LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 2/2556

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 ปลาม้ายืมรถยนต์ของปลาเค้าเพื่อใช้เป็นพาหนะเดินทางไปจังหวัดตรังมีกําหนดสองเดือน แต่ปลาม้าเอารถยนต์ที่ยืมมาให้นางสาวเทโพแฟนสาวขับไปจังหวัดตราดแล้วไปโดนคนร้ายขว้างระเบิดใส่ รถยนต์เสียหายต้องซ่อมแซมเป็นเงินห้าหมื่นบาท ดังนี้ปลาเค้าจะบอกเลิกสัญญาเรียกให้ปลาม้าคืนรถยนต์ก่อนกําหนดและเรียกร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหาย หรือบุบสลายอยู่นั้นเอง”

มาตรา 645 “ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวไว้ในมาตรา 643 นั้นก็ดี หรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืน ต่อความในมาตรา 644 ก็ดี ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ปลาม้ายืมรถยนต์ของปลาเค้าเพื่อใช้เป็นพาหนะเดินทางไปจังหวัดตรัง มีกําหนดเวลา 2 เดือนนั้น เป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา 640 ประกอบมาตรา 641 ปลาม้าจึงมีสิทธิครอบครอง และใช้สอยรถยนต์ตามที่ตกลงไว้กับปลาเค้า คือเอาไปใช้เป็นพาหนะเดินทางไปจังหวัดตรังเท่านั้น

และตามมาตรา 645 กฎหมายได้กําหนดให้ผู้ให้ยืมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกให้ผู้ยืม คืนทรัพย์สินที่ยืมได้ ถ้าผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา 643 เช่น การที่ผู้ยืมเอาทรัพย์สินซึ่งยืมนั้นไปใช้ เพื่อการอื่นนอกจากการอันปรากฏในสัญญา หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย เป็นต้น

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ปลาม้าได้นํารถยนต์ไปให้นางสาวเทโพแฟนสาวขับไปจังหวัดตราด กรณีนี้จึงถือว่าปลาม้าได้ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา 643 แล้ว คือ เป็นการนําทรัพย์สินที่ยืมไปให้ บุคคลภายนอกใช้สอย ดังนั้น เมื่อเกิดความเสียหายกับทรัพย์สินที่ยืม คือการที่รถยนต์โดนคนร้ายขว้างระเบิดใส่ ทําให้เสียหายต้องซ่อมแซมเป็นเงิน 50,000 บาท ปลาม้าผู้ยืมก็ต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น และปลาเค้าผู้ให้ยืมย่อมมีสิทธิตามมาตรา 645 คือมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกให้ปลาม้าคืนรถยนต์ก่อนครบ กําหนดได้ และมีสิทธิเรียกร้องให้ปลาม้ารับผิดชดใช้ค่าเสียหายได้

สรุป

ปลาเค้าสามารถบอกเลิกสัญญาเรียกให้ปลาม้าคืนรถยนต์ก่อนครบกําหนดได้ และ สามารถเรียกร้องให้ปลาม้ารับผิดชดใช้ค่าเสียหายได้

 

ข้อ 2 ณ โรงแรมแห่งหนึ่งนายสุเทพและนายสุพจน์ ได้นั่งกินเหล้าและดูบอลกันอยู่ในห้องอาหาร ซึ่งมีการถ่ายทอดสด การแข่งขันระหว่างทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดกับทีมลิเวอร์พูลอยู่ ปรากฏว่านายสุเทพได้ กล่าวกับนายสุพจน์ว่าหากแมนยูแพ้ตนจะจ่ายเงินให้ 5,000 บาท ต่อมาหลังจากรายการจบ ปรากฏว่า ทีมลิเวอร์พูลชนะ แต่เนื่องจากนายสุเทพไม่มีเงินสด นายสุพจน์จึงให้นายสุเทพทําหนังสือยืมเงิน นายสุพจน์เป็นเงิน 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงินร้อยละ 1.50 บาทต่อเดือน โดยในหนังสือ ดังกล่าวมีแต่ลายมือชื่อนายสุเทพเป็นภาษายาวี และไม่มีลายมือพยานใด ๆ เลย ดังนี้ สัญญาการยืมเงินดังกล่าวใช้ได้หรือไม่ อย่างใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 150 “การใดมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัย หรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน การนั้นเป็นโมฆะ”

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิด ใช้ไปสิ้นไปนั้น เป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และ ปริมาณเช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 วรรคแรก “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการ กู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

วินิจฉัย

โดยหลักแล้ว สัญญากู้ยืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลื่องอย่างหนึ่ง ดังนั้น สัญญากู้ยืมเงินย่อม บริบูรณ์ก็ต่อเมื่อได้มีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม ซึ่งหมายถึงเงินนั่นเอง ในกรณีที่ไม่มีการส่งมอบเงินให้แก่กัน สัญญา กู้ยืมเงินย่อมไม่สมบูรณ์ แม้จะมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมก็จะฟ้องร้องบังคับตามสัญญากู้ยืมเงินกันไม่ได้

ตามอุทาหรณ์ การที่นายสุพจน์ให้นายสุเทพทําหนังสือยืมเงินนายสุพจน์เป็นเงิน 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยเป็นเงินร้อยละ 1.50 บาทต่อเดือน หรือร้อยละ 18 ต่อปีนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายสุพจน์ ไม่ได้มีการส่งมอบเงินจํานวน 5,000 บาท แก่นายสุเทพแต่อย่างใด สัญญากู้ยืมเงินระหว่างนายสุเทพและนายสุพจน์ จึงไม่สมบูรณ์ (ตามมาตรา 650) อีกทั้งวัตถุประสงค์ของสัญญาก็มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย (ตามมาตรา 150) ดังนั้นสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวจึงมีผลเป็นโมฆะ

เมื่อสัญญากู้ยืมเงินระหว่างนายสุเทพและนายสุพจน์ไม่สมบูรณ์ เพราะไม่มีการส่งมอบทรัพย์สิน ที่ยืม (เงิน) ให้แก่กันและมีผลเป็นโมฆะเพราะมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้าม ชัดแจ้งโดยกฎหมายตามมาตรา 650 ประกอบมาตรา 150 ดังนั้น แม้สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวจะมีลายมือชื่อของนายสุเทพผู้ยืมก็ตาม สัญญาการยืมเงิน ดังกล่าวก็ใช้ไม่ได้ ส่วนดอกเบี้ยที่มีการคิดกันเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนั้น เมื่อสัญญาการยืมเงินใช้ไม่ได้ ในส่วน ดอกเบี้ยจึงไม่ต้องนํามาพิจารณา

