LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 1/2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายแสงเข้าหุ้นกับนายสีและนายเสียง โดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน มีวัตถุประสงค์ขายและให้เช่าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ ลําโพง และอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด ดําเนินกิจการมาได้หลายปี ก็ขาดเงินสดหมุนเวียน เนื่องจากมีการปฏิวัติขายสินค้าไม่ค่อยได้และไม่มีผู้ใดมาเช่าอุปกรณ์ดังกล่าว ไปจัดมหรสพ ทั้งสามคนจึงไปกู้ยืมเงินจากนางสาวพิมพ์สนิทมาใช้จ่ายในห้างฯ จํานวน 3 แสนบาท ต่อมาทั้งสามคนได้ดําเนินการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลโดยมีวัตถุประสงค์ เช่นเดิมทุกประการ แต่กิจการของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนก็ยังไม่ดีขึ้น นายแสงจึงได้ลาออกจากการเป็น หุ้นส่วน ซึ่งนายสีและนายเสียงก็ไม่ขัดข้อง เมื่อนายแสงได้ออกจากห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียนได้ 3 ปีแล้ว นางสาวพิมพ์สนิทจึงได้ทวงถามให้ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลชําระหนี้ 3 แสนบาท พร้อมทั้ง ดอกเบี้ยร้อยละ 15 บาทต่อปี แต่ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลก็ไม่มีเงินชําระหนี้ นางสาวพิมพ์สนิท จึงฟ้องนายแสง นายสี และนายเสียงให้ชําระหนี้ดังกล่าวแทนห้างฯ แต่นายแสงต่อสู้ว่าตน ได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนเกิน 2 ปีแล้วไม่ขอรับผิดชอบในหนี้ทั้งหมด

ดังนี้ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของนายแสงรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1051 “ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไปแล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป”

มาตรา 1068 “ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่ง ห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนนั้น ย่อมมีจํากัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน”

วินิจฉัย

ห้างหุ้นส่วนสามัญนั้นไม่ว่าจะเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียน กฎหมาย ได้กําหนดให้ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนจะต้องร่วมกันรับผิดในบรรดาหนี้สินของห้างหุ้นส่วนที่เกิดขึ้นเนื่องจากการ จัดทํากิจการในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จํากัดจํานวน และแม้ว่าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใด จะได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนไปแล้ว ก็ยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะได้ออกจาก หุ้นส่วนไป (มาตรา 1051) เพียงแต่ถ้าเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดทะเบียน ความรับผิดดังกล่าวย่อมมีจํากัดเพียง สองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วนไป (มาตรา 1068)

ตามอุทาหรณ์ การที่นายแสง นายสี และนายเสียง ได้ไปกู้ยืมเงินจากนางสาวพิมพ์สนิทมาใช้จ่าย ในห้างฯ เป็นเงินจํานวน 3 แสนบาท ในขณะที่ห้างฯ ยังมิได้จดทะเบียนนั้น หนี้เงินกู้ดังกล่าวจึงต้องถือว่าเป็นหนี้ ของห้างหุ้นส่วนสามัญที่ยังไม่จดทะเบียน ที่ผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งสามคนจะต้องร่วมกันรับผิด เพราะเป็นหนี้ที่เกิด จากการกู้มาใช้จ่ายในกิจการของห้างฯ และแม้ต่อมาห้างหุ้นส่วนสามัญจะได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ก็มิได้ทําให้ ความรับผิดในหนี้ดังกล่าวของผู้เป็นหุ้นส่วนเปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ แม้นายแสงจะได้ออกจากหุ้นส่วนไปแล้ว ก็ยังคงรับผิดในหนี้ดังกล่าว และต้องรับผิดตลอดไปจนกว่าจะได้มีการชําระหนี้หรือหนี้จะขาดอายุความ มิใช่ รับผิดจํากัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อได้ออกจากหุ้นส่วนไปตามมาตรา 1068 แต่อย่างใด

ดังนั้น เมื่อนางสาวพิมพ์สนิทได้ฟ้องให้นายแสง นายสี และนายเสียงชําระหนี้เงินกู้ดังกล่าว นายแสงจะต่อสู้ว่าตนได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนเกิน 2 ปีแล้ว และไม่ขอรับผิดชอบในหนี้ทั้งหมดไม่ได้

สรุป ข้อต่อสู้ของนายแสงดังกล่าวรับฟังไม่ได้ ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัดสามสหายพาณิชย์ มีสมหมาย สมชาย และสมถวิล เป็นหุ้นส่วนกันโดยจดทะเบียนให้สมหมายและสมชายเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดและรับลงคนละ 1 ล้านบาท ส่วนสมถวิล เป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจํากัดนี้ได้จดทะเบียน จัดตั้งเรียบร้อยแล้ว และได้ดําเนินธุรกิจมาเป็นเวลาได้ 5 ปีเศษ ก็ขาดเงินสดหมุนเวียน สมถวิล จึงได้กู้ยืมเงินในนามของห้างหุ้นส่วนจํากัดจากธนาคาร กรุงธน จํากัด (มหาชน) มาใช้จ่ายในห้างฯ เป็นเงิน 2 ล้านบาท โดยนําที่ดินที่เป็นที่ตั้งอาคารของห้างฯ มาจดทะเบียนจํานองประกันหนี้เงินกู้ รายนี้ด้วย เมื่อสมหมายและสมชายทราบเรื่องก็ไม่พอใจสมถวิล เพราะเกรงว่าหากไม่มีเงินใช้หนี้ ธนาคารก็เกรงว่าธนาคารจะบังคับจํานองเอาที่ดินที่เป็นที่ตั้งของห้างหุ้นส่วนจํากัดไปขายทอดตลาดได้ สมหมายและสมชายจึงมาปรึกษานักศึกษาว่าทั้งสองคนจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อขอให้ศาลเพิกถอน การกู้ยืมเงินและเพิกถอนการจํานองได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1087 “อันห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ท่านว่าต้องให้แต่เฉพาะผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัด ความรับผิดเท่านั้นเป็นผู้จัดการ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ข้าพเจ้าจะให้คําปรึกษาแก่สมหมายและสมชายดังนี้คือ ตามมาตรา 1087 ได้บัญญัติเอาไว้ว่า หากเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด จะต้องให้แต่เฉพาะผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดเท่านั้น เป็นผู้จัดการ หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดหามีอํานาจจัดการไม่ ซึ่งคําว่า การจัดการนั้น ก็คือ การดูแลรักษา หาผลประโยชน์ให้แก่ห้างหุ้นส่วนจํากัด และการระมัดระวังไม่ให้ห้างหุ้นส่วนจํากัดได้รับความเสียหาย ตลอดจน การทําให้บรรลุวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วนจํากัดตามที่ได้จดทะเบียนไว้

สําหรับ การฟ้องคดีแทนห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ถือเป็นการจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจํากัด อย่างหนึ่ง ซึ่งหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดไม่มีสิทธิจัดการแทนห้างหุ้นส่วนจํากัด ดังนั้นเมื่อปรากฏว่า สมหมาย และสมชายเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด จึงไม่สามารถฟ้องคดีต่อศาลเพื่อขอให้ศาลเพิกถอนการกู้ยืมเงิน และเพิกถอนการจํานองได้

สรุป ข้าพเจ้าจะให้คําแนะนําสมหมายและสมชายว่า ทั้งสองจะฟ้องคดีต่อศาลเพื่อขอให้ศาล เพิกถอนการกู้ยืมเงินและเพิกถอนการจํานองไม่ได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. นายแดงมีหุ้นระบุชื่อจํานวน 1 แสนหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ของบริษัท ทรงสมัย จํากัด นายแดงมีความประสงค์จะโอนหุ้น 1 แสนหุ้นของตนให้แก่นายเหลืองเพื่อใช้หนี้จํานวน 1 ล้านบาทที่ตน เป็นหนี้นายเหลืองอยู่ จึงได้ทําหนังสือโอนหุ้นของตนทั้งหมดให้นายเหลือง แล้วลงลายมือชื่อของ นายแดงผู้โอน และนายเหลืองผู้รับโอนไว้ข้างท้ายหนังสือโอนหุ้น และนายแดงได้มอบใบหุ้นให้ นายเหลืองไปพร้อมได้โทรศัพท์ไปบอกกรรมการบริษัทให้ช่วยแก้ไขในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นให้เป็น ชื่อนายเหลืองด้วย ซึ่งกรรมการก็ได้ดําเนินการให้ตามวัตถุประสงค์ของนายแดง และยังได้ออกใบหุ้น ระบุชื่อให้นายเหลืองจํานวน 1 แสนหุ้นด้วย ข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายแดงยังจ่ายเงินค่าหุ้นยังไม่ครบ โดยจ่ายมาเพียงครึ่งเดียว ยังคงค้างเงินค่าหุ้นอยู่อีก 500,000 บาท บริษัทจึงขอให้นายเหลือง จ่ายเงินค่าหุ้นให้ครบตามที่บริษัทเรียกเก็บ แต่นายเหลืองไม่ยอมจ่าย ดังนี้ถามว่า

1 การโอนหุ้นครั้งนี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

2 บริษัทจะต้องเรียกให้ผู้ใดรับผิดในเงินค่าหุ้นที่ยังจ่ายไม่ครบ

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1129 “อันว่าหุ้นนั้นยอมโอนกันได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมของบริษัท เว้นแต่ เมื่อเป็นหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นซึ่งมีข้อบังคับของบริษัทกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น

การโอนหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นนั้น ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของผู้โอนกับ ผู้รับโอน มีพยานคนหนึ่งเป็นอย่างน้อยลงชื่อรับรองลายมือนั้น ๆ ด้วยแล้ว ท่านว่าเป็นโมฆะ อนึ่งตราสารอันนั้น ต้องแถลงเลขหมายของหุ้นซึ่งโอนกันนั้นด้วย

การโอนเช่นนี้จะนํามาใช้แก่บริษัทหรือบุคคลภายนอกไม่ได้ จนกว่าจะได้จดแจ้งการโอนทั้งชื่อ และสํานักของผู้รับโอนนั้นลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น”

วินิจฉัย

ในการโอนหุ้นชนิดระบุชื่อนั้น การโอนจะสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆะ จะต้องปฏิบัติตามมาตรา 1129 วรรคสอง คือ การโอนจะต้องทําเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอน มีพยานอย่างน้อยหนึ่งคน ลงลายมือชื่อรับรอง และต้องแถลงเลขหมายของหุ้นซึ่งโอนกันนั้นด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ เป็นเรื่องการโอนหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้น เมื่อนายแดงเพียงแต่ทํา หนังสือโอนหุ้นของตนทั้งหมดให้นายเหลือง แล้วลงลายมือชื่อของนายแดงผู้โอน และนายเหลืองผู้รับโอนไว้ข้างท้าย หนังสือโอนหุ้น แต่เมื่อไม่ปรากฏว่ามีบุคคลใดลงลายมือชื่อเป็นพยานรับรองลายมือชื่อของผู้โอนและผู้รับโอน การโอนหุ้นดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1129 วรรคสอง ดังนั้นหุ้นจึงยังเป็น ของผู้โอนคือนายแดงอยู่ และให้ถือว่านายแดงยังเป็นเจ้าของหุ้นนั้น แม้ว่าจะได้มีการแก้ไขชื่อในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น เป็นชื่อนายเหลืองแล้วก็ตาม เมื่อปรากฏว่า นายแดงยังค้างเงินค่าหุ้นอยู่อีก 500,000 บาท บริษัทจึงมีสิทธิเรียก ให้นายแดงรับผิดชําระเงินค่าหุ้นที่ค้างชําระได้

สรุป

1 การโอนหุ้นครั้งนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

2 บริษัทจะต้องเรียกให้นายแดงรับผิดในเงินค่าหุ้นที่ยังจ่ายไม่ครบ

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 2/2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 สมศักดิ์เข้าหุ้นกับสมชายโดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนมีวัตถุประสงค์รับซื้อ-ขายยางพารา ทั้งสองตกลงกันให้สมศักดิ์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ กิจการของห้างหุ้นส่วนมีกําไรดีทุกปี สมชาย ต้องการประกอบกิจการรับซื้อ-ขายยางพาราบ้างแต่ก็เกรงใจสมศักดิ์ ต่อมาแนบชิดได้ชักชวน สมชายลงหุ้นกับตนตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัดรับซื้อ-ขายยางพารา สมชายก็ตกลงและนําเงินมาลงหุ้น กับแนบชิด 3 แสนบาท และจดทะเบียนเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ส่วนแนบชิดเป็นหุ้นส่วน จําพวกไม่จํากัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ โดยห้างหุ้นส่วนจํากัดที่ตั้งใหม่นี้อยู่ใกล้เคียงกัน กับห้างหุ้นส่วนสามัญที่สมศักดิ์เข้าหุ้นกับสมชาย สมศักดิ์จึงกล่าวหาสมชายว่า สมชายประกอบกิจการ แข่งขันกับห้างฯ เพื่อผลประโยชน์ของตนเองและของผู้อื่นด้วย จึงเรียกร้องให้สมชายรับผิดชดใช้ ค่าเสียหายที่ทําให้ห้างหุ้นส่วนสามัญระหว่างสมศักดิ์กับสมชายมีกําไรลดลง ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า สมชายต้องรับผิดต่อสมศักดิ์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1038 “ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีสภาพดุจเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้น ไม่ว่าทําเพื่อประโยชน์ตนหรือประโยชน์ผู้อื่น โดยมิได้รับความ ยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ

ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดทําการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรานี้ไซร้ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ ชอบที่จะ เรียกเอาผลกําไรซึ่งผู้นั้นหาได้ทั้งหมด หรือเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการที่ห้างหุ้นส่วนได้รับความเสียหายเพราะเหตุนั้น แต่ท่านห้ามมิให้ฟ้องเรียกเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่วันทําการฝ่าฝืน”

วินิจฉัย

บทบัญญัติมาตรา 1038 วรรคแรกนั้น จะห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งมีสภาพดุจเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้น แต่ไม่ได้ห้ามรวมไปถึงกรณีที่ผู้เป็นหุ้นส่วน ได้เข้าไปเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนอื่นที่ประกอบกิจการค้าขายแข่งขันกับห้างหุ้นส่วนเดิม โดยที่ตนมิได้เข้าไป เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการหรือลงมือจัดการงานด้วยตนเองแต่อย่างใด

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สมชายได้เข้าหุ้นกับแนบชิดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัดรับซื้อ-ขาย ยางพารานั้น แม้ห้างหุ้นส่วนจํากัดที่ตั้งขึ้นใหม่จะประกอบกิจการซึ่งมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขัน กับกิจการของห้างหุ้นส่วนเดิมที่สมชายเป็นหุ้นส่วนอยู่ก็ตาม แต่การที่สมชายเข้าไปเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัด ความรับผิด ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการจัดการงานของห้างฯ โดยตรง และสมชายก็มิได้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการในห้าง หุ้นส่วนจํากัด เพราะในห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น เฉพาะหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดเท่านั้นที่จะจัดการงาน ของห้างหุ้นส่วนจํากัดได้ เมื่อสมชายนําเงินมาลงหุ้นกับแนบชิดแต่เพียงอย่างเดียวมิได้ร่วมจัดการงานด้วย จึงไม่อาจถือได้ว่าสมชายได้กระทําการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1038 วรรคแรก คือได้ประกอบกิจการซึ่งมีสภาพดุจเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนที่ตนเป็นหุ้นส่วนอยู่ ดังนั้นข้อกล่าวหาของสมศักดิ์ที่ได้กล่าวหา สมชายว่า สมชายได้ประกอบกิจการแข่งขันกับห้างฯ จึงเป็นข้อกล่าวหาที่ฟังไม่ขึ้น สมศักดิ์จึงเรียกร้องให้สมชาย รับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่ทําให้ห้างฯ มีกําไรลดลงไม่ได้

