LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง ภาค 1/2552

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงรูปแบบการปกครองของประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบัน  พร้อมทั้งอธิบายถึงวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดี  คณะรัฐมนตรี  และสมาชิกรัฐสภาของประเทศดังกล่าวมาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

รูปแบบการปกครองของประเทศฝรั่งเศส  ปัจจุบันมีลักษณะเป็นรูปแบบการปกครองแบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี  เนื่องจากมีการนำเอารูปแบบการปกครองทั้งสองระบบมาผสมผสานกัน

หลักการที่ลอกเลียนมาจากระบบรัฐสภา  ได้แก่  หลักการที่ฝ่ายบริหารแยกเป็น  2  องค์กร  คือ  องค์กรประมุขแห่งรัฐ  และองค์กร คณะรัฐมนตรี  ที่มีบรรดารัฐมนตรีทั้งหลายร่วมกันบริหารรัฐกิจ  แล้วแสดงออกในนามของรัฐมนตรี

นอกจากนี้ยังมีหลักการที่ว่า  คณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบในทางการเมืองต่อฝ่ายนิติบัญญัติ กล่าวคือ  ฝ่ายนิติบัญญัติมีอำนาจถอดถอนคณะรัฐมนตรี  โดยการแสดงออกซึ่งความไม่ไว้วางใจในการบริหารรัฐกิจของคณะรัฐมนตรี  แต่ไม่มีอำนาจถอดถอนประธานาธิบดี  ตรงกันข้ามประธานาธิบดีเองก็มีอำนาจยุบสภา

หลักการที่ลอกเลียนมาจากระบบประธานาธิบดี  ได้แก่  ความเป็นอิสระของประธานาธิบดีที่ไม่ต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายนิติบัญญัติ  ประธานาธิบดีจึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภา  ไม่อาจถูกถอดถอนโดยสภา  จึงสามารถบริหารงานอยู่ได้จนครบวาระนั่นเอง

สถาบันการปกครองของฝรั่งเศส

1       สถาบันบริหาร  แบ่งออกเป็น

1)    ประธานาธิบดี  มาจากการเลือกตั้งโยตรงจากประชาชนทั่วประเทศ  ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งแรกจะใช้การนับคะแนนแบบเสียงข้างมากเด็ดขาด  นั่นคือ  ผู้สมัครรับเลือกตั้งจะต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้ใช้สิทธิเลือกตั้ง เช่น  มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง  20  ล้านคน  ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่จะได้เป็นประธานาธิบดีจะต้องได้คะแนนเสียง  สิบล้าน + 1 คะแนนขึ้นไป  (สิบล้านหนึ่งคน)  เป็นต้น  โดยในการเลือกตั้งครั้งแรกนี้  ถ้ามีผู้สมัครรับเลือกตั้งได้คะแนนเสียเกินกึ่งหนึ่งแล้วก็ไม่ต้องมีการเลือกตั้งครั้งที่สอง

แต่ถ้าในการเลือกตั้งครั้งแรก  ไม่มีผู้ใดได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่ง  ก็จะทำการเลือกตั้งในครั้งที่สอง  โดยจะให้ผู้ที่ได้คะแนนเสียงเลือกตั้งลำดับที่  1  และลำดับที่  2  ในครั้งแรกเท่านั้นที่จะมีสิทธิลงสมัครในการเลือกตั้งครั้งที่สองนี้ได้  ซึ่งในการนับคะแนนในครั้งที่สองนี้จะใช้การนับคะแนนแบบเสียงข้างมากธรรมดา  นั่นคือ  หนึ่งในสองคนนี้  ใครได้คะแนนมากกว่าก็ได้รับเลือกเข้าเป็นประธานาธิบดีเลย

ประธานาธิบดีของประเทศฝรั่งเศส  มีวาระในการดำรงตำแหน่ง  5  ปี  ทำหน้าที่เป็นทั้งประมุขของประเทศ  และในขณะเดียวกันก็เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารด้วย  (เหมือนกับประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา)

อำนาจหน้าที่ของประธานาธิบดี  แบ่งออกเป็น  2  ประเภท คือ

ประเภทแรก  อำนาจของประธานาธิบดีที่มีต่อองค์กรต่างๆ  ภายในรัฐ  เช่น  อำนาจในการแต่งตั้งนายกฯ  และคณะรัฐมนตรี  อำนาจในการแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงหรือทูต  หรืออำนาจในการออกกฎหมายของฝ่ายบริหาร ฯลฯ

ประเภทที่สอง  อำนาจของประธานาธิบดีที่มีต่อรัฐสภา  เช่น  ลงนามในกฎหมายต่างๆ  หรือให้รัฐสภานำร่างกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของสภาแล้วกัลป์ไปพิจารณาใหม่  อำนาจในการยุบสภาอำนาจในการที่จะสั่งให้มีการหยั่งเสียงประชามติ  และที่สำคัญที่สุดคือ ประธานาธิบดีมีอำนาจพิเศษตามรัฐธรรมนูญที่สามารถใช้อำนาจอธิปไตยได้อย่างเต็มที่เมื่อเกิดภาวะจำเป็นขึ้น  โดยมีเงื่อนไขว่าต้องได้ปรึกษากับสภาตุลาการรัฐธรรมนูญแล้ว

2)  คณะรัฐมนตรี  ประกอบด้วย  นายกรัฐมนตรี  และรัฐมนตรีทั้งหลาย  ซึ่งประธานาธิบดีจะเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจากหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่งแล้วมอบให้ไปจัดตั้งคณะรัฐบาล  ซึ่งต้องไปแถลง

นโยบายขอความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎร  ก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่  พึงสังเกตว่านายกรัฐมนตรีของฝรั่งเศส  มิได้มีอำนาจเท่าเทียมกับอำนาจของนายกรัฐมนตรีในระบบการปกครองแบบรัฐสภาทั้งนี้เพราะผู้ที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารของฝรั่งเศสที่แท้จริงได้แก่ประธานาธิบดี  ที่ไม่จำต้องรับผิดชอบต่อสภา  แต่คณะรัฐมนตรีรวมทั้งนายกรัฐมนตรี  ต้องรับผิดชอบต่อสภาและอาจถูกสภาลงมติไม่ไว้วางใจได้

2       สภานิติบัญญัติ  แบ่งออกเป็น  2  สภา  ได้แก่

1)    สภาผู้แทนราษฎร  มีจำนวนสมาชิก  577  คน  มีวาระการดำรงตำแหน่ง  5  ปี มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนด้วยเกณฑ์ของการนับคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด  ผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งในเขตเลือกตั้งนั้นๆ  ซึ่งมีทั้งหมด  577  เขต  (ระบบแบ่งเขต  เขตละ  1  คน)  ในเขตเลือกตั้งที่ไม่มีผู้ได้รับคะแนนตามเกณฑ์ดังกล่าว  ก็จะต้องให้ผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงสูงสุดในอันดับที่  1  และอันดับที่  2  มาแข่งกันใหม่ในรอบที่สองด้วยเกณฑ์ของการนับคะแนนเสียงข้างมากธรรมดา

2)    วุฒิสภา  มีจำนวนสมาชิก  321  คน  มาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อม  มีวาระการดำรงตำแหน่ง  9  ปี  แต่จำนวนวุฒิสมาชิก  1  ใน  3  จะต้องออกจากตำแหน่งทุก  3  ปี

อำนาจของทั้งสองสภาเท่าเทียมกัน  เว้นแต่ร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการเงินจะต้องให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อน  และที่สำคัญคือ  อำนาจของสภาผู้แทนราษฎรที่จะลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐบาล

3       สถาบันอื่นๆ  เช่น

1)    สภาตุลาการรัฐธรรมนูญ  ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมมิให้กฎหมายอื่นใดมาขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญ  (คล้ายกับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญของไทย)

2)    สภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและสังคม  ทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่รัฐบาลหรือสภาผู้แทนราษฎรเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจและสังคม

3)    ศาลยุติธรรมสูงสุด  ทำหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีที่เกี่ยวกับการทรยศต่อประเทศ

 

ข้อ  2  จงอธิบายที่มาของอำนาจ  การใช้อำนาจ  การควบคุมตรวจสอบอำนาจ  ของอำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจบริหาร  อำนาจตุลาการ  ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

ธงคำตอบ

ก.  อำนาจนิติบัญญัติ

ประเทศไทยปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา  ซึ่งประกอบด้วย  2  สภา  ดังนี้

1       สภาผู้แทนราษฎร  มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  (ส.ส.)  ทั้งหมด  480  คน  มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  มี  2  ประเภทคือ  มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  400  คนและมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน  80  คน  วาระการดำรงตำแหน่งมีกำหนดคราวละ  4  ปี  นับแต่วันเลือกตั้ง

2       วุฒิสภา  มีสมาชิกวุฒิสภา  (ส.ว.)  ประกอบด้วยสมาชิก  150  คน  ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด  จังหวัดละ  1  คน  รวม  76  คนและมาจากการสรรหาโดยคณะกรรมการการสรรหา  รวม  74  คน

อำนาจหน้าที่รัฐสภาไทย  มี  3  ประการหลัก  ได้แก่

1       อำนาจในการตรา  การแก้ไขเพิ่มเติม  หรือการยกเลิกพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ  พระราชบัญญัติทั่วไป

2       อำนาจหน้าที่ในการควบคุมฝ่ายบริหาร  เช่น  การตั้งกระทู้ถาม  การขอเปิดอภิปรายทั่วไป

3       อำนาจหน้าที่ในการให้ความเห็นชอบในเรื่องสำคัญๆ  เช่น  แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  การประกาศสงคราม  การทำสัญญาสำคัญบางประเภทฯลฯ

ข.      อำนาจบริหาร

อำนาจบริหารที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฯ  ได้แก่  คณะรัฐมนตรี  ซึ่งประกอบด้วย

1       นายกรัฐมนตรี  จำนวน  1  คน  เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี

2       รัฐมนตรี  จำนวนไม่เกิน  35  คน  ซึ่งมีตำแหน่งหลากหลาย  เช่น  รองนายกรัฐมนตรี  รัฐมนตรีว่าการฯ  รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ

นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  (ส.ส.)  เท่านั้น  ส่วนรัฐมนตรีนั้น  นากยกรัฐมนตรีจะแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ก็ได้  แต่ต้องมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายบัญญัติ  แต่อย่างไรก็ตาม  คณะรัฐมนตรีจะเป็น  ส.ว.  ในขณะที่เป็นรัฐมนตรีอยู่ไม่ได้

รัฐธรรมนูญฯ  กำหนดหลักการเข้าสู่ตำแหน่งของนายกรัฐมนตรีไว้ว่า  เมื่อมีการเลือกตั้ง  ส.ส.  เสร็จแล้ว  ให้สภา  เรียกประชุมสภาภายใน  30  วัน  นับแต่วันเลือกตั้ง  ส.ส.  เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีให้แล้วเสร็จภายใน  30 วัน  นับแต่วันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาครั้งแรก

การเสนอชื่อบุคคลซึ่งสมควรได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว  ต้องมี  ส.ส.  ไม่น้อยกว่า  1  ใน  5  ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎรรับรอง  และมติของสภาผู้แทนราษฎรที่เห็นชอบด้วยในการแต่งตั้งบุคคลใดให้เป็นนายกรัฐมนตรีต้องมีคะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร

อำนาจหน้าที่ของคณะรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรีในฐานะฝ่ายบริหาร  มีหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินให้เป็นปามนโยบายและกฎหมาย  ซึ่งกฎหมายที่ให้อำนาจแก่ฝ่ายบริหารก็คือ  กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัตินั่นเอง

ค.      อำนาจตุลาการ

รัฐธรรมนูญฯ  มีการจัดระบบศาล  แบ่งเป็น  4  ศาล  ได้แก่  ศาลรัฐธรรมนูญ  ศาลยุติธรรม  ศาลปกครอง  ศาลทหาร  ซึ่งที่มาของศาลต่างๆเหล่านี้เป็นไปตามพระราชบัญญัติที่จัดตั้งศาลนั้นๆ  ขึ้นมา  เช่น  ศาลปกครอง  ก็เป็นไปตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง  พ.ศ.2542  เป็นต้น

อำนาจหน้าที่ขององค์กรตุลาการ

ตุลาการหรือศาลมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของฝ่ายนิติบัญญัติและประชาชน

ส่วนการตรวจสอบการใช้อำนาจขององค์กรทั้งสามนั้น  อธิบายได้ดังนี้

การใช้อำนาจขององค์กรทั้งสามจะมีการถ่วงดุลตรวจสอบซึ่งกันและกัน  ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจซึ่งก็คือ

การควบคุมตรวจสอบฝ่ายบริหารโดยฝ่ายนิติบัญญัติ  เช่น  การตั้งกระทู้ถาม  การเสนอญัตติ  การขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล  ตลอดจนการพิจารณาไม่อนุมัติร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่างๆ 

การควบคุมตรวจสอบฝ่ายนิติบัญญัติโดยฝ่ายบริหาร  ได้แก่  ฝ่ายบริหารมีอำนาจในการยุบสภาได้  ด้วยการถวายคำแนะนำพระมหากษัตริย์ให้ทรงยุบสภาผู้แทนราษฎร  เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่

ส่วนอำนาจตุลาการนั้น  รัฐธรรมนูญให้ความเป็นอิสระมากที่สุด  อำนาจนิติบัญญัติหรือบริหารจะเข้ามาก้าวก่ายการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีไม่ได้  แต่ในขณะเดียวกัน  ฝ่ายตุลาการก็มีอำนาจตรวจสอบการใช้อำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ  เช่น  ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญในการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ   และพระราชบัญญัติ  (ศาลรัฐธรรมนูญ)  ตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย  ไม่ว่าจะเป็นการออกกฎ  คำสั่งทางปกครองหรือการกระทำใดๆ  ของฝ่ายบริหาร  (ศาลปกครอง)  รวมทั้งการตรวจสอบการกระทำที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร  (ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง) ด้วย

 

ข้อ  3  จงทำตามคำสั่งต่อไปนี้

ก.      รัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นจากปัญหาและสาเหตุใด  มีหลักการสำคัญว่าอย่างไร

ข.      จงนำแนวคิดทฤษฎีและหลักการสำคัญของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาอธิบายรัฐธรรมนูญของไทยฉบับปัจจุบัน

ธงคำตอบ

ก.      รัฐธรรมนูญเกิดจากปัญหาการใช้อำนาจทางปกครองของระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์  ที่อำนาจอยู่ที่ผู้นำเพียงผู้เดียว  ประชาชนไม่มีส่วนร่วมในการปกครอง  และการใช้อำนาจในการปกครองไม่สามารถควบคุมตรวจสอบให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีได้  ทำให้ประชาชนถูกรบกวนสิทธิเสรีภาพจากการใช้อำนาจทางปกครองอย่างไม่เป็นธรรม

ปัญหาดังกล่าวทำให้เกิดหลักการแบ่งแยกอำนาจทางปกครองเป็น  3  อำนาจ  คือ  อำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจบริหาร  และอำนาจตุลาการ

จากหลักการแบ่งแยกอำนาจทางปกครอง  ทำให้เกิดระบอบประชาธิปไตยอันเป็นจุดเริ่มต้นของรัฐธรรมนูญ  โดยมีหลักการสำคัญ  คือ

1       ประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียมกัน  เสมอภาคกัน

2       ผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้ใช้อำนาจในทางปกครอง  จะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ  ทำให้เกิดกระบวนการเลือกตั้ง

3       เมื่อได้อำนาจในการปกครองประเทศแล้ว  ต้องใช้อำนาจนั้นเพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและประโยชน์ของประชาชน

4       การใช้อำนาจทางปกครองดังกล่าวจะต้องสามารถควบคุมและตรวจสอบให้อยู่ในความพอเหมาะพอดีได้

ข.      ทฤษฎีหรือหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย  คือ

1       หลักการแบ่งแยกอำนาจทางปกครอง

2       หลักความเสมอภาคและเท่าเทียม

3       หลักการมีส่วนร่วมในการปกครอง

4       หลักการใช้อำนาจทางปกครอง

5       หลักการตรวจสอบการใช้อำนาจทางปกครอง

นักศึกษาสามารถนำทฤษฎีหรือหลักการสำคัญดังกล่าวมาอธิบายรัฐธรรมนูญ  ฉบับปัจจุบันเกี่ยวกับอำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการได้อย่างเสรี  แต่จะต้องอ้างอิงหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตยดังกล่าวข้างต้น  กล่าวคือ  รัฐธรรมนูญฯฉบับปัจจุบัน (รวมทั้งในฉบับอื่นๆ)  ได้นำเอาหลักการแบ่งแยกอำนาจมาใช้  โดยแบ่งอำนาจอธิปไตย  (อำนาจทางปกครอง)  ออกเป็นอำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจบริหาร  และอำนาจตุลาการเพื่อให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจทั้งสามอำนาจไม่ให้อำนาจหนึ่งอำนาจใดใช้ได้อย่างอิสระ  ซึ่งมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือ  การรักษาเสรีภาพและประโยชน์ของประชาชนจากการใช้อำนาจทางปกครองของรัฐ

อนึ่ง  หลักความเสมอภาคและเท่าเทียมของประชาชนภายในรัฐ  มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฯ  ทั้งนี้มีต้นเหตุสืบเนื่องจากหลักการสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของมนุษย์  ปัญหาข้อเท็จจริงและการเรียกร้องในเรื่องการเลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องต่างๆ  เช่น เพศ  อายุ  ภาษา  เชื้อชาติ  ความพิการ  ฯลฯ  ซึ่งเกิดขึ้นจริงในอดีตจนนำไปสู่การบัญญัติเป็นลายลักษณ์อักษร

นอกจากนี้ในเรื่องหลักการใช้อำนาจที่ต้องใช้เพื่อปกป้องและคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน  ก็มีบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญด้วย  อาทิเช่น  ในการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา  คณะรัฐมนตรี  ศาล  รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรมหรือนิติรัฐ  (The  Rule  of  Law)  ส่วนการตรวจสอบการใช้อำนาจ  เช่น  การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน  การตรวจสอบทรัพย์สิน การกระทำที่เป็นการขัดแห่งผลประโยชน์  การถอดถอนจากตำแหน่ง  การดำเนินคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  รวมทั้งในเรื่องการเสนอร่างพระราชบัญญัติโดยประชาชน  การออกเสียงประชามติ  การปกครองส่วนท้องถิ่น  เราก็นำหลักการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐและหลักการมีส่วนร่วมในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาเป็นพื้นฐานในการบัญญัติรัฐธรรมนูญด้วยเช่นกัน   

 

ข้อ  4  นายแดงผู้ประกอบกิจการค้านมกล่อง  ได้มอบเงิน  10  ล้านบาท  ให้แก่นายดำรัฐมนตรี  เพื่อขอให้ดำเนินการช่วยเหลือให้ตนชนะการประมูลในการประกวดราคาเสนอขายนมกล่องให้แก่ทางราชการ  เพื่อนำไปแจกจ่ายแก่นักเรียนในโรงเรียนของรัฐ  ต่อมามีผู้กล่าวหาว่านายดำได้ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ  เพื่อให้นายแดงมอบให้ซึ่งเงิน  10  ล้านบาท  ระหว่างการตรวจสอบสำนวนของอัยการสูงสุด เพื่อฟ้องเป็นคดีอาญาต่อศาล  นายดำรัฐมนตรีได้ถึงแก่ความตายด้วยโรคมะเร็ง  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  อัยการสูงสุดจะฟ้องนายแดงผู้ประกอบกิจการค้านมกล่องเป็นคดีอาญาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในกรณีนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ. 2550

มาตรา  219  วรรคสี่และวรรคห้า  ให้มีแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา…

อำนาจหน้าที่ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  ให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้และในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

มาตรา  275  วรรคแรกและวรรคสอง  ในกรณีที่นายกรัฐมนตรี  รัฐมนตรี  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  สมาชิกวุฒิสภา  หรือข้าราชการการเมืองอื่น  ถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ  กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา  หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น  ให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  มีอำนาจพิจารณาพิพากษา

บทบัญญัติวรรคหนึ่งให้ใช้บังคับกับกรณีที่บุคคลดังกล่าวหรือบุคคลอื่นเป็นตัวการ  ผู้ใช้หรือผู้สนับสนุน  รวมทั้งผู้ให้  หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่บุคคลตามวรรคหนึ่ง  เพื่อจูงใจให้กระทำการ  ไม่กระทำการ  หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ด้วย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  แม้นายแดงจะเป็นผู้ประกอบกิจการค้านมกล่อง  มิใช่บุคคลผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2550 มาตรา  275  วรรคแรก  กล่าวคือ  มิใช่นายกรัฐมนตรี  รัฐมนตรี  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  สมาชิกวุฒิสภา  หรือข้าราชการการเมืองอื่น  แต่การที่นายแดงได้มอบเงิน  (ให้สินบน)  แก่นายดำรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  เพื่อขอให้ดำเนินการช่วยเหลือให้ตนชนะการประมูลในการประกวดราคาเสนอขายนมกล่องให้แก่ทางราชการเพื่อนำไปแจกจ่ายแก่นักเรียนในโรงเรียนของรัฐนั้น  ลักษณะของการกระทำเป็นการก่อให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกระทำผิด  นายแดงจึงเป็นผู้ใช้หรือผู้ให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่รัฐมนตรี  ซึ่งเป็นบุคคลตามมาตรา  275  วรรคแรก  ในการกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ  เพื่อจูงใจให้กระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่  กรณีเช่นนี้นอกจากอัยการสูงสุดจะมีอำนาจฟ้องนายดำต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามมาตรา  275  วรรคแรกแล้ว อัยการสูงสุดยังมีอำนาจฟ้องนายแดงต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามมาตรา  275  วรรคสองได้ด้วย  อนึ่ง  แม้นายดำจะถึงแก่ความตายก่อนที่อัยการสูงสุดจะยื่นฟ้อง  ก็ไม่ทำให้อำนาจฟ้องนายแดงของอัยการสูงสุดเสียไปแต่อย่างใด  ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้ตามรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2550  มาตรา  219  วรรคสี่และวรรคห้า

สรุป  อัยการสูงสุดสามารถฟ้องนายแดงเป็นคดีอาญาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้

หมายเหตุ  เดิมรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2540  มาตรา  308  วรรคสอง  บัญญัติให้นำวรรคแรกมาใช้เฉพาะกับตัวการ  ผู้ใช้และผู้สนับสนุนเท่านั้น ทำให้มีปัญหาว่าผู้ให้สินบนจะถูกฟ้องที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯได้หรือไม่  ดังนั้นรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2550  จึงเพิ่มคำว่า  ผู้ให้  ผู้ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่บุคคลตามวรรคหนึ่ง  เพื่อจูงใจให้กระทำการ  ไม่กระทำการ  หรือประวิงเวลาการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่  เข้ามา  ซึ่งส่วนที่เพิ่มเป็นถ้อยคำในประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  144  เพื่อให้ชัดเจนว่าผู้ให้  ผู้ขอให้หรือรับว่าจะให้สินบนแก่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องถูกฟ้องที่ศาลนี้ด้วย

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 2/2552

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  กฎเกณฑ์หรือวิธีการในการเข้าสู่ตำแหน่งของฝ่ายบริหาร  (ประธานาธิบดีและบรรดารัฐมนตรี)  ในประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศฝรั่งเศส  มีข้อแตกต่างกันหรือไม่  อย่างไร  ให้อธิบาย

ธงคำตอบ

กฎเกณฑ์หรือวิธีการในการเข้าสู่ตำแหน่งของฝ่ายบริหาร  (ประธานาธิบดีและบรรดารัฐมนตรี)  ในประเทศสหรัฐอเมริกา  และประเทศฝรั่งเศส  มีข้อแตกต่างกัน  ดังนี้คือ

ในประเทศสหรัฐอเมริกา  ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งของประชาชนและเป็นการเลือกตั้งโดยอ้อม  โดยประชาชนชาวอเมริกันทั้ง  50  รัฐ  จะเป็นผู้ออกเสียงลงคะแนนเลือกคณะผู้เลือกตั้งใหญ่มีจำนวนทั้งสิ้น  538  คน  โดยจะเลือกจากบุคคลที่ถูกพรรคการเมืองทั้งสองพรรคคือ  พรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน  เสนอเป็นบัญชีรายชื่อเพื่อให้ประชาชนในแต่ละมลรัฐเลือก  และเมื่อรวมคะแนนทั่วทั้ง  50  รัฐแล้ว  พรรคใดได้คะแนนคือได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่เกินกึ่งหนึ่ง  พรรคนั้นก็จะได้ผู้ลงสมัครของพรรคนั้นเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  จากนั้นประธานาธิบดีก็จะทำการแต่งตั้งรัฐมนตรีจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยบริหารงานของประเทศ  โดยความเห็นชอบของวุฒิสภาของสหรัฐอเมริกา

ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  จะมีวาระในการดำรงตำแหน่ง  4  ปี  และสามารถดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน  2  วาระ

