LAW 1003 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมสัญญา S/2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา 2555 

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 1003 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยนิติกรรมและสัญญา

คำแนะนำ   ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน

ข้อ  1  ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์ทำนิติกรรมอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์โดยปราศจากความยินยอมจากผู้เยาว์หรือขออนุญาตจากศาล  จะมีผลเป็นการเช่นใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  1572  ผู้ใช้อำนาจปกครองจะทำหนี้ที่บุตรจะต้องทำเองโดยมิได้รับความยินยอมของบุตรไม่ได้

มาตรา  1574  นิติกรรมใดอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ดังต่อไปนี้  ผู้ใช้อำนาจปกครองจะกระทำมิได้  เว้นแต่ศาลจะอนุญาต

มาตรา  1575  ถ้าในกิจการใด  ประโยชน์ของผู้ใช้อำนาจปกครอง  ขัดกับประโยชน์ของผู้เยาว์  ผู้ใช้อำนาจปกครองต้องได้รับอนุญาตจากศาลก่อนจึงทำกิจการนั้นได้  มิฉะนั้นเป็นโมฆะ

อธิบาย

ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้ใช้อำนาจปกครองนั้น  เป็นเพียงบุคคลที่กฎหมายได้กำหนดให้มีขึ้น  เพื่อมุ่งที่จะคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้เยาว์ในกรณีที่ผู้เยาว์จะทำ นิติกรรมบางอย่างซึ่งเป็นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ไม่สามารถที่จะกระทำได้โดย ลำพังตนเอง  หรือในบางกรณีผู้แทนโดยชอบธรรมอาจจะทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์ก็ได้

ในกรณีที่ผู้แทนโดยชอบธรรม  จะทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์นั้น  กฎหมายได้กำหนดไว้ว่าถ้าเป็นนิติกรรมอันเกี่ยวกับหนี้ที่ผู้เยาว์  (บุตร)  จะต้องทำเองก็จะต้องได้รับความยินยอมจากบุตรด้วย  ตามมาตรา  1572  และถ้าเป็นนิติกรรมอันเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้  เช่น  การให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี  หรือการให้กู้ยืมเงิน  ฯลฯ  ดังนี้ก็จะต้องได้รับอนุญาตจากศาลด้วย  ตามมาตรา 1574

แต่อย่างไรก็ตาม  ในกรณีที่ผู้แทนโดยชอบธรรมได้ทำนิติกรรมดังกล่าวโดยปราศจากความยินยอมของผู้เยาว์  หรือไม่ได้รับอนุญาตจากศาล  กฎหมายก็มิได้บัญญัติไว้โดยตรงว่าจะเกิดผลประการใด  แต่เมื่อพิจารณาจากคำพิพากษาฎีกาประกอบกับมาตรา  1575  แล้ว  พอจะสรุปได้ว่าจะมีผลทางกฎหมายได้  2  ประการ  คือ

  1.  ไม่มีผลผูกพันผู้เยาว์  (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่  3830/2542,  4861/2548  และ  7776/2551
  2. เป็นโมฆะ  (เทียบคำพิพากษาฎีกาที่  8438/2547,  และ  ป.พ.พ.  มาตรา  1575)

 

ข้อ  2  ครอบครัววิชุนีตระกูลไฮโซชื่อดังกำลังประสบปัญหาการเงิน  คุณลำเพาและคุณนพรัตน์  วิชุนีประมุขของครอบครัวต้องรีบหาทางจัดการปัญหานี้ด่วน  เพื่อรักษาหน้าตาก่อนที่คนในสังคมจะรู้  และหนทางที่คุณลำเพาคิดได้  คือการไปทวงข้อตกลงกับคุณเปรม  ปัทมกุล เจ้าของไร่กาแฟแห่งใหญ่ที่สุดของจังหวัดเชียงรายถึงสัญญาที่ทำกันไว้เมื่อยี่สิบปีก่อนว่า

จะทดแทนบุญคุณที่คุณนพรัตน์เคยช่วยเหลือเรื่องเงิน  ด้วยการให้ลูกชายของเขาแต่งงานกับรจนาซึ่งเป็นลูกสาวคนโตของครอบครัววิชุนี ปัทม์ลูกชายคนเดียวของครอบครัวปัทมกุลไม่พอใจเพราะพ่อของเขาผู้ให้คำสัญญาเสียชีวิตไปนานแล้ว  ประกอบกับเขาไม่ชอบให้ใครมาบังคับ  แม้ว่าเขาจะไม่ยอมทำตามข้อตกลง

แต่คุณลำเพาอ้างถึงบุญคุณที่คุณนพรัตน์เคยช่วยเหลือไว้  ไม่เช่นนั้นครอบครัวปัทมกุลคงไม่มีโอกาสสร้างไร่กาแฟได้อย่างทุกวันนี้  ปัทม์จึงจำเป็นต้องยอมทำตามข้อตกลงด้วยการจะเข้าแต่งงานกับรจนา  ก่อนวันงานแต่งงาน  ปัทม์จึงมาปรึกษากับท่านเพื่อหาเหตุผลข้อกฎหมายเพื่อยกเลิกข้อตกลงดังกล่าว  เพราะเข้าใจผิดว่ารจนารู้ว่าครอบครัวของตนร่ำรวยมาก  จึงคิดว่าต้องการแต่งงานกับตนเพื่อที่จะสนองตอบความรักสบายของรจนาได้  ท่านจะให้คำแนะนำแก่ปัทม์อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 150 “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย  เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ

วินิจฉัย

จากบทบัญญัติดังกล่าว  จะเห็นได้ว่า  ในการตกลงทำนิติกรรมกันนั้น  วัตถุประสงค์ของนิติกรรมนั้นจะต้องไม่เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย  จะต้องไม่เป็นการพ้นวิสัย  และจะต้องไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน  ถ้านิติกรรมใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย  เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน  นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่คุณนพรัตน์  วิชุนี  ได้ตกลงกับคุณเปรม  ปัทมกุล  ให้รจนา  วิชุนี  กับปัทม์  ปัทมกุล  แต่งงานกันเพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณที่คุณนพรัตน์เคยช่วยเหลือเรื่องเงินกันไว้นั้น  มิได้เกิดจากการตกลงกันระหว่างชายและหญิงที่จะแต่งงานกันแต่อย่างใด  ซึ่งตามหลักของสถาบันครอบครัวและกฎหมายครอบครัวนั้น การแต่งงานหรือการสมรสจะต้องเป็นเรื่องของชายและหญิงได้ตกลงที่จะเป็นสามีภริยากัน  ตกลงที่จะใช้ชีวิตร่วมกัน  ไม่ได้ตกลงแต่งงานกันโดยมีวัตถุประสงค์อย่างอื่น  ดังนั้นข้อตกลงระหว่างคุณนพรัตน์  วิชุนี  กับคุณเปรม  ปัทมกุล  ดังกล่าว  จึงเป็นข้อตกลงที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน  ข้อตกลงดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา  150  และปัทม์สามารถบอกเลิกการแต่งงานของตนได้

สรุป  ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่ปัทม์ว่าข้อตกลงระหว่างคุณนพรัตน์กับคุณเปรม  ตกเป็นโมฆะ  ปัทม์สามารถบอกเลิกการแต่งงานของตนได้

 

ข้อ  3  เมื่อวันที่  10  สิงหาคม  2553  นายสมหมายได้ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อชนนายสมจริงได้รับบาดเจ็บสาหัส  นายสมจริงถูกนำตัวเข้ารักษาในโรงพยาบาลและได้พักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเวลา  1  เดือน  นายสมจริงได้จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวน  4  แสนบาท  ต่อมานายสมจริงจึงได้ไปทวงเงินค่ารักษาพยาบาลจากนายสมหมายเมื่อวันที่  3  ตุลาคม  2553  แต่นายสมหมายได้ขอผัดผ่อนเรื่อยมา  จนกระทั่งวันที่  15  พฤศจิกายน  2553

นายสมหมายได้นำเงินไปชำระให้แก่นายสมจริงเพื่อช่วยค่ารักษาพยาบาลเป็นเงินจำนวน  5,000  บาท  หลังจากนั้นก็มิได้นำไปชำระให้อีกเลย  นายสมจริงจึงได้นำคดีไปฟ้องศาลเพื่อเรียกค่ารักษาพยาบาลที่ตนได้ออกไปก่อนในวันที่  22  กันยายน  2554  นายสมหมายได้ต่อสู้ว่าคดีขาดอายุความแล้ว  แต่นายสมจริงอ้าว่ายังไม่ขาดอายุความ  เพราะอายุความได้สะดุดหยุดลงตั้งแต่วันที่  15  พฤศจิกายน  2553 ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้ออ้างของนายสมจริงฟังขึ้นหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  193/14  อายุความย่อมสะดุดหยุดลงในกรณีดังต่อไปนี้

(1) ลูกหนี้รับสภาพหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามสิทธิเรียกร้องโดยทำเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ให้  ชำระหนี้ให้บางส่วน  ชำระดอกเบี้ย  ให้ประกัน  หรือกระทำการใดๆ  อันปราศจากข้อสงสัยแสดงให้เห็นเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง

มาตรา  193/15  เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว  ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ

เมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดเวลาใด  ให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่เวลานั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อวันที่  10  สิงหาคม  2553  นายสมหมายได้ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อ  ชนนายสมจริงได้รับบาดเจ็บสาหัส  การที่นายสมหมายขับรถยนต์ชนนายสมจริงเป็นการกระทำละเมิด  อายุความฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายมีกำหนดอายุความ  1  ปี  ตามมาตรา  448  ซึ่งสิทธิเรียกร้องจะครบกำหนดอายุความในวันที่  10  สิงหาคม  2554

เมื่อนายสมจริงถูกรถชนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล  และได้จ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลเป็นเงินจำนวน  4  แสนบาท  จึงได้มาทวงเงินค่ารักษาพยาบาลจากนายสมหมาย  แต่นายสมหมายได้ผัดผ่อนเรื่อยมา  จนกระทั่งวันที่  15  พฤศจิกายน  2553  นายสมหมายได้นำเงินไปชำระให้แก่นายสมจริง  5,000  บาท  เป็นการชำระหนี้ให้แก่นายสมจริงบางส่วน  จึงเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลง  ตามมาตรา  193/14(1)  เมื่ออายุความสะดุดหยุดลงแล้ว  ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นจึงไม่นับเข้าในอายุความตามมาตรา  193/15  วรรคแรก  และให้เริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันที่  15  พฤศจิกายน  2553  และอายุความใหม่จะครบกำหนดในวันที่  15  พฤศจิกายน  2554  ตามมาตรา  193/15  วรรคสอง  นายสมจริงนำคดีมาฟ้องศาลในวันที่  22  กันยายน  2554  คดีจึงยังไม่ขาดอายุความ  ข้ออ้างของนายสมจริงจึงฟังขึ้น

สรุป  ข้ออ้างของนายสมจริงฟังขึ้น

 

ข้อ  4  เมื่อวันที่  1  มีนาคม  2556  นายอาทิตย์ซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ  ได้ส่งจดหมายเสนอขายบ้านหลังหนึ่งของตนไปยังนางจันทราซึ่งอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ในราคา  3  ล้านบาท  โดยนายอาทิตย์ได้กำหนดไปในจดหมายด้วยว่า  ถ้านางจันทราต้องการซื้อบ้านหลังนี้  ให้ตอบไปยังนายอาทิตย์ภายในวันที่  31  มีนาคม  2556  นางจันทราส่งจดหมายตอบตกลงซื้อบ้านหลังนั้นตามราคาที่นายอาทิตย์เสนอ  แต่จดหมายของนางจันทราไปถึงนายอาทิตย์ในวันที่  5  เมษายน  2556

อย่างไรก็ตาม  เมื่อดูตราไปรษณีย์ซึ่งประทับบนซองจดหมายของนางจันทราแล้ว  เป็นที่เห็นได้ชัดแจ้งว่า  นางจันทราได้ส่งจดหมายตั้งแต่วันที่  26  มีนาคม  2556  ซึ่งตามปกติจดหมายฉบับนั้นควรไปถึงนายอาทิตย์ก่อนหรือภายในวันที่  31  มีนาคม  2556  ตามที่นายอาทิตย์กำหนด

เช่นนี้  จดหมายตอบตกลงซื้อบ้านที่นางจันทราส่งไปยังนายอาทิตย์เป็นคำสนองล่วงเวลาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  358  ถ้าคำบอกกล่าวสนองมาถึงล่วงเวลา  แต่เป็นที่เห็นประจักษ์ว่าคำบอกกล่าวนั้นได้ส่งโดยทางการซึ่งตามปกติควรจะมาถึงภายในเวลากำหนดนั้นไซร้  ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งโดยพลันว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า  เว้นแต่จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นก่อนแล้ว

ถ้าผู้เสนอละเลยไม่บอกกล่าวดังว่ามาในวรรคต้น  ท่านให้ถือว่าคำบอกกล่าวสนองนั้นมิได้ล่วงเวลา

