APR2101 สารสนเทศและการสื่อสารทางธุรกิจ ภาค 1 ปีการศึกษา 2554

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2554
ข้อสอบกระบวนวิชา APR2101 สารสนเทศและการสื่อสารทางธุรกิจ

Fog is a major cause of accidents on highways in some area. Every year many thousands of peoples lose their lives because fog can dangerously reduce visibility. The driver cannot see very far ahead

หมอกเป็นสาเหตุสำคัญของอุบัติเหตุบนทางหลวงในบางพื้นที่ ทุกปีจะมีประชาชนหลายพันคนสูญเสียชีวิต เนื่องจากหมอกสามารถทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงจนเป็นอันตราย ผู้ที่ขับรถจะไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าที่ไกลมากๆได้

1. so they___________
(1) do not have time to avoid accidents.
(2) go faster to avoid accidents.
(3) have more time to read the signs.
(4) do not have time to have accidents.
ถาม ดังนั้นพวกเขาจึง______________
ตอบ 1 (ไม่มีเวลาที่จะหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้)
2.ขับรถเร็วขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ
3.มีเวลาที่จะอ่านป้ายต่างๆมากขึ้น
4.ไม่มีเวลาที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ

2. visibility means ___________
(1) accidents
(2) clear view
(3) ability to see
(4) ability to visit
ถาม ทัศนวิสัยในการมองเห็น หมายถึง____________
ตอบ 3 (ความสามารถในการมองเห็น) 1.อุบัติเหตุ
2.เห็นได้ชัดเจน 4.ความสามารถในการไปหา

3. According to the reading, what causes death?
(1) highways
(2) fog
(3) visibility
(4) highway areas
ถาม จากเรื่องที่อ่าน อะไรเป็นสาเหตุของการเสียชีวิต
ตอบ 2 (หมอก) 1.ทางหลวง
3.ทัศนวิสัย 4.พื้นที่ที่เป็นทางหลวง

4. What caused the driver cannot see very far ahead?
(1) Highway
(2) fog
(3) losing of lives
(4) danger
ถาม อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ที่ขับรถไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าที่ไกลมากๆได้
ตอบ 2 (หมอก)
1.ทางหลวง
3.การสูญเสียชีวิต
4.อันตราย

5. The word “major causes” means
(1) majority
(2) problem
(3) main factor
(4) more causes
ถาม คำว่า “Major cause” (สาเหตุสำคัญ หมายถึง_________
ตอบ 3 (ปัจจัยสำคัญ) 1.ส่วนใหญ่ 2.ปัญหา 4.มากกว่าสาเหตุ

Some of the most famous classical composers died quite young. Among these were Schubert and Mozart, who both died in their thirties. Not all great composers had short lives, however, Bach lived until the age of sixty-five and Haydn until the age of sixty-nine, and other.

นักแต่งเพลงคลาสสิกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดบางท่านได้เสียชีวิตไปตั้งแต่วัยหนุ่ม ในบรรดาบุคคลเหล่านี้ก็คือ ชูเบิร์ตและโมซาร์ต ซึ่งทั้งคู่เสียชีวิตในวัย 30 ปี อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่นักแต่งเพลงที่ยิ่งใหญ่ทั้งหมดจะเป็นคนที่มีอายุสั้น บาคมีชีวิตอยู่จนกระทั่ง 65 ปี และเฮดน์มีชีวิตอยู่จนกระทั่งอายุ 69 ปี ส่วนคนอื่นๆ

6. like Verdi and Strauss________
(1) died at the very young age.
(2) Lived on into their eighties
(3) Died while playing the piano.
(4) Lived in the twentieth century
ถาม เช่น แฝดิและชเทราซ์_________
ตอบ 2 (มีชีวิตอยู่จนอายุเฉียด 80 ปี)
1.เสียชีวิตในขณะที่ยังอยู่ในวัยหนุ่มากๆ
3.เสียชีวิตในขณะที่กำลังเล่นเปียโน 4.มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 20

7. Who lived only his youngest life?
(1) Mozart
(2) Bach
(3) Haydn
(4) Verdi
ถาม ใครมีชีวิตอยู่เพียงในช่วงวัยหนุ่มที่สุดของเขาเท่านั้น
ตอบ 1 (โมซาร์ต) 2.บาค 3.เฮดน์ 4.แฝดิ

8. What is the phrase “great composer” means?
(1) Big composer
(2) Famous composer
(3) Older composer
(4) Younger composer
ถาม วลีที่ว่า “great composer” (นักแต่งเพลงผู้ยิ่งใหญ่) หมายถึงอะไร
ตอบ 2 (นักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียง) 1.นักแต่งเพลงที่มีรูปร่างใหญ่
3.นักแต่งเพลงที่มีอายุแก่กว่า 4.นักแต่งเพลงที่มีอายุอ่อนกว่า

9. the phrase “among these” in line 1 refers to _____________
(1) Famous composers
(2) Young dead composers
(3) Other peoples except Schubert & Strauss.
(4) Bach and Haydn.
ถาม วลีที่ว่า “among these” (ในบรรดาบุคคลเหล่านี้) ในบรรทัดที่ 1 อ้างถึง___________
ตอบ 2 (นักแต่งเพลงที่เสียชีวิตในวัยหนุ่ม) 1.นักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียง
3.คนอื่นๆยกเว้นซูเบิร์ตและชเทราซ์ 4.บาคและเฮดน์

10. Whose life is shorter?
(1) Stauss
(2) Hayden
(3) Bach
(4) Mozart
ถาม ชีวิตของใครที่สั้นกว่ากัน
ตอบ 4 (โมซาร์ต) 1.ชเทราซ์ 2.เฮดน์ 3.บาค

In the past, North America forests were full of chestnut trees. People used chestnuts in cooking in many different ways. They also loved to cook chestnuts over a fire and eat them plain. Then in the early 1900s, a disease killed most all the trees. Now it is hard to find fresh chestnuts in U.S. markets, and most chestnuts for sale are usually …

ในอดีตนั้น ป่าไม้ในแถบอเมริกาเหนือจะเต็มไปด้วยต้นเกาลัด ผู้คนจะใช้ลูกเกาลัดในการประกอบอาหารในวิธีที่แตกต่างกันหลายๆวิธี นอกจากนี้พวกเขายังชอบที่จะประกอบอาหารโดยนำลูกเกาลัดไปย่างบนไฟและกินมันแบบง่ายๆ ต่อมาในช่วงต้น ค.ศ.1900 โรคชนิดหนึ่งได้ทำลายต้นเกาลัดเกือบทั้งหมด ตอนนี้มันเป็นเรื่องยากที่จะหาลูกเกาลัดสดในตลาดสหรัฐอเมริกา และลูกเกาลัดที่ขายส่วนใหญ่มักจะ

11. and most chestnuts for sale are usually _________
(1) from North America
(2) diseased.
(3) roasted over a fire
(4) imported from Europe
ถาม และลูกเกาลัดที่ขายส่วนใหญ่มักจะ_________
ตอบ 4 (นำเข้าจากยุโรป)
1.มาจากอเมริกาเหนือ
2.ติดโรค
3.ย่างบนไฟ

12. Why the American peoples have to imported chestnuts?
(1) They fired them
(2) They cook them everyday
(3) Been sold out
(4) Were killed by disease
ถาม ทำไมผู้คนชาวอเมริกันจึงต้องนำเข้าลูกเกาลัด
ตอบ 4 (ถูกทำลายโดยโรคชนิดหนึ่ง)
1.พวกเขาเผามัน
2.พวกเขานำมันมาทำอาหารทุกวัน
3.ถูกขายไปหมดแล้ว

13. Which statement is true?
1. We cannot find any fresh chestnuts in the U.S. market.
2. Cooking over a fire is the favorite cooking of chestnuts.
3. All chestnut trees were burned.
4. There were no more chestnuts in North America
ถาม ข้อความใดถูกต้อง
ตอบ 1 (พวกเราไม่สามารถหาลูกเกาลัดสดได้ในตลาดสหรัฐอเมริกา)
2.การประกอบอาหารบนไฟเป็นวิธีการทำอาหารจากลูกเกาลัดซึ่งเป็นที่ชื่นชอบ
3.ต้นเกาลัดทั้งหมดถูกเผาไปหมดแล้ว
4.ไม่มีลูกเกาลัดในอเมริกาเหนืออีกต่อไป

14. The word “cook over fire” means ¬¬¬¬¬¬¬¬
(1) Strong fire cooked
(2) Burned
(3) Fry
(4) Roasted
ถาม คำว่า “cook over fire” (ประกอบอาหารบนไฟ) หมายถึง
ตอบ 4 (ย่าง) 1.ประกอบอาหารโดยใช้ไฟแรงๆ
2.เผา 3.ทอด

15. The word “eat them plain” means ________________
(1) eat without cooking
(2) eat without mixing
(3) eat them regularly
(4) often eat them
ถาม คำว่า “eat them plain” (กินมันแบบง่ายๆ หมายถึง)_________
ตอบ 2 (กินโดยไม่มีการปรุง) 1.กินโดยไม่มีการประกอบอาหาร
3.กินมันเป็นประจำ 4.กินมันบ่อยๆ

There are many ways to cook eggs. You can fry them, boil them, scramble them, even eat the without cooking them. Whatever way you choose to eat your eggs, however, you must …
มีวิธีในการนำไข่มาประกอบอาหารอยู่หลายวิธี ซึ่งคุณสามารถนำมันไปทอด ต้ม กวน ทำไข่เจียวหรือใช้มันเพื่อทำเค้ก ถ้าไข่สดมากๆ คุณก็สามารถกินมันได้แม้ยังไม่ได้ปรุงเป็นอาหาร อย่างไรก็ตามไม่ว่าวีใดก็ตามที่คุณเลือกที่จะกินไข่ของคุณ คุณจะต้อง________

16. Whatever way you choose to eat your eggs, however, you must ________
(1) Always break the shell first.
(2) Always cook them
(3) Never cook them
(4) Never break the shell
ถาม อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าวิธีใดก็ตามที่คุณเลือกที่จะกินไข่ของคุณ คุณจะต้อง___________
ตอบ 1 (กะเทาะเปลือกไข่ก่อนเสมอ) 2.นำมันมาประกอบอาหารเสมอ
3.ไม่เคยนำมันมาประกอบอาหาร 4.ไม่เคยกะเทาะเปลือกไข่

17. Which statement is true?
(1) You must cook egg while it is fresh
(2) Making a cake from fresh eggs is prohitbit.
(3) The best way to cook eggs is to boil it.
(4) Fresh eggs is preferable
ถาม ข้อความใดถูกต้อง
ตอบ 4 (ไข่สดน่าจะเป็นสิ่งที่คนชอบ)
1.คุณจะต้องนำไข่มาประกอบอาหารในขณะที่มันยังสดอยู่
2.การทำเค้กจากไข่สดเป็นสิ่งต้องห้าม
3.วิธีที่ดีที่สุดในการนำไข่มาประกอบอาหารก็คือ การต้ม

18. Which way of eating eggs is the easistes?
(1) Boil eggs
(2) Fry eggs
(3) Eat fresh eggs
(4) Making a cake
ถาม วิธีของการกินไข่ที่ง่ายที่สุดคือวิธีใด
ตอบ 3 (กินไข่สดๆ) 1.ต้มไข่ 2.ทอดไข่ 4.การทำเค้ก

19. The phrase “Whatever way you choose to eat” means _______________
(1) There is only one way to eat.
(2) There are several ways to eat
(3) Any way you choose to eat.
(4) No more way than ever to eat.
ถาม วลีที่ว่า “whatever way you choose to eat” (ไม่ว่าวีใดก็ตามที่คุณเลือกที่จะกิน) หมายถึง___________
ตอบ 3 (วีธีใดก็ตามที่คุณเลือกที่จะกิน) 1.มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่จะกิน
2.มีหลากหลายวิธีที่จะกิน 4.ไม่มีวิธีที่จะกินมากไปกว่านี้อีกแล้ว

20. When we talk about eggs, you refer to ______________
(1) Boil eggs
(2) Fry eggs
(3)Fresh eggs
(4)Both chicken and duck eggs
ถาม เมื่อเราพูดเกี่ยวกับเรื่องไข่ เราจะอ้างถึง__________
ตอบ 4 (ทั้งไข่ไก่และไข่เป็ด) 1.ต้มไข่ 2.ทอดไข่ 3.ไข่สด

Pilots and flight attendants have long known that they become especially forgetful when they fly often with little rest. They lose their car keys, forget their room number at a hotel, or forget the names of the people they have just met. People usually think of this loss of short-term memory as part of jet lag, the negative effects that many people feel after long flights. A scientist named Kwangwok Cho, who had to fly across the Atlantic several times in one month, noticed the same problem with this short-term memory. He decided to find out why people with jet lag become especially forgetful. To understand what was happening, Cho did brain scans of people with severe jet lag. He then compared them with brain scans of people without jet lag. In the people with jet lag, there were clear signs of damage to some brain cells. In fact, part of the brain had become smaller. This was what caused the difficulties with short-term memory.

นักบินและพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินรู้กันมานานแล้วว่าพวกเขากลายเป็นคนขี้ลืมมากเป็นพิเศษ เมื่อพวกเขาบินบ่อยแล้วพักผ่อนน้อย พวกเขามักทำกุญแจรถหาย ลืมเบอร์ห้องที่โรงแรม หรือลืมชื่อของผู้คนที่พวกเขาเพิ่งพบเจอ โดยทั่วไปแล้วผู้คนมักคิดว่าการสูญเสียความจำในระยะสั้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวเรื่องเวลนอน ซึ่งเป็นผลในแง่ลบที่คนจำนวนมากรู้สึกหลังจากที่ต้องบินเป็นเวลานานๆ นักวิทยาศาสตร์ที่ชื่อว่า กวองวอคโซ ผู้ซึ่งต้องบินข้ามหาสมุทรแอตแลนติกหลายๆครั้งในรอบ 1 เดือน ก็ได้สังเกตเห็นปัญหาเช่นเดียวกันนี้ เกี่ยวกับความจำในระยะสั้น เขาจึงตัดสินใจค้นหาว่าทำไมผู้คนที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปรับตัวเรื่องเวลานอนจึงกลายเป็นคนขี้ลืมมากเป็นพิเศษ เพื่อให้เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น โชจึงทำการสแกนสมองของคนที่มีปัญหาการปรับตัวเรื่องเวลานอนอย่างรุนแรง จากนั้นเขาได้เปรียบเทียบคนเหล่านั้นกับการสแกนสมองของคนที่ไม่มีปัญหานี้ ในคนที่มีปัญหาการปรับตัวเรื่องเวลานอนพบว่า มีสัญญาณของความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเซลล์สมองบางส่วนอย่างชัดเจน แท้ที่จริงแล้วก็คือส่วนสมองกลับมีขนาดเล็กลง สิ่งนี้จึงแสดงให้เห็นว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหากับความจำในระยะสั้น

21. Which is the appropriate topic for the above passage?
(1) Pilots & Flight Attendants
(2) Long Flight
(3) Jet Lag
(4) Forgetful
ถาม ข้อใดคือชื่อเรื่องที่เหมาะสมสำหรับเนื้อเรื่องข้างต้น
ตอบ 3 (ปัญหาการปรับตัวเรื่องเวลานอน) 1.นักบินและพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
2.การบินเป็นเวลานาน 4.ขี้ลืม

22. What caused the loss of short-term memory?
(1) Jet lag
(2) Damage of the brain cells
(3) Long flight
(4) Little rest
ถาม อะไรเป็นสาเหตุของการสูญเสียความจำในระยะสั้น
ตอบ 2 (ความเสียหายของเซลล์สมอง) 1.ปัญหาการปรับตัวเรื่องเวลานอน
3.การบินเป็นเวลานาน 4.การพักผ่อนน้อย

23. What is the negative effects that people feel after long flight?
(1) Short-term memory
(2) Little rest
(3) Jet lag
(4) Forgetful
ถาม อะไรคือผลในแง่ลบที่ผู้คนรู้สึกได้หลังจากที่บินเป็นเวลานาน
ตอบ 3 (ปัญหาการปรับตัวเรื่องเวลานอน)
1.ความจำในระยะสั้น
2.การพักผ่อนน้อย
4.ขี้ลืม

24. How can scientist know the cause of forgetfulness?
(1) Comparing the brain scans
(2) Jet lag scan
(3) Damage some brain cells
(4) Brain became smaller
ถาม นักวิทยาศาสตร์สามารถรู้ถึงสาเหตุของการลืมได้อย่างไร
ตอบ 1 (การเปรียบเทียบการสแกนสมอง) 2.การสแกนปัญหาการปรับตัวเรื่องเวลานอน
3.ความความเสียหายของเซลล์สมองบางส่วน 4.สมองกลับมีขนาดเล็กลง

25. Which phrases has the proper meaning to the phrases “noticed the same problem”?
(1) Noted the same problem
(2) Realized the same problem
(3) Forgot the same problem
(4) Brain became smaller
ถาม วลีในข้อใดมีความหมายที่ถูกต้องของวลีที่ว่า “noticed the same problem” (สังเกตเห็นปัญหานี้เช่นกัน)
ตอบ 1 (สังเกตเห็นปัญหานี้เช่นกัน) 2.ตระหนักถึงปัญหานี้เช่นกัน
3.ลืมปัญหานี้เช่นกัน 4.กล่าวถึงปัญหานี้เช่นกัน

Commercial or retail banks are businesses that trade in money. They received and hold deposits, pay money according top customers’ instruction, lend money, offer investment advice, exchange foreign currencies, and so on. They make a profit from the difference (known as a spread or a margin) between the interest rates they pay to lenders or depositors and those they charge to borrowers. Banks also create credit, because the money they lend, from their deposits, is generally spent (either on goods or services, or top settle debts), and in this way transferred to another bank account-often by way of a bank transfer or a cheque (check) rather than the use of notes or coins-from where it can be lent to another borrower, and so on. When lending money, bankers have to find a balance between yield and rish, and between liquidity and different maturities.

ธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารที่มุ่งทำธุรกิจทุกประเภทกับธุรกิจย่อยโดยทั่วไป (Retail bank) จะทำธุรกิจเกี่ยวกับการค้าเงิน ธนาคารเหล่านี้จะรับและถือครองเงินฝาก รวมทั้งจ่ายเงินตามคำสั่งของลูกค้าให้กู้ยืมเงิน ให้คำแนะนำเรื่องการลงทุน แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และอื่นๆทั้งนี้ธนาคารจะทำกำไรจากความแตกต่าง (หรือที่รู้จักกันว่า ผลต่างหรือส่วนต่าง) ระหว่างอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารจ่ายให้แก่ผู้ที่ให้กู้เงินหรือผู้ฝากเงิน และที่ธนาคารคิดเป็นค่าธรรมเนียมจากผู้ขอกู้เงิน นอกจากนี้ธนาคารยังสร้างเครดิตได้อีกด้วย เพราะโดยปกติแล้วเงินที่ธนาคารยืมมาจากเงินฝากมักถูกนำมาใช้ (ไม่ว่าจะเป็นค่าสินค้าหรือบริการ หรือการชำระหนี้) และด้วยวิธีการโอนเงินไปยังบัญชีเงินฝากของธนาคารอื่นๆ ซึ่งมักใช้วิธีการโอนเงินระหว่างธนาคารหรือใช้เช็คมากกว่าการใช้ธนบัตรหรือเหรียญกษาปณ์ จากที่ซึ่งสามารถให้ผู้ขอกู้อีกคนหนึ่งกู้ยืมได้ เมื่อมีการให้กู้ยืมเงิน พนักงานธนาคารจะต้องหาความสมดุลระหว่างผลตอบแทนจากการลงทุนและความเสี่ยง รวมทั้งความสมดุลระหว่างผลตอบแทนจากการลงทุนและความเสี่ยง รวมทั้งความสมดุลระหว่างสภาพคล่องและวันครบกำหนดของตราสารหนี้ที่แตกต่างกัน

26. Which is the appropriate topic for the above passage?
(1) Commercial or Retail bank
(2) Money Trading
(3) Banking System
(4) Investment
ถาม ข้อใดคือชื่อเรื่องที่เหมาะสมสำหรับเนื้อเรื่องข้างต้น
ตอบ 1 (ธนาคารพาณิชย์หรือธนาคารที่มุ่งทำธุรกิจทุกประเภทกับธุรกิจรายย่อยโดยทั่วไป)
2.การค้าเงิน 3.ระบบธนาคาร 4.การลงทุน

27. What is the proper4 word for all activities customers did in the banks?
(1) Transactions
(2) Bankrupt
(3) Bankers
(4) Banquet
ถาม อะไรคือคำที่เหมาะสมสำหรับกิจกรรมทั้งหมดที่ลูกค้าทำได้ในธนาคาร
ตอบ 1 (การทำธุรกรรมทางการเงิน) 2.บุคคลล้มละลาย
3.เจ้าหน้าที่ธนาคาร 4.การจัดเลี้ยง

28. What is the meaning of the word “margin” in line 4?
(1) Differences
(2) Deposits
(3) Withdrawals
(4) Interest rates
ถาม อะไรคือความหมายของคำว่า “margin” (ส่วนต่าง)ในบรรทัดที่ 4
ตอบ 1 (ความแตกต่าง) 2.เงินฝาก 3.การถอนเงิน 4.อัตราดอกเบี้ย

29. What is the meaning of the word “ liquidity in line 10?
(1) money loan
(2) interest rates
(3) Cash flow
(4) goods or services
ถาม อะไรคือความหมายของคำว่า “liquidity” (สภาพคล่อง) ในบรรทัดที่ 10
ตอบ 3 (กระแสเงินสด) 1.เงินกู้ 2.อัตราดอกเบี้ย 4.สินค้าหรือบริการ

30.which way that bank don’t use in transferring money?
1.cheque
2.bank transfer
3.notes or coins
4.bank credit
ถาม วิธีใดที่ธนาคารไม่ใช้ในการโอนเงิน
ตอบ 3 (ธนบัตรหรือเหรียญกษาปณ์) 1.เช็ค
2.การโอนเงินระหว่างธนาคาร 4.เครดิตของธนาคาร

For the whole first year of its life, the panda bear is completely dependent on its mother. The newborn panda is a tiny, helpless little creature. At birth, it looks like fairly slowly, compared to most animals. The babies are completely dependent on their mothers for a long time. In fact, they don’t even begin to walk until they are about five months old. The only food they eat for at least a year is their mother’s milk. That doesn’t stop them from growing however. Pandas may weigh over fifty-five pounds (twenty-five kilograms) by the time they are a year old.

