LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิซา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เมื่อพิจารณาถึงสถานะของรัฐธรรมนูญที่มีลำดับศักดิ์ทางกฎหมายสูงสุดนั้น มีผลทำให้รัฐธรรมนูญมีสถานะเหนือกฎหมายทั้งปวงภายในรัฐ กฎหมายอื่นใดจะมาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมิได้เพราะเหตุใด และวิธีการที่ทำให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดสามารถกระทำได้ด้วยวิธีการใดบ้างอธิบายมาให้เข้าใจ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

กฎหมายรัฐธรรมนูญ หมายความถึง กฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ซึ่งกำหนดรูปแบบและหลักการปกครองตลอดจนวิธีการดำเนินการปกครองไว้อย่างเป็นระเบียบ ตลอดจนกำหนดระเบียบแห่งอำนาจสูงสุดในรัฐและความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจสูงสุดในรัฐ รวมทั้งกำหนดหน้าที่ของประชาชนที่พึงกระทำต่อรัฐกับรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนซึ่งรัฐจะใช้อำนาจล่วงละเมิดมิได้

เหตุผลที่ทำให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดเหนือกฎหมายทั้งปวงภายในรัฐ กฎหมายอื่นใดจะมาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมิได้นั้น สามารถสรุปได้ดังนี้ คือ

  1. ในแง่ที่มา ถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นสัญญาประชาคม ที่สมาชิกในสังคมทุกคนร่วมกันตกลงกันสร้างขึ้นเป็นกฎเกณฑ์ในการปกครองสังคม รัฐธรรมนูญจึงอยู่เหนือทุกส่วนของสังคมการเมืองนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือผู้ใต้ปกครอง ทุกฝ่ายจักต้องให้ความเคารพต่อรัฐธรรมนูญในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์แห่งอุดมการณ์ประชาธิปไตย
  2. ในแง่เนื้อหา รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของการจัดระเบียบโครงสร้างการเมืองการปกครองส่วนบนของรัฐ ผ่านทางการสร้างองค์กรทางการเมืองต่าง ๆ (รัฐสภา/คณะรัฐมนตรี/ศาล) ซึ่งตัวรัฐธรรมนูญก็ได้มอบอำนาจไปให้ใช้ (อำนาจนิติบัญญัติ/อำนาจบริหาร/อำนาจตุลาการ) รวมทั้งบัญญัติรับรองถึงสิทธิเสรีภาพตลอดจนความเสมอภาคของประชาชนไว้ด้วย เพื่อจำกัดอำนาจแห่งรัฐมิให้มีมากจนเกินไป
  3. ในแง่รูปแบบ วิธีการจัดทำและการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีข้อแตกต่างจากกฎหมายอื่นๆอย่างชัดเจน เนื่องจากรัฐธรรมนูญถูกจัดทำขึ้นและแก้ไขได้ยากกว่ากฎหมายธรรมดาอื่นใด เพราะจำต้องอาศัยกระบวนการพิเศษ และมากหลักเกณฑ์ เช่น ต้องมีการระดมความคิดเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วน เป็นต้น

ส่วนวิธีการที่จะทำให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดสามารถกระทำได้โดยการเขียนรัฐธรรมนูญให้เป็นกฎหมายสูงสุดในการใช้ปกครองประเทศ โดยเขียนขึ้นมาตามรูปแบบ หลักการ และวิธีการภายใต้กฎกติกาของระบอบการปกครองนั้น ๆ เช่น ประเทศไทย จะต้องเขียนระบุลงไปว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อระบอบการปกครองหรือรัฐธรรมนูญ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้เป็นต้น

 

ข้อ 2. ให้อธิบายถึงแนวคิดเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญนิยม (Constitutionalism) และจากแนวความคิดรากฐานของรัฐธรรมนูญนิยมดังกล่าว นำไปสู่แนวความคิดในการจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐสมัยใหม่ที่ต้องประกอบไปด้วยหลักการสำคัญในการจัดทำรัฐธรรมนูญที่อย่างน้อยต้องประกอบด้วยหลักการอะไรบ้าง อธิบายมาให้เข้าใจอย่างชัดเจน

ธงคำตอบ

แนวคิดเกี่ยวกับธรรมนูญนิยม (Constitutionalism) คือแนวคิดที่ต้องการสร้างรัฐธรรมนูญที่มีความเหมาะสมและสมบูรณ์แบบขึ้นมา เพื่อเป็นหลักกติกาสำคัญในการปกครอง รับรองหลักการที่ว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน หลักที่ว่าด้วยเรื่องสิทธิเสรีภาพ หลักที่ว่าด้วยการปกครองต้องใช้หลักนิติธรรมและหลักที่ว่าด้วยการปกครองต้องใช้เสียงข้างมาก ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย

จากแนวความคิดรากฐานของรัฐธรรมนูญนิยมดังกล่าว นำไปสู่แนวความคิดในการจัดทำรัฐธรรมนูญของรัฐสมัยใหม่ว่า ในการจัดทำรัฐธรรมนูญนั้นอย่างน้อยจะต้องมีหลักการที่สำคัญ 6 ประการ ดังนี้คือ

  1. หลักการรับรองและคุ้มครองเสรีภาพของประชาชน กล่าวคือ รัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติรับรองสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน รับรองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และรับรองความ

เสมอภาคของประชาชน รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชน และหากมีการละเมิดสิทธิเสรีภาพที่ได้รับรองไว้จะต้องมีการแก้ไขเยียวยา

  1. หลักการสร้างเสถียรภาพของรัฐบาล กล่าวคือ เมื่อรัฐบาลเป็นฝ่ายบริหารที่ใช้อำนาจในการบริหารประเทศ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติที่ทำให้รัฐบาลสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมีเสถียรภาพ เช่น สร้างระบบให้มีการล้มรัฐบาลได้ยากขึ้น และในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างมาตรการเสริมเสถียรภาพของรัฐบาลด้วย เช่น กำหนดมาตรการในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีว่าจะต้องเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์

หรือถ้าจะไล่นายกรัฐมนตรีคนเก่าก็จะต้องเสนอชื่อว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ด้วย เพื่อให้สังคมหรือประชาชนทั่วไปได้เปรียบเทียบกัน เป็นต้น

  1. หลักการควบคุมการใช้อำนาจรัฐ กล่าวคือ รัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการควบคุมการใช้อำนาจรัฐไว้ด้วย เช่น ควบคุมไม่ให้ใช้อำนาจเกินกว่าที่มี ควบคุมไม่ให้มีการใช้อำนาจที่เป็นการรุกรานสิทธิเสรีภาพของประชาชน เป็นต้น ซึ่งหลักการควบคุมการใช้อำนาจรัฐนั้น จะต้องอยู่ภายใต้หลักการที่สำคัญ 2 ประการ คือ

ประการแรก หลักการใช้อำนาจรัฐจะต้องขอบด้วยกฎหมาย คือ รัฐจะใช้อำนาจของรัฐก้าวล่วงเข้าไปในสิทธิเสรีภาพของประชาชนจะต้องมีกฎหมายให้อำนาจไว้ หากไม่มีกฎหมายให้อำนาจรัฐไว้รัฐจะทำมิได้

ประการที่สอง คนทุกคนที่อยู่ในรัฐจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือผู้ใต้ปกครอง

  1. หลักการเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ ในรัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติแสดงให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ปกครองประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้
  2. หลักการแบ่งแยกอำนาจ กล่าวคือ ในรัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการใช้อำนาจรัฐและการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐ รวมทั้งการถ่วงดุลของการใช้อำนาจดังกล่าว คือ อำนาจนิติบัญญัติอำนาจบริหารและอำนาจตุลาการไว้อย่างชัดเจน
  3. หลักนิติรัฐ กล่าวคือ ภายใต้หลักรัฐธรรมนูญนิยมนั้น ย่อมถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่ใช้ปกครองประเทศ ดังนั้นในการใช้อำนาจรัฐ ไม่ว่าจะเป็นการใช้อำนาจรัฐทางด้านบริหารด้านนิติบัญญัติ และด้านตุลาการ จะต้องเป็นการใช้อำนาจภายใต้ขอบเขตที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้เท่านั้น

 

ข้อ 3. นายเอกจำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลแขวงฯ ว่า ข้อกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ของนายกรัฐมนตรีที่ออกตามมาตรา 9 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ และมาตรา 11 ของพระราชกำหนดฯ ดังกล่าว ซึ่งสภาฯ ให้ความเห็บชอบฯ แล้ว และศาลแขวงฯ จะนำมาใช้กับคดีย่อมขัดหรือแข้งต่อรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 44 เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ทั้งยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ จึงขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย ศาลแขวงฯ เห็นว่า จากพยานหลักฐานเห็นได้ชัดแจ้งว่านายเอกได้ร่วมชุมนุมโดยปราศจากความสงบและได้นำอาวุธสงครามเข้าไปในที่ชุมนุมด้วย ทั้งนายเอกก็ให้การรับสารภาพตามฟ้องจึงเห็นว่าคำร้องฯ ไม่เป็นสาระในคดีที่จะรับไว้พิจารณา จึงไม่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญและได้พิพากษาลงโทษนายเอกจำเลยตามฟ้อง ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าการที่ศาลแขวงฯ ไม่รับคำร้องโต้แย้งของนายเอกไว้พิจารณาและไม่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญชอบด้วยกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญฯพ.ศ. 2560 หรือไม่ เพราะเหตุใด ให้ยกหลักกฎหมายและเหตุผลประกอบคำตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

มาตรา 5 วรรคหนึ่ง “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทำใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้”

มาตรา 212 วรรคหนึ่ง “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 5 และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้ แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 212 วรรคหนึ่ง กรณีที่ศาลจะส่งความเห็นหรือข้อโต้แย้งเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยนั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองหรือคู่ความได้โต้แย้งว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญตามมาตรา 5 ซึ่งคำว่า “กฎหมาย” ในที่นี้ หมายถึง กฎหมายในความหมายของรัฐธรรมนูญ คือเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติซึ่งได้แก่ พระราชบัญญัติ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชกำหนด (เฉพาะที่ได้รับอนุมัติจากรัฐสภาแล้ว)หรือกฎหมายอื่นที่เทียบเท่า เช่น ประกาศคณะปฏิวัติ เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกจำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลแขวงฯ ว่า ข้อกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ของนายกรัฐมนตรีที่ออกตามมาตรา 9 พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ และมาตรา 11 ของพระราชกำหนดฯ ดังกล่าวซึ่งสภาฯ ให้ความเห็นชอบฯ แล้ว และศาลแขวงฯ จะนำมาใช้กับคดีย่อมขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 44 ที่ว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ…” ทั้งยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ จึงขอให้ส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยนั้น กรณีดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ข้อกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ของนายกรัฐมนตรีที่ออกตามมาตรา 9 และมาตรา 11 ของพระราชกำหนดฯ ดังกล่าวนั้น เป็นเพียงกฎหรือคำสั่งที่ฝ่ายบริหารได้ออกโดยอาศัยอำนาจกฎหมายแม่บท คือ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ไม่ใช่กฎหมายที่ออกโดยองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติจึงมิใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายตามความหมายของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 212 วรรคหนึ่ง และไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาวินิจฉัย

และเมื่อข้อกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ของนายกรัฐมนตรีที่นายเอกจำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งนั้นมิใช่บทบัญญัติแห่งกฎหมายตามความหมายของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 212 วรรคหนึ่ง นายเอกจึงไม่อาจโต้แย้งเพื่อให้ศาลแขวงฯ ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แต่ศาลแขวงฯ มีอำนาจวินิจฉัยได้เองและไม่ต้องรอการพิจารณาพีพากคดีไว้ชั่วคราวแต่อย่างใด ดังนั้น การที่ศาลแขวงฯ เห็นว่าจากพยานหลักฐานเห็นได้ชัดแจ้งว่านายเอกได้ร่วมชุมนุมโดยปราศจากความสงบและได้นำอาวุธสงครามเข้าไปในที่ชุมนุมด้วย ทั้งนายเอกก็ให้การรับสารภาพตามฟ้อง จึงเห็นว่าคำร้องฯ ไม่เป็นสาระในคดีที่จะรับไว้พิจารณา จึงไม่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญและได้พิพากษาลงโทษนายเอกจำเลยตามฟ้องนั้น ย่อมถือว่า การกระทำของศาลแขวงฯ ดังกล่าว เป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายและตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560

สรุป

การที่ศาลแขวงฯ ไม่รับคำร้องโต้แย้งของนายเอกไว้พิจารณา และไม่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญนั้น ชอบด้วยกฎหมายและตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560

 

ข้อ 4. นายทองประสงค์ได้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเนื่องจากเห็นว่ามาตรา 12 (3) พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 (มาตรา 12 บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพ… (3) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันจนถึงวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน) ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 และมาตรา 27 หลักความเสมอภาคของบุคคลและเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 และขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยต่อไป ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(ก) ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจที่จะรับคำร้องไว้พิจารณาหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ข) มาตรา 12 (3) พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครฯ ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 และมาตรา 27 หลักความเสมอภาคของบุคคลและเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญฯพ.ศ. 2560 ในกรณีใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

(ค) ผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องดำเนินการส่งเรื่องกรณีนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยต่อไปหรือไม่เพราะเหตุใด ให้ยกหลักกฎหมายประกอบเหตุผลในคำตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560

มาตรา 4 “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง

ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอกัน”

มาตรา 27 “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพ และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน

ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน

การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลไม่ว่าด้วยเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคมความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือเหตุอื่นใด จะกระทำมิได้

มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิหรือเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น หรือเพื่อคุ้มครองหรืออำนวยความสะดวกให้แก่เด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ หรือ

ผู้ด้อยโอกาส ย่อมไม่ถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม

บุคคลผู้เป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ และพนักงานหรือลูกจ้างขององค์กรของรัฐย่อมมีสิทธิและเสรีภาพเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นแต่ที่จำกัดไว้ไนกฎหมายเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการเมืองสมรรถภาพ วินัย หรือจริยธรรม”

มาตรา 231 “ในการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 230 ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้เมื่อเห็นว่ามีกรณี ดังต่อไปนี้

(1) บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า…”

มาตรา 252 “สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง

คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งและผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง และหลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตตามแนวทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายทองประสงค์ได้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเนื่องจากเห็นว่ามาตรา 12 (3) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 ที่ว่า “บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ เป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพ… (3) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันจนถึงวันเลือกตั้งไม่น้อยกว่า 90 วัน” ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 และมาตรา 27 หลักความเสมอภาคของบุคคลและเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 และขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไปนั้น เป็นกรณีที่นายทองประสงค์ได้ยื่นคำร้องว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมาย (มาตรา 12 (3) พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครฯ) มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และเมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นด้วยตามคำร้องเรียนของนายทองประสงค์ ผู้ตรวจการแผ่นดินย่อมมีอำนาจตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 231 (1) ที่จะรับคำร้องของนายทองประสงค์ไว้พิจารณาได้

(ข) ตามมาตรา 12 (3) พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครฯ ที่บัญญัติเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพฯ นั้น เป็นบทบัญญัติที่ใช้เฉพาะสำหรับบุคคลที่มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพฯ เท่านั้น มิได้ใช้กับบุคคลทั่ว ๆ ไป อีกทั้งบทบัญญัติดังกล่าวเป็นบทบัญญัติของกฎหมายท้องถิ่นที่ได้บัญญัติสอดคล้องกับมาตรา 252 แห่งรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ดังนั้น จึงไม่ถือว่าบทบัญญัติตามมาตรา 12 (3) ดังกล่าว เป็นบทบัญญัติที่ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 และมาตรา 27 หลักความเสมอภาคของบุคคลและเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 แต่อย่างใด

(ค) เมื่อบทบัญญัติตามมาตรา 12 (3) พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครฯ ไม่ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 และมาตรา 27 แห่งรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 ดังนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินจะไม่ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยต่อไป เพราะกรณีนี้ไม่ต้องด้วยรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 231 (1)

สรุป

(ก) ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจรับคำร้องของนายทองประสงค์ไว้พิจารณา

(ข) มาตรา 12 (3) พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานครฯ ไม่ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 และมาตรา 27 หลักความเสมอภาคของบุคคลและเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560

(ค) ผู้ตรวจการแผ่นดินจะไม่ส่งเรื่องกรณีนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยต่อไป

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ปัจจุบันคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 แห่งบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ในเรื่องต่าง ๆ อย่างมากมาย ขอให้ท่านวินิจฉัยว่าการใช้อำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าวขัดต่อหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐของมองเตสกิเออร์หรือไม่ เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

ตามหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจของมองเตสกิเออร์ (Montesquieu) นักปรัชญาทางกฎหมายชาวฝรั่งเศสนั้น มองเตสกิเออร์มีสมมุติฐานว่า มนุษย์ทุกคนไม่ว่าใครก็ตามเมื่อมีอำนาจขึ้นมาและมีทางที่จะใช้อำนาจได้อย่างกว้างขวางแล้ว มนุษย์ผู้นั้นจะใช้อำนาจตามใจชอบ โดยเขาได้เขียนไว้ในหนังสือ “เจตนารมณ์ทางกฎหมาย” หรือ Del’ Esprit Des Lois โดยกล่าวว่า เสรีภาพของประชาชนจะมีได้ก็แต่เฉพาะในรัฐชนิดที่ผ่อนปรนไม่ตึงเครียดและไม่ใช่ว่าจะมีในรัฐชนิดนี้ทุกรัฐไป จะมีได้ก็ต่อเมื่อไม่มีการเมาอำนาจจนใช้อำนาจเกินไป แต่อย่างไรก็ดีย่อม เป็นที่รู้และเห็นกันเป็นนิจว่า บุคคลผู้ใช้อำนาจทุกคนมักจะใช้อำนาจจนเกินเลยเสมอและมักจะใช้อำนาจจนถึงขอบเขตสุด แม้แต่ในเรื่องการทำบุญกุศลก็เช่นกัน ก็มักจะทำกันจนถึงขอบเขตสุด

ดังนั้น เพื่อป้องกันมิให้มีการใช้อำนาจจนเกินขอบเขต จึงจำต้องมีการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐออกเป็น 3 อำนาจ คือ

  1. อำนาจนิติบัญญัติ เป็นอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย และควรให้องค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) เป็นผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนี้
  2. อำนาจบริหาร เป็นอำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย รวมทั้งอำนาจในการควบคุมนโยบายทั้งภายนอกและภายใน ซึ่งผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนี้ ได้แก่ รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี
  3. อำนาจตุลาการ เป็นอำนาจในการตัดสินและการพิพากษาอรรถคดีเพื่อลงโทษผู้กระทำผิดหรือวินิจฉัยข้อพิพาทระหว่างเอกชน ซึ่งองค์กรผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนี้คือ ศาล

ซึ่งองค์กรต่าง ๆ คือ ฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) รัฐบาล และศาล ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนั้น จะต้องมีความเป็นอิสระต่างหากจากกัน และไม่ควรให้องค์กรดังกล่าวใช้อำนาจเกินกว่าหนึ่งอำนาจ เพราะจะเป็นทางชักจูงให้มีการใช้อำนาจเกินขอบเขตได้ และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดและกำหนดให้อำนาจแต่ละอำนาจหยุดยั้งหรือถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เพราะถ้าไม่มีการแบ่งแยกอำนาจแล้ว การใช้กฎหมายก็จะเลื่อนลอยกันตามอำเภอใจ บังคับผันแปรไปตามความประสงค์ของผู้มีอำนาจบริหาร ซึ่งถ้าใครไม่กระทำตามความประสงค์นั้นผู้มีอำนาจก็จะลงโทษตามความพอใจของตน กฎหมายก็จะเลื่อนลอย บ้านเมืองก็จะไม่มีความสงบสุข

ดังนั้น การที่มาตรา 44 แห่งบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 บัญญัติให้หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีอำนาจสั่งการ ระงับยับยั้งหรือกระทำการใด ๆ ได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำ รวมทั้งการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าว เป็นคำสั่งหรือการกระทำหรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้และเป็นที่สุดนั้น จึงเป็นบทบัญญัติที่ขัดต่อหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจของมองเตสกิเออร์อย่างชัดเจน

 

ข้อ 2. จงอธิบายอย่างละเอียดว่ารัฐธรรมนูญและหลักความสุจริต มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับประชาชนอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญและหลักความสุจริต มีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับประชาชน ดังนี้คือ

“รัฐธรรมนูญ” เป็นกฎหมายสูงสุดหรือกฎหมายหลักที่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมือง โดยจะกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตยและการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย และนอกจากนั้น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญยังได้กำหนดขอบเขตเกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน รวมทั้งหน้าที่ของประชาชนที่พึงต้องปฏิบัติว่ามีอย่างไรบ้าง

อำนาจอธิปไตย ซึ่งเป็นอำนาจในการปกครองประเทศนั้น จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

