LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2555

ข้อสอบกระบวนวิขา LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน
ข้อ 1. นายก้านเป็นบุคคลวิกลจริตที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถให้นาฬิกาของตนแก่นายชัย ซึ่งเป็นน้องชายของนายก้านโดยนางเพ็ญมารดาของนายก้านที่ศาลได้ตั้งให้เป็นผู้อนุบาลของนายก้าน ได้ให้ความยินยอมในการให้นาฬิกาดังกล่าว ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า นิติกรรมการให้นาฬิกาของนายก้าน มีผลทางกฎหมายอย่างไร
ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 29 บัญญัติว่า “การใด ๆ อันบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถได้กระทำลง การนั้นเป็นโมฆียะ ”
ตามหลักกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่ากฎหมายไต้บัญญัติห้ามมิให้คนไร้ความสามารถ กระทำนิติกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้ามีการฝ่าฝืนไปกระทำนิติกรรมใด ๆ ขึ้น ไม่ว่าจะได้กระทำในขณะที่จิตปกติหรือไม่ หรือการทำนิติกรรมนั้นผู้อนุบาลจะได้ให้ความยินยอมหรือไม่ นิติกรรมก็จะตกเป็นโมฆียะ

ตามปัญหา การที่นายก้านซึ่งเป็นคนไร้ความสามารถ ได้ทำนิติกรรมโดยการให้นาฬิกาของตน แก่นายชัยนั้น แม้นายชัยจะเป็นน้องชายของนายก้านและนายก้านได้ทำนิติกรรมการให้ดังกล่าวโดยนางเพ็ญ มารดาของนายก้านที่ศาลได้ตั้งให้เป็นผู้อนุบาลของนายก้านได้ให้ความยินยอมในการให้นาฬิกาดังกล่าวก็ตาม นิติกรรมการให้นาฬิกาของนายก้านก็มีผลเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 29

สรุป นิติกรรมการให้นาฬิกาของนายก้านมีผลเป็นโมฆียะ

 

ข้อ 2. นิติกรรมอำพรางมีองค์ประกอบและผลตามกฎหมายอย่างไร อธิบายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 บัญญัติว่า “การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ…

ถ้าการแสดงเจตนาลวงตามวรรคหนึ่ง ทำขึ้นเพื่ออำพรางนิติกรรมอื่น ให้นำบทบัญญัติของ กฎหมายอับเกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางมาใช้บังคับ”

ตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 155 วรรคสอง ดังกล่าว เป็นบทบัญญัติเรื่องนิติกรรมอำพราง ซึ่งในเรื่อง “นิติกรรมอำพราง” นั้น เป็นเรื่องที่ในระหว่างคู่กรณีได้มีการ ทำนิติกรรมขึ้นมา 2 ลักษณะ ได้แก่ นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวงอันหนึ่ง กับนิติกรรมที่ถูกอำพรางไว้ อีกอันหนึ่ง

1. นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวง (นิติกรรมที่เปิดเผย) หมายถึง นิติกรรมที่ คู่กรณีได้ทำขึ้นมาโดยไม่มีเจตนาให้มีผลใช้บังคับกัน แต่ได้ทำขึ้นมาเพื่อลวงให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าคู่กรณีไต้ตกลง ทำนิติกรรมลักษณะนี้กัน และเพื่อเป็นการอำพรางหรือปกปิดนิติกรรมที่แท้จริงนั้นเอง

2. นิติกรรมที่ถูกอำพราง หมายถึง นิติกรรมที่แท้จริงของคู่กรณีที่ได้ทำขึ้นมา และต้องการ ให้มีผลใช้บังคับกันได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ได้ปกปิดอำพรางไว้ไม่เปิดเผยให้บุคคลอื่นรู้

ตามกฎหมายได้บัญญัติว่า ให้นำบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวกับนิติกรรมที่ถูกอำพรางไว้ มาใช้บังคับ หมายความว่า ให้คู่กรณีบังคับกับด้วยนิติกรรมที่ถูกอำพรางนั่นเอง ส่วนนิติกรรมที่เกิดจากการ แสดงเจตนาลวงจะมีผลเป็นโมฆะ

ตัวอย่าง ปู่ได้ยกรถยนต์คันหนึ่งให้แก่หลานที่ชื่อ ก. โดยเสน่หา แด่เกรงว่าหลานคนอื่นรู้ จะหาว่าปู่ลำเอียง จึงได้ทำสัญญาซื้อขายกับ ก. ไว้เพื่อลวงหลานคนอื่น ดังนี้นิติกรรมที่จะมีผลใช้บังคับกันระหว่าง ปู่กับหลานที่ชื่อ ก. คือนิติกรรมให้ ซึ่งเป็นนิติกรรมที่ถูกอำพราง ส่วนนิติกรรมซื้อขายตกเป็นโมฆะเพราะเป็นนิติกรรม ที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวง

 

ข้อ 3. นายเอต้องการซื้อรถยนต์จากนายบี 1 คัน ราคา 350,000 บาท โดยตกลงกันด้วยวาจา ซึ่งนายเอ ได้ชำระหนี้ราคารถยนต์บางส่วนให้นายบีจำนวน 80,000 บาท ต่อมา นายบีไม่ยอมส่งมอบรถยนต์ให้ ถ้านายเอต้องการจะฟ้องร้องให้บังคับคดีจะทำได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์

มาตรา 456 “การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน- เจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย

สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้ มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกัน เป็นราคาสองหมื่นบาท หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย ”

วินิจฉัย

จากหลักกฎหมายดังกล่าว สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ ชนิดพิเศษ ถ้าไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จะตกเป็นโมฆะ (ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคแรก) แต่ถ้าเป็นสัญญาจะซื้อขายหรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินดังกล่าว หรือสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดา กฎหมายมิได้กำหนดแบบไว้แต่อย่างใด

แต่อย่างไรก็ตาม สัญญาจะซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ หรือสัญญา ซื้อขายเสร็จเด็ดขาดสังหาริมทรัพย์ธรรมดาซึ่งตกลงกันเป็นราคา 20,000 บาทหรือกว่านั้นขึ้นไป จะฟ้องร้องบังคับคดี กันได้ จะต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปบี้คือ

1.         มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ

2.         มีการวางประจำ (หรือมัดจำ) ไว้หรือ

3.         มีการชำระหนี้บางส่วน (ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม)

ตามปัญหา สัญญาซื้อขายรถยนต์ระหว่างนายเอและนายบีเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เพราะทรัพย์สินที่ตกลงซื้อขายกันเป็นสังหาริมทรัพย์ธรรมดา และเมื่อเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดสังหาริมทรัพย์ธรรมดา แม้ทั้งสองจะตกลงกันด้วยวาจา สัญญาซื้อขายดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายเพราะกฎหมาย ไม่ได้กำหนดเรื่องแบบไว้

และเมื่อสัญญาซื้อขายระหว่างบายเอและนายบีเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดสังหาริมทรัพย์ ที่มีราคามากกว่า 20,000 บาท และนายเอได้มีการชำระหนี้บางส่วนคือได้ชำระราคารถยนต์ให้แก่นายบีแล้ว 80,000 บาท ซึ่งถือว่ามีหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีแล้ว ดังนั้น เมื่อนายบีไม่ยอมส่งมอบรถยนต์ให้แก่นายเอ นายเอย่อมสามารถที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้

สรุป นายเอสามารถฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้

 

ข้อ 4. การเขียนตั๋วเงินผู้ถือที่สมบูรณ์ตามหลักกฎหมายมีอยู่อย่างไร อธิบาย

ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 909 และมาตรา 910 ได้บัญญัติหลักในการ เขียนตั๋วแลกเงินไว้ดังนี้คือ

ในการเขียนตั๋วแลกเงินไม่ว่าจะเป็นตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อผู้รับเงินหรือตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือนั้น ตั๋วแลกเงินจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ผู้เขียนตั๋วแลกเงินจะต้องเขียนให้มีข้อความหรือรายการที่สำคัญ 5 ประการ ให้ครบถ้วนเสมอ ได้แก่ข้อความดังต่อไปนี้คือ

1.         คำบอกชื่อว่าเป็นตั๋วแลกเงิน

2.         คำสั่งอันปราศจากเงื่อนไขให้จ่ายเงินเป็นจำนวนที่แน่นอน

3.         ชื่อหรือรห้อผู้จ่าย

4.         ชื่อหรือยี่ห้อผู้รับเงิน หรือคำจดแจ้งว่าให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ

5.         ลายมือชื่อผู้สั่งจ่าย

ถ้าหากผู้เขียนตั๋วแลกเงินได้เขียนโดยมีข้อความที่สำคัญดังกล่าวอันใดอันหนึ่งขาดตกบกพร่องไป เอกสารนั้นย่อมไม่สมบูรณ์เป็นตั๋วแลกเงิน

ตัวอย่าง นายหนึ่งต้องการออกตั๋วแลกเงินเพื่อชำระหนี้แก่นายสาม 100,000 บาท นายหนึ่ง ก็จะต้องเขียนตั๋วแลกเงินให้มีข้อความที่สำคัญ 5 ประการดังกล่าวข้างต้น โดยนายหนึ่งอาจจะเขียนโดยระบุให้นายสอง จ่ายเงินให้แก่นายสาม (ซึ่งถือว่าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อ) หรือนายหนึ่งอาจจะเขียนโดยสั่งให้นายสองผู้จ่าย จ่ายเงินให้แก่ผู้ถือตั๋วแลกเงิน (ซึ่งถือว่าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือ) หรือนายหนึ่งอาจจะเขียนโดยสั่งให้นายสองผู้จ่าย จ่ายเงินให้แก่นายสามหรือผู้ถือก็ได้ (ซึ่งถือว่าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือเช่นเดียวกัน)

LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิขา LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน
ข้อ 1. นายกิจ อายุ 18 ปี นายกิจได้รับเงินจำนวน 20,000 บาท จากนายทองซึ่งเป็นคุณอาของนายกิจ โดยที่ นายทองได้บอกแก่นายกิจว่าไม่ต้องบอกนางพรที่เป็นมารดาของนายกิจทราบ หลังจากนั้นนายกิจ ได้นำเงินไปซื้อรถจักรยานยนต์ตามลำพังโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางพร ต่อมานางพรทราบ เหตุการณ์ดังกล่าวทั้งหมด นางพรไม่พอใจมาก เพราะนางพรมีเรื่องทะเลาะกับนายทองตั้งแต่บิดาของ นายกิจตาย บางพรจึงไม่ต้องการให้นายกิจรับทรัพย์สินใด ๆ จากนายทอง อีกทั้งนางพรไม่ต้องการ ให้นายกิจขี่รถจักรยานยนต์ ดังนี้ นางพรจะบอกล้างนิติกรรมการรับเงิน และซื้อรถจักรยานยนต์ ของนายกิจได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 21 “ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน การใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงปราศจากความยินยอมเช่นว่านั้นเป็นโมฆียะ เว้นแต่จะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”

มาตรา 22 ”‘ผู้เยาว์อาจทำการใด ๆ ได้ทั้งสิ้น หากเป็นเพียงเพื่อจะไดไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่ง หรือเป็นการเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง”
วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ให้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายจะต้องได้รับความยินยอม จากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆียะ เว้นแต่นิติกรรมบางประเภทที่ผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพัง ตนเองโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อนก็มีผลสมบูรณ์ เช่น นิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่ง สิทธิอันใดอันหนึ่ง ซึ่งเป็นนิติกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝ่ายเดียว เป็นต้น

ตามปัญหา การที่นายกิจผู้เยาว์ได้รับเงิน 20,000 บาท จากนายทองซึ่งเป็นคุณอาของนายกิจนั้น แม้การที่นายกิจผู้เยาว์จะได้รับเงินจากนายทองโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางพรซึ่งเป็นมารดาก็ตาม นิติกรรม การรับเงินของนายกิจผู้เยาว์ก็มีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะ เพราะเป็นนิติกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝ่ายเดียว กล่าวคือ เป็นนิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึ่งสิทธิอันใดอันหนึ่ง ซึ่งเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 22 ดังนั้น นางพร จะบอกล้างนิติกรรมการรับเงินดังกล่าวไม่ได้

ส่วนกรณีที่นายกิจได้นำเงินไปซื้อรถจักรยานยนต์ตามลำพังโดยไม่’ได้รับความยินยอมจาก นางพรนั้น ย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 21 เพราะมิใช่นิติกรรมที่เข้าข้อยกเว้นของกฎหมายที่ผู้เยาว์สามารถทำได้เองโดยลำพัง ดังนั้น นางพรจึงสามารถบอกล้างนิติกรรมการซื้อรถจักรยานยนต์ของนายกิจได้

สรุป นางพรจะบอกล้างนิติกรรมการรับเงินของนายกิจไม่ได้ แต่สามารถบอกล้างนิติกรรม การซื้อรถจักรยานยนต์ของนายกิจได้

 

ข้อ 2. นายดำถูกนายขาวขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายถ้าไม่ให้นายแดงกู้ยืมเงิน ด้วยความกลัวนายดำจึงให้นายแดง กู้ยืมเงินไป 1 ล้านบาท ข้อเท็จจริงนายแดงมิได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่านายดำถูกนายขาวข่มขู่ ดังนี้สัญญา กู้ยืมเงินระหว่างนายดำและนายแดงมีผลดามกฎหมายอย่างไร เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 164 บัญญัติว่า “การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่เป็นโมฆียะ

การข่มขู่ที่จะทำให้การใดตกเป็นโมฆียะนั้น จะต้องเป็นการข่มขู่ที่จะให้เกิดภัยอันใกล้จะถึง และร้ายแรงถึงขนาดที่จะจงใจให้ผู้ถูกข่มขู่มีมูลต้องกลัว ซึ่งถ้ามิได้มิการข่มขู่เช่นนั้น การนั้นก็คงจะมิได้กระทำขึ้น”

และมาตรา 166ได้บัญญัติว่า

“การข่มขู่ย่อมทำให้การแสดงเจตนาเป็นโมฆียะ แม้บุคคลภายนอกจะเป็นผู้ข่มขู่”

วินิจฉัย

ตามปัญหา การที่นายดำได้แสดงเจตนายอมให้นายแดงกู้ยืมเงินไปเป็นจำนวน 1 ล้านบาทนั้น เนื่องจากถูกนายขาวพูดจาข่มขู่ว่าจะทำร้ายร่างกาย ถ้านายดำไม่ให้นายแดงกู้ยืมเงิน การแสดงเจตนาของนายดำ จึงเป็นการแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่ ดังนั้นสัญญากู้ยืมเงินระหว่างนายดำและนายแดงจึงมีผลเป็นโมฆียะตาม ป.พ.พ. มาตรา 164

และแม้ว่าการที่นายดำได้แสดงเจตนายอมให้นายแดงกู้ยืมเงินไปเพราะถูกนายขาวบุคคลภายนอก ข่มขู่นั้น นายแดงมิได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่านายดำถูกนายขาวข่มขู่ก็ตาม สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวก็ตกเป็นโมฆียะ เพราะ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 166 ได้บัญญัติหลักไว้ว่า การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่ย่อมทำให้นิติกรรม (สัญญากู้ยืมเงิน ดังกล่าว) ตกเป็นโมฆียะ แม้ว่าการข่มขู่นั้นจะเกิดขึ้นโดยบุคคลภายนอกก็ตาม

สรุป สัญญากู้ยืมเงินระหว่างนายดำและนายแดงมีผลเป็นโมฆียะ ตามเหตุผลและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ 3. นายมะนาวตกลงทำสัญญาซื้อขายที่ดินของนายมะม่วงจำนวน 100 ตารางวา ราคาตารางวาละ 35,000 บาท โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ต่อมานายมะม่วงส่งมอบที่ดิน ให้นายมะนาวจำนวน 98 ตารางวา นายมะนาวจึงปฏิเสธที่จะไม่รับมอบที่ดินจากนายมะม่วง ดังนี้ นายมะนาวจะปฏิเสธไม่รับมอบที่ดินจากนายมะม่วงได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 466 ได้บัญญัติหลักไว้ว่า

“ในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์นั้น ถ้าได้มีการระบุจำนวนเนื้อที่ทั้งหมดไว้ และผู้ขายได้ส่งมอบ ทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อน้อยกว่าหรือมากไปกว่าที่ได้ตกลงทำสัญญาไว้ ผู้ซื้อยอมมีสิทธิที่จะบอกปัดเสียหรือจะรับเอาไว้ และใช้ราคาตามส่วนก็ได้ ตามแต่จะเลือก

แต่ถ้าจำนวนส่วนที่ขาดตกบกพร่องหรือส่วนที่เกินนั้นมีจำนวนไม่มากกว่าร้อยละ 5 ของเนื้อที ทั้งหมดที่ได้ระบุไว้ ผู้ซื้อจะต้องรับเอาไว้และใช้ราคาตามส่วนจะบอกปัดไม่รับไม่ได้”

วินิจฉัย

ตามปัญหา การที่นายมะนาวได้ตกลงทำสัญญาซื้อขายที่ดินของนายมะม่วงจำนวน 100 ตารางวานั้น ถือว่าเป็นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มีการระบุจำนวนเนื้อที่ทั้งหมดไว้ ดังนั้นโดยหลักแล้วเมื่อนายมะม่วง ได้ส่งมอบที่ดินให้นายมะนาวมีจำนวนเนื้อที่น้อยกว่าที่ได้ตกลงกันไว้ นายมะนาวผู้ซื้อย่อมมีสิทธิปฏิเสธไม่รับมอบ ที่ดินจากนายมะม่วงได้ หรือนายมะนาวจะรับเอาไว้และใช้ราคาตามส่วนก็ได้ตามแต่จะเลือก

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายมะม่วงได้ส่งมอบที่ดินให้แก่นายมะนาวมีจำนวน เนื้อที่ 98 ตารางวา ซึ่งน้อยกว่าที่ตกลงกันแต่จำนวนส่วนที่ขาดไปนั้นมีจำนวนเพียง 2 ตารางวา ซึ่งเป็นจำนวนที่ ไม่มากกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนเนื้อที่ทั้งหมดที่ตกลงกัน ดังนั้นกรณีนี้นายมะนาวจึงต้องรับเอาไว้และใช้ราคา ตามส่วน จะบอกปัดไม่รับไม่ได้

สรุป นายมะนาวจะปฏิเสธไม่รับมอบที่ดินจากนายมะม่วงไม่ได้

 

ข้อ 4. ตั๋วแลกเงินมีวิธีโอนตั๋วให้แก่กันได้กี่วิธี จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงินได้บัญญัติถึงวิธีโอนตั๋วแลกเงินไว้ดังนี้ คือ

1.         ตั๋วแลกเงินชนิดลังจ่ายระบุชื่อนั้นย่อมโอนให้กันได้ด้วยการสลักหลังและส่งมอบ (มาตรา 917 วรรคแรก)

2.         ตั๋วแลกเงินสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น ย่อมโอนกันได้ด้วยการส่งมอบให้แก่กัน (มาตรา 918)

3.         การสลักหลังต้องเขียนลงในตั๋วแลกเงินและลงลายมือชื่อผู้สลักหลัง โดยจะระบุชื่อของ ผู้รับสลักหลังด้วย หรือเพียงแต่ลงลายมือชื่อของผู้สลักหลังไว้ที่ด้านหลังของตั๋วแลกเงิน ซึ่งเรียกว่า การสลักหลังลอยก็ได้ (มาตรา 919)

จากหลักกฎหมายดังกล่าว จะเห็นได้ว่าตั๋วแลกเงินมิวิธีโอนตั๋วให้แก่กันได้ 2 วิธี

1. ถ้าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ (ผู้รับเงิน) การโอนย่อมสามารถทำได้โดยการ สลักหลังและส่งมอบ (มาตรา 917 วรรคแรก) หมายความว่าตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายระบุชื่อ (ผู้รับเงิน) นั้น ถ้าจะ มีการโอนต่อไปให้แก่บุคคลอื่น การโอนจะมีผลสมบูรณ์ถูกต้องตามกฎหมายก็ต่อเมื่อผู้โอนได้ทำการสลักหลังและ ส่งมอบตั๋วแลกเงินนั้นให้แก่ผู้รับโอน (จะโอนโดยการส่งมอบแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้)

“การสลักหลัง” คือ การที่ผู้สลักหลัง (ผู้โอน) ได้เขียนข้อความและลงลายมือชื่อของตนไว้ ในตั๋วแลกเงิน (หรือใบประจำต่อ)โดยอาจจะเป็นการ “สลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ)’’ หรืออาจจะเป็นการ “สลักหลังลอย”ก็ได้

(1)       การสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หมายถึง การสลักหลังที่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับ สลักหลัง (ผู้รับประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ใบตั๋วแลกเงินด้วย โดยอาจจะทำที่ด้านหน้าหรือด้านหลังตั๋วก็ได้

(2)       การสลักหลังลอย หมายถึง การสลักหลังที่ไม่ได้มีการระบุชื่อของผู้รับสลักหลัง (ผู้รับประโยชน์หรือผู้รับโอน) ไว้ เพียงแต่ผู้สลักหลังได้ลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหลังของตั๋วแลกเงินเท่านั้น (มาตรา 919 วรรคสอง)

