LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีบทบัญญัติว่าด้วยการตีความกฎหมายและการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้ว่าอย่างไรบ้าง อธิบาย

ธงคำตอบ

“การตีความกฎหมาย” หมายถึง การค้นหาความหมายที่แท้จริงของกฎหมาย หรือการหยั่งทราบว่าถ้อยคำของกฎหมายมีความหมายว่าอย่างไร

เหตุที่ต้องมีการตีความกฎหมายก็เพราะว่า ถ้อยคำของตัวบทกฎหมายที่บัญญัติไว้นั้น มีความหมายไม่ชัดเจนแน่นอน คือมีถ้อยคำคลุมเครือ กำกวม หรือมีความหมายได้หลายทาง จึงมีความจำเป็นต้องมีการตีความเพื่อหยั่งทราบว่าถ้อยคำของตัวบทกฎหมายมีความหมายว่าอย่างไร

“หลักในการตีความกฎหมายแพ่ง” มีหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับการใช้กฎหมายแพ่ง ซึ่งเป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 วรรคหนึ่ง ที่ได้บัญญัติว่า “กฎหมายนั้นต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใด ๆ แห่งกฎหมายตามตัวอักษรหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้น ๆ” กล่าวคือ จะต้องค้นหาความหมายของบทบัญญัติของกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมายไปพร้อม ๆ กัน จึงจะได้ความหมายที่ถูกต้องแท้จริงของกฎหมายนั้น โดยแยกได้ดังนี้ คือ

  1. การตีความตามตัวอักษร ซึ่งจะต้องตีความทั้งศัพท์ธรรมดาที่มีความหมายเป็นธรรมดาทั่วไป เช่น คำว่า บุตร บิดามารดา ฯลฯ และศัพท์เฉพาะที่มีความหมายทางเทคนิคหรือทางวิชาการ เช่น คำที่อยู่ในตำรากฎหมายหรือบทความทางกฎหมาย ฯลฯ เพื่อจะได้ทราบความหมายของตัวอักษรเสียก่อน และ
  2. การตีความตามเจตนารมณ์ เพื่อค้นหาความหมายอันแท้จริงของกฎหมายว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเจตนารมณ์ของกฎหมายอาจดูได้จากที่มา ตำแหน่งหรือหมวดหมู่ของกฎหมาย จากถ้อยคำของบทบัญญัตินั้น ๆ หรือดูจากสถานการณ์ในขณะบัญญัติกฎหมาย รวมถึงจากรายงานการประชุมของฝ่ายนิติบัญญัติในการออกกฎหมายนั้น ๆ ด้วย

ส่วน “การตีความกฎหมายอาญา” นั้น เนื่องจากกฎหมายอาญาเป็นกฎหมายที่กำหนดความผิดและโทษ ดังนั้นจึงต้องตีความโดยเคร่งครัด กล่าวคือ จะต้องตีความเฉพาะการกระทำหรือการงดเว้นการกระทำเท่าที่ระบุไว้ในกฎหมายเท่านั้นจึงจะเป็นความผิด หากการกระทำไม่เป็นไปตามตัวบทกฎหมายที่บัญญัติไว้ศาลก็จะต้องยกฟ้อง ตามหลักที่ว่า “ไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ”

ช่องว่างแห่งกฎหมาย คือ กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณอักษรที่จะนำมาปรับใช้กับข้อเท็จจริงได้กล่าวคือ ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อนำมาปรับใช้แก่กรณีไม่พบนั่นเอง

โดยปกติช่องว่างแห่งกฎหมายเกิดจากการที่ผู้ร่างกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างในกฎหมาย อาจจะเป็นเพราะผู้ร่างกฎหมายไม่สามารถที่จะนึกถึงช่องว่างของกฎหมายนั้นได้ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์อันทำให้ช่องว่างนั้นเกิดขึ้น

ซึ่งหลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4วรรคสอง ได้บัญญัติไว้ว่า

“เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป ”

กล่าวคือ เมื่อมีคดีหรือข้อพิพาทเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ ให้ศาลวินิจฉัยตามลำดับ ดังนี้

  1. ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น หมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี ซึ่งจารีตประเพณีก็คือ ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ยอมรับนับถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานานจนบุคคลทั่วไปรู้สึกว่าเป็นข้อบังคับที่จะนำมาใช้ได้ และมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายลายลักษณ์อักษรนั่นเอง เช่น จารีตประเพณีการค้าฃองธนาคารพาณิชย์ จารีตประเพณีเกี่ยวกับการขนส่ง เป็นต้น
  2. ในกรณีที่ไม่มีจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น ให้วินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง หมายความว่า เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้ ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน เช่น การขุดหลุมรับน้ำโสโครก หลุมรับปุ๋ย หรือหลุมรับขยะมูลฝอย มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะขุดในระยะสองเมตรจากแนวเขตที่ดินไม่ได้ (มาตรา 1342) แต่หลุมที่รับกากสารเคมีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าขุดได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเรื่องการขุดหลุมรับกากสารเคมี มีเหตุผลที่ควรจะห้ามมิให้ขุดในระยะที่ใกล้เคียงกับแนวเขตที่ดิน เพราะอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลที่อยู่ในที่ดินข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงนำเอามาตรา 1342 มาใช้เทียบเคียงกับการขุดหลุมรับกากสารเคมีได้ เป็นต้น
  3. ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ให้วินิจฉัยคดีตามหลักกฎหมายทั่วไป กรณีนี้เป็นวิธี การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งประการสุดท้ายหมายความว่า ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรไม่มีจารีตประเพณี และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน หรือสุภาษิตของกฎหมาย หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้ เช่น สัญญาต้องเป็นสัญญา ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งขึ้น ศาลจะต้องใช้หลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายตามขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น เพื่อวินิจฉัยคดีที่เกิดขึ้น จะยกฟ้องโดยอาศัยเหตุว่าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาวินิจฉัยไม่ได้

 

ข้อ 2. นายแดนและนายโดม เป็นเพื่อนร่วมรุ่นสมัยโรงเรียนมัธยม นัดกันไปเที่ยวชายทะเลที่จังหวัดตราด ขณะโดยสารเรือจะข้ามไปเกาะช้างเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2559 เกิดพายุทำให้เรือล่มมีนักท่องเที่ยวตายและสูญหายไปเป็นจำนวนมาก รวมทั้งนายแดนและนายโดมด้วย ต่อมาในวันที่ 31 กรกฎาคม2559 เวลา 20.00 น. นายโดมได้โทรศัพท์มาบอกนางดาราภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแดนว่าได้พบศพนายแดนแล้ว และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้ข่าวหรือพบเห็นนายโดมอีกเลย อยากทราบว่า นางดาราภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแดนและนางดวงดาวภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโดม จะไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายแดนและนายโดมเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และเมื่อใดจึงไปใช้สิทธิทางศาลได้

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 15 วรรคหนึ่ง “สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตาย”

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1)     นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)     นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป

(3)     นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 61 กรณีที่บุคคลจะไปใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญนั้น ต้องปรากฏว่าบุคคลนั้นได้หายไปโดยไม่มีผู้ใดทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และได้หายไปจนครบกำหนด 5 ปีหรือ 2 ปี แล้วแต่กรณี และผู้ที่มีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้นั้นต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ นางดาราภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแดนและนางดวงดาวภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโดม จะไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายแดนและนายโดมเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของนายโดม

การที่นายแดนและนายโดม ได้นัดกันไปเที่ยวชายทะเลที่จังหวัดตราด ขณะโดยสารเรือจะข้ามไปเกาะช้างเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2559 ได้เกิดพายุทำให้เรือล่ม มีนักท่องเที่ยวตายและสูญหายไปจำนวนมาก

รวมทั้งนายแดนและนายโดมด้วย เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าในวันที่ 31 กรกฎาคม 2559 นั้นเอง นายโดมได้โทรศัพท์มาบอกนางดาราภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแดนว่าได้พบศพนายแดนแล้ว และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้ข่าวหรือพบเห็นนายโดมอีกเลย กรณีเช่นนี้ไม่ถือว่านายโดมได้สูญหายไปเนื่องจากเรืออับปาง ซึ่งเป็นการสูญหายในกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง (2) แต่อย่างใด แต่เป็นกรณีที่นายโดมได้หายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ จึงถือว่าเป็นกรณีของการสูญหายธรรมดาตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง

และเมื่อนางดวงดาวเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโดม จึงถือว่านางดวงดาวเป็นผู้มีส่วนได้เสียและมีสิทธิที่จะไปร้องขอให้ศาลสั่งให้นายโดมเป็นคนสาบสูญได้ และสามารถไปร้องขอต่อศาลได้เมื่อครบกำหนด 5 ปีนับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2559 กล่าวคือจะครบกำหนด 5 ปี ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2564

ดังนั้นนางดวงดาวจะไปใช้สิทธิทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป

กรณีของนายแดน

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการพบศพนายแดนแล้ว ย่อมถือว่านายแดนได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดสภาพบุคคลโดยการตายธรรมดาตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ดังนั้น แม้นางดาราจะเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายแดน แต่นางดาราก็ไม่สามารถที่จะไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นายแดนเป็นคนสาบสูญได้เพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 61

สรุป

นางดวงดาวสามารถไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นายโดมเป็นคนสาบสูญได้โดยสามารถไปใช้สิทธิทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป แต่นางดาราไม่สามารถจะไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นายแดนเป็นคนสาบสูญได้ เพราะนายแดนได้เสียชีวิตแล้ว

 

ข้อ 3. จงอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบคำอธิบายว่านิติกรรมที่ทำขึ้นมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

(1)     นายหนึ่งอายุย่างเข้าสิบห้าปีทำพินัยกรรมกำหนดไว้ว่าเมื่อตนถึงแก่ความตาย ขอยกเงินส่วนตัวที่ฝากไว้ในธนาคารฯ ให้แก่มูลนิธิแมวจรจัดจำนวน 1 ล้านบาท พินัยกรรมที่ทำขึ้นมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

(2)     นายสองคนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมควายไปไถนา 4 ตัว โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์

(3)     นายสามคนไร้ความสามารถได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลให้ไปซื้อรถยนต์จากนายดำในราคา 1 ล้านบาท

(4)     นายห้าคนวิกลจริตไปซื้อจักรยานเสือภูเขาจากนายแดงในขณะกำลังวิกลจริต แต่นายแดงไม่ทราบว่านายห้าวิกลจริต

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 25 “ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคูกรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

การใดกระทำลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1703 “พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

(1)     ตามมาตรา 25 นั้น กฎหมายได้บัญญัติให้ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ หากผู้เยาว์ทำพินัยกรรมโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว พินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ เสมือนว่ามิได้มีการทำพินัยกรรมนั้นเลยตามมาตรา 1703

ตามปัญหา การที่นายหนึ่งมีอายุย่างเข้า 15 ปียังไม่ครบ 15 ปีบริบูรณ์ได้ทำพินัยกรรมขึ้นโดยกำหนดว่า เมื่อตนถึงแก่ความตายขอยกเงินส่วนตัวที่ฝากไว้ในธนาคารฯ ให้แก่มูลนิธิแมวจรจัดจำนวน 1 ล้านบาทนั้น ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 25 ดังนั้นพินัยกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1703

(2)     โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้โดยลำพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายสองคนเสมือนไร้ความสามารถ ได้ให้เพื่อนยืมควายไปไถนา 4 ตัวโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์นั้น เมื่อการให้ยืมควายดังกล่าว ถือเป็นกรณีที่คนเสมือนไร้ความสามารถให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า (สังหาริมทรัพย์ที่เมื่อมีการจำหน่ายจ่ายโอนกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่) และเป็นนิติกรรมที่จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อนตามมาตรา 34 (3)

ดังนั้นเมื่อนายสองให้เพื่อนยืมควาย 4 ตัว โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ นิติกรรมการให้เพื่อนยืมควาย 4 ตัวดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆียะ

(3)     ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ (นิติกรรมที่เกี่ยวกับคนไร้ความสามารถต้องให้ผู้อนุบาลทำแทน)

ตามปัญหา การที่นายสามคนไร้ความสามารถได้ทำนิติกรรมโดยไปซื้อรถยนต์จากนายดำในราคา 1 ล้านนาทนั้น แม้การทำนิติกรรมดังกล่าวของนายสามจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลก็ตาม นิติกรรมดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

(4)     โดยหลักของมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทำนิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายห้าคนวิกลจริตได้ไปซื้อจักรยานเสือภูเขาจากนายแดงในขณะที่กำลังวิกลจริตอยู่ เมื่อนายแดงไม่ทราบว่านายห้าเป็นคนวิกลจริต ดังนั้น นิติกรรมการซื้อจักรยานเสือภูเขาจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

สรุป

1) การทำพินัยกรรมของนายหนึ่งตกเป็นโมฆะ

2) การที่นายสองให้เพื่อนยืมควาย 4 ตัว เป็นโมฆียะ

3) การที่นายสามไปซื้อรถยนต์จากนายดำเป็นโมฆียะ

4) การซื้อจักรยานเสือภูเขาระหว่างนายห้าและนายแดงมีผลสมบูรณ์

LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ช่องว่างของกฎหมายคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีการบัญญัติถึงวิธีการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้อย่างไรบ้าง อธิบาย

ธงคำตอบ

ช่องว่างแห่งกฎหมาย คือ กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณอักษรที่จะนำมาปรับใช้กับข้อเท็จจริงได้กล่าวคือ ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อนำมาปรับใช้แก่กรณีไม่พบนั่นเอง

