LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. การยุบสภาคืออะไร เหตุใดจึงมีการยุบสภา และตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการยุบสภาไว้อย่างไร ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบมาโดยละเอียด

ธงคำตอบ

“ การยุบสภา ” หมายถึง การดำเนินการทางการเมืองเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะใดขณะหนึ่งต้องพ้นจากสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรไปพร้อมกัน และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปซึ่งการยุบสภาที่ว่านี้จะใช้กับสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น โดยไม่เกี่ยวข้องกับวุฒิสภาเพราะไม่มีการยุบวุฒิสภา แต่การยุบสภานั้นจะมีผลทำให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งไปพร้อมกันด้วย

การยุบสภามีความจำเป็นและสำคัญต่อการปกครองในระบบรัฐสภา เช่น ประเทศอังกฤษและประเทศไทย ซึ่งปกครองในระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา เนื่องจากการปกครองในระบบนี้จะเพ่งเล็งถึงความสมดุลระหว่างอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหารเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ฝ่ายบริหารที่อาจแนะนำให้ประมุขของรัฐยุบสภาได้ ซึ่งมีผลเท่ากับเป็นการให้เครื่องมือแก่ฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) ในการต่อสู้กับฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเป็นการถ่วงดุลแห่งอำนาจ (Balance of Power) ต่อการที่ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถเบิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) ได้นั่นเอง

การยุบสภานั้น อาจเนื่องมาจากสาเหตุสำคัญ ดังนี้ คือ

  1. ในกรณีเกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งไม่สามารถหาข้อยุติได้ จึงจำเป็นต้องยุบสภา เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูกต้อง
  2. ในกรณีที่รัฐบาลเห็นว่า ในขณะที่จะยุบสภานั้น คะแนนนิยมของรัฐบาลกำลังดี และหากมีการเลือกตั้งใหม่ในขณะนั้น ฝ่ายรัฐบาลจะมีโอกาสได้รับชัยชนะ ได้ที่นั่งในสภามากมีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลอีกจึงทำการยุบสภาเสีย
  3. ในกรณีที่มีการขัดแย้งกันระหว่างสภาสูง (วุฒิสภา) กับสภาล่าง (สภาผู้แทนราษฎร)ในการพิจารณาหรือจัดทำกฎหมาย
  4. ในกรณีที่ประมุขของรัฐยุบสภาเมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติหลักเกณฑ์การยุบสภาไว้ในมาตรา 108 ดังนี้

“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่

การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน”

จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่าในการยุบสภาจะต้องมีหลักเกณฑ์ดังนี้คือ

  1. การยุบสภาเป็นพระราชอานาจของพระมหากษัตริย์ เนื่องจากพระองค์เป็นประมุขแห่งรัฐและทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่ ซึ่งโดยหลักปฏิบัติแล้วพระองค์จะทรงใช้พระราชอำนาจนั้นก็ต่อเมื่อนายกรัฐมนตรีทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชานุญาตเท่านั้น
  2. การยุบสภาผู้แทนราษฎรต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา และต้องมีการกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไป ภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า 45 วัน แต่ไม่เกิน 60 วัน นับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร
  3. การยุบสภาจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน กล่าวคือ หากจะมีการยุบสภาอีกครั้ง จะอ้างเหตุผลหรือเหตุการณ์ที่ใช้ในการยุบสภาครั้งก่อนไม่ได้
  4. ในกรณีที่มีการเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีโดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว จะมีการยุบสภาไม่ได้ เว้นแต่จะมีการถอนญัตติ หรือการลงมตินั้นไม่ได้คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร (มาตรา 158)

 

ข้อ. 2 จงอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องต่อไปนี้ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

  1. ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ ที่มาของอำนาจบริหาร
  2. การถ่วงดุลและตรวจสอบระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ
  3. หลักที่นำมาใช้เกี่ยวกับที่มาของอำนาจและการถ่วงดุลตรวจสอบอำนาจตาม 1 และ 2 ควรมีหลักอะไรบ้าง ยกตัวอย่างมา 5 หลัก

ธงคำตอบ

  1. ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร

1) อำนาจนิติบัญญัติ

อำนาจนิติบัญญัติมี “รัฐสภา” เป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งรัฐสภาจะประกอบไปด้วย “สภาผู้แทนราษฎร” และ “วุฒิสภา’’

และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติเกี่ยวกับที่มาของอำนาจนิติบัญญัติไว้ดังนี้ คือ

(ก) สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ประกอบด้วยสมาชิก 500 คน ซึ่งมาจากประชาชนผ่านกระบวนการเลือกตั้ง โดยการกำกับดูแลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง

(1)     เป็นสมาชิกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 375 คน และ

(2)     เป็นสมาชิกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ 125 คน

และผู้ที่จะสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องสังกัดหรือเป็นสมาชิก

พรรคการเมือง

(ข) วุฒิสภา (ส.ว.) ประกอบด้วยสมาชิก 150 คน ซึ่งมาจาก

–        การเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน รวม 77 คน

–        การสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหา รวม 73 คน

2) อำนาจบริหาร

อำนาจบริหารที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฯ ได้แก่ คณะรัฐมนตรี ซึ่งประกอบด้วย

(1)     นายกรัฐมนตรี จำนวน 1 คน เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี

(2)     รัฐมนตรี จำนวนไม่เกิน 35 คน ซึ่งมีตำแหน่งหลากหลาย เช่น รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ

นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เท่านั้น ส่วนรัฐมนตรีนั้น นายกรัฐมนตรีจะแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายบัญญัติ แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีจะเป็น ส.ว. ในขณะที่เป็นรัฐมนตรีอยู่ไม่ได้

  1. การถ่วงดุลและตรวจสอบระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ

1)      อำนาจนิติบัญญัติ อาจถูกควบคุมตรวจสอบได้โดยฝ่ายตุลาการ เช่น ฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นฝ่ายบัญญัติกฎหมาย ถ้ามีการบัญญัติกฎหมายออกมาแย้งหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญ ก็จะต้องมีการตรวจสอบโดยฝ่ายตุลาการ คือ ศาลรัฐธรรมนูญ และอาจจะถูกควบคุมโดยฝ่ายบริหาร เช่น การที่ฝ่ายบริหารไม่เสนอกฎหมายให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณา หรือเสนอกฎหมายไปแล้วแต่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่ให้ความเห็นชอบ ฝ่ายบริหารก็สามารถยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ก็ได้

2)      อำนาจบริหาร อาจถูกควบคุมตรวจสอบได้โดยฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น การไม่ให้ความเห็นชอบต่อกฎหมายที่ฝ่ายบริหารเสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณา การควบคุมตรวจสลบการทำงานของฝ่ายบริหาร เช่น การตั้งกระทู้ถาม การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ การตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร เป็นต้น

หรืออาจถูกตรวจสอบโดยฝ่ายตุลาการคือโดยศาลปกครอง

3)      อำนาจตุลาการ การใช้อำนาจตุลาการนั้น อาจถูกควบคุมหรือถ่วงดุลได้โดยฝ่ายนิติบัญญัติ เช่น ฝ่ายนิติบัญญัติ ได้บัญญัติกฎหมายให้ฝ่ายตุลาการหรือศาลใช้อำนาจตามกฎหมายได้เพียงเท่าที่กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติได้บัญญัติไว้เท่านั้น และในบางกรณีกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของฝ่ายนิติบัญญัติก็เป็นกฎหมายที่เสนอโดยฝ่ายบริหาร ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ถือว่าฝ่ายบริหารได้เข้ามาควบคุมถ่วงดุลการใช้อำนาจของฝ่ายตุลาการนั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจะไม่มีอำนาจในการตรวจสอบอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีของฝ่ายตุลาการ

  1. หลักที่นำนาใช้เกี่ยวกับที่มาของอำนาจและการถ่วงดุลตรวจสอบอำนาจ

หลักที่จะนำมาใช้เกี่ยวกับที่มาของอำนาจและการถวงดุลตรวจสอบอำนาจทั้งสามนั้น มีหลักการที่สำคัญ ๆ อยู่หลายประการ เช่น

(1)     หลักความชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ การดำเนินการให้ได้มาซึ่งอำนาจต่าง ๆ นั้นจะต้องเป็นไปตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ จะแตกต่างไปจากที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ไม่ได้

(2)     หลักความรู้ความสามารถ เช่น การกำหนดคุณวุฒิของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือคุณวุฒิของผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรีว่าจะต้องเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกวาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า เป็นต้น

(3)     หลักความซื่อสัตย์สุจริต เช่น การกำหนดให้รัฐมนตรีต้องถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ก่อนเข้ารับหน้าที่ว่าจะต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน เป็นต้น

(4)     หลักความเหมาะสม เช่น การกำหนดว่า ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จะต้องไม่เป็นข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำ หรือความเป็นรัฐมนตรีจะต้องสิ้นสุดลงเมื่อต้องคำพิพากษาให้จำคุกเป็นต้น

(5)     หลักความเป็นธรรมหรือหลักความยุติธรรม เช่น การพิจารณาพิพากษาคดี หรือการวินิจฉัยคคของศาลจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม เป็นต้น

(6) หลักประโยชน์สาธารณะ กล่าวคือ การใช้อำนาจต่าง ๆ นั้น จะต้องเป็นการใช้อำนาจโดยมีจุดประสงค์เพื่อประโยชน์ชองประชาชนส่วนใหญ่ จะต้องไม่เป็นการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่มหรือบุคคลบางคนเท่านั้น

 

ข้อ 3. ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบัญญัติว่าการตรากฎหมายนั้นให้ตราในชื่อพระราชบัญญัติยกเว้นในมาตรา 138 ให้ตราในชื่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ให้นักศึกษาอธิบายกระบวนการขั้นตอนการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่ามีขั้นตอนอย่างไรบ้าง (สมมุติฐานว่าผ่านทุกขั้นตอน)

ธงคำตอบ

กระบวนการขั้นตอนในการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (โดยสมมุติฐานว่าผ่านทุกขั้นตอน) ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 142 – 153 มีดังนี้ คือ

การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาจะต้องเสนอแก้ไขเพิ่มเติมในชื่อ “ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา” โดยผู้มีอำนาจเสนอร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าว อาจจะเป็นคณะรัฐมนตรี หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่น้อยกว่า 20 คนก็ได้ และต้องเสนอร่างพระราชบัญญัติฯ นี้ ให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อน เมื่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาเสร็จแล้ว และได้ให้ความเห็นชอบ ก็จะต้องส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวให้วุฒิสภาพิจารณาต่อไป

การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาโดยสภาผู้แทนราษฎร จะแบ่งออกเป็น 3 วาระ คือ

วาระที่ 1 เรียกว่า “วาระรับหลักการ” เมื่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินี้แล้ว ก็จะลงมติว่ารับหลักการของร่างพระราชบัญญัติฯ นี้ แล้วจะส่งร่างพระราชบัญญัติฯ นี้ เข้าสู่การพิจารณาในวาระที่ 2 ต่อไป

วาระที่ 2 เรียกว่า “วาระพิจารณา” โดยสภาผู้แทนราษฎรจะตั้งคณะกรรมาธิการขั้นมาเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ นี้เรียงลำดับมาตรา ซึ่งในวาระนี้อาจมีการอภิปรายได้ แต่จะไม่มีการลงมติ และเมื่อพิจารณาเสร็จแล้วก็จะส่งเข้าสู่วาระที่ 3

วาระที่ 3 เรียกว่า “วาระให้ความเห็นชอบ” กล่าวคือ เมื่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาวาระที่ 2 เสร็จแล้ว ก็จะลงมติให้ความเห็นชอบ แล้วให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเสนอร่างพระราชบัญญัติฯ นี้ ต่อวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป

ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฯ ดังกล่าวของวุฒิสภา ก็จะพิจารณาเป็น 3 วาระเช่นเดียวกับสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวุฒิสภาได้ให้ความเห็นชอบด้วยกับสภาผู้แทนราษฎร ก็ถือว่าร่างพระราชบัญญัติฯ นี้ได้รับความเห็บชอบจากรัฐสภาแล้ว ก็ให้วุฒิสภาส่งต่อให้แก่นายกรัฐมนตรี

เมื่อนายกรัฐมนตรีได้รับร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว นายกรัฐมนตรีก็จะนำขึ้นทูลเกล้าฯถวายเพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยแล้ว ก็จะนำร่างพระราชบัญญัติฯ นี้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา แล้วให้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายได้โดยจะเรียกชื่อกฎหมายนี้ว่า “พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา…’’

 

ข้อ 4. นายแดงฟ้องการประปาส่วนภูมิภาคเป็นคดีต่อศาลปกครองกลาง ขอให้ใช้ค่าเสียหายที่ได้วางท่อน้ำรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของตน การประปาฯ ยื่นคำให้การว่า พ.ร.บ. การประปาส่วนภูมิภาคฯ เป็นกฎหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะ และมาตรา 30 วรรคสอง ที่ศาลจะใช้ตัดสินกับคดีได้กำหนดให้การประปาฯมีอำนาจวางท่อน้ำผ่านที่ดินของบุคคลใด ๆ ที่มิใช่ที่ตั้งสำหรับที่อยู่อาศัยโดยไม่ต้องจ่ายค่าทดแทนการใช้ที่ดิน กรณีท่อน้ำมีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่ถึง 80 เซนติเมตร ซึ่งท่อน้ำที่ได้วางในที่ดินของนายแดงมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 40 เซนติเมตร ดังนั้นจึงไม่ต้องจ่ายค่าทดแทนแม้กรณีนี้ยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัติดังกล่าวนี้ แต่กรณีเคยมีข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับคดีนี้มาแล้วโดยศาลจังหวัดนนทบุรีได้พิพากษาว่าการประปาสวนภูมิภาคมีสิทธิกระทำได้ไม่ถือเป็นการละเมิดและคดีถึงที่สุด หากระหว่างการพิจารณาคดีนายแดงได้มาปรึกษาท่านและกล่าวอ้างว่าแม้การใช้ที่ดินของตนในกรณีนี้ของการประปาฯ จะเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่ก็ทำให้สิทธิในทรัพย์สินของตนเสื่อมเสียจึงประสงค์จะให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามาตรา 30 วรรคสอง พ.ร.บ. การประปาส่วนภูมิภาคฯ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ดังนี้ ข้อกล่าวอ้างของนายแดงสามารถรับฟังได้หรือไม่ และท่านจะแนะนำนายแดงในกรณีนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 6 “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้”

มาตรา 41 “สิทธิของบุคคลในทรัพย์สินย่อมได้รับความคุ้มครอง ขอบเขตแห่งสิทธิและการจำกัดสิทธิเช่นว่านี้ย่อมเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา 211 วรรคแรก “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นด้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 6 และ

ยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการ เพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 211 วรรคแรก กรณีที่ศาลจะส่งความเห็นหรือข้อโต้แย้งเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยนั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองหรือคู่ความได้โต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญตามมาตรา 6

กรณีตามอุทาหรณ์ นายแดงจะสามารถใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ามาตรา 30 วรรคสอง พ.ร.บ. การประปาส่วนภูมิภาคฯ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้หรือไม่ และข้อกล่าวอ้างของนายแดงรับฟังได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 ข้อกล่าวอ้างของนายแดงรับฟังได้หรือไม่

กรณีนี้เห็นว่า แม้ตาม พ.ร.บ. การประปาส่วนภูมิภาคฯ จะเป็นกฎหมายเพื่อประโยชน์สาธารณะและตามมาตรา 30 วรรคสอง ซึ่งศาลจะใช้ตัดสินกับคดีได้กำหนดให้การประปาฯ มีอำนาจวางท่อน้ำผ่านที่ดินของบุคคลใด ๆ ที่มิใช่ที่ตั้งสำหรับที่อยู่อาศัยโดยไม่ต้องจ่ายค่าทดแทนการใช้ที่ดินก็ตาม แต่เมื่อการประปาได้วางท่อน้ำรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนายแดง แม้จะเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ แต่ก็ทำให้สิทธิในทรัพย์สินของนายแดงเสื่อมเสีย เมื่อตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 41 ได้บัญญัติรับรองคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินของนายแดง ดังนั้นข้อกล่าวอ้างของนายแดงจึงสามารถรับฟังได้

สรุป

ข้อกล่าวอ้างของนายแดงรับพังได้

ประเด็นที่ 2 นายแดงสามารถใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญกรณีดังกล่าวได้หรือไม่

ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 211 วรรคแรก ได้บัญญัติให้สิทธิแก่คู่ความในการโต้แย้งว่า บทบัญญัติที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ ตามมาตรา 6 หรือไม่ ซึ่งกรณีนี้บทบัญญัติที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดี คือ มาตรา 30 วรรคสอง พ.ร.บ. การประปาส่วนภูมิภาคฯ และเป็นบทบัญญัติที่ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยมาก่อน ดังนั้นนายแดงย่อมสามารถที่จะใช้สิทธิตามมาตรา 211 วรรคแรกได้ โดยการยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ศาลปกครองส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยว่ามาตรา 30 วรรคสอง พ.ร.บ. การประปาส่วนภูมิภาคฯขัดหรือแย้งต่อมาตรา 41 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 หรือไม่

สรุป

นายแดงสามารถใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 211 ได้

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมายถึงอะไร มีความแตกต่างจากการแก้ไขกฎหมายธรรมดาอย่างไร และตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องมีการให้ประชาชนลงประชามติ (Referendum) เพื่อให้ความเห็นชอบด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใดขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมายถึง การแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญทั้งในแง่ของการแก้ไขถ้อยคำหรือข้อความเดิม รวมทั้งการเพิ่มเติมถ้อยคำหรือข้อความใหม่

ในการจัดทำหรือการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น รัฐธรรมนูญจะมีวิธีการจัดทำหรือการแก้ไขโดยวิธีพิเศษและยากกว่าการจัดทำหรือการแก้ไขกฎหมายธรรมดา เนื่องจากเนื้อหาหรือหลักการอันเป็นสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญมีความเกี่ยวพันกับความมั่นคง ความเจริญของประเทศ และหลักประกันเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

ดังนั้น ผู้มีอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญจึงมักมีความห่วงใยในการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาหรือหลักการในรัฐธรรมนูญและพยายามป้องกันมิให้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขรัฐธรรมนูญกระทำได้โดยง่ายเหมือนกับการแก้ไขกฎหมายธรรมดา

ทั้งนี้เพื่อเป็นการควบคุมมิให้มีการแก้ไขอย่างพร่ำเพรื่อ จนทำให้รัฐธรรมนูญหมดความสำคัญในฐานะที่เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศได้

สำหรับกระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2550 มาตรา 291 นั้น ได้กำหนดให้กระทำตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ดังต่อไปนี้ คือ

(1)     ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องมาจากคณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา หรือจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคนตามกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมายญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่มีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ จะเสนอมิได้

(2)     ญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมและให้รัฐสภาพิจารณาเป็นสามวาระ

(3)     การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการ ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการแก้ไขเพิ่มเติมนั้น ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

(4)     การพิจารณาในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ต้องจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่เข้าชื่อเสนอร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมด้วย

การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา ให้ถือเอาเสียงข้างมากเป็นประมาณ

(5)     เมื่อการพิจารณาวาระที่สองเสร็จสิ้นแล้ว ให้รอไว้สิบห้าวัน เมื่อพ้นกำหนดนี้แล้วให้รัฐสภาพิจารณาในวาระที่สามต่อไป

(6)     การออกเสียงลงคะแนนในวาระที่สามขั้นสุดท้าย ให้ใช้วิธีเรียกชื่อและลงคะแนนโดยเปิดเผย และต้องมีคะแนนเสียงเห็นชอบด้วยในการที่จะให้ออกใช้เป็นรัฐธรรมนูญมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

(7)     เมื่อการลงมติได้เป็นไปตามที่กล่าวแล้ว ให้นำร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขั้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย และให้นำบทบัญญัติมาตรา 150 และมาตรา 151 มาใช้บังคับโดยอนุโลม

จากบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ ดังกล่าวข้างต้น จึงเห็นได้ว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามรัฐธรรมนูญฯ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันนี้นั้น ได้กำหนดให้รัฐสภาเป็นผู้ดำเนินการพิจารณาแก้ไขโดยไม่จำต้องให้ประชาชนลงประชามติให้ความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับการแก้ไขด้วยแต่อย่างใด

 

ข้อ 2. จงอธิบายว่า ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 นั้น

(1)     ได้เปลี่ยนแปลงเป็นระบอบประชาธิปไตยในระบบใดบ้าง

(2)     ได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาแล้วทั้งสิ้นกี่ฉบับ

(3)     สาเหตุของการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับมีข้ออ้างต่าง ๆ กัน แต่แท้จริงแล้วปัญหาอยู่ที่ผู้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญไม่ใช้อำนาจให้เป็นไปตามหลักของการใช้อำนาจ

ถามว่าผู้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญไม่ใช้อำนาจให้เป็นไปตามหลักการใช้อำนาจนั้นมีหลักการสำคัญอะไรบ้าง ให้ยกตัวอย่างมาห้าประการ พร้อมคำอธิบายหลักการแต่ละหลักการนั้นด้วย

ธงคำตอบ

นับตั้งแต่ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 นั้น

  1. ได้เปลี่ยนแปลงเป็นระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาเพียงอย่างเดียวจนถึงปัจจุบันเพียงแต่การเปลี่ยนแปลงนั้นมีผลทำให้ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ ที่มาของอำนาจบริหาร และที่มาของอำนาจตุลาการมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยเฉพาะอำนาจนิติบัญญัตินั้นมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด โดยรัฐธรรมนูญบางฉบับได้กำหนดให้อำนาจนิติบัญญัติคือรัฐสภามีเพียงสภาเดียว และมีสมาชิกสภามาจากการแต่งตั้งทั้งหมด บางฉบับกำหนดให้มีสภาเดียว แต่มีสมาชิก 2 ประเภท คือมาจากการเลือกตั้งและการแต่งตั้ง และรัฐธรรมนูญบางฉบับกำหนดให้รัฐสภามี 2 สภา คือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา
  2. ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญมาแล้ว 18 ฉบับ ได้แก่

(1)     รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2475

(2)     รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2475

(3)     รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2489

(4)     รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2490

(5)     รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2492

(6)     รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2495

(7)     ธรรมนูญการปกครองฯ พ.ศ. 2502

(8)     รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2511

(9)     ธรรมนูญการปกครองฯ พ.ศ. 2515

(10)   รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2517

(11)   รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2519

(12)   ธรรมนูญการปกครองฯ พ.ศ. 2520

(13)   รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2521

(14) รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2534

(15)   รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2534

(16)   รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540

(17) รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2549

(18)   รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นฉบับปัจจุบัน

  1. ในการใช้อำนาจ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการนั้นผู้ใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญ จะต้องใช้อำนาจให้เป็นไปตามหลักการใช้อำนาจ ซึ่งหลักการใช้อำนาจที่สำคัญมีอยู่หลายประการ เช่น

(1)     หลักความเสมอภาค เนื่องจากมนุษย์นั้นเมื่อเกิดมาทุกคนย่อมมีสิทธิและเสรีภาพเสมอภาคเท่าเทียมกัน ไม่มีผู้ใดที่จะมีสิทธิมากกว่าผู้อื่น ดังนั้นทุกคนย่อมมีสิทธิเท่าเทียมและเสมอภาคกัน การที่ผู้ใดผู้หนึ่งจะมีอำนาจหรือมีสิทธิมากกว่าผู้อื่นนั้น จะต้องมาจากกฎหมายอันเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปของประชาชนเท่านั้น

(2) หลักความสุจริตและยุติธรรม หมายความว่า ในการใช้อำนาจต่าง ๆ นั้น ผู้ใช้อำนาจจะต้องได้ใช้อำนาจไปโดยสุจริตและเป็นการใช้อำนาจที่อยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม

(3)     หลักประโยชน์สาธารณะ หมายความว่า การใช้อำนาจนั้น ผู้ใช้อำนาจจะต้องใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นการส่วนรวมมิใช่เป็นการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์แก่บุคคลใด หรือกลุ่มบุคคลใดเป็นการเฉพาะ

(4)     หลักประโยชน์ของชาติของประชาชน หมายความว่า การใช้อำนาจต่าง ๆ นั้นไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางปกครองหรืออำนาจในการออกกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ นั้น ก็ต้องเป็นการใช้อำนาจเพื่อคุ้มครอง ปกป้องสิทธิ เสรีภาพ และผลประโยชน์ของชาติของประชาชนเป็นสำคัญ

(5)     หลักการควบคุมและตรวจสอบ หมายความว่า ในการใช้อำนาจของผู้ใช้อำนาจนั้นจะต้องสามารถควบคุมและตรวจสอบได้ว่าเป็นการใช้อำนาจที่ชอบด้วยกฎหมายหรือชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่

(6)     หลักการมีส่วนร่วม หมายความว่า ผู้ที่จะมีอำนาจในการใช้อำนาจต่าง ๆ นั้นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ กล่าวคือประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการเลือกบุคคลที่จะไปเป็นผู้ใช้อำนาจต่าง ๆ ด้วยนั่นเอง

 

ข้อ 3. สมาคมอนุรักษ์ป่าไม้ไทยเห็นว่า พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 53 ที่ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจตรวจการแปรรูปไม้และกิจการของผู้รันอนุญาตได้นั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 33 เนื่องจากเป็นการละเมิดเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จึงยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ผู้ตรวจการแผ่นดิน ทั้งสององค์กรยกคำร้อง สมาคมจึงยื่นคำร้องต่อศาลปกครองกลาง ศาลปกครองกลางได้มีคำวินิจฉัยยกคำร้อง คดีถึงที่สุดแล้ว สมาคมอนุรักษ์ป่าไม้ไทยจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ โดยอาศัยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 212ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 212 “บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้

การใช้สิทธิตามวรรคหนึ่งต้องเป็นกรณีที่ไม่อาจใช้สิทธิโดยวิธีการอื่นได้แล้ว ทั้งนี้ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ”

วินิจฉัย

แม้ว่าพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 53 ที่ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจตรวจการแปรรูปไม้และกิจการของผู้รับอนุญาตไต้นั้น เป็นกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 33 เนื่องจากเป็นการละเมิดเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ แต่กรณีผู้ที่จะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามบทบัญญัติมาตรา 212 นั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตามที่กฎหมายไต้กำหนดไว้ (คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ 3/2551) ดังนี้ คือ

(1)     ต้องเป็นบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ อันสืบเนื่องมาจากบทบัญญัติแห่งกฎหมาย

(2)     บุคคลนั้นต้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ และ

(3)     ต้องเป็นกรณีที่บุคคลนั้นไม่อาจใช้สิทธิโดยวิธีการอื่นได้แล้วซึ่งหลักเกณฑ์ตามข้อ (1) ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 212 วรรคแรกตอนต้น เกี่ยวกับบุคคลผู้มีสิทธิในการยืนคำร้องนั้น รัฐธรรมนูญมิได้กำหนดให้ประชาชนทุกคนสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่กำหนดไว้วาบุคคลผู้มีสิทธิยื่นคำร้องต้องเป็นบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายแล้วจริง ต้องมีการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพจริงเกิดขึ้นขณะที่บุคคลนั้นยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ และต้องเป็นความเสียหายของบุคคลนั้นเองด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าสมาคมอนุรักษ์ป่าไม้ไทยไม่อาจใช้สิทธิโดยวิธีอื่นได้แล้วตามหลักเกณฑ์ข้อ (3) ก็ตาม แต่ถือว่าสมาคมอนุรักษ์ป่าไม้ไทยไม่ใช่บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้โดยตรงตามมาตรา 212 ดังนั้นสมาคมอนุรักษ์ป่าไม้ไทยจึงไม่อาจเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ได้

สรุป

สมาคมอนุรักษ์ป่าไม้ไทยจะยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้วินิจฉัยเรื่องดังกล่าวโดยอาศัยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 212 ไม่ไต้

 

 

ข้อ 4. เพื่อเป็นพื้นฐานสำหรับการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคม*ของรัฐตามรัฐธรรมนูญฯ คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้สำนักงานสถิติแห่งชาติฯ โอนข้อมูลส่วนบุคคลจากการดำเนินการสำมะโนประชากรทั้งประเทศครั้งล่าสุด ตาม พ.ร.บ. สถิติ พ.ศ. 2550 ที่ได้สำรวจจำนวนประชากร ที่อยู่อาศัยสถานที่ทำงานของบุคคล รายได้โดยให้โอนข้อมูลดังกล่าวที่ได้มาแล้วให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติงานอย่างใดอย่างหนึ่งขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าหากนายเอกไม่เห็นด้วยกับมติของคณะรัฐมนตรี และ พ.ร.บ. สถิติ พ.ศ. 2550 มาตรา 9 ที่บัญญัติว่า “เมื่อหน่วยงานจะมีการจัดทำสำมะโนหรือการสำรวจตัวอย่างที่ประสงค์จะกำหนดให้เป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องให้ข้อมูล …” เพราะเป็นการก้าวล่วงไปบังคับสิทธิและเสรีภาพของบุคคลและข้อมูลส่วนบุคคล จึงได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายของมติคณะรัฐมนตริดังกล่าว และมาตรา 9 พ.ร.บ. สถิติ พ.ศ. 2550

ดังนี้ ให้ทำนวินิจฉัยว่าผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญฯ ที่จะรับเรื่องร้องเรียนของนายแดงไว้พิจารณาได้หรือไม่ และกรณีดังกล่าวนี้มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายหรือไม่ และผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องดำเนินการในกรณีนี้อย่างไรต่อไป หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 35 “สิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง ตลอดจนความเป็นอยู่ส่วนตัวย่อมได้รับการคุ้มครอง

การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลาย ซึ่งข้อความหรือภาพไม่ว่าด้วยวิธีใดไปยังสาธารณชน อันเป็นการละเมิดหรือกระทบถึงสิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสิยง หรือความเป็นอยู่ส่วนตัว จะกระทำมิได้

เว้นแต่กรณีทีเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

บุคคลยอมมีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากการแสวงประโยชน์โดยมิชอบจากข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตน ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ”

มาตรา 244 “ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(1)     พิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนดังต่อไปนี้

(ก) การไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น

(ข) การปฏิบัติหรือละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่นที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียนหรือประชาชนโดยไม่เป็นธรรม ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ก็ตาม

(ค) การตรวจสอบการละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรในกระบวนการยุติธรรม ทั้งนี้ไม่รวมถึงการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาล

(ง) กรณีอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ

(2)…..

(3)…..

(4)…..

การใช้อำนาจหน้าที่ตาม (1) (ก) (ข) และ (ค) ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการเมื่อมีการร้องเรียน เว้นแต่เป็นกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าการกระทำดังกล่าวมีผลกระทนต่อความเสียหายของประชาขนส่วนรวมหรือเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจพิจารณาและสอบสวนโดยไม่มีการร้องเรียนได้”

มาตรา 245 “ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้เมื่อเห็นว่ามีกรณีดังต่อไปนี้

(1)…..

(2) กฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดของบุคคลใดตามมาตรา 244 (1) (ก) มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครองและให้ศาลปกครอง พิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง”

วินิจฉัย

การที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้สำนักงานสถิติแห่งชาติฯโอนข้อมูลส่วนบุคคลจากการดำเนินการสำมะโนประชากรทั้งประเทศครั้งล่าสุดให้แก่องค์กรปกครองส่วนห้องถิ่นดังกล่าวนั้น มติของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวถือว่าเป็น “กฎ” และเป็นการออกกฎที่ขัดกับหลักการคุ้มครองสิทธิของบุคคลตามมาตรา 35

เมื่อนายเอกไม่เห็นด้วยกับมติของคณะรัฐมนตรีดังกล่าว เพราะเป็นการก้าวล่วงไปบังคับสิทธิและเสรีภาพของบุคคลและข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายเอกได้ ดังนั้น เมื่อนายเอกได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อให้ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว ผู้ตรวจการแผ่นดินย่อมมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญฯ ที่จะรับเรื่องร้องเรียนของนายแดงไว้พิจารณาได้ ตามมาตรา 244

ส่วนกรณีที่นายเอกได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและกฎหมายของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว และมาตรา 9 พ.ร.บ. สถิติ พ.ศ. 2550 กล่าวคือให้ตรวจสอบว่าในการออก “กฎ” ของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวนั้นเป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย หรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของคณะรัฐมนตรีหรือไม่ กรณีจึงถือว่ามติของคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นกฎนั้นมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ดังนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครองเพื่อให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา 245 (2)

สรุป

ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญฯ ที่จะรับเรื่องร้องเรียนของนายแดงไว้พิจารณาได้ตามมาตรา 244

มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย และผู้ตรวจการแผ่นดิน จะต้องเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครองเพื่อให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา 245 (2)

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสุริยันได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของนางจันทราตามคำพิพากษาของศาล แต่หลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้วนายสุริยันก็ไม่ได้ไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อในโฉนดที่ดินให้เป็นของตนต่อมานายสุริยันตกลงขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้นายอาทิตย์ และนัดวันไปทำการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินกันที่สำนักงานที่ดินพร้อมกับชำระราคา เมื่อถึงวันนัดนายสุริยันและนายอาทิตย์ไปพบกันที่สำนักงานที่ดินตามนัดหมาย และยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนการซื้อขายที่ดินระหว่านายสุริยันและนายอาทิตย์ แต่เจ้าพนักงานที่ดินปฏิเสธไม่ยอมรับจดทะเบียนโดยอ้างว่านายสุริยันไม่ใช่เจ้าของที่ดินแปลงที่จะขายเนื่องจากไม่ปรากฏชื่อนายสุริยันในโฉนดดังกล่าว นายสุริยันจึงแสดงสำเนาคำพิพากษาของศาลต่อเจ้าพนักงานที่ดินให้ทราบว่าตนมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่จะขายอย่างแท้จริง แต่เจ้าพนักงานที่ดินยังปฏิเสธว่าไม่สามารถจดทะเบียนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินได้ เพราะยังปฏิบัติไม่ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

ให้นักศึกษาอธิบายว่า หลักกฎหมายดังกล่าวคือมาตราใด มีหลักเกณฑ์อย่างใด และเจ้าพนักงานที่ดินอธิบายถูกต้องตามหลักกฎหมายหรือไม่ จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคสอง “ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว”

วินิจฉัย

หลักเกณฑ์ตามบทบัญญัติมาตรา 1299 วรรคสอง มีดังนี้

  1. เป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
  2. โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม เช่น การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยการรับมรดก การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยคำพิพากษาของศาลเป็นต้น
  3. สิทธิของผู้ได้มาย่อมบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิ
  4. ผู้ได้มาซึ่งสิทธิดังกล่าวจะต้องจดทะเบียนการได้มา ถ้ายังไม่ได้จดทะเบียนจะมีผลตามกฎหมายคือ