ตัวอย่าง หนึ่งได้ออกตั๋วแลกเงินลังให้สองจ่ายเงินให้แก่สามโดยระบุชื่อสามเป็นผู้รับเงิน ดังนี้ถ้าสามมีความประสงค์จะโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้ต่อไปให้ ก. สามจะต้องลงลายมือชื่อของสามสลักหลังไว้ด้วย โดยสามอาจจะระบุชื่อ ก. ผู้รับสลักหลังลงไว้ในตั๋วด้วยซึ่งเรียกว่า การสลักหลังเฉพาะ (ระบุชื่อ) หรือสามอาจจะ ลงแต่ลายมือชื่อของสามไว้ที่ด้านหลังของตั๋วแลกเงินนั้น โดยไม่ระบุชื่อ ก. ผู้รับสลักหลังไว้ในตั๋วซึ่งเรียกว่าเป็น การสลักหลังลอยก็ได้

2. ถ้าเป็นตั๋วแลกเงินชนิดสั่งจ่ายแก่ผู้ถือ การโอนตั๋วชนิดนี้ย่อมสามารถทำได้โดยการ

ส่งมอบตั๋วแต่เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องมีการสลักหลังใด ๆ ทั้งสิ้น (มาตรา 918)

ตัวอย่าง หนึ่งออกตั๋วแลกเงินสั่งให้สองจ่ายเงินแก่ผู้ถือ และส่งมอบตั๋วนั้นให้แก่สาม ดังนี้ ถ้าสามมีความประสงค์จะโอนตั๋วแลกเงินฉบับนี้ให้แก่ ก. สามสามารถโอนได้โดยการส่งมอบตั๋วให้แก่ ก. โดยที่สาม ไม่ต้องลงลายมือชื่อสลักหลังตั๋ว การโอนตั๋วดังกล่าวก็มีผลสมบูรณ์

LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายน้อยอายุ 15 ปี มีมารดาชื่อนางก้อย วันหนึ่งนางแก้วซึ่งเป็นป้าของนายน้อยได้ให้เงินจำนวน 5,000 บาทแก่นายน้อย โดยที่นางก้อยไม่ได้รู้เห็นและให้ความยินยอมในการรับเงินของนายน้อย แต่อย่างใด หลังจากนั้น นายน้อยได้นำเงินดังกล่าวไปซื้อเกมคอมพิวเตอร์จากเพื่อนตามลำพังโดย ไม่ได้รับความยินยอมจากนางก้อยเช่นกัน ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่านางก้อยจะบอกล้างนิติกรรมการ รับเงินและการซื้อเกมคอมพิวเตอร์ของนายน้อยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติหลักเกี่ยวกับการทำนิติกรรมของผู้เยาว์ไว้ดังนี้

1.         ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน นิติกรรม ใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงโดยปราศจากความยินยอมของผู้แทนโดยขอบธรรม นิติกรรมนั้นมีผลเป็นโมฆียะ (มาตรา 21)
2.         ผู้เยาว์อาจทำนิติกรรมใด ๆ ได้ทั้งสิ้น หากเป็นนิติกรรมเพียงเพื่อที่ผู้เยาว์จะได้ไปซึ่งสิทธิ อันใดอันหนึ่ง หรือเป็นการเพื่อให้หลุดพ้นจากหน้าที่อันใดอันหนึ่ง (มาตรา 22)
3.         ผู้เยาว์อาจทำนิติกรรมใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ถ้าเป็นนิติกรรมทีเป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตน และเป็นการอันจำเป็นในการดำรงชีพตามสมควร (มาตรา 24)
กรณีตามปัญหา แยกพิจารณาได้ดังนี้

ประเด็นที่ 1 การที่นางแก้วซึ่งเป็นป้าของนายน้อยผู้เยาว์ ได้ให้เงินจำนวน 5,000 บาทแก่ นายน้อย โดยที่นางก้อยซึ่งเป็นมารดาของนายน้อยและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของนายน้อยไม่ได้รู้เห็นและให้ความ ยินยอมในการรับเงินของนายน้อยแต่อย่างใดนั้น กรณีนี้ถือว่านิติกรรมการรับเงินของนายน้อยมีผลสมบูรณ์ ไม่ตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 21 เพราะเป็นนิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้ไปซึงสิทธิอันใดอันหนึ่ง ซึ่งถือว่าเป็นนิติกรรมที่เป็นประโยชน์แก่ผู้เยาว์ฝ่ายเดียว จึงเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 22 คือเป็นนิติกรรมที่นายน้อยผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพัง ตนเองและจะมีผลสมบูรณ์ โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากนางก้อยผู้แทนโดยชอบธรรม และเมื่อนิติกรรมการรับเงิน ของนายน้อยมีผลสมบูรณ์ไม่ตกเป็นโมฆียะ ดังนั้นนางก้อยจะบอกล้างนิติกรรมการรับเงินของนายน้อยไม่ได้
ประเด็นที่ 2 การที่นายน้อยผู้เยาว์ได้นำเงินจำนวน 5,000 บาทที่ได้รับจากนางแก้วไปซื้อ เกมคอมพิวเตอร์จากเพื่อนตามลำพังโดยไม่ได้รับความยินยอมจากนางก้อยผู้แทนโดยชอบธรรมนั้น นิติกรรมการ ซื้อเกมคอมพิวเตอร์ของนายน้อยย่อมตกเป็นโมฆียะตามมาตรา 21 เพราะเป็นนิติกรรมที่นายน้อยผู้เยาว์ได้ทำลง โดยปราศจากความยินยอมของนางก้อยผู้แทนโดยชอบธรรม และการซื้อเกมคอมพิวเตอร์ดังกล่าวไม่ใช่นิติกรรม ที่เป็นการสมแก่ฐานานุรูปและเป็นการอันจำเป็นใบการดำรงชีพตามสมควรของผู้เยาว์ จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตาม มาตรา 24 ที่ผู้เยาว์จะสามารถทำได้โดยลำพังตนเองได้ และเมื่อนิติกรรมการซื้อเกมคอมพิวเตอร์ดังกล่าวตกเป็นโมฆียะ ดังนั้นนางก้อยจึงสามารถบอกล้างนิติกรรมนี้ได้

สรุป นางก้อยจะบอกล้างนิติกรรมการรับเงินของนายน้อยไม่ได้ แต่สามารถบอกล้างนิติกรรม การซื้อเกมคอมพิวเตอร์ของนายน้อยได้

 

ข้อ2  เด็กชายหนึ่งอายุ 14 ปี ทำสัญญาซื้อรถจักรยานยนต์คันหนึ่งจากบริษัท เอ จำกัด ในราคา 40,000 บาท ตกลงให้มีการส่งมอบและชำระราคาในวันที่ 15 มีนาคม 2557 ต่อมาเมื่อถึงกำหนดเวลาตามที่ตกลงกัน เด็กชายหนึ่งไม่ชำระหนี้ บริษัท เอ จำกัด จึงไปเรียกให้นางสองมารดาของเด็กขายหนึ่งชำระราคา ตามสัญญา นางสองปฏิเสธ อ้างว่าการซื้อขายระหว่างเด็กชายหนึ่งกับบริษัท เอ จำกัด เป็นโมฆียะ และนางสองมีสิทธิบอกล้างได้ เพราะตนเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายหนึ่งและไม่เคยให้ ความยินยอมในการซื้อรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว ดังนี้ ข้ออ้างของนางสองชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด จงอธิบายพร้อมทั้งยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติหลักเกี่ยวกับความสามารถในการทำนิติกรรมของผู้เยาว์ไว้ดังนี้

1.         ผู้เยาว์จะทำนิติกรรมใด ๆ ต้องได้รับความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน นิติกรรม ใด ๆ ที่ผู้เยาว์ได้ทำลงโดยปราศจากความยินยอมของผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรมนั้นมีผลเป็นโมฆียะ (มาตรา 21)

2.         ผู้เยาว์อาจทำนิติกรรมใด ๆ ได้ทั้งสิ้น ถ้าเป็นนิติกรรมที่เป็นการสมแก่ฐานานุรูปแห่งตน และเป็นการอันจำเป็นในการดำรงชีพตามสมควร (มาตรา 24)

3.         การใดมิได้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยความสามารถของบุคคล การนั้น เป็นโมฆียะ (มาตรา 153)

ตามปัญหา การที่เด็กชายหนึ่งผู้เยาว์ได้ทำนิติกรรมโดยการทำสัญญาซื้อรถจักรยานยนต์คันหนึ่ง จากบริษัท เอ จำกัด โดยข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าเด็กชายหนึ่งได้รับความยินยอมจากนางสองมารดาซึ่งเป็นผู้ใช้ อำนาจปกครองและเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายหนึ่งแต่อย่างใด และนิติกรรมการซื้อรถจักรยานยนต์ซึ่ง มีราคา 40,000 บาทนั้น ก็ไม่เป็นนิติกรรมที่เป็นการสมแก่ฐานานุรูปและเป็นการอันจำเป็นในการดำรงชีพตามสมควร ของผู้เยาว์แต่อย่างใด จึงไม่เข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 24 ที่เด็กชายหนึ่งผู้เยาว์จะสามารถทำได้โดยลำพังตนเองได้ ดังนั้นนิติกรรมการซื้อรถจักรยานยนต์ดังกล่าวของเด็กชายหนึ่ง จึงมิได้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วย ความสามารถของบุคคล จึงมีผลเป็นโมฆียะ (ตามมาตรา 153 ประกอบมาตรา 21) และเมื่อนิติกรรมดังกล่าวมิผล เป็นโมฆียะ นางสองมารดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายหนึ่งจึงมีสิทธิบอกล้างได้

ดังนั้น ข้ออ้างของนางสองที่ว่าการซื้อขายระหว่างเด็กชายหนึ่งกับบริษัท เอ จำกัด เป็นโมฆียะ เพราะตนซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายหนึ่งไม่เคยให้ความยินยอมในการซื้อรถจักรยานยนต์คันดังกล่าว และตนมิสิทธิบอกล้างได้นั้น ข้ออ้างของนางสองจึงชอบด้วยกฎหมาย

สรุป ข้ออ้างของนางสองชอบด้วยกฎหมาย

 

ข้อ3 นายมะละกอทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับนายมะม่วงจำนวน 10 ไร ราคาไร่ละ 500,000 บาท โดยตกลง กันว่าจะไปทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดในเดือนหน้า ดังนี้ สัญญาซื้อขายระหว่างนายมะละกอและ นายมะม่วงเป็นสัญญาซื้อขายประเภทใด และแบบของสัญญาซื้อขายประเภทนี้ต้องทำอย่างไร

ธงคำตอบ

“สัญญาจะซื้อจะขาย” คือ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษที่คู่กรณี ยังมิได้มีเจตนาที่จะโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่กันในขณะที่ทำสัญญาซื้อขาย แต่มีข้อตกลงกันว่าจะมีการโอน กรรมสิทธ์ในทรัพย์สินให้แก่กับก็ต่อเมื่อได้ไปกระทำตามแบบพิธีที่กฎหมายไต้กำหนดไว้ในภายหน้า คือเมือได้ไปทำ สัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วนั่นเอง

ดังนั้นตามปัญหา การที่นายมะละกอทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับนายมะม่วงจำนวน 10 ไร่ โดย ตกลงกันวาจะไปทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดในเดือนหน้านั้น จึงเป็น “สัญญาจะซื้อขาย” เพราะเป็นการทำสัญญา ซื้อขายทรัพย์สินที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ และคู่กรณีได้ตกลงกันว่าจะไปทำตามแบบ คือจะไปทำเป็นหนังลือและ จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาบที่ดิน ณ สำนักงานที่ดินในภายหน้า

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยซื้อขายได้กำหนดแบบของสัญญาซื้อขายไว้ว่า “สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ” (ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคแรก)

แบบของสัญญาซื้อขายดังกล่าวนั้น หมายความถึง เฉพาะการทำสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ทรัพย์สินประเภทสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษเท่านั้น ที่กฎหมายไต้กำหนดว่าจะต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มิฉะนั้นจะตกเป็นโมฆะ ดังนั้นถ้าเป็นเพียงสัญญาจะซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ จึงไม่ต้องกระทำตามแบบแต่อย่างใด คู่สัญญาอาจจะตกลงทำสัญญาจะซื้อขายกัน ด้วยวาจาหรือจะทำเป็นหนังสือสัญญากันก็ได้ สัญญาจะซื้อขายนั้นก็จะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายเสมอ

ดังนั้น สัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างนายมะละกอกับนายมะม่วงนั้น จึงเป็นสัญญาซื้อขายที่ กฎหมายไม่ได้กำหนดแบบไว้แต่อย่างใด นายมะละกอและนายมะม่วงจึงสามารถตกลงทำสัญญากันอย่างไรก็ได้ โดยอาจตกลงกันด้วยวาจาหรืออาจจะทำเป็นหนังลือสัญญากันก็ได้ ซึ่งสัญญาจะซื้อขายดังกล่าวก็จะมีผลสมบูรณ์ ตามกฎหมาย

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าจะให้สัญญาจะซื้อขายที่ดินระหว่างนายมะละกอกับนายมะม่วงมีผลสมบูรณ์ และสามารถใช้ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ คู่สัญญาควรจะทำสัญญากันโดยให้มีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที กฎหมายได้กำหนดไว้ด้วย (ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสอง) ได้แก่

1.         มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ

2.         มีการวางประจำหรือมัดจำไว้ หรือ

3.         มีการชำระหนี้บางส่วน

 

ข้อ 4. ให้นักศึกษาทำคำตอบทั้งข้อ ก. และข้อ ข. โดยให้อธิบายหลักกฎหมาย

ก. ตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือจำเป็นหรือไม่ที่ผู้โอนตั๋วต้องเซ็นสลักหลังโอนตั๋ว เพราะเหตุใด และ

ข. เช็คที่ผู้ทรงเช็คยื่นต่อธนาคารเพื่อให้ใช้เงินธนาคารจะต้องจ่ายเงินให้หรือไม่ ถ้าปรากฏว่าเงิน ในบัญชีของผู้ลังจ่ายมีไม่พอตามมูลค่าเช็คที่ยื่น

ธงคำตอบ

ก. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติหลักเกี่ยวกับวิธีการโอนตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือไว้ด้งนี้ คือ

1.         ตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือ การโอนย่อมสมบูรณ์โดยการส่งมอบตั๋วนั้นให้แก่กัน (มาตรา 918)

2.         การสลักหลังตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือ ให้ถือว่าเป็นเพียงการอาวัล (รับประกัน) ผู้สั่งจ่าย (มาตรา 921)

ด้งนั้น ในการโอนตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือจึงไม่จำเป็นที่ผู้โอนตั๋วจะต้องเซ็นสลักหลังโอนตั๋ว เพราะ ตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นได้กำหนดไว้แล้วว่า ในการโอนตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือนั้น การโอนย่อมสมบูรณ์ โดยการที่ผู้โอนเพียงแต่ส่งมอบตั๋วนั้นให้แก่ผู้รับโอนเท่านั้น ไม่ต้องมีการสลักหลังแต่อย่างใด ในกรณีที่มีการสลักหลัง กฎหมายให้ถือว่าการสลักหลังนั้นเป็นเพียงการรับประกันหรือรับอาวัลผู้ลังจ่ายเท่านั้น

ข. ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติหลักเกี่ยวกับการใช้เงินตามเช็คของธนาคารไว้ด้งนี้ คือ

1.         ธนาคารจำต้องใช้เงินตามเช็คซึ่งผู้เคยค้ากับธนาคารได้ออกเบิกเงินแก่ตน เว้นแต่ในกรณี ที่ไมมีเงินในบัญชีของผู้เคยค้าคนนั้นเป็นเจ้าหนี้พอจะจ่ายตามเช็คนั้น (ป.พ.พ. มาตรา 991 (1))

2.         ถ้าธนาคารได้รับรองเช็คโดยเขียนข้อความลงลายมือชื่อบนเช็ค เช่นคำว่า “ใช้ได้” หรือ “ใช้เงินได้” หรือคำใด ๆ อันแสดงผลอย่างเดียวกับ ธนาคารต้องผูกพันในฐานะเป็นลูกหนี้ขั้นต้นในอันจะต้องใช้เงิน แก่ผู้ทรงตามเช็คนั้น (ป.พ.พ. มาตรา 993 วรรคแรก)

โดยหลักแล้วธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็ค จะต้องจ่ายเงินตามเช็คให้แก่ผู้ทรงตามเช็คนั้น เมื่อผู้ทรงเช็คได้นำเช็คมายื่นเพื่อให้ธนาคารจ่ายเงิน แต่ธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็คมีสิทธิที่จะปฏิเสธไม่จ่ายเงินตาม เช็คนั้นก็ได้ ถ้าหากเงินในบัญชีของผู้ออกเช็คนั้นไม่มีหรือมีแต่ไม่พอที่จะจ่ายตามเช็คนั้น แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเช็คนั้น เป็นเช็คที่ธนาคารผู้จ่ายได้รับรองเช็คไว้แล้ว ธนาคารก็จะต้องผูกพันในฐานะเป็นลูกหนี้ขั้นต้นในอันที่จะต้องจ่ายเงิน ตามเช็คนั้น จะปฏิเสธไม่จ่ายเงินโดยอ้างว่าเงินในบัญชีของผู้ออกเช็คไม่มีหรือมีแต่ไม่พอจ่ายไม่ได้

สรุป ก. ตั๋วแลกเงินชนิดผู้ถือ ในการโอนผู้โอนไม่จำเป็นต้องเซ็นสลักหลังโอนตั๋ว

ข. เช็คที่ผู้ทรงเช็คยื่นต่อธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน ถ้าปรากฏว่าเงินในบัญชีของผู้สั่งจ่าย มีไม่พอตามมูลค่าเช็ค ธนาคารจะจ่ายหรือไม่ก็ได้ เว้นแต่ถ้าเป็นเช็คที่ธนาคารผู้จ่าย ได้รับรองไว้แล้ว ธนาคารก็จะต้องจ่ายเงินตามเช็คนั้น

LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1 ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2015 กฎหมายธุรกิจ 1

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน

ข้อ  1. จงอธิบายหลักเกณฑ์ของการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถมาโดยละเอียด
ธงคำตอบ

หลักเกณฑ์ของการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 32 วรรคแรก มีดังนี้คือ
1  บุคคลนั้นจะต้องมีเหตุบกพร่องอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้คือ
(1) กายพิการ
(2) จิตฟั่นเฟือนไม่สมประกอบ
(3) ประพฤติสุรุ่ยสุร่าย เสเพลเป็นอาจิณ
(4) ติดสุรายาเมา

(5)  มีเหตุอื่นในทำนองเดียวกันกับ (1) – (4)


2      บุคคลนั้นไม่สามารถจะจัดทำการงานโดยตนเองได้ เพราะเหตุบกพร่องนั้น หรือจัดทำ การงานได้ แต่จะจัดกิจการไปในทางที่อาจจะเสื่อมเสียแก่ทรัพย์สินของตนเองหรือครอบครัว
3         ได้มีบุคคลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 28 ได้แก่ คู่สมรส ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน ผู้ปกครอง ผู้ซึ่งปกครองดูแลบุคคลนั้นอยู่ หรือพนักงานอัยการ ร้องขอต่อศาล
4         ศาลได้มีคำสั่งแสดงว่าบุคคลนั้นเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
ข้อ 2 นายหนึ่งบอกขายรถยนต์ของตนให้กับนายสอง โดยหลอกลวงว่ารถยนต์คันดังกล่าวสภาพดี ไม่เคย ถูกชนหนักมาก่อน ทั้งที่ไม่เป็นความจริง เพราะรถคันนี้ถูกชนเสียหายหนักมาแล้ว ถ้านายสองทราบ ความจริงจะไม่ซื้อ แต่นายสองหลงเชื่อจึงตกลงซื้อและทราบความจริงในภายหลัง ดังนี้ การแสดง เจตนาของนายสองมีผลอย่างไรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะนิติกรรมธงคำตอบป.พ.พ. มาตรา 159 วรรค 1 และ 2 บัญญัติว่า “การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะการถูกกลฉ้อฉลที่จะเป็นโมฆียะตามวรรคหนึ่ง จะต้องถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว การอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น”นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉล และจะตกเป็นโมฆียะนั้น จะต้อง ประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ดังนี้คือ

1         มีการใช้อุบายหลอกลวงคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งด้วยการแสดงข้อความให้ผิดต่อความจริง

2         ได้กระทำโดยจงใจเพื่อหลอกลวงคูกรณีอีกฝ่ายหนึ่งนั้น

3         การใช้อุบายหลอกลวงนั้นจะต้องถึงขนาดซึ่งถ้ามิได้มีกลฉ้อฉลดังกล่าว นิติกรรมอันเป็น โมฆียะนั้น คงจะมิได้กระทำขึ้น

ตามปัญหา การที่นายหนึ่งบอกขายรถยนต์ของตนให้กับนายสอง โดยหลอกลวงว่ารถยนต์ คันดังกล่าวสภาพดี ไม่เคยถูกชนหนักมาล่อน ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะรถยนต์คันนี้เคยถูกชนเสียหายหนักมาแล้วนั้น ถือได้ว่านายหนึ่งได้จงใจใช้อุบายหลอกลวงนายสองด้วยการแสดงข้อความให้ผิดต่อความจริงแล้ว และเมื่อการใช้ อุบายหลอกลวงของนายหนึ่งได้ถึงขนาด กล่าวคือทำให้นายสองหลงเชื่อและได้แสดงเจตนาเข้าทำนิติกรรมซื้อรถยนต์กับนายหนึ่ง จึงถือว่านายสองได้แสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลถึงขนาดตามมาตรา 159 วรรค 1 และวรรค 2 แล้ว ดังนั้นการแสดงเจตนาของนายสองดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆียะ และนายสองสามารถบอกล้างนิติกรรมนั้นได้