โดยปกติช่องว่างแห่งกฎหมายเกิดจากการที่ผู้ร่างกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างในกฎหมาย อาจจะเป็นเพราะผู้ร่างกฎหมายไม่สามารถที่จะนึกถึงช่องว่างของกฎหมายนั้นได้ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์อันทำให้ช่องว่างนั้นเกิดขึ้น

ซึ่งหลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4วรรคสอง ได้บัญญัติไว้ว่า

“เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป ”

กล่าวคือ เมื่อมีคดีหรือข้อพิพาทเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ ให้ศาลวินิจฉัยตามลำดับ ดังนี้

  1. ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น หมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี ซึ่งจารีตประเพณีก็คือ ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ยอมรับนับถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานานจนบุคคลทั่วไปรู้สึกว่าเป็นข้อบังคับที่จะนำมาใช้ได้ และมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายลายลักษณ์อักษรนั่นเอง เช่น จารีตประเพณีการค้าฃองธนาคารพาณิชย์ จารีตประเพณีเกี่ยวกับการขนส่ง เป็นต้น
  2. ในกรณีที่ไม่มีจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น ให้วินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง หมายความว่า เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้ ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน เช่น การขุดหลุมรับน้ำโสโครก หลุมรับปุ๋ย หรือหลุมรับขยะมูลฝอย มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะขุดในระยะสองเมตรจากแนวเขตที่ดินไม่ได้ (มาตรา 1342) แต่หลุมที่รับกากสารเคมีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าขุดได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเรื่องการขุดหลุมรับกากสารเคมี มีเหตุผลที่ควรจะห้ามมิให้ขุดในระยะที่ใกล้เคียงกับแนวเขตที่ดิน เพราะอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลที่อยู่ในที่ดินข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงนำเอามาตรา 1342 มาใช้เทียบเคียงกับการขุดหลุมรับกากสารเคมีได้ เป็นต้น
  3. ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ให้วินิจฉัยคดีตามหลักกฎหมายทั่วไป กรณีนี้เป็นวิธี การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งประการสุดท้ายหมายความว่า ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรไม่มีจารีตประเพณี และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน หรือสุภาษิตของกฎหมาย หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้ เช่น สัญญาต้องเป็นสัญญา ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งขึ้น ศาลจะต้องใช้หลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายตามขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น เพื่อวินิจฉัยคดีที่เกิดขึ้น จะยกฟ้องโดยอาศัยเหตุว่าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาวินิจฉัยไม่ได้

 

ข้อ 2. นายแสดและนางสดเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้เดินทางไปเยี่ยมญาติที่จังหวัดตรังเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 ขณะที่แวะเที่ยวน้ำตกแห่งหนึ่งได้ถูกน้ำป่าไหลหลากพัดพาหายไปทั้งคู่ ต่อมาในวันที่ 31 ตุลาคม 2554 นายแสดได้โทรศัพท์มาบอกนายสุดผู้เป็นบุตรชายว่าพบศพแม่แล้ว และต่อมานายสุดก็ไม่ได้ข่าวจากนายแสดอีกเลย อยากทราบว่านายสุดจะไปร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายแสดและนางสดเป็นผู้สาบสูญได้หรือไม่ และหากได้ จะไปใช้สิทธิได้เมื่อใด เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 15 วรรคหนึ่ง “สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตาย”

มาดรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1)     นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)     นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป

(3)     นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไร้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 61 กรณีที่บุคคลจะไปใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องต่อศาลเพี่อให้ศาลสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญนั้น ต้องปรากฏว่าบุคคลนั้นได้หายไปโดยไม่มีผู้ใดทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และได้หายไปจนครบกำหนด 5 ปีหรือ 2 ปี แล้วแต่กรณี และผู้ที่มีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้นั้นต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ นายสุดจะไปร้องขอต่อศาลให้ศาลสั่งให้นายแสดและนางสดเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีนายแสด

การที่นายแสดและนางสดซึ่งเป็นสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้เดินทางไปเยี่ยมญาติที่จังหวัดตรัง เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 และขณะที่แวะเที่ยวน้ำตกแห่งหนึ่งได้ถูกน้ำป่าไหลหลากพัดพาหายไปทั้งคู่นั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าในวันที่ 31 ตุลาคม 2554 นายแสดได้โทรศัพท์มาบอกนายสุดผู้เป็นบุตรชายว่าพบศพแม่แล้ว และต่อมานายสุดก็ไม่ได้ข่าวจากนายแสดอีกเลยนั้น กรณีเช่นนี้ไม่ถือว่านายแสดได้สูญหายไปเนื่องจากน้ำป่าไหลหลากซึ่งเป็นเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิต ซึ่งเป็นการสูญหายในกรณีพิเศษตามมาตรา 61วรรคสอง (3) แต่อย่างใด แต่เป็นกรณีที่นายแสดได้หายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ จึงถือว่าเป็นกรณีของการสาบสูญธรรมดาตามมาตรา 61 วรรคหนึ่ง

และเมื่อนายสุดเป็นบุตรชายของนายแสด จึงถือว่านายสุดเป็นผู้มีส่วนได้เสีย และมีสิทธิที่จะไปร้องขอให้ศาลสั่งให้นายแสดเป็นคนสาบสูญได้ และสามารถร้องขอต่อศาลได้เมื่อครบกำหนด 5 ปีนับแต่วันที่นายสุดได้รับโทรศัพท์จากนายแสด กล่าวคือจะครบกำหนด 5 ปี ในวันที่ 31 ตุลาคม 2559 ดังนั้นนายสุดจะไปใช้สิทธิร้องขอต่อศาลได้ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 เป็นต้นไป

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า มีการพบศพนางสดแล้วย่อมถือว่านางสดได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดสภาพบุคคลโดยการตายธรรมดาตามมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ดังนั้น แม้นายสุดจะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางสด นายสุดก็ไม่สามารถจะไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นางสดเป็นคนสาบสูญได้ เพราะไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 61

สรุป

นายสุดสามารถไปร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายแสดเป็นคนสาบสูญได้โดยสามารถเริ่มไปใช้สิทธิทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 เป็นต้นไป แต่นายสุดไม่สามารถจะไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นางสดเป็นคนสาบสูญได้

 

ข้อ 3. บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ทำนิติกรรมจะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

(1)     หนึ่งทำพินัยกรรมกำหนดไว้ว่า เมื่อตนถึงแก่ความตายให้ยกเงินสดส่วนตัวของตนที่ฝากไว้ในธนาคารให้แก่มูลนิธิคนปัญญาอ่อน 1 ล้านบาท ในขณะที่หนึ่งมีอายุย่างเข้า 15 ปี

(2)     สองคนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมลูกควาย 10 ตัว ไปแสดงโชว์ให้นักเรียนดู โดยผู้พิทักษ์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยแต่อย่างใด

(3)     สามคนไร้ความสามารถ ได้รับอนุญาตจากนางแดงผู้อนุบาลให้ไปซื้อรถยนต์จากนายดำในราคา 1 ล้านบาท

(4)     นายห้าคนวิกลจริต ไปซื้อรถจักรยานเสือภูเขาจากนายหกในขณะกำลังวิกลจริต แต่นายหกไม่ทราบว่าวิกลจริต

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 25 “ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

การใดกระทำลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ ”

มาตรา 1703 “พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

(1)     ตามมาตรา 25 นั้น กฎหมายได้บัญญัติให้ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมไต้เมื่อมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ หากผู้เยาว์ทำพินัยกรรมโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว พินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ เสมือนว่ามิได้มีการทำพินัยกรรมนั้นเลยตามมาตรา 1703

ตามปัญหา การที่นายหนึ่งมีอายุย่างเข้า 15 ปียังไม่ครบ 15 ปีบริบูรณ์ได้ทำพินัยกรรมขึ้น โดยกำหนดว่า เมื่อตนถึงแก่ความตายให้ยกเงินสดของตนในธนาคารให้แก่มูลนิธิคนปัญญาอ่อนจำนวน 1 ล้านบาทนั้น

ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 25 ดังนั้นพินัยกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1703

(2)     โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้โดยลำพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์

อันมีค่า คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่สองคนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมลูกควาย 10 ตัว ไปแสดงโชว์ให้นักเรียนดูนั้น เป็นเพียงการให้ยืมสังหาริมทรัพย์ธรรมดาเท่านั้น (เพราะลูกควายไม่ใช่สัตว์พาหนะ) จึงไม่ใช่กรณีที่คนเสมือไร้ความสามารถให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า (สังหาริมทรัพย์ที่เมื่อมีการจำหน่ายจ่ายโอนจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่) ซึ่งเป็นนิติกรรมที่จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อนตามมาตรา 34 (3) ดังนั้นแม้สองจะให้เพื่อนยืมลูกควาย 10 ตัว โดยลำพัง กล่าวคือโดยผู้พิทักษ์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยแต่อย่างใด สัญญาการให้เพื่อนยืมลูกควาย 10 ตัว ดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะ

(3)     ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่สามคนไร้ความสามารถได้ทำนิติกรรมโดยไปซื้อรถยนต์จากนายดำในราคา 1 ล้านบาทนั้น แม้การทำนิติกรรมดังกล่าวของสามจะได้รับอนุญาต คือได้รับความยินยอมจากนางแดงผู้อนุบาลก็ตาม นิติกรรมดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

(4)     โดยหลักของมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทำนิติกรรมบั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายห้าคนวิกลจริตได้ไปซื้อจักรยานเสือภูเขาจากนายหกในขณะที่กำลังวิกลจริตอยู่ เมื่อนายหกไม่ทราบว่านายห้าเป็นคนวิกลจริต ดังนั้น นิติกรรมการซื้อจักรยานเสือภูเขาจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

สรุป

1) การทำพินัยกรรมของหนึ่งตกเป็นโมฆะ

2) การที่สองให้เพื่อนยืมลูกควาย 10 ตัว มีผลสมบูรณ์

3) การที่สามไปซื้อรถยนต์จากนายดำเป็นโมฆียะ

4) การซื้อจักรยานเสือภูเขาระหว่างนายห้าและนายหกมีผลสมบูรณ์

LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. กฎหมายต้องมีคุณลักษณะเช่นไร และกฎหมายตามเนื้อความ และกฎหมายตามแบบพิธีหมายความว่า อย่างไร อธิบาย

ธงคำตอบ

กฎหมาย คือ ส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ที่มีต่อกันภายในองค์กรทางสังคมที่มนุษย์เป็นสมาชิกสังกัดอยู่ นอกจากนี้กฎหมายยังหมายรวมถึงกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับองค์กรทางสังคมที่มนุษย์อาศัยอยู่และในหมู่ประเทศที่มีอารยะด้วย ซึ่งกฎหมายถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ของประเทศเหล่านั้น สำหรับกฎหมายในส่วนนี้ได้แก่ กฎหมายระหว่างประเทศนั่นเอง

สำหรับสิ่งที่เป็นกฎหมายต้องมีลักษณะ ดังนี้

  1. กฎหมายต้องมาจากรัฏฐาธิปัตย์ คือ มาจากบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐหรือของประเทศในการตรากฎหมาย
  2. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไป คือ กฎหมายเมื่อประกาศใช้แล้วย่อมมีผลใช้บังคับกับบุคคลทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือในประเทศนั้น ๆ อย่างเสมอภาค ไม่จำกัดเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

แต่อาจจะมีข้อยกเว้นบ้างในบางกรณี เช่น ในกรณีของทูต หรือกงสุลที่เข้ามาในประเทศไทย เป็นต้น

  1. กฎหมายต้องใช้ได้ตลอดไปจนกว่าจะถูกยกเลิก คือ เมื่อได้มีการประกาศใช้กฎหมายใดแล้ว ตราบใดที่ยังไม่มีการยกเลิก กฎหมายย่อมมีผลใช้บังคับอยู่เสมอ ซึ่งการยกเลิกกฎหมายอาจเป็นการยกเลิกโดยบทบัญญัติของกฎหมายนั้นเอง หรือมีกฎหมายใหม่ยกเลิกกฎหมายเก่า หรือมีการยกเลิกโดยปริยายเมื่อกฎหมายเก่าขัดกับกฎหมายใหม่
  2. กฎหมายนั้นประชาชนจำต้องปฏิบัติตาม ซึ่งกฎหมายดังกล่าวอาจจะเป็นเรื่องให้กระทำการหรือเป็นเรื่องให้ละเว้นกระทำการก็ได้ ซึ่งถ้ามีผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกลงโทษ
  3. กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ ซึ่งสภาพบังคับตามกฎหมายนั้นมีได้ทั้งในทางอาญาและในทางแพ่ง

–           สภาพบังคับในทางอาญา คือ “โทษ” นั่นเอง ซึ่งตามกฎหมายกำหนดไว้มี 5 ชนิด โดยเรียงจากโทษหนักที่สุดไปยังโทษเบาที่สุด ได้แก่

  1. ประหารชีวิต
  2. จำคุก
  3. กักขัง
  4. ปรับ
  5. ริบทรัพย์สิน

–           สภาพบังคับในทางแพ่ง หรือความรับผิดในทางแพ่งนั้น คือ การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่กัน ได้แก่ การคืนทรัพย์ การชดใช้ราคาแทนทรัพย์ และรวมถึงการชดใช้ค่าเสียหายด้วย

ซึ่งกฎหมายที่มีลักษณะครบองค์ประกอบทั้ง 5 ประการ ดังกล่าวข้างต้นนั้น จัดเป็นกฎหมายประเภทที่เรียกกันว่า “กฎหมายตามเนื้อความ”

