LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายแดงประกอบอาชีพซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์เป็นการส่วนตัว โดยมีนายเหลืองเป็นลูกจ้างมีหน้าที่ตรวจดูรถที่มีผู้นํารถยนต์ใช้แล้วมาขายให้นายแดง เนื่องจากนายเหลืองมีความชํานาญ ในการดูรถยนต์ที่มีร่องรอยตําหนิมาก่อนอย่างไรหรือไม่ มีการชนหนักมาแล้วหรือไม่ และนายแดงจะบอกกับผู้นํารถยนต์มาขายให้ตนว่านายเหลืองเป็นหุ้นส่วนกับตนทุกครั้งที่มีผู้นํารถยนต์มาขาย ทั้งนี้นายเหลืองก็รับรู้แต่ก็มิได้พูดว่ากระไรได้แต่ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจที่คนเข้าใจว่าตนลงหุ้นกับ นายแดง ต่อมาปรากฏว่า เช็คที่นายแดงจ่ายเป็นค่าซื้อรถยนต์มาขายในกิจการ ธนาคารปฏิเสธ การจ่ายเงิน เนื่องจากเงินในบัญชีมีไม่พอจ่าย ดังนี้ บุคคลผู้ที่ทรงเช็ค (เจ้าหนี้ค่ารถยนต์) จะฟ้องให้ นายเหลืองร่วมรับผิดได้หรือไม่ เนื่องจากเห็นว่านายเหลืองมีที่ดินหลายแปลงที่บิดายกกรรมสิทธิ์ให้

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1054 วรรคหนึ่ง “บุคคลใดแสดงตนว่าเป็นหุ้นส่วนด้วยวาจาก็ดี ด้วยลายลักษณ์อักษรก็ดี ด้วยกิริยาก็ดี ด้วยยินยอมให้เขาใช้ชื่อตนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วนก็ดี หรือรู้แล้วไม่คัดค้านปล่อยให้เขาแสดงว่าตนเป็น หุ้นส่วนก็ดี ท่านว่าบุคคลนั้นย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนเสมือนเป็นหุ้นส่วน”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1054 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติให้บุคคลที่ไม่ได้เป็นหุ้นส่วน แต่ได้แสดงตนว่าเป็นหุ้นส่วน หรือยินยอมให้เขาใช้ชื่อตนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วน หรือรู้แล้วไม่คัดค้านปล่อยให้เขาแสดงว่าตนเป็นหุ้นส่วนจะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนเสมือนว่าตนเป็นหุ้นส่วน

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงประกอบอาชีพซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์เป็นการส่วนตัว โดยมีนายเหลืองเป็นลูกจ้างมีหน้าที่ตรวจดูรถที่มีผู้นํารถยนต์ใช้แล้วมาขายให้นายแดง และนายแดงจะบอกกับผู้นํา รถยนต์มาขายให้ตนว่านายเหลืองเป็นหุ้นส่วนกับตนทุกครั้งที่มีผู้นํารถยนต์มาขาย ซึ่งนายเหลืองก็รับรู้แต่ก็ มิได้พูดว่ากระไรได้แต่ยิ้มด้วยความภาคภูมิใจที่คนเข้าใจว่าตนลงหุ้นกับนายแดงนั้น กรณีนี้ถือว่านายเหลืองรู้แล้ว แต่ไม่คัดค้านปล่อยให้เขาแสดงว่าตนเป็นหุ้นส่วนตามนัยของมาตรา 1054 วรรคหนึ่งแล้ว ดังนั้น นายเหลือง จึงต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้สินต่าง ๆ เสมือนว่านายเหลืองและนายแดงเป็นหุ้นส่วนกัน และ ร่วมกันตั้งห้างหุ้นส่วนเพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์กันจริง ๆ

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เช็คที่นายแดงจ่ายเป็นค่าซื้อรถยนต์มาขายในกิจการ ธนาคารปฏิเสธ การจ่ายเงินเนื่องจากเงินในบัญชีมีไม่พอจ่าย ดังนี้ บุคคลที่เป็นผู้ทรงเช็คซึ่งเป็นเจ้าหนี้ค่ารถยนต์ย่อมสามารถฟ้องให้ นายเหลืองร่วมรับผิดในหนี้ดังกล่าวได้เสมือนหนึ่งว่านายเหลืองเป็นหุ้นส่วนกับนายแดงตามมาตรา 1054 วรรคหนึ่ง

สรุป

บุคคลผู้ทรงเช็ค (เจ้าหนี้ค่ารถยนต์) สามารถฟ้องให้นายเหลืองร่วมรับผิดได้เสมือนหนึ่งว่า นายเหลืองเป็นหุ้นส่วนกับนายแดงตามมาตรา 1054 วรรคหนึ่ง

 

ข้อ 2.ห้างหุ้นส่วนจํากัดสามมิตร มีนายสมศักดิ์ นายสมพงษ์ และนายสมพรเป็นหุ้นส่วนกัน โดยจดทะเบียน ให้นายสมศักดิ์หุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ นายสมพงษ์และนายสมพร เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ทั้งสามคนลงหุ้นด้วยเงินสดเท่า ๆ กัน คนละ 1,000,000 บาท โดยได้ส่งเงินลงหุ้นครบถ้วนแล้วทุกคน ห้างฯ มีวัตถุประสงค์ซื้อขายแลกเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือชั้นนํา ทุกยี่ห้อ ต่อมาห้างหุ้นส่วนจํากัดขาดเงินสดหมุนเวียน นายสมศักดิ์จึงมอบหมายให้นายสมพรไปกู้ยืมเงิน จากธนาคารมาใช้จ่ายในห้างฯ โดยมีหนังสือมอบอํานาจให้นายสมพรกู้เงินแทนห้างหุ้นส่วนจํากัดได้ ในวงเงินไม่เกินสองแสนบาท นายสมพรจึงกู้เงินจากธนาคารจํานวนสองแสนบาทในนามห้างฯ โดยนายสมพรลงชื่อในช่องผู้กู้แทนห้างฯ และประทับตราห้างหุ้นส่วนจํากัดลงไป และได้นําเงินกู้ เข้าบัญชีห้างฯ เรียบร้อยแล้ว ต่อมาเมื่อหนี้เงินกู้นี้ถึงกําหนดชําระ ห้างหุ้นส่วนจํากัดสามมิตรไม่มีเงิน ชําระหนี้และดอกเบี้ยได้ ธนาคารเจ้าหนี้จึงฟ้องให้นายสมศักดิ์และนายสมพรรับผิดร่วมกัน โดยอ้างว่า นายสมพรสอดเข้าเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างฯ เนื่องจากกู้ยืมเงินแทนห้างฯ แต่นายสมพรอ้างว่า ได้รับมอบหมายจากนายสมศักดิ์ผู้เป็นหุ้นส่วนจัดการให้เป็นผู้กู้ยืมเงินแทนห้างฯ ได้ นายสมพร จึงมีฐานะเป็นเพียงตัวแทนเท่านั้นจึงไม่ควรต้องรับผิด

ดังนี้ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า ข้ออ้างของนายสมพรรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1087 “อันห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ท่านว่าต้องให้แต่เฉพาะผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัด ความรับผิดเท่านั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1088 วรรคหนึ่ง “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้อง จัดการงานของห้างหุ้นส่วน ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จํากัด จํานวน”

วินิจฉัย

ในห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น จะต้องให้แต่เฉพาะผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดเท่านั้น เป็นผู้จัดการ หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดไม่มีอํานาจจัดการ (มาตรา 1087) ถ้าหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วน หุ้นส่วนผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของ ห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จํากัดจํานวน (มาตรา 1088 วรรคหนึ่ง)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสมศักดิ์ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วน ผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจํากัดสามมิตร ได้มอบหมายให้นายสมพรซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดไปกู้ยืมเงิน จากธนาคารเพื่อมาใช้จ่ายในห้างฯ โดยมีหนังสือมอบอํานาจให้นายสมพรกู้เงินแทนห้างหุ้นส่วนจํากัดได้ และ นายสมพรได้กู้เงินจากธนาคารจํานวนสองแสนบาทในนามของห้างฯ โดยนายสมพรลงชื่อในของผู้กู้แทนห้างฯ และประทับตราห้างหุ้นส่วนจํากัดลงไปและได้นําเงินที่กู้เข้าบัญชีห้างฯ เรียบร้อยแล้วนั้น การกระทําของนายสมพร ดังกล่าวแม้จะได้รับมอบอํานาจจากหุ้นส่วนผู้จัดการก็ตามก็ถือว่าเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงาน ของห้างหุ้นส่วนจํากัดตามมาตรา 1088 วรรคหนึ่งแล้ว กรณีนี้จะนําบทบัญญัติว่าด้วยตัวแทนมาใช้บังคับไม่ได้ ดังนั้นการที่นายสมพรกล่าวอ้างว่าได้รับมอบหมายจากห้างฯ แล้ว ตนจึงมีฐานะเป็นเพียงแค่ตัวแทนเท่านั้น จึงเป็น ข้อกล่าวอ้างที่รับฟังไม่ได้เพราะถ้ามีการยอมรับว่าเมื่อได้มีการมอบอํานาจแล้ว หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดคนนั้นก็สามารถจัดการได้และไม่ถือว่าเป็นการสอดก็จะเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ไม่ต้องการให้ หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดเป็นผู้จัดการหรือเข้าจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจํากัดตามมาตรา 1087 และถ้า หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดคนใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วน หุ้นส่วนผู้นั้นก็จะต้องรับผิด ร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จํากัดจํานวนตามมาตรา 1088 วรรคหนึ่ง

ดังนั้น กรณีนี้ธนาคารเจ้าหนี้ จึงสามารถฟ้องให้นายสมศักดิ์และนายสมพรร่วมกันรับผิดในการชําระหนี้เงินกู้ยืมและดอกเบี้ยได้

สรุป ข้ออ้างของนายสมพรรับฟังไม่ได้

 

ข้อ 3. การบอกกล่าวนัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อลงมติเลือกกรรมการบริษัทที่วาระของการดํารงตําแหน่งสิ้นสุดลง จะต้องดําเนินการบอกกล่าวด้วยวิธีใดจึงจะชอบด้วยกฎหมาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1175 “คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ให้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่ อย่างน้อยหนึ่งคราวก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อ ในทะเบียนของบริษัทก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่เป็นคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษ ให้กระทําการดังว่านั้นก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน

คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่นั้น ให้ระบุสถานที่ วัน เวลา และสภาพแห่งกิจการที่จะได้ประชุม ปรึกษากัน และในกรณีที่เป็นคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษให้ระบุข้อความที่จะนําเสนอให้ลงมติด้วย”

ในการบอกกล่าวนัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อลงมติเลือกกรรมการบริษัทที่วาระของการดํารงตําแหน่ง สิ้นสุดลงนั้น ถือว่าเป็นการบอกกล่าวนัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อลงมติธรรมดามิใช่เป็นการบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ เพื่อลงมติพิเศษ ซึ่งการบอกกล่าวนั้นจะต้องดําเนินการบอกกล่าวตามที่มาตรา 1175 ได้กําหนดไว้ดังนี้ คือ

1 จะต้องลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่อย่างน้อยหนึ่งคราวก่อนวันนัดประชุม ไม่น้อยกว่า 7 วัน และ

2 จะต้องส่งคําบอกกล่าวเป็นจดหมายส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อ ในสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของบริษัทก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่า 7 วัน

3 ในคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่นั้น จะต้องระบุสถานที่ วัน เวลา และสภาพแห่งกิจการ ที่จะได้ประชุมปรึกษากันด้วย

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน S/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา

ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เมื่อต้นปี พ.ศ. 2561 กิจการค้าขายเครื่องมือขุดเจาะน้ำมันโดยนายโตเป็นผู้ประกอบการ กิจการฯก่อหนี้ค่าโฆษณาค้างชําระนายฟาดีจํานวน 100 ล้านบาท ต่อมากิจการฯ ได้ว่าจ้างนางใจงาม เป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดมีลูกน้องใต้บังคับบัญชา 100 คน นางใจงามใช้ความรู้ความสามารถ ของตนเพิ่มยอดสั่งซื้อสินค้าให้แก่กิจการฯ ปีละมากกว่า 1,000 ล้านบาท นายโตจึงทําข้อตกลง “แบ่งกําไร” ให้แก่นางใจงาม 40 เปอร์เซ็นต์ของกําไรของกิจการฯ ทุก ๆ ปี เพื่อตอบแทนความเพียร ของนางใจงาม ต่อมากลางปี พ.ศ. 2561 กิจการฯ ก่อหนี้ค่าขนส่งค้างชําระนายโทนี่อีกจํานวน 200 ล้านบาท และต่อมาปลายปี พ.ศ. 2561 นางใจงามได้ตกลงกันร่วมลงทุนกับนายโปโปเพื่อดําเนินกิจการ ค้าขายเครื่องมือขุดเจาะน้ำมันเป็นกิจการฯ ใหม่แข่งขันกับกิจการฯ เดิม เพื่อหากําไรแบ่งปันกัน ระหว่างนางใจงามกับนายโปโป เมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2561 กิจการฯ ใหม่ มีกําไร 1,000 ล้านบาท และ กิจการใหม่ก่อหนี้ค่าเช่าสถานที่ค้างชําระนายฟาดีจํานวน 300 ล้านบาท ให้ท่านวินิจฉัยประเด็นปัญหาข้อกฎหมายดังต่อไปนี้ พร้อมทั้งแสดงเหตุผลและหลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประกอบการวินิจฉัย

(ก) นายฟาดี และนายโทนี่ มีสิทธิบังคับชําระหนี้ทั้งสามรายการต่อบุคคลใด เพราะเหตุใด

(ข) นางใจงาม จะต้องรับผิดต่อกิจการฯ เพิ่ม หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1012 “อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคน ขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทํากิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกําไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทํานั้น”

มาตรา 1025 “อันว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น คือห้างหุ้นส่วนประเภทซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคน ต้องรับผิดร่วมกันเพื่อหนี้ทั้งปวงของหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัด”

มาตรา 1038 “ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีสภาพดุจเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้น ไม่ว่าทําเพื่อประโยชน์ตนหรือประโยชน์ผู้อื่น โดยมิได้รับความ ยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ

ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดทําการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรานี้ไซร้ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ ชอบที่จะเรียกเอาผลกําไรซึ่งผู้นั้นหาได้ทั้งหมด หรือเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการที่ห้างหุ้นส่วนได้รับความเสียหาย เพราะเหตุนั้น แต่ท่านห้ามมิให้ฟ้องเรียกเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่วันทําการฝ่าฝืน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายโตเป็นผู้ประกอบการกิจการค้าขายเครื่องมือขุดเจาะน้ำมัน ได้ว่าจ้างนางใจงาม เป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดโดยมีลูกน้องใต้บังคับบัญชา 100 คนนั้น ถือเป็นเพียงสัญญาจ้างแรงงานเท่านั้น โดยนายโตอยู่ในฐานะนายจ้าง ส่วนนางใจงามอยู่ในฐานะลูกจ้าง แม้นางใจงามได้ใช้ความรู้ความสามารถของตน เพิ่มยอดสั่งซื้อสินค้าปีละมากกว่า 1,000 ล้านบาท และนายโตได้ทําข้อตกลงแบ่งกําไรให้แก่นางใจงาม 40 เปอร์เซ็นต์ ของกําไรของกิจการฯ ทุก ๆ ปีก็ตาม ก็ไม่ทําให้นายโตกับนางใจงามเป็นหุ้นส่วนกันตามนัยของมาตรา 1012 เหตุผลเพราะแม้ว่านางใจงามจะได้รับส่วนแบ่งกําไรจากกิจการฯ แต่นางใจงามก็ไม่มีสิทธิไม่มีส่วนร่วมในการจัด กิจการงานนั้นแต่อย่างใด

เมื่อนางใจงามมิใช่หุ้นส่วนกับนายโต ดังนั้นการที่กิจการฯ ของนายโตเป็นหนี้ค้างชําระ นายฟาดีจํานวน 100 ล้านบาท และเป็นหนี้ค้างชําระนายโทนี่อีกจํานวน 200 ล้านบาท นายฟาดีและนายโทนี่ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ จึงต้องฟ้องบังคับชําระหนี้เอาจากนายโตเท่านั้น จะฟ้องบังคับชําระหนี้เอาจากนางใจงามไม่ได้

ส่วนการที่นางใจงามได้ตกลงกันร่วมลงทุนกับนายโปโปโดยดําเนินกิจการค้าขาย เครื่องมือขุดเจาะน้ำมันเป็นกิจการใหม่ เพื่อหากําไรแบ่งปันกันระหว่างนางใจงามกับนายโปโปนั้น ถือว่าข้อตกลง ระหว่างนางใจงามกับนายโปโปเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วนกันแล้วตามนัยของมาตรา 1012 ดังนั้นเมื่อกิจการ ดังกล่าวเป็นหนี้ค้างชําระนายฟาดีจํานวน 300 ล้านบาท หนี้รายนี้นายฟาดีจึงสามารถฟ้องบังคับชําระหนี้เอาจาก นางใจงามและนายโปโปได้ตามมาตรา 1912 ประกอบมาตรา 1025 ที่ว่า ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนจะต้องรับผิดร่วมกัน เพื่อหนี้ทั้งปวงของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จํากัดจํานวน

(ข) การที่นางใจงามได้ตกลงเข้าไปเป็นหุ้นส่วนกับนายโปโปดําเนินกิจการค้าขายเครื่องมือ ขุดเจาะน้ำมันเป็นกิจการใหม่นั้น แม้เป็นกิจการที่มีสภาพเป็นอย่างเดียวกันกับกิจการของนายโตก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริง ปรากฏว่านางใจงามมิได้เป็นหุ้นส่วนกับนายโต การกระทําดังกล่าวของนางใจงามจึงมิใช่เป็นการกระทําที่ฝ่าฝืน ต่อบทบัญญัติมาตรา 1038 แต่อย่างใด ดังนั้นนางใจงามจึงไม่ต้องรับผิดต่อกิจการฯ เดิม

สรุป

(ก) นายฟาดีมีอํานาจฟ้องบังคับชําระหนี้จํานวน 100 ล้านบาท จากนายโตได้ส่วนหนี้รายหลังจํานวน 300 ล้านบาท นายฟาดีมีอํานาจฟ้องบังคับชําระหนี้ เอาจากนางใจงามและนายโปโปได้ นายโทนี่มีอํานาจฟ้องบังคับชําระหนี้จํานวน 200 ล้านบาท จากนายโตได้แต่จะฟ้องบังคับเอาจากนางใจงามไม่ได้

