LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายสนมีอาชีพทำนา นายสนได้เข้าไปทำนาบนที่ดินของนายสาย โดยที่นายสายไม่ทราบ นายสนทำนาบนที่ดินของนายสายมาได้ 15 ปี นายสายตาย นายเสียงบุตรของนายสายได้รับมรดกที่ดินแปลงนั้น นายเสียงไม่ทราบว่าที่ดินแปลงนั้นมีนายสนได้ทำนาอยู่บนที่ดินแปลงนั้น ต่อมานายเสียงได้โอนจดทะเบียนขายที่ดินแปลงนั้นให้นายแสง ช่วงที่ตกลงซื้อขาย นายแสงก็ได้ไปดูที่ที่ดินแปลงนั้นแต่ไม่เจอนายสนเพราะอยู่นอกฤดูทำนา เมื่อนายแสงซื้อที่ดินแปลงนั้นมาแล้วก็ตั้งใจจะไปทำสวนบนที่ดินแปลงนั้น จึงพบว่ามีนายสนทำนาอยู่บนที่ดินแปลงนั้น

ให้นักศึกษาอธิบายต่อนายแสงว่านายแสงจะมีสิทธิอย่างไรบ้าง และต้องดำเนินการอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคสอง “ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

วินิจฉัย

กรณิตามอุทาหรณ์ การที่นายสนซึ่งมีอาชีพทำนาได้เข้าไปทำนาบนที่ดินของนายสายโดยที่นายสายไม่ทราบ และนายสนได้ทำนาบนที่ดินของนายสายมาได้ 15 ปีแล้วนั้น ถือว่านายสนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 อันถือว่าเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมตามมาตรา 1299 วรรคสอง เมื่อปรากฏว่านายสนไม่ได้ไปจดทะเบียนการได้มาซึ่งสิทธิดังกล่าว นายสนจึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ และสิทธิอันยังไม่ได้จดทะเบียนนั้น นายสนจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้

ต่อมาเมื่อนายสายตาย นายเสียงบุตรของนายสายได้รับมรดกที่ดินแปลงนั้น กรณีนี้ถือว่าเป็นการรับโอนที่ดินในฐานะทายาทโดยธรรมของนายสายซึ่งเป็นการรับทรัพย์มรดกตามกฎหมายว่าด้วยมรดก โดยทายาทต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ ของเจ้ามรดก นายเสียงซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิของนายสายจึงไม่ถือว่าเป็นบุคคลภายนอกที่ได้รับกรรมสิทธิในที่ดินแปลงนั้นโดยมีค่าตอบแทน ดังนั้นระหว่างนายสนกับนายเสียง นายสนจึงยังเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวดีกว่านายเสียง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายเสียงได้โอนจดทะเบียนขายที่ดินแปลงนั้นให้นายแสง และช่วงที่ตกลงซื้อขายกันนั้น นายแสงก็ได้ไปดูที่ที่ดินแปลงนั้นแต่ไม่เจอนายสนเพราะอยู่นอกถดูทำนา จึงถือว่านายแสงเป็นบุคคลภายนอกที่ได้สิทธิในที่ดินแปลงนั้นมาโดยเสียค่าตอบแหนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตตามมาตรา 1299 วรรคสอง ดังนั้น นายแสงจึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวดีกว่านายสน และเมื่อนายแสงจะเข้าไปทำสวนบนที่ดินแปลงนั้นแต่พบว่ามีนายสนทำนาอยู่บนที่ดินแปลงนั้น นายแสงย่อมมีสิทธิฟ้องต่อศาลเพื่อขับไล่ให้นายสนออกจากที่ดินแปลงนั้นได้

สรุป

ข้าพเจ้าจะอธิบายต่อนายแสงว่า นายแสงมีสิทธิฟ้องต่อศาลเพื่อขับไล่ให้นายสนออกจากที่ดินแปลงนั้นได้ ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. นายปั่นเช่าซื้อรถยนต์ในราคา 200,000 บาท จากบริษัท ก้องเกียรติมอเตอร์ จำกัด ซึ่งจดทะเบียนประกอบธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์มาเป็นเวลากว่าแปดปีแล้ว โดยไม่รู้ว่านายปานเป็นผู้มีชื่อในคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ หลังจากนายปั่นชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนแล้ว นายปั่นได้ติดต่อขอให้บริษัท ก้องเกียรติมอเตอร์ จำกัด ส่งมอบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ให้แก่ตน แต่บริษัท ก้องเกียรติมอเตอร์ จำกัด ผัดผ่อนเรื่อยมา ต่อมานายปั่นจึงรู้ว่ารถยนต์คันนี้เดิมเป็นของนายปาน ซึ่งถูกนายแมนฉ้อโกงแล้วนำมาขายที่บริษัทก้องเกียรติมอเตอร์จำกัด ในราคา 150,000 บาท เมื่อนายปานทราบข้อเท็จจริงว่ารถยนต์คันนี้อยู่ในการครอบครองของนายปั่น นายปานจึงฟ้องขอให้ศาลบังคับนายปั่นส่งมอบรถยนต์พิพาทให้แก่ตน

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า นายปั่นจะต้องส่งมอบรถยนต์คืนให้แก่นายปานหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์

มาตรา 1332 “บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด หรือในท้องตลาดหรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา ”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดของเอกชน หรือในท้องตลาดหรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1332 คือ แม้เจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริงจะติดตามทวงคืน ก็ไม่จำต้องคืนทรัพย์สินให้แก่เจ้าของ เว้นแต่เจ้าของทรัพย์สินนั้นจะชดใช้ราคาที่ตนซื้อมา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายปั่นได้เช่าซื้อรถยนต์จากบริษัท ก้องเกียรติมอเตอร์ จำกัด ซึ่งจดทะเบียนประกอบธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์มาเป็นเวลากว่าแปดปีแล้วนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นายปั่นได้ซื้อทรัพย์สินจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นตามมาตรา 1332 และเมื่อนายปั่นได้ชำระราคาครบถ้วนแล้วรถยนต์คันนี้จึงตกเป็นสิทธิของนายปั่นแล้ว การที่นายปั่นมารู้ข้อเท็จจริงในภายหลังว่ารถยนต์คับนี้เดิมเป็นของนายปานซึ่งถูกนายแมนฉ้อโกงแล้วนำมาขายที่บริษัท ก้องเกียรติมอเตอร์ จำกัด นั้น ย่อมถือวานายปั่นเป็นผู้ซื้อทรัพย์สินโดยสุจริต ดังนั้น นายปั่นจึงได้รับการคุ้มครองสิทธิตามมาตรา 1332 กล่าวคือ นายปั่นไม่จำต้องคืนรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่นายปาน เว้นแต่นายปานจะชดใช้ราคาที่นายปั่นซื้อมาคือ 200,000 บาท

สรุป

นายปั่นไม่ต้องคืนรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่นายปาน เว้นแต่นายปานจะชดใช้ราคาที่นายปั่นซื้อมาคือ 200,000 บาท

 

ข้อ 3. นายขาวมีที่ดินแปลงหนึ่งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ตามปกตินายขาวสามารถเดินทางได้ทั้งทางรถยนต์และใช้เรือข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยา ต่อมานายขาวแบ่งที่ดินออกเป็นสามแปลงและขายให้นายดำ นายเขียว และนายเหลือง นายดำซื้อแปลงที่ไม่มีทางเข้าออกโดยรถยนต์ แต่เข้าออกโดยใช้เรือข้ามฟากได้ทางเดียว

ดังนี้ ถ้านายดำจะขอทางออกเป็นทางจำเป็นผ่านที่ดินของนายเหลืองได้หรือไม่ และจะต้องเสียค่าทดแทนหรือไม่ จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาดรา 1349 วรรคแรก “ที่ดินแปลงใดมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้’’

มาตรา 1350 “ถ้าที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1349 วรรคแรก หมายความว่า ที่ดินแปลงใดที่มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นจะผ่านที่ดินซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะก็ได้ ส่วนการจะนำบทบัญญัติมาตรา 1350 มาใช้บังคับได้ ต้องเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงเดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว ต่อมาเมื่อแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องทางเดินได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน แต่ทั้งนี้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายขาวได้แบ่งแยกที่ดินออกเป็นสามแปลงแล้วขายให้นายดำ นายเขียวและนายเหลือง โดยนายดำได้ซื้อแปลงที่ไม่สามารถเข้าออกโดยรถยนต์แต่ใช้เรือข้ามฟากได้ทางเดียวนั้น ที่ดินของนายดำจึงยังไม่เข้าลักษณะที่ดินตาบอดที่จะเป็นเหตุให้ขอทางจำเป็นตามมาตรา 1349 วรรคแรกได้เพราะยังสามารถใช้ทางสาธารณะได้ ดังนั้น หากจะขอใช้ทางจำเป็นจึงต้องใช้หลักเกณฑ์ตามมาตรา 1350

แต่อย่างไรก็ตาม หลักเกณฑ์ที่สำคัญตามมาตรา 1350 ประการหนึ่งมีว่า เมื่อมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินกันแล้วจะต้องทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ แต่กรณีนี้เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหลังจากมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินกันแล้ว นายดำยังคงสามารถใช้ทางสาธารณะทางน้ำ (เรือ) เป็นทางเข้าออกจากที่ดินของตนได้อยู่ จึงไม่ถือว่าที่ดินของนายดำมีสภาพที่ถูกปิดล้อมจนไม่สามารถเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์การขอทางจำเป็นตามมาตรา 1350 ดังนั้น นายดำจึงไม่มีสิทธิที่จะขอทางออกเป็นทางจำเป็นผ่านที่ดินของนายเหลือง และเมื่อนายดำไม่มีสิทธิขอทางจำเป็น จึงไม่ต้องพิจารณาเรื่องค่าทดแทนอีกต่อไป

สรุป

นายดำจะขอทางออกเป็นทางจำเป็นผ่านที่ดินของนายเหลืองไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นกรณีตามมาตรา 1349 หรือมาตรา 1350 โดยไม่ต้องพิจารณาเรื่องค่าทดแทน

 

ข้อ 4. นายเอกได้ใช้ทางเดินบนที่ดินมือเปล่าของนายโทโดยถือวิสาสะอันเป็นการเอื้อเฟื้ออาทรฉันญาติพี่น้องเพื่อออกสู่ถนนสาธารณะเป็นระยะเวลานานถึง 4 ปี ภายหลังต่อมานายเอกและนายโทได้มีการทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างรุนแรง นายโทจึงห้ามมิให้นายเอกใช้ทางเดินบนที่ดินของตนอีกต่อไปแต่นายเอกก็ยังคงใช้ทางเดินดังกล่าวเรื่อยมาอีก 6 ปี ติดต่อกัน ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายเอกได้มาซึ่งภาระจำยอมโดยอายุความบนที่ดินของนายโทหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกับเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1401 “ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

วินิจฉัย

การได้ภาระจำยอมโดยอายุความครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1401 นั้น บัญญัติให้นำอายุความได้สิทธิตามมาตรา 1382 มาบังคับใช้โดยอนุโลม กล่าวคือ ต้องเป็นกรณีที่เจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์ โดยความสงบ เปิดเผย และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในภารยทรัพย์ โดยต้องใช้ประโยชน์ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ แม้เดิมนายเอกจะได้ใช้ทางเดินบนที่ดินของนายโทโดยถือวิสาสะฉันญาติ

พี่น้องเพื่อออกสู่ถนนสาธารณะเป็นระยะเวลานานถึง 4 ปีก็ตาม แต่เมื่อภายหลังต่อมานายเอกได้ใช้ทางเดินบนที่ดินดังกล่าวโดยความสงบ และโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาให้เป็นทางภาระจำยอมติดต่อกันเป็นเวลาเพียง 6 ปี ดังนั้นนายเอกจึงไม่ได้สิทธิภาระจำยอมโดยอายุความบนที่ดินของนายโท (ตามมาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382)

สรุป

นายเอกไม่ได้สิทธิภาระจำยอมบนที่ดินของนายโทโดยอายุความ

LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายหมึกครอบครองทำไร่ในที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งเดิมเป็นหนองน้ำสาธารณะที่ตื้นเขินขึ้นจนเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า หลังจากนั้น 10 ปี นายหมึกได้ทำสัญญาเป็นหนังสือขายที่ดินแปลงนี้ให้นางกุ้ง นางกุ้งครอบครองต่อมาได้ 1 ปี นางกุ้งได้ให้เพื่อนของตนซึ่งเป็นข้าราชการของสำนักงานที่ดินออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ให้ โดยที่ทางราชการยังไม่เคยประกาศให้ประชาชนจับจองเป็นเจ้าของแต่อย่างใด หลังจากนั้น 2 ปี ทางราชการต้องการที่ดินดังกล่าวทำแก้มลิงตามโครงการป้องกันน้ำท่วม จึงแจ้งให้นางกุ้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดแล้วย้ายออกไปจากที่ดินนั้น

ดังนี้ นางกุ้งจะต้องย้ายออกไปหรือไม่ และนางกุ้งจะอ้างสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินนั้นได้บ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแฟงและพาณิชย์

มาตรา 1304 “สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น

(1) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดิน”

มาตรา 1305 “ทรัพย์สินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นจะโอนแก่กันมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกา”

มาตรา 1306 “ท่านห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายหมึกครอบครองทำไร่ในที่ดินซึ่งเดิมเป็นหนองน้ำสาธารณะที่ตื้นเขินขึ้นจนเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่านั้น เมื่อที่ดินดังกล่าวเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1304 (1) ดังนั้น แม้นายหมึกจะครอบครองนานเท่าใด นายหมึกก็จะไม่ได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะตามมาตรา 1306 ได้บัญญัติห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน

การที่นายหมึกได้ทำสัญญาขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นางกุ้งนั้น ก็ไม่ทำให้นางกุ้งซึ่งซื้อที่ดินจากนายหมึกได้กรรมสิทธิหรือสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะสาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้นจะโอนให้แก่กันมิได้ เว้นแต่อาศัยอำนาจแห่งบทกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฎีกาเท่านั้น(มาตรา 1305) ส่วนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ที่นางกุ้งได้มานั้นก็เป็นการได้มาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย เพราะทางราชการยังไม่ได้ประกาศให้ประชาชนจับจองเป็นเจ้าของแต่อย่างใด

ดังนั้น เมื่อทางราชการต้องการที่ดินแปลงดังกล่าวเพื่อทำแก้มลิงตามโครงการป้องกันน้ำท่วมและได้แจ้งให้นางกุ้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดแล้วย้ายออกไปจากที่ดินนั้น นางกุ้งก็จะต้องย้ายออกไป และจะอ้างสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินนั้นไม่ได้เลย

สรุป

นางกุ้งจะต้องย้ายออกไปจากที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โดยไม่สามารถอ้างสิทธิใด ๆ ได้เลย

 

ข้อ 2. นายอึ่งซื้อรถยนต์มือสองคันหนึ่งในราคา 500,000 บาท จากบริษัท ไฮโซมอเตอร์ จำกัด ซึ่งประกอบกิจการซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ติดต่อกันเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว โดยนายอึ่งไม่รู้ว่าเป็นรถยนต์ที่คนร้ายขโมยของนายกบไปขายที่บริษัท ไฮใซมอเตอร์ จำกัด หลังจากซื้อรถยนต์มาแล้ว นายอึ่งได้ซื้อล้อแม็กซ์มาเปลี่ยนล้อใหม่ทั้งหมดสี่ล้อเป็นเงิน 80,000 บาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจับคนร้ายได้ และนายกบเจ้าของรถยนต์คันดังกล่าวเรียกให้นายอึ่งส่งมอบรถยนต์คืนให้กับตน

ดังนี้ระหว่างนายอึ่งกับนายกบจะมีสิทธิเรียกร้องใด ๆ ต่อกันในรถยนต์และล้อแม็กซ์ดังกล่าวได้บ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1316 “ถ้าเอาสังหาริมทรัพย์ของบุคคลหลายคนมารวมเข้ากันจนเป็นส่วนควบหรือแบ่งแยกไม่ได้ไซร้ ท่านว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นเจ้าของรวมแห่งทรัพย์ที่รวมเข้ากัน แต่ละคนมีส่วนตามค่าแห่งทรัพย์ของตนในเวลาที่รวมเข้ากับทรัพย์อื่น

ถ้าทรัพย์อันหนึ่งอาจถือได้ว่าเป็นทรัพย์ประธานไซร้ ท่านว่าเจ้าของทรัพย์นั้นเป็นเจ้าของทรัพย์ที่รวมเข้ากันแต่ผู้เดียว แต่ต้องใช้ค่าแห่งทรัพย์อื่น ๆ ให้แก่เจ้าของทรัพย์นั้น ๆ”

มาตรา 1332 “บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด หรือในท้องตลาด หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา ”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1332 ได้บัญญัติคุ้มครองสิทธิของบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตว่า ไม่จำต้องคืนทรัพย์สินนั้นแก่เจ้าของที่แท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา ถ้าหากบุคคลนั้นได้ซื้อทรัพย์สินนั้นมาจากการขายทอดตลาด หรือจากในท้องตลาด หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอึ่งได้ซื้อรถยนต์มือสองคันหนึ่งในราคา 500,000 บาท จากบริษัทไฮโซมอเตอร์ จำกัด ซึ่งประกอบกิจการซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ติดต่อกันเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วนั้น ถือว่าเป็นกรณี

ที่นายอึ่งได้ซื้อทรัพย์สินจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นตามมาตรา 1332 และเมื่อเป็นการซื้อโดยสุจริตเพราะนายอึ่งไม่รู้ว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นรถยนต์ที่คนร้ายขโมยของนายกบมาขายไว้กับบริษัท ไฮโซมอเตอร์ จำกัด

ดังนั้นนายอึ่งจึงได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1332 กล่าวคือ นายอึ่งไม่ต้องคืนรถยนต์ให้กับนายกบ เว้นแต่นายกบจะต้องชดใช้ราคาที่ซื้อมาคือ 500,000 บาท ส่วนการที่นายอึ่งได้ซื้อล้อแม็กซ์มาเปลี่ยนใหม่ทั้งสี่ล้อเป็นเงิน 80,000 บาทนั้น ถือเป็นการเอาสังหาริมทรัพย์ของบุคคลหลายคนมารวมเข้ากันเป็นส่วนควบโดยมีรถยนต์เป็นทรัพย์ประธาน ซึ่งตามมาตรา 1316 ได้บัญญัติให้ผู้เป็นเจ้าของรถยนต์เป็นเจ้าของล้อแม็กซ์นั้น แต่ต้องชดใช้ราคาล้อแม็กซ์ให้กับเจ้าของล้อแม็กซ์ ดังนั้น ถ้านายอึ่งคืนรถยนต์ไห้แก่นายกบเพราะนายกบได้ชดใช้ราคาที่ซื้อมาให้แก่นายอึ่ง นายกบย่อมเป็นเจ้าของรถยนต์และเป็นเจ้าของล้อแม็กซ์นั้น แต่นายกบต้องชดใช้ราคาล้อแม็กซ์ให้แก่นายอึ่งอีก 80,000 บาท

สรุป

นายอึ่งไม่จำต้องคืนรถยนต์ให้แก่นายกบและเป็นเจ้าของล้อแม็กซ์ดังกล่าว เว้นแต่นายกบจะชดใช้ราคารถยนต์ที่นายอึ่งซื้อมา 300,000 บาท และถ้านายกบได้ชดใช้ราคารถยนต์ที่ซื้อมาให้แก่นายอึ่ง นายกบก็จะเป็นเจ้าของรถยนต์และเป็นเจ้าของล้อแม็กซ์นั้น แต่จะต้องชดใช้ราคาล้อแม็กซ์ให้แก่นายอึ่งอีก 80,000 บาท

 

ข้อ 3. ดำครอบครองทำนาในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของขาวติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี โดยดำบอกกับชาวบ้านแถบนั้นว่าที่ดินเป็นของดำแล้ว ส่วนขาวไม่รู้เรื่องนี้เลย เมื่อขึ้นปีที่ 6 ดำไปทำงานรับจ้างที่สิงคโปร์ โดยมีข้อตกลงจ้างเป็นเวลา 3 ปี ในระหว่างนั้นจึงมอบหมายให้แดงมาครอบครองทำนาแทน แต่ดำไปทำงานได้เพียง 1 ปี ก็ถูกนายจ้างบอกเลิกสัญญาจ้าง ดำจึงกลับเมืองไทยและเข้ามาทำนาในที่ดินของขาวต่อด้วยตนเองได้อีก 2 ปี ปรากฏว่าเมื่อขาวรู้ว่าดำเข้ามาทำนาในที่ดินของตนจึงแจ้งให้ดำย้ายออกไป ดังนี้ ดำจะต่อสู้ได้หรือไม่ว่าดำได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของขาวแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1368 “บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์ ”