ส่วนกฎหมายอีกประเภทหนึ่ง แม้จะผ่านกระบวนการบัญญัติกฎหมายตามปกติ แต่ก็มีลักษณะไม่ครบองค์ประกอบที่เป็นกฎหมายตามเนื้อความ เช่น ไม่มีบทบัญญัติกำหนดความประพฤติของมนุษย์ซึ่งหากฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ กฎหมายจำพวกนี้มักจะเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เช่น การตราพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายของแผ่นดิน หรือเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดินของฝ่ายบริหาร ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนี้ เรียกว่า “กฎหมายตามแบบพิธี”

 

ข้อ 2. การทำนิติกรรมของบุคคลดังต่อไปนี้ มีผลอย่างไรในทางกฎหมาย อธิบาย

(1) ผู้เยาว์อายุ 15 ปีบริบูรณ์ ทำพินัยกรรมขึ้นมา 1 ฉบับ

(2) คนไร้ความสามารถ ทำพินัยกรรมขึ้นมา 1 ฉบับ

(3) คนเสมือนไร้ความสามารถ ทำพินัยกรรมขึ้นมา 1 ฉบับ

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติหลักเกี่ยวกับการทำพินัยกรรมของผู้หย่อนความสามารถไว้ดังนี้

มาตรา 25 “ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

มาตรา 1703 “พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 1704 “พินัยกรรมซึ่งบุคคลผู้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ

พินัยกรรมซึ่งบุคคลผู้ถูกอ้างว่าเป็นคนวิกลจริต แต่ศาลยังไม่ได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำขึ้นนั้น จะเป็นอันเสียเปล่าก็แต่เมื่อพิสูจน์ได้ว่าในเวลาที่ทำพินัยกรรมนั้น ผู้ทำจริตวิกลอยู่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ และคนเสมือนไร้ความสามารถทำพินัยกรรม พินัยกรรมจะมีผลในทางกฎหมายอย่างไรนั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้

(1) ผู้เยาว์อายุ 15 ปีบริบูรณ์ ทำพินัยกรรม พินัยกรรมย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายตามมาตรา 25 ประกอบมาตรา 1703

(2) คนไร้ความสามารถทำพินัยกรรม พินัยกรรมย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1704 วรรคหนึ่ง

(3) คนเสมือนไร้ความสามารถทำพินัยกรรม พินัยกรรมย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

ทั้งนี้เพราะกรณีที่คนเสมือนไร้ความสามารถทำพินัยกรรมนั้น ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้มีผลเป็นโมฆะ หรือโมฆียะแต่อย่างใด อีกทั้งการทำพินัยกรรมของคนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ก็มิใช่การกระทำที่เป็นการขัดต่อบทบัญญัติ มาตรา 34 แต่อย่างใด

สรุป

(1) ผู้เยาว์อายุ 15 ปีบริบูรณ์ทำพินัยกรรม มีผลสมบูรณ์

(2) คนไร้ความสามารถทำพินัยกรรม มีผลเป็นโมฆะ

(3) คนเสมือนไร้ความสามารถทำพินัยกรรม มีผลสมบูรณ์

 

ข้อ 3. บุคคลย่อมถึงแก่ความตาย หรือให้ถือว่าถึงแก่ความตายในกรณีใดบ้าง อธิบายโดยละเอียดพร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

ตามกฎหมาย บุคคลย่อมถึงแก่ความตายหรือให้ถือว่าถึงแก่ความตายมีได้ 2 กรณี ได้แก่ การตายตามธรรมดา และการถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ซึ่งถือว่าเป็นการตายโดยผลแห่งกฎหมาย

  1. การตายตามธรรมดา หมายถึง การที่บุคคลหมดลมหายใจ และหัวใจหยุดเต้นนั่นเอง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุใดก็ตาม เช่น การที่บุคคลเจ็บป่วยถึงแก่ความตาย หรือประสบอุบัติเหตุจนถึงแก่ความตาย เป็นต้น เพียงแต่ปัจจุบันในทางการแพทย์นั้น ถือว่าเมื่อแกนสมองตาย ก็ถือได้ว่าบุคคลนั้นถึงแก่ความตายและให้สภาพบุคคลสิ้นสุดลง
  2. การตายโดยการถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญตามมาตรา 61 ซึ่งแยกออกเป็น 2 กรณี คือหลักเกณฑ์ ดังนี้คือ

1) การเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดาตามมาตรา 61 วรรคแรก ซึ่งจะต้องประกอบด้วย

(1)       บุคคลนั้นได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่นอนว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เป็นเวลา 5 ปี โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่มีผู้ได้พบเห็น หรือนับแต่วันที่บุคคลนั้นได้จากภูมิลำเนาไปหรือนับแต่วันที่ได้ทราบข่าวคราวของบุคคลนั้นในครั้งหลังสุดเป็นต้นไป

(2)       ผู้มิส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการได้ร้องขอต่อศาลให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ “ผู้มีส่วนได้เสีย” หมายถึง บุคคลที่จะมีหรือเกิดสิทธิขึ้น เนื่องจากคำสั่งศาล เช่น สามีภริยา บิดามารดา ลูก หลาน ฯลฯ ของบุคคลที่ไปจากภูมิลำเนานั่นเอง

(3)       ศาลได้มีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ และเมื่อศาลได้สั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญ ให้ถือว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตาย และทำให้สภาพบุคคลของบุคคลนั้นสิ้นสุดลง

ตัวอย่าง นาย ก. ได้เดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครทราบข่าวคราวของนาย ก. อีกเลย ดังนี้ถ้าครบ 5 ปีนับแต่วันที่นาย ก. ได้หายไป พนักงานอัยการหรือผู้มีส่วนได้เสีย อาจร้องขอต่อศาลให้นาย ก. เป็นคนสาบสูญได้ และหากศาลมีคำสั่งให้นาย ก. เป็นคนสาบสูญแล้ว ย่อมถือว่า นาย ก. ได้ถึงแก่ความตาย และทำให้สภาพบุคคลของนาย ก. สิ้นสุดลง

2) การเป็นคนสาบสูญกรณีพิเศษ ซึ่งหลักเกณฑ์การเป็นคนสาบสูญในกรณีพิเศษนั้น ก็ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ 3 ประการ เช่นเดียวกับการเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดา เพียงแต่ตามมาตรา 61 วรรคสอง ให้นับระยะเวลาลดลงมาเหลือเพียง 2 ปีเท่านั้น โดยให้นับตั้งแต่

(1)       วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงครามและหายไปในการรบ หรือสงครามดังกล่าว เช่น นายแดงรับราชการทหารถูกส่งไปรบที่ชายแดน และสูญหายไปในการรบติดต่อกันเป็นเวลา 2 ปี หรือ

(2)       วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทางไป อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป

เช่น นายแดงเดินทางท่องเที่ยวทางเรือ และเรือถูกพายุพัดจนอับปาง ทำให้นายแดงสูญหายไป เป็นต้น หรือ

(3)       วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในข้อ(1)และข้อ (2)ได้ ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น ตัวอย่าง นาย ก. ได้เดินทางไปเที่ยวที่เกาะสิมิลัน ระหว่างการเดินทางเรือได้เจอพายุและอับปางลง ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตาย และสูญหายไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมทั้งนาย ก. ด้วยที่ได้สูญหายไปโดยไม่มีใครได้รับข่าวคราวหรือพบเห็นตัวนาย ก. เลย ดังนี้ถ้า นาง ข. ภริยาของนาย ก. จะร้องขอให้ศาลสั่งให้นาย ก.เป็นคนสาบสูญ นาง ข. สามารถร้องขอได้เมื่อครบกำหนด 2 ปีนับแต่วันที่เรืออับปาง โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนด 5 ปีแต่อย่างใด

LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ช่องว่างของกฎหมายคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีการบัญญัติถึงวิธีการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้ว่าอย่างไรบ้าง อธิบาย

ธงคำตอบ

ช่องว่างแห่งกฎหมาย คือ กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณอักษรที่จะนำมาปรับใช้กับข้อเท็จจริงได้กล่าวคือ ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อนำมาปรับใช้แก่กรณีไม่พบนั่นเอง

โดยปกติช่องว่างแห่งกฎหมายเกิดจากการที่ผู้ร่างกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างในกฎหมาย อาจจะเป็นเพราะผู้ร่างกฎหมายไม่สามารถที่จะนึกถึงช่องว่างของกฎหมายนั้นได้ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์อันทำให้ช่องว่างนั้นเกิดขึ้น

ซึ่งหลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4วรรคสอง ได้บัญญัติไว้ว่า

“เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป ”

กล่าวคือ เมื่อมีคดีหรือข้อพิพาทเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ ให้ศาลวินิจฉัยตามลำดับ ดังนี้

  1. ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น หมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี ซึ่งจารีตประเพณีก็คือ ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ยอมรับนับถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานานจนบุคคลทั่วไปรู้สึกว่าเป็นข้อบังคับที่จะนำมาใช้ได้ และมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายลายลักษณ์อักษรนั่นเอง เช่น จารีตประเพณีการค้าฃองธนาคารพาณิชย์ จารีตประเพณีเกี่ยวกับการขนส่ง เป็นต้น
  2. ในกรณีที่ไม่มีจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น ให้วินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง หมายความว่า เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้ ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน เช่น การขุดหลุมรับน้ำโสโครก หลุมรับปุ๋ย หรือหลุมรับขยะมูลฝอย มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะขุดในระยะสองเมตรจากแนวเขตที่ดินไม่ได้ (มาตรา 1342) แต่หลุมที่รับกากสารเคมีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าขุดได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเรื่องการขุดหลุมรับกากสารเคมี มีเหตุผลที่ควรจะห้ามมิให้ขุดในระยะที่ใกล้เคียงกับแนวเขตที่ดิน เพราะอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลที่อยู่ในที่ดินข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงนำเอามาตรา 1342 มาใช้เทียบเคียงกับการขุดหลุมรับกากสารเคมีได้ เป็นต้น
  3. ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ให้วินิจฉัยคดีตามหลักกฎหมายทั่วไป กรณีนี้เป็นวิธี การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งประการสุดท้ายหมายความว่า ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรไม่มีจารีตประเพณี และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน หรือสุภาษิตของกฎหมาย หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้ เช่น สัญญาต้องเป็นสัญญา ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งขึ้น ศาลจะต้องใช้หลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายตามขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น เพื่อวินิจฉัยคดีที่เกิดขึ้น จะยกฟ้องโดยอาศัยเหตุว่าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาวินิจฉัยไม่ได้

 

ข้อ 2. นายกนกและนายสรยุทธ์เป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมได้ชวนกันไปเยี่ยมนายธีระที่จังหวัดนครนายก ต่อมาในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552 เพื่อนรักทั้งสามคนได้ชวนกันไปเล่นน้ำตก และในขณะที่เล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานนั้นได้เกิดน้ำป่าไหลหลากพัดพาคนทั้งสามไปกับกระแสน้ำเมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไปนายธีระปลอดภัยดี มีคนพบศพนายกนก แต่ไม่มีใครพบหรือได้ข่าวนายสรยุทธ์อีกเลย

ให้วินิจฉัยว่า นางสายใจภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายกนก และนางแก้วใจภริยาของนายสรยุทธ์จะไปร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้สามีของตนเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่เพราะเหตุใด และเมื่อไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 15 วรรคแรก “สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก และสิ้นสุดลงเมื่อตาย”

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1)       นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)       นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป

(3)       นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

วินิจฉัย

ตามมาตรา 61 กรณีที่บุคคลจะไปใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญนั้น ต้องปรากฏว่าบุคคลนั้นได้หายไปโดยไม่บีผู้ใดทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และได้หายไปจนครบกำหนด 5 ปีหรือ 2 ปี แล้วแต่กรณี และผู้ที่มีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้นั้นต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียด้วย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายสรยุทธ์ได้สูญหายไปเนื่องจากน้ำป่าไหลหลากซึ่งเป็นเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิตนั้น ถือเป็นการสูญหายในกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง (3) เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่านางแก้วใจเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายสรยุทธ์ จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสีย และมีสิทธิไปร้องขอให้ศาลสั่งให้สามีของตนเป็นคนสาบสูญได้

และเมื่อเป็นการสูญทายไปในกรณีพิเศษ จึงมีผลทำให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถร้องขอต่อศาลได้เมื่อครบ 2 ปี นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตได้ผ่านพ้นไป จากข้อเท็จจริงดังกล่าวได้เกิดน้ำป่าไหลหลากและนายสรยุทธ์ได้สูญหายไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552 จึงครบกำหนด 2 ปีในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2554 ดังนั้น นางแก้วใจจะเริ่มไปใช้สิทธิร้องขอต่อศาลได้ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554 ตามมาตรา 61 วรรคสอง (3)

ส่วนกรณีของนางสายใจภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายกนกนั้น ไม่สามารถจะไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้สามีของตนเป็นคบสาบสูญได้ เพราะเมื่อมีการพบศพนายกนกย่อมถือว่านายกนกได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดสภาพบุคคลโดยการตายธรรมดาตามมาตรา 15 วรรคแรก

สรุป

นางแก้วใจมีสิทธิไปร้องขอให้ศาลสั่งให้สามีของตนเป็นคนสาบสูญได้โดยจะเริ่มไปใช้สิทธิทางศาลได้ในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2554 ส่วนนางสายใจไม่มีสิทธิไปร้องขอให้ศาลสั่งให้สามีของตนเป็นคนสาบสูญ

 

ข้อ 3. บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ทำนิติกรรมตามโจทย์ จะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร เพราะอะไร