สรุป

สัญญาการยืมเงินระหว่างนายสุเทพและนายสุพจน์ใช้ไม่ได้

 

ข้อ 3 เอกเปิดบัญชีเงินฝากจํานวน 10,000 บาท กับธนาคารไทยออมทรัพย์ ต่อมาธนาคารถูกโจรปล้นในวันที่เอกฝากเงินนั้นเอง ดังนี้ ธนาคารจะไม่ยอมให้คนที่นําเงินเข้าฝากในวันเกิดเหตุมาถอนเงินจากธนาคารโดยอ้างว่าเนื่องจากถูกโจรปล้นได้หรือไม่ จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 672 “ถ้าฝากเงิน ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้รับฝากไม่พึงต้องส่งคืนเป็นเงินทอง ตราอันเดียวกันกับที่ฝาก แต่จะต้องคืนเงินให้ครบจํานวน

อนึ่ง ผู้รับฝากจะเอาเงินซึ่งฝากนั้นออกใช้ก็ได้ แต่หากจําต้องคืนเงินให้ครบจํานวนเท่านั้น แม้ว่าเงินซึ่งฝากนั้นจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม ผู้รับฝากก็จําต้องคืนเงินเป็นจํานวนดังว่านั้น”

วินิจฉัย

การฝากเงิน ถือเป็นสัญญาฝากทรัพย์ประเภทหนึ่ง แต่จะมีลักษณะพิเศษตามมาตรา 672 กล่าวคือ

1 ผู้รับฝากไม่ต้องคืนเงินอันเดียวกันกับที่รับฝาก แต่จะต้องคืนเงินให้ครบจํานวน

2 ผู้รับฝากใช้เงินที่ฝากได้ แม้ผู้ฝากจะมิได้อนุญาตก็ตาม

3 แม้เงินซึ่งฝากนั้นจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม ผู้รับฝากก็ต้องคืนเงินให้แก่ผู้นั้น

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอกเปิดบัญชีเงินฝากจํานวน 10,000 บาท กับธนาคารไทยออมทรัพย์ นั้น ธนาคารผู้รับฝากย่อมมีสิทธิจะเอาเงินนั้นออกใช้ก็ได้ตามมาตรา 672 แต่จะต้องคืนเงินให้แก่เอกครบจํานวน แม้ว่าเงินซึ่งฝากนั้นจะได้สูญหายไปด้วยเหตุสุดวิสัยก็ตาม

และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อเอกได้ฝากเงินไว้กับธนาคารแล้ว ต่อมาธนาคารถูกโจรปล้น ในวันที่เอกฝากเงินนั้นเอง ดังนี้แม้ว่ากรณีที่เกิดขึ้นจะเป็นเหตุสุดวิสัยก็ตาม ธนาคารผู้รับฝากก็จะต้องรับผิดคืนเงิน ให้แก่ผู้ฝาก ธนาคารจะไม่ยอมให้คนที่นําเงินเข้าฝากในวันเกิดเหตุมาถอนเงินจากธนาคารโดยอ้างว่าเนื่องจากถูก โจรปล้นไม่ได้

สรุป

ธนาคารจะไม่ยอมให้คนที่นําเงินเข้าฝากในวันเกิดเหตุมาถอนเงินจากธนาคาร โดยอ้างว่า เนื่องจากถูกโจรปล้นไม่ได้

 

 

POL2302 ระเบียบปฏิบัติราชการ 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2302 ระเบียบปฏิบัติราชการ

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1 ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ได้ใช้วิธีการกําหนดตําแหน่งโดยใช้ระบบ

(1) คุณธรรม

(2) อุปถัมภ์

(3) จําแนกตําแหน่ง

(4) ชั้นยศ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 77 – 78, (คําบรรยาย) วิธีการกําหนดตําแหน่งข้าราชการพลเรือนโดยทั่วไปมี 2 ระบบ คือ ระบบชั้นยศ (R.C.) และระบบจําแนกตําแหน่ง (P.C.) ซึ่งตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการ พลเรือน พ.ศ. 2551 จะมีวิธีการกําหนดตําแหน่งโดยใช้ระบบจําแนกตําแหน่งแบบแบ่งเป็น ประเภทตําแหน่งตามลักษณะงาน 4 ประเภท คือ ตําแหน่งประเภทบริหาร ตําแหน่งประเภทอํานวยการ ตําแหน่งประเภทวิชาการ และตําแหน่งประเภททั่วไป

2 ข้อใดไม่ใช่คุณสมบัติทั่วไปของข้าราชการพลเรือน

(1) เป็นบุคคลล้มละลาย

(2) เป็นผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง

(3) มีสัญชาติไทย

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 4 – 5), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 36)คุณสมบัติทั่วไปของข้าราชการพลเรือน ได้แก่

1 มีสัญชาติไทย

2 มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี

3 เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ

3 ข้าราชการประจํามีขอบเขตแห่งอํานาจหน้าที่ที่สําคัญอย่างไร

(1) มีการควบคุมการปฏิบัติงานตามสายการบังคับบัญชา

(2) มีความรับผิดชอบตามกลไกของระบบงานประจํา

(3) มีหน้าที่เสนอแนะเกี่ยวกับการกําหนดนโยบายของข้าราชการการเมือง

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 8, (คําบรรยาย) ข้าราชการประจํามีขอบเขตแห่งอํานาจหน้าที่ที่สําคัญ คือ

1 มีความรับผิดชอบตามกลไกของระบบงานประจําหรือระบบราชการ นั่นคือ มีการควบคุมการปฏิบัติงานตามสายการบังคับบัญชา

2 มีหน้าที่ต้องรายงานและเสนอแนะนโยบายสาธารณะต่อฝ่ายการเมืองหรือข้าราชการการเมือง

3 มีหน้าที่ปฏิบัติตามนโยบายของฝ่ายการเมืองหรือข้าราชการการเมือง และเสนอแนวปฏิบัติตามนโยบายของฝ่ายการเมืองหรือข้าราชการการเมือง

