LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2547

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา 2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1  หลักเกณฑ์ในการอุดช่องว่างของกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีลำดับในการอุดช่องว่างอย่างไร  และจารีตประเพณีที่ใช้ในการอุดช่องว่างของกฎหมายเอกชนได้นั้นต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญอย่างไรบ้าง  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  4  วรรคสอง  ซึ่งได้บัญญัติถึงการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้ว่า

เมื่อไม่มีบทบัญญัติกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น  ให้วินิจฉัยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นไม่มีด้วย  ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

มาตรา  4  วรรคสอง  ได้บัญญัติถึงขั้นตอนในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายไว้เป็นลำดับดังต่อไปนี้  คือ

1.  ถ้าไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้  ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามตามคลองจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น

กรณีนี้หมายความว่า  ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล  ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี  แต่จารีตประเพณีที่จะนำมาใช้ได้และจะมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายนั้น  ควรจะต้องมีลักษณะดังนี้คือ

1.      เป็นจารีตประเพณีที่บุคลในท้องถิ่นได้ถือปฏิบัติกันทั่วไป

2.      เป็นจารีตประเพณีที่ถือปฏิบัติต่อกันมาเป็นเวลานาน

3.      เป็นจารีตประเพณีที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย  หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย  หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

4.      เป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติกันมาอย่างสม่ำเสมอและเป็นที่ทราบกันทั่วไป5.      เป็นจารีตประเพณีที่มีเหตุผลสมควรและเป็นธรรม

2.  ถ้าไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นให้พิจารณาโดยอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

กรณีนี้เป็นการอุดช่องว่างของกฎหมายอีกวิธีหนึ่ง  กล่าวคือ  เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้นแต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้  ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมาที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน  ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง  มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน

ขั้นตอนในการพิจารณาโดยอาศัย (เทียบ) บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

1        พิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดีว่ามีความคล้ายคลึงกับข้อเท็จจริงที่มีกฎหมายบัญญัติไว้หรือไม่

2        พิจารณาถึงเหตุผลของข้อเท็จจริงทั้งสองกรณีว่ามีเหตุผลเดียวกันหรือเหตุผลที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งหรือไม่  ถ้ามีเหตุผลเดียวกันหรือใกล้เคียงกันอย่างยิ่งก็อาจเทียบเคียงกันได้

3        พิจารณากฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงว่าเป็นบททั่วไปหรือเป็นบทยกเว้น  ถ้าเป็นบททั่วไปก็อาจนำมาเทียบเคียงกันได้  แต่ถ้าเป็นข้อยกเว้นก็ไม่อาจนำมาเทียบเคียงกันได้

4        กฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงกันได้ต้องเป็นกฎหมายเรื่องเดียวกัน  มิใช่กฎหมายอื่นที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษเพื่อใช้กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ

3.  ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ก็ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

กรณีนี้เป็นวิธีอุดช่องว่างของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประการสุดท้าย  กล่าวคือในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  ไม่มีจารีตประเพณี  และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ  ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน  หรือสุภาษิตกฎหมาย  หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้

 

ข้อ 2  สถานะของบุคคลธรรมดาเริ่มตั้งแต่เมื่อใด  และสิ้นสุดลงเมื่อใด  ศาลจะสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญ  กรณีธรรมดาจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ใดบ้าง  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  15  วรรคแรก  มีหลักกฎหมายว่า  สภาพบุคคลย่อมเมื่อแต่แรกคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย  

ดังนั้นเมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติดังกล่าว  จะเห็นว่า  สภาพบุคคลนั้นย่อมเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อคลอดและมีการอยู่รอดเป็นทารกนั่นเอง  หรืออาจแยกเป็นองค์ประกอบได้ว่า  การเริ่มต้นมีสภาพบุคคล  (ของบุคคลธรรมดา)  นั้นจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ  2  ประการคือ

1        มีการคลอด  ซึ่งการคลอดนั้นคือการที่ทารกได้พ้นออกมาจากช่องคลอด  โดยไม่มีอวัยวะส่วนใดเหลือติดอยู่  ส่วนจะมีการตัดสายสะดือ(รก) หรือไม่ ไม่เป็นข้อสำคัญ  (ในกรณีที่มีการผ่าท้องเอาทารกออกมาตามหลักวิชาแพทย์  ก็ถือว่าเป็นการคลอดตามความหมายนี้เช่นกัน)

2        มีการอยู่รอดเป็นทารก  คือ  ต้องปรากฏว่าทารกที่คลอดออกมานั้นมีการหายใจแล้วด้วย  จึงจะถือได้ว่าทารกนั้นมีสภาพบุคคลแล้ว  ซึ่งการหายใจของทารกนั้นอาจจะเป็นการหายใจด้วยตนเองหรือการช่วยเหลือของแพทย์ก็ได้  และไม่ว่าการหายใจนั้นจะมีระยะเวลานานเพียงใดก็ตาม  ก็จัดได้ว่ามีการอยู่รอดเป็นทารกและมีสภาพบุคคลแล้วแต่ถ้าทารกที่คลอดออกมาไม่มีการหายใจ  คือ  ได้ตายไปก่อนแล้ว ซึ่งอาจจะตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา  หรือตายในคณะคลอดก็ตาม ดังนั้นทารกนั้นย่อมไม่มีสภาพบุคคลและไม่มีสิทธิใดๆตามกฎหมายทั้งสิ้น

หลักเกณฑ์ของการเป็นคนสาบสูญ  กรณีธรรมดา

มาตร  61      ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา  5  ปี     เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ศาลจะสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดา  ต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

1       บุคคลนั้นได้ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่เป็นเวลา  5  ปี  โดยเริ่มนับตั้งแต่วันที่มีผู้ได้พบเห็น หรือนับตั้งแต่วันที่บุคคลนั้นได้จากภูมิลำเนาไป  หรือนับแต่วันที่ได้รับข่าวคราวของบุคคลนั้นในครั้งหลังสุดเป็นต้นไป

2       ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการได้ร้องขอต่อศาลให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ  ผู้มีส่วนได้เสีย  หมายถึง  บุคคลซึ่งจะมีหรือเกิดสิทธิขึ้น  เนื่องจากคำสั่งศาล  เช่น  สามีภริยา  บิดามารดา  ลูกหลาน  เหลน  ลื่อ  ฯลฯ  ของผู้ที่ไปจากภูมิลำเนานั่นเอง

3       ศาลได้มีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ  ซึ่งเป็นดุลยพินิจของศาลที่จะสั่งหรือไม่สั่งก็ได้  ถ้าศาลสั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญก็ถือว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตายไปโดยผลแห่งกฎหมาย  แต่ถ้าศาลไม่มีคำสั่งไม่ว่าบุคคลนั้นจะได้หายไปเป็นเวลานานเท่าไรก็ตาม  ก็ไม่ถือว่าบุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ  จะเป็นเพียงผู้ไม่อยู่เท่านั้นและเมื่อศาลได้มีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญแล้ว  ให้โฆษณาคำสั่งศาลในราชกิจจานุเบกษา 

 

ข้อ  3  นายไก่อายุ  15  ปีบริบูรณ์  ต้องการทำนิติกรรมต่อไปนี้  นายไก่มีความสามารถทำได้หรือไม่  และจะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

1)    จดทะเบียนสมรส

2)    ซื้อบ้านและที่ดิน

3)    ทำพินัยกรรม

ธงคำตอบ

มาตรา  20  ผู้เยาว์ย่อมบรรลุนิติภาวะเมื่อทำการสมรส  หากการสมรสนั้นได้ทำตามบทบัญญัติมาตรา  1448

มาตรา  21  ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  การใดๆที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะเว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา  25  ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์

มาตรา  1448  การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว  แต่ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร  ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนนั้นได้

นายไก่อายุ  15  ปี บริบูรณ์  ถ้าต้องการทำนิติกรรมดังต่อไปนี้

1)    จดทะเบียนสมรสได้ต้องเข้าหลักเกณฑ์ดังนี้คือ  มีเหตุอันสมควร  หญิงที่นายไก่จะจดทะเบียนสมรสด้วยตั้งครรภ์  นายไก่อาจยื่นคำขออนุญาตต่อศาล  ถ้าศาลอนุญาตก็ไปจดทะเบียนสมรสได้  เป็นกรณีสมรสที่อายุยังไม่ครบ  17  ปี บริบูรณ์ (มาตรา  20 , 1448)

2)    ซื้อบ้านและที่ดินโดยสมบูรณ์  นายไก่ต้องขออนุญาตผู้แทนโดยชอบธรรมด้วยตามมาตรา  21  มิฉะนั้นจะทำให้การซื้อบ้านและที่ดินเป็นโมฆียะ  (มาตรา 21)

3)    นายไก่มีอายุครบ 15 ปี บริบูรณ์แล้ว  สามารถทำพินัยกรรมได้โดยลำพัง  (มาตรา  25)

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2548

การสอบไล่ภาค 1  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3ข้อ

ข้อ 1  จงอธิบายว่าประเทศไทยใช้กฎหมายระบบใด  พร้อมบอกลักษณะสำคัญของกฎหมายมาให้ถูกต้องและครบถ้วนด้วย

ธงคำตอบ

ประเทศไทยชะระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร (Civil  Law)

ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรนี้จะอยู่ในรูปของประมวลกฎหมาย  ซึ่งประเทศที่ใช้กฎหมายลายลักษณ์อักษรจะต้องมีการจัดทำเป็นประมวลกฎหมายขึ้น  โดยเฉพาะในทางกฎหมายแพ่งนั้นใช้ระบบกฎหมาย  “Civil  Law”  มาจากภาษาลาตินของโรมันว่า  “Jus  Civile” โดยกษัตริย์โรมันชื่อ  Justinian  ได้ทรงรวบรวมกฎหมายประเพณี  ซึ่งบันทึกไว้ในกฎหมายสิบสองโต๊ะ  รวมทั้งรวบรวมนักกฎหมายในสมัยพระองค์ช่วยกันบัญญัติออกมาเป็นรูปกฎหมาย  Civil  Law  ขึ้น  มีชื่อว่า “Corpus  Juris  Civilis”  ซึ่งต่อมาฝรั่งเศสและเยอรมันได้นำเอากฎหมายนี้มาจัดทำเป็นประมวลกฎหมายแพ่ง  (Civil  Code)  ขึ้น  จนเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก หรือที่เรียกว่า Condifild  Law  นั่นเอง

ประมวลกฎหมายคือ  กฎหมายที่ได้บัญญัติหรือตราขึ้น  โดยรวบรวมเอาบทบัญญัติเกี่ยวกับกฎหมายที่เป็นเรื่องเดียวกัน  แต่กระจัดกระจายกันอยู่ไม่เป็นระเบียบ  เอามารวบรวมจัดให้เป็นหมวดหมู่วางหลักเกณฑ์ให้อยู่ในที่เดียวกัน  และมีข้อความเกี่ยวเนื่องติดต่อกันอย่างเป็นระเบียบ

กฎหมายที่เป็นรูปประมวลกฎหมายหรือกฎหมายลายลักอักษรนี้  เป็นการพิจารณาหลักเกณฑ์  ทั่วไปมาสู่เรื่องเฉพาะเรื่อง  คือ  เอาบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปมาปรับด้วยเป็นรายๆไป  ดังนั้นประเทศที่ใช้กฎหมายลายลักษณ์อักษรจึงต้องคำนึงถึงตัวบทเป็นสำคัญ  ส่วนคำพิพากษาของศาลเป็นเพียงช่วยในการตีความในตัวบทของประมวลกฎหมายหรือพระราชบัญญัติเท่านั้น  ไม่ใช่ที่มาของกฎหมายอย่างเช่นระบบ Common  Law  ซึ่งที่มาของประมวลกฎหมายต่างๆ  ในระบบ  Civil  Law  นี้จะมาจากกฎหมายโรมันอันเป็นต้นแบบนั้นเอง

และนอกจากนี้  กฎหมายของประเทศที่ใช้ระบบประมวลกฎหมายนี้  แยกกฎหมายออกเป็นกฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชน  คือ  ในส่วนที่เกี่ยวกับมหาชนก็มีศาลปกครอง  และในส่วนที่เกี่ยวกับกฎหมายเอกชนก็มีศาลยุติธรรมเป็นผู้พิจารณาคดี  ส่วนกฎหมายระบบ  Common  Law  ไม่มีการแยกประเภทคดีทั้งทางมหาชนและเอกชนต้องพิจารณาในศาลยุติธรรมเพียงศาลเดียว

สำหรับลักษณะสำคัญของกฎหมายมีอยู่  5  ประการ  คือ

  1. กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดขึ้นจากรัฏฐาธิปัตย์  คือ  มาจากบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐหรือของประเทศ  โดยใช้อำนาจนิติบัญญัติสร้างกฎหมายขึ้นมาเป็นข้อบังคับแห่งกฎหมาย  เรียกว่าเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร (Codified  Law)  หรือกฎหมายที่เป็นรูปประมวลกฎหมาย  เช่นประเทศไทยพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติโดยความเห็นชอบของรัฐสภา  เป็นต้น  ฉะนั้นถ้าเป็นบุคคลธรรมดาด้วยกันเองแล้วย่อมไม่มีอำนาจที่จะออกข้อบังคับให้เป็นข้อกฎหมายใช้บังคับแก่คนทั่วไป

อนึ่ง  ฝ่ายนิติบัญญัติอาจมอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารออกกฎหมายได้เช่นกัน  เช่น  พระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวง  ซึ่งนับได้ว่าเป็นกฎหมายเช่นกัน

  1. กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไปกับทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือในประเทศนั้นๆ

               คือ  มิได้ทำขึ้นเพื่อให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดใช้โดยเฉพาะ  หรือออกมาเพื่อกิจการอันหนึ่งอันใดโดยเฉพาะ        แต่ใช้บังคับแก่บุคคลทั่วไป  และทุกสถานที่โดยเสมอภาค

  1. กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้เสมอไป  คือ  เมื่อได้มีการประกาศใช้กฎหมายใดแล้ว  ต้องใช้กฎหมายนั้นไปจนกว่าจะมีกฎหมายใหม่สำหรับเรื่องเดียวกันนั้นออกมา  และให้ยกเลิกกฎหมายเก่าอันนั้นเสีย

4        กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตาม  ข้อบังคับดังกล่าวนั้นอาจจะเป็นเรื่องให้กระทำการหรือเป็นเรื่องให้ละเว้นกระทำการก็ได้  ซึ่งถ้ามีผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกลงโทษในทางอาญา5        กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ  ซึ่งสภาพบังคับตามกฎหมายนั้นมีได้ทั้งในทางอาญาและในทางแพ่ง

 สภาพบังคับในทางอาญา  คือ  โทษ  นั่นเอง  ซึ่งตามกฎหมายกำหนดไว้มี  5  ชนิด  โดยเรียง         จากโทษหนักที่สุดไปยังโทษเบาที่สุด  ได้แก่  1  ประหารชีวิต   2  จำคุก    3  กักขัง    4  ปรับ   5  ริบทรัพย์สิน