(ข) นางใจงามไม่ต้องรับผิดต่อกิจการฯ เดิม

 

ข้อ 2. ให้ท่านอธิบายความแตกต่างระหว่าง “หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด” กับ “หุ้นส่วนจํากัดความรับผิด”อย่างน้อย 12 ประเด็น พร้อมทั้งอธิบายหลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประกอบ

ธงคําตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติถึงความแตกต่างระหว่าง “หุ้นส่วน ไม่จํากัดความรับผิด” กับ “หุ้นส่วนจํากัดความรับผิด” ไว้ดังนี้ คือ

1 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดมีได้ทั้งในห้างหุ้นส่วนสามัญและห้างหุ้นส่วนจํากัด ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดมีได้เฉพาะในห้างหุ้นส่วนจํากัดเท่านั้น (มาตรา 1025 และมาตรา 1077)

2 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดจะต้องรับผิดเพื่อหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จํากัดจํานวน ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดจะรับผิดเพื่อหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยจํากัดเฉพาะในจํานวนเงินที่ตนรับว่าจะลงหุ้น เท่านั้น (มาตรา 1077)

3 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดจะต้องรับผิดในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จํากัดจํานวน ไม่ว่าหนี้นั้นจะเกิดขึ้นก่อนหรือภายหลังที่ห้างหุ้นส่วนจํากัดจะได้จดทะเบียน แต่หุ้นส่วนจํากัดความรับผิดจะต้องรับผิด โดยไม่จํากัดจํานวนก็แต่เฉพาะในหนี้ของห้างหุ้นส่วนที่เกิดขึ้นก่อนที่ห้างหุ้นส่วนจะได้จดทะเบียนเท่านั้น (มาตรา 1079)

4 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดสามารถนําชื่อของตนไปเรียกขานระคนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วนได้ เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไว้แต่อย่างใด ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด กฎหมายห้ามมิให้เอาชื่อของตน ไปเรียกขานระคนเป็นชื่อของห้างหุ้นส่วน (มาตรา 1081)

5 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดสามารถลงหุ้นด้วยเงิน ทรัพย์สิน หรือแรงงานก็ได้ (มาตรา 1026 ประกอบมาตรา 1080) ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดสามารถลงหุ้นได้เฉพาะเงินหรือทรัพย์สินเท่านั้น จะลงหุ้นด้วยแรงงานไม่ได้ (มาตรา 1083)

6 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดนอกจากจะมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งผลกําไรที่ห้างหุ้นส่วน ทํามาค้าได้แล้ว ยังมีสิทธิที่จะได้รับเงินปันผลหรือดอกเบี้ยอีกด้วย ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด กฎหมายได้ บัญญัติห้ามมิให้แบ่งเงินปันผลหรือดอกเบี้ยแก่ผู้เป็นหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด นอกจากผลกําไรที่ห้างหุ้นส่วน ทํามาค้าได้ เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น (มาตรา 1084)

7 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดอาจจะแสดงตนหรือคุยโม้โอ้อวดให้บุคคลภายนอกทราบว่า ตนได้ลงหุ้นไว้มากกว่าจํานวนซึ่งได้จดทะเบียนไว้ได้เพราะกฎหมายไม่ห้าม แต่หุ้นส่วนจํากัดความรับผิดจะแสดงตน หรือคุยโม้โอ้อวดให้บุคคลภายนอกทราบว่าตนได้ลงหุ้นไว้มากกว่าจํานวนซึ่งได้จดทะเบียนไว้ไม่ได้ ถ้ามีการฝ่าฝืน หุ้นส่วนจํากัดความรับผิดคนนั้นก็จะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกตามจํานวนที่ตนได้แสดงตนหรือคุยโม้โอ้อวดไว้ด้วย (มาตรา 1085)

8 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด มีสิทธิเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้ (มาตรา 1087) ส่วน หุ้นส่วนจํากัดความรับผิด กฎหมายห้ามมิให้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการรวมทั้งห้ามสอดเข้าไปเกี่ยวข้องการจัดการงาน ของห้างหุ้นส่วนด้วย (มารตรา 1087 และมาตรา 1088)

9 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด จะประกอบกิจการค้าขายแข่งขันกับห้างหุ้นส่วนไม่ได้ หรือจะเข้าไปเป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนอื่นที่ประกอบกิจการค้าขายแข่งขันกับห้างหุ้นส่วนเดิม ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน (มาตรา 1066 ประกอบมาตรา 1080) ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด สามารถประกอบ กิจการค้าขายแข่งขันกับห้างหุ้นส่วนได้ (มาตรา 1090)

10 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด ถ้าจะโอนหุ้นของตนให้แก่บุคคลอื่น จะต้องได้รับความ ยืนยอมจากผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ ด้วย (มาตรา 1040 ประกอบมาตรา 1080) ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด สามารถโอนหุ้นของตนให้แก่บุคคลอื่นได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ (มาตรา 1091)

11 ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดคนใดคนหนึ่งตาย ล้มละลาย หรือตกเป็นคน ไร้ความสามารถ โดยหลักห้างหุ้นส่วนนั้นย่อมเป็นอันเลิกกัน (มาตรา 1055 (5) ประกอบมาตรา 1080) แต่ถ้า ผู้เป็นหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดคนใดคนหนึ่งตาย ล้มละลาย หรือตกเป็นคนไร้ความสามารถไม่เป็นเหตุให้ ห้างหุ้นส่วนนั้นจะต้องเลิกกัน (มาตรา 1092)

12 เมื่อห้างหุ้นส่วนจํากัดผิดนัดชําระหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิฟ้องให้หุ้นส่วนไม่จํากัดความ รับผิดคนใดคนหนึ่งชําระหนี้ได้ (มาตรา 1070 ประกอบมาตรา 1080) แต่ถ้าตราบใดที่ห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้ เลิกกัน แม้ห้างหุ้นส่วนจะผิดนัดชําระหนี้แล้ว เจ้าหนี้ก็ไม่สามารถฟ้องให้หุ้นส่วนจํากัดความรับผิดชําระหนี้ได้ (มาตรา 1095)

 

ข้อ 3. ให้ท่านอธิบายหลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เรื่องดังต่อไปนี้โดยละเอียดพร้อมยกตัวอย่างประกอบ

(ก) การโอน “หุ้นระบุชื่อ” และ “หุ้นผู้ถือ” มีหลักเกณฑ์อย่างไร

(ข) การประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นมีหลักเกณฑ์อย่างไร

ธงคําตอบ

(ก) ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการโอนหุ้นชนิดระบุชื่อ และการโอนหุ้นชนิดผู้ถือไว้ดังนี้ คือ

1 การโอนหุ้นชนิดระบุชื่อ การโอนจะสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆะ จะต้องปฏิบัติตามมาตรา 1129 วรรคสอง คือ การโอนจะต้องทําเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอน มีพยานอย่างน้อยหนึ่งคน ลงลายมือชื่อรับรอง และต้องแถลงเลขหมายของหุ้นซึ่งโอนกันนั้นด้วย

ตัวอย่างเช่น นาย ก. มีหุ้นชนิดระบุชื่อในบริษัทแห่งหนึ่งจํานวน 10,000 หุ้น และ มีหุ้นชนิดผู้ถืออีกจํานวน 10,000 หุ้น ดังนี้ ถ้านาย ก. จะโอนหุ้นชนิดระบุชื่อให้แก่นาย ข. นาย ก. และนาย ข. จะต้องทําเป็นหนังสือสัญญาการโอนหุ้น ลงลายมือชื่อของนาย ก. ผู้โอนและนาย ข. ผู้รับโอน และมีพยานอย่างน้อย หนึ่งคนลงลายมือชื่อรับรอง และต้องแถลงเลขหมายของหุ้นที่โอนให้แก่กันด้วย (เว้นแต่จะเป็นการโอนหุ้นทั้งหมด) การโอนหุ้นระหว่างนาย ก. และนาย ข. จึงจะสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆะ

2 การโอนหุ้นชนิดผู้ถือ การโอนย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบใบหุ้นให้แก่กันเท่านั้น (ตาม มาตรา 1135) โดยไม่ต้องทําเป็นหนังสือสัญญาการโอนหุ้นใด ๆ

ตัวอย่างเช่น กรณีตามตัวอย่างข้างต้น ถ้านาย ก. มีความประสงค์จะโอนหุ้นชนิดผู้ถือ จํานวน 10,000 หุ้นให้แก่นาย ค. นาย ก. ย่อมสามารถโอนได้โดยการส่งมอบใบหุ้นให้แก่นาย ค. การโอนก็จะ มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

(ข) ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น ไว้ดังนี้คือ

1 การประชุมใหญ่สามัญ คือ การประชุมใหญ่แห่งผู้ถือหุ้น ซึ่งบริษัทจะต้องจัดให้มีขึ้น เป็นครั้งแรกภายในกําหนดระยะเวลา 6 เดือน นับแต่วันจดทะเบียนบริษัท และในครั้งต่อ ๆ ไปซึ่งจะต้องจัดให้มีขึ้น อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง (มาตรา 1171)

2 การประชุมใหญ่วิสามัญ คือ การประชุมใหญ่แห่งผู้ถือหุ้น ซึ่งได้เรียกประชุมกัน เป็นพิเศษต่างหากจากการประชุมใหญ่สามัญ และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น การประชุมใหญ่ วิสามัญอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีดังต่อไปนี้ คือ

(1) เมื่อกรรมการเห็นสมควร ตามมาตรา 1172 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “กรรมการ จะเรียกประชุมวิสามัญเมื่อใดก็ได้สุดแต่จะเห็นสมควร”

(2) เมื่อบริษัทขาดทุนลงถึงถึงจํานวนต้นทุน ตามมาตรา 1172 วรรคสอง ซึ่ง บัญญัติว่า “ถ้าบริษัทขาดทุนลงถึงกึ่งจํานวนต้นทุน กรรมการต้องเรียกประชุมวิสามัญทันที่เพื่อแจ้งให้ผู้ถือหุ้น ทราบการที่ขาดทุนนั้น”

(3) เมื่อผู้ถือหุ้นมีจํานวนหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ร้องขอให้เรียกประชุม ตามมาตรา 1173 ซึ่งบัญญัติว่า “การประชุมวิสามัญจะต้องนัดเรียกให้มีขึ้น ในเมื่อผู้ถือหุ้นมีจํานวนหุ้นรวมกัน ไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าแห่งจํานวนหุ้นของบริษัท ได้เข้าชื่อกันทําหนังสือร้องขอให้เรียกประชุมเช่นนั้น ในหนังสือ ร้องขอนั้นต้องระบุว่าประสงค์ให้เรียกประชุมเพื่อการใด”

(4) เมื่อตําแหน่งผู้สอบบัญชีว่างลง ตามมาตรา 1211 ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้ามีตําแหน่ง ว่างลงในจํานวนผู้สอบบัญชี ให้กรรมการนักเรียกประชุมวิสามัญเพื่อให้เลือกตั้งขึ้นใหม่ให้ครบจํานวน

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 2/2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เอกและโทออกเงินคนละหนึ่งล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินที่เจ้าของที่ดินประกาศขายในราคาสองล้านบาทพร้อมค่าโอนและค่าธรรมเนียมเจ้าของที่ดินเป็นผู้ออก โดยเอกกับโทตั้งใจว่าจะซื้อเก็บไว้ขาย เมื่อราคาที่ดินสูงขึ้นในอนาคต และเมื่อขายได้แล้วจะแบ่งเงินกันคนละครึ่ง โดยมิได้คิดจะทําอะไร บนที่ดินที่ซื้อนี้ ในวันทําสัญญาซื้อขายที่ดิน เอกได้ไปคนเดียวโดยนําเงินสดของโทหนึ่งล้านบาท มอบให้แก่เจ้าของที่ดิน พร้อมเช็คลงลายมือชื่อเอกสั่งจ่ายเงินจํานวนหนึ่งล้านบาทให้เจ้าของที่ดิน เมื่อมีการทําหนังสือและจดทะเบียนการโอนต่อเจ้าพนักงานที่ดินเรียบร้อยแล้ว ผู้ขายที่ดินจึงนําเช็ค ไปที่ธนาคารเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน เนื่องจากในบัญชีของเอกมีเงิน ไม่พอจ่าย ผู้ขายที่ดินจึงทวงถามให้เอกชําระค่าที่ดินอีกหนึ่งล้านบาท แต่เอกไม่มีเงินจ่าย เจ้าของที่ดินจึงมาปรึกษากับนักศึกษาว่า ในกรณีดังกล่าวข้างต้นเจ้าของที่ดินจะฟ้องโทให้รับผิดในเงิน ค่าที่ดินที่ค้างชําระได้หรือไม่ โดยอ้างว่าทั้งสองเข้าหุ้นส่วนกันเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ดังนี้ ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า กรณีดังกล่าวโทจะต้องรับผิดกับเอกหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1012 “อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคน ขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทํากิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกําไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทํานั้น”

มาตรา 1025 “อันว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น คือห้างหุ้นส่วนประเภทซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคน ต้องรับผิดร่วมกันเพื่อหนี้ทั้งปวงของหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัด”

วินิจฉัย

กรณีที่จะถือว่าเป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนตามมาตรา 1012 นั้น จะต้องประกอบด้วย หลักเกณฑ์ที่สําคัญ ดังนี้คือ

1 จะต้องมีบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป

2 จะต้องมีการตกลงเข้าทุนกัน

3 จะต้องมีการกระทํากิจการร่วมกัน

4 จะต้องมีความประสงค์ที่จะแบ่งปันกําไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทํานั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เจ้าของที่ดินจะฟ้องโทให้รับผิดในเงินค่าที่ดินที่ค้างชําระโดยอ้างว่า เอกและโทได้เข้าเป็นหุ้นส่วนกันเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนนั้น เจ้าของที่ดินย่อมไม่มีสิทธิฟ้องโท เพราะการที่เอกและโทได้ออกเงินคนละหนึ่งล้านบาทเพื่อซื้อที่ดินเก็บไว้ขาย และเมื่อขายได้แล้วจะแบ่งเงินกันคนละครึ่งนั้น แม้จะเป็นกรณีที่มีบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปและได้มีการตกลงเข้าทุนกันแล้วก็ตาม แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ทั้งสองไม่ได้คิดที่จะทําอะไรบนที่ดินแปลงดังกล่าวเลย จึงไม่ถือว่าทั้งสองได้ลงทุนเพื่อทํากิจการร่วมกัน จึงไม่เข้า องค์ประกอบของการเป็นห้างหุ้นส่วนตามมาตรา 1012 ดังนั้น เอกและโทจึงมิได้เป็นหุ้นส่วนกัน

และเมื่อไม่เป็นสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนตามมาตรา 1012 จึงไม่เข้าลักษณะของการเป็น ห้างหุ้นส่วนสามัญที่จะทําให้เอกและโทจะต้องร่วมกันรับผิดเพื่อหนี้ของหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัดตามมาตรา 1025 โทจึงไม่ต้องรับผิดในค่าที่ดินที่ยังมิได้ชําระ ดังนั้น เจ้าของที่ดินจึงฟ้องโทโดยอ้างว่าโทเป็นหุ้นส่วนกับเอกไม่ได้

สรุป กรณีดังกล่าว โทไม่ต้องร่วมรับผิดกับเอก

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัดธีระการประมง มีนายธีระเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ นายทองและนายเงินเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ทั้งสามคนลงหุ้นด้วยเงิน คนละห้าล้านบาท ห้างฯ ได้จดทะเบียนต่อนายทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ห้างฯ มีวัตถุประสงค์ ขายอาหารทะเลแช่แข็งไปยังต่างประเทศแถบยุโรปและอเมริกา แต่ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาห้างฯ ประสบ ภาวะขาดทุนมาตลอด เนื่องจากส่งปลาแช่แข็งไปขายไม่ได้ต่างประเทศหยุดรับซื้อโดยไม่ทราบเหตุผล ทําให้ห้างฯ เป็นหนี้ค่าปลาทะเลที่รับซื้อไว้จํานวนสิบล้านบาท และห้างฯ ยังขาดเงินสดหมุนเวียน ที่จําเป็นต้องใช้ในการจัดการงานของห้างฯ นายธีระจึงได้ทําหนังสือมอบอํานาจให้นายทองไปกู้ยืมเงินจากธนาคารมาใช้จ่ายในห้างฯ จํานวนห้าล้านบาท ซึ่งธนาคารก็ให้กู้โดยมีนายทองลงนามผู้กู้ แทนห้างฯ และประทับตราห้างหุ้นส่วนจํากัดลงในสัญญากู้ และได้นําเงินกู้นั้นมาใช้จ่ายในห้างฯ ต่อมาหนี้ค่าปลาทะเลและหนี้ที่ธนาคารเป็นเจ้าหนี้ก็ได้ถึงกําหนดชําระแต่ห้างฯ ไม่มีเงินชําระหนี้ เจ้าหนี้ค่าปลาและธนาคารจึงฟ้องนายธีระและนายทองให้ร่วมกันรับผิดในหนี้ดังกล่าว ดังนี้ ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า นายทองจะต้องร่วมรับผิดในหนี้รายใดบ้าง เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1087 “อันห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ท่านว่าต้องให้แต่เฉพาะผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัด ความรับผิดเท่านั้นเป็นผู้จัดการ”

มาตรา 1088 วรรคหนึ่ง “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้อง จัดการงานของห้างหุ้นส่วน ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จํากัด จํานวน

วินิจฉัย

ในห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น จะต้องให้แต่เฉพาะผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดเท่านั้น เป็นผู้จัดการ หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดไม่มีอํานาจจัดการ (มาตรา 1087) ถ้าหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วน หุ้นส่วนผู้นั้นก็จะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของ ห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จํากัดจํานวน (มาตรา 1088 วรรคหนึ่ง)

