LAW2006 กฎหมายอาญา 1 1/2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  ขณะที่เครื่องบินของบริษัท  การบินไทย  จำกัด  (มหาชน)  กำลังลดระดับลงจอดที่สนามบินกรุงโตเกียวประเทศญี่ปุ่น  สุขสมคนไทยได้ลอบใส่ยานอนหลับลงในแก้วของโทนี่ชาวอังกฤษที่ลุกไปเข้าห้องน้ำ  เมื่อโทนี่กลับมานั่งที่เดิมได้ยกแก้วน้ำซึ่งมียานอนหลับผสมอยู่ขึ้นดื่ม  หลังจากนั้นรู้สึกง่วงนอนและหลับไปโดยไม่รู้สึกตัว  เมื่อเครื่องบินลงจอดและเปิดประตูให้ผู้โดยสารลงโทนี่ไม่รู้สึกตัว

สุขสมจึงประคองโทนี่เดินลงจากเครื่องบินพาไปนั่งที่พักผู้โดยสาร  สุขสมได้ถอดแหวนและนาฬิกาของโทนี่แล้วหลบหนีไป  ต่อมาโทนี่และสุขสมกลับมาประเทศไทย  โทนี่ได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับสุขสม  ดังนี้  ศาลไทยมีอำนาจลงโทษสุขสมหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  339  บัญญัติว่า  ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย  หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย  เพื่อ(1)  ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือพาทรัพย์นั้นไป  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์)

ธงคำตอบ

มาตรา  4  วรรคสอง  การกระทำความผิดในเรือไทยหรืออากาศยานไทย  ไม่ว่าจะอยู่  ณ  ที่ใด  ให้ถือว่ากระทำความผิดในราชอาณาจักร

มาตรา  8  ผู้ใดกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร  และ

(ก)  ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย  และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้น  หรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษหรือ

ถ้าความผิดนั้นเป็นความผิดดังระบุไว้ต่อไปนี้  จะต้องรับโทษภายในราชอาณาจักร  คือ

(9) ความผิดฐานกรรโชก  รีดเอาทรัพย์  และปล้นทรัพย์  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  337  ถึงมาตรา  340

วินิจฉัย

สุขสมคนไทยลอบนำยานอนหลับใส่ในแก้วน้ำของโทนี่คนอังกฤษต้องการให้โทนี่หลับเพื่อให้ความสะดวกแก่สุขสมที่จะเอาทรัพย์ของโทนี่ไป  การกระทำของสุขสมเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์  ตามมาตรา  339  ที่บัญญัติว่า  ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย  หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย  เพื่อ  (1)  ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือพอทรัพย์นั้นไป  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ 

ตามปัญหา  สุขสมลอบนำยานอนหลับใส่ลงในแก้วน้ำของโทนี่  เมื่อโทนี่ดื่มน้ำแล้วเป็นเหตุให้โทนี่อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้  การกระทำของสุขสมเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย  และสุขสมได้เอาทรัพย์สินของโทนี่  การกระทำของสุขสมเป็นการลักทรัพย์  เมื่อประกอบกันจึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์  ความผิดฐานชิงทรัพย์ประกอบด้วยกรรมหลายกรรม  คือ 

(1) ลักทรัพย์

(2) การใช้กำลังประทุษร้ายหรือข่มขู่ว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย

การกระทำกรรมใดกรรมหนึ่งลงไปก็ถือได้ว่าลงมือกระทำความผิดแล้ว  เช่น  ใช้กำลังประทุษร้ายแล้วแม้จะไม่ทันได้ลักทรัพย์ก็ถือว่าลงมือกระทำความผิดแล้ว  กรณีการกระทำความผิดในเรือหรืออากาศยานไทยไม่ว่าจะอยู่  ณ  ที่ใด  ให้ถือว่ากระทำความผิดในราชอาณาจักร  ตามมาตรา  4  วรรคสอง  ดังนั้น  ถึงแม้ว่าการกระทำส่วนใดส่วนหนึ่งของความผิดเกิดขึ้นในอากาศยานไทยก็เป็นการกระทำความผิดในราชอาณาจักรแล้ว  ตามปัญหา  การใช้กำลังประทุษร้ายของสุขสมเกิดขึ้นในเครื่องของบริษัท  การบินไทย  จึงถือว่าสุขสมกระทำความผิดในราชอาณาจักร  ศาลไทยมีอำนาจลงโทษผู้กระทำความผิดได้  หลังจากโทนี่หลับโดยไม่รู้สึกตัวสุขสมได้ประคองโทนี่ลงจากเครื่องบินรู้สึกตัวสุขสมได้ประคองโทนี่ลงจากเครื่องบินพาไปนั่งที่พักคนโดยสารแล้วสุขสมได้ลักทรัพย์ของโทนี่  ซึ่งเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร  สุขสมคนไทยเป็นผู้กระทำความผิดและความผิดดังกล่าวบัญญัติไว้ในมาตรา  8(9)  เมื่อโทนี่ร้องขอศาลไทยมีอำนาจลงโทษได้

สรุป  ศาลไทยมีอำนาจลงโทษได้  เพราะความผิดเกิดขึ้นในอากาศยานไทยจึงถือว่ากระทำความผิดในราชอาณาจักรตามมาตรา  4  วรรคสอง  หรือถ้าโทนี่ร้องขอศาลไทยมีอำนาจลงโทษได้ตามมาตรา  8(9)

 

ข้อ  2  นักรบไม่พอใจเก่งกาจจึงเดินเข้าไปหาเก่งกาจแล้วพูดจาด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคายต่างๆนาๆ  เป็นเวลานานจนเก่งกาจโกรธ  นักรบเห็นเก่งกาจโกรธและเดินเข้ามาหานักรบ  นักรบจึงวิ่งหนี  เก่งกาจวิ่งไล่ตามเพื่อทำร้ายนักรบ  เก่งกาจวิ่งไล่ตามไปได้ประมาณ  300  เมตรจึงทันนักรบ  เก่งกาจใช้มีดพับยาว  3  นิ้วแทงไปที่นักรบ  ก่อนมีดถูกนักรบ  นักรบต่อยสวนถูกปากเก่งกาจฟันหักสองซี่

ดังนี้  เก่งกาจและนักรบต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคหนึ่ง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

มาตรา  59  วรรคสอง  กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

วินิจฉัย

เก่งกาจถูกนักรบพูดจาด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคายต่างๆนาๆ  จนเก่งกาจโกรธ  นักรบเห็นเก่งกาจโกรธและเดินเข้ามาหานักรบ  นักรบจึงวิ่งหนี  เก่งกาจวิ่งไล่ตามเมื่อทันนักรบ  เก่งกาจใช้มีดพับยาว  3  นิ้วแทงนักรบ  เก่งกาจลงมือกระทำต่อนักรบและได้กระทำโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  และเก่งกาจต้องรับผิดทางอาญา  เพราะได้กระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคหนึ่ง  แต่เก่งกาจถูกนักรบพูดจาด้วยถ้อยคำหยาบคายต่างๆนาๆ  เป็นเวลานานจึงเป็นการข่มเหงเก่งกาจอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจนเก่งกาจโกรธได้วิ่งไล่ตามไปทันกันระยะ  300  เมตร  ซึ่งเก่งกาจยังโกรธอยู่  เก่งกาจใช้มีดพับยาว  3  นิ้ว  แทงนักรบ  เป็นการกระทำผิดต่อผู้มาข่มเหงไปในขณะนั้น  เก่งกาจได้กระทำต่อนักรบขณะบันดาลโทสะเก่งกาจมีความรับผิดแต่รับโทษน้อยลงตามมาตรา  72 

นักรบต่อยเก่งกาจขณะเก่งกาจแทงมาที่ตน  นักรบลงมือกระทำต่อเก่งกาจและได้กระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสองและต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคหนึ่ง  แม้ว่าการกระทำของเก่งกาจจะเป็นภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายอันใกล้จะถึง  นักรบกระทำไปพอสมควรแก่เหตุก็ตาม  แต่นักรบอ้างกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  68  ไม่ได้  เพราะนักรบมีส่วนร่วมกระทำความผิดในการก่อให้เกิดภยันตรายด้วย

สรุป  เก่งกาจเจตนากระทำต่อนักรบต้องรับผิดทางอาญา  แต่รับโทษน้อยลงเพราะกระทำขณะบันดาลโทสะ  ส่วนนักรบต้องรับผิดทางอาญาเพราะได้กระทำต่อเก่งกาจโดนเจตนาและอ้างว่ากระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายไม่ได้

 

ข้อ  3  ยอดยิ่งถือกระป๋องของเหลวไวไฟขึ้นไปหาส่องแสงบนบ้านของส่องแสง  แล้วเทของเหลวไวไฟราดส่องแสงตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงพื้นห้องที่ส่องแสงนั่งอยู่  และของเหลวไวไฟยังกระเด็นไปถูกเฉิดโฉมซึ่งอยู่บริเวณนั้นด้วย  ยอดยิ่งใช้ไฟแช็คจุดไฟที่ต้นคอของส่องแสงเกิดไฟลุกไหม้ตามตัวส่องแสงและลุกไหม้กระดาน  เฉิดโฉมเข้าไปห้ามยอดยิ่งถูกไฟไหม้ได้รับบาดเจ็บ

ดังนี้  ยอดยิ่งต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคหนึ่ง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

มาตรา  59  วรรคสอง  กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

ยอดยิ่งลงมือกระทำต่อส่องแสงโดยรู้สำนึกถึงในการที่กระทำคือ  ยอดยิ่งถือกระป๋องของเหลวไวไฟขึ้นไปหาส่องแสง  แล้วเทของเหลวไวไฟราดส่องแสงตั้งแต่ศีรษะลงมาถึงพื้นห้องที่ส่องแสงนั่งอยู่  จากนั้นก็ใช้ไฟแช็คจุดไฟที่ต้นคอของส่องแสงเกิดไฟลุกไหม้ตามตัวของส่องแสง  และขณะเดียวกันก็กระทำไปโดยประสงค์ต่อผล  คือ  ความตายของส่องแสง  ยอดยิ่งกระทำต่อส่องแสงโดยเจตนาตามมาตรา 59  วรรคสอง  ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคหนึ่ง  แต่การกระทำไม่บรรลุผล  ยอดยิ่งพยายามกระทำความผิดตามมาตรา  80 ส่วนผลของการกระทำไปเกิดกับเฉิดโฉมเป็นผลซึ่งเกิดจากการกระทำโดยพลาดไป  (เพราะยอดยิ่งเจตนากระทำต่อส่องแสงแต่ผลของการกระทำเกิดแก่เฉิดโฉมคือของเหลวไวไฟกระเด็นไปถูกเฉิดโฉมและเมื่อเฉิดโฉมเข้าไปห้ามยอดยิ่งจึงถูกไฟไหม้ได้รับบาดเจ็บ)  ให้ถือว่ายอดยิ่งเจตนากระทำต่อเฉิดโฉมตามมาตรา  60  ยอดยิ่งต้องรับผิดทางอาญาต่อเฉิดโฉม  ตามมาตรา  59  วรรคหนึ่ง  ส่วนกรณีไฟลุกไหม้ห้องด้วยนั้นเกิดจากการกระทำของยอดยิ่งโดยย่อมเล็งเห็นว่าผลจะเกิดขึ้นเช่นนั้นแน่นอน  ยอดยิ่งได้กระทำโดยเจตนาให้เกิดเพลิงไหม้ให้ทรัพย์เสียหาย  ยอดยิ่งต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคหนึ่ง  วรรคสอง

สรุป  ยอดยิ่งต้องรับผิดเพราะ  ยอดยิ่งเจตนากระทำต่อส่องแสง  และเจตนากระทำต่อเฉิดโฉมโดยพลาดไป  และยอดยิ่งเจตนาให้เกิดเพลิงไหม้ด้วย

 

ข้อ  4  ชัดเจน  วันรวย  และแมน  เดินไปตามถนนที่มีน้ำฝนขัง  สมพลขับรถยนต์ผ่านมาล้อรถยนต์สมพลขับมาทับน้ำฝนกระเซ็นไปถูกชัดเจน  สมพลหยุดรถไขกระจกลงพร้อมกับกล่าวขอโทษชัดเจน  ชัดเจนด่าสมพลและร้องบอกวันรวยและแมนว่าเอามันให้ตาย  วันรวยใช้ไม้ตีสมพลและแมนใช้มีดแทงสมพล  สมพลถูกตีและถูกแทงถึงแก่ความตาย  โดยชัดเจนไม่ได้เข้าร่วมในการทำร้ายด้วย  ดังนี้  ชัดเจน  วันรวย  และแมนต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

ชัดเจนร้องบอกวันรวยและแมนว่าเอามันให้ตาย  ชัดเจนได้ก่อให้วันรวยและแมนกระทำความผิด  วันรวยและแมนได้เข้าทำร้ายสมพล  ชัดเจนรับผิดฐานเป็นผู้ใช้และต้องรับโทษเสมือนตัวการ  ตามมาตรา  84  แม้ชัดเจนจะอยู่ในที่เกิดเหตุ  แต่ชัดเจนไม่ได้เข้าร่วมในการทำร้ายด้วยจึงไม่ถือว่าชัดเจนเป็นตัวการตามมาตรา  83 

วันรวยและแมนเป็นตัวการในการกระทำความผิดเพราะได้ร่วมกระทำส่วนใดส่วนหนึ่งของการกระทำทั้งหมดที่รวมกันเป็นความผิดขึ้น  วันรวยและแมนได้ร่วมกันกระทำความผิดต้องรับผิดฐานเป็นตัวการตามมาตรา  89

สรุป  วันรวยและแมน  รับผิดฐานตัวการ  ส่วนชัดเจนรับผิดฐานเป็นผู้ใช้และต้องรับโทษเสมือนตัวการ

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 2/2549

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  นายอดิศรชาวไทยอยู่ที่ประเทศกัมพูชา  ได้จ้างนายจุ่นชาวกัมพูชาที่กัมพูชาให้ฆ่านายเล้งชาวจีนในประเทศไทย  นายจุ่นตกลงรับจ้างและเดินทางมาประเทศไทยเพื่อจะฆ่านายเล้ง  เมื่อนายจุ่นเดินทางเข้ามาในประเทศไทยและพบนายเล้งจำได้ว่าเป็นญาติกันจึงไม่ฆ่า  และบอกเรื่องให้นายเล้งทราบ

ดังนี้  นายอดศรและนายจุ่นจะต้องรับโทษในราชอาณาจักหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  6  ความผิดใดที่ได้กระทำในราชอาณาจักร  หรือที่ประมวลกฎหมายนี้ถือว่าได้กระทำในราชอาณาจักร  แม้การกระทำของผู้เป็นตัวการด้วยกัน  ของผู้สนับสนุนหรือของผู้ใช้ให้กระทำความผิดนั้นจะได้กระทำนอกราชอาณาจักร  ก็ให้ถือว่าตัวการ  ผู้สนับสนุน  หรือผู้ใช้ให้กระทำได้กระทำในราชอาณาจักร

มาตรา  8  ผู้ใดกระทำความผิดนอกราชอาณาจักร  และ

(ก)  ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย  และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้น  หรือผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษหรือ

ถ้าความผิดนั้นเป็นความผิดดังระบุไว้ต่อไปนี้  จะต้องรับโทษในราชอาณาจักร  คือ

(4) ความผิดต่อชีวิต  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  288  ถึงมาตรา  290

