขา เทือกเขา และที่ราบสูง เช่น ภูเขาหิมาลัย ภูเขาคุนลุ้น ที่ราบสูงทิเบต ฯลฯ ส่วนพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้และภาคใต้จะเป็นที่ราบที่ลาดเอียงไปสู่มหาสมุทรแปซิฟิก

33.       จักรพรรดิจิ๋นซี นำแนวคิดของนักปรัชญาจีนท่านใดมาใช้ในการรวมประเทศ

(1) ขงจื๊อ        

(2) เล่าสือ       

(3) โมจื๊อ         

(4) ฮั่น ไฝ ลือ

ตอบ 4 หน้า 109(คำบรรยาย) ผลงานที่สำคัญประการหนึ่งของจิ๋นซี ฮ่องเต้ จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์จิ๋น คือ ทรงนำแนวคิดของฮั่น ไฝ ลือ นักปรัชญาแห่งสำนักฝาเจี่ย มาใช้ในการรวบรวมแผ่นดินจีนที่แตกแยกในสมัยราชวงศ์โจวเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันได้สำเร็จ ซึ่งต่อมาก็คือ ประเทศจีน(China)

34.       ข้อใดถูกเมื่อกล่าวถึง “ลุ่มแม่น้ำเหลือง”

(1)       ถูกใช้เป็นเส้นทางคมนาคมติดต่อจากภาคตะวันตกสู่ภาคตะวันออกของจีน

(2)       มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “แม่น้ำแยงซี”

(3)       เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมเริ่มแรกของจีน

(4)       นักบุกเบิกชาวตะวันตกนิยมตั้งบ้านเรือน ร้านค้า ทั้งสองข้างฝั่ง เพราะเหมาะแก่การขนส่ง

ตอบ 3 หน้า 97 – 99146 (เล่มเก่า)149 – 150 (เล่มเก่า) แม่นํ้าฮวงโหหรือแม่น้ำเหลืองเป็นแม่น้ำที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศจีน โดยจะเชื่อมระหว่างจีนภาคเหนือกับภาคกลางเข้าด้วยกันนอกจากนี้ยังเป็นแม่น้ำที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์จีน นั่นคือ เป็นแม่นำที่สร้างความอุดมสมบูรณให้แก่สองฟากฝั่งที่แม่น้ำไหลผ่าน รวมทั้งเป็นแหล่งกำเนิดหรือศูนย์กลางอารยธรรมเริ่มแรกของจีนในยุคหินใหม่ประมาณ 4000 B.Cมาแล้ว ดังจะเห็นได้จากการขุดค้นพบภาชนะเครื่องปั้นดินเผาลีและเสียน และเครื่องมือเครื่องใขช้ที่ทำมาจากดินเหนียวคลุกกับใบไม้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเจริญของจีนในยุคก่อนประวัติศาสตร์

35.       ถิ่นฐานดั้งเดิมของชาวมองโกลตั้งอยู่ทางภาคใดของจีน

(1) ภาคเหนือ 

(2) ภาคใต้      

(3) ภาคตะวันตก        

(4) ภาคตะวันออก

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ชาวมองโกลหรือชาวมองโกเลีย เป็นกลุ่มชนหนึ่งที่มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในประเทศมองโกเลีย และเขตปกครองตนเองมองโกลเลียในบริเวณที่ราบสูงทางภาคเหนือของประเทศจีน โดยชาวมองโกลสามารถเข้ายึดครองจีนได้ในสมัยราชวงศ์หยวน ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์จีนที่ทั้งประเทศตกอยู่ภายใต้การปกครองของขชาวต่างชาติ และเจริญสูงสุดในสมัยของกษัตริย์กุบไลข่าน

36.       ท่านใดไม่ใช่นักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของจีนโบราณ

(1) ซือมา ตัน  

(2) ซือมา เชียง           

(3) ปาน เปียว

(4) ขงจื๊อ

ตอบ 1 หน้า 105 – 108172 (เล่มเก่า)174 – 175 (เล่มเก่า) นักประวัติคาสตร์ที่มีชื่อเสียงของจีนโบราณ ได้แก่

1. ซือมา เชียง ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่คนแรกของจีน โดยผลงานเด่นของเขาคือ บันทึกของนักประวัติศาสตร์

2. บุคคลในตระกูลปานได้แก่ ปาน เปียวปาน กู และปาน เจา ซึ่งได้นำผลงานของซือมา เชียง มาเขียนเพิ่มเติมเพื่อให้สมบูรณ์มากขึ้น

3. ขงจื๊อ โดยผลงานเด่นของเขาคือ ตำรามีค่า 5 เล่ม หรือคัมภีร์ทั้ง 5(The Five Classicsฯลฯ

 37.      ข้อใดผิด

(1)       จิ๋นซี คือผู้รวมประเทศจีน ส่วนซุนยัดเซ็น คือผู้ล้มล้างราชวงศ์แมนจู

(2)       จีนอนุญาตให้อังกฤษตั้งสถานีการค้าที่แคนตอน ส่วนมาเก๊าให้เป็นของโปรตุเกส

(3)       เมาเซตุงใช้เกษตรกรรมเป็นหลักในการพัฒนาเศรษฐกิจ ส่วนเติ้งเสี่ยวผิงสนใจการค้า

(4)       ในบันทึกของจงจื๊อกล่าวว่า “กษัตริย์เหยาเป็นกษัตริย์ประชาธิปไตย ส่วนกษัตริย์ชุนเป็นเผด็จการ”

ตอบ 4 หน้า 98 – 100 กษัตริย์เหยาและกษัตริย์ชุน เป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 4 และ 5ในรัชสมัยของกษัตริย์ฮวงตี่ของจีน ซึ่งทั้ง 2 พระองศ์มักถูกกล่าวอ้างเสมอในบันทึกคำสอนของขงจื๊อว่าเป็นกษัตริย์ที่ทรงไว้ซึ่งคุณธรรมและมีแนวคิดประชาธิปไตยที่สมควรใช้เป็นแบบอย่าง จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “ กษัตริย์นักประชาธิปไตย ”

38.       จักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงกับราชวงศ์หยวนต่างกันในเรื่องใด

(1) ชาติพันธุ์   

(2) หลักการปกครอง  

(3) นโยบายต่างประเทศ

(4) ระบบเศรษฐกิจ

ตอบ 1 (คำบรรยาย) จักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงกับราชวงศ์หยวนมีลักษณะที่ต่างกันในเรื่องชาติพันธุ์กล่าวคือ จักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงจะเป็นชาวฮั่นหรือชาวจีนแท้ ๆ โดยมีฐานะเป็นสามัญชนหรือเป็นชาวนามาก่อน ส่วนจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หยวนจะไม่ใช่ชาวจีนแท้หรือเป็นชาวต่างชาติ นั่นคือ ชาวมองโกล

39.       แนวคิดที่ว่าด้วย “อาณัติแห่งสวรรค์” ราชวงศ์ใดเป็นผู้นำมาใช้เป็นครั้งแรก

(1) ชาง           

(2) เซีย

(3) โจว

(4) สมัย 5 วีรบุรุษ

ตอบ 3 หน้า 102(คำบรรยาย) ความเจริญเด่นที่เกิดขึ้นในจีนสมัยราชวงศ์โจวตะวันตก คือผู้ปกครองได้นำแนวคิดทางการเมืองที่ยอดเยี่ยมซึ่งเรียกว่า “ทฤษฎีแห่งสวรรค์” มาใช้ในการปกครองประเทศเป็นครั้งแรก โดยกษัตริย์จะถือว่าตนเป็น “โอรสหรือบุตรแห่งสวรรค์” หมายถึง องศ์จักรพรรดิที่สืบเชื้อสายมาจากสวรรค์ให้ลงมาปกครองมนุษย์ และได้รับอำนาจที่สวรรค์มอบให้เพื่อใช้ปกครองโลกเรียกว่า “อาณัติแห่งสวรรค์”

40.       อาณาจักรจิ๋นอันยิ่งใหญ่หมายถึงอาณาจักรใด

(1) อาณาจักรโรมัน    

(2) ดินแดนลุ่มแม่นํ้าไทกริส-ยูเฟรติส

(3) อินเดียโบราณ      

(4) อียิปต์สมัยกลาง

ตอบ 1 หน้า 174 (เล่มเก่า) ในสมัยราชวงศ์ฮั่นยุคหลัง จีนมีทารติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตกไกลไปถึงจักรวรรดิโรมัน โดยอาศัยเส้นทางสายไหม (Silk Roadและเส้นทางทางทะเล ด้วยเหตุนี้จีนจึงเป็นที่รู้จักของชาวโรมันในนามของ “ดินแดนแห่งผ้าไหม” ในขณะเดียวกัน ด้วยความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรโรมัน จีนจึงยกย่องให้อาณาจักรโรมันเท่าเทียมกับอาณาจักรจิ๋นของจีนโดยเรียกอาณาจักรโรมันว่า “อาณาจักรจินอันยิ่งใหญ่”

41.       ตะวันตกชาติใดเดินทางมาติดต่อค้าขายกับจีนแต่ไม่ประสบความสำเร็จและล้มเลิกความตั้งใจในที่สุด

(1) โปรตุเกส  

(2) อังกฤษ     

(3) สเปน        

(4) ดัตช์

ตอบ 3 หน้า 112204 (เล่มเก่า)(คำบรรยาย) ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 ชาติตะวันตกเริ่มเดินทางเข้ามาในเอเชียมากขึ้น โดยในปี ค.ศ. 1514 ได้มีชาวตะวันตกชาติแรกเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายกับจีนคือ พ่อค้าชาวโปรตุเกส ตามมาด้วยฮอลันดา (ดัตช์) อังกฤษ ฝรั่งเศส และสเปนโดยสเปนพยายามเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายกับจีนแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จและล้มเลิกความตั้งใจในที่สุด

42.       ข้อใดไม่ใช่ข้อเรียกร้องของกลุ่มนักศึกษาในฮ่องกงที่เรียกตนเองว่า “Occupy Central

(1)       ต้องการให้ผู้ปกครองฮ่องกงลาออก

(2)       ต้องการแยกฮ่องกงออกจากประเทศจีน

(3)       ต้องการให้จีนแผ่นดินใหญ่เคารพในสิทธิและเสียงของชาวฮ่องกงในการเลือกผู้บริหารโดยตรง

(4)       ต้องการให้ฮ่องกงมีอิสระในการปกครองตนเอง

ตอบ 2 (คำบรรยาย) ข้อเรียกร้องของกลุ่มนักศึกษาในฮ่องกงที่เรียกตนเองว่า “Occupy Central” นั้นมีดังนี้

1. ต้องการให้ผู้ปกครองฮ่องกงลาออก เพราะใช้กำลังเข้าปราบปรามประชาชน

2. ต้องการให้จีนแผ่นดินใหญ่เคารพในสิทธิและเสียงของชาวฮ่องกงในการเลือกผู้บริหารโดยตรง

3. ต้องการให้ฮ่องกงมีอิสระในการปกครองตนเอง

43.       ข้อใดผิด

(1)       ผู้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของจีนปัจจุบันคือ สี จิ้นผิง

(2)       นายกรัฐมนตรีโจวเอินไหล สนับสนุนนโยบาย “สี่ทันสมัย” ของเติ้งเสี่ยวผิง

(3)       จีนนำหน้าญี่ปุ่น และปัจจุบันก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจในเอเชีย

(4)       สงครามฝิ่นเป็นสงครามระหว่างจีนกับรัสเซีย

ตอบ 4 หน้า 112 – 113(คำบรรยาย) สงครามฝิ่น (ค.ศ. 1839 – 1842) เป็นสงครามระหว่างจีนกับอังกฤษที่เกิดขึ้นในสมัยราชวงศ์แมนจู ซึ่งผลปรากฏว่าจีนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ทำให้จีนต้องลงนามในสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคฉบับแรกกับอังกฤษ เรียกว่า “สนธิสัญญานานกิง” (Treaty of Nankingจนส่งผลให้จีนต้องเปลี่ยนสภาพจากอาณาจักรกลางไปเป็นประเทศกึ่งอาณานิคมของชาติตะวันตกในที่สุด

44.       พรรคการเมืองใดที่ปกครองจีนในปัจจุบัน

(1) พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน 

(2) พรรคสังคมนิยมแห่งประเทศจีน

(3) พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย     

(4) พรรคประชาธิปไตยประชาชนจีน

ตอบ 1 (คำบรรยาย) จีนแผ่นดินใหญ่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ซึ่งมีการปกครองแบบลัทธิสังคมนิยมในลักษณะของตนเอง โดยมีพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนเป็นผู้กำหนดนโยบายต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันมีนายสี จิ้นผิง เป็นประธานาธิบดี เลขาธิการพรรคและประธานคณะกรรมาธิการทหารส่วนกลาง และมีนายหลี่ เค่อเฉียง เป็นนายกรัฐมนตรี

45.       คนป่าเถื่อนในสายตาของผู้ปกครองจีนหมายถึงใคร

(1) ชนกลุ่มเร่ร่อนทางตอนเหนือของจีน          

(2) ชาวทิเบต

(3) ชาวเอเชียที่ไม่ใช่ชาวจีน    

(4) ผู้มีอาชีพพ่อค้า

ตอบ 4 หน้า 204 (เล่มเก่า)215229(คำบรรยาย) ในสมัยราชวงศ์หมิงช่วงปี ค.ศ. 1514 ได้เริ่มมีพ่อค้าชาวโปรตุเกสเดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายด้วย รวมทั้งได้นำความรู้หรือเทคนิคใหม่ๆเข้ามาเผยแพร่ ซึ่งในขณะนั้นพ่อค้าชาวโปรตุเกสไม่ได้รับการต้อนรับมากนัก เนื่องจากผู้ปกครองจีนมีความคิดว่าตนนั้นเป็นประเทศที่มีความเจริญมากที่สุด จนมองดูพ่อค้าาวตะวันตกชาติต่างๆ ว่าเป็น “คนป่าเถื่อน” ดังนั้นผู้ปกครองจีนจึงไม่ยอมรับความเจริญของคนป่าเถื่อนมาช้ในประเทศของตน

46.       ข้อใดถูก

(1)       เกาะฮอนชูเป็นแหล่งที่มีประชากรอาศัยอยู่มากที่สุด

(2)       เกาะชิโกกุตั้งอยู่ทางเหนือสุดของประเทศ

(3)       เกาะที่ใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นคือเกาะริวกิว

(4)       เกาะที่เล็กที่สุดของญี่ปุ่นคือเกาะฮอกไกโด

ตอบ 1 หน้า 121(คำบรรยาย) เกาะที่สำคัญของญี่ปุ่นมีอยู่ 4 เกาะ ได้แก่

1.         เกาะฮอกไกโด เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางภาคเหนือของญี่ปุ่น และถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมเริ่มแรกของญี่ปุ่น

2.         เกาะฮอนซู เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดา 4 เกาะ มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นมากที่สุด และถือว่ามีความเจริญมากที่สุด โดยเป็นศูนย์กลางทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองและการปกครองของญี่ปุ่น

3.         เกาะชิโกกุ เป็นเกาะที่มีขนาดเล็กที่สุด โดยมีชื่อเสียงในเรื่องความงดงามของหมู่เกาะและชายฝั่งทะเล

4.         เกาะคิวชิว เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของญี่ปุ่น และเป็นเกาะแรกที่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากการติดต่อกับชาวยุโรป

47.       ชาวไอนุคือใคร

(1) บรรพบุรุษรุ่นแรกของญี่ปุ่น           

(2) เป็นกลุ่มนักโทษจีนที่ถูกส่งไปจำคุกบนเกาะฮอกไกโด

(3) นักจารึกแสวงบุญจากยุโรป         

(4) เชื่อว่าเป็นลูกหลานของเทพีแห่งดวงอาทิตย์

ตอบ 1 หน้า 123(คำบรรยาย) พวกไอนุ ถือว่าเป็นบรรพบุรุษกลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งรกรากอยู่บนเกาะฮอกไกโดทางภาคเหนือของญี่ปุ่นในช่วงประมาณ 20,000 – 10,000 ปีก่อนคริสตกาลโดยเป็นพวกที่มีเชื้อสายคอเคซอยด์มากกว่ามองโกลอยด์ ดังนั้นจึงมีลักษณะคล้ายชาวยุโรปมากกว่าชาวเอเชีย นั่นคือ เป็นคนผิวขาว หน้าแบน ตาสีฟ้า ขนดก และมีรูปร่างไม่สูงนัก ปัจจุบันพวกไอบุจะอาศัยอยู่มากบนเกาะฮอกไกโดและเกาะคูริล

48.       ข้อใดไม่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่นโบราณ

(1)       นักรบญี่ปุ่นโบราณเคยเข้าไปครอบครองรัฐมิมานาของเกาหลีหลายร้อยปี

(2)       จิมมู เทนโน คือผู้รวมแผ่นดินญี่ปุ่นที่แตกแยกเข้าด้วยกัน

(3)       สังคมอูจิเป็นสังคมที่ยอมรับสตรีเป็นผู้นำ

(4)       วัฒนธรรมทูมูลิ ญี่ปุ่นรับมาจากจีน

ตอบ 4 หน้า 125 วัฒนธรรมทูมูลิหรือวัฒนธรรมหลุมฝังศพ เป็นวัฒนธรรมความเจริญรุ่นแรกของญี่ปุ่นโบราณอย่างหนึ่งที่รับมาจากเกาหลีโดยผ่านกลุ่มชนชั้นสูงในสังคม ซึ่งจะมีลักษณะเป็นสุสานหรือหลุมฝังศพขนาดใหญ่ที่ใช้บรรจุศพของบุคคลสำคัญของประเทศโดยเฉพาะองค์จักรพรรดิ ทั้งนี้จะมีการนำเครืองมือเครื่องใช้ เช่น รูปตุ๊กตาดินเผาหรือตัวฮานีวา อาวุธของนักรบ และเครื่องประดับต่างๆ ฝังรวมลงไปในหลุมฝังศพด้วย โดยเริ่มปรากฏขึ้นครั้งแรกบนเกาะคิวชิว

49.       ลัทธิชินโต เชื่อในเรื่องใดมากที่สุด

(1)       ความบริสุทธิ์ยุติธรรมของธรรมชาติ    

(2) เชื่อในภูตผีปีศาจ

(3) ความศักดิสิทธิ์ของเทพีแห่งดวงอาทิตย์   

(4) นับถือบรรพบุรุษ

ตอบ 1 หน้า 126(คำบรรยาย) ลัทธิชินโต เป็นลัทธิความเชื่อดั้งเดิมของขาวญี่ปุ่นโบราณที่ไม่ได้รับมาจากใคร แต่ได้รับอิทธิพลมาจากความบริสุทธิ์ยุติธรรมของธรรมชาติอันงดงามและสิ่งแวดล้อมที่น่ารื่นรมย์ของชาวญี่ปุ่นเอง โดยเน้นการควบคุมธรรมชาติมากกว่าความหวาดกลัว และเชื่อว่าสรรพสิ่งทั้งหลายมีวิญญาณ ดังนั้นจึงมีการนับถือธรรมชาติโดยไม่มีเกณฑ์ใด ๆ แน่นอน ทั้งนี้ในปี ค.ศ. 1868 รัฐบาลญี่ปุ่นได้สถาปนา “ลัทธิชินโตของรัฐ” ขึ้น ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติของญี่ปุ่นที่เน้นความเป็นชาตินิยม และการนับถือองค์จักรพรรดิว่ามีฐานะเป็นเทพ

50.       ข้อใดคือความเจริญที่ญี่ปุ่นรับมาจากจีน

(1)       ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก     

(2) อุตสาหกรรมการต่อเรือเดินสมุทรด้วยเหล็กกล้า

(3) การนับถือความบริสุทธิ์ในธรรมชาติ         

(4) สถาปัตยกรรมการก่อสร้างแห่งเมืองนารา

ตอบ 4 หน้า 126 – 129 ความเจริญที่สำคัญที่ญี่ปุ่นโบราณรับมาจากจีน ได้แก่

1.         ตัวอักษรจีน     

2. รูปแบบการปกครองในสมัยราชวงศ์ถังของจีน      

3. ศาสนาพุทธ

4.         สถาปัตยกรรม โดยมีการสร้างบ้านเมืองเพื่อรองรับหน่วยงานปกครองต่าง ๆ เช่น ปราสาทราชวังสถานที่ราชการ ฯลฯ มีการจำลองรูปแบบตึกรามบ้านช่องจากจีน และมีการก่อสร้างเมืองสำคัญที่สวยงาม เช่น เมืองหลวงแห่งนครนารา เมืองหลวงเกียวโตแห่งยุคเฮอิอัน เป็นต้น

51.       ในสมัยศักดินา วรรณกรรมที่ผลิตขึ้นส่วนใหญ่มุ่งยกย่องชนชั้นใด    

(1) พ่อค้านักธุรกิจ

(2) ชนชั้นขุนนาง ชนชั้นสูง     

(3) ชาวไร่ชาวนา         

(4) ชบชั้นปัญญาชน

ตอบ 2 หน้า 130 – 131(คำบรรยาย) ญี่ปุ่นในสมัยศักดินายุคแรกหรือสมัยโชกุนเรืองอำนาจ

(ค.ศ.900 – 1600) มีความเจริญที่สำคัญเกิดขึ้นหลายด้าน เช่น ทางด้านวรรณคดีหรือ

วรรณกรรม ส่วนใหญ่จะมุ่งยกย่องชนชั้นขุนนางและชนชั้นสูงหรือชนชั้นปกครอง โดยเฉพาะ

การผจญภัยอันกล้าหาญของนักรบหรือซามูไร

52.       ข้อใดผิด

(1)       หนังสือโคจิกิ และนิฮอง โซกิ เป็นผลงานทางประวัติศาสตร์โบราณของญี่ปุ่น

(2)       โชกุนคือตำแหน่งผู้นำทางทหารของญี่ปุ่นในสมัยศักดินา

(3)       ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ประชากรใฝ่แสวงหาความรู้ใหม่ ๆ

(4)       ต่างชาติที่บังคับเปีดประเทศญี่ปุ่นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 คือ อังกฤษ

ตอบ 4 หน้า 133 ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ช่วงหลังสงครามนั้น ชาติตะวันตกต้องการติดต่อกับญี่ปุ่นมากขึ้น เริ่มจากรัสเซียและอังกฤษที่เดินทางเข้ามาขอเปิดประเทศ แต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งมาจบลงที่สหรัฐอเมริกาซึ่งได้ส่งนายพลเรือเปอร์รีพร้อมเรือปืนเพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1853 ต่อมาญี่ปุ่นได้ยอมลงนามในสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคกับสหรัฐอเมริกา จากนั้นญี่ปุ่นก็ลงนมเปิดประเทศกับชาติตะวันตกอื่น ๆ เพิ่มขึ้น เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย เป็นต้น

53.       ญี่ปุ่นยอมรับความพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายหลังเหตุการณ์ใด

(1) ถูกระเบิดลงที่เมืองฮิโรชิมา นางาซากิ      

(2) การพ่ายแพ้ในสงครามกับจีนในเกาหลี

(3) การลอบสังหารผู้นำทางทหารโดยกลุ่มนักรบนิรนาม        

(4) ถูกทุกข้อ

ตอบ 1 หน้า 135 – 136(คำบรรยาย) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับเยอรมนี โดยเปิดฉากเข้ายึดครองจีนในปี ค.ศ. 1937 ต่อมาได้รุกรานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปไกลถึงฮาวายในปี ค.ศ. 1941 จนกระทังเมื่อญี่ปุ่นได้เข้าโจมตีอ่าวเพิร์ลอฮาร์เบอร์ของสหรัฐอเมริกา เป็นเหตุให้กองกำลังพันธมิตรภายใต้การนำของสหรัฐฯ ส่งฝูงบินมาทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองสำคัญของญี่ปุ่น 2 เมืองคือ เมืองฮิโรชิมา ในวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1945 และเมืองนางาซากิ ในวันที่ 9 สิงหาคมในปีเดียวกัน ซึ่งระเบิดได้ทำลายญี่ปุ่นลงอย่างย่อยยับ จนทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศวางอาวุธและยอมรับความพ่ายแพ้ต่อฝ่ายพันธมิตรในที่สุด

54.       ใครคือนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของญี่ปุ่น

(1) นายชินโซะ อาเบะ

(2) นายอิโต ฮิโรบูมิ    

(3) นายฟูกูดา ยาซูโอะ           

(4) นายโตซิกิ ไคฟู

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ญี่ปุ่นมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา โดยมีพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDPเป็นพรรครัฐบาลที่ปกครองญี่ปุ่น ซึ่งนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันก็คือนายชินโซะ อาเบะ ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 2012

55.       พรรคการเมืองใดปกครองญี่ปุ่นในปัจจุบัน

(1) พรรคญี่ปุ่นก้าวหน้า          

(2) พรรคประชาธิปไตยญี่ปุ่น

(3) พรรคเสรีประชาธิปไตย    

(4) พรรคสังคมนิยม

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 54. ประกอบ

56.       ข้อใดผิดเมื่อกล่าวถึงเกาหลี

(1) เป็นชาติที่อ่อนแอและต้องพึ่งพาจีน          

(2) สถานที่ตั้งถูกขนาบข้างด้วยมหาอำนาจ

(3) แตกแยกเป็น 2 ประเทศ   

(4) คิม จอง-อึน นิยมสหรัฐอเมริกา

ตอบ 4 (คำบรรยาย) ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือคนปัจจุบันคือ นายคิม จอง-อึน โดยเริ่มดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 2012 ส่วนประธานาธิบดีของเกาหลีใต้คนปัจจุบันก็คือ นางปาร์ค กึน-เฮ โดยเริ่มดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2013

57.       เทพเจ้าดันกุน-วังกอม คือใคร

(1)       บรรพบุรุษของชาวเกาหลีและเป็นผู้ก่อตั้งอาณาจักรโกโชซอน

(2)       ผู้นำการอพยพหนีภัยการเมืองมาจากจีนในสมัยราชวงศ์ชาง

(3)       บุคคลแรกที่นำเหล็กมาผลิตเป็นเครื่องมือทางการเกษตร

(4)       เป็นผู้มีจิตศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างแรงกล้าและประกาศให้เป็นศาสนาประจำชาติ

ตอบ 1 หน้า 146 ตามหลักฐานของชาวเกาหลีที่ปรากฏในตำนานโคกุน กล่าวว่า อาณาจักรโกโชซอนหรือโชซอนแรกก่อตั้งขึ้นโดยบรรพบุรุษของชาวเกาหลีนามว่า ดันกุน-วังกอม ซึ่งเป็นพวกมองโกลอยด์ที่มีฐานะเป็นบุตรของเทพเจ้าที่เสด็จลงมาสู่โลกมนุษย์เมื่อประมาณ 2,333 ปีก่อนคริสตกาลโดยมีอาณาเขตคลุมพื้นที่ทางภาคเหนือของคาบสมุทรระหว่างลุ่มแม่น้ำเหลียวกับลุ่มแม่นํ้าเตดอง

58.       ที่เรียกว่า “ถังจิ๋ว” ตรงกับสมัยใดของเกาหลี

(1) ซิลลา        

(2) โกโชซอน  

(3) ปักเจ        

(4) โชซอน

ตอบ 1 เกาหลีโบราณมีการปกครองที่เรียกว่า“ยุค 3 อาณาจักร” (Three Kingdomsซึ่งเป็นอาณาจักรของชาวเกาหลีแท้ ๆ ประกอบด้วยอาณาจักรโคคูเรียวหรีอโคกูรยอ (มีอิทธิพลมากที่สุด) อาณาจักรปักเจ และอาณาจักรซิลลา ซึ่งได้ชื่อว่า “ถังจิ๋วหรือถังน้อย” (Little Tangเนื่องจากได้รับเอาแบบอย่างความเจริญมาจากจีนในสมัยราชวงศ์ถัง

59.       ยางบัน จุงอิน ยางมิน และซอนมิน คือใคร

(1) ตำแหน่งผู้นำทางทหารของเกาหลีเหนือ   

(2) ชนชั้นที่ลดหลั่นกันในสังคมลมัยราชวงศ์ยี่

(3) เชื้อพระวงศ์ตามลำดับการสืบราชบัลลังก์

(4) นักธุรกิจ เจ้าของที่ดินในสมัยปักเจ

ตอบ 2 หน้า 157 สังคมเกาหลีโบราณในสมัยราชวงศ์ยี่มีการกำหนดหน้าที่ของคนในสังคมอย่างละเอียดโดยแบ่งออกเป็น 4 ชนชั้น คือ

1.         ชนชั้นยางบัน เป็นชนชั้นสูงสุดในสังคม ได้แก่ ข้าราชการพลเรือน และข้าราชการทหารซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอำนาจทางการเมืองมากที่สุด

2.         ชนชั้นจุงอิบ เป็นชนชั้นกลาง ได้แก่ ข้าราชการในระดับรับนโยบายมาปฏิบัติ

3.         ชนชั้นยางมิน เป็นชนชั้นสามัญชนซึ่งมีจำนวนมากที่สุด ได้แก่ กลุ่มช่างฝีมือ ช่างประดิษฐ์ ช่างก่อสร้าง และชาวไร่ชาวนา

4.         ชนชั้นชอนมิน เป็นชนชั้นต่ำสุดในสังคม ได้แก่ พวกทาสที่สังกัดรัฐบาลและเอกชน รวมทั้งนักแสดง สตรีที่ขายบริการ นักไสยศาสตร์ และพ่อค้าขายเนื้อสัตว์

60.       ข้อใดผิด

(1)       ก่อนที่เกาหลีจะประดิษฐ์ตัวอักษร “ฮันกูล” เกาหลีใช้ตัวอักษรจีนเป็นหลัก

(2)       เกาหลีเหนือมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการ “สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี”

(3)       ลัทธิจูเช ของเกาหลีเหนือ เน้นความเป็น “ชาตินิยม พึ่งพาตนเอง และเชื่อผู้นำดุจเทพเจ้า”

(4)       นายกรัฐมนตรีของเกาหลีใต้เป็นสตรีนามว่า ปาร์ค กิน-เฮ

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 56. ประกอบ

61.       อารยธรรมเริ่มแรกของเอเชียใต้เกิดขึ้นในบริเวณที่ราบลุ่มแม่นํ้าใด

(1) คงคา        

(2) สินธุ          

(3) ยมุนา        

(4) พรหมบุตร

ตอบ 2 หน้า 174183188 อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุเป็นอารยธรรมเริ่มแรกของเอเชียใต้และของโลกโดยเป็นอารยธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นบริเวณที่ราบลุ่มแม่นํ้าสินธุหรืออินดัสในประเทศปากีสถานปัจจุบัน เมื่อประมาณ 5,000 ปีมาแล้ว ซึ่งเห็นได้จากการขุดพบซากเมืองโบราณสำคัญ 2 เมือง คือ เมืองโมเหนโจดาโรและฮารัปปา ทั้งนี้ชนชาติที่เป็นผู้สร้างอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุก็คือ พวกทราวิฑหรือดราวิเดียน (Dravidiansซึ่งเป็นชนพื้นเมืองเดิมของอินเดีย นอกจากนี้ชาวสินธุยังเป็นชนกลุ่มแรกของโลกที่รู้จักจัดห้องน้ำแบบยืนตักอาบและทำท่อระบายนํ้าโสโครก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุมีความเจริญสูงสุดด้านสุขาภิบาล เมื่อเทียบกับแหล่งอารยธรรมเริ่มแรกในบริเวณอื่นของโลก

62.       ผู้สร้างอารยธรรมเริ่มแรกในเอเขียใต้ได้แก่พวกใด

(1) อารยัน      

(2) ทราวิฑ      

(3) ตังกัส        

(4) พยู่

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

63.       พื้นที่ส่วนใหญ่ของแหล่งอารยธรรมเริ่มแรกในเอเชียใต้ปัจจุบันตั้งอยู่ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศใด

(1) อินเดีย      

(2) บังคลาเทศ

(3) ปากีสถาน

(4) อัฟกานิสถาน

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 61. ประกอบ

64.       มรดกตกทอดของแหล่งอารยธรรมเริ่มแรกที่มืต่อชนรุ่นหลังที่สำคัญที่สุดคือเรื่องใด

(1) ศาสนา      

(2) ภาษา        

(3) การชลประทาน    

(4) การปกครอง

ตอบ 1 หน้า 183186 – 188 มรดกด้านอารยธรรมของแหล่งอารยธรรมเริ่มแรกในเอเชียใต้(อารยธรรมล่มแม่นํ้าสินธุ) ที่ตกทอดถึงอินเดียรุ่นหลังที่สำคัญที่สุด ก็คือ ความเชื่อทางศาสนาเช่น การนับถือเจ้าแม่หรือมหามาตา การบูชาพระศิวะและศิวลึงค์ การบูชาวัวตัวผู้ การบูชาต้นโพและต้นไทร เป็นต้น ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ชาวฮินดูสมัยใหม่เป็นหนี้ชาวสินธุอยู่มาก

65.       เส้นทางแรกที่ชาวต่างชาติเดินทางเข้ารุกรานชมพูทวีปได้แก่บริเวณใด         

(1) ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ

(2) ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ   

(3) ทิศตะวันตกเฉียงใต้         

(4) ทิศตะวันออกเฉียงใต้

ตอบ 1 (คำบรรยาย) อารยันเป็นชนเผ่าที่สืบเชื้อสายมาจากพวกอินโด-ยูโรเปียน และถือว่าเป็นซาวต่างชาติพวกแรกที่เข้ามารุกรานอินเดียโบราณ (ชมพูทวีป) แต่เดิมนั้นจะอาศัยอยู่ทางภาคกลางองทวีปเอเชียรอบ ๆ ทะเลสาบแคสเปียน ต่อมาได้เข้ารุกรานอินเดียโดยผ่านทางช่องเขาไคเบอร์ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอินเดีย และได้จับชาวพื้นเมือง (ทราวิฑ) มาเป็นทาสซึ่งชนเผ่าอารยันนี้จะมีลักษณะเด่นคือ มีผิวขาว ตัวสูง และจมูกโด่ง ในปัจจุบันก็คือประชากรส่วนใหญ่ของอินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ

66.       คัมภีร์พระเวทเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพราหมณ์ที่ศึกษาได้เฉพาะคนในวรรณะพราหมณ์ กษัตริย์ถามว่าเริ่มแรกสุดได้แก่เล่มใด

(1) ฤคเวท      

(2) ยชุรเวท     

(3) สามเวท    

(4) อาถรรพเวท

ตอบ 1 หน้า 191 – 192(คำบรรยาย) คัมภีร์พระเวท เป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและนับว่าเป็นวรรณคดีที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ซึ่งคัมภีร์พระเวทในชั้นแรกมี 3 เล่ม เรียกว่า“ไตรเวท” ได้แก่ ฤคเวท (เป็นเล่มที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุด) ยชุรเวท และสามเวท ต่อมาได้มีการแต่งอาถรรพเวทเพิ่มเติมขึ้นมาอีกเล่มหนึ่ง

67.       ถ้าจัดคุณสมบัติของตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เข้าอยู่ในระบบวรรณะควรจัดอยู่ในระบบวรรณะใด

(1) พราหมณ์  

(2) กษัตริย์     

(3) แพศย์       

(4) ศูทร

ตอบ 2 หน้า 195 – 196(คำบรรยาย) ในเรื่องระบบวรรณะของสังคมอินเดียโบราณจะเป็นไปตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งเชื่อว่า พระเจ้า (พระพรหม) เป็นผู้สร้าง โดยทรงสร้างมนุษย์เพื่อสันติจากอวัยวะของพระองค์ 4 ส่วน ได้แก่

1.         วรรณะพราหมณ์ (สร้างจากพระโอษฐ์หรือปาก) จัดเป็นชนชั้นสูงสุดของสังคม ได้แก่นักบวช นักปราชญ์ และครูอาจารย์ สีประจำวรรณะคือ สีขาว

2.         วรรณะกษัตริย์ (สร้างจากพระพาหาหรือแขน) ได้แก่ นักปกครอง ทหารหรือนักรบ และตำรวจ สีประจำวรรณะคือ สีแดง

3.         วรรณะแพศย์หรือไวศยะ (สร้างจากพระโสณีหรือสะโพก) ได้แก่ เกษตรกร พ่อค้านายธนาคาร ฯลฯ สีประจำวรรณะคือ สีเหลือง

4.         วรรณะศูทร (สร้างจากพระบาทหรือเท้า) จัดเป็นชนชั้นตํ่าสุดของสังคม ได้แก่ พวกกรรมกรและข้าหรือทาส สีประจำวรรณะคือ สีดำ

68.       ถ้าจัดคุณสมบัติของบุคคลผู้มีอายุ 30 ปี เข้าอยู่ในหลักอาศรม 4 ตามคติฮินดู ควรจัดไว้ในอาศรมใด

(1) พรหมจรรยาศรม   

(2) คฤหัสถ์ถาศรม     

(3) วานปรัสถาศรม    

(4) สันยัสตาศรม

ตอบ 2 หน้า 199(คำบรรยาย) ตามคำสอนของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูนั้น หลักอาศรม 4 หมายถึงธรรมหรือหลักการปฏิบัติหน้าที่ของตนตามวัยหรีอตามขั้นตอนของชีวิต โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบของคนในแต่ละอาศรมให้เหมาะกับวัย ซึ่งประกอบด้วย

1.         พรหมจรรยาศรมหรือพรหมจารี (อายุ 1-25 ปีเป็นวัยแห่งการศึกษา

2.         คฤหัสถาศรมหรือคฤหัสถ์ (อายุ 26 – 50 บี) เป็นวัยแห่งการครองเรือนหรือการแต่งงานมีครอบครัว

3.         วานปรัสถาศรมหรือวานปรัสถ์ (อายุ 51 – 75 บี) เป็นวัยแห่งการบริการสังคม

4.         สันยัสตาศรมหรือสันยาสี (อายุ 76 – 100 บี) เป็นวัยแห่งการกระทำเพื่อมนุษยชาติโดยการออกบวชตลอดชีพเพื่อแสวงหาโมกษะ

69.       ศาสนาคู่ใดมีคำสอนสอดคล้องกับมากที่สุด

(1) พราหมณ์-เชน       

(2) เชน-พุทธ  

(3) พุทธ-สิกข์ 

(4) สิกข์-เชน

ตอบ 2 หน้า 202 – 203205 – 207 ศาสนาเชนและศาสนาพุทธจะมีหลักคำสอนที่คล้ายคลึงกันมากที่สุด โดยเฉพาะหลักอนุพรต 5 ของเชนจะเหมือนกับศีล 5 ของพุทธ นอกจากนี้ทั้ง 2 ศาสนายังมีทัศนะที่ขัดแย้งกับศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เหมือนกันหลายเรื่อง เช่น ไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้าสร้างโลก การฆ่าสัตว์บูชายัญ ระบบวรรณะ การสวดอ้อนวอนหรือบวงสรวงเพื่อขอพรจากพระเจ้า การล้างบาปในแม่น้ำคงคาอันศักดิสิทธิ์ เป็นต้น

70.       พระธรรมจักรและกวางหมอบเป็นสัญลักษณ์แทนปางใดของพระพุทธเจ้า

(1) ปางประสูติ           

(2) ปางตรัสรู้  

(3) ปางปฐมเทศนา    

(4) ปางปรินิพพาน

ตอบ 3 หน้า 214 – 217(คำบรรยาย) พระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์เมารยะทรงมีพระราชกรณียกิจ ดังนี้

1.         ทรงใช้อำนาจปกครองราษฎรแบบพ่อปกครองลูก ดังคำกล่าวที่ว่า “พระราชาจงรักษาประชาราษฎร์ให้เหมือนบิดารักษาบุตรทุกเมื่อ” และทรงเป็นธรรมราชา

2.         ทรงส่งสมณทูตออกไปเผยแผ่ศาสนารวม 9 สายไปทั่วอินเดียทุกภาคและออกนอกประเทศอินเดียเป็นครั้งแรก

3.         ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกของพุทธศาสนา จนทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองที่สุดในสมัยนี้ เช่น โปรดให้จารึกพระธรรมคำสอนลงบนเสาหินที่เรียกว่า “Asokas Pillars” โดยหัวเสาจะมีรูปสิงห์ 4 ตัวยืนหันหลังชนกัน ข้างบนหลังสิงห์มีพระธรรมจักร ซึ่งปัจจุบันอินเดียใช้หัวเสารูปสิงห์เป็นตราแผ่นดิน รวมทั้งโปรดให้สร้างพระธรรมจักรขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อเป็นสัญลักษณ์แทนพระธรรมคำสอน อาทิเช่น ปางปฐมเทศนาจะทำเป็นภาพพระธรรมจักรและมีกวางหมอบ เป็นต้น

71.       กษัตริย์พระองศ์ใดเป็นแบบอย่างขององค์ประมุขที่มีขันติธรรมในศาสนา

(1) พระเจ้าอักบาร์      

(2) พระเจ้าจาหันกีร์   

(3) พระเจ้าชาห์เจฮาน

(4) พระเจ้าโอรังเซป

ตอบ 1 หน้า 224 – 225(คำบรรยาย) พระเจ้าอักบาร์มหาราช ทรงเป็นหนึ่งในพระจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ในสมัยจักรวรรดิโมกุลแห่งอินเดีย โดยเป็นผู้ที่ทำให้จักรวรรดิโมกุลเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดและมีอาณาเขตกว้างขวาง ซึ่งผลงานที่สำคัญประการหนึ่งของพระองค์ก็คือ ทรงมีขันติธรรมในศสนาหรือให้เสรีภาพในการนับถือศาสนา ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจหลักในการปกครองประเทศเนื่องจากทำให้ทุกศาสนาอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติและทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบสุข

 

72.       “พระราชาจงรักษาประชาราษฎร์ให้เหมือนบิดารักษาบุตรทุกเมื่อ” ท่านว่ากษัตริย์พระองค์ใดทรงปฏิบัติตามหลักธรรมดังกล่าว

(1) พระเจ้าจันทรคุปต์

(2) พระเจ้าอักบาร์      

(3) พระเจ้าโอรังเซป   

(4) พระเจ้าอโศก

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ

73.       ราชวงค์ใดของอินเดียที่พุทธคาสนาเจริญสูงสุด

(1) ราชวงศ์เมารยะ    

(2) ราชวงศ์คุปตะ       

(3) ราชวงศ์คุงคะ       

(4) ราชวงศ์กุษาณะ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ

74.       บทละครเรื่อง ศกุนตลา เป็นมรดกด้านวรรณกรรมของสมัยใด

(1) ราชวงศ์เมารยะ    

(2) ราชวงศ์คุปตะ       

(3) ราชวงศ์ศุงคะ       

(4) ราชวงศ์กุษาณะ

ตอบ 2 หน้า 219 – 222 ในสมัยราชวงศ์คุปตะได้ชื่อว่าเป็น “ยุคทองของอินเดียโบราณ” เพราะมี

ความเจริญด้านศิลปวิทยาการต่าง ๆ มากมาย ดังนี้

1. เป็น “ยุคทองของวรรณคดีสันสกฤต”โดยกวีเอกในสมัยนี้ได้แก่ กาลิทาส ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “เช็คสเปียร์แห่งอินเดีย”โดยผลงานเด่นที่รู้จักไปทัวโลกคือ บทละครเรื่องศกุนตลา ซึ่งเป็นวรรณกรรมอินเดียที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงนำมาแปลเป็นภาษาไทย 2. มีความเจริญทางด้านสถาปัตยกรรมและจิตรกรรม ที่เด่น ๆ คือ การเจาะภูเขาเป็นลูก ๆ ให้เป็นถํ้าเพื่อสร้างสังฆารามหรือเทวสถานและพุทธสถาน ที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ถํ้าอชันตา ซึ่งภาพเขียนสีรูปพระโพธิสัตว์ปัทมปาณีบนฝาผนังถํ้าที่ 1 ถือว่าเป็นจิตรกรรมชิ้นเอกของยุค

75.       “มุมทัชมาฮาล” แปลว่า “รัตนะแหงราชสำนัก” เป็นที่มาของการสร้างปราสาททัชมาฮาล ถามว่าพระนางเป็นพระมเหสีของกษัตริย์พระองศ์ใด

(1) พระเจ้าอักบาร์      

(2) พระเจ้าบาบูร์        

(3) พระเจ้าจาหันกีร์   

(4) พระเจ้าชาห์เจฮาน

ตอบ 4 หน้า 226 พระเจ้าชาห์เจฮานทรงมีพระมเหสีที่ทรงพระสิริโฉมงดงามนามว่า“มุมทัชมาฮาล”แปลว่า รัตนแห่งราชสำนัก ตอมาเมื่อพระนางสวรรคตขณะประสูติพระโอรสองศ์ที่ 14 ทำให้พระเจ้าชาเน์จฮานเสียพระทัยอย่างมาก จึงโปรดให้สร้างปราสาททัชมาฮาลขึ้นที่เมืองอักราเพื่อใช้เป็นสุสานเก็บพระศพของพระมเหสีมุมทัช โดยทัชมาฮาลจะเป็นศิลปะฮินดูผสมมุสลิมและจัดเป็นสถาปัตยกรรมที่มีความงดงามจนนับเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

76.       อินเดียสมัยใดได้ชื่อว่า เป็นยุคทองของอินเดียโบราณ          

(1) ราชวงศ์เมารยะ

(2) ราชวงศ์อินโด-แบกเทรีย   

(3) ราชวงศ์คุปตะ       

(4) ราชวงศ์โมกุล

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 74. ประกอบ

77.       ภาษาใดที่คนพูดกันมากที่สุดในอินเดีย

(1) เบงกาลี    

(2) อูรดู           

(3) ปัญจาบ    

(4) ฮินดี

ตอบ 4 หน้า 175 – 176(คำบรรยาย) อินเดียเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางด้านภาษา โดยมีภาษาพูดกว่า 200 ภาษา และหากนับรวมภาษาถิ่นด้วยจะมีราว 800 ภาษา ทั้งนี้ภาษาต่าง ๆที่ใช้กันอยู่ในอินเดียปัจจุบันจะเป็นภาษาอินโด-อารยันสมัยใหม่ที่ถือกำเนิดมาจากภาษาสันสกฤต เช่น ภาษาฮินดี อูรดู บงกาลี คุชราตี ฯลฯ โดยภาษาที่คนอินเดียพูดและใช้กันมากที่สุดในปัจจุบัน คือ ภาษาฮินดี รองลงมา ได้แก่ ภาษาอูรดู และภาษาอังกฤษ ซึ่งเป็นภาษาราชการที่ใช้สอนในมหาวิทยาลัย

78.       ชาวตะวันตกชาติใดที่เข้ามาในอินเดียเป็นชาติแรกและสามารถยึดตลาดการค้าจากพ่อค้าอาหรับได้สำเร็จในคริสต์คตวรรษที่ 16

(1) โปรตุเกส  

(2) ดัตช์          

(3) อังกฤษ     

(4) ฝรั่งเศส

ตอบ 1 โปรตุเกสเป็นมหาอำนาจตะวันตกาติแรกที่เข้าไปมีอิทธิพลสูงสุดในอินเดียในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยได้เดินเรือเข้ามาค้าขายในอินเดียแถบชายฝั่งทะเลตะวันตกนับจากบอมเบย์ไปจนถึงเกาะลังกาควบคู่ไปกับการเผยแผ่ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก จนสามารถยึดตลาดการค้ามาจากพ่อค้าอาหรับที่มีอิทธิพลอยู่ในดินแดนนี้ได้สำเร็จ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองกัว (Goaซึ่งเป็นศูนย์กลางทั้งทางด้านการค้าศาสนาคริสต์ การปกครอง และวัฒนธรรมของโปรตุเกส

79.       ข้าหลวงคนใดเป็นผู้จุดฉนวนกบฏซีปอย

(1) Lord Bentinck      

(2) Lord Dalhousie

(3) Lord Cornwallis  

(4) Lord Curzon

ตอบ 2 หน้า 232 – 234 Lord Dalhousie เป็นข้าหลวงใหญ่ชาวอังกฤษที่ได้ออกกฎหมายแทรกแซงอินเดียหลายเรื่อง จนเป็นขบวนที่ทำให้เกิด “กบฏซีปอย” ขึ้นในปี ค.ศ. 1857 ซึ่งการแทรกแซงดังกล่าวมีดังนี้

1. ออกกฎหมายยึดครองดินแดนที่เริยกว่า “The Doctrine of Lapse ทำให้ประเพณีในการสืบราชสมบัติของเจ้าผู้ครองนครเปลี่ยนไป

2. ออกกฎหมายสำรวจโฉนดที่ดิน ซึ่งกำหนดว่า ถ้าเจ้าของที่ดินไม่มีโฉนดมาแสดงก็ให้ยึดเป็นของอังกฤษ

3. ออกกฎหมายแทรกแซงทางด้านสังคมและศาสนา เช่น ให้ยกเลิกพิธีสุตตี (Suttee),ออกกฎหมายให้หญิงม่ายแต่งงานใหม่ได้ยกเลิกการฆ่าเด็กทารกแรกเกิดและประเพณีฆ่าคนบูฃายัญ ฯลฯ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ถือว่าเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดกบฏซีปอย

4. สาเหตุปัจจุบันทันด่วนคือ อังกฤษได้นำปืนเล็กยาว (Enfield Rifleมาให้ทหารซีปอยใช้โดยได้นำน้ำมันหมูและไขวัวมาใช้เป็นนํ้ามันหล่อลื่นลูกปืนชนิดใหม่ ทำให้ทหารซีปอยทั้งมุสลิมและฮินดูรู้สึกว่าเป็นการดูหมิ่นศาสนาของตน

80.       สาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดกบฏซีปอยคืออังกฤษออกกฎหมายแทรกแซงเรื่องใดของอินเดีย

(1) ด้านการปกครอง

(2) ด้านเศรษฐกิจ       

(3) ด้านสังคม 

(4) ด้านการทหาร

ตอบ 3 ดูคำอธิบายข้อ 79. ประกอบ

81.       อะไรเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้กบฏซีปอยแพ้อังกฤษ

(1) อาวุธยุทโธปกรณ์ด้อยกว่าของอังกฤษ     

(2) ระบบการสือสารด้อยกว่าของอังกฤษ

(3) ซีปอยมีความชำนาญในการรบด้อยกว่าอังกฤษ   

(4) ชาวอินเดียแตกความสามัคคี

ตอบ 4 หน้า 234 สาเหตุสำคัญที่ทำให้อังกฤษชนะกบฏซีปอยได้ มีดังนี้

1.         ผู้นำทัพและทหารอังกฤษ มีประสบการณ์และความชำนาญในการรบมากกว่า และมีอาวุธที่ทันสมัยกว่า

2.         อังกฤษมีระบบและเครื่องมือการสื่อสารที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงกว่าซึ่งก็คือเครื่องโทรเลขที่ช่วยให้สามารถส่งข่าวได้อย่างรวดเร็ว

3.         ผู้ปกครองหลายรัฐเข้าร่วมกับอังกฤษเพื่อปราบกบฏซีปอย อันแสดงให้เห็นถึงการแตกความสามัคคีในหมู่ชาวอินเดียเอง ซึ่งถือเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้กบฏซีปอยพ่ายแพ้อังกฤษ

82.       นักชาตินิยมคนใดที่ยอมรับกันว่า “หัวรุนแรงที่สุด”

(1) Nehru 

(2) Jinnah

(3) Tilak    

(4) Ranade

ตอบ หน้า 239(คำบรรยาย) พาล คงคาธาร ติลัก (Bal Gangadhar Tilakเป็นนักชาตินิยมหัวรุนแรงที่สุดของอินเดีย โดยเขาจะไม่ยอมรับการปฏิรูปใด ๆ ในแนวทางของอังกฤษ นอกจากนี้ยังเป็นผู้บุกเบิกการเปลี่ยนแปลงแนวความคิดชาตินิยมของอินเดียมาเป็นขบวนการประชาชนโดยยึดคติว่า“การปกครองตนเองเป็นสิทธิอันชอบธรรมของประชาชน และประชาชนต้องการปกครองตนเอง”รวมทั้งเป็นผู้ฟื้นฟูขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณของอินเดียขึ้นมาใหม่ เพื่อปลุกจิตลำนึกชาตินิยมในหมู่ชาวอินเดีย ทั้งนี้ติลักได้รับสมญานามจากชาวอินเดียว่า “โลกมานยะ” แต่ชาวอังกฤษกลับตั้งฉายาว่าเป็น “บิดาแห่งความยุ่งยากในประวัติศาสตร์อินเดีย”

83.       หัวใจการต่อสู้ของขบวนการสัตยาเคราะห์คือเรื่องใด

(1) อหิงสา      

(2) ขันติ          

(3) อุเบกข

(4) เมตตากรุณา

ตอบ1 มหาตมะ คานธี (Mahatma Gandhiเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถทางด้านนิติศาสตร์ และเป็นนักชาตินิยมที่ต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชให้อินเดีย โดยใช้วิธีการต่อสู้ที่เรียกว่า“การต่อต้านเงียบ” หรือ “ขบวนการสัตยาเคราะห์” ซึ่งเป็นการต่อสู้โดยสันติวิธีและไม่ใช้กำลังแต่ใช้พลังธรรมะและการเจรจาต่อรอง โดยสัตยาเคราะห์ประกอบด้วยหลักใหญ่ 3 ประการ ได้แก่

1. สัตยะ คือ ความจริง           

2. อหิงสา คือ ความไม่เบียดเบียนให้เสียเลือดเนื้อ ไม่ใช้กำลัง หรือวิธีรุนแรง

3. การดื้อแพ่ง คือ การไม่ปฏิบัติตาม ไม่เชื่อฟัง และไม่ใช้อาวุธต่อสู้กับผู้ปกครอง

84.       การที่อังกฤษออก พ.ร.บ. เก็บอะไรที่ชาวอินเดียถือว่าไม่เป็นธรรมมากที่สุด

(1) ภาษีที่ดิน  

(2) ภาษีการค้า           

(3) ภาษีเกลือ 

(4) ภาษีมรดก

ตอบ 3 หน้า 224515 (เล่มเก่า) การที่อังกฤษออก พ.ร.บ. เก็บภาษีเกลือชาวอินเดียแพงเกินไปนั้นาวอินเดียถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมมากที่สุด เพราะส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของชาวอินเดียในทุกครัวเรือน จนมหาตมะ คานธี ต้องชักชวนประชาชนให้หันมาทำนาเกลือเองผลปรากฏว่าอังกฤษสั่งปราบปรามอย่างรุนแรง ต่อมาอังกฤษก็ยอมเปิดการประชุมโต้ะกลมระหว่างอินเดียกับอังกฤษเพื่อแก้ไขปัญหานี้ในที่สุด

85.       ท่านคิดว่าอะไรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักชาตินิยมชื่นชอบ “The MorleyMinto Reforms of 1909”

(1)       เป็นครั้งแรกที่ชาวอินเดียมีเสรีภาพในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา

(2)       เป็นครั้งแรกที่ชาวอินเดียได้สิทธิเลือกรัฐบาลปกครองตนเอง

(3)       เป็นครั้งแรกที่ชาวอินเดียได้เข้าไปทำงานในหน่วยงานของรัฐ

(4)       เป็นครั้งแรกที่ชาวอินเดียได้เข้าไปนั่งในสภา

ตอบ 4 หน้า 242 – 243 ในปี ค.ศ. 1909 อังกฤษได้ออกกฎหมายปฏิรูปมอร์เลย์–มินโต (The MorleyMinto Reformsซึ่งมีสาระสำคัญคือ การเปิดโอกาสให้ชาวอินเดียได้เข้าไปนั่งในสภาเป็นครั้งแรกด้วยการให้สิทธิชาวอินเดียเลือกผู้แทน 2 คน เพื่อเข้าเป็นสมาชิกสภารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอินเดียที่กรุงลอนดอน โดยชาวอินเดีย 1 คนจะประจำอยู่ในสภาบริหารของข้าหลวงใหญ่อังกฤษในส่วนกลาง ส่วนอีกคนหนึ่งจะประจำอยู่ในสภาระดับท้องถิ่นคือ สภาบริหารประจำแคว้นแต่ละแคว้นของอินเดีย ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ถูกมองว่าเป็นประโยชน์สูงสุดในเรื่องการปูพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาให้แก่อินเดีย