  1. อำนาจนิติบัญญัติ หมายถึง อำนาจในการออกกฎหมายเพื่อบังคับใช้กับประชาชนในฐานะผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ซึ่งผู้ใช้อำนาจดังกล่าวนี้คือ “รัฐสภา” และโดยทั่วไปแล้วรัฐสภาจะประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาก็จะต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน (เว้นแต่รัฐธรรมนูญบางฉบับอาจจะกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้ง) โดยจำนวนสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จะมีจำนวนเท่าใด และมีวิธิการเลือกตั้งอย่างไรนั้น ก็จะต้องเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ

และในการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) เพื่อใช้บังคับกับประชาชนนั้น ฝ่ายนิติบัญญัติก็จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย โดยเฉพาะที่สำคัญคือกฎหมายที่ออกมานั้น จะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญด้วย มิฉะนั้นแล้วกฎหมายที่ออกมาก็ย่อมไม่มีผลบังคับใช้

  1. อำนาจบริหาร หมายถึง อำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยมีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้

ในการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารนั้น ให้หมายความรวมถึงการใช้อำนาจในทางปกครองเพื่อการออกกฎ ออกคำสั่ง รวมทั้งการกระทำทางปกครองในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและเพื่อการจัดทำบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมด้วย ซึ่งอำนาจของฝ่ายบริหารมีอย่างไรบ้างนั้นก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้

รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีนั้น โดยหลักทั่ว ๆ ไปก็จะประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี 1 คน และรัฐมนตรีอีกไม่เกิน… คน (ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้) ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะมาจากการเลือกตั้งของประชาชนเช่นเดียวกันกับฝ่ายนิติบัญญัติ

  1. อำนาจตุลาการ หมายถึง อำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรที่ใช้อำนาจนี้คือ “ศาล” ซึ่งศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในกรณีที่ประชาชนมีข้อพิพาทเกิดขึ้น หรือมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลนั้น หมายถึงศาลใดก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วย

ในการใช้อำนาจนิติบัญญัติโดยรัฐสภา อำนาจบริหารโดยรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี และอำนาจตุลาการโดยศาลนั้น ย่อมมีผลกระทบต่อประชาชนทุกคนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ดังนั้น การใช้อำนาจดังกล่าวจึงต้องเป็นการใช้อำนาจที่เป็นไปตามบทบัญญัติที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วย และนอกจากนั้น การใช้อำนาจดังกล่าวก็จะต้องถูกต้องตามหลักของกฎหมายมหาชนด้วย เช่น หลักความชอบด้วยกฎหมาย หลักประโยชน์สาธารณะ และหลักความสุจริต เป็นต้น

ซึ่ง “หลักความสุจริต” นั้น หมายความว่า การได้มาซึ่งอำนาจและการใช้อำนาจต่าง ๆดังกลาวนั้น จะต้องเป็นไปด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม เช่น การได้มาซึ่งอำนาจนั้นจะต้องได้มาโดยสุจริต และชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และการใช้อำนาจนั้นจะต้องเป็นการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนโดยส่วนรวม โดยเสมอภาคกัน และโดยไม่มีอคติ เป็นต้น

 

ข้อ 3. ให้เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างแนวความคิดหรือทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนกับอำนาจอธิปไตยเป็นของชาติ และแต่ละแนวความคิดหรือทฤษฎีลังกล่าวส่งผลสำคัญต่อการกำหนดสิทธิหรือหน้าที่ของประชาชนในการเลือกตั้งอย่างไร เพราะเหตุใด อธิบายมาให้เข้าใจอย่างชัดเจน

ธงคำตอบ

ทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน นั้นมาจากแนวคิดว่าอำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน เป็นทฤษฎีที่เสนอโดย รุสโซ (Rousseau)ในวรรณกรรมชื่อ “สัญญาประชาคม”(Social Contract) โดยรุสโซ เชื่อว่า “สังคมเกิดขึ้นเพราะราษฎรในสังคมสมัครใจสละสภาพธรรมชาติอันเสรีของตนเพื่อมาทำสัญญาประชาคมขึ้น สังคมจึงเกิดจากการสัญญามิใช่การข่มขู่บังคับ ดังนั้นราษฎรทุกคนจึงมีส่วนเป็นเจ้าของสังคมหรืออำนาจอธิปไตยมิใช่พระเจ้าหรือกษัตริย์ที่เป็นเจ้าของดังที่อธิบายกันมาตลอด” ตัวอย่างที่รุสโซ อ้างก็คือ“สังคมหนึ่งมีสมาชิก 10,000 คน สมาชิกแต่ละคนย่อมเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยคนละ 1/10,000 ดังนั้น ราษฎรแต่ละคนจึงมีส่วนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามส่วนของตน โดยไม่มีใครสามารถอ้างความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยทั้งหมดได้

จากทฤษฎีดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ คือ

  1. ราษฎรแต่ละคนมีสิทธิที่จะเลือกผู้ปกครอง เพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งส่วนแห่งอำนาจตนอันนำมาสู่หลักการคือ “การเลือกตั้งอย่างทั่วถึง” เพราะถือว่า การเลือกตั้งเป็นสิทธิของทุกคน มิใช่หน้าที่จึงไม่อาจมีการจำกัดสิทธิได้ ดังที่รุสโซ กล่าวว่า “สิทธิเลือกตั้งเป็นสิทธิที่ไม่มีอะไรที่จะมาพรากจากประชาชนได้”
  2. การมอบอำนาจของราษฎรให้ผู้แทนเป็นการมอบอำนาจในลักษณะที่ผู้แทนต้องอยู่ภายใต้อาณัติของราษฎรผู้เลือกตั้ง

ทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของชาตินั้น หมายถึง แนวคิดที่ว่าอำนาจอธิปไตยนั้นมีอยู่ในตัวของมนุษย์ และมนุษย์ได้ทำสัญญาหรือก่อพันธะผูกพันกันโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยายว่าจะโอนอำนาจอธิปไตยที่ตนมีอยู่ให้แก่สังคม และสังคมที่ว่านี้ก็คือชาตินั่นเอง

จากทฤษฎีดังกล่าวก่อให้เกิดผลดามกฎหมายรัฐธรรมนูญ คือ

  1. ชาติเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยไม่ใช่ปวงชนหรือราษฎร อำนาจเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ชาติมอบให้แก่ราษฎรในฐานะเป็นองค์กรที่มีหน้าที่เลือกผู้แทนของชาติ ดังนั้นการเลือกตั้งของราษฎรจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่มิใช่การใช้สิทธิ ชาติจึงมีสิทธิที่จะต้องมอบอำนาจเลือกตั้งให้ราษฎรที่เห็นว่าเหมาะสมได้ การเลือกตั้งไม่จำเป็นต้องเป็นแบบทั่วถึง มีการจำกัดสิทธิการเลือกตั้งได้
  2. คนแต่ละคนไม่ได้เป็นผู้แทนของราษฎรในแต่ละเขตเลือกตั้งที่เลือกตนเท่านั้น ผู้แทนทั้งหมดถือเป็นผู้แทนของขาติและไม่อยู่กายใต้อาณัติของราษฎรผู้เลือกตั้ง

จากแนวความคิดของทฤษฎีทั้งสองดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่าได้ส่งผลสำคัญต่อการกำหนดสิทธิหรือหน้าที่ของประชาชนในการเลือกตั้งที่แตกต่างกัน ดังนี้คือ

ตามทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนนั้น ราษฎรแต่ละคนมีสิทธิที่จะเลือกผู้ปกครอง การเลือกตั้งเป็นสิทธิของราษฎรทุกคนมิใช่หน้าที่ และราษฎรแต่ละคนจะใช้สิทธินั้นหรือไม่ก็ได้ จะมีการจำกัดสิทธิดังกล่าวไม่ได้

แต่ตามทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของชาตินั้น ถือว่าชาติเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย อำนาจการเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ชาติมอบให้แก่ราษฎร และราษฎรมีหน้าที่ต้องปฏิบัติ การเลือกตั้งจึงมิใช่สิทธิแต่เป็นหน้าที่ ดังนั้น จึงอาจมีการจำกัดสิทธิการเลือกตั้งได้

 

ข้อ 4. นายเอกยื่นเรื่องร้องเรียนผู้ตรวจการแผ่นดินว่าตนถูกละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมจากคำสั่งไม่รับฟ้องของศาลซึ่งตนได้ยื่นฟ้องขอให้เพิกถอน “ประกาศกรมสรรพสามิตเรื่องการงดเว้นไม่เก็บภาษีสุรากลั่นชนิดเอทานอลฯ” แต่ศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องไว้พิจารณาเพราะเห็นว่าตนไม่ใช่ผู้เดือดร้อนหรือเสียหาย นอกจากนี้ พ.ร.บ. สุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 5 ซึ่งบัญญัติว่า ห้ามมิให้ผู้ใดทำสุราหรือมีภาชนะหรือเครื่องกลั่นสำหรับทำสุราไว้ในครอบครอง เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากอธิบดี…” ก็เป็นกฎหมายที่มีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญเพราะละเมิดต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของตนตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557ที่ให้การคุ้มครองไว้ จึงขอให้รับเรื่องไว้พิจารณาและส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อร้องเรียนในแต่ละกรณีของนายเอกสามารถรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

และผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องส่งเรื่องดังกล่าวนี้ไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไปหรือไม่ เพราะเหตุใด ให้ยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 43 “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการประกอบกิจการหรือประกอบอาชีพและการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม

การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐหรือเศรษฐกิจของประเทศ การคุ้มครองประชาชนในด้านสาธารณูปโภค การรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การจัดระเบียบการประกอบอาชีพการคุ้มครองผู้บริโภค การผังเมือง การรักษาทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม สวัสดีภาพของประชาชน หรือเพื่อป้องกันการผูกขาดหรือขจัดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน”

และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557

มาตรา 4 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้”

มาตรา 26 “ผู้พิพากษาและตุลาการมีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ไห้เป็นไปโดยยุติธรรมตามรัฐธรรมและกฎหมาย”

มาตรา 45 “ภายใต้บังคับมาตรา 5 และมาตรา 44 ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ และตามที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ

แต่สำหรับผู้ตรวจการแผ่นดินให้มีอำนาจเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เฉพาะเมื่อมีกรณีที่เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกได้ยื่นเรื่องร้องเรียนผู้ตรวจการแผ่นดินว่า ตนถูกละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมจากคำสั่งของศาลปกครอง และบทบัญญัติของ พ.ร.บ. สุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 5 เป็นกฎหมายที่ละเมิดต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของตน เพื่อให้ผู้ตรวจการแผ่นดินรับเรื่องไว้พิจารณาและส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยนั้น ข้อร้องเรียนแต่ละกรณีของนายเอกสามารถรับฟังได้หรือไม่ และผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยต่อไปหรือไม่ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 กรณีคำสั่งไม่รับฟ้องของศาลปกครอง

การที่นายเอกได้ยื่นเรื่องร้องเรียนผู้ตรวจการแผ่นดินว่าตนถูกละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมจากคำสังไม่รับฟ้องของศาลซึ่งตนได้ยื่นฟ้องขอให้เพิกถอน “ประกาศกรมสรรพสามิตเรื่องการงดเว้นไม่เก็บภาษีสุรากลั่นชนิดเอทานอลฯ” แต่ศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับฟ้องไว้พิจารณา เพราะเห็นว่าตนไม่ใช่ผู้เดือดร้อนหรีอเสียหายนั้น ถือเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการสั่งคำฟ้องของศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุด ซึ่งเมื่อพิจารณาตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 26 แล้วจะเห็นได้ว่าในการพิจารณาอรรถคดีนั้นตุลาการศาลปกครอง มีอิสระในการใช้ดุลพินิจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายภายใต้บังคับของรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยมีระบบตรวจสอบตามลำดับชั้นศาลตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้

ดังนั้น การที่ศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องของนายเอกไว้พิจารณานั้น เป็นอำนาจของศาลปกครองในการพิจารณาวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงโดยอิสระ คำสั่งไม่รับฟ้องของศาลปกครองในกรณีนี้ จึงไม่ถือว่าเป็นการละเมิดต่อสิทธิหรือเสรีภาพของนายเอกตามรัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 26 ตามที่นายเอกกล่าวอ้างแต่อย่างใด

ประเด็นที่ 2 ปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของ พ.ร.บ. สุราฯ มาตรา 5

การที่นายเอกได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินว่า พ.ร.บ. สุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 5 ซึ่งบัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดทำสุราหรือมีภาชนะ หรือเครื่องกลั่นสำหรับทำสุราไว้ในครอบครอง เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากอธิบดี…” เป็นกฎหมายที่มีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เพราะละเมิดต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของตนตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ที่ให้การคุ้มครองไว้นั้น จะเห็นได้ว่า ตาม พ.ร.บ. สุราฯ มาตรา 5 ดังกล่าว ไม่ได้เป็นกฎหมายที่มีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

และไม่ได้ละเมิดต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของนายเอกตามที่เคยได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 43 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ประกอบมาตรา 4 แห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ที่ให้การคุ้มครองไว้

ดังนั้น พ.ร.บ. สุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 5 จึงไม่ได้เป็นกฎหมายที่มีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ตามที่นายเอกกล่าวอ้างแต่อย่างใด

ประเด็นที่ 3 อำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินในการส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา

วินิจฉัย

ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 45 ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เฉพาะเมื่อมีกรณีที่เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้

ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีแรก การที่นายเอกโต้แย้งดุลพินิจในการมีคำสั่งไม่รับฟ้องของศาลปกครองนั้น คำสั่งไม่รับฟ้องของศาลปกครองดังกล่าวมิได้มีสถานะเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติ หรือมีสถานะเทียบเท่า กรณีนี้จึงมิใช่เป็นการขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายมีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ดังนั้น กรณีนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงไม่ต้องส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย

กรณีที่ 2 เมื่อ พ.ร.บ. สุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 5 ซึ่งบัญญัติว่า “ห้ามมิให้ผู้ใดทำสุราหรือมีภาชนะ หรือเครื่องกลั่นสำหรับทำสุราไว้ในครอบครอง เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตจากอธิบดี…” นั้น มิได้เป็นกฎหมายที่มีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ดังนั้น กรณีนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงไม่ต้องส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยเช่นเดียวกัน

สรุป

ข้อร้องเรียนทั้ง 2 กรณีของนายเอกรับฟังไม่ได้ และผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ต้องส่งเรื่องดังกล่าวทั้ง 2 กรณีไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2559 นี้ จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งนโยบายของประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาจะมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตลอดทั้งเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ขอให้ท่านอธิบายถึงวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาว่ามีวิธีการเลือกตั้งอย่างไร และการปกครองในระบอบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามีสาระสำคัญอย่างไร ขอให้ท่านอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

การปกครองในระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในรูปแบบหนึ่งที่ยึดหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐของมองเตสกิเออร์เช่นกัน แต่เป็นการแบ่งแยกอำนาจในลักษณะค่อนข้างเด็ดขาด คือ ต่างฝ่ายต่างมีที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน ทำให้ต่างเป็นอิสระไม่ต้องขึ้นต่อกัน ในระบบนี้รัฐธรรมนูญจะไม่มีการกำหนดมาตรการแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในการที่จะล้มล้างซึ่งกันและกัน ดังเช่นในระบบรัฐสภา

การปกครองในระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามีสาระสำคัญ พอสรุปได้ดังนี้

  1. มีการเลือกตั้งประมุขของรัฐโดยประชาชน และเมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีแล้ว ประธานาธิบดีก็มีอำนาจในการแต่งตั้งรัฐมนตรีตามที่เห็นสมควรให้บริหารประเทศได้
  2. ฝ่ายบริหาร ทั้งประธานาธิบดีและรัฐมนตรีไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภา กล่าวคือ สภาจะอภิปรายไม่ไว้วางใจประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี และรัฐมนตรี ให้พ้นตำแหน่งก่อนหมดวาระไม่ได้
  3. ประธานาธิบดี ไม่มีอำนาจยุบสภา

การจัดการปกครองระบบนี้ทำให้เห็นได้ว่า ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารต่างก็มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จึงสามารถที่จะอยู่ครบวาระตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

วิธีการเข้าสู่ตำแหน่งสถาบันประมุขแห่งรัฐหรือประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา

สถาบันประมุขแห่งรัฐ ได้แก่ ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม กล่าวคือ ในสหรัฐอเมริกามีพรรคการเมืองใหญ่ ๆ อยู่เพียง 2 พรรค คือ พรรคริพับลิกัน และพรรคเดโมแครตที่มีโอกาสสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่บริหารประเทศ ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะผู้เลือกตั้งใหญ่” (Big Elector) เพื่อมาทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ โดยมีขั้นตอนดังนี้คือ

ขั้นตอนที่ 1

พรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคดังกล่าว จะคัดเลือกตัวแทนของแต่ละพรรคในแต่ละมลรัฐ ซึ่งมีทั้งหมด 50 มลรัฐ เพื่อส่งเข้าประชุมร่วมกันในระดับชาติ หรือเรียกว่าเป็นการประชุมระดับ Convention เพื่อให้คนที่มาประชุมร่วมกันของแต่ละพรรคนั้นทำการคัดเลือกบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะส่งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

เมื่อได้ตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแล้ว ผู้ที่ได้รับเลือกมีสิทธิเลือกบุคคลที่จะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วย

ขั้นตอนที่ 2

กำหนดให้ประชาชนชาวอเมริกันในแต่ละมลรัฐไปทำการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ ซึ่งบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่นั้น แต่ละมลรัฐจะแตกต่างกันในเรื่องของจำนวน ทั้งนี้จำนวนสมาชิกของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ที่จะมีได้ในแต่ละมลรัฐนั้นจะมีลักษณะเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เช่น มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 30 คน และสมาชิกวุฒิสภาอีก 2 คน รวมแล้วได้ 32 คน ดังนั้นทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตในมลรัฐแคลิฟอร์เนียจะทำบัญชีรายชื่อคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของตนในมลรัฐนี้ขึ้นพรรคละ 32 รายชื่อ เพื่อเสนอต่อประชาชนในมลรัฐให้เลือกเข้ามา ฉะนั้นหากประชาชนนิยมผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีซองพรรคใดก็จะลงคะแนนให้แกํบุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น และจะต้องเลือกทั้ง 32 คนของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น เมื่อลงคะแนนเสร็จก็จะสรุปได้ว่าพรรคใดจะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คณะผู้เลือกตั้งใหญ่

สำหรับ “คณะผู้เลือกตั้งใหญ่” นั้นมีทั้งหมด 538 คน ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาซิก (438 + 100) โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ข้างมากและเด็ดขาด คือ จะต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่ 270 เสียงขึ้นไป

ดังนั้นจะเห็นว่า หลังจากการเลือกตั้งคณะผู้เลือกตั้งใหญ่เสร็จลงแล้วรวมคะแนนจาก 50 มลรัฐของแต่ละพรรค ถ้าปรากฏว่าพรรคใดได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ถึง 270 เสียง คือเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด (กึ่งหนึ่ง – 269) ก็จะทำให้ทราบทันทีว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคดังกล่าวย่อมได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

ขั้นตอนที่ 3

ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะผู้เลือกตั้งใหญ่ทั้งหมดจำนวน 538 คนไปออกเสียงลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ซึ่งก็แน่นอนว่าคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของแต่ละพรรคก็จะลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครของพรรคตน ดังนั้นสมมุติว่าพรรคเดโมแครตได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ตั้งแต่ 270 เสียงขึ้นไป ก็หมายความว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตย่อมจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี

และรองประธานาธิบดี

แต่ถ้าหากเกิดกรณีไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคใดได้คะแนนเสียงดังกล่าว รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ว่า ในกรณีเช่นนี้ให้วุฒิสภาทำหน้าที่เลือกตั้งรองประธานาธิบดี และให้สภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่เลือกตั้งประธานาธิบดีจากผู้สมัครดังกล่าว

 

ข้อ 2. จงอธิบายอย่างละเอียดว่ารัฐธรรมนูญมีความสำคัญและเกี่ยวข้องกับตัวนักศึกษาอย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญมีความสำคัญและมีความเกี่ยวข้องกับตัวข้าพเจ้าดังนี้ คือ

“รัฐธรรมนูญ” ถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมือง โดยจะกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตย และการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิบไตย กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงอำนาจในการปกครองประเทศ

ซึ่งอำนาจดังกล่าว แบ่งออกเป็น 3 อำนาจ ได้แก่

  1. อำนาจนิติบัญญัติ หมายถึง อำนาจในการออกกฎหมายมาบังคับใช้กับประชาชน (รวมทั้งข้าพเจ้า) ในฐานะผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยโดยมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจนี้

ในการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) เพื่อใช้บังคับกับประชาชน (รวมทั้งข้าพเจ้า) นั้น ฝ่ายนิติบัญญัติก็จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย โดยเฉพาะที่สำคัญคือกฎหมายที่ออกมานั้น จะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญด้วย มิฉะนั้นแล้วกฎหมายที่ออกมาก็ย่อมไม่มีผลบังคับใช้

  1. อำนาจบริหาร หมายถึง อำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยมีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้

ในการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารนั้น ให้หมายความรวมถึงการใช้อำนาจในทางปกครองเพื่อการออกกฎ ออกคำสั่ง รวมทั้งการกระทำทางปกครองในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและเพื่อการจัดทำบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมด้วย ซึ่งอำนาจของฝ่ายบริหารมีอย่างไรบ้างนั้นก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้

  1. อำนาจตุลาการ หมายถึง อำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรที่ใช้อำนาจนี้คือ ศาล ซึ่งศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในกรณีที่ประชาชนมีข้อพิพาทเกิดขึ้น หรือมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลนั้น หมายถึงศาลใดก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วย

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าในการใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนรวมทั้งข้าพเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่งนั้น การใช้อำนาจดังกล่าวก็จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วยและนอกจากนั้น รัฐธรรมนูญยังมีความสำคัญต่อข้าพเจ้าและประชาชนคนอื่น ๆ อีกตรงที่ว่าตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้น จะกำหนดเกี่ยวกับขอบเขตตลอดถึงการให้ความคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของชนชาวไทย เช่น สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล สิทธิเสรีภาพในการศึกษาหรือในการประกอบอาชีพ เป็นต้น รวมทั้งยังกำหนดให้ทราบว่าข้าพเจ้าและประชาชนคนไทยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติในฐานะที่เป็นประชาชนคนไทยอย่างไรบ้าง

 

ข้อ 3. ให้อธิบายถึงโครงร่างของรัฐธรรมนูญฯ ภายใต้หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยว่าอย่างน้อยต้องประกอบด้วยโครงสร้างหรือองค์ประกอบสำคัญใดบ้าง อธิบายมาให้เข้าใจอย่างชัดเจน

ธงคำตอบ

โครงร่างของรัฐธรรมนูญฯ ภายใต้หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ถูกตราขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น มักมีโครงร่างของรัฐธรรมนูญฯ ที่ใกล้เคียงกันไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญของประเทศใดก็ตามประกอบไปด้วย ส่วนนำที่เป็นคำปรารภหรือคำนำของรัฐธรรมนูญฯ และส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระหรือเนื้อความของตัวรัฐธรรมนูญฯ ดังต่อไปนี้

  1. คำปรารภ (Preamble) จากการพิจารณาคำปรารภในรัฐธรรมนูญฯ ฉบับต่าง ๆ กล่าวได้ว่าคำปรารภนั้น หมายความถึง คำนำ อารัมภบท และบทนำ (Preface, Introduction, Foreword) ในเรื่องราว

ของรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนั้น ดังเช่น คำปรารภที่มุ่งแสดงเหตุผลที่มาและจำเป็นแห่งการมีรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนั้น หรือวางหลักเจตนารมณ์พื้นฐานแห่งรัฐธรรมนูญฯ หรือพรรณนาถึงเกียรติคุณของผู้จัดทำ ทั้งนี้ คำปรารภเป็นคนละส่วนกับส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระหรือเนื้อความของตัวรัฐธรรมนูญฯ แต่อาจอาศัยคำปรารภในรัฐธรรมนูญฯ เป็นเครื่องมือช่วยในการตีความมาตราต่าง ๆ ในรัฐธรรมนูญฯ หรืออาจนำมาใช้ในการค้นหาเจตนารมณ์ของผู้ร่าง คำปรารภจึงเป็นส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

  1. เนื้อความของรัฐธรรมนูญ (Content) จากการพิจารณาเนื้อความของรัฐธรรมนูญฯซึ่งเป็นสาระสำคัญที่อยู่ถัดจากคำปรารภจะโดยกำหนดเนื้อหาสาระเรียงลำดับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯดังต่อไปนี้

1)      การกำหนดกฎเกณฑ์การปกครองประเทศ (Organizational Section) ในทางทฤษฎีถือว่ากฎเกณฑ์การปกครองประเทศ เป็นสารัตถสำคัญในรัฐธรรมนูญเปรียบเสมือนเป็นกลไกสำคัญในการกำหนดโครงสร้างการบริหารประเทศ รวมทั้งกำหนดโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรและสถาบันทางการเมือง ทั้งนี้ กฎเกณฑ์การปกครองประเทศนั้นมิได้มีเฉพาะในรัฐธรรมนูญฯ ของรัฐที่ปกครองภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญฯ ในรัฐที่การปกครองภายใต้การปกครองระบอบอื่นใด ดังเช่น การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์หรือการปกครองระบอบเผด็จการต่างล้วนมีกฎเกณฑ์ในการปกครองประเทศทั้งสิ้น

2)      การกำหนดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน (Bill of Rights) ในทางทฤษฎีบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ถือว่าเป็นสารัตถสำคัญของรัฐที่ปกครองภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยกำหนดขอบเขตของสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวย่อมผันแปรไปตามระบอบการปกครองในแต่ละรัฐ แต่บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ส่วนใหญ่จะปรากฏแต่เฉพาะในรัฐที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ส่วนรัฐธรรมนูญฯ ของรัฐที่ปกครองภายใต้การปกครองระบอบอื่นใด ดังเช่น การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ หรือการปกครองระบอบเผด็จการ ส่วนใหญ่ต่างมิได้ให้ความสำคัญกับการกำหนดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในรัฐธรรมนูญฯแต่อย่างใด

3) การกำหนดกฎเกณฑ์อื่นในรัฐธรรมนูญ (Technical Provisions) เป็นการกำหนด กฎเกณฑ์เพื่อให้ส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระหรือเนื้อความของตัวรัฐธรรมนูญฯ มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังเช่น การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติม (Procedures for amendment/Amendatory Provisions)

การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับความเป็นกฎหมายสูงสุด (Supremacy) การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับหน้าที่ของพลเมือง (Civic Duties) การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับแนวนโยบายแห่งรัฐ (State Policy) รวมทั้งการกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับบทเฉพาะกาล (Interim Provisions) เป็นต้น

แม้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้มีการกำหนดให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แต่ตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) ดังกล่าวก็ไม่ได้กำหนดไว้ว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรจะต้องผ่านการทำประชามติโดยประชาชนทั้งประเทศก่อนก็ตาม แต่ก็มีเสียงเรียกร้องจากหลายภาคส่วนว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรจะต้องทำประชามติเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนเหมือนอย่างที่เคยมีการทำประชามติรับรองรัฐธรรมนูญฯพ.ศ. 2550 ดังนั้นจึงได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) กำหนดให้มีการทำประชามติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่(รัฐธรรมนูญฉบับถาวร)

เหตุผลที่สมควรนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรมาจัดทำประชามติเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนนั้น ก็เพื่อจะช่วยสร้างความชอบธรรมและให้รัฐธรรมนูญเป็นที่ยอมรับของประชาชน จะช่วยลดความขัดแย้งและจะทำให้มีความรู้สึกว่าประชาชนก็มีส่วนร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญด้วยนั่นเอง

 

ข้อ 4. ศาลฎีกาได้มีมติที่ประชุมใหญ่ให้ส่งคำร้องโต้แย้งของนายแดงจำเลยในคดีศาลอาญาซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ ที่ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับบริษัทฯ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเนื่องจากนายแดงได้โต้แย้งว่า พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาฯ มาตรา 9

การสันนิษฐานว่าถ้าผู้กระทำผิดเป็นนิติบุคคลก็ให้กรรมการผู้จัดการ ผู้บริหาร เป็นตัวการร่วมในการกระทำความผิดของนิติบุคคลด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิดนั้น และเป็นกฎหมายที่ศาลอาญาจะนำมาตัดสินกับคดีของตนเป็นการละเมิดต่อสิทธิของบุคคลในกระบวนการยุติธรรมที่ได้รับการคุ้มครอง กรณีจึงขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 รัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 และเรื่องนี้ยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมาก่อน ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าตามรัฐธรรมนูญ ฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะรับคำร้องฯ นี้ไว้พิจารณาวินิจฉัยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และคำร้องโต้แย้งของนายแดงในกรณีนี้สามารถรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ให้ยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 6 “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้”

มาตรา 28 วรรคสอง “บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้”

มาตรา 40 “บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวบการยุติธรรม ดังต่อไปนี้

(7) ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณาคดีที่ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ…”

มาตรา 211 วรรคหนึ่ง “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 6 และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”

และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้ ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ศาลฎีกาได้มีมติที่ประชุมใหญ่ ให้ส่งคำร้องโต้แย้งของนายแดงจำเลยในคดีศาลอาญาซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ ที่ถูกฟ้องเป็นจำเลยร่วมกับบริษัทฯ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย เนื่องจากนายแดงได้โต้แย้งว่า พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาฯ มาตรา 9 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ศาลอาญาจะนำมาตัดสินกับคดีของตน เป็นการละเมิดต่อสิทธิของบุคคลในกระบวนการยุติธรรมที่ได้รับการคุ้มครอง กรณีจึงขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ซึ่งตามรัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะรับคำร้องฯ นี่ไว้พิจารณาวินิจฉัยได้หรือไม่ และคำร้องโต้แย้งของนายแดงในกรณีนี้สามารถรับฟังได้หรือไม่นั้น แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะรับคำร้องฯ ไว้พิจารณาวินิจฉัยได้หรือไม่

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 มาตรา 211 วรรคหนึ่ง ประกอบรัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4 ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่จะใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 6 ให้ศาลส่งความเห็นหรือข้อโต้แย้งเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยนั้น ศาลที่จะส่งความเห็นหรือข้อโต้แย้งดังกล่าว หมายถึง ศาลที่กำลังพิจารณาคดีดังกล่าวเท่านั้นซึ่งกรณีตามอุทาหรณ์ย่อมหมายถึงศาลอาญามิใช่ศาลฎีกา ดังนั้น การที่ศาลฎีกามีมติให้ส่งคำร้องโต้แย้งเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีอำนาจที่จะรับคำร้องฯ นี่ไว้พิจารณาวินิจฉัย

ประเด็นที่ 2 คำร้องโต้แย้งของนายแดงในกรณีนี้สามารถรับฟังได้หรือไม่

การที่นายแดงได้โต้แย้งว่าบทบัญญัติตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาฯ มาตรา 9 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ศาลอาญาจะนำมาตัดสินกับคดีของตนนั้น เป็นการละเมิดต่อสิทธิของบุคคลในกระบวนการยุติธรรมที่ได้รับการคุ้มครอง กรณีจึงขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 แต่นายแดงก็มิได้ระบุว่าตามบทบัญญัติมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าวนั้น เป็นการละเมิดต่อสิทธิของบุคคลในกระบวนการยุติธรรมที่ได้รับการคุ้มครองตามมาตราใด จึงต้องด้วยมาตรา 6 แห่งรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 กล่าวคือนายแดงไม่ได้ระบุมาตรา 28 วรรคสอง และมาตรา 40 (7) ประกอบมาตรา 4 แห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ไว้ด้วย ดังนั้น คำร้องโต้แย้งของนายแดงในกรณีนี้จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ และเป็นคำร้องโต้แย้งที่รับฟังไม่ไต้

สรุป

ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะรับคำร้องฯดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัย และคำร้องโต้แย้งของนายแดงในกรณีนี้รับฟังไม่ได้

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 ภารกิจของรัฐธรรมนูญ (Verfassungsrecht) ลายลักษณ์อักษรในระบบประมวลกฎหมายของรัฐเสรีประชาธิปไตย สรุปโดยรวมแล้วมีภารกิจอันเป็นสาระสำคัญในกรณ์ใดบ้าง

ธงคำตอบ

ภารกิจของรัฐธรรมนูญ (Verfassungsrecht) ลายลักษณ์อักษรในระบบประมวลกฎหมายของรัฐเสรีนิยมประชาธิปไตย สรุปโดยรวมแล้วมีภารกิจอันเป็นสาระสำคัญดังนี้

  1. การจัดองค์กรภายในของรัฐ และการจำแนกภารกิจของรัฐ

รัฐธรรมนูญจะต้องมีการจัดองค์กรภายในของรัฐและการจำแนกภารกิจของรัฐ ซึ่งองค์กรดังกล่าวได้แก่ องค์กรที่ใช้อำนาจสูงสุดของรัฐ องค์กรรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล รวมทั้งองค์กรต่าง ๆ ตามรัฐธรรมนูญ

  1. กำหนดหลักเกณฑ์ความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจรัฐต่าง ๆ ภายใต้หลักการแบ่งแยกอำนาจ

รัฐธรรมนูญจะต้องกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ในการใช้อำนาจรัฐ ซึ่งได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติอำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ รวมทั้งกำหนดความสัมพันธ์ การถ่วงดุลอำนาจและการควบคุมตรวจสอบระหว่างอำนาจรัฐต่าง ๆ เหล่านั้น

  1. กำหนดหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติของรัฐเพื่อให้ทันกับระบบสังคมและการเมือง

เช่น รัฐธรรมนูญจะต้องกำหนดว่า ในการใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร จะต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคของบุคคลตามที่รัฐธรรมนูญได้ให้การรับรองและคุ้มครองโดยชัดแจ้งหรือโดยปริยาย เป็นต้น

  1. ประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคล

รัฐธรรมนูญจะต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับหลักประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลทั้งในฐานะสิทธิพลเมือง และสิทธิมนุษยชน เซ่น กำหนดให้บุคคลสามารถอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญเพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้ รวมทั้งสามารถใช้สิทธิทางศาลเพื่อบังคับให้รัฐต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญได้โดยตรง เป็นต้น

  1. มีระบบการคัดคนดีที่มีความรู้ความสามารถและมีคุณธรรมเข้าไปบริหารประเทศ และในขณะเดียวกันก็มีระบบที่คัดคนไม่ดีออกจากผู้ทำหน้าที่บริหารประเทศ

เช่น รัฐธรรมนูญจะต้องกำหนดคุณสมบัติของบุคคลที่จะเช้าไปทำหน้าที่บริหารประเทศกำหนดหลักเกณฑ์การตรวจสอบ และการถอดถอนจากตำแหน่งของบุคคลต่าง ๆ ที่เป็นผู้ใช้อำนาจรัฐ เป็นต้น

 

ข้อ 2. จงอธิบายถึงความหมายของ “องค์กรตามรัฐธรรมนูญ” (Verfassungsorgan) โดยการพิจารณาในทางรูปแบบ (Formelle Kriterien) และการพิจารณาในทางเนื้อหา (Substantielle Kriteien) และ“องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” เป็น“องค์กรตามรัฐธรรมนูญ”หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ความหมายของ “องค์กรตามรัฐธรรมนูญ” โดยการพิจารณาในทางรูปแบบและการพิจารณาในทางเนื้อหานั้น แยกพิจารณาได้ดังนี้

  1. การพิจารณาในทางรูปแบบ

(1)  พิจารณาจากการจัดตั้งหรือการเกิดขององค์กร

องค์กรดังกล่าวจะต้องได้รับการจัดตั้งโดยตรงจากรัฐธรรมนูญ

(2)  พิจารณาจากอำนาจหน้าที่ขององค์กร

องค์กรดังกล่าวจะต้องได้รับการบัญญัติอำนาจหน้าที่ไว้ในรัฐธรรมนูญ

  1. การพิจารณาในทางเนื้อหา

(1)  พิจารณาจากอำนาจหน้าที่ององค์กร

องค์กรดังกลาวจะต้องเป็นองค์กรซึ่งใช้อำนาจสูงสุดของรัฐ หรือเป็นองค์กรของรัฐซึ่งมีการใช้อำนาจรัฐในลักษณะหนึ่งลักษณะใด ในลักษณะของการควบคุม ตรวจสอบ หรือถ่วงดุลอำนาจอื่น

(2)  พิจารณาจากการบังคับบัญชา

องค์กรดังกล่าวจะต้องเป็น “อิสระ” คือจะต้องไม่ตกอยู่ภายใต้การบังคับบัญชา หรือการควบคุมกำกับขององค์กรหนึ่งหรือองค์กรใด

(3)  พิจารณาจากสถานะขององค์กร

องค์กรดังกล่าวจะต้องมีสถานะเทียบเท่ากับองค์กรอื่น ๆ ตามรัฐธรรมนูญด้วย

เมื่อพิจารณาความหมายขององค์กรตามรัฐธรรมนูญดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่า “องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” นั้นไม่เป็น “องค์กรตามรัฐธรรมนูญ” เพราะมีองค์ประกอบไม่ครบทั้งในทางรูปแบบและในทางเนื้อหา กล่าวคือ

  1. เมื่อพิจารณาในทางรูปแบบ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นองค์กรที่ได้มีการจัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติต่าง ๆ และอำนาจหน้าที่ขององค์ภรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็มิได้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญโดยตรง แต่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติและกฎหมายต่าง ๆ
  2. เมื่อพิจารณาในทางเนื้อหา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีใช่องค์กรซึ่งใช้อำนาจสูงสุดของรัฐ หรือเป็นองค์กรของรัฐซึ่งมีการใช้อำนาจรัฐในลักษณะหนึ่งลักษณะใดในลักษณะของการควบคุม ตรวจสอบหรือถ่วงดุลอำนาจอื่น เป็นองค์กรที่ไม่เป็นอิสระ เพราะอยู่ภายใต้การควบคุมกำกับของกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ก็มิได้มีสถานะเทียบเท่ากับองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด

 

ข้อ 3. นายมดจำเลยยื่นคำโต้แย้งต่อศาลแรงงานกลางว่า พ.ร.บ. คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจฯ มาตรา 9 (5) ที่บัญญัติว่า “…ไม่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกไม่ว่าจะได้รับโทษจำคุกหรือไม่…” ซึ่งศาลจะนำมาตัดสินกับคดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญตามมาตรา 30 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 เนื่องจากบัญญัติให้พนักงานรัฐวิสาหกิจที่ถูกศาลพิพากษาให้รอการลงโทษต้องพ้นสภาพการเป็นพนักงาน ในขณะที่เจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทอื่น ๆ จะพ้นสภาพจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็ต่อเมื่อได้รับโทษจำคุกจริงเท่านั้น จึงขัดต่อความเสมอภาคที่รัฐธรรมนูญให้การรับรองไว้และกรณียังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ศาลแรงงานกลางจึงส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญได้มีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 สิ้นสุดลง ยกเว้นหมวด 2 (พระมหากษัตริย์) และ

ต่อมาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2557 มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ต่อไปได้อีกหรือไม่ เพราะเหตุใด และจะมีคำวินิจฉัยหรือคำสั่งในคดีนี้อย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557

มาตรา 45 “ภายใต้บังคับมาตรา 5 และมาตรา 44 ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ และตามที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่สำหรับผู้ตรวจการแผ่นดินให้มีอำนาจเสนอเรืองให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เฉพาะเมื่อมีกรณีที่เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้…”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ศาลแรงงานกลางได้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณาวินิจฉัยว่า พ.ร.บ. คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจฯ มาตรา 9 (5) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ

พ.ศ. 2550 มาตรา 30 หรือไม่นั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11/2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ข้อ 1. ให้รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 สิ้นสุดลง ยกเว้นหมวด 2 (พระมหากษัตริย์) และต่อมาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2557 ได้มีการประกาศใช้บังคับรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 ย่อมมีผลทำให้ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยต่อไปว่า ดามมาตรา 9 (5) แห่ง พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าว ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 30 แห่งรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 หรือไม่เหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ต่อไปนั้นเป็นเพราะว่าตามมาตรา 45 วรรคหนึ่ง แห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ ซึ่งคำว่า “รัฐธรรมนูญนี้” หมายถึง รัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 เท่านั้น มิได้หมายความรวมถึงรัฐธรรมนูญฉบับอื่น ๆ ด้วย และตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พุทธคักราช 2557 ก็มิได้มีบทบัญญัติมาตราหนึ่งมาตราใดที่ได้บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 หรือไม่แต่อย่างใดเลย

และเมื่อศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ต่อไป ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญจึงต้องมีคำสั่งให้จำหน่ายคำร้องในคดีนี้

สรุป

ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาวินิจฉัยคดีนี้ต่อไป และต้องมีคำสั่งให้จำหน่ายคำร้องในคดีนี้

 

ข้อ 4. นายเอกจำเลยในคดียาเสพติดและเป็นข้าราชการได้ร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินว่า การที่ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกตนโดยอาศัย พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ มาตรา 10 โดยให้เพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่เป็นข้าราขการต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น มาตรา 10 พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวย่อมขัดต่อหลักความเสมอภาค เพราะแม้ตนจะเป็นข้าราชการแต่ก็มีสิทธิเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไปตามที่เคยได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 30 และมาตรา 31 รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ประกอบมาตรา 4 รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ดังนั้นมาตรา 10 พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวย่อมเป็นการละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของตนที่รัฐธรรมนูญฯ ให้การคุ้มครอง จึงขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้อกล่าวอ้างของนายเอกสามารถรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด และหากท่านเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินจะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 30 “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน

การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจะกระทำมิได้

มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น ย่อมไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม”

มาตรา 31 “บุคคลผู้เป็นทหาร ตำรวจ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ และพนักงานหรือลูกจ้างขององค์กรของรัฐ ย่อมมีสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป เว้นแต่ที่จำกัดไว้ในกฎหมายหรือกฎที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการเมือง สมรรถภาพ วินิจฉัย หรือจริยธรรม”

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราขอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557

มาตรา 4 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้”

มาตรา 45 “ภายใต้บังคับมาตรา 5 และมาตรา 44 ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ และตามที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่สำหรับผู้ตรวจการแผ่นดินให้มีอำนาจเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เฉพาะเมื่อมีกรณีที่เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้

การพิจารณาและการทำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นในระหว่างที่ยังไม่มีกฎหมายดังกล่าวให้เป็นไปตามข้อกำหนดของศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณา และการทำคำวินิจฉัยที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนวันที่รัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ ทั้งนี้ เพียงเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อวรรคหนึ่งหรือรัฐธรรมนูญนี้”

และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2552 มาตรา 14 “ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้ เมื่อเห็นว่ามีกรณีดังต่อไปนี้

(1) บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยไม่ชักช้า เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยดังนี้ คือ

ประเด็นที่ 1 ข้อกล่าวอ้างของนายเอกสามารถรับพฟังได้หรือไม่

การที่นายเอกได้ร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินว่า พ.ร.บ. มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ มาตรา 10 ที่ให้เพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่เป็นข้าราชการโดยต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ย่อมขัดต่อหลักความเสมอภาค และเป็นการละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของตนที่รัฐธรรมนูญฯ ให้การคุ้มครองนั้น เห็นว่าตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวไม่เป็นการละเมิดต่อสิทธิและเสรีภาพของนายเอกตามที่รัฐธรรมนูญฯ ให้การคุ้มครองไว้แต่อย่างใด

ทั้งนี้เพราะการที่มาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวได้กำหนดอัตราโทษผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่เป็นข้าราชการ หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ แตกต่างไปจากบุคคลทั่วไปนั้น เป็นแต่เพียงความแตกต่างในอัตราโทษสำหรับผู้กระทำความผิดเท่านั้น เพราะโทษตามกฎหมายจะต้องเหมาะสมกับความผิดและได้สัดส่วนกับสถานะความรับผิดชอบของผู้กระทำความผิดและผลกระทบต่อสังคม กรณีจึงมิใช่ความแตกต่างในเรื่องของสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญที่จะทำให้ขัดต่อหลักความเสมอภาค และเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ดังนั้น ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวของนายเอกจึงไม่สามารถรับฟังได้

ประเด็นที่ 2 หากข้าพเจ้าเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินจะส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยหรือไม่

ตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2552 มาตรา 14 (1)ผู้ตรวจการแผ่นดินจะเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยก็ต่อเมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าบทบัญญัติกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญและตามมาตรา 45 แห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ก็บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.ฯ ดังกล่าวมิได้มีปัญหาเกี่ยวด้วยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ดังนั้น หากข้าพเจ้าเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะไม่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย

สรุป

ข้อกล่าวอ้างของนายเอกไม่สามารถรับฟังได้ และหากข้าพเจ้าเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินจะไม่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ทฤษฎีของรุสโซ (Jean Jacque Rousseau) ที่ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน หมายถึงอะไร และมีผลตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างไร การที่มีการเสนอแนวคิดให้มีการแต่งตั้งวุฒิสมาชิก 250 คน มาใช้อำนาจนิติบัญญัติในรัฐสภาในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้นเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักทฤษฎีดังกล่าวหรือไม่ เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

ทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน นั้นมาจากแนวคิดว่าอำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน เป็นทฤษฎีที่เสนอโดย รุสโซ (Rousseau)ในวรรณกรรมชื่อ “สัญญาประชาคม” (Social Contract) โดยรุสโซ เชื่อว่า “สังคมเกิดขึ้นเพราะราษฎรในสังคมสมัครใจสละสภาพธรรมชาติอันเสรีของตนเพื่อมาทำสัญญาประชาคมขึ้น สังคมจึงเกิดจากการสัญญามิใช่การข่มขู่บังคับ ดังนั้นราษฎรทุกคนจึงมีส่วนเป็นเจ้าของสังคมหรืออำนาจอธิปไตยมิใช่พระเจ้าหรือกษัตริย์ที่เป็นเจ้าของดั่งที่อธิบายกันมาตลอด” ตัวอย่างที่รุสโซ อ้างก็คือ

“สังคมหนึ่งมีสมาชิก 10,000 คน สมาชิกแต่ละคนย่อมเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยคนละ 1/10,000 ดังนั้น ราษฎรแต่ละคนจึงมีส่วนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามส่วนของตน โดยไม่มีใครสามารถอ้างความเป็นเจ้าของอำนาจอธิบไตยทั้งหมดได้

จากทฤษฎีดังกล่าวได้ก่อให้เกิดผลทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ คือ

  1. ราษฎรแต่ละคนมีสิทธิที่จะเลือกผู้ปกครอง เพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งส่วนแห่งอำนาจตนอันนำมาสู่หลักการคือ “การเลือกตั้งอย่างทั่วถึง” เพราะถือว่า การเลือกตั้งเป็นสิทธิของทุกคน มิใช่หน้าที่จึงไม่อาจมีการจำกัดสิทธิได้ ดังที่รุสโซ กล่าวว่า “สิทธิเลือกตั้งเป็นสิทธิที่ไม่มีอะไรที่จะมาพรากจากประชาชนได้”
  2. การมอบอำนาจของราษฎรให้ผู้แทนเป็นการมอบอำนาจในลักษณะที่ผู้แทนต้องอยู่ภายใต้อาณัติของราษฎรผู้เลือกตั้ง

ดังนั้น กรณีที่มีการเสนอแนวคิดให้มีการแต่งตั้งวุฒิสมาชิก 250 คน มาใช้อำนาจนิติบัญญัติในรัฐสภาในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั้น ถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักทฤษฎีว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน ทั้งนี้เพราะถ้ามีการแต่งตั้งวุฒิสมาชิก 250 คน วุฒิสมาชิกเหล่านั้นก็มิใช่ผู้แทนของราษฎร มิใช่บุคคลที่ราษฎรมอบอำนาจให้ไปทำหน้าที่นิติบัญญัติในรัฐสภา และบุคคลเหล่านั้นก็มิได้อยู่ภายใต้อาณัติของราษฎร แต่จะไปอยู่ภายใต้อาณัติของผู้ที่แต่งตั้งตนให้เป็นวุฒิสมาชิกเท่านั้น

และถ้ามีการแต่งตั้งวุฒิสมาชิก 250 คน ตามแนวคิดดังกล่าว ความชอบธรรมของวุฒิสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งนั้นย่อมขึ้นอยู่กับบทบาทและอำนาจหน้าที่ของวุฒิสภา กล่าวคือ ยิ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้วุฒิสภามีบทบาทและอำนาจหน้าที่มากขึ้นเท่าไร ความชอบธรรมของวุฒิสภาก็มีน้อยลงเท่านั้น

 

ข้อ 2. รูปแบบสำคัญของระบบรัฐสภามีอะไรบ้าง และการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไขปัญหาทางการเมืองอาจแก้ไขปัญหาแท้จริงซึ่งเกิดจากปัญหาทางการเมืองในทางปฏิบัติได้หรือไม่ อย่างไร หากพิจารณาจากรูปแบบสำคัญของระบบรัฐสภา จงอธิบาย

ธงคำตอบ

รูปแบบสำคัญของระบบรัฐสภามี 3 รูปแบบ ได้แก่

  1. ระบบรัฐสภาแบบคู่กับระบบรัฐลภาแบบเดี่ยว

ระบบรัฐสภาแบบคู่ คือ ระบบที่กษัตริย์มีอำนาจในการบริหารประเทศอยู่พอสมควร มิใช่เป็นเพียงประมุขของรัฐเท่านั้น และรัฐบาลต้องรับผิดชอบทางการเมืองต่อประมุขของรัฐด้วย ระบบรัฐสภาแบบคู่จะสามารถดำเนินไปด้วยดี เมื่อประมุขของรัฐกับเสียงข้างมากในสภาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน แต่หากมีการปลดหัวหน้ารัฐบาลโดยประมุขของรัฐหรือเกิดการไม่ให้ความไว้วางใจของสภาต่อรัฐบาลและมีการยุบสภา ปรากฏว่าผู้เลือกตั้งยังคงเลือกฝ่ายข้างมากเข้าสภาอีก ประมุขของรัฐก็ไม่สามารถยุบสภาได้อีก ประมุขของรัฐจำต้องบริหารประเทศร่วมกับฝ่ายข้างมากในสภา กรณีนี้บทบาทของประมุขของรัฐจะลดลงอย่างมาก และทำให้เกิดความขัดแย้งกันไม่สิ้นสุด ระบบรัฐสภาแบบคู่จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์เพราะมีข้อเสีย ประการแรกคือ อาจก่อให้เกิดปัญหาโดยตรงต่อประมุขของรัฐและประการที่สอง คือ อาจนำไปสู่ความชะงักงันของสถาบันได้ ระบบนี้จึงถูกยกเลิกในประเทศที่นำไปใช้ไนเวลาต่อมา

ส่วนระบบรัฐสภาแบบเดี่ยว คือระบบที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อสภาเท่านั้น โดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อประมุขของรัฐ

  1. ระบบรัฐสภาแบบสองพรรคกับระบบรัฐสภาแบบหลายพรรค

ระบบรัฐสภาแบบสองพรรค คือ ระบบที่ให้โอกาสแก่พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งในสองพรรคที่จะมีเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภา ทำให้พรรคนั้นสามารถดำเนินการบริหารประเทศตามนโยบายที่หาเสียงไว้อย่างไม่ต้องวิตกกังวลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลมากนัก แต่ก็อาจเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองได้หากว่าระบบสองพรรคไม่ค่อยสมบูรณ์ โดยมีพรรคการเมืองพรรคที่สามเข้ามามีส่วนร่วมกับพรรคการเมืองที่ไม่ได้รับเสียงข้างมากเด็ดขาด และเป็นพรรคที่คอยฉวยโอกาสจะเข้าร่วมเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านได้เสมอ

ส่วนระบบรัฐสภาแนบหลายพรรค คือ ระบบที่มีพรรคการเมืองหลายพรรคและโดยทั่วไปจะไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาลได้จึงเป็นรัฐบาลผสม ระบบนี้จะมีความเป็นเอกภาพน้อยและอาจเกิดปัญหาเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาลได้

  1. ระบบรัฐสภาแบบธรรมดากับระบบรัฐสภาแบบหที่ถูกกำหนดหรือควบคุมไว้

ระบบรัฐสภาแบบธรรมดา คือ ไม่ต้องกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่เกิดจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอังกฤษซึ่งไม่มีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร ระบบรัฐสภาจึงเกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ

ส่วนระบบรัฐสภาแบบที่ถูกกำหนดหรือควบคุมไว้ คือ การร่างรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไขปัญหาความบเสถียรภาพของรัฐบาล และหาทางแก้ไขปัญหาวิกฤติการณ์การลาออกของรัฐมนตรี โดยกำหนดเงื่อนไขบางประการไว้ในรัฐธรรมนูญ เช่น บังคับให้สมาซิกสภาต้องคำนึงอย่างรอบคอบก่อนที่จะบังคับให้รัฐบาลลาออก ดังนั้น การที่จะให้รัฐบาลต้องรับผิดชอบทางการเมืองจะต้องมีเงื่อนไขที่ยุ่งยากพอสมควร เช่น มีการกำหนดระยะเวลาที่จะลงมติไม่ไว้วางใจ กำหนดเรื่องคะแนนเสียงข้างมาก หรือกำหนดว่าจะต้องหาทายาทในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้เสียก่อน ระบบรัฐสภาแบบที่ถูกกำหนดหรือควบคุมไว้จึงมีวิธีการค่อนข้างละเอียดและสลับซับซ้อนในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับรัฐสภา

การร่างรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ไขปัญหาทางการเมือง อาจไม่สามารถแก้ไขปัญหาแท้จริงซึ่งเกิดจากปัญหาทางการเมืองในทางปฏิบัติได้ หากพิจารณาจากรูปแบบสำคัญของระบบรัฐสภาในระบบรัฐสภาแบบที่ถูกกำหนดหรือควบคุมไว้ เพราะแม้จะมีการกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ ไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่โดยทั่วไปแล้วในทางปฏิบัติผลที่ได้รับมักจะไม่สมหวังเท่าที่ควร

 

ข้อ 3. จงอธิบายอย่างละเอียดว่ารัฐธรรมนูญมีความสำคัญและมีความเกี่ยวข้องกับตัวนักศึกษาอย่างไร

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญมีความสำคัญและมีความเกี่ยวข้องกับข้าพเจ้าดังนี้ คือ

“รัฐธรรมนูญ” ถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมือง โดยจะกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตย และการดำเนินงานของสถาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงอำนาจในการปกครองประเทศซึ่งอำนาจดังกล่าว แบ่งออกเป็น 3 อำนาจ ได้แก่

  1. อำนาจนิติบัญญัติ หมายถึง อำนาจในการออกกฎหมายมาบังคับใช้กับประชาชน(รวมทั้งข้าพเจ้า)ในฐานะผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยโดยมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจนี้

ในการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) เพื่อใช้บังคับกับประชาชน (รวมทั้งข้าพเจ้า) นั้น ฝ่ายนิติบัญญัติก็จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย โดยเฉพาะที่สำคัญคือกฎหมายที่ออกมานั้น จะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญด้วย มิฉะนั้นแล้วกฎหมายที่ออกมาก็ย่อมไม่มีผลบังคับใช้

  1. อำนาจบริหาร หมายถึง อำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยมีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้

ในการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารนั้น ให้หมายความรวมถึงการใช้อำนาจในทางปกครอง เพื่อการออกกฎ ออกคำสั่ง รวมทั้งการกระทำทางปกครองในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและเพื่อการจัดทำบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมด้วย ซึ่งอำนาจของฝ่ายบริหารมีอย่างไรบ้างนั้นก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ฯ ได้กำหนดไว้

  1. อำนาจตุลาการ หมายถึง อำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรที่ใช้อำนาจนี้คือ ศาล ซึ่งศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในกรณีที่ประชาชนมีข้อพิพาทเกิดขึ้น หรือมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลนั้น หมายถึงศาลใดก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วย

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าในการใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนรวมทั้งข้าพเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่งนั้น การใช้อำนาจดังกล่าวก็จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วย

และนอกจากนั้น รัฐธรรมนูญยังมีความสำคัญต่อข้าพเจ้าและประชาชนคนอื่น ๆ อีกตรงที่ว่า ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้น จะกำหนดเกี่ยวกับขอบเขตตลอดถึงการให้ความคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของชนชาวไทย

เช่น สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล สิทธิเสรีภาพในการศึกษาหรือในการประกอบอาชีพ เป็นต้น รวมทั้งยังกำหนดให้ทราบว่าข้าพเจ้าและประชาชนคนไทยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติในฐานะทีเป็นประชาชนคนไทยอย่างไรบ้าง

 

ข้อ 4. นายเอกได้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่ากรณีบทบัญญัติตามมาตรา 8 รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของบุคคลที่จะเป็นผู้มีสิทธิเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่กำหนดให้ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ (1) ดำรงตำแหน่งหรือเคยดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองภายในระยะเวลา 3 ปี ก่อนวันที่ได้รับการเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อบุคคลซึ่งจะกระทำมิได้ บทบัญญัติดังกล่าวจึงขัดหรือแย้งต่อหลักความเสมอภาคของบุคคลตามมาตรา 4 รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ที่บัญญัติรับรองไว้ ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า หากท่านเป็นผู้ตรวจการแผ่นดินจะรับคำร้องไว้พิจารณาและส่งเรื่องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยต่อไปหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบายโดยยกหลักกฎหมายประกอบเหตุผลในการตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557

มาตรา 45 “ภายใต้บังคับมาตรา 5 และมาตรา 44 ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ และตามที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่สำหรับผู้ตรวจการแผ่นดินให้มีอำนาจเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เฉพาะเมื่อมีกรณีที่เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้…”

ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

ฉบับที่ 27/2557 “เพื่อให้องค์กรอิสระและองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2550 ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปไต้อย่างต่อเนื่องและเป็นธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงประกาศให้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังต่อไปนี้ มีผลบังคับใช้ต่อไป

  1. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2552” และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2552

มาตรา 14 “ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้เมื่อเห็นว่ามีกรณีดังต่อไปนี้

(1) บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยไม่ชักช้า เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา”

วินิจฉัย

ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 45 และ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2552 ประกอบประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 27/2557 ผู้ตรวจการแผ่นดินจะรับเรื่องไว้พิจารณาและจะเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยได้ก็ต่อเมื่อมีกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่า บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญก็มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ ซึ่งคำว่า “กฎหมาย” ตามความหมายดังกล่าวนี้ หมายความถึงกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งได้แก่ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ หรือกฎหมายอนที่มีค่าเทียบเท่าพระราชบัญญัติ

กรณีตามอุทาหรณ์ การยื่นคำร้องของนายเอกต่อผู้ตรวจการแผ่นดินนั้น เป็นการยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า บทบัญญัติมาตรา 8 รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ขัดหรือแย้งต่อมาตรา 4 รัฐธรรมนูญฯ (ฉบับขัวคราว) พ.ค. 2557 หรือไม่ ซึ่งเป็นการโต้แย้งว่า “บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ”ขัดต่อ “บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ” ด้วยกันหรือไม่ มิใช่เป็นการยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า “บทบัญญัติแห่งกฎหมาย” ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามนัยแห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 45 และ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ

ว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. 2522 มาตรา 14 (1) ที่ผู้ตรวจการแผ่นดินจะรับเรื่องไว้พิจารณาและเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยได้ ดังนั้น ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน จะไม่รับคำร้องของนายเอกไว้พิจารณาและจะไม่ล่งเรื่องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยต่อไป

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน ข้าพเจ้าจะไม่รับคำร้องไว้พิจารณา และจะไม่ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. การลงคะแนนแสดงประชามติ (Referendum) หมายถึงอะไร และประชามตินั้นอาจมีได้ในกรณีใดบ้างขอให้อธิบาย พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบโดยละเอียด

ธงคำตอบ

การลงคะแนนแสดงประชามติ หรือ การออกเสียงประชามติ (Referendum) หมายถึง การนำร่างกฎหมายหรือร่างรัฐธรรมนูญออกให้ประชาชนทั้งประเทศในฐานะเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย แสดงความเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ (รับรองหรือไม่รับรอง)โดยวิธีลงคะแนนเสียงซึ่งเป็นวิธีการส่วนหนึ่งของการจัดทำกฎหมาย

ในการลงคะแนนแสดงประชามตินั้น ประชามติอาจมีได้หลายกรณีด้วยกัน คือ

  1. ประชามติก่อนที่สภานิติบัญญัติจะลงมติในร่างกฎหมาย และประชามติภายหลังที่สภานิติบัญญัติได้ลงมติในร่างกฎหมายแล้ว
  2. ประชามติสำหรับร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญ หรือสำหรับร่างกฎหมายธรรมดาก็ได้
  3. ประชามติอาจมีลักษณะเป็นการบังคับคือต้องขอให้ราษฎรลงคะแนนเสียงเสมอไปหรืออาจมีลักษณะไม่บังคับ คืออยู่ในดุลพินิจของผู้ประกาศใช้ว่าจะสมควรนำร่างกฎหมายให้ราษฎรลงคะแนนเสียงหรือไม่

สำหรับประเทศไทยนั้นได้มีการออกเสียงประชามติเป็นครั้งแรก คือการลงมติออกเสียงว่าเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2549 ที่ได้บัญญัติให้มีการนำระบบการออกเสียงประชามติมาใช้กับร่างรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550

 

ข้อ 2. จงอธิบายอย่างละเอียดว่ารัฐธรรมนูญมีความสำคัญและมีความสัมพันธ์กับตัวนักศึกษาอย่างไรบ้าง พร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญมีความสำคัญและมีความสัมพันธ์กับข้าพเจ้าดังนี้ คือ

“รัฐธรรมนูญ” ถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดที่มีวัตถุประสงค์ในการวางระเบียบการปกครองของรัฐในทางการเมือง โดยจะกำหนดโครงสร้างของรัฐ ระบอบการปกครอง การใช้อำนาจอธิปไตย และการดำเนินงานของสภาบันสูงสุดของรัฐที่ใช้อำนาจอธิปไตย กล่าวคือ เป็นกฎหมายที่บัญญัติถึงอำนาจในการปกครองประเทศซึ่งอำนาจดังกล่าว แบ่งออกเป็น 3 อำนาจ ได้แก่