สรุป สมชายไม่ต้องรับผิดต่อสมศักดิ์

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัดอุทิศธรรม มีนายอุทิศเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดลงหุ้นไว้เป็นเงิน 2 แสนบาท ส่วนนายบุญธรรมเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนจํากัดนี้มีวัตถุประสงค์จําหน่ายเครื่องสังฆภัณฑ์ทุกชนิด นายอุทิศได้แนะนํานายบุญธรรม ให้ซื้อผ้าไตรจีวรสีพระราชนิยม (สีเหลืองแก่) มาจําหน่ายในห้างฯ และไม่ควรซื้อสีกรัก (น้ำตาลเข้ม) มาจําหน่ายในห้างฯ นายบุญธรรมก็ได้ซื้อผ้าไตรจีวรสีเหลืองแก่มาจําหน่ายในห้างฯ แต่ปรากฏว่า ขายไม่ดี เนื่องจากพระสงฆ์นิยมนุ่งห่มจีวรสีน้ำตาลเข้มมากกว่าสีเหลืองแก่ ห้างฯ จึงเป็นหนี้ค่าผ้าไตร จีวรจํานวน 3 แสนบาท และไม่มีเงินชําระหนี้รายนี้ นายบุญธรรมจึงต่อว่านายอุทิศที่แนะนําตน ทําให้นายอุทิศไม่พอใจจึงโอนหุ้นของตนทั้งหมดให้นางสาวอุษาและจดทะเบียนออกจากห้างหุ้นส่วนจํากัด ไปได้สองเดือนแล้ว ดังนี้ เจ้าหนี้ของห้างหุ้นส่วนจํากัดจะเรียกร้องให้นายอุทิศรับผิดในหนี้ของห้างฯ ได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1051 “ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไปแล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป”

มาตรา 1068 “ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่ง ห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนนั้น ย่อมมีจํากัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน”

มาตรา 1080 วรรคแรก “บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญข้อใด ๆ หากมิได้ยกเว้นหรือ แก้ไขเปลี่ยนแปลงไปโดยบทบัญญัติแห่งหมวด 3 นี้ ท่านให้นํามาใช้บังคับแก่ห้างหุ้นส่วนจํากัดด้วย”

มาตรา 1082 วรรคแรก “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดคนใดยินยอมโดย แสดงออกชัดหรือโดยปริยายให้ใช้ชื่อของตนระคนเป็นชื่อห้างไซร้ ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นจะต้องรับผิดต่อ บุคคลภายนอกเสมือนดังว่าเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดฉะนั้น”

มาตรา 1088 วรรคแรก “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้อง จัดการงานของห้างหุ้นส่วน ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จํากัด จํานวน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ห้างหุ้นส่วนจํากัดอุทิศธรรม เป็นหนี้ค่าผ้าไตรจีวรที่นายบุญธรรมได้ ซื้อเข้ามาขายในห้างฯ ตามคําแนะนําของนายอุทิศเป็นเงินจํานวน 3 แสนบาทนั้น แม้ว่าการที่นายอุทิศได้แนะนําแก่ นายบุญธรรมนั้น จะไม่ถือว่าเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างฯ ตามมาตรา 1088 วรรคแรกก็ตาม แต่การที่นายอุทิศซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้ยินยอมให้ใช้ชื่อของตนระคนเป็นชื่อของห้างหุ้นส่วน จํากัดอุทิศธรรม นายอุทิศจึงต้องรับผิดในหนี้ของห้างฯ จํานวนดังกล่าวด้วย เสมือนว่าตนเป็นหุ้นส่วนจําพวก ไม่จํากัดความรับผิดตามมาตรา 1082 วรรคแรก

และแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า ต่อมานายอุทิศจะได้โอนหุ้นของตนทั้งหมดให้นางสาวอุษา และจดทะเบียนออกจากห้างหุ้นส่วนจํากัดไปแล้ว แต่เมื่อหนี้ค่าผ้าไตรจีวรนั้นได้เกิดขึ้นก่อนที่นายอุทิศจะได้ออกจาก หุ้นส่วนไป นายอุทิศจึงต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวด้วยตามมาตรา 1051 ประกอบมาตรา 1080 วรรคแรก และเมื่อ ปรากฏว่านายอุทิศได้ออกจากห้างหุ้นส่วนจํากัดไปยังไม่เกิน 2 ปี เจ้าหนี้ของห้างฯ จึงสามารถเรียกร้องให้นายอุทิศ รับผิดในหนี้รายนี้ได้ตามมาตรา 1068 ประกอบมาตรา 1080 วรรคแรก

สรุป เจ้าหนี้ของห้างหุ้นส่วนจํากัดอุทิศธรรม สามารถเรียกร้องให้นายอุทิศรับผิดในหนี้ ค่าผ้าไตรจีวรจํานวน 3 แสนบาทได้

 

ข้อ 3. ข้อบังคับของบริษัท อัมรินทร์ จํากัด มีว่า “ห้ามผู้ถือหุ้นของบริษัทโอนหุ้นทุกชนิดของตนให้แก่บุคคลภายนอก เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการบริษัทก่อนจึงจะโอนได้” ข้อบังคับนี้ได้ จดทะเบียนและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ต่อมานางสาวสกุนตลาผู้ถือหุ้นคนหนึ่งในบริษัท ดังกล่าว ซึ่งถือหุ้นผู้ถือ (ไม่ระบุชื่อ) จํานวน 10,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท และต้องการโอนหุ้น ให้นายศารินทร์ทั้งหมด เนื่องจากตนเป็นหนี้นายศารินทร์ 1,000,000 บาท จึงได้ยื่นขออนุญาตโอนหุ้น ต่อคณะกรรมการบริษัท แต่คณะกรรมการฯ มีมติไม่อนุญาตให้โอนหุ้น โดยอ้างว่านายศารินทร์เป็น คู่แข่งทางการค้าของบริษัท ไม่สมควรจะมาเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว ดังนี้ ถ้านางสาวสกุนตลา มาปรึกษาท่านว่า มติของคณะกรรมการนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และนางสาวสกุนตลาจะโอนหุ้นผู้ถือดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ให้ท่านแนะนํานางสาวสกุนตลาด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1129 วรรคแรก “อันว่าหุ้นนั้นย่อมโอนกันได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมของบริษัท เว้นแต่เมื่อเป็นหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้น ซึ่งมีข้อบังคับของบริษัทกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 1135 “หุ้นชนิดที่มีใบหุ้นออกให้แก่ผู้ถือนั้น ย่อมโอนกันได้เพียงด้วยส่งมอบใบหุ้น แก่กัน”

วินิจฉัย

จากหลักกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การที่ผู้ถือหุ้นในบริษัทจํากัดจะโอนหุ้นของตนให้แก่ บุคคลอื่นนั้นย่อมสามารถโอนได้เสมอโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากบริษัท เว้นแต่ถ้าเป็นหุ้น “ชนิดระบุชื่อ” ซึ่งมี ข้อบังคับของบริษัทได้กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บริษัท อัมรินทร์ จํากัด ได้ออกข้อบังคับในเรื่องการโอนหุ้นไว้ว่า “ห้ามผู้ถือหุ้นของบริษัทโอนหุ้นทุกชนิดของตนให้แก่บุคคลภายนอก เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการบริษัทก่อน จึงจะโอนได้” นั้น ข้อบังคับของบริษัทดังกล่าวสามารถใช้บังคับได้ แต่จะใช้บังคับได้เฉพาะการโอนหุ้นที่เป็นหุ้น ชนิดระบุชื่อเท่านั้น จะนํามาใช้บังคับกับหุ้นผู้ถือไม่ได้ตามมาตรา 1129 วรรคแรก

ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นางสาวสกุนตลาซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่งในบริษัทดังกล่าว ได้ ถือหุ้นผู้ถือจํานวน 10,000 หุ้น และต้องการโอนหุ้นให้แก่นายศารินทร์ทั้งหมด นางสาวสกุนตลาย่อมสามารถทําได้ โดยการส่งมอบใบหุ้นให้แก่นายศารินทร์ผู้รับโอนตามมาตรา 1135 การที่นางสกุนตลาได้ยื่นขออนุญาตโอนหุ้นต่อ คณะกรรมการบริษัท แต่คณะกรรมการบริษัทมีมติไม่อนุญาตให้โอนหุ้นนั้น มติของคณะกรรมการบริษัทที่ไม่อนุญาต ให้โอนหุ้นผู้ถือจึงเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะขัดกับมาตรา 1129 วรรคแรก

สรุป มติของคณะกรรมการบริษัทดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย และนางสาวสกุนตลาสามารถ โอนหุ้นผู้ถือของตนได้ โดยการส่งมอบใบหุ้นให้แก่นายสารินทร์

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 1/2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. สายสวรรค์เข้าหุ้นกับแนบชิดและแนบภู โดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ตกลงให้สายสวรรค์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนมีวัตถุประสงค์จัดการฝึกอบรมเกี่ยวกับการทําการค้า ระหว่างประเทศ และรับปรึกษาคดีความเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ โดยมีแนบภูเป็นวิทยากร ฝึกอบรม กิจการของห้างหุ้นส่วนเป็นที่รู้จักของบุคคลในแวดวงที่ทําธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ เป็นจํานวนมาก แนบภูเห็นว่ากิจการของห้างหุ้นส่วนประสบผลสําเร็จ มีกําไรดีทุกปี แนบภูจึงชักชวน สิงหาซึ่งจบการศึกษาทางกฎหมายระหว่างประเทศ สาขาประกันภัยทางทะเลมาร่วมหุ้นกับตน โดยตั้ง เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน โดยมีวัตถุประสงค์รับปรึกษาคดีความเกี่ยวกับการค้าขายระหว่าง ประเทศ เช่นเดียวกับห้างหุ้นส่วนที่แนบภูเข้าหุ้นกับสายสวรรค์และแนบชิด แต่ในห้างหุ้นส่วนสามัญ จดทะเบียนที่แนบภูเข้าหุ้นกับสิงหานี้ แนบภูตกลงให้สิงหาเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการโดยแนบภูทําหน้าที่ ให้คําปรึกษาคดีความต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศตามที่มีลูกค้ามาขอรับคําปรึกษา โดยห้างฯ คิดค่าตอบแทนจากลูกค้าชั่วโมงละ 5,000 บาท ต่อมาสายสวรรค์และแนบชิดทราบว่า แนบภูเข้าหุ้นกับสิงหา และทําธุรกิจเช่นเดียวกับที่แนบภูเข้าหุ้นกับตน สายสวรรค์จึงเรียกเอาผลกําไร จากแนบภูทั้งหมด แต่แนบภูก็เถียงว่า ตนมิได้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการในห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1038 ก็มิได้ห้ามหุ้นส่วนคนใดไปลงหุ้นกับคนอื่นอีกจึงไม่ต้องรับผิดต่อสายสวรรค์และแนบชิด ดังนี้ข้ออ้างของแนบภูฟังขึ้นหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1038 “ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีสภาพดุจเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้น ไม่ว่าทําเพื่อประโยชน์ตนหรือประโยชน์ผู้อื่น โดยมิได้รับความ ยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ

ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดทําการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรานี้ไซร้ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ ชอบที่จะ เรียกเอาผลกําไรซึ่งผู้นั้นหาได้ทั้งหมด หรือเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการที่ห้างหุ้นส่วนได้รับความเสียหายเพราะ เหตุนั้น แต่ท่านห้ามมิให้ฟ้องเรียกเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่วันทําการฝ่าฝืน”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1038 บัญญัติห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนในห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ประกอบกิจการที่มีสภาพเป็นอย่างเดียวกันและเป็นการค้าขายแข่งกับห้างฯ หากผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งฝ่าฝืน โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่นก็สามารถเรียกเอาผลกําไรทั้งหมด หรือ เรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นได้

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งเพียงแต่ไปลงหุ้นกับผู้อื่นโดยมิได้เป็นผู้ดําเนิน กิจการในห้างหุ้นส่วนอันใหม่นั้น แม้ว่ากิจการที่ร่วมลงหุ้นนั้นจะมีลักษณะเป็นการค้าขายแข่งกับห้างหุ้นส่วนเดิม ก็ไม่ถือว่าเป็นการประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนเดิมแต่อย่างใด

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แนบภูชักชวนสิงหามาร่วมหุ้นกับตน โดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน โดยมีวัตถุประสงค์รับปรึกษาคดีความเกี่ยวกับการค้าขายระหว่างประเทศ เช่นเดียวกับห้างหุ้นส่วนที่แนบภูเข้าหุ้น กับสายสวรรค์และแนบชิดนั้น ถือเป็นกรณีที่แนบภูประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญที่ตน ได้เข้าหุ้นกับสายสวรรค์และแนบชิดแล้ว เนื่องจากห้างหุ้นส่วนที่แนบภูเข้าหุ้นกับสายสวรรค์และแนบชิด ก็ทําธุรกิจ รับปรึกษาคดีความเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ จึงเท่ากับว่าแนบภูประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของห้างฯ เพื่อประโยชน์ของตนและของผู้อื่น อันเป็นการต้องห้ามตามมาตรา 1038 อนึ่ง ถึงแม้แนบภูจะอ้างว่าตนมิได้เป็น หุ้นส่วนผู้จัดการ และ ป.พ.พ. มาตรา 1038 ก็มิได้ห้ามหุ้นส่วนคนใดไปลงหุ้นกับคนอื่นอีก จึงไม่ต้องรับผิดต่อ สายสวรรค์และแนบชิดก็ตาม แต่เมื่อดูลักษณะการกระทําของแนบภูแล้ว จะเห็นว่าแนบภูเป็นผู้ประกอบกิจการ รวมทั้งเป็นผู้ดําเนินกิจการในห้างหุ้นส่วนใหม่อันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของ ห้างหุ้นส่วนเดิมที่แนบภูเข้าหุ้นกับสายสวรรค์และแนบชิด ดังนั้นข้ออ้างของแนบภูดังกล่าวจึงเป็นข้ออ้างที่มิชอบ ด้วยหลักของกฎหมาย และฟังไม่ขึ้น

สรุป ข้ออ้างของแนบภูฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัดสมพรก่อสร้าง มีนายสมพรเข้าหุ้นกับนายจักรินทร์ โดยนายสมพรเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิด และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ นายจักรินทร์เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ก่อนจดทะเบียนจัดตั้ง นายสมพรได้สั่งซื้อปูนซีเมนต์และเหล็กเส้นไว้เป็นเงิน 500,000 บาท ได้นํามา จําหน่ายในกิจการค้าขายของห้างหุ้นส่วนจํากัดสมพรก่อสร้าง เมื่อห้างหุ้นส่วนจํากัดได้จดทะเบียน จัดตั้งแล้ว และต่อมาหนี้ดังกล่าวใกล้ถึงกําหนดชําระ แต่ห้างหุ้นส่วนจํากัดสมพรก่อสร้าง ไม่มีเงินพอ ที่จะชําระหนี้ได้ นายสมพรจึงได้กู้ยืมเงินจากนางสาวเพียงใจมาใช้ในกิจการของห้างหุ้นส่วนเป็นเงิน 200,000 บาท นายจักรินทร์เห็นว่ากิจการของห้างหุ้นส่วนฯ น่าจะไปไม่รอด จึงโอนเงินลงหุ้นของตน ทั้งหมดให้นางสาวสุมนาและจดทะเบียนให้นางสาวสุมนาเข้ามาเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด แทนตน และได้จดทะเบียนออกจากห้างหุ้นส่วนไปได้ 1 ปีเศษแล้ว ต่อมาหนี้ค่าเหล็กเส้น หนี้ค่า ปูนซีเมนต์ และหนี้เงินกู้ได้ถึงกําหนดชําระ แต่ห้างหุ้นส่วนจํากัดไม่มีเงินชําระหนี้ ดังนี้ เจ้าหนี้ของ ห้างฯ จะฟ้องให้นายจักรินทร์ซึ่งออกจากห้างฯ ไปแล้วให้รับผิดได้หรือไม่ ถ้านายจักรินทร์ได้ส่งเงินลงหุ้นครบถ้วนแล้ว

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1068 “ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่ง ห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนนั้น ย่อมมีจํากัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน”

มาตรา 1079 “อันห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนอยู่ตราบใด ท่านให้ถือว่าเป็น ห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดย่อมต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัดจํานวน จนกว่าจะได้จดทะเบียน”