–  สภาพบังคับในทางแพ่ง  หรือความรับผิดในทางแพ่งนั้น  คือ  การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่กัน  ได้แก่  การคืนทรัพย์  การชดใช้ราคาแทนทรัพย์  และรวมถึงการชดใช้ค่าเสียหายด้วย

 

ข้อ 2  ภูมิลำเนาหมายความว่าอย่างไร  บุคคลใดบ้างที่กฎหมายกำหนดภูมิลำเนาได้  จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบพอสังเขป

ธงคำตอบ

ภูมิลำเนา  หมายถึง  แหล่งที่อยู่อันเป็นแหล่งสำคัญของบุคคลธรรมดา

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  44  กำหนดให้บุคคลธรรมดาเลือกภูมิลำเนาได้โดยสมัครใจ  ยกเว้นบุคคล  5  ประเภทที่กฎหมายได้กำหนดภูมิลำเนาให้ไว้ในมาตรา  43  ถึงมาตรา  47  ดังนี้  คือ

ภูมิลำเนาของสามีภรรยา   ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  43  บัญญัติว่า  ภูมิลำเนาของสามีภริยา  ได้แก่  ถิ่นที่อยู่ที่สามีภริยาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา  เว้นแต่สามีภริยาได้แสดงเจตนาให้ปรากฏว่ามีภูมิลำเนาแยกต่างหากจากกัน  กฎหมายไม่ได้บังคับว่าสามีภริยาต้องมีภูมิลำเนาอยู่ในที่เดียวกัน  แต่ก็ไม่ต้องการทำลายสถาบันครอบครัว  ถ้าสามีภริยาอยู่ด้วยกันภูมิลำเนาก็จะอยู่  ณ  ที่นั้น  เว้นแต่สามีภริยาได้แสดงเจตนาให้ปรากฏซึ่งเจตนานี้ไม่ต้องแสดงเป็นลายลักษณ์อักษร  เช่น  กรณีสามีภริยาอยู่จังหวัดใกล้เคียงกัน  จึงตกลงกันต่างคนต่างอยู่เป็นเพื่อนดูแลบิดามารดาของแต่ละฝ่าย  และระหว่างนั้นต่างก็ไปเยี่ยมเยียนซึ่งกันและกัน  อย่างนี้ถือว่าภูมิลำเนาของสามีและภริยามีภูมิลำเนาคนละแห่ง

2       ภูมิลำเนาของผู้เยาว์  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  44  บัญญัติว่า  ภูมิลำเนาของผู้เยาว์ได้แก่  ภูมิลำเนาของผู้แทนโดยชอบธรรม  ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครอง

ในกรณีผู้เยาว์อยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดา  ถ้าบิดามารดามีภูมิลำเนาแยกต่างหากจากกัน  ภูมิลำเนาของผู้เยาว์ได้แก่ภูมิลำเนาของบิดาหรือมารดาซึ่งตนอยู่ด้วย  ภูมิลำเนาของผู้เยาว์ย่อมได้แก่  ภูมิลำเนาของผู้ใช้อำนาจปกครอง  หรือผู้ปกครองเพื่อสอดคล้องกับหลักที่ว่าผู้ใช้อำนาจปกครองหรือผู้ปกครองมีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์  แต่ถ้าบิดามารดาผู้เยาว์ต่างมีภูมิลำเนาคนละที่  ถ้าผู้เยาว์อยู่กับใครภูมิลำเนาของผู้เยาว์ก็จะอยู่ที่นั่นด้วย

และเนื่องจากผู้แทนโดยชอบธรรมคือ  ผู้ใช้อำนาจปกครอง  หรือผู้ปกครองนั้นยังเป็นผู้มีหน้าที่ควบคุมดูแลอุปการะเลี้ยงดูและจัดการเกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้เยาว์ด้วย  ดังนั้นเพื่อความสะดวกในการควบคุมดูแลผู้เยาว์  กฎหมายจึงบัญญัติให้ผู้เยาว์ถือภูมิลำเนาของผู้แทนโดยชอบธรรมซึ่งได้แก่บิดามารดาของผู้เยาว์นั่นเอง  เพราะบิดามารดาเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งการเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์  ถ้าบิดาหรือมารดาตาย อำนาจปกครองอยู่กับบิดาหรือมารดา  ถ้าบิดามารดาผู้เยาว์ตาย  ศาลตั้งผู้ปกครองไปอยู่ในความปกครองของใคร  ผู้เยาว์ย่อมถือเอาภูมิลำเนาของผู้นั้นเป็นภูมิลำเนาของตน  กรณีผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรมของใครก็ย่อมถือเอาภูมิลำเนาของผู้รับบุตรบุญธรรมนั้น

3       ภูมิลำเนาของคนไร้ความสามารถ  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  45  บัญญัติว่า  ภูมิลำเนาของคนไร้ความสามารถ  ได้แก่  ภูมิลำเนาของผู้อนุบาล  คนไร้ความสามารถนั้นคือ  คนวิกลจริตที่ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ  และศาลจะตั้งผู้ดูแลคนไร้ความสามารถซึ่งเรียกว่า  ผู้อนุบาล  (ป.พ.พ. มาตรา  28)  และผู้อนุบาลต้องดูแลคนไร้ความสามารถทั้งในเรื่องส่วนตัว  และในการจัดการทรัพย์สินของคนไร้ความสามารถด้วย  ดังนั้นกฎหมายในเรื่องภูมิลำเนาจึงบัญญัติให้ภูมิลำเนาของคนไร้ความสามรถคือภูมิลำเนาของผู้อนุบาลนั้นเองภูมิลำเนาของข้าราชการ   ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  46  บัญญัติว่า  ภูมิลำเนาของข้าราชการ  ได้แก่  ถิ่นอันเป็นที่ทำการตามตำแหน่งหน้าที่  หากมิใช่เป็นตำแหน่งหน้าที่ชั่วคราว  ชั่วระยะเวลาหรือเป็นเพียงแต่งตั้งไปเฉพาะการครั้งเดียวคราวเดียว  ข้อราชการที่มีตำแหน่งหน้าที่ประจำ  ณ  ถิ่นใด  ให้ถือว่ามีภูมิลำเนาอยู่  ณ  ถิ่นนั้น  ข้าราชการคือบุคคลที่ได้รับตำแหน่งหน้าที่ให้รับใช้มหาชนไม่จำกัดว่าเป็นฝ่ายใด  เช่น  ข้าราชการพลเรือน  ตำรวจ  ทหาร  หรือพนักงานเทศบาล  ข้อสำคัญจะต้องอยู่ในตำแหน่งหน้าที่ประจำ  เช่น  ผู้ว่าราชการจังหวัด  ผู้พิพากษา  หรือนายด่านศุลกากรที่ไปประจำอยู่ในจังหวัด

5 ภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุก  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  47  บัญญัติว่า  ภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุก  ตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลหรือตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย  ได้แก่  เรือนจำ  หรือทัณฑสถานที่ถูกจำคุกอยู่จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว  มาตรนี้เป็นมาตราใหม่ที่เกิดจากการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  บรรพ  1  ปี  พ.ศ. 2535  ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาข้อขัดข้องเรื่องภูมิลำเนาของผู้ถูกจำคุกโดยนำข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นมาประกอบการพิจารณา  และเห็นสมควรให้ถือสถานที่ที่ถูกจำคุกอยู่จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัวนั้นเป็นภูมิลำเนาของบุคคลที่ถูกจำคุกด้วย

 

ข้อ  3  บุคคลต่อไปนี้จดทะเบียนสมรสได้หรือไม่  ถ้าจดทะเบียนสมรสต้องทำอย่างไร  และจะเกิดผลทางกฎหมายอย่างไร

1         นายไก่อายุย่างเข้า  15  ปี  กับนางสาวแดงอายุ 20 ปีบริบูรณ์

2        นายไข่อายุ  17  ปีบริบูรณ์  กับนางสาวเขียว อายุ  17  ปีบริบูรณ์เช่นกัน

3        นายขวดคนเสมือนไร้ความสามารถ

4        นายเป็ดคนวิกลจริต

5        นายห่านคนไร้ความสามารถ


ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย

มาตรา  1454  ผู้เยาว์จะทำการสมรสให้นำความในมาตรา  1436  มาใช้บังคับโดยอนุโลม  กล่าวคือ  ผู้เยาว์ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม  จึงจะทำการสมรสได้  การสมรสที่ผู้เยาว์ทำโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ

มาตรา  1448  การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุสิบเจ็ดปีบริบูรณ์แล้ว  แต่ในกรณีที่มีเหตุอันสมควร  ศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนนั้นได้

มาตรา  1449  การสมรสจะกระทำมิได้ถ้าชายหรือหญิงเป็นบุคคลวิกลจริต  หรือเป็นบุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ

มาตรา  1495  การสมรสที่ฝ่าฝืน  มาตรา  1449  มาตรา  1450  มาตรา  1452  และมาตรา 1458 เป็นโมฆะ

มาตรา  1503  การสมรสเพราะเหตุว่าเป็นโมฆียะ  มีเฉพาะในกรณีที่คู่สมรสทำการฝ่าฝืน มาตรา  1448

1       นายไก่อายุย่างเข้า  15  ปี  กับนางสาวแดงอายุ  20  ปีบริบูรณ์  จะสมรสได้ต้องปฏิบัติตามมาตรา  1448  กล่าวคือ  จะจดทะเยนสมรสก็ได้ถ้า

1)      มีเหตุอันสมควร  เช่น  นางสาวแดงตั้งครรภ์

2)      ได้รับอนุญาตจากศาล

3)      จดทะเบียนสมรส  การสมรสจึงจะสมบูรณ์2  นายไก่และนางสาวเขียว

1)  ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม

2)  จดทะเบียนสมรส  การสมรสจึงจะสมบูรณ์

ถ้าฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวผลโมฆียะ  ตามมาตรา  1454

3       นายขวดคนเสมือนไร้ความสามารถไม่มีข้อห้ามในการจดทะเบียนสมรส  การสมรสผลจึงสมบูรณ์

4       คนวิกลจริตสมรส  ผลเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  1449  มาตรา  1495

5       คนไร้ความสามารถสมรส  ผลเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  1449  มาตรา  1495

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2548

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1002  หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี 3 ข้อ  ข้อละ  25  คะแนน

ข้อ  1  จงบอกที่มาของกฎหมายมาโดยถูกต้องและครบถ้วน

ธงคำตอบ

ที่มาของกฎหมายเอกชนมีดังนี้  คือ

1  ศีลธรรม  เป็นเหตุผลภายในซึ่งเกิดจากสติปัญญาความรู้สึกรับผิดชอบ  มนุษย์จะใช้เหตุผลความรู้สึกผิดชอบชั่วดีดังกล่าวมาปรับเข้ากับสถานการณ์หรือข้อเท็จจริงต่างๆที่เกิดขึ้น  และศีลธรรมนั้นเมื่อมนุษย์ในสังคมได้ประพฤติปฏิบัติสม่ำเสมอ  และติดต่อกันเป็นเวลานาน  ก็อาจกลายมาเป็นที่มาของกฎหมายได้ในที่สุด  เช่น  การที่สามีมีภริยาหลายคน  ในสังคมหนึ่งๆถือว่าเป็นเรื่องผิดศีลธรรม  จึงได้นำเอาหลักศีลธรรมนั้นมาบัญญัติเป็นกฎหมาย  เช่น  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ห้ามชายหรือหญิงที่มีคู่สมรสแล้ว  จดทะเบียนสมรสซ้อนอีก หากฝ่าฝืนจะถือเป็นการผิดศีลธรรมอันดีของประชาชน  ผลคือตกเป็นโมฆะ  เป็นต้น

2  จารีตประเพณี  คือ  ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ได้ประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันเป็นเวลานาน  โดยปกติแล้วขนบธรรมเนียมประเพณีนั้นเป็นสิ่งที่มุ่งถึงการกระทำภายนอกของมนุษย์  เป็นกฎเกณฑ์ที่บังคับเอากับพฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออกมา  ซึ่งจารีตประเพณีนั้นในบางกรณีนำมาบัญญัติไวเป็นลายลักษณ์อักษร  หรือมีการนำมาตัดสินโดยผู้พิพากษา  หรือศาลนำมาใช้ในการตัดสินคดีก็เกิดเป็นกฎหมายขึ้นมาได้

จารีตประเพณีที่จะเป็นที่มาของกฎหมายนั้นจะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้

(1)   เป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันเป็นเวลานานและสม่ำเสมอจนกลายเป็นทางปฏิบัติหรือความเคยชิน  หรือธรรมเนียม

(2)   ประชาชนเห็นต้องกันว่า  จารีตประเพณีเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง  และจะต้องปฏิบัติตาม ตัวอย่างจารีตประเพณีที่เป็นที่มาของกฎหมาย  เช่น  จารีตประเพณีที่ว่าบิดามารดาสามารถเฆี่ยนตีอบรมสั่งสอนบุตรได้  และบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัวและมรดก  เป็นต้น

ศาสนา  คือ ข้อบังคับที่ศาสดาของแต่ละศาสนาได้กำหนดขึ้น  เพื่อให้มนุษย์ที่นับถือหรือศรัทธาในศาสนานั้นมีความเชื่อถือและบังคับตนเองให้ประพฤติปฏิบัติทำแต่ความดี  ละเว้นความชั่ว  การร่างกฎหมายจึงมีการนำเอาข้อห้ามของศาสนาต่างๆ  มาเป็นหลักในการบัญญัติกฎหมายเช่นเดียวกัน  เช่น  ข้อห้ามในศีล  5  ของศาสนาพุทธ  อาทิห้ามประพฤติผิดในกาม  ก็คล้ายกับบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ว่า  การที่สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันสามีหรือภริยา  เป็นชู้หรือมีชู้  หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ  อีกฝ่ายหนึ่งก็สามารถฟ้องหย่าได้  เป็นต้น

4  ความยุติธรรม  ในทางนิติปรัชญา  กฎหมายจีมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความยุติธรรมหรือความถูกต้องเป็นธรรม  การออกกฎหมายจึงต้องสอดคล้องกับความยุติธรรมด้วยเสมอ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบกฎหมายจารีตประเพณี  เช่น  ศาลในประเทศอังกฤษก็ได้มีการนำเอาหลักความยุติธรรมที่เรียกว่า  อิควิตี้ (Equity)  มาใช้ในการแก้ไขเยียวยาและอุดช่องว่างของกฎหมาย  ในกรณีที่ไม่สามารถนำเอาจารีตประเพณีหรือคำพิพากษาในคดีก่อนๆมาตัดสินให้เกิดความเป็นธรรมได้

