LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางจักจั่นส่งจดหมายแสดงเจตนาเสนอขายแหวนเพชรให้แก่นางจุ๊บจิ๊บเพื่อนสนิทที่จังหวัดเชียงใหม่ราคา 100,000บาท โดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับในวันที่ 1 กันยายน 2557 ต่อมาอีก 2วันนางจักจั่นเกิดเปลี่ยนใจ ไม่อยากขายแหวนเพชรดังกล่าว เพราะต้องการเก็บไว้ให้ลูกสาว นางจักจั่นจึงได้ส่งจดหมายบอกถอนการแสดงเจตนาเดิมที่ตนทำไว้โดยการส่งไปรษณีย์ชนิดด่วนพิเศษแบบ EMS แต่ในวันเดียวกันนั้นเองนางจักจั่นได้ถูกรถชนถึงแก่ความตายระหว่างเดินทางกลับบ้าน และลูกสาวของนางจักจั่นก็ได้โทรศัพท์ไปเชิญนางจุ๊บจิ๊บให้มาร่วมงานสวดอภิธรรมศพของมารดาในวันนั้นด้วย

ต่อมาวันที่ 5 กันยายน 2557 เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จึงได้นำจดหมายทั้งสองฉบับของนางจักจั่นไปส่งยังบ้านของนางจุ๊บจิ๊บ โดยมีนางสาวแจ๋วสาวใช้ของนางจุ๊บจิ๊บเป็นคนรับจดหมายไว้ และนางสาวแจ๋วได้โทรศัพท์ไปบอกนางจุ๊บจิ๊บว่ามีจดหมายส่งมา นางจุ๊บจิ๊บจึงให้นางสาวแจ๋วเปิดอ่าน

เมื่อนางจุ๊บจิ๊บทราบว่านางจักจั่นเสนอขายแหวนเพชรดังกล่าว นางจุ๊บจิ๊บจึงรีบเขียนจดหมายตอบตกลงซื้อทันทีโดยการส่งตอบรับแบบ EMS มาให้ลูกสาวของนางจักจั่น และจดหมายนั้นมาถึงวันที่ 7 กันยายน 2557

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าลูกสาวของนางจักจั่นต้องขายแหวนเพชรดังกล่าวให้นางจุ๊บจิ๊บหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบายโดยยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 169 วรรคสอง “การแสดงเจตนาที่ได้ส่งออกไปแล้วย่อมไม่เสื่อมเสียไป แม้ภายหลังการแสดงเจตนานั้นผู้แสดงเจตนาจะถึงแก่ความตายหรือถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ”

มาตรา 360 “บทบัญญัติแห่งมาตรา 169 วรรคสองนั้น ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าหากว่าขัดกับเจตนาอันผู้เสนอได้แสดงหรือหากว่าก่อนจะสนองรับนั้น คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้เสนอตายหรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่าในกรณีที่มีการแสดงเจตนาทำนิติกรรมนั้น เมื่อผู้แสดงเจตนาได้ส่งการแสดงเจตนาออกไปแล้ว แม้ภายหลังผู้แสดงเจตนาจะถึงแก่ความตายหรือถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ การแสดงเจตนานั้นก็ไม่เสื่อมเสียไป (มาตรา 169 วรรคสอง) เว้นแต่จะขัดกับเจตนาที่ผู้เสนอได้แสดง หรือหากก่อนมีการสนองรับนั้น คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้เสนอตาย หรือตกเป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ (มาตรา 360)

ตามอุทาหรณ์ การที่นางจักจั่นได้ส่งจดหมายแสดงเจตนาเสนอขายแหวนเพชรให้แก่นางจุ๊บจิ๊บและต่อมานางจักจั่นได้ถึงแก่ความตายโดยนางจุ๊บจิ๊บก็ได้ไปร่วมสวดอภิธรรมศพของนางจักจั่นด้วยนั้น ถือว่านางจุ๊บจิ๊บได้รู้อยู่แล้วว่านางจักจั่น (ผู้เสนอ) ตายไปแล้ว ดังนั้น แม้ว่านางจุ๊บจิ๊บ (ผู้สนอง) จะได้ส่งจดหมายตอบตกลงซื้อแหวนเพชรกับลูกสาวนางจักจั่น สัญญาซื้อขายแหวนเพชรก็ไม่เกิดขึ้น

เพราะกรณีนี้จะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 360 ซึ่งมิให้นำมาตรา 169วรรคสอง มาใช้บังคับ กล่าวคือ ให้ถือว่าการแสดงเจตนาเสนอขายแหวนเพชรของนางจักจั่นย่อมเสื่อมเสียไป เพราะก่อนที่นางจุ๊บจิ๊บจะทำคำสนองตอบตกลงซื้อแหวนเพชรนั้น นางจุ๊บจิ๊บได้รู้อยู่แล้วว่านางจักจั่นผู้เสนอขายแหวนเพชรนั้นตายไปแล้ว และเมื่อถือว่ากรณีดังกล่าวไม่มีคำเสนอของนางจักจั่น มีแต่เพียงคำสนองของนางจุ๊บจิ๊บ ดังนั้นสัญญาซื้อขายแหวนเพชรจึงไม่เกิดขึ้น ลูกสาวของนางจักจั่นจึงไม่ต้องขายแหวนเพชรให้แก่นางจุ๊บจิ๊บ

สรุป

ลูกสาวของนางจักจั่นไม่ต้องขายแหวนเพชรดังกล่าวให้นางจุ๊บจิ๊บ

 

ข้อ 2. นายมะยมโฆษณาโอ้อวดคุณสมบัติของรถมอเตอร์ไซด์ที่ขายให้นายมะกอกว่าเป็นรถมอเตอร์ไซด์รุ่นใหม่ เพิ่งพ่นสีใหม่เป็นสีเดิม ความจริงเป็นรถรุ่นเก่าและเคยเปลี่ยนสีมาหลายครั้งกับกล่าวอ้างคุณสมบัติของรถมอเตอร์ไซด์ซึ่งไม่เป็นความจริงอีกหลายประการ นายมะกอกจึงตกลงซื้อรถมอเตอร์ไซค์โดยหลงเชื่อคำโฆษณาโอ้อวดของนายมะยม ภายหลังต่อมานายมะกอกทราบว่ารถมอเตอร์ไซค์คันดังกล่าวเป็นรถมอเตอร์ไชค์รุ่นเก่าที่นายมะยมนำมาหลอกขายให้กับตน ซึ่งหากนายมะกอกรู้ความจริงคงจะซื้อรถมอเตอร์ไซค์ในราคาที่ต่ำกว่านี้

ให้ท่านวินิจฉัยว่า สัญญาซื้อขายรถมอเตอร์ไซค์เกิดจากการที่นายมะกอกแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเพื่อเหตุหรือไม่ มีผลทางกฎหมายเช่นไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 161 “ถ้ากลฉ้อฉลเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจให้คู่กรณีฝ่ายหนึ่งยอมรับข้อกำหนดอันหนักยิ่งกว่าที่คู่กรณีฝ่ายนั้นจะยอมรับโดยปกติ คู่กรณีฝ่ายนั้นจะบอกล้างการนั้นหาได้ไม่ แต่ชอบที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว การแสดงเจตนาทำนิติกรรมที่เกิดจากการที่ผู้ทำนิติกรรมถูกกลฉ้อฉลนั้นกฎหมายได้บัญญัติให้นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆียะ คู่กรณีฝ่ายที่แสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลมีสิทธิบอกล้างได้ (ป.พ.พ. มาตรา 159)

แต่อย่างไรก็ตาม มาตรา 161 ได้บัญญัติว่า ถ้ากลฉ้อฉลนั้นเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจทำให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งต้องการแสดงเจตนาทำนิติกรรมอยู่แล้วแม้จะไม่มีการทำกลฉ้อฉล ต้องยอมรับข้อกำหนดตามนิติกรรมอันหนักยิ่งกว่าที่เขาจะยอมรับโดยปกติ ซึ่งถ้าไม่มีการทำกลฉ้อฉลเช่นนั้น คู่กรณีฝ่ายนั้นจะไม่ยอมรับข้อตกลงหรือข้อกำหนดดังกล่าว ผลของการทำนิติกรรมเนื่องจากถูกกลฉ้อฉลในกรณีเช่นนี้ ไม่ทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะ

แต่คู่กรณีฝ่ายที่ถูกกลฉ้อฉลมีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้

ตามอุทาหรณ์ การที่นายมะยมโอ้อวดคุณสมบัติของรถมอเตอร์ไซค์ที่ขายให้แก่นายมะกอกว่าเป็นรถมอเตอร์ไซค์รุ่นใหม่ เพิงพ่นสีใหม่เป็นสีเดิม ความจริงเป็นรถรุ่นเก่าและเคยเปลี่ยนสีมาหลายครั้งกับกล่าวอ้างคุณสมบัติของรถมอเตอร์ไซด์ซึ่งไม่เป็นความจริงอีกหลายประการ ทำให้นายมะกอกตกลงซื้อรถมอเตอร์ไซค์โดยหลงเชื่อคำโฆษณาโอ้อวดของนายมะยมนั้น ถือได้ว่าการซื้อขายรถมอเตอร์ไซด์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นเพราะมีการใช้กลฉ้อฉลแล้ว

แต่อย่างไรก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า รถมอเตอร์ไซด์คันนั้นก็ยังคงเป็นยี่ห้อเดียวกับที่นายมะกอกต้องการจะซื้อ ซึ่งแม้จะมิได้มีกลฉ้อฉลของนายมะยม นายมะกอกก็ยังคงซื้อรถมอเตอร์ไซด์คันนั้นอยู่แล้ว

เพียงแต่จะซื้อในราคาที่ต่ำกว่านี้เท่านั้น ดังนั้น กลฉ้อฉลของนายมะยมจึงมิได้ถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลเช่นนั้น นายมะกอกจะไม่ซื้อรถมอเตอร์ไซด์จากนายมะยมเลย กลฉ้อฉลของนายมะยมเป็นเพียงเหตุที่ทำให้นายมะกอกต้องรับเอาข้อกำหนดอันหนักยิ่งกว่าที่นายมะกอกจะยอมรับโดยปกติ คือทำให้นายมะกอกต้องซื้อในราคาที่สูงขึ้น

สัญญาซื้อขายรถมอเตอร์ไซค์ของนายมะกอกจึงถือว่าเป็นการแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเพื่อเหตุ และจะมีผลตามมาตรา 161 คือไม่ทำให้สัญญาซื้อขายดังกล่าวตกเป็นโมฆียะ นายมะกอกจะบอกล้างไม่ไต้แต่มีสิทธิที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจากนายมะยมได้

สรุป

สัญญาซื้อขายรถมอเตอร์ไซค์เกิดจากการที่นายมะกอกแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเพื่อเหตุ และนายมะกอกมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจากนายมะยมได้

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2543 นายกระต่ายได้ทำสัญญากู้เงินจากนายกระทิงเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท มีกำหนดชำระคืนภายใน 15 มีนาคม 2544 เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายกระต่ายไม่นำเงินมาชำระ นายกระทิงได้ติดตามทวงถามด้วยวาจาตลอดมา จนาระทั่งวันที่ 16 มีนาคม 2554

นายกระต่ายได้นำที่ดินมาจำนองเพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงินดังกล่าว และได้นำเงินไปชำระให้แก่นายกระทิงเป็นจำนวน 5,000 บาท แต่หลังจากนั้นนายกระต่ายก็ไม่นำเงินมาชำระให้อีกเลย

นายกระทิงจึงได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 16 มีนาคม 2556 เพื่อให้นายกระต่ายชำระหนี้เงินกู้ นายกระต่ายต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2554 แต่นายกระทิงอ้างว่ายังไม่ขาดอายุความ เพราะมีการรับสภาพความรับผิด ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(1)     ข้อต่อสู้ของนายกระทิงฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

(2)     ถ้านายกระต่ายไม่รู้ว่าการชำระหนี้ไปบางส่วนจำนวน 5,000 บาท นั้นเลยกำหนดอายุความแล้วนายกระต่ายสามารถเรียกคืนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/9 “สิทธิเรียกร้องใด ๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ”

มาตรา 193/10 “สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร่องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง ”

มาตรา 193/28 “การชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องจึงขาดอายุความแล้วนั้น ไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่รู้ว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม

บทบัญญัติในวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับแก่การที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันด้วย แต่จะอ้างความข้อนี้ขึ้นเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้”

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี”

มาตรา 193/35 “ภายใต้บังคับมาตรา 193/27 สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นจากการที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันตามมาตรา 193/28 วรรคสอง ให้มีกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดหรือให้ประกัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกระต่ายได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายกระทิงเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท มีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 15 มีนาคม 2544 เมื่อถึงกำหนดนายกระต่ายไม่น่าเงินมาชำระ อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันรุ่งขึ้นคือวันที่ 16 มีนาคม 2544 และเนื่องจากการกู้ยืมเงินไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำอายุความทั่วไปตามมาตรา 193/30 คือ อายุความ 10 ปีมาใช้บังคับ ดังนั้นกรณีนี้อายุความ 10 ปี จะครบกำหนดในวันที่ 15 มีนาคม 2554 เมื่อนายกระทิงไม่ใช้สิทธิเรียกร้องภายในกำหนด 10ปี สิทธิเรียกร้องของนายกระทิงที่มีต่อนายกระต่ายลูกหนี้ย่อมเป็นอันขาดอายุความ นายกระทิงย่อมไม่สามารถฟ้องร้องบังคับให้นายกระต่ายชำระหนี้แก่ตนได้ และถ้านายกระทิงฟ้องนายกระต่ายให้ชำระหนี้ นายกระต่ายย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้นั้นได้ตามมาตรา 193/9 และมาตรา 193/10

การที่นายกระต่ายได้นำที่ดินมาจำนองเพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงินดังกล่าวและได้นำเงินไปขำระหนี้ให้แก่นายกระทิงเป็นเงินจำนวน 5,000 บาท ในวันที่ 16 มีนาคม 2554 ไม่ถือว่าเป็นกรณีที่นายกระต่ายลูกหนี้รับสภาพหนี้แก่นายกระทิงเจ้าหนี้แต่อย่างใด เพราะกรณีที่จะถือว่าลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) นั้น ต้องเป็นการกระทำก่อนที่สิทธิเรียกร้องนั้นจะขาดอายุความ

ดังนั้น การกระทำของนายกระต่ายจึงเป็นการรับสภาพความรับผิดตามมาตรา 193/28 และเป็นการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้ว

ดังนั้น จากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ จึงวินิจฉัยได้ดังนี้

(1)     เมื่อนายกระต่ายได้รับสภาพความรับผิดโดยการนำที่ดินมาจำนองเพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงินดังกล่าว ซึ่งถือว่าเป็นการรับสภาพความรับผิดโดยสัญญาตามมาตรา 193/28 วรรคสอง และเมื่อการรับสภาพความรับผิดนั้นมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงใช้บังคับได้โดยนายกระทิงสามารถฟ้องให้นายกระต่ายชำระหนี้ได้ แต่จะต้องฟ้องภายในอายุความ 2 ปีนับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดนั้นตามมาตรา 193/28 วรรคสองประกอบมาตรา 193/35 ซึ่งอายุความ 2 ปี จะครบกำหนดในวันที่ 16 มีนาคม 2556 ดังนั้น เมื่อนายกระทิงได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 16 มีนาคม 2556 นายกระต่ายจะต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความแล้วไม่ได้ ข้ออ้างของนายกระทิงที่ว่าคดียังไม่ขาดอายุความจึงฟังขึ้น

(2)     การที่นายกระต่ายได้นำเงินไปชำระให้แก่นายกระทิงจำนวน 5,000 บาท โดยไม่รู้ว่าเลยกำหนดอายุความแล้วนั้น นายกระต่ายจะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนจากนายกระทิงไม่ได้ตามมาตรา 193/28 วรรคแรก ที่ว่า การชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความแล้วนั้น ไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่ทราบว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม เนื่องจากการที่สิทธิเรียกร้องขาดอายุความนั้น มิได้ทำให้หนี้นั้นระงับไปแต่อย่างใด

สรุป

(1) ข้อต่อสู้ของนายกระทิงที่ว่ายังไม่ขาดอายุความเพราะมีการรับสภาพความรับผิดนั้นฟังขึ้น

(2) แม้นายกระต่ายจะไม่รู้ว่าการชำระหนี้ไปบางส่วนจำนวน 5,000 บาทนั้น เลยอายุความแล้ว นายกระต่ายก็ไม่สามารถเรียกคืนได้

 

ข้อ 4. นายเอกทำสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ 15 ปี ไม่จดทะเบียนจากนายโท ครั้นเวลาผ่านไปได้เพียง 1 ปี นับจากทำสัญญาเช่า นายโทได้โอนขายอาคารพาทณิชย์หลังดังกล่าวให้นายตรี โดยนายตรียอมรับข้อผูกพันระหว่างนายเอกและนายโทด้วย เมื่อนายเอกได้รับแจ้งจากนายโทว่านายโทได้ขายอาคารพาณิชย์ให้นายตรีแล้ว นายเอกจึงนำค่าเช่าที่ตกลงชำระให้นายโทเดือนละ 10,000 บาท ไปชำระให้นายตรีแทน แต่กลับถูกนายตรีปฏิเสธเนื่องจากนายเอกและนายตรีไม่ได้มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน และนายตรียังได้เรียกให้นายเอกออกจากอาคารพาณิชย์ มิเช่นนั้นจะใช้สิทธิทางศาลฟ้องขับไล่นายเอกอีกด้วย

ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อกล่าวอ้างของนายตรีรับฟังได้หรือไม่ และนายเอกจะต้องออกจากอาคารพาณิชย์ที่เช่าหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 374 “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกไซร้ ท่านว่าบุคคลภายนอกมีสิทธิจะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้

ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น”

มาตรา 375 “ เมื่อสิทธิของบุคคลภายนอกได้เกิดมีขึ้นตามบทบัญญัติแห่งมาตราก่อนแล้ว คู่สัญญาหาอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่”

วินิจฉัย

ในกรณีที่มีการทำสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก ถ้าบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นตามมาตรา 374 วรรคสองแล้ว สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้น และคู่สัญญาจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังไม่ได้ (มาตรา 375)

ตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกทำสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์จากนายโท และเมื่อผ่านไปได้เพียง 1 ปีนับจากทำสัญญาเช่า นายโทได้โอนขายอาคารพาณิชย์หลังดังกล่าวให้แก่นายตรี โดยที่นายตรีได้ยอมรับข้อผูกพันระหว่างนายเอกและนายโทด้วยนั้น ย่อมถือว่าข้อสัญญาระหว่างนายตรีกับนายโทเป็นข้อสัญญาเพื่อประโยชน์แก่นายเอกซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามมาตรา 374 วรรคแรก