กรณีตามอุทาหรณ์ นายทองจะต้องร่วมรับผิดในหนี้ของห้างฯ รายใดบ้างหรือไม่ แยกพิจารณา

1 หนี้ที่ธนาคารเป็นเจ้าหนี้ การที่นายทองซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดและ ไม่ใช่หุ้นส่วนผู้จัดการ ได้ไปกู้ยืมเงินจากธนาคารมาใช้จ่ายในห้างฯ จํานวนห้าล้านบาท โดยนายทองได้ลงนามเป็น ผู้กู้แทนห้างฯ และได้ประทับตราห้างหุ้นส่วนจํากัดลงในสัญญากู้ตามใบมอบอํานาจที่หุ้นส่วนผู้จัดการได้มอบไว้นั้น การกระทําของนายทองแม้จะได้รับมอบอํานาจจากห้างฯ ก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงาน ของห้างหุ้นส่วน อันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1087 ดังนั้น นายทองจึงต้องร่วมรับผิดในหนี้ของห้างฯ รายนี้ด้วยตามมาตรา 1088 วรรคหนึ่ง

2 หนี้ค่าปลาทะเล เป็นหนี้ที่ห้างฯ ได้ก่อให้เกิดขึ้นโดยที่นายทองไม่ได้เข้าไปจัดการหรือ สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการด้วยแต่อย่างใด ดังนั้น นายทองจึงไม่ต้องร่วมรับผิดในหนี้รายนี้

สรุป นายทองจะต้องร่วมรับผิดในหนี้เงินกู้ที่ธนาคารเป็นเจ้าหนี้ แต่ไม่ต้องร่วมรับผิดในหนี้ ค่าปลาทะเล

 

ข้อ 3. นายแสง นายสิน และนายสอน เป็นผู้ริเริ่มก่อการจัดตั้งบริษัท สินสยาม จํากัด หลังจากจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิเสร็จแล้ว นายแสงได้ทําสัญญาเช่าอาคารจากนายศักดิ์เพื่อใช้เป็นที่ทําการ ของบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้น และได้ว่าจ้างนายแมนสถาปนิกตกแต่งภายในอาคารมาตกแต่งอาคาร ที่เช่าเพื่อใช้เป็นที่ทําการของบริษัท เมื่อมีการขายหุ้นมูลค่าหุ้นละ 5 บาท จํานวน 10 ล้านหุ้น ครบถ้วนแล้ว ได้มีการประชุมผู้เข้าชื่อซื้อหุ้น เพื่อตั้งข้อบังคับ ตั้งคณะกรรมการ และผู้สอบบัญชี ของบริษัท และให้ความเห็นชอบในสัญญาเช่าอาคารที่ทําไว้กับนายศักดิ์ แต่นายแสงลืมเสนอสัญญา ที่จ้างนายแมนมาตกแต่งภายในต่อที่ประชุม จนกระทั่งบริษัทได้จดทะเบียนตั้งไปแล้ว นายแสง จึงนึกได้เนื่องจากนายแมนมาทวงค่าจ้างจากนายแสงจํานวนห้าแสนบาท นายแสงจึงขอให้บริษัท รับผิดจ่ายค่าจ้างให้นายแมน แต่กรรมการบริษัทไม่อนุมัติ ดังนี้ ถามว่านายแมนจะฟ้องผู้ใดให้รับผิด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1113 “ผู้เริ่มก่อการบริษัทต้องรับผิดร่วมกันและโดยไม่จํากัดในบรรดาหนี้และการจ่ายเงินซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทมิได้อนุมัติ และแม้จะได้มีอนุมัติก็ยังคงต้องรับผิดอยู่เช่นนั้นไปจนกว่าจะได้จดทะเบียน บริษัท

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1113 นั้น บัญญัติให้ผู้เริ่มก่อการบริษัทต้องร่วมรับผิดร่วมกันโดยไม่จํากัดในบรรดา หนี้และการจ่ายเงิน ซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทมิได้อนุมัติ และแม้ที่ประชุมตั้งบริษัทจะได้อนุมัติแล้ว ผู้เริ่มก่อการก็ยังต้อง รับผิดอยู่จนกว่าจะได้จดทะเบียนบริษัท ดังนั้นผู้เริ่มก่อการจะหลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้ของบริษัทก็ต่อเมื่อ ที่ประชุมตั้งบริษัทได้อนุมัติหนี้ดังกล่าวแล้วและบริษัทได้จดทะเบียนตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแสง นายสิน และนายสอน เป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัท สินสยาม จํากัด หลังจากจดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิเสร็จแล้ว นายแสงได้ทําสัญญาเช่าอาคารจากนายศักดิ์เพื่อใช้เป็น ที่ทําการของบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้น และได้ว่าจ้างนายแมนสถาปนิกตกแต่งภายในอาคารมาตกแต่งอาคารที่เช่า เพื่อใช้เป็นที่ทําการของบริษัทนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่มีการประชุมตั้งบริษัท ได้มีการให้ความเห็นชอบ ในสัญญาเช่าอาคารที่ทําไว้กับนายศักดิ์ แต่นายแสงลืมเสนอสัญญาที่จ้างนายแมนมาตกแต่งภายในต่อที่ประชุม ทําให้หนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทมิได้อนุมัติ ดังนั้น แม้ต่อมาบริษัทจะได้จดทะเบียนเสร็จสิ้นแล้ว นายแมนจะฟ้องให้บริษัท สินสยาม จํากัด รับผิดชอบในหนี้ค่าจ้างดังกล่าวมิได้

แต่อย่างไรก็ตาม แม้นายแสงจะเป็นผู้ทําสัญญาว่าจ้างนายแมนแต่เพียงผู้เดียว แต่เมื่อหนี้ค่าจ้าง ดังกล่าวเป็นหนี้ซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทมิได้อนุมัติ ดังนั้น นายสิน และนายสอน ซึ่งเป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัทก็ต้อง ร่วมกันรับผิดต่อนายแมนด้วยตามมาตรา 1113

สรุป

นายแมนจะฟ้องให้บริษัท สินสยาม จํากัด รับผิดชอบในหนี้ค่าจ้างดังกล่าวไม่ได้ แต่สามารถฟ้องให้นายแสง นายสิน และนายสอน ร่วมกันรับผิดในการชําระหนี้นั้นได้

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 1/2560

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1.นายหนึ่งได้ประกอบธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ โดยเช่าอาคารของนายสองเป็นที่ใช้ประกอบกิจการ เป็นหนี้ค่าเช่านายสองเป็นเงิน 3 แสนบาท ต่อมานายหนึ่งได้ชักชวนนายสามมาร่วมหุ้นกับตนทําธุรกิจ ซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์เหมือนเดิม โดยนายสามลงหุ้นด้วยเงิน 15 ล้านบาท ส่วนนายหนึ่งลงหุ้น ด้วยรถยนต์ที่ซื้อมาขายในกิจการของตนเองตีราคา 15 ล้านบาท และได้เช่าอาคารของนายสอง เหมือนเดิม นายหนึ่งและนายสามได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ต่อมานายสอง ทราบว่า นายสามมาร่วมหุ้นกับนายหนึ่งจึงได้ทวงถามค่าเช่าที่นายหนึ่งค้างชําระจํานวน 3 แสนบาท โดยบอกกับนายสามว่าผู้ที่เข้ามาเป็นหุ้นส่วนในภายหลังจะต้องรับผิดในหนี้สินที่เกิดขึ้นก่อนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย นายสามจึงมาปรึกษากับนักศึกษาว่าในกรณีดังกล่าวข้างต้น นายสามจะต้องรับผิด ในหนี้ค่าเช่าจํานวน 3 แสนบาทที่นายหนึ่งได้ค้างชําระไว้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1052 “บุคคลผู้เข้าเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนย่อมต้องรับผิดในหนี้ใด ๆ ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1052 ที่ว่า บุคคลผู้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนใหม่ในห้างหุ้นส่วนจะต้องร่วม รับผิดในหนี้ของห้างหุ้นส่วนด้วยนั้น หนี้ดังกล่าวนั้นจะต้องเป็นหนี้ของห้างหุ้นส่วนซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้น ก่อนที่ตนจะเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งได้ประกอบธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์อยู่ก่อนที่จะได้ เข้าหุ้นกับนายสามในการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลเพื่อประกอบธุรกิจซื้อขายแลกเปลี่ยนรถยนต์ โดยนายหนึ่ง ได้เช่าอาคารของนายสองเป็นที่ใช้ประกอบกิจการและเป็นหนี้ค่าเช่านายสองเป็นเงิน 3 แสนบาทนั้น ย่อมถือว่า หนี้ค่าเช่าจํานวน 3 แสนบาทดังกล่าว เป็นหนี้ที่นายหนึ่งได้ก่อให้เกิดขึ้นเนื่องจากการประกอบธุรกิจส่วนตัวของนายหนึ่ง ก่อนที่จะมีการจัดตั้งห้างหุ้นส่วนร่วมกับนายสาม จึงมิใช่หนี้ที่ห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้น แต่เป็นหนี้ส่วนตัว ของนายหนึ่ง กรณีจึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามมาตรา 1052 กล่าวคือ มิใช่หนี้ของห้างหุ้นส่วนซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่นายสามจะได้เข้ามาเป็นหุ้นส่วน ดังนั้น นายสามจึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ค่าเช่าจํานวน 3 แสนบาท ที่นายหนึ่งได้ค้างชําระไว้

สรุป ข้าพเจ้าจะให้คําปรึกษาแก่นายสามว่า นายสามไม่ต้องรับผิดในหนี้ค่าเช่าจํานวน 3 แสนบาท ดังกล่าว เพราะเป็นหนี้ส่วนตัวของนายหนึ่ง

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัดสี่สหาย มีนายหนึ่ง, นายสอง, นายสาม เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดนายสี่เป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนได้จดทะเบียนจัดตั้ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดําเนินกิจการมาได้สามปีเศษ มีกําไรมากบ้างน้อยบ้างแต่ก็แบ่งกําไรเท่า ๆ กัน ทุกคน ต่อมาห้างฯ ได้ขาดเงินสดหมุนเวียน นายสี่จึงมอบหมายให้นายหนึ่งไปกู้ยืมเงินจากธนาคาร มาใช้จ่ายในห้างฯ โดยนายสี่ทําหนังสือมอบอํานาจให้นายหนึ่งดําเนินการกู้ยืมเงินแทนห้างฯ และ ลงชื่อในสัญญากู้แทนห้างฯ และประทับตราห้างหุ้นส่วนจํากัดสี่สหายลงไปในสัญญากู้ด้วย นายหนึ่ง ได้รับเงินจากธนาคารก็นํามาเข้าบัญชีของห้างฯ และยังปรากฏว่าห้างหุ้นส่วนจํากัดสี่สหายนี้เป็นหนี้ ค่าสินค้าที่ซื้อมาขายในกิจการของห้างฯ อยู่หลายรายการแต่ยังมิได้มีการคิดบัญชีกันว่าเป็นหนี้อยู่เท่าไร นายสี่จึงมอบอํานาจให้นายสองไปดําเนินการคิดบัญชีกับเจ้าหนี้ของห้างฯ ว่าห้างฯ เป็นหนี้ อยู่จํานวนเท่าใด นายสองจึงได้ไปดําเนินการคิดบัญชีจนเป็นที่ถูกต้องตรงกันว่าห้างฯ ยังคงเป็นหนี้ ค่าสินค้าอยู่สามแสนบาท และนายสองได้ทําหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ในนามห้างหุ้นส่วนจํากัด ต่อมา กิจการของห้างฯ เริ่มประสบภาวะขาดทุนมาตลอดในช่วงสามปีที่ผ่านมานี้ ทําให้ไม่สามารถชําระ หนี้เงินกู้จากธนาคารและหนี้ค่าสินค้าที่นายสองทําหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ และห้างฯ ได้ผิดนัด ชําระหนี้หลายครั้งแล้ว ดังนั้นถามว่าหุ้นส่วนคนใดบ้างต้องรับผิดในหนี้ทั้งสองรายนี้ และนายสาม จะต้องร่วมรับผิดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1070 “เมื่อใดห้างหุ้นส่วนซึ่งจดทะเบียนผิดนัดชําระหนี้ เมื่อนั้นเจ้าหนี้ของห้างหุ้นส่วนนั้น ชอบที่จะเรียกให้ชําระหนี้เอาแต่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งก็ได้”

มาตรา 1080 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญข้อใด ๆ หากมิได้ยกเว้นหรือ แก้ไขเปลี่ยนแปลงไปโดยบทบัญญัติแห่งหมวด 3 นี้ ท่านให้นํามาใช้บังคับแก่ห้างหุ้นส่วนจํากัดด้วย”

มาตรา 1088 วรรคหนึ่ง “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้อง จัดการงานของห้างหุ้นส่วน ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จํากัด จํานวน”

มาตรา 1095 วรรคหนึ่ง “ตราบใดห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้เลิกกัน ตราบนั้นเจ้าหนี้ของห้าง ย่อมไม่มีสิทธิจะฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อห้างหุ้นส่วนจํากัดสี่สหายเป็นหนี้เงินกู้จากธนาคารและหนี้ค่าสินค้าที่นายสองทําหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ ผิดนัดชําระหนี้ เจ้าหนี้ย่อมสามารถฟ้องให้นายสี่ซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัด ความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการรับผิดชําระหนี้ได้ทั้งสองรายตามมาตรา 1070 ประกอบมาตรา 1080 วรรคหนึ่ง ส่วนนายหนึ่ง นายสอง และนายสาม จะต้องร่วมรับผิดในหนี้ทั้งสองรายด้วยหรือไม่ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1 กรณีหนี้เงินกู้ที่ธนาคารเป็นเจ้าหนี้ การที่นายสี่ทําหนังสือมอบอํานาจให้นายหนึ่ง ไปกู้ยืมเงินจากธนาคารมาใช้จ่ายในห้างฯ และนายหนึ่งได้ดําเนินการกู้ยืมเงินแทนห้างฯ และลงชื่อในสัญญากู้ แทนห้างฯ และประทับตราห้างหุ้นส่วนจํากัดสี่สหายลงไปในสัญญากู้ด้วย รวมทั้งได้นําเงินมาเข้าบัญชีของห้างฯ นั้น การกระทําของนายหนึ่งนั้น แม้ว่านายหนึ่งจะได้รับการมอบหมายจากนายสี่หุ้นส่วนผู้จัดการก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างฯ ตามนัยของมาตรา 1088 วรรคหนึ่งแล้ว ดังนั้น นายหนึ่ง จึงต้องรับผิดในหนี้รายนี้ร่วมกันกับนายสี่ด้วย และแม้ว่าห้างฯ ยังมิได้เลิกกัน เจ้าหนี้ก็สามารถฟ้องให้นายหนึ่ง รับผิดชําระหนี้ได้ เพราะถือเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 1095 วรรคหนึ่ง

2 กรณีหนี้ค่าสินค้าที่นายสองได้ทําหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ การที่นายสี่มอบอํานาจให้ นายสองไปดําเนินการคิดบัญชีกับเจ้าหนี้ของห้างฯ และนายสองจึงได้ไปดําเนินการคิดบัญชีจนเป็นที่ถูกต้องตรงกัน และนายสองได้ทําหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ในนามห้างหุ้นส่วนนั้น การกระทําของนายสองแม้จะได้รับมอบหมายจาก นายสี่ก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างฯ ตามนัยของมาตรา 1088 วรรคหนึ่งแล้ว ดังนั้น นายสองจึงต้องรับผิดในหนี้รายนี้ร่วมกันกับนายสี่ และแม้ว่าห้างฯ ยังมิได้เลิกกัน เจ้าหนี้ก็สามารถฟ้องให้ นายสองรับผิดชําระหนี้ได้ เพราะถือเป็นข้อยกเว้นของมาตรา 1095 วรรคหนึ่ง

ส่วนนายสามซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดนั้น เมื่อห้างฯ ยังมิได้เลิกกัน และไม่ปรากฏว่านายสามได้กระทําการใดอันเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายที่จะทําให้ต้องรับผิดโดย ไม่จํากัดจํานวนแต่อย่างใด ดังนั้น เจ้าหนี้ทั้งสองรายจึงฟ้องนายสามไม่ได้ตามมาตรา 1095 วรรคหนึ่ง

สรุป หนี้เงินกู้จากธนาคารนายสี่และนายหนึ่งต้องร่วมกันรับผิด หนี้ค่าสินค้าที่นายสองได้ทํา หนังสือรับสภาพหนี้ไว้นายสี่และนายสองต้องร่วมกันรับผิด ส่วนนายสามไม่ต้องรับผิดในหนี้ทั้งสองรายนั้น

 

ข้อ 3. การประชุมวิสามัญของบริษัทจํากัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จะมีขึ้นได้ในกรณีใดบ้าง

ธงคําตอบ

“การประชุมใหญ่วิสามัญ” คือ การประชุมใหญ่แห่งผู้ถือหุ้น ซึ่งได้เรียกประชุมกันเป็นพิเศษ ต่างหากจากการประชุมใหญ่สามัญ และตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั้น การประชุมใหญ่วิสามัญอาจ เกิดขึ้นได้ในกรณีดังต่อไปนี้ คือ

1 เมื่อกรรมการเห็นสมควร ตามมาตรา 1172 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “กรรมการจะ เรียกประชุมวิสามัญเมื่อใดก็ได้สุดแต่จะเห็นสมควร”

2 เมื่อบริษัทขาดทุนลงถึงกึ่งจํานวนต้นทุน ตามมาตรา 1172 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้าบริษัทขาดทุนลงถึงกึ่งจํานวนต้นทุน กรรมการต้องเรียกประชุมวิสามัญทันทีเพื่อแจ้งให้ผู้ถือหุ้นทราบการที่ ขาดทุนนั้น”

3 เมื่อผู้ถือหุ้นมีจํานวนหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ร้องขอให้เรียกประชุม ตาม มาตรา 1173 ซึ่งบัญญัติว่า “การประชุมวิสามัญจะต้องนัดเรียกให้มีขึ้น ในเมื่อผู้ถือหุ้นมีจํานวนหุ้นรวมกันไม่น้อยกว่า หนึ่งในห้าแห่งจํานวนหุ้นของบริษัท ได้เข้าชื่อกันทําหนังสือร้องขอให้เรียกประชุมเช่นนั้น ในหนังสือร้องขอนั้น ต้องระบุว่าประสงค์ให้เรียกประชุมเพื่อการใด”

4 เมื่อตําแหน่งผู้สอบบัญชีว่างลง ตามมาตรา 1211 ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้ามีตําแหน่งว่างลง ในจํานวนผู้สอบบัญชี ให้กรรมการนักเรียกประชุมวิสามัญเพื่อให้เลือกตั้งขึ้นใหม่ให้ครบจํานวน

