LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสมจิตได้อยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวสุดา แต่ได้มาชอบพอรักใคร่กับนางสาวพิมพาจึงได้ทําสัญญาหมั้นด้วยแหวนเพชร 1 วง ทอง 10 บาท และจะยกที่ดินให้เป็นสินสอด 1 แปลง แก่บิดามารดาของนางสาวพิมพา ต่อมาก่อนจดทะเบียนสมรสบิดาและมารดาของนางสาวพิมพา ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต นายสมจิตจึงตกลงจะยกที่ดินที่เป็นสินสอดให้แก่นางสาวพิมพา เพื่อตอบแทนการสมรสแทน เมื่อนายสมจิตทําการจดทะเบียนสมรสแล้วไม่ยินยอมโอนที่ดินให้ เช่นนี้ นางสาวพิมพาต้องการเรียกร้องให้โอนที่ดินได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่งและวรรคสาม “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สิน อันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

สินสอดเป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง แล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิง หรือโดยมี พฤติการณ์ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบ ทําให้ชายไม่สมควรหรือไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น ฝ่ายชายเรียกสินสอดคืนได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมจิตได้ทําสัญญาหมั้นกับนางสาวพิมพาด้วยแหวนเพชร 1 วง ทอง 10 บาทนั้น การหมั้นระหว่างนายสมจิตและนางสาวพิมพาย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง และการที่นายสมจิตตกลงจะยกที่ดินให้เป็นสินสอด 1 แปลงแก่บิดามารดาของนางสาวพิมพานั้น ถือเป็นสินสอด ตามมาตรา 1437 วรรคสาม

แต่อย่างไรก็ดี ก่อนที่นายสมจิตและนางสาวพิมพาจะจดทะเบียนสมรสกันนั้น บิดามารดาของ นางสาวพิมพาได้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต นายสมจิตจึงตกลงจะยกที่ดินที่เป็นสินสอดให้แก่นางสาวพิมพาเพื่อ ตอบแทนการสมรสแทนนั้น เมื่อปรากฏว่าในขณะที่จดทะเบียนสมรสนางสาวพิมพาไม่มีบิดามารดาหรือ ผู้ปกครอง และตามกฎหมายสินสอดเป็นทรัพย์สินที่ฝ่ายชายให้ไว้แก่บิดามารดาของฝ่ายหญิงเพื่อตอบแทน การที่หญิงยอมสมรส

ดังนั้น ที่ดินที่นายสมจิตตกลงจะยกให้แก่นางสาวพิมพาจึงไม่ใช่สินสอดตามมาตรา 1437 วรรคสาม และไม่มีความผูกพันตามสัญญาสินสอดที่จะต้องโอนที่ดินให้แก่ฝ่ายหญิง

แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ถือว่าเป็นสินสอดแต่ก็ถือว่าเป็นสัญญาที่สามารถบังคับกันได้ในระหว่างคู่สัญญาในฐานะบุคคลสิทธิ์

ดังนั้น เมื่อนายสมจิตได้ทําการจดทะเบียนสมรสกับนางสาวพิมพาแล้วแต่ไม่ยินยอมโอนที่ดินให้ นางสาวพิมพา จึงสามารถเรียกร้องให้โอนที่ดินได้ (คําพิพากษาฎีกาที่ 3442/2526)

สรุป นางสาวพิมพาสามารถเรียกร้องให้นายสมจิตโอนที่ดินให้แก่ตนได้

 

ข้อ 2 นายแดง อายุ 40 ปี จดทะเบียนหย่ากับนางดํา อายุ 21 ปี ในวันที่ 15 มกราคม 2560 เพราะนางดําไม่มีบุตรให้ แต่นายแดงอยากมีบุตรมาก นายแดงจึงว่าจ้างให้ น.ส.สวยตั้งครรภ์บุตรให้ด้วยวิธีการ ผสมเทียม และนายแดงไปจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.สวยในวันที่ 1 มีนาคม 2560 โดยที่นายแดง และ น.ส.สวยไม่ประสงค์จะใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภริยากันเลย ส่วนนางดําไปจดทะเบียนสมรสใหม่ กับนายมั่งมี อายุ 16 ปี ในวันที่ 30 กันยายน 2561 อีกสามเดือนต่อมานางดําตั้งครรภ์ นางฟ้า มารดาของนายมั่งมีทราบเรื่องไม่พอใจอย่างมากที่ลูกชายไปจดทะเบียนสมรสกับนางดํา ขอให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) การสมรสระหว่างนายแดงกับ น.ส.สวยมีผลเช่นไร เพราะเหตุใด

(ข) นางฟ้าจะมาเพิกถอนการสมรสระหว่างนางดํากับนายมั่งมีได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1448 “การสมรสจะทําได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณีที่มี เหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทําการสมรสก่อนนั้นได้”

มาตรา 1458 “การสมรสจะทําได้ต่อเมื่อชายหญิงยินยอมเป็นสามีภริยากันและต้องแสดงการ ยินยอมนั้นให้ปรากฏโดยเปิดเผยต่อหน้า นายทะเบียนและให้นายทะเบียนบันทึกความยินยอมนั้นไว้ด้วย”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1503 “เหตุที่จะขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการสมรสเพราะเหตุว่าเป็นโมฆียะ มีเฉพาะในกรณีที่คู่สมรสทําการฝ่าฝืนมาตรา 1448 มาตรา 1505 มาตรา 1506 มาตรา 1507 และมาตรา 1509″

มาตรา 1504 “การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะฝ่าฝืนมาตรา 1448 ผู้มีส่วนได้เสียขอให้เพิกถอน การสมรสได้ แต่บิดามารดาหรือผู้ปกครองที่ให้ความยินยอมแล้วจะขอให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้

ถ้าศาลมิได้สั่งให้เพิกถอนการสมรสจนชายหญิงมีอายุครบตามมาตรา 1448 หรือเมื่อหญิงมีครรภ์ ก่อนอายุครบตามมาตรา 1448 ให้ถือว่าการสมรสสมบูรณ์มาตั้งแต่เวลาสมรส”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายแดงได้จดทะเบียนสมรสกับ น.ส.สวยนั้น แม้ว่านายแดงได้จดทะเบียนสมรสในขณะที่ ตนไม่มีคู่สมรสเพราะได้หย่ากับนางดําแล้วก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การที่นายแดงสมรสกับ น.ส.สวยนั้น นายแดงและ น.ส.สวยไม่ประสงค์จะใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภริยากันเลย ดังนั้น ถือได้ว่าการสมรสของนายแดง และ น.ส.สวย เป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนเงื่อนไขของการสมรสในเรื่องความยินยอมตามมาตรา 1458 การสมรส จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495

(ข) การที่นางดําอายุ 21 ปี ได้จดทะเบียนหย่ากับนายแดง และได้ไปจดทะเบียนสมรสใหม่กับ นายมั่งมีอายุ 16 ปีนั้น ถือเป็นการสมรสที่มีการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1448 เพราะนายมั่งมีมีอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ ดังนั้น การสมรสระหว่างนางดําและนายมั่งมีจึงตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 1503

และเมื่อสมรสไปได้ 3 เดือน การที่นางดําได้ตั้งครรภ์ และนางฟ้ามารดาของนายมั่งมีทราบเรื่อง จึงจะฟ้องศาลขอให้เพิกถอนการสมรสระหว่างนายมั่งมีกับนางดํานั้น เมื่อนางฟ้ามารดาของนายมั่งมีถือว่า เป็นผู้มีส่วนได้เสียจึงสามารถฟ้องขอให้เพิกถอนการสมรสที่เป็นโมฆียะดังกล่าวได้ตามมาตรา 1504 วรรคหนึ่ง และกรณีดังกล่าวก็ไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 1504 วรรคสอง กล่าวคือ นายมั่งมียังมีอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ และบทบัญญัติในมาตรา 1504 วรรคสองนั้น เป็นบทบัญญัติคุ้มครองเฉพาะในกรณีที่หญิงมีครรภ์ก่อนอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์เท่านั้น แต่กรณีนี้ นางดํามีครรภ์ตอนอายุเกิน 17 ปีแล้ว

สรุป

(ก) การสมรสระหว่างนายแดงกับ น.ส.สวยมีผลเป็นโมฆะ

(ข) นางฟ้ามารดาของนายมั่งมีสามารถเพิกถอนการสมรสระหว่างนางดํากับนายมั่งมีได้

 

ข้อ 3 นายใหญ่และนางเล็กเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย นางเล็กทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายโตจํานวน 50,000 บาท โดยนายใหญ่ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ยืมเงินนั้น นางเล็กบอกนายใหญ่ ว่าจะนําเงินดังกล่าวมาเป็นทุนในการเปิดร้านขายอาหาร แต่นางเล็กกลับนําเงินทั้งหมดไปซื้อเสื้อผ้า และเครื่องประดับของตน ต่อมานางเล็กได้ไปทําสัญญากู้เงินจากนายเอกจํานวน 30,000 บาท เพื่อจ่ายค่าเล่าเรียนในระดับปริญญาโทของนางเล็ก หลังจากนั้นบิดาของนายใหญ่ให้เงินนายใหญ่ จํานวน 100,000 บาท นางเล็กขอให้นายใหญ่นําเงินนั้นมาชําระหนี้ที่ตนเองไปกู้ยืมมาทั้งหมดแต่นายใหญ่ปฏิเสธโดยอ้างว่านายใหญ่ไม่ได้ใช้เงินที่นางเล็กกู้ยืมมาเลย นายใหญ่นําเงินที่ได้รับมา จํานวน 20,000 บาทให้แก่นางสาวสวยซึ่งเป็นแฟนเก่าของนายใหญ่ ต่อมานายใหญ่เอารถยนต์ซึ่งเป็น สินสมรสไปให้นางสาวสายยืมใช้เป็นเวลา 3 เดือน โดยที่นางเล็กไม่ได้ให้การยินยอมในการยืมนั้น

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นายใหญ่จะต้องร่วมรับผิดชําระหนี้ที่นางเล็กไปกู้ยืมเงินมาจากนายโตและนายเอกด้วยหรือไม่เพราะเหตุใด

(ข) นางเล็กจะฟ้องศาลขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่นายใหญ่ให้เงิน 20,000 บาทแก่นางสาวสวย และการให้ยืมรถยนต์ซึ่งเป็นสินสมรสแก่นางสาวสวยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ด้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา” มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งใน กรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่งอสังหา ริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับ ความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอม จากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความ ยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและเสีย ค่าตอบแทน”

มาตรา 1490 “หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้นให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้น ในระหว่างสมรสดังต่อไปนี้

(1) หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนหรือจัดหาสิ่งจําเป็นสําหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดู ตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ

(2) หนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรส

(3) หนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภริยาทําด้วยกัน

(4) หนี้ที่สามีหรือภริยาก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบัน”

วินิจฉัย กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นางเล็กทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายโตจํานวน 50,000 บาท โดยนางเล็กได้นําเงินทั้งหมด ไปซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับของตนนั้น ถือเป็นหนี้ที่นางเล็กก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่การที่นายใหญ่ ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ยืมเงินนั้น ย่อมถือว่านายใหญ่ได้ให้สัตยาบันในหนี้นั้นแล้ว ดังนั้น หนี้ดังกล่าว จึงเป็นหนี้ร่วมตามมาตรา 1490 (4) นายใหญ่จึงต้องร่วมรับผิดในหนี้จํานวน 50,000 บาทที่นางเล็กกู้ยืมมาจาก นายโตร่วมกับนางเล็ก

ส่วนหนี้ที่นางเล็กได้ไปทําสัญญากู้ยืมจากนายเอกจํานวน 30,000 บาท เพื่อจ่ายค่าเล่าเรียนใน ระดับปริญญาโทของนางเล็กนั้นไม่ใช่หนี้ร่วมตามมาตรา 1490 (1) แต่อย่างใด เพราะไม่ใช่หนี้ที่เกี่ยวกับ การศึกษาของบุตร และไม่ใช่หนี้ร่วมตามมาตรา 1490 (4) เนื่องจากเป็นหนี้ที่นางเล็กก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตน ฝ่ายเดียว โดยนายใหญ่ไม่ได้ให้สัตยาบันในหนี้นั้นแต่อย่างใด ดังนั้น นายใหญ่จึงไม่ต้องร่วมรับผิดชําระหนี้ในหนี้ที่ นางเล็กไปกู้ยืมเงินจากนายเอก

(ข) การที่บิดาของนายใหญ่ได้ให้เงินแก่นายใหญ่จํานวน 100,000 บาท ถือเป็นสินส่วนตัวตาม มาตรา 1471 (3) เพราะเป็นทรัพย์สินที่นายใหญ่ได้มาระหว่างสมรสโดยการให้โดยเสน่หา นายใหญ่จึงมีอํานาจ ในการจัดการเงินดังกล่าวได้ตามมาตรา 1473 เมื่อนายใหญ่นําเงิน 20,000 บาทไปให้นางสาวสวยซึ่งเป็นแฟนเก่า ของนายใหญ่ นางเล็กจึงไม่มีสิทธิฟ้องศาลขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่นายใหญ่ให้เงิน 20,000 บาทแก่นางสาวสวย

ส่วนการที่นายใหญ่ได้เอารถยนต์ซึ่งเป็นสินสมรสไปให้นางสาวสวยยืมใช้เป็นเวลา 3 เดือนนั้น ไม่ใช่การจัดการสินสมรสตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476 (1) – (8) ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกัน หรือต้อง ได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งแต่อย่างใด นายใหญ่จึงมีสิทธินํารถยนต์ซึ่งเป็นสินสมรสไปให้นางสาวสวย ยืมใช้ได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากนางเล็ก ดังนั้น นางเล็กจะฟ้องศาลขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่นายใหญ่ ให้นางสาวสวยยืมรถยนต์ไม่ได้ (มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง)

สรุป

(ก) นายใหญ่จะต้องร่วมรับผิดชําระหนี้ที่นางเล็กไปกู้ยืมเงินมาจากนายโต แต่ไม่ต้องร่วม รับผิดชําระหนี้ที่นางเล็กไปกู้ยืมเงินมาจากนายเอก

(ข) นางเล็กจะฟ้องศาลขอให้เพิกถอนนิติกรรมที่นายใหญ่ให้เงินแก่นางสาวสวย 20,000 บาท และการให้ยืมรถยนต์ซึ่งเป็นสินสมรสแก่นางสาวสวยไม่ได้

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา และมีบุตรด้วยกันคือเด็กชายเป็ด ต่อมานายไก่ไปจดทะเบียนสมรสกับนางห่านโดยตกลงกันว่านางห่านยินยอมให้นายไก่ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามี ภริยากับนางไข่ได้เหมือนเดิม ต่อมานางห่านมีบุตรสาวคือเด็กหญิงหงส์จึงมีความรู้สึกหึงหวงนายไก่ ไม่อยากให้นายไก่ไปยุ่งกับนางไข่และเด็กชายเป็ด จึงมาปรึกษาท่านว่า

(1) ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวนางห่านจะอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่านายไก่ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

(2) เด็กชายเป็ดและเด็กหญิงหงส์ เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร นับแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือร่วม ประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้น จะยกเป็นเหตุ ฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1536 วรรคหนึ่ง “เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่ วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี หรือเคยเป็นสามี แล้วแต่กรณี”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาและมีบุตรด้วยกันคือเด็กชายเป็ด ต่อมา นายไก่ได้ไปจดทะเบียนสมรสกับนางห่านโดยตกลงกันว่านางห่านยินยอมให้นายไก่ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา กับนางไข่ได้เหมือนเดิมนั้น การกระทําของนายไก่ที่ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางไข่ ถือเป็นการเลี้ยงดูหรือ ยกย่องผู้อื่นฉันภริยาตามมาตรา 1516 (1) แล้ว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางห่านได้รู้เห็นเป็นใจ หรือยินยอมด้วยกับการกระทําของนายไก่ ดังนั้น นางห่านแม้จะเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ก็จะ ยกเหตุดังกล่าวขึ้นมาฟ้องหย่านายไก่ไม่เด้ตามมาตรา 1517 วรรคหนึ่ง

(2) เมื่อนายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรสตามมาตรา 1457 นายไก่และนางไข่จึงมิใช่สามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น เด็กชายเป็ดจึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางไข่ แต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกตามมาตรา 1546

ส่วนเด็กหญิงหงส์ซึ่งเกิดจากนายไก่และนางห่านสามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ย่อมเป็นบุตร โดยชอบด้วยกฎหมายของนางห่านตามมาตรา 1546 และเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ตามมาตรา 1536 วรรคหนึ่ง เพราะเด็กหญิงหงส์ได้เกิดในขณะที่นางห่านเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ และเป็นบุตร ที่ชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางห่านนับแต่คลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก

สรุป

(1) นางห่านจะยกเหตุดังกล่าวขึ้นอ้างเพื่อฟ้องหย่านายไก่ไม่ได้

(2) เด็กชายเป็ดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางไข่แต่เพียงผู้เดียว และเด็กหญิงหงส์ เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางห่านนับแต่คลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว S/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสุชาติรักใคร่นางสาวมณีวรรณจึงตกลงว่าจะทําสัญญาหมั้นด้วยทอง 10 บาท โดยจะทําสัญญาหมั้นในวันที่ 1 เมษายน เมื่อถึงวันทําสัญญาหมั้นนายสุชาติไม่สามารถหาทองมาหมั้นได้ จึงไปทําสัญญาเช่าทอง 10 บาทจากนายพิชัยมาใช้ในงานทําสัญญาหมั้นเพื่อไม่ให้เสียฤกษ์การหมั้น นายสุชาติกับนางสาวมณีวรรณจึงทําพิธีสมรสและอยู่กินฉันสามีภริยา ต่อมานางสาวมณีวรรณ ได้ทวงทอง 10 บาท แต่นายสุชาติไม่มีให้ นางสาวมณีวรรณจึงได้รับทําสัญญาหมั้นกับนายทะนง ซึ่งได้มอบทอง 5 บาทให้เป็นของหมั้น แต่ทําสัญญากู้ 100,000 บาทไว้ให้แทนเพราะหาเงินของหมั้น ไม่ทัน เมื่อจดทะเบียนสมรสแล้วนางสาวมณีวรรณก็ทวงถามเงิน 100,000 บาท แต่นายทะนงไม่ให้ เช่นนี้ นายสุชาติจะฟ้องนางสาวมณีวรรณที่ผิดสัญญาหมั้นได้หรือไม่ และนางสาวมณีวรรณจะฟ้อง เรียกเงิน 100,000 บาทได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่ง “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น ของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

 

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1 นายสุชาติจะฟ้องนางสาวมณีวรรณว่าผิดสัญญาหมั้นได้หรือไม่ กรณีนี้เห็นว่า การที่ นายสุชาติรักใคร่นางสาวมณีวรรณจึงตกลงว่าจะทําสัญญาหมั้นด้วยทอง 10 บาท เมื่อถึงวันทําสัญญาหมั้นนายสุชาติ ไม่สามารถหาทองมาหมั้นได้จึงไปทําสัญญาเช่าทองจากนายพิชัยมาใช้ในงานทําสัญญาหมั้นเพื่อไม่ให้เสียฤกษ์ การหมั้น แล้วนายสุชาติกับนางสาวมณีวรรณได้ทําพิธีสมรสและอยู่กินฉันสามีภริยากันนั้น การหมั้นระหว่าง นายสุชาติกับนางสาวมณีวรรณย่อมมีผลไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายเนื่องจากไม่ได้มีการส่งมอบทรัพย์สิน อันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้นตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง

เมื่อการหมั้นระหว่างนายสุชาติกับนางสาวมณีวรรณมีผลไม่สมบูรณ์ การผิดสัญญาหมั้น ตามมาตรา 1439 จึงมิอาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้น การที่นางสาวมณีวรรณไปทําสัญญาหมั้นกับนายทะนง นายสุชาติ จะฟ้องนางสาวมณีวรรณฐานผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา 1439 ไม่ได้

2 นางสาวมณีวรรณจะฟ้องเรียกเงิน 100,000 บาทจากนายทะนงได้หรือไม่ กรณีนี้เห็นว่า การที่นางสาวมณีวรรณได้ทําสัญญาหมั้นกับนายทะนง โดยนายทะนงได้มอบทอง 5 บาทให้เป็นของหมั้น ส่วนเงิน 100,000 บาท นายทะนงได้ทําสัญญากู้ไว้ให้แทนเพราะหาเงินไม่ทันนั้น การหมั้นระหว่างนางสาวมณีวรรณกับ นายทะนงย่อมมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง เนื่องจากได้มีการส่งมอบทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นคือทอง 5 บาทให้แก่หญิงแล้ว ส่วนเงิน 100,000 บาทที่ได้ทําเป็นสัญญากู้ไว้นั้น มีเจตนาจะให้กันใน วันข้างหน้าไม่ได้มีการส่งมอบให้แก่กันในวันทําสัญญาหมั้น เงิน 100,000 บาทจึงมิใช่ของหมั้นอันจะตกได้แก่หญิง เมื่อมีการสมรสแล้ว ดังนั้น การที่นายทะนงไม่ให้เงิน 100,000 บาทแก่นางสาวมณีวรรณ นางสาวมณีวรรณ จึงฟ้องเรียกเงิน 100,000 บาทในฐานะเป็นของหมั้นจากนายทะนงไม่ได้