มาตรา 1080 วรรคแรก “บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญข้อใด ๆ หากมิได้ยกเว้นหรือ แก้ไขเปลี่ยนแปลงไปโดยบทบัญญัติแห่งหมวด 3 นี้ ท่านให้นํามาใช้บังคับแก่ห้างหุ้นส่วนจํากัดด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีหนี้ค่าเหล็กเส้นและหนี้ค่าปูนซีเมนต์ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าก่อนที่ห้างฯ จะจดทะเบียน จัดตั้งเป็นนิติบุคคล นายสมพรได้สั่งซื้อปูนซีเมนต์และเหล็กเส้นไว้เป็นเงิน 500,000 บาท เพื่อนํามาจําหน่ายใน กิจการค้าขายของห้างฯ และยังมิได้ชําระหนี้ เช่นนี้ เจ้าหนี้ของห้างฯ ย่อมมีสิทธิฟ้องร้องให้นายจักรินทร์หุ้นส่วน จําพวกจํากัดความรับผิดให้ร่วมกันรับผิดกับห้างฯ ได้ เพราะว่าหนี้ค่าเหล็กเส้นและหนี้ค่าปูนซีเมนต์ได้เกิดขึ้นก่อนที่ จะมีการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด จึงถือว่าขณะที่ก่อหนี้นั้นห้างฯ ยังคงเป็นเพียงห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดหรือจําพวกไม่จํากัดความรับผิดจะต้องรับผิด ร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัดจํานวนตามมาตรา 1079 และแม้ว่านายจักรินทร์จะออกจาก ห้างหุ้นส่วนไปแล้วเป็นเวลาหนึ่งปีเศษก็ต้องรับผิดในหนี้สินของห้างหุ้นส่วนจํากัด เนื่องจากหนี้ดังกล่าวได้เกิดขึ้น ก่อนที่นายจักรินทร์ลาออกจากห้างฯ จึงต้องรับผิดตามมาตรา 1068 ประกอบมาตรา 1080 โดยรับผิดภายใน ระยะเวลาไม่เกินสองปีนับตั้งแต่ออกจากห้างหุ้นส่วนจํากัด

กรณีหนี้เงินกู้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าหนี้ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ห้างหุ้นส่วนจํากัดได้ จดทะเบียนจัดตั้งแล้ว และนายจักรินทร์ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดก็ได้ส่งเงินลงหุ้นครบถ้วนแล้ว นายจักรินทร์จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าว แม้ว่านายจักรินทร์ยังคงเป็นหุ้นส่วนอยู่ก็ไม่ต้องรับผิด อีกทั้งข้อเท็จจริง ยังปรากฏอีกว่านายจักรินทร์ได้โอนหุ้นให้แก่นางสาวสุมนาไปหมดแล้ว และออกจากห้างหุ้นส่วนจํากัดไปแล้ว ดังนั้น นางสาวเพียงใจจึงฟ้องนายจักรินทร์ให้รับผิดในหนี้เงินกู้ไม่ได้

สรุป

เจ้าหนี้ของห้างฯ สามารถฟ้องให้นายจักรินทร์ซึ่งออกจากห้างฯ ไปแล้วให้รับผิดในหนี้ ค่าเหล็กเส้นและหนี้ค่าปูนซีเมนต์ได้ ส่วนนางสาวเพียงใจจะฟ้องนายจักรินทร์ให้รับผิดในหนี้เงินกู้ไม่ได้

 

ข้อ 3. กรรมการบริษัท ใบเตย จํากัด ได้นัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อลงมติในเรื่องตั้งกรรมการบริษัท โดยส่งคํา

บอกกล่าวนัดประชุมผู้ถือหุ้นทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2556 และ หนังสือบอกกล่าวนัดประชุมได้กําหนดวันประชุมในวันที่ 9 ตุลาคม 2556 เวลา 10.00 น. ณ ที่ทําการ บริษัท นายเล็งผู้ถือหุ้นคนหนึ่งได้รับหนังสือนัดประชุมดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2556 แต่เมื่อถึง วันประชุม นายเส็งมิได้ไปประชุมและมิได้มอบฉันทะให้ผู้อื่นเข้าประชุมด้วย แต่นายเส็งไม่พอใจ มติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นที่เลือกนายเฮงเป็นกรรมการ เพราะนายเส็งไม่ถูกกับนายเฮง นายเส็งจึงมา ปรึกษากับท่านว่า จะมีทางใดบ้างที่เป็นเหตุให้ฟ้องเพิกถอนมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นครั้งนี้ได้ ให้ท่าน แนะนํานายเล็งด้วย

ถึงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1175 “คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ให้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่ อย่างน้อยหนึ่งคราวก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อ ในทะเบียนของบริษัทก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่เป็นคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษ ให้กระทําการดังว่านั้นก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน

 

คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่นั้น ให้ระบุสถานที่ วัน เวลา และสภาพแห่งกิจการที่จะได้ประชุม ปรึกษากัน และในกรณีที่เป็นคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษให้ระบุข้อความที่จะนําเสนอให้ลงมติด้วย”

มาตรา 1195 “การประชุมใหญ่นั้นถ้าได้นัดเรียกหรือได้ประชุมกัน หรือได้ลงมติฝ่าฝืนบทบัญญัติ ในลักษณะนี้ก็ดี หรือฝ่าฝืนข้อบังคับของบริษัทก็ดี เมื่อกรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดร้องขึ้นแล้ว ให้ศาลเพิกถอน มติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบนั้นเสีย แต่ต้องร้องขอภายในกําหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันลงมตินั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อนายเสงมาปรึกษาข้าพเจ้าว่า จะมีทางใดบ้างที่เป็นเหตุให้ฟ้องเพิกถอนมติ ของที่ประชุมผู้ถือหุ้นครั้งนี้ได้ ข้าพเจ้าจะให้คําแนะนํานายเล็งดังนี้คือ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1175 นั้นได้กําหนดเอาไว้ว่า คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่จะต้องลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราวก่อนวันนัดประชุม ไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และต้องส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่เรื่องใด ที่ต้องลงมติพิเศษจึงจะต้องกระทําก่อนล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า กรรมการบริษัทฯ ได้บอกกล่าวนัดประชุมไปยังผู้ถือหุ้นเพื่อลงมติในเรื่อง ตั้งกรรมการบริษัทฯ ซึ่งถือเป็นการประชุมใหญ่เพื่อลงมติ ซึ่งมิใช่มติพิเศษ โดยส่งหนังสือนัดประชุมทางไปรษณีย์ ตอบรับเพียงอย่างเดียว หาได้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่ด้วยไม่ จึงเป็นการบอกกล่าวนัดประชุม ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 1175 และส่งผลให้มติของที่ประชุมใหญ่ในเรื่องดังกล่าวเป็นอันผิดระเบียบไปด้วย ดังนั้นนายเร็งจึงฟ้องศาลให้เพิกถอนมติที่ประชุมใหญ่ที่ผิดระเบียบนั้นเสียได้ แต่ต้องฟ้องภายในกําหนดหนึ่งเดือน นับแต่วันที่มีการลงมตินั้นตามมาตรา 1195

สรุป ข้าพเจ้าจะให้คําแนะนําแก่นายเส็งดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน S/2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เอก โท และตรี ตกลงเข้าหุ้นส่วนกันโดยลงหุ้นกันคนละ 1 ล้านบาท จัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล (จดทะเบียน) มีเอกเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนนี้มีวัตถุประสงค์ค้าขายวัสดุก่อสร้าง ดําเนินกิจการมาได้สองปีเศษก็ขาดเงินสดหมุนเวียน เอกจึงได้ไปกู้ยืมเงินจากธนาคารมาสองล้านบาท เพื่อนํามาเป็นทุนหมุนเวียนในห้างฯ ต่อมาตรีได้โอนหุ้นของตนทั้งหมดให้จัตวา และได้จดทะเบียน ออกจากห้างหุ้นส่วนไปโดยจดทะเบียนให้จัตวาเข้ามาเป็นหุ้นส่วนแทน ซึ่งเอกและโทก็ไม่ขัดข้อง ตรีได้ออกมาจากห้างฯ เป็นเวลาสามปีกว่าแล้ว หนี้เงินกู้ที่ธนาคารเป็นเจ้าหนี้ก็ได้ถึงกําหนดชําระ แต่ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลไม่มีเงินชําระหนี้ ดังนี้ ธนาคารจะฟ้องเอก, โท ตรี และจัตวา ให้รับผิด ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1050 “การใด ๆ อันผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้จัดทําไปในทางที่เป็นธรรมดา การค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนย่อมมีความผูกพันในการนั้น ๆ ด้วย และจะต้องรับผิด ร่วมกันโดยไม่จํากัดจํานวนในการชําระหนี้ อันได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะจัดการไปเช่นนั้น”

มาตรา 1051 “ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไปแล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป”

มาตรา 1052 “บุคคลผู้เข้าเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนย่อมต้องรับผิดในหนี้ใด ๆ ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย”

มาตรา 1068 “ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่ง ห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนนั้น ย่อมมีจํากัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1050 ได้บัญญัติไว้ว่า ในกรณีของห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น ผู้เป็นหุ้นส่วน ทุกคนจะต้องร่วมกันรับผิดในบรรดาหนี้สินที่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้ก่อให้เกิดขึ้นเนื่องจากการที่ได้จัดทําไป ในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จํากัดจํานวน และนอกจากนั้นผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งได้ออกจาก หุ้นส่วนไปแล้ว ก็ยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไปด้วยตาม มาตรา 1051 และบุคคลผู้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนใหม่ในห้างหุ้นส่วนย่อมต้องรับผิดในหนี้ ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้น ก่อนที่ตนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วยตามมาตรา 1052

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอกได้ไปกู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อนํามาเป็นทุนหมุนเวียนในห้างฯ นั้น ถือว่าเป็นกรณีที่เอกได้จัดทําไปในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วน ดังนั้น ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนจึงต้อง ร่วมกันรับผิดในหนี้รายนี้ตามมาตรา 1050

สําหรับตรีนั้น แม้จะได้โอนหุ้นของตนทั้งหมดให้จัตวาและได้จดทะเบียนออกจากห้างหุ้นส่วนไป โดยหลักแล้วก็จะต้องรับผิดในหนี้เงินกู้รายนี้ เพราะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นก่อนที่ตรีจะได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนตามมาตรา 1051 แต่เมื่อห้างหุ้นส่วนดังกล่าวเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล (จดทะเบียน) และตรีได้ออกจากการเป็น หุ้นส่วนไปเป็นเวลาสามปีกว่าคือเกินสองปีแล้ว ดังนั้นตรีจึงไม่ต้องรับผิดในหนี้เงินกู้รายนี้อีกต่อไปตามมาตรา 1068

ส่วนจัตวานั้น เมื่อได้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนแทนตรี จึงมีผลตามมาตรา 1052 คือ จัตวาจะต้องรับผิด ในหนี้เงินกู้รายนี้ที่เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย ดังนั้นเมื่อหนี้เงินกู้รายนี้ได้ถึงกําหนดชําระ แต่ห้างฯ ไม่มีเงินชําระหนี้ ธนาคารซึ่งเป็นเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิฟ้องให้เอก โท และจัตวา รับผิดในหนี้เงินกู้รายนี้ได้ แต่จะฟ้อง ให้ตรีรับผิดไม่ได้

สรุป ธนาคารสามารถฟ้องเอก โท และจัตวา ให้รับผิดได้ แต่จะฟ้องให้ตรีรับผิดไม่ได้

 

ข้อ 2. สมบัติ และสําอางตกลงเข้าหุ้นส่วนกันโดยจะต้องลงหุ้นกันคนละหนึ่งล้านบาท เพื่อจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด ทั้งนี้ สมบัติได้นําเงินมาลงหุ้นครบถ้วนหนึ่งล้านบาทแล้ว และขอเป็นหุ้นส่วน จําพวกจํากัดความรับผิด ส่วนสําอางยังมิได้นําเงินมาลงหุ้นเลย แต่ก่อนที่จะจดทะเบียนจัดตั้งเป็น ห้างหุ้นส่วนจํากัด สําอางได้ไปกู้ยืมเงินจากธนาคารมาเป็นการส่วนตัวหนึ่งล้านบาท และได้นําเงินนั้น มาเป็นทุนของตนในการลงหุ้นกับสมบัติ และได้ไปจดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด โดยสําอาง เป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนนี้ดําเนินกิจการมาได้ ห้าปีเศษแล้ว แต่สําอางก็ยังมิได้ชําระหนี้เงินกู้รายนี้ ธนาคารเห็นว่า สมบัติเป็นหุ้นส่วนร่วมกับสําอาง และสําอางได้กู้ยืมเงินก่อนจดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด ดังนั้น สมบัติควรต้องรับผิดด้วย เพราะถือว่าขณะนั้นห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้จดทะเบียน ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนจึงต้องรับผิดเหมือน บุคคลเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1079 ธนาคาร จึงทวงถามให้สมบัติชําระหนี้ที่สําอางได้กู้ยืมมา พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าบาทต่อปี ดังนี้

ถ้าสมบัติมาปรึกษากับท่านว่า จะต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวหรือไม่ ท่านจะแนะนําสมบัติอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1079 “อันห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนอยู่ตราบใด ท่านให้ถือว่าเป็น ห้างหุ้นส่วนสามัญ ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดย่อมต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัดจํานวน จนกว่าจะได้จดทะเบียน”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1079 นั้น กฎหมายได้กําหนดไว้ว่า ห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ถ้าตราบใดที่ยังไม่ได้ จดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด ให้ถือว่าเป็นเพียงห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนในห้างหุ้นส่วนนั้นจะต้อง ร่วมกันรับผิดในบรรดา “หนี้ของห้างหุ้นส่วน” และโดยไม่จํากัดจํานวนจนกว่าห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้นจะได้จดทะเบียน

ตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า การที่สําอางได้ไปกู้ยืมเงินจากธนาคารนั้นเป็นหนี้สินของ ห้างหุ้นส่วนหรือไม่ เห็นว่า การที่สําอางได้ไปกู้เงินจากธนาคารมาหนึ่งล้านบาทเพื่อนํามาลงหุ้นในห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น การกู้เงินดังกล่าวเป็นกรณีที่สําอางได้กระทําเป็นการส่วนตัว จึงถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของสําอางโดยแท้ เพราะ สําอางได้นําเงินนั้นมาเป็นทุนของตนในการลงหุ้นกับสมบัติ หนี้สินดังกล่าวจึงมิใช่หนี้สินของห้างหุ้นส่วนจํากัด ที่เกิดก่อนการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 1079 ที่สมบัติจะต้อง ร่วมรับผิดด้วย ดังนั้นธนาคารจะทวงถามให้สมบัติร่วมรับผิดโดยการชําระหนี้ที่สําอางได้กู้ยืมมาไม่ได้

สรุป ถ้าสมบัติมาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะแนะนําแก่สมบัติว่า สมบัติไม่ต้องรับผิดในหนี้รายนี้ แต่อย่างใด ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. ที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท ใบเตย จํากัด ได้ประชุมกันเพื่อลงมติเลือกกรรมการใหม่ที่หมดวาระแต่ก่อนที่จะลงมติ นายแสดและนายสีผู้ถือหุ้นจํานวนหุ้นข้างมากในบริษัท ได้ร้องขอต่อประธาน ในที่ประชุมให้ลงมติลับ แต่นายหมึกและผู้ถือหุ้นอีก 18 คน ต้องการให้ลงคะแนนโดยเปิดเผย ประธานในที่ประชุมจึงได้สั่งให้ลงคะแนนโดยเปิดเผยตามเสียงส่วนใหญ่ของผู้ถือหุ้น