ในประเทศฝรั่งเศส  ประธานาธิบดีของฝรั่งเศส  จะมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้ผู้ที่จะได้รับเลือก ต้องได้รับคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของคะแนนเสียงทั้งหมด  ถ้าไม่มีผู้ใดได้คะแนนเสียงตามเกณฑ์ดังกล่าว  ก็จะต้องให้ผู้สมัครที่ได้คะแนนเสียงมากที่สุด  2  อันดับแรกมาแข่งขันกันใหม่ในรอบที่  2  และผู้ที่ได้รับคะแนนเสียงข้างมากในรอบที่  2  ก็จะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี  แล้วประธานาธิบดีก็จะแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี  และมอบหมายให้นายกรัฐมนตรีไปจัดตั้งคณะรัฐมนตรี  ซึ่งจะต้องไปแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎร  เพื่อขอความไว้วางใจก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ตามหลักของระบบรัฐสภา

ประธานาธิบดีของฝรั่งเศสจะมีวาระในการดำรงตำแหน่ง  5  ปี  โดยไม่มีข้อกำหนดว่าจะดำรงตำแหน่งได้กี่วาระ 

 

ข้อ  2  แนวคิดทฤษฎีของรุสโซ  (Rousseau)  ที่ว่า  “อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน”  หมายถึงอะไร  และมีผลตามหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญอย่างไร  การปฏิวัติรัฐประหารโดยคณะทหารกลุ่มหนึ่งโดยอ้างว่าเพื่อประชาธิปไตยนั้น  จะขัดต่อทฤษฎีดังกล่าวหรือไม่  เพราะเหตุใด  ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

ตามทฤษฎีของรุสโซ  (Rousseau)  ที่ว่า  “อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน”  นั้น  หมายถึงอำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนแต่ละคนที่รวมกันอยู่ในรัฐ  ประชาชนหรือราษฎรแต่ละคนจึงมีส่วนในการมอบอำนาจในลักษณะที่ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้ง  เป็นผู้เลือกผู้แทนขึ้น  และก่อให้เกิดผลตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ  ดังนี้คือ

 1       ราษฎรแต่ละคนมีสิทธิที่จะเลือกผู้ปกครองทั้งนี้เพื่อเป็นการแสดงออก  ซึ่งส่วนแห่งอำนาจอธิปไตยของตนอันนำมาซึ่งหลักที่เรารู้จักกันดีคือ  การเลือกตั้งอย่างทั่วถึง  (Universal  Suffrage)  เพราะถือว่าการเลือกตั้งเป็นสิทธิของทุกคน  มิใช่เป็นหน้าที่จึงไม่อาจจำกัดสิทธิได้ดังที่รุสโซกล่าวว่า  สิทธิเลือกตั้งเป็นสิทธิที่ไม่มีอะไรมาพรากไปจากประชาชนได้

2       การมอบอำนาจของราษฎรให้ผู้แทนนั้นเป็นการมอบอำนาจในลักษณะที่ผู้แทนต้องอยู่ภายใต้อาณัติของราษฎรผู้เลือกตั้ง 

ดังนั้น  การปฏิวัติรัฐประหารโดยคณะทหารกลุ่มหนึ่งโดยอ้างว่าเพื่อประชาธิปไตยนั้น  จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อทฤษฎีของรุสโซดังกล่าวข้างต้น

 

ข้อ  3  ในฐานะที่ท่านเป็นคนไทยและเป็นนักศึกษาที่กำลังศึกษาวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญ  และเมื่อท่านสำเร็จการศึกษาแล้วจะไปเป็นผู้นำของคนในสังคม

จงอธิบายอย่างครบถ้วนเกี่ยวกับที่มาของอำนาจ  การใช้อำนาจ  การควบคุมตรวจสอบอำนาจ  ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจบริหาร  และอำนาจตุลาการ

ธงคำตอบ

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550  ได้กำหนดเกี่ยวกับที่มาของอำนาจ  การใช้อำนาจ  การควบคุมตรวจสอบอำนาจ  ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจบริหาร  และอำนาจตุลาการ  ไว้ดังนี้  คือ

ที่มาของอำนาจ

1       อำนาจนิติบัญญัติ  มี  “รัฐสภา”  เป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ  ซึ่งรัฐสภาจะประกอบไปด้วย  สภาผู้แทนราษฎร  และวุฒิสภา

“สภาผู้แทนราษฎร”  ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน  480  คน  โดยเป็นสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งจำนวน  400  คน  และสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วนจำนวน  80  คน

“วุฒิสภา”  ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน  150  คน  ซึ่งมาจากการเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด  จังหวัดละหนึ่งคน  และมาจากการสรรหาเท่ากับจำนวนรวมข้างต้น  หักด้วยจำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง

2       อำนาจบริหาร  มี  “คณะรัฐมนตรี”  เป็นองค์กรที่ใช้อำนาจบริหาร  ซึ่งคณะรัฐมนตรีจะประกอบไปด้วย  นายกรัฐมนตรีหนึ่งคน และรัฐมนตรีอื่นอีกไม่เกิน  35  คน  โดยนายกรัฐมนตรีต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

3       อำนาจตุลาการ  มี  “ศาล”  เป็นองค์กรที่ชิอำนาจตุลาการ  ซึ่งตามรัฐธรรมนูญฯ  ได้บัญญัติไว้ในหมวด  10  ว่า  ศาลมี  4  ศาล  ได้แก่

(1)    ศาลรัฐธรรมนูญ  ประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญหนึ่งคน  และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอื่นอีก  8  คน  ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา

(2)   ศาลยุติธรรม  ซึ่งมีสามชั้น  ได้แก่  ศาลชั้นต้น  ศาลอุทธรณ์  และศาลฎีกา

(3)   ศาลปกครอง  และ

(4)   ศาลทหาร

การใช้อำนาจ

1       อำนาจนิติบัญญัติ  ฝ่ายนิติบัญญัติ  คือ  รัฐสภามีอำนาจหน้าที่ในการบัญญัติกฎหมาย  ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายแพ่ง  กฎหมายอาญา  กฎหมายปกครอง  หรือกฎหมายอื่นๆ  มีอำนาจในการให้ความเห็นชอบ  เช่น  ให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม  ให้ความเห็นชอบในการทำสนธิสัญญากับต่างประเทศ  เป็นต้น  มีอำนาจในการควบคุมการทำงานของรัฐบาล  เช่น  การตั้งกระทู้ถาม  การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ  เป็นต้น

2       อำนาจบริหาร  ฝ่ายบริหาร  คือ  รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี  มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน  ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ  กฎหมาย  และนโยบายที่ได้แถลงไว้

3       อำนาจตุลาการ  ฝ่ายตุลาการ  คือ  ศาล  มีอำนาจหน้าที่ในการใช้กฎหมายให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ  และตามเจตนารมณ์ของประชาชนหรือฝ่ายนิติบัญญัติ  ซึ่งแต่ละศาลจะมีอำนาจหน้าที่ในการใช้กฎหมายแตกต่างกัน

การควบคุมตรวจสอบ

1       อำนาจนิติบัญญัติ  อาจถูกควบคุมตรวจสอบได้โดยฝ่ายตุลาการ  เช่น  ฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเป็นฝ่ายบัญญัติกฎหมาย  ถ้ามีการบัญญัติกฎหมายออกมาแย้งหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญ  ก็จะต้องมีการตรวจสอบโดยฝ่ายตุลาการ  คือ  ศาลรัฐธรรมนูญ  และอาจจะถูกควบคุมโดยฝ่ายบริหาร  เช่น  การที่ฝ่ายบริหารไม่เสนอกฎหมายให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณา  หรือเสนอกฎหมายไปแล้วแต่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่ให้ความเห็นชอบ  ฝ่ายบริหารก็สามารถยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ก็ได้

2       อำนาจบริหาร  อาจถูกควบคุมตรวจสอบได้โดยฝ่ายนิติบัญญัติ  เช่น  การไม่ให้ความเห็นชอบต่อกฎหมายที่ฝ่ายบริหารเสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณา  การควบคุมตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร  เช่น  การตั้งกระทู้ถาม  การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ การตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร  เป็นต้น

3       อำนาจตุลาการ  การใช้อำนาจตุลาการนั้น  อาจถูกควบคุมหรือถ่วงดุลได้โดยฝ่ายนิติบัญญัติ  เช่น  ฝ่ายนิติบัญญัติ  ได้บัญญัติกฎหมายให้ฝ่ายตุลาการหรือศาลใช้อำนาจตามกฎหมายได้เพียงเท่าที่กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติได้บัญญัติไว้เท่านั้น  และในบางกรณีกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของฝ่ายนิติบัญญัติก็เป็นกฎหมายที่เสนอโดยฝ่ายบริหาร  ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ถือว่าฝ่ายบริหารได้เข้ามาควบคุมถ่วงดุลการใช้อำนาจของฝ่ายตุลาการนั่นเอง  แต่อย่างไรก็ตาม  ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจะไม่มีอำนาจในการตรวจสอบอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีของฝ่ายตุลาการ

 

ข้อ  4  ในการพิจารณาคดีแพ่งเรื่องหนึ่ง  ระหว่างสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติของรัฐสภา  ของศาลจังหวัดชลบุรี  ซึ่งมีนายเอก  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นจำเลยในคดี  โดยนายเอกได้ยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลจังหวัดชลบุรีเพื่อให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยว่า  นายเอกเป็นผู้บริโภคตามมาตรา  61  รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2550  หรือไม่  และการพิจารณาคดีในระหว่างสมัยประชุมสามัญนิติบัญญัติของศาลจังหวัดชลบุรีชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่  ดังนี้  หากท่านเป็นศาลซึ่งพิจารณาคดีนี้  จะดำเนินการในกรณีนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550

มาตรา  6  “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ  บทบัญญัติใดของกฎหมาย  กฎ  หรือข้อบังคับ  ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้

มาตรา  131  วรรคสาม  “ในกรณีที่มีการฟ้องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาในคดีอาญา  ไม่ว่าจะได้ฟ้องนอกหรือในสมัยประชุม  ศาลจะพิจารณาคดีนั้นในระหว่างสมัยประชุมมิได้  เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก”

มาตรา  211  วรรคหนึ่ง  “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด  ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  6  และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น  ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย  ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้  แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว  จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”

วินิจฉัย

ประเด็นที่  1  การที่นายเอกได้ยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลจังหวัดชลบุรี  เพื่อให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยว่า  นายเอกเป็นผู้บริโภคตามมาตรา  61  แห่งรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2550  หรือไม่นั้น  ไม่ใช่การโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ  ตามมาตรา  211  ดังนั้นศาลจังหวัดชลบุรีจึงไม่ต้องส่งคำร้องโต้แย้งของนายเอกไปยังศาลรัฐธรรมนูญตามที่นายเอกร้องขอ

ประเด็นที่  2  ตามมาตรา  131  วรรคสาม  ในกรณีที่มีการฟ้องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  และศาลจะพิจารณาคดีนั้นในระหว่างสมัยประชุมสภามิได้นั้น  ใช้บังคับเฉพาะในกรณีการพิจารณาคดีอาญาเท่านั้น  ไม่ใช้บังคับกับการพิจารณาคดีแพ่ง  ดังนั้นเมื่อตามอุทาหรณ์  เป็นการพิจารณาคดีแพ่ง  จึงไม่ต้องห้ามตามมาตรา  131  วรรคสาม  แต่อย่างใด  ศาลจังหวัดชลบุรีสามารถดำเนินการพิจารณาคดีต่อไปได้

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล  ข้าพเจ้าจะไม่ส่งคำร้องโต้แย้งของนายเอกไปยังศาลรัฐธรรมนูญตามที่นายเอกร้องขอ  และจะดำเนินการพิจารณาคดีนั้นต่อไป 

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง S/2552

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2552

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงระบบการปกครอง  และวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดี  คณะรัฐมนตรี  และสมาชิกรัฐสภาของประเทศฝรั่งเศส

ธงคำตอบ

ระบบการปกครองของประเทศฝรั่งเศส  เป็นการปกครองในระบบกึ่งรัฐสภา  กึ่งประธานาธิบดี  เนื่องจากมีการนำเอาหลักการของระบบการปกครองทั้งระบบรัฐสภาของประเทศอังกฤษ  และระบบประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกามาผสมผสานใช้ร่วมกัน  เช่น  หลักที่ประมุขของประเทศ  คือ  ประธานาธิบดีไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร  แต่มีอำนาจในการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร  ในขณะที่คณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร  ดังเช่นในระบบรัฐสภา

วิธีการเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดีของประเทศฝรั่งเศสนั้น  ประธานาธิบดีจะมาจากการเลือกตั้งโดยตรง  (โดยมีวาระ  5  ปี)  ด้วยเกณฑ์ของการนับคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด  (คือเกินกึ่งหนึ่ง)  ถ้าไม่มีผู้ใดได้คะแนนตามเกณฑ์ดังกล่าว  ก็จะให้ผู้ที่ได้คะแนนในอันดับที่  1  และ  2  มาแข่งกันใหม่ในรอบที่สอง  ด้วยเกณฑ์ของคะแนนเสียงข้างมากธรรมดา  เมื่อได้ตัวประธานาธิบดีแล้ว  ประธานาธิบดีจะเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี  จากหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง  แล้วมอบให้นายกรัฐมนตรีไปจัดตั้งคณะรัฐมนตรี  และคณะรัฐมนตรีจะต้องไปแถลงนโยบายขอความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎรก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่

สำหรับสมาชิกรัฐสภาของประเทศฝรั่งเศสนั้น  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีจำนวน  577  คน  มาจากการเลือกตั้งทั่วไปโดยตรงด้วยเกณฑ์ของคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด  ผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งในเขตเลือกตั้งนั้นๆ  ซึ่งมีทั้งหมด  577  เขต  (ซึ่งเป็นการเลือกตั้งระบบแบ่งเขต  เขตละหนึ่งคน)  ถ้าในเขตเลือกตั้งใดไม่มีผู้ใดได้รับคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด  ก็จะต้องให้ผู้ที่ได้คะแนนเสียงอันดับที่  1  และที่  2  มาแข่งกันใหม่ในรอบที่สองด้วยเกณฑ์ของคะแนนเสียงข้างมากธรรมดา  และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะมีวาระในการดำรงตำแหน่ง  5  ปี

ส่วนสมาชิกวุฒิสภานั้นจะมาจากการเลือกตั้งทางอ้อม  โดยคณะบุคคลที่ทำการเลือก  ได้แก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  และสมาชิกสภาท้องถิ่นทั้งหลาย  โดยมีจำนวนทั้งสิ้น  321  คน  และมีวาระในการดำรงตำแหน่ง  9  ปี  และทุกๆ  3  ปี  จะมีการจับสลากออก  1  ใน  3  เพื่อเลือกตั้งใหม่ 

 

ข้อ  2  จงอธิบายถึงสาระสำคัญของ  “หลักการคุ้มครองความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ”  (Vorrang  der  Verfassung) 

ธงคำตอบ

รัฐธรรมนูญ  เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ  ที่ได้บัญญัติกฎเกณฑ์การปกครองประเทศไว้  เช่น  การบัญญัติเกี่ยวกับการดำรงตำแหน่งประมุขของรัฐ  การทำหน้าที่นิติบัญญัติ  หน้าที่บริหาร  หน้าที่ตุลาการ ฯลฯ  และเป็นกฎหมายที่ได้จัดทำขึ้นตามวิธีการที่กำหนดเป็นพิเศษแตกต่างจากกฎหมายธรรมดา

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550  มีบทบัญญัติที่เป็นสาระสำคัญและถือว่าเป็นหลักการคุ้มครองความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญไว้หลายมาตรา  เช่น

มาตรา  3  ได้บัญญัติว่า  อำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นอำนาจสูงสุด  ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจบริหาร  และอำนาจตุลาการ  เป็นของปวงชนชาวไทย  พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา  คณะรัฐมนตรี  และศาล  ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

มาตรา  6  ได้บัญญัติว่า  รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ  บทบัญญัติใดของกฎหมาย  กฎ  หรือข้อบังคับ  ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้  บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้

มาตรา  69  ได้บัญญัติว่า  บุคคลย่อมมีสิทธิต่อต้านโดยสันติวิธีซึ่งการกระทำใดๆ  ที่เป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศ โดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา  211  ได้บัญญัติว่า  ในกรณีที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด  ถ้าศาลเห็นเอง  หรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  6  (ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ)  และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น  ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย

มาตรา  245(1)  ได้บัญญัติไว้ว่า  ถ้าบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่อง  พร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญและให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า

มาตรา  291  ซึ่งได้บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญไว้  ทำให้เห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญนั้นเป็นกฎหมายที่แก้ไขได้ยาก  เช่น  ถ้าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

(1)    ญัตติขอแก้ไขต้องมาจากคณะรัฐมนตรี  หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา  มีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร  หรือของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภาแล้วแต่กรณี  หรือจากประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นคน  และถ้าญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นมีผลเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  หรือเปลี่ยนแปลงรูปของรัฐ  ก็จะเสนอมิได้

(2)    ญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ  ต้องเสนอเป็นร่างรัฐธรรมนูญแก้ไข  และให้รัฐสภาพิจารณาเป็นสามวาระ  คือ  วาระที่หนึ่งขั้นรับหลักการ  วาระที่สองขั้นพิจารณาเรียงลำดับมาตรา  และวาระที่สามเป็นการลงคะแนนให้ความเห็นชอบ  ซึ่งต้องได้คะแนนมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา

(3)   เมื่อได้ลงมติให้ความเห็นชอบแล้ว  ก็จะต้องนำร่างรัฐธรรมนูญนั้นขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย  เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย

 

ข้อ  3   นางทองและพวกรวม  20  คน  ได้ยื่นหนังสือต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองเพื่อขอจัดตั้ง  “พรรคมิตรสตรี”  โดยมีนโยบายหลักของพรรคคือการเรียกร้องและสนับสนุนให้มีการคุ้มครองสิทธิสตรีมากกว่าชาย  ปรากฏว่านายทะเบียนพรรคการเมืองได้ปฏิเสธการรับจดแจ้งการจัดตั้งพรรค

โดยแจ้งเป็นหนังสือแก่นางทองและพวกว่าเนื่องจากนโยบายของพรรคมีการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ  และไม่สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  เพราะก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันของบุคคล  ซึ่งบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2550  มาตรา  30  นั้นบัญญัติให้  “บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย  ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน”

ดังนี้  ท่านเห็นว่าการปฏิเสธของนายทะเบียนพรรคการเมืองชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่  และหากนางทองและพวกเห็นว่าการปฏิเสธดังกล่าวของนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  นางทองและพวกจะใช้สิทธิในทางศาลต่อศาลใดได้บ้างหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550

มาตรา  28  วรรคสอง  บุคคลย่อมสามารถใช้สิทธิทางศาลเพื่อบังคับให้รัฐต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในหมวดนี้ได้โดยตรง  หากการใช้สิทธิและเสรีภาพในเรื่องใดมีกฎหมายบัญญัติรายละเอียดแห่งการใช้สิทธิและเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้แล้ว  ให้การใช้สิทธิและเสรีภาพในเรื่องนั้นเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา  65  วรรคหนึ่งและวรรคสอง  บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมือง  เพื่อสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนและเพื่อดำเนินกิจกรรมในทางการเมืองให้เป็นไปตามเจตนารมณ์นั้น  ตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

การจัดองค์กรภายใน  การดำเนินกิจการ  และข้อบังคับของพรรคการเมือง  ต้องสอดคล้องกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง  พ.ศ.2550  มาตรา  13  วรรคท้าย  ผู้ยื่นจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองซึ่งไม่เห็นด้วยกับคำสั่งไม่รับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคการเมืองของนายทะเบียน  อาจยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งตามวรรคสามต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งคำสั่งดังกล่าว

วินิจฉัย

ตามอุทาหรณ์  เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงประกอบกับหลักกฎหมายดังกล่าวแล้ว  วินิจฉัยได้  ดังนี้  คือ

ประเด็นที่  1  การที่นางทองและพวกได้ยื่นหนังสือต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองเพื่อจัดตั้ง  “พรรคมิตรสตรี”  นั้น  ย่อมสามารถที่จะกระทำได้ตามมาตรา  65  วรรคหนึ่ง  ซึ่งได้บัญญัติไว้ว่า  บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมตัวจัดตั้งพรรคการเมือง

และในการขอจัดตั้งพรรคการเมืองของนางทองและพวกโดยมีนโยบายหลักของพรรคคือ  การเรียกร้องและสนับสนุนให้มีการคุ้มครองสิทธิสตรีมากกว่าชายนั้น  การใช้เสรีภาพในการจัดตั้งพรรคมิตรสตรีของนางทองและพวก  รวมทั้งนโยบายของพรรคในกรณีดังกล่าวก็ไม่ได้เป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญฯตามมาตรา  28  วรรคแรก  และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแต่อย่างใด  เป็นเพียงการเสนอแนวคิดความเห็นเชิงนโยบายของพรรคเท่านั้น  ดังนั้นการที่นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ปฏิเสธการรับจดแจ้งการจัดตั้งพรรคของนางทองและพวกจึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

ประเด็นที่  2  เมื่อการกระทำของนายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นการละเมิดต่อเสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมืองของนางทองและพวกตามมาตรา  65  วรรคหนึ่ง  นางทองและพวกจึงสามารถใช้สิทธิในทางศาลได้ตามมาตรา  28  วรรคสอง  ประกอบด้วย  พ.ร.บ.  ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ  มาตรา  13  วรรคท้าย  โดยให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน  30  วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่งดังกล่าวจากนายทะเบียนพรรคการเมือง

สรุป  การปฏิเสธของนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  และนางทองและพวกสามารถใช้สิทธิในทางศาลต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ 

 

ข้อ  4  ในการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเลย  ผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการปรากฏว่า  นายสมใจเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง  ต่อมามีบุคคลได้ร้องเรียนว่า  นายสมใจได้ทุจริตซื้อเสียงโดยได้จ่ายเงินจำนวน  1  แสนบาท  ให้แก่นายแดงกำนันตำบลห้วยใสเพื่อไปซื้อเสียงกับประชาชนในตำบล  ซึ่งคณะกรรมการการเลือกตั้งได้ทำการสอบสวนและได้ตัดพยานบุคคลที่นายสมใจอ้างมาทั้งหมด  โดยวินิจฉัยว่า  นายสมใจได้ทุจริตในการเลือกตั้งจริง  จึงให้เพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งและให้มีการเลือกตั้งใหม่  นายสมใจเห็นว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย  เพราะได้ตัดพยานของตนออกไปทั้งหมด  และยังไม่ได้เรียกนายแดงพยานสำคัญมาสอบสวนแต่อย่างใด  ซึ่งเป็นพยานที่มีผลต่อการวินิจฉัยในเรื่องนี้  ดังนั้นหากนายสมใจประสงค์ที่จะใช้สิทธิในทางศาล  เพื่อที่จะขอให้ศาลสั่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งสอบสวนในเรื่องนี้ใหม่  และให้เรียกนายแดงพยานสำคัญเข้ามาทำการสอบสวนด้วย  ดังนี้  นายสมใจจะใช้สิทธิในทางศาลในกรณีนี้ได้หรือไม่  และศาลใดจะมีอำนาจรับเรื่องไว้พิจารณา

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550

มาตรา  239  วรรคหนึ่งและวรรคท้าย  ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งวินิจฉัยให้มีการเลือกตั้งใหม่หรือเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งก่อนการประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา  ให้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นที่สุด

ให้นำความในวรรคหนึ่ง  วรรคสอง  และวรรคสาม  มาใช้บังคับการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นด้วยโดยอนุโลม

วินิจฉัย

เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์  และหลักกฎหมายมาตรา  239  แห่งรัฐธรรมนูญฯดังกล่าวข้างต้น  จะเห็นได้ว่า  ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งวินิจฉัยให้มีการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งและให้มีการเลือกตั้งใหม่ก่อนการประกาศผลเลือกตั้งผู้บริหารท้องถิ่น  ให้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นที่สุด

ดังนั้น  การที่คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ทำการสอบสวนนายสมใจ  กรณีที่นายสมใจได้กระทำการทุจริตในการเลือกตั้ง  และได้วินิจฉัยให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนายสมใจ  และให้มีการเลือกตั้งใหม่นั้น  คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งย่อมเป็นที่สุด  นายสมใจไม่อาจฟ้องเป็นคดีต่อศาลเพื่อขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งวินิจฉัยให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้

สรุป  คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นที่สุด  นายสมใจจะใช้สิทธิในทางศาลใดๆไม่ได้

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 1/2553

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงโครงสร้างของรัฐ  ระบบการปกครอง  และการจัดตั้งสถาบันการปกครองหลักของประเทศสหรัฐอเมริกา  มาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