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

ตามปัญหา  นายอดิศรชาวไทยอยู่ที่ประเทศกัมพูชา  ได้จ้างนายจุ่นชาวกัมพูชาที่กัมพูชาให้ฆ่านายเล้งชาวจีนในประเทศไทย  และนายจุ่นตกลงรับจ้าง  ดังนั้นนายอดิศรจึงเป็นผู้ก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดด้วยการจ้าง  นายอดิศรจึงมีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้นายจุ่นกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น  เมื่อความผิดยังมิได้กระทำลงจึงต้องรับโทษเพียง  1  ใน  3  ของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตาม  ป.อ.  มาตรา  84  แต่เนื่องจากการใช้ให้กระทำความผิดได้กระทำนอกราชอาณาจักร  และไม่มีความผิดที่ได้กระทำในราชอาณาจักรจึงไม่อยู่ในบังคับของ  ป.อ. มาตรา  6  อย่างไรก็ตาม  เมื่อนายอดิศรเป็นคนไทยและได้กระทำความผิดนอกราชอาณาจักร  คือ  เป็นผู้ใช้ให้นายจุ่นกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่น  ซึ่งเป็นความผิดต่อชีวิต  และถ้านายเล้งผู้เสียหายได้ร้องขอศาลไทยให้ลงโทษนายอดิศรในราชอาณาจักรแล้ว  นายอดิศรจะต้องรับโทษภายในราชอาณาจักร ตาม  ป.อ.  มาตรา  8(4)

ส่วนนายจุ่น  เมื่อตกลงรับจ้างและเดินทางมาประเทศไทยเพื่อจะฆ่านายเล้ง  เมื่อพบนายเล้งแล้วจำได้ว่าเป็นญาติกันจึงไม่ฆ่าและบอกเรื่องให้นายเล้งทราบ  ดังนั้นจึงถือว่านายจุ่นยังไม่ได้กระทำความผิด  เพราะยังไม่ได้ลงมือกระทำ  เมื่อไม่ได้กระทำความผิดจึงไม่ต้องรับโทษ

สรุป  นายอดิศรจะต้องรับโทษในราชอาณาจักรตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น  ส่วนนายจุ่นไม่ต้องรับดทษเพราะไม่ได้กระทำความผิด

 

ข้อ  2  นายเสริมศักดิ์และนางสมศรีเป็นภริยาชอบด้วยกฎหมาย  นายเสริมศักดิ์ไปที่บ้านนางเกษรมารดาของนางสมศรีเห็นสร้อยคอทองคำของนางเกษรวางอยู่   นายเสริมศักดิ์เข้าใจว่าเป็นสร้อยคอทองคำของนางสมศรีภริยา  จึงหยิบสร้อยคอเส้นนั้นไปขายเอาเงินไปเล่นการพนัน

ดังนี้  นายเสริมศักดิ์จะต้องรับผิดและรับโทษทางอาญาอย่างไรหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา 

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  62  วรรคแรก  ข้อเท็จจริงใด  ถ้ามีอยู่จริงจะทำให้การกระทำไม่เป็นความผิด  หรือทำให้ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แม้ข้อเท็จจริงนั้นจะไม่มีอยู่จริง  แต่ผู้กระทำสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง  ผู้กระทำย่อมไม่มีความผิด  หรือได้รับยกเว้นโทษ  หรือได้รับโทษน้อยลง  แล้วแต่กรณี

มาตรา  71  วรรคแรก  ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  334  ถึงมาตรา  336  วรรคแรก  และมาตรา  341  ถึงมาตรา  364  นั้น  ถ้าเป็นการกระทำที่สามีกระทำต่อภริยา  หรือภริยากระทำต่อสามี  ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษ

วินิจฉัย

ตามปัญหา  นายเสริมศักดิ์ไปที่บ้านนางเกษรมารดาของนางสมศรีภริยา  เห็นสร้อยคอทองคำของนางเกษรวางอยู่จึงหยิบเอาสร้อยคอทองคำเส้นนั้นไปโดยเข้าใจว่า เป็นของนางสมศรีภริยา  นายเสริมศักดิ์มีเจตนาลักสร้อยคอทองคำเส้นนั้น  เพราะได้กระทำการลักทรัพย์โดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  คือ  รู้ว่าเป็นทรัพย์ของผู้อื่นแม้เป็นภริยาก็ถือว่าเป็นผู้อื่น  และในขณะเดียวกันนายเสริมศักดิ์ก็ประสงค์ต่อผล  คือ  สร้อยคอทองคำตาม  ป.อ.  มาตรา  59  วรรคสอง

นายเสริมศักดิ์จะยกเอาความสำคัญผิดมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนาลักทรัพย์ของนางเกษรไม่ได้ตาม  ป.อ.  มาตรา  61  นายเสริมศักดิ์ต้องรับผิดฐานลักทรัพย์  แต่นายเสริมศักดิ์สำคัญผิดว่าเป็นสร้อยคอทองคำของนางสมศรีภริยาซึ่งถ้าเป็นไปตามความเข้าใจของนายเสริมศักดิ์  นายเสริมศักดิ์ไม่ต้องรับโทษตาม  ป.อ.  มาตรา  71  วรรคแรก

แต่ตามข้อเท็จจริงสร้อยคอทองคำของนางสาวสมศรีภริยาไม่มีอยู่จริง  เมื่อนายเสริมศักดิ์สำคัญผิดว่ามีอยู่จริง  นายเสริมศักดิ์ก็ไม่ต้องรับโทษตาม  ป.อ.  มาตรา  62  วรรคแรก

สรุป  นายเสริมศักดิ์มีความผิดทางอาญาแต่ไม่ต้องรับโทษ

 

ข้อ  3  นายยอดขับรถยนต์ตามรถยนต์ที่นายเอกขับอยู่ข้างหน้า  นายเอกหยุดรถกะทันหัน  รถยนต์ที่นายยอดขับมาชนท้ายรถยนต์ของนายเอก  นายยอดและนายเอกลงจากรถยนต์และโต้เถียงกัน  นายยอดชัดมีดออกแทงนายเอกในระยะกระชั้นชิด  นายเอกชักปืนออกยิงนายยอดลูกกระสุนปืนถูกนายยอดบาดเจ็บ  และลูกกระสุนปืนยังเลยไปถูกนางสวยภริยาของนายยอดที่นั่งอยู่ในรถยนต์ตาย  นายเอกตกใจแล้ววิ่งหนี  นายยอดวิ่งไล่ตามไปทันใช้มีดแทงนายเอกบาดเจ็บ

ดังนี้  นายเอกและนายยอดต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา 

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

วินิจฉัย

ตามปัญหา  นายยอดใช้มีดแทงนายเอกในระยะกระชั้นชิด  จึงถือได้ว่านายยอดได้ก่อภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ดังนั้นเมื่อนายเอกได้ใช้อาวุธปืนยิงนายยอด  นายเอกจึงกระทำต่อนายยอดโดยเจตนาตาม ป.อ.  มาตรา  59  วรรคสอง  แต่จำต้องกระทำเพื่อให้พ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ  จึงเป็นกรกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตาม  ป.อ. มาตรา  68  นายเอกจึงไม่มีความผิด  เมื่อผลของการกระทำได้เกิดกับนางสวยภริยานายยอดโดยพลาดไปตาม  มาตรา  60  ถือว่านายเอกกระทำโดยเจตนาต่อนางสวยเมื่อนายเอกเจตนาเพื่อป้องกันผลที่เกิดกับนางสวยจึงเป็นการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายของนายเอกด้วย  ดังนั้นนายเอกจึงไม่ต้องรับผิดต่อนายยอดและนางสวย  ส่วนการที่นายยอดได้ใช้มีดแทงนายเอก นายยอดเป็นผู้ก่อภยันตรายตอนแรกนายยอดเห็นนางสวยภริยาถูกลูกกระสุนปืนตาย  เป็นกรณีที่นายยอดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม  จึงวิ่งไล่ตามนายเอกไปพอทันกันได้ใช้มีดแทงนายเอก  ถือว่านายยอดเจตนากระทำต่อนายเอกตาม  มาตรา  59  วรรคสอง  ซึ่งได้กระทำไปเพราะบันดาลโทสะ  แต่ถึงแม้ว่านายยอดจะได้กระทำไปเพราะบันดาลโทสะก็ตาม  นายยอดจะอ้างเป็นเหตุลดหย่อนผ่อนโทษตาม  มาตรา  72  ไม่ได้  เพราะนายยอดเป็นผู้ก่อภัยตอนแรก

สรุป  นายเอกไม่ต้องรับผิดทางอาญาเพราะกระทำป้องกันโดยชองด้วยกฎหมาย  ส่วนนายยอดต้องรับผิดทางอาญาจะอ้างบันดาลโทสะเพื่อลงโทษน้อยเพียงใดก็ได้ไม่ได้

 

ข้อ  4  นายโตต้องการฆ่านายใหญ่  นายโตหลอกนายน้อยว่า  นายใหญ่เป็นชู้กับนางเล็กภริยาของนายน้อย  เพื่อให้นายน้อยไปฆ่านายใหญ่  นายน้อยทราบเรื่องจากนายโตตกลงใจที่จะไปฆ่านายใหญ่  นายน้อยวางแผนว่าจะไปดักยิงนายใหญ่ขณะขับรถยนต์ไปทำงานตอนเช้า  นายน้อยได้เล่าแผนการให้นางเล็กภริยาของนายน้อยฟัง  นางเล็กเพียงรับทราบมิได้ออกความเห็นใดๆ  นางสาวแจ่มแอบได้ยินตอนนายน้อยเล่าให้นางเล็กฟัง  นางสาวแจ่มอยากให้นายใหญ่ตาย  พอถึงเวลานายน้อยไปดักยิงนายใหญ่  นางสาวแจ่มตามไปซุ่มดูอยู่บริเวณนั้นด้วย  เมื่อนายใหญ่ขับรถยนต์ออกจากบ้านและนายน้อยยกปืนเล็งไปยังนายใหญ่  นางสาวแจ่มได้แกล้งขับรถยนต์ตัดหน้ารถยนต์ของนายใหญ่  เพื่อให้นายใหญ่หยุดรถนายน้อยจะได้ยิงนายใหญ่ได้  นายน้อยยิงนายใหญ่ตาย

ดังนี้  นายโต  นางเล็ก  และนางสาวแจ่ม  จะต้องรับผิดในการกระทำของนายน้อยอย่างไร  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา 

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

นายน้อยใช้อาวุธปืนยิงนายใหญ่ตาย  นายน้อยเจตนากระทำต่อนายใหญ่โดยประสงค์ต่อผลตามมาตรา  59  วรรคสอง  นายน้อยต้องรับผิดในทางอาญาตาม  มาตรา  59  วรรคหนึ่ง  ตามปัญหา  นายโตหลอกนายน้อยว่านายใหญ่เป็นชู้กับนางเล็กภริยาของนายน้อยเพื่อให้นายน้อยไปฆ่านายใหญ่  นายโตได้ก่อให้นายน้อยกระทำความผิด  นายโตรับผิดฐานเป็นผู้ใช้  เมื่อนายน้อยใช้อาวุธปืนยิงนายใหญ่ตามที่นายโตก่อ  นายโตต้องรับโทษเสมือนตัวการตาม  มาตรา  84

นางเล็กรับทราบแผนการที่นายน้อยสามีเล่าให้ฟังโดยมิได้ออกความเห็นใดๆ  ไม่ถือว่านางเล็กช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายน้อยในการกระทำความผิด  นางเล็กจึงมิได้เป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด  ตามมาตรา  86

นางสาวแจ่มอยากให้นายใหญ่ตาย  ได้แกล้งขับรถยนต์ตัดหน้ารถยนต์ของนายใหญ่เพื่อให้นายใหญ่หยุดรถ  นายน้อยจะได้ยิงนายใหญ่ได้  จึงถือว่านางสาวแจ่มให้การช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่นายน้อยในการที่นายน้อยกระทำความผิดแม้จะเป็นเจตนาฝ่ายเดียวของนางสาวแจ่ม  (เพราะนายน้อยมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้น)  ก็ตาม  นางสาวแจ่มก็จะต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตาม  มาตรา  86  นางสาวแจ่มไม่ต้องรับผิดฐานเป็นตัวการตาม  มาตรา  83  เพราะการกระทำความผิดที่จะเป็นตัวการตาม  มาตรา  83  จะต้องมีบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมกันกระทำโดยมีเจตนาที่จะร่วมกันกระทำความผิดด้วยกัน  (กล่าวคือ  จะต้องรู้ถึงการกระทำของกันและกัน และต่างถือเอาการกระทำของแต่ละคนเป็นการกระทำของตนด้วย)  แต่ตามอุทาหรณ์  ปรากฏว่านายน้อยมิได้รู้ถึงเจตนาของนางสาวแจ่ม  ดังนั้นจึงถือไม่ได้ว่า  นายน้อยและนางสาวแจ่มเป็นตัวการร่วมกันฆ่านายใหญ่

สรุป  นายโตต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้  แต่เมื่อนายน้อยได้กระทำความผิดแล้ว  นายโตจึงต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ตามมาตรา  84

นางเล็กไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  จึงไม่ต้องรับผิด  นางสาวแจ่มต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน  ตามมาตรา  86

LAW 2006 กฎหมายอาญา 1 ภาคฤดูร้อน/2549

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  สาวิตรีจอดรถยนต์รอสัญญาณไฟเขียวอยู่บนท้องถนนในเวลากลางคืน  สมเดชคนร้ายวิ่งหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ  สมเดชเปิดประตูรถยนต์ของสาวิตรีขณะจอดอยู่นั้นแล้วเข้าไปเอาปืนจี้สาวิตรี  บังคับให้สาวิตรีขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ตามมาจับกุมสมเดช สาวิตรีกลัวสมเดชยิงจึงขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจตาย  ดังนี้  สาวิตรีและสมเดชต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร   หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ  หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ 

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

ตามปัญหา  สมเดชคนร้ายใช้ปืนจี้สาวิตรีบังคับให้ขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจ  สาวิตรีกลัวสมเดชยิงจึงขับรถชนเจ้าหน้าที่ตำรวจ  สาวิตรีกระทำโดยเจตนาตาม  มาตรา  59  วรรคสอง  สาวิตรีรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก  แต่สาวิตรีกระทำความผิดด้วยความจำเป็นเพราะอยู่ในที่บังคับ  หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถ หลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้  และกระทำไปไม่เกินสมควรแก่เหตุ  สาวิตรีจึงไม่ต้องรับโทษตามมาตรา  67(1)  ส่วนสมเดชได้ก่อให้สาวิตรีกระทำความผิดโดยการบังคับ  สมเดชต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด  และความผิดนั้นได้กระทำตามที่ก่อ  สมเดชจึงต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการตามมาตรา  84

สรุป  สาวิตรีต้องรับผิดทางอาญาเพราะกระทำโดยเจตนาแต่ไม่ต้องรับโทษ  ส่วนสมเดชต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้

 

ข้อ  2  เชิดชายต้องการฆ่าชายน้อย  เชิดชายแอบอยู่หลังรถยนต์บรรทุกของสมควรเพื่อดักยิงชายน้อย  พอชายน้อยเดินมาเชิดชายยกปืนเล็งไปที่ชายน้อย  ชายน้อยเห็นเข้าพอดีจึงใช้ปืนของตนยิงไปที่เชิดชายกระสุนถูกเชิดชายบาดเจ็บ  ถูกรถยนต์บรรทุกของสมควรเสียหาย  และกระสุนปืนยังถูกสมควรซึ่งนอนอยู่ในรถตายด้วย  ดังนี้  ชายน้อยต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

วินิจฉัย

ตามปัญหา  เชิดชายยกปืนเล็งไปที่ชายน้อย  ชายน้อยเห็นเข้าพอดีจึงใช้ปืนยิงไปที่เชิดชายกระสุนปืนถูกเชิดชายบาดเจ็บ  ถูกรถยนต์บรรทุกสมควรเสียหาย  และกระสุนปืนยังถูกสมควรซึ่งนอนอยู่ในรถตายด้วย  ชายน้อยกระทำต่อเชิดชายโดยเจตนาประสงค์ต่อผล  และกระทำต่อทรัพย์ของสมควรโดยเจตนา  ย่อมเล็งเห็นผลตามมาตรา  59  วรรคสอง  ส่วนผลที่เกิดกับสมควรเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปตามมาตรา  60  ถือว่าชายน้อยเจตนากระทำต่อสมควรด้วย  แต่การกระทำของชายน้อยทำเพื่อป้องกันตนเอง  เพราะเชิดชายยกปืนเล็งไปที่ชายน้อยเป็นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ชายน้อยจึงต้องป้องกันสิทธิของตนและได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุตามมาตรา  68