เมื่อนายเอกได้นำค่าเช่าที่ตกลงชำระให้นายโทเดือนละ 10,000 บาท ไปชำระให้นายตรี ย่อมถือว่านายเอกบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาแก่นายตรีว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นแล้ว และให้ถือว่าสิทธิของนายเอกได้เกิดมีขึ้นแล้ว ดังนั้น นายตรีจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิดังกล่าวของนายเอกโดยการขับไล่ให้นายเอกออกจากอาคารพาณิชย์นั้นไม่ได้ตามมาตรา 374 วรรคสอง ประกอบมาตรา 375

สรุป

ข้อกล่าวอ้างของนายตรีที่ว่านายเอกและนายตรีไม่ได้มีนิติสัมพันธ์ต่อกันรับฟังไม่ได้และนายเอกไม่ต้องออกจากอาคารพาณิชย์ที่เช่า

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายหนึ่งต้องการนำภาพวาดสีน้ำมันของตนออกขายทอดตลาด แต่เนื่องจากนายหนึ่งดำเนินการขายทอดตลาดด้วยตนเองไม่ได้ จึงมอบให้นายสองเป็นผู้ดำเนินการขายทอดตลาดแทนตน โดยการขายทอดตลาดซึ่งจัดขึ้นในวันที่ 30 พฤษภาคม 2558 ได้มีผู้เข้าชมการขายทอดตลาดกว่า 50 คน แต่มีผู้เข้าสู้ราคาหรือผู้ประมูลซื้อทรัพย์เพียง 2 คน คือ นายสองและนายสาม โดยนายสองเป็นผู้ให้ราคาสูงที่สุดถึง 100,000 บาท จนนายสองได้รับเลือกให้เป็นผู้ชนะการประมูลซื้อภาพวาดสีน้ำมัน นายสามรู้สึกว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการขายทอดตลาดครั้งนี้ เพราะกฎหมายห้ามไม่ให้นายสองผู้ทอดตลาดเข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดที่นายสองเป็นผู้อำนวยการตาม ป.พ.พ. มาตรา 511 ซึ่งบัญญัติว่า “ท่านห้ามมิให้ผู้ทอดตลาดเข้าสู้ราคา หรือใช้ให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาดซึ่งตนเป็นผู้อำนวยการเอง”

ให้วินิจฉัยว่าการขายทอดตลาดภาพวาดรายนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 150 “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่า ในการตกลงทำนิติกรรมกันนั้น วัตถุประสงค์ของนิติกรรมนั้นจะต้องไม่เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย จะต้องไม่เป็นการพ้นวิสัย และจะต้องไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ถ้านิติกรรมใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสองซึ่งเป็นผู้ดำเนินการขายทอดตลาดได้เข้าสู้ราคาซื้อภาพวาดสีน้ำมันของนายหนึ่งที่ตนเป็นผู้อำนวยการขายนั้น แม้นายสองจะเป็นผู้ให้ราคาสูงที่สุดก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 511 ซึ่งบัญญัติห้ามมิให้ผู้ทอดตลาดเข้าสู้ราคา ดังนั้น การซื้อขายภาพวาดในการขายทอดตลาดรายนี้จึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย จึงตกเป็นโมฆะ ตามมาตรา 150 (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 3062/2538)

สรุป

การขายทอดตลาดภาพวาดรายนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. นายเอกได้ทำสัญญาซื้อรถยนต์ BMW ทะเบียน 1234 กรุงเทพมหานคร ราคา 2,000,000 บาท จากนายโทคันหนึ่ง โดยนายโทรับปากกับนายเอกว่ารถยนต์คันนี้เป็นรถยนต์มือสอง แต่มีสภาพดีไม่เคยเฉี่ยวชน และขับมาแล้วเพียง 3,000 กิโลเมตร หลังจากที่นายเอกซื้อรถยนต์ได้เพียง 2 – 3 วัน นายเอกได้นำรถยนต์เข้าตรวจสภาพจึงทราบว่ารถยนต์ที่ตนซื้อมานั้นได้ขับมาแล้วถึง 40,000 กิโลเมตร

นายเอกรู้สึกหนักใจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งถ้านายเอกได้รู้ความจริงเช่นนี้นายเอกจะไม่ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์คันดังกล่าวเลย

ให้วินิจฉัยว่านายเอกได้แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ที่ได้ซื้อมาหรือไม่ มีผลทางกฎหมายเช่นไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 157 “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินเป็นโมฆียะ

ความสำคัญผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นความสำคัญผิดในคุณสมบัติซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิดดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกได้ทำสัญญาซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากนายโทโดยนายเอกไม่ทราบว่ารถยนต์คันนั้นได้ขับมาแล้วถึง 40,000 กิโลเมตรนั้น ถือได้ว่านายเอกได้แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ซึ่งถือว่าเป็นสาระสำคัญ เพราะถ้านายเอกไม่ได้สำคัญผิดคือทราบความจริงดังกล่าว นายเอกก็คงจะไม่ซื้อรถยนต์คันดังกล่าวเลย ดังนั้น สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างนายเอกและนายโทจึงตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 157 ซึ่งนายเอกสามารถบอกล้างได้ และเมื่อนายเอกได้บอกล้างแล้วสัญญาซื้อขายย่อมตกเป็นโมฆะมาแต่แรก

สรุป

นายเอกได้แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ที่ได้ซื้อมาและสัญญาซื้อขายดังกล่าวตกเป็นโมฆียะ ซึ่งนายเอกสามารถบอกล้างได้

 

ข้อ 3. นายกุ้งและนายปลาได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 1234 โดยทั้งคู่ได้มีข้อตกลงว่าเมื่อนายกุ้งผู้จะซื้อได้ชำระราคาที่ดินให้นายปลาผู้จะขายเป็นจำนวนเงิน 1,000,000 บาทครบถ้วนแล้ว นายปลาจึงจะจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้นายกุ้ง อย่างไรก็ดี นายกุ้งและนายปลาตระหนักดีว่าในการทำสัญญาจะซื้อจะขายครั้งนี้ควรมีการวางมัดจำไว้เพื่อเป็นพยานหลักฐานว่าได้มีสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างนายกุ้งและนายปลาขึ้น อีกทั้งเพื่อเป็นประกันว่าในอนาคตนายกุ้งจะชำระราคาที่ดินให้นายปลาครบถ้วนและนายปลาจะจดทะเบียนโอนที่ดินให้นายกุ้งเช่นกัน

ดังนั้น ในวันที่เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน นายกุ้งผู้จะซื้อจึงได้มอบสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาทพร้อมกับโฉนดที่ดินเลขที่ 5678 ให้นายปลายึดถือไว้เป็นมัดจำ

ภายหลังต่อมาเมื่อนายกุ้งได้นำเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท มาชำระให้นายปลาครบถ้วนแล้ว นายปลากลับปฏิเสธที่จะจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับนายกุ้ง เนื่องจากราคาที่ดินในท้องตลาดสูงขึ้นเป็นอย่างมากด้วยความกลัดกลุ้มใจ นายกุ้งจึงมาขอคำปรึกษาจากท่าน

ท่านในฐานะทนายความจะให้คำปรึกษาแก่นายกุ้งเช่นไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 377 “เมื่อเข้าทำสัญญา ถ้าได้ให้สิ่งใดไว้เป็นมัดจำ ท่านให้ถือว่าการที่ให้มัดจำนั้นย่อมเป็นพยานหลักฐานว่าสัญญานั้นได้ทำกันขึ้นแล้ว อนึ่งมัดจำนี้ย่อมเป็นประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญานั้นด้วย”

มาตรา 378 “มัดจำนั้น ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ท่านให้เป็นไปดังจะกล่าวต่อไปนี้คือ

(3) ให้ส่งคืน ถ้าฝ่ายที่รับมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายนี้ต้องรับผิดชอบ”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว กรณีที่จะเป็นมัดจำตามมาตรา 377 นั้น จะต้องเป็นทรัพย์สินซึ่งได้ให้ไว้ในวันทำสัญญา และมัดจำนั้นอาจเป็นเงินหรือสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีค่าในตัวเองก็ได้ เมื่อสร้อยคอทองคำเป็นสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีค่าในตัวเองจึงส่งมอบให้แก่กันเป็นมัดจำได้ ส่วนโฉนดที่ดินไม่ใช่สังหาริมทรัพย์ซึ่งมีค่าในตัวเอง จึงไม่อาจส่งมอบให้ไว้แก่กันเพื่อเป็นมัดจำได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกุ้งได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับนายปลาและในวันทำสัญญานายกุ้งผู้จะซื้อได้มอบสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท ให้แก่นายปลา โดยตกลงกันว่าในอนาคตนายกุ้งจะชำระราคาที่ดินให้นายปลาครบถ้วน และนายปลาจะจดทะเบียนโอนที่ดินให้นายกุ้งเช่นกันนั้น ถือว่าสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท ซึ่งได้ให้ไว้ในวันทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินย่อมเป็นมัดจำตามมาตรา 377 ภายหลังต่อมาเมื่อนายกุ้งได้นำเงินสดจำนวน 1,000,000 บาท มาชำระให้นายปลา แต่นายปลากลับปฏิเสธที่จะจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับนายกุ้ง ย่อมถือว่านายปลาฝ่ายที่รับมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ นายปลาจึงต้องส่งสร้อยคอทองคำที่ได้รับไว้คืนให้แก่นายกุ้งตามมาตรา 378 (3)

ส่วนโฉนดที่ดินซึ่งมิใช่มัดจำตามมาตรา 377 นายปลาก็ต้องส่งมอบคืนให้แก่นายกุ้งเช่นเดียวกัน

สรุป

ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่นายกุ้งดังที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 4. นายเอทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับนายบีในราคา 2,000,000 บาท โดยในวันทำสัญญานายเอและนายบีได้ทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นายเอได้ส่งมอบที่ดินให้นายบีในวันเดียวกัน นอกจากนี้นายบียังได้ชำระเงินค่าที่ดินจำนวน 1,000,000 บาท ให้นายเอด้วย ส่วนเงินที่เหลืออีก 1,000,000 บาท จะชำระภายใน 6 เดือน เมื่อผ่านไปได้ 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญา นายบีถูกให้ออกจากงานทำให้นายบีไม่สามารถชำระเงินที่เหลือภายในกำหนดได้ นายเอจึงได้ทำหนังสือทวงถามให้นายบีนำเงินส่วนที่เหลือมาชำระภายใน 7 วัน นับแต่ได้รับหนังสือฉบับนี้ มิเช่นนั้นนายเอจะบอกเลิกสัญญาขายที่ดิน หลังจากนายบีได้รับหนังสือกว่า 7 วัน นายบีก็ยังไม่ได้นำเงินมาชำระให้แก่นายเอ

ให้วินิจฉัยว่า นายเอจะบอกเลิกสัญญาซื้อขายที่ดินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 387 “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ อีกฝ่ายหนึ่งจะกำหนดระยะเวลาพอสมควรแล้วบอกกล่าวให้ฝ่ายนั้นชำระหนี้ภายในระยะเวลานั้นก็ได้ ถ้าและฝ่ายนั้นไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ไซร้อีกฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาเสียก็ได้”

มาตรา 391 วรรคแรก “เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม แต่ทั้งนี้จะให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของบุคคลภายนอกหาได้ไม่”

วินิจฉัย

การบอกเลิกสัญญาในกรณีที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ตามมาตรา 387 นั้น นอกจากเจ้าหนี้จะบอกกล่าวเตือนให้ลูกหนี้ชำระหนี้ก่อนแล้ว เจ้าหนี้จะแสดงเจตนารวมไปด้วยทีเดียวก็ได้ว่า ถ้าไม่ชำระหนี้ภายในเวลาที่กำหนดให้ตามที่บอกกล่าวก็ให้ถือว่าเป็นอันเลิกสัญญาทันที โดยไม่จำเป็นที่เจ้าหนี้จะต้องแสดงเจตนาเลิกสัญญาไปอีกครั้งหนึ่งเมื่อครบกำหนดเวลาที่กำหนดให้นั้นแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับนายบีโดยได้ทำสัญญาเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น แม้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ซื้อขายกันจะได้โอนไปยังนายบีผู้ซื้อแล้วก็ตาม

แต่เมื่อนายบีผู้ซื้อยังชำระราคาให้แก่นายเอผู้ขายไม่ครบถ้วน จึงเป็นกรณีที่นายบีซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ให้แก่นายเอซึ่งเป็นคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง และการที่นายบีไม่ชำระหนี้เพราะถูกออกจากงานนั้นก็มิใช่เหตุที่จะอ้างตามกฎหมายเพื่อไม่ชำระหนี้แต่อย่างใด

ดังนั้น นายเอจึงมีสิทธิกำหนดระยะเวลาพอสมควรแล้วบอกกล่าวให้นายบีชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือให้นายเอภายในกำหนดระยะเวลานั้นได้ตามมาตรา 387 และเมื่อนายเอได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว นายเอย่อมมีสิทธิเรียกที่ดินคืนจากนายบีได้ตามมาตรา 391 วรรคแรก (คำพิพากษาฎีกาที่ 3601/2538)

การที่นายเอได้มีหนังสือแจ้งให้นายบีนำเงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือมาชำระภายใน 7 วันนับแต่ได้รับหนังสือนั้น ถือได้ว่าเป็นการบอกกล่าวแก่นายบีแล้ว เมื่อนายบีไม่ชำระราคาภายในกำหนด นายเอย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขายดังกล่าวได้ และการที่นายเอได้แจ้งแก่นายบีด้วยว่า หากนายบีไม่ชำระเงินให้นายเอภายในกำหนดก็ขอบอกเลิกสัญญานั้น ถือได้ว่านายเอได้แสดงเจตนาเลิกสัญญาต่อนายบีแล้ว

ดังนั้น สัญญาซื้อขายจึงเป็นอันเลิกกันโดยนายเอไม่จำต้องบอกเลิกสัญญาแก่นายบีอีก (เทียบคำพิพากษาฎีกาที 2331/2522)

สรุป

นายเอไม่จำต้องบอกเลิกสัญญาซื้อขายที่ดินอีก เพราะสัญญาซื้อขายดังกล่าวเป็นอันเลิกกันแล้วตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ขณะที่นายเอกและนายโททำสัญญาซื้อขายที่ดิน น.ส.3 ไม่มีกฎหมายกำหนดห้ามนายเอกผู้ทรงสิทธิในที่ดินจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินให้ผู้อื่น ต่อมาหลังจากที่ทำสัญญากันแล้ว ทางราชการได้ออกกฎหมายห้ามไม่ให้โอนที่ดินแปลงดังกล่าว

ให้ท่านวินิจฉัยว่า สัญญาซื้อขายที่ดินที่นายเอกและนายโททำขึ้น มีวัตถุประสงค์ที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 150 “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

การทำนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย และมีผลทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 150 นั้น จะต้องเป็นการทำนิติกรรมในขณะที่มีกฎหมายห้ามไม่ให้กระทำการดังกล่าวด้วย ถ้าในขณะที่ทำนิติกรรมไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไว้แต่อย่างใด แม้ในภายหลังจะมีกฎหมายบัญญัติห้ามไม่ให้กระทำก็ไม่ทำให้การกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายตอนแรกกลับเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายในภายหลังแต่อย่างใด

ตามอุทาหรณ์ ในขณะที่นายเอกและนายโทได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดิน น.ส.3 นั้น ไม่มีกฎหมายกำหนดห้ามนายเอกผู้ทรงสิทธิในที่ดินจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินให้แก่ผู้อื่น ย่อมถือว่าสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายเอกและนายโทนั้น มีวัตถุประสงค์ที่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ต่อมาหลังจากที่ทำสัญญากันแล้วทางราชการจะได้ออกกฎหมายห้ามมิให้โอนที่ดินแปลงดังกล่าว ก็ไม่ทำให้สัญญาซื้อขายที่ดินนั้นเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ไม่ชอบด้วยกฎหมายและตกเป็นโมฆะแต่อย่างใด

สรุป

สัญญาซื้อขายที่ดินที่นายเอกและนายโททำขึ้นนั้น มีวัตถุประสงค์ที่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. นายหนึ่งไม่มีเจตนาทำพินัยกรรม แต่ถูกนายสองหลอกให้ลงลายพิมพ์นิ้วมือในพินัยกรรม ขณะนอนป่วยอยู่ในโรงพยาบาลโดยบอกว่าเป็นหนังสือมอบอำนาจขอรับเงินเวนคืนที่ดินซึ่งเป็นนิติกรรมที่นายหนึ่งมีเจตนาจะทำอย่างหนึ่งอยู่แล้ว

ให้ท่านวินิจฉัยว่า พินัยกรรมที่นายหนึ่งทำขึ้นมีผลทางกฎหมายเช่นไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 156 “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ

ความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ความสำคัญผิดในตัวของบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และความสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม เป็นต้น”

วินิจฉัย

ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรมตามมาตรา 156 นั้น หมายถึง การที่ผู้แสดงเจตนามีความประสงค์ต้องการที่จะกระทำนิติกรรมลักษณะหนึ่ง แต่ได้ไปทำนิติกรรมอีกลักษณะหนึ่งเพราะการเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนิติกรรมที่ตนต้องการกระทำ และความสำคัญผิดดังกล่าวย่อมมีผลทำให้นิติกรรมที่เกิดขึ้นเป็นโมฆะ

ตามอุทาหรณ์ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่านายหนึ่งมีเจตนาที่จะทำหนังสือมอบอำนาจขอรับเงินเวนคืนที่ดินอยู่แล้วก็ตาม แต่การที่นายหนึ่งได้ถูกนายสองหลอกให้ลงลายพิมพ์นิ้วมือในพินัยกรรม ซึ่งเป็นนิติกรรมอีกลักษณะหนึ่ง ทำให้นายหนึ่งหลงเชื่อและได้แสดงเจตนาโดยการลงลายพิมพ์นิ้วมือไปในพินัยกรรมนั้น ย่อมถือได้ว่านายหนึ่งได้แสดงเจตนาเพราะความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ดังนั้น พินัยกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 156

สรุป

พินัยกรรมที่นายหนึ่งทำขึ้นนั้นมีผลเป็นโมฆะ

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2543 นายแล่มได้ทำสัญญากู้เงินจากนายแช่มจำนวน 500,000 บาท มีกำหนดชำระคืนภายใน 25 สิงหาคม 2544 เมื่อหนี้ถึงกำหนด นายแล่มไม่นำเงินมาชำระ นายแช่มได้ติดตามทวงถามด้วยวาจาตลอดมาจนกระทั่งวันที่ 26 สิงหาคม 2554 นายแล่มได้นำเงินไปชำระให้แก่นายแช่มเป็นเงินจำนวน 50,000 บาท แต่หลังจากนั้นนายแล่มก็ไม่นำเงินมาชำระให้อีกเลย นายแช่มจึงได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 25 สิงหาคม 2555 นายแล่มต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความตั้งแต่วันที่ 25 สิงหาคม 2554 แต่นายแช่มอ้างว่ายังไม่ขาดอายุความ เพราะอายุความสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2554 เนื่องจากมีการนำเงินมาชำระให้บางส่วน