86.       ข้อใดที่เป็นเนื้อหาสำคัญของ “The Rowlatt Act of 1919” ที่ทำให้นักชาตินิยมไม่พอใจ

(1) อังกฤษอนุญาตให้หญิงม่ายแต่งงานได้   

(2) อังกฤษแบ่งแคว้นเบงกอลออกเป็น 2 ส่วน

(3) อังกฤษควบคุมการบริหารในมหาวิทยาลัย           

(4) อังกฤษลิดรอนเสรีภาพของซาวอินเดยอย่างรุนแรง

ตอบ 4 หน้า 243 จากการที่นักชาตินิยมอินเดียซึ่งนำโดยติลัก ได้มีการเรียกร้องสิทธิในการปกครองตนเองที่เข้มข้นและรุนแรง ทำให้อังกฤษออกกฎหมายเพื่อป้องกันการจลาจลที่เรียกว่า“กฎหมายโรว์แลตต์” (The Rowlatt Act of 1919) ซึ่งมีสาระสำคัญว่า รัฐบาลหรือเจ้าหน้าที่มีสิทธิอำนาจในการจับกุมคุมขังผู้ต้องสงสัยว่าก่อการจลาจลหรือคิดล้มล้างรัฐบาลได้ทันทีโดยไม่ต้องดำเนินการสอบสวนหรือขึ้นศาลตามขบวนการยุติธรรม ซึ่งนักชาตินิยมมองว่าเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของชาวอินเดียอย่างรุนแรง จนเป็นสาเหตุให้มหาตมะ คานธีลุกขึ้นมาเป็นผู้นำในการประท้วงอังกฤษเสียเอง

87.       บุคคลใดได้รับสมญานามว่าเป็น “บิดาแห่งชาติปากีสถาน”

(1) Nehru 

(2) Gandhi

(3) Jinnah

(4) Tilak

ตอบ 3 หน้า 241244 – 245(คำบรรยาย) มูฮัมหมัด อาลี จินนาห์ (Muhammad Alt Jinnah)ประธานพรรคสันนิบาตมุสลิม เป็นนักชาตินิยมที่ต่อสู้เพื่อเรียกร้องเอกราชให้อินเดียควบคู่ไปกับการต่อสู้เพื่อชาวอินเดียที่เป็นมุสลิม โดยการประชุมสันนิบาตมุสลิมทีละโฮร์ในปี ค.ศ. 1940จินนาห์ได้เสนอข้อมติเพื่อขอแยกมุสลิมออกจากฮินดูมาตั้งประเทศปากีสถาน จนกระทั่งเมื่ออินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี ค.ศ. 1947 อินเดียได้แยกออกเป็น 2 ประเทศคือ อินเดียและปากีสถาน ทำให้จินนาห์ได้รับสมญานามว่าเป็น “บิดาแห่งชาติปากีสถาน”

88.       รูปสิงห์สี่ตัวยืนหันหลังชนกันที่อินเดียใช้เป็นตราแผ่นดินนั้น ได้มาจากที่ใด

(1) หัวเสาในสมัยพระเจ้าอโศก          

(2) หัวเสาในสมัยพระเจ้ามิลินทร์

(3) หัวเสาในสมัยพระเจ้าจันทรคุปต์  

(4) หัวเสาในสมัยพระเจ้าอักบาร์

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ

89.       กลางผืนธงชาติของอินเดีย บนแถบสีขาวมีสิ่งใดปรากฏอยู่

(1) ดอกบัว     

(2) ช้าง           

(3) ธรรมจักร  

(4) นกยูง

ตอบ 3 (คำบรรยาย) ธงชาติของสาธารณรัฐอินเดียประกอบด้วยแถบสี 3 แถบ คือ แถบบนสีส้ม

แถบล่างสีเขียว ส่วนแถบกลางสีขาวจะมีรูปพระธรรมจักรอยู่ตรงกลาง ซึ่งพระธรรมจักรดังกล่าวก็คือสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธนั่นเอง

90.       ท่านคิดว่ามรดกด้านอารยธรรมของอินเดียในเรื่องใดที่ทำให้อารยธรรมอินเดียดูยิ่งใหญ่เท่าจีน

(1) ภาษา        

(2) ศาสนา      

(3) ศิลปะ       

(4) การปกครอง

ตอบ 2 หน้า 174(คำบรรยาย) อินเดียโบราณได้ชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดของ 4 ศาสนาสำคัญของโลกคือ พราหมณ์-ฮินดู เชน พุทธ และสิกข์ ซึ่งจากมรดกอารยธรรมในด้านศาสนานี้เองที่ทำให้อายธรรมอินเดียยิ่งใหญ่เท่าจีน นั้งนี้เพราะจีนรับอารยธรรมด้านศาสนาไปจากอินเดียนั่นเอง

91.       อาณาจักรโบราณในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนี้บุญคุณด้านวัฒนธรรมของประเทศใดมากที่สุด

(1) โรมัน         

(2) เปอร์เซีย   

(3) อินเดีย      

(4) จีน

ตอบ 3 หน้า 255270 – 271273 – 275323 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asia) หมายถึง ดินแดนในเอเชียตะวันออกส่วนที่อยู่บนผืนแผ่นดิบใหญ่ซึ่งเป็นแหลมอินโดจีนและดินแดนที่เป็นหมู่เกาะต่างๆ ซึ่งกระจายอยู่ทั้งในมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกนอกจากนี้ยังเป็นดินแดนที่มีประชากรหลายชาติพันธุ์อาศัยอยู่ เป็นแหล่งที่มาของเครื่องเทศโดยเฉพาะในหมู่เกาะต่าง ๆ รวมทั้งเป็นดินแดนที่ตั้งอยู่ระหว่างอินเดียและจีน จึงเป็นแหล่งรับวัฒนธรรมจากทั้ง 2 ประเทศ โดยดินแดนต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้จะได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอินเดียเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นเวียดนามเพียงประเทศเดียวที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีน เราจึงสามารถสรุปได้ว่า อาณาจักรโบราณในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นหนี้บุญคุณวัฒนธรรมอินเดียมากที่สุด

92.       ข้อใดต่อไปนี้ไม่ได้หมายถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) มีหลายชาติพันธุ์   

(2) ดินแดนแห่งเครื่องเทศ

(3) ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมจากอินเดียมากที่สุด        

(4) อยู่ติดมหาสมุทรแอตแลนติก

ตอบ 4 ดูคำอธิบายข้อ 91. ประกอบ

93.       แม่นํ้าสายใดยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) แม่นํ้าโขง  

(2) แม่นํ้าเจ้าพระยา   

(3) แม่นํ้าอิระวดี         

(4) แม่นํ้าแดง

ตอบ 1 หน้า 256 – 257542 (เล่มเก่า) แม่นํ้าโขง ถือว่าเป็นแม่นํ้าสายที่ยาวที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหิมาลัย เป็นแม่นํ้าสายสำคัญที่ไหลผ่านหลายประเทศได้แก่ จีน ลาว พม่า ไทย กัมพูชา และไหลลงสู่ทะเลจีนใต้ที่เวียดนาม นอกจากนี้ยังเป็นเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างไทยกับลาวอีกด้วย

94.       แม่นํ้าสำคัญของประเทศลาวคือแม่น้ำสายใด

(1) แม่น้ำโขง  

(2) แม่นํ้าแดง 

(3) แม่นํ้าดำ   

(4) แม่นํ้าสาละวิน

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 93. ประกอบ

95.       ภาษาใดจัดอยู่ในกลุ่ม AustroAsiatic

(1) ภาษาพม่า

(2) ภาษาไทย 

(3) ภาษาเวียดนาม    

(4) ภาษามอญ

ตอบ 4 หน้า 259 ประชากรของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบ่งออกตามภาษาพูดได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้

1.         กลุ่มพูดภาษาตระกูล SinoTibetan ได้แก่ ภาษาจีน ภาษาทิเบต-พม่า ภาษากะเหรี่ยงและภาษาแม้ว-เย้า

2.         กลุ่มพูดภาษาตระกูล TaiKadai ได้แก่ ภาษาไทหรือไต และภาษากะได สำหรับภาษาไทยในปัจจุบันก็จัดอยู่ในตระกูลนี้ด้วย

3.         กลุ่มพูดภาษาตระกูล AustroAsiatic ได้แก่ ภาษามอญ-เขมร ภาษาเวียด-มวงและภาษาเซนอย-เซมัง

4.         กลุ่มพูดภาษาตระกูล Austronesian หรือ MalayoPolynesian ได้แก่ ภาษาจามและภาษามาเลย์

96.       ภาษาไทยจัดอยู่ในกลุ่มภาษาตระกูลใด

(1) SinoTibetan

(2) TaiKadai

(3) AustroAsiatic

(4) MalayoPolynesian

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 95. ประกอบ

97.       ประชากรกลุ่มมองโกลอยด์เหนือมีลักษณะทางกายภาพแบบใด

(1) ตัวเตี้ย ผิวดำ ผมหยิก       

(2) ตัวสูง ผิวขาว ผมหยิก

(3) ตัวเล็ก ผิวขาวเหลือง ผมเหยียดตรง        

(4) ตัวสูง ผิวดำ ผมหยิก

 ตอบ 3 หน้า 543 (เล่มเก่า)(คำบรรยาย) ประชากรของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แบ่งออกตามลักษณะทางกายภาพได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้

1.         ออสตราลอยด์ (Australoidเป็นประชากรเชื้อสายอินโดนีเซีย-มาเลเซียที่อาศัยอยู่ตามหมู่เกาะฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ส่วนใหญ่จะตัวเตี้ย ผิวดำ และผมหยิก

2.         มองโกลอยด์ (Mongoloidเป็นกลุ่มชนมองโกลอยด์เหนือที่อพยพมาจากตอนเหนือของจีนแล้วเข้ามาอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่ของภูมิภาคนี้ เช่น ชาวไทย ลาว พม่า ฯลฯส่วนใหญ่จะตัวเล็ก ผิวขาวเหลือง และผมเหยียดตรง

98.       ทะเลอันดามันเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรใด            

(1) มหาสมุทรอินเดีย

(2)  มหาสมุทรแปซิฟิก           

(3) มหาสมุทรอาร์กติก           

(4) มหาสมุทรแอตแลนติก

ตอบ 1 หน้า 541 (เล่มเก่า)(คำบรรยาย) ดิบแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เปรียบเสมือนเป็นกำแพงที่แบ่งเขตมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกออกจากกัน โดยทางฝั่งตะวันตก ได้แก่ทะเลอันดามันของไทย ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรอินเดีย ส่วนทางฝั่งตะวันออก ได้แก่อ่าวไทยและทะเลจีนใต้ ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของมหาสมุทรแปซิฟิก

99.       ข้อใดต่อไปนี้ไม่ได้หมายถึงมนุษย์ชวา

(1) ค้นพบโดย อูยีน ดูบัว ศัลยแพทย์ชาวฮอลันดา     

(2) ยืนสองขา

(3) ความจุสมองเท่ามนุษย์ในปัจจุบัน

(4) เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์

ตอบ 3 หน้า 266 – 267548 (เล่มเก่า) ในปี ค.ศ. 1891 อูยีน ดูบัว (Eugene Duboisศัลยแพทย์าวฮอลันดา ได้ค้นพบซากฟอสซิลของมนุษย์โฮโม อีเรคตัส (Homo erectusหรือมนุษย์ชวาบริเวณเกาะชวาประเทศอินโดนีเซียเป็นครั้งแรกโดยนักมานุษยวิทยาได้จัดมนุษย์ชวาที่ขุดพบนี้ว่าเป็นมนุษย์วานร (Pithecanthropusซึ่งเป็นบรรพบุรุษเริ่มแรกของมนุษย์ โดยสามารถยืนสองขาได้ แต่มีขนาดของสมองเล็กกว่ามนุษย์ในปัจจุบัน และมีชีวิตอยู่ในยุคน้ำแข็งตอนต้น

100.    ข้อใดคือวัฒนธรรมยุคหินใหม่           

(1) เพาะปลูก-เลี้ยงสัตว์

(2) เคลื่อนย้ายตามฤดูกาล    

(3) อาศัยอยู่ตามถํ้า    

(4) ใช้เครื่องมือหินกะเทาะ

ตอบ 1 หน้า 268(คำบรรยาย) ยุคหินใหม่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอายุประมาณ 6,000 – 4,000 ปีมาแล้ว ซึ่งเป็นยุคของการปฎิวิติเกษตรกรรม โดยมนุษย์จะเริ่มทำการเกษตรกรรมซึ่งเป็นเศรษฐกิจแบบใหม่คือ เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ โดยเฉพาะการปลูกข้าวและผลไม้หลาย ๆ ชนิดอกจากนี้ยังเป็นยุคที่เริ่มมีการสร้างที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งแล้วอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านเริ่มรู้จักการทำเครื่องจักสาน ภาชนะดินเผา และเครื่องมือหินขัดขึ้นใช้ มีการแบ่งงานกันทำและมีการติดต่อกับระหว่างชุมชนเพื่อแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ดังนั้นยุคหินใหม่จึงเป็นยุคของการเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์

101.    วัฒนธรรมฟิงนอยเอียน เป็นวัฒนธรรมหินเก่าทื่อยู่ในประเทศใด

(1) พม่า          

(2) ลาว           

(3) เวียดนาม  

(4) ไทย

ตอบ 4 หน้า 266 ยุคหินเก่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีอายุประมาณ 500,000 – 10,000 ปีมาแล้วซึ่งวัฒนธรรมหินเก่าในภูมิภาคนี้จะมีชื่อวัฒนธรรมแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศตามสถานที่ที่พบก่อน ได้แก่ วัฒนธรรมอันยาเธียนในพม่า วัฒนธรรมฟิงนอยเอียนในไทยวัฒนธรรมแทมปาเนียนในมาเลเซีย และวัฒนธรรมปัตจีตาเนียนในอินโดนีเซีย

102.    ข้อใดไม่ใช่หลักฐานจากอินเดียที่แสดงการติดต่อระหว่างอินเดียกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) คัมภีร์อรรถศาสตร์

(2) คัมภีร์ปุราณะ       

(3) หนังสือเรื่อง Geographia

(4) ชาดก

ตอบ 3 หน้า 272 – 273558 – 559 (เล่มเก่า) หลักฐานที่แสดงถึงการติดต่อระหว่างอินเดียกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีดังนี้

1. หลักฐานจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ จารึกเกี่ยวกับอาณาจักรฟูนันและแหลมมลายู

2. หลักฐานจากโรมัน ได้แก่ หนังสือเรื่องภูมิศาสตร์(Geographiaของปโทเลมี 

3. หลักฐานจากอินเดีย ได้แก่ มหากาพย์รามายณะคัมภีร์อรรถศาสตร์ ชาดก คัมภีร์ปุราณะ นิเทสสะ และจารึกพระเจ้าอโศกมหาราช

4.         หลักฐานของจีน ได้แก่ บันทึกการเดินทางของราชทูตจีน

103.    อิทธิพลจีนส่งผลแก่วัฒนธรรมของชาติใดมากที่สุด

(1) พิลิปปินส์ 

(2) เวียดนาม  

(3) กัมพูชา     

(4) มาเลเซีย

ตอบ 2 หน้า 275(HIS 1003 เลขพิมพ์ 55187 หน้า 368 – 369) เวียดนามเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใด้ที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีนโดยตรง ซึ่งวัฒนธรรมที่จีนนำมาให้เวียดนาม ได้แก่

1. การปกครองแบบโอรสสวรรค์หรืออาณัติสวรรค์

2. ระเบียบการบริหารราชการและระบบการสอบไล่เข้ารับราชการหรือการสอบจอหงวนตามลัทธิขงจื๊อ

3. ลัทธิขงจื๊อและศาสนาพุทธนิกายมหายาน

4. วรรณคดีและอักษรศาสตร์

5. วัฒนธรรมความเป็นอยู่และประเพณี เช่น การแต่งกาย การกิน การแต่งงาน การทำศพ เป็นด้น

104.    ตามความเชื่อของขาวฟูนันเชื่อว่ากษัตริย์อยู่ในฐานะใด

(1) เจ้าแห่งแม่นํ้า        

(2) เจ้าแห่งป่าไม้        

(3) เจ้าแห่งภูเขา         

(4) เจ้าแห่งสุวรรณภูมิ

ตอบ 3 หน้า 279 – 281568 (เล่มเก่า) จากเอกสารของจีนได้บันทึกเอาไว้ว่า ฟูนันเป็นอาณาจักรที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 6 โดยมีเมืองหลวงชื่อ วยาธปุระ มีเมืองท่าที่สำคัญคือ เมืองออกแก้ว และมีศูนย์กลางของอาณาจักรอยู่ทางตอนใต้ของประเทศกัมพูชาในปัจจุบัน ทั้งนี้คำว่า “ฟูนัน” เป็นการเรียกตามแบบจีนหากมาจากภาษาเขมรจะเรียกว่า“บนัมหรือพนม”แปลว่าภูเขาและชาวฟูนันจะเรียกประมุขว่า“กุรุง บนัม” แปลว่า กษัตริย์แห่งภูเขา เนื่องจากชาวฟูนันเชื่อว่ากษัตริย์จะอยู่ในฐานะเจ้าแห่งภูเขา (Kings of the Mountainsหรือไศลราชา

105.    เมืองหลวงของฟูนันคือเมืองใด

(1) เมืองออกแก้ว       

(2) เมืองวยาธปุระ      

(3) เมืองนครปฐม       

(4) เมืองบิญดิน

ตอบ 2 ดูคำอธิบายข้อ 104. ประกอบ

106.    กษัตริย์องค์ใดของเขมรที่เป็นผู้สร้างปราสาทบายน  

(1) พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2

(2) พระเจ้าชัยวรมันที่ 2         

(3) พระเจ้าชัยวรมันที่ 7         

(4) พระเจ้าอิศานวรมัน

ตอบ 3 หน้า 286573 (เล่มเก่า)(คำบรรยาย) เขมรในสมัยพระเจ้าชัยเวรมันที่ 7 ได้มีการสร้างปราสาทบายนขึ้นโดยรับอิทธิพลจากพุทธศาสนานิกายมหายาน ลักษณะเด่นของปราสาทบายนคือ บนยอดของปรางค์ทุกองค์จะมีการแกะสลักเป็นรูปพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรผันพระพักตร์ออกไปทั้งสี่ทิศ โดยมีจุดประสงค์ในการสร้างก็เพื่อเป็นศูนย์กลางของเมืองพระนครหลวงหรือนครธม และเป็นพุทธสถานหรือศาสนบรรพตประจำราชธานีบริเวณกลางเมืองพระนคร

107.    ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่กลุ่มเมืองมอญ

(1) พะโค        

(2) สะเทิม      

(3) เมาะตะมะ

(4) พุกาม

ตอบ 4 หน้า 292 – 294299 กลุ่มชนเชื้อชาติมอญได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณพม่าตอบล่างด้านตะวันออกของแม่นํ้าอิระวดี ซึ่งชาวพม่าจะเรียกพวกมอญว่า “เตลง” ทั้งนี้พวกมอญได้ตั้งเมืองหลวงอยู่ที่เมืองสะเทิมหรือเมืองสุธรรมวดี บริเวณปากอ่าวเมืองเมาะตะมะ ต่อมาเมื่อมอญถูกชนชาติพม่ารุกราน จึงถอยร่นลงมาอยู่ทางตอนไต้และสถาปนารัฐของตนขึ้นมาใหม่ที่เมืองพะโคหรือเมืองหงสาวดีในปี พ.ศ. 1368

108.    ตามบันทึกของจีน ชาวจามมีลักษณะอย่างไร           

(1) ผิวขาว ผมเหยียดตรง

(2) ตาลึก ผมดำ         

(3) ตาโต ผิวขาว         

(4) ตัวใหญ่ ผมเหยียดตรง

ตอบ 2 หน้า 287 ตามบันทึกของจีนระบุว่า อาณาจักรจามปาหรือลินยี่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอาณาจักรจีนหรือบริเวณตอบกลางของเวียดนาม และอยู่ทางภาคเหนือฃองอาณาจักรฟูนัน ซึ่งในปัจจุบันก็คือบริเวณที่เป็นเมืองเว้ เมืองกวังนัม เมืองถัวเกียน เมืองผันรัง และเมืองญาตรังของเวียดนามทั้งนี้ลักษณะของซาวจามโดยทั่วไปจะมีลูกตาลึก จมูกเป็นสันโด่ง ผมดำและหยิก

109.    ข้อใดกล่าวถึงอาณาจักรพุกามไม่ถูกต้อง

(1) พุกามล่มสลายลงเพราะถูกมอญโจมตี    

(2) พุกามได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมจากมอญ

(3) กษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ของพุกามคือ พระเจ้าอโนรธา

(4) พุทธศาสนานิกายเถรวาทเจริญรุ่งเรืองในพุกามอย่างมาก

ตอบ 1 หน้า 294 – 296 พุกามเป็นอาณาจักรแรกที่ปกครองโดยชาวพม่า โดยตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของลุ่มแม่นํ้าอิระวดี และอยู่ในเขตที่แห้งแล้งที่สุดซองพม่า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพุกามคือพระเจ้าอโนรธา โดยพระองค์ทรงขยายดินแดนออกไปโดยอ้างสิทธิธรรมทางศาสนาในการโจมตีและยึดครองดินแดนต่าง ๆ และทรงสร้างพุกามให้เป็นศูนย์กลางของพุทธศาสนานิกายเถรวาทที่เจริญรุ่งเรืองอย่างมาก ทั้งนี้อาณาจักรพุกามล่มสลายลงเนื่องจากถูกกองทัพมองโกลของกุบไลข่านเข้าโจมตีในปี พ.ศ. 1821 กอปรกับมีความอ่อนแอภายในอาณาจักร

110.    สถาปัตยกรรมที่สำคัญของราชวงศไศเลนทร์ คือข้อใด

(1) ปราสาทนครวัด    

(2) บุโรพุทโธ  

(3) ปรัมบานัน

(4) อานันทะเจดีย์

ตอบ 2 ราชวงค์ไศเลนทร์ เป็นสมัยที่อาณาจักรชวาภาคกลางมีความเจริญรุ่งเรืองโดยดูได้จากงานสถาปัตยกรรมและประติมากรรม ซึ่งผลงานที่มีชื่อเสียงและกลายเป็นหลักฐานสำคัญทางโบราณคดีเกี่ยวกับราชวงค์ไศเลนทร์คือ บุโรพุทโธ (Borobudurซึ่งตั้งอยู่บริเวณภาคกลางของเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย ถือว่าเป็นเจดีย์หินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกรวมทั้งเป็นเจดีย์ในพุทธศาลนานิกายมหายาน ลัทธิศิวพุทธ และความเชื่อในเรื่องจักรวาล

111.    ข้อใดไม่ใช่แรงจูงใจที่ทำให้ชาวยุโรปเดินทางเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) ทาส          

(2) การสำรวจดินแดนใหม่     

(3) การค้า      

(4) การเผยแผ่ศาสนาคริสต์

ตอบ 1 หน้า 323 – 324591 – 592 (เล่มเก่า)(คำบรรยาย) แรงจูงใจสำคัญที่ทำให้ชาวยุโรปเดินทางเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีดังนี้

1. เอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีชื่อเสียงในเรื่องความมั่งคั่ง

2. ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมและผูกขาดการค้าเครื่องเทศ

3. ต้องการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ไปสู่พวกนอกศาสนา

4. ชาวยุโรปมีความสามารถในการต่อเรือที่ดีขึ้น ทำให้เกิดความมั่นใจในการเดินทางข้ามมหาสมุทรเพื่อสำรวจเส้นทางการค้าและดินแดนใหม่

5. ต้องการแสวงหาความมั่งคั่งทางวัตถุโดยเฉพาะทองคำ

6. ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้เกิดความต้องการแสวงหาแหล่งวัตถุดิบเพิ่มขึ้น และหาตลาดเพื่อระบายสินค้าที่ผลิตได้

112.    ชาวยุโรปชาติใดเดินทางเข้ามาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นชาติแรก

(1) สเปน        

(2) โปรตุเกส  

(3) ดัตช์          

(4) ฝรั่งเศส

ตอบ 2 หน้า 324 – 326592 – 594 (เล่มเก่า)(คำบรรยาย) โปรตุเกสเป็นชาวยุโรปชาติแรกที่เดินทางเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยในปี ค.ศ. 1511 โปรตุเกสสามารถทำสงครมยึดเมืองมะละกาซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าเครื่องเทศได้สำเร็จเป็นแห่งแรก ซึ่งหลังจากที่ยึดมะละกาได้แล้วก็ได้แต่งตั้งผู้ปกครองมะละกาที่เรียกว่า “กะปิตัน” (Kapitanจากนั้นโปรตุเกสได้ปกครองมะละกาแบบทหาร (Fortress System)สร้างป้อมอา ฟาโมซา (A Famosaและสร้างโบสถ์เซนต์พอลขึ้นเพื่อเผยแผ่ศาสนาคริสต์ รวมทั้งส่งคนออกสำรวจหมู่เกาะเครื่องเทศเพื่อต้องการผูกขาดการค้าเครื่องเทศใน Ternate, Tidore และ Banda อีกด้วย

113.    ศูนย์กลางของสเตรทเซทเทิลเมนท์ของอังกฤษอยู่ที่ใด

(1) สิงคโปร์    

(2) ปีนัง          

(3) มะละกา   

(4) พม่า

ตอบ 2 หน้า 336 หลังจากที่อังกฤษสามารถเข้ายึดครองปีนัง มะละกา และสิงคโปร์ได้สำเร็จแล้วในปี พ.ศ. 2373 อังกฤษจึงประกาศรวมอาณานิคมบริเวณคาบสมุทรมลายู อันได้แก่ สิงคโปร์ ปีนัง และมะละกา เข้าเป็น “สเตรทเซทเทิลเมนท์” (The Straits Settlement)โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เกาะปีนัง

114.    ชาวยุโรปชาติใดที่ประสบความสำเร็จในด้านการค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

(1) โปรตุเกส  

(2) สเปน        

(3) ดัตช์          

(4) ฝรั่งเศส

ตอบ 3 หน้า 331(คำบรรยาย) ดัตช์หรือฮอลันดาถือว่าเป็นชาวยุโรปที่ประสบความสำเร็จทางด้านการค้ามากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในปี พ.ศ. 2173 ดัตช์ได้เข้ามาตั้งสถานีการค้าแห่งแรกที่บันทัมบนเกาะชวา ต่อมาในปี พ.ศ. 2145 ก็ได้ตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำการค้าเครื่องเทศที่สามารถสร้างกำไรได้อย่างมหาศาล ส่งผลให้การค้าเครื่องเทศของดัตช์ขยายตัวอย่างรวดเร็ว จนทำให้บันทัมกลายเป็นศูนย์กลางการค้าในบริเวณนี้

115.    ดัตช์ได้ใช้นโยบายใดเพื่อปรับปรุงสวัสดิการคนพื้นเมืองในบังคับให้ดีขึ้น

(1) Culture System   

(2) Encomienda        

(3) Ethical Policy       

(4) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 334 ในช่วงต้นพุทธศตวรรษที่ 25 ดัตช์ได้มีการปรับปรุงนโยบายเศรษฐกิจบนเกาะชวาโดยใช้นโยบายที่เรียกว่า “Ethical Policy” ซึ่งเป็นนโยบายที่จัดการบริการสวัสดิการสาธารณะให้ดีมากขึ้น เช่น การศึกษา สาธารณสุข การเกษตร และการคมนาคม ซึ่งต่อมาชาวอินโดนีเซียที่มีการศึกษาไม่พอใจที่ไม่มีสิทธิในการปกครองประเทศ ระบบนี้จึงถือเป็นแรงกระตุ้นประการหนึ่งที่ทำให้เกิดลัทธิชาตินิยมในอินโดนีเซีย

116.    ข้อใดต่อไปนี้ไม่ได้หมายถึง เฟอร์ดินาล แมกเจลแลน

(1) เป็นนักเดินเรือชาวโปรตุเกส         

(2) เป็นผู้เดินทางมาถึงฟิลิปปินส์

(3) เป็นผู้เดินทางรอบโลกได้สำเร็จเป็นคนแรก

(4) เป็นผู้ทำให้ชาวสเปนถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมากในฟิลิปปินส์

 ตอบ 1 หน้า 328 – 329600 (เล่มเก่า) เฟอร์ดินาล แมกเจลแลน เป็นนักเดินเรือชาวสเปนที่สามารถเดินทางรอบโลกได้สำเร็จเป็นคนแรก โดยในปี พ.ศ. 2055 แมกเจลแลนได้เดินทางมาถึงหมู่เกาะวิสายะของฟิลิปปินส์ตามคำสั่งของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งสเปน ที่ให้ค้นหาเส้นทางมายังหมู่เกาะเครื่องเทศและยึดดินแดนที่ค้นพบ ต่อมาเขาได้เดินทางมาถึงเกาะลิมาซาวาและเกาะเซบู โดยได้ผูกมิตรกับหัวหน้าเกาะทั้งสอง และที่เกาะเซบูเขาได้เข้าไปแทรกแซงการเมืองภายในหมู่เกาะทำให้คนพื้นเมืองไม่พอใจ ส่งผลให้แมกเจลแลนและชาวสเปนจำนวนมากถูกฆ่าตายในฟิลิปปีนส์

117.    ข้อใดหมายถึงสนธิสัญญาซารากอสสา

(1) สนธิสัญญาที่กำหนดเส้นแบ่งดินแดนเพื่อแบ่งเขตผลประโยชน์ของโปรตุเกสกับสเปน

(2) สนธิสัญญาที่ให้สเปนกับโปรตุเกสออกสำรวจดินแดนต่าง ๆ คนละเส้นทางกัน

(3) สนธิสัญญาที่โปรตุเกสทำกับชาวพื้นเมืองเพื่อผูกขาดการค้าเครื่องเทศ

(4) สนธิสัญญาที่ดัตช์ทำกับชาวพื้นเมืองเพื่อผูกขาดการค้าเครื่องเทศ

ตอบ 1 หน้า 328 ด้วยเหตุที่ทั้งสเปนและโปรตุเกสต่างก็ต้องการเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ในปี พ.ศ. 2072 สเปนและโปรตุเกสได้ทำ “สนธิสัญญาซารากอสสา”ระหว่างกัน โดยมีการกำหนดเส้นแบ่งดินแดนเพื่อแบ่งเขตผลประโยชน์ของทั้ง 2 ฝ่ายให้ชัดเจน

ตั้งแต่ข้อ 118. – 120. จงใช้ตัวเลือกต่อไปนี้ตอบคำถาม

(1) ระบบวันดาลา      

(2) ระบบการเพาะปลูก

(3) ระบบโปโล

(4) ระบบเอ็นคอมเมียนดา

118.    ระบบการถือครองที่ดินที่สเปนนำมาใช้กับฟิลิปปินส์

ตอบ 4 หน้า 330 ระบบเอ็นคอมเมียนดา (Encomiendaคือ ระบบการถือครองที่ดินที่สเปนนำมาใช้ในฟิเลิปปินส์ โดยให้ผู้มีสิทธิ์ถือครองที่ดินที่เรียกว่า “เอ็นคอมเมียนโดโรส” (Encomiendoros)เรียกเก็บผลประโยชน์จากบุคคลที่เข้ามาทำมาหากินในที่ดินของตนได้ แต่ผู้เข้ามาทำกินในที่ดินนี้จะต้องนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก

119.    ระบบการเกณฑ์แรงงานชาวพื้นเมืองที่สเปนนำมาใช้กับฟิลิปปินส์

ตอบ 3 หน้า 330 การที่สเปนได้จัดระบบชนชั้นในสังคมของฟิลิปปินส์ใหม่ ทำให้สเปนสามารถแสวงหาผลประโยชน์จากชาวพื้นเมืองได้โดยผ่าน 2 ระบบ ดังนี้

1.         ระบบโปโล (Polo Systemเป็นระบบเกณฑ์แรงงานที่ให้ชาวพื้นเมืองทุกคนยกเว้นหัวหน้าเผ่าและลูกชายคนแรกของหัวหน้าเผ่า ต้องอุทิศแรงงานให้ทางราชการ

2.         ระบบวันดาลา (Vandala Systemเป็นระบบบังคับซื้อสินค้า โดยบังคับให้ชาวพื้นเมืองขายสินค้าให้สเปนในราคาตํ่า

120.    ระบบที่บังคับให้ชาวพื้นเมืองขายสินค้าให้สเปนในราคาต่ำ

ตอบ 1 ดูคำอธิบายข้อ 119. ประกอบ

HIS1001 อารยธรรมตะวันตกภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  HIS1001 อารยธรรมตะวันตก

คำสั่ง  ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.         ศิลปะของอารยธรรมใดในยุคโบราณถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อสนองการพระศาสนา

1.   อียิปต์                  

2.    เมโสโปเตเมีย                

3.   โรมัน                               

4.   กรีก

ตอบ 1       หน้า 616321 (H)  ศิลปะของอารยธรรมอียิปต์โบราณมักถูกสร้างสรรค์ขึ้นเพื่อสนองการพระศาสนา ทำให้งานศิลปะต่าง ๆ ล้วนแสดงออกซึ้งสัญลักษณ์ทางศาสนาทั้งสิ้น นอกจากนี้ศิลปะของอียิปต์โบราณนั้นก็ไม่ใช่ศิลปะเพื่อศิลปะ แต่เป็นศิลปะที่เปลี่ยนแปลงไปตามอุดมคติ วิถีทางการเมืองและสังคม เช่น ในสมัยอาณาจักรเก่าจะนิยมสร้างพีระมิดเพื่อหวังผลในโลกหน้า แต่ในสมัยจักรวรรดินิยมจะสร้างวิหารเพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่และอานุภาพของฟาโรห์

2.         ผลงานศิลปกรรมใดแสดงว่าชาวอียิปต์เชื่อเรื่องวิญญาณเป็นอมตะ

1.   พีระมิด

2.   สฟิงซ์

3.   ซิกกูแรต

4.   โอเบลิส์

             ตอบ 1       หน้า 64 – 65 ชาวอียิปต์มีความเชื่อเรื่องวิญญาณเป็นอมตะและโลกหน้า ด้วยเหตุนี้ชาวอียิปต์ จึงมีวิธีเก็บรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยด้วยการทำเป็นมัมมี่ และสร้างพีระมิดไว้เก็บพระศพของฟาโรห์รวมทั้งยังเขียนเรื่องราวแสดงความบริสุทธิ์และความประพฤติที่ดีของตนเอาไว้เพื่อนำไปแสดงต่อเทพเจ้าโอสิริสเมื่อตนตายไปแล้ว ซึ่งถ้าเขียนเป็นหนังสือจะเรียกว่า “Book of  the Dead” แต่ถ้าเขียนไว้ตามหีบศพจะเรียกว่า “Coffin Texts” และถ้าเขียนไว้บนกำแพงพีระมิดจะเรียกว่า“Pyramid Texts”  

3.         การก่อสร้างสุสาน วัด และวังของชาวอียิปต์ เป็นตัวอย่างของความเจริญทางด้านใด

1.   วิทยาศาสตร์

2.   อักษรศาสตร์

3.   เทคโนโลยี

4.   ถูกข้อ 1 และ 3

ตอบ 4       หน้า 61 – 62 การสร้างสุสานหรือพีระมิด วัด วิหาร และวังของอียิปต์นั้น ได้แสดงถึงความเจริญทางด้านสถาปัตยกรรม วิทยาศาสตร์(โดยเฉพาะดาราศาสตร์) คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและลักษณะทางวิศวกรรมอย่างสูง นั่นคือ สถาปนิกชาวอียิปต์มีความสามารถประดิษฐ์เครื่องมือกลสำหรับเคลื่อนย้ายหินขนาดใหญ่และสิ่งของหนักอื่น ๆ อีกทั้งยังรู้หลักการคำนวณหาปริมาตรของพีระมิดเพื่อรองรับกับแรงกดของหินขนาดใหญ่จำนวนมาก ๆ ได้อย่างสมดุลอีกด้วย 

4.         สังคมของอารยธรรมใดในยุคโบราณที่มีลักษณะเป็นสังคมเมืองตั้งแต่แรกเริ่มมาก่อน

1.   อารยธรรมอียิปต์

2.   โรมัน

3.   อารยธรรมกรีก

4.   เมโสโปเตเมีย

ตอบ 4       หน้า 67 – 69  อารยธรรมเมโสโปเตเมียเริ่มต้นขึ้นเมื่อประมาณ 4,000 B.C. โดยชนชาติแรกที่เริ่มสร้างอารยธรรมไว้ในเมโสโปเตเมีย คือ พวกสุเมเรียน ซึ่งพัฒนาการทางวัฒนธรรมของสุเมเรียน  แบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ 1. ระยะวัฒนธรรมอูเบด (Ubaid) ประมาณ 4250 – 3750 B.C. เป็นสมัยเริ่มอารยธรรม คนเมือง หรือสมัยสังคมเมือง (Urban Civilization) 2. ระยะวัฒนธรรมอูรุค (Uruk) ประมาณ 3750-3000 B.C. เป็นสมัยของการสร้างความเจริญในด้านต่าง ๆ

5.         ผู้ปกครองเมโสโปเตเมียพิทักษ์ความยุติธรรมด้วยวิธีใด

             1.   แสดงอำนาจบาตรใหญ่     2.   เชือดไก่ให้ลิงดู           3.   ออกกฎหมาย                  4.   ตั้งศาลพิเศษ

ตอบ 3       หน้า 72 – 7424 (H) ผู้ปกครองเมโสโปเตเมียจะพิทักษ์ความยุติธรรมด้วยการออกกฎหมายโดยเฉพาะในสมัยของกษัตริย์ฮัมมูราบี ซึ่งเป็นผู้นำที่ปกครองพวกอะมอไรท์หรือพวก      บาบิโลนเก่าได้มีการร่างประมวลกฎหมายฮัมมูราบี (The code of Hammurabi) ขึ้นมาใช้ โดยได้รับอิทธิพลมาจากกฎหมายชองพวกสุเมเรียนที่อาศัยหลัก Lex Talionis (ลัทธิสนองตอบ) คือ ตาต่อตาฟันต่อฟัน ซึ่งประมวลกฎหมายฮัมมูราบีนี้ได้ใช้ต่อมาจนถึงสมัยของกฎหมายโรมัน

6.         ระบบการปกครองใดของเมโสโปเตเมียที่ถือว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของเทพ

             1.   ระบบคณาธิปไตย             2.   ระบบราชาธิปไตย        3.   ระบบประชาธิปไตย     4.   ระบบทรราช

             ตอบ 2       หน้า 708025 (H) (คำบรรยาย) การปกครองของเมโสโปเตเมียมักจะเป็นการปกครองในระบอบเทวาธิปไตย หรือเทวราชาธิปไตย ซึ่งอาจเรียกได้ว่าการปกครองแบบกษัตริย์เอกาธิปไตยหรือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นั้นคือ กษัตริย์ทรงเป็นสมมุติเทพซึ่งเป็นตัวแทนของเทพเจ้าที่ถูกส่งลงมาปกครองพวกมนุษย์ ดังนั้นจึงทรงมีฐานะเป็นเทวกษัตริย์และถือว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของเทพหรือของกษัตริย์นั้นเอง เช่น การปกครองของ สุเมเรียนและอัสสิเรีย ฯลฯ 

7.         การมีระบบชั่งตวงวัด เป็นเครื่องแสดงความก้าวหน้าของชาวเมโสโปเตเมียในด้านใด

             1.   การปกครอง     2.   การคลัง                           3.   การค้า                              4.   การขนส่ง

             ตอบ 3       หน้า 69 – 7023 – 24 (H), (H1 102 เลขพิมพ์ 42115 หน้า 85) ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของชาวสุเมเรียนในเมโสโปเตเมีย ซึ่งยังเป็นที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบัน คือการนับหน่วย 6010         และ 6 เช่น 1 ชั่วโมงมี 60 นาที(10 x 6 = 60)วงกลมมี 360 องศา(60 x 6 = 360) ฯลฯ นอกจากนี้ ชาวสุเมเรียนยังนำเอาหลักการนับหน่วย 60 ไปใช้กำหนดมาตราชั่งตวงวัด ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าด้านการค้าแบบเมโสโปเตเมีย เช่น 60 Shekels = 1 Mina, 6O Minas = 1 Talent เป็นต้น

8.         ในยุคโบราณชาวอียิปต์และชาวสุเมเรียนใช้เทคโนโลยีอะไรเพื่อพัฒนาการเกษตร

             1.   การเคมี         2.   การขนส่งทางทะเล             3.   การชลประทาน             4.   ระบบนาสาม

             ตอบ 3       หน้า 596371 ในยุคโบราณนั้นทั้งชาวอียิปต์และชาวสุเมเรียนต่างก็ใช้เทคโนโลยีด้านการ            ชลประทานเพื่อพัฒนาการเกษตรให้ก้าวหน้ามากขึ้น กล่าวคือ ชาวอียิปต์ได้ขุดคูส่งน้ำเพื่อการเกษตรกรรมทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเหลือกินเหลือใช้จนส่งเป็นสินค้าออกไปขายได้ในขณะที่ชาวสุเมเรียนก็สร้างเขื่อนและขุดคลองคูทดน้ำเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภครวมทั้งเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำและอุทกภัย

9.         การจัดตั้งทหารม้าของเมโสโปเตเมีย เป็นการเริ่มต้นการปฏิวัติอะไร

             1.   ยุทธศาสตร์                        2.   จรยุทธ์                             3.   กลยุทธ์                            4.   ยุทธการ

             ตอบ 3       หน้า 7624 (H), (คำบรรยาย) กลยุทธ์ด้านการทหารของเมโสโปเตเมียจะเริ่มต้นด้วยการใช้ทหารราบในการรบ แต่เมื่ออนารยชนแคสไซท์เข้ายึดกรุงบาบิโลนโดยนำม้าและรถศึกขนาดเบาเข้ามาใช้ในบาบิโลเนียเมื่อปี 1750 B.C. ก็ทำให้อาณาจักรต่าง ๆ ในเมโสโปเตเมียหันมาใช้ม้าเทียมเข้ากับรถศึกขนาดเบาในการรบ และต่อมาจึงได้มีการจัดตั้งทหารม้าขึ้นโดยมีการยุทธ์ที่สำคัญ คือ การทหารแบบรวมเหล่า (ทหารราบ ทหารม้า รถศึก) ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นการปฏิวัติกลยุทธ์ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์             

10.       การเขียนตัวอักษรของอียิปต์บนกระดาษแสดงนวัตกรรมที่พัฒนาก้าวหน้ากว่าวิธีการเขียนตัวอักษรของอารยธรรมใดในยุคโบราณ

             1.   ของ Crete              2.   ของฟินิเชียน               3.   ของโรมัน                     4.   ของเมโสโปเตเมีย

             ตอบ 4       หน้า 47 – 486922 – 23 (H) เมื่อประมาณ 3,000 B.C. ชาวอียิปต์ได้ประดิษฐ์ตัวอักษรเฮียโรกลิฟิกขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมีการบันทึกตัวอักษรลงบนกระดาษปาไปรัส (Papyrus) ซึ่งนวัตกรรมเช่นนี้ถือว่าพัฒนาก้าวหน้ากว่าวิธีเขียนตัวอักษรคูนิฟอร์มหรือตัวอักษรรูปลิ่มของชาวสุเมเรียนในเมโสโปเตเมียเป็นอย่างมาก เพราะชาวสุเมเรียนไม่มีกระดาษปาไปรัสเหมือนชาวอียิปต์จึงต้องใช้เหล็กแหลมกดลงบนแผ่นดินเหนียว แล้วนำไปผึ่งแดดหรือเผาไฟให้แห้งแข็งแทน

11.       นครรัฐกรีกใดที่พลเมืองทหารชั้นสูงมีอำนาจแท้จริงในการปกครอง

1.   เอเธนส์                              

2.   สปาร์ตา                           

3.   โครินท์                            

4.   ธีบส์

ตอบ 1      หน้า 126 – 13043 (H), (คำบรรยาย)  ระบอบประชาธิปไตยของกรีกเอเธนส์มีลักษณะเด่น คือเป็นรูปแบบการปกครองที่พลเมืองชายชั้นสูงมีสิทธิทางการเมือง โดยจะมีอำนาจในการพิจารณา   กฎหมายหรือนโยบายต่าง ๆ ที่ผ่านสภาห้าร้อยแล้ว มีสิทธิเลือกผู้แทนไปปกครองและคัดเลือกอาร์คอนเป็นประมุข นอกจากนี้อำนาจแท้จริงในการปกครองยังตกอยู่ที่ทหารชั้นสูง คือ คณะ 10 นายพล ส่วนประชาชนที่เป็นผู้หญิง ทาส และชนต่างด้าวต่างนครจะไม่มีสิทธิทางการเมืองทุกคน ดังนั้นประชาธิปไตยในเอเธนส์จึงสมบูรณ์

12.       เหตุการณ์ที่มีคุณลักษณะเฉพาะเป็นเหตุการณ์อะไร

1.   เหตุการณ์ธรรมชาติ                                                         

2.   เหตุการณ์ของมนุษย์

3.   เหตุการณ์เทพบันดาล                                                      

4.   เหตุการณ์ซ้ำของธรรมชาติ

             ตอบ 2       หน้า 41  (คำบรรยาย)  ประวัติศาสตร์นั้นเป็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์ของมนุษย์ที่มีคุณลักษณะเฉพาะทำนายล่วงหน้ามิได้ และไม่อาจนำมาทดลองซ้ำในห้องทดลองส่วนเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินั้นสามารถศึกษาได้จากประสบการณ์เละประสาทสัมผัส ซึ่งเกิดและดับซ้ำเป็น วัฏจักรหมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จึงทำให้สามารถทำนายล่วงหน้าได้อย่างเที่ยงตรงโดยใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ ดังนั้นจึงถือเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ประวัติศาสตร์กลายเป็นวิทยาศาสตร์แท้ๆ ได้

13.       หลักฐานต่อไปนี้หลักฐานใดคือซากวัสดุ

             1.   บันทึกความทรงจำ           2.   โบราณสถาน                 3.   ความทรงจำ                    4.   บทเพลง

             ตอบ 2       หน้า 2012 (H), (คำบรรยาย)ซากวัสดุ (Material Remains)ได้แก่ ซากวัสดุโบราณที่เหลือตกค้างมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งใช้เป็นหลักฐานในการศึกษามนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1.ซากสิ่งมีชีวิต (Fossil) คือ ซากสิ่งมีชีวิตในอดีตที่เหลือตกค้างอยู่ตามชั้นหิน 2. เครื่องมือเครื่องใช้ อาวุธและสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นศิลปะ เช่น โบราณสถาน โบราณวัตถุ ฯลฯ ซึ่งถือเป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุดของวิธีการศึกษาเรื่องราวต่างๆ สมัยก่อนประวัติศาสตร์

14.       เมื่อมนุษย์อยู่ร่วมกันจึงเกิดอะไรขึ้น

             1.   ประชากรเพิ่ม                    2.   ทำสงครามกัน                3.   อารยธรรม                      4.   ความขัดแย้ง

             ตอบ 3       หน้า 2513(H) อารยธรรม (Civilization)หมายถึง วัฒนธรรมที่พัฒนาขึ้นพร้อมกับความสามารถในการประดิษฐ์ตัวอักษรและการเก็บรวบด้วยการบันทึก มีการแบ่งงานกันทำและมีความสำนึกในความเป็นตัวตนของตน ดังนั้นเมื่อใดที่มนุษย์เริ่มแสดงออกถึงความต้องการที่จะบันทึกเรื่องราวของตน มีความหวัง ความเชื่อ และความต้องการที่จะอยู่ร่วมกันมากกว่าอยู่ตามลำพังเราจะถือว่าเป็นการเริ่มต้นสมัยแห่งอารยธรรมของมนุษย์  

15.       การถ่ายทอดคือลักษณะเด่นของอะไร

             1.   วัฒนธรรม                          2.   การพัฒนา                      3.   ความก้าวหน้า                4.   อารยธรรม

             ตอบ 4       หน้า 31 (คำบรรยาย), (ดูคำอธิบายข้อ 14. ประกอบ) อารยธรรมมีลักษณะเด่น คือมีการถ่ายทอด        และเผยแพร่ออกไปโดยจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไขอยู่เสมอ ไม่อยู่คงที่และเป็นความเจริญซึ่งเกิดขึ้นตามนครไม่ได้เกิดขึ้นตามชนบท 

16.       การเมืองการปกครองของอารยธรรมใดที่ริเริ่มให้มีการเลือกตั้งและมีองค์กรผู้แทนชนชั้น

             1.   ไบแซนไทน์                      2.   กรีก                  3.   โรมัน                               4.   เมโสโปเตเมีย

             ตอบ 2       หน้า 107 – 108117122 – 12742 – 43 (H)  ปรัชญาการเมืองของกรีกถือเป็นต้นแบบของการเมืองในสมัยต่อมา และเป็นต้นกำเนิดหรือแม่แบบของการปกครองระบอบประชาธิปไตยซึ่งเริ่มขึ้นที่นครรัฐเอเธนส์เป็นแห่งแรก ต่อมาสามัญชนได้เรียกร้องให้สร้างประมวลกฎหมายเพื่อสิทธิอันเท่าเทียมกัน ตลอดจนริเริ่มให้มีการเลือกตั้งและมีองค์กรผู้แทนชนชั้น เพื่อให้เป็นตัวแทนในการปกครองตนเอง (Self-government) อันเป็นการปกครองในอุดมคติของชนชาติกรีกในยุคโบราณ 

17.       เอกภาพของศิลปะเป็นลักษณะของศิลปะชนชาติใดในยุคโบราณ

             1.   กรีกไมซีเน                         2.   กรีก                  3.   โรมัน                               4.   เมโสโปเตเมีย

             ตอบ 2       หน้า 131133 (คำบรรยาย) ศิลปะของชนชาติกรีกในยุคโบราณจะเน้นเรื่องสุนทรียภาพหรือความงาม โดยให้ความสำคัญกับดุลยภาพ คือ การเน้นเรื่องน้ำหนักเท่ากันของสี เส้นแสง และเงา ตลอดจนเน้นความมีเอกภาพของศิลปะหรือการประสานกลมกลืนของทุกสิ่งตามอุดมคติของชาวกรีกที่ว่า “Nothing in excess and everything in proportion” (ไม่มีสิ่งที่เกินไป และทุกสิ่งจะต้องเป็นสัดส่วน)   

18.       ชนกลุ่มใดสร้างอารยธรรมจากการค้าเป็นสำคัญในยุคโบราณ

             1.   เมโสโปเตเมีย                    2.   กรีก                                  3.   อียิปต์                               4.   ฟินิเชียน

             ตอบ 4       หน้า 8427 (H) ชาวฟินิเชียนเป็นชนเผ่าเซมิติกที่เข้ามาอาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนด้านซีเรีย (ปัจจุบันคือประเทศเลบานอน) โดยมีอาชีพสำคัญคือ ท่าการค้าหรือการพาณิชยกรรม ทำให้ชาวฟินิเชียนได้รับการยกย่องว่าเป็น พ่อค้าทางทะเลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” โดยเป็นทั้งนักต่อเรือนักเดินเรือ และนักล่าอาณานิคม ซึ่งอาณานิคมที่เป็นศูนย์กลางทางการค้าที่สำคัญคือ เมืองคาดิซในสเปนและเมืองคาร์เถจบนฝั่งแอฟริกาเหนือ (ปัจจุบันคือประเทศตูนิเซีย) 

19.       การปกครองตนเองคือการปกครองในอุดมคติของชนชาติใดก่อนในยุคโบราณ

             1.   ชาวโรมัน                2.   ชาวกรีก                      3.   ชาวไบแซนไทน์                     4.   ชาวบาบิโลเนีย

             ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 16. ประกอบ

20.  การใช้สัญลักษณ์มนุษย์ในการสร้างสรรค์ศิลปกรรม เป็นเอกลักษณ์ของศิลปะชนชาติใด

             1.   อียิปต์                                  2.   โรมัน                               3.   เมโสโปเตเมีย                                 4.   กรีก

             ตอบ 4       หน้า 131, (คำบรรยาย) ชาวกรีกเป็นนักวัตถุนิยมที่มองโลกในแง่กายภาพ ทำให้งานศิลปะของกรีก                ส่วนใหญ่มีจุดมุ่งหมายทางโลกเป็นสำคัญ โดยมีเอกลักษณ์เด่น คือ เป็นงานที่แสดงถึงสัญลักษณ์ของมนุษย์ ตามคตินิยมที่ว่ามนุษย์คือสัตย์โลกที่สำคัญที่สุดในจักรภพ ดังนั้นประติมากรรมบางชิ้นแม้จะเป็นรูปบนของเทพเจ้า แต่ก็ไม่ได้ทิ้งลักษณะความเป็นมนุษย์ไปเลยทีเดียว

21.       ในระบอบทรราชกรีก ผู้นำมีอำนาจโดยวิธีใด

1.   เลือกตั้ง               

2.   คัดเลือก                           

3.   ยึดอำนาจ                        

4.   สืบต่อในวงศ์สกุล

ตอบ 3       หน้า 116 – 11740 (H) ระบอบทรราช (Tyranny) เป็นระบอบการปกครองในยุคหนึ่งของกรีกซึ่งผู้นำจะยึดอำนาจแล้วปกครองตามที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับประชาชน เรียกว่า สัญญาประชาคม     หรือเป็นการก้าวขึ้นสู่อำนาจด้วยการใช้กำลัง ไม่ใช่จากการสืบสายโลหิต ดังนั้นความหมายของคำว่า ทรราช” (Tyrants) จึงมีความหมายถึงคนไม่ดีหรือผู้ปกครองที่ปกครองแบบกดขี่เพราะเมื่อพวกทรราชปกครองไปได้ระยะหนึ่ง ก็มักจะหลงอำนาจและกลายเป็นเผด็จการไป 

22.  ระบอบนครรัฐเป็นระบอบการปกครองของชนชาติใดมาก่อนในยุคโบราณ

             1.   สุเมเรียน                             2.   กรีก                                  3.   โรมัน                               4.   อิตาลี

             ตอบ 1       หน้า 68 – 70 (คำบรรยาย) สุเมเรียน เป็นชนชาติแรกที่เริ่มสร้างและวางรากฐานทางอารยธรรมในเมโสโปเตเมีย ทั้งนี้สันนิษฐานว่าชนกลุ่มนี้อพยพมาจากที่ราบสูงทางตอนกลางของทวีปเอเชียแล้วเข้ามาตั้งบ้านเรือนในเขตบาบิโลเนียบริเวณซูเมอร์เมื่อ 4,000 B.C. โดยเริ่มจากการเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ต่อมาได้รวมกันเป็นนครรัฐ แต่ละนครรัฐจะปกครองตนเองและมีอิสระไม่ขึ้นต่อกัน เช่น เมือง Ur, Eridu, Kish เป็นต้น

23.       การนับหลัก 6010 และ 6 เป็นการคิดค้นทางด้านใดของชนใดในยุคโบราณ

1.   ทางเทคโนโลยีของกรีก

2.   ทางวิทยาศาสตร์ของชาวสุเมเรียน

3.   ทางเคมีวิทยา

4.   ทางแคลคูลัสของชาวโรมัน

 ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 7. ประกอบ

24.       จักรวรรดิใดเป็นจักรวรรดิแรกที่ปกครองตามหลักกฎหมาย และจักรวรรดิใดสืบต่อและพัฒนาหลัก  