(1)     จะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้

(2)     จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทน และโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสุริยันได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งของนางจันทราตามคำพิพากษาของศาลนั้น ถือว่านายสุริยันได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมตามมาตรา 1299 วรรคสอง ดังนั้น แม้ว่าสิทธิของนายสุริยันจะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิ นายสุริยันก็จะต้องนำสิทธิดังกล่าวไปจดทะเบียนด้วย (ดามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 78) ถ้านายสุริยันมิได้นำสิทธิดังกล่าวไปจดทะเบียนย่อมมีผลตามกฎหมายคือจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้ว นายสุริยันก็ไม่ได้ไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อในโฉนดที่ดินให้เป็นชื่อของตน ดังนี้นายสุริยันจะเอาที่ดินแปลงดังกล่าวไปทำนิติกรรมโดยการจดทะเบียนโอนขายให้แก่นายอาทิตย์ไม่ได้ เพราะหลักฐานทางทะเบียนยังเป็นชื่อของนางจันทราเนื่องจากนายสุริยันยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มา ดังนั้น การที่นายสุริยันตกลงขายที่ดินให้นายอาทิตย์ และได้ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจดทะเบียนการซื้อขายที่ดินระหว่างนายสุริยันและนายอาทิตย์ แต่เจ้าพนักงานที่ดินปฏิเสธไม่ยอมรับการจดทะเบียนโดยอ้างว่านายสุริยันไม่ใช่เจ้าของที่ดินแปลงที่จะขายเนื่องจากไม่ปรากฏชื่อนายสุริยันในโฉนดดังกล่าว และนายสุริยันยังปฏิบัติไม่ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์นั้นถือว่าเจ้าพนักงานที่ดินได้อธิบายถูกต้องตามหลักกฎหมายมาตรา 1299 วรรคสอง แล้ว

สรุป

ตามอุทาหรณ์ เป็นเรื่องหลักกฎหมายมาตรา 1299 วรรคสอง และการอธิบายของเจ้าพนักงานที่ดินถูกต้องตามหลักกฎหมายดังกล่าว

 

ข้อ 2. ขุนช้างสร้างบ้านลงบนที่ดินมีโฉนดของตนหนึ่งหลังใน พ.ศ. 2555 ต่อมาในปี พ.ศ. 2558 ขุนช้างได้ต่อเติมบ้านให้กว้างขึ้นโดยก่อนต่อเติมได้ขอให้ขุนแผนซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงติดกันมาทำการชี้ระวังแนวเขต แล้วจึงทำการก่อสร้างต่อเติมบ้าน หลังจากต่อเติมเสร็จขุนช้างพบว่า หลังคาบ้านของส่วนที่ต่อเติมใหม่รุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของขุนแผนเป็นระยะ 30 เซนติเมตร ตลอดแนวยาวของหลังคาด้านที่ติดต่อระหว่างที่ดินของขุนช้างและขุนแผน ขุนแผนจึงขอให้ขุนช้างรื้อถอนส่วนที่สร้างรุกล้ำ

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าขุนช้างจะต้องรื้อถอนบ้านที่สร้างรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของขุนแผนหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1312 “บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้น และจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้

ถ้าบุคคลผู้สร้างโรงเรือนนั้นกระทำการโดยไม่สุจริต ท่านว่าเจ้าของที่ดินจะเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอนไป และทำที่ดินให้เป็นตามเดิมโดยผู้สร้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายก็ได้”

วินิจฉัย

การสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตที่จะได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1312 นั้น จะต้องเป็นกรณีปลูกสร้างโรงเรือนทั้งหลัง แล้วส่วนหนึ่งส่วนใดของโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นมิใช่กรณีต่อเติมโรงเรือนในภายหลัง แล้วส่วนที่ต่อเติมนั้นรุกล้ำเข้าไป

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ขุนช้างได้ต่อเติมบ้านให้กว้างขึ้น และหลังจากต่อเติมเสร็จขุนช้างพบว่าหลังคาบ้านของส่วนที่ต่อเติมใหม่รุกล้ำเข้าไปในเขตที่ดินของขุนแผนเป็นระยะ 30 เซนติเมตรตลอดแนวยาวของหลังคาด้านที่ติดต่อระหว่างที่ดินของขุนช้างและขุนแผน ถึงแม้ว่าขุนช้างจะทำการต่อเติมโดยสุจริต กล่าวคือ ก่อนต่อเติมขุนช้างได้ขอให้ขุนแผนซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงติดกันมาทำการชี้ระวังแนวเขตที่ดินแล้วก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงเป็นเรื่องของการต่อเติมโรงเรือนภายหลัง มิใช่เป็นการปลูกสร้างโรงเรือนขึ้นทั้งหลัง แล้วส่วนหนึ่งส่วนใดของโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น ขุนช้างจึงไม่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1312ดังนั้น เมื่อขุนแผนขอให้ขุนช้างรื้อถอนส่วนที่สร้างรุกล้ำ ขุนช้างจะต้องรื้อถอนหลังคาบ้านส่วนที่สร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของขุนแผน

สรุป

ขุนช้างจะต้องรื้อถอนบ้านในส่วนที่ต่อเติมรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของขุนแผน

 

ข้อ 3. นายหนึ่งได้ทำการปลูกต้นผลไม้บนที่ดินในเขตป่าสงวนซึ่งเป็นที่ดินตาม พ.ร.บ. ป่าสงวนฯ มาตรา 14 บัญญัติว่าในเขตป่าสงวนห้ามผู้ใดยึดถือครอบครองทำประโยชน์ นายสองผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินข้างเคียงซึ่งมีชื่อใน ส.ค.1 ตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ทำการปลูกสร้างโรงเรือนล้ำเข้าไปในที่ดินของนายหนึ่ง นายหนึ่งจึงฟ้องคดีต่อศาลเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองภายใน 3 เดือน นับแต่เวลาที่นายสองได้ทำการปลูกสร้างโรงเรือนแล้วเสร็จ

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่านายหนึ่งมีสิทธิขอปลดเปลื้องการรบกวนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1304 “สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น

(1) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดิน”

มาตรา 1374 “ถ้าผู้ครอบครองถูกรบกวนในการครอบครองทรัพย์สิน เพราะมีผู้สอดเข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะให้ปลดเปลื้องการรบกวนนั้นได้ ถ้าเป็นที่น่าวิตกว่าจะยังมีการรบกวนอีก ผู้ครอบครองจะขอต่อศาลให้สั่งห้ามก็ได้

การฟ้องคดีเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนนั้น ท่านว่าต้องฟ้องภายใน 1 ปีนับแต่เวลาถูกรบกวน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งได้ทำการปลูกต้นผลไม้บนที่ดินในเขตป่าสงวนซึ่งเป็นที่ดินตาม พ.ร.บ. ป่าสงวนฯ และเป็นที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1304 (1) นั้น ย่อมถือว่าเป็นการเข้าไปครอบครอง เดินโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งนายหนึ่งไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ขึ้นต่อสู้กับรัฐได้ แต่อย่างไรก็ตามในระหว่างราษฎรด้วยกันเอง นายหนึ่งซึ่งเข้าครอบครองที่ดินนั้นอยู่ก่อนนายสอง ย่อมสามารถยกเอาการยึดถือครอบครองก่อนขึ้นใช้ยันนายสองที่เข้ามารบกวนการครอบครองของตนได้

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายสองได้ทำการปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินที่นายหนึ่งครอบครองอยู่โดยมิชอบด้วยกฎหมาย นายหนึ่งย่อมมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองนั้นได้ ตามมาตรา 1374 วรรคหนึ่ง แต่จะต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกรบกวนตามมาตรา1374 วรรคสอง และเมื่อข้อเท็จจริงนั้นนายหนึ่งได้ฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนดังกล่าวภายใน 3 เดือนนับแต่เวลาที่นายสองได้ทำการปลูกสร้างโรงเรือนแล้วเสร็จ ซึ่งยังไม่เกินกำหนด 1 ปี ดังนั้น นายหนึ่งจึงมีสิทธิฟ้องขอให้ปลดเปลื้องการรบกวนได้

สรุป

นายหนึ่งมีสิทธิฟ้องต่อศาลเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนดังกล่าวได้

 

ข้อ 4. นายเอกเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดซึ่งอยู่ติดกับที่ดิน น.ส.3 ของนายโทที่อยู่ติดกับทางสาธารณะนายเอกได้รับอนุญาตจากนายโทในการใช้ทางเดินบนที่ดินของนายโทผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะ ย่อมถือได้ว่านายเอกได้มาซึ่งภาระจำยอมโดยนิติกรรมแล้ว นายเอกจึงแจ้งให้นายโทไปจดทะเบียนภาระจำยอมให้ตน แต่นายโทไม่ยอมไปจดทะเบียนภาระจำยอมให้ นายเอกก็ยังคงใช้ทางเดินบนที่ดินของนายโทเรื่อยมาโดยอาการที่ถือว่าตนมีสิทธิใช้และนายโทก็มิได้แจ้งความดำเนินคดีหรือยื่นฟ้องนายเอกต่อศาลแต่อย่างใด เมื่อปรากฏว่านายเอกเข้าใช้สิทธิบนที่ดินของนายโทติดต่อกันเรื่อยมาตั้งแต่ พ.ศ. 2545 – 2556

ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่านายเอกได้มาซึ่งภาระจำยอมบนที่ดินของนายโทโดยอายุความหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1387 “อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น”

มาตรา 1401 ‘‘ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

วินิจฉัย

การได้ภาระจำยอมตามมาตรา 1387 โดยอายุความครอบครองปรปักษ์นั้น ถือเป็นการได้ทรัพยสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม ซึ่งตามมาตรา 1401 นั้น บัญญัติให้นำอายุความได้สิทธิตามมาตรา 1382 มาบังคับใช้โดยอนุโลม กล่าวคือ ต้องเป็นกรณีที่เจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์ โดยความสงบ เปิดเผย และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในภารยทรัพย์ โดยต้องใช้ประโยชน์ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกได้มาซึ่งภาระจำยอมโดยนิติกรรมในการใช้ทางเดินบนที่ดินของนายโทผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะนั้น เมื่อยังมิได้มีการจดทะเบียนย่อมไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิตามมาตรา 1299 วรรคหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม แม้การได้ภาระจำยอมโดยนิติกรรมของนายเอกจะไม่บริบูรณ์ แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายเอกได้ใช้ทางเดินดังกล่าวของนายโทเรื่อยมาโดยอาการที่ถือว่าตนมีสิทธิใช้และนายโทก็มิได้แจ้งความดำเนินคดีหรือยื่นฟ้องนายเอกต่อศาลแต่อย่างใด ย่อมถือว่า นายเอกได้ใช้ทางเดินนั้นโดยมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมโดยเปิดเผย และโดยความสงบ และเมื่อนายเอกได้ใช้สิทธิบนที่ดินของนายโทติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปีแล้ว นายเอกย่อมได้ภาระจำยอมบนที่ดินของนายโทโดยอายุความตามมาตรา 1401 ประกอบมาตรา 1382 (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 4991/2551)

สรุป

นายเอกได้มาซึ่งภาระจำยอมบนที่ดินของนายโทโดยอายุความ

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 นายดำและนางแดงแต่งงานอยู่กินกันมาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ต่อมาทั้งคู่ตกลงที่จะแยกกันอยู่โดยดำบอกแดงว่าเมื่อแยกกันอยู่แล้วจะให้แดงอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินแปลงหนึ่งของตนตลอดชีวิตของแดง ซึ่งเป็นที่ดินที่ดำได้มาก่อนที่ดำจะมาอยู่กินกับแดง เมื่อแยกกันอยู่แล้ว ดำได้ส่งมอบที่ดินแปลงนั้นให้แดงครอบครองทำกิน แต่ไม่ยอมไปจดทะเบียนสิทธิในที่ดินแปลงนั้นให้แดง แดงจะฟ้องร้องบังคับคดีให้ดำไปจดทะเบียนสิทธิตามที่ดำสัญญาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมนั้น จะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิได้ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งถ้าฝ่าฝืนจะมีผลเป็นเพียงบุคคลสิทธิ ใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้ (มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายดำและนางแดงแต่งงานอยู่กินกันโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสและต่อมาทั้งสองตกลงที่จะแยกกันอยู่ โดยนายดำบอกกับนางแดงว่าเมื่อแยกกันอยู่แล้วจะให้นางแดงอยู่อาศัยและทำกินในที่ดินแปลงหนึ่งของตนตลอดชีวิตของนางแดง ซึ่งเป็นที่ดินที่นายดำได้มาก่อนที่นายดำจะมาอยู่กินกับนางแดงนั้น เป็นกรณีที่นายดำได้ทำสัญญาตกลงให้สิทธิทำกินซึ่งเป็นทรัพยสิทธิประเภทหนึ่งให้แก่นางแดง ถือว่านางแดงได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม และเมื่อการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิดังกล่าวไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ การได้มาของนางแดงจึงยังไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ แต่ยังมีผลใช้บังคับกันได้ระหว่างคู่กรณีในฐานะบุคคลสิทธิ และใช้บังคับกันได้ตามข้อตกลงในสัญญา แต่เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในสัญญานั้น การที่นายดำให้นางแดงมีสิทธิทำกินในที่ดินของตน ไม่มีข้อตกลงว่าจะไปจดทะเบียนให้ ดังนั้นนางแดงจะฟ้องร้องบังคับคดีให้นายดำไปจดทะเบียนสิทธิตามที่นายดำสัญญาไม่ได้

สรุป

นางแดงจะฟ้องร้องบังคับคดีให้นายดำไปจดทะเบียนสิทธิตามที่นายดำสัญญาไม่ได้เพราะการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวของนางแดงไม่บริบูรณ์ตามมาตรา 1299 วรรคหนึ่ง

 

ข้อ 2. นายน้อยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์มือสองคันหนึ่งจากร้านวินมอเตอร์ซึ่งประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์มือสองมาเป็นเวลากว่าสิบปี โดยตกลงผ่อนชำระงวดละ 3,000 บาท 12 งวด หลังจากนายน้อยชำระค่าเช่าซื้อไปได้ 6 งวด นายหนึ่งเจ้าของรถที่แท้จริงได้ติดตามมาทวงรถคืนจากนายน้อย ดังนี้ให้ท่านไห้คำแนะนำแก่นายน้อยว่านายน้อยจะต้องคืนรถจักรยานยนต์แก่นายหนึ่งหรือไม่ นายน้อยจะมีข้อต่อสู้ใด ๆ ตามกฎหมายที่จะต่อสู้นายหนึ่งได้บ้าง จงอธิบาย

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1332 “บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด หรือในท้องตลาดหรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา ”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดของเอกชน หรือในท้องตลาดหรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ย่อมได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1332 คือ แม้เจ้าของทรัพย์สินที่แท้จริงจะติดตามทวงคืน ก็ไม่จำต้องคืนทรัพย์สินให้แก่เจ้าของ เว้นแต่เจ้าของทรัพย์สินนั้นจะชดใช้ราคาที่ตนซื้อมา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายน้อยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์มือสองคันหนึ่งจากร้านวินมอเตอร์ ซึ่งประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์มือสองมาเป็นเวลากว่าสิบปีนั้น แม้ว่านายน้อยจะได้เช่าซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายน้อยได้ชำระค่าเช่าซื้อไปแล้วเพียง 6 งวด จากที่ตกลงผ่อนชำระกัน 12 งวด ย่อมไม่ถือว่านายน้อยเป็นบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินตามนัยของมาตรา 1332 เพราะการเช่าซื้อทรัพย์สินอันจะถือว่าอยู่ในความหมายของการซื้อทรัพย์สินตามนัยของมาตรา 1332 นั้น จะต้องได้มีการผ่อนชำระค่าเช่าซื้อจนครบทุกงวดแล้ว ดังนั้น เมื่อนายน้อยมิใช่เป็นบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินตามนัยของมาตรา 1332 นายน้อยจึงไม่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 1332

เมื่อนายหนึ่งเจ้าของรถที่แท้จริงได้ติดตามทวงรถคืนจากนายน้อย นายน้อยจึงต้องคืนรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวให้แก่นายหนึ่ง โดยไม่มีสิทธิขอให้นายหนึ่งชดใช้เงินค่าเช่าซื้อรถที่นายน้อยได้ชำระไปแล้วแต่อย่างใด

สรุป

ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่นายน้อยว่า นายน้อยจะต้องคืนรถจักรยานยนต์ให้แก่นายหนึ่งและจะเรียกให้นายหนึ่งชดใช้เงินค่าเช่าซื้อที่นายน้อยได้ชำระไปแล้วไม่ได้

 

ข้อ 3. นายอิ่มอนุญาตด้วยวาจาให้นายอ้วนน้องชายของตนอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่ง ต่อมาบ้านทรุดโทรมมาก นายอ้วนจึงรื้อบ้านหลังเก่าและสร้างบ้านใหม่ในที่ดินนั้น แล้วใส่ชื่อนายอ้วนเป็นเจ้าบ้านในสำเนาทะเบียนบ้าน หลังจากนั้น 3 ปี นายอิ่มถึงแก่ความตาย นางอ้อยภริยาของนายอิ่มผู้รับมรดกที่ดินนั้น ได้แจ้งให้นายอ้วนย้ายออกไปจากที่ดินของตน แต่นายอ้วนอ้างว่าตนครอบครองเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินนานเกินกว่า 3 ปีแล้ว นางอ้อยไม่มีสิทธิเรียกที่ดินคืนจากตน