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายแล่มฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/3 วรรคสอง “ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นวัน สัปดาห์ เดือนหรือปี มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน เว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาที่ถือได้ว่าเป็นเวลาเริ่มต้นทำการงานกันตามประเพณี”

มาตรา 193/5 วรรคสอง “ถ้าระยะเวลามิได้กำหนดนับแต่วันต้นแห่งสัปดาห์ วันต้นแห่งเดือนหรือปี ระยะเวลาย่อมสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งสัปดาห์ เดือน หรือปีสุดท้าย อันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลานั้น ถ้าในระยะเวลานับเป็นเดือนหรือปีนั้นไม่มีวันตรงกันในเดือนสุดท้าย ให้ถือเอาวันสุดท้ายแห่งเดือนนั้นเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลา ”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง โดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ยให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง”

มาตรา 193/15 “เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ

เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น”

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายแล่มได้ทำสัญญากู้เงินจากนายแช่มเป็นเงินจำนวน 500,000 บาท โดยมีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 25 สิงหาคม 2544 เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายแล่มไม่น่าเงินมาชำระ อายุความจึงเริ่มต้นนับตั้งแต่วันรุ่งขึ้นคือวันที่ 26 สิงหาคม 2544 และเนื่องจากการกู้ยืมเงินไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำอายุความทั่วไปตามมาตรา 193/30 คืออายุความ 10 ปีมาใช้บังคับ

ดังนั้นกรณีนี้อายุความ 10 ปีจะครบกำหนดในวันที่ 25 สิงหาคม 2554 และแม้ข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่ 26 สิงหาคม 2554 นายแล่มได้นำเงินไปชำระให้แก่นายแช่มเป็นเงินจำนวน 50,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นการชำระหนี้บางส่วนก็ตาม แต่เมื่อเป็นการขำระหนี้เมื่อเลยกำหนดอายุความเดิมมาแล้ว กรณีจึงไม่ถือว่าเป็นเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) แต่อย่างใด

ดังนั้นเมื่อนายแช่มนำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 25 สิงหาคม 2555 จึงเป็นการฟ้องเมื่อเลยกำหนดอายุความแล้ว นายแล่มย่อมมีสิทธิยกเอาอายุความขึ้นต่อสู้นายแช่มได้

สรุป

ข้อต่อสู้ของนายแล่มที่ว่าคดีขาดอายุความแล้ว ฟังขึ้น

 

ข้อ 4. นายหวานจดทะเบียนหย่ากับนางจืด โดยนายหวานทำบันทึกข้อตกลงกับนางจืดว่าจะยอมแบ่งที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหนึ่งให้แก่เด็กชายปื๊ดและเด็กหญิงฟ้า ซึ่งเป็นบุตรคนละส่วนเท่า ๆ กัน โดยนายหวานจะดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินให้เป็นไปตามสัญญา เมื่อเด็กชายปื๊ดและเด็กหญิงฟ้าอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ ต่อมาภายหลังจากที่เด็กหญิงฟ้ามีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ นายหวานก็ยังไม่ได้ดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินให้แก่เด็กหญิงฟ้าแต่อย่างใด เนื่องจากเด็กหญิงฟ้าติดยาเสพติดและการพนัน ด้วยเหตุนี้ นายหวานกับนางจืดจึงทำบันทึกข้อตกลงใหม่ โดยให้ที่ดินส่วนที่ตกลงแบ่งให้เด็กหญิงฟ้าไว้เดิม ไปให้แก่เด็กชายปื๊ดบุตรชายแทน

ให้ท่านวินิจฉัยว่า เด็กหญิงฟ้าจะฟ้องบังคับให้นายหวานจดทะเบียนโอนที่ดินให้ตนตามบันทึกฉบับแรกได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 374 “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกไซร้ ท่านว่าบุคคลภายนอกมีสิทธิจะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้

ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น”

มาตรา 375 “เมื่อสิทธิของบุคคลภายนอกได้เกิดมีขึ้นตามบทบัญญัติแห่งมาตราก่อนแล้วคู่สัญญาหาอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่”

วินิจฉัย

ในกรณีที่มีการทำสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก ถ้าบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นตามมาตรา 374 วรรคสองแล้ว สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้น และคู่สัญญาจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังไม่ได้ (มาตรา 375)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหวานจดทะเบียนหย่ากับนางจืด โดยนายหวานได้ทำบันทึกข้อตกลงกับนางจืดว่าจะยอมแบ่งที่ดินมีโฉนดของตนแปลงหนึ่งให้แก่เด็กชายปื๊ดและเด็กหญิงฟ้า เมื่อเด็กชายปื๊ดและเด็กหญิงฟ้าอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์นั้น บันทึกข้อตกลงระหว่างนายหวานกับนางจืดดังกล่าวถือว่าเป็นสัญญาที่คู่สัญญาตกลงจะชำระหนี้ตามสัญญาให้แก่เด็กหญิงฟ้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามมาตรา 374 วรรคแรก

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่อเด็กหญิงฟ้ามีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว เด็กหญิงฟ้ายังไม่ได้บอกกล่าวไปยังนายหวานให้โอนที่ดินให้ตน สิทธิของเด็กหญิงฟ้าที่จะเรียกให้นายหวานชำระหนี้ตามสัญญาจึงยังไม่ได้เกิดมีขึ้น เนื่องจากเด็กหญิงฟ้ายังไม่ได้แสดงเจตนาแก่นายหวานว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น (มาตรา 374 วรรคสอง) ดังนั้น นายหวานและนางจืดจึงสามารถทำบันทึกข้อตกลงใหม่เพื่อเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิของ

เด็กหญิงฟ้าในภายหลังได้ตามมาตรา 375 และเมื่อนายหวานกับนางจืดได้ทำบันทึกข้อตกลงใหม่ โดยให้ที่ดินส่วนที่ตกลงแบ่งให้เด็กหญิงฟ้าไว้เดิม ไปให้แก่เด็กชายปื๊ดบุตรชายแทน เด็กหญิงฟ้าจึงไม่สามารถที่จะฟ้องบังคับให้นายหวานจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่ตนตามบันทึกฉบับแรกได้

สรุป

เด็กหญิงฟ้าจะฟ้องบังคับให้นายหวานจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่ตนตามบันทึกฉบับแรกไม่ได้

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายมานะ อายุ 18 ปี ซื้อรถจักรยานยนต์คับหนึ่งจากร้านนางมานี ราคา 18,000 บาท โดยไม่ได้บอกให้นางชูใจมารดารู้ หลังจากซื้อรถจักรยานยนต์มาได้ 7 วัน นางชูใจรู้เรื่องจึงแสดงเจตนาบอกล้างสัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ โดยนางชูใจทำหนังสือบอกล้างสัญญาซื้อขายดังกล่าว แล้วมอบให้นายมีนาถือไปส่งให้นางมานีที่ร้านของนางมานี แต่ปรากฏว่านางมานีไม่อยู่ นายมีนาจึงได้ส่งหนังสือบอกล้างสัญญาซื้อขายนั้นให้ไว้แก่นางเมษาเจ้าของร้านค้าซึ่งอยู่ติดกันร้านของนางมานีรับไว้แทน

ดังนี้ การแสดงเจตนาของนางชูใจที่บอกล้างสัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ระหว่างนายมานะและนางมานี มีผลสมบูรณ์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 169 วรรคแรก “การแสดงเจตนาที่กระทำต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า ให้ถือว่ามีผลนับแต่เวลาที่การแสดงเจตนานั้นไปถึงผู้รับการแสดงเจตนา…”

วินิจฉัย

ตาม ป.พ.พ. มาตรา 169 วรรคแรก ซึ่งบัญญัติว่า การแสดงเจตนาที่กระทำต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า จะมีผลสมบูรณ์นับตั้งแต่ที่การแสดงเจตนานั้นได้ไปถึงผู้รับการแสดงเจตนานั้น คำว่า “ไปถึง” ในที่นี้หมายความว่า การแสดงเจตนานั้นได้ถูกส่งไปอยู่ในเงื้อมมือของผู้รับการแสดงเจตนาแล้ว โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้รับการแสดงเจตนานั้นจะได้ทราบถึงการแสดงเจตนานั้นหรือไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางชูใจทำหนังสือบอกล้างสัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ระหว่างนายมานะกับนางมานี แล้วมอบให้นายมีนาถือไปส่งให้นางมานีที่ร้านของนางมานี แต่ปรากฏว่านางมานีไม่อยู่และนายมีนาได้ส่งหนังสือบอกล้างสัญญาซื้อขายดังกล่าวให้ไว้แก่นางเมษาเจ้าของร้านค้าซึ่งอยู่ติดกับร้านของนางมานีรับไว้แทนนั้น กรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาที่กระทำต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า เมื่อหนังสือบอกล้างสัญญาซื้อขายดังกล่าวยังไม่ไปอยู่ในเงื้อมมือของนางมานี จึงยังถือไม่ได้ว่าการแสดงเจตนาของนางชูใจได้ไปถึงนางมานี ดังนั้น การแสดงเจตนาของนางชูใจที่บอกล้างสัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ระหว่างนายมานะกับนางมานีจึงยังไม่มีผลสมบูรณ์

สรุป

การแสดงเจตนาของนางชูใจที่บอกล้างสัญญาซื้อขายรถจักรยานยนต์ระหว่างนายมานะกับนางมานียังไม่สมบูรณ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 169 วรรคแรก

 

ข้อ 2. นายส้มโอทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินให้กับนายแตงโมแปลงหนึ่ง โดยตกลงกันว่าเมื่อนายแตงโมชำระราคาที่ดินให้นายส้มโอครบถ้วนแล้วภายใน 30 วันนับจากวันทำสัญญาจะซื้อจะขาย นายส้มโอจึงจะจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับนายแตงโม ครั้นครบกำหนดนัดที่นายแตงโมจะต้องชำระราคาที่ดินให้แก่นายส้มโอ นายแตงโมกลับหลีกเลี่ยงที่จะชำระเงิน นายส้มโอจึงมาระบายความทุกข์ให้นายมะละกอซึ่งเป็นนักเลงหัวไม้ฟัง นายมะละกอได้ยินดังนี้ จึงไปหานายแตงโมแล้วพูดว่า ถ้านายแตงโมไม่ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับนายส้มโอ นายส้มโอก็จะไม่จดทะเบียนโอนที่ดินให้

ด้วยความกลัวนายแตงโมจึงทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้แก่นายส้มโอให้ท่านวินิจฉัยว่า หนังสือรับสภาพหนี้ที่นายแตงโมทำขึ้นมีผลทางกฎหมายเช่นไร

ธงคำตอบ

หลักกูฏหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 164 “การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่เป็นโมฆียะ

การข่มขู่ที่จะทำให้การใดตกเป็นโมฆียะนั้น จะต้องเป็นการข่มขู่ที่จะให้เกิดภัยอันใกล้จะถึงและร้ายแรงถึงขนาดที่จะจูงใจให้ผู้ถูกข่มขู่มีมูลต้องกลัว ซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่เช่นนั้น การนั้นก็คงจะมิได้กระทำขึ้น”

มาตรา 165 วรรคแรก “การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยมไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่”

มาตรา 166 “การข่มขู่ย่อมทำให้การแสดงเจตนาเป็นโมฆียะ แม้บุคคลภายนอกจะเป็นผู้ข่มขู่”

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ว่าโดยหลักแล้ว การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่ หมายความว่าเป็นการใช้อำนาจบังคับจิตใจของบุคคล เพื่อให้เขาเกิดความกลัวแล้วแสดงเจตนาทำนิติกรรมออกมาตามที่ผู้ข่มขู่ต้องการ การแสดงเจตนานั้นย่อมตกเป็นโมฆียะ และการข่มขู่นั้นย่อมทำการแสดงเจตนาตกเป็นโมฆียะ แม้จะเป็นการข่มขู่โดยบุคคลภายนอก (มาตรา 164 และมาตรา 166) แต่ก็มีข้อยกเว้นว่า ถ้าเป็นการข่มขู่โดยชอบด้วยกฎหมายแล้วย่อมทำได้ ไม่ตกเป็นโมฆียะ เช่น การขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยมตามมาตรา 165 วรรคแรก เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายส้มโอทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินให้กับนายแตงโม โดยตกลงกันว่าเมื่อนายแตงโมชำระราคาที่ดินให้นายส้มโอครบถ้วนแล้วภายใน 30 วัน นับจากวันทำสัญญาจะซื้อจะขาย นายส้มโอจึงจะจดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับนายแตงโม แต่เมื่อครบกำหนดนายแตงโมกลับหลีกเลี่ยงที่จะชำระเงินทำให้นายมะละกอซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ไปพูดขู่กับนายแตงโมว่า ถ้านายแตงโมไม่ทำหนังสือรับสภาพหนี้กับนายส้มโอ นายส้มโอก็จะไม่จดทะเบียนโอนที่ดินให้ และด้วยความกลัวนายแตงโมจึงได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้แก่นายส้มโอนั้น กรณีเช่นนี้ จะเห็นได้ว่า แม้การแสดงเจตนาเข้าทำนิติกรรมของนายแตงโมคือการทำหนังสือรับสภาพหนี้นั้น เป็นเพราะถูกบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่สัญญาข่มขู่ซึ่งโดยหลักแล้วจะตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 164ประกอบมาตรา 166 ก็ตาม

แต่เมื่อการขู่ของนายมะละกอบุคคลภายนอกนั้น เป็นการขู่ว่าจะใช้สิทธิตามปกตินิยมตามมาตรา 165 วรรคแรก ซึ่งเป็นการใช้สิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นการขู่ของนายมะละกอบุคคลภายนอกจึงไม่ถือว่าเป็นการข่มขู่อันจะทำให้การแสดงเจตนาเข้าทำหนังสือรับสภาพหนี้ของนายแตงโมเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

สรุป

หนังสือรับสภาพหนี้ที่นายแตงโมทำขึ้นมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะ

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2553 นายหมอกได้ไปซื้ออุปกรณ์ก่อสร้างจากร้านของนายหมึกมาเพื่อซ่อมแซมและต่อเติมบ้าน เป็นจำนวนเงินสองแสนบาท แต่นายหมอกยังไม่ได้ชำระราคาค่าอุปกรณ์ก่อสร้างโดยนัดจะมาชำระราคาให้กับนายหมึกในวันที่ 25 สิงหาคม 2553 ครั้นเมื่อถึงกำหนดนายหมอกก็มิได้นำเงินมาชำระแต่อย่างใด นายหมึกติดตามทวงถามด้วยวาจาตลอดมา จนกระทั่งวันที่ 26 สิงหาคม 2555 นายหมอกนำเงินมาชำระให้บางส่วนเป็นเงินห้าหมื่นบาท ส่วนที่เหลือจะนำมาชำระให้ในวันที่ 15 กันยายน 2555 แต่เมื่อถึงกำหนดนายหมอกก็มิได้นำเงินมาชำระอีก นายหมึกจึงนำคดีมาฟ้องร้องต่อศาลในวันที่ 15 กันยายน 2556 นายหมอกต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความแล้ว นายหมึกอ้างว่าคดียังไม่ขาดอายุความ เพราะอายุความสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2555

อยากทราบว่าข้ออ้างของนายหมึกฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

หมายเหตุ มาตรา 193/34 “สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความสองปี

(1) ผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรม ผู้ประกอบหัตถกรรม ผู้ประกอบศิลปะอุตสาหกรรมหรือช่างฝีมือเรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบ ค่าการงานที่ได้ทำ หรือค่าดูแลกิจการของผู้อิน รวมทั้งเงินที่ได้ออกทดรองไป เว้นแต่เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง”

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/3 “ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นหน่วยเวลาที่สั้นกว่าวัน ให้เริ่มต้นนับในขณะที่เริ่มการนั้น

ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นวัน สัปดาห์ เดือนหรือปี มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน เว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาที่ถือได้ว่าเป็นเวลาเริ่มต้นทำการงานกันตามประเพณี”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ยให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง”

มาตรา 193/15 “เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ

เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายหมอกได้ซื้ออุปกรณ์ก่อสร้างจากร้านของนายหมึกเป็นจำนวนเงิน 200,000บาท โดยมีกำหนดชำระราคาในวันที่ 25 สิงหาคม 2553 แต่เมื่อถึงกำหนดนายหมอกก็มิได้นำเงินมาชำระแต่อย่างใด ดังนั้นกรณีนี้อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันรุ่งขึ้นคือวันที่ 26 สิงหาคม 2553 (มาตรา 193/3 วรรคสอง)

และเนื่องจากสิทธิเรียกร้องดังกล่าวตามมาตรา 193/34 (1) ได้กำหนดให้มีอายุความ 2 ปี ดังนั้นกรณีนี้อายุความ 2 ปีจะครบกำหนดในวันที่ 25 สิงหาคม 2555

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในวันที่ 26 สิงหาคม 2555 นายหมอกนำเงินมาชำระให้บางส่วนเป็นเงิน 50,000 บาท ซึ่งการชำระหนี้บางส่วนดังกล่าวนั้นเป็นการชำระหนี้เมื่อเลยกำหนดอายุความเดิมมาแล้ว

จึงไม่ถือว่าเป็นเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) แต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อนายหมึกนำคดีมาฟ้องร้องต่อศาลในวันที่ 15 กันยายน 2555โดยอ้างว่าคดียังไม่ขาดอายุความ เพราะอายุความสะดุดหยุดลง

ตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2555 นั้น ข้ออ้างของนายหมึกจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป

ข้ออ้างของนายหมึกที่ว่าคดียังไม่ขาดอายุความ เพราะอายุความสะดุดหยุดลงแล้วนั้นฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 4. นายกุ้งน้อยทำสัญญาจ้างนายไข่ย้อยก่อสร้างบ้านให้ตนหนึ่งหลังราคา 5 ล้านบาทถ้วน โดยสัญญาก่อสร้างบ้านได้ตกลงให้มีเบี้ยปรับกันไว้ว่าถ้านายไข่ย้อยไม่สร้างบ้านให้สำเร็จจะไปหาช่างคนอื่นมาสร้างให้แทน ต่อมาปรากฎว่านายไข่ย้อยไม่มาสร้างบ้านให้สำเร็จ นายไข่ย้อยจึงต้องไปหานายควายนุ้ยมาสร้างบ้านให้แทน แต่ทว่านายควายนุ้ยคิดราคาค่าก่อสร้าง 6 ล้านบาทถ้วน นายกุ้งน้อยต้องการรีบสร้างบ้านให้เสร็จจึงต้องยอมตกลงด้วย และรู้สึกโกรธที่นายไข่ย้อยไม่รักษาสัญญา จึงมาปรึกษากับท่านเพื่อจะฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการที่นายไขย้อยไม่ก่อสร้างบ้านให้ตามสัญญา แต่ไปให้นายควายนุ้ยก่อสร้างบ้านให้แทนโดยคิดราคา 6 ล้านบาทถ้วน ทำให้นายกุ้งน้อยเสียหายต้องจ่ายค่าก่อสร้างเพิ่มอีก 1 ล้านบาทถ้วน ท่านจะให้คำแนะนำทางกฎหมายแก่นายกุ้งน้อยว่าอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งเละพาณิชย์