ปฏิบัตินี้จนเป็นระบบนิติศาสตร์

1.   บาบิโลเนียใหม่ต่อมาจักรวรรดิเปอร์เซีย

2.   สุเมเรียนต่อมาบาบิโลเนียใหม่

3.   บาบิโลเนียเก่าต่อมาจักรวรรดิโรมัน

4.   แคลเดียต่อมาจักรวรรดิไบแซนไทน์

             ตอบ 3       หน้า 73 – 74173253255 (คำบรรยาย) จักรวรรดิแรกที่ใช้กฎหมายเป็นหลักในการปกครอง คือ พวกอะมอไรท์หรือบาบิโลเนียเก่า ส่วนจักรวรรดิโรมันก็ได้ยืดกฎหมายเป็นหลักในการปกครองเช่นเดียวกัน โดยกฎหมายลายลักษณ์อักษรฉบับแรกของโรมันคือกฎหมาย 12 โต๊ะ ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นพื้นฐานแห่งระบบนิติศาสตร์ของโลกตะวันตกในปัจจุบันและก่อให้เกิดกฎหมายสำคัญขึ้น   คือ ประมวลกฎหมายจัสติเนียน (ดูคำอธิบายข้อ 5. ประกอบ) 

25.       การดำเนินชีวิตโดยมีกิจกรรมร่วมกันในสาธารณะเสมอ เป็นลีลาการดำเนินชีวิตของชนชาติใดในยุค

             โบราณ      1.   อียิปต์                      2.   เมโสโปเตเมีย                          3.   กรีก                  4.   สุเมเรียน

             ตอบ 3       หน้า 110130, (คำบรรยาย) เอกลักษณ์ทางสังคมของชาวกรีก คือ วิถีชีวิตในตัวเมืองหรือนครรัฐซึ่งในนครรัฐนี้จะมีสถานที่นัดพบปะประชุมกัน รวมทั้งเป็นตลาดด้วย ทำให้ชีวิตประจำวันของพลเมืองกรีกโดยเฉพาะที่นครรัฐเอเธนส์นั้นจะแสดงถึงความผูกพันกับกิจกรรมสาธารณะและการพักผ่อนหย่อนใจ เช่น การประกอบพิธีกรรม กิจกรรมทางการเมืองการปกครองการกีฬา การละครและความบันเทิง เป็นต้น  

26.       ในยุคกลาง ขุนนางมีอำนาจแท้จริงในระบอบการปกครองแบบใด

             1.   คณาธิปไตย            2.   ศักดินาสวามิภักดิ์                      3.   สมบูรณาญาสิทธิราชย์                 4.   ทรราช

             ตอบ 2       หน้า 223 – 22465 (H), (คำบรรยาย) ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์หรือระบอบฟิวดัล

                                (Feudalism/Feudal) มีหัวใจสำคัญ คือ เป็นระบบความสัมพันธ์โดยมีเงื่อนไขระหว่างเจ้าเหนือหัว (Lord) หรือผู้มีที่ดินจำนวนมาก กับบริวารหรือข้า (Vassal) หรือผู้ใช้ประโยชน์ในที่ดิน โดยมีที่ดิน     (Fiefs/Feuda) เป็นพันธกิจแห่งความผูกพันและภาระหน้าที่ที่มีต่อกัน นอกจากนี้ยังเป็นระบบการเมืองการปกครองในยุคกลางที่ขุนนางท้องถิ่นมีอำนาจอย่างแท้จริงเพราะพวกเสรีชนได้มอบที่ดินให้แก่ขุนนางเพื่อขอความคุ้มครองในยามที่บ้านเมืองเกิดจลาจลแทนการขอความคุ้มครองจากกษัตริย์ซึ่งอ่อนแอและมีฐานะเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น 

27.       การที่ชาวโรมันร่วมกิจกรรมความบันเทิงอย่างเสมอกัน ทำให้ชาวโรมันรู้สึกอะไร

             1.   เจ้าข้าฟ้าเดียวกัน                                                               2.   มีความแตกต่างทางชนชั้นน้อย

             3.   สถานภาพพลเมืองไม่มีความหมาย                               4.   ความแตกต่างทางชนชั้นเป็นเรื่องปกติ

             ตอบ 2       หน้า 177-178, (คำบรรยาย) จากการที่ชาวโรมันเป็นชนชาติที่นิยมมีกิจกรรมร่วมกันในที่สาธารณะมากที่สุด โดยเฉพาะการร่วมกิจกรรมด้านความบันเทิงและการกีฬาอย่างเสมอภาคกัน เช่นการอาบน้ำสาธารณะ การแข่งรถศึกที่ Circus Maximus การต่อสู้แบบกลาดิ    เอเตอร์  (Gladiator)และการละครประเภทต่างๆ ได้ส่งผลทำให้ชาวโรมันมีความรู้สึกแตกต่างหรือเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางชนชั้นน้อยมาก

28.       ระบบเศรษฐกิจโรมันเป็นระบบเศรษฐกิจสากลเพราะมีลักษณะใด

             1.   รัฐควบคุมผูกขาดเศรษฐกิจ                                      2.   การมีระบบจัดเก็บภาษีระบบเดียวทั้งจักรวรรดิ

             3.   พลเมืองทุกหนแห่งควบคุมวิถีเศรษฐกิจเอง      4.   รัฐไม่แทรกแซงหรือควบคุมวิถีเศรษฐกิจ

             ตอบ 2       หน้า 177, (คำบรรยาย) ในช่วงที่จักรวรรดิโรมันตะวันตกมีความเจริญสูงสุดนั้น เป็นสมัยที่เรียกว่า สากลรัฐโรมัน” ซึ่งถือว่าเป็นจักรวรรดิในอุดมคติของชาวยุคกลางและเป็นแบบ อย่างของลักษณะจักรวรรดิสากลที่มีเอกภาพและสันติสุขนั่นคือ มีการปกครองตนเองในระดับมณฑลที่ใช้ภาษาละติน กฎหมาย ระบบเศรษฐกิจด้านการจัดเก็บภาษีและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราตลอดจนระบบ       การศาลที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้เป็นดินแดนที่คนต่างเชื้อชาติต่างภาษาต่างวัฒนธรรมสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยสันติและราบรื่น 

29.       ชาวกรีกเอเธนส์มีลัทธินิยมใดในการกำจัดบุคคลไม่พึงปรารถนา

             1.  กักบริเวณ            2.   ขับเนรเทศ                      3.   บัพพาชนียกรรม                           4.   จองจำชั่วชีวิต

             ตอบ 2       หน้า 126 – 12743 (H), (คำบรรยาย) ระบบออสตราซิสม์ (Ostracism) คือ การขับเนรเทศบุคคลที่ไม่พึงปรารถนาออกนอกประเทศ โดยให้ประชาชนเขียนชื่อผู้เป็นภัยต่อรัฐลงบนเปลือกหอยออสตราคอน (Ostrakon) ถ้าผู้ใดได้คะแนนเสียงเกิน 6,000 เสียง และสภาประชาชนส่วนใหญ่ลงมติเห็นด้วยบุคคลนั้นต้องถูกเนรเทศออกจากนครรัฐเอเธนส์เป็นเวลา 10 ปี

30.       ในยุคกลาง จักรวรรดิใดมีนโยบายรัฐควบคุมเศรษฐกิจ

             1.   โรมันอันศักดิ์สิทธิ์            2.   ไบแซนไทน์                   3.   ชาร์เลอมาญ                   4.   เปอร์เซีย

             ตอบ 2       หน้า 289 – 291341 (103 เลขพิมพ์ 46197 หน้า 221) การค้าระบบกิลด์ในยุคกลาง โดยเฉพาะในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์หรือโรมันตะวันออกนั้นบรรดาพ่อค้า และช่างฝีมือไม่อาจทำการค้าได้เองโดยลำพัง เพราะรัฐบาลมีนโยบายควบคุมและผูกขาดเศรษฐกิจโดยผ่านสมาคมเฉพาะอาชีพ (Guild System) ดังนั้นพ่อค้าและช่างฝีมือจึงต้องรวมตัวกันเป็นสมาชิกของสมาคมเฉพาะอาชีพ คือ สมาคมพ่อค้าและสมาคมช่างฝีมือเพื่อให้สามารถทำการค้าและปกป้องผลประโยชน์ส่วนตนได้ 

31.       ความนิยมรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นรูปโค้งและวงกลม เป็นความนิยมมากของอารยธรรมชนชาติใดในยุคโบราณ       

1.   เมโสโปเตเมีย                    

2.   ชาร์เลอมาญ                   

3.   โรมัน               

4.   มาซิโดเนีย

ตอบ 3       หน้า 176179 ผลงานทางสถาปัตยกรรมรองโรมันนับเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยเฉพาะการจัดตั้งสถานที่ทำการของรัฐ ศาลสถิตยุติธรรม โรงมหรสพแอมพิเธียเตอร์รูปครึ่งวงกลมและประตูชัยรูปโค้ง ซึ่งการก่อสร้างของโรมันนั้นจะได้รับแบบอย่างมาจากกรีก เพียงแต่เพิ่มการใช้ประตูโค้งและรูปโดมหรือวงกลมซึ่งกรีกไม่มี นอกจากนี้จะมุ่งการก่อสร้างขนาดใหญ่มากกว่าการคำนึงถึงอัตราส่วน 

32.       อะไรคือลักษณะเด่นชองวิธีคิดของนักปรัชญากรีก                                       

1.   การคิดเชื่อถือเทพลิขิต                     

2.   การศรัทธาวิทยาศาสตร์                

3.   การคิดตามหลักเหตุผล

4.   การคิดตามหลักเทวนิยม

             ตอบ 3       หน้า 137 – 139, (คำบรรยาย) ปรัชญากรีกในระยะแรกจะคิดลึกซึ้งในเรื่องมนุษย์และธรรม ชาติซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดของชาวกรีกว่า เป็นการค้นหาความจริงเกี่ยวกับปรากฏการณ์ต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล โดยใช้หลักวิภาษวิธี คือ การเปิดโอกาสให้วิพากษ์วิจารณ์แนว คิดต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวางไม่จำกัดอยู่เฉพาะข้อสรุปใดข้อสรุปหนึ่ง นอกจากนี้ยังเชื่อว่ากุญแจที่จะไขไปสู้ความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ก็คือ พลังแห่งเหตุผลของคน (Logos) หรือการคิดตามหลักเหตุผลนั่นเอง

33. ในยุคโบราณ อารยธรรมใดพัฒนาจากการผสมผสานอารยธรรมกรีกกับอารยธรรมโลกตะวันออก

             1.   โรมัน                  2.   เฮลเลนิก                         3.   เฮลเลนิสติก                   4.   กรีกเฮลเลนิก

             ตอบ 3       หน้า 144 – 14647 (H) อารยธรรมเฮลเลนิสติก (Hellenistic Civilization) เป็นอารยธรรมที่เกิดขึ้นหลังสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ซึ่งเป็นจักรพรรดิเปอร์เซียที่ทรงพยายามรวมลักษณะที่ดีของชีวิตแบบโลกตะวันตก (อารยธรรมกรีกเฮลเลนิก) เข้ากับลักษณะที่ดีแบบโลกตะวันออก  (อารยธรรมเปอร์เซีย) ทำให้ปัจจุบันเราเรียกอารยธรรมนี้ว่า เฮลเลนิสดิก” (Hellenistic) เพื่อให้แตกต่างจากอารยธรรมกรีกบริสุทธิ์ทีเรียกว่า เฮลเลนิก” (Hellenic) 

34.       การจัดขบวนรบแบบ Phalanx ใช้หน่วยรบหลักอะไร

             1.   ทหารม้า                  2.   รถศึก                           3.   ทหารราบ                        4.   ทหารราบหุ้มเกราะ

             ตอบ 4       หน้า 144 (คำบรรยาย) ฟาแลนซ์ (Phalanx) คือ การจัดขบวนรบของกองทัพกรีกแบบเรียงแถวหน้ากระดาน ซึ่งเดิมจะมีแค่ 2 แถว จากนั้นก็พัฒนามาเป็น 4 แถว และ 8 แถวตามลำดับ โดยให้แถวที่ 1 ถืออาวุธสั้น และแถวต่อมาถืออาวุธยาวตามลำดับ ซึ่งสาเหตุที่กรีกต้องจัดขบวนรบแบบนี้ก็เพราะทหารราบหุ้มเกราะ (Hoplite) ที่เป็นหน่วยรบหลักต้องถืออาวุธและโล่ที่มีน้ำหนักมาก ทำให้เคลื่อนไหวได้ช้าจึงจำเป็นต้องใช้วิธีการจัดขบวนรบแบบฟาแลนซ์เพื่อให้กองทัพเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามลำดับ 

35.       นักปรัชญากรีกคิดลึกซึ้งเรื่องใดก่อนในระยะแรก

             1.   ธรรมชาติ                           2.   เทววิทยา                         3.   ความลี้ลับ                        4.   สังคม

             ตอบ 1       ดูคำอธิบายข้อ 32. ประกอบ 

36.       ประชาธิปไตยเอเธนส์มีลักษณะใด

             1.   ประชาชนทุกชนชั้นมีสิทธิทางการเมือง                     2.   พลเมืองหญิงชายมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้ง

             3.   ประชาชนมีสิทธิ์ยับยั้งกฎหมาย                                    4.   พลเมืองชายชั้นสูงมีสิทธิทางการเมือง

             ตอบ 4       ดูคำอธิบายข้อ 11. ประกอบ 

37.       ข้อใดคือลักษณะของจักรวรรดิสากลของจักรวรรดิโรมัน

1.   การให้สถานภาพพลเมืองแก่ชนทุกเชื้อชาติ      

2.   การใช้ภาษา กฎหมาย และการศาลแบบเดียวกัน

3.   การให้สิทธิทางการเมืองแก่พลเมือง

4.   การให้ทุกหนแห่งปกครองตนเอง

ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ 

38.       จักรวรรดิใดของยุคโบราณเป็นจักรวรรดิในอุดมคติของชาวยุคกลาง

             1.   จักรวรรดิไบแซนไทน์                                                     2.   จักรวรรดิโรมันตะวันตก

             3.   จักรวรรดิมาชิโดเนีย                                                        4.   จักรวรรดิชาร์เลอมาญ

             ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ 

39.       ในสมัยเรืองอำนาจ สังคมโรมันเป็นสังคมสากลเพราะมีลักษณะใด

             1.   มีธรรมเนียมประเพณีแบบเดียวกัน                               2.   ประชากรเชื้อชาติเดียวมัน

             3.   ประชาชนเป็นพลเมืองหมด                                          4.   มีประชากรหลายเชื้อชาติหลายวัฒนธรรม

             ตอบ 4       ดูคำอธิบายข้อ 28. ประกอบ

40.       เหตุใดวิถีเศรษฐกิจโรมันจึงมีการใช้แรงงานทาสเป็นหลัก

             1.   เพราะมีการค้าทาส                                                           2.   เพราะมีการเกษตรเพื่อการค้า

             3.   เพราะมีการค้าระหว่างประเทศ                                     4.   เพราะมีศึกสงครามบ่อย

             ตอบ 2       หน้า 176, (คำบรรยาย) ในสมัยโรมันเรืองอำนาจสุดขีดหรือสมัยสันติสุขโรมัน (Pax Romana) ประชาชนส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเกษตรกรรมและใช้แรงงานจากพวกทาสเป็นหลักโดยเฉพาะในช่วงที่การเกษตรขยายตัวเป็นการเกษตรเพื่อการค้า แต่ในช่วงปลายของสมัยนี้ได้มีเกษตรกรกลุ่มใหม่เกิดขึ้นคือ พวก Colonus ที่เข้ามาทำงานในไร่แทนพวกทาส ซึ่งพวกนี้จะไม่ใช่ทั้งทางและเสรีชน แต่จะถูกผูกติดอยู่กับที่ดิน 

41.       เหตุใดจักรพรรดิโรมันจึงมิได้ทรงรับผิดชอบต่อประชาชนในการปกครองจักรวรรดิ

1.   เพราะทรงสืบราชสันตติวงศ์                                         

2.   เพราะทรงเป็นเทวราช

3.   เพราะทรงมาจากการเลือกตั้ง                                         

4.   เพราะทรงเป็นผู้แทนประชาชน

             ตอบ 2       หน้า 169 – 170, (คำบรรยาย) ในสมัยของออกุสตุสที่ 1 ซึ่งเป็นสมัยที่เริ่มต้นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือจักรพรรดิราชย์ของจักรวรรดิโรมันนั้น ถือเป็นยุคที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “Roman’s Golden Age” (ยุคทองของโรมัน) และตั้งเป็นยุคที่จักรพรรดิโรมันมีอำนาจปกครองอย่างแท้จริงในฐานะของเทพเจ้า คือ จักรพรรดิทรงเป็นเทวราชซึ่งปกครองจักรวรรดิโดยรับผิดชอบต่อทวยเทพ แต่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชนนอกจากนี้จักรพรรดิยังมีสิทธิเลือกรัชทายาทด้วยพระองค์เองอีกด้วย 

42.       ในยุคกลาง ชนกลุ่มใดในสังคมมีอำนาจเป็นอิสระและมีอภิสิทธิ์

1.   พ่อค้าและช่างฝีมือ

2.   พระและขุนนาง

3.   คอมมูนของชนชั้นกลาง        

4.   ชนชั้นกลาง

ตอบ 2       หน้า 304 – 305, (คำบรรยาย) การแบ่งชนชั้นในยุคกลางนั้นจะเป็นการแบ่งตามบทบาทหน้าที่ในสังคม ซึ่งมีอยู่ 3 ชนชั้น คือ

1. พระหรือนักบวชเป็นชนชั้นสูงในสังคม มีหน้าที่สำคัญในการสวดมนต์และประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแก่ประชาชน ทำให้พระกลายเป็นอภิสิทธิ์ชนที่ประชาชนต้องเสียภาษีให้และต้องปฏิบัติตามคำสั่ง

2. ขุนนาง เป็นอภิสิทธิ์ชน มีหน้าที่ร่างกฎหมายและระเบียบคุ้มครองผู้ที่อ่อนแอกว่า

3. สามัญชน เป็นพวกไร้อภิสิทธิ์ มีหน้าที่ใช้แรงงานทั่วไป ซึ่งได้แก่ ชาวนา ชาวไร่ และช่างฝีมือ  

43.       ในยุคกลาง พ่อค้ารวมตัวกันในแต่ละนครจัดตั้งเป็นองค์กรประเภทอะไร

             1.   พรรคการเมือง 2.   สหภาพการค้า               3.   สมาคมเฉพาะอาชีพ          4.   องค์กรผู้แทน

             ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 30. ประกอบ

44.       ในยุคกลาง การอภิเษกร่วมราชวงศ์ก่อให้เกิดปัญหาอะไร

             1.   การสืบราชย์                                                                      2.   การปกครองท้องถิ่น

             3.   เกิดระบบศักดินาสวามิภักดิ์                                            4.   การรวมเป็นจักรวรรดิยาก

             ตอบ 1       หน้า 29679 (H), (คำบรรยาย) ในยุคกลางนั้นมักมีการทำสงครามระหว่างกันเกิดขึ้นอยู่เสมอ โดยมีสาเหตุสำคัญประการหนึ่งคือ ปัญหาการสืบราชบัลลังก์หรือสืบราชสันตติวงศ์อันเนื่องมาจากการอภิเษกสมรสร่วมราชวงศ์ เช่น กรณีที่พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 3 ของอังกฤษทรงเรียกร้องสิทธิในการขึ้นครองราชบัลลังก์ของฝรั่งเศส ในฐานะที่ทรงเป็นทายาทของฟิลิปที่ 4 กษัตริย์ต้นราชวงศ์คาเปเตียนของฝรั่งเศส แต่ขุนนางฝรั่งเศสไม่ยินยอม จึงก่อให้เกิดสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานถึง 100 ปี 

45.       สงครามใดในยุคกลางที่ถือว่าเป็นมหายุทธ์

             1.   สงครามสามสิบปี             2.   สงคราม 100 ปี               3.   สงครามครูเสด               4.   สงคราม 7 ปี

             ตอบ 3       หน้า 279 – 28576 – 77 (H) สงครามครูเสดในยุคกลางถือเป็นสงครามมหายุทธ์ที่มีรัฐและฝ่ายต่าง ๆ เข้าร่วมสงครามมากมาย ซึ่งกินระยะเวลาร่วม 200 ปี (รวมทั้งหมด 8 ครั้ง)โดยเป็นสงครามศาสนาระหว่างพวกคริสเตียนกับพวกมุสลิมเพื่อแย่งกันครอบครองกรุงเยรูซาเล็มและเมื่อสิ้นสุดสงครามพวกคริสเตียนก็ไม่สามารถยึดกรุงเยรูซาเล็มคืนจากพวกมอสเล็มได้จึงถือว่าเป็น ความล้มเหลวที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์” เพราะชาวยุโรปได้รับบทเรียนต่าง ๆ จากพวกอาหรับและอิสลามอื่น ๆ เป็นอันมาก ซึ่งผลของสงครามนี้ได้ทำให้อำนาจของฝ่ายศาสนจักรเพิ่มขึ้น

46.       เหตุใดสังคมยุคกลางจึงยกย่องพระเป็นชนชั้นสูงสุดในสังคม

             1.   เพราะพระมีอำนาจปกครองอาณาจักร                         2.    เพราะศาสนจักรคือผู้แทนพระผู้เป็นเจ้า

             3.   เพราะพระมีหน้าที่สวดมนต์และตั้งพิธี                       4.   เพราะพระลงโทษญาติโยมถึงตายได้

             ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 42. ประกอบ  

47.       เมื่อสิ้นยุคกลาง ชนชั้นใดตกต่ำเสื่อมถอยอำนาจอิทธิพล

             1.   กษัตริย์                                2.   พ่อค้า                               3.   ชนชั้นกลาง                                   4.   พระ

ตอบ 4       หน้า 303-30431833397 (H) ในช่วงปลายยุคกลางจนถึงต้นยุคใหม่ การปฏิรูปศาสนาโดยเฉพาะนิกายโปรเตสแตนต์ ทำให้ความเป็นกลุ่มก้อนของสถาบันคริสต์ศาสนาแตกกระจัดกระจายส่งผลให้อำนาจของศาสนจักรและสันตะปาปาเสื่อมอิทธิพลลง ในขณะที่กษัตริย์มีอำนาจมากขึ้นเนื่องจากประชาชนในชาติไม่อยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของศาสนจักรอีกต่อไปแต่ได้หันมาชื่นชมชาติภูมิของตน โดยสนับสนุนให้กษัตริย์เป็นผู้ดูแลวัดและจัดการกิจกรรมภายในประเทศอย่างเต็มที่

48.       เมื่อสิ้นจักรวรรดิโรมันใน ค.ศ. 476 สังคมเป็นจลาจล เศรษฐกิจได้หวนคืนสู่ระบบอะไร

             1.   ระบบนาเปิด           2.   ระบบแมเนอร์                           3.   ระบบนาสาม 4.   ระบบล้อมรั้ว

ตอบ 2       หน้า 23766 (H), (คำบรรยาย) เมื่อสิ้นจักรวรรดิโรมันตะวันตกใน ค.ศ. 476 การเมืองการปกครองของยุโรปได้เข้าสู่ยุคกลาง ซึ่งมีการพัฒนา 2 แบบขนานควบคู่กันไป คือ

1. ในยุคสมัยที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะกลียุค เกิดการจลาจล ก็จะมีการเมืองการปกครองแบบกระจายอำนาจจากกษัตริย์ไปยังขุนนาง หรือที่เรียกว่าระบอบศักดินาสวามิภักดิ์หรือระบอบฟิวดัล รวมทั้งมีการนำระบบเศรษฐกิจแบบแมเนอร์มาใช้

2. ในยุคสมัยที่รวมกันเป็นอาณาจักร ก็จะมีการเมืองการปกครองแบบรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางทำให้กษัตริย์มีอำนาจมากขึ้น หรือที่เรียกว่าระบอบราชาธิปไตยหรือจักรพรรดิราชย์ 

49.       ลักษณะใดแสดงว่าศิลปะโรมาเนสก์แตกต่างจากศิลปะโกธิค

             1.   รูปแบบสถาปัตยกรรมนิยมรูปทรงเพรียวเบา              2.   ศิลปะโรมาเนสก์นิยมหลังคาโค้งแหลม

             3.   รูปทรงอาคารหนาหนักนิยมรูปโค้งและวงกลม         4.   นิยมใช้กระจกสีและหินอ่อน

             ตอบ 3       หน้า 313-315 สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างศิลปะโรมาเนสก์กับศิลปะโกธิค คือ ศิลปะโรมาเนสก์ จะนิยมรูปทรงอาคารหนาทึบ ไม่ค่อยมีแสงสว่าง รวมทั้งมีสิ่งก่อสร้างโค้งกลม เสาและกำแพงหนาในขณะที่ศิลปะโกธิคจะนิยมสร้างโบสถ์ที่มีหลังคาโค้งแหลม เซาะเป็นร่อง ซึ่งมีผลให้อาคารดูมีน้ำหนัก เพรียวเบา นอกจากนี้หน้าต่างก็มักประดับด้วยกระจกสีเพื่อให้มีแสงสว่างมากขึ้น 

50.       การเกษตรของยุคกลางเพิ่มผลผลิตโดยวิธีการใด

             1.   ใช้วิทยาศาสตร์                 2.   ระบบนาสาม                  3.   ใช้เครื่องจักร   4.   ใช้กำลังและพลังงาน

ตอบ 2       หน้า 23666 (H), (คำบรรยาย) การเกษตรในระบอบฟิวดัลของยุคกลาง จะใช้ระบบนาสาม(Three Fields System) คือ การแบ่งที่ดินเป็น 3 แปลง แต่มีการหมุนเวียนเพาะปลูกคราวละ 2 แปลงส่วนอีกแปลงหนึ่งพักว่างให้ที่ดินฟื้นตัว ครั้นฤดูกาลต่อมาจึงใช้ที่ดินว่างผืนนั้นแล้วปล่อยแปลงอื่นให้ว่างแทน ทำสลับกันเช่นนี้ทุกปีเพื่ออนุรักษ์ดินและเพิ่มผลผลิต 

51.       รูปแบบสถาปัตยกรรมใดมีลักษณะแตกต่างจากพีระมิดในยุคโบราณ

1.   Portico                                    

2.   Step Pyramid                             

3.   Mastaba                          

4.   Ziggurat

             ตอบ 1       หน้า 496369, (คำบรรยาย) Portico คือ มุขหน้าหรือมุขห้องโถง ซึ่งเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมโรมันที่เป็นตัวอาคารส่วนหน้าที่ยื่นออกมาจากอาคารหลังทรงเหลี่ยม โดยจะมีลักษณะเป็นระเบียงทางเข้าที่มีหลังคาและเสากลมแบบกรีก (ส่วน Step Pyramid คือ พีระมิดแบบขั้นบันได Mastaba คือ สุสานหินของอียิปต์ช่วงต้นราชวงศ์ จะมีรูปร่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าคล้ายฐานพีระมิด Ziggurat คือ สถาปัตยกรรมของชาวสุเมเรียนที่มีลักษณะคล้ายกับพีระมิด)

52.       อะไรคือลักษณะที่เป็นนวัตกรรมการปกครองแบบโรมัน

             1.   การมีผู้ปกครองร่วมกันเป็นหมู่คณะ                             2.   การเลือกตั้งซ้อน 2 ครั้ง

             3.   การมีผู้นำสูงสุด 2 คนเป็นกงสุล                                    4.   การมีผู้นำสูงสุดคนพียง 1 คน

             ตอบ 3       หน้า 161 (คำบรรยาย) ในสมัยสาธารณรัฐโรมัน ชาวโรมันได้ริเริ่มรูปแบบการปกครองระบอบกงสุล (Consulate System) ซึ่งเป็นนวัตกรรมการปกครองแบบโรมันเอง นั่นคือระบอบการปกครองที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือกงสุล (Consuls) 2 คน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง              “Magistrates” หรือผู้นำสูงสุด ทำหน้าที่เป็นประมุขของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารโดยจะคัดเลือกมาจากขุนนางสามัญชนอิสระ แต่ส่วนใหญ่จะมาจากพวกแพทริเชียน หรือกลุ่มชนชั้นสูงของสังคม 

53.       ในยุคกลาง ระบอบราชาธิปไตยและระบอบศักดินาสวามิภักดิ์มีความแตกต่างกันเป็นตรงกันข้ามในด้านใดเป็นหลัก

             1.   การนับถือศาสนา             2.   วิธีการใช้อำนาจ            3.   ลัทธิประเพณีการเมือง                 4.   คติวีรชน

             ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 48. ประกอบ 

54.       ในปลายยุคกลาง ขุนนางตกยากและตกต่ำด้วยเหตุใด

             1.   เศรษฐกิจตกต่ำ 2.   สงคราม           3.   กษัตริย์มีอำนาจ                              4.   ภัยธรรมชาติ

             ตอบ 2       หน้า 296-29979-80 (H) สาเหตุที่ทำให้ขุนนางตกยากและตกต่ำในปลายยุคกลางนั้นเนื่องมาจากปัญหาทางด้านสงคราม ซึ่งทำให้ขุนนางเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และยังถือว่าเป็นการสิ้นสุดของระบอบฟิวดัลอีกด้วย ไค้แก่

1.   สงครามร้อยปี (ค.ศ. 1337-1453) เป็นสงครามระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากปัญหาสิทธิในการสืบราชบัลลังก์

2.   สงครามดอกกุหลาบ (ค.ศ.1455-1485) เป็นสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นในอังกฤษระหว่างขุนนาง 2 ตระกูล คือ ตระกูลแลงคาสนตอร์และตระกูลยอร์ค 

55.       เมื่อใดที่บ้านเมืองเป็นจลาจลในยุคกลางผู้คนจะพึ่งพาใครเป็นหลัก

             1.   กษัตริย์                                2.   ขุนนาง                            3.   พ่อค้า                               4.   พึ่งตนเอง

             ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 26. และ 48. ประกอบ 

56.       ในยุคกลาง การกระจายอำนาจเป็นวิธีการใช้อำนาจของระบอบการปกครองใด

             1.   ราชาธิปไตย                       2.   จักรพรรดิราชย์              3.   ศักดินาสวามิภักดิ์          4.   คณาธิปไตย

             ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 48. ประกอบ

57.       ข้อใดแสดงว่าอาณาจักรมีอำนาจเหนือศาสนจักรในปลายยุคกลาง

             1.   เกรเกอรี่ที่ 7 ทรงอภัยโทษแก่แฮนรี่ที่ 4                        2.   พระสันตะปาปาประทับที่เมืองอาวิญยอง

             3.   เฮนรี่ที่ 4 เสด็จไปเมืองคนอสซา                                    4.   การลอบสังหารสังฆราชเบคเคท

             ตอบ 2       หน้า 300 – 30380 (H) สมัยการคุมขังแห่งบาบิโลเนียในตอนปลายยุคกลาง (Babylonian  Captivity ค.ศ. 1305 – 1377) เป็นสมัยที่มีการเปรียบเทียบสันตะปาปาว่าเป็นเหมือนกับพวกยิวที่ถูกกวาดต้อนไปอยู่ที่กรุงบาบิโลเนียในยุคโบราณ เนื่องจากสันตะปาปาได้ย้ายที่ประทับจากกรุงโรมในอิตาลีมาอยู่เมืองอาวิญยองในฝรั่งเศส ทำให้สันตะปาปาชาวฝรั่งเศสองค์ต่อ ๆ มาก็พำนักอยู่ในฝรั่งเศสเป็นเวลานานถึง 70 ปี ซึ่งเหตุการณ์นี้ได้แสดงให้เห็นว่าอาณาจักรสามารถบังคับบัญชาศาสนจักรได้ ทำให้สันตะปาปาตกอยู่ภาย ใต้อำนาจขอกษัตริย์ฝรั่งเศสที่มีสิทธิแต่งตั้งและถอดถอนสันตะปาปา จนทำให้สันตะปาปามิได้มีฐานะเป็นประมุขสากลอีกต่อไป

58.       เหตุใดการปฏิรูปศาสนาจึงทำให้ศาสนจักรตกต่ำในปลายยุคกลาง

             1.   ญาติโยมเป็นอิสระจากศาสนจักร 2.   ผู้คนไม่อยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของศาสนจักร

             3.   ศาสนจักรตกยาก                                              4.   มีคนเข้ารีตลดฮวบ

             ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 47. ประกอบ 

59.       มหาอำนาจชาติใดในปลายยุคกลางเคยมีอำนาจเหนือศาสนจักรที่กรุงโรมและแสดงอำนาจโดยวิธีใด

             1.   อังกฤษ โดยการแต่งตั้งพระคาร์ดินาล              2.   โรมันอันศักดิ์สิทธิ์ โดยแต่งตั้งพระสันตะปาปา

             3.   ฝรั่งเศส แต่งตั้งพระสันตะปาปา                      4.   เยอรมนี ถอดถอนพระคาร์ดินาล

             ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 57. ประกอบ 

60.       ในปลายยุคกลางศาสนจักรที่กรุงโรมแตกแยกครั้งใหญ่ด้วยเหตุใด

             1.   ยุโรปครอบงำกรุงโรม                                                     2.   ชิงตำแหน่งพระสันตะปาปา

             3.   อาณาจักรยุให้ศาสนจักรแตกแยก                                 4.   ความขัดแย้งด้วยเรื่องหลักธรรม

             ตอบ 2       หน้า 30380 – 81 (H) ในปลายยุคกลาง ศาสนจักรที่กรุงโรมตกต่ำลงเนื่องจากเกิดการแตกแยกครั้งใหญ่ (The Great Schism) ซึ่งเป็นการแตกแยกกันเองภายในวงการศาสนจักรที่ดำเนินมาถึง 40 ปีโดยมีสาเหตุมาจาการแย่งชิงตำแหน่งพระสันตะปาปาระหว่างชาวอิตาลีกับชาวฝรั่งเศส จนส่งผลให้เกิดสันตะปาปาขึ้นพร้อมกัน 2 องค์ทั้งที่กรุงโรมในอิตาลีและที่เมืองอาวิญยองในฝรั่งเศส แต่เหตุการณ์นี้ก็สิ้นสุดลงหลังการประชุมที่คองสตังซ์ในระหว่างปี ค.ศ. 1414 – 1418 ซึ่งได้กำหนดให้มีสันตะปาปาเพียงองค์เดียวประทับที่กรุงโรม

61.       นักวิทยาศาสตร์มองโลกเป็นอะไร

1.   โลกทิพย์             

2.   โลกแห่งจินตนาการ                     

3.   เครื่องจักร                       

4.   ละครโรงใหม่

ตอบ 3       (คำบรรยาย) นักวิทยาศาสตร์ในช่วงต้นยุคใหม่มองระบบจักรวาลว่า โลกคือเครื่องจักร” เพราะมีการทำงานเป็นระบบระเบียบ เป็นไปตามจุดประสงค์ของมันในขณะที่ยุคกลางซึ่งเป็นยุคที่มีความศรัทธาต่อศาสนามากกลับมองว่าระบบจักรวาลเป็นระบบที่พระผู้เป็นเจ้าสร้างขึ้นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติล้วนเกิดจากแผนการของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น 

62.       ผลงานด้านใดที่แสดงให้เห็นว่าเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์

             1.   ประชากรเพิ่ม เกิดง่าย ตายช้า                                        2.   การคิดลึกซึ้งเรื่องโลก

             3.   การกีฬาเพื่อพระเจ้า                                                         4.   การละครเพื่อพระเจ้า

             ตอบ 1       (คำบรรยาย) (HI 103 เลขพิมพ์ 46197 หน้า 502 – 503509) จากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ด้านการแพทย์ของหลุยส์ ปาสเตอร์ (Louis Pasteur) ที่ได้ค้นพบจุลินทรีย์ทำให้ชาวตะวันตกระวังในเรื่องสุขอนามัย ความสะอาด และรู้วิธีควบคุมโรคระบาดด้วยวัคซีน ซึ่งส่งผลให้อัตราการตายน้อยลงและทำให้จำนวนประชากรในยุโรปในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เพิ่มสูงกว่าที่อื่น ๆ ในโลก 

63.       ในศตวรรษที่ 18 ระบบการผลิตสินค้าและบริการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อมีการใช้อะไรเป็นปัจจัยในการผลิต            

             1.  ระบบทำงานหมุนเวียน   2.   การธนาคาร         3.   เครื่องจักร         4.   หัวสมองรู้คิด

             ตอบ 3       หน้า 340 – 34488 – 89 (H) เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 18 การปฏิวัติทางการค้าทำให้เกิดเศรษฐกิจรูปแบบใหม่ คือ ระบอบทุนนิยม (Commercial Capitalism) ซึ่งเป็นระบอบที่ก่อให้เกิดการใช้เงินเหรียญและมีความต้องการสะสมทองแท่งตามระบบมาตรฐานทองคำมากขึ้น นอกจากนี้การปฏิวัติทางการค้ายังส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมโดยใช้เครื่องจักรในการผลิตสินค้าและบริการ เพื่อผลิตให้ได้ปริมาณมากและรวดเร็วยิ่งขึ้น 

64.       เทวนิยมไม่เป็นที่นิยมอีกต่อไปในสมัยใดของยุคใหม่

             1.   สมัยฟื้นฟูวิทยาการ                                                          2.   สมัยประเทืองปัญญา

             3.   สมัยปฏิวัติวิทยาศาสตร์                                    4.   การปฏิรูปศาสนา

             ตอบ 2       หน้า 443110 (H) สมัยประเทืองปัญญา (The Enlightenment) หมายถึง การที่วิทยาศาสตร์เริ่มมีความสำคัญโดยเข้ามาแทนที่วิชาเทววิทยา (เทวนิยม) ในการอธิบายเรื่องของจักรภพโดยเป็นยุคที่เน้นความสำคัญของเหตุผลของมนุษย์ในฐานะที่เป็นพื้นฐานแห่งความเจริญก้าวหน้ามีการคิดตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์ คือ เชื่อถือในสิ่งที่พิสูจน์ได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือเป็นยุคที่มีการเทิดทูนสภาวะของปัจเจกชนอย่างเต็มกำลัง

65.       การปฏิวัติอุตสาหกรรมหมายถึงกระบวนการอะไร

             1.   เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต                                                         2.   เปลี่ยนแปลงทางการเมือง

             3.   เปลี่ยนแปลงวิธีคิด                                                           4.   เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ

             ตอบ 4       หน้า 494561 การปฏิวัติอุตสาหกรรม หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจจากสังคมเกษตรกรรมและการค้าแบบเก่ามาเป็นสังคมอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เครื่องจักรกลแทนแรงงานคนและสัตว์ โดยมีการพัฒนารูปแบบของกำลังใหม่ ๆ คือ น้ำ ไอน้ำ ไฟฟ้า น้ำมันและพลังงานปรมาณู นอกจากนี้ยังมีการผลิตสินค้าหลายประเภทเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีการอพยพจากชนบทเข้าเมืองด้วย 

66.       การใช้เครื่องจักรในการผลิตเป็นการใช้ทดแทนอะไร

             1.   พลังงานไฟฟ้า                  2.   พลังงานถ่านหิน                 3.   แรงงานมนุษย์             4.   แรงงานไอน้ำ

             ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 65. ประกอบ 

67.       การผลิตเป็นอุตสาหกรรมมีลักษณะอะไร

             1.   ผลิตตามฤดูกาล                                                                                 2.   ผลิตตามคำสั่งของลูกค้า

             3.   ผลิตปริมาณมากสารพัดประเภท                                   4.   ผลิตสินค้าพิเศษเฉพาะตามสั่ง

             ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 65. ประกอบ 

68. ลัทธิใดส่งเสริมให้มีการสะสมทองแท่งตามระบบมาตรฐานทองคำ

             1.   ลัทธิทุนนิยม              2.   ลัทธิพาณิชย์นิยม   3.   ลัทธิสังคมนิยม               4.   ลัทธิกีดกันสินค้า

             ตอบ 1       ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ 

69.       กระบวนการใดส่งเสริมให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม

1.   การค้นพบดินแดน

2.   การปฏิรูปศาสนา

3.   การปฏิวัติการเกษตร       

4.   การปฏิวัติการค้า

             ตอบ 4       ดูคำอธิบายข้อ 63. ประกอบ 

70.       การฟื้นฟูศิลปวิทยาการมีความหมายในทางโลกโดยเน้นอะไรเป็นสำคัญ

             1.   ศาสนา                                2.   งานศิลป์                          3.   การปกครอง                      4.   กฎหมาย

             ตอบ 2       หน้า  356 – 35892 (H) การฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือเรอเนสซองส์ (Renaissance) คือการเกิดใหม่ของอารยธรรมคลาสสิกหรือเป็นการศึกษาศิลปวิทยาการกรีก-โรมันขึ้นมาใหม่ซึ่งในทางโลกจะเน้นที่งานศิลป์ แต่ในส่วนของมนุษย์นิยมจะเน้นที่งานวรรณกรรม ทั้งนี้การฟื้นฟูศิลปวิทยาการได้ก่อให้เกิดผลงานทั้งทางด้านศิลปะ การประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ และการกำเนิดวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

71.       การฟื้นฟูศิลปวิทยาการโดยเน้นวรรณกรรม เป็นความหมายของการฟื้นฟูในทางด้านใด

1.   มนุษยธรรม                        

2.   ศิลปกรรม                       

3.   อักษรศาสตร์ 

4.   มนุษยนิยม

ตอบ 4       ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ 

72.       การฟื้นฟูศิลปวิทยาการเป็นการฟื้นฟูความรู้ทางใด

1.   ความลี้ลับ                           

2.   จริยศาสตร์                        

3.   ทางธรรม                      

4.   ทางโลก

ตอบ 4       หน้า 356 – 357 (ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ) กระบวนการฟื้นฟูศิลปวิทยาในยุคใหม่จะเน้นความสำคัญของมนุษย์ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางแห่งจักรภพและมุ่งไปสูการดำรงชีวิตทางโลกเป็นรายบุคคล โดยเฉพาะอุดมคติของสากลมนุษย์ (Universal Man) ที่เป็นคนรอบรู้ภาษาใต้คำขวัญที่ว่า มนุษย์ทำได้ทุกอย่างที่อยากจะทำ” ดังนั้นสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการจึงถือว่าเป็นกระบวนการฟื้นฟูความสำคัญในการแสดงออกของปัจเจกบุคคลและประสบการณ์ทางโลก ซึ่งนับว่ามีความแตกต่างจากยุคกลางซึ่งถูกครอบงำจากคริสต์ศาสนาโดยสิ้นเชิง 

73.       ความคิดว่ามนุษย์เป็นศูนย์กลางของจักรภพนั้น เป็นความคิดหลักของความเคลื่อนไหวอะไรในยุคใหม่

             1.   การปฏิรูปศาสนา                                                              2.   การปฏิวัติวิทยาศาสตร์

             3.   การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ                                   4.   การปฏิวัติอุตสาหกรรม

             ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 72. ประกอบ

  74.     ข้อใดคือสาเหตุทางการเมืองของการปฏิรูปศาสนา

             1.   ศาสนจักรปกครองตนเอง                                               2.   การเรียกค่าบำรุงศาสนา

             3.   การประพฤติผิดศีลธรรม                                                 4.   ศาสนจักรค้าขาย

             ตอบ 1       หน้า 376 – 37797 (H) สาเหตุทางการเมืองของการปฏิรูปศาสนามีดังนี้

1.   สันตะปาปาสนพระทัยแต่เรื่องการขยายดินแดนและเผยแพร่อิทธิพล เพื่อหวังผลให้ ศาสนจักรปกครองตนเองมากกว่าการเป็นผู้นำทางศาสนา

2.   ความเสื่อมของศาสนจักรจากเหตุการณ์การคุมขังแห่งบาบิโลเนียและการแตกแยกครั้งใหญ่

3.   กษัตริย์ต้องการขจัดอิทธิพลของสันตะปาปาออกจากดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองเพื่อเข้าครอบครองและหาผลประโยชน์จากที่ดินของวัด 

75.       เหตุใดอาณาจักรต้องการบังคับบัญชาศาสนจักร

             1.   เพราะต้องการแต่งตั้งพระ                                              2.   เพราะศาสนจักรต้องการปกครองทั้งทวีป

             3.   เพราะต้องการเก็บภาษีวัด                                               4.   ถูกข้อ 1 และ 3

             ตอบ 4       หน้า 243300 – 30168 – 69 (H) 80 (H) สาเหตุที่อาณาจักรต้องการปกครองศาสนจักรมีดังนี้

1. กษัตริย์ต้องการมีอำนาจแต่งตั้งหัวหน้าพระ เพราะกษัตริย์ทรงถือว่าสงฆ์ทำประโยชน์ในที่ดินของพระองค์ ดังนั้นจึงควรถวายความสวามิภักดิ์ตามระบอบฟิวดัล เช่น กรณีของจักรพรรดิเฮนรี่ที่ 4 กับสันตะปาปาเกรเกอรี่ที่ 7 แต่ในที่สุดสันตะปาปาก็เป็นฝ่ายชนะ

2. กษัตริย์ต้องการเก็บภาษีวัดเพื่อใช้ในการทำสงคราม เช่น กรณีพระเจ้าฟิลิปที่ 4 กับสันตะปาปาโบนิฟาซที่ 8 แต่ต่อมาสันตะปาปาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้และสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1303 

76.       เหตุใดการปฏิรูปศาสนาต้องปฏิรูปตัวบุคคลคือนักบวช

             1.   เพราะนักบวชเป็นคณะผู้บริหารศาสนจักร                2.   เพราะนักบวชไม่รู้หนังสือและหลักธรรม

             3.   เพราะนักบวชไม่ประพฤติธรรม                                   4.   ถูกข้อ 2 และ 3

             ตอบ 4       หน้า 37797 – 98 (H), (คำบรรยาย) การปฏิรูปศาสนาที่ดำเนินมาตั้งแต่ปลายยุคกลางเป็นการปฏิรูปตัวนักบวชและศาสนจักรเป็นสำคัญ โดยสาเหตุทางสังคมที่ทำให้เกิดการปฏิรูปศาสนามี         ดังนี้ 1. มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการฉ้อฉลและความประพฤติที่ผิดวินัยผิดศีลธรรมของพระหรือคณะนักบวชกับเจ้าหน้าที่ศาสนา ซึ่งนับว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่สุด เช่น การซื้อขายตำแหน่งและบรรดาศักดิ์ของพระที่เรียกว่า “Nepotism”  2. พระไม่รู้หนังสือและหลักธรรมพอที่จะทำการสอนศาสนา   3. การมุ่งพิธีกรรมมากเกินไป            4. ถูกโจมตีจากนักมนุษย์นิยมว่ามนุษย์ควรสนใจในโลกนี้มากกว่าโลกหน้า  

77.       ข้อใดคือผลของการปฏิรูปศาสนา

             1.   พระมีอำนาจครอบงำอาณาจักร                                     2.   ขุนนางมีอำนาจมากขึ้น

             3.   กษัตริย์มีอำนาจมากขึ้น                                    4.   ศาสนจักรเป็นใหญ่ในยุโรป

             ตอบ 3       หน้า 386101 (H), (คำบรรยาย) ผลของการปฏิรูปศาสนาเมื่อสิ้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 มีดังนี้

1. เป็นการสิ้นสุดของสภาพศาสนาสากล คือ นิกายคาทอลิกไม่ใช่คริสต์ศาสนานิกายเดียวของยุโรปตะวันตกอีกต่อไป  

2. เกิดนิกายโปรเตสแตนต์ ซึ้งแยกตัวออกจากคริสตจักรที่กรุงโรมแล้วเผยแผ่ไปยังดินแดนต่าง ๆ มากมายหลายนิกาย เช่น ลูเธอรันนิสม์ คาลวินิสม์ โพรสไบทีเรียน นิกายอังกฤษ                 

3. เกิดลัทธิชาตินิยม             

4. กษัตริย์และชนชั้นกลาง (พ่อค้า) มีอำนาจมากขึ้นและเกิดระบบเศรษฐกิจทุนนิยมแทนที่ระบอบฟิวดัล  

5. เกิดสงครามศาสนาและสงครามแย่งชิงดินแดนในโลกใหม่  

78.       วิทยาศาสตร์ต้นยุคใหม่ต้องอาศัยอะไรเป็นสำคัญในการศึกษา

             1.   การจินตนาการ                 2.   การทดลอง        3.   การคิดคาดเดา             4.   การเปรียบเทียบศึกษา

             ตอบ 2       หน้า 37339597 (H), (คำบรรยาย) การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ของยุโรปเริ่มต้นยุคใหม่นั้นเป็นการปฏิวัติที่อาศัยการสังเกต ประสบการณ์ และการทดลองเป็นเครื่องมือหลักโดยวิทยาศาสตร์พัฒนาเริ่มต้นมาจากการตั้งข้อสมมุติฐานเป็นพื้นฐานก่อน แล้วจึงแสวงหาข้อมูลเพื่อที่จะทดลองและพิสูจน์ข้อสมมุติฐานนั้นเป็นจริงตามที่พิสูจน์ก็จะมีการตั้งขึ้นเป็นทฤษฎี และถ้าหากทฤษฎีเป็นที่ยอมรับมากขึ้นตามลำดับ ทฤษฎีนั้นก็จะกลายเป็นองค์ความรู้ที่ได้รับการยอมรับ 

79.       อดัม สมิธ มีความคิดต่อต้านการค้าแบบใด

             1.   การค้าเสรี           2.   การค้าผูกขาด                 3.   การค้าโดยรัฐ  4.   การค้าโดยศาสนจักร

             ตอบ 2       หน้า 430499 – 500502 (คำบรรยาย) อดัม สมิธ (Adam smith) บิดาของเศรษฐศาสตร์สมัยใหม่ได้เสนอนโยบายการค้าเสรี (Laissez-faire) หรือนโยบายปล่อยเสรี คือ การที่รัฐบาลจะต้องไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยการตั้งข้อจำกัดทางการค้าอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งเขาได้ให้ทัศนะว่าบุคคลควรมีโอกาสแสวงหากำไรของตนทางเศรษฐกิจโดยไม่ถูกควบคุมและจำกัดด้วยลัทธิพาณิชย์นิยม (Mercantilism) ซึ่งมีลักษณะเป็นการค้าผูกขาดเฉพาะแห่ง 

80.       ผู้ปกครองแบบสมัยประเทืองปัญญา (Enlightened Despots) ใช้อำนาจอย่างไร

             1.   กระจายอำนาจ       2.   กึ่งรวมกึ่งกระจายอำนาจ         3.   แบ่งมอบอำนาจ       4.   รวมอำนาจเด็ดขาด

             ตอบ 4       หน้า 419431491 กษัตริย์หรือผู้ปกครองแบบสมัยประเทืองปัญญา (Enlightened Despots) จะใช้อำนาจในการปกครองตามระบอบราชาธิปไตยที่เป็นการรวมอำนาจเด็ดขาดทำให้กษัตริย์มักจะพยายามหาทางกำจัดพวกขุนนางและพระโดยอ้างว่าเป็นการกำจัดอำนาจของอภิสิทธิ์ชน ทั้ง ๆ ที่แท้จริงแล้วทรงกำจัดอำนาจขุนนางและพระก็เพื่อเพิ่มพระราชอำนาจซึ่งตัวอย่างของกษัตริย์ที่มีลักษณะดังกล่าว เช่น พระเจ้าเฟรเดอริกมหาราชแห่งปรัสเซียและพระนางแคเทอรีนมหาราชินีแห่งรัสเซียเป็นต้น 

81.       มีกี่ชนชั้น และชนชั้นใดบ้างที่ต่อต้านระบอบเก่าในศตวรรษที่ 18

1.   2 ชนชั้น คือ พระและขุนนาง                                        

2.   3 ชนชั้น คือ พระ ขุนนาง และสามัญชน

3.   2 ชนชั้น คือ ขุนนางและชนชั้นกลาง                          

4.   1 ชนชั้น คือ ชนชั้นกลาง

ตอบ 4       หน้า 455461 (คำบรรยาย) การปฏิวัติทางการเมืองในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 17 – 20 เป็นการต่อต้านเพื่อล้มระบอบเก่า คือ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือระบอบการปกครองแบบรวมอำนาจที่กษัตริย์ทรงใช้อำนาจอย่างไม่มีขอบเขต นอกจากนี้พวกอภิสิทธิ์ชน (ชนชั้นสูง)ยังเอารัดเอาเปรียบคนจน ทำให้เกิดความไม่เสมอภาคทางการเมืองและสังคม จนเป็นเหตุให้ชนชั้นกลางออกมาต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิมนุษยชนและหน้าที่อันเท่าเทียมกันในสังคมและต้องการมีส่วนร่วมในการปกครองมากขึ้น ซึ่งต่อมาการปฏิวัติก็ได้ขยายไปยังมวลชนและประสบความสำเร็จในที่สุด โดยมีจุดมุ่งหมายคือ เพื่อเปลี่ยนการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด

82.       การปฏิวัติทางการเมืองในศตวรรษที่ 17 – 20 เป็นการล้มล้างระบอบใด

             1.   ระบอบประชาธิปไตย                                                     2.   ระบอบสาธารณรัฐ

             3.   ระบอบเทวราช                                                                 4.   ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

             ตอบ 4       ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ  

83.       การล้มล้างระบอบเก่ามุ่งหมายสร้างระบอบอะไรแทนที่

             1.   ระบอบจักรพรรดิราชย์                                                    2.   ระบอบประชาธิปไตย   

             3.  ระบอบสาธารณรัฐ                                                            4.   ระบอบเทวราช

             ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ  

84.       สงครามกลางเมืองอังกฤษระหว่าง ค.ศ. 1642 – 1649 จบลงโดยฝ่ายใดเป็นฝ่ายชนะ

             1.   สภาขุนนาง                       2.   รัฐสภา                             3.   กษัตริย์                             4.   สภาสามัญชน

             ตอบ 2       หน้า 411-413107 (H) ในระหว่างปี ค.ศ. 1642-1649 ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในอังกฤษทั้งนี้มีสาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างพระเจ้าชาร์ลส์ที่1 กับรัฐสภาอังกฤษซึ่งตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพวกเพียวริตัน (Puritans) ในกรณีที่พระองค์ต้องการเงินเพื่อไปปราบปรามการกบฏของพวกสก็อต โดยสงครามจบลงด้วยชัยชนะของรัฐสภา และพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ถูกตัดสินประหารชีวิตในปี ค.ศ. 1649 ซึ่งถือว่าเป็นการสิ้นสุดสมัยการปกครองในระบอบเทวสิทธิ์ในอังกฤษและเปลี่ยนไปสู่การปกครองในระบอบสาธารณรัฐ (Republic)  

85.       ในปลายศตวรรษที่ 18 ประเทศใดปฏิวัติการเมืองตามอุดมคติของสมัยประเทืองปัญญาเป็นประเทศแรก

             1.   ฝรั่งเศส                               2.   อังกฤษ                            3.   ปรัสเซีย                           4.   สหรัฐอเมริกา

             ตอบ 1       (HI 103 เลขพิมพ์ 46197 หน้า 486 – 487489) ในปลายศตวรรษที่ 18 อุดมคติของสมัยประเทืองปัญญาไม่มีผลต่อยุโรปจนกระทั่งเกิดการปฏิวัติในฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1789 ทำให้ฝรั่งเศสเป็นประเทศแรกที่เป็นแหล่งที่มาทางความคิดแบบประเทืองปัญญา แต่ไม่มีกษัตริย์แบบประเทืองปัญญาปกครอง จนถึงสมัยของพระจักรพรรดินโปเลียนมหาราช ซึ่งทรงได้รับยกย่องว่าเป็นกษัตริย์แบบประเทืองปัญญา ทั้งนี้เพราะทรงใช้นโยบายปฏิรูปภายในประเทศตลอดจนทรงใช้อำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ปกครองได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

86.       การปฏิวัติฝรั่งเศสมีจุดมุงหมายล้มล้างอำนาจของใคร

             1.   ชนชั้นกลาง                       2.   ชนชั้นขุนนาง                    3.   กษัตริย์                        4.   พระ

             ตอบ 3       หน้า 461 – 462114 – 115 (H)  การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 เป็นการปฏิวัติภายใต้การนำของชนชั้นกลางที่ต้องการล้มล้างอำนาจของกษัตริย์และต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบเก่าหรือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่การปกครองในระบอบสาธารณรัฐ นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อการปฏิวัติทางการเมืองของยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 17 – 20 (ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ) 

87.       การปฏิวัติทางการเมืองในระหว่างศตวรรษที่ 18 – 20 ส่วนใหญ่ประสบความสำเร็จในท้ายสุดเมื่อมีใครเข้าร่วม              