สรุป การแสดงเจตนาซื้อรถยนต์ของนายสองมีผลเป็นโมฆียะ เพราะเป็นการแสดงเจตนา เพราะถูกกลฉ้อฉลถึงขนาด และนายสองสามารถบอกล้างนิติกรรมนั้นได้

 

ข้อ 3 นายส้มทำสัญญาซื้อขายโต๊ะคอมพิวเตอร์จากนายเหลือง จำนวน 500 ตัว ราคาตัวละ 2,500 บาท พอถึงวับส่งมอบ นายเหลืองได้ทำการส่งมอบโต๊ะคอมพิวเตอร์ จำนวน 500 ตัว ปนกับเก้าอี้อีก 500 ตัว ดังนี้ นายส้มต้องรับมอบโต๊ะและเก้าอี้จากนายเหลืองหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 465 ได้บัญญัติหลักเกี่ยวกับหน้าที่และความ รับผิดของผู้ขายในกรณีที่มีการส่งมอบทรัพย์สินซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์น้อยกว่าหรือมากกว่าที่ได้สัญญาไว้ หรือ ระคนกับทรัพย์สินอย่างอื่นที่มิได้รวมอยู่ในข้อสัญญา ไว้ดังนี้คือ

(1)       ถ้าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินน้อยกว่าที่ได้สัญญาไว้ ผู้ซื้อจะบอกปัดไม่รับเอาทรัพย์สินนั้น ก็ได้ หรือจะรับเอาทรัพย์สินนั้นแล้วใช้ราคาตามส่วนก็ได้

(2)       ถ้าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินมากทว่าที่ได้สัญญาไว้ ผู้ซื้อจะรับเอาทรัพย์สินนั้นไว้เฉพาะที่ ตกลงไว้ในสัญญาและนอกนั้นบอกปัดเสียก็ได้ หรือจะบอกปัดไม่รับเสียทั้งหมดก็ได้ หรือจะรับเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ใช้ราคาตามส่วนก็ได้

(3)       ถ้าผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินตามที่ได้สัญญาไว้ระคนกับทรัพย์สิบอย่างอื่นที่มิได้รวมอยู่ใน ข้อสัญญา ผู้ซื้อจะรับเอาไว้เฉพาะทรัพย์สินตามสัญญาและนอกนั้นบอกปัดเสียก็ได้ หรือจะบอกปัดไม่รับเสีย ทั้งหมดก็ได้

ตามปัญหา การที่นายส้มได้ทำสัญญาซื้อขายโต๊ะคอมพิวเตอร์จากนายเหลืองจำนวน 500 ตัวนั้น ถือว่าเป็นการตกลงซื้อขายสังหาริมทรัพย์ เมื่อนายเหลืองได้ทำการส่งมอบโต๊ะคอมพิวเตอร์จำนวน 500 ตัวปนกับ เก้าอี้อีก 500 ตัว ย่อมถือว่าเป็นกรณีที่ผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินตามที่ได้สัญญาไว้ระคนกับทรัพย์สินอย่างอื่นที่มิได้รวมอยู่ในข้อสัญญาตามหลักกฎหมายข้อ (3) ดังกล่าวข้างต้น ดังนั้นนายส้มผู้ซื้อจึงมสิทธิตามกฎหมายที่จะรับมอบ เอาไว้เฉพาะโต๊ะคอมพิวเตอร์จำนวน 500 ตัว ซึ่งเป็นทรัพย์สินตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา และบอกปัดไม่รับมอบเก้าอี้ 500 ตัว ซึ่งเป็นทรัพย์สินอย่างอื่นที่ไม่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญา หรืออาจจะปฏิเสธไม่ยอมรับมอบทั้งโต๊ะคอมพิวเตอร์ และเก้าอี้ก็ได้

สรุป นายส้มมีสิทธิรับมอบเฉพาะโต๊ะคอมพิวเตอร์และบอกปัดไม่รับมอบเก้าอี้ได้ หรืออาจจะ บอกปัดไม่รับมอบทั้งโต๊ะคอมพิวเตอร์และเก้าอี้ก็ได้

 

ข้อ 4 อาทิตย์ได้รับตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อจากการสลักหลังลอย อาทิตย์ในฐานะผู้ทรงจะมีสิทธิโอนตั๋วแลกเงินต่อไปให้แก่ผู้อื่นได้โดยวิธีใดบ้าง จงอธิบายหลักกฎหมายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ

ธงคำตอบ

ตาม ป.พ.พ. มาตรา 920 ได้บัญญัติหลักไว้ว่า

“ในกรณีที่มีการสลักหลังลอย ผู้ทรงที่ได้รับตั๋วแลกเงินมาจากการสลักหลังลอย ย่อมมิสิทธิที่ จะกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ได้ กล่าวคือ

1         กรอกความลงในที่ว่างด้วยเขียนชื่อของตนเองหรือชื่อบุคคลอื่นผู้ใดผู้หนึ่ง

2         สลักหลังตั๋วเงินต่อไปอีกเป็นสลักหลังลอย หรือสลักหลังให้แก่บุคคลอื่นผู้ใดผู้หนึ่ง

3         โอนตั๋วเงินนั้นให้ไปแก่บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกความลงในที่ว่าง และไม่สลักหลังอย่างหนึ่งอย่างใด ”

ตามปัญหา การที่อาทิตย์ในฐานะผู้ทรงได้รับตั๋วแลกเงินชนิดระบุชื่อมาจากการสลักหลังลอยนั้น หมายถึงกรณีที่ผู้ลั่งจ่ายได้ออกตั๋วแลกเงินสั่งให้ผู้จ่ายจ่ายเงินให้แก่ผู้รับเงินโดยมีการระบุชื่อของผู้รับเงินไว้ และต่อมาผู้รับเงินได้สลักหลังและส่งมอบตั๋วเงินนั้นให้แก่อาทิตย์โดยการสลักหลังนั้นเป็นเพียงการสลักหลังลอย กล่าวคือ ผู้รับเงิน (หรือผู้ทรงคนก่อน) ได้ลงแต่ลายมือชื่อของตนไว้ที่ด้านหลังของตั๋วเงินนั้น โดยไม่ได้ระบุชื่อของอาทิตย์ (ผู้รับสลักหลัง) ไว้แต่อย่างใดนั่นเอง

ดังนั้น อาทิตย์ย่อมมีสิทธิตามมาตรา 920 ดังนี้ คือ

1        เขียนชื่อของอาทิตย์ลงในที่ว่าง (ซึ่งจะทำให้การสลักหลังลอยตอนแรกกลายเป็น สลักหลังเฉพาะ) และถ้าอาทิตย์จะโอนตั๋วเงินนั้นต่อไปให้แก่จันทร์ อาทิตย์ก็จะต้องโอนโดยการสลักหลังและส่งมอบตั๋วเงินนั้นให้แก่จันทร์

หรือถ้าอาทิตย์จะโอนตั๋วเงินนั้นให้แก่จันทร์ อาทิตย์อาจเขียนชื่อจันทร์ลงในที่ว่างแล้ว ส่งมอบตั๋วเงินนั้นให้แก่จันทร์ก็ได้

2         สลักหลังตั๋วเงินนั้นต่อไปอีก โดยการสลักหลังลอยหรือสลักหลังเฉพาะก็ได้

เช่น ถ้าอาทิตย์จะโอนตั๋วเงินนั้นต่อไปให้แก่จันทร์ อาทิตย์ก็จะสลักหลังและส่งมอบ ตั๋วเงินนั้นให้แก่จันทร์ โดยการสลักหลังนั้นอาจจะเป็นการสลักหลังลอย คือลงแต่ลายมือชื่อของอาทิตย์ไว้ที่ด้านหลังของตั๋วเงินนั้นโดยไม่ระบุชื่อชองจันทร์ไว้ หรืออาจเป็นการสลักหลังเฉพาะ คือการระบุชื่อของจันทร์ผู้รับโอน ไว้ด้วยก็ได้

3         โอนตั๋วเงินนั้นต่อไปโดยไม่กรอกความลงในที่ว่างและไม่สลักหลังอย่างหนึ่งอย่างใดเลย

เช่น ถ้าอาทิตย์จะโอนตั๋วเงินนั้นให้แก่จันทร์ต่อไป อาทิตย์ก็สามารถโอนได้โดยการส่งมอบ ตั๋วเงินนั้นให้แก่จันทร์ โดยไม่ปฏิบัติตาม 1 หรือ 2 ใด ๆ เลยก็ได้

สรุป เมื่ออาทิตย์ได้รับตั๋วแลกเงินระบุชื่อจากการสลักหลังลอย อาทิตย์ในฐานะผู้ทรงย่อม มีสิทธิโอนตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปให้แก่ผู้อื่นโดยวิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 920 ดังที่อธิบายไว้ ดังกล่าวข้างต้น

LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด 1/2546

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2013

 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  พลับพลาได้งานถมดินสนามบินหนองงูเหลือมต้องใช้รถยนต์บรรทุกดินเป็นจำนวนมากเพื่อความสะดวกกับการเติมน้ำมันให้กับรถบรรทุกดินพลับพลาจึงทำข้อตกลงกับบริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  ผู้ให้บริการน้ำมันที่ตำบลหนองงูเหลือม  โดยรถยนต์บรรทุกดินของพลับพลาจะเติมน้ำมันที่บริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  จนกว่างานถมดินจะเสร็จโดยบริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  จะเติมน้ำมันให้กับรถยนต์ของพลับพลาไปก่อนและส่งใบเสร็จค่าน้ำมันและยอดเงินที่พลับพลา  จะต้องชำระให้พลับพลาตรวจทุกๆ  45  วัน  ส่วนพลับพลาจะชำระราคาน้ำมันให้กับบริษัท ป.ต.อ.  จำกัดภายใน  15  วันนับแต่ที่ทางบริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  ส่งใบเสร็จค่าน้ำมันและยอดเงินที่ต้องชำระ  ดังนี้  นิติสัมพันธ์ระหว่างพลับพลากับบริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  เป็นบัญชีเดินสะพัดหรือไม่เพราะเหตุใด

ข  ผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงิน  ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน  ผู้สั่งจ่ายเช็ค  จะเขียนข้อกำหนดว่า  ให้ผู้จ่ายผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงิน  ธนาคารผู้ใช้เงิน ชำระดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดไว้ให้กับผู้ทรงตั๋วเงินด้วยได้หรือไม่  ถ้าได้จะคิดดอกเบี้ยกันแต่วันใด

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

มาตรา  856  อันว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลสองคนตกลงกันว่าสืบแต่นั้นไปหรือในชั่วเวลากำหนดอันใดอันหนึ่ง  ให้ตัดทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างเขาทั้งสองนั้นหักกลบลบกัน  และคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาค

วินิจฉัย

นิติสัมพันธ์ระหว่างพลับพลากับบริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  นั้นเป็นการซื้อขายน้ำมันกันโดยที่บริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  ส่งมอบน้ำมันให้กับพลับพลาไปก่อนแล้วพลับพลาจะชำระราคาให้ในภายหลัง  ดังนั้นพลับพลาผู้ซื้อจึงเป็นลูกหนี้บริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  ผู้ขายอยู่ฝ่ายเดียวที่จะต้องชำระราคาน้ำมัน  โดยที่บริษัท  ป.ต.อ.  จำกัดก็เป็นเจ้าหนี้อยู่ฝ่ายเดียวเช่นกันที่มีสิทธิที่จะได้รับชำระราคา  ทั้งคู่จึงไม่ได้ตกลงกันตัดทอนบัญชีหนี้อันเกิดแก่กิจการในระหว่างพลับพลากับบริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  โดยการหักกลบลบกันและชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาคอันเป็นหลักสำคัญของบัญชีเดินสะพัด  นิติสัมพันธ์ระหว่างพลับพลากับบริษัท  ป.ต.อ.  จำกัดจึงมิใช่สัญญาบัญชีเดินสะพัด  ตามมาตรา  856

ข  อธิบาย

1       กรณีเป็นตั๋วแลกเงิน  ผู้สั่งจ่ายจะเขียนข้อกำหนดลงไว้ในตั๋วแลกเงินว่าให้ผู้จ่ายชำระดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดไว้ให้กับผู้ทรงตั๋วแลกเงินด้วยก็ได้  และจะเริ่มคำนวณนับดอกเบี้ยกันเมื่อใดก็สุดแล้วแต่ผู้สั่งจ่ายจะกำหนดไว้  หากมิได้กำหนดไว้กฎหมายบัญญัติให้คิดดอกเบี้ยกันตั้งแต่วันเดือนปีที่ลงในตั๋วแลกเงินนั้น  (มาตรา  911)

2       กรณีเป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน  ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจะเขียนข้อกำหนดลงไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงินว่าจะชำระดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดไว้ให้กับผู้ทรงตั๋วสัญญาใช้เงินด้วยก็ได้  และจะเริ่มคำนวณนับดอกเบี้ยกันเมื่อใดก็สุดแล้วแต่ผู้ออกตั๋วจะกำหนดไว้  หากมิได้กำหนดไว้กฎหมายบัญญัติให้คิดดอกเบี้ยกันตั้งแต่วันเดือนปีที่ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเช่นเดียวกับตั๋วแลกเงิน  เนื่องจากมาตรา  985  วรรคแรก  บัญญัติให้นำมาตรา  911  มาใช้บังคับกับตั๋วสัญญาใช้เงินด้วย  (ฎ. 193/2536)

3       กรณีเป็นเช็ค  ผู้สั่งจ่ายเช็คจะเขียนข้อกำหนดลงไว้ในเช็คว่าให้ธนาคารผู้จ่ายชำระดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนดไว้ให้กับผู้ทรงเช็คด้วยไม่ได้  เนื่องจากมาตรา  989  วรรคแรก  มิได้บัญญัติให้นำมาตรา  911  มาใช้บังคับกับเช็คด้วย  (ฎ. 3421/2525)

สรุป  นิติสัมพันธ์ระหว่างพลับพลากับบริษัท  ป.ต.อ.  จำกัด  มิใช่สัญญาบัญชีเดินสะพัด

 

ข้อ  2  ก  ในการสลักหลังโอนตั๋วแลกเงินนั้นผู้สลักหลังสามารถที่จะทำการสั่งห้ามมิให้ทำการโอนตั๋วแลกเงินฉบับนั้นต่อไปได้หรือไม่  อย่างไร  จงอธิบายมาโดยละเอียด

ข  นาย  A  สั่งจ่ายเช็คจำนวน  100,000  บาท  ระบุชื่อนาย  B  เป็นผู้รับเงินและขีดฆ่าคำว่าหรือผู้ถือออกแล้วส่งมอบให้แก่  นาย  B  เพื่อชำระหนี้ค่าสินค้าที่มีต่อกัน  ต่อมานาย  B  ได้สลักหลังเช็คฉบับนั้นชำระค่าเช่าอาคารให้แก่นาย  C  พร้อมทั้งระบุข้อความ  “ห้ามสลักหลังต่อไป”  ลงไว้ในเช็คฉบับนั้นด้วย  ต่อมานาย  C  นำเช็คนั้นไปสลักหลังขายลดให้กับนาย  D  ต่อมานาย D  สลักหลังเช็คนั้นให้แก่นาย  E เพื่อเป็นค่าสินค้า  เมื่อเช็คนั้นถึงกำหนดชำระเงินนาย  E  นำเช็คไปขึ้นเงิน  แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น

ถามว่า  นาย  E  จะสามารถบังคับไล่เบี้ยเอาเงินตามเช็คจากนาย  C  ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

มาตรา  923  “ผู้สลักหลังคนใดระบุข้อห้ามสลักหลังสืบไปลงไว้แล้ว  ผู้สลักหลังคนนั้นย่อมไม่ต้องรับผิดต่อบุคคลอันเขาสลักหลังตั๋วแลกเงินนั้นให้ไปในภายหลัง”

จะเห็นว่ากฎหมายให้สิทธิผู้สลักหลังระบุข้อความห้ามโอนหรือห้ามสลักหลังต่อลงไว้ในตั๋วแลกเงินได้เช่นเดียวกับผู้สั่งจ่าย  ซึ่งถ้าผู้รับสลักหลังฝ่าฝืนข้อห้ามทำการสลักหลังโอนต่อไปอีก  ผลก็คือ  ผู้สลักหลังที่ระบุข้อความห้ามโอนไว้  ย่อมไม่ต้องรับผิดต่อผู้ทรงคนสุดท้ายตลอดจนบรรดาผู้สลักหลังทั้งหลายที่สลักหลังภายหลังผู้สลักหลังที่ถูกระบุห้ามโอนนั้น

ข  อธิบาย

มาตรา  900  วรรคแรก  บุคคลผู้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วเงินย่อมจะต้องรับผิดตามเนื้อความในตั๋วเงินนั้น

มาตรา  914  บุคคลผู้สั่งจ่ายหรือสลักหลังตั๋วแลกเงินย่อมเป็นอันสัญญาว่า  เมื่อตั๋วนั้นได้นำมายื่นโดยชอบแล้วจะมีผู้รับรองและใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋ว  ถ้าและตั๋วแลกเงินนั้นเขาไม่เชื่อถือโดยไม่ยอมรับรองก็ดี  หรือไม่ยอมจ่ายเงินก็ดี  ผู้สั่งจ่ายหรือผู้สลักหลังก็จะใช้เงินแก่ผู้ทรง  หรือแก่ผู้สลักหลังคนหลังซึ่งต้องถูกบังคับให้ใช้เงินตามตั๋วนั้น  ถ้าหากว่าได้ทำถูกต้องตามวิธีการในข้อไม่รับรองหรือไม่จ่ายเงินนั้นแล้ว

มาตรา  923  ผู้สลักหลังคนใดระบุข้อห้ามสลักหลังสืบไปลงไว้แล้ว  ผู้สลักหลังคนนั้นย่อมไม่ต้องรับผิดต่อบุคคลอันเขาสลักหลังตั๋วแลกเงินนั้นให้ไปในภายหลัง

มาตรา  967  วรรคแรก  ในเรื่องตั๋วแลกเงินนั้น  บรรดาบุคคลผู้สั่งจ่ายก็ดีรับรองก็ดี  สลักหลังก็ดี  หรือรับประกันด้วยอาวัลก็ดี  ย่อมต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้ทรง

ผู้ทรงย่อมมีสิทธิว่ากล่าวเอาความแก่บรรดาบุคคลเหล่านี้เรียงตัว  หรือรวมกันก็ได้  โดยมิพักต้องดำเนินตามลำดับที่คนเหล่านั้นมาต้องผูกพัน

มาตรา  989  วรรคแรก  บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด  2  อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้  ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้  คือบทมาตรา  910  914  ถึง  923…967  971

วินิจฉัย

จากข้อเจจริงนาย  B  ได้สลักหลังโดยระบุข้อความห้ามสลักหลังต่อไปไว้ด้วยนั้น  มิได้ทำให้สภาพการเปลี่ยนมือได้ของเช็คฉบับนั้นสิ้นสุดลงแต่ประการใด  เพียงแต่มีผลให้นาย  E  ไม่สามารถไล่เบี้ยนาย  B  ได้เท่านั้น  แต่สำหรับผู้สลักหลังรายอื่นๆแล้ว  ยังคงต้องรับผิดต่อนาย  E  อยู่  ตามมาตรา  900  ประกอบมาตรา  914 ,  967  วรรคแรกและสอง

ดังนั้น  นาย  E  จึงสามารถบังคับไล่เบี้ยเอาเงินตามเช็คจากนาย  C  ได้  ตามมาตรา  900 ,  914  ,  923  ,  967  วรรคแรกและวรรคสอง  ประกอบมาตรา  989  วรรคแรก

สรุป  นาย  E  สามารถไล่เบี้ยเอาเงินตามเช็คจากนาย  C  ได้

 

ข้อ  3  ก  ให้อธิบายโดยอ้างอิงหลักกฎหมายในกรณีที่ธนาคารจ่ายเงินโดยฝ่าฝืนหลักเกณฑ์การใช้เงินตามเช็คขีดคร่อม

ข  แดงลงลายมือชื่อเขียนแล้วขีดคร่อมทั่วไป  สั่งจ่ายเช็คธนาคารกรุงเทพสาขาคลองจั่น  จ่ายเงินจำนวน  50,000  บาท  ระบุขาวเป็นผู้รับเงินโดยขีดฆ่าคำว่า  “หรือผู้ถือ”  ออก  แล้วส่งมอบเช็คนั้นชำระราคาคอมพิวเตอร์ให้แก่ขาว  ก่อนถึงกำหนดใช้เงินตามเช็ค  ขาวทำเช็คนั้นตกหายไปโดยไม่รู้ตัว  ดำเก็บได้จึงปลอมลายมือชื่อขาวสลักหลังโอนเช็คนั้นให้แก่เหลืองซึ่งรับโอนเช็คนั้นไว้โดยสุจริตและไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงอันเป็นมูลหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดจำนวน  1  ห้อง  ต่อมาเหลืองได้นำเช็คนั้นไปฝากให้ธนาคารทหารไทยสาขาหัวหมากที่ตนมีบัญชีเงินฝากเรียกเก็บเงินได้สำเร็จ  และได้ถอนเงินจำนวนดังกล่าวไปแล้วทั้งหมด  ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าขาวจะเรียกร้องให้ธนาคารกรุงเทพ  ธนาคารทหารไทย  แดง  และเหลือง  ให้รับผิดตามมูลหนี้ในเช็คดังกล่าวได้เพียงใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