มาตรา 1384 “ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร และได้คืนภายในเวลาปีหนึ่งนับตั้งแต่วันขาดยึดถือหรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้ ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ

  1. เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

ตามอุทาหรณ์ การที่ดำครอบครองดำนาในที่ดินมีโฉนดของขาวนั้น ดำจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้นโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ก็ต่อเมื่อได้ครอบครองติดต่อกันจนครบกำหนด 10 บี

การที่ดำครอบครองได้ 5 ปี ถึงปีที่ 6 ดำได้ไปทำงานที่สิงคโปร์นั้น โดยหลักย่อมถือได้ว่าเป็นการขาดยึดถือทรัพย์สินคือที่ดินนั้นแล้ว แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าดำได้มอบหมายให้แดงมาครอบครองทำนาแทน จึงเท่ากับว่าดำยังไม่ได้ขาดการยึดถือทรัพย์สิน เพราะดำให้ผู้อื่นยึดถือไว้แทนตามมาตรา 1368 ดังนั้น การครอบครองของดำจึงมิได้สะดุดหยุดลงและถือว่าดำได้ครอบครองที่ดินของขาวมาแล้วเป็นเวลา 6 ปี และการที่ดำกลับเมืองไทยและได้เข้ามาทำนในที่ดินของขาวต่อด้วยตนเองอีก 2 ปีนั้น ย่อมถือว่าดำได้ครอบครองที่ดินของขาวมาแล้วเป็นเวลาเพียง 8 ปี จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของขาวติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ดังนั้นเมื่อขาวรู้ว่าดำเขามาทำนาในที่ดินของตนและได้แจ้งให้ดำย้ายออกไป ดำจึงไม่สามารถต่อสู้ขาวได้ว่าดำได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของขาวแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์

สรุป

ดำจะต่อสู้ขาวว่าดำได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของขาวแล้วโดยการครอบครองปรปักษ์ไม่ได้

 

ข้อ 4. เอกเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่ง เอกได้ทำข้อตกลงกับโทและตรีเพื่อวางสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของโทและตรี แต่การวางสายไฟฟ้าจะต้องผ่านที่ดินของจัตวาด้วย เอกไม่สามารถติดต่อจัตวาได้จึงวางเสาไฟฟ้าผ่านที่ดินของจัตวาไปด้วยโดยไม่ได้ตกลงเรื่องนี้กับจัตวาจนถึงวันนี้ เอกวางสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของโทตรี และจัตวามาได้ 12 ปีแล้ว สิทธิที่เอกมีบนทีดินของโท ตรี และจัตวา คือสิทธิประเภทใด และการได้สิทธิบนที่ดินของโท ตรี และจัตวามีวิธิการได้มาที่เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร จงอธิบาย

(ให้นักศึกษาตอบตามหลักของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 4 ว่าด้วยทรัพย์สิน)

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่

ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ ”

มาตรา 1387 “อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น”

มาตรา 1401 “ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโคยอนุโลม”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอกซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินได้ทำข้อตกลงกับโทและตรีเพื่อวางสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของโทและตรีนั้น สิทธิที่เอกมีอยู่บนที่ดินของโทและตรีคือสิทธิประเภทภาระจำยอมตามมาตรา 1387

เพราะเป็นกรณีที่ที่ดินของโทและตรีต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้โทและตรีต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้น เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์คือที่ดินของเอก และเป็นภาระจำยอมที่เอกได้มาโดยนิติกรรม

ส่วนการที่เอกได้วางสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของจัตวาโดยมิได้ตกลงกับจัตวานั้น เมื่อปรากฎว่าเอกได้วางสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของจัตวามาได้ 12 ปีแล้ว สิทธิที่เอกได้รับบนที่ดินของจัตวาถือว่าเป็นสิทธิประเภทภาระจำยอมตามมาตรา 1387 เช่นเดียวกัน แต่เป็นภาระจำยอมที่เอกได้มาโดยอายุความตามมาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382

สำหรับการได้สิทธิของเอกบนที่ดินของโท ตรี และจัตวา ซึ่งถือว่าเป็นการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ (ประเภทภาระจำยอม) นั้นจะแตกต่างกับดังนี้ คือ

  1. การได้สิทธิของเอกบนที่ดินของโทและตรี ซึ่งเป็นการได้ภาระจำยอมโดยนิติกรรมนั้น จะมีผลตามมาตรา 1299 วรรคแรก กล่าวคือ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิ คือจะใช้ยันต่อบุคคลทั่วไปหรือบุคคลภายนอกไม่ได้ เพียงแต่จะบริบูรณ์ในฐานะบุคคลสิทธิที่ใช้บังคับกันได้ในระหว่างคู่กรณีเท่านั้น
  2. การได้สิทธิของเอกบนที่ดินของจัตวา ซึ่งเป็นการได้ภาระจำยอมโดยอายุความ (โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม) นั้น จะมีผลตามมาตรา 1299 วรรคสอง กล่าวคือ สิทธิของผู้ได้มาย่อมบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิสามารถใช้บังคับกันได้ระหว่างคู่กรณีและใช้ยันบุคคลทั่วไปได้ เพียงแต่ถ้าตราบใดยังมิได้จดทะเบียนสิทธิการได้มากจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้

LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางส้มเช้งได้ทำบันทึกข้อตกลงกับนางส้มโอเพื่อขอเดินผ่านทางกว้างสองเมตรในที่ดินของนางส้มโอไปยังที่ดินของตนเป็นเวลาสิบปี โดยจ่ายค่าตอบแทนให้แก่นางส้มโอเป็นจำนวนสองหมื่นบาท แต่นางส้มเช้งและนางส้มโอไม่ได้นำบันทึกข้อตกลงไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด

ภายหลังจากนางส้มเช้งเดินผ่านทางได้เพียงสองปี นางส้มโอได้ปลูกต้นขนุนจำนวนสองต้นขวางทางทำให้นางส้มเช้งไม่สามารถเดินผ่านทางดังกล่าวได้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า นางส้มเช้งสามารถฟ้องบังคับให้นางส้มโอรื้อถอนต้นขนุนเพื่อเปิดทางให้นางส้มเช้งเดินผ่านทางต่อไปจนครบระยะเวลาตามบันทึกข้อตกลงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคแรก “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่’’

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมนั้น จะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิได้ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่

ซึ่งถ้าฝ่าฝืนจะมีผลเป็นเพียงบุคคลสิทธิ ใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้ (มาตรา 1299 วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางส้มเช้งได้ทำบันทึกข้อตกลงกับนางส้มโอเพื่อขอเดินผ่านทางกว้างสองเมตรในที่ดินของนางส้มโอไปยังที่ดินของตนเป็นเวลาสิบปี โดยจ่ายค่าตอบแทนให้แก่นางส้มโอเป็นจำนวนสองหมื่นบาทนั้น ถือเป็นกรณีที่นางส้มเช้งตกลงได้มาซึ่งภาระจำยอมในที่ดินของนางส้มโออันเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม แม้การได้มาซึ่งภาระจำยอมของนางส้มเช้งจะได้ทำเป็นหนังสือแล้ว แต่เมื่อนางส้มเช้งและนางส้มโอยังไม่ได้นำบันทึกข้อตกลงไปจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ การได้มาซึ่งภาระจำยอมดังกล่าวจึงไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิตามมาตรา 1299 วรรคแรก

แต่อย่างไรก็ตาม การได้มาซึ่งภาระจำยอมของนางส้มเช้งย่อมสมบูรณ์เป็นบุคคลสิทธิ ใช้บังคับกันได้ระหว่างนางส้มเช้งกับนางส้มโอซึ่งเป็นคู่สัญญา ดังนั้น เมื่อนางส้มโอได้ปลูกต้นขนุนจำนวนสองต้นขวางทาง ทำให้นางส้มเช้งไม่สามารถเดินผ่านทางดังกล่าวได้ นางส้มเช้งย่อมสามารถฟ้องบังคับให้นางส้มโอรื้อถอนต้นขนุนเพื่อเปิดทางให้นางส้มเช้งเดินผ่านทางต่อไปจนครบระยะเวลาตามบันทึกข้อตกลงได้

สรุป

นางส้มเช้งสามารถฟ้องบังคับให้นางส้มโอรื้อถอนต้นขนุนเพื่อเปิดทางให้นางส้มเช้งเดินผ่านทางต่อไปจนครบระยะเวลาตามบันทึกข้อตกลงได้

 

ข้อ 2. นายเผด็จเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งเนื้อที่จำนวน 2 ไร่ ซึ่งอยู่ติดกับทางสาธารณะ เมื่อปี พ.ศ. 2540 นายเผด็จได้แบ่งแยกที่ดินดังกล่าวจำนวน 200 ตารางวา ซึ่งอยู่ด้านหลังขายให้กับนายประชา เป็นเหตุให้ที่ดินที่นายบ่ระชาซื้อไปนั้นไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ แสะก่อนแบ่งโอนนายเผด็จสัญญาว่าจะเปิดทางกว้าง 3.5 เมตร เพื่อให้นายประชาทำถนนออกสู่ทางสาธารณะได้ แต่นายประชาเห็นว่า การทำถนนผ่านที่ดินของนายเผด็จไม่สะดวกและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมากนายประชาจึงหันไปทำถนนผ่านที่ดินของนายสันติ ปี พ.ศ. 2541 นายเผด็จเห็นว่านายประชาไม่ใช้ทางผ่านที่ดินของตนจึงล้อมรั้ว หลังจากนั้นปี พ.ค. 2544 นายสันติสร้างตึกแถวในที่ดินของตนทำให้ที่ดินของนายประชาไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ นายประชาจึงขอให้นายเผด็จรื้อรั้วเพื่อเปิดทางให้นายประชาทำถนนตามที่เคยตกลงกันไว้ แต่นายเผด็จอ้างว่านายประชาได้ใช้ทางอื่นออกสู่ทางสาธารณะแล้ว และตอนที่นายเผด็จล้อมรั้วนายประชาก็ไม่คัดค้าน ถือว่านายประชาสละสิทธิการใช้ทางนั้นแล้ว หากนายประชาต้องการใช้ทางผ่านที่ดินของตนใหม่ นายประชาจะต้องจ่ายเงินทดแทนความเสียหายอันเกิดจากการทำถนนผ่านที่ดินให้กับนายเผด็จ

ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า นายประชาจะขอให้นายเผด็จรื้อรั้วเพื่อทำถนนผ่านออกไปสู่ทางสาธารณะได้หรือไม่ และถ้านายเผด็จยอมให้นายประชาทำถนนผ่านที่ดินของตนแล้ว นายประชาจะต้องจ่ายเงินค่าทดแทนให้นายเผด็จหรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1350 “ถ้าที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยก หรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1350 นั้น เป็นเรื่องการขอทางจำเป็นเพื่อผ่านเข้าออกบนที่ดิน กล่าวคือถ้าเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว แต่เมื่อมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินแปลงดังกล่าวกันทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นย่อมมีสิทธิเรียกร้อนเอาทางเดินได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนแต่อย่างใด

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเผด็จแบ่งแยกที่ดินของตนจำนวน 200 ตารางวา ซึ่งอยู่ด้านหลังขายให้กับนายประชา และเป็นเหตุให้ที่ดินของนายประชาที่ซื้อไปไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะนั้น ตามหลักของมาตรา 1350 นายประชาย่อมมีสิทธิขอทางเข้าออกบนที่ดินของนายเผด็จได้ แม้ว่านายประชาจะได้อาศัยทางผ่านที่ดินของนายสันติออกสู่ทางสาธารณะ แต่เมื่อไม่ปรากฏว่านายประชามีสิทธิใช้ทางดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะนายประชากับนายสันติไม่ได้ทำนิติกรรมเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และการใช้ทางดังกล่าวก็ยังไม่ถึง 10 ปี อันจะทำให้นายประชาได้สิทธิครอบครองปรปักษในที่ดินของนายสันติแต่อย่างใด

ดังนั้น ที่ดินของนายประชาซึ่งถูกปิดล้อมอยู่จึงมีสิทธิใช้ทางผ่านที่ดินของนายเผด็จที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอน เพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะได้ตามมาตรา 1350 ซึ่งทางจำเป็นนี้เป็นข้อจำกัดสิทธิแห่งเจ้าของอสังหาริมทรัพย์โดยผลของกฎหมายและตามข้อเท็จจริงยังไม่มีการทำนิติกรรมและจดทะเบียนยกเลิกทางจำเป็นดังกล่าว ดังนั้น ข้ออ้างของนายเผด็จจึงฟังไม่ขึ้นนายประชาจึงมีสิทธิขอให้นายเผด็จรื้อถอนรั้วออกเพี่อทำถนนออกสู่ทางสาธารณะได้ โดยนายประชาไม่ต้องจ่ายเงินค่าทดแทนเพื่อความเสียหายให้กับนายเผด็จตามมาตรา 1350

สรุป

นายประชามีสิทธิขอให้นายเผด็จรื้อถอนรั้วออกเพื่อทำถนนผ่านออกไปสู่ทางสาธารณะได้ โดยนายประชาไม่ต้องจ่ายเงินค่าทดแทนเพื่อความเสียหายให้กับนายเผด็จ

 

ข้อ 3. นายแมนครอบครองปรปักษ์ทำนาในที่ดินมีโฉนดของนายมั่นมาได้ 4 ปี พอเริ่มปีที่ 5 บิดาของนายแมนที่อยู่คนละจังหวัดกันล้มป่วย นายแมนจึงย้ายไปดูแลบิดาที่ป่วยเป็นเวลาสองปี แต่ในระหว่างที่ไปอยู่กับบิดา นายแมนได้จ้างนายเหมือนมาทำนาบนที่ดินของนายมั่นแทนตน ในปีที่เจ็ด นายแมนกลับเข้ามาทำนาต่อบนที่ดินของนายมั่นด้วยตนเอง ดังนี้ หากนายแมนต้องการกรรมสิทธิ์บนที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ นายแมนจะต้องครอบครองทำนาบนที่ดินนายมั่นอีกนานเท่าใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1368 “บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ ตามมาตรา 1382 จะบระกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

  1. เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแมนครอบครองปรปักษ์ทำนาในที่ดินมีโฉนดของนายมั่นได้ 4 ปี ในปีที่ 5 นายแมนจ้างนายเหมือนมาทำนาบนที่ดินนี้แทนตน เพื่อย้ายไปอยู่กับบิดาซึ่งล้มป่วยนั้น นายเหมือนย่อมอยู่ในฐานะเป็นผู้ยึดถือที่ดินแปลงนั้นแทนนายแมนตลอดมา และถือว่านายแมนยังคงมีสิทธิครอบครองที่ดินนี้อยู่ โดยให้นายเหมือนยึดถือไว้แทนตามมาตรา 1368 ดังนั้น การครอบครองปรปักษ์ของนายแมนจึงคงนับเวลามาตลอด จนในปีที่ 7 นายแมนกลับมาทำนาบนที่ดินอีกด้วยตนเอง จึงเท่ากับนายแมนต้องครอบครองปรปักษ์ที่นาแปลงนี้อีก 3 ปี จึงจะได้กรรมสิทธิ์ตามมาตรา 1382

สรุป

หากนายแมนต้องการกรรมสิทธิ์บนที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ นายแมนจะต้องครอบครองทำนาบนที่ดินของนายมั่นอีก 3 ปี

 

ข้อ 4. นายวันปลูกบ้านอยู่ในหมู่บ้าน บ้านนายวันได้สิทธิภาระจำยอมในการวางเสาไฟฟ้าและสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของนายเดือนตลอดมาสิบกว่าปีแล้ว ซึ่งบ้านนายเดือนก็ได้อาศัยไฟฟ้าเสาและสายเดียวกันกับที่บ้านของนายวันด้วย เมื่อนายวันต้องการรื้อเปลี่ยนสายไฟให้ใหญ่ขึ้นและเสาไฟใหม่จากเดิมที่เป็นไม้ให้เป็นปูนทั้งหมด นายวันจึงมาเรียกให้นายเดือนออกค่าใช้จ่ายด้วย แต่นายเดือนปฏิเสธและห้ามและไม่ยอมให้นายวันทำ ให้ท่านอธิบายว่านายวันจะทำได้หรือไม่ และจะเรียกร้องค่าสายไฟและเสาใหม่ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1391 “เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการทุกอย่างอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมแต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง ในการนี้เจ้าของสามยทรัพย์จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์ได้ก็แต่น้อยที่สุดตามพฤติการณ์

เจ้าของสามยทรัพย์ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเองรักษาซ่อมแซมการที่ได้ทำไปแล้วให้เป็นไปด้วยดี แต่ถ้าเจ้าของภารยทรัพย์ได้รับประโยซน์ด้วยไซร้ ท่านว่าต้องออกค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ที่ได้รับ”

วินิจฉัย

ตามกฎหมายในเรื่องภาระจำยอมนั้น เจ้าของสามยทรัพย์ย่อมมีสิทธิทำการทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมได้ แต่จะต้องก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์น้อยที่สุดตามพฤติการณ์ และเจ้าของสามยทรัพย์จะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง อย่างไรก็ตาม หากเจ้าของภารยทรัพย์ได้รับประโยชน์จากการนั้นด้วย เจ้าของภารยทรัพย์ก็ต้องช่วยเจ้าของสามยทรัพย์ออกค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ที่ตนได้รับนั้น(มาตรา 1391)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายวันได้สิทธิภาระจำยอมในการวางเสาไฟฟ้าและสายไฟฟ้าผ่านที่ดินของนายเดือนตลอดมาสิบกว่าปี และบ้านของนายเดือนก็ได้อาศัยไฟฟ้าเสาและสายเดียวกันกับที่ใช้ในบ้านของนายวันด้วยนั้น เมื่อนายวันต้องการรื้อเปลี่ยนสายไฟให้ใหญ่ขึ้นและเสาไฟฟ้าใหม่จากเดิมที่เป็นไม้ให้เป็นปูนทั้งหมด กรณีเช่นนี้ นายวันย่อมสามารถทำได้ เนื่องจากเจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการทุกอย่างอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมตามมาตรา 1391 วรรคแรก แต่จะต้องทำอย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์น้อยที่สุด และเมื่อปรากฏวานายเดือนก็ได้รับประโยชน์จากการดังกล่าวด้วย นายเดือนจึงต้องร่วมออกค่าสายไฟและเสาใหม่ด้วยครึ่งหนึ่งตามมาตรา 1391 วรรคสอง

สรุป

นายวันสามารถรื้อเปลี่ยนสายไฟให้ใหญ่ขึ้นและเสาไฟใหม่จากเดิมที่เป็นไม้ให้เป็นปูนทั้งหมดได้ และสามารถเรียกร้องค่าสายไฟและเสาใหม่จากนายเดือนได้ครึ่งหนึ่ง

LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเอกได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของนายโทจนได้กรรมสิทธิ์นายโททราบดีว่าหากตนฟ้องขับไล่นายเอกตนย่อมแพ้คดี นายโทจึงได้จดทะเบียนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายตรี โดยที่นายตรีไม่ทราบถึงการที่นายเอกได้กรรมสิทธิ์ที่ดินไปโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว

ให้วินิจฉัยว่านายเอกมีสิทธิที่จะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายระหว่างนายโทและนายตรีได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคสอง “ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว”

มาตรา 1300 “ถ้าได้จดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเสียเปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนนั้นได้ แต่การโอนอันมีค่าตอบแทน ซึ่งผู้รับโอนกระทำการโดยสุจริตนั้นไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ท่านว่าจะเรียกให้เพิกถอนทะเบียนไม่ได้”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของนายโทโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น ถือว่านายเอกเป็นผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมแม้นายเอกยังมิได้จดทะเบียนการได้มา นายเอกก็ย่อมเป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน (ตามมาตรา 1299 วรรคสอง)