             1.   พระ                     2.   ขุนนาง                            3.   พ่อค้า                               4.   มวลชน

             ตอบ 4       ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ 

88.       นโปเลียนทรงถือพระองค์เป็นกษัตริย์แบบใด

             1.   แบบประเทืองปัญญา         2.   แบบสาธารณรัฐ             3.   แบบกงสุล                   4.   แบบเสรีนิยม

             ตอบ 1       ดูคำอธิบายข้อ 85. ประกอบ 

89.       เหตุใดในศตวรรษที่ 19 ยุโรปจึงเป็นโรงงานโลก

             1.   เพราะยุโรปเป็นผู้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต           2.   เพราะยุโรปผลิตสินค้าไปขายทั่วโลก

             3.   เพราะยุโรปตั้งตลาดร่วมยุโรป                                       4.   เพราะยุโรปมีสหภาพศุลกากร

             ตอบ 2       หน้า 495123 (H) การปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เคยมีการนำระบบโรงงานที่มีการผลิตโดยการใช้เครื่องจักรเข้ามาแทนที่การผลิตในครัวเรือน ทั้งนี้เพราะเมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้น ทำให้ระบบการผลิตแบบเก่าไม่สามารถผลิตได้ทันตามความต้องการโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมสิ่งทอ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปฏิวัติระบบการผลิตโดยนำระบบโรงงานและเครื่องจักรเข้ามาใช้ เพื่อช่วยให้ยุโรปผลิตสินค้าและบริการไปขายทั่วโลกจนได้ชื่อว่าเป็นโรงงานโลก (เมื่อก่อน ค.ศ. 1914) 

90.       ในกลางศตวรรษที่ 19 ผู้ประกอบการค้าและการอุตสาหกรรมเป็นชนชั้นใด

             1.   ชนชั้นกลาง                       2.   ชนชั้นสูง                         3.   ชนชั้นสามัญ                 4.   ชนชั้นเจ้า

             ตอบ 1       หน้า 343494 – 495561 ในกลางศตวรรษที่ 19 ผู้ประกอบการค้า การอุตสาหกรรมและควบคุมระบบโรงงาน คือ ชนชั้นกลาง (หรือพวกพ่อค้า) ซึ่งเป็นที่มาของลัทธินายทุนดังนั้นชนชั้นกลางจึงกลายเป็นผู้นำการปฏิวัติอุตสาหกรรมและมีอิทธิพลทางเศรษฐกิจสูงมากจนเกือบจะเป็นอภิสิทธิ์ชน ใหม่ในสังคมที่มีอิทธิพลไม่น้อยไปกว่าขุนนางในสมัยฟิวดัล 

91.       ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในต้นยุคใหม่ กษัตริย์ทรงปกครองรัฐโดยทรงรับผิดชอบต่อใคร

1.   ขุนนาง               

2.   พระ                 

3.   พระผู้เป็นเจ้า                                 

4.   ประชาชน

ตอบ 3       หน้า 333 – 33486 (H) ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของยุโรปในต้นยุคใหม่นั้นกษัตริย์ทรงอ้างว่าเป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าที่ถูกส่งลงมาปกครองมนุษย์และทรงได้รับอำนาจเทวสิทธิ์มาจากพระเจ้า ซึ่งต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ดังนั้นประชาชนจึง ไม่มีสิทธิ์ที่จะปลดกษัตริย์ออกจากตำแหน่ง เพราะถ้าหากคิดล้มล้างกษัตริย์จะถือว่าเป็นความผิดและเป็นบาปใหญ่หลวง 

92.       กษัตริย์รวมอำนาจได้สำเร็จแท้จริงเมื่อทรงมีอำนาจบังคับบัญชาสถาบันใดในต้นยุคใหม่

             1.   พระบรมวงศานุวงศ์         2.   ศาสนจักร          3.   สหภาพการค้า       4.   ชมรมสมาคมของสามัญชน

             ตอบ 2       หน้า 332 – 338402105 (H)  ยุโรปช่วงเริ่มต้นยุคใหม่จนก้าวเข้าสู่ยุคใหม่นั้นจะมีระบอบการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งอำนาจการปกครองจะถูกรวบรวมเข้าสู่ศูนย์กลางคือ อำนาจสูงสุดจะเป็นของกษัตริย์ โดยกษัตริย์ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มชนชั้นกลางในการปราบปรามขุนนางและศาสนจักรให้เข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจ จนส่งผลให้กษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจอย่างไม่จำกัดและสามารถรวมอำนาจได้สำเร็จอย่างแท้จริง 

93.       ลักษณะใดแสดงว่ากษัตริย์มีอำนาจล้นเหลือในต้นยุคใหม่

             1.   มีอำนาจลงโทษคนทำผิด                2.   จับกุมคุมขังโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการศาลสถิตยุติธรรม

             3.   อำนาจแต่งตั้งแม่ทัพและผู้ว่าราชการ        4.   อำนาจให้คุณให้โทษแก่ข้าราชการ

             ตอบ 2       ในยุโรปเริ่มต้นยุคใหม่ การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะส่งเสริมให้กษัตริย์มีอำนาจอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะในระบบราชการนั้นจะเน้นในด้านกฎหมายและการศาล กล่าวคือ กษัตริย์เป็นผู้ออกกฎหมายทุกฉบับ มีสิทธิประกาศสงคราม แต่งตั้งข้าราชการ จัดระบบภาษี และเป็นกษัตริย์ผู้มีอำนาจอย่างล้นเหลือในการตัดสินข้อพิพาทต่าง ๆรวมทั้งสามารถจับกุมคุมขังได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการศาลสถิตยุติธรรม 

94.       ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของต้นยุคใหม่ ระบบราชการเน้นอะไรเป็นหลัก

             1.   กฎหมาย             2.   การศาล                           3.   การโฆษณาชวนเชื่อ                     4.   ถูกข้อ 1 และ 2

             ตอบ 4       ดูคำอธิบายข้อ 93. ประกอบ 

95.       ในสมัยประเทืองปัญญามีวิธีการคิดอย่างไร

             1.   คิดลึกซึ้งอย่างปรัชญา                                                      2.   คิดจินตนาการฝันเฟื่อง

             3.   รู้คิดอย่างมีเหตุผล                                                             4.   คิดทบทวนหน้าหลังอย่างผิวเผิน

             ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 64. ประกอบ 

96.       ปัญญาชนสมัยประเทืองปัญญามีความคิดต่อต้านอะไร

             1.   วิทยาศาสตร์                       2.   เหตุผล                   3.   วิธีธรรมชาติ                   4.   สถาบันเดิมในสังคม

             ตอบ 4       กลุ่มปัญญาชนหรือผู้นำของสมัยประเทืองปัญญาที่เรียกว่า Philosophes ได้พยายามยกเลิกรูปแบบและสถาบันเดิมในสังคมเพื่อให้มีการปรับปรุงสภาพสังคมใหม่ โดยพวกเขาเชื่อว่ามนุษย์สามารถสร้างสวรรค์ในสังคมของตนด้วยการรู้จักวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเหตุผล ซึ่งการปฏิรูปสังคมจะทำได้ด้วยการประยุกต์รูปแบบของกฎธรรมชาติ (Natural Law)ในโลกวิทยาศาสตร์ให้แก่ชีวิตมนุษย์และแสวงหากฎธรรมชาติที่จะทำให้ผู้ปกครองปกครองมนุษย์ภายใต้สังคมที่สมบูรณ์แบบให้ได้

  97.     ตามความคิดของจอห์น ลอค ใครมีหน้าที่พิทักษ์สิทธิมนุษยชน

             1.   ศาสนจักร                           2.   รัฐ                                     3.   รัฐบาล                             4.   ประชาชน

             ตอบ 3       จอห์น ลอค (John Locke) นักปรัชญาชาวอังกฤษได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับสิทธิธรรมชาติของมนุษย์กล่าวคือ โดยสภาพธรรมชาติมนุษย์มีสิทธิพื้นฐานในชีวิต ทรัพย์สิน และอิสรเสรี ซึ่งรัฐบาลมีหน้าที่พิทักษ์ปกป้องสิทธิของมนุษย์นี้ซึ่งเป็นสิทธิตามธรรมชาติ ทั้งนี้รัฐบาลจะต้องไม่กดขี่สิทธิธรรมชาติของประชาชนและต้องมีสัญญาต่อกัน โดยประชาชนได้ยอมสละสิทธิบางประการให้แก่รัฐบาลเพื่อสะดวกต่อการปกครอง หากรัฐบาลกระทำการใดที่ประชาชนไม่พอใจ ประชาชนก็มีสิทธิล้มล้างรัฐบาลที่ไม่พิทักษ์สิทธินั้นได้ 

98.       ศิลปะ Mannerism มีรูปลักษณ์และรูปแบบ เกินพอดี” อย่างไร

             1.   ขาดดุลยภาพ            2.   รูปทรงตามจริง           3.   เน้นธรรมชาติ         4.   ไม่เน้นอารมณ์ความรู้สึก

             ตอบ 1       หน้า 392 จิตรกรรมในคริสต์ศตวรรษที่ 16 จะแสดงออกเป็นแบบ “Mannerism” คือศิลปะการเขียนภาพเกี่ยวกับศาสนาที่แสดงรูปลักษณ์บิดเบี้ยวเกินพอดี เพราะขาดดุลยภาพอันเป็นศิลปะที่มีลักษณะขัดแย้งกับศิลปะคลาสสิกแบบกรีกอย่างสิ้นเชิง (Ant1-Renaissance) เช่น ภาพวาด “Saint Martin and the Beggar” และภาพวาด “View of Toledo” ซึ่งเป็นผลงานของเอล เกรโค จิตรกรชาวกรีกที่มีชื่อเสียง เป็นต้น 

99.       ในสมัยปฏิรูปศาสนา ศิลปะอะไรของโปรเตสแตนต์ที่มีรูปแบบใดแตกต่างจากศิลปะของคาทอลิกและเรียกว่าศิลปะอะไร             

             1.   Baroque รูปแบบเกินจริง                                2.   Mannerism รูปแบบหรูหรา

             3.   Realism รูปแบบเหมือนจริง                           4.   Gothic รูปแบบจินตนาการ

             ตอบ 3       หน้า 391-39252ศิลปะแบบสัจนิยม (Realism) ซึ่งเป็นผลิตผลจากการปฏิรูปศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์นั้น จะมีรูปแบบเน้นความเหมือนจริงตามธรรมชาติโดยไม่ต้องตกแต่งอะไรเลยดังนั้นศิลปะแบบนี้จึงมีลักษณะแตกต่างและตรงกันข้ามกับศิลปะแบบบารอค (Baroque) ซึ่งเป็นผลิตผลจากการปฏิรูปศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและมีการตกแต่งประดับประดามากจนเกินจริง

100.     ศิลปะ Romanticism เป็นศิลปะแบบใหม่ที่ต่อต้านศิลปะใดซึ่งเป็นแบบเดิมของต้นศตวรรษที่ 18

             1.   Gothic                                 2.   Neo-Classicism                              3.   Mannerism                     4.   Baroque

             ตอบ 2       หน้า 428473 – 474489119 (H) ในต้นศตวรรษที่ 19 ศิลปะโรแมนติก (Romanticism) กลับได้รับความนิยมแทนที่ศิลปะแบบบารอค ซึ่งศิลปะโรแมนติกนี้เป็นศิลปะแบบใหม่ที่เน้นการต่อต้านข้อจำกัดอย่างแข็งขันของศิลปะนีโอ-คลาสสิก (Neo-Classicism) หรือต่อ ต้านความสุดยอดของคริสต์ศตวรรษที่ 18 ทั้งหมด โดยจะเน้นที่อารมณ์และความคิดความ รู้สึกที่ลึกซึ้งมากกว่าเหตุผลเน้นชีวิตความเป็นอยู่ของปัจเจกชนมากกว่ารัฐ เน้นการนับถือธรรมชาติและการต่อต้านอำนาจเพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันด้วยความสงบสุข

101.     ในต้นศตวรรษที่ 19 ศิลปะใดที่แสดงความสนใจชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ และสื่อให้คิดและรู้สึกอย่างลึกซึ้ง   

1.   Baroque               

2.   Realism                         

3.   Romanticism 

4.   Neo-Classicism

ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 100. ประกอบ 

102.     ในต้นศตวรรษที่ 20 บรรดามหาอำนาจตะวันตกมีความสัมพันธ์เป็นปฏิปักษ์ต่อกันด้วยเหตุใด

1.   ผลประโยชน์ขัดกัน                         

2.   แข่งกันลดอาวุธ                             

3.   อุดมการณ์ต่างกัน   

4.   การถือศาสนาต่างนิกาย

             ตอบ 1       หน้า 531 – 532 ในต้นศตวรรษที่20 ได้เกิดความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจตะวันตกในยุโรปขึ้น  คือ เหตุการณ์การครอบครองคาบสมุทรบอลข่านในปี ค.ศ. 1914 ซึ่งวิกฤตการณ์นี้ได้กลายเป็นปัญหาที่ไม่อาจยุติได้ ทั้งนี้เพราะชาติยุโรปต่างมุ่งแสวงหาผลประโยชน์อย่างเต็มที่บวกกับแรง    บันดาลใจของลัทธิชาตินิยม ทำให้แต่ละประเทศต่างไม่ยอมสูญเสียผลประโยชน์ของตน จนบานปลายกลายเป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในที่สุด 

103.     ปัจจัยใดทำให้บรรดามหาอำนาจมั่นใจกล้าที่จะตัดสินใจเปิดฉากสงความโลกครั้งที่ 1

             1.   ระบบพันธมิตร                 2.   ความมั่งคั่ง                      3.   ความมีอำนาจ                 4.   อุดมการณ์

             ตอบ 1       หน้า 533564 การที่บรรดามหาอำนาจรวมตัวกันเป็นระบบพันธมิตรนั้น นับเป็นปัจจัยที่ทำให้บรรดามหาอำนาจกล้าที่จะตัดสินใจเปิดฉากสงครามโลกครั้งที่ 1 เร็วขึ้น ทั้งนี้เพราะประเทศที่เข้าร่วมเป็นพันธมิตรต่างก็หวังพึ่งพาประเทศคู่สัมพันธ์ของตนในอนาคตจนไม่กล้าถอนตัวออกมาซึ่งความเกี่ยวพันกันเป็นระบบพันธมิตรนี้เองกลับกลายเป็นการดึงกันเข้าสู่สงครามใหญ่และมีผลให้การรักษาดุลอำนาจในยุโรปล้มเหลวโดยสิ้นเชิง 

104.     ระบบการค้าเสรีใน ค.ศ. 1900 ถูกลัทธินิยมใดทำลายลง

1.   Liberalism                          2.   Capitalism                       3.   Socialism                        4.   Protectionism

ตอบ 4       (คำบรรยาย) ระบบการค้าเสรีในปี ค.ศ. 1900 ไม่เป็นที่นิยมนัก เนื่องจากอิทธิพลของลัทธินิยมปกป้องเศรษฐกิจ (Protectionism) กล่าวคือ เมื่อเริ่มมีการค้าขายอย่างเสรีก็ทำให้ประเทศต่าง ๆ เริ่มที่จะปกป้องสินค้าและบริการของตน ไม่ให้สินค้าและบริการจากต่างประเทศเข้ามาตีตลาดได้ โดยใช้วิธีการจัดเก็บภาษีและตั้งกฎระเบียบที่เข้มงวด 

105. ระบบพันธมิตรแบบบิสมาร์คมีจุดมุ่งหมายที่จะป้องกันความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจใดบ้าง

1.   ฝรั่งเศสกับรัสเซีย

2.   อังกฤษกับฝรั่งเศส

3.   เยอรมนีกับออสเตรีย             

4.   ฝรั่งเศสกับเยอรมนี

             ตอบ 4       หน้า 529 – 530562, (คำบรรยาย) บิสมาร์คจัดตั้งระบบพันธมิตรขึ้นในปี ค.ศ. 1882โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันความขัดแย้งระหว่างเยอรมนีกับฝรั่งเศสในเรื่องดินแดนอัลซัส-ลอเรนน์เป็นหลักทำให้บิสมาร์คต้องพยายามปิดล้อมฝรั่งเศสให้อยู่โดดเดี่ยว โดยการจัดตั้งระบบพันธมิตรที่แข็งแกร่งขึ้น เพี่อมิให้พันธมิตรฝ่ายฝรั่งเศสซึ่งอาจรวมตัวกันได้ในวันข้างหน้าสามารถทำการโจมตีได้ ทั้งนี้ระบบพันธมิตรแบบบิสมาร์คเป็นระบบพันธมิตรแบบตั้งรับในยามสงบ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เกิดการทูตแบบใหม่ขึ้น 

106. การเจรจาสันติภาพหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ยึดถือโครงการสันติภาพอะไร ของประเทศใด

             1.   Marshall Plan ของอังกฤษ                                              2.   Atlantic Charter ของรัสเซีย

             3.   Peace Program ของฝรั่งเศส                                          4.   Fourteen Points ของสหรัฐอเมริกา

             ตอบ 4       หน้า 538 – 540544135 – 137 (H) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน แห่งสหรัฐอเมริกา ได้เสนอร่างสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่งประกอบด้วยหลักการ 14 ข้อ (Fourteen Points) ต่อรัฐสภาอเมริกัน โดยมีจุดมุ่งหมายคือ ต้องการสถาปนาสันติภาพอันถาวรขึ้นด้วยการจัดตั้งสันนิบาตแห่งสหประชาชาติ เพื่อขจัดข้อขัดแย้งระหว่างประเทศโดยใช้วิธีเจรจาออมชอมหรือยุติด้วยกำลังและการศาล ซึ่งสนธิสัญญานี้ได้ส่งผลให้แผนที่ของยุโรปเปลี่ยนไป เพราะการล่มสลายของจักรวรรดิทั้ง 4 คือ รัสเซีย เยอรมนี ออสเตรีย และตุรกี 

107. คำขวัญใดของการปฏิวัติฝรั่งเศสที่สะท้อนถึงสาเหตุของการปฏิวัติฝรั่งเศส

             1.   สิทธิมนุษยชนโดยธรรมชาติ                                          2.   อิสรภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ

             3.   ระบอบเก่าจงเจริญ                                                           4.   อิสรเสรีเหนือสิ่งอื่นใด

             ตอบ 2       หน้า 446 – 447 ฌอง ฌาค รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) นักปรัชญาชาวฝรั่งเศสเห็นว่ามนุษย์นั้นเกิดมาดีแต่ต้องมาเสียเพราะสิ่งแวดล้อม ดังนั้นการศึกษาและกฎหมายในสังคมนั้น ประชาชนควรมีสิทธิเลือกรัฐบาลของตนเองและควบคุมได้ด้วย โดยแนวคิดนี้ได้ปรากฏอยู่ในหนังสือเรื่องสัญญาประชาคม (The Social Contract) ซึ่งได้กลายเป็นคัมภีร์ของการปฏิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสตามคำขวัญที่ว่า อิสรภาพ (Liberty) เสมอภาค (Equality) และภราดรภาพ (Fraternity)”  

108.     การปฏิวัติทางการเมืองในศตวรรษที่ 19 อ้างลัทธิใดเพื่อความชอบธรรมของการปฏิวัติ

             1.   ลัทธิทุนนิยม         2.   ลัทธิเสรีนิยม               3.   ลัทธิสังคมนิยม                  4.   ลัทธิจักรวรรดินิยม

             ตอบ 2       หน้า 478 – 479490124 1.   (คำบรรยาย) ลัทธิที่ส่งเสริมให้เกิดความชอบธรรมของการปฏิวัติทางการเมืองในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 19 ได้แก่ 1. ลัทธิโรแมนติก จะเน้นความเป็นเอกภาพของปัจเจกชน  2. ลัทธิชาตินิยม จะเน้นการแสดงความจงรักภักดีสูงสุดต่อชาติพันธุ์ ท้องถิ่นและชาติของตนเนื่องจากมีการใช้ภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมเป็นสื่อปลูกฝังให้เกิดความรักชาติและการรวมกันเป็นหนึ่งตลอดจนความรู้สึกสำนึกในเชื้อชาติเดียวกัน        3. ลัทธิเสรีนิยม จะเน้นความอิสรเสรีความเสมอภาคตามกฎหมาย และเรียกร้องการปกครองโดยมีผู้แทน  

109.     อะไรคือสื่อทำให้เกิดความรักชาติและรวมกันเป็นหนึ่งในศตวรรษที่ 19

             1.   สถาบันกษัตริย์ 2.   สื่อมวลชน                      3.   วัฒนธรรม                      4.   สภาบันการศึกษา

             ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 108. ประกอบ 

110.     ในศตวรรษที่ 19 กรีกและเบลเยียมต่อสู้จนได้รับเอกราชโดยความช่วยเหลือจากใคร

             1.   รัสเซียออสเตรีย              2.   ปรัสเซียรัสเซีย             3.   ฝรั่งเศสรัสเซีย             4.   อังกฤษฝรั่งเศส

             ตอบ 4       หน้า 118 (H) ยุคเมตเตอร์นิก (ค.ศ. 1815 – 1848) คือ ยุคแห่งการต่อต้านระบอบเสรีนิยมในยุโรป โดยมีเจ้าชายเมตเตอร์นิกแห่งอาณาจักรออสเตรียเป็นผู้นำการต่อต้าน แต่ก็ยังมีขบวนการเสรีนิยม   2 แห่งที่สามารถทำการปฏิวัติได้สำเร็จในช่วงศตวรรษที่ 19 คือ 1. การปฏิวัติของพวกกรีกซึ่งแยกตัวออกจากการปกครองของตุรกีในปี ค.ศ. 1821 – 1829 โดยได้รับความช่วยเหลือจากรัสเซีย อังกฤษและฝรั่งเศส 2. การปฏิวัติของเบลเยียมซึ่งแยกตัวออกจากฮอลแลนด์ในปี ค.ศ. 1830 โดยได้รับความช่วยเหลือจากอังกฤษ 

111.     เมื่อ ค.ศ. 1871 แผนที่ยุโรปเปลี่ยนแปลงด้วยเหตุใด

1.   ฝรั่งเศสสร้างจักรวรรดิ                                                    

2.   เยอรมนีพ่ายแพ้แก่ฝรั่งเศส

3.   รัสเซียครองโปแลนด์                                                      

4.   เยอรมนีและอิตาลีรวมประเทศ

ตอบ 4       หน้า 512 – 519119 (H), 124 – 129 (H) (คำบรรยาย) จากการที่ประเทศอิตาลีและเยอรมนีสามารถรวมประเทศได้เป็นผลสำเร็จในปี ค.ศ. 1870 และ ค.ศ. 1871 ตามลำดับ ได้แสดงให้เห็นถึงชัยชนะของลัทธิชาตินิยมและเสรีนิยมว่ามีบทบาทส่งเสริมทำให้เกิดการรวมประเทศเยอรมันและอิตาลีขึ้นซึ่งนับเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้แผนที่ยุโรปเปลี่ยนแปลงไปและส่งผลให้ดุลยภาพแห่งอำนาจ (Balance of Power) ได้เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เนื่องจากเกิดประเทศมหาอำนาจขึ้น คือ ประเทศเยอรมนีและอิตาลี  

112.     ในยุคใหม่ก่อนสงครามโลก บรรดามหาอำนาจรักษาสันติภาพและความมั่นคงปลอดภัยร่วมกันโดยวิธีการใด   

             1.   สร้างระบบพันธมิตร    2.   ตั้งองค์กรกลาง      3.   สร้างสันนิบาต     4.   รักษาดุลยภาพแห่งอำนาจ

             ตอบ 4       (คำบรรยาย) หลักความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศในยุโรปตั้งแต่ยุคใหม่เป็นต้นมานั้นได้กำหนดว่าทุกประเทศต้องเคารพในหลักการถ่วงดุลอำนาจ ไม่ให้ประเทศใดมีอำนาจมากจน เกินไปโดยเชื่อว่าสันติภาพและความมั่นคงจะคงอยู่ได้นั้นขึ้นอยู่กับการรักษาสมดุลหรือดุลยภาพแห่งอำนาจ ถ้ามหาอำนาจใดล่วงละเมิดหลักการถ่วงดุลอำนาจโดยการขยายอาณาเขตออกไปเพื่อตั้งตนเป็นใหญ่ บรรดามหาอำนาจที่เหลือกจะรวมตัวกันจัดตั้งเป็นพันธมิตรเพื่อเข้าไปล้อมปราบ หรือเรียกร้องค่าเสียหายชดเชย หรือใช้กำลังยับยั้งโดยการรวมกลุ่มรบเพื่อสั่งสอน แต่จะไม่เข้าไปทำลายรัฐ

113.     ระหว่างศตวรรษที่ 16 ถึง 18 ปัญหาการสืบราชสันตติวงศ์ในแต่ละรัฐมหาอำนาจ มักสืบเนื่องมาจาก

             ปัจจัยใดเป็นจุดเริ่มต้น          

             1.   การอภิเษกสมรสร่วมราชวงศ์                                        2.   ศาสนาต่างนิกาย

             3.   การแข่งขันการค้า                                                             4.   การล่าอาณานิคม

             ตอบ 2       หน้า 416 – 418108 (H) ในระหว่างศตวรรษที่ 16 – 18 ปัญญาการสืบราชสันตติวงศ์ในแต่ละรัฐมหาอำนาจของยุโรปยุคใหม่ มักมีจุดเริ่มต้นมาจากปัจจัยด้านศาสนาเป็นหลักซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนในประเทศอังกฤษ เมื่อพระเจ้าเจมส์ที่ 2 เกิดความขัดแย้งกับรัฐสภาในเรื่องที่จะให้อังกฤษกลับไปนับถือนิกายคาทอลิกตามอย่างพระโอรสของพระองค์ ทำให้รัฐสภาอังกฤษไปเชิญเจ้าหญิงแมรี่พระราชธิดาของพระองค์ ซึ่งทรงนับถือนิกายโปรเตสแตนต์ให้มาปกครองอังกฤษแทน และต่อมาในปี ค.ศ. 1701 ก็มีการออกพระราชบัญญัติ Act of settlement ห้ามผู้นับถือคาทอลิกขึ้นเป็นกษัตริย์อังกฤษอีก

114.     ในยุคใหม่จนถึงปัจจุบัน มีมหาอำนาจใดบ้างที่เคยถูกล้อมปราบเพราะพยายามตั้งตนเป็นใหญ่ในยุโรป

             1.   สเปน ฝรั่งเศส และเยอรมนี                                           2.   รัสเซีย ปรัสเซีย และออสเตรีย

             3.   ฝรั่งเศส อังกฤษ และสเปน                                             4.   อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี

             ตอบ 1       หน้า 464466468 – 469 (คำบรรยาย) ในยุคใหม่จนถึงปัจจุบันนั้น ประเทศมหาอำนาจที่พยายามตั้งตนเป็นใหญ่เพราะต้องการสร้างจักรวรรดิในยุโรป จนถูกชาติมหาอำนาจอื่น ๆ รวมตัวเป็นพันธมิตรเพื่อล้อมปราบอยู่หลายครั้ง ได้แก่ ประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะในยุคนโปเลียนที่ยุโรปเกือบทั้งหมดยกเว้นอังกฤษต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝรั่งเศส ทำให้มหาอำนาจในยุโรปต้องรวมตัวกันเป็นพันธมิตรถึง 3 ครั้ง เพื่อล้อมปราบฝรั่งเศส นอกจาก นี้ก็ยังมีประเทศสเปนในสมัยสงคราม 30 ปี และประเทศเยอรมนีในสมัยสงครามโลกครั้ง  ที่ 1 และ 2

115.     หลังสงครามปราบนโปเลียน บรรดามหาอำนาจประชุมสันติภาพกันที่ใด

             1.   Westpha1ia                        2.   Vienna                             3.   Versailles                        4.   Geneva

             ตอบ 2       หน้า 470 – 472117 (H) ภายหลังสงครามปราบนโปเลียนในปี ค.ศ. 1815 บรรดาผู้นำประเทศมหาอำนาจยุโรปใหม่ ได้แก่ อังกฤษ ปรัสเซีย รัสเซีย และออสเตรีย ได้มาประชุมสันติภาพร่วมกันที่กรุงเวียนนา (Vienna) โดยมีนายกรัฐมนตรีของออสเตรีย คือเจ้าชายคลีเมน ฟอน เมตเตอร์นิก เป็นผู้กำหนดพื้นฐานการประชุมในลักษณะขอความเห็นชอบเพื่อจัดระเบียบยุโรปใหม่ นั่นคือ การกลับไปปกครองดินแดนเท่าที่เคยมีอยู่ก่อนสมัยของนโปเลียน และที่สำคัญคือ การธำรงไว้ซึ่งหลักการถ่วงดุลอำนาจในยุโรปนั่นเอง

116.     หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ประเทศใดในยุโรปเป็นต้นตำรับของระบอบฟาสชิสต์

             1.   เยอรมนี                              2.   รัสเซีย                              3.   ออสเตรีย                         4.   อิตาลี

ตอบ 4       หน้า 541 – 543137 – 138 (H) (คำบรรยาย) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เกิดขบวนการชาตินิยม ที่เรียกว่าระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จขึ้น ซึ่งเป็นการปกครองที่ผู้นำเดี่ยวมีอิทธิพลครอบงำ หรืออาจอยู่ในรูปองค์กรผู้นำพรรคการเมือง 1 พรรค ใช้อำนาจเด็ดขาดแต่พรรคเดียว แบ่งออกเป็น 2 แบบ ซึ่งมีลักษณะตรงข้ามกัน ได้แก่

1. ระบอบคอมมิวนิสต์ (เผด็จการซ้าย) เป็นขบวนการต่อต้านลัทธิทุนนิยมประชาธิปไตย

2. ระบอบฟาสซิสต์ (เผด็จการขวา) เกิดขึ้นในอิตาลีและขยายต่อมายังเยอรมนี เรียกว่าลัทธินาซี เป็นขบวนการชาตินิยมที่ต่อต้านการขยายตัวของระบอบคอมมิวนิสต์และโลกเสรีประชาธิปไตย

1 17.    นอกจากสงครามโลก 2 ครั้งแล้ว ในศตวรรษที่ 20 มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นที่ถือว่าสำคัญมากและทรงอิทธิพลต่อยุโรป     

             1.   การปฏิวัติฝรั่งเศส                                             2.   การปฏิวัติรัสเซีย  

             3.   ระเบิดนิวเคลียร์                                                4.   การประชุมสันติภาพที่แวร์ซายส์

             ตอบ 2       หน้า 136 (H), (HI 103 เลขพิมพ์ 46197 หน้า 530 – 531) ในศตวรรษที่ 20 ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญที่ทรงอิทธิพลต่อยุโรป คือ การปฏิวัติรัสเซียในปี ค.ศ. 1917 ภายใต้การนำของพรรคบอลเชวิค โดยมีเลนินเป็นผู้นำ ซึ่งได้ส่งผลให้รัสเซียจำเป็นต้องถอนตัวออกจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และบอลเซวิค ได้ดำเนินการตามหลักสังคมนิยม โดยเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์     และก่อตั้งสหภาพสังคมนิยมโซเวียตรัสเซียจนส่งผลให้ลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่ขยายไปทั่วยุโรปและทุกส่วนต่าง ๆ ของโลก

118.     หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มีกี่จักรวรรดิล่มสลาย ได้แก่จักรวรรดิใดบ้าง

             1.   4 จักรวรรดิคือ รัสเซีย ฝรั่งเศส ตุรกี และฮังการี   

             2.   2 จักรวรรดิคือ รัสเซีย และเยอรมนี

             3.   3 จักรวรรดิคือ ฝรั่งเศส อังกฤษ และรัสเซีย        

             4.   4 จักรวรรดิคือ รัสเซีย เยอรมนี ออสเตรีย และตุรกี

             ตอบ 4       ดูคำอธิบายข้อ 106. ประกอบ

119.     หลักการสำคัญขององค์การสหประชาชาติปรากฏในเอกสารชื่ออะไร

             1.   Atlantic Charter                                                2.   Fourteen Points        

             3.   Bill of Rights                                                     4.   Declaration of Human Rights

             ตอบ 4       (HI 103 เลขพิมพ์ 46197 หน้า 543), (คำบรรยาย) องค์การสหประชาชาติเป็นผลมาจากความร่วมมือของประเทศภาคีมหามิตรภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีหลักการสำคัญประการหนึ่งที่ระบุไว้ในกฎบัตรสหประชาชาติ และต่อมาหลักการนี้ได้ปรากฏอยู่ใน ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Declaration of Human Righzcts) เมื่อวันที่10 ธันวาคม ค.ศ. 1948  คือ มาตรา 1 ข้อ 3 เพื่อแก้ปัญหาระหว่างประเทศในทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม มนุษยธรรมและสนับสนุนการเคารพสิทธิมนุษยชน

120.     หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การเมืองระหว่างประเทศมีการแบ่งเป็นกี่ฝ่าย ได้แก่ฝ่ายใดบ้าง

             1.   3 ฝ่าย โลกเสรี โลกคอมมิวนิสต์ โลกกลาง                 

             2.   2 ฝ่าย โลกเสรีกับโลกคอมมิวนิสต์

             3.   2 ฝ่าย โลกเสรีสังคมนิยมกับโลกเสรี                           

             4.   2 ฝ่าย โลกคอมมิวนิสต์กับโลกไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด

             ตอบ 2       หน้า 556139 (H) ผลของสงครามโลกครั้งที่ 2 มีดังนี้

1. เกิดการเปลี่ยนแปลงดุลอำนาจของโลก โดยมหาอำนาจยุโรปตะวันตกได้ลดความสำคัญลง และเกิดประเทศมหาอำนาจใหม่ทำให้การเมืองระหว่างประเทศแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายโลกเสรีประชาธิปไตยซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ และฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์ซึ่งมีโซเวียตรัสเซียเป็นผู้นำ

2. มีการก่อตั้งองค์การสหประชาชาติขึ้น

3. ประเทศที่ตราเป็นอาณานิคมมีการเรียกร้องขอเอกราช

HIS1001 อารยธรรมตะวันตกภาค 2 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ภาค 2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  HIS1001  อารยธรรมตะวันตก

คำสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.         เราสามารถเรียนรู้วัฒนธรรมและอารยธรรมจากการศึกษาอะไรเป็นสำคัญ

1.   ธรณีวิทยา           

2.   สังคมวิทยา                     

3.   วิทยาศาสตร์                   

4.   ประวัติศาสตร์

ตอบ 4       หน้า 203712 (H), (คำบรรยาย) มนุษย์สามารถเรียนรู้วัฒนธรรมและอารยธรรมได้จากการศึกษาประวัติศาสตร์เพราะประวัติศาสตร์ คือ การเรียนรู้เกี่ยวกับชาติพันธุ์มนุษย์ซึ่ง มีความหมายเป็น 2 นัย คือ 1. การศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยการเกิดมนุษย์มาจน ถึงปัจจุบัน 2. ข้อวิจารณ์หรือบันทึกการค้นคว้าทั้งหลายที่ได้คัดเลือกเอามาเฉพาะหัวข้อที่น่าสนใจ ทั้งนี้จะใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการศึกษาค้นคว้าหลักฐาน และทดสอบความจริงแท้ถูกต้องของหลักฐาน โดยใช้วิธีการตรวจสอบด้วยการวิจารณ์ภายนอกและการวิจารณ์ภายใน

2.         การศึกษาประวัติศาสตร์ต้องใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในด้านใด

1.   ทดสอบความจริงแท้ถูกต้องของหลักฐาน      

2.   การแสวงหาหลักการและทฤษฎีของเหตุการณ์

3.   การทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้า                             

4.   การตั้งข้อสมมุติฐานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ตอบ 1       ดูคำอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3.         อักษรคูนิฟอร์มพัฒนารูปแบบมาจากอะไร

1.   อักษรภาพ          2.   เครื่องหมายและสัญลักษณ์            3.   พยัญชนะและสระ    4.   สัญลักษณ์

ตอบ 1      หน้า 6923(H), (คำบรรยาย) เมื่อประมาณ 3,500 B.C. ชาวสุเมเรียนได้ประดิษฐ์ตัวอักษรโดยใช้ต้นอ้อแห้งหรือเหล็กแหลมกดลงบนแผ่นดินเหนียว แล้วนำไปตากแดดหรือเผาไฟให้แห้งเรียกว่าตัวอักษรคูนิฟอร์ม(Cuneiform) หรือตัวอักษรรูปลิ่ม ซึ่งได้พัฒนารูปแบบมาจากอักษรภาพ  (Pictograms) ที่ใช้ในระยะแรก ๆ และต่อมาจึงพัฒนาจากอักษรภาพมาเป็นการใช้เครื่องหมายแทนสัญลักษณ์

4.         ชาวสุเมเรียนควบคุมการใช้น้ำเพื่อการเกษตรด้วยวิรีใด

1.   การชลประทาน                                2.   ถมชายฝั่งแม่น้า              3.   สร้างสะพานเชื่อมคลอง       

4.   สร้างเขื่อนริมน้ำ

             ตอบ 1       หน้า 71, (คำบรรยาย) ชาวสุเมเรียนได้ริเริ่มเทคโนโลยีควบคุมการใช้น้ำเพื่อการเกษตรด้วยการชลประทาน กล่าวคือใช้วิธีการสร้างเขื่อน ขุดคูคลองเป็นเครือข่ายเก็บกักน้ำ ทดน้ำ ระบายน้ำเพื่อใช้ในการเกษตรและการอุปโภคบริโภค นอกจากนี้ยังใช้เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำและอุทกภัยด้วย

5.         อัสสิเรียปกครองภูมิภาคด้วยวิธีการใด

1.   แบ่งเป็นมณฑล ตั้งผู้ว่าราชการและแม่ทัพ                  2.   แบ่งเป็นภาค ปกครองตนเอง

3.   แบ่งเป็นอาณาจักร ตั้งผู้ปกครอง                                   4.   แบ่งเป็นนครรัฐ ปกครองตนเอง

ตอบ 1       หน้า 80 – 81, (คำบรรยาย) อัสสิเรีย นับเป็นชนชาติแรกในเมโสโปเตเมียที่จัดระเบียบการ

ปกครองจักรวรรดิอย่างมีระบบ โดยมีการรวมอำนาจสูงสุดไว้ที่ส่วนกลาง คือ กษัตริย์ และมีการกระจายอำนาจไปยังส่วนภูมิภาค คือ มีการแบ่งมณฑลและสถาปนาเมืองหลวงประจำมณฑลขึ้นโดยแต่ละมณฑลก็จะมีผู้ว่าราชการและแม่ทัพ ซึ่งการปกครองในลักษณะนี้ทำให้กษัตริย์ดาริอุสที่           1 แห่งเปอร์เซียทรงรับไปบริหารจักรวรรดิเปอร์เซียในเวลาต่อมาด้วย

6.         ในยุคโบราณ เมโสโปเตเมียได้ปฏิวัติการทหารด้านใด                  

1.   การทหารราบ          2.   การพหารม้า               3.   การรวมเหล่า                  4.   การจัดตั้งกองเสนาธิการ

ตอบ 3       หน้า 7624 (H), (คำบรรยาย) กลยุทธ์ด้านการทหารของเมโสโปเตเมียจะเริ่มต้นด้วยการใช้ทหารราบในการรบ แต่เมื่ออานารยชนแคสไซท์เข้ายึดกรุงบาบิโลนโดยใช้ม้าและรถศึกขนาดเบาก็ทำให้อาณาจักรต่าง ๆ ในเมโสโปเตเมียหันมาใช้ม้าเทียมเข้ากับรถศึกขนาดเบาในการรบ ต่อมาจึงได้มีการจัดตั้งทหารม้าขึ้น และเริ่มรู้จักประกอบกำลังเข้าเป็นหมวดหมู่ โดยมีการยุทธ์ที่สำคัญคือการทหารแบบรวมเหล่า (ทหารราบ ทหารม้า รถศึก) ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นการปฏิวัติครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์

7.         มีเหตุปัจจัยใดที่ทำให้ชาวเมโสโปเตเมียบูชาเทวดามากมาย

1.   กลัวภัยธรรมชาติและภัยสงคราม                  2.   ต้องการชีวิตสุขนิรันดร์ในชาติหน้า

3.   ต้องการขอพรศิริมงคล                                                    4.   ต้องการติดต่อทวยเทพเพื่อความมั่นใจ

ตอบ 1       หน้า 65 – 68,  (คำบรรยาย) สาเหตุสำคัญที่ทำให้ชาวเมโสโปเตเมียต้องบูชาเทวดามากมายและเป็นพวกมองโลกในแง่ร้าย หวาดกลัว ไม่คิดที่จะกลับมาเกิดใหม่นั้น สรุปได้เป็น 2 สาเหตุใหญ่ ๆ คือ   1. การต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติอยู่เป็นประจำ เช่น อุทกภัย  2. การทำสงครามเพื่อแย่งชิงดินแดนระหว่างกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา

8.         ข้อใดแสดงอารยธรรมอียิปต์มีลักษณะแตกต่างจากอารยธรรมเมโสโปเตเมีย

             1.   อารยธรรมอียิปต์รับแบบอย่างจากกรีซ               

             2.   อารยธรรมอียิปต์เป็นอารยธรรมของชนชาติเดียว

             3.   อารยธรรมอียิปต์แพร่หลายไปสู่เมโสโปเตเนีย    

             4.   อารยธรรมอียิปต์รับแบบอย่างมาจากจีน

             ตอบ 2       หน้า 67 – 6822 – 23 (H), (คำบรรยาย) ลักษณะเด่นของอารยธรรมอียิปต์ที่แตกต่างจากอารยธรรมเมโสโปเตเมีย มีดังนี้

1.   อียิปต์เป็นอารยธรรมของชนชาติเดียวแต่เมโสโปเตเมียเป็นอารยธรรมของกลุ่มชนหลายเชื้อชาติ

2.   เมโสโปเตเมียไม่มีปราการทางธรรมชาติเหมือนกับอียิปต์ที่มีทะเลทราย จึงถูกรุกรานได้โดยง่าย

3.   สิ่งก่อสร้างของอียิปต์สร้างด้วยหินจึงแข็งแรงทนทาน ส่วนสถาปัตยกรรมของเมโสโปเตเมียสร้างด้วยอิฐจึงไม่ยั่งยืน เพราะไม่มีหินขนาดใหญ่เหมือนอียิปต์

4.   อียิปต์เป็นพวกที่มีชีวิตสุขสมบูรณ์ ทำให้มองโลกในแง่ดีและไม่อยากตาย จึงมีการรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยด้วยการทำมัมมี่เพื่อที่จะกลับมาเกิดใหม่ในโลกหน้า แต่เมโสโปเตเมียส่วนใหญ่มอง        โลกในแง่ร้าย ไม่คิดจะกลับมาเกิดใหม่

9.         ระบอบประชาธิปไตยเอเธนส์ถือความยุติธรรมเป็นสำคัญ จึงปกครองด้วยการยึดถืออะไรเป็นหลัก

1.   กฎหมายและการศาล

2.   การศาล 3 ชั้น

3.   พัฒนาประมวลกฎหมาย

4.   การฎีกาสู่สภา 500

             ตอบ 1       หน้า 126, (คำบรรยาย) ระบอบประชาธิปไตยเอเธนส์มีลักษณะเด่น คือ เป็นรูปแบบการปกครอง    ที่พลเมืองชายชั้นสูงมีอำนาจทางการเมือง ปกครองนครรัฐด้วยการรับผิดชอบร่วมกัน โดยจะยึดถือกฎหมายและการศาลเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะถือว่ากฎหมายและการศาลเท่านั้นที่จะสามารถปกป้องคุ้มครองและพิทักษ์ความยุติธรรมได้ ซึ่งนวัตกรรมนี้ยังถือเป็นพื้นฐานการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของโลกตะวันตกต่อมาด้วย

10.       ปรัชญาโลกตะวันตกมีกระบวนการคิดโดยใช้เทคนิคอะไรของกรีซ

1.   การโต้แย้งอ้างหลักธรรม

2.   วิภาษวิธีและหลักเหตุผล

3.   โต้แย้งตามลีลาวาทศิลป์

4.   การตั้งข้อสมมุติฐาน

             ตอบ 2       หน้า 137 – 139, (คำบรรยาย) ปรัชญาของชาวกรีกในระยะแรกจะคิดลึกซึ้งในเรื่องมนุษย์และธรรมชาติ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดของชาวกรีกว่า เป็นการค้นหาความจริงเกี่ยวกับปรากฏการต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล โดยใช้หลักวิภาษวิธี คือ การเปิดโอกาสให้วิพากษ์วิจารณ์แนวคิดต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวาง ไม่จำกัดอยู่เฉพาะข้อสรุปใดข้อสรุปหนึ่ง นอกจากนี้ยังเชื่อว่ากุญแจที่จะไขไปสู่ความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ก็คือพลังแห่งเหตุผลของคน (Logos) หรือการคิดตามหลักเหตุผลนั่นเอง

11.       ตามความคิดของเพลโตเรื่องสาธารณรัฐ ผู้ปกครองในอุดมคติต้องมีคุณสมบัติสำคัญอะไร

1.   เป็นนักรบนักบริหาร                                                       

2.   ผู้มีการศึกษาและเป็นนักปรัชญา

3.   เป็นคนดีมีวิชา                                                                   

4.   เป็นนักปรัชญาผู้ทรงธรรม

ตอบ 2       หน้า 14145 (H) (คำบรรยาย) เพลโต (Plato) ได้เขียนหนังสือเรื่องสาธารณรัฐ (The Republic)    ซึ่งได้กล่าวถึงการปกครองที่ดีก็คือ การปกครองที่ไม่มีแห่งหนใดเลย (No Place) เป็นสังคมในอุดมคติ (Utopia) และก็เสนอว่าผู้ปกครองในอุดมคตินั้นจะต้องให้ผู้ที่การศึกษาและมีสติปัญญาเป็นผู้ดำเนินการปกครองและต้องเป็นนักปรัชญาด้วยเพื่อปกครองตามความต้องการที่ดีที่สุดแก่ประชาชน

12.       เฮโรโดตัสเขียนประวัติศาสตร์โดยใช้วิธีการใดในการแสวงหาข้อมูล

1.   วิธีการฟังเล่าลือมา                                                           

2.   วิธีการสืบสวนสอบถาม

3.   วิธีการอ่านเอกสารชั้นต้น                                               

4.   วิธีการวิจัยเอกสารชั้นสอง

             ตอบ 2       หน้า 13644 (H), (คำบรรยาย) เฮโรโดตัส (Herodotus) เป็นนักประวัติศาสตร์ชาวกรีกผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของวิชาประวัติศาสตร์” โดยเขาได้เขียนประวัติศาสตร์สงครามเปอร์เซีย                ขึ้นและเรียกหนังสือนี้ว่า Historia โดยใช้วิธีการสืบสวนสอบถามจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์โดยตรงและก็นำหลักฐานที่ได้มาเรียบเรียงขึ้นเป็นประวัติศาสตร์

13.       กรีกเน้นดุลยภาพในการสร้างสรรค์ศิลปกรรมเพื่อวัตถุประสงค์ใด

1.   สุนทรียภาพ           2.   ความเหมือนจริง        3.   ความเกินจริง 4.   ถ่ายทอดธรรมชาติ

ตอบ 1       หน้า 131133, (คำบรรยาย) ศิลปะของชาวกรีกในยุคโบราณจะเน้นเรื่องสุนทรียภาพหรือความงาม โดยให้ความสำคัญกับดุลยภาพ คือ การเน้นเรื่องน้ำหนักเท่ากันของสี เส้น แสง และเงา ตลอดจนเน้นความมีเอกภาพของศิลปะหรือการประสานกลมกลืนของทุกสิ่งตามอุดมคติของชาวกรีกที่ว่า “Nothing in excess, and everything in proportion” (ไม่มีสิ่งที่เกินไป และทุกสิ่งจะต้องเป็นสัดส่วน)

14.       ชาวกรีกสร้างสรรค์งานศิลป์โดยมีจุดมุ่งหมายอะไรที่แตกต่างจากศิลปะอียิปต์และศิลปะเมโสโปเตเมีย

1.   มุ่งหมายทางโลก                                                               

2.   มุ่งหมายทางธรรม             

3.   มุ่งสดุดีทวยเทพ                                                                

4.   มุ่งหมายผลทางการเมือง

             ตอบ 1       หน้า 131, (คำบรรยาย) ชาวกรีกเป็นนักวัตถุนิยมที่มองโลกในแง่กายภาพ สร้างสรรค์งานศิลป์โดยมีจุดมุ่งหมายทางโลกเป็นสำคัญ จึงทำให้งานศิลปะของกรีกส่วนใหญ่มีเอกลักษณ์เด่น คือ เป็นงานที่แสดงถึงสัญลักษณ์ของมนุษย์ ตามคตินิยมที่ว่ามนุษย์คือสัตว์โลกที่สำคัญที่สุดในจักรภพ ซึ่งแตกต่างจากศิลปะอียิปต์และศิลปะเมโสโปเตเมียที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อมุ่งสดุดีทวยเทพหรือสนองการพระศาสนา

15.  การค้าของจักรวรรดิโรมันเป็นแบบใด

1.   การค้าเสรี                           

2.   การค้าผูกขาด                 

3.   รัฐและเอกชนรวมกันดำเนินการค้า    

4.   รัฐควบคุมการค้า

             ตอบ 1       หน้า 17652 (H), (คำบรรยาย) จักรวรรดิโรมันจะใช้การค้าแบบเสรี คือ รัฐเป็นผู้คุ้มครองและส่งเสริมการค้าขายโดยรัฐไม่ได้เข้าไปควบคุมเศรษฐกิจหรือตั้งข้อจำกัดทางการค้า ทำให้สังคมโรมันมีลักษณะเป็นสังคมเมืองที่เจริญรุ่งเรืองด้วยการค้า โดยมีศูนย์กลางการค้าอยู่ทีโรม และเมืองอเล็กซานเดรียในอียิปต์ ซึ่งมีสินค้าจากทุกมุมโลกมาค้าขายหมุนเวียนอยู่

16.  ในสมัยจักรวรรดิเรืองอำนาจที่สุด การเกษตรเป็นแบบที่เรียกว่าอะไร

1.   Manor                                 2.   Plantation                       3.   Fief                                  4.   Benifice

ตอบ 2       หน้า 176, (คำบรรยาย) ในสมัยจักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจที่สุดหรือสมัยสันติสุขโรมัน  (Pax Romana) การเกษตรยังคงเป็นอาชีพสำคัญของประชาชนในจักรวรรดิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกษตรแบบ Plantation คือ การมีไร่ขนาดใหญ่เพาะปลูกพืชประเภทเดียวเพื่อการค้า โดยอาศัยแรงงานจากพวกทาสเป็นหลัก

17.       การปกครองแบบใดที่ถือว่าเป็นรูปแบบการปกครองที่ชาวโรมันคิดริเริ่ม

1.   ระบอบทรราชย์       2.   ระบอบจักรพรรดิราชย์            3.   ระบอบพลีเบียน           4.   ระบอบกงสุล

ตอบ 4       หน้า 161, (คำบรรยาย) ในสมัยสาธารณรัฐโรมัน ชาวโรมันได้ริเริ่มรูปแบบการปกครองระบอบกงสุล (Consulate System) ซึ่งเป็นนวัตกรรมการปกครองแบบโรมันเอง นั่นคือระบอบการปกครองที่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือกงสุล(Consuls)2 คน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง “Magistrates” หรือผู้นำสูงสุด ทำหน้าที่เป็นประมุขของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารโดยจะคัดเลือกมาจากขุนนางสามัญชนอิสระ แต่ส่วนใหญ่จะมาจากพวกแพทริเชียน หรือ กลุ่มชนชั้นสูงของสังคม

18.  ในระบอบการปกครองของอียิปต์ อำนาจอธิปไตยเป็นของใคร

1.   ฟาโรห์                2.   นักบวชหญิง                  3.   คณะนักรบ                     4.   คณะนักบวช

ตอบ 1       หน้า536019(H) ระบอบการปกครองของอียิปต์ในสมัยอาณาจักรเก่าหรือสมัยพีระมิดจะเป็นแบบเทวาธิปไตย (Theocracy) โดยมีฟาโรห์เป็นประมุขสูงสุดหรือเทวกษัตริย์ กล่าวคืออำนาจอธิปไตยจะเป็นของฟาโรห์ซึ่งทรงมีฐานะเป็นศูนย์กลางของทุกสถาบัน ดังนั้นฟาโรห์ก็คือรัฐที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำสูงสุดทั้งตำแหน่งหัวหน้ารัฐบาลและประมุขทางศาสนาเป็นผู้พิพากษาสูงสุด เป็นผู้บังคับบัญชาการกองทัพและบัญชาการทางด้านพลเรือนรวมทั้งทรงเป็นเจ้าของแผ่นดินทั้งหมดสามารถทำการค้าขายได้แต่เพียงผู้เดียว

19.       เหตุใดอียิปต์โบราณมีพ่อค้าเอกชนน้อย

1.   เพราะศาสนาห้ามการค้าขาย                                          2.   เพราะรัฐห้ามการค้าขาย

3.   เพราะรัฐหรือฟาโรห์ค้าขายได้แต่เพียงผู้เดียว            4.   เอกชนขาดทุนรอน

ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 18. ประกอบ

20.       ชาวอียิปต์มองโลกในแง่ดี ไม่อยากตายเพราะอะไร

1.   ชีวิตในชาตินี้สุขสมบูรณ์                                                2.   ศาสนาสอนว่าชีวิตเป็นอมตะ

3.   อยากเสวยสุขในชาตินี้เท่านั้น                                       4.   ศาสนาสอนว่าชาติหน้ามีแต่ทุกข์

ตอบ 1       ดูคำอธิบายข้อ 8. ประกอบ

21.       อียิปต์โบราณรักษาแผลและแก้อักเสบโดยวิธีการใด

1.   ดองแผลมิให้เนา                                                              

2.   ใช้ด่างทับทิมและน้ำเกลือ

3.   ใช้สมุนไพร                                                                       

4.   ใช้กระเทียมและหัวหอม

             ตอบ 2       หน้า 6222 (H) อียิปต์มีความเจริญทางด้านการแพทย์ดังนี้

1. ริเริ่มการตรวจและรักษาโรคโดยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งได้แยกผู้เชียวชาญออกเป็นจักษุแพทย์ ทันตแพทย์ และศัลยแพทย์

2. มีการค้นพบว่าหัวใจคือศูนย์กลางการหมุนเวียนของโลหิต

3. ริเริ่มการจำแนกยาชนิดต่าง ๆ ตามอาการของโรคที่ปรากฏ

4. ใช้ด่างทับทิมในการรักษาบาดแผล และใช้น้ำเกลือเพื่อป้องกันการอักเสบ

5. มีการทำน้ำยารักษาศพเพื่อป้องกันการเน่าเปื่อย

22.       กลุ่มชนชาวกรีกกลุ่มใดมีอิทธิพลสามารถเรียกร้องและต้องการมีส่วนร่วมการปกครอง จนทำให้เกิดการปฏิรูปการเมืองขึ้น

1.   ทหารม้า                   2.   พ่อค้า                          3.   ทหารราบและฝีพาย                     4.   สามัญชน

ตอบ 2       หน้า 11640 (H), (คำบรรยาย)         ในตอนปลายยุคขุนนางของกรีกนั้น กองทหารราบเริ่มมีความสำคัญขึ้นมาแทนที่กองทหารม้าของพวกขุนนาง และพวกขุนนางก็เริ่มทะเลาะกันเองประกอบกับประชาชนจำนวนมากไม่พอใจการปกครองของเหล่าขุนนาง ทำให้พ่อค้าที่มั่งคั่งสามารถจ้างทหารของตนเข้ายึดอำนาจจากพวกขุนนางได้สำเร็จ ซึ่งกลุ่มพ่อค้าเหล่านี้ถือเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลสามารถเรียกร้องและต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครอง จนเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดการปฏิรูปการเมืองขึ้นในเวลาต่อมา