สำหรับตลอดช่วงชีวิตในปีแรกของมัน หมีแพนด้าจะพึ่งพาแม่ของมันตลอดเวลา แพนด้าที่เกิดใหม่จะเป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็กมากและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เมื่อแรกเกิด มันจะดูเหมือนหมูสีชมพูตัวเล็กๆและตาของมันจะยังคงปิดอยู่ประมาณ 3-4 สัปดาห์ แพนด้าจะโตขึ้นอย่างช้าๆเมื่อเทียบกับสัตว์ส่วนใหญ่แล้ว ลูกหมีแพนด้าจะพึ่งพาแม่ของมันโดยตลอดเป็นระยะเวลานาน แท้ที่จริงแล้วพวกมันไม่แม้แต่จะเริ่มหัดเดินจนกว่าพวกมันจะมีอายุครบ 5 เดือน อาหารเพียงอย่างเดียวที่พวกมันกินอย่างน้อยที่สุด 1 ปี ก็คือ นมแม่ อย่างไรก็ตาม พวกมันจะโตขึ้นเรื่อยๆและแพนด้าอาจมีน้ำหนักมากถึง 55 ปอนด์ (25กิโลกรัม) ในขณะที่พวกมันมีอายุ 1 ปี

31. Which is the proper topic for the above passage?
(1) First year of life
(2) Panda bears
(3) Panda babies
(4) Tiny pandas
ถาม ข้อใดคือชื่อเรื่องที่เหมาะสมสำหรับเนื้อเรื่องข้างต้น
ตอบ 3 (ลูกหมีแพนด้า)
1.ช่วงชีวิตในปีแรก
2.หมีแพนด้า
4.หมีแพนด้าตัวเล็กๆ

32. The phase “completely dependent on its mother” means ____________
(1) away from the mother
(2) stay far from the mother
(3) helpless always with mother
(4) helpful always with mother
ถาม วลีที่ว่า “completely dependent on its mother” (พึ่งพาแม่ของมันตลอดเวลา) หมายถึง __________
ตอบ 3 (ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ตลอดเวลาที่อยู่กับแม่) 1.อยู่ห่างไกลจากแม่
2.พักอยู่ไกลจากแม่ 4.ช่วยเหลือตัวเองได้ตลอดเวลาที่อยู่กับแม่

33. The word “tiny” means ¬¬_____________
(1) small
(2) big
(3) strange
(4) brave
ถาม คำว่า “tiny” (ตัวเล็กๆ) หมายถึง___________
ตอบ 1 (เล็ก) 2.ใหญ่ 3.แปลก 4.กล้าหาญ

34. For how long do the pandas eat milk from their mothers?
(1) less than one year
(2) average less than a year
(3) a year
(4) some years
ถาม หมีแพนด้าจะกินนมจากแม่ของพวกมันยาวนานเท่าไหร่
ตอบ 3 (1 ปี) 1.น้อยกว่า 1 ปี 2.เฉลี่ยน้อยกว่า 1 ปี 4.หลายปี

35. When the pandas can be moves?
(1) fifty-five pounds
(2) a year
(3) more than 25 kilograms
(4) five month old
ถาม หมีแพนด้าสามารถเดินได้เมื่อไหร่
ตอบ 4 (อายุ 5 เดือน) 1.มีน้ำหนัก 55 ปอนด์
2.1 ปี 3.มีน้ำหนักมากกว่า 25 กิโลกรัม

Complete the following statements.
จงเติมคำเพื่อทำให้ข้อความต่อไปนี้สมบูรณ์
Alternatives for questions number 36.– 39.
(1) shorter
(2) plump
(3) an older
(4) tall
Mother was 36 , fat and middle age. The principal of the school was 37 woman, almost as 38 as mother, and much 39.
แม่เป็นผู้หญิงวัยกลางคนที่มีรูปร่างอ้วนและ 36 (4) สูง อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนเป็นผู้หญิง 37 (3) สูงอายุคนหนึ่งที่เกือบจะ 38 (2) เจ้าเนื้อเท่าๆกับแม่ และ 39 (1) เตี้ยกว่ามาก

36.ตอบ 4 (สูง)

37.ตอบ 3 (สูงอายุ)
38.ตอบ 2 (เจ้าเนื้อ)

39.ตอบ 1 (เตี้ยกว่า)

Alternatives for questions number 40 – 43.
(1) detrimental
(2) Think
(3) Believe
(4) Smoking

Doctors 40 that 41 cigarettes is 42 to your health. They also 43 drinking is harmful.
แพทย์หลายคน 40 (3) เชื่อว่า 41 (4) การสูบบุหรี่เป็น 42 (1) สิ่งที่ทำลายสุขภาพของคุณ นอกจากนี้พวกเขายัง 43 (2) คิดว่าการดื่มก็เป็นอันตราย
40.ตอบ 3 (เชื่อ)
41.ตอบ 4 (การสูบ)

42.ตอบ 1 (สิ่งที่ทำลาย)

43.ตอบ 2 (คิดว่า)

Alternative for questions number 44-47.
(1) another
(2) gets
(3) just
(4) from
A chimp 44 confidence from touching another chimp 45 as a person derives confidence 46 touching 47 person.
ลิงซิมแพนซีตัวหนึ่ง 44 (2) จะเกิดความไว้วางใจจากการสัมผัสลิงซิมแพนซีอีกตัวหนึ่ง 45 (3) ซึ่งเหมือนกับการที่คนๆหนึ่งจะได้รับความไว้วางใจมา 46 (4) จากการสัมผัสบุคคล 47 (1) อีกคนหนึ่ง
44.ตอบ 2 (จะเกิด)

45.ตอบ 3 (ซึ่ง)

46.ตอบ 4 (จาก)

47.ตอบ 1 (อีกคนหนึ่ง)

Part of Speech
Which of the following chart are true and which are false?
จากตารางต่อไปนี้จงพิจารณาว่าข้อใดถูกและข้อใดผิด
If true paints 1 If false paint 2
ถ้าถูกให้ระบายตัวเลือกที่ 1 ถ้าผิดให้ระบายตัวเลือกที่ 2
No Noun Verb Adjective Adverb
48 Calculation To calculate Calculative –
49 Increasing To increase – increasingly
50 Decision To decide Decided Decidedly
51 Attraction To attract Attractively Attractive
52 Order To order Orderly –

48.ตอบ 2 (ผิด) ที่ถูกต้องคือ calculation (n.), to calculate (v.), calculable/calculating/ calculated (adj.)
49.ตอบ 2 (ผิด) ที่ถูกต้องคือ increment (n.),to increase (v.),increasing (adj.) increasingly (adv.)
50.ตอบ 1 (ถูก)
51.ตอบ 2 (ผิด) ที่ถูกต้องคือ attraction (n.), to attract (v.), attractive (adj.) attractively(adv.)
52.ตอบ 1 (ถูก)
Prefixes(การเติมคำนำหน้า)
Which is the correct prefixes?ข้อใดเป็นการเติมคำนำหน้า (prefixes) ที่ถูกต้อง

53. (1) uncharge
(2) surcharge
(3) microcharge
(4) subcharge
ตอบ 2 รากศัพท์ คือ charge หมายถึง ค่าธรรมเนียม เมื่อเติม prefix คือ sur- เป็น surcharge หมายถึง เงินเก็บเพิ่ม

54. (1) preliminary
(2) unliminary
(3) disliminary
(4) postliminary
ตอบ 1 รากศัพท์คือ liminary หมายถึง เบื้องต้น,ขั้นต้น เมื่อเติม Prefix คือ pre- เป็น preliminary หมายถึง เบื้องต้น,คำนำ

55. (1) bioactive
(2) bilingual
(3) biosensor
(4) bipersonal
ตอบ 2 รากศัพท์คือ lingual หมายถึง เกี่ยวกับภาษา เมื่อเติม Prefix คือ bi- เป็น bilingual หมายถึง ใช้ได้สองภาษา

56. (1) discrimination
(2) ilregulation
(3) antidirect
(4) underbias
ตอบ 1 รากศัพท์ คือ crimination หมายถึง การฟ้อง,การกล่าวโทษเมื่อเติม Prefix คือ dis –เป็น discrimination หมายถึง การเลือกที่รักมักที่ชัง

57. (1) preface
(2) anticircular
(3) abusual
(4) recontary
ตอบ 1 รากศัพท์คือ face หมายถึง หน้า เมื่อเติม prefix คือ pre- เป็น preface หมายถึงคำนำหนังสือ

58. (1) postpone
(2) predressing
(3) inmature
(4) unpredict
ตอบ 1 รากศัพท์คือ pone มาจากรากศัพท์ภาษาละติน คือ ponere หมายถึง จัดไว้,กำหนดขึ้นเมื่อเติม Prefix คือ post- เป็น postpone หมายถึง เลื่อนไป ผลัด

59. (1)uncontinue
(2) discontinue
(3) precontinue
(4) recontinue
ตอบ 2 รากศัพท์คือ Continue หมายถึง ยังคงทำไปเรื่อยๆ
เมื่อเติม Prefix คือ dis- เป็น discontinue หมายถึง เลิกล้ม

60. (1) imallow
(2) unallow
(3) disallow
(4) inallow
ตอบ 3 รากศัพท์คือ allow หมายถึง อนุญาต เมื่อเติม prefix คือ dis- เป็น disallow หมายถึง ไม่อนุญาต

61. (1) unrational
(2) inrational
(3) disrational
(4) irrational
ตอบ 4 รากศัพท์คือ rational หมายถึง ที่มีเหตุผล เมื่อเติม prefix คือ ir- เป็น irrational หมายถึง ไม่มีเหตุผล

62. (1) inpatient
(2) unpossible
(3) inexpensive
(4) unavoidable
ตอบ 3 รากศัพท์คือ expensive หมายถึง มีราคาแพง เมื่อเติม prefix คือ in- เป็น inexpensive หมายถึง ไม่แพง

Which word in each group does not belong?
คำใดในแต่ละกลุ่มที่ไม่เข้าพวก

63. (1) brand
(2) logo
(3) slogan
(4) image
ตอบ 4 (ภาพลักษณ์)
1.ตราสินค้า
2.โลโก้สินค้า
3.คำขวัญที่ใช้ในการโฆษณา

64. (1) market segment
(2) market sector
(3) market section
(4) market area
ตอบ 4 (พื้นที่ของตลาด) 1.ส่วนของตลาด 2.ส่วนของตลาด 3.ส่วนของตลาด

65. (1) air crews
(2) cabin crew
(3) pilots
(4) air conditioners
ตอบ 4 (เครื่องปรับอากาศ) 1.พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
2.พนักงานในเรือ 3.นักบิน

Word Partnership (คำที่ต้องใช้คู่กัน)
Which word in each group does not form a word partnership with the given word?
คำใดในแต่ละกลุ่มที่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของคำที่ต้องใช้คู่กันกับคำที่ให้มา

66. establish
(1) regulations
(2) laws
(3) company
(4) house
ถาม ก่อตั้ง สร้าง กำหนด
ตอบ 4 (บ้าน:ที่นิยมใช้คือ to build a house หมายถึง สร้างบ้าน)
1.establish regulations = กำหนดข้อบังคับ
2.establish laws = กำหนดหรือร่างกฎหมาย
3.establish company =ก่อตั้งบริษัท

67. Increase
(1) attitude
(2) sales
(3) numbers
(4) partners
ถาม เพิ่มขึ้น
ตอบ 1 (ทัศนคติ)
2.increase sales = เพิ่มยอดขาย
3.increase numbers =เพิ่มจำนวน
4.increase partners =เพิ่มหุ้นส่วน

68. conduct
(1) survey
(2) research
(3) seminar
(4) meeting
ถาม ปฏิบัติ,ทำ,จัด
ตอบ 2 (การวิจัย:ที่นิยมใช้คือ to do research หมายถึง ทำวิจัย)
1.conduct survey =ทำการสำรวจ
3.conduct seminar =จัดการสัมมนา
4.conduct meeting =จัดการประชุม

69. claim
(1) properties
(2) money
(3) image
(4) refund
ถาม อ้าง,เรียกร้อง
ตอบ 3 (ภาพลักษณ์)
1.claim properties =อ้างสิทธิความเป็นเจ้าของ
2.claim money =เรียกร้องเงิน
4.claim refund =เรียกร้องการชดใช้

70. discover
(1) fact
(2) happiness
(3) truth
(4) antique
ถาม ค้นพบ,หา
ตอบ 3 (ความสุข)
1.discover fact = ค้นพบข้อเท็จจริง
3.discover truth = ค้นพบความจริง
4.discovr antique = ค้นพบโบราณวัตถุ
Matching Word with definition (จงจับคู่คำกับความหมายของมัน)

71. An organ used for breathing
(1) heart
(2) stomach
(3) chest
(4) lung
ถาม อวัยวะหนึ่งที่ใช้สำหรับการหายใจ
ตอบ 4 (ปอด) 1.หัวใจ 2.กระเพาะอาหาร 3.หน้าอก

72. Gap between cost and sales is called _________
(1) interest
(2) margins
(3) benefits
(4)taxes
ถาม ส่วนต่างระหว่างต้นทุนกับราคาขายเรียกว่า__________
ตอบ 2 (ส่วนต่าง) 1.ดอกเบี้ย 3. ผลประโยชน์ 4.ภาษี

73. Sore throat
(1) syndromes
(2) problem
(3) in the throat
(4) painful
ถาม เจ็บคอ
ตอบ 4 (เจ็บปวด) 1.อาการของโรคต่างๆ 2.ปัญหา 3.ในลำคอ

74. frequent
(1) often
(2) always
(3) continually
(4) usually
ถาม บ่อยๆ,เป็นประจำ
ตอบ 1 (บ่อยๆ,หลายครั้ง) 2.เสมอ 3.อย่างต่อเนื่อง 4.โดยปกติ

75. rely on
(1) reply
(2) depend on
(3) carry on
(4) go on
ถาม ขึ้นอยู่กับ
ตอบ 2 (ขึ้นอยู่กับ) 1.ตอบ 3.ดำเนินไป 4.ทำเรื่อยไป

76. provide
(1) offer
(2) produce
(3) borrow
(4) ask for
ถาม จัดหา,เสนอให้
ตอบ 1 (เสนอให้) 2.ผลิต 3.ขอยืม 4.ถามถึง

77. average
(1) total of number
(2) sum of number
(3) usual or ordinary
(4) casual
ถาม ธรรมดา,โดยปกติ
ตอบ 3 (ธรรมดารหรือโดยปกติ) 1.จำนวนรวม 2.ยอดรวม 4.นานๆครั้ง

78. associate
(1) connect
(2) agree
(3) close
(4) against
ถาม มีส่วนร่วม,เข้าร่วม
ตอบ 1 (เกี่ยวข้อง,สัมพันธ์กัน) 2.เห็นด้วย 3.ปิด 4.ตรงกันข้าม

79. enriches
(1) poorer
(2) to make fuller
(3) to become rich
(4) try to be rich
ถาม ทำให้ร่ำรวยขึ้น
ตอบ 3 (ทำให้ร่ำรวย) 1.ยากจนลง
2.ทำให้ครบสมบูรณ์ขึ้น 4.พยายามที่จะรวย

80. terrible
(1) Territory
(2) terrorist
(3) extremely formidable
(4) extremely forbidden

ถาม ที่น่าสะพรึงกลัว
ตอบ 3 (ที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง)
1.อาณาเขต
2.ผู้ก่อการร้าย
4.ห้ามอย่างเด็ดขาด

 

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. อย่างไรเป็นความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน (มาตรา 136) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 136 “ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตาม หน้าที่ ต้องระวางโทษ”

อธิบาย
ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 มีองค์ประกอบของความผิด ดังนี้
1. ดูหมิ่น
2. เจ้าพนักงาน
3. ซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าที่
4. โดยเจตนา

“ดูหมิ่น” หมายถึง การกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการดูถูก เหยียดหยาม สบประมาท หรือด่าแช่งต่อผู้ถูกกระทํา ซึ่งอาจจะกระทําโดยวาจา กิริยาท่าทาง หรือลายลักษณ์อักษรก็ได้ การดูหมิ่นด้วยวาจา เช่น พูดจาด่าทอ หรือด้วยกิริยาท่าทางก็เช่น ยกส้นเท้าให้ หรือถ่มน้ำลายรด เป็นต้น ทั้งนี้แม้ว่าเจ้าพนักงานจะไม่ได้ยิน ไม่เห็น หรือว่าเป็นภาษาต่างประเทศ ซึ่งเจ้าพนักงานไม่เข้าใจก็ตามก็เป็นความผิด ตามมาตรา 136 นี้ได้

อย่างไรก็ดีถ้อยคําบางอย่างนั้น แม้ว่าจะเป็นคําไม่สุภาพ คําหยาบ ไม่สมควรจะกล่าว หรือ เป็นคําปรารภปรับทุกข์ หรือคําโต้แย้ง คํากล่าวติชมตามปกติ หากไม่ทําให้ผู้เสียหายถูกดูถูก เหยียดหยาม สบประมาท หรือได้รับความอับอายขายหน้า ก็ไม่ถือว่าเป็นการดูหมิ่น

การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่น “เจ้าพนักงาน” ถ้าบุคคลที่ ถูกดูหมิ่นนั้นไม่ใช่เจ้าพนักงานย่อมไม่ผิดตามมาตรา 136 ทั้งนี้จะต้องได้ความว่าบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงานอยู่ในขณะถูกดูหมิ่นด้วย หากได้พ้นตําแหน่งไปแล้วก็ไม่มีความผิดตามมาตรานี้เช่นกัน เช่น จําเลยกล่าวต่อ ร.ต.อ.แดงว่า “ตํารวจเฮงซวย” ซึ่งในขณะนั้น ร.ต.อ.แดงได้ลาออกจากราชการเพื่อไปทําธุรกิจส่วนตัว ดังนี้ จําเลยไม่มีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน เพราะในขณะที่ดูหมินนั้น ร.ต.อ.แดงไม่ได้เป็นเจ้าพนักงาน

อนึ่ง การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 136 นี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานเฉพาะ 2 กรณี ต่อไปนี้คือ

(ก) ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือ
(ข) ดูหมิ่นเจ้าพนักงานเพราะได้กระทําการตามหน้าที่

“ซึ่งกระทําการตามหน้าที่” หมายความว่า ดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานนั้นกระทําการตามหน้าที่ ซึ่งกฎหมายได้ให้อํานาจไว้ ดังนั้นหากเป็นการดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานกระทําการนอกเหนืออํานาจหน้าที่หรือ เกินขอบเขต ย่อมไม่ผิดตามมาตรานี้