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายโทได้จดทะเบียนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายตรี ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกโดยที่นายตรีไม่ทราบถึงการที่นายเอกได้กรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนั้นโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว

กรณีเช่นนี้ถือว่านายตรีเป็นบุคคลภายนอกที่ซื้อที่ดินมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและได้จดทะเบียนรับโอนสิทธิโดยสุจริต นายตรีจึงได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1300 กล่าวคือ นายเอกไม่สามารถเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายระหว่างนายโทและนายตรีได้

สรุป นายเอกไม่สามารถเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายระหว่างนายโทและบายตรีได้

 

ข้อ 2. ตู่สร้างบ้านในที่ดินของตน โดยก่อนลงมือก่อสร้างได้ให้เจ้าหน้าที่รังวัดมาตรวจสอบและชี้แนวเขตที่ดินและเชิญเจ้าของที่ดินข้างเคียงมาร่วมระวังแนวเขตที่ดินด้วย แต่แตนเจ้าของที่ดินข้างเคียงด้านทิศเหนือไม่ได้มาร่วมระวังแนวเขตที่ดินด้วย หลังจากตู่สร้างบ้านเสร็จ 1 ปี ตู่ได้ต่อเติมโรงจอดรถเพิ่มขึ้นจากตัวบ้าน ต่อมาแตนได้นำเจ้าหน้าที่รังวัดมารังวัดที่ดินเพื่อสร้างบ้านในที่ดินของแตนจึงพบว่าโรงจอดรถของตู่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของแตนประมาณ 40 เซนติเมตร ตลอดแนวโรงจอดรถ แตนจึงแจ้งให้ตู่รื้อถอนโรงจอดรถส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของตน

ดังนี้ ตู่จะต้องรื้อถอนโรงจอดรถออกไปหรือไม่และบุคคลทั้งสองมีสิทธิหน้าที่ต่อกันอย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1312 “บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินไห้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้น และจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้

ถ้าบุคคลผู้สร้างโรงเรือนนั้นกระทำการโดยไม่สุจริต ท่านว่าเจ้าของที่ดินจะเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอนไป และทำที่ดินให้เป็นตามเดิมโดยผู้สร้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายก็ได้”

วินิจฉัย

การสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตที่จะได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1312 วรรคแรกนั้น จะต้องเป็นกรณีปลูกสร้างโรงเรือนทั้งหลัง แล้วส่วนหนึ่งส่วนใดของโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น มิใช่กรณีต่อเติมโรงเรือนในภายหลัง แล้วส่วนที่ต่อเติมนั้นรุกล้ำเข้าไป

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ตู่ได้สร้างบ้านในที่ดินของตนและหลังจากได้สร้างบ้านเสร็จแล้ว ตู่ได้ต่อเติมโรงจอดรถเพิ่มขึ้นจากตัวบ้าน ปรากฏว่าโรงจอดรถของตู่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของแตนประมาณ 40 เซนติเมตรตลอดแนวโรงจอดรถ กรณีนี้ถึงแม้ว่าตู่จะได้ทำการต่อเติมโดยสุจริต กล่าวคือ ก่อนต่อเติมตู่ได้ให้เจ้าหน้าที่รังวัดมาตรวจสอบและชี้แนวเขตที่ดินแล้วก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงเป็นเรื่องของการต่อเติมโรงเรือนในภายหลัง มิใช่การปลูกสร้างโรงเรือนขึ้นทั้งหลังแล้ว ส่วนหนึ่งส่วนใดของโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น ตู่จึงไม่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1312 วรรคแรก ดังนั้น ตู่จะต้องรื้อถอนโรงจอดรถส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของแตนออกไป โดยตู่จะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนเอง และไม่มีสิทธิเรียกร้องใด ๆ จากแตนเลย

สรุป

ตู่จะต้องรื้อถอนโรงจอดรถส่วนที่รุกล้ำออกไปโดยตู่เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการรื้อถอนเองและไม่มีสิทธิเรียกร้องใด ๆ จากแตนเลย

 

ข้อ 3 นายอาทิตย์ครอบครองปรปักษ์ทำไร่มันสำปะหลังบนที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของจันทร์มาได้สามปีต่อมานายอังคารเพื่อนของนายอาทิตย์ขอให้นายอาทิตย์ย้ายออกไปช่วยงานที่อีกจังหวัดหนึ่งเป็นเวลาหนึ่งปี หกเดือน หลังจากนั้นนายอาทิตย์กลับมาครอบครองทำไร่มันสำปะหลังในที่ดินของนายจันทร์ต่ออีกสามปีก็ถึงแก่ความตาย นายพุธบุตรของนายอาทิตย์เข้ามาครอบครองทำไร่บนที่ดินของนายจันทร์ต่อจากนายอาทิตย์ได้อีกสามปี ก็ถูกนายจันทร์ฟ้องขับไล่ให้ออกจากที่ดิน นายพุธต่อสู้ว่าตนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ครอบครองแล้ว

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่านายพุธได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของนายจันทร์หรือไม่ จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1384 “ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร และได้คืนภายในเวลาปีหนึ่งนับตั้งแต่วันขาดยึดถือหรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้ ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง ”

มาตรา 1385 “ถ้าโอนการครอบครองแก่กัน ผู้รันโอนจะนับเวลาซึ่งผู้โอนครอบครองอยู่ก่อนนั้นรวมเข้ากับเวลาครอบครองของตนก็ได้ ถ้าผู้รับโอนนับรวมเช่นนั้น และถ้ามีข้อบกพร่องในระหว่างครอบครองของผู้โอนไซร้ ท่านว่าข้อบกพรองนั้นอาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้รับโอนได้”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

  1. เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอาทิตย์ได้ครอบครองปรปักษ์ที่ดินของนายจันทร์ได้ 3 ปี และต่อมาได้ย้ายออกไปช่วยงานนายอังคารที่อีกจังหวัดหนึ่งเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน นั้น กรณีนี้ถือว่านายอาทิตย์ได้ขาดการยึดถือที่ดินโดยสมัครใจ แม้ต่อมาจะกลับเข้าครอบครองที่ดินนั้นต่อ ก็ไม่สามารถนำเวลา 3 ปีแรกมานับรวมกับเวลาที่เข้ามาครอบครองในภายหลังได้ จึงต้องเริ่มต้นนับใหม่หลังจากที่กลับมาจากการช่วยงานนายอังคาร (ตามมาตรา 1384)

เมื่อนายอาทิตย์ได้เข้าครอบครองที่ดินของนายจันทร์ได้ 3 ปี จึงถึงแก่ความตาย นายพุธซึ่งเป็นบุตรของนายอาทิตย์ได้เข้ามาครอบครองที่ดินของนายจันทร์ต่อจากนายอาทิตย์ได้อีก 3 ปี ดังนี้ เมื่อนับรวมเวลาของนายพุธกับนายอาทิตย์เข้าด้วยกับตามมาตรา 1385 จะได้เวลาเพียง 6 ปี ยังไม่ครบ 10 ปี จึงยังไม่ถือว่านายพุธได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของนายจันทร์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ดังนั้น เมื่อนายพุธถูกนายจันทร์ฟ้องขับไล่ให้ออกจากที่ดิน นายพุธจะต่อสู้ว่าตนได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ครอบครองแล้วไม่ได้

สรุป

นายพุธยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของนายจันทร์

 

ข้อ 4. นายแดงได้สิทธิภาระจำยอมในการวางท่อน้ำประปาผ่านที่ดินนายเหลือง นายดำซึ่งมีที่ดินติดกับนายแดง เมื่อนายดำเข้ามาปลูกบ้านบนที่ดินแปลงนั้น นายดำจึงขอนายแดงต่อท่อประปาจากบ้านนายแดงที่วางบนที่ดินนายเหลืองเข้ามาใช้ในที่ดินของตนบ้าง นายแดงตกลง โดยทั้งนายแดงและนายดำไม่ได้บอกนายเหลืองแต่อย่างใด นายดำจึงได้วางท่อประปาต่อจากที่ดินนายแดง และนำน้ำประปามาใช้ในครัวเรือนของนายดำตลอดมา ใช้มาได้สิบห้าปี นายเหลืองทราบจึงต้องการให้นายดำจ่ายค่าใช้ท่อประปาที่ผ่านที่ดินของนายเหลืองมาบนที่ดินของนายแดงเหมือนกับที่นายแดงจ่ายให้นายเหลืองตลอดมา

ให้ท่านอธิบายว่านายดำมีสิทธิอะไรในการใช้น้ำที่ผ่านจากท่อประปาบนที่ดินของนายเหลืองและต้องจ่ายเงินให้นายเหลืองตามที่นายเหลืองเรียกร้องหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1393 วรรคสอง “ท่านว่าจะจำหน่าย หรือทำให้ภาระจำยอมตกไปในบังคับแห่งสิทธิอื่นต่างหากจากสามยทรัพย์ไม่ได้”

มาตรา 1401 “ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

วินิจฉัย

การได้ภาระจำยอมโดยอายุความครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1401 นั้น บัญญัติให้นำอายุความได้สิทธิตามมาตรา 1382 มาบังคับใช้โดยอนุโลม กล่าวคือ ต้องเป็นกรณีที่เจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์ โดยความสงบ เปิดเผย และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในภารยทรัพย์ โดยต้องใช้ประโยชน์ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี

ตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงได้สิทธิภาระจำยอมในการวางท่อน้ำประปาผ่านที่ดินนายเหลือง นายดำซึ่งมีที่ดินติดกับนายแดงได้เข้ามาปลูกบ้านบนที่ดินแปลงนั้น และได้ขอให้นายแดงต่อท่อประปาจากบ้านของนายแดงที่วางบนที่ดินนายเหลืองเข้ามาใช้ในที่ดินของตนบ้าง ซึ่งนายแดงตกลง กรณีนี้ถือว่าเป็นการจำหน่ายสิทธิในภาระจำยอมแยกต่างหากจากสามยทรัพย์ตามมาตรา 1393 วรรคสอง ซึ่งโดยหลักแล้วนายแดงจะทำไม่ได้

ดังนั้นการที่นายแดงได้ตกลงกับนายดำโดยไม่ได้บอกนายเหลืองจึงเป็นการปรปักษ์ตามมาตรา 1401 และมาตรา 1382 และเมื่อนายดำได้วางท่อประปาต่อจากที่ดินนายแดง และนำน้ำประปามาใช้ในครัวเรือนของนายดำตลอดมาโดยความสงบ เปิดเผย และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในที่ดินของนายเหลือง และใช้มาได้15 ปี จึงถือว่าที่ดินของนายดำได้ภาระจำยอมในการวางท่อประปาโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1401 และมาตรา 1382 โดยไม่ต้องจ่ายค่าวางท่อประปาให้แก่นายเหลืองตามที่นายเหลืองเรียกร้อง

สรุป

นายดำมีสิทธิได้ภาระจำยอมในการวางท่อประปาโดยการครอบครองปรปักษ์ และไม่ต้องจ่ายค่าวางท่อประปาให้แก่นายเหลือง

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเมฆและนายหมอกร่วมกันหลอกให้นางฝนรับซื้อฝากที่ดิน โดยที่นายเมฆและนายหมอกนั้นพานางฝนไปชี้ดูที่ดินของบุคคลอื่นว่าเป็นที่ดินของนายเมฆ ดังนั้นนางฝนจึงหลงเชื่อและรับซื้อฝากที่ดินไว้จากนายเมฆโดยเข้าใจว่าที่ดินแปลงดังกล่าวนั้นเป็นของนายเมฆ

ดังนี้ จงวินิจฉัยว่าการรับซื้อฝากที่ดินของนางฝนมีผลเป็นอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 156 “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ

ความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ความสำคัญผิดในตัวของบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และความสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม เป็นต้น”

มาตรา 158 “ความสำคัญผิดตามมาตรา 156 หรือมาตรา 157 ซึ่งเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลผู้แสดงเจตนา บุคคลนั้นจะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 156 ได้บัญญัติให้การแสดงเจตนาทำนิติกรรมที่เกิดขึ้นเพราะความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ซึ่งได้แก่ ลักษณะของนิติกรรม ตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรมและทรัพย์สิน ซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมนั้น การแสดงเจตนาหรือนิติกรรมที่เกิดขึ้นย่อมตกเป็นโมฆะ แต่ถ้าความสำคัญผิดดังกล่าวได้เกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้แสดงเจตนา ผู้นั้นจะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้ (มาตรา 158)

 

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางฝนรับซื้อฝากที่ดินจากนายเมฆโดยหลงเชื่อและเข้าใจว่าที่ดินที่นายเมฆและนายหมอกพาไปชี้ให้ดูนั้นเป็นของนายเมฆจึงรับซื้อที่ดินดังกล่าวไว้ กรณีดังกล่าวถือไม่ได้ว่านางฝนประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง แต่เป็นกรณีที่นางฝนได้แสดงเจตนารับซื้อฝากที่ดินจากนายเมฆโดยสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมนละเป็นสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ดังนั้น การรับซื้อฝากที่ดินของนางฝน จึงมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 156

สรุป

การรับซื้อฝากที่ดินของนางฝนมีผลเป็นโมฆะ

 

ข้อ 2. นายสมควรเคยมีพระสมเด็จนางพญาอยู่องค์หนึ่ง ซึ่งมารดาของนายสมควรได้ให้ไว้ก่อนเสียชีวิต และนายสมควรใช้ห้อยคออยู่เป็นประจำตั้งแต่เด็ก ต่อมาเมื่อนายสมควรเป็นวัยรุ่น นายสมควรได้ไปวางลืมไว้ในห้องน้ำของโรงแรมแห่งหนึ่งในต่างประเทศ หลายปีต่อมานายสมควรได้ไปเจอพระสมเด็จฯ องค์หนึ่งซึ่งเป็นของนายสมรัก นายสมควรมั่นใจว่าเป็นพระองค์เดียวกับที่ตนทำหายไป เพราะตนสามารถจดจำรอยตำหนิต่าง ๆ ได้ นายสมควรจึงขอซื้อจากนายสมรักในราคา 100,000 บาท นายสมควรได้ถามนายสมรักว่า พระสมเด็จฯ องค์นี้เป็นของแท้หรือไม่ นายสมรักบอกว่าเป็นของแท้ทั้ง ๆ ที่ตนรู้อยู่แล้วว่าเป็นของปลอมซึ่งมีราคาซื้อขายกันในท้องตลาดปกติองค์ละไม่เกิน 1,000 บาท นายสมควรจึงตกลงซื้อ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้นายสมควรจะทราบว่า พระสมเด็จฯ องค์นั้นเป็นของปลอมนายสมควรก็จะซื้อ ต่อให้มีราคาแพงแค่ไหนก็ตาม เพราะพระสมเด็จฯ องค์นั้นมีคุณค่าทางจิตใจกับเขาอย่างมาก

ดังนี้ ถ้าต่อมานายสมควรประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนักจึงเปลี่ยนใจไม่อยากได้พระสมเด็จฯองค์นั้นแล้ว นายสมควรจะบอกล้างนิติกรรมการซื้อขายหรือจะเรียกร้องอะไรจากนายสมรักได้อย่างไรหรือไม่ จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 159 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ

การถูกกลฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง จะต้องถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าวการอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น”

มาตรา 161 “ถ้ากลฉ้อฉลเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจให้คู่กรณีฝ่ายหนึ่งยอมรับข้อกำหนดอันหนักยิ่งกว่าที่คู่กรณีฝ่ายนั้นจะยอมรับโดยปกติ คู่กรณีฝ่ายนั้นจะบอกล้างการนั้นหาได้ไม่ แต่ชอบที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว การแสดงเจตนาทำนิติกรรมที่เกิดจากการที่ผู้ทำนิติกรรมถูกกลฉ้อฉลนั้น กฎหมายได้บัญญัติให้นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆียะ คู่กรณีฝ่ายที่แสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลมีสิทธิบอกล้างได้ (ป.พ.พ. มาตรา 159)

แต่อย่างไรก็ตาม มาตรา 161 ได้บัญญัติว่า ถ้ากลฉ้อฉลนั้นเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจทำให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งต้องการแสดงเจตนาทำนิติกรรมอยู่แล้วแม้จะไม่มีการทำกลฉ้อฉล ต้องยอมรับข้อกำหนดตามนิติกรรมอันหนักยิ่งกว่าที่เขาจะยอมรับโดยปกติ ซึ่งถ้าไม่มีการทำกลฉ้อฉลเช่นนั้น คู่กรณีฝ่ายนั้นจะไม่ยอมรับข้อตกลงหรือข้อกำหนดดังกล่าว ผลของการทำนิติกรรมเนื่องจากถูกกลฉ้อฉลในกรณีเช่นนี้ ไม่ทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะ

แต่คู่กรณีฝ่ายที่ถูกกลฉ้อฉลมีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมควรขอซื้อพระสมเด็จฯ องค์หนึ่งจากนายสมรักในราคา 100,000 บาท ซึ่งก่อนที่จะซื้อนายสมควรได้ถามนายสมรักว่า พระสมเด็จฯ องค์นี้เป็นของแท้หรือไม่ และนายสมรักบอกว่าเป็นของแท้ ทั้ง ๆ ที่นายสมรักรู้อยู่แล้วว่าเป็นของปลอมซึ่งมีราคาซื้อขายกันในท้องตลาดปกติองค์ละไม่เกิน 1,000 บาทนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า แม้นายสมควรจะได้รู้ว่าพระสมเด็จฯ องค์นี้เป็นของปลอมนายสมควรก็จะซื้อไม่ว่าจะมีราคาแพงแค่ไหนก็ตาม ย่อมแสดงให้เห็นว่านายสมควรได้แสดงเจตนาทำสัญญาโดยความสมัครใจ และแม้นายสมรักจะได้ใช้กลฉ้อฉลคือได้หลอกลวงนายสมควรก็ตาม แค่กลฉ้อฉลดังกล่าวก็มิได้ถึงขนาดว่าถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าวแล้ว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้ทำขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้น สัญญาซื้อขายพระสมเด็จฯ ระหว่างนายสมควรและนายสมรักจึงมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 159 นายสมควรจึงบอกล้างนิติกรรมการซื้อขายดังกล่าวไม่ได้

และการที่นายสมควรแม้จะรู้ว่าพระสมเด็จฯ องค์นี้เป็นของปลอม นายสมควรก็จะซื้อไม่ว่าจะมีราคาแพงแค่ไหนก็ตาม แสดงว่ากลฉ้อฉลดังกล่าวหาได้เป็นเหตุจูงใจให้นายสมควรยอมซื้อพระสมเด็จฯ องค์นี้ในราคาที่แพงขึ้น อันจะทำให้จะต้องรับข้อกำหนดอันหนักยิ่งกว่าที่นายสมควรจะยอมรับโดยปกติแต่อย่างใดไม่

ดังนั้น นายสมควรจึงไม่มีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากนายสมรักตามมาตรา 161

สรุป

นายสมควรจะบอกล้างนิติกรรมการซื้อขายพระสมเด็จฯ องค์ดังกล่าว หรือเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากนายสมรักไม่ได้เลย

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2545 นายบุญมีได้ทำสัญญากู้เงินจากนายบุญมากเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท มีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 25 สิงหาคม 2546 ต่อมาวันที่ 26 กรกฎาคม 2546 นายบุญมีได้นำเงินมาชำระให้บางส่วนจำนวน 20,000 บาท หลังจากนั้นก็ไม่ได้นำเงินมาชำระให้อีกเลย จนกระทั่งวันที่ 25 ธันวาคม 2546 นายบุญมากได้เขียนจดหมายไปทวงถามเพื่อให้ชำระหนี้ที่ค้างอยู่จากนายบุญมี แต่นายบุญมีก็ไม่นำมาชำระให้ ต่อมานายบุญมากจึงได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 26 สิงหาคม 2556 นายบุญมีต่อสู้ว่าขาดอายุความแล้ว แต่นายบุญมากอ้างว่ายังไม่ขาดอายุความเพราะอายุความสะดุดหยุดลง เนื่องจากนายบุญมีได้นำเงินมาชำระให้บางส่วน

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของนายบุญมีฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/12 “อายุความให้เริ่มนับแต่ขณะที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง”