 ตัวอย่างเช่น  ลูกหนี้ผิดสัญญาไม่ก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จภายในกำหนด  ทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย  ในระบบกฎหมายจารีตประเพณี  การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาจากลูกหนี้นั้น  มีจารีตประเพณีและคำพิพากษาของศาลอนุญาตให้เรียกค่าเสียหายที่เป็นจำนวนเงินได้เท่านั้น  การที่จะมาฟ้องร้องเพื่อบังคับชำระหนี้ที่ไม่ได้เป็นจำนวนเงินนั้น  ไม่มีจารีตประเพณีหรือคำพิพากษาขิงศาลให้ทำได้  หากเจ้าหนี้ไม่ต้องการฟ้องเรียกเอาค่าเสียหาย   แต่ต้องการตัวบ้าน  ซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา  ก็อาจจะเกิดความไม่เป็นธรรมได้  ดังนั้นศาลก็อาจจะนำเอาหลักความยุติธรรมซึ่งศาลได้คิดขึ้นมา  นำมาใช้ตัดสินคดีนั้นๆได้  โดยอนุญาตให้มีการฟ้องร้องเรียกให้ชำระหนี้ที่เป็นการกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งได้  คือ  ให้ลูกหนี้ก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จได้  เป็นต้น

คำพิพากษาของศาล  ประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายจารีตประเพณี  (Common  Law )  เช่น  อังกฤษ  มีการนำเอาคำพิพากษาที่ได้ตัดสินคดีเรื่องใดเรื่องหนึ่งเอาไว้แล้วมา เป็นบรรทัดฐานหรือแบบอย่างที่ศาลต่อๆมาต้องผูกพันตัดสินเป็นอย่างเดียวกัน  จึงถือได้ว่าคำพิพากษาของศาลในระบบกฎหมายจารีตประเพณีก็คือบ่อเกิดหรือที่มาของกฎหมาย

ส่วนประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร  เช่น  ฝรั่งเศส  เยอรมัน  ไทย  ฯลฯ  จะถือว่าคำพิพากษาของศาลเป็นเพียงการนำเอาตัวบทกฎหมายมาปรับกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเท่านั้น  ไม่มีผลผูกพันศาลอื่นที่จะต้องพิพากษาเป็นอย่างเดียวกัน  คำพิพากษาของศาลในระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรจึงไม่ใช่บ่อเกิดหรือที่มาของกฎหมาย

ความคิดเห็นของปราชญ์  ซึ่งอาจจะเป็นนักทฤษฎี  นักวิชาการ  หรืออาจจะเป็นอาจารย์ที่สอนกฎหมายอยู่ในมหาวิทยาลัยต่างๆ  ได้มีการแสดงความคิดเห็นโต้แย้งเกี่ยวกับตัวบทกฎหมาย  หรือคำวินิจฉัยของศาลซึ่งเคยตัดสินเอาไว้  ก็อาจนำเอาความคิดเห็นเหล่านั้นใช้เป็นหลักกฎหมายได้

ตัวอย่างเช่น  กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ได้เคยมีความเห็นว่า  การที่คนไทยพกพาอาวุธไปตามถนนหลวง  ซึ่งแต่ก่อนไม่เป็นความผิดอาญา  น่าจะมีบทบัญญัติห้ามมิให้กระทำการอย่างนั้นได้ต่อไปอีกต่อมาเมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอาญา  ก็ได้นำข้อห้ามในการถืออาวุธมาใส่ไว้ในกฎหมายอาญาด้วย  เป็นต้น

7       ข้อตกลงระหว่างประเทศ  เมื่อประเทศต่างๆ  มาทำความตกลงหรือทำสนธิสัญญากันแล้ว  ก็จะมีทำให้ประเทศที่ลงนามในสนธิสัญญานั้นจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นมีผลใช้บังคับเทียบเท่ากฎหมายเลยทีเดียว

 

ข้อ 2  วันที่  14  กุมภาพันธ์  2544  มีการจัดงานวันแห่งความรักขึ้นที่สนามกีฬาแห่งหนึ่ง  เกิดการชุลมุนวุ่นวายขึ้นเพราะตกใจเสียงระเบิด  และไฟไหม้รถยนต์ที่จอดบริเวณนั้น  ทำให้เกิดการเหยียบกันบาดเจ็บและตายเป็นจำนวนมาก  นายไก่และนางไข่ซึ่งเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายก็อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย  หลังจากเหตุการณ์สงบลง  นายไก่ได้โทรมาหานายขวดลูกชายโดยบอกว่า  นางไข่หายไปกำลังเดินหาอยู่  หลังจากนั้นนายขวดก็ไม่ได้รับข่าวและไม่เห็นนายไก่และนางไข่อีกเลย  ดังนี้  นายขวดจะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่และนางไข่เป็นคนสาบสูญได้หรือไม่  และเมื่อใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตร  61      ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา  5  ปี     เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือ  2  ปี

1  นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง   ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

2  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

3  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  หรือ (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

วินิจฉัย

1       นายขวดจะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่และนางไข่เป็นคนสาบสูญได้  เพราะเป็นผู้มีส่วนได้เสียในฐานะเป็นผู้สืบสันดาน

2       ในวันที่  14  กุมภาพันธ์  2544 เกิดเหตุโกลาหล  นางไข่และนายไก่  สามีภริยาอยู่ในเหตุการณ์ดังกล่าว  จึงเป็นกรณีตามมาตรา  61 วรรคสอง  (3)  หลังจากเหตุการณ์สงบลงนายไก่โทรมาหานายขวดลูกชาย  แสดงว่านายไก่ไม่ได้สูญหายหรือตายในเหตุการณ์ดังกล่าว  จึงต้องแบ่งเป็น  2  กรณีคือ (1)  กรณีนางไข่  นายขวดจะต้องรอให้ครบ  2  ปี  นับแต่วันที่    14  กุมภาพันธ์  2544  เป็นกรณีสาบสูญกรณีพิเศษ

 (2)   กรณีนายไก่บิดา  นายขวดจะต้องรอให้ครบ  5  ปี  นับแต่วันที่  14  กุมภาพันธ์  2544

ดังนั้นนายขวดจึงร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญได้ในวันที่  15  กุมภาพันธ์  2549  และร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นางไข่  เป็นคนสาบสูญได้ในวันที่  15  กุมภาพันธ์  2546

 

ข้อ 3 ศาลจะสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ  จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์อย่างไรบ้าง  และถ้าศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ  ศาลจะตั้งใครให้เป็นผู้ดูแลบุคคลดังกล่าว

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  32  มีหลักกฎหมายว่า  บุคคลใดมีกายพิการหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ  หรือประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ  หรือติดสุรายาเมา  หรือมีเหตุอื่นใดทำนองเดียวกันนั้น  จนไม่สามารถจะจัดทำการงานโดยตนเองได้  หรือจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครับ  เมื่อบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา  28  ร้องขอต่อศาล  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถก็ได้

บุคคลซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถตามวรรคหนึ่ง  ต้องจัดให้อยู่ในความพิทักษ์การแต่งตั้งผู้พิทักษ์ให้เป็นไปตามบทบัญญัติ  บรรพ  5  แห่งประมวลกฎหมายนี้

ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการสิ้นสุดของความเป็นผู้ปกครองในบรรพ  5  แห่งประมวลกฎหมายนี้มาใช้บังคับแก่การสิ้นสุดของการเป็นผู้พิทักษ์โดยอนุโลม

คำสั่งของศาลมาตรานี้  ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

หลักเกณฑ์ของการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถจากมาตรา  32  วรรคแรก  มีดังต่อไปนี้ คือ

1        ต้องมีเหตุบกพร่อง  กรณีที่จะถือว่าเป็น  เหตุบกพร่อง  นั้น  อาจจะเป็นเพราะเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้(1)   กายพิการ  คือ  ร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งได้ขาดไปหรือไม่สมประกอบ  ซึ่งอาจจะเกิดแต่กำเนิดหรือเกิดขึ้นภายหลังก็ได้  เช่น  ตาบอด  หูหนวก  เป็นใบ้  ขาแขนขาด  หรือเป็นอัมพาตง่อยเปลี๊ยเสียขา  เป็นต้น

(2)   จิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ  คือ  จิตใจไม่ปกติ  เป็นโรคจิตแต่ไม่ถึงกับวิกลจิต คือ  มีเวลาที่รู้สึกตัว  มีสติรู้สึกผิดชอบธรรมดา  แต่บางครั้งก็เลอะเลือนไปบ้าง

(3)   ประพฤติสุลุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ  หมายถึง  คนที่มีนิสัยใช้จ่ายทรัพย์สินอย่างไม่มีประโยชน์เกินกว่ารายได้ที่ได้รับและเป็นอาจิณคือเป็นประจำ

(4)   เป็นคนติดสุรายาเมา  คือ  คนที่เสพสุรา  หรือของมึนเมาต่างๆ  เมื่อเสพไปแล้ว  ก็ต้องเสพเป็นนิจ  ซึ่งขาดเสียมิได้

(5)   เหตุอื่นใดทำนองเดียวกันกับข้อ (1) (4)  เช่น  พวกหลงใหลในสิ่งของต่างๆหรือเป็นโรคประจำตัวจนไม่สามารถทำการงานของตนเองหรือจัดการเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว  เป็นต้น

  1. บุคคลนั้นไม่สามารถจะจัดทำการงานของตนเองได้  หรือจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว  เพราะเหตุบกพร่องนั้น  เช่น  นายดำเป็นอัมพาตอย่างร้ายแรงจนไม่สามารถทำการงานของตนเองได้  เช่นนี้นายดำอาจถูกร้องขอให้ศาลสั่งเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถได้  แต่อย่างไรก็ตามถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่า  แม้นายดำจะเป็นอัมพาต  แต่นายดำก็สามารถขายล็อตเตอรี่หาเลี้ยงครอบครัวได้  เช่นนี้นายดำยังสามารถจัดทำการงานของตนได้  จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะร้องขอให้ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถได้เป็นต้น

3       ผู้มีส่วนได้เสีย  (บุคคลตามที่ระบุในมาตรา  28  )  ได้แก่  สามี  ภริยา  บุพการี  ผู้สืบสันดานหรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาล ศาลอาจจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและตั้งผู้ พิทักษ์ขึ้นมาดูแลตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ  บุคคลนั้นก็ยังไม่เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ  ย่อมมีสิทธิและหน้าที่เช่นอย่างบุคคลธรรมดาสามัญทั่วไป  และเมื่อศาลมีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถแล้ว  การเป็นคนไร้ความสามารถย่อมเริ่มตั้งแต่วันที่ศาลสั่ง  ไม่ใช่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2548

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2548

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ  

ข้อ 1 จงอธิบายหลักการใช้การตีความ  และการอุดช่องว่างตามมาตรา 4 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่ามีสาระสำคัญอย่างไร  พร้อมยกตัวอย่างประกอบคำอธิบายมาพอสังเขป

ธงคำตอบ

ป.พ.พ. มาตรา 4 กฎหมายนั้น  ต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใดๆ แห่งกฎหมายตามตัวอักษร  หรือตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้นๆ

เมื่อไม่มีบทบัญญัติกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น  ให้วินิจฉัยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นไม่มีด้วย  ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

การใช้และการตีความกฎหมายแพ่งมีหลักเกณฑ์เช่นเดียวกัน  คือ  ต้องใช้และตีความตามตัวอักษรประกอบเจตนารมณ์ของกฎหมาย

ตัวอย่างเช่น  กฎหมายลักษณะมรดก  มาตรา  1627  บัญญัติว่า  บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วและบุตรบุญธรรมนั้น  ให้ถือว่าเป็นผู้สืบสันดานเหมือนกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งคำว่า  บุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้ว  เป็นถ้อยคำของกฎหมายที่มีความหมายกำกวมไม่ชัดเจน  

กล่าวคือ  ไม่แน่ชัดว่าจะใช้ความหมายอย่างแคบ  ซึ่งหมายถึงการรับรองโดยนิตินัย  เช่น  การจดทะเบียนรับรองบุตร  หรือจะใช้ความหมายอย่างกว้าง  ซึ่งหมายถึงการรับรองโดยพฤตินัย  เช่น  การที่บิดาให้ใช้นามสกุล  อุปการะเลี้ยงดูให้การศึกษาและเปิดเผยแก่บุคคลทั่วไปว่าเด็กเป็นบุตรของตน  และเมื่อมีการตีความตามตัวอักษรประกอบกับความมุ่งหมาย  หรือ เจตนารมณ์ของกฎหมายลักษณะมรดกแล้ว  จะเห็นได้ว่ากฎหมายมรดกมีความประสงค์ที่จะให้บุตรที่จะเป็นผู้สืบสันดานและมีสิทธิรับมรดกนั้น  หมายถึง  บุตรตามความเป็นจริง  กล่าวคือ  แม้จะเป็นบุตรนอกกฎหมายแต่ถ้าหากบิดาได้รับรองโดยพฤตินัยแล้วก็มีสิทธิรับมรดกของบิดาได้เช่นเดียวกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย

 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  4  วรรคสอง  ได้บัญญัติถึงขั้นตอนในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายไว้เป็นลำดับดังต่อไปนี้  คือ

1.  ถ้าไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้  ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามตามคลองจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น

กรณีนี้หมายความว่า  ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล  ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี  แต่จารีตประเพณีที่จะนำมาใช้ได้และจะมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายนั้น  ควรจะต้องมีลักษณะดังนี้คือ

1.      เป็นจารีตประเพณีที่บุคลในท้องถิ่นได้ถือปฏิบัติกันทั่วไป

2.      เป็นจารีตประเพณีที่ถือปฏิบัติต่อกันมาเป็นเวลานาน

3.      เป็นจารีตประเพณีที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย  หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย  หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

4.      เป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติกันมาอย่างสม่ำเสมอและเป็นที่ทราบกันทั่วไป

5.      เป็นจารีตประเพณีที่มีเหตุผลสมควรและเป็นธรรม2.  ถ้าไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นให้พิจารณาโดยอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

กรณีนี้เป็นการอุดช่องว่างของกฎหมายอีกวิธีหนึ่ง  กล่าวคือ  เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้นแต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้  ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมาที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน  ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง  มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน

ขั้นตอนในการพิจารณาโดยอาศัย (เทียบ) บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

1        พิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดีว่ามีความคล้ายคลึงกับข้อเท็จจริงที่มีกฎหมายบัญญัติไว้หรือไม่

2        พิจารณาถึงเหตุผลของข้อเท็จจริงทั้งสองกรณีว่ามีเหตุผลเดียวกันหรือเหตุผลที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งหรือไม่  ถ้ามีเหตุผลเดียวกันหรือใกล้เคียงกันอย่างยิ่งก็อาจเทียบเคียงกันได้

3        พิจารณากฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงว่าเป็นบททั่วไปหรือเป็นบทยกเว้น  ถ้าเป็นบททั่วไปก็อาจนำมาเทียบเคียงกันได้  แต่ถ้าเป็นข้อยกเว้นก็ไม่อาจนำมาเทียบเคียงกันได้

4        กฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงกันได้ต้องเป็นกฎหมายเรื่องเดียวกัน  มิใช่กฎหมายอื่นที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษเพื่อใช้กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ3.  ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ก็ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

กรณีนี้เป็นวิธีอุดช่องว่างของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประการสุดท้าย  กล่าวคือในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  ไม่มีจารีตประเพณี  และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ  ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน  หรือสุภาษิตกฎหมาย  หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้

 