ประเทศสหรัฐอเมริกา  ถือว่าเป็นแม่แบบของการปกครองในระบบประธานาธิบดี  โดยเป็นประเทศที่มีโครงสร้างแบบรัฐรวมในลักษณะของการรวมตัวแบบเหนียวแน่น  ที่เรียกว่า  สหพันธรัฐ  หรือเรียกสั้นๆว่า  สหรัฐ  ซึ่งเป็นการรวมตัวกันโดยใช้เกณฑ์แห่งความเสมอภาคระหว่างรัฐใหญ่กับรัฐเล็กที่เป็นสมาชิก  รัฐสมาชิกดังกล่าวยินยอมที่จะสูญเสียอำนาจบางประการให้กับศูนย์กลางแห่งอำนาจ  ยอมให้มีการกำหนดเกณฑ์ในการใช้อำนาจปกครองร่วมกัน  โดยมีการสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นที่เรียกว่า  รัฐธรรมนูญใหม่  หรือ  รัฐธรรมนูญกลาง

ลักษณะสำคัญของการปกครองในระบบประธานาธิบดี  มี  2  ประการ  คือ

1       ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน

2       มีการแบ่งแยกอำนาจกันค่อนข้างเด็ดขาดระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร  กล่าวคือ  เป็นอิสระจากกัน  ไม่มีมาตรการล้มล้างซึ่งกันและกัน  ดังนั้นสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่มีอำนาจในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร  และในทางกลับกันฝ่ายบริหารก็ไม่มีอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร  สังเกตว่าในข้อนี้จะแตกต่างจากการปกครองในระบบรัฐสภาอย่างชัดเจน

การจัดตั้งสถาบันการปกครองของสหรัฐอเมริกา  มีดังนี้

ก.      สถาบันนิติบัญญัติ  (สภาคองเกรส)

รัฐสภาอเมริกัน  เรียกว่า  สภาคองเกรส (Zcongress)  ประกอบด้วย  2  สภา คือ

1       สภาผู้แทนราษฎร  ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  แบบเสียงข้างมากรอบเดียว  มีวาระในการดำรงตำแหน่ง  2  ปี  มีจำนวนทั้งสิ้น  435  คน  รวมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของศูนย์กลางแห่งอำนาจหรือที่เรียกว่า  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพิเศษของวอชิงตัน  ดี.ซี.  อีก  3  คน  ฉะนั้นจึงมีจำนวนทั้งหมด  438 คน

คุณสมบัติของผู้สมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  คือ  ต้องมีอายุ  25  ปีขึ้นไป  และมีสัญชาติอเมริกันมาแล้วอย่างน้อย  7  ปี

2       สภาสูงหรือวุฒิสภา  ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน  2  คนต่อ  1  มลรัฐ  รวมทั้งสิ้นจำนวน  100 คน  มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  มีวาระการดำรงตำแหน่ง  6  ปี  แต่สมาชิก  1  ใน  3  ของทั้งหมดจะต้องถูกจับสลากออกไปสมัครเข้ารับการเลือกตั้งใหม่ทุกๆ  2  ปี  ในระหว่างที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

คุณสมบัติของผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภา คือ  ต้องมีอายุตั้งแต่  30  ปีขึ้นไปและได้สัญชาติอเมริกันมาแล้ว  9  ปีขึ้นไป

สมาชิกของสภาคองเกรสได้รับเอกสิทธิ์คุ้มครองเช่นเดียวกับสมาชิกของสภาทั่วๆไปในรัฐสมัยใหม่  นอกจากนี้ยังได้รับการยกเว้นภาษี  ค่าใช้จ่ายของเลขานุการ  เงื่อนไขในการทำงานของสมาชิกสภาคองเกรสยังดีกว่าสมาชิกของประเทศอื่นๆโดยเฉพาะทางด้านข้อมูลข่าวสาร

อำนาจหน้าที่ของสภาคองเกรส

1       อำนาจในการตรากฎหมายและการตรากฎหมายเกี่ยวกับงบประมาณ  ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่างมีอำนาจในเรื่องนี้อย่างเท่าเทียมกัน  ยกเว้นในเรื่องที่เกี่ยวกับภาษีอากรจะต้องริเริ่มโดยสภาผู้แทนราษฎร

2       อำนาจในการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ  การริเริ่มการแก้ไขรัฐธรรมนูญมีได้ทั้งจากสภาคองเกรส  หรือจากสภานิติบัญญัติของมลรัฐต่างๆ

3       อำนาจในการเลือกตั้งแทน  เมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดี  และรองประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  ถ้าปรากฏว่าผู้สมัครได้รับคะแนนเสียงเท่ากัน  กรณีนี้สภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้ใช้สิทธิเลือกประธานาธิบดีส่วนวุฒิสภาก็จะใช้สิทธิเลือกรองประธานาธิบดี

4       อำนาจอื่นๆของสภาคองเกรส  เช่น  ดูแลการบริหารของหน่วยงานบริการสาธารณสุขตลอดจนเจ้าหน้าที่ของสหรัฐอเมริกา

อำนาจหน้าที่เฉพาะของสภาสูงหรือวุฒิสภาของอเมริกา

1       ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ชั้นสูงของสหพันธรัฐ

2       ให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาระหว่างประเทศ  โดยต้องได้รับการให้สัตยาบันจากสภาสูงด้วยคะแนนเสียง  2  ใน  3

ข.      สถาบันบริหารของสหรัฐอเมริกา

ฝ่ายบริหารจะมีประธานาธิบดีเป็นผู้นำสูงสุด  ซึ่งมีความเป็นอิสระจากรัฐมนตรีทั้งปวง  โดยประธานาธิบดีจะเป็นทั้งประมุขของรัฐและเป็นหัวหน้ารัฐบาล

ในสหรัฐอเมริกามีพรรคการเมืองใหญ่ๆ  อยู่เพียง  2  พรรค  คือ  พรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต  ที่มีโอกาสสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่บริหารประเทศ  โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานั้นถือว่าเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม  กล่าวคือ  ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง  เรียกว่า  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  (Big  Elector)  เพื่อทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี  ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้

การเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีได้รับเลือกมาพร้อมกันในรูปแบบของ  “Ticket”  เดียวกันโดยได้รับเลือกจากประชาชน  มีขั้นตอนดังนี้

ขั้นตอนที่  1 

พรรคการเมืองทั้ง  2  พรรคดังกล่าว  จะคัดเลือกตัวแทนของแต่ละพรรคในแต่ละมลรัฐ  ซึ่งมีทั้งหมด  50  มลรัฐ  เพื่อส่งเข้าประชุมร่วมกันในระดับชาติ หรือเรียกกันว่าเป็นการประชุมระดับ  Convention  เพื่อให้คนที่มาประชุมร่วมกันของแต่ละพรรคนั้นทำการคัดเลือกบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะส่งเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี  เมื่อได้ตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีแล้ว  ผู้ที่ได้รับเลือกมีสิทธิเลือกบุคคลที่จะลงชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีด้วย

ขั้นตอนที่  2 

กำหนดให้ประชาชนชาวอเมริกันในแต่ละมลรัฐไปทำการออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่  ซึ่งบัญชีรายชื่อของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่นี้ในแต่ละมลรัฐจะแตกต่างกันในเรื่องของจำนวน  ทั้งนี้จำนวนสมาชิกของคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ที่จะมีได้ในแต่ละมลรัฐนั้นจะมีลักษณะเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  อย่างเช่น  มลรัฐแคลิฟอร์เนีย  สามารถมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ 30  คน  และสมาชิกวุฒิสภาอีก  2  คน  ดังนั้นรวมแล้วได้  32  คน  ดังนั้นทั้งพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตซึ่งอยู่ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียจะทำบัญชีรายชื่อคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของตนในมลรัฐนี้ขึ้นพรรคละ  32  รายชื่อ  เพื่อเสนอต่อประชาชนในมลรัฐให้เลือกเข้ามา  ฉะนั้นหากประชาชนนิยมผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของพรรคใด  ก็จะลงคะแนนให้แก่บุคคลตามบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น  และจะต้องเลือกทั้ง  32  คนของพรรคใดพรรคหนึ่งเท่านั้น  เมื่อลงคะแนนเสร็จก็จะได้สรุปว่าพรรคใดจะได้รับเลือกให้ทำหน้าที่คณะผู้เลือกตั้งใหญ่

สำหรับ  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  นั้นมีทั้งหมด  538  คน  ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ  ซึ่งกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  (435 + 3 + 100 )  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ข้างมากและเด็ดขาด  คือ  จะต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป

ดังนั้นจะเห็นว่า  หลังจากการเลือกตั้งคณะผู้เลือกตั้งใหญ่เสร็จลงแล้วรวมคะแนนจาก  50  มลรัฐของแต่ละพรรค  ถ้าปรากฏว่าพรรคใดได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ถึง  270  เสียง  คือ  เกินกึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมด  (กึ่งหนึ่ง  269)  ก็จะทำให้ทราบทันทีว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคดังกล่าวย่อมได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดี

ขั้นตอนที่  3

ถือเป็นขั้นตอนสุดท้าย  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้คณะผู้เลือกตั้งใหญ่ทั้งหมดจำนวน  538  คนไปออกเสียงลงคะแนนเลือกประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  ซึ่งก็แน่นอนว่าคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ของแต่ละพรรคก็จะลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัครของพรรคตน  ดังนั้นสมมุติว่าพรรคเดโมแครตได้จำนวนคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป  ก็หมายความว่า  ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคเดโมแครตย่อมจะได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี

โดยที่ประชุมของสภาคองเกรส  จะประกาศผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการว่าใครเป็นผู้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  และหลังจากนั้นก็จะมีพิธีการอย่างเป็นทางการในการเข้าสู่ตำแหน่งของประมุขฝ่ายบริหาร

วาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี  ก็คือ  4  ปี  ในกรณีที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเกิดว่างลงหรือไม่สามารถบริหารประเทศได้โดยสิ้นเชิง  รองประธานาธิบดีจะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนที่  และมีอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับประธานาธิบดี

ค.      สถาบันตุลาการ  (ศาลยุติธรรมสูงสุด)

ศาลสูงสุดของอเมริกา  ได้รับแต่งตั้งจากประธานาธิบดี แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูงโดยหน้าที่หลักๆของศาลสูงสุดของอเมริกา  ได้แก่

1       ควบคุมดูแลมิให้กฎหมายอื่นใดมาขัด  หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญกลาง

2       พิจารณาพิพากษาในกรณีมีการกล่าวหาทูต  กงสุล  รัฐมนตรี  หรือรัฐสมาชิก

 

ข้อ  2  การยุบสภาคืออะไร  และตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550  ได้บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการยุบสภาไว้อย่างไร  ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

ความหมายของ  “การยุบสภา”  นั้น  ในทางทฤษฎี  หมายถึง  มาตรการของฝ่ายบริหารในการควบคุมฝ่ายนิติบัญญัติ  อันมีผลทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดมีอันสิ้นสุดลง

อำนาจในการยุบสภานี้  ถือว่าเป็นสาระสำคัญของระบอบปกครองแบบรัฐสภา  ซึ่งมีการถ่วงดุลอำนาจกันระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ  กล่าวคือ  ฝ่ายบริหารสามารถยุบสภาได้  และฝ่ายนิติบัญญัติสามารถลงมติไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร  (ฝ่ายรัฐบาล)  ได้

การยุบสภานั้น  อาจเนื่องมาจากสาเหตุสำคัญ  ดังนี้  คือ

1       ในกรณีเกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายนิติบัญญัติ  ซึ่งไม่สามารถหาข้อยุติได้  จึงจำเป็นต้องยุบสภา  เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายถูกต้อง

2       ในกรณีที่รัฐบาลเห็นว่า  ในขณะที่จะยุบสภานั้น  คะแนนนิยมของรัฐบาลกำลังดี  และหากมีการเลือกตั้งใหม่ในขณะนั้น  ฝ่ายรัฐบาลจะมีโอกาสได้รับชัยชนะ  ได้ที่นั่งในสภามากมีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลอีก  จึงทำการยุบสภาเสีย

สำหรับการยุบสภาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550นั้น  มีบัญญัติไว้ในมาตรา  108  ว่า

“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่

การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกาซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร  และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน”

จากบทบัญญัติดังกล่าว  การยุบสภานั้น  จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้  คือ

1       การยุบสภาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์  และจะทรงใช้พระราชอำนาจนี้ต่อเมื่อนายกรัฐมนตรีทูลเกล้าฯ  ขอพระบรมราชานุญาตเท่านั้น

2       การยุบสภาผู้แทนราษฎร  ต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา  และเมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว  ย่อมมีผลเป็นการยุบสภาทันที

3       ในการยุบสภาตามข้อ  2  ต้องมีการกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่  เป็นการเลือกตั้งทั่วไป  ภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า  45  วัน  แต่ไม่เกิน  60  วัน  นับแต่วันยุบสภา  และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

4       การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน  กล่าวคือ  ถ้าหากจะมีการยุบสภาอีกครั้ง  จะอ้างเหตุผลหรือเหตุการณ์ที่ใช้ในการยุบสภาครั้งก่อนไม่ได้

5       การยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่จะกระทำลงก่อนครบกำหนดวาระของสภาผู้แทนราษฎร  กล่าวคือ  จะกระทำในเวลาใดก็ได้ในช่วงก่อนสภาผู้แทนราษฎรมีวาระครบ  4  ปี

6       ในกรณีที่ได้มีการเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี  โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  จะมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้  (มาตรา  158  วรรคแรก)

 

ข้อ  3  จงอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับที่มาของอำนาจนิติบัญญัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

ธงคำตอบ

อำนาจนิติบัญญัติ  มีรัฐสภาเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ  ซึ่งรัฐสภาจะประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎร  และวุฒิสภา

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550  ฉบับปัจจุบัน  ได้บัญญัติเกี่ยวกับที่มาของอำนาจนิติบัญญัติไว้ดังนี้  คือ

1       สภาผู้แทนราษฎร  (ส.ส.)

สภาผู้แทนราษฎร  (ส.ส.)  ประกอบด้วยสมาชิก  480  คน  โดยเป็นสมาชิก

–                     มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  400  คน

–                    มาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน  80  คน

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง

การคำนวณจำนวนสมาชิกฯ  ให้นำจำนวนราษฎรทั้งประเทศในปีก่อนปีที่มีการเลือกตั้งหารด้วย  400  จะได้เกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน  จังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน  3  คน  ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง  แต่ถ้าจังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกิน  3  คน  ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้ง  โดยจัดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  3  คน

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน

–                     ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้น

–                    เขตเลือกตั้งแบบสัดส่วน  ให้แบ่งพื้นที่ประเทศออกเป็น  8  กลุ่มจังหวัด  โดยจัดจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกันอยู่ในกลุ่มเดียวกัน  และให้แต่ละกลุ่มจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง  แต่ละเขตเลือกตั้งให้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้  10  คน

2       วุฒิสภา  (ส.ว.)

วุฒิสภา  (ส.ว.)  ประกอบด้วยสมาชิก  150  คน  ซึ่งมาจาก

–                     การเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด  จังหวัดละ  1  คน  รวม  76  คน

–                    การสรรหา  รวม  74  คน

การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา

ให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง  โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา

การสรรหาสมาชิกวุฒิสภา

ให้มีคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาคณะหนึ่ง  ประกอบด้วย

(1)  ประธานศาลรัฐธรรมนูญ

(2) ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง

(3) ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน

(4) ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

(5) ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

(6) ผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามอบหมาย  1  คน

(7) ตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมอบหมาย  1  คน

 

ข้อ  4  นายเอกและนายโท  ซึ่งเป็นรัฐมนตรีฯ  ได้ถูกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  จำนวน  200  คน  เข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภาเพื่อให้วุฒิสภาถอดถอนออกจากตำแหน่ง  เนื่องจากได้กระทำการเป็นแกนนำในการเสนอร่างพระราชบัญญัติฯที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฯ  อันเป็นการกระทำผิดต่อรัฐธรรมนูญ  และจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ  ต่อมาประธานวุฒิสภาได้ส่งคำร้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ  (ป.ป.ช.)  พิจารณา   ซึ่งคณะกรรมการ  ป.ป.ช.  พิจารณาแล้วเห็นว่า  มีประเด็นที่ต้องพิจารณาคือ  ร่างพระราชบัญญัติฯตามคำร้องขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่  และการกระทำของนายเอกและนายโทในการเสนอร่างพระราชบัญญัติฯดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่  คณะกรรมการ  ป.ป.ช.  เห็นว่ากรณีดังกล่าวมิใช่อำนาจหน้าที่ของตน  แต่กรณีนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ  จึงได้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณา  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่า  ตามรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2550  ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะรับคำร้องของคณะกรรมการ  ป.ป.ช.  ไว้พิจารณาได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550

 มาตรา  154  ร่างพระราชบัญญัติใดที่รัฐสภาเห็นชอบแล้ว  ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย  เพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยตามมาตรา  150  หรือร่างพระราชบัญญัติใดที่รัฐสภาลงมติยืนยันตามมาตรา  151  ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำร่างพระราชบัญญัตินั้นขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายอีกครั้งหนึ่ง

(1)    หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  สมาชิกวุฒิสภา  หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกันมีจำนวนไม่น้อยกว่า  1  ใน  10  ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา  เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้  หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้ให้เสนอความเห็นต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร  ประธานวุฒิสภา  หรือประธานรัฐสภา  แล้วแต่กรณี  แล้วให้ประธานแห่งสภาที่ได้รับความเห็นดังกล่าว  ส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย  และแจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยไม่ชักช้า

มาตรา  214  ในกรณีที่มีความขัดแย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างรัฐสภา  คณะรัฐมนตรีหรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่มิใช่ศาลตั้งแต่สององค์กรขึ้นไป  ให้ประธานรัฐสภา  นายกรัฐมนตรี  หรือองค์กรนั้นเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  การที่คณะกรรมการ  ป.ป.ช.  ได้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้พิจารณา  ซึ่งเรื่องที่ส่งไปนั้นมีปัญหาที่ต้องพิจารณาอยู่  2  ประเด็น  คือ  ประเด็นแรก  ร่างพระราชบัญญัติฯตามคำร้องขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่  และประเด็นที่สอง  คณะกรรมการ  ป.ป.ช.  มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาว่า  การกระทำของนายเอกและนายโทในการเสนอร่างพระราชบัญญัติฯ  ดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่  กรณีดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2550  ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจที่จะรับคำร้องของคณะกรรมการ  ป.ป.ช. ไว้พิจารณาได้หรือไม่  เห็นว่า

ประเด็นแรก  โดยปกติศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติฯ  ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ตามมาตรา  154(1) แต่การที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยได้นั้น  ต้องเป็นกรณีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร  ประธานวุฒิสภา  หรือประธานรัฐสภาเป็นผู้มีความเห็นว่าร่างพระราชบัญญัติฯนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ  และได้ส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย  แต่ตามข้อเท็จจริง  ผู้ที่ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญคือคณะกรรมการ  ป.ป.ช.  ซึ่งตามรัฐธรรมนูญมิได้บัญญัติให้อำนาจไว้แต่อย่างใด  ดังนั้นกรณีดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องของคณะกรรมการ  ป.ป.ช.  ไว้พิจารณาไม่ได้

ประเด็นที่สอง  ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจในการวินิจฉัยเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ  ตามที่องค์กรนั้นเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา  214  นั้น  จะต้องเป็นกรณีที่มีความขัดแย้งเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างองค์กรตามรัฐธรรมนูญตั้งแต่สององค์กรขึ้นไป  แต่ตามข้อเท็จจริงจะเห็นว่า  เป็นเรื่องที่องค์กรตามรัฐธรรมนูญเพียงองค์กรเดียวคือ  คณะกรรมการ  ป.ป.ช. เท่านั้นที่มีปัญหาเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่  ซึ่งมิใช่กรณีที่มีความขัดแย้งระหว่างองค์กรตั้งแต่สององค์กรขึ้นไป  กรณีดังกล่าวจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา  214  ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องของคณะกรรมการ  ป.ป.ช.  ไว้พิจารณาไม่ได้

สรุป  ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจที่จะรับคำร้องของคณะกรรมการ  ป.ป.ช.  ไว้พิจารณา

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 2/2553

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงระบบการปกครองของประเทศไทยในปัจจุบัน  พร้อมทั้งอธิบายถึงที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  (พ.ศ.2550)  ในประเด็นดังกล่าวมาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550  (ฉบับปัจจุบัน)   กำหนดให้ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักรมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา  อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

การปกครองในระบบรัฐสภา  เป็นระบบการปกครองที่องค์กรซึ่งใช้อำนาจในทางการเมืองทั้ง  2  องค์กร  คือ  ฝ่ายนิติบัญญัติ  และฝ่ายบริหาร  มีความสัมพันธ์และพึ่งพาอาศัยกันในการปฏิบัติหน้าที่  รวมทั้งมีมาตรการในการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันด้วย

การปกครองในระบบรัฐสภานั้นมีหลักการที่สำคัญคือ  ฝ่ายบริหารต้องมีความรับผิดชอบในทางการเมืองต่อฝ่ายนิติบัญญัติ  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ  ฝ่ายบริหารมีอำนาจบริหารราชการแผ่นดินก็โดยอาศัยความไว้วางใจของฝ่ายนิติบัญญัติ เมื่อใดที่ฝ่ายนิติบัญญัติแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจ  เมื่อนั้นถือได้ว่าฝ่ายนิติบัญญัติต้องการถอดถอนฝ่ายบริหาร

การรับผิดชอบในทางการเมืองของฝ่ายบริหารนั้นจำกัดเฉพาะคณะรัฐมนตรี  ซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการอย่างแท้จริงเท่านั้น  องค์ประมุขของรัฐไม่ต้องรับผิดชอบในทางการเมืองแต่อย่างใด

การแสดงออกถึงความไม่ไว้วางใจของฝ่ายนิติบัญญัตินี้  อาจจะเป็นการกระทำโดยตรงซึ่งได้แก่  การที่สภานิติบัญญัติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อฝ่ายบริหารหรืออาจจะเป็นการกระทำทางอ้อม  ซึ่งได้แก่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่เห็นชอบกับร่างกฎหมายสำคัญที่ฝ่ายบริหารเสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณาอนุมัติ  เช่น  ร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี  เป็นต้น  นอกจากนี้ฝ่ายนิติบัญญัติยังมีอำนาจตั้งกระทู้ถามต่อฝ่ายบริหารได้อีกด้วย

แต่อย่างไรก็ตามการปกครองในระบบรัฐสภานั้น  ถึงแม้ว่าฝ่ายนิติบัญญัติจะมีอำนาจถอดถอนฝ่ายบริหารด้วยการแสดงออกซึ่งความไม่ไว้วางใจ  ในทำนองเดียวกันฝ่ายบริหารก็มีมาตรการโต้ตอบฝ่ายนิติบัญญัติ  ในกรณีที่ฝ่ายบริหารเชื่อมั่นว่าฝ่ายบริหารกระทำการด้วยความถูกต้องตรงกับเจตนารมณ์ของประชาชน  กล่าวคือ  ฝ่ายบริหารมีอำนาจยุบสภาผู้แทนราษฎรสำหรับที่มาของ  “สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร”  ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  (พ.ศ.2550)  ตามที่ได้มีการแก้ไขใหม่นั้น  ได้กำหนดให้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้  500  คน  โดย

(1)  เป็นสมาชิกฯ  ที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  375  คน  และ

(2) เป็นสมาชิกฯที่มาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ  125  คน

1       การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เขตละ  1  คน

การคำนวณเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิก  1  คน  ให้คำนวณจากราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้งเฉลี่ย  (หาร)  ด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  375  คน

จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี  ให้นำจำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน  ที่คำนวณได้นั้นมาเฉลี่ยจำนวนราษฎรในจังหวัดนั้น  ถ้าจังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน  ก็ให้มีสมาชิกฯได้  1  คน  จังหวัดใดมีราษฎรเกินเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน  ให้มีสมาชิกฯในจังหวัดนั้นเพิ่มขึ้นอีก  1  คน  ทุกจำนวนราษฎรที่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน

จังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกฯได้ไม่เกิน  1  คน  ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง  และจังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกฯได้เกิน  1  คน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้งมีจำนวนเท่าจำนวนสมาชิกฯที่พึงมี  โดยจัดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกฯ  1  คน  (มาตรา  94)

2       การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ  ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้น  โดยให้เลือกบัญชีรายชื่อใดบัญชีรายชื่อหนึ่งเพียงบัญชีเดียว  และให้ถือเขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง  (มาตรา 95)

บัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา  95  ให้พรรคการเมืองจัดทำขึ้นพรรคการเมืองละหนึ่งบัญชีไม่เกินบัญชีละ  125  คน  และให้ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนวันเปิดสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  (มาตรา  96)

การคำนวณสัดส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองที่จะได้รับเลือกตั้ง  ให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับการเลือกตั้งมารวมกันทั้งประเทศแล้วคำนวณเพื่อแบ่งจำนวนผู้ที่จะได้รับเลือกของแต่ละพรรคการเมืองเป็นสัดส่วนที่สัมพันธ์กันโดยตรงกับจำนวนคะแนนรวมข้างต้น  โดยให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งมีรายชื่อในบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองได้รับเลือกตามเกณฑ์คะแนนที่คำนวณได้  เรียงตามลำดับหมายเลขในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้น  ทั้งนี้  ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ  ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา  (มาตรา  98)

 