สรุป 

1       ชายน้อยกระทำโดยเจตนาประสงค์ต่อผล  (เชิดชาย)  ชายน้อยกระทำเพื่อป้องกันตนเอง  ชายน้อยไม่ต้องรับผิด

2       ชายน้อยกระทำโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล (ทรัพย์ของสมควร)  กระทำเพื่อป้องกันตนเอง  ชายน้อยไม่ต้องรับผิด  กรณีนี้ไม่ถือว่ากระทำความผิดด้วยความจำเป็น  (ตามมาตรา  67(2))  เพราะว่าเชิดชายไปแอบอยู่หลังรถยนต์บรรทุก  รถยนต์บรรทุกจึงเป็นเครื่องมือในการก่อภยันตราย  การกระทำต่อทรัพย์ก็เท่ากับกระทำต่อผู้ก่อภัยโดยตรงจึงถือเป็นการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

3       ชายน้อยเจตนากระทำต่อสมควรเพราะผลที่เกิดกับสมควรเป็นผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไป  เมื่อเจตนาตอนแรกของชายน้อยเป็นการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปก็เป็นผลที่เกิดจากการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายด้วย  ชายน้อยไม่ต้องรับผิดต่อสมควร

 

ข้อ  3  ยรรยงต้องการฆ่าบรรจง  ยรรยงชักปืนออกมายังไม่ทันยกขึ้นเล็งไปที่บรรจง  คันศรได้วิ่งออกมาปัดปืนเพื่อช่วยบรรจง  กระสุนลั่นไปถูกสามารถตาย  ดังนี้  ยรรยงและคันศรต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง และวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

 มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

วินิจฉัย

ตามปัญหา  ตามที่ยรรยงชักปืนออกมาแต่ยังไม่ได้ยกขึ้นเล็งไปที่บรรจง  ยรรยงยังไม่ได้ลงมือกระทำ  ยรรยงจึงไม่ได้กระทำโดยประสงค์ต่อผลและย่อมเล็งเห็นผลตามมาตรา  59  วรรคสอง  แต่การชักปืนออกมา  ปืนเป็นอาวุธร้ายแรงจึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอ  การชักปืนออกมาในลักษณะเพื่อจะยิงจึงเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังในภาวะเช่นว่านั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  จึงถือว่ายรรยงกระทำโดยประมาท  ตามมาตรา  59  วรรคสี่   ผลที่เกิดขึ้นกับสามารถจึงมิใช่ผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปตามมาตรา  60  เพราะยรรยงมิได้กระทำโดยเจตนาต่อบรรจง  ส่วนคันศรกระทำไปเพื่อช่วยบรรจง  คันศรมิได้ประสงค์ต่อผล  หรือย่อมเล็งเห็นผล  คันศรไม่มีเจตนาและในภาวะเช่นว่านั้นคันศรได้ใช้ความระมัดระวังอย่างเพียงพอแล้ว  ไม่ถือว่าคันศรกระทำโดยประมาทตามมาตรา  59  วรรคสี่

สรุป  ยรรยงต้องรับผิดทางอาญา  เพราะกระทำโดยประมาท  ส่วนคันศรไม่ต้องรับผิด  เพราะไม่มีเจตนาและไม่ประมาท

 

ข้อ  4  เฉลิมต้องการฆ่าสนั่น  เฉลิมไปดักยิงสนั่น  ยงยุธทราบว่าเฉลิมจะมายิงสนั่น  ยงยุธอยากให้สนั่นตายยงยุธเห็นสนั่นจะเดินไปทางอื่นคนละทางกับที่เฉลิมดักรออยู่  ยงยุธจึงบอกสนั่นให้เดินไปทางที่เฉลิมดักยิง  เฉลิมยิงสนั่นตาย  ดังนี้  ยงยุธต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

ตามปัญหา  ยงยุธได้ช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกเฉลิมกระทำความผิด  คือ  ยงยุธบอกสนั่นให้เดินไปทางที่เฉลิมดักยิง  ยงยุธจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86  ต้องรับโทษสองในสามส่วน  ของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น  และยงยุธก็ไม่เป็นตัวการตามมาตรา  83  เพราะเฉลิมไม่รู้เรื่องเจตนาของยงยุธจึงไม่ถือว่ามีเจตนาร่วมกันขณะกระทำความผิด

สรุป  ยงยุธรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 ภาคซ่อม 1/2550

การสอบซ่อมภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ

ข้อ  1  สุชายเห็นสุนัขของส่องแสงที่ชอบไล่กัดสุชายเดินอยู่ในบ้านส่องแสง  สุชายใช้อาวุธปืนยิงไปที่สุนัขตัวนั้น  ถูกสุนัขตาย  และลูกกระสุนปืนยังเลยไปถูกสว่างอยู่บ้านติดกับส่องแสงตายด้วย  ดังนี้  สุชายต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง และวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

วินิจฉัย

ตามปัญหา  สุชายได้กระทำโดยเจตนาประสงค์ต่อทรัพย์ของส่องแสง  (สุนัข)  ตามมาตรา  59 วรรคสอง  สุชายต้องรับผิดทางอาญา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ส่วนผลของการกระทำที่ไปเกิดกับสว่างมิใช่ผลที่เกิดขึ้นโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสอง  และมิใช่ผลที่เกิดขึ้นโดยพลาดไปตามมาตรา  60  (เพราะสุชายเจตนากระทำต่อทรัพย์  มิได้เจตนากระทำต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง)  สุชายไม่ได้กระทำโดยเจตนาต่อสว่าง  แต่การกระทำของสุชายได้กระทำไปโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นว่านั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์โดยอาจใช้ความระมัดระวังได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่  สุชายได้กระทำโดยประมาทต่อสว่างตามมาตรา  59  วรรคสี่จึงต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก

สรุป  สุชายต้องรับผิดทางอาญา  เพราะได้กระทำโดยเจตนาต่อทรัพย์ของส่องแสง  และกระทำโดยประมาทต่อสว่าง

 

ข้อ  2  นางเขียวหวานต้องการฆ่านายแตงไทย  นางเขียวหวานเห็นนายแตงกวาเดินจูงสุนัขออกกำลังกายในสวนสาธารณะ  นางเขียวหวานเข้าใจว่าเป็นนายแตงไทยจึงใช้ปืนยิงไปที่นายแตงกวา  กระสุนปืนถูกนายแตงกวาได้รับบาดเจ็บ  และกระสุนปืนได้เลยไปถูกนายโอซึ่งนอนอยู่ในรถยนต์ที่จอดอยู่บริเวณนั้นตายด้วย  ดังนี้นางเขียวหวานต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา 

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

ความรับผิดของนางเขียวหวานต่อนายแตงกวา

แม้นางเขียวหวานจะต้องการฆ่านายแตงไทย  แต่เมื่อสำคัญผิดไปว่านายแตงกวาเป็นนายแตงไทยและได้ลงมือกระทำต่อนายแตงกวาไปแล้ว  นางเขียวหวานจะยกเอาความสำคัญผิดในตัวบุคคลมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทำต่อนายแตงกวาผู้ถูกกระทำไม่ได้  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  61  จากข้อเท็จจริง  เมื่อนายแตงกวาได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย  นางเขียวหวานจึงต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายแตงกวา  ตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  59  วรรคแรกและวรรคสอง  ประกอบกับมาตรา  61  และมาตรา  80

ความรับผิดของนางเขียวหวานต่อนายโอ

นางเขียวหวานต้องรับผิดฐานฆ่านายโอ  โดยพลาดไปตามประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  60  เพราะนางเขียวหวานเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำไปเกิดกับอีกบุคคลหนึ่ง  จึงให้ถือว่านางเขียวหวานมีเจตนาต่อบุคคลที่ได้รับผลร้ายนั้นด้วย

สรุป  นางเขียวหวานเจตนากระทำต่อนายโอ  โดยพลาดไป  นางเขียวหวานต้องรับผิดต่อนายโอ

 

ข้อ  3  คมศรต่อยดาบชัยล้มลงแล้วคมศรวิ่งหนีไป  ดาบชัยลุกขึ้นมาได้วิ่งไล่ตามไป  300  เมตร  จึงทันคมศรดาบชัยชักมีดออกแทงคมศร คมศรหลบทันเห็นรถยนต์ของศาสตราจอดอยู่จึงเปิดประตูเพื่อจะเข้าไปหลบในรถยนต์ของศาสตรา  ศาสตราไม่ยอม  คมศรผลักศาสตรา  ศีรษะของศาสตรา กระแทกกับพวงมาลัยรถยนต์ได้รับบาดเจ็บ  ศาสตราจึงต่อยถูกหน้าคมศรได้รับบาดเจ็บเช่นกัน  ดังนี้  คมศร  ดาบชัย  และศาสตราต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา 

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(1)  เพราะอยู่ในที่บังคับ  หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้  หรือ

(2)  เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้เมื่อ

ภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

วินิจฉัย

ตามปัญหา  คมศรกระทำโดยเจตนาต่อดาบชัย  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  ต้องรับผิดทางอาญา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  คมศรกระทำโดยเจตนาต่อศาสตรา  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  คมศรต้องรับผิดทางอาญาต่อศาสตรา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  คมศรจะอ้างว่ากระทำความผิดด้วยความจำเป็นเพื่อไม่ต้องรับโทษตามมาตรา  67 (2)  ไม่ได้  เพราะภยันตรายนั้นเกิดขึ้นจากการกระทำความผิดของคมศร

ดาบชัยกระทำโดยเจตนาต่อคมศร  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  ดาบชัยต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก  แต่ดาบชัยกระทำขณะบันดาลโทสะ  ตามมาตรา  72  ศาลจะลงโทษดาบชัยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้  ส่วนศาสตรากระทำโดยเจตนาต่อคมศร  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  แต่ศาสตราไม่ต้องรับผิดทางอาญา  เพราะศาสตรากระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  68

สรุป  คมศรต้องรับผิดทางอาญาต่อดาบชัยและศาสตรา  สำหรับการกระทำต่อศาสตรา  คมศรจะอ้างว่ากระทำความผิดด้วยความจำเป็นเพื่อไม่ต้องรับโทษไม่ได้  และดาบชัยต้องรับผิดทางอาญา  แต่ศาลจะลงโทษน้อยเพียงใดก็ได้  ส่วนศาสตราไม่ต้องรับผิดทางอาญา  เพราะกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  4  บวรจ้างเดชไปฆ่าสวง  เดชไปขอยืมรถยนต์จากอรุณ  โดยอรุณทราบดีว่าเดชจะนำรถยนต์เป็นพาหนะในการไปฆ่าสวง  เดชขับรถยนต์ของอรุณเพื่อจะไปฆ่าสวง  ด้วยความประมาทของเดชรถยนต์ที่เดชขับไปชนสวงที่เดินข้ามถนนมาพอดีตาย  ดังนี้  บวรและอรุณจะต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  และวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

 มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

ตามปัญหา  เดชผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดโดยประมาทต่อสวง  ตามมาตรา  59  วรรคสี่  เดชต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาท  ตามมาตรา  59 วรรคแรก

บวรก่อให้เดชกระทำความผิดด้วยการจ้าง  บวรเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด  ตามมาตรา  84  วรรคแรก  เนื่องจากเดชยังมิได้กระทำการฆ่าสวงโดยเจตนา  ถือว่าความผิดที่ใช้ยังมิได้กระทำลง  บวรต้องรับผิดต่อสวงเพียงหนึ่งในสามของโทษที่จ้างเดชไปฆ่าสวง  ตามมาตรา  84  วรรคสอง

อรุณไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุน  ตามมาตรา  86  เพราะเดชมิได้กระทำโดยเจตนา

สรุป  บวรรับผิดในฐานเป็นผู้ใช้  รับโทษหนึ่งในสามเนื่องจากความผิดยังมิได้กระทำลง  อรุณไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนเนื่องจากเดชมิได้กระทำโดยเจตนา

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 2/2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  นายก้อนขับรถยนต์บรรทุกเสาไฟฟ้ามาตามถนนในเวลากลางคืน  ล้อรถพ่วงที่นายก้อนขับหลุด  ทำให้เสาไฟฟ้าตกลงมาขวางถนน นายก้อนเห็นว่าเป็นเวลากลางคืนไม่อาจหาใครมาช่วยยกเสาไฟฟ้าได้

นายก้อนจึงนำรถยนต์เข้าจอดข้างทางรอให้สว่างค่อยหาคนมาช่วย  โดยนายก้อนไม่ได้จัดให้มีโคมไฟหรือเครื่องสัญญาณอื่นใดเพื่อให้ผู้ใช้ถนนเห็นเสาที่ขวางถนน  ในคืนนั้นเอง  นายเก่งขับขี่รถจักรยานยนต์มาตามถนนไม่เห็นเสาที่ขวางถนนเพราะมืดมาก

รถจักรยานยนต์ที่นายเก่งขับมาชนเสาที่ขวางถนน  นายเก่งกระเด็นไปนอนอยู่บนพื้นถนน  นายยอดขับรถยนต์มาด้วยความเร็วปกติ  นายยอดเห็นนายเก่งนอนอยู่บนพื้นถนนในระยะกระชั้นชิดไม่สามารถห้ามล้อหรือหักหลบได้ทันเพราะหากกระทำไปจะเป็นอันตรายแก่ตนเอง  รถยนต์ที่นายยอดขับมาจึงชนนายเก่งตาย

ดังนี้  นายก้อนและนายยอดต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง วรรคสี่  และวรรคห้า บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

การกระทำ  ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น  โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(2)  เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้เมื่อ

ภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

วินิจฉัย

ตามปัญหาล้อรถพ่วงที่นายก้อนขับมาหลุด  ทำให้เสาไฟฟ้าตกลงมาขวางถนนและเป็นเวลากลางคืน  นายก้อนมีหน้าที่จัดให้มีโคมไฟหรือเครื่องสัญญาณเพื่อป้องกันมิให้ผู้ใช้ถนนได้รับอันตรายจากเสาไฟฟ้า  แต่นายก้อนไม่ทำ  ผลที่เกิดขึ้นคือนายเก่งขับขี่รถจักรยานยนต์มาชนเสานั้นเพราะมองไม่เห็น  ดังนี้ถือว่านายก้อนได้กระทำโดยงดเว้นตามมาตรา  59  วรรคแรก  และวรรคห้า  และตามวิสัยของผู้ขับรถเมื่อมีของตกจากรถและเป็นเวลากลางคืน  ในภาวะเช่นนั้นต้องใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอ  นายก้อนไม่ได้จัดให้มีโคมไฟหรือเครื่องสัญญาณ  เมื่อผู้ใช้ถนนมองไม่เห็นว่ามีเสาขวางถนนอยู่ต้องถือว่านายก้อนกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และตามปัญหานายก้อนอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่นายก้อนหาได้ใช้ให้เพียงพอไม่  ถือว่านายก้อนกระทำโดยประมาทตามมาตรา  59  วรรคสี่  และนายก้อนต้องรับผิดต่อผลที่เกิดขึ้นกับนายเก่ง  ตามมาตรา  59  วรรคแรก

ส่วนนายยอดขับรถยนต์ตามถนนด้วยความเร็วปกติ  เห็นนายเก่งนอนอยู่บนพื้นถนนในระยะกระชั้นชิดไม่สามารถห้ามล้อหรือหักหลบได้ทัน  รถยนต์ที่นายยอดขับรถชนนายเก่งตาย  นายยอดได้กระทำโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผลตามมาตรา  59  วรรคสอง  ต้องรับผิดทางอาญาตามมาตรา  59  วรรคแรก  แต่นายยอดกระทำความผิดด้วยความจำเป็นตามมาตรา  67(2)  นายยอดไม่ต้องรับโทษ  กรณีมิใช่การกระทำโดยประมาทตามมาตรา  59  วรรคสี่  เพราะในวิสัยและพฤติการณ์เช่นนั้นไม่อาจใช้ความระมัดระวังได้