(ส่วนฝ่ายการเมืองหรือข้าราชการการเมืองจะมีหน้าที่รับผิดชอบตามกลไกของรัฐธรรมนูญ)

4 การเลื่อนระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญโดยวิธีสอบคัดเลือก อาจวิเคราะห์ได้ว่าเป็นการพิจารณาจากปัจจัยด้านใด

(1) ความรู้ความสามารถ

(2) อาวุโส

(3) คุณธรรม

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 220, (คําบรรยาย) การเลื่อนระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญโดยวิธีสอบคัดเลือกและวิธีการคัดเลือก เป็นการพิจารณาจากปัจจัยตามความเหมาะสม ซึ่งได้แก่ ความรู้ความสามารถ ความประพฤติ (คุณธรรมและจริยธรรม) และประวัติการรับราชการ (อาวุโส) ซึ่งจะต้องเป็นผู้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในความสามารถมาแล้ว

5 ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญระดับทรงคุณวุฒิ เป็นตําแหน่งประเภท

(1) บริหารระดับสูง

(2) วิชาการ

(3) วิชาการระดับสูง

(4) อํานวยการระดับสูง

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 13 – 14), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 46) ระดับตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ มีดังนี้

1 ตําแหน่งประเภทบริหาร มี 2 ระดับ คือ ระดับต้น และระดับสูง

2 ตําแหน่งประเภทอํานวยการ มี 2 ระดับ คือ ระดับต้น และระดับสูง

3 ตําแหน่งประเภทวิชาการ มี 5 ระดับ คือ ระดับปฏิบัติการ ระดับชํานาญการระดับชํานาญการพิเศษ ระดับเชี่ยวชาญ และระดับทรงคุณวุฒิ

4 ตําแหน่งประเภททั่วไป มี 4 ระดับ คือ ระดับปฏิบัติงาน ระดับชํานาญงาน ระดับอาวุโสและระดับทักษะพิเศษ

ทั้งนี้การจัดประเภทตําแหน่งและระดับตําแหน่งให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในกฎ ก.พ.

6 ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณฉบับปัจจุบัน ใช้บังคับแก่

(1) ราชการบริหารส่วนกลาง

(2) ราชการบริหารส่วนภูมิภาค

(3) ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 400, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 26), (คําบรรยาย) ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548 (ฉบับปัจจุบัน) ให้ใช้บังคับแก่ส่วนราชการ ซึ่งหมายถึง กระทรวง กรม สํานักงาน หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐ ทั้งในราชการบริหารส่วนกลาง ราชการบริหารส่วนภูมิภาค ราชการบริหารส่วนท้องถิ่น หรือในต่างประเทศ และให้หมายความรวมถึงคณะกรรมการด้วย

7 ปัจจุบันบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ เพื่อใช้บรรจุบุคคลเข้ารับราชการ ให้ใช้ได้ไม่เกินกี่ปีนับแต่วันขึ้นบัญชี

(1) 1 ปี

(2) 2 ปี

(3) 3 ปี

(4) 4 ปี

(5) 5 ปี ตอบ 2 (คําบรรยาย) ปัจจุบัน ก.พ. ได้กําหนดหลักเกณฑ์การขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ เพื่อใช้บรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญว่าให้ใช้ได้ไม่เกิน 2 ปีนับแต่วันขึ้นบัญชี

8 หนังสือราชการตามระเบียบงานสารบรรณฉบับปัจจุบันมีกี่ชนิด

(1) 2 ชนิด

(2) 3 ชนิด

(3) 4 ชนิด

(4) 5 ชนิด

(5) 6 ชนิด

ตอบ 5 หน้า 403, 416, 422, 428, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 26 – 27), (คําบรรยาย)หนังสือราชการตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548 มี 6 ชนิด คือ

1 หนังสือภายนอก

2 หนังสือภายใน

3 หนังสือประทับตรา

4 หนังสือสั่งการ มี 3 ชนิด ได้แก่ คําสั่ง ระเบียบ และข้อบังคับ

5 หนังสือประชาสัมพันธ์ มี 3 ชนิด ได้แก่ ประกาศ แถลงการณ์ และข่าว

6 หนังสือที่เจ้าหน้าที่ทําขึ้นหรือรับไว้เป็นหลักฐานในราชการ มี 4 ชนิด ได้แก่ หนังสือรับรอง รายงานการประชุม บันทึก และหนังสืออื่น

9 ปัจจุบันกรรมการ ก.พ. ที่ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอยู่ในตําแหน่งคราวละกี่ปี

(1) 1 ปี

(2) 2 ปี

(3) 3 ปี

(4) 4 ปี

(5) 5 ปี ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 7 – 8), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 6 และมาตรา 7), (คําบรรยาย) คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เรียกโดยย่อว่า “ก.พ.” เป็นองค์กรกลางในการบริหารงานบุคคล ประกอบด้วย

1 กรรมการโดยตําแหน่ง จํานวน 5 คน ได้แก่ นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธาน ปลัดกระทรวงการคลัง ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเลขาธิการ ก.พ.เป็นกรรมการและเลขานุการ

2 กรรมการซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลหรือการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ด้านการบริหารและการจัดการ และด้านกฎหมายจํานวนไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน 7 คน โดยแต่งตั้งให้อยู่ในตําแหน่งได้คราวละ 3 ปี

10 ปกติการยื่นหนังสือขอลาออกจากราชการ ระเบียบฯ กําหนดว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้นจะต้องยื่นขอลาออกต่อผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งล่วงหน้าก่อนวันขอลาออกไม่น้อยกว่ากี่วัน

(1) 15 วัน

(2) 30 วัน

(3) 60 วัน

(4) 75 วัน

(5) 90 วัน

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 23), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 109)ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดประสงค์จะลาออกจากราชการ ให้ยื่นหนังสือขอลาออกต่อ ผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปชั้นหนึ่งโดยยื่นล่วงหน้าก่อนวันขอลาออกไม่น้อยกว่า 30 วัน ถ้าผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 (ผู้บังคับบัญชาที่มีอํานาจสั่งอนุญาตให้ลาออก) เห็นว่าจําเป็นเพื่อประโยชน์แก่ราชการ จะยับยั้งการลาออกไว้เป็นเวลาไม่เกิน 90 วันนับแต่ วันขอลาออกก็ได้ แต่ถ้าผู้มีอํานาจสั่งบรรจุฯ ไม่ได้สั่งอนุญาตให้ลาออก หรือไม่ได้ยับยั้ง การอนุญาตให้ลาออก การลาออกจะมีผลโดยอัตโนมัติตั้งแต่วันขอลาออก ทั้งนี้ให้เป็นไปตามระเบียบที่ ก.พ. กําหนด