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรีอกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ให้มีกำหนดสิบปี”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายบุญมีได้ทำสัญญากู้เงินจากนายบุญมากเป็นเงินจำนวน 100,000บาท ในวันที่ 25สิงหาคม 2545 โดยมีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 25 สิงหาคม 2546นั้น การที่นายบุญมีได้นำเงินมาชำระให้นายบุญมากบางส่วนจำนวน 20,000 บาท ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2546 ซึ่งเป็นการชำระหนี้ในขณะที่หนี้ยังไม่ถึงกำหนดชำระ ย่อมไม่ถือว่าเป็นเหตุทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) แต่อย่างใด เพราะอายุความในหนี้ตามสัญญากู้เงินรายนี้จะเริ่มนับก็ต่อเมื่อหนี้ถึงกำหนดแล้วลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ คือจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2546 เป็นต้นไป (ตามมาตรา 193/12) และหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินนั้น เมื่อไม่มีกฎหมายกำหนดไว้โดยเฉพาะในเรื่องอายุความ จึงต้องนำอายุความทั่วไป คือ 10 ปี มาใช้บังคับ (ตามมาตรา 193/30) ดังนั้น หนี้รายนี้จึงครบกำหนดอายุความในวันที่ 25 สิงหาคม 2556 โดยมีหนี้ที่นายบุญมียังค้างชำระอยู่อีก 80,000 บาท

และเมื่อปรากฏว่า ภายหลังครบกำหนดชำระหนี้ คือวันที่ 25 สิงหาคม 2546 แล้ว นายบุญมีลูกหนี้ไม่ได้นำเงินที่ค้างชำระอีก 80,000 บาท มาชำระให้แก่นายบุญมากอีกเลย และนายบุญมากได้ฟ้องนายบุญมีต่อศาลในวันที่ 26 สิงหาคม 2556 นั้น นายบุญมีย่อมสามารถต่อสู้ได้ว่าหนี้รายนี้ได้ขาดอายุความแล้ว

ส่วนนายบุญมากจะอ้างว่าหนี้รายนี้ยังไม่ขาตอายุความเพราะอายุความสะดุดหยุดลง เนื่องจากนายบุญมีได้นำเงินมาชำระให้บางส่วนไม่ได้

สรุป

ข้อต่อสู้ของนายบุญมีฟังขึ้น ด้วยเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 4. อำแดงอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ส่งจดหมายเสนอขายรถยนต์ของตนมูลค่าจำนวน 250,000 บาท ให้แก่อำดำซึ่งอยู่ที่จังหวัดสมุทรสาคร โดยแจ้งว่าหากอำดำตกลงซื้อก็ให้ตอบกลับมาให้ทราบภายในวันที่ 18 ตุลาคม 2560 อำดำได้รับจดหมายในวันที่ 11 ตุลาคม 2560 และส่งจดหมายตอบตกลงซื้อรถยนต์คันนั้นถึงอำแดงทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษ (EMS) แต่หลังจากส่งจดหมายได้ 4 วัน อำดำได้เสียชีวิตลงจากโรคหัวใจ จึงเป็นเหตุให้อำขาวคู่สมรสของอำดำต้องโทรศัพท์ไปแจ้งข่าวการตายดังกล่าวให้อำแดงทราบในวันเดียวกันนั้น

ปรากฏต่อมาอีกว่า เจ้าหน้าที่ของทางการไปรษณีย์ปฏิบัติหน้าที่ผิดพลาดส่งจดหมายของอำดำไปยังจังหวัดนราธิวาสแทนที่จะส่งมายังจังหวัดเชียงใหม่บ้านของอำแดงตามปกติ เนื่องจากความประมาทเลินเล่อในหน้าที่ จึงเป็นเหตุให้จดหมายของอำดำซึ่งตามปกติควรมาถึงบ้านอำแดงภายในวันที่ 18 ตุลาคม 2560 กลับมาถึงในวันที่ 25 ตุลาคม 2560 อำแดงเห็นว่าจดหมายของอำดำมาถึงล่วงเวลาที่กำหนดในจดหมายของตน ทั้งอำดำก็ยังเสียชีวิตไปแล้ว อำดำจึงไม่น่าจะต้องการรถยนต์คันนั้นอีกต่อไปจึงเปลี่ยนใจไม่อยากขายรถยนต์คันนั้นอีก อำแดงจึงไม่สนใจที่จะติดต่ออำขาวทายาทของอำดำในเรื่องการซื้อขายนั้นอีก

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าอำขาวซึ่งเป็นทายาทคนเดียวของอำดำจะเรียกร้องให้อำแดงส่งมอมรถยนต์คันนั้นให้แก่ตนซึ่งตนพร้อมจะชำระราคาให้ตอบแทน โดยอำขาวอ้างว่าสัญญาซื้อขายรถยนต์ได้เกิดขึ้นแล้วได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 169 วรรคสอง “การแสดงเจตนาที่ได้ส่งออกไปแล้วย่อมไม่เสื่อมเสียไป แม้ภายหลังการแสดงเจตนานั้นผู้แสดงเจตนาจะถึงแก่ความตายหรือถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถหรือคนเสมือนไร้ความสามารถ”

มาตรา 358 “ถ้าคำบอกกล่าวสนองมาถึงลวงเวลา แต่เป็นที่เห็นประจักษ์ว่าคำบอกกล่าวนั้นได้ส่งโดยทางการซึ่งตามปกติ ควรจะมาถึงภายในเวลากำหนดไซร้ ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งโดยพลันว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า เว้นแต่จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นก่อนแล้ว

ถ้าผู้เสนอละเลยไม่บอกกล่าวดังว่ามาในวรรคด้น ท่านให้ถือว่าคำบอกกล่าวสนองนั้นมิได้ล่วงเวลา”

มาตรา 360 “บทบัญญัติแห่งมาตรา 169 วรรคสองนั้น ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าหากว่าขัดกับเจตนาอันผู้เสนอได้แสดง หรือหากว่าก่อนจะสนองรับนั้น คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้เสนอตายหรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ”

มาตรา 361 วรรคหนึ่ง “อันสัญญาระหว่างบุคคลซึ่งอยู่ห่างกันโดยระยะทางนั้น ย่อมเกิดเป็นสัญญาขึ้นแต่เวลาเมื่อคำบอกกล่าวสนองไปถึงผู้เสนอ ”

วินิจนัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่อำดำส่งจดหมายตอบตกลงซื้อรถยนต์ไปยังอำแดง เป็นการแสดงเจตนาทำคำสนองต่ออำแดงผู้เสนอซึ่งมิได้อยู่เฉพาะหน้า แม้หลังจากได้ส่งการแสดงเจตนาออกไปแล้ว อำดำผู้แสดงเจตนาทำคำสนองได้ถึงแก่ความตายก่อนการแสดงเจตนานั้นไปถึงอำแดง กรณีไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา 360 การแสดงเจตนาทำคำสนองที่ได้ส่งออกไปแล้วนั้นจึงไม่เสื่อมเสียไปตามมาตรา 169 วรรคสอง

และแม้การแสดงเจตนานั้นไปถึงอำแดงผู้รับการแสดงเจตนาในวันที่ 25 ตุลาคม 2560 ซึ่งล่วงเลยระยะเวลาที่อำแดงกำหนดให้อำดำทำคำสนองก็ตาม แต่โดยที่เห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าคำสนองนั้นได้ส่งโดยทางการซึ่งปกติควรจะมาถึงอำแดงภายในเวลากำหนด คือวันที่ 18 ตุลาคม 2560 เมื่ออำแดงผู้รับคำสนองมิได้บอกกล่าวแก่อำขาวโดยพลันว่าคำสนองมาถึงเนิ่นช้า ก็ต้องถือว่าคำสนองนั้นมิได้ล่วงเวลาตามมาตรา 358 วรรคสอง สัญญาซื้อขายรถยนต์คันดังกลาวระหว่างอำแดงและอำขาวทายาทของอำดำจึงเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ตาม มาตรา 361 วรรคหนึ่ง อำขาวจึงเรียกร้องให้อำแดงส่งมอบรถยนต์คันนั้นให้อำขาว โดยรับเงินจำนวน 250,000บาท ไปจากอำขาวได้

สรุป

อำขาวเรียกร้องให้อำแดงส่งมอบรถยนต์คันนั้นให้อำขาว โดยรับเงินจำนวน 250,000 บาทไปจากอำขาวได้

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวบวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางชมพูนางแบบชื่อดังได้รับคำเชิญให้ไปแสดงตัวในเทศกาลหนังเมืองคานส์ประเทศฝรั่งเศส นางชมพูจึงตัดสินใจไปยืมเพชรจากนางใหม่ แต่นางชมพูกลัวนางใหม่จะไม่ยอมให้ยืมและดูถูกตนจึงแสร้งบอกกับนางใหม่ว่าขอซื้อเพชรดังกล่าวจากนางใหม่แทน ทั้งนี้นางใหม่ทราบอยู่ก่อนหน้าแล้วว่านางชมพูกำลังมีปัญหาทางการเงิน และตั้งใจเพียงจะยืมเพชรของตน หลังจากที่นางชมพูกลับมาจากต่างประเทศ นางชมพูเห็นโอกาสทำธุรกิจด้านครีมบำรุงผิว จึงตัดสินใจขอซื้อธุรกิจครีมบำรุงผิวของนางเหลืองโดยมีข้อตกลงว่าหลังจากขายธุรกิจแล้วห้ามนางเหลืองประกอบธุรกิจครีมบำรุงผิวภายในระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่นางเหลืองขายธุรกิจ ถัดมาอีก 3 วัน นางชมพูนำเพชรไปคืนนางใหม่นางใหม่ไม่ยอมรับคืน อ้างว่านางชมพูได้ซื้อไปแล้ว

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นางชมพูสามารถนำเพชรไปคืนนางใหม่ได้หรือไม่ อย่างไร จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

(ข) ข้อตกลงระหว่างนางชมพูกับนางเหลืองมีผลใช้บังคับได้หรือไม่ อย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 150 “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 154 “การแสดงเจตนาใดแม้ในใจจริงผู้แสดงจะมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ได้แสดงออกมาก็ตาม หาเป็นมูลเหตุให้การแสดงเจตนานั้นเป็นโมฆะไม่ เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงนั้น”

วินิจฉัย

(ก) จากบทบัญญัติมาตรา 154 เป็นเรื่องการแสดงเจตนาซ่อนเร้น ซึ่งมีหลักคือ การแสดงเจตนาไม่เป็นโมฆะ แม้ในใจจริงของผู้แสดงเจตนาจะมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ได้แสดงออกมาก็ตาม

แต่มีข้อยกเว้นคือ การแสดงเจตนานั้นจะตกเป็นโมฆะ ถ้าเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง (ฝ่ายผู้รับการแสดงเจตนา) ได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงเจตนา ในขณะที่แสดงเจตนานั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางชมพูได้แสดงเจตนาออกมาว่าขอซื้อเพชรดังกล่าวจากนางใหม่ แต่ในใจจริงของนางชมพูไม่ต้องการให้ตนต้องผูกพันกับเจตนาตามที่ได้แสดงออกมาเนื่องจากตนต้องการยืมเพชรจากนางใหม่โดยไม่มีเจตนาต้องการซื้อเพชรดังกล่าวแต่อย่างใดนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางใหม่ได้รู้ถึงเจตนาอันแท้จริงอันซ่อนอยู่ในใจของนางชมพู กล่าวคือ นางใหม่ทราบอยู่ก่อนหน้าแล้วว่านางชมพูกำลังมีปัญหาทางการเงินและตั้งใจจะยืมเพชรของตนเท่านั้น ตามกฎหมายให้ถือว่าการแสดงเจตนาขอซื้อเพชรดังกล่าวของนางชมพูย่อมตกเป็นโมฆะ และไม่ก่อให้เกิดสัญญาซื้อขายขึ้นแต่อย่างใด ดังนั้น นางชมพูจึงสามารถนำเพชรไปคืนให้นางใหม่ได้ นางใหม่จะไม่ยอมรับคืนโดยอ้างว่านางชมพูได้ซื้อไปแล้วไม่ได้

(ข) การที่นางชมพูได้ทำนิติกรรมโดยการซื้อธุรกิจครีมบำรุงผิวของนางเหลือง โดยมีข้อตกลงว่าหลังการขายธุรกิจแล้วห้ามนางเหลืองประกอบธุรกิจครีมบำรุงผิวภายในระยะเวลา 5 ปี นับจากวันที่นางเหลืองขายธุรกิจนั้นข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงข้อจำกัดห้ามการประกอบอาชีพอันเป็นการแข่งขันกับนางชมพูและระบุจำกัดประเภทของธุรกิจไว้อย่างชัดเจน มิได้เป็นการห้ามนางเหลืองประกอบอาชีพอันเป็นการปิดทางทำมาหาได้อย่างเด็ดขาด อีกทั้งเป็นการห้ามนางเหลืองมิให้ประกอบอาชีพบางอย่างที่เป็นการแข่งขันกับนางชมพูในระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น มิใช่เป็นการห้ามนางเหลืองประกอบธุรกิจครีมบำรุงผิวตลอดไปแต่อย่างใด ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามมาตรา 150 เพราะเป็นข้อตกลงที่คู่กรณีสามารถตกลงกันได้โดยชอบในเชิงของการประกอบธุรกิจ ดังนั้น ข้อตกลงดังกล่าวระหว่างนางชมพูกับนางเหลืองจึงมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับได้ไม่ตกเป็นโมฆะ (เพียบคำพิพากษาฎีกาที่ 1275/2543)

สรุป

(ก) นางชมพูสามารถนำเพชรไปคืนให้แก่นางใหม่ได้

(ข) ข้อตกลงระหว่างนางชมพูกับนางเหลืองมีผลสมบูรณ์ใช้บังคับกันได้

 

ข้อ 2. ผลของการบอกล้างโมฆียะกรรมมีอยู่อย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ผลของการบอกล้างโมฆียะกรรมนั้น มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 176 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ดังนี้ คือ

“โมฆียกรรมเมื่อบอกล้างแล้ว ให้ถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก และให้ผู้เป็นคู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม ถ้าเป็นการพ้นวิสัยจะให้กลับคืนเช่นนั้นได้ก็ให้ได้รับค่าเสียหายชดใช้ให้แทน

ถ้าบุคคลใดได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าการใดเป็นโมฆียะ เมื่อบอกล้างแล้วให้ถือว่าบุคคลนั้นได้รู้ว่าการนั้นเป็นโมฆะ นับแต่วันที่ได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าเป็นโมฆียะ”

จากหลักกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า โมฆียะกรรมเมื่อมีการบอกล้างแล้วจะมีผลดังนี้ คือ

  1. ให้ถือว่าเป็นโมฆะมาตั้งแต่เริ่มแรก คือ ให้ถือว่าเสียเปล่ามาตั้งแต่วันที่ทำนิติกรรมนั้น
  2. ให้ผู้เป็นคู่กรณีกลับคืบสู่ฐานะเดิม เช่น หากมีการส่งมอบทรัพย์สินกันก็ต้องมีการส่งคืน เป็นต้น
  3. ถ้าเป็นการพ้นวิสัยจะให้กลับคืนเช่นนั้นได้ก็ให้ได้รับการชดใช้ค่าเสียหายแทน
  4. ถ้าบุคคลใดได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าการใดเป็นโมฆียะ เมื่อบอกล้างแล้ว ให้ถือว่าบุคคลนั้นได้รู้ว่าการนั้นเป็นโมฆะนับแต่วันที่ได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่าเป็นโมฆียะ

ตัวอย่าง เช่น ดำอายุ 19 ปี ทำสัญญาซื้อขายรถยนต์คันหนึ่งราคา 500,000 บาท จากขาวโดยมิได้รับความยินยอมจากแดงซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม สัญญาซื้อขายดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะ ดังนี้ เมื่อแดงผู้แทนโดยชอบธรรมบอกล้างนิติกรรมซื้อขายรถยนต์ดังกล่าว นิติกรรมนั้นก็จะตกเป็นโมฆะมาตั้งแต่เริ่มแรกทั้งดำและขาวจะต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม กล่าวคือ ดำจะต้องส่งมอบรถยนต์คืนให้ขาว และขาวก็ต้องส่งมอบเงินค่าซื้อรถยนต์คืนให้ดำ ถ้าเป็นการพ้นวิสัยที่จะกลับคืนเช่นนั้นได้ ก็ให้มีการชดใช้ค่าเสียหายให้แก่กันแทน เป็นต้น

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2348 นายแดงได้ทำสัญญากู้เงินจากนายดำจำนวน 500,000 บาท โดยมีนายเขียวเป็นผู้ค้ำประกัน หนี้รายนี้มีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 13 สิงหาคม 2549 เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระนายแดงไม่มีเงินมาชำระหนี้ ซึ่งนายดำได้ติดตามทวงถามตลอดมาเป็นเวลาหลายปี

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2559 นายแดงได้รับมรดกจากบิดา นายแดงจึงได้นำเงินไปชำระให้แก่นายดำจำนวน 100,000 บาท โดยไม่ทราบว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้ว อีกทั้งนายแดงได้เขียนหนังสือให้แก่นายดำไว้หนึ่งฉบับมีข้อความว่า นายแดงยอมรับว่าตนเป็นหนี้จริง แต่จะขอนำเงินส่วนที่เหลือมาชำระให้แก่นายดำอีก 400,000 บาท ในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 ครั้นถึงกำหนดวันชำระหนี้นายแดงก็ไม่ยอมนำเงินมาชำระหนี้ให้นายดำอีก ดังนี้ อยากทราบว่า

(ก) ถ้านายแดงทราบภายหลังว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้ว นายแดงจะเรียกเงินที่ชำระไปแล้ว 100,000 บาท คืนจากนายดำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) การที่นายแดงไม่นำเงินมาชำระให้แก่นายดำในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 นายดำจะฟ้องนายแดงและนายเขียวให้รับผิดในเงินจำนวน 400.000 บาท ได้หรือไม่ และนายแดงและนายเขียวจะปฏิเสธการชำระหนี้ได้หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/9 “สิทธิเรียกร้องใด ๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายใบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ ”

มาตรา 193/10 “สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง”

มาตรา 193/28 “การชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้วนั้น ไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่รู้ว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม

บทบัญญัติในวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับแก่การที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันด้วย แต่จะอ้างความข้อนี้ขึ้นเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้”

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี”

มาตรา 193/35 “ภายใต้บังคับมาตรา 193/27 สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นจากการที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันตามมาตรา 193/28 วรรคสอง ให้มีกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดหรือให้ประกัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายดำเป็นเงินจำนวน 500,000 บาท มีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 13 สิงหาคม 2549 เมื่อถึงกำหนดนายแดงไม่นำเงินมาชำระ อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันรุ่งขึ้นคือวันที่ 16 สิงหาคม 2549 และเนื่องจากการกู้ยืมเงินไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไวัโดยเฉพาะ จึงต้องนำอายุความทั่วไปตามมาตรา 193/30 คือ อายุความ 10 ปีมาใช้บังคับ ดังนั้นกรณีนี้อายุความ 10 ปี จะครบกำหนดในวันที่ 13 สิงหาคม 2559 เมื่อนายดำไม่ใช้สิทธิเรียกร้องภายในกำหนด 10 ปี สิทธิเรียกร้องของนายดำที่มีต่อนายแดงลูกหนี้ย่อมเป็นอันขาดอายุความ นายดำย่อมไม่สามารถฟ้องร้องบังคับให้นายแดงชำระหนี้แก่ตนได้ และถ้านายดำฟ้องนายแดงให้ชำระหนี้ นายแดงย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้นั้นได้ตามมาตรา 193/9 และมาตรา 193/10

และตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงได้นำเงินบางส่วนไปชำระหนี้แก่นายดำ รวมทั้งการที่นายแดงได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือให้แก่นายดำโดยมีใจความว่านายแดงจะนำเงินจำนวนที่เหลืออีก 400,000 บาท มาชำระให้แก่นายดำในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 นั้น ไม่ถือว่าเป็นกรณีที่นายแดงลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อนายดำเจ้าหนี้แต่อย่างใด เพราะกรณีที่จะถือว่าลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นเหตุทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 นั้น ต้องเป็นการกระทำก่อนที่สิทธิเรียกร้องนั้นจะขาดอายุความ ดังนั้นการกระทำของนายแดงจึงเป็นการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้ว และเป็นการรับสภาพความรับผิดตามมาตรา 193/28