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่นางจันทราได้ส่งจดหมายตอบตกลงซื้อบ้านหลังนั้นตามราคาที่นายอาทิตย์เสนอ  แต่จดหมายของนางจันทราไปถึงนายอาทิตย์ในวันที่  5  เมษายน  2556  ซึ่งล่าช้ากว่าเวลาที่นายอาทิตย์ได้กำหนดไว้  แต่เป็นที่เห็นได้ชัดเจนจากตราไปรษณีย์ซึ่งประทับบนซองจดหมายว่า  นางจันทราส่งจดหมายฉบับนั้นตั้งแต่วันที่  26  มีนาคม  พ.ศ.2556  ซึ่งตามปกติจดหมายฉบับนั้นควรจะไปถึงนายอาทิตย์ก่อน  หรือภายในวันที่  31  มีนาคม  พ.ศ.2556  อันเป็นเวลาที่นายอาทิตย์กำหนดไว้  ในกรณีเช่นนี้  คำสนองของนางจันทราจะเป็นคำสนองล่วงเวลาหรือไม่  ก็ขึ้นอยู่กับว่านายอาทิตย์ซึ่งเป็นผู้เสนอได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่  ซึ่งในเรื่องนี้กฎหมายกำหนดหน้าที่ของผู้เสนอไว้ว่า  ผู้เสนอต้องบอกกล่าวแก่ผู้สนองโดยพลันว่าคำสนองนั้นมาถึงเนิ่นช้า  เว้นแต่จะได้บอกกล่าวเช่นนั้นไว้ก่อนแล้ว  ดังนั้น

(1)    ถ้านายอาทิตย์ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าว  กฎหมายจึงจะถือว่าจดหมายคำสนองของนางจันทราเป็นคำสนองล่วงเวลา

(2)   แต่ถ้านายอาทิตย์ละเลย  ไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าว  กฎหมายให้ถือว่าจดหมายคำสนองของนางจันทราเป็นคำสนองที่มิได้ล่วงเวลา  ซึ่งมีผลให้สัญญาซื้อขายบ้านระหว่างนายอาทิตย์กับนางจันทราเกิดขึ้น

สรุป  จดหมายตอบตกลงซื้อบ้านของนางจันทราที่ส่งไปยังนายอาทิตย์เป็นคำสนองล่วงเวลาหรือไม่ขึ้นอยู่กับว่า  นายอาทิตย์ซึ่งเป็นผู้เสนอได้ปฏิบัติหน้าที่  ตามที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่  ตามมาตรา  358

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2544

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2544

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ

ข้อ 1  ก.  การตีความกฎหมายแพ่งมีความแตกต่างกับการตีความกฎหมายอาญาอย่างไร  จงอธิบาย

          ข  จงอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลสิทธิ์และทรัพย์สิทธิ์

ธงคำตอบ

ก. การตีความกฎหมายแพ่งมีหลักเช่นเดียวกับการใช้กฎหมายแพ่งคือ  ต้องตีความตามตัวอักษรประกอบกับเจตนารมณ์ของกฎหมายพร้อมกันไป  โดยมีหลักในการตีความดังนี้

1  การตีความตามตัวอักษร  ต้องพิจารณาความหมายของตัวอักษรว่ามีความหมายอย่างไร  ถ้อยคำหรือคำศัพท์ของตัวอักษรนั้นเป็นศัพท์ธรรมดาหรือศัพท์ทางวิชาการ  เมื่อได้ความหมายของตัวอักษรแล้วจึงพิจารณาตีความตามเจตนารมณ์ประกอบต่อไป

 2 การตีความตามเจตนา  พิจารณาจาก

1       ที่มา  หรือประวัติความเป็นมาของกฎหมาย

2       ตำแหน่งหรือหมวดหมู่ของกฎหมาย

3       ถ้อยคำของกฎหมาย

4       สถานการณ์ในขณะที่บัญญัติกฎหมายนั้น  รวมทั้งรายงานการประชุมของฝ่ายนิติบัญญัติ

ส่วนการตีความกฎหมายอาญานั้น  จะต้องตีความอย่างเคร่งครัด  คือจะต้องพิจารณาตามตัวอักษร  โดยไม่ต้องพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของกฎหมาย  ตามที่ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  2  บัญญัติว่า  บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญา  ต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้น  บัญญัติว่าเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้  ดังนั้น  การใช้กฎหมายอาญาจึงต้องพิจารณาจากตัวอักษรโดยไม่ต้องพิจารณาเจตนารมณ์ของกฎหมายแต่อย่างใด  ถ้าไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด  ก็จะเอาโทษทางอาญาและลงโทษบุคคลนั้นไม่ได้

ข  จงอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลสิทธิ์และทรัพย์สิทธิ์

ธงคำตอบ

ข้อแตกต่างระหว่างบุคคลสิทธิ์และทรัพย์สิทธิ์

1       ทรัพย์สิทธิ์มีวัตถุแห่งสิทธิเป็นทรัพย์สิน  ส่วนบุคคลสิทธิ์มีวัตถุแห่งสิทธิเป็นการกระทำการงดเว้นกระทำการหรือส่งมอบทรัพย์สินให้แก่เจ้าหนี้

2       ทรัพย์สิทธิ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยบทบัญญัติของกฎหมาย  ส่วนบุคคลสิทธิ์เกิดขึ้นโดยนิติกรรมและนิติเหตุ

3       ทรัพย์สิทธิ์ก่อให้เกิดหน้าที่ต่อบุคคลทั่วไป  ส่วนบุคคลสิทธิ์ก่อให้เกิดหน้าที่ในการชำระหนี้เฉพาะลูกหนี้เท่านั้น

4       ทรัพย์สิทธิ์เกิดขึ้นและมีอยู่อย่างถาวรไม่สิ้นสุดเพราะการไม่ใช้สิทธินั้น  ส่วนบุคคลสิทธิ์สิ้นไปเพราะไม่ใช้สิทธิภายในกำหนดเวลาหรืออายุความ

 

ข้อ  2  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  15  ได้บัญญัติว่า  สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก  และสิ้นสุดลงเมื่อตาย  จงอธิบายว่า  สิ้นสุดลงเมื่อตาย  ของบุคคลนั้นหมายความว่าอย่างไร  และมีได้ในกรณีใดบ้างมาโดยครบถ้วน

ธงคำตอบ

คำว่า  สิ้นสุดลงเมื่อตาย  ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  15  ของ ป.พ.พ. นั้น  หมายความถึงการสิ้นสภาพของบุคคล  ซึ่งมีได้ 2 กรณีคือ

1       การตายโดยธรรมชาติ  (Death)

2       การสาบสูญ  (Disappearance)

การตายโดยธรรมชาติ  คือ  การสิ้นสภาพบุคคลเมื่อแกนสมองตาย  ในทางการแพทย์จะถือว่าบุคคลนั้นตายแล้ว

การสาบสูญ  คือ  การตายโดยผลของกฎหมาย  หรือการสิ้นสภาพบุคคลโดยผลของกฎหมายนั่นเอง  แม้ความจริงบุคคลนั้นอาจยังมีชีวิตอยู่  แต่ไม่มีใครพบเห็น  ไม่มีการส่งข่าวคราว  และเมื่อครบกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้  ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล

กำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนดมี  2  กรณีคือ  ในกรณีธรรมดา  5  ปี  และในกรณีพิเศษเวลาจะลดเหลือ  2  ปี  หากบุคคลนั้นหายไปในเหตุการณ์ดังนี้คือ

1       นับแต่เวลาที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง  ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงครามและหายไปในการรบหรือสงคราม

2       นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง  อับปางถูกทำลายหรือสูญหายไป  เช่น  เครื่องบินโดยสารตก

3       นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ในข้อ 1 และ 2 ผ่านพ้นไป  และบุคคลนั้นอยู่ในอันตรายดังกล่าว เช่น เหตุการณ์ไฟไหม้  น้ำท่วม

เมื่อศาลมีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญ  บุคคลนั้นก็สิ้นสภาพบุคคลทันทีนับแต่วันที่ครบกำหนดข้างต้นนี้

 

ข้อ  3  มีหลักเกณฑ์อย่างไรบ้างตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่จะทำให้บุคคลดังต่อไปนี้เป็น

1       ผู้เยาว์

2       คนเสมือนไร้ความสามารถ

3       คนไร้ความสามารถ

 ธงคำตอบ

1       ผู้เยาว์

ผู้เยาว์  คือ  บุคคลที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ  ซึ่งผู้เยาว์อาจจะบรรลุนิติภาวะด้วยเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งคือ

ก.      การบรรลุนิติภาวะโดยอายุ  ซึ่ง ป.พ.พ.  มาตรา 19  บัญญัติว่า  บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่อมีอายุยี่สิบปีบริบูรณ์ ซึ่งการนับอายุของบุคคลนั้นให้เริ่มนับแต่วันที่บุคคลนั้นเกิด  เช่น  ดำเกิดวันที่  10  มีนาคม  พ.ศ.2510  การนับอายุของดำให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่  10  มีนาคม  พ.ศ.2510 ดังนั้นดำจะมีอายุครบ  20  ปีบริบูรณ์  และจะบรรลุนิติภาวะในวันที่ 9  มีนาคม  พ.ศ. 2530  (เวลา 24.00น) เป็นต้น

ข.      การบรรลุนิติภาวะโดยการสมรส ตาม ป.พ.พ.มาตรา 20 ที่บัญญัติว่า  ผู้เยาว์ย่อมบรรลุนิติภาวะเมื่อทำการสมรส  หากการสมรสได้ทำตามบทบัญญัติมาตรา 1448 และในมาตรา  1448  บัญญัติว่า การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว  แต่ในกรณีที่มีเหตุสมควรศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนนั้นได้  ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้เยาว์จะบรรลุนิติภาวะโดยการสมรสได้นั้น  จะต้องเข้าเงื่อนไขอันใดอันหนึ่งต่อไปนี้  คือ–                    ชายและหญิงมีอายุครบ  17  ปีบริบูรณ์  ได้ทำการสมรสกันโดยจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย  และบิดามารดาหรือผู้ปกครองทั้งสองฝ่ายให้ความยินยอมด้วยกับการสารสนั้น

–                    ในกรณีที่ศาลเห็นสมควรอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนนั้น  อาจเป็นกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายยังมีอายุไม่ครบ 17 ปีบริบูรณ์  เช่น  ชายและหญิงมีอายุ  16 ปีเศษ ได้อยู่กินเป็นสามีภรรยากันจนหญิงตั้งครรภ์แล้ว  จะไม่ทำการสมรสกันไม่ได้  เพราะอายุไม่ครบเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนด  ก็อาจยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งอนุญาตให้ทำการสมรสกันได้  เป็นต้น

2       คนเสมือนไร้ความสามารถ

คนเสมือนไร้ความสามารถมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ มาตรา 32

ก.      ต้องมีเหตุบกพร่อง  คือ  มีกายพิการหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ  หรือประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ  หรือติดสุรายาเมา  หรือมีเหตุอื่นใดทำนองเดียวกันนั้น

ข.      บุคคลผู้นั้นไม่สามารถจะจัดทำการงานของตนเองได้  หรือจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว  เพราะเหตุบกพร่องนั้น

ค.      ศาลมีคำสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ  ซึ่งเมื่อศาลมีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถแล้ว  การเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถย่อมเริ่มตั้งแต่วันที่ศาลสั่ง  ไม่ใช่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ง.       บุคคลผู้มีสิทธิร้องขอต่อศาล  ได้แก่  บุพการี  (หมายถึง  บิดามารดา  ปู่ย่าตายาย  ทวด)  ผู้สืบสันดาน (หมายถึง  ลูก หลาน เหลน ลื่อ)  ผู้ปกครอง  ผู้พิทักษ์  ผู้ซึ่งปกครองดูแลผู้นั้นอยู่  หรือพนักงานอัยการ

3       คนไร้ความสามารถ

คนไร้ความสามารถมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้คือ  มาตรา 28

ก.      เป็นคนวิกลจริต หมายถึง  เป็นบุคคลที่สมองพิการ  คือ  จิตไม่ปกติ  หรือบุคคลที่มีกิริยาอาการไม่ปกติเพราะสติวิปลาส  คือ ขาดความรำลึก  ขาดความรู้สึก  หรืออาจจะหมายความรวมถึงเจ็บป่วยที่มีกิริยาอาการผิดปกติจนถึงขนาดไม่มีความรู้สึกผิดชอบใดๆทั้งสิ้นด้วย  และกรณีที่จะถือว่าเข้าหลักเกณฑ์ข้อนี้จะต้องเป็นอย่างมากและต้องเป็นประจำด้วย

ข.      ได้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ  และเมื่อศาลสั่งให้บุคคลใดเป็นคนไร้ความสามารถผลของการเป็นคนไร้ความสามารถเริ่มวันที่ศาลสั่ง  มิใช่เริ่มวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

ค.      บุคคลผู้มีสิทธิร้องขอต่อศาล  ได้แก่  บุพการี  (หมายถึง  บิดามารดา  ปู่ย่าตายาย  ทวด)  ผู้สืบสันดาน (หมายถึง  ลูก หลาน เหลน ลื่อ)  ผู้ปกครอง  ผู้พิทักษ์  ผู้ซึ่งปกครองดูแลผู้นั้นอยู่  หรือพนักงานอัยการ

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2544

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2544

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ 1  หลักในการตีความกฎหมายแพ่ง  กฎหมายอาญา  และกฎหมายมหาชน  มีความแตกต่างกันอย่างไร  จงอธิบาย 

ธงคำตอบการตีความกฎหมาย  หมายถึง  การค้นหาความหมายของกฎหมายที่มีถ้อยคำไม่ชัดเจนหรือกำกวมหรือมีความหมายได้หลายทาง  เพื่อหยั่งทราบว่าถ้อยคำของบทกฎหมายนั้นมีความหมายอย่างไร  ซึ่งกฎหมายแต่ละประเภทจะมีหลักเกณฑ์ในการตีความแตกต่างกันไป  คือ 