ดังนี้ ถ้านายแสด และนายสีไม่พอใจมติที่เลือกกรรมการบริษัทในครั้งนี้ จึงได้มาปรึกษาท่านว่า มติดังกล่าวนี้ชอบด้วย กฎหมายหรือไม่ และควรจะทําอย่างไรต่อไป ให้ท่านแนะนํานายแสดและนายสีด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1190 “ในการประชุมใหญ่ฯ ข้อมติอันเสนอให้ลงคะแนนท่านให้ตัดสินด้วยวิธีชูมือ เว้นแต่ เมื่อก่อนหรือในเวลาที่แสดงผลแห่งการชูมือนั้น จะได้มีผู้ถือหุ้นสองคนเป็นอย่างน้อยติดใจร้องขอให้ลงคะแนนลับ”

มาตรา 1195 “การประชุมใหญ่นั้นถ้าได้นัดเรียกหรือได้ประชุมกันหรือได้ลงมติฝ่าฝืนบทบัญญัติ ในลักษณะนี้ก็ดี หรือฝ่าฝืนข้อบังคับของบริษัทก็ดี เมื่อกรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดร้องขึ้นแล้ว ให้ศาลเพิกถอน มติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบนั้นเสีย แต่ต้องร้องขอภายในกําหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันลงมตินั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า มติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท ใบเตย จํากัด ที่ได้ลงมติโดยเปิดเผยนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และถ้าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ถือหุ้นที่ไม่พอใจมติของที่ประชุมนั้น จะต้องดําเนินการอย่างไร

กรณีนี้เห็นว่า การที่บริษัท ใบเตย จํากัด ได้ประชุมกันเพื่อลงมติเลือกกรรมการใหม่ที่หมดวาระ แต่ก่อนที่จะลงมติ เมื่อนายแสดและนายสีผู้ถือหุ้นสองคนได้ร้องขอให้ลงมติลับนั้น ย่อมถือว่าเป็นสิทธิของผู้ถือหุ้น สองคนที่จะร้องขอให้ลงคะแนนลับได้ตามมาตรา 1190 และเมื่อนายแสดและนายสีได้ร้องขอให้ลงคะแนนลับ ประธานในที่ประชุมต้องสั่งให้ลงคะแนนลับแม้ผู้ถือหุ้นอีกฝ่ายหนึ่งที่มีจํานวนคนข้างมากต้องการให้ลงคะแนน โดยเปิดเผยก็ตาม ประธานในที่ประชุมก็จะสั่งให้ลงคะแนนโดยเปิดเผยไม่ได้ ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ ประธานในที่ประชุมได้สั่งให้ลงคะแนนโดยเปิดเผย การลงคะแนนโดยเปิดเผยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายแสด และนายสีจึงสามารถร้องขอต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนมตินั้นได้ แต่ต้องร้องขอภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันลงมตินั้น ตามมาตรา 1195

สรุป

มติโดยการลงคะแนนโดยเปิดเผยนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายแสดและนายสีสามารถ ร้องขอต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนมตินั้นได้ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันลงมตินั้น

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 2/2555

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. สมพร และสมบัติเป็นพี่น้องกัน ได้ตกลงเข้าหุ้นส่วนกัน โดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล(จดทะเบียน) และนําชื่อสมศักดิ์ซึ่งเป็นบิดาของบุคคลทั้งสองเป็นชื่อห้างหุ้นส่วน ห้างหุ้นส่วนนี้ ดําเนินกิจการไปได้สองปีก็ขาดเงินสดหมุนเวียน สมพรซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จึงได้กู้ยืมเงินจาก ธนาคารมาใช้ในกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญสมศักดิ์พาณิชย์ (นิติบุคคล) และห้างฯ ยังเป็นหนี้ค่าจ้าง พนักงานของห้างฯ อีกด้วย ดังนี้ ถามว่าถ้าห้างหุ้นส่วนสามัญสมศักดิ์พาณิชย์ (นิติบุคคล) ไม่ชําระหนี้ เงินกู้ต่อธนาคาร และไม่มีเงินจ่ายค่าจ้างให้พนักงานของห้างฯ ธนาคารก็ดี พนักงานของห้างฯ ก็ดี จะเรียกร้องให้สมศักดิ์ซึ่งเป็นบิดาของหุ้นส่วนทั้งสองชําระหนี้ร่วมกับสมพรและสมบัติได้หรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1050 “การใด ๆ อันผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้จัดทําไปในทางที่เป็นธรรมดา การค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนย่อมมีความผูกพันในการนั้น ๆ ด้วย และจะต้องรับผิดร่วมกันโดยไม่จํากัดจํานวนในการชําระหนี้ อันได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะจัดการไปเช่นนั้น”

มาตรา 1054 วรรคแรก “บุคคลใดแสดงตนว่าเป็นหุ้นส่วนด้วยวาจาก็ดี ด้วยลายลักษณ์อักษร ก็ดี ด้วยกิริยาก็ดี ด้วยยินยอมให้เขาใช้ชื่อตนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วนก็ดี หรือรู้แล้วไม่คัดค้านปล่อยให้เขาแสดงว่าตน เป็นหุ้นส่วนก็ดี ท่านว่าบุคคลนั้นย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนเสมือนเป็นหุ้นส่วน

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1050 ได้บัญญัติให้ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนในห้างหุ้นส่วนสามัญ จะต้องร่วมกันรับผิด และโดยไม่จํากัดจํานวนในบรรดาหนี้สินที่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้ก่อให้เกิดขึ้นเนื่องจากการที่ได้จัดทําไป ในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น

และตามมาตรา 1054 วรรคแรก ได้บัญญัติให้บุคคลที่ไม่ได้เป็นหุ้นส่วน แต่ได้แสดงตนว่า เป็นหุ้นส่วน หรือยินยอมให้เขาใช้ชื่อตนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วน หรือรู้แล้วไม่คัดค้านปล่อยให้เขาแสดงว่าตนเป็นหุ้นส่วน จะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนเสมือนว่าตนเป็นหุ้นส่วน และต้องรับผิดก็แต่เฉพาะ ในกรณีที่บุคคลภายนอกถูกหลอกลวง หรือหลงผิดเข้าใจว่าบุคคลนั้นเป็นหุ้นส่วน และหนี้ของห้างหุ้นส่วนได้เกิดขึ้น และเป็นผลโดยตรงจากการที่บุคคลนั้นได้แสดงตนว่าเป็นหุ้นส่วนหรือยินยอมให้เขาใช้ชื่อของตนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วน หรือปล่อยให้เขาแสดงว่าตนเป็นหุ้นส่วนด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สมศักดิ์ได้ยินยอมให้สมพรและสมบัติบุตรทั้งสองใช้ชื่อของตนเป็น ชื่อห้างหุ้นส่วน สมศักดิ์จะต้องรับผิดในหนี้สินของห้างฯ อย่างไรหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

1 กรณีหนี้เงินกู้ การที่สมพรซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ได้กู้ยืมเงินจากธนาคารมาใช้ใน กิจการของห้างฯ ถือว่าหนี้เงินกู้ดังกล่าว เป็นหนี้ที่เกิดจากการที่หุ้นส่วนได้จัดทําไปในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขาย ของห้างหุ้นส่วน ดังนั้นผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนจึงต้องร่วมกันรับผิดตามมาตรา 1050 และบุคคลที่ได้ยินยอมให้ใช้ ชื่อของตนเป็นชื่อห้างฯ ก็ต้องร่วมรับผิดด้วย ดังนั้นสมศักดิ์จึงต้องรับผิดในหนี้เงินกู้รายนี้ด้วยตามมาตรา 1054 วรรคแรก

2 กรณีหนี้ค่าจ้าง ที่ห้างฯ ค้างชําระแก่พนักงาน หนี้รายนี้เป็นหนี้ที่เกิดจากสัญญาจ้าง ระหว่างนายจ้างและลูกจ้างที่ทําไว้ต่อกัน ไม่ใช่หนี้ที่เกิดจากการที่บุคคลภายนอกถูกหลอกลวง หรือหลงผิดว่า สมศักดิ์เป็นหุ้นส่วน และไม่ใช่หนี้ที่เกิดขึ้นและเป็นผลโดยตรงจากการที่สมศักดิ์ได้ยินยอมให้ใช้ชื่อตนเป็นชื่อห้างฯ ดังนั้นสมศักดิ์จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ค่าจ้างดังกล่าว อีกทั้งสมศักดิ์ก็มิได้เป็นนายจ้างของพนักงานของห้างฯ แต่อย่างใด บุคคลที่จะต้องรับผิดในหนี้ค่าจ้างดังกล่าว คือ สมพรและสมบัติซึ่งเป็นนายจ้าง

สรุป

ธนาคารสามารถเรียกร้องให้สมศักดิ์ร่วมรับผิดในการชําระหนี้เงินกู้ร่วมกับสมพรและ สมบัติได้ แต่พนักงานของห้างฯ จะเรียกร้องให้สมศักดิ์ชําระหนี้ร่วมกับสมพรและสมศักดิ์ไม่ได้

 

ข้อ 2. สมร และศรี ตกลงเข้าทุนกัน โดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด โดยใช้ชื่อว่าห้างหุ้นส่วนจํากัดศรีสมร โดยศรีเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ส่วนสมรเป็นหุ้นส่วน จําพวกจํากัดความรับผิด ห้างหุ้นส่วนนี้จดทะเบียนจัดตั้งเรียบร้อยแล้ว ดําเนินกิจการมาได้ห้าปีเศษ ศรีต้องการขยายกิจการ ศรีจึงกู้ยืมเงินจากสมหมายมาดําเนินการจํานวน 5 แสนบาท สมรทราบข่าว เรื่องการกู้ยืมเงิน ก็ไม่พอใจ จึงโอนหุ้นของตนทั้งหมดให้ชมพู่และจดทะเบียนออกจากหุ้นส่วนไป พร้อมจดทะเบียนให้ชมพู่มาเป็นหุ้นส่วนแทนตน ศรีจึงได้ทําการเปลี่ยนชื่อห้างหุ้นส่วนฯ เสียใหม่ เป็นห้างหุ้นส่วนจํากัดศรีราชาพาณิชย์ หลังจากสมรออกจากห้างหุ้นส่วนไปได้หนึ่งปีเศษ หนี้เงินกู้ ก็ถึงกําหนดชําระ แต่ห้างหุ้นส่วนจํากัดศรีราชาพาณิชย์ไม่มีเงินชําระหนี้ ดังนี้ถามว่า เจ้าหนี้จะฟ้อง ให้สมรรับผิดในหนี้เงินกู้นี้ได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1051 “ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไปแล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป”

มาตรา 1068 “ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนนั้น ย่อมมีจํากัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน”

มาตรา 1080 วรรคแรก “บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญข้อใด ๆ หากมิได้ยกเว้นหรือ แก้ไขเปลี่ยนแปลงไปโดยบทบัญญัติแห่งหมวด 3 นี้ ท่านให้นํามาใช้บังคับแก่ห้างหุ้นส่วนจํากัดด้วย”

มาตรา 1082 วรรคแรก “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดคนใดยินยอมโดย แสดงออกชัดหรือโดยปริยายให้ใช้ชื่อของตนระคนเป็นชื่อห้างไซร้ ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นจะต้องรับผิดต่อ บุคคลภายนอกเสมือนดังว่าเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดฉะนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สมรซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้ยินยอมให้ใช้ชื่อของตน ระคนเป็นชื่อของห้างหุ้นส่วนจํากัดศรีสมร สมรจึงต้องรับผิดในหนี้สินของห้างฯ เสมือนว่าตนเป็นหุ้นส่วนจําพวก ไม่จํากัดความรับผิดตามมาตรา 1082 วรรคแรก

และเมื่อห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้นเป็นหนี้เงินกู้ยืมสมหมายจํานวน 5 แสนบาท และสมรได้โอนหุ้น ของตนทั้งหมดให้ชมพู่และจดทะเบียนออกจากหุ้นส่วนไป พร้อมจดทะเบียนให้ชมพู่มาเป็นหุ้นส่วนแทนตนนั้น กรณีนี้แม้สมรจะได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนไปแล้ว แต่หนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่ได้เกิดขึ้นก่อนที่สมรจะได้ออกจาก หุ้นส่วนไป สมรจึงต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวด้วยตามมาตรา 1051 ประกอบมาตรา 1080 วรรคแรก และแม้ว่าต่อมา ห้างฯ จะได้เปลี่ยนชื่อเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัดศรีราชาพาณิชย์ก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าสมรได้ออกจาก ห้างหุ้นส่วนจํากัดไปยังไม่เกินสองปี ดังนั้นสมรจึงต้องรับผิดในหนี้เงินกู้รายนี้ซึ่งได้เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะได้ออกจาก การเป็นหุ้นส่วนไปตามมาตรา 1068 ประกอบมาตรา 1080 วรรคแรก เจ้าหนี้จึงสามารถฟ้องให้สมรรับผิดในหนี้ เงินกู้รายนี้ได้

สรุป เจ้าหนี้ฟ้องให้สมรรับผิดในหนี้เงินกู้รายนี้ได้

 

ข้อ 3. บริษัท นิติธรรม จํากัด ต้องการเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่จํานวน 50,000 หุ้น จึงเรียกผู้ถือหุ้นของบริษัท จํานวน 8 คน มาประชุมใหญ่รวมกันในวันที่ 31 มกราคม 2556 โดยส่งหนังสือเรียกประชุม ไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนทางไปรษณีย์ลงทะเบียน และประกาศโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่ฉบับหนึ่ง เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2556 ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่าคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ของบริษัทกระทําโดยขั้นตอนที่ถูกต้องครบถ้วน ตามที่กําหนดในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือไม่ จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1175 “คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ให้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่ อย่างน้อยหนึ่งคราวก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อ ในทะเบียนของบริษัทก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่เป็นคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติ พิเศษ ให้กระทําการดังว่านั้นก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน

คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่นั้น ให้ระบุสถานที่ วัน เวลา และสภาพแห่งกิจการที่จะได้ ประชุมปรึกษากัน และในกรณีที่เป็นคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษให้ระบุข้อความที่จะนําเสนอ ให้ลงมติด้วย”

มาตรา 1220 “บริษัทจํากัดอาจเพิ่มทุนของบริษัทขึ้นได้ด้วยออกหุ้นใหม่โดยมติพิเศษของ ประชุมผู้ถือหุ้น”

วินิจฉัย

โดยหลักกฎหมายมาตรา 1220 การเพิ่มทุนของบริษัทโดยการออกหุ้นใหม่นั้น จะต้องกระทํา โดยมติพิเศษของที่ประชุมผู้ถือหุ้น ดังนั้นคําบอกกล่าวเรียกประชุมผู้ถือหุ้นจึงต้องกระทําก่อนวันนัดประชุม ไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน และจะต้องทําตามขั้นตอนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1175 กล่าวคือต้องลงพิมพ์โฆษณา ในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราว และสั่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บริษัท นิติธรรม จํากัด ต้องการเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นใหม่ และได้ ส่งคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ในวันที่ 20 มกราคม 2556 เพื่อทําการประชุมในวันที่ 31 มกราคม 2556 จึงถือว่า ไม่ได้ส่งคําบอกกล่าวไม่น้อยกว่าสิบสี่วันก่อนวันนัดประชุม และในการส่งหนังสือเรียกประชุมทางไปรษณีย์ ก็ไม่ปรากฏว่าใช้วิธีส่งทางไปรษณีย์ตอบรับ แม้จะได้ทําการประกาศทางหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่แล้วก็ตาม ดังนั้นจึงถือได้ว่า คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ของบริษัทไม่ได้กระทําโดยถูกต้องครบถ้วนตามขั้นตอนที่กําหนด ไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

สรุป

คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ของบริษัทกระทําโดยไม่ถูกต้องครบถ้วนตามขั้นตอนที่ กําหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 1/2555