“เพราะได้กระทําการตามหน้าที่” หมายความว่า ดูหมิ่นภายหลังจากที่เจ้าพนักงานได้กระทําการตามหน้าที่แล้ว เช่น เจ้าพนักงานตํารวจจับกุมนายแดง แล้วนายแดงไปเล่าให้นายขาวฟัง ต่อมาอีก 3 วัน นายขาว พบเจ้าพนักงานตํารวจผู้นั้นโดยบังเอิญ จึงด่าทอดูหมิ่น เพราะโกรธที่ไปจับเพื่อนตน เช่นนี้นายขาวมีความผิดฐาน ดูหมิ่นเจ้าพนักงานเพราะได้กระทําการตามหน้าที่ตามมาตรา 136

การดูหมิ่นจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่น “โดยเจตนา” กล่าวคือ เป็นการกล่าวโดยตั้งใจดูหมิ่น และรู้ว่าผู้ที่ตนตั้งใจดูหมิ่นเป็นเจ้าพนักงาน ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าพนักงานย่อมถือว่าขาดเจตนา ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ตัวอย่าง ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136
นายดวงดื่มสุราจนเมาครองสติไม่ได้ ขับรถด้วยความเร็วสูงไม่สวมหมวกนิรภัยถูกเจ้าพนักงาน ตํารวจจับกุม นายดวงไม่พอใจ จึงพูดต่อหน้าเจ้าพนักงานตํารวจคนนั้นว่า “แกล้งจับกูคนเดียว คนอื่นทําไมไม่จับ” เช่นนี้ถ้อยคําดังกล่าวมีลักษณะเป็นการดูหมิ่น เหยียดหยาม ซึ่งได้กระทําต่อเจ้าพนักงานซึ่งได้กระทําการ ตามหน้าที่ที่กฎหมายได้ให้อํานาจไว้โดยเจตนา นายดวงจึงมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136

แต่ถ้ากรณีเปลี่ยนเป็นว่า ขณะเจ้าพนักงานตํารวจกําลังนั่งรับประทานอาหารกับภริยาที่บ้านพัก โดยเวลานั้นไม่ใช่เวลาปฏิบัติราชการ จําเลยไปขอยืมเงินจากเจ้าพนักงานตํารวจแต่ไม่ได้ จําเลยจึงกล่าวว่า “กูจะเอาให้ย้ายภายในเจ็ดวัน อ้ายย้ายยังไม่แน่ ที่แน่คือจะเอามึงลงหลุมฝังศพ” เช่นนี้แม้ถ้อยคําดังกล่าวจะมีลักษณะ เป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานด้วยเจตนา แต่เวลาดังกล่าวมิใช่เวลาปฏิบัติราชการตามหน้าที่ แต่เป็นเวลานอกราชการ อันเป็นการส่วนตัว จึงถือไม่ได้ว่าจําเลยดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ตามมาตรา 136

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร (มาตรา 264 วรรคหนึ่ง) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 264 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร…”

จากหลักกฎหมายดังกล่าว ความผิดฐานปลอมเอกสาร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบของความผิดดังนี้ คือ

1. กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร
2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
4. โดยเจตนา

1. กระทําอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
ผู้กระทําจะมีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่งนี้ได้ จะต้องมีการกระทําอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ คือ

(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
“ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับ” หมายความว่า ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดเชื่อว่ามีผู้อื่นทําเอกสารนั้นขึ้น โดยที่ไม่มีเอกสารอันแท้จริงอยู่เลย หรือโดยมีเอกสารอันแท้จริงอยู่ก็ได้ แต่ผู้กระทําไม่มีอํานาจที่จะกระทําได้ เพราะ “การทําเอกสารปลอมขึ้นแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด” หมายความว่า ทําเอกสารปลอมขึ้นมา แต่เพียงบางส่วนโดยผู้กระทําไม่มีอํานาจที่จะทําได้ เช่น เอกสารที่ทําขึ้นแท้จริง แต่ยังไม่เสร็จ ผู้กระทําไปปลอมข้อความต่อไปจนเสร็จ หรือการทําเอกสารปลอมขึ้นแต่ยังไม่เสร็จ ก็ถือเป็นการปลอมเอกสารบางส่วนเช่นกัน

(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง
การเติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริงหมายความว่า มีเอกสารแท้จริงอยู่แล้ว ผู้ปลอมได้เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ใน เอกสารที่แท้จริงนั้น โดยทําให้ผู้อื่นเข้าใจว่ามีการเติมหรือตัดทอนหรือแก้ไขมาแต่เดิม ดังนั้น การกระทําแก่เอกสารปลอม ย่อมไม่ผิดฐานปลอมเอกสาร

ซึ่งการเติม ตัดทอน หรือแก้ไขข้อความนั้น จะต้องเป็นการกระทําในส่วนที่เป็น สาระสําคัญของเอกสารที่แท้จริงนั้นด้วย และผู้กระทําไม่มีอํานาจที่จะกระทําได้ ดังนั้น หากเป็นการเติมหรือตัดทอน หรือแก้ไขข้อความที่ไม่มีความสําคัญ ซึ่งจะเติมหรือแก้ไขหรือไม่ ความหมายก็คงเดิม หรือผู้กระทํามีอํานาจที่จะ กระทําได้แล้วย่อมไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร

(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร
การประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสารนั้น จะกระทําต่อเอกสารที่ แท้จริงหรือเอกสารปลอมก็ได้ เพราะกฎหมายใช้คําว่า “ในเอกสาร” ไม่ใช่ “ในเอกสารที่แท้จริง”

2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
การกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าวนั้น จะเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารได้ จะต้องกระทําโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนด้วย กล่าวคือ เพียงแต่น่าจะเกิดความเสียหายเท่านั้น แม้จะยังไม่เกิดความเสียหาย ก็เป็นความผิดสําเร็จแล้ว แต่ถ้าการกระทําดังกล่าวไม่อยู่ในประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร

3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
การปลอมเอกสารที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ ผู้กระทําจะต้องมีมูลเหตุจูงใจหรือเจตนาพิเศษ เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเอกสารที่ปลอมนั้นเป็นเอกสารที่แท้จริงด้วย ทั้งนี้ไม่ว่าจะมีผู้หลงเชื่อตามเอกสารที่ปลอมหรือไม่ก็เป็นความผิดสําเร็จแล้ว

4. โดยเจตนา
การกระทําตาม 1. 2. และ 3. นั้น ผู้กระทําจะมีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่งนั้น จะต้องได้กระทําโดยเจตนา กล่าวคือ มีเจตนาในการปลอมเอกสารดังกล่าว และรู้ด้วยว่าตนไม่มี อํานาจที่จะกระทําได้

ตัวอย่าง การกระทําที่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
นายดําไม่เคยกู้เงินจําเลย วันเกิดเหตุจําเลยนํากระดาษมาแผ่นหนึ่งเขียนข้อความลงไปว่านายดํากู้ยืมเงินจําเลย 100,000 บาท จากนั้นจําเลยก็เซ็นชื่อคําว่า “ดํา” ลงไปในช่องผู้กู้ หลังจากที่จําเลยเขียนข้อความดังกล่าวเสร็จแล้วได้นําสัญญาฉบับนั้นไปเรียกเก็บเงินจากนายดํา ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าจําเลย ไม่มีอํานาจที่จะกระทําได้ การกระทําของจําเลยจึงถือเป็นการทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับ มีความผิดตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง

ตัวอย่าง การกระทําที่ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
จําเลยแก้ตัวเลขในสลากกินแบ่ง 1 ตัว ให้เป็นหมายเลขที่ถูกรางวัลเพื่อให้เพื่อนเลี้ยงอาหารจําเลย แล้วจําเลยทิ้งสลากกินแบ่งในถังขยะในบ้าน มีผู้เก็บสลากกินแบ่งนั้นไปขอรับรางวัลนอกความรู้เห็นของจําเลย ดังนี้ การหลอกให้เลี้ยงอาหารเป็นการล้อเล่นระหว่างเพื่อนฝูง ซึ่งทํากันอยู่เป็นปกติ ไม่เป็นความเสียหายแก่ ประชาชนหรือเพื่อนของจําเลย จําเลยย่อมไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร (ฎีกาที่ 1568/2521)

 

ข้อ 3. หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า เเละหกนักศึกษารุ่นพี่นั่งประชุมปรึกษากันว่าจะรับน้องใหม่กันอย่างไร หนึ่งเสนอความเห็นว่ารับน้องใหม่ปีนี้ต้องเอาคืนเพราะปีที่แล้วถูกรุ่นพี่รับหนักมาก ปีนี้น้องใหม่คนไหนไม่ร่วมมือกับพวกเรา ให้ซ้อมเตะ กระทืบได้เลย ก่อนซ้อมก็ให้เอาถุงผ้าคลุมหัวจะได้ไม่เห็นหน้าคนซ้อม ทุกคนที่ประชุมกันพูดว่าเอาด้วย ยกเว้นหกพูดว่าทําอย่างนี้ไม่ได้ พวกเราโตๆ กันแล้ว รับน้องแบบสุภาพเรียบร้อยดีกว่า หนึ่งโกรธไล่หกให้กลับบ้าน ดังนี้ หนึ่งและหก จะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 210 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทําความผิดฐานเป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานเป็นช่องโจรตามมาตรา 210 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบความผิดดังนี้

1. สมคบกัน
2. ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
3. เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
4. โดยเจตนา

“การสมคบกัน” ที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สําคัญ 2 ประการ คือ
(ก) จะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน และ
(ข) จะต้องมีการตกลงร่วมกันว่าจะกระทําความผิด

การสมคบกันนั้น จะต้องสมคบกัน “ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป” จึงจะเป็นความผิด ดังนั้นจะมากกว่า 5 คน หรือ 5 คนพอดี ก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว แต่ถ้าต่ำกว่าห้าคนแล้วไม่เป็นความผิดฐานซ่องโจร

“เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2” หมายความว่า ความผิดนั้น ต้องเป็นความผิดตามภาค 2 ได้แก่ ความผิดตั้งแต่มาตรา 107 ถึงมาตรา 366 เช่น ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฆ่าคนตาย วางเพลิงเผาทรัพย์ เป็นต้น

“ความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป” หมายความว่า โทษอย่างสูง เป็นอัตราโทษอย่างสูงตามที่ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ ซึ่งมิใช่โทษที่ศาลจะลงแก่ผู้กระทําความผิด ทั้งนี้จะต้องมีกําหนดโทษอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปด้วย

“โดยเจตนา” หมายความว่า รู้สํานึกว่าเป็นการสมคบกันเพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แต่ไม่จําเป็นต้องรู้ว่าความผิดที่จะกระทํานั้นมีโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปหรือไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า และหกได้ประชุมกันว่าในการรับน้องใหม่ปีนี้ น้องใหม่คนไหนไม่ร่วมมือให้ซ้อมเตะและกระทืบได้เลยนั้น แม้ว่าหกจะคัดค้านไม่เห็นด้วย แต่ก็ถือว่าได้มีการสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปแล้ว และเมื่อมีเจตนาสมคบกันเพื่อกระทําความผิดฐานทําร้ายผู้อื่นตามประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 295 ซึ่งเป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 และเป็นความผิดที่มีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ดังนั้น หนึ่ง สอง สาม สี่ และห้าจึงมีความผิดฐานซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคหนึ่ง แม้ว่าทั้ง 5 คน จะยังมิได้กระทําความผิดตามที่สมคบกันก็ตาม ส่วนหกนั้นเมื่อได้คัดค้านไม่เห็นด้วย จึงไม่ถือว่า หกได้สมคบกันกับทั้ง 5 คน แต่อย่างใด หกจึงไม่มีความผิดฐานซ่องโจร

สรุป
หนึ่งมีความผิดอาญาฐานซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคหนึ่ง ส่วนหกไม่มีความผิด อาญาฐานใดเลย

 

ข้อ 4. จ.ส.ต.ขยันตํารวจสายตรวจเดินตรวจท้องที่เห็นดํากับขาววัยรุ่นเดินผ่านมา จึงขอคุมตัวดําเพราะดําหน้าคล้ายผู้ต้องหาตามหมายจับของศาล และถือโอกาสแกล้งจับขาวเพราะโกรธขาวที่ไม่ยอมให้ยืมเงินไปเล่นการพนัน ดังนี้ จ.ส.ต.ขยันจะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 157 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิด ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้ คือ
1. เป็นเจ้าพนักงาน
2. ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
3. เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
4. โดยเจตนา

“เป็นเจ้าพนักงาน” หมายถึง เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย โดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

“ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอันมิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจทําการสอบสวนผู้ต้องหา ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ ตํารวจจึงใช้กําลังชกต่อยให้รับสารภาพ หรือเจ้าพนักงานตํารวจตรวจค้นตัวผู้ต้องสงสัย ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่กลับคุมตัวไปอีกสถานที่หนึ่ง เป็นต้น

ซึ่งการจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ได้นั้นจะต้องประกอบด้วยเหตุจูงใจพิเศษ คือ ต้องเป็นการกระทํา “เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” ซึ่งไม่จํากัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงความเสียหายในทางอื่นด้วย เช่น ต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง เป็นต้น และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ ไม่จําเป็นว่าต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริง ๆ จึงจะเป็นความผิด เพียงแต่การกระทํานั้นเพื่อให้เกิดความเสียหายก็เพียงพอที่จะถือเป็นความผิดแล้ว

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทําต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ และผู้กระทําได้ปฏิบัติหน้าที่นั้นโดยมิชอบ

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ แยกวินิจฉัยได้ดังนี้

กรณีการขอคุมตัวดํา การที่ จ.ส.ต.ขยันซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตํารวจสายตรวจได้ปฏิบัติหน้าที่ โดยเดินตรวจท้องที่ เมื่อเห็นดําซึ่งมีหน้าคล้ายผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจึงได้ขอคุมตัวดํานั้นถือว่าเป็นกรณี ที่เจ้าพนักงานได้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบแล้ว เพราะเจ้าพนักงานตํารวจมีอํานาจที่จะจับหรือควบคุมตัวผู้ต้องหา ตามหมายจับของศาล อีกทั้งการกระทําของ จ.ส.ต.ขยันก็มิได้เป็นการกระทําเพื่อแกล้งให้เกิดความเสียหายแก่ดําแต่อย่างใด ดังนั้น กรณีนี้ จ.ส.ต.ขยันจึงไม่มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157

กรณีการจับขาว การที่ จ.ส.ต.ขยันซึ่งเป็นเจ้าพนักงานได้ปฏิบัติหน้าที่โดยการขอคุมตัวดําไว้ และได้ถือโอกาสแกล้งจับขาวซึ่งเดินมากับดํา เพราะโกรธขาวที่ไม่ยอมให้ยืมเงินไปเล่นการพนันนั้นจะเห็นได้ว่า กรณีการที่ จ.ส.ต.ขยันได้จับขาวนั้น เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ขาวแล้ว และเมื่อได้กระทําโดยเจตนา การกระทําของ จ.ส.ต.ขยันจึงครบองค์ประกอบตามมาตรา 157 ดังกล่าวข้างต้น ดังนั้น จ.ส.ต.ขยันจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157

สรุป
จ.ส.ต.ขยันมีความผิดอาญาฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 (กรณีแกล้งจับขาว)

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. มีฆาตกรรมรายหนึ่ง ตํารวจสืบหาตัวคนร้ายยังไม่ได้ นายซ่านึกสนุกจึงไปแจ้งแก่ตํารวจรับสมอ้างว่าตนฆ่าผู้ตาย พนักงานสอบสวนรับตัวและได้สอบสวนนายซ่าในฐานะผู้ต้องหา นายซ่าคงให้การว่า ตนเป็นคนฆ่าผู้ตาย ดังนี้ นายซ่ามีความผิดประการใดหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 172 “ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา แก่พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญา ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ต้องระวางโทษ ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานแจ้งความเท็จคดีอาญาตามมาตรา 172 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ
2. เกี่ยวกับความผิดอาญา
3. แก่พนักงานอัยการ ผู้ว่าคดี พนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญา
4. ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย
5. โดยเจตนา

ความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 172 นี้ หมายความถึงการแจ้งความเท็จในกรณีที่ความผิดอาญาได้เกิดขึ้นแล้ว ถ้าเป็นการแจ้งความเท็จกรณีที่ความผิดอาญาไม่ได้เกิดขึ้นเลย แต่แจ้งว่าความผิดนั้นได้เกิดขึ้นต้องปรับตามบทมาตรา 173 มิใช่มาตรา 172

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายซ่าไปแจ้งแก่ตํารวจในตอนแรกว่าตนฆ่าผู้ตาย ทั้งที่ตํารวจยังสืบหาตัวคนร้ายไม่ได้นั้น การแจ้งดังกล่าวถือว่าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญา เมื่อนายซ่าได้แจ้งแก่ตํารวจซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน และลักษณะของการกระทําอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหายและได้กระทํา โดยเจตนา ดังนั้น การกระทําของนายซาจึงครบองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นทุกประการ นายซ่าจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาตามมาตรา 172

ส่วนกรณีที่นายซ่าให้การกับตํารวจในตอนหลังว่าตนเป็นคนฆ่าผู้ตายนั้น ถือเป็นการให้การในฐานะผู้ต้องหา นายซ่าจึงไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาตามมาตรา 172

สรุป
นายซ่ามีความผิดฐานแจ้งความเท็จเกี่ยวกับคดีอาญาตามมาตรา 172

 

ข้อ 2. ก. ตํารวจตรวจค้นตัวนาย ข. โดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายในตัวนาย ข. คุมตัวนาย ข. จากที่เกิดเหตุเดินข้ามสะพานข้ามคลองไปฝั่งตรงข้ามประมาณ 30 เมตร จึงปล่อยตัวนาย ข. ไป
ดังนี้ ก. ตํารวจจะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 157 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้ คือ

1. เป็นเจ้าพนักงาน
2. ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
3. เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
4. โดยเจตนา

“เป็นเจ้าพนักงาน” หมายถึง เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย โดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

“ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอันมิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจทําการสอบสวนผู้ต้องหา ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ ตํารวจจึงใช้กําลังชกต่อยให้รับสารภาพ หรือเจ้าพนักงานตํารวจตรวจค้นตัวผู้ต้องสงสัย ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่กลับกุมตัวไปอีกสถานที่หนึ่ง เป็นต้น

ซึ่งการจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ได้นั้นจะต้องประกอบด้วยเหตุจูงใจพิเศษ คือ ต้องเป็นการกระทํา “เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” ซึ่งไม่จํากัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงความเสียหายในทางอื่นด้วย เช่น ต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง เป็นต้น และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใด ก็ได้ ทั้งนี้ไม่จําเป็นว่าต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริง ๆ จึงจะเป็นความผิด เพียงแต่การกระทํานั้นเพื่อให้เกิด ความเสียหายก็เพียงพอที่จะถือเป็นความผิดแล้ว

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทําต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ และผู้กระทําได้ปฏิบัติหน้าที่ นั้นโดยมิชอบ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก. ตํารวจซึ่งเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่ตํารวจตรวจค้นตัว ข. ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แล้วไม่ยอมปล่อยตัว ข. ทันที แต่กลับคุมตัวไปอีกสถานที่หนึ่งดังกล่าวนั้น ย่อมถือเป็นการกระทําที่ไม่มีสิทธิทําได้ตามกฎหมาย หรืออีกนัยหนึ่งถือเป็นการกลั่นแกล้ง ข. ดังนั้น จึงถือได้ว่า ก. ตํารวจซึ่งเป็น เจ้าพนักงานกระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอันมิชอบ อันถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแล้ว โดยมีเหตุจูงใจพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ข. และได้กระทําไปโดยมีเจตนาประสงค์ต่อผลของการกระทํานั้น การกระทําของ ก. ตํารวจจึงครบองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นทุกประการ

ดังนั้น ก. ตํารวจ จึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157

สรุป
ก. ตํารวจมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157

 