1       ถ้าเป็นกฎหมายแพ่ง  (หรือกฎหมายเอกชน)  เมื่อพิจารณาบทบัญญัติใน  ป.พ.พ.  มาตรา  4  วรรคแรกว่า  อันกฎหมายนั้นท่านว่าต้องใช้ในบรรดาซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใดๆ  แห่งกฎหมายตามตัวอักษรหรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้นๆ …  แสดงให้เห็นว่าการตีความกฎหมายแพ่งนั้น  จะต้องตีความตามตัวอักษรและเจตนารมณ์ของกฎหมายนั้นไปพร้อมๆกัน  เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่คู่กรณีทั้งสองฝ่ายในลักษณะเท่าเทียมกัน

2       ถ้าเป็นกฎหมายอาญา  เมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญามาตรา  2  ที่ว่า  บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้นบัญญัติว่าเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้  และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น  ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย…  แสดงให้เห็นว่าการตีความกฎหมายอาญานั้น  จะต้องตีความตามตัวอักษรโดยเคร่งครัด  โดยไม่ต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายแต่อย่างใด  ซึ่งเป็นไปตามหลักที่ว่า  ไม่มีกฎหมาย  ไม่มีความผิดและไม่มีโทษ

3       ถ้าเป็นกฎหมายมหาชน  การตีความจะต้องตีความโดยพิเคราะห์ตัวอักษรและเหตุผลหรือเจตนารมณ์พิเศษของกฎหมายมหาชนนั้นๆ  รวมทั้งอาจพิเคราะห์ถึงระเบียบปฏิบัติทางการปกครอง  ตลอดจนจารีตประเพณีทางการเมืองการปกครองประกอบด้วย  เพราะกฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบสังคม  ทั้งนี้เนื่องมาจากกฎหมายมหาชนเป็นกฎหมายว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับเอกชนนั่นเอง

 

ข้อ 2  จงอธิบายถึงหลักเกณฑ์ในการคุ้มครองผู้สุจริตตามที่บัญญัติไว้ในมาตราต่างๆ  ของป.พ.พ.  รวมทั้งหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการใช้สิทธิโดยสุจริต  ตาม ป.พ.พ. มาตรา 5

ธงคำตอบ

หลักเกณฑ์ในการคุ้มครองบุคคลผู้ใช้สิทธิโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ

การคุ้มครองผู้ใช้สิทธิโดนสุจริตเฉพาะเรื่อง ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้มีบัญญัติคุ้มครองเอาไว้หลายมาตรา  เช่น มาตรา   155, 412 , 905 , 1299 , 1300 , 1303 , 1311 , 1312 , 1329 , 1330 , 1331 และมาตรา  1332  เป็นต้น

ความสุจริตในกรณีนี้หมายถึง  ความไม่รู้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาก่อน  หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์  ซึ่งผู้ใช้สิทธิโดยสุจริตนี้จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย  เช่น  การที่ผู้ซื้อทรัพย์สินโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าเป็นทรัพย์สินที่ขโมยมาก็ดี  หรือการได้รับโอนทรัพย์สินไว้โดยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่ามีการคบคิดกันฉ้อฉลหรือแสดงเจตนาหลอกลวงกันในระหว่างคู่สัญญาคนก่อนๆก็ดี  ถือเป็นการกระทำโดยสุจริต  ซึ่งกฎหมายจะเข้ามาคุ้มครองโดยบัญญัติให้ไม่ต้องคืนทรัพย์สินนั้น  หรืออาจคืนทรัพย์สินโดยได้รับเงินที่เสียไปคืน  เป็นต้น

2       การใช้สิทธิโดยสุจริตทั่วไป  ตามป.พ.พ. มาตรา  5  ซึ่งบัญญัติไว้ว่า  ในการใช้สิทธิแห่งตนก็ดี  ในการชำระหนี้ก็ดี  บุคคลทุกคนต้องกระทำโดยสุจริตการใช้สิทธิโดยสุจริตในกรณีทั่วไปตาม ป.พ.พ. มาตรา  5  นี้  จะมีความหมายกว้างกว่าการใช้สิทธิโดยสุจริตเฉพาะเรื่อง  เพราะกรณีนี้ถือว่าเป็นหลักที่ใช้บังคับเกี่ยวกับการใช้สิทธิและการชำระหนี้ทางแพ่งโดยทั่วๆไป  โดยถือว่าในการที่บุคคลได้ผูกนิติสัมพันธ์ต่อกันแล้วทุกคนต้องซื่อสัตย์และไว้วางใจต่อกัน  และต้องปฏิบัติต่อกันด้วยความซื่อสัตย์และไว้วางใจด้วย  ถ้าการกระทำใดเป็นปฏิปักษ์ต่อความซื่อสัตย์และความไว้วางใจดังกล่าว  ย่อมถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต  ซึ่งศาลจะไม่รับรองและไม่รับบังคับให้  ตามหลักที่ว่า  บุคคลที่มาศาลต้องมาด้วยมือสะอาด

 

ข้อ 3  นายดำเป็นคนวิกลจริต  ซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมดังต่อไปนี้  มีผลในทางกฎหมายเป็นอย่างไร

1       ซื้อรถยนต์ราคา  500,000  บาท  จากนายแดง  โดยได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาล

2       ทำพินัยกรรมยกเงินจำนวน  100,000  บาทให้กับนายขาว

3       ซื้อจักรยานราคา  2,000  บาท  เพื่อขี่ออกกำลังกาย  โดยได้ทำนิติกรรมขณะวิกลจริต  แต่นายเขียวซึ่งเป็นผู้ขายไม่ทราบว่านายดำเป็นคนวิกลจริต

ธงคำตอบ

มาตรา  29  บัญญัติว่า  การใดๆอันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นเป็นโมฆียะ

มาตรา  1704  ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ในการทำพินัยกรรมของคนไร้ความสามารถไว้ว่า  พินัยกรรมซึ่งบุคคลผู้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ

จากหลักกฎหมายดังกล่าวหมายความว่า  นิติกรรมใดๆ  ที่คนวิกลจริตซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้ทำขึ้นนั้น  ย่อมตกเป็นโมฆียะทั้งสิ้น  เว้นแต่ถ้าเป็นพินัยกรรมจะตกเป็นโมฆะ  โดยไม่คำนึงว่าคนไร้ความสามารถจะได้ทำนิติกรรมในขณะวิกลจริตหรือไม่  หรือคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้หรือไม่ว่าเป็นคนวิกลจริต  หรือจะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลหรือไม่

ดังนั้นนิติกรรมของนายดำซึ่งเป็นคนวิกลจริตที่ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้ทำขึ้นย่อมมีผลตามกฎหมายดังนี้  คือ

1       นิติกรรมซื้อขายรถยนต์ราคา  500,000 บาท  จากนายแดง  มีผลเป็นโมฆียะ  แม้จะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลก็ตาม

2       การทำพินัยกรรมยกเงินจำนวน  100,000 บาท  ให้กับนายขาว  มีผลเป็นโมฆะ  ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1704

3       การทำนิติกรรมซื้อขายจักรยานราคา  2,000 บาท เพื่อขี่ออกกำลังกาย  มีผลเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา  29  แม้ว่าในขณะทำนิติกรรมนายเขียวผู้ขายจะไม่ทราบว่านายดำเป็นคนวิกลจริตก็ตาม

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2545

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ 25  คะแนน)

ข้อ 1  ก  การตีความกฎหมายคืออะไร  เหตุใดจึงต้องมีการตีความกฎหมาย

         ข  จงอธิบายถึงหลักในการตีความกฎหมายแพ่ง  พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

ก.      การตีความกฎหมาย คือ  การค้นหาความหมายของกฎหมายที่มีถ้อยคำไม่ชัดเจนหรือกำกวมหรือมีความหมายได้หลายอย่าง เพื่อจะได้ทราบว่าถ้อยคำของกฎหมายนั้นมีความหมายอย่างไร  เมื่อตีความกฎหมายได้แล้วก็จะได้นำเอากฎหมายไปปรับใช้ในการวินิจฉัยกับข้อเท็จจริงได้ต่อไป

หลักเกณฑ์ในการตีความกฎหมายแพ่ง  มีหลักเช่นเดียวกับการใช้กฎหมายแพ่ง  กล่าวคือ  จะต้องค้นหาความหมายของบทบัญญัติของกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมายไปพร้อมๆกัน  จึงจะได้ความหมายที่ถูกต้องแท้จริงของกฎหมายนั้น  โดยเริ่มจาก

1       การตีความตัวอักษร  ทั้งศัพท์ธรรมดาและศัพท์กฎหมาย  เพื่อจะได้ทราบความหมายของตัวอักษรเสียก่อน  และ

2       การตีความตามเจตนารมณ์  เพื่อค้นหาความมุ่งหมายอันแท้จริงของกฎหมายว่าเป็นอย่างไร  เจตนารมณ์ของกฎหมายอาจดูได้จากที่มา  ตำแหน่งหรือหมวดหมู่ของกฎหมาย  จากถ้อยคำของบทบัญญัตินั้นๆ  หรือดูจากสถานการณ์ในขณะบัญญัติกฎหมาย รวมถึงจากรายงานการประชุมของฝ่ายนิติบัญญัติในการออกกฎหมายนั้นๆด้วย

ตัวอย่างเช่น  กฎหมายลักษณะมรดก  มาตรา  1627  บัญญัติว่า บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วและบุตรบุญธรรมนั้น  ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย  ซึ่งคำว่า  บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว  เป็นถ้อยคำของกฎหมายที่มีความหมายกำกวมไม่ชัดเจน  กล่าวคือ  ไม่แน่ชัดว่าจะใช้ความหมายอย่างแคบ  ซึ่งหมายถึงการรับรองโดยนิตินัย  เช่น  การจดทะเบียนรับรองบุตร  หรือจะใช้ความหมายอย่างกว้าง  ซึ่งหมายถึงการรับรองโดยพฤตินัย  เช่น  การที่บิดาให้ใช้นามสกุล  อุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาและเปิดเผยแก่บุคคลทั่วไปว่าเด็กเป็นบุตรของตน  และเมื่อมีการตีความตามตัวอักษรประกอบกับความมุ่งหมาย  หรือเจตนารมณ์ของกฎหมายลักษณะมรดกแล้ว  จะเห็นได้ว่ากฎหมายมรดกมีความประสงค์ที่จะให้บุตรที่จะเป็นผู้สืบสันดานและมีสิทธิรับมรดกนั้น  หมายถึง  บุตรตามความเป็นจริง  กล่าวคือ  แม้จะเป็นบุตรนอกกฎหมาย  แต่ถ้าหากบิดาได้รับรองโดยพฤตินัยแล้วก็มีสิทธิรับมรดกของบิดาได้เช่นเดียวกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ  2  นายจันทร์ได้จากภูมิลำเนาที่จังหวัดเชียงใหม่และไม่มีใครรู้แน่ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไร  เป็นเวลา  นาน  15  เดือนแล้ว  ต่อมาศาลได้มีคำสั่งแต่งตั้งนายอังคารขึ้นเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่คือนายจันทร์  ตามคำร้องขอของผู้มีส่วนได้เสีย  หลังจากนั้นไม่นานนายอังคารได้นำทรัพย์สินของนายจันทร์  คือ  บ้านพร้อมที่ดินไปขายให้กับนายพุธในราคา  20  ล้านบาท  เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่กองทรัพย์สินของนายจันทร์

ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า  นายอังคารมีอำนาจกระทำการดังกล่าวหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  48  วรรค  2  เมื่อเวลาได้ล่วงเลยไป  1  ปี  นับแต่วันที่ผู้ไม่อยู่นั้นไปเสียจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีผู้ใดได้รับข่าวเกี่ยวกับบุคคลนั้นประการใดเลยก็ดี  หรือหนึ่งปีนับแต่วันมีผู้ได้พบเห็น  หรือได้ทราบข่าวมาเป็นครั้งหลังสุดก็ดี  เมื่อบุคคลตามวรรคหนึ่งร้องขอ  ศาลจะตั้งผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ขึ้นก็ได้

มาตรา  54  ผู้จัดการทรัพย์สินมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับตัวแทนผู้รับมอบอำนาจทั่วไป  ตามมาตรา  801  และมาตรา  802

มาตรา  801  ถ้าตัวแทนได้รับมอบอำนาจทั่วไป  ท่านว่าจะทำกิจใดๆในทางจัดการแทนตัวการก็ย่อมทำได้ทุกอย่าง

แต่การเช่นอย่างจะกล่าวต่อไปนี้  ท่านว่าหาอาจจะทำได้ไม่  คือ

(1) ขายหรือจำนองอสังหาริมทรัพย์

(2) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์กว่าสามปีขึ้นไป

(3) ให้

(4) ประนีประนอมยอมความ

(5) ยื่นฟ้องต่อศาล

(6) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการพิจารณา

ตามปัญหา  การที่ศาลได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้นายอังคารเป็นผู้จัดการทรัพย์สินของนายจันทร์ผู้ไม่อยู่ตามคำร้องขอของผู้มีส่วนได้เสียแล้ว นายอังคารย่อมมีอำนาจจัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่เสมือนเป็นตัวแทนรับมอบอำนาจทั่วไป  ตาม ป.พ.พ. มาตรา 54  ประกอบกับมาตรา 801  ดังนั้นการที่นายอังคารได้นำบ้านพร้อมที่ดินของนายจันทร์ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ไปขายให้นายพุธ  แม้จะเป็นประโยชน์แก่กองทรัพย์สินของนายจันทร์ก็ไม่อาจทำได้  เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจกศาลก่อนเท่านั้น  แต่เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านายอังคารได้ขออนุญาตต่อศาลก่อนแต่อย่างไร  การกระทำของนายอังคารจึงขัดต่อ  ป.พ.พ. มาตรา  54  ประกอบกับมาตรา  801