(1) หนึ่ง อายุ 15 ปีบริบูรณ์ ลูกชายมหาเศรษฐี ถอนเงินส่วนตัว 5 ล้านบาท ไปซื้อรถยนต์ 1 คันจากนายสอง

(2) สามคนเสมือนไร้ความสามารถ ให้เพื่อนยืมเงินเป็นจำนวน 200 บาท โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางสี่ผู้พิทักษ์

(3) ห้าคนไร้ความสามารถ ได้รับอนุญาตจากนางหกผู้อนุบาลให้ไปซื้อแหวนเพชรจากนางเจ็ดในราคา 1 ล้านบาท

(4) นายแปดคนวิกลจริตไปซื้อนาฬิกาโบราณจากนายเก้าคนขายของเก่าในขณะกำลังวิกลจริตแต่นายเก้าไม่ทราบว่านายแปดวิกลจริต

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 21 “ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อนการใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 24 “ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตนและเป็นการอันจำเป็นในการดำรงชีพตามสมควร”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลงการนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

การใดกระทำลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ”

วินิจฉัย

กรณีตามปัญหา วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

(1)       โดยหลัก ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน มิฉะนั้นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ทำขึ้นจะตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 21 เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่กฎหมายกำหนดให้ผู้เยาว์สามารถทำเองได้โดยลำพังตนเองและมีผลสมบูรณ์ เช่น นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว นิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพของผู้เยาว์ หรือนิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือหลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง เป็นต้น

ตามปัญหา การที่หนึ่งอายุ 15 ปีบริบูรณ์ ซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้ถอนเงินส่วนตัว 5 ล้านบาท ไปซื้อรถยนต์จากนายสองนั้น ไม่ถือว่าเป็นการทำนิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพของผู้เยาว์ตามมาตรา 24 หรือเป็นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว หรือเป็นนิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือหลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง ซึ่งเป็นข้อยกเว้นที่ผู้เยาว์สามารถทำได้เองโดยลำพังแต่อย่างใด ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าการที่หนึ่งได้ไปซื้อรถยนต์จากนายสองดังกล่าวนั้น ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรมการซื้อขายรถยนต์ดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 21

(2) โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้โดยลำพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่สามคนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมเงินเป็นจำนวน 200 บาท โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางสี่ผู้พิทักษ์นั้น การให้กู้ยืมเงินดังกล่าวย่อมมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 34 (3) ประกอบวรรคท้าย

(3) ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น(ต้องให้ผู้อนุบาลทำแทน) ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเนินโมฆียะ

ตามปัญหา การที่ห้าคนไร้ความสามารถได้ทำนิติกรรมโดยการไปซื้อแหวนเพชรจากนางเจ็ดนั้น ถึงแม้การทำนิติกรรมดังกล่าวของห้าจะได้รับอนุญาต คือได้รับความยินยอมจากนางหกผู้อนุบาลก็ตามนิติกรรมดังกล่าวก็ย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

(4) โดยหลักของมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทำนิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายแปดคนวิกลจริตได้ไปซื้อนาฬิกาโบราณจากนายเก้าในขณะที่กำลังวิกลจริตนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายเก้าไม่ทราบว่านายแปดเป็นคนวิกลจริต ดังนั้น นิติกรรมการซื้อขายนาฬิกาโบราณระหว่างนายแปดและนายเก้าจึงมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

สรุป

(1) สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างหนึ่งกับนายสองเป็นโมฆียะ

(2) การให้เพื่อนยืมเงินของสามเป็นโมฆียะ

(3) สัญญาซื้อขายแหวนเพชรระหว่างห้ากับนางเจ็ดเป็นโมฆียะ

(4) สัญญาซื้อขายนาฬิกาโบราณระหว่างนายแปดกับนายเก้ามีผลสมบูรณ์

LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ช่องว่างของกฎหมายคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีการบัญญัติถึงวิธีการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้ว่าอย่างไรบ้าง อธิบาย

ธงคำตอบ

ช่องว่างแห่งกฎหมาย คือ กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณอักษรที่จะนำมาปรับใช้กับข้อเท็จจริงได้กล่าวคือ ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อนำมาปรับใช้แก่กรณีไม่พบนั่นเอง

โดยปกติช่องว่างแห่งกฎหมายเกิดจากการที่ผู้ร่างกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างในกฎหมาย อาจจะเป็นเพราะผู้ร่างกฎหมายไม่สามารถที่จะนึกถึงช่องว่างของกฎหมายนั้นได้ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์อันทำให้ช่องว่างนั้นเกิดขึ้น

ซึ่งหลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4วรรคสอง ได้บัญญัติไว้ว่า

“เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป ”

กล่าวคือ เมื่อมีคดีหรือข้อพิพาทเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ ให้ศาลวินิจฉัยตามลำดับ ดังนี้

  1. ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น หมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี ซึ่งจารีตประเพณีก็คือ ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ยอมรับนับถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานานจนบุคคลทั่วไปรู้สึกว่าเป็นข้อบังคับที่จะนำมาใช้ได้ และมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายลายลักษณ์อักษรนั่นเอง เช่น จารีตประเพณีการค้าฃองธนาคารพาณิชย์ จารีตประเพณีเกี่ยวกับการขนส่ง เป็นต้น
  2. ในกรณีที่ไม่มีจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น ให้วินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง หมายความว่า เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้ ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน เช่น การขุดหลุมรับน้ำโสโครก หลุมรับปุ๋ย หรือหลุมรับขยะมูลฝอย มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะขุดในระยะสองเมตรจากแนวเขตที่ดินไม่ได้ (มาตรา 1342) แต่หลุมที่รับกากสารเคมีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าขุดได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเรื่องการขุดหลุมรับกากสารเคมี มีเหตุผลที่ควรจะห้ามมิให้ขุดในระยะที่ใกล้เคียงกับแนวเขตที่ดิน เพราะอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลที่อยู่ในที่ดินข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงนำเอามาตรา 1342 มาใช้เทียบเคียงกับการขุดหลุมรับกากสารเคมีได้ เป็นต้น
  3. ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ให้วินิจฉัยคดีตามหลักกฎหมายทั่วไป กรณีนี้เป็นวิธี การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งประการสุดท้ายหมายความว่า ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรไม่มีจารีตประเพณี และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน หรือสุภาษิตของกฎหมาย หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้ เช่น สัญญาต้องเป็นสัญญา ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งขึ้น ศาลจะต้องใช้หลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายตามขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น เพื่อวินิจฉัยคดีที่เกิดขึ้น จะยกฟ้องโดยอาศัยเหตุว่าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาวินิจฉัยไม่ได้

 

ข้อ 2. นายตี๋เดินทางไปท่องเที่ยวเมืองปักกิ่งประเทศจีน ในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 ในขณะที่เครื่องบินเข้าใกล้ทะเลจีนใต้ ปรากฏถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่ายยิงตกและไม่มีใครพบหรือได้ข่าวนายตี๋อีกเลย นางสาวหมวยเล็กภริยาที่อยู่กินกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสของนายตี๋และนางหมวยใหญ่ภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายต่างไปร้องขอต่อศาล ขอให้ศาลสั่งให้นายตี๋เป็นบุคคลสาบสูญ

ให้นักศึกษาให้คำแนะนำว่าใครเป็นผู้มีสิทธิร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลสั่งให้นายตี๋เป็นบุคคลสาบสูญและจะเริ่มไปใช้สิทธิดังกล่าวได้เมื่อใด เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1)       นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)       นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป

(3)       นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายตี๋เดินทางไปท่องเที่ยวเมืองปักกิ่ง ประเทศจีนโดยเครื่องบิน และในขณะที่เครื่องบินเข้าใกล้ทะเลจีนใต้ ปรากฏว่าถูกกองกำลังไม่ทราบฝ่ายยิงตกและไม่มีใครพบหรือได้ข่าวนายตี๋อีกเลยนั้น ถือว่านายตี๋ได้สูญหายไปโดยไม่มีใครรู้แน่ว่านายตี๋ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ในกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง (2) เพราะหายไปเนื่องจากยานพาหนะที่บุคคลดังกล่าวเดินทางถูกทำลาย ดังนั้นนระยะเวลาที่ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการจะสามารถร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลสั่งให้นายตี๋เป็นคนสาบสูญจึงต้องนับระยะเวลา 2 ปี ตั้งแต่วันที่ยานพาหนะที่นายตี๋ใช้เดินทางคือเครื่องบินนั้นนถูกทำลาย และเมื่อเครื่องบินถูกยิงตกในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2558 ระยะเวลาที่ครบกำหนด 2 ปี คือวันที่ 11 พฤศจิกายน 2560 ดังนั้นถ้าผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการจะร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้นายตี๋เป็นคนสาบสูญ จึงสามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้ตั้งแต่ วันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป

สำหรับผู้มีส่วนได้เสีย เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า นางสาวหมวยเล็กเป็นภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนายตี๋ ส่วนนางหมวยใหญ่เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายตี๋ กรณีนี้ จึงถือว่าเฉพาะนางหมวยใหญ่เท่านั้นเป็นผู้มีส่วนได้เสียกับกรณีที่ศาลจะมีคำสั่งให้นายตี๋เป็นคนสาบสูญ ดังนั้น นางหมวยใหญ่แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเป็นผู้มีสิทธิที่จะร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลสั่งให้นายตี๋เป็นคนสาบสูญ โดยนางหมวยใหญ่สามารถที่จะไปใช้สิทธิทางศาลได้เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป

สรุป

นางหมวยใหญ่แต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้มีสิทธิที่จะร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลสั่งให้นายตี๋เป็นคนสาบสูญ โดยเริ่มไปใช้สิทธิทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2560 เป็นต้นไป

 

ข้อ 3. นายไก่อายุย่างเข้า 15 ปี ทำพินัยกรรมขึ้น 1 ฉบับ กำหนดว่าเมื่อตนถึงแก่ความตายให้ยกเงินสดของตนในธนาคารให้แก่มูลนิธิสุนัขป่วยไร้เจ้าของจำนวน 1 ล้านบาท ต่อมาเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ นางไข่มารดาร้องขอต่อศาลให้สั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถเพราะจิตฟั่นเพืเอน ศาลสั่งให้ตามขอและตั้งนางไข่มารดาเป็นผู้พิทักษ์ หลังจากนั้นนายไก่ยืมเงินนางบัวสาวใช้ไป 500 บาท เพื่อไปซื้ออาหารรับประทาน อาการป่วยทางจิตของนายไก่รุนแรงขึ้นถึงขั้นวิกลจริต ต่อมาไปซื้อรถยนต์จากนายดำ 1 คันในราคา 2 ล้านบาท ในขณะกำลังวิกลจริต แต่นายดำไม่ทราบว่าวิกลจริต นางไข่มารดาจึงไปร้องขอต่อศาลให้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ และศาลได้ตั้งนางไข่เป็นผู้อนุบาล นางไข่เห็นว่าลูกชายชอบขับรถยนต์มากจึงอนุญาตให้ไปซื้อรถสปอร์ตอีก 1 คัน จากนายแดงในราคา 5 ล้านบาท

การทำพินัยกรรม การยืมเงิน การซื้อรถยนต์จากนายดำ และจากนายแดง ซึ่งนายไก่ทำขึ้นมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 25 “ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลงการนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

การใดกระทำลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ ”

มาตรา 1703 “พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

1)         ตามมาตรา 25 นั้น กฎหมายได้บัญญัติให้ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ หากผู้เยาว์ทำพินัยกรรมโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว พินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ เสมือนว่ามิได้มีการทำพินัยกรรมนั้นเลยตามมาตรา 1703

ตามปัญหา การที่นายไก่อายุย่างเข้า 15 ปียังไม่ครบ 15 ปีบริบูรณ์ได้ทำพินัยกรรมขึ้น 1 ฉบับ โดยกำหนดว่า เมื่อตนถึงแก่ความตายให้ยกเงินสดของตนในธนาคารให้แก่มูลนิธิสุนัขป่วยไร้เจ้าของ จำนวน 1 ล้านบาทนั้น ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 25 ดังนั้นพินัยกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1703

2)         โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้โดยลำพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายไก่คนเสมือนไร้ความสามารถได้ยืมเงินนางบัวสาวใช้ไป 500 บาท โดยที่นางไข่ผู้พิทักษ์มิได้รู้เห็นยินยอมแต่อย่างใดนั้น การยืมเงินดังกล่าวย่อมมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 34 (3) ประกอบวรรคท้าย

3)         โดยหลักของมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทำนิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายไก่คนวิกลจริตได้ไปซื้อรถยนต์จากนายดำ 1 คันในขณะที่กำลังวิกลจริตอยู่ เมื่อนายดำไม่ทราบว่านายไก่เป็นคนวิกลจริต ดังนั้น นิติกรรมการซื้อรถยนต์จึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

4)         ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้นถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายไก่คนไร้ความสามารถได้ทำนิติกรรมโดยไปซื้อรถสปอร์ตจากนายแดงในราคา 5 ล้านบาทนั้น แม้การทำนิติกรรมดังกล่าวของนายไก่จะได้รับอนุญาต คือได้รับความยินยอมจากนางไข่ผู้อนุบาลก็ตาม นิติกรรมดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

สรุป

1) การทำพินัยกรรมมีผลเป็นโมฆะ

2) การยืมเงินมีผลเป็นโมฆียะ

3) การซื้อรถยนต์จากนายดำมีผลสมบูรณ์

4) การซื้อรถยนต์จากนายแดงมีผลเป็นโมฆียะ

LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. การตีความกฎหมายคืออะไร เพราะเหตุใดจึงจำเป็นต้องมีการตีความกฎหมาย และการตีความกฎหมายแพ่งและการตีความกฎหมายอาญา มีความแตกต่างกันอย่างไร หรือไม่ อธิบาย