สรุป นายสุชาติจะฟ้องนางสาวมณีวรรณฐานผิดสัญญาหมั้นไม่ได้ และนางสาวมณีวรรณ จะฟ้องเรียกเงิน 100,000 บาทจากนายทะนงไม่ได้

 

ข้อ 2. นายพนมได้แอบชอบนางสาวแตงไทย แต่นางสาวแตงไทยไม่ได้ชอบนายพนม นายพนมจึงได้ทําการข่มขู่อันถึงขนาดว่าจะทําร้ายบิดามารดาและนางสาวแตงไทยทําให้นางสาวแตงไทยกลัวจึงทําการ จดทะเบียนสมรสด้วยในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 ต่อมาในเดือนเมษายน 2560 นางสาวแตงไทย ตั้งครรภ์ นายพนมดีใจมากจึงโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงหนึ่งให้นางสาวแตงไทยโดยถูกต้องตาม กฎหมายและปล่อยให้นางสาวแตงไทยไปไหนมาไหนได้โดยอิสระ ต่อมาในเดือนมิถุนายน 2560 มารดาของนางสาวแตงไทยได้ไปฟ้องศาลให้ตัดสินเพิกถอนการสมรสของลูกสาว หลังจากนั้น 1 เดือนนางสาวแตงไทยจึงได้จดทะเบียนสมรสกับนายเนติซึ่งรักและยินยอมเลี้ยงดูด้วยความเต็มใจ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวทานเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1502 “การสมรสที่เป็นโมฆียะสิ้นสุดลงเมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอน”

มาตรา 1507 “ถ้าคู่สมรสได้ทําการสมรสโดยถูกข่มขู่อันถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่นั้น จะไม่ทําการสมรส การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ

สิทธิขอเพิกถอนการสมรสเพราะถูกข่มขู่เป็นอันระงับ เมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไปแล้วหนึ่งปีนับแต่ วันที่พ้นจากการข่มขู่”

มาตรา 1508 วรรคหนึ่ง “การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะคู่สมรสสําคัญผิดตัวหรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่ เฉพาะแต่คู่สมรสที่สําคัญผิดตัว หรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่เท่านั้นขอเพิกถอนการสมรสได้”

มาตรา 1511 “การสมรสที่ได้มีคําพิพากษาให้เพิกถอนนั้น ให้ถือว่าสิ้นสุดลงในวันที่คําพิพากษา ถึงที่สุด แต่จะอ้างเป็นเหตุเสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริตไม่ได้ เว้นแต่จะได้จดทะเบียนการเพิกถอน การสมรสนั้นแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้ คือ

ประเด็นที่ 1 การสมรสระหว่างนายพนมกับนางสาวแตงไทยจะมีผลอย่างไร เห็นว่า ตามบทบัญญัติ มาตรา 1507 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดไว้ว่า ในการสมรสนั้นถ้าคู่สมรสได้ทําการสมรสเพราะถูกข่มขู่ โดยการข่มขู่นั้น ถึงขนาดที่ว่าถ้าไม่มีการข่มขู่เช่นนั้น คู่สมรสก็จะไม่ทําการสมรสด้วย การสมรสดังกล่าวย่อมตกเป็นโมฆียะ เมื่อ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายพนมได้ทําการข่มขู่อันถึงขนาดให้นางสาวแตงไทยทําการจดทะเบียนสมรสด้วยในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2560 การสมรสระหว่างนายพนมกับนางสาวแตงไทยจึงตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 1507

ประเด็นที่ 2 มารดาของนางสาวแตงไทยจะทําการฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสได้หรือไม่ เห็นว่า ตามบทบัญญัติมาตรา 1508 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดตัวบุคคลที่มีสิทธิขอเพิกถอนการสมรสที่เป็นโมฆยะเพราะถูกข่มขู่ ไว้โดยเฉพาะแล้ว คือ ตัวคู่สมรสที่ถูกข่มขู่เท่านั้นที่จะขอเพิกถอนได้ ดังนั้น มารดาของนางสาวแตงไทยซึ่งมิใช่ ตัวคู่สมรสเอง จะทําการฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้ตามมาตรา 1508 วรรคหนึ่ง

ประเด็นที่ 3 การสมรสระหว่างนายเนติกับนางสาวแตงไทยจะมีผลอย่างไร เห็นว่า เมื่อการ สมรสระหว่างนายพนมกับนางสาวแตงไทยยังไม่สิ้นสุดลง เนื่องจากการสมรสที่เป็นโมฆียะนั้นจะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อ ศาลพิพากษาให้เพิกถอนการสมรสนั้น (มาตรา 1502) และการสมรสที่ได้มีคําพิพากษาให้เพิกถอน ก็จะถือว่า สิ้นสุดลงในวันที่คําพิพากษาถึงที่สุด (มาตรา 1511) ดังนั้น การที่นางสาวแตงไทยได้ไปจดทะเบียนสมรสกับนายเนติ ย่อมถือเป็นการสมรสซ้อนและมีผลเป็นโมฆะ ตามมาตรา 1452 ประกอบมาตรา 1495

สรุป การสมรสระหว่างนายพนมกับนางสาวแตงไทยมีผลเป็นโมฆียะ

มารดาของนางสาวแตงไทยจะทําการฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้ และการสมรสระหว่างนายเนติกับนางสาวแตงไทยมีผลเป็นโมฆะ

 

ข้อ 3. นายสมคิดได้ชอบพออยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวอรทัย ต่อมานายสมคิดได้มาชอบพอรักใคร่กับนางสาววีณาและได้จดทะเบียนสมรสกัน นางสาววีณาก็ทราบว่านายสมคิดได้ใช้ชีวิตกับนางสาวอรทัย มาก่อนที่จะสมรสกับตน นายสมคิดได้ทะเลาะเบาะแว้งกับนางสาววีณาทําให้นายสมคิดกลับไป มีความสัมพันธ์และอยู่กินฉันชู้สาวกับนางสาวอรทัยอีก นางสาววีณาไม่พอใจจึงให้ทนายความฟ้องหย่า ต่อศาล นางสาวอรทัยจึงไปไหนมาไหนกับนายสมคิดกับเพื่อน ๆ ของตนและที่เป็นเพื่อนร่วมงาน ของนายสมคิดด้วย โดยแสดงตนว่าเป็นภริยาของนายสมคิด นางสาววีณาจึงต้องการฟ้องเรียก ค่าทดแทนจากนางสาวอรทัย เช่นนี้ นางสาววีณาฟ้องหย่านายสมคิดแต่นายสมคิดต่อสู้ว่านางสาววีณา ได้ทราบอยู่ก่อนแล้วจึงฟ้องหย่าไม่ได้ และนางสาววีณาต้องการฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวอรทัย

ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่ กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็น เหตุฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1523 วรรคสอง “สามีจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทํานองชู้สาว ก็ได้ และภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทํานอง ชู้สาวก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1 การที่นายสมคิดได้ชอบพออยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวอรทัยมาก่อน แล้วต่อมา นายสมคิดได้มาชอบพอรักใคร่กับนางสาววีณาและได้จดทะเบียนสมรสกัน โดยที่นางสาววีณาก็ทราบว่านายสมคิด ได้ใช้ชีวิตกับนางสาวอรทัยมาก่อนที่จะสมรสกับตนนั้น มิได้หมายความว่าภายหลังจากการสมรสกันแล้วนางสาววีณา ได้ยินยอมให้นายสมคิดอยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวอรทัยได้อีกแต่อย่างใด ดังนั้น การที่นายสมคิดได้ทะเลาะเบาะแว้ง กับนางสาววีณาทําให้นายสมคิดกลับไปมีความสัมพันธ์และอยู่กินกันฉันชู้สาวกับนางสาวอรทัยอีก นางสาววีณา ย่อมสามารถฟ้องหย่านายสมคิดได้ตามมาตรา 1516 (1) เพราะถือว่าเป็นกรณีที่นายสมคิดสามีได้ยกย่องผู้อื่น ฉันภริยาและเป็นชู้และร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ นายสมคิดจะอ้างมาตรา 1517 วรรคหนึ่งที่ว่านางสาววีณา ได้ทราบอยู่ก่อนแล้วว่าตนเคยอยู่กินฉันสามีภริยากับนางสาวอรทัยมาก่อน จึงฟ้องหย่าไม่ได้มาต่อสู้นางสาววีณาไม่ได้

2 การที่นางสาวอรทัยไปไหนมาไหนกับนายสมคิดกับเพื่อน ๆ ของตนและที่เป็นเพื่อน ร่วมงานของนายสมคิดด้วยโดยแสดงตนว่าเป็นภริยาของนายสมคิดนั้น นางสาววีณาภริยาของนายสมคิดย่อม มีสิทธิฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวอรทัยได้ตามมาตรา 1523 วรรคสอง แม้ว่านายสมคิดกับนางสาววีณา จะมีคดีฟ้องหย่ากันอยู่ก็ตาม

สรุป

นางสาววีณาฟ้องหย่านายสมคิดได้ แต่นายสมคิดจะต่อสู้ว่านางสาววีณาได้ทราบอยู่ ก่อนแล้วจึงฟ้องหย่าไม่ได้นั้นหาได้ไม่

นางสาววีณาสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวอรทัยได้

 

ข้อ 4. นายสมบัติกับนางราตรีเป็นสามีภริยากัน ก่อนจดทะเบียนสมรสกันทั้งสองได้ร่วมกันดําเนินกิจการร้านขายของโดยนางราตรีได้ลงทุน 400,000 บาท และนายสมบัติได้ลงทุน 400,000 บาท ต่อมา ได้ทําการจดทะเบียนสมรสกัน ในระหว่างที่อยู่กินกันฉันสามีภริยานั้นนางราตรีได้ยกที่ดินให้แก่ นายสมบัติโดยถูกต้องตามกฎหมาย ต่อมานางราตรีทราบว่านายสมบัติได้แอบอุปการะเลี้ยงดู นางสาวต้อยติ่งเป็นภริยา นางราตรีเห็นว่านายสมบัติไม่ซื่อสัตย์กับตนจึงขอบอกล้างเอาที่ดินคืน

เช่นนี้

(ก) นายสมบัติอ้างว่าไม่ได้มีเหตุเนรคุณที่จะถอนคืนการให้ได้ ถูกต้องหรือไม่ และ

(ข) กิจการร้านขายของในระหว่างที่เป็นสามีภริยากันเป็นทรัพย์สินอะไร และเมื่อจดทะเบียนหย่ากัน

กิจการร้านขายของมีราคาทั้งหมด 1 ล้าน 2 แสนบาท จะต้องแบ่งอย่างไร เพราะเหตุใดจงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1469 “สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยา กันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาด จากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1533 “เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายสมบัติกับนางราตรีเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย และในระหว่างที่ อยู่กินกันฉันสามีภริยานั้นนางราตรีได้ยกที่ดินให้แก่นายสมบัติโดยถูกต้องตามกฎหมาย การยกที่ดินให้แก่นายสมบัติ ดังกล่าวถือเป็นสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา 1469 และมีผลทําให้ที่ดินนั้นเป็นสินส่วนตัวของนายสมบัติตาม มาตรา 1471 (3) และเมื่อเป็นสัญญาระหว่างสมรส นางราตรีภริยาย่อมมีสิทธิบอกล้างเพื่อเอาที่ดินนั้นคืนได้ ในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนด 1 ปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ ดังนั้น การที่ นายสมบัติอ้างว่าไม่ได้มีเหตุเนรคุณที่จะถอนคืนการให้ได้นั้น จึงไม่ถูกต้อง

(ข) ก่อนจดทะเบียนสมรสกันนั้น การที่นายสมบัติกับนางราตรีได้ร่วมกันดําเนินกิจการ ร้านขายของโดยนางราตรีลงทุน 400,000 บาท และนายสมบัติได้ลงทุน 400,000 บาทนั้น เงินจํานวนดังกล่าว ถือเป็นสินส่วนตัวตามสัดส่วนของการลงทุนตามมาตรา 1471 (1) และเมื่อมีการจดทะเบียนหย่ากันสินส่วนตัว ดังกล่าวไม่ต้องแบ่งกัน แต่ส่วนที่ทํามาหาได้ร่วมกันให้ถือว่าเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (1) เมื่อมีการ จดทะเบียนหย่ากันให้แบ่งคนละครึ่งตามมาตรา 1533 ดังนั้น เมื่อในขณะจดทะเบียนหย่ากัน กิจการร้านขายของ มีราคา 1 ล้าน 2 แสนบาท เมื่อหักสินส่วนตัวออกฝ่ายละ 400,000 บาท จึงเหลือเป็นสินสมรสจํานวน 400,000 บาท จึงต้องแบ่งสินสมรสกันคนละ 200,000 บาท

สรุป

(ก) นางราตรีสามารถบอกล้างเอาที่ดินคืนจากนายสมบัติได้ ข้ออ้างของนายสมบัติ ที่ว่าไม่ได้มีเหตุเนรคุณที่จะถอนคืนการให้ได้นั้น ไม่ถูกต้อง

(ข) ในส่วนของเงินทุนคนละ 400,000 บาทในกิจการร้านขายของเป็นสินส่วนตัว แต่ในส่วนที่ทํามาหาได้ร่วมกันจํานวน 400,000 บาท เป็นสินสมรส เมื่อจดทะเบียนหย่ากันให้แบ่งสินสมรสคนละ 200,000 บาท

 

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 2/2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสิทธิได้ทําสัญญาหมั้นนางสาววิไลด้วยแหวนเพชรและเงิน 200,000 บาท แต่ยังไม่มีเงินจึงทําสัญญากู้ให้ไว้ และบิดาของนายสิทธิได้ตกลงให้สินสอดแก่มารดานางสาววิไลเป็นจํานวนเงิน 300,000 บาท แต่ไม่มีเงินเพียงพอจึงทําสัญญากู้ให้ไว้ และตกลงจะทําการจดทะเบียนสมรส ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ต่อมานายสิทธิและนางสาววิไลได้ทําการจดทะเบียนสมรสตามกฎหมาย นางสาววิไลและมารดานางสาววิไลได้ทวงถามเงินของหมั้น 200,000 บาท และสินสอดจํานวน 300,000 บาท จากข้อเท็จจริงดังกล่าวจะทําได้หรือไม่ อย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่งและวรรคสาม “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือ โอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

สินสอดเป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง แล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิง หรือโดยมีพฤติการณ์ ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบ ทําให้ชายไม่สมควรหรือไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น ฝ่ายชายเรียกสินสอดคืนได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสิทธิได้ทําสัญญาหมั้นนางสาววิไลด้วยแหวนเพชรและเงิน 200,000 บาทนั้น เมื่อได้มีการส่งมอบแหวนเพชรอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงแล้ว แม้จะไม่มีการส่งมอบเงิน ให้แก่หญิง การหมั้นระหว่างนายสิทธิและนางสาววิไลย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง ส่วนการที่นายสิทธิได้ทําสัญญากู้ยืมเงิน 200,000 บาทให้นางสาววิไลไว้เป็นของหมั้นนั้น เมื่อยังไม่มีการส่งมอบทรัพย์สิน คือเงิน 200,000 บาทให้แก่หญิงคู่หมั้น เป็นเพียงการทําสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สินที่เป็นของหมั้นในวันข้างหน้า ทรัพย์สินคือเงิน 200,000 บาท จึงไม่ถือว่าเป็นของหมั้นตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง ดังนั้น นางสาววิไล จะเรียกเงิน 200,000 บาทตามสัญญากู้ในฐานะเป็นของหมั้นไม่ได้ (คําพิพากษาฎีกาที่ 1482/2506)

ส่วนการที่บิดาของนายสิทธิได้ตกลงให้สินสอดแก่มารดานางสาววิไลเป็นจํานวนเงิน 300,000 บาท แต่ในขณะหมั้นไม่มีเงินเพียงพอจึงทําสัญญากู้ให้ไว้โดยยังไม่มีการส่งมอบเงินให้แก่กันนั้น ข้อตกลงในเรื่องสินสอด ย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคสาม เพราะสินสอดนั้นจะส่งมอบให้แก่กันเมื่อใดก็ได้ และแม้ว่านายสิทธิ์ ได้ทําการสมรสกับนางสาววิไลแล้ว สัญญาว่าจะให้สินสอดยังคงมีผลบังคับกันได้ ดังนั้น บิดาของนายสิทธิจึงต้อง ผูกพันตามสัญญากู้ซึ่งมีมูลหนี้อันชอบด้วยกฎหมายและได้แปลงหนี้ใหม่ มารดาของนางสาววิไลจึงมีสิทธิเรียกเงิน จํานวน 300,000 บาทตามสัญญากู้จากบิดาของนายสิทธิได้ (คําพิพากษาฎีกาที่ 878/2518)

สรุป นางสาววิไลจะเรียกเงิน 200,000 บาทจากนายสิทธิไม่ได้ แต่มารดานางสาววิไลสามารถ เรียกเงิน 300,000 บาทจากบิดาของนายสิทธิได้

 

ข้อ 2 นางสาวพอใจ อายุ 25 ปี จดทะเบียนสมรสกับนายสุกิจ อายุ 30 ปี ต่อมา นางสาวพอใจประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2560 นายสุกิจได้จดทะเบียน สมรสกับนางสาวทองคํา อายุ 19 ปี โดยบิดามารดาของนางสาวทองคําไม่ทราบเรื่อง หลังจากนั้น อีก 3 ปี บิดามารดาของนางสาวทองคําทราบเรื่องจึงโกรธมากและต้องการฟ้องยกเลิกการสมรส ดังกล่าว เช่นนี้ ท่านเห็นว่าบิดามารดาของนางสาวทองคําจะฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1436 “ผู้เยาว์จะทําการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้

(1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา การหมั้นที่ผู้เยาว์ทําโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1454 “ผู้เยาว์จะทําการสมรสให้นําความในมาตรา 1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม” มาตรา 1501 “การสมรสย่อมสิ้นสุดลงด้วยความตาย การหย่า หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน”

มาตรา 1509 “การสมรสที่มิได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 การสมรสนั้น เป็นโมฆียะ”

มาตรา 1510 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะมิได้รับความยินยอม ของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 เฉพาะบุคคลที่อาจให้ความยินยอมตามมาตรา 1454 เท่านั้น ขอให้เพิกถอน การสมรสได้

สิทธิขอเพิกถอนการสมรสตามมาตรานี้เป็นอันระงับเมื่อคู่สมรสนั้นมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ หรือเมื่อหญิงมีครรภ์”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวพอใจได้จดทะเบียนสมรสกับนายสุกิจ และต่อมานางสาวพอใจ ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตนั้น ย่อมทําให้การสมรสระหว่างนางสาวพอใจกับนายสุกิจสิ้นสุดลงตามมาตรา 1501 ดังนั้น ต่อมาเมื่อนายสุกิจได้จดทะเบียนสมรสกับนางสาวทองคําจึงไม่เป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1452

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในขณะทําการสมรสนั้น นางสาวทองคํามีอายุเพียง 19 ปี และได้สมรสโดยไม่ได้รับความยินยอมจากบิดามารดา ดังนั้น การสมรสระหว่างนายสุกิจกับนางสาวทองคํา จึงตกเป็นโมฆี่ยะตามมาตรา 1454 ประกอบมาตรา 1436 และมาตรา 1509 บิดามารดาของนางสาวทองคํา จึงสามารถฟ้องขอให้เพิกถอนการสมรสได้ตามมาตรา 1510 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อบิดามารดาของนางสาวทองคํา มาทราบเรื่องภายหลังจากนางสาวทองคํามีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์แล้ว สิทธิในการฟ้องขอเพิกถอนการสมรส จึงเป็นอันระงับไปตามมาตรา 1510 วรรคสอง ดังนั้น บิดามารดาของนางสาวทองคําจึงไม่สามารถฟ้องศาล ให้เพิกถอนการสมรสระหว่างนายสุกิจกับนางสาวทองคําได้

สรุป บิดามารดาของนางสาวทองคําจะฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้

 