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน S/2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. เมื่อต้นปี พ.ศ. 2560 กิจการค้าขายเครื่องมือขุดเจาะน้ำมันโดยนายโตเป็นผู้ประกอบการ กิจการฯก่อหนี้ค้างชําระนายฟาดี จํานวน 100 ล้านบาท ต่อมากิจการฯ ได้ว่าจ้างนางเหมือนฝันเป็น หัวหน้าฝ่ายการตลาดมีลูกน้องใต้บังคับบัญชา 70 คน นางเหมือนฝันใช้ความรู้ความสามารถของตน เพิ่มยอดสั่งซื้อสินค้าปีละมากกว่า 1,000 ล้านบาท นายโตจึงทําข้อตกลง “แบ่งกําไร” ให้แก่ นางเหมือนฝัน 30 เปอร์เซ็นต์ของกําไรของกิจการฯ ทุก ๆ ปี เพื่อตอบแทนความเพียรของ นางเหมือนฝัน ต่อมากลางปี พ.ศ. 2560 กิจการฯ ก่อหนี้ค้างชําระนายโทนี่อีกจํานวน 200 ล้านบาท และต่อมาปลายปี พ.ศ. 2560 ในขณะที่นางเหมือนฝันยังมิได้ลาออกจากกิจการฯ เดิม นางเหมือนฝัน ได้ตกลงกันร่วมลงทุนกับนายโปโปโดยดําเนินกิจการค้าขายเครื่องขุดเจาะน้ำมันเป็นกิจการฯ ใหม่ เพื่อหากําไรแบ่งปันกันระหว่างนางเหมือนฝันกับนายโปโปแข่งขันกับกิจการฯ เดิม เมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2560 กิจการฯ ใหม่ มีกําไร 2,000 ล้านบาท และก่อหนี้ค้างชําระนายฟาดี จํานวน 300 ล้านบาท ให้ท่านวินิจฉัยประเด็นปัญหาข้อกฎหมาย ดังต่อไปนี้ พร้อมทั้งแสดงเหตุผลและหลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประกอบการวินิจฉัย

(ก) นายฟาดี และนายโทนี่ มีอํานาจฟ้องบังคับชําระหนี้ต่อบุคคลใด เพราะเหตุใด

(ข) นางเหมือนฝัน จะต้องรับผิดต่อกิจการฯ เดิม หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1012 “อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคน ขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทํากิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกําไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทํานั้น”

มาตรา 1025 “อันว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น คือห้างหุ้นส่วนประเภทซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคน ต้องรับผิดร่วมกันเพื่อหนี้ทั้งปวงของหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัด”

มาตรา 1038 “ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีสภาพดุจเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้น ไม่ว่าทําเพื่อประโยชน์ตนหรือประโยชน์ผู้อื่น โดยมิได้รับความ ยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ

ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดทําการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรานี้ไซร้ ผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ ชอบที่จะเรียกเอาผลกําไรซึ่งผู้นั้นหาได้ทั้งหมด หรือเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อการที่ห้างหุ้นส่วนได้รับความเสียหาย เพราะเหตุนั้น แต่ท่านห้ามมิให้ฟ้องเรียกเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่วันทําการฝ่าฝืน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

(ก) การที่นายโตเป็นผู้ประกอบการกิจการค้าขายเครื่องมือขุดเจาะน้ำมัน ได้ว่าจ้าง นางเหมือนฝันเป็นหัวหน้าฝ่ายการตลาดโดยมีลูกน้องใต้บังคับบัญชา 70 คนนั้น ถือเป็นเพียงสัญญาจ้างแรงงาน เท่านั้น โดยนายโตอยู่ในฐานะนายจ้าง ส่วนนางเหมือนฝันอยู่ในฐานะลูกจ้าง แม้นางเหมือนฝันได้ใช้ความรู้ ความสามารถของตนเพิ่มยอดสั่งซื้อสินค้าปีละมากกว่า 1,000 ล้านบาท และนายโตได้ทําข้อตกลงแบ่งกําไรให้แก่นางเหมือนฝัน 30 เปอร์เซ็นต์ของกําไรของกิจการฯ ทุก ๆ ปีก็ตาม ก็ไม่ทําให้นายโตกับนางเหมือนฝันเป็น หุ้นส่วนกันตามนัยของมาตรา 1012 เหตุผลเพราะแม้ว่านางเหมือนฝันจะได้รับส่วนแบ่งกําไรจากกิจการฯ แต่นางเหมือนฝันก็ไม่มีสิทธิไม่มีส่วนร่วมในการจัดกิจการงานนั้นแต่อย่างใด

เมื่อนางเหมือนฝันมิใช่หุ้นส่วนกับนายโต ดังนั้นการที่กิจการฯ ของนายโตเป็นหนี้ค้างชําระ นายฟาดีจํานวน 100 ล้านบาท และเป็นหนี้ค้างชําระนายโทนี่อีกจํานวน 200 ล้านบาท นายฟาดีและนายโทนี่ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ จึงต้องฟ้องบังคับชําระหนี้เอาจากนายโตเท่านั้น จะฟ้องบังคับชําระหนี้เอาจากนางเหมือนฝันไม่ได้

ส่วนการที่นางเหมือนฝันได้ตกลงกันร่วมลงทุนกับนายโปโปโดยดําเนินกิจการค้าขาย เครื่องมือขุดเจาะน้ำมันเป็นกิจการใหม่ เพื่อหากําไรแบ่งปันกันระหว่างนางเหมือนฝันกับนายโปโปนั้น ถือว่าข้อตกลง ระหว่างนางเหมือนฝันกับนายโปโปเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วนกันแล้วตามนัยของมาตรา 1012 ดังนั้นเมื่อกิจการ ดังกล่าวเป็นหนี้ค้างชําระนายฟาดีจํานวน 300 ล้านบาท หนี้รายนี้นายฟาดีจึงสามารถฟ้องบังคับชําระหนี้เอาจาก นางเหมือนฝันและนายโปโปได้ตามมาตรา 1012 ประกอบมาตรา 1025 ที่ว่า ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนจะต้องรับผิด ร่วมกันเพื่อหนี้ทั้งปวงของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จํากัดจํานวน

(ข) การที่นางเหมือนฝันได้ตกลงเข้าไปเป็นหุ้นส่วนกับนายโปโปดําเนินกิจการค้าขาย เครื่องมือขุดเจาะน้ำมันเป็นกิจการใหม่นั้น แม้เป็นกิจการที่มีสภาพเป็นอย่างเดียวกันกับกิจการของนายโตก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านางเหมือนฝันมิได้เป็นหุ้นส่วนกับนายโต การกระทําดังกล่าวของนางเหมือนฝันจึงมิใช่เป็น การกระทําที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 1038 แต่อย่างใด ดังนั้นนางเหมือนฝันจึงไม่ต้องรับผิดต่อกิจการฯ เดิม

สรุป

(ก) นายฟาดีมีอํานาจฟ้องบังคับชําระหนี้จํานวน 100 ล้านบาทจากนายโตได้ ส่วนหนี้รายหลังจํานวน 300 ล้านบาท นายฟาดีมีอํานาจฟ้องบังคับชําระหนี้เอาจากนางเหมือนฝันและนายโปโปได้

นายโทนี่มีอํานาจฟ้องบังคับชําระหนี้จํานวน 200 ล้านบาทจากนายโตได้ แต่จะฟ้องบังคับเอาจากนางเหมือนฝันไม่ได้

(ข) นางเหมือนฝันไม่ต้องรับผิดต่อกิจการฯ เดิม

 

ข้อ 2. ให้ท่านอธิบายความแตกต่างระหว่าง “หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด” กับ “หุ้นส่วนจํากัดความรับผิด”อย่างน้อย 10 ประเด็น พร้อมทั้งแสดงหลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยละเอียด

ธงคําตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติถึงความแตกต่างระหว่าง “หุ้นส่วน ไม่จํากัดความรับผิด” กับ “หุ้นส่วนจํากัดความรับผิด” ไว้ดังนี้ คือ

1 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดมีได้ทั้งในห้างหุ้นส่วนสามัญและห้างหุ้นส่วนจํากัด ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดมีได้เฉพาะในห้างหุ้นส่วนจํากัดเท่านั้น (มาตรา 1025 และมาตรา 1077)

2 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดจะต้องรับผิดเพื่อหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จํากัดจํานวน ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดจะรับผิดเพื่อหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยจํากัดเฉพาะในจํานวนเงินที่ตนรับว่าจะลงหุ้น เท่านั้น (มาตรา 1077)

3 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดสามารถนําชื่อของตนไปเรียกขานระคนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วนได้ เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไว้แต่อย่างใด ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด กฎหมายห้ามมิให้เอาชื่อของตน ไปเรียกขานระคนเป็นชื่อของห้างหุ้นส่วน (มาตรา 1081)

4 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดสามารถลงหุ้นด้วยเงิน ทรัพย์สิน หรือแรงงานก็ได้ (มาตรา 1026 ประกอบมาตรา 1080) ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดสามารถลงหุ้นได้เฉพาะเงินหรือทรัพย์สินเท่านั้น จะลงหุ้นด้วยแรงงานไม่ได้ (มาตรา 1083)

5 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดนอกจากจะมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งผลกําไรที่ห้างหุ้นส่วน ทํามาค้าได้แล้ว ยังมีสิทธิที่จะได้รับเงินปันผลหรือดอกเบี้ยอีกด้วย ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด กฎหมายได้บัญญัติห้ามมิให้แบ่งเงินปันผลหรือดอกเบี้ยแก่ผู้เป็นหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด นอกจากผลกําไรที่ห้างหุ้นส่วน ทํามาค้าได้ เว้นแต่จะได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น (มาตรา 1084)

6 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด มีสิทธิเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้ (มาตรา 1087) ส่วน หุ้นส่วนจํากัดความรับผิด กฎหมายห้ามมิให้เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการรวมทั้งห้ามสอดเข้าไปเกี่ยวข้องการจัดการงาน ของห้างหุ้นส่วนด้วย (มารตรา 1087 และมาตรา 1088)

7 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด จะประกอบกิจการค้าขายแข่งขันกับห้างหุ้นส่วนไม่ได้ หรือจะเข้าไปเป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนอื่นที่ประกอบกิจการค้าขายแข่งขันกับห้างหุ้นส่วนเดิม ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน (มาตรา 1066 ประกอบมาตรา 1080) ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด สามารถประกอบ กิจการค้าขายแข่งขันกับห้างหุ้นส่วนได้ (มาตรา 1090)

8 หุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิด ถ้าจะโอนหุ้นของตนให้แก่บุคคลอื่น จะต้องได้รับความ ยินยอมจากผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ ด้วย (มาตรา 1040 ประกอบมาตรา 1080) ส่วนหุ้นส่วนจํากัดความรับผิด สามารถโอนหุ้นของตนให้แก่บุคคลอื่นได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ (มาตรา 1091)

9 ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนไม่จํากัดความรับผิดคนใดคนหนึ่งตาย ล้มละลาย หรือตกเป็นคน ไร้ความสามารถ โดยหลักห้างหุ้นส่วนนั้นย่อมเป็นอันเลิกกัน (มาตรา 1055 (5) ประกอบมาตรา 1080) แต่ถ้า ผู้เป็นหุ้นส่วนจํากัดความรับผิดคนใดคนหนึ่งตาย ล้มละลาย หรือตกเป็นคนไร้ความสามารถไม่เป็นเหตุให้ ห้างหุ้นส่วนนั้นจะต้องเลิกกัน (มาตรา 1992)

10 เมื่อห้างหุ้นส่วนจํากัดผิดนัดชําระหนี้ เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิฟ้องให้หุ้นส่วนไม่จํากัดความ รับผิดคนใดคนหนึ่งชําระหนี้ได้ (มาตรา 1070 ประกอบมาตรา 1080) แต่ถ้าตราบใดที่ห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้ เลิกกัน แม้ห้างหุ้นส่วนจะผิดนัดชําระหนี้แล้ว เจ้าหนี้ก็ไม่สามารถฟ้องให้หุ้นส่วนจํากัดความรับผิดชําระหนี้ได้ (มาตรา 1095 วรรคหนึ่ง)

 

ข้อ 3. เมื่อต้นปี พ.ศ. 2560 นายเลิฟถือหุ้นบริษัทโคล จํากัด เป็นหุ้นชนิดระบุชื่อจํานวน 1,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท ต่อมานายเลิฟได้โอนขายหุ้นดังกล่าวทั้งหมดให้แก่นายไบโดยทําข้อตกลง เป็นหนังสือ ในหนังสือดังกล่าวปรากฏว่ามีการระบุเพียงชื่อนายเลิฟในฐานะผู้โอนและระบุชื่อ นายไบในฐานะผู้รับโอน ซึ่งเป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายโดยครบถ้วนเท่านั้น ต่อมาทั้งนายไบและ นายเลิฟได้นําหนังสือหลักฐานการโอนดังกล่าวไปให้บริษัทโคล จํากัด บริษัทฯ ได้ดําเนินการแก้ไข“ทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นบริษัทฯ” เสร็จสิ้น โดยในทะเบียนระบุให้นายไบมีสถานภาพเป็นผู้ถือหุ้น และต่อมาบริษัทฯ ได้ออกหนังสือเชิญประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นให้นายไบ เพื่อให้นายไบเข้าประชุมใหญ่ ผู้ถือหุ้นต่อเนื่องกันเป็นเวลา 2 ปี และนายไบได้รับเงินปันผลจากบริษัทฯ แล้วเป็นเวลา 2 ปี ต่อมานางพลอยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของนายเลิฟทราบเรื่องการดําเนินการต่อหุ้นดังกล่าวของนายเลิฟ จึงได้ร้องขอต่อศาลยุติธรรมให้อายัดหุ้นดังกล่าวโดยอ้างว่า “หุ้นเป็นของนายเลิฟ” ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้ออ้างของนางพลอยฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1129 “อันว่าหุ้นนั้นย่อมโอนกันได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมของบริษัท เว้นแต่ เมื่อเป็นหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นซึ่งมีข้อบังคับของบริษัทกําหนดไว้เป็นอย่างอื่น

การโอนหุ้นชนิดระบุชื่อลงในใบหุ้นนั้น ถ้ามิได้ทําเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอน มีพยานคนหนึ่งเป็นอย่างน้อยลงชื่อรับรองลายมือนั้น ๆ ด้วยแล้ว ท่านว่าเป็นโมฆะ อนึ่งตราสารอันนั้น ต้องแถลงเลขหมายของหุ้นซึ่งโอนกันนั้นด้วย

การโอนเช่นนี้จะนํามาใช้แก่บริษัทหรือบุคคลภายนอกไม่ได้ จนกว่าจะได้จดแจ้งการโอนทั้งชื่อ และสํานักของผู้รับโอนนั้นลงในทะเบียนผู้ถือหุ้น”

วินิจฉัย

ในการโอนหุ้นชนิดระบุชื่อนั้น การโอนจะสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆะ จะต้องปฏิบัติตามมาตรา 1129 วรรคสอง คือ การโอนจะต้องทําเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อของผู้โอนกับผู้รับโอน มีพยานอย่างน้อยหนึ่งคน ลงลายมือชื่อรับรอง และต้องแถลงเลขหมายของหุ้นซึ่งโอนกันนั้นด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การโอนหุ้นระหว่างนายเลิฟกับนายไบเป็นการโอนหุ้นชนิดระบุชื่อ เมื่อ การโอนได้มีการทําข้อตกลงเป็นหนังสือและมีการระบุชื่อนายเลิฟในฐานะผู้โอนและนายไบในฐานะผู้รับโอนเท่านั้น โดยไม่ปรากฏว่ามีบุคคลใดลงลายมือชื่อเป็นพยานรับรองลายมือชื่อของผู้โอนและผู้รับโอนแต่อย่างใด การโอน หุ้นดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1129 วรรคสอง ดังนั้น หุ้นจํานวน 1,000,000 หุ้น ที่นายเลิฟถืออยู่ใน บริษัทโคล จํากัด จึงยังเป็นของผู้โอนคือนายเลิฟ แม้ว่าบริษัทจะได้ดําเนินการแก้ไขชื่อในทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้น ของบริษัทฯ ระบุให้นายไบมีสภาพเป็นผู้ถือหุ้น และบริษัทฯ ได้ออกหนังสือเชิญประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นให้นายไบ เพื่อให้นายไบเข้าประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น รวมทั้งได้จ่ายเงินปันผลให้แก่นายไบเป็นเวลา 2 ปีแล้วก็ตาม ก็ไม่ทําให้นายไบ เป็นเจ้าของหุ้นดังกล่าวแต่อย่างใด แต่ให้ถือว่านายเลิฟยังเป็นเจ้าของหุ้นนั้นอยู่เช่นเดิม ดังนั้น การที่นางพลอย ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของนายเลิฟได้ร้องขอต่อศาลให้อายัดหุ้นดังกล่าวโดยอ้างว่าหุ้นดังกล่าวเป็นหุ้นของนายเลิฟนั้น ข้ออ้างของนางพลอยจึงฟังขึ้น

สรุป ข้ออ้างของนางพลอยฟังขึ้น ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าว