ข้อ  2  หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญหมายถึงอะไร  และมีวิธีการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญในประเทศต่างๆกี่วิธี  ขอให้อธิบาย  และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550  ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ในการควบคุมมิให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างไร  ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

หลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ  สำหรับรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรนั้น  หมายถึงการยอมรับว่า  รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดเหนือกฎหมายธรรมดาอื่นๆที่มีอยู่ภายในรัฐ  ดังนั้น  กฎหมายธรรมดาอื่นๆนั้น  จะมีวิธีการจัดทำหรือมีบทบัญญัติมาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญไม่ได้  ดังจะเห็นได้จากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  (พ.ศ.2550)  มาตรา  6  ซึ่งบัญญัติว่า  “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ  บทบัญญัติใดของกฎหมาย  กฎ  หรือข้อบังคับ  ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้  บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับไม่ได้”

วิธีการในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ  ในประเทศต่างๆนั้นมี  2  วิธี  ได้แก่

1       การควบคุมโดยศาลยุติธรรม  (เป็นการควบคุมโดยการยกเว้น)  กล่าวคือ  จะกำหนดให้ศาลยุติธรรมเป็นผู้มีอำนาจในการควบคุมกฎหมายมิให้ขัดต่อรัฐธรรมนูญ  เช่น  ในประเทศสหรัฐอเมริกา  ได้กำหนดไว้ว่า  เมื่อมีคดีฟ้องร้องเกิดขึ้นในศาลยุติธรรม แล้วคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ้างกฎหมายเพื่อสนับสนุนคำฟ้องหรือคำให้การของตน  เพื่อใช้บังคับกับคู่ความฝ่ายตรงข้าม  แต่คู่ความฝ่ายตรงข้ามยกเป็นประเด็นโต้แย้งว่า  กฎหมายดังกล่าวที่ใช้บังคับกับเขานั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ  ในกรณีเช่นนี้  ศาลซึ่งพิจารณาคดีดังกล่าวนั้นมีอำนาจในการพิจารณาว่ากฎหมายดังกล่าวนั้นสอดคล้องหรือขัดกับรัฐธรรมนูญหรือไม่  หากศาลเห็นว่ากฎหมายนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ  ศาลก็จะไม่ใช้กฎหมายนั้นบังคับแก่คู่กรณีหรือคู่ความในคดีนั้น  แต่ศาลจะไม่พิจารณาพิพากษาเพิกถอนกฎหมายนั้นแต่อย่างใด  โดยศาลอาจใช้กฎหมายนั้นกับคู่ความในคดีอื่นๆได้

2       การควบคุมโดยองค์กรพิเศษอื่นนอกจากศาลยุติธรรม  (เป็นการควบคุมโดยการฟ้องคดี)  เช่น  ประเทศไทยและเยอรมนี  จะมีการจัดตั้งศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ในการควบคุมมิให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญเป็นการเฉพาะ  กล่าวคือ  ในกรณีที่มีการฟ้องคดีและผู้เกี่ยวข้องกับกฎหมายที่จะนำมาใช้บังคับนั้น  เห็นว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ  ก็ให้ผู้ที่เกี่ยวข้องนั้นส่งความเห็นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย  และถ้าศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยว่ากฎหมายหรือบทบัญญัติของกฎหมายนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ  ก็ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจเพิกถอนกฎหมายหรือบทบัญญัติของกฎหมายนั้นๆได้  และกฎหมายหรือบทบัญญัติของกฎหมายที่ถูกเพิกถอนแล้วนั้น  จะนำไปใช้บังคับกับคู่ความในคดีนั้นหรือคู่ความในคดีอื่นๆอีกไม่ได้

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550  ได้บัญญัติหลักเกณฑ์ในการควบคุมมิให้กฎหมายขัดต่อรัฐธรรมนูญ  ไว้  2  กรณี  คือ

1       ตามมาตรา  6  ซึ่งบัญญัติว่า  “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ  บทบัญญัติใดของกฎหมาย  กฎ  หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้  บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้”

2       ตามมาตรา  154  ซึ่งบัญญัติหลักไว้ว่า  ร่างพระราชบัญญัติที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว  หรือที่รัฐสภาลงมติยืนยันตามมาตรา  151  ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย  เพื่อให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย  หากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  สมาชิกรัฐสภา  หรือสมาชิกของทั้งสองสภารวมกัน  หรือนายกรัฐมนตรี  เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ  หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ  ก็ให้ส่งความเห็นนั้นไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย

ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัตินั้น  มีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ  หรือตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ  และข้อความดังกล่าวเป็นสาระสำคัญให้ร่างพระราชบัญญัตินั้นเป็นอันตกไป

บทบัญญัติตามมาตรา  154  นั้น  ให้นำมาใช้บังคับกับร่างข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร  หรือวุฒิสภา  และร่างข้อบังคับการประชุมสภา  ที่สภาผู้แทนราษฎร  วุฒิสภา  หรือรัฐสภา  แล้วแต่กรณีให้ความเห็นชอบแล้ว  แต่ยังมิได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาด้วยโดยอนุโลม  (มาตรา  155)

 

ข้อ  3  ในฐานะที่ท่านเป็นคนไทยและได้เรียนกฎหมายรัฐธรรมนูญมาแล้ว  จงอธิบายที่มาของสมาชิกรัฐสภา  ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน(ก่อนมีการแก้ไข)  อย่างละเอียดว่ามีที่มาอย่างไร

ธงคำตอบ

ตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  (พ.ศ.2550)  ฝ่ายนิติบัญญัติ  (รัฐสภา)  ของไทยนั้น  ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  ซึ่งสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  จะมีจำนวนและที่มาหรือวิธีการเข้าสู่ตำแหน่ง  ดังนี้  คือ

1       สภาผู้แทนราษฎร  (ส.ส.)

สภาผู้แทนราษฎร  (ส.ส.)  ประกอบด้วยสมาชิก  480  คน  โดยเป็นสมาชิก

–                     มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  400  คน

–                    มาจากการเลือกตั้งแบบสัดส่วน  80  คน

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง

การคำนวณจำนวนสมาชิกฯ  ให้นำจำนวนราษฎรทั้งประเทศในปีก่อนปีที่มีการเลือกตั้งหารด้วย  400  จะได้เกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน  จังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ไม่เกิน  3  คน  ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง  แต่ถ้าจังหวัดใดมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้เกิน  3  คน  ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้ง  โดยจัดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  3  คน

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบสัดส่วน

–                     ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้น

–                    เขตเลือกตั้งแบบสัดส่วน  ให้แบ่งพื้นที่ประเทศออกเป็น  8  กลุ่มจังหวัด  โดยจัดจังหวัดที่มีพื้นที่ติดต่อกันอยู่ในกลุ่มเดียวกัน  และให้แต่ละกลุ่มจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง  แต่ละเขตเลือกตั้งให้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้  10  คน

2       วุฒิสภา  (ส.ว.)

วุฒิสภา  (ส.ว.)  ประกอบด้วยสมาชิก  150  คน  ซึ่งมาจาก

–                     การเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด  จังหวัดละ  1  คน  รวม  76  คน

–                    การสรรหา  รวม  74  คน

การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา

ให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง  โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา

การสรรหาสมาชิกวุฒิสภา

ให้มีคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาคณะหนึ่ง  ประกอบด้วย

(1)  ประธานศาลรัฐธรรมนูญ

(2) ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง

(3) ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน

(4) ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

(5) ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

(6) ผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามอบหมาย  1  คน

(7) ตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมอบหมาย  1  คน

หมายเหตุ

ปัจจุบันได้มีการแก้ไขจำนวนและที่มาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยกำหนดให้มีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  500  คน  (ขอให้ดูรายละเอียดในธงคำตอบข้อที่ 1) และปัจจุบันประเทศไทยเมื่อนับรวมกรุงเทพมหานครด้วยจะมี  77  จังหวัด  ดังนั้นในการเลือกตั้งและสรรหาวุฒิสภาครั้งต่อไป    จำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง  จังหวัดละ  1  คน  จึงมี  77  คน  ส่วนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาจะมี  73  คน

 

ข้อ  4  ในวันที่  31  ตุลาคม  2553  ได้กำหนดเป็นวันเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  เขต  2  จังหวัดสุรินทร์  วันที่  1  ตุลาคม  2553  คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง  นายแดงเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งในหน่วยเลือกตั้งที่  3  ต่อมาวันที่  20  ตุลาคม  2553  นายแดงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ  เมื่อถึงวันเลือกตั้งในวันที่  31  ตุลาคม  2553  พระภิกษุแดงมิได้มาใช้สิทธิเลือกตั้งฯ และไม่ได้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งฯ  ได้ต่อเจ้าหน้าที่ฯ  ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้งฯ  สามเดือนต่อมาพระภิกษุแดงได้ลาสิกขาบท  และได้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้าน  นายอำเภอได้ปฏิเสธเนื่องจากนายแดงไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง  ส.ส.  ครั้งล่าสุด  นายแดงอุทธรณ์  ต่อมานายอำเภอได้มีหนังสือแจ้งปฏิเสธและให้เหตุผลว่า  เมื่อประกาศรายชื่อว่านายแดงเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งฯแล้ว  นายแดงมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญฯ  มาตรา  72  ที่จะต้องไปทำหน้าที่ในการใช้สิทธิเลือกตั้งฯ  หากไม่ไปก็จะต้องแจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิได้  เมื่อนายแดงไม่ได้แจ้งฯ  จึงเสียสิทธิในการรับสมัครรับเลือกตั้งในกรณีนี้  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าการปฏิเสธของนายอำเภอชอบด้วยกฎหมายหรือไม่  และนายแดงสามารถจะใช้สิทธิในทางศาลในกรณีนี้ได้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550

มาตรา  28  วรรคสอง  บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้  สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้

มาตรา  72  วรรคแรกและวรรคสอง  บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

บุคคลซึ่งไปใช้สิทธิหรือไม่ไปใช้สิทธิโดยไม่แจ้งเหตุอันสมควรที่ทำให้ไม่อาจไปใช้สิทธิได้  ย่อมได้รับสิทธิหรือเสียสิทธิตามที่กฎหมายบัญญัติ

มาตรา  100(1)  บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง  เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง

(1)  เป็นภิกษุ  สามเณร  นักพรต  หรือนักบวช

มาตรา  223  วรรคแรก  ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทระหว่างหน่วยราชการ  หน่วยงานของรัฐ  รัฐวิสาหกิจ  องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ  หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน  หรือระหว่างหน่วยราชการ  หน่วยงานของรัฐ  รัฐวิสาหกิจ  องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  หรือองค์กรตามรัฐธรรมนูญ  หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วยกัน  อันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยดังนี้  คือ

ประเด็นที่  1  ตามมาตรา  72  วรรคแรกและวรรคสอง  บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง  ถ้าไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยไม่แจ้งเหตุอันสมควรที่ทำให้ไม่อาจไปใช้สิทธิได้  ย่อมถูกตัดสิทธิทางการเมือง  เช่น  จะเสียสิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้งในทุกลำดับชั้นสำหรับตำแหน่งทางการเมือง  เป็นต้น

ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์  ในการประกาศรายชื่อบุคคลผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนั้น  นายแดงมีรายชื่อเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งอยู่ด้วย  แต่ปรากฏว่าเมื่อถึงวันเลือกตั้งนายแดงซึ่งได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุมิได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง  และไม่ได้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้งได้ต่อเจ้าหน้าที่ทั้งก่อนและหลังการเลือกตั้ง ดังนี้จะเห็นได้ว่า  เมื่อมาตรา  100(1)  ได้บัญญัติห้ามมิให้บุคคลที่เป็นพระภิกษุไปใช้สิทธิเลือกตั้ง  ดังนั้น  พระภิกษุแดงจึงมิใช่บุคคลที่มีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา  72  การที่พระภิกษุแดงไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง  และไม่ได้แจ้งเหตุที่ไม่อาจไปใช้สิทธิดังกล่าวนั้น  ย่อมไม่ทำให้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองแต่อย่างใด  นายแดงจึงยังคงมีสิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้านได้  ดังนั้นการที่นายอำเภอปฏิเสธไม่ให้นายแดงลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้าน  โดยให้เหตุผลว่า  นายแดงไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง  ส.ส.ครั้งล่าสุดนั้น  การปฏิเสธของนายอำเภอจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ประเด็นที่  2  การที่นายแดงได้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ใหญ่บ้าน  แต่ถูกนายอำเภอซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิเสธ  ถือว่ามีการโต้แย้งการใช้สิทธิทางการเมืองเกิดขึ้น  ดังนั้นนายแดงซึ่งถูกละเมิดสิทธิสามารถที่จะใช้สิทธิในทางศาลได้  ตามมาตรา  28  วรรคสอง  กล่าวคือนายแดงสามารถฟ้องเป็นคดีต่อศาลได้นั่นเอง

สำหรับศาลใดจะเป็นผู้มีอำนาจในการรับเรื่องไว้พิจารณาวินิจฉัยนั้น  เห็นว่าเมื่อคดีพิพาทดังกล่าวนั้น  เป็นคดีพิพาทระหว่างนายอำเภอซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐกับนายแดงซึ่งเป็นเอกชนและเป็นคดีพิพาทอันเนื่องมาจากการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย  (การปฏิเสธของนายอำเภอ  ถือว่าเป็นการออกคำสั่งทางปกครองและถือว่าเป็นการใช้อำนาจทางปกครองตามกฎหมาย)  ดังนั้นศาลที่มีอำนาจในการรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาวินิจฉัยคือ  “ศาลปกครอง”  ตามมาตรา  223  วรรคแรกนั่นเอง  ดังนั้นนายแดงสามารถนำข้อพิพาทดังกล่าวฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครอง  เพื่อขอให้ศาลปกครองเพิกถอนคำสั่งปฏิเสธของนายอำเภอได้

สรุป 

1       การปฏิเสธของนายอำเภอไม่ชอบด้วยกฎหมาย

2       นายแดงสามารถที่จะใช้สิทธิในทางศาลในกรณีนี้ได้  โดยการฟ้องเป็นคดีต่อศาลปกครอง

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง S/2553

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2553

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงโครงสร้างของประเทศ  ระบบการปกครอง  และการจัดตั้งสถาบันการปกครองหลักของประเทศสหรัฐอเมริกามาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

ประเทศสหรัฐอเมริกา  ถือว่าเป็นแม่แบบของการปกครองในระบบประธานาธิบดี  โดยเป็นประเทศที่มีโครงสร้างแบบรัฐรวมในลักษณะของการรวมตัวแบบเหนียวแน่น  ที่เรียกว่า  สหพันธรัฐ  หรือเรียกสั้นๆว่า  สหรัฐ  ซึ่งเป็นการรวมตัวกันโดยใช้เกณฑ์แห่งความเสมอภาคระหว่างรัฐใหญ่กับรัฐเล็กที่เป็นสมาชิก  รัฐสมาชิกดังกล่าวยินยอมที่จะสูญเสียอำนาจบางประการให้กับศูนย์กลางแห่งอำนาจ  ยอมให้มีการกำหนดเกณฑ์ในการใช้อำนาจปกครองร่วมกัน  โดยมีการสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นที่เรียกว่า  รัฐธรรมนูญใหม่  หรือ  รัฐธรรมนูญกลาง

ลักษณะสำคัญของการปกครองในระบบประธานาธิบดี  มี  2  ประการ  คือ

1       ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน

2       มีการแบ่งแยกอำนาจกันค่อนข้างเด็ดขาดระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร  กล่าวคือ  เป็นอิสระจากกัน  ไม่มีมาตรการล้มล้างซึ่งกันและกัน  ดังนั้นสภาผู้แทนราษฎรจึงไม่มีอำนาจในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร  และในทางกลับกันฝ่ายบริหารก็ไม่มีอำนาจในการยุบสภาผู้แทนราษฎร  สังเกตว่าในข้อนี้จะแตกต่างจากการปกครองในระบบรัฐสภาอย่างชัดเจน

การจัดตั้งสถาบันการปกครองของสหรัฐอเมริกา  มีดังนี้

ก  สถาบันประมุขแห่งรัฐ

สถาบันประมุขแห่งรัฐ  ได้แก่  ประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี  มาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อม  กล่าวคือ  ในสหรัฐอเมริกามีพรรคการเมืองใหญ่ๆ  อยู่เพียง  2  พรรค  คือ  พรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต  ที่มีโอกาสสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่บริหารประเทศ   ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยจะไปใช้สิทธิลงคะแนนเลือกคณะบุคคลขึ้นมาคณะหนึ่ง  เรียกว่า  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  (Big Elector)  เพื่อทำหน้าที่เลือกประธานาธิบดี  ตามที่รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้

สำหรับ  คณะผู้เลือกตั้งใหญ่  นั้นมีทั้งหมด  538  คน  ตามข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญ  ซึ่งกำหนดให้มีจำนวนเท่ากับจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  โดยรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจะต้องได้รับคะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งใหญ่ข้างมากและเด็ดขาด  คือ  จะต้องได้คะแนนเสียงตั้งแต่  270  เสียงขึ้นไป

วาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี  ก็คือ  4  ปี  และสามารถดำรงตำแหน่งดังกล่าวได้ไม่เกิน  2  สมัย  ในกรณีที่ตำแหน่งประธานาธิบดีเกิดว่างลงหรือไม่สามารถบริหารประเทศได้โดยสิ้นเชิง  รองประธานาธิบดีจะเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนที่  และมีอำนาจหน้าที่อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับประธานาธิบดี

ข.  สถาบันนิติบัญญัติ  (สภาคองเกรส)

รัฐสภาอเมริกัน  เรียกว่า  สภาคองเกรส (congress)  ประกอบด้วย  2  สภา คือ

1       สภาผู้แทนราษฎร  ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  แบบเสียงข้างมากรอบเดียว  มีวาระในการดำรงตำแหน่ง  2  ปี  มีจำนวนทั้งสิ้น  435  คน  รวมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของศูนย์กลางแห่งอำนาจหรือที่เรียกว่า  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพิเศษของวอชิงตัน  ดี.ซี.  อีก  3  คน  ฉะนั้นจึงมีจำนวนทั้งหมด  438 คน  ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรไม่มีอำนาจในการยื่นญัตติเพื่ออภิปรายและลงมติไม่ไว้วางใจทั้งตัวประธานาธิบดีและบรรดารัฐมนตรีทั้งหลาย  ในขณะเดียวกันประธานาธิบดีก็ไม่มีอำนาจยุบสภา

2  สภาสูงหรือวุฒิสภา  ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน  2  คนต่อ  1  มลรัฐ  รวมทั้งสิ้นจำนวน  100 คน  มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน  มีวาระการดำรงตำแหน่ง  6  ปี  แต่สมาชิก  1  ใน  3  ของทั้งหมดจะต้องถูกจับสลากออกไปสมัครเข้ารับการเลือกตั้งใหม่ทุกๆ  2  ปี  ในระหว่างที่มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

ค  สถาบันบริหารของสหรัฐอเมริกา

ฝ่ายบริหารจะมีประธานาธิบดีเป็นผู้นำสูงสุด  ซึ่งมีความเป็นอิสระจากรัฐมนตรีทั้งปวง  โดยประธานาธิบดีจะเป็นทั้งประมุขของรัฐและเป็นหัวหน้ารัฐบาล  และเป็นผู้แต่งตั้งรัฐมนตรีทั้งหลายด้วยความเห็นชอบของวุฒิสภา

ง  สถาบันตุลาการ  (ศาลยุติธรรมสูงสุด)

ศาลสูงสุดของอเมริกา  ประกอบด้วยผู้พิพากษาจำนวน  9  คน  มาจากการแต่งตั้งของประธานาธิบดี  แต่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาสูง  (หรือวุฒิสภา)

 

ข้อ  2  ให้อธิบายถึงระบบการปกครองของประเทศอังกฤษ  พร้อมทั้งอธิบายถึงวิธีการจัดตั้งสถาบันบริหารของประเทศดังกล่าวในปัจจุบันมาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

1       ระบบการปกครองของประเทศอังกฤษ

รูปแบบการปกครองของประเทศอังกฤษในปัจจุบัน  เป็นรูปแบบการปกครองระบบรัฐสภาแบบสองพรรคการเมือง  (พรรคอนุรักษนิยมและพรรคกรรมกร)  ซึ่งเป็นระบบที่มีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ  มีการกำหนดมาตรการในการโต้ตอบ  ล้มล้างซึ่งกันและกัน  เช่น  การขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหารโดยฝ่ายนิติบัญญัติ  และการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรโดยฝ่ายบริหาร  ซึ่งการจัดรูปองค์กรการปกครองของอังกฤษไม่ได้มีการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร  เพราะอังกฤษใช้รัฐธรรมนูญจารีตประเพณี

2       สถาบันของฝ่ายบริหาร  (รัฐบาล) ของประเทศอังกฤษ

การจัดรูปองค์กรของฝ่ายบริหารของอังกฤษนั้นเป็นแบบฝ่ายบริหารที่แบ่งเป็นสององค์กร  คือ  มีการแยกองค์กรประมุขของรัฐซึ่งก็คือกษัตริย์  กับองค์กรที่เป็นฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล  ซึ่งประกอบด้วยคณะรัฐมนตรี  มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าออกจากกัน  ในขอบเขตอำนาจฝ่ายบริหารนั้น  รัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจเหล่านี้โดยคณะรัฐมนตรีผู้ที่จะรับผิดชอบต่อรัฐสภา  ซึ่งมีทั้งความรับผิดชอบร่วมกันทั้งคณะและความรับผิดชอบในส่วนของกระทรวง  ทบวง  กรมต่างๆ  แต่ละคนด้วย  แม้ว่ากษัตริย์ทรงมีฐานะอยู่ในส่วนของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติด้วยก็ตาม  แต่ก็จะเป็นเพียงฐานะอย่างเป็นทางการ  ไม่ได้ทรงใช้อำนาจอย่างแท้จริงด้วยพระองค์เอง

การจัดตั้งฝ่ายบริหารของประเทศอังกฤษนั้น  เริ่มจากการที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารโดยจารีตประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติ  จากหัวหน้าพรรคการเมืองที่พรรคนั้นชนะการเลือกตั้งและมีที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรเกินกึ่งหนึ่ง  จากนั้นนายกรัฐมนตรีก็จะจัดตั้งรัฐบาลโดยคัดเลือกจากบรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่สังกัดพรรคเดียวกับตนและบางส่วนจากสมาชิกวุฒิสภา  แล้วนำคณะรัฐบาลไปแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อขอความไว้วางใจก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่

ส่วนตำแหน่งรัฐมนตรีในแต่ละกระทรวง  ก็มักจะได้แก่บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกจากนายกรัฐมนตรี  แต่วุฒิสภาบางท่านก็อาจได้รับการเชื้อเชิญให้เข้ามาเป็นรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน  หากว่าวุฒิสมาชิกท่านนั้นมี

ความเชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่ง  หรือมีความจำเป็นทางการเมืองที่จะต้องมีวุฒิสมาชิกมาเป็นรัฐมนตรีด้วย

 

ข้อ  3  จงอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องต่อไปนี้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

–                     องค์ประกอบของรัฐสภา

–                    ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ

–                    การถ่วงดุลและตรวจสอบระหว่างอำนาจทั้งสาม

ธงคำตอบ

1       องค์ประกอบของรัฐสภา

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  (มาตรา  88)  รัฐสภาประกอบไปด้วยสองสภาคือ  สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา

สภาผู้แทนราษฎรจะประกอบด้วยสมาชิกจำนวน  500  คน  (มาตรา  93  วรรคแรก)

วุฒิสภาจะประกอบด้วยสมาชิกจำนวน  150  คน  (มาตรา  111  วรรคแรก)

2       ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ

อำนาจนิติบัญญัติ  มีรัฐสภาเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ  ซึ่งรัฐสภาจะประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎร  และวุฒิสภา

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  ฉบับปัจจุบัน  ได้บัญญัติเกี่ยวกับที่มาของอำนาจนิติบัญญัติไว้ดังนี้  คือ

1       สภาผู้แทนราษฎร  (ส.ส.)