23.       Acropolis แตกต่างจาก Polis ในด้านใด

             1.   ด้านการเป็นนครแห่งเทวดาซ้อนอยู่ภายในนคร       2.   ด้านการเป็นเมืองบนที่สูงภายในนคร

             3.   ด้านการเป็นเมืองบริวารของนคร                                 4.   ด้านการเป็นเมืองทหารอยู่ภายในนคร

             ตอบ 2       หน้า 11038 (H) คำว่า นครรัฐ” (City-State) จะตรงกับภาษากรีกว่า “Polis” ซึ่งมีความหมายถึง ป้อม ค่าย หรือที่ปลอดภัยจากศัตรู โดยแต่ละนครรัฐของกรีกจะมีสภาพแตกต่างกันออกไป แต่ที่มีอยู่เหมือนกันคือ 1. มีขนาดเล็ก 2. มีประชากรไม่มาก 3. บริเวณที่ปลอดภัยที่สุดคือ Acropolis ซึ่งแปลว่าส่วนที่สูงที่สุดของนครรัฐหรือการเป็นเมืองบนที่สูงภายในนครรัฐ  4. มีตลาดซึ่งเป็นสถานที่ที่มาพบปะและประชุมกัน

24.       นวัตกรรมทางการทหารกรีกที่ขึ้นชื่อคืออะไร                                                  

             1.   การจัดหน่วยรถศึกเบา                                                     2.   การจัดทัพรวมเหล่า                      

             3.   การจัดขบวนรบฟาแลนซ์                                               4.   การจัดกองทัพประจำการ

             ตอบ 3       หน้า 144, (คำบรรยาย) ฟาแลนซ์ (Phalanx) คือ การจัดขบวนรบกองทัพของกรีกแบบเรียงแถวหน้ากระดาน ซึ่งเดิมจะมีแค่ 2 แถว จากนั้นก็พัฒนามาเป็น 4 แถว และ 8 แถวตามลำดับ โดยให้แถวที่ 1 ถืออาวุธสั้น และแถวต่อมาถืออาวุธยาวตามลำดับ ซึ่งสาเหตุที่กรีกต้องจัดขบวนรบแบบนี้ก็เพราะทหารราบหุ้มเกราะ (Hoplite) ที่เป็นหน่วยรบหลักต้องถืออาวุธและโล่ที่มีน้ำหนักมาก ทำให้เคลื่อนที่ได้ช้า จึงจำเป็นต้อองใช้วิธีการจัดขบวนรบแบบฟาแลนซ์เพื่อให้กองทัพเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นและมีอิสระสิทธิภาพมากขึ้นตามลำดับ

25.       ข้อใดแสดงความหมายประชาธิปไตยแบบเอเธนส์

             1.   การปกครองที่ชนทุกหมู่เหล่ามีสิทธิ์รวมการปกครอง

             2.   การปกครองที่ประสานระบอบราชาธิปไตยเข้ากับประชาธิปไตย

             3.   การปกครองที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนทุกชนชั้น

             4.   การปกครองที่พลเมืองชายชั้นสูงมีอำนาจทางการเมือง

             ตอบ 4       ดูคำอธิบายข้อ 9. ประกอบ

26.       แรงงานหลักในระบบแมเนอร์คือแรงงานประเภทใด

             1.   ช่างฝีมือ                              2.   พ่อค้า                               3.   ทาสติดที่ดิน                   4.   ทาส

             ตอบ 3       หน้า 233 – 23466 (H), (คำบรรยาย) ระบบแมเนอร์ (Memorialise) เป็นระบบเศรษฐกิจหมู่บ้านแบบพึ่งตนเองที่เกิดขึ้นพร้อมกับการปกครองแบบฟิวดัล เนื่องจากขาดแคลนที่ดินสมบูรณ์จึงทำให้เกิดความคิดเรื่องการปลูกพืชหมุนเวียน โดยมีการแบ่งที่ดินเป็นเขต เขตที่หนึ่งจะแบ่งให้กับทาสติดที่ดิน (Serfs) ซึ่งเป็นแรงงานหลักในการทำการเกษตร ส่วนที่สองจะถูกแบ่งให้ลอร์ด (Lord) เจ้าของแมเนอร์ และส่วนที่สามจะถูกปล่อยให้ว่างไว้

27.       ในยุคสมัยที่รุ่งเรืองในยุคกลาง ศูนย์กลางการค้าอยู่ตามสถานที่ใด

             1.   สถานีการค้า                      2.   หมู่บ้าน                 3.   น่านน้ำ                      4.   แวดล้อมคฤหาสน์

             ตอบ 3       หน้า 307, (คำบรรยาย) ในสมัยที่รุ่งเรืองในยุคกลาง เส้นทางการค้าในทะเลเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้นน่านน้ำจึงกลายเป็นปัจจัยหลักของการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมือง จึงทำให้เกิดศูนย์กลางการค้าขึ้นรอบ ๆ น่านน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีพ่อค้าสำคัญคือชาวเวนิสและเจนัวนำสินค้าจากตะวันออกมายังอิตาลี ทางใต้ของฝรั่งเศส ต่อไปถึงชายฝั่งนครบริเวณฟลานเดอร์แล้วจึงขยายเข้าไปในอังกฤษและยุโรปภาคเหนือโดยทางเรือ

28.       สมาคมพ่อค้าที่ขึ้นชื่อที่สุดในยุคกลางคือสมาคมชื่ออะไร อยู่ในดินแดนใด

1.   Delian League ในกรีช

2.   East Asiatic Cooperation ในฮอลันดา

3.   Merchants’ Association ในอังกฤษ

4.   Hanseatic League ในเยอรมนี

ตอบ 4       หน้า 289307341 สมาคมพ่อค้าที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคกลาง คือ สันนิบาตฮันซีอาติก (Hanseatic League) เป็นการรวมตัวของสมาคมพ่อค้าของบรรดาเมืองต่าง ๆ ทางภาคเหนือของเยอรมนี ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 14 เพื่อทำหน้าที่ควบคุมการค้าทางทะเลเหนือและทะเลบอลติกโดยมีผู้นำคือ Lubeck, Hamburg และ Bremen

29.       ภารกิจหลักของคริสตจักรได้แก่อะไร                 

1.   การเผยแผ่ศาสนาแก่อนารยชน

2.   การพิพากษาคดีธรรมคดีโลก        

3.   การทำให้อนารยชนเป็นผู้เจริญ

4.   ถูกข้อ 1 และ 3

ตอบ 4       หน้า 20824259 (H), (คำบรรยาย) ศาสนาคริสต์หรือคริสตจักรเป็นสถาบันสำคัญในสมัยกลางที่มีส่วนในการสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทั้งนี้เพราะเป็นศาสนาที่มีอิทธิพลเหนือสังคมและความเชื่อของผู้คนในสมัยนั้น ซึ่งมีภารกิจหลักคือ การเผยแผ่ศาสนาแก่อนารยชนและทำให้อนารยชนเป็นผู้เจริญโดยพระหรือนักบวชเป็นกลุ่มเดียวที่รู้หนังสือในสังคมทำหน้าที่เป็นผู้นำทางความคิดและเผยแพร่ความรู้ให้แก่ผู้คน รวมทั้งเป็นผู้เก็บเอกสารต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยกรีกโรมัน เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัย และเป็นผู้ทำการสอนที่รอบรู้และตอบปัญหาได้สารพัด

30.       เหตุใดผู้คนในยุคกลางจึงเรียนรู้สรรพสิ่งจากพระ

1.   เพราะพระเป็นกลุ่มเดียวที่รู้หนังสือในสังคม

2.   เพราะพระเป็นกลุ่มเดียวที่บวชเรียน

3.   เพราะพระเป็นกลุ่มเดียวที่ประพฤติธรรม  

4.   เพราะพระเป็นกลุ่มเดียวที่ผูกขาดศิลปวิทยาการ

ตอบ 1       ดูคำอธิบายข้อ 29. ประกอบ

31.       ข้อใดแสดงความเจริญก้าวหน้าทางดาราศาสตร์อาหรับ

1.   การค้นพบทฤษฎีสุริยจักรวาล        

2.   การพัฒนาเครื่องมือที่ใช้สังเกตและคำนวณตำแหน่งของดวงดาว

3.   การสร้างกล้องโทรทัศนศึกษาการโคจรขางดาวเคราะห์

4.   การค้นพบวิธีการคำนวณระยะใกล้ไกลของดวงดาว

ตอบ 2       หน้า 258 – 25971 (H), (คำบรรยาย) อารยธรรมอาหรับหรือมอสเล็มในยุคกลางที่สำคัญ คือ 

1. ด้านคณิตศาสตร์ คือ การใช้เลขศูนย์และระบบทศนิยม รวมทั้งการพัฒนาวิชาพีชคณิต เรขาคณิตและตรีโกณมิติ                      

2. ด้านการแพทย์ คือ ประดิษฐ์ยาช่วยระงับความเจ็บปวด และริเริ่มการผ่าตัดตา          

3. ด้านดาราศาสตร์ คือ การพัฒนาเครื่องมือที่ใช้สังเกตและคำนวณตำแหน่งของดวงดาว การคำนวณระยะทางตามปีสุริยคติ และการเกิดอุปราคา ฯลฯ

32.       หัวใจของระบอบศักดินาสวามิภักดิ์คือความสัมพันธ์โดยมีเงื่อนไขระหว่างชนชั้นใด

1.   ชนชั้นสูงกับชนชั้นต่ำ                                                    2.   ขุนนางกับพ่อค้า

3.   ขุนนางกับเจ้านายและพ่อค้า                                          4.   เจ้าเหนือหัวกับบริวาร

             ตอบ 4       หน้า 223 – 22465 (H), (คำบรรยาย) ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์หรือระบอบฟิวดัล(Feudalism Feudal) มีหัวใจสำคัญ คือ เป็นระบบความสัมพันธ์โดยมีเงื่อนไขระหว่างเจ้าเหนือหัว (Lord) หรือผู้มีที่ดินจำนวนมากกับบริวารหรือข้า (Vassal) หรือผู้ใช้ประโยชน์ในที่ดินโดยมี ที่ดิน (Fiefs/Feuda) เป็นพันธกิจแห่งความผูกพันและภาระหน้าที่ที่มีต่อกันนอกจากนี้ยังเป็นระบบการเมือง การปกครองในยุคกลางที่ขุนนางท้องถิ่นมีอำนาจอย่างแท้จริงเพราะพวกเสรีชนได้มอบที่ดินให้แก่ขุนนางเพื่อขอความคุ้มครองแทนการขอความคุ้มครองจากกษัตริย์ซึ่งอ่อนแอและมีฐานะเป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น

33.       ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์เป็นระบบการเมืองที่มีเงื่องไขชัดเจนอะไร

             1.   เจ้ากับข้าต้องมีพันธกิจต่อกัน                                         2.   เจ้ากับข้าผลัดกันครองเมือง

             3.   การแบ่งแผ่นดินเสมอกัน                                                4.   การสาบานจงรักภักดีต่อกัน

             ตอบ 1       ดูคำอธิบายข้อ 32. ประกอบ

34.       ระบอบการปกครองแบบใดในยุคกลางที่กษัตริย์ทรงเป็นแต่เพียงหุ่นเชิด

             1.   ระบอบราชาธิปไตย                                                         2.   ระบอบประชาธิปไตย

             3.   ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์                                                4.   ระบอบทรราชย์

             ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 32. ประกอบ

35.       ในระบอบจักรพรรดิราชย์โรมัน จักรพรรดิทรงอ้างหลักการใดในการใช้พระราชอำนาจอย่างชอบธรรม

             1.   หลักการอำนาจเป็นของปวงชน                2.   หลักการของทหารร่วมการปกครอง

             3.   หลักการว่าด้วยจักรพรรดิทรงเป็นเทพ     

             4.   หลักการว่าจักรพรรดิทรงได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน

             ตอบ 3       หน้า 169 – 170, (คำบรรยาย) ในสมัยของออกุสตุสที่ 1 ซึ่งเป็นสมัยที่เริ่มต้นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือจักรพรรดิราชย์ของจักรวรรดิโรมันนั้น ถือเป็นยุคที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น “Roman’s Golden Age” (ยุคทองของโรมัน) และยังเป็นยุคที่จักรพรรดิโรมันมีอำนาจปกครองอย่างแท้จริงในฐานะของเทพเจ้า คือ จักรพรรดิทรงเป็นเทวราช ซึ่งปกครองจักรวรรดิ โดยรับผิดชอบต่อทวยเทพ แต่ไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน นอกจากนี้จักรพรรดิยังมีสิทธิเลือกรัชทายาทด้วยพระองค์เองอีกด้วย

36.       Lecion เป็นหน่วยรบแบบใด

             1.   กองทัพเกณฑ์         2.   กองทัพอาสาสมัคร                  3.   กองทัพเฉพาะกิจ                4.   กองทัพอาชีพ

             ตอบ 4       หน้า 155173 – 174 (คำบรรยาย) ในระหว่างศตวรรษที่ 4 B.C. กองทัพโรมันได้เลิกการใช้หอกยาวและการรบแบบทหารฟาแลนซ์ของกรีกมาเป็นกองทหารลีเจียน (Legion) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของกองทัพโดยมีหน่วยรบเป็นแบบกองทัพอาชีพหรือกองทัพประจำประมาณ 3,600 คนประกอบขึ้นเป็นหน่วยรบที่สำคัญ คือ ทหารราบและทหารม้า ซึ่งส่งผลให้โรมันมีการจัดทัพที่เป็นระเบียบและทำให้โรมกลายเป็นเจ้าครอบครองจักรวรรดิอันไพศาล

37.       เหตุใดจักรวรรดิโรมันจึงถือว่าศาสนาคริสต์เป็นลัทธิอุบาทว์

             1.   เพราะสอนให้นับถือพระเป็นเจ้าแต่เพียงองค์เดียว

             2.   เพราะชาวคริสต์จัดตั้งเป็นสมาคมชมรม

             3.   เพราะมีความเคลื่อนไหวก่อการร้าย                                     4.   เพราะมีลัทธิพิธีบูชาไฟ

ตอบ 1       หน้า 184 (คำบรรยาย) สาเหตุที่จักรวรรดิโรมันถือว่าศาสนาคริสต์เป็นลัทธิอุบาทว์และมีการปราบปรามอย่างมากมายนั้น เนื่องจาก

1. ผู้ที่เลื่อมใสศาสนาคริสต์มีการชุมนุมกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งโรมันถือว่าเป็นการเข้าข่ายซ่องสุมกำลังคนที่จะล้มอำนาจรัฐ

2. ศาสนาคริสต์สอนให้มนุษย์มีหน้าที่ต่อพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งขัดต่อหน้าที่ของโรมันที่ทุกคนต้องมีหน้าต่อรัฐ

3. ศาสนาคริสต์สอนให้นับถือพระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงองค์เดียว ซึ่งขัดต่อคติของโรมันที่ให้เคารพสักการะจักรพรรดิและถือว่าเป็นอธิปไตยสูงสุดที่ปรากฏในร่างของมนุษย์

38.       วิถีชีวิตโรมัน เป็นวิถีชีวิตที่ดำเนินไปในชุมชนแบบใด

1.   ในหมู่บ้าน

2.   ในเมือง

3.   ในชนบท

4.   ชุมชนแวดล้อมปราสาท

ตอบ 2       หน้า 177  วิถีชีวิตของชาวโรมันเป็นวิถีชีวิตที่ดำเนินไปในเมืองเป็นหลักและเน้นการมีกิจกรรมร่วมกันในที่สาธารณะ กล่าวคือ ชาวโรมันนิยมอาบน้ำสาธารณะและการกีฬา ซึ่งกีฬาที่นิยมกันมากได้แก่การแข่งรถศึกที่ Circus Maximus และการต่อสู้แบบรุนแรงป่าเถื่อนระหว่างคนกับคน และคนกับสัตว์แบบกลาดิเอเตอร์ (Gladiator) ซึ่งจากการที่ชาวโรมันได้เล่นกีฬาและมีการบันเทิงเริงรมย์ร่วมกันก็ได้ส่งผลให้ชาวโรมันมีความรู้สึกแตกต่างหรือเหลื่อมล้ำต่ำสูงทางชนชั้นน้อยมาก

39.       ถนนโรมันมีลักษณะใดโดดเด่น

1.   ถนนคอนกรีตมีหลายชั้น

2.   ถนนโค้งเป็นหลังเต่า มีรางระบายน้ำสองข้าง

3.   ถนนคอนกรีตฝังท่อระบายน้ำ

4.   ถนนคอนกรีตมีวงกลมทุกสี่แยก

ตอบ 2       หน้า 176 (คำบรรยาย) แบบอย่างการสร้างถนนโรมันนั้นจะเขียนแบบมาจากกรีกแต่ถนนโรมันจะ มีลักษณะโดดเด่น คือ จะทำถนนโค้งเป็นหลังเต่า มีรางระบายน้ำอยู่สองข้างถนน ก่อขอบด้วยอิฐและเทคอนกรีตโรมันลงไป ซึ่งระบบก่อสร้างแบบรูปโค้งนี้ต่อมาก็ได้พัฒนานำไปสร้างสะพานส่งน้ำขึ้น เพื่อส่งน้ำไปยังนครต่าง ๆ ของโรมัน

40.       ข้อใดแสดงว่าอาณาจักรมีอำนาจเหนือศาสนจักรในจักรวรรดิไบแซนไทน์

1.   ระบอบ Caesaropapism                                   

2.   ระบอบ Principate

 3.   ระบอบ lmperator                                                            

4.   ระบอบ Augustus

ตอบ 1       (HI 103 เลขพิมพ์ 46197 หน้า 218222) ประมุขของอาณาจักรโรมันตะวันออกหรือไบแซนไทน์จะปกครองประเทศด้วยความเข้มแข็งตามแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ถือว่าจักรพรรดิเป็นตัวแทนของพระเจ้า กล่าวคือ จักรพรรดิทรงมีอำนาจเหนือการปกครองทั้งอาณาจักรและศาสนจักรหรือเป็นผู้ใหญ่ทั้งทางโลกและทางธรรมตามระบอบที่เรียกว่า “Caesaropapism” ซึ่งมาจากคำว่า Caesar กับPope หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ จักรพรรดิทรงมีสถานภาพเป็นทั้งกษัตริย์และประมุขทางศาสนา ซึ่งแสดงว่าอาณาจักรมีอิทธิพลและอำนาจเหนือศาสนจักร

41.       ประมวลกฎหมายจัสติเนียนเป็นประมวลกฎหมายที่พัฒนาปรับปรุงมาจากกฎหมายใด

1.   กฎหมายโรมัน     

2.   กฎหมายคอนสแตนติน             

3.   กฎหมายฮัมมูราบี          

4.   กฎหมายบาบิโลน

ตอบ  1  หน้า 25370 (H), (คำบรรยาย) ประมวลกฎหมายจัสติเนียน เป็นประมวลกฎหมายที่พัฒนาปรับปรุงมาจากกฎหมายโรมัน ซึ่งเริ่มตั้งแต่กฎหมาย 12 โต๊ะและกฎหมายอื่นอีกที่กระจัดกระจายยากแก่การแก้ไข จึงได้นำมาปรับปรุงและรวบรวมตัวบทกฎหมายใหม่โดยประมวลกฎหมายจัสติเนียนประกาศใช้เมื่อ ค.ศ. 529 และถือเป็นประมวลกฎหมายแพ่งมีทั้งหมด 4 ภาค คือ   

1. ตัวบทกฎหมายแท้ ๆ  

2. ภาคผนวกของตัวบทกฎหมาย    

3. ความเห็นทางกฎหมายของนักนิติศาสตร์    

4. ตำรากฎหมายของนักศึกษา

42.       สถาปัตยกรรมไบแซนไทน์มีอิทธิพลแบบตะวันออกโดยดูจากรูปแบบใด

1.   หลังคาแหลมโค้ง อาคารเพรียว                                     2.   หลังคาโดม นิยมประดับแก้ว

3.   อาคารเหลี่ยม นิยมมีระเบียงรอบ                   4.   มีอาคารทรงกลมติดอยู่กับอาคารทรงเหลี่ยม

             ตอบ 2       หน้า 253 รูปแบบสถาปัตยกรรมของไบแซนไทน์นั้นจะมีลักษณะผสมผสานหลายรูปแบบโดยโบสถ์ที่สวยงามมาก คือ โบสถ์เซนต์โซเฟีย ซึ่งสร้างในสมัยจักรพรรดิจัสติเนียน นับได้ว่าเป็นตัว อย่างอันดีของการผสมผสานระหว่างศิลปะภาคตะวันออก คือ หลังคาโดม และนิยมประดับประดาด้วยแก้ว บวกกับศิลปะภาคตะวันตก คือ ศิลปะโรมันแบบอาคารเหลี่ยมพร้อมกับการตกแต่งด้วยหินอ่อนและโมเสก นอกจากนี้ทรวดทรงภายนอกก็ยังงดงามตามศิลปะกรีกด้วย

43.       ชาวไร่ชาวนาในยุคกลางเพาะปลูกพืชหมุนเวียน โดยใช้ระบบอะไรในการใช้ที่ดิน

             1.   ระบบนาสาม                     2.   ระบบล้อมรั้ว 3.   ระบบนาเปิด      4.   ระบบนาเลื่อนลอย

             ตอบ 1       หน้า 23666 (H), (คำบรรยาย) การเกษตรในระบอบฟิวดัลของยุคกลาง จะใช้ระบบนาสาม (Three Fields System) คือ การแบ่งที่ดินเป็น 3 แปลง แต่มีการเพาะปลูกพืชหมุนเวียนเพียงคราวละ 2 แปลงส่วนอีกแปลงหนึ่งพักว่างให้ที่ดินฟื้นตัว ครั้นฤดูกาลต่อมาจึงใช้ที่ดินว่างฝืนนั้นแล้วปล่อยแปลงอื่นให้ว่างแทน ทำสลับกันเช่นนี้ทุกปีเพื่ออนุรักษ์ดินและเพิ่มผลผลิต

44.       ทาสประเภทใดที่นายทาสจะเอาไปซื้อขายไม่ได้

             1.   ทาสเชลย                            2.   ทาส                  3.   ทาสติดที่ดิน                   4.   ทาสมรดก

             ตอบ 3       หน้า 228 (คำบรรยาย) ในสังคมยุคกลางถือว่าทาสเป็นอวิญญาณทรัพย์ คือ สามารถซื้อขายและยกเป็นมรดกตกทอดได้ ซึ่งต่างไปจากทาสติดที่ติน (Serfs) ที่เป็นชนชั้นพื้นฐานล่างสุดของสังคมเพราะทาสชนิดนี้จะไม่มีอิสรภาพ ซื้อขายไม่ได้ และเมื่อมีการเปลี่ยนเจ้าของทาสติดที่ดินก็ยังคงอาศัยอยู่ที่เดิมโดยที่เจ้า (Lord) ไม่สามารถขับไล่ออกไปได้

45.       ข้อใดแสดงบทบาทอาณาจักรมิให้ศาสนจักรปกครองตนเอง

             1.   การออกฎหมายปกครองศาสนจักร                                               2.   การเกณฑ์พระเป็นทหาร

             3.   รัฐแทรกแซงและบังคับบัญชาพระ                                              4.   การตั้งศาลศาสนา

             ตอบ 3       หน้า 260 – 261, (คำบรรยาย) ในยุคกลางอันรุ่งเรืองได้เกิดการแข่งขันกันระหว่างอาณาจักรกับศาสนจักร ซึ่งความขัดแย้งส่วนใหญ่มักจะมาจากทางฝั่งอาณาจักรที่ไม่ต้องการให้ศาสนจักรได้ปกครองตนเอง ดังนั้นรัฐจึงพยายามแทรกแซงและบังคับบัญชาพระทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่น การใช้อิทธิพลและอำนาจเข้าไปแทรกแซงการเลือกตั้งหรือแต่งตั้งตำแหน่งสำคัญของคริสตจักรทั้งนี้เพราะอาณาจักรถือว่าศาสนจักรเป็นเพียงฐานสนับสนุนอำนาจของกษัตริย์ และกษัตริย์จะต้องเป็นผู้แต่งตั้งทุกตำแหน่งในศาสนจักร

46.       เมื่อสิ้นยุคกลาง อาวุธอะไรที่มีพลานุภาพจนสามารถเป็นพลังอำนาจแห่งชาติได้

             1.   ปืนใหญ่                 2.   ปืนคาร์ไบน์                3.   ระเบิดดาวกระจาย                        4.   ทุ่นระเบิด

             ตอบ 1       (HI 103 เลขพิมพ์ 46197 หน้า 460 – 461) เมื่อสิ้นยุคกลาง อำนาจของกษัตริย์แห่งรัฐชาติเจริญมั่นคงขึ้นแทนที่อำนาจของศาสนจักรและขุนนางในระบอบฟิวดัลทีเสื่อมลง โดยปัจจัยที่ส่งเสริมอำนาจของกษัตริย์ก็คือ การปฏิวัติเทคโนโลยีทางการทหาร เมื่อมีการประดิษฐ์ปืนใหญ่ขึ้นใช้ ซึ่งถือเป็นอาวุธที่มีพลานุภาพจนสามารถเป็นพลังอำนาจแห่งชาติได้ โดยชาติใดที่ครอบครองปืนใหญ่มากก็จะทำให้ชาตินั้นกลายเป็นมหาอำนาจได้

47.       ออตโตมัน เตอร์ก สามารถควบคุมเส้นทางการค้าทางทะเลระหว่างโลกตะวันตกกับโลกตะวันออกไว้ได้ด้วยเหตุใด

             1.   เพราะเป็นใหญ่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน                        2.   เพราะพิชิตอิตาลีซึ่งเป็นศูนย์การค้า

             3.   มีวิทยาการการค้าและธุรกิจเหนือกว่าชาวยุโรป             

             4.   เพราะเชี่ยวชาญการเดินเรือค้าขายมากที่สุด

             ตอบ 1       หน้า 256, (คำบรรยาย) ในยุคกลางหลังจากที่กลุ่มมุสลิมออโตมัน เตอร์ก สามารถยึดครองกรุงคอนสแตนติโนเปิลได้สำเร็จในปี ค.ศ. 1453 แล้ว ก็ได้รุกรานต่อไปยังเอเชียตะวันออกจนกลายเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลเป็นใหญ่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และสามารถควบคุมเส้นทางการค้าทางทะเลระหว่างโลกตะวันออกกับโลกตะวันตกไว้ได้ทั้งหมด ส่งผลให้ชาวยุโรปต้องแสวงหาดินแดนใหม่ เพื่อขยายเส้นทางการค้าสู่ตะวันออกอีกครั้งหนึ่ง

48.       เมื่อยุโรปมีการพัฒนาก่อเกิดประเทศชาติขึ้นในตอนกลางของยุคกลาง ทั้งอาณาจักรและศาสนจักรส่งเสริมการศึกษาด้วยจุดประสงค์ใด

             1.   ต้องการนักบริหารทรงคุณวุฒิ                                       2.   ต้องการให้ประชาชนมีความรู้

             3.   ต้องการให้ประชาชนเรียนรู้หนังสือ                           4.   ต้องการเผยแผ่ศาสนาโดยสื่อการศึกษา

             ตอบ 1       (คำบรรยาย) ในตอนกลางของยุคกลาง เมื่อยุโรปมีการพัฒนาก่อเกิดประเทศชาติขึ้นนั้นทั้งฝ่ายอาณาจักรคือ กษัตริย์และขุนนาง และฝ่ายศาสนจักรคือ พระหรือนักบวช ได้ส่งเสริมการศึกษาโดยมีการสนับสนุนให้จัดตั้งสถาบันการศึกษาทุกระดับจนกระทั่งถึงระดับมหาวิทยาลัย เพราะต้องการนักบริหารที่ทรงคุณวุฒิและมีการศึกษาสูงเข้ามาทำงานในระบบราชการ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่จัดตั้งสถาบันการศึกษาก็ได้แก่ วัด สมาคมชมรม และสมาคมอาชีพ เป็นต้น

49.       เหตุใดมหาวิหาร (Cathedrals) ส่วนใหญ่จึงมีรูปแบบสถาปัตยกรรมหลายแบบซ้อนอยู่

             1.   เพราะสร้างหลายยุคสมัยต่อเนื่องกันมา           2.   เพราะผู้สร้างต้องการให้ยุคต่อมาสานต่อ

             3.   สร้างหลายครั้งเพราะมีงานก่อสร้างไม่พอ    4.   เพราะผู้สร้างมีรสนิยมเหมือนกันจึงมีหลายแบบ

             ตอบ  1      (คำบรรยาย) ในตอนปลายของยุคกลางนั้น บรรดานครต่าง ๆ มักจะนิยมแข่งกันสร้างมหาวิหาร (Cathedrals) ให้ใหญ่ที่สุด สวยที่สุด และสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อแสดงความมั่งคั่งและวัฒนธรรมอันสูงส่งของแต่ละนครนั้น ๆ ทั้งนี้มหาวิหารส่วนใหญ่ไม่ได้สร้างเสร็จภายในคราวเดียว แต่จะสร้างหลายยุคหลายสมัยต่อเนื่องกันมา จึงทำให้มหาวิหารมีรูปแบบสถาปัตยกรรมหลายแบบซ้อนกันอยู่

50.       การสร้างอาคารด้วยหิน มีขนาดใหญ่หนาหนัก มีหน้าต่างเล็ก ๆ นั้น เป็นความนินมรูปแบบ สถาปัตยกรรมใดของยุคกลาง         

             1.   Gothic                 2.   Neo-Classic                    3.   Romanesque 4.   Baroque

             ตอบ 3       หน้า 313326 – 327 ศิลปะโรมาเนสก์ (Romanesque) เป็นสถาปัตยกรรมยุคกลางในสมัยที่มนุษย์ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพระ โดยมีลักษณะเด่น คือ มีเพดานและหลังคาหินโค้งเหมือนประทุนเกวียนและโดมเป็นหัวใจในการก่อสร้าง ซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากไบแซนไทน์และโรมัน นอกจากนี้วิหารและโบสถ์ยังมีขนาดใหญ่หนาทึบและคงทน มีสิ่งก่อสร้างด้วยหินโค้งกลม เสาและกำแพงหนาหนัก มีหน้าต่างเล็ก ๆ ทำให้ภายในวิหารค่อนข้างมืดจนดูเหมือนอยู่ในป้อมปราการมากกว่า

51.       ในยุคกลางมีความนิยมแบบแผนการศึกษาใดที่ขึ้นชื่อโดดเด่น

1.   Neo-Classicism และ Realism                                         

2.   Platoism และ Sophistism

3.   Scholasticism และ Skepticism                                      

4.   Sur-Realism และ Skepticism

ตอบ 3       หน้า 310 – 311326 (คำบรรยาย) แบบแผนการศึกษา ในยุคกลางที่ได้รับความนิยมขึ้นชื่อโดดเด่นมี 2 ปรัชญา คือ 

1. สกอลัสติก (Scholasticism) เป็นปรัชญาที่ไม่ส่งเสริมการคิดค้นหรือการทดลองใหม่แต่จะเน้นการเลียนแบบหรือว่าตามครูไปทุกๆ อย่าง รวมทั้งเริ่มมีการอ่านหนังสือของพวกนอกศาสนา เช่น อริสโตเติล ซึ่งช่วยสร้างความคิดเฉียบคม โดยการใช้หลักเหตุผลเชิงตรรกศาสตร์        

2. สเคปติซิสม์ (Skepticism) เป็นปรัชญาที่สอนไม่ให้เชื่อสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ แต่จะเน้นการศึกษาด้วยวิธีการซักถาม ซึ่งทำให้มนุษย์มีโอกาสคิดและแสดงออกอย่างเสรี

52.       การพัฒนากฎหมาย การศาล และการคลัง เป็นการพัฒนาในปลายยุคกลางเพื่อการปกครองแบบใด

1.   ระบอบราชาธิปไตย

2.   ระบอบประชาธิปไตย

3.   ระบอบสาธารณรัฐ

4.   ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์

ตอบ 1 หน้า 293, (คำบรรยาย) ในปลายยุคกลางระบอบกษัตริย์แบบฟิวดัลล่มสลายไป ทำให้กษัตริย์เพิ่มพระราชอำนาจขึ้นมาใหม่และสามารถสถาปนารัฐชาติ (Nation States) ขึ้นมาได้ จึงมีการพัฒนาไปสู่การปกครองระบอบราชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่รวมอำนาจอยู่ที่ศูนย์กลาง โดยมีการจัดตั้งระบบราชการขึ้นมา และเน้นความสำคัญของการพัฒนากฎหมาย การศาล และการคลังซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของประเทศชาติ

53.       ที่ว่าจักรพรรดิชาร์เลอมาญทรงมีเทวสิทธิ์ปกครองจักรวรรดินั้นหมายความว่าอะไร

1.   จักรพรรดิทรงเป็นเทวราช

2.   พระเป็นเจ้าเห็นชอบโปรดให้จักรพรรดิปกครอง

3.   จักรพรรดิทรงอวตารมาจากพระเป็นเจ้า

4.   สมเด็จพระสันตะปาปาทรงแต่งตั้งจักรพรรดิ

ตอบ 4 หน้า 218 – 220319 – 32063 (H) ชาร์เลอมาญ (Charlemagne) เป็นกษัตริย์ที่ทรงอานุภาพมากที่สุดของราชวงค์คาโรแลงเจียน และถือว่าทรงมีเทวสิทธิ์ปกครองจักรวรรดิทั้งนี้เพราะพระองค์ได้รับการสวมมงกุฎจากสันตะปาปาลีโอที่ 3 เพื่อสถาปนาให้ทรงเป็นจักรพรรดิแห่งราชอาณาจักรโรมันอันศักดิสิทธิ์  (The Holy Roman Empire) ในปี ค.ศ. 800 ทั้งนี้ผลงานที่สำคัญของพระองค์คือ สามารถรวบรวมยุโรปตะวันตกให้เป็นปึกแผ่นได้สำเร็จ ทรงส่งเสริมการศึกษา กำหนดรูปแบบการใช้เงินเหรียญ และกำหนดมาตราวัด

54.       เหตุการณ์ใดที่แสดงว่าอาณาจักรสามารถบังคับบัญชาศาสนจักรได้ในปลายยุคกลาง

1.   จักรพรรดิเฮนรี่ที่ 4 เข้าเฝ้าพระสันตะปาปา

2.   สมเด็จพระสันตะปาปาถวายพระมหามงกุฎแด่จักรพรรดิในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

3.   สมเด็จพระสันตะปาปาหลายองค์ประทับที่เมืองอาวิญยอง

4.   สมเด็จพระสันตะปาปาทรงแต่งตั้งกษัตริย์

ตอบ 3หน้า 300 – 30380 (H) สมัยการคุมขังแห่งบาบิโลเนียในตอนปลายยุคกลาง (Babylonian Captivity ค.ศ. 1305 – 1377) เป็นสมัยที่มีการเปรียบเทียบสันตะปาปาว่าเป็นเหมือนกับพวกยิวที่ถูกกวาดต้อนไปอยู่ที่กรุงบาบิโลนในยุคโบราณ เนื่องจากสันตะปาปาได้ย้ายที่ประทับจากกรุงโรมในอิตาลีมาอยู่ที่เมืองอาวิญยองในฝรั่งเศส ทำให้สันตะปาปาชาวฝรั่งเศสองค์ต่อ ๆ มาก็พำนักอยู่ในฝรั่งเศสเป็นเวลานานถึง 70 ปี ซึ่งเหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าอาณาจักรสามารถบังคับบัญชาศาสนจักรได้ ทำให้สันตะปาปาตกอยู่ภายใต้อำนาจของกษัตริย์ฝรั่งเศสที่มีสิทธิแต่งตั้งและถอดถอนสันตะปาปา จนทำให้สันตะปาปามิได้มีฐานะเป็นประมุขสากลอีกต่อไป

55.       ประเทศใดในยุโรปในปลายยุคกลางที่ไม่มีองค์กรผู้แทนชนชั้นของทั้งประเทศ

 1.   สเปน

2.   เยอรมนี

3.   อังกฤษ

4.   ฝรั่งเศส

ตอบ 4       (คำบรรยาย) ประเทศฝรั่งเศสในปลายยุคกลางจะไม่มีองค์กรผู้แทนชนชั้นของทั้งประเทศมีแต่องค์กรระดับมณฑลที่เรียกว่า สภาฐานันดร (Estates-General) ซึ่งมี 3 ระดับ คือ

1. พระ เป็นเจ้าเหนือหัวทางจิตวิญญาณ                         

2. ขุนนาง เป็นเจ้าเหนือหัวทางโลก

3. สามัญชน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวเมือง

56.       เมื่อปิดฉากยุคกลาง ประเทศใดมีระบบรัฐสภาที่เข้มแข็งมีความหมายแท้จริง

1.   สเปน

2.   อังกฤษ

3.   ฝรั่งเศส

4.   เนเธอร์แลนด์

ตอบ 2 หน้า 275 – 27875 – 76 (H), (คำบรรยาย) เมื่อสิ้นยุคกลาง ระบบรัฐสภาของอังกฤษถือเป็นระบบองค์กรผู้แทนชนชั้นซึ่งมีความเข้มแข็งและมีความหมายแท้จริง โดยรัฐสภา (Parliament) ของอังกฤษประกอบด้วย 2 สภา คือ สภาขุนนาง (House of Lords) และสภาสามัญชน (House of Commons) ทำหน้าที่พิจารณาเรื่องภาษี นิติบัญญัติ และการใช้พระราชอำนาจของกษัตริย์

57.       องค์กรใดของฝรั่งเศสที่มีลักษณะเป็นองค์กรผู้แทนใกล้เคียงกับ Parliamet ของอังกฤษในปลายยุคกลาง

1.   Parlements                         

2.   Estates-General                             

3.   Cortes                              

4.   Diet

ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 55. และ 56. ประกอบ

58.       Magna Carta มีหลักการอะไรสำคัญยิ่ง                                                             

1.   การปกครองโดยทุกชนชั้น

2.   ทุกชนชั้นอยู่ใต้กฎหมาย                 

3.   ความเสมอภาคและภราดรภาพ

4.   การจัดตั้งศาลสูงสุด

ตอบ 2       หน้า 27575 (H), (คำบรรยาย) ในปี ค.ศ. 1215 พระเจ้าจอห์นทรงถูกพวกขุนนางอังกฤษบังคับให้ลงนามในรัฐธรรมนูญแมกนา คาร์ตา (Magna Carta หรือ The Great Charter) ซึ่งถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของอังกฤษ โดยมีหลักการที่สำคัญยิ่ง คือ กำหนดให้ทุกชนชั้นต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย นอกจากนี้ยังลดอำนาจของกษัตริย์ ให้ศาลยุติธรรมทำหน้าที่ตัดสินคดีความของเสรีชน การจัดเก็บภาษีต้องทำด้วยความยุติธรรม และมีการกล่าวถึงตัวบทกฎหมายอีกด้วย ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองในระบอบรัฐสภาของอังกฤษ

59.       แม้จะเป็นจักรวรรดิ แต่จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์มีระบบการปกครองแบบใดแท้จริง

1.   ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์

2.   ระบอบสาธารณรัฐ

3.   ระบบทรราชย์     

4.   ระบอบราชาธิปไตย

ตอบ 4       (คำบรรยาย) ระบอบราชาธิปไตยในจักรวรรดิโรมันจะมี 3 รูปแบบ คือ

1.   แบบจักรวรรดิโรมันตะวันออกหรือไบแซนไทน์ ซึ่งเป็นระบอบที่จักรพรรดิทรงมีอำนาจเหนือการปกครองทั้งอาณาจักรและศาสนจักรที่เรียกว่า “Caesaropapism” 

2.   แบบจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นระบอบที่ขุนนางมีอำนาจและมักจะประสานกับสันตะปาปาเป็นสำคัญ

3. ระบอบราชาธิปไตยแบบที่กษัตริย์นั้นแข่งขันอำนาจกับพวกขุนนางและพระ

60.       ในยุคกลางมีชนชั้นใดบ้างที่มีบทบาทสำคัญโดดเด่น

1.   พระและชาวนา

2.   พ่อค้าและขุนนาง

3.   นักบวชและขุนนาง

4.   นักรบและชาวนา

ตอบ 3       หน้า 304 – 305, (คำบรรยาย) การแบ่งชนชั้นในยุคกลางนั้นจะเป็นการแบ่งตามบทบาทหน้าที่ในสังคม ซึ่งมีอยู่ 3 ชนชั้น คือ

1. พระหรือนักบวชเป็นชนชั้นสูงสุดในสังคม มีหน้าที่สำคัญในการสวดมนต์และประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแก่ประชาชนทำให้พระกลายเป็นอภิสิทธิ์ชนที่ประชาชนต้องเสียภาษีให้และต้องปฏิบัติตามคำสั่ง

2. ขุนนาง เป็นอภิสิทธิ์ชน มีหน้าที่ร่างกฎหมายและระเบียบคุ้มครองผู้ที่อ่อนแอกว่า

3. สามัญชน เป็นพวกไร้อภิสิทธิ์มีหน้าที่ใช้แรงงานทั่วไป ซึ่งได้แก่ ชาวนา ชาวไร่ และช่างฝีมือ

61.       อะไรคือลักษณะเด่นของการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ

1.   การศึกษาศิลปะอียิปต์                                                                      

2.   วรรณกรรมวิจารณ์

3.   การศึกษาศิลปวิทยาการกรีกและโรมัน                                        

4.   การศึกษาศิลปกรรมกรีกและโรมัน

             ตอบ 3       หน้า 356-35892(H) การฟื้นฟูศิลปวิทยาการหรือเรอเนสซองส์ (Renaissance) คือการเกิดใหม่ของอารยธรรมคลาสสิกหรือเป็นการศึกษาศิลปวิทยาการกรีก-โรมันขึ้นมาใหม่ ซึ่งในทางโลกจะเน้นที่งานศิลป์ แต่ในส่วนของมนุษยนิยมจะเน้นที่งานวรรณกรรม ทั้งนี้การฟื้นฟูศิลปวิทยาการได้ก่อให้เกิดผลงานทั้งทางด้านศิลปะ การประดิษฐ์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ และการกำเนิดวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

62.       ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ มีการเผยแพร่ศิลปวิทยาการโดยใช้อะไรเป็นสื่อสำคัญ

             1.   การพิมพ์                2.   การสอน                       3.   ถูกข้อ 1 และ 2                  4.   การบอกเล่า

             ตอบ 1       หน้า 355 – 357372 – 375 ผลจากการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Renaissance) ได้แก่ 1. เกิดวรรณคดีซึ่งให้ความสนใจในเรื่องมนุษยนิยม (Humanism)  2. เกิดการปกครองในระบอบราชาธิปไตย  3. เกิดการประดิษฐ์แท่นพิมพ์ ซึ่งเทคโนโลยีการพิมพ์นี้ทำให้มีการเผยแพร่ศิลปวิทยาการได้อย่างสะดวกรวดเร็วขึ้น   4.เกิดการปฏิวัติวิทยาศาสตร์   5.เกิดการปฏิรูปศาสนา ฯลฯ

63.       ในศตวรรษที่ 17 เหตุใดวิทยาศาสตร์โดยทั่วไปจึงไม่ก้าวหน้า

             1.   ศาสนจักรขัดขวางการสอน                                            2.   ขาดเครื่องมือที่จะสังเกตและคำนวณ

             3.   รัฐไม่สนับสนุนการวิจัย                                  4.   ภาวะจลาจลทำให้ไม่สนใจวิทยาศาสตร์

             ตอบ 2       หน้า 373, (คำบรรยาย) การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ (ระหว่างปี ค.ศ. 1500 – 1700) ที่เกิดขึ้นในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการนั้น แสดงให้เป็นว่าคนเริ่มมีความสนใจศึกษาหาความรู้เพิ่มมากขึ้นเพื่อพยายามที่จะเข้าใจธรรมชาติและค้นหากฎของธรรมชาติ แต่ทั้งนี้วิทยาศาสตร์ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการก็ยังไม่เจริญก้าวหน้าเท่าที่ควร เพราะขาดเครื่องมือที่จะใช้ในการสังเกตและคำนวณ

64.       ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 การพิสูจน์และการตั้งทฤษฎีมีวิธีการใดเป็นพื้นฐาน

             1.   การคำนวณ           2.   การสืบค้นวิธีการพิเศษ               3.   การตั้งข้อสมมุติฐาน          4.   การทดลอง

             ตอบ 3       หน้า 37339597 (H), (คำบรรยาย) การปฏิวัติวิทยาศาสตร์ของยุโรปเริ่มต้นยุคใหม่นั้นเป็นการปฏิวัติที่อาศัยการสังเกต ประสบการณ์ และการทดลองเป็นเครื่องมือหลัก โดยวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาเริ่มต้นมาจากการตั้งข้อสมมุติฐานเป็นพื้นฐานก่อน แล้วจึงแสวงหาข้อมูลเพื่อที่จะทดลองและพิสูจน์ข้อสมมุติฐานนั้นเป็นจริงตามที่พิสูจน์ก็จะมีการตั้งขึ้นเป็นทฤษฎี และถ้าหากทฤษฎีเป็นที่ยอมรับมากขึ้นตามลำดับ ทฤษฎีนั้นก็จะกลายเป็นองค์ความรู้ที่ได้รับการยอมรับ

65.       การปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นไปได้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 โดยอาศัยอะไร

             1.   วิทยาศาสตร์                       2.   เทคโนโลยี                      3.   การค้า                              4.   ถูกข้อ 1 และ 2

             ตอบ 3       หน้า 343 – 344, (คำบรรยาย) การปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นด้วยสาเหตุต่อเนื่องหลายประการคือ 1. การปฏิวัติทางการค้าได้ทำให้เกิดชนชั้นนายทุนที่แสวงหาผลกำไรมากขึ้นเรื่อย ๆ    2. ลัทธิพาณิชย์ชาตินิยมส่งเสริมให้มีการป้องกันอุตสาหกรรมขนาดเล็กและเพิ่มผลผลิตเพื่อส่งเป็นสินค้าออก   3. ตลาดต้องการสินค้าจำนวนมาก และสินค้าบางชนิดก็มีความจำเป็นมากขึ้น ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นแรงผลักดันให้มีการนำเอาเครื่องจักรมาใช้ในการผลิตสินค้าอย่างรวดเร็วและให้ได้ปริมาณมากขึ้น ฯลฯ

66.       กำลังพลังงานใดที่ถือว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งยุควิทยาศาสตร์

             1.   ทองคำ                                2.   ถ่านหิน                           3.   เครื่องจักร                       4.   แก๊ส

             ตอบ 4       (คำบรรยาย) ความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์ได้นำไปสู่การพัฒนากำลังและพลังงานที่สำคัญคือไฟฟ้า แก๊ส น้ำ น้ำมัน แล้วจึงได้พัฒนามาเป็นการใช้เครื่องจักรซึ่งถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งยุค                วิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะเครื่องจักรไอน้ำถือเป็นนวัตกรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง จนอาจกล่าวได้ว่ายุโรปครองโลกในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้เพราะเครื่องจักรไอน้ำมากกว่าอย่างอื่น

67.       การปฏิวัติอุตสาหกรรมมุ่งเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำมาหากินแบบเดิมอะไร       

             1.   เศรษฐกิจพอเพียง                                                             2.   การเกษตรเพื่อการค้า                   

             3.   ระบบศักดินาสวามิภักดิ์                                  4.   เศรษฐกิจการเกษตร

             ตอบ 4       หน้า 494561 การปฏิวัติอุตสาหกรรม หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ จากสังคมเกษตรกรรมและการค้าแบบเก่ามาเป็นสังคมอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เครื่องจักรกลแทนแรงงานคนและสัตว์ โดยมีการพัฒนารูปแบบของกำลังใหม่ ๆ คือ น้ำ ไอน้ำ ไฟฟ้า น้ำมัน และพลังงานปรมาณู นอกจากนี้ยังมีการผลิตสินค้าหลายประเภทเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้มีการอพยพจากชนบทเข้าสู่เมืองด้วย

68.       ชนชั้นนายทุนและชนชั้นกรรมาชีพ ถือกำเนิดมาจากอะไร

             1.   สังคมยุคกลาง                    2.   การค้าขาย                       3.   ลัทธิทุนนิยมผูกขาด                      4.   โรงงาน

             ตอบ 4       หน้า 494 – 495499124 (H), (คำบรรยาย) ระบบโรงงานอุตสาหกรรมได้ก่อให้เกิดชนชั้นใหม่ที่ทำให้ช่องว่างและความแตกต่างระหว่างชนชั้นมีมากขึ้น คือ 1. ชนชั้นนายทุน หรือชนชั้นกลางส่วนใหญ่เป็นผู้มีฐานะดี และเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิตจึงเป็นผู้กุมอำนาจทางสังคม   2. ชนชั้น           กรรมาชีพ หรือผู้ใช้แรงงาน เป็นชนชั้นที่ยากจน และจำเป็นต้องอาศัยค่าแรงงานเป็นเครื่องยังชีพจึงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพวกนายทุน

69.       ข้อใดแสดงว่าการเมืองการปกครองเดิมมีความเจริญทันสมัยในปลายยุคกลาง

             1.   มีระบบกงสุล องค์กรผู้แทนและการศาล     2.   มีระบบทรราชย์ องค์กรผู้แทนและการศาล

             3.   มีระบอบราชาธิปไตย กองทัพและการศาล

             4.   มีระบบราชการ การศาล การจัดเก็บภาษี และการมีองค์กรผู้แทนประชาชน

             ตอบ 4       (คำบรรยาย) ตั้งแต่ยุคกลางในปี ค.ศ. 1100 เป็นต้นมาจนถึงสมัยปลายยุคกลางนั้นสิ่งที่แสดงว่าการเมืองการปกครองในยุโรปเริ่มมีความเจริญและทันสมัย คือ การมีระบบราชการ มีระบบการศาลที่         มีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจโดยการส่งผู้พิพากษาไปตรวจราชการ มีระบบการจัดเก็บภาษีและการมีองค์กรผู้แทนประชาชน

70.       เพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติสุข ระเบียบแบบแผนและความมั่นคงปลอดภัย ชาวยุโรปในต้นยุคใหม่ต้องการ

             ปกครองระบอบใด                                

             1.   ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์                                                2.   ระบอบราชาธิปไตย                                     

             3.   ระบอบทรราชย์                                                                4.   ระบอบประชาธิปไตย

             ตอบ 2       หน้า 332 – 335402105 (H), (คำบรรยาย) ชาวยุโรปในต้นยุคใหม่จะต้องการการปกครองในระบอบราชาธิปไตย ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง คือ กษัตริย์จะมีอำนาจสูงสุดและเด็ดขาด เพื่อธำรงไว้ซึ่งสันติสุข ระเบียบแบบแผนและความมั่นคงปลอดภัยโดยกษัตริย์ทรงได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มชนชั้นกลางในการปราบปราม      ขุนนางและศาสนจักรให้เข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจ ซึ่งเป็นผลให้ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์สิ้นสุดลง

71.       ในต้นยุคใหม่ ชนชั้นใดมีบทบาทสำคัญในการล้มล้างระบอบศักดินาสวามิภักดิ์

1.   ชนชั้นสูง              

2.   สามัญชน                     

3.   ชนชั้นกลาง                   

4.   ชนชั้นทาส

ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ

72.       ในศตวรรษที่ 18 ระบอบเก่าในยุโรปหมายถึงระบอบอะไร                                         

1.   ระบอบทรราชย์                                                                

2.   ระบอบประชาธิปไตย                 

3.   ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

4.   ระบอบกงสุล

ตอบ 3       หน้า 455461, (คำบรรยาย) การปฏิวัติทางการเมืองในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 17 – 20 เป็นการต่อต้านเพื่อล้มระบอบเก่า คือ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือระบอบการปกครองแบบรวมอำนาจที่กษัตริย์ทรงใช้อำนาจอย่างไม่มีขอบเขต นอกจากนี้พวกอภิสิทธิ์ชน (ชนชั้นสูง) ยังเอารัดเอาเปรียบคนจน จนทำให้เกิดความไม่เสมอภาคทางการเมืองและสังคม ซึ่งเป็นเหตุให้ชนชั้นกลางออกมาต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิมนุษยชนและหน้าที่อันเท่าเทียมกันในสังคมและต้องการมีส่วนร่วมในการปกครองมากขึ้น โดยมีจุดมุ่งหมาย คือ เพื่อเปลี่ยนการปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยซึ่งมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด

73.       ชนชั้นใดอุปถัมภ์ศิลปวิทยาการในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการ

             1.   สามัญชนและพ่อค้า                                                         2.   พ่อค้าและช่างศิลป์

             3.   ชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง                                             4.   ชนชั้นสูงและชนชั้นกลางระดับสูง

             ตอบ 3       หน้า 357 – 35892 (H), (คำบรรยาย) การฟื้นฟูศิลปวิทยาการได้รับการอุปถัมภ์จากชน 2 กลุ่ม คือ  1. ชนชั้นสูง ซึ่งเกิดจากการที่รัฐต่าง ๆ มั่งคั่งจากการค้า และมีเสรีภาพมากสามารถสนับสนุนให้กำลังใจแก่นักปราชญ์ นักประพันธ์ ช่างฝีมือ และช่างศิลป์    2. ชนชั้นกลาง ซึ่งร่ำรวยจากอาชีพการค้า ต้องการมีชีวิตที่มีความสุขและอยากจะมีรสนิยมสูงทำ                      ให้มีการส่งเสริมศิลปะจนนำไปสู่การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ

74.       ลัทธิมนุษยธรรมนิยม สอนให้นิยมเทิดทูนอะไร

             1.   ธรรมชาติและปรัชญา                                                     2.   ธรรมชาติและมนุษย์    

             3.   มนุษย์และปรัชญา                                                            4.   มนุษย์และศาสนา

             ตอบ 2       หน้า 35795 (H), (คำบรรยาย) ปรัชญาที่เด่นและมีอิทธิพลมากที่สุดในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ คือ  มนุษยธรรมนิยม หรือมนุษยนิยม (Humanism) ซึ่งมีความหมายกว้าง ๆ ถึง การเทิดทูนมนุษย์และธรรมชาติมากกว่าเทพเจ้าหรือเรื่องของโลกอื่น” หรืออาจตีความในวงแคบว่า เป็นความกระหือรือร้นสนใจในข้อเขียนสมัยคลาสสิกที่เน้นความสนใจในเรื่องของมนุษย์เป็นสำคัญ”  ซึ่งความหมายอันนี้เป็นการตีความหมายในชั้นแรกของพวกที่เริ่มการฟื้นฟูศิลปวิทยา

75.       ตั้งแต่ปลายยุคกลาง คริสตจักรตกเป็นเป้าแห่งการวิจารณ์เรื่องใดเป็นสำคัญ            

             1.   การประพฤติผิดวินัย                                                        2.   การแตกแยกนิกาย

             3.   การขัดแย้งกับพระสันตะปาปา                                      4.   การจัดตั้งกองทัพ

             ตอบ 1       หน้า 37797 (H), (คำบรรยาย) สาเหตุทางสังคมที่ทำให้เกิดการปฏิรูปศาสนาตั้งแต่ปลายยุคกลาง  มีดังนี้ 1. มีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการฉ้อฉลและความประพฤติที่ผิดวินัยผิดศีลธรรมของพระหรือคณะนักบวชกับเจ้าหน้าที่ศาสนา ซึ่งนับว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่สุด เช่น การซื้อขายตำแหน่งและบรรดาศักดิ์ของพระที่เรียกว่า “Nepotism” 2. การมุ่งพิธีกรรมมากเกินไป 3. ถูกโจมตีจากนักมนุษยนิยมว่า มนุษย์ควรสนใจโลกนี้มากกว่าโลกหน้า

76.       การปฏิรูปศาสนาเป็นผลมาจากกระบวนการอะไร

             1.   การปฏิวัติวิทยาศาสตร์                                                     2.   การปฏิวัติการค้า

             3.   การฟื้นฟูศิลปวิทยาการ                                   4.   การปฏิวัติอุตสาหกรรม

             ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 62. ประกอบ

77.       เหตุใดการปฏิรูปศาสนาจึงนำไปสู่สงครามกลางเมือง

             1.   ความขัดแย้งว่าด้วยการบูชารูปเคารพ          

             2.   ความพยายามที่จะให้ทั้งประเทศถือศาสนานิกายเดียวกัน

             3.   ความพยายามที่จะให้กษัตริย์ถือศาสนานิกายเดียวกันกับราษฎร

             4.   ความพยายามของอาณาจักรที่จะแต่งตั้งพระสันตะปาปาเอง

             ตอบ 2       หน้า 386101 (H), (คำบรรยาย) การปฏิรูปศาสนาในตอนต้นศตวรรษที่ 16 เป็นการปฏิรูปตัวบุคคล(นักบวช) และตัวสถาบัน (คริสตจักร) ซึ่งถือเป็นการปฏิรูปหลักธรรมและหลักปฏิบัติให้มีหลักขันติธรรมในการนับถือ แต่การปฏิรูปก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเรื่องของการเมือง โดยมีสาเหตุมาจากความพยายามที่จะให้ทั้งประเทศนับถือศาสนานิกายเดียวกัน ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างรัฐต่าง ๆ ขึ้น จนเมื่อสิ้นศตวรรษที่ 17 จึงได้มีการประกาศยุติปัญหาความแตกแยกของคริสตจักร คือ การประกาศให้ประชาชนนับถือศาสนาคริสต์ต่างนิกาย คือ นิกายคาทอลิกและนิกายโปรเตสแตนต์ได้

78.       ข้อใดแสดงการยุติปัญหาความแตกแยกของคริสตจักรเมื่อสิ้นศตวรรษที่ 17

             1.   พระสันตะปาปาทรงครองราชย์ในยุโรป 

             2.   การประกาศให้ประชาชนนับถือศาสนาคริสต์ต่างนิกายได้

             3.   คำประกาศสิทธิมนุษยชน                          4.   คำประกาศสิทธิโดยธรรมชาติ

             ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 77. ประกอบ

79.       ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ชาวยุโรปใช้ประโยชน์อเนกอนันต์ของวิทยาศาสตร์และหลักเหตุผลเพื่ออะไร

             1.   เพื่อรอดพ้นจากอำนาจศาสนจักร                  2.   เพื่อสร้างความเจริญ

             3.   เพื่อแสวงหาสัจธรรมสูงสุด                                            4.   เพื่อหวนคืนสู่ธรรมชาติ

             ตอบ 2       หน้า 521, (คำบรรยาย) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 ชาวยุโรปใช้ประโยชน์อเนกอนันต์ของวิทยาศาสตร์และหลักเหตุผลเพื่อสร้างความเจริญก้าวหน้า นอกจากนี้ยังนับเป็นการปฏิวัติทางปัญญาที่สำคัญที่ผู้ได้รับการศึกษาในทุกหนแห่งจะมีทัศนคติต่อจักรวาลและมนุษย์แบบใหม่ คือ การไม่ยอมรับความคิดใดง่าย ๆ จนกว่าจะตั้งข้อสงสัยและซักถามก่อน ดังนั้นจึงเริ่มมีลัทธิสัจนิยมและวัตถุนิยม ซึ่งถือเป็นรูปแบบของสมัยใหม่อย่างแท้จริง

80.       ข้อใดคือผลของกระบวนการสร้างความเจริญและทันสมัยเมื่อถึง ค.ศ. 1914

             1.   ยุโรปสร้างยุโรปสองในอเมริกา                    2.   กระบวนการนาครธรรมในยุโรป

             3.   ยุโรปมีอำนาจและมั่งคั่งที่สุดในโลก           

             4.   สงครามโลกระหว่างลัทธิทุนนิยมกับลัทธิคอมมิวนิสต์

             ตอบ 3       (HI 103 เลขพิมพ์ 46197 หน้า 520 – 521), (คำบรรยาย) เมื่อถึงปี ค.ศ. 1914 ผลของกระบวนการสร้างความเจริญและทันสมัยนั้น ทำให้ยุโรปกลายเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจและความมั่งคั่งที่สุดในโลก เพราะยุโรปเป็นทวีปแรกที่มีการพัฒนาทั่วไปให้เจริญทันสมัยก่อนทวีปอื่น ๆ ทั้งหมด ซึ่งกระบวนการพัฒนาให้เจริญและทันสมัยจะปรากฏในด้านการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมและการปฏิวัติทางการเมืองตามลำดับ

81.       ข้อใดคือหลักการเบื้องต้นของลัทธิเสรีนิยม

1.   การต่อสู้ระหว่างชนชั้น                  

2.   การปกครองที่ใช้กฎหมาย คือ อนาธิปไตย

3.   การรวมอำนาจอยู่ที่ศูนย์กลาง                        

4.   ความต้องการลัทธิเสรีภาพและความเสมอภาค

             ตอบ 4       หน้า 479490499, (คำบรรยาย) หลักการเบื้องต้นของลัทธิเสรีนิยมเมื่อมีการปฏิวัติทางการเมืองในยุโรปช่วงศตวรรษที่ 19  ได้แก่ ความต้องการสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาคตามกฎหมาย และเรียกร้องการปกครองโดยมีผู้แทน นอกจากนี้ยังได้เรียกร้องให้ล้มเลิกระบบผูกขาดทางการค้า และใช้นโยบายการค้าเสรี (Laissez-Faire) หรือนโยบายปล่อยเสรี คือ การที่รัฐบาลไม่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือแทรกแซงทางด้านเศรษฐกิจ

82.       ใน ค.ศ. 1688 การปฏิวัติในอังกฤษทำให้เกิดผลอะไร                                   

             1.   พระราชอำนาจเด็ดขาดมั่นคง                                        2.   ระบบรัฐสภามีอำนาจสูงสุด       

             3.   กษัตริย์ในสภาขุนนาง                                                     4.   การสถาปนาจักรภพอังกฤษ

             ตอบ 2       หน้า 417108 (H) ผลของการปฏิวัติอันรุ่งเรืองในอังกฤษในปี ค.ศ. 1688 มีดังนี้

1. ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในอังกฤษสิ้นสุดลงและเปลี่ยนไปสู่การปกครองในระบอบรัฐสภาซึ่งเป็นการปกครองที่กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ    2. รัฐสภามีอำนาจสูงสุด 3. ฐานะของพวกโปรเตสแตนต์มีความมั่นคงขึ้น     4. กษัตริย์จะประกาศสงครามจัดกองทัพ หรือแต่งตั้งรัฐมนตรีคนใด ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาก่อน

83.       การปฏิวัติทางการเมืองในศตวรรษที่ 19 เป็นความพยายามสร้างการปกครองที่มีอะไรเป็นองค์ประกอบหลัก  

             1.   ระบบการปกครองมีกษัตริย์เหนือกฎหมาย                  2.   ระบบการปกครองมีรัฐธรรมนูญ

             3.   ระบบการปกครองมีชนชั้นสูงเป็นใหญ่           4.   ระบบการปกครองมีชนชั้นกรรมาชีพเป็นใหญ่

             ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 72. ประกอบ

84.       การปฏิวัติทางการเมืองในศตวรรษที่ 19 มีหลักการอะไรเป็นสำคัญ

             1.   การค้าเสรี           2.   สิทธิมนุษยชน               3.   เชิดชูกษัตริย์                   4.   ประชาธิปไตยยูโทเปีย

             ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 72. ประกอบ

85.       การชุมนุมแสดงออกทางการเมืองในโลกปัจจุบัน ส่วนใหญ่เรียกร้องหลักการอะไรของประเทศใด

             1.   การต่อสู้ระหว่างชนชั้นของเยอรมนี            2.   การประกอบการอิสระ

             3.   ความเป็นธรรมของสังคม                               4.   อิสรเสรี เสมอภาค และภราดรภาพของฝรั่งเศส

             ตอบ 4       หน้า 447114 (H), (คำบรรยาย) การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 ได้ส่งผลให้มีการเผยแพร่แนวความคิดของการปฏิวัติออกไปยังประเทศอื่น ๆ ในยุโรปโดยเฉพาะคัมภีร์ของการปฏิวัติใหญ่ ในฝรั่งเศส ได้แก่ คำขวัญที่ว่า อิสรภาพ (Liberty) เสมอภาค (Equality) และภราดรภาพ (Fraternity)” ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหลักการที่แพร่หลายและปรากฏในการปฏิวัติทางการเมืองทุกหนแห่งในโลกปัจจุบัน

86.       การปฏิวัติฝรั่งเศสทำให้เกิดการปฏิวัติโดยชนชั้นใดในศตวรรษที่ 19

             1.   ชนชั้นสูง           2.   ชนชั้นสามัญ                  3.   ชนชั้นพระ                     4.   ชนชั้นกลาง

             ตอบ 4       หน้า 461 – 462114 – 115 (H) การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 เป็นการปฏิวัติภายใต้การนำของชนชั้นกลางที่ต้องการล้มระบอบอภิสิทธิ์และต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองซึ่งส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบเก่าหรือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่การปกครองในระบอบสาธารณรัฐ นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อการปฏิวัติทางการเมืองของยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 17 – 20 (ดูคำอธิบายข้อ 72. ประกอบ)

87.       นักเสรีนิยมเรียกร้องต้องการอะไรเป็นเบื้องต้นในการปฏิวัติทางการเมืองในศตวรรษที่ 19

             1.   ล้มล้างสมาคมการค้า                        2.   ล้มเลิกระบบผูกขาดการค้า          3.   สิทธิยับยั้งกฎหมาย    

             4.   ล้มเลิกอภิสิทธิ์

             ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 81. ประกอบ

88.       ความขัดแย้งทางการเมืองในศตวรรษที่ 19 เป็นความขัดแย้งเรื่องอะไร

             1.   ระดับขั้นตอนของสิทธิเสรีภาพและรูปแบบการปกครอง 

             2.   สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล และเจตจำนงส่วนรวม

             3.   วิธีการเลือกตั้งประธานาธิบดี                        4.   รัฐสภามีอำนาจมากเกินไป

             ตอบ 1       หน้า 472477 – 479118 (H) (คำบรรยาย) ในศตวรรษที่ 19 ความขัดแย้งทางการเมืองในยุโรปเป็นความขัดแย้งระหว่างฝ่ายเสรีนิยมกับฝ่ายอนุรักษ์นิยมใน 2 ประเด็น คือ

1.   รูปแบบการปกครอง คือ ฝ่ายเสรีนิยมเรียกร้องการรวมชาติเพื่อการปกครองระบอบกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ในขณะที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมจะต่อสู้เพื่อรักษาระบอบเก่า คือ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

2.   ระดับขั้นตอนของสิทธิเสรีภาพ คือ ฝ่ายอนุรักษนิยมต้องการที่จะฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์ตามระบอบเก่า ซึ่งเป็นระบอบที่ขัดขวางสิทธิหน้าที่มนุษยชน ในขณะที่ฝ่ายเสรีนิยมเรียกร้องเสรีภาพและความเสมอภาค โดยเฉพาะสิทธิร่วมทางการเมือง

89.       ตามระบอบเก่าของศตวรรษที่ 18 กบฏประชาชนถือว่าเป็นอะไร

1.   ทรยศต่อรัฐ

2.   สิทธิชอบธรรม

3.   ทรยศต่อฟ้าดิน

4.   ผิดบาปใหญ่หลวง

ตอบ 4       หน้า 402 – 403, (คำบรรยาย) ตามระบอบเก่าหรือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของยุโรปในช่วงศตวรรษที่ 17 – 18 กษัตริย์ทรงอ้างว่าเป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าที่ถูกส่งลงมาปกครองมนุษย์และทรงได้รับอำนาจเทวสิทธิ์มาจากพระเจ้า ซึ่งต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้น ดังนั้นประชาชนจึงไม่มีสิทธิที่จะปลดกษัตริย์ออกจากตำแหน่ง เพราะถ้าหากคิดล้มกษัตริย์จะถือว่าเป็นความผิดและเป็นบาปใหญ่หลวง นอกจากนี้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยังถือว่าความคิดริเริ่มของผู้ปกครอง คือ นโยบายแห่งรัฐ พระราชสำนักเป็นศูนย์กลางของรัฐบาลกลาง และมี            กฎหมายสนองตอบที่ให้คุณให้โทษแก่บรรดาขุนนางและข้าราชการทั้งหลาย

90.       เหตุใดประชาชนทั่วไปส่งเสริมให้มีการสร้างระบอบการปกครองใหม่ในต้นยุคใหม่

1.   ไม่นิยมเจ้า

2.   ไม่นิยมพ่อค้า

3.   ไม่นิยมชนชั้นกลาง              

4.   ไม่นิยมพระและขุนนาง

ตอบ 4       ดูคำอธิบายข้อ 70. ประกอบ

91.       ระบอบเก่าเป็นระบอบการปกครองที่ใช้อำนาจแบบใดในศตวรรษที่ 18

1.   รวมอำนาจ         

2.   กระจายอำนาจ               

3.   กึ่งรวมอำนาจ                 

4.   กึ่งกระจายอำนาจ

 ตอบ 1       ดูคำอธิบายข้อ 72. ประกอบ

92.       ระบอบการปกครองใดที่ถือว่าความคิดริเริ่มของผู้ปกครองคือนโยบายแห่งรัฐ โดยมีกฎหมายสนองตอบ

1.   ระบบทรราชย์                   

2.   ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์                   

3.   ระบอบประชาธิปไตย   

4.   ระบอบกงสุล

ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 89. ประกอบ

93.       หัวใจหลักของการปฏิวัติทางการเมืองตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 17 คืออะไร

1.   การล้มล้างระบอบประชาธิปไตย

2.   การขจัดอำนาจทรงพลังของคริสตจักร

3.   การล้มล้างระบบเทวราชาธิปไตย

4.   การสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

ตอบ 3       (คำบรรยาย) หัวใจหลักของการปฏิวัติทางการเมืองในยุโรประหว่างปี ค.ศ. 1650 – 1917 เกิดขึ้นเนื่องมาจากความต้องการล้มล้างระบบเทวราชาธิปไตย นั่นคือ ระบอบที่กษัตริย์ตั้งตนเป็นเทพและมีสิทธิที่จะปกครองประชาชน เพราะได้รับความเห็นชอบจากพระผู้เป็นเจ้าเบื้องบนแล้ว ซึ่งตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 เป็นต้นมา ได้เกิดกระแสความไม่นิยมในระบอบนี้ เพราะปิดกั้นสิทธิและหน้าที่ของมนุษยชน โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพทางการเมือง

94.       สมัยประเทืองปัญญามีความคิดหลักอะไร

1.   มนุษย์อยู่ภายใต้ชะตาฟ้าลิขิต

2.   ธรรมชาติมีกฎเกณฑ์แน่นอน

3.   มนุษย์ควรถูกปกครองอย่างไร

4.   รู้จักมนุษย์โดยเรียนรู้จากธรรมชาติ

             ตอบ 3       หน้า 442 – 443 ในสมัยประเทืองปัญญา (The Enlightenment) ความสนใจของมนุษย์ในชาติตะวันตกจะเน้นความคิดหลักที่ว่า มนุษย์ควรจะถูกปกครองอย่างไร” นอกจากนี้ยังเป็นยุคที่เน้นความสำคัญของเหตุผลมนุษย์ในฐานะที่เป็นพื้นฐานแห่งความเจริญก้าวหน้าโดยมีการคิดตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์คือ เชื่อในสิ่งที่พิสูจน์ได้ และที่สำคัญที่สุดคือ เป็นยุคที่มีการเทิดทูนสภาวะของปัจเจกชนอย่างเต็มกำลัง

95.       ประเทศใดในปลายศตวรรษที่ 18 ที่ได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับระบอบเก่า แต่ก็เป็นแกนกลางของการสร้างระบอบใหม่ด้วย 

1.   อังกฤษ

2.   ฝรั่งเศส

3.   เยอรมนี

4.   รัสเชีย

ตอบ 2       หน้า 403114 – 115 (H), (คำบรรยาย) พื้นฐานแห่งการปฏิวัติทางการเมืองในยุโรปในปลายศตวรรษที่ 18 คือ การปฏิบัติในฝรั่งเศสเมื่อปี ค.ศ. 1789 เนื่องจากฝรั่งเศสได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับหรือแกนกลางของระบอบเก่า (ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์) แต่ต่อมาฝรั่งเศสก็กลายเป็นแกนกลางแห่งการปฏิวัติเพื่อสร้างระบอบใหม่ (ระบอบประชาธิปไตย) ของศตวรรษที่ 19 ด้วย และถึงแม้ผลของการปฏิวัติฝรั่งเศสจะลงเอยด้วยการปกครองตามระบอบเก่าเหมือนเดิม แต่ก็ถือว่าฝรั่งเศสเป็นศูนย์กลางของการเผยแพร่ความคิดในการปฏิวัติให้ขยายไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วยุโรป

96.       ระบอบใหม่ของศตวรรษที่ 19 คือระบบอะไร

1.   ระบอบคอมมิวนิสต์

2.   ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

3.   ระบอบประชาธิปไตย

4.   ระบอบสังคมนิยม

ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 95. ประกอบ

97.       ในศตวรรษที่ 19 มีปัจจัยใดประจวบเหมาะในการล้มล้างระบอบเก่า

1.   ความทุกข์ยาก ความไม่พอใจทางการเมือง และความไม่เป็นธรรมในสังคม

2.   ชนชั้นสูงตกต่ำ ชนชั้นกลางปลุกระดมมวลชนโฆษณาชวนเชื่อ

3.   ลัทธิเสรีประชาธิปไตยขัดแย้งกับลัทธิสังคมนิยม

4.   การนัดหยุดงานและขบวนการเรียกร้องขอสิทธิทางการเมือง

ตอบ 1 (คำบรรยาย) ในศตวรรษที่ 19 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการล้มล้างระบอบเก่ามี 3 ประการ คือ

1. ความตกต่ำทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความทุกข์ยาก  

2. ความไม่พอใจทางการเมือง                

3. ความไม่เป็นธรรมในสังคม

98.       ตั้งแต่ ค.ศ. 1871 แผนที่ยุโรปเปลี่ยนครั้งใหญ่สืบเนื่องจากอะไร

1.   การรวมเบลเยียม

2.   การรวมเยอรมนี

3.   การรวมโปแลนด์

4.   บอลข่านมีเอกราช

 ตอบ 2       หน้า 512 – 519119 (H), 24 – 129 (H), (คำบรรยาย) จากการที่ประเทศอิตาลีและเยอรมนีสามารถรวมประเทศได้เป็นผลสำเร็จในปี ค.ศ. 1870 และ ค.ศ. 1871 ตามลำดับ ได้แสดงให้เห็นถึงชัยชนะของลัทธิชาตินิยมและเสรีนิยมว่ามีบทบาทส่งเสริมทำให้เกิดการรวมประเทศเยอรมนีและอิตาลีขึ้นซึ่งนับเป็นเหตุการณ์สำคัญที่ทำให้แผนที่ยุโรปเปลี่ยนแปลงไปและส่งผลให้ดุลยภาพแห่งอำนาจ (Balance of Power) ได้เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เนื่องจากเกิดประเทศมหาอำนาจขึ้นคือ ประเทศเยอรมนีและอิตาลี

99.       การล่าอาณานิคมอีกตั้งแต่ ค.ศ. 1871 เกิดจากความจำเป็นด้านใด

1.    การแผ่ขยายอำนาจทั่วโลกยุโรป

2.   การแผ่ขยายการค้าไปทั่วโลก

3.   การสร้างพันธมิตร

4. เศรษฐกิจการเกษตรเติบใหญ่

ตอบ 2       หน้า 523 – 524130 – 131 (H) สาเหตุที่ทำให้ในระหว่างปี ค.ศ. 1871 – 1914 ประเทศมหาอำนาจในยุโรปซึ่งมีอังกฤษ ฝรั่งเศส และฮอลันดาเป็นผู้นำ ต้องออกมาแสวงหาอาณานิคมในทวีปแอฟริกาและเอเชียนั้น เป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจการค้าไปทั่วโลก และการเพิ่มขึ้นของจำนวนพลเมือง จึงมีความจำเป็นต้องมีการออกแสวงหาอาณานิคมเพื่อเป็นตลาดการค้า ตลาดลงทุน แหล่งวัตถุดิบ จัดตั้งฐานทัพและเพื่อระบายพลเมือง

100.     การรวมตัวกันเป็นพันธมิตรในยุโรปตั้งแต่ ค.ศ. 1907 มาจากความหวาดกลัวอะไร

1.   กลัวอังกฤษ

2.   กลัวเยอรมนี

3.   กลัวฝรั่งเศส

4.   กลัวรัสเชีย

ตอบ 2       หน้า 530 – 531 (คำบรรยาย) การรวมตัวกันเป็นพันธมิตรในยุโรประหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศสและรัสเซีย โดยมีการทำสัญญาเป็นกลุ่มไตรพันธมิตร (Triple Entente) ตั้งแต่ ค.ศ. 1907 นั้นมีสาเหตุมาจากความหวาดกลัวว่าเยอรมนีจะคิดสร้างจักรวรรดิขึ้นในยุโรป จึงมีการรวมตัวกันขึ้นเพื่อถ่วงดุลกับกลุ่มไตรพันธไมตรี (Triple AIIiance) อันประกอบด้วย เยอรมนี อิตาลี ออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งรวมตัวเป็นพันธมิตรมาตั้งแต่ ค.ศ. 1882 ส่งผลให้บรรดามหาอำนาจในยุโรปแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย นับตั้งแต่ค.ศ. 1907 เป็นต้นมา

101.     ระบบพันธมิตรแบบบิสมาร์คเป็นระบบพันธมิตรแบบใด ในภาวะใด

1.   แบบตั้งรับในยามศึก                                                        

2.   แบบรบรุกในยามสงบ

3.   แบบป้องปรามในยามสงบ                                             

4.   แบบตั้งรับในยามสงบ

             ตอบ 4       หน้า 529 – 530562, (คำบรรยาย) บิสมาร์จัดตั้งระบบพันธมิตรขึ้นในปี ค.ศ. 1882 โดยมีจุดมุ่งหมายเพี่อป้องกันความขัดแย้งระหว่างเยอรมนีกับฝรั่งเศสในเรื่องดินแดนอัลซัสลอเรนน์เป็นหลักทำให้บิสมาร์คต้องพยายามปิดล้อมฝรั่งเศสให้อยู่โดดเดี่ยวโดยการจัดตั้งระบบพันธมิตรที่แข็งแกร่งขึ้นเพื่อมิให้พันธมิตรฝ่ายฝรั่งเศสซึ่งอาจรวมตัวกันได้ในวันข้างหน้าสามารถทำการโจมตีได้ทั้งนี้ระบบพันธมิตรแบบบิสมาร์คเป็นระบบพันธมิตรแบบตั้งรับในยามสงบซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เกิดการทูตแบบใหม่ขึ้น

102.     มีดินแดนใดในยุโรปตั้งแต่ ค.ศ. 1871 – 1914 ที่อาจกลายเป็นข้อพิพาทระหว่างประเทศและนำไปสู่สงครามได้             

1.   สุเดเตนและดานซิก

2.   โปแลนด์และกรีซ

3.   อัลซัส-ลอเรนน์ และบอลข่าน

4.   ถูกข้อ 1 และ 3

ตอบ 3       หน้า 518 – 519531 – 533132 – 133 (H), (คำบรรยาย) ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1817 – 1914 ยุโรปมีดินแดนที่เป็นข้อพิพาทระหว่างประเทศและเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 คือ 1. ดินแดนอัลซัส-ลอเรนน์ ซึ่งเป็นกรณีพิพาทระหว่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี ผลคือเยอรมนีได้ครอบครองดินแดนนี้ ทำให้ฝรั่งเศสต้องการแก้แค้นเยอรมนี และต้องการดินแดนแคว้นอัลซัส-ลอเรนน์คืนมา              2. คาบสมุทรบอลข่าน ซึ่งเป็นความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจตะวันตกในยุโรปที่ต่างมุ่งแสวงหาประโยชน์อย่างเต็มที่ จนบานปลายกลายเป็นชนวนให้สงคราม

103.     สงครามโลกครั้งที่ 1 อุบัติขึ้นเมื่อมีความขัดแย้งใดที่หาข้อยุติมิได้

1.   ความขัดแย้งระหว่างเยอรมนีกับฝรั่งเศส

2.   ความขัดแย้งระหว่างออสเตรียกับเซอร์เบีย

3.   ความขัดแย้งระหว่างออสเตรียกับอิตาลี

4.   ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับออสเตรีย

ตอบ 2       หน้า 534 – 535562133 (H), (คำบรรยาย) สงครามโลกครั้งที่ 1 อุบัติขึ้นเมื่อมีความขัดแย้ง ระหว่างออสเตรีย – ฮังการี กับเซอร์เบียใน ค.ศ. 1914 โดยมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ที่นักศึกษาชาวเซิร์บลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุก ฟรานชิส เฟอร์ดินานด์ มกุฎราชกุมารออสเตรียทำให้ออสเตรียยื่นคำขาดให้เซอร์เบียปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของตนภายใน 24 ชั่วโมง แต่เชอร์เบียไม่ยอมจึงทำให้บรรดามหาอำนาจที่รวมตัวกันเป็นระบบพันธมิตรของทั้ง 2 ฝ่ายใช้กำลังทำสงครามกันจนก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในที่สุด

104.     ภาวะใดหนุนนำให้ผู้คนในเยอรมนีและอิตาลีนิยมลัทธิฟาสซิสต์

1.   พลังอำนาจทหาร

2.   พลังอำนาจเศรษฐกิจ

3.   ภาวะเศรษฐกิจทรุด      

4.   ภาวะจลาจลภายใน

ตอบ 3       หน้า 544, (คำบรรยาย) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ระบอบฟาสซิสต์ (Facism) เป็นที่นิยมทั้งในเยอรมนีและอิตาลีเนื่องจาก 1. ระบอบประชาธิปไตยแก้ปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมไม่ได้

2. เกิดความยากไร้และคับแค้นใจเพราะภาวะเศรษฐกิจตกต่ำระหว่างปี ค.ศ. 1929 – 1934

3. กลัวลัทธิคอมมิวนิสต์

105.     ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 บรรดามหาอำนาจผู้ชนะร่วมกันจัดตั้งองค์การสันนิบาตแห่งชาติขึ้นตามหลักการอะไร   

1.   ประชาธิปไตย

2.   การอยู่ร่วมกันโดยสันติ

3.   ความมั่นคงร่วมกัน       

4.   ธรรมย่อมเหนืออธรรม

             ตอบ 3       หน้า 540 – 541135 (H), (คำบรรยาย) องค์การสันนิบาตชาติ (The League of Nations) จัดตั้งขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อปี ค.ศ. 1920 ซึ่งเป็นองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อสันติภาพและความมั่นคงร่วมกัน โดยมุ่งขจัดความขัดแย้ง เป็นตุลาการระหว่างประเทศดำเนินการลดอาวุธและขจัดทูตลับ ซึ่งผลงานที่สำคัญของสันนิบาตชาติคือ ฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจได้สำเร็จพอสมควร แต่ไม่สามารถรักษาสันติภาพและระเบียบแบบแผนไว้ได้ ซึ้งส่งผลให้สันนิบาตชาติอ่อนแอเนื่องจากไม่มีกองทัพเป็นของตนเอง

106.     เหตุใดอังกฤษและฝรั่งเศสจึงมีนโยบายผ่อนปรนต่อเยอรมนีใน ค.ศ. 1939

1.   เพราะกลัวเยอรมนีไม่พอใจ

2.   เพราะไม่พร้อมที่จะรบกับเยอรมนี

3.   เพราะเยอรมนีมีรัสเซียเป็นพันธมิตร

4.   เพราะเยอรมนีปฏิบัติตามสนธิสัญญาแวร์ชายส์

 ตอบ 2       หน้า 545 – 546549 – 550 (คำบรรยาย) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยุติลง อังกฤษ และฝรั่งเศสได้ใช้นโยบายผ่อนปรน (Appeasement Policy) กับเยอรมนีมาโดยตลอดจนถึง ค.ศ. 1939 ทั้งนี้เพราะยังไม่ต้องการสงครามและไม่พร้อมที่จะรบกับเยอรมนี แต่เมื่อกองทัพเยอรมนีบุกโปแลนด์และไม่ยอมถอนทหารออกจากโปแลนด์ทำให้อังกฤษกับฝรั่งเศสต้องรับประกันความปลอดภัยของโปแลนด์และประกาศทำสงครามกับเยอรมนี ซึ่งถือเป็นการยุตินโยบายผ่อนปรนและก่อให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในที่สุด

107.     อิตาลีและเยอรมนีต่างรวมประเทศได้โดยใช้วิธีใด

1.   ยุทธวิธี

2.   สันติวิธีทางการทูต

3.   ธรรมยุทธ์

4.   ถูกข้อ 1 และ 2

ตอบ 4       หน้า 512 – 519125 – 129 (H), (คำบรรยาย) ประเทศอิตาลีและเยอรมนีรวมชาติได้สำเร็จในระหว่างปี ค.ศ. 1870 – 1871 โดยใช้วิธีดังนี้คือ 1. ยุทธวิธี คือ อิตาลีใช้วิธีทำสงครามโดยการปราบออสเตรียส่วนเยอรมนีใช้ นโยบายเลือดและเหล็ก” ทำสงครามถึง 3 ครั้งคือ สงครามกับเดนมาร์กเรื่องดินแดนชเลสวิก-โฮลสไตน์สงครามกับออสเตรีย และสงครามกับฝรั่งเศส 2. สันติวิธีทางการทูต คือ อิตาลีผูกมิตรกับมหาอำนาจคือฝรั่งเศสให้เข้ามาช่วย ส่วนเยอรมนีใช้วิธีเจรจารักษาไมตรีกับนานาประเทศ

108.     ในการปฏิวัติในรัสเซียเมื่อ ค.ศ. 1917 ประชาชนเรียกร้องต้องการอะไร

1.   อิสรเสรี เสมอภาค และภราดรภาพ

2.   ระบอบประชาธิปไตย

3.   สันติภาพ ขนมปัง และที่ดิน

4.   สงบศึกและล้มล้างซาร์

ตอบ 3       หน้า 537136 (H), (คำบรรยาย) การปฏิวัติครั้งใหญ่ในรัสเซียเมื่อปี ค.ศ. 1917 เป็นการปฏิวัติที่ล้มระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีสาเหตุมาจาก 1. การปกครองล้าหลังตามไม่ทันสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนแปลง 2. เป็นผลกระทบมาจากการที่รัสเซียเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 1 ประชาชนจึงต้องการสันติภาพ 3. แรงกดดันจากความยากไร้ของประชาชน คือประชาชนต้องการขนมปังและที่ดินทำมาหากิน ฯลฯ

109.     ระบอบฟาสซิสต์และระบอบคอมมิวนิสต์มีลักษณะใดที่เหมือนกันในการปกครอง

1.   การกระจายอำนาจ

2.   การใช้อำนาจโดยประธานพรรค

 3.   การใช้อำนาจโดยพรรค 1 พรรค

4.   การมีสำนักการเมือง (Politburo) เป็นหลัก

ตอบ 3       หน้า 541 – 543137 – 138 (H), (คำบรรยาย) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เกิดขบวนการชาตินิยม ที่เรียกว่า ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จขึ้น ซึ่งเป็นการปกครองที่ผู้นำเดี่ยวมีอิทธิพลครอบงำหรืออาจอยู่ในรูปองค์กรผู้นำพรรคการเมือง 1 พรรค ใช้อำนาจเด็ดขาดแต่พรรคเดียวแบ่งออกเป็น 2 แบบ ซึ่งมีลักษณะตรงข้ามกัน ได้แก่ 1. ระบอบคอมมิวนิสต์ (เผด็จการซ้าย) เป็นขบวนการต่อต้านลัทธิทุนนิยมประชาธิปไตย 2. ระบอบฟาสซิสต์ (เผด็จการขวา) เกิดขึ้นในอิตาลีและขยายต่อมายังเยอรมนี เรียกว่า ลัทธินาซี เป็นขบวนการชาตินิยมที่ต่อต้านการขยายตัวของระบอบคอมมิวนิสต์และโลกเสรีประชาธิปไตย

110.     การทูตยุคใหม่ยึดถือหลักการใดในการมีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุโรป

1.   การเป็นพันธมิตร

2.   การมีผู้นำกลุ่มประเทศ

3.   การจัดตั้งสันนิบาต      

4.   การถ่วงดุลอำนาจ

ตอบ 4       (คำบรรยาย) หลักความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างประเทศในยุโรปตั้งแต่ยุคใหม่เป็นต้นมานั้นได้กำหนดว่าทุกประเทศต้องเคารพในหลักการถ่วงดุลอำนาจไม่ให้ประเทศใดมีอำนาจมากจนเกินไปโดยเชื่อว่าสันติภาพและความมั่นคงจะคงอยู่ได้นั้นขึ้นอยู่กับการรักษาสมดุจหรือดุลยภาพแห่งอำนาจถ้ามหาอำนาจใดล่วงละเมิดหลักการถ่วงดุลอำนาจโดยการขยายอาณาเขตออกไปเพื่อตั้งตนเป็นใหญ่บรรดามหาอำนาจที่เหลือก็จะรวมตัวกันจัดตั้งเป็นพันธมิตรเพื่อเข้าไปล้อมปราบ หรือเรียกร้องค่าเสียหายชดเชย หรือใช้กำลังยับยั้งโดยการรวมกลุ่มรบเพื่อสั่งสอน แต่จะไม่เข้าไปทำลายรัฐ

111.     ข้อใดคือมาตรการลงโทษรัฐที่ถ่วงละเมิดหลักการถ่วงดุลอำนาจในยุคใหม่      

1.   การตั้งศาลพิพากษา                                                         

2.   การใช้กำลังยับยั้ง            

3.   การเจรจาต่อรองผลประโยชน์                                       

4.   การอัปเปหิจากเวทีโลก

ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 110. ประกอบ

112.     พฤติกรรมใดแสดงว่าชาวยุโรปเป็นผู้เจริญ รู้จักแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวิธีใน ค.ศ. 648

1.   การประชุมที่เวียนนา                                                       

2.   การประชุมที่เบอร์ลิน

3.   การประชุมที่เวสต์ฟาเลีย                                                

4.   การประชุมที่แวร์ชายส์

ตอบ 3       หน้า 390 – 391408101 (H), (คำบรรยาย) สนธิสัญญาที่เวสต์ฟาเลีย (Westphalia) ในปี ค.ศ. 1648 นับเป็นการประชุมร่วมกันโดยสันติวิธีระหว่างมหาอำนาจชาติต่าง ๆ เป็นครั้งแรกในยุโรป โดยเป็นสนธิสัญญาสันติภาพที่ยุติสงคราม 30 ปีซึ่งเป็นสงครามศาสนาครั้งสุดท้ายของยุโรปที่เกิดขึ้นในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (เยอรมนี) ในระหว่างปี ค.ศ. 1618 – 1648 ส่งผลให้จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ถูกแบ่งแยกเป็นรัฐอิสระถึง 300 รัฐ และดินแดนเยอรมนีได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก ทำให้การรวมเยอรมนีช้าไปเป็นเวลา 200 ปี

113.     ใน ค.ศ. 1648 จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ถูกบงการให้แบ่งแยกเป็นรัฐอิสระ โดยสนธิสัญญาใด

1.   แวร์ซายส์

2.   เวสต์ฟาเลีย

3.   เบอร์ลิน

4.   มิวนิค

ตอบ 2       ดูคำอธิบายข้อ 112. ประกอบ

114. เหตุใดบรรดามหาอำนาจในยุโรปจึงรวมตัวเป็นพันธมิตรถึง 3 ครั้งเพื่อปราบฝรั่งเศส

1.   เพราะฝรั่งเศสต้องการเป็นเจ้าโลก                          

2.   เพราะฝรั่งเศสเผยแพร่ศาสนาคริสต์นิกายของตนในยุโรป

3.   เพราะฝรั่งเศสคิดสร้างจักรวรรดิในยุโรป 

4.   เพราะฝรั่งเศสเป็นศูนย์กลางของลัทธิสังคมนิยม

 ตอบ 3       หน้า 464466468 – 469 (คำบรรยาย) ในยุคใหม่จนถึงปัจจุบันนั้น ประเทศมหาอำนาจที่พยายามตั้งตนเป็นใหญ่เพราะต้องการสร้างจักรวรรดิในยุโรป จนถูกชาติมหาอำนาจอื่น ๆ รวมตัวเป็นพันธมิตรเพื่อล้อมปราบอยู่หลายครั่ง ได้แก่ ประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะในยุคนโปเลียนที่ยุโรปเกือบทั้งหมดยกเว้นอังกฤษต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของฝรั่งเศส ทำให้มหาอำนาจในยุโรปต้องรวมตัวกันเป็นพันธมิตรถึง 3 ครั้ง เพื่อล้อมปราบฝรั่งเศส นอกจากนี้ก็ยังมีประเทศสเปนในสมัยสงคราม 30 ปี และประเทศเยอรมนีในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2

115.     บรรดามหาอำนาจภายหลัง ค.ศ. 1815 ได้พยายามต้านทานคลื่นปฏิวัติด้วยวิธีการใด

             1.   ปฏิบัติการไล่ล่าแกนนำ                   2.   ระบบข่าวกรองเป็นเครือข่ายระหว่างประเทศ

             3.   สร้างพันธมิตรกับคริสตจักร                           4.   ความร่วมมือทางการทูต

             ตอบ 4       หน้า 477 – 479, (คำบรรยาย) ในระหว่าง ค.ศ. 1815 – 1848 ได้เกิดคลื่นปฏิวัติเสรีนิยมขึ้นในยุโรปโดยมีศูนย์กลางของการปฏิวัติอยู่ที่กองทัพ มหาวิทยาลัย และสมาคมลับ ทำให้บรรดามหาอำนาจในยุโรปต้องใช้ความร่วมมือทางการทูตระหว่างประเทศ โดยการจัดตั้งสมาคมยุโรป (Concert of Europe) และใช้วิธีการแทรกแซงทางทหาร เพื่อต้านทานและบดขยี้คลื่นปฏิวัติในยุโรปไม่ให้เกิดขึ้นโดยมีผู้นำของการทูตแบบนี้ คือ เจ้าชายเมตเตอร์นิกแห่งออสเตรียจึงเรียกเหตุการณ์ในยุคนี้ว่า  ยุคเมตเตอร์นิก หรือยุคแห่งการต่อต้านระบอบเสรีนิยม

116.     ข้อใดคือสาเหตุที่ทำให้เยอรมนีถูกแบ่งประเทศใน ค.ศ. 1945                     

             1.   ผู้ชนะบงการให้แบ่ง                                                       2.   การยึดครองโดยแบ่งเขต                             

             3.   สนธิสัญญาแวร์ซายส์                                                      4.   รัสเซียบงการ

             ตอบ 2       หน้า 556, (คำบรรยาย) ในปี ค.ศ. 1945 เยอรมนีถูกแบ่งออกเป็น 4 เขต ภายใต้การยึดครองโดยแบ่งเขต ซึ่งเบอร์ลินทั้งหมดจะอยู่ในเขตยึดครองของรัสเซีย แต่ก็ให้อยู่ภายใต้การปกครองของ 4 ชาติฝ่ายสัมพันธมิตร คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา และโซเวียตรัสเซีย ทำให้เยอรมนีถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเทศ คือ 1. เยอรมนีตะวันออก ภายใต้การยึดครองของสหภาพโซเวียต มีชื่อเรียกว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมนี”  2. เยอรมนีตะวันตก ภายใต้การดูแลของอังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา มีชื่อเรียกว่า สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี

117.     ประเทศใดที่เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองแล้วได้รับประโยชน์เป็นการขยายดินแดนภายใต้อิทธิพลของตนมากที่สุดใน ค.ศ. 1948    

             1.   สหรัฐอเมริกา          2.   อังกฤษ              3.   ฝรั่งเศส             4.   รัสเซีย

             ตอบ 4       (คำบรรยาย) ตามข้อตกลงยัลต้า (Yalta) และปอตสดัม (Potsdom) ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ส่งผลให้ประเทศรัสเซียสามารถแพร่ขยายลัทธิคอมมิวนิสต์ไปสู่ยุโรปตะวันออกตั้งแต่ทะเลบอลติก ไปจนถึงทะเลดำได้สำเร็จ ทำให้รัสเซียสามารถขยายดินแดนภายใต้อิทธิพลของตนได้มากที่สุดใน ค.ศ. 1948 และรวมตัวกันเป็นสหภาพโซเวียต

118.     ลักษณะพิเศษของสงครามเย็นคืออะไร  

             1.   การต่อสู้ด้วยกำลังอย่างถึงที่สุด                                                      2.   เป็นสงครามในแบบเบ็ดเสร็จ

             3.   การต่อสู้ทุกรูปแบบยกเว้นสงครามโดยตรง                                4.   สงครามจรยุทธ์โดยประชาชน

             ตอบ 3       หน้า 559139 (H) ลักษณะสำคัญของสงครามเย็น (ค.ศ. 1945 – 1991) คือ 1. เป็นสงครามที่เกิดจากความขัดแย้งทางด้านพลังลัทธิอุดมการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ระหว่างโลก 2 ฝ่าย คือ โลกเสรีประชาธิปไตยซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำกับฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์ ซึ่งมีโซเวียตรัสเชียเป็นผู้นำ 2. มีการต่อสู้ทุกรูปแบบยกเว้นการทำสงครามแบบเบ็ดเสร็จที่มีการเผชิญหน้ากันโดยตรงแต่จะใช้วิธีการทำสงครามจิตวิทยาหรือสงครามตัวแทน (Proxy War) เช่น สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม ฯลฯ 3. แข่งกันหาพันธมิตรโดยใช้วิธีทางการทูตและการโฆษณาชวนเชื่อ 4. มีการแข่งขันกันสะสมอาวุธ และแข่งขันวิทยาการทางด้านอวกาศ

119.     เมื่อ ค.ศ. 1945 การแบ่งโลกเป็น 2 ฝ่ายคือ โลกเสรีและโลกคอมมิวนิสต์ เป็นการแบ่งตามเกณฑ์ใด

             1.   พลังอำนาจทางทหาร                                                      2.   พลังอำนาจทางเศรษฐกิจ

             3.   พลังลัทธิอุดมการณ์                                                          4.   พลังอำนาจทางการเมืองโลก

             ตอบ 3       ดูคำอธิบายข้อ 118. ประกอบ

120.     โลกเสรีตอบโต้การแพร่ขยายอำนาจของลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วยวิธีการใด

             1.   ตั้งองค์การสหประชาชาติ                                              2.   ตั้งองค์การนาโต้

             3.   ตั้งองค์การโคมินเทอร์น                                                  4.   ตั้งระบบสัญญาโคเมคอน

             ตอบ 2       หน้า 559 – 560 (HI 103 เลขพิมพ์ 46197 หน้า 545 – 546) ในยุคสงครามเย็นฝ่ายโลกเสรีและโลก   คอมมิวนิสต์ต่างก็หามาตรการเพื่อนำมาใช้ตอบโต้กัน กล่าวคือ ฝ่ายโลกเสรีนำโดยสหรัฐอเมริกาได้ประกาศหลักการทรูแมน (Truman Doctrie) และแผนการมาร์แซล (The Marshall Plan) รวมทั้งจัดตั้งองค์การนาโต้ (NATO) เพื่อความร่วมมือทางทหารและปิดล้อมการแพร่ขยายอำนาจของคอมมิวนิสต์ ส่วนฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์นำโดยสหภาพโซเวียตก็จัดตั้งองค์การโคมินเทอร์(Comintern) และแผนโมโลตอฟ รวมทั้งจัดตั้งกลุ่มประเทศสนธิสัญญาวอร์ซอ (The Warsaw Pact) เพื่อตอบโต้ปฏิบัติการของตะวันตกโดยเฉพาะองค์การนาโต้   

HIS1001 อารยธรรมตะวันตกภาค 1 ปีการศึกษา 2553

การสอบไล่ ภาค 1  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  HIS1001 อารยธรรมตะวันตก

คำสั่ง  ให้นักศึกษาเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 120 ข้อ)

1.         ความสำคัญของยุคน้ำแข็ง คือ

1.  โลกถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งเกือบจะถึงเขตร้อนในปัจจุบัน        

2.   เกิดขึ้น 4 ระยะกินเวลาประมาณ 1 ล้านปี

3.   มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมาในยุคน้ำแข็ง                                              

4 ถูกทุกข้อ

ตอบ  3      หน้า 2, 8 (H) ระยะที่โลกถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งจนเกือบจะถึงเขตร้อน โดยเกิดขึ้นทั้งหมด 4 ระยะกินเวลาประมาณ 1 ล้านปีนั้น เราเรียกว่า ยุคน้ำแข็ง” (Pleistocene) ซึ่งมีความสำคัญต่อเรื่องราวของมนุษยชาติเป็นอย่างมาก เพราะในช่วงระยะเวลาที่น้ำแข็งละลายได้ปรากฏร่องรอยของสิ่งมีชีวิตคือ มนุษย์” ถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก

2.         ไพรเมท (Primate) คือ

             1.   ยุคน้ำแข็งที่เกิดขึ้นในระยะแรก                                    2.   บรรพบุรุษของมนุษย์

             3.   การรวมตัวของกลุ่มผงและก๊าซในจักรวาล                 4.   ถ่านหินที่ค้นพบที่หมู่เกาะสปิตเบอร์เกน

             ตอบ  2      หน้า 1 – 2, 8 (H) นักประวัติศาสตร์ได้สันนิษฐานว่าแหล่งกำเนิดของมนุษย์น่าจะอยู่ในทวีปเอเชียและแอฟริกา รวมทั้งบริเวณตอนกลางของทวีปเอเชียที่อยู่ติดกับยุโรป คือ บริเวณ    ยูเรเชีย (Eurasia) โดยบริเวณดังกล่าวนี้จะมีภูมิอากาศที่เหมาะสำหรับการพัฒนาของไพรเมท (Plimate)  ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์   ต่อมาบรรดาไพรเมทเหล่านี้ก็ได้กระจัดกระจายออกไปตั้งถิ่นฐานในที่ต่าง ๆ ทั้งในทวีปยุโรปและทวีปอเมริกา

3.         ยูเรเชีย (Eurasia) คือ

             1.   ดิน1แดนในทวีปแอฟริกา                              2.   ดินแดนตอนกลางของทวีปเอเชียที่ติดต่อกับยุโรป

             3.   แหล่งกำเนิดของมนุษย์                                   4.   ถูกข้อ 2 และ 3

             ตอบ 4       ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ

4.         ดินแดนที่ไม่ใช่แหล่งกำเนิดของมนุษย์ คือทวีป

             1.   เอเชีย                                  2.   อเมริกา            3.   ออสเตรเลีย                     4.  ถูกข้อ 2 และ 3

             ตอบ 4       ดูคำอธิบายข้อ 2. ประกอบ

5.         สมัยสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่ตามสมัยธรณีวิทยา คือ

             1.   อาร์เคโอโซอิก 2.   พาเลโอโซอิก                 3.   เมโซโซอิก                      4.  เซไนโซอิก

             ตอบ  2      หน้า 6 – 7, 8 – 9 (H) ประวัติศาสตร์ทางธรณีวิทยาของโลกแบ่งออกตามชั้นของหินได้ 5 สมัยได้แก่ 1. อาร์เคโอโซอิก (Archeozoic) คือ สมัยของสัตว์เซลล์เดียว (1,550 – 825 ล้านปีมาแล้ว)        2.  โพรเทโรโซอิก (Proterozoic) คือ สมัยของสัตว์น้ำโบราณไม่มีกระดูกสันหลัง  (825 – 500 ล้านปีมาแล้ว)    3. พาเลโอโซอิก (Paleozoic) คือ สมัยของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ (500 – 185 ล้านปีมาแล้ว)      4. เมโซโซอิก (Mesozoic) คือ สมัยของสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่  เช่น ไดโนเสาร์ (185 – 60 ล้านปีมาแล้ว)   5. เซโนโซอิก (Cenozoic) คือ สมัยของสิ่งมีชีวิตที่มีสภาพคล้ายปัจจุบันมากที่สุด (60 ล้านปีมาแล้ว).

6.      ความสำคัญของนักชาติพันธุ์วิทยาคือผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับ

         1.   โครงกระดูก  เครื่องมือ และอาวุธในอดีต                       2.   วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต

         3.   ซากพืชและสัตว์ที่ตกค้างอยู่ตามชั้นของหิน 4.   วัฒนธรรมของมนุษย์ในอดีต

         ตอบ  2         หน้า 7, 9 (H) ในการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับวิวัฒนาการของโลกและเรื่องราวของมนุษย์ยุคต้นจำเป็นต้องอาศัยงานค้นคว้าของผู้เชี่ยวชาญสาขาต่าง ๆ ดังนี้

1. นักโบราณคดี  คือ ผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับซากโครงกระดูก  เครื่องมือเครื่องใช้ และอาวุธใน อดีต

2.  นักชาติพันธุ์วิทยา คือ ผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต

3.  นักธรณีวิทยา คือ ผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับซากพืชและสัตว์ที่ตกค้างอยู่ตามชั้นของหิน

4.  นักมานุษยวิทยา คือ ผู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับวัฒนธรรมของมนุษย์ในอดีต เป็นต้น

7.      ยุคก่อนรู้หนังสือจัดอยู่ในยุค

         1.   หิน                                          2.   โลหะ                               3.   ประวัติศาสตร์                4.   โบราณ

         ตอบ  1         หน้า 7, 37, 2 (H), 9 (H) การแบ่งสมัยประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์มนุษย์จะใช้การประดิษฐ์ตัวอักษรหรือการรู้จักเรียนหนังสือของมนุษย์เป็นเกณฑ์ในการแบ่ง ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ยุค คือ

1.  ยุคหิน (ยุคก่อนประวัติศาสตร์) คือ ยุคก่อนการรู้หนังสือ หรือยุคก่อนการประดิษฐ์ตัวอักษรหรือยุคก่อนการสร้างอารยธรรม

2.  ยุคโลหะ (ยุคประวัติศาสตร์) คือ ยุครู้หนังสือ หรือยุคที่เริ่มมีการประดิษฐ์ตัวอักษรและเริ่มอยู่รวมกันเป็นหลักแหล่งแบบสังคมเมือง เรียกว่าเป็นสมัยอารยธรรมของมนุษย์

8.      มนุษย์ที่ไม่จัดอยู่ในกลุ่ม Homo sapiens คือ

         1.   Neanderthal          2.   Cro-Magnon 3.   Grimaldi          4.   Chancelade

         ตอบ  1         หน้า 11 – 12, 38, 10 (H) มนุษย์ Neanderthal ถือเป็นตัวแทนของมนุษย์ Homo Fabor คือ มนุษย์ที่มีความสามารถเพียงการประดิษฐ์เครื่องมือเครื่องใช้ก่อนหน้าสมัยของมนุษย์ Homo Sapiens หรือมนุษย์ฉลาด ซึ่งถือเป็นมนุษย์ที่รู้จักคิดและรู้จักการโต้ตอบ และมีหน้าตาคล้ายมนุษย์ปัจจุบันมากขึ้น จนถือเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ปัจจุบัน ซึ่งจะมีอยู่  3 เผ่าพันธุ์ คือ

1.  โครมันยอง (Cro-Magnon) คือ คนขาว                      

2. กริมัลดี (Grimaldi) คือ คนดำ

3. ชานเชอเลด (Chancelade) คือ คนเหลือง หรือผิวสีน้ำตาล

9.      ความสำคัญของมนุษย์ยุคหินกลาง คือ

1.   รู้จักเพาะปลูก       2.   รู้จักเลี้ยงสัตว์ 3.   การตั้งถิ่นฐาน                4.   ถูกทุกข้อ

ตอบ  2         หน้า  8 – 15, 38 – 39, 9 – 10 (H)  ยุคหินแบ่งออกเป็น 4 ยุค คือ

1. ยุคหินแรก เป็นยุคลองผิดลองถูกของมนุษย์

2. ยุคหินเก่า หรือยุคเก็บผลไม้  เป็นยุคที่มนุษย์เริ่มใช้อาวุธป้องกันตนเอง นุ่งห่มหนังสัตว์ และเก็บผลไม้

3. ยุคหินกลาง เป็นยุคที่มนุษย์เริ่มรู้จักการเลี้ยงสัตว์ โดยสัตว์ที่นำมาเลี้ยงชนิดแรกคือ สุนัข

4. ยุคหินใหม่ หรือยุคปลูกผลไม้ เป็นยุคที่มนุษย์รู้จักเลี้ยงสัตว์และเพาะปลูก จนถึงขั้นควบคุมการผลิตอาหารได้ ทำให้มนุษย์เปลี่ยนจากชุมชนเร่ร่อน มาเริ่มต้นตั้งถิ่นฐานถาวรรวมกันเป็นชุมชนรกราก

10.    ประวัติศาสตร์ยุคกลางเริ่มต้นขึ้นเมื่อ

         1.   กรุงโรมถูกทำลาย                                2.   กรุงคอนสแตนติโนเปิลถูกทำลาย

         3.   การประดิษฐ์แท่นพิมพ์                       4.   การค้นพบโลกใหม่

         ตอบ  1         หน้า 17, 2 – 3 (H), 16 (H) ในปี ค.ศ. 476 เป็นปีที่จักรวรรดิโรมันตะวันตกสิ้นสุดลงเพราะถูกพวกอนารยชนเยอรมันเข้ายึดครองและทำลายกรุงโรม ซึ่งถือว่าเป็นปีแห่งการสิ้นสุดของยุคโบราณและเริ่มต้นก้าวเข้ายุคกลาง ทั้งนี้เพราะสังคมเมืองที่ทันสมัยภายใต้การปกครองของพวกโรมันต้องเปลี่ยนมาสู่สมัยแห่งความวุ่นวาย นั่นคือ การแปลงสภาพจากสังคมเมืองมาเป็นสังคมชนบทที่อารยธรรมความเจริญต่าง ๆ ไม่ได้รับการทำนุบำรุงรักษา

11.    ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน เน้นในเรื่อง

1.   พระเจ้าสร้างโลก                                                 

2.   การปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม

3.   การถ่ายทอดพันธุกรรม                                                       

4.   ถูกข้อ 2 และ 3

         ตอบ  4         หน้า 18 – 19, 11 (H) ชาร์ลส์ ดาร์วิน นักชาติพันธุ์วิทยาชาวอังกฤษ ได้เขียนหนังสือเรื่องทฤษฎีวิวัฒนาการหรือทฤษฎีพัฒนาการ” (The Theory of Evolution) โดยสรุปคือ

1.  สิ่งมีชีวิตถือกำเนิดมาจากสัตว์เชลล์เดียวในทะเล

2.  สิ่งมีชีวิตจะค่อย ๆ เปลี่ยนรูปร่างไปตามสภาพแวดล้อม

3.  สิ่งมีชีวิตย่อมได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมมาจากพ่อและแม่ ดังนั้นทั้งพืชและสัตว์ที่มีชีวิตยืนยาวอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวก็จะถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมนั้นให้ลูกหลานด้วย

4.  สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ จะต้องสูญพันธุ์ในที่สุด

12.    ความสำคัญของวิชาประวัติศาสตร์ คือ

1.   การเรียนรู้เรื่องราวของมนุษย์                                                           

2.   การค้นคว้าหาหลักฐาน

3.   การตรวจสอบซากสิ่งมีชีวิตที่ตกค้างตามชั้นของหิน    

4.   ถูกข้อ 1 และ 2

         ตอบ  4         หน้า 20, 37, 12 (H) ประวัติศาสตร์คือ การเรียนรู้เกี่ยวกับชาติพันธุ์มนุษย์ ซึ่งน่าจะมีความหมายเป็น 2 นัย คือ 1. การศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยกำเนิดมนุษย์มาจนถึงปัจจุบัน                2. ข้อวิจารณ์หรือบันทึกการค้นคว้าทั้งหลายที่ได้คัดเลือกเอามาเฉพาะหัวข้อที่น่าสนใจ ทั้งนี้จะใช้วิธีการศึกษาโดยการค้นคว้าหาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ซึ่งแบ่งออกเป็น  2 ประเภทใหญ่ คือ ซากวัสดุ และเรื่องราวที่ได้จารึกไว้เป็นหลักฐาน

13.    วัฒนธรรม คือ

1.   ความเจริญก้าวหน้า ในการดำเนินชีวิตของมนุษย์                        

2.   ภาษา

3.   ศิลปกรรม                                                                                              

4.   ถูกทุกข้อ

         ตอบ 4          หน้า 21 – 22, 12 (H) วัฒนธรรม คือ ความดีงาม ความเจริญก้าวหน้าในการดำเนินชีวิตของมนุษย์ หรือประสบการณ์ทางสังคมทั้งหมดซึ่งกลุ่มมนุษย์ส่งผ่านแก่คนรุ่นต่อมา ได้แก่ ความรู้ ความเชื่อ ภาษา ศิลปกรรม  ศิลปะ กฎหมาย ขนบธรรมเนียม มารยาททางสังคมและความสามารถอื่น ๆ  ตลอดจนความเคยชินต่าง ๆ ซึ่งเราสามารถดูความแตกต่างทางวัฒนธรรมของมนุษย์ได้จากศิลปะ  ภาษา และพฤติกรรม

14.    ทฤษฎีโนแมดทางอารยธรรมเน้นในเรื่อง

         1.   ผู้ชนะนำเอาอารยธรรมของผู้แพ้ที่เจริญกว่ามาปรับปรุงใช้

         2.   การเร่ร่อนเลี้ยงสัตว์ในทะเลทราย                                   

         3.   ความเสื่อมของสภาพแวดล้อม

         4.   สภาพทางภูมิศาสตร์มีผลต่อการสร้างอารยธรรม

         ตอบ  1         หน้า 26 – 27, 13 (H) ทฤษฎีโนแมด (Nornad Theory) หมายถึง การที่ผู้ชนะนำเอาวัฒนธรรมและอารยธรรมที่เจริญกว่าของผู้แพ้มาเผยแพร่และปรับปรุงใช้ (คำว่า “Nomad” หมายถึง  ชนเผ่าที่เร่ร่อนไปในที่ต่าง ๆ) เช่น ในกรณีที่พวกเซไมท์เข้ายึดครองดินแดนของพวกสุเมเรียนและรับเอาอารยธรรมของพวกสุเมเรียนมาปรับปรุงใช้ เป็นต้น

15.    อารยธรรมโลก คืออารยธรรม

         1.  จีน-อินเดีย              2.   อียิปต์-เมโสโปเตเมีย                    3.   กรีก                  4.   โรมัน

         ตอบ  2         หน้า 30 – 31, 14 (H) อารยธรรมอียิปต์และเมโสโปเตเมียได้รับการยกย่องว่าเป็นอารยธรรมโลกซึ่งมีอิทธิพลและมีส่วนสำคัญอย่างมากในการวางรากฐานของอารยธรรมกรีก-โรมันที่ถือเป็นแม่แบบของอารยธรรมตะวันตก ส่วนอารยธรรมจีน-อินเดียนั้นถือเป็นแม่แบบของอารยธรรมตะวันตก 

16.    ความสำคัญของแม่น้ำไนล์ต่อการสร้างสมอารยธรรมของอียิปต์ คือ

         1.   ป้องกันการรุกรานจากศัตรูภายนอก                                2.   เป็นที่อยู่ของเทพเจ้าองค์สำคัญของอียิปต์

         3.   สร้างความอุดมสมบูรณ์และความมั่งคั่งให้แก่อียิปต์ 4.   เป็นแหล่งประมงที่สำคัญของอียิปต์

         ตอบ  3         หน้า 46, 17 (H) จากทางที่สภาพภูมิประเทศของอียิปต์ล้อมรอบไปด้วยทะเลทราย  มีอากาศร้อนและแห้งแล้ง  และมีฝนตกเฉพาะบริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ (บริเวณเดลต้า) แม่น้ำไนล์จึงเป็นหัวใจสำคัญที่หลีกเลี่ยงและให้ความชุ่มชื้นแก่อียิปต์ จนทำให้อียิปต์กลายเป็นดินแดนที่มีความอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การทำการเกษตรกรรมและ มีความมั่งคั่ง จนสามารถสร้างสมอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ของโลกของโลกในยุคโบราณได้

17.    กลุ่มผู้รุกรานจากภายนอกจะสามารถเข้ารุกรานอียิปต์ได้โดยง่ายโดยผ่านบริเวณ

         1.   แม่น้ำไนล์             2.   ช่องแคบสุเอช               3.   ทะเลทราย                      4.   เดลต้า

         ตอบ  2         หน้า 47 – 48, 18 (H) บริเวณเดียวที่เป็นจุดอ่อนทางภูมิศาสตร์ของอียิปต์ คือ บริเวณช่องแคบสุเอซ (Suez) ซึ่งเป็นพื้นที่เชื่อมระหว่างทวีปแอฟริกากับทวีปเอเชียตะวันตก และบริเวณที่ราบลุ่ม แม่น้ำไทกริส-ยูเฟรทีสนั้นก็คือแหล่งกำเนิดอารยธรรมเมโสโปเตเมีย ดังนั้นพื้นที่เขตช่องแคบสุเอชจึงเป็นทางเชื่อมหรือสะพานระหว่างสองทวีปและสอง    อารยธรรม เป็นเส้นทางการค้า เป็นแหล่งเชื่อมความคิด และเป็นทางเดินของศัตรูผู้รุกรานตลอดสมัยประวัติศาสตร์อันยาวนานของอียิปต์

18.    ความสำคัญของสมัยก่อนราชวงศ์อียิปต์ คือ

         1.   การสร้างปฏิทินแบบสุริยคติขึ้นใช้  2.   การแบ่งดินแดนออกเป็นอียิปต์สูงและอียิปต์ต่ำ

         3.   มีการปกครองแบบหมู่บ้านและนครรัฐ           4.   ถูกทุกข้อ

         ตอบ  4         หน้า 51 – 53, 18 – 19 (H)  ความสำคัญของสมัยก่อนราชวงศ์อียิปต์ มีดังนี้

1. มีการปกครองแบบหมู่บ้านและมีหัวหน้าปกครอง เมื่อ 5,000 B.C.