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 2/2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายเอก ประกอบอาชีพรับซื้อธนบัตรเก่าและวัตถุโบราณ มีที่ทําการอยู่บนถนนสีลม เวลาไปซื้อธนบัตรหรือวัตถุโบราณมักจะชวนนายโทซึ่งเป็นเพื่อนกันกับตนไปด้วยทุกครั้งและบอกกับนายตรี ผู้ขายวัตถุโบราณว่านายโทเป็นหุ้นส่วนกับตน ส่วนนายโทฟังแล้วก็มิได้คัดค้านเลย ต่อมานายเอก ไม่มีเงินชําระค่าวัตถุโบราณรูปหินแกะสลักพระรามแผลงศรซึ่งซื้อมาจากนายตรี นายตรีจึงได้ทวงถาม ให้นายโทร่วมรับผิดกับนายเอกโดยเข้าใจว่านายเอกและนายโทร่วมหุ้นกัน แต่นายโทได้ต่อสู้ว่า มิได้เคยเข้าหุ้นกับนายเอก และนายเอกก็มิได้เป็นหุ้นส่วนกับผู้ใดเลย หนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ส่วนตัว ของนายเอกจึงไม่ขอรับผิดชอบ นายตรีจึงมาปรึกษากับนักศึกษาในเรื่องดังกล่าวว่า จะมีทางใดบ้าง ที่จะเรียกร้องให้นายโทรับผิดได้ ให้นักศึกษาแนะนํานายตรีด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1054 วรรคหนึ่ง “บุคคลใดแสดงตนว่าเป็นหุ้นส่วนด้วยวาจาก็ดี ด้วยลายลักษณ์อักษร ก็ดี ด้วยกิริยาก็ดี ด้วยยินยอมให้เขาใช้ชื่อตนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วนก็ดี หรือรู้แล้วไม่คัดค้านปล่อยให้เขาแสดงว่าตน เป็นหุ้นส่วนก็ดี ท่านว่าบุคคลนั้นย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนเสมือนเป็นหุ้นส่วน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกประกอบอาชีพรับซื้อธนบัตรเก่าและวัตถุโบราณ และเวลาไปซื้อ ธนบัตรหรือวัตถุโบราณมักจะชวนนายโทซึ่งเป็นเพื่อนกับตนไปด้วยทุกครั้งและบอกกับนายตรีผู้ขายวัตถุโบราณว่า นายโทเป็นหุ้นส่วนกับตน โดยนายโทฟังเล้วก็มิได้คัดค้านเลยนั้น กรณีนี้ถือว่านายโทรู้แล้วแต่ไม่คัดค้าน ปล่อยให้ เขาแสดงว่าตนเป็นหุ้นส่วนตามนัยของมาตรา 1054 วรรคหนึ่งแล้ว ดังนั้นนายโทจึงต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก ในบรรดาหนี้สินต่าง ๆ เสมือนว่านายโทและนายเอกเป็นหุ้นส่วนกัน

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ต่อมานายเอกไม่มีเงินชําระค่าวัตถุโบราณรูปหินแกะสลักพระราม แผลงศรซึ่งซื้อมาจากนายตรี และนายตรีได้ทวงถามให้นายโทร่วมรับผิดกับนายเอกโดยเข้าใจว่านายเอกและนายโท ได้ร่วมหุ้นกัน ดังนี้ นายโทจะต่อสู้ว่าตนมิได้เคยเข้าหุ้นกับนายเอก และนายเอกก็มิได้เป็นหุ้นส่วนกับผู้ใดเลย และหนี้ดังกล่าวก็เป็นหนี้ส่วนตัวของนายเอกตนจึงไม่ขอรับผิดชอบไม่ได้ นายตรีจึงสามารถฟ้องเรียกค่าวัตถุโบราณ จากนายโทได้เสมือนหนึ่งว่า นายเอกและนายโทได้เข้าหุ้นกันเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญตามมาตรา 1054 วรรคหนึ่ง

สรุป

ข้าพเจ้าจะให้คําแนะนําแก่นายตรีว่า ให้นายตรีฟ้องเรียกค่าวัตถุโบราณดังกล่าวจาก นายโทเสมือนหนึ่งว่านายเอกและนายโทเป็นหุ้นส่วนกันตามมาตรา 1054 วรรคหนึ่ง

 

ข้อ 2. มีกรณีใดบ้างที่เจ้าหนี้ของห้างหุ้นส่วนจํากัด สามารถฟ้องร้องให้หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดต้องร่วมรับผิดในหนี้สินของห้างหุ้นส่วนจํากัดได้

ธงคําตอบ

โดยหลักแล้ว หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจํากัด ย่อมต้องรับผิดเพื่อหนี้ ของห้างหุ้นส่วนจํากัดโดยจํากัดเฉพาะจํานวนเงินที่ตนรับว่าจะลงหุ้นในห้างหุ้นส่วนนั้น (มาตรา 1077) และตราบใด ที่ห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้เลิกกัน เจ้าหนี้ของห้างหุ้นส่วนจํากัดย่อมไม่มีสิทธิที่จะฟ้องร้องให้หุ้นส่วนจําพวกจํากัด ความรับผิดต้องรับผิดในหนี้สินของห้างหุ้นส่วนจํากัด (มาตรา 1095 วรรคหนึ่ง)

แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหนี้ของหุ้นส่วนจํากัดอาจสามารถฟ้องร้องให้หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ต้องรับผิดในหนี้สินของห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้นได้แม้ว่าห้างจะยังมิได้เลิกกัน ถ้าหากเป็นไปตามกรณีที่กฎหมายได้ บัญญัติไว้ ดังนี้คือ

1 กรณีที่ห้างหุ้นส่วนจํากัดยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล และได้ก่อให้เกิดหนี้ขึ้น ก่อนที่ห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้นจะได้จดทะเบียน ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนไม่ว่าจะเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด หรือไม่จํากัดความรับผิดก็ต้องรับผิดในหนี้นั้นโดยไม่จํากัดจํานวน ทั้งนี้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1079 “อันห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนอยู่ตราบใด ท่านให้ถือว่าเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วน ทั้งหมดย่อมต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จํากัดจํานวนจนกว่าจะได้จดทะเบียน”

2 กรณีที่หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดยินยอมให้ใช้ชื่อของตนเรียกขานระคนเป็น ชื่อห้างหุ้นส่วนจํากัด

มาตรา 1082 วรรคหนึ่ง “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดคนใดยินยอมโดย แสดงออกชัดหรือโดยปริยายให้ใช้ชื่อของตนระคนเป็นชื่อห้างไซร้ ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นจะต้องรับผิดต่อ บุคคลภายนอกเสมือนดังว่าเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดฉะนั้น”

3 กรณีที่หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดแสดงให้บุคคลภายนอกทราบว่าตนได้ลงหุ้น ไว้มากกว่าจํานวนซึ่งได้จดทะเบียน (ซึ่งจะต้องรับผิดเท่ากับจํานวนซึ่งตนได้แสดงไว้)

มาตรา 1085 “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้แสดงด้วยจดหมายหรือ ใบแจ้งความหรือด้วยวิธีอย่างอื่นให้บุคคลภายนอกทราบว่าตนได้ลงหุ้นไว้มากกว่าจํานวนซึ่งได้จดทะเบียนเพียงใด ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดเท่าถึงจํานวนเพียงนั้น”

4 กรณีที่หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของ ห้างหุ้นส่วนจํากัด

มาตรา 1083 วรรคหนึ่ง “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดผู้ใดสอดเข้าไป เกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วน ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนนั้น โดยไม่จํากัดจํานวน”

 

ข้อ 3 นายแสง นายสิน และนายโสม เป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัทจํากัดแห่งหนึ่ง ได้ทําสัญญาเช่าอาคารจากนายแดงเพื่อใช้เป็นที่ทําการของบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้น แต่เนื่องจากอาคารของนายแดงเก่ามาก แต่มีทําเลดีเหมาะที่จะใช้เป็นที่ทําการของบริษัทในอนาคต นายแสงจึงได้ว่าจ้างนายขาวทําการตกแต่ง ภายในตึกให้ดูสวยงาม เมื่อถึงวันประชุมตั้งบริษัท ได้มีการให้สัตยาบันในสัญญาเช่าตึก แต่นายแสง ไม่ได้แจ้งให้ที่ประชุมผู้เข้าซื้อหุ้นทราบว่าตนได้ว่าจ้างนายขาวมาตกแต่งภายในอาคารตึกเป็นเงิน 3 แสนบาท ต่อมามีการจดทะเบียนตั้งบริษัทจนเสร็จเรียบร้อยและใช้ชื่อว่าบริษัท แสงโสม จํากัด นายขาวจึงทวงถามให้นายแสงชําระค่าตกแต่งภายในตึกซึ่งใช้เป็นอาคารที่ทําการของบริษัท แต่นายแสงไม่มีเงินใช้ ดังนี้ นายขาวจะเรียกให้บริษัท แสงโสม จํากัด นายแสง นายสิน และนายโสม รับผิดได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1113 “ผู้เริ่มก่อการบริษัทต้องรับผิดร่วมกันและโดยไม่จํากัดในบรรดาหนี้และการ จ่ายเงินซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทมิได้อนุมัติ และแม้จะได้มีอนุมัติก็ยังคงต้องรับผิดอยู่เช่นนั้นไปจนกว่าจะได้จดทะเบียน บริษัท”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1113 นั้น บัญญัติให้ผู้เริ่มก่อการบริษัทต้องร่วมรับผิดร่วมกันโดยไม่จํากัดในบรรดา หนี้และการจ่ายเงิน ซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทมิได้อนุมัติ และแม้ที่ประชุมตั้งบริษัทจะได้อนุมัติแล้ว ผู้เริ่มก่อการก็ยังต้อง รับผิดอยู่จนกว่าจะได้จดทะเบียนบริษัท ดังนั้นผู้เริ่มก่อการจะหลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้ของบริษัทก็ต่อเมื่อ ที่ประชุมตั้งบริษัทได้อนุมัติหนี้ดังกล่าวแล้วและบริษัทได้จดทะเบียนตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแสง นายสิน และนายโสม เป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัทจํากัด ได้ทําสัญญาเช่าอาคารจากนายแดงเพื่อใช้เป็นที่ทําการของบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้น และนายแสงได้ว่าจ้างให้นายขาว ทําการตกแต่งตึกให้ดูสวยงามเนื่องจากอาคารของนายแดงเก่ามากนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อถึงวันประชุม ตั้งบริษัท ได้มีการให้สัตยาบันในสัญญาเช่าตึก แต่นายแสงไม่ได้แจ้งให้ที่ประชุมผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นทราบว่าตนได้ ว่าจ้างนายขาวมาตกแต่งภายในอาคารตึกเป็นเงิน 3 แสนบาท ทําให้หนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัท มิได้อนุมัติ ดังนั้น แม้ต่อมาบริษัทจะได้จดทะเบียนเสร็จสิ้นแล้ว นายขาวจะฟ้องให้บริษัท แสงโสม จํากัด รับผิดชอบ ในหนี้ค่าจ้างดังกล่าวมิได้

แต่อย่างไรก็ตาม แม้นายแสงจะเป็นผู้ทําสัญญาว่าจ้างนายขาวแต่เพียงผู้เดียว แต่เมื่อหนี้ค่าจ้าง ดังกล่าวเป็นหนี้ซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทมิได้อนุมัติ ดังนั้น นายสิน และนายโสม ซึ่งเป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัทก็ต้อง ร่วมกันรับผิดต่อนายขาวด้วยตามมาตรา 1113

สรุป นายขาวจะเรียกให้บริษัท แสงโสม จํากัด รับผิดชอบในหนี้ค่าจ้างดังกล่าวไม่ได้ แต่สามารถ เรียกให้นายแสง นายสิน และนายโสม ร่วมกันรับผิดในการชําระหนี้นั้นได้

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายกีกี้กับนางปีโป้เป็นพี่น้องกัน ได้ตกลงเข้าหุ้นส่วนกันโดยตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนมีวัตถุประสงค์เปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรือ โดยลงหุ้นกันคนละ 3 หมื่นบาท และใช้ชื่อร้านว่า “ก๋วยเตี๋ยวเรือนายมิรู้อิ่มนนทบุรี” โดยเปิดขายที่ถนนรามคําแหง ซอย 39 เหตุที่ใช้ชื่อนี้ก็เพราะว่า ได้ตกลงกับนายมิรู้อิ่ม โคคา ซึ่งเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรือที่จังหวัดนนทบุรีมาก่อนจนมีลูกค้ามากมาย และมีชื่อเสียงคนรู้จักทั่วไป โดยที่นายมิรู้อิ่ม โคคา ได้เรียกเก็บเงินเป็นค่าตอบแทนจํานวน 20,000 บาท และยอมให้นายกีกี้และนางปีโป้ใช้ชื่อ “นายมิรู้อิ่ม” เป็นชื่อร้านก๋วยเตี๋ยว และนายมิรู้อิ่ม โคคา จะเป็น ผู้นําวัตถุดิบที่ตนผลิตได้มาส่งขายให้นายกีกี้และนางปีโป้เพื่อนํามาทําเป็นก๋วยเตี๋ยวเรือขายต่อไป ต่อมานายกีกี้ก็ได้กู้ยืมเงินนางสะโมจํานวน 500,000 บาท เพื่อนํามาขยายกิจการร้านขายก๋วยเตี๋ยว โดยนางสะโมเห็นว่าร้านขายก๋วยเตี๋ยวเรือนายมิรู้อิ่มนนทบุรี ที่นายกีกี้และนางปีโป้ทําอยู่นี้รสอร่อย และเข้าใจว่านายมิรู้อิ่ม โคคา เป็นหุ้นส่วนด้วยจึงยินยอมให้กู้เงินจํานวนดังกล่าว แต่เมื่อหนี้เงินกู้ ถึงกําหนดชําระนางสะโมก็ทวงถามจากนายกีกี้และนางปีโป้ แต่ทั้งสองคนไม่มีเงินชําระหนี้ นางสะโม จึงได้ทวงถามจากนายมิรู้อิ่ม โคคา แต่ว่านายมิรู้อิ่ม โคคา ปฏิเสธและไม่ยอมชําระหนี้ดังกล่าว โดยอธิบายเหตุผลต่อนางสะโมว่าตนไม่ใช่หุ้นส่วนกับนายกีกี้และนางปีโป้ และตนไม่ใช่เจ้าของ ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือดังกล่าว แต่การที่ตนยินยอมให้นายกีกี้กับนางปีโป้ใช้ชื่อตนเป็นชื่อร้านก็เพราะ เป็นเรื่องของการทําธุรกิจการค้า ประกอบกับรู้สึกสงสารนายกีกี้กับนางปีโป้

ให้ท่านวินิจฉัยว่า คําอธิบายของนายมิรู้อิ่ม โคคา ฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1025 “อันว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น คือห้างหุ้นส่วนประเภทซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคน ต้องรับผิดร่วมกันเพื่อหนี้ทั้งปวงของหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัด”

มาตรา 1050 “การใด ๆ อันผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้จัดทําไปในทางที่เป็นธรรมดา การค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนย่อมมีความผูกพันในการนั้น ๆ ด้วย และจะต้องรับผิด ร่วมกันโดยไม่จํากัดจํานวนในการชําระหนี้ อันได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะจัดการไปเช่นนั้น”

มาตรา 1054 วรรคหนึ่ง “บุคคลใดแสดงตนว่าเป็นหุ้นส่วนด้วยวาจาก็ดี ด้วยลายลักษณ์อักษร ก็ดี ด้วยกิริยาก็ดี ด้วยยินยอมให้เขาใช้ชื่อตนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วนก็ดี หรือรู้แล้วไม่คัดค้านปล่อยให้เขาแสดงว่าตน เป็นหุ้นส่วนก็ดี ท่านว่าบุคคลนั้นย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนเสมือนเป็นหุ้นส่วน”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1025 และมาตรา 1050 ได้บัญญัติให้ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนในห้างหุ้นส่วนสามัญ จะต้องร่วมกันรับผิดและโดยไม่จํากัดจํานวนในบรรดาหนี้สินที่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้ก่อให้เกิดขึ้น เนื่องจากการที่ได้จัดทําไปในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น

และตามมาตรา 1054 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติให้บุคคลที่ไม่ได้เป็นหุ้นส่วน แต่ได้แสดงตนว่า เป็นหุ้นส่วน หรือยินยอมให้เขาใช้ชื่อตนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วน หรือรู้แล้วไม่คัดค้านปล่อยให้เขาแสดงว่าตนเป็นหุ้นส่วน จะต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนเสมือนว่าตนเป็นหุ้นส่วน และต้องรับผิดก็แต่เฉพาะ ในกรณีที่บุคคลภายนอกถูกหลอกลวง หรือหลงผิดเข้าใจว่าบุคคลนั้นเป็นหุ้นส่วน และหนี้ของห้างหุ้นส่วนได้เกิดขึ้น และเป็นผลโดยตรงจากการที่บุคคลนั้นได้แสดงตนว่าเป็นหุ้นส่วนหรือยินยอมให้เขาใช้ชื่อของตนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วน หรือปล่อยให้เขาแสดงว่าตนเป็นหุ้นส่วนด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมิรู้อิ่มซึ่งไม่ได้เป็นหุ้นส่วนร่วมกับนายกีกี้และนางปีโป้ ได้ยินยอม ให้นายกีกี้และนางปีโป้ใช้ชื่อของตนไปใช้เป็นชื่อของห้างหุ้นส่วน ทําให้นางสะโมเข้าใจโดยสุจริตว่า นายมิรู้อิ่มเป็น หุ้นส่วนร่วมกับนายกีกี้และนางปีโป้จึงยินยอมให้นายกีกี้กู้ยืมเงินนั้น การกระทําของนายมิรู้อิ่มถือว่าได้แสดงตนว่า เป็นหุ้นส่วนร่วมกันกับนายกีกี้และนางปีโป้ ดังนั้น นายมิรู้อิมจึงต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้สิน ต่าง ๆ อันเกิดจากการจัดกิจการในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างเสมือนว่านายมิรู้อิมเป็นหุ้นส่วนด้วย ตามมาตรา 1054 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 1025 และมาตรา 1050

และการที่นายกีกี้ก็ได้กู้ยืมเงินจากนางสะโมจํานวน 500,000 บาท เพื่อนํามาขยายกิจการร้าน ขายก๋วยเตี๋ยวนั้น ถือว่าเป็นหนี้ที่เกิดจากการจัดกิจการในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนที่ผู้เป็น หุ้นส่วนคนอื่น ๆ รวมทั้งนายมิรู้อิ่มจะต้องร่วมกันรับผิดโดยไม่จํากัดจํานวน ดังนั้น เมื่อนางสะโมได้ทวงถามให้ นายมิรู้อิ่มชําระหนี้ แต่นายมิรู้อิ่มปฏิเสธไม่ยอมชําระหนี้โดยอธิบายเหตุผลต่อนางสะโมว่าตนไม่ใช่หุ้นส่วนกับ นายกีกี้และนางปีโป้นั้น คําอธิบายของนายมิรู้อิ่ม จึงฟังไม่ขึ้น

สรุป คําอธิบายของนายมิรู้อิ่ม โคคา ดังกล่าว ฟังไม่ขึ้น

 