สภาผู้แทนราษฎร  (ส.ส.)  ประกอบด้วยสมาชิก  500  คน  โดยเป็นสมาชิก

–                     มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  375  คน

–                    มาจากการเลือกตั้งแบบ บัญชีรายชื่อ  125  คน

(1) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เขตละ  1  คน

การคำนวณเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิก  1  คน  ให้คำนวณจากราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้ง  (หาร)  ด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  375  คน                                              

จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี  ให้นำจำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน  ที่คำนวณได้นั้นมาเฉลี่ยจำนวนราษฎรในจังหวัดนั้น  ถ้าจังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน  ก็ให้มีสมาชิกฯได้  1  คน  จังหวัดใดมีราษฎรเกินเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน  ให้มีสมาชิกฯในจังหวัดนั้นเพิ่มขึ้นอีก  1  คน  ทุกจำนวนราษฎรที่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน

จังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกฯได้ไม่เกิน  1  คน  ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง  และจังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกฯได้เกิน  1  คน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้งมีจำนวนเท่าจำนวนสมาชิกฯที่พึงมี  โดยจัดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกฯ  1  คน  (มาตรา  94)

(2) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ  ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้น  โดยให้เลือกบัญชีรายชื่อใดบัญชีรายชื่อหนึ่งเพียงบัญชีเดียว  และให้ถือเขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง  (มาตรา 95)

บัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา  95  ให้พรรคการเมืองจัดทำขึ้นพรรคการเมืองละหนึ่งบัญชีไม่เกินบัญชีละ  125  คน  และให้ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนวันเปิดสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  (มาตรา  96)

การคำนวณสัดส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองที่จะได้รับเลือกตั้ง  ให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับการเลือกตั้งมารวมกันทั้งประเทศแล้วคำนวณเพื่อแบ่งจำนวนผู้ที่จะได้รับเลือกของแต่ละพรรคการเมืองเป็นสัดส่วนที่สัมพันธ์กันโดยตรงกับจำนวนคะแนนรวมข้างต้น  โดยให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งมีรายชื่อในบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองได้รับเลือกตามเกณฑ์คะแนนที่คำนวณได้  เรียงตามลำดับหมายเลขในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้น  ทั้งนี้  ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ  ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา  (มาตรา  98)

2       วุฒิสภา  (ส.ว.)

วุฒิสภา  (ส.ว.)  ประกอบด้วยสมาชิก  150  คน  ซึ่งมาจาก

–                     การเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด  จังหวัดละ  1  คน  รวม  76  คน

–                    การสรรหา  รวม  74  คน

การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา

ให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง  โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา

การสรรหาสมาชิกวุฒิสภา

ให้มีคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาคณะหนึ่ง  ประกอบด้วย

(1)  ประธานศาลรัฐธรรมนูญ

(2) ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง

(3) ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน

(4) ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

(5) ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

(6) ผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามอบหมาย  1  คน

(7) ตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมอบหมาย  1  คน

หมายเหตุ

ปัจจุบันประเทศไทยเมื่อนับรวมกรุงเทพมหานครด้วยจะมี  77  จังหวัด  ดังนั้นในการเลือกตั้งและสรรหาวุฒิสภาครั้งต่อไป    จำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง  จังหวัดละ  1  คน  จึงมี  77  คน  ส่วนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาจะมี  73  คน

3  การถ่วงดุลและตรวจสอบระหว่างอำนาจทั้งสาม

1       อำนาจนิติบัญญัติ  อาจถูกควบคุมตรวจสอบได้โดยฝ่ายตุลาการ  เช่น  ฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเป็นฝ่ายบัญญัติกฎหมาย  ถ้ามีการบัญญัติกฎหมายออกมาแย้งหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญ  ก็จะต้องมีการตรวจสอบโดยฝ่ายตุลาการ  คือ  ศาลรัฐธรรมนูญ  และอาจจะถูกควบคุมโดยฝ่ายบริหาร  เช่น  การที่ฝ่ายบริหารไม่เสนอกฎหมายให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณา  หรือเสนอกฎหมายไปแล้วแต่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่ให้ความเห็นชอบ  ฝ่ายบริหารก็สามารถยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ก็ได้

2       อำนาจบริหาร  อาจถูกควบคุมตรวจสอบได้โดยฝ่ายนิติบัญญัติ  เช่น  การไม่ให้ความเห็นชอบต่อกฎหมายที่ฝ่ายบริหารเสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณา  การควบคุมตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร  เช่น  การตั้งกระทู้ถาม  การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ การตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร  เป็นต้น

3       อำนาจตุลาการ  การใช้อำนาจตุลาการนั้น  อาจถูกควบคุมหรือถ่วงดุลได้โดยฝ่ายนิติบัญญัติ  เช่น  ฝ่ายนิติบัญญัติ  ได้บัญญัติกฎหมายให้ฝ่ายตุลาการหรือศาลใช้อำนาจตามกฎหมายได้เพียงเท่าที่กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติได้บัญญัติไว้เท่านั้น  และในบางกรณีกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของฝ่ายนิติบัญญัติก็เป็นกฎหมายที่เสนอโดยฝ่ายบริหาร  ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ถือว่าฝ่ายบริหารได้เข้ามาควบคุมถ่วงดุลการใช้อำนาจของฝ่ายตุลาการนั่นเอง  แต่อย่างไรก็ตาม  ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจะไม่มีอำนาจในการตรวจสอบอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีของฝ่ายตุลาการ

 

ข้อ  4  ตามที่รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2550  มาตรา  72  บัญญัติให้  “บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง”  แต่ปรากฏว่าในการเลือกตั้ง  ส.ส.  ครั้งที่ผ่านมา  นายแดงหัวหน้าพรรคไทสันติและกรรมการบริหารพรรคฯ  ไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งในครั้งนั้น  จึงต่อต้านโดยการไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง  เมื่อมีการประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร  พ.ศ.2554  และกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่  3  กรกฎาคม  2554  พรรคไทยสันติได้ประกาศนโยบายไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งในครั้งนี้  เพราะแม้มีการเลือกตั้งก็จะได้นักการเมืองกลุ่มเดิมกลับมา ซึ่งไม่ก่อผลเปลี่ยนแปลงทางการเมืองแต่อย่างใด  ถือเป็นการหลอกเอาประชาชนเป็นเครื่องมือในทางการเมือง  จึงได้ติดประกาศ  แจกแผ่นปลิว  และให้สมาชิกพรรคฯ  ปราศรัยในที่สาธารณะเรียกร้องให้ประชาชนร่วมสนับสนุนนโยบายของพรรคฯ  โดยการร่วมมือกันไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งฯ  ที่จะถึงนี้  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่าการกระทำของนายแดงและกรรมการบริหารพรรคฯ  ที่ไม่ได้ไปทำหน้าที่ใช้สิทธิเลือกตั้ง และการกระทำของพรรคไทสันติที่มีนโยบายและรณรงค์เรียกร้องให้ประชาชนร่วมมือกันไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง  เป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ  หรือไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  หรือเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ  ในกรณีหนึ่งกรณีใด  หรือไม่  เพราะเหตุใด 

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550

มาตรา  2  ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

มาตรา  28  วรรคแรก  บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น  ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ  หรือไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน

มาตรา  45  วรรคแรก  บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น  การพูด  การเขียน  การพิมพ์  การโฆษณา  และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น

มาตรา  65  วรรคแรกและวรรคสอง  บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมกันจัดตั้งพรรคการเมืองเพื่อสร้างเจตนารมณ์ทางการเมืองของประชาชนและเพื่อดำเนินกิจกรรมในทางการเมืองให้เป็นไปตามเจตนารมณ์นั้น  ตามวิถีทางการปกครองของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้

การจัดองค์กรภายใน  การดำเนินกิจการ  และข้อบังคับของพรรคการเมือง  ต้องสอดคล้องกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

มาตรา  72  วรรคแรก  บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยอยู่  2  ประเด็น  คือ

ประเด็นที่  1  การกระทำของนายแดงและกรรมการบริหารพรรคฯ  ที่ไม่ได้ไปทำหน้าที่ใช้สิทธิเลือกตั้ง  เป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์  กรณีที่นายแดงหัวหน้าพรรคไทสันติและกรรมการบริหารพรรคฯไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้ง  ส.ส.  ในครั้งที่ผ่านมาจึงต่อต้านโดยการไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่  3  กรกฎาคม  2554  นั้น  จะเห็นได้ว่า  แม้รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2550  มาตรา  72  จะบัญญัติให้การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของบุคคลก็ตาม  การกระทำของนายแดงและกรรมการบริหารพรรคฯ  ที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งดังกล่าว  ก็ไม่ถือว่าเป็นการกระทำโดยการใช้สิทธิที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญตามมาตรา  28  วรรคแรก  แต่อย่างใด

ประเด็นที่  2  การกระทำของพรรคไทสันติที่มีนโยบายและรณรงค์เรียกร้องให้ประชาชนร่วมมือกันไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง  เป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่

โดยทั่วไปการที่บุคคลได้ใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น  และเผยแพร่ความเห็นอันหนึ่งอันใดของตนต่อสาธารณะย่อมสามารถที่จะกระทำได้  (ตามมาตรา  45  วรรคแรก)  แต่การที่พรรคไทสันติได้กระทำการโดยการติดประกาศ  แจกแผ่นปลิว  และให้สมาชิกพรรคฯ ปราศรัยในที่สาธารณะเรียกร้องให้ประชาชนร่วมสนับสนุนนโยบายของพรรคฯ  โดยการร่วมมือกันไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งนั้น  การเรียกร้องมิให้บุคคลไปใช้สิทธิเลือกตั้งของพรรคไทสันติ  ถือว่าเป็นการดำเนินการทางการเมืองของพรรคการเมืองที่ไม่สอดคล้องกับหลักการพื้นฐานแห่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  (ตามมาตรา  2  วรรคแรกประกอบกับมาตรา  65  วรรคแรกและวรรคสอง)  ดังนั้นการกระทำของพรรคไทสันติที่เรียกร้องมิให้บุคคลไปใช้สิทธิเลือกตั้ง  จึงเป็นการกระทำซึ่งเป็นการใช้เสรีภาพที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ  ตามมาตรา  28  วรรคแรก

สรุป  การกระทำของนายแดงและกรรมการบริหารพรรคฯ  ไม่ถือว่าเป็นการใช้สิทธิที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ  แต่การกระทำของพรรคไทสันติ  ถือว่าเป็นการใช้สิทธิเสรีภาพที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ

LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 1/2554

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงระบบการปกครองของประเทศฝรั่งเศส  และวิธีการเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดี  คณะรัฐมนตรี  และสมาชิกรัฐสภาของประเทศดังกล่าวมาตามที่เข้าใจ

ธงคำตอบ

ระบบการปกครองของประเทศฝรั่งเศส  เป็นการปกครองในระบบกึ่งรัฐสภา  กึ่งประธานาธิบดี  เนื่องจากมีการนำเอาหลักการของระบบการปกครองทั้งระบบรัฐสภาของประเทศอังกฤษ  และระบบประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกามาผสมผสานใช้ร่วมกัน  เช่น  หลักที่ประมุขของประเทศ  คือ  ประธานาธิบดีไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร  แต่มีอำนาจในการประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร  ในขณะที่คณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อสภาผู้แทนราษฎร  ดังเช่นในระบบรัฐสภา

วิธีการเข้าสู่ตำแหน่งของประธานาธิบดีของประเทศฝรั่งเศสนั้น  ประธานาธิบดีจะมาจากการเลือกตั้งโดยตรง  (โดยมีวาระ  5  ปี)  ด้วยเกณฑ์ของการนับคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด  (คือเกินกึ่งหนึ่ง)  ถ้าไม่มีผู้ใดได้คะแนนตามเกณฑ์ดังกล่าว  ก็จะให้ผู้ที่ได้คะแนนในอันดับที่  1  และ  2  มาแข่งกันใหม่ในรอบที่สอง  ด้วยเกณฑ์ของคะแนนเสียงข้างมากธรรมดา  เมื่อได้ตัวประธานาธิบดีแล้ว  ประธานาธิบดีจะเป็นผู้แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี  จากหัวหน้าพรรคการเมืองพรรคใดพรรคหนึ่ง  แล้วมอบให้นายกรัฐมนตรีไปจัดตั้งคณะรัฐมนตรี  และคณะรัฐมนตรีจะต้องไปแถลงนโยบายขอความไว้วางใจจากสภาผู้แทนราษฎรก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่

สำหรับสมาชิกรัฐสภาของประเทศฝรั่งเศสนั้น  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีจำนวน  577  คน  มาจากการเลือกตั้งทั่วไปโดยตรงด้วยเกณฑ์ของคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด  ผู้ที่จะได้รับเลือกตั้งต้องได้คะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งในเขตเลือกตั้งนั้นๆ  ซึ่งมีทั้งหมด  577  เขต  (ซึ่งเป็นการเลือกตั้งระบบแบ่งเขต  เขตละหนึ่งคน)  ถ้าในเขตเลือกตั้งใดไม่มีผู้ใดได้รับคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด  ก็จะต้องให้ผู้ที่ได้คะแนนเสียงอันดับที่  1  และที่  2  มาแข่งกันใหม่ในรอบที่สองด้วยเกณฑ์ของคะแนนเสียงข้างมากธรรมดา  และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะมีวาระในการดำรงตำแหน่ง  5  ปี

ส่วนสมาชิกวุฒิสภานั้นจะมาจากการเลือกตั้งทางอ้อม  โดยคณะบุคคลที่ทำการเลือก  ได้แก่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  และสมาชิกสภาท้องถิ่นทั้งหลาย  โดยมีจำนวนทั้งสิ้น  321  คน  และมีวาระในการดำรงตำแหน่ง  9  ปี  และทุกๆ  3  ปี  จะมีการจับสลากออก  1  ใน  3  เพื่อเลือกตั้งใหม่ 

 

ข้อ  2  ตามหลักการแบ่งแยกการใช้อำนาจรัฐของมองเตสกิเออร์  ได้กำหนดหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลแห่งอำนาจระหว่างอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจฝ่ายบริหาร  (Check  and  Balance)  ไว้อย่างไร  และตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน  ได้มีบทบัญญัติที่เป็นการตรวจสอบและถ่วงดุลแห่งอำนาจทั้งสองไว้หรือไม่อย่างไร  ขอให้ท่านอธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

มองเตสกิเออ  (Montesquieu)  เป็นนักปรัชญาทางกฎหมายชาวฝรั่งเศสที่ได้ให้ความเห็นในเรื่องของอำนาจอธิปไตยไว้ในตำราที่มีชื่อว่า  เจตนารมณ์ทางกฎหมาย  หรือ  De  l’Esprit  Lois  ซึ่งตำราเล่มนี้กล่าวว่า  อำนาจอธิปไตยที่รัฐได้รับจากประชาชนเพื่อทำการปกครองประเทศนั้นมีอยู่ด้วยกัน  3  อำนาจคือ

1       อำนาจนิติบัญญัติ  เป็นอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย  ซึ่งในที่นี่หมายถึงรัฐสภา

2       อำนาจบริหาร  เป็นการใช้อำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย  รวมทั้งอำนาจในการควบคุมนโยบายทั้งภายนอกและภายใน  การควบคุมนโยบายภายนอก  เช่น  การที่กษัตริย์หรือข้าราชการทำสัญญาสันติภาพหรือประกาศสงคราม  การทูต  การควบคุมนโยบายภายใน  เช่น  การรักษาความสงบเรียบร้อย  หรือการป้องกันมิให้มีการรุกราน  เป็นต้น  ซึ่งผู้ใช้อำนาจดังกล่าว ได้แก่  คณะรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี

3       อำนาจตุลาการ  เป็นอำนาจในการตัดสินใจและการพิพากษาอรรถคดี  ซึ่งองค์กรสำคัญที่ใช้อำนาจตุลาการ  ได้แก่  ศาล

มองเตสกิเออ  มีความเห็นว่า  อำนาจทั้ง  3  อำนาจนี้ควรจะต้องแบ่งแยกออกจากกันเป็นอิสระ  เพราะถึงแม้ว่าผู้ใช้อำนาจอธิปไตยของรัฐจะได้มาจากประชาชนโดยการเลือกตั้งก็ตาม  แต่ก็ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าคณะผู้ทำการปกครองประเทศจะไม่หลงในอำนาจ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่มีการแยกอำนาจดังกล่าวออกจากกัน  ก็จะเป็นการเปิดโอกาสให้แก่ผู้ปกครองประเทศ  ซึ่งเป็นคณะบุคคลฝ่ายเดียวใช้อำนาจต่างๆ  โดยไม่มีขอบเขต

กล่าวคือ  ถ้าให้ฝ่ายบริหารออกกฎหมายได้เสียเองด้วย  กฎหมายที่ออกมาก็อาจจะมีความไม่เป็นธรรม  แต่จะมีลักษณะที่จะทำให้การบริหารเป็นไปได้โดยสะดวก

และถ้าหากฝ่ายบริหารยังมีอำนาจในการพิพากษาคดีอีกด้วย  ก็จะทำให้อำนาจอธิปไตยของรัฐตกอยู่กับคณะบุคคลเพียงฝ่ายเดียว  ซึ่งการปกครองประเทศก็จะกลายเป็นการปกครองที่ผิดรูปไปจากการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  เพราะเป็นการรวมอำนาจต่างๆมาขึ้นอยู่กับคณะบุคคลกลุ่มเดียวเท่านั้น

ดังนั้น  มองเตสกิเออ  จึงมีความเห็นว่า  อำนาจเท่านั้นที่จะหยุดยั้งอำนาจได้  คือต้องจัดให้อำนาจหนึ่งหยุดยั้งอำนาจอีกอำนาจหนึ่ง กล่าวคือจะต้องมีการกำหนดหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน (Check  and  Balance)    ประชาชนจึงจะมีเสรีภาพได้

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550  ได้มีบทบัญญัติที่เป็นการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจระหว่างนิติบัญญัติกับอำนาจฝ่ายบริหารไว้  เช่น

ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถตรวจสอบและถ่วงดุลฝ่ายบริหาร  ได้แก่

1       การที่สมาชิกสภามีสิทธิอภิปรายก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะเข้ารับตำแหน่งหรือเริ่มปฏิบัติงาน  ซึ่งถือว่าเป็นการควบคุมนโยบายของฝ่ายบริหาร  ตามมาตรา  176

2       การตั้งกระทู้ถาม  ตามมาตรา  156157

3       การอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ  ตามมาตรา  158

4       การเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติ  ตามมาตรา  161  เป็นต้น

ส่วนฝ่ายบริหารมีอำนาจตรวจสอบและถ่วงดุลฝ่ายนิติบัญญัติได้โดยวิธีการยุบสภาตามมาตรา  108  เป็นต้น

 

ข้อ  3  ประเทศไทยได้เปลี่ยนรัฐธรรมนูญมาแล้วทั้งสิ้น  18  ฉบับ  ทั้งฉบับปัจจุบัน  แต่ประชาธิปไตยของไทยก็ดูเหมือนไปไม่ถึงจุดหมายของระบอบประชาธิปไตย  ประชาชนยังคงยากจนมีความเหลื่อมล้ำทางสังคมสูง  และการทุจริตคอร์รัปชั่นทวีความรุนแรงมากขึ้น  แสดงว่าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญไม่ทำให้ระบอบประชาธิปไตยไทยก้าวหน้าไปมากนัก

จงอธิบายว่าตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง  2475  มาจนถึงปัจจุบัน  ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ  ที่มาของอำนาจบริหาร  และที่มาของอำนาจตุลาการ  มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี  พ.ศ.2475  มาจนถึงปัจจุบัน  ประเทศไทยได้เปลี่ยนรัฐธรรมนูญมาแล้วทั้งสิ้น  18  ฉบับ  (รวมทั้งฉบับปัจจุบัน)  ซึ่งมีผลทำให้ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ  ที่มาของอำนาจบริหาร  และที่มาของอำนาจตุลาการ  มีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย  โดยเฉพาะที่มาของอำนาจนิติบัญญัติซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด  โดยรัฐธรรมนูญบางฉบับได้กำหนดให้อำนาจนิติบัญญัติคือรัฐสภามีเพียงสภาเดียว  และมีสมาชิกมาจากการแต่งตั้งทั้งหมด  รัฐธรรมนูญบางฉบับกำหนดให้มีสภาเดียวแต่มีสมาชิก  2  ประเภท  คือ  มาจากการเลือกตั้งและการแต่งตั้ง  และรัฐธรรมนูญบางฉบับกำหนดให้รัฐสภามี  2  สภาคือ  สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  และวุฒิสภา  ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่มาของอำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจบริหาร  และอำนาจตุลาการ  พอสรุปได้ดังนี้

1       อำนาจนิติบัญญัติ  ได้แก่  รัฐสภา

(1)  รัฐธรรมนูญ ฯ  (ชั่วคราว)  พ.ศ.2475  ได้กำหนดให้มีสภาเดียวคือสภาผู้แทนราษฎร  มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด  70 คน  โดยวิธีการเลือกตั้งเป็นทางอ้อม  (แต่ในความเป็นจริงมาจากการแต่งตั้งของคณะราษฎร์ฯ  ทั้งหมด)

(2)  รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2475  ได้กำหนดให้มีสภาเดียวเช่นเดิม  เพียงแต่สภาผู้แทนราษฎรนั้นให้มีสมาชิก  2  ประเภท  และมีจำนวนเท่ากัน  คือ  ประเภทที่  1  มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม  และประเภทที่  2  มาจากการแต่งตั้ง

(3) รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2489  ได้เปลี่ยนรูปแบบของสภาเป็นระบบ  2  สภา  ได้แก่  สภาผู้แทนราษฎร  ซึ่งมีจำนวนสมาชิก  178 คน  มาจากการเลือกตั้งของราษฎร  และพฤฒสภา  (ซึ่งปัจจุบันคือวุฒิสภา)  มีสมาชิก  80  คน  ที่ราษฎรเลือกตั้ง  (แต่ในวาระเริ่มแรกให้ผู้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอยู่ในวันสุดท้ายก่อนใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นผู้เลือกตั้ง)

(4) รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว)  พ.ศ.2490  ได้กำหนดให้มีสภานิติบัญญัติ  2  สภา  คือ  วุฒิสภากับสภาผู้แทนฯ  มีจำนวนสมาชิกเท่ากัน  คือ  100  คน

(5) รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2492  ได้กำหนดให้รัฐสภา  มี  2  สภาเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว)  พ.ศ.2490  คือ  วุฒิสภาและสภาผู้แทนฯ  แต่ให้เพิ่มจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็น  120  คน  ส่วนสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนเท่าเดิม  คือ  100  คน  แต่กำหนดให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้ทรงเลือกและแต่งตั้ง

(6) รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2495  ได้นำรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2475  แก้ไขเพิ่มเติมกลับมาใช้ทำให้รัฐสภาเหลือเพียงสภาเดียว  คือ  สภาผู้แทนราษฎร

(7) ธรรมนูญการปกครองฯ  พ.ศ. 2502  ได้กำหนดให้มีสภาเพียงสภาเดียวเรียกว่า  “สภาร่างรัฐธรรมนูญ”  โดยให้มีหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญและให้มีฐานะเป็นรัฐสภาทำหน้าที่เป็นนิติบัญญัติด้วย  มีสมาชิกจำนวน  240  คน  ซึ่งแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์

(8) รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2511  ได้กำหนดให้รัฐสภากลับมามี  2  สภาอีกครั้งคือ  วุฒิสภาและสภาผู้แทนฯ  โดยวุฒิสภานั้นให้มีสมาชิกซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจำนวน  3  ใน  4  ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  ซึ่งราษฎรเลือกตั้งตามเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติ

(9) ธรรมนูญการปกครองฯ  พ.ศ.2515  กลับมากำหนดให้มีสภาเดียวอีกครั้งหนึ่งเรียกว่า  “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ”  ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน  299  คน  ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง

(10)                    รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2517  ได้บัญญัติให้มีระบบ  2  สภา  ประกอบด้วยวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร  โดยวุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกจำนวน  100  คน  ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง  ส่วนสภาผู้แทนราษฎรประกอบด้วยสมาชิกซึ่งราษฎรเลือกตั้งมีจำนวนไม่น้อยกว่า  240  คน  แต่ไม่เกิน  300  คน  และการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนี้ให้ใช้แบบ  “แบ่งเขต เรียงเบอร์”   และผู้ที่จะสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่พรรคเดียว

ข้อสังเกต  รัฐธรรมนูญฯฉบับ  พ.ศ. 2517  เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่กำหนดให้ผู้ที่จะสมัครเป็นสมาชิกผู้แทนราษฎรจะต้องสังกัดหรือเป็นสมาชิกพรรคการเมือง  เพราะแต่เดิมนั้นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะสังกัดพรรคการเมืองหรือไม่ก็ได้  และต่อมารัฐธรรมนูญทุกฉบับก็จะบัญญัติไว้เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2517

(11)                    รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2519  กลับมากำหนดให้มีสภาเพียงสภาเดียว  เรียกว่า  “สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน” เพื่อทำหน้าที่นิติบัญญัติ  ประกอบด้วยสมาชิกจำนวนไม่น้อยกว่า  300  คนแต่ไม่เกิน  400  คน  ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง

(12)                    ธรรมนูญการปกครองฯ  พ.ศ. 2520  จะเหมือนกับรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2519  คือมีสภาเดียว  แต่เรียกชื่อใหม่ว่า  “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ”  ซึ่งมีหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญ  และพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ

(13)                    รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2521 ได้กลับมากำหนดให้รัฐสภามี  2  สภาอีกครั้งหนึ่ง  คือสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งวุฒิสภาจะมีจำนวนสมาชิกไม่เกิน  3  ใน  4  ของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  และได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ (เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2511)

(14)                    รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว)  พ.ศ. 2534  จะมีหลักการเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับที่  12  (พ.ศ. 2520)  คือให้รัฐสภามีสภาเดียว  คือ  “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ”  โดยมีสมาชิกจำนวน  200  ถึง  300  คน  ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง  เพื่อทำหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญ  พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ  และอนุมัติพระราชกำหนด