ธงคำตอบ

“การตีความกฎหมาย” คือ การหยั่งทราบว่าถ้อยคำของตัวบทกฎหมายมีความหมายว่าอย่างไรและเหตุที่ต้องมีการตีความกฎหมายก็เพราะว่า ถ้อยคำของตัวบทกฎหมายที่บัญญัติไว้มีความไม่ชัดเจนแน่นอน คือมีถ้อยคำที่กำกวมหรือมีความหมายได้หลายทาง จึงมีความจำเป็นต้องมีการตีความเพื่อหยั่งทราบว่าถ้อยคำของตัวบทกฎหมายมีความหมายว่าอย่างไร และเมื่อตีความกฎหมายได้แล้วก็จะได้นำเอากฎหมายนั้นไปปรับใช้กับข้อเท็จจริงที่ต้องการวินิจฉัยได้ต่อไป

การตีความกฎหมายแพ่งและการตีความกฎหมายอาญา มีความแตกต่างกันดังนี้คือ

“หลักในการตีความกฎหมายแพ่ง” มีหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับการใช้กฎหมายแพ่ง ซึ่งเป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 วรรคหนึ่ง ที่ได้บัญญัติว่า “กฎหมายนั้นต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใด ๆ แห่งกฎหมายตามตัวอักษรหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้น ๆ” กล่าวคือ จะต้องค้นหาความหมายของบทบัญญัติของกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมายไปพร้อม ๆ กัน จึงจะได้ความหมายที่ถูกต้องแท้จริงของกฎหมายนั้น โดยแยกได้ดังนี้ คือ

  1. การตีความตามตัวอักษร ซึ่งจะต้องตีความทั้งศัพท์ธรรมดาที่มีความหมายเป็นธรรมดาทั่วไป เช่น คำว่า บุตร บิดามารดา ฯลฯ และศัพท์เฉพาะที่มีความหมายทางเทคนิคหรือทางวิชาการ เช่น คำที่อยู่ในตำรากฎหมายหรือบทความทางกฎหมาย ฯลฯ เพื่อจะได้ทราบความหมายของตัวอักษรเสียก่อน และ
  2. การตีความตามเจตนารมณ์ เพื่อค้นหาความหมายอันแท้จริงของกฎหมายว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเจตนารมณ์ของกฎหมายอาจดูได้จากที่มา ตำแหน่งหรือหมวดหมู่ของกฎหมาย จากถ้อยคำของบทบัญญัตินั้น ๆ หรือดูจากสถานการณ์ในขณะบัญญัติกฎหมาย รวมถึงจากรายงานการประชุมของฝ่ายนิติบัญญัติในการออกกฎหมายนั้น ๆ ด้วย

“หลักในการตีความกฎหมายอาญา” เนื่องจากกฎหมายอาญาเป็นกฎหมายที่บัญญัติว่าการกระทำหรืองดเว้นการกระทำใดเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ ดังนั้น กฎหมายอาญาจึงต้องตีความโดยเคร่งครัด กล่าวคือ ต้องตีความเฉพาะการกระทำหรืองดเว้นการกระทำเท่าที่ระบุไว้ในกฎหมายเท่านั้น จึงจะเป็นความผิดศาลจะตีความกฎหมายอาญาในทางขยายความไปเอาผิดกับการกระทำซึ่งไม่เป็นความผิดมาลงโทษไม่ไค้ หรือจะตีความย้อนหลังไปลงโทษการกระทำซึ่งในขณะกระทำไม่เป็นความผิดมาลงโทษไม่ได้ และขณะเดียวกันศาลก็จะตีความไปเพิ่มโทษผู้กระทำความผิดให้รับโทษหนักขึ้นก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน

 

ข้อ 2. บุคคลย่อมถึงแก่ความตาย หรือถือว่าถึงแก่ความตายในกรณีใดบ้าง อธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ คำอธิบายทุกกรณี

ธงคำตอบ

ตามกฎหมาย บุคคลย่อมถึงแก่ความตายหรือให้ถือว่าถึงแก่ความตายมีได้ 2 กรณี ได้แก่ การตายตามธรรมดา และการถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ซึ่งถือว่าเป็นการตายโดยผลแห่งกฎหมาย

  1. การตายตามธรรมดา หมายถึง การที่บุคคลหมดลมหายใจ และหัวใจหยุดเต้นนั่นเอง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุใดก็ตาม เช่น การที่บุคคลเจ็บป่วยถึงแก่ความตาย หรือประสบอุบัติเหตุจนถึงแก่ความตาย เป็นต้น เพียงแต่ปัจจุบันในทางการแพทย์นั้น ถือว่าเมื่อแกนสมองตาย ก็ถือได้ว่าบุคคลนั้นถึงแก่ความตายและให้สภาพบุคคลสิ้นสุดลง
  2. การตายโดยการถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญตามมาตรา 61 ซึ่งแยกออกเป็น 2 กรณี คือหลักเกณฑ์ ดังนี้คือ

1) การเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดาตามมาตรา 61 วรรคแรก ซึ่งจะต้องประกอบด้วย

(1)       บุคคลนั้นได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่นอนว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เป็นเวลา 5 ปี โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่มีผู้ได้พบเห็น หรือนับแต่วันที่บุคคลนั้นได้จากภูมิลำเนาไปหรือนับแต่วันที่ได้ทราบข่าวคราวของบุคคลนั้นในครั้งหลังสุดเป็นต้นไป

(2)       ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการได้ร้องขอต่อศาลให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ “ผู้มีส่วนได้เสีย” หมายถึง บุคคลที่จะมีหรือเกิดสิทธิขึ้น เนื่องจากคำสั่งศาล เช่น สามีภริยา บิดามารดา ลูก หลาน ฯลฯ ของบุคคลที่ไปจากภูมิลำเนานั่นเอง

(3)       ศาลได้มีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ และเมื่อศาลได้สั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญ ให้ถือว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตาย และทำให้สภาพบุคคลของบุคคลนั้นสิ้นสุดลง

ตัวอย่าง นาย ก. ได้เดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครทราบข่าวคราวของนาย ก. อีกเลย ดังนี้ถ้าครบ 5 ปีนับแต่วันที่นาย ก. ได้หายไป พนักงานอัยการหรือผู้มีส่วนได้เสีย อาจร้องขอต่อศาลให้นาย ก. เป็นคนสาบสูญได้ และหากศาลมีคำสั่งให้นาย ก. เป็นคนสาบสูญแล้ว ย่อมถือว่า นาย ก. ได้ถึงแก่ความตาย และทำให้สภาพบุคคลของนาย ก. สิ้นสุดลง

2) การเป็นคนสาบสูญกรณีพิเศษ ซึ่งหลักเกณฑ์การเป็นคบสาบสูญในกรณีพิเศษนั้น ก็ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ 3 ประการ เช่นเดียวกับการเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดา เพียงแต่ตามมาตรา 61 วรรคสอง ให้นับระยะเวลาลดลงมาเหลือเพียง 2 ปีเท่านั้น โดยให้นับตั้งแต่

(1)       วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงครามและหายไปในการรบ หรือสงครามดังกล่าว เช่น นายแดงรับราชการทหารถูกส่งไปรบที่ชายแดน และสูญหายไปในการรบติดต่อกันเป็นเวลา 2 ปี หรือ

(2)       วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทางไป อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป

เช่น นายแดงเดินทางท่องเที่ยวทางเรือ และเรือถูกพายุพัดจนอับปาง ทำให้นายแดงสูญหายไป เป็นต้น หรือ

(3)       วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในข้อ(1)และข้อ (2)ได้ ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

ตัวอย่าง นาย ก. ได้เดินทางไปเที่ยวที่เกาะสิมิลัน ระหว่างการเดินทางเรือได้เจอพายุและอับปางลง ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตาย และสูญหายไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมทั้งนาย ก. ด้วยที่ได้สูญหายไปโดยไม่มีใครได้รับข่าวคราวหรือพบเห็นตัวนาย ก. เลย ดังนี้ถ้า นาง ข. ภริยาของนาย ก. จะร้องขอให้ศาลสั่งให้นาย ก. เป็นคนสาบสูญ นาง ข. สามารถร้องขอได้เมื่อครบกำหนด 2 ปีนับแต่วันที่เรืออับปาง โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนด 5 ปีแต่อย่างใด

 

ข้อ 3. นายแดงซึ่งเป็นผู้เยาว์ อายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว แต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ทำนิติกรรมต่าง ๆดังต่อไปนี้ ผลของนิติกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง อธิบาย

  1. นายแดงทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดของตนเองให้แก่น้องชายเพียงคนเดียว
  2. นายแดงได้รับเงิน 50,000 บาท เป็นของขวัญจากลุงโดยไม่มีเงื่อนไขหรือภาระใด ๆ ทั้งสิ้น
  3. นายแดงได้ทำสัญญาซื้อรถจักรยานยนต์คันหนึ่ง โดยได้รับอนุญาตจากบิดามารดาเพื่อใช้ขับขี่ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 21 “ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อนการใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 22 “ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น หากเป็นเพียงเพื่อจะได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือเป็นการเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง”

มาตรา 25 “ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

วินิจฉัย

กรณีตามปัญหา การที่นายแดงซึ่งเป็นผู้เยาว์และมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้วได้ทำนิติกรรมต่าง ๆ นั้น ผลของนิติกรรมดังกล่าวจะเป็นอย่างไรนั้น แยกวินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

  1. การที่นายแดงทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกทั้งหมดของตนเองให้แก่น้องชายเพียงคนเดียวนั้น นายแดงย่อมสามารถทำได้ และพินัยกรรมดังกล่าวมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย เพราะนายแดงได้ทำพินัยกรรมในขณะที่มีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้วตามมาตรา 25
  2. การที่นายแดงได้รับเงิน 50,000 บาท เป็นของขวัญจากลุงโดยไม่มีเงื่อนไขหรือภาระใด ๆ ทั้งสิ้นนั้น ถือเป็นนิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งซึ่งเป็นนิติกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝ่ายเดียว ที่ผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพังตนเองโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมและมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 21 ประกอบมาตรา 22
  3. การที่นายแดงได้ทำสัญญาซื้อรถจักรยาบยนต์โดยได้รับอนุญาตจากบิดามารตา ซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม เมื่อเป็นกรณีที่ผู้เยาว์ได้ทำนิติกรรมโดยได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมนิติกรรมใบรูปสัญญาซื้อขายดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายตามมาตรา 21

สรุป

  1. พินัยกรรมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
  2. นิติกรรมการให้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
  3. นิติกรรมซื้อขายรถจักรยานยนต์มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. การตีความกฎหมายคืออะไร เพราะเหตุใดจึงจำเป็นต้องมีการตีความกฎหมาย และการตีความกฎหมายแพ่งและการตีความกฎหมายอาญา มีความแตกต่างกันอย่างไร หรือไม่ อธิบาย

ธงคำตอบ

“การตีความกฎหมาย” หมายถึง การค้นหาความหมายที่แท้จริงของกฎหมาย หรือการหยั่งทราบว่าถ้อยคำของกฎหมายมีความหมายว่าอย่างไร

เหตุที่ต้องมีการตีความกฎหมายก็เพราะว่า ถ้อยคำของตัวบทกฎหมายที่บัญญัติไว้นั้น มีความหมายไม่ชัดเจนแน่นอน คือมีถ้อยคำคลุมเครือ กำกวม หรือมีความหมายได้หลายทาง จึงมีความจำเป็นต้องมีการตีความเพื่อหยั่งทราบว่าถ้อยคำของตัวบทกฎหมายมีความหมายว่าอย่างไร

“หลักในการตีความกฎหมายแพ่ง” มีหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับการใช้กฎหมายแพ่ง ซึ่งเป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 วรรคหนึ่ง ที่ได้บัญญัติว่า “กฎหมายนั้นต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใด ๆ แห่งกฎหมายตามตัวอักษรหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้น ๆ” กล่าวคือ จะต้องค้นหาความหมายของบทบัญญัติของกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมายไปพร้อม ๆ กัน จึงจะได้ความหมายที่ถูกต้องแท้จริงของกฎหมายนั้น โดยแยกได้ดังนี้ คือ

  1. การตีความตามตัวอักษร ซึ่งจะต้องตีความทั้งศัพท์ธรรมดาที่มีความหมายเป็นธรรมดาทั่วไป เช่น คำว่า บุตร บิดามารดา ฯลฯ และศัพท์เฉพาะที่มีความหมายทางเทคนิคหรือทางวิชาการ เช่น คำที่อยู่ในตำรากฎหมายหรือบทความทางกฎหมาย ฯลฯ เพื่อจะได้ทราบความหมายของตัวอักษรเสียก่อน และ
  2. การตีความตามเจตนารมณ์ เพื่อค้นหาความหมายอันแท้จริงของกฎหมายว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเจตนารมณ์ของกฎหมายอาจดูได้จากที่มา ตำแหน่งหรือหมวดหมู่ของกฎหมาย จากถ้อยคำของบทบัญญัตินั้น ๆ หรือดูจากสถานการณ์ในขณะบัญญัติกฎหมาย รวมถึงจากรายงานการประชุมของฝ่ายนิติบัญญัติในการออกกฎหมายนั้น ๆ ด้วย