ข้อ 3. ประชาชน 20 คน ชุมนุมกันที่สถานีตํารวจแห่งหนึ่ง จากนั้นได้เผาสถานีตํารวจและขู่ว่าถ้าผู้กํากับการสถานีตํารวจไม่ยอมย้ายออกจากพื้นที่จะยิงเสียให้ตาย ตํารวจได้ออกมาห้ามและสั่งให้สลายตัว ปรากฏว่าประชาชนทั้ง 20 คน ไม่ยอมสลายตัว ดังนี้ ประชาชนทั้ง 20 คน มีความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชนหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 215 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 216 “เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทําความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป ผู้ใดไม่เลิก ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 วรรคหนึ่ง มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ

1. มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป
2. ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
3. โดยเจตนา

ส่วนความผิดตามมาตรา 216 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. เมื่อเจ้าพนักงานส่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทําความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป
2. ผู้ใดไม่เลิก
3. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ประชาชน 20 คน ได้ชุมนุมกันที่สถานีตํารวจและได้เผาสถานีตํารวจ อีกทั้งได้ขู่ว่าจะยิงผู้กํากับการสถานีตํารวจถ้าไม่ยอมย้ายออกจากพื้นที่นั้น การกระทําของประชาชนทั้ง 20 คน ดังกล่าว ถือว่าเป็นการมั่วสุมกันของคนตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และเป็นการขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้ายหรือ กระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และได้กระทําไปโดยเจตนา การกระทําของประชาชนทั้ง 20 คน นั้น จึงครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 215 วรรคหนึ่งทุกประการ ประชาชนทั้ง 20 คน จึงมีความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง

การกระทําของประชาชนทั้ง 20 คน ไม่มีความผิดตามมาตรา 216 เพราะกรณีที่จะเป็นความผิด ตามมาตรา 216 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานได้มีคําสั่งก่อนที่ผู้มั่วสุมจะได้ลงมือใช้กําลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญ ว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือก่อนที่ผู้มั่วสุมจะกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ตามมาตรา 215 แต่ผู้มั่วสุมไม่ยอมเลิก

สรุป
ประชาชนทั้ง 20 คน มีความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ตามมาตรา 215 แต่ไม่มีความผิดตามมาตรา 216

 

ข้อ 4. จําเลยมีรถยนต์หนึ่งคันหมายเลขทะเบียน ก. 1234 ปรากฏว่า แผ่นป้ายทะเบียนหลุดหายไป วันเกิดเหตุจําเลยนําแผ่นเหล็กมาตัดให้มีขนาดและรูปร่างเท่าแผ่นป้ายทะเบียนของจริง จากนั้นจําเลยเขียนตัวอักษร ก. และเขียนหมายเลข 1234 ลงไป เมื่อเขียนเสร็จแล้วจําเลยนํามาติดที่รถยนต์ของจําเลย ต่อมาจําเลยนํารถออกขับขี่ท้ายที่สุดถูกตํารวจจับ ดังนี้ จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือ ตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ”

มาตรา 265 “ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ์หรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 268 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทําความผิดตามมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย
1. กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร
2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
4. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จําเลยเขียนตัวอักษร ก. และเขียนหมายเลข 1234 ลงไป ซึ่งตรงกับหมายเลขแผ่นป้ายทะเบียนที่แท้จริงนั้น แม้จะเป็นการปลอมเอกสารที่ทางราชการทําขึ้น เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง และได้กระทําโดยเจตนาก็ตาม แต่การที่จําเลยนํามาติดที่รถยนต์ของจําเลยนั้นไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน จําเลยจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคหนึ่ง และมาตรา 265 ขณะเดียวกันจําเลยก็ไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268 วรรคหนึ่ง

สรุป จําเลยไม่มีความผิดเกี่ยวกับเอกสาร

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ก. เห็น ข. ถูกตํารวจจับตัวไปสถานีตํารวจข้อหาขายยาบ้าจึงมาพบ ค. แม่ของ ข. ที่บ้านบอกให้ทราบเรื่อง ค. ตกใจขอให้ช่วยลูก ก. บอกว่าพอจะช่วยได้ต้องวิ่งตํารวจขอสองหมื่นบาทจะเอาไปให้ร้อยเวรทําสํานวนอ่อนปล่อยลูก ค. พูดว่าขอคิดดูก่อนตอนนี้ไม่มีเงินเลย ก. บอกว่าไม่เป็นไร มีเงินเมื่อไหร่ค่อยมาให้ก็แล้วกัน ดังนี้ ก. จะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 143 “ผู้ใดเรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเองหรือผู้อื่น เป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล โดยวิธีอันทุจริต หรือผิดกฎหมาย หรือโดยอิทธิพลของตนให้กระทําการหรือไม่กระทําการ ในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนตามมาตรา 143 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้

1. เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเองหรือผู้อื่น
2. เพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจหรือได้จูงใจเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
3. โดยวิธีอันทุจริต หรือผิดกฎหมาย หรือโดยอิทธิพลของตน
4. ให้กระทําการหรือไม่กระทําการในหน้าที่อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่บุคคลใด
5. กระทําโดยเจตนา

“เรียก” หมายถึง การแสดงเจตนาให้บุคคลอื่นส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้ แม้บุคคลนั้น จะยังไม่ได้ส่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้ก็ถือเป็นความผิดสําเร็จแล้ว

“รับ” หมายถึง การที่บุคคลอื่นให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ผู้รับ และผู้รับได้รับเอาทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้นไว้แล้ว

“ยอมจะรับ” หมายถึง การที่บุคคลอื่นเสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่ผู้กระทํา และ ผู้กระทําตกลงยอมจะรับในขณะนั้นหรือในอนาคต แต่ยังไม่ได้รับ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ ก. บอกกับ ค. ว่า สามารถช่วย ข. จากข้อหาขายยาบ้าได้โดยการวิ่งตํารวจ และขอเงิน ค. จํานวน 2 หมื่นบาท เพื่อเอาไปให้ร้อยเวรทําสํานวนอ่อนปล่อย ข. นั้น พฤติกรรมของ ก. ดังกล่าว ถือเป็นการเรียกทรัพย์สิน (เงิน 2 หมื่นบาท) จาก ค. แม่ของ ข. แล้ว และการเรียกเงินนี้เป็นการตอบแทน ในการที่ ก. จะไปวิ่งเต้นร้อยเวร (ตํารวจ) ให้ทําสํานวนคดีอ่อนปล่อยตัว ข. ซึ่งเป็นวิธีอันทุจริตผิดกฎหมายและได้กระทําไปโดยเจตนา การกระทําของ ก. ครบองค์ประกอบความผิดทุกข้อตามหลักกฎหมายข้างต้น ดังนั้น ก. จึงมีความผิดฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนตามมาตรา 143

สรุป
ก. จะมีความผิดอาญาฐานเป็นคนกลางเรียกรับสินบนตามมาตรา 143
ได้รับ

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นความผิดฐานช่วยผู้อื่นเพื่อไม่ให้ต้องรับโทษ (มาตรา 189) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่าง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 189 “ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทําความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พํานักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษ”

อธิบาย
องค์ประกอบความผิดฐานช่วยผู้กระทําความผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษตามมาตรา 189 ประกอบด้วย
1. ช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทําความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด
2. ความผิดนั้นไม่ใช่ความผิดลหุโทษ
3. โดยให้พํานักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม
4. เพื่อไม่ให้ต้องโทษ
5. กระทําโดยเจตนา

การกระทําความผิดตามมาตรานี้ คือ ช่วยผู้อื่น ซึ่งการช่วยนั้นจะต้องทําโดยให้ที่พํานักโดย ซ่อนเร้น หรือโดยช่วยด้วยประการใด

คําว่า “ให้พํานัก” หมายถึง ให้ที่พักอาศัยจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวรก็ได้ เช่น ให้อยู่ในบ้าน คําว่า “ซ่อนเร้น” หมายถึง ปกปิดมิให้เจ้าพนักงานทราบ เช่น พาไปหลบในที่ลับตา

คําว่า “ช่วยด้วยประการใด” หมายถึง ช่วยเหลือผู้กระทําความผิดหรือผู้ต้องหาในทุก ๆ วิธี เช่น การช่วยดูต้นทาง การให้สัญญาณให้ผู้นั้นหลบซ่อนจะได้ไม่ต้องถูกจับ เป็นต้น

ผู้ที่ได้รับการช่วยตามมาตรานี้ต้องเป็นผู้อื่น ไม่ใช่ช่วยตนเอง และผู้อื่นนี้จะต้องเป็นผู้กระทําความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิดในขณะที่ช่วยนั้นด้วย

คําว่า “ผู้กระทําความผิด” หมายถึง ผู้กระทําความผิดที่มีโทษทางอาญา โดยไม่จําเป็นที่จะต้องถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิด เพียงแต่มีมูลเหตุที่แสดงให้เห็นว่าผู้นั้นกระทําความผิดก็เพียงพอแล้ว

คําว่า “ผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด” หมายถึง ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทําความผิดทางอาญา แต่ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล เช่น ผู้ที่ถูกศาลออกหมายจับ

ผู้ช่วยผู้กระทําความผิดจะมีความผิดตามมาตรา 189 นี้ ต้องเป็นการช่วยผู้กระทําความผิดหรือ ผู้ต้องหาว่ากระทําความผิดที่มิใช่ความผิดลหุโทษ (ความผิดที่มีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท)

การที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ ผู้ช่วยเหลือจะต้องมีมูลเหตุชักจูงใจหรือเจตนาพิเศษ เพื่อที่จะให้ผู้ที่ตนช่วยนั้นไม่ให้ต้องโทษและเพื่อไม่ให้ถูกจับกุมด้วย กล่าวคือ จะต้องมีเจตนาพิเศษทั้งสองอย่าง

ผู้ช่วยเหลือจะต้องกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 คือ มีเจตนาในการช่วยเหลือ รวมทั้ง รู้ข้อเท็จจริงด้วยว่าผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือนั้นเป็นผู้กระทําความผิดหรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด

ตัวอย่าง แดงใช้อาวุธมีดแทงดําตาย แล้ววิ่งหนีตํารวจมาบ้านขาวซึ่งเป็นเพื่อนกัน แดงพูดกับขาวว่าเพิ่งแทงคนตายช่วยหน่อย ขาวจึงให้แดงเข้ามาหลบในบ้านไม่ให้ตํารวจจับ ดังนี้ขาวย่อมมีความผิดฐาน ช่วยผู้กระทําผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษและเพื่อไม่ให้ถูกจับกุมโดยให้พํานักซ่อนเร้นตามมาตรา 189

 

ข้อ 3. นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี่ และนายห้า สมคบกันที่จะขายยาบ้า โดยตกลงกันว่าจะเริ่มขายวันที่ 1 มกราคม 2559 ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตํารวจสืบทราบเสียก่อนจึงได้ทําการจับกุมทั้ง 5 คน โดยยังไม่ทันได้ขายแต่ประการใด ดังนี้ นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี่ และนายห้า มีความผิดฐานซ่องโจรหรือไม่ เพราะเหตุใด ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 210 วรรคแรก “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทําความผิด ฐานเป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคแรก มีองค์ประกอบความผิดดังนี้
1. สมคบกัน
2. ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
3. เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้น มีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
4. โดยเจตนา

“การสมคบกัน” ที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สําคัญ 2 ประการ คือ

(ก) จะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน และ
(ข) จะต้องมีการตกลงร่วมกันว่าจะกระทําความผิด

การสมคบกันนั้น จะต้องสมคบกัน “ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป” จึงจะเป็นความผิด ดังนั้นจะมากกว่า 5 คน หรือ 5 คนพอดี ก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว แต่ถ้าต่ํากว่าห้าคนแล้วไม่เป็นความผิดฐานซ่องโจร

“เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2” หมายความว่า ความผิดนั้น ต้องเป็นความผิดตามภาค 2 ได้แก่ ความผิดตั้งแต่มาตรา 107 ถึงมาตรา 366 เช่น ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฆ่าคนตาย วางเพลิงเผาทรัพย์ เป็นต้น

“ความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป” หมายความว่า โทษอย่างสูง เป็นอัตราโทษอย่างสูงตามที่ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ ซึ่งมิใช่โทษที่ศาลจะลงแก่ผู้กระทําความผิด ทั้งนี้จะต้องมีกําหนดโทษอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปด้วย

“โดยเจตนา” หมายความว่า รู้สํานึกว่าเป็นการสมคบกันเพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แต่ไม่จําเป็นต้องรู้ว่าความผิดที่จะกระทํานั้นมีโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปหรือไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี่ และนายห้า ได้สมคบกันที่จะขายยาบ้า ถือว่าเป็นการสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยมีเจตนาที่จะกระทําความผิดแล้ว แต่อย่างไรก็ตามการที่ ทั้ง 5 คน สมคบกันที่จะขายยาบ้านั้นถือเป็นการสมคบกัน เพื่อกระทําความผิดตามกฎหมายยาเสพติด ซึ่งเป็นกฎหมายอื่นที่ไม่ใช่ประมวลกฎหมายอาญา ดังนั้นทั้ง 5 คน จึงไม่มีความผิดฐานซ่องโจรตามมาตรา 210 เพราะการจะเป็นความผิดฐานซ่องโจรได้นั้น จะต้องเป็นการสมคบกันเพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่ บัญญัติไว้ในภาค 2 ของประมวลกฎหมายอาญาเท่านั้น

สรุป
ทั้ง 5 คน ไม่มีความผิดฐานซ่องโจรตามเหตุผลที่อธิบายข้างต้น

 

ข้อ 4. นายแดงไม่เคยกู้เงินนาย ก. วันเกิดเหตุ นาย ก. นํากระดาษมาแผ่นหนึ่งเขียนข้อความว่า “นายแดงกู้เงินนาย ก. จํานวน 100,000 บาท กําหนดชําระภายใน 1 ปี” ต่อมานาย ก. ทําเอกสารฉบับนั้นหายไป จําเลยเป็นคนเก็บได้ จําเลยใช้ปากกาแก้ไขข้อความจากคําว่า “นาย ก.” เป็นคําว่า “จําเลย” ข้อความจึงกลายเป็นว่า “นายแดงกู้เงินจําเลย 100,000 บาท” ดังนี้ จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคแรก “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอม หรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ”

มาตรา 265 “ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษ”

มาตรา 268 วรรคแรก “ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทําความผิดตามมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก ประกอบด้วย 1. กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร
2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
4. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก. นํากระดาษมาเขียนสัญญากู้ขึ้นเอง โดยที่นายแดงไม่เคยกู้เงิน จากนาย ก. เลยนั้น ถือเป็นการกระทําโดยไม่มีอํานาจ เอกสารการกู้ยืมเงินดังกล่าวจึงเป็นเอกสารสิทธิปลอม

และการที่จําเลยเก็บเอกสารฉบับนั้นได้ และได้แก้ไขข้อความจากคําว่า “นาย ก.” เป็นคําว่า “จําเลย” นั้น ถึงแม้จําเลยจะไม่มีอํานาจที่จะกระทําก็ตาม แต่การแก้ไขของจําเลยดังกล่าวเป็นการแก้ไขข้อความในเอกสารที่มีการปลอมมาก่อน ซึ่งกรณีจะเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารได้นั้นจะต้องเป็นการแก้ไขข้อความในเอกสารที่แท้จริงเท่านั้น ดังนั้นการกระทําของจําเลยจึงขาดองค์ประกอบของความผิดฐานปลอมเอกสารตาม มาตรา 264 วรรคแรก จําเลยจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามมาตรา 264 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265

เมื่อจําเลยไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร ถึงแม้จําเลยจะนําเอกสารดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากนายแดง จําเลยก็ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้ใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268

สรุป
จําเลยไม่มีความผิดเกี่ยวกับเอกสาร

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. อย่างไรเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจร (มาตรา 210 วรรคแรก) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคแรก บัญญัติว่า “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูง ตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทําความผิดฐานเป็นซ่องโจร…”

จากหลักประมวลกฎหมายอาญามาตรา 210 วรรคแรก จะเห็นได้ว่า กรณีที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบของความผิด ดังต่อไปนี้ คือ

1. สมคบกัน
2. ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
3. เพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
4. โดยเจตนา

1. สมคบกัน
การกระทําที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้นั้นจะต้องมีการสมคบกัน ซึ่ง “การสมคบกัน” ที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สําคัญ 2 ประการ คือ

(1) จะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน และ
(2) จะต้องมีการตกลงใจร่วมกันว่าจะกระทําความผิด

ดังนั้นถ้าขาดอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมไม่ถือว่าเป็นการสมคบกัน เช่น ร่วมปรึกษากัน 8 คน เพื่อจะไปปล้นทรัพย์ แต่มีผู้ตกลงใจที่จะร่วมปล้นทรัพย์เพียง 5 คน ดังนี้เฉพาะ 5 คนนี้เท่านั้นที่ถือว่ามีการสมคบกัน

2. ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
การสมคบกันที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องสมคบกัน “ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป” จึงจะเป็นความผิด ดังนั้นจะมากกว่า 5 คน หรือ 5 คนพอดี ก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว แต่ถ้าต่ำกว่า 5 คนแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจร

3. เพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้น มีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป

บุคคลตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปสมคบกันเพื่อกระทําความผิดนั้น จะเป็นความผิดฐานเป็น ซ่องโจรได้ จะต้องมีเหตุจูงใจหรือเจตนาพิเศษเพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญานี้เท่านั้น คือตั้งแต่มาตรา 107 – มาตรา 366 (ภาคความผิด) เช่น ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฆ่าคนตาย เป็นต้น ดังนั้น ถ้าเป็นการสมคบกันเพื่อกระทําความผิดตามกฎหมายอื่น แม้ระวางโทษหนักเพียงใด ก็ไม่ถือเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจร และนอกจากนี้ความผิดนั้นจะต้องมีโทษอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปี ขึ้นไปด้วย

ตัวอย่าง นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี่ และนายห้า ได้ประชุมปรึกษาหารือ และ ตกลงใจร่วมกันที่จะขายยาบ้า แต่ยังไม่ทันได้ขายบุคคลทั้งห้าก็ถูกตํารวจจับเสียก่อน ดังนี้ แม้จะมีการสมคบกัน ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปเพื่อกระทําความผิด แต่ความผิดดังกล่าวเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดฯ ซึ่งมิใช่ความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แม้ความผิดนั้นจะกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปก็ตาม ดังนั้นบุคคลทั้งห้าจึงไม่มีความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210

4. โดยเจตนา
ผู้กระทําต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 คือ มีเจตนาที่จะสมคบกันเพื่อกระทําความผิด อย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แต่ไม่จําเป็นต้องรู้ว่าความผิดที่กระทํานั้นมีโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ซึ่งความผิดฐานเป็นซ่องโจรนี้ถือเป็นความผิดสําเร็จทันทีตั้งแต่ มีการสมคบกัน แม้ผู้สมคบนั้นจะยังมิได้กระทําความผิดตามที่สมคบกันก็ตาม

ตัวอย่าง นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี และนายห้า ได้ประชุมปรึกษาหารือกันว่า จะเข้าปล้นบ้านของนายดํา ซึ่งทั้ง 5 คนตกลงเห็นด้วย แต่ก่อนที่จะเข้าปล้นบ้านของนายดําทั้ง 5 คน ถูกตํารวจ จับได้เสียก่อน ดังนี้ถือว่าทั้ง 5 คน มีความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคแรกแล้ว

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยทุจริต (มาตรา 157) จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 157 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ”

อธิบาย
มาตรานี้ กฎหมายบัญญัติการกระทําอันเป็นความผิดอยู่ 2 ความผิดด้วยกัน กล่าวคือ ความผิดแรก เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ส่วนความผิดที่สองเป็นเรื่องเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้น ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

(ก) องค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

1. เป็นเจ้าพนักงาน
2. ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
3. เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
4. โดยเจตนา

“เป็นเจ้าพนักงาน” หมายถึง เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย โดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

“ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอันมิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจทําการสอบสวนผู้ต้องหา ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ ตํารวจจึงใช้กําลังชกต่อย ให้รับสารภาพ เป็นต้น
“ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การงดเว้นกระทําการตามหน้าที่ อันเป็นการมิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจละเว้นไม่จับคนร้ายที่ลักทรัพย์ผู้เสียหายไป เป็นต้น

ดังนั้นถ้าการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัตินั้น ไม่อยู่ในหน้าที่หรือเป็นการนอกหน้าที่ หรือเป็นการชอบด้วยหน้าที่ ก็ไม่ผิดตามมาตรา 157 นี้