(15)                    รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2534  ได้กำหนดให้มี  2  สภา  คือ  วุฒิสภาซึ่งสมาชิกมาจากการแต่งตั้ง  270  คน  และสภาผู้แทนราษฎรซึ่งสมาชิกมาจากการเลือกตั้ง  360  คน  และยังได้กำหนดให้พรรคการเมืองจะต้องส่งสมาชิกเข้าสมัครรับเลือกตั้งไม่น้อยกว่า  120  คนด้วย

(16)                    รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2540  กำหนดให้มี  2  สภาคือ  สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาโดยสภาผู้แทนราษฎรจะมีจำนวนสมาชิก  500  คน  มาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ  100  คน  และมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  400  คน  ส่วนวุฒิสภาประกอบด้วยสมาชิกซึ่งราษฎรเลือกตั้งจำนวน  200  คน  และให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง

(17)                    รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว)  พ.ศ. 2549  กำหนดให้มีสภาเดียว  คือ  “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ”  ซึ่งสมาชิกมาจากการแต่งตั้งทั้งหมดและให้ทำหน้าที่แทนรัฐสภา

(18)                    รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550  (ฉบับปัจจุบัน)  ได้กำหนดให้รัฐสภาประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2540  แต่จะแตกต่างกันตรงที่ว่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน  500  คนนั้น  ได้มีการแก้ไขใหม่ให้จำนวนสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อนั้นมี  125  คน  และมาจากการเลือกตั้งแบ่งเขตเลือกตั้ง  375  คน  ส่วนจำนวนสมาชิกวุฒิสภานั้นกำหนดให้มี  150  คน  โดยมาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ  1  คน  ส่วนที่เหลือให้มาจากการสรรหา

ข้อสังเกต  โดยปกติแล้วรัฐธรรมนูญมักจะกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภาหรือสมาชิกประเภทสองนั้นมาจากการแต่งตั้ง  แต่ตามรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2540  และรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2550  จะกำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งทั้งหมด  และมาจากการเลือกตั้งและสรรหาตามลำดับ

2       อำนาจบริหาร  คือ  คณะรัฐมนตรี

รัฐธรรมนูญทุกฉบับจะกำหนดไว้เหมือนกันคือ  คณะรัฐมนตรีจะต้องประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี  1  คน  และรัฐมนตรีอีกจำนวนไม่เกินกี่คน  เพียงแต่จะแตกต่างกันก็ตรงจำนวนของรัฐมนตรีนั่นเองที่รัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะกำหนดไว้ไม่เหมือนกัน

นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีนั้น  เดิมอาจจะเป็นข้าราชการประจำได้  แต่ต่อมารัฐธรรมนูญจะกำหนดไว้ว่าจะเป็นข้าราชการประจำไม่ได้ 

การเป็นนายกรัฐมนตรีนั้นจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา  เพียงแต่รัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่  ดังนั้น  นายกรัฐมนตรีอาจเป็นบุคคลใดก็ได้  ยกเว้นรัฐธรรมนูญฉบับที่  2  (พ.ศ. 2475)  ฉบับที่  10  (พ.ศ. 2517) ฉบับที่  15  (พ.ศ. 2534)  ฉบับที่  16  (พ.ศ. 2540)  และฉบับปัจจุบัน  พ.ศ. 2550  ที่จะกำหนดไว้ว่า  นายกรัฐมนตรีจะต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น  ส่วนรัฐมนตรีนั้นส่วนใหญ่รัฐธรรมนูญจะไม่บังคับว่าจะต้องมาจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่  เพียงแต่ใน รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2540  จะกำหนดไว้เลยว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนใดเข้าดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี  สมาชิกผู้นั้นก็จะต้องหมดสภาพการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  แต่รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2550 (ฉบับปัจจุบัน)  ไม่ถือว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเข้าไปดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีจะต้องหมดสภาพจาการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่อย่างใด

3       อำนาจดุลาการ  ได้แก่  ศาล

สำหรับอำนาจตุลาการหรือศาลนั้น  เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ  อำนาจตุลาการหรือศาลนั้นมักจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง  เพียงแต่ว่าเดิมนั้นรัฐธรรมนูญจะกำหนดไว้ว่าศาลมีอยู่  2  ศาล  คือศาลยุติธรรมและศาลทหาร  แต่ตั้งแต่ปี  พ.ศ. 2540  เป็นต้นมา  รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2540  และรัฐธรรมนูญฯ  ฉบับปัจจุบัน พ.ศ. 2550  จะกำหนดไว้ว่าศาลนั้นมีอยู่  4  ศาล  ได้แก่  ศาลรัฐธรรมนูญ  ศาลยุติธรรม  ศาลปกครอง  และศาลทหาร

 

ข้อ  4  นายเอกและนายโทสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดอาญา  ต่อมาอัยการได้ฟ้องนายเอกเป็นจำเลยต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  ในระหว่างสมัยประชุมสภา  ศาลฯได้นัดพิจารณาคดีนี้  ซึ่งนายเอกได้ยื่นคำร้องโต้แย้งว่า ศาลฯไม่สามารถพิจารณาคดีนี้ในระหว่างสมัยประชุมรัฐสภาได้  และประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ  ฉบับที่  30  พ.ศ.2549  ซึ่งศาลจะนำมาตัดสินกับคดีขัดหรือแย้งต่อ  มาตรา  2  รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2550  และพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ  พ.ศ.2549  ซึ่งศาลจะนำมาตัดสินกับคดีของตนเช่นเดียวกันก็มีกระบวรการตราที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  เนื่องจากการประชุมของฝ่ายนิติบัญญัติไม่ครบองค์ประชุม  ต่อมาซึ่งยังคงอยู่ในระหว่างสมัยประชุมรัฐสภาได้มีการขอออกหมายค้นบ้านนายโทต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ  เพื่อหาพยานหลักฐาน  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  คำร้องโต้แย้งของนายเอกสามารถรับฟังได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และศาลฯจะออกหมายค้นบ้านนายโทได้หรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.255

 มาตรา  6  “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ  บทบัญญัติใดของกฎหมาย  กฎ  หรือข้อบังคับ  ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้

มาตรา  131  วรรคแรกและวรรคสาม  ในระหว่างสมัยประชุม  ห้ามมิให้จับ  คุมขัง  หรือหมายเรียกตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา  ไปทำการสอบสวนในฐานะที่สมาชิกผู้นั้นเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา  เว้นแต่ในกรณีที่ได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก  หรือในกรณีที่จับในขณะกระทำความผิด

ในกรณีที่มีการฟ้องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาในคดีอาญา  ไม่ว่าจะได้ฟ้องนอกหรือในสมัยประชุม  ศาลจะพิจารณาคดีนั้นในระหว่างสมัยประชุมมิได้  เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิกหรือเป็นคดีอันเกี่ยวกับพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา  พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง  หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง  แต่การพิจารณาคดีต้องไม่เป็นการขัดขวางต่อการที่สมาชิกผู้นั้นจะมาประชุมสภา

มาตรา  211   “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด  ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  6  และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น  ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย  ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้  แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว  จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”

ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าคำโต้แย้งของคู่ความตามวรรคหนึ่ง ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย  ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาก็ได้

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง  แต่ไม่กระทบกระเทือนถึงคำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว

มาตรา  277  วรรคสาม  บทบัญญัติว่าด้วยความคุ้มกันของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาตามมาตรา  131  มิให้นำมาใช้บังคับกับการพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  แยกวินิจฉัยออกได้เป็น  2  ประเด็น  ดังนี้คือ

ประเด็นที่  1  กรณีคำร้องโต้แย้งของนายเอก

1       ตามมาตรา  131  วรรคสาม  ในกรณีที่มีการฟ้องสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในคดีอาญา  ศาลจะพิจารณาคดีอาญานั้นในระหว่างสมัยประชุมมิได้  เว้นแต่เป็นกรณีที่เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา  131  วรรคสามได้บัญญัติไว้

แต่ข้อเท็จจริงตามอุทาหรณ์  เนื่องจากในคดีนี้ที่ศาลได้นัดพิจารณาคดีในระหว่างสมัยประชุมรัฐสภานั้น  เป็นศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  และตามมาตรา  277  วรรคสามก็ได้บัญญัติไว้ว่า  มิให้นำบทบัญญัติมาตรา  131  มาใช้บังคับกับการพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  ดังนั้น  การที่นายเอกได้ยื่นคำร้องโต้แย้งว่า  ศาลฯไม่สามารถพิจารณาคดีนี้ในสมัยประชุมรัฐสภาได้  คำร้องโต้แย้งในกรณีนี้ของนายเอกจึงรับฟังไม่ได้

2       การที่นายเอกได้ยื่นคำร้องโต้แย้งว่า  ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ  ฉบับที่  30  พ.ศ.2549  ซึ่งศาลจะนำมาตัดสินกับคดีนี้ขัดหรือแย้งต่อมาตรา  2  แห่งรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2550  นั้น  เมื่อประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ  มีสถานะเป็น  “บทบัญญัติแห่งกฎหมาย”  ตามความในมาตรา  211  ดังนั้น  นายเอกจึงสามารถยื่นคำร้องโต้แย้งต่อศาลฯ  เพื่อให้ศาลฯ  ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา  211  ได้  คำร้องโต้แย้งของนายเอกกรณีนี้จึงรับฟังได้

 3       การที่นายเอกยื่นคำร้องโต้แย้งว่า  พ.ร.บ.  แก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯซึ่งมีสถานะเป็นบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้น  ได้ตราขึ้นโดยมีกระบวนการตราที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญแต่มิได้โต้แย้งว่า  พ.ร.บ.  ดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ  กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  211  ดังนั้น  คำร้องโต้แย้งของนายเอกกรณีนี้จึงรับฟังไม่ได้

ประเด็นที่  2  ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  จะออกหมายค้นได้หรือไม่ 

ตามบทบัญญัติมาตรา  131  วรรคแรก  ในระหว่างสมัยประชุม  ห้ามมิให้จับ  คุมขัง  หรือหมายเรียกตัวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  แต่มิได้ห้ามในกรณีการค้นบ้านของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแต่อย่างใด  และตามบทบัญญัติมาตรา  277  วรรคสาม  ก็มิให้นำบทบัญญัติว่าด้วยความคุ้มกันตามมาตรา  131  มาใช้บังคับกับการพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง  ดังนั้น  การที่ได้มีการขอออกหมายค้นบ้านนายโทในระหว่างสมัยประชุมรัฐสภา  ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจึงสามารถออกหมายค้นบ้านนายโทได้

สรุป

1       คำร้องโต้แย้งของนายเอกที่ว่า  ศาลฯไม่สามารถพิจารณาคดีนี้ในระหว่างสมัยประชุมรัฐสภาและ  พ.ร.บ.  แก้ไขเพิ่มเติมประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ  มีกระบวนการตราที่ไม่ชอบรัฐธรรมนูญรับฟังไม่ได้แต่คำโต้แย้งว่า  ประกาศคณะปฏิรูปการปกครองฯ  ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนั้นรับฟังได้

2        ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ  ออกหมายค้นบ้านนายโทได้

LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 2/2554

การสอบไล่ภาค  2  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  ให้อธิบายถึงแนวคิดของมองเตสกิเออร์  นักปราชญ์ชาวฝรั่งเศสในการจัดตั้งองค์กรต่างๆขึ้นมารองรับการใช้อำนาจอธิปไตย  พร้อมทั้งอธิบายถึงหลักการของระบบการปกครองหลักทั้ง  3  ระบบ  ที่เกิดขึ้นจากแนวคิดดังกล่าวมาตามที่เข้าใจ  พร้อมยกตัวอย่างประกอบโดยสังเขป

ธงคำตอบ

มองเตสกิเออ  (Montesquieu)  เป็นนักปรัชญาทางกฎหมายชาวฝรั่งเศสที่ได้ให้ความเห็นในเรื่องของอำนาจอธิปไตยไว้ในตำราที่มีชื่อว่า  เจตนารมณ์ทางกฎหมาย  หรือ  De  l’Esprit  Lois  ซึ่งตำราเล่มนี้กล่าวว่า  อำนาจอธิปไตยที่รัฐได้รับจากประชาชนเพื่อทำการปกครองประเทศนั้นมีอยู่ด้วยกัน  3  อำนาจคือ

1       อำนาจนิติบัญญัติ  เป็นอำนาจในการออกกฎหมายมาใช้บังคับกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย  ซึ่งในที่นี่หมายถึงรัฐสภา

2       อำนาจบริหาร  เป็นอำนาจในการจัดให้มีการปฏิบัติตามกฎหมาย  ซึ่งได้แก่  ผู้บริหารหรือคณะรัฐบาล

3       อำนาจตุลาการ  เป็นอำนาจในการตัดสินใจและการพิพากษาอรรถคดี  ซึ่งองค์กรสำคัญที่ใช้อำนาจตุลาการ  ได้แก่  ศาล

ซึ่งในการจัดตั้งองค์กรขึ้นมารองรับการใช้อำนาจเหล่านี้  ควรจัดตั้งในลักษณะที่ให้มีการถ่วงดุลอำนาจระหว่างกันเพื่อป้องกันมิให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งมีอำนาจเหนืออำนาจอื่น และจากแนวคิดของมองเตสกิเออร์ทำให้เกิดรูปแบบของการปกครองขึ้นมา  3  ระบบ  ได้แก่  ระบบรัฐสภา  ระบบประธานาธิบดี  และระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี  

ซึ่งแต่ละระบบการปกครองจะมีหลักการที่สำคัญ  ดังต่อไปนี้  คือ

ระบบรัฐสภา

ในระบบรัฐสภาก็ได้มีการคำนึงถึงการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกันนี้  จึงได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญให้ฝ่ายนิติบัญญัติโดยสภาผู้แทนราษฎรมีมาตรการที่จะล้มล้างฝ่ายบริหารได้  ล้มล้างในที่นี้คือ  ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร  แต่รัฐธรรมนูญไม่ได้ให้อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติเปิดอภิปรายฝ่ายบริหารได้อย่างเดียวเท่านั้น  รัฐธรรมนูญยังให้อำนาจฝ่ายบริหารในการที่จะโต้ตอบฝ่ายนิติบัญญัติโดยการยุบสภาตรงนี้ก็คือแนวความคิดในเรื่องอำนาจเท่านั้นที่จะหยุดยั้งอำนาจเดียวกันได้หรือการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน

ระบบประธานาธิบดี

ระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  การจัดตั้งองค์กรทั้ง  3  องค์กรนั้นมีการจัดตั้งที่เป็นอิสระจากกันมากที่สุดเท่าที่จะมากได้  ส่งผลให้เขาบัญญัติในรัฐธรรมนูญว่า  เมื่อฝ่ายบริหารได้รับเลือกตั้งแล้วประธานาธิบดีหรือรองประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งโดยทางอ้อมจะต้องรอดพ้นจากการถูกขับไล่โดยการลงมติไม่ไว้วางใจจากฝ่ายนิติบัญญัติรัฐสภา  กล่าวคือ  สภาผู้แทนราษฎรในสหรัฐอเมริกาไม่มีสิทธิเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจตัวประธานาธิบดี  และในขณะเดียวกันฝ่ายบริหารหรือประธานาธิบดีก็จะประกาศยุบสภาไม่ได้เช่นกัน  จึงถือว่าการถ่วงดุลอำนาจในระบบประธานาธิบดีนี้มีการแบ่งแยกอำนาจกันค่อนข้างเด็ดขาด

ระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี

ในระบบกึ่งรัฐสภากึ่งประธานาธิบดี  ประเทศฝรั่งเศสได้นำการปกครองทั้งสองระบบข้างต้นมาใช้ในการปกครองรูปแบบของตน  โดยได้นำเอาส่วนดีทั้งสองระบบมาผสมผสานกันจึงเกิดระบบการปกครองนี้ขึ้นมาโดยรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศสได้บัญญัติจำแนกฝ่ายบริหารออกเป็นสองส่วนคือ

ส่วนแรก  คือ  ประธานาธิบดี  ซึ่งประธานาธิบดีไม่ต้องรับผิดชอบต่อสภา  นั่นคือ  ไม่ต้องกลัวว่าสภาจะเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ  เหมือนกันกับระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา

ส่วนที่สอง  คือ  คณะรัฐบาล  ได้บัญญัติให้คณะรัฐบาลต้องรับผิดต่อสภาเหมือนกันกับการปกครองในระบบรัฐสภา

เพราะฉะนั้น  ฝ่ายนิติบัญญัติหรือสภาผู้แทนราษฎรของฝรั่งเศสอาจยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรี  แต่เปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจตัวประธานาธิบดีไม่ได้  ตรงนี้ก็คือการเอาการถ่วงดุลอำนาจของทั้งสองระบบมารวมเข้าด้วยกันนั่นเอง

 

ข้อ  2  การยุบสภาหมายถึงอะไร  และการยุบสภามีความจำเป็นและสำคัญต่อการปกครองในระบบรัฐสภาหรือไม่  อย่างไร  นอกจากนี้ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบันได้บัญญัติหลักเกณฑ์การยุบสภาไว้อย่างไร  ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

การยุบสภา  หมายถึง  การดำเนินการทางการเมืองเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะใดขณะหนึ่งต้องพ้นจากสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรไปพร้อมกัน  และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป  ซึ่งการยุบสภาที่ว่านี้จะใช้กับสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น  โดยไม่เกี่ยวข้องกับวุฒิสภาเพราะไม่มีการยุบวุฒิสภา  แต่การยุบสภานั้นจะมีผลทำให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งไปพร้อมกันด้วย

การยุบสภามีความจำเป็นและสำคัญต่อการปกครองในระบบรัฐสภา  เช่น  ประเทศอังกฤษและประเทศไทย  ซึ่งปกครองในระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา  เนื่องจากการปกครองในระบบนี้จะเพ่งเล็งถึงความสมดุลระหว่างอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหารเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ฝ่ายบริหารที่อาจแนะนำให้ประมุขของรัฐยุบสภาได้  ซึ่งมีผลเท่ากับเป็นการให้เครื่องมือแก่ฝ่ายบริหาร  (คณะรัฐมนตรี)  ในการต่อสู้กับฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเป็นการถ่วงดุลแห่งอำนาจ  (Balance  of  Power)  ต่อการที่ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี)  ได้นั่นเอง

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน  ได้บัญญัติหลักเกณฑ์การยุบสภาไว้ในมาตรา  108  ดังนี้

“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่

การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา  ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร  และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน”

จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่าในการยุบสภาจะต้องมีหลักเกณฑ์ดังนี้คือ

1       การยุบสภาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์  เนื่องจากพระองค์เป็นประมุขแห่งรัฐและทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่  ซึ่งโดยหลักปฏิบัติแล้วพระองค์จะทรงใช้พระราชอำนาจนั้นก็ต่อเมื่อนายกรัฐมนตรีทูลเกล้าฯ  ขอพระบรมราชานุญาตเท่านั้น

2       การยุบสภาผู้แทนราษฎรต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา  และต้องมีการกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไป  ภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า  45  วัน  แต่ไม่เกิน  60  วัน  นับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎรและวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

3       การยุบสภาจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน  กล่าวคือ  หากจะมีการยุบสภาอีกครั้ง  จะอ้างเหตุผลหรือเหตุการณ์ที่ใช้ในการยุบสภาครั้งก่อนไม่ได้

 

ข้อ  3  จงทำตามคำสั่งต่อไปนี้

ก)       จงอธิบายอย่างละเอียดว่าที่มาของอำนาจนิติบัญญัติตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีที่มาอย่างไร

ข)      จงอธิบายว่าหน้าที่ของท่านตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีอะไรบ้าง

ธงคำตอบ

ก)     อำนาจนิติบัญญัติ  มีรัฐสภาเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ  ซึ่งรัฐสภาจะประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎร  และวุฒิสภา

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  ฉบับปัจจุบัน  ได้บัญญัติเกี่ยวกับที่มาของอำนาจนิติบัญญัติไว้ดังนี้  คือ

1       สภาผู้แทนราษฎร  (ส.ส.)

สภาผู้แทนราษฎร  (ส.ส.)  ประกอบด้วยสมาชิก  500  คน  โดยเป็นสมาชิก

–                     มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  375  คน

–                    มาจากการเลือกตั้งแบบ บัญชีรายชื่อ  125  คน

(1) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้เขตละ  1  คน

การคำนวณเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิก  1  คน  ให้คำนวณจากราษฎรทั้งประเทศตามหลักฐานการทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีสุดท้ายก่อนปีที่มีการเลือกตั้ง  (หาร)  ด้วยจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  375  คน                                              

จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่แต่ละจังหวัดจะพึงมี  ให้นำจำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน  ที่คำนวณได้นั้นมาเฉลี่ยจำนวนราษฎรในจังหวัดนั้น  ถ้าจังหวัดใดมีราษฎรไม่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน  ก็ให้มีสมาชิกฯได้  1  คน  จังหวัดใดมีราษฎรเกินเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน  ให้มีสมาชิกฯในจังหวัดนั้นเพิ่มขึ้นอีก  1  คน  ทุกจำนวนราษฎรที่ถึงเกณฑ์จำนวนราษฎรต่อสมาชิกฯ  1  คน

จังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกฯได้ไม่เกิน  1  คน  ให้ถือเขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง  และจังหวัดใดมีการเลือกตั้งสมาชิกฯได้เกิน  1  คน ให้แบ่งเขตจังหวัดออกเป็นเขตเลือกตั้งมีจำนวนเท่าจำนวนสมาชิกฯที่พึงมี  โดยจัดให้แต่ละเขตเลือกตั้งมีจำนวนสมาชิกฯ  1  คน  (มาตรา 94)

(2) การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ

การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ  ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งที่พรรคการเมืองจัดทำขึ้น  โดยให้เลือกบัญชีรายชื่อใดบัญชีรายชื่อหนึ่งเพียงบัญชีเดียว  และให้ถือเขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง  (มาตรา 95)

บัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งตามมาตรา  95  ให้พรรคการเมืองจัดทำขึ้นพรรคการเมืองละหนึ่งบัญชีไม่เกินบัญชีละ  125  คน  และให้ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนวันเปิดสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกซึ่งมาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  (มาตรา  96)

การคำนวณสัดส่วนผู้สมัครรับเลือกตั้งตามบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองที่จะได้รับเลือกตั้ง  ให้นำคะแนนที่แต่ละพรรคการเมืองได้รับการเลือกตั้งมารวมกันทั้งประเทศแล้วคำนวณเพื่อแบ่งจำนวนผู้ที่จะได้รับเลือกของแต่ละพรรคการเมืองเป็นสัดส่วนที่สัมพันธ์กันโดยตรงกับจำนวนคะแนนรวมข้างต้น  โดยให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งซึ่งมีรายชื่อในบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองได้รับเลือกตามเกณฑ์คะแนนที่คำนวณได้  เรียงตามลำดับหมายเลขในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองนั้น  ทั้งนี้  ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ  ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา  (มาตรา  98)

1       วุฒิสภา  (ส.ว.)