ข้อ 2. นายแสง นายสิน และนายสอน เข้าหุ้นกันมีวัตถุประสงค์ตั้งโรงสีข้าว รับซื้อข้าวเปลือกและขายข้าวสารในระหว่างที่ยังมิได้ไปจดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด นายสอนซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัด ความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้รับซื้อข้าวเปลือกจากนายสีไว้เป็นเงิน 10 ล้านบาท และยัง มิได้ชําระหนี้ ต่อมามีการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด โดยนายแสงและนายสินเป็น หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดลงหุ้นไว้คนละหนึ่งล้านบาท นายสอนเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัด ความรับผิด และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการลงหุ้นไว้เป็นเงินห้าล้านบาท แต่นายแสงมักจะบอกกับชาวนา ที่นําข้าวมาขายให้ห้างหุ้นส่วนจํากัดว่าตนลงหุ้นไว้ห้าล้านบาท เท่ากับนายสอน ต่อมานายสี ได้ทวงเงินค่าข้าวเปลือกจากห้างหุ้นส่วนจํากัด และทวงเงินค่าข้าวเปลือกจากนายสอนด้วย แต่ ห้างหุ้นส่วนจํากัดและนายสอนไม่มีเงินชําระหนี้ นายสีจึงเรียกให้นายแสงและนายสินร่วมกัน รับผิดชอบในหนี้ค่าข้าวเปลือก แต่นายแสงและนายสินต่อสู้ว่าเมื่อห้างหุ้นส่วนจํากัดนี้ยังมิได้เลิกกัน เจ้าหนี้ของห้างฯ คือนายสีจะเรียกให้นายแสงและนายสินชําระหนี้ไม่ได้ ดังนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของบุคคลทั้งสองรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1079 “อันห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนอยู่ตราบใด ท่านให้ถือว่าเป็น ห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดย่อมต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัดจํานวน จนกว่าจะได้จดทะเบียน

มาตรา 1095 วรรคหนึ่ง “ตราบใดห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้เลิกกัน ตราบนั้นเจ้าหนี้ของห้าง ย่อมไม่มีสิทธิจะฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้”

วินิจฉัย

โดยหลักตามมาตรา 1095 วรรคหนึ่งนั้น ถ้าตราบใดที่ห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้เลิกกัน เจ้าหนี้ของห้างหุ้นส่วนจํากัดจะฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดไม่ได้ จะฟ้องร้องได้แต่เฉพาะผู้เป็น หุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามมีข้อยกเว้นว่า ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด คนใดจะต้องรับผิดเพื่อหนี้ของห้างหุ้นส่วนจํากัดโดยไม่จํากัดจํานวนแล้ว ดังนี้เจ้าหนี้ของห้างก็ย่อมมีสิทธิที่จะ ฟ้องให้หุ้นส่วนคนนั้นรับผิดชอบชําระหนี้ให้แก่ตนได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้ห้างหุ้นส่วนจํากัดเลิกกันก่อนแต่อย่างใด

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแสง นายสิน และนายสอน ได้เข้าหุ้นกันเพื่อจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วน จํากัด มีวัตถุประสงค์ตั้งโรงสีข้าว รับซื้อข้าวเปลือกและขายข้าวสาร โดยมีนายสอนเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัด ความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ สวนนายแสงและนายสินเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดนั้น เมื่อ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าในระหว่างที่ยังมิได้ไปจดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด นายสอนได้รับซื้อข้าวเปลือก จากนายสีไว้เป็นเงิน 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นการจัดการตามวัตถุประสงค์ของห้างฯ กรณีเช่นนี้ ถือว่าหนี้จากการรับซื้อ ข้าวเปลือกดังกล่าวได้เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการจดทะเบียนเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด ซึ่งตามกฎหมายให้ถือว่าเป็นหนี้ ของห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนไม่ว่าจะเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดหรือจําพวกไม่จํากัด ความรับผิดจะต้องร่วมกันรับผิดในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัดจํานวน (มาตรา 1079) และเมื่อนายแสง และนายสินจะต้องรับผิดเพื่อหนี้ของห้างฯ โดยไม่จํากัดจํานวนแล้ว นายสีจึงมีสิทธิเรียกให้นายแสงและนายสิน ร่วมกันรับผิดชอบในหนี้ค่าข้าวเปลือกได้ แม้ว่าห้างฯ จะยังมิได้เลิกกันก็ตาม เพราะถือว่าเป็นข้อยกเว้นของ มาตรา 1095 วรรคหนึ่ง ดังนั้น ข้อต่อสู้ของนายแสงและนายสินที่ว่านายสีเจ้าหนี้ของห้างฯ จะเรียกให้ตนชําระหนี้ ไม่ได้เพราะห้างฯ ยังมิได้เลิกกันนั้นจึงรับฟังไม่ได้

สรุป ข้อต่อสู้ของนายแสงและนายสินรับฟังไม่ได้

 

ข้อ 3. ในการประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทลาเต้ จํากัด เพื่อเลือกกรรมการที่หมดวาระ มีนายสดและนายใสผู้ถือหุ้นลงสมัครเป็นกรรมการ และทั้งสองคนได้เข้าประชุมผู้ถือหุ้นด้วย แต่ก่อนที่จะลงมติเลือก กรรมการ นายสดได้งดออกเสียงโดยเดินออกจากที่ประชุมไป จากนั้นได้มีการลงมติเลือกกรรมการ แทนตําแหน่งที่ว่างลงหนึ่งตําแหน่ง ปรากฏว่านายใสได้ลงคะแนนเลือกตัวเองเป็นกรรมการด้วย และผลของการลงคะแนน นายใสได้เป็นกรรมการโดยมีคะแนนมากกว่านายสดเพียง 1 คะแนน เท่านั้น นายสดเห็นว่านายใสลงคะแนนเลือกตนเองเป็นกรรมการ เป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมีส่วนได้เสียเป็นพิเศษในเรื่องที่ลงมติ จึงไม่อาจลงคะแนนได้ และประสงค์จะฟ้องเพิกถอน มติเรื่องการเลือกกรรมการบริษัทในครั้งนี้ ดังนี้ ท่านเห็นว่าข้อกล่าวอ้างของนายสดฟังขึ้นหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1185 “ผู้ถือหุ้นคนใดมีส่วนได้เสียเป็นพิเศษในข้ออันใดซึ่งที่ประชุมจะลงมติ ท่าน ห้ามมิให้ผู้ถือหุ้นคนนั้นออกเสียงลงคะแนนด้วยในข้อนั้น”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1185 กฎหมายได้วางหลักไว้ว่า ในการลงมติปัญหาใดในที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น ถ้าผู้ถือหุ้นคนใดมีส่วนได้เสียเป็นพิเศษยิ่งกว่าส่วนได้เสียในฐานะผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นคนนั้นย่อมไม่มีสิทธิออกเสียง ลงคะแนนในปัญหาข้อนั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายใสได้ลงคะแนนเลือกตนเองเป็นกรรมการในการประชุมใหญ่ ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และผลของการลงคะแนนทําให้นายใสได้เป็นกรรมการนั้น แม้จะเห็นได้ว่าในการลงคะแนน ในครั้งนี้ นายใสมีส่วนได้เสียในข้อตั้งกรรมการด้วย แต่ข้อได้เสียดังกล่าวมิใช่ข้อได้เสียเป็นพิเศษตามความใน มาตรา 1185 เพราะการตั้งกรรมการเป็นวิธีการจัดการบริษัท มิใช่เป็นเรื่องส่วนตัวของนายใสโดยเฉพาะ อีกทั้ง ผู้ถือหุ้นทุกคนย่อมมีสิทธิที่จะเป็นกรรมการได้ ดังนั้น การที่นายสดอ้างว่าการที่นายใสลงคะแนนเลือกตนเองเป็น กรรมการ เป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากนายใสมีส่วนได้เสียเป็นพิเศษในเรื่องที่ลงมติ จึงมิอาจ ลงคะแนนได้นั้น ข้อกล่าวอ้างของนายสดจึงฟังไม่ขึ้น

สรุป ข้อกล่าวอ้างของนายสดฟังไม่ขึ้น

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 2/2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. แดงทําธุรกิจส่วนตัวซื้อ-ขายยางพาราแต่มักจะบอกกับผู้ที่มาติดต่อซื้อขายยางพาราว่าเหลืองซึ่งเป็นเพื่อนรักของตนร่วมลงหุ้นด้วยเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญโดยเหลืองก็ทราบดีว่าแดงยกยอตนว่าเป็น หุ้นส่วนด้วย แต่เหลืองก็ไม่เคยคัดค้านเลยและรู้สึกภาคภูมิใจที่แดงได้กล่าวอ้างเช่นนั้น ต่อมาแสด ได้ทวงถามค่ายางพาราที่แดงได้ซื้อไปจากตนและยังมิได้ชําระราคา แต่แดงไม่มีเงินที่จะชดใช้ให้แสด เพราะกิจการค้าขายยางพาราขาดทุนมาก ดังนี้แสดจะเรียกร้องให้เหลืองรับผิดได้หรือไม่เนื่องจากแสด ก็เข้าใจว่าเหลืองเข้าหุ้นสวนกับแดง เพราะในวันที่แดงซื้อยางพาราจากแสด เหลืองก็มาด้วยและแดง ก็กล่าวอ้างว่าเหลืองร่วมหุ้นกับตน ซึ่งเหลืองก็ไม่ได้คัดค้าน

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1054 วรรคหนึ่ง “บุคคลใดแสดงตนว่าเป็นหุ้นส่วนด้วยวาจาก็ดี ด้วยลายลักษณ์อักษร ก็ดี ด้วยกิริยาก็ดี ด้วยยินยอมให้เขาใช้ชื่อตนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วนก็ดี หรือรู้แล้วไม่คัดค้านปล่อยให้เขาแสดงว่าตน เป็นหุ้นส่วนก็ดี ท่านว่าบุคคลนั้นย่อมต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนเสมือนเป็นหุ้นส่วน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่แดงทําธุรกิจส่วนตัวซื้อ-ขายยางพาราแต่เพียงผู้เดียว แต่มักจะบอก กับผู้ที่มาติดต่อซื้อขายยางพาราว่าเหลืองซึ่งเป็นเพื่อนรักของตนร่วมลงหุ้นด้วยเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญ โดยเหลืองก็ ทราบดีว่าแดงยกยอตนว่าเป็นหุ้นส่วนด้วยแต่เหลืองก็ไม่เคยคัดค้านเลยนั้น ถือว่าเหลืองรู้แล้วไม่คัดค้านปล่อยให้ เขาแสดงว่าตนเป็นหุ้นส่วน ดังนั้น เหลืองจึงต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในบรรดาหนี้สินต่าง ๆ เสมือนว่าทั้งแดง และเหลืองเป็นหุ้นส่วนกันตามมาตรา 1054 วรรคหนึ่ง

เมื่อแสดซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้ทวงถามค่ายางพาราที่แดงได้ซื้อไปจากตนและยังมิได้ชําระ ราคา แต่แดงไม่มีเงินที่จะชดใช้ให้แสด ดังนี้ แสดย่อมสามารถเรียกร้องให้เหลืองซึ่งแสดเข้าใจว่าเป็นหุ้นส่วนกับ แดงรับผิดชดใช้ค่ายางพาราที่แดงเป็นหนี้แสดได้เสมือนว่าเหลืองกับแดงเป็นหุ้นส่วนกัน

สรุป แสดสามารถเรียกร้องให้เหลืองรับผิดค่ายางพาราที่แดงเป็นหนี้แสดได้

 

ข้อ 2. นายขาวเป็นหุ้นส่วนประเภทจํากัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจํากัดสองสี โดยมีนายดําเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จํากัดความรับผิดและเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ นายขาวได้เข้ามาช่วยจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจํากัดเสมอในระหว่างที่นายดําต้องไปติดต่อการงานข้างนอกหรือที่จังหวัดอื่น รวมถึงการพิม นามบัตรชื่อตนเองและระบุตําแหน่งว่านายขาวเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการในห้างหุ้นส่วนแห่งนี้ ต่อมา นายขาวได้รับการแนะนําจากทนายความของห้างหุ้นส่วนว่า การทําเช่นนี้อาจทําให้นายขาวต้องถูกฟ้อง ให้ร่วมรับผิดกับนายดําโดยไม่จํากัดจํานวนได้ นายขาวจึงโอนหุ้นให้นายแดง ให้ท่านวินิจฉัยว่า

(1) คําแนะนําของทนายความห้างหุ้นส่วน เป็นคําแนะนําที่ถูกต้องตามหลักกฎหมายหรือไม่เพราะเหตุใด

(2) นายแดงผู้รับโอนหุ้นจากนายขาว จะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ของห้างอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1052 “บุคคลผู้เข้าเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนย่อมต้องรับผิดในหนี้ใด ๆ ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย”

มาตรา 1077 อันห้างหุ้นส่วนจำกัดนั้น คือห้างหุ้นส่วนประเภทหนึ่ง ซึ่งมีผู้เป็นหุ้นส่วนสองจําพวก ดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ

(1) ผู้เป็นหุ้นส่วนคนเดียวหรือหลายคนซึ่งมีจํากัดความรับผิดเพียงไม่เกินจํานวนเงินที่ตน รับจะลงหุ้นในห้างหุ้นส่วนนั้นจําพวกหนึ่ง และ…”

มาตรา 1080 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญข้อใด ๆ หากมิได้ยกเว้น หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปโดยบทบัญญัติแห่งหมวด 3 นี้ ท่านให้นํามาใช้บังคับแก่ห้างหุ้นส่วนจํากัดด้วย”

มาตรา 1088 วรรคหนึ่ง “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้อง จัดการงานของห้างหุ้นส่วน ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จํากัด จํานวน”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

1 การที่นายขาวซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทจํากัดความรับผิดในห้างหุ้นส่วนจํากัด สองสี ได้ เข้ามาช่วยจัดการงานของห้างหุ้นส่วนจํากัดเสมอในระหว่างที่นายดําซึ่งเป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จํากัดความรับผิดและ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการต้องไปติดต่องานข้างนอกหรือที่จังหวัดอื่น รวมถึงการที่นายขาวได้พิมพ์นามบัตรชื่อตนเอง และระบุตําแหน่งว่าเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการในห้างหุ้นส่วนแห่งนี้นั้น การกระทําของนายขาวถือว่าเป็นการสอดเข้าไป เกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วน และนายขาวจะต้องรับผิดในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น โดยไม่จํากัดจํานวนตามมาตรา 1088 วรรคหนึ่ง

ดังนั้น การที่ทนายความของห้างหุ้นส่วนได้แนะนํากับนายขาวว่า การกระทําของนายขาว ดังกล่าวนั้น อาจทําให้นายขาวต้องถูกฟ้องให้ร่วมรับผิดกับนายดําโดยไม่จํากัดจํานวนนั้น คําแนะนําของทนายความ จึงเป็นคําแนะนําที่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย

2 การที่นายแดงได้รับโอนหุ้นจากนายขาวและเข้าไปเป็นหุ้นส่วนประเภทจํากัดความรับผิด ในห้างหุ้นส่วนจํากัดแห่งนี้นั้น นายแดงจะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ของห้างในบรรดาหนี้ที่ห้างได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตน จะเข้าไปเป็นหุ้นส่วนด้วยตามมาตรา 1052 ประกอบมาตรา 1080 วรรคหนึ่ง เพียงแต่จะต้องรับผิดจํากัดไม่เกิน จํานวนเงินที่ตนรับว่าจะลงหุ้นในห้างหุ้นส่วนเท่านั้นตามมาตรา 1077 แต่ไม่ต้องรับผิดในการกระทําของนายขาว ที่สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วนแต่อย่างใด

สรุป

1 คําแนะนําของทนายความห้างหุ้นส่วน เป็นคําแนะนําที่ถูกต้องตามหลักกฎหมาย

2 นายแดงผู้รับโอนหุ้นจากนายขาว จะต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ของห้างในฐานะ

หุ้นส่วนประเภทจํากัดความรับผิด แต่ไม่ต้องรับผิดในการกระทําของนายขาวที่ สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วน

 

ข้อ 3. คณะกรรมการบริษัท จํากัด แห่งหนึ่งได้เรียกประชุมผู้ถือหุ้นโดยส่งจดหมายทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อในสมุดทะเบียนของบริษัท โดยส่งไปเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2559 และได้กําหนด วันประชุมเพื่อเลือกกรรมการบริษัทในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2559 ณ ที่ทําการบริษัท เวลา 10.00 น. เมื่อถึงวันประชุม มีผู้ถือหุ้นครบองค์ประชุมแต่ผู้ถือหุ้นอีกหลายคนก็ไม่ได้รับหนังสือเชิญประชุม เพราะไปต่างประเทศจึงมิได้มาประชุม ที่ประชุมได้เลือกนายหนึ่ง, นายสอง และนายสามเป็น กรรมการบริษัท แต่นายเอก และนายโทซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นที่มิได้เข้าประชุมในวันดังกล่าวไม่พอใจมติ ในที่ประชุมจึงมาปรึกษาท่านว่าจะมีทางเพิกถอนมติที่เลือกกรรมการดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ให้ท่านแนะนํานายเอก และนายโทด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1175 “คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่ให้ลงพิมพ์โฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่ อย่างน้อยหนึ่งคราวก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นทุกคนที่มีชื่อใน ทะเบียนของบริษัทก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่เป็นคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษ ให้กระทําการดังว่านั้นก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน

คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่นั้น ให้ระบุสถานที่ วัน เวลา และสภาพแห่งกิจการที่จะได้ ประชุมปรึกษากัน และในกรณีที่เป็นคําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่เพื่อลงมติพิเศษให้ระบุข้อความที่จะนําเสนอ ให้ลงมติด้วย”

มาตรา 1195 “การประชุมใหญ่นั้นถ้าได้นัดเรียกหรือได้ประชุมกัน หรือได้ลงมติฝ่าฝืน บทบัญญัติในลักษณะนี้ก็ดี หรือฝ่าฝืนข้อบังคับของบริษัทก็ดี เมื่อกรรมการหรือผู้ถือหุ้นคนหนึ่งคนใดร้องขึ้นแล้ว ให้ศาลเพิกถอนมติของที่ประชุมใหญ่อันผิดระเบียบนั้นเสีย แต่ต้องร้องขอภายในกําหนดเดือนหนึ่งนับแต่วันลง มตินั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อนายเอกและนายโทมาปรึกษาข้าพเจ้าว่า จะมีทางใดบ้างที่เป็นเหตุให้ ฟ้องเพิกถอนมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นครั้งนี้ได้ ข้าพเจ้าจะให้คําแนะนํานายเอกและนายโทดังนี้คือ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1175 นั้นได้กําหนดเอาไว้ว่า คําบอกกล่าวเรียกประชุมใหญ่จะต้องลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่ อย่างน้อยหนึ่งคราวก่อนวันนัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน และต้องส่งทางไปรษณีย์ตอบรับไปยังผู้ถือหุ้นก่อนวัน นัดประชุมไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน เว้นแต่เรื่องใดที่ต้องลงมติพิเศษจึงจะต้องกระทําก่อนล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบสี่วัน

แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า คณะกรรมการบริษัทได้เรียกประชุมผู้ถือหุ้นโดยส่งทางไปรษณีย์ ตอบรับแต่เพียงอย่างเดียว โดยมิได้ลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์แห่งท้องที่แต่อย่างใด จึงถือว่าคําบอกกล่าวเรียก ประชุมใหญ่มิได้ปฏิบัติให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ การนัดประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นในครั้งนี้จึงไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย แม้จะมีผู้ถือหุ้นมาประชุมครบองค์ประชุมก็ตาม ดังนั้นนายเอกและนายโทผู้ถือหุ้นสามารถนําคดี มาฟ้องต่อศาลเพื่อให้ศาลเพิกถอนมติการเลือกกรรมการดังกล่าวได้ แต่นายเอกและนายโทจะต้องร้องขอต่อศาล ภายในกําหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้ลงมตินั้นตามมาตรา 1195

สรุป

ข้าพเจ้าจะให้คําแนะนําแก่นายเอกและนายโทว่า การนัดประชุมผู้ถือหุ้นดังกล่าวไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย นายเอกและนายโทสามารถร้องขอต่อศาลเพื่อให้เพิกถอนมติในที่ประชุมได้ แต่จะต้องร้องขอต่อศาล ภายในกําหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันลงมตินั้น

 

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นางแจ่วและนายจิ๋วได้เข้าหุ้นส่วนกันโดยเปิดร้านขายอาหารโต้รุ่ง มีนางแจ่วเป็นกุ๊กลงหุ้นด้วยแรงงานส่วนนายจิ๋วลงหุ้นด้วยเงินสด 200,000 บาท และยังนําอาคารตึกของตนเองมาลงหุ้นโดยใช้เป็น ร้านอาหาร ทั้งสองคนจะแบ่งกําไรกันคนละครึ่ง ส่วนขาดทุนมิได้ตกลงกันไว้เลย กิจการของร้านอาหาร ในระยะสามปีแรกขายมีกําไรดีทุกปี ต่อมาเมื่อเดือนมิถุนายน 2557 กิจการเริ่มไม่ดีเศรษฐกิจย่ำแย่ ร้านอาหารขาดเงินสดหมุนเวียน นางแจ๋วจึงได้กู้ยืมเงินนางสาวหม่อมมาใช้ในกิจการของห้างฯ จํานวน 300,000 บาท และทั้งสองคนยังได้ชักชวนนายคํารณมาเข้าหุ้นด้วยอีกคนหนึ่ง โดยบอกว่า กิจการของร้านขายอาหาร ซึ่งเป็นหุ้นส่วนกันนี้มีกําไรดีมาก นายคํารณจึงตกลงนําเงินมาลงหุ้นด้วย 100,000 บาท หลังจากที่นายคํารณลงหุ้นแล้วหนึ่งเดือนก็พบว่า ห้างหุ้นส่วนมีแต่หนี้สิน และยังขาดทุนทุกวัน จึงได้ทะเลาะกับนางแจ๋วและนายจิ๋ว และนายคํารณขอถอนเงินลงหุ้นคืน แต่นางแจ๋ว และนายจิ๋วไม่มีเงินคืนให้นายคํารณ แต่ยอมให้นายคํารณลาออกจากการเป็นหุ้นส่วน ต่อมา นางสาวหม่อมได้ทวงถามให้นางแจ่วและนายจิ๋วชําระหนี้กู้ยืมเงินที่นางแจ๋วกู้ไปใช้ในกิจการของ ห้างหุ้นส่วน แต่บุคคลทั้งสองไม่มีเงินชําระหนี้ นางสาวหม่อมจึงได้ทวงถามให้นายคํารณร่วมรับผิดด้วย แต่นายคํารณได้ต่อสู้ว่าตนมิได้เป็นหุ้นส่วนกับนางแจ๋วและนายจิ๋วแล้ว และการเข้าหุ้นของตนเมื่อก่อน หน้านี้ก็ได้เข้าหุ้นไปเพราะถูกหลอกลวงจึงถือว่ามิได้มีการเข้าหุ้น จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าว นางสาวหม่อมจึงได้มาปรึกษาท่าน ซึ่งเป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยรามคําแหงว่า นางสาวหม่อมจะเรียกร้องให้นายคํารณรับผิดในหนี้เงินกู้ดังกล่าวข้างต้นได้หรือไม่ ให้ท่านแนะนํา นางสาวหม่อมด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1012 “อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคน ขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทํากิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกําไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทํานั้น”

มาตรา 1025 “อันว่าห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น คือห้างหุ้นส่วนประเภทซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคน ต้องรับผิดร่วมกันเพื่อหนี้ทั้งปวงของหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัด”

มาตรา 1026 “ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาลงหุ้นด้วยในห้างหุ้นส่วน สิ่งที่นํามาลงหุ้นด้วยนั้น จะเป็นเงินหรือทรัพย์สินสิ่งอื่นหรือลงแรงงานก็ได้”

มาตรา 1050 “การใด ๆ อันผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้จัดทําไปในทางที่เป็นธรรมดา การค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนย่อมมีความผูกพันในการนั้น ๆ ด้วย และจะต้องรับผิด ร่วมกันโดยไม่จํากัดจํานวนในการชําระหนี้ อันได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะจัดการไปเช่นนั้น”

มาตรา 1051 “ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไปแล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป”

มาตรา 1052 “บุคคลผู้เข้าเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนย่อมต้องรับผิดในหนี้ใด ๆ ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย”

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์ การที่นางแจ่วและนายจิ๋วได้เข้าหุ้นส่วนกันโดยเปิดร้านขายอาหารโต้รุ่ง มีนางแจ่ว เป็นกุ๊กลงหุ้นด้วยแรงงาน ส่วนนายจิ๋วลงหุ้นด้วยเงินสด 200,000 บาท และยังนําอาคารตึกของตนเองมาลงหุ้น โดยใช้เป็นร้านอาหาร และทั้งสองตกลงกันว่าจะแบ่งกําไรกันคนละครึ่ง แต่ส่วนขาดทุนมิได้ตกลงกันไว้นั้น ถือว่า นางแจ่วและนายจิ๋วได้ทําสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญขึ้นมาแล้ว โดยนางแจ๋วลงหุ้นด้วยแรงงาน และนายจิ๋ว ลงหุ้นด้วยเงินและทรัพย์สินตามมาตรา 1012, 1025 และมาตรา 1026 แม้ทั้งสองจะมิได้ตกลงกันในส่วนขาดทุน ก็ตาม ก็มิใช่สาระสําคัญของสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนตามมาตรา 1012 แต่อย่างใด

และตามบทบัญญัติมาตรา 1050 ได้บัญญัติไว้ว่า ในกรณีของห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น ผู้เป็นหุ้นส่วน ทุกคนจะต้องร่วมกันรับผิดในบรรดาหนี้สินที่ผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้ก่อให้เกิดขึ้นเนื่องจากการที่ได้จัดทําไป ในทางที่เป็นธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จํากัดจํานวน และนอกจากนั้นผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งได้ออกจาก หุ้นส่วนไปแล้วก็ยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไปด้วยตาม มาตรา 1051 และบุคคลผู้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนใหม่ในห้างหุ้นส่วนย่อมต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้น ก่อนที่ตนเข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วยตามมาตรา 1052

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นางแจ๋วได้กู้ยืมเงินนางสาวหม่อมมาใช้ในกิจการของห้างฯ จํานวน 300,000 บาท ถือว่าหนี้ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นหนี้ที่เกิดจากการจัดทําไปในทางธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วน ดังนั้น ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคน คือ นางแจ๋วและนายจิ๋วต้องร่วมกันรับผิดในหนี้รายนี้ตามมาตรา 1050

และต่อมาภายหลังที่ห้างหุ้นส่วนดังกล่าวได้เกิดหนี้ขึ้นมาแล้ว นางแจ่วและนายจิ๋วได้ชักชวน นายคํารณเข้ามาเป็นหุ้นส่วน และนายคํารณก็ตกลงเข้ามาเป็นหุ้นส่วนโดยได้นําเงินมาลงหุ้นด้วย 100,000 บาทนั้น ย่อมมีผลตามมาตรา 1052 กล่าวคือ นายคํารณต้องรับผิดในหนี้เงินกู้ที่เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะได้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนด้วย และแม้ต่อมานายคํารณจะได้ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนไป นายคํารณก็ยังคงต้องรับผิดในหนี้เงินกู้ดังกล่าวด้วย เพราะถือว่าเป็นหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนไปตามมาตรา 1051 ดังนั้น การที่นายคํารณต่อสู้ว่าตนมิได้เป็นหุ้นส่วนกับนางแจ๋วและนายจิ๋วแล้วจึงไม่ต้องรับผิดนั้นจึงฟังไม่ขึ้น และการที่ นายคํารณได้ต่อสู้ว่า การเข้าเป็นหุ้นส่วนของตนเมื่อก่อนหน้านี้เป็นการเข้าไปเป็นหุ้นส่วนเพราะถูกหลอกลวง ก็ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน เพราะข้อต่อสู้ดังกล่าวนั้นไม่สามารถนํามาใช้ต่อสู้กับเจ้าหนี้ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้

ดังนั้น เมื่อนางสาวหม่อมได้ทวงถามให้นางแจ้วและนายจิ๋วชําระหนี้เงินกู้ยืมดังกล่าว แต่ทั้ง สองไม่มีเงินชําระหนี้ นางสาวหม่อมจึงสามารถทวงถามให้นายคํารณร่วมรับผิดได้ โดยนายคํารณจะยกข้อต่อสู้ ดังกล่าวขึ้นต่อสู้กับนางสาวหม่อมเพื่อปฏิเสธไม่รับผิดในหนี้นั้นไม่ได้

สรุป

ข้าพเจ้าจะแนะนําแก่นางสาวหม่อมว่า นางสาวหม่อมสามารถเรียกร้องให้นายคํารณรับผิด ในหนี้เงินกู้ดังกล่าวได้

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัดสามสหาย มีนายหนึ่ง นายสอง และนายสามเข้าหุ้นส่วนกัน มีวัตถุประสงค์รับเหมาก่อสร้างและซ่อมแซมอาคารโดยนายหนึ่งและนายสองเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ส่วนนายสามเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิด ทั้งหมดได้ตกลงให้นายสามเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ แต่ก่อนจดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด นายสามได้สั่งซื้อวัสดุก่อสร้างมากักตุนไว้เป็นเงิน หนึ่งล้านบาท และยังมิได้ชําระหนี้ ต่อมาได้มีการจดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัดเรียบร้อยแล้ว และได้ดําเนินกิจการมาได้สองปีเศษ แต่ก็ประสบภาวะขาดทุนมาตลอดเนื่องจากไม่มีผู้ใดมาว่าจ้าง ไปทําการก่อสร้าง ส่วนค่าวัสดุก่อสร้างก็ยังมิได้ชําระ และห้างหุ้นส่วนจํากัดก็ได้ขอผัดผ่อนต่อเจ้าหนี้ มาเป็นเวลาสองปีเศษแล้ว ต่อมานายหนึ่งได้ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วน โดยนายสองและนายสาม ไม่ขัดข้อง เมื่อนายหนึ่งได้จดทะเบียนออกจากห้างฯ ไปได้สองปีเศษแล้วเจ้าหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างจึงได้ มีหนังสือเรียกให้ห้างหุ้นส่วนจํากัดชําระหนี้ แต่ห้างหุ้นส่วนจํากัดไม่มีเงินชําระหนี้ เจ้าหนี้จึงได้เรียก ให้นายหนึ่ง นายสอง และนายสามร่วมกันรับผิด แต่นายหนึ่งได้อ้างว่าตนได้ออกจากห้างหุ้นส่วนจํากัด มาเป็นเวลาสองปีเศษแล้วจึงไม่ต้องรับผิด แต่เจ้าหนี้ค่าวัสดุก่อสร้างก็อ้างว่าหนี้สินดังกล่าวเกิดขึ้น ก่อนจดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัด ซึ่งต้องถือว่าในขณะนั้นเป็นห้างหุ้นส่วนสามัญที่ ไม่จดทะเบียน ผู้เป็นหุ้นส่วนที่ออกจากห้างฯ ไปยังคงต้องรับผิดในหนี้นั้นจนกว่าจะหมดอายุความ ของหนี้นั้น และขณะนี้หนี้ดังกล่าวยังไม่ขาดอายุความ นายหนึ่งจึงต้องรับผิดด้วย ดังนี้ให้นักศึกษาวินิจฉัยว่า ข้ออ้างของฝ่ายใดจะชอบด้วยกฎหมาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1051 “ผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งออกจากหุ้นส่วนไปแล้วยังคงต้องรับผิดในหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วน ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนได้ออกจากหุ้นส่วนไป”

มาตรา 1068 “ความรับผิดของผู้เป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน อันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่ง ห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนนั้น ย่อมมีจํากัดเพียงสองปีนับแต่เมื่อออกจากหุ้นส่วน”

มาตรา 1079 “อันห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ถ้ายังมิได้จดทะเบียนอยู่ตราบใด ท่านให้ถือว่า เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทั้งหมดย่อมต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่มีจํากัดจํานวน จนกว่าจะได้จดทะเบียน”

มาตรา 1080 วรรคหนึ่ง “บทบัญญัติว่าด้วยห้างหุ้นส่วนสามัญข้อใด ๆ หากมิได้ยกเว้น หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปโดยบทบัญญัติแห่งหมวด 3 นี้ ท่านให้นํามาใช้บังคับแก่ห้างหุ้นส่วนจํากัดด้วย”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสามได้สั่งซื้อวัสดุก่อสร้างเป็นเงินหนึ่งล้านบาทก่อนที่จะมีการ จดทะเบียนจัดตั้งเป็นห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น ต้องถือว่าหนี้ที่เกิดขึ้นดังกล่าวเป็นหนี้ของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ซึ่งผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนย่อมต้องร่วมกันรับผิดและโดยไม่จํากัดจํานวนตามมาตรา 1079

การที่นายหนึ่งได้ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วนนั้น นายหนึ่งยังคงต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าว เพราะเป็นหนี้ซึ่งห้างหุ้นส่วนได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะได้ออกไปตามมาตรา 1051 ประกอบมาตรา 1080 วรรคหนึ่ง และ เมื่อหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ของห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน ดังนั้นแม้นายหนึ่งจะได้ลาออกจากการเป็นหุ้นส่วน จําพวกจํากัดความรับผิดไปเกินสองปีแล้วก็ตาม นายหนึ่งก็จะต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวจนกว่าหนี้นั้นจะหมดอายุความ จะนํามาตรา 1068 มาใช้บังคับกับกรณีนี้มิได้ และเมื่อปรากฏว่าหนี้ค่าซื้อสินค้าดังกล่าวได้มีการผ่อนผันกับเจ้าหนี้ มาตลอด จึงถือว่าหนี้รายนี้ยังไม่ขาดอายุความ ดังนั้น นายหนึ่งจึงยังคงต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าว ข้ออ้างของเจ้าหนี้ จึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป ข้ออ้างของฝ่ายเจ้าหนี้ เป็นข้ออ้างที่ชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ 3. บริษัท นพคุณ จํากัด มีนายหนึ่ง นายสอง และนายสาม เป็นกรรมการ ซึ่งได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้น โดยมีวาระการดํารงตําแหน่งคราวละ 4 ปี เมื่อหมดวาระลงให้เลือกตั้งใหม่ตามข้อบังคับ ของบริษัท ปรากฏว่า นายหนึ่งเป็นกรรมการมาได้ 2 ปี ก็ถึงแก่กรรม นายสองและนายสามเห็นว่า หากให้ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเลือกตั้งกรรมการขึ้นแทนนายหนึ่งจะเสียเวลามาก ทั้งสองคนปรึกษา หารือกันแล้วก็ตั้งนายสี่ซึ่งมิได้เป็นผู้ถือหุ้นขึ้นเป็นกรรมการแทนนายหนึ่ง แต่นายแดงผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง ในบริษัทเห็นว่าการกระทําของนายสองและนายสามน่าจะไม่ถูกต้อง เพราะเห็นว่าการเลือกตั้งกรรมการ ควรให้ที่ประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเป็นผู้คัดเลือกจากผู้ถือหุ้นในบริษัทด้วยกัน นายสองและนายสาม จึงมาปรึกษาท่านว่า ในกรณีดังกล่าวนายสองและนายสามจะมีสิทธิตั้งนายสี่เป็นกรรมการบริษัท หรือไม่ ให้ท่านแนะนําบุคคลทั้งสอง

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1155 “ถ้าตําแหน่งว่างลงในสภากรรมการเพราะเหตุอื่นนอกจากถึงคราวออกตาม เวรไซร้ ท่านว่ากรรมการจะเลือกผู้อื่นตั้งขึ้นใหม่ให้เต็มที่ว่างก็ได้ แต่บุคคลที่ได้เป็นกรรมการใหม่เช่นนั้น ให้มีเวลาอยู่ในตําแหน่งได้เพียงเท่ากําหนดเวลาที่กรรมการผู้ออกไปนั้นชอบที่จะอยู่ได้”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 1155 ในกรณีที่ตําแหน่งกรรมการในสภากรรมการว่างลงเพราะเหตุอื่น นอกจากถึงคราวออกตามวาระ เช่น กรรมการคนใดตาย ล้มละลาย หรือตกเป็นคนไร้ความสามารถ กฎหมายให้สิทธิ แก่กรรมการที่ยังเหลืออยู่อาจจะตั้งผู้อื่นขึ้นมาเป็นกรรมการแทนตําแหน่งที่ว่างก็ได้ โดยกรรมการที่ได้เป็นใหม่นี้ กฎหมายไม่ได้บังคับว่าจะต้องเป็นผู้ถือหุ้นแต่อย่างใด เพียงแต่กําหนดให้กรรมการใหม่นี้อยู่ในตําแหน่งได้เฉพาะ เท่ากับเวลาที่กรรมการผู้ออกไปนั้นชอบที่จะอยู่ได้เท่านั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งได้ถึงแก่กรรมนั้น ถือว่าตําแหน่งกรรมการของนายหนึ่งว่างลง เพราะเหตุอื่นนอกจากถึงคราวออกตามวาระ ดังนั้นกรรมการที่เหลืออยู่คือนายสองและนายสามจึงมีอํานาจตั้ง บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ผู้ถือหุ้นในบริษัทขึ้นเป็นกรรมการแทนตําแหน่งที่ว่างได้ การที่นายสองและนายสามได้ตั้งให้นายสี่ ซึ่งมิใช่ผู้ถือหุ้นเป็นกรรมการแทนตําแหน่งที่ว่างนั้น การกระทําของนายสองและนายสามจึงถูกต้อง เพราะนายสอง และนายสามมีสิทธิตั้งให้นายสี่เป็นกรรมการได้ตามมาตรา 1155