ความผิดตามมาตรานี้จะต้องประกอบด้วยเจตนาพิเศษ คือ ต้องเป็นการกระทํา “เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” ซึ่งไม่จํากัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงความเสียหายในทางอื่นด้วย เช่น ต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง เป็นต้น และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ไม่จําเป็นว่า ต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริงๆ จึงจะเป็นความผิด เพียงแต่การกระทํานั้นเพื่อให้เกิดความเสียหายก็เพียงพอ ที่จะถือเป็นความผิดแล้ว

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทําต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ และผู้กระทําต้องปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นโดยมิชอบ

(ข) องค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

1. เป็นเจ้าพนักงาน
2. ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
3. โดยทุจริต
4. โดยเจตนา

“โดยทุจริต” หมายถึง เพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สําหรับตนเอง หรือผู้อื่น ทั้งนี้ไม่ว่าประโยชน์นั้นจะเป็นทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่น ดังนั้นถ้าผู้กระทําขาดเจตนาทุจริตแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ความผิดที่สองนี้เพียงการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตก็เป็นความผิดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการกระทําโดยชอบหรือโดยมิชอบด้วยหน้าที่ก็ตาม และโดยไม่ต้องคํานึงถึงว่าจะเกิดความเสียหายแก่ ผู้หนึ่งผู้ใดหรือไม่ ต่างกับความผิดแรกที่ต้องกระทําโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดจึงจะเป็นความผิด

“ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” เช่น เจ้าพนักงานพูดจูงใจให้ผู้เสียภาษีมอบเงินค่าภาษีให้เกินจํานวนที่ต้องเสีย แล้วเอาเงินส่วนที่เกินไว้เสียเอง เป็นต้น

“ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” เช่น พนักงานที่ดินรับเงินค่าธรรมเนียมและค่าพาหนะในการรังวัดแล้ว มิได้นําเงินลงบัญชี ทั้งมิได้ดําเนินการให้ ดังนี้เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

 

ข้อ 3. มะม่วงขอยืมเงินมะนาวเพื่อไปใช้หนี้พนันฟุตบอล มะนาวไม่ให้ยืมเพราะเคยเตือนมะม่วงไม่ให้เล่นการพนันแล้วแต่ไม่เชื่อ มะม่วงโกรธจึงไปแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.อ.มะพร้าว พนักงานสอบสวนที่ สถานีตํารวจว่าถูกมะนาวล้วงกระเป๋าเอาเงินไปหมดตัว ตอนเที่ยงวันวันที่ฟุตบอลไทยเตะกับเวียดนาม ที่สนามกีฬาราชมังคลาฯ ดังนี้ มะม่วงจะมีความผิดอาญาฐานใด หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 173 “ผู้ใดรู้ว่ามิได้มีการกระทําความผิดเกิดขึ้น แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทําความผิด ต้องระวางโทษ”

มาตรา 174 “ถ้าการแจ้งข้อความตามมาตรา 172 หรือมาตรา 173 เป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องถูกบังคับตามวิธีการเพื่อความปลอดภัย ผู้กระทําต้องระวางโทษ

ถ้าการแจ้งตามความในวรรคแรกเป็นการเพื่อจะแกล้งให้บุคคลใดต้องรับโทษหรือรับโทษหนักขึ้น ผู้กระทําต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 173 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้

1. รู้ว่ามิได้มีการกระทําความผิดเกิดขึ้น
2. แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญา 3. ว่าได้มีการกระทําความผิด
4. โดยเจตนา

ความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา 173 นี้ หมายความถึงการแจ้งต่อเจ้าพนักงาน ในกรณีที่ความผิดอาญาไม่ได้เกิดขึ้นเลย แต่แจ้งว่าความผิดนั้นได้เกิดขึ้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่มะม่วงรู้ว่าไม่มีการกระทําความผิดอาญาเกิดขึ้น คือรู้ว่าไม่มีการลักทรัพย์ล้วงกระเป๋าเอาเงินของตนไป แต่ไปแจ้งความร้องทุกข์กับ ร.ต.อ.มะพร้าวพนักงานสอบสวนว่าตัวเองถูกลักทรัพย์ล้วงกระเป๋า และเมื่อมะม่วงได้กระทําไปโดยเจตนา การกระทําของมะม่วงจึงครบองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นทุกประการ ดังนั้น มะม่วงจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 173

และเมื่อการที่มะม่วงได้แจ้งความร้องทุกข์ดังกล่าวได้ระบุด้วยว่ามะนาวเป็นผู้ล้วงกระเป๋าของตน จึงเป็นการแจ้งความอาญาเท็จเพื่อจะแกล้งให้มะนาวต้องรับโทษ การกระทําของมะม่วงจึงต้องด้วยเหตุ ฉกรรจ์ตามมาตรา 174 วรรคสอง ดังนั้น มะม่วงจึงต้องรับโทษหนักขึ้นตามมาตรา 174 วรรคสอง

สรุป
มะม่วงมีความผิดอาญาฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 173 และต้องรับโทษหนักขึ้น ตามมาตรา 174 วรรคสอง

 

ข้อ 4.แดงขับรถยนต์ฝ่าไฟแดงที่สี่แยกลําสาลี จ.ส.ต.เหลืองตํารวจจราจรเห็นเหตุการณ์จึงเรียกให้แดงหยุดรถขอดูใบขับขี่รถยนต์ พร้อมพูดว่าฝ่าไฟแดงไปโรงพักเสีย 400 บาท ถ้าให้จ่าฯ ตรงนี้เงียบ ๆ เอาแค่ 200 บาท ว่าไง แดงกลัวเสียเวลาทําธุระส่วนตัวจึงหันมายืมเงินเขียวซึ่งนั่งอาศัยรถของแดง มา 200 บาท แล้วยื่นเงินนี้ให้ จ.ส.ต.เหลือง จ.ส.ต.เหลืองรับเงินไป ดังนี้ จ.ส.ต.เหลือง และแดง มีความผิดอาญาอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 144 “ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 149 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เรียกรับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 ดังกล่าว สามารถแยกองค์ประกอบ ความผิดได้ดังนี้

1. ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้
2. ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
3. แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
4. เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ 5. โดยเจตนา

ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา 149 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. เป็นเจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
2. เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสําหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
3. เพื่อกระทําการหรือไม่กระทําการอย่างใดในตําแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่
4. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ จ.ส.ต.เหลือง และแดงจะมีความผิดอาญาอย่างไร หรือไม่แยกวินิจฉัย ได้ดังนี้

กรณีของ จ.ส.ต.เหลือง
การที่ จ.ส.ต.เหลืองตํารวจจราจรซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเรียกเงิน 200 บาท จากแดงเพื่อแลกกับการไม่จับแดงที่ขับรถยนต์ฝ่าไฟแดง ถือว่า จ.ส.ต.เหลืองเป็นเจ้าพนักงานเรียกและรับเอาทรัพย์สินเพื่อกระทําการในตําแหน่งโดยมิชอบด้วยหน้าที่ และได้กระทําโดยเจตนาจึงครบองค์ประกอบของ ความผิดตามหลักกฎหมายข้างต้นทุกประการ ดังนั้น จ.ส.ต.เหลือง จึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบน ตามมาตรา 119

กรณีของแดง
การที่แดงยื่นเงินให้ จ.ส.ต.เหลือง 200 บาทนั้น ถือเป็นการให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่ และได้กระทําโดยเจตนาจึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน ดังนั้นแดงจึงมีคามผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144

สรุป
จ.ส.ต.เหลืองมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานรับสินบนตามมาตรา 149
แดงมีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายมีนแจ้งความต่อนายเมษเจ้าพนักงานสรรพสามิตประจําสนามบินสุวรรณภูมิว่า มีการลักทรัพย์ผู้โดยสารซึ่งเป็นความเท็จ ดังนี้ นายมีน มีความผิดต่อเจ้าพนักงานประการใด หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

อาญา มาตรา 173 “ผู้ใดรู้ว่ามิได้มีการกระทําความผิดเกิดขึ้น แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทําความผิด ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
ความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 173 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้
1. รู้ว่ามิได้มีการกระทําความผิดเกิดขึ้น
2. แจ้งข้อความแก่พนักงานสอบสวน หรือเจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญา 3. ว่าได้มีการกระทําความผิด
4. โดยเจตนา

ความผิดฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตามมาตรา 173 นี้ หมายความถึงการแจ้งต่อเจ้าพนักงาน ในกรณีที่ความผิดอาญาไม่ได้เกิดขึ้นเลย แต่แจ้งว่าความผิดนั้นได้เกิดขึ้น ถ้าเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับคดีอาญา ซึ่งได้เกิดขึ้นแล้ว ต้องปรับตามบทมาตรา 172 มิใช่มาตรา 173

ซึ่งเจ้าพนักงานตามมาตรา 173 นี้ หมายความถึงเจ้าพนักงานสอบสวนหรือเจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญาเท่านั้น ถ้าเป็นบุคคลอื่นใดนอกจากนี้แล้ว ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรานี้

“พนักงานสอบสวน” หมายถึง เจ้าพนักงานตํารวจที่มียศตั้งแต่ร้อยตํารวจตรีขึ้นไป แล้ว มีตําแหน่งเป็นพนักงานสอบสวน ไม่ได้หมายความรวมถึงตํารวจชั้นประทวน ซึ่งไม่มีอํานาจสอบสวน

“เจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญา” หมายถึง ตํารวจชั้นสัญญาบัตร หรือตํารวจชั้นประทวนก็ได้ ผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญา และให้หมายความรวมถึงเจ้าหน้าที่อื่น ๆ เช่น พัศดีเรือนจํา พนักงานตรวจคนเข้าเมือง พนักงานกรมสรรพสามิต กรมเจ้าท่า และเจ้าหน้าที่อื่นในเมือมีหน้าที่ในการรักษา ความสงบเรียบร้อย และมีหน้าที่ในการจับกุมปราบปรามการกระทําความผิดได้

และการแจ้งตามมาตรา 173 นี้ อาจจะเสียหายแก่ใครหรือไม่ ไม่ใช่สาระสําคัญเพราะไม่ใช่องค์ประกอบแห่งความผิด เมื่อแจ้งโดยรู้ว่ามิได้มีการกระทําผิดต่อเจ้าพนักงานว่าได้มีการกระทําผิดแล้ว ย่อมเป็น ความผิดสําเร็จทันที ทั้งนี้ผู้กระทําผิดจะต้องได้กระทําโดยมีเจตนาด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายมีนแจ้งความต่อนายเมษเจ้าพนักงานสรรพสามิตประจําสนามบินสุวรรณภูมิว่ามีการลักทรัพย์ผู้โดยสารซึ่งเป็นความเท็จนั้น ถือเป็นกรณีที่นายมีนรู้ว่ามิได้มีการกระทําความผิดเกิดขึ้น แต่ไปแจ้งความแก่เจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญาว่าได้มีการกระทําความผิดเกิดขึ้น และเมื่อได้กระทําไปโดยมีเจตนา การกระทําของนายมีนจึงครบองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าว ข้างต้นทุกประการ ดังนั้น นายมีนจึงมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 173

สรุป นายมีนมีความผิดฐานแจ้งความเท็จตามมาตรา 173

 

ข้อ 2. หนึ่งมาดักฆ่าสองเห็นสองเดินมาที่กลางซอยในระยะยิงจึงชักปืนออกมาเพื่อจะยิง บังเอิญตํารวจสายตรวจขับรถผ่านมาพอดี หนึ่งตกใจทิ้งปืนวิ่งหนีมาที่บ้านของสาม สามถามหนึ่งว่าไปทําอะไรมา หนึ่งบอกว่าไปดักจะฆ่าคนแต่ดันเห็นตํารวจก่อนเลยไม่ได้ฆ่ามัน สามให้หนึ่งหลบตํารวจในบ้าน สี่ศัตรูของสองเห็นสองเดินออกมาถึงปากซอย สี่ใช้มีดแทงสองตายคาที่แล้วหนีมาบ้านของสามซึ่งเป็นเพื่อนกัน สี่พูดกับสามว่าเพิ่งแทงคนตายช่วยหน่อย สามให้สี่เข้ามาหลบในบ้านไม่ให้ตํารวจจับ ดังนี้ สามจะมีความผิดอาญาอย่างไร หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 189 “ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทําความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อมิให้ต้องโทษ โดยให้พํานักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานช่วยผู้กระทําความผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษตามมาตรา 189 ประกอบด้วย
1. ช่วยโดยให้พํานัก โดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยด้วยประการใด
2. ผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทําความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด
3. ความผิดนั้นไม่ใช่ความผิดลหุโทษ
4. เพื่อไม่ให้ต้องโทษ และเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม
5. โดยเจตนา

การกระทําความผิดตามมาตรานี้ คือ ช่วยผู้อื่น ซึ่งการช่วยนั้นจะต้องทําโดยให้ที่พํานักโดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยด้วยประการใด

คําว่า “ให้พํานัก” หมายถึง ให้ที่พักอาศัยจะเป็นการชั่วคราวหรือถาวรก็ได้ เช่น ให้อยู่ในบ้าน คําว่า “ซ่อนเร้น” หมายถึง ปกปิดมิให้เจ้าพนักงานทราบ เช่น พาไปหลบในหลุม

คําว่า “ช่วยด้วยประการใด” หมายถึง ช่วยเหลือผู้กระทําความผิดหรือผู้ต้องหาในทุก ๆ วิธี เช่น การช่วยดูต้นทาง การให้สัญญาณให้ผู้นั้นไม่ต้องถูกจับ เป็นต้น

ผู้ที่ได้รับการช่วยตามมาตรานี้ต้องเป็นผู้อื่น ไม่ใช่ช่วยตนเอง และผู้อื่นนี้จะต้องเป็นผู้กระทําความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิดในขณะที่ช่วยนั้นด้วย

คําว่า “ผู้กระทําความผิด” หมายถึง ผู้กระทําความผิดที่มีโทษทางอาญา โดยไม่จําเป็นที่จะต้องถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิด เพียงแต่มีมูลเหตุที่แสดงให้เห็นว่าผู้นั้นกระทําความผิดก็เพียงพอแล้ว

คําว่า “ผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด” หมายถึง ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทําความผิดทางอาญา แต่ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล

ผู้ช่วยผู้กระทําความผิดจะมีความผิดตามมาตรา 189 นี้ ต้องเป็นการช่วยผู้กระทําความผิดหรือ ผู้ต้องหาว่ากระทําความผิดที่มิใช่ความผิดลหุโทษ (ความผิดที่มีอัตราโทษจําคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท)

การที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ ผู้ช่วยเหลือจะต้องมีมูลเหตุชักจูงใจหรือเจตนาพิเศษ เพื่อที่จะให้ผู้ที่ตนช่วยนั้นไม่ให้ต้องโทษและเพื่อไม่ให้ถูกจับกุมด้วย กล่าวคือ จะต้องมีเจตนาพิเศษทั้งสองอย่าง

ผู้ช่วยเหลือจะต้องกระทําโดยเจตนาตามมาตรา 59 คือ มีเจตนาในการช่วยเหลือ รวมทั้ง รู้ข้อเท็จจริงด้วยว่าผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือนั้นเป็นผู้กระทําความผิดหรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทําความผิด

กรณีตามอุทาหรณ์ สามจะมีความผิดอาญาอย่างไร หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

กรณีของหนึ่ง การที่หนึ่งมาดักฆ่าสองเห็นสองเดินมาในระยะยิงจึงชักปืนออกมาเพื่อจะยิง บังเอิญตํารวจสายตรวจขับรถผ่านมาพอดี หนึ่งตกใจทิ้งปืนวิ่งหนีมาที่บ้านของสามนั้น การกระทําของหนึ่งที่ชักปืนออกมาเพื่อจะยิง แต่ยังไม่ได้เล็งปืนไปที่สองถือว่าหนึ่งยังไม่ได้ลงมือกระทําความผิดแต่อย่างใด หนึ่งจึงยังมิใช่ ผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทําความผิดตามนัยมาตรา 189 ดังนั้น การที่สามให้หนึ่งหลบตํารวจในบ้าน การกระทําของสาม จึงไม่ต้องด้วยองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 189 สามจึงไม่มีความผิดอาญาฐานช่วยผู้กระทําความผิด เพื่อไม่ให้ต้องโทษตามมาตรา 189

กรณีของสี่ การที่สี่ใช้มีดแทงสองตายแล้วหนีมาที่บ้านของสาม และสามก็รู้ว่าสี่เพิ่งกระทําความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาอันมิใช่ความผิดลหุโทษ แต่สามก็ให้สี่เข้ามาหลบในบ้านเพื่อไม่ให้ตํารวจจับนั้น การกระทําของสามกรณีนี้ถือว่าครบองค์ประกอบของความผิดฐานช่วยผู้กระทําความผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษ ตามมาตรา 189 แล้ว กล่าวคือ เป็นการให้พํานักแก่ผู้กระทําความผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษและเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม และเมื่อได้กระทําโดยเจตนา ดังนั้น กรณีนี้สามจึงมีความผิดอาญาฐานช่วยผู้กระทําความผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษ ตามมาตรา 189

สรุป
การที่สามให้สี่เข้ามาหลบในบ้านไม่ให้ตํารวจจับ สามมีความผิดอาญาฐานช่วยผู้กระทํา ความผิดเพื่อไม่ให้ต้องโทษตามมาตรา 189 แต่การที่สามให้หนึ่งหลบตํารวจในบ้าน สามไม่มีความผิดอาญาตาม มาตราดังกล่าวแต่อย่างใด

 

ข้อ 3. ชาย 15 คน ชุมนุมกันที่ศาลากลางจังหวัดกล่าวโจมตีและขับไล่ผู้ว่าราชการจังหวัด จากนั้นได้เผาศาลากลางและขู่ว่าถ้าผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ย้ายออกจากพื้นที่จะฆ่าให้ตาย ต่อมาความทราบถึงตํารวจ ตํารวจได้ไปยังสถานที่เกิดเหตุและสั่งให้สลายตัว ปรากฏว่าชาย 15 คนไม่ยอมสลายตัว ดังนี้ ชาย 15 คน มีความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชนหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 215 วรรคแรก “ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษ..”