อีก 5 เดือนต่อมา นางอ้อยจึงฟ้องขับไล่และเรียกที่ดินคืนจากนายอ้วน ดังนี้ นางอ้อยจะฟ้องเพื่อเอาที่ดินพิพาทคืนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1368 “บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้”

มาตรา 1375 “ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะได้คืนซึ่งการครอบครอง เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่าซึ่งจะเป็นเหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้

การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น ท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง”

มาตรา 1381 “บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง บุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต อาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอิ่มอนุญาตด้วยวาจาให้นายอ้วนน้องชายของตนอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งนั้น ถือว่านายอ้วนเป็นผู้ครอบครองบ้านและที่ดินมือเปล่าแทนนายอิ่มตามมาตรา 1368 และแม้นายอ้วนจะได้รื้อบ้านหลังเก่าและสร้างบ้านใหม่ในที่ดินนั้นแทน แล้วใส่ชื่อนายอ้วนเป็นเจ้าบ้านในสำเนาทะเบียนบ้านนั้น ก็ไม่ถือว่านายอ้วนเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือตามมาตรา 1381 และไม่ถือว่าเป็นการแย่งการครอบครอง เพราะสำเนาทะเบียนบ้านไม่ถือว่าเป็นเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน

เมื่อนายอิ่มถึงแก่ความตาย นางอ้อยภริยาของนายอิ่มผู้รับมรดกได้แจ้งให้นายอ้วนย้ายออกไปจากที่ดินนั้น การที่นายอ้วนอ้างว่าตนครอบครองเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินมานานเกินกว่า 3 ปีแล้ว ย่อมถือว่านายอ้วนเพิ่งแย่งการครอบครองโดยบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือไปยังผู้ครอบครองคือนางอ้อยว่าตนไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินนั้นแทนผู้ครอบครองคือนางอ้อยอีกต่อไป และเมื่อนางอ้อยฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองหลังจากที่นายอ้วนแจ้งเปลี่ยนลักษณะการยึดถือได้เพียง 5 เดือน นางอ้อยจึงสามารถฟ้องได้เพราะยังไม่เกิน 1 ปีนับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครอง ข้ออ้างของนายอ้วนจึงรับฟังไม่ได้

สรุป

นางอ้อยสามารถฟ้องเพื่อเอาที่ดินพิพาทคืนได้

 

ข้อ 4. แสงครอบครองที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งซึ่งเป็นที่ดินแห้งแล้ง แสงจึงผันน้ำผ่านคลองในที่ดินของสายส่งน้ำเข้าใช้ในที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งของแสง เพื่อใช้ทำเกษตรกรรม แสงผันน้ำผ่านที่ดินของสายติดต่อกันมาได้11ปีแล้วโดยที่สายไม่เคยทราบเลยแต่เมื่อแล้งจัดคลองที่ผันน้ำเป็นคลองดินจึงทำให้น้ำกว่าจะมาถึงบ่อที่กักเก็บน้ำในที่ดินของแสงเหลือน้อยเพราะจะซึมลงไปใต้พื้นดินเกือบหมดแสงจะเทปูนทำคลองดินให้เป็นคลองปูนได้หรือไม่ เพียงใด เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1391 “เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการทุกอย่างอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมแต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง ในการนี้เจ้าของสามยทรัพย์จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์ได้ก็แต่น้อยที่สุดตามพฤติการณ์

เจ้าของสามยทรัพย์ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเองรักษาซ่อมแซมการที่ได้ทำไปแล้วให้เป็นไปด้วยดีแต่ถ้าเจ้าของภารยทรัพย์ได้รับประโยชน์ด้วยไซร้ ท่านว่าต้องออกค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ที่ได้รับ”

วินิจฉัย

ตามกฎหมายในเรื่องภาระจำยอมนั้น เจ้าของสามยทรัพย์ย่อมมีสิทธิทำการทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมได้ แต่จะต้องก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์น้อยที่สุดตามพฤติการณ์ และเจ้าของสามยทรัพย์จะต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเอง อย่างไรก็ตาม หากเจ้าของภารยทรัพย์ได้รับประโยชน์จากการนั้นด้วย เจ้าของภารยทรัพย์ก็ต้องช่วยเจ้าของสามยทรัพย์ออกค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ที่ตนได้รับนั้น (มาตรา 1391)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แสงครอบครองที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งซึ่งเป็นที่ดินแห้งแล้ง แสงจึงได้ผันน้ำผ่านคลองในที่ดินของสายส่งน้ำเข้าใช้ในที่ดินของแสงเพื่อใช้ทำเกษตรกรรมติดต่อกันมาได้ 11 ปีแล้วนั้น ย่อมถือว่า แสงซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่เรียกว่า สามยทรัพย์ มีภาระจำยอมเหนือที่ดินแปลงของสายที่เรียกว่า ภารยทรัพย์ แต่เมื่อแล้งจัด คลองที่ผันน้ำเป็นคลองดินจึงทำให้น้ำกว่าจะมาถึงบ่อที่กักเก็บน้ำในที่ดินของแสงเหลือน้อยเพราะจะซึมลงไปใต้พื้นดินเกือบหมด แสงจึงจะเทปูนทำคลองดินให้เป็นคลองปูนนั้น ย่อมถือว่าแสงเจ้าของสามยทรัพย์จะทำการอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอม ดังนั้น แสงย่อมสามารถทำได้แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเองและต้องก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์น้อยที่สุดตามพฤติการณ์

สรุป

แสงจะเทปูนทำคลองดินให้เป็นคลองปูนได้ แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแบน)

ข้อ 1. นายเมฆครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของนายหมอกจนได้กรรมสิทธิ์ แต่ไม่ได้จดทะเบียนการได้มา ภายหลังต่อมานายหมอกได้จดทะเบียนโอนที่ดินแปลงเดียวกันนี้ให้นายฟ้าโดยเสน่หา ครั้นนายฟ้าเข้าอยู่ในที่ดิน จึงพบว่านายเมฆได้อาศัยอยู่ในที่ดินดังกล่าว นายฟ้าจึงฟ้องขับไล่นายเมฆต่อศาล นายเมฆยกข้อต่อสู้ว่าตนได้ครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว นายหมอกย่อมไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวอีกต่อไป ดังนั้น การที่นายฟ้ารับโอนที่ดินจากนายหมอกซึ่งไม่มีกรรมสิทธิ์ นายฟ้าย่อมไม่ได้ไปซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินด้วย ตามหลักผู้รับโอนไม่มิสิทธิดีกว่าผู้โอน

หากท่านเป็นผู้พิพากษาจะวินิจฉัยคดีนี้เช่นไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคสอง “ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนนั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเมฆได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดของนายหมอกโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น ถือว่านายเมฆเป็นผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่น นอกจากนิติกรรมตามมาตรา 1299 วรรคสอง เมื่อปรากฏว่านายเมฆยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งสิทธิดังกล่าว นายเมฆจึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ และสิทธิอันยังไม่ได้จดทะเบียนนั้น นายเมฆจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การที่นายหมอกได้จดทะเบียนโอนที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายฟ้านั้นเป็นการโอนให้โดยเสน่หา จึงถือว่านายฟ้าซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้รับโอนที่ดินมาโดยไม่มีค่าตอบแทน ดังนั้น ถึงแม้นายฟ้าจะได้รับโอนที่ดินมาโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโดยสุจริตก็ตาม นายฟ้าก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย นายเมฆจึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวดีกว่านายฟ้า นายฟ้าจะฟ้องขับไล่นายเมฆไม่ได้

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล จะวินิจฉัยให้นายเมฆเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวดีกว่านายฟ้า

 

ข้อ 2. แก้วสร้างบ้านในที่ดินของตน หลังจากแก้วถึงแก่ความตายบ้านและที่ดินเป็นมรดกตกทอดแก่เก่งกับกล้าทายาทของแก้ว ต่อมาเก่งกับกล้าได้จดทะเบียนแบ่งที่ดินมรดกเป็นสองแปลงโดยเก่งเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินแปลงที่หนึ่ง ส่วนกล้าเป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่สองซึ่งบ้านของเก่งรุกล้ำเข้ามาในที่ดินแปลงที่สองประมาณ 30 เซนติเมตรตลอดแนวบ้าน ต่อมากล้าทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินแปลงที่สองให้ชัย หลังจากชัยรับโอนที่ดินแล้วพบว่าบ้านของเก่งรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของตน ชัยจึงเรียกให้เก่งรื้อถอนบ้านส่วนที่รุกล้ำที่ดินของตนออกไป ดังนี้ เก่งจะต้องรื้อบ้านส่วนที่รุกล้ำที่ดินของชัยหรือไม่ และบุคคลทั้งสองมีสิทธิเรียกร้องใด ๆ ต่อกันได้บ้าง เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1312 “บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้น และจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้

ถ้าบุคคลผู้สร้างโรงเรือนนั้นกระทำการโดยไม่สุจริต ท่านว่าเจ้าของที่ดินจะเรียกให้ผู้สร้างรื้อถอนไป และทำที่ดินให้เป็นตามเดิมโดยผู้สร้างเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีที่จะถือว่าเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นตามมาตรา 1312 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่เจ้าของโรงเรือนได้ปลูกสร้างโรงเรือนขึ้นทั้งหลัง แล้วส่วนใดส่วนหนึ่งของโรงเรือนนั้นรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แก้วสร้างบ้านในที่ดินของตน เมื่อแก้วถึงแก่ความตายบ้านและที่ดินเป็นมรดกตกทอดแก่เก่งและกล้าทายาทของแก้ว และเมื่อเก่งกับกล้าได้แบ่งที่ดินมรดกเป็นสองแปลงโดยเก่งเป็นเจ้าของบ้านและที่ดินแปลงที่หนึ่ง ส่วนกล้าเป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่สอง และบ้านของเก่งรุกล้ำเข้ามาในที่ดินแปลงที่สองประมาณ 30 เซนติเมตรตลอดแนวบ้านนั้น กรณีเช่นนี้ย่อมไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 1312 เพราะการที่ส่วนของบ้านเก่งรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของกล้านั้น มิได้เกิดจากการที่เก่งเจ้าของโรงเรือนเป็นผู้สร้างโรงเรือน แล้วส่วนใดส่วนหนึ่งของโรงเรือนได้รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของกล้า แต่เป็นกรณีที่ตอนแรกมีโรงเรือนปลูกบนที่ดินแปลงเดียว แล้วต่อมาได้มีการแบ่งที่ดินแปลงนั้นเป็นแปลงเล็กแปลงน้อย ทำให้โรงเรือนนั้นไปรุกล้ำที่ดินของผู้อื่นที่รับการแบ่งไป

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้ จึงต้องนำบทบัญญัติมาตรา 1312 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับตามข้อเท็จจริงดังกล่าว (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 วรรคสอง)

จึงถือว่าเป็นกรณีที่เก่งได้ปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของกล้าโดยสุจริต เมื่อกล้าได้จดทะเบียนขายที่ดินให้ชัยไปแล้ว ชัยผู้รับโอนจึงไม่สามารถฟ้องให้เก่งรื้อถอนโรงเรือนส่วนที่รุกล้ำ แต่ชัยมีสิทธิเรียกให้เก่งใช้เงินเป็นค่าใช้ที่ดินและดำเนินการจดทะเบียนเป็นภาระจำยอมให้บ้านของเก่ง และถ้าภายหลังบ้านของเก่งสลายไปทั้งหมด ชัยก็มีสิทธิที่จะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมนั้นได้ (เทียบฎีกาที่ 1511/2542 และฎีกาที่ 6593/2550)

สรุป

เก่งไม่ต้องรื้อบ้านส่วนที่รุกล้ำที่ดินของชัย แต่เก่งจะต้องจ่ายเงินเป็นค่าใช้ที่ดินและเรียกให้ขัยไปจดทะเบียนเป็นภาระจำยอมได้ ส่วนชัยมีสิทธิได้รับเงินค่าใช้ที่ดินจากเก่งและมีหน้าที่ต้องจดทะเบียนเป็นภาระจำยอมให้เก่ง และถ้าภายหลังบ้านสลายไปทั้งหมด ชัยก็มีสิทธิเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมนั้นได้

 

ข้อ 3 ดวงเข้าไปทำสวนทุเรียนในที่ดินมีโฉนดของแตนด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันได้เป็นเวลา 6 ปี โดยแตนไม่รู้เรื่องการครอบครองปรปักษ์ของดวง พอเริ่มปีที่ 7 ดวงถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน ก่อนเข้ารับโทษจำคุกดวงมอบหมายให้ดินน้องชายของตนมาดูแลเผ้าสวนทุเรียนแทนต่อมาเมื่อพ้นโทษจำคุกแล้วดวงกลับไปครอบครองทำสวนทุเรียนของแตนอีกสามปี แตนจึงฟ้องขับไล่ดวงให้ออกจากที่ดินแปลงนี้

ให้ท่านวินิจฉัยว่าดวงจะอ้างสิทธิในการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้กับแตนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1368 “บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1384 “ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร และได้คืนภายในเวลาปีหนึ่ง นับตั้งแต่วันขาดยึดถือหรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้ ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้ คือ

1 เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์

2 ได้ครอบครองโดยความสงบ

3 ครอบครองโดยเปิดเผย

4 ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ

5 ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ดวงเข้าไปทำสวนทุเรียนในที่ดินมีโฉนดของแตนด้วยเจตนาเป็นเจ้าของนั้น ดวงจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้นโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ก็ต่อเมื่อได้ครอบครองติดต่อกันจบครบกำหนด 10 ปี การที่ดวงได้ครอบครองได้ 6 ปี พอเริ่มปีที่ 7 ดวงถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือนนั้น โดยหลักย่อมถือว่าเป็นการขาดการยึดถือทรัพย์สินคือที่ดินนั้นแล้ว แต่อย่างไรก็ดี เมื่อเป็นกรณีที่ดวงได้ขาดการครอบครองโดยไม่สมัครใจ อีกทั้งยังปรากฏว่าดวงได้มอบหมายให้ดินน้องชายของตนมาเฝ้าสวนทุเรียนไว้แทน จึงทำให้การครอบครองของดวงยังถือว่าเป็นการครอบครองต่อเนื่องอยู่ตามมาตรา 1368 ซึ่งถือว่าเป็นกรณีที่ดวงได้สิทธิครอบครองโดยให้ผู้อื่นยึดถือไว้แทน การครอบครองของดวงจึงสามารถนับติดต่อกันมาได้โดยตลอด

และจากข้อเท็จจริง เมื่อดวงได้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวได้ 6 ปี และรวมกับที่ดินได้ครอบครองไว้แทนดวงอีก 1 ปี 6 เดือน และรวมกับเมื่อดวงได้เข้าครอบครองหลังพ้นโทษจำคุกแล้วอีก 3 ปี จึงเป็นการครอบครองที่ติดต่อกันรวม 10 ปี 6 เดือน โดยภายในระยะเวลาดังกล่าวนั้นแตนไม่เคยฟ้องขับไล่หรือขจัดให้ออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าวเลย ดังนั้น จึงถือว่าดวงได้ครอบครองที่ดินของแตนโดยสงบ เปิดเผยและโดยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันครบ 10 ปี ดวงจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของแตนโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 แตนจึงฟ้องขับไล่ดวงให้ออกจากที่ดินแปลงนี้ไม่ได้

สรุป

ดวงสามารถอ้างสิทธิในการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้กับแตนได้

 

ข้อ 4. นายกล้วยเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานน้ำแข็ง โดยทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินติดคลองลัดมะยม ซึ่งปัจจุบันยังคงใช้เป็นทางสัญจรไปมาทางเรือได้ตลอดเวลา ส่วนอีกสามด้านของที่ดินถูกล้อมรอบด้วยที่ดินของนายใบตอง โดยทางด้านทิศตะวันออกของที่ดินนายใบตองติดถนนซึ่งมีประชาชนใช้สัญจรไปมา แต่เนื่องจากการขนส่งน้ำแข็งให้กับลูกค้าของนายกล้วยทางเรือผ่านคลองลัดมะยมนั้นไม่สะดวก นายกล้วยจึงขอใช้ทางผ่านที่ดินของนายใบตองซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินติดกัน โดยเสียเงินค่าตอบแทนให้แก่นายใบตองเป็นรายปี ๆ ละ 1,000 บาท

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าการใช้ทางเพื่อขนส่งน้ำแข็งของนายกล้วยเป็นภาระจำยอมหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1387 “อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น”

วินิจฉัย

“ภาระจำยอม” ตามมาตรา 1387 เป็นทรัพยสิทธิประเภทหนึ่งที่ตัดทอนอำนาจกรรมสิทธิ์ โดยทำให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์อันหนึ่งเรียกว่า “ภารยทรัพย์” ต้องรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบกระเทือนถึงทรัพย์สินของตน หรือทำให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้นต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของอสังหาริมทรัพย์อื่น ที่เรียกว่า “สามยทรัพย์” คือจะทำให้ตัวสามยทรัพย์ได้รับประโยชน์หรือได้รับความสะดวกขึ้นนั่นเอง