ข้อ 3. นายพงษ์และนางแพรวตกลงกันในขณะที่จดทะเบียนสมรสกันที่เขตบางรักว่าไม่ประสงค์จะให้บันทึกเกี่ยวกับทรัพย์สินของทั้ง 2 ฝ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น หลังจากที่จดทะเบียนสมรสกันแล้วนายพงษ์และ นางแพรวกลับไปบ้านและพูดคุยกัน นายพงษ์ตกลงยกบ้านและที่ดิน 1 แปลงของนายพงษ์ให้แก่ นางแพรว ในวันเดียวกันนั้นทั้งสองกลับมาที่เขตบางรักอีกครั้งและมาขอบันทึกเพิ่มเติมว่านายพงษ์ จะยกบ้านและที่ดิน 1 แปลงให้กับนางแพรว วันรุ่งขึ้นนายพงษ์ได้ทําหนังสือและจดทะเบียน โอนบ้านและที่ดินดังกล่าวให้แก่นางแพรวตามที่ได้ตกลงกัน ยี่สิบปีต่อมานายพงษ์ได้รับเงินบําเหน็จ จากการเกษียณอายุราชการจํานวน 2 ล้านบาท นายพงษ์นําไปซื้อตึกแถวโดยลําพัง หลังจากนั้น นายพงษ์ขายตึกแถวให้แก่นายนพซึ่งเป็นญาติสนิทของนายพงษ์ โดยนายพงษ์และนายนพตกลงกัน ว่าจะไม่บอกเรื่องนายพงษ์ขายตึกแถวแก่นายนพให้นางแพรวทราบ นางแพรวจึงไม่ได้รู้เห็นและ ให้ความยินยอมในการขายตึกแถวแต่อย่างใด ต่อมานางแพรวทราบเรื่องทั้งหมด นายพงษ์และ นางแพรวทะเลาะกันอย่างรุนแรง ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นายพงษ์จะบอกล้างการให้ที่ดินที่นายพงษ์โอนให้แก่นางแพรวเมื่อยี่สิบปีที่แล้วได้หรือไม่เพราะเหตุใด

(ข) นางแพรวจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการขายตึกแถวของนายพงษ์ได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1469 “สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยา กันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาด จากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีก ฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่ง อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความ ยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและ เสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายพงษ์และนางแพรวมาขอบันทึกเพิ่มเติมที่เขตบางรักหลังจากที่ได้จดทะเบียน สมรสกันแล้ว ว่านายพงษ์จะยกบ้านและที่ดิน 1 แปลงของนายพงษ์ให้กับนางแพรวนั้น บันทึกดังกล่าวเป็นสัญญา ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างสมรส จึงเป็นสัญญาระหว่างสมรสตามมาตรา 1469 ซึ่ง นางพงษ์จะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนด 1 ปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็น สามีภริยากันก็ได้ ดังนั้นข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ แม้นายพงษ์และนางแพรวจะได้ทําสัญญากันเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว นายพงษ์ก็มีสิทธิที่จะบอกล้างสัญญาระหว่างสมรสนี้ได้

(ข) การที่นายพงษ์ได้นําเงินบําเหน็จจากการเกษียณอายุราชการจํานวน 2 ล้านบาท ซึ่ง ถือว่าเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (1) ไปซื้อตึกแถวโดยลําพังนั้น ตึกแถวดังกล่าวย่อมเป็นสินสมรสซึ่งการที่ สามีหรือภริยาจะขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นสินสมรสให้ผู้อื่นนั้น ถือเป็นนิติกรรมตามมาตรา 1476 (1) ที่สามี และภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น การที่นายพงษ์ได้ขายตึกแถว ให้แก่นายนพซึ่งได้รับซื้อไว้โดยไม่สุจริตเพราะนายนพได้ตกลงกับนายพงษ์ที่จะไม่บอกเรื่องการซื้อขายตึกแถว ให้นางแพรวทราบ ดังนั้น นางแพรวซึ่งไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมด้วยในการขายตึกแถว จึงมีสิทธิที่จะฟ้อง ให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการขายตึกแถวดังกล่าวได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง

สรุป

(ก) นายพงษ์สามารถบอกล้างการให้ที่ดินที่นายพงษ์โอนให้แก่นางแพรวเมื่อยี่สิบปีที่แล้วได้

(ข) นางแพรวสามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการขายตึกแถวของนายพงษ์ได้

 

ข้อ 4. นายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาจนมีบุตรด้วยกันหนึ่งคน คือ เด็กชายเป็ด จึงไปจดทะเบียนสมรสกัน โดยนางไข่ทราบดีอยู่ว่านายไก่อยู่กินร่วมกันกับหญิงอีกคนหนึ่งคือ นางนก โดยนายไก่และนางไข่ตกลงกันว่าจะจดทะเบียนสมรสกับนางไข่ หากนางไข่ยินยอมให้ตนอยู่กินร่วมกัน ฉันสามีภริยากับนางนกได้ ต่อไป นางไข่ยินยอมตามขอ ต่อมานายไก่มีลูกกับนางนกคือ เด็กหญิงห่าน นายไก่ก็หลงรักเด็กหญิงห่านมากทําให้นางไข่โมโห จึงมาปรึกษานักศึกษาว่า จากข้อเท็จจริงตามโจทย์ นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และเด็กชายเป็ดและเด็กหญิงห่าน เป็นบุตรชอบ ด้วยกฎหมายของใคร ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยา แล้วแต่กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะ ยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้”

1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 1547 “เด็กเกิดจากบิดามารดาที่มิได้สมรสกัน จะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายต่อเมื่อ บิดามารดาได้สมรสกันในภายหลัง หรือบิดาได้จดทะเบียนว่าเป็นบุตรหรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร”

วินิจฉัย กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาจนมีบุตรด้วยกันหนึ่งคน คือ เด็กชายเป็ด แต่ต่อมาเมื่อนายไก่และนางไข่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ย่อมถือว่านายไก่และนางไข่เป็นสามีและ ภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1457 ดังนั้น การที่นายไก่ได้ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางนก จนมีลูก คือ เด็กหญิงห่านนั้น ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่นายไก่ได้อุปการะเลี้ยงดูและยกย่องหญิงอื่นฉันภริยา ตาม มาตรา 1516 (1) นางไข่จึงสามารถถือเป็นเหตุฟ้องหย่านายไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า การที่นายไก่ได้ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา กับนางนกนั้น นางไข่ได้ยินยอมหรืออนุญาตนายไก่แล้ว ดังนั้น นางไข่จึงอ้างเหตุดังกล่าวเพื่อที่จะฟ้องหย่านายไก่ ไม่ได้ตามมาตรา 1517 วรรคหนึ่ง

(2) เด็กชายเป็ดเป็นบุตรที่เกิดก่อนที่นายไก่และนางไข่จะได้จดทะเบียนสมรส ซึ่งโดยหลักแล้ว ย่อมเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางไข่แต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารกตามมาตรา 1546 แต่เมื่อต่อมานายไก่และนางไข่ได้จดทะเบียนสมรสกันย่อมถือว่าเด็กชายเป็ดเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ นายไก่ด้วยตามมาตรา 1547

(3) เด็กหญิงห่านเป็นบุตรที่เกิดจากนางนกซึ่งมิได้จดทะเบียนสมรสกับนายไก่ ดังนั้น เด็กหญิงห่านจึงเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางนกแต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกตาม มาตรา 1546

สรุป

นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่ไม่ได้ และเด็กชายเป็ดเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของ นายไข่ตั้งแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก และเป็นบุตรโดยชอบของนายไก่ เมื่อนายไก่และนางไข่ได้จดทะเบียน สมรสกัน ส่วนเด็กหญิงห่านเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางนกแต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดและอยู่รอด เป็นทารก

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ในวันที่ 5 มกราคม นายเจริญทรัพย์ อายุ 25 ปี ได้ทําสัญญาหมั้น น.ส.อรุณี อายุ 16 ปี 9 เดือน โดยบิดามารดายินยอมด้วยแหวนเพชรและเงิน 200,000 บาท และตกลงจะทําการสมรสในวันที่ 5 กันยายน ต่อมาในเดือนสิงหาคม น.ส.อรุณีได้ทําสัญญารับหมั้นจากนายอุทัย อายุ 23 ปี ด้วยทอง 10 บาท โดยบิดามารดาของ น.ส.อรุณียินยอมด้วย นายเจริญทรัพย์จึงต้องการฟ้อง น.ส.อรุณีและบิดามารดา (คู่สัญญาหมั้น) ฐานผิดสัญญาหมั้นและ เรียกค่าทดแทนตามมาตรา 1440 (1) ด้วย และกล่าวอ้างว่าการหมั้นของ น.ส.อรุณีกับนายอุทัย ไม่สมบูรณ์ เช่นนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1435 “การหมั้นจะทําได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว การหมั้นที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติวรรคหนึ่งเป็นโมฆะ”

มาตรา 1436 “ผู้เยาว์จะทําการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้

(1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา การหมั้นที่ผู้เยาว์ทําโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1437 วรรคหนึ่ง “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น ของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิด ใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

มาตรา 1440 “ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้

(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น”

วินิจฉัย

ตามหลักกฎหมายในเรื่องการหมั้นนั้น ชายและหญิงจะหมั้นกันได้ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์แล้ว หากชายและหญิงทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ ย่อมมีผลทําให้ การหมั้นนั้นเป็นโมฆะ (ตามมาตรา 1435) กล่าวคือ จะมีผลเสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการหมั้นเกิดขึ้นเลย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเจริญทรัพย์อายุ 25 ปี ได้ทําสัญญาหมั้นกับ น.ส.อรุณี อายุ 16 ปี 9 เดือนนั้น แม้การหมั้นจะมีของหมั้นคือแหวนเพชรและเงิน 200,000 บาท และบิดามารดาของ น.ส.อรุณีจะได้ ยินยอมด้วยก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่า น.ส.อรุณีมีอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ การหมั้นดังกล่าวจึงเป็นการฝ่าฝืน บทบัญญัติมาตรา 1435 วรรคหนึ่ง และจะมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 1435 วรรคสอง จึงถือเสมือนว่ามิได้มีการหมั้น เกิดขึ้นเลย ดังนั้น การที่นายเจริญทรัพย์ต้องการฟ้อง น.ส.อรุณีและบิดามารดา (คู่สัญญาหมั้น) ฐานผิดสัญญาหมั้น

และเรียกค่าทดแทนตามมาตรา 1440 (1) ด้วยนั้น จึงไม่สามารถทําได้ เพราะกรณีที่จะถือว่ามีการผิดสัญญาหมั้น ทําให้คู่หมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทนตามมาตรา 1439 ได้นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ได้มีการหมั้น กันแล้วเท่านั้น

และต่อมาในเดือนสิงหาคม (7 เดือนต่อมา) น.ส.อรุณีมีอายุเกิน 17 ปีแล้ว ได้ทําสัญญาหมั้น กับนายอุทัยอายุ 23 ปี ด้วยทอง 10 บาท โดยบิดามารดาของ น.ส.อรุณียินยอมด้วยนั้น ย่อมเป็นการหมั้นที่ สมบูรณ์ตามมาตรา 1435 มาตรา 1436 และมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง ดังนั้น การที่นายเจริญทรัพย์กล่าวอ้างว่า การหมั้นของ น.ส.อรุณีกับนายอุทัยไม่สมบูรณ์นั้นจึงไม่ถูกต้อง

สรุป

นายเจริญทรัพย์จะฟ้อง น.ส.อรุณีและบิดามารดาของ น.ส.อรุณีฐานผิดสัญญาหมั้นไม่ได้ และจะกล่าวอ้างว่าการหมั้นของ น.ส.อรุณีกับนายอุทัยไม่สมบูรณ์ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน

 

ข้อ 2 นายโชคชัยได้จดทะเบียนสมรสกับ น.ส.นภาพร ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของตน หลังจากนั้นอีก 2 เดือน นายโชคชัยก็ได้ไปจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.อ้อยใจ โดยอ้างว่าการสมรสครั้งก่อนไม่มีผลแต่อย่างใด เพราะตนได้จดทะเบียนสมรสกับบุตรบุญธรรมของตนเอง โดยในระหว่างสมรสนั้นเอง น.ส.อ้อยใจ ได้ซื้อสลากออมสินและถูกรางวัล 10 ล้านบาท ดังนี้ขอให้ท่านวินิจฉัยว่า การสมรสระหว่างนายโชคชัย และ น.ส.อ้อยใจมีผลเช่นไร และเงินรางวัล 10 ล้านบาทเป็นของใคร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1451 “ผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมจะสมรสกันไม่ได้”

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1498 “การสมรสที่เป็นโมฆะ ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา

ในกรณีที่การสมรสเป็นโมฆะ ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดมีหรือได้มาไม่ว่าก่อนหรือหลังการสมรส รวมทั้งดอกผลคงเป็นของฝ่ายนั้น ส่วนบรรดาทรัพย์สินที่ทํามาหาได้ร่วมกันให้แบ่งคนละครึ่งเว้นแต่ศาลจะเห็น สมควรสั่งเป็นประการอื่น เมื่อได้พิเคราะห์ถึงภาระในครอบครัว ภาระในการหาเลี้ยงชีพ และฐานะของคู่กรณี ทั้งสองฝ่ายตลอดจนพฤติการณ์อื่นทั้งปวงแล้ว”

มาตรา 1598/32 “การรับบุตรบุญธรรมย่อมเป็นอันยกเลิกเมื่อมีการสมรสฝ่าฝืนมาตรา 1451”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายโชคชัยได้จดทะเบียนสมรสกับ น.ส.นภาพร ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรม ของตนนั้น แม้จะเป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1451 ก็ตาม แต่เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติให้การสมรส ดังกล่าวตกเป็นโมฆะ เพียงแต่บัญญัติให้การรับบุตรบุญธรรมย่อมเป็นอันยกเลิกไปเท่านั้น (มาตรา 1495 และ มาตรา 1598/32) ดังนั้น การสมรสระหว่างนายโชคชัยกับ น.ส.นภาพรจึงมีผลสมบูรณ์

เมื่อการสมรสระหว่างนายโชคชัยกับ น.ส.นภาพรมีผลสมบูรณ์ การที่นายโชคชัยได้ไปจดทะเบียน สมรสกับ น.ส.อ้อยใจอีกในภายหลัง จึงเป็นการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่แล้วซึ่งเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ มาตรา 1452 ดังนั้น การสมรสครั้งหลังระหว่างนายโชคชัยกับ น.ส.อ้อยใจจึงมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 1495 และ ย่อมไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามมาตรา 1498 วรรคหนึ่ง ดังนั้น การที่ น.ส.อ้อยใจ ได้ซื้อสลากออมสินและถูกรางวัล 10 ล้านบาท เงินรางวัล 10 ล้านบาทดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินที่ น.ส.อ้อยใจ ได้มาภายหลังการสมรสที่ตกเป็นโมฆะ จึงตกเป็นของ น.ส.อ้อยใจแต่เพียงผู้เดียวตามมาตรา 1498 วรรคสอง

สรุป

การสมรสระหว่างนายโชคชัยกับ น.ส.อ้อยใจมีผลเป็นโมฆะ

และเงินรางวัล 10 ล้านบาท ตกเป็นของ น.ส.อ้อยใจแต่เพียงผู้เดียว

 

ข้อ 3 นายวิทยาและนางบงกชเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย ทั้งสองทําสัญญาระหว่างสมรสให้นายวิทยาเป็นผู้มีอํานาจในการจัดการเงินสมรสทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว นายวิทยานําเงินบําเหน็จที่ได้มา ระหว่างสมรสจํานวนหนึ่งล้านบาทไปซื้อที่ดินแปลงหนึ่งโดยใส่ชื่อนายวิทยาในโฉนดที่ดินแต่เพียง ผู้เดียว นายวิทยาได้นําที่ดินดังกล่าวไปให้นายมานพซึ่งเป็นญาติสนิทของนายวิทยาเช่าเป็นระยะเวลา 7 ปี โดยนายวิทยาและนายมานพตกลงกันว่าจะไม่บอกเรื่องการเช่าที่ดินให้นางบงกชทราบเพราะกลัว นางบงกชจะไม่เห็นด้วยกับราคาค่าเช่าที่ดินที่ต่ำกว่าราคาค่าเช่าที่ดินโดยทั่วไปมาก ต่อมานายวิทยา ทําสัญญากู้ยืมเงินกับนายพงษ์จํานวนหนึ่งแสนบาทตามลําพังโดยที่นางบงกชไม่ได้ให้ความยินยอม ในการกู้เงินนั้น หลังจากนั้นนางบงกชถึงทราบเรื่องทั้งหมด นางบงกชโกรธมากที่นายวิทยาให้เช่าที่ดิน ในราคาต่ำกว่าราคาค่าเช่าที่ดินโดยทั่วไปมาก และนายวิทยากู้ยืมเงินจากนายพงษ์ในอัตราดอกเบี้ย ร้อยละสิบห้าซึ่งนางบงกชเห็นว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงเกินไป

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่านางบงกช จะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เช่าที่ดินแก่นายมานพและการกู้ยืมเงินกับนายพงษ์ได้หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1465 วรรคหนึ่ง “ถ้าสามีภริยามิได้ทําสัญญากันไว้ในเรื่องทรัพย์สินเป็นพิเศษก่อน สมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในเรื่องทรัพย์สินนั้น ให้บังคับตามบทบัญญัติในหมวดนี้”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่ง อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือ พื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อ การสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้อง ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1476/1 วรรคหนึ่ง “สามีและภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 1476 ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ก็ต่อเมื่อได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติในมาตรา 1465 และ มาตรา 1466 ในกรณีดังกล่าวนี้ การจัดการสินสมรสให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรส”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความ ยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและ เสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาระหว่างสมรสที่นายวิทยาและนางบงกชได้ทําต่อกันโดยให้นายวิทยา เป็นผู้มีอํานาจในการจัดการสินสมรสทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวนั้นใช้บังคับไม่ได้ เพราะกรณีที่สามีหรือภริยาจะจัดการ สินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476 ได้ก็ต่อเมื่อได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 1465 และมาตรา 1466 เท่านั้น (มาตรา 1476/1 วรรคหนึ่ง) ดังนั้น เมื่อนายวิทยาและนางบงกชไม่ได้ทําสัญญา ก่อนสมรสไว้ ความสัมพันธ์ระหว่างนายวิทยาและนางบงกชในเรื่องทรัพย์สิน จึงต้องบังคับกันตามมาตรา 1473 และ มาตรา 1476

การที่นายวิทยานําเงินบําเหน็จที่ได้มาในระหว่างสมรสจํานวนหนึ่งล้านบาทซึ่งเป็นสินสมรส ตามมาตรา 1474 (1) ไปซื้อที่ดินแปลงหนึ่งโดยใส่ชื่อนายวิทยาในโฉนดที่ดินแต่เพียงผู้เดียวนั้น ที่ดินดังกล่าวถือเป็น สินสมรส และเมื่อนายวิทยาได้นําที่ดินแปลงดังกล่าวไปให้นายมานพเช่าเป็นระยะเวลา 7 ปี ถือเป็นการทํานิติกรรม ตามมาตรา 1476 (3) เพราะเป็นการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี ซึ่งสามีและภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือ ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อนายวิทยาได้นําที่ดินไปให้นายมานพเช่าโดยไม่ได้รับความยินยอม จากนางบงกช แม้นายมานพจะเช่าที่ดินโดยเสียค่าตอบแทน แต่เมื่อนายมานพกระทําการโดยไม่สุจริตเพราะนายมานพ ได้ตกลงกับนายวิทยาว่าจะไม่บอกเรื่องการเช่าที่ดินให้นางบงกชทราบ อีกทั้งราคาค่าเช่าก็ต่ำกว่าราคาเช่าโดยทั่วไปมาก ดังนั้น นางบงกชจึงสามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เช่าที่ดินดังกล่าวได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง

ส่วนการที่นายวิทยาได้ทําสัญญากู้ยืมเงินกับนายพงษ์จํานวนหนึ่งแสนบาทโดยที่นางบงกช ไม่ได้รู้เห็นหรือให้ความยินยอมในการกู้เงินนั้น เมื่อนิติกรรมการกู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ใช่นิติกรรมที่เกี่ยวข้องกับ สินสมรสที่คู่สมรสต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ดังนั้น นางบงกชจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนการกู้ยืมเงินดังกล่าวไม่ได้

สรุป นางบงกชจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เช่าที่ดินได้ แต่จะฟ้องให้ศาลเพิกถอน นิติกรรมการกู้ยืมเงินไม่ได้

 