มาตรา 216 “เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทําความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป ผู้ใด ไม่เลิก ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

ความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 วรรคแรก มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ

1. มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป
2. ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
3. โดยเจตนา

ส่วนความผิดตามมาตรา 216 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. เมื่อเจ้าพนักงานส่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทําความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป
2. ผู้ใดไม่เลิก
3. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ชาย 15 คนได้ชุมนุมกันที่ศาลากลางจังหวัดและได้เผาศาลากลาง อีกทั้ง ได้ขู่ว่าจะฆ่าผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น การกระทําของชาย 15 คนดังกล่าว ถือว่าเป็นการมั่วสุมกันของคนตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป และเป็นการขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้ายหรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง และได้กระทําไปโดยเจตนา การกระทําของชาย 15 คนนั้น จึงครบองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 215 วรรคแรก ทุกประการ ชาย 15 คนจึงมีความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง

การกระทําของชาย 15 คนไม่มีความผิดตามมาตรา 216 เพราะกรณีที่จะเป็นความผิดตาม มาตรา 216 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานได้มีคําสั่งก่อนที่ผู้มั่วสุมจะได้ลงมือใช้กําลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญ ว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือก่อนที่ผู้มั่วสุมจะกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ตามมาตรา 215 แต่ผู้มั่วสุมไม่ยอมเลิก

สรุป
ชาย 15 คนมีความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 แต่ไม่มีความผิดตามมาตรา 216

 

ข้อ 4. นายแดงไม่เคยกู้เงินนาย ก. วันเกิดเหตุ นาย ก. นํากระดาษมาแผ่นหนึ่ง เขียนข้อความว่า “นายแดงกู้เงิน นาย ก. จํานวน 100,000 บาท กําหนดชําระภายใน 1 ปี” ต่อมานาย ก. ทําเอกสารฉบับนั้นหายไป จําเลยเป็นคนเก็บได้ จําเลยแก้ไขข้อความจากคําว่า “นาย ก.” เป็นคําว่า “จําเลย” ข้อความ จึงกลายเป็นว่า “นายแดง กู้เงิน จําเลย 100,000 บาท” ดังนี้ จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคแรก “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือ ตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอม ในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ…”

มาตรา 265 “ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ หรือเอกสารราชการ ต้องระวางโทษ”
มาตรา 268 “ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทําความผิดตามมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษดังที่ บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก ประกอบด้วย

1. กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร
2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
4. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก. นํากระดาษมาเขียนสัญญากู้ขึ้นเอง โดยที่นายแดงไม่เคยกู้เงิน จากนาย ก. เลยนั้น ถือเป็นการกระทําโดยไม่มีอํานาจ เอกสารการกู้ยืมเงินดังกล่าวจึงเป็นเอกสารสิทธิปลอม

และการที่จําเลยเก็บเอกสารฉบับนั้นได้ และได้แก้ไขข้อความจากคําว่า “นาย ก.” เป็นคําว่า “จําเลย” นั้น ถึงแม้จําเลยจะไม่มีอํานาจที่จะกระทําก็ตาม แต่การแก้ไขของจําเลยดังกล่าวเป็นการแก้ไขข้อความ ในเอกสารที่มีการปลอมมาก่อน ซึ่งกรณีจะเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารได้นั้นจะต้องเป็นการแก้ไขข้อความในเอกสารที่แท้จริงเท่านั้น ดังนั้นการกระทําของจําเลยจึงขาดองค์ประกอบของความผิดฐานปลอมเอกสารตาม มาตรา 264 วรรคแรก จําเลยจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิตามมาตรา 264 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265

เมื่อจําเลยไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร ถึงแม้จําเลยจะนําเอกสารดังกล่าวไปเรียกเก็บเงินจากนายแดง จําเลยก็ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้ใช้เอกสารปลอมตามมาตรา 268

สรุป
จําเลยไม่มีความผิดเกี่ยวกับเอกสาร

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก มาดูผลสอบที่มหาวิทยาลัย ทราบข่าวว่านักศึกษารุ่นน้องของตัวเองถูกนักศึกษามหาวิทยาลัยคู่อริทําร้ายหลายคน บางคนบาดเจ็บสาหัสยังไม่ฟื้น หกคนจึงปรึกษากันว่าจะ ทํายังไงดีที่จะกู้ศักดิ์ศรีคืนมา หนึ่งพูดว่าเจอมันที่ไหนฆ่าอย่างเดียวเอาไหม สอง สาม สี่ ห้า พูดพร้อมกัน ว่าเอาด้วย ส่วนหกพูดว่าไม่ดีไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา แล้วทุกคนแยกย้ายกันไป สองขับรถยนต์ฝ่าไฟแดง หลังจากที่แยกจากกลุ่มเพื่อน จ.ส.ต.ขยันจราจรเห็นเหตุการณ์จับสองข้อหาขับรถฝ่าไฟแดง สองพูดกับ จ.ส.ต.ขยันว่าปล่อยผมเถอะ ผมจะรีบไปทําธุระทั้งตัวผมมีแค่ร้อยเดียวเอาไปเถอะครับ ผมไม่ถ่ายคลิปหรอก แล้วยืนเงิน 100 บาท ให้ จ.ส.ต.ขยัน จ.ส.ต.ขยันไม่รับเงิน ดังนี้ สองจะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 144 “ผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการหรือ ประวิ่งการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ”

มาตรา 210 วรรคแรก “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทําความผิด ฐานเป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ สองจะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

ประเด็นแรก ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชนฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคแรก มีองค์ประกอบ ดังนี้

1. สบคบกัน
2. ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
3. เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
4. โดยเจตนา

คําว่า “การสมคบกัน” ที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่ สําคัญ 2 ประการ คือ

(ก) จะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน และ
(ข) จะต้องมีการตกลงร่วมกันว่าจะกระทําความผิด

และการสมคบกันนั้น จะต้องสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปด้วยจึงจะเป็นความผิดโดยอาจจะสมคบกันมากกว่า 5 คน หรือ 5 คนพอดีก็ได้

ตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า และหกได้ปรึกษากันโดยหนึ่งพูดว่าถ้าเจอคู่อริที่ไหน ก็ให้ฆ่ามันอย่างเดียวโดยมีสอง สาม สี่ และห้าตกลงเอาด้วย ดังนี้แม้หกจะไม่เห็นด้วย แต่เมื่อการสมคบกัน เพื่อที่จะฆ่าคู่อรินั้น เป็นการสมคบกันมีจํานวน 5 คนแล้ว และเป็นการสมคบกันเพื่อกระทําความผิดฐานฆ่าคนตาย ซึ่งเป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป และเมื่อได้กระทําโดยเจตนา จึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคแรก ดังนั้น สองจึง มีความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคแรก แม้ว่าความผิดตามที่ตกลงกันจะยังมิได้กระทําก็ตาม

ประเด็นที่สอง ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 มีองค์ประกอบ ดังนี้
1. ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้
2. ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
3. แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
4. เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่
5. โดยเจตนา

คําว่า “ขอให้” หมายถึง เสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงาน เช่น เอ่ยปากขอให้เงินแก่เจ้าพนักงาน แม้เจ้าพนักงานยังไม่ได้ตกลงจะรับเงินก็เป็นความผิดสําเร็จแล้ว

ตามอุทาหรณ์ การที่ จ.ส.ต.ขยัน ได้จับสองข้อหาขับรถฝ่าไฟแดง และสองพูดกับ จ.ส.ต.ขยัน ว่าปล่อยผมเถอะ แล้วยื่นเงิน 100 บาทให้ จ.ส.ต.ขยันนั้น ถือได้ว่าเป็นกรณีที่สองขอให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้ไม่กระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่ และเมื่อได้กระทําโดยเจตนาการกระทําของสองจึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 แม้ว่า จ.ส.ต.ขยันจะไม่รับเงินก็ตาม ดังนั้น สองจึงมี ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 อีกกระทงหนึ่ง

สรุป
สองมีความผิดอาญาฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 และมีความผิดฐานให้สินบนแก่ เจ้าพนักงานตามมาตรา 144

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน (มาตรา 136) จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขป และยกตัวอย่าง

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 136 “ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตาม หน้าที่ ต้องระวางโทษ…”

อธิบาย ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 มีองค์ประกอบของความผิด ดังนี้
1. ดูหมิ่น
2. เจ้าพนักงาน
3. ซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าที่
4. โดยเจตนา

“ดูหมิ่น” หมายถึง การกระทําด้วยประการใด ๆ อันเป็นการดูถูก เหยียดหยาม สบประมาท หรือ ด่าแช่ง ต่อผู้ถูกกระทํา ซึ่งอาจจะกระทําโดยวาจา กิริยาท่าทาง หรือลายลักษณ์อักษรก็ได้ การดูหมิ่นด้วยวาจา เช่น พูดจาด่าทอ หรือด้วยกิริยาท่าทางก็เช่น ยกส้นเท้าให้ หรือถ่มน้ำลายรด เป็นต้น ทั้งนี้แม้ว่าเจ้าพนักงานจะไม่ได้ยิน ไม่เห็น หรือว่าเป็นภาษาต่างประเทศ ซึ่งเจ้าพนักงานไม่เข้าใจก็ตามก็เป็นความผิด ตามมาตรา 136 นี้ได้

อย่างไรก็ดีถ้อยคําบางอย่างนั้น แม้ว่าจะเป็นคําไม่สุภาพ คําหยาบ ไม่สมควรจะกล่าว หรือ เป็นคําปรารภปรับทุกข์ หรือคําโต้แย้ง คํากล่าวติชมตามปกติ หากไม่ทําให้ผู้เสียหายถูกดูถูก เหยียดหยาม สบประมาท หรือได้รับความอับอายขายหน้า ก็ไม่ถือว่าเป็นการดูหมิ่น

การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่น “เจ้าพนักงาน” ถ้าบุคคลที่ถูกดูหมิ่นนั้นไม่ใช่เจ้าพนักงานย่อมไม่ผิดตามมาตรา 136 ทั้งนี้จะต้องได้ความว่าบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงาน อยู่ในขณะถูกดูหมิ่นด้วย หากได้พ้นตําแหน่งไปแล้วก็ไม่มีความผิดตามมาตรานี้เช่นกัน เช่น จําเลยกล่าวต่อ ร.ต.อ.แดงว่า “ตํารวจเฮงซวย” ซึ่งในขณะนั้น ร.ต.อ.แดงได้ลาออกจากราชการเพื่อไปทําธุรกิจส่วนตัว ดังนี้ จําเลยไม่มีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน เพราะในขณะที่ดูหมิ่นนั้น ร.ต.อ.แดงไม่ได้เป็นเจ้าพนักงาน

อนึ่ง การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 136 นี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานเฉพาะ 2 เรณี ต่อไปนี้คือ

(ก) ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือ
(ข) ดูหมิ่นเจ้าพนักงานเพราะได้กระทําการตามหน้าที่

“ซึ่งกระทําการตามหน้าที่” หมายความว่า ดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานนั้นกระทําการตามหน้าที่ ซึ่งกฎหมายได้ให้อํานาจไว้ ดังนั้นหากเป็นการดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานกระทําการนอกเหนืออํานาจหน้าที่หรือ เกินขอบเขต ย่อมไม่ผิดตามมาตรานี้

“เพราะได้กระทําการตามหน้าที่” หมายความว่า ดูหมิ่นภายหลังจากที่เจ้าพนักงานได้กระทําการ ตามหน้าที่แล้ว เช่น เจ้าพนักงานตํารวจจับกุมนายแดง แล้วนายแดงไปเล่าให้นายขาวฟัง ต่อมาอีก 3 วัน นายขาว พบเจ้าพนักงานตํารวจผู้นั้นโดยบังเอิญ จึงด่าทอดูหมิ่น เพราะโกรธที่ไปจับเพื่อนตน เช่นนี้นายขาวมีความผิดฐาน ดูหมิ่นเจ้าพนักงานเพราะได้กระทําการตามหน้าที่ตามมาตรา 136

การดูหมิ่นจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่น “โดยเจตนา” กล่าวคือ เป็นการกล่าวโดยตั้งใจดูหมิ่น และรู้ว่าผู้ที่ตนตั้งใจดูหมินเป็นเจ้าพนักงาน ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าพนักงานย่อมถือว่าขาดเจตนา ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ตัวอย่างความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136
นายดวงดื่มสุราจนเมาครองสติไม่ได้ ขับรถด้วยความเร็วสูงไม่สวมหมวกนิรภัยถูกเจ้าพนักงานตํารวจจับกุม นายดวงไม่พอใจ จึงพูดต่อหน้าเจ้าพนักงานตํารวจคนนั้นว่า “แกล้งจับกูคนเดียว คนอื่นทําไมไม่จับ” เช่นนี้ถ้อยคําดังกล่าวมีลักษณะเป็นการดูหมิ่น เหยียดหยาม ซึ่งได้กระทําต่อเจ้าพนักงานซึ่งได้กระทําการ ตามหน้าที่ที่กฎหมายได้ให้อํานาจไว้โดยเจตนา นายดวงจึงมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136

แต่ถ้ากรณีเปลี่ยนเป็นว่า ขณะเจ้าพนักงานตํารวจกําลังนั่งรับประทานอาหารกับภริยาที่บ้านพัก โดยเวลานั้นไม่ใช่เวลาปฏิบัติราชการ จําเลยไปขอยืมเงินจากเจ้าพนักงานตํารวจแต่ไม่ได้ จําเลยจึงกล่าวว่า “กูจะ เอาให้ย้ายภายในเจ็ดวัน อ้ายย้ายยังไม่แน่ ที่แน่คือกูจะเอามึงลงหลุมฝังศพ” เช่นนี้แม้ถ้อยคําดังกล่าวจะมีลักษณะ เป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานด้วยเจตนา แต่เวลาดังกล่าวมิใช่เวลาปฏิบัติราชการตามหน้าที่ แต่เป็นเวลานอกราชการ อันเป็นการส่วนตัว จึงถือไม่ได้ว่าจําเลยดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ตามมาตรา 136

 

ข้อ 3. นายสิงห์และนายเสือร่วมกันลักน้ำมันที่ปั้มของนายแดงโดยใช้สายไฟต่อขั้วแบตเตอรี่กับเครื่องปั้มดูดน้ำมันจากถังใต้ดินมาใส่ถังในรถยนต์ เมื่อดูดน้ำมันได้ 4 ถัง นายสิงห์ได้ดึงสายไฟจากขั้วแบตเตอรี่ ให้ปั้มติ๊กหยุดทํางานเพื่อจะเปลี่ยนสายยางไปใส่ถังที่ 5 ทําให้เกิดประกายไฟ เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ ปั้มน้ำมันของนายแดงได้รับความเสียหายไป ดังนี้ นายสิงห์มีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตราย ต่อประชาชนฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 225 “ผู้ใดกระทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท และเป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย หรือการกระทําโดยประมาทนั้นน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานกระทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทตามมาตรา 225 ประกอบด้วย
1. กระทําให้เกิดเพลิงไหม้
2. โดยประมาท
3. เป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย หรือน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น

“กระทําให้เกิดเพลิงไหม้” หมายถึง กระทําให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์หรือวัตถุใด ๆ อาจเป็นทรัพย์ของตนเอง หรือทรัพย์ของผู้อื่น หรือวัตถุที่ไม่มีเจ้าของ

“โดยประมาท” หมายถึง การกระทําความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทําโดยปราศจาก ความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวัง เช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่

“เป็นเหตุให้ทรัพย์ของผู้อื่นเสียหาย หรือน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่น” คือ การทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทนั้น ต้องเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายและต้องเสียหายจริง ๆ ประการหนึ่ง หรือน่าจะเป็นอันตรายแก่ชีวิตของบุคคลอื่นอีกประการหนึ่งจึงจะมีความผิดตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายสิงห์และนายเสือได้ร่วมกันลักน้ำมันที่ปั้มของนายแดงโดยใช้ สายไฟต่อขั้วแบตเตอรี่กับเครื่องปั๊มดูดน้ำมันจากถังใต้ดินมาใส่ถังในรถยนต์ เมื่อดูดน้ำมันได้ 4 ถัง นายสิงห์ได้ดึงสายไฟจากขั้วแบตเตอรี่ให้ปั้มติ๊กหยุดทํางานเพื่อจะเปลี่ยนสายยางไปใส่ถังที่ 5 ทําให้เกิดประกายไฟ เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ปั้มน้ำมันของนายแดงได้รับความเสียหายนั้น พฤติการณ์ดังกล่าวของนายสิงห์ถือได้ว่าเป็นการกระทําโดยปราศจากความระมัดระวัง จึงเป็นการกระทําโดยประมาท เมื่อเกิดเพลิงไหม้ปั้มน้ำมันของนายแดงได้รับความเสียหาย นายสิงห์จึงมีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนฐานทําให้เกิดเพลิงไหม้โดย ประมาทตามมาตรา 225 (ฎีกาที่ 1211/2530 (ประชุมใหญ่))

สรุป
นายสิงห์มีความผิดฐานทําให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาทตามมาตรา 225

 

ข้อ 4. นายเอกแก้ตัวเลขในสลากกินแบ่ง 1 ตัว ให้เป็นหมายเลขที่ถูกรางวัล จากนั้นได้เอาสลากกินแบ่งดังกล่าวไปหลอกเพื่อนให้เลี้ยงอาหาร เพื่อนหลงเชื่อได้พานายเอกไปเลี้ยงอาหารที่ภัตตาคารแห่งหนึ่ง วันเกิดเหตุ นายเอกทิ้งสลากกินแบ่งฉบับที่นายเอกแก้ตัวเลขนั้นในถังขยะในบ้าน มีผู้เก็บสลากกินแบ่งนั้นได้ จึงได้นําสลากไปขอรับเงินที่กองสลาก เจ้าหน้าที่กองสลากได้ทําการตรวจแล้วพบว่าเป็นสลากปลอม จึงแจ้งให้ตํารวจทราบ ตํารวจจึงไปจับนายเอก ดังนี้ นายเอกมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารหรือไม่เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคแรก “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือ ตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอม ในเอกสารโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก ประกอบด้วย

1. กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
4. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกได้แก้ตัวเลขในสลากกินแบ่ง 1 ตัวให้เป็นหมายเลขที่ถูกรางวัล จากนั้นได้เอาสลากกินแบ่งดังกล่าวไปหลอกเพื่อนให้เลี้ยงอาหารจนเพื่อนหลงเชื่อและได้พานายเอกไปเลี้ยงอาหารนั้น การกระทําของนายเอกแม้จะถือว่าเป็นการแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริงเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริง และได้กระทําโดยเจตนาก็ตาม แต่การกระทําของนายเอกเพื่อหลอกให้เพื่อนเลี้ยงอาหารนั้น เป็นการล้อเล่นระหว่างเพื่อนฝูงซึ่งทํากันอยู่เป็นปกติ มิได้มีเจตนาเอาสลากกินแบ่งที่แก้ไขตัวเลขไปรับเงินรางวัล อีกทั้งการแก้ไขตัวเลขในสลากกินแบ่งนั้นไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชนหรือเพื่อนของนายเอก ส่วนการที่ นายเอกได้ทิ้งสลากกินแบ่งดังกล่าวในถังขยะในบ้าน แล้วมีผู้เก็บสลากกินแบ่งนั้นได้และนําไปขอรับรางวัลนั้นเป็น กรณีที่อยู่นอกความรู้เห็นของนายเอก ดังนั้น นายเอกจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร (ฎีกาที่ 1568/2521)

สรุป
นายเอกไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. อย่างไรเป็นความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน (มาตรา 136) จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขป และยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 136 “ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตาม หน้าที่ ต้องระวางโทษ”

อธิบาย ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136 มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้

1. ดูหมิ่น
2. เจ้าพนักงาน
3. ซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทําการตามหน้าที่
4. โดยเจตนา

“ดูหมิ่น” หมายถึง การกระทําด้วยบระการใด ๆ อันเป็นการดูถูก เหยียดหยาม สบประมาท หรือด่าแช่ง ต่อผู้ถูกกระทํา ซึ่งอาจจะกระทําโดยวาจา กริยาท่าทาง หรือลายลักษณ์อักษรก็ได้ การดูหมิ่นด้วยวาจา เช่น พูดจาด่าทอ หรือด้วยกิริยาท่าทางก็เช่น ยกส้นเท้าให้ หรือถ่มน้ำลายใส่ เป็นต้น ทั้งนี้แม้ว่าเจ้าพนักงานจะไม่ได้ยิน ไม่เห็น หรือว่าเป็นภาษาต่างประเทศซึ่งเจ้าพนักงานไม่เข้าใจก็ตาม ก็เป็นความผิดตามมาตรา 136 นี้ได้

อย่างไรก็ดีถ้อยคําบางอย่างนั้น แม้ว่าจะเป็นคําไม่สุภาพ คําหยาบ ไม่สมควรจะกล่าว หรือเป็นคําปรารภปรับทุกข์ หรือคําโต้แย้ง คํากล่าวติชมตามปกติ หากไม่ทําให้ผู้เสียหายถูกดูถูก เหยียดหยาม สบประมาท หรือได้รับความอับอายขายหน้า ก็ไม่ถือว่าเป็นการดูหมิ่น

การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่น “เจ้าพนักงาน” ถ้าบุคคลที่ถูกดูหมิ่นนั้นไม่ใช่เจ้าพนักงานย่อมไม่ผิดตามมาตรา 136 ทั้งนี้จะต้องได้ความว่าบุคคลดังกล่าวเป็นเจ้าพนักงานอยู่ในขณะถูกดูหมิ่นด้วย หากได้พ้นตําแหน่งไปแล้วก็ไม่มีความผิดตามมาตรานี้เช่นกัน เช่น จําเลยกล่าวต่อ ร.ต.อ.แดงว่า “ตํารวจเฮงซวย” ซึ่งในขณะนั้น ร.ต.อ.แดงได้ลาออกจากราชการเพื่อไปทําธุรกิจส่วนตัว ดังนี้จําเลย ไม่มีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงาน เพราะในขณะที่ดูหมิ่นนั้น ร.ต.อ.แดงไม่ได้เป็นเจ้าพนักงาน

อนึ่ง การดูหมิ่นที่จะเป็นความผิดตามมาตรา 136 นี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานเฉพาะ 2 กรณี ต่อไปนี้คือ

(ก) ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ หรือ
(ข) ดูหมิ่นเจ้าพนักงานเพราะได้กระทําการตามหน้าที่