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกล้วยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงงานน้ำแข็งได้ขอใช้ทางผ่านที่ดินของนายใบตองซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินติดกันเพี่อประโยชน์แก่การขนส่งน้ำแข็งให้กับลูกค้า โดยเสียเงินค่าตอบแทนให้แก่นายใบตองเป็นรายปี ๆ ละ 1,000 บาทนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นายกล้วยเจ้าของสามยทรัพย์ได้ขอใช้ภารยทรัพย์ (ที่ดินของนายใบตอง) เพื่อประโยชน์ของตัวบุคคลที่อยู่บนสามยทรัพย์ มิใช่เพื่อประโยชน์แก่สามยทรัพย์แต่อย่างใด กรณีจึงไม่ต้องด้วยลักษณะของภาระจำยอมตามมาตรา 1387 ดังนั้น การใช้ทางเพื่อขนส่งน้ำแข็งของนายกล้วยจึงไม่เป็นภาระจำยอม

สรุป

การใช้ทางเพื่อขนส่งน้ำแข็งของนายกล้วยไม่เป็นภาระจำยอม

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายชมกับนายชิดทำสัญญากันเอง โดยนายชมอนุญาตให้นายชิดสร้างบ้านและอาศัยในที่ดินของตนเป็นเวลา 15 ปี และให้บ้านตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายชมทันทีเมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้ว หลังจากนายชิดอยู่ในที่ดินและบ้านนั้นได้ 10 ปี นายชมทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินให้นายแสงแต่สัญญาไม่มีการระบุเรื่องบ้านแต่อย่างใด จากนั้นนายแสงแจ้งให้นายชิดย้ายออกไปจากบ้านและที่ดินนั้น แต่นายชิดต่อสู้ว่าตนเป็นผู้สร้างบ้าน จึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในบ้านนั้น และต้องการรื้อถอนบ้านออกไปด้วย แต่นายแสงไม่ยินยอม

ดังนี้ ระหว่างนายชิดกับนายแสงผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ในบ้านดังกล่าวดีกว่ากัน และนายชิดจะรื้อถอนบ้านออกไปได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 144 “ส่วนควบของทรัพย์ หมายความว่า ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลายทำให้บุบสลาย หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป

เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น”

มาตรา 146 “ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราวไม่ถือว่าเป็นส่วนควบกับที่ดินหรือโรงเรือนนั้น ความข้อนี้ให้ใช้บังคับแก่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายชมอนุญาตให้นายชิดสร้างบ้านและอาศัยในที่ดินของตนเป็นเวลา 15 ปี และมีข้อตกลงกันว่าเมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้วให้บ้านตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายชมทันทีนั้น เมื่อนายชิดปลูกสร้างบ้านลงบนที่ดินของนายชม จึงเป็นกรณีที่ผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นได้ใช้สิทธินั้นปลูกสร้างบ้านไว้ในที่ดินนั้นด้วย ดังนั้นบ้านที่นายชิดได้ปลูกสร้างไว้ดังกล่าวจึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดินตามมาตรา 144 ประกอบมาตรา 146 และในระหว่างที่สัญญายังไม่ครบกำหนด กรรมสิทธิ์ในบ้านจึงยังเป็นของนายชิด ยังไม่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายชม

หลังจากนายชิดได้สร้างบ้านและอาศัยในที่ดินของนายชมได้เพียง 10 ปี การที่นายชมได้ทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นายแสง แม้ในสัญญาจะไม่มีการระบุเรื่องบ้านไว้ก็ตาม นายแสงก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในบ้านหลังนั้น เพราะนอกจากบ้านจะไม่เป็นส่วนควบของที่ดินแล้ว นายแสงก็เป็นเพียงผู้รับโอนที่ดินจากนายชมย่อมไม่มีสิทธิดีกว่านายชมผู้โอน ดังนั้นนายชิดจึงสามารถที่จะรื้อถอนบ้านออกไปได้

สรุป

นายชิดมีกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังดังกล่าวดีกว่านายแสงและสามารถรื้อถอนบ้านออกไปได้

 

ข้อ 2. นายป้อมทำสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดให้นายเปี๊ยก โดยมีการชำระราคาแล้วบางส่วน และนายป้อมได้ส่งมอบที่ดินให้นายเปี๊ยกครอบครองเพื่อสร้างบ้านแล้ว และทั้งสองตกลงจะชำระราคาส่วนที่เหลือทั้งหมดในวันทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันภายในสองเดือนนับจากวันทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน แต่ก่อนถึงวันทำสัญญาและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ นายป้อมได้ทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินนั้นให้นายเหมือน ซึ่งนายเหมือนรู้เรื่องสัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างนายป้อมกับนายเปี๊ยกก่อนแล้ว ดังนั้นายเปี๊ยกจะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินระหว่างนายป้อมกับนายเหมือนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามชระมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 237 “เจ้าหนี้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมใด ๆ อันลูกหนี้ได้กระทำลงทั้งรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ แต่ความข้อนี้ท่านมิให้ใช้บังคับ ถ้าปรากฏว่าในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลซึ่งเป็นผู้ได้ลาภงอกแต่การนั้นมิได้รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้เจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย แต่หากกรณีเป็นการทำให้โดยเสน่หา ท่านว่าเพียงแต่ลูกหนี้เป็นผู้รู้ฝ่ายเดียวเท่านั้นก็พอแล้วที่จะขอเพิกถอนได้…”

มาตรา 1300 “ถ้าได้จดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเสียเปรียบแก่บุกคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยูก่อนไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนนั้นได้ แต่การโอนอันมีค่าตอบแทน ซึ่งผู้รับโอนกระทำการโดยสุจริตนั้นไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด ท่านว่าจะเรียกให้เพิกถอนทะเบียนไม่ได้”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1300 “บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน” และอาจเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพย์สิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ทำให้ตนเสียเปรียบได้นั้น ถ้าเป็นบุคคลผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยนิติกรรม จะต้องเป็นการได้มาเรียบร้อยแล้วทุกอย่าง เพียงแต่ยังไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น เช่น ถ้าเป็นผู้ที่ได้มาในฐานะผู้จะซื้ออสังหาริมทรัพย์จะต้องเป็นผู้ที่ได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว และไต้รับมอบหรือเข้าครอบครองทรัพย์สินที่ซื้อแล้ว คงเหลือแต่เพียงการโอนทางทะเบียนเท่านั้น (คำพิพากษาฎีกาที่ 8698/2549) เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์การที่นายป้อมทำสัญญาจะขายที่ดินมีโฉนดให้แก่นายเปี๊ยก โดยมีการชำระราคาแล้วบางส่วนนั้น แม้นายป้อมจะได้ส่งมอบที่ดินให้นายเปี๊ยกครอบครองแล้วก็ตาม นายเปี๊ยกผู้จะซื้อตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินก็มีเพียงบุคคลสิทธิในอันที่จะบังคับให้นายป้อมไปทำการโอนขายที่ดินให้แก่นายเปี๊ยกตามสัญญาเท่านั้น นายเปี๊ยกหามีทรัพยสิทธิเหนือที่ดินนั้นไม่ นายเปี๊ยกจึงมิใช่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน ตามมาตรา 1300 ดังนั้น นายเปี๊ยกจึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินระหว่างนายป้อมกับนายเหมือนตามมาตรา 1300 ได้

แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากนายเปี๊ยกได้ชำระราคาบางส่วนและเข้าครอบครองที่ดินที่จะซื้อขายแล้ว อีกทั้งตอนที่นายป้อมได้ทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินแปลงนั้นให้นายเหมือนนั้น นายเหมือนได้รู้เรื่องสัญญาจะซื้อขายระหว่างนายป้อมกับนายเปี๊ยกก่อนแล้ว ดังนั้นนายเปี๊ยกอาจขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนได้ตามมาตรา 237 (คำพิพากษาฎีกาที่ 90/2516, 1731/2518, 3454/2533)

สรุป

นายเปี๊ยกจะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินระหว่างนายป้อมกับนายเหมือนตามมาตรา 1300 ไม่ได้เพราะมิใช่เป็นบุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนแต่อาจขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนตามมาตรา 237 ได้

 

ข้อ 3. นายมั่นครอบครองทำนาในที่ดินมีโฉนดของนายคงติดต่อกับได้ 7 ปี โดยนายมั่นบอกกับชาวบ้านว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินนั้น แต่นายคงไม่รู้เรื่องดังกล่าว พอขึ้นปีที่ 8 นายมั่นเลิกครอบครองและทำนาในที่ดินนั้น แล้วเปลี่ยนอาชีพไปขับรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ นายมั่นขับรถแท็กซี่ได้เพียง 10 เดือนก็เปลี่ยนใจกลับมาทำนาในที่ดินแปลงเดิมของนายคงอีก 3 ปี นายคงรู้เรื่องจึงแจ้งให้นายมั่นออกไปจากที่ดินนั้น แต่นายมั่นอ้างว่าที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของตนแล้ว นายคงไม่มีสิทธิให้ตนออกไปจากที่ดินนั้น ดังนี้ ระหว่างนายมั่นกับนายคงผู้ใดมีสิทธิในที่ดินดังกล่าวดีกว่ากัน เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1384 “ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร และได้คืนภายในเวลาปีหนึ่งนับตั้งแต่วันขาดยึดถือหรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้ ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

  1. เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมั่นครอบครองทำนาในที่ดินมีโฉนดของนายคงติดต่อกันได้ 7 ปีโดยนายมั่นบอกกับชาวบ้านว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินนั้นถือว่านายมั่นเป็นผู้ครอบครองที่ดินของผู้อื่นโดยสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของที่ดินติดต่อกันได้เพียง 7 ปี จึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ และเมื่อนายมั่นได้เลิกการครอบครองและทำนาในที่ดินนั้นแล้วเปลี่ยนอาชีพไปขับรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ นั้น ย่อมถือว่านายมั่นมีเจตนาสละการครอบครองที่ดินไปโดยสมัครใจ สิทธิครอบครองของบายมั่นจึงสิ้นสุดลงตามมาตรา 1384 และเมื่อนายมั่นเปลี่ยนใจกลับมาครอบครองและทำนาในที่ดินแปลงนั้นอีกครั้งจึงต้องเริ่มต้นนับระยะเวลาการครอบครองใหม่

และเมื่อปรากฏว่านายมั่นได้ครอบครองในครั้งหลังนี้ได้เพียง 3ปี ยังไม่ครบ 10 ปีนายมั่นจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ดังนั้นจึงถือว่านายคงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดีกว่านายมั่น

สรุป

นายคงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวดีกว่านายมั่น

 

ข้อ 4. นายเสือทำถนนผ่านที่ดินของนายช้างเพื่อนำรถยนต์ผ่านเข้า-ออก ติดต่อกันจนได้ภาระจำยอมเป็นทางกว้าง 3 เมตร ต่อมาน้ำท่วมถนนดังกล่าวนานกว่าสองสัปดาห์ทำให้ถนนรุดเสียหายรถยนต์ผ่านเข้า-ออกไม่สะดวก นายเสือต้องการซ่อมถนนโดยทำเป็นถนนแอสฟัลท์ และทำท่อระบายน้ำที่ไหลเพิ่มขึ้น ดังนี้ นายเสือจะทำถนนแอสฟัลท์ และทำท่อระบายน้ำเพิ่มได้หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1388 “เจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิทำการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์ หรือในสามยทรัพย์ ซึ่งทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์”

มาตรา 1391 “เจ้าของสามยทรัพย์มีสิทธิทำการทุกอย่างอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมแต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง ในการนี้เจ้าของสามยทรัพย์จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์ได้ก็แต่น้อยที่สุดตามพฤติการณ์

เจ้าของสามยทรัพย์ต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเองรักษาซ่อมแซมการที่ได้ทำไปแล้วให้เป็นไปด้วยดีแต่ถ้าเจ้าของภารยทรัพย์ได้รับประโยชน์ด้วยไซร้ ท่านว่าต้องออกค่าใช้จ่ายตามส่วนแห่งประโยชน์ที่ได้รับ”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายเสือเป็นผู้มีสิทธิใช้ทางภาระจำยอมผ่านที่ดินของนายช้างโดยอายุความปรปักษ์นั้น เมื่อต่อมาได้เกิดน้ำท่วมถนนดังกล่าวนาน 2 สัปดาห์ ทำให้ถนนชำรุดเสียหายและทำให้นายเสือนำรถยนต์เข้า-ออกไม่สะดวก นายเสือย่อมมีสิทธิซ่อมทางภาระจำยอมโดยทำเป็นถนนแอสฟ้ลท์ได้ เพราะเป็นการกระทำเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมตามมาตรา 1391 แต่นายเสือจะต้องเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง และจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ภารยทรัพย์ได้ก็แต่น้อยที่สุดตามพฤติการณ์

แต่การที่นายเสือต้องการทำท่อระบายน้ำที่ไหล่ทางเพิ่มขึ้นนั้น นายเสือไม่สามารถทำได้เพราะจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์ ซึ่งจะทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ตามมาตรา 1388

สรุป

นายเสือสามารถทำถนนแอสฟัลท์ได้แต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง แต่นายเสือจะทำท่อระบายน้ำเพิ่มไม่ได้

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายดำทำสัญญาจดทะเบียนเช่าที่ดินและบ้านของนายแดงเป็นเวลา 10 ปี นายดำได้ต่อเติมห้องครัวและได้รื้อทำห้องน้ำใหม่ ปลูกต้นกระถินไว้เป็นรั้วรอบที่ดินที่เช่า ทำถนนคอนกรีต ทางจากรั้วถึงตัวบ้านเสียค่าก่อสร้างต่อเติมทั้งหมด 300,000 บาท โดยนายแดงอนุญาตให้นายดำทำได้ เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่านายแดงไม่ยอมต่อสัญญาให้นายดำเช่าต่อ นายดำจะรื้อส่วนที่นายดำต่อเติม หรือเรียกค่าต่อเติมและค่าสร้างรั้วจากนายแดงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 144 “ส่วนควบของทรัพย์ หมายความว่า ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลายทำให้บุบสลาย หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป

เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น”

มาตรา 145 วรรคหนึ่ง “ไม้ยืนต้นเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์การที่นายดำทำสัญญาจดทะเบียนเช่าที่ดินและบ้านของนายแดงเป็นเวลา 10 ปีนั้น เมื่อบ้านเป็นส่วนควบกับที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแดง ดังนั้น การที่นายดำได้ต่อเติมห้องครัวและได้รื้อทำห้องน้ำใหม่ ครัวและห้องน้ำที่ต่อเติมและสร้างใหม่ย่อมเป็นส่วนควบกับบ้านตามมาตรา 144 วรรคหนึ่ง และตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแดงโดยผลของกฎหมายตามมาตรา 144 วรรคสอง

ต้นกระถินที่นายดำปลูกไว้เป็นรั้วรอบที่ดินที่เช่านั้น เมื่อต้นกระถินเป็นไม้ยืนต้นและเป็นส่วนควบกับที่ดินตามมาตรา 145 วรรคหนึ่ง จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแดงเจ้าของที่ดินตามมาตรา 144 วรรคสอง

ส่วนถนนคอนกรีตซึ่งนายดำได้ทำเป็นทางจากรั้วถึงตัวบ้านโดยนายแดงอนุญาตให้นายดำทำได้นั้นถือเป็นส่วนควบกับที่ดินตามมาตรา 144 วรรคหนึ่ง จึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแดงเช่นกันตามมาตรา 144 วรรคสอง

เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่า นายแดงไม่ยอมต่อสัญญาให้นายดำเช่าต่อ ดังนี้ นายดำจะรื้อส่วนที่นายดำต่อเติม หรือเรียกค่าต่อเติมและค่าสร้างรั้วจากนายแดงไม่ได้ ทั้งนี้เพราะทรัพย์สินต่าง ๆ ที่นายดำได้ต่อเติมหรือทำขึ้นมาดังกล่าวข้างต้นนั้น เมื่อเป็นส่วนควบกับบ้านและที่ดินย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายแดงเจ้าของบ้านและที่ดินนั้นตามมาตรา 144 วรรคสอง อีกทั้งการที่นายแดงได้อนุญาตให้นายดำกระทำการดังกล่าวได้นั้น นายแดงก็มิได้มีการตกลงว่าจะชดใช้ราคาให้แก่นายดำแต่อย่างใด

สรุป

นายดำจะรื้อส่วนที่นายดำต่อเติม หรือเรียกค่าต่อเติมและค่าสร้างรั้วจากนายแดงไม่ได้

 

ข้อ 2. นายชาติเป็นเจ้าของที่ดินแปลงหนึ่งซึ่งมีเขตที่ดินต่อกับที่ดินของนายชัย นายชาติได้สร้างรั้วกำแพงเสร็จเรียบร้อยแล้วโดยเข้าใจว่าเป็นการสร้างในที่ดินของตน และขณะที่ผู้รับเหมาลงมือก่อสร้างบ้านในที่ดินนั้นถึงขั้นกำลังทำหลังคาบ้าน นายชัยจึงขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่มาทำการรังวัดสอบเขตที่ดินปรากฏว่ารั้วกำแพงส่วนหนึ่งและตัวบ้านทั้งหลังที่กำลังก่อสร้างอยู่ในที่ดินของนายชัยทั้งหลัง นายชัยจึงห้ามไม่ให้นายชาติก่อสร้างบ้านต่อไป แต่นายชาติบอกให้ผู้รับเหมาก่อสร้างบ้านต่อไปจนแล้วเสร็จนายชัยต้องการให้นายชาติรื้อถอนบ้านและรั้วกำแพงที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของตน

ดังนี้ นายชาติต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวตามที่นายชัยต้องการหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1311 “บุคคลใดสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นต้องทำที่ดินให้เป็นไปตามเดิมแล้วส่งคืนเจ้าของ เว้นแต่เจ้าของจะเลือกให้ส่งคืนตามที่เป็นอยู่ ในกรณีเช่นนี้ เจ้าของที่ดินต้องใช้ราคาโรงเรือนหรือใช้ค่าแห่งที่ดินเพียงที่เพิ่มขึ้นเพราะสร้างโรงเรือนนั้น แล้วแต่จะเลือก”

มาตรา 1312 วรรคหนึ่ง “บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกลํ้าเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าของโรงเรือนที่สร้างขึ้น แต่ต้องเสียเงินให้แก่เจ้าของที่ดินเป็นค่าใช้ที่ดินนั้น และจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม ต่อภายหลังถ้าโรงเรือนนั้นสลายไปทั้งหมด เจ้าของที่ดินจะเรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสียก็ได้”

วินิจฉัย กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

  1. กรณีของรั้วกำแพง การที่นายชาติได้สร้างรั้วกำแพงโดยมีส่วนหนึ่งอยู่ในที่ดินของนายชัย แม้นายชาติจะได้กระทำโดยสุจริตเพราะเข้าใจว่าเป็นการสร้างในที่ดินของตนก็ตาม แต่เมื่อรั้วกำแพงนั้นไม่ใช่โรงเรือนหรือส่วนควบของโรงเรือน กรณีจึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 1312 วรรคหนึ่ง ดังนั้น นายชาติจึงต้องรื้อถอนรั้วกำแพงส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนายชัย
  2. กรณีของบ้าน แม้ในขณะที่มีการลงมือก่อสร้างบ้านนั้น นายชาติจะเข้าใจว่าเป็นการสร้างในที่ดินของตนก็ตาม แต่เมื่อนายชัยได้ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มาทำการรังวัดสอบเขตที่ดิน และปรากฏว่าตัวบ้านที่กำลังก่อสร้างอยู่ในที่ดินของนายชัยทั้งหลัง นายชัยจึงห้ามไม่ให้นายชาติก่อสร้างบ้านต่อไป แต่นายชาติยังบอกให้ผู้รับเหมาก่อสร้างบ้านจนแล้วเสร็จ กรณีนี้จึงถือได้ว่าเป็นการสร้างโรงเรือนในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริตตามมาตรา 1311 ดังนั้น นายชาติจึงต้องรื้อถอนบ้านดังกล่าวออกไปจากที่ดินของนายชัย และทำที่ดินให้เป็นไปตามเดิมแล้วส่งคืนให้นายชัย

สรุป

นายชาติต้องรื้อถอนรั้วกำแพงส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของนายชัยและต้องรื้อถอนบ้านดังกล่าวออกไปจากที่ดินของนายชัย และทำที่ดินให้เป็นไปตามเดิมแล้วส่งคืนให้นายชัย

 

ข้อ 3. นายจันทร์เป็นน้องของนายอาทิตย์ ทั้งสองมีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งโดยมีส่วนกันคนละครึ่ง นายจันทร์ได้ปลอมใบมอบอำนาจของนายอาทิตย์มีข้อความมอบอำนาจให้นายจันทร์นำที่ดินแปลงที่ทั้งสองคนมีกรรมสิทธิ์รวมไปขาย และนายจันทร์ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินให้กับนายอังคาร ในระหว่างที่ยังไม่ถึงกำหนดนัดโอนที่ดินที่ซื้อขายให้กับนายอังคาร นายอาทิตย์ถึงแก่ความตายและทำพินัยกรรมยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนของตนให้เป็นของนายจันทร์ จึงทำให้นายจันทร์กลายเป็นเจ้าของที่ดินทั้งแปลง

ให้ท่านวินิจฉัยผลของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่ทำระหว่างนายจันทร์และนายอังคาร ดังนี้

  1. ผลของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวม ก่อนที่นายอาทิตย์ถึงแก่ความตาย
  2. ผลของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงนี้ หลังจากที่นายอาทิตย์ถึงแก่ความตาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1361 “เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ จะจำหน่ายส่วนของตน หรือจำนอง หรือก่อให้เกิดภาระติดพันก็ได้

แต่ตัวทรัพย์สินนั้นจะจำหน่าย จำนำ จำนอง หรือก่อให้เกิดภาระติดพันได้ก็แต่ด้วยความยินยอมแห่งเจ้าของรวมทุกคน

ถ้าเจ้าของรวมคนใดจำหน่าย จำนำ จำนอง หรือก่อให้เกิดภาระติดพันทรัพย์สินโดยมิได้รับความยินยอมแห่งเจ้าของรวมทุกคน แต่ภายหลังเจ้าของรวมคนนั้นได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินแต่ผู้เดียวไซร้ ท่านว่านิติกรรมอันนั้นเป็นอันสมบูรณ์”

วินิจฉัย กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

  1. เมื่อนายจันทร์และนายอาทิตย์มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่ง โดยมีส่วนกันคนละครึ่ง และก่อนที่นายอาทิตย์ถึงแก่ความตาย การที่นายจันทร์ปลอมใบมอบอำนาจของนายอาทิตย์และไปทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินทั้งแปลงให้แก่นายอังคารนั้น ผลของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมดังกล่าว จึงไม่ผูกพันในส่วนของนายอาทิตย์ แต่มีผลผูกพันเฉพาะในส่วนของนายจันทร์ (ตามมาตรา 1361 วรรคหนึ่งและวรรคสอง)
  2. หลังจากนายอาทิตย์ถึงแก่ความตายและได้ทำพินัยกรรมยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนของตนให้แก่นายจันทร์ จึงทำให้นายจันทร์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินทั้งแปลง ดังนั้นย่อมมีผลทำให้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินระหว่างนายจันทร์และนายอังคารมีผลสมบูรณ์และผูกพันที่ดินทั้งแปลง (ตามมาตรา 1361 วรรคสาม)

สรุป

  1. ผลของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวม ก่อนที่นายอาทิตย์ถึงแก่ความตายจะไม่ผูกพันในส่วนของนายอาทิตย์ แต่ผูกพันเฉพาะในส่วนของนายจันทร์
  2. ผลของสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินแปลงนี้ หลังจากที่นายอาทิตย์ถึงแก่ความตายจะมีผลสมบูรณ์และผูกพันที่ดินทั้งแปลง

 

ข้อ 4. น้ำเสนอขายที่ดินแปลงหนึ่งของน้ำให้ฝน และตกลงกับฝนว่าหากฝนซื้อที่ดินแปลงนี้ของน้ำ น้ำก็จะยอมให้ฝนใช้ถนนบนที่ดินของน้ำร่วมกับน้ำ และยอมให้ต่อไฟจากเสาไฟที่ผ่านเข้ามาในที่ดินของน้ำไปใช้ในบ้านของฝนด้วย ฝนจึงตกลงได้ซื้อที่ดินแปลงนั้นของน้ำ เมื่อจดทะเบียนซื้อที่ดินแปลงนั้นมาแล้ว น้ำมาบอกฝนภายหลังว่าจะไปจดทะเบียนทั้งเรื่องถนน ไฟฟ้าให้ภายหลัง ฝนจึงปลูกบ้านบนที่ดินแปลงนั้น แต่ยังไม่ทันที่ฝนจะปลูกบ้านเสร็จ น้ำตาย ฟ้าเป็นทายาทคนเดียวรับมรดกบ้านและที่ดินแปลงนั้นของน้ำมา ไม่ยอมให้ฝนต่อไฟฟ้าจากบ้านตนเข้าไปใช้ในบ้านของฝน และไม่ยอมให้ฝนใช้ทางผ่านร่วมกับที่ดินของมรดกที่ฟ้าได้ด้วย

ให้ท่านอธิบายกับฝนว่า ฝนจะมีสิทธิเรียกร้องฟ้าอย่างใดบ้าง เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฏหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคหนึ่ง “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่”

มาตรา 1600 “ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ กองมรดกของผู้ตายได้แก่ทรัพย์สินทุกชนิดของผู้ตาย ตลอดทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ เว้นแต่ตามกฎหมายหรือว่าโดยสภาพแล้วเป็นการเฉพาะตัวของผู้ตายโดยแท้”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่น้ำเสนอขายที่ดินของน้ำให้ฝน และตกลงกับฝนว่าหากฝนซื้อที่ดินแปลงนี้ของน้ำ น้ำก็จะยอมให้ฝนใช้ถนนบนที่ดินของน้ำร่วมกับน้ำ และยอมให้ต่อไฟจากเสาไฟที่ผ่านเข้ามาในที่ดินของน้ำไปใช้ในบ้านของฝนด้วย ฝนจึงตกลงซื้อที่ดินแปลงนั้นของน้ำ กรณีนี้ถือว่า ที่ดินที่ฝนซื้อจากน้ำได้ภาระจำยอม ได้ใช้ถนนและไฟฟ้าบนที่ดินของน้ำโดยทางนิติกรรมสัญญา ก่อให้เกิดบุคคลสิทธิ แต่ยังไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ เพราะการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวนั้นไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ (ตามมาตรา 1299 วรรคหนึ่ง)

เมื่อจดทะเบียนซื้อที่ดินแปลงนั้นมาแล้ว การที่น้ำมาบอกฝนภายหลังว่าจะไปจดทะเบียนทั้งเรื่องถนน ไฟฟ้าให้นั้น การแสดงเจตนาของน้ำดังกล่าวย่อมมีผลเป็นการผูกพันคู่สัญญาแล้ว ทำให้ฝนสามารถเรียกร้องให้น้ำไปจดทะเบียนเป็นภาระจำยอมได้ตามสัญญา

การที่ฝนยังปลูกบ้านไม่เสร็จในขณะที่น้ำตายโดยมีฟ้าซึ่งเป็นทายาทคนเดียวของน้ำรับมรดกบ้านและที่ดินของน้ำและไม่ยอมให้ฝนต่อไฟฟ้าจากบ้านของตนเข้าไปใช้ในบ้านของฝน และไม่ยอมให้ฝนใช้ทางผ่านร่วมกับที่ดินมรดกที่ฟ้าได้รับมานั้น เมื่อการได้มาซึ่งภาระจำยอมดังกล่าวของฝนจะไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิก็ตาม แต่ก็บริบูรณ์ในฐานะบุคคลสิทธิที่ใช้บังคับกันได้ในระหว่างคู่สัญญา ซึ่งคำว่าคู่สัญญานั้นให้หมายความรวมถึง “ผู้สืบสิทธิของคู่สัญญา” ซึ่งได้แก่ทายาทของคู่สัญญาด้วย ดังนั้นเมื่อฟ้าเป็นทายาทผู้รับมรดกบ้านและที่ดินของน้ำและอยู่ในฐานะผู้สืบสิทธิของน้ำ จึงต้องรับเอาสิทธิ หน้าที่และความรับผิดต่าง ๆ ของน้ำเจ้ามรดกด้วย (ตามมาตรา 1600)

ฝนจึงมีสิทธิเรียกร้องให้ฟ้าไปจดทะเบียนภาระจำยอมในการใช้ถนนและไฟฟ้าผ่านที่ดินมรดกที่ฟ้าได้รับจากน้ำและต่อไฟฟ้าเข้าไปใช้ในที่ดินของฝนได้

สรุป

ฝนมีสิทธิเรียกร้องให้ฟ้าไปจดทะเบียนภาระจำยอมในการใช้ถนนและไฟฟ้าผ่านที่ดินมรดกที่ฟ้าได้รับจากน้ำ และต่อไฟฟ้าเข้าไปใช้ในที่ดินของฝนได้

LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายอ้วนตกลงด้วยวาจาให้นายผอมซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงใช้ทางเดินผ่านที่ดินของตนออกสู่ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ได้อย่างภาระจำยอม ภายหลังต่อมานายอ้วนจดทะเบียนยกที่ดินแปลงเดียวกันให้นางสวยโดยเสน่หา โดยนางสวยไม่ทราบถึงภาระจำยอมที่นายผอมมีอยู่บนที่ดินมาก่อนเลย

ให้ท่านวินิจฉัยว่า นางสวยจะห้ามไม่ให้นายผอมใช้ทางเดินบนที่ดินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคแรก “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมนั้น จะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิได้ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งถ้าฝ่าฝืนจะมีผลเป็นเพียงบุคคลสิทธิ ใช้กล่าวอ้างได้เฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้ (มาตรา 1299 วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอ้วนตกลงด้วยวาจาให้นายผอมซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินข้างเคียงใช้ทางเดินผ่านที่ดินของตนออกสู่ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ได้อย่างภาระจำยอมนั้น ถือเป็นกรณีที่นายผอมได้ทางภาระจำยอมผ่านที่ดินของนายอ้วน อันเป็นการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม และเมื่อการได้ภาระจำยอมดังกล่าวไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ การได้มาของนายผอมจึงยังไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิ ไม่สามารถยกขึ้นกล่าวอ้างต่อบุคคลภายนอกได้เพียงแต่มีผลบังคับกันระหว่างนายอ้วนและนายผอม ซึ่งเป็นคู่สัญญาในฐานะบุคคลสิทธิเท่านั้น (ตามมาตรา 1299 วรรคแรก)

ดังนั้น เมื่อต่อมานายอ้วนได้จดทะเบียนยกที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่นางสวยโดยเสน่หา นางสวยจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้น และถือเป็นบุคคลภายนอก เมื่อการได้ภาระจำยอมของนายผอมไม่บริบูรณ์ในฐานะทรัพยสิทธิจึงไม่สามารถบังคับใช้กับนางสวยได้ นางสวยย่อมสามารถห้ามไม่ให้นายผอมใช้ทางเดินบนที่ดินของนางสวยได้

สรุป

นางสวยห้ามไม่ให้นายผอมใช้ทางเดินบนที่ดินของตนได้

 

ข้อ 2. นายเงินครอบครองทำไร่ในที่ดินซึ่งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร และยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และไม่เคยอนุญาตให้ราษฎรรายใดเข้าครอบครองเป็นเจ้าของหลังจากนายเงินทำไร่ในที่ดินนั้นด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกินกว่าสิบปีแล้ว นายเงินให้นายทองเช่าที่ดินนั้นทำไร่ต่อจากตน หลังจากนายทองเช่าทำไร่ได้ห้าปี นายทองผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า นายเงินจึงบอกเลิกสัญญาเช่า นายเงินจะฟ้องขับไล่นายทองให้ออกไปจากที่ดินนั้น

ดังนี้ ระหว่างนายเงินและนายทองมีสิทธิใด ๆ ในที่ดินแปลงนี้ และนายเงินจะฟ้องขับไล่นายทองให้ออกไปจากที่ดินนี้ได้หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1304 “สาธารณสมบัติของแผ่นดินนั้น รวมทรัพย์สินทุกชนิดของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์ หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน เช่น

(1) ที่ดินรกร้างว่างเปล่า และที่ดินซึ่งมีผู้เวนคืนหรือทอดทิ้ง หรือกลับมาเป็นของแผ่นดินโดยประการอื่นตามกฎหมายที่ดิน”

มาตรา 1306 “ท่านห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเงินครอบครองทำไร่ในที่ดินซึ่งอยู่ในเขตป่าไม้ถาวร และยังไม่มีพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนการเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และไม่เคยอนุญาตให้ราษฎรรายใดเข้าครอบครองเป็นเจ้าของ ที่ดินดังกล่าวจึงยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1304 (1) ดังนั้นแม้นายเงินเข้าครอบครองทำไร่ในที่ดินนั้นด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกินกว่า 10 ปีแล้ว การเข้ายึดถือครอบครองของนายเงินย่อมไม่ทำให้นายเงินได้กรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ทั้งไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ใช้ยันรัฐได้ เพราะตามมาตรา 1306 ได้บัญญัติห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน แต่ในระหว่างราษฎรด้วยกันย่อมสามารถยกเอาการยึดถือครอบครองก่อนขึ้นยันผู้อื่นที่เข้ามารบกวนได้ในขณะเวลาที่ตนยังยึดถือครอบครองอยู่เท่านั้น

และเมื่อนายเงินไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงดังกล่าว นายเงินจึงไม่มีสิทธินำที่ดินนั้นไปให้นายทองเช่าทำไร่ต่อจากตน เมื่อนายเงินนำที่ดินไปให้นายทองเช่าต่อจึงเป็นการกระทำที่ไม่มีสิทธิเพราะเท่ากับนำที่ดินของรัฐไปให้บุคคลอื่นเช่าโดยรัฐไม่ยินยอม การกระทำของนายเงินจึงไม่มีผลทำให้นายทองได้สิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด แต่จะมีผลเพียงเป็นการมอบการครอบครองที่ดินให้แก่นายทองเท่านั้น นายเงินจึงไม่ใช่ผู้ยึดถือครอบครองที่ดินนั้นอีกต่อไป ดังนั้นนายเงินจึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่นายทองผู้ครอบครองที่ดินนั้น เพราะกรณีนี้ย่อมถือว่านายทองมีสิทธิดีกว่านายเงิน

สรุป

ทั้งนายเงินและนายทองไม่มีผู้ใดมีกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย และนายเงินจะฟ้องขับไล่นายทองให้ออกไปจากที่ดินแปลงดังกล่าวไม่ได้

 