ข้อ 4 นายไก่และนางเป็ดเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาทั้งคู่มีความรู้สึกว่าไม่ใช่เนื้อคู่กันที่แท้จริง จึงตกลงหย่ากันโดยทําเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย มีพยาน 2 คน ทําขึ้น 2 ฉบับ เก็บไว้เป็นหลักฐานคนละฉบับ หลังจากนั้น นายไก่ก็ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางนกโดย คําแนะนําและสนับสนุนจากนางเป็ด นางเป็ดก็ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนายห่านเพื่อนรัก นายไก่ นายไก่สนับสนุนเช่นกัน ต่อมานางเป็ดคลอดบุตรมา 1 คน คือเด็กหญิงหงส์

1) การตกลงหย่าระหว่างนายไก่และนางเป็ดมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

2) นายไก่จะฟ้องหย่านางเป็ด นางเป็ดจะฟ้องหย่านายไก่ได้หรือไม่ตามข้อเท็จจริงตามโจทย์

3) เด็กหญิงหงส์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1501 “การสมรสย่อมสิ้นสุดลงด้วยความตาย การหย่า หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน”

มาตรา 1514 “การหย่านั้นจะทําได้แต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือโดยคําพิพากษา ของศาล

การหย่าโดยความยินยอมต้องทําเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคน”

มาตรา 1515 “เมื่อได้จดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายนี้ การหย่าโดยความยินยอม จะสมบูรณ์ต่อเมื่อสามีภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่ กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุ ฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1536 วรรคหนึ่ง “เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่ วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี หรือเคยเป็นสามี แล้วแต่กรณี”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายไก่และนางเป็ดได้ตกลงหย่ากันโดยทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย และ มีพยานลงลายมือชื่อสองคนนั้น แม้จะได้ทําถูกต้องตามมาตรา 1514 แต่เมื่อนายไก่และนางเป็ดยังไม่ได้จดทะเบียน การหย่า การหย่าโดยความยินยอมระหว่างนายไก่และนางเป็ดจึงยังไม่สมบูรณ์ (ตามมาตรา 1515)

(2) การที่นายไก่ได้ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางนกโดยคําแนะนําและสนับสนุนจากนางเป็ด และนางเป็ดก็ได้ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนายห่านโดยนายไก่สนับสนุนนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่สามี และภริยาได้อุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามีตามมาตรา 1516 (1) แล้ว แต่อย่างไรก็ตามเมื่อ การกระทําของนายไก่และนางเป็ดดังกล่าวนั้น นางเป็ดและนายไก่ได้รู้เห็นเป็นใจและยินยอมด้วย ดังนั้นทั้ง นายไก่และนางเป็ดจะยกเอาเหตุดังกล่าวขึ้นมาฟ้องหย่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ตามมาตรา 1517 วรรคหนึ่ง

(3) เมื่อนายไก่และนางเป็ดยังเป็นสามีภริยากันอยู่ เพราะการสมรสยังไม่สิ้นสุดลง เนื่องจาก การหย่ายังไม่สมบูรณ์ การที่นางเป็ดมีบุตร 1 คน คือเด็กหญิงหงส์ เด็กหญิงหงส์ย่อมเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ของนางเป็ดตามมาตรา 1546 และเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ เพราะเด็กหญิงหงส์ได้เกิดในขณะที่ นางเป็ดเป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ตามมาตรา 1536

สรุป

(1) การตกลงหย่าระหว่างนายไก่และนางเป็ดมีผลไม่สมบูรณ์

(2) นายไก่จะฟ้องหย่านางเป็ด และนางเป็ดจะฟ้องหย่านายไก่ไม่ได้

(3) เด็กหญิงหงส์เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางเป็ดนับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว S/2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายพิชัยได้ทําสัญญาเช่าซื้อรถยนต์มาเพื่อที่จะให้เป็นของหมั้นแก่นางสาวอุสา ในวันทําสัญญาหมั้น นายพิชัยได้ส่งมอบทะเบียนรถยนต์ให้แก่นางสาวอุสาและตกลงจะทําการสมรสกันในเดือนถัดไป ต่อมานายพิชัยได้กลับไปคืนดีอุปการะเลี้ยงดูนางสาวนัยนาแฟนเก่าเนื่องจากตั้งครรภ์ นางสาวอุสา ไม่พอใจนายพิชัยที่ผิดสัญญาหมั้นกับตนจึงต้องการฟ้องฐานผิดสัญญาหมั้นและเรียกค่าทดแทน เช่นนี้ ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่ง “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น ของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายพิชัยได้ทําสัญญาเช่าซื้อรถยนต์มาเพื่อที่จะให้เป็นของหมั้นแก่ นางสาวอุสานั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันทําสัญญาหมั้นนายพิชัยได้ส่งมอบแต่ทะเบียนรถยนต์ให้แก่นางสาวอุสาโดยไม่ได้ส่งมอบรถยนต์ให้แก่นางสาวอุสาด้วยแต่อย่างใด ดังนี้ แม้ว่าจะได้มีการตกลงว่าจะทําการ สมรสกันในเดือนถัดไปก็ตาม การทําสัญญาหมั้นดังกล่าวถือว่าขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ เป็นการหมั้นที่ฝ่ายชายมิได้ส่งมอบทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิง ดังนั้น การหมั้นระหว่างนายพิชัยกับ นางสาวอุสาจึงมีผลไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง

และเมื่อการหมั้นดังกล่าวไม่สมบูรณ์ การที่นายพิชัยได้กลับไปคืนดีอุปการะเลี้ยงดูนางสาวนัยนา แฟนเก่าเนื่องจากตั้งครรภ์ นางสาวอุสาจะถือว่าเป็นกรณีที่นายพิชัยผิดสัญญาหมั้นกับตน และจะฟ้องนายพิชัย ฐานผิดสัญญาหมั้นและเรียกค่าทดแทนตามมาตรา 1439 ไม่ได้

สรุป

นางสาวอุสาจะฟ้องนายพิชัยฐานผิดสัญญาหมั้นและเรียกค่าทดแทนไม่ได้

 

ข้อ 2 นางสาวนุชนาถอายุ 19 ปี ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับนายพรชัยอายุ 25 ปี ซึ่งมีฐานะดีแต่มาทราบภายหลังว่านายพรชัยมีภริยาแล้ว ด้วยความเสียใจนางสาวนุชนาถได้แอบไปจดทะเบียนสมรสกับ นายนิวัติอายุ 22 ปี โดยไม่บอกให้ใครทราบแม้แต่บิดามารดา และไม่ทราบว่าตนเองตั้งครรภ์อยู่กับ นายพรชัย นายพรชัยรักนางสาวนุชนาถมากจึงได้จดทะเบียนหย่ากับภริยาของตนถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อนางสาวนุชนาถทราบจึงจดทะเบียนสมรสกับนายพรชัย เช่นนี้ การสมรสจะมีผลอย่างไร บุตรที่ เกิดมาจะเป็นบุตรของใคร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1436 “ผู้เยาว์จะทําการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้

(1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา การหมั้นที่ผู้เยาว์ทําโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1454 “ผู้เยาว์จะทําการสมรสให้นําความในมาตรา 1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1509 “การสมรสที่ได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 การสมรสนั้น เป็นโมฆียะ”

มาตรา 1510 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะมิได้รับความยินยอม ของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 เฉพาะบุคคลที่อาจให้ความยินยอมตามมาตรา 1454 เท่านั้น ขอให้เพิกถอนการสมรสได้

สิทธิขอเพิกถอนการสมรสตามมาตรานี้เป็นอันระงับเมื่อคู่สมรสนั้นมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ หรือเมื่อหญิงมีครรภ์”

มาตรา 1536 วรรคหนึ่ง “เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่ วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี หรือเคยเป็นสามี แล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวนุชนาถอายุ 19 ปี ได้แอบไปจดทะเบียนสมรสกับนายนิวัติ อายุ 22 ปี โดยไม่บอกให้ใครทราบแม้แต่บิดามารดานั้น ถือเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1454 ประกอบ มาตรา 1436 (1) ดังนั้น การสมรสระหว่างนางสาวนุชนาถและนายนิวัติจึงตกเป็นโมฆยะตามมาตรา 1509 บิดามารดาของนางสาวนุชนาถสามารถฟ้องขอให้เพิกถอนการสมรสได้ตามมาตรา 1510 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม สิทธิขอเพิกถอนการสมรสตามมาตรา 1510 วรรคหนึ่ง ย่อมเป็นอันระงับเมื่อ คู่สมรสนั้นมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์หรือเมื่อหญิงมีครรภ์ (มาตรา 1510 วรรคสอง) ดังนั้น เมื่อปรากฏว่านางสาวนุชนาถ ตั้งครรภ์อยู่ บิดามารดาของนางสาวนุชนาถจึงขอเพิกถอนการสมรสอีกไม่ได้ และมีผลทําให้การสมรสระหว่าง นางสาวนุชนาถและนายนิวัติมีผลสมบูรณ์

เมื่อการสมรสระหว่างนางสาวนุชนาถกับนายนิวัติมีผลสมบูรณ์ ต่อมาเมื่อนางสาวนุชนาถ ได้มาจดทะเบียนสมรสกับนายพรชัยอีก จึงเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1452 คือเป็นการสมรสในขณะที่ตน มีคู่สมรสอยู่ ดังนั้นการสมรสระหว่างนางสาวนุชนาถกับนายพรชัยจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495

ส่วนบุตรที่เกิดมานั้น ย่อมเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางสาวนุชนาถและนายนิวัติตาม มาตรา 1536 วรรคหนึ่ง ซึ่งได้บัญญัติหลักไว้ว่า เด็กที่เกิดแต่หญิงในขณะที่เป็นภริยาชาย (นายนิวัติ) ให้สันนิษฐาน ไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี

สรุป การสมรสระหว่างนางสาวนุชนาถกับนายนิวัติมีผลสมบูรณ์ แต่การสมรสระหว่าง นางสาวนุชนาถกับนายพรชัยเป็นโมฆะ ส่วนบุตรที่เกิดมาเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางสาวนุชนาถและนายนิวัติ

 

ข้อ 3 นายถวิลกับนางวีณาสามีภริยามีความไม่เข้าใจกันขัดแย้งกันตลอดเวลา นายถวิลได้รู้จักกับนางสาวน้ำหวานอย่างสนิทสนมจนมีความสัมพันธ์ทางเพศกัน เมื่อนายถวิลไปประชุมสัมมนาที่ ต่างจังหวัดนางสาวน้ำหวานก็ไปและร่วมรับประทานอาหารและพักห้องเดียวกันเป็นที่รู้จักของ เพื่อน ๆ นายถวิลโดยทั่วไป นางวีณามีบุตรกับนายถวิลสองคน นางวีณาเคยโต้เถียงกับนางสาวน้ำหวาน และนางสาวน้ำหวานอ้างว่าไม่ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับนายถวิล แต่นายถวิลได้ไปมาหาสู่กับ นางสาวน้ำหวานตลอดมา เช่นนี้ นางวีณาจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวน้ำหวานได้หรือไม่ นางวีณาจะต้องฟ้องหย่านายถวิลด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1523 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตาม

มาตรา 1516 (1) ภริยาหรือสามีมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากสามีหรือภริยาและจากผู้ซึ่งได้รับการอุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่อง หรือผู้ซึ่งเป็นเหตุแห่งการหย่านั้น

สามีจะเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งล่วงเกินภริยาไปในทํานองชู้สาวก็ได้และภริยาจะเรียกค่าทดแทน จากหญิงอื่นที่แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทํานองชู้สาวก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อนายถวิลไปประชุมสัมมนาที่ต่างจังหวัดนั้น นางสาวน้ำหวานก็ไปและร่วมรับประทานอาหารและพักห้องเดียวกันกับนายถวิลจนเป็นที่รู้จักของเพื่อน ๆ นายถวิล โดยทั่วไป การกระทําดังกล่าวถือว่าเป็นการแสดงออกถึงความสัมพันธ์ในลักษณะใกล้ชิดกันเป็นพิเศษเกินกว่า ความสัมพันธ์ในระดับคนรู้จักในการทํางานทั่วไป และการที่นางสาวน้ำหวานไปพักที่ห้องพักเดียวกันนั้น แม้ผู้เห็น เหตุการณ์จะเป็นเพื่อนนายถวิลและพนักงานโรงแรม ก็เป็นการแสดงตัวอย่างเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกันแล้ว

ดังนั้น นางวีณาภริยาย่อมสามารถอ้างเหตุดังกล่าวเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ตามมาตรา 1516 (1) และเมื่อศาลพิพากษา ให้หย่ากัน นางวีณาย่อมมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากนายถวิลและนางสาวน้ำหวานตามมาตรา 1523 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตามมาตรา 1523 วรรคสอง ไม่ได้บัญญัติไว้ว่า ถ้านางวีณาจะฟ้องเรียก ค่าทดแทนจากนางสาวน้ำหวานโดยเฉพาะนั้น นางวีณาจะต้องได้รับความเสียหาย หรือนางสาวน้ําหวานจะต้อง ได้อยู่กินฉันสามีภริยากับสามีตน หรือจะต้องได้มีการฟ้องหย่ากันแล้วแต่อย่างใด ดังนั้นนางวีณาจึงสามารถ ฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวน้ําหวานที่ได้แสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์กับสามีของตนได้ โดยไม่ต้อง ฟ้องหย่านายถวิลตามมาตรา 1523 วรรคสอง

สรุป นางวีณาสามารถฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนางสาวน้ำหวานได้โดยไม่ต้องฟ้องหย่านายถวิล

 

ข้อ 4 นายพินิจกับนางอุสาจดทะเบียนสมรสกัน ต่อมาในระหว่างสมรสได้ทําสัญญากันให้นายพินิจสามารถจัดการสินสมรสได้แต่เพียงฝ่ายเดียวโดยที่นางอุสาไม่ต้องให้ความยินยอมแต่อย่างใด ต่อมานายพินิจ ได้ทําสัญญาค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของนายนครเพื่อนร่วมงาน และทําสัญญาตามกฎหมาย ให้นายอุทัยซึ่งทํามาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริตเช่าที่ดินสินสมรสมีกําหนดระยะเวลา 5 ปี เพื่อนําเงินค่าเช่า มาใช้จ่ายในครอบครัว นางอุสาไม่พอใจที่ไม่บอกให้ทราบก่อนจึงต้องการฟ้องเพิกถอนการทําสัญญา ดังกล่าว เช่นนี้ จะทําได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1465 วรรคหนึ่ง “ถ้าสามีภริยามิได้ทําสัญญากันไว้ในเรื่องทรัพย์สินเป็นพิเศษก่อน สมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในเรื่องทรัพย์สินนั้น ให้บังคับตามบทบัญญัติในหมวดนี้”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีก ฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิ เหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อ การสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้อง ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1476/1 วรรคหนึ่ง “สามีและภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 1476 ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ก็ต่อเมื่อได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติในมาตรา 1465 และ มาตรา 1466 ในกรณีดังกล่าวนี้ การจัดการสินสมรสให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรส”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความ ยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและ เสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาระหว่างสมรสที่นายพินิจกับนางอุสาได้ทําต่อกันโดยให้นายพินิจ สามารถจัดการสินสมรสได้แต่เพียงฝ่ายเดียวโดยที่นางอุสาไม่ต้องให้ความยินยอมแต่อย่างใดนั้นย่อมใช้บังคับ ไม่ได้ เพราะกรณีที่สามีหรือภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476 ได้ก็ต่อเมื่อได้ ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติไว้ในมารตรา 1465 และมาตรา 1466 เท่านั้น (มาตรา 1476/1) ดังนั้นเมื่อ นายพินิจและนางอุสาไม่ได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ ความสัมพันธ์ระหว่างนายพินิจและนางอุสาในเรื่องทรัพย์สิน ซึ่งเป็นสินสมรสจึงต้องบังคับกันตามมาตรา 1476

การที่นายพินิจได้ทําสัญญาค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของนายนครเพื่อนร่วมงานนั้น ไม่ ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1476 (8) เพราะมิได้นําทรัพย์สินซึ่งเป็นสินสมรสไปเป็นประกันหรือ หลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล เป็นการทําสัญญาที่มีผลผูกพันนายพินิจสามีแต่เพียงผู้เดียว ไม่ได้ก่อให้เกิด ภารติดพันแก่สินสมรส ดังนั้น การทําสัญญาค้ำประกันดังกล่าวจึงมิใช่การจัดการสินสมรสที่นางอุสาภริยาจะต้อง ให้ความยินยอมหรือต้องจัดการร่วมกันแต่อย่างใด นางอุสาจึงฟ้องเพิกถอนการทําสัญญาค้ำประกันดังกล่าวตาม มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง ไม่ได้

ส่วนการทําสัญญาตามกฎหมายให้นายอุทัยซึ่งทํามาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริตเช่าที่ดินซึ่งเป็น สินสมรสมีกําหนดระยะเวลา 5 ปี เพื่อนําเงินค่าเช่ามาใช้จ่ายในครอบครัวนั้น เป็นการจัดการสินสมรสที่ฝ่าฝืน บทบัญญัติมาตรา 1476 (3) เพราะเป็นการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี ซึ่งสามีภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือ ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น เมื่อการทําสัญญาให้เช่าดังกล่าวไม่ได้รับความยินยอมจากนางอุสา นางอุสาย่อมสามารถฟ้องเพิกถอนการทํานิติกรรมดังกล่าวได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อในขณะที่ทํานิติกรรมนั้น นายอุทัยซึ่งทํามาหาเลี้ยงชีพโดยสุจริต ย่อมถือว่า นายอุทัยซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ดังนั้น นางอุสาจึงไม่สามารถฟ้องให้ศาล เพิกถอนการทํานิติกรรมดังกล่าวได้

สรุป นางอุสาจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการค้ําประกัน และการทําสัญญาให้เช่า ดังกล่าวไม่ได้

 

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 2/2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสนั่นชอบพอรักใคร่กับนางสาวเอมอร นายสนั่นได้ตกลงจัดงานแต่งงานกับนางสาวเอมอรโดยวิธีการผูกข้อมือ ในวันทําพิธีนายสนั่นมีความประทับใจกับนางเปรื่องมารดาของนางสาวเอมอรและนางสาวเอมอรเป็นอย่างมากจึงได้ถอดแหวนทอง 1 บาทให้แก่นางสาวเอมอรและถอดสร้อยคอทอง 1 บาทให้แก่นางเปรื่องมารดาของนางสาวเอมอร ต่อมานายสนั่นกับนางสาวเอมอรมีความขัดแย้งกัน นางสาวเอมอรจึงไม่ยอมอยู่กินร่วมกัน นายสนั่นเห็นว่านางสาวเอมอรมีเจตนาไม่ทําตามสัญญาจึง ต้องการฟ้องเรียกแหวนทองคืนจากนางสาวเอมอร และเรียกสร้อยทองคืนจากนางเปรื่องมารดาของนางสาวเอมอร เช่นนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่งและวรรคสาม “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือ โอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น

สินสอดเป็นทรัพย์สินซึ่งฝ่ายชายให้แก่บิดามารดา ผู้รับบุตรบุญธรรมหรือผู้ปกครองฝ่ายหญิง แล้วแต่กรณี เพื่อตอบแทนการที่หญิงยอมสมรส ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิง หรือโดยมีพฤติการณ์ ซึ่งฝ่ายหญิงต้องรับผิดชอบ ทําให้ชายไม่สมควรหรือไม่อาจสมรสกับหญิงนั้น ฝ่ายชายเรียกสินสอดคืนได้”

มาตรา 1442 “ในกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น ทําให้ชายไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น ชายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้และให้หญิงคืนของหมั้นแก่ชาย”

วินิจฉัย

การที่นายสนั่นได้ตกลงจัดงานแต่งงานกับนางสาวเอมอรโดยวิธีการผูกข้อมือ และในวันทําพิธี นายสนั่นซึ่งมีความประทับใจนางเปรื่องมารดาของนางสาวเอมอรและนางสาวเอมอรเป็นอย่างมาก ได้ถอดแหวนทอง 1 บาทให้แก่นางสาวเอมอร และถอดสร้อยคอทอง 1 บาทให้แก่นางเปรื่องมารดาของนางสาวเอมอรนั้น ไม่ถือว่าแหวนทองและสร้อยคอทองเป็นของหมั่นและสินสอด ทั้งนี้เพราะแหวนทองที่นายสนั่นได้ส่งมอบ ให้แก่นางสาวเอมอรนั้น มิใช่ทรัพย์สินที่นายสนั่นได้ส่งมอบให้นางสาวเอมอรเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับ นางสาวเอมอรตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง และสร้อยคอทองที่นายสนั่นได้ส่งมอบให้แก่นางเปรื่องมิใช่ทรัพย์สิน ที่นายสนั่นให้แก่นางเปรื่องเพื่อตอบแทนที่นางสาวเอมอรยอมสมรสตามมาตรา 1437 วรรคสาม