  1. อำนาจนิติบัญญัติ หมายถึง อำนาจในการออกกฎหมายมาบังคับใช้กับประชาชน (รวมทั้งข้าพเจ้า) ในฐานะผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยโดยมีรัฐสภาเป็นผู้ใช้อำนาจนี้

ในการออกกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา) เพื่อใช้บังคับกับประชาชน (รวมทั้งข้าพเจ้า) นั้น ฝ่ายนิติบัญญัติก็จะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย โดยเฉพาะที่สำคัญคือกฎหมายที่ออกมานั้น จะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญด้วย มิฉะนั้นแล้วกฎหมายที่ออกมาก็ย่อมไม่มีผลบังคับใช้

  1. อำนาจบริหารหมายถึง อำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย โดยมีรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้

ในการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารนั้น ให้หมายความรวมถึงการใช้อำนาจในทางปกครองเพื่อการออกกฎ ออกคำสั่ง รวมทั้งการกระทำทางปกครองในรูปแบบอื่น ๆ เพื่อการบริหารราชการแผ่นดินและเพื่อการจัดทำบริการสาธารณะ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมด้วย ซึ่งอำนาจของฝ่ายบริหารมีอย่างไรบ้างนั้นก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้

  1. อำนาจตุลาการ หมายถึง อำนาจในการตัดสินและพิพากษาอรรถคดี ซึ่งองค์กรที่ใช้อำนาจนี้คือ ศาล ซึ่งศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งในกรณีที่ประชาชนมีข้อพิพาทเกิดขึ้น หรือมีความจำเป็นที่จะต้องใช้สิทธิทางศาลนั้น หมายถึงศาลใดก็ต้องเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วย

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าในการใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนรวมทั้งข้าพเจ้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่งนั้น การใช้อำนาจดังกล่าวก็จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่น ๆ ได้กำหนดไว้ด้วย

และนอกจากนั้น รัฐธรรมนูญยังมีความสำคัญต่อข้าพเจ้าและประชาชนคนอื่น ๆ อีกตรงที่ว่า ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญนั้น จะกำหนดเกี่ยวกับขอบเขตตลอดถึงการให้ความคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพของชนชาวไทย เช่น สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล สิทธิเสรีภาพในการศึกษาหรือในการประกอบอาชีพ เป็นต้น รวมทั้งยังกำหนดให้ทราบว่าข้าพเจ้าและประชาชนคนไทยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติในฐานะที่เป็นประชาชนคนไทยอย่างไรบ้าง

 

ข้อ3. ตามเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายของระบบการเมืองการปกครองของอังกฤษใครมีอำนาจที่แท้จริงระหว่างสภาสามัญและคณะรัฐมนตรี และเหตุใดระบบการเมืองการปกครองของอังกฤษไม่นำไปสู่ระบบเผด็จการรัฐสภา จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ตามเจตนารมณ์หรือความมุ่งหมายของระบบการเมืองการปกครองของอังกฤษนั้น คณะรัฐมนตรีซึ่งมาจากเสียงข้างมากในสภาสามัญจะมีอำนาจที่แท้จริง แม้ว่าแต่เดิมเมื่อศตวรรษที่แล้วจะมินักวิชาการกล่าวว่า

อำนาจทางการเมืองที่แท้จริงจะอยู่ที่สภาสามัญ คณะรัฐมนตรีเป็นเพียงคณะกรรมาธิการชุดหนึ่งของสภาซึ่งได้รับมอบอำนาจมาจากสภาสามัญ โดยสภาสามัญมิโอกาสที่จะบังคับให้รัฐบาลออกทันทีที่สภาสามัญไม่ไว้วางใจอำนาจของสภาสามัญจึงมีอยู่มาก

แต่ในปัจจุบัน ความเห็นดังกล่าวนั้นจะไม่ตรงกับสภาพความเป็นจริง เพราะปัจจุบันสภาสามัญเป็นเพียงเวทีทางการเมืองของฝ่ายค้านเท่านั้น แต่คณะรัฐมนตรีจะมีเสถียรภาพเป็นอย่างมาก และมีอำนาจทางการเมืองค่อนข้างมาก เพราะเป็นสถาบันที่มีวิธีการที่แท้จริงในการบริหารประเทศ คณะรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่คล้ายกับเป็นผู้นำของสภาสามัญ และในความเป็นจริงคณะรัฐมนตรีเป็นผู้จัดเตรียมร่างกฎหมาย และมีอำนาจเป็นอย่างมากในสภาสามัญ เช่น เรียกประชุมสภา เลื่อนการประชุมสภา การยุบสภา เป็นต้น

และเหตุที่ระบบการเมืองการปกครองของอังกฤษไม่นำไปสู่ระบบเผด็จการรัฐสภานั้น ก็เนื่องมาจากการเกิดความสมดุลกับระหว่างอำนาจ โดยมีการจำกัดอำนาจทางการเมืองที่มีลักษณะเด่นหรือลักษณะเฉพาะ ได้แก่

(1)     การจำกัดขอบเขตโดยสถาบันทางการเมือง ซึ่งมาจากลักษณะทางจิตใจหรืออุปนิสัยใจคอของคบอังกฤษที่ยึดถือประเพณีของชาวอังกฤษที่ยังคงรักษาไว้ซึ่งสถาบันกษัตริย์ สภาขุนนาง และสถาบันตุลาการ และ

(2)     ความสมดุลระหว่างรัฐบาลเสียงข้างมากกับฝ่ายค้าน โดยเป็นความไว้วางใจกันของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ ซึ่งเปลี่ยนแปลงมาจากความสมดุลแต่เดิมระหว่างรัฐบาลกับรัฐสภา โดยหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านอาจได้รับเชิญจากนายกรัฐมนตรีเพื่อปรึกษาหารือกันในกรณีที่เกิดปัญหาบ้านเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชาติต้องการความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

 

ข้อ 4. บางแดงมีไข้สูงจึงเข้ารักษาทีโรงพยาบาลจังหวัดน่าน จากนั้น 7 วัน นางแดงถึงแก่ความตาย โดยแพทย์ระบุว่าเนื่องจากภูมิคุ้มกันบกพร่องเป็นผู้ป่วยโรคเอดส์ (HIV) ต่อมานายดำซึ่งเป็นสามีมีความสงสัยเกี่ยวกับการตาย จึงยื่นคำร้องต่อโรงพยาบาลฯ เพื่อขอสำเนาเวชระเบียนประวัติคนป่วย ซึ่งเป็นเอกสารอาการป่วยของผู้ป่วยและบันทึกการให้การรักษาของแพทย์ ทางโรงพยาบาลฯ มีหนังสือแจ้งว่าไม่สามารถดำเนินการให้ได้ เพราะเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่ต้องปกปิดและระเบียบของโรงพยาบาลฯเอกสารเกี่ยวด้วยผู้ป่วยโรคเอดส์ (HIV) จะต้องถูกเก็บไว้เป็นเอกสารลับของทางราชการและนายดำเองก็ไม่ใช่ “บุคคล” ผู้ทรงสิทธิตามรัฐธรรมนูญฯ ที่จะเป็นผู้ร้องขอได้ และการใช้สิทธิของนายดำยังเป็นการละเมิดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพต่อผู้ป่วยและแพทย์ผู้ทำการรักษาตามรัฐธรรมนูญฯ ด้วย รวมทั้งภายใต้บทบัญญัติรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ก็ไม่ได้บัญญัติรับรองให้สิทธิแก่บุคคลที่จะร้องขอในกรณีนี้ได้แต่อย่างใด

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าข้อกล่าวอ้างของโรงพยาบาลฯ สามารถรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ให้อธิบายโดยยกหลักกฎหมายประกอบคำตอบโดยชัดแจ้ง

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 28 วรรคแรก “บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอบ ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน”

มาตรา 56 “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยราฃการ หน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือราชการส่วนท้องถิ่น เว้นแต่การเปิดเผยข้อมูลหรือข่าวสารนั้นจะกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยของประชาชน หรือส่วนได้เสียอันพึงได้รับความคุ้มครองของบุคคลอื่นหรือเป็นข้อมูลส่วนบุคคล ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ”

และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557

มาตรา 4 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้”

ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ เมื่อพิจารณาประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 28 วรรคแรก และมาตรา 56 และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4 แล้ว สามารถแยกวินิจฉัยได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 สิทธิการได้รับทราบและเข้าถึงข้อมูลในการครอบครองของหน่วยราชการถือเป็นสิทธิที่นายดำเคยได้รับการคุ้มครองมาก่อนหน้านี้ตามมาตรา 56 แห่งรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ดังนั้น จึงย่อมได้รับการคุ้มครองตามมาตรา 4 แห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 นี้ด้วย

ประเด็นที่ 2 เมื่อนางแดงได้ถึงแก่กรรมแล้ว การที่นางแดงจะยื่นคำร้องเป็นหนังสือต่อโรงพยาบาลฯ เพื่อขอสำเนาเวชระเบียนประวัติการรักษาย่อมไม่อยู่ในวิสัยที่จะกระทำได้ ดังนั้น นายดำผู้ยื่นคำร้องในฐานะสามีตามกฎหมายของนางแดงจึงมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญฯ และตามกฎหมายที่จะยื่นคำร้องขอทราบข้อมูลของนางแดงที่ถึงแก่กรรมได้ ดังนั้นนายดำจึงเป็น “บุคคล” ผู้ทรงสิทธิตามรัฐธรรมนูญฯ ที่จะเป็นผู้ร้องขอข้อมูลในกรณีนี้ได้ตามรัฐธรรมนูญฯพ.ศ. 2550 มาตรา 56 ประกอบรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4

ประเด็นที่ 3 เวชระเบียนประวัติการรักษาของนางแดง เป็นเอกสารที่แสดงถึงอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วยและการให้การรักษาของแพทย์ จึงเป็นเอกสารของทางราชการที่เป็นข้อมูลของผู้ป่วยอันเกี่ยวเนื่องจากการรักษาพยาบาล ดังนั้น การใช้สิทธิของนายดำทียื่นคำร้องขอทราบข้อมูลของนางแดงภริยาที่ถึงแก่กรรมต่อโรงพยาบาล จึงไม่ถือว่าเป็นการละเมิดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญฯ ของบุคคลอื่นและไม่ได้เป็นการรุกล้ำสิทธิส่วนบุคคลของผู้ป่วยและแพทย์ที่ทำการรักษาแต่อย่างใด (ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550มาตรา 28 วรรคแรก และมาตรา 56 ประกอบรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 4)

ดังนั้น การที่นายดำซึ่งเป็นสามีและมีความสงสัยเกี่ยวกับการตายของนางแดงภริยาได้ยื่นคำร้องต่อโรงพยาบาลฯ เพื่อขอสำเนาเวชระเบียนประวัติคนป่วย ซึ่งเป็นเอกสารอาการป่วยของผู้ป่วยและบันทึกการให้การรักษาของแพทย์ แต่ทางโรงพยาบาลฯ มีหนังสือแจ้งว่าไม่สามารถดำเนินการให้ได้ โดยมีข้ออ้างต่าง ๆ ดังกล่าวนั้นข้อกล่าวอ้างของโรงพยาบาลฯ จึงไม่สามารถรับฟังได้

สรุป

ข้อกล่าวอ้างของโรงพยาบาลฯ ไม่สามารถรับฟังได้

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ระบอบการปกครอง (Regime of Government) มีความหมายอย่างไร และหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยกับหลักการปกครองระบอบเผด็จการ มีหลักการสำคัญแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไร อธิบายมาให้เข้าใจอย่างละเอียด

ธงคำตอบ

“ระบอบการปกครอง” หมายถึง สถาบันทางการเมืองซึ่งรัฐบาลของรัฐได้จัดตั้งขึ้นเพื่อใช้อำนาจในการปกครองประเทศ ซึ่งระบอบการปกครองในโลกจะแบ่งออกเป็น 3 แบบใหญ่ ๆ ได้แก่

  1. ระบอบเผด็จการ
  2. ระบอบประชาธิปไตย และ
  3. ระบอบสังคมนิยม

สำหรับหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยกับหลักการปกครองระบอบเผด็จการ จะมีหลักการที่สำคัญแตกต่างกันดังนี้ คือ

หลักการปกครองระบอบประชาธิปไตย หมายความถึง ระบอบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่ การถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่ ถึงกระนั้น นิยามของคำนี้ก็มีวิวัฒนาการต่อเนื่องมาตลอด จากที่โดยเนื้อแท้มีความหมายเพียงแต่การปกครองตนเอง (Self Government) ได้คลี่คลายและมีความหมายในอาณาบริเวณที่กว้างขวางขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ จนถือเสมือนเป็นหลักการสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จักต้องครอบคลุมหลักการสำคัญดังต่อไปนี้ให้ครบถ้วน

  1. หลักอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน (Popular Sovereignty) หรืออำนาจสูงสุดในการปกครองอยู่ที่ประชาชน ดังนั้น ในฐานะที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ประชาชนจึงมีสิทธิตั้งรัฐบาลได้ผ่านกระบวนการเลือกตั้งเป็นสำคัญ
  2. หลักสิทธิเสรีภาพต่าง ๆ ของประชาชน (Bill of Rights) จะต้องได้รับการคุ้มครองรัฐจะต้องไม่ล่วงล้ำสิทธิเสรีภาพหรือกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนถึงสิทธิเสรีภาพอันพึงมีของประชาชน
  3. หลักความสูงสุดของกฎหมาย ผู้มีอำนาจต้องถูกกฎหมายจำกัดอำนาจเอาไว้ เป้าหมาย วิธีการ และรากฐานในการดำเนินการใด ๆ ก็ตามของรัฐจะต้องชอบด้วยกฎหมาย (Government of Law, Not of Men) คือ “หลักนิติธรรม” (Rule of Law)
  4. หลักความเสมอภาค ซึ่งเน้นความเท่าเทียมกันของมนุษย์ทุกคน โดยให้ความคุ้มครองทางกฎหมายอย่างทัดเทียมกัน (Equal Protection under Law) โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ (Discrimination)
  5. หลักการเสียงข้างมาก (Majority Rule) ในการปกครอง ถึงแม้ว่าประชาธิปไตยจะเป็นการปกครองที่ยึดมั่นในเสียงข้างมาก แต่ก็จะต้องพร้อมรับฟังและให้ความเป็นธรรมแก่ฝ่ายเสียงข้างน้อยด้วยเช่นกัน
  6. หลักการแบ่งแยกอำนาจทางปกครอง คือ จะต้องมีการแบ่งอำนาจอธิปไตย (อำนาจทางปกครอง) ออกเป็น 3 อำนาจ ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจทั้ง 3 อำนาจไม่ให้อำนาจหนึ่งอำนาจใดใช้ได้อย่างอิสระเพื่อจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ การรักษาสิทธิเสรีภาพ และประโยชน์ของประชาชนจากการใช้อำนาจทางปกครองของรัฐ
  7. หลักการมีส่วนร่วมในการปกครอง หมายความว่า ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการเลือกบุคคลผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้ใช้อำนาจในทางปกครอง เช่น มีส่วนร่วมในการเลือกตั้งผู้บริหารทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น ผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้ใช้อำนาจในทางปกครอง จะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่โดยผ่านกระบวนการเลือกตั้งจากประชาชน
  8. หลักการใช้อำนาจทางปกครอง จะต้องเป็นการใช้อำนาจเพื่อปกป้องและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน และในการปฏิบัติหน้าที่ (ในการใช้อำนาจปกครอง) ขององค์กรของรัฐไม่ว่าจะเป็นรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐจะต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือนิติรัฐ
  9. หลักการตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครอง หมายความว่า การใช้อำนาจทางปกครองดังกล่าวจะต้องสามารถควบคุมและตรวจสอบให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีได้

ส่วนหลักการปกครองระบอบเผด็จการ เป็นระบอบการปกครองที่ตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตย เพราะระบอบเผด็จการนั้นเป็นระบอบการปกครองที่ผู้ปกครองจะมีอำนาจสูงสุดในการปกครอง โดยไม่สนใจสิทธิและเสรีภาพของประชาชน และการได้มาของการเป็นผู้นำในระบอบเผด็จการมักจะเกิดจากการปฏิวัติหรือรัฐประหาร

หลักการสำคัญของระบอบเผด็จการ จะมีลักษณะต่าง ๆ ดังนี้

  1. อำนาจรัฐอยู่เหนือประชาชน ไม่ยินยอมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองประเทศ แต่ต้องปฏิบัติตามที่รัฐหรือผู้นำกำหนด ไม่มีสิทธิคัดค้านหรือโต้แย้งใด ๆ ทั้งสิ้น
  2. เป็นการแก้ปัญหาโดยการใช้อำนาจ แก้ปัญหาโดยใช้ความรุนแรงเด็ดขาด ใช้อำนาจทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามหรือผู้ที่มีความคิดเห็นขัดแย้งต่อรัฐหรือต่อผู้นำ
  3. ปกครองประเทศโดยมุ่งเน้นประโยชน์ของภาครัฐมากกว่าสิทธิเสรีภาพของประชาชน
  4. เน้นการเชื่อผู้นำพาชาติก้าวหน้า เพื่อสร้างศรัทธาและบารมีของผู้นำ
  5. มีการรวมอำนาจปกครองไว้ในที่แห่งเดียว ศูนย์กลางในการสั่งการคือตัวผู้นำซึ่งจะรวมทั้ง 3 สถาบัน คือ สถาบันบริหาร สถาบันนิติบัญญัติ และสถาบันตุลาการ อยู่ในการปกครองของตนเพียงคนเดียวหรือกลุ่มเดียว

 

ข้อ 2. ให้อธิบายถึงความแตกต่างระหว่างอำนาจการจัดให้มีรัฐธรรมนูญกับอำนาจการจัดทำรัฐธรรมนูญ และหากพิจารณาในเชิงประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทยในยามเหตุการณ์บ้านเมืองปกติ และภายหลังการปฏิวัติหรือรัฐประหาร อำนาจในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่มักตกอยู่ภายใต้อำนาจของผู้ใดหรือกลุ่มบุคคลใด เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

“อำนาจจัดให้มีรัฐธรรมนูญ” หมายถึง อำนาจทางการเมืองของคณะบุคคลหรือบุคคลที่อยู่ในฐานะบันดาลให้มีรัฐธรรมนูญขึ้นได้สำเร็จ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “อำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญ” ซึ่งโดยนัยนี้ ผู้ที่จัดให้มีรัฐธรรมนูญจึงหมายถึง “รัฏฐาธิปัตย์” หรือผู้อยู่ในฐานะรัฏฐาธิปัตย์ (ผู้มีอำนาจสูงสุด)ซึ่งผู้มีอำนาจจัดให้มีรัฐธรรมนูญอาจจำแนกได้ ดังนี้

  1. ประมุขของรัฐเป็นผู้จัดให้มีขึ้น
  2. ผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหารเป็นผู้จัดให้มีขึ้น
  3. ราษฎรเป็นผู้จัดให้มีขึ้น
  4. ประมุขของรัฐ คณะปฏิวัติหรือรัฐประหาร และราษฎรร่วมกันจัดให้มีขึ้น
  5. ผู้มีอำนาจจากองค์กรภายนอกจัดให้มีขึ้น

และเมื่อพิจารณาในเชิงประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศไทยในยามเหตุการณ์บ้านเมืองปกติ อำนาจในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญมักจะเป็นประมุขของรัฐคือพระมหากษัตริย์ แต่ถ้ามีการปฏิวัติหรือรัฐประหารแล้ว อำนาจในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่จะเป็นผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหาร (ซึ่งอาจจะเป็นราษฎรก็ได้ในกรณีที่ราษฎรได้ร่วมกันก่อการปฏิวัติและเปลี่ยนแปลงการปกครองใด้สำเร็จ) หรืออาจจะเป็นกรณีที่ประมุขของรัฐ คณะปฏิวัติหรือรัฐประหารและราษฎรร่วมกันจัดให้มีรัฐธรรมนูญก็ได้ ทั้งนี้เพราะคณะปฏิวัติหรือรัฐประหารไม่ต้องการให้เกิดความขัดแย้งทางสังคม หรือความรุนแรงขึ้น “อำนาจการจัดทำรัฐธรรมนูญ” ในทางทฤษฎีกฎหมายรัฐธรรมนูญ อำนาจในการจัดให้มีแตกต่างกับอำนาจในการจัดทำ แต่ทว่าก็ถือว่าเป็นของควบคู่กันด้วย ทั้งนี้เพราะถ้าไม่มีผู้จัดให้มีก็ย่อมไม่มีผู้จัดทำยกเว้นบางกรณีที่ผู้มีอำนาจจัดให้มีกับผู้มีอำนาจจัดทำเป็นบุคคลเดียวกัน เช่น ผู้ที่ก่อการปฏิวัติหรือทำรัฐประหารได้สำเร็จก็อาจนำเอารัฐธรรมนูญที่ตนร่างเตรียมไว้แล้วออกมาประกาศใช้ในกรณีนี้ย่อมถือว่ารัฐธรรมนูญฉบับนั้นเกิดจากการจัดให้มีและการจัดทำโดยผู้ก่อการปฏิวัติหรือรัฐประหารเช่นเดียวกัน