ข้อ 2 ศาลจะสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดา  และกรณีพิเศษจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์อย่างไรบ้าง  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตร  61      ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา  5  ปี     เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือ  2  ปี

1  นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง   ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

2  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

3  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  หรือ (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

ศาลจะสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญกรณีธรรมดา  ต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้

(1) บุคคลใดบุคคลหนึ่งไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่และ

(2) ไม่ได้รับข่าวคราวหรือไม่มีใครพบเห็นตัว

(3) ติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี

(4) ผู้มีส่วนได้เสีย  เช่น  สามี  ภริยา  บิดามารดา  ผู้สืบสันดาน  ฯลฯ  หรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาล

(5) ศาลอาจจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญส่วนกรณีพิเศษนั้นกำหนดระยะเวลาลดเหลือ 2 ปี นับแต่

(1) วันมีการรบ  หรือสงครามสิ้นสุดลง  หรือ

(2) วันที่เกิดยานพาหนะโดยสารไปเกิดอุบัติเหตุ  อับปาง ฯลฯ

(3) หรือเหตุอื่นๆนอกจากกรณี  1) หรือ 2)  และมีการตายเกิดขึ้นเพราะบุคคลดังกล่าวอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ เมื่อเหตุการณ์ได้ผ่านพ้นไปแล้วไม่พบตัว หรือได้รับข่าวคราว

 

ข้อ 3 ไก่อายุย่างเข้า 15 ปี ทำพินัยกรรมขึ้น 1 ฉบับ ยกที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของตนให้แก่นางแจ๋วแหว๋วแฟนรัก  ต่อมาเมื่อไก่อายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ได้ทำสัญญาโดยลำพังซื้อรถยนต์หนึ่งคัน ราคา 5 ล้านบาทจากโชว์รูมอาทิตย์ส่องฟ้า  หลังจากนั้นเกิดเจ็บป่วยทางจิตอย่างรุนแรงถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถและตั้งนางแจ๋วแหว๋วภริยาเป็นผู้อนุบาล  นางแจ๋วแหว๋วอยากให้สามีหายป่วยจึงอนุญาตให้ไปซื้อโฮมเธียเตอร์จากร้านนายไข่ในราคา 1 แสนบาท

(1) พินัยกรรม

(2) สัญญาซื้อรถยนต์

(3) สัญญาซื้อโฮมเธียเตอร์ซึ่งนายไก่ทำขึ้นนั้นมีผลในทางกฎหมายอย่างไร   เพราะเหตุใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

มาตรา  21  ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  การใดๆที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะเว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา  25  ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์

มาตรา  29  การใดๆอันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นเป็นโมฆียะ

มาตรา  1703  พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ

วินิจฉัย

(1) พินัยกรรมมีผลเป็นโมฆะ  เพราะไก่อายุยังไม่ครบ  15  ปีบริบูรณ์

(2) สัญญาซื้อรถยนต์เป็นโมฆะ  เพราะผู้เยาว์ทำนิติกรรมใดๆต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม  ถ้าฝ่าฝืนก็เป็นโมฆียะ

(3)  สัญญาซื้อโฮมเธียเตอร์เป็นโมฆียะ  เพราะคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆไม่ได้เลย  ต้องให้ผู้อนุบาลทำแทน ถ้าฝ่าฝืนผลก็ย่อมเป็นโมฆียะ

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2549

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  3  ข้อ  

ข้อ  1  จงอธิบายว่าหลักกฎหมายทั่วไปคืออะไร  และหลักกฎหมายทั่วไปสามารถนำมาใช้อุดช่องว่างของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมายทั่วไปคือหลักกฎหมายที่เป็นพื้นฐานหรือเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปที่เป็นโครงสร้างของกฎหมาย  กฎหมายจะบัญญัติขึ้นจากหลักเกณฑ์ทั่วไปเหล่านี้  หลักกฎหมายทั่วไปแบ่งออกได้   2  ประเภทคือ

1         หลักกฎหมายทั่วไปในระบบกฎหมายไทย  เช่น  หลักกฎหมายโรมันซึ่งได้นำมาบัญญัติไว้ในกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  เช่น  หลักสุจริต  หลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน  ฯลฯ


2         หลักกฎหมายทั่วไปในระบบกฎหมายอื่น  เช่น  การขนส่งทางทะเลซึ่งนำหลักมาจากประเทศอังกฤษ  เป็นต้น

หลักเกณฑ์การอุดช่องว่างของกฎหมายตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  4  วรรคสอง  “เมื่อไม่มีกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้  ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น  ถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้นให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย  ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป”  

ดังนั้น หลักกฎหมายทั่วไปอาจนำมาอุดช่องว่างของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาปรับกับคดีที่เกิดขึ้นได้  และยังไม่มีหลักจารีตประเพณีและบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งที่จะนำมาปรับกับคดีได้อีกด้วย  ศาลจึงอาจนำหลักกฎหมายทั่วไปดังกล่าวข้างต้นมาตัดสินคดีได้โดยการนำมาอุดช่องว่างของกฎหมายนั่นเอง

 

ข้อ  2  จงบอกประเภทของกิจการที่ผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ไม่มีอำนาจกระทำได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากศาลก่อน  มาให้ถูกต้องและครบถ้วน

ธงคำตอบ 

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  5  “ผู้จัดการทรัพย์สินมีอำนาจหน้าที่อย่างเดียวกับตัวแทนผู้รับมอบอำนาจทั่วไปตามมาตรา  801  และมาตรา  802  ถ้าผู้จัดการทรัพย์สินเห็นเป็นการจำเป็นจะต้องทำการอันใดอันหนึ่งเกินขอบอำนาจต้องขออนุญาตต่อศาล  และเมื่อศาลสั่งอนุญาตแล้วจึงจะกระทำการนั้นได้”

มาตรา  801  “ถ้าตัวแทนได้รับมอบอำนาจทั่วไป  ท่านว่าจะทำกิจใดๆในทางจัดการแทนตัวการก็ย่อมทำได้ทุกอย่าง

แต่การเช่นอย่างจะกล่าวต่อไปนี้  ท่านว่าหาอาจจะทำได้ไม่  คือ

1)       ขายหรือจำนองอสังหาริมทรัพย์

2)       ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์กว่าสามปีขึ้นไป

3)       ให้

4)       ประนีประนอมยอมความ

5)       ยื่นฟ้องต่อศาล

6)       มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการพิจารณาตามหลักกฎหมายเรื่องตัวแทนเกี่ยวกับผู้รับมอบอำนาจทั่วไป  ซึ่งหมายความรวมถึงผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ด้วยนั้น  ตามปกติผู้จัดการทรัพย์สินมีสิทธิจัดการทรัพย์สินแทนผู้ไม่อยู่ได้ ทุกประการยกเว้นกิจการบางอย่างที่ต้องขออนุญาตต่อศาลก่อนจึงจะมีสิทธิทำได้  ตามมาตรา  801  ประกอบกับมาตรา  54

ดังนั้น  กิจการของผู้จัดการทรัพย์สินของผู้ไม่อยู่ไม่มีอำนาจกระทำได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากศาลก่อน  คือ

1         ขายหรือจำนองอสังหาริมทรัพย์

2         ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์กว่าสามปีขึ้นไป

3         ให้

4         ประนีประนอมยอมความ

5         ยื่นฟ้องต่อศาล

6         มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการพิจารณา

 

ข้อ  3  นายโชคดีอายุ  20  ปีบริบูรณ์  เป็นคนวิกลจริต  ให้นายโชคช่วยเช่าบ้านของตนเป็นเวลา  1  ปีในราคา ปีละ  500  บาท  และในขณะตกลงทำสัญญาเช่าบ้านนั้น  นายโชคดีไม่มีอาการวิกลจริตแต่อย่างใด  ส่วนนายโชคช่วยนั้นทราบมาก่อนแล้วว่านายโชคดีเป็นคนวิกลจริต  หลังจากนั้นไม่นานนายโชคดีอาการหนักขึ้นจนมารดาต้องไปร้องขอต่อศาลเพื่อสั่งให้นายโชคดีเป็นคนไร้ความสามารถ  โดยมีมารดาเป็นผู้อนุบาล  มารดานายโชคดีสงสารลูกชายมากจึงอนุญาตให้นายโชคดีไปซื้อเครื่องเสียงราคา  20,000  บาท  โดยลำพังเพื่อปลอบใจนายโชคดีที่มีคำสั่งศาลให้เป็นคนไร้ความสามารถ

อยากทราบว่าการทำสัญญาเช่าบ้านและการซื้อเครื่องเสียงของนายโชคดีมีผลในกฎหมายอย่างไร  หรือไม่

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  30  “การใดๆอันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่  และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา  29  “การใดๆอันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นเป็นโมฆียะ”

วินิจฉัย  ตามอุทาหรณ์

 1         ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  30  การทำนิติกรรมของคนวิกลจริตจะมีผลเป็นโมฆียะก็ต่อเมื่อ

1)       ได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นมีอาการจริตวิกล

2)       คู่กรณีอีกฝ่ายรู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต ซึ่งการที่นิติกรรมจะมีผลเป็นโมฆียะจะต้องประกอบด้วยเงื่อนไขหรือองค์ประกอบทั้ง 2  ข้อดังกล่าวจะขาดข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้   แต่ตามอุทาหรณ์นี้นายโชคดีทำนิติกรรม  คือ  สัญญาเช่าบ้านในขณะที่ไม่มีอาการจริตวิกล  แต่นายโชคช่วยก็ทราบดีว่านายโชคดีเป็นคนวิกลจริต  ดังนั้นสัญญาเช่าบ้านจึงมีผลสมบูรณ์ทุกประการ

2         ตามอุทาหรณ์  นายโชคดีเมื่อมีคำสั่งศาลให้เป็นคนไร้ความสามารถโดยมีมารดาเป็นผู้อนุบาลแล้วนั้น  การไปทำสัญญาซื้อเครื่องเสียงตามลำพังแม้จะได้รับคำยินยอมจากผู้อนุบาลแล้วก็ตาม  นิติกรรมที่ทำขึ้นคือการซื้อเครื่องเสียงราคา  20,000  บาท  ก็มีผลเป็นโมฆียะเสมอ  เพราะคนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆไม่ได้เลย  ต้องให้ผู้อนุบาลทำแทน  ถ้าฝ่าฝืนย่อมตกเป็นโมฆียะดังนั้น การทำสัญญาเช่าบ้านของนายโชคดีมีผลสมบูรณ์ แต่การทำสัญญาซื้อเครื่องเสียงของนายโชคดีมีผลเป็นโมฆียะ

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2549

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2549

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  3  ข้อ

ข้อ 1  จงบอกว่าประเทศไทยใช้กฎหมายระบบใด  พร้อมบอกลักษณะสำคัญของกฎหมายมาให้ถูกต้องและครบถ้วนด้วย

ธงคำตอบ

ประเทศไทยชะระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร (Civil  Law)

ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรนี้จะอยู่ในรูปของประมวลกฎหมาย  ซึ่งประเทศที่ใช้กฎหมายลายลักษณ์อักษรจะต้องมีการจัดทำเป็นประมวลกฎหมายขึ้น  โดยเฉพาะในทางกฎหมายแพ่งนั้นใช้ระบบกฎหมาย  “Civil  Law”  มาจากภาษาลาตินของโรมันว่า  “Jus  Civile” โดยกษัตริย์โรมันชื่อ  Justinian  ได้ทรงรวบรวมกฎหมายประเพณี  ซึ่งบันทึกไว้ในกฎหมายสิบสองโต๊ะ  รวมทั้งรวบรวมนักกฎหมายในสมัยพระองค์ช่วยกันบัญญัติออกมาเป็นรูปกฎหมาย  Civil  Law  ขึ้น  มีชื่อว่า “Corpus  Juris  Civilis”  ซึ่งต่อมาฝรั่งเศสและเยอรมันได้นำเอากฎหมายนี้มาจัดทำเป็นประมวลกฎหมายแพ่ง  (Civil  Code)  ขึ้น  จนเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก หรือที่เรียกว่า Condifild  Law  นั่นเอง

ประมวลกฎหมายคือ  กฎหมายที่ได้บัญญัติหรือตราขึ้น  โดยรวบรวมเอาบทบัญญัติเกี่ยวกับกฎหมายที่เป็นเรื่องเดียวกัน  แต่กระจัดกระจายกันอยู่ไม่เป็นระเบียบ  เอามารวบรวมจัดให้เป็นหมวดหมู่วางหลักเกณฑ์ให้อยู่ในที่เดียวกัน  และมีข้อความเกี่ยวเนื่องติดต่อกันอย่างเป็นระเบียบ

กฎหมายที่เป็นรูปประมวลกฎหมายหรือกฎหมายลายลักอักษรนี้  เป็นการพิจารณาหลักเกณฑ์  ทั่วไปมาสู่เรื่องเฉพาะเรื่อง  คือ  เอาบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่เป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปมาปรับด้วยเป็นรายๆไป  ดังนั้นประเทศที่ใช้กฎหมายลายลักษณ์อักษรจึงต้องคำนึงถึงตัวบทเป็นสำคัญ  ส่วนคำพิพากษาของศาลเป็นเพียงช่วยในการตีความในตัวบทของประมวลกฎหมายหรือพระราชบัญญัติเท่านั้น  ไม่ใช่ที่มาของกฎหมายอย่างเช่นระบบ Common  Law  ซึ่งที่มาของประมวลกฎหมายต่างๆ  ในระบบ  Civil  Law  นี้จะมาจากกฎหมายโรมันอันเป็นต้นแบบนั้นเอง

และนอกจากนี้  กฎหมายของประเทศที่ใช้ระบบประมวลกฎหมายนี้  แยกกฎหมายออกเป็นกฎหมายมหาชนและกฎหมายเอกชน  คือ  ในส่วนที่เกี่ยวกับมหาชนก็มีศาลปกครอง  และในส่วนที่เกี่ยวกับกฎหมายเอกชนก็มีศาลยุติธรรมเป็นผู้พิจารณาคดี  ส่วนกฎหมายระบบ  Common  Law  ไม่มีการแยกประเภทคดีทั้งทางมหาชนและเอกชนต้องพิจารณาในศาลยุติธรรมเพียงศาลเดียว

สำหรับลักษณะสำคัญของกฎหมายมีอยู่  5  ประการ  คือ

1.       กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดขึ้นจากรัฏฐาธิปัตย์  คือ  มาจากบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐหรือของประเทศ  โดยใช้อำนาจนิติบัญญัติสร้างกฎหมายขึ้นมาเป็นข้อบังคับแห่งกฎหมาย  เรียกว่าเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร (Codified  Law)  หรือกฎหมายที่เป็นรูปประมวลกฎหมาย  เช่นประเทศไทยพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจนิติบัญญัติโดยความเห็นชอบของรัฐสภา  เป็นต้น  ฉะนั้นถ้าเป็นบุคคลธรรมดาด้วยกันเองแล้วย่อมไม่มีอำนาจที่จะออกข้อบังคับให้เป็นข้อกฎหมายใช้บังคับแก่คนทั่วไป