สรุป  นายอังคารไม่สามารถที่จะนำบ้านพร้อมที่ดินของนายจันทร์ไปขายให้กับนายพุธได้ ด้วยเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ  3  คนวิกลจริตและคนไร้ความสามารถคือใคร  มีความสามารถเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร  ในการทำนิติกรรม  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา 28  บุคคลวิกลจริตผู้ใด  ถ้าคู่สมรส  ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  ผู้ปกครองหรือผู้พิทักษ์  ผู้ซึ่งดูแลปกครองบุคคลผู้นั้นอยู่  หรือพนักงานอัยการ  ร้องขอต่อศาลให้สั่งให้บุคคลวิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถ  ศาลจะสั่งให้บุคคลวิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถก็ได้  และบุคคลซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถนั้นต้องจัดให้อยู่ในความอนุบาล

มาตรา  30  การใดๆอันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่  และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต

มาตรา  29  การใดๆอันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นเป็นโมฆียะ

จากหลักกฎหมายดังกล่าว คนวิกลจริตและคนไร้ความสามารถคือบุคคลที่มีลักษณะดังนี้  คือ

คนวิกลจริต  หมายถึง  บุคคลที่สมองพิการ  คือ  จิตไม่ปกติหรือบุคลที่มีกิริยาอาการไม่ปกติเพราะสติวิปลาส  หรืออาจจะหมายความรวมถึงคนเจ็บป่วยทางจิตอย่างรุนแรง  ทำให้มีกิริยาอาการผิดปกติจนถึงขนาดที่ไม่มีความรู้สึกผิดชอบใดๆทั้งสิ้น

คนไร้ความสามารถ  หมายถึง  คนวิกลจริตดังกล่าวข้างต้นที่ได้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้สามารถแล้ว  โดยการที่ผู้มีส่วนได้เสีย  กล่าวคือ  คู่สมรส  ผู้บุพการี  ผู้สืบสันดาน  ผู้ปกครองหรือผู้พิทักษ์  หรือผู้ซึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้นอยู่  หรือพนักงานอัยการได้ร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้คนวิกลจริตเป็นคนไร้ความสามารถและศาลได้สั่งให้ตามคำขอ

ในการทำนิติกรรมของคนวิกลจริตและคนไร้ความสามารถนั้นจะมีความแตกต่างกันดังนี้

1       คนวิกลจริตที่ศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถนั้น  สามารถทำนิติกรรมใดๆ  ได้สมบูรณ์  เว้นแต่จะเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่  และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำนิติกรรมนั้นเป็นคนวิกลจริต ส่วนคนไร้ความสามารถนั้นจะทำนิติกรรมใดๆไม่ได้  นิติกรรมที่คนไร้ความสามารถได้กระทำลงนั้นจะตกเป็นโมฆียะ  ดังนั้นจึงต้องให้ผู้อนุบาลทำแทน

2       คนไร้ความสามารถทำพินัยกรรม  พินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ  ส่วนคนวิกลจริตทำพินัยกรรม   พินัยกรรมจะตกเป็นโมฆะก็ต่อเมื่อสามารถพิสูจน์ได้ว่าได้ทำพินัยกรรมนั้นในขณะจริตวิกล

สำหรับการสมรสนั้น  ไม่ว่าคู่สมรสจะได้ทำการสมรสในขณะที่เป็นคนวิกลจริตหรือเป็นคนไร้ความสามารถ  การสมรสนั้นก็ตกเป็นโมฆะเหมือนกัน

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2545

การสอบไล่ภาค 2  ปีการศึกษา 2545

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ 25  คะแนน)

ข้อ 1  ก.  การตีความกฎหมายแพ่ง  มีความแตกต่างกับการตีความกฎหมายอาญาอย่างไร

ข  สิทธิตามกฎหมายเอกชนคืออะไร  สิทธิตามกฎหมายเอกชนมีบ่อเกิดจากอะไรบ้าง  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ก. การตีความกฎหมายแพ่งมีหลักเช่นเดียวกับการใช้กฎหมายแพ่งคือ  ต้องตีความตามตัวอักษรประกอบกับเจตนารมณ์ของกฎหมายพร้อมกันไป  โดยมีหลักในการตีความดังนี้

1  การตีความตามตัวอักษร  ต้องพิจารณาความหมายของตัวอักษรว่ามีความหมายอย่างไร  ถ้อยคำหรือคำศัพท์ของตัวอักษรนั้นเป็นศัพท์ธรรมดาหรือศัพท์ทางวิชาการ  เมื่อได้ความหมายของตัวอักษรแล้วจึงพิจารณาตีความตามเจตนารมณ์ประกอบต่อไป

 2 การตีความตามเจตนา  พิจารณาจาก

1       ที่มา  หรือประวัติความเป็นมาของกฎหมาย

2       ตำแหน่งหรือหมวดหมู่ของกฎหมาย

3       ถ้อยคำของกฎหมาย

4       สถานการณ์ในขณะที่บัญญัติกฎหมายนั้น  รวมทั้งรายงานการประชุมของฝ่ายนิติบัญญัติ

ส่วนการตีความกฎหมายอาญานั้น  จะต้องตีความอย่างเคร่งครัด  คือจะต้องพิจารณาตามตัวอักษร  โดยไม่ต้องพิจารณาถึงเจตนารมณ์ของกฎหมาย  ตามที่ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  2  บัญญัติว่า  บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญา  ต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้น  บัญญัติว่าเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้  ดังนั้น  การใช้กฎหมายอาญาจึงต้องพิจารณาจากตัวอักษรโดยไม่ต้องพิจารณาเจตนารมณ์ของกฎหมายแต่อย่างใด  ถ้าไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิด  ก็จะเอาโทษทางอาญาและลงโทษบุคคลนั้นไม่ได้

ข. สิทธิตามกฎหมายเอกชน  คือ  สิทธิที่เอกชนมีต่อกันเอง  กล่าวคือเป็นสิทธิที่เอกชนคนหนึ่งซึ่งมีอำนาจเหนือบุคคลอื่นในฐานะผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินก็ดี  หรือผู้เป็นเจ้าหนี้ก็ดี  มีอำนาจที่จะบังคับให้บุคคลอื่นซึ่งมีฐานะเป็นลูกหนี้มีหน้าที่ชำระหนี้โดยการกระทำการ  งดเว้นกระทำการ  หรือส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ตน

สิทธิตามกฎหมายเอกชนมีบ่อเกิด 5 ทางด้วยกันคือ

1 นิติกรรมสัญญา

2  ละเมิด

3  จัดการงานนอกสั่ง

4  ลาภมิควรได้

5  บทบัญญัติแห่งกฎหมาย

 

ข้อ  2  จงอธิบายว่า  การตายพร้อมกัน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยบุคคล (มาตรา 17 ) นั้น หมายความว่าอย่างไร  มาโดยถูกต้องและครบถ้วน

ธงคำตอบ

มาตรา  17  บัญญัติว่า  ในกรณีที่บุคคลหลายคนตายในเหตุภยันตรายร่วมกัน  ถ้าเป็นการพ้นวิสัยที่จะกำหนดได้ว่าคนไหนตายก่อนหลัง  ให้ถือว่าตายพร้อมกัน

มาตรา  17  ต้องการแก้ไขปัญหาในกรณีไม่แน่ชัดว่าใครตายก่อนหรือหลัง  ในเหตุภยันตรายเดียวกัน  ซึ่งอาจก่อปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการรับมรดกได้  เพรากฎหมายเรื่องรับมรดกได้กำหนดให้คนตายทีหลังได้มรดกของคนตายก่อน  ดังนั้นเมื่อกำหนดให้ตายพร้อมกัน  หากเข้าเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดผลคือไม่มีใครรับมรดกใครได้เลย

แต่การตายตามมาตรา  17  จะถือว่าเป็นการตายพร้อมกันเมื่อครบเงื่อนไข 2 ประการคือ

1       บุคคลหลายคนตายในเหตุภยันตรายร่วมกัน  ตัวอย่างเช่น  การเดินทางโดยเครื่องบินโดยสารลำเดียวกันแล้วเกิดเหตุเครื่องบินตก

2       ถ้าเป็นการพ้นวิสัยที่จะกำหนดได้ว่า  ใครตายก่อนตายหลัง  ตัวอย่างเช่น เมื่อเครื่องบินตกและมีการเข้าไปช่วยเหลือในภายหลังมีภยันตรายแล้วปรากฏว่าผู้โดยสารตายหมดแล้ว

 

ข้อ 3  นายไก่เป็นคนร่างกายพิการมาแต่กำเนิด มีอาชีพขายล็อตเตอรี่เลี้ยงชีพ  เมื่อมีอายุย่างเข้า 15 ปี  ได้ทำพินัยกรรมยกที่ดิน  1  แปลง ให้แก่จุ๋มจิ๋มคนที่ตนหลงรัก  หลังจากนั้นเมื่อมีอายุได้ 20 ปีบริบูรณ์ ได้จดทะเบียนสมรสกับนางไข่  และมีลูกด้วยกัน 1 คน  คือนางสาวเป็ด เมื่อนางสาวเป็ดเรียนจบมหาวิทยาลัย  รู้สึกอับอายที่บิดาหาเลี้ยงครอบครัวโดยขายล็อตเตอรี่  บอกให้เลิกก็ไม่เลิก  ต้องการจะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่บิดาของตนเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และถ้านายไก่ถึงแก่กรรม  พินัยกรรมที่นายไก่ทำไว้  จะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  25  ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุครบสิบห้าปีบริบูรณ์

มาตรา  1703  พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ

มาตรา  28  บุคคลวิกลจริตผู้ใด  ถ้าคู่สมรสก็ดี  ผู้บุพการี  กล่าวคือ  บิดามารดา  ปู่ย่าตายาย  ทวดก็ดี  ผู้สืบสันดาน  กล่าวคือ  ลูกหลานเหลนลื่อก็ดี  ผู้ปกครองหรือผู้พิทักษ์ก็ดี  ผู้ซึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้นอยู่ก็ดี  หรือพนักงานอัยการก็ดี  ร้องขอต่อศาลให้สั่งให้บุคคลวิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถ  ศาลจะสั่งให้บุคคลวิกลจริตผู้นั้นเป็นคนไร้ความสามารถก็ได้

มาตรา  32  วรรคแรก  บัญญัติว่า  บุคคลใดมีกายพิการหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ  หรือประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ  หรือติดสุรายาเมา  หรือมีเหตุอื่นใดทำนองเดียวกันนั้นจนไม่สามารถจะจัดทำการงานโดยตนเองได้  หรือจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว  เมื่อบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา  28  ร้องขอต่อศาล  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถก็ได้

วินิจฉัย

นายไก่ทำพินัยกรรมเมื่อมีอายุยังไม่ครบ  15  ปีบริบูรณ์  ผลจึงเป็นโมฆะ (มาตรา 25, 1703 )

นางสาวเป็ดลูกสาวจะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่บิดาของตนเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถไม่ได้  เพราะแม้นายไก่จะเป็นคนที่ร่างกายพิการ  แต่สามารถจัดทำการงานโดยตนเองได้และไม่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัวแต่อย่างใด  ทำให้นางสาวเป็ดจะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถไม่ได้ (มาตรา 28 , 32)

ดังนั้นพินัยกรรมที่นายไก่ทำขึ้นเป็นโมฆะ  และนางสาวเป็ดจะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถไม่ได้

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2545

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2545

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  จงอธิบายการใช้  การตีความ  และการอุดช่องว่างของกฎหมายตามมาตรา  4    ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  และในเรื่องดังกล่าวมีความแตกต่างจากกฎหมายอาญาหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

ป.พ.พ. มาตรา  4  “กฎหมายนั้น  ต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใดๆ แห่งกฎหมายตามตัวอักษร  หรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้นๆ

เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้  ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย  ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป”

ป.อ. มาตรา 2  “บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้  และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น  ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย”

การใช้และการตีความกฎหมายแพ่งนั้น  จะต้องใช้หรือตีความตามลายลักษณ์อักษร  หรือตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย  แต่นักกฎหมายบางท่านเห็นว่าการใช้กฎหมายและการตีความกฎหมายควรจะใช้และตีความตามตัวอักษรประกอบกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย  ส่วนการใช้และการตีความกฎหมายอาญาตามมาตรา 2  ประมวลกฎหมายอาญานั้น  การใช้และการตีความกฎหมายนั้นต้องใช้และตีความอย่างเคร่งครัด  คือ  ต้องพิจารณาจากหลักเกณฑ์หรือองค์ประกอบของกฎหมายตามตัวอักษรเท่านั้น

การอุดช่องว่างของกฎหมายนั้น  ถ้าหากกฎหมายลายลักษณ์อักษรหรือเจตนารมณ์ของกฎหมายก็ไม่มีในการอุดช่องว่างของกฎหมายโดยดูจากจารีตประเพณี  ถ้าไม่มีดูกฎหมายใกล้เคียง  ถ้าหากไม่มีก็ดูกฎหมายทั่วไป  ส่วนทางอาญานั้นไม่มีการอุดช่องว่างของกฎหมาย

ข้อ  2  ในการที่ศาลจะสั่งให้บุคคลธรรมดาเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดาและการเป็นคนสาบสูญกรณีพิเศษ  มีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไรบ้าง  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตร  61      ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา  5  ปี     เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือ  2  ปี

1  นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง   ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

2  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

3  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  หรือ (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

ศาลจะสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดา  ต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้(1) บุคคลใดบุคคลหนึ่งไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่และ

(2) ไม่ได้รับข่าวคราวหรือไม่มีใครพบเห็นตัว

(3) ติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี

(4) ผู้มีส่วนได้เสีย  เช่น  สามี  ภริยา  บิดามารดา  ผู้สืบสันดาน  ฯลฯ  หรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาล

(5) ศาลอาจจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ

ส่วนกรณีพิเศษนั้นกำหนดระยะเวลาลดเหลือ 2 ปี นับแต่

(1) วันมีการรบ  หรือสงครามสิ้นสุดลง  หรือ

(2) วันที่เกิดยานพาหนะโดยสารไปเกิดอุบัติเหตุ  อับปาง ฯลฯ

(3) หรือเหตุอื่นๆนอกจากกรณี  1) หรือ 2)  และมีการตายเกิดขึ้นเพราะบุคคลดังกล่าวอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ เมื่อเหตุการณ์ได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่พบตัว หรือได้รับข่าวคราว

 

ข้อ  3  เมื่อไก่อายุย่างเข้า  15  ปี  ได้ทำพินัยกรรมยกที่นา  1  แปลง  ให้แก่นางสาวแดง  เมื่ออายุ  18  ปี  ได้ทำพินัยกรรมขึ้นอีกฉบับหนึ่งยกบ้านและที่ดินให้แก่นางสาวเขียว  และเมื่ออายุครบ  20  ปีบริบูรณ์ทำพินัยกรรมยกรถยนต์หรูราคาแพงให้แก่นางสาวเหลือง 1 คัน  ครั้นอายุ  30  ปี  นายไก่ได้จดทะเบียนสมรสกับนางไข่  เมื่อนางไข่คลอดเด็กหญิงรวมสี  นางไข่ก็ถึงแก่ความตาย  นายไก่เสียใจก็ตายตามภริยา  เมื่ออายุเพียง 32 ปีเท่านั้น

พินัยกรรมที่นายไก่ทำทั้งหมดมีผลในทางกฎหมายอย่างไร  และเด็กหญิงรวมสีมีสิทธิได้รับทรัพย์สินดังที่กล่าวมาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  25  “ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์”

มาตรา  1703  “พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ”

การที่นายไก่ทำพินัยกรรมยกที่นาให้นางสาวแดงเมื่อมีอายุย่างเข้า 15 ปี จึงมีผลให้พินัยกรรมฉบับนี้เป็นโมฆะ  ที่นาจึงตกเป็นของเด็กหญิงรวมสีซึ่งอยู่ในฐานะผู้สืบสันดาน  เป็นทายาทโดยธรรมของนายไก่

ส่วนพินัยกรรมที่นายไก่ยกบ้านและที่ดินให้แก่นางสาวเขียว  และรถยนต์ให้แก่นางสาวเหลืองนั้นสมบูรณ์  เพราะทำไปในขณะที่อายุครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว  เมื่อนายไก่ถึงแก่ความตาย  บ้านและที่ดิน  รถยนต์จึงตกเป็นของนางสาวเขียว และนางสาวเหลืองตามพินัยกรรม

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2546

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2546

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ

ข้อ 1  ก. การตีความกฎหมายคืออะไร  จงอธิบายถึงหลักเกณฑ์ในการตีความกฎหมายแพ่งมาพอสังเขป

 ข  หลักกฎหมายทั่วไปในทางแพ่งคืออะไร  หลักกฎหมายทั่วไปสามารถนำมาใช้ในการอุดช่องว่างของกฎหมายแพ่งได้อย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ก.      การตีความกฎหมาย คือ  การค้นหาความหมายของกฎหมายที่มีถ้อยคำไม่ชัดเจนหรือกำกวมหรือมีความหมายได้หลายอย่าง  เพื่อจะได้ทราบว่าถ้อยคำของกฎหมายนั้นมีความหมายอย่างไร  เมื่อตีความกฎหมายได้แล้วก็จะได้นำเอากฎหมายไปปรับใช้ในการวินิจฉัยกับข้อเท็จจริงได้ต่อไป

หลักเกณฑ์ในการตีความกฎหมายแพ่ง  มีหลักเช่นเดียวกับการใช้กฎหมายแพ่ง  กล่าวคือ  จะต้องค้นหาความหมายของบทบัญญัติของกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมายไปพร้อมๆกัน  จึงจะได้ความหมายที่ถูกต้องแท้จริงของกฎหมายนั้น  โดยเริ่มจาก

1       การตีความตัวอักษร  ทั้งศัพท์ธรรมดาและศัพท์กฎหมาย  เพื่อจะได้ทราบความหมายของตัวอักษรเสียก่อน  และ

2       การตีความตามเจตนารมณ์  เพื่อค้นหาความมุ่งหมายอันแท้จริงของกฎหมายว่าเป็นอย่างไร  เจตนารมณ์ของกฎหมายอาจดูได้จากที่มา  ตำแหน่งหรือหมวดหมู่ของกฎหมาย  จากถ้อยคำของบทบัญญัตินั้นๆ  หรือดูจากสถานการณ์ในขณะบัญญัติกฎหมาย  รวมถึงจากรายงานการประชุมของฝ่ายนิติบัญญัติในการออกกฎหมายนั้นๆด้วย

ข  หลักกฎหมายทั่วไป  คือ  หลักกฎหมายอันเป็นรากฐานหรือเป็นที่มาของบทบัญญัติกฎหมายใยเรื่องต่างๆในทางแพ่ง  บทบัญญัติองกฎหมายในมาตราต่างๆ  ของกฎหมายแพ่งมักจะบัญญัติขึ้นมาจากหลักทั่วไปดังกล่าว  เช่น  หลักสุจริต  หลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน  หลักผู้ซื้อต้องระวัง  หลักกฎหมายปิดปาก  หลักบุคคลต้องปฏิบัติตามสัญญา  ฯลฯ  หลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจมาจากหลักทั่วไปที่ใช้อยู่ในระบบกฎหมายไทยเอง คือระบบซีวิลลอว์  หรืออาจเป็นหลักกฎหมายทั่วไปที่มาจากระบบกฎหมายอื่น  เช่น  ระบบคอมมอน ลอว์ ก็ได้

หลักกฎหมายทั่วไปอาจนำมาใช้ในการอุดช่องว่างของกฎหมายได้ตาม  ป.พ.พ. มาตรา  4  วรรค  2  คือ  หากไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาปรับกับคดี  และก็ไม่มีจารีตประเพณี  รวมถึงไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ก็ต้องนำหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้ปรับกับข้อเท็จจริงในคดีที่เกิดขึ้นแทน

 

ข้อ  2  นายภราดรเดินทางโดยเครื่องบินโดยสารเพื่อไปทำธุรกิจที่ประเทศฝรั่งเศส  เมื่อวันที่  1  ตุลาคม  พ.ศ.2544  ปรากฏว่าเครื่องบินลำดังกล่าวได้สูญหายไประหว่างการเดินทาง  และนับจากวันเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวไม่มีใครได้รับข่าวคราวหรือพบเห็นนายภราดรอีกเลย  นางสมสมรซึ่งเป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหมายของนายภราดรได้มาปรึกษาท่าน ว่าจะร้องขอต่อศาลเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้นายภราดรเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่  และจะมีสิทธิร้องขอได้เมื่อใด  อยากทราบว่า  ท่านจะให้คำปรึกษาแก่นางสมสมรได้อย่างไร  และเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตร  61     ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา  5  ปี     เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้ 

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือ  2  ปี

1  นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง   ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

2  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

3  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  หรือ (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

4  ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาลให้บุคคลดังกล่าวเป็นคนสาบสูญ

5  ศาลมีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ

กรณีตามอุทาหรณ์นั้น  นายภราดรได้เดินทางโดยเครื่องบินโดยสารเพื่อไปทำธุรกิจที่ประเทศฝรั่งเศส  เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม  พ.ศ.2544  และปรากฏว่าเครื่องบินลำดังกล่าวได้สูญไประหว่างการเดินทางทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงว่า  ไม่มีใครได้รับข่าวคราวหรือพบเห็นนายภราดรอีกเลยนับจากวันที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น 

ข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่นางสมสมรภรรยานายภราดรว่า  นางสมสมรย่อมมีสิทธิของการเป็นผู้มีส่วนได้เสียร้องขอต่อศาลให้ศาลมีคำสั่งให้นายภราดรเป็นผู้สาบสูญได้แล้ว  และนางสมสมรจะเริ่มใช้สิทธิดังกล่าวได้เมื่อครบ 2 ปีนับจากวันเกิดเหตุคือ  วันที่ 2 ตุลาคม  พ.ศ. 2546  เพราะเป็นการสาบสูญในกรณีพิเศษระยะเวลาจะลดลงจาก 5 ปี  เหลือเพียง  2  ปีเท่านั้น  ส่วนศาลจะมีคำสั่งตามคำขอหรือไม่ย่อมอยู่ในดุลพินิจของศาล

ดังนั้นข้าพเจ้าจะให้คำปรึกษาแก่นางสมสมรว่า   สามารถร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำสั่งให้นายภราดรเป็นผู้สาบสูญได้ตั้งแต่วันที่  2 ตุลาคม  พ.ศ.2546  เป็นต้นไป

 

ข้อ 3  ก . บุคคลธรรมดาประเภทใดบ้างที่ถูกจำกัดความสามารถในการทำนิติกรรมข  ศาลจะสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ  คนไร้ความสามารถ  จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญๆอย่างไรบ้าง  จงอธิบาย

ธงคำตอบ 

ก. บุคคลธรรมดาที่ถูกจำกัดความสามารถในการทำนิติกรรมคือ

1  ผู้เยาว์

2  คนเสมือนไร้ความสามารถ

3  คนไร้ความสามารถ

ข  หลักเกณฑ์ของการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถจากมาตรา  32  วรรคแรก  มีดังต่อไปนี้ คือ

1        ต้องมีเหตุบกพร่อง  กรณีที่จะถือว่าเป็น  เหตุบกพร่อง  นั้น  อาจจะเป็นเพราะเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้

(1)   กายพิการ  คือ  ร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งได้ขาดไปหรือไม่สมประกอบ  ซึ่งอาจจะเกิดแต่กำเนิดหรือเกิดขึ้นภายหลังก็ได้  เช่น  ตาบอด  หูหนวก  เป็นใบ้  ขาแขนขาด  หรือเป็นอัมพาตง่อยเปลี๊ยเสียขา  เป็นต้น

(2)   จิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ  คือ  จิตใจไม่ปกติ  เป็นโรคจิตแต่ไม่ถึงกับวิกลจิต คือ  มีเวลาที่รู้สึกตัว  มีสติรู้สึกผิดชอบธรรมดา  แต่บางครั้งก็เลอะเลือนไปบ้าง

(3)   ประพฤติสุลุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ  หมายถึง  คนที่มีนิสัยใช้จ่ายทรัพย์สินอย่างไม่มีประโยชน์เกินกว่ารายได้ที่ได้รับและเป็นอาจิณคือเป็นประจำ

(4)   เป็นคนติดสุรายาเมา  คือ  คนที่เสพสุรา  หรือของมึนเมาต่างๆ  เมื่อเสพไปแล้ว  ก็ต้องเสพเป็นนิจ  ซึ่งขาดเสียมิได้

(5)   เหตุอื่นใดทำนองเดียวกันกับข้อ (1) (4)  เช่น  พวกหลงใหลในสิ่งของต่างๆหรือเป็นโรคประจำตัวจนไม่สามารถทำการงานของตนเองหรือจัดการเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว  เป็นต้น

  1. บุคคลนั้นไม่สามารถจะจัดทำการงานของตนเองได้  หรือจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว  เพราะเหตุบกพร่องนั้น  เช่น  นายดำเป็นอัมพาตอย่างร้ายแรงจนไม่สามารถทำการงานของตนเองได้  เช่นนี้นายดำอาจถูกร้องขอให้ศาลสั่งเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถได้  แต่อย่างไรก็ตามถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่า  แม้นายดำจะเป็นอัมพาต  แต่นายดำก็สามารถขายล็อตเตอรี่หาเลี้ยงครอบครัวได้  เช่นนี้นายดำยังสามารถจัดทำการงานของตนได้  จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะร้องขอให้ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถได้เป็นต้น

 3       ผู้มีส่วนได้เสีย  (บุคคลตามที่ระบุในมาตรา  28  )  ได้แก่  สามี  ภริยา  บุพการี  ผู้สืบสันดานหรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาล  ศาลอาจจะ สั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและตั้งผู้พิทักษ์ขึ้นมาดูแลตราบ ใดที่ศาลยังไม่มีคำสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ  บุคคลนั้นก็ยังไม่เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ  ย่อมมีสิทธิและหน้าที่เช่นอย่างบุคคลธรรมดาสามัญทั่วไป  และเมื่อศาลมีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถแล้ว  การเป็นคนไร้ความสามารถย่อมเริ่มตั้งแต่วันที่ศาลสั่ง  ไม่ใช่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

 ศาลจะสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนไร้ความสามารถ  ต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้คือ

1       บุคคลนั้นเป็นคนวิกลจริต

2       คู่สมรส  หรือบุพการี (บิดามารดา  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  ทวด)  ผู้สืบสันดาน  (ลูก หลาน เหลน  ลื่อ)  ผู้ปกครอง  ผู้พิทักษ์  ผู้ปกครองดูแลบุคคลนั้น  หรือพนักงานอัยการ  ร้องขอต่อศาลศาลอาจจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนไร้ความสามารถ  และตั้งผู้อนุบาลเป็นผู้ดูแลบุคคลนั้น  (หลักกฎหมาย มาตรา 19, 28 , 32)