ดังนั้น อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า ผู้มีอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญ คือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากรัฏฐาธิปัตย์ หรือผู้ที่มีอำนาจในการจัดให้มีรัฐธรรมนูญให้พิจารณายกร่างรัฐธรรมนูญนั่นเอง ซึ่งผู้มีอำนาจจัดทำรัฐธรรมนูญนั้น อาจจะเป็นบุคคลคนเดียว โดยคณะบุคคล โดยสภานิติบัญญัติ หรือโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญก็ได้

สำหรับประเทศไทยนั้น ในปัจจุบันอำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญ เป็นอำนาจของ“คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ” ซึ่งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้กำหนดจำนวนและที่มาของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญไว้ในมาตรา 32 ดังนี้ คือ

  1. ให้มีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นคณะหนึ่งเพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยกรรมาธิการจำนวน 36 คน
  2. คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 36 คน ให้ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติแต่งตั้งจากบุคคลดังต่อไปนี้

(1)     ประธานกรรมาธิการตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ

(2)     ผู้ซึ่งสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอจำนวน 20 คน

(3)     ผู้ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี และคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอฝ่ายละ 5 คน

และตามมาตรา 34 ได้กำหนดให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 120 วันนับแต่วันที่ได้รับความเห็นหรือข้อเสนอแนะจากสภาปฏิรูปแห่งชาติตามมาตรา 31 (2)

 

ข้อ 3. เมื่อพิจารณาถึงสถานะของรัฐธรรมนูญที่มีลำดับศักดิ์ทางกฎหมายสูงสุด อันมีผลทำให้รัฐธรรมนูญมีสถานะเหนือกฎหมายทั้งปวงภายในรัฐ กฎหมายอื่นใดจะมาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมิได้เพราะเหตุผลใด และวิธีการทำให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดสามารถกระทำได้ด้วยวิธีการใดบ้าง อธิบายมาให้เข้าใจ

ธงคำตอบ

กฎหมายรัฐธรรมนูญ หมายความถึง กฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ ซึ่งกำหนดรูปแบบและหลักการปกครองตลอดจนวิธีการดำเนินการปกครองไว้อย่างเป็นระเบียบ ตลอดจนกำหนดระเบียบแห่งอำนาจสูงสุดในรัฐและความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจสูงสุดในรัฐ รวมทั้งกำหนดหน้าที่ของประชาชนที่พึงกระทำต่อรัฐกับรับรองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนซึ่งรัฐจะใช้อำนาจล่วงละเมิดมิได้

เหตุผลที่ทำให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดเหนือกฎหมายทั้งปวงภายในรัฐ กฎหมายอื่นใดจะมาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมิได้นั้น สามารถสรุปได้ดังนี้ คือ

  1. ในแง่ที่มา ถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นสัญญาประชาคม ที่สมาชิกในสังคมทุกคนร่วมกันตกลงกันสร้างขึ้นเป็นกฎเกณฑ์ในการปกครองสังคม รัฐธรรมนูญจึงอยู่เหนือทุกส่วนของสังคมการเมืองนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครองหรือผู้ใต้ปกครอง ทุกฝ่ายจักต้องให้ความเคารพต่อรัฐธรรมนูญในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์แห่งอุดมการณ์ประชาธิปไตย
  2. ในแง่เนื้อหา รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของการจัดระเบียบโครงสร้างการเมืองการปกครองส่วนบนของรัฐ ผ่านทางการสร้างองค์กรทางการเมืองต่าง ๆ (รัฐสภา/คณะรัฐมนตรี/ศาล) ซึ่งตัวรัฐธรรมนูญก็ได้มอบอำนาจไปให้ใช้ (อำนาจนิติบัญญัติ/อำนาจบริหาร/อำนาจตุลาการ) รวมทั้งบัญญัติรับรองถึงสิทธิเสรีภาพตลอดจนความเสมอภาคของประชาชนไว้ด้วย เพื่อจำกัดอำนาจแห่งรัฐมิให้มีมากจนเกินไป
  3. ในแง่รูปแบบ วิธีการจัดทำและการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีข้อแตกต่างจากกฎหมายอื่นๆอย่างชัดเจน เนื่องจากรัฐธรรมนูญถูกจัดทำขึ้นและแก้ไขได้ยากกว่ากฎหมายธรรมดาอื่นใด เพราะจำต้องอาศัยกระบวนการพิเศษ และมากหลักเกณฑ์ เช่น ต้องมีการระดมความคิดเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วน เป็นต้น

ส่วนวิธีการที่จะทำให้รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดสามารถกระทำได้โดยการเขียนรัฐธรรมนูญให้เป็นกฎหมายสูงสุดในการใช้ปกครองประเทศ โดยเขียนขึ้นมาตามรูปแบบ หลักการ และวิธีการภายใต้กฎกติกาของระบอบการปกครองนั้น ๆ เช่น ประเทศไทย จะต้องเขียนระบุลงไปว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติใดของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อระบอบการปกครองหรือรัฐธรรมนูญ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้เป็นต้น

 

ข้อ 4. โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 มีบทบัญญัติกำหนดให้มีกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (รัฐธรรมนูญฉบับถาวร)โดยตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่จัดทำหรือยกร่างรัฐธรรมนูญฯให้อธิบายถึงโครงร่างของรัฐธรรมนูญฯภายใต้หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยว่าอย่างน้อยต้องประกอบด้วยโครงสร้างสำคัญใดบ้าง และสมควรนำร่างรัฐธรรมนูญฯดังกล่าวมาจัดทำประชามติรับฟังความคิดเห็นของประชาชนหรือไม่ เพราะเหตุใด อธิบายมาให้เข้าใจ

ธงคำตอบ

โครงร่างของรัฐธรรมนูญฯ ภายใต้หลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ถูกตราขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรนั้น มักมีโครงร่างของรัฐธรรมนูญฯ ที่ใกล้เคียงกันไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญของประเทศใดก็ตามประกอบไปด้วย ส่วนนำที่เป็นคำปรารภหรือคำนำของรัฐธรรมนูญฯ และส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระหรือเนื้อความของตัวรัฐธรรมนูญฯ ดังต่อไปนี้

  1. คำปรารภ (Preamble) จากการพิจารณาคำปรารภในรัฐธรรมนูญฯ ฉบับต่าง ๆ กล่าวได้ว่าคำปรารภนั้น หมายความถึง คำนำ อารัมภบท และบทนำ (Preface, Introduction, Foreword) ในเรื่องราวของรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนั้น ดังเช่น คำปรารภที่มุ่งแสดงเหตุผลที่มาและจำเป็นแห่งการมีรัฐธรรมนูญฯ ฉบับนั้น หรือวางหลักเจตนารมณ์พื้นฐานแห่งรัฐธรรมนูญฯ หรือพรรณนาถึงเกียรติคุณของผู้จัดทำ ทั้งนี้ คำปรารภเป็นคนละส่วน

กับส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระหรือเนื้อความของตัวรัฐธรรมนูญฯ แต่อาจอาศัยคำปรารภในรัฐธรรมนูญฯ เป็นเครื่องมือช่วยในการตีความมาตราต่าง ๆในรัฐธรรมนูญฯหรืออาจนำมาใช้ในการค้นหาเจตนารมณ์ชองผู้ร่างคำปรารภจึงเป็นส่วนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

  1. เนื้อความของรัฐธรรมนูญ (Content) จากการพิจารณาเนื้อความของรัฐธรรมนูญฯซึ่งเป็นสาระสำคัญที่อยู่ถัดจากคำปรารภจะโดยกำหนดเนื้อหาสาระเรียงลำดับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯดังต่อไปนี้

1)      การกำหนดกฎเกณฑ์การปกครองประเทศ (Organizational Section) ในทางทฤษฎีถือว่ากฎเกณฑ์การปกครองประเทศ เป็นสารัตถสำคัญในรัฐธรรมนูญเปรียบเสมือนเป็นกลไกสำคัญในการกำหนดโครงสร้างการบริหารประเทศ รวมทั้งกำหนดโครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรและสถาบันทางการเมือง ทั้งนี้ กฎเกณฑ์การปกครองประเทศนั้นมิได้มีเฉพาะในรัฐธรรมนูญฯ ของรัฐที่ปกครองภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น เนื่องจากรัฐธรรมนูญฯ ในรัฐที่การปกครองภายใต้การปกครองระบอบอื่นใด ดังเช่น การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์หรือการปกครองระบอบเผด็จการ ต่างล้วนมีกฎเกณฑ์ในการปกครองประเทศทั้งสิ้น

2)      การกำหนดสิทธิและเสรีภาพของประชาชน (Bill of Rights) ในทางทฤษฎีบทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ถือว่าเป็นสารัตถสำคัญของรัฐที่ปกครองภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยกำหนดขอบเขตของสิทธิและเสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้สิทธิและเสรีภาพดังกล่าวย่อมผันแปรไปตามระบอบการปกครองในแต่ละรัฐ แต่บทบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพของประชาชนส่วนใหญ่จะปรากฏแต่เฉพาะในรัฐที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ส่วนรัฐธรรมนูญฯ ของรัฐที่ปกครองภายใต้การปกครองระบอบอื่นใด ดังเช่น การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ หรือการปกครองระบอบเผด็จการ ส่วนใหญ่ต่างมิได้ให้ความสำคัญกับการกำหนดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนในรัฐธรรมนูญฯ แต่อย่างใด

3)      การกำหนดกฎเกณฑ์อื่นในรัฐธรรมนูญ (Technical Provisions) เป็นการกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อให้ส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระหรือเนื้อความของตัวรัฐธรรมนูญฯ มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังเช่น การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติม (Procedures for amendment/Amendatory Provisions)

การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับความเป็นกฎหมายสูงสุด (Supremacy) การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับหน้าที่ของพลเมือง (Civic Duties) การกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับแนวนโยบายแห่งรัฐ (State Policy) รวมทั้งการกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับบทเฉพาะกาล (Interim Provisions) เป็นต้น

แม้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้มีการกำหนดให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร แต่ตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) ดังกล่าวก็ไม่ได้กำหนดไว้ว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรจะต้องผ่านการทำประชามติโดยประชาชนทั้งประเทศก่อนก็ตาม แต่ก็มีเสียงเรียกร้องจากหลายภาคส่วนว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ควรจะต้องทำประชามติเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อนเหมือนอย่างที่เคยมีการทำประชามติรับรองรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ดังนั้นจึงได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) กำหนดให้มีการทำประชามติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (รัฐธรรมนูญฉบับถาวร)

เหตุผลที่สมควรนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรมาจัดทำประชามติเพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชนนั้น ก็เพื่อจะช่วยสร้างความชอบธรรมและให้รัฐธรรมนูญเป็นที่ยอมรับของประชาชน จะช่วยลดความขัดแย้งและจะทำให้มีความรู้สึกว่าประชาชนก็มีส่วนร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญด้วยนั่นเอง

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. การปกครองในระบบรัฐสภามีสาระสำคัญอย่างไร และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 นั้น ถือได้ว่าประเทศไทยมีการปกครองในระบบรัฐสภาหรือไม่ เพราะเหตุใด ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

การปกครองในระบบรัฐสภา เป็นรูปแบบหนึ่งของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งองค์กรฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติจะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และมีความสัมพันธ์กันค่อนข้างใกล้ชิด และตามทัศนะของนักนิติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เช่น ศาสตราจารย์โมริส โฮริอู (Maurice Hauriou) การปกครองในระบบรัฐสภาจะมีสาระสำคัญ 3 ประการ คือ

  1. ประมุขของรัฐซึ่งไม่ต้องรับผิดทางการเมืองในระบบรัฐสภา ฝ่ายบริหาร ประกอบด้วย 2 องค์กร คือ ประมุขของรัฐและคณะรัฐมนตรี

ประมุขของรัฐอาจมีฐานะเป็นกษัตริย์ หรือประธานาธิบดี และทำหน้าที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร

  1. คณะรัฐมนตรีซึ่งต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภา เนื่องจากคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ในทางบริหารประเทศแทนประมุข เป็นผู้ควบคุมบังคับบัญชางานประจำกระทรวงต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับนโยบายที่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดต่อรัฐสภา กล่าวคือ สภาผู้แทนราษฎรมีสิทธิเข้าชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายตัวหรือทั้งคณะ และถ้ามีมติไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีต้องออกจากตำแหน่ง
  2. เพื่อให้อำนาจบริหาร และอำนาจนิติบัญญัติสมดุลกัน ระบบรัฐสภาได้ให้อำนาจคณะรัฐมนตรียุบสภานิติบัญญัติได้

สำหรับประเทศไทยตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ไม่ถือว่าเป็นการปกครองในระบบรัฐสภา เนื่องจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภานั้นมาจากการแต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) (มาตรา 6) อีกทั้งคณะรัฐมนตรีก็มาจากคณะปฏิวัติรัฐประหาร ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน นอกจากนั้นไม่มีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารอย่างแท้จริง เนื่องจากหัวหน้า คสช. ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยในขณะเดียวกันมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดตามมาตรา 44 ที่ให้มีอำนาจสั่งการ ระงับยับยั้ง หรือกระทำการใด ๆ ได้ ไม่ว่าการกระทำนั้นจะมีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ ในทางบริหาร หรือในทางตุลาการ และให้ถือว่าคำสั่งหรือการกระทำ รวมทั้งการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งหรือการกระทำ หรือการปฏิบัติที่ชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญนี้ และเป็นที่สุดอีกด้วย

 

ข้อ 2. จากข้อเท็จจริงของเหตุการณ์บ้านเมืองและการเมืองการปกครองของไทยในปัจจุบัน ให้นักศึกษาอธิบายอย่างละเอียดว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ อย่างไร พร้อมยกตัวอย่างประกอบให้ถูกต้องชัดเจน

ธงคำตอบ

โดยหลักแล้ว ประเทศที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น จะต้องยึดหลักการที่สำคัญของระบอบประชาธิปไตย 5 ประการ ดังนี้คือ

  1. หลักการแบ่งแยกอำนาจทางปกครอง คือจะต้องมีการแบ่งอำนาจอธิปไตย (อำนาจทางปกครอง) ออกเป็น 3 อำนาจ ได้แก่ อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจทั้งสามอำนาจไม่ให้อำนาจหนึ่งอำนาจใดใช้ได้อย่างอิสระเพื่อจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือ การรักษาสิทธิเสรีภาพ และประโยชน์ของประชาชนจากการใช้อำนาจทางปกครองของรัฐ
  2. หลักความเสมอภาคและเท่าเทียมของประชาชนภายในรัฐ คือการใช้อำนาจทางปกครองทั้ง 3 อำนาจนั้น จะต้องกระทำต่อบุคคลทุกคนโดยยึดหลักว่าบุคคลทุกคนมีความเท่าเทียมกันและมีความเสมอภาคกัน
  3. หลักการมีส่วนร่วมในการปกครอง หมายความว่า ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการเลือกบุคคลผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้ใช้อำนาจในทางปกครอง เช่น มีส่วนร่วมในการเลือกตั้งผู้บริหารทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น ผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้ใช้อำนาจในทางปกครอง จะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่โดยผ่านกระบวนการเลือกตั้งจากประชาชน
  4. หลักการใช้อำนาจทางปกครอง จะต้องเป็นการใช้อำนาจเพื่อปกป้องและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน และในการปฏิบัติหน้าที่ (ในการใช้อำนาจปกครอง) ขององค์กรของรัฐไม่ว่าจะเป็นรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐจะต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือนิติรัฐ
  5. หลักการตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครอง หมายความว่า การใช้อำนาจทางปกครองดังกล่าวจะต้องสามารถควบคุมและตรวจสอบให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีได้

จากหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยทั้ง 5 ประการดังกล่าวข้างต้น เมื่อนำมาพิจารณากับข้อเท็จจริงของเหตุการณ์บ้านเมืองและการเมืองการปกครองของไทยในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าประเทศไทยไม่เป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้จากการที่ประเทศไทยมีการปกครองโดยขาดหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยหลายประการ เช่น แม้ประเทศไทยจะมีการแบ่งแยกอำนาจปกครองออกเป็น 3 อำนาจก็ตาม แต่ไม่มีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารรวมทั้งฝ่ายตุลาการอย่างแท้จริง เพราะหัวหน้า คสช. ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีและเป็นฝ่ายบริหารนั้นก็มีอำนาจสั่งการ ระงับ หรือยับยั้งการกระทำใด ๆ ของฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหาร และฝ่ายตุลาการได้ (ตามมาตรา 44) และอีกประการหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการปกครองเลย เพราะปัจจุบันฝ่ายบริหารคือคณะรัฐมนตรีก็มาจากคณะรัฐประหารไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง

ของประชาชน รวมทั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่ทำหน้าที่ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (รัฐสภา) ก็ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่มาจากการแต่งตั้งโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. และนอกจากนั้นในการใช้อำนาจทางปกครองในปัจจุบันส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถที่จะควบคุมและตรวจสอบได้ หรืออาจจะควบคุมตรวจสอบได้บ้างแต่ก็ไม่สามารถที่จะกระทำได้อย่างเต็มที่

 

ข้อ 3. ขณะนี้ “คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ” กำลังดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้น ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ให้ท่านอธิบายว่าคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญมีจำนวนเท่าใด มีที่มาอย่างไร และจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาเท่าใด

ธงคำตอบ

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราซอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้กำหนดจำนวนและที่มาของคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญไว่ในมาตรา 32 ดังนี้ คือ

  1. ให้มีคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นคณะหนึ่งเพื่อจัดทำร่างรัฐธรรมนูญประกอบด้วยกรรมาธิการจำนวน 36 คน
  2. คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 36 คน ให้ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติแต่งตั้งจากบุคคลดังต่อไปนี้

(1)     ประธานกรรมาธิการตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอ

(2)     ผู้ซึ่งสภาปฏิรูปแห่งชาติเสนอจำนวน 20 คน

(3)     ผู้ซึ่งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี และคณะรักษาความสงบแห่งชาติเสนอฝ่ายละ 5 คน

และตามมาตรา 34 ได้กำหนดให้คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญจัดทำร่างรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จภายใน 120 วันนับแต่วันที่ได้รับความเห็นหรือข้อเสนอแนะจากสภาปฏิรูปแห่งชาติตามมาตรา 31 (2)

 

ข้อ 4. ตามที่ พ.ร.บ. ควบคุมยาง พ.ศ. 2542 ได้ให้อำนาจรัฐมนตรีฯ สามารถกำหนดเขตพื้นที่ให้บางจังหวัดหรือบางอำเภอสามารถปลูกยางและห้ามปลูกยางได้ นอกจากนี้ยังให้อำนาจเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบในสวนยางและวิธีการทำยางได้ กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราในภาคใต้และภาคอีสาน จึงได้มาปรึกษาท่านโดยประสงค์ที่จะยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อให้เสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยเพราะเห็นว่า มาตรา 6 “เพื่อประโยชน์ในการผลิตยาง การค้ายาง…ให้รัฐมนตรี โดยคำแนะนำของคณะกรรมการมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษากำหนด

(3) เขตทำสวนยาง

(5)เขตห้ามปลูกต้นยาง

(6) วิธีการทำสวนยางในบางท้องที่”

และมาตรา 41 “ในการปฏิบัติหน้าที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจดังนี้

(1) เข้าไปในสวนยางหรือแปลงเพาะพันธุ์ต้นยางในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตกเพื่อตรวจสอบเนื้อที่สวนยาง จำนวนต้นยาง พันธุ์ต้นยางวิธีการทำสวนยาง…” กรณีจึงเป็นการละเมิดต่อสิทธิหรือเสรีภาพของเกษตรกรผู้ปลูกยางพารา

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า พ.ร.บ. ควบคุมยางฯมาตรา 6 (3) (5)(6) และมาตรา 41 (1) ได้ละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของเกษตรกรฯ ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ในกรณีใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

และท่านจะแนะนำให้เกษตรกรฯ ยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 29 “การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้ จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็น และจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้

กฎหมายตามวรรคหนึ่งต้องมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป และไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง ทั้งต้องระบุบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจในการ

ตรากฎหมายนั้นด้วย”

มาตรา 41 “สิทธิของบุคคลในทรัพย์สินย่อมได้รับความคุ้มครอง ขอบเขตแห่งสิทธิและการจำกัดสิทธิเช่นว่านี้ย่อมเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ”

มาตรา 43 “บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการประกอบกิจการหรือประกอบอาชีพและการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรม

การจำกัดเสรีภาพตามวรรคหนึ่งจะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เฉพาะเพื่อประโยชน์ในการรักษาความมั่นคงของรัฐหรือเศรษฐกิจของประเทศ การคุ้มครองประชาชนในด้านสาธารณูปโภค การรักษาความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การจัดระเบียบการประกอบอาชีพการคุ้มครองผู้บริโภค การผังเมือง การรักษาทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม สวัสดีภาพของประชาชน หรือเพื่อป้องกันการผูกขาดหรือขจัดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน”

และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557มาตรา 4 “ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาค บรรดาที่ชนชาวไทยเคยได้รับการคุ้มครองตามประเพณีการปกครองประเทศไทย ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญนี้”

วินิจฉัย

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ค. 2557 มาตรา 4 ประกอบกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ค. 2550 มาตรา 29, 41 และมาตรา 43 นั้น สิทธิ และเสรีภาพของบุคคลย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ การจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จะกระทำมิได้ เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเฉพาะเพื่อการที่รัฐธรรมนูญนี้กำหนดไว้และเท่าที่จำเป็นและจะกระทบกระเทือนสาระสำคัญแห่งสิทธิและเสรีภาพนั้นมิได้

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัย ได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 การที่ พ.ร.บ. ควบคุมยางฯ ได้บัญญัติให้อำนาจรัฐมนตรีฯ สามารถกำหนดเขตพื้นที่ให้บางจังหวัดหรือบางอำเภอสามารถปลูกยางและห้ามปลูกยางได้ตามมาตรา 6 (3) (5) (6) นั้น ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดต่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพของบุคคล เพราะมิได้เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลในการปลูกยางแต่อย่างใด

ประเด็นที่ 2 การที่ พ.ร.บ. ควบคุมยางฯ มาตรา 41 (1) ได้บัญญัติให้ในการปฏิบัติหน้าที่ให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าไปในสวนยางหรือแปลงเพาะพันธุ์ต้นยางในระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก เพื่อตรวจสอบเนื้อที่สวนยาง จำนวนต้นยาง พันธุ์ต้นยาง วิธีการทำสวนยาง…นั้น ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดต่อสิทธิในทรัพย์สินของเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราแต่อย่างใด เพราะตามกฎหมายดังกล่าวเป็นเพียงการให้อำนาจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบฯ เท่านั้น

ดังนั้น เมื่อบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวไม่เป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราแต่อย่างใด ข้าพเจ้าก็จะแนะนำต่อเกษตรกรฯ ว่าไม่ต้องยื่นเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย

สรุป

เมื่อกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกยางพารามาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำดังที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวบวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ประเทศในโลกที่สามได้นำระบบการเมืองมาจากระบบการเมืองรูปแบบใดบ้าง และระบบการเมืองของประเทศในโลกที่สามมีลักษณะเด่นอย่างไร จงอธิบาย

ธงคำตอบ

ประเทศในโลกที่สามได้นำระบบการเมืองมาจากระบบการเมืองรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้

  1. ระบบการเมืองที่นำมาจากรูปแบบตะวันตก จะเห็นได้จากตัวบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแต่ในภาคปฏิบัติอาจแตกต่างไปจากระบบการเมืองของประเทศที่ไปลอกเลียนแบบมา เช่นในประเทศแถบลาตินอเมริกาได้นำระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามาใช้ แต่ในทางปฏิบัติมีการบิดเบือนรูปแบบออกไป เป็นรูปแบบการปกครองที่ทำลายอำนาจสภาอย่างมาก
  2. ระบบการเมืองที่นำมาจากรูปแบบสังคมนิยม มักจะลอกเลียนรูปแบบการปกครองแบบสาธารณรัฐประชาธิปไตย และใช้ระบบการเมืองแบบสังคมนิยม เช่น ประเทศในแถบแอฟริกาได้ลอกเลียนแบบโซเวียต แต่ในทางปฏิบัติมักใช้ลัทธิชาตินิยมอย่างรุนแรง โดยเคารพต่อชนเผ่าที่มีมาแต่ดั้งเดิม
  3. ระบบการเมืองที่นำมาจากรูปแบบเผด็จการพลเรือนหรือเผด็จการทหาร เริ่มต้นจากการลอกเลียนแบบตะวันตก ประเทศที่นำระบบเผด็จการมาใช้มาก ได้แก่ ประเทศในแถบลาตินอเมริกา และแอฟริกา รูปแบบเผด็จการมีการใช้ในลักษณะหลากหลาย เช่น ประธานาธิบดีได้รับเลือกตั้งอย่างสม่ำเสมอ แต่รัฐบาลกลับมาจากพรรคการเมืองเดียว หรือประมุขของรัฐขึ้นสู่ต่ำแหน่งโดยวิธีรัฐประหารหรือการแทรกแซงของทหารหรือทหารครองอำนาจเอง แต่บางครั้งทหารก็มอบหมายให้นักการเมืองขึ้นครองอำนาจโดยทหารควบคุมอย่างใกล้ชิด

ระบบเผด็จการเป็นระบบที่จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างมาก

  1. ระบบการเมืองที่ล้าสมัย ยังคงมีอยู่บ้างในลักษณะสังคมศักดินา แต่มีแนวโน้มจะหายไป
  2. ระบบการเมืองแบบเฉพาะ เป็นการผสมผสานของการเมืองหลายระบบ แต่มีเนื้อหาทางประเพณีอยู่มาก และมีจำนวนประเทศที่ใช้ระบบนี้ลดน้อยลงเป็นลำดับ

ส่วนลักษณะเด่นของระบบการเมืองของประเทศในโลกที่สาม คือ

  1. ลักษณะเด่นทางปฏิบัติ ในภาคทฤษฎีอาจมีสถาบันแบบประชาธิปไตยหรือแบบเสรีนิยม แต่ในภาคปฏิบัติกลับเป็นสิ่งลวงตา การเลือกตั้งไม่เสรี ประชาชนได้รับข่าวสารทางการเมืองน้อยมาก
  2. แนวโน้มในทางเผด็จการ ทั้งแบบเผด็จการและแบบที่นำเอามาจากตะวันตกอำนาจบริหารมักจะเข้มแข็ง
  3. บทบาทของพรรคการเมือง บางประเทศห้ามจัดตั้งพรรคการเมือง บางประเทศควบคุมพรรคการเมือง บางประเทศใช้ระบบพรรคเดียวหรือหลายพรรค โดยพรรคการเมืองจะทำหน้าที่สนับสนุนรัฐบาล
  4. การแทรกแซงทางการเมืองของทหาร ทหารมีบทบาทมากโดยเฉพาะประเทศในแถบแอฟริกาและลาตินอเมริกา โดยมีการทำรัฐประหารบ่อยครั้ง

5 ความไร้เสถียรภาพทางสถาบันและการเมือง ประเทศในโลกที่สามจะมีความไร้เสถียรภาพทางการเมืองและสถาบันต่าง ๆ

 

ข้อ 2. การปกครองในระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามีสาระสำคัญอย่างไร และขอให้ท่านอธิบายถึงการเข้าสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาโดยวิธีการเลือกตั้งมาโดยละเอียด พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบด้วย

ธงคำตอบ

การปกครองในระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในรูปแบบหนึ่งที่ยึดหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐของมองเตสกิเออร์เช่นกัน แต่เป็นการแบ่งแยกอำนาจในลักษณะค่อนข้างเด็ดขาด คือ ต่างฝ่ายต่างมีที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน ทำให้ต่างเป็นอิสระไม่ต้องขึ้นต่อกัน ในระบบนี้รัฐธรรมนูญจะไม่มีการกำหนดมาตรการแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในการที่จะล้มล้างซึ่งกันและกัน ดังเช่นในระบบรัฐสภา

การปกครองในระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกามีสาระสำคัญ พอสรุปได้ดังนี้

  1. มีการเลือกตั้งประมุขของรัฐโดยประชาชน และเมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีแล้ว ประธานาธิบดีก็มีอำนาจในการแต่งตั้งรัฐมนตรีตามที่เห็นสมควรให้บริหารประเทศได้
  2. ฝ่ายบริหาร ทั้งประธานาธิบดีและรัฐมนตรีไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภา กล่าวคือ สภาจะอภิปรายไม่ไว้วางใจประธานาธิบดี รองประธานาธิบดี และรัฐมนตรี ให้พ้นตำแหน่งก่อนหมดวาระไม่ได้
  3. ประธานาธิบดี ไม่มีอำนาจยุบสภา

การจัดการปกครองระบบนี้ทำให้เห็นได้ว่า ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารต่างก็มาจากการเลือกตั้งของประชาชน จึงสามารถที่จะอยู่ครบวาระตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

การเลือกตั้งสถาบันประมุขแห่งรัฐหรือประธานาธิบดี

สถาบันประมุขแห่งรัฐ ได้แก่ ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม กล่าวคือ ในสหรัฐอเมริกามีพรรคการเมืองใหญ่ ๆ อยู่เพียง 2 พรรค คือ พรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครตที่มีโอกาสสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่บริหารประเทศ ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง เรียกว่า “คณะผู้เลือกตั้งใหญ่” (Big Elector) เพื่อมาทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ โดยมีขั้นตอนดังนี้คือ

ขั้นตอนที่ 1

พรรคการเมืองทั้ง 2 พรรคดังกล่าว จะคัดเลือกตัวแทนของแต่ละพรรคในแต่ละมลรัฐ ซึ่งมีทั้งหมด 50 มลรัฐ เพื่อส่งเข้าประชุมร่วมกันในระดับชาติ หรือเรียกว่าเป็นการประชุมระดับ Convention เพื่อให้คนที่มาประชุมร่วมกันของแต่ละพรรคนั้นทำการคัดเลือกบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะส่งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อได้ตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแล้ว ผู้ที่ได้รับเลือกมีสิทธิเลือกบุคคลที่จะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วย

ขั้นตอนที่ 2

กำหนดให้ประชาชนชาวอเมริกันในแต่ละมลรัฐไปทำการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ ซึ่งบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่นี้ในแต่ละมลรัฐจะแตกต่างกันในเรื่องของจำนวน ทั้งนี้จำนวนสมาชิกของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ที่จะมีได้ในแต่ละมลรัฐนั้นจะมีลักษณะเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เช่น มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 30 คน และสมาชิกวุฒิสภาอีก 2 คน รวมแล้วได้ 32 คน ดังนั้นทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตในมลรัฐแคลิฟอร์เนียจะทำบัญชีรายชื่อคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของตนในมลรัฐนี้ขึ้นพรรคละ 32 รายชื่อ เพื่อเสนอต่อประชาชนในมลรัฐให้เลือกเข้ามา ฉะนั้นหากประชาชนนิยมผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคใดก็จะลงคะแนนให้แก่บุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น และจะต้องเลือกทั้ง 32 คนของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น เมื่อลงคะแนนเสร็จก็จะสรุปได้ว่าพรรคใดจะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คณะผู้เลือกตั้งใหญ่

สำหรับ “คณะผู้เลือกตั้งใหญ่” นั้นมีทั้งหมด 538 คน ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิก (438 + 100) โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ข้างมากและเด็ดขาด คือ จะต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่ 270 เสียงขึ้นไป

ดังนั้นจะเห็นว่า หลังจากการเลือกตั้งคณะผู้เลือกตั้งใหญ่เสร็จลงแล้วรวมคะแนนจาก 50 มลรัฐของแต่ละพรรค ถ้าปรากฏว่าพรรคใดได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ถึง 270 เสียง คือเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด (กึ่งหนึ่ง = 269) ก็จะทำให้ทราบทันทีว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคดังกล่าวย่อมได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

ขั้นตอนที่ 3

ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะผู้เลือกตั้งใหญ่ทั้งหมดจำนวน 538 คน ไปออกเสียงลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ซึ่งก็แน่นอนว่าคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของแต่ละพรรค

ก็จะลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครของพรรคตน ดังนั้นสมมุติว่าพรรคเดโมแครตได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ตั้งแต่ 270 เสียงขึ้นไป ก็หมายความว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตย่อมจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

แต่ล้าหากเกิดกรณีไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคใดได้คะแนนเสียงดังกล่าว รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ว่า ในกรณีเช่นนี้ให้วุฒิสภาทำหน้าที่เลือกตั้งรองประธานาธิบดี และให้สภาผู้แทนราษฎรทำหน้าที่เลือกตั้งประธานาธิบดีจากผู้สมัครดังกล่าว

 

ข้อ 3. จงเปรียบเทียบที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร อำนาจตุลาการ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557

ธงคำตอบ

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 กับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 นั้น สามารถเปรียบเทียบที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการ ได้ดังนี้ คือ

1)      อำนาจนิติบัญญัติ

อำนาจนิติบัญญัติมี “รัฐสภา” เป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งรัฐสภาจะประกอบไปด้วย “สภาผู้แทนราษฎร” และ “วุฒิสภา”

และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้บัญญัติเกี่ยวกับที่มาของอำนาจนิติบัญญัติไว้ดังนี้ คือ

(ก) สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ประกอบด้วยสมาชิก 500 คน ซึ่งมาจากประชาชนผ่านกระบวนการเลือกตั้ง โดยการกำกับดูแลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง

(1)     เป็นสมาชิกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 375 คน และ

(2)     เป็นสมาชิกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ 125 คน

และผู้ที่จะสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องสังกัดหรือเป็นสมาชิกพรรคการเมือง

(ข) วุฒิสภา (ส.ว.) ประกอบด้วยสมาชิก 150 คน ซึ่งมาจาก

–        การเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน รวม 77 คน

–        การสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหา รวม 73 คน

ส่วนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้กำหนดให้ “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ” เป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติเพียงสภาเดียว โดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติประกอบด้วยสมาชิกซึ่งมีจำนวนไม่เกิน 220 คน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากผู้มีสัญชาติไทยโดยการเกิดและมีอายุไม่ต่ำกว่า 40 ปี

ตามที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) ถวายคำแนะนำ ทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภาและรัฐสภา (มาตรา 6)

2)      อำนาจบริหาร

อำนาจบริหารที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ได้แก่ คณะรัฐมนตรี ซึ่งประกอบด้วย

(1)     นายกรัฐมนตรี จำนวน 1 คน เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี

(2)     รัฐมนตรี จำนวนไม่เกิน 35 คน ซึ่งมีตำแหน่งหลากหลาย เช่น รองนายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ

นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เท่านั้น ส่วนรัฐมนตรีนั้นนายกรัฐมนตรีจะแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายบัญญัติแต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีจะเป็น ส.ว. ในขณะที่เป็นรัฐมนตรีอยู่ไม่ได้

ส่วนรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ได้กำหนดให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้ใช้อำนาจบริหาร โดยคณะรัฐมนตรีนั้นพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งตามมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และรัฐมนตรีอื่นอีกจำนวนไม่เกิน 35 คน ตามที่นายกรัฐมนตรีถวายคำแนะนำ ประกอบเป็นคณะรัฐมนตรีมีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิบ (มาตรา 19)

3)      อำนาจตุลาการ

อำนาจตุลาการซึ่งมีศาลเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนั้น ทั้งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ. 2550 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 จะเหมือนกัน เนื่องจากประกาศของคณะรักษาความสงบแห่งชาตินั้นได้ให้อำนาจตุลาการยังคงเป็นไปตามเดิมนั่นเอง

 

ข้อ 4. เนื่องจากมีความจำเป็นที่ต้องตรากฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรซึ่งต้องได้รับพิจารณาโดยด่วนและลับ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ คณะรัฐมนตรีจึงได้ให้ความเห็นชอบให้มีการร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2557 เพื่อใช้บังคับการยื่นรายการเกี่ยวกับเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี พ.ศ. 2558 ทำให้มีความจำเป็นต้องกำหนดหลักเกณฑ์ในมาตรา 57 ตรีและมาตรา 57 เบญจ แห่งประมวลรัษฎากรฯ เกี่ยวกับการเสียภาษีเงินได้ของผู้มีเงินได้ที่เป็นสามีและภริยาขึ้นใหม่ ต่อมานายกรัฐมนตรีได้นำร่างพระราชกำหนดฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายต่อพระมหากษัตริย์เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และได้มีการประกาศใช้บังคับ หลังจากนั้นนายแดงสามีและบางดำภริยาเห็นว่า พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2557 มาตรา 57 ตรี และมาตรา 57 เบญจ เป็นการตราที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ เนื่องจากมิใช่กรณีฉุกเฉินแต่อย่างใด จึงได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อให้เสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าการตราพระราชกำหนดฯ ในกรณีนี้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ(ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 หรือไม่ เพราะเหตุใด และผู้ตรวจการแผ่นดินจะเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557

มาตรา 21 “เมื่อมีกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนเพื่อประโยชน์ในอันที่จะรักษาความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ หรือเมื่อมีความจำเป็นต้องมีกฎหมายเกี่ยวด้วยภาษีอากรหรือเงินตราที่ต้องพิจารณาโดยด่วนและลับ พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการตราพระราชกำหนดให้ใช้บังคับเช่นพระราชบัญญัติ…”

มาตรา 45 “ภายใต้บังคับมาตรา 5 และมาตรา 44 ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ และตามที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ แต่สำหรับผู้ตรวจการแผ่นดินให้มีอำนาจเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้เฉพาะเมื่อมกรณีที่เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้..”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยออกได้ 2 ประเด็น ดังนี้ คือ

ประเด็นที่ 1 การตราพระราชกำหนดฯ ในกรณีนี้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว)พ.ศ. 2557 หรือไม่

ในการตราพระราชกำหนดตามมาตรา 21 แห่งรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ

  1. พระราชกำหนดทั่วไป ออกได้ในกรณีฉุกเฉินที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ เพื่อประโยชน์ในการรักษาความปลอดภัยของประเทศ เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือเพื่อป้องปัดภัยพิบัติสาธารณะ
  2. พระราชกำหนดเกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตรา ออกได้ในกรณีที่มีความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากรหรือเงินตราซึ่งต้องได้รับพิจารณาโดยด่วนและลับ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ

ตามอุทาหรณ์ ในการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2557 มาตรา 57 ตรี และมาตรา 57 เบญจ นั้น ถือได้ว่าเป็นการตราพระราชกำหนดเกี่ยวกับภาษีอากร ซึ่งเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่ามีความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากซึ่งต้องได้รับพิจารณาโดยด่วนและลับเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศ คณะรัฐมนตรีย่อมมีอำนาจให้ความเห็นชอบให้มีการร่างพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรฯ ดังกล่าว แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำร่างพระราชกำหนดฯ นั้นขึ้นทูลเกล้าฯ

ถวายต่อพระมหากษัตริย์เพื่อลงพระปรมาภิไธย และประกาศใช้บังคับได้โดยไม่ต้องมีกรณีฉุกเฉินเหมือนกับการตราพระราชกำหนดทั่วไปแต่อย่างใด

ดังนั้น การตราพระราชกำหนดฯ ในกรณีนี้จึงชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557

ประเด็นที่ 2 ผู้ตรวจการแผ่นดินจะเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยได้หรือไม่แม้ตามรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 มาตรา 45 จะบัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาว่ากฎหมายใดขัดหรือแย้งตอรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ และตามที่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดินและกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองกำหนดให้เป็นอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่สำหรับผู้ตรวจการแผ่นดินนั้นจะมีอำนาจเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ก็แต่เฉพาะเมื่อมีกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้

เมื่อพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรฯ ดังกล่าว ไม่อยู่ในความหมายของคำว่า “บทบัญญัติแห่งกฎหมาย” เพราะมิใช่กฎหมายที่ออกหรือตราโดยฝ่ายนิติบัญญัติหรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557 ดังนั้น ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงไม่มีอำนาจที่จะเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย

สรุป

การตราพระราชกำหนดฯ ในกรณีนี้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญฯ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ. 2557ผู้ตรวจการแผ่นดินจะเสนอเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยไม่ได้

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญ

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. จงนำแนวคิดทฤษฎีและหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยไปอธิบายที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ ที่มาของอำนาจบริหาร การใช้อำนาจนิติบัญญัติ การใช้อำนาจบริหาร ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันอย่างละเอียด

ธงคำตอบ

ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร

  1. อำนาจนิติบัญญัติ

อำนาจนิติบัญญัติมี “รัฐสภา” เป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ ซึ่งรัฐสภาจะประกอบไปด้วย “สภาผู้แทนราษฎร” และ “วุฒิสภา”

และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปัจจุบัน ได้บัญญัติเกี่ยวกับที่มาของอำนาจนิติบัญญัติไว้ดังนี้ คือ

1) สภาผู้แหนราษฎร (ส.ส.)

สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ประกอบด้วยสมาชิก 500 คน โดย

(1)     เป็นสมาชิกฯ ที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง 375 คน และ

(2)     เป็นสมาชิกฯ ที่มาจากทารเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ 125 คน

(1)     การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เขตละ 1 คน

การคำนวณเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิก 1 คน ให้คำนวณจากราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้งเฉลี่ย (หาร) ด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 375 คน

จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวัดจะพึงมิ ให้นำจำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ 1 คน ที่คำนวณได้นั้นมาเฉลี่ยจำนวนราษฎรในจังหวัดนั้น ถ้าจังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ 1 คน ก็ให้มีสมาชิกฯ ได้ 1 คน จังหวัดใดมีราษฎรเกินเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ 1 คน ให้มีสมาชิกฯ ในจังหวัดนั้นเพิ่มขึ้นอีก 1 คน ทุกจำนวนราษฎรที่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ1 คน

จังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกฯ ได้ไม่เกิน 1 คน ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง และจังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกฯ ได้เกิน 1 คน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตังมีจำนวนเท่าจำนวนสมาชิกฯ ที่พึงมี โดยจัดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกฯ 1 คน (มาตรา 94)

(2)     การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้น โดยให้เลือกบัญชีรายใดบัญชีรายชื่อหนึ่งเพียงบัญชีเดียว และให้ถือเขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง (มาตรา 95)

บัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา 95 ให้พรรคการเมืองจัดทำขึ้นพรรคการเมืองละหนึ่งบัญชีไม่เกินบัญชีละ 125 คน และให้ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนวันเปิดสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง (มาตรา 96)

การคำนวณสัดส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองที่จะได้รับเลือกตั้ง ให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับการเลือกตั้งมารวมกันทั้งประเทศแล้วคำนวณเพื่อแบ่งจำนวนผู้ที่จะได้รับเลือกของแต่ละพรรคการเมืองเป็นสัดส่วนที่สัมพันธ์กันโดยตรงกับจำนวนคะแนนรวมข้างต้น โดยให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งมีรายชื่อในบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองได้รับเลือกตามเกณฑ์คะแนนที่คำนวณได้เรียงตามลำดับหมายเลขในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (มาตรา 98)

2) วุฒิสภา (ส.ว.)

วุฒิสภา (ส.ว.) ประกอบด้วยสมาชิก 150 คน ซึ่งมาจาก

–        การเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด จังหวัดละ 1 คน รวม 77 คน

–        การสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหารวม 73 คน

  1. อำนาจบริหาร

อำนาจบริหารที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฯ ได้แก่ คณะรัฐมนตรี ซึ่งประกอบด้วย

(1)     นายกรัฐมนตรี จำนวน 1 คน เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี

(2)     รัฐมนตรี จำนวนไม่เกิน 35 คน ซึ่งมีตำแหนงหลากหลาย เช่น รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ

นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เท่านั้น ส่วนรัฐมนตรีงนั้นนายกรัฐมนตรีจะแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ก็ได้ แต่ต้องมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายบัญญัติ แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีจะเป็น ส.ว. ในขณะที่เป็นรัฐมนตรีอยู่ไม่ได้

การใช้อำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร

  1. อำนาจนิติบัญญัติ ฝ่ายนิติบัญญัติ คือ รัฐสภา มีอำนาจหน้าที่ในการบัญญัติกฎหมายไม่ว่าจะเป็นกฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา กฎหมายปกครอง หรือกฎหมายอื่น ๆ มีอำนาจในการให้ความเห็นชอบ เช่น ให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม ให้ความเห็นชอบในการทำสนธิสัญญากับต่างประเทศ เป็นต้น มีอำนาจในการควบคุมการทำงานของรัฐบาล เช่น การตั้งกระทู้ถาม การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นต้น
  2. อำนาจบริหาร ฝ่ายบริหาร คือ รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และนโยบายที่ได้แถลงไว้

ซึ่งไม่ว่าจะเป็นที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรือการใช้อำนาจนิติบัญญัติอำนาจบริหารจะต้องเป็นไปตามแนวคิดทฤษฎีและหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย เช่น

(1) หลักความชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ การดำเนินการให้ได้มาซึ่งอำนาจต่าง ๆ นั้นจะต้องเป็นไปตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ จะแตกต่างไปจากที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ไม่ได้

(2)     หลักความรู้ความสามารถ เช่น การกำหนดคุณวุฒิของผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา หรือคุณวุฒิของผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรีว่าจะต้องเป็นผู้ที่สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า เป็นต้น

(3)     หลักของความสุจริต หมายความว่า การได้มาของอำนาจและการใช้อำนาจดังกล่าวนั้นจะต้องเป็นไปด้วยความสุจริตเที่ยงธรรม

(4)     หลักประโยชน์สาธารณะ กล่าวคือ การใช้อำนาจต่าง ๆ นั้น จะต้องเป็นการใช้อำนาจโดยมีจุดประสงค์เพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ จะต้องไม่เป็นการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของบุคคลบางกลุ่มหรือบุคคลบางคนเท่านั้น

 

ข้อ 2. ประเทศไทยไต้เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ตั้งแต่ปี พ.ค. 2475 ถึงปัจจุบันเป็นเวลา 82 ปี แต่ระบอบประชาธิปไตยของไทยยังล้มลุกคลุกคลาน จงอธิบายว่า

  1. รัฐสภาของไทยได้เปลี่ยนแปลงมาแล้วกี่รูปแบบอะไรบ้าง
  2. ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ ที่มาของอำนาจบริหารตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทยที่ผ่าน ๆ มามีเรื่องใดที่แตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันบ้าง (ควรตอบเป็นประเด็น ๆ )

ธงคำตอบ

  1. ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2475 ถึงปัจจุบัน รัฐสภาของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 5 รูปแบบ ดังต่อไปนี้ คือ

(1)     แบบสภาเดียวและมีสมาชิกประเภทเดียว คือสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด เช่น รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2475 ธรรมนูญการปกครองฯ พ.ศ. 2502 และ พ.ศ. 2515, รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2519, รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว) พ.ศ. 2534 และ พ ศ. 2549

(2)     แบบสภาเดียวมีสมาชิกสองประเภท คือสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งและสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้ง ได้แก่ รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2475

(3)     แบบสองสภามีสมาชิกสองประเภท คือสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งและสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้ง (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา) ได้แก่ รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2511, พ.ศ. 2517, พ.ศ. 2521 และรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2534

(4)     แบบสองสภามีสมาชิกประเภทเดียว คือสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด (ทั้งสมาชิกสภาผู้แทนฯ และสมาชิกวุฒิสภา) ได้แก่ รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540

(5)     แบบสองสภามีสมาชิกสองประเภท คือสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง (สมาชิกสภาผู้แทนฯ และสมาชิกวุฒิสภา) และสมาชิกที่มาจากการสรรหา (สมาชิกวุฒิสภา) ซึ่งได้แก่ รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550

  1. ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ และที่มาของอำนาจบริหารตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไทยที่ผ่าน ๆ มา จะแตกต่างไปจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน (รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550) ในประเด็นที่สำคัญ ได้แก่

(1)     ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ (ที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา)

–        สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2475 ถึง พ.ศ. 2511ไม่มีการบังคับว่าจะต้องสังกัดพรรคการเมือง แต่ตั้งแต่รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2517 เป็นต้นมา ผู้ที่จะสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคเดียว

– สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ตั้งแต่รัฐธรรมนูญฯ ฉบับที่ 1 ถึงฉบับที่ 15 จะมาจาก

การแต่งตั้ง ยกเว้นฉบับที่ 3 คือ รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2489 และฉบับที่ 16 คือรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540 สมาชิกวุฒิสภาจะมาจากการเลือกตั้ง ส่วนฉบับปัจจุบัน จะมาจากการเลือกตั้งและสรรหา

–        สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา แต่เดิมจะไม่กำหนดวุฒิการศึกษาไว้ แต่รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540 และรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 จะกำหนดไว้ว่าจะต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

(2)     ที่มาของอำนาจบริหาร (คณะรัฐมนตรี)

รัฐธรรมนูญทุกฉบับจะกำหนดไว้เหมือนกันคือ คณะรัฐมนตรีจะต้องประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี 1 คน และรัฐมนตรีอีกจำนวน (ไม่เกิน) กี่คน เพียงแต่จะแตกต่างกันก็ตรงจำนวนของรัฐมนตรีนั่นเองที่รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับอาจจะกำหนดไว้ไม่เหมือนกัน

นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีนั้น เดิมอาจจะเป็นข้าราชการประจำได้ แต่ต่อมารัฐธรรมนูญจะกำหนดไว้ว่าจะเป็นข้าราชการประจำไม่ได้

การเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา เพียงแต่รัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ ดังนั้น นายกรัฐมนตรีอาจเป็นบุคคลใดก็ได้ยกเว้นรัฐธรรมนูญฉบับที่ 2 (พ.ศ.2475) ฉบับที่ 10 (พ.ศ.2517) ฉบับที่       15 (พ.ศ. 2534) ฉบับที่ 16 (พ.ศ. 2540) และฉบับปัจจุบัน พ.ศ. 2550 ที่จะกำหนดไว้ว่า นายกรัฐมนตรีจะต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เท่านั้น ส่วนรัฐมนตรีนั้นส่วนใหญ่รัฐธรรมนูญจะไม่บังคับว่าจะต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ เพียงแต่ในรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540 จะกำหนดไว้เลยว่า สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนใดเข้าดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี สมาชิกผู้นั้นก็จะต้องหมดสภาพการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 (ฉบับปัจจุบัน)ไม่ถือว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเข้าไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีจะต้องหมดสภาพจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่อย่างใด

และนายกรัฐมนตรีรวมทั้งรัฐมนตรีนั้น แต่เดิมมักจะไม่กำหนดวุฒิการศึกษาไว้แต่รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540 และรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550 ได้กำหนดไว้ว่าจะต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

 

ข้อ 3. ร.ต.ต.เด่น เจ้าพนักงานตำรวจได้ทำการจับกุมนายสมจิตและนายสมทรงข้อหารับของโจร และได้นำส่งแก่ ร.ต.อ.ดี พนักงานสอบสวนซึ่งในการจับกุมและชั้นสอบสวน นายสมจิตให้การรับสารภาพว่าตนได้เป็นผู้กระทำความผิดจริง ส่วนนายสมทรงให้การปฏิเสธ ทั้งนี้ในการจับกุมและการสอบสวนของ ร.ต.ต.เด่น และ ร.ต.อ.ดี ไม่ได้มีการแจ้งสิทธิแก่นายสมจิตผู้ต้องหาในคดีอาญาตามรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแต่อย่างใด มีเพียงการแจ้งสิทธิดังกล่าวแก่นายสมทรงเท่านั้น หากนายสมจิตเห็นว่าการกระทำของ ร.ต.ต.เด่น และ ร.ต.อ.ดี เป็นการละเมิดสิทธิของตนตามรัฐธรรมนูญ จึงมาปรึกษาท่านเพื่อยืนคำร้องเป็นคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิของตนจาก ร.ต.ต.เด่น และ ร.ต.อ.ดี และประสงค์ที่จะยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในกรณีนี้ด้วย ดังนี้ ท่านจะแนะนำนายสมจิตในกรณีนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 40 “บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ดังต่อไปนี้

(1)     สิทธิเข้าถึงกระบวบการยุติธรรมได้โดยง่าย สะดวก รวดเร็ว และทั่วถึง

(2)     สิทธิพื้นฐานในกระบวนการพิจารณา ซึ่งอย่างน้อยต้องมีหลักประกันขั้นพื้นฐานเรื่องการได้รับการพิจารณาโดยเปิดเผย การได้รับทราบข้อเท็จจริง และตรวจเอกสารอย่างเพียงพอ การเสนอข้อเท็จจริงข้อโต้แย้ง และพยานหลักฐานของตน …

(3)     บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะให้คดีของตนได้รับการพิจารณาอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม

(4) ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา โจทก์ จำเลย คู่กรณี ผู้มีส่วนได้เสีย หรือพยานในคดี มีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม รวมทั้งสิทธิในการได้รับการสอบสวบอย่างถูกต้องรวดเร็ว เป็นธรรม และการไม่ให้ถ้อยคำเป็นปฏิปักษ์ต่อตนเอง

(5) ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จำเลย และพยานในคดีอาญา มีสิทธิได้รับความคุ้มครอง และความช่วยเหลือที่จำเป็น และเหมาะสมจากรัฐ …”

 

มาตรา 212 “บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำวินิจฉัยว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้

การใช้สิทธิตามวรรคหนึ่งต้องเป็นกรณีที่ไม่อาจใช้สิทธิโดยวิธีการอื่นได้แล้ว ทั้งนี้ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ”

มาตรา 257 วรรคแรก “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

(1) ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่เป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี และเสนอมาตรการการแก้ไขที่เหมาะสมต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่กระทำหรือละเลยการกระทำดังกล่าวเพื่อดำเนินการ ในกรณีที่ปรากฏว่าไม่มีการดำเนินการตามที่เสนอให้รายงานต่อรัฐสภาเพื่อดำเนินการต่อไป

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยออกได้เป็น 3 ประเด็น ดังนี้คือ

ประเด็นที่ 1 การกระทำของ ร.ต.ต.เด่น และ ร.ต.อ.ดี เป็นการละเมิดสิทธิของนายสมจิตตามรัฐธรรมนูญหรือไม่

ในการจับกุมและการสอบสวนของ ร.ต.ต.เด่น และ ร.ต.อ.ดี เมื่อไม่ได้มีการแจ้งสิทธิแก่นายสมจิตผู้ต้องหาในคดีอาญาตามรัฐธรรมนูญ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (มาตรา 83 มาตรา 134 และมาตรา 134/1) ซึ่งเป็นสิทธิในกระบวนการยุติธรรมที่ได้รับการคุ้มครองตามมาตรา40 แห่งรัฐธรรมนูญฯ แต่อย่างใดนั้น การกระทำของ ร.ต.ต.เด่น และ ร.ต.อ.ดี จึงถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรม ตามที่นายสมจิตได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 40 ซึ่งนายสมจิตได้รับการประกันสิทธิในทางศาลตามรัฐธรรมนูญฯ ในอันที่จะใช้สิทธิในทางศาลหรือยกเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้

ประเด็นที่ 2 นายสมจิตสามารถยื่นคำร้องเป็นคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิของตนได้หรือไม่

ตามอุทาหรณ์ แม้การกระทำของ ร.ต.ต.เด่น และ ร.ต.อ.ดี จะถือว่า เป็นการละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมตามที่นายสมจิตได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญฯ ก็ตาม แต่การที่นายสมจิตจะยื่นคำร้องเป็นคดีต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง เพื่อให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิของตนนั้นไม่สามารถที่จะใช้สิทธิในกรณีดังกล่าวได้ เพราะ

  1. ไม่มีบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ มาตราใดซึ่งเกี่ยวด้วยกรณีนี้ที่จะให้สิทธิแก่นายสมจิตในการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง
  2. กรณีดังกล่าวไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 212 ของรัฐธรรมนูญฯ ที่จะทำให้นายสมจิตยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้โดยตรง เนื่องจากไม่ใช่เป็นการยื่นคำร้องเพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่า “บทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ”

ประเด็นที่ 3 นายสมจิตจะยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในกรณีนี้ได้หรือไม่

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า การกระทำของ ร.ต.ต.เด่น และ ร.ต.อ.ดี ดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมอันเป็นการละเมิดต่อสิทธิมนุษยชน และตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 257 (1) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ดังนั้น นายสมจิตจึงสามารถที่จะยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติใน

กรณีนี้ได้

สรุป

ข้าพเจ้าจะให้คำแนะนำแก่นายสมจิตในกรณีนี้ว่า การกระทำของ ร.ต.ต.เด่น และร.ต.อ.ดี เป็นการละเมิดตอสิทธิในกระบวนการยุติธรรมของนายสมจิตตามรัฐธรรมนูญอันเป็นการละเมิดต่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งนายสมจิตสามารถยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ แต่จะยื่นคำร้องเป็นคดีต่อศาลธรรมนูญ เพื่อให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิของตนดังกล่าวไม่ได้

 

ข้อ 4. พนักงานอัยการได้ฟ้องนายเอกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นจำเลยในคดีอาญาต่อศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานีในความผิดฐานกระทำให้การเลือกตั้งมิได้เป็นไปโดยสุจริตตามมาตรา 18 และมาตรา 150 พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ ซึ่งศาลฯ ได้มีคำพิพากษายกฟ้องหลังจากนั้น 3 เดือน ในระหว่างสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องนายเอกเป็นจำเลยในคดีอาญาต่อศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานีในความผิดฐานขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายคณะกรรมการการเลือกตั้งตามมาตรา 43 พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งฯ ซึ่งศาลฯได้นัดพิจารณาคดีนี้ในระหวางสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติ นายเอกจึงได้ยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานีว่า ศาลฯ ได้เคยนำมาตรา 18 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตัดสินกับคดีของตน ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนี้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯมาตรา 39 เรื่องข้อสันนิษฐานของจำเลยในคดีอาญา จึงขอให้ศาลฯ ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย และกรณีนี้ก็ยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด และการที่ศาลฯได้นัดพิจารณาคดีนี้ซึ่งมิใช่อยู่ระหว่างสมัยประชุมสามัญทั่วไป แต่อยู่ในระหว่างสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติเป็นกรณีที่ศาลฯ ไม่อาจกระทำได้

ดังนั้น ให้ท่านวินิจฉัยว่า คำร้องโต้แย้งของนายเอกทั้งสองประเด็นสามารถรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550

มาตรา 131 วรรคแรกและวรรคสาม “ในระหว่างสมัยประชุม ห้ามมิให้จับ คุมขัง หรือหมายเรียกตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา ไปทำการสอบสวนในฐานะที่สมาชิกผู้นั้นเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา เว้นแต่ในกรณีที่ได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก หรือในกรณีที่จับในขณะกระทำความผิด

ในกรณีที่มีการฟ้องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาในคดีอาญา ไม่ว่าจะได้ฟ้องนอกหรือในสมัยประชุม ศาลจะพิจารณาคดีนั้นในระหว่างสมัยประชุมมิได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก หรือเป็นคดีอันเกี่ยวกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และภารได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง แต่การพิจารณาคดีต้องไม่เป็นการขัดขวางต่อการที่สมาชิกผู้นั้นจะมาประชุมสภา”

มาตรา 211 วรรคแรก “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 6 และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้ แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้

ชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ คำร้องโต้แย้งของนายเอกทั้ง 2 ประเด็นสามารถรับฟังได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 การที่นายเอกได้ยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานีว่า ศาลฯ ได้เคยนำมาตรา 18 พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตัดสินกับคดีของตน ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนี้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 39 เรื่องข้อสันนิษฐานของจำเลยในคดีอาญา จึงขอให้ศาลฯ ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย และกรณีนี้ก็ยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญแต่อย่างใดนั้น คำร้องโต้แย้งของนายเอกประเด็นนี้ ไม่สามารถรับฟังได้ เพราะแม้ว่าตามมาตรา 18 พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ เป็น “บทบัญญัติแห่งกฎหมาย” ซึ่งเป็นกฎหมายในทางรูปแบบที่ตราโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ตามความหมายของมาตรา 211 แห่งรัฐธรรมนูญฯก็ตาม แต่การที่นายเอกได้โต้แย้งว่า ศาลฯ ได้เคยนำมาตรา 18 และมาตรา 150 พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตัดสินกับคดีของตนนั้น กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 211 เพราะเป็นการโต้แย้งว่า “บทบัญญัติแห่งกฎหมาย” ที่ศาลนำมาตัดสินบังคับแก่คดีนั้นเป็น “คดีอื่น” ซึ่งมิใช่คดีที่ศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานีกำลังพิจารณา ดังนั้นกรณีนี้ ศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานีจะไม่รับคำร้องโต้แย้งของนายเอกเพื่อส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ

ประเด็นที่ 2 การที่นายเอกได้ยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานีว่า การที่ศาลฯได้นัดพิจารณาคดีนี้ซึ่งมิใช่อยู่ระหว่างสมัยประชุมสามัญทั่วไป แต่อยู่ในระหว่างสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติซึ่งเป็นกรณีที่ศาลฯ ไม่อาจกระทำได้นั้น คำร้องโต้แย้งของนายเอกประเด็นนี้ไม่สามารถรับฟังได้ เพราะแม้ว่าตามมาตรา 131 วรรคแรก จะได้บัญญัติว่าห้ามมิให้จับกุม คุมขัง หรือหมายเรียกตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาไปทำการสอบสวนในฐานะที่สมาชิกผู้นั้นเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญาก็ตามแต่ในมาตรา 131 วรรคสาม ได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ว่า การฟ้องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและศาลสามารถพิจารณาคดีนั้นในระหว่างสมัยประชุมได้ ถ้าได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก หรือเป็นคดีอันเกี่ยวกับ พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นต้น ดังนั้น เมื่อปรากฏว่าการที่ศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานีได้นัดพิจารณาคดีนี้ในระหว่างสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัตินั้น เป็นคดีเกี่ยวกับการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานีจึงมีอำนาจพิจารณาคดีนี้ได้เพราะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 131 วรรคสาม

สรุป

คำร้องโต้แย้งของนายเอกทั้ง 2 ประเด็น ไม่สามารถรับฟังได้

WordPress Ads
error: Content is protected !!