หลักเกณฑ์การจ่ายเงินตามเช็คขีดคร่อมสำหรับธนาคารผู้จ่าย  (Paying  Bank)

–          กรณีเช็คขีดคร่อมทั่วไป  ธนาคารผู้จ่ายต้องใช้เงินแก่ธนาคารใดธนาคารหนึ่งของผู้ทรงเช็ค  หากมีการนำเช็คนั้นให้ธนาคารอื่นเรียกเก็บ  (Collecting  Bank)  หรือจ่ายเงินเข้าบัญชีของผู้ทรงเช็ค  จะจ่ายเป็นเงินสดมิได้  (มาตรา  994  วรรคแรก)

–          กรณีเช็คขีดคร่อมเฉพาะ  ธนาคารผู้จ่ายต้องใช้เงินให้แก่ธนาคารที่ระบุชื่อไว้โดยเฉพาะจะจ่ายให้ธนาคารอื่นมิได้  และจะจ่ายเป็นเงินสดมิได้  (มาตรา  994  วรรคสอง)

–          กรณีเช็คขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ธนาคารกว่าธนาคารหนึ่งขึ้นไป  ธนาคารผู้จ่ายต้องปฏิเสธการจ่ายเงิน  เว้นแต่อีกธนาคารหนึ่งนั้นมีฐานะเป็นธนาคารตัวแทนเรียกเก็บเงินแทน  ดังนี้  ธนาคารผู้จ่ายก็สามารถจ่ายให้แก่ธนาคารตัวแทนนั้นได้  แต่จะจ่ายให้แก่ธนาคารอื่นมิได้  (มาตรา  995 (4)  ประกอบมาตรา  997  วรรคแรก)

(2) ผลของการฝ่าฝืนหลักเกณฑ์การใช้เงินตามเช็คขีดคร่อม

–          กรณีเช็คขีดคร่อมทั่วไป  ธนาคารผู้จ่ายได้ใช้เงินสดให้แก่ผู้ทรงเช็คก็ดี  หรือจ่ายเงินเข้าบัญชีธนาคารอื่นที่ผู้ทรงเช็คมิได้มีบัญชีเงินฝากก็ดี

–          กรณีเช็คขีดคร่อมเฉพาะ  ธนาคารผู้จ่ายได้ใช้เงินสดหรือจ่ายเงินเข้าบัญชีธนาคารอื่นที่มิได้ถูกระบุชื่อลงไว้โดยเฉพาะก็ดี

–          กรณีเช็คขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ธนาคารกว่าธนาคารหนึ่งขึ้นไป  ธนาคารผู้จ่ายไม่ปฏิเสธการจ่ายเงิน  หรือจ่ายเงินให้แก่ธนาคารอื่นที่มิใช่อยู่ในฐานะเป็นธนาคารตัวแทนเรียกเก็บเงินก็ดี

ผล  ธนาคารผู้จ่ายต้องรับผิดต่อผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คขีดคร่อมนั้น  (ผู้ทรงเดิม)  ในการที่น่าต้องเสียหาย  (มาตรา  997  วรรคสอง)  และไม่สามารถหักเงินจากบัญชีเงินฝากของผู้สั่งจ่ายได้  เพราะถือว่าใช้เงินไปโดยไม่ถูกระเบียบ  แม้ถึงว่าจะใช้เงินไปตามทางการค้าโดยปกติ  โดยสุจริตและไม่ประมาทเลินเล่อก็ตาม  (มาตรา  1009)

ข  อธิบาย

มาตรา  905  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา  1008  บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครองถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย  แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักลอยก็ตาม  ให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย  เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก  ท่านให้ถือว่าบุคคลผู้มีลงลายชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น  เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคำสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสียและห้ามให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย

ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตั๋วเงินไปจากครอบครอง  ท่านว่าผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฏสิทธิของตนในตั๋วตามวิธีการดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น  หาจำต้องสละตั๋วเงินไม่  เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริตหรือได้มาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

มาตรา  998  ธนาคารใดซึ่งเขานำเช็คขีดคร่อมเบิกเงินใช้เงินไปตามเช็คนั้นโดยสุจริตและปราศจากประมาทเลินเล่อ  กล่าวคือว่าถ้าเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไปก็ใช้เงินให้แก่ธนาคารอันใดอันหนึ่ง  ถ้าเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะก็ใช้ให้แก่ธนาคารซึ่งเขาเจาะจงขีดคร่อมให้เฉพาะ  หรือใช้ให้แก่ธนาคารตัวแทนเรียกเก็บเงินของธนาคารนั้นไซร้ท่านว่าธนาคารซึ่งใช้เงินไปตามเช็คนั้นฝ่ายหนึ่ง  กับถ้าเช็คตกไปถึงมือผู้รับเงินแล้ว  ผู้สั่งจ่ายอีกฝ่ายหนึ่งต่างมีสิทธิเป็นอย่างเดียวกัน  และเข้าอยู่ในฐานะอันเดียวกันเสมือนดั่งว่าเช็คนั้นได้ใช้เงินให้แก่ผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแล้ว

มาตรา  1000  ธนาคารใดได้รับเงินไว้เพื่อผู้เคยค้าของตนโดยสุจริตและปราศจากความประมาทเลินเล่ออันเป็นเงินเขาใช้ให้ตามเช็คขีดคร่อมทั่วไปก็ดี  ขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ตนก็ดี  หากปรากฏว่าผู้เคยค้านั้นไม่มีสิทธิหรือมีสิทธิเพียงอย่างบกพร่องในเช็คนั้นไซร้  ท่านว่าเพียงแต่เหตุที่ได้รับเงินไว้หาทำให้ธนาคารนั้น  ต้องรับผิดต่อผู้เป็นเจ้าของอันแท้จริงแห่งเช็คนั้นแต่อย่างหนึ่งอย่างใดไม่

มาตรา  1008  วรรคแรก  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้  เมื่อใดลายมือชื่อในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมก็ดี  เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้มอบอำนาจให้ลงก็ดี  ท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอำนาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้  ใครจะอ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อยึดหน่วงตั๋วเงินไว้ก็ดี เพื่อทำให้ตั๋วนั้นหลุดพ้นก็ดี  หรือเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาแห่งตั๋วนั้นคนใดคนหนึ่งก็ดี  ท่านว่าไม่อาจจะทำได้เป็นอันขาด  เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึงถูกยึดหน่วงหรือถูกบังคับใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอม  หรือข้อลงลายมือชื่อปราศจากอำนาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้

วินิจฉัย

การที่แดงเขียนสั่งจ่ายเช็คขีดคร่อมนั้นพร้อมทั้งส่งมอบให้ขาวแล้วอีกทั้งไม่ปรากฏว่าธนาคารกรุงเทพ  ได้จ่ายเงินตามเช็คให้ธนาคารทหารไทยผู้เรียกเก็บเข้าบัญชีของเหลืองผู้ทรงไปโดยฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่  ย่อมถือว่าธนาคารกรุงเทพ  และธนาคารทหารไทยต่างได้กระทำการโดยมิได้ฝ่าฝืนหลักเกณฑ์การจ่ายและรับเงินตามเช็คขีดคร่อม  ธนาคารกรุงเทพจึงหักบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของแดงได้อันเป็นผลให้แดงย่อมได้สิทธิเช่นเดียวกันกับธนาคารกรุงเทพผู้จ่าย  เสมือนว่าแดงได้ชำระเงินตามเช็คนั้นให้แก่ขาวแล้ว  ตามมาตรา  998  อีกทั้งธนาคารไทยผู้เรียกเก็บเงินตามเช็คเพื่อเหลืองลูกค้าของตนโดยสุจริตและไม่ประมาทเลินเล่อ  แม้เหลืองจะไม่มีสิทธิหรือมีสิทธิบกพร่อง  ธนาคารทหารไทยก็ไม่ต้องรับผิดตามมูลหนี้ในเช็คนั้นต่อขาว  ตามมาตรา  1000

อนึ่ง  การที่เช็คดังกล่าวมีลายชื่อขาวเป็นลายมือชื่อปลอม  แม้ว่าเหลืองจะรับโอนเช็คนั้นไว้โดยสุจริต  และไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงก็ตาม  เหลืองย่อมอยู่ในฐานะที่ไม่อาจไปบังคับไล่เบี้ยจากขาวได้  อีกทั้งจะยึดหน่วงเช็คนั้นไว้ก็มิได้  ดังนี้  ขาวย่อมเรียกร้องให้เหลืองคืนเงินตามเช็คนั้นให้แก่ขาวได้  ตามมาตรา  905  วรรคแรก  และวรรคสอง  ประกอบมาตรา  1008  วรรคแรก

LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด 2/2546

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2013 

 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด
คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  บางเตยสั่งซื้อผ้าไหมจากบริษัทคลองตัน  จำกัด  เพื่อใช้ในการผลิตเสื้อส่งออก  โดยมีข้อตกลงว่าระยะเวลา  5  ปี  ที่จะซื้อขายกันนั้นบริษัทฯ  จะส่งผ้าไหมให้ตามจำนวนที่บางเตยสั่งซื้อพร้อมกับแจ้งราคาผ้าไหมที่จะต้องชำระไปพร้อมกันโดยบางเตยต้องตรวจสอบคุณภาพของผ้าไหมว่าตรงกับที่ต้องการหรือไม่ถ้าพบว่ามีความชำรุดบกพร่องไม่ได้คุณภาพก็ให้ส่งกลับคืนบริษัทฯ  และบริษัทฯจะนำราคาผ้าไหมที่ส่งกลับนั้นหักลบออกจากราคาที่เคยแจ้งไปครั้งแรกแล้วแจ้งกลับไปอีกครั้งหนึ่งซึ่งบางเตยจะต้องชำระภายใน  45  วันนับแต่รับคำบอกกล่าว  ถ้ายังไม่ชำระบริษัทฯจะลงรายการในบัญชีว่าบางเตยเป็นหนี้เงินอยู่จำนวนเท่าใดและจะต้องชำระในคราวต่อๆไปหรือเมื่อมีการคิดบัญชีทุกๆ  1  ปี  ดังนี้  ข้อตกลงระหว่างบางเตยกับบริษัทคลองตัน  จำกัด  เป็นบัญชีเดินสะพัดหรือไม่เพราะเหตุใด

ข  ตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นมาตรา  983  บัญญัติไว้ว่า  ตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นต้องมีรายการดังจะกล่าวต่อไปนี้…  (5)  ชื่อหรือยี่ห้อผู้รับเงิน  ดังนั้นถ้ามีผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีรายการตามที่มาตรา  983  บัญญัติไว้ครบถ้วนโดยมีการระบุชื่อบุคคลเป็นผู้รับเงิน  แต่มีการเขียนว่า  ให้ใช้เงินแก่  หรือผู้ถือ  ด้วย  ดังนี้คำว่า  หรือผู้ถือ  มีผลอย่างไรหรือไม่กับตั๋วสัญญาใช้เงิน

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

มาตรา  856  อันว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลสองคนตกลงกันว่าสืบแต่นั้นไปหรือในชั่วเวลากำหนดอันใดอันหนึ่ง  ให้ตัดทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างเขาทั้งสองนั้นหักกลบลบกัน  และคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาค

วินิจฉัย

ข้อตกลงระหว่างบางเตยกับบริษัทคลองตัน  จำกัด  นั้นเป็นการซื้อขายผ้าไหมที่บางเตยลูกหนี้ผู้ซื้อมีหนี้ที่จะต้องชำระราคาให้กับบริษัทคลองตัน  จำกัด  ผู้ขายเจ้าหนี้  แม้จะมีการหักลบราคาผ้าไหมที่ไม่ได้คุณภาพออกจากราคาที่เคยแจ้งไปก็เป็นการหักลบหนี้ที่บางเตยลูกหนี้จะต้องชำระให้กับเจ้าหนี้เท่านั้น  ไม่มีหนี้ในส่วนที่บริษัทคลองตัน  จำกัดเป็นลูกหนี้และบางเตยเป็นเจ้าหนี้  ข้อตกลงระหว่างลางเตยกับบริษัทคลองตัน  จำกัด  จึงไม่ใช่กรณีที่บุคคลสองคนตกลงกันว่าสืบแต่นั้นหรือในชั่วเวลาอันกำหนดให้มีการนำหนี้ที่ต่างฝ่ายเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ซึ่งกันและกันทั้งหมดหรือแต่บางส่วนมาตัดทอนบัญชีโดยการหักกลบลบกันและชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาคอันเป็นหลักสำคัญของบัญชีเดินสะพัด

สรุป  ข้อตกลงระหว่างบางเตยกับบริษัทคลองตัน  จำกัด  จึงมิใช่สัญญาบัญชีเดินสะพัด

ข  อธิบาย

ตามมาตรา  983(5)  ได้วางหลักว่าตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นต้องมีชื่อหรือยี่ห้อผู้รับเงินไว้เสมอ  ถือเป็นรายการสำคัญที่ต้องมี  ถ้ามิได้ระบุไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงิน  ย่อมไม่เป็นตั๋วสัญญาใช้เงิน  ตามมาตรา  984  วรรคแรก  จะละไว้ในฐานที่เข้าใจไม่ได้  หรือจะระบุเป็นคำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินแก่ผู้ถือดังเช่นตั๋วแลกเงินและเช็คไม่ได้

ดังนั้นการที่ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีรายการตามมาตรา  983  ครบถ้วนโดยมีการระบุชื่อบุคคลเป็นผู้รับเงิน  แต่มีการเขียนว่าให้ใช้เงินแก่  หรือผู้ถือ  ด้วย  ดังนี้

วินิจฉัย

ตั๋วสัญญาใช้เงินดังกล่าวยังคงเป็นตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีความสมบูรณ์  เพราะมีการระบุชื่อของบุคคลเป็นผู้รับเงิน  ตามมาตรา  983(5)  แล้ว แม้ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินจะได้เขียนถ้อยคำเพิ่มเข้าไปว่าให้ใช้เงินแก่  หรือผู้ถือ  ด้วยก็ตาม  แต่ไม่มีผลตามกฎหมายเพราะเป็นกรณีที่ผู้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเขียนข้อความลงในตั๋วเงินแต่เป็นข้อความที่กฎหมายตั๋วเงินมิได้มีบัญญัติไว้  ข้อความนั้นๆย่อมไม่มีผลแต่อย่างใด  กล่าวคือ  ไม่เป็นผลให้ตั๋วสัญญาใช้เงินนั้นกลายเป็นตั๋วผู้ถือ  ตามมาตรา  899    ซึ่งมีหลักว่า  ข้อความอันใดซึ่งมิได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายลักษณะนี้  ถ้าเขียนลงในตั๋วเงิน  ท่านว่าข้อความอันนั้นหาเป็นผลอย่างหนึ่งอย่างใดแก่ตั๋วเงินนั้นไม่

 

ข้อ  2  ก  ธนาคารสามารถที่จะปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คที่มีผู้นำมาขึ้นเงินกับธนาคารได้หรือไม่  อย่างไร  ให้อธิบายโดยยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ข  นายนิคได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับธนาคารกรุงทอง  จำกัด  (มหาชน)  โดยในคำขอเปิดบัญชีนั้นมีข้อความหนึ่งระบุว่า  ถ้าผู้ฝากเงินออกเช็คจ่ายเงินมาแล้ว  เงินในบัญชีไม่พอจ่ายธนาคารจ่ายเงินไปผู้ฝากเงินจะต้องชดใช้คืนเงินให้แก่ธนาคาร  ต่อมานายนิคได้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันดังกล่าวจำนวน  100,000  บาท  ให้แก่นายเต้เพื่อชำระค่าสินค้าและเมื่อเช็คถึงกำหนดใช้เงิน  นายเต้ได้นำเช็คไปยื่นให้ธนาคารฯ ใช้เงินตามเช็คปรากฏว่าเงินในบัญชีฯ  คงเหลืออยู่เพียงจำนวน  99,000  บาท  แต่ธนาคารฯก็ยินยอมจ่ายเงินตามเช็คให้แก่นายเต้ไปเป็นจำนวน  100,000  บาท  เพราะเห็นว่ามีข้อตกลงกันไว้แล้วในคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันว่า  ถ้าธนาคารจ่ายไปผู้ฝากก็จะต้องชำระคืนแก่ธนาคารตามข้อความที่ปรากฏในคำขอเปิดบัญชี

ถามว่า  จากกรณีดังกล่าวการกระทำของธนาคารที่ชำระเงินเต็มจำนวนที่ระบุไว้ในเช็คให้แก่นายเต้นั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  และธนาคารจะสามารถเรียกเงินในส่วนที่จ่ายเกินไปจำนวน  1,000  บาทนั้นคืนจากนายนิคได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

ธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็ค  (Paying  Bank)  มีความผูกพันทางกฎหมาย  (นิติสัมพันธ์)  ในการใช้เงินตามเช็คต่อผู้เคยค้า  (ผู้สั่งจ่าย)  จากบัญชีกระแสรายวันของผู้สั่งจ่ายคือ  ธนาคารผู้จ่ายจำต้องใช้เงินตามเช็คที่ผู้สั่งจ่าย  (ผู้เคยค้า)  ได้เซ็นสั่งจ่ายเพื่อเบิกจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันนั้น  เว้นแต่ธนาคารผู้จ่ายอาจใช้ดุลพินิจจ่ายหรือปฏิเสธการจ่ายเงินตามคำสั่งจ่ายเช็คนั้นก็ได้  หากมีข้อใดข้อหนึ่งตามที่ระบุไว้ในมาตรา  991  ดังนี้คือ

 (1) ไม่มีเงินในบัญชีของผู้เคยค้า  (ผู้สั่งจ่าย)  เป็นเจ้าหนี้พอจ่ายตามเช็คนั้น  หรือ

(2) มีผู้นำเช็คที่ผู้เคยค้าเป็นผู้สั่งจ่ายนั้นมายื่นเพื่อให้ธนาคารผู้จ่ายใช้เงินเมื่อพ้น  6  เดือน  นับแต่วันออกเช็ค  (วันเดือนปีที่ลงในเช็ค)  หรือ

(3) มีการบอกกล่าวว่าเช็คที่ธนาคารรับไว้นั้นเป็นเช็คที่หายหรือถูกลักไป

อนึ่ง  มาตรา  992  ได้วางหลักว่าในกรณีดังต่อไปนี้เป็นผลให้ธนาคารผู้จ่ายสิ้นอำนาจและหน้าที่ในการใช้เงินตามเช็คที่ผู้เคยค้าได้เซ็นสั่งจ่ายเบิกเงินจากบัญชีของเขา  คือ

 (1) มีคำบอกห้ามการใช้เงินตามเช็คนั้นโดยผู้สั่งจ่ายเช็คเอง

(2) ธนาคารผู้จ่ายทราบว่าผู้สั่งจ่ายเช็คนั้นถึงแก่ความตาย

(3) ธนาคารผู้จ่ายรู้ว่าศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว  หรือคำสั่งให้ผู้สั่งจ่ายเป็นคนล้มละลายหรือได้มีประกาศโฆษณาคำสั่งเช่นนั้น

ข  อธิบาย

มาตรา  991  ธนาคารจำต้องใช้เงินตามเช็คซึ่งผู้เคยค้ากับธนาคารให้ออกเบิกเงินแก่ตน  เว้นแต่ในกรณีดั่งกล่าวต่อไปนี้  คือ

(1) ไม่มีเงินในบัญชีของผู้เคยค้าคนนั้นเป็นเจ้าหนี้พอจะจ่ายตามเช็คนั้น  หรือ

(2) เช็คนั้นยื่นเพื่อให้ใช้เงินเมื่อพ้นเวลาหกเดือนนับแต่วันออกเช็คหรือ

(3) ได้มีคำบอกกล่าวว่าเช็คนั้นหายหรือถูกลักไป

วินิจฉัย

ตามปกติธนาคารมีหน้าที่จะต้องจ่ายเงินตามเช็คที่ลูกค้าของธนาคารสั่งจ่ายออกไปให้มาเบิกกับธนาคาร  แต่ก็มีข้อยกเว้นโดยกฎหมายที่ให้ธนาคารมีสิทธิใช้ดุลพินิจที่จะไม่จ่ายเงินตามเช็คก็ได้  หากเกิดเหตุการณ์ตามที่ระบุไว้ในมาตรา  991  คือ

 (1) เงินในบัญชีของลูกค้าไม่พอจ่าย

(2) ยื่นเช็คให้ใช้เงินเกิน  6  เดือนนับแต่วันออกเช็ค

(3) มีคำบอกกล่าวว่าเช็คหายหรือถูกลักไป

ตามข้อเท็จจริงเป็นกรณีที่เงินในบัญชีของนายนิคลูกค้าของธนาคารกรุงทองมีไม่พอจ่ายตามเช็ค  แต่เนื่องจากมีข้อตกลงกันไว้ว่า  ถ้าผู้ฝากเงินมีเงินไม่พอจ่าย  ธนาคารสามารถจ่ายเงินตามเช็คได้โดยผู้ฝากเงินต้องชดใช้คืนให้กับธนาคาร  ดังนั้นการที่ธนาคารฯจ่ายเงินเต็มจำนวนในเช็คคือ  100,000  บาท  ให้แก่นายเต้จึงชอบด้วยกฎหมาย  และธนาคารก็สามารถเรียกเงินในส่วนที่จ่ายเกินไป  1,000  บาทนั้นคืนจากนายนิคได้  เพราะมาตรา  991  นั้นเป็นเหตุที่ธนาคารจะใช้ดุลพินิจจ่ายหรือไม่ก็ได้  ประกอบกับมีข้อตกลงดังกล่าวแล้ว  ธนาคารจึงมีสิทธิที่จะจ่ายได้  (แต่ถึงแม้จะไม่มีข้อตกลงดังกล่าวนั้นไว้ก็ตาม  ธนาคารก็อาจใช้ดุลพินิจจ่ายเงินตามเช็คไปก็ได้  เพื่อเป็นการรักษาความน่าเชื่อถือของลูกค้าและสามารถเรียกเงินคืนได้เช่นกัน  เพราะปัจจุบันวิธีปฏิบัติแบบนี้กลายเป็นจารีตประเพณีทางการค้าไปแล้ว)