11 คําขึ้นต้นหนังสือราชการถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังใช้ว่าอย่างไร

(1) กราบเรียน

(2) กราบเรียน ฯพณฯ

(3) เรียน

(4) เรียน ฯพณฯ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 479 480, (คําบรรยาย) การใช้คําขึ้นต้นตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548 ในหนังสือราชการสําหรับ ผู้รับหนังสือที่เป็นบุคคลธรรมดานั้น มี 2 แบบ คือ

1 สําหรับประธานองคมนตรี นายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎรประธานวุฒิสภา ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ ให้ใช้คําขึ้นต้นว่า“กราบเรียน” และใช้คําลงท้ายว่า “ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง”

2 บุคคลธรรมดานอกจากข้อ 1 ให้ใช้คําขึ้นต้นว่า “เรียน” และใช้คําลงท้ายว่า“ขอแสดงความนับถือ”

12 ระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันประเภททั่วไปมีกี่ระดับ

(1) 2 ระดับ

(2) 3 ระดับ

(3) 4 ระดับ

(4) 5 ระดับ

(5) 11 ระดับ

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

13 คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน อยู่ในตําแหน่งคราวละกี่ปี

(1) 3 ปี

(2) 4 ปี

(3) 5 ปี

(4) 6 ปี

(5) 7 ปี ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 11), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 24 และมาตรา 29), (คําบรรยาย) คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม เรียกโดยย่อว่า “ก.พ.ค.” ประกอบด้วยกรรมการจํานวน 7 คน ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และให้เลขาธิการ ก.พ. เป็นเลขานุการของ ก.พ.ค. โดยตําแหน่ง โดยกําหนดให้กรรมการ ก.พ.ค. ต้องทํางาน เต็มเวลา และมีวาระการดํารงตําแหน่ง 6 ปีนับแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และให้ดํารงตําแหน่งได้เพียงวาระเดียว ดังนั้นกรรมการ ก.พ.ค. ซึ่งพ้นจากตําแหน่งตามวาระ จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นกรรมการ ก.พ.ค. อีกมิได้ แต่ให้กรรมการ ก.พ.ค. ซึ่งพ้นจากตําแหน่งตามวาระนั้นอยู่ในตําแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่าจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งกรรมการ ก.พ.ค. ใหม่

14 ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน กําหนดให้มีข้าราชการพลเรือนกี่ประเภท

(1) 2 ประเภท

(2) 3 ประเภท

(3) 4 ประเภท

(4) 5 ประเภท

(5) 6 ประเภท

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 3), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 35),(คําบรรยาย) ข้าราชการพลเรือนที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลโดยตรงของ ก.พ. มี 2 ประเภท คือ

1 ข้าราชการพลเรือนสามัญ ได้แก่ ข้าราชการพลเรือนซึ่งรับราชการโดยได้รับบรรจุแต่งตั้งตามที่บัญญัติไว้ในลักษณะ 4 ข้าราชการพลเรือนสามัญ ซึ่งข้าราชการประเภทนี้ถือเป็นข้าราชการที่มีจํานวนมากที่สุดตาม พ.ร.บ. ฉบับนี้

2 ข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ได้แก่ ข้าราชการพลเรือนซึ่งรับราชการโดยได้รับบรรจุแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งในพระองค์พระมหากษัตริย์ตามที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา

15 ระเบียบข้าราชการพลเรือนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ

(1) สํานักนายกรัฐมนตรี

(2) การกําหนดตําแหน่งข้าราชการพลเรือน

(3) สํานักงาน ก.พ.

(4) การจัดส่วนราชการ

(5) การบริหารงานบุคคล

ตอบ 5 หน้า 15, (คําบรรยาย) ระเบียบข้าราชการพลเรือนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการบริหารงานบุคคลหรือการบริหารทรัพยากรมนุษย์ในส่วนราชการหรือภาครัฐ โดยระเบียบ ข้าราชการพลเรือนแต่ละฉบับจะตราขึ้นโดยอาศัยหลักวิชาการในทางการบริหารงานบุคคล ตามระบบคุณธรรมเป็นเกณฑ์ ดังนั้นการที่จะศึกษาทําความเข้าใจเกี่ยวกับระเบียบข้าราชการพลเรือนจึงจําเป็นต้องมีความรู้ในหลักวิชาของการบริหารงานบุคคลเป็นพื้นฐานที่สําคัญ

16 ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน องค์กรใดต่อไปนี้เป็นผู้จัดทํามาตรฐานกําหนดตําแหน่งของ ข้าราชการพลเรือนสามัญ

(1) ก.พ.

(2) ก.พ. กระทรวง

(3) อ.ก.พ. กรม

(4) อ.ก.พ. จังหวัด

(5) ก.พ.ร.

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 14), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 48)ให้ ก.พ. เป็นผู้จัดทํามาตรฐานกําหนดตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ โดยจําแนก ตําแหน่งเป็นประเภทและสายงานตามลักษณะงาน และจัดตําแหน่งในประเภทเดียวกันและสายงานเดียวกันที่คุณภาพของงานเท่ากันโดยประมาณเป็นระดับเดียวกัน ทั้งนี้โดยคํานึงถึง ลักษณะหน้าที่ความรับผิดชอบและคุณภาพของงาน โดยในมาตรฐานกําหนดตําแหน่ง ให้ระบุ ชื่อตําแหน่งในสายงาน หน้าที่ความรับผิดชอบหลัก และคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งไว้ด้วย

17 การจัดระเบียบข้าราชการพลเรือน ตามกฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ในส่วนที่เกี่ยวกับการรับสมัครบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ต้องคํานึงถึง

(1) ความรู้ความสามารถของบุคคล

(2) ความเสมอภาค ความเป็นธรรม

(3) ประโยชน์ของทางราชการ

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 4), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 42 (1) การจัดระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญตามหลักการระบบคุณธรรมในส่วนที่เกี่ยวกับ การรับสมัครบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ต้องคํานึงถึงความรู้ความสามารถของบุคคล ความเสมอภาค ความเป็นธรรม และประโยชน์ของทางราชการ

18 ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน คือ ฉบับ พ.ศ.