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2546

การสอบไล่ภาค 2  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ 1  ก.  ช่องว่างของกฎหมายคืออะไร  จงอธิบายถึงการอุดช่องว่างของกฎหมายแพ่งโดยการเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง(Analogy) มาโดยสังเขป

ข  สิทธิตามกฎหมายเอกชนคืออะไร  มีบ่อเกิดจากอะไรบ้าง  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ก.  ช่องว่างของกฎหมาย  เกิดขึ้นเนื่องจากไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาปรับกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นนั่นเอง

ในกรณีที่มีช่องว่างของกฎหมายเกิดขึ้น  โดยหลักทั่วไปศาลจะปฏิเสธไม่พิจารณาพิพากษาคดีโดยอ้างว่าไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่คดีนั้นไม่ได้   

กล่าวคือ  ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดคดีนั้นเสมอโดยศาลจะต้องใช้กฎหมายโดวิธีอุดช่องว่างของกฎหมายตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายได้กำหนดไว้  ซึ่งจะเห็นได้จากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  4  วรรคสอง  ซึ่งได้บัญญัติถึงการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้ว่า

เมื่อไม่มีบทบัญญัติกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น  ให้วินิจฉัยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นไม่มีด้วย  ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

อนึ่งสำหรับกฎหมายอาญานั้น  แม้ว่าจะเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความผิดและโทษ  ศาลก็ย่อมที่จะอุดช่องว่างแห่งกฎหมายได้  แต่จะอุดช่องว่างแห่งกฎหมายให้เป็นการลงโทษบุคคล  หรือจะอุดช่องว่างแห่งกฎหมายไปในทางที่จะลงโทษบุคลให้หนักขึ้นไม่ได้

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  4  วรรคสอง  ได้บัญญัติถึงขั้นตอนในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายไว้เป็นลำดับดังต่อไปนี้  คือ

1.  ถ้าไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้  ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามตามคลองจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น

กรณีนี้หมายความว่า  ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล  ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี  แต่จารีตประเพณีที่จะนำมาใช้ได้และจะมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายนั้น  ควรจะต้องมีลักษณะดังนี้คือ

1.      เป็นจารีตประเพณีที่บุคลในท้องถิ่นได้ถือปฏิบัติกันทั่วไป

2.      เป็นจารีตประเพณีที่ถือปฏิบัติต่อกันมาเป็นเวลานาน

3.      เป็นจารีตประเพณีที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย  หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย  หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

4.      เป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติกันมาอย่างสม่ำเสมอและเป็นที่ทราบกันทั่วไป

5.      เป็นจารีตประเพณีที่มีเหตุผลสมควรและเป็นธรรม

2.  ถ้าไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นให้พิจารณาโดยอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

กรณีนี้เป็นการอุดช่องว่างของกฎหมายอีกวิธีหนึ่ง  กล่าวคือ  เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้นแต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้  ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมาที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน  ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง  มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน

ขั้นตอนในการพิจารณาโดยอาศัย (เทียบ) บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

1        พิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดีว่ามีความคล้ายคลึงกับข้อเท็จจริงที่มีกฎหมายบัญญัติไว้หรือไม่

2        พิจารณาถึงเหตุผลของข้อเท็จจริงทั้งสองกรณีว่ามีเหตุผลเดียวกันหรือเหตุผลที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งหรือไม่  ถ้ามีเหตุผลเดียวกันหรือใกล้เคียงกันอย่างยิ่งก็อาจเทียบเคียงกันได้

3        พิจารณากฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงว่าเป็นบททั่วไปหรือเป็นบทยกเว้น  ถ้าเป็นบททั่วไปก็อาจนำมาเทียบเคียงกันได้  แต่ถ้าเป็นข้อยกเว้นก็ไม่อาจนำมาเทียบเคียงกันได้

4        กฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงกันได้ต้องเป็นกฎหมายเรื่องเดียวกัน  มิใช่กฎหมายอื่นที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษเพื่อใช้กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ

3.  ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ก็ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

กรณีนี้เป็นวิธีอุดช่องว่างของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประการสุดท้าย  กล่าวคือในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  ไม่มีจารีตประเพณี  และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ  ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน  หรือสุภาษิตกฎหมาย  หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้

ข  สิทธิตามกฎหมายเอกชน  คือ  สิทธิที่เอกชนมีต่อกันเองในเรื่องต่างๆ  เช่น  นิติกรรมสัญญา หนี้  ทรัพย์สิน  ครอบครัวและมรดก  ฯลฯ สิทธิตามกฎหมายเอกชนมีบ่อเกิด  5  ประการด้วยกัน  คือ

1  นิติกรรมสัญญา

2  ละเมิด

3  จัดการงานนอกสั่ง

4  ลาภมิควรได้

5 บทบัญญัติของกฎหมาย

 

ข้อ  2  จงบอกประเภทของบุคคลที่กฎหมายกำหนดภูมิลำเนาให้มาโดยครบถ้วนพร้อมคำอธิบายมาพอสังเขป

ธงคำตอบ

ภูมิลำเนา  หมายถึง  แหล่งที่อยู่อันเป็นแหล่งสำคัญของบุคคลธรรมดา

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  44  กำหนดให้บุคคลธรรมดาเลือกภูมิลำเนาได้โดยสมัครใจ  ยกเว้นบุคคล  5  ประเภทที่กฎหมายได้กำหนดภูมิลำเนาให้ไว้ในมาตรา  43  ถึงมาตรา  47  ดังนี้  คือ

ภูมิลำเนาของสามีภรรยา   ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  43  บัญญัติว่า  ภูมิลำเนาของสามีภริยา  ได้แก่  ถิ่นที่อยู่ที่สามีภริยาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา  เว้นแต่สามีภริยาได้แสดงเจตนาให้ปรากฏว่ามีภูมิลำเนาแยกต่างหากจากกัน  กฎหมายไม่ได้บังคับว่าสามีภริยาต้องมีภูมิลำเนาอยู่ในที่เดียวกัน  แต่ก็ไม่ต้องการทำลายสถาบันครอบครัว  ถ้าสามีภริยาอยู่ด้วยกันภูมิลำเนาก็จะอยู่  ณ  ที่นั้น  เว้นแต่สามีภริยาได้แสดงเจตนาให้ปรากฏซึ่งเจตนานี้ไม่ต้องแสดงเป็นลายลักษณ์อักษร  เช่น  กรณีสามีภริยาอยู่จังหวัดใกล้เคียงกัน  จึงตกลงกันต่างคนต่างอยู่เป็นเพื่อนดูแลบิดามารดาของแต่ละฝ่าย  และระหว่างนั้นต่างก็ไปเยี่ยมเยียนซึ่งกันและกัน  อย่างนี้ถือว่าภูมิลำเนาของสามีและภริยามีภูมิลำเนาคนละแห่ง

2       ภูมิลำเนาของผู้เยาว์  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  44  บัญญัติว่า  ภูมิลำเนาของผู้เยาว์ได้แก่  ภูมิลำเนาของผู้แทนโดยชอบธรรม  ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครอง

ในกรณีผู้เยาว์อยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดา  ถ้าบิดามารดามีภูมิลำเนาแยกต่างหากจากกัน  ภูมิลำเนาของผู้เยาว์ได้แก่ภูมิลำเนาของบิดาหรือมารดาซึ่งตนอยู่ด้วย  ภูมิลำเนาของผู้เยาว์ย่อมได้แก่  ภูมิลำเนาของผู้ใช้อำนาจปกครอง  หรือผู้ปกครองเพื่อสอดคล้องกับหลักที่ว่าผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครองมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์  แต่ถ้าบิดามารดาผู้เยาว์ต่างมีภูมิลำเนาคนละที่  ถ้าผู้เยาว์อยู่กับใครภูมิลำเนาของผู้เยาว์ก็จะอยู่ที่นั่นด้วย

และเนื่องจากผู้แทนโดยชอบธรรมคือ  ผู้ใช้อำนาจปกครอง  หรือผู้ปกครองนั้นยังเป็นผู้มีหน้าที่ควบคุมดูแลอุปการะเลี้ยงดูและจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ด้วย  ดังนั้นเพื่อความสะดวกในการควบคุมดูแลผู้เยาว์  กฎหมายจึงบัญญัติให้ผู้เยาว์ถือภูมิลำเนาของผู้แทนโดยชอบธรรมซึ่งได้แก่บิดามารดาของผู้เยาว์นั่นเอง  เพราะบิดามารดาเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งการเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์  ถ้าบิดาหรือมารดาตาย อำนาจปกครองอยู่กับบิดาหรือมารดา  ถ้าบิดามารดาผู้เยาว์ตาย  ศาลตั้งผู้ปกครองไปอยู่ในความปกครองของใคร  ผู้เยาว์ย่อมถือเอาภูมิลำเนาของผู้นั้นเป็นภูมิลำเนาของตน  กรณีผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรมของใครก็ย่อมถือเอาภูมิลำเนาของผู้รับบุตรบุญธรรมนั้น

3       ภูมิลำเนาของคนไร้ความสามารถ  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  45  บัญญัติว่า  ภูมิลำเนาของคนไร้ความสามารถ  ได้แก่  ภูมิลำเนาของผู้อนุบาล  คนไร้ความสามารถนั้นคือ  คนวิกลจริตที่ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ  และศาลจะตั้งผู้ดูแลคนไร้ความสามารถซึ่งเรียกว่า  ผู้อนุบาล  (ป.พ.พ. มาตรา  28)  และผู้อนุบาลต้องดูแลคนไร้ความสามารถทั้งในเรื่องส่วนตัว  และในการจัดการทรัพย์สินของคนไร้ความสามารถด้วย  ดังนั้นกฎหมายในเรื่องภูมิลำเนาจึงบัญญัติให้ภูมิลำเนาของคนไร้ความสามรถคือภูมิลำเนาของผู้อนุบาลนั้นเองภูมิลำเนาของข้าราชการ   ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  46  บัญญัติว่า  ภูมิลำเนาของข้าราชการ  ได้แก่  ถิ่นอันเป็นที่ทำการตามตำแหน่งหน้าที่  หากมิใช่เป็นตำแหน่งหน้าที่ชั่วคราว  ชั่วระยะเวลาหรือเป็นเพียงแต่งตั้งไปเฉพาะการครั้งเดียวคราวเดียว  ข้อราชการที่มีตำแหน่งหน้าที่ประจำ  ณ  ถิ่นใด  ให้ถือว่ามีภูมิลำเนาอยู่  ณ  ถิ่นนั้น  ข้าราชการคือบุคคลที่ได้รับตำแหน่งหน้าที่ให้รับใช้มหาชนไม่จำกัดว่าเป็นฝ่ายใด  เช่น  ข้าราชการพลเรือน  ตำรวจ  ทหาร  หรือพนักงานเทศบาล  ข้อสำคัญจะต้องอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ประจำ  เช่น  ผู้ว่าราชการจังหวัด  ผู้พิพากษา  หรือนายด่านศุลกากรที่ไปประจำอยู่ในจังหวัด

5 ภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุก  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  47  บัญญัติว่า  ภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุก  ตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลหรือตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย  ได้แก่  เรือนจำ  หรือทัณฑสถานที่ถูกจำคุกอยู่จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว  มาตรนี้เป็นมาตราใหม่ที่เกิดจากการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  บรรพ  1  ปี  พ.ศ. 2535  ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องเรื่องภูมิลำเนาของผู้ถูกจำคุกโดยนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาประกอบการพิจารณา  และเห็นสมควรให้ถือสถานที่ที่ถูกจำคุกอยู่จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัวนั้นเป็นภูมิลำเนาของบุคคลที่ถูกจำคุกด้วย

 

ข้อ  3  นายไก่เป็นนักธุรกิจส่งออกฐานะร่ำรวยสมรสแล้วกับนางไข่  มีบุตรสาวด้วยกัน  1  คน  คือ  นางสาวน้ำหวาน  ต่อมาเกิดอุบัติเหตุทำให้นายไก่ต้องถูกตัดขาทิ้งทั้ง   2  ข้าง   การเจ็บป่วยครั้งนี้ทำให้ฐานะครอบครัวยากจนลง  เมื่อหายเป็นปกติดีแล้วนายไก่จึงเปลี่ยนมาประกอบอาชีพขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวตามวัดต่างๆ  ที่มีคนไปทำบุญมากๆ  ทำให้นางสาวน้ำหวานซึ่งเป็นสาวเรียนจบจากต่างประเทศ  อับอายขายหน้าเป็นอย่างมาก  จึงมาปรึกษาท่านซึ่งเป็นนักกฎหมายว่าจะร้องขอต่อศาลสั่งให้บิดาของตน  คือนายไก่เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

มาตรา  32  วรรคแรก  บัญญัติว่า  บุคคลใดมีกายพิการหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ  หรือประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ  หรือติดสุรายาเมา  หรือมีเหตุอื่นใดทำนองเดียวกันนั้นจนไม่สามารถจะจัดทำการงานโดยตนเองได้  หรือจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว  เมื่อบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา  28  ร้องขอต่อศาล  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถก็ได้

นางสาวน้ำหวานจะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้บิดาของตนเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถไม่ได้เพราะ

1       แม้นายไก่จะเป็นคนร่างกายพิการ

2       แต่สามารถจัดการงานของตนเองได้

3       การจัดการงานของนายไก่ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแต่อย่างใดต่อทรัพย์สินของนายไก่เองหรือของครอบครัว