เมื่อแหวนทองและสร้อยคอทองมิใช่ของหมั้นและสินสอด ดังนั้นการที่นายสนั่นกับนางสาวเอมอร มีความขัดแย้งกัน นางสาวเอมอรจึงไม่ยอมอยู่กินร่วมกันกับนายสนั่น นายสนั่นจะอ้างว่ามีเหตุสําคัญอันเกิดแก่ หญิงคู่หมั้น และฟ้องเรียกแหวนทองคืนจากนางสาวเอมอรตามมาตรา 1442 และเรียกสร้อยคอทองคืนจากนางเปรื่อง มารดานางสาวเอมอรตามมาตรา 1437 วรรคสามไม่ได้

สรุป

นายสนั่นจะฟ้องเรียกแหวนทองคืนจากนางสาวเอมอร และฟ้องเรียกสร้อยคอทองคืน จากนางเปรื่องมารดานางสาวเอมอรไม่ได้

 

ข้อ 2 นายทรงกลดและนางสาวชมพูอายุ 19 ปีบริบูรณ์ ทั้งสองได้ไปจดทะเบียนสมรสกัน โดยที่บิดามารดาของทั้งสองฝ่ายมิทราบ ต่อมาอีกสองปี บิดามารดาของนางสาวชมพูทราบว่าทั้งสองแอบไปจดทะเบียนสมรสกันก็โกรธมาก จึงได้ฟ้องศาลขอให้เพิกถอนการสมรสนี้ เช่นนี้จะทําได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1436 “ผู้เยาว์จะทําการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้

(1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา การหมั้นที่ผู้เยาว์ทําโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1454 “ผู้เยาว์จะทําการสมรสให้นําความในมาตรา 1436 มาใช้บังคับโดยอนุโลม”

มาตรา 1509 “การสมรสที่มิได้รับความยินยอมของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 การสมรสนั้น เป็นโมฆียะ”

มาตรา 1510 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะมิได้รับความยินยอม ของบุคคลดังกล่าวในมาตรา 1454 เฉพาะบุคคลที่อาจให้ความยินยอมตามมาตรา 1454 เท่านั้น ขอให้เพิกถอน การสมรสได้

สิทธิขอเพิกถอนการสมรสตามมาตรานี้เป็นอันระงับเมื่อคู่สมรสนั้นมีอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ หรือเมื่อหญิงมีครรภ์”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายทรงกลดและนางสาวชมพูซึ่งมีอายุ 19 ปีทั้งคู่ ได้ไปจดทะเบียน สมรสกันโดยที่บิดามารดาของทั้งสองฝ่ายมิทราบนั้น เป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนตามมาตรา 1454 ประกอบมาตรา 1436 (1) ดังนั้น การสมรสดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 1509 และเฉพาะบิดามารดาของนายทรงกลด และนางสาวชมพูเท่านั้นที่มีสิทธิฟ้องให้ศาลเพิกถอนการสมรสได้ตามมาตรา 1510 วรรคหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในขณะที่บิดามารดาของนางสาวชมพูจะฟ้องศาล เพื่อเพิกถอนการสมรสนั้น นายทรงกลดและนางสาวชมพูมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์แล้ว ดังนั้นสิทธิในการฟ้อง ขอให้เพิกถอนการสมรสกรณีนี้จึงเป็นอันระงับ บิดามารดาของนางสาวชมพูจึงไม่สามารถฟ้องศาลให้เพิกถอน การสมรสกรณีนี้ได้ตามมาตรา 1510 วรรคสอง

สรุป

บิดามารดาของนางสาวชมพูจะฟ้องศาลขอให้เพิกถอนการสมรสกรณีนี้ไม่ได้

 

ข้อ 3 นายเทพกับนางสาวพรทําสัญญาตอนที่คบหาดูใจกันว่า เมื่อสมรสกันแล้วให้นายเทพมีอํานาจในการจัดการสินสมรสทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว โดยนายเทพ นางสาวพร และพยาน 2 คน ลงลายมือชื่อ ในสัญญานั้น ต่อมานายเทพและนางสาวพรได้ไปจดทะเบียนสมรสกันโดยไม่ได้จดแจ้งข้อตกลงใน สัญญาที่ทําไว้ก่อนสมรสไว้ในทะเบียนสมรสและไม่ได้นําสัญญาดังกล่าวแนบไว้ท้ายทะเบียนสมรส ต่อมานายเทพนําเงินบําเหน็จที่ได้จากการเกษียณอายุราชการไปซื้อที่ดินแปลงหนึ่งโดยใส่ชื่อนายเทพ ในโฉนดที่ดินแต่เพียงผู้เดียว หลังจากนั้นนายเทพนําที่ดินแปลงดังกล่าวไปขายฝากกับนายชาติในราคา 500,000 บาท นายเทพบอกกับนายชาติว่านายเทพโสดไม่เคยสมรสมาก่อน ต่อมานายเทพกู้เงิน จากนายเก่งจํานวน 100,000 บาทตามลําพัง นางพรไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการขายฝาก ที่ดินและการกู้ยืมเงินแต่อย่างใด

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า นางพรจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินและการกู้ยืมเงินของนายเทพได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ๆ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1465 วรรคหนึ่ง “ถ้าสามีภริยามิได้ทําสัญญากันไว้ในเรื่องทรัพย์สินเป็นพิเศษก่อนสมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในเรื่องทรัพย์สินนั้น ให้บังคับตามบทบัญญัติในหมวดนี้”

มาตรา 1466 “สัญญาก่อนสมรสเป็นโมฆะ ถ้ามิได้จดแจ้งข้อตกลงกันเป็นสัญญาก่อนสมรส นั้นไว้ในทะเบียนสมรสพร้อมกับการจดทะเบียนสมรส หรือมิได้ทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อคู่สมรสและพยาน อย่างน้อยสองคนแนบไว้ท้ายทะเบียนสมรส และได้จดไว้ในทะเบียนสมรสพร้อมกับการจดทะเบียนสมรสว่าได้มี สัญญานั้นแนบไว้”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีก ฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานองซึ่ง อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(4) ให้กู้ยืมเงิน”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความ ยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและ เสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แม้นายเทพกับนางพรจะได้ทําสัญญาก่อนสมรส ให้นายเทพมีอํานาจจัดการ สินสมรสทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวก็ตาม แต่ต่อมาเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าทั้งสองได้ไปจดทะเบียนสมรสกันโดย ไม่ได้จดแจ้งข้อตกลงในสัญญาที่ทําไว้ก่อนสมรสไว้ในทะเบียนสมรสและไม่ได้นําสัญญาดังกล่าวแนบไว้ท้าย ทะเบียนสมรส ดังนั้นสัญญาก่อนสมรสดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1466 ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยา ในเรื่องทรัพย์สินจึงต้องบังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (มาตรา 1465 วรรคหนึ่ง)

การที่นายเทพได้นําเงินบําเหน็จที่ได้รับจากการเกษียณอายุราชการไปซื้อที่ดินแปลงหนึ่งและแม้จะได้ใส่ชื่อนายเทพในโฉนดที่ดินแต่เพียงผู้เดียว ที่ดินแปลงดังกล่าวก็ถือว่าเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (1) เพราะเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรส การที่นายเทพได้นําที่ดินแปลงดังกล่าวไปขายฝากไว้กับนายชาติ ซึ่ง การขายฝากที่ดินนั้นถือเป็นการจัดการสินสมรสที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจาก อีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 (1) เมื่อนายเทพได้นําที่ดินที่เป็นสินสมรสไปขายฝากไว้กับนายชาติ โดยที่นางพรไม่ได้ รู้เห็นและให้ความยินยอมในการขายฝากที่ดินนั้น โดยหลักแล้ว นางพรย่อมสามารถฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรม การขายฝากที่ดินนั้นได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายชาติผู้รับซื้อฝากซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ได้กระทําการโดยสุจริตเพราะนายชาติไม่ทราบว่านายเทพสมรสแล้ว นายชาติจึงไม่ทราบว่าที่ดินแปลงนั้นเป็น สินสมรส อีกทั้งนายชาติเสียค่าตอบแทนในการนั้นด้วย จึงต้องด้วยข้อยกเว้นตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่งตอนท้าย ดังนั้น นางพรจึงฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินดังกล่าวไม่ได้

ส่วนการที่นายเทพได้ไปกู้ยืมเงินจากนายเก่ง 100,000 บาทนั้น การกู้ยืมเงินมิใช่การจัดการ สินสมรสที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 (4) เพราะ มิใช่การให้กู้ยืมเงิน ดังนั้น นายเทพจึงสามารถกู้ยืมเงินตามลําพังได้ นางพรจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการ กู้ยืมเงินของนายเทพไม่ได้ ”

สรุป

นางพรจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินและการกู้ยืมเงินของนายเทพ ไม่ได้

 

ข้อ 4 นายไก่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางไข่จนมีลูกด้วยกัน 1 คน คือเด็กชายเป็ด นายไก่ก็ไปจดทะเบียนสมรสกับนางปลาโดยนางปลาอนุญาตให้นายไก่ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางไข่ ได้เช่นเคยเป็นมา แต่นางปลาก็แอบไปมีเพศสัมพันธ์กับนายปแฟนเก่า และนางปลาคลอดลูกมา 1 คน คือเด็กหญิงกุ้ง

(1) นางปลาจะฟ้องหย่านายไก่ว่าไปยกย่องเลี้ยงดูหญิงอื่นฉันภริยาได้หรือไม่

(2) เด็กชายเป็ดและเด็กหญิงกุ้งเป็นลูกชอบด้วยกฎหมายของใคร ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยา แล้วแต่กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะ ยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1536 วรรคหนึ่ง “เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับ แต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี หรือเคยเป็น สามีแล้วแต่กรณี”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายไก่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางไข่นั้น ถือว่านายไก่และนางไข่ไม่ได้เป็น สามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะมิได้จดทะเบียนสมรสกันตามมาตรา 1457 แต่การที่นายไก่ได้ไป จดทะเบียนสมรสกับนางปลา ย่อมถือว่านายไก่และนางปลาเป็นสามีและภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม มาตรา 1457 ดังนั้น การที่นายไก่ได้ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางไข่ ย่อมถือว่านายไก่ได้อุปการะเลี้ยงดู และยกย่องหญิงอื่นฉันภริยาตามมาตรา 1516 (1) นางปลาจึงสามารถถือเป็นเหตุฟ้องหย่านายไก่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า การที่นายไก่ได้ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา กับนางไข่นั้น นางปลาได้ยินยอมหรืออนุญาตนายไก่แล้ว ดังนั้น นางปลาจึงอ้างเหตุดังกล่าวเพื่อที่จะฟ้องหย่า นายไก่ไม่ได้ตามมาตรา 1517 วรรคหนึ่ง

(2) เด็กชายเป็ดซึ่งเกิดจากนายไก่บิดาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับนางไข่มารดา จึงถือว่า เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางไข่แต่เพียงผู้เดียวตั้งแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารกตามมาตรา 1546 ส่วนเด็กหญิงกุ้งซึ่งเกิดในขณะที่นางปลาเป็นภริยาของนายไก่ กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตร ชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ผู้เป็นสามี ดังนั้นย่อมถือว่าเด็กหญิงกุ้งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่ และนางปลาตามมาตรา 1536 วรรคหนึ่งและมาตรา 1546 ประสานงาน

สรุป

(1) นางปลาจะฟ้องหย่านายไก่โดยอ้างว่าไปยกย่องเลี้ยงดูหญิงอื่นฉันภริยาไม่ได้

(2) เด็กชายเป็ดเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางไข่แต่เพียงผู้เดียว ส่วนเด็กหญิงกุ้งเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางปลา

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสมยศอายุ 25 ปี ตกลกทําสัญญาหมั้นนางสาวประไพอายุ 24 ปี ด้วยเงิน 200,000 บาท เมื่อถึงวันที่ตกลงทําสัญญาหมั้นนายสมยศทําเงินหายแต่เพื่อไม่ให้เสียฤกษ์การหมั้น นายสมยศจึงตกลง ทําสัญญากู้เงิน 200,000 บาท ให้นางสาวประไพยึดถือไว้ ต่อมานายสมยศได้รู้จักและชอบพอกับ นางสาวอรสาอายุ 19 ปี จึงตกลงทําสัญญาหมั้นนางสาวอรสาด้วยทอง 1 บาท โดยบิดามารดาของ นางสาวอรสาไม่ทราบ เมื่อนางสาวประไพทราบก็อ้างว่าการหมั้นของนางสาวอรสาทําไม่ถูกต้องไม่มีผล และต้องการฟ้องให้นายสมยศทําการสมรสกับตนตามสัญญาและต้องการฟ้องเรียกเงินของหมั้นด้วยเช่นนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1436 “ผู้เยาว์จะทําการหมั้นได้ต้องได้รับความยินยอมของบุคคลดังต่อไปนี้ (1) บิดาและมารดา ในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา การหมั้นที่ผู้เยาว์ทําโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ”

มาตรา 1437 วรรคหนึ่ง “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น ของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น”

มาตรา 1438 “การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ ถ้าได้มีข้อตกลงกันไว้ว่า จะให้เบี้ยปรับในเมื่อผิดสัญญาหมั้น ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมยศอายุ 25 ปี ตกลงทําสัญญาหมั้นนางสาวประไพอายุ 24 ปี ด้วยเงิน 200,000 บาท แต่เมื่อถึงวันที่ตกลงทําสัญญาหมั้นนายสมยศได้ทําเงินหาย แต่เพื่อไม่ให้เสียฤกษ์การหมั้น นายสมยศจึงตกลงทําสัญญากู้เงิน 200,000 บาท ให้นางสาวประไพยึดถือไว้นั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นายสมยศยังมิได้ ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิง ดังนั้นการหมั้นระหว่างนายสมยศกับนางสาวประไพจึง ไม่สมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่ง และการทําสัญญากู้ดังกล่าวนั้นก็เป็นเพียงสัญญาจะให้ทรัพย์สินอัน เป็นของหมั้นในวันข้างหน้า เมื่อยังไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินให้แก่กัน จึงยังถือไม่ได้ว่ามีการให้ของหมั้นกันตาม กฎหมาย (มาตรา 1437 วรรคหนึ่ง)

ดังนั้น นางสาวประไพจึงไม่อาจฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ในฐานะของหมั้นได้ (ฎีกาที่ 1852/2506) และนางสาวประไพจะฟ้องให้นายสมยศทําการสมรสกับตนตามสัญญาก็ไม่ได้เช่นกันตาม มาตรา 1438 ที่กําหนดไว้ว่า “การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้”

ส่วนการที่นายสมยศได้รู้จักและชอบพอกับนางสาวอรสาอายุ 19 ปี จึงตกลงหมั้นกับนางสาวอรสา ด้วยทอง 1 บาท โดยบิดามารดาของนางสาวอรสาไม่ทราบนั้น ถือว่าเป็นกรณีที่นางสาวอรสาซึ่งเป็นผู้เยาว์ได้ ทําการหมั้นโดยไม่ได้รับความยินยอมจากบิดาและมารดา ดังนั้น การหมั้นระหว่างนายสมยศกับนางสาวอรสา จึงมีผลเป็นโมฆียะตามมาตรา 1436

สรุป การหมั้นระหว่างนายสมยศกับนางสาวประไพมีผลไม่สมบูรณ์ นางสาวประไพจะฟ้อง ให้นายสมยศทําการสมรสกับตนตามสัญญา และจะฟ้องเรียกเงินของหมั้นไม่ได้ ส่วนการหมั้นระหว่างนายสมยศ กับนางสาวอรสามีผลเป็นโมฆียะ

 

ข้อ 2 นายมงคลอายุ 16 ปีบริบูรณ์ ไปจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.จันทร์แจ่ม อายุ 20 ปี ต่อมาอีก 3 เดือนน.ส.จันทร์แจ่มได้ตั้งครรภ์ บิดามารดาของนายมงคลทราบก็โกรธมากจึงได้ฟ้องศาลขอให้เพิกถอนการสมรสนี้ เช่นนี้จะทําได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1448 “การสมรสจะทําได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว แต่ในกรณี ที่มีเหตุอันสมควร ศาลอาจอนุญาตให้ทําการสมรสก่อนนั้นได้”

มาตรา 1504 “การสมรสที่เป็นโมฆยะเพราะฝ่าฝืนมาตรา 1448 ผู้มีส่วนได้เสียขอให้เพิก ถอนการสมรสได้ แต่บิดามารดาหรือผู้ปกครองที่ให้ความยินยอมแล้วจะขอให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้

ถ้าศาลมิได้สั่งให้เพิกถอนการสมรสจนชายหญิงมีอายุครบตามมาตรา 1448 หรือเมื่อหญิง มีครรภ์ก่อนอายุครบตามมาตรา 1448 ให้ถือว่าการสมรสสมบูรณ์มาตั้งแต่เวลาสมรส”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมงคลอายุ 16 ปีบริบูรณ์ ได้จดทะเบียนสมรสกับ น.ส.จันทร์แจ่ม อายุ 20 ปีนั้น ถือเป็นกรณีที่มีการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1448 เพราะนายมงคลมีอายุยังไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ ดังนั้นการสมรสระหว่างนายมงคลกับ น.ส.จันทร์แจ่มจึงตกเป็นโมฆียะ

และเมื่อสมรสไปได้ 3 เดือน น.ส.จันทร์แจ่มได้ตั้งครรภ์ และบิดามารดาของนายมงคลทราบ จึงได้ฟ้องศาลขอให้เพิกถอนการสมรสระหว่างนายมงคลกับ น.ส.จันทร์แจ่มนั้น เมื่อบิดามารดาของนายมงคลถือว่า เป็นผู้มีส่วนได้เสีย จึงสามารถฟ้องขอให้เพิกถอนการสมรสที่เป็นโมฆียะดังกล่าวได้ตามมาตรา 1504 วรรคหนึ่ง และกรณีดังกล่าวก็ไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 1504 วรรคสอง กล่าวคือ นายมงคลยังมีอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์ และบทบัญญัติในมาตรา 1504 วรรคสองนั้น เป็นบทบัญญัติคุ้มครองเฉพาะในกรณีที่หญิงมีครรภ์ก่อนอายุครบ 17 ปีบริบูรณ์เท่านั้น

สรุป การสมรสระหว่างนายมงคลกับ น.ส.จันทร์แจ่มเป็นโมฆียะ บิดามารดาของนายมงคล สามารถฟ้องศาลขอให้เพิกถอนการสมรสได้

 

ข้อ 3 นายนพและนางศรีเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย นายนพทําสัญญากู้ยืมเงินกับนายกันต์ จํานวน 50,000 บาท โดยนางศรีลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้เงินนั้น นางศรีขอให้นายนพนําเงินที่กู้มา ใช้จ่ายในครอบครัว แต่นายนพไม่ยินยอม นายนพกลับนําเงินทั้งหมดไปเล่นการพนัน เมื่อหนี้ถึงกําหนด ชําระ นายกันต์ได้มาทวงถามให้นายนพและนางศรีชําระหนี้ นางศรีปฏิเสธว่าตนเองไม่ต้องรับผิด เพราะตนเองไม่ได้เป็นผู้กู้อีกทั้งนายนพนําเงินทั้งหมดไปเล่นการพนัน ไม่ได้นํามาใช้จ่ายในครอบครัว แต่อย่างใด ต่อมานางศรีอยากเช่าที่ดินเพื่อเปิดร้านขายอาหาร นางศรีไปทําสัญญาเช่าที่ดินแปลงหนึ่ง จากนางแก้วเป็นระยะเวลา 5 ปี นางศรีขายรถจักรยานยนต์ที่เป็นสินสมรสและนําเงินที่ได้จากการ ขายรถจักรยานยนต์ไปจ่ายค่าเช่าที่ดินดังกล่าว โดยนายนพไม่รู้เห็นและให้ความยินยอมในการเช่าที่ดิน และขายรถจักรยานยนต์แต่อย่างใด ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) นางศรีจะต้องร่วมรับผิดชําระหนี้ทุนายนพทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายกันต์ 50,000 บาท หรือไม่เพราะเหตุใด

(ข) นายนพจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมที่นางศรีเช่าที่ดินและขายรถจักรยานยนต์ที่เป็นสินสมรสได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีก ฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิจํานอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิ เหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อ การสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้อง ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความ ยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริต และเสียค่าตอบแทน”