ข้อ 3. นายแดงมีที่ดินแปลงหนึ่งถูกล้อมโดยที่ดินของนายดำ นายขาว และนายเขียว ต่อมานายแดงถึงแก่ความตาย ที่ดินแปลงนี้จึงตกเป็นมรดกแก่นายเข้มและนายแข็ง เมื่อนายเข้มและนายแข็งแบ่งที่ดินมรดกกันเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่านายแข็งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่ติดทางสาธารณะ ส่วนนายเข้มเป็นเจ้าของที่ดินแปลงด้านในไม่ติดทางสาธารณะ นายเข้มเห็นว่าถ้าตนได้ทำทางผ่านที่ดินของนายขาวเพื่อออกสู่ถนนจะทำให้ตนไปทำงานได้สะดวก จึงมาปรึกษาท่าน

ขอให้ท่านให้คำปรึกษาแก่นายเข้มว่า นายเข้มจะมีสิทธิทำได้หรือไม่ โดยอาศัยข้อกฎหมายเรื่องใด จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1350 “ถ้าที่ดินแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลง

ที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน”

วินิจฉัย

การขอทางจำเป็นเพื่อผ่านเข้าออกบนที่ดินตามบทบัญญัติมาตรา 1350 นั้น เป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว แต่เมื่อมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินแปลงดังกล่าวกันทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน แต่ทั้งนี้จะใช้สิทธิได้ก็แต่เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเข้มและนายแข็งได้ทำการแบ่งแยกที่ดินแปลงใหญ่กันแล้ว เมื่อปรากฏว่าที่ดินแปลงของนายเข้มถูกปิดล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ (ที่ดินตาบอด) นั้น ย่อมเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 1350 คือเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่ทางสาธารณะ แต่เมื่อแบ่งแยกแล้วเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ ดังนั้นกรณีนี้นายเข้มย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินได้ แต่นายเข้มจะใช้สิทธิได้เฉพาะบนที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอน คือที่ดินของนายแข็งโดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนเท่านั้นจะไปใช้สิทธิบนที่ดินแปลงอื่นไม่ได้

ดังนั้น การที่นายเข้มเห็นว่าถ้าตนได้ทำทางผ่านที่ดินของนายขาวเพื่อออกสู่ถนนจะทำให้ตนไปทำงานได้สะดวกนั้น นายเข้มจึงไม่มีสิทธิที่จะทำได้

สรุป

นายเข้มไม่มีสิทธิขอทางจำเป็นผ่านที่ดินของนายขาวได้ตามมาตรา 1350

 

ข้อ 4. แดงได้ภาระจำยอมในการเดินผ่านที่ดินของฟ้าซึ่งอยู่ติดกับแม่นํ้าเพื่อออกสู่ทางสาธารณะ แดงกลัวว่าถ้าภายหน้าน้ำจะเซาะทางเดินแล้วทางเดินภาระจำยอมจะหายไป จึงต้องการย้ายทางเดินภาระจำยอมออกห่างตลิ่งที่ติดแม่น้ำ แดงจะย้ายภาระจำยอมได้หรือไม่ ใครมีสิทธิย้ายได้ และจะต้องมีหลักเกณฑ์ตามกฎหมายอย่างไรบ้าง แต่ถ้าแดงทำทางใหม่โดยไม่ได้บอกหรือขออนุญาตฟ้าเมื่อเริ่มทำไปจะก่อผลอย่างไรกับภารยทรัพย์ และฟ้ามีสิทธิอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1388 “เจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิทำการเปลี่ยนแปลงในภารยทรัพย์ หรือในสามยทรัพย์ ซึ่งทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์”

มาตรา 1389 “ถ้าความต้องการแห่งเจ้าของสามยทรัพย์เปลี่ยนแปลงไป ท่านว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ให้สิทธิแก่เจ้าของสามยทรัพย์ที่จะทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ได้”

มาตรา 1392 “ถ้าภาระจำยอมแตะต้องเพียงส่วนหนึ่งแห่งภารยทรัพย์ เจ้าของทรัพย์นั้นอาจเรียกให้ย้ายไปยังส่วนอื่นก็ได้ แต่ต้องแสดงได้ว่าการย้ายนั้นเป็นประโยชน์แก่ตนและรับเสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ต้องไม่ทำให้ความสะดวกของเจ้าของสามยทรัพย์ลดน้อยลง”

วินิจฉัย

การย้ายภาระจำยอมไปส่วนอื่นของภารยทรัพย์ตามมาตรา 1392 นั้น เป็นสิทธิของเจ้าของภารยทรัพย์เท่านั้น เจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิขอย้ายเว้นแต่เจ้าของภารยทรัพย์จะได้ตกลงยินยอมด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงได้ภาระจำยอมในการเดินผ่านที่ดินของฟ้าซึ่งติดอยู่กับแม่น้ำเพื่อออกสู่ทางสาธารณะ และแดงกลัวว่าถ้าน้ำจะเซาะทางเดินหายไปจึงต้องการย้ายทางเดินภาระจำยอมออกห่างตลิ่งที่ติดแม่น้ำนั้น แดงซึ่งเป็นเจ้าของสามยทรัพย์ไม่มีสิทธิย้ายทางเดินภาระจำยอมนั้นเพราะตามมาตรา 1392 ได้บัญญัติให้เฉพาะเจ้าของภารยทรัพย์เท่านั้นที่มีสิทธิย้ายภาระจำยอมส่วนในกรณีถ้าแดงจะทำทางใหม่ด้วยตนเองโดยไม่ได้บอกหรือขออนุญาตฟ้านั้น ถ้าแดงทำย่อมถือว่าเป็นการทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์ตามมาตรา 1388 และมาตรา 1389 และไม่ใช่เป็นการรักษาภาระจำยอม ซึ่งแดงไม่มีสิทธิที่จะทำ และถ้าแดงทำย่อมถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิในที่ดินของฟ้า ซึ่งฟ้ามีสิทธิห้าม รวมทั้งให้แก้ไขทำที่ดินให้เป็นดังเดิม และเรียกค่าสินไหมทดแทนจากแดงผู้ทำละเมิดได้

สรุป

แดงจะย้ายภาระจำยอมไม่ได้ตามมาตรา 1392 และถ้าแดงทำทางใหม่โดยไม่ได้บอกหรือขออนุญาตฟ้า ย่อมเป็นการก่อภาระเพิ่มขึ้นกับภารยทรัพย์ ซึ่งฟ้ามีสิทธิห้าม สั่งให้แก้ไขทำที่ดินให้เป็นดังเดิมและเรียกค่าสินไหมทดแทนจากแดงได้

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แป๊ะครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของแต๋วกว่า 10 ปีแล้ว แต่ไม่ได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งสิทธิในที่ดินนั้น ต่อมาแต๋วขายที่ดินแปลงนี้ให้กับแมว โดยแมวเพิ่งรู้เรื่องการครอบครองของแป๊ะหลังจากที่ทำสัญญาซื้อขายและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้น 1 ปี แมวถึงแก่ความตาย หนูบุตรของแมวจดทะเบียนรับมรดกที่ดินแปลงนี้ในฐานะทายาทโดยธรรม จึงฟ้องขับไล่และเรียกที่ดินคืนจากแป๊ะ

ให้ท่านวินิจฉัยว่าระหว่างแป๊ะกับหนูผู้ใดมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากันเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1299 วรรคสอง “ถ้ามีผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม สิทธิของผู้ได้มานั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนไซร้ ท่านว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนไม่ได้ และสิทธิอันยังมิได้จดทะเบียนบั้น มิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แปะะครอบครองปรปักษ์ที่ดินมีโฉนดของแต๋วกว่า 10 ปีแล้วนั้น ถือว่าแป๊ะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินของแต๋วโดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1382 อันเป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมตามมาตรา 1299 วรรคสอง แต่การที่แป๊ะยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งสิทธิดังกล่าว ท่าให้แป๊ะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนได้ และไม่สามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค้าตอบแทน โดยสุจริต และได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้ว

การที่แต๋วทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินแปลงนี้ให้กับแมว โดยแมวไม่รู้เรื่องการครอบครองปรปักษ์ของแป๊ะมาก่อน แมวจึงเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้โดยเสียค่าตอบแทนโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ดังนั้น แมวจึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ดีกว่าแป๊ะ และสามารถให้แป๊ะออกไปจากที่ดินได้ เพราะการได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ของแป๊ะสิ้นสุดลงแล้ว และถ้ามีการครอบครองปรปักษ์ก็ต้องเริ่มนับระยะเวลาใหม่

และเมื่อหลังจากนั้น 1 ปี แมวถึงแก่ความตาย หนูบุตรของแมวได้จดทะเบียนรับมรดกที่ดินแปลงนี้ในฐานะทายาทโดยธรรม จึงถือว่าหนูเป็นผู้สืบสิทธิของแมว ผู้ซึ่งมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าแป๊ะ หนูจึงมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าแป๊ะ อีกทั้งการครอบครองปรปักษ์ครั้งใหม่ของแป๊ะก็เพิ่งครอบครองได้เพียง 1 ปีเท่านั้น

สรุป

หนูมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าแป๊ะ

 

ข้อ 2. หาญเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่ง ทิศเหนือติดทางสาธารณะซึ่งเป็นทางดินลูกรัง ส่วนด้านทิศใต้ทิศตะวันออก และทิศตะวันตกติดกับที่ดินของเอก โท และตรีตามลำดับ ต่อมาหาญถึงแก่ความตายเก่งและกล้าบุตรของหาญได้จดทะเบียนรับที่ดินมรดก โดยจดทะเบียนแบ่งที่ดินออกเป็นสองแปลง เก่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงที่ติดทางสาธารณะ ส่วนกล้าเป็นเจ้าของที่ดินแปลงด้านในไม่ติดทางสาธารณะ กล้าต้องการใช้เส้นทางผ่านที่ดินของเอกเพื่อออกสู่ทางหลวงสายกรุงเทพ-สุพรรณบุรี ซึ่งสะดวกมากกว่า แต่เอกไม่ยินยอม

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า กล้าจะร้องขอต่อศาลเพื่อให้เอกเปิดทางให้ตนผ่านที่ดินของเอกได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1350 “ถ้าที่ดินแบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเป็นเหตุให้แปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะได้ไซร้ ท่านว่าเจ้าของที่ดินแปลงนั้นมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินตามมาตราก่อนได้เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันและไม่ต้องเสียค่าทดแทน”

วินิจฉัย

การขอทางจำเป็นเพื่อผ่านเข้าออกบนที่ดินตามบทบัญญัติมาตรา 1350 นั้น เป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่ทางลาธารณะอยู่แล้ว แต่เมื่อมีการแบ่งแยกหรือแบ่งโอนที่ดินแปลงดังกล่าวกันทำให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงนั้นย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทน แต่ทั้งนี้จะใช้สิทธิได้ก็แต่เฉพาะบนที่ดินแปลงที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันเท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เก่งและกล้าได้ทำการแบ่งแยกที่ดินแปลงใหญ่กันแล้ว เมื่อปรากฏว่าที่ดินแปลงของกล้าถูกปิดล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ (ที่ดินตาบอด) นั้น ย่อมเข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา 1350 คือเป็นกรณีที่ที่ดินแปลงใหญ่เดิมมีทางออกสู่ทางลาธารณะ แต่เมื่อแบ่งแยกแล้วเป็นเหตุให้ที่ดินแปลงหนึ่งไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ ดังนั้น กรณีนี้กล้าย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินได้ แต่กล้าจะใช้สิทธิได้เฉพาะบนที่ดินที่แบ่งแยกหรือแบ่งโอนคือที่ดินของเก่งโดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนเท่านั้น จะไปใช้สิทธิบนที่ดินแปลงอื่นไม่ได้

ดังนั้น การที่กล้าต้องการใช้เส้นทางผ่านที่ดินของเอกเพื่อออกสู่ทางหลวงสายกรุงเทพ-สุพรรณบุรี ซึ่งสะดวกมากกว่าแต่เอกไม่ยินยอมนั้น กล้าจะร้องขอต่อศาลเพื่อให้เอกเปิดทางให้ตนผ่านที่ดินของเอกไม่ได้

สรุป

กล้าจะร้องขอต่อศาลเพื่อให้เอกเปิดทางให้ตนผ่านที่ดินของเอกไม่ได้

 

ข้อ 3. นายมั่นเช่าที่ดิน น.ส.3 ของนายคงเพื่อสร้างบ้านอยู่อาศัย หลังจากนั้น 8 ปี นายคงทำสัญญาขายที่ดินนั้นให้กับนายมั่น โดยชำระราคากันครบถ้วนแล้ว แต่ทั้งสองยังไม่ได้จดทะเบียนโอนสิทธิในที่ดินกัน ต่อมาอีก 5 ปี นายคงทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกลร้างดังกล่าวให้นายเบี้ยว ซึ่งนายเบี้ยวรู้เรื่องการซื้อขายที่ดินระหว่างนายมั่นกับนายคงมาก่อนแล้ว จากนั้นนายเบี้ยวได้ฟ้องขับไล่และเรียกที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างคืนจากนายมั่น

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า ระหว่างนายมั่นกับนายเบี้ยวผู้ใดมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน และนายเบี้ยวจะฟ้องขับไล่นายมั่นได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1367 “บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน ท่านว่าบุคคลนั้นได้ซึ่งสิทธิครอบครอง”

มาตรา 1368 “บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้”

มาตรา 1375 “ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ครอบครองมีสิทธิจะได้คืนซึ่งการครอบครอง เว้นแต่อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเหนือทรัพย์สินดีกว่าซึ่งจะเป็นเหตุให้เรียกคืนจากผู้ครอบครองได้

การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น ท่านว่าต้องฟ้องภายในปีหนึ่งนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง”

มาตรา 1379 “ถ้าผู้รับโอนหรือผู้แทนยึดถือทรัพย์สินอยู่แล้ว ท่านว่าการโอนไปซึ่งการครอบครองจะทำเพียงแสดงเจตนาก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายคงทำสัญญาขายที่ดินซึ่งนายมั่นได้เช่าปลูกบ้านอยู่อาศัยให้กับนายมั่น โดยชำระราคากันครบถ้วนแล้วนั้น เป็นกรณีที่ผู้รับโอนได้ยึดถือทรัพย์สินอยู่แล้ว การโอนการครอบครองจึงกระทำได้เพียงผู้โอนแสดงเจตนาตามมาตรา 1379 ดังนั้นจึงถือว่านายมั่นเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในฐานะเจ้าของที่ดินแล้ว เพราะเป็นการยึดถือเพื่อตนมิให้ยึดถือแทนนายคง และมิได้เป็นการแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด ตามมาตรา 1367, 1368 และ 1375 และมีผลทำให้สิทธิครอบครองของนายคงสิ้นสุดลงด้วย

กรณีที่หลังจากนั้น 5 ปี นายคงได้ทำสัญญาและจดทะเบียนขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้นายเบี้ยวนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายเบี้ยวผู้รับโอนได้รู้ถึงเรื่องการซื้อขายที่ดินระหว่างนายมั่นกับนายคงมาก่อนแล้ว ดังนั้น นายเบี้ยวจึงไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าว ทั้งนี้เพราะนายเบี้ยวผู้รับโอนย่อมไม่มีสิทธิดีกว่านายคงผู้โอน และนายเบี้ยวจะฟ้องขับไล่นายมั่นให้ออกจากที่ดินนั้นไม่ได้

สรุป

นายมั่นมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่านายเบี้ยว และนายเบี้ยวจะฟ้องขับไล่นายมั่นไม่ได้

 

ข้อ 4. นิยมเป็นเจ้าของที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งซึ่งเป็นสวนทุเรียนอยู่ที่จังหวัดจันทบุรี และนิยมมอบให้แก้วเป็นผู้ดูแลสวนทุเรียนแทนตน และมีสิทธิเก็บกินในสวนทุเรียนดังกล่าว โดยแบ่งรายได้จากการขายทุเรียนให้แก้วร้อยละ 15 และแก้วปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวตลอดมา หลังจากนั้น 10 ปี นิยมถึงแก่ความตาย ระเบียบบุตรของนิยมจดทะเบียนรับมรดกสวนทุเรียนแปลงนั้น เห็นว่าแก้วขายทุเรียนหมดนานแล้วแต่ไม่นำเงินจากการขายทุเรียนส่งมอบให้ตน ระเบียบจึงติดตามทวงถามจากแก้วแต่แก้วอ้างว่าสวนทุเรียนเป็นกรรมสิทธิ์ของตน และไม่ยอมแบ่งเงินที่ขายทุเรียนให้ระเบียบ ต่อจากนั้น 2 ปี ระเบียบจึงฟ้องเรียกที่ดินสวนทุเรียนคืนจากแก้ว

ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า ระหว่างระเบียบกับแก้วผู้ใดมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดีกว่ากัน และระเบียบจะเรียกที่ดินคืนจากนิยมได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1368 “บุคคลอาจได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยผู้อื่นยึดถือไว้ให้”

มาตรา 1381 “บุคคลใดยึดถือทรัพย์สินอยู่ในฐานะเป็นผู้แทนผู้ครอบครอง บุคคลนั้นจะเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือได้ก็แต่โดยบอกกล่าวไปยังผู้ครอบครองว่าไม่เจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป หรือตนเองเป็นผู้ครอบครองโดยสุจริต อาศัยอำนาจใหม่อันได้จากบุคคลภายนอก”