สรุป  การกระทำของธนาคารชอบด้วยกฎหมาย  และธนาคารสามารถเรียกเงินส่วนที่เกินคืนจากนายนิคได้

 

ข้อ  3  ก  ตั๋วเงินที่มีการแก้ไขข้อความสำคัญ  เช่น  จำนวนเงินอันจะพึงใช้  และตั๋วเงินที่มีการลงลายมือชื่อปลอม  จะก่อให้เกิดผลตามกฎหมายอย่างไร  ให้อธิบายโดยสังเขปพร้อมอ้างอิงหลักกฎหมาย  และอนุญาตให้นำหลักกฎหมายไปใช้ในการวินิจฉัยในข้อ  ข

ข  ข้อเท็จจริงได้ความว่าโทเป็นผู้รับเงินตามเช็คธนาคารอ่าวไทย  เป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไปที่สั่งจ่ายล่วงหน้าโดยเอก  ระบุจำนวนเงินในเช็ค  50,000  บาท  โทถึงแก่ความตายก่อนเช็คถึงกำหนดตรีทายาทรายหนึ่งของโทได้แก้ไขจำนวนเงินตามเช็คเป็น  150,000  บาท  ได้อย่างแนบเนียนพร้อมกับปลอมลายมือชื่อโทสลักหลังลอย  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าธนาคารอ่าวไทยจะหักบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของเอกได้เพียงใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย 

กรณีตามปัญหา  มีประเด็นอธิบาย  2  ประเด็น  คือ  การแก้ไขข้อความสำคัญในตั๋วเงิน  และการลงลายมือชื่อปลอมในตั๋วเงิน  กล่าวคือ

 (1) ในกรณีที่มีการแก้ไขข้อความสำคัญในตั๋วเงิน  เช่น  จำนวนเงินอันจะพึงใช้  (มาตรา  1007  วรรคสาม)  นั้น  กฎหมายตั๋วเงินได้บัญญัติผลตามกฎหมายไว้  2  กรณี  คือ

กรณีที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเป็นประจักษ์  กล่าวคือ  มองเห็นได้หรือมีการแก้ไขไม่แนบเนียนหรือเห็นเป็นประจักษ์นั่นเอง  โดยมิได้รับความยินยอมจากคู่สัญญาทุกคนในตั๋วเงินนั้น  ย่อมเป็นผลให้ตั๋วเงินเสียไป  แต่ยังคงใช้ได้กับผู้ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลง  หรือผู้ที่ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงและหรือผู้สลักหลังภายหลังการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น  (มาตรา  1007  วรรคแรก)

กรณีที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ประจักษ์  กล่าวคือ  มองไม่เห็น  หรือมีการแก้ไขได้อย่างแนบเนียน  หรือไม่เห็นเป็นประจักษ์  และตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย  กรณีย่อมเป็นผลให้ผู้ทรงที่ชอบด้วยกฎหมายนั้นสามารถจะเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้นก็ได้  เสมือนว่าตั๋วเงินนั้นมิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลย  และจะบังคับการใช้เงินตามตั๋วเงินนั้นตามเนื้อความเดิมก็ได้  (มาตรา  1007  วรรคสอง)

(2) ในกรณีที่มีการลงลายมือชื่อปลอมในตั๋วเงิน ตาม  ป.พ.พ.  มาตรา  1006  ได้บัญญัติให้ตั๋วเงินนั้นยังคงสมบูรณ์ใช้บังคับได้  ลายมือชื่อปลอมนั้นโดยหลักการแล้ว  ไม่มีผลกระทบไปถึงความสมบูรณ์ของลายมือชื่ออื่นๆในตั๋วเงินนั้น  ขณะเดียวกันกฎหมายตั๋วเงิน  ป.พ.พ.  มาตรา  1008  ได้บัญญัติให้ลายมือชื่อปลอมนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้เลย  ผู้ใดจะแสวงสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้มิได้

 2.1 ผู้ใดจะยึดหน่วงตั๋วเงินนั้นไว้มิได้  เว้นแต่ผู้ที่จะพึงถูกยึดหน่วง  อยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบท  (ถูกกฎหมายปิดปาก)  มิให้ยกเหตุลายมือชื่อปลอมขึ้นเป็นข้อต่อสู้

2.2 ผู้ใดจะทำให้ตั๋วเงินนั้นหลุดพ้นจากความรับผิดด้วยการใช้เงินมิได้  เว้นแต่  ได้ใช้เงินไปในกรณีที่ตั๋วเงินนั้นมีลายมือชื่อผู้สลักหลังเป็นลายมือชื่อปลอม

2.3 ผู้ใดจะบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาแห่งตั๋วเงินนั้นคนใดคนหนึ่งมิได้  เว้นแต่คู่สัญญาผู้ที่จะพึงถูกบังคับให้ใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบท  (ถูกกฎหมายปิดปาก)  มิให้ยกลายมือชื่อปลอมขึ้นเป็นข้อต่อสู้

อนึ่งลายมือชื่อปลอมนั้น  กฎหมายไม่อนุญาตให้เจ้าของลายมือชื่อที่ถูกปลอม  ให้สัตยาบันแก่ลายมือชื่อปลอมนั้น  กรณีย่อมเป็นผลให้เป็นตั๋วเงินที่มีลายมือชื่อปลอมตลอดไป

ข  อธิบาย

มาตรา  905  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา  1008  บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครองถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย  แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักลอยก็ตาม  ให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย  เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก  ท่านให้ถือว่าบุคคลผู้มีลงลายชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น  เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคำสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสียและห้ามให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย

ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตั๋วเงินไปจากครอบครอง  ท่านว่าผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฏสิทธิของตนในตั๋วตามวิธีการดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น  หาจำต้องสละตั๋วเงินไม่  เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริตหรือได้มาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

อนึ่งข้อความในวรรคก่อนนี้  ให้ใช้บังคับตลอดถึงผู้ทรงตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือด้วย

มาตรา  1007  ถ้าข้อความในตั๋วเงินใด  หรือในคำรับรองตั๋วเงินใด  มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญโดยที่คู่สัญญาทั้งปวงผู้ต้องรับผิดตามตั๋วเงินมิได้ยินยอมด้วยหมดทุกคนไซร้  ท่านว่าตั๋วเงินนั้นก็เป็นอันเสีย  เว้นแต่ยังคงใช้ได้ต่อคู่สัญญาซึ่งเป็นผู้ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น  หรือได้ยินยอมด้วยกับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงนั้น  กับทั้งผู้สลักหลังในภายหลัง

แต่หากตั๋วเงินใดได้มีผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ  แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ประจักษ์และตั๋วเงินนั้นตกอยู่ในมือผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายไซร้  ท่านว่าผู้ทรงคนนั้นจะเอาประโยชน์จากตั๋วเงินนั้นก็ได้เสมือนดังว่ามิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเลย  และจะบังคับการใช้เงินตามเนื้อความแห่งตั๋วนั้นก็ได้

กล่าวโดยเฉพาะ  การแก้ไขเปลี่ยนแปลงเช่นจะกล่าวต่อไปนี้  ท่านถือว่าเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในข้อสำคัญ  คือการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างใด                ๆ  แก่วันที่ลง  จำนวนเงินอันจะพึงใช้  เวลาใช้เงิน  สถานที่ใช้เงินกับทั้งเมื่อตั๋วเงินเขารับรองไว้ทั่วไปไม่เจาะจงสถานที่ใช้เงิน  ไปเติมความระบุสถานที่ใช้เงินเข้าโดยที่ผู้รับรองมิได้ยินยอมด้วย

วินิจฉัย

เช็คธนาคารอ่าวไทยเป็นเช็คที่มีการแก้ไขจำนวนเงินอันจะพึงใช้อันเป็นรายการสำคัญรายการหนึ่งได้อย่างแนบเนียน  กับทั้งมีการสลักหลังปลอมลายมือชื่อผู้รับเงิน  โดยการกระทำของตรีซึ่งถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  ตรีจึงมิใช่ผู้ทรงที่ชอบด้วยกฎหมาย  ตามมาตรา  905  ดังนี้  แม้ว่าธนาคารอ่าวไทยผู้จ่ายจะจ่ายเงินไปให้ธนาคารสินไทยโดยสุจริต  เพื่อเข้าบัญชีเงินฝากของตรี  ธนาคารอ่าวไทยก็ไม่สามารถหักบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของเอกได้เลย  (ทั้งจำนวนเงินตามเนื้อความเดิมและจำนวนเงินตามที่แก้ไขใหม่)  เพราะตรีมิใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย  (ตามมาตรา  1007  วรรคสองและวรรคสาม)

สรุป  ธนาคารอ่าวไทยไม่สามารถหักบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของเอกได้เลย

LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด S/2546

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2546

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2013 

 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด
คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  นายชิตได้ตกลงเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับธนาคารแสงโสมจำกัด  (มหาชน)  โดยในคำขอเปิดบัญชีฯนั้นมีข้อตกลงหนึ่งระบุว่า  ถ้าเงินในบัญชีมีไม่พอจ่ายตามเช็คแต่ธนาคารได้จ่ายเงินให้ไปก่อน  ผู้ฝากเงินจะต้องจ่ายเงินส่วนที่จ่ายเกินไปนั้นคืนให้แก่ธนาคารเสมือนหนึ่งได้ขอเบิกเงินเกินบัญชีไว้กับธนาคารและธนาคารมีสิทธิคิดดอกเบี้ยเบิกเงินเกินบัญชีนั้นเป็นดอกเบี้ยแบบทบต้นได้  และต่อมานายชิตได้นำเงินเข้าฝากในบัญชีฯ  ดังกล่าว  และสั่งจ่ายเช็คเบิกเงินเรื่อยมา  ซึ่งบางครั้งเงินในบัญชีไม่พอจ่ายธนาคารแสงโสมฯ  ก็ยินยอมจ่ายเงินตามเช็คที่นายชิตสั่งจ่ายมานั้นทุกครั้ง  และนายชิตก็ได้นำเงินมาชำระคืนในส่วนที่เกินบัญชีนั้นทุกครั้งเช่นกัน  ในกรณีดังกล่าวนั้นถือว่านายชิตได้ตกลงทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดกับธนาคารแสงโสมฯจำกัด  (มหาชน)  หรือไม่  เพราะเหตุใด

ข  ในกรณีของตั๋วแลกเงินนั้น  ผู้ทรงสามารถที่จะทำการผ่อนเวลาการใช้เงินตามตั๋วฯ  ให้แก่ผู้จ่ายหรือผู้รับรองได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

มาตรา  856  อันว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลสองคนตกลงกันว่าสืบแต่นั้นไปหรือในชั่วเวลากำหนดอันใดอันหนึ่ง  ให้ตัดทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างเขาทั้งสองนั้นหักกลบลบกัน  และคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาค

วินิจฉัย

ตามข้อเท็จจริงนั้น  ข้อความที่ปรากฏในคำขอเปิดบัญชีฯ  ประกอบด้วยการกระทำของนายชิตจากการจ่ายเช็คเกินวงเงินในบัญชี  และธนาคารฯ  ก็ยินยอมจ่ายให้โดยที่นายชิตก็ได้นำเงินมาชำระคืนในส่วนที่เกินนั้นทุกครั้ง  อย่างนี้ให้ถือว่าตกลงทำสัญญาเดินสะพัดต่อกันแล้ว  ดังนั้นจึงถือว่านายชิตได้ตกลงทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดกับธนาคารแสงโสมแล้ว  (ฎ. 1629/2537)

สรุป  นายชิตได้ตกลงทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดกับธนาคารแสงโสมแล้ว

ข  อธิบาย

โดยหลักแล้วในการใช้เงินตามตั๋วเงินนั้น  กฎหมายตั๋วเงินห้ามมิให้ผู้ทรงยอมผ่อนเวลาในการใช้เงินให้แก่ผู้จ่ายหรือผู้รับรอง  ทั้งนี้ตามบทบัญญัติมาตรา  903

ในกรณีของตั๋วแลกเงินก็เช่นเดียวกัน  ผู้ทรงจะต้องไม่ยอมผ่อนเวลาในการใช้เงินให้แก่ผู้จ่ายหรือผู้รับรอง  แต่ถ้าผู้ทรงตั๋วแลกเงินยอมผ่อนวันใช้เงินให้แก่ผู้จ่ายหรือผู้รับรอง  ย่อมเป็นผลให้ผู้ทรงสิ้นสิทธิไล่เบี้ยคู่สัญญาคนก่อนๆ  (ผู้สั่งจ่ายและผู้สลักหลังคนก่อนๆ)  ซึ่งมิได้ตกลงด้วยในการผ่อนวันใช้เงินนั้นตามมาตรา  906  ประกอบมาตรา  948

 

ข้อ  2  ก  ตามกฎหมายนั้นได้มีบทบัญญัติที่ระบุข้อที่ห้ามมิให้ผู้ที่ถูกฟ้องในมูลตั๋วแลกเงินยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้หรือไม่  อย่างไร

ข  นายจิตสั่งจ่ายเช็คจำนวน  500,000  บาท  ชำระหนี้ค่าเหล็กเส้นให้แก่นางจอย  ต่อมานางจอยนำเช็คฉบับดังกล่าวโอนชำระหนี้ค่าซื้อขายทองคำ  99%  ที่นางจอยตกลงซื้อมาจากนางสาวเจี๊ยบให้แก่นางสาวเจี๊ยบ  โดยในสัญญาซื้อขายทองคำนั้นได้มีข้อตกลงเป็นเงื่อนไขไว้ว่าหากได้มีการให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบทองคำดังกล่าวแล้ว  ปรากฏว่ามิใช่ทองคำ  99%  จริงก็ให้ถือว่าสัญญาซื้อขายนั้นไม่มีผลบังคับต่อกัน  ซึ่งปรากฏว่าเมื่อมีผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบทองคำดังกล่าวแล้วพบว่าเป็นทองคำ  50%  เท่านั้น  นางจอยจึงทำการส่งมอบทองคำนั้นคืนให้แก่นางสาวเจี๊ยบและขอเช็คฉบับดังกล่าวคืนจากนางสาวเจี๊ยบด้วย  แต่ปรากฏว่านางสาวเจี๊ยบกลับนำเช็คฉบับดังกล่าวนั้นมาฟ้องนายจิตให้รับผิดใช้เงินตามเช็คในฐานะผู้สั่งจ่าย  กรณีดังกล่าวนี้นายจิตมีข้อต่อสู้หรือข้ออ้างใดๆที่จะสามารถอ้างเพื่อจะได้ไม่ต้องชำระเงินให้แก่นางสาวเจี๊ยบหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

ตาม  ป.พ.พ.  ได้บัญญัติหลักการคุ้มครองผู้รับโอนตั๋วเงินโดยสุจริตไว้ในมาตรา  916  ซึ่งมีหลักคือ  บุคคลทั้งหลายผู้ถูกฟ้องในมูลตั๋วแลกเงินหาอาจจะต่อสู้ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันระหว่างบุคคลระหว่างตนกับผู้สั่งจ่ายหรือกับผู้ทรงคนก่อนๆนั้นได้ไม่  เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล

จากหลักดังกล่าวนี้สามารถอธิบายได้ว่า  ผู้ทรงที่ชอบด้วยกฎหมายคนใดได้รับตั๋วมาโดยสุจริตมิได้คบคิดฉ้อฉลกับผู้โอนตั๋วมาให้ตนแต่ประการใด  ผู้ทรงคนนั้นมีสิทธิฟ้องให้ผู้ที่ลงลายมือชื่อในตั๋วต้องรับผิดชอบตามเนื้อความแห่งตั๋วเงินนั้นได้ทุกคน  ผู้ที่ถูกไล่เบี้ยจะอ้างว่าข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันระหว่างตนกับผู้สั่งจ่ายหรือตนกับผู้ทรงคนก่อนๆนั้นมาต่อสู้ผู้ทรงที่ชอบด้วยกฎหมายและสุจริตนั้นไม่ได้

อย่างไรก็ตามก็มีข้อยกเว้นไว้ว่า  แม้ผู้ทรงนั้นจะสุจริตและเป็นผู้ทรงที่ชอบด้วยกฎหมายก็ตามแต่ถ้าปรากฏว่าข้อต่อสู้ที่ยกขึ้นมาเป็นข้อต่อสู้ผู้ทรงนั้น  เป็นข้อต่อสู้เกี่ยวกับตั๋วแลกเงินนั้นเอง  เช่น  ตั๋วขาดอายุความใช้เงินแล้ว  ฯลฯ  เหล่านี้สามารถยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้ทรงที่สุจริตและชอบด้วยกฎหมายนั้นได้

ข  อธิบาย

มาตรา  916  บุคคลทั้งหลายผู้ถูกฟ้องในมูลตั๋วแลกเงินหาอาจจะต่อสู้ผู้ทรงด้วยข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันกันเฉพาะบุคคลระหว่างตนกับผู้สั่งจ่ายหรือกับผู้ทรงคนก่อนนั้นได้ไม่  เว้นแต่การโอนจะได้มีขึ้นด้วยคบคิดกันฉ้อฉล

มาตรา  989  วรรคแรก  บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด  2  อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้  ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้  คือบทมาตรา  910  914  ถึง 923…

วินิจฉัย

โดยปกติบุคคลผู้ถูกฟ้องตามตั๋วเงินไม่อาจจะยกข้ออ้างหรือข้อต่อสู้ใดๆที่ว่าไม่มีมูลหนี้ตามตั๋วเงินฉบับนี้ได้  2  กรณี  คือ

 1       ข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวกันเฉพาะบุคคลระหว่างผู้ถูกฟ้องกับผู้สั่งจ่าย

2       ข้อต่อสู้อันอาศัยความเกี่ยวพันเฉพาะบุคคลระหว่างผู้ถูกฟ้องกับผู้ทรงคนก่อนๆคือ  ผู้ทรงคนก่อนจากผู้ทรงคนปัจจุบันที่เป็นผู้ฟ้อง  และรวมถึงผู้สลักหลังคนก่อนๆด้วย

แต่หากไม่เกี่ยวกับ  2  กรณีนี้เลย  ก็ไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  916  ดังนั้น  ตามข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นกรณีที่สิทธิของนางสาวเจี๊ยบซึ่งเป็นโจทก์ฟ้องนายจิตนั้นบกพร่องเสียเอง  กล่าวคือ  เงื่อนไขบังคับก่อนไม่สำเร็จ  สัญญาซื้อขายระหว่างนางสาวเจี๊ยบกับนางจอยไม่มีต่อกันแล้ว  จึงไม่มีมูลหนี้ที่นางสาวเจี๊ยบจะได้รับเงินตามเช็คฉบับดังกล่าวเลย  ดังนั้นนางสาวเจี๊ยบจึงฟ้องเรียกเงินจากนายจิตไม่ได้  นายจิตสามารถยกขึ้นต่อสู้นี้ขึ้นอ้างเพื่อจะต้องไม่ชำระเงินให้แก่นางสาวเจี๊ยบได้  (ฎ. 2932/2519)

 

ข้อ  3  ก  ตั๋วเงินที่มีการปลอมลายมือชื่อหรือมีการลงลายมือชื่อโดยปราศจากอำนาจนั้นทำให้เกิดผลทางกฎหมายอย่างไรบ้าง

ข  แอนออกเช็คฉบับหนึ่งสั่งธนาคารตามเช็คให้จ่ายเงินจำนวน  500,000  บาท  ให้แก่อ้อมเพื่อชำระหนี้ที่มีต่อกัน  ต่อมาอั๋นซึ่งเป็นบุตรชายของอ้อมได้ปลอมลายมือชื่อของอ้อมสลักหลังโอนเช็คนั้นให้กับกิ๊กซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของอ้อมจากนั้นกิ๊กได้สลักหลังเช็คฉบับดังกล่าวให้กับก้องเพื่อชำระหนี้ที่มีต่อกัน  เมื่อก้องได้รับเช็คมาแล้วก้องก็ได้สอบถามอ้อมว่าได้สลักหลังโอนเช็คฉบับดังกล่าวให้กิ๊กมาหรือไม่  เพราะลายมือชื่อของอ้อมที่ปรากฏในเช็คแตกต่างจากลายมือชื่อของอ้อมที่ตนเคยเห็นมาก่อนและอ้อมก็ยอมรับว่าลายมือชื่อนั้นเป็นของตนจริงๆ เพราะเกรงว่าอั๋นจะได้รับโทษจากการปลอมลายมือชื่อ  ดังนี้หากต่อมาอ้อมโกรธอั๋นจึงทำการเรียกเช็คนั้นคืนจากก้องโดยอ้างว่าเช็คฉบับดังกล่าวมีลายมือชื่อปลอม  ตนมิได้เป็นผู้ลงลายมือชื่อนั้นในเช็คแต่อย่างใด  ก้องจึงไม่มีสิทธิยึดหน่วงเช็คฉบับดังกล่าวนั้นไว้ต้องคืนให้แก่ตน  จากกรณีดังกล่าวนั้นก็จะต้องคืนเช็คให้แก่อ้อมตามที่อ้อมเรียกร้องมาหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