วุฒิสภา  (ส.ว.)  ประกอบด้วยสมาชิก  150  คน  ซึ่งมาจาก

–                     การเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด  จังหวัดละ  1  คน  รวม  76  คน

–                    การสรรหา  รวม  74  คน

การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา

ให้ใช้เขตจังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง  โดยผู้สมัครรับเลือกตั้งสามารถหาเสียงเลือกตั้งได้ก็แต่เฉพาะที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานในหน้าที่ของวุฒิสภา

การสรรหาสมาชิกวุฒิสภา

ให้มีคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภาคณะหนึ่ง  ประกอบด้วย

(1)  ประธานศาลรัฐธรรมนูญ

(2) ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง

(3) ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน

(4) ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ

(5) ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน

(6) ผู้พิพากษาศาลฎีกาที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามอบหมาย  1  คน

(7) ตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่ที่ประชุมใหญ่ศาลปกครองสูงสุดมอบหมาย  1  คน

หมายเหตุ

ปัจจุบันประเทศไทยเมื่อนับรวมกรุงเทพมหานครด้วยจะมี  77  จังหวัด  ดังนั้นในการเลือกตั้งและสรรหาวุฒิสภาครั้งต่อไป    จำนวนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้ง  จังหวัดละ  1  คน  จึงมี  77  คน  ส่วนสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาจะมี  73  คน  (150 – 77 73 คน)

ข)      หน้าที่ของข้าพเจ้าตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  ได้แก่

1       หน้าที่ที่จะต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งชาติ  ศาสนา  พระมหากษัตริย์  และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (มาตรา 70)

2       หน้าที่ป้องกันประเทศ  รักษาผลประโยชน์ของชาติ  และปฏิบัติตามกฎหมาย (มาตรา 71)

3       หน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง (มาตรา 72)

4       หน้าที่รับราชการทหาร  ช่วยเหลือในการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติสาธารณะ  เสียภาษีอากร  ช่วยเหลือราชการ  รับการศึกษาอบรม  พิทักษ์ปกป้อง  และสืบสานศิลปวัฒนธรรมของชาติ  และภูมิปัญญาท้องถิ่น  อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามที่กฎหมายบัญญัติ (มาตรา 73)

 

ข้อ  4  ตำรวจได้จับกุมนายแดงสัญชาติไทย  จำเลยในคดีอาญาซึ่งหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา  และนายดำสัญชาติอินเดียผู้ต้องหาในคดีลอบวางระเบิดในประเทศอินเดียได้ที่สนามบินสุวรรณภูมิขณะที่จะหลบหนีออกนอกประเทศ  ต่อมาอัยการขอให้ศาลอาญามีคำสั่งให้ขังนายดำไว้เพื่อการส่งข้ามแดนไปดำเนินคดีที่ประเทศอินเดีย  ซึ่งศาลฯมีคำสั่งอนุมัติ  นายดำเห็นว่าคำสั่งศาลฯไม่ชอบฯ  จึงได้อุทธรณ์คำสั่งฯ  ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำสั่งศาลอาญาชอบฯแล้ว  จึงทำให้คดีนี้ถึงที่สุดตาม  พ.ร.บ.  ส่งผู้ร้ายข้ามแดนฯ  ระหว่างรอการส่งข้ามแดน  นายดำได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาขอให้มีการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่  และยื่นคำร้องว่ามาตรา  10  พ.ร.บ.ฯ  ที่ศาลอาญาได้ใช้พิจารณากับคดีของตนขัดต่อมาตรา  30  รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2550  จึงขอให้ส่งเรื่องนี้ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย  ต่อมาในคดีของนายแดงหลังจากที่ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาให้นายแดงฟังแล้ว  นายแดงเห็นว่าการที่ศาลฎีกาซึ่งพิจารณาคดีนี้ได้นำมาตรา  3  พ.ร.บ.  การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร  พ.ศ.2551  มาใช้ตัดสินกับคดีของตนเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯมาตรา  40  เรื่องสิทธิจำเลย  จึงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญ  เพื่อพิจารณาวินิจฉัย  ดังนี้  หากท่านเป็นศาลอาญาซึ่งรับคำร้องของนายแดงและนายดำในกรณีนี้  ท่านจะดำเนินการส่งคำร้องไปยังศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550

มาตรา  6  “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ  บทบัญญัติใดของกฎหมาย  กฎ  หรือข้อบังคับ  ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้

มาตรา  211  วรรคหนึ่ง  “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด  ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  6  และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น  ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย  ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้  แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว  จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”

วินิจฉัย

การส่งเรื่อง  (ความเห็นหรือคำร้อง)  ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา  211 วรรคแรก  มีหลักเกณฑ์ดังนี้คือ

1       เป็นกรณีที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นบังคับคดี

2       คดีนั้นยังไม่ถึงที่สุด  คือต้องเป็นคดีที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล

3       เป็นกรณีที่ศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ

4       จะต้องเป็นข้อโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยมาตรา  6  คือ  ต้องเป็นการโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญเท่านั้น  มิใช่เป็นการโต้แย้งเรื่องอื่นๆที่ไม่ใช่ตัวบทบัญญัติแห่งกฎหมาย  เช่น  โต้แย้งว่าการกระทำของบุคคลหรือคำสั่ง  หรือคำพิพากษาของศาลขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ

5       ยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น

6       ในระหว่างที่ศาลส่งความเห็นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย  ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้  แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

กรณีตามอุทาหรณ์  แยกพิจารณาได้ดังนี้  คือ

ประเด็นที่  1  กรณีคำร้องของนายแดง

การที่นายแดงโต้แย้งว่า  การที่ศาลฎีกาซึ่งพิจารณาคดีของนายแดงได้นำมาตรา  3  แห่ง  พ.ร.บ.  การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร  พ.ศ. 2551  มาใช้ตัดสินคดีของตนเป็นการขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญฯมาตรา  40  เรื่องสิทธิของจำเลยนั้น  เป็นการโต้แย้งว่าคำพิพากษาของศาลฎีกาขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ  ไม่ใช่การโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลจะใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา  211  (ฎ. 9500/2542)  อีกทั้งการที่ศาลซึ่งพิจารณาคดีนี้  ได้มีคำพิพากษาและศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาให้นายแดงฟังแล้ว  ถือได้ว่าคดีนี้ถึงที่สุดแล้ว  ไม่ใช่คดีที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล  ดังนั้นการที่นายแดงได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัย  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลอาญา  ซึ่งรับคำร้องของนายแดง  ข้าพเจ้าจะไม่ส่งคำร้องโต้แย้งของนายแดงไปยังศาลรัฐธรรมนูญตามที่นายแดงร้องขอ

ประเด็นที่  2  กรณีคำร้องของนายดำ

การที่นายดำได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญา  ขอให้มีการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่และยื่นคำร้องว่า  มาตรา  10  พ.ร.บ.  ส่งผู้ร้ายข้ามแดนฯ  ที่ศาลอาญาได้ใช้พิจารณากับคดีของตนขัดต่อมาตรา  30  รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2550  เพื่อขอให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย  ดังนี้แม้ว่ากรณีคำร้องของนายดำ  จะเป็นการโต้แย้งว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ศาลใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญก็ตาม  แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าคดีนี้ถึงที่สุดแล้ว  ตาม  พ.ร.บ.  ส่งผู้ร้ายข้ามแดนฯ  และนายดำมิได้ร้องขอให้ศาลส่งคำร้องโต้แย้งของตนเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยในระหว่างการพิจารณาพิพากษาคดีของศาล  กรณีจึงล่วงเลยเวลาที่จะดำเนินการตามรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ. 2550  มาตรา  211  แล้ว  (ฎ. 623/2543)  ดังนั้น  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลอาญา  ซึ่งรับคำร้องของนายดำ  ข้าพเจ้าจะไม่ส่งคำร้องโต้แย้งของนายดำไปยังศาลรัฐธรรมนูญตามที่นายดำร้องขอ

สรุป  ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาลอาญา  ซึ่งรับคำร้องของนายแดงและนายดำในกรณีดังกล่าว  ข้าพเจ้าจะไม่ส่งคำร้องโต้แย้งของทั้งสองไปยังศาลรัฐธรรมนูญ

LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง S/2554

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน  ปีการศึกษา  2554

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1 

(ก)   การเลือกตั้งมิใช่สัญลักษณ์ของระบอบประชาธิปไตย  แต่เป็นเพียงกระบวนการหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น  และการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยก็มีอยู่หลายแบบแล้วแต่ว่าประเทศใดจะนำแบบใดไปใช้

การเลือกตั้งแบบสองรอบเสียงข้างมากก็เป็นวิธีการเลือกตั้งแบบหนึ่งที่ใช้กันอยู่ในประเทศต่างๆ  ให้นักศึกษาอธิบายว่าการเลือกตั้งแบบสองรอบเสียงข้างมากเป็นอย่างไร  มีวิธีการเลือกตั้งอย่างไร

(ข)  ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา  และขณะนี้รัฐบาลกำลังพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ  และมีแนวโน้มว่าอาจจะมีการแก้ไขเกี่ยวกับเรื่องของอำนาจนิติบัญญัติในส่วนของสมาชิกวุฒิสภา  นักศึกษาจงอธิบายวิวัฒนาการที่มาของวุฒิสภาตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรกถึงปัจจุบันว่ามีวิวัฒนาการมาอย่างไร

ธงคำตอบ

(ก)   การเลือกตั้งแบบเสียงข้างมาก  คือวิธีการเลือกตั้งซึ่งในการเลือกตั้งในรอบที่หนึ่งนั้น  หากมีผู้สมัครคนใดได้รับเลือกตั้งโดยมีคะแนนเสียงจากการเลือกตั้งเกินกว่ากึ่งหนึ่ง  (50% + 1)  ของผู้ที่มาใช้สิทธิลงคะแนน  ผู้สมัครคนนั้นก็จะได้รับเลือกตั้งเลย

แต่ถ้าในการเลือกตั้งในรอบแรกไม่มีผู้สมัครคนใดได้รับเลือกตั้งด้วยคะแนนเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิลงคะแนน  ก็จะต้องมีการเลือกตั้งในรอบที่สอง  โดยในการเลือกตั้งในรอบที่สองจะมีผู้สมัครเหลือเพียงสองคน  คือ  คนที่ได้รับคะแนนสูงสุดคนแรกจากการเลือกตั้งในรอบที่หนึ่งเท่านั้น  ส่วนคนอื่นๆจะไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งในรอบที่สอง  ซึ่งในการเลือกตั้งในรอบที่สองนี้ผู้สมัครคนใดได้รับเลือกตั้งโดยมีคะแนนเสียงข้างมากของผู้ที่มาใช้สิทธิลงคะแนน  ผู้สมัครคนนั้นก็จะเป็นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้ง

(ข)  วิวัฒนาการที่มาของวุฒิสภา

รัฐธรรมนูญฉบับที่  1  รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว)  พ.ศ.2475  ได้กำหนดให้มีสภาเดียว  คือ  สภาผู้แทนราษฎร  ยังไม่มีวุฒิสภา

รัฐธรรมนูญฉบับที่  2  รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2475  ได้กำหนดให้มีสภาเดียวเช่นเดิม  คือ  สภาผู้แทนราษฎร  แต่ให้มีสมาชิก  2  ประเภท  โดยสมาชิกประเภทที่  2  มาจากการแต่งตั้ง  (ยังไม่เรียกว่าวุฒิสภา)

รัฐธรรมนูญฉบับที่  3  รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2489  ได้กำหนดให้มี  2  สภา  คือ  สภาผู้แทนราษฎรและพฤฒสภา  (ซึ่งปัจจุบันคือวุฒิสภา)  ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยอ้อม  ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการปกครองของประเทศไทยในระบอบประชาธิปไตย  ในระบบรัฐสภาที่กำหนดให้มีวุฒิสภา

รัฐธรรมนูญฉบับที่  4  รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว)  พ.ศ.2490  ได้กำหนดให้มีสภานิติบัญญัติ  2  สภา  คือ  วุฒิสภากับสภาผู้แทนฯ  ซึ่งมาจากการแต่งตั้ง

รัฐธรรมนูญฉบับที่  5  รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2492  ได้กำหนดให้มี  2  สภา  เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับที่  4  คือ  มีสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  ซึ่งมาจากการแต่งตั้ง

รัฐธรรมนูญฉบับที่  6  รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2495 ได้นำรัฐธรรมนูญฯฉบับที่  2  แก้ไขเพิ่มเติมกลับมาใช้ทำให้รัฐสภาเหลือเพียงสภาเดียวคือสภาผู้แทนราษฎร  ไม่มีวุฒิสภา

รัฐธรรมนูญฉบับที่  7 ธรรมนูญการปกครอง  พ.ศ.2502  ได้กำหนดให้มีสภาเพียงสภาเดียวคือ  “สภาร่างรัฐธรรมนูญ”  ซึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์  โดยให้มีหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญและให้มีฐานะเป็นรัฐสภาทำหน้าที่เป็นฝ่ายนิติบัญญัติด้วย

รัฐธรรมนูญฉบับที่  8  รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2511  ได้กำหนดให้มี  2  สภาอีกครั้ง  คือ  สภาผู้แทนราษฎร  และวุฒิสภา  โดยวุฒิสภานั้นให้มาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์

รัฐธรรมนูญฉบับที่  9 ธรรมนูญการปกครองฯ  พ.ศ.2515  ได้กำหนดให้มีสภาเดียวอีกครั้งเรียกว่า  “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ”  ซึ่งมาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์

รัฐธรรมนูญฉบับที่  10  รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2517  ได้บัญญัติให้มีระบบ  2  สภา  คือ  สภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  ซึ่งวุฒิสภามาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์

รัฐธรรมนูญฉบับที่  11  และฉบับที่  12  รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2519  และธรรมนูญการปกครองฯ  พ.ศ.2520  ได้กำหนดให้มีสภาเดียว  โดยรัฐธรรมนูญฉบับที่  11  เรียกว่า  “สภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน”  และรัฐธรรมนูญฉบับที่  12  เรียกว่า  “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ”  ซึ่งสมาชิกมาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์

รัฐธรรมนูญฉบับที่  13  รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2521  ได้กลับมากำหนดให้มี  2  สภาอีกครั้งหนึ่ง  คือสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  และสมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์

รัฐธรรมนูญฉบับที่  14  รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว)  พ.ศ.2534  จะมีหลักการเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับที่  12  คือ  ให้มีสภาเดียว  คือ  “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ”  เพื่อมีหน้าที่จัดทำรัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญฉบับที่  15  รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2534  ได้กำหนดให้มี  2  สภา  คือสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  โดยสมาชิกวุฒิสภาจะมาจากการแต่งตั้ง

รัฐธรรมนูญฉบับที่  16  รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2540  กำหนดให้มี  2  สภา  คือสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา  โดยสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมดให้มาจากการเลือกตั้ง

รัฐธรรมนูญฉบับที่  17  รัฐธรรมนูญฯ  (ชั่วคราว)  พ.ศ.2549  กำหนดให้มีสภาเดียวคือ  “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ”  ซึ่งสมาชิกมาจากการแต่งตั้งทั้งหมดและให้ทำหน้าที่แทนรัฐสภา

รัฐธรรมนูญฉบับที่  18  (ฉบับปัจจุบัน)  รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2550  ได้กำหนดให้มี  2  สภา  เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฯพ.ศ.2540  แต่จะแตกต่างกันตรงที่ว่า  สมาชิกวุฒิสภาจำนวน  150  คน  ให้มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ  1  คน  ส่วนที่เหลือให้มาจากการสรรหา

กล่าวโดยสรุป

1       วุฒิสภานั้นเริ่มมีเป็นครั้งแรกตามรัฐธรรมนูญฉบับที่  3  (พ.ศ.2489)  เพียงแต่ยังไม่เรียกว่าวุฒิสภา  แต่เรียกว่า  พฤฒสภา เริ่มเรียกว่าวุฒิสภาตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับที่  4  เป็นต้นมา

2       ตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับที่  3  เป็นต้นมาจนถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  จะมีการกำหนดให้มีวุฒิสภาไว้ในรัฐธรรมนูญทุกฉบับ  (ยกเว้นเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับที่  6  (พ.ศ.2495)  เท่านั้นที่กำหนดให้มีเฉพาะสภาผู้แทนราษฎร  โดยไม่ให้มีวุฒิสภา)  เพียงแต่ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับใดกำหนดให้มีระบบ  2  สภา  ก็จะเรียกว่าวุฒิสภา  แต่ถ้ารัฐธรรมนูญฉบับใดกำหนดให้มีสภาเดียวก็จะไม่เรียกว่าวุฒิสภา  แต่จะเรียกว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญ  สภานิติบัญญัติแห่งชาติ  หรือสภาปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน  แล้วแต่กรณี

3       สมาชิกวุฒิสภาไม่ว่าจะมีจำนวนกี่คนก็ตาม  รัฐธรรมนูญส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ว่าให้มาจากการแต่งตั้ง  เว้นแต่รัฐธรรมนูญฯพ.ศ.2540  ได้กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภาทั้งหมดมาจากการเลือกตั้ง  และรัฐธรรมนูญฯฉบับปัจจุบัน (พ.ศ.2550)  ได้กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการเลือกตั้งและการสรรหา

 

ข้อ  2  จงอธิบายการถ่วงดุลและตรวจสอบระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจบริหาร  และอำนาจตุลาการ  ที่มาของอำนาจบริหาร  และอำนาจนิติบัญญัติ  ตลอดจนการใช้อำนาจตุลาการ  อำนาจบริหาร  และอำนาจนิติบัญญัติ  ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน อย่างละเอียด

ธงคำตอบ

การถ่วงดุลและตรวจสอบระหว่างอำนาจทั้งสาม

1       อำนาจนิติบัญญัติ  อาจถูกควบคุมตรวจสอบได้โดยฝ่ายตุลาการ  เช่น  ฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเป็นฝ่ายบัญญัติกฎหมาย  ถ้ามีการบัญญัติกฎหมายออกมาแย้งหรือขัดต่อรัฐธรรมนูญ  ก็จะต้องมีการตรวจสอบโดยฝ่ายตุลาการ  คือ  ศาลรัฐธรรมนูญ  และอาจจะถูกควบคุมโดยฝ่ายบริหาร  เช่น  การที่ฝ่ายบริหารไม่เสนอกฎหมายให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณา  หรือเสนอกฎหมายไปแล้วแต่ฝ่ายนิติบัญญัติไม่ให้ความเห็นชอบ  ฝ่ายบริหารก็สามารถยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ก็ได้

2       อำนาจบริหาร  อาจถูกควบคุมตรวจสอบได้โดยฝ่ายนิติบัญญัติ  เช่น  การไม่ให้ความเห็นชอบต่อกฎหมายที่ฝ่ายบริหารเสนอให้ฝ่ายนิติบัญญัติพิจารณา  การควบคุมตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร  เช่น  การตั้งกระทู้ถาม  การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ การตั้งคณะกรรมาธิการตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหาร  เป็นต้น

3       อำนาจตุลาการ  การใช้อำนาจตุลาการนั้น  อาจถูกควบคุมหรือถ่วงดุลได้โดยฝ่ายนิติบัญญัติ  เช่น  ฝ่ายนิติบัญญัติ  ได้บัญญัติกฎหมายให้ฝ่ายตุลาการหรือศาลใช้อำนาจตามกฎหมายได้เพียงเท่าที่กฎหมายที่ออกโดยฝ่ายนิติบัญญัติได้บัญญัติไว้เท่านั้น  และในบางกรณีกฎหมายที่ผ่านความเห็นชอบของฝ่ายนิติบัญญัติก็เป็นกฎหมายที่เสนอโดยฝ่ายบริหาร  ซึ่งกรณีดังกล่าวนี้ถือว่าฝ่ายบริหารได้เข้ามาควบคุมถ่วงดุลการใช้อำนาจของฝ่ายตุลาการนั่นเอง  แต่อย่างไรก็ตาม  ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจะไม่มีอำนาจในการตรวจสอบอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีของฝ่ายตุลาการ

ที่มาของอำนาจนิติบัญญัติและอำนาจบริหาร

1       อำนาจนิติบัญญัติ 

อำนาจนิติบัญญัติ  มีรัฐสภาเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ  ซึ่งรัฐสภาจะประกอบไปด้วยสภาผู้แทนราษฎร  และวุฒิสภา

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  ฉบับปัจจุบัน  ได้บัญญัติเกี่ยวกับที่มาของอำนาจนิติบัญญัติไว้ดังนี้  คือ

(ก)   สภาผู้แทนราษฎร  (ส.ส.)

สภาผู้แทนราษฎร  (ส.ส.)  ประกอบด้วยสมาชิก  500  คน  โดยเป็นสมาชิก

–                     มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง  375  คน

–                    มาจากการเลือกตั้งแบบ บัญชีรายชื่อ  125  คน

และผู้ที่จะสมัครเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องสังกัดหรือเป็นสมาชิกพรรคการเมือง

(ข)  วุฒิสภา  (ส.ว.)

วุฒิสภา  (ส.ว.)  ประกอบด้วยสมาชิก  150  คน  ซึ่งมาจาก

–                     การเลือกตั้งในแต่ละจังหวัด  จังหวัดละ  1  คน  รวม  76  คน

–                    การสรรหา  รวม  74  คน

2       อำนาจบริหาร

อำนาจบริหารที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญฯ  ได้แก่  คณะรัฐมนตรี  ซึ่งประกอบด้วย

1       นายกรัฐมนตรี  จำนวน  1  คน  เป็นหัวหน้าคณะรัฐมนตรี

2       รัฐมนตรี  จำนวนไม่เกิน  35  คน  ซึ่งมีตำแหน่งหลากหลาย  เช่น  รองนายกรัฐมนตรี  รัฐมนตรีว่าการฯ  รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ

นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  (ส.ส.)  เท่านั้น  ส่วนรัฐมนตรีนั้น  นากยกรัฐมนตรีจะแต่งตั้งจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ก็ได้  แต่ต้องมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายบัญญัติ  แต่อย่างไรก็ตาม  คณะรัฐมนตรีจะเป็น  ส.ว.  ในขณะที่เป็นรัฐมนตรีอยู่ไม่ได้

การใช้อำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจบริหาร  และอำนาจตุลาการ

1       อำนาจนิติบัญญัติ  ฝ่ายนิติบัญญัติ  คือ  รัฐสภามีอำนาจหน้าที่ในการบัญญัติกฎหมาย  ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายแพ่ง  กฎหมายอาญา  กฎหมายปกครอง  หรือกฎหมายอื่นๆ  มีอำนาจในการให้ความเห็นชอบ  เช่น  ให้ความเห็นชอบในการประกาศสงคราม  ให้ความเห็นชอบในการทำสนธิสัญญากับต่างประเทศ  เป็นต้น  มีอำนาจในการควบคุมการทำงานของรัฐบาล  เช่น  การตั้งกระทู้ถาม  การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ  เป็นต้น

2       อำนาจบริหาร  ฝ่ายบริหาร  คือ  รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี  มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารราชการแผ่นดิน  ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ  กฎหมาย  และนโยบายที่ได้แถลงไว้

3       อำนาจตุลาการ  ฝ่ายตุลาการ  คือ  ศาล  มีอำนาจหน้าที่ในการใช้กฎหมายให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ  และตามเจตนารมณ์ของประชาชนหรือฝ่ายนิติบัญญัติ  ซึ่งแต่ละศาลจะมีอำนาจหน้าที่ในการใช้กฎหมายแตกต่างกัน

 

ข้อ  3  นายกรัฐมนตรีเห็นว่าบทบาทหน้าที่ของ  ส.ส.  ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาชนและไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะตัวแทนปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง  จึงได้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรฯ  และกำหนดให้มีการเลือกตั้ง  ส.ส.  เป็นการทั่วไป  ต่อมาจากการได้ไปศึกษาดูงานในต่างประเทศเมื่อเดือนที่แล้วของ  กกต.  จึงได้มีมติกำหนดให้การเลือกตั้งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ครั้งนี้มีการจัดวางคูหารูปแบบใหม่  โดยผู้ลงคะแนนฯ  หันหลังให้กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง  ทั้งนี้เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัย  และจะทำให้กรรมการฯ  สามารถมองเห็นและสังเกตพฤติกรรมของผู้ลงคะแนนฯ ได้

หากกระทำการอันก่อให้เกิดอันตรายหรือทุจริตในการเลือกตั้ง  ต่อมาผู้มีสิทธิเลือกตั้งจำนวน  10  คนในจังหวัดยะลา  ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพราะเห็นว่า  ส.ส. ยังคงปฏิบัติหน้าที่ได้ปกติ  การเลือกตั้งบ่อยครั้งทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดิน  และมติ กกต.  ที่กำหนดให้สามจังหวัดชายแดนใต้  มีการจัดวางคูหารูปแบบใหม่ก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ดังนั้น  พระราชกฤษฎีกาประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรฯ  และมติดังกล่าวของ  กกต.  จึงมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  ดังนี้  ผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องดำเนินการในกรณีนี้หรือไม่  อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550

มาตรา  2  ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

มาตรา  93  การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนนโดยตรงและลับ

มาตรา  108  “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่

การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา”       

มาตรา  187  พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการตราพระราชกฤษฎีกาโดยไม่ขัดต่อกฎหมาย

มาตรา  235  คณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ควบคุมและดำเนินการจัดหรือจัดให้มีการเลือกตั้งหรือการสรรหาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร  สมาชิกวุฒิสภา  สมาชิกสภาท้องถิ่น  และผู้บริหารท้องถิ่นแล้วแต่กรณี  รวมทั้งการออกเสียงประชามติให้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม

มาตรา  236  คณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

(1)  ออกประกาศหรือวางระเบียบกำหนดการทั้งหลายอันจำเป็นแก่การปฏิบัติตามกฎหมาย

มาตรา  244  ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจหน้าที่  ดังต่อไปนี้

(1)  พิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียน

มาตรา  245  ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้  เมื่อเห็นว่ามีกรณีดังต่อไปนี้

(1)  บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ

(2)  กฎ  คำสั่ง  หรือการกระทำอื่นใดของบุคคลใดตามมาตรา  244(1)(ก)  มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย  ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย  มีดังนี้คือ

ประเด็นที่  1  พระราชกฤษฎีกาประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรฯ  มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่

การยุบสภาผู้แทนราษฎรนั้นเป็นการกระทำทางรัฐบาล  โดยนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นหัวหน้าของฝ่ายบริหาร  เป็นผู้ถวายคำแนะนำต่อพระมหากษัตริย์เพื่อทรงยุบสภาผู้แทนราษฎร  เป็นการใช้อำนาจของฝ่ายบริหารโดยแท้ที่กำหนดไว้ในระบบรัฐสภา  (ตามมาตรา  108  และมาตรา  187)  เพื่อให้ฝ่ายบริหารถ่วงดุลหรือคานอำนาจกับฝ่ายนิติบัญญัติ  เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติกับรัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายบริหาร  จึงเป็นดุลพินิจของฝ่ายบริหารอย่างแท้จริงไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบการใช้อำนาจโดยศาลซึ่งเป็นองค์กรฝ่ายตุลาการ