ดังนั้นข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ จึงวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายแดงได้นำเงินไปชำระให้แก่นายดำจำนวน 100,000 บาท โดยไม่ทราบว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วนั้น นายแดงจะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนจากนายดำไม่ได้ตามมาตรา 193/28 วรรคหนึ่ง ที่ว่าการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความแล้วนั้น ไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่ทราบว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม เนื่องจากสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความนั้นมิได้ทำให้หนี้นั้นระงับไปแต่อย่างใด

(ข) เมื่อนายแดงได้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือกับนายดำว่าจะนำเงินจำนวน 400,000 บาท มาชำระให้แก่นายดำในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 ถือว่าเป็นการรับสภาพความรับผิดโดยสัญญาตามมาตรา 193/28 วรรคสอง และเมื่อการรับสภาพความรับผิดนั้นมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงใช้บังคับได้ ดังนั้นเมื่อนายแดงไม่นำเงินมาชำระภายในกำหนด นายดำย่อมสามารถฟ้องให้นายแดงชำระหนี้ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1770/2517)โดยนายดำจะต้องฟ้องนายแดงภายในอายุความสองปีนับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดนั้นตามมาตรา 193/28 วรรคสอง ประกอบมาตรา 193/35 แต่นายดำจะฟ้องนายเขียวไม่ได้ เพราะนายเขียวเป็นผู้ค้ำประกันเดิมที่ไม่ได้รับสภาพความรับผิดเช่นเดียวกับนายแดง และตามมาตรา 193/28 วรรคสองตอนท้ายได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ว่า “…แต่จะอ้างความข้อนี้ขึ้นเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้”

กล่าวคือ ถ้านายดำฟ้องนายเขียวผู้ค้ำประกัน นายเขียวย่อมมีสิทธิยกเอาการที่หนี้ขาดอายุความขึ้นต่อสู้นายดำได้

สรุป

(ก) นายแดงจะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วจำนวน 100,000 บาท คืนจากนายดำไม่ได้

(ข) การที่นายแดงไม่นำเงินมาชำระให้แก่นายดำในวันที่ 10 ตุลาคม 2559 นายดำสามารถฟ้องให้นายแดงรับผิดในเงินจำนวน 400,000 บาทได้ แต่ต้องฟ้องภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดนั้น แต่นายดำจะฟ้องนายเขียวผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้ ถ้านายดำฟ้องนายเขียว นายเขียวย่อมสามารถปฏิเสธการชำระหนี้ได้ ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 4. (ก) คำเสนอคืออะไร การแสดงเจตนาซึ่งจะถือได้ว่าเป็นคำเสนอต้องมีลักษณะอย่างไร ให้อธิบายโดยสังเขป

(ข) นายแสงเขียนหนังสือถึงกรมป่าไม้มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าได้ทราบว่ากรมป่าไม้มีไม้ของกลางซึ่งทางราชการยึดได้จากผู้ลักลอบตัดไม้จำนวนประมาณ 4,000 ท่อน ข้าพเจ้าใคร่ขอซื้อไม้ของกลางดังกล่าวทั้งหมด สำหรับราคานั้น ทางการจะขายเท่าไร แล้วแต่จะเห็นสมควร”

ต่อมากรมป่าไม้ทำหนังสือตอบนายแสงว่า “กรมป่าไม้ตกลงขายไม้ของกลางดังกล่าวให้แก่ท่านจำนวน 3,960 ท่อน ราคาลูกบาศก์เมตรละ 7,000 บาท ทั้งนี้ท่านต้องชำระราคาเป็นเงินสดและโดยด่วน”

ดังนี้ สัญญาซื้อขายไม้ระหว่างนายแสงกับกรมป่าไม้เกิดขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

(ก) คำเสนอ คือ นิติกรรมฝ่ายเดียวชนิดที่ต้องมีผู้รับการแสดงเจตนา เกิดขึ้นโดยบุคคลฝ่ายหนึ่งแสดงเจตนาต่อบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งแจ้งให้ทราบว่าตนมีความประสงค์จะผูกพันตนทำสัญญาด้วยในประการใด และขอให้บุคคลอีกฝ่ายหนึ่งนั้นร่วมทำสัญญาด้วยตามที่เสนอไปนั้น

การแสดงเจตนาอันจะถือได้ว่าเป็นคำเสนอต้องมีลักษณะดังนี้

(1)     เป็นข้อความชัดเจนและแน่นอน

(2)     มีความมุ่งหมายว่า ถ้ามีคำสนอง สัญญาเกิดขึ้นทันที

(ข) โดยหลักของกฎหมาย สัญญาเป็นนิติกรรมสองฝ่าย จะเกิดขึ้นได้ต้องมีบุคคลตั้งแต่สองฝ่ายหรือกว่านั้นขึ้นไปเป็นคู่สัญญาแสดงเจตนาเป็นคำเสนอและคำสนองสอดคล้องต้องกัน หรืออาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าสัญญาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีคู่สัญญาสองฝ่ายได้ให้คำเสนอและคำสนองสอดคล้องตรงกัน

และการแสดงเจตนาที่จะถือว่าเป็นคำเสนอนั้น จะต้องมีลักษณะที่สำคัญ 2 ประการ คือ

(1)     ต้องเป็นข้อความชัดเจนและแน่นอน

(2)     มีความมุ่งหมายว่า ถ้ามีคำสนอง สัญญาจะเกิดขึ้นทันที

กรณีตามอุทาหรณ์ การแสดงเจตนาของนายแสงตามหนังสือที่นายแสงเขียนส่งถึงกรมป่าไม้นั้น เป็นข้อความที่ไม่ชัดเจนและไม่แน่นอน จึงถือไม่ได้ว่าเป็นคำเสนอ แต่เป็นเพียงคำปรารภว่านายแสงประสงค์จะเข้าทำสัญญาเท่านั้น

และการแสดงเจตนาของกรมป่าไม้ตามหนังสือทีตอบนายแสงไปนั้น ได้กระทำขึ้นในขณะที่ยังไม่มีคำเสนอใด ๆ มายังกรมป่าไม้ จึงไม่ถือว่าเป็นคำสนอง แต่เนื่องจากหนังสือของกรมป่าไม้เป็นข้อความที่ชัดเจนและแน่นอน และมีความมุ่งหมายว่าถ้านายแสงตกลงด้วยตามนั้น สัญญาจะเกิดขึ้นทันที จึงถือว่าการแสดงเจตนาโดยหนังสือของกรมป่าไม้ดังกล่าวเป็นคำเสนอ

ดังนั้นตามอุทาหรณ์ จึงมีเพียงคำเสนอของกรมป่าไม้ ไม่มีคำสนองของนายแสง สัญญาซื้อขายไม้ระหว่างนายแสงกับกรมป่าไม้จึงไม่เกิดขึ้น (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 927/2498)

สรุป

สัญญาซื้อขายไม้ระหว่างนายแสงกับกรมป่าไม้ไม่เกิดขึ้น

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสมชายเป็นหนี้นางคำผกา 100,000 บาท เนื่องจากปัจจุบันเศรษฐกิจไม่ดี ทำให้นายสมชายไม่มีความสามารถที่จะชำระหนี้ต่อนางคำผกาได้ ดังนั้นด้วยความกลัวว่านางคำผกาจะฟ้องคดีเพื่อยึดรถยนต์คันเดียวที่ตนเหลืออยู่ นายสมชายจึงสมคบกับนายสมศักดิ์ทำการโอนรถคันดังกล่าวให้กับนายสมศักดิ์โดยเสน่หา เพื่อซ่อนเร้นการยึดรถยนต์ของนางคำผกา ต่อมานายสมศักดิ์ติดหนี้การพนันและต้องการใช้เงินจึงขายรถคันดังกล่าวต่อไปให้กับนายสมเดช โดยที่นายสมเดชไม่ทราบถึงการสมคบคิดกันระหว่างนายสมชายกับนายสมศักดิ์ และจ่ายเงินค่ารถคันดังกล่าวให้กับนายสมศักดิ์ไปเป็นจำนวน 500,000 บาท ถัดมาอีก 3 เดือน นายสมเดชได้ขายรถคันดังกล่าวต่อไปให้กับนางสมหญิงโดยที่นางสมหญิงเป็นญาติกับนายสมชายและทราบเรื่องราวเกี่ยวกับการสมคบคิดกันระหว่างนายสมชายและนายสมศักดิ์ในการโอนรถคันดังกล่าวเพื่อหลีกเลี่ยงการยึดรถยนต์ของนางคำผกามาโดยตลอด และจ่ายค่ารถคันดังกล่าวให้กับนายสมเดชไปเป็นจำนวน 250,000 บาท

จากข้อเท็จจริงข้างต้น นางคำผกาได้มาขอคำปรึกษาจากท่านว่านางคำผกาจะสามารถฟ้องคดีเพื่อยึดรถยนต์คันดังกล่าวเพื่อนำมาชำระหนี้ให้แก่ตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 155 วรรคหนึ่ง “การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ แต่จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระทำการโดยสุจริต และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับดูกรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้น จะมีผลตามมาตรา 155 วรรคหนึ่ง คือ ตกเป็นโมฆะ ไม่ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณีแต่อย่างใด

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้ามีบุคคลภายนอกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กฎหมายมาตรา 155 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติคุ้มครองบุคคลภายนอก โดยห้ามมิให้บุคคลใด ๆ ยกความเป็นโมฆะของการแสดงเจตนาลวงนั้นขึ้นต่อสู้บุคคลภายนอก ซึ่งเป็นผู้ (1) กระทำการโดยสุจริต และ (2) ต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมชายได้สมคบกับนายสมศักดิ์ทำการโอนรถของตนให้กับนายสมศักดิ์โดยเสน่หาด้วยความกลัวว่านางคำผกาเจ้าหนี้ของตนจะฟ้องคดีเพื่อยึดรถยนต์คันดังกล่าวของตนซึ่งเหลืออยู่เพียงคันเดียวเพื่อนำไปชำระหนี้ที่ตนเป็นหนี้นางคำผกานั้น นิติกรรมการโอนรถยนต์คันดังกล่าวระหว่างนายสมชายกับนายสมศักดิ์ถือเป็นนิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวง ดังนั้น นิติกรรมการโอนรถยนต์ดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามมาตรา 155 วรรคหนึ่ง ไม่ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างนายสมชายกับนายสมศักดิ์แต่อย่างใด

การที่นายสมศักดิ์ได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปโอนขายให้แก่นายสฺมเดชโดยนายสมเดชซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ทราบถึงการสมคบคิดกันระหว่างนายสมชายกับนายสมศักดิ์ และได้จ่ายเงินค่ารถคันดังกล่าวให้กับนายสมศักดิ์ไปแล้ว ย่อมถือว่านายสมเดขได้กระทำการโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น

ดังนั้น นายสมเดชจึงได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 155 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ นางคำผกาจะยกเรื่องการแสดงเจตนาลวงขึ้นต่อสู้นายสมเดชเพื่อยึดรถยนต์คันดังกล่าวมาชำระหนี้ให้แก่ตนไม่ได้

และเมื่อนายสมเดชได้รับการคุ้มครองแล้ว แม้ต่อมานายสมเดชจะได้ทำการขายรถยนต์คันดังกล่าวต่อให้กับนางสมหญิง แม้นางสมหญิงจะกระทำการโดยไม่สุจริตเพราะทราบเรื่องราวเกี่ยวกับการสมคบคิดกันระหว่างนายสมชายและนายสมศักดิ์ในการโอนรถคันดังกล่าวมาโดยตลอดก็ตาม ก็จะไม่นำบทบัญญัติมาตรา 155 วรรคหนึ่ง เกี่ยวกับหลักบุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมาบังคับใช้อีก ดังนั้น นางคำผกาจึงไม่อาจฟ้องคดีเพื่อยึดรถยนต์คันดังกล่าวจากนางสมหญิงได้อีกเช่นกัน

สรุป

นางคำผกาไม่สามารถฟ้องคดีเพื่อยึดรถยนต์คันดังกล่าวเพื่อนำมาชำระหนี้ให้แก่ตนได้

 

ข้อ 2. นายสติจำใจทำนิติกรรมขายที่ดินให้แก่กรมชลประทานทั้ง ๆ ที่นายสติไม่สมัครใจขาย แต่นายสติมีความเชื่อในคำชี้แจงของนายสตังเจ้าหน้าที่กรมชลประทานว่า ถ้าการสร้างทางระบายน้ำขนาดใหญ่ตามโครงการป้องกันน้ำท่วมของกรมชลประทานเสร็จจะทำให้น้ำท่วมที่ดินของนายสติอย่างแน่นอนเพราะที่ดินดังกล่าวอยู่ในแนวการก่อสร้างฯ พอดี นายสติกลัวว่าน้ำจะท่วมที่ดินของตนจริงตามที่นายสตังชี้แจง จึงต้องขายที่ดินให้แก่กรมชลประทานไป โดยที่กรมชลประทานก็ไม่ได้รู้เห็นด้วยกับคำชี้แจงของนายสตังดังกล่าว ต่อมาเมื่อกรมชลประทานสร้างทางระบายน้ำเสร็จ ปรากฏว่าที่ดินของนายสติไม่ได้อยู่ในแนวการก่อสร้างฯ น้ำจึงไม่ท่วมที่ดินของนายสติ

ดังนี้ อยากทราบว่าการแสดงเจตนาซื้อขายที่ดินระหว่างนายสติกับกรมชลประทานมีผลเป็นอย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 159 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ

การถูกกลฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง จะต้องถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าวการอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสติได้ทำนิติกรรมขายที่ดินให้แก่กรมชลประทานทั้ง ๆ ที่นายสติไม่สมัครใจขาย แต่ที่นายสติต้องขายนั้นก็เพราะเชื่อในคำชี้แจงของนายสตังเจ้าหน้าที่กรมชลประทานว่าถ้าการสร้างทางระบายน้ำขนาดใหญ่ตามโครงการป้องกันน้ำท่วมชองกรมชลประทานเสร็จจะทำให้น้ำท่วมที่ดินของนายสติอย่างแน่นอน เพราะที่ดินดังกล่าวอยู่ในแนวการก่อสร้างฯ พอดี แต่ปรากฏว่าเมื่อมีการก่อสร้างทางระบายน้ำตามโครงการป้องกันน้ำท่วมของกรมชลประทานแล้วเสร็จ น้ำไม่ท่วมที่ดินของนายสติแต่อย่างใด

ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าการชี้แจงของนายสตังเจ้าหน้าที่กรมชลประทานเป็นการจงใจหลอกลวงนายสติ ทำให้นายสติหลงเชื่อว่าน้ำจะท่วมที่ดินของตนจริง จึงต้องขายที่ดินให้กรมชลประทานไป ซึ่งถ้ามิได้มีการหลอกลวงเช่นว่านั้นนายสติก็คงจะไม่ขายที่ดินของตนเนื่องจากที่ดินไม่ได้อยู่ในแนวของทางระบายน้ำแต่อย่างใด

ดังนั้น การกระทำของนายสตังเจ้าหน้าที่กรมชลประทานจึงถือว่าเป็นกลฉ้อฉลถึงขนาดที่ทำให้นายสติหลงเชื่อ ซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะก็คงจะมิได้ทำขึ้นตามมาตรา 159 วรรคสอง

ดังนั้น นิติกรรมการแสดงเจตนาซื้อขายที่ดินระหว่างกรมชลประทานกับนายสติจึงเป็นนิติกรรมที่เกิดขึ้นจากการแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลและมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 159 วรรคหนึ่ง (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 1044/2534)

สรุป

การแสดงเจตนาซื้อขายที่ดินระหว่างนายสติกับกรมชลประทานมีผลเป็นโมฆียะ

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2544 นายเก่งได้ทำสัญญากู้เงินจากนายกล้าเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท มีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 25 มิถุนายน 2545 เมื่อหนี้ถึงกำหนด นายเก่งไม่นำเงินมาชำระนายกล้าได้ติดตามทวงถามด้วยวาจาตลอดมา จนกระทั่งวันที่ 25 มิถุนายน 2548 นายกล้าได้ส่งจดหมายทวงถามเพื่อให้นายเก่งชำระหนี้เงินที่กู้ยืมไป นายเก่งก็ไม่นำเงินมาชำระให้ วันที่ 26 มิถุนายน 2555 นายเก่งได้นำที่ดินมาจำนองเพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงินดังกล่าว และได้นำเงินไปชำระให้แก่นายกล้าเป็นเงินจำนวน 10,000 บาท แต่หลังจากนั้นนายเก่งก็ไม่นำเงินมาชำระให้อีกเลย

ดังนั้นนายกล้าจึงได้บังคับชำระหนี้จากที่ดินที่นายเก่งได้นำมาจำนองได้เงินมาจำนวน 250,000 บาท ปรากฏว่ายังมีหนี้ค้างชำระอีกจำนวน 240,000 บาท ต่อมานายกล้าจึงได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 26 มิถุนายน 2557 เพื่อให้นายเก่งชำระหนี้เงินกู้ที่เหลือจำนวน 240,000 บาท นายเก่งต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2555 แล้ว แต่นายกล้าอ้างว่ายังไม่ขาดอายุความ

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายเก่งฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/9 “สิทธิเรียกร้องใด ๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ”

มาตรา 193/10 “สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง”

มาตรา 193/28 “การชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้วนั้น ไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่รู้ว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม

บทบัญญัติในวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับแก่การที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันด้วย แต่จะอ้างความข้อนี้ขึ้นเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้”

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี”

มาตรา 193/35     “ภายใต้บังคับมาตรา 193/27 สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นจากการที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเปีนหนังสือ หรือโดยการให้ประกันตามมาตรา 193/28 วรรคสอง ให้มีกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดหรือให้ประกัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเก่งได้ทำสัญญากู้เงินจากนายกล้าเป็นจำนวนเงิน 500,000 บาท เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2544 โดยมีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 25 มิถุนายน 2545 นั้น เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายเก่งไม่นำเงินมาชำระ อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันรุ่งขึ้นคือวันที่ 25 มิถุนายน 2545 และเนื่องจากการกู้ยืมเงินไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำอายุความทั่วไปตามมาตรา 193/30 คือ อายุความ 10 ปีมาใช้บังคับ ดังนั้นในกรณีนี้อายุความ 10 ปี จะครบกำหนดในวันที่ 25 มิถุนายน 2555 เมื่อนายกล้าไม่ใช้สิทธิเรียกร้องภายในกำหนด 10 ปี คือภายในวันที่ 25 มิถุนายน 2555 สิทธิเรียกร้องของนายกล้าที่มีต่อนายเก่งลูกหนี้ย่อมเป็นอันขาดอายุความตามมาตรา 193/9 นายกล้าไม่มีสิทธิฟ้องร้องบังคับให้นายเก่งชำระหนี้แก่ตนได้ และถ้าหากนายกล้าฟ้องให้นายเก่งชำระหนี้ นายเก่งย่อมสามารถยกเอาอายุความนั้นขึ้นมาเพื่อปฏิเสธการชำระหนี้นั้นได้ตามมาตรา 193/10 ทั้งนี้เพราะในกรณีดังกล่าวนี้อายุความได้ขาดไปแล้วตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2555 และการที่นายกล้าได้ส่งจดหมายทวงถามเพื่อให้นายเก่งชำระหนี้ในวันที่ 25 มิถุนายน 2548 นั้น ก็ไม่ทำให้อายุความ สะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 แต่อย่างใด

การที่นายเก่งได้นำที่ดินมาจำนองเพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงิน และได้นำเงินไปชำระให้แก่นายกล้าเป็นจำนวน 10,000 บาท ในวันที่ 26 มิถุนายน 2555 นั้น ไม่ถือว่าเป็นกรณีที่นายเก่งลูกหนี้รับสภาพหนี้แก่นายกล้าเจ้าหนี้แต่อย่างใด เพราะกรณีที่จะถือว่าลูกหนี้ได้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) นั้น ต้องเป็นการกระทำก่อนที่สิทธิเรียกร้องนั้นจะขาดอายุความ

ดังนั้น การกระทำของนายเก่งจึงถือว่าเป็นการรับสภาพความรับผิดตามมาตรา 193/28 และเป็นการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้ว