ตั๋วเงินที่มีการลงลายมือชื่อปลอมกับตั๋วเงินที่มีการลงลายมือชื่อโดยปราศจากอำนาจนั้นมีผลทางกฎหมายดังนี้

–          กรณีที่เหมือนกัน  คือ  ตั๋วเงินนั้นย่อมเสียไปทั้งฉบับสำหรับเจ้าของลายมือชื่อ  ซึ่งถูกปลอมลายมือชื่อ  และเจ้าของลายมือชื่อซึ่งมิได้มอบอำนาจ  อีกทั้งเป็นผลให้ผู้ใดจะแสวงสิทธิจากลายมือชื่อทั้งสองนั้นเพื่อยึดหน่วงเช็คนั้นไว้ก็ดี  หรือเพื่อทำให้หลุดพ้นจากความรับผิดด้วยการใช้เงินตามตั๋วเงินนั้นก็ดี  หรือเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาซึ่งต้องรับผิดตามมูลหนี้ในตั๋วเงินนั้นก็ดี  ย่อมไม่อาจกระทำได้  เว้นแต่บุคคลซึ่งจะพึงถูกยึดหน่วง  หรือจะพึงถูกบังคับการใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานะเป็นบุคคลซึ่งถูกตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมหรือข้อลายมือชื่อซึ่งลงไว้โดยปราศจากอำนาจขึ้นมาเป็นข้อต่อสู้  (มาตรา  1008  วรรคแรก) 

–          กรณีที่แตกต่างกัน  คือ  ตั๋วเงินที่มีลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายและหรือลายมือชื่อผู้สลักหลังชื่อผู้สลักหลังเป็นลายมือชื่อปลอม  เจ้าของลายมือชื่อที่ถูกปลอม  ไม่อาจให้สัตยาบันได้  หากแสดงออกด้วยการยอมรับว่าเป็นลายมือชื่อตนเอง  กรณีย่อมอยู่ในฐานะเป็นผู้ต้องตัดบทหรือถูกปิดปากมิให้ยกลายมือชื่อปลอมนั้นขึ้นมาเป็นข้อต่อสู้  ขณะที่ลายมือชื่อที่ลงไว้โดยปราศจากอำนาจ  เจ้าของลายมือชื่อที่เขาลงไว้โดยมิได้มอบอำนาจอาจให้สัตยาบันได้  และกลายเป็นการลงลายมือชื่อโยได้รับมอบอำนาจ  (มาตรา  1008  วรรคท้าย)

ข  อธิบาย

มาตรา  1008  วรรคแรก  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้  เมื่อใดลายมือชื่อในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมก็ดี  เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้มอบอำนาจให้ลงก็ดี  ท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอำนาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้  ใครจะอ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อยึดหน่วงตั๋วเงินไว้ก็ดี เพื่อทำให้ตั๋วนั้นหลุดพ้นก็ดี  หรือเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาแห่งตั๋วนั้นคนใดคนหนึ่งก็ดี  ท่านว่าไม่อาจจะทำได้เป็นอันขาด  เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึงถูกยึดหน่วงหรือถูกบังคับใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอม  หรือข้อลงลายมือชื่อปราศจากอำนาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้

วินิจฉัย

การกระทำของอ้อมที่ยอมรับว่าเป็นลายมือชื่อของตนจริงๆเพราะเกรงว่าอั๋นจะได้รับโทษจากการปลอมลายมือชื่อนั้น  เป็นการทำให้ตนเองนั้นถูกตัดบท  มิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอมนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้หรือข้ออ้างให้ต้องคืนเช็คฉบับดังกล่าวให้แก่ตนได้ตามมาตรา  1008  วรรคแรก  ดังนั้นจากกรณีดังกล่าว  ก้องไม่ต้องคืนเช็คให้แก่อ้อมตามที่อ้อมเรียกร้องมาแต่อย่างใด

สรุป  ก้องไม่ต้องคืนเช็คให้แก่อ้อม

LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด 2/2547

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2013 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  บุญมีออกทุนให้สำรวยเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการทำประมงจำนวน  2  ล้านบาท  ต่อการออกทะเลจับปลาแต่ละครั้ง  เป็นเวลา  5  ปี  โดยให้เบิกเงินสด  น้ำมัน  น้ำแข็ง  โดยบุญมีจะจดบัญชีเป็นจำนวนเงินทั้งหมดตามที่สำรวยเอาไปจริงและเมื่อสำรวยได้ปลามาแล้วจะต้องส่งมอบให้แก่บุญมีเพื่อนำไปขายส่งให้กับทองจันทร์  เมื่อขายได้บุญมีจะหักเงินไว้  10  เปอร์เซ็นเป็นค่าตอบแทนในการขายปลา  แล้วส่งใบเสร็จรับเงินค่าปลาให้สำรวยเก็บไว้เพื่อตรวจสอบและมีข้อตกลงหักทอนบัญชีกันทุกๆ  3  เดือน  เพื่อจะได้ทราบว่าฝ่ายใดเป็นเจ้าหนี้  ลูกหนี้จำนวนเท่าใดโดยมีสมุดบัญชีเบิกเงินรายวัน  สมุดบัญชีน้ำมัน  สมุดบัญชีน้ำแข็ง  สมุดบัญชีฝากขายปลาเป็นหลักฐานในการตรวจสอบ  ดังนี้  นิติสัมพันธ์ระหว่างบุญมีกับสำรวยเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ข  ผู้ทรงที่รับโอนตั๋วแลกเงินมาโดยการสลักหลังลอย  สามารถโอนตั๋วแลกเงินเพื่อชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ของตนได้อย่างไรบ้าง

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

มาตรา  856  อันว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลสองคนตกลงกันว่าสืบแต่นั้นไปหรือในชั่วเวลากำหนดอันใดอันหนึ่ง  ให้ตัดทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างเขาทั้งสองนั้นหักกลบลบกัน  และคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาค

วินิจฉัย

ข้อตกลงระหว่างบุญมีกับสำรวยเป็นข้อตกลงที่คู่กรณีได้ตกลงกันว่า  ชั่วระยะเวลา  5  ปี  ที่กำหนดนั้น  ให้เอาหนี้สินที่เกิดขึ้นระหว่างเขาทั้งสองที่มีการจดบัญชีกันไว้  มาตัดทอนกันทั้งหมดหรือบางส่วนด้วยการหักกลบลบกัน  และชำระแต่ละส่วนที่จำนวนคงเหลือ  โดยดุลภาคอันเป็นลักษณะของสัญญาบัญชีเดินสะพัด

สรุป  ข้อตกลงระหว่างบุญมีกับสำรวยเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด

ข  อธิบาย 

การสลักหลังลอย  คือ  การที่ผู้สลักหลังเพียงลงลายมือชื่อของตนเองโดยลำพังด้านหลังตั๋วเงิน  โดยไม่ต้องระบุชื่อผู้รับประโยชน์  (ผู้รับสลักหลัง)  มาตรา  919  วรรคสอง

ผู้ทรงที่ได้รับโอนตั๋วเงินมาโดยการสลักหลังลอย  สามารถโอนตั๋วแลกเงินเพื่อชำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ของตนได้  ตามมาตรา  920  วรรคสอง  ซึ่งสามารถเลือกโอนตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปได้ใน  3  วิธีดังต่อไปนี้  คือ

(1) กรอกข้อความลงในที่ว่างด้วยเขียนชื่อของตนเองหรือชื่อบุคคลอื่นผู้ใดผู้หนึ่ง  (เติมชื่อบุคคลที่ตนเองประสงค์จะโอนให้)

 (2) ผู้รับโอนตั๋วมาด้วยการสลักหลังลอยนั้น  อาจสลักหลังตั๋วเงินต่อไปได้อีก  โดยเป็นการสลักหลังให้แก่บุคคลอื่นผู้ใดผู้หนึ่ง  คือ  ได้รับตั๋วมาแล้วก็สลักหลังลอยต่อไปอีก  หรือว่าสลักหลังเฉพาะ  คือ  สลักหลังให้แก่ผู้ใดผู้หนึ่งก็ได้

 (3) โอนตั๋วนั้นให้แก่บุคคลภายนอกโดยไม่กรอกข้อความในที่ว่างและไม่สลักหลังอย่างหนึ่งอย่างใด  กรณีนี้ก็เหมือนกับวิธีการโอนตั๋วผู้ถือ  แม้เป็นตั๋วระบุชื่อแต่เมื่อมีการสลักหลังลอยมาก็ส่งมอบต่อไปเลย  คนที่ส่งมอบไปนั้นก็ไม่ต้องรับผิดตามตั๋วเงินนั้นเพราะไม่ได้ลงชื่อในตั๋วเงินนั้นเลย

 

ข้อ  2  ก  ธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็คจะต้องงดเว้นการใช้เงินตามเช็คในกรณีใดบ้าง  ให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ข  ก้องทำสัญญาจ้างโก้ให้ทำการตกแต่งภายในบ้านพักของก้องโดยตกลงค่าจ้างกันเป็นเงินจำนวน  200,000  บาท  เมื่อโก้ทำการตกแต่งภายในบ้านของก้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว  ก้องจึงได้สั่งจ่ายเช็คธนาคาร  ABC  จำกัด  (มหาชน)  จำนวน  200,000  บาท  ให้แก่โก้เพื่อชำระราคาค่าจ้างตกแต่งฯดังกล่าว  แต่หลังจากนั้นก้องได้ตรวจพบว่าโก้ตกแต่งภายในบ้านพักของตนไม่ตรงกับที่ตกลงกันไว้  จึงได้แจ้งให้โก้แก้ไขให้ถูกต้อง  แต่โก้ไม่ยินยอมแก้ไขให้โดยอ้างว่าตนตกแต่งให้ถูกต้องตามที่ตกลงกันแล้ว  ก้องไม่พอใจจึงได้ทำหนังสือแจ้งไปยังธนาคาร  ABC  จำกัด  (มหาชน)  ให้ระงับการจ่ายเงินตามเช็คฉบับที่ก้องสั่งจ่ายชำระหนี้  ค่าตกแต่งฯให้แก่โก้ไปนั้น  ต่อมาเมื่อเช็คฉบับดังกล่าวถึงกำหนดชำระเงินโก้ได้นำเช็คไปยื่นให้ธนาคาร  ABC  จำกัด  (มหาชน)  เพื่อให้จ่ายเงินตามเช็คให้  แต่ธนาคารฯได้ปฏิเสธที่จะจ่ายเงินตามเช็คฉบับดังกล่าวนั้นให้แก่โก้  เพราะเห็นว่าก้องได้มีหนังสือแจ้งให้ธนาคารฯ  ระงับการจ่ายเงินตามเช็คฉบับดังกล่าวแล้ว  แม้ว่าในขณะนั้นจะปรากฏข้อเท็จจริงว่าเงินในบัญชีของก้องมีเพียงพอที่ธนาคารฯ  จะสามารถจ่ายให้แก่โก้ได้ก็ตาม

จากข้อเท็จจริงดังกล่าวมานั้น  โก้จะสามารถเรียกให้ธนาคาร  ABC  จำกัด  (มหาชน)  ต้องจ่ายเงินตามเช็คฉบับดังกล่าวให้แก่ตนได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

มาตรา  992  หน้าที่และอำนาจของธนาคารซึ่งจะใช้เงินตามเช็คอันเบิกแก่ตนนั้น  ท่านว่าเป็นอันสิ้นสุดไปเมื่อกรณีเป็นดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

 (1) มีคำบอกห้ามการใช้เงิน

(2) รู้ว่าผู้สั่งจ่ายตาย

(3) รู้ว่าศาลได้มีคำสั่งรักษาทรัพย์ชั่วคราว  หรือคำสั่งให้ผู้สั่งจ่ายเป็นคนล้มละลาย  หรือได้มีประกาศโฆษณาคำสั่งเช่นนั้น

บทบัญญัติมาตรา  992  ดังกล่าวข้างต้นนั้นเป็นบทบังคับว่าถ้ามีกรณีดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นแล้วธนาคารต้องงดการจ่ายเงิน  จะจ่ายเงินไม่ได้  ถ้าจ่ายไปก็ต้องรับผิดต่อลูกค้าเอาเอง

เหตุที่ต้องงดการจ่ายเงินตามเช็คตามมาตรา  992

(1) มีคำบอกห้ามการใช้เงินของผู้สั่งจ่าย

(2) รู้ว่าผู้สั่งจ่ายตาย  ถ้าธนาคารรู้ก็จ่ายไม่ได้  ถ้าไม่รู้ก็ยังจ่ายได้  ถ้ารู้ว่าผู้สั่งจ่ายตายแล้ว  ยังขืนจ่ายไปอีกก็ต้องรับผิดต่อทายาทของผู้สั่งจ่าย

(3) รู้ว่าศาลได้มีคำสั่งรักษาทรัพย์ชั่วคราว  คือรู้ว่ามีการพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวหรือพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดหรือพิพากษาล้มละลาย  กรณีเหล่านี้ต้องงดการจ่ายเงิน  แม้ว่ายังไม่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาก็ตาม  ธนาคารก็มีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทรัพย์สินของลูกหนี้  ผู้ล้มละลายต่อไป

ข  อธิบาย

มาตรา  992  หน้าที่และอำนาจของธนาคารซึ่งจะใช้เงินตามเช็คอันเบิกแก่ตนนั้น  ท่านว่าเป็นอันสิ้นสุดไปเมื่อกรณีเป็นดังจะกล่าวต่อไปนี้  คือ

(1) มีคำบอกห้ามการใช้เงิน

วินิจฉัย

จากข้อเท็จจริงนั้นเป็นกรณีที่ก้องผู้สั่งจ่ายเป็นผู้มีคำบอกห้ามการใช้เงินไปยังธนาคารฯ  ดังนั้นหน้าที่และอำนาจของธนาคารฯ  ซึ่งจะใช้เงินตามเช็คฉบับดังกล่าวเป็นอันสิ้นสุดไป  การที่ธนาคาร  ABC  จำกัด  (มหาชน)  ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คให้แก่โก้นั้นจึงถือว่าเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย  โก้จะเรียกร้องให้ธนาคาร  ABC  จำกัด  (มหาชน)  ให้ใช้เงินตามเช็คฉบับดังกล่าวให้แก่ตนไม่ได้

สรุป  โก้ไม่สามารถเรียกให้ธนาคาร  ABC  จำกัด  (มหาชน)  จ่ายเงินตามเช็คได้

 

ข้อ  3  ก  บุคคลใดบ้างที่กฎหมายตั๋วเงินอนุญาตให้ขีดคร่อมเช็ค  และเขียนข้อความห้ามเปลี่ยนมือลงไว้บนเช็ค

ข  เช็คพิพาทเป็นเช็คธนาคารกรุงทอง  เป็นเช็คระบุชื่อศักดิ์หรือผู้ถือเป็นผู้รับเงิน  ซึ่งศักดิ์ได้รับเช็คฉบับนี้จากสมผู้สั่งจ่ายเนื่องจากมูลหนี้ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเป็นเช็คสั่งจ่ายล่วงหน้า  ขณะรอเรียกเก็บเงินตามเช็ค  ศักดิ์ได้ขีดคร่อมเช็คพิพาทดังกล่าว  พร้อมทั้งได้เขียนข้อความว่า  “A/C  PAYEE  ONLY”  ลงไว้ในระหว่างรอยขีดคร่อมนั้นด้วยความประมาทเลินเล่อและหลงลืมศักดิ์ทำเช็คพิพาทนั้นตกหายไปโดยไม่รู้ตัว  สิทธิ์เก็บได้แล้วต่อมาได้ลงลายมือชื่อสลักหลังลอย  เช็คนั้นชำระหนี้ให้แก่ซื่อซึ่งรับโอนเช็คนั้นไว้โดยสุจริตอีกทั้งไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง  โดยเชื่อตามคำกล่าวอ้างของสิทธิ์เองที่ได้อ้างกับซื่อว่าลายมือชื่อในคำสลักหลังนั้นเป็นลายมือชื่อของศักดิ์  ทำให้ซื่อหลงเชื่อจึงตกลงรับเช็คนั้นไว้  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าซื่อเป็นผู้ทรงเช็คที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  และระหว่างศักดิ์กับซื่อบุคคลใดมีสิทธิในเช็คนั้นดีกว่ากัน  อนึ่งหากธนาคารกรุงทองผู้จ่ายปฏิเสธการจ่ายเงิน  ให้ท่านวินิจฉัยว่าซื่อจะบังคับไล่เบี้ยให้บุคคลใดต้องรับผิดตามมูลหนี้ในเช็คพิพาทดังกล่าวได้เพียงใดหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

บุคคลที่กฎหมายตั๋วเงินอนุญาตให้ขีดคร่อมเช็ค  ได้แก่

(1) ผู้สั่งจ่ายเช็ค  อาจเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไปหรือเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะก็ได้

(2) ผู้ทรงเช็ค  อาจเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไปหรือเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะก็ได้

(3) ธนาคาร  ต้องเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะเท่านั้น  มาตรา  995(1)  (2)  (4)  และ  (5)

บุคคลที่กฎหมายตั๋วเงินอนุญาตให้ลงข้อความห้ามโอน  หรือห้ามเปลี่ยนมือ  หรือความอื่นทำนองเช่นเดียวกัน  ได้แก่

(1) ผู้สั่งจ่ายเช็ค  (มาตรา  917  วรรคสองประกอบมาตรา  989  วรรคแรก)

(2) ผู้สลักหลังเช็ค  (มาตรา  923  ประกอบมาตรา  989  วรรคแรก)

(3) ผู้ทรงเช็คขีดคร่อม  (มาตรา  995 (3))

ข  อธิบาย

มาตรา  905  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา  1008  บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครองถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย  แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักลอยก็ตาม  ให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย  เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก  ท่านให้ถือว่าบุคคลผู้มีลงลายชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น  เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคำสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสียและห้ามให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย

ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตั๋วเงินไปจากครอบครอง  ท่านว่าผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฏสิทธิของตนในตั๋วตามวิธีการดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น  หาจำต้องสละตั๋วเงินไม่  เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริตหรือได้มาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

อนึ่งข้อความในวรรคก่อนนี้  ให้ใช้บังคับตลอดถึงผู้ทรงตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือด้วย

มาตรา  999  บุคคลใดได้เช็คขีดคร่อมของเขามาซึ่งมีคำว่า  ห้ามเปลี่ยนมือ  ท่านว่าบุคคลนั้นไม่มีสิทธิในเช็คนั้นยิ่งไปกว่าและไม่สามารถให้สิทธิในเช็คนั้นต่อไปได้ดีกว่าสิทธิของบุคคลอันตนได้เช็คของเขามา

มาตรา  1008  วรรคแรก  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้  เมื่อใดลายมือชื่อในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมก็ดี  เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้มอบอำนาจให้ลงก็ดี  ท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอำนาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้  ใครจะอ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อยึดหน่วงตั๋วเงินไว้ก็ดี เพื่อทำให้ตั๋วนั้นหลุดพ้นก็ดี  หรือเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาแห่งตั๋วนั้นคนใดคนหนึ่งก็ดี  ท่านว่าไม่อาจจะทำได้เป็นอันขาด  เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึงถูกยึดหน่วงหรือถูกบังคับใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอม  หรือข้อลงลายมือชื่อปราศจากอำนาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้

วินิจฉัย

เช็คพิพาทเป็นเช็คขีดคร่อมที่มีข้อความห้ามเปลี่ยนมือ  (A/C  PAYEE  ONLY)  โดยศักดิ์ผู้ทรงเช็คผู้ถือเดิม  และเป็นเช็คที่มีการปลอมลายมือชื่อศักดิ์โดยสิทธิ์  เมื่อได้พิจารณาข้อเท็จจริงตามปัญหาและหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นแล้ว  ขอวินิจฉัยทั้งสามประเด็นดังนี้

(1) ชื่อไม่เป็นผู้ทรงเช็คที่ชอบด้วยกฎหมายเพราะเช็คพิพาทเป็นเช็คที่มีลายมือชื่อปลอมตามมาตรา  905  ประกอบมาตรา  1008  วรรคแรก

(2) ระหว่างศักดิ์กับซื่อนั้น  ศักดิ์ผู้ทรงเดิมย่อมมีสิทธิในเช็คนั้นดีกว่า  ตามมาตรา  999  ซึ่งเป็นข้อยกเว้นของมาตรา  905

(3) ซื่อจะบังคับไล่เบี้ยบุคคลใดให้ต้องรับผิดตามมูลหนี้ในเช็คพิพาทมิได้  เพราะมิใช่ผู้ทรงเช็คที่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  905  ประกอบมาตรา  1008  วรรคแรก

LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด S/2547

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2547

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW 2013 

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี  3  ข้อ

ข้อ  1  ก  เล็กได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับธนาคารสวรรคโลก  จำกัด  (มหาชน)  โดยในคำขอเปิดบัญชีฯนั้น  มีข้อหนึ่งกำหนดว่า  ถ้าเงินในบัญชีของผู้ฝากมีไม่พอจ่ายตามเช็ค  แต่ธนาคารได้จ่ายเงินตามเช็คให้ไป  ผู้ฝากจะต้องจ่ายเงินส่วนหนึ่งที่ธนาคารจ่ายเงินเกินไปคืนให้กับธนาคารเสมือนหนึ่งว่าได้ขอเบิกเกินบัญชีกับธนาคาร  และธนาคารจะคิดดอกเบี้ยจากเงินที่เบิกเกินบัญชีนั้นเป็นดอกเบี้ยทบต้น  ต่อมาเล็กได้สั่งจ่ายเช็คเบิกเงินจากบัญชีฯดังกล่าวเกินกว่าวงเงินที่ตนฝากไว้หลายครั้ง  และมีการนำเงินฝากเข้าบัญชีฯ  เพื่อลดยอดหนี้บ้าง  ดังนี้การกระทำระหว่างเล็กและธนาคารสวรรคโลก  จำกัด  (มหาชน)  ดังที่กล่าวมานั้น  ถือว่าเป็นการทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันหรือไม่  เพราะเหตุใด

หมายเหตุ  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  655  ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่ค้างชำระ  แต่ทว่าเมื่อดอกเบี้ยค้างชำระไม่น้อยกว่าปีหนึ่ง  คู่สัญญากู้ยืมจะตกลงกันให้เอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับต้นเงินแล้วให้คิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบเข้ากันนั้นก็ได้  แต่การตกลงเช่นนั้นต้องทำเป็นหนังสือ

 ส่วนประเพณีการค้าขายที่คำนวณดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัดก็ดี  ในการค้าขายอย่างอื่นทำนองเช่นว่านั้นก็ดี  หาอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติซึ่งกล่าวมาในวรรคก่อนนั้นไม่

ข  นาย  A  สั่งจ่ายเช็คเป็นจำนวน  10,000  บาท  ระบุชื่อ  นาย  B  เป็นผู้รับเงินและขีดฆ่าคำว่า  หรือผู้ถือ  ออก  แล้วส่งมอบให้แก่นาย  B  เพื่อชำระหนี้ค่าเช่าบ้าน  ต่อมานาย  B  ได้สลักหลังเฉพาะโอนให้แก่นาย  C  เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อขายสินค้า  โดยในการสลักหลังนั้นนาย  B  ได้ระบุถ้อยคำว่า  โอนให้นาย  C  แต่ข้าพเจ้ายอมรับผิดเพียง  5,000  บาท  ดังนี้  การสลักหลังโอนเช็คฉบับดังกล่าวของนาย B  ตามที่กล่าวมานั้นมีผลทางกฎหมายเป็นอย่างไร

ธงคำตอบ

มาตรา  856  อันว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดนั้น  คือสัญญาซึ่งบุคคลสองคนตกลงกันว่าสืบแต่นั้นไปหรือในชั่วเวลากำหนดอันใดอันหนึ่ง  ให้ตัดทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างเขาทั้งสองนั้นหักกลบลบกัน  และคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาค

วินิจฉัย

การที่ในคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันระหว่างเล็กกับธนาคารสวรรคโลก  จำกัด  (มหาชน)  นั้น  มีข้อตกลงว่าหากธนาคารจ่ายเงินเกินบัญชีให้ไปแล้วให้ถือเสมือนหนึ่งว่ามีข้อตกลงเบิกเงินเกินบัญชี  ถือว่าเป็นการตกลงทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระหว่างกันแล้วประกอบกับเล็กก็ทำการเบิกเงินเกินบัญชีไปหลายครั้ง  และมีการนำเงินเข้าฝากบัญชีเพื่อลดหนี้บ้าง  จึงถือว่าเล็กและธนาคารสวรรคโลก  จำกัด (มหาชน)  ได้ตกลงทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันแล้วเพราะเป็นไปตามองค์ประกอบของมาตรา  856  (ฎ. 1629/2537)

สรุป  การกระทำระหว่างเล็กและธนาคารสวรรคโลก  จำกัด  (มหาชน)  เป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด

ข  อธิบาย

มาตรา  915  ผู้สั่งจ่ายตั๋วแลกเงินและผู้สลักหลังคนใดๆก็ดี  จะจดข้อกำหนดซึ่งจะกล่าวต่อไปนี้ลงไว้ชัดแจ้งในตั๋วนั้นก็ได้  คือ

 (1) ข้อกำหนดลบล้างหรือจำกัดความรับผิดของตนเองต่อผู้ทรงตั๋วแลกเงิน

มาตรา  989  วรรคแรก  บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด  2  อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้  ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้  คือบทมาตรา  910, 914,  ถึง  923, 925 , 926, 938  ถึง  940, 945, 946, 959, 967, 971

วินิจฉัย

การสลักหลังโอนเช็คของนาย  B  นั้น  ถือเป็นกรณีที่ผู้สลักหลังจดข้อกำหนดจำกัดความรับผิดของตนต่อผู้ทรงตั๋วฯ  ตามมาตรา  915(1) มิใช่การสลักหลังโอนบางส่วนแต่อย่างใด  จึงถือว่าเป็นการโอนตั๋วฯตามปกติเพียงแต่นาย  B  ขอจำกัดความรับผิดของตนเพียง  5,000 บาทเท่านั้น  ตามมาตรา  915(1)  ประกอบมาตรา  989  วรรคแรก

สรุป  การสลักหลังโอนเช็คของนาย  B  มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย

 

ข้อ  2  ก  ผู้รับอาวัลตั๋วแลกเงินมีความรับผิดตามตั๋วฯ  เป็นอย่างไร  และจะสามารถหลุดพ้นจากความรับผิดตามตั๋วฯนั้นได้ด้วยเหตุใดบ้าง

ข  ปริกสั่งจ่ายเช็คเป็นจำนวน  100,000  บาท  ระบุให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ  และส่งมอบให้แก่ปิ่นเพื่อชำระหนี้ค่าเช่าบ้าน  ต่อมาปิ่นได้ไปเล่นพนันทายผลฟุตบอลต่างประเทศในบ่อนพนันของปอ  แล้วปิ่นแพ้พนันต้องจ่ายเงินค่าพนันให้กับปอเป็นเงิน  100,000  บาท  แต่ปิ่นไม่มีเงินจ่ายค่าพนันให้แก่ปอ  ปอจึงขู่ว่าจะให้ลูกน้องทำร้ายปิ่นหากปิ่นไม่ยินยอมชำระเงินค่าพนันให้แก่ปอ  ด้วยความกลัวปิ่นจึงได้สลักหลังเช็คฉบับที่รับมาจากปริกดังกล่าวนั้น  แล้วส่งมอบชำระหนี้พนันให้แก่ปอไป  ต่อมาเมื่อเช็คถึงกำหนดชำระเงิน  ปอได้นำเช็คฉบับดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็ค  แต่ธนาคารฯปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คฉบับดังกล่าวให้แก่ปอ  ปอจึงมาเรียกให้ปิ่นใช้เงินตามเช็คฉบับดังกล่าวให้แก่ปอ  โดยอ้างว่าปิ่นเป็นผู้สลักหลังโอนเช็คฉบับดังกล่าวให้แก่ปอจึงต้องรับผิดใช้เงินให้แก่ปอ  ปิ่นจึงมาปรึกษาท่านว่าตนจะต้องรับผิดจ่ายเงินตามเช็คให้แก่ปอตามที่ปอเรียกร้องมาหรือไม่  เพราะเหตุใด

(ให้นักศึกษาตอบคำถามโดยอาศัยหลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เกี่ยวกับสัญญาตั๋วเงินตามที่ได้ศึกษามา)

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

ความรับผิดของผู้รับอาวัลตั๋วแลกเงินเป็นไปตามมาตรา  940  วรรคแรก  ซึ่งมีหลักคือ

ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน  หมายถึง  รับผิดในจำนวนเงินเท่ากับผู้ที่ตนเข้าประกัน  (เว้นแต่ผู้รับอาวัลจะขอรับอาวัลบางส่วน)

ผู้รับอาวัลต้องรับผิดเสมอ  แม้บางกรณีผู้ซึ่งตนประกันอาจหลุดพ้นจากความรับผิดไปได้ด้วยเหตุใดๆ  นอกจากทำผิดแบบหรือระเบียบ  (มาตรา  940  วรรคสอง)

การหลุดพ้นความรับผิดตามตั๋วแลกเงินของผู้รับอาวัลนั้น  โดย

 1       ตามมาตรา  940  วรรคสอง  กล่าวคือ  ตั๋วเงินนั้นผิดแบบหรือผิดระเบียบ  เช่น  ตั๋วเงินขาดรายการสำคัญ  การสลักหลังลอยผิดแบบ  การรับรองผิดแบบ  ฯลฯ  ผู้รับอาวัลสามารถอ้างตนให้หลุดพ้นจากความรับผิดดังกล่าวได้

2       ผู้รับอาวัลมีข้อต่อสู้กับผู้ทรงเป็นของตัวผู้รับอาวัลเองหรือผู้ทรงตั๋วแลกเงินนั้นมีสิทธิบกพร่อง

ข  อธิบาย

มาตรา  904  อันผู้ทรงนั้น  หมายความว่า  บุคคลผู้มีตั๋วเงินไว้ในครอบครองโดยฐานเป็นผู้รับเงินหรือเป็นผู้รับสลักหลัง  ถ้าและเป็นตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือๆ  ก็นับว่าเป็นผู้ทรงเหมือนกัน

มาตรา  905  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา  1008  บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครองถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย  แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักลอยก็ตาม  ให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย  เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก  ท่านให้ถือว่าบุคคลผู้มีลงลายชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น  เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคำสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสียและห้ามให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย

ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตั๋วเงินไปจากครอบครอง  ท่านว่าผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฏสิทธิของตนในตั๋วตามวิธีการดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น  หาจำต้องสละตั๋วเงินไม่  เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริตหรือได้มาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

อนึ่งข้อความในวรรคก่อนนี้  ให้ใช้บังคับตลอดถึงผู้ทรงตั๋วเงินสั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือด้วย

มาตรา  918  ตั๋วแลกเงินอันสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น  ท่านว่าย่อมโอนไปเพียงด้วยส่งมอบให้กัน

มาตรา921  การสลักหลังตั๋วแลกเงินซึ่งสั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือนั้น  ย่อมเป็นเพียงประกัน  (อาวัล)  สำหรับผู้สั่งจ่าย

มาตรา  940  ผู้รับอาวัลย่อมต้องผูกพันเป็นอย่างเดียวกันกับบุคคลซึ่งตนประกัน

แม้ถึงว่าความรับผิดใช้เงินอันผู้รับอาวัลได้ประกันอยู่นั้นจะตกเป็นใช้ไม่ได้ด้วยเหตุใดๆ  นอกจากเพราะทำผิดระเบียบ  ท่านว่าข้อสัญญารับอาวัลนั้นก็ยังคงสมบูรณ์

มาตรา  989  วรรคแรก  บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด  2  อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้  ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้  คือบทมาตรา  910, 914,  ถึง  923, 925 , 926, 938  ถึง  940, 945, 946, 959, 967, 971

วินิจฉัย

เช็คพิพาทเป็นเช็คที่สั่งให้ใช้เงินแก่ผู้ถือ  สามารถโอนได้ด้วยการส่งมอบตามมาตรา  918  แต่การที่ปิ่นสลักหลังโอนเช็คให้แก่ปอนั้นถือว่าเป็นการโอนเช็คให้แก่ปอแล้วแต่มิได้ส่งผลให้การสลักหลังนั้นเป็นการสลักหลังโอน  แต่เป็นการรับอาวัลปริกผู้สั่งจ่ายเช็คตามมาตรา  921 ปิ่นจึงมีฐานะเป็นผู้รับอาวัลปริกผู้สั่งจ่ายเช็ค  ตามมาตรา  921,  940  ประกอบมาตรา  989  วรรคแรก  มิใช่มีฐานะเป็นผู้สลักหลัง  แต่อย่างไรก็ตามเมื่อปอได้เช็คมาจากปิ่นโดยไม่สุจริตเพราะรับเช็คมาเพื่อชำระหนี้การพนัน  และปิ่นโอนเช็คให้ปอเพราะปอข่มขู่ปิ่น  ดังนั้นปอจึงมิใช่ผู้ทรงเช็คโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา  904,  905  จึงไม่มีสิทธิเรียกให้ผู้ใดต้องรับผิดตามเช็คนี้ได้เลย

สรุป  ปิ่นจึงมิต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คให้แก่ปอแต่อย่างใด

 

ข้อ  3  ก  ธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็คจะหลุดพ้นจากความรับผิดในการใช้เงินตามเช็คได้อย่างไร  จงอธิบายโดยยกหลักกฎหมายประกอบให้ชัดเจน

ข  นางส้มปลอมลายมือชื่อของนายดำผู้เป็นสามีของตน  สั่งจ่ายเช็คของนายดำเป็นจำนวน  100,000  บาท  ระบุให้ใช้เงินแก่ผู้ถือแล้วส่งมอบให้แก่นางซื่อเพื่อชำระราคาค่าแหวนเพชรที่นางส้มซื้อมาจากร้านของนางซื่อ  โดยนางซื่อรับเช็คนั้นไว้โดยสุจริต  และไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง  ซึ่งนายดำก็ทราบถึงการปลอมลายมือชื่อของนางส้มดังกล่าวแต่ก็มิได้แจ้งให้ธนาคารผู้ต้องจ่ายเงินตามเช็คให้ทราบ  เพราะเกรงว่านายส้มจะต้องถูกดำเนินคดีอาญา  ต่อมานายคดลูกจ้างในร้านของนางซื่อได้งัดตู้เซฟที่นางซื่อใช้เก็บของมีค่าภายในร้านและได้ขโมยเอาเช็คฉบับที่นางส้มส่งมอบชำระราคาค่าแหวนเพชรให้นางซื่อดังกล่าวซึ่งเก็บไว้ในตู้เซฟไปขึ้นเงินกับธนาคารผู้มีหน้าที่จ่ายเงินตามเช็ค  ธนาคารฯก็หลงเชื่อว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายนั้นเป็นลายมือชื่อของนายดำเจ้าของบัญชีจริงๆ  เพราะปลอมได้เหมือนมาก  ธนาคารฯจึงจ่ายเงินตามเช็คฉบับดังกล่าวให้แก่นายคดไป  และทำการหักบัญชีของนายดำตามจำนวนเงินที่ธนาคารจ่ายไป  คือ  100,000  บาท นายดำทราบเรื่องก็ไม่ยินยอมให้ธนาคารหักเงินจากบัญชีของตนโดยอ้างว่าธนาคารจ่ายเงินตามเช็คไปทั้งที่ลายมือชื่อของผู้สั่งจ่ายเป็นลายมือชื่อปลอมธนาคารจะต้องรับผิดชอบเอง  ดังนี้  ข้ออ้างของนายดำนั้นถูกต้องหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก  อธิบาย

โดยหลักมาตรา  1009  ธนาคารจะหลุดพ้นจากความรับผิดเพราะการใช้เงินไปตามเช็คก็ต่อเมื่อต้องด้วยหลักเกณฑ์ดังนี้  คือ

1       ธนาคารได้ใช้เงินไปตามทางค้าปกติ

2       ธนาคารได้ใช้เงินไปโดยสุจริตและปราศจากประมาทเลินเล่อ  และ

3       ธนาคารไม่มีหน้าที่ต้องนำสืบพิสูจน์ว่าตั๋วเงินนั้นจะมีการสลักหลังปลอมหรือสลักหลังโดยปราศจากอำนาจหรือไม่  เพียงแต่ลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายไม่ปลอมก็เพียงพอแล้ว  และให้ถือว่าธนาคารได้ใช้เงินไปถูกระเบียบ

ส่วนกรณีของเช็คขีดคร่อมนั้น  มีวิธีพิเศษตามมาตรา  994  ซึ่งธนาคารผู้จ่ายเงินตามเช็คจะหลุดพ้นจากความรับผิดเพียงใดต้องบังคับตามมาตรา  998  กล่าวคือ  ธนาคารผู้จ่ายได้ใช้เงินไปตามเช็คนั้นโดยสุจริตและปราศจากประมาทเลินเล่อ  โดย

–          กรณีเช็คขีดคร่อมทั่วไป  ธนาคารผู้จ่ายต้องใช้เงินแก่ธนาคารใดธนาคารหนึ่งของผู้ทรงเช็ค  หากมีการนำเช็คนั้นให้ธนาคารอื่นเรียกเก็บ  (Collecting  Bank)  หรือจ่ายเงินเข้าบัญชีของผู้ทรงเช็ค  จะจ่ายเป็นเงินสดมิได้  (มาตรา  994  วรรคแรก)

–          กรณีเช็คขีดคร่อมเฉพาะ  ธนาคารผู้จ่ายต้องใช้เงินให้แก่ธนาคารที่ระบุชื่อไว้โดยเฉพาะจะจ่ายให้ธนาคารอื่นมิได้  และจะจ่ายเป็นเงินสดมิได้  (มาตรา  994  วรรคสอง)

–          กรณีเช็คขีดคร่อมเฉพาะให้แก่ธนาคารกว่าธนาคารหนึ่งขึ้นไป  ธนาคารผู้จ่ายต้องปฏิเสธการจ่ายเงิน  เว้นแต่อีกธนาคารหนึ่งนั้นมีฐานะเป็นธนาคารตัวแทนเรียกเก็บเงินแทน  ดังนี้  ธนาคารผู้จ่ายก็สามารถจ่ายให้แก่ธนาคารตัวแทนนั้นได้  แต่จะจ่ายให้แก่ธนาคารอื่นมิได้  (มาตรา  995(4)  ประกอบมาตรา  997  วรรคแรก)

ข  อธิบาย

มาตรา  1008  วรรคแรก  ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติทั้งหลายในประมวลกฎหมายนี้  เมื่อใดลายมือชื่อในตั๋วเงินเป็นลายมือปลอมก็ดี  เป็นลายมือชื่อลงไว้โดยที่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของลายมือชื่อนั้นมิได้มอบอำนาจให้ลงก็ดี  ท่านว่าลายมือชื่อปลอมหรือลงปราศจากอำนาจเช่นนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้  ใครจะอ้างอิงอาศัยแสวงสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อยึดหน่วงตั๋วเงินไว้ก็ดี เพื่อทำให้ตั๋วนั้นหลุดพ้นก็ดี  หรือเพื่อบังคับการใช้เงินเอาแก่คู่สัญญาแห่งตั๋วนั้นคนใดคนหนึ่งก็ดี  ท่านว่าไม่อาจจะทำได้เป็นอันขาด  เว้นแต่คู่สัญญาฝ่ายซึ่งจะพึงถูกยึดหน่วงหรือถูกบังคับใช้เงินนั้นจะอยู่ในฐานเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกข้อลายมือชื่อปลอม  หรือข้อลงลายมือชื่อปราศจากอำนาจนั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้

แต่ข้อความใดๆอันกล่าวมาในมาตรานี้  ท่านมิให้กระทบกระทั่งถึงการให้สัตยาบันแก่ลายมือชื่อลงไว้โดยปราศจากอำนาจแต่หากไม่ถึงแก่เป็นลายมือปลอม

มาตรา  1009  ถ้ามีผู้นำตั๋วเงินชนิดจะพึงใช้เงินตามเขาสั่งเมื่อทวงถามมาเบิกต่อธนาคารใด  และธนาคารนั้นได้ใช้เงินให้ไปตามทางค้าปกติโดยสุจริตและปราศจากประมาทเลินเล่อไซร้  ท่านว่าธนาคารไม่มีหน้าที่จะต้องนำสืบว่าการสลักหลังของผู้รับเงิน  หรือการสลักหลังในภายหลังรายใดๆได้ทำไปด้วยอาศัยรับมอบอำนาจแต่บุคคลซึ่งอ้างเอาเป็นเจ้าของคำสลักหลังนั้น  และถึงแม้ว่ารายการสลักหลังนั้นจะเป็นสลักหลังปลอมหรือปราศจากอำนาจก็ตาม  ท่านให้ถือว่าธนาคารได้ใช้เงินไปถูกระเบียบ

วินิจฉัย

ตามหลักกฎหมายในกรณีที่ตั๋วฯ  มีลายมือชื่อปลอมต้องบังคับตามมาตรา  1008  เว้นแต่จะมีมาตราอื่นบัญญัติไว้เป็นพิเศษ  เช่น  มาตรา  1009  แต่เนื่องจากมาตรา  1009  เป็นกรณีเกี่ยวกับบทคุ้มครองธนาคารผู้จ่ายเงินตามตั๋วฯ  ที่มีลายมือชื่อผู้สลักหลังปลอม  มิใช่กรณีลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายปลอม  ดังนั้นหากเป็นกรณีลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายปลอมจะต้องบังคับตามมาตรา  1008

ดังนั้นตามข้อเท็จจริงดังกล่าว  ลายมือชื่อนายดำผู้สั่งจ่ายเป็นลายมือชื่อปลอมที่นางส้มปลอมขึ้น  ซึ่งปกติแล้วธนาคารผู้จ่ายจะอ้างความหลุดพ้นตามาตรา  1009  ไม่ได้  เพราะถ้ากรณีลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายปลอมต้องบังคับตามมาตรา  1008  ซึ่งธนาคารจะไม่สามารถบังคับอ้างให้หลุดความรับผิดโดยอาศัยลายมือชื่อปลอมได้เช่นกัน  แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงดำทราบเรื่องแต่ไม่แจ้งให้ธนาคารทราบ  จึงถือว่าดำตกอยู่ในฐานะเป็นผู้ต้องตัดบทมิให้ยกลายมือชื่อปลอมขึ้นเป็นข้อต่อสู้  ดังนั้นธนาคารสามารถหักเงินจากบัญชีของดำได้