มาดรา 382 ‘‘ถ้าสัญญาว่าจะทำการชำระหนี้อย่างอื่นให้เป็นเบี้ยปรับไม่ใช่ใช้เป็นจำนวนเงินไซร้ ท่านให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 379 ถึงมาตรา 381 มาใช้บังคับ ถ้าเจ้าหนี้เรียกเอาเบี้ยปรับแล้ว สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนก็เป็นอันขาดไป ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกุ้งน้อยทำสัญญาจ้างนายไข่ย้อยก่อสร้างบ้านให้ตนหนึ่งหลังราคา 5 ล้านบาทถ้วน โดยในสัญญาได้มีข้อตกลงให้มีเบี้ยปรับกันไว้ว่า ถ้านายไข่ย้อยไม่สร้างบ้านให้สำเร็จจะไปหาช่างคนอื่นมาสร้างให้แทนนั้น ถือว่าเป็นสัญญาว่าจะทำการชำระหนี้อย่างอื่นให้เป็นเบี้ยปรับ ที่ไม่ใช่ใช้เป็นจำนวนเงินตามมาตรา 382

และเมื่อปรากฏว่านายไข่ย้อยไม่มาสร้างบ้านให้สำเร็จ นายไข่ย้อยจึงต้องไปหานายควายนุ้ยมาสร้างบ้านให้แทนโดยนายควายนุ้ยคิดราคาค่าก่อสร้าง 6 ล้านบาทถ้วน และนายกุ้งน้อยยอมตกลงนั้น ถือว่าการที่นายกุ้งน้อยตกลงให้นายควายนุ้ยมาสร้างบ้านแทนนายไข่ย้อยจึงเป็นการเรียกเอาเบี้ยปรับแล้ว สิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนก็เป็นอันขาดไปตามมาตรา 382 ดังนั้น นายกุ้งน้อยจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินค่าสร้างบ้านเพิ่มอีก 1 ล้านบาทถ้วน ที่ต้องจ่ายเพิ่มให้นายควายนุ้ยจากนายไข่ย้อยได้อีก

สรุป

เมื่อนายกุ้งน้อยมาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำทางกฎหมายแก่นายกุ้งน้อยดังที่ได้กล่าวไว้ดังกล่าวข้างต้น

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเป็ดอายุย่างเข้าปีที่ 25 ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเป็นเหตุให้ขาและแขนของนายเป็ดขาดทั้งสองข้าง นางไก่มารดาของนายเป็ดเห็นว่านายเป็ดไม่สามารถจัดทำการงานได้ด้วยตนเอง จึงร้องขอต่อศาลสั่งให้นายเป็ดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ศาลพิจารณาจากพยานหลักฐานที่ปรากฏจึงสั่งให้นายเป็ดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และตั้งให้นางไก่เป็นผู้พิทักษ์

ต่อมาภายหลังนายเป็ดได้นำรถยนต์ของตนออกให้นายหมูเช่าเป็นระยะเวลา 3 เดือน อีกทั้งนำที่ดินของตนให้นายเต่าเช่าเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยนางไก่ไม่ได้รู้เห็นยินยอมแต่อย่างใด ให้วินิจฉัยว่า การให้เช่ารถยนต์และที่ดินซึ่งนายเป็ดทำขึ้นนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(5) เช่าหรือให้เช่าสังหาริมทรัพย์มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่า 6 เดือน หรืออสังหาริมทรัพย์มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่า 3 ปี

การใดกระทำลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ’’

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว เมื่อศาลได้สั่งให้บุคคลใดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ และได้จัดให้อยู่ในความพิทักษ์ของผู้พิทักษ์ตามมาตรา 32 แล้ว แม้คนเสมือนไร้ความสามารถยังมีความสามารถในการทำนิติกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเองได้ก็ตาม แต่ในกรณีที่เป็นนิติกรรมตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การเช่า หรือให้เช่าสังหาริมทรัพย์มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่า 6 เดือน หรืออสังหาริมทรัพย์มีกำหนดระยะเวลาเกินกว่า 3 ปี ตามมาตรา 34 (5) แล้ว คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำก็ต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ (ตามมาตรา 34 วรรคท้าย)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเป็ดซึ่งเป็นบุคคลที่ศาลได้สั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถได้นำที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ออกให้นายเต่าเช่ามีกำหนดระยะเวลา 5 ปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เกินกว่า 3 ปี โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางไก่ผู้พิทักษ์นั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 34 (5) ดังนันสัญญาเช่าที่ดินระหว่างนายเป็ดและนายเต่าจึงตกเป็นโมฆียะ

ส่วนการที่นายเป็ดได้นำรถยนต์ออกให้นายหมูเช่าเพียง 3 เดือนนั้น เมื่อรถยนต์เป็นสังหาริมทรัพย์และการให้เช่าก็มีระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน ดังนี้แม้สัญญาเช่าดังกล่าวจะไม่ได้รับความยินยอมจากนางไก่ผู้พิทักษ์ ก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 34 (5) แต่อย่างใด ดังนั้นสัญญาเช่ารถยนต์ระหว่างนายเป็ดและนายหมูจึงสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้

สรุป

การให้เช่ารถยนต์ซึ่งนายเป็ดทำขึ้นชอบด้วยกฎหมายและมีผลสมบูรณ์ ส่วนการให้เช่าที่ดินซึ่งนายเป็ดทำขึ้นไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีผลเป็นโมฆียะ

 

ข้อ 2. ด้วยความรักอันหวานชื่นของสมศักดิ์และสมหญิง เป็นเหตุให้ทั้งคู่ตกลงที่จะจดทะเบียนสมรสและใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปได้เพียง 3 ปี สมศักดิ์และสมหญิงกลับจดทะเบียนหย่ากันเพื่อประโยชน์ในการเสียภาษี โดยทั้งคู่ยังคงอยู่กินและอุปการะเลี้ยงดูกันเหมือนไม่ได้หย่าขาดจากกันเลย

ให้วินิจฉัยว่า การจดทะเบียนหย่าของสมศักดิ์และสมหญิงทำให้การสมรสสิ้นสุดลงหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 155 วรรคแรก “การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้”

วินิจฉัย

คำว่า “การแสดงเจตนาลวง” นั้น หมายถึง การที่คู่กรณีสองฝ่ายได้สมรู้ร่วมคิดกันทำนิติกรรมขึ้นมา แต่ไม่ต้องการให้มีผลผูกพันบังคับกันตามกฎหมาย ดังนั้นนิติกรรมซึ่งเกิดขึ้นจากการแสดงเจตนาลวงดังกล่าว จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 155 วรรคแรก และจะไม่ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์หรือความผูกพันในทางกฎหมายขึ้นระหว่างคู่กรณีแต่อย่างใด

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สมศักดิ์ได้จดทะเบียนหย่ากับสมหญิงโดยที่ความจริงทั้งสองฝ่ายมิได้มีเจตนาหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันแต่อย่างใด แต่ที่ทำไปก็เพี่อลวงผู้อื่นเกี่ยวกับประโยชน์ในการเสียภาษีนั้น

ถือได้ว่าการจดทะเบียนหย่าของทั้งสองเป็นเพียงการแสดงเจตนาลวงโดยการสมรู้กันระหว่างคู่กรณีที่ไม่ต้องการให้มีผลผูกพันกันตามเจตนาที่แสดงออกมา ดังนั้นการจดทะเบียนหย่าของทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามมาตรา 155 วรรคแรก และจะไม่ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์หรือความผูกพันในทางกฎหมายขึ้นระหว่างคู่กรณีแต่อย่างใด กล่าวคือจะไม่ทำไห้การสมรสระหว่างสมศักดิ์และสมหญิงสิ้นสุดลง

สรุป

การจดทะเบียนหย่าของสมศักดิ์และสมหญิงไม่ทำให้การสมรสสิ้นสุดลง

 

ข้อ 3. โปรดจงอธิบายหลักการกำหนดระยะเวลาตามปีปฏิทิน

ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/5 และมาตรา 193/6 ได้บัญญัติหลักการกำหนดระยะเวลาตามปีปฏิทินไว้ดังนี้ คือ

  1. ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นสัปดาห์ เดือนหรือปี ให้คำนวณตามปีปฏิทิน (มาตรา 193/5 วรรคแรก)

คำว่า “ปีปฏิทิน” ในปัจจุบันหมายถึงการนับระยะเวลาทางสุริยคติ กล่าวคือ ถ้านับเป็นสัปดาห์ หมายความถึงระยะเวลา 7 วัน วันแรกแห่งสัปดาห์คือวันอาทิตย์ วันสุดท้ายแห่งสัปดาห์คือวันเสาร์ ถ้านับเป็นเดือน หมายความถึงระยะเวลาในแต่ละเดือน ซึ่งบางเดือนอาจจะมี 30 วัน บางเดือนอาจจะมี 31 วัน และบางเดือนอาจจะมี 28 หรือ 29 วันก็ได้ แต่ถ้านับเป็นปีก็จะหมายความถึงระยะเวลาในแต่ละปี ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม โดยไม่คำนึงว่าในปีนั้นจะมี 365 วัน หรือ 366 วัน

  1. ถ้าระยะเวลามิได้กำหนดนับแต่วันต้นแห่งสัปดาห์ เดือนหรือปี ระยะเวลาย่อมสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งสัปดาห์ เดือนหรือปีสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลานั้น (มาตรา 193/5 วรรคสอง)

เช่น ก. กู้เงิน ข. ไปเมื่อวันอังคารที่ 17 มิถุนายน 2557 กำหนดชำระคืนภายใน 1 สัปดาห์ ดังนี้ระยะเวลาย่อมเริ่มนับตั้งแต่วันพุธที่ 18 มิถุนายน 2557 และระยะเวลาย่อมสิ้นสุดลงในวันอังคารที่ 24 มิถุนายน 2557 เป็นต้น (ซึ่ง ก. ต้องชำระเงินคืนให้แก่ ข. ภายในวันที่ 24 มิถุนายน 2557)

  1. ถ้าในระยะเวลานับเป็นเดือนหรือปีนั้นไม่มีวันตรงกันในเดือนสุดท้าย ให้ถือเอาวันสุดท้ายแห่งเดือนนั้น เป็นวันสิ้นสุดระยะเวลา (มาตรา 193/5 วรรคสองตอนท้าย)

เช่น ก. กู้เงิน ข. ไปเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2556 กำหนดชำระคืนภายใน 2 เดือน ดังนี้ระยะเวลาย่อมเริ่มต้นนับตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2556 และระยะเวลา 2 เดือนย่อมสิ้นสุดลงในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นต้น (ซึ่ง ก. ต้องชำระเงินคืนให้แก่ ข. ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557)

  1. ถ้าระยะเวลากำหนดเป็นเดือนและวัน หรือกำหนดเป็นเดือนและส่วนของเดือนให้นับจำนวนเดือนเต็มก่อน แล้วจึงนับจำนวนวันหรือส่วนของเดือนเป็นวัน (มาตรา 193/6 วรรคแรก)

เช่น ก. กู้เงิน ข. ไปเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2557 กำหนดชำระคืนภายใน 2 เดือน 10 วัน ดังนี้ การคำนวณระยะเวลาให้นับจำนวนเดือนเต็มก่อน คือ 2 เดือน ซึ่งระยะเวลา 2 เดือน จะสิ้นสุดลงในวันที่ 10 พฤษภาคม 2557 หลังจากนั้นจึงนับจำนวนวันอีก 10 วัน ดังนั้นระยะเวลา 2 เดือน 10 วัน จะสิ้นสุดลงในวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 (ซึ่ง ก. ต้องชำระเงินคืนให้แก่ ข. ภายในวันที่ 20 พฤษภาคม 2557)

  1. ถ้าระยะเวลากำหนดเป็นส่วนของปี ให้คำนวณส่วนของปีเป็นเดือนก่อน หากมีส่วนของเดือนให้นับส่วนของเดือนเป็นวัน การคำนวณส่วนของเดือน ให้ถือว่าเดือนหนึ่งมีสามสิบวัน (มาตรา 193/6 วรรคสองและสาม)

 

ข้อ 4. แก้วมีความประสงค์ที่จะซื้อที่ดินจากไชยากรเพื่อนำมาปลูกสร้างเรือนหอกับน้ำทิพย์ จึงตกลงด้วยวาจาที่จะทำการซื้อที่ดินในราคา 1 ล้านบาท และนำเงิน 1 แสนบาทมาวางเป็นมัดจำเอาไว้พร้อมกับสัญญาว่าจะรวบรวมเงินที่เหลือให้ครบเพื่อนัดทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกันอีกในอีก 2 เดือน ถัดไป ครั้นเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าว แก้วเปลี่ยนใจเพราะเห็นว่าที่ดินดังกล่าวราคาสูงเกินไป จึงไม่ตกลงทำสัญญาด้วย แต่ไชยากรปฏิเสธเพราะถือว่าได้ทำสัญญากันแล้วด้วยการวางมัดจำเพียงแต่ยังมิได้ตกลงกันในรายละเอียดเท่านั้น นายแก้วจึงมาปรึกษาท่านเพื่อขอความเห็นทางกฎหมายว่ามีสัญญาจะซื้อจะขายระหว่างแก้วกับไชยากรหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 366 วรรคสอง “ถ้าได้ตกลงกันว่าสัญญาอันมุ่งจะทำนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือไซร้ เมื่อกรณีเป็นที่สงสัย ท่านนับว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกันจนกว่าจะได้ทำขึ้นเป็นหนังสือ”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 366 วรรคสอง ในกรณีที่สัญญาที่คู่สัญญามุ่งจะทำนั้น กฎหมายมิได้บังคับไว้ว่าจะต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือแต่อย่างใด คู่สัญญาก็อาจตกลงกันได้ว่าสัญญานั้นต้องทำเป็นหนังสือ และเมื่อมีการตกลงกันไว้ดังกล่าว เมื่อกรณีเป็นที่สงสัยว่าสัญญานั้นเกิดขึ้นแล้วหรือยัง กฎหมายให้ถือว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกันจนกว่าจะได้ทำขึ้นเป็นหนังสือ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แก้วกับไชยากรตกลงจะทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกัน ซึ่งสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินนั้นกฎหมายมิได้บังคับว่าจะต้องทำเป็นหนังสือหรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือแต่อย่างใด แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าแก้วกับไชยากรได้ตกลงกันว่าจะนัดทำสัญญาจะซื้อจะขายเป็นหนังสือกันอีกในอีก 2 เดือนถัดไป อันเป็นไปตามเจตนาของคู่สัญญา ดังนั้น เมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่ตกลงกัน แก้วเปลี่ยนใจไม่ยอมทำสัญญาด้วยไชยากรจะถือว่าการที่แก้วตกลงว่าจะซื้อที่ดินและได้มีการวางมัดจำไว้มาวินิจฉัยว่ามีสัญญาจะซื้อจะขายกันแล้วไม่ได้ เพราะกรณีดังกล่าวต้องตามมาตรา 366 วรรคสอง ที่ให้ถือว่ายังมิได้มีสัญญาจะซื้อจะขายต่อกันจนกว่าจะได้ทำสัญญากับขึ้นเป็นหนังสือแล้ว

สรุป

ข้าพเจ้าจะให้ความเห็นแก่แก้วว่า สัญญาจะซื้อจะขายระหว่างแก้วกับไชยากรยังไม่เกิดขึ้น

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวบวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายยิ่งทำสัญญาขายที่ดินของตนให้นายยงแปลงหนึ่ง โดยทราบดีว่านายยงจะซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวไปเพื่อสร้างโรงงานถลุงเหล็ก นอกจากนี้ นายยิ่งยังทราบดีว่าที่ดินของตนอยู่ในเขตประกาศของกระทรวงมหาดไทย เรื่องห้ามก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม แต่ปกปิดข้อเท็จจริงดังกล่าว

ภายหลังจากที่นายยงซื้อที่ดินได้ไม่นาน นายยงได้ยื่นขออนุญาตจากทางราชการเพื่อทำการก่อสร้างโรงงานของตน แต่ทางราชการกลับแจ้งเป็นหนังสือให้นายยงทราบว่า นายยงไม่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างเนื่องจากที่ดินตั้งอยู่ในพื้นที่ห้ามก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม นายยงรู้สึกหนักใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากนายยงได้ทราบว่าที่ดินแปลงดังกล่าวตั้งอยู่ในพื้นที่ห้ามก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม นายยงคงไม่ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวเลย

ให้วินิจฉัยว่า นายยงได้แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ที่ได้ซื้อมาหรือไม่ มีผลทางกฎหมายเช่นไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 157 “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินเป็นโมฆียะ

ความสำคัญผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นความสำคัญผิดในคุณสมบัติซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิดดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนี้นคงจะมิได้กระทำขึ้น ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายยงทำสัญญาซื้อที่ดินจากนายยิ่งไปเพื่อสร้างโรงงานถลุงเหล็กโดยไม่ทราบว่าที่ดินแปลงนั้นตั้งอยู่ในเขตประกาศของกระทรวงมหาดไทยเรื่องห้ามก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม ถือว่านายยงได้แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ ซึ่งถือว่าเป็นสาระสำคัญ เพราะถ้านายยงมิได้สำคัญผิดคือทราบความจริงดังกล่าว นายยงก็คงจะไม่ซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวเลย ดังนั้นสัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างนายยงและนายยิ่งจึงตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 157 ซึ่งนายยงสามารถบอกล้างได้ และเมื่อนายยงได้บอกล้างแล้วสัญญาซื้อขายย่อมตกเป็นโมฆะมาแต่แรก

สรุป

นายยงได้แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์ที่ได้ซื้อมา และสัญญาซื้อขายที่ดินตกเป็นโมฆียะ ซึ่งนายยงสามารถบอกล้างได้

 

ข้อ 2. นายตะวันหลอกนายฟ้าขายที่ดินให้กับตน โดยหลอกลวงนายฟ้าว่า ที่ดินของนายฟ้าจะถูกเวนคืน เพื่อสร้างทางด่วน นายฟ้าหลงเชื่อ จึงทำสัญญาขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้นายตะวันไปในราคาถูกกว่าความเป็นจริง ต่อมานายฟ้าทราบความจริงว่านายตะวันหลอกตนให้ขายที่ดินในราคาถูกที่จริงแล้วไม่มีการเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างทางด่วนแต่อย่างใด นายฟ้าจึงใช้สิทธิบอกล้างการซื้อขายที่ดินกับนายตะวัน แต่ปรากฏว่าก่อนที่นายฟ้าจะบอกล้างนั้นนายตะวันได้นำที่ดินที่ซื้อมาจากนายฟ้าไปยกให้กับนางสาวฝนโดยเสน่หา โดยที่นางสาวฝนเข้าใจว่าที่ดินนั้นเป็นของนายตะวัน