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. แดงตกลงเข้าหุ้นกับเหลืองโดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียนมีวัตถุประสงค์เปิดกิจการเดินรถยนต์โดยสาร แดงนํารถยนต์โดยสารปรับอากาศมาลงหุ้น จํานวน 10 คัน ส่วนเหลืองนําเงิน มาลงหุ้น จํานวน 10 ล้านบาท ทั้งสองคนมีข้อตกลงกันว่าจะคิดบัญชีกําไร-ขาดทุนกันทุกสิ้นเดือน ถ้ามีกําไรก็จะแบ่งกันคนละครึ่ง ถ้าขาดทุนก็จะรับผิดร่วมกันคนละครึ่ง และเมื่อเลิกห้างฯ กันแล้ว จะคืนรถยนต์โดยสารปรับอากาศให้กับนายแดงคืนเงิน 10 ล้านบาท ให้กับนายเหลือง ต่อมาแดง ถูกฟ้องคดีให้ชําระหนี้เงินกู้ จํานวน 10 ล้านบาท ที่กู้มาเพื่อซื้อรถยนต์โดยสารปรับอากาศที่นํามาลงหุ้น ดังกล่าว ศาลพิพากษาให้แดงชําระหนี้ดังกล่าว แต่แดงไม่มีเงินชําระ

ดังนี้ถามว่าถ้าห้างหุ้นส่วนสามัญ จดทะเบียนระหว่างแดงกับเหลืองยังไม่เลิกกัน เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาจะนําเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์ที่แดงนํามาลงหุ้นได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1072 “ถ้าห้างหุ้นส่วนซึ่งจดทะเบียนยังมิได้เลิกกันตราบใด เจ้าหนี้ของผู้เป็นหุ้นส่วนเฉพาะตัวย่อมใช้สิทธิได้แต่เพียงในผลกําไรหรือเงินซึ่งห้างหุ้นส่วนค้างชําระแก่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นเท่านั้น ถ้าห้างหุ้นส่วนนั้นเลิกกันแล้ว เจ้าหนี้ย่อมใช้สิทธิได้ตลอดจนถึงหุ้นของผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นอันมีในสินทรัพย์ของ ห้างหุ้นส่วน”

วินิจฉัย

ห้างหุ้นส่วนซึ่งได้จดทะเบียนแล้ว กฎหมายถือว่าเป็นนิติบุคคล มีสิทธิและหน้าที่แยก ต่างหากจากผู้เป็นหุ้นส่วน ทรัพย์สินที่ผู้เป็นหุ้นส่วนนํามาลงทุนจึงเป็นทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ดังนั้นตราบใดที่ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนยังมิได้เลิกกัน เจ้าหนี้เฉพาะตัวของผู้เป็นหุ้นส่วนจะใช้สิทธิได้แต่เพียงผลกําไร หรือเงินซึ่งห้างหุ้นส่วนค้างชําระแก่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นเท่านั้น ไม่มีสิทธิไปเรียกร้องเอาเงินหรือทรัพย์สินของผู้เป็น หุ้นส่วนที่ได้ไปลงทุนไว้ในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนนั้น (มาตรา 1072)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงได้นํารถยนต์โดยสารปรับอากาศมาลงหุ้นไว้ในห้างหุ้นส่วน สามัญจดทะเบียน จํานวน 10 คันนั้น รถยนต์ทั้ง 10 คันดังกล่าวถือว่าเป็นทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนแล้ว ดังนั้นเมื่อแดงถูกฟ้องคดีและถูกศาลพิพากษาให้แดงชําระหนี้แต่แดงไม่มีเงินชําระ และปรากฏข้อเท็จจริงว่าในขณะนั้น ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียนระหว่างแดงและเหลืองยังไม่เลิกกัน เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เฉพาะตัว ของแดงจึงไม่สามารถนําเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์ที่แดงนํามาลงหุ้นในห้างหุ้นส่วนนั้นได้

สรุป เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาจะนําเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์ที่แดงนํามาลงนั้นไม่ได้

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัดมาลาภรณ์พาณิชย์ มีนางมาลัยเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิด และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ นางจินตนาเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ห้างหุ้นส่วนจํากัดนี้มีวัตถุประสงค์ ค้าขายเครื่องหมายประดับยศข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ เปิดดําเนินกิจการมาได้หลายปีแล้ว ต่อมาขาดเงินสดหมุนเวียน นางมาลัยจึงได้มอบหมายให้นางจินตนาไปกู้ยืมเงินจากนางสาวสินใจ จํานวน 2 แสนบาท เพื่อนํามาใช้ในกิจการของห้างหุ้นส่วนจํากัด แต่ก่อนที่หนี้เงินกู้จะถึงกําหนด ชําระ นางจินตนาได้โอนหุ้นของตนในห้างหุ้นส่วนจํากัดมาลาภรณ์พาณิชย์ให้แก่นางสมหมาย และได้จดทะเบียนออกจากการเป็นหุ้นส่วน และนางสมหมายเข้าเป็นหุ้นส่วนแทนที่ เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2555 ต่อมาห้างหุ้นส่วนจํากัดไม่มีเงินชําระหนี้ให้แก่นางสาวสินใจ

ดังนี้ นางสาวสินใจจะเรียกร้องให้นางจินตนารับผิดร่วมกับนางมาลัยได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1051 “ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไปแล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป”

มาตรา 1068 “ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนนั้น ย่อมมีจํากัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน”

มาตรา 1080 วรรคแรก “บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญข้อใด ๆ หากมิได้ยกเว้นหรือ แก้ไขเปลี่ยนแปลงไปโดยบทบัญญัติแห่งหมวด 3 นี้ ท่านให้นํามาใช้บังคับแก่ห้างหุ้นส่วนจํากัดด้วย”

มาตรา 1088 วรรคแรก “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้อง จัดการงานของห้างหุ้นส่วน ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จํากัดจํานวน”

มาตรา 1095 วรรคแรก “ตราบใดห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้เลิกกัน ตราบนั้นเจ้าหนี้ของห้าง ย่อมไม่มีสิทธิจะฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1088 วรรคแรก กฎหมายได้บัญญัติไว้ว่า ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดผู้ใดได้สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจํากัด ผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นก็จะต้องรับผิดใน บรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จํากัดจํานวน และมีผลทําให้เจ้าหนี้ของห้างมีสิทธิที่จะฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วน จําพวกจํากัดความรับผิดคนนั้นได้ แม้ห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้นจะยังมิได้เลิกกัน (ซึ่งถือว่าเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 1095 วรรคแรก)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางจินตนาซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ได้ไปกู้ยืมเงิน มาใช้ในกิจการของห้างหุ้นส่วนจํากัดจากนางสาวสินใจตามที่ได้รับมอบหมายจากนางมาลัยซึ่งเป็นหุ้นส่วน ผู้จัดการ การกระทําของนางจินตนาถือว่าเป็นการสอดเข้ามาจัดการงานของห้างหุ้นส่วน ดังนั้นนางจินตนาจึง ต้องรับในหนี้สินของห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้นโดยไม่จํากัดจํานวนตามมาตรา 1088 วรรคแรก และนางสาวสินใจ สามารถฟ้องร้องให้นางจินตนารับผิดในหนี้ดังกล่าวได้ แม้ว่าห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้นจะยังมิได้เลิกกัน

และแม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า นางจินตนาได้โอนหุ้นของตนในห้างหุ้นส่วนจํากัดให้แก่ นางสมหมาย และได้จดทะเบียนออกจากการเป็นหุ้นส่วนไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อหนี้รายนี้เป็นหนี้ที่ได้เกิดขึ้นก่อนที่ นางจินตนาจะได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วน นางจินตนาก็จะต้องรับผิดในหนี้รายนี้ด้วย และต้องรับผิดเป็นเวลา 2 ปี นับแต่วันที่ได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนตามมาตรา 1051, 1068 ประกอบกับมาตรา 1080 วรรคแรก ดังนั้นเมื่อ หนี้รายนี้ถึงกําหนด แต่ห้างหุ้นส่วนจํากัดไม่มีเงินชําระหนี้ให้แก่นางสาวสินใจ นางสาวสินใจย่อมสามารถ เรียกร้องให้นางจินตนารับผิดในหนี้ดังกล่าวร่วมกับนางมาลัยได้ เพราะนางจินตนาได้ออกจากห้างหุ้นส่วนจํากัด ไปยังไม่เกิน 2 ปี

สรุป

นางสาวสินใจเรียกร้องให้นางจินตนารับผิดร่วมกับนางมาลัยได้

 

ข้อ 3. สมศักดิ์เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท สินเกษตร จํากัด ซึ่งมีวัตถุประสงค์ค้าขายปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืช อรทัยซึ่งเป็นภริยาของสมศักดิ์ได้เปิดร้านขายปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืชเช่นเดียวกัน โดยอรทัยได้ซื้อปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืชจากบริษัท สินเกษตร จํากัด มาจําหน่าย และบางครั้ง ก็ซื้อจากบริษัทอื่นมาจําหน่ายด้วย ปรีชากรรมการบริษัทอีกคนหนึ่งเห็นว่า อรทัยประกอบกิจการ เช่นเดียวกับกิจการของบริษัท และยังตั้งอยู่ในจังหวัดระยองเช่นเดียวกัน จึงกล่าวหาว่า สมศักดิ์ ประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการค้าของบริษัท และต้องการให้บริษัทเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน จากสมศักดิ์

ดังนี้ ถ้าสมศักดิ์มาปรึกษาท่านว่ากรณีดังกล่าวข้างต้นนี้ ข้ออ้างของปรีชาจะถูกต้องตามหลักกฎหมายหรือไม่ และสมศักดิ์จะต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัทหรือไม่ ให้ท่านแนะนําสมศักดิ์ด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1168 “ในอันที่จะประกอบกิจการของบริษัทนั้น กรรมการต้องใช้ความเอื้อเฟื้อสอดส่อง อย่างบุคคลค้าขายผู้ประกอบด้วยความระมัดระวัง

อนึ่ง ท่านห้ามมิให้ผู้เป็นกรรมการประกอบการค้าขายใด ๆ อันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับการค้าขายของบริษัทนั้น ไม่ว่าทําเพื่อประโยชน์ตนหรือประโยชน์ผู้อื่น หรือไปเข้าหุ้นส่วนไม่จํากัด ความรับผิดในห้างค้าขายอื่น ซึ่งประกอบกิจการมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันและแข่งขันกับกิจการของบริษัท โดย มิได้รับความยินยอมของที่ประชุมใหญ่ของผู้ถือหุ้น

บทบัญญัติที่กล่าวมาข้างบนนี้ให้ใช้บังคับตลอดถึงบุคคลซึ่งเป็นผู้แทนของกรรมการด้วย”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1168 วรรคสามและวรรคสี่ กฎหมายห้ามมิให้กรรมการและผู้แทนของ กรรมการประกอบการค้าขายใด ๆ อันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับการค้าขายของบริษัทนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่อรทัยซึ่งเป็นภริยาของสมศักดิ์ได้เปิดร้านปุ๋ยเคมีและยาปราบศัตรูพืช เช่นเดียวกับการประกอบกิจการค้าขายตามวัตถุประสงค์ของบริษัท สินเกษตร จํากัด และตั้งอยู่ในจังหวัดระยอง เช่นเดียวกันนั้น เมื่ออรทัยเป็นเพียงภริยาของสมศักดิ์ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทฯ และมิได้เป็นผู้แทนของสมศักดิ์ ดังนั้นจะถือว่าสมศักดิ์ซึ่งเป็นกรรมการของบริษัท ประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของบริษัทไม่ได้ เพราะ ตามมาตรา 1168 วรรคสามนั้น ห้ามเฉพาะกรรมการของบริษัทเท่านั้น มิได้ห้ามภริยาของกรรมการแต่อย่างใด อีกทั้งลักษณะของการกระทําการค้าขายของอรทัยก็เป็นการซื้อสินค้าจากบริษัทฯ มาจําหน่ายจึงเป็นการให้ประโยชน์ แก่บริษัทฯ มิใช่ประกอบกิจการแข่งขันกับบริษัทฯ

ดังนั้นการที่ปรีชากรรมการบริษัทอีกคนหนึ่ง กล่าวหาว่าสมศักดิ์ประกอบกิจการแข่งขันกับ กิจการค้าของบริษัท และต้องการให้บริษัทเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากสมศักดิ์นั้น ข้ออ้างของปรีชาจึงไม่ถูกต้อง ตามหลักกฎหมาย และสมศักดิ์ไม่ต้องใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัท

สรุป ถ้าสมศักดิ์มาปรึกษาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะให้คําแนะนําแก่สมศักดิ์ตามที่ได้อธิบายไว้ ดังกล่าวข้างต้น

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน S/2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. นายแดงตั้งโรงสีข้าวอยู่แล้ว นายเขียวและนายขาวชวนนายแดงให้เข้าหุ้นส่วนตั้งโรงสีข้าวอีกโรงสีหนึ่งนายแดงก็ตกลงแล้วจดทะเบียนให้นายเขียวเป็นผู้จัดการโรงสีข้าวของห้างหุ้นส่วนแต่ผู้เดียว ปรากฏต่อมาว่า โรงสีข้าวนายแดงขายดีส่วนโรงสีข้าวของห้างหุ้นส่วนขายไม่ดีถึงขาดทุนไป 1 ล้านบาท ดังนี้ ห้างหุ้นส่วนจะเรียกร้องแก่นายแดงได้อย่างไร หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1066 ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งคนใดในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนประกอบกิจการ อย่างหนึ่งอย่างใดอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้น ไม่ว่าทําเพื่อประโยชน์ตนหรือเพื่อประโยชน์ผู้อื่น หรือไปเข้าเป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนอื่น ซึ่งประกอบกิจการ อันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนนั้น เว้นไว้แต่จะได้รับคํายินยอม ของผู้เป็นหุ้นส่วนอื่นทั้งหมด

แต่ข้อห้ามเช่นว่ามานี้ ท่านว่าจะไม่พึงใช้ได้ ถ้าหากผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหลายได้รู้อยู่แล้วในเวลา เมื่อลงทะเบียนห้างหุ้นส่วนนั้นว่า ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งได้ทํากิจการหรือเข้าเป็นหุ้นส่วนอยู่ในห้างหุ้นส่วนอื่นอันมี วัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน และในสัญญาเข้าหุ้นส่วนที่ทําไว้ต่อกันนั้นก็ไม่ได้บังคับให้ถอนตัวออก”

มาตรา 1067 วรรคแรก “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดกระทําการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติในมาตรา ก่อนนี้ไซร้ ท่านว่าห้างหุ้นส่วนซึ่งจดทะเบียนนั้นชอบที่จะเรียกเอาผลกําไรอันผู้นั้นหาได้ทั้งหมด หรือเรียกเอา ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายซึ่งห้างหุ้นส่วนได้รับเพราะเหตุนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า นายแดงได้ประกอบกิจการอันมีสภาพเป็น อย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียนอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1066 หรือไม่ เห็นว่า การที่นายแดงได้ตั้งโรงสีข้าวอยู่ก่อนแล้ว เมื่อนายเขียวและนายขาวได้ชวนนายแดงให้เข้าหุ้นส่วนตั้งโรงสีข้าว อีกโรงสีหนึ่งซึ่งนายแดงได้ตกลงและได้จดทะเบียนให้นายเขียวเป็นผู้จัดการนั้น จะเห็นได้ว่าแม้นายแดงจะยังคง ประกอบกิจการโรงสีข้าวของตนต่อไปซึ่งเป็นกิจการอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันกับกิจการของห้างหุ้นส่วน แต่เมื่อ นายเขียวและนายขาวผู้เป็นหุ้นส่วนก็รู้อยู่แล้วว่านายแดงได้ตั้งโรงสีข้าวอยู่ก่อนแล้ว และในสัญญาจัดตั้ง ห้างหุ้นส่วนนั้นก็ไม่ได้บังคับให้นายแดงเลิกกิจการ ดังนั้น จะถือว่าการกระทําของนายแดงเป็นการประกอบกิจการ แข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนไม่ได้ตามมาตรา 1066 วรรคสอง

และเมื่อไม่ถือว่านายแดงได้กระทําการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1066 วรรคแรก ดังนั้น ห้างหุ้นส่วนจะใช้สิทธิตามมาตรา 1067 วรรคแรก เพื่อเรียกร้องเอาผลกําไรหรือเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนใด ๆ แก่นายแดงไม่ได้เลย