อนึ่ง  ฝ่ายนิติบัญญัติอาจมอบอำนาจให้ฝ่ายบริหารออกกฎหมายได้เช่นกัน  เช่น  พระราชกฤษฎีกาหรือกฎกระทรวง  ซึ่งนับได้ว่าเป็นกฎหมายเช่นกัน

2.       กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไปกับทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือในประเทศนั้นๆ

               คือ  มิได้ทำขึ้นเพื่อให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดใช้โดยเฉพาะ  หรือออกมาเพื่อกิจการอันหนึ่งอันใดโดยเฉพาะ        แต่ใช้บังคับแก่บุคคลทั่วไป  และทุกสถานที่โดยเสมอภาค

3.       กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้เสมอไป  คือ  เมื่อได้มีการประกาศใช้กฎหมายใดแล้ว  ต้องใช้กฎหมายนั้นไปจนกว่าจะมีกฎหมายใหม่สำหรับเรื่องเดียวกันนั้นออกมา  และให้ยกเลิกกฎหมายเก่าอันนั้นเสีย

4         กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ต้องปฏิบัติตาม  ข้อบังคับดังกล่าวนั้นอาจจะเป็นเรื่องให้กระทำการหรือเป็นเรื่องให้ละเว้นกระทำการก็ได้  ซึ่งถ้ามีผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกลงโทษในทางอาญา

5         กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ  ซึ่งสภาพบังคับตามกฎหมายนั้นมีได้ทั้งในทางอาญาและในทางแพ่ง

สภาพบังคับในทางอาญา  คือ  “โทษ”  นั่นเอง  ซึ่งตามกฎหมายกำหนดไว้มี  5  ชนิด  โดยเรียง         จากโทษหนักที่สุดไปยังโทษเบาที่สุด  ได้แก่  1  ประหารชีวิต   2  จำคุก    3  กักขัง    4  ปรับ   5  ริบทรัพย์สิน

–  สภาพบังคับในทางแพ่ง  หรือความรับผิดในทางแพ่งนั้น  คือ  การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่กัน  ได้แก่  การคืนทรัพย์  การชดใช้ราคาแทนทรัพย์  และรวมถึงการชดใช้ค่าเสียหายด้วย

 

ข้อ  2  สภาพบุคคลเริ่มตั้งแต่เมื่อใด  และสิ้นสุดลงเมื่อใด  จงอธิบาย  และยกตัวอย่างถึงสิทธิของบุคคลที่ได้จากการเกิดมา  2  ตัวอย่าง

ธงคำตอบ 

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  15  วรรคแรก  มีหลักกฎหมายว่า  สภาพบุคคลย่อมเมื่อแต่แรกคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย  

ดังนั้นเมื่อพิจารณาตามบทบัญญัติดังกล่าว  จะเห็นว่า  สภาพบุคคลนั้นย่อมเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อคลอดและมีการอยู่รอดเป็นทารกนั่นเอง  หรืออาจแยกเป็นองค์ประกอบได้ว่า  การเริ่มต้นมีสภาพบุคคล  (ของบุคคลธรรมดา)  นั้นจะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ  2  ประการคือ

1         มีการคลอด  ซึ่งการคลอดนั้นคือการที่ทารกได้พ้นออกมาจากช่องคลอด  โดยไม่มีอวัยวะส่วนใดเหลือติดอยู่  ส่วนจะมีการตัดสายสะดือ(รก) หรือไม่ ไม่เป็นข้อสำคัญ  (ในกรณีที่มีการผ่าท้องเอาทารกออกมาตามหลักวิชาแพทย์  ก็ถือว่าเป็นการคลอดตามความหมายนี้เช่นกัน)

2         มีการอยู่รอดเป็นทารก  คือ  ต้องปรากฏว่าทารกที่คลอดออกมานั้นมีการหายใจแล้วด้วย  จึงจะถือได้ว่าทารกนั้นมีสภาพบุคคลแล้ว  ซึ่งการหายใจของทารกนั้นอาจจะเป็นการหายใจด้วยตนเองหรือการช่วยเหลือของแพทย์ก็ได้  และไม่ว่าการหายใจนั้นจะมีระยะเวลานานเพียงใดก็ตาม  ก็จัดได้ว่ามีการอยู่รอดเป็นทารกและมีสภาพบุคคลแล้ว

แต่ถ้าทารกที่คลอดออกมาไม่มีการหายใจ  คือ  ได้ตายไปก่อนแล้ว ซึ่งอาจจะตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา  หรือตายในคณะคลอดก็ตาม ดังนั้นทารกนั้นย่อมไม่มีสภาพบุคคลและไม่มีสิทธิใดๆตามกฎหมายทั้งสิ้น

สำหรับตัวอย่างสิทธิที่ได้จากการเกิดมีสภาพบุคคล  เช่น

1         การเป็นทายาทโดยชอบธรรมในฐานะผู้สืบสันดานในการรับมรดก

2         การได้สัญชาติไทย

3         การใช้นามสกุลของบิดา

4         การเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของมารดา

5         สิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย

ฯลฯ

 

ข้อ  3  ศาลจะสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ  จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์อย่างไรบ้าง  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักเกณฑ์การเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  32  มีหลักกฎหมายว่า  “บุคคลใดมีกายพิการหรือมีจิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ  หรือประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ  หรือติดสุรายาเมา  หรือมีเหตุอื่นใดทำนองเดียวกันนั้น  จนไม่สามารถจะจัดทำการงานโดยตนเองได้  หรือจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครับ  เมื่อบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา  28  ร้องขอต่อศาล  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถก็ได้

บุคคลซึ่งศาลได้สั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถตามวรรคหนึ่ง  ต้องจัดให้อยู่ในความพิทักษ์การแต่งตั้งผู้พิทักษ์ให้เป็นไปตามบทบัญญัติ  บรรพ  5  แห่งประมวลกฎหมายนี้

ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยการสิ้นสุดของความเป็นผู้ปกครองในบรรพ  5  แห่งประมวลกฎหมายนี้มาใช้บังคับแก่การสิ้นสุดของการเป็นผู้พิทักษ์โดยอนุโลม

คำสั่งของศาลมาตรานี้  ให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา”

หลักเกณฑ์ของการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถจากมาตรา  32  วรรคแรก  มีดังต่อไปนี้ คือ

1         ต้องมีเหตุบกพร่อง  กรณีที่จะถือว่าเป็น  “เหตุบกพร่อง”  นั้น  อาจจะเป็นเพราะเหตุใดเหตุหนึ่งดังต่อไปนี้

(1)     กายพิการ  คือ  ร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งได้ขาดไปหรือไม่สมประกอบ  ซึ่งอาจจะเกิดแต่กำเนิดหรือเกิดขึ้นภายหลังก็ได้  เช่น ตาบอด  หูหนวก  เป็นใบ้  ขาแขนขาด  หรือเป็นอัมพาตง่อยเปลี๊ยเสียขา  เป็นต้น

(2)     จิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ  คือ  จิตใจไม่ปกติ  เป็นโรคจิตแต่ไม่ถึงกับวิกลจิต คือ  มีเวลาที่รู้สึกตัว  มีสติรู้สึกผิดชอบธรรมดา  แต่บางครั้งก็เลอะเลือนไปบ้าง

(3)     ประพฤติสุลุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ  หมายถึง  คนที่มีนิสัยใช้จ่ายทรัพย์สินอย่างไม่มีประโยชน์เกินกว่ารายได้ที่ได้รับและเป็นอาจิณคือเป็นประจำ

(4)     เป็นคนติดสุรายาเมา  คือ  คนที่เสพสุรา  หรือของมึนเมาต่างๆ  เมื่อเสพไปแล้ว  ก็ต้องเสพเป็นนิจ  ซึ่งขาดเสียมิได้

(5)     เหตุอื่นใดทำนองเดียวกันกับข้อ (1) – (4)  เช่น  พวกหลงใหลในสิ่งของต่างๆหรือเป็นโรคประจำตัวจนไม่สามารถทำการงานของตนเองหรือจัดการเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว  เป็นต้น

2.       บุคคลนั้นไม่สามารถจะจัดทำการงานของตนเองได้  หรือจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว  เพราะเหตุบกพร่องนั้น  เช่น  นายดำเป็นอัมพาตอย่างร้ายแรงจนไม่สามารถทำการงานของตนเองได้  เช่นนี้นายดำอาจถูกร้องขอให้ศาลสั่งเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถได้  แต่อย่างไรก็ตามถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่า  แม้นายดำจะเป็นอัมพาต  แต่นายดำก็สามารถขายล็อตเตอรี่หาเลี้ยงครอบครัวได้  เช่นนี้นายดำยังสามารถจัดทำการงานของตนได้  จึงไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะร้องขอให้ศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถได้เป็นต้น

2         ผู้มีส่วนได้เสีย  (บุคคลตามที่ระบุในมาตรา  28  )  ได้แก่  สามี  ภริยา  บุพการี  ผู้สืบสันดานหรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาล  ศาลอาจจะ สั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและตั้งผู้พิทักษ์ขึ้นมาดูแลตราบ ใดที่ศาลยังไม่มีคำสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ  บุคคลนั้นก็ยังไม่เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ  ย่อมมีสิทธิและหน้าที่เช่นอย่างบุคคลธรรมดาสามัญทั่วไป  และเมื่อศาลมีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถแล้ว  การเป็นคนไร้ความสามารถย่อมเริ่มตั้งแต่วันที่ศาลสั่ง  ไม่ใช่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2550

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ

ข้อ  1  จงอธิบายหลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายมาโดยถูกต้องและครบถ้วน

ธงคำตอบ

“ช่องว่างของกฎหมาย”  เกิดขึ้นเนื่องจากไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาปรับกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นนั่นเอง

ในกรณีที่มีช่องว่างของกฎหมายเกิดขึ้น  โดยหลักทั่วไปศาลจะปฏิเสธไม่พิจารณาพิพากษาคดีโดยอ้างว่าไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่คดีนั้นไม่ได้   

กล่าวคือ  ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดคดีนั้นเสมอโดยศาลจะต้องใช้กฎหมายโดวิธีอุดช่องว่างของกฎหมายตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายได้กำหนดไว้  ซึ่งจะเห็นได้จากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  4  วรรคสอง  ซึ่งได้บัญญัติถึงการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้ว่า

“เมื่อไม่มีบทบัญญัติกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น  ให้วินิจฉัยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นไม่มีด้วย  ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป”

อนึ่ง…สำหรับกฎหมายอาญานั้น  แม้ว่าจะเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความผิดและโทษ  ศาลก็ย่อมที่จะอุดช่องว่างแห่งกฎหมายได้  แต่จะอุดช่องว่างแห่งกฎหมายให้เป็นการลงโทษบุคคล  หรือจะอุดช่องว่างแห่งกฎหมายไปในทางที่จะลงโทษบุคลให้หนักขึ้นไม่ได้

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  4  วรรคสอง  ได้บัญญัติถึงขั้นตอนในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายไว้เป็นลำดับดังต่อไปนี้  คือ

1.  ถ้าไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้  ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามตามคลองจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น

กรณีนี้หมายความว่า  ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล  ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี  แต่จารีตประเพณีที่จะนำมาใช้ได้และจะมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายนั้น  ควรจะต้องมีลักษณะดังนี้คือ

1.       เป็นจารีตประเพณีที่บุคลในท้องถิ่นได้ถือปฏิบัติกันทั่วไป

2.       เป็นจารีตประเพณีที่ถือปฏิบัติต่อกันมาเป็นเวลานาน

3.       เป็นจารีตประเพณีที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย  หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย  หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

4.       เป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติกันมาอย่างสม่ำเสมอและเป็นที่ทราบกันทั่วไป

5.       เป็นจารีตประเพณีที่มีเหตุผลสมควรและเป็นธรรม

2.  ถ้าไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นให้พิจารณาโดยอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

กรณีนี้เป็นการอุดช่องว่างของกฎหมายอีกวิธีหนึ่ง  กล่าวคือ  เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้นแต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้  ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมาที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน  ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง  มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน

ขั้นตอนในการพิจารณาโดยอาศัย (เทียบ) บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

1         พิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดีว่ามีความคล้ายคลึงกับข้อเท็จจริงที่มีกฎหมายบัญญัติไว้หรือไม่

2         พิจารณาถึงเหตุผลของข้อเท็จจริงทั้งสองกรณีว่ามีเหตุผลเดียวกันหรือเหตุผลที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งหรือไม่  ถ้ามีเหตุผลเดียวกันหรือใกล้เคียงกันอย่างยิ่งก็อาจเทียบเคียงกันได้

3         พิจารณากฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงว่าเป็นบททั่วไปหรือเป็นบทยกเว้น  ถ้าเป็นบททั่วไปก็อาจนำมาเทียบเคียงกันได้  แต่ถ้าเป็นข้อยกเว้นก็ไม่อาจนำมาเทียบเคียงกันได้

4         กฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงกันได้ต้องเป็นกฎหมายเรื่องเดียวกัน  มิใช่กฎหมายอื่นที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษเพื่อใช้กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ

3.  ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ก็ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

กรณีนี้เป็นวิธีอุดช่องว่างของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประการสุดท้าย  กล่าวคือในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  ไม่มีจารีตประเพณี  และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ  ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน  หรือสุภาษิตกฎหมาย  หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้

 

ข้อ  2  นายไข่และนางไก่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย  นายไก่มีงานอดิเรกคือขับเครื่องบินขนาดเล็กในวันที่  1  มกราคม  2550  นายไก่ได้ไปขับเครื่องบินจากโคราชจะกลับกรุงเทพฯ  ในวันนี้เองเครื่องบินที่นายไก่ขับหายไปจากจอเรดาร์ของศูนย์ควบคุมการบินในช่วงที่นายไก่ขับบินผ่านเขาใหญ่

ในวันที่  3  มกราคม  2550  นางไข่ซึ่งเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศเพิ่งเดินทางกลับมาประเทศไทย  และได้รับข่าวเครื่องบินที่สามีขับสูญหายไปที่เขาใหญ่  นางไข่จึงได้ติดตามค้นหาสามีร่วมกับทางราชการซึ่งค้นหามาตั้งแต่วันเกิดเหตุแล้วจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีใครพบเห็นนายไก่และเครื่องบิน  และไม่มีใครได้รับข่าวจากนายไก่เลย

1)       นางไข่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

2)       ถ้าได้นางไข่จะไปศาลได้เมื่อใดจงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  61  ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา  5  ปี     เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือ  2  ปี

1  นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง   ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

2  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

3  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  หรือ (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ในวันที่ 1  มกราคม  2550  ขณะที่นายไก่ขับเครื่องบินขนาดเล็กจากโคราชจะกลับกรุงเทพฯ  ปรากฏข้อเท็จจริงว่า  เครื่องบินที่นายไก่ขับหายไปจากจอเรดาร์ของศูนย์ควบคุมการบินในช่วงที่นายไก่ขับบินผ่านเขาใหญ่  จากนั้นก็ไม่มีใครพบเห็นเครื่องบินและไม่มีใครได้รับข่าวคราวจากนายไก่อีกเลย  เห็นว่าเป็นการสาบสูญกรณีพิเศษ