(1) 2518

(2) 2535

(3) 2540

(4) 2550

(5) 2551

ตอบ 5 (คําบรรยาย) พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน คือ ฉบับ พ.ศ. 2551ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2551 โดย พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวได้กําหนดให้ ยกเลิก พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับเดิม คือ ฉบับ พ.ศ. 2535 และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมทั้งหมด

19 ข้อใดเป็นวัตถุประสงค์ของระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับแรก

(1) เพื่อความเป็นมาตรฐาน

(2) เพื่อความเสมอภาคและยุติธรรม

(3) เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 30 – 31, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 3) วัตถุประสงค์ของ พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2471 (ฉบับแรก) มีดังนี้

1 เพื่อความเป็นระเบียบและมาตรฐาน

2 เพื่อความเสมอภาคและยุติธรรมแก่ผู้ที่ประสงค์จะเข้ารับราชการและผู้ที่เป็นข้าราชการอยู่แล้ว

3 เพื่อให้หลักประกันความมั่นคงแก่ข้าราชการ

4 เพื่อรักษาประโยชน์ของทางราชการ

20 ในการปฏิบัติราชการเพื่อดําเนินโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาล จะบรรลุผลสําเร็จมากน้อยเพียงใดส่วนใหญ่ ขึ้นอยู่กับ

(1) ตัวบทกฎหมาย

(2) ประชาชนโดยส่วนรวม

(3) ภาคเอกชน

(4) ระบบราชการ

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 4 หน้า 1, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 1) ในการปฏิบัติราชการเพื่อดําเนินโครงการต่าง ๆตามนโยบายของรัฐบาล จะบรรลุผลสําเร็จมากน้อยเพียงใดหรือผลจะปรากฎออกมาดีชั่ว ประการใดนั้นส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับคน การจัดองค์การ และวิธีการทํางาน หรือกล่าวอย่างรวบรัดก็คือ ขึ้นอยู่กับระบบราชการว่ามีลักษณะอย่างใดเป็นสําคัญ

21 หนังสือราชการชนิดใดต่อไปนี้ต้องมีคําลงท้าย

(1) หนังสือประทับตรา

(2) หนังสือภายนอก

(3) หนังสือภายใน

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1,2 และ 3

ตอบ 2 หน้า 404 – 407, (คําบรรยาย) ตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณพ.ศ. 2526 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548 หนังสือภายนอก คือ หนังสือติดต่อราชการ ที่เป็นแบบพิธีโดยใช้กระดาษตราครุฑ เป็นหนังสือติดต่อระหว่างส่วนราชการ หรือส่วนราชการ มีถึงหน่วยงานอื่นใดซึ่งมิใช่ส่วนราชการ หรือที่มีถึงบุคคลภายนอก ซึ่งหนังสือภายนอกนี้ จะต้องมีคําขึ้นต้นและคําลงท้ายตามฐานะของผู้รับหนังสือตามตารางการใช้คําขึ้นต้น สรรพนาม และคําลงท้ายที่กําหนดไว้ในภาคผนวก 2

22 ข้อใดเป็นหลักการของระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคล

(1) หลักความรู้ความสามารถ

(2) หลักความเสมอภาค

(3) หลักความเป็นกลางในทางการเมือง

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 17 – 18 ระบบคุณธรรม (Merit System) ในการบริหารงานบุคคล อาจกล่าวได้ว่าเป็นวิธีการบรรจุแต่งตั้งบุคคลเข้าดํารงตําแหน่งทางราชการโดยคํานึงถึงความรู้ความสามารถ และความเหมาะสมกับตําแหน่งเป็นเกณฑ์ ซึ่งหลักการสําคัญของระบบคุณธรรมในการ บริหารงานบุคคล มี 4 ประการ คือ

1 หลักความเสมอภาค (Equality)

2 หลักความรู้ความสามารถ (Competence)

3 หลักความมั่นคง (Security)

4 หลักความเป็นกลางในทางการเมือง (Political Neutrality)

23 ตําแหน่งใดต่อไปนี้เป็นกรรมการ ก.พ. โดยตําแหน่ง ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน

(1) ปลัดกระทรวงยุติธรรม

(2) รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี

(3) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

(4) ปลัดกระทรวงการคลัง

(5) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

24 การจัดระเบียบข้าราชการพลเรือนตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ในส่วนที่เกี่ยวกับการพิจารณาความดีความชอบ ต้องเป็นไปอย่างเป็นธรรมโดยพิจารณาจาก

(1) ความประพฤติ

(2) ผลงานและศักยภาพ

(3) ความคิดเห็นทางการเมือง

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3 ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 4), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 42 (3)การจัดระเบียบข้าราชการพลเรือนสามัญตามหลักการระบบคุณธรรมในส่วนที่เกี่ยวกับ การพิจารณาความดีความชอบ การเลื่อนตําแหน่ง และการให้ประโยชน์อื่นแก่ข้าราชการ ต้องเป็นไปอย่างเป็นธรรมโดยพิจารณาจากผลงาน ศักยภาพ และความประพฤติ แต่จะนําความคิดเห็นทางการเมืองหรือการสังกัดพรรคการเมืองมาประกอบการพิจารณามิได้

25 หนังสือสั่งการตามระเบียบงานสารบรรณฉบับปัจจุบันมีกี่ชนิด

(1) ชนิดเดียว

(2) 2 ชนิด

(3) 3 ชนิด

(4) 4 ชนิด

(5) 5 ชนิด

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 8. ประกอบ

26 ราชการคืองานที่เกี่ยวกับ

(1) การทําประโยชน์ให้สังคมทางเศรษฐกิจ

(2) ความสามัคคีในสังคม

(3) การจัดทําบริการสาธารณะ

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 3 หน้า 1, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 1), (คําบรรยาย) ราชการ คือ การงานของประเทศที่เกี่ยวกับการจัดทําบริการสาธารณะประเภทต่าง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อบําบัดทุกข์บํารุงสุข ของประชาชน ซึ่งการจัดทํานโยบายบริการสาธารณะนั้นเป็นหน้าที่ของรัฐบาล โดยมี ข้าราชการประจําเป็นเครื่องมือปฏิบัติการให้เป็นไปตามนโยบายและแผนงานที่กําหนดและจะต้องอยู่ภายใต้กฎหมายหรือระเบียบแบบแผนของทางราชการ