สรุป ห้างหุ้นส่วนจะเรียกร้องแก่นายแดงเพื่อเรียกเอาผลกําไรที่นายแดงหาได้ทั้งหมด หรือ เรียกเอาค่าสินไหมทดแทนใด ๆ ไม่ได้เลย

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัดเอบี เอ็นจิเนียริง มีนายเอและนายบีเป็นหุ้นส่วนกัน 2 คน โดยนายบีเป็นหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดไว้ 25,000 บาท แต่ได้ส่งเงินไปแล้ว 15,000 บาท ต่อมา ห้างหุ้นส่วนจํากัด เอบี เอ็นจิเนียริง นั้น เป็นหนี้นายซี 100,000 บาท ดังนี้ นายชีจะฟ้องนายเอและนายบีให้ใช้หนี้ของห้างหุ้นส่วนจํากัด ได้อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1081 “ห้ามมิให้เอาชื่อของผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดมาเรียกขานระคน เป็นชื่อห้าง”

มาตรา 1082 วรรคแรก “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดคนใดยินยอมโดยแสดง ออกชัดหรือโดยปริยายให้ใช้ชื่อของตนระคนเป็นชื่อห้างไซร้ ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคล ภายนอกเสมือนดังว่าเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดฉะนั้น”

มาตรา 1095 “ตราบใดห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้เลิกกัน ตราบนั้นเจ้าหนี้ของห้างย่อมไม่มีสิทธิ จะฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้

แต่เมื่อห้างหุ้นส่วนนั้นได้เลิกกันแล้ว เจ้าหนี้ของห้างมีสิทธิฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัด ความรับผิดได้เพียงจํานวนดังนี้ คือ…”

วินิจฉัย

โดยหลักตามมาตรา 1095 วรรคแรก ถ้าห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้เลิกกัน เจ้าหนี้ของ ห้างหุ้นส่วนจํากัด จะฟ้องหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดไม่ได้ จะฟ้องได้ก็แต่เฉพาะหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัด ความรับผิดเท่านั้น เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นบางกรณีที่เจ้าหนี้สามารถฟ้องหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้แม้ ห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้นจะยังมิได้เลิกกัน เช่น กรณีที่หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้ยินยอมให้ใช้ชื่อตนเรียกขาน ระคนเป็นชื่อห้าง เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายบีซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ได้ฝ่าฝืนบทบัญญัติ มาตรา 1081 โดยยินยอมให้ใช้ชื่อของตนเรียกขานระคนเป็นชื่อห้าง ดังนั้น นายบีจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก เสมือนเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดตามมาตรา 1082 วรรคแรก และอาจถูกเจ้าหนี้ฟ้องได้ แม้ ห้างหุ้นส่วนจํากัดเอบี เอ็นจิเนียริง ยังมิได้เลิกกัน

ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ เมื่อห้างหุ้นส่วนจํากัดเอบี เอ็นจิเนียริง เป็นหนี้นายซี 100,000 บาท นายซีย่อมสามารถฟ้องนายเอหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิด และนายบีซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ให้ร่วมกันชําระหนี้ทั้งหมดให้แก่ตนได้ โดยจะฟ้องเฉพาะนายเอหรือนายบีคนหนึ่งคนใดหรือฟ้องทั้งสองคนให้ร่วมกัน รับผิดในจํานวนหนี้ทั้งหมดก็ได้

สรุป นายซีสามารถฟ้องนายเอและนายบีให้ใช้หนี้ของห้างหุ้นส่วนจํากัดจํานวน 100,000 บาท แก่ตนได้

 

ข้อ 3. บริษัท เอบีซี จํากัด จัดตั้งขึ้นเมื่อ 2555 มีทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท มีมูลค่าหุ้นละ 100 บาท มีนายหนึ่งและนายสองเป็นกรรมการ ต่อมาในเดือนมีนาคม 2555 บริษัทฯ มีเงินทุนเหลือเพราะ ล้มเลิกโครงการบางโครงการของบริษัทฯ ลง บรรดาผู้ถือหุ้นประสงค์ลดทุนของบริษัทฯ ให้น้อยลง ผู้ถือหุ้นจึงได้ประชุมกันเพื่อลงมติให้บริษัทฯ ลดมูลค่าของหุ้นลงเหลือหุ้นละ 50 บาท

ให้วินิจฉัยว่า บริษัทฯ จะต้องทําประการใด การกระทําดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1194 “การใดที่กฎหมายกําหนดให้ต้องทําโดยมติพิเศษ ที่ประชุมใหญ่ต้องลงมติใน เรื่องนั้นโดยคะแนนเสียงข้างมากไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจํานวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุม และมีสิทธิ ออกเสียงลงคะแนน”

มาตรา 1195 “การประชุมใหญ่นั้นถ้าได้นัดเรียกหรือได้ประชุมกัน หรือได้ลงมติฝ่าฝืนบทบัญญัติ ในลักษณะนี้ก็ดี หรือฝ่าฝืนข้อบังคับของบริษัทก็ดี เมื่อกรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดร้องขึ้นแล้ว ให้ศาลเพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบนั้นเสีย แต่ต้องร้องขอภายในกําหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันลงมตินั้น”

มาตรา 1224 “บริษัทจํากัดจะลดทุนของบริษัทลงด้วยลดมูลค่าแต่ละหุ้นให้ต่ำลง หรือลด จํานวนหุ้นให้น้อยลงโดยมติพิเศษของที่ประชุมผู้ถือหุ้นก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่บรรดาผู้ถือหุ้นของบริษัท เอบีซี จํากัด ประสงค์จะลดทุนของบริษัทฯ ให้น้อยลง โดยให้ลดมูลค่าของหุ้นลงเหลือหุ้นละ 50 บาทนั้น การกระทําดังกล่าวคือการลดทุนโดยการลดมูลค่า ของหุ้นให้ต่ำลงนั้นเป็นการกระทําที่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการลดทุนของบริษัทฯ นั้นตามกฎหมายสามารถ ลดได้ 2 วิธี คือ อาจจะลดมูลค่าของหุ้นให้ต่ำลง หรืออาจจะลดจํานวนหุ้นให้น้อยลงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ตาม มาตรา 1224

แต่อย่างไรก็ดี การที่บริษัทฯ จะลดทุนของบริษัทฯ ลงไม่ว่าโดยวิธีใดก็ตาม บริษัทฯ จะต้อง ดําเนินการโดยการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น และให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติเพื่อให้มีการลดทุน และมตินั้นจะต้อง เป็นมติพิเศษ กล่าวคือ ต้องให้ที่ประชุมใหญ่นั้นลงมติให้มีการลดทุนด้วยคะแนนเสียงข้างมากไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 ของจํานวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุม และมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน (ตามมาตรา 1194 และมาตรา 1224) ถ้าที่ประชุมใหญ่ได้ลงมติให้บริษัทฯ ลดทุนโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น ย่อมถือว่ามติให้มีการลดทุนนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งกรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนใดคนหนึ่งอาจร้องขอให้ศาลเพิกถอนมตินั้นได้ (ตามมาตรา 1195)

สรุป การที่บริษัทฯ ได้ลดทุนลงโดยการลดมูลค่าของหุ้นเหลือหุ้นละ 50 บาท นั้นชอบด้วย กฎหมาย แต่การลดทุนนั้น บริษัทฯ จะต้องใช้มติพิเศษของที่ประชุมผู้ถือหุ้นตามมาตรา 1194 ประกอบมาตรา 1224 ดังกล่าวข้างต้น

 

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 2/2554

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2554

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ

ข้อ 1. จันทร์และอังคารตกลงเข้าหุ้นส่วนกัน โดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล (จดทะเบียน) มีวัตถุประสงค์เป็นสถานเสริมความงามและลดความอ้วน โดยลงหุ้นด้วยเงินคนละ 5 ล้านบาท มีจันทร์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ กิจการมีกําไรดีทุกปี ต่อมาพุธซึ่งเป็นเพื่อนของอังคารได้มาชักชวนอังคารร่วมหุ้นกับตนด้วย โดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด มีอังคารเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ลงหุ้น 3 ล้านบาท และพุธเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิด และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการด้วย ห้างหุ้นส่วนจํากัดระหว่างพุธและอังคารนี้ก็มีวัตถุประสงค์เป็นสถานเสริมความงามและลดความอ้วน เช่นเดียวกัน และยังได้ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงกันกับห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลที่จันทร์และอังคาร เข้าหุ้นกันอีกด้วย เป็นเหตุให้รายได้ของห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลลดลงไปมาก จันทร์จึงกล่าวหาอังคารว่า ไปร่วมหุ้นกับบุคคลอื่นประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนสามัญ เป็นเหตุให้ห้างหุ้นส่วนสามัญระหว่างตนกับอังคารมีกําไรลดลง ห้างหุ้นส่วนสามัญจึงมีสิทธิเรียกเอาผลกําไร จากอังคารได้ อังคารจึงมาปรึกษาท่านว่า ข้ออ้างของจันทร์ดังกล่าวรับฟังได้หรือไม่ ให้ท่านแนะนํา อังคารด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1066 “ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งคนใดในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนประกอบกิจการ อย่างหนึ่งอย่างใดอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้น ไม่ว่าทําเพื่อประโยชน์ตนหรือเพื่อประโยชน์ผู้อื่น หรือไปเข้าเป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนอื่น ซึ่งประกอบกิจการ อันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนนั้น เว้นไว้แต่จะได้รับคํายินยอม ของผู้เป็นหุ้นส่วนอื่นทั้งหมด

แต่ข้อห้ามเช่นว่ามานี้ ท่านว่าจะไม่พึงใช้ได้ ถ้าหากผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหลายได้รู้อยู่แล้วในเวลา เมื่อลงทะเบียนห้างหุ้นส่วนนั้นว่า ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งได้ทํากิจการหรือเข้าเป็นหุ้นส่วนอยู่ในห้างหุ้นส่วนอื่นอันมี วัตถุประสงค์อย่างเดียวกัน และในสัญญาเข้าหุ้นส่วนที่ทําไว้ต่อกันนั้นก็ไม่ได้บังคับให้ถอนตัวออก”

มาตรา 1067 วรรคแรก “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดกระทําการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติในมาตรา ก่อนนี้ไซร้ ท่านว่าห้างหุ้นส่วนซึ่งจดทะเบียนนั้นชอบที่จะเรียกเอาผลกําไรอันผู้นั้นหาได้ทั้งหมด หรือเรียกเอา ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายซึ่งห้างหุ้นส่วนได้รับเพราะเหตุนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า อังคารได้กระทําการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1066 หรือไม่ ซึ่งตามมาตรา 1066 นั้น ได้ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนประกอบกิจการอย่างใดอย่างหนึ่ง อันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้น หรือเข้าไปเป็นหุ้นส่วนไม่จํากัด ความรับผิดในห้างหุ้นส่วนอื่นซึ่งประกอบกิจการอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของ ห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนนั้น

แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า อังคารไม่ได้ประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของห้างฯ แต่อย่างใด เพียงแต่อังคารได้เข้าไปเป็นหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจํากัดอื่นเท่านั้น ดังนี้ แม้ว่าห้างหุ้นส่วนจํากัด อื่นนั้นจะประกอบกิจการอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนเดิมที่อังคาร เป็นหุ้นส่วนอยู่ก็ตาม ก็ไม่ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามมาตรา 1066 เพราะไม่ได้เข้าไปเป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด ดังนั้นการที่จันทร์กล่าวหาอังคารว่าไปร่วมหุ้นกับบุคคลอื่นประกอบกิจการแข่งขันกับกิจการของ ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ทําให้ห้างฯ มีสิทธิเรียกเอาผลกําไรจากอังคารได้นั้น ข้ออ้างของจันทร์รับฟังไม่ได้

สรุป ข้าพเจ้าจะแนะนําอังคารว่าข้ออ้างของจันทร์รับฟังไม่ได้ ตามเหตุผลและหลักกฎหมาย ดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัดแสงโสมก่อสร้าง มีนายแสงเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ นางโสมเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ห้างหุ้นส่วนจํากัดนี้มีวัตถุประสงค์ รับเหมาก่อสร้างดําเนินกิจการมาได้ 10 ปีเศษ นางโสมก็โอนหุ้นของตนทั้งหมดให้นางสาวสายพิณ ซึ่งเป็นบุตรสาว โดยนายแสงไม่ขัดข้อง และได้จดทะเบียนออกจากการเป็นหุ้นส่วนไปเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2555 ต่อมาเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2555 ห้างหุ้นส่วนจํากัดผิดนัดชําระหนี้ค่าวัสดุก่อสร้าง จํานวน 2 ล้านบาท เจ้าหนี้จึงทวงถามให้นายแสงชําระหนี้ แต่นายแสงไม่มีเงินชําระเจ้าหนี้รายนี้ จึงมาปรึกษาท่านว่า จะเรียกร้องให้นางโสมรับผิดชอบในหนี้ดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะหนี้สินดังกล่าว ได้เกิดขึ้นขณะที่นางโสมยังเป็นหุ้นส่วนอยู่ และเพิ่งจะครบกําหนดชําระเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2555 นี้เอง ให้ท่านแนะนําเจ้าหนี้รายนี้ด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1051 “ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไปแล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป”

มาตรา 1068 “ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่ง ห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนนั้น ย่อมมีจํากัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน”

มาตรา 1080 วรรคแรก “บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญข้อใด ๆ หากมิได้ยกเว้นหรือ แก้ไขเปลี่ยนแปลงไปโดยบทบัญญัติแห่งหมวด 3 นี้ ท่านให้นํามาใช้บังคับแก่ห้างหุ้นส่วนจํากัดด้วย”

มาตรา 1082 วรรคแรก “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดคนใดยินยอมโดยแสดงออกชัด หรือโดยปริยายให้ใช้ชื่อของตนระคนเป็นชื่อห้างไซร้ ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก เสมือนดังว่าเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดฉะนั้น”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นางโสมซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้ยินยอมให้ใช้ชื่อของ ตนเองระคนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วนจํากัดแสงโสมก่อสร้าง นางโสมจึงต้องรับผิดในหนี้สินของห้างฯ เสมือนว่าตนเป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดตามมาตรา 1082 วรรคแรก

และแม้ว่านางโสมได้โอนหุ้นทั้งหมดของตนให้บุตรสาวไปแล้วและได้จดทะเบียนออกจากห้างฯ ไปแล้วก็ตาม นางโสมก็จะต้องรับผิดในหนี้ของห้างฯ ที่เกิดขึ้นก่อนที่นางโสมจะได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนไปด้วย ตามมาตรา 1051 ประกอบกับมาตรา 1080 วรรคแรก อีกทั้งตามข้อเท็จจริงก็ปรากฏว่า นางโสมได้ออกจากห้างหุ้นส่วน ไปยังไม่เกินกําหนด 2 ปี ดังนั้นนางโสมจึงยังคงต้องรับผิดในหนี้จํานวน 2 ล้านบาทนั้นตามมาตรา 1068 ประกอบมาตรา 1080 วรรคแรก

สรุป ข้าพเจ้าจะแนะนําเจ้าหนี้รายนี้ว่า สามารถเรียกร้องให้นางโสมรับผิดชอบในหนี้ดังกล่าวได้

 

ข้อ 3. บริษัท แสงเพชร จํากัด มีทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท มีนายแสงถือหุ้นจํานวน 1,000 หุ้น นางสมถือ 400 หุ้น นางสาวสายสมรถือ 300 หุ้น นายสมชายถือ 100 หุ้น และนางสมพรถือไว้ 200 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1,000 บาท นายแสงประธานกรรมการได้นัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อเพิ่มทุนของบริษัท โดยได้มีการส่งคําบอกกล่าวนัดประชุมถูกต้องตามหลักกฎหมายทุกประการ ปรากฏว่า เมื่อถึง วันนัดประชุมมีนายแสง และนางสาวสมพร สองคนเท่านั้นมาประชุม ส่วนผู้ถือหุ้นรายอื่นไม่ได้ มาประชุมและมิได้มอบฉันทะให้บุคคลอื่นเข้าประชุมแทนด้วย ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า การประชุมครั้งนี้ครบองค์ประชุมหรือไม่ และการลงมติจะต้องลงมติอย่างไร จึงจะเพิ่มทุนได้