ดังนั้นเมื่อนายฟ้ามาทราบภายหลังว่านายตะวันได้ยกที่ดินนั้นให้กับนางสาวฝนไปแล้ว นายฟ้าจึงมาเรียกคืนที่ดินดังกล่าวจากนางสาวฝน ดังนี้อยากทราบว่านางสาวฝนต้องคืนที่ดินดังกล่าวให้กับนายฟ้าหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 159 วรรคแรกและวรรคสอง “การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ

การถูกกลฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง จะต้องถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น”

มาตรา 160 “การบอกล้างโมฆียะกรรมเพราะถูกกลฉ้อฉลตามมาตรา 159 ห้ามมิให้ยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายตะวันหลอกนายฟ้าขายที่ดินให้กับตน โดยหลอกลวงนายฟ้าว่า ที่ดินของนายฟ้าจะถูกเวนคืนเพื่อสร้างทางด่วน จนทำให้นายฟ้าหลงเชื่อและยอมทำสัญญาขายที่ดินแปลงดังกล่าว ให้นายตะวันไปในราคาที่ถูกกว่าความเป็นจริงนั้น ถือว่านายฟ้าได้แสดงเจตนาเพราะถูกนายตะวันใช้กลฉ้อฉล และเป็นกลฉ้อฉลที่ถึงขนาดคือถ้าไม่มีการใช้กลฉ้อฉลว่าที่ดินนั้นจะถูกเวนคืน นายฟ้าก็คงจะไม่ขายที่ดินในราคาที่ถูกกว่าความเป็นจริงให้แก่นายตะวัน ดังนั้นนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างนายตะวันและนายฟ้าย่อมตกเป็นโมฆียะ ตามมาตรา 159 วรรคแรกและวรรคสอง นายฟ้าย่อมมีสิทธิบอกล้างการซื้อขายที่ดินกับนายตะวันได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฎข้อเท็จจริงว่า ก่อนที่นายฟ้าจะบอกล้างนั้นนายตะวันได้นำที่ดินที่ซื้อมาจากนายฟ้าไปยกให้กับนางสาวฝนโดยเสน่หา โดยที่นางสาวฝนเข้าใจว่าที่ดินนั้นเป็นของนายตะวัน ย่อมถือได้ว่านางสาวฝนเป็นบุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต ดังนั้นเมื่อนายฟ้าบอกล้างการซื้อขายที่ดินกับนายตะวัน และมาทราบภายหลังว่านายตะวันได้ยกที่ดินนั้นให้กับนางสาวฝนไปแล้ว นายฟ้าจึงไม่สามารถเรียกที่ดินดังกล่าวจากนางสาวฝนได้ เพราะนางสาวฝนได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 160

สรุป

นางสาวฝนไม่ต้องคืนที่ดินดังกล่าวให้กับนายฟ้า

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2543 นายกระต่ายได้ทำสัญญากู้เงินจากนายกระทิงเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท มีกำหนดชำระคืนภายใน 15 มีนาคม 2544 เมือหนี้ถึงกำหนดนายกระต่ายไม่นำเงินมาชำระ นายกระทิงได้ติดตามทวงถามด้วยวาจาตลอดมาจนกระทั่งวันที่ 10 มีนาคม 2554 นายกระทิงได้เขียนหนังสือไปทวงเงินจำนวนดังกล่าวจากนายกระต่าย ต่อมาวันที่ 16 มีนาคม 2554 นายกระต่ายได้นำเงินไปชำระให้แก่นายกระทิงเป็นเงินจำนวน 5,000 บาท แต่หลังจากนั้นนายกระต่ายก็ไม่นำเงินมาชำระให้อีกเลย นายกระทิงจึงได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 16 มีนาคม 2555 นายกระต่ายต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2554 แต่นายกระทิงอ้างว่ายังไม่ขาดอายุความเพราะอายุความสะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2554 ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายกระทิงฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์

มาตรา 193/3 “ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นหน่วยเวลาที่สั้นกว่าวัน ให้เริ่มต้นนับในขณะที่เริ่มการนั้น

ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นวัน สัปดาห์ เดือนหรือปี มิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน เว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาที่ถือได้ว่าเป็นเวลาเริ่มต้นทำการงานกันตามประเพณี”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ยให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง ”

มาตรา 193/15 “เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น”

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายกระต่ายได้ทำสัญญากู้เงินจากนายกระทิงเป็นเงินจำนวน 200,000 บาท โดยมีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 15 มีนาคม 2544 เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายกระต่ายไม่นำเงินมาชำระ อายุความจึงเริ่มต้นนับตั้งแต่วันรุ่งขึ้นคือวันที่ 16 มีนาคม 2544 และเนื่องจากการกู้ยืมเงินไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้ โดยเฉพาะ จึงต้องนำอายุความทั่วไปตามมาตรา 193/30 คืออายุความ 10 ปีมาใช้บังคับ ดังนั้นกรณีนี้อายุความ 10 ปีจะครบกำหนดในวันที่ 15มีนาคม 2554 และแม้ข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่ 16 มีนาคม 2554 นายกระต่ายได้นำเงินไปชำระให้แก่นายกระทิงเป็นเงินจำนวน 5,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นการชำระหนี้บางส่วนก็ตาม แต่เมื่อเป็นการชำระหนี้เมื่อเลย

กำหนดอายุความเดิมมาแล้ว กรณีจึงไม่ถือว่าเป็นเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14(1) แต่อย่างใด ดังนั้นเมื่อนายกระทิงนำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 16 มีนาคม 2555 จึงเป็นการฟ้องเมื่อเลยกำหนดอายุความแล้ว นายกระต่ายย่อมมีสิทธิยกเอาอายุความขึ้นต่อสู้นายกระทิงได้

สรุป

ข้อต่อสู้ของนายกระทิงที่ว่ายังไม่ขาดอายุความนั้น ฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 4. นายรื่นทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ TOYOTA ทะเบียน 1234 กรุงเทพมหานคร จากนายเริงในราคา 1,000,000 บาท โดยชำระเงินค่าเช่าซื้อในวันทำสัญญาจำนวน 200,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 800,000 บาท ตกลงชำระเป็นงวดรวม 80 งวด ๆ ละ 10,000 บาท ทุกวันที่ 1 ขอนดือน เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2557 เป็นต้นไป และมีข้อสัญญาว่า ถ้านายรื่นผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อ 2 งวดติดต่อกัน หรือค้างชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่ 2 งวดขึ้นไป ให้สัญญาเช่าซื้อเป็นอันยกเลิกเพิกถอนทันที

ปรากฏว่า นายรื่นค้างชำระค่าเช่าซื้องวดที่ 11 – 13 แต่เมื่อนายรื่นนำเงินค่าเช่าซื้อมาชำระต่อนายเริง นายเริงก็ยอมรับไว้ พร้อมออกใบเสร็จรับเงินให้ ภายหลังต่อมานายรื่นค้างชำระค่าเช่าซื้อในงวดที่ 15 – 16 อีก นายเริงก็ไม่ได้ว่ากล่าวแต่อย่างใด ทั้งยังออกใบเสร็จรับเงินให้อีกเช่นเคย อย่างไรก็ตาม เมื่อนายรื่น ค้างชำระค่าเช่าซื้อในงวดที่ 19 – 20 อีกครั้ง นายเริงไม่สามารถทนต่อการผิดนัดชำระหนี้ของนายรื่นได้

นายเริงจึงทำหนังสือทวงถามให้นายรื่นนำค่าเช่าซื้องวดที่ 19 – 20 มาชำระภายในระยะเวลา 15 วัน

แต่เมื่อครบกำหนด 15 วัน แล้ว นายเริงก็ยังไม่ได้รับค่าเช่าซื้องวดที่ 19 – 20 แต่อย่างใด นายเริงจึงได้บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อไปยังนายรื่น พร้อมเรียกให้นายรื่นส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่ตน

ให้วินิจฉัยว่า การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของนายเริงชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และนายรื่นต้องส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่นายเริงหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 386 “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเลิกสัญญาโดยข้อสัญญา หรือโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมาย การเลิกสัญญาเช่นนั้นย่อมทำด้วยแสดงเจตนาแก่อิกฝ่ายหนึ่ง…”

มาตรา 387 “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ อีกฝ่ายหนึ่งจะกำหนดระยะเวลาพอสมควร แล้วบอกกล่าวให้ฝ่ายนั้นชำระหนี้ภายในระยะเวลานั้นก็ได้ ถ้าและฝ่ายนั้นไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้ไซร้ อีกฝ่ายหนึ่งจะเลิกสัญญาเสียก็ได้”

มาตรา 391 วรรคแรก “เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจำต้อง ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม แต่ทั้งนี้จะให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่สิทธิของบุคคลภายนอกหาได้ไม่”

 

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายรื่นได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากนายเริง และต่อมานายรื่นได้ผิดนัดค้างชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่ 2 งวดขึ้นไปนั้น ย่อมทำให้นายเริงสามารถบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ตามมาตรา 386

โดยการแสดงเจตนาแกนายรื่น แต่อย่างไรก็ดี เมือนายรื่นนำเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างมาชำระ นายเริงก็รับไว้ทุกครั้ง ย่อมมีผลทำให้นายเริงไม่สามารถบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อตามข้อตกลงในสัญญาได้อีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ ถ้านายเริงจะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ การบอกเลิกสัญญาของนายเริงจึงต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

และต่อมานายรื่นได้ค้างชำระค่าเช่าซื้ออีกในงวดที่ 19 – 20 นายเริงจึงได้ทำหนังสือทวงถามให้นายรื่นนำค่าเช่าซื้องวดที่ 19 – 20 มาชำระภายในระยะเวลา 15 วัน แต่เมื่อครบกำหนด 15 วันแล้วนายรื่นก็มิได้นำค่าเช่าซื้องวดที่ 19 – 20ไปชำระให้แก่นายเริงแต่อย่างใด ดังนี้นายเริงย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ตามมาตรา 387

และเมื่อปรากฎว่านายเริงได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแล้ว นายรื่นและนายเริงจึงต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมก่อนเกิดสัญญาเช่าซื้อตามมาตรา 391 วรรคแรก ดังนั้นนายรื่นจึงต้องส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่นายเริง

สรุป

การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของนายเริงชอบด้วยกฎหมาย และนายรื่นจะต้องส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่นายเริง

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางจั๊กจั่นส่งจดหมายแสดงเจตนาเสนอขายแหวนเพชรให้แก่นางจุ๊บจิ๊บเพื่อนสนิทที่จังหวัดเชียงราย ราคา 100,000 บาท โดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับในวันที่ 1 กันยายน 2555 ต่อมาอีก 2 วันนางจั๊กจั่นเกิดเปลี่ยนใจไม่อยากขายแหวนเพชรดังกล่าว เพราะต้องการเก็บไว้ไห้ลูกสาว นางจั๊กจั่นจึงได้ส่งจดหมายบอกถอนการแสดงเจตนาเดิมที่ตนทำไว้ โดยการส่งไปรษณีย์ชนิดด่วนพิเศษแบบ EMS

แต่ในวันเดียวกันนั้นเองนางจั๊กจั่นได้ถูกรถชนถึงแก่ความตาย ระหว่างเดินทางกลับบ้าน และลูกสาวของนางจั๊กจั่นก็ได้โทรศัพท์ไปเชิญนางจุ๊บจิ๊บให้มาร่วมงานสวดอภิธรรมศพของมารดาในวันนั้นด้วย ต่อมาวันที่ 8 กันยายน 2555 เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จึงได้นำจดหมายทั้งสองฉบับของนางจั๊กจั่นไปส่งยังบ้านของนางจุ๊บจิ๊บ แต่ไม่มีคนอยู่บ้าน เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จึงหย่อนจดหมายด่วน EMS ไว้ในกล่องไปรษณีย์ที่รั้วบ้าน ส่วนจดหมายแบบลงทะเบียนฯ เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ได้นำกลับมาส่งใหม่อีกสองครั้งก็ยังไม่มีผู้มาลงลายมือชื่อตอบรับ ทางการไปรษณีย์จึงส่งจดหมายฉบับดังกล่าวกลับคืนมายังบ้านของนางจั๊กจั่นผู้ส่ง

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า การแสดงเจตนาเสนอขายแหวนเพชรตามจดหมายลงทะเบียนจะสิ้นผลผูกพันลูกสาวของนางจั๊กจั่นหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 169 วรรคแรก “การแสดงเจตนาที่กระทำต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า ให้ถือว่ามีผลนับแต่เวลาที่การแสดงเจตนานั้นไปถึงผู้รับการแสดงเจตนา แต่ถ้าได้บอกถอนไปถึงผู้รับการแสดงเจตนานั้นก่อนหรือพร้อมกันกับที่การแสดงเจตนานั้นไปถึงผู้รับการแสดงเจตนา การแสดงเจตนานั้นตกเป็นอันไร้ผล”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางจั๊กจั่นส่งจดหมายแสดงเจตนาเสนอขายแหวนเพชรให้แก่นางจุ๊บจิ๊บเพื่อนสนิทที่จังหวัดเชียงรายนั้น ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาต่อบุคคลซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า แต่หลังจากส่งจดหมายไปได้ 2 วัน นางจักจั่นเกิดเปลี่ยนใจไม่อยากขายแหวนเพชรดังกล่าว จึงได้ส่งจดหมายบอกถอนการแสดงเจตนาเดิมที่ตนทำไว้ โดยการส่งไปรษณีย์ชนิดด่วนพิเศษแบบ EMS แต่ในวันนั้นเองนางจั๊กจันได้ถูกรถชนถึงแก่ความตายและลูกสาวของนางจั๊กจั่นก็ได้โทรศัพท์ไปเชิญนางจุ๊บจิ๊บให้มาร่วมงานสวดอภิธรรมศพของมารดาในวันนั้นด้วย

ทำให้เมื่อเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์นำจดหมายทั้งสองฉบับของนางจั๊กจั่นไปส่งยังบ้านของนางจุ๊บจิ๊บจึงไม่มีคนรับเพราะไม่มีคนอยู่บ้าน เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จึงหย่อนจดหมายด่วน EMS ไว้ในกล่องไปรษณีย์ที่รั้วบ้าน ส่วนจดหมายแบบลงทะเบียนฯ เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ได้นำกลับมาส่งใหม่อีกสองครั้งแต่ก็ยังไม่มีผู้มาลงลายมือชื่อตอบรับ ทางการไปรษณีย์จึงส่งจดหมายฉบับดังกล่าวกลับคืนมายังบ้านของนางจั๊กจั่นผู้ส่ง

จากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ดังกล่าว ถือว่าการแสดงเจตนาเสนอขายแหวนเพชรตามจดหมายลงทะเบียนย่อมสิ้นผลผูกพันลูกสาวของนางจั๊กจั่น ทั้งนี้เพราะการบอกถอนการแสดงเจตนาขายแหวนเพชรดังกล่าวได้ไปถึงพร้อมกันกับจดหมายแสดงเจตนาขายแหวนเพชร จึงทำให้การแสดงเจตนาขายแหวนเพชรดังกล่าวตกเป็นอันไร้ผลตามมาตรา 169 วรรคแรก

สรุป

การแสดงเจตนาเสนอขายแหวนเพชรตามจดหมายลงทะเบียนจะสิ้นผลผูกพันลูกสาวของนางจั๊กจั่น

หมายเหตุ กรณีตามอุทาหรณ์ดังกล่าวไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 169 วรรคสอง และมาตรา 360 เนื่องจากเป็นกรณีของการบอกถอนการแสดงเจตนาและทำให้คำเสนอขายแหวนเพชรของนางจั๊กจั่นได้ตกเป็นอันไร้ผลไปแล้ว

 

ข้อ 2. แดงหลอกลวงดำให้ลงชื่อในสัญญากู้เงินและสัญญาจำนองที่ดินไว้กับขาว เมื่อนายดำรู้ว่าตนเองถูกหลอกลวงจึงมาปรึกษากับท่านว่าจะมีวิธีการทางกฎหมายอย่างไรได้บ้างในการขอยกเลิกนิติกรรมดังกล่าว โดยที่ดำก็ไม่ทราบว่าขาวมีส่วนร่วมในการหลอกลวงครั้งนี้ด้วยหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 159 วรรคแรก “การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ”

มาตรา 160 “การบอกล้างโมฆียะกรรมเพราะถูกกลฉ้อฉลตามมาตรา 159 ห้ามมิให้ยกเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต”

มาตรา 175 “โมฆียะกรรมนั้น บุคคลต่อไปนี้จะบอกล้างเสียก็ได้

(3) บุคคลผู้แสดงเจตนาเพราะสำคัญผิด หรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่”

มาตรา 176 วรรคแรก “โมฆียะกรรมเมื่อบอกล้างแล้วให้ถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก …”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงหลอกลวงดำให้ลงชื่อในสัญญากู้เงินและสัญญาจำนองที่ดินไว้กับขาวนั้น ถือว่าเป็นนิติกรรมที่เกิดขึ้นเพราะถูกกลฉ้อฉลของแดง ดังนั้นนิติกรรมดังกล่าวคือสัญญากู้เงินและสัญญาจำนองที่ดินย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 159 วรรคแรก ซึ่งโดยหลักแล้วนิติกรรมที่ตกเป็นโมฆียะย่อมสามารถบอกล้างได้ และเมื่อบอกล้างแล้วโมฆียะกรรมนั้นก็จะตกเป็นโมฆะ

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าการที่ดำได้แสดงเจตนาทำนิติกรรมเพราะถูกแดงใช้กลฉ้อฉลนั้น ดำไม่ทราบว่าขาวมีส่วนร่วมในการหลอกลวงครั้งนี้ด้วยหรือไม่ ดังนั้นเมื่อดำมาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะแนะนำแก่ดำดังนี้ คือ

กรณีแรก ถ้าหากขาวมีส่วนร่วมในการหลอกลวงครั้งนี้ ดำย่อมสามารถใช้สิทธิบอกล้างนิติกรรมดังกล่าวได้ตามมาตรา 175(3) เพราะดำเป็นบุคคลผู้แสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉล และเมื่อดำใช้สิทธิบอกล้างแล้ว นิติกรรมดังกล่าวก็จะตกเป็นโมฆะตามมาตรา 176 วรรคแรก