“ซึ่งกระทําการตามหน้าที่” หมายความว่า ดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานนั้นกระทําการตามหน้าที่ ซึ่งกฎหมายได้ให้อํานาจไว้ ดังนั้นหากเป็นการดูหมิ่นขณะเจ้าพนักงานกระทําการนอกเหนืออํานาจหน้าที่หรือเกินขอบเขต ย่อมไม่ผิดตามมาตรานี้

“เพราะได้กระทําการตามหน้าที่” หมายความว่า ดูหมิ่นภายหลังจากที่เจ้าพนักงานได้กระทําการตามหน้าที่แล้ว เช่น เจ้าพนักงานตํารวจจับกุมนายแดง แล้วนายแดงไปเล่าให้นายขาวฟัง ต่อมาอีก 3 วัน นายขาว พบเจ้าพนักงานตํารวจผู้นั้นโดยบังเอิญ จึงด่าทอดูหมิ่น เพราะโกรธที่ไปจับเพื่อนตน เช่นนี้ขาวมีความผิดฐานดูหมิ่น เจ้าพนักงานเพราะได้กระทําการตามหน้าที่ตามมาตรา 136

การดูหมิ่นจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ จะต้องเป็นการดูหมิ่น “โดยเจตนา” กล่าวคือ เป็นการกล่าวโดยตั้งใจดูหมิ่น และรู้ว่าผู้ที่ตนตั้งใจดูหมิ่นเป็นเจ้าพนักงาน ถ้าไม่รู้ว่าเป็นเจ้าพนักงานย่อมถือว่าขาดเจตนา ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ตัวอย่าง ความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136
นายดวงดื่มสุราจนเมาครองสติไม่ได้ ขับรถด้วยความเร็วสูงไม่สวมหมวกนิรภัยถูกเจ้าพนักงานตํารวจจับกุม นายดวงไม่พอใจ จึงพูดต่อหน้าเจ้าพนักงานตํารวจคนนั้นว่า “แกล้งจับกูคนเดียว คนอื่นทําไม ไม่จับ” เช่นนี้ถ้อยคําดังกล่าวมีลักษณะเป็นการดูหมิ่น เหยียดหยาม ซึ่งได้กระทําต่อเจ้าพนักงานซึ่งได้กระทําการตามหน้าที่ที่กฎหมายได้ให้อํานาจไว้โดยเจตนา นายดวงจึงมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามมาตรา 136

แต่ถ้ากรณีเปลี่ยนเป็นว่า ขณะเจ้าพนักงานตํารวจกําลังนั่งรับประทานอาหารกับภริยาที่บ้านพัก โดยเวลานั้นไม่ใช่เวลาปฏิบัติราชการ จําเลยไปขอยืมเงินจากเจ้าพนักงานตํารวจแต่ไม่ได้ จําเลยจึงกล่าวว่า “กูจะเอาให้ย้ายภายในเจ็ดวัน อ้ายย้ายยังไม่แน่ ที่แน่คือกูจะเอามึงลงหลุมฝังศพ” เช่นนี้แม้ถ้อยคําดังกล่าว จะมีลักษณะเป็นการดูหมิ่นเจ้าพนักงานด้วยเจตนา แต่เวลาดังกล่าวมิใช่เวลาปฏิบัติราชการตามหน้าที่ แต่เป็น เวลานอกราชการอันเป็นการส่วนตัว จึงถือไม่ได้ว่าจําเลยดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ตามมาตรา 136

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน (มาตรา 144) จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขปและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 144 “ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษ”

อธิบาย
ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 ดังกล่าว สามารถแยกองค์ประกอบ ความผิดได้ดังนี้

1. ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้
2. ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด
3. แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
4. เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่
5. โดยเจตนา

“ให้” หมายถึง มีการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด และเจ้าพนักงานได้รับเอาไว้แล้ว ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยผู้กระทําได้ให้แก่เจ้าพนักงานเอง หรือเจ้าพนักงานได้เรียกเอาและผู้นั้นได้ให้ไป

“ขอให้” หมายถึง เสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงาน เช่น เอ่ยปากขอให้เงิน แก่เจ้าพนักงาน แม้เจ้าพนักงานยังไม่ได้ตกลงว่าจะรับก็เป็นความผิดสําเร็จแล้ว

“รับว่าจะให้” หมายถึง เจ้าพนักงานเป็นฝ่ายเรียกก่อน แล้วผู้กระทําก็รับปากกับเจ้าพนักงาน ว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เป็นความผิดสําเร็จทันทีนับแต่รับว่าจะให้ ส่วนทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้น จะให้แล้วหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสําคัญ

สําหรับสิ่งที่ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้นั้นจะต้องเป็น “ทรัพย์สิน” เช่น เงิน สร้อย แหวน นาฬิกา รถยนต์ หรือ “ประโยชน์อื่นใด” นอกจากทรัพย์สิน เช่น ให้อยู่บ้านหรือให้ใช้รถโดยไม่เสียค่าเช่า หรือยกลูกสาว ให้แต่งงานด้วย เป็นต้น

การกระทําตามมาตรานี้ต้องเป็นการกระทําต่อ “เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล” เท่านั้น และบุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นผู้มีอํานาจหน้าที่ด้วย ถ้าหาก กระทําต่อบุคคลอื่นนอกจากนี้แล้ว หรือบุคคลดังกล่าวไม่มีอํานาจหน้าที่หรือพ้นจากอํานาจหน้าที่ไปแล้วย่อม ไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ในเรื่องเจตนา ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 กล่าวคือรู้ว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าพนักงาน หรือสมาชิกแห่งสภา ถ้าผู้กระทําไม่รู้ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ ทั้งนี้
ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาพิเศษหรือมีมูลเหตุ ชักจูงใจเพื่อการอันมิชอบด้วยหน้าที่ด้วย คือ

(ก) ให้กระทําการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้เงินเพื่อให้ตํารวจจับคนที่ไม่ได้กระทําความผิด
(ข) ไม่กระทําการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ตํารวจจะจับกุมผู้กระทําผิด จึงให้เงินแก่
ตํารวจนั้นเพื่อไม่ให้ทําการจับกุมตามหน้าที่
(ค) ประวิงการกระทํา อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานสอบสวนให้ระงับการสอบสวนไว้ก่อน

ดังนั้นถ้าหากมีเหตุจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันชอบด้วยหน้าที่แล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 144 นี้ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจไม่จับกุมผู้กระทําผิดกฎหมาย จําเลยให้เงินตํารวจ เพื่อให้ทําการจับกุม กรณีนี้จําเลยไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 เพราะการให้ทรัพย์สิน มีมูลเหตุจูงใจให้กระทําการอันชอบด้วยหน้าที่

ตัวอย่างความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144
นายแดงถูก ส.ต.อ.ขาวจับกุมในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครอง จึงเสนอจะยกลูกสาวของตน ให้กับ ส.ต.อ.ขาว เพื่อแลกกับการปล่อยตัว แต่ ส.ต.อ.ขาวยังไม่ได้ตกลงตามที่นายแดงเสนอ เช่นนี้ถือว่านายแดงขอให้ประโยชน์อันใดนอกจากทรัพย์สินแก่ ส.ต.อ.ขาวเจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยเจตนา นายแดงจึงมีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 อันเป็นความผิดสําเร็จแล้ว

แต่ถ้ากรณีเป็นว่านายแดงถูกฟ้องเป็นจําเลย นายแดงทราบว่า ส.ต.อ.ขาวจะต้องไปเป็นพยาน ตามหมายเรียกของศาล จึงขอยกลูกสาวให้ ส.ต.อ.ขาวเพื่อให้ ส.ต.อ.ขาวเบิกความผิดจากความจริง ดังนี้นายแดง ไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 เพราะการเบิกความเป็นหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชนทั่วไป ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ จึงมิใช่การให้ประโยชน์อันใดเพื่อจูงใจให้กระทําการด้วยหน้าที่อันมิชอบ (คําพิพากษาฎีกาที่ 459/2469)

 

ข้อ 3. วัยรุ่นสิบคนมั่วสุมสมคบกันเพื่อข่มขืนกระทําชําเรานักศึกษาผู้หนึ่ง แล้วไปดักรอนักศึกษาผู้นั้นที่ปากซอยเข้าบ้าน แต่ตํารวจจับวัยรุ่นทั้งสิบคนได้เสียก่อน ดังนี้ วัยรุ่นมีความผิดประการใดหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 210 วรรคแรก “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทําความผิด ฐานเป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

ความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคแรก แยกองค์ประกอบความผิดได้ดังนี้
1. สบคบกัน
2. ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
3. เพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
4. โดยเจตนา

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น ต้องมีการสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ซึ่งมีโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป และเมื่อได้มีการสมคบกัน เพื่อที่จะกระทําความผิดดังกล่าว ก็จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรทันที แม้จะยังไม่ได้กระทําตามที่ตกลงกันก็ตาม

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่วัยรุ่นสิบคนมั่วสุมสมคบกันเพื่อข่มขืนกระทําชําเรานักศึกษาผู้หนึ่ง และได้ไปดักรอนักศึกษาผู้นั้นที่ปากซอยเข้าบ้าน แต่ถูกจับได้เสียก่อนนั้น ถือว่าเป็นการสมคบกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป โดยมีเจตนาที่จะกระทําความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ภาค 2 ซึ่งมีโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไปแล้ว ดังนั้นแม้ว่าวัยรุ่นทั้งสิบคนจะยังไม่ได้กระทําตามที่ตกลงกันก็ตาม วัยรุ่นทั้งสิบคนนั้นก็มีความผิดฐานเป็นซ่องโจร ตามมาตรา 210 วรรคแรก (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 134 1/2521)

สรุป
วัยรุ่นทั้งสิบคนมีความผิดฐานเป็นซ่องโจร

 

ข้อ 4. นายชูวิทย์เช่ากิจการของโรงเรียนแห่งหนึ่ง ในระหว่างนั้นไม่มีครูใหญ่ นายชูวิทย์จึงทําเรื่องขออนุญาตเป็นครูใหญ่จากทางการอยู่ แต่ยังไม่ได้รับอนุญาต นายชูวิทย์ได้ลงชื่อในใบสุทธิในตําแหน่งครูใหญ่ ให้แก่นักเรียนหลายคน ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ข้อความในใบสุทธิเป็นความจริงทุกประการ ดังนี้ นายชูวิทย์มีความผิดเกี่ยวกับเอกสารประการใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคแรก “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอม ในเอกสารโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก ประกอบด้วย

1. กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร
2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
4. โดยเจตนา

การเติม หรือตัดทอนข้อความ หรือการแก้ไขข้อความในเอกสารที่แท้จริง จะเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อผู้กระทําไม่มีอํานาจที่จะกระทําได้ ถ้าหากผู้กระทํามีอํานาจที่จะกระทําได้ การกระทํานั้นก็จะไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายชูวิทย์ได้ลงชื่อในใบสุทธิในตําแหน่งครูใหญ่ให้แก่นักเรียนในระหว่างที่ไม่มีครูใหญ่ เพราะนายชูวิทย์ได้ทําเรื่องขออนุญาตเป็นครูใหญ่จากทางการอยู่แต่ยังไม่ได้รับอนุญาตนั้น ถือว่าเป็นการเติมข้อความในเอกสารที่แท้จริง และได้กระทําโดยไม่มีอํานาจที่จะกระทํา และแม้ว่าข้อความในใบสุทธิจะเป็นความจริงก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการปลอมเอกสารแล้ว ดังนั้นการกระทําของนายชูวิทย์จึงเป็นความผิด อ่านปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก (คําพิพากษาฎีกาที่ 759/2518 (ประชุมใหญ่))
สรุป นายชูวิทย์มีความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ตํารวจจับกุมนายดําในข้อหาว่าเป็นคนลาวอพยพหนีจากเขตควบคุม นายดําให้การปฏิเสธพร้อมทั้งแสดงบัตรประจําตัวประชาชนให้ตํารวจดู ซึ่งข้อความที่ให้การนั้นเป็นเท็จ ดังนี้ นายดํามีความผิดต่อเจ้าพนักงานประการใด หรือไม่ เพราะเหตุใด
ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 137 “ผู้ใดแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชน เสียหาย ต้องระวางโทษ”

อธิบาย
ความผิดฐานแจ้งความเท็จแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 137 นี้สามารถแยกองค์ประกอบความผิด ได้ดังนี้

1. แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ
2. แก่เจ้าพนักงาน
3. ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย
4. โดยเจตนา

“แจ้งข้อความ” หมายถึง การกระทําด้วยประการใด ๆ ให้เจ้าพนักงานได้ทราบข้อเท็จจริงนั้น อาจจะกระทําโดยวาจา โดยการเขียนเป็นหนังสือ หรือโดยการแสดงกิริยาท่าทางอย่างใดก็ได้

“ข้อความอันเป็นเท็จ” หมายถึง ข้อความที่นําไปแจ้งไม่ตรงกับข้อความจริงหรือตรงข้ามกับ ความจริง

อนึ่งในคดีอาญา ผู้ต้องหาชอบที่จะให้การแก้ตัวต่อสู้คดีอย่างใดก็ได้ เพื่อให้ตนเองพ้นผิด หรือจะไม่ยอมให้การเลยก็ได้ แม้คําให้การของผู้ต้องหาจะเป็นเท็จ หรือให้การไปโดยเชื่อว่าตนเองอยู่ในฐานะผู้ต้องหา ก็ไม่มีความผิดฐานแจ้งความเท็จ แม้ต่อมาจะได้ความว่าผู้ต้องหาไม่ใช่ผู้กระทําผิด ก็ยังถือว่าเป็นคําให้การในฐานะ ผู้ต้องหาอยู่ (ฎ. 1093/2522)

“แก่เจ้าพนักงาน” เจ้าพนักงานผู้รับแจ้งข้อความตามมาตรานี้ ต้องมีอํานาจหน้าที่รับแจ้งข้อความและดําเนินการตามเรื่องราวที่แจ้งความนั้น และต้องกระทําการตามหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายด้วย

“ซึ่งอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย” การแจ้งข้อความเท็จต่อเจ้าพนักงาน จะเป็นความผิดตามมาตรานี้ก็ต่อเมื่อการแจ้งนั้นอาจทําให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ดังนั้นถ้าไม่อาจก่อให้เกิดความ เสียหายใด ๆ ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ อนึ่งกฎหมายใช้คําว่า “อาจทําให้เสียหาย” จึงไม่จําเป็นต้องเกิด ความเสียหายขึ้นแล้วจริง ๆ เพียงแต่อาจเสียหายก็เป็นความผิดสําเร็จแล้ว

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทําจะต้องกระทําด้วยเจตนาตามมาตรา 59 กล่าวคือ ผู้แจ้งจะต้องรู้ว่าข้อความที่แจ้งนั้นเป็นเท็จ และต้องรู้ว่าบุคคลที่ตนแจ้งนั้นเป็นเจ้าพนักงานด้วย ถ้าผู้แจ้งไม่รู้ก็ไม่เป็น ความผิดตามมาตรานี้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ตํารวจจับกุมนายดําในข้อหาว่าเป็นคนลาวอพยพหนีจากเขตควบคุม และนายดําได้ให้การปฏิเสธพร้อมทั้งแสดงบัตรประจําตัวประชาชนให้ตํารวจดู ซึ่งข้อความที่ให้การเป็นเท็จนั้น การกระทําของนายดําย่อมไม่มีความผิดต่อเจ้าพนักงานฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 เพราะเป็นการให้การในฐานะผู้ต้องหา ซึ่งผู้ต้องหาชอบที่จะแก้ตัวต่อสู้คดีอย่างไรก็ได้ เพื่อให้ตนเองพ้นผิด แม้ว่าคําให้การของผู้ต้องหาจะเป็นเท็จ ก็ไม่ถือเป็นการแจ้งความอันจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ ตามหลักกฎหมายที่ ได้อธิบายไปแล้วข้างต้น

สรุป
นายดําไม่มีความผิดต่อเจ้าพนักงานฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 137

 

ข้อ 2. อย่างไรเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต จงอธิบายหลักกฎหมายและยกตัวอย่างประกอบ (มาตรา 157)

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 157 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ…”

อธิบาย
มาตรานี้ กฎหมายบัญญัติการกระทําอันเป็นความผิดอยู่ 2 ความผิดด้วยกัน กล่าวคือ ความผิดแรก เจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ส่วนความผิดที่สองเป็นเรื่องเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้น ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

(ก) องค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
1. เป็นเจ้าพนักงาน
2. ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
3. เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
4. โดยเจตนา

“เป็นเจ้าพนักงาน” หมายถึง เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย โดยได้รับเงินเดือน จากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

“ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอันมิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจทําการสอบสวนผู้ต้องหา ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ ตํารวจจึงใช้กําลังชกต่อย ให้รับสารภาพ เป็นต้น

“ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การงดเว้นกระทําการตามหน้าที่ อันเป็นการมิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจละเว้นไม่จับคนร้ายที่ลักทรัพย์ผู้เสียหายไป เป็นต้น

ดังนั้นถ้าการปฏิบัติหรือละเว้นปฏิบัตินั้น ไม่อยู่ในหน้าที่หรือเป็นการนอกหน้าที่ หรือเป็นการชอบด้วยหน้าที่ ก็ไม่ผิดตามมาตรา 157 นี้

ความผิดตามมาตรานี้จะต้องประกอบด้วยเจตนาพิเศษ คือ ต้องเป็นการกระทํา “เพื่อให้เกิด ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” ซึ่งไม่จํากัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงความเสียหาย ในทางอื่นด้วย เช่น ต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง เป็นต้น และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ไม่จําเป็นว่า ต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริง ๆ จึงจะเป็นความผิด เพียงแต่การกระทํานั้นเพื่อให้เกิดความเสียหายก็เพียงพอ ที่จะถือเป็นความผิดแล้ว

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทําต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ และผู้กระทําต้องปฏิบัติหรือ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่นั้นโดยมิชอบ

(ข) องค์ประกอบความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

1. เป็นเจ้าพนักงาน
2. ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
3. โดยทุจริต
4. โดยเจตนา

“โดยทุจริต” หมายถึง เพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สําหรับตนเอง หรือผู้อื่น ทั้งนี้ไม่ว่าประโยชน์นั้นจะเป็นทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอื่น ดังนั้นถ้าผู้กระทําขาดเจตนาทุจริตแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ความผิดที่สองนี้เพียงการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตก็เป็นความผิดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการกระทําโดยชอบหรือโดยมิชอบด้วยหน้าที่ก็ตาม และโดยไม่ต้องคํานึงถึงว่าจะเกิดความเสียหายแก่ ผู้หนึ่งผู้ใดหรือไม่ ต่างกับความผิดแรกที่ต้องกระทําโดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดจึงจะเป็นความผิด

“ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” เช่น เจ้าพนักงานพูดจูงใจให้ผู้เสียภาษีมอบเงินค่าภาษีให้เป็นจํานวนที่ต้องเสีย แล้วเอาเงินส่วนที่เกินไว้เสียเอง เป็นต้น

“ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต” เช่น พนักงานที่ดินรับเงินค่าธรรมเนียมและค่าพาหนะในการรังวัดแล้ว มิได้นําเงินลงบัญชี ทั้งมิได้ดําเนินการให้ ดังนี้เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต

 

 

ข้อ 3. นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี่ และนายห้า ได้ประชุมปรึกษาหารือกันว่าจะวางเพลิงเผาตึกที่ทําการคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง นายห้าคัดค้านไม่เห็นด้วยกับการกระทําครั้งนี้ และไม่ไปร่วมทําการตามที่นัดหมาย ส่วนนายหนึ่ง นายสอง นายสาม และนายสี่ ถูกตํารวจจับได้ในระหว่างกําลังหิ้วน้ำมันเบนซินและไม้ขีดไฟมาวางข้างตึกคณะนิติศาสตร์ ดังนี้ บุคคลทั้งห้ามีความผิดเกี่ยวกับ ความสงบสุขของประชาชน และมีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชนประการใดหรือไม่

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 210 วรรคแรก “ผู้ใดสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ผู้นั้นกระทําความผิดฐาน เป็นซ่องโจร ต้องระวางโทษ”

มาตรา 217 “ผู้ใดวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ต้องระวางโทษ”

มาตรา 219 “ผู้ใดตระเตรียมเพื่อกระทําความผิดดังกล่าวในมาตรา 217 หรือ

มาตรา 218 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับพยายามกระทําความผิดนั้น ๆ”