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1178 “ในการประชุมใหญ่ ถ้าไม่มีผู้ถือหุ้นมาเข้าประชุมรวมกันแทนหุ้นได้ถึงจํานวน หนึ่งในสี่แห่งทุนของบริษัทเป็นอย่างน้อยแล้ว ท่านว่าที่ประชุมอันนั้นจะปรึกษากิจการอันใดหาได้ไม่”

มาตรา 1194 “การใดที่กฎหมายกําหนดให้ต้องทําโดยมติพิเศษ ที่ประชุมใหญ่ต้องลงมติใน เรื่องนั้นโดยคะแนนเสียงข้างมากไม่ต่ำกว่าสามในสี่ของจํานวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิ ออกเสียงลงคะแนน

มาตรา 1220 “บริษัทจํากัดอาจเพิ่มทุนของบริษัทขึ้นได้ด้วยออกหุ้นใหม่โดยมติพิเศษของประชุมผู้ถือหุ้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยออกเป็น 2 กรณี คือ

กรณีแรก การประชุมของผู้ถือหุ้นครั้งนี้ครบองค์ประชุมหรือไม่

ตามมาตรา 1178 ได้กําหนดไว้ว่า ในการประชุมใหญ่ของบริษัทนั้น จะต้องมีผู้ถือหุ้นเข้าประชุม รวมกันแทนหุ้นได้ถึงจํานวนหนึ่งในสี่แห่งทุนของบริษัทเป็นอย่างน้อยจึงจะถือว่าครบองค์ประชุม

ตามอุทาหรณ์ เมื่อหุ้นทั้งหมดของบริษัท แสงเพชร จํากัด มีจํานวน 2,000 หุ้น ดังนั้น 1 ใน 4 ของทุนของบริษัท คือ 1 ใน 4 ของจํานวนหุ้นทั้งหมดซึ่งก็คือจํานวนหุ้น 500 หุ้น เมื่อผู้ถือหุ้นที่เข้าประชุม คือ นายแสง ซึ่งถือหุ้นจํานวน 1,000 หุ้น และนางสาวสมพรซึ่งถือหุ้นจํานวน 200 หุ้น รวมกันแล้วได้ 1,200 หุ้น ซึ่งมากกว่า 1 ใน 4 ของจํานวนหุ้นทั้งหมด คือ 500 หุ้น จึงถือว่ามีผู้ถือหุ้นเข้าประชุมครบองค์ประชุมและสามารถประชุมกันได้

กรณีที่สอง การลงมติเพื่อการเพิ่มทุนของบริษัทต้องลงมติอย่างไร

ตามมาตรา 1220 ประกอบมาตรา 1194 ได้กําหนดว่า บริษัทจะเพิ่มทุนของบริษัทได้ก็ต้องมี มติพิเศษของที่ประชุมผู้ถือหุ้น และมติพิเศษนั้นต้องเป็นมติโดยคะแนนเสียงข้างมากไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 ของ จํานวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน

ดังนั้นในการลงมติเพื่อให้มีการเพิ่มทุนของบริษัทจะต้องได้คะแนนเสียงไม่ต่ำกว่า 3 ใน 4 ของ จํานวนหุ้นทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่เข้าประชุมคือต้องไม่ต่ำกว่า 900 หุ้น (1,200 x 4) จึงจะเพิ่มทุนได้

สรุป การประชุมของบริษัทครั้งนี้ครบองค์ประชุม และการลงมติจะต้องลงมติด้วยคะแนนเสียง ไม่ต่ำกว่า 900 หุ้น จึงจะเพิ่มทุนได้

LAW2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวเงิน บัญชีเดินสะพัด S/2561

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตัวเงิน บัญชีเดินสะพัด

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้าน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. (ก) การโอนเช็คนั้นต้องทําอย่างไรจึงจะถูกต้องตามกฎหมายตั๋วเงิน

(ข) เอกลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคารอ่างทอง ชําระหนี้โทโดยระบุชื่อโทเป็นผู้รับเงิน และได้ขีดฆ่าคําว่า “ หรือผู้ถือ” ออก โทสลักหลังชําระหนี้ตรีระบุชื่อตรีเป็นผู้รับประโยชน์ ต่อมาตรี สลักหลังลอยและส่งมอบเช็คดังกล่าวชําระหนี้ให้แก่จัตวา ต่อมาจัตวาได้นําเช็คไปส่งมอบ ชําระหนี้ให้กับบ้านไร่ เมื่อถึงวันที่ที่ลงในเช็ค บ้านไร่นําเช็คไปเบิกเงินจากธนาคาร แต่ธนาคาร ไม่ยอมจ่ายเงินโดยอ้างว่าบ้านไร่ได้รับโอนเช็คมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้ออ้างของธนาคารอ่างทองถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

(ก) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 99 ได้บัญญัติให้นําวิธีการในการโอนตั๋วแลกเงินตามมาตรา 917 ถึงมาตรา 920 มาใช้กับการโอนเช็คด้วย ดังนั้น ในการโอนเช็คเพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายตั๋วเงินจึงต้องปฏิบัติดังนี้ คือ

1 ถ้าเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ (ผู้รับเงิน) การโอนจะต้องกระทําโดยการสลักหลังและส่งมอบ (มาตรา 917 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง) จะโอนโดยการส่งมอบเพียงอย่างเดียวไม่ได้

“การสลักหลัง” คือ การที่ผู้สลักหลัง (ผู้โอน) ได้เขียนข้อความและลงลายมือชื่อของตนไว้ ในเช็ค โดยอาจจะเป็นการสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หรืออาจเป็นการสลักหลังลอยก็ได้ (มาตรา 919 ประกอบ มาตรา 989 วรรคหนึ่ง)

(1) การสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หมายถึง การสลักหลังที่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง (ผู้รับโอน) ไว้ด้วย โดยอาจจะกระทําที่ด้านหน้าหรือด้านหลังของเซ็คก็ได้

(2) การสลักหลังลอย หมายถึง การสลักหลังที่ไม่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง (ผู้รับโอน) ไว้ เพียงแต่ผู้สลักหลังได้ลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหลังของเช็คเท่านั้น

อนึ่ง ในการสลักหงโอนเช็คนั้น ในกรณีที่เป็นการสลักหลังเฉพาะ (สลักหลังระบุชื่อ) ถ้าผู้ทรง จะโอนเช็คนั้นต่อไปก็สามารถโอนได้แต่จะต้องโอนโดยการสลักหลังและส่งมอบเท่านั้น โดยอาจจะสลักหลังเฉพาะ หรือสลักหลังลอยก็ได้ จะโอนโดยการส่ มอบแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้

แต่ถ้าในการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงินนั้น เป็นการสลักหลังลอย ดังนี้ผู้ทรงซึ่งได้เช็คนั้นมาจากการสลักหลังลอย ย่อมสามารถโอนเช็คนั้นต่อไปได้โดยการสลักหลังและส่งมอบหรืออาจจะโอนเช็คนั้นต่อไปโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวก็ได้ (มาตรา 920 ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง)

2 ถ้าเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ การโอนเช็คชนิดนี้ย่อมสามารถกระทําได้โดยการส่งมอบ แต่เพียงอย่างเดียวไม่ต้องสลักหลัง การโอนก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย (มาตรา 918 ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง)

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 917 วรรคหนึ่ง อันตั๋วแลกเงินทุกฉบับ ถึงแม้ว่าจะมิใช่สั่งจ่ายให้แก่บุคคลเพื่อเขาสั่งก็ตาม ท่านว่าย่อมโอนให้กันได้ด้วยสลักหลังและส่งมอบ

มาตรา 919 “คําสลักหลังนั้นต้องเขียนลงในตั๋วแลกเงินหรือใบประจําต่อ และต้องลงลายมือชื่อ ผู้สลักหลัง

การสลักหลังย่อมสมบูรณ์แม้ทั้งมิได้ระบุชื่อผู้รับประโยชน์ไว้ด้วย หรือแม้ผู้สลักหลังจะมิได้กระทํา อะไรยิ่งไปกว่าลงลายมือชื่อของตนที่ด้านหลังตั๋วแลกเงินหรือที่ใบประจําต่อ ก็ย่อมฟังเป็นสมบูรณ์ดุจกัน การสลักหลัง เช่นนี้ท่านเรียกว่า “สลักหลังลอย” ”

มาตรา 920 วรรคสอง “ถ้าสลักหลังลอย ผู้ทรงจะปฏิบัติดังกล่าวต่อไปนี้ประการหนึ่งประการใด ก็ได้ คือ

(3) โอนตั๋วเงินนั้นไปให้แก่บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกความลงในที่ว่าง และไม่สลักหลังอย่างหนึ่ง อย่างใด”

มาตรา 989 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 910, 914 ถึง 923.”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่เอก ออกเช็คชําระหนี้แก่โท โดยระบุชื่อโทเป็นผู้รับเงินและได้ขีดฆ่าคําว่า หรือผู้ถือออกนั้น ถือว่าเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ ดังนั้นถ้าจะมีการโอนเช็คฉบับนี้ต่อไป การโอนจะถูกต้องตามกฎหมายก็จะต้องมีการสลักหลังและส่งมอบ โดยอาจจะเป็นการสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หรือสลักหลังลอย ก็ได้ (มาตรา 917 วรรคหนึ่ง และมาตรา 919 ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง) ดังนั้นเมื่อโทสลักหลังโดยระบุชื่อ ตรีเป็นผู้รับประโยชน์ และตรีได้สลักหล้ สอยและส่งมอบให้แก่จัตวา การโอนเช็คระหว่างโทกับตรี และระหว่าง ตรีกับจัตวาย่อมเป็นการโอนที่ถูกต้องตามกฎหมาย

และเมื่อเช็คนั้นได้ตกอยู่ในความครอบครองของจัตวา ซึ่งเป็นผู้ทรงที่ได้รับเช็คมาจากการสลักหลังลอยของตรี จัตวาย่อมมีสิทธิตามมาตรา 920 (3) ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง คือสามารถโอนเช็คนั้นต่อไปได้ โดยไม่ต้องสลักหลังแต่อย่างหนึ่งอย่างใด ดังนั้นเมื่อจัตวาส่งมอบเช็คให้แก่บ้านไร่ การโอนเช็คของจัตวาให้แก่ บ้านไร่จึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย และถือว่าบ้านไร่เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะได้รับโอนเช็คมา โดยถูกต้องตามวิธีการที่กฎหมายได้กําหนดไว้ และบ้านไร่ย่อมมีสิทธินําเช็คไปยื่นให้ธนาคารอ่างทองจ่ายเงินได้ เมื่อถึงวันที่ที่ลงในเช็ค การที่ธนาคารอ่างทองไม่ยอมจ่ายเงินโดยอ้างว่าบ้านไร่ได้รับโอนเช็คโดยไม่ชอบด้วย กฎหมายนั้น ข้ออ้างของธนาคารอ่างทองจึงไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

สรุป

ข้ออ้างของธนาคารอ่างทองไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ตามเหตุผลดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 2. มั่นออกตั๋วแลกเงินฉบับหนึ่งสั่งแม้นเป็นผู้จ่ายเงินตามจํานวนค่าสินค้า โดยมีมิ่งผู้เป็นนายจ้างบอกมั่นว่ายินดีเป็นผู้ค้ำประกันแม้น ถ้าแม้นไม่ชําระราคาสินค้านั้น มิ่งและแม้นต่างได้ลงลายมือชื่อตน แต่เพียงอย่างเดียวไว้ด้านหน้าตั๋วแลกเงิน มั่นจึงได้นําตั๋วแลกเงินฉบับนี้ยื่นชําระให้แก่หมอกหรือ ผู้ถือ เมื่อถึงกําหนดใช้เงิน หมอกนําตั๋วแลกเงินดังกล่าวไปทวงถามจากแม้น ปรากฏว่าแม้นไม่มีเงินใช้ตามตั๋ว จึงเป็นผู้ต้องรับผิดในฐานะผู้รับรองตั๋วเงิน และหมอกได้ทําคําคัดค้านโดยชอบด้วย กฎหมายแล้ว จงวินิจฉัยว่า มั่นและมิ่งต้องรับผิดต่อหมอกในฐานะลูกหนี้ตามตั๋วแลกเงินอย่างไรบ้าง จงอธิบาย ตามหลักกฎหมายว่าด้วยตั๋วเงิน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความ ในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 914 “บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า เมื่อตัวนั้นได้นํายื่น โดยซอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตาม เนื้อความแห่งตั๋ว ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงิน ตามตั๋วนั้น ถ้าหากว่าได้ทําถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว”

มาตรา 939 วรรคสามเละวรรคสี่ “อนึ่งเพียงเเต่ลงลายมือชื่อของผู้รับอาวัลในด้านหน้าแห่งตั๋วเงิน ท่านก็จัดว่าเป็นคํารับอาวัลแล้ว เว้นแต่ในกรณีที่เป็นลายมือชื่อของผู้จ่ายหรือผู้สั่งจ่าย

ในคํารับอาวัลต้องระบุว่ารับประกันผู้ใด หากมิได้ระบุ ท่านให้ถือว่ารับประกันผู้สั่งจ่าย” มาตรา 940 วรรคหนึ่ง “ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่มั่นออกตั๋วแลกเงินสั่งให้แม้นเป็นผู้จ่ายเงินให้แก่หมอกหรือผู้ถือ โดยมีมิ่งและแม้น ต่างได้ลงลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหน้าตั๋วแลกเงินนั้น แม้ว่าแม้นจะได้ลงแต่ลายมือชื่อของตนแต่เพียงอย่างเดียว ตามกฎหมายถือว่าแม้นเป็นผู้ซึ่งได้รับรองตั๋วแลกเงินนั้นแล้ว ดังนั้นเมื่อถึงกําหนดในการใช้เงินตามตั๋วและหมอก ได้นําตั๋วแลกเงินไปยื่นให้แม้นใช้เงินแต่แม้นไม่ใช้เงินตามตัว แม้นจึงต้องรับผิดในฐานะผู้รับรองตั๋วแลกเงิน ส่วนมั่นและมิ่งจะต้องรับผิดต่อหมอกในฐานะลูกหนี้ตามตั๋วแลกเงินอย่างไรบ้างนั้น แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีของมั่น เมื่อมั่นได้ออกตั๋วแลกเงินเพื่อสั่งให้แม้นจ่ายเงินให้แก่หมอกหรือผู้ถือ และได้ลงลายมือชื่อไว้ด้านหน้าตั๋วแลกเงิน ดังนั้น มั่นจึงต้องรับผิดต่อหมอกในฐานะผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 914

กรณีของมิ่ง การที่ยมิ่งซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้แสดงเจตนาผูกพันตนเข้าค้ำประกันการชําระหนี้ โดยเป็นผู้ค้ำประกันแม้นนั้น เมื่อมิ่งได้ลงแต่ลายมือชื่อไว้ที่ด้านหน้าตั๋วแลกเงินแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้ระบุว่า อาวัลผู้ใด ตามกฎหมายให้ถือว่ามิ่งได้ลงลายมือชื่อไว้ในฐานะผู้รับอาวัล และให้ถือว่าเป็นการรับอาวัลมั่นผู้สั่งจ่าย (ตามมาตรา 939 วรรคสามและวรรคสี่ ดังนั้น มิ่งจึงต้องรับผิดต่อหมอกในฐานะผู้รับอาวัลมั่นผู้สั่งจ่าย มิใช่ ในฐานะผู้รับอาวัลแม้น และต้องรับผิดเป็นอย่างเดียวกันกับมั่นตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 940 วรรคหนึ่ง

สรุป

มั่นต้องรับผิดต่อหมอกในฐานะผู้สั่งจ่าย ส่วนมิ่งต้องรับผิดต่อหมอกในฐานะผู้รับอาวัลมั่น

 

ข้อ 3. (ก) การเเก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อความในตั๋วเงินจะมีผลทางกฎหมายอย่างไร จงอธิบาย