สรุป  นายก้อนต้องรับผิดต่อนายเก่งเพราะได้กระทำโดยประมาท  ส่วนนายยอดได้กระทำต่อนายเก่งโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผลมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษเพราะกระทำความผิดด้วยความจำเป็น

 

ข้อ  2  นางสาวลิ้นจี่ต้องการฆ่านายมังคุด  นางสาวลิ้นจี่เห็นนายองุ่นกำลังเต้นแอโรบิกอยู่  นางสาวลิ้นจี่เข้าใจว่าเป็นนายมังคุด  จึงใช้ปืนยิงไปที่นายองุ่น  กระสุนปืนถูกนายองุ่นได้รับบาดเจ็บที่ขาขวาและกระสุนปืนได้เลยไปถูกนางสาวส้มได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้าย  ดังนี้  นางสาวลิ้นจี่ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  บุคคลจะรับผิดในทางอาญา  ก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท  ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

ความรับผิดของนางสาวลิ้นจี่ต่อนายองุ่น

แม้นางสาวลิ้นจี่จะต้องการฆ่านายมังคุด  แต่เมื่อสำคัญผิดไปว่านายองุ่นเป็นนายมังคุด  และได้ลงมือกระทำต่อนายองุ่นไปแล้ว  นางสาวลิ้นจี่จะยกเอาความสำคัญผิดในตัวบุคคลมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทำต่อนายองุ่นผู้ถูกกระทำไม่ได้  ตามมาตรา  61  จากข้อเท็จจริงเมื่อนายองุ่นได้รับบาดเจ็บที่ขาขวา  นางสาวลิ้นจี่จึงต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายองุ่นตามมาตรา  59  ประกอบกับมาตรา  61  และมาตรา  80

ความรับผิดของนางสาวลิ้นจี่ต่อนางสาวส้ม

นางสาวลิ้นจี่ต้องรับผิดต่อนางสาวส้มในความผิดที่กระทำโดยพลาด  เพราะนางสาวลิ้นจี่เจตนากระทำต่อบุคคลหนึ่งแต่ผลของการกระทำไปเกิดกับอีกบุคคลหนึ่งด้วย  จึงให้ถือว่านางสาวลิ้นจี่มีเจตนาต่อบุคคลที่ได้รับผลร้ายนั้นด้วย  ตามข้อเท็จจริงเมื่อนางสาวส้มได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้ายนางสาวลิ้นจี่จึงต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านางสาวส้มโดยพลาดตามมาตรา  60  ประกอบกับมาตรา  80

สรุป  นางสาวลิ้นจี่รับผิดฐานพยายามฆ่านายองุ่นโดยสำคัญผิดในตัวบุคคลตามมาตรา  59  ประกอบกับมาตรา  61  และมาตรา  80  และรับผิดต่อนางสาวส้มในการกระทำโดยพลาดตามมาตรา  60  ประกอบมาตรา  80

 

ข้อ  3  นายขะแมได้พาช้างเข้าไปในหมู่บ้านที่มีคนอยู่อาศัยจำนวนมากเพื่อนำกล้วยและอ้อยไปขายให้คนซื้อให้ช้างกิน  ซึ่งเป็นการหารายได้ให้นายขะแม

เนื่องจากอากาศร้อนมาก  นายขะแมได้นำช้างไปผูกด้วยเชือกไว้กับต้นไม้  ส่วนนายขะแมนอนหลับอยู่โคนต้นไม้  ช้างร้อนและเกิดอาการคุ้มคลั่งกระชากเชือกขาดวิ่งเข้าไปในบริเวณที่มีการเปิดขายของ

นายเอกกลับจากซ้อมยิงปืนเดินเข้ามาในบริเวณนั้น  ช้างเห็นนายเอกตรงเข้าไปที่นายเอกแล้วยกงวงฟาดไปที่นายเอก  นายเอกได้ใช้อาวุธปืนยิงไปที่ช้างถูกช้างได้รับบาดเจ็บแล้วนายเอกวิ่งหนี  ช้างวิ่งไล่ตาม  พอดีมีรถยนต์ของนายหนึ่งจอดขวางอยู่ช้างใช้เท้ากระทืบไปที่รถยนต์นายหนึ่ง  รถยนต์ได้รับความเสียหายและนายหนึ่งนอนอยู่ในรถยนต์บาดเจ็บ

ดังนี้  นายขะแมและนายเอกต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง และวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

วินิจฉัย

ตามปัญหาการที่นายขะแมใช้เชือกผูกช้างไว้กับต้นไม้ในหมู่บ้านที่คนอาศัยจำนวนมาก  ซึ่งนายขะแมทราบดีว่าอากาศร้อนมาก  และนายขะแมนอนหลับปล่อยให้ช้างอยู่ตามลำพัง  นายขะแมกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นว่านั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และนายขะแมอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่  ถือว่านายขะแมกระทำโดยประมาท  ตามมาตรา 59  วรรคสี่  ซึ่งเป็นการก่อภยันตรายต่อชีวิตของนายเอก  และเป็นภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  นายเอกใช้อาวุธปืนยิงช้างเป็นการกระทำต่อผู้ก่อภัยโดยใช้ช้างเป็นเครื่องมือและกระทำพอสมควรแก่เหตุ  นายเอกไม่ต้องรับผิดเพราะกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  68  ส่วนช้างเมื่อถูกนายเอกยิงบาดเจ็บได้ไล่ตามนายเอก  และใช้เท้ากระทืบรถยนต์ของนายหนึ่ง  รถยนต์ของนายหนึ่งเสียหายและนายหนึ่งบาดเจ็บดังนี้  นายเอกไม่ต้องรับผิดต่อนายหนึ่งเพราะการกระทำของนายเอกเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ส่วนนายขะแมนั้นได้กระทำโดยประมาทต่อนายเอก  แต่นายเอกไม่ได้รับความเสียหาย  จะรับผิดฐาน

พยายามก็ไม่ได้เพราะพยายามกระทำความผิดโดยประมาทไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้  จึงไม่ต้องรับผิดตามมาตรา  59  วรรคแรก  แต่นายขะแมต้องรับผิดต่อนายหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บซึ่งเป็นผลอันเกิดจากความประมาทของนายขะแม  ส่วนรถยนต์ของนายหนึ่งเสียหาย  นายหนึ่งต้องไปเรียกร้องทางแพ่ง  เพราะประมาททำให้ทรัพย์ เสียหายไม่มีกฎหมายบัญญัติ เป็นความผิดทางอาญา

สรุป  นายขะแมกระทำโดยประมาท  ส่วนนายเอกกระทำโดยเจตนาแต่กระทำเพื่อป้องกันไม่ต้องรับผิด

 

ข้อ  4  นายช้างและนายมดเป็นเพื่อนรักกัน  นายช้างแอบชอบ  น.ส.ส้มมานานแล้ว  แต่  น.ส.ส้มรักใคร่ชอบอยู่กับนายเสือ  วันที่  10  มกราคม  2551  นายช้างแอบเห็น  น.ส.ส้มอยู่ในห้องพักกับนายเสือสองต่อสองจึงโกรธนายเสืออย่างมาก  จึงนำเรื่องดังกล่าวมาปรึกษากับนายมด  นายมดจึงเห็นว่าควรทำร้ายร่างกายนายเสือให้รู้สำนึกเสียบ้างจะได้ไม่มายุ่งเกี่ยวกับ  น.ส.ส้ม

วันที่  15  มกราคม  2551  นายช้างและนายมด  สืบทราบมาว่า  น.ส.ส้มจะไปทานข้าวที่ร้านอาหารกับนายเสือ  ทั้งสองคนจึงไปที่ร้านอาหารดังกล่าวพร้อมกับอาวุธมีดติดตัวไปด้วย  เมื่อ  น.ส.ส้มเข้ามาที่ร้านอาหารแห่งนั้น  นายช้างและนายมดได้พูดให้  น.ส.ส้มเลิกคบหากับนายเสือ  มิฉะนั้นจะทำร้ายนายเสือให้เจ็บตัว  ด้วยความกลัว  น.ส.ส้มจึงวิ่งหนีออกจากร้านอาหารดังกล่าว  และนำความนั้นไปแจ้งให้นายเสือระวังตัว

เมื่อนายเสือรู้เรื่องทั้งหมดก็ไปตามหานายช้างและนายมดที่ร้านอาหารดังกล่าว  พอนายเสือไปถึงที่ร้านอาหารแห่งนั้น  นายช้างและนายมดก็ได้ลงมือแทงนายเสือก่อน  แต่นายเสือหลบได้ทันและคว้าขวดสุราตีไปที่นายช้างและนายมดได้รับบาดเจ็บ

ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  นายช้างและนายมดมีความผิดต่อนายเสือในทางอาญาหรือไม่  อย่างไร  และนายเสือ  และน.ส.ส้ม  มีความรับผิดต่อนายช้างและนายมดในทางอาญาหรือไม่  อย่างไร  จะอ้างเหตุยกเว้นความผิด  ยกเว้นโทษ  หรือลดโทษได้หรือไม่  จงวินิจฉัย

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคสอง กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

กรณีนายช้างและนายมด  บุคคลทั้งสองจะต้องร่วมกันรับผิดในทางอาญาหรือไม่เห็นว่า  การที่นายช้างและนายมดสมคบคิดกันจะไปร่วมกันทำร้ายร่างกายให้นายเสือได้รับบาดเจ็บ  และได้ร่วมกันลงมือใช้มีดแทงนายเสือ  ถือว่าทั้งสองคนเป็นตัวการร่วมกันโดยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้อื่น  เมื่อนายเสือหลบได้ทัน  จึงถือว่านายช้างและนายมดได้พยายามกระทำความผิด  ซึ่งกระทำไปโดยตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ทั้งสองต้องรับผิดในทางอาญาในฐานะที่เป็นตัวการร่วมกันพยายามทำร้ายร่างกายผู้อื่น  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  ประกอบมาตรา  80  และมาตรา  83

ส่วนกรณี  น.ส.ส้ม  เป็นแต่เพียงผู้มาแจ้งเหตุให้นายเสือระวังตัว  หาได้มีเจตนาร่วมกันกับนายเสือ  เพื่อทำร้ายร่างกายนายช้างและนายมด  จึงไม่เป็นตัวการร่วม  ตามมาตรา  83  และมิได้มีเจตนาในการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่นายเสือกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  จึงไม่เป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา  86  ดังนั้น  น.ส.ส้มจึงไม่มีความผิดในทางอาญา

กรณีนายเสือ  เมื่อรู้อยู่แล้วว่านายช้างและนายมดกำลังรอเพื่อทำร้ายนายเสือที่ร้านอาหารก็ไม่ควรที่จะไปที่ร้านอาหารดังกล่าว  แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่านายช้างและนายมดเข้ามาแทงนายเสือก่อน  และนายเสือได้ใช้ขวดสุราตีทำร้ายไปที่นายช้างและนายมดเป็นการโต้ตอบกลับ  นายเสือก็มิอาจที่จะอ้างได้ว่าเป็นการกระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  เพราะผู้ที่จะอ้างป้องกันได้จะต้องมิใช่เป็นผู้มีส่วนผิดในการก่อให้เกิดภยันตรายที่เกิดการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  ไม่ว่าจะเป็นกรณีผู้ที่ก่อภัยขึ้นก่อนหรือผู้ที่สมัครใจวิวาทต่อสู้กัน  มิอาจจะอ้างการป้องกันได้  ดังนั้นการที่นายเสือเข้าไปที่ร้านอาหาร  แสดงว่านายเสือพร้อมที่จะเผชิญหน้าต่อสู้กับนายช้างและนายมด ถือว่านายเสือสมัครใจที่เข้าวิวาทกับนายช้างและนายมด  นายเสือจึงไม่อาจที่จะอ้างได้ว่าเป็นการป้องกันเพื่อยกเว้นความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น  ตามมาตรา  68  (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่  2130/2550)

สรุป  นายช้างและนายมด  ต้องรับผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันพยายามทำร้ายนายเสือ  นายเสือต้องรับผิดในทางอาญาฐานทำร้ายนายช้างและนายมด  โดยมิอาจอ้างว่าเป็นการป้องกัน  ส่วน น.ส.ส้ม ไม่มีความรับผิดทางอาญา

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 ภาคฤดูร้อน/2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา 2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ  1  นายตี๋ขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้  ในขณะที่ฝนตกถนนลื่น  ช่วงที่นายตี๋เลี้ยวตรงโค้งถนนนั้นเอง  นายแป๊ะซึ่งหาบเต้าฮวยขายกำลังเดินข้ามถนนจะพ้นแล้ว  นายตี๋จึงเบรกรถทันที  แต่รถได้ลื่นไปชนเอาหาบเต้าฮวยของนายแป๊ะเสียหายหมดทั้งหาบ  แต่ตัวของนายแป๊ะไม่เป็นอะไรเลย  จงวินิจฉัยความผิดทางอาญาของนายตี๋

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรกและวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

วินิจฉัย

นายตี๋มิได้มีเจตนาจะกระทำต่อนายแป๊ะ  แต่การขับรถด้วยความเร็วสูงขณะฝนตกถนนลื่น  เป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังตามภาวะและวิสัยของคนขับรถในพฤติการณ์เช่นนั้น  (พฤติการณ์ฝนตกถนนลื่น)  ซึ่งนายตี๋อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  (คือ  การขับรถให้ช้าลงกว่ายามปกติที่ฝนไม่ตก  ไม่ใช่ขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด)  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่  ตามมาตรา  59  วรรคสี่  นายตี๋จึงกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนหาบเต้าฮวยอันเป็นทรัพย์สินของนายแป๊ะเสียหาย  

เป็นการทำให้เสียทรัพย์ของผู้อื่น  แต่เนื่องจากการทำให้เสียทรัพย์ของผู้อื่นโดยประมาทนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด  นายตี๋จึงไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานทำให้เสียทรัพย์ของนายแป๊ะ  ทั้งนี้ตามหลักในมาตรา  59  วรรคแรกที่ว่า  บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญา  เมื่อได้กระทำโดยประมาทก็ต่อเมื่อมีกฎหมายบัญญัติไว้ให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท

สรุป  นายตี๋ไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานทำให้เสียทรัพย์ของนายแป๊ะ

 

ข้อ  2  นายแดงต้องการฆ่านายดำ  เมื่อนายขาวบิดาของนายแดงเดินผ่านมา  นายแดงเข้าใจว่าเป็นนายดำ  จึงใช้ปืนยิงไปที่นายขาว  กระสุนปืนถูกหัวไหล่ของนายขาวได้รับบาดเจ็บ  นอกจากนี้กระสุนยังได้เลยไปถูกนางเขียวมารดาของนายแดงได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้ายอีกด้วย    จงวินิจฉัยความผิดทางอาญาของนายแดง

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  และวรรคสาม  บุคคลจะรับผิดในทางอาญา  ก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท  ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  62  วรรคท้าย  บุคคลจะต้องรับโทษหนักขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงใด  บุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น

มาตรา  80  วรรคแรก  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

วินิจฉัย

จากข้อเท็จจริง  แม้นายแดงจะต้องการฆ่านายดำ  แต่เพราะเข้าใจผิดคิดว่านายขาวเป็นนายดำ  และได้ลงมือกระทำต่อนายขาวไปแล้ว นายแดงจะยกเอาความสำคัญผิดในตัวบุคคลมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทำต่อนายขาวผู้ถูกกระทำไม่ได้  เหตุผลเพราะนายแดงมีการกระทำที่ครบองค์ประกอบของความผิดทั้งองค์ประกอบภายนอก  (ผู้กระทำ  การกระทำ  วัตถุแห่งการกระทำ)  และองค์ประกอบภายใน (เจตนาตามมาตรา 59  วรรคสอง  และวรรคสาม) นั่นคือ  นายแดงรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด  รวมทั้งยังประสงค์ต่อผลในการกระทำนั้นด้วย  (ผลคือความตายของผู้ที่นายแดงลงมือยิง)