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

  1. เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นิยมมอบให้แก้วเป็นผู้ดูแลสวนทุเรียนซึ่งเป็นที่ดินมีโฉนดแทนตนและมีสิทธิเก็บกินในสวนทุเรียนดังกล่าวโดยแบ่งรายได้จากการขายทุเรียนให้แก้วร้อยละ 15 และแก้วปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวตลอดมานั้น ถือว่าแก้วเป็นผู้ครอบครองสวนทุเรียนแทนนิยมตามมาตรา 1368

หลังจากนั้น 10 ปี เมื่อนิยมถึงแก่ความตายระเบียบบุตรของนิยมจดทะเบียนรับมรดกสวนทุเรียนแปลงนั้น แล้วติดตามทวงถามเงินที่ขายทุเรียนจากแก้ว แต่แก้วอ้างว่าสวนทุเรียนเป็นกรรมสิทธิ์ของตน และไม่ยอมแบ่งเงินที่ขายทุเรียนให้ระเบียบนั้น เป็นกรณีที่แก้วผู้ครอบครองแทนได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ โดยบอกกล่าวไปยังระเบียบว่าไม่มีเจตนาจะยึดถือทรัพย์สินแทนผู้ครอบครองต่อไป และแก้วได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเองแล้วตามมาตรา 1381 การครอบครองปรปักษ์จึงต้องเริ่มนับตั้งแต่การเปลี่ยนลักษณะการครอบครองดังกล่าว แต่เมื่อปรากฏว่าการครอบครองปรปักษ์ของแก้วเพิ่งนับได้เพียง 2 ปี ดังนั้นแก้วจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นโดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 ระเบียบจึงมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดิกว่าแก้ว และระเบียบย่อมสามารถเรียกที่ดินดินจากแก้วได้

สรุป

ระเบียบมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทดีกว่าแก้ว และสามารถเรียกที่ดินคืนจากแก้วได้

LAW2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2001 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยทรัพย์

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเอกตกลงให้นายโทเช่าที่ดินของตนแปลงหนึ่ง โดยข้อตกลงในหนังสือสัญญาเช่าที่ลงลายมือชื่อ นายเอกและนายโทระบุว่า

“ข้อ 1. สัญญาเช่าที่ดินระหว่างคู่สัญญามีกำหนด 30 ปี

ข้อ 2. นายเอก ยินยอมให้นายโทปลูกสร้างโรงเรือนลงบนที่ดินที่เช่าได้

ข้อ 3. นายโทยินยอมให้โรงเรือนตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายเอกเมื่อครบกำหนดระยะเวลาการเช่า ”

ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(1)     ในระหว่างสัญญาเช่ายังมีอายุกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนเป็นของนายเอกหรือนายโท

(2)     ข้อตกลงที่นายเอกได้กรรมสิทธิ์ในโรงเรือนเมื่อครบกำหนดเวลาการเช่าบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิหรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 144 “ส่วนควบของทรัพย์ หมายความว่า ส่วนซึ่งโดยสภาพแห่งทรัพย์หรือโดยจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเป็นสาระสำคัญในความเป็นอยู่ของทรัพย์นั้น และไม่อาจแยกจากกันได้นอกจากจะทำลายทำให้บุบสลาย หรือทำให้ทรัพย์นั้นเปลี่ยนแปลงรูปทรงหรือสภาพไป เจ้าของทรัพย์ย่อมมีกรรมสิทธิ์ในส่วนควบของทรัพย์นั้น”

มาตรา 146 “ทรัพย์ซึ่งติดกับที่ดินหรือติดกับโรงเรือนเพียงชั่วคราวไม่ถือว่าเป็นส่วนควบกับที่ดินหรือโรงเรือนนั้น ความข้อนี้ให้ใช้บังคับแก่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่น ซึ่งผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นใช้สิทธินั้นปลูกสร้างไว้ในที่ดินนั้นด้วย ”

มาตรา 1299 วรรคแรก “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่น ท่านว่าการได้มาโดยนิติกรรมซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่บริบูรณ์ เว้นแต่นิติกรรมจะได้ทำเป็นหนังสือและได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรมนั้น จะบริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิได้ จะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ (มาตรา 1299 วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์ วินิจฉัยได้ดังนี้

  1. การที่นายเอกตกลงให้นายโทเช่าที่ดินของตน โดยนายเอกยินยอมให้นายโทปลูกสร้างโรงเรือนลงบนที่ดินที่เช่าได้ และมีข้อตกลงว่าเมื่อครบกำหนดระยะเวลาการเช่า 30 ปีแล้ว ให้โรงเรือนนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายเอก ดังนั้นเมื่อนายโทปลูกสร้างโรงเรือนลงบนที่ดินที่เช่า จึงเป็นกรณีที่ผู้มีสิทธิในที่ดินของผู้อื่นได้ใช้สิทธินั้นปลูกสร้างโรงเรือนไว้ โรงเรือนที่นายโทได้ปลูกสร้างไว้ดังกล่าวจึงไม่เป็นส่วนควบของที่ดิน ตามมาตรา 144 ประกอบมาตรา 146 และในระหว่างสัญญาเช่ายังมีอายุกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนจึงยังเป็นของนายโท
  2. ข้อตกลงที่ให้นายเอกได้กรรมสิทธิ์ในโรงเรือนเมื่อครบกำหนดเวลาการเช่านั้น เป็นการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางนิติกรรม เมื่อปรากฏว่านิติกรรมดังกล่าวแม้นายเอกและนายโทจะได้ทำเป็นหนังสือ แต่เมื่อไม่ได้จดทะเบียนการได้มากับพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังนั้น การได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนของนายเอกเมื่อครบกำหนดเวลาเช่า จึงไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิตามมาตรา 1299 วรรคแรก

สรุป

  1. ในระหว่างสัญญาเช่ายังมีอายุกรรมสิทธิ์ในโรงเรือนยังเป็นของนายโท
  2. ข้อตกลงที่นายเอกได้กรรมสิทธิ์ในโรงเรือนเมื่อครบกำหนดเวลาการเช่าไม่บริบูรณ์เป็นทรัพยสิทธิ

 

ข้อ 2. นายเชิดเป็นเจ้าของที่ดินมือเปล่าแปลงหนึ่งซึ่งอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง ต่อมาที่ดินขอนายเชิดค่อย ๆเกิดที่ดินงอกยื่นเข้าไปในแม่น้ำแม่กลองเป็นเนื้อที่ประมาณ 30 ตารางวา และนายเชิดได้นำดินมาถมแม่น้ำต่อจากที่งอกริมตลิ่งนั้นเป็นเนื้อที่เพิ่มขึ้นอีก 50 ตารางวา ต่อจากนั้นนายเชิดได้สร้างร้านอาหารลงบนที่ดินที่เกิดขึ้นใหม่ 80 ตารางวานั้น หลังจากสร้างร้านอาหารได้ 5 ปี ทางราชการต้องการขุดลอกแม่น้ำแม่กลอง ทางราชการจึงให้นายเชิดรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดบนที่ดิน 80 ตารางวาที่ยื่นเข้าไปในแม่น้ำแม่กลอง ดังนี้ นายเชิดจะอ้างสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1308 “ที่ดินแปลงใดเกิดที่งอกริมตลิง ที่งอกย่อมเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1308 กรณีที่จะเป็นที่งอกริมตลิ่งและตกเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงที่เกิดที่งอกริมตลิ่งนั้น จะต้องเป็นที่งอกจากที่ดินที่เป็นประธานออกไปในน้ำและเป็นการงอกโดยธรรมชาติด้วย มิใช่การเอาดินมาถมเพื่อให้เป็นที่งอก

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ที่ดินของนายเชิดค่อย ๆ เกิดที่ดินงอกยื่นเข้าไปในแม่น้ำแม่กลองเป็นเนื้อที่ 30 ตารางวานั้น เป็นที่งอกริมตลิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ดังนั้นที่งอกริมตลิงจึงตกเป็นสิทธิของนายเชิดเจ้าของที่ดินที่เกิดที่งอกริมตลิ่งตามมาตรา 1308 แต่ที่ดินส่วนที่นายเชิดได้นำดินมาถมต่อจากที่งอกริมตลิ่งล้ำเข้าไปในแม่น้ำแม่กลองเป็นเนื้อที่ 50 ตารางวานั้น ไม่ถือว่าเป็นที่งอกริมตลิ่งตามมาตรา 1308 เพราะมิได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ดังนั้น ที่ดิน 50 ตารางวาจึงยังมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่เกิดจากการถมแม่น้ำแม่กลองซึ่งนายเชิดไม่มีสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินส่วนที่ตนใช้ดินถมออกไป และเมื่อทางราชการต้องการขุดลอกแม่น้ำแม่กลอง

ทางราชการจึงสั่งให้นายเชิดรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดบนที่ดิน 80 ตารางวาที่ยื่นเข้าไปในแม่น้ำแม่กลองนั้น นายเชิดย่อมอ้างสิทธิเหนือที่ดินได้เฉพาะส่วนที่เป็นที่งอกริมตลิ่ง 30 ตารางวาเท่านั้น ส่วนที่ดินอีก 50 ตารางวา ที่นายเชิดได้ถมล้ำเข้าไปในแม่น้ำแม่กลองนั้นนายเชิดไม่มีสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินส่วนนี้เลย และต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินส่วนนี้ออกไปด้วย

สรุป

นายเชิดมีสิทธิครอบครองเหนือที่ดินส่วนที่เป็นที่งอกริมตลิ่งเนื้อที่ 30 ตารางวา ส่วนที่ดินอีก 50 ตารางวา ที่นายเชิดถมล้ำเข้าไปในแม่น้ำแม่กลอง นายเชิดไม่มีสิทธิใด ๆ เหนือที่ดินส่วนนี้เลย และต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินส่วนนี้ออกโปด้วย

 

ข้อ 3. หมูครอบครองบุกรุกเข้าไปทำไร่ข้าวโพดในที่ดินมีโฉนดของแมว โดยบอกกับชาวบ้านแถวนั้นว่าเป็นที่ดินของตน หลังจากที่ครอบครองมาได้ 5 ปี แมวรู้เข้าจึงบอกให้หมูออกไปจากที่ดิน มิฉะนั้น จะแจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดีกับหมู หมูกลัวจึงย้ายออกจากไร่ข้าวโพดของแมวในขณะที่เพิ่งเริ่มปลูกข้าวโพดได้เพียง 10 วัน ผ่านไป 1 เดือน หมูเสียดายต้นข้าวโพดที่ลงทุนไปจึงย้ายกลับเข้าไปใหม่และครอบครองต่อมาอีก 5 ปี แมวก็ถึงแก่ความตาย นกบุตรของแมวรับมรดกจากแมวมา และแจ้งให้หมูออกจากที่ดินเสีย

ให้ท่านวินิจฉัยว่า หมูจะอ้างสิทธิในการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้นกได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1384 “ถ้าผู้ครอบครองขาดยึดถือทรัพย์สินโดยไม่สมัคร และได้คืนภายในเวลาปีหนึ่งนับตั้งแต่วันขาดยึดถือหรือได้คืนโดยฟ้องคดีภายในกำหนดนั้นไซร้ ท่านมิให้ถือว่าการครอบครองสะดุดหยุดลง”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้วการได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382 จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

  1. เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นโดยผู้อื่นมีกรรมสิทธิ์
  2. ได้ครอบครองโดยความสงบ
  3. ครอบครองโดยเปิดเผย
  4. ครอบครองโดยเจตนาเป็นเจ้าของ
  5. ครอบครองติดต่อกันมาเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หมูครอบครองปรปักษ์ที่ดินของแมวได้ 5 ปี และได้ย้ายออกไปเมื่อแมวบอกให้ออกมิฉะนั้นจะแจ้งความให้ตำรวจดำเนินคดีกับหมู แม้หมูกลัวว่าจะถูกดำเนินคดีจึงได้ย้ายออกไปจากที่ดินของแมว ก็ถือว่าเป็นกรณีที่หมูมีเจตนาสละการครอบครองที่ดินไปโดยสมัครใจ สิทธิครอบครองจึงสิ้นสุดลง

และเมื่อหมูได้ย้ายกลับมาอีกและครอบครองใหม่ จึงต้องเริ่มต้นนับเวลาใหม่อีกครั้งหนึ่งซึ่งกรณีนี้จะนำมาตรา 1384 มาใช้กับการกลับเข้ามาครอบครองใหม่ของหมูไม่ได้ และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหมูได้ครอบครองในครั้งหลังนี้ได้เพียง 5 ปี ยังไม่ครบ 10 ปี หมูจึงยังไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้โดยการครอบครองปรปักษ์ตามมาตรา 1382

ดังนั้น เมื่อนกบุตรของแมวแจ้งให้หมูออกไปจากที่ดิน หมูจะอ้างสิทธิในการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้นกไม่ได้

สรุป

หมูจะอ้างสิทธิในการครอบครองปรปักษ์ขึ้นต่อสู้นกไม่ได้

 

ข้อ 4. ส่งเป็นพี่น้องของสีซึ่งมีที่ดินอยู่ใกล้กับสี สีได้วางสายไฟฟ้าพาดผ่านที่ดินของส่งเข้ามาในที่ดินของตน ซึ่งส่งทราบแต่ก็ไม่ได้ห้าม ต่อมาส่งได้ขายที่ดินของส่งแปลงนั้นให้สุด สุดได้เรียกให้สีรื้อถอนเสาไฟฟ้าออกไปแต่สีไม่ยอม เมื่อสุดซื้อที่ดินแปลงนี้มาได้ 3 ปี สีก็ได้วางสายโทรศัพท์บนเสาไฟฟ้าและวางทอประปาผ่านที่ดินของสุดอีก โดยสุดไม่ทราบเพราะไม่เคยเข้าไปดูแลที่ดินเลย สีวางสายโทรศัพท์ท่อประปามาได้ 8 ปี สุดจึงได้ฟ้องร้องต่อศาลให้นายสีรื้อถอนเสาไฟฟ้า สายโทรศัพท์ ท่อประปาออกไปจากที่ดินของตน สีจะต่อสู้ว่าตนได้ภาระจำยอมในการวางสายไฟฟ้า สายโทรศัพท์ ท่อประปาบนที่ดินของสุดแปลงนั้นแล้ว ข้อต่อสู้ของสีรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1382 “บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์”

มาตรา 1387 “อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยูในภาระจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้นเพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น”

มาตรา 1401 “ภาระจำยอมอาจได้มาโดยอายุความ ท่านให้นำบทบัญญัติว่าด้วยอายุความได้สิทธิอันกล่าวไว้ในลักษณะ 3 แห่งบรรพนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

วินิจฉัย

การได้ภาระจำยอมตามมาตรา 1387 โดยอายุความครอบครองปรปักษ์นั้น ถือเป็นการได้ทรัพยสิทธิเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม ซึ่งตามมาตรา 1401 นั้น บัญญัติให้นำอายุความได้สิทธิตามมาตรา 1382 มาบังคับใช้โดยอนุโลม กล่าวคือ ต้องเป็นกรณีที่เจ้าของสามยทรัพย์ได้ใช้ประโยชน์ในภารยทรัพย์ โดยความสงบ เปิดเผย และมีเจตนาจะได้สิทธิภาระจำยอมในภารยทรัพย์ โดยต้องใช้ประโยชน์ติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ส่งกับสีเป็นพี่น้องกันและมีที่ดินอยู่ใกล้กันนั้น การที่สีได้วางสายไฟฟ้าพาดผ่านที่ดินของส่งเข้ามาในที่ดินของตนโดยไม่ได้บอกกล้าวกับส่งซึ่งส่งทราบแต่ก็ไม่ได้ห้าม ถือเป็นการใช้ภาระจำยอมโดยฉันญาติมิตร ไม่ก่อให้เกิดการนับอายุความปรปักษ์ แต่เป็นการได้ภาระจำยอมโดยนิติกรรมสัญญา แต่เมื่อส่งได้ขายที่ดินของส่งแปลงนั้นให้สุด และสุดได้เรียกให้สีรื้อถอนเสาไฟฟ้าออกไปแต่สีไม่ยอม จึงเป็นการเปลี่ยนการยึดถือเป็นเจตนาปรปักษ์เพี่อให้ได้ภาระจำยอม ซึ่งสีสามารถนับอายุความครอบครองปรปักษ์เพี่อให้ได้ภาระจำยอมได้

เมื่อสุดซื้อที่ดินแปลงนี้มาได้สามปี สีก็ได้วางสายโทรศัพท์และท่อไฟฟ้า และวางท่อประปาผ่านที่ดินของสุดอีก โดยสุดไม่ทราบเพราะไม่เคยเข้าไปดูแลที่ดินเลย และเมื่อสีวางสายโทรศัพท์และท่อประปามาได้แปดปี สุดจึงได้ฟ้องร้องต่อศาลให้สีรื้อถอนเสาไฟฟ้า สายโทรศัพท์ ท่อประปาออกไปจากที่ดินของตน

ดังนี้จะเห็นได้ว่าสีได้ภาระจำยอมเฉพาะในการวางสายไฟฟ้าเท่านั้นเพราะครบสิบปีแล้ว ส่วนสายโทรศัพท์และท่อประปาสียังไม่ได้ภาระจำยอมเพราะยังครอบครองปรปักษ์ไม่ครบสิบปีตามมาตรา 1387 ประกอบมาตรา 1401 และมาตรา 1382

สรุป

ข้อต่อสู้ของสีรับฟังได้เฉพาะกรณีที่ได้ภาระจำยอมในการวางสายไฟฟ้าเท่านั้น ส่วนที่ว่าตนได้ภาระจำยอมในการวางสายโทรศัพท์ และท่อประปานั้นรับฟังไม่ได้

WordPress Ads
error: Content is protected !!