มาตรา 1490 “หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้นให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้น ในระหว่างสมรสดังต่อไปนี้

(1) หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนหรือจัดหาสิ่งจําเป็นสําหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดู ตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ

(2) หนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรส

(3) หนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภริยาทําด้วยกัน

(4) หนี้ที่สามีหรือภริยาก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายนพทําสัญญากู้ยืมเงินกับนายกันต์จํานวน 50,000 บาท โดยนายนพได้นําเงินทั้งหมด ไปเล่นการพนันนั้น หนี้ดังกล่าวถือเป็นหนี้ที่นายนพได้ก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียว แต่การที่นางศรีได้ลง ลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญากู้เงินนั้น ถือได้ว่านางศรีได้ให้สัตยาบันในหนี้นั้นแล้ว หนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้ร่วมที่ นายนพและนางศรีจะต้องรับผิดร่วมกันตามมาตรา 1490 (4) ดังนั้น นางศรีจะต้องร่วมรับผิดชําระหนี้ที่นายนพ ทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายกันต์ 50,000 บาท

(ข) การที่นางศรีทําสัญญาเช่าที่ดินจากนางแก้วเป็นระยะเวลา 5 ปีนั้น การเช่าที่ดินมิใช่เป็นการ จัดการสินสมรสที่คู่สมรสต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 (3) เพราะมิใช่เป็นการให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี (เป็นการเช่า ไม่ใช่ให้เช่า) ดังนั้น นายนพจึงฟ้องศาลเพื่อให้ เพิกถอนการที่นางศรีทําสัญญาเช่าที่ดินตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่งไม่ได้

ส่วนการที่นางศรีได้ขายรถจักรยานยนต์ที่เป็นสินสมรสนั้น มิใช่เป็นการขายอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้ตามมาตรา 1476 (1) จึงมิใช่เป็นการจัดการสินสมรสที่คู่สมรสต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น นายนพจึงฟ้องศาลเพื่อให้เพิกถอนการที่นางศรีขาย รถจักรยานยนต์ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง ไม่ได้เช่นกัน

สรุป

(ก) นางศรีจะต้องร่วมรับผิดชําระหนี้ที่นายนพทําสัญญากู้ยืมเงินจากนายกันต์จํานวน 50,000 บาท

(ข) นายนพจะฟ้องศาลขอเพิกถอนนิติกรรมที่นางศรีเช่าที่ดินและขายรถจักรยานยนต์ที่เป็นสินสมรสไม่ได้

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่นายไก่เป็นคนเจ้าชู้มาก นางไข่กลัวว่าสามีจะไปมีภริยาน้อยจึงอนุญาตให้นายไก่ไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงขายบริการได้ตามความต้องการ ของนายไก่ แต่นายไก่ก็ยังแอบไปเลี้ยงดูนางเป็ดฉันภริยาอีกคนหนึ่ง และมีลูกด้วยกันคือเด็กชายหมู ด้วยความหึงหวงนางไข่ตัดอวัยวะเพศนายไก่ทิ้งแม่น้ำไป จากเหตุการณ์กล่าวมาข้างต้น คือ นายไก่ไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงโสเภณีเป็นอาจิณ นายไก่ มีภริยาน้อยคือนางเป็ด และนายไก่ไม่มีอวัยวะเพศ นางไข่จะอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าต่อนายไก่ได้หรือไม่ และเด็กชายหมูเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้

(10) สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกาย ทําให้สามีหรือภริยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุ ฟ้องหย่าไม่ได้”

เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (10) ถ้าเกิดเพราะการกระทําของอีกฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งนั้น จะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1 การที่นายไก่ไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงโสเภณีเป็นอาจิณนั้น แม้จะถือว่าเป็นเหตุฟ้องหย่า ได้ตามมาตรา 1516 (1) แต่นางไข่จะอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าต่อนายไก่ไม่ได้ เพราะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 1517 วรรคหนึ่ง กล่าวคือ การที่นายไก่ไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงโสเภณีเป็นอาจิณนั้นนางไข่ยินยอมและรู้เห็นเป็นใจด้วย

2 การที่นายไก่ได้แอบไปเลี้ยงดูนางเป็ดฉันภริยาอีกคนหนึ่งนั้น นางไข่สามารถฟ้องหย่า นายไก่ได้ เพราะถือเป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1)

3 การที่นายไก่ไม่มีอวัยวะเพศนั้น ถือว่านายไก่มีสภาพแห่งกายที่ทําให้ไม่อาจร่วมประเวณี ได้ตลอดกาลตามมาตรา 1516 (10) แต่นางไข่จะอ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าต่อนายไก่ไม่ได้ เพราะเมื่อนางไข่เป็นผู้ตัด อวัยวะเพศของนายไก่ทิ้ง จึงเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 1517 วรรคสอง ที่ห้ามมิให้นางไข่ยกขึ้นเป็นเหตุฟ้องหย่า

4 เด็กชายหมูเป็นบุตรของนางเป็ดซึ่งมิได้ทําการสมรสกับนายไก่ ดังนั้นเด็กชายหมูย่อม เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางเป็ดแต่เพียงผู้เดียวตามมาตรา 1546 และเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ของนางเป็ดตั้งแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

สรุป

นางไข่สามารถอ้างเหตุที่นายไก่มีภริยาน้อยคือนางเป็ดเพื่อฟ้องหย่านายไก่ได้ แต่จะอ้าง เหตุที่นายไก่ไปมีเพศสัมพันธ์กับหญิงโสเภณีเป็นอาจิณ หรือเหตุที่นายไก่ไม่มีอวัยวะเพศเพื่อฟ้องหย่านายไก่ไม่ได้ ส่วนเด็กชายหมูเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางเป็ดแต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว S/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสมยศชอบพอกับ น.ส.ปัทมาจนรักกันในที่สุด แต่นายสมยศไม่ทราบว่า น.ส.ปัทมามีสามีแล้ว ต่อมา น.ส.ปัทมาจึงจดทะเบียนหย่ากับนายกมล (สามี) และ 30 วันต่อมานายสมยศได้ทําสัญญาหมั้น น.ส.ปัทมาด้วยแหวนเพชรและทอง 10 บาท โดยไม่ทราบว่า น.ส.ปัทมาหย่าได้เพียง 30 วันเท่านั้น แต่นายสมยศไม่ทราบว่าก่อนการหย่านั้น น.ส.ปัทมาได้ทําการฉ้อโกงหลอกลวงเอาทรัพย์สินจาก บิดามารดาของนายกมลมาเป็นจํานวนมาก ทําให้มารดาของนายกมลเสียใจจนเสียชีวิต เมื่อนายสมยศ ทราบก็เห็นว่า น.ส.ปัทมาไม่เหมาะสมที่จะเป็นภริยาและการหมั้นทําไม่ถูกต้องเพราะหญิงสิ้นสุด การสมรสเพียง 30 วันเท่านั้น แต่ น.ส.ปัทมาอ้างว่าได้แจ้งแก่ญาติพี่น้องแล้วถึงงานสมรส จึงต้อง ทําการสมรสตามสัญญาหมั้น เช่นนี้ นายสมยศจะไม่ทําการสมรสกับ น.ส.ปัทมาได้หรือไม่ และจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.ปัทมาได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1442 “ในกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้น ทําให้ชายไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น ชายมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้และให้หญิงคืนของหมั้นแก่ชาย”

มาตรา 1444 “ถ้าเหตุอันทําให้คู่หมั้นบอกเลิกสัญญาหมั้น เป็นเพราะการกระทําชั่วอย่างร้ายแรง ของคู่หมั้นอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งได้กระทําภายหลังการหมั้นคู่หมั้นผู้กระทําชั่วอย่างร้ายแรงนั้นต้องรับผิดใช้ค่าทดแทน แก่คู่หมั้นผู้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นเสมือนเป็นผู้ผิดสัญญาหมั้น”

มาตรา 1453 วรรคหนึ่ง “หญิงที่สามีตายหรือที่การสมรสสิ้นสุดลงด้วยประการอื่นจะทําการ สมรสใหม่ได้ต่อเมื่อการสิ้นสุดแห่งการสมรสได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่น้อยกว่าสามร้อยสิบวัน…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นแรก นายสมยศจะไม่ทําการสมรสกับ น.ส.ปัทมาได้หรือไม่ เห็นว่า การที่ น.ส.ปัทมา ได้ทําการฉ้อโกงหลอกลวงเอาทรัพย์สินจากบิดามารดาของนายกมลมาเป็นจํานวนมาก ทําให้มารดาของนายกมล เสียใจจนเสียชีวิตนั้น ถือเป็นกรณีที่มีเหตุสําคัญอันเกิดแก่หญิงคู่หมั้นทําให้ชายไม่สมควรสมรสกับหญิงนั้น ตามมาตรา 1442 ดังนั้นนายสมยศจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้ และให้ น.ส.ปัทมาคืนของหมั้นแก่นายสมยศ

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายสมยศอ้างว่าการหมั้นทําไม่ถูกต้อง เพราะหญิงสิ้นสุดการสมรสได้ เพียง 30 วันเท่านั้น ไม่สามารถอ้างได้เพราะตามมาตรา 1453 วรรคหนึ่ง นั้น เป็นกรณีที่กฎหมายห้ามหญิงที่ การสมรสสิ้นสุดลงสมรสใหม่ภายในสามร้อยสิบวัน แต่ น.ส.ปัทมาเพียงแต่ทําการหมั้นกับนายสมยศจึงไม่ได้ เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าวแต่อย่างใด

ประเด็นที่สอง นายสมยศจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.ปัทมาได้หรือไม่ เห็นว่า แม้ว่า การที่ น.ส.ปัทมาได้ทําการฉ้อโกงหลอกลวงเอาทรัพย์สินจากบิดามารดาของนายกมลมาเป็นจํานวนมาก จนทําให้มารดาของนายกมลเสียใจจนเสียชีวิตนั้น จะเป็นการกระทําชั่วอย่างร้ายแรงของคู่หมั้นอีกฝ่ายหนึ่งก็ตาม แต่ก็เป็นการกระทําก่อนการหมั้น จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะทําให้มีการเรียกค่าทดแทนกันได้ตามมาตรา 1444 ดังนั้น นายสมยศจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.ปัทมาไม่ได้

สรุป

นายสมยศจะไม่ทําการสมรสกับ น.ส.ปัทมาได้ แต่จะฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.ปัทมาไม่ได้

 

ข้อ 2 นายสุชาติชอบ น.ส.วันเพ็ญ แต่ น.ส.วันเพ็ญไม่ชอบนายสุชาติ นายสุชาติจึงทําการข่มขู่อันถึงขนาดให้ น.ส.วันเพ็ญทําการจดทะเบียนสมรสด้วยในวันที่ 2 มีนาคม 2558 และทําการควบคุม น.ส.วันเพ็ญไว้ตลอดเวลา ต่อมา น.ส.วันเพ็ญตั้งครรภ์ นายสุชาติได้ยกที่ดิน 1 แปลงให้โดยเสน่หา ในวันที่ 12 มีนาคม 2559 นายสุชาติได้ปล่อยให้ น.ส.วันเพ็ญไปไหนมาไหนโดยอิสระ น.ส.วันเพ็ญ ได้ปรึกษาทนายความและฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสนี้ในวันที่ 12 เมษายน 2559 ต่อมาในวันที่ 30 เมษายน 2559 น.ส.วันเพ็ญได้จดทะเบียนสมรสกับนายพิจิตรซึ่งยังรักตนอยู่ และได้ขายที่ดิน ให้แก่นายสุทินซึ่งไม่รู้จักกัน จากข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้การสมรสระหว่างนายสุชาติกับ น.ส.วันเพ็ญ จะมีผลอย่างไร บิดา น.ส.วันเพ็ญจะทําการฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสได้หรือไม่ และการสมรส ระหว่างนายพิจิตรกับ น.ส.วันเพ็ญจะมีผลอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1502 “การสมรสที่เป็นโมฆียะสิ้นสุดลงเมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอน”

มาตรา 1507 “ถ้าคู่สมรสได้ทําการสมรสโดยถูกข่มขู่อันถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่นั้นจะ ไม่ทําการสมรส การสมรสนั้นเป็นโมฆียะ

สิทธิขอเพิกถอนการสมรสเพราะถูกข่มขู่เป็นอันระงับ เมื่อเวลาได้ผ่านพ้นไปแล้วหนึ่งปีนับแต่ วันที่พ้นจากการข่มขู่”

มาตรา 1508 วรรคหนึ่ง “การสมรสที่เป็นโมฆียะเพราะคู่สมรสสําคัญผิดตัวหรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่ เฉพาะแต่คู่สมรสที่สําคัญผิดตัว หรือถูกกลฉ้อฉล หรือถูกข่มขู่เท่านั้นขอเพิกถอนการสมรสได้”

มาตรา 1511 “การสมรสที่ได้มีคําพิพากษาให้เพิกถอนนั้น ให้ถือว่าสิ้นสุดลงในวันที่คําพิพากษา ถึงที่สุด แต่จะอ้างเป็นเหตุเสื่อมสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริตไม่ได้ เว้นแต่จะได้จดทะเบียนการเพิกถอน การสมรสนั้นแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์

ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัยคือ การสมรสระหว่างนายสุชาติกับ น.ส.วันเพ็ญจะมีผลอย่างไร เห็นว่า ตามบทบัญญัติมาตรา 1507 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดไว้ว่า ในการสมรสนั้นถ้าคู่สมรสได้ทําการสมรสเพราะถูกข่มขู่ โดยการข่มขู่นั้นถึงขนาดที่ว่าถ้าไม่มีการข่มขู่เช่นนั้น คู่สมรสก็จะไม่ทําการสมรสด้วย การสมรสดังกล่าวย่อมตกเป็น โมฆียะ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายสุชาติได้ทําการข่มขู่อันถึงขนาดให้ น.ส.วันเพ็ญทําการจดทะเบียนสมรส ด้วยในวันที่ 2 มีนาคม 2558 การสมรสระหว่างนายสุชาติกับ น.ส.วันเพ็ญจึงตกเป็นโมฆยะตามมาตรา 1507

ประเด็นที่สองที่ต้องวินิจฉัยคือ บิดาของ น.ส.วันเพ็ญจะทําการฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรส ได้หรือไม่ เห็นว่า ตามบทบัญญัติมาตรา 1508 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดตัวบุคคลที่มีสิทธิขอเพิกถอนการสมรสที่เป็น โมมียะเพราะถูกข่มขู่ไว้โดยเฉพาะแล้ว คือ ตัวคู่สมรสที่ถูกข่มขู่เท่านั้นที่จะขอเพิกถอนได้ ดังนั้น บิดาของ น.ส.วันเพ็ญ ซึ่งมิใช่ตัวคู่สมรสเอง จะทําการฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้ตามมาตรา 1508 วรรคหนึ่ง

ประเด็นสุดท้ายที่ต้องวินิจฉัย คือ การสมรสระหว่างนายพิจิตรกับ น.ส.วันเพ็ญจะมีผลอย่างไร เห็นว่า เมื่อการสมรสระหว่างนายสุชาติกับ น.ส.วันเพ็ญยังไม่สิ้นสุดลง เนื่องจากการสมรสที่เป็นโมฆยะนั้นจะสิ้นสุดลง ก็ต่อเมื่อศาลพิพากษาให้เพิกถอนการสมรสนั้น (มาตรา 1502) และการสมรสที่ได้มีคําพิพากษาให้เพิกถอน ก็จะถือว่า สิ้นสุดลงในวันที่คําพิพากษาถึงที่สุด (มาตรา 1511) ดังนั้น การที่ น.ส.วันเพ็ญได้ไปจดทะเบียนสมรสกับนายพิจิตร ย่อมถือเป็นการสมรสซ้อนและมีผลเป็นโมฆะตามมาตรา 1452 ประกอบมาตรา 1495

สรุป

การสมรสระหว่างนายสุชาติกับ น.ส.วันเพ็ญมีผลเป็นโมฆียะ

บิดา น.ส.วันเพ็ญจะทําการฟ้องศาลให้เพิกถอนการสมรสไม่ได้ และ การสมรสระหว่างนายพิจิตรกับ น.ส.วันเพ็ญมีผลเป็นโมฆะ

 

ข้อ 3 นายชาติชายกับนางสําเนาเป็นสามีภริยากัน แต่ไม่สามารถใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกันได้ จึงยินยอมให้ต่างฝ่ายต่างมีอิสระที่จะใช้ชีวิตกับบุคคลอื่นได้ นายชาติชายได้รู้จักกับนายสมหวังอย่างสนิทสนม จนมีความสัมพันธ์ทางเพศกันและถูกใจกัน นายชาติชายได้จัดงานสมรสและอยู่กินฉันสามีภริยา กับนายสมหวัง ทําให้นายสมหวังภูมิใจได้ไปบอกกล่าวเพื่อน ๆ ในชุมชนว่าเป็นภริยาของนายชาติชาย และนายชาติชายได้ยกบ้านให้โดยเสน่หาด้วย นางสําเนาไม่พอใจต้องการฟ้องหย่าและฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสมหวัง เช่นนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1517 วรรคหนึ่ง “เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) และ (2) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่ กรณี ได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทําที่เป็นเหตุฟ้องหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็น เหตุฟ้องหย่าไม่ได้”

มาตรา 1523 วรรคหนึ่ง “เมื่อศาลพิพากษาให้หย่ากันเพราะเหตุตามมาตรา 1516 (1) ภริยา หรือสามีมีสิทธิได้รับค่าทดแทนจากสามีหรือภริยาและจากผู้ซึ่งได้รับการอุปการะเลี้ยงดู หรือยกย่องหรือผู้ซึ่งเป็น เหตุแห่งการหย่านั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายชาติชายกับนางสําเนาเป็นสามีภริยากัน แต่นายชาติชายได้จัดงาน สมรสและอยู่กินฉันสามีภริยากับนายสมหวังนั้น ถือว่าเป็นเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (1) ที่ว่า สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามีอีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้ ดังนั้นโดยหลักแล้วนางสําเนาย่อม สามารถฟ้องหย่านายชาติชายได้

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายชาติชายกับนางสําเนาเป็นสามีภริยากันแต่ไม่สามารถใช้ชีวิต ครอบครัวร่วมกันได้ จึงยินยอมให้ต่างฝ่ายต่างมีอิสระที่จะใช้ชีวิตกับบุคคลอื่นได้นั้น เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 1517 วรรคหนึ่ง ที่ว่า เหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (1) ถ้าสามีหรือภริยาแล้วแต่กรณีได้ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจใน การกระทําที่เป็นเหตุหย่านั้น ฝ่ายที่ยินยอมหรือรู้เห็นเป็นใจนั้นจะยกเป็นเหตุฟ้องหย่าไม่ได้ ดังนั้น นางสําเนาจึง ฟ้องหย่านายชาติชายด้วยเหตุดังกล่าวไม่ได้

และการที่นางสําเนาไม่พอใจนายสมหวังที่ไปบอกกล่าวเพื่อน ๆ ในชุมชนว่าเป็นภริยาของ นายชาติชายและนายชาติชายได้ยกบ้านให้โดยเสน่หา จึงต้องการฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสมหวังนั้น นางสําเนา ก็ไม่สามารถทําได้ เพราะมาตรา 1523 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดไว้ว่า ภริยาจะเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่แสดงตน โดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทํานองชู้สาวก็ได้ แต่เมื่อปรากฏว่านายสมหวังเป็นชายจึง ไม่เข้าองค์ประกอบของกฎหมายที่นางสําเนาจะฟ้องเรียกค่าทดแทนได้

สรุป

นางสําเนาจะฟ้องหย่านายชาติชายไม่ได้ และจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากนายสมหวัง ไม่ได้เช่นกัน

 

ข้อ 4 นายจักรกับนางนภาเป็นสามีภริยากัน ในระหว่างสมรสนางนภาได้รับสลากออมสิน 1 ล้านบาทโดยเสน่หาจากนางเมตตามารดา ต่อมานางนภาถูกรางวัลจากสลากออมสินเป็นจํานวนเงิน 2 ล้านบาท นางนภาเห็นว่าเป็นเงินที่ได้มาจากมารดา จึงยกให้ญาติโดยเสน่หาโดยไม่บอกให้นายจักรทราบ ต่อมานายจักรได้ยกที่ดิน 1 แปลงให้นางนภาโดยเสน่หา นางนภาให้นายเกียรติเช่า 5 ปี ได้รับค่าเช่าเดือนละ 100,00 บาท โดยไม่บอกให้นายจักรทราบ นายจักรไม่พอใจที่ทําอะไรไม่บอกกล่าวให้สามีทราบ จึงต้องการฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้น และฟ้องเรียกที่ดินคืนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1469 “สัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินใดที่สามีภริยาได้ทําไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยา กันนั้น ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาด จากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิของบุคคลภายนอกผู้ทําการโดยสุจริต”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา”

มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1476 “สามีเละภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีดังต่อไปนี้

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอม จากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและ เสียค่าตอบแทน”

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางเมตตามารดาของนางนภาได้ให้สลากออมสิน 1 ล้านบาท แก่นางนภานั้น สลากออมสินดังกล่าวถือเป็นสินส่วนตัวของนางนภา เพราะเป็นทรัพย์สินที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ได้มาระหว่างสมรสโดยการให้โดยเสน่หาตามมาตรา 1471 (3) ต่อมาเมื่อนางนภาถูกรางวัลจากสลากออมสินเป็น เงินจํานวน 2 ล้านบาท เงินจํานวนนี้ย่อมถือเป็นสินสมรส เพราะถือเป็นทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส ตามมาตรา 1474 (1)

ดังนั้น เมื่อนางนภาจะยกเงิน 2 ล้านบาทนี้ให้แก่ญาติของตนโดยเสน่หา จึงต้องทําตามมาตรา 1476 (5) กล่าวคือ จะต้องได้รับความยินยอมจากนายจักรคู่สมรสก่อน เมื่อปรากฏว่านางนภาได้ยกเงิน 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นสินสมรสให้แก่ญาติโดยเสน่หาโดยปราศจากความยินยอมจากนายจักร นายจักรย่อมสามารถฟ้องให้ศาล เพิกถอนนิติกรรมการให้นั้นได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง

ส่วนการที่นายจักรยกที่ดิน 1 แปลง ให้แก่นางนภาโดยเสน่หานั้น ถือว่าเป็นสัญญาระหว่างสมรส ตามมาตรา 1469 ที่ดินนี้จึงเป็นสินส่วนตัวของนางนภาตามมาตรา 1471 (3) ดังนั้นการที่นางนภาให้นายเกียรติ เช่า 5 ปี ได้รับค่าเช่าเดือนละ 100,000 บาท โดยไม่บอกให้นายจักรทราบนั้น ย่อมสามารถทําได้โดยลําพังตาม มาตรา 1473 ที่กําหนดว่า สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ นายจักรจึงฟ้องให้ศาลเพิกถอน นิติกรรมการให้เช่าที่ดินนั้นไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อการให้ที่ดินระหว่างนายจักรกับนางนภาถือเป็นสัญญาระหว่างสมรส นายจักรจึงมีสิทธิที่จะบอกล้างนิติกรรมการให้ที่ดิน และเรียกที่ดินคืนจากนางนภาเสียในเวลาใดที่เป็นสามี ภริยากันอยู่ หรือภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ตามมาตรา 1469

สรุป นายจักรสามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เงิน 2 ล้านบาทได้ แต่จะฟ้องให้ ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้เช่าที่ดินไม่ได้ และนายจักรสามารถบอกล้างการให้ที่ดินและเรียกที่ดินคืนได้

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 2/2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายสมานได้ตกลงกับ น.ส.วิไลว่าจะทําสัญญาหมั้นกันในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เมื่อถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ นายสมานทําแหวนหมั้นหาย จึงได้ขอยืมแหวนของ น.ส.อรสาซึ่งเป็นเพื่อนของ น.ส.วิไลมาสวม ให้ น.ส.วิไลก่อนตามกําหนดเวลาหมั้นที่ได้กําหนดไว้ และยังได้ทําสัญญากู้ยืมเงิน 200,000 บาท ให้ น.ส.วิไลไว้เป็นของหมั้นอีกด้วย น.ส.วิไลได้ลาออกจากงานเพื่อที่จะไปใช้ชีวิตครอบครัวกับ นายสมานที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่นายสมานได้สนิทสนมกับ น.ส.อรสาจนมีความสัมพันธ์ทางเพศกัน และได้ตัดสินใจอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา จึงปฏิเสธไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.วิไล เช่นนี้ น.ส.วิไลจะฟ้องเรียกเงิน 200,000 บาท ตามสัญญากู้ยืมเงิน เรียกค่าทดแทนต่อชื่อเสียงและที่ได้ลาออกจากงาน และต้องการฟ้อง น.ส.อรสาเรียกค่าทดแทนที่มาร่วมประเวณีกับนายสมานด้วย ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคหนึ่งและวรรคสอง “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือ โอนทรัพย์สินอันเป็นของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้นเมื่อหมั้นแล้วให้ของหมั้นตกเป็นสิทธิแก่หญิง”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิด ใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

มาตรา 1440 “ค่าทดแทนนั้นอาจเรียกได้ ดังต่อไปนี้

(1) ทดแทนความเสียหายต่อกายหรือชื่อเสียงแห่งชายหรือหญิงนั้น

(2) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้น บิดามารดา หรือบุคคลผู้กระทําการในฐานะ เช่นบิดามารดาได้ใช้จ่ายหรือต้องตกเป็นลูกหนี้เนื่องในการเตรียมการสมรสโดยสุจริตและตามสมควร

(3) ทดแทนความเสียหายเนื่องจากการที่คู่หมั้นได้จัดการทรัพย์สินหรือการอื่นอันเกี่ยวแก่ อาชีพหรือทางทํามาหาได้ของตนไปโดยสมควรด้วยการคาดหมายว่าจะได้มีการสมรส”

มาตรา 1445 “ชายหรือหญิงคู่หมั้นอาจเรียกค่าทดแทนจากผู้ซึ่งได้ร่วมประเวณีกับคู่หมั้น ของตนโดยรู้หรือควรจะรู้ถึงการหมั้นนั้น เมื่อได้บอกเลิกสัญญาหมั้นตามมาตรา 1442 หรือมาตรา 1443 แล้วแต่กรณี

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมานได้ตกลงกับ น.ส.วิไลว่าจะทําสัญญาหมั้นกัน แต่เมื่อถึง กําหนดเวลาวันหมั้น นายสมานทําแหวนหมั้นหายจึงได้ขอยืมแหวนของ น.ส.อรสามาสวมให้ น.ส.วิไลก่อนตาม กําหนดเวลาหมั้นที่ได้กําหนดไว้นั้น แหวนดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นของหมั้น เพราะไม่ใช่ทรัพย์สินที่ฝ่ายชายได้ส่งมอบ โดยมีเจตนาจะโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้นแต่อย่างใด (ตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่งและวรรคสอง)

และการที่นายสมานได้ทําสัญญากู้ยืมเงิน 200,000 บาท ให้ น.ส.วิไลไว้เป็นของหมั้นนั้น เมื่อยังไม่มีการส่งมอบทรัพย์สินคือเงิน 200,000 บาท ให้แก่หญิงคู่หมั้น เป็นเพียงการทําสัญญาว่าจะให้ทรัพย์สิน ที่เป็นของหมั้นกันในวันข้างหน้า ทรัพย์สินคือเงิน 200,000 บาท จึงไม่ถือว่าเป็นของหมั่นตามมาตรา 1437 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ดังนั้น น.ส.วิไลจะฟ้องเรียกเงิน 200,000 บาท ตามสัญญากู้ในฐานะเป็นของหมั้นไม่ได้ (คําพิพากษาฎีกาที่ 1852/2506)

เมื่อการหมั้นระหว่างนายสมานกับ น.ส.วิไล เป็นการหมั้นโดยไม่มีทรัพย์สินอันเป็นของหมั้น การหมั้นจึงไม่สมบูรณ์ถือเสมือนว่าไม่มีการหมั้นกัน ดังนั้น การที่ต่อมานายสมานได้ปฏิเสธไม่ยอมจดทะเบียนสมรส กับ น.ส.วิไล จึงไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา 1439 น.ส.วิไลจึงฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนต่อชื่อเสียง และที่ได้ลาออกจากงานเพื่อที่จะไปใช้ชีวิตครอบครัวกับนายสมานที่จังหวัดเชียงใหม่ตามมาตรา 1440 (1) และ (3) ไม่ได้ และจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจาก น.ส.อรสาที่ได้มาร่วมประเวณีกับนายสมานตามมาตรา 1445 ก็ไม่ได้เช่นกัน

สรุป

น.ส.วิไลจะฟ้องเรียกเงิน 200,000 บาท ตามสัญญากู้ยืมเงิน และจะฟ้องเรียกค่าทดแทน ต่อชื่อเสียงและที่ได้ลาออกจากงานไม่ได้ และจะฟ้อง น.ส.อรสาเพื่อเรียกค่าทดแทนที่ได้มาร่วมประเวณีกับนายสมาน เก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน

 

ข้อ 2 นายดินกับนางเพชรเป็นสามีภริยากันโดยจดทะเบียนสมรส ระหว่างสมรสนายดินซื้อที่ดิน 1 แปลงราคา 1,000,000 บาท โดยหักเงินเดือนของตนเองทุกเดือนผ่อนชําระจนครบ ต่อมานางเพชรป่วย บุคคลทั้งสองจึงยินยอมหย่าขาดจากกัน โดยทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อและมีพยานลงลายมือชื่อไว้ สองคน หลังจากนั้นอีก 1 เดือนนายดินจดทะเบียนสมรสกับนางน้ําฝน ก่อนสมรสนางน้ําฝนมีเงินฝาก 200,000 บาท และได้รับดอกเบี้ยจากเงินฝากภายหลังการสมรสอีกจํานวน 50,000 บาท จาก ข้อเท็จจริงดังกล่าว ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(1) การสมรสของนายดินกับนางน้ำฝน มีผลในทางกฎหมายอย่างไร

(2) ทรัพย์สินต่าง ๆ นั้นจะเป็นของใคร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1452 “ชายหรือหญิงจะทําการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1498 “การสมรสที่เป็นโมฆะ ไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา

ในกรณีที่การสมรสเป็นโมฆะ ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดมีหรือได้มาไม่ว่าก่อนหรือหลังการสมรส รวมทั้งดอกผลคงเป็นของฝ่ายนั้น ส่วนบรรดาทรัพย์สินที่ทํามาหาได้ร่วมกันให้แบ่งคนละครึ่ง เว้นแต่ศาลจะเห็น สมควรสั่งเป็นประการอื่น เมื่อได้พิเคราะห์ถึงภาระในครอบครัว ภาระในการหาเลี้ยงชีพ และฐานะของคู่กรณี ทั้งสองฝ่ายตลอดจนพฤติการณ์อื่นทั้งปวงแล้ว”

มาตรา 1514 “การหย่านั้นจะทําได้แต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือโดยคําพิพากษาของศาล

การหย่าโดยความยินยอมต้องทําเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคน”

มาตรา 1515 “เมื่อได้จดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายนี้ การหย่าโดยความยินยอม จะสมบูรณ์ต่อเมื่อสามีภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายดินกับนางเพชรซึ่งเป็นสามีภริยากันโดยการจดทะเบียนสมรส ได้ตกลงยินยอม หย่าขาดจากกัน โดยทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อและมีพยานลงลายมือชื่อไว้สองคนนั้น แม้จะได้ทําถูกต้องตาม มาตรา 1514 แล้วก็ตาม แต่เมื่อยังไม่ได้มีการจดทะเบียนการหย่า การหย่าของทั้งสองจึงยังไม่สมบูรณ์ตาม มาตรา 1515 และให้ถือว่านายดินกับนางเพชรยังคงเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่

ดังนั้น การที่นายดินได้จดทะเบียนสมรสกับนางน้ําฝน จึงเป็นกรณีที่นายดินได้ทําการ สมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่แล้ว จึงเป็นการสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1452 การสมรสของนายดินกับนางน้ําฝน จึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1495

(2) สําหรับทรัพย์สินต่าง ๆ จะเป็นของใครนั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้ คือ

ที่ดิน 1 แปลง ราคา 1,000,000 บาท ที่นายดินซื้อมาโดยหักเงินเดือนของตนเอง ทุกเดือนผ่อนชําระจนครบนั้น เมื่อเป็นทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างสมรสจึงเป็นสินสมรสของนายดินกับนางเพชร ตามมาตรา 1474 (1)

สําหรับเงินฝาก 200,000 บาทของนางน้ําฝนและดอกเบี้ยจากเงินฝากภายหลัง สมรสอีก 50,000 บาทนั้น ย่อมตกเป็นของนางน้ำฝนแต่เพียงผู้เดียว เพราะการสมรสระหว่างนายดินกับนางน้ำฝน ที่ตกเป็นโมฆะนั้น ย่อมไม่ก่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาตามมาตรา 1498 วรรคหนึ่งและ วรรคสอง

สรุป

(1) การสมรสของนายดินกับนางน้ำฝน มีผลเป็นโมฆะ

(2) ทรัพย์สินที่เป็นที่ดินที่นายดินซื้อมาเป็นสินสมรสของนายดินกับนางเพชร ส่วนเงินฝากของนางน้ำฝนและดอกเบี้ยอีก 50,000 บาท เป็นของนางน้ำฝนแต่เพียงผู้เดียว

 

ข้อ 3 นายหมากและนางมนเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย ทั้งสองทําสัญญาระหว่างสมรสให้นายหมาก เป็นผู้มีอํานาจในการจัดการสินสมรสทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว ต่อมานายหมากได้จํานองที่ดินแปลงหนึ่ง ที่เป็นสินสมรสกับนายภาพในราคาหนึ่งล้านบาท โดยที่นายภพไม่รู้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรส ต่อมาบิดาของนายหมากได้ยกบ้านให้นายหมาก นายหมากนําบ้านหลังดังกล่าวไปให้คนอื่นเช่า นายหมากนําเงินค่าเช่าจํานวนห้าหมื่นบาทไปให้นายเก่งผู้เป็นเพื่อนยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ย นางมนไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมทั้งในเรื่องการจํานองที่ดินและการให้กู้ยืมเงินแต่อย่างใด นางมนน้อยใจนายหมากมากที่จัดการเรื่องต่าง ๆ โดยไม่เคยบอกกล่าวแก่ตนเลย ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า นางมนจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมที่นายหมากจํานองที่ดินที่เป็นสินสมรสกับนายภพและการที่ นายหมากให้กู้ยืมเงินแก่นายเก่งได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1465 วรรคหนึ่ง “ถ้าสามีภริยามิได้ทําสัญญากันไว้ในเรื่องทรัพย์สินเป็นพิเศษก่อนสมรส ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภริยาในเรื่องทรัพย์สินนั้น ให้บังคับตามบทบัญญัติในหมวดนี้”

มาตรา 1471 “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

(3) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดกหรือโดยการให้โดยเสน่หา”

มาตรา 1473 “สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส

(3) ที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว”

มาตรา 1476 “สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง ในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จํานอง ปลดจํานอง หรือโอนสิทธิ์จํานองซึ่ง อสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจํานองได้

(2) ก่อตั้งหรือกระทําให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจํายอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

(3) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

(4) ให้กู้ยืมเงิน

(5) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัว เพื่อการกุศล เพื่อ การสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

(6) ประนีประนอมยอมความ

(7) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

(8) นําทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล

การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้อง ได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง”

มาตรา 1476/1 วรรคหนึ่ง “สามีและภริยาจะจัดการสินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ ในมาตรา 1476 ทั้งหมดหรือบางส่วนได้ก็ต่อเมื่อได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติในมาตรา 1465 และ มาตรา 1466 ในกรณีดังกล่าวนี้ การจัดการสินสมรสให้เป็นไปตามที่ระบุไว้ในสัญญาก่อนสมรส”

มาตรา 1480 วรรคหนึ่ง “การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความ ยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งตามมาตรา 1476 ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทํานิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจาก ความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ เว้นแต่คู่สมรส อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทํานิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทําโดยสุจริตและ เสียค่าตอบแทน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญาระหว่างสมรสที่นายหมากและนางมนได้ทําต่อกันโดยให้นายหมาก เป็นผู้มีอํานาจในการจัดการสินสมรสทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียวนั้นใช้บังคับไม่ได้ เพราะกรณีที่สามีหรือภริยาจะจัดการ สินสมรสให้แตกต่างไปจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1476 ได้ก็ต่อเมื่อได้ทําสัญญาก่อนสมรสไว้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1465 และมาตรา 1466 เท่านั้น (มาตรา 1476/1 วรรคหนึ่ง) ดังนั้น เมื่อนายหมากและนางมนไม่ได้ทําสัญญาก่อน สมรสไว้ ความสัมพันธ์ระหว่างนายหมากและนางมนในเรื่องทรัพย์สิน จึงต้องบังคับกันตามมาตรา 1473 และมาตรา 1476

การที่นายหมากนําที่ดินที่เป็นสินสมรสไปจํานองกับนายภพนั้น เป็นนิติกรรมตามมาตรา 1476 (1) ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกัน หรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น เมื่อนายหมากจํานองที่ดิน โดยที่นางมนไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอม โดยหลักแล้ว นางมนย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องศาลขอเพิกถอนตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่งได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อนายภพซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่รู้ว่าที่ดินดังกล่าวเป็นสินสมรส และนายภพ ได้จ่ายเงินค่าจํานองให้นายหมาก จึงถือว่านายภพได้กระทําการโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน ซึ่งเข้าข้อยกเว้น ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่งตอนท้าย ดังนั้น นางมนจึงฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมที่นายหมากนําที่ดินที่เป็นสินสมรส ไปจํานองกับนายภพไม่ได้

ส่วนบ้านที่นายหมากได้มาในระหว่างสมรสโดยบิดาของนายหมากยกให้โดยเสน่หานั้น มิใช่ สินสมรสตามมาตรา 1474 (1) แต่เป็นสินส่วนตัวของนายหมากตามมาตรา 1471 (3) นายหมากจึงสามารถจัดการ ได้โดยลําพังตามมาตรา 1473 แต่เมื่อนายหมากได้เอาบ้านหลังดังกล่าวไปให้คนอื่นเช่าและได้ค่าเช่ามาจํานวน 50,000 บาท ค่าเช่าดังกล่าวเป็นดอกผลของสินส่วนตัวจึงถือว่าเป็นสินสมรสตามมาตรา 1474 (3) เมื่อนายหมาก ได้นําเงินค่าเช่าจํานวน 50,000 บาท ซึ่งเป็นสินสมรสไปให้นายเก่งกู้ยืมโดยไม่คิดดอกเบี้ยนั้น เป็นนิติกรรมตาม มาตรา 1476 (4) ที่สามีภริยาต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อนางมน ไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการให้กู้ยืมเงินนั้น อีกทั้งนายเก่งก็ไม่ได้เสียค่าตอบแทนเพราะนายเก่งกู้ยืมเงินโดย ไม่ได้เสียดอกเบี้ย ดังนั้นนางมนจึงฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้กู้ยืมเงินดังกล่าวได้ตามมาตรา 1480 วรรคหนึ่ง

สรุป

นางมนจะฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมที่นายหมากนําที่ดินที่เป็นสินสมรสไปจํานอง กับนายภพไม่ได้ แต่นางมนสามารถฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการให้กู้ยืมเงินได้

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาจนมีบุตรด้วยกันคือเด็กชายเป็ด ต่อมานายไก่แอบไปจดทะเบียนสมรสกับนางห่าน เมื่อนางไข่ทราบโกรธนายไก่มากมีโอกาสจึงตัดอวัยวะเพศของนายไก่ ทิ้งลงแม่น้ำ

(1) นางห่านจะฟ้องหย่านายไก่ได้หรือไม่

(2) เด็กชายเป็ดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(10) สามีหรือภริยามีสภาพแห่งกาย ทําให้สามีหรือภริยานั้นไม่อาจร่วมประเวณีได้ตลอดกาล อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายไก่และนางไข่อยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยาแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันนั้น นายไก่และนางไข่จึงมิใช่สามีภริยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น เมื่อนายไก่ได้ไปจดทะเบียนสมรสกับนางห่าน นายไก่กับนางห่านจึงเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย (ตามมาตรา 1457)

การที่นางไข่ตัดอวัยวะเพศของนายไก่ทิ้งลงแม่น้ำ ทําให้นายไก่มีสภาพแห่งกายที่ไม่ สามารถร่วมประเวณีได้ตลอดกาล ย่อมเข้าหลักเกณฑ์ที่เป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516 (10) ดังนั้น นางห่านภริยา จึงสามารถฟ้องหย่าได้

(2) เมื่อเด็กชายเป็ดเกิดจากนายไก่และนางไข่ที่มิได้เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นเด็กชายเป็ดจึงเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางไข่แต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารกตาม มาตรา 1546

สรุป

(1) นางห่านฟ้องหย่านายไก่ได้

(2) เด็กชายเป็ดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางไข่แต่เพียงผู้เดียวนับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก

LAW3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายรุ่งเรืองทําสัญญาหมั้น น.ส.อรทัย โดยตกลงจะให้แหวนเพชร 1 วง และทอง 5 บาท ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ได้ทําสัญญาหมั้น นายรุ่งเรืองได้ส่งมอบแหวนเพชร 1 วง แต่ทอง 5 บาท ไม่สามารถส่งมอบได้ทัน จึงทําสัญญากู้เงินจํานวน 100,000 บาท ให้ไว้แทน และได้ตกลงว่าจะจดทะเบียนสมรส กันในเดือนธันวาคม ต่อมาในเดือนมิถุนายน น.ส.อรทัยได้ลาออกจากงานไปอยู่กินฉันสามีภริยา และช่วยทํางานให้แก่นายรุ่งเรืองที่บ้าน ปรากฏว่าในเดือนตุลาคม นายรุ่งเรืองได้ทําสัญญาหมั้น น.ส.สุดาด้วยทอง 5 บาท โดยไม่ทราบว่า น.ส.สุดาได้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ แล้ว เช่นนี้

(ก) น.ส.อรทัย เห็นว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้นและต้องการฟ้องเรียกของหมั้นที่เป็นเงิน 100,000 บาท

(ข) นายรุ่งเรืองอ้างว่าสัญญาหมั้น น.ส.สุดาใช้ไม่ได้ เพราะเป็นการทําสัญญาซ้อน และน.ส.สุดาเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ

ท่านเห็นว่าอย่างไร เพราะเหตุใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1437 วรรคแรก “การหมั้นจะสมบูรณ์เมื่อฝ่ายชายได้ส่งมอบหรือโอนทรัพย์สินอันเป็น ของหมั้นให้แก่หญิงเพื่อเป็นหลักฐานว่าจะสมรสกับหญิงนั้น” ”

มาตรา 1438 “การหมั้นไม่เป็นเหตุที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้สมรสได้ ถ้าได้มีข้อตกลงกันไว้ว่า จะให้เบี้ยปรับในเมื่อผิดสัญญาหมั้น ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 1439 “เมื่อมีการหมั้นแล้ว ถ้าฝ่ายใดผิดสัญญาหมั้นอีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิเรียกให้รับผิดใช้ค่าทดแทน ในกรณีที่ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นให้คืนของหมั้นแก่ฝ่ายชายด้วย”

มาตรา 1443 “ในกรณีมีเหตุสําคัญอันเกิดแก่ชายคู่หมั้น ทําให้หญิงไม่สมควรสมรสกับชายนั้น หญิงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาหมั้นได้โดยมิต้องคืนของหมั้นแก่ชาย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายรุ่งเรืองได้ทําสัญญาหมั้นกับ น.ส.อรทัยด้วยแหวนเพชร 1 วง และได้ตกลงว่าจะจดทะเบียนสมรสกันในเดือนธันวาคมนั้น การหมั้นระหว่างนายรุ่งเรืองกับ น.ส.อรทัยย่อมมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 1437 วรรคแรก ต่อมาการที่นายรุ่งเรืองได้ทําสัญญาหมั้นกับ น.ส.สุดาด้วยทอง 5 บาท ในเดือนตุลาคมนั้น ไม่ถือว่า เป็นกรณีที่นายรุ่งเรืองผิดสัญญาหมั้น เพราะกรณีที่จะถือว่าเป็นการผิดสัญญาหมั้นตามมาตรา 1439 นั้น จะต้อง เป็นกรณีที่นายรุ่งเรืองได้ปฏิเสธไม่ยอมสมรสกับ น.ส.อรทัยแล้ว หรือไม่ยอมจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.อรทัย เมื่อถึง เดือนธันวาคมแล้ว แต่ตามข้อเท็จจริงยังไม่ถึงเดือนธันวาคมและไม่ปรากฏว่านายรุ่งเรืองได้ปฏิเสธไม่ยอมสมรสกับ น.ส.อรทัยแต่อย่างใด อีกทั้งแม้ว่านายรุ่งเรืองจะได้หมั้นกับ น.ส.สุดาก็ตาม นายรุ่งเรืองก็สามารถที่จะจดทะเบียนสมรส กับ น.ส.อรทัยได้ เพราะ น.ส.สุดาไม่อาจฟ้องบังคับให้นายรุ่งเรืองสมรสกับตนได้นั่นเอง (มาตรา 1438) ดังนั้น น.ส.อรทัยจะถือว่านายรุ่งเรืองผิดสัญญาหมั้นไม่ได้

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายรุ่งเรืองได้ทําสัญญาหมั้นกับ น.ส.สุดา ในขณะที่ได้มีการหมั้นกับ น.ส.อรทัยอยู่ก่อนแล้วนั้น น.ส.อรทัยสามารถถือเป็นเหตุสําคัญอันเกิดกับชายคู่หมั้น ทําให้หญิงไม่สมควร สมรสกับชายนั้น เพื่อบอกเลิกสัญญาหมั้นโดยไม่ต้องคืนของหมั้นได้ตามมาตรา 1443

ส่วนกรณีที่นายรุ่งเรืองตกลงว่าจะให้ทอง 5 บาท แก่ น.ส.อรทัย แต่ไม่สามารถส่งมอบได้ทัน จึงทําสัญญากู้เงินจํานวน 100,000 บาท ให้ไว้แทนนั้น ไม่ถือว่าเป็นการให้ของหมั้นตามมาตรา 1437 วรรคแรก เพราะมิใช่ทรัพย์สินที่ได้ให้ไว้ในเวลาทําสัญญาหมั้นและซึ่งหญิงได้รับไว้แล้ว ดังนั้น น.ส.อรทัยจะฟ้องเรียกเงิน 100,000 บาท ตามสัญญากู้ในฐานะเป็นของหมั้นไม่ได้ (ฎีกาที่ 1852/2506)

(ข) การที่นายรุ่งเรืองได้ทําสัญญาหมั้นกับ น.ส.สุดาด้วยทอง 5 บาท และในขณะที่หมั้นนั้น นายรุ่งเรืองมีคู่หมั้นอยู่ก่อนแล้วคือ น.ส.อรทัยนั้น สัญญาหมั้นระหว่างนายรุ่งเรืองกับ น.ส.สุดาก็มีผลสมบูรณ์ ตามกฎหมายตามมาตรา 1437 วรรคแรก เพราะนายรุ่งเรืองสามารถที่จะสมรสกับ น.ส.สุดาในภายหลังได้ และ ตามกฎหมาย น.ส.อรทัยก็ไม่สามารถบังคับให้นายรุ่งเรืองสมรสกับตนได้ (มาตรา 1438) อีกทั้งตามกฎหมายก็มิได้ บัญญัติว่าการหมั้นในขณะที่ตนมีคู่หมั้นอยู่แล้วเป็นการทําสัญญาหมั้นซ้อน หรือมีผลเป็นโมฆะหรือโมฆียะแต่อย่างใด

ส่วนกรณีที่ น.ส.สุดาเป็นบุคคลที่ถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถแล้วนั้น ก็มิได้ มีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้ทําการหมั้นแต่อย่างใด ดังนั้น น.ส.สุดาจึงสามารถทําสัญญาหมั้นกับนายรุ่งเรืองได้

สรุป

(ก) น.ส.อรทัยจะถือว่านายรุ่งเรืองผิดสัญญาหมั้น และจะฟ้องเรียกของหมั้นที่เป็นเงิน

100,000 บาท ไม่ได้

(ข) นายรุ่งเรืองจะอ้างว่าสัญญาหมั้น น.ส.สุดาใช้ไม่ได้ เพราะเป็นการทําสัญญาซ้อนและ น.ส.สุดาเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถไม่ได้

 

ข้อ 2 นายดําจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.ฟ้าใส ซึ่งเป็นน้องสาวของตน โดย น.ส.ฟ้าใสไม่ทราบเพราะมารดา ได้ยก น.ส.ฟ้าใสให้เป็นบุตรบุญธรรมของนายขาวตั้งแต่ยังแบเบาะ ซึ่งนายดําทราบดีแต่นิ่งเฉย ไม่บอกกล่าว ในระหว่างสมรสนั้นเอง นายดําได้มอบเงินให้ น.ส.ฟ้าใสไว้ใช้จ่ายทุกเดือน ๆ ละ 10,000 บาท ต่อมา น.ส.ฟ้าใสทราบความจริงว่าเป็นน้องสาว จึงเห็นว่าไม่ควรใช้ชีวิตสมรสร่วมกัน อีกต่อไป ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(1) น.ส.ฟ้าใสจะฟ้องให้การสมรสสิ้นสุดลงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบาย

(2) นายดําจะเรียกเงินที่ให้ น.ส.ฟ้าใสไว้ใช้จ่ายทุกเดือน ๆ ละ 10,000 บาท คืนได้หรือไม่ จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1450 “ชายหญิงซึ่งเป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรงขึ้นไปหรือลงมาก็ดี เป็นพี่น้องร่วม บิดามารดาหรือร่วมแต่บิดาหรือมารดาก็ดี จะทําการสมรสกันไม่ได้ ความเป็นญาติดังกล่าวมานี้ให้ถือตามสายโลหิต โดยไม่คํานึงว่าจะเป็นญาติโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่”

มาตรา 1461 “สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน”

มาตรา 1495 “การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 มาตรา 1452 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ”

มาตรา 1496 “คําพิพากษาของศาลเท่านั้นที่จะแสดงว่าการสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ

คู่สมรส บิดามารดา หรือผู้สืบสันดานของคู่สมรสอาจร้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็น โมฆะได้ ถ้าไม่มีบุคคลดังกล่าว ผู้มีส่วนได้เสียจะร้องขอให้อัยการเป็นผู้ร้องขอต่อศาลก็ได้”

มาตรา 1499 วรรคแรก “การสมรสที่เป็นโมฆะ เพราะฝ่าฝืนมาตรา 1449 มาตรา 1450 หรือ มาตรา 1458 ไม่ทําให้ชายหรือหญิงผู้สมรสโดยสุจริตเสื่อมสิทธิ์ที่ได้มาเพราะการสมรสก่อนมีคําพิพากษาถึงที่สุด ให้เป็นโมฆะ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายดําจดทะเบียนสมรสกับ น.ส.ฟ้าใส ซึ่งเป็นน้องสาวของตนนั้น ถือว่าเป็น การสมรสที่ฝ่าฝืนมาตรา 1450 เพราะเป็นการสมรสระหว่างพี่น้องร่วมมารดาเดียวกัน และมีผลเป็นโมฆะตาม มาตรา 1495 ดังนั้น น.ส.ฟ้าใสในฐานะคู่สมรสจึงสามารถฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะเพื่อให้ การสมรสสิ้นสุดลงได้ตามมาตรา 1496 วรรคสอง

(2) เงินที่นายดําได้มอบให้ น.ส.ฟ้าใสไว้ใช้จ่ายทุกเดือน ๆ ละ 10,000 บาทนั้น เมื่อได้ให้ ในขณะที่ยังเป็นสามีภริยากันอยู่ และศาลยังไม่มีคําพิพากษาว่าการสมรสเป็นโมฆะ ย่อมถือว่าเป็นเงินที่สามีให้ เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูตามมาตรา 1461 และเมื่อเป็นเงินที่ น.ส.ฟ้าใสได้มาเพราะการสมรสและโดยสุจริต เพราะ น.ส.ฟ้าใสไม่ทราบว่าเป็นน้องสาว น.ส.ฟ้าใสจึงได้รับความคุ้มครองตามมาตรา 1499 วรรคแรก ดังนั้นนายดํา จะเรียกเงินดังกล่าวคืนไม่ได้

สรุป

(1) น.ส.ฟ้าใสจะฟ้องให้การสมรสสิ้นสุดลงได้

(2) นายดําจะเรียกเงินที่ให้ น.ส.ฟ้าใสไว้ใช้จ่ายทุกเดือน ๆ ละ 10,000 บาท คืนไม่ได้

 

ข้อ 3 นายเกษมและนางแก้วเป็นสามีภริยากันตามกฎหมายมีบุตรด้วยกัน 1 คน คือนายก้อง นายเกษมกู้เงินมาซื้อรถยนต์โดยผ่อนชําระเงินกู้ด้วยเงินเดือนของนายเกษมจนครบถ้วน และใส่ชื่อนายเกษม ในทะเบียนรถยนต์แต่เพียงผู้เดียว ต่อมานายเกษมและนางแก้วทะเลาะกัน ทั้งสองคนตัดสินใจ แยกกันอยู่ นางแก้วไปกู้เงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนของนายก้องจํานวน 10,000 บาท โดยนายเกษมไม่ได้ รู้เห็นและให้ความยินยอมในการกู้เงินนั้นแต่อย่างใด ต่อมานายเกษมเอาเงินเก็บของตนเองซื้อ สลากกินแบ่งรัฐบาล นายเกษมถูกรางวัลได้รับเงินมา 1,000,000 บาท นางแก้วขอแบ่งเงินรางวัลที่ นายเกษมได้รับ แต่นายเกษมไม่ยินยอม นายเกษมอ้างว่าเงินรางวัลนี้เป็นของนายเกษมแต่เพียงผู้เดียว หลังจากนั้นทั้งคู่ประสงค์จะหย่าขาดกัน ดังนี้ ทรัพย์สินที่นายเกษมและนางแก้วมีจะต้องแบ่งกันอย่างไร และนายเกษมจะต้องร่วมรับผิดในหนี้เงินกู้จํานวน 10,000 บาท ด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1474 “สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(1) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส”

 

มาตรา 1488 “ถ้าสามีหรือภริยาต้องรับผิดเป็นส่วนตัวเพื่อชําระหนี้ที่ก่อไว้ก่อนหรือระหว่าง สมรส ให้ชําระหนี้นั้นด้วยสินส่วนตัวของฝ่ายนั้นก่อน เมื่อไม่พอจึงให้ชําระด้วยสินสมรสที่เป็นส่วนของฝ่ายนั้น”

มาตรา 1490 “หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้นให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้น ในระหว่างสมรสดังต่อไปนี้

(1) หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนหรือจัดหาสิ่งจําเป็นสําหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดู ตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ”

มาตรา 1501 “การสมรสย่อมสิ้นสุดลงด้วยความตาย การหย่า หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน”

มาตรา 1533 “เมื่อหย่ากันให้แบ่งสินสมรสให้ชายและหญิงได้ส่วนเท่ากัน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเกษมและนางแก้วเป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย และต่อมา ทั้งสองทะเลาะกันและตัดสินใจแยกกันอยู่นั้น เมื่อทั้งสองยังไม่ได้จดทะเบียนหย่ากัน จึงถือว่าทั้งสองยังเป็นสามี ภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย (มาตรา 1501)

สําหรับทรัพย์สินที่เป็นรถยนต์นั้น แม้นายเกษมจะกู้เงินมาซื้อและผ่อนชําระเงินกู้ด้วยเงินเดือน ของนายเกษมจนครบถ้วน และการที่นายเกษมถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลได้รับเงินมา 1,000,000 บาท โดยที่ นายเกษมได้เอาเงินเก็บของตนเองซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้น ทั้งรถยนต์และเงินรางวัล 1,000,000 บาท ย่อมถือว่า เป็นสินสมรส เพราะเป็นทรัพย์สินที่คู่สมรสได้มาในระหว่างสมรสตามมาตรา 1474 (1) ดังนั้น เมื่อทั้งสองประสงค์ ที่จะหย่ากัน นายเกษมและนางแก้วจึงต้องแบ่งรถยนต์และเงินรางวัล 1,000,000 บาท คนละครึ่งตามมาตรา 1533

ส่วนหนี้เงินกู้จํานวน 10,000 บาท ที่นางแก้วกู้มาจ่ายเป็นค่าเล่าเรียนของนายก้องนั้น มิใช่ หนี้ส่วนตัวที่นางแก้วจะต้องรับผิดชอบเพียงคนเดียวตามมาตรา 1488 แต่เป็นหนี้ร่วมตามมาตรา 1490 (1) เพราะ เป็นหนี้ที่เกี่ยวกับการศึกษาของบุตร ดังนั้น แม้นายเกษมจะไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการกู้เงินรายนี้ก็ตาม นายเกษมก็ต้องร่วมกันรับผิดกับนางแก้ว

สรุป

ทรัพย์สินที่นายเกษมและนางแก้วจะต้องแบ่งกันเมื่อทั้งสองหย่ากันคือ รถยนต์และ รางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล 1,000,000 บาท ซึ่งเป็นสินสมรส และนายเกษมจะต้องร่วมรับผิดในหนี้เงินกู้จํานวน 10,000 บาทด้วย

 

ข้อ 4 นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันตามกฎหมาย มีบุตรด้วยกัน คือเด็กชายเป็ด ต่อมานายไก่และนางไข่ทะเลาะกันเพราะนายไก่กล่าวหาว่านางไข่ใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยจึงตกลงหย่ากัน โดยทําเป็น หนังสือลงลายมือชื่อทั้ง 2 ฝ่าย และมีพยาน 2 คน หลังจากนั้นนายไก่ก็ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยา กับนางนก และมีลูกด้วยกันคือ เด็กหญิงหนู นางไข่บอกให้นายไก่เลิกกับนางนก นายไก่ก็ไม่ยอม อ้างว่านางไข่กับตนสิ้นสุดการสมรสแล้ว

(1) การหย่าระหว่างนายไก่และนางไข่มีผลในทางกฎหมายอย่างไร

(2) นางไข่จะฟ้องหย่านายไก่มีภริยาน้อยได้หรือไม่

(3) เด็กชายเป็ด เด็กหญิงหนู เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของใคร ตั้งแต่เมื่อใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1457 “การสมรสตามประมวลกฎหมายนี้จะมีได้เฉพาะเมื่อได้จดทะเบียนแล้วเท่านั้น”

มาตรา 1501 “การสมรสย่อมสิ้นสุดลงด้วยความตาย การหย่า หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอน”

มาตรา 1514 “การหย่านั้นจะทําได้แต่โดยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายหรือโดยคําพิพากษาของศาล

การหย่าโดยความยินยอมต้องทําเป็นหนังสือและมีพยานลงลายมือชื่ออย่างน้อยสองคน”

มาตรา 1515 “เมื่อได้จดทะเบียนสมรสตามประมวลกฎหมายนี้ การหย่าโดยความยินยอม จะสมบูรณ์ต่อเมื่อสามีภริยาได้จดทะเบียนการหย่านั้นแล้ว”

มาตรา 1516 “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้

(1) สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันภริยาหรือสามี เป็นชู้หรือมีชู้ หรือ ร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้”

มาตรา 1546 “เด็กเกิดจากหญิงที่มิได้มีการสมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ของหญิงนั้น เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(1) การที่นายไก่เเละนางไข่ได้ตกลงหย่ากันโดยทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อทั้งสองฝ่าย และมีพยานลงลายมือชื่อสองคนนั้น แม้จะได้ทําถูกต้องตามมาตรา 1514 แต่เมื่อนายไก่และนางไข่ยังไม่ได้จดทะเบียน การหย่า การหย่าโดยความยินยอมระหว่างนายไก่และนางไข่จึงยังไม่สมบูรณ์ (ตามมาตรา 1515)

(2) การที่นายไก่ได้ไปอยู่กินร่วมกันฉันสามีภริยากับนางนก และมีลูกด้วยกันคือเด็กหญิงหนู ในขณะที่นายไก่ยังมีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมายคือนางไข่ (เพราะการหย่ายังไม่สมบูรณ์) ถือว่าเป็นกรณีที่สามี ได้อุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องหญิงอื่นฉันาริยาตามมาตรา 1516 (1) ดังนั้น นางไข่จึงสามารถฟ้องหย่านายไก่เพราะ มีภริยาน้อยได้

(3) เด็กชายเป็ดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางไข่นับแต่คลอดและอยู่รอด เป็นทารก เพราะเกิดขณะนายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย ส่วนเด็กหญิงหนูเป็นบุตรชอบด้วย กฎหมายของนางนกแต่เพียงผู้เดียว นับแต่คลอดและอยู่รอดเป็นทารก เพราะเกิดในขณะที่นายไก่และนางนก มิได้จดทะเบียนสมรสกัน (ตามมาตรา 1457 ประกอบมาตรา 1546)

สรุป

(1) การหย่าระหว่างนายไก่และนางไข่มีผลไม่สมบูรณ์

(2) นางไข่ฟ้องหย่านายไก่เพราะมีภริยาน้อยได้

(3) เด็กชายเป็ดเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายไก่และนางไข่ ส่วนเด็กหญิงหนูเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนางนกแต่เพียงผู้เดียว

WordPress Ads
error: Content is protected !!