27 ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญที่กําหนดในกฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ได้แก่ ตําแหน่ง

(1) ปลัดกระทรวง

(2) อธิบดี

(3) นายอําเภอ

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 13) ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญที่กําหนดใน พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ได้แก่ ปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง อธิบดี รองอธิบดี ผู้อํานวยการกอง ผู้อํานวยการสํานัก ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัดนายอําเภอ ปลัดอําเภอ เป็นต้น

28 ระดับใดต่อไปนี้เป็นระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการ ตามระเบียบข้าราชการ พลเรือนฉบับปัจจุบัน

(1) ระดับต้น

(2) ระดับอาวุโส

(3) ระดับเชี่ยวชาญ

(4) ระดับชํานาญงาน

(5) ระดับทักษะพิเศษ

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

29 ข้อใดเป็นลักษณะของข้าราชการการเมือง

(1) ต้องสังกัดพรรคการเมือง

(2) มีวาระในการดํารงตําแหน่ง

(3) เน้นเรื่องคุณวุฒิ

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 2 หน้า 391, (คําบรรยาย) ลักษณะของข้าราชการการเมือง มีดังนี้

1 เป็นข้าราชการการเมืองฝ่ายบริหารตามที่บัญญัติไว้ใน พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 (ฉบับปัจจุบัน)

2 มีอัตราเงินเดือนหรือค่าตอบแทนรายเดือนคงที่ ซึ่งกําหนดตามตําแหน่งและไม่มีขั้นวิ่ง

3 การเข้าดํารงตําแหน่งเป็นไปตามเหตุผลทางการเมืองหรือตามระบบอุปถัมภ์ (ไม่เน้นเรื่อง คุณวุฒิหรือความรู้ความสามารถ)

4 การออกจากตําแหน่งในกรณีปกติเป็นไปตามวาระ หรือมีวาระในการดํารงตําแหน่ง หรือเป็นไปตามเหตุผลทางการเมือง

5 ไม่จําเป็นต้องสังกัดพรรคการเมือง ฯลฯ

30 ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน องค์กรใดต่อไปนี้อาจกําหนดตําแหน่งที่มีชื่ออย่างอื่น เพื่อประโยชน์ในการบริหารงาน

(1) ก.พ.

(2) อ.ก.พ. กระทรวง

(3) อ.ก.พ. กรม

(4) อ.ก.พ. จังหวัด

(5) ก.พ.ร.

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 13), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 44)นอกจากตําแหน่งที่กําหนดในกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินแล้ว อ.ก.พ. กระทรวงอาจกําหนดตําแหน่งที่มีชื่ออย่างอื่นเพื่อประโยชน์ในการบริหารงานและแจ้งให้ ก.พ. ทราบด้วย

31 ระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันประเภทวิชาการ มีกี่ระดับ

(1) ระดับเดียว

(2) 2 ระดับ

(3) 3 ระดับ

(4) 4 ระดับ

(5) 5 ระดับ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

32 ตําแหน่งใดต่อไปนี้เป็นประธาน อ.ก.พ. กระทรวง

(1) ปลัดกระทรวง

(2) รัฐมนตรีว่าการกระทรวง

(3) รองปลัดกระทรวง

(4) นายกรัฐมนตรี

(5) รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวง

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 9), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 15),(คําบรรยาย) อ.ก.พ. กระทรวง ประกอบด้วย

1 อนุกรรมการโดยตําแหน่ง ได้แก่ รัฐมนตรีเจ้าสังกัด (รัฐมนตรีว่าการกระทรวง) เป็นประธานปลัดกระทรวง เป็นรองประธาน และผู้แทน ก.พ. 1 คน

2 อนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งรัฐมนตรีเจ้าสังกัดแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล ด้านการบริหารและการจัดการ และด้านกฎหมาย ที่มิได้เป็นข้าราชการ ในกระทรวงนั้น จํานวนไม่เกิน 3 คน

3 อนุกรรมการผู้แทนข้าราชการ ซึ่งรัฐมนตรีเจ้าสังกัดแต่งตั้งจากข้าราชการพลเรือนผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูงในกระทรวงนั้น จํานวนไม่เกิน 5 คน

4 ให้ อ.ก.พ. กระทรวง ตั้งเลขานุการ 1 คน

33 การย้ายข้าราชการพลเรือนสามัญตามระเบียบข้าราชการพลเรือน หมายถึง

(1) การเปลี่ยนไปดํารงตําแหน่งอื่นในกรมเดียวกัน

(2) การเปลี่ยนไปดํารงตําแหน่งอื่นในสังกัดเดียวกัน แต่อาจต่างท้องที่ก็ได้

(3) การเปลี่ยนไปดํารงตําแหน่งอื่นในต่างกรม แต่อยู่ในกระทรวงเดียวกัน

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 18), (คําบรรยาย) ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือนพ.ศ. 2551 การย้ายข้าราชการพลเรือนสามัญ หมายถึง การย้ายหรือการเปลี่ยนไปดํารงตําแหน่งอื่น ในกรมเดียวกัน และต้องย้ายไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งในระดับเดียวกัน กล่าวคือ สังกัดกรมเดิม แต่อาจเปลี่ยนไปอยู่ในส่วนราชการภายในกรมส่วนกลาง หรือไปอยู่จังหวัดหรืออําเภอในส่วนภูมิภาค ก็ได้ ส่วนการโอน หมายถึง การเปลี่ยนไปดํารงตําแหน่งอื่นในต่างกรม กล่าวคือ สังกัดกรมใหม่แต่อาจจะอยู่ในกระทรวงเดียวกัน หรือกระทรวงใหม่ก็ได้

34 หนังสือประชาสัมพันธ์ตามระเบียบงานสารบรรณฉบับปัจจุบัน ได้แก่

(1) ระเบียบ

(2) ข้อบังคับ

(3) แถลงการณ์

(4) หนังสือประทับตราแทนการลงชื่อ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 8. ประกอบ

35 ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ได้กําหนดเรื่องใดต่อไปนี้ที่สอดคล้องกับหลักความรู้ความสามารถตามระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคล

(1) การร้องทุกข์

(2) การอุทธรณ์

(3) การสอบสวนทางวินัย

(4) การออกจากราชการ

(5) การสอบแข่งขัน

ตอบ 5 หน้า 17, (คําบรรยาย) หลักความรู้ความสามารถ (Competence) ตามระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคล หมายถึง การเลือกสรรบุคคลเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการและแต่งตั้งให้ ดํารงตําแหน่งสูงขึ้นหรือการพิจารณาเลื่อนระดับตําแหน่งจากบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ในการปฏิบัติงานเป็นสําคัญ ซึ่งส่วนมากจะกระทําโดยการสอบแข่งขัน สอบสัมภาษณ์ และการทดลองปฏิบัติงาน

36 ข้อใดเป็นคุณสมบัติทั่วไปของข้าราชการพลเรือน ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน

(1) มีสัญชาติไทย

(2) อายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์

(3) ไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

37 ระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ประเภทอํานวยการมีกี่ระดับ

(1) ระดับเดียว

(2) 2 ระดับ

(3) 3 ระดับ

(4) 4 ระดับ

(5) 5 ระดับ

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

38 ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ประเภทบริหาร ได้แก่ตําแหน่ง

(1) ผู้ว่าราชการจังหวัด

(2) รองผู้ว่าราชการจังหวัด

(3) ปลัดจังหวัด

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 (คําบรรยาย) ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มี 2 ระดับ คือ

1 บริหารระดับสูง ได้แก่ หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง (ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี และปลัดกระทรวง), รองหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง (รองปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี และ รองปลัดกระทรวง), หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม (อธิบดี), หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม ที่อยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (เช่น เลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผู้อํานวยการ สํานักงบประมาณ เลขาธิการ ก.พ. เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฯลฯ), ผู้ว่าราชการจังหวัด, เอกอัครราชทูต เป็นต้น

2 บริหารระดับต้น ได้แก่ รองหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม (รองอธิบดี), รองผู้ว่าราชการจังหวัดอัครราชทูต เป็นต้น

39 ระดับทักษะพิเศษ เป็นระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามระเบียบข้าราชการพลเรือน ฉบับปัจจุบันประเภทใด

(1) พิเศษ

(2) ทั่วไป

(3) วิชาการ

(4) บริหาร

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

40 การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญที่ระเบียบฯ กําหนดให้ต้องนําความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

(1) ประเภทบริหารระดับสูง

(2) ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ

(3) ประเภทอํานวยการระดับสูง

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 16 – 17), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551มาตรา 57 (1) (2) (72), (คําบรรยาย) ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญที่มีขั้นตอนการบรรจุ และแต่งตั้งโดยต้องขออนุมัติหรือขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและนําความกราบบังคมทูล เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง หรือต้องมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ได้แก่

1 ตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง เช่น ปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง อธิบดีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นต้น

2 ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ

41 ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน คําว่า “คุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่ง” หมายถึง การกําหนดเกี่ยวกับ

(1) หลักการบรรจุผู้ทรงคุณวุฒิ

(2) หลักการจําแนกตําแหน่ง

(3) หลักการของระบบอุปถัมภ์

(4) ความรู้ความสามารถหรือประสบการณ์

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 94, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 16) คุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่ง หมายถึงคุณสมบัติที่กําหนดไว้โดยเฉพาะสําหรับตําแหน่งใดตําแหน่งหนึ่ง ซึ่งโดยทั่วไปมักจะเป็นเรื่อง ที่เกี่ยวกับคุณวุฒิทางการศึกษา ความรู้ความสามารถ หรือประสบการณ์ในการรับราชการ โดยคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งมีอย่างไร จะมีกําหนดไว้ล่วงหน้าในมาตรฐานกําหนด ตําแหน่งของแต่ละประเภทตําแหน่งที่ ก.พ. จัดทําขึ้น

42 ระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันประเภททั่วไป มีกี่ระดับ

(1) ระดับเดียว

(2) 2 ระดับ

(3) 3 ระดับ

(4) 4 ระดับ

(5) 5 ระดับ

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

43 ข้อใดถูกต้องตามระเบียบงานสารบรรณฉบับปัจจุบัน

(1) บันทึกข้อความเป็นหนังสือภายนอก

(2) ข่าวราชการเป็นหนังสือภายใน

(3) หนังสือรับรองเป็นหนังสือภายนอก

(4) ข้อบังคับเป็นหนังสือภายใน

(5) ระเบียบเป็นหนังสือสั่งการ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 8. ประกอบ

44 ระดับทรงคุณวุฒิ เป็นตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ ตําแหน่งประเภทใดตามระเบียบ ข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน

(1) ทั่วไป

(2) อํานวยการระดับสูง

(3) บริหารระดับต้น

(4) วิชาการ

(5) บริหารระดับสูง

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

45 ปัจจุบันตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทใดได้รับเงินเดือนและเงินประจําตําแหน่งด้วย

(1) ประเภทบริหาร

(2) ประเภทอํานวยการ

(3) ประเภททั่วไปบางระดับ

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทที่ได้รับทั้งเงินเดือนและเงินประจําตําแหน่ง ได้แก่

1 ตําแหน่งประเภทบริหารระดับต้นและระดับสูง

2 ตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับต้นและระดับสูง

3 ตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการ ระดับชํานาญการพิเศษ ระดับเชี่ยวชาญ และระดับทรงคุณวุฒิ

4 ตําแหน่งประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ

46 ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ประเภทบริหาร ได้แก่ตําแหน่ง

(1) หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง

(2) หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม

(3) รองหัวหน้าส่วนราชการระดับกรม

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ

47 ข้าราชการพลเรือนที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลโดยตรงของ ก.พ. ตามระเบียบข้าราชการพลเรือน ฉบับปัจจุบัน ได้แก่