ส่วน “การตีความกฎหมายอาญา” นั้น เนื่องจากกฎหมายอาญาเป็นกฎหมายที่กำหนดความผิดและโทษ ดังนั้นจึงต้องตีความโดยเคร่งครัด กล่าวคือ จะต้องตีความเฉพาะการกระทำหรือการงดเว้นการกระทำเท่าที่ระบุไว้ในกฎหมายเท่านั้นจึงจะเป็นความผิด หากการกระทำไม่เป็นไปตามตัวบทกฎหมายที่บัญญัติไว้ศาลก็จะต้องยกฟ้อง ตามหลักที่ว่า “ไม่มีกฎหมาย ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ”

 

ข้อ 2. นายสิงโตเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางกระต่าย เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2556 นางกระต่ายเดินทางไปเที่ยวยุโรปกับเพื่อนที่ทำงาน ระหว่างนั่งเรือชมวิวแม่น้ำไรน์ ได้เกิดอุบัติเหตุเรืออับปางเพราะไปชนกับตอม่อฃองสะพานแห่งหนึ่งเข้า เป็นเหตุให้ผู้โดยสารส่วนหนึ่งหายไปกับกระแสน้ำ รวมทั้งนางกระต่ายด้วย หลังจากนั้นนายสิงโตก็ไม่ได้ข่าวหรือพบเห็นนางกระต่ายอีกเลย อยากทราบว่านายสิงโตจะไปร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้นางกระต่ายเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่ เมื่อใด และเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั่นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1)       นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2)       นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั่นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป

(3)       นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยูในอันตรายเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 61 กรณีที่บุคคลจะไปใช้สิทธิทางศาลโดยยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคบสาบสูญ ต้องปรากฏว่าบุคคลดังกล่าวได้หายไปโดยไม่มีผู้ใดทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และได้หายไปจนครบกำหนด 5 ปี หรือ 2 ปีในกรณีพิเศษ แล้วแต่กรณี และผู้ที่มีสิทธิไปร้องขอต่อศาลได้ ต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางกระต่ายเดินทางไปเที่ยวยุโรป และระหว่างนั่งเรือชมวิวแม่น้ำไรน์ได้เกิดอุบัติเหตุเรืออับปางเป็นเหตุให้นางกระต่ายหายไปกับกระแสน้ำ หลังจากนั้นนายสิงโตก็ไม่ได้ข่าวหรือพบเห็นนางกระต่ายอีกเลย ถือเป็นกรณีที่นางกระต่ายได้สูญหายไปในกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง (2)

เพราะหายไปเนื่องจากเหตุเรืออับปาง เมื่อปรากฏว่านายสิงโตเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางกระต่าย จึงถือว่านายสิงโตเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ดังนั้น นายสิงโตจึงสามารถไปร้องขอต่อศาลเพี่อให้ศาลสั่งให้นางกระต่ายเป็นคนสาบสูญได้

และเมื่อนางกระต่ายได้หายไปในกรณีพิเศษ จึงมีผลให้นายสิงโตสามารถร้องขอต่อศาลได้เมื่อครบกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่ยานพาหนะ คือ เรือที่นางกระต่ายได้โดยสารอับปาง ซึ่งจากข้อเท็จจริงเมื่อเรืออับปางในวันที่ 1 สิงหาคม 2556 จึงครบกำหนด 2 ปีในวันที่ 1 สิงหาคม 2558 นายสิงโตจึงสามารถที่จะใช้สิทธิดังกล่าวได้ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2558 เป็นต้นไป

สรุป

นายสิงโตสามารถที่จะไปร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้นางกระต่ายเป็นคนสาบสูญได้และสามารถเริ่มใช้สิทธิในการร้องขอต่อศาลได้ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2558 เป็นต้นไป

 

ข้อ 3. เมื่อนายไก่อายุย่างเข้า 15 ปี ปู่ให้เงินสดเป็นจำนวน 2 ล้านบาท ต่อมาเมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ศาลสั่งให้นายไก่เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและตั้งนางไข่มารดาเป็นผู้พิทักษ์ หลังจากนั้นนายไก่ก็ถอนเงินส่วนตัวในธนาคารให้เพื่อนยืมไป 5,000 บาท โดยนางไข่มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยแต่อย่างใด ต่อมาแพทย์ลงความเห็นว่านายไก่วิกลจริต

ต่อมานายไก่ไปซื้อรถมอเตอร์ไซค์จากนายดำมา 1 คันในราคา 8 แสนบาท ในขณะที่กำลังวิกลจริต แต่นายดำไม่ทราบว่าวิกลจริต หลังจากนั้นศาลสั่งให้นายไก่เป็นคนไร้ความสามารถ และตั้งนางไข่เป็นผู้อนุบาล นางไข่เห็นนายไก่ชอบรถยนต์มาก จึงอนุญาตให้นายไก่ไปซื้อรถยนต์จากนายแดงมา 1 คัน ในราคา 1 ล้านบาท

การรับเงินที่ปู่ให้มา 2 ล้านบาท การให้เพื่อนยืมเงิน 5,000 บาท การซื้อรถมอเตอร์ไซค์และการซื้อรถยนต์ของนายไก่ มีผลในทางกฎหมายอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 21 “ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อนการใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 22 “ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น หากเป็นเพียงเพื่อจะได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือเป็นการเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลงการนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

การใดกระทำลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ”

วินิจฉัย

กรณีตามปัญหา วินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

(1)       โดยหลัก ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อนมิฉะนั้นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ทำขึ้นจะตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 21 เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่กฎหมายกำหนดให้ผู้เยาว์สามารถทำเองได้โดยลำพังตนเองและมีผลสมบูรณ์ เช่น นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว นิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพของผู้เยาว์ หรือนิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้โปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือหลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่งเป็นต้น

ตามปัญหา การที่ปู่ของนายไก่ผู้เยาว์ได้ให้เงินแก่นายไก่จำนวน 2 ล้านบาทนั้น เป็นการให้โดยไม่มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพันใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนั้น การที่นายไก่รับเอาเงินนั้นไว้ ถือว่าเป็นกรณีที่นายไก่ผู้เยาว์ได้ทำนิติกรรม ซึ่งเป็นนิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งตามมาตรา 22 จึงเข้าข้อยกเว้นที่ผู้เยาว์สามารถทำได้ด้วยตนเอง และมีผลสมบูรณ์โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม

(2)       โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้โดยลำพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายไก่คนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมเงินไป 5,000 บาท โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางไข่ผู้พิทักษ์นั้น การให้กู้ยืมเงินดังกล่าวย่อมมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 34 (3) ประกอบวรรคท้าย

(3)       โดยหลักของมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทำนิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายไก่คนวิกลจริตได้ไปซื้อรถมอเตอร์ไซต์จากนายดำในขณะที่กำลังวิกลจริตนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายดำไม่ทราบว่านายไก่เป็นคนวิกลจริต ดังนั้น นิติกรรมการซื้อขายรถมอเตอร์ไซต์ระหว่างนายไก่และนายดำจึงมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

(4)       ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น(ต้องให้ผู้อนุบาลทำแทน) ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายไก่คนไร้ความสามารถได้ทำนิติกรรมโดยการไปซื้อรถยนต์จากนายแดงนั้น ถึงแม้การทำนิติกรรมดังกล่าวของนายไก่จะได้รับอนุญาต คือได้รับความยินยอมจากนางไข่ผู้อนุบาลก็ตาม นิติกรรมดังกล่าวก็ย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

สรุป

การที่นายไก่รับเงินที่ปู่ให้มีผลสมบูรณ์

การที่นายไก่ให้เพื่อนยืมเงิน 5,000 บาท มีผลเป็นโมฆียะ

การที่นายไก่ซื้อรถมอเตอร์ไซค์จากนายดำมีผลสมบูรณ์

การที่นายไก่ซื้อรถยนต์จากนายแดงมีผลเป็นโมฆียะ

LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 ช่องว่างของกฎหมายคืออะไร เกิดขึ้นอย่างไร ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีการบัญญัติวิธีการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้ว่าอย่างไรบ้าง อธิบาย

ธงคำตอบ

ช่องว่างแห่งกฎหมาย คือ กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณอักษรที่จะนำมาปรับใช้กับข้อเท็จจริงได้กล่าวคือ ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อนำมาปรับใช้แก่กรณีไม่พบนั่นเอง

โดยปกติช่องว่างแห่งกฎหมายเกิดจากการที่ผู้ร่างกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างในกฎหมาย อาจจะเป็นเพราะผู้ร่างกฎหมายไม่สามารถที่จะนึกถึงช่องว่างของกฎหมายนั้นได้ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์อันทำให้ช่องว่างนั้นเกิดขึ้น

ซึ่งหลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4วรรคสอง ได้บัญญัติไว้ว่า

“เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป ”

กล่าวคือ เมื่อมีคดีหรือข้อพิพาทเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ ให้ศาลวินิจฉัยตามลำดับ ดังนี้

  1. ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น หมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี ซึ่งจารีตประเพณีก็คือ ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ยอมรับนับถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานานจนบุคคลทั่วไปรู้สึกว่าเป็นข้อบังคับที่จะนำมาใช้ได้ และมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายลายลักษณ์อักษรนั่นเอง เช่น จารีตประเพณีการค้าฃองธนาคารพาณิชย์ จารีตประเพณีเกี่ยวกับการขนส่ง เป็นต้น
  2. ในกรณีที่ไม่มีจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น ให้วินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง หมายความว่า เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้ ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน เช่น การขุดหลุมรับน้ำโสโครก หลุมรับปุ๋ย หรือหลุมรับขยะมูลฝอย มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะขุดในระยะสองเมตรจากแนวเขตที่ดินไม่ได้ (มาตรา 1342) แต่หลุมที่รับกากสารเคมีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าขุดได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเรื่องการขุดหลุมรับกากสารเคมี มีเหตุผลที่ควรจะห้ามมิให้ขุดในระยะที่ใกล้เคียงกับแนวเขตที่ดิน เพราะอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลที่อยู่ในที่ดินข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงนำเอามาตรา 1342 มาใช้เทียบเคียงกับการขุดหลุมรับกากสารเคมีได้ เป็นต้น
  3. ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ให้วินิจฉัยคดีตามหลักกฎหมายทั่วไป กรณีนี้เป็นวิธี การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งประการสุดท้ายหมายความว่า ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรไม่มีจารีตประเพณี และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน หรือสุภาษิตของกฎหมาย หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้ เช่น สัญญาต้องเป็นสัญญา ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งขึ้น ศาลจะต้องใช้หลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายตามขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น เพื่อวินิจฉัยคดีที่เกิดขึ้น จะยกฟ้องโดยอาศัยเหตุว่าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาวินิจฉัยไม่ได้

 

ข้อ 2. นายโชคดีเดินทางไปเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่พร้อมกับเพื่อน ๆ และในวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553 นายโชคดีและคณะได้ไปเที่ยวน้ำตกแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ในขณะที่กำลังสนุกสนานกับการเล่นน้ำตกอยู่นั้นได้เกิดน้ำป่าไหลหลากพัดนายโชคดีและคณะหายไป และไม่มีใครพบหรือได้ข่าวนายโชคดีและคณะอีกเลย นางโชติรสภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโชคดีจะมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายโชคดีเป็นบุคคลสาบสูญได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และจะเริ่มไปใช้สิทธิได้เมื่อใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 61 “ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี

(1) นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

(2) นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป

(3) นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไวั(น (1) หรือ (2) ได้ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายโชคดีได้ถูกน้ำป่าไหลหลากพัดหายไปนั้น ลือว่านายโชคดีตกอยู่ในเหตุอันตรายถึงแก่ชีวิต และเมื่อไม่มีใครพบหรือได้ข่าวนายโชคดีอีกเลย จึงถือว่านายโชคดีได้สูญหายไปในกรณีพิเศษตามมาตรา 61 วรรคสอง (3) ดังนั้น ถ้าผู้มีส่วนได้เสียจะใช้สิทธิในการร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายโชคดีเป็นคนสาบสูญนั้น จะใช้สิทธิได้เมื่อครบกำหนด 2 ปีนับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตได้ผ่านพ้นไป เมื่อปรากฏว่าเหตุอันตรายแก่ชีวิตคือน้ำป่าไหลหลากนั้นได้ผ่านพ้นไปในวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2553 ดังนั้นวันครบกำหนด 2 ปีดังกล่าวคือวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555 ผู้มีส่วนได้เสีย จึงสามารถเริ่มไปใช้สิทธิทางศาลได้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป

และตามกฎหมายนั้น บุคคลที่จะมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายโชคดีเป็นบุคคลสาบสูญจะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางโชติรสเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายโชคดี ดังนั้น นางโชติรสจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่มีสิทธิที่จะไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายโชคดีเป็นบุคคลสาบสูญได้

สรุป

นางโชติรสมีสิทธิไปร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลสั่งให้นายโชคดีเป็นบุคคลสาบสูญได้และจะเริ่มไปใช้สิทธิได้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 เป็นต้นไป

 

ข้อ 3. นายไก่อายุย่างเข้า 15 ปี ทำพินัยกรรมขึ้นหนึ่งฉบับ กำหนดว่าเมื่อตนถึงแก่ความตายให้เงินสด 1 ล้านในบัญชีธนาคารของตนตกเป็นของมูลนิธิไทยตาสว่าง ต่อมามีความเจ็บป่วยทางจิตประเภทจิตฟั่นเฟือน ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและตั้งนางไข่เป็นผู้พิทักษ์ นายไก่ให้เพื่อนยืมเงินไป 5,000บาท โดยนางไข่มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยแต่อย่างใด ต่อมานายไก่เจ็บป่วยรุนแรงขึ้นถึงขั้นวิกลจริต ระหว่างนั้นนายไก่ไปซื้อรถยนต์จากนายดำ 1 คัน ในขณะกำลังวิกลจริตแต่นายดำไม่ทราบ