ดังนั้น  เมื่อนายขาวผู้ที่นายแดงลงมือยิงได้รับบาดเจ็บที่หัวไหล่  จึงเป็นการกระทำที่ได้ลงมือกระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำไม่บรรลุผลตามมาตรา  80

แต่นายแดงไม่ต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายขาวในฐานะที่เป็นบุพการี  เพราะนายแดงไม่รู้ว่าผู้ที่ถูกยิงเป็นบุพการี  ทั้งนี้ตามมาตรา  62 วรรคท้าย  วางหลักไว้ว่า  การจะให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น

โดยอาศัยข้อเท็จจริงใดบุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น  เมื่อนายแดงไม่รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าตนกำลังทำต่อบุพการี  จึงจะให้นายแดงรับโทษหนักขึ้นไม่ได้  นายแดงจึงต้องรับผิดในฐานพยายามฆ่าบุคคลธรรมดาโดยสำคัญผิด  ตามมาตรา  59  ประกอบกับมาตรา  61 มาตรา  62 วรรคท้าย  และมาตรา  80

ความรับผิดของนายแดงต่อนางเขียว

ตามข้อเท็จจริง  นางเขียวเป็นบุคคลที่นายแดงไม่ได้ต้องการให้เกิดผลใดๆ  จากการกระทำของตน  แต่อย่างไรก็ตาม  นายแดงก็ยังต้องรับผิดต่อนางเขียวในความผิดที่กระทำโดยพลาด  นั่นคือ  นายแดงเจตนากระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่เมื่อผลของการกระทำในครั้งนั้นไปเกิดแก่บุคคลอีกคนหนึ่งด้วย  มาตรา  60  จึงให้ถือว่านายแดงมีเจตนาต่อผู้ได้รับผลร้ายด้วย  ดังนั้น  เมื่อนายแดงมีเจตนาฆ่าตั้งแต่ต้น  เจตนาที่โอนมายังนางเขียวคือเจตนาฆ่าเช่นเดียวกัน  แต่ข้อเท็จจริงนางเขียวได้รับบาดเจ็บที่ขาขวาเท่านั้น  แต่นายแดงไม่ต้องรับผิดฐานพยายามฆ่าบุพการี  โดยพลาดเพราะมาตรา  60  ตอนท้าย  วางหลักว่า  ไม่ให้ลงโทษผู้กระทำหนักขึ้น  เพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำ  (นายแดง)  กับผู้ได้รับผลร้าย  (นางเขียวซึ่งเป็นมารดา)  นายแดงจึงต้องรับผิดต่อนางเขียวเพียงฐานพยายามฆ่าบุคคลธรรมดาโดยพลาดตามมาตรา  60  ประกอบกับมาตรา  80

สรุป  นายแดงรับผิดฐานพยายามฆ่านายขาวโดยสำคัญผิดและรับผิดฐานพยายามฆ่านางเขียวโดยพลาด

 

ข้อ  3  นายไม่ดีพูดจาเสียดสีและต่อยหน้านางสาวสวย  1  ที  จนนางสาวสวยล้มลงแล้ววิ่งหนีไป  นางสาวสวยวิ่งตามไปจนทัน  นางสาวสวยชักมีดพกออกมาแทงนายไม่ดีถูกที่แขนขวา  นายไม่ดีหันไปเห็นนายหล่อกำลังจะปิดบ้านจึงเปิดประตูบ้านเพื่อจะเข้าไปซ่อนตัว  แต่นายหล่อไม่ยอม  นายไม่ดีจึงผลักนายหล่อหัวกระแทกประตูได้รับบาดเจ็บ  นายหล่อฮึดสู้จึงต่อยนายไม่ดีปากแตกได้รับบาดเจ็บเช่นกัน  จงวินิจฉัยความผิดทางอาญาของนายไม่ดี  นางสาวสวย  และนายหล่อ

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  และวรรคสาม  บุคคลจะรับผิดในทางอาญา  ก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท  ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(2)  เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้เมื่อ

ภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

วินิจฉัย

ความรับผิดของนายไม่ดี

นายไม่ดีต่อยหน้านางสาวสวยโดยเจตนาทำร้ายร่างกาย  จึงต้องรับผิดต่อนางสาวสวยฐานทำร้ายร่างกาย  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  และวรรคสาม

นายไม่ดีทำร้ายร่างกายนายหล่อเจ้าของบ้านได้รับบาดเจ็บ  เพราะจะเข้าบ้านเพื่อซ่อนตัวนั้น  นายไม่ดีมีเจตนาทำร้ายร่างกายนายหล่อแล้วโดยเป็นเจตนาประสงค์ต่อผล  โดยต้องรับผิดทางอาญาฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นตามมาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  และวรรคสาม  โดยไม่สามารถอ้างเหตุจำเป็นตามมาตรา  67 (2) เพื่อมายกเว้นโทษของตนได้  เพราะภยันตรายที่นายไม่ดีจะหลีกเลี่ยงนั้นเป็นภยันตรายที่นายไม่ดีก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตนเอง

ดังนั้น  นายไม่ดีต้องรับผิดฐานทำร้ายร่างกายนางสาวสวยโดยเจตนา  และรับผิดฐานทำร้ายร่างกายนายหล่อโดยเจตนา  โดยไม่อาจอ้างเหตุจำเป็นเพื่อยกเว้นโทษได้

ความรับผิดของนางสาวสวย

นางสาวสวยใช้มีดแทงถูกแขนของนายไม่ดี  โดยเจตนาทำร้ายร่างกายนายไม่ดี  โดยเป็นเจตนาประสงค์ต่อผล  นางสาวสวยจึงต้องรับผิดตามมาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  และวรรคสาม  แต่ทั้งนี้  นางสาวสวยได้กระทำลงไปเพราะความโกรธเนื่องจากถูกนายไม่ดีข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงได้กระทำความผิดต่อผู้ที่ข่มเหงตนไปในขณะนั้น  (ขณะที่ยังมีความโกรธอยู่)  จากข้อเท็จจริง นางสาวสวยได้วิ่งไล่ติดตามไปทันทีในขณะที่ยังมีความโกรธอยู่  จึงสามารถนำเหตุบันดาลโทสะซึ่งเป็นเหตุลดโทษมาอ้างเพื่อให้ตนได้รับโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ตามมาตรา  72

ดังนั้น  นางสาวสวยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายนายไม่ดี  แต่สามารถอ้างเหตุบันดาลโทสะเพื่อลดโทษได้

ความรับผิดของนายหล่อ

นายหล่อมีเจตนาทำร้ายร่างกายนายไม่ดี  โดยการต่อยนายไม่ดีจนปากแตกได้รับบาดเจ็บถือว่ามีเจตนาประสงค์ต่อผลแล้ว  แต่การที่นายหล่อกระทำลงไปนั้นเพื่อป้องกันสิทธิของตนเองจากภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายของนายไม่ดี  นอกจากนี้นายหล่อยังได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ  นายหล่อจึงสามารถอ้างว่าเป็นการป้องกันซึ่งเป็นเหตุยกเว้นความผิดมายกเว้นความผิดในฐานทำร้ายร่างกายนายไม่ดีได้  ตามมาตรา  68

ดังนั้น  นายหล่อไม่มีความผิดทางอาญา  เพราะสามารถอ้างป้องกันเพื่อยกเว้นความผิดฐานเจตนาทำร้ายร่างกายนายไม่ดีได้

สรุป  นายไม่ดีรับผิดฐานเจตนาทำร้ายร่างกายนางสาวสวย  และฐานเจตนทำร้ายร่างกายนายหล่อ  นางสาวสวยรับผิดฐานเจตนาทำร้ายร่างกายนายไม่ดี  แต่อ้างบันดาลโทสะเพื่อลดโทษได้  นายหล่อไม่มีความผิด  เพราะอ้างป้องกันเพื่อยกเว้นความผิดฐานเจตนาทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้

 

ข้อ  4  นายมาเฟียเป็นศัตรูกับนายเจ้าพ่อ  นายมาเฟียจึงจ้างมือปืนไปฆ่านายเจ้าพ่อ  นายมือปืนได้สมคบกับนายลูกปืนจะไปฆ่านายเจ้าพ่อโดยแบ่งหน้าที่กันทำ  คือ นายมือปืนจะเป็นคนยิง  นายลูกปืนจะเป็นคนดูต้นทางให้  ระหว่างที่รอนายเจ้าพ่อ  นายระเบิดเดินผ่านมา  นายลูกปืนซึ่งดูต้นทางอยู่รู้จักกันดีกับนายระเบิด  จึงเล่าให้นายระเบิดฟัง  และให้ช่วยดูต้นทางอีกคน  นายระเบิดตกลงโดยที่นายมือปืนไม่ได้ล่วงรู้ถึงการดูต้นทางของนายระเบิดเลย  ระหว่างนั้นมีคนจะเดินไปตรงที่นายมือปืนดักซุ่มรอนายเจ้าพ่ออยู่  นายระเบิดได้บอกให้คนที่จะเดินผ่านไปว่าให้ไปทางอื่นเสีย  เพราะข้างหน้าถนนไม่ดี  หลังจากนั้นนายเจ้าพ่อก็เดินมาถึงที่เกิดเหตุ  นายมือปืนจึงยิงนายเจ้าพ่อถึงแก่ความตาย  จงวินิจฉัยความรับผิดของนายมาเฟีย  นายลูกปืน  และนายระเบิด

ธงคำตอบ

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

ความผิดของนายมาเฟีย

นายมาเฟียจ้างให้นายมือปืนฆ่าศัตรูของตน  ถือเป็นการ  ก่อ  ให้ผู้อื่นกระทำความผิด  เมื่อนายมือปืนผู้รับจ้างได้ลงมือฆ่านายเจ้าพ่อไปแล้ว  นายมาเฟียจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้  และต้องรับโทษเสมือนตัวการตามมาตรา  84  ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ความผิดของนายลูกปืน

นายลูกปืนได้แบ่งหน้าที่กันกับนายมือปืนผู้ลงมือ  โดยรับหน้าที่ดูต้นทางให้กับผู้ลงมือ  ถือว่านายลูกปืนมีการกระทำและมีเจตนาร่วมกันกับนายมือปืนผู้ลงมือแล้วจึงมีคุณสมบัติที่จะเป็นตัวการในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามมาตรา  83

ความผิดของนายระเบิด

นายระเบิดดูต้นทางให้นายมือปืนโดยที่นายมือปืนไม่ได้ล่วงรู้ถึงการดังกล่าว  ย่อมถือไม่ได้ว่ามีการกระทำร่วมกันและมีเจตนาร่วมกัน  เพราะแต่ละคนไม่ได้รับรู้ถึงการกระทำของกันและกัน  นายระเบิดจึงไม่ได้เป็นตัวการในความผิดฐานดังกล่าว

แต่อย่างไรก็ตาม  นายระเบิดได้กระทำการอันเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกในการที่นายมือปืนได้กระทำความผิด  โดยเป็นการให้ความสะดวก  ก่อน  ที่นายมือปืนจะกระทำความผิดด้วยการบอกให้คนที่เดินผ่านไปทางนั้นให้เดินไปทางอื่นเสีย  ถึงแม้ตัวผู้ลงมือคือ  นายมือปืนจะไม่ได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  นายระเบิดมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนโดยความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามมาตรา  86

สรุป  นายมาเฟีย  เป็นผู้ใช้    นายลูกปืน  เป็นตัวการ  นายระเบิด  เป็นผู้สนับสนุน

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 ภาคซ่อม 1/2551

การสอบไล่ภาคซ่อม 1 ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ 1.    คมศรขับรถยนต์แซงรถยนต์บรรทุกซึ่งจอดอยู่ที่ขอบถนนด้านซ้ายในเส้นทางเดินรถของคมศร และรถยนต์ของคมศรล้ำเข้าไปในเส้นทางของรถยนต์ที่แสงชัยกำลังสวนมา ทำให้รถยนต์ของคมศรชนกับรถยนต์ของแสงชัย คนที่นั่งกะบะท้ายรถยนต์แสงชัยกระเด็นไปตกลงบนพื้นถนน เอกขับรถยนต์ตามหลังรถยนต์แสงชัย เห็นแล้วว่ามีคนนอนบนพื้นถนน ซึ่งสามารถหักหลบได้ แต่เอกกลัวรถจะเสียหลักเป็นอันตรายแก่ตน จึงขับตรงไป รถของเอกชนคนที่นอนอยู่นั้นตาย ดังนี้ คมศร และเอก ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร หรือไม่

แนวคำตอบ

หลักกฎหมาย  ปอ.มาตรา 59

วินิจฉัย   ตามปัญหา คมศรขับรถยนต์แซงรถยนต์บรรทุกซึ่งจอดอยู่ที่ขอบถนนด้ายซ้ายในเส้นทางเดินรถของคมศร และรถยนต์ของคมศรล้ำเข้าไปในเส้นทางของรถยนต์ที่แสงชัยกำลังสวนมา คมศรกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นว่านั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ 

คมศรกระทำโดยประมาทตาม ปอ.มาตรา 59 วรรคสี่ ส่วนเอกขับรถยนต์ตามหลังรถยนต์แสงชัย เอกเห็นแล้วว่ามีคนนอนอยู่บนพื้นถนซึ่งถ้าเอกหักหลบย่อมทำได้แต่เอกกลัวรถจะเสียหลักเป็นอันตรายแก่เอก เอกขับตรงไป เอกย่อมเล็งเห็นได้ว่ารถยนต์ของเอกย่อมชนคนนอนอยู่บนพื้นถนนได้เอกกระทำโดยเจตนาตาม ปอ.มาตรา 59 วรรคสอง

สรุป   คมศรต้องรับผิดทางอาญาเพราะกระทำโดยประมาท ส่วนเอกต้องรับผิดทางอาญาเพราะกระทำโดยเจตนาที่เชิดชัยขับ คมสันเห็นผู้โดยสารตกจากรถ แต่ไม่สามารถหลบได้ทันเพราะเด็กชายป๋องจับคม

 

ข้อ 2.    นายแดงต้องการฆ่านายดำ  แต่เห็นนายขาวเดินมาคิดว่าเป็นนายดำ จึงใช้ปืนยิงนายขาว จนทำให้นายขาวได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย นอกจากนี้กระสุนยังเลยไปถูกนายเขียวถึงแก่ความตาย และได้เลยไปถูกลูกแมวของนางสาวส้มตายอีกด้วย จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายแดง

แนวคำตอบ

หลักกฎหมาย    มาตรา 59, 60, 61, 80

นายแดงรับผิดต่อนายขาวฐานพยายามฆ่านายขาวโดยสำคัญผิดในตัวบุคคลตามมาตรา 59, 61, 80

นายแดงรับผิดต่อนายเขียวฐานฆ่านายเขียวโดยพลาดตามมาตรา 60

แต่ไม่ต้องรับผิดต่อนางสาวส้มเจ้าของลูกแมว เพราะไม่ใช่พลาดและประมาททำให้เสียทรัพย์ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด

 

ข้อ 3.    สรเดชได้รับการบอกเล่าจากแจ่มศรีภริยาว่า ทรนงได้เข้ามาข่มขืนกระทำชำเราแจ่มศรีตอนที่    สรเดชไม่อยู่บ้าน สรเดชทราบความจากแจ่มศรีแล้วได้ออกตามหาทรนงเพื่อฆ่าทันที สรเดชพบทรนงยืนอยู่ สรเดชชักอาวุธปืนยิงไปที่ทรนง   ทรนงวิ่งหนี สรเดชวิ่งไล่ตาม ทรนงเห็นประตูบ้านพงษ์ศักดิ์เปิดอยู่จึงวิ่งเข้าไปข้างใน  พงษ์ศักดิ์ขัดขวาง ทรนงชักมีดแทงไปที่พงษ์ศักดิ์ พงษ์ศักดิ์หลบและใช้ไม้ตีสวนไปที่ทรนงได้รับบาดเจ็บ ดังนี้      สรเดช ทรนง และพงษ์ศักดิ์ ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไรหรือไม่ และจะอ้างเหตุอะไรเพื่อยกเว้นความผิดหรือยกเว้นโทษได้บ้าง