และเมื่อข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า นายกล้าได้บังคับชำระหนี้เอาจากที่ดินที่นายเก่งได้นำมาจำนองไว้ แต่ได้เพียง 250,000 บาท ยังคงเหลือหนี้ที่ค้างชำระอีกเป็นจำนวน 240,000 บาท เมื่อหนี้ตามสัญญากู้ได้ขาดอายุความไปแล้วตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2555 และนายกล้าได้นำคดีมาฟ้องศาลเพื่อให้นายเก่งชำระเงินกู้ส่วนที่เหลืออีกจำนวน 240,000 บาท ในวันที่ 26 มิถุนายน 2557 นายเก่งย่อมสามารถต่อสู้ได้ว่าคดีขาดอายุความแล้ว และนายกล้าจะฟ้องให้นายเก่งรับผิดตามมาตรา 193/35 ก็ไม่ได้เช่นกัน เพราะจำนวนเงินส่วนที่เหลืออีก 240,000 บาทนั้น นายเก่งมิได้รับสภาพความรับผิดไว้แต่อย่างใด

สรุป

ข้อต่อสู้ของนายเก่งที่ว่าคดีขาดอายุความแล้วตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2555 นั้น ฟังขึ้น

 

ข้อ 4. นายประสงค์ย้ายครอบครัวจากต่างจังหวัดเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร เพื่อให้นางสาวหวานและนางสาวแหวนบุตรสาว 2 คนของตนได้ศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในกรุงเทพมหานคร นายประสงค์ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด (คอนโดมิเนียม) จากนายประสิทธิจำนวน 2 โครงการ โดยโครงการแรกสัญญาระบุว่าห้องชุดตั้งอยู่บนที่ดินมีโฉนดเนื้อที่ 380 ตารางวา มีพื้นที่จอดรถและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ส่วนโครงการที่สองสัญญาระบุว่า เป็นห้องชุดชั้นบนสุดมองเห็นวิวทิวทัศน์กรุงเทพมหานครได้อย่างสวยงามตามที่นายประสงค์ต้องการ นายประสงค์และบุตรสาวทั้งสองถูกใจอย่างมาก จึงตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดดังกล่าวทั้งสองโครงการโดยชำระราคาจำนวนราคา 3 ล้านบาท และ 4 ล้านบาท ตามลำดับให้แก่นายประสิทธิ

ภายหลังนายประสงค์รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั้งสองแล้ว นายประสงค์และบุตรสาวทั้งสองพบว่าอาคารชุดโครงการแรกนั้นความจริงตั้งอยู่บนที่ดินมีโฉนดเนื้อที่เพียง 200 ตารางวา ส่วนโครงการที่สองนายประสิทธิได้ว่าจ้างผู้รับเหมามาก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมอีก 3 ชั้น โดยมิได้แจ้งให้ตนและบุตรสาวทราบแต่อย่างใด นายประสงค์ฟ้องเรียกเงินคืนจำนวน 3 ล้านบาท โดยอ้างว่าสัญญาจะซื้อจะขายอาคารชุดโครงการแรกตกเป็นโมฆะเพราะตนสำคัญผิดในทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมและฟ้องเพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายโครงการที่สองโดยอ้างว่านิติกรรมเป็นโมฆียะเพราะตนแสดงเจตนาทำนิติกรรมโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สินแห่งนิติกรรม

ให้วินิจฉัยว่า นายประสงค์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินคืนจำนวน 3 ล้าน และฟ้องเพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดโครงการที่สองได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 156 “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ

ความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ความสำคัญผิดในตัวของบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และความสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม เป็นต้น”

มาตรา 157 “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินเป็นโมฆียะ

ความสำคัญผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นความสำคัญผิดในคุณสมบัติซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิดดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีที่ 1 การที่นายประสงค์ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด (คอนโดมิเนียม) จากนายประสิทธิโครงการแรก โดยสัญญาระบุว่าห้องชุดตั้งอยู่บนที่ดินมีโฉนดเนื้อที่ 380 ตารางวา แต่ความจริงโฉนดที่ดินมีเนื้อที่เพียง 200 ตารางวานั้น แม้ว่าจำนวนเนื้อที่ที่ดินอันเป็นที่ตั้งอาคารชุดจะมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญา แต่การแสดงเจตนาของนายประสงค์ก็ไม่ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมอันจะมีผลทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 156 เพราะนายประสงค์มีเจตนาทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดมิใช่ตกลงจะซื้อจะขายที่ดิน ดังนั้น ที่ดินจึงมิใช่ทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมตามที่นายประสงค์อ้าง

แต่อย่างไรก็ตาม นายประสงค์สามารถอ้างได้ว่าการผิดเงื่อนไขเกี่ยวกับจำนวนเนี้อที่ของที่ดินดังกล่าว ย่อมเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สิน (อาคารชุด) ซึ่งถือว่าเป็นสาระสำคัญและมีผลทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 157 แต่เมื่อนิติกรรมซึ่งเป็นโมฆียะนั้นยังมิได้ถูกบอกล้างให้ตกเป็นโมฆะ ดังนั้น นายประสงค์จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินจำนวน 3 ล้านบาท คืนจากนายประสิทธิ (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 2493/2553)

กรณีที่ 2 การที่นายประสงค์ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด (คอนโดมิเนียม) จากนายประสิทธิโครงการที่สอง โดยในสัญญาระบุว่าเป็นห้องชุดชั้นบนสุด แต่ปรากฏว่านายประสิทธิกลับจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างอาคารเพิ่มเติมอีก 3 ชั้น โดยมิได้แจ้งให้นายประสงค์และบุตรทั้งสองทราบ นิติกรรมจะซื้อจะขายดังกล่าวจึงเป็นนิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สินซึ่งถือว่าเป็นสาระสำคัญ ทั้งนี้เพราะหากนายประสงค์ได้ทราบก่อนหน้านั้นว่าห้องชุดที่ตนรับโอนมานั้นมิใช่ห้องชุดชั้นบนสุดตามที่ตนต้องการแล้วตนจะไม่รับโอน ดังนั้น นิติกรรมการโอนห้องชุดระหว่างนายประสงค์และนายประสิทธิจึงตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 157 นายประสงค์จึงมีสิทธิฟ้องเพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดโครงการที่สองนั้นได้(เทียบฎีกาที่ 3942/2553)

สรุป

นายประสงค์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเงินคืนจำนวน 3 ล้านบาท แต่สามารถฟ้องเพิกถอนสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดโครงการที่สองได้

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางชมพู่ทำสัญญากู้ยืมเงินนางทุเรียนไปจำนวน 350,000 บาท โดยนางทุเรียนคิดดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือน หลังจากนั้นต่อมานางชมพู่มีการค้างชำระดอกเบี้ย นางทุเรียนจึงนำดอกเบี้ยมาคิดรวมกับต้นเงินกู้เป็นเงินจำนวน 590,000 บาท ที่นางชมพู่เป็นหนี้อยู่ ต่อมาสามีของนางชมพู่ได้ทำสัญญาขายบ้านให้นางทุเรียนในราคา 590,000 บาท โดยมีการโอนหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยที่นางชมพู่ค้างชำระนางทุเรียนทั้งหมดจำนวน 590,000 บาท นั้นแทนการชำระราคาบ้าน ดังนี้จงวินิจฉัยว่า

(1)  การคิดดอกเบี้ยดังกล่าวนั้นมีผลเป็นอย่างไร

(2)  สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างสามีของนางชมพู่กับนางทุเรียนมีผลเป็นอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 150 “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรีอศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 173 “ถ้าส่วนหนึ่งส่วนใดของนิติกรรมเป็นโมฆะ นิติกรรมนั้นย่อมตกเป็นโมฆะทั้งสิ้น เว้นแต่จะพึงสันนิษฐานได้โดยพฤติการณ์แห่งกรณีว่า คู่กรณีเจตนาจะให้ส่วนที่ไม่เป็นโมฆะนั้นแยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้”

มาตรา 654 “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากำหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1)  การที่นางชมพู่ทำสัญญากู้ยืมเงินนางทุเรียนไปจำนวน 350,000 บาท โดยนางทุเรียนคิดดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อเดือน และหลังจากนั้นเมื่อนางชมพู่มีการค้างชำระดอกเบี้ย นางทุเรียนจึงนำดอกเบี้ยมาคิดรวมกับต้นเงินกู้เป็นเงินจำนวน 590,000 บาทนั้น ถือว่าการคิดดอกเบี้ยในกรณีดังกล่าวเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตามมาตรา 150 และเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมายที่ห้ามคิดดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี (ตามมาตรา 654 และ พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา) ดังนั้น การคิดดอกเบี้ยดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆะ

(2)  การที่สามีของนางชมพู่ได้ทำสัญญาขายบ้านให้นางทุเรียนในราคา 590,000 บาท โดยมีการโอนหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยที่นางชมพู่ค้างชำระนางทุเรียนทั้งหมดจำนวน 590,000 บาทนั้น แทนการชำระราคาบ้าน เมื่อสัญญาซื้อขายบ้านดังกล่าวเกิดจากหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ราคาบ้านที่กำหนดไว้ในสัญญาจะรวมเอาต้นเงินกู้ที่นางทุเรียนมีสิทธิได้รับไว้ด้วยก็ตาม แต่นางทุเรียนและสามีของนางชมพู่ก็มิได้มีเจตนาจะแบ่งแยกซื้อขายบ้านบางส่วนในราคาต้นเงิน 350,000 บาท ที่นางชมพู่ค้างชำระอยู่ ดังนั้น สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างสามีของนางชมพู่และนางทุเรียนย่อมตกเป็นโมฆะทั้งฉบับตามมาตรา 173 (เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 10852/2551)

สรุป

(1) การคิดดอกเบี้ยดังกล่าวมีผลเป็นโมฆะ

(2) สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างสามีของนางชมพู่กับนางทุเรียนมีผลเป็นโมฆะทั้งฉบับ

 

ข้อ 2. นายเอกตกลงซื้อแจกันสมัยราชวงศ์หมิงซึ่งมีรอยร้าวจากนายโทใบหนึ่ง แต่นายโทได้นำกาวไปป้ายไว้เพื่อตบตานายเอกและบอกว่าไม่มีตำหนิ นายเอกจึงได้ตกลงซื้อแจกันใบดังกล่าวในราคา 50,000 บาท

ภายหลังต่อมานายเอกทราบว่าแจกันมีรอยร้าวซึ่งหากจะซื้อขายกันในท้องตลาดจะมีราคาเพียง 10,000 บาท เท่านั้น ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าแม้นายเอกจะทราบว่าแจกันมีตำหนิ นายเอกก็ยังคงซื้อแจกันใบดังกล่าวอยู่ดีเพราะเป็นของโบราณหายาก ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายเอกได้เข้าทำสัญญาซื้อขายเพราะลูกกลฉ้อฉลหรือไม่ มีผลทางกฎหมายอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 161 “ถ้ากลฉ้อฉลเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจให้คู่กรณีฝ่ายหนึ่งยอมรับข้อกำหนดอันหนักยิ่งกว่าที่คู่กรณีฝ่ายนั้นจะยอมรับโดยปกติ คู่กรณีฝ่ายนั้นจะบอกล้างการนั้นหาได้ไม่ แต่ชอบที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว การแสดงเจตนาทำนิติกรรมที่เกิดจากการที่ผู้ทำนิติกรรมถูกกลฉ้อฉลนั้นกฎหมายได้บัญญัติให้นิติกรรมนั้นตกเป็นโมฆียะ คู่กรณีฝ่ายที่แสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลมีสิทธิบอกล้างได้ (ป.พ.พ. มาตรา 159)

แต่อย่างไรก็ตาม มาตรา 161 ได้บัญญัติว่า ถ้ากลฉ้อฉลนั้นเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจทำให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งต้องการแสดงเจตนาทำนิติกรรมอยู่แล้วแม้จะไม่มีการทำกลฉ้อฉล ต้องยอมรับข้อกำหนดตามนิติกรรมอันหนักยิ่งกว่าที่เขาจะยอมรับโดยปกติ ซึ่งถ้าไม่มีการทำกลฉ้อฉลเช่นนั้น คู่กรณีฝ่ายนั้นจะไม่ยอมรับข้อตกลงหรือข้อกำหนดดังกล่าว ผลของการทำนิติกรรมเนื่องจากถูกกลฉ้อฉลในกรณีเช่นนี้ไม่ทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆียะ

แต่คู่กรณีฝ่ายที่ถูกกลฉ้อฉลมีสิทธิเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกตกลงซื้อแจกันสมัยราชวงศ์หมิงซึ่งมีรอยร้าวจากนายโท แต่นายโทได้นำกาวไปป้ายไว้เพื่อตบตานายเอกและบอกว่าไม่มีตำหนิ ทำให้นายเอกหลงเชื่อและได้ตกลงซื้อแจกันใบดังกล่าวนั้น การกระทำของนายโทถือว่าเป็นการใช้อุบายหลอกลวงให้นายเอกเข้าทำสัญญาซื้อขายแจกันกับตน

ดังนั้น การที่นายเอกได้เข้าทำสัญญาซื้อขายแจกันกับนายโท ย่อมถือว่านายเอกได้แสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉล

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า แม้นายโทจะไม่ใช้อุบายหลอกลวงนายเอก และถ้านายเอกทราบว่าแจกันมีรอยร้าว (มีตำหนิ) นายเอกก็ยังคงซื้อแจกันใบดังกล่าวอยู่ดีเพราะเป็นของโบราณหายาก เพียงแต่จะซื้อในราคาท้องตลาดคือในราคาเพียง 10,000 บาทเท่านั้น ซึ่งจะต่ำกว่าราคาที่นายเอกได้ตกลงซื้อไปเนื่องจากถูกกลฉ้อฉลคือ 50,000 บาท กรณีนี้จึงเป็นเรื่องที่นายเอกได้แสดงเจตนาทำนิติกรรมเนื่องจากถูกกลฉ้อฉล ซึ่งเป็นแต่เพียงเหตุจูงใจให้ยอมรับข้อกำหนดอันหนักยิ่งกว่าที่นายเอกจะยอมรับโดยปกติตามมาตรา 161

ดังนั้น นายเอกจะยกเอาเหตุที่ถูกกลฉ้อฉลเพื่อบอกล้างนิติกรรมซื้อขายแจกันไม่ได้ แต่นายเอกชอบที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้ ซึ่งได้แก่จำนวนเงินที่นายเอกต้องจ่ายเกินไปกว่า

ราคาอันแท้จริงของแจกัน คือ 40,000 บาท

สรุป

นายเอกได้เข้าทำสัญญาซื้อขายแจกันเพราะถูกกลฉ้อฉล แต่นายเอกจะบอกล้างสัญญาซื้อขายแจกันไม่ได้ ทำได้แต่เพียงเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากกลฉ้อฉลนั้นได้เป็นจำนวนเงิน 40,000 บาท

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2558 ผู้ให้กู้ ตกลงให้ผู้กู้ กู้เงินจำนวน 200,000 บาท ผู้กู้ได้ทำหลักฐานการกู้ยืมเงินลงลายมือชื่อฝ่ายผู้กู้และส่งมอบให้แก่ผู้ให้กู้เรียบร้อยแล้ว โดยคู่กรณีทั้งสองฝ่ายได้ตกลงกำหนดระยะเวลาชำระหนี้ภายใน 4 เดือน อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าสองวันก่อนหนี้ถึงกำหนดชำระผู้กู้คิดว่าตนไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ให้แก่ผู้ให้กู้ได้ทันตามกำหนดเวลาชำระหนี้ จึงมาขอขยายกำหนดเวลาชำระหนี้ออกไป ผู้ให้กู้สงสารจึงยินยอมให้ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ออกไปให้อีก 1 ปีครึ่ง โดยคู่กรณีมิได้มีการตกลงกำหนดวันเริ่มต้นนับระยะเวลาที่ขยายออกไปกันไว้

ดังนี้อยากทราบว่า หนี้ดังกล่าวจะถึงกำหนดชำระเมื่อใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/3 วรรคสอง “ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นวัน สัปดาห์ เดือนหรือปี มิให้นับวับแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน เว้นแต่จะเริ่มการในวันนั้นเองตั้งแต่เวลาที่ถือได้ว่าเป็นเวลาเริ่มต้นทำการงานกันตามประเพณี”

มาตรา 193/5 วรรคสอง “ถ้าระยะเวลามิได้กำหนดนับแต่วันต้นแห่งสัปดาห์ วันต้นแห่งเดือนหรือปี ระยะเวลาย่อมสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งสัปดาห์ เดือน หรือปีสุดท้าย อันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลานั้น ถ้าในระยะเวลานับเป็นเดือนหรือปีนั้นไม่มีวันตรงกันในเดือนสุดท้าย ให้ถือเอาวันสุดท้ายแห่งเดือนนั้นเป็นวันสิ้นสุดระยะเวลา ”

มาตรา 193/6 วรรคสอง “ถ้าระยะเวลากำหนดเป็นส่วนของปี ให้คำนวณส่วนของปีเป็นเดือนก่อน หากมีส่วนของเดือนให้นับส่วนของเดือนเป็นวัน”

มาตรา 193/7 “ถ้ามีการขยายระยะเวลาออกไปโดยมิได้มีการกำหนดวันเริ่มต้นแห่งระยะเวลาที่ขยายออกไป ให้นับวันที่ต่อจากวันสุดท้ายของระยะเวลาเดิมเป็นวันเริ่มต้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ผู้กู้ได้ทำสัญญากู้เงินจากผู้ให้กู้จำนวน 200,000 บาท ในวันที่ 30 ตุลาคม 2558 มีกำหนดชำระคืนภายใน 4 เดือนนั้น ตามมาตรา 193/3 วรรคสอง การเริ่มต้นนับระยะเวลามิให้นับวันแรกแห่งระยะเวลานั้นรวมเข้าด้วยกัน แต่ให้เริ่มนับหนึ่งในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 31 ตุลาคม 2558 ดังนั้นวันที่ 31 ตุลาคม 2558 จึงเป็นวันเริ่มนับระยะเวลา (มิใช่วันต้นแห่งเดือนคือวันที่ 1 พฤศจิกายน 2558) ซึ่งระยะเวลา 4 เดือน ย่อมสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งเดือนสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่มระยะเวลานั้นตามมาตรา 193/5 วรรคสอง

แต่เนื่องจากเดือนกุมภาพันธ์ของปี พ.ค. 2559 ไม่มีวันตรงกัน คือไม่มีวันที่ 31 กุมภาพันธ์ ดังนั้น จึงต้องถือเอาวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของเดือนนั้นเป็นวันสิ้นสุดของระยะเวลา (ตามมาตรา 193/5 วรรคสอง ตอนท้าย)

แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนหนี้ถึงกำหนดชำระผู้กู้ไม่มีเงินไปชำระ และผู้ให้กู้สงสารจึงยินยอมให้ขยายระยะเวลาออกไปอีก 1 ปีครึ่ง โดยคู่กรณีมิได้มีการกำหนดวันเริ่มต้นแห่งระยะเวลาที่ขยายออกไปนั้น ระยะเวลาที่ขยายออกไปจึงต้องเริ่มต้นนับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2559 ซึ่งเป็นวันที่ต่อจากวันสุดท้ายของระยะเวลาเดิมเป็นวันเริ่มต้น (ตามมาตรา 193/7) และเมื่อระยะเวลาที่ขยายออกไปนั้นมีกำหนด 1 ปีครึ่ง คือมีการกำหนดกันเป็นปี (1 ปี) และส่วนของปี (ครึ่งปี) จึงต้องคำนวณส่วนของปีเป็นเดือนก่อนซึ่งก็คือ 6 เดือน (ตามมาตรา193/6 วรรคสอง) ดังนั้น ระยะเวลาที่ขยายออกไปจึงเท่ากับ 1 ปี 6 เดือน