สรุป ข้าพเจ้าจะให้คําแนะนําแก่นายสองและนายสามตามที่ได้อธิบายไว้ดังกล่าวข้างต้น

LAW3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน 2/2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3002 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหุ้นส่วน บริษัทฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายโขงประกอบกิจการค้าขายอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ นายโขงว่าจ้างนายไชโยเป็นพนักงานของกิจการดังกล่าว ต่อมา 3 ปี นายไชโยได้รับแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าฝ่ายขาย มีลูกน้อง 45 คน นายไชโย ใช้ความรู้ความสามารถเพิ่มยอดขายให้แก่กิจการดังกล่าวทําให้กิจการดังกล่าวได้กําไร 70 ล้านบาท ต่อปี ต่อมานายโขงแบ่งกําไรจากกิจการดังกล่าวทุกปีให้แก่นายไชโย 12 เปอร์เซ็นต์ ต่อมานายโป ซึ่งเป็นพนักงานขับรถของกิจการดังกล่าวได้ร่วมกับนายไชโยจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญขึ้นใหม่ค้าขาย อุปกรณ์วิทยาศาสตร์แข่งขันกับกิจการเดิมดังกล่าว ต่อมาในขณะที่นายโปทําหน้าที่ขับรถในฐานะพนักงานและในทางการที่จ้างของกิจการเดิมนั้น นายโปขับรถโดยมิได้เจตนาทําละเมิดแต่ขับรถโดยประมาทชนร้านค้าอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ซึ่งเป็น ของห้างหุ้นส่วนที่นายไชโยและนายโปตั้งขึ้นได้รับความเสียหาย 1,000,000 บาท ให้ท่านวินิจฉัยว่าค่าเสียหายดังกล่าวบุคคลใดบ้างต้องรับผิดเพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 420 “ผู้ใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทําต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายให้เขาเสียหาย ถึงแก่ชีวิตก็ดี แก่ร่างกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพย์สินหรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี ท่านว่าผู้นั้นทําละเมิด จําต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น”

มาตรา 425 “นายจ้างต้องร่วมกันรับผิดกับลูกจ้างในผลแห่งละเมิด ซึ่งลูกจ้างได้กระทําไป ในทางการที่จ้างนั้น”

มาตรา 1012 “อันว่าสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลตั้งแต่สองคน ขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อกระทํากิจการร่วมกัน ด้วยประสงค์จะแบ่งปันกําไรอันจะพึงได้แต่กิจการที่ทํานั้น”

มาตรา 1038 วรรคแรก “ห้ามมิให้ผู้เป็นหุ้นส่วนประกอบกิจการอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีสภาพ ดุจเดียวกัน และเป็นการแข่งขันกับกิจการของห้างหุ้นส่วนนั้น ไม่ว่าทําเพื่อประโยชน์ตนหรือประโยชน์ผู้อื่นโดยมิได้รับ ความยินยอมของผู้เป็นหุ้นส่วนคนอื่น ๆ”

มาตรา 1050 “การใด ๆ อันผู้เป็นหุ้นส่วนคนใดคนหนึ่งได้จัดทําไปในทางที่เป็นธรรมดา การค้าขายของห้างหุ้นส่วนนั้น ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนหมดทุกคนย่อมมีความผูกพันในการนั้น ๆ ด้วย และจะต้องรับผิด ร่วมกันโดยไม่จํากัดจํานวนในการชําระหนี้ อันได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะจัดการไปเช่นนั้น”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยประการแรกมีว่า ระหว่างนายโขงกับนายไชโยเป็น หุ้นส่วนกันตามมาตรา 1012 หรือไม่ กรณีนี้เห็นว่า การที่นายโขงว่าจ้างนายไชโยเป็นพนักงานและต่อมาได้แต่งตั้ง ให้เป็นหัวหน้าฝ่ายขายนั้น ถือว่าเป็นเพียงสัญญาจ้างแรงงานเท่านั้น โดยนายโขงอยู่ในฐานะนายจ้าง ส่วนนายไชโยอยู่ในฐานะลูกจ้าง แม้ต่อมานายไชโยจะใช้ความรู้ความสามารถเพิ่มยอดขายให้แก่กิจการของนายโขงทําให้นายโขง แบ่งกําไรให้แก่นายไชโยทุกปีก็ตาม ก็ไม่ทําให้นายไชโยเป็นหุ้นส่วนกับนายโขงตามนัยของมาตรา 1012 แต่อย่างใด และเมื่อนายไชโยมิใช่หุ้นส่วนกับนายโขง การที่นายไชโยได้ร่วมกับนายโปซึ่งเป็นพนักงานขับรถของกิจการของนายโขง จัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญขึ้นใหม่ และค้าขายอุปกรณ์วิทยาศาสตร์เช่นเดียวกับกิจการของนายโขง การกระทําดังกล่าว ของนายไชโยจึงมิใช่เป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 1038 วรรคแรก แต่อย่างใด

ส่วนประเด็นต่อมา การที่นายโปได้ขับรถในฐานะพนักงานและในทางการที่จ้างของกิจการเดิม โดยประมาทชนร้านค้าอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นของห้างหุ้นส่วนที่นายไชโยและนายโปตั้งขึ้นได้รับความเสียหาย 1,000,000 บาท นั้น การกระทําของนายโปถือเป็นการกระทําละเมิดต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย ทําให้เขา เสียหายแก่ทรัพย์สิน ดังนั้นนายโปจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าวตามมาตรา 420 และนายโขงในฐานะ นายจ้างของนายโปก็ต้องร่วมรับผิดชอบในความเสียหายดังกล่าวด้วยตามมาตรา 425

สําหรับนายไซโยนั้น เมื่อมิได้เป็นหุ้นส่วนกับนายโขงจึงมิได้อยู่ในฐานะนายจ้างของนายโป จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับนายโปตามมาตรา 425 อีกทั้งการกระทําของนายโปก็มิได้เป็นการจัดการในทางที่เป็น ธรรมดาการค้าขายของห้างหุ้นส่วนที่นายโปกับนายไชโยได้จัดตั้งขึ้นตามมาตรา 1050 ดังนั้นนายไชโยจึงไม่ ต้องร่วมรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทําละเมิดของนายโปแต่อย่างใด

สรุป

ค่าเสียหายดังกล่าวบุคคลที่จะต้องรับผิดชอบคือนายโปผู้ทําละเมิดและนายโขงซึ่งต้อง ร่วมรับผิดชอบในฐานะนายจ้างของนายโป

 

ข้อ 2. ห้างหุ้นส่วนจํากัดอุทิศธรรม มีนายอุทิศเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด และนายบุญธรรมเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิด และเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ห้างหุ้นส่วนนี้มีวัตถุประสงค์ จําหน่ายเครื่องสังฆภัณฑ์ทุกชนิดและผ้าไตรจีวร ห้างฯ ได้จดทะเบียนจัดตั้งเรียบร้อยแล้ว ดําเนิน กิจการมาหลายปีแล้ว ต่อมานายอุทิศได้แนะนํานายบุญธรรมให้ซื้อผ้าไตรจีวรสีเหลืองแก่มาจําหน่าย ในห้างฯ และไม่ควรซื้อสีน้ำตาลเข้ม (สีกรัก) มาจําหน่ายในห้างฯ นายบุญธรรมก็เห็นชอบด้วย จึงได้ซื้อ ผ้าไตรจีวรสีดังกล่าวมาจําหน่ายในห้างฯ แต่ปรากฏว่าขายไม่ดี เป็นหนี้ค่าผ้าไตรจีวร 3 แสนบาท และ ห้างฯ ไม่มีเงินชําระหนี้ ดังนี้ เจ้าหนี้ค่าผ้าไตรจีวรจะฟ้องนายอุทิศให้รับผิดร่วมกันกับนายบุญธรรมได้หรือไม่ ถ้านายอุทิศได้ส่งเงินลงหุ้นครบถ้วนแล้ว และห้างหุ้นส่วนจํากัดอุทิศธรรม ก็ยังมิได้เลิกกันด้วย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1081 “ห้ามมิให้เอาชื่อของผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดมาเรียกขานระคน เป็นชื่อห้าง”

มาตรา 1082 วรรคแรก “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดคนใดยินยอมโดย แสดงออกชัดหรือโดยปริยายให้ใช้ชื่อของตนระคนเป็นชื่อห้างไซร้ ท่านว่าผู้เป็นหุ้นส่วนคนนั้นจะต้องรับผิดต่อ บุคคลภายนอกเสมือนดังว่าเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดฉะนั้น”

มาตรา 1088 “ถ้าผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดผู้ใดสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงาน ของห้างหุ้นส่วน ท่านว่าผู้นั้นจะต้องรับผิดร่วมกันในบรรดาหนี้ทั้งหลายของห้างหุ้นส่วนนั้นโดยไม่จํากัดจํานวน

แต่การออกความเห็นและแนะนําก็ดี ออกเสียงเป็นคะแนนนับในการตั้งและถอดถอนผู้จัดการ ตามกรณีที่มีบังคับไว้ในสัญญาหุ้นส่วนนั้นก็ดี ท่านหานับว่าเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วน นั้นไม่”

มาตรา 1095 “ตราบใดห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้เลิกกัน ตราบนั้นเจ้าหนี้ของห้างย่อมไม่มีสิทธิ จะฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้

แต่เมื่อห้างหุ้นส่วนนั้นได้เลิกกันแล้ว เจ้าหนี้ของห้างมีสิทธิฟ้องร้องผู้เป็นหุ้นส่วนจําพวก จํากัดความรับผิดได้เพียงจํานวนดังนี้ คือ…”

วินิจฉัย

โดยหลักตามมาตรา 1095 วรรคแรก ถ้าห้างหุ้นส่วนจํากัดยังมิได้เลิกกัน เจ้าหนี้ของห้างหุ้นส่วน จํากัด จะฟ้องหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดไม่ได้ จะฟ้องได้ก็แต่เฉพาะหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดเท่านั้น เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นบางกรณีที่เจ้าหนี้สามารถฟ้องหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้แม้ห้างหุ้นส่วนจํากัดนั้น จะยังมิได้เลิกกัน เช่น กรณีที่หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้ยินยอมให้ใช้ชื่อตนเรียกขานระคนเป็นชื่อห้าง หรือกรณีที่หุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้สอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างหุ้นส่วน เป็นต้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายอุทิศซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดได้แนะนํา นายบุญธรรมให้ซื้อผ้าไตรจีวรสีเหลืองแก่มาจําหน่ายในห้างฯ และไม่ควรซื้อสีน้ำตาลเข้ม (สีกรัก) มาจําหน่ายในห้างฯ ซึ่งนายบุญธรรมหุ้นส่วนผู้จัดการก็เห็นชอบด้วย และได้ซื้อผ้าไตรจีวรสีดังกล่าวมาจําหน่ายในห้างฯ แต่ขายไม่ดี เป็นหนี้ค่าผ้าไตรจีวร 3 แสนบาทนั้น การกระทําของนายอุทิศเป็นเพียงการออกความเห็นและแนะนําเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นการสอดเข้าไปเกี่ยวข้องจัดการงานของห้างฯ อันจะทําให้นายอุทิศต้องรับผิดในหนี้รายนี้โดยไม่จํากัด จํานวนแต่อย่างใด (มาตรา 1088 วรรคแรกและวรรคสอง)

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายอุทิศซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิด ได้ฝ่าฝืนบทบัญญัติ มาตรา 1081 โดยยินยอมให้ใช้ชื่อของตนเรียกขานระคนเป็นชื่อห้างนั้น นายอุทิศจึงต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอก เสมือนเป็นหุ้นส่วนจําพวกไม่จํากัดความรับผิดตามมาตรา 1082 วรรคแรก และอาจถูกเจ้าหนี้ของห้างฯ ฟ้องได้ แม้ห้างหุ้นส่วนจํากัดอุทิศธรรม จะยังมิได้เลิกกันก็ตาม

ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ เมื่อห้างฯ เป็นหนี้ค่าผ้าไตรจีวร 3 แสนบาท และห้างฯ ไม่มีเงินชําระหนี้ เจ้าหนี้ค่าผ้าไตรจีวรจึงสามารถฟ้องนายอุทิศซึ่งเป็นหุ้นส่วนจําพวกจํากัดความรับผิดแต่ได้ยินยอมให้ใช้ชื่อของตน เรียกขานระคนเป็นชื่อห้างฯ ให้รับผิดร่วมกันกับนายบุญธรรมได้ แม้นายอุทิศจะได้ส่งเงินลงหุ้นครบแล้ว และห้าง หุ้นส่วนจํากัดอุทิศธรรม จะยังมิได้เลิกกันก็ตามตามมาตรา 1082 วรรคแรก ประกอบมาตรา 1095 วรรคแรก

สรุป

เจ้าหนี้ค่าผ้าไตรจีวรจะฟ้องนายอุทิศให้รับผิดร่วมกันกับนายบุญธรรมได้ตามเหตุผล และหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. เอก โท ตรี และจัตวา เป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัทจํากัดแห่งหนึ่ง ซึ่งมีวัตถุประสงค์ผลิตอาหารสัตว์จําหน่าย หลังจากที่ผู้เริ่มก่อการได้จดทะเบียนหนังสือบริคณห์สนธิเสร็จแล้ว และมีผู้จองซื้อหุ้นจนครบจํานวนแล้ว เอกจึงได้ติดต่อทําสัญญาซื้อเครื่องจักรเพื่อจะนํามาผลิตอาหารสัตว์ตามวัตถุประสงค์ ของบริษัทจํากัดโดยมิได้ปรึกษาโท ตรี และจัตวาเลย ทําให้โท ตรี และจัตวาไม่พอใจเป็นอย่างมาก เมื่อถึงคราวประชุมจัดตั้งบริษัท ที่ประชุมผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นจึงไม่อนุมัติในสัญญาที่เอกซื้อเครื่องจักร และเลือกโท กับตรี เป็นกรรมการชุดแรกของบริษัท ส่วนจัตวาไม่ได้รับเลือกเป็นกรรมการ คงเป็น ผู้ถือหุ้นคนหนึ่งเท่านั้น ต่อมาบริษัทที่ทําสัญญากับเอกได้ฟ้องเอก โท ตรี และจัตวา ให้รับผิดชดใช้ ค่าเสียหายกรณีที่เอกผิดสัญญา โท ตรี และจัตวา จึงยื่นคําให้การต่อสู้คดีว่า เอกทําสัญญาซื้อ เครื่องจักรโดยมิได้ปรึกษาตนเลย และเอกก็เป็นคู่สัญญาแต่เพียงผู้เดียว พวกจําเลยทั้ง 3 คนมิได้มี ส่วนรับรู้ด้วย ขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องจําเลยทั้ง 3 (คือ โท ตรี และจัตวา)

ดังนี้ ให้นักศึกษา วินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของโท ตรี และจัตวา จะรับฟังได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 1113 “ผู้เริ่มก่อการบริษัทต้องรับผิดร่วมกันและโดยไม่จํากัดในบรรดาหนี้และการ จ่ายเงินซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทมิได้อนุมัติ และแม้จะได้มีอนุมัติก็ยังคงต้องรับผิดอยู่เช่นนั้นไปจนกว่าจะได้จดทะเบียน บริษัท

วินิจฉัย

ตามมาตรา 1113 นั้น บัญญัติให้ผู้เริ่มก่อการบริษัทต้องร่วมรับผิดร่วมกันโดยไม่จํากัดในบรรดา หนี้และการจ่ายเงิน ซึ่งที่ประชุมตั้งบริษัทมิได้อนุมัติ และแม้ที่ประชุมตั้งบริษัทจะได้อนุมัติแล้ว ผู้เริ่มก่อการก็ยังต้อง รับผิดอยู่จนกว่าจะได้จดทะเบียนบริษัท ดังนั้นผู้เริ่มก่อการจะหลุดพ้นจากความรับผิดในหนี้ของบริษัทก็ต่อเมื่อ ที่ประชุมตั้งบริษัทได้อนุมัติหนี้ดังกล่าวแล้วและบริษัทได้จดทะเบียนตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้ว

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอก โท ตรี และจัตวา เป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัทจํากัด ซึ่งมี วัตถุประสงค์ผลิตอาหารสัตว์จําหน่าย ต่อมาเอกได้ทําสัญญาซื้อเครื่องจักรเพื่อจะนํามาผลิตอาหารสัตว์ตาม วัตถุประสงค์ของบริษัทโดยมิได้ปรึกษาโท ตรี และจัตวาเลยนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าในวันที่มีการประชุมจัดตั้ง บริษัทนั้น ที่ประชุมผู้เข้าชื่อซื้อหุ้นมิได้อนุมัติในสัญญาที่เอกซื้อเครื่องจักรดังกล่าว ดังนั้น จึงมีผลทําให้ผู้เริ่มก่อการ ทุกคนจะต้องร่วมกันรับผิดในหนี้ค่าซื้อเครื่องจักรนั้นตามมาตรา 1113 เมื่อบริษัทที่ทําสัญญากับเอกได้ฟ้องให้ เอก โท ตรี และจัตวา รับผิดชดใช้ค่าเสียหายกรณีที่เอกผิดสัญญา โท ตรี และจัตวา ซึ่งเป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัทร่วมกันกับเอก จะต่อสู้ว่า เอกทําสัญญาซื้อเครื่องจักรโดยมิได้ปรึกษาพวกตนเลย และเอกก็เป็นคู่สัญญาแต่ เพียงผู้เดียว พวกตนทั้ง 3 คน มิได้มีส่วนรับรู้ด้วยนั้นไม่ได้

สรุป ข้อต่อสู้ของโท ตรี และจัตวาดังกล่าวรับฟังไม่ได้

WordPress Ads
error: Content is protected !!