(ข) ข้อเท็จจริงได้ความว่าเช็คพิพาทมีการแก้ไขจํานวนเงินโดยผู้สลักหลังคนหนึ่ง ซึ่งเป็นการแก้ไขที่เห็นได้อย่างชัดเจน ต่อมาธนาคารผู้จ่ายได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นโดยให้เหตุผลว่า เงินในบัญชีของผู้สั่งจ่ายมีไม่พอจ่าย ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายแห่งเช็คนั้นจะสามารถบังคับไล่เบี้ยคู่สัญญาแห่งเช็คนั้นได้เพียงใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

(ก) การแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อความในตั๋วเงินจะมีผลทางกฎหมายนั้น จะต้องเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ข้อความในข้อสําคัญ (มาตรา 1007) คือจะต้องเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความซึ่งเป็นสาระสําคัญ ซึ่งเมื่อมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแล้วจะทําให้ผลของตั๋วเงิน สิทธิและหน้าที่ตลอดจนความรับผิดของคู่สัญญาในตั๋วเงินนั้น เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

การแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในข้อสําคัญ เช่น แก้ไขเปลี่ยนแปลงใด ๆ แก่วันที่ลง จํานวนเงิน อันจะพึงใช้ เวลาใช้เงิน สถานที่ใช้เงิน กับทั้งเมื่อตั๋วเงินเขารับรองไว้ทั่วไปไม่เจาะจงสถานที่ใช้เงินไปเติมความ ระบุสถานที่ใช้เงินเข้าโดยที่ผู้รับรองมิได้ ยินยอมด้วย (มาตรา 1007 วรรคสาม) ตาม ป.พ.พ. ได้บัญญัติผลตาม กฎหมายไว้ 2 กรณีคือ

1 กรณีที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเห็นได้ประจักษ์ กล่าวคือ การแก้ไขนั้นมีการแก้ไขไม่แนบเนียน หรือเห็นได้ประจักษ์นั่นเอง โดยมิได้รับความยินยอมจากคู่สัญญาทุกคนในตั๋วเงินนั้น ย่อมเป็นผลให้ตั๋วเงินนั้นเสียไป แต่ยังคงใช้ได้กับคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทําการแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือผู้ที่ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลง และหรือผู้สลักหลังภายหลังการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น (มาตรา 1007 วรรคหนึ่ง)

2 กรณีที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเห็นไม่ประจักษ์ กล่าวคือ การแก้ไขนั้นมีการแก้ไขได้อย่าง แนบเนียน หรือไม่เห็นเป็นประจักษ์ถือว่าตั๋วเงินนั้นไม่เสียไป และตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย กรณีย่อมเป็นผลให้ผู้ทรงที่ชอบด้วยกฎหมายนั้นสามารถจะถือเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้น เสมือนว่าตั๋วเงินนั้นมิได้ มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลยก็ได้ และจะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความเดิมแห่งตั๋วนั้นก็ได้ (มาตรา 1007 วรรคสอง)

(ข) หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1007 “ถ้าข้อความในตั๋วเงินใด หรือในคํารับรองตั๋วเงินรายใด มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงใน ข้อสําคัญโดยที่คู่สัญญาทั้งปวงผู้ต้องรับผิดตามตั๋วเงินมิได้ยินยอมด้วยหมดทุกคนไซร้ ท่านว่าตั๋วเงินนั้นก็เป็นอันเสีย เว้นแต่ยังคงใช้ได้ต่อคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทําการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น หรือได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น กับทั้งผู้สลักหลังในภายหลัง

แต่หากตั๋วเงินใดได้มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสําคัญ แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ประจักษ์ และตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายไซร้ ท่านว่าผู้ทรงคนนั้นจะเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้นก็ได้ เสมือนดังว่ามิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลย และจะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋วนั้นก็ได้

กล่าวโดยเฉพาะ การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเช่นจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ในข้อสําคัญ คือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างใด ๆ แก่วันที่ลง จํานวนเงินอันจะพึงใช้ เวลาใช้เงิน สถานที่ใช้เงิน กับทั้งเมื่อตั๋วเงินเขารับรองไว้ทั่วไปไม่เจาะจงสถานที่ใช้เงิน ไปเติมความระบุสถานที่ใช้เงินเข้าโดยที่ผู้รับรองมิได้ยินยอมด้วย”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าเช็คพิพาทได้มีการแก้ไขจํานวนเงินโดยผู้สลักหลังคนหนึ่ง ซึ่งเป็นการแก้ไขที่เห็นได้อย่างชัดเจนนั้น ย่อมถือว่าเช็คพิพาทดังกล่าวได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความในข้อสําคัญ โดยที่ผู้เป็นคู่สัญญาซึ่งต้องรับผิดตามตั๋วเงินมิได้ยินยอมด้วยหมดทุกคน และเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ที่เห็นได้ประจักษ์ ดังนั้นย่อมมีผลทําให้ตั๋วเงินนั้นเสียไป เว้นแต่ยังคงใช้ได้กับคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทําการแก้ไข เปลี่ยนแปลงนั้น หรือได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น กับทั้งผู้สลักหลังในภายหลังตามมาตรา 1007 วรรคหนึ่งและวรรคสาม

ดังนั้นเมื่อธนาคารผู้จ่ายได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายแห่งเช็คนั้น ย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอากับผู้สลักหลังที่เป็นผู้ เก้ไขจํานวนเงินในเช็คนั้น รวมทั้งผู้ที่ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลง และผู้ที่สลักหลังเช็คพิพาทในภายหลังที่มีการแก้ไขจํานวนเงินนั้น (ถ้ามี) ตามจํานวนเงินที่ได้มีการแก้ไขนั้น

LAW2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เอ๋ออกตั๋วแลกเงินสั่งให้โอจ่ายเงินจํานวนหนึ่งให้แก่จ๋า โดยเป็นตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อให้ใช้เงิน แก่จ๋าหรือผู้ถือ ต่อมาจ๋าได้ทําการสลักหลังเฉพาะตัวระบุชื่อจา แล้วทําการส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้น เพื่อชําระหนี้ให้แก่จา ภายหลังจากนั้นจาได้นําตั๋วแลกเงินฉบับนี้สลักหลังเฉพาะให้แก่เท่ง และต่อมา เท่งก็ได้ส่งมอบตั๋วแลกเงินฉบับนี้เพื่อชําระหนี้ให้แก่โทน จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น ให้วินิจฉัยว่า โทนเป็นผู้ทรงตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด (อธิบาย พร้อมยกหลักกฎหมายประกอบอย่างชัดเจน)

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 904 “อันผู้ทรงนั้น หมายความว่า บุคคลผู้มีตั๋วเงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงิน หรือเป็นผู้รับสลักหลัง ถ้าและเป็นตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ ๆ ก็นับว่าเป็นผู้ทรงเหมือนกัน”

มาตรา 918 “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

มาตรา 921 “การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สําหรับผู้สั่งจ่าย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอ๋ออกตั๋วแลกเงินสั่งให้โอ๋จ่ายเงินโดยระบุชื่อให้ใช้เงินแก่จ๋าหรือผู้ถือนั้น ถือว่าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ดังนั้นในการโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้ต่อไป การโอนย่อมสมบูรณ์โดยการ ส่งมอบตั๋วให้แก่กันโดยไม่ต้องสลักหลังใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าการโอนตัวนี้ต่อไปได้มีการสลักหลังในตั๋วนี้ด้วยกฎหมาย ให้ถือว่าการสลักหลังนั้นเป็นเพียงการรับอาวัลผู้สั่งจ่ายเท่านั้น (ตามมาตรา 918 และมาตรา 921)

ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์ เมื่อมีการโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้ต่อไปนั้น จ๋าสลักหลังระบุชื่อและส่งมอบให้แก่จา และจาสลักหลังและส่งมอบแก่เท่ง และเท่งส่งมอบตัวต่อไปให้แก่โทนนั้น จะเห็นได้ว่าการโอนตั๋วทุกครั้ง มีการส่งมอบตั๋วนั้นให้แก่กัน ดังนั้นการโอนตั๋วแลกเงินดังกล่าวจึงถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อโทนเป็นบุคคล ผู้มีตั๋วเงินอยู่ในความครอบครอง และได้รับการโอนตั๋วมาโดยชอบด้วยกฎหมาย โทนจึงเป็นผู้ทรงตั๋วแลกเงิน ดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 904 ส่วนการที่จ๋าและจาได้ลงลายมือชื่อสลักหลังตั๋วเงินไว้นั้นให้ถือว่า เป็นเพียงผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่าย (ตามมาตรา 921)

สรุป โทนเป็นผู้ทรงตั๋วแลกเงินฉบับดังกล่าวโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 2. คมสันสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงทอง จํากัด จํานวน 500,000 บาท ระบุดอกดินเป็นผู้รับเงินแต่มิได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คออก แล้วให้กับดอกดินเพื่อชําระหนี้ ต่อมาดอกดินสลักหลังและ ส่งมอบเช็คนั้นชําระราคาสินค้าให้แก่เหลือง เหลืองรับเช็คนั้นไว้โดยสุจริตเพราะเชื่อเครดิตของคมสัน ผู้สั่งจ่าย ดังนี้ หากต่อมาเหลืองยื่นเช็คให้ธนาคารกรุงทอง จํากัด ใช้เงิน แต่ธนาคารกรุงทอง จํากัด ได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่าเงินในบัญชีของคมสันผู้สั่งจ่ายมีไม่พอจ่าย ดังนี้ เหลืองจะใช้สิทธิไล่เบี้ยให้ดอกดินรับผิดใช้เงินตามเช็คนี้ได้หรือไม่ในฐานะใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 900 วรรคหนึ่ง “บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความ ในตั๋วเงินนั้น”

มาตรา 918 “ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน”

มาตรา 921 “การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้นย่อมเป็นเพียงประกัน (อาวัล) สําหรับผู้สั่งจ่าย”

มาตรา 940 วรรคหนึ่ง “ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน”

มาตรา 989 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้ ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 910 914 ถึง 923, 938 ถึง 940”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่คมสันสั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงทอง จํากัด จํานวน 500,000 บาท โดยได้ระบุ ให้ดอกดินเป็นผู้รับเงินแต่มิได้ขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คออกนั้น ย่อมถือว่าเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ ดังนั้น ถ้าจะมีการโอนเช็คฉบับนี้ต่อไป การโอนย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบเช็คให้แก่กันโดยไม่ต้องสลักหลัง ถ้ามีการสลักหลัง ให้ถือว่าเป็นเพียงการประกัน (อาวัล) ผู้สั่งจ่าย (มาตรา 918 มาตรา 921 ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง)

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ดอกดินได้สลักหลังและส่งมอบเช็คนั้นชําระราคาสินค้าให้แก่เหลืองย่อม ถือว่าการสลักหลังของดอกดินเป็นเพียงการรับอาวัลคมสันผู้สั่งจ่าย และมีผลให้ดอกดินต้องรับผิดเป็นอย่างเดียวกันกับคมสันผู้สั่งจ่าย (มาตรา 940 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง) ดังนั้นหากต่อมาเหลืองได้ ยื่นเช็คให้ธนาคารกรุงทอง จํากัด ใช้เงิน แต่ธนาคารกรุงทอง จํากัด ได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าว เหลืองย่อมสามารถใช้สิทธิไล่เบี้ยให้ดอกดินรับผิดตามเช็คฉบับนี้ได้ในฐานะผู้รับอาวัลผู้สั่งจ่ายตามมาตรา 900 วรรคหนึ่ง มาตรา 921 มาตรา 940 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 989 วรรคหนึ่ง

สรุป เหลืองสามารถใช้สิทธิไล่เบี้ยให้ดอกดินรับผิดตามเช็คนี้ได้ในฐานะเป็นผู้รับอาวัลคมสันผู้สั่งจ่าย

 

ข้อ 3. นายมั่นนําแหวนเพชรมาเสนอขายแก่นายคงในราคา 300,000 บาท นายคงกําลังจะหาของขวัญวันเกิดให้แก่ภริยาเห็นว่าแหวนเพชรดังกล่าวราคาไม่แพงจึงตกลงซื้อ ในการชําระหนี้ค่าแหวนเพชร นายคงได้ออกเช็คลงวันที่ล่วงหน้าระบุชื่อนายมั่นเป็นผู้รับเงินและขีดฆ่าคําว่า “หรือผู้ถือ” ใน แบบพิมพ์เช็คออกมอบให้แก่นายมั่น ก่อนเช็คถึงกําหนดนายนากลูกจ้างของนายมั่นได้แอบเข้าไปในห้องนอนของนายมั่นลักเช็คดังกล่าวไปแล้วปลอมลายมือชื่อนายมั่นสลักหลังเช็คนําไปแลกเงินสด จากนายสินซึ่งรับแลกเช็คไว้โดยสุจริตและมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ต่อมานายมั่นทราบว่า เช็คดังกล่าวอยู่ที่นายสินจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นายสินทราบและขอเช็คคืน

ให้วินิจฉัยว่า นายสินจะต้องคืนเช็คให้แก่นายมั่นหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 905 “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครอง ถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักหลังลอยก็ตาม ท่านให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่า บุคคลผู้ที่ลงลายมือชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคําสลักหลัง เมื่อขีดฆ่าเสียและห้ามให้ถือเสมือนว่ามีได้มีเลย

ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตั๋วเงินไปจากครอบครอง ท่านว่าผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฏสิทธิ ของตนในตั๋วตามวิธีการดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น หาจําต้องสละตั๋วเงินไม่ เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริต หรือได้มา ด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

อนึ่งข้อความในวรรคก่อนนี้ให้ใช้บังคับตลอดถึงผู้ทรงตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือด้วย”

มาตรา 1008 วรรคหนึ่ง “ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้ เมื่อใดลายมือชื่อในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมก็ดี เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้ มอบอํานาจให้ลงก็ดี ท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอํานาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย ใครจะอ้างอิงอาศัย แสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อยึดหน่วงตัวเงินไว้ก็ดี เพื่อทําให้ตัวนั้นหลุดพ้นก็ดี หรือเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่ คู่สัญญาแห่งตั๋วนั้นคนใดคนหนึ่งก็ดี ท่านว่าไม่อาจจะทําได้เป็นอันขาด เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึงถูกยึดหน่วงหรือ ถูกบังคับใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอม หรือข้อลงลายมือชื่อปราศจากอํานาจนั้น ขึ้นเป็นข้อต่อสู้”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นายคงได้ออกเช็คสั่งจ่ายแก่นายมั่นโดยระบุชื่อนายมั่นเป็นผู้รับเงินและขีดฆ่า คําว่า “ หรือผู้ถือ” ในแบบพิมพ์เช็คออานั้น ถือว่าเช็คฉบับดังกล่าวเป็นเช็คชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ การที่นายนาก ลูกจ้างของนายมั่นได้แอบลักเช็คดังกล่าวไป แล้วปลอมลายมือชื่อของนายมั่นสลักหลังเช็คให้แก่นายสินไปนั้น ตามมาตรา 1008 วรรคหนึ่ง ให้ถือว่าลายมือชื่อปลอมของนายมั่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย ถือเสมือนหนึ่งว่านายมั่น ไม่เคยสลักหลังเช็คดังกล่าว ดังนั้นแม้ว่านายสินจะได้รับเช็คไว้โดยสุจริตและมิได้ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงก็ตาม ก็ไม่ถือว่านายสินเป็นผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา 905 วรรคหนึ่งแต่อย่างใด เพราะนายสินได้รับเช็ค มาจากการสลักหลังที่ขาดสาย

และเมื่อนายสินไม่ใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นนายสินจะอ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิอย่างหนึ่ง อย่างใดเพื่อยึดหน่วงเช็คไว้ย่อมไม่อาจทําเด้เป็นอันขาด นายสินจึงต้องคืนเช็คให้แก่นายมั่นตามมาตรา 905 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ประกอบมาตรา 1008 วรรคหนึ่ง

สรุป นายสินจะต้องคืนเช็คให้แก่นายมั่น

 

 

WordPress Ads
error: Content is protected !!