เมื่อระยะเวลาที่ขยายออกไปมีหน่วยนับระยะเวลาเป็นปีและเดือนผสมกัน จึงต้องคำนวณหาระยะเวลา 1 ปีก่อนว่าสิ้นสุดลงเมื่อใดแล้วจึงคำนวณหาระยะเวลา 6 เดือนว่าสิ้นสุดลงเมื่อใด ซึ่งกรณีนี้จะเห็นได้ว่าการนับระยะเวลา 1 ปี จะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2559 ซึ่งมิใช่วันต้นแห่งปี ดังนั้นระยะเวลา 1 ปี ย่อมสิ้นสุดลงในวันก่อนหน้าจะถึงวันแห่งปีสุดท้ายอันเป็นวันตรงกับวันเริ่มต้นนับระยะเวลา ซึ่งก็คือวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2560 (ตามมาตรา 193/5 วรรคสอง) ส่วนการนับระยะเวลาอีก 6 เดือนนั้น วันเริ่มต้นนับ จึงเป็นวันที่ 1 มีนาคม 2560 (ตามมาตรา 193/3 วรรคสอง) และระยะเวลา 6 เดือนจึงสิ้นสุดลงในวันที่ 31 สิงหาคม 2560 (ตามมาตรา 193/5 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้ากำหนดระยะเวลาเป็นเดือน ให้คำนวณตามปีปฏิทิน”) ดังนั้น ระยะเวลาที่ขยายออกไปอีก 1 ปีครึ่งจึงสิ้นสุดลงในวันที่ 31 สิงทาคม 2560 และหนี้ดังกล่าวจะถึงกำหนชำระในวันที่ 31 สิงหาคม 2560

สรุป

หนี้ดังกล่าวซึ่งมีการขยายระยะเวลาออกไปอีก 1 ปีครึ่งจะกำหนดชำระในวันที่ 31 สิงหาคม 2560

 

ข้อ 4. คดีแพ่งเรื่องหนึ่ง ข้อเท็จจริงได้ความว่านายกรุงเทพเลี้ยงเป็ดไว้จำนวน 2,000 ตัว นายกรุงเทพตกลงขายเป็ดจำนวน 2,000 ตัวนั้น ให้แก่นายปักกิ่งในราคา 200,000 บาท กำหนดชำระราคาเป็ดและส่งมอบเป็ดดังกล่าวกันในวันที่ 31 ตุลาคม 2559 แต่เมื่อถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2559 เกิดโรคไข้หวัดนกระบาดอย่างหนักในท้องที่ที่นายกรุงเทพอยู่ ทำให้เป็ดของนายกรุงเทพติดเชื้อโรคไข้หวัดนก ทางราชการจึงต้องทำการฆ่าเป็ดทั้งหมดจำนวน 2,000 ตัว ด้วยการฝังทั้งเป็นเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไข้หวัดนก นายกรุงเทพจึงไม่สามารถส่งมอบเป็ดจำนวน 2,000 ตัว ให้แก่นายปักกิ่งได้

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า นายปักกิ่งต้องชำระราคาเป็ดให้แก่นายกรุงเทพหรือไม่ เพียงใด เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 370 วรรคหนึ่ง “ถ้าสัญญาต่างตอบแทนมีวัตถุที่ประสงค์เป็นการก่อให้เกิดหรือโอนทรัพยสิทธิในทรัพย์เฉพาะสิ่งและทรัพย์นั้นสูญหรือเสียหายไปด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งอันจะโทษลูกหนี้มิได้ไซร้ ท่านว่าการสูญหรือเสียหายนั้นตกเป็นพับแก่เจ้าหนี้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกรุงเทพได้ตกลงขายเป็ดจำนวน 2,000 ตัว ให้แก่นายปักกิ่งในราคา 200,000 บาทนั้น สัญญาซื้อขายเป็ดระหว่างนายกรุงเทพกับนายปักกิ่งเป็นสัญญาต่างตอบแทนซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นการโอนทรัพยสิทธิในทรัพย์เฉพาะสิ่ง (คือเป็ดจำนวน 2,000 ตัว ดังกล่าว) เมื่อปรากฏว่าเป็ดจำนวนดังกล่าวที่นายกรุงเทพกำลังจะส่งมอบแก่นายปักกิ่งติดเชื้อโรคไข้หวัดนก ทำให้ทางราชการจำเป็นต้องนำเป็ดทั้งหมดไปทำการฆ่าทิ้ง จึงเป็นกรณีที่ทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งสัญญาสูญหรือเสียหายไปด้วยเหตุอันจะโทษนายกรุงเทพ (ลูกหนี้ในอันที่จะต้องส่งมอบเป็ด)ไม่ได้ การสูญหรือเสียหายนั้นจึงตกเป็นพับแก่นายปักกิ่ง (เจ้าหนี้ในอันที่จะได้รับการส่งมอบเป็ด)

ดังนั้น ถึงแม้ว่านายกรุงเทพไม่สามารถส่งมอบเป็ดทั้งหมดจำนวน 2,000 ตัว ให้แก่นายปักกิ่งได้ นายปักกิ่งก็ยังคงต้องชำระราคาค่าเป็ดจำนวน 200,000 บาท ให้แก่นายกรุงเทพตามที่ตกลงกันในสัญญา

สรุป

นายปักกิ่งต้องชำระราคาเป็ดจำนวน 200,000 บาท ให้แก่นายกรุงเทพ

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางชมพูนางแบบชื่อดังได้รับคำเชิญให้ไปแสดงตัวในเทศกาลหนังเมืองคานส์ประเทศฝรั่งเศส นางชมพูจึงตัดสินใจไปยืมเพชรจากนางใหม่ แต่นางชมพูกลัวนางใหม่จะไม่ยอมให้ยืมและดูถูกตนจึงแสร้งบอกกับนางใหม่ว่าขอซื้อเพชรดังกล่าวจากนางใหม่แทน หลังจากที่นางชมพูกลับมาจากต่างประเทศ นางชมพูเห็นโอกาสทำธุรกิจด้านครีมบำรุงผิว จึงตัดสินใจขอซื้อธุรกิจครีมบำรุงผิวของนางเหลืองโดยมีข้อตกลงว่าหลังการขายธุรกิจแล้วนางเหลืองห้ามประกอบธุรกิจครีมบำรุงผิวอีกเลย

ถัดมาอีก 3 วัน นางชมพูนำเพชรไปคืนนางใหม่ นางใหม่ไม่ยอมรับคืนอ้างว่านางชมพูได้ซื้อไปแล้ว ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นางชมพูสามารถนำเพชรไปคืนนางใหม่ได้หรือไม่ อย่างไร จงอริบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

(ข) ข้อตกลงระหว่างนางชมพูกับนางเหลืองมีผลใช้บังคับได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 150 “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 154 “การแสดงเจตนาใดแม้ในใจจริงผู้แสดงจะมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ได้แสดงออกมาก็ตาม หาเป็นมูลเหตุให้การแสดงเจตนานั้นเป็นโมฆะไม่ เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงนั้น”

วินิจฉัย

(ก) จากบทบัญญัติมาตรา 154 เป็นเรื่องการแสดงเจตนาซ่อนเร้น ซึ่งมีหลักคือ การแสดงเจตนาไม่เป็นโมฆะ แม้ในใจจริงของผู้แสดงเจตนาจะมิได้เจตนาให้ตนต้องผูกพันตามที่ได้แสดงออกมาก็ตาม

แต่มีข้อยกเว้นคือ การแสดงเจตนานั้นจะตกเป็นโมฆะ ถ้าเมื่อคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง (ฝ่ายผู้รับการแสดงเจตนา) ได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดงเจตนา ในขณะที่แสดงเจตนานั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางชมพูได้แสดงเจตนาออกมาว่าขอซื้อเพชรดังกล่าวจากนางใหม่นั้น แม้ในใจจริงของนางชมพูไม่ต้องการให้ตนต้องผูกพันกับเจตนาตามที่ได้แสดงออกมาเนื่องจากตนต้องการยืมเพชรจากนางใหม่ก็ตาม แต่เมื่อนางใหม่มิได้รู้ถึงเจตนาอันซ่อนอยู่ในใจของนางชมพู ตามกฎหมายให้ถือว่าการแสดงเจตนาออกมาของนางชมพูนั้นมีผลสมบูรณ์ และเกิดเป็นสัญญาซื้อขายขึ้น ดังนั้น นางชมพูจึงมีหน้าที่ต้องชำระเงิน

ค่าเพชรให้แก่นางใหม่ จะมาปฏิเสธว่าตนไม่มีเจตนาที่จะซื้อเพชรและจะขอคืนเพชรให้แก่นางใหม่ไม่ได้

(ข) การที่นางชมพูได้ทำนิติกรรมโดยการขอซื้อธุรกิจครีมบำรุงผิวของนางเหลือง โดยมีข้อตกลงว่าหลังจากนางเหลืองได้ขายธุรกิจแล้วห้ามนางเหลืองประกอบธุรกิจครีมบำรุงผิวอีกเลยนั้น ข้อตกลงดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆะ เพราะเป็นการอันขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามมาตรา 150 เนื่องจากเป็นข้อตกลงในลักษณะที่เป็นการเอารัดเอาเปรียบกันในทางธุรกิจการค้า

สรุป

(ก) นางชมพูไม่สามารถนำเพชรไปคืนนางใหม่ได้

(ข) ข้อตกลงระหว่างนางชมพูกับนางเหลืองตกเป็นโมฆะ

 

ข้อ 2. นิติกรรมที่เป็นโมฆะมีความแตกต่างกับนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ แต่ถูกบอกล้างในภายหลังหรือไม่ จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 172 วรรคสอง “ถ้าจะต้องคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรม ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้แห่งประมวลกฎหมายนี้มาใช้บังคับ”

มาตรา 176 วรรคหนึ่ง “โมฆียะกรรมเมื่อบอกล้างแล้ว ให้ถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรกและให้ผู้เป็นคู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม ถ้าเป็นการพ้นวิสัยจะให้กลับคืนเช่นนั้นได้ ก็ให้ได้รับค่าเสียหายชดใช้ให้แทน”

อธิบาย

จากหลักกฎหมายดังกล่าว นิติกรรมที่เป็นโมฆะจะมีความแตกต่างกับนิติกรรมที่เป็นโมฆียะแต่ถูกบอกล้างในภายหลัง ดังนี้ คือ

นิติกรรมที่เป็นโมฆะ เป็นนิติกรรมที่เสียเปล่า ไม่มีผลในกฎหมายที่จะเป็นนิติกรรมผูกนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคลแต่อย่างใด กล่าวคือ ไม่ทำให้บุคคลใดหรือสิ่งใดเปลี่ยนแปลงฐานะไป คู่กรณียังคงอยู่ในฐานะเดิมเสมือนว่ามิได้เข้าทำนิติกรรมแต่ประการใดเลย

และในกรณีที่ต้องมีการคืนทรัพย์สินอันเกิดจากนิติกรรมที่เป็นโมฆะ คู่กรณีฝ่ายที่ได้โอนกรรมสิทธิ์ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่เขาไปนั้น ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาคืนได้ตามหลักกฎหมายว่าด้วยลาภมิควรได้

ตัวอย่าง ก. และ ข. ได้ตกลงซื้อขายที่ดินกันแปลงหนึ่งในราคา 100,000 บาท โดยทั้งสองได้ทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือแต่ไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่าง ก. และ ข. ย่อมตกเป็นโมฆะ เพราะไม่ได้กระทำตามแบบที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ดังนี้ ก. จะบังคับให้ ข. ส่งมอบที่ดินหรือโอนที่ดินให้แก่ ก. ไม่ได้ และ ข. ก็จะบังคับให้ ก. ชำระราคาค่าซื้อขายที่ดินให้แก่ ข. ไม่ได้เช่นกัน

ในกรณีที่ ก. ได้ขำระราคาค่าที่ดินให้แก่ ข. แล้ว ดังนี้ ก. ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้ ข. คืนเงินให้แก่ตนได้หรือถ้า ข. ได้ส่งมอบที่ดินให้แก่ ก. แล้ว ข. ก็ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาที่ดินคืนจาก ก. ได้ โดยอาศัยหลักกฎหมายว่าด้วยลาภมิควรได้ตามมาตรา 406

ส่วนนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ เป็นนิติกรรมที่มีผลใช้บังคับกันได้ตามกฎหมาย แต่อาจถูกบอกล้างให้ตกเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับตามกฎหมายหรือเสียเปล่าได้

นิติกรรมที่เป็นโมฆียะนั้น เมื่อมีการบอกล้างแล้วกฎหมายให้ถือว่าเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก และให้คู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม ดังนั้น ถ้ามีการส่งมอบทรัพย์สินให้แก่กันก็ต้องมีการคืนทรัพย์สินนั้น แต่ถ้าเป็นการพ้นวิสัยไม่อาจคืนทรัพย์สินนั้นได้ เช่น ทรัพย์สินที่จะต้องส่งคืนนั้นสูญหายหรือบุบสลายไป ฝ่ายที่ต้องส่งคืนนั้นก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่คู่กรณีฝ่ายที่มีสิทธิจะได้รับคืนทรัพย์สินนั้น

ตัวอย่าง ก. ทำกลฉ้อฉลเอาแหวนทองเหลืองมาหลอกขายให้ ข. โดยหลอกลวงว่าเป็นแหวนทองคำ เมื่อ ข. รู้ความจริงจึงบอกล้างนิติกรรมซื้อขายที่เป็นโมฆียะ ดังนี้ ก. ก็ต้องใช้เงินราคาแหวนที่รับไปคืนให้ ข. และ ข. ก็ต้องคืนแหวนทองเหลืองให้ ก. หรือถ้าคืนไม่ได้ เช่น เป็นเพราะแหวนทองเหลืองนั้นสูญหายไปแล้ว ดังนี้ ข. ก็ต้องชดใช้ราคาแหวนทองเหลืองนั้นให้แก่ ก. ตามราคาของแหวนทองเหลือง

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2543 นายกระต่ายได้ทำสัญญากู้เงินจากนายกระทิงเป็นเงินจำนวน 400,000  บาท มีกำหนดชำระคืนภายใน 15 มีนาคม 2544 เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายกระต่ายไม่นำเงินมาชำระ นายกระทิงได้ติดตามทวงถามด้วยวาจาตลอดมา จนกระทั่งวันที่ 16 มีนาคม 2554 นายกระต่ายได้นำที่ดินมาจำนองเพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงินดังกล่าว และได้นำเงินไปชำระให้แก่นายกระทิงเป็นเงินจำนวน 5,000 บาท แต่หลังจากนั้นนายกระต่ายก็ไม่นำเงินมาชำระให้อีกเลย ดังนั้น นายกระทิงจึงได้บังคับชำระหนี้จากที่ดินที่นายกระต่ายได้นำมาจำนองได้เงินมาจำนวน 250,000 บาท

ปรากฏว่ายังมีหนี้ค้างชำระอีกจำนวน 145,000 บาท ต่อมานายกระทิงจึงได้นำคดีมาฟ้องศาลในวันที่ 16 มีนาคม 2556 เพื่อให้นายกระต่ายชำระหนี้เงินก็ที่เหลือจำนวน 145,000 บาท นายกระต่ายต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2554 แต่นายกระทิงอ้างว่ายังไม่ขาดอายุความ

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายกระทิงฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/9 “สิทธิเรียกร้องใด ๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ ”

มาตรา 193/10 “สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง ”

มาตรา 193/28     “การชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้วนั้นไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่รู้ว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม

บทบัญญัติในวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับแก่การที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันด้วย แต่จะอ้างความข้อนี้ขึ้นเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้”

มาตรา 193/30 “อายุความนั้น ถ้าประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นมิได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะให้มีกำหนดสิบปี”

มาตรา 193/35 “ภายใต้บังคับมาตรา 193/27 สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นจากการที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันตามมาตรา 193/28 วรรคสอง ให้มีกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดหรือให้ประกัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกระต่ายได้ทำสัญญากู้ยืมเงินจากนายกระทิงเป็นเงินจำนวน 400,000 บาท มีกำหนดชำระคืนภายในวันที่ 15 มีนาคม 2544 เมื่อถึงกำหนดนายกระต่ายไม่นำเงินมาชำระ อายุความจึงเริ่มนับตั้งแต่วันรุ่งขึ้นคือวันที่ 16 มีนาคม 2544 และเนื่องจากการกู้ยืมเงินไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำอายุความทั่วไปตามมาตรา 193/30 คือ อายุความ 10 ปีมาใช้บังคับ ดังนั้นกรณีนี้อายุความ 10 ปี จะครบกำหนดในวันที่ 15 มีนาคม 2554 เมื่อนายกระทิงไม่ใช้สิทธิเรียกร้องภายในกำหนด 10 ปี สิทธิเรียกร้องของนายกระทิงที่มีต่อนายกระต่ายลูกหนี้ย่อมเป็นอันขาดอายุความ นายกระทิงย่อมไม่สามารถฟ้องร้องบังคับให้นายกระต่ายชำระหนี้แก่ตนได้ และถ้านายกระทิงฟ้องนายกระต่ายให้ชำระหนี้ นายกระต่ายย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธการขำระหนี้นั้นได้ตามมาตรา 193/9 และมาตรา 193/10

การที่นายกระต่ายได้นำที่ดินมาจำนองเพื่อเป็นประกันการกู้ยืมเงินดังกล่าวและได้นำเงินไปชำระหนี้ให้แก่นายกระทิงเป็นเงินจำนวน 5,000 บาทในวันที่ 16มีนาคม 2554ไม่ถือว่าเป็นกรณีที่นายกระต่ายลูกหนี้รับสภาพหนี้แก่นายกระทิงเจ้าหนี้แต่อย่างใด เพราะกรณีที่จะถือว่าลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 (1) นั้น ต้องเป็นการกระทำก่อนที่สิทธิเรียกร้องนั้นจะขาดอายุความ

ดังนั้น การกระทำของนายกระต่ายจึงเป็นการรับสภาพความรับผิดตามมาตรา 193/28 และเป็นการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้ว

ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า นายกระทิงได้บังคับชำระหนี้จากที่ดินนายกระต่ายได้นำมาจำนอง แต่ได้เงินมายังไม่ครบจำนวนหนี้ที่นายกระต่ายกู้ยืมไป ยังคงเหลือหนี้ค้างชำระอีกจำนวน 145,000 บาทก็ตาม เมื่อหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินนั้นได้ขาดอายุความไปแล้วตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2554 และนายกระทิงได้นำคดีมาฟ้องศาลเพื่อให้นายกระต่ายชำระหนี้เงินกู้ที่ค้างชำระในวันที่ 16 มีนาคม 2556 นายกระต่าย (ลูกหนี้) ย่อมมีสิทธิปฏิเสธการชำระหนี้นั้นได้ตามมาตรา 193/9 และมาตรา 193/10 ดังนั้น การที่นายกระทิงอ้างว่ายังไม่ขาดอายุความนั้น ข้อต่อสู้ของนายกระทิงจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป

ข้ออ้างของนายกระทิงฟังไม่ขึ้น

* หมายเหตุ นายกระทิงอ้างแต่เพียงว่าหนี้เงินกู้ยืมยังไม่ขาดอายุความ แต่ไม่ได้อ้างว่ามีการรับสภาพความรับผิด ข้ออ้างของนายกระทิงจึงฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 4. นายแมนทำสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์ 15 ปี ไม่จดทะเบียนจากนายแทน ครั้นเวลาผานไปได้เพียง 1 ปี นับจากทำสัญญาเช่า นายแทนได้โอนขายอาคารพาณิชย์หลังดังกล่าวให้นายแพน โดยนายแพนยอมรับข้อผูกพันระหว่างนายแมนและนายแทนด้วย เมื่อนายแมนได้รับแจ้งจากนายแทนว่านายแทนได้ขายอาคารพาณิชย์ให้นายแพนแล้ว นายแมนจึงนำค่าเช่าที่ตกลงชำระให้นายแทนเดือนละ 10,000 บาท ไปชำระให้นายแพนแทน แต่กลับถูกนายแพนปฏิเสธเนื่องจากนายแมนและนายแพนไม่ได้มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน และนายแพนยังได้เรียกให้นายแมนออกจากอาคารพาณิชย์ มิเช่นนั้นจะใช้สิทธิทางศาลฟ้องขับไล่นายแมนอีกด้วย

ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อกล่าวอ้างของนายแพนรับฟังได้หรือไม่ และนายแมนจะต้องออกจากอาคารพาณิชย์ที่เช่าหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 374 “ถ้าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งทำสัญญาตกลงว่าจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกไซร้ ท่านว่า บุคคลภายนอกมีสิทธิจะเรียกชำระหนี้จากลูกหนี้โดยตรงได้

ในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้นตั้งแต่เวลาที่แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้น”

มาตรา 375 “เมื่อสิทธิของบุคคลภายนอกได้เกิดมีขึ้นตามบทบัญญัติแห่งมาตราก่อนแล้ว คู่สัญญาหาอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่”