วินิจฉัย
กรณีตามอุทาหรณ์ ประเด็นแรกที่ต้องวินิจฉัยมีว่า บุคคลทั้งห้ามีความผิดเกี่ยวกับความสงบสุข ของประชาชนประการใดหรือไม่ เห็นว่า
ความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 วรรคแรก มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. สมคบกัน
2. ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป
3. เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 นี้ และความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป
4. โดยเจตนา

“การสมคบกัน” ที่จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ที่สําคัญ 2 ประการ คือ

(ก) จะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือร่วมกัน และ
(ข) จะต้องมีการตกลงร่วมกันว่าจะกระทําความผิด

การสมคบกันนั้น จะต้องสมคบกัน “ตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป” จึงจะเป็นความผิด ดังนั้นจะมากกว่า 5 คน หรือ 5 คนพอดี ก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว แต่ถ้าต่ำกว่าห้าคนแล้วไม่เป็นความผิดฐานซ่องโจร
“เพื่อกระทําความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2” หมายความว่า ความผิดนั้น ต้องเป็นความผิดตามภาค 2 ได้แก่ ความผิดตั้งแต่มาตรา 107 ถึงมาตรา 366 เช่น ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฆ่าคนตาย วางเพลิงเผาทรัพย์ เป็นต้น

“ความผิดนั้นมีกําหนดโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป” หมายความว่า โทษอย่างสูง เป็นอัตราโทษอย่างสูงตามที่ประมวลกฎหมายอาญาบัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ ซึ่งมิใช่โทษที่ศาลจะลงแก่ผู้กระทําความผิด ทั้งนี้จะต้องมีกําหนดโทษอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปด้วย

“โดยเจตนา” หมายความว่า รู้สํานึกว่าเป็นการสมคบกันเพื่อกระทําความผิดอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แต่ไม่จําเป็นต้องรู้ว่าความผิดที่จะกระทํานั้นมีโทษจําคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไปหรือไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่ง นายสอง นายสาม นายสี่ และนายห้า ได้ประชุม ปรึกษาหารือกันว่าจะวางเพลิงเผาตึกที่ทําการคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคําแหง แต่นายห้าคัดค้านไม่เห็นด้วย และไม่ไปร่วมทําการตามที่นัดหมายนั้น ไม่ถือว่าเป็นการสมคบกันครบห้าคนในความผิดฐานเป็นซ่องโจร เพราะคําว่าสมคบนั้น หมายถึง การปรึกษาหารือแล้วตกลงร่วมกันที่จะกระทําความผิด แต่เมื่อนายห้าไม่ได้ตกลงร่วมกันด้วยกับพวกอีกสี่คน ผู้ที่สมคบกันกระทําความผิดจึงมีเพียงสี่คน ดังนั้น บุคคลทั้งห้าจึงไม่มีความผิดฐาน เป็นซ่องโจรตามมาตรา 210

ประเด็นต่อมาที่ต้องวินิจฉัย มีว่า บุคคลทั้งห้ามีความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อ ประชาชนประการใดหรือไม่ เห็นว่า
ความผิดฐานตระเตรียมการวางเพลิงตามมาตรา 219 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. ตระเตรียม
2. เพื่อกระทําความผิดดังกล่าวในมาตรา 217 หรือมาตรา 218
3. โดยเจตนา

โดยทั่วไปแล้ว การตระเตรียมการยังไม่ถือว่าเป็นความผิด เพราะยังไม่ลงมือกระทําความผิด แต่การวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น มีผลกระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อยและก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชน อย่างร้ายแรง ดังนั้นการตระเตรียมการเพื่อวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น จึงเป็นความผิดแล้ว และต้องระวางโทษ เท่ากับพยายามวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นตามมาตรา 217 หรือมาตรา 218 แล้วแต่กรณี

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่ง นายสอง นายสาม และนายสี่ ถูกตํารวจจับได้ในระหว่าง กําลังหิ้วน้ำมันเบนซินและไม้ขีดไฟมาวางข้างตึกนิติศาสตร์นั้น การกระทําของบุคคลทั้งสี่ย่อมถือว่าอยู่ในขั้นตระเตรียมการวางเพลิงแล้ว เพราะเป็นการกระทําด้วยประการใด ๆ อันนําไปสู่การกระทําความผิดสําเร็จได้ และถือว่าเป็นการตระเตรียมเพื่อวางเพลิงเผาโรงเรือนอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน (มหาวิทยาลัยรามคําแหง ถือเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ) ตามมาตรา 218 (4) ซึ่งได้กระทําโดยมีเจตนา ดังนั้น บุคคลทั้งสี่จึงมีความผิดฐาน ตระเตรียมการวางเพลิงตามมาตรา 219 ส่วนนายห้าไม่มีความผิดฐานนี้ด้วย เพราะไม่ได้ร่วมกระทําผิด

สรุป
บุคคลทั้งห้าไม่มีความผิดฐานเป็นซ่องโจรตามมาตรา 210 แต่นายหนึ่ง นายสอง นายสาม และนายสี่ มีความผิดฐานตระเตรียมการวางเพลิงตามมาตรา 219

 

 

ข้อ 4. จําเลยเป็นพนักงานบัญชีของธนาคาร มีหน้าที่ควบคุมการ์ดบัญชีเงินฝากของธนาคาร เมื่อลูกค้าของธนาคารนําเงินมาฝากจําเลยต้องจดตัวเลขจํานวนเงินลงในช่องการ์ดบัญชีเงินฝากของธนาคาร พร้อมทั้งเซ็นชื่อของจําเลย วันเกิดเหตุจําเลยจดลงในบัญชีว่ามีลูกค้านําเงินมาฝาก 200,000 บาท จากนั้นได้เซ็นชื่อของจําเลยลงไป ข้อเท็จจริงได้ความว่าในวันดังกล่าวไม่มีลูกค้านําเงินมาฝากแต่ประการใด ให้ท่านวินิจฉัยว่าจําเลยมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคแรก “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือ ตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสารโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่า เป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก ประกอบด้วย
1. กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง

4. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จําเลยซึ่งเป็นพนักงานบัญชีของธนาคาร จดตัวเลขจํานวนเงิน 200,000 บาท ลงในช่องการ์ดบัญชีเงินฝากของธนาคารซึ่งตนมีหน้าที่ควบคุมการ์ดดังกล่าวนั้น ถือเป็นการกระทําภายในขอบเขตอํานาจหน้าที่ของจําเลย แม้ความจริงจะไม่มีการนําเงินดังกล่าวเข้าฝากธนาคารเลยก็ตาม ก็เป็นการลงข้อความเท็จเท่านั้น หาใช่เป็นการปลอมเอกสารไม่ เพราะมิใช่เป็นการทําปลอมเอกสารอันแท้จริงของผู้ใด ดังนั้น จําเลยจึงไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร (เทียบฎีกาที่ 2379/2526)

สรุป
จําเลยไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร

LAW2007 กฎหมายอาญา 2 การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556
ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2007 กฎหมายอาญา 2
คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. อย่างไรเป็นความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงาน (มาตรา 144) จงอธิบายหลักกฎหมายพอสังเขปและยกตัวอย่างประกอบ

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 144 “ผู้ใดให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ต้องระวางโทษ”

อธิบาย
ความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 ดังกล่าว สามารถแยกองค์ประกอบ ความผิดได้ดังนี้
1. ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้
2. ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด
3. แก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล
4. เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่
5. โดยเจตนา

“ให้” หมายถึง มีการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด และเจ้าพนักงานได้รับเอาไว้แล้ว ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยผู้กระทําได้ให้แก่เจ้าพนักงานเอง หรือเจ้าพนักงานได้เรียกเอาและผู้นั้นได้ให้ไป

“ขอให้” หมายถึง เสนอจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์แก่เจ้าพนักงาน เช่น เอ่ยปากขอให้เงิน แก่เจ้าพนักงาน แม้เจ้าพนักงานยังไม่ได้ตกลงว่าจะรับก็เป็นความผิดสําเร็จแล้ว

“รับว่าจะให้” หมายถึง เจ้าพนักงานเป็นฝ่ายเรียกก่อน แล้วผู้กระทําก็รับปากกับเจ้าพนักงาน ว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดเป็นความผิดสําเร็จทันทีนับแต่รับว่าจะให้ ส่วนทรัพย์สินหรือประโยชน์นั้น จะให้แล้วหรือไม่ ไม่ใช่ข้อสําคัญ

สิ่งที่ให้ ขอให้ หรือรับว่าจะให้นั้นจะต้องเป็น “ทรัพย์สิน” เช่น เงิน แหวน รถยนต์ เป็นต้น หรือ “ประโยชน์อื่นใด” ที่ไม่ใช่ทรัพย์สิน เช่น ให้อยู่บ้านหรือให้ใช้รถโดยไม่เสียค่าเช่า หรือยกลูกสาวให้แต่งงานด้วย เป็นต้น

การกระทําตามมาตรานี้ต้องเป็นการกระทําต่อ “เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัด หรือสมาชิกสภาเทศบาล” เท่านั้น และบุคคลดังกล่าวจะต้องเป็นผู้มีอํานาจหน้าที่ด้วย ถ้าหากกระทําต่อบุคคลอื่นนอกจากนี้แล้ว หรือบุคคลดังกล่าวไม่มีอํานาจหน้าที่หรือพ้นจากอํานาจหน้าที่ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้

ในเรื่องเจตนา ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาตามมาตรา 59 กล่าวคือรู้ว่าบุคคลนั้นเป็นเจ้าพนักงาน หรือสมาชิกแห่งสภา ถ้าผู้กระทําไม่รู้ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ ทั้งนี้ผู้กระทําจะต้องมีเจตนาพิเศษหรือมีมูลเหฯ ชักจูงใจเพื่อการอันมิชอบด้วยหน้าที่ด้วย คือ

(ก) ให้กระทําการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้เงินเพื่อให้ตํารวจจับคนที่ไม่ได้กระทําความผิด
(ข) ไม่กระทําการ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ตํารวจจะจับกุม ผู้กระทําผิด จึงให้เงินแก่
ตํารวจนั้นเพื่อไม่ให้ทําการจับกุมตามหน้าที่
(ค) ประวิงการกระทํา อันมิชอบด้วยหน้าที่ เช่น ให้ทรัพย์สินแก่เจ้าพนักงานสอบสวนให้ระงับการสอบสวนไว้ก่อน

ดังนั้นถ้าหากมีเหตุจูงใจให้กระทําการ ไม่กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันชอบด้วยหน้าที่แล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตรา 144 นี้ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจไม่จับกุมผู้กระทําผิดกฎหมาย จําเลยให้เงินตํารวจ เพื่อให้ทําการจับกุม กรณีนี้จําเลยไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 เพราะการให้ทรัพย์สิน มีมูลเหตุจูงใจให้กระทําการอันชอบด้วยหน้าที่

ตัวอย่างความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144
นายแดงถูก ส.ต.อ.ขาวจับกุมในข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครอง จึงเสนอจะยกลูกสาวของตน ให้กับ ส.ต.อ.ขาว เพื่อแลกกับการปล่อยตัว แต่ ส.ต.อ.ขาวยังไม่ได้ตกลงตามที่นายแดงเสนอ เช่นนี้ถือว่านายแดงขอให้ประโยชน์อันใดนอกจากทรัพย์สินแก่ ส.ต.อ.ขาวเจ้าพนักงานเพื่อจูงใจให้กระทําการอันมิชอบด้วยหน้าที่โดยเจตนา นายแดงจึงมีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 อันเป็นความผิดสําเร็จแล้ว

แต่ถ้ากรณีเป็นว่านายแดงถูกฟ้องเป็นจําเลย นายแดงทราบว่า ส.ต.อ.ขาวจะต้องไปเป็นพยาน ตามหมายเรียกของศาล จึงขอยกลูกสาวให้ ส.ต.อ.ขาวเพื่อให้ ส.ต.อ.ขาวเบิกความผิดจากความจริง ดังนี้นายแดง ไม่มีความผิดฐานให้สินบนแก่เจ้าพนักงานตามมาตรา 144 เพราะการเบิกความเป็นหน้าที่อย่างเดียวกับประชาชนทั่วไป ไม่ใช่หน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยเฉพาะ จึงมิใช่การให้ประโยชน์อันใดเพื่อจูงใจให้กระทําการด้วยหน้าที่อันมิชอบ (คําพิพากษาฎีกาที่ 439/2469)

 

ข้อ 2. จ.ส.ต.ขยัน ตรวจค้นตัวดําว่ามียาบ้าหรือไม่ ค้นตัวอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่พบยาบ้าที่ตัวดํา จ.ส.ต.ขยัน เสียหน้าไม่ปล่อยตัวดํา กลับพาดําเดินข้ามคลองห่างไปอีกประมาณ 500 เมตร ดังนี้ จ.ส.ต.ขยันจะมีความผิดอาญาฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 157 “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
ความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157 มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้ คือ

1. เป็นเจ้าพนักงาน
2. ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
3. เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
4. โดยเจตนา

“เป็นเจ้าพนักงาน” หมายถึง เป็นข้าราชการที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย โดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณแผ่นดินประเภทเงินเดือน หรือบุคคลที่กฎหมายบัญญัติไว้เป็นพิเศษให้มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน

“ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” หมายถึง การกระทําอย่างใดอย่างหนึ่งตามหน้าที่ แต่เป็นการอันมิชอบ เช่น เจ้าพนักงานตํารวจทําการสอบสวนผู้ต้องหา ผู้ต้องหาไม่ยอมรับสารภาพ ตํารวจจึงใช้กําลังชกต่อยให้รับสารภาพ หรือเจ้าพนักงานตํารวจตรวจค้นตัวผู้ต้องสงสัย ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่กลับกุมตัวไปอีกสถานที่หนึ่ง เป็นต้น

ซึ่งการจะเป็นความผิดตามมาตรานี้ได้นั้นจะต้องประกอบด้วยเหตุจูงใจพิเศษ คือ ต้องเป็นการกระทํา “เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” ซึ่งไม่จํากัดเฉพาะความเสียหายในทางทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงความเสียหายในทางอื่นด้วย เช่น ต่อชีวิต ร่างกาย ชื่อเสียง เป็นต้น และอาจเป็นความเสียหายต่อบุคคลใดก็ได้ ทั้งนี้ ไม่จําเป็นว่าต้องเกิดความเสียหายขึ้นแล้วจริง ๆ จึงจะเป็นความผิด เพียงแต่การกระทํานั้นเพื่อให้เกิดความเสียหาย ก็เพียงพอที่จะถือเป็นความผิดแล้ว

“โดยเจตนา” หมายความว่า ผู้กระทําต้องรู้ถึงหน้าที่ของตนที่ชอบ และผู้กระทําได้ปฏิบัติหน้าที่ นั้นโดยมิชอบ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ จ.ส.ต.ขยันซึ่งเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยการตรวจค้นตัวดํา ว่ามียาบ้าหรือไม่ และเป็นการค้นตัวอย่างถูกต้องตามกฎหมายแต่เมื่อไม่พบยาบ้าที่ตัวดํา จ.ส.ต.ขยันเสียหน้าจึงไม่ยอมปล่อยตัวดํา แต่กลับพาดําเดินข้ามคลองห่างไปอีกประมาณ 500 เมตรนั้น ย่อมถือว่าเป็นการกระทําที่ไม่มีสิทธิทําได้ตามกฎหมาย หรืออีกนัยหนึ่งถือเป็นการกลั่นแกล้งดํา ดังนั้นจึงถือได้ว่า จ.ส.ต.ขยันซึ่งเป็นเจ้าพนักงานได้กระทําการตามหน้าที่แต่เป็นการอันมิชอบ อันถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแล้ว โดยมีเหตุจูงใจพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ดํา และเมื่อ จ.ส.ต.ขยันได้กระทําไปโดยรู้สํานึกในการกระทําและในขณะเดียวกันได้ประสงค์ต่อผล ของการกระทํานั้น การกระทําของ จ.ส.ต.ขยันจึงครบองค์ประกอบความผิดตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้นทุกประการ ดังนั้น จ.ส.ต.ขยันจึงมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157

สรุป จ.ส.ต.ขยันมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157

 

ข้อ 3. ชาย 15 คน ชุมนุมกันที่ศาลากลางจังหวัด กล่าวโจมตีและขับไล่ผู้ว่าราชการจังหวัด จากนั้นได้เผาศาลากลางและขู่ว่าถ้าผู้ว่าราชการจังหวัดไม่ย้ายออกจากพื้นที่จะฆ่าให้ตาย ต่อมาความทราบถึงตํารวจ ตํารวจได้ไปยังสถานที่เกิดเหตุและสั่งให้สลายตัวปรากฏว่าชาย 15 คน ไม่ยอมสลายตัว ดังนี้ชาย 15 คน มีความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชนหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 215 วรรคแรก “ผู้ใดมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ต้องระวางโทษ”

มาตรา 216 “เมื่อเจ้าพนักงานส่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทําความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป ผู้ใด ไม่เลิก ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
ความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 วรรคแรก มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ

1. มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป
2. ใช้กําลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง
3. โดยเจตนา

ส่วนความผิดตามมาตรา 216 มีองค์ประกอบความผิดดังนี้ คือ
1. เมื่อเจ้าพนักงานสั่งผู้ที่มั่วสุมเพื่อกระทําความผิดตามมาตรา 215 ให้เลิกไป
2. ผู้ใดไม่เลิก
3. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ชาย 15 คนได้ชุมนุมกันที่ศาลากลางจังหวัดและได้เผาศาลากลาง อีกทั้งได้ขู่ว่าจะฆ่าผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น การกระทําของชาย 15 คนดังกล่าว ถือว่าเป็นการมั่วสุมกันของคนตั้งแต่ 10 คน ขึ้นไป และเป็นการขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้ายหรือกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นใน บ้านเมือง และได้กระทําไปโดยเจตนา การกระทําของชาย 15 คนนั้น จึงครบองค์ประกอบของความผิดตามมาตรา 215 วรรคแรกทุกประการ ชาย 15 คนจึงมีความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง

การกระทําของชาย 15 คนไม่มีความผิดตามมาตรา 216 เพราะกรณีที่จะเป็นความผิดตาม มาตรา 216 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่เจ้าพนักงานได้มีคําสั่งก่อนที่ผู้มั่วสุมจะได้ลงมือใช้กําลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญ ว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือก่อนที่ผู้มั่วสุมจะกระทําการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ตามมาตรา 215 แต่ผู้มั่วสุมไม่ยอมเลิก

สรุป
ชาย 15 คนมีความผิดฐานมั่วสุมกันทําให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองตามมาตรา 215 แต่ไม่มีความผิดตามมาตรา 216

 

ข้อ 4. จําเลยเป็นผู้จัดการร้านขายรถจักรยานยนต์ มีหน้าที่เขียนใบส่งของ วันเกิดเหตุ จําเลยได้เขียนใบส่งของว่า ได้มีการขายรถจักรยานยนต์ไปจํานวน 5 คัน และส่งให้แก่ลูกค้าแล้ว ข้อเท็จจริงได้ความว่า จําเลยไม่ได้ส่งของให้แก่ลูกค้า แต่จําเลยได้ยักยอกเอาไว้ ดังนี้ จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับเอกสารหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ
หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 264 วรรคแรก “ผู้ใดทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอม ในเอกสารโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ถ้าได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย
องค์ประกอบความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก ประกอบด้วย

1. กระทําการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
(ก) ทําเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด
(ข) เติมหรือตัดทอนข้อความหรือแก้ไขด้วยประการใด ๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือ
(ค) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอมในเอกสาร

2. โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน

3. ได้กระทําเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
4. โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่จําเลยได้เขียนในใบส่งของว่าได้มีการขายรถจักรยานยนต์ไปจํานวน 5 คัน และส่งให้แก่ลูกค้าแล้วนั้น เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่าจําเลยเป็นผู้จัดการร้านขายรถจักรยานยนต์ดังกล่าว และมีอํานาจในการเขียนใบส่งของ ขณะเดียวกันจําเลยเซ็นชื่อของจําเลยเองไม่ได้ปลอมลายมือชื่อของผู้ใด ดังนี้ แม้ว่า ข้อความในใบส่งของจะเป็นเท็จ การกระทําของจําเลยก็ย่อมไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารตามมาตรา 264 วรรคแรก (เทียบฎีกาที่ 484/2503)

สรุป
จําเลยไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร

WordPress Ads
error: Content is protected !!