4       แม้นางสาวน้ำหวานจะเป็นลูกจ้าง  หรือผู้มีส่วนได้เสียก็ไม่สามารถร้องขอต่อศาลให้สั่งให้บิดาของตนเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถได้

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2546

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ   ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ 1  กฎหมายไทยมีบ่อเกิดหรือแตกต่างจากประเทศต่างๆในกลุ่มประเทศกฎหมายจารีตประเพณี  (Common  Law) หรือไม่  อย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ

บ่อเกิดหรือที่มาของกฎหมายเอกชนมีดังนี้  คือ

1  ศีลธรรม  เป็นเหตุผลภายในซึ่งเกิดจากสติปัญญาความรู้สึกรับผิดชอบ  มนุษย์จะใช้เหตุผลความรู้สึกผิดชอบชั่วดีดังกล่าวมาปรับเข้ากับสถานการณ์หรือข้อเท็จจริงต่างๆที่เกิดขึ้น  และศีลธรรมนั้นเมื่อมนุษย์ในสังคมได้ประพฤติปฏิบัติสม่ำเสมอ  และติดต่อกันเป็นเวลานาน  ก็อาจกลายมาเป็นที่มาของกฎหมายได้ในที่สุด  เช่น  การที่สามีมีภริยาหลายคน  ในสังคมหนึ่งๆถือว่าเป็นเรื่องผิดศีลธรรม  จึงได้นำเอาหลักศีลธรรมนั้นมาบัญญัติเป็นกฎหมาย  เช่น  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ห้ามชายหรือหญิงที่มีคู่สมรสแล้ว  จดทะเบียนสมรสซ้อนอีก หากฝ่าฝืนจะถือเป็นการผิดศีลธรรมอันดีของประชาชน  ผลคือตกเป็นโมฆะ  เป็นต้น          

2  จารีตประเพณี  คือ  ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ได้ประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันเป็นเวลานาน  โดยปกติแล้วขนบธรรมเนียมประเพณีนั้นเป็นสิ่งที่มุ่งถึงการกระทำภายนอกของมนุษย์  เป็นกฎเกณฑ์ที่บังคับเอากับพฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออกมา  ซึ่งจารีตประเพณีนั้นในบางกรณีนำมาบัญญัติไวเป็นลายลักษณ์อักษร  หรือมีการนำมาตัดสินโดยผู้พิพากษา  หรือศาลนำมาใช้ในการตัดสินคดีก็เกิดเป็นกฎหมายขึ้นมาได้

จารีตประเพณีที่จะเป็นที่มาของกฎหมายนั้นจะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้

(1)   เป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันเป็นเวลานานและสม่ำเสมอจนกลายเป็นทางปฏิบัติหรือความเคยชิน  หรือธรรมเนียม

(2)   ประชาชนเห็นต้องกันว่า  จารีตประเพณีเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง  และจะต้องปฏิบัติตามตัวอย่างจารีตประเพณีที่เป็นที่มาของกฎหมาย  เช่น  จารีตประเพณีที่ว่าบิดามารดาสามารถเฆี่ยนตีอบรมสั่งสอนบุตรได้  และบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัวและมรดก  เป็นต้น

ศาสนา  คือ ข้อบังคับที่ศาสดาของแต่ละศาสนาได้กำหนดขึ้น  เพื่อให้มนุษย์ที่นับถือหรือศรัทธาในศาสนานั้นมีความเชื่อถือและบังคับตนเองให้ประพฤติปฏิบัติทำแต่ความดี  ละเว้นความชั่ว  การร่างกฎหมายจึงมีการนำเอาข้อห้ามของศาสนาต่างๆ  มาเป็นหลักในการบัญญัติกฎหมายเช่นเดียวกัน  เช่น  ข้อห้ามในศีล  5  ของศาสนาพุทธ  อาทิห้ามประพฤติผิดในกาม  ก็คล้ายกับบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ว่า  การที่สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันสามีหรือภริยา  เป็นชู้หรือมีชู้  หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ  อีกฝ่ายหนึ่งก็สามารถฟ้องหย่าได้  เป็นต้น

4  ความยุติธรรม  ในทางนิติปรัชญา  กฎหมายจีมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความยุติธรรมหรือความถูกต้องเป็นธรรม  การออกกฎหมายจึงต้องสอดคล้องกับความยุติธรรมด้วยเสมอ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบกฎหมายจารีตประเพณี  เช่น  ศาลในประเทศอังกฤษก็ได้มีการนำเอาหลักความยุติธรรมที่เรียกว่า  อิควิตี้ (Equity)  มาใช้ในการแก้ไขเยียวยาและอุดช่องว่างของกฎหมาย  ในกรณีที่ไม่สามารถนำเอาจารีตประเพณีหรือคำพิพากษาในคดีก่อนๆมาตัดสินให้เกิดความเป็นธรรมได้

ตัวอย่างเช่น  ลูกหนี้ผิดสัญญาไม่ก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จภายในกำหนด  ทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย  ในระบบกฎหมายจารีตประเพณี  การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาจากลูกหนี้นั้น  มีจารีตประเพณีและคำพิพากษาของศาลอนุญาตให้เรียกค่าเสียหายที่เป็นจำนวนเงินได้เท่านั้น  การที่จะมาฟ้องร้องเพื่อบังคับชำระหนี้ที่ไม่ได้เป็นจำนวนเงินนั้น  ไม่มีจารีตประเพณีหรือคำพิพากษาขิงศาลให้ทำได้  หากเจ้าหนี้ไม่ต้องการฟ้องเรียกเอาค่าเสียหาย   แต่ต้องการตัวบ้าน  ซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา  ก็อาจจะเกิดความไม่เป็นธรรมได้  ดังนั้นศาลก็อาจจะนำเอาหลักความยุติธรรมซึ่งศาลได้คิดขึ้นมา  นำมาใช้ตัดสินคดีนั้นๆได้  โดยอนุญาตให้มีการฟ้องร้องเรียกให้ชำระหนี้ที่เป็นการกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งได้  คือ  ให้ลูกหนี้ก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จได้  เป็นต้น

คำพิพากษาของศาล  ประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายจารีตประเพณี  (Common  Law )  เช่น  อังกฤษ  มีการนำเอาคำพิพากษาที่ได้ตัดสินคดีเรื่องใดเรื่องหนึ่งเอาไว้แล้วมา เป็นบรรทัดฐานหรือแบบอย่างที่ศาลต่อๆมาต้องผูกพันตัดสินเป็นอย่างเดียวกัน  จึงถือได้ว่าคำพิพากษาของศาลในระบบกฎหมายจารีตประเพณีก็คือบ่อเกิดหรือที่มาของกฎหมาย

ส่วนประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร  เช่น  ฝรั่งเศส  เยอรมัน  ไทย  ฯลฯ  จะถือว่าคำพิพากษาของศาลเป็นเพียงการนำเอาตัวบทกฎหมายมาปรับกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเท่านั้น  ไม่มีผลผูกพันศาลอื่นที่จะต้องพิพากษาเป็นอย่างเดียวกัน  คำพิพากษาของศาลในระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรจึงไม่ใช่บ่อเกิดหรือที่มาของกฎหมาย

ความคิดเห็นของปราชญ์  ซึ่งอาจจะเป็นนักทฤษฎี  นักวิชาการ  หรืออาจจะเป็นอาจารย์ที่สอนกฎหมายอยู่ในมหาวิทยาลัยต่างๆ  ได้มีการแสดงความคิดเห็นโต้แย้งเกี่ยวกับตัวบทกฎหมาย  หรือคำวินิจฉัยของศาลซึ่งเคยตัดสินเอาไว้  ก็อาจนำเอาความคิดเห็นเหล่านั้นใช้เป็นหลักกฎหมายได้

ตัวอย่างเช่น  กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ได้เคยมีความเห็นว่า  การที่คนไทยพกพาอาวุธไปตามถนนหลวง  ซึ่งแต่ก่อนไม่เป็นความผิดอาญา  น่าจะมีบทบัญญัติห้ามมิให้กระทำการอย่างนั้นได้ต่อไปอีกต่อมาเมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอาญา  ก็ได้นำข้อห้ามในการถืออาวุธมาใส่ไว้ในกฎหมายอาญาด้วย  เป็นต้น

ข้อตกลงระหว่างประเทศ  เมื่อประเทศต่างๆ  มาทำความตกลงหรือทำสนธิสัญญากันแล้ว  ก็จะมีทำให้ประเทศที่ลงนามในสนธิสัญญานั้นจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นมีผลใช้บังคับเทียบเท่ากฎหมายเลยทีเดียว

ส่วนนี้มิได้แตกต่างจากกลุ่มประเทศที่ใช้กฎหมายจารีตประเพณี  (Common  Law)  แต่อย่างใดแต่ที่แตกต่างคือ  คำพิพากษาของศาลที่มิใช่บ่อเกิดของกฎหมายไทย  แต่เป็นบ่อเกิดที่สำคัญของประเทศกลุ่มที่ใช้กฎหมายจารีตประเพณี  (Common Law)  เพราะคำพิพากษาของศาลในประเทศที่ใช้กฎหมายจารีตประเพณีเมื่อพิพากษาออกมาแล้ว  ศาลต่อๆมาซึ่งพิจารณาพิพากษาคดีย่อมต้องผูกพันในอันที่จะต้องพิพากษาตามคดีก่อนๆ

 

ข้อ 2  นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย  ในวันที่  1  มกราคม  พ.ศ.2540  นายไก่เดินทางไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น ตลอดเวลาที่อยู่ที่โรงงานญี่ปุ่น  นายไก่และนางไข่ก็ติดต่อสื่อสารถึงกันโดยตลอด  ต่อมาโรงงานที่นายไก่ทำงานเกิดระเบิดในวันที่  1 ธันวาคม  พ.ศ. 2542  มีคนงานตายไป 10 คน  วันเดียวกันนั้นเองนายไก่ก็โทรศัพท์มาคุยกับนางไข่ว่าตนไม่อยู่ในเหตุการณ์  และหลังจากนั้นนางไข่ก็ไม่ได้รับข่าวสารจากนายไก่อีกเลย  และไม่มีใครพบเห็นตัวนายไก่อีกเช่นกัน

นางไข่จะร้องขอต่อศาลให้นายไก่เป็นคนสาบสูญได้เมื่อใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  61  วรรคหนึ่ง  ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา  5  ปี เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ดังนั้นนางไข่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญได้ในกรณีธรรมดา  ตามมาตรา  61  เมื่อนายไก่

1       หายไม่ได้ข่าว  และไม่มีใครพบเห็นตัว  ติดต่อกันตลอดระยะเวลา  5  ปี  นับตั้งแต่วันที่  1  ธันวาคม  พ.ศ.2542

2       เมื่อนางไข่เป็นภริยา  ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสีย  ได้ร้องขอต่อศาลเมื่อครบ  5  ปี  คือวันที่  1  ธันวาคม  พ.ศ. 2547

3       ศาลอาจจะสั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญ  การเป็นคนสาบสูญของนายไก่ก็จะเริ่มนับตั้งแต่ศาลสั่ง

เมื่อครบ  5  ปีบริบูรณ์  นางไข่จึงร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่สามีเป็นคนสาบสูญได้

 

ข้อ  3  นายใต้ทำพินัยกรรมไว้  1  ฉบับ  เมื่ออายุย่างเข้า  15  ปี  ว่าถ้าตนถึงแก่ความตายให้บ้านและที่ดินซึ่งเป็นของตนตกเป็นของนางเหนือซึ่งตนรักประดุจมารดา  ต่อมานายใต้เมื่ออายุ  20  ปี  เจ็บป่วยทางจิตและแพทย์ลงความเห็นว่าวิกลจริตได้ไปทำสัญญาซื้อรถยนต์  1  คัน  จากนายดำโดยขณะทำสัญญานายดำไม่รู้ว่านายใต้วิกลจริต  เมื่อซื้อรถยนต์ไปแล้วถูกบิดามารดาต่อว่า  นายใต้น้อยใจจึงฆ่าตัวตาย

1       พินัยกรรมที่นายใต้ทำไว้มีผลอย่างไร
2       สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างนายใต้และนายดำมีผลในทางกฎหมายอย่างไร


ธงคำตอบ

มาตรา  25  ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุครบ  15  ปีบริบูรณ์

มาตรา  1703  พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบ  15  ปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ

มาตรา  30  การใดๆอันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นจะเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่  และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งได้รู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต

1       พินัยกรรมที่นายใต้ได้ทำไว้เมื่ออายุย่างเข้า  15  ปี  มีผลเป็นโมฆะ  เพราะผู้เยาว์จะทำพินัยกรรมได้  ต้องมีอายุครบ  15  ปีบริบูรณ์  (ตามมาตรา  25 และ  1703)

2       สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างนายใต้และนายดำทำขึ้น  มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย  เพราะขณะทำสัญญากันนั้น  แม้นายใต้จะวิกลจริต  แต่นายดำคู่สัญญาไม่รู้ว่าวิกลจริต  ผลของสัญญาจึงสมบูรณ์  (มาตรา  30)

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2547

การสอบไล่  ภาค  1  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ  ข้อละ  25  คะแนนข้อ 1  บ่อเกิดของกฎหมายมีอะไรบ้าง  และบ่อเกิดของกฎหมายไทยแตกต่างจากบ่อเกิดของกฎหมายจารีตประเพณี ( Common Law)  อย่างไร  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