วินิจฉัย

ในกรณีที่มีการทำสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก ถ้าบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นตามมาตรา 374 วรรคสองแล้ว สิทธิของบุคคลภายนอกย่อมเกิดมีขึ้น และคู่สัญญาจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังไม่ได้ (มาตรา 375)

ตามอุทาหรณ์ การที่นายแมนทำสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์จากนายแทน และเมื่อผ่านไปได้เพียง 1 ปีนับจากทำสัญญาเช่า นายแทนได้โอนขายอาคารพาณิชย์หลังดังกล่าวให้แก่นายแพน โดยที่นายแพนได้ยอมรับข้อผูกพันระหว่างนายแมนและนายแทนด้วยนั้น ย่อมถือว่าข้อสัญญาระหว่างนายแพนกับนายแทนเป็นข้อสัญญาเพื่อประโยชน์แก่นายแมนซึ่งเป็นบุคคลภายนอกตามมาตรา 374 วรรคหนึ่ง

เมื่อนายแมนได้นำค่าเช่าที่ตกลงชำระให้นายแทนเดือนละ 10,000 บาท ไปชำระให้นายแพน ย่อมถือว่านายแมนบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาแก่นายแพนว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญานั้นแล้ว และให้ถือว่าสิทธิของนายแมนได้เกิดมีขึ้นแล้ว ดังนั้น นายแพนจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิดังกล่าวของนายแมนโดยการขับไล่ให้นายแมนออกจากอาคารพาณิชย์นั้นไม่ได้ตามมาตรา 374 วรรคสอง ประกอบมาตรา 375

สรุป

ข้อกล่าวอ้างของนายแพนที่ว่านายแมนและนายแพนไม่ได้มีนิติสัมพันธ์ต่อกันรับฟังไม่ได้ และนายแมนไม่ต้องออกจากอาคารพาณิชย์ที่เช่า

LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายชัปปุยส์ต้องการซื้อที่ดินแปลงหนึ่งจากนายชนาธิปเพราะคิดว่าจะมีรถไฟฟ้าผ่านที่ดินแปลงนั้นในอนาคต ปรากฏวันที่ไปจดทะเบียนโอนมีการแข่งขันฟุตบอลระหว่างทีมชาติไทย และทีมชาติอิรัก นายชัปปุยส์ขอตัวกลับบ้านไปดูฟุตบอลนัดดังกล่าว และได้ลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่าพร้อมทั้งบอกนายชนาธิปว่าจัดการกรอกข้อความได้เลยตามสะดวก นายชนาธิปจึงได้เขียนเนื้อความในสัญญาว่าตนขายที่ดินอีกแปลงหนึ่งให้แทน วันรุ่งขึ้นนายชัปปุยส์ทราบเนื้อความในสัญญาจึงกล่าวหานายชนาธิปว่าเป็นพวกหลอกลวงหลอกขายที่ดินให้แก่ตน นายชนาธิปอ้างว่าตนไม่ได้หลอกนายชัปปุยส์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเอง

ให้นักศึกษาให้คำแนะนำว่าข้ออ้างของนายชนาธิปฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 156 “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ

ความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ความสำคัญผิดในตัวของบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และความสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมเป็นต้น”

มาตรา 158 “ความสำคัญผิดตามมาตรา 156 หรือมาตรา 157 ซึ่งเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของบุคคลผู้แสดงเจตนา บุคคลนั้นจะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 156 ได้บัญญัติให้การแสดงเจตนาทำนิติกรรมที่เกิดขึ้นเพราะความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ซึ่งได้แก่ ลักษณะของนิติกรรม ตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรมและทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมนั้น การแสดงเจตนาหรือนิติกรรมที่เกิดขึ้นย่อมตกเป็นโมฆะ แต่ถ้าความสำคัญผิดดังกล่าวได้เกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้แสดงเจตนา ผู้นั้นจะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้ (มาตรา 158)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายชัปปุยส์ได้แสดงเจตนาทำสัญญาซื้อที่ดินแปลงหนึ่งจากนายชนาธิปโดยสำคัญผิดว่าเป็นที่ดินแปลงที่ตนคิดว่าจะมีรถไฟฟ้าผ่านนั้น ถือว่าเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในทรัพย์สิน

ซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรมอันถือว่าเป็นสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม โดยหลักแล้วการแสดงเจตนาของนายชัปปุยส์ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 156

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายชัปปุยส์ได้ลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่าและบอกให้นายชนาธิปจัดการกรอกข้อความได้เลยตามสะดวก ทำให้นายชนาธิปได้เขียนเนื้อความในสัญญาว่าตนขายที่ดินอีกแปลงหนึ่งให้แทนซึ่งมิใช่ที่ดินแปลงที่นายชัปปุยส์ต้องการซื้อนั้น การกระทำดังกล่าวของนายชัปปุยส์ถือได้ว่าเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของนายชัปปุยส์เอง ดังนั้น แม้นายชัปปุยส์จะได้แสดงเจตนาเพราะความสำคัญผิดดังกล่าวข้างต้นก็ตาม นายชัปปุยส์ก็จะยกเอาความสำคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ไต้ตามมาดรา 158

สรุป

ข้ออ้างของนายชนาธิปที่ว่าตนไม่ได้หลอกนายชัปปุยส์ แต่นายชัปปุยส์ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเอง จึงฟังขึ้น

 

ข้อ 2. อาม่ามีลูกชาย 3 คน คือ นายต้า นายกอล์ฟฟู และนายยัดห่า วันหนึ่งอาม่าต้องการทำการค้ำประกันให้กันนายต้า แต่กลับไปเซ็นในพินัยกรรมยกที่ดินของตนแทน ซึ่งต่อมาอาม่าทราบว่าตนสำคัญผิดไปแต่ก็ไม่ได้ทำการทักท้วงหรือขอแก้ไขประการใด ในพินัยกรรมดังกล่าวมีข้อความว่า “เมื่อดิฉันถึงแก่ความตาย ดิฉันขอมอบที่ดินให้แก่นายต้า และนายกอล์ฟฟูเพียง 2 คน” แต่พินัยกรรมดังกล่าวไม่ได้ทำตามแบบ ต่อมาอาม่าถึงแก่ความตาย ทั้งนายต้า นายกอล์ฟฟู และนายยัดห่า เมื่อทราบข้อความในพินัยกรรมก็ลงลายมือชื่อยอมรับผูกพันในข้อความดังกล่าว วันรุ่งขึ้นนายยัดห่าไม่พอใจที่ตนไม่ได้รับอะไรเลย จึงอ้างว่าอาม่าสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญ และพินัยกรรมก็ไม่ได้ทำตามแบบทำให้เรื่องทั้งหมดกลายเป็นโมฆะและตนยังคงมีสิทธิในที่ดินมรดกในฐานะทายาทโดยธรรม

ให้นักศึกษาให้คำแนะนำว่าข้ออ้างของนายยัดห่าฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 152 “การใดมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ การนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 156 “การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมเป็นโมฆะ

ความสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ความสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ความสำคัญผิดในตัวของบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม และความสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม เป็นต้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ข้ออ้างของนายยัดห่าฟังขึ้นหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

  1. ข้ออ้างที่ว่าอาม่าสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมการที่อาม่าต้องการทำสัญญาค้ำประกันให้กับนายต้า แต่กลับไปเซ็นในพินัยกรรมยกที่ดินของตนให้แก่นายต้าและนายกอล์ฟฟู 2 คนนั้น แม้จะถือว่าเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรมก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเมื่ออาม่าทราบว่าตนสำคัญผิดไปก็ไม่ได้ทำการทักท้วงหรือขอแก้ไขแต่ประการใด

ดังนั้น จากพฤติการณ์ของอาม่าดังกล่าวจึงไม่ถือว่าอาม่าได้แสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมตามมาตรา 156 แต่อย่างใด (เทียบเคียงกับคำพิพากษาฎีกาที่ 7196/2540) ข้ออ้างของนายยัดห่าในส่วนนี้จึงฟังไม่ขึ้น

  1. ข้ออ้างที่ว่าพินัยกรรมไม่ได้ทำตามแบบทำให้มีผลเป็นโมฆะ

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าพินัยกรรมดังกล่าวไม่ได้ทำตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้ พินัยกรรมย่อมมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 152 ดังนั้นข้ออ้างของนายยัดห่าในส่วนนี้จึงฟังขึ้นหรือ แม้พินัยกรรมจะไม่ได้ทำตามแบบก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าทายาททุกคนรวมทั้งนายยัดห่าเองด้วย ได้ลงลายมือชื่อในพินัยกรรมและยอมรับผูกพันในข้อความดังกล่าวนั้น ย่อมเป็นการก่อให้เกิดสัญญาระหว่างทายาทขึ้นมาใหม่ ดังนั้น นายยัดห่าจึงต้องผูกพันตามข้อความในสัญญานั้น พินัยกรรมจึงไม่ตกเป็นโมฆะ ข้ออ้างของนายยัดห่าในส่วนนี้จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป

ข้ออ้างของนายยัดห่าที่ว่าอาม่าสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญฟังไม่ขึ้น ส่วนข้ออ้างที่ว่าพินัยกรรมไม่ได้ทำตามแบบทำให้เรื่องทั้งหมดกลายเป็นโมฆะนั้นฟังขึ้น (หรือฟังไม่ขึ้น)

หมายเหตุ ข้ออ้างของนายยัดห่าที่ว่าพินัยกรรมไม่ได้ทำตามแบบทำให้เรื่องทั้งหมดกลายเป็นโมฆะนั้น นักศึกษาจะตอบว่าฟังขึ้นหรือฟังไม่ขึ้นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เพราะถือว่าเป็นคำตอบที่ถูกต้องทั้ง 2 กรณี

(แต่ต้องตอบเพียงอย่างเดียวและต้องมีเหตุผลประกอบด้วย)

 

ข้อ 3. เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2552 นายแดงได้ทำสัญญาซื้อเชื่อเครื่องปรับอากาศจากนายดำจำนวน 100,000 บาท โดยมีนายเขียวเป็นผู้ค้ำประกันมีกำหนดชำระหนี้คืนภายในวันที่ 31 มีนาคม 2552

เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายแดงไม่นำเงินมาชำระ นายดำได้ทวงถามตลอดมา แต่นายแดงก็ไม่นำเงินมาชำระจนกระทั่งอายุความฟ้องร้อง 2 ปี ได้สิ้นสุดลง ต่อมาวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555 นายแดงถูกสลากกินแบ่งจำนวน 30,000 บาท จึงได้นำเงินไปชำระให้แก่นายดำจำนวน 20,000 บาท โดยไม่ทราบว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความ ในวันที่นำเงินมาชำระนั้นเอง นายดำได้ให้นายแดงทำหลักฐานเป็นหนังสือให้ตนหนึ่งฉบับ มีใจความว่านายแดงจะนำเงินจำนวน 80,000 บาท มาชำระให้แก่นายดำในวันที่ 30 รันวาคม 2555

ดังนี้ อยากทราบว่า

(ก) นายแดงมาทราบภายหลังว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้ว นายแดงจะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วจำนวน 20,000 บาท คืนจากนายดำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) เมื่อหนี้ถึงกำหนดในวันที่ 30 ธันวาคม 2555 นายแดงไม่นำเงินมาชำระ นายดำจะนำคดีไปฟ้องนายแดงและนายเขียวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 193/9 “สิทธิเรียกร้องใด ๆ ถ้ามิได้ใช้บังคับภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด สิทธิเรียกร้องนั้นเป็นอันขาดอายุความ ”

มาตรา 193/10 “สิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความ ลูกหนี้มีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องนั้นได้”

มาตรา 193/14 “อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้ชำระหนี้ให้บางส่วน ชำระดอกเบี้ย ให้ประกัน หรือกระทำการใด ๆ อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง”

มาตรา 193/28 “การชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้วนั้น ไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่รู้ว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม

บทบัญญัติในวรรคหนึ่ง ให้ใช้บังคับแก่การที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันด้วย แต่จะอ้างความข้อนี้ขึ้นเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้”

มาตรา 193/35 “ภายใต้บังคับมาตรา 193/27 สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นจากการที่ลูกหนี้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ หรือโดยการให้ประกันตามมาตรา 193/28 วรรคสองให้มีกำหนดอายุความสองปีนับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดหรือให้ประกัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงได้ทำสัญญาซื้อเชื่อเครื่องปรับอากาศจากนายดำจำนวน 100,000 บาท และมิได้นำเงินไปชำระให้แก่นายดำเลย และเมื่อนายดำไม่ใช้สิทธิเรียกร้องภายในกำหนด 2 ปี สิทธิเรียกร้องของนายดำที่มีต่อนายแดงลูกหนี้และนายเขียวผู้ค้ำประกันย่อมเป็นอันขาดอายุความ นายดำย่อมไม่สามารถฟ้องร้องบังคับให้นายแดงและนายเขียวชำระหนี้แก่ตนได้ และถ้านายดำฟ้องนายแดงและนายเขียวให้ชำระหนี้นายแดงและนายเขียวย่อมมีสิทธิที่จะปฏิเสธการชำระหนี้นั้นได้ตามมาตรา 193/9 และมาตรา 193/10

และตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงได้นำเงินบางส่วนไปชำระหนี้แก่นายดำ รวมทั้งการที่นายแดงได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือให้แก่นายดำโดยมีใจความว่านายแดงจะนำเงินจำนวนที่เหลืออีก 80,000 บาท มาชำระให้แก่นายดำในวันที่ 30 ธันวาคม 2555 นั้นไม่ถือว่าเป็นกรณีที่นายแดงลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อนายดำเจ้าหนี้แต่อย่างใด เพราะกรณีที่จะถือว่าลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้เป็นเหตุทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามมาตรา 193/14 นั้น ต้องเป็นการกระทำก่อนที่สิทธิเรียกร้องนั้นจะขาดอายุความ ดังนั้นการกระทำของนายแดงจึงเป็นการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องซึ่งขาดอายุความแล้ว และเป็นการรับสภาพความรับผิดตามมาตรา 193/28

ดังนั้นข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ จึงวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายแดงได้นำเงินไปชำระให้แก่นายดำจำนวน 20,000 บาท โดยไม่ทราบว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วนั้น นายแดงจะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนจากนายดำไม่ได้ตามมาตรา 193/28 วรรคหนึ่ง ที่ว่าการชำระหนี้ตามสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความแล้วนั้น ไม่ว่ามากน้อยเพียงใดจะเรียกคืนไม่ได้ แม้ว่าผู้ชำระหนี้จะไม่ทราบว่าสิทธิเรียกร้องขาดอายุความแล้วก็ตาม เนื่องจากสิทธิเรียกร้องที่ขาดอายุความนั้นมิได้ทำให้หนี้นั้นระงับไปแต่อย่างใด

(ข) เมื่อนายแดงได้รับสภาพความรับผิดโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือกับนายดำว่าจะนำเงินจำนวน 80,000 บาท มาชำระให้แก่นายดำ ถือว่าเป็นการรับสภาพความรับผิดโดยสัญญาตามมาตรา 193/28 วรรคสอง และเมื่อการรับสภาพความรับผิดนั้นมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงใช้บังคับได้ ดังนั้นเมื่อนายแดงไม่นำเงินมาชำระภายในกำหนด นายดำย่อมสามารถฟ้องให้นายแดงชำระหนี้ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่ 1770/2517) โดยนายดำจะต้องฟ้องนายแดงภายในอายุความสองปีนับแต่วันที่ได้รับสภาพความรับผิดนั้นตามมาตรา 193/28 วรรคสองประกอบมาตรา 193/35 แต่นายดำจะฟ้องนายเขียวไม่ได้ เพราะนายเขียวเป็นผู้ค้ำประกันเดิมที่ไม่ได้รับสภาพความรับผิดเช่นเดียวกับนายแดง และตามมาตรา 193/28 วรรคสองตอนท้าย ได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ว่า “…แต่จะอ้างความข้อนี้ขึ้นเป็นโทษแก่ผู้ค้ำประกันเดิมไม่ได้” กล่าวคือ ถ้านายดำฟ้องนายเขียวผู้ค้ำประกัน นายเขียวย่อมมีสิทธิยกเอาการที่หนี้ขาดอายุความขึ้นต่อสู้นายดำได้

สรุป

(ก) นายแดงจะเรียกเงินที่ชำระไปแล้วจำนวน 20,000 บาท คืนจากนายดำไม่ได้

(ข) เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายแดงไม่นำเงินมาชำระ นายดำสามารถนำคดีไปฟ้องนายแดงได้ แต่จะฟ้องนายเขียวไม่ได้

 

ข้อ 4. เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2558 นายอาทิตย์ซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ ได้ส่งจดหมายเสนอขายบ้านหลังหนึ่งของตนไปยังนางจันทราซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ในราคา 3 ล้านบาท โดยนายอาทิตย์ได้กำหนดไปในจดหมาย

ด้วยว่าถ้านางจันทราต้องการซื้อบ้านหลังนี้ให้ตอบไปยังนายอาทิตย์ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2558

นางจันทราส่งจดหมายตอบตกลงซื้อบ้านหลังนั้นตามราคาที่นายอาทิตย์เสนอ แต่จดหมายของนางจันทราไปถึงนายอาทิตย์ในวันที่ 5 เมษายน 2558 อย่างไรก็ตามเมื่อดูตราไปรษณีย์ซึ่งประทับบนซองจดหมายของนางจันทราแล้วเป็นที่เห็นได้ชัดแจ้งว่า นางจันทราได้ส่งจดหมายตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2558 ซึ่งตามปกติจดหมายฉบับนั้นควรไปถึงนายอาทิตย์ก่อนหรือภายในวันที่ 31 มีนาคม 2558 ตามที่นายอาทิตย์กำหนด

เช่นนี้ จดหมายตอบตกลงซื้อบ้านที่นางจันทราส่งไปยังนายอาทิตย์เป็นคำสนองล่วงเวลาหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 358 “ถ้าคำบอกกล่าวสนองมาถึงล่วงเวลา แต่เป็นที่เห็นประจักษ์ว่าคำบอกกล่าวนั้นได้ส่งโดยทางการซึ่งตามปกติควรจะมาถึงภายในเวลากำหนดไซร้ ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งโดยพลันว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า เว้นแต่จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นก่อนแล้ว

ถ้าผู้เสนอละเลยไม่บอกกล่าวดังว่ามาในวรรคต้นท่านให้ถือว่าคำบอกกล่าวสนองนั้นมิได้ล่วงเวลา”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางจันทราได้ส่งจดหมายตอบตกลงซื้อบ้านหลังนั้นตามราคาที่นายอาทิตย์เสนอ แต่จดหมายของนางจันทราไปถึงนายอาทิตย์ในวันที่ 5 เมษายน 2558 ซึ่งล่าช้ากว่าเวลาที่นายอาทิตย์ได้กำหนดไว้ แต่เป็นที่เห็นได้ชัดเจนจากตราไปรษณีย์ซึ่งประทับบนซองจดหมายว่านางจันทราส่งจดหมายฉบับนั้นตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2558 ซึ่งตามปกติจดหมายฉบับนั้นควรจะไปถึงนายอาทิตย์ก่อนหรือภายในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2558 อันเป็นเวลาที่นายอาทิตย์กำหนดไว้ในกรณีเช่นนี้ คำสนองของนางจันทราจะเป็นคำสนองล่วงเวลาหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับว่านายอาทิตย์ซึ่งเป็นผู้เสนอได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ ซึ่งในเรื่องนี้กฎหมายกำหนดหน้าที่ของผู้เสนอไว้ว่าผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่ผู้สนองโดยพลันว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า เว้นแต่ จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นไว้ก่อนแล้ว ดังนั้น

(1)  ถ้านายอาทิตย์ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าว กฎหมายจึงจะถือว่าจดหมายคำสนองของนางจันทราเป็นคำสนองล่วงเวลา

(2)  แต่ถ้านายอาทิตย์ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าว กฎหมายให้ถือว่าจดหมายคำสนองของนางจันทราเป็นคำสนองที่มิได้ล่วงเวลา ซึ่งมีผลให้สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างนายอาทิตย์กับนางจันทราเกิดขึ้น

สรุป

จดหมายตอบตกลงซื้อบ้านของนางจันทราที่ส่งไปยังนายอาทิตย์เป็นคำสนองล่วงเวลาหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่า นายอาทิตย์ซึ่งเป็นผู้เสนอได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่ตามมาตรา 358

WordPress Ads
error: Content is protected !!