กรณีที่สอง ถ้าหากขาวไม่มีส่วนร่วมในการหลอกลวงครั้งนี้ ดำจะใช้สิทธิบอกล้างนิติกรรมดังกล่าวตามมาตรา 175(3) ไม่ได้เพราะถ้าหากดำบอกล้างขาวย่อมสามารถกล่าวอ้างมาตรา 160 ขึ้นต่อสู้ดำได้ว่าการบอกล้างโมฆียะกรรมเพราะถูกกลฉ้อฉลของดำนั้น จะนำมาใช้บังคับกับขาวซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ผู้กระทำการโดยสุจริตไม่ได้ (เทียบเคียงฎีกาที่ 1063/2549)

สรุป

เมื่อดำมาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่ดำดังที่กล่าวไว้ข้างต้น

 

ข้อ 3. นาย ก. ประกอบการค้าหูปลาฉลาม ทำหูปลาฉลามส่งขายตามภัตตาคารเป็นปกติธุระ นาย ก. ส่งหูปลาฉลามให้แก่ภัตตาคารของนาย ข. โดยตกลงชำระเงินวันที่ 1 ธันวาคม 2543 เมื่อถึงกำหนดนาย ข. ไม่ชำระ นาย ก. จึงฟ้องคดีต่อศาล ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดเมื่อวันที่ 15 มกราคม 2546 ให้ภัตตาคารของนาย ข. ชำระเงินราคาหูปลาฉลามให้แก่นาย ก. นาย ก. ได้ติดตามทวงถามให้นาย ข. ชำระหนี้ตลอด จนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550 นาย ก. บอกแก่นาย ข. ว่าจะนำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลอีกครั้ง

นาย ข. อ้างว่านาย ก. ไม่มีสิทธิเรียกร้องใด ๆ เพราะขาดอายุความไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2548

ดังนี้ ข้ออ้างของนาย ข. ฟ้งขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

หมายเหตุ มาตรา 193/34 สิทธิเรียกร้องดังต่อไปนี้ให้มีกำหนดอายุความสองปี

(1) ผู้ประกอบการค้า… เรียกเอาค่าของที่ได้ส่งมอบ…

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(2) เจ้าหนี้ได้ฟ้องคดีเพื่อตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องหรือเพื่อให้ชำระหนี้”

มาตรา 193/17 วรรคแรก “ในกรณีที่อายุความสะดุดหยุดลงเพราะเหตุตามมาตรา 193/14(2) หากคดีนั้นได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกคำฟ้อง หรือคดีเสร็จไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะเหตุถอนฟ้องหรือทิ้งฟ้องให้ถือว่าอายุความไม่เคยสะดุดหยุดลง ”

มาตรา 193/32 “สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด หรือโดยสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้มีกำหนดอายุความสิบปี ทั้งนี้ไม่ว่าสิทธิเรียกร้องเดิมจะมีกำหนดอายุความเท่าใด”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 193/14(2) ประกอบกับมาตรา 193/17 วรรคแรกนั้น การที่เจ้าหนี้ได้ฟ้องคดีเพื่อให้ลูกหนี้ชำระหนี้ จะถือว่าเป็นเหตุทำให้อายุความสะดุดหยุดลงก็ต่อเมื่อปรากฏว่าเจ้าหนี้ชนะคดี หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เจ้าหนี้ได้รับผลสำเร็จตามที่ตนได้ใช้สิทธิเรียกร้องนั่นเอง เพราะถ้าเป็นกรณีที่เจ้าหนี้ได้ฟ้องคดี แต่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกคำฟ้อง (เจ้าหนี้แพ้คดี) หรือคดีเสร็จไปโดยการจำหน่ายคดีเพราะเหตุถอนฟ้องหรือทิ้งฟ้องแล้วจะไม่เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก. เจ้าหนี้ฟ้องเป็นคดีเพื่อให้นาย ข. ลูกหนี้ชำระหนี้นั้น ในวันที่นาย ก. ฟ้องคดีอายุความยังไม่สะดุดหยุดลง (อายุความสะดุดหยุดอยู่) แต่เมื่อศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้นาย ก. ชนะคดี กล่าวคือ ศาลมีคำพิพากษาให้นาย ข. ชำระเงินราคาหูปลาฉลามให้แก่นาย ก. ในวันที่ 15 มกราคม 2546

ดังนี้ถือว่าอายุความได้สะดุดหยุดลงในวันที่ 15 มกราคม 2546 ตามมาตรา 193/14(2) ประกอบกับมาตรา 193/17 วรรคแรก และจะมีการกำหนดอายุความใหม่ 10 ปี ตามมาตรา 193/32 ทั้งนี้ไม่ว่าสิทธิเรียกร้องเดิมจะมีกำหนด 2 ปี ตามมาตรา 193/34 ก็ตาม โดยอายุความที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับรวมทั้งระยะเวลาพิจารณาคดีด้วยซึ่งอายุความตามสิทธิเรียกร้องที่เกิดโดยคำพิพากษาถึงที่สุดดังกล่าวจะครบ 10 ปี ในวันที่ 15 มกราคม 2556 ดังนั้น การที่ นาย ก. จะนำสิทธิเรียกร้องเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลอีกครั้งในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2550 แต่นาย ข. อ้างว่าสิทธิเรียกร้อง ของนาย ก. ได้ขาดอายุความไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2548 นั้น ข้ออ้างของนาย ข. ย่อมฟังไม่ขึ้น (เทียบเคียงฎีกาที่ 724/2509)

สรุป

ข้ออ้างของนาย ข. ฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 4. นายสมศักดิ์ทำสัญญาซื้อที่ดินจากนางสมศรีในราคา 1,000,000 บาท ในวันทำสัญญานายสมศักดิ์ได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 200,000 บาท และมอบทองคำจำนวน 5 บาท (มูลค่าประมาณ 100,000 บาท) ให้นางสมศรีอีกทั้งตกลงจะชำระเงินส่วนที่เหลือในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ครั้นเมื่อถึงกำหนดวันนัดจดทะเบียนโอนนายสมศักดิ์ไม่สามารถนำเงินส่วนที่เหลือมาชำระให้นางสมศรีได้

ให้วินิจฉัยว่า นางสมศรีมีสิทธิริบเงินตามเช็คจำนวน 200,000 บาท ทองคำจำนวน 5 บาท ที่นางสมศรีรับไว้ได้หรือไม่ เพียงใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 377 “เมื่อเข้าทำสัญญา ถ้าได้ให้สิ่งใดไว้เป็นมัดจำ ท่านให้ถือว่าการที่ให้มัดจำนั้นย่อมเป็นพยานหลักฐานว่าสัญญานั้นได้ทำกันขึ้นแล้ว อนึ่งมัดจำนี้ย่อมเป็นประกันการที่จะปฏิบัติตามสัญญานั้นด้วย”

มาตรา 378 “มัดจำนั้น ถ้ามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น ท่านให้เป็นไปดังจะกล่าวต่อไปนี้คือ

(2) ให้ริบ ถ้าฝ่ายที่วางมัดจำละเลยไม่ชำระหนี้ หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายนั้นต้องรับผิดชอบ หรือถ้ามีการเลิกสัญญาเพราะความผิดของฝ่ายนั้น”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว มัดจำตามมาตรา 377 จะต้องเป็นทรัพย์สินซึ่งได้ไห้ไว้ในวันทำสัญญาและมัดจำนั้นอาจเป็นเงินหรือสิ่งมีค่าอื่นซึ่งมีค่าในตัวเองก็ได้ เมื่อทองคำและเช็คเป็นทรัพย์สิน และเป็นสิ่งมีค่าในตัวเอง จึงสามารถส่งมอบให้แก่กันเป็นมัดจำได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมศักดิ์ทำสัญญาซื้อที่ดินจากนางสมศรี และในวันทำสัญญา นายสมศักดิ์ได้สั่งจ่ายเช็คจำนวน 200,000 บาท และมอบทองคำจำนวน 5 บาท (มูลค่าประมาณ 100,000 บาท) ให้แก่นางสมศรี โดยตกลงว่าจะชำระเงินส่วนที่เหลือในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ดังนี้ เงินตามเช็คจำนวน 200,000 บาท และทองคำจำนวน 5 บาท ซึ่งได้ให้ไว้ในวันทำสัญญาซื้อขายที่ดิน จึงเป็นมัดจำตามมาตรา 377

เมื่อนายสมศักดิ์ผิดสัญญาไม่นำเงินส่วนที่เหลือมาชำระหนี้ให้แก่นางสมศรี นางสมศรีจึงมีสิทธิริบเงินตามเช็ค จำนวน 200,000 บาท และทองคำจำนวน 5 บาท ที่นางสมศรีรับไว้เป็นมัดจำได้ตามมาตรา 378(2)

สรุป

นางสมศรีมีสิทธิริบเงินตามเช็คจำนวน 200,000 บาท และทองคำจำนวน 5 บาท ที่นางสมศรีรับไว้ได้

LAW1001 หลักกฎหมายมหาชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1001 หลักกฎหมายมหาชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นิติวิธีทางกฎหมายมหาชนคืออะไร นิติวิธีเชิงสร้างสรรค์ต้องสร้างอย่างไร จงอธิบายโดยละเอียด

ธงคำตอบ

“นิติวิธีทางกฎหมายมหาชน” คือ ความคิดหรือกระบวนการวิธีคิดของนักกฎหมายมหาชนว่ามีหลักการคิดที่กระทำไปเพื่อประโยชน์สาธารณะและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน (เอกชน)ให้เกิดดุลยภาพกัน โดยที่รัฐมีอำนาจเหนือกว่าเอกชน นิติวิธีทางกฎหมายมหาชนจึงมีความมุ่งหมายเพื่อให้สามารถวิเคราะห์หรือสามารถมองปัญหาในเรื่องกฎหมายมหาชนได้อย่างมีเหตุผล สอดคล้องกับระบบกฎหมายมหาชน ทั้งนี้เพื่อจะได้ใช้เป็นเครื่องมือในการเข้าถึงจุดอันเป็นแก่นสาระของกฎหมายมหาชน และสามารถใช้กฎหมายมหาชนได้อย่างเป็นระบบ

นิติวิธีทางกฎหมายมหาชนโดยทั่วไปแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ นิติวิธีหลัก และนิติวิธีประกอบ ซึ่งนิติวิธีหลัก คือ การคิดวิเคราะห์ในแนวทางของกฎหมายมหาชน ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ นิติวิธีเชิงปฏิเสธ และนิติวิธีเชิงสร้างสรรค์

  1. นิติวิธีเชิงปฏิเสธ หมายถึง การปฏิเสธไม่นำเอาหลักกฎหมายเอกชนมาใช้ในการแก้ไข

ปัญหาทางกฎหมายมหาชน เพราะกฎหมายมหาชนมีวิธีพิจารณาคดีเฉพาะของตนเอง จึงมีขั้นตอนที่แตกต่างจากการพิจารณาคดีเอกชน โดยเฉพาะระบบการพิจารณาของศาลยุติธรรมกับศาลปกครองจะไม่เหมือนกัน เนื่องจากศาลยุติธรรมใช้การพิจารณาคดีตามระบบกล่าวหา แต่ศาลปกครองใช้การพิจารณาคดีแบบไต่สวน ซึ่งเหตุที่หลักกฎหมายมหาชนและหลักกฎหมายเอกชนมีความแตกต่างกันนั้น เนื่องมาจากจุดมุ่งหมายของกฎหมายคู่กรณีที่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน อำนาจพิเศษของฝ่ายปกครอง ผลทางกฎหมาย และการบังคับตามสิทธิและหน้าที่

  1. นิติวิธีเชิงสร้างสรรค์ หมายถึง การสร้างหลักกฎหมายมหาชนจากการประสานประโยชน์สาธารณะกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนนั่นเอง กล่าวคือ เมื่อรัฐปฏิเสธที่จะไม่นำเอาหลักกฎหมายเอกชนมาใช้ในการแก้ไขปัญหาทางกฎหมายมหาชนแล้ว รัฐจึงจำเป็นต้องสร้างหลักกฎหมายมหาชนขึ้นมาเพื่อเป็นหลักในการประสานประโยชน์สาธารณะกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเพื่อให้เกิดดุลยภาพ โดยการประสานสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน ตามหลักปรัชญาของกฎหมายมหาชน

หลักประโยชน์สาธารณะ คือ การตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคมไม่ใช่การตอบสนองความต้องการของใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ และไม่ใช่การตอบสนองความต้องการของผู้ที่ดำเนินการนั้นเอง ดังนั้น ประโยชน์สาธารณะก็คือ ความต้องการของคนแต่ละคนที่ตรงกัน และมีจำนวนมากจนเป็นคนหมู่มาก หรือเป็นประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในสังคมนั่นเอง ซึ่งความต้องการของคนส่วนใหญ่นั้นถือเป็นประโยชน์สาธารณะ และมีความแตกต่างกับประโยชน์ส่วนบุคคลของเอกชนแต่ละคน

องค์กรที่ต้องดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะ ได้แก่ องค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร องค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ และองค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ

1)         องค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร ในส่วนของรัฐบาลนั้นต้องมีการกำหนดนโยบายของรัฐบาลในการบริหารประเทศ ซึ่งนโยบายของรัฐบาลจัดทำเพื่อประโยชน์สาธารณะ นอกจากนั้นประโยชน์สาธารณะเป็นสิ่งที่ฝ่ายปกครองมีหน้าที่ต้องดำเนินการ ถ้าเป็นกิจกรรมที่รัฐสภาได้ตราเป็นกฎหมายออกมาแล้ว หากฝ่ายปกครองไม่ดำเนินการย่อมเป็นการไม่ชอบ เพราะว่าเหตุที่ให้ฝ่ายปกครองมีอำนาจ ก็เพราะฝ่ายปกครองมีภาระหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการเพื่อตอบสนองความต้องการของคนส่วนใหญ่ในสังคม ฝ่ายปกครองจึงต้องใช้อำนาจนั้นเพื่อให้ภาระหน้าที่นั้นบรรลุผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของกฎหมาย

2)         องค์กรของรัฐฝ่ายนิติบัญญัติ ได้แก่ รัฐสภา ทำหน้าที่ออกกฎหมายมาบังคับใช้กับประชาชน และควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล ซึ่งก็เพื่อประโยชน์สาธารณะ

3)         องค์กรของรัฐฝ่ายตุลาการ คือ ศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลทหาร ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะทำหน้าที่ในอำนาจหน้าที่ของแต่ละศาลที่แตกต่างกัน แต่ทั้งนี้ก็เพื่อคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนและเพื่อประโยชน์สาธารณะด้วย

ปรัชญาของกฎหมายมหาชน คือ การสร้างดุลยภาพระหว่างประโยชน์สาธารณะกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน (เอกชน) ซึ่งเป็นเรื่องที่นักกฎหมายมหาชนทุกคนจะต้องระลึกอยู่เสมอไม่ว่านักกฎหมายมหาชนผู้นั้นจะอยู่ในฐานะใดหรืออยู่ในอาชีพใด กฎหมายมหาชนที่ดีหรือที่ประสบผลสำเร็จนั้น จะต้องเป็นกฎหมายมหาชนที่มีการประสานทั้งสองอย่างนี้ให้ดำเนินไปด้วยกันได้โดยไม่ให้ข้างใดข้างหนึ่งมีความสำคัญกว่าอีกข้างหนึ่งมากจนเกินไป

เพราะหากเป็นเช่นนั้นก็จะเกิดความเสียหายติดตามมา กล่าวคือ ถ้าให้ความสำคัญกับประโยชน์สาธารณะมากเกินไปแม้ว่าจะเพื่อความมีประสิทธิภาพในการปกครอง หรือเพื่อความรวดเร็วในการดำเนินการของฝ่ายปกครองก็ตาม แต่ผลที่จะเกิดตามมา คือจะทำให้กฎหมายมหาชนกลายเป็นกฎหมายเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครองที่ทำให้ฝ่ายปกครองมีอำนาจเพิ่มมากขึ้นและสภาพของ “นิติรัฐ” ก็จะลดลง สิทธิเสรีภาพของเอกชนก็จะถูกควบคุมจนหมดไปได้ในที่สุด

แต่ถ้าให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพซองเอกชนมากเกินไป การบริหารงานของรัฐหรือการดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะก็จะเกิดการติดขัด หรือดำเนินไปได้อย่างยากลำบาก หรือต้องใช้ค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก เพราะเมื่อสิทธิเสรีภาพของเอกชนมีมากเกินก็จะทำให้ฐานะของรัฐหรือฝ่ายปกครองเท่ากันกับฐานะของเอกชน ซึ่งจุดมุ่งหมายหลักของการประสานประโยชน์สาธารณะกับสิทธิเสรีภาพของเอกชนข้างต้น จะบรรลุผลสำเร็จที่ประสงค์ได้ก็ด้วย คุณสมบัติ ความรู้ ความตระหนักในความสำคัญ และทัศนะของนักกฎหมายมหาชนที่จะใช้สิ่งที่กล่าวมานี้ ในการตีความเพื่อสร้างกฎหมายมหาชนขึ้นมาบนพื้นฐานของดุลยภาพระหว่างประโยชน์สาธารณะกับสิทธิเสรีภาพของเอกชน

 

ข้อ 2. จงอธิบายว่ากฎหมายมหาชนและหลักกฎหมายมหาชนมีความเกี่ยวข้องกับตัวนักศึกษาอย่างไรพร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

“กฎหมายมหาชน” คือ กฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่แก่รัฐ แก่หน่วยงานทางปกครองหรือหน่วยงานของรัฐและแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐในทางปกครองและการบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์ฃองประชาชนส่วนใหญ่ ในฐานะที่ฝ่ายปกครองมีอำนาจเหนือผู้ใต้ปกครอง

กฎหมายมหาชน ปัจจุบันได้แก่ กฎหมายรัฐธรรมนูญ และกฎหมายปกครอง ซึ่งกฎหมายปกครองนั้นอาจจะอยู่ในชื่อของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกำหนด ประมวลกฎหมายหรืออาจจะอยู่ในชื่อของประกาคคณะปฏิวัติก็ได้

กฎหมายรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมืองโดยกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตยและการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงอำนาจในการปกครองประเทศ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 อำนาจ คือ

  1. อำนาจนิติบัญญัติ เป็นอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจนี้
  2. อำนาจบริหาร เป็นอำนาจที่จะจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย มีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้
  3. อำนาจตุลาการ เป็นอำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรสำคัญที่ใช้

อำนาจนี้ คือ ศาล

กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่วางหลักเกี่ยวกับการจัดระเบียบการปกครองของรัฐในทางปกครองหรือที่เรียกว่า “การจัดระเบียบราชการบริหาร” รวมทั้งการรางระเบียบเกี่ยวกับกิจกรรมของฝ่ายปกครองที่เรียกว่า “บริการสาธารณะ” ซึ่งฝ่ายปกครองจัดทำเพื่อสนองความต้องการส่วนรวมของประชาชน