ศาลจะสั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญกรณีพิเศษ  จะต้องประกอบไปด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้คือ

1         ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

2         ติดต่อกันเป็นเวลา  2  ปี  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคลนั้นเดินทาง  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป  โดยไม่มีใครพบเห็นตัว หรือไม่มีใครได้รับข่าวคราว

3         ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาล

4         ศาลมีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ

1)       นางไข่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญได้หรือไม่  เห็นว่า  ผู้มีสิทธิที่ร้องขอต่อศาลให้สั่งบุคคลใดเป็นคนสาบสูญได้นั้น  จะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงายอัยการ  เมื่อนางไข่เป็นภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย  ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย  จึงมีสิทธิร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญได้

2)       นางไข่จะร้องขอต่อศาลได้เมื่อใด  เห็นว่า  กรณีของนายไก่นั้น เป็นกรณีสาบสูญพิเศษอันมีผลทำให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถร้องขอต่อศาลได้เมื่อครบ  2  ปี นับแต่นายไก่สูญหายไปกับยานพาหนะที่โดยสารไปมิใช่วันที่ผู้มีส่วนได้เสียได้ทราบข่าวการสูญหาย  ดังนั้นนางไข่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญได้ในวันที่  2  มกราคม  2552  ตามมาตรา  61 วรรคสอง(2)

สรุป  1) นางไข่ร้องขอต่อศาลได้เพราะนางไข่เป็นผู้มีส่วนได้เสีย

2)       นางไข่จะร้องขอต่อศาลได้ในวันที่  2  มกราคม  2552  ตามมาตรา  61 วรรคสอง(2)



ข้อ  3
  มดจิ๋วอายุย่างเข้า  15  ปี  ต้องการทำนิติกรรมดังต่อไปนี้ให้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย  จึงมาปรึกษาท่านว่าต้องทำอย่างไร  จงอธิบาย
1)       ถอนเงินส่วนตัวจากธนาคารซื้อรถยนต์ราคา  2  ล้านบาท

2)       ทำพินัยกรรมยกเงินสดจำนวน  1  ล้านบาทให้มูลนิธิสุนัขจรจัด

3)       สมัครเรียนคณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยรามคำแหง โครงการ  พรีดีกรี

4)       คุณตามดจิ๋วจะให้เงินมดจิ๋วเป็นทุนการศึกษา  10  ล้านบาท

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  21  ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  การใดๆที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะเว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา  22  ผู้เยาว์อาจทำการใดๆได้ทั้งสิ้น  หากเป็นเพียงเพื่อจะได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่ง  หรือเป็นการเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง

มาตรา  24  ผู้เยาว์อาจทำการใดๆได้ทั้งสิ้น  ซึ่งเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตนแล้เป็นการอันจำเป็นในการดำรงชีพตามควร

มาตรา  25  ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์

มาตรา  1703  พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ

วินิจฉัย

1)       มดจิ๋วต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  จึงจะซื้อรถยนต์ได้โดยสมบูรณ์ตามมาตรา  21

2)       มดจิ๋วต้องรอให้อายุครบ  15 ปีบริบูรณ์เสียก่อนจึงจะทำพินัยกรรมได้  ถ้าทำขณะนี้อายุยังไม่ครบผลก็จะเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  25  ประกอบมาตรา  1703

3)       มดจิ๋วสามารถสมัครเรียนได้เลยเพราะเป็นการทำสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพตามควรแก่ฐานานุรูป  ตามมาตรา  24

4)       มดจิ๋วสามารถรับเงินที่คุณตาให้เป็นทุนการศึกษา  10  ล้านบาท  ได้โดยลำพังและสมบูรณ์เพราะเป็นการได้มาซึ่งสิทธิโดยไม่มีเงื่อนไขแต่อย่างใด  ตามมาตรา  22

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2550

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  3  ข้อ 

ข้อ  1  จงอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลสิทธิและทรัพยสิทธิ  มาโดยถูกต้องและครบถ้วน

ธงคำตอบ

บุคคลสิทธิ  คือ  สิทธิที่มีอยู่เหนือบุคคล  มีวัตถุแห่งสิทธิเป็นการกระทำหรืองดเว้นการกระทำการหรือส่งมอบทรัพย์สิน  ซึ่งในกฎหมายลักษณะหนี้  เรียกว่า  “สิทธิเรียกร้อง”  สิทธิเหล่านี้เป็นสิทธิที่จะบังคับเอากับลุกหนี้  ทายาท  หรือผู้สืบสิทธิของลูกหนี้เท่านั้น

ทรัพยสิทธิ  คือ  สิทธิที่มีวัตถุแห่งสิทธิเป็นทรัพย์สิน  หรือ  สิทธิที่มีอยู่เหนือทรัพย์สินโดยตรง  เช่น  กรรมสิทธิ์  สิทธิครอบครอง  สิทธิอาศัย  ภาระจำยอม  ลิขสิทธิ์  สิทธิในเครื่องหมายการค้า  เป็นต้น

ข้อแตกต่างระหว่างสิทธิและทรัพยสิทธิ  มีดังนี้

ก)      ทรัพยสิทธิมีวัตถุแห่งสิทธิเป็นทรัพย์สิน  ส่วนบุคคลสิทธิมีวัตถุแห่งมิทธิที่เกิดจากนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายลักษณะหนี้  กล่าวคือ เป็นสิทธิที่เจ้าหนี้สามารถเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้โดยการกระทำการ  งดเว้น  กระทำการหรือส่งมอบทรัพย์สินให้แก่เจ้าหนี้

ข)      ทรัพยสิทธิเกิดขึ้นโดยผลแห่งบทบัญญัติของกฎหมาย  ส่วนบุคคลสิทธิเกิดสิทธิขึ้นโดยผลของนิติกรรมสัญญาหรือนิติเหตุ

ค)      ทรัพยสิทธิใช้ยันหรือก่อให้เกิดหน้าที่กับบุคคลทั่วไป  ส่วนบุคคลสิทธิใช้ยันหรือก่อให้เกิดหน้าที่แก่บุคคลที่เป็นลูกหนี้เท่านั้น

ง)       ทรัพย์ สิทธิที่เกิดขึ้นและมีอยู่อย่างถาวรไม่สิ้นสุดลงไปเพราะการไม่ใช้สิทธินั้น ส่วนบุคคลสิทธิย่อมสิ้นไปเพราะการไม่ใช้สิทธิภายในกำหนดเวลาหรืออายุความที่ กฎหมายกำหนด

 

ข้อ  2  นายไก่และนาไข่ เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย  มีบุตรด้วยกัน  2  คน  คือ  นายดำและนายแดง  ปิดเทอมภาคฤดูร้อนนายแดงได้ไปบำเพ็ญประโยชน์ออกค่ายสร้างโรงเรียนกับชมรมรักถิ่นเกิดจังหวัดชุมพร  ในวันที่  1  เมษายน  2549  เกิดพายุโคลนถล่มหมู่บ้านซึ่งนายดำ  นายแดง  และเพื่อนๆไปออกค่ายมีคนสูญหายและตายไปหลายคนในวันเกิดเหตุนั้นเอง  นายดำได้โทรศัพท์มาแจ้งบิดามารดาทราบว่า  นายแดงน้องชายได้หายไป  แต่นายไก่และนางไข่ไม่อยู่บ้าน  จึงไม่ทราบข่าว ในวันที่  5  เมษายน  2549  จึงทราบข่าว  ติดต่อกับนายดำได้เพิ่งจะทราบว่านายแดงหายตัวไปกับโคลนถล่ม  ตั้งแต่วันที่  1  เมษายน  หลังจากนั้นนายไก่และนางไข่ก็ไม่ได้รับข่าวคราวจากนายดำและนายแดงอีกเลย

1)       นายไก่และนางไข่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายดำและนายแดงเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่เพราะเหตุใด

2)       ถ้าได้  นายไก่และนางไข่จะไปร้องขอต่อศาลได้เมื่อใด  จงอธิบาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตร  61      ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา  5  ปี     เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือ  2  ปี

1  นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง   ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

2  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

3  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  หรือ (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

วินิจฉัย

กรณีของนายแดง

ตามอุทาหรณ์  นายดำพี่ชายของนายแดง  ซึ่งร่วมเดินทางไปในครั้งนี้ด้วย  ได้โทรศัพท์มาแจ้งให้นายไก่และนางไข่ซึ่งเป็นบิดามารดาทราบว่านายแดงน้องชายหายไป  ในวันที่  1  มกราคม  2549  แต่ทั้งสองไม่อยู่บ้าน  จึงไม่ทราบข่าวในวันนั้น  เพิ่งมาทราบข่าวจากนายดำเมื่อวันที่  5  เมษายน  2549  ว่านายแดงหายไปในเหตุการณ์โคลนถล่ม  ตั้งแต่วันที่  1  เมษายนต์  2549  หลังจากนั้นก็ไม่ได้ข่าวคราวของนายดำและนายแดงอีกเลย  ดังนี้ถือว่า  เป็นการสาบสูญกรณีพิเศษ

การที่ศาลจะสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญกรณีพิเศษ  ตามมาตรา  61  วรรคสอง  จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้คือ

1         ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

2         ติดต่อกันเป็นเวลา  5  ปี  สำหรับกรณีสาบสูญธรรมดา  ตามวรรคแรก  หรือ  2  ปี  สำหรับกรณีสาบสูญพิเศษในเห๖การณ์ที่ระบุไว้ในวรรคสอง  (1) – (3)

3         ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาล

4         ศาลมีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ

นายไก่และนางไข่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายแดงเป็นคนสาบสูญได้หรือไม่  เห็นว่า  ผู้มีสิทธิที่ร้องขอต่อศาลให้สั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญได้นั้น  จะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการ  เมื่อนายไก่และนางไข่เป็นบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมาย  ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสีย  จึงมีสิทธิร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายแดงเป็นคนสาบสูญได้

ส่วนจะร้องขอต่อศาลได้หรือไม่นั้น  เห็นว่า  เมื่อเป็นคนสาบสูญกรณีพิเศษ  มีผลทำให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถร้องขอต่อศาลได้เมื่อครบ  2  ปี นับแต่วันที่โคลนถล่มมิใช่วันที่ผู้มีส่วนได้เสียได้ทราบข่าวการสูญหาย  ดังนั้นนายไก่และนางไข่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายแดงเป็นคนสาบสูญได้ในวันที่  2  เมษายน  2551  ตามมาตรา  61  วรรคสอง(3)

กรณีของนายดำ

ตามอุทาหรณ์  ในวันที่ 5  เมษายน  2549  นายไข่และนางไก่ยังสามารถติดต่อกับนายดำได้  แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้รับข่าวคราวนายดำอีกเลย  ดังนี้ไม่ถือว่านายดำอยู่ในเหตุอันตรายแก่ชีวิต  แต่เป็นเหตุที่นายดำหายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่และไม่มีใครทราบแน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่  เป็นกรณีสาบสูญธรรมดา  ตามมาตรา  61  วรรคแรก  มิใช่การสาบสูญกรณีพิเศษเช่นเดียวกับนายแดง

นายไก่และนางไข่ไม่สามารถร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายดำเป็นคนสาบสูญได้  เพราะเป็นผู้มีส่วนได้เสียและจะร้องขอต่อศาลได้เมื่อครบ  5  ปี นับแต่วันที่นายดำหายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครพบตัวหรือได้รับข่าวคราวเลยกล่าวคือ  ครบ  5  ปีในวันที่  5 เมษายน  2554  จึงร้องขอได้ในวันที่  6  เมษายน  2554

สรุป    1 )  นายไก่และนางไข่ร้องขอได้  เพราะเป็นผู้มีส่วนได้เสียในฐานะบิดามารดา

2 )   กรณีนายแดง  ร้องขอได้ในวันที่  2  เมษายน  2551

กรณีนายดำ  ร้องขอได้ในวันที่  6  เมษายน  2554


ข้อ  3
  บุคคลต่อไปนี้ทำนิติกรรม   ดังกล่าวต่อไปนี้  จะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร1)     นายไก่อายุ  15  ปีบริบูรณ์ถอนเงินส่วนตัวจำนวน  1  ล้านบาท  ซื้อรถยนต์  1  คันจากนายไข่  โดย      ลำพัง

2)    นายไก่อายุ  20  ปีบริบูรณ์  คนเสมือนไร้ความสามารถ ให้เพื่อนชาวฝรั่งเศสยืมเครื่องบินเล็กมูลค่า  12     ล้านบาทไปใช้ในระหว่างท่องเที่ยวอยู่ในประเทศไทย  โดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางไข่ผู้พิทักษ์

3)       นายไก่อายุ  20  ปี บริบูรณ์ คนไร้ความสามารถทำพินัยกรรมยกที่ดิน  1  แปลงให้แก่มูลนิธิหญิงชราโดยได้รับความยินยอมจากนางไข่ผู้อนุบาล

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  21  ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  การใดๆที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ  เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา  29  การใดๆอันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นเป็นโมฆียะ

มาตรา  34  คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น  ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3)     กู้ยืมเงินหรือให้กู้ยืมเงิน  ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

มาตรา  1704  วรรคแรก  พินัยกรรม ซึ่งบุคคลผู้ถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถทำขึ้นนั้นเป็นโมฆะ

วินิจฉัย

1)       เป็นโมฆะ  เพราะผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆ  ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  หากฝ่าฝืน  ผลทางกฎหมายคือ  เป็นโมฆียะ  ตามมาตรา  21

2)       คนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆย่อมสมบูรณ์  เว้นแต่การทำนิติกรรมตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา  34  ซึ่งจำกัดไว้  11  ประการ  ต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ก่อนจึงจะสมบูรณ์  การที่นายไก่คนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมเครื่องบินเล็กมูลค่า  12  ล้านบาท  อันเป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดา  ไม่ใช่การยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่าตามมาตรา  34 (3)  นิติกรรมดังกล่าวของนายไก่จึงมีผลสมบูรณ์

3)       โดยหลักกฎหมายแล้ว  คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆ  ย่อมตกเป็นโมฆียะทั้งสิ้นตามมาตรา  29  แม้จะได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลก็ตาม  เว้นแต่การทำพินัยกรรม  ซึ่งจะมีผลเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  1704  วรรคแรก  ดังนั้นพินัยกรรมที่นายไก่ทำขึ้นมาจึงตกเป็นโมฆะ

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2550

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2550

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  บ่อเกิดของกฎหมายเอกชนได้แก่อะไรบ้าง  จงอธิบาย  พร้อมยกตัวอย่างประกอบคำอธิบายมาพอสังเขป

ธงคำตอบ

บ่อเกิดหรือที่มาของกฎหมายเอกชนมีดังนี้  คือ

1  ศีลธรรม  เป็นเหตุผลภายในซึ่งเกิดจากสติปัญญาความรู้สึกรับผิดชอบ  มนุษย์จะใช้เหตุผลความรู้สึกผิดชอบชั่วดีดังกล่าวมาปรับเข้ากับสถานการณ์หรือข้อเท็จจริงต่างๆที่เกิดขึ้น  และศีลธรรมนั้นเมื่อมนุษย์ในสังคมได้ประพฤติปฏิบัติสม่ำเสมอ  และติดต่อกันเป็นเวลานาน  ก็อาจกลายมาเป็นที่มาของกฎหมายได้ในที่สุด  