ดังนั้น  เมื่อผู้ตรวจการแผ่นดิน  ซึ่งได้รับเรื่องร้องเรียนตามมาตรา  244  จะไม่ดำเนินการส่งเรื่องไปให้ศาลตามมาตรา  245(1)(2)  เพื่อตรวจสอบปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎรฯในกรณีนี้

ประเด็นที่  2  มติของ  กตต  ที่กำหนดให้การเลือกตั้งในสามจังหวัดชายแดนใต้  มีการจัดวางคูหารูปแบบใหม่  มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่

การที่  กกต.  มีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา  235  และ  236  และได้กำหนดให้มีการจัดวางคูหาเลือกตั้งรูปแบบใหม่นั้น  ก็มาจากการพิจารณาเห็นชอบร่วมกันของคณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งเป็น  “มติ”  ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง  ซึ่งมติดังกล่าวมีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไปโดยไม่มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่กรณีใดกรณีหนึ่งหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเฉพาะ  จึงมีลักษณะเป็น  “กฎ”  ตามความหมายที่บัญญัติไว้ในมาตรา  245(2)

ตามมาตรา  2  ได้กำหนดรูปแบบการปกครองของประเทศไทยไว้ว่า  เป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข  ซึ่งในระบบรัฐสภาประชาชนใช้อำนาจในการปกครองประเทศผ่านผู้แทนปวงชน  คือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา และในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้น  มาตรา  93  ได้กำหนดให้ใช้วิธีออกเสียงลงคะแนน  “โดยตรงและโดยลับ”  ดังนั้นการจัดคูหาเลือกตั้งตามมติของ  กกต  ที่ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งหันหน้าเข้าคูหาลงคะแนนและหันหลังให้คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งซึ่งจะทำให้บุคคลอื่นสังเกตเห็นได้  จึงเป็นการละเมิดต่อหลักการเรื่องการออกเสียงลงคะแนน  ซึ่งจะต้องดำเนินการโดยใช้วิธีการออกเสียงลงคะแนน  “โดยตรงและลับ”  มติของ  กตต.  ดังกล่าวจึงมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

ดังนั้น  เมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินซึ่งได้รับเรื่องร้องเรียนตามมาตรา  244  สามารถดำเนินการเสนอเรื่องมติของ  กตต  ดังกล่าวพร้อมความเห็นต่อศาลปกครองตามมาตรา  245(2)  เพื่อตรวจสอบปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของมติคณะกรรมการการเลือกตั้งในกรณีนี้ได้

สรุป  กรณีพระราชกฤษฎีกาประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎรฯ  ผู้ตรวจการแผ่นดินจะไม่ดำเนินการส่งเรื่องไปให้ศาลเพื่อตรวจสอบปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

กรณีมติของ  กกต.  ที่กำหนดให้มีการจัดคูหาเลือกตั้งรูปแบบใหม่  ผู้ตรวจการแผ่นดินสามารถดำเนินการเสนอเรื่องนี้พร้อมความเห็นต่อศาลปกครอง  เพื่อตรวจสอบปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญได้

 

ข้อ  4  นายแดงได้สมัครรับเลือกตั้งซ่อมเพื่อเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่  ปรากฏว่า  กกต.  จังหวัดเชียงใหม่ฯ  ตรวจสอบคุณสมบัตินายแดงแล้วเห็นว่านายแดงมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วน  เนื่องจากได้ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย  ซึ่งต่อมานายแดงไอ้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น  ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลฯ  ดังนั้น  กกต.  จังหวัดเชียงใหม่  จึงได้ปฏิเสธการรับสมัครฯ  หากนายแดงเห็นว่าตนมีคุณสมบัติครบถ้วน  การไม่รับสมัครเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  จึงประสงค์ที่จะใช้สิทธิในทางศาล  ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่านายแดงสามารถที่จะใช้สิทธิในทางศาลในกรณีนี้ได้หรือไม่  เพราะเหตุใด  และศาลใดที่มีอำนาจในการรับฟ้องไว้พิจารณา

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550

มาตรา  28  วรรคสอง  บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้  สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้

มาตรา  102  บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้  เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

(2)เป็นบุคคลล้มละลายหรือเคยเป็นบุคคลล้มละลายทุจริต

วินิจฉัย

ตามมาตรา  28  วรรคสอง  เป็นกรณีของการใช้สิทธิในทางศาลของบุคคลในรัฐ  โดยบุคคลสามารถใช้สิทธิทางศาลได้เมื่อมีการละเมิดหรือการกระทำอันฝ่าฝืนต่อกฎหมายต่อสิทธิหรือเสรีภาพในเรื่องใดเรื่องหนึ่งของบุคคลนั้น  และเป็นสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้ได้รับรองไว้  ซึ่งการใช้สิทธิทางศาลนั้นบุคคลผู้ถูกละเมิดหรือเสรีภาพดังกล่าวมีสิทธินำคดีไปฟ้องศาลหรือยกเป็นข้อต่อสู้ในคดีได้

กรณีตามอุทาหรณ์  ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยมีว่า   การที่  กกต.  จังหวัดเชียงใหม่ฯ  ปฏิเสธการรับสมัครรับเลือกตั้งฯของนายแดง  เป็นการละเมิดสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งฯของนายแดงหรือไม่  กรณีนี้เห็นว่า   การที่  กกต.  จังหวัดเชียงใหม่ฯปฏิเสธการรับสมัครฯของนายแดงนั้นเป็นเพราะเมื่อ  กกต  จังหวัดเชียงใหม่ฯได้ตรวจสอบคุณสมบัติของนายแดงแล้วเห็นว่า  นายแดงมีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนเนื่องจากได้ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย  นายแดงจึงเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา  102(2)  ดังนั้นการปฏิเสธการรับสมัครฯของ  กตต  จังหวัดเชียงใหม่ฯดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย และไม่ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งฯ  ของนายแดงแต่อย่างใด

และเมื่อกรณีดังกล่าวไม่ถือว่านายแดงได้ถูกละเมิดสิทธิ  ดังนั้นนายแดงจึงไม่สามารถที่จะใช้สิทธิในทางศาลกรณีนี้ได้

สรุป  นายแดงไม่สามารถที่จะใช้สิทธิในทางศาลกรณีนี้ได้

LAW 2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง 1/2555

การสอบไล่ภาค  1  ปีการศึกษา  2555

ข้อสอบกระบวนวิชา  LAW2004 กฎหมายรัฐธรรมนูญและสถาบันการเมือง

คำแนะนำ  ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน  มี  4  ข้อ  (คะแนนเต็มข้อละ  25  คะแนน)

ข้อ  1  นายดำถูกตำรวจจับกุมตัวดำเนินคดีในข้อหาจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท  3  ต่อมาพนักงานอัยการฟ้องนายดำต่อศาลอาญา นายดำให้การปฏิเสธ  ระหว่างถูกดำเนินคดีนายดำไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว  และในการควบคุมตัวนายดำมาที่ศาล  เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ตีโซ่ตรวนนายดำ  นายดำอ้างว่าการตีโซ่ตรวนตนเป็นการกระทำที่ขัดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  เป็นการกระทำของเจ้าพนักงานที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550  มาตรา  26  ที่บัญญัติว่า

“การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร  ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  สิทธิและเสรีภาพตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้”  นอกจากนี้ในการพิจารณาคดีนายดำยังอ้างว่า  พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ  พ.ศ.2522  มาตรา  20  วรรคท้าย  ที่บัญญัติว่า  “การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท  3  เกินจำนวนที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ 

ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย”  เป็นข้อสันนิษฐานกฎหมายที่สันนิษฐานว่านายดำเป็นผู้กระทำความผิด  จึงเป็นบทบัญญัติที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550  มาตรา  39  วรรคสอง  ที่บัญญัติว่า  “ในคดีอาญา  ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มีความผิด”  นายดำจึงขอให้ศาลอาญาส่งประเด็นซึ่งเป็นข้อต่อสู้ทั้งสองประเด็นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย  ท่านเห็นว่า  ศาลอาญาควรส่งปัญหาทั้งสองประเด็นนี้ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่  เพราะเหตุใด

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550

มาตรา  6  “รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ  บทบัญญัติใดของกฎหมาย  กฎ  หรือข้อบังคับ  ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันใช้บังคับมิได้

มาตรา  211  วรรคหนึ่ง  “ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด  ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา  6  และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น  ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นตามทางการเพื่อศาลรัฐธรรมนูญจะได้พิจารณาวินิจฉัย  ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้  แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราว  จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2550  มาตรา  211  วรรคแรก  กรณีที่ศาลจะส่งความเห็นหรือข้อโต้แย้งเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยนั้น  จะต้องเป็นกรณีที่ศาลเห็นเองหรือคู่ความได้โต้แย้งว่า  บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดีขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญตามมาตรา  6

กรณีตามอุทาหรณ์  ศาลอาญาควรส่งปัญหาทั้งสองประเด็นไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยหรือไม่  แยกพิจารณาได้ดังนี้  คือ

ประเด็นที่  1  การที่นายดำอ้างว่าการตีโซ่ตรวนของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นั้น  เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ  ไม่ได้เป็นการอ้างว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดีขัดต่อรัฐธรรมนูญตามมาตรา  211  ดังนั้น  การที่นายดำได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาส่งประเด็นซึ่งเป็นข้อต่อสู้ของตนไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยนั้น  ศาลอาญาจึงไม่ควรส่งปัญหาประเด็นนี้ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

ประเด็นที่  2  การที่นายดำอ้างว่า  พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ  พ.ศ.2522  มาตรา  20  วรรคท้าย  เป็นบทบัญญัติที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2550  มาตรา  39  วรรคสอง  นั้นถือว่าเป็นการอ้างว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คดี  ขัดต่อรัฐธรรมนูญตามมาตรา  211  ดังนั้นการที่นายดำได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญาส่งประเด็น  ซึ่งเป็นข้อต่อสู้ของตนไปยังศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาวินิจฉัยนั้น  ศาลอาญาจึงต้องส่งปัญหาประเด็นนี้ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

สรุป  ศาลอาญาจะต้องส่งปัญหาเฉพาะประเด็นที่  2  ไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย  ส่วนปัญหาประเด็นที่  1  ไม่ต้องส่งตามมาตรา  211

 

ข้อ  2  การยุบสภาคืออะไร  เหตุใดจึงต้องมีการยุบสภาและตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550  ได้บัญญัติหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการยุบสภาไว้อย่างไร  ขอให้อธิบายพร้อมยกหลักกฎหมายประกอบ

ธงคำตอบ

การยุบสภา  หมายถึง  การดำเนินการทางการเมืองเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมดที่มีอยู่ในขณะใดขณะหนึ่งต้องพ้นจากสมาชิกของสภาผู้แทนราษฎรไปพร้อมกัน  และจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไป  ซึ่งการยุบสภาที่ว่านี้จะใช้กับสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น  โดยไม่เกี่ยวข้องกับวุฒิสภาเพราะไม่มีการยุบวุฒิสภา  แต่การยุบสภานั้นจะมีผลทำให้คณะรัฐมนตรีต้องพ้นจากตำแหน่งไปพร้อมกันด้วย

เหตุที่ต้องมีการยุบสภา  ก็เพื่อให้ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยเป็นผู้วินิจฉัยว่า  ควรให้ความไว้วางใจแก่คณะรัฐมนตรี  หรือสภานิติบัญญัติ  (สภาผู้แทนราษฎร)  โดยการเลือกบุคคลที่ตนเห็นชอบเข้ามาใหม่  ซึ่งการยุบสภานี้จะเกิดขึ้นได้ก็แต่เฉพาะในประเทศที่มีการปกครองในระบบรัฐสภาหรือในประเทศที่มีการปกครองในระบบกึ่งประธานาธิบดีกึ่งรัฐสภา  เช่น  ประเทศฝรั่งเศสก็ได้  แต่การยุบสภาจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศที่มีการปกครองในระบบประธานาธิบดี

การยุบสภามีความจำเป็นและสำคัญต่อการปกครองในระบบรัฐสภา  เช่น  ประเทศอังกฤษและประเทศไทย  ซึ่งปกครองในระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา  เนื่องจากการปกครองในระบบนี้จะเพ่งเล็งถึงความสมดุลระหว่างอำนาจนิติบัญญัติกับอำนาจบริหารเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการเปิดโอกาสให้ฝ่ายบริหารที่อาจแนะนำให้ประมุขของรัฐยุบสภาได้  ซึ่งมีผลเท่ากับเป็นการให้เครื่องมือแก่ฝ่ายบริหาร  (คณะรัฐมนตรี)  ในการต่อสู้กับฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเป็นการถ่วงดุลแห่งอำนาจ  (Balance  of  Power)  ต่อการที่ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี)  ได้นั่นเอง

ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน  ได้บัญญัติหลักเกณฑ์การยุบสภาไว้ในมาตรา  108  ดังนี้

“พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่

การยุบสภาผู้แทนราษฎรให้กระทำโดยพระราชกฤษฎีกา  ซึ่งต้องกำหนดวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่เป็นการเลือกตั้งทั่วไปภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่าสี่สิบห้าวันแต่ไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎร  และวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

การยุบสภาผู้แทนราษฎรจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน”

จากบทบัญญัติดังกล่าวจะเห็นได้ว่าในการยุบสภาจะต้องมีหลักเกณฑ์ดังนี้คือ

1       การยุบสภาเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์  เนื่องจากพระองค์เป็นประมุขแห่งรัฐและทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะยุบสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรใหม่  ซึ่งโดยหลักปฏิบัติแล้วพระองค์จะทรงใช้พระราชอำนาจนั้นก็ต่อเมื่อนายกรัฐมนตรีทูลเกล้าฯ  ขอพระบรมราชานุญาตเท่านั้น

2       การยุบสภาผู้แทนราษฎรต้องออกเป็นพระราชกฤษฎีกา  และต้องมีการกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไป  ภายในระยะเวลาไม่น้อยกว่า  45  วัน  แต่ไม่เกิน  60  วัน  นับแต่วันยุบสภาผู้แทนราษฎรและวันเลือกตั้งนั้นต้องกำหนดเป็นวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร

3       การยุบสภาจะกระทำได้เพียงครั้งเดียวในเหตุการณ์เดียวกัน  กล่าวคือ  หากจะมีการยุบสภาอีกครั้ง  จะอ้างเหตุผลหรือเหตุการณ์ที่ใช้ในการยุบสภาครั้งก่อนไม่ได้

4       ในกรณีที่มีการเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี  โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแล้ว  จะมีการยุบสภาไม่ได้  เว้นแต่จะมีการถอนญัตติ  หรือการลงมตินั้นไม่ได้คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร (มาตรา  158)

 

ข้อ  3 

ก.       รัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นจากปัญหาและสาเหตุใด  มีหลักการสำคัญว่าอย่างไร  และมีเป้าหมายใด

ข.      ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาตั้งแต่ปี  พ.ศ.2475  มาถึงปัจจุบัน  จงอธิบายว่า  รัฐสภาไทยได้เปลี่ยนมาแล้วกี่แบบ  อะไรบ้าง

ค.      จงอธิบายว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  มีทั้งหมดกี่มาตรา  แบ่งออกเป็นกี่หมวด  หมวดพระมหากษัตริย์และหมวดรัฐสภาอยู่ในหมวดที่เท่าไร

ธงคำตอบ

ก  รัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตยเกิดขึ้นจากปัญหาทางการปกครองเนื่องจากแต่ก่อนอำนาจการปกครองจะอยู่กับผู้ปกครองเพียงคนเดียว  ประชาชนไม่มีส่วนร่วมทางการปกครอง  และการใช้อำนาจทางปกครองของผู้ปกครองไม่สามารถตรวจสอบได้  ซึ่งถือว่าเป็นการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์

จากลักษณะการปกครองดังกล่าว  จึงทำให้เกิดปัญหาทางการปกครอง  คือ  ประชาชนขาดสิทธิเสรีภาพจากการใช้อำนาจทางปกครองของผู้ปกครอง  ดังนั้นจึงมีการแบ่งแยกอำนาจเป็น  3  อำนาจ  คืออำนาจนิติบัญญัติ  อำนาจบริหาร  และอำนาจตุลาการ  ซึ่งจากการแบ่งแยกอำนาจดังกล่าวก็ได้พัฒนามาเป็นระบอบประชาธิปไตย  โดยมีหลักการสำคัญ  คือ

1       ประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียมกัน  เสมอภาคกัน

2       ผู้ที่จะใช้อำนาจทางปกครอง  จะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนส่วนใหญ่เป็นสำคัญ  จึงทำให้เกิดกระบวนการเลือกตั้ง

3       การใช้อำนาจในทางปกครอง  จะต้องใช้อำนาจเพื่อปกป้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ของประชาชน

4       การใช้อำนาจในทางปกครอง  จะต้องสามารถควบคุมและตรวจสอบได้

ข  หลังจากประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา  ตั้งแต่ พ.ศ.2475  มาถึงปัจจุบัน  รัฐสภาไทยได้เปลี่ยนมาแล้ว  5  แบบ  คือ

1       แบบสภาเดียวและมีสมาชิกประเภทเดียว  คือสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด  เช่น  รัฐธรรมนูญฯ (ชั่วคราว)  พ.ศ.2475  ธรรมนูญการปกครองฯ  พ.ศ.2502  และ  พ.ศ.2515  รัฐธรรมนูญฯพ.ศ.2519  รัฐธรรมนูญฯ  (ชั่วคราว)  พ.ศ.2534  และ  พ.ศ. 2549

2       แบบสภาเดียวมีสมาชิกสองประเภท  คือสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งและสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้ง  ได้แก่  รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2475

3       แบบสองสภามีสมาชิกสองประเภท  คือสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งและสมาชิกที่มาจากการแต่งตั้ง  (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา)  ได้แก่  รัฐธรรมนูญฯพ.ศ. 2511  พ.ศ.2517  พ.ศ.2521  และรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2534

4       แบบสองสภามีสมาชิกประเภทเดียว  คือสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด  (ทั้งสมาชิกสภาผู้แทนฯ  และสมาชิกวุฒิสภา  ได้แก่  รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2540

5       แบบสองสภามีสมาชิกสองประเภท  คือสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้ง  (สมาชิกสภาผู้แทนฯ  และสมาชิกวุฒิสภา)  และสมาชิกที่มาจากการสรรหา  (สมาชิกวุฒิสภา)  ซึ่งได้แก่  รัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2550  (ฉบับปัจจุบัน)

ค  รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน  คือ  รัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2550

1       มีทั้งหมด  309  มาตรา

2       แบ่งออกเป็น  15  หมวด

3       หมวดพระมหากษัตริย์อยู่ในหมวดที่  2  และหมวดรัฐสภาอยู่ในหมวดที่  6

 

ข้อ  4  เพื่อสนับสนุนกิจการของรัฐสภาและเพื่อควบคุมตรวจสอบการใช้โทรศัพท์ของหน่วยงานของรัฐ  คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้สิทธิพิเศษแก่  บริษัท  ทีโอที  จำกัด  (มหาชน)  ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในรูปแบบบริษัทมหาชนจำกัด  ในการให้บริการเลขหมายโทรศัพท์แก่รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐ  ต่อมาจึงได้มีหนังสือแจ้งมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวไปยังรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานของรัฐทั้งหลายให้ปฏิบัติตาม  ในกรณีการขอใช้เลขหมายโทรศัพท์  โดยให้พิจารณาขอเลขหมายโทรศัพท์ของ  บริษัท  ทีโอที  จำกัด  (มหาชน)  ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจเป็นลำดับแรก  เว้นแต่  บริษัท  ทีโอที  จำกัด  (มหาชน)  ไม่สามารถให้บริการได้  ต่อมา  บริษัท  ทรีย์  จำกัด  และบริษัท  ดีแมก  จำกัด  ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนและให้บริการเลขหมายโทรศัพท์เช่นกัน  เห็นว่ามติคณะรัฐมนตรีที่ให้สิทธิพิเศษแก่  บริษัท  ทีโอที  จำกัด  (มหาชน)  ดังกล่าว  เป็นการเลือกปฏิบัติและทำให้การแข่งขันทางการค้าไม่เป็นธรรม  ย่อมขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ  พ.ศ.2550  จึงได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน  เพื่อให้ดำเนินการส่งเรื่องไปยังศาลที่มีอำนาจเพื่อพิจารณาวินิจฉัย  ดังนี้  ให้ท่านวินิจฉัยว่า  มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญตามที่  บริษัท  ทรีย์  จำกัด  และบริษัท  ดีแมก  จำกัด  กล่าวอ้างในกรณีใด  หรือไม่  เพราะเหตุใด  และหากท่านเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน  ท่านจะดำเนินการในกรณีนี้อย่างไร

ธงคำตอบ

หลักกฎหมาย  ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย  พ.ศ.2550

มาตรา  30  บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย  และได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน 

ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน

การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคล  เพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด  เชื้อชาติ  ภาษา  เพศ  อายุ  ความพิการ  สภาพทางกายหรือสุขภาพ  สถานะของบุคคล  ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม  ความเชื่อทางศาสนา  การศึกษาอบรม  หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจะกระทำมิได้

มาตรา  244  ผู้ตรวจการแผ่นดินมีอำนาจหน้าที่  ดังต่อไปนี้

(1)  พิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนดังต่อไปนี้

(ก)   การไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย  หรือปฏิบัตินอกเหนืออำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของข้าราชการ  พนักงาน  หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ  หน่วยงานของรัฐ  หรือรัฐวิสาหกิจ  หรือราชการส่วนท้องถิ่น

(ข)   การปฏิบัติหรือละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ  พนักงาน  หรือลูกจ้างของหน่วยราชการ  หน่วยงานของรัฐ  หรือรัฐวิสาหกิจ  หรือราชการส่วนท้องถิ่นที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ร้องเรียนหรือประชาชนโดยไม่เป็นธรรม  ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ก็ตาม

(ค)  การตรวจสอบการละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายขององค์กรตามรัฐธรรมนูญ  และองค์กรในกระบวนการยุติธรรม  ทั้งนี้ไม่รวมถึงการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาล

(ง)   กรณีอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ

(2)  …..

(3)  …..

(4)  …..

การใช้อำนาจหน้าที่ตาม  (1) (ก) (ข)  และ  (ค)  ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการ  เมื่อมีการร้องเรียน  เว้นแต่เป็นกรณีที่ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าการกระทำดังกล่าวมีผลกระทบต่อความเสียหายของประชาชนส่วนรวม  หรือเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ  ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจพิจารณาและสอบสวนโดยไม่มีการร้องเรียนได้

มาตรา  245  ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญหรือศาลปกครองได้  เมื่อเห็นว่ามีกรณีดังต่อไปนี้

(1)  บทบัญญัติแห่งกฎหมายใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ  ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ

(2)  กฎ  คำสั่ง  หรือการกระทำอื่นใดของบุคคลใดตามมาตรา  244(1)(ก)  มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย  ให้เสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง  และให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยโดยไม่ชักช้า  ทั้งนี้ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง

วินิจฉัย

การที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้สิทธิพิเศษแก่  บริษัท  ทีโอที  จำกัด  (มหาชน)  ในการให้บริการเลขหมายโทรศัพท์แก่รัฐวิสาหกิจและหน่วยงานอื่นของรัฐ  และได้มีหนังสือแจ้งมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวไปยังรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานของรัฐทั้งหลายให้ปฏิบัติตามนั้น  มติของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวถือว่าเป็นกฎ  และเป็นการออกกฎในลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม  และขัดต่อหลักความเสมอภาค  ตามมาตรา  30

เมื่อ  บริษัท  ทรีย์  จำกัด  และบริษัท  ดีแมก  จำกัด  ซึ่งเป็นบริษัทเอกชน  เห็นว่ามติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นการให้สิทธิพิเศษแก่  บริษัท  ทีโอที  จำกัด  (มหาชน)  เป็นการเลือกปฏิบัติและทำให้การแข่งขันทางการค้าไม่เป็นธรรม  ย่อมขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ.2550  จึงได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน  เพื่อให้ดำเนินการส่งเรื่องไปยังศาลที่มีอำนาจเพื่อพิจารณาวินิจฉัย  ดังนี้  ผู้ตรวจการแผ่นดินจะต้องดำเนินการพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนนั้น  ตามมาตรา  244  (1) (ก)  และวรรคท้าย

และเมื่อผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการพิจารณาและสอบสวนหาข้อเท็จจริงแล้ว  ก็ให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอเรื่องพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง  เพื่อให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัยตามมาตรา  245 (2)

สรุป  มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวเป็นกฎที่ออกมาขัดต่อหลักความเสมอภาค  ตามมาตรา  30  เพราะเป็นกฎที่ออกมาในลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม  และหากข้าพเจ้าเป็นผู้ตรวจการแผ่นดิน  ก็จะดำเนินการเสนอเรื่องดังกล่าวพร้อมด้วยความเห็นต่อศาลปกครอง  เพื่อให้ศาลปกครองพิจารณาวินิจฉัย

WordPress Ads
error: Content is protected !!