ราชการแผ่นดินของไทยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค และราชการบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งเป็นผลมาจากกฎหมายปกครองดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

นอกจากนี้ยังกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า กฎหมายปกครอง เป็นกฎหมายที่บัญญัติให้อำนาจหน้าที่ในทางปกครองแก่หน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐในการออกคำสั่งทางปกครอง ให้อำนาจในการออกกฎ ให้อำนาจในการกระทำทางปกครองและสัญญาทางปกครอง

ซึ่งในการใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการตามกฎหมายรัฐธรรมนูญรวมทั้งการใช้อำนาจทางปกครองในการออกกฎ ออกคำสั่งทางปกครอง หรือการกระทำทางปกครองในรูปแบบอื่นและการทำสัญญาทางปกครองขององค์กรของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐนั้น ก็เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและเพื่อการจัดทำบริการสาธารณะเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมของประเทศ ซึ่งรวมทั้งเพื่อประโยชน์แก่ตัวข้าพเจ้าด้วย ดังนั้นในการใช้อำนาจต่าง ๆ หรือการกระทำต่าง ๆ ขององค์กรของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครอง และเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงต้องมีกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้ด้วย เพราะถ้าไม่มีกฎหมายมหาชนบัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้ องค์กรของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐก็จะไม่สามารถที่จะดำเนินการใด ๆ ได้

และนอกจากนั้น ในการใช้อำนาจต่าง ๆ ขององค์กรของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ก็จะต้องได้ใช้อำนาจโดยถูกต้องตามหลักของกฎหมายมหาชนด้วย เช่น หลักความชอบด้วยกฎหมาย หลักความสุจริต หลักประโยซน์สาธารณะ หลักความยุติธรรม และหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เป็นต้น

หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยรามคำแหงซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ และเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยซึ่งถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะใช้อำนาจทางปกครองเพื่อออกกฎ เช่น ระเบียบข้อบังคับของมหาวิทยาลัยหรือออกคำสั่งทางปกครอง หรือกระทำการทางปกครองในรูปแบบอื่น หรือการทำสัญญาทางปกครองในการบริหารมหาวิทยาลัยเพื่อประโยชน์ฃองมหาวิทยาลัยและนักศึกษาทุกคน รวมทั้งข้าพเจ้าด้วยนั้นก็จะต้องมีกฎหมายมหาชน ซึ่งในที่นี้คือ พ.ร.บ. มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นกฎหมายปกครองได้บัญญัติให้อำนาจและหน้าที่ไว้ด้วย และจะต้องใช้อำนาจและหน้าที่นั้นโดยถูกต้องตามหลักการต่าง ๆ ของกฎหมายมหาชนดังกล่าวข้างต้นด้วย เพราะถ้าเจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยได้ใช้อำนาจหน้าที่เกินขอบเขตที่กฎหมายบัญญัติไว้ หรือเป็นการใช้อำนาจโดยที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจไว้ หรือได้ใช้อำนาจและหน้าที่ไม่ถูกต้องตามหลักของกฎหมายมหาชนแล้ว ย่อมอาจก่อให้เกิดข้อพิพาท เรียกว่า ข้อพิพาททางปกครองขึ้นมาได้ และเมื่อเกิดข้อพิพาททางปกครองหรือคดีปกครองขึ้นมาแล้ว ก็สามารถนำข้อพิพาทนั้นไปฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครองได้

ดังนั้น จะเห็นได้ว่ากฎหมายมหาชนและหลักกฎหมายมหาชน จะมีความสัมพันธ์และมีความสำคัญต่อข้าพเจ้า ตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. จงอธิบายหลักกฎหมายมหาชนที่กล่าวถึงเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครองมาโดยละเอียด พร้อมยกตัวอย่างประกอบและเปรียบเทียบกับหลักความศักดิ์สิทธิ์ในการแสดงเจตนา

ธงคำตอบ

เมื่อพิจารณาจากความหมาย ลักษณะ และขอบเขตของกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชนแล้วจะเห็นได้ว่า กฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชน จะมีความแตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งแยกออกเป็นหัวข้อที่สำคัญ ๆ ได้ดังนี้

  1. ความแตกต่างทางด้านองค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปสร้างหรือทำนิติสัมพันธ์ (ทฤษฏีตัวการ)

กฎหมายมหาชน คู่กรณี คือ องค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปสร้างหรือทำนิติสัมพันธ์ ได้แก่ รัฐ หรือหน่วยงานของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายหนึ่งกับเอกชนที่เป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง

กฎหมายเอกชน คู่กรณี คือ องค์กรหรือบุคคลที่เข้าไปสร้างหรือทำนิติสัมพันธ์ ได้แก่ เอกชนที่เป็นคู่กรณีฝ่ายหนึ่งกับเอกชนที่เป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง

  1. ความแตกต่างทางด้านเนื้อหาและความมุ่งหมาย (ทฤษฎีผลประโยชน์) กฎหมายมหาชน มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานเพื่อประโยชน์สาธารณะและการ ให้บริการสาธารณะ โดยมิได้มีความมุ่งหมายถึงผลกำไรเป็นตัวเงินหรือทรัพย์สิน แต่มุ่งหวังถึงความพึงพอใจและการตอบสนองความต้องการของประชาชนส่วนรวมเป็นสำคัญ

กฎหมายเอกชน มีวัตถุประสงค์ในการดำเนินงานเพื่อประโยชน์ของเอกชนแต่ละบุคคล โดยมีความมุ่งหมายถึงผลกำไรเป็นตัวเงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์ในลักษณะอื่นใดเพื่อประโยชน์ฃองปัจเจกบุคคลเป็นสำคัญ ทั้งนี้ มีข้อยกเว้นกรณีที่เป็นเอกชนบางประเภทที่อาจดำเนินงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ ดังเช่น มูลนิธิ หรือสมาคมการกุศล เป็นต้น

กฎหมายมหาชน มีลักษณะเป็นการใช้บังคับอำนาจที่มีอยู่เหนือนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือกับปัจเจกบุคคล โดยวิธีการที่เป็น “การกระทำฝ่ายเดียว” และปรากฏออกมาในรูปแบบ “คำสั่ง”

กล่าวคือ เป็นการกระทำที่ฝ่ายหนึ่ง (รัฐและผู้ปกครอง) สามารถกำหนดหน้าที่ทางกฎหมายให้กับอีกฝ่ายหนึ่ง (รัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือปัจเจกบุคคล) กระทำตาม โดยฝ่ายที่มีหน้าที่ต้องกระทำตามอาจไม่ได้ตกลงยินยอมด้วยก็ตาม

กฎหมายเอกชน มีลักษณะที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักความเป็นอิสระในการแสดงเจตนาหลักความเสมอภาค และหลักเสรีภาพในการทำสัญญา โดยคู่กรณีต้องมีความสมัครใจ (เจตนาเสนอสนองตรงกันสัญญาจึงจะเกิด) และคู่กรณีฝ่ายหนึ่งไม่มีอำนาจเหนือคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง โดยจะทำการบังคับอีกฝ่ายหนึ่งโดยปราศจากความยินยอมมิได้

  1. ความแตกต่างทางด้านนิติวิธี

กฎหมายมหาชน มีลักษณะเป็นการนำนิติวิธีทางกฎหมาย โดยการนำแนวความคิดวิเคราะห์การแก้ไขปัญหาทางกฎหมายมหาชน โดยการสร้างหลักกฎหมายมหาชนขึ้นมาใช้บังคับ (โดยปฏิเสธการนำแนวความคิดวิเคราะห์ตามหลักกฎหมายเอกชนมาใช้บังคับโดยตรง)

กฎหมายเอกชน มีลักษณะเป็นการนำนิติวิธีทางกฎหมาย โดยการนำความคิดวิเคราะห์

การแก้ไขปัญหาทางกฎหมายเอกชนที่มุ่งเน้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลด้วยกันเอง และมุ่งเน้นถึงการรักษาผลประโยชน์ของเอกชนด้วยกัน

  1. ความแตกต่างทางด้านนิติปรัชญา

กฎหมายมหาชน มีลักษณะเป็นการมุ่งเน้นถึงการประสานและสร้างความสมดุลระหว่างผลประโยชน์สาธารณะหรือผลประโยชน์ของส่วนรวมกับผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลหรือเอกชน ที่มุ่งถึงการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลตามที่กฎหมายให้อำนาจหรือกำหนดไว้

กฎหมายเอกชน มีลักษณะเป็นการมุ่งเน้นถึงความยุติธรรมที่เท่าเทียมกัน และตั้งอยู่บนพื้นฐานแห่งความสมัครใจของคู่กรณี

  1. ความแตกต่างทางด้านเขตอำนาจศาล

กฎหมายมหาชน หากเป็นข้อพิพาทระหวางรัฐกับรัฐ หรือข้อพิพาทระหว่างรัฐกับปัจเจกบุคคลหรือเอกชนในทางกฎหมายมหาชนแล้ว คดีข้อพิพาทจะขึ้นสู่การพิจารณาของศาลเฉพาะหรือศาลพิเศษในทางมหาชน เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง เป็นต้น

กฎหมายเอกชน หากเป็นข้อพิพาทระหว่างปัจเจกบุคคล หรือเอกชนต่อปัจเจกบุคคลหรือเอกชนในทางกฎหมายเอกชนแล้ว คดีข้อพิพาทจะขึ้นสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรม ดังเช่น ศาลแพ่ง ศาลอาญา ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง หรือศาลภาษี เป็นต้น

จากหัวข้อความแตกต่างระหว่างกฎหมายมหาชนกับกฎหมายเอกชนดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่ากฎหมายเอกชนนั้น นิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนด้วยกันต่างมุ่งเพื่อประโยชน์ส่วนบุคคลของเอกชนแต่ละฝ่าย ดังนั้น กฎหมายเอกชนจึงตั้งอยู่บนหลักแห่งความเสมอภาคเท่าเทียมกันตามกฎหมาย และต้องใช้ความสมัครใจของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายในการเข้าผูกนิติสัมพันธ์ต่อกัน เสรีภาพในการแสดงเจตนาหรือความศักดิ์สิทธิ์ในการแสดงเจตนาจึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญแห่งกฎหมายแพ่ง ซึ่งตรงจุดนี้เองที่กฎหมายเอกชนจะแตกต่างกับกฎหมายมหาชนอย่างชัดเจน

เพราะกฎหมายมหาชนนั้น คู่กรณีฝ่ายหนึ่งอันได้แก่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐมีจุดมุ่งหมายในการดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณะเท่านั้น ดังนั้น กฎหมายมหาชนจึงมีหลักอยู่บนความไม่เสมอภาค กล่าวคือ รัฐหรือหน่วยงานของรัฐต้องอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าเอกชน และทำให้เกิดหลักกฎหมายในเรื่องเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครองขึ้นมา ซึ่งเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครองนั้นอาจสามารถแสดงออกได้หลายทาง เช่น

  1. กิจกรรมที่ฝ่ายปกครองดำเนินการ ได้แก่ การบริการสาธารณะ การรักษาความสงบเรียบร้อยทางการปกครอง
  2. วิธีการที่ใช้ในการทำกิจกรรม ได้แก่ การออกกฎ การออกคำสั่งทางปกครอง การทำสัญญาทางปกครอง รวมทั้งการกระทำทางปกครองในรูปแบบอื่นที่เรียกว่าปฏิบัติการทางปกครอง ซึ่งการแสดงออกของฝ่ายปกครองดังกล่าวนั้น ฝ่ายปกครองสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องอาศัยความสมัครใจของอีกฝ่ายหนึ่ง เพราะถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครองโดยเฉพาะ

LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ฯลฯ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1นายหนึ่งเป็นเจ้าของสุนัขดุอยู่หนึ่งตัว วันเกิดเหตุ นายหนึ่งพาสุนัขเข้าไปในบ้านของนายสองเพื่อให้สุนัขขโมยรองเท้าของนายสอง เมื่อนายสองเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว จึงได้ใช้ไม้ตีสุนัข ทำให้สุนัขได้รับนาดเจ็บ และสุนัขได้รับความเจ็บปวดจึงวิ่งเตลิดไปกัดเด็กชายสามที่เดินผ่านหน้าบ้านมาพอดี ทำให้เด็กชายสามได้รับบาดเจ็บสาหัส

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ใครจะเรียกให้ใครรับผิดได้บ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 433 วรรคหนึ่ง “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆอันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่นหรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น”

มาตรา 449 วรรคหนึ่ง “บุคคลใดเมื่อกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายก็ดี กระทำตามคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายก็ดี หากก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นหาต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 การที่นายหนึ่งพาสุนัขเข้าไปในบ้านของนายสองเพื่อให้สุนัขขโมยรองเท้าของนายสองนั้น ถือว่านายหนึ่งได้กระทำการอันเป็นการละเมิดต่อนายสองตามมาตรา 420 แล้ว เพราะเป็นการกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สินโดยใช้สัตว์เป็นเครื่องมือ ดังนั้นนายหนึ่งต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายสอง แต่นายหนึ่งไม่ต้องรับผิดต่อนายสองตามมาตรา 433เพราะมิใช่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์

ประเด็นที่ 2 การที่นายสองได้ใช้ไม้ตีสุนัขทำให้สุนัขได้รับบาดเจ็บนั้น แม้การกระทำของนายสองจะเป็นการกระทำละเมิดตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นทำให้เขาเสียหายแก่ทรัพย์สินก็ตาม แต่เมื่อนายสองได้กระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง และได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของนายสองจึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น นายสองจึงสามารถอ้างได้ว่าตนได้รับนิรโทษกรรมตามมาตรา 449 วรรคหนึ่ง นายสองจึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายหนึ่ง

ประเด็นที่ 3 การที่สุนัขของนายหนึ่งไปกัดเด็กชายสามจนทำให้เด็กชายสามได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น ถือได้ว่าเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ตามมาตรา 433 เพราะมิได้เกิดขึ้นจากการกระทำโดยจงใจหรือโดยประมาทเลินเล่อของนายหนึ่งหรือนายสอง ดังนั้น นายหนึ่งซึ่งเปีนเจ้าของสัตว์ที่ไปก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เด็กชายสาม

สรุป

นายหนึ่งต้องรับผิดต่อนายสองฐานกระทำละเมิดตามมาตรา 420

นายสองไม่ต้องรับผิดต่อนายหนึ่งเพราะได้รับนิรโทษกรรมตามมาตรา 449

นายหนึ่งต้องรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเด็กชายสามตามมาตรา 433

 

 

ข้อ 2. จากข้อเท็จจริงตามข้อ 1. ปรากฏว่า

(ก) เด็กชายสามถูกพาส่งรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลา 5 วัน จากนั้นเด็กชายสามทนพิษบาดแผลไม่ไหว เด็กชายสามถึงแก่ความตาย และหากว่าเด็กชายสามเป็นบุตรของนางสี่เป็นบุตรบุญธรรมของนายห้า และเป็นลูกจ้างของนายหก ให้วินิจฉัยถึงสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนของนางสี่ นายห้า และนายหก

(ข) สุนัขของนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บถึงขั้นพิการ นายหนึ่งจะเรียกค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่ไม่อาจตีราคาเป็นเงินได้ตามมาตรา 446 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 443 “ในกรณีทำให้เขาถึงตายนั้น ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่าปลงศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่น ๆ อีกด้วย

ถ้ามิได้ตายในทันที ค่าสินไหมทดแทนได้แก่ค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้เพราะไม่สามารถบระกอบการงานนั้นด้วย

ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลคนหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 445 “ในกรณีทำให้เขาถึงตาย หรือให้เสียหายแก’ร่างกายหรืออนามัยก็ดี ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ถ้าผู้ต้องเสียหายมีความผูกพันตามกฎหมายจะต้องทำการงานให้เป็นคุณแก่บุคคลภายนอกในครัวเรือนหรืออุตสาหกรรมของบุคคลภายนอกนั้นไซร้ ท่านว่าบุคคลผู้จำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้นจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อที่เขาต้องขาดแรงงานอันนั้นไปด้วย”

มาตรา 446 วรรคหนึ่ง “ในกรณีทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยก็ดี ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ผู้ต้องเสียหายจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความที่เสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินด้วยอีกก็’ได้ สิทธิเรียกร้องอันนี้ไม่โอนกันได้ และไม่ตกสืบไปถึงทายาท เว้นแต่สิทธินั้นจะได้รับสภาพกันไว้โดยสัญญา หรือได้เริ่มฟ้องคดีตามสิทธินั้นแล้ว ”

วินิจฉัย

จากข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ข้อ 1. แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่เด็กขายสามได้ถึงแก่ความตายภายหลังจากเกิดเหตุได้ 5 วัน โดยไม่ได้ถึงแก่

ความตายในทันทีนั้น สิทธิในการเรียกค่าสินไหมทดแทน (โดยผู้เสิยหายทางอ้อม) จะมิขึ้นตามมาดรา 443 ได้แก่ค่าปลงศพ ค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวเนื่องกับการปลงศพ (มาตรา 443 วรรคหนึ่ง) ค่ารักษาพยาบาล และค่าเสียหายที่ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้ก่อนตาย (มาตรา 443 วรรคสอง) และค่าขาดไร้อุปการะ (มาตรา 443 วรรคสาม)

รวมทั้งมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน คือค่าขาดแรงงานในครัวเรือนและในอุตสาหกรรมตามมาตรา 445 ด้วย

ส่วนนางสี่ นายห้า และนายหก จะมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวได้หรือไม่แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีนางสี่ เมื่อนางสี่เป็นมารดาที่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นทายาทโดยธรรมของเด็กชายสาม นางสี่จึงมีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 443 ได้ทั้งหมด ได้แก่ค่าปลงศพ ค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวเนื่องกับการปลงศพ ค่ารักษาพยาบาล ค่าขาดประโยชน์ทำมาหาได้ และค่าขาดไร้อุปการะ แต่นางสี่ไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 445 คือค่าขาดแรงงานในครัวเรือน เพราะเมื่อเด็กชายสามไปเป็นบุตรบุญธรรมของนายห้าแล้ว อำนาจการปกครองบุตรจึงตกไปอยู่กับนายห้าผู้รับบุตรบุญธรรม ซึ่งจะทำให้นายห้าสามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ได้

กรณีนายห้า เมื่อเด็กชายสามเป็นบุตรบุญธรรมของนายห้า เด็กชายสามจึงอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของนายห้า และถือวานายห้าเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรบุญธรรม ซึ่งตามกฎหมายครอบครัวบุตรบุญธรรมมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูผู้รับบุตรบุญธรรม ดังนั้น นายห้าจึงมีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามมาตรา 443 วรรคสาม และค่าขาดแรงงานในครัวเรือนตามมาตรา 445 ได้ แต่นายห้าไม่มีสิทธิเรียกค่าปลงศพ ค่าใช้จ่ายอันเกี่ยวเนื่องกับการปลงศพ และค่ารักษาพยาบาลก่อนตายตามมาตรา 443 วรรคหนึ่งและวรรคสอง เพราะนายห้าไม่ใช่ทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของเด็กชายสาม