เช่น  การที่สามีมีภริยาหลายคน  ในสังคมหนึ่งๆถือว่าเป็นเรื่องผิดศีลธรรม  จึงได้นำเอาหลักศีลธรรมนั้นมาบัญญัติเป็นกฎหมาย  เช่น  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ห้ามชายหรือหญิงที่มีคู่สมรสแล้ว  จดทะเบียนสมรสซ้อนอีก  หากฝ่าฝืนจะถือเป็นการผิดศีลธรรมอันดีของประชาชน  ผลคือตกเป็นโมฆะ  เป็นต้น 

2  จารีตประเพณี  คือ  ระเบียบแบบแผนที่มนุษย์ได้ประพฤติปฏิบัติสืบต่อกันเป็นเวลานาน  โดยปกติแล้วขนบธรรมเนียมประเพณีนั้นเป็นสิ่งที่มุ่งถึงการกระทำภายนอกของมนุษย์  เป็นกฎเกณฑ์ที่บังคับเอากับพฤติกรรมที่มนุษย์แสดงออกมา  ซึ่งจารีตประเพณีนั้นในบางกรณีนำมาบัญญัติไวเป็นลายลักษณ์อักษร  หรือมีการนำมาตัดสินโดยผู้พิพากษา  หรือศาลนำมาใช้ในการตัดสินคดีก็เกิดเป็นกฎหมายขึ้นมาได้

จารีตประเพณีที่จะเป็นที่มาของกฎหมายนั้นจะต้องมีลักษณะดังต่อไปนี้

(1)     เป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันเป็นเวลานานและสม่ำเสมอจนกลายเป็นทางปฏิบัติหรือความเคยชิน  หรือธรรมเนียม

(2)     ประชาชนเห็นต้องกันว่า  จารีตประเพณีเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง  และจะต้องปฏิบัติตาม

ตัวอย่างจารีตประเพณีที่เป็นที่มาของกฎหมาย  เช่น  จารีตประเพณีที่ว่าบิดามารดาสามารถเฆี่ยนตีอบรมสั่งสอนบุตรได้  และบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัวและมรดก  เป็นต้น

3  ศาสนา  คือ ข้อบังคับที่ศาสดาของแต่ละศาสนาได้กำหนดขึ้น  เพื่อให้มนุษย์ที่นับถือหรือศรัทธาในศาสนานั้นมีความเชื่อถือและบังคับตนเองให้ประพฤติปฏิบัติทำแต่ความดี  ละเว้นความชั่ว  การร่างกฎหมายจึงมีการนำเอาข้อห้ามของศาสนาต่างๆ  มาเป็นหลักในการบัญญัติกฎหมายเช่นเดียวกัน  เช่น  ข้อห้ามในศีล  5  ของศาสนาพุทธ  อาทิห้ามประพฤติผิดในกาม  ก็คล้ายกับบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ว่า  การที่สามีหรือภริยาอุปการะเลี้ยงดูหรือยกย่องผู้อื่นฉันสามีหรือภริยา  เป็นชู้หรือมีชู้  หรือร่วมประเวณีกับผู้อื่นเป็นอาจิณ  อีกฝ่ายหนึ่งก็สามารถฟ้องหย่าได้  เป็นต้น

 ความยุติธรรม  ในทางนิติปรัชญา  กฎหมายจีมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับความยุติธรรมหรือความถูกต้องเป็นธรรม  การออกกฎหมายจึงต้องสอดคล้องกับความยุติธรรมด้วยเสมอ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบกฎหมายจารีตประเพณี  เช่น  ศาลในประเทศอังกฤษก็ได้มีการนำเอาหลักความยุติธรรมที่เรียกว่า  อิควิตี้ (Equity)  มาใช้ในการแก้ไขเยียวยาและอุดช่องว่างของกฎหมาย  ในกรณีที่ไม่สามารถนำเอาจารีตประเพณีหรือคำพิพากษาในคดีก่อนๆมาตัดสินให้เกิดความเป็นธรรมได้

ตัวอย่างเช่น  ลูกหนี้ผิดสัญญาไม่ก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จภายในกำหนด  ทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย  ในระบบกฎหมายจารีตประเพณี  การฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาจากลูกหนี้นั้น  มีจารีตประเพณีและคำพิพากษาของศาลอนุญาตให้เรียกค่าเสียหายที่เป็นจำนวนเงินได้เท่านั้น  การที่จะมาฟ้องร้องเพื่อบังคับชำระหนี้ที่ไม่ได้เป็นจำนวนเงินนั้น  ไม่มีจารีตประเพณีหรือคำพิพากษาขิงศาลให้ทำได้  หากเจ้าหนี้ไม่ต้องการฟ้องเรียกเอาค่าเสียหาย   แต่ต้องการตัวบ้าน  ซึ่งเป็นวัตถุแห่งสัญญา  ก็อาจจะเกิดความไม่เป็นธรรมได้  ดังนั้นศาลก็อาจจะนำเอาหลักความยุติธรรมซึ่งศาลได้คิดขึ้นมา  นำมาใช้ตัดสินคดีนั้นๆได้  โดยอนุญาตให้มีการฟ้องร้องเรียกให้ชำระหนี้ที่เป็นการกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งได้  คือ  ให้ลูกหนี้ก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จได้  เป็นต้น   

5  คำพิพากษาของศาล  ประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายจารีตประเพณี  (Common  Law )  เช่น  อังกฤษ  มีการนำเอาคำพิพากษาที่ได้ตัดสินคดีเรื่องใดเรื่องหนึ่งเอาไว้แล้วมา เป็นบรรทัดฐานหรือแบบอย่างที่ศาลต่อๆมาต้องผูกพันตัดสินเป็นอย่างเดียวกัน  จึงถือได้ว่าคำพิพากษาของศาลในระบบกฎหมายจารีตประเพณีก็คือบ่อเกิดหรือที่มาของกฎหมาย

ส่วนประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษร  เช่น  ฝรั่งเศส  เยอรมัน  ไทย  ฯลฯ  จะถือว่าคำพิพากษาของศาลเป็นเพียงการนำเอาตัวบทกฎหมายมาปรับกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเท่านั้น  ไม่มีผลผูกพันศาลอื่นที่จะต้องพิพากษาเป็นอย่างเดียวกัน  คำพิพากษาของศาลในระบบกฎหมายลายลักษณ์อักษรจึงไม่ใช่บ่อเกิดหรือที่มาของกฎหมาย

6  ความคิดเห็นของปราชญ์  ซึ่งอาจจะเป็นนักทฤษฎี  นักวิชาการ  หรืออาจจะเป็นอาจารย์ที่สอนกฎหมายอยู่ในมหาวิทยาลัยต่างๆ  ได้มีการแสดงความคิดเห็นโต้แย้งเกี่ยวกับตัวบทกฎหมาย  หรือคำวินิจฉัยของศาลซึ่งเคยตัดสินเอาไว้  ก็อาจนำเอาความคิดเห็นเหล่านั้นใช้เป็นหลักกฎหมายได้

ตัวอย่างเช่น  กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ได้เคยมีความเห็นว่า  การที่คนไทยพกพาอาวุธไปตามถนนหลวง  ซึ่งแต่ก่อนไม่เป็นความผิดอาญา  น่าจะมีบทบัญญัติห้ามมิให้กระทำการอย่างนั้นได้ต่อไปอีกต่อมาเมื่อมีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอาญา  ก็ได้นำข้อห้ามในการถืออาวุธมาใส่ไว้ในกฎหมายอาญาด้วย  เป็นต้น

7  ข้อตกลงระหว่างประเทศ  เมื่อประเทศต่างๆ  มาทำความตกลงหรือทำสนธิสัญญากันแล้ว  ก็จะมีทำให้ประเทศที่ลงนามในสนธิสัญญานั้นจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นมีผลใช้บังคับเทียบเท่ากฎหมายเลยทีเดียว

 

ข้อ  2  นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย  นายไก่เดินทางไปธุระที่จังหวัดปัตตานีตั้งแต่วันที่  1  มกราคม  2548  หลังจากนั้นนางไข่ภริยาก็ไม่ได้รับข่าวคราว  และไม่มีใครพบเห็นตัวนายไก่อีกเลย

(1)  นางไข่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญได้หรือไม่

(2)  ถ้าได้นางไข่จะไปศาลได้เมื่อใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  61      ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา  5  ปี

เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือ  2  ปี

1  นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง   ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

2  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

3  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  หรือ (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

วินิจฉัย

การที่ศาลจะสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญ  ตามมาตรา  61  จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์  ดังนี้คือ

1         ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

2         ติดต่อกันเป็นเวลา  5  ปี  สำหรับกรณีสาบสูญธรรมดา  ตามวรรคแรก  หรือ  2  ปี  สำหรับกรณีสาบสูญพิเศษในเห๖การณ์ที่ระบุไว้ในวรรคสอง  (1) – (3)

3         ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาล

4         ศาลมีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ

จากหลักเกณฑ์ดังกล่าว  จะเห็นได้ว่า  ถ้าบุคคลใดหายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  โดยไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่  หรือไม่มีใครได้รับข่างคราวประการใดเลย  เป็นเวลาติดต่อกันตามที่กฎหมายกำหนด  ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการอาจร้องขอต่อศาลให้ศาลสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

(1)     นางไข่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญได้หรือไม่  เห็นว่า  ผู้มีสิทธิที่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งบุคคลใดเป็นคนสาบสูญได้นั้น  จะต้องเป็น

1         ผู้มีส่วนได้เสีย  ผู้มีสิทธิหรือได้รับสิทธิต่างๆ  เนื่องจากการที่ศาลจะสั่งให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นคนสาบสูญ  เช่น  คู่สมรส  บิดามารดาหรือญาติพี่น้องรวมทั้งหุ้นส่วนด้วย  เป็นต้น  หรือ

2         พนักงานอัยการ

กรณีตามอุทาหรณ์  เมื่อนายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย  ถือว่าเป็นผู้มีส่วนได้เสียในฐานะคู่สมรส  นางไข่  จึงมีสิทธิร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญได้

(2)  ถ้าได้นางไข่จะไปศาลได้เมื่อใด  เห็นว่า  การที่นายไก่เดินทางไปธุระที่จังหวัดปัตตานีตั้งแต่วันที่  1  มกราคม 2548  หลังจากนั้นนางไข่กริยาก็ไม่ได้รับข่าวคราวและไม่มีใครพบเห็นตัวนายไก่อีกเลย  จึงเป็นกรณีที่นายไก่ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่และไม่มีใครรู้แน่ว่านายไก่นั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่  เป็นกรณีการสาบสูญธรรมดา  ตามมาตรา  61  วรรคแรก  ดังนั้นหากนางไข่จะร้องขอต่อศาลให้สั่งนายไก่เป็นคนสาบสูญจะต้องร้องขอต่อศาลได้เมื่อครบ  5  ปี  นับแต่นายไก่  ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่

กรณีตามอุทาหรณ์นายไก่หายไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ในวันที่  1  มกราคม  2548  โดยไม่มีใครทราบข่าวคราว  ระยะเวลา  5  ปีตามมาตรา  61  วรรคแรก  จึงครบกำหนดในวันที่  1  มกราคม  2553  ดังนั้นนางไข่จึงสามารถร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่เป็นคนสาบสูญได้ในวันที่  2  มกราคม  2553

สรุป   1 )    นางไข่ร้องขอต่อศาลได้เพราะนางไข่เป็นผู้มีส่วนได้เสีย

2)       นางไข่จะร้องต่อศาลได้ในวันที่  2  มกราคม  2553  ตามมาตรา  61  วรรคแรก

 

ข้อ  3  เป็ดอายุย่างเข้า  15  ปี  ต้องการทำนิติกรรมดังต่อไปนี้  ให้นักศึกษาอธิบายว่าทำได้หรือไม่  และจะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

(1) ทำพินัยกรรมยกเงิน  1  ล้านบาทให้มูลนิธิสุนัขจรจัด

(2)   ถอนเงินส่วนตัวจากบัญชีฝากประจำธนาคารออมสินจะไปซื้อรถยนต์ราคา  6  แสนบาท

(3)  สมัครเรียนคณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยรามคำแหง  หลักสูตรพรีดีกรี  (Pre –  degree)

(4)  ฟ้องให้นายห่านซึ่งเป็นบิดาโดยพฤตินัยรับตนเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา  21  ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใดๆต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  การใดๆที่ผู้เยาว์ได้ทำลงไปโดยปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ  เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา  23  ผู้เยาว์อาจทำการใดๆได้ทั้งสิ้น  ซึ่งเป็นการต้องทำเองเฉพาะตัว

มาตรา  24  ผู้เยาว์อาจทำการใดๆได้ทั้งสิ้น  ซึ่งเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตนและเป็นการอันจำเป็นในการดำรงชีพตามสมควร

มาตรา  25  ผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่อมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์

มาตรา  1556  การฟ้องคดีขอให้รับเด็กเป็นบุตรในระหว่างที่เด็กเป็นผู้เยาว์  ถ้าเด็กมีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์  ผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กเป็นผู้ฟ้องแทน  ในกรณีที่เด็กไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม  หรือมีแต่ผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถทำหน้าที่ได้  ญาติสนิทของเด็กหรืออัยการอาจร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้แทนเฉพาะคดีเพื่อทำหน้าที่ฟ้องคดีแทนเด็กก็ได้

เมื่อเด็กมีอายุสิบห้าปีบริบูรณ์  เด็กต้องฟ้องเอง  ทั้งนี้โดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม

มาตรา  1703  พินัยกรรมซึ่งบุคคลที่มีอายุยังไม่ครบสิบห้าปีบริบูรณ์ทำขึ้นเป็นโมฆะ

วินิจฉัย

1)  ทำพินัยกรรมยกเงิน  1  ล้านบาทให้มูลนิธิสุนัขจรจัด

ตามมาตรา  25  นั้นผู้เยาว์อาจทำพินัยกรรมได้เมื่ออายุครบ  15  ปีบริบูรณ์  หากผู้เยาว์ทำพินัยกรรมโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว  พินัยกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะ  เสมือนว่ามิได้มีการทำพินัยกรรมนั้นเลย  ตามมาตรา  1703  ดังนั้นการที่เป็ดผู้เยาว์อายุย่างเข้า  15  ปี ทำพินัยกรรมยกเงิน  1  ล้านบาทให้มูลนิธิสุนัขจรจัด  เป็ดจึงไม่สามารถทำได้ตามมาตรา  25  พินัยกรรมดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ  ตามมาตรา  1703

2)  ถอนเงินส่วนตัวจากบัญชีฝากประจำธนาคารออมสินจะไปซื้อรถยนต์ราคา  6  แสนบาท

นิติกรรมใดๆก็ตามถ้ามิได้เข้าข้อยกเว้นที่ผู้เยาว์สามารถทำเองได้  ผู้เยาว์จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  ดังนั้นในการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากประจำเพื่อจะไปซื้อรถนั้น  เป็ดต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน  มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ  ตามมาตรา  21