บ่อเกิดหรือที่มาของกฎหมายมีดังนี้  คือ

 1  ศีลธรรม  เป็นเหตุผลภายในซึ่งเกิดจากสติปัญญาความรู้สึกรับผิดชอบ  มนุษย์จะใช้เหตุผลความรู้สึกผิดชอบชั่วดีดังกล่าวมาปรับเข้ากับสถานการณ์หรือข้อเท็จจริงต่างๆที่เกิดขึ้น  และศีลธรรมนั้นเมื่อมนุษย์ในสังคมได้ประพฤติปฏิบัติสม่ำเสมอ  และติดต่อกันเป็นเวลานาน  ก็อาจกลายมาเป็นที่มาของกฎหมายได้ในที่สุด  เช่น  การที่สามีมีภริยาหลายคน  ในสังคมหนึ่งๆถือว่าเป็นเรื่องผิดศีลธรรม  จึงได้นำเอาหลักศีลธรรมนั้นมาบัญญัติเป็นกฎหมาย  เช่น  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ห้ามชายหรือหญิงที่มีคู่สมรสแล้ว  จดทะเบียนสมรสซ้อนอีก หากฝ่าฝืนจะถือเป็นการผิดศีลธรรมอันดีของประชาชน  ผลคือตกเป็นโมฆะ  เป็นต้น             

 2  จารีตประเพณี  คือ  ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ได้ประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันเป็นเวลานาน  โดยปกติแล้วขนบธรรมเนียมประเพณีนั้นเป็นสิ่งที่มุ่งถึงการกระทำภายนอกของมนุษย์  เป็นกฎเกณฑ์ที่บังคับเอากับพฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออกมา  ซึ่งจารีตประเพณีนั้นในบางกรณีนำมาบัญญัติไวเป็นลายลักษณ์อักษร  หรือมีการนำมาตัดสินโดยผู้พิพากษา  หรือศาลนำมาใช้ในการตัดสินคดีก็เกิดเป็นกฎหมายขึ้นมาได้

จารีตประเพณีที่จะเป็นที่มาของกฎหมายนั้นจะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้

(1)   เป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันเป็นเวลานานและสม่ำเสมอจนกลายเป็นทางปฏิบัติหรือความเคยชิน  หรือธรรมเนียม

(2)   ประชาชนเห็นต้องกันว่า  จารีตประเพณีเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง  และจะต้องปฏิบัติตามตัวอย่างจารีตประเพณีที่เป็นที่มาของกฎหมาย  เช่น  จารีตประเพณีที่ว่าบิดามารดาสามารถเฆี่ยนตีอบรมสั่งสอนบุตรได้  และบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัวและมรดก  เป็นต้น

ศาสนา  คือ ข้อบังคับที่ศาสดาของแต่ละศาสนาได้กำหนดขึ้น  เพื่อให้มนุษย์ที่นับถือหรือศรัทธาในศาสนานั้นมีความเชื่อถือและบังคับตนเองให้ประพฤติปฏิบัติทำแต่ความดี  ละเว้นความชั่ว  การร่างกฎหมายจึงมีการนำเอาข้อห้ามของศาสนาต่างๆ  มาเป็นหลักในการบัญญัติกฎหมายเช่นเดียวกัน  เช่น  ข้อห้ามในศีล  5  ของศาสนาพุทธ  อาทิห้ามประพฤติผิดในกาม  ก็คล้ายกับบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ว่า  การที่สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันสามีหรือภริยา  เป็นชู้หรือมีชู้  หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ  อีกฝ่ายหนึ่งก็สามารถฟ้องหย่าได้  เป็นต้น

4  ความยุติธรรม  ในทางนิติปรัชญา  กฎหมายจีมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความยุติธรรมหรือความถูกต้องเป็นธรรม  การออกกฎหมายจึงต้องสอดคล้องกับความยุติธรรมด้วยเสมอ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบกฎหมายจารีตประเพณี  เช่น  ศาลในประเทศอังกฤษก็ได้มีการนำเอาหลักความยุติธรรมที่เรียกว่า  อิควิตี้ (Equity)  มาใช้ในการแก้ไขเยียวยาและอุดช่องว่างของกฎหมาย  ในกรณีที่ไม่สามารถนำเอาจารีตประเพณีหรือคำพิพากษาในคดีก่อนๆมาตัดสินให้เกิดความเป็นธรรมได้

ตัวอย่างเช่น  ลูกหนี้ผิดสัญญาไม่ก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จภายในกำหนด  ทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย  ในระบบกฎหมายจารีตประเพณี  การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาจากลูกหนี้นั้น  มีจารีตประเพณีและคำพิพากษาของศาลอนุญาตให้เรียกค่าเสียหายที่เป็นจำนวนเงินได้เท่านั้น  การที่จะมาฟ้องร้องเพื่อบังคับชำระหนี้ที่ไม่ได้เป็นจำนวนเงินนั้น  ไม่มีจารีตประเพณีหรือคำพิพากษาขิงศาลให้ทำได้  หากเจ้าหนี้ไม่ต้องการฟ้องเรียกเอาค่าเสียหาย   แต่ต้องการตัวบ้าน  ซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา  ก็อาจจะเกิดความไม่เป็นธรรมได้  ดังนั้นศาลก็อาจจะนำเอาหลักความยุติธรรมซึ่งศาลได้คิดขึ้นมา  นำมาใช้ตัดสินคดีนั้นๆได้  โดยอนุญาตให้มีการฟ้องร้องเรียกให้ชำระหนี้ที่เป็นการกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งได้  คือ  ให้ลูกหนี้ก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จได้  เป็นต้น

คำพิพากษาของศาล  ประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายจารีตประเพณี  (Common  Law )  เช่น  อังกฤษ  มีการนำเอาคำพิพากษาที่ได้ตัดสินคดีเรื่องใดเรื่องหนึ่งเอาไว้แล้วมา เป็นบรรทัดฐานหรือแบบอย่างที่ศาลต่อๆมาต้องผูกพันตัดสินเป็นอย่างเดียวกัน  จึงถือได้ว่าคำพิพากษาของศาลในระบบกฎหมายจารีตประเพณีก็คือบ่อเกิดหรือที่มาของกฎหมาย

ส่วนประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร  เช่น  ฝรั่งเศส  เยอรมัน  ไทย  ฯลฯ  จะถือว่าคำพิพากษาของศาลเป็นเพียงการนำเอาตัวบทกฎหมายมาปรับกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเท่านั้น  ไม่มีผลผูกพันศาลอื่นที่จะต้องพิพากษาเป็นอย่างเดียวกัน  คำพิพากษาของศาลในระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรจึงไม่ใช่บ่อเกิดหรือที่มาของกฎหมาย

ความคิดเห็นของปราชญ์  ซึ่งอาจจะเป็นนักทฤษฎี  นักวิชาการ  หรืออาจจะเป็นอาจารย์ที่สอนกฎหมายอยู่ในมหาวิทยาลัยต่างๆ  ได้มีการแสดงความคิดเห็นโต้แย้งเกี่ยวกับตัวบทกฎหมาย  หรือคำวินิจฉัยของศาลซึ่งเคยตัดสินเอาไว้  ก็อาจนำเอาความคิดเห็นเหล่านั้นใช้เป็นหลักกฎหมายได้

ตัวอย่างเช่น  กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ได้เคยมีความเห็นว่า  การที่คนไทยพกพาอาวุธไปตามถนนหลวง  ซึ่งแต่ก่อนไม่เป็นความผิดอาญา  น่าจะมีบทบัญญัติห้ามมิให้กระทำการอย่างนั้นได้ต่อไปอีกต่อมาเมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอาญา  ก็ได้นำข้อห้ามในการถืออาวุธมาใส่ไว้ในกฎหมายอาญาด้วย  เป็นต้น

ข้อตกลงระหว่างประเทศ  เมื่อประเทศต่างๆ  มาทำความตกลงหรือทำสนธิสัญญากันแล้ว  ก็จะมีทำให้ประเทศที่ลงนามในสนธิสัญญานั้นจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นมีผลใช้บังคับเทียบเท่ากฎหมายเลยทีเดียว

จากที่กล่าวมาข้างต้นจึงเห็นได้ว่า  บ่อเกิดของกฎหมายไทย  (ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร) แตกต่างจากประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายจารีตประเพณี  คือ  คำพิพากษาของศาลไม่ใช่บ่อเกิดของกฎหมายไทย  แต่คำพิพากษาของศาลในระบบกฎหมายจารีตประเพณีถือเป็นบ่อเกิดของกฎหมายที่สำคัญ

 

ข้อ  2  จงอธิบายหลักเกณฑ์และหลักกฎหมายในการเป็นคนสาบสูญกรณีพิเศษมาโดยถูกต้องและครบถ้วน

ธงคำตอบ

มาตร  61     ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา  5  ปี     เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือ  2  ปี

1  นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง   ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

2  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

3  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  หรือ (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

4  ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาลให้บุคคลดังกล่าวเป็นคนสาบสูญ

5  ศาลมีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ

ตัวอย่างเช่น  นายแดงเดินทางโดยเรือเมื่อวันที่ 1  มกราคม  2546  เรือได้เจอพายุซัดทำให้เรืออับปางลง  เมื่อวันที่  5  มกราคม  2546  ปรากฏว่านายแดงได้หายไป  ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการจะร้องขอให้นายแดงเป็นคนสาบสูญต่อศาลได้เมื่อนับแต่วันที่เรืออับปาง  คือวันที่  5  มกราคม  2546  ไปให้ครบ สองปี  คือ  ตั้งแต่วันที่  6  มกราคม  2548  ผู้มี่ส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาล  ให้มีคำสั่งให้นายแดงเป็นคนสาบสูญได้

 

ข้อ  3  นายแดนเป็นนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์  มหาวิทยาลัยรามคำแหง  ปัจจุบันมีอายุ  21  ปีบริบูรณ์  อาศัยอยู่กับบิดามารดาซึ่งมีอาชีพรับราชการที่ย่านบางกะปิ  ได้มาปรึกษากับท่านซึ่งเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์เกี่ยวกับนิติกรรมที่เขาได้ทำไป  3  อย่างคือ

1       เมื่ออายุครบ  12 ปี  ได้รับเงินจากนายดำผู้เป็นลุง  1  แสนบาท

2       เมื่ออายุย่าง 15 ปี  ได้ทำพินัยกรรมยกเงิน  5  หมื่นบาท  ให้นายดีซึ่งเป็นน้องชาย

3       เมื่ออายุครบ  20  ปีบริบูรณ์  ซื้อรถ  FERRARI  ราคา  50  ล้านบาท  เพื่อขับมาเรียนหนังสือ  โดยนายแดนได้รับมรดกจากนายดวงซึ่งเป็นปู่  เป็นเงิน  100  ล้านบาท  ตามพินัยกรรมเมื่ออายุครบ  20  ปีแล้วท่านจงอธิบายให้คำปรึกษากับนายแดนในฐานะนักกฎหมายที่ดีว่านิติกรรมทั้ง  3 อย่างนั้นมีผลในกฎหมายอย่างไรบ้าง  และเพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมายเกี่ยวกับความสามารถของผู้เยาว์ในการกระทำนิติกรรม  มีดังนี้ คือ

มาตรา  19  บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเมื่ออายุ 20 ปีบริบูรณ์

มาตรา 21  ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใดๆที่ผู้เยาว์ได้กระทำลงโดยปราศจากความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม การนั้นย่อมเป็นโมฆียะ

มาตรา  22  ผู้เยาว์อาจทำการใดๆได้ทั้งสิ้น  หากเป็นเพียงเพื่อจะได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือเป็นการเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง

มาตรา  23  ผู้เยาว์อาจทำการใดๆได้ทั้งสิ้น  ซึ่งเป็นการต้องทำเองเฉพาะตัว

มาตรา  24  ผู้เยาว์อาจทำการใดๆได้ทั้งสิ้น   ซึ่งเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตนและเป็นการอันจำเป็นในการดำรงชีพตามควร

มาตรา  25  ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์

มาตรา  1703  พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบ 15 ปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ

วินิจฉัยได้ดังนี้

1       นิติกรรมที่ทำเมื่อนายแดนอายุ  12  ปี  คือ  การได้รับเงินจากนายดำนั้นสมบูรณ์  เพราะเป็นนิติกรรมที่ผู้เยาว์ได้มาซึ่งสิทธิโดยไม่มีเงื่อนไขแต่อย่างใด (มาตรา  22)

2       นิติกรรมที่ทำไว้เมื่อมีอายุย่างเข้า  15  ปี  คือการทำพินัยกรรมนั้น  แม้จะถือว่าเป็นการเฉพาะตัว  แต่เมื่อมีอายุยังไม่ครบ 15 ปี จึงทำให้พินัยกรรมที่ทำไว้เพื่อยกเงิน  5  หมื่นบาท ให้นายดีมีผลเป็นโมฆะ  (มาตรา 25 มาตรา 1703)

3       นิติกรรมซื้อรถยี่ห้อ  FERRARI  ราคา  50  ล้านบาทนั้น  เป็นการทำนิติกรรมเมื่ออายุครบ  20  ปีบริบูรณ์แล้ว  นายแดนมีความสามารถเช่นบุคคลธรรมดาทั่วไป  เพราะพ้นภาวะผู้เยาว์แล้ว  ดังนั้นการซื้อรถคันดังกล่าวจึงสมบูรณ์ทุกประการ (มาตรา  19)สรุปได้ว่า  การรับเงินจากนายดำ  1  แสนบาทสมบูรณ์  การทำพินัยกรรมยกเงินให้นายดีเป็นโมฆะ  ส่วนการซื้อรถยนต์นั้นสมบูรณ์

WordPress Ads
error: Content is protected !!