กรณีนายหก เมื่อนายหกมิใช่บิดาหรือทายาทของเด็กชายสาม เป็นเพียงนายจ้างของเด็กชายสามเท่านั้น ดังนั้น นายหกจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 443 และจะเรียกค่าขาดแรงงานในอุตสาหกรรมตามมาตรา 445 ก็ไม่ได้ ทั้งนี้เพราะเมื่อเด็กชายสามได้ถึงแก่ความตายไปแล้ว สัญญาจ้างย่อมระงับสิ้นไป สิทธิของนายจ้างในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 445 จึงหมดไปด้วย

(ข) การที่สุนัขของนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บถึงขั้นพิการนั้น นายหนึ่งจะเรียกค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่ไม่อาจตีราคาเป็นเงินได้ตามมาตรา 446 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้ เพราะการเรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรานี้ ใช้เฉพาะความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนและทำให้คนได้รับความเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยหรือเสียเสรีภาพเท่านั้น ไม่ใช่ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสัตว์

สรุป

(ก) นางสี่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 443 ได้ทั้งหมด แต่จะเรียกค่าสินไหมทดแทนตามมาตรา 445 ไม่ได้ นายห้ามีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนได้เฉพาะตามมาตรา 443 วรรคสามและมาตรา 445, นายหกไม่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนใด ๆ ได้เลย

(ข) นายหนึ่งจะเรียกค่าสินไหมทดแทนในความเสียหายที่ไม่อาจตีราคาได้ตามมาตรา 446 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้

 

 

ข้อ 3. นายน้อยไปเที่ยวพักผ่อนที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งกับครอบครัว ได้พบเจอกับนายหน่อ คู่อริที่กำลังเดินเล่นอยู่ริมชายหาดพร้อมกับเสือโคร่งซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรด โดยล่ามเชือกไว้ที่ต้นคอ เมื่อนายหน่อหันมาเห็นนายน้อยจึงออกคำสั่งให้เสือโคร่งวิ่งเข้าตะปบนายน้อยทันที นายน้อยพลิกตัวหลบ ทำให้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ขณะนายน้อยกำลังเดินกลับมาที่ห้องเพื่อรักษาแผล ก็โดนยุงลายหลายตัวในรีสอร์ทกัดจนเป็นไข้เลือดออก นายน้อยจึงฟ้องนายหน่อและเจ้าของรีสอร์ทให้ต้องรับผิดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ให้วินิจฉัยว่า นายหน่อและเจ้าของรีสอร์ทต้องรับผิดต้อนายน้อยหรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น ”

มาตรา 433 วรรคหนึ่ง “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์ ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหายเพื่อความเสียหายอย่างใด ๆอันเกิดแต่สัตว์นั้น เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังอันสมควรแก่การเลี้ยงการรักษาตามชนิดและวิสัยของสัตว์ หรือตามพฤติการณ์อย่างอื่น หรือพิสูจน์ได้ว่าความเสียหายนั้นย่อมจะต้องเกิดมีขึ้นทั้งที่ได้ใช้ความระมัดระวังถึงเพียงนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหน่อออกคำสั่งให้เสือโคร่งสัตว์เลี้ยงตัวโปรดวิ่งเข้าตะปบนายน้อยทำให้นายน้อยได้รับบาดเจ็บนั้น ความเสียหายที่นายน้อยได้รับมิใช่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ตามมาตรา 433 แต่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำละเมิดของนายหน่อตามมาตรา 420 กล่าวคือ การที่นายหน่อเป็นคนออกคำสั่งให้เสือโคร่งวิ่งเข้าไปทำร้ายนายน้อยนั้น ถือว่านายหน่อได้กระทำโดยจงใจต่อผู้อื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกายโดยใช้สัตว์เป็นเครื่องมือ ดังนั้น นายหน่อจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นายน้อย

ส่วนกรณีที่นายน้อยโดนยุงลายหลายตัวในรีสอร์ทกัดจนเป็นไข้เลือดออกนั้น ก็มิใช่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะสัตว์ตามมาตรา 433 เพราะแม้ยุงลายจะอยู่ในรีสอร์ท แต่เจ้าของรีสอร์ทก็ไม่ได้เป็นเจ้าของยุงลาย หรือเป็นผู้รับเลี้ยงรับรักษายุงลายแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อยุงลายเป็นสัตว์ไม่มีเจ้าของ นายน้อยผู้เสียหายจึงเรียกให้เจ้าของรีสอร์ทรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนไม่ได้

สรุป นายหน่อต้องรับผิดฐานกระทำละเมิดต่อนายน้อยตามมาตรา 420 ส่วนเจ้าของรีสอร์ทไม่ต้องรับผิดต่อนายน้อย

 

 

ข้อ 4. นางสาวแสงจันทร์อยู่ด้วยกันฉันสามีภริยากับนายแสงอาทิตย์ ต่อมานางสาวแสงจันทร์ตายระหว่างคลอดบุตรสาวชื่อว่า ด.ญ.แสงเดือน ซึ่งเกิดมาสมองพิการมาแต่กำเนิด นายแสงอาทิตย์จึงทั้งรักและเอ็นดู ให้การอุปการะเลี้ยงดูและให้ใช้นามสกุล ต่อมานายแสงอาทิตย์ได้ถูกนายมืดทำร้ายจนถึงแก่ความตายเนื่องจากความบาดหมางในที่ทำงาน ส่งผลให้ ด.ญ.แสงเดือนขาดคนอุปการะ และเกิดอาการทุกข์ระทมเสียใจเป็นอย่างมาก ถึงกับกรีดร้องจนสลบไปหลายครั้ง

ให้วินิจฉัยว่า ด.ญ.แสงเดือนจะเรียกให้นายมืดจ่ายค่าขาดไร้อุปการะ และค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแท่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทำละเมิดจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 443 วรรคสาม “ถ้าว่าเหตุที่ตายลงนั้นทำให้บุคคลคนหนึ่งคนใดต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายไปด้วยไซร้ ท่านว่าบุคคลคนนั้นชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 446 วรรคหนึ่ง “ในกรณีทำให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยก็ดี ในกรณีทำให้เขาเสียเสรีภาพก็ดี ผู้ต้องเสียหายจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความที่เสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินด้วยอีกก็ได้ สิทธิเรียกร้องอันนี้ไม่โอนกันได้ และไม่ตกสืบไปถึงทายาท เว้นแต่สิทธินั้นจะได้รับสภาพกับไว้โดยสัญญาหรือได้เริ่มฟ้องคดีตามสิทธินั้นแล้ว ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมืดทำร้ายนายแสงอาทิตย์จนนายแสงอาทิตย์ถึงแก่ความตายนั้นการกระทำของนายมืดถือเป็นการทำละเมิดตามมาตรา 420 เพราะเป็นการกระทำโดยจงใจต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทำให้เขาเสียหายแก่ชีวิต ดังนั้น นายมืดจึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน ส่วน ด.ญ.แสงเดือนจะเรียกให้นายมืดจ่ายค่าขาดไร้อุปการะ และค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินได้หรือไม่นั้น

แยกพิจารณาได้ดังนี้

  1. การเรียกค่าขาดไร้อุปการะ ในการฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเป็นกรณีที่เป็นผู้ขาดไร้อุปการะตามกฎหมายครอบครัว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ด.ญ.แสงเดือนเป็นบุตรที่เกิดกับนางสาวแสงจันทร์ซึ่งอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยากับนายแสงอาทิตย์ และแม้ว่านายแสงอาทิตย์จะให้การอุปการะและให้ ด.ญ.แสงเดือนใช้นามสกุลของตน ก็เพียงแต่ทำให้ ด.ญ.แสงเดือนเป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดาได้รับรองโดยพฤตินัยเท่านั้น ไม่ได้ทำให้ ด.ญ.แสงเดือนเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายแสงอาทิตย์แต่อย่างใด

นายแสงอาทิตย์ (ผู้ตาย) จึงมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดู ด.ญ.แสงเดือน แม้จะปรากฏว่า ด.ญ.แสงเดือนจะเกิดมาสมองพิการเลี้ยงตัวเองไม่ได้ก็ตาม ดังนั้น ด.ญ.แสงเดือนจึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากนายมืดตามมาตรา 443 วรรคสาม

  1. การเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินตามมาตรา 446วรรคหนึ่งนั้น จะเรียกได้ก็ต่อเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นแก่ร่างกาย อนามัยของผู้ถูกทำละเมิดหรือเสียเสรีภาพเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายแสงอาทิตย์ถึงแก่ความตาย จึงไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ ด.ญ.แสงเดือนในอันที่จะฟ้องเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน

สรุป ด.ญ.แสงเดือนจะเรียกให้นายมืดจ่ายค่าขาดไร้อุปการะและค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินไม่ได้

LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ช่องว่างของกฎหมายคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีการบัญญัติถึงวิธีการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้อย่างไรบ้าง อธิบาย

ธงคำตอบ

ช่องว่างแห่งกฎหมาย คือ กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณอักษรที่จะนำมาปรับใช้กับข้อเท็จจริงได้กล่าวคือ ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อนำมาปรับใช้แก่กรณีไม่พบนั่นเอง

โดยปกติช่องว่างแห่งกฎหมายเกิดจากการที่ผู้ร่างกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างในกฎหมาย อาจจะเป็นเพราะผู้ร่างกฎหมายไม่สามารถที่จะนึกถึงช่องว่างของกฎหมายนั้นได้ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์อันทำให้ช่องว่างนั้นเกิดขึ้น

ซึ่งหลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4วรรคสอง ได้บัญญัติไว้ว่า

“เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป ”

กล่าวคือ เมื่อมีคดีหรือข้อพิพาทเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ ให้ศาลวินิจฉัยตามลำดับ ดังนี้

  1. ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น หมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี ซึ่งจารีตประเพณีก็คือ ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ยอมรับนับถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานานจนบุคคลทั่วไปรู้สึกว่าเป็นข้อบังคับที่จะนำมาใช้ได้ และมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายลายลักษณ์อักษรนั่นเอง เช่น จารีตประเพณีการค้าฃองธนาคารพาณิชย์ จารีตประเพณีเกี่ยวกับการขนส่ง เป็นต้น
  2. ในกรณีที่ไม่มีจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น ให้วินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง หมายความว่า เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้ ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน เช่น การขุดหลุมรับน้ำโสโครก หลุมรับปุ๋ย หรือหลุมรับขยะมูลฝอย มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะขุดในระยะสองเมตรจากแนวเขตที่ดินไม่ได้ (มาตรา 1342) แต่หลุมที่รับกากสารเคมีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าขุดได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเรื่องการขุดหลุมรับกากสารเคมี มีเหตุผลที่ควรจะห้ามมิให้ขุดในระยะที่ใกล้เคียงกับแนวเขตที่ดิน เพราะอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลที่อยู่ในที่ดินข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงนำเอามาตรา 1342 มาใช้เทียบเคียงกับการขุดหลุมรับกากสารเคมีได้ เป็นต้น
  3. ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ให้วินิจฉัยคดีตามหลักกฎหมายทั่วไป กรณีนี้เป็นวิธี การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งประการสุดท้ายหมายความว่า ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรไม่มีจารีตประเพณี และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน หรือสุภาษิตของกฎหมาย หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้ เช่น สัญญาต้องเป็นสัญญา ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งขึ้น ศาลจะต้องใช้หลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายตามขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น เพื่อวินิจฉัยคดีที่เกิดขึ้น จะยกฟ้องโดยอาศัยเหตุว่าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาวินิจฉัยไม่ได้

 

ข้อ 2. นายสันติไปเที่ยวชายทะเลที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2559 และในวันนั้นเองได้เกิดคลื่นยักษ์ถล่นเกาะสมุยทำให้มีคนตายบาดเจ็บและสูญหายเป็นจำนวนมาก รวมทั้งนายสันติด้วย นางสดใสภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสันติมาปรึกษาท่านซึ่งเป็นนักกฎหมายว่าจะมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้นายสันติเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่ เนื่องจากหลังจากวันนั้นแล้วไม่มีใครได้ข่าวหรือพบนายสันติอีกเลย

ให้วินิจฉัยว่า นางสดใสจะมีสิทธิไปใช้สิทธิทางศาลได้หรือไม่ เมื่อไหร่ และเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1)     นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)     นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป

(3)     นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสันติได้ไปเที่ยวชายทะเลที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2559 และในวันนั้นเองได้เกิดคลื่นยักษ์ถล่มเกาะสมุย ทำให้มีคนตายบาดเจ็บและสูญหายเป็นจำนวนมากรวมทั้งนายสันติด้วยนั้น ย่อมถือว่านายสันติไต้ตกอยู่ในเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิต และเมื่อหลังจากวันนั้นแล้วไม่มีใครได้ข่าวหรือพบนายสันติอีกเลย จึงถือว่านายสันติได้สูญหายไปในกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง (3)

ดังนั้น ถ้าผู้มีส่วนได้เสียจะใช้สิทธิในการร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายสันติเป็นคนสาบสูญ จะใช้สิทธิได้เมื่อครบกำหนด 2 ปีนับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตได้ผ่านพ้นไป และเมื่อปรากฏว่าเหตุอันตรายแก่ชีวิตคือการเกิดคลื่นยักษ์นั้นได้ผ่านพ้นไปในวันที่ 30 กันยายน 2559 ดังนั้น วันครบกำหนด 2 ปีดังกล่าว คือ วันที่ 30 กันยายน 2561 ผู้มีส่วนได้เสียจึงสามารถเริ่มไปใช้สิทธิทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป

และตามกฎหมายนั้น บุคคลที่จะมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายสันติเป็นคนสาบสูญจะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางสดใสเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสันติ ดังนั้น นางสดใสจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่มีสิทธิที่จะไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายสันติเป็นคนสาบสูญได้

สรุป

นางสดใสมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายสันติเป็นคนสาบสูญได้ และจะเริ่มไปใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป

ข้อ 3. นายไก่อายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ ทำพินัยกรรมขึ้น 1 ฉบับ กำหนดว่าเมื่อตนถึงแก่ความตายให้ยกเงินในธนาคารซึ่งเป็นเงินส่วนตัวของตนให้แก่มูลนิธิแมวไร้บ้าน โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางไข่มารดาแต่อย่างใด ต่อมาแพทย์ลงความเห็นว่านายไก่เจ็บป่วยทางจิตเป็นโรคจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและตั้งนางไข่เป็นผู้พิทักษ์ นายไก่ได้ไปยืมเงินนายเป็ดเพื่อนรักจำนวนหนึ่งร้อยบาทโดยมิได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ หลังจากนั้นนายไก่ก็เจ็บป่วยมากขึ้น แพทย์ลงความเห็นว่าวิกลจริต นายไก่ไปซื้อรถยนต์จากนายเป็ดในราคา 1 ล้านบาทในขณะคุ้มดี และนายเป็ดรู้ว่านายไก่เป็นคนวิกลจริต ต่อมาศาลสั่งให้นายไก่เป็นคนไร้ความสามารถและศาลตั้งนางไข่เป็นผู้อนุบาล นางไข่อนุญาตให้นายไก่ไปซื้อรถยนต์จากนายเป็ดมาอีก 1 คันในราคา 2 ล้านบาท

1) พินัยกรรม

2) ยืมเงินนายเป็ด 100 บาท

3) ซื้อรถยนต์จากนายเป็ดคันแรก 1 ล้านบาท และ

4) ซื้อรถยนต์คันที่สองจากนายเป็ด 2 ล้านบาท

มีผลในทางกฎหมายอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบคำอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 25 “ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลงการนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอยางหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

การใดกระทำลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1703 “พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

1)      ตามมาตรา 25 นั้น กฎหมายได้บัญญัติให้ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ หากผู้เยาว์ทำพินัยกรรมโดยฝ่าฝืนบบทบัญญัติดังกล่าว พินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ เสมือนว่ามิได้มีการทำพินัยกรรมนั้นเลยตามมาตรา 1703

ตามปัญหาการที่นายไก่ซึ่งมีอายุครบ 15ปีบริบูรณ์ ได้ทำพินัยกรรมขึ้น 1 ฉบับโดยกำหนดว่าเมื่อตนถึงแก่ความตายให้ยกเงินในธนาคารซึ่งเป็นเงินส่วนตัวของตนให้แก่มูลนิธิแมวไร้บ้านนั้น แม้ว่าการทำพินัยกรรมดังกล่าวจะไม่ได้รับความยินยอมจากนางไข่มารดาแต่อย่างใด แต่ก็มิได้เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมาย เพราะเป็นการทำพินัยกรรมในขณะที่นายไก่มีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว ดังนั้นพินัยกรรมดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์

2)      โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้โดยลำพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มีฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายไก่คนเสมือนไร้ความสามารถได้ไปยืมเงินจากนายเป็ดจำนวน 100 บาท โดยที่นางไข่ผู้พิทักษ์มิได้รู้เห็นยินยอมแต่อย่างใดนั้น การยืมเงินดังกล่าวย่อมมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 34 (3) ประกอบวรรคท้าย

3)      โดยหลักของฆาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทำนิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายไก่ซึ่งเป็นคนวิกลจริตได้ไปซื้อรถยนต์จากนายเป็ดในราคา 1 ล้านบาทนั้น เมื่อนายไก่ได้ไปทำนิติกรรมซื้อรถยนต์จากนายเป็ดในขณะที่คุ้มดีคือไม่มีอาการวิกลจริต ดังนั้นแม้นายเป็ดจะได้รู้ว่านายไก่เป็นคนวิกลจริตก็ตาม นิติกรรมการซื้อรถยนต์ดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์ ไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

4)      ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายไก่ซึ่งเป็นคนวิกลจริตและศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้ไปซื้อรถยนต์จากนายเป็ดอีก 1 คันในราคา 2 ล้านบาทนั้น ถึงแม้การทำนิติกรรมซื้อรถยนต์คันที่ 2 นี้จะได้รับอนุญาต คือได้รับความยินยอมจากนางไข่ผู้อนุบาลก็ตาม นิติกรรมการซื้อรถยนต์ดังกล่าวก็มีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

สรุป

การทำนิติกรรมของนายไก่มีผลในทางกฎหมาย ดังนี้

1)      การทำพินัยกรรมมีผลสมบูรณ์

2)      การยืมเงินจากนายเป็ด 100 บาท มีผลเป็นโมฆียะ

3)      การซื้อรถยนต์คันแรกมีผลสมบูรณ์

4)      การซื้อรถยนต์คันที่ 2 มีผลเป็นโมฆียะ

WordPress Ads
error: Content is protected !!