3)  สมัครเรียนคณะนิติศาสตร์  มหาวิทยาลัยรามคำแหง  หลักสูตรพรีดีกรี (Pre – degree)

ในกรณีที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ผู้เยาว์สามารถ ทำนิติกรรมใดๆได้เองแล้ว  ผู้เยาว์ก็ไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อนแต่อย่างใด  สำหรับการสมัครเรียนคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคำแหง  หลักสูตรพรีดีกรีนั้น เป็นการทำสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิตตามควรแก่ฐานานุรูป  ตามมาตรา  24  ผู้เยาว์สามารถทำได้เอง  โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม

4)  ฟ้องให้นายห่านซึ่งเป็นบิดาโดยพฤตินัยรับตนเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมาย

โดยหลักแล้ว  การฟ้องให้บิดาโดยพฤตินัย (บิดาที่มิได้จดทะเบียนสมรสกับมารดา)  รับผู้เยาว์เป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายนั้น   ถือเป็นเรื่องที่ผู้เยาว์สามารถทำได้เองเฉพาะตัว  โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชองธรรมก่อน  ตามาตรา  23  แต่อย่างไรก็ตาม  กฎหมายก็ได้กำหนดข้อจำกัดสิทธิของผู้เยาว์ไว้อีกในมาตรา  1556  ว่าผู้เยาว์นั้นต้องอายุครบ  15  ปีบริบูรณ์แล้วเท่านั้นที่จะสามารถฟ้องคดีนี้ได้เอง  ถ้าผู้เยาว์ยังมีอายุไม่ครบ  15  ปีบริบูรณ์  จะต้องให้ผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นผู้ฟ้องแทน  หรือถ้าผู้เยาว์ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม  หรือมีแต่ผู้แทนโดยชอบธรรมไม่สามารถทำหน้าที่ได้  ญาติสนิทของผู้เยาว์หรืออัยการอาจร้องขอต่อศาลให้ตั้งผู้แทนเฉพาะคดีเพื่อทำหน้าที่ฟ้องคดีแทนผู้เยาว์ก็ได้  ดังนั้นเป็ดจึงไม่สามารถฟ้องให้นายห่านรับตนเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายได้  ตามมาตรา  1556  แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ผู้เยาว์สามารถทำเองได้เฉพาะตัวตามมาตรา  23  ก็ตาม

LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2551

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2551

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW1002 หลักกฎหมายเอกชน

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี  3  ข้อ

ข้อ  1.      จงอธิบายหลักในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายมาโดยละเอียดและครบถ้วน

ธงคำตอบ
 “ช่องว่างของกฎหมาย”  เกิดขึ้นเนื่องจากไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาปรับกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นนั่นเองในกรณีที่มีช่องว่างของกฎหมายเกิดขึ้น  โดยหลักทั่วไปศาลจะปฏิเสธไม่พิจารณาพิพากษาคดีโดยอ้างว่าไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่คดีนั้นไม่ได้  กล่าวคือ  ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดคดีนั้นเสมอโดยศาลจะต้องใช้กฎหมายโดวิธีอุดช่องว่างของกฎหมายตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กฎหมายได้กำหนดไว้  ซึ่งจะเห็นได้จากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  4  วรรคสอง  ซึ่งได้บัญญัติถึงการอุดช่องว่างของกฎหมายไว้ว่า“เมื่อไม่มีบทบัญญัติกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นถ้าไม่มีจารีตประเพณีเช่นว่านั้น  ให้วินิจฉัยอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นไม่มีด้วย  ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป”

อนึ่ง…สำหรับกฎหมายอาญานั้น  แม้ว่าจะเป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความผิดและโทษ  ศาลก็ย่อมที่จะอุดช่องว่างแห่งกฎหมายได้  แต่จะอุดช่องว่างแห่งกฎหมายให้เป็นการลงโทษบุคคล  หรือจะอุดช่องว่างแห่งกฎหมายไปในทางที่จะลงโทษบุคลให้หนักขึ้นไม่ได้

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  4  วรรคสอง  ได้บัญญัติถึงขั้นตอนในการอุดช่องว่างแห่งกฎหมายไว้เป็นลำดับดังต่อไปนี้  คือ

1.  ถ้าไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับแก่คดีได้  ให้วินิจฉัยคดีนั้นตามจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น

กรณีนี้หมายความว่า  ถ้าไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่จะนำมาตัดสินคดีที่มาสู่ศาล  ก็ให้ศาลนำเอาจารีตประเพณีมาใช้แทนกฎหมายลายลักษณ์อักษรเพื่อวินิจฉัยตัดสินคดี  แต่จารีตประเพณีที่จะนำมาใช้ได้และจะมีผลเช่นเดียวกับกฎหมายนั้น  ควรจะต้องมีลักษณะดังนี้คือ

1.     เป็นจารีตประเพณีที่บุคลในท้องถิ่นได้ถือปฏิบัติกันทั่วไป

2.     เป็นจารีตประเพณีที่ถือปฏิบัติต่อกันมาเป็นเวลานาน

3.     เป็นจารีตประเพณีที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย  หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย  หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

4.     เป็นจารีตประเพณีที่ปฏิบัติกันมาอย่างสม่ำเสมอและเป็นที่ทราบกันทั่วไป

5.     เป็นจารีตประเพณีที่มีเหตุผลสมควรและเป็นธรรม

2.  ถ้าไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นให้พิจารณาโดยอาศัยบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

กรณีนี้เป็นการอุดช่องว่างของกฎหมายอีกวิธีหนึ่ง  กล่าวคือ  เมื่อมีข้อเท็จจริงหรือคดีเกิดขึ้นแต่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  อีกทั้งไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะนำมาใช้ในการวินิจฉัยคดีนั้นได้  ศาลก็ยังคงต้องวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดคดีโดยการอาศัยบทกฎหมาที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ซึ่งกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนี้หมายถึงบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในกฎหมายเดียวกัน  ซึ่งก็คือบทบัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเอง  มิใช่กฎหมายอย่างอื่นที่มีลักษณะต่างกัน

ขั้นตอนในการพิจารณาโดยอาศัย (เทียบ) บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง

1       พิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในคดีว่ามีความคล้ายคลึงกับข้อเท็จจริงที่มีกฎหมายบัญญัติไว้หรือไม่

2       พิจารณาถึงเหตุผลของข้อเท็จจริงทั้งสองกรณีว่ามีเหตุผลเดียวกันหรือเหตุผลที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งหรือไม่  ถ้ามีเหตุผลเดียวกันหรือใกล้เคียงกันอย่างยิ่งก็อาจเทียบเคียงกันได้

3       พิจารณากฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงว่าเป็นบททั่วไปหรือเป็นบทยกเว้น  ถ้าเป็นบททั่วไปก็อาจนำมาเทียบเคียงกันได้  แต่ถ้าเป็นข้อยกเว้นก็ไม่อาจนำมาเทียบเคียงกันได้

4       กฎหมายที่จะนำมาเทียบเคียงกันได้ต้องเป็นกฎหมายเรื่องเดียวกัน  มิใช่กฎหมายอื่นที่บัญญัติไว้เป็นพิเศษเพื่อใช้กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการเฉพาะ

3.  ในกรณีที่ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ก็ให้วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป

กรณีนี้เป็นวิธีอุดช่องว่างของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประการสุดท้าย  กล่าวคือในกรณีที่ไม่มีกฎหมายลายลักษณ์อักษร  ไม่มีจารีตประเพณี  และไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  ศาลก็ต้องวินิจฉัยตัดสินคดีโดยให้นำเอาหลักกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับ  ซึ่งหลักกฎหมายทั่วไปนี้อาจจะเป็นหลักกฎหมายดั้งเดิมของกฎหมายโรมัน  หรือสุภาษิตกฎหมาย  หรืออาจจะเป็นหลักกฎหมายที่นานาอารยประเทศยอมรับและใช้ปฏิบัติกันทั่วไปก็ได้

 

ข้อ  2.      นายไก่และนางไข่เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรด้วยกันคือนายหนึ่ง วันที่ 1 มกราคม 2550 นายไก่และนางไข่ไปเที่ยวที่เกาะสิมิลัน ระหว่างทางการเดินทางกลับภูเก็ตเรือเจอพายุอับปาง ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายและสูญหายไปเป็นจำนวนมาก ในวันที่ 5 มกราคม 2550 นายไก่โทรมาหานายหนึ่งว่าติดเกาะ เล็ก ๆ ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน หลังจากนั้นนายหนึ่งก็ไม่ได้รับข่าวและไม่มีใครพบเห็นตัวนายไก่และนางไข่อีกเลย

1)  นายหนึ่งจะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่และนางไข่เป็นคนสาบสูญได้หรือไม่

2)  ถ้าได้นายหนึ่งจะไปร้องขอต่อศาลได้เมื่อใดจงอธิบาย 

ธงคำตอบ

มาตรา  61  ถ้าบุคคลใดไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลา  5  ปี     เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอ  ศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้

ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือ  2  ปี

1  นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง   ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงคราม  และหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว

2  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทาง  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป

3  นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน  (1)  หรือ (2)  ได้ผ่านพ้นไป  ถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์วันที่ 1 มกราคม 2550 นายไก่และนางไข่ไปเที่ยวที่เกาะสิมิลัน ระหว่างทางการเดินทางกลับภูเก็ตเรือเจอพายุอับปาง ทำให้มีคนบาดเจ็บล้มตายและสูญหายไปเป็นจำนวนมาก  ใน วันที่ 5 มกราคม 2550 นายไก่โทรมาหานายหนึ่งว่าติดเกาะ เล็ก ๆ ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน หลังจากนั้นนายหนึ่งก็ไม่ได้รับข่าวและไม่มีใครพบเห็นตัวนายไก่และนางไข่อีก เลย  เห็นว่ากรณีของนางไข่เป็นการสาบสูญกรณีพิเศษ  ในกรณีนายไก่เป็นกรณีธรรมดาศาลจะสั่งให้นางไข่เป็นคนสาบสูญกรณีพิเศษ  จะต้องประกอบไปด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้คือ

1       ไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่

2       ติดต่อกันเป็นเวลา  2  ปี  นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคลนั้นเดินทาง  อับปาง  ถูกทำลาย  หรือสูญหายไป  โดยไม่มีใครพบเห็นตัว  หรือไม่มีใครได้รับข่าวคราว

3       ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาล

4       ศาลมีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ

1)  หนึ่งจะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นายไก่และนางไข่เป็นคนสาบสูญได้หรือไม่  เห็นว่า  ผู้มีสิทธิที่ร้องขอต่อศาลให้สั่งบุคคลใดเป็นคนสาบสูญได้นั้น  จะต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงายอัยการ  ดังนั้นหนึ่งจึงสามารถร้องขอได้เพราะเป็นผู้มีส่วนได้เสียในฐานะเป็นทายาทโดยธรรมคือ เป็นผู้สืบสันดาน

2) ในกรณีนายไก่เป็นกรณีธรรมดา จะครบกำหนด 5 ปี  ในวันที่  5 มกราคม 2555 ดังนั้น หนึ่งจึงไปร้องขอต่อศาลได้ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2555

ส่วนนางไข่นั้นอยู่ในเหตุการณ์ที่มีการตายเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 เป็นกรณีพิเศษอันมีผลทำให้ผู้มีส่วนได้เสียสามารถร้องขอต่อศาลได้เมื่อครบ  2  ปี  นับแต่นางไข่สูญหายไปกับยานพาหนะที่โดยสารไปมิใช่วันที่ผู้มีส่วนได้เสียได้ทราบข่าวการสูญหาย  หนึ่งจะร้องขอต่อศาลให้สั่งให้นางไข่เป็นคนสาบสูญได้ในวันที่  ครบ 2 ปี  1 มกราคม 2552 ไปศาลได้ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2552

 

ข้อ  3.      บุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้ทำนิติกรรมจะมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

1)  นายไก่คนไร้ความสามารถได้รับอนุญาตจากนายห่านผู้อนุบาลให้สมรสกับนางไข่ซึ่งมีอายุ 20 ปีบริบูรณ์เท่ากัน การสมรสมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

2)  นายดินคนวิกลจริตไปซื้อโทรทัศน์จากร้านนายน้ำในขณะกำลังวิกลจริต แต่นายน้ำไม่ทราบว่านายดินวิกลจริต สัญญาซื้อขายโทรทัศน์มีผลในทางกฎหมายอย่างไร

3)  นายลมคนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมช้างไปลากซุง 2 เชือก โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ การให้ยืมมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

4)  เด็กชายเพชรรับเงินจากเศรษฐีใจบุญนั่งแจกเงินคนจนกลางสนามหลวงมา 20,000 บาท การรับการแจกเงินมีผลในทางกฎหมายอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา 22  ผู้เยาว์อาจทำการใดๆได้ทั้งสิ้น  หากเป็นเพียงเพื่อจะได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่งหรือเป็นการเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง

มาตรา 29  “การใดๆอันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นเป็นโมฆียะ”

มาตรา 30  “การใดๆอันบุคคลวิกลจริตซึ่งศาลยังมิได้สั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง  การนั้นจะเป็นโมฆียะต่อเมื่อได้กระทำในขณะที่บุคคลนั้นจริตวิกลอยู่  และคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้แล้วด้วยว่าผู้กระทำเป็นคนวิกลจริต”

มาตรา 34  คนเสมือนไร้ความสามารถนั้น  ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อนแล้วจึงจะกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ได้

(3) กู้ยืมเงินหรือให้กู้ยืมเงิน  ยืมหรือให้ยืมสังหาริมทรัพย์อันมีค่า

มาตรา 1449  การสมรสจะกระทำมิได้ถ้าชายหรือหญิงเป็นบุคคลวิกลจริต  หรือเป็นบุคคลที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ

วินิจฉัย

1) โดยหลักกฎหมายแล้ว คนไร้ความสามารถทำนิติกรรมใดๆ  ย่อมตกเป็นโมฆะทั้งสิ้นดังนั้นการสมรส ผลจึงตกเป็นเป็นโมฆะ (มาตรา 29, 1499)

2)  คนวิกลจริตซื้อโทรทัศน์ขณะกำลังวิกลจริต แต่ผู้ขายไม่ทราบว่าวิกลจริต ผลของสัญญาซื้อขายจึงมีผลสมบูรณ์ (มาตรา 30)

3) คนเสมือนไร้ความสามารถให้เพื่อนยืมช้างไปลากซุง โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ ผลเป็นโมฆียะ (มาตรา 34(3))

4)  ผู้เยาว์สามารถทำนิติกรรมได้โดยลำพัง ถ้าเป็นการได้มาซึ่งสิทธิโดยไม่มีเงื่อนไข เด็กชายเพชรสามารถรับเงินจากเศรษฐีใจบุญได้ และมีผลสมบูรณ์  (มาตรา 22)

WordPress Ads
error: Content is protected !!