แนวคำตอบ

หลักกฎหมาย  ปอ.มาตรา 59, 67, 68, 72 และ 80

วินิจฉัย   ตามปัญหา สรเดชได้รับการบอกเล่าจากแจ่มศรีภริยาว่าถูกทรนงข่มขืนกระทำชำระเรา สรเดชถูกทรนงข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแล้ว สรเดชได้ยิงไปที่ทรนงโดยเจตนาตาม ปอ.มาตรา 59 วรรคสอง แต่กระทำไปโดยบันดาลโทสะตาม ปอ.มาตรา 72 ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้เพียงใดก็ได้ สรเดชต้องรับผิดทางอาญา เพราะได้กระทำโดยเจตนาและกระทำขณะบันดาลโทสะ แต่กระทำไปไม่บรรลุผล ต้องรับผิดฐานพยายามและรับโทษน้อยเพียงใดก็ได้ตาม ปอ.มาตรา 59 วรรคสอง, 72 และ 80

ทรนงได้ข่มขืนกระทำชำเราแจ่มศรีภริยาสรเดช ทรนงได้ก่อภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมาย ทรนงวิ่งหนีเข้าไปในบ้านพงษ์ศักดิ์และชักมีดแทงพงษ์ศักดิ์ ทรนงได้กระทำต่อพงษ์ศักดิ์โดยเจตนาตาม ปอ.มาตรา 59     วรรคสอง และต้องรับผิดทางอาญาตาม ปอ.มาตรา 59 วรรคหนึ่ง พงษ์ศักดิ์อ้างว่ากระทำความผิดด้วยความจำเป็นเพื่อให้ตนเองพ้นจากภยันตรายอันใกล้จะถึงไม่ได้ เพราะทรนงได้ก่อให้เกิดภยันตรายด้วยการกระทำผิดของตนเอง พงษ์ศักดิ์จะอ้างเป็นเหตุยกเว้นโทษตาม ปอ.มาตรา 67 (2) ไม่ได้

พงษ์ศักดิ์ได้ใช้ไม้ตีไปที่ทรนงโดยเจตนาตาม ปอ.มาตรา 39 วรรคสอง ภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและกระทำไปพอสมควรแก่เหตุ การกระทำของพงษ์ศักดิ์ชอบด้วยกฎหมาย พงษ์ศักดิ์ไม่ต้องรับผิดตาม ปอ.มาตรา 68

สรุป  สรเดชต้องรับผิดทางอาญา แต่กระทำไปขณะบันดาลโทสะ สรเดชรับโทษน้อยเพียงใดก็ได้

ทรนงต้องรับผิดทางอาญา เพราะกระทำต่อพงษ์ศักดิ์โดยเจตนาและจะอ้างว่ากระทำความผิดด้วยความจำเป็นเมื่อยกเว้นโทษไม่ได้

พงษ์ศักดิ์กระทำต่อทรนงโดยเจตนาและมีเจตนาพิเศษเพื่อป้องกัน พงษ์ศักดิ์ไม่ต้องรับผิดที่เชิดชัยขับ คมสันเห็นผู้โดยสารตกจากรถ แต่ไม่สามารถหลบได้ทันเพราะเด็กชายป๋องจับคม 

 

ข้อ 4.    เนวินได้บอกกับบรรจงลูกน้องว่า สุเทพกำแหงมากสมควรตายได้แล้ว บรรจงได้ยินเช่นนั้น       ได้ร่วมกับยอดเพื่อนกันวางแผนฆ่าสุเทพ โดยบรรจงไปขอยืมอาวุธปืนจากสุขสม โดยบอกกับสุขสมว่าจะนำอาวุธปืนไว้ป้องกันตัว สุขสมทราบดีว่าบรรจงจะนำอาวุธปืนไปยิงสุเทพ สุขสมอยากให้สุเทพตายอยู่แล้ว จึงให้บรรจงยืมอาวุธปืน บรรจงได้อาวุธปืนจากสุขสมแล้ว ได้นั่งซ้อนรถจักรยานยนต์ที่ยอดเป็นผู้ขับขี่ บรรจงใช้อาวุธปืนยิงสุเทพตาย และยอดขับรถจักรยานยนต์พาบรรจงหนีไป ดังนี้ เนวิน ยอด และสุขสม ต้องรับผิดในการกระทำของบรรจงอย่างไร หรือไม่

แนวคำตอบ

หลักกฎหมาย  ปอ.มาตรา 59, 83, 84 และ 86

วินิจฉัย   ตามปัญหา บรรจงได้กระทำต่อสุเทพโดยเจตนาตาม ปอ.มาตรา 59 วรรคสอง เนวินได้เจตนาก่อให้บรรจงกระทำความผิด เนวินต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้และต้องรับโทษเสมือนตัวการตาม ปอ.มาตรา 84     สุขสมเจตนาช่วยเหลือบรรจงในการกระทำความผิด สุขสมต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตาม ปอ.มาตรา 86 ส่วนยอดได้กระทำร่วมกันกับบรรจงขณะกระทำความผิดและเจตนาร่วมกันกับบรรจงขณะกระทำความผิด    ยอดต้องรับผิดฐานเป็นตัวการตาม ปอ.มาตรา 83

สรุป      เนวินรับผิดฐานเป็นผู้ใช้

สุขสมรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน

ยอดรับผิดฐานเป็นตัวการที่เชิดชัยขับ คมสันเห็นผู้โดยสารตกจากรถ แต่ไม่สามารถหลบได้ทันเพราะเด็กชายป๋องจับคม

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 1/2551

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2006  กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  4  ข้อ

ข้อ 1.     นายแดงต้องการฆ่านายดำ   วันหนึ่งเมื่อทั้งคู่ได้ไปล่าสัตว์ด้วยกันกลางป่าลึก  นายแดงฉวยโอกาสที่นายดำเผลอ  นายแดงได้ชักปืนออกมาจากกระเป๋ากางเกงโดยยังไม่ทันจะจ้องเล็งไปที่นายดำ  นายฟ้าบิดาของนายดำรู้ถึงเจตนาของนายแดงจึงตามมาด้วยและได้เห็นเหตุการณ์ดังกล่าวพอดี จึงเข้าช่วยเหลือนายดำด้วยการปัดปืนออกไป  ปรากฏว่าปืนได้ลั่นขึ้น  และกระสุนไปถูกนายม่วงที่ยืนอยู่ห่างไกลออกไปถึงแก่ความตาย  จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายแดงและนายฟ้า 

แนวคำตอบที่เชิดชัยขับ คมสันเห็นผู้โดยสารตกจากรถ แต่ไม่สามารถหลบได้ทันเพราะเด็กชายป๋องจับพว   หลักกฎหมาย  ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 60

วินิจฉัย  นายแดงไม่มีเจตนาฆ่านายม่วงโดยพลาด เพราะนายแดงยังมิได้กระทำความผิดต่อนายดำถึงขั้นลงมือ

นายฟ้าไม่ประมาทเพราะตามภาวะวิสัยและพฤติการณ์ดังกล่าวนายฟ้าไม่อาจใช้ความระมัดระวังได้ดีกว่านั้น

 

ข้อ 2.     สุชาติแค้นใจที่สมเดชเพื่อนรักมาแย่งสมหญิงแฟนของตนไป  จึงคิดจะฆ่าสมเดช  เมื่อสุชาติเห็นเดชานั่งอยู่กับเอมวลีในร้านอาหาร  สุชาติคิดว่าเป็นสมเดช  สุชาติจึงใช้ปืนลูกซองยิงไปที่เดชา  กระสุนถูกเดชาได้รับบาดเจ็บสาหัสและยังแผ่กระจายไปถูกเอมวลีซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ เดชา ถึงแก่ความตาย  นอกจากนี้บางส่วนของกระสุนยังกระเด็นไปถูกลูกสุนัขพุดเดิ้ลของนางไก่ซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารตายอีกด้วย  จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายสุชาติ                              

แนวคำตอบ  หลักกฎหมาย  ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59, 60, 61, 80 

วินิจฉัย  สุชาติรับผิดต่อเดชาฐานพยายามฆ่าเดชา โดยสำคัญผิดในตัวบุคคล ตามมาตรา 59, 61, 80

สุชาติรับผิดต่อเอมวลีฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ย่อมเล็งเห็นผลตามมาตรา 59 วรรค 1 และ 2

สุชาติไม่ต้องรับผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ของนางไก่ เพราะไม่ใช่การกระทำโดยพลาด และแม้จะประมาท แต่ประมาททำให้เสียทรัพย์ไม่มี กฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด

 

ข้อ 3.     ปานใจใช้ให้ธีรชัยไปฆ่าธำรง  ธีรชัยตกลงทำตาม  เมื่อธีรชัยพบกับธำรง  ธีรชัยเกิดความกลัวขึ้นมาจึงไม่กล้าฆ่าธำรง ธีรชัยจึงไปว่าจ้างนพพลให้ไปฆ่าธำรง โดยธีรชัยได้มอบปืนของตนให้กับนพพลไปด้วยและสั่งให้นพพลใช้ปืนกระบอกนั้นไปยิงธำรง  เมื่อนพพลพบกับธำรง  นพพลจึงใช้ปืนของธีรชัยยิงธำรงจนถึงแก่ความตาย  จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของปานใจ และธีรชัย            

แนวคำตอบ  หลักกฎหมาย  ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84, 86

วินิจฉัย  ปานใจเป็นผู้ใช้ในความผิดฐานเจตนาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพราะผู้ใช้ของผู้ใช้ก็เท่ากับผู้ใช้ของผู้ลงมือ

ธีรชัย เป็นผู้ใช้ให้นพพลไปฆ่าผู้อื่นโดยการว่าจ้าง ซึ่งถือเป็นการ ก่อ ให้นพพลกระทำความผิด เมื่อความผิดที่ใช้ได้กระทำลง ผู้ใช้รับโทษเสมือนเป็นตัวการ ตามมาตรา 84 วรรค 2 แต่ไม่ต้องรับผิดฐานผู้สนับสนุนในกรณีให้ยืมปืนอีก คงผิดแต่ฐานผู้ใช้เพียงฐานเดียวเท่านั้น 

 

ข้อ 4.  นายแดงเป็นเพื่อนกับนายดำ  วันเกิดเหตุทั้งสองคนได้เข้าป่าไปหาสัตว์ และได้ค้างคืนในป่าด้วยกัน  ปรากฏว่า ด้วยความเหนื่อยล้า นายแดงจึงนอนหลับและนอนละเมอ  ฝันไปว่ากำลังสู้กับเสือ  นายแดงได้บีบคอนายดำ  ด้วยความตกใจ นายดำตื่นขึ้นมาจึงชกนายแดงหน้าบวม  ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า นายแดงและนายดำมีความรับผิดในทางอาญาหรือไม่  เพราะเหตุใด

แนวคำตอบ หลักกฎหมาย  ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสอง  มาตรา 67(2) และมาตรา 68

วินิจฉัย  การกระทำ หมายถึงการเคลื่อนไหว หรือไม่เคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึก ซึ่งการนอนละเมอ เป็นการเคลื่อนไหวร่างกาย โดยไม่รู้สำนึกในการกระทำ เพราะผู้นอนละเมอไม่ได้มีการคิด ตกลงใจ และลงมือกระทำการตามที่คิดและตกลงใจนั้น ดังนั้น การที่นายแดงนอนละเมอ บีบคอนายดำ จึงไม่มี การกระทำแม้จะทำให้นายดำได้รับบาดเจ็บ นายแดงก็หามีความผิดในทางอาญาไม่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 วรรคสอง

เมื่อการนอนละเมอของนายแดง ไม่เป็นการกระทำ จึงไม่มีความผิดในทางอาญา และความรับผิดในทางแพ่ง แต่ถือว่ากำลังมีภยันตรายเกิดขึ้นแก่นายดำที่ทำให้นายดำจำต้องกระทำความผิดเพื่อให้ตนเองพ้นจากภยันตรายนั้น เมื่อภยันตรายนั้นนายดำมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน การกระทำของนายดำจึงเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67(2) หาใช่เป็นการป้องกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ไม่ เพราะการจะเป็นการป้องกัน จะต้องมีภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายแก่ผู้อื่น ผู้นั้นจึงจะใช้สิทธิในการป้องกัน ดังนั้น เมื่อการกระทำของนายดำเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็น จึงไม่ต้องรับโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 67(2)

สรุป  นายแดง ไม่มีความรับผิดในทางอาญา

 นายดำ    มีความผิด แต่ไม่ต้องรับโทษ

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 2/2551

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  วันรบขัยรถยนต์ไปเที่ยว  มีเอกชัยและสุดสวยเพื่อนกันนั่งอยู่ในรถยนต์ด้วย  ระหว่างที่รถยนต์แล่นอยู่นั้น  เอกชัยดื่มน้ำอัดลมหมดแล้วได้เปิดกระจกโยนกระป๋องน้ำอัดลมออกนอกรถ  กระป๋องน้ำอัดลมถูกหัววรชัยที่เดินอยู่บนทางเท้าแตก  วรชัยชักอาวุธปืนยิงไปที่ยางล้อรถยนต์ของวันรบ  กระสุนปืนถูกล้อรถยนต์ทะลุตัวถังรถยนต์ไปถูกสุดสวยตาย

ดังนี้  เอกชัยและวรชัยต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  และวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

วินิจฉัย

ความรับผิดของเอกชัย

การที่เอกชัยดื่มน้ำอัดลมหมดแล้วในขณะที่รถกำลังวิ่งเอกชัยได้โยนกระป๋องน้ำอัดลมไปถูกหัววรชัยแตก  การกระทำของเอกชัยเช่นนี้ถือว่าไม่มีเจตนาที่จะกระทำต่อวรชัย  แต่การกระทำดังกล่าวถือเป็นกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาใช้ให้เพียงพอไม่  การกระทำของเอกชัยจึงเป็นการกระทำโดยประมาท  ตามมาตรา  59  วรรคสี่  เอกชัยจึงต้องรับผิดในทางอาญา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก

ความรับผิดของวรชัย

การที่วรชัยใช้อาวุธปืนยิงไปที่ล้อรถยนต์และกระสุนทะลุตัวถังไปถูกสุดสวยตาย  การกระทำของวรชัยเช่นนี้ถือว่ามิได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลในการกระทำต่อสุดสวย  วรชัยจึงไม่มีเจตนากระทำต่อสุดสวย  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  แต่การกระทำของวรชัยดังกล่าวเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่  การกระทำของวรชัยจึงเป็นการกระทำโดยประมาท  ตามมาตรา  59  วรรคสี่  วรชัยจึงต้องรับผิดในทางอาญา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  เทียบฎีกาที่  1086/2521  และกรณีนี้วรชัยจะอ้างบันดาลโทสะไม่ได้

เพราเหตุว่าแม้วรชัยจะใช้อาวุธปืนยิงไปที่ล้อรถยนต์เพราะเหตุที่สุดสวยได้โยนกระป๋องน้ำอัดลมถูกหัวตนก็ตาม  แต่เมื่อวรชัยไม่มีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลที่จะกระทำต่อสุดสวยแล้ว  วรชัยจึงอ้างบันดาลโทสะไม่ได้  เพราะการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะนั้น  ต้องเป็นการกระทำโดยมีเจตนาธรรมดา  กล่าวคือ  ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลและมีเจตนาพิเศษคือมีเหตุจูงใจในการกระทำความผิด  เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  เท่านั้น

สำหรับล้อรถยนต์ของวันรบที่เสียหายนั้น  วรชัยต้องรับผิดฐานทำให้เสียทรัพย์  เพราะวรชัยกระทำไปโดยเจตนาต่อตัวทรัพย์  แต่กรณีนี้วรชัยสามารถอ้างบันดาลโทสะเพื่อให้รับโทษน้อยลงได้  ตามมาตรา  72