หลังจากนั้นศาลมีคำสั่งให้นายไก่เป็นคนไร้ความสามารถ และให้นางไข่เป็นผู้อนุบาล นางไข่เห็นลูกชายชอบขับรถมากจึงอนุญาตให้นายไก่ไปซื้อรถแข่งจากนายแดง 1 คัน มูลค่า 10 ล้านบาท

พินัยกรรม การให้เพื่อนยืมเงิน การซื้อรถยนต์ การซื้อรถแข่ง ซึ่งนายไก่ทำขึ้นมีผลในทางกฎหมาย อย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 25 “ผู้เยาวอาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลงการนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

การใดกระทำลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1703 “พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

1)         ตามมาตรา 25 นั้น กฎหมายได้บัญญัติให้ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ หากผู้เยาว์ทำพินัยกรรมโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว พินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ เสมือนว่ามิได้มีการทำพินัยกรรมนั้นเลยตามมาตรา 1703

ตามปัญหา การที่นายไก่ซึ่งมีอายุย่างเข้า 15 ปี ยังไม่ครบ 15 ปีบริบูรณ์ได้ทำพินัยกรรมโดยกำหนดว่าเมื่อตนถึงแก่ความตายให้เงินสด 1 ล้านบาทในบัญชีธนาคารของตนตกเป็นของมูลนิธิไทยตาสว่างนั้น ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 25 ดังนั้นพินัยกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1703

2)         โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้โดยลำพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างที่บัญญัติไว้ในมาตรา 34 เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายไก่คนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมเงินเป็นจำนวน 5,000 บาทโดยที่นางไข่ผู้พิทักษ์มิได้รู้เห็นยินยอมแต่อย่างใดนั้น การให้ยืมดังกล่าวย่อมมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 34 (3) ประกอบวรรคท้าย

3)         โดยหลักของมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทำนิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายไก่คนวิกลจริตได้ไปซื้อรถยนต์จากนายดำ 1 คันในขณะที่กำลังวิกลจริตอยู่ เมื่อนายดำไม่ทราบว่านายไก่เป็นคนวิกลจริต ดังนั้น นิติกรรมการซื้อรถยนต์จึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายไม่ตกเป็นโมฆียะแต่อย่างใด

4)         ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้นถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายไก่คนไร้ความสามารถได้ทำนิติกรรมโดยการไปซื้อรถแข่งนั้นถึงแม้การทำนิติกรรมดังกล่าวของนายไก่จะได้รับอนุญาต คือได้รับความยินยอมจากนางไข่ผู้อนุบาลก็ตาม นิติกรรมดังกล่าวก็ย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

สรุป

1) การทำพินัยกรรมมีผลเป็นโมฆะ

2) การให้เพื่อนยืมเงินมีผลเป็นโมฆียะ

3) การซื้อรถยนต์มีผลสมบูรณ์

4) การซื้อรถแข่งเป็นโมฆียะ

LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 ช่องว่างของกฎหมายคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีการบัญญัติวิธีการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้ว่าอย่างไร อธิบาย

ธงคำตอบ

ช่องว่างแห่งกฎหมาย คือ กรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณอักษรที่จะนำมาปรับใช้กับข้อเท็จจริงได้กล่าวคือ ผู้ใช้กฎหมายหากฎหมายเพื่อนำมาปรับใช้แก่กรณีไม่พบนั่นเอง

โดยปกติช่องว่างแห่งกฎหมายเกิดจากการที่ผู้ร่างกฎหมายคิดไปไม่ถึงว่าจะมีช่องว่างในกฎหมาย อาจจะเป็นเพราะผู้ร่างกฎหมายไม่สามารถที่จะนึกถึงช่องว่างของกฎหมายนั้นได้ เพราะยังไม่มีเหตุการณ์อันทำให้ช่องว่างนั้นเกิดขึ้น

ซึ่งหลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคสอง ได้บัญญัติไว้ว่า

“เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป ”

กล่าวคือ เมื่อมีคดีหรือข้อพิพาทเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้ ให้ศาลวินิจฉัยตามลำดับ ดังนี้

  1. ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น หมายความว่า ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี ซึ่งจารีตประเพณีก็คือ ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ยอมรับนับถือและปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลานานจนบุคคลทั่วไปรู้สึกว่าเป็นข้อบังคับที่จะนำมาใช้ได้ และมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายลายลักษณ์อักษรนั่นเอง เช่น จารีตประเพณีการค้าฃองธนาคารพาณิชย์ จารีตประเพณีเกี่ยวกับการขนส่ง เป็นต้น
  2. ในกรณีที่ไม่มีจารีตประเพณีแห่งห้องถิ่น ให้วินิจฉัยคดีโดยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง หมายความว่า เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้น แต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้ ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน เช่น การขุดหลุมรับน้ำโสโครก หลุมรับปุ๋ย หรือหลุมรับขยะมูลฝอย มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าจะขุดในระยะสองเมตรจากแนวเขตที่ดินไม่ได้ (มาตรา 1342) แต่หลุมที่รับกากสารเคมีไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ว่าขุดได้หรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในเรื่องการขุดหลุมรับกากสารเคมี มีเหตุผลที่ควรจะห้ามมิให้ขุดในระยะที่ใกล้เคียงกับแนวเขตที่ดิน เพราะอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่บุคคลที่อยู่ในที่ดินข้างเคียงได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงนำเอามาตรา 1342 มาใช้เทียบเคียงกับการขุดหลุมรับกากสารเคมีได้ เป็นต้น
  3. ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ให้วินิจฉัยคดีตามหลักกฎหมายทั่วไป กรณีนี้เป็นวิธี การอุดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งประการสุดท้ายหมายความว่า ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรไม่มีจารีตประเพณี และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน หรือสุภาษิตของกฎหมาย หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้ เช่น สัญญาต้องเป็นสัญญา ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เป็นต้น

ดังนั้น เมื่อเกิดช่องว่างแห่งกฎหมายแพ่งขึ้น ศาลจะต้องใช้หลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายตามขั้นตอนดังกล่าวข้างต้น เพื่อวินิจฉัยคดีที่เกิดขึ้น จะยกฟ้องโดยอาศัยเหตุว่าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาวินิจฉัยไม่ได้

 

ข้อ 2. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บุคคลย่อมถึงแก่ความตายหรือถือว่าถึงแก่ความตายในกรณีใดบ้าง อธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบคำอธิบายทุกกรณี

ธงคำตอบ

ตามกฎหมาย บุคคลย่อมถึงแก่ความตายหรือให้ถือว่าถึงแก่ความตายมีได้ 2 กรณี ได้แก่ การตายตามธรรมดา และการถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ซึ่งถือว่าเป็นการตายโดยผลแห่งกฎหมาย

  1. การตายตามธรรมดา หมายถึง การที่บุคคลหมดลมหายใจ และหัวใจหยุดเต้นนั่นเอง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุใดก็ตาม เช่น การที่บุคคลเจ็บป่วยถึงแก่ความตาย หรือประสบอุบัติเหตุจนถึงแก่ความตาย เป็นต้น เพียงแต่ปัจจุบันในทางการแพทย์นั้น ถือว่าเมื่อแกนสมองตาย ก็ถือได้ว่าบุคคลนั้นถึงแก่ความตายและให้สภาพบุคคลสิ้นสุดลง
  2. การตายโดยการถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญตามมาตรา 61 ซึ่งแยกออกเป็น 2 กรณี คือหลักเกณฑ์ ดังนี้คือ

1) การเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดาตามมาตรา 61 วรรคแรก ซึ่งจะต้องประกอบด้วย

(1)       บุคคลนั้นได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่นอนว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เป็นเวลา 5 ปี โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่มีผู้ได้พบเห็น หรือนับแต่วันที่บุคคลนั้นได้จากภูมิลำเนาไปหรือนับแต่วันที่ได้ทราบข่าวคราวของบุคคลนั้นในครั้งหลังสุดเป็นต้นไป

(2)       ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการได้ร้องขอต่อศาลให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ “ผู้มีส่วนได้เสีย” หมายถึง บุคคลที่จะมีหรือเกิดสิทธิขึ้น เนื่องจากคำสั่งศาล เช่น สามีภริยา บิดามารดา ลูก หลาน ฯลฯ ของบุคคลที่ไปจากภูมิลำเนานั่นเอง

(3)       ศาลได้มีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ และเมื่อศาลได้สั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญ ให้ถือว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตาย และทำให้สภาพบุคคลของบุคคลนั้นสิ้นสุดลง

ตัวอย่าง นาย ก. ได้เดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครทราบข่าวคราวของนาย ก. อีกเลย ดังนี้ถ้าครบ 5 ปีนับแต่วันที่นาย ก. ได้หายไป พนักงานอัยการหรือผู้มีส่วนได้เสีย อาจร้องขอต่อศาลให้นาย ก. เป็นคนสาบสูญได้ และหากศาลมีคำสั่งให้นาย ก. เป็นคนสาบสูญแล้ว ย่อมถือว่า นาย ก. ได้ถึงแก่ความตาย และทำให้สภาพบุคคลของนาย ก. สิ้นสุดลง

2) การเป็นคนสาบสูญกรณีพิเศษ ซึ่งหลักเกณฑ์การเป็นคบสาบสูญในกรณีพิเศษนั้น ก็ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ 3 ประการ เช่นเดียวกับการเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดา เพียงแต่ตามมาตรา 61 วรรคสอง ให้นับระยะเวลาลดลงมาเหลือเพียง 2 ปีเท่านั้น โดยให้นับตั้งแต่

(1)       วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงครามและหายไปในการรบ หรือสงครามดังกล่าว เช่น นายแดงรับราชการทหารถูกส่งไปรบที่ชายแดน และสูญหายไปในการรบติดต่อกันเป็นเวลา 2 ปี หรือ

(2)       วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทางไป อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป

เช่น นายแดงเดินทางท่องเที่ยวทางเรือ และเรือถูกพายุพัดจนอับปาง ทำให้นายแดงสูญหายไป เป็นต้น หรือ

(3)       วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในข้อ(1)และข้อ (2)ได้ ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

ตัวอย่าง นาย ก. ได้เดินทางไปเที่ยวที่เกาะสิมิลัน ระหว่างการเดินทางเรือได้เจอพายุและอับปางลง ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตาย และสูญหายไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมทั้งนาย ก. ด้วยที่ได้สูญหายไปโดยไม่มีใครได้รับข่าวคราวหรือพบเห็นตัวนาย ก. เลย ดังนี้ถ้า นาง ข. ภริยาของนาย ก. จะร้องขอให้ศาลสั่งให้นาย ก. เป็นคนสาบสูญ นาง ข. สามารถร้องขอได้เมื่อครบกำหนด 2 ปีนับแต่วันที่เรืออับปาง โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนด 5 ปีแต่อย่างใด

 

ข้อ 3. ตามปกติผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อนการใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงโดยปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นย่อมเป็นโมฆียะ มีกรณีใดบ้างที่ผู้เยาว์อาจทำได้โดยลำพังตนโดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม อธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบคำอธิบายทุกกรณี

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 21 “ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยขอบธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 22 “ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น หากเป็นเพียงเพื่อจะได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือเป็นการเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง ”

มาตรา 23 “ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการต้องทำเองเฉพาะตัว”

มาตรา 24 “ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆได้ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตนและเป็นการอันจำเป็นในการดำรงชีพตามสมควร ”

มาตรา 25 “ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

วินิจฉัย

จากหลักกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่า นิติกรรมที่ผู้เยาว์อาจทำได้โดยลำพังตนเองโดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม ได้แก่

  1. นิติกรรมที่เป็นคุณประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝ่ายเดียว หมายถึง นิติกรรมที่เมื่อผู้เยาว์ได้ทำแล้วจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้เยาว์แต่ฝ่ายเดียว หรือเป็นนิติกรรมที่เมื่อผู้เยาว์ได้ทำแล้วจะไม่ก่อให้เกิดหน้าที่และเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่งแก่ผู้เยาว์นั่นเอง (ตามมาตรา 22) ซึ่งแยกออกเป็น 2 กรณี คือ

(1)       นิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปแต่เพียงสิทธิอันใดอันหนึ่ง เช่น ปู่ยกที่ดินให้แก่ผู้เยาว์โดยเสน่หาโดยไม่มีเงื่อนไขหรือค่าภาระติดพันใด ๆ ทั้งสิ้น ดังนี้ผู้เยาว์ย่อมสามารถจดทะเบียนรับโอนที่ดินนั้นได้โดยลำพังโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมแต่อย่างใด

(2)       นิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง หรือทำให้ผู้เยาว์หลุดพ้นจากภาระหน้าที่ที่มีอยู่นั่นเอง เช่น การที่ผู้เยาว์รับเอาการปลดหนี้ที่เจ้าหนี้ของผู้เยาว์ได้ปลดหนี้ให้แก่ผู้เยาว์ เป็นต้น

  1. นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำเองเฉพาะตัว (ตามมาตรา 23) ซึ่งหมายถึง นิติกรรมที่ผู้เยาว์ต้องทำด้วยตนเองจะให้ผู้อื่นทำแทนให้ไม่ได้นั่นเอง เช่น การที่ผู้เยาว์จดทะเบียนรับรองบุตร หรือการเพิกถอนการสมรส เป็นต้น
  2. นิติกรรมที่จำเป็นในการดำรงชีพของผู้เยาว์ และเป็นการสมแก่ฐานานุรูปของผู้เยาว์(ตามมาตรา 24) เช่น การที่ผู้เยาว์ซื้ออาหารรับประทาน หรือซื้อตำราเรียน เป็นต้น
  3. พินัยกรรมซี่งผู้เยาว์ได้ทำในขณะที่มีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว (ตามมาตรา 25)

LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. การตีความกฎหมายคืออะไร จงอธิบายหลักในการตีความกฎหมายแพ่งมาโดยถูกต้อง พร้อมยกตัวอย่างประกอบด้วย

ธงคำตอบ

“การตีความกฎหมาย” คือ การค้นหาความหมายของกฎหมายที่มีถ้อยคำไม่ชัดเจนหรือกำกวมหรือมีความหมายได้หลายอย่าง เพื่อจะได้ทราบว่าถ้อยคำของกฎหมายนั้นมีความหมายว่าอย่างไร เมื่อตีความกฎหมายได้แล้วก็จะได้นำเอากฎหมายนั้นไปปรับใช้กับข้อเท็จจริงที่ต้องการวินิจฉัยได้ต่อไป

“หลักในการตีความกฎหมายแพ่ง” มีหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับการใช้กฎหมายแพ่ง ซึ่งเป็นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 วรรคหนึ่ง ที่ได้บัญญัติว่า “กฎหมายนั้นต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใด ๆ แห่งกฎหมายตามตัวอักษรหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้น ๆ” กล่าวคือ จะต้องค้นหาความหมายของบทบัญญัติของกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมายไปพร้อม ๆ กัน จึงจะได้ความหมายที่ถูกต้องแท้จริงของกฎหมายนั้น โดยแยกได้ดังนี้ คือ

  1. การตีความตามตัวอักษร ซึ่งจะต้องตีความทั้งศัพท์ธรรมดาที่มีความหมายเป็นธรรมดาทั่วไป เช่น คำว่า บุตร บิดา มารดา ฯลฯ และศัพท์เฉพาะที่มีความหมายทางเทคนิคหรือทางวิชาการ เช่น คำที่อยู่ในตำรากฎหมายหรือบทความทางกฎหมาย ฯลฯ เพื่อจะได้ทราบความหมายของตัวอักษรเสียก่อน และ
  2. การตีความตามเจตนารมณ์ เพื่อค้นหาความหมายอันแท้จริงของกฎหมายว่าเป็นอย่างไรซึ่งเจตนารมณ์ของกฎหมายอาจดูได้จากที่มา ตำแหน่งหรือหมวดหมู่ของกฎหมาย จากถ้อยคำของบทบัญญัตินั้น ๆ หรือดูจากสถานการณ์ในขณะบัญญัติกฎหมาย รวมถึงจากรายงานการประชุมของฝ่ายนิติบัญญัติในการออกกฎหมายนั้น ๆ ด้วย

ตัวอย่างเช่น กฎหมายลักษณะมรดก มาตรา 1627 บัญญัติว่า “บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วและบุตรบุญธรรมนั้น ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ” ซึ่งคำว่า “บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว” เป็นถ้อยคำของกฎหมายที่มีความหมายกำกวมไม่ชัดเจน กล่าวคือ ไม่แน่ชัดว่าจะใช้ความหมายอย่างแคบ ซึ่งหมายถึงการรับรองโดยนิตินัย เช่น การจดทะเบียนรับรองบุตร หรือจะใช้ความหมายอย่างกว้าง ซึ่งหมายถึงการรับรองโดยพฤตินัย เช่น การที่บิดาให้ใช้นามสกุล อุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาและเปิดเผยแก่บุคคลทั่วไปว่าเด็กเป็นบุตรของตน และเมื่อมีการตีความตามตัวอักษรประกอบกับความมุ่งหมายหรือเจตนารมณ์ของกฎหมายลักษณะมรดกแล้ว จะเห็นได้ว่า กฎหมายมรดกมีความประสงค์ที่จะให้บุตรที่จะเป็นผู้สืบสันดานและมีสิทธิรับมรดกนั้น หมายถึง บุตรตามความเป็นจริง กล่าวคือ แม้จะเป็นบุตรนอกกฎหมาย แต่ถ้าหากบิดาได้รับรองโดยพฤตินัยแล้วก็มีสิทธิรับมรดกของบิดาได้เช่นเดียวกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. บุคคลย่อมถึงแก่ความตายหรือให้ถือว่าถึงแก่ความตายในกรณีใดบ้าง ให้อธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบคำอธิบายทุกกรณี

ธงคำตอบ

ตามกฎหมาย บุคคลย่อมถึงแก่ความตายหรือให้ถือว่าถึงแก่ความตายมีได้ 2 กรณี ได้แก่ การตายตามธรรมดา และการถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ ซึ่งถือว่าเป็นการตายโดยผลแห่งกฎหมาย

  1. การตายตามธรรมดา หมายถึง การที่บุคคลหมดลมหายใจ และหัวใจหยุดเต้นนั่นเอง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากสาเหตุใดก็ตาม เช่น การที่บุคคลเจ็บป่วยถึงแก่ความตาย หรือประสบอุบัติเหตุจนถึงแก่ความตาย เป็นต้น เพียงแต่ปัจจุบันในทางการแพทย์นั้น ถือว่าเมื่อแกนสมองตาย ก็ถือได้ว่าบุคคลนั้นถึงแก่ความตายและให้สภาพบุคคลสิ้นสุดลง
  2. การตายโดยการถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญตามมาตรา 61 ซึ่งแยกออกเป็น 2 กรณี คือหลักเกณฑ์ ดังนี้คือ

1) การเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดาตามมาตรา 61 วรรคแรก ซึ่งจะต้องประกอบด้วย

(1)       บุคคลนั้นได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่นอนว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เป็นเวลา 5 ปี โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่มีผู้ได้พบเห็น หรือนับแต่วันที่บุคคลนั้นได้จากภูมิลำเนาไปหรือนับแต่วันที่ได้ทราบข่าวคราวของบุคคลนั้นในครั้งหลังสุดเป็นต้นไป

(2)       ผู้มิส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการได้ร้องขอต่อศาลให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ “ผู้มีส่วนได้เสีย” หมายถึง บุคคลที่จะมีหรือเกิดสิทธิขึ้น เนื่องจากคำสั่งศาล เช่น สามีภริยา บิดามารดา ลูก หลาน ฯลฯ ของบุคคลที่ไปจากภูมิลำเนานั่นเอง

(3)       ศาลได้มีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ และเมื่อศาลได้สั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญ ให้ถือว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตาย และทำให้สภาพบุคคลของบุคคลนั้นสิ้นสุดลง

ตัวอย่าง นาย ก. ได้เดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัด และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครทราบข่าวคราวของนาย ก. อีกเลย ดังนี้ถ้าครบ 5 ปีนับแต่วันที่นาย ก. ได้หายไป พนักงานอัยการหรือผู้มีส่วนได้เสีย อาจร้องขอต่อศาลให้นาย ก. เป็นคนสาบสูญได้ และหากศาลมีคำสั่งให้นาย ก. เป็นคนสาบสูญแล้ว ย่อมถือว่า นาย ก. ได้ถึงแก่ความตาย และทำให้สภาพบุคคลของนาย ก. สิ้นสุดลง

2) การเป็นคนสาบสูญกรณีพิเศษ ซึ่งหลักเกณฑ์การเป็นคบสาบสูญในกรณีพิเศษนั้น ก็ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ 3 ประการ เช่นเดียวกับการเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดา เพียงแต่ตามมาตรา 61 วรรคสอง ให้นับระยะเวลาลดลงมาเหลือเพียง 2 ปีเท่านั้น โดยให้นับตั้งแต่

(1)       วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงครามและหายไปในการรบ หรือสงครามดังกล่าว เช่น นายแดงรับราชการทหารถูกส่งไปรบที่ชายแดน และสูญหายไปในการรบติดต่อกันเป็นเวลา 2 ปี หรือ

(2)       วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทางไป อับปาง ถูกทำลาย หรือสูญหายไป

เช่น นายแดงเดินทางท่องเที่ยวทางเรือ และเรือถูกพายุพัดจนอับปาง ทำให้นายแดงสูญหายไป เป็นต้น หรือ

(3)       วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกเหนือจากที่ระบุไว้ในข้อ(1)และข้อ (2)ได้ ผ่านพ้นไป ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น ตัวอย่าง นาย ก. ได้เดินทางไปเที่ยวที่เกาะสิมิลัน ระหว่างการเดินทางเรือได้เจอพายุและอับปางลง ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตาย และสูญหายไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งรวมทั้งนาย ก. ด้วยที่ได้สูญหายไปโดยไม่มีใครได้รับข่าวคราวหรือพบเห็นตัวนาย ก. เลย ดังนี้ถ้า นาง ข. ภริยาของนาย ก. จะร้องขอให้ศาลสั่งให้นาย ก.เป็นคนสาบสูญ นาง ข. สามารถร้องขอได้เมื่อครบกำหนด 2 ปีนับแต่วันที่เรืออับปาง โดยไม่ต้องรอให้ครบกำหนด 5 ปีแต่อย่างใด

 

ข้อ 3. ไก่อายุย่างเข้า 15 ปี ทำพินัยกรรมขึ้น 1 ฉบับ ยกเงิน 1 ล้านบาทเมื่อตนถึงแก่กรรมให้แก่มูลนิธิชาวนาต่อมาจิตฟั่นเฟือน ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ เมื่อมีอายุครบ 22 ปี และตั้งนางไข่มารดาเป็นผู้พิทักษ์ นายไก่ให้เพื่อนยืมควายไปไถนาโดยลำพัง ต่อมาป่วยหนักขึ้นถึงขั้นวิกลจริต ไปซื้อรถยนต์จากดำในขณะกำลังวิกลจริต แต่นายดำไม่ทราบ หลังจากนั้นศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ นางไข่ผู้อนุบาลอนุญาตให้ไปซื้อเครื่องเสียงจากร้านนายแดงในราคา 1 แสนบาท ดังนี้ พินัยกรรมการให้ยืมควาย ซื้อรถยนต์ และซื้อเครื่องเสียงมีผลทางกฎหมายอย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 25 “ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

มาตรา 29 “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30 “การใด ๆ อันบุคคลวิกลจริตซึ่งคาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลงการนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่ และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34 “คนเสมือนไร้ความสามารถบั้น ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

การใดกระทำลงโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรานี้ การนั้นเป็นโมฆียะ ”

มาตรา 1703 “พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

กรณีตามปัญหา พินัยกรรม การให้ยืมควาย การซื้อรถยนต์ และการซื้อเครื่องเสียง มีผลทางกฎหมายอย่างไร แยกพิจารณาได้ดังนี้

(1) ตามมาตรา 25 นั้น กฎหมายได้บัญญัติให้ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์ หากผู้เยาว์ทำพินัยกรรมโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว พินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ เสมือนว่ามิได้มีการทำพินัยกรรมนั้นเลยตามมาตรา 1703

ตามปัญหา การที่ไก่ซึ่งมีอายุย่างเข้า 15 ปี ยังไม่ครบ 15 ปีบริบูรณ์ ได้ทำพินัยกรรมยกเงิน 1 ล้านบาท เมื่อตนถึงแก่กรรมให้แก่มูลนิธิชาวนานั้น ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 25 ดังนั้นพินัยกรรมจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1703

(2)       โดยทั่วไป คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ได้โดยลำพังตนเอง และมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมที่สำคัญบางอย่างที่บัญญัติไวิในมาตรา 34 เช่น การยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายไก่คนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมควายไปไถนาโดยลำพังนั้นถือเป็นการให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า (สังหาริมทรัพย์ที่เมื่อมีการจำหน่ายจ่ายโอนจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่) ซึ่งเป็นนิติกรรมที่จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อนตามมาตรา 34 (3)

ดังนั้น เมื่อนายไก่ให้เพื่อนยืมควายไปโดยลำพัง ไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ สัญญาให้เพื่อนยืมควายดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆียะ

(3)       ตามมาตรา 30 คนวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆนิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ เว้นแต่จะตกเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้ทำนิติกรรมนั้นในขณะจริตวิกล และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้อยู่แล้วว่าผู้ทำนิติกรรมเป็นคนวิกลจริต

ตามปัญหา การที่นายไก่คนวิกลจริตได้ไปซื้อรถยนต์จากนายดำในขณะกำลังจริตวิกลนั้น

เมื่อปรากฏว่าคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งคือนายดำไม่ทราบว่านายไก่เป็นคนวิกลจริต สัญญาซื้อขายรถยนต์ดังกล่าวจึงมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะ

(4)       ตามมาตรา 29 กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้นจะต้องให้ผู้อนุบาลทำแทน ถ้าคนไร้ความสามารถฝ่าฝืนไปทำนิติกรรม ไม่ว่าจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่ก็ตาม นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายไก่คนไร้ความสามารถได้ทำนิติกรรมโดยการไปซื้อเครื่องเสียงจากร้านนายแดงในราคา 1 แสนบาทนั้น แม้ว่าการทำนิติกรรมดังกล่าวของนายไก่จะได้รับอนุญาต คือได้รับความยืนยอมจากนางไข่ผู้อนุบาลก็ตาม นิติกรรมดังกล่าวก็ย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 29

สรุป

พินัยกรรมมีผลเป็นโมฆะ

การให้ยืมควายมีผลเป็นโมฆียะ

การซื้อรถยนต์มีผลสมบูรณ์

การซื้อเครื่องเสียงมีผลเป็นโมฆียะ

WordPress Ads
error: Content is protected !!