สรุป  ข้ออ้างของดำจึงไม่ถูกต้อง

LAW 2013 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด สอบซ่อมภาค 2 และภาค S/2548

การสอบซ่อมภาค 2 และภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2548

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2013

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยตั๋วเงิน บัญชีเดินสะพัด

คำแนะนำ ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วนมี 3 ข้อ

ข้อ 1 ก อาทิตย์ออกทุนให้จันทร์เพื่อเลี้ยงไก่ครั้งละไม่เกินห้าแสนบาท เป็นเวลา 5 ปี โดยมีข้อตกลงว่าให้จันทร์เบิกเป็นลูกไก่ อาหารไก่ ยา สิ่งของที่จำเป็นในการเลี้ยงไก่และค่าจ้างแรงงาน โดยอาทิตย์จะจดบัญชีไว้โดยคำนวณเป็นจำนวนเงินทั้งหมดตามที่จันทร์มีการเบิกไป และเมื่อลูกไก่โตได้ขนาดจันทร์จะขายไก่ให้กับอังคารเมื่อได้รับเงินจากอังคาร จันทร์จะนำเงินไปชำระหนี้อาทิตย์ แต่ถ้าเงินราคาไก่ที่จันทร์จะได้รับนั้นไม่พอชำระหนี้ อาทิตย์จะเอาส่วนต่างนั้นไปลงบัญชีว่าจันทร์เป็นหนี้อยู่เท่าใดและจะหักบัญชีเมื่อจันทร์ขายไก่ครั้งต่อไปและนำเงินมาชำระหนี้ แล้วจันทร์จะเอาลูกไก่ อาหารไก่ ยา สิ่งของที่จำเป็นในการเลี้ยงไก่และค่าจ้างแรงงานไปเลี้ยงในรอบต่อไปอีก ดังนี้ นิติสัมพันธ์ระหว่างอาทิตย์กับจันทร์เป็นการกู้ยืมเงินหรือสัญญาบัญชีเดินสะพัด

ข การรับรองตั๋วแลกเงินนั้นทำได้อย่างไร และการรับรองนั้นมีกี่ประเภทให้อธิบายโดยอ้างอิงหลักกฎหมาย

ธงคำตอบ

ก อธิบาย

มาตรา 856 อันว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลสองคนตกลงกันว่าสืบแต่นั้นไปหรือในชั่วเวลากำหนดอันใดอันหนึ่ง ให้ตัดทอนบัญชีหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างเขาทั้งสองนั้นหักกลบลบกัน และคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาค

วินิจฉัย

จันทร์มีหนี้ที่จะต้องชำระ คือ ราคาค่าขายไก่ให้กับอาทิตย์ แต่ในส่วนของอาทิตย์ไม่มีหนี้สินอันใดที่จะต้องชำระให้กับจันทร์ ดังนั้นข้อตกลงระหว่างอาทิตย์กับจันทร์จึงไม่ใช่ข้อตกลงว่าสืบแต่นั้นไปหรือในชั่วเวลากำหนดอันใดอันหนึ่ง ให้ตัดทอนบัญชีทั้งหมดหรือแต่บางส่วนอันเกิดขึ้นแต่กิจการในระหว่างเขาทั้งสองนั้นหักกลบลบกันและคงชำระแต่ส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาค จึงถือว่าข้อตกลงดังกล่าวไม่เป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด ตามมาตรา 856 แต่อย่างใด นิติสัมพันธ์ดังกล่าวเป็นแต่เพียงเรื่องกู้ยืมเงินเท่านั้น

สรุป นิติสัมพันธ์ระหว่างอาทิตย์กับจันทร์เป็นการกู้ยืมเงิน

ข อธิบาย

การรับรองตั๋วแลกเงิน คือ การที่ผู้จ่ายได้ลงลายมือชื่อของตนในตั๋วแลกเงินเพื่อผูกพันตนเองในอันที่จะรับผิดชอบจ่ายเงินตามคำสั่งของผู้สั่งจ่ายที่ได้มีคำสั่งให้ผู้จ่ายจ่ายเงินให้กับผู้รับเงิน

สำหรับวิธีการรับรองตั๋วแลกเงินนั้น มาตรา 931 ได้กำหนดแบบหรือวิธีการรับรองไว้โดยกำหนดให้ผู้จ่ายลงข้อความว่า “รับรองแล้ว” หรือข้อความอื่นทำนองเช่นเดียวกัน เช่น “รับรองจะใช้เงิน” หรือ “ยินยอมจะใช้เงิน” ฯลฯ และลงลายมือชื่อของผู้จ่ายในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินนั้น และอาจลงวันที่รับรองไว้หรือไม่ก็ได้ หรือเพียงแต่ผู้จ่ายลงลายมือชื่อของตนในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินนั้นเพียงลำพังโดยไม่จำต้องมีข้อความดังกล่าวอยู่เลย ก็จัดว่าเป็นคำรับรองแล้วเช่นเดียวกัน อนึ่งการที่ผู้จ่ายทำการรับรองที่ด้านหลังตั๋วแลกเงิน ถือว่าเป็นการรับรองที่ผิดแบบหรือวิธีการที่กฎหมายกำหนด ไม่ถือว่าเป็นการรับรองหรือคำรับรองนั้นไม่มีผล

อย่างไรก็ดี การรับรองตามมาตรา 931 นี้ ย่อมมีผลเฉพาะตัวผู้จ่ายเท่านั้น บุคคลอื่นซึ่งมิใช่ผู้จ่าย หากได้ทำการรับรองตามความในมาตรานี้ก็มิได้อยู่ในฐานะเป็นผู้รับรอง แต่อาจต้องรับผิดในฐานะผู้รับอาวัล (มาตรา 940) หรือเป็นผู้สอดเข้ารับรองเพื่อแก้หน้า (มาตรา 953) ก็ได้

การรับรองตั๋วแลกเงิน ตามมาตรา 935 ได้กำหนดไว้ 2 ประเภท ดังนี้

1 การรับรองตลอดไป คือ การที่ผู้จ่ายรับรองการจ่ายเงินทั้งหมดตามจำนวนเงินที่ปรากฏในตั๋วแลกเงิน โดยไม่มีข้อแม้หรือเงื่อนไขในการจ่ายเงิน

2 การรับรองเบี่ยงบ่าย คือ การรับรองใน 2 กรณีดังต่อไปนี้ คือ

– การรับรองเบี่ยงบ่ายอย่างมีเงื่อนไข เช่น ผู้จ่ายรับรองจะจ่ายเงินจำนวนทั้งหมดในตั๋วแลกเงินฉบับนี้ต่อเมื่อมีเหตุการณ์อันใดอันหนึ่งเกิดขึ้นในอนาคตและไม่แน่นอน

– การรับรองเบี่ยงบ่ายบางส่วน เช่น ตั๋วแลกเงินราคา 50,000 บาท ผู้จ่ายรับรองการจ่ายเงินจำนวน 40,000 บาท เป็นต้น

ผลของการรับรองตั๋วแลกเงิน มีบัญญัติไว้ในมาตรา 937 กล่าวคือ เมื่อผู้จ่ายได้ทำการรับรองตั๋วแลกเงินแล้ว ผู้จ่ายจะกลายเป็นผู้รับรองและต้องผูกพันรับผิดตามเนื้อความแห่งคำรับรองของตน

 

ข้อ 2 ก ผู้สั่งจ่ายตั๋วเงินจะสามารถตั้งข้อจำกัดในการโอนตั๋วเงินได้หรือไม่ อย่างไร

ข นายกุหลาบลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คระบุชื่อนายบัวเป็นผู้รับเงินและขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คออก และเขียนคำว่า “A/C PAYEE ONLY” ลงไว้ที่ด้านหน้าเช็คและส่งมอบให้แก่นายบัวเพื่อชำระหนี้ที่มีต่อกัน ต่อมานายบัวต้องการจะโอนเช็คฉบับดังกล่าวชำระหนี้ค่าเช่าบ้านให้แก่นายมะลิ แต่นายบัวเห็นว่าเช็คมีคำว่า “A/C PAYEE ONLY” ระบุอยู่จึงไม่แน่ใจว่าตนจะสามารถโอนเช็คฉบับดังกล่าวนี้ชำระหนี้ให้แก่นายมะลิได้หรือไม่ นายบัวจึงมาปรึกษาท่านให้ท่านให้คำปรึกษาแก่นายบัวว่านายบัวจะสามารถโอนเช็คฉบับดังกล่าวชำระหนี้ให้แก่นายมะลิได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

ก อธิบาย

ผู้สั่งจ่ายตั๋วเงินสามารถตั้งข้อจำกัดในการโอนตั๋วเงินได้ ทั้งนี้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 917 วรรคสองว่า “เมื่อผู้สั่งจ่ายเขียนลงในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินว่าเปลี่ยนมือไม่ได้ดังนี้ก็ดี หรือเขียนคำอื่นอันได้ความเป็นทำนองเดียวกันนั้นก็ดี ท่านว่าตั๋วเงินนั้นย่อมจะโอนให้แก่กันได้ แต่รูปการและด้วยผลแห่งการโอนสามัญ” และบทบัญญัติมาตรา 985, 989 วรรคแรก ให้นำมาตรา 917 ไปใช้ในเรื่องตั๋วสัญญาใช้เงินและเช็คด้วย

กรณีที่ผู้สั่งจ่ายจะกำหนดหรือเขียนลงไปว่าเปลี่ยนมือไม่ได้นั้นต้องเป็นตั๋วชนิดระบุชื่อผู้รับเงินเท่านั้น ส่วนตั๋วผู้ถือนั้นสามารถที่จะโอนกันได้ด้วยการส่งมอบ ตามมาตรา 918

ข้อจำกัดห้ามโอนนั้นผู้สั่งจ่ายต้องลงไว้ด้านหน้าตั๋วแลกเงินโดยใช้คำว่า “เปลี่ยนมือไม่ได้” หรือคำอื่นอันได้ความทำนองเช่นเดียวกัน เช่น “ห้ามโอน” หรือ “ห้ามสลักหลังต่อ” หรือระบุความว่า “จ่ายให้นาย ก เท่านั้น” หรือ “จ่ายเข้าบัญชีผู้รับเงินเท่านั้น (A/C PAYEE ONLY หรือ ACCOUNT PAYEE ONLY) ย่อมมีผลเป็นการห้ามเปลี่ยนมือหรือห้ามโอนเช่นกัน แต่ถ้าลงไว้ด้านหลังตั๋วแลกเงิน น่าจะถือว่าตั๋วแลกเงินนั้นไม่มีข้อกำหนดห้ามโอนลงไว้เลย ทั้งนี้ตามมาตรา 899

ผลของการลงข้อจำกัดห้ามโอน คือ ผู้รับเงิน (ผู้ทรง) จะโอนตั๋วแลกเงินนั้นต่อไปด้วยการสลักหลังและส่งมอบตามมาตรา 917 วรรคแรกไม่ได้ แต่ตั๋วแลกเงินก็ยังโอนต่อไปอีกได้ตามแบบสามัญหรือตามหลักการโอนหนี้หรือสิทธิเรียกร้อง ตามมาตรา 306 กล่าวคือ ต้องทำเป็นหนังสือโอนหนี้ตามตั๋วแลกเงินนั้นระหว่างผู้โอนกับผู้รับโอน และผู้โอนต้องบอกกล่าวการโอนเป็นหนังสือไปยังผู้สั่งจ่าย หรือให้ผู้สั่งจ่ายยินยอมด้วยโดยทำเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด

ข อธิบาย

มาตรา 917 วรรคสอง เมื่อผู้สั่งจ่ายเขียนลงในด้านหน้าแห่งตั๋วแลกเงินว่า “เปลี่ยนมือไม่ได้” ดังนี้ก็ดี หรือเขียนคำอื่นอันได้ความเป็นทำนองเช่นเดียวกันนั้นก็ดี ท่านว่าตั๋วเงินนั้นย่อมจะโอนให้กันได้แต่โดยรูปการและด้วยผลอย่างการโอนสามัญ

มาตรา 989 วรรคแรก บทบัญญัติทั้งหลายในหมวด 2 อันว่าด้วยตั๋วแลกเงินดังจะกล่าวต่อไปนี้

ท่านให้ยกมาบังคับในเรื่องเช็คเพียงเท่าที่ไม่ขัดกับสภาพแห่งตราสารชนิดนี้ คือบทมาตรา 910, 914 , ถึง 923…

วินิจฉัย

จากข้อเท็จจริง เช็คฉบับดังกล่าวเป็นกรณีที่ผู้สั่งจ่าย คือ นายกุหลาบสั่งจ่ายโดยตั้งข้อจำกัดการโอนไว้ตามมาตรา 917 วรรคสอง ประกอบมาตรา 989 วรรคแรก โดยคำว่า “A/C PAYEE ONLY” มีความหมายทำนองเดียวกับคำว่า “เปลี่ยนมือไม่ได้” จึงโอนตามมาตรา 917 วรรคสองไม่ได้ แต่อย่างไรก็ดี หากนายบัวต้องการจะโอนเช็คฉบับดังกล่าวให้แก่นายมะลิจะต้องโอนต่อไปโดยรูปการโอนแบบการโอนหนี้สามัญ ตามมาตรา 306 มิใช่การโอนด้วยวิธีการโอนตั๋วเงินทั่วไป กล่าวคือ ต้องทำเป็นหนังสือและบอกกล่าวการโอนนั่นเอง

สรุป นายบัวสามารถโอนเช็คได้ด้วยรูปการโอนแบบการโอนหนี้สามัญ

 

ข้อ 3 ก บุคคลใดบ้างที่กฎหมายตั๋วเงินอนุญาตให้ขีดคร่อมเช็คได้ เป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไป หรือเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะ และบุคคลใดบ้างที่กฎหมายตั๋วเงินอนุญาตให้ลงข้อความ “ห้ามโอน” หรือ “ห้ามเปลี่ยนมือ” หรือ สำนวนอื่นอันมีความหมายทำนองเดียวกันลงในเช็ค และจะก่อให้เกิดผลตามกฎหมายแก่คู่สัญญาแห่งเช็คนั้นเพียงใดหรือไม่

ข เอกมีชื่อเป็นผู้รับเงินตามเช็คธนาคารกรุงทอง ที่พิเศษเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายซึ่งได้ขีดคร่อมทั่วไปและได้ขีดฆ่าคำว่า “หรือผู้ถือ” ในเช็คนั้นออกแล้ว เมื่อเอกได้รับเช็คนั้นมาก็ได้ลงข้อความว่า “A/C PAYEE ONLY” ลงในระหว่างเส้นคู่ขนานที่ปรากฏด้านหนาเช็คนั้นและลงลายมือชื่อด้านหลังเช็คเพื่อเตรียมให้ธนาคารอ่าวไทยที่ตนมีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค แต่เอกทำเช็คนั้นตกหายโดยไม่รู้ตัว โทเก็บเช็คนั้นได้แล้วนำไปส่งมอบขายลดเช็คนั้นให้ตรีซึ่งรับซื้อเช็คนั้นโดยสุจริตและไม่ประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงแต่อย่างใด ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าตรีเป็นผู้ทรงเช็คที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ และตรีจะบังคับไล่เบี้ยพิเศษ เอกและโทให้รับผิดตามมูลหนี้ในเช็คดังกล่าวได้เพียงใดหรือไม่ หากธนาคารกรุงทองปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อเช็คนั้นถึงกำหนด

ธงคำตอบ

ก อธิบาย

บุคคลที่กฎหมายตั๋วเงินอนุญาตให้ขีดคร่อมเช็ค ได้แก่

(1) ผู้สั่งจ่ายเช็ค อาจเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไปหรือเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะก็ได้

(2) ผู้ทรงเช็ค อาจเป็นเช็คขีดคร่อมทั่วไปหรือเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะก็ได้

(3) ธนาคาร ต้องเป็นเช็คขีดคร่อมเฉพาะเท่านั้น (มาตรา 995 (1) , (2) , (4) และ (5))

กรณีย่อมเป็นผลให้ธนาคารผู้จ่ายต้องจ่ายเงินตามเช็คเข้าบัญชีของผู้ทรงเช็คหรือธนาคารตัวแทนของผู้ทรงเช็ค ธนาคารจะจ่ายเงินสดมิได้

บุคคลที่กฎหมายตั๋วเงินอนุญาตให้ลงข้อความห้ามโอน หรือห้ามเปลี่ยนมือ หรือความอื่นทำนองเช่นเดียวกัน ได้แก่

(1) ผู้สั่งจ่ายเช็ค (มาตรา 917 วรรคสอง ประกอบมาตรา 989 วรรคแรก)

(2) ผู้สลักหลังเช็ค (มาตรา 923 ประกอบมาตรา 989 วรรคแรก)

(3) ผู้ทรงเช็คขีดคร่อม (มาตรา 995 (3))

กรณีย่อมก่อให้เกิดผลตามกฎหมายแก่บุคคลซึ่งเป็นคู่สัญญาแห่งตั๋วเงินดังนี้ คือ

(1) กรณีที่ผู้สั่งจ่ายเช็คห้ามโอน ผู้รับเงินจะโอนเช็คนั้นด้วยการสลักหลังและส่งมอบต่อไปมิได้ คงโอนต่อไปได้ด้วยการโอนสิทธิเรียกร้องธรรมดา หรือการโอนแบบสามัญซึ่งผู้สั่งจ่ายจะต้องยินยอมด้วยในการโอนหนี้ตามเช็คนั้น (มาตรา 917 วรรคแรกและวรรคสอง ประกอบมาตรา 989 วรรคแรก)

(2) กรณีที่ผู้สลักหลังเช็คห้ามโอน ผู้รับสลักหลังต่อมายังคงสลักหลังโอนต่อไปได้ไม่จำกัดแต่ผู้สลักหลังเช็คซึ่งเป็นผู้ห้ามโอน ไม่ต้องรับผิดต่อคู่สัญญาทั้งหลายซึ่งได้เข้าผูกพันภายหลัง ผู้รับสลักหลังที่ตนเองได้ห้ามโอนไว้ (มาตรา 923 ประกอบมาตรา 899 วรรคแรก)

(3) กรณีที่ผู้ทรงเช็คขีดคร่อมห้ามโอน หากมีบุคคลอื่นแอบนำเช็คนั้นโอนต่อไป ย่อมเป็นผลให้ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน (มาตรา 995 (3) ประกอบมาตรา 999)

ข อธิบาย

มาตรา 905 ภายในบังคับแห่งบทบัญญัติมาตรา 1008 บุคคลผู้ได้ตั๋วเงินไว้ในครอบครองถ้าแสดงให้ปรากฏสิทธิด้วยการสลักหลังไม่ขาดสาย แม้ถึงว่าการสลักหลังรายที่สุดจะเป็นสลักลอยก็ตาม ให้ถือว่าเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อใดรายการสลักหลังลอยมีสลักหลังรายอื่นตามหลังไปอีก ท่านให้ถือว่าบุคคลผู้มีลงลายชื่อในการสลักหลังรายที่สุดนั้น เป็นผู้ได้ไปซึ่งตั๋วเงินด้วยการสลักหลังลอย อนึ่งคำสลักหลังเมื่อขีดฆ่าเสียและห้ามให้ถือเสมือนว่ามิได้มีเลย

ถ้าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดต้องปราศจากตั๋วเงินไปจากครอบครอง ท่านว่าผู้ทรงซึ่งแสดงให้ปรากฏสิทธิของตนในตั๋วตามวิธีการดังกล่าวมาในวรรคก่อนนั้น หาจำต้องสละตั๋วเงินไม่ เว้นแต่จะได้มาโดยทุจริตหรือได้มาด้วยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

มาตรา 995 (3) เช็คขีดคร่อมทั่วไปก็ดี ขีดคร่อมเฉพาะก็ดี ผู้ทรงจะเติมคำลงว่า “ห้ามเปลี่ยนมือ” ก็ได้

มาตรา 999 บุคคลใดได้เช็คขีดคร่อมของเขามาซึ่งมีคำว่า “ห้ามเปลี่ยนมือ” ท่านว่าบุคคลนั้นไม่มีสิทธิในเช็คนั้นยิ่งไปกว่าและไม่สามารถให้สิทธิในเช็คนั้นต่อไปได้ดีกว่าสิทธิของบุคคลอันตนได้เช็คของเขามา

วินิจฉัย

เอกผู้ทรงเช็คได้เขียนข้อความที่มีความหมายว่า “ห้ามโอน” ลงไว้ในเช็คขีดคร่อมแล้ว ตามมาตรา 995(3) แม้ว่าตรีจะรับซื้อลดเช็คจากโทไว้โดยสุจริตและไม่ประมาทเลินเล่อมีการสลักหลังโอนที่ต่อเนื่องไม่ขาดสาย เสมือนเป็นผู้ทรงเช็คที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 905 วรรคแรก และวรรคสอง แต่ตรีก็ได้รับเช็คจากโทซึ่งมิได้มีสิทธิรับเช็คและโอนเช็คนั้น กรณีย่อมเป็นผลให้ตรีมีสิทธิเช่นเดียวกับโทตามมาตรา 999 ตรีจึงไม่เป็นผู้ทรงที่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีสิทธิไล่เบี้ยบุคคลใดให้รับผิดตามมูลหนี้ในเช็คดังกล่าว

สรุป ตรีไม่เป็นผู้ทรงที่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่มีสิทธิไล่เบี้ยบุคคลใดให้รับผิดตามมูลหนี้ในเช็คดังกล่าว

WordPress Ads
error: Content is protected !!