สรุป

เอกชัยจะต้องรับผิดในทางอาญาเพราะกระทำโดยประมาท

วรชัยต้องรับผิดในทางอาญาต่อวันรบฐานทำให้เสียทรัพย์  เพราะได้กระทำโดยมีเจตนาแต่รับโทษน้อยลงอันเนื่องมาจากกระทำไปโดยบันดาลโทสะ  และวรชัยต้องรับผิดต่อสุดสวยเพราะได้กระทำโดยประมาทและอ้างบันดาลโทสะเพื่อจะรับโทษน้อยลงไม่ได้

 

ข้อ  2  นายแดงต้องการฆ่านายดำ  แต่เห็นนายขาวเดินมาคิดว่าเป็นนายดำ  จึงยิงนายขาวถึงแก่ความตาย  ความจริงปรากฏว่านายขาวเป็นบิดาของนายแดง  นอกจากนี้กระสุนยังเลยไปถูกนายม่วงได้รับบาดเจ็บที่แขนซ้ายอีกด้วย  จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายแดง

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสองและวรรคสาม  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  61  ผู้ใดเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ได้กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่งโดยสำคัญผิดผู้นั้นจะยกเอาความสำคัญผิดเป็นข้อแก้ตัวว่ามิได้กระทำโดยเจตนาหาได้ไม่

มาตรา  62  วรรคท้าย  บุคคลจะต้องรับโทษหนักขึ้นโดยอาศัยข้อเท็จจริงใด  บุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้  สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

ความรับผิดของนายแดงต่อนายขาว

ตามข้อเท็จจริง  แม้นายแดงจะต้องการฆ่านายดำ  แต่เพราะความเข้าใจผิดคิดว่านายขาวเป็นนายดำ  และได้ลงมือกระทำต่อนายขาวไปแล้ว  นายแดงจะยกเอาความสำคัญผิดในตัวบุคคลมาเป็นข้อแก้ตัวว่าไม่มีเจตนากระทำต่อนายขาวผู้ถูกกระทำไม่ได้  เพราะนายแดงมีการกระทำที่ครบองค์ประกอบของความผิด  ทั้งองค์ประกอบภายนอก  (คือผู้กระทำ  การกระทำ  และวัตถุแห่งการกระทำ  รวมทั้งองค์ประกอบภายใน  คือเจตนาตามมาตรา  59  วรรคสองและวรรคสาม  นั้นคือ  นายแดงรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด  รวมทั้งยังประสงค์ต่อผลในการกระทำนั้นด้วย  ผลคือความตายของผู้ที่นายแดงลงมือยิง

ดังนั้น  เมื่อนายขาวถึงแก่ความตาย  นายแดงจึงต้องรับผิดต่อนายขาวฐานฆ่าคนตายโดยสำคัญผิด  ตามมาตรา  59  วรรคแรกและวรรคสอง  ประกอบมาตรา  61  แต่นายแดงไม่ต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายขาวในฐานะที่เป็นบุพการี  เพราะนายแดงไม่รู้ว่าผู้ที่ถูกยิงเป็นบุพการี  ทั้งนี้ตามที่มาตรา  62  วรรคท้าย  วางหลักไว้ว่า  การจะให้ผู้กระทำต้องรับโทษหนักขึ้น  โดยอาศัยข้อเท็จจริงใดบุคคลนั้นจะต้องได้รู้ข้อเท็จจริงนั้น  เมื่อนายแดงไม่รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าตนกำลังทำต่อบุพการี  จึงจะให้นายแดงรับโทษหนักขึ้นไม่ได้

ความรับผิดของนายแดงต่อนายม่วง

ตามข้อเท็จจริง  นายม่วงเป็นบุคคลที่นายแดงไม่ได้ต้องการให้เกิดผลใดๆ  จากการกระทำของตน  แต่อย่างไรก็ตาม  นายแดงก็ยังต้องรับผิดต่อนายม่วงในความผิดที่กระทำโดยพลาด  นั่นคือ  นายแดงเจตนากระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่เมื่อผลของการกระทำในครั้งนั้นไปเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง  มาตรา  60  จึงให้ถือว่านายแดงมีเจตนาต่อผู้ได้รับผลร้ายด้วย  ดังนั้น  เมื่อนายแดงมีเจตนาฆ่าตั้งแต่ต้น  เจตนาที่โอนมายังนายม่วง  คือเจตนาฆ่าเช่นเดียวกัน  แต่ข้อเท็จจริงนายม่วงได้รับบาดเจ็บที่แขนซ้ายเท่านั้น  นายแดงจึงต้องรับผิดต่อนายม่วงฐานพยายามฆ่าโดยพลาด  ตามมาตรา  0  ประกอบมาตรา  80

สรุป  นายแดงรับผิดฐานฆ่านายขาวโดยสำคัญผิดและรับผิดฐานพยายามฆ่านายม่วงโดยพลาด

 

ข้อ  3  แก้วถูกสุนัขจรจัดไล่กัด  แล้ววิ่งหนีเข้าไปในบ้านของกำจัด  เพื่อจะได้พ้นจากถูกสุนัขกัด  พอดีหน้าประตูบ้านของกำจัด  มีก้อยยืนขวางอยู่  แล้วจึงผลักก้อยล้มลง  เพื่อเปิดประตูเข้าบ้านกำจัด  กำจัดเห็นแก้วซึ่งตนไม่รู้จักเข้ามาในบ้านเข้าใจว่าเป็นคนร้าย  กำจัดต่อยแก้วล้มลง  ก้อยซึ่งถูกแก้วผลักล้มลงลุกขึ้นมาได้ใช้ไม้ตีแก้วได้รับบาดเจ็บ  ดังนี้  แก้ว  กำจัด  และก้อย  ต้องรับผิดทางอาญาหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก และวรรคสอง  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(2)  เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นได้เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน 

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

วินิจฉัย

ความรับผิดของแก้ว

การที่แก้วผลักก้อยล้มลงนั้น  ถือว่าแก้วมีเจตนาทำร้ายร่างกายก้อย  โดยเจตนาประสงค์ต่อผลตามมาตรา  59  วรรคสอง  แก้วจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อก้อยโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  แต่แก้วไม่ต้องรับโทษเพราะแก้วกระทำความผิดด้วยความจำเป็น  กล่าวคือ  เพื่อให้ตนเองพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึง  คือการที่ถูกสุนัขจรจัดไล่กัด  และไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้  เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน  และการกระทำนั้นก็ไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุ  ตามมาตรา  67(2)

และการที่แก้วเข้าไปในบ้านกำจัด  แก้วก็ต้องรับผิดทางอาญาเช่นกัน  เพราะได้กระทำโดยเจตนาตามมาตรา  59  วรรคแรก  และวรรคสอง แต่เมื่อแก้วกระทำความผิดด้วยความจำเป็นเพื่อให้ตนพ้นจากภยันตรายอันใกล้จะถึง  กรณีเช่นนี้แก้วก็ไม่ต้องรับโทษทางอาญา  ตามมาตรา  67(2)  เช่นกัน

ความรับผิดของก้อย

การที่ก้อยใช้ไม้ตีไปที่แก้วถือว่าก้อยมีเจตนาทำร้ายร่างกายแก้วโดยเจตนาประสงค์ต่อผล  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  ก้อยจึงต้องรับผิดทางอาญาต่อแก้วโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  แต่ก้อยรับโทษน้อยลงอันเนื่องมาจากการกระทำไปโดยบันดาลโทสะ  ตามมาตรา  72  เพราะแก้วได้ผลักก้อยล้มลงก่อน  อันเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  และก้อยได้กระทำต่อแก้วในขณะนั้น

ความรับผิดของกำจัด

กำจัดเป็นเจ้าของบ้าน  แก้วซึ่งกำจัดไม่รู้จักเข้ามาในบ้าน  แม้แก้วจะอ้างว่ากระทำความผิดด้วยความจำเป็นก็ตาม  แต่การกระทำของแก้วถือเป็นภยันตราย  ซึ่งเกิดจากการกระทำอันละเมิดต่อกฎหมาย  คือการบุกรุก  และเป็นภยันตรายอันใกล้จะถึง  กำจัดจึงต้องป้องกันสิทธิของตน  เพื่อให้พ้นจากภยันตรายนั้น    การกระทำของกำจัดจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  68  กำจัดไม่ต้องรับผิดทางอาญา

สรุป 

แก้วต้องรับผิดทางอาญา  เพราะกระทำโดยเจตนาต่อก้อย  แต่ไม่ต้องรับโทษเพราะทำไปโดยความจำเป็น

ก้อยต้องรับผิดทางอาญาเพราะกระทำโดยเจตนาต่อแก้ว  แต่ได้รับโทษน้อยลงเพราะกระทำไปโดยบันดาลโทสะ

กำจัดไม่ต้องรับผิดทางอาญาต่อแก้ว  เพราะกระทำไปโดยป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  4  เสกสมมาหาคมศรที่บ้าน  แล้วได้เล่าถึงเรื่องที่ถูกหมูหินกับพวกเข้ามาลักทรัพย์ในบ้าน  คมศรได้ทราบเรื่องเสกสมดังกล่าว  และเห็นว่า  เสกสมเป็นผู้มีพระคุณต่อตน  จึงตอบแทนบุญคุณเสกสมด้วยการไปฆ่าหมูหิน  คมศรได้ไปดักรอยิงหมูหิน  ขณะที่คมศรเอาปืนออกมาตรวจความเรียบร้อย  เคนผ่านมาพบคมศร  และทราบจากคมศรว่ามาดักยิงหมูหิน  เคนซึ่งมีความโกรธแค้นหมูหินอยู่แล้วได้บอกกับคมศรว่าตนจะอยู่ด้วย  หากคมศรยิงหมูหินไม่ถูก  หรือยิงถูกแต่ไม่ตาย  จะช่วยยิงซ้ำให้ตาย  สาครอยู่บริเวณนั้นได้ยินคมศรกับเคนคุยกัน  สาครอยากให้หมูหินตายเช่นกัน  สาครได้ไปที่บ้านหมูหิน  แล้วหลอกให้หมูหินเดินผ่านมาทางที่คมศรดักรออยู่  โดยที่คมศรไม่ทราบถึงเจตนาของสาคร  คมศรยิงหมูหินตาย  โดยเคนไม่ได้ยิงซ้ำ  ดังนี้  เสกสม  เคน  และสาคร  ต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

ความรับผิดของเสกสม

การที่เสกสมมาเล่าเรื่องที่ถูกหมูหินกับพวกเข้ามาลักทรัพย์ในบ้าน  กรณีเช่นนี้  ยังถือไม่ได้ว่าเสกสมมีเจตนาก่อให้คมศรกระทำความผิด  เสกสมจึงไม่ต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้  ตามมาตรา  84

ความรับผิดของเคน

เคนได้ทราบถึงเจตนาของคมศร  และเคนก็ได้อยู่ด้วยกับคมศรในขณะกระทำความผิด  กรณีเช่นนี้ถือว่าเคนได้ร่วมกันกระทำความผิดและเจตนาร่วมกันในขณะกระทำความผิด  เคนจึงรับผิดฐานเป็นตัวการตามมาตรา  83

ความรับผิดของสาคร

การที่สาครไปหลอกหมูหินให้เดินผ่านไปที่คมศรดักยิง  กรณีเช่นนี้ถือว่าสาครได้ช่วยเหลือหรือได้ให้ความสะดวกในการให้ผู้อื่นกระทำความผิด  ก่อนหรือขณะกระทำความผิด  แม้คมศรจะไม่รู้ถึงเจตนาของสาครก็ตาม  สาครต้องรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน  ตามมาตรา  86  ต้องรับโทษ  2  ใน  3  ส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น  และในกรณีดังกล่าวนี้  ก็ไม่ถือว่าสาครเป็นตัวการ  ตามมาตรา  83  เพราะเคนและคมศรไม่ได้ทราบถึงเจตนาของสาครจึงไม่ถือว่ามีเจตนาร่วมในขณะกระทำความผิด

สรุป

เสกสมไม่มีความผิดทางอาญา

เคนรับผิดฐานเป็นตัวการร่วม

สาครรับผิดฐานเป็นผู้สนับสนุน 

LAW2006 กฎหมายอาญา 1 ภาคฤดูร้อน/2551

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2006 กฎหมายอาญา 1

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายโก๋ออกไปล่าสัตว์ในป่ากับนายเก๋า  หลังจากแยกย้ายกันไปล่าสัตว์ได้พักใหญ่  นายโก๋มานั่งพักอยู่ที่จุดนัดพบคอยนายเก๋า ระหว่างนั้นนายโก๋ได้ยินเสียงพุ่มไม้ไหว  นายโก๋คิดว่าเป็นหมูป่าโดยไม่คิดว่าเป็นนายเก๋า  ทั้งๆที่ปกตินายเก๋ามักจะชอบล้อเล่นแบบนี้อยู่เสมอ  ด้วยความรีบร้อนไม่ดูให้ดี  นายโก๋ตัดสินใจใช้ปืนยิงไปหลังพุ่มไม้นั้น  ปรากฏว่าหลังพุ่มไม้เป็นนายเก๋า  นายเก๋าถูกกระสุนปืนของนายโก๋ถึงแก่ความตาย  จงวินิจฉัยความรับผิดทางอาญาของนายโก๋

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  วรรคสามและวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  62  วรรคสอง  ถ้าความไม่รู้ข้อเท็จจริงตามความในวรรคสามแห่งมาตรา  59  หรือความสำคัญผิดว่ามีอยู่จริงตามความในวรรคแรก ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาทของผู้กระทำความผิด  ให้ผู้กระทำรับผิดฐานกระทำโดยประมาท  ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะว่า การกระทำนั้นผู้กระทำจะต้องรับโทษแม้กระทำโดยประมาท

วินิจฉัย

บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้มีการกระทำโดยเจตนา  ยกเว้นการกระทำบางอย่างแม้ไม่มีเจตนาก็เป็นความผิดได้  ถ้ามีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิด  เช่น การกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย  หรือประมาทเป็นเหตุให้เพลิงไหม้  ตามมาตรา  291  หรือมาตรา  225  นอกจากนั้น  มาตรา  59  ยังบัญญัติว่าการกระทำบางอย่างแม้ไม่มีเจตนา  ไม่ประมาท  แต่ถ้ามีกฎหมายบัญญัติไว้ชัดแจ้งให้ตองรับผิดก็มีความผิดทางอาญาได้  เช่น  ความผิดลหุโทษบางมาตรา

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นายโก๋ใช้ปืนยิงไปหลังพุ่มไม้นั้นถือเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายโดยรู้สำนึกแล้ว  ถือว่านายโก๋มีการกระทำทางอาญา  แต่การที่นายโก๋ยิงไปหลังพุ่มไม้นั้นโดยเข้าใจว่าเป็นหมูป่า  จึงเป็นกรณีที่นายโก๋ไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด (ความผิดฐานฆ่าคนตายมีองค์ประกอบของความผิดคือ  1  ฆ่า  2  ผู้อื่น  (ต้องมีบุคคลมารองรับการกระทำ)  ซึ่งนายโก๋มิได้ประสงค์ต่อผล  คือ  ให้นายเก๋าถึงแก่ความตาย  และก็ไม่ได้เล็งเห็นผลว่าจะเกิดผลเช่นว่านั้นกับนายเก๋า  เช่นนี้  จึงถือว่านายโก๋ไม่มีเจตนากระทำต่อนายเก๋า  ตามมาตรา  59  วรรคสองและวรรคสาม  นายโก๋จึงไม่ต้องรับผิดทางอาญา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก

อย่างไรก็ตาม  หากความไม่รู้ข้อเท็จจริงดังกล่าว  เกิดขึ้นเพราะความประมาทของผู้กระทำ  ตามมาตรา  62  วรรคสอง  บัญญัติให้ผู้กระทำต้องรับผิดในฐานประมาท  ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิด  แม้จะได้กระทำโดยประมาท  ซึ่งตามข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า  นายโก๋ยิงไปด้วยความรีบร้อนไม่ดูให้ดี  หากเดินเข้าไปใกล้ๆหรือหากดูให้ดีก็จะรู้ว่าสิ่งที่อยู่หลังพุ่มไม้เป็นเก๋า  มิใช่หมูป่า  จึงเป็นกรณีที่ความไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดของนายโก๋ได้เกิดขึ้นด้วยความประมาท  ปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  แต่นายโก๋อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้แต่หาใช้ให้เพียงพอไม่  ตามมาตรา  59  วรรคสี่  นายโก๋จึงต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาท  เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  เพราะการกระทำนั้นมีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดแม้จะได้กระทำโดยประมาท  ตามมาตรา  62  วรรคสอง

สรุป  นายโก๋ไม่มีเจตนากระทำต่อนายเก๋า  จึงไม่ต้องรับผิดฐานกระทำโดยเจตนา  แต่ต้องรับผิดฐานกระทำโดยประมาท  ตามมาตรา  59  วรรคแรกและวรรคสี่ประกอบมาตรา  62  วรรคสอง

 

ข้อ  2  นายแดงต้องการฆ่านายดำ  วันหนึ่งนายแดงเห็นนายดำนั่งรับประทานอาหารอยู่กับนางขาว  นายแดงจึงใช้ปืนลูกซองยิงไปที่นายดำ  กระสุนถูกนายดำได้รับบาดเจ็บ  และบางส่วนของกระสุนถูกนางขาวถึงแก่ความตาย  นอกจากนั้นกระสุนยังแผ่ไปถูกนายม่วงซึ่งเป็นบิดาของนายแดงที่นั่งอยู่ห่างไกลออกไปได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย  อีกทั้งเศษกระสุนบางส่วนยังเลยไปโดนกระจกรถยนต์ของนายฟ้าที่จอดอยู่ไกลออกไปแตกเสียหายอีกด้วย  จงวินิจฉัยความผิดทางอาญาของนายแดง

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสอง  วรรคสามและวรรคสี่  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

กระทำโดยประมาท  ได้แก่  กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา  แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง  ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้  แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

มาตรา  60  ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง  แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป  ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น  แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น  เพราะฐานะของบุคคลหรือเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้าย  มิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

มาตรา  80  ผู้ใดลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอด  หรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล  ผู้นั้นพยายามกระทำความผิด

ผู้ใดพยายามกระทำความผิด  ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

ความรับผิดของนายแดงต่อนายดำ

การที่นายแดงต้องการฆ่านายดำจึงยกปืนขึ้นยิงนายดำนั้น  การกระทำดังกล่าวของนายแดงถือเป็นการเคลื่อนไหวร่างกายภายใต้จิตสำนึกและมีการประสงค์ต่อตัวนายดำ  กรณีเช่นนี้  จึงถือว่านายแดงได้กระทำโดยมีเจตนาฆ่านายดำแล้ว  ตามมาตรา  59  วรรคสองและวรรคสาม  เมื่อได้ลงมือกระทำไปตลอดแล้ว  แต่การกระทำดังกล่าวไม่บรรลุผล  คือ  นายดำไม่ถึงแก่ความตาย  กรณีนี้นายแดงจึงต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายดำ  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  ประกอบมาตรา  80

ความรับผิดของนายแดงต่อนางขาว

นายแดงต้องการฆ่านายดำไม่มีเจตนาประสงค์ต่อผลต่อตัวนางขาว  แต่อย่างไรก็ตาม  การที่นายแดงใช้ปืนลูกซองยิงไปที่นายดำโดยที่มีนางขาวนั่งรับประทานอาหารอยู่ใกล้ๆนั้น  นายแดงย่อมเล็งเห็นได้ว่ากระสุนปืนลูกซองอาจถูกนางขาวได้  เมื่อกระสุนปืนถูกนางขาวถึงแก่ความตาย  จึงถือเป็นการกระทำโดยเจตนาเล็งเห็นผลต่อนางขาว  ตามมาตรา  59  วรรคสองและวรรคสาม  นายแดงจึงต้องรับผิดฐานฆ่านางขาวตายโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก

ความรับผิดของนายแดงต่อนายม่วง

การที่นายแดงยิงไปที่นายดำ  แล้วกระสุนปืนได้เลยไปถูกนายม่วงตายด้วยนั้น  เป็นกรณีที่นายแดงกระทำโดยเจตนาต่อนายดำแต่ผลร้ายไปเกิดแก่นายม่วงโดยพลาดไป  เช่นนี้  ให้ถือว่านายแดงได้กระทำโดยเจตนาแก่นายม่วงบุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้นด้วย  ตามมาตรา  60  และกรณีนี้แม้ว่านายม่วงจะเป็นบิดาตามกฎหมายของนายแดงก็ตาม  แต่ตามมาตรา  60  ตอนท้าย  กำหนดมิให้นำความสัมพันธ์ของบุคคลมาใช้บังคับแก่การกระทำโดยพลาด  ดังนั้น  กรณีนี้เมื่อนายม่วงไม่ถึงแก่ความตาย  นายแดงจึงต้องรับผิดเพียงฐานพยายามฆ่าบุคคลธรรมดาคือ  นายม่วงตายโดยเจตนาโดยพลาดเท่านั้น  ตามมาตรา  59  วรรคแรกและวรรคสอง  ประกอบมาตรา  60  และมารา  80  ไม่ต้องรับผิดฐานฆ่าบุพการี

ความรับผิดของนายแดงต่อนายฟ้า

การที่นายแดงใช้ปืนลูกซองยิงไปที่นายดำ  เศษกระสุนบางส่วนได้เลยไปโดนกระจกรถยนต์ของนายฟ้าที่จอดอยู่  กรณีเช่นนี้  นายแดงไม่ต้องรับผิดต่อนายฟ้า  เพราะการกระทำของนายแดงไม่ใช่การกระทำโดยพลาด  เนื่องจากการกระทำโดยพลาดต้องเป็นเจตนาประเภทเดียวกัน  ซึ่งในกรณีนี้  เจตนาแรกของนายแดงเป็นเจตนาประสงค์ต่อชีวิตไม่ใช่เจตนาทำให้เสียทรัพย์  จึงไม่ต้องด้วยมาตรา  60  เทียบฎีกาที่  1086/2521

และแม้นายแดงจะยิงนายดำโดยไม่ดูให้ดีว่ามีรถยนต์จอดอยู่  อันเป็นกรณีของการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์  ซึ่งถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาท  ตามมาตรา  59  วรรคสี่ก็ตาม  นายแดงก็ไม่ต้องรับผิดต่อนายฟ้าตามมาตรา  59  วรรคแรกเช่นกัน  เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดในกรณีที่ประมาททำให้เสียทรัพย์

สรุป

นายแดงต้องรับผิดต่อนายดำฐานพยายามฆ่านายดำโดยเจตนาประสงค์ต่อผล

นายแดงต้องรับผิดต่อนางขาวฐานเจตนาฆ่านางขาวโดยเจนาเล็งเห็นผล

นายแดงต้องรับผิดฐานพยายามฆ่านายม่วงโดยพลาด  แต่ไม่ต้องรับโทษฐานฆ่าบุพการี

นายแดงไม่ต้องรับผิดต่อนายฟ้า  เพราะไม่ใช่การกระทำโดยพลาด  แม้จะประมาทก็ไม่ต้องรับผิดเพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดในกรณีประมาททำให้เสียทรัพย์

 

ข้อ  3  บุญจงต้องการทำร้ายสมหมาย  บุญจงได้บอกสุทินให้ตีหัวสมหมาย  ถ้าไม่ตีจะระเบิดตึกราคา  10  ล้านบาทของสมหมาย  ซึ่งบุญจงได้วางระเบิดไว้แล้ว  สุทินกลัวบุญจงระเบิดตึกของตนจึงใช้ไม้ตีไปที่หัวของสมหมาย  สมหมายหลบและล้มลง  สุทินเงื้อไม้ขึ้นตีซ้ำ  แมนบุตรของสมหมายเห็นจึงผลักสุทินล้มลงได้รับบาดเจ็บ  สมหมายลุกขึ้นได้ใช้เท้าเตะไปที่หน้าของสุทิน  ดังนี้  บุญจง  สุทิน  สมหมาย และแมนต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  59  วรรคแรก  วรรคสองและวรรคสาม  บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด  แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา

กระทำโดยเจตนา  ได้แก่  กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ  และในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง  อันเป็นองค์ประกอบของความผิด  จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

มาตรา  67  ผู้ใดกระทำผิดด้วยความจำเป็น

(1) เพราะอยู่ในที่บังคับ  หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้

ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว  ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ

มาตรา  68  ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุการกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ผู้นั้นไม่มีความผิด

มาตรา  72  ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น  ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้

มาตรา  84  ผู้ใดก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดไม่ว่าด้วยการใช้  บังคับ  ขู่เข็ญ  จ้าง  วานหรือยุยงส่งเสริม  หรือด้วยวิธีอื่นใด  ผู้นั้นเป็นผู้ใช้ให้กระทำความผิด

ถ้าผู้ถูกใช้ได้กระทำความผิดนั้น  ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ถ้าความผิดมิได้กระทำลงไม่ว่าจะเป็นเพราะผู้ถูกใช้ไม่ยอมกระทำ  ยังไม่ได้กระทำหรือเหตุอื่นใด  ผู้ใช้ต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

วินิจฉัย

ความรับผิดของบุญจง

บุญจงต้องการฆ่าสมหมาย  บุญจงได้บอกให้สุทินตีหัวสมหมายหากไม่ตีจะระเบิดตึกของสุทิน  กรณีเช่นนี้ถือว่าบุญจงได้มีเจตนาก่อให้สุทินกระทำความผิดด้วยวิธีการบังคับ  และเมื่อสุทินได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว  บุญจงจึงต้องรับผิดฐานเป็นผู้ใช้และรับโทษเสมือนเป็นตัวการ  ตามมาตรา  84

ความรับผิดของสุทิน

การที่สุทินกลัวบุญจงจะระเบิดตึกของตนจึงใช้ไม้ตีหัวของสมหมาย  การกระทำของสุทินดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำและในขณะเดียวกันก็ประสงค์ต่อผล  คือ  ความตายของสมหมาย  กรณีเช่นนี้ถือว่าสุทินกระทำโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคสองและวรรคสาม  และต้องรับผิดทางอาญา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  แต่สุทินไม่ต้องรับโทษเพราะขณะกระทำสุทินอยู่ภายใต้อำนาจบังคับของบุญจง  สุทินไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้  เมื่อได้กระทำโดยไม่เกินสมควรแก่เหตุ  การกระทำของสุทินจึงเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็น  ตามมาตรา  67(1)  สุทินจึงมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายสมหมาย  แต่ไม่ต้องรับโทษ

ความรับผิดของสมหมาย

การที่สมหมายถูกสุทินใช้ไม้ตีและล้มลงแล้วสมหมายลุกขึ้นได้ใช้เท้าเตะไปที่หน้าของสุทิน  การกระทำของสมหมายดังกล่าวถือว่าเป็นการกระทำโดยรู้สำนึกในการกระทำและในขณะเดียวกันก็ประสงค์ต่อผล  คือ  อาการบาดเจ็บของสุทิน  กรณีเช่นนี้จึงถือว่า  สมหมายได้กระทำต่อสุทินโดยเจตนา  ตามมาตรา  59  วรรคสอง  และวรรคสาม  และต้องรับผิดทางอาญา  ตามมาตรา  59  วรรคแรก  แต่อย่างไรก็ตาม  การที่สมหมายทำร้ายสุทินดังกล่าว  เป็นผลสืบเนื่องมาจากที่ตนถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม  อันถือว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ  ตามมาตรา  72  สมหมายย่อมสามารถอ้างเหตุดังกล่าวนี้มาเป็นเหตุลดโทษได้

ความรับผิดของแมน 

เมื่อแมนบุตรของสมหมายเห็นว่าสุทินเงื้อไม้ขึ้นจะตีสมหมาย  จึงได้ผลักสุทินล้มลง  กรณีถือว่า  แมนได้กระทำโดยเจตนาต่อสุทิน  ตามมาตรา  59  วรรคสองและวรรคสาม  แต่การกระทำดังกล่าวของสุทินได้กระทำไปเพื่อให้นายสมหมายหลุดพ้นจากภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย  และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง  เมื่อได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุการณ์กระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  68  แมนย่อมไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายสมหมาย

สรุป

บุญจงรับผิดฐานเป็นผู้ใช้และรับโทษเสมือนเป็นตัวการ

สุทินมีความผิดแต่ไม่ต้องรับโทษ  เพราะกระทำความผิดด้วยความจำเป็น

สมหมายต้องรับผิดทางอาญา  แต่รับโทษน้อยเพียงใดก็ได้  เพราะกระทำโดยบันดาลโทสะ

แมนไม่ต้องรับผิดทางอาญา

 

ข้อ  4  ประชากับสมเดชร่วมกันวางแผนฆ่าชุมพล  โดยตกลงกันให้ประชาไปหลอกชุมพลออกจากบ้านมาให้สมเดชยิง  อรสาแอบได้ยินประชากับสมเดชวางแผนฆ่าชุมพลและทราบว่าสมเดชไม่มีอาวุธปืน  อรสาได้ฝากอาวุธปืนแก่วันรบมาให้สมเดช  โดยสมเดชไม่ทราบว่าเป็นอาวุธปืนของอรสา  ระหว่างที่ประชาเดินทางไปที่บ้านชุมพล  สมเดชพบชุมพลโดยบังเอิญจึงยิงชุมพลตายเสียก่อนที่ประชาจะพบชุมพล  ดังนี้  ประชา  และอรสาต้องรับผิดทางอาญาอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

มาตรา  83  ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป  ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ  ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

มาตรา  86  ผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ  อันเป็นการช่วยเหลือ  หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อน  หรือขณะกระทำความผิด  แม้ผู้กระทำความผิดจะมิได้รู้ถึงการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกนั้นก็ตาม  ผู้นั้นเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด  ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

วินิจฉัย

ความรับผิดของประชา

ประชากับสมเดชร่วมกันวางแผนฆ่าชุมพล  โดยตกลงกันให้ประชาไปหลอกชุมพลออกมาจากบ้านให้สมเดชเป็นคนยิง  ต่อมาเมื่อสมเดชพบชุมพลโดยบังเอิญเสียก่อนจึงได้ยิงชุมพลตาย  กรณีเช่นนี้  สมเดชย่อมมีความรับผิดทางอาญาฐานเจตนาฆ่า  ตามมาตรา  59  แต่ในส่วนของประชานั้น  ในขณะที่สมเดชยิงชุมพลประชายังไม่ได้เข้าร่วมในขณะหรือระหว่างที่กระทำความผิดด้วย  ทั้งมิได้อยู่ในที่เกิดเหตุในลักษณะพร้อมที่จะช่วยเหลือพรรคพวกได้ทันท่วงที  ประชาจึงไม่ใช่ตัวการร่วม  ตามมาตรา  83

แต่อย่างไรก็ตาม  การที่ประชาได้ร่วมกับสมเดชวางแผนมาแล้วตั้งแต่ต้น  กรณีจึงถือว่าประชาได้ช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่สมเดชผู้กระทำความผิดแล้ว  ประชาจึงเป็นผู้สนับสนุน  ตามมาตรา  86

ความรับผิดของอรสา

การที่อรสาแอบได้ยินประชากับสมเดชวางแผนฆ่าชุมพลและทราบว่าสมเดชไม่มีอาวุธปืน  อรสาจึงได้ฝากอาวุธปืนแก่วันรบมาให้สมเดช  กรณีเช่นนี้  แม้สมเดชจะไม่ทราบว่าเป็นปืนของอรสา  แต่เมื่ออรสามีเจตนาที่จะช่วยเหลือสมเดชก่อนที่จะกระทำความผิดแล้ว  อรสาจึงเป็นผู้สนับสนุน  ตามมาตรา  86

สรุป  ประชาและอรสาต้องรับผิดทางอาญาฐานเป็นผู้สนับสนุน  ตามมาตรา  86

WordPress Ads
error: Content is protected !!