2. มีการสร้างปฏิทินแบบสุริยคติที่ปีหนึ่งมี 365  ¼  วัน ในปี 4241 B.C.

3. มีการปกครองแบบนครรัฐ (City states) และแบ่งเป็นจังหวัด ในราว 3,200  B.C.

4. ดินแดนบริเวณลุ่มแม่น้ำไนล์ถูกแบ่งออกเป็น 2 ตอน เรียกว่า Land of Two Lands คือ อียิปต์สูงหรืออียิปต์บน และอียิปต์ต่ำหรืออียิปต์ล่าง ฯลฯ

19.    คำว่า ฟาโรห์” มีความหมายที่แท้จริง คือ

         1.   กษัตริย์หรือผู้ปกครอง                         2.   เทพเจ้า            3.   พีระมิด            4.   พระราชวังหรือเรือนหลวง

         ตอบ 4          หน้า 53, 19 (H) ฟาโรห์ (Pharoh) เป็นคำที่ใช้เรียกตำแหน่งกษัตริย์อียิปต์โบราณมาจากคำภาษาอียิปต์ว่า “Per-O” ซึ่งหมายถึง พระราชวัง (Great House) หรือเรือนหลวง (Royal House) นั่นเอง

20.    ความสำคัญของสมัยประชาธิปไตยของอียิปต์ คือ

         1.   สมัยอาณาจักรกลาง

         2.   สมัยที่ประชาชนช่วยฟาโรห์ยึดอำนาจคืนจากพวกขุนนาง

         3.   สมัยที่ฟาโรห์อนุญาตให้ประชนเช่นเข้ารับราชการ                                    4.   ถูกทุกข้อ

         ตอบ 4          หน้า 55 – 56, 99, 20 (H) สมัยอาณาจักรกลางของอียิปต์ (2,000 B.C. – 1,73O B.C.) เป็นสมัยที่ฟาโรห์สามารถยึดอำนาจคืนมาจากขุนนางโดยได้รับความช่วยเหลือจากประชาชนจึงทรงให้รางวัลแก่ประชาชนโดยอนุญาตให้สามัญชนเข้ารับราชการ รวมทั้งให้สิทธิในการปกครองซึ่งถือได้ว่าเป็นสมัยเริ่มต้นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของอียิปต์ แต่การยึดอำนาจกลับคืนมาของฟาโรห์ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จสมบูรณ์ เพราะฟาโรห์ได้สูญอำนาจลงทีละน้อยเนื่องจากขุนนางค่อย ๆ รวบอำนาจ และต่อมาในปี 1730 B.C. อียิปต์ก็ถูกรุกรานโดยพวกฮิคโซสที่รู้จักการใช้ม้าและรถศึก ทำให้สามารถยึดครองอียิปต์ได้นานถึง 150 ปี

21.    สมัยจักรวรรดิของอียิปต์เกิดขึ้นเมื่อ

1.   มีการเปลี่ยนแปลงจากการสร้างพีระมิดมาเป็นการสร้างวิหาร

2.   สามารถขับไล่พวกฮิคโซสออกจากอียิปต์

3.   มีความรุ่งเรืองทางการค้า                                                    

4.   พวกพระและขุนนางขึ้นมามีอำนาจ

         ตอบ 1          หน้า 56 – 57, 20 (H) สมัยอาณาจักรใหม่หรือสมัยจักรวรรดิของอียิปต์ (1,580 B.C. – 1,090 B.C.) เกิดขึ้นเมื่ออียิปต์สามารถขับไล่พวกฮิคโซสออกจากอียิปต์ได้สำเร็จ แล้วฟาโรห์ก็เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดและปกครองด้วยอำนาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียวโดยมีการสร้างกองทัพบกและเรือ รับรูปแบบการใช้ม้าและรถศึกจากฮิคโซส และเริ่มมีการใช้เหล็กด้วย นอกจากนี้ยังนิยมสร้างวิหารตามไหล่เขาและหน้าผาอย่างใหญ่โตมโหฬาร  เพื่อแสดงอำนาจและความมั่งคั่งของฟาโรห์แทนการสร้างพีระมิด

22.    ความสำคัญของการปฏิรูปศาสนาของฟาโรห์อาเมนโฮโตปที่ 4 คือ

1.   การนับถือเทพเจ้าองค์เดียว                                

2.   การนับถือเทพเจ้าหลายองค์

3.   การลดอำนาจของพวกพระ                               

4.   ถูกข้อ 1 และ 3

ตอบ 4          หน้า 58, 106, 21 (H) ความสำคัญของการปฏิรูปศาสนาของฟาโรห์อาเมนโฮโตปที่ 4 คือ

1. ต้องการปฏิรูปศาสนาเพี่อผลทางการเมืองคือ เปลี่ยนให้ชาวอียิปต์หันมานับถือสุริยเทพอาเมนเป็นเทพเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น และทรงเปลี่ยนพระนามของพระองค์เป็นอิคนาเตน (Ikhnaten)  หมายถึง พระองค์ผู้ทรงเป็นที่พอพระทัยของอาเตน โดยถือว่าเป็นการสร้างอำนาจให้กับตนเองอีกทางหนึ่ง 

2. ทรงต้องการตัดทอนหรือลดอำนาจของพวกพระ  ซึ่งร่ำรวยขึ้นจากทรัพย์สินที่บรรดาหัวเมืองนำมาถวาย

23.    จุดมุ่งหมายในการทำมัมมี่ของพวกอียิปต์ คือ

         1.   คิดจะกลับมาเกิดใหม่ในโลกหน้า                                    2.   การเก็บรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อย

         3.   เพื่อการทดลองทางการแพทย์                                           4.   ถูกข้อ 1 และ 2

         ตอบ 4          หน้า 64 – 65, 22 (H) ชาวอียิปต์มีความเชื่อเรื่องวิญญาณเป็นอมตะและชีวิตพลังความตายเป็นพวกมองโลกในแง่ดี และคิดหวังจะกลับมาเกิดใหม่ในโลกหน้า ด้วยเหตุนี้ชาวอียิปต์จึงมีวิธีเก็บรักษาศพไม่ให้เน่าเปื่อยด้วยการทำเป็นมัมมี่ และสร้างพีระมิดไว้เก็บพระศพของฟาโรห์โดยฝังไปพร้อม ๆ กับข้าวของเครื่องใช้และอาหาร

24.    สาเหตุที่นำความเสื่อมมาสู่อียิปต์ คือ

         1.   การรุกรานจากภายนอก                                      2.   สงครามกลางเมือง

         3.   การเกิดโรคระบาด                                              4.   ข้าวยากหมากแพง

         ตอบ 1          หน้า 65, 22 (H) เมื่อประมาณ 1,100 B.C. อียิปต์เริ่มเสื่อมลงเนื่องจากการทำสงคราม และถูกรุกรานจากภายนอก นับตั้งแต่การทำสงครามกับพวกฮิทโทท์ อัสสิเรียน เปอร์เซีย และในปี 332 B.C. อียิปต์ก็ถูกยึดครองโดยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชแห่งกรีก ซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างเมืองอเล็กซานเดรียไว้ตรงปากแม่น้ำไนล์ เพื่อเป็นศูนย์กลางการปกครองและอารยธรรมไว้ในอียิปต์

25.    คำว่า “Mesopotamia” มีความหมายถึง

         1.   Land of Two Lands                                             2.   Land of Babylonia

         3.   Land between Rivers                                          4.   Land of the Desert

         ตอบ  3         หน้า 64 – 67, 22 – 23 (H) คำว่า เมโสโปเตเมีย” (Mesopotamia) เป็นภาษากรีก แปลว่า ดินแดนระหว่างแม่น้ำ” (Land between Rivers) เพราะตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรทีส  ซึ่งบางครั้งน้ำในแม่น้ำก็ไหลล้นฝั่งแต่บางครั้งก็แห้งจนคาดคะเนไม่ได้ ทำให้ประชาชนที่มีอยู่หลายเชื้อชาติ (สุเมเรียน เซไมท์ และอินโด -ยุโรป) ในดินแดนนี้เดือดร้อนและทำสงครามแย่งชิงอำนาจกันอยู่ตลอดเวลา จนส่งผลให้ประชาชนส่วนใหญ่กลายเป็นพวกมองโลกในแง่ร้าย ปลงทุกข์หวาดกลัว และไม่คิดเรื่องกลับมาเกิดใหม่

26.    ความแตกต่างระหว่างอารยธรรมอียิปต์กับเมโสโปเตเมีย คือ

         1.   อียิปต์หวังจะกลับมาเกิดใหม่ แต่เมโสโปเตเมียไม่หวังจะกลับมาเกิดใหม่

         2.   อียิปต์เป็นที่อยู่ของกลุ่มชนหลายเชื้อชาติ แต่เมโสโปเตเมียเป็นที่อยู่ของชนเชื้อชาติเดียว

         3.   สถานภาพของสตรีในเมโสโปเตเมียดีกว่าอียิปต์

         4.   แม่น้ำที่ไหลผ่านเมโสโปเตเมียให้ความอุดมสมบูรณ์มากกว่าแม่น้ำที่ไหลผ่านอียิปต์

         ตอบ  1         ดูคำอธิบายข้อ 23. และ 25. ประกอบ

27.    ตัวอักษรที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในดินแดนเมโสโปเตเมียเป็นตัวอักษรที่ประดิษฐ์ขึ้นใช้โดยพวก

1.   อียิปต์

2.   สุเมเรียน

3.   อัคเคเดียน

4.   ฮิทไทท์

ตอบ  2         หน้า 69 – 71, l00, 22 – 24 (H) มรดกทางอารยธรรมที่สำคัญของชาวสุเมเรียน ได้แก่

1. ประดิษฐ์ตัวอักษรคูนิฟอร์มหรืออักษรรูปลิ่มขึ้นมาใช้กันอย่างแพร่หลายในเมโสโปเตเมีย

2. สร้างสถาปัตยกรรมด้วยอิฐที่เรียกว่า ซิกกูแรต” (Ziggurats)                 

3. ทำปฏิทินจันทรคติขึ้นใช้โดยปีหนึ่งจะมี 354 วัน     

4. การนับหน่วย 60, 10 และ 6  มีผลต่อการนับเวลาและการคำนวณทางเรขาคณิต                

5. ใช้กฎหมายที่มีลักษณะสนองตอบ คือ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

28.    พวกอมอไรท์หรือพวกบาบิโลนเก่ามีผลงานทางอารยธรรมที่สำคัญ คือ

1.   ตัวอักษร                 2.   การนับหน่วย 60           3.   กฎหมาย          4.   สถาปัตยกรรมชิกกูแรต

         ตอบ 3          หน้า 72 – 74, 24 (H) มรดกทางอารยธรรมที่สำคัญของพวกอมอไรท์หรือพวกบาบิโลนเก่า คือ ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี (Code of Hammurabi) ของกษัตริย์ฮัมมูราบี ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากกฎหมายของพวกสุเมเรียนที่อาศัยหลัก Lex Talionis (ลัทธิสนองตอบ) คือ ตาต่อตา  ฟันต่อกน ซึ่งประมวลกฎหมายนี้ได้ใช้ต่อมาจนถึงสมัยของกฎหมายโรมัน

29.    กลุ่มชนที่นำม้าเข้ามาใช้ในดินแดนเมโสโปเตเมียเป็นพวกแรก คือ

1.   ฮิคโชส

2.   แคสไซท์                         

3.   อียิปต์

4.   สุเมเรียน

         ตอบ  2         หน้า 76, 80, 24 (H) ในปี 1750 B.C. พวกเเคสไซท์ (Kassites) ซึ่งเป็นอนารยชนเผ่าเซไมท์หรือเซมิติกในดินแดนเมโสโปเตเมีย ได้นำเอาม้าและรถศึกเข้ามาใช้ในบาบิโลเนียเป็นพวกแรกและเข้ายึดกรุงบานิโลนจากพวกอมอไรท์ได้สำเร็จ แต่พวกแคสไซท์ก็มีอำนาจอยู่ในระหว่างปี 1750 – 900 B.C. เท่านั้น จึงถูกพวกอัสสิเรียนขับไล่และเข้ายึดครองกรุงบาบิโลนแทน

30.    สิ่งที่พวกฮิทไทท์ทิ้งไว้เป็นมรดกแก่ดินแดนตะวันออกใกล้ คือ

1.   การใช้ม้า                                                                                                               

2.   การใช้เหล็ก

3.   การผสมผสานตัวอักษรคูนิฟอร์มและเฮียโรกลิฟิกเข้าด้วยกัน    

4.   ถูกทุกข้อ

ตอบ  4         หน้า 78 – 79, 25 (H) ผลงานทางด้านอารยธรรมของฮิทไทท์ คือ 1. นำเหล็กมาถลุงและหลอมใช้เป็นชาติแรก และรู้จักใช้ม้าในการรบ          2. ปรับปรุงและผสมผสานตัวอักษรคูนิฟอร์มของชาวสุเมเรียนและตัวอักษรเฮียโรกลิฟิกของอียิปต์ให้ใช้ง่ายขึ้น              3. กฎหมายเลียนแบบกฎหมายฮัมมูราบี แต่จะลงโทษด้วยการชดใช้แทนการแก้แค้น     4. ถ่ายทอดวัฒนธรรมให้แก่พวกฟรีเจียนและลิเดียน ซึ่งต่อมากลุ่มชนทั้งสองก็ได้ถ่ายทอดวัฒนธรรมต่อให้แก่พวกกรีกซึ่งได้กลายมาเป็นผู้นำในการวางรากฐานให้แก่อารยธรรมตะวันตกในปัจจุบัน

31.    ผลงานที่สำคัญของกษัตริย์อัสซูร์บานิพัลแห่งอัสสิเรีย คือ

1.   ห้องสมุด                                                

2.   การแกะสลักภาพนูน

3.   นิยายเรื่องการสร้างโลก                     

4.   ถ่ายทอดอารยธรรมให้แก่พวกโรมัน

         ตอบ  1         หน้า 82, 26 (F1) ผลงานสำคัญของกษัตริย์อัสซูร์บานิพัลแห่งอัสสิเรีย คือ ทรงสร้างหอสมุดที่กรุงนิเนอเวห์ ซึ่งถือเป็นห้องสมุดแห่งแรกของเอเชียตะวันตก และเป็นที่มาของการสร้างห้องสมุดในปัจจุบัน โดยภายในห้องสมุดได้บรรจุแผ่นดินเหนียวถึง 22,000แผ่น ส่วนใหญ่เป็นพวกเพลงสวดสำหรับพิธีทางศาสนาของพวกสุเมเรียน นิยายปรัมปราเกี่ยวกับการสร้างโลกครั้งใหญ่ตำราไวยากรณ์และตำราแพทย์

32.    ผลงานที่สำคัญของพวกแคลเดียนหรือบาบิโลนใหม่ คือ

         1.   การทำลายจักรวรรดิอัสสิเรีย                              2.   การสร้างสวนลอย

         3.   วิชาดาราศาสตร์และโหราศาสตร์                     4.   ถูกทุกข้อ

         ตอบ 4          หน้า 82 – 83, 26 (H) ผลงานสำคัญของพวกแคลเดียนหรือบาบิโลนใหม่ คือ

1. กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ได้ร่วมมือกับพวกมีดส์หรือมีเดียทำลายจักรวรรดิอัสสิเรียและสถาปนาจักรวรรริแคลเดียหรือบาบิโลนใหม่ (New-Babylonia)  2. สร้างสวนลอยแห่งนครบาบิโลน    3. มีผลงานทางด้านวิชาโหราศาสตร์และดาราศาสตร์  โดยได้ค้นพบดาวเคราะห์ 5 ดวง คือ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ เมื่อมารวมกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์กลายเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ 7 องค์ ซึ่งนับเป็นมรดกทางอารยธรรมที่ใช้เรียกขานวันต่าง ๆ 7 วันใน 1 สัปดาห์ในปัจจุบัน

33.    ความสำคัญของพวกฟินิเชียนกับพวกอราเมียน คือ

1.   เป็นชนเผ่าเซไมท์เหมือนกัน

2.   ฟินิเชียนเป็นพ่อค้าทางทะเล อราเมียนเป็นพ่อค้าทางบก

 3.   ภาษาอราเมียน คือ ภาษาที่พระเยซูและสาวกใช้เพื่อเผยแผ่ศาสนา                           

4.   ถูกทุกข้อ

ตอบ 4          หน้า 84 – 87, 27 (H)  ความสำคัญของพวกฟินิเชียนและเราเมียน คือ

1.  เป็นชนเผ่าเซไมท์ (เซมิติก) เหมือนกันและมีดินแดนที่อยู่ใกล้กัน

2.   ฟินิเชียนเป็นพ่อค้าทางทะเลที่ยิ่งใหญ่ในย่านเมดิเตอร์เรเนียน ส่วนอราเมียนเป็นพ่อค้าทางบกที่ยิ่งใหญ่ในเขตตะวันออกใกล้ (เอเชียตะวันตก)

3.  พยัญชนะของฟินิเชียนได้กลายเป็นรากฐานของตัวอักษรกรีกและโรมันในเวลาต่อมาส่วนภาษาอราเมียนเป็นภาษากลางของกลุ่มเอเชียตะวันตก และเป็นภาษาที่พระเยชูและสาวกใช้ในการสอนศาสนา

34.    ความสำคัญของพวกเฮบรูว์ คือ

         1.  มี The Old Testament เป็นคัมภีร์ทางศาสนา   2.   มีอับราฮัมและกษัตริย์เดวิดเป็นที่สำคัญ

         3.  ถูกทำลายล้างโดยพวกโรมัน                                               4.   ถูกทุกข้อ

         ตอบ 4          หน้า 87 – 90, 28 – 30 (H) ความสำคัญของพวกเฮบรูว์หรือพวกยิว ได้แก่

1.   มีบรรพบุรุษที่สำคัญ คือ อับราฮัมยาคอบหรืออิสราเอลโมเสสกษัตริย์ซอลกษัติย์เดวิดและกษัตริย์โซโลมอน

2.   เป็นชนชาติที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อคริสต์ศาสนา เพราะพระคัมภีร์เก่า (The old Testament)  ของพวกเฮบรูว์ ถือเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ไบเบิล (The Holy Bible) –ของศาสนาคริสต์

3.   ถูกพวกโรมันทำลายโดยสงครามแบบเบ็ดเสร็จในระหว่างปี ค.ศ. 132 – 135 ฯลฯ

35.    ความสำคัญของกษัตริย์ ครีซัสแห่งลิเดีย คือ

         1.   มั่งคั่งจากการค้า                                                    2.   การทำเหรียญทองผสมเงินขึ้นใช้

         3.   พ่ายแพ้พวกเปอร์เซียในปี 546 B.C.                 4.   ถูกทุกข้อ

         ตอบ  4         หน้า 92 – 93, 30 (H) ความสำคัญของกษัตริย์ครีซัสแห่งลิเดีย ได้แก่

1.   เป็นกษัตริย์ที่มั่งคั่งมากจากการค้ากับดินแดนแถบลุ่มน้ำไทกริส-ยูเฟรทีสและหมู่เกาะอีเจียน

2. ทำเหรียญทองผสมเงินขึ้นใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนตามน้ำหนักของเหรียญ ซึ่งถือเป็นมรดกทางอารยธรรมที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน 

3. ทำสงครามกับเปอร์เซียจนในที่สุดก็ถูกยึดครองโดยพระเจ้าไชรัสมหาราชแห่งเปอร์เซียในปี 546 B.C.

36.    ความสำคัญของกษัตริย์ดาริอุสแห่งเปอร์เชีย คือ

         1.   ทรงอุปถัมภ์ศาสนาโซโรแอสเตอร์                         2.   ขยายจักรวรรดิออกไปอย่างกว้างขวาง

         3.   พ่ายแพ้สงครามมาราธอนต่อพวกเอเธนส์ในปี 490 B.C.            4.   ถูกทุกข้อ

         ตอบ  4         หน้า 93 – 96, 143, 31 (H), 46 (H) ความสำคัญของกษัตริย์ดาริอุสมหาราชแห่งเปอร์เซีย มีดังนี้

1.   ขยายจักรวรรดิออกไปอย่างกว้างขวางโดยแบ่งเขตออกเป็น 20 มณฑล เรียกว่า “Satrapies”

2.   สร้างถนนไปตามเมืองต่าง ๆ ทั่วจักรวรรดิ เรียกว่า เส้นทางพระราชา” (The King’s Highway) เพื่อใช้ประโยชน์ในการปกครอง การสื่อสาร และการค้า

3.   ทรงอุปถัมภ์ศาสนาเซโรแอสเตอร์ซึ่งเป็นศาสนาประจำชาติ

4.   ทรงพ่ายแพ้ต่อพวกกรีกเอเธนส์ในสงครามมาราธอนในปี 490 B.C. ฯลฯ

37.    ประชาชาติกลุ่มอารยธรรมอีเจียนทีทำสงครามกับพวกกรีกในสงครามม้าไม้ในมหากาพย์อีเลียด คือพวก

         1.   ครีตัน                                     2.   ไมซีเนียน                       3.   ทรอย                               4.   เปอร์เซีย

         ตอบ  3         หน้า 110 – 111, 113, 35 – 37 (H) พวกโทรจันหรือทรอย ถือเป็นประชาชาติกลุ่มอารยธรรมอีเจียนแหล่งสุดท้ายที่พยายามต่อสู้กับผู้รุกรานชาวกรีก จนเป็นต้นกำเนิดให้จินตกวีตาบอดชื่อโฮเมอร์ (Homer) แต่งมหากาพย์อีเลียด (Iliad) เล่าเรื่องราวการทำสงครามม้าไม้ (Trojan War)  ระหว่างพวกกรีกกับทรอย จนเป็นเหตุให้ทรงทรอยต้องล่มสลายไปในที่สุด

38.    ความสำคัญของศาสนาของชาวกรีก คือ

         1.   เน้นในเรื่องพระธรรมคำสั่งสอน                                     2.   การนับถือเทพเจ้าเพียงองค์เดียว

         3.   เน้นในเรื่องการเกิดใหม่ในโลกหน้า

         4.   ความต้องการคำอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเพื่อเป็นประโยชน์แก่ตนเอง

         ตอบ  4         หน้า 114 – 115, 39 (H) ความเชื่อเรื่องศาสนาของกรีกในยุคกษัตริย์ หรือยุคที่เริ่มการปกครองแบบนครรัฐนั้น ชาวกรีกจะเน้นความต้องการให้ศาสนาอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ  การควบคุมตนเอง ความเจริญรุ่งเรืองของตนเอง และการทำมาหากิน รวมทั้งหนทางที่จะได้ผลประโยชน์ เช่น การมีอายุยืน โชคดี และเพาะปลูกได้ผล โดยจะไม่เน้นเรื่องจริยธรรมทางศาสนา การช่วยให้พ้นบาปหรือให้พรใด ๆ หรือชีวิตหลังความตาย

39.    ชาวกรีก เรียกตนเองว่า

         1.   Hellenes                 2.   Hellas               3.   Hellen1c          4.   Hellenistic

         ตอบ 1          หน้า 117, 38 (H) ชาวกรีกโบราณแม้จะแยกกันอยู่เป็นนครรัฐ แต่ก็รู้ตัวว่าเป็นชาวกรีกเหมือนกัน เพราะมีภาษาพูดและนับถือศาสนาเดียวกัน โดยชาวกรีกจะเรียกตนเองว่า เฮลเลนส์  (Hellenes) และเรียกดินแดนที่ตนอาศัยอยู่ว่า เฮลลัส (Hellas) ส่วนพวกที่ไม่พูดภาษากรีกจะถูกเรียกว่า พวกป่าเถื่อน (Barbarians)

40.    ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับนครรัฐสปาร์ตา

         1.   สืบเชื้อสายมาจากพวกดอเรียน                                        

         2.   มีสภาพภูมิศาสตร์อยู่ในหุบเขาไม่ติดชายฝั่งทะเล

         3.   แก้ปัญหาทางเศรษฐกิจโดยการทำสงคราม

         4.   ชาวสปาร์ตามีภารกิจต่อรัฐน้อยที่สุดเมื่อเปรียบเทียบทับชนกลุ่มอื่น ๆ

         ตอบ  4         หน้า 118 – 121, 40 – 41 (H) ลักษณะสำคัญของนครรัฐสปาร์ตา คือ

                                1.   ชาวสปาร์ตาสืบเชื้อสายมาจากพวกตอเรียน

2.   มีสภาพภูมิศาสตร์อยู่ในหุบเขาไม่ติดชายฝั่งทะเล ทำให้ไม่มีกำแพงธรรมชาติป้องกันเหมือนนครรัฐอื่น

3.  แก้ปัญหาทางเศรษฐกิจโดยการทำสงครามปราบปรามนครรัฐอื่น ๆ

4.  ปกครองแบบเผด็จการทหารเบ็ดเสร็จ  เพื่อควบคุมพวกทาสที่มีจำนวนมากกว่า

5.   ชาวสปาร์ตาเป็นผู้แบกภาระของรัฐไว้หนักที่สุด เพราะต้องเป็นทหารตั้งแต่อายุ 20 – 60 ปี

41.    ยุคทองและยุคประชาธิปไตยของนครรัฐเอเธนส์เป็นสมัยที่อยู่ภายใต้การปกครองของ

1.   ดราโค                                    

2.   โซลอน                            

3.   คลิสเธนีส                       

4.   เพริคลิส

ตอบ  4         หน้า 127, 130, 43 (H) ในสมัยที่เพริคลิสได้รับการเลือกตั้งให้เป็นผู้ปกครองเอเธนส์นั้น (ราวปี 461 – 429 B.C.) เขาได้ทำให้เอเธนส์กลายเป็นบรมครูของนครรัฐกรีกทั้งมวล ซึ่งถือว่าเป็นยุคทองของเอเธนส์ นอกจากนี้ยังเป็นยุคที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าร่วมในกิจกรรมทางการเมืองมากที่สุด ดังนั้นจึงนับเป็นสมัยประชาธิปไตยของเอเธนส์อีกด้วย

42.    รัฐในอุดมคติของอริสโตเติล คือ

         1.   การปกครองโดยกลุ่มคนฉลาด                          2.   การปกครองโดยการใช้กฎหมาย

         3.   การปกครองแบบเผด็จการ                                 4.   การปกครองแบบประชาธิปไตย

         ตอบ  2         หน้า 142, 45 (H) ในด้านการปกครองนั้น อริสโตเติลไม่เน้นที่คณะบุคคลเหมือนเพลโตแต่เขาถือว่ารัฐในอุดมคติจะต้องมีการปกครองโดยการใช้กฎหมายเป็นหลัก มิใช่ตัวบุคคลเนื่องจากกฎหมายเกิดจากเหตุผล ซึ่งเป็นผลของความคิดอย่างรอบคอบและสมดุลแล้วนั่นเอง

43.    การวิ่งมาราธอนในปัจจุบันเป็นผลมาจาก

         1.   การแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในยุคโบราณ                            2.   การทำสงครามระหว่างเอเธนส์กับสปาร์ตา

         3.   การทำสงครามระหว่างเอเธนส์กับเปอร์เซีย 4.   การบูชาเทพเจ้าประจำปีที่ทุ่งราบมาราธอน

         ตอบ 3          หน้า 143, 46 (H) สงครามเปอร์เซียหรือสงครามมาราธอน เป็นการทำสงครามระหว่างกรีกเอเธนส์กับเปอร์เซียในปี 49O B.C. โดยในสงครามครั้งนี้ได้เกิดมีวีรบุรุษชาวเอเธนส์ชื่อเฟดิปปิดิส  ซึ่งวิ่ง 2 วัน 2 คืนระหว่างเอเธนส์กับสปาร์ตาเพื่อขอกำลังทหารและแจ้งข่าวชัยชนะของเอเธนส์จนตัวเขาขาดใจตาย จึงเป็นตำนานให้เกิดการแข่งขันวิ่งมาราธอนเป็นระยะทาง 26 ไมล์ เมื่อมีการพื้นฟูกีฬาโอลิมปิกขึ้นใหม่ใน ค.ศ. 1896

44.    สาเหตุที่พระเจ้าฟิลิปแห่งมาสิโดเนียสามารถรวบรวมนครรัฐกรีกเข้าด้วยกันได้สำเร็จในปี 338 B.C. คือ

         1.   การเกิดสงครามภายในนครรัฐกรีก                  2.   การได้รับความช่วยเหลือจากเปอร์เชีย

         3.  มาสิโดเนียมีความเจริญทางเทคโนโลยีมากกว่านครรัฐอื่น ๆ                       4.   ถูกทุกข้อ

         ตอบ  1         หน้า 143 – 144, 46 (H) ในปี 431 – 404 B.C. นครรัฐสปาร์ตาและเอเธนส์ของกรีกได้ทำสงครามภายในระหว่างกันเอง เรียกว่า สงครามเพลอปอนเนเชียน” (The Peloponnesian War)  ซึ่งเกิดขึ้นบนคาบสมุทรเพลอปอนเนซุสเป็นส่วนใหญ่ ทำให้บรรดานครรัฐกรีกอ่อนแอลง  จนเปิดโอกาสให้พระเจ้าฟิลิปที่ 2 แห่งมาสิโดเนียยกกองทัพทหารฟาลังก์ (Phalanx) เข้ายึดครองนครรัฐกรีกได้ทั้งหมด และสามารถรวบรวมนครรัฐกรีกซึ่งไม่เคยรวมกันเป็นรัฐเดียวเข้าไว้ด้วยกันได้เป็นผลสำเร็จในปี 338 B.C.

45.    การปั้นพระพุทธรูปในอินเดียเป็นผลมาจาก

         1.   การทำสงครามระหว่างกรีกกับเปอร์เซีย

         2.   การรุกรานอินเดียโดยกองทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์

         3.   เมื่อกรุงทรอยแตกพวกศิลปินทรอยได้หนีไปยังอินเดีย

         4.   อินเดียได้รับการถ่ายทอดการบินมาจากเปอร์เซีย

         ตอบ  2         หน้า 152, 47 (H) (คำบรรยาย) อิทธิพลที่อินเดียได้รับจากกรีกในสมัยที่ถูกรุกรานโดยกองทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช คือ ประติมากรรมหรือการปั้น ซึ่งที่เด่นชัดก็คือ การปั้นพระพุทธรูป ซึ่งพระพุทธรูปของอินเดียในระยะแรกนั้นจะมีลักษณะคล้ายกับ     เทพเจ้าอพอลโลของกรีกมาก

46.    สาธารณรัฐโรมันเกิดขึ้นจากการที่ชาวโรมันสามารถขับไล่อิทธิพลของพวก…..ออกไปจากกรุงโรมได้สำเร็จ

         1.   ละติน                                     2.   อีทรัสกัน                         3.   คาร์เถจ                            4.   กรีก

         ตอบ  2         หน้า 159, 48 – 49 (H) ในศตวรรษที่ 8 B.C. พวกอีทรัสกันซึ่งเป็นกลุ่มทหารรับจ้างจากเอเชียน้อย ได้เข้ามาปกครองโรมันในระบอบกษัตริย์อย่างกดขี่ จนในปี 509 B.C. พวกแพทริเชียน  ซึ่งเป็นกลุ่มชนชั้นสูงของชาวโรมัน ก็ขับไล่อิทธิพลของพวกอีทรัสกันออกไปจากกรุงโรมได้สำเร็จจากนั้นชาวโรมันก็เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบกษัตริย์มาเป็นระบอบสาธารณรัฐ  และดำรงอยู่ต่อมานานถึงประมาณ 500 ปี

47.    สงครามปูนิท คือสงครามที่พวกโรมันทำกับพวก…..

         1.   ละติน                                     2.  อีทรัสกัน                          3.   คาร์เถจ                            4.   กรีก

         ตอบ  3         หน้า 163, 50 (H) สงครามปูนิก (The punic War) เป็นสงครามระหว่างโรมันกับคาร์เถจที่ทำกันถึง 3 ครั้ง ในช่วงระหว่างปี 264 – 149 B.C. ซึ่งสงครามจบลงด้วยชัยชนะของโรมันทำให้โรมันสามารถยึดครองเกาะซิซิลี่ แอฟริกาเหนือ สเปน และฝรั่งเศส

48.    สำนวน “Cussing the Rubicon” มีความหมายถึง

         1.   การไปตายเอาดาบหน้า

         2.   ชัยชนะที่ได้มาแต่ผู้ชนะก็ได้รับความเสียหายเป็นอันมาก

         3.   การตัดสินใจเดินข้ามแม่น้ำ                                                4.   การตัดสินใจเข้าโจมตีอียิปต์

         ตอบ  1         หน้า 166, 50 (H) ในปี 49 B.C. จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) ได้นำกองทัพข้ามแม่น้ำ         รูบิคอง  (Rubicon) ซึ่งเป็นพรมแดนระหว่างอิตาลีกับซิซัลไปน์โกล เข้าไปในกรุงโรมเพื่อทำสงครามแย่งชิงอำนาจกับปอมเปย์  และจากเหตุการณ์นี้ได้ทำให้เกิดสำนวนภาษาอังกฤษว่า “Crossing the Rubicon” ซึ่งมีความหมายว่า ไปตายเอาดาบหน้า หรือการตกลงใจที่เด็ดเดี่ยว

49.    ผู้ที่นำปฏิทินแบบสุริยคติของอียิปต์มาเผยแพร่ใช้ในสาธารณรัฐโรมัน คือ

         1.   พระนางคลีโอพัตรา            2.   จูเลียส ซีชาร์                   3.   ปอมเปย์           4.   บรูตัส

         ตอบ  2         หน้า 52, 50 – 51 (H) (ดูคำอธิบายข้อ 18. ประกอบ) ในปี 46 B.C.  จูเลียส ซีซาร์ ได้นำเอาปฏิทินแบบสุริยคติของอียิปต์มาเผยแพร่และนำมาดัดแปลงใช้ในสาธารณรัฐโรมัน ซึ่งปฏิทินดังกล่าวก็ยังคงใช้สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยชื่อเดือนกรกฎาคมหรือ July ก็มาจากชื่อของ Julius Caesar นั่นเอง ส่วนชื่อเดือนสิงหาคม หรือ August จะมาจากชื่อของจักรพรรคิออกุสตุสที่ 1  (Augustus I หรือ Augustus Caesar ซึ่งปกครองจักรววรรดิโรมันในปี 27 B.C.

50.    ชื่อเดือนที่ได้มาจากชื่อของจักรพรรดิออกุสตุสที่  1 (Augustus I) คือเดือน

         1.   มิถุนายน                2.   กรกฎาคม                        3.   สิงหาคม          4.   กันยายน

         ตอบ  3         ดูคำอธิบายข้อ 49. ประกอบ

51.    คำว่า “Gladiator” มีความหมายถึง

1.   ถนนโรมัน                                                            

2.   ปูนซีเมนต์ซึ่งพวกโรมันนำมาใช้เป็นพวกแรก

3.   กีฬาที่มีการต่อสู้ระหว่างคนกับคนและคนกับสัตว์       

4.   สถานที่แข่งรถศึกของพวกโรมัน

         ตอบ  3         หน้า 177 – 176, 52 (H) คำว่า กลาดิเอเตอร์ (Gladiator) หมายถึง กีฬาที่มีการต่อสู้แบบรุนแรงระหว่างคนกับคนและคนกับสัตว์ ซึ่งจะต่อสู้กันถึงตาย จึงนับเป็นกีฬาที่ป่าเถื่อนแต่เป็นที่นิยมกันในจักรวรรดิโรมัน โดยจะจัดแข่งขันกันในสนามแข่งขันที่ใหญ่ที่สุด เรียกว่าสนามกีฬาโคลอสเซียม (Colosseum) ในกรุงโรม

52.    ภาษาของชาติใดที่ไม่ได้สืบทอดมาจากภาษา Romance หรือภาษาละติน

         1.   อิตาเดียน               2.  ฝรั่งเศส            3.   สเปน               4.   อังกฤษ

         ตอบ  4         หน้า 180, 53 (H) ภาษาละตินเป็นต้นกำเนิดของภาษาโรมานซ์สมัยใหม่ (Romance Language)  ซึ่งได้แก่ ภาษาอิตาเลียน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาสเปน ภาษาโปรตุเกส และภาษารูมาเนีย  ส่วนภาษาอังกฤษนั้นมีต้นกำเนิดส่วนใหญ่มาจากภาษาเยอรมัน แต่ก็มีคำในภาษาอังกฤษถึง 1 ใน 3 ที่มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน

53.    ผู้ที่ทำให้เปิดวิชาเทววิทยา (Theology) ขึ้นคือ

         1.   พระเยชู                 2.   เชนต์ปอล                       3.  เซนต์ปีเตอร์                    4.   เซนต์เจมส์

         ตอบ 2          หน้า 183, 53 (H) เซนต์ปอลได้สร้างกฎเกณฑ์ทางศาสนาต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับคำสอนของพระเยซู และเป็นคนแรกที่ทำให้เกิดวิชาเทววิทยา (Theology) ขึ้น ซึ่งทำให้ผู้เลื่อมใสได้มีโอกาสศึกษาค้นคว้าเรื่องของศาสนาและพระเจ้ามากขึ้นกว่าเดิม

54.    คริสต์ศาสนาที่นับถือในอาณาจักรโรมันตะวันออกนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1054 เป็นต้นมา เป็นที่รู้จักกันในนาม

         1.   Roman Catholic                   2.   Greek Orthodox                           3.   Protestant       4.   Puritan

         ตอบ  2         หน้า 185, 239, 321, 54 (H) ในปี ค.ศ. 1054  ศาสนาคริสต์ได้แยกออกจากกันเป็น 2 นิกายอิสระ คือ

1.   นิกายกรีกออร์ธอดอกส์ (Greek Orthodox) นับถือกันในอาณาจักรโรมันตะวันออกโดยมีแพทริอาร์ช (Patriarch) แห่งกรุงคอนสแตนติโนเปิลเป็นประมุข

2. นิกายโรมันคาทอลิก (Ronan Catholic) นับถือกันในอาณาจักรโรมันตะวันตกโดยมีสันตะปาปา (Pope) ที่กรุงโรมเป็นประมุข

55.    พืชชนิดใดไม่ได้มีถิ่นกำเนิดมาจากโลกใหม่

         1.   Tobacco                 2.   Potato              3.   Tomato           4.   Apple

         ตอบ  4         หน้า 55 (H) พืชที่มีถิ่นกำเนิดมาจากโลกใหม่และถูกนำไปเผยแพร่โดยชาวยุโรป ได้แก่ ยาสูบ (Tobacco), มันฝรั่ง (Potato), มะเขือเทศ (Tomato), โกโก้ (Cacao), หมากฝรั่ง (Gum) ข้าวโพด (Maize) เป็นต้น

56.    ลักษณะเด่นของยุคกลาง คือ

         1.   คนไม่ค่อยรู้หนังสือ                             2.  ศาสนจักรมีอำนาจสูงสุด

         3.   ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์   4.   ถูกทุกข้อ

         ตอบ  4         หน้า 208, 59 (H) ลักษณะเด่นของยุคกลาง คือ

1.   คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้หนังสือ แต่จะเรียนรู้ด้วยวิธีการฝึกทักษะ หรือการเรียนรู้ด้วยของจริงจากการดู การฟัง และการฝึกวิชาชีพ

2.   ศาสนจักรมีอำนาจสูงสุด มีอิทธิพลเหนือสังคมและความเชื่อของผู้คนในสมันนั้น

3.   มีการปกครองเป็นแบบศักดินาสวามิภักดิ์ (Feudalism)

4.   พวกอนารยชน คริสต์ศาสนา และระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ เป็นสถาบันที่มีบทบาทเด่นในการผสมผสานและพัฒนาในยุคกลาง

57.    พวกอนารยชนลอมบาร์ดได้อพยพเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศใดในปัจจุบัน

         1.   อังกฤษ                                   2.   อิตาลี                3. ฝรั่งเศส             4.   เยอรมนี

         ตอบ  2         หน้า 212, 60 (H) หลังจากการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกแล้ว พวกอนารยชนลอมบาร์ด (The Lombards) ก็เริ่มรุกรานอิตาลีในปี ค.ศ. 568 โดยยึดภาคเหนือของลุ่มแม่น้ำโปไว้เป็นที่มั่นแล้วขยายอำนาจลงไปทางตอนใต้ของแหลมอิตาลี และได้ก่อตั้งแคว้นลอมบาร์รีขึ้น  ทำให้ต่อมาดินแดนแบบนี้จึงได้ชื่อว่าแค้วนลอมบาร์ดี

58.    ภาษาที่เป็นลายลักษณ์อักษรภาษาแรกของพวกเยอรมัน คือภาษาของพวก

         1.   กอธ                                        2.   เบอร์กันเดียน                 3.   แฟรงค์            4.   แวนเดิล

         ตอบ  1         หน้า 211, 60 (H) ภาษาลายลักษณ์อักษรภาษาแรกของพวกเยอรมัน  คือ ภาษาของพวกกอธ(Goths) หรือภาษากอธ (Gothic) ซึ่งเป็นอนารยชนชาวเยอรมันตะวันออก (East Germans) พวกแรกที่เดินทางเข้าไปในรัสเซียจนถึงบริเวณทะเลดำ  เมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 3

59.    สาเหตุความเสื่อมของราชวงค์เมโรแวงเจียนของพวกแฟรงค์ คือ

         1.   การเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์

         2.   การแบ่งดินแดนให้แก่พระราชโอรสทุกพระองค์

         3.   การทำสงครามแย่งชิงดินแดนระหว่างพระราชโอรสเมื่อกษัตริย์องค์เดิมสิ้นพระชนม์

         4.   ถูกข้อ 2 และ 3

         ตอบ  4         หน้า 215 – 216, 62 (H) เมื่อกษัตริย์โคลวิสของพวกแฟรงค์สิ้นพระชนม์ลงใน ค.ศ. 511 ราชวงศ์เมโรแวงเจียนค่อย ๆ เสื่อมอำนาจ เนื่องจากประเพณีที่กษัตริย์ทรงแบ่งดินแดนในอาณาจักรให้แก่พระราชโอรสทุกพระองค์ ทำให้อาณาจักรแตกแยก และเกิดการทำสงครามแย่งชิงดินแดนกันเองระหว่างพระราชโอรส จนในที่สุดอำนาจก็ตกไปอยู่กับสมุหราชมณ-เทียรและนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 738 (ปลายศตวรรษที่  8) เป็นต้นมานั้น กษัตริย์เมโรแวงเจียนก็กลายเป็น กษัตริย์ที่ไม่ทำอะไร” (Do nothing Kings) หรือกษัตริย์ที่ขี้เกียจ (Sluggard Kings)

60.    การบริจาคที่ดินของเปแปง (Donation of Pepin) ให้แก่สันตะปาปาในปี ค.ศ. 752 มีผลติดตามมา คือ

1.   ทำให้อำนาจทางการเมืองของเปแปงมั่นคงยิ่งขึ้น

2.   เปแปงได้รับการสนับสนุนทางการเมืองจากสันตะปาปา

3.   ทำให้เกิดรัฐสันตะปาปาขึ้นในเวลาต่อมา                                      

4.   ถูกทุกข้อ

         ตอบ  3         หน้า 217, 319, 62 – 63 (H) เมื่อเปแปงที่ 3 ขึ้นเป็นกษัตริย์ของราชวงศ์คาโรแลงเจียนในปีค.ศ. 752 แล้ว เปแปงก็ต้องการการสนับสนุนทางการเมือง จึงเข้ายึดครองอาณาจักรภาคกลางในอิตาลีของพวกลอมบาร์ด และนำไปถวายแก่สันตะปาปา เรียกว่า การบริจาคที่ของเปแปง  (Donation of Pepin) ซึ่งมีผลตามมาคือ เกิดรัฐสันตะปาปา (Papal States) และเป็นการเริ่มอำนาจทางการเมืองของสันตะปาปาในอิตาลี ซึ่งยืนยงต่อมาจนถึง ค.ศ. 1870

61.    ความสำคัญของจักรพรรดิชาร์เลอมาญ  คือ

1.   รวบรวมดินแดนในยุโรปเข้าด้วยกันเป็นปึกแผ่น

2.   ได้รับการสวมมงกุฎเป็นจักรพรรดิจากสันตะปาปาในปี ค.ศ. 800

3.   ฟื้นฟูศิลปวิทยาขึ้นมาใหม่ภายหลังจากกรุงโรมแตกในศตวรรษที่ 5                         

4.   ถูกทุกข้อ

ตอบ 4  หน้า 217 – 220, 63 (H) ความสำคัญของจักรพรรดิชาร์เลอมาญ (Charlemagne) คือ

1.  ทรงรวบรวมดินแดนในยุโรปตะวันตกเข้าด้วยกันเป็นปึกแผ่น

2.   ทรงได้รับการสวมมงกุฎเป็นจักรพรรดิจากสันตะปาปาลีโอที่ 3 ในปี ค.ศ. 800  ซึ่งเท่ากับเป็นการฟื้นฟูจักรวรรดิโรมันตะวันตกขึ้นมาใหม่ โดยมีจักรพรรดิเป็นชาวเยอรมัน

3.   มีการฟื้นฟูศิลปวิทยาคาโรแลงเจียนขึ้นมาใหม่คือ การผสมผสานอารยธรรมคลาสสิกกับรูปแบบประเพณีของอนารยชน ฯลฯ

62.    ความหมายของคำว่า “Fiefs” คือ

1.   เจ้าของที่ดิน                                                                                                          

2.   ผู้เช่าที่ที่ดิน

3.   ที่ดินที่เป็นพันธะระหว่างเจ้าของที่ดินกับผู้ใช้ประโยชน์จากที่ดิน           

4.   ที่ดินของพวกทาสติดที่ดิน

         ตอบ  3         หน้า 223, 65 (H) ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์หรือระบอบฟัวดัล (Feudalism/Feudal) มาจากคำว่า “Feuda” หรือ“Fiefs” ซึ่งหมายถึง ที่ดินที่เป็นพันธะระหว่างเจ้าของที่ดินหรือเจ้า (Lord) กับผู้ใช้ประโยชน์จากที่ดินหรือข้า (Vassals)

63.    ความสำคัญของเงินช่วย Aids ในระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ คือ

1.   เพื่อจัดทัพไปทำสงครามครูเสด                                                        

2.   เพื่อไถ่ตัวเจ้าเมื่อถูกจับเป็นเชลย

3.   เพื่อจ่ายแก่บุตรของเจ้าเมื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวิน                

4.   ถูกทุกข้อ

         ตอบ  4         หน้า 229 Aids คือ เงินช่วยที่ข้าผู้เช่าที่ดินจะต้องจ่ายให้แก่เจ้าเพื่อใช้ในโอกาสต่าง ๆ ได้แก่ 

1.  เพื่อจัดทัพไปทำสงครามศาสนาหรือสงครามครูเสด

2. เพื่อไถ่ตัวเจ้าเมื่อถูกจับไปเป็นเชลยสงคราม

3. เพื่อจ่ายแก่บุตรชายของเจ้าเมื่อได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวิน

4. เพื่อจ่ายในการแต่งงานลูกคนโตของเจ้า

64.    ความสำคัญของการบัพพาชนียกรรม (Excommunication) และ interdict คือ

         1.   การประกาศสันติสุขแห่งพระเจ้า                                     2.   ระยะพักรบเพื่อพระผู้เป็นเจ้า

         3.   เป็นการลงโทษทางศาสนา                                                4.   เป็นการแต่งตั้งพระในตำแหน่งสูง ๆ

         ตอบ  3         หน้า 240, 321, 66 (H) มาตรการลงโทษทางศาสนาคริสต์  มีดังนี้

1. Excommunication หรือการบัพพาชนียกรรม คือ การประกาศขับไล่บุคคลให้เป็นพวกนอกศาสนา หรือพากนอกรีต (Heretic) ทำให้ไม่มีใครคบด้วย

2.   Interdict คือ การประกาศให้เป็นดินแดนนอกศาสนา ห้ามทำพิธีกรรม และบางกรณีอาจตัดกลุ่มชนออกจากศาสนา ซึ่งถือว่าเป็นการลงโทษที่รุนแรงที่สุด ส่งผลให้คนเกรงกลัวเชื่อฟังศาสนา และทำให้ศาสนาคริสต์มั่นคงเป็นปึกแผ่นอยู่ได้ในยุคกลาง

65.    สาเหตุสำคัญที่นำความเสื่อมมาสู่ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์  คือ

         1.   สงครามครูเสด        2.   ความเจริญทางการค้า                3.   การเกิดโรคระบาด        4.   ถูกทุกข้อ

         ตอบ  4         หน้า 237, 66 – 67 (H) สาเหตุสำคัญที่ทำให้ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์หรือระบอบฟิวดัล๘ เสื่อมลงได้แก่

1. สงครามครูเสด ทำให้พวกขุนนางตายไปจำนวนมาก กษัตริย์จึงมีอำนาจเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

2. ความเจริญทางการค้า ซึ่งเป็นผลมาจากสงครามครูเสด

3. ความสำเร็จในการผลิตกระสุนดินปืน ทำให้อัศวินสวมเกราะและป้อมปราการหมดความหมาย

4.  การเกิดโรคระบาดในศตวรรษที่ 14 คือ กาฬโรค ทำให้ประชากรลดลง พวกทาศติดที่ดินจึงหางานทำได้ง่ายขึ้น

66.    จักรพรรดิโรมันผู้ทรงยอมรับเอาคริสต์ศาสนามาเป็นศาสนาประจำชาติในปี ค.ศ. 380 คือ

         1.   คอนสแตนติน                      2.   ทีโอโดซิอุส                    3.   เนโร                4.   ออกุสตุสที่ 1

         ตอบ  2         หน้า 165, 54 (H) ในปี ค.ศ. 380 เป็นปีที่สำคัญต่อบทบาทของศาสนาคริสต์ เมื่อจักรพรรดิ ทีโอโดซิอุส (Theodosius) ได้ทรงประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติของจักรวรรติโรมันทำให้ศาสนาคริสต์มีบทบาทางการเมืองของโรมันอย่างแท้จริง จนกระทั่งกลายเป็นองค์การทางศาสนาและการเมืองที่สำคัญและมีบทบาทมากที่สุดในพระวัติศาสตร์

67.    จักรพรรดิเยอรมันผู้ได้รับการสวมมงกุฎจากสันตะปาปาในปี  ค.ศ. 962 เพื่อสถาปนาจักรวรรดิโรมัน

         อันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเช่นเดียวกับสมัยจักรพรรดิชาร์เลอมาญ  คือ

         1.   คอนราด                 2.   ฟิลิป                 3.   ออตโตที่ 1                      4.   เฮนรี่ที่ 1

         ตอบ 3          หน้า 246 – 247, 69 (H) ในปี ค.ศ. 962 พระเจ้าออตโตที่ 1 แห่งแซกโซนี ได้รับการสวมมงกุฎจากพระสันตะปาปาจอห์นที่ 12 ให้ดำรงตำแหน่งเป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (Holy Roman Empire) เช่นเดียวกับที่จักรพรรดิชาร์เลอมาญเคยได้รับ แต่จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ของจักรพรรดิออตโตที่ 1 จะประกอบไปด้วยดินแดนเยอรมนีและอิตาลี ซึ่งทำให้พระองค์มีอำนาจยิ่งใหญ่ในยุโรปในฐานะพระจักรพรรดิผู้ปกครองเยอรมนี และยังได้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์แห่งอิตาลีอีกด้วย

68.    โบสถ์เชนต์โซเฟียในกรุงคอนสแตนติโนเปิลสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิ

         1.   ลีโอ                                         2.   จัสติเนียน                       3.   เนโร                                4.   ทราจัน

         ตอบ  2         หน้า 252 – 253, 70 (H) ผลงานที่สำคัญของจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งจักรวรรดิโรมันตะวันออก  ได้แก่

1.  ขยายอาณาเขตออกไปถึงภาคเหนือของแอฟริกา ภาคใต้ของสเปนและอิตาลีในยุโรปตะวันตก

2. สร้างประมวลกฎหมายจัสติเนียน (Corpus Juris Civillis) ในปี  ค.ศ. 529

3. สร้างโบสถ์เซนต์โซเฟีย (Santa Sophia) ในกรุงคอนสแตนติโนเปิลเมื่อ ค.ศ. 537

69.    ความพ่ายแพ้ของจักรพรรดิเฟรเดอริก บาร์บารอสซา ต่อสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 3  ตามสนธิสัญญาสันติภาพคองสตังซ์ในปี ค.ศ. 1183 มีผลที่ติดตามมา คือ

         1.   สิ้นสุดการรวมดินแดนเยอรมนีเข้ากับอิตาลี

         2.   ดินแดนเยอรมนีแตกแยกออกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย

         3.   สันตะปาปาได้ขึ้นดำรงตำแหน่งจักรพรรดิ                    4.   ถูกข้อ 1 และ 2

         ตอบ  4         หน้า 261, 71 – 72 (H) จากความพ่ายแพ้ของจักรพรรดิเฟรเดอริกที่ 1 บาร์บารอสซาต่อสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 3ในสงครามระหว่างอาณาจักรกับศาสนจักร ทำให้จักรพรรดิต้องทำสนธิสัญญาสันติภาพคองสตังซ์กับพวกลอมบาร์ดในปี ค.ศ. 1183 ซึ่งมีผลตามมา คือ

1. แคว้นลอมบาร์ดเป็นอิสระและได้ปกครองตนเอง

2. สิ้นสุดการรวมดินแดนอิตาลีเข้ากับเยอรมนี

3. อาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (ดินแดนเยอรมนี) แตกแยกออกเป็นแคว้นเล็กแคว้นน้อย

70.    ขุนนางฝรั่งเศสผู้สามารถยกกองทัพไปตีอังกฤษได้สำเร็จและปราบดาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์อังกฤษในปี ค.ศ. 1066 คือ

         1.   ฟิลิป ออกัสตัส                      2.   วิลเลียมแห่งนอร์มังดี                   3.   อองรี                4.   หลุยส์

         ตอบ  2         หน้า 271, 72 (H) 74 (H) ในปี ค.ศ. 1066 วิลเลียมแห่งนอร์มังดี ขุนนางฝรั่งเศสซึ่งมีฐานะ เป็นข้า (Vassal) ของกษัตริย์ฝรั่งเศสได้ยกกองทัพเข้ายึดครองอังกฤษได้สำเร็จ และได้ปราบดาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์อังกฤษ คือ กษัตริย์วิลเลียมที่ 1 หรือวิลเลียมผู้พิชิต (William the Conqueror) ซึ่งมีผลให้กษัตริย์อังกฤษมี 2 สถานภาพ คือ เป็นเจ้า (Lold) สูงสุดในอังกฤษและเป็นข้า (Vassal) ของกษัตริย์ฝรั่งเศสเมื่อไปถือครองดินแดนในฝรั่งเศส ซึ่งจะกลายมาเป็นชนวนของสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสในเวลาต่อมา

71.    การที่พระเจ้าจอห์นกษัตริย์อังกฤษถูกพวกขุนนางบังคับให้ลงนามในเออสาร Magna Carta ในปี ค.ศ.1215  ทำให้มีผลติดตามมา คือ

1.   เป็นจุดเริ่มต้นของระบอบรัฐสภาในอังกฤษ

2.   กษัตริย์อังกฤษจะต้องอยู่ภายใต้อำนาจของพวกขุนนาง

3.   กษัตริย์อังกฤษต้องขอความช่วยเหลือจากกษัตริย์ฝรั่งเศส

4.   ทำให้การเก็บภาษีมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

         ตอบ  1         หน้า 275, 75 (H), 108 (H) ในปี ค.ศ. 1215 พระเจ้าจอห์นกษัตริย์อังกฤษทรงถูกพวกขุนนางบังคับให้ลงนามในรัฐธรรมนูญแมกนา คาร์ตา (Magna Carta หรือ The Great Charter) ซึ่งถือเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของอังกฤษ โดยรัฐธรรมนูญฉบับนี้เดิมผลให้กษัตริย์ถูกลดอำนาจในการตัดสินคดี และการจัดเก็บภาษีต้องทำด้วยความยุติธรรม ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองในระบอบรัฐสภาของอังกฤษ และเป็นการปกครองที่กษัตริย์ทรงอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

72.    สงครามครูเสดครั้งที่ 4 มีผลทำให้กองทัพครูเสดยึดครองกรุง….ได้สำเร็จ

1.   เยรูซาเล็ม               2.   คอนสแตนติโนเปิล                      3.   ไคโร                4.   แบกแดด

         ตอบ  2         หน้า 283, 76 (H) สงครามครูเสดครั้งที่ 4 (ค.ศ. 1202 – 1204) เป็นสงครามระหว่างพวกคริสเตียนในจักรวรรดิโรมันตะวันตกกับจักรวรรดิโรมันตะวันออกด้วยกันเองเนื่องจากกองทัพครูเสดของจักรวรรดิโรมันตะวันตกภายใต้การนำของสาธารณรัฐเวนิสและวารสนับสนุน ของสันตะปาปาอินโนเซนต์ที่ 3 ได้เข้ายึดครองกรุงคอนสแตนติโนเปิลซึ่งเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโรมันตะวันออกได้สำเร็จ

73.    ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ ประกาศทอง” (The Golden Bull) ในปี ค.ศ. 1356 แล้ว ผู้มีสิทธิในการเลือกตั้งจักรพรรดิของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ คือ

1.  สันตะปาปา                                                                            

2.   คณะผู้เลือกตั้ง 7 คน

3.  จักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันตะวันออก                        

4.   ถูกทุกข้อ

         ตอบ  2         หน้า 292 – 293, 78 (H) ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับประกาศทอง (The Goden Bull) ในปี ค.ศ. 1356โดยจักรพรรดิชาร์ลที่ 4 แห่งลักเซมเบิร์กนั้น ได้กำหนดให้เจ้าผู้ครองแคว้นในอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (เจ้าเยอรมัน) 7 องค์  หรือจัดเป็นคณะผู้เลือกตั้ง 7 คน เป็นผู้มีสิทธิเลือกจักรพรรดิองค์ใหม่โดยไม่ต้องมีการรับรองจากศาสนจักร จึงถือเป็นการตัดสิทธิในการเลือกจักรพรรดิของสันตะปาปาออกไป

74.    ผลของสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสซึ่งต้นสุดลงในปี ค.ศ. 1453 คือ

         1.  ทำให้ระบอบศักดินาสวามิภักดิ์เสื่อม                                2.  ทำให้เกิดความรู้สึกชาตินิยม

         3.  กษัตริย์มีอำนาจเพิ่มขึ้น                                                        4.  ถูกทุกข้อ

         ตอบ  4         หน้า 299, 79 (H) ผลของสงครามร้อยปี (ค.ศ. 1337 – 1453) ระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสมีดังนี้ คือ

1.   เป็นการสิ้นสุดระบอบฟิวดัลหรือระบอบศักดินาสวามิภักดิ์ทั้งในอังกฤษและฝรั่งเศส เพราะพวกขุนนางตายไปเป็นจำนวนมาก และยังส่งผลให้กษัตริย์มีอำนาจเพิ่มขึ้น   

2.  ทำให้เกิดความรู้สึกชาตินิยมขึ้นทั้ง 2 ชาติ กษัตริย์สามารถรวมชาติได้สำเร็จ

3. อังกฤษได้เลิกใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ

75.    “สมัยการคุมขังแห่งบาบิโลเนีย” (Babylonian Captivity 1305 – 1377) มีความสำคัญ คือ

1.  สันตะปาปาเสด็จมาประทับที่เมืองอาวิญยอง

2.  สันตะปาปาตกอยู่ภายใต้อำนาจของกษัตริย์ฝรั่งเศส

3.  แสดงให้เห็นถึงความเสื่อมอำนาจของสันตะปาปา                       

ถูกทุกข้อ

         ตอบ  4         หน้า 300 – 303, 80 – 81 (H) สมัยการคุมขังแห่งบาบิโลเนียในตอนปลายยุคกลาง(Babylonian Captivity 1305 – 1377)  เป็นสมัยที่มีการเปรียบเทียบสันตะปาปาว่าเป็นเหมือนกับพวกยิวที่ถูกกวาดต้อนไปอยู่กรุงบาบิโลนในยุคโบราณ เนื่องจากสันตะปาปาได้ย้ายที่ประทับจากกรุงโรมในอิตาลีมาอยู่ที่เมืองอาวิญยองในฝรั่งเศส ซึ่งมีผลตามมาคือ

1.   สันตะปาปาตกอยู่ภายใต้อำนาจของกษัตริย์ฝรั่งเศสที่มีสิทธิแต่งตั้งและถอดถอนสันตะปาปา

2.   สันตะปาปามิได้มีฐานะเป็นประมุขสากลอีกต่อไป

3. แสดงให้เห็นถึงความเสื่อมอำนาจของส้นตะปาปาและศาสนจักร

76.    ความสำเร็จของการสถาปนารัฐชาติของพระเจ้าเฟอร์ดินานกับพระนางอิสซาเบลลาแห่งสเปน คือ

         1.  การยึดกรุงเยรูซาเล็มจากพวกมอสเล็ม                              2.  การยึดกรานมาดาจากมัวร์

         3.  การเข้ายึดครองโปรตุเกส                                                    4.  การทำสงครามจนได้รับชัยชนะจากฝรั่งเศส

         ตอบ  2         หน้า 267, 335 – 336, 86 – 87 (H) การรวมสเปนที่เข้มแข็งที่สุดเกิดขึ้นเมื่อกษัตริย์อาทอลิก(The catholic Kings) แห่งสเปน คือ พระเจ้าเฟอร์ดินานที่ 2 แห่งอรากอน และพระราชนี-อิสซาเบลลาที่ 1 แห่งคาสติล ได้ทรงอภิเษกสมรสและร่วมกันทำสงครามครูเสดจนสามารถขับไล่พวกมัวร์ออกจากสเปนและยึดอาณาจักรกรานาตาคืนมาได้สำเร็จในเดือนมกราคม ค.ศ. 1492  ทำให้การปกครองโดยมุสลิมในสเปนสิ้นสุดลง และสามารถสถาปนารัฐชาติได้สำเร็จมั่นคงตั้งแต่ ค.ศ. 1469 – 1516

77.    ในสมัยศตวรรษที่ 15 ดินแดนที่ยังไม่ได้รวมตัวเป็นรัฐชาติ คือ

         1.  เยอรมนี                   2.  อิตาลี                 3.  โปรตุเกส                         4.  ถูกข้อ 1 และ 2

         ตอบ  4         หน้า 332, 393, 86 (H) ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นสมัยการกำเนิดรัฐชาติภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และได้ประสบความสำเร็จใน 4 ประเทศ คือ สเปน โปรตุเกส ฝรั่งเศส และอังกฤษ ทั้งนี้มีสาเหตุมาจากความเสื่อมของระบอบฟิวดัล และความสำนึกในความเป็นชาติ

78.    ลักษณะที่สำคัญของลัทธิพาณิชย์ชาตินิยม (Mercantilism) คือ

         1.   การควบคุมเศรษฐกิจโดยรัฐบากแห่งชาติ                       2.   รัฐบาลหาเงินมาเพื่อขยายกองทัพ

         3.   การพึ่งพาเศรษฐกิจชาติอื่น ๆ ให้น้อยที่สุด                    4.   ถูกทุกข้อ

         ตอบ  4         หน้า 339 – 340, 88 (H) ลักษณะที่สำคัญของลัทธิพาณิชย์ชาตินิยม (Mercantilism) ได้แก่

1.       รัฐบาลแห่งชาติเป็นผู้ควบคุมเศรษฐกิจทั้งหมด 

2.       นายทุนจะได้รับการส่งเสริมทางการค้า

3.       รัฐบาลนำเงินที่ได้จากการค้าไปสร้างกองทัพเพื่อป้องกันการรุกรานจากชาติอื่น

4.    บังคับให้ประเทศอาณานิคมค้าขายกับเมืองแม่เท่านั้น

5.    พึ่งพาเศรษฐกิจของชาติอื่น ๆ ให้น้อยที่สุด

6.    เน้นการแข่งขันทางเศรษฐกิจและการค้าระหว่างรัฐชาติ

79.    ชาวโปรตุเกสคนแรกที่ค้นพบเส้นทางเดินเรือมาสู่อินเดีย คือ

         1.   ไดแอซ                   2.   วาสโก ดา กามา             3.   คาบรัล                             4.   แมกเจลแลน

         ตอบ  2         หน้า 336, 351, 90 (H) ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 โปรตุเกสเบนชาติแรกที่เป็นผู้นำในการเดินเรือเข้ามาในทวีปเอเชีย โดยนักเดินเรือคนสำคัญ คือ วาสโก ดา กามา (Vasco da Gama)สามารถเดินเรืออ้อมทวีปแอฟริกา ไปถึงอินเดียในปี ค.ศ. 1498 ได้สำเร็จเป็นคนแรก

80.    สนธิสัญญาทอร์เดเซลลัส ค.ศ. 1494 โดยสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่ 6 เป็นสนธิสัญญาเพื่อแบ่งเขตสำรวจทางทะเลระหว่างประเทศ……. กับประเทศ……..

         1.   สเปน โปรตุเกส                   2.   โปรตุเกส อังกฤษ          3.   อังกฤษ สเปน                 4.   สเปน ฝรั่งเศส

         ตอบ  1         หน้า 351, 90 (H) จากข้อพิพาทในการสำรวจดินแดนอเมริกา ได้ทำให้เกิดสนธิสัญญา     ทอร์เดเซลลัส (The Treaty of Tordesillas) ขึ้นในปี ค.ศ. 1494 โดยสันตะปาปาอเล็กซาน- เดอร์ที่ 6 ทรงให้ลากเส้นสมมุติเพื่อแบ่งเขตการสำรวจทางทะเลระหว่างสเปนกับโปตุเกส ซึ่งส่งผลให้สเปนได้สิทธิการสำรวจทางตะวันตกและโปรตุเกสได้สิทธิการสำรวจทางตะวันออก

81.    การฟื้นฟูศิลปวิทยาการก่อให้เกิดผลตามมา คือ

1.   วรรณคดีซึ่งให้ความสนใจในเรื่องของมนุษย์               

2.   ศิลปวิทยาการแพร่ขยายเพราะการพิมพ์

3.   การปฏิรูปศาสนา                                                                 

4.   ถูกทุกข้อ

         ตอบ  4         หน้า 355 – 357, 372 – 375 ผลจากการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ (Ronaissance) ได้แก่ 

1. เกิดวรรณคดีซึ่งให้ความสนใจ ในเรื่องมนุษย์ (Humanism)   

2. เกิดการปกครองในระบอบราชาธิปไตย              

3. เกิดการประดิษฐ์แทนพิมพ์ จึงทำให้ศิลปวิทยาการแพร่ขยายได้สะดวกรวดเร็วขึ้น        

4. เกิดการปฏิวัติวิทยาศาสตร์             

5. เกิดการปฏิรูปศาสนา ฯลฯ

82.    หนังสือ The Prince โดยมาเคียเวลลี พิมพ์ในปี ค.ศ. 1513 มีจุดประสงค์ในการเขียนเพื่อ

         1.   หาผู้ปกครองที่ฉลาดและเข้มแข็ง                     2.   การได้มาซึ่งอำนาจ

         3.   การรวมอิตาลีเข้าด้วยกัน                                     4.   ถูกทุกข้อ

         ตอบ  4         หน้า 362, 94 (H) จุดประสงค์ที่มาเคียเวลลีเขียนหนังสือเรื่อง “The Prince” ซึ่งพิมพ์ในปีค.ศ. 1513 คือ ต้องการที่จะรวมอิตาลีให้อยู่ภายใต้การปกครองเดียวกัน โดยมีผู้ปกครองที่ฉลาดและเข้มแข็ง เป็นผู้ที่มีความรักชาติอย่างจริงใจ ใช้นโยบายเด็ดขาด และมีวิธีการได้มาซึ่งอำนาจโดยไม่คำนึงถึงถึงศีลธรรม จริยธรรม ความซื่อสัตย์ยุติธรรม หรือเกียรติยศชื่อเสียง

83.    สาเหตุปัจจุบันที่ทำให้เกิดการปฏิรูปศาสนาขึ้นในศตวรรษที่ 16 คือ

         1.   พระไม่อยู่ในศีลธรรม                                         2.   พิธีกรรมทางศาสนามีมากเกินไป

         3.   สันตะปาปาเข้าไปยุ่งเกี่ยวทางการเมือง           4.   การขายใบไม่บาป

         ตอบ  4            หน้า 378, 98 (H), 103 (H)  สาเหตุปัจจุบันที่ทำให้เกิดการปฏิรูปศาสนาขึ้นในศตวรรษที่ 16  คือ การที่สันตะปาปาลีโอที่  10  ขายใบไถ่บาปในดินแดนเยอรมนี เพื่อนำเอาเงินไปบูรณะโบสถ์เซนต์ปีในกรุงโรม พระองค์จึงถูกโจมตีจากมาร์ติน ลูเธอร์ พระชาวเยอรมันซึ่งเป็นบุคคลแรกที่มีบทบาทในการริเริมให้มีการปฏิรูปศาสนาขึ้นในยุโรป จนกลายเป็นจุดเริ่มต้น  ของการประท้วงทางศาสนาและเป็นที่มาของคำว่า “Protestant” ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1529

84.    นิกายที่ไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่ม Protestant คือ

         1.   Lutheranism         2.  Jesuit                 3.   Calvinism                        4.   Presbyterian

         ตอบ  2            หน้า 386, 101 (F)  ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ (Protestant) แบ่งออกเป็นนิกายต่าง ๆ ดังนี้

1. นิกายลูเธอรันนิสม์ (Lutheranism)                           

2. นิกายคาลวินิสม์ (Calvinism)

3. นิกายเพสไบทีเวียน (Presbyterins)

4. นิกายอังกฤษ (Anglican Church/Church of England)

85.    บุคคลคนแรกที่ทำให้เกิดการปฏิรูปศาสนาขึ้นในยุโรป คือ

         1.  อิรัสมัส                    2.   มาร์ติน ลูเธอร์                3.   อูลริค สวิงกลิ                 4.   จอห์น คาลแวง

         ตอบ  2            ดูคำอธิบายข้อ 83. ประกอบ

86.    การประกาศใช้พระราชบัญญัติ Act of supremacy ในปี ค.ศ. 1534 ในสมัยพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ทำให้มีผลติดตามมา คือ

         1.   กษัตริย์อังกฤษคือผู้ควบคุมศาสนจักรในอังกฤษ

         2.   เกิดนิกาย Church of England

         3.   กษัตริย์อังกฤษยึดที่ดินของวัดมาเป็นของกษัตริย์                          4.   ถูกทุกข้อ

         ตอบ  4            หน้า 383, 99 (H) พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ทรงปฏิรูปศาสนาในอังกฤษ โดยให้รัฐสภาออกฎหมาย  The Act of supremacy ในปี ค.ศ. 1534  ซึ่งทำให้มีผลติดตามมา คือ

1. กษัตริย์ขึ้นมาเป็นประมุขทางศาสนาและควบคุมศาสนจักรในอังกฤษแทนสันตะปาปา

2.   กษัตริย์ทรงยึดทรัพย์สินและที่ดินของวัดมาแจกจ่ายให้ขุนนางที่สนับสนุนพระองค์

3.   อังกฤษเปลี่ยนศาสนามาเป็น “Catholic without Pope” ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1563 จะเรียกศาสนาในอังกฤษว่า นิกายอังกฤษ”  (Church of England)

87.    การจัดตั้งศาลพิเศษทางศาสนา (Inquisition) ทำให้ดินแดน…และ….. รอดพ้นจากการขยายอิทธิพลของพวกโปรเตสแตนต์

         1.   อังกฤษ  ฝรั่งเศส   2.   ฮอลันดา เบลเยียม         3.   เยอรมนี สวีเดน             4.   สเปน อิตาลี

         ตอบ 4             หน้า 385, 99 (H) การต่อต้านการปฏิรูปศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์ของฝ่ายคาทอลิกประการหนึ่งคือ จารจัดตั้งศาลพิเศษทางศาสนา (Inquisition) เพื่อต่อต้านการกระทำของพวกนอกรีตหรือพวกโปรเตสแตนต์ โดยมีการลงโทษอย่างรุนแรง เช่น การเผาทั้งเป็น  ซึ่งศาลพิเศษทางศาสนาประสบความสำเร็จในการปราบปรามพวกนอกรีตเป็นจำนวนมากในสเปนและอิตาลี จึงทำให้ทั้งสองประเทศนี้รอดพ้นจากการขยายอิทธิพลของพวกโปรเตสแตนต์

88.    ผลของการปฏิรูปศาสนา คือ

         1.   การสิ้นสุดสภาพศาสนาสากล                          

         2.   การยึดมั่นในพระคัมภีร์และการเกิดความรู้สึกชาตินิยม

         3.   การเกิดสงครามศาสนา                                                                       4.   ถูกทุกข้อ

         ตอบ 4             หน้า 386, 101 (H) ผลของการปฏิรูปศาสนา คือ

1. การสิ้นสุดของสภาพศาสนาสากล คือ นิกายคาทอลิกไม่ใช่คริสต์ศาสนานิกายเดียวของยุโรปตะวันตกอีกต่อไป เกิดนิกายโปรเตสแตนต์มากมายหลายนิกาย

2. การสิ้นสุดเอกภาพทางการเมืองของยุโรปและเปลี่ยนไปเป็นการสร้างสปิริตชาตินิยม

3. เน้นความเชื่อมั่นในศาสนาเพียงหนึ่งเดียว คือ โปรเตสแตนต์เชื่อมั่นในพระคัมภีร์      ไบเบิล  ส่วนคาทอลิกเชื่อมั่นในวัด

4. กษัตริย์และชนชั้นกลาง (พ่อค้า) มีอำนาจมากขึ้นและเกิดระบบเศรษฐกิจทุนนิยม

5. เกิดสงครามศาสนาและสงครามชิงดินแดนในโลกใหม่

89.    ก่อนเกิดการปฏิรูปศาสนา ดัทช์เคยเป็นอาณานิคมของ……. มาก่อน

         1.   อังกฤษ                   2.   ฝรั่งเศส                           3.   สเปน                               4.   โปรตุเกส

         ตอบ  3            หน้า 387 – 388, 100 (H) ดัทช์เคยเป็นอาณานิคมของสเปนและนับถือนิกายคาทอลิกมาก่อนเมื่อเกิดการปฏิรูปศาสนาพวกดัทช์ได้เปลี่ยนไปเป็นโปรเตสแตนต์นิกายคาลวินิสม์ ทำให้พระเจ้าฟิลิปที่ 2 ของสเปนนำเอาระบบศาลพิเศษทางศาสนาเข้าไปใช้กับพวกดัตช์ ส่งผลให้พวกดัทช์ก่อการปฏิวัติแยกตัวออกจากการปกครองของสเปนและได้ประกาศ เอกราชในปี  ค.ศ. 1581 เรียกว่า สหพันธ์สาธารณรัฐ แต่ได้เอกราชอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.  1648

90.    สงคราม 30 ปี (ค.ศ. 1618 – 1648) เป็นสงครามศาสนาครั้งสุดท้ายในยุโรป  มีผลทำให้การรวม….ช้าไปถึง 200 ปี

         1.   อิตาลี                                      2.   เยอรมนี                           3.   สวิตเซอร์แลนด์                             4.   ออสเตรีย

         ตอบ  2         หน้า 390 – 391, 101 (H) สงครามยุโรปหรือสงคราม 30 ปี (ค.ศ. 1618 – 1648)  เป็นสงครามศาสนาครั้งสุดท้ายของยุโรปที่เกิดขึ้นในอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (เยอรมนี)  ระหว่างพวกโปรเตสแตนต์ซึ่งมีประเทศผู้นำคือ  อังกฤษและฝรั่งเศส กับพวกคาทอลิกซึ่งมีประเทศผู้นำคือ สเปน ซึ่งในที่สุดสงครามก็จบลงด้วยชัยชนะของพวกโปรเตสแตนต์และฝรั่งเศส ทำให้ฝรั่งเศสกลายเป็นมหาอำนาจในยุโรปแทนที่สเปน และดินแดนเยอรมนีได้รับความเสียหายเป็นอย่างมากทำให้การรวมเยอรมนีช้าไปเป็นเวลา 200 ปี

91.    ความสำเร็จของริเชอลิเชอลิเออในการนำฝรั่งเศสเข้าร่วมในสงคราม 30 ปี คือ การทำลายอำนาจของพวก…..ในยุโรป

1.  อังกฤษ                                    

2.   สเปน                               

3.   รัสเซีย                              

4.   ดัทช์

         ตอบ  2         หน้า 404, 407,  106 (H) จุดประสงค์สำคัญที่ทำให้บาทหลวงริเชอลิเอออัครมหาเสนาบดีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13แห่งฝรั่งเศสซึ่งเป็นคาทอลิก นำฝรั่งเศสเข้าสู่สงคราม 30 ปีร่วมกับฝ่ายโปรเตสแตนต์ในเยอรมนี คือ การมุ่งทำลายล้างราชวงศ์แฮปสเบิร์ก (Hapsburg) ของสเปนซึ่งปกครองดินแดนปิดล้อมฝรั่งเศสในขณะนั้นให้ได้ นอกจากนี้ก็เพื่อผลทางการค้า ความมั่นคงในเขตทะเลบอลติก และการรักษาสถานภาพของแคว้นเยอรมนีก่อนสงคราม

92.    กษัตริย์ฝรั่งเศสผู้ทรงยกเลิกโองการแห่งเมืองนังส์ (Edict of Nantes) ซึ่งเป็นข้อประนีประนอมทางศาสนาในปี ค.ศ. 1685 คือ

1.   เฮนรี่ที่ 4

2.   หลุยส์ที่ 13

3.   หลุยส์ที่ 14

4.   หลุยส์ที่ 15

         ตอบ  3         หน้า 404, 409, 106 (H) ในปี ค.ศ. 1598 พระเจ้าเฮนรี่ที่ 4 ซึ่งเป็นอดีตหัวหน้าพวกฮิวเกอโนต์  (พวกโปรเตสแตนต์ในฝรั่งเศส) ได้ทรงออกโองการแห่งเมืองนังส์ (Edict of Nantes) เพื่อให้เกิดการประนีประนอมและความเสมอภาคทางศาสนาขึ้นในฝรั่งเศส แต่ต่อมาในปี ค.ศ. 1685  พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ทรงยกเลิกโองการแห่งเมืองนังส์และปราบปรามพวกฮิวเกอโนต์อย่างรุนแรง ส่งผลให้การอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจของฝรั่งเศสกระทบกระเทือนเป็นอย่างยิ่ง

93.    การต่อสู้ระหว่างพระเจ้าชาร์ลที่ 1 กับพวกเพียวริตันในรัฐสภามีผลตามมา คือ

         1.  อังกฤษเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ          

         2.   รัฐสภาตกอยู่ภายใต้อำนาจของกษัตริย์

         3.   อังกฤษปกครองแบบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ

         4.   อังกฤษเปลี่ยนกลับไปนับถือนิกายคาทอลิก

         ตอบ  1         หน้า 411 – 413, 107 (H) ในปี ค.ศ. 1642 – 1649 ได้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในอังกฤษซึ่งมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างพระเจ้าชาร์ลที่ 1 กับพวกเพียวริตัน (Puritans) ในรัฐสภาอังกฤษ ในกรณีที่พระองค์ต้องกการหาเงินเพื่อไปปราบปรามการกบฏของพวก สก็อตแต่สงครามก็จบลงด้วยชัยชนะของรัฐสภา และพระเจ้าชาร์ลที่  1 ถูกตัดสินประหารชีวิต ซึ่งถือว่าเป็นการสิ้นสุดสมัยการปกครองในระบอบเทวสิทธิ์ในอังกฤษ และเปลี่ยนแปลงไปสู่การไปสู่การปกครองในระบอบสาธารณรัฐ (Republic)

94.    ผลงานที่สำคัญของพระเจ้าเฟรเดอริกมหาราชแห่งปรัสเซียกับพระนางแคเทอรีนแห่งรัสเซีย คือ การแบ่งประเทศ……

         1.   ออสเตรีย               2.   โปแลนด์                         3.   ฮังการี                              4.   โรมาเนีย

         ตอบ  2         หน้า 427, 109 (H) พระนางแคเทอรีนมหาราชินีแห่งรัสเชียได้ร่วมกับปรัสเซียและออสเตรียทำการแบ่งประเทศโปแลนด์ถึง 3 ครั้ง คือ 1. ในปี ค.ศ. 1772 ร่วมกับพระเจ้าเฟรเดอริกมหาราชแห่งปรัสเซีย และออสเตรีย ทำให้รัฐบาลโปแลนด์ต้องออกกฎหมายยกเลิก “Liberum Veto” ในปี ค.ศ. 1791                  2.   ในปี ค ศ. 1793 ร่วมกับปรัสเซีย จนทำให้เกิดจลาจลใน     โปแลนด์ซึ่งสร้างความตกใจให้แก่ยุโรปตะวันออกทั้งหมด       3. ในปี ค.ศ. 1795 ร่วมกับ ปรัสเซียและออสเตรีย ซึ่งเป็นผลทำให้โปแลนด์หายไปจากแผนที่ของยุโรปนับตั้งแต่นั้น

95.    ในยุคแห่งเหตุผล (Age of Reason 1650 – 1815) เหตุและผลทางวิทยาศาสตร์มีบทบาทมากขึ้น  สิ่งที่ลดความสำคัญลง คือ

1.   ความคลั่งไคล้ในศาสนา

2.   ศรัทธาและความเชื่อมั่นทางศาสนา

3.   ความเชื่อมั่นในตัวเองหรือความเป็นมนุษย์    

4.   ถูกข้อ 1 และ 2

         ตอบ  4         หน้า 432, 110 (H) ยุคแห่งเหตุผล (Age of Reason) คือ ตลอดสมัยระหว่างปี ค.ศ.1650 – 1815 เป็นยุคที่สงครามนองเลือดที่เกิดจากความคลั่งไคล้ในศาสนาเริ่มลดความรุนเเรงลงและความศรัทธาเชื่อมั่น (Faith) ทางศาสนาเริ่มเปิดทางให้กับหลักเหตุและผล (Reason) มากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากแรงกระตุ้นของการค้นคว้าทางวิยาศาสตร์ที่ได้สร้างหลักการซักถามการให้เหตุผล และการหาคำตอบมาพิสูจน์ให้ได้ โดยวิธีการทดลองทางวิทยศาสตร์

96.    การค้นพบที่สำคัญในยุคประเทืองปัญญา  (Age of Enlightenment 1700 – 1789) คือ

         1.   แรงดึงดูดหรือแรงโน้มถ่วงของโลกและจักรวาลโดยเซอร์ไอแซค นิวตัน

         2.   แนวปรัชญาสวรพเทวนิยมของสปินโนซา

         3.   ทฤษฎีการเมืองของโทมัส ฮอบบ์

         4.   ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ของอดัม สมิธ

ตอบ  1                   หน้า 430, 432, 437 – 438, 110 – 111 (H) ยุคประเทืองปัญญา (Age of Enlightenment) คือ ส่วนหนึ่งของยุคแห่งเหตุผล ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงปี ค.ศ. 1700 – 1789  ซึ่งมีการค้นพบที่สำคัญ ได้แก่ การค้นพบกฎความโน้มถ่วงหรือกฎการดึงดูดของโลก  และจักรวาลเรื่องโลกและดาวเคราะห์โคจรรอบดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์โคจรรอบโลก โดยเซอร์ไอแซก  นิวตันจากงานพิมพ์ที่เรียกสั้น ๆ ว่า Principia ในปี ค.ศ. 1687

97.    นักปรัชญาทางการเมืองผู้มีอิทธิพลต่อการปฏิวัติอเมริกาในปี ค.ศ. 1776 คือ

         1.   รุสโซ                                      2.   จอห์น ล็อค                     3.   โทมัส ฮอบบ์ 4.   ถูกข้อ 1 และ 2

         ตอบ  4         หน้า 441, 446 – 447, 454, 112 – 113 (H) จอห์น ล็อค และรุสโซ เป็นนักปรัชญาทางการเมืองผู้เสนอแนวคิดสัญญาประชาคม (The Social Contract) ซึ่งมีอิทธิพลต่อการปฏิวัติอเมริกาในปี ค.ศ. 1776 โดยแนวความคิดของพวกเขาได้ไปปรากฏในคำประกาศอิสรภาพ (Declaration of Independence) ของชาวอาณานิคม ซึ่งเท่ากับเป็นการสถาปนาประเทศสหรัฐอเมริกาขึ้น

98.    การปฏิวัติอเมริกาในปี ค.ศ. 1776  มีอิทธิพลทำให้เกิดการปฏิวัติขึ้นประเทศ…. ในเวลาต่อมา

         1.  อังกฤษ                                    2.   ฝรั่งเศส                           3.   สเปน                               4.   ออสเตรีย

         ตอบ  2         หน้า 456, 114 – 115 (H) การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 นั้น  ได้รับอิทธิพลมาจากการปฏิวัติอันรุ่งเรืองของอังกฤษในปี ค.ศ. 1688 และการปฏิวัติอเมริกาในปี ค.ศ. 1776 ทำให้ฝรั่งเศสนำแนวทางจากทั้งสองประเทศนี้มาเป็นแบบของตน กล่าวคือ ดำเนินการปฏิบัติงานตามแบบอังกฤษ แต่ดำเนินการเรื่องการประกาศสิทธิมนุษยชนตามแบบอเมริกา

99.    สาเหตุปัจจุบันที่นำไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 คือ

         1.   การปกครองแบบกดขี่                                         2.   ปัญหาทางด้านการคลัง

         3.   ความไม่เสมอภาคทางสังคม                              4.   ความขัดแย้งในกลุ่มพวกขุนนาง

         ตอบ  2         หน้า 114 – 115 (H) สาเหตุปัจจุบันที่นำไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1769 คือ ปัญหาทางการคลัง ทั้งนี้เพราะพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ไม่มีเงินเพียงพอที่จะใช้จ่ายในการบริหารประเทศจึงเรียกประชุมสภาฐานันดรในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1789 เพื่อร่วมมือกันหาวิธีแก้ไขปัญหา แต่ก็ตกลงกันไม่ได้ ทำให้กลุ่มฐานันดรที่ 3 คือ สามัญชนที่ประกอบด้วยชนชั้นกลาง ช่างฝีมือ และชาวนา แยกตัวออกมาตั้งสภาแห่งชาติของฝรั่งเศส ซึ่งได้กลายเป็นชนวนนำไปสู่การปฏิวัติในที่สุด

100.     การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 ทำให้ฝรั่งเศสเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบ

             1.   สาธารณรัฐ                                                        2.   สมบูรณาญาสิทธิราชย์

             3.   กษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ                              4.   เผด็จการ

             ตอบ  1      หน้า 461 – 462, 114 – 115 (H) การปฏิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 เป็นการปฏิวัติภายใต้การนำของชนชั้นกลางที่ต้องการล้มระบอบอภิสิทธิ์และต้องการเข้ามามีส่วนรวมในการปกครอง ซึ่งภาคหลังการปฏิวัติทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบเก่าหรือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่การปกครองในระบอบสาธารธนรัฐ นอกจากนยังส่งผลกระทบต่อภายนอก คือ การเกิดสงครามและเผยแพร่ความคิดของการปฏิวัติออกไปยังประเทศอื่น ๆ ในยุโรป

101.     การปิดล้อมทางเศรษฐกิจ (Continental System) คือยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่นโปเลียนห้ามไม่ให้ประเทศที่เป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสทำการติดต่อค้าขายกับประเทศ…….

1.   ฮอลันดา             

2.   สหรัฐอเมริกา                

3.   อังกฤษ                            

4.   โปรตุเกส

             ตอบ  3      หน้า 469, 117 (H) ในปี ค.V. 1808 ยุโรปเกือบทั้งหมดต้องตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพระจักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศส ยกเว้นประเทศอังกฤษที่นโปเลียนยึดครองไม่ได้เพราะอังกฤษเป็นเกาะและเป็นมหาอำนาจทางทะเล ดังนั้นนโปเลียนจึงใช้วิธีการปิดล้อมอังกฤษทางเศรษฐกิจ (Continental system) ไม่ให้มีการค้าขายระหว่างประเทศบนภาคพื้นยุโรปกับอังกฤษ ทำให้ฝรั่งเศสและประเทศที่เป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศส เช่น ประเทศรัสเซียต้องเดือดร้อนเพราะขาดแคลนสินค้า

102.     สงครามที่ทำให้นโปเลียนหมดอำนาจ คือสงครามที่ทำกับประเทศ

1.   ฮอลันดา                             

2.   รัสเซีย                              

3.   อังกฤษ

4.   ออสเตรีย

ตอบ  2      หน้า 470, 117 (H) ในปี  ค.ศ. 1810 รัสเชียได้ยกเลิกการเข้าร่วมกับฝรั่งเศสในการปิดล้อมอังกฤษทางเศรษฐกิจ ซึ่งได้สร้างความไม่พอใจให้แก่พระจักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก ดังนั้นในปี ค.ศ. 1812 นโปเลียนจึงเกณฑ์ทหารทั้งหมดประมาณ  6แสนคนบุกรัสเซียแต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อความหนาวและกองทัพของรัสเซียจนต้องถอยทัพกลับมา ส่งผลให้นโปเลียนหมดอำนาจจนต้องสละบัลลังก์ไปในปี ค.ศ.  1814 และถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะเอลบา

103.     ภายหลังการประชุมที่เวียนนา (Congress of Vienna 1814 – 1815) สิ้นสุดลง ยุโรปได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่ม

1.   เสรีนิยม              

2.   ประชาธิปไตย                

3.   อนุรักษ์นิยม                   

4.   สาธารณรัฐนิยม

ตอบ  3      หน้า 472 – 473, 118 (H) ภายหลังการประชุมที่เวียนนา (Congress of Vienna) สิ้นสุดลงในปี ค.ศ. 1815 แล้ว ยุโรปก็ต้องตกอยู่ภายใต้การชี้นำของเจ้าชายเมตเตอร์นิกซึ่งเป็นเสนาบดีของอาณาจักรออสเตรีย และเป็นพวกอนุรักษนิยมที่ต่อสู้เพื่อรักษาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยทำการต่อต้านระบอบเสรีนิยมประชาธิปไตย ลัทธิชาตินิยมและระบอบอุตสาหกรรมอย่างเต็มที่ ทำให้ยุคสมัยของคองเกรสแห่งเวียนนาถูกเรียกว่า ยุคเมตเตอร์นิก” (ค.ศ. 1815 – 1848)

104.     บุคคลผู้มีบทบาทเด่นทางการเมืองในยุโรปโนระหว่างปี ค.ศ. 1815 – 1848 ภายหลังการประชุมที่เวียนนาสิ้นสุดลง คือ

1.   ชาร์ล อัลเบิร์ท                   

2.   ลอร์ดคาสเซิลเร

3.   เมตเตอร์นิก                    

4.   หลุยส์ที่ 18

ตอบ  3      ดูคำอธิบายข้อ 103. ประกอบ

105.     สมัยเริ่มการปฏิวัติอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมที่สำคัญของอังกฤษ  คืออุตสาหกรรม

1.   ทอผ้า                   

2.   เหล็กกล้า                        

3.   การผลิตอาหาร

4.   การขนส่ง

ตอบ  1      หน้า 495 – 496, 562, 123 (H) การปฏิวัติอุตสาหกรรมเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษในระหว่างปี ค.ศ. 1760 – 1830โดยเริ่มจากการประดิษฐ์เครื่องจักรเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้าซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมแรกที่มีการปฏิวัติ หลังจากนั้นการปฏิวัติอุตสาหกรรมจึงได้แพร่ขยายไปในประเทศต่าง ๆ บนภาคพื้นยุโรป สหรัฐอเมริกา และในทวีปเอเชีย

106.     ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ที่อังกฤษนำมาใช้ในช่วงที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม  คือทฤษฎีของ

1.   โทมัส มัลธัส

2.   อดัม สมิธ

3.   เดวิด ริคาร์โด            

4.   จอห์น สจ๊วต มิลล์

ตอบ 2       หน้า 430, 499 – 500, 502 ในช่วงที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในอังกฤษนั้น อังกฤษได้นำทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ของอดัม สมิธ (Adam Smith) มาใช้ คือ นโยบายการค้าเสรี(Laissez-faire) หรือนโยบายปล่อยเสรี ซึ่งเขาได้ให้ทัศนะว่าบุคคลควรมีโอกาสแสวงหากำไรของตนทางเศรษฐกิจ โดยไม่ถูกควบคุมด้วยกฎเกณฑ์การค้าแบบพาณิชย์นิยม (Mercantilism) ซึ่งมีลักษณะเป็นการค้าแบบผูกขาดเฉพาะแห่ง

107.     ลัทธิที่เน้นการควบคุมอุตสาหกรรมของประเทศโดยสหภาพกรรมกร คือลัทธิ

 1.   อนาธิปไตย        

2.   ซินติคาลิสม์

3.   สังคมนิยมคริสเตียน

4.   สังคมนิยมปฏิวัติ

 ตอบ  2      หน้า 507 ลัทธิซินดิคาลิสม์ (Syndicalism) คือ ลัทธิที่เน้นการควบคุมอุตสาหกรรมของประเทศ  โดยสหพันธ์กรรมกร ซึ่งจะส่งเสริมให้มีการรวมตัวจัดตั้งกลุ่มกรรมกรในอุตสาหกรรมทั้งหมดเป็นสหภาพโดยไม่มีการแบ่งเป็นอาชีพหรือความชำนาญ และไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง  นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้มีการก่อวินาศกรรมทำลาย ซึ่งส่วนใหญ่ลัทธินี้จะแพร่หลายไปในฝรั่งเศส  อิตาลี และสเปนตามลำดับ

108.     ประเทศที่เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการรวมอิตาลี คือ

1.   ออสเตรีย            

2.   รัสเซีย              

3.   ปรัสเซีย

4.   ฝรั่งเศส

ตอบ 1       หน้า 515, 125 – 127 (H) ศัตรูสำคัญที่เป็นอุปสรรคในการรวมอิตาลี คือ ออสเตรียซึ่งได้เข้าครอบครองดินแดนลอมบาร์ดีและเวเนเทียในแหลมอิตาลี ส่วนรัฐผู้นำในการรวมอิตาลีเข้าด้วยกัน คือ อาณาจักรปิเอดมอนต์-ซาร์ดิเนีย ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ราชวงศ์        ซาวอยซึ่งได้ทำสงครามต่อสู้เพื่อรวมอิตาลีเรื่อยมา จนกระทั่งการรวมอิตาลีประสบความสำเร็จสมบูรณ์เมื่อกองทหารอิตาลีบุกเข้ายึดกรุงโรมมาเป็นเมืองหลวงได้ในปี ค.ศ. 1871

109.     รัฐผู้นำในการรวมอิตาลีเข้าร่วมด้วยกัน คือ

1.   ฟลอเรนซ์

2.   ซาร์ดิเนีย                         

3.   เวเนเทีย

4.   ลอมบาร์ดี

 ตอบ  2      ดูคำอธิบายข้อ 108. ประกอบ

110.     นโยบาย เลือดและเหล็ก” ของบิสมาร์ค คือ

1.   เน้นการทำอุตสาหกรรม                 

2.   การทำให้ปรัสเชียเป็นศูนย์กลางทางการทูต

3.   การออกแสวงหาอาณานิคม           

4.   การใช้สงครามเป็นเครื่องมือในการรวมเยอรมนี

ตอบ  4        หน้า 517 – 519, 128 – 129 (H) บิสมาร์ค (Bismarck) อัครมหาเสนาบดีของปรัสเซียซึ่งเป็นผู้นำในการรวมเยอรมนี ได้ประกาศใช้นโยบายเลือดและเหล็กในการรวมเยอรมนีเข้าด้วยกัน โดยใช้วิธีการให้ปรัสเซียทำสงครามถึง 3 ครั้ง คือ

1. สงครามกับเดนมาร์กเรืองดินแดนชเลสวีก-โฮลสไตน์ ในปี ค.ศ. 1864

2 สงครามกับออสเตรเลียในปี ค.ศ. 1866

3. สงครามกับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1870 – 1871 ซึ่งฝรั่งเศสเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ทำให้บิสมาร์คสามารถจัดตั้งประเทศเยอรมนีได้สำเร็จโนปี ค.ศ. 1871 ที่ห้องกระจกในพระราชวังแวร์ซายส์ประเทศฝรั่งเศส

111.     การรวมชาติเยอรมนีประสบความสำเร็จเป็นผลมาจากการพ่ายแพ้สงครามของประเทศ.

1.   อังกฤษ                

2.   รัสเซีย              

3.   ฝรั่งเศส           

4.   สเปน

ตอบ  1      ดูคำอธิบายข้อ 110. ประกอบ

112.     ในช่วงของการปฏิบัติทางปัญญายุคใหม่ (ค.ศ. 1830 – 1914) ผู้ที่แสดงทัศนะเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องเพศจะมีผลต่อมนุษย์ทั้งทางด้านประสาทและจิตวิทยา คือ

1.   ซิกมันด์ ฟรอยด์                

2.   อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์                      

3.  ชาร์ลส์ ดาร์วิน                

4.   นิทเช่

ตอบ  1      หน้า 521 – 522, 130 (H) ในยุคแห่งการปฏิวัติทางปัญญายุคใหม่ (ค.ศ. 1830 – 1914) นั้น ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) นักวิทยาศาสตร์ชาวยิวในออสเตรีย ได้แสดงทัศนะเกี่ยวกับการศึกษาเรื่องเพศไว้ในหนังสือ “Studies of Hysteria” ในปี ค.ศ. 1895 โดยเขาเห็นว่าเรื่องเพศนั้นจะมีผลต่อมนุษย์ทั้งทางด้านประสาทและจิตวิทยา

113.     ประเทศที่ไม่ได้เป็นเอกราชในสมัยจักรวรรดินิยมยุคใหม่ (ค.ศ. 1871 – 1914) คือ

             1.   เอธิโอเปีย                           2.   ไลบีเรีย                            3.   จีน                    4.   เวียดนาม

ตอบ  4      หน้า 523, 525, 130 – 131 (H) จักรวรรดินิยมยุคใหม่ (ค.ศ. 1871 – 1914) คือยุคที่ประเทศมหาอำนาจในยุโรปได้ออกมาแสวงหาอาณานิคมในทวีปแอฟริกาและเอเชีย  ทำให้ทวีปแอฟริกาเหลือประเทศเอกราชเพียง 2 ประเทศ คือ เอธิโอเปีย (อบิสสิเนีย)และไลบีเรีย ส่วนในทวีปเอเชียเหลือประเทศเอกราช 3 ประเทศ คือ จีน ญี่ปุ่น และไทย (ส่วนประเทศเวียดนาม กัมพูชา และลาว เป็นอาณานิคมของรัฐบาลฝรั่งเศส)

114.     ปัจจัยทางเศรษฐกิจซึ่งผลักดันให้ชาติมหาอำนาจในยุโรปออกมาแสวงหาอาณานิคมในสมัยจักรวรรดินิยมยุคใหม่ คือ

1.   ความต้องการทาสแรงงาน                              

2.   เป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม

3.   ความต้องการสินค้าจากภาคตะวันออก        

4.   การเผยแผ่ศาสนาก่อให้เกิดความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ

             ตอบ  2         หน้า 524, 131 (H) สาเหตุที่มหาอำนาจยุโรปออกมาแสวงหาอาณานิคมในสมัยจักรวรรดินิยมยุคใหม่ มีดังนี้

1.      ปัจจัยทางเศรษฐกิจถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ซึ่งเป็นผลมาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการเพิ่มจำนวนพลเมือง จึงต้องแสวงหาอาณานิคมเพื่อเป็นแหล่งวัตถุดิบ ตลาด การจัดตั้งฐานทัพ และเพื่อระบายพลเมือง

2.      เพื่อแสดงถึงความเป็นประเทศมหาอำนาจในยุโรป

3.      เพื่อเผยแผ่ศาสนา

4.      ลัทธิชาตินิยมที่ชาวยุโรปต้องการเข้าครอบครองดินแดนที่มีอารยธรรมหรือวัฒนธรรมต่ำกวา

115.     บิสมาร์คจัดทำสนธิสัญญาสันนิบาตสามจักรพรรดิขึ้นในปี ค.ศ. 1873 เพื่อต้องการทำให้ประเทศ ….อยู่อย่างโดดเดี่ยว

1.   อังกฤษ                                                

2.   รัสเซีย              

3. ออสเตรีย           

4.   ฝรั่งเศส

ตอบ  4      หน้า 529 บิสมาร์ค นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ได้จัดทำสนธิสัญญาสันนิบาตสามจักรพรรดิ  (The Three Emperors League) ขึ้นในปี ค.ศ. 1873 ซึ่งเป็นการเข้าร่วมภาคีระหว่างจักรพรรดิฟรานซิส โจเซฟแห่งออสเตรีย-ฮังการี ไกเซอร์ วิลเลียมที่ 1 แห่งเยอรมนี และพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ 2 แห่งรัสเซีย โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อโดดเดี่ยวฝรั่งเศส แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับออสเตรีย-ฮังการีเรื่องผลประโยชน์ในคาบสมุทรบอลข่านก็ส่งผลให้ความต้องการโดดเดี่ยวฝรั่งเศสไม่ประสบความสำเร็จ

116.     ประเทศที่ไม่ได้เป็นสมาชิกอยู่ในกลุ่มไตรพันธมิตร (Triple Entente) คือ

             1.   อังกฤษ                2.   ฝรั่งเศส           3.   อิตาลี                4.   รัสเซีย

ตอบ  3      หน้า 529 – 533, 133 (H) ก่อนการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 มหาอำนาจในยุโรปแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ

1. ฝ่ายไตรพันธไมตรี (Triple Alliance)  ได้แก่  เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี และอิตาลี

2. ฝ่ายไตรพันธมิตร (Triple Entente) ได้แก่ ฝรั่งเศส รัสเซีย และอังกฤษ

117.     ประเทศที่ไม่ได้อยู่ในฝ่ายประเทศมหาอำนาจกลาง (Central Power) ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 คือ

1.   เยอรมนี              2.   อิตาลี                3.   ออสเตรีย-ฮังการี                           4.   บัลแกเรีย

ตอบ  2      หน้า 535, 133 – 134 (H)  เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี ค.ศ. 1914  มหาอำนาจในยุโรปได้แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ

1.       ฝ่ายมหาอำนาจกลาง (The Central Powers) ได้แก่ เยอรมนี ออสเตรีย-ฮังการี ตุรกี และบัลแกเรีย.

2.       ฝ่ายสัมพันธมิตร (The Allied Powers) ได้แก่ ฝรั่งเศส รัสเซีย อังกฤษ เซอร์เบีย อิตาลี(ซึ่งถอนตัวจากฝ่ายไตรพันธไมตรีในปี  ค.ศ. 1915) สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และไทย

118.     ประเทศที่ถอนตัวออกในระหว่างที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914 – 1918) คือ

             1.   สหรัฐอเมริกา    2.   ออสเตรีย-ฮังการี           3.   รัสเซีย              4.   บัลแกเรีย

             ตอบ  3      หน้า 537, 543, 134 (H), 36 – 137 (H) ในเดือนพฤศจิกายนปี ค.ศ. 1917 ได้เกิดเหตุการณ์ปฏิวัติครั้งใหญ่ในรัสเซีย ภายใต้การนำของพรรคบอลเชวิค โดยมีเลนินเป็นผู้นำ ซึ่งได้ส่งผลให้รัสเซียจำเป็นต้องถอนตัวออกจากสงครามโลกครั้งที่ 1 (ค.ศ. 1914 – 1918) และบอลเชวิคได้ดำเนินการตามหลักสังคมนิยม โดยเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์และก่อตั้งเป็นสหภาพโซเวียต จนส่งผลให้ลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่ขยายไปทั่วยุโรปและทุกส่วนต่าง ๆ ของโลก

119.     ก่อนที่จะบุกโปแลนด์ ฮิตเลอร์ ได้ทำการยึดครองประเทศ

1.   ออสเตรีย            2.   เชคโกสโลวะเกีย          3.   เบลเยียม          4.   ถูกข้อ 1 และ 2

ตอบ 4       หน้า 548 – 550 วิกฤตการณ์ตึงเครียดก่อนที่ฮิตเลอร์จะนำกองทัพเยอรมนีบุกโปแลนด์ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1939 อันเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่  2 นั้น ได้แก่

1. เยอรมนีได้รวมเอาออสเตรียเข้าเป็นแคว้นหนึ่งของเยอรมนี

2. การรวมแคว้นซูเดเทนของเชคโกสโลวะเกียเข้าเป็นแคว้นหนึ่งของเยอรมนี

3. เยอรมนียึดแคว้นเมเมลคืนจากลิทัวเนีย                                       4. อิตาลีรุกรานอัลบาเนีย

120.     สิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นในระหว่างที่เกิดวิกฤตการณ์สงครามเย็น คือ

1.   การแข่งขันกันสะสมอาวุธ                             

2.   สงครามระหว่างสหรัฐอเมริกากับโซเวียตรัสเซีย

3.   การแข่งขันทางด้านอวกาศ                             

4.   การโฆษณาชวนเชื่อ

ตอบ  2      หน้า 559, 139 (H) ลักษณะสำคัญของสงครามเย็น คือ 

1. เป็นสงครามที่เกิดจากความขัดแย้งทางด้านอุดมการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมระหว่างฝ่ายโลกเสรีประชาธิปไตย  ซึ่งมีสหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำกับฝ่ายโลกคอมมิวนิสต์ซึ่งมีโซเวียตรัสเซียเป็นผู้นำ  

2. ไม่มีการทำสงครามแบบเบ็ดเสร็จ (Total War) ที่มีการเผชิญหน้ากันโดยตรง แต่จะใช้วิธีการทำสงครามจิตวิทยาหรือสงครามตัวแทน (Proxy War) เช่น สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม ฯลฯ  

3. แข่งกันหาพันธมิตรโดยใช้วิธีทางการทูตและการโฆษณาชวนเชื่อ              

4. มีการแข่งขันกันสะสมอาวุธและแข่งขันวิทยาการทางด้านอวกาศ

WordPress Ads
error: Content is protected !!