(1) ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา

(2) ข้าราชการครู

(3) ข้าราชการพลเรือนสามัญ

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 14. ประกอบ

  1. การสอบแข่งขันเกี่ยวข้องกับเรื่องใดต่อไปนี้โดยตรง

(1) การย้าย

(2) การโอน

(3) คุณสมบัติทั่วไป

(4) คุณสมบัติเฉพาะ

(5) การบรรจุและแต่งตั้ง

ตอบ 5 หน้า 92, (คําบรรยาย) การบรรจุและแต่งตั้งบุคคลให้เข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนโดยบรรจุและแต่งตั้งจากผู้สอบแข่งขันได้ ถือเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไปของการบรรจุและแต่งตั้ง ข้าราชการพลเรือนสามัญในทุกประเทศ ทั้งนี้ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน อาจกล่าวได้ว่าผู้ที่เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ส่วนใหญ่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งจากผู้สอบแข่งขันได้ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งโดยไม่ต้องสอบแข่งขัน

49 ปัจจุบันตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน มีกี่ประเภท

(1) ประเภทเดียว

(2) 2 ประเภท

(3) 3 ประเภท

(4) 4 ประเภท

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 45), (คําบรรยาย)ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญแบ่งตามลักษณะงาน ได้เป็น 4 ประเภท คือ

1 ตําแหน่งประเภทบริหาร ได้แก่ ตําแหน่งหัวหน้าส่วนราชการและรองหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม และตําแหน่งอื่นที่ ก.พ. กําหนดเป็นตําแหน่งประเภทบริหาร

2 ตําแหน่งประเภทอํานวยการ ได้แก่ ตําแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่ต่ำกว่าระดับกรมและตําแหน่งอื่นที่ ก.พ. กําหนดเป็นตําแหน่งประเภทอํานวยการ เช่น หัวหน้าส่วนราชการ ในราชการบริหารส่วนภูมิภาค เป็นต้น

3 ตําแหน่งประเภทวิชาการ ได้แก่ ตําแหน่งที่จําเป็นต้องใช้ผู้สําเร็จการศึกษาระดับปริญญาตามที่ ก.พ. กําหนด (ระดับปริญญาตรีขึ้นไป) เพื่อปฏิบัติงานในหน้าที่ของตําแหน่งนั้น

4 ตําแหน่งประเภททั่วไป ได้แก่ ตําแหน่งที่ไม่ใช่ตําแหน่งประเภทตามข้อ 1, 2 และ 3ทั้งนี้ตามที่ ก.พ. กําหนด

50 ตําแหน่งใดต่อไปนี้เป็นประธาน อ.ก.พ. กรมโดยตําแหน่ง

(1) รัฐมนตรีเจ้าสังกัด

(2) ปลัดกระทรวง

(3) รองปลัดกระทรวง

(4) ผู้ว่าราชการจังหวัด

(5) อธิบดี

ตอบ 5 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 9), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 17),(คําบรรยาย) อ.ก.พ. กรม ประกอบด้วย

1 อนุกรรมการโดยตําแหน่ง ได้แก่ อธิบดี เป็นประธาน รองอธิบดีที่อธิบดีมอบหมาย 1 คนเป็นรองประธาน

2 อนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งอธิบดีแต่งตั้งจากผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลด้านการบริหารและการจัดการ และด้านกฎหมาย ที่มิได้เป็นข้าราชการในกรมนั้น จํานวน ไม่เกิน 3 คน

3 อนุกรรมการผู้แทนข้าราชการ ซึ่งอธิบดีแต่งตั้งจากข้าราชการพลเรือนผู้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารหรือประเภทอํานวยการในกรมนั้น จํานวนไม่เกิน 6 คน

4 ให้ อ.ก.พ. กรม ตั้งเลขานุการ 1 คน

51 ระดับใดต่อไปนี้ที่ไม่ใช่ระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ ตําแหน่งประเภทวิชาการ

(1) ระดับปฏิบัติการ

(2) ระดับชํานาญการ

(3) ระดับเชี่ยวชาญ

(4) ระดับทรงคุณวุฒิ

(5) ระดับทักษะพิเศษ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

52 ประธานคณะกรรมการคัดเลือกกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ได้แก่

(1) ประธานศาลฎีกา

(2) ประธานศาลปกครองสูงสุด

(3) ประธานวุฒิสภา

(4) ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ

(5) ประธานรัฐสภา

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 12), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 26)คณะกรรมการคัดเลือกกรรมการ ก.พ.ค. (คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม) ประกอบด้วย ประธานศาลปกครองสูงสุด เป็นประธาน รองประธานศาลฎีกาที่ได้รับมอบหมายจาก ประธานศาลฎีกา 1 คน กรรมการ ก.พ. ผู้ทรงคุณวุฒิ 1 คนซึ่งได้รับเลือกโดย ก.พ. และให้เลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการและเลขานุการ

53 ข้อใดเป็นโทษผิดวินัยขั้นร้ายแรง ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน

(1) ไล่ออก

(2) ปลดออก

(3) ให้ออก

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 22 – 23), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 88), (คําบรรยาย) ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทําผิดวินัย จะต้องได้รับโทษทางวินัย เว้นแต่มีเหตุอันควรงดโทษตามที่บัญญัติไว้ในหมวด 7 การดําเนินการทางวินัย โดยโทษทางวินัย มี 5 สถาน ซึ่งแบ่งออกเป็น

1 โทษผิดวินัยประเภทไม่ร้ายแรงมี 3 สถาน ได้แก่ ภาคทัณฑ์ (เบาที่สุด) ตัดเงินเดือน และลดเงินเดือน

2 โทษผิดวินัยประเภทร้ายแรง มี 2 สถาน ได้แก่ ปลดออก และไล่ออก (หนักที่สุด)

54 ผู้มีอํานาจสั่งบรรจุผู้สําเร็จการศึกษาในสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลนตามที่ ก.พ. กําหนด คือ

(1) ก.พ.

(2) อ.ก.พ. กรม

(3) อธิบดี

(4) อ.ก.พ. กระทรวง

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 55), (คําบรรยาย) กรณีที่มีเหตุพิเศษที่ ก.พ. เห็นว่าไม่ต้องดําเนินการสอบแข่งขัน สามารถให้อธิบดี (ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุ และแต่งตั้งตามมาตรา 57) เป็นผู้คัดเลือกบรรจุบุคคลเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งได้ เป็นรายกรณี (ไม่ใช่เป็นการพิจารณาเป็นรายบุคคล) เช่น

1 กรณีบรรจุและแต่งตั้งผู้สําเร็จการศึกษาในสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลนตามที่ ก.พ. กําหนด

2 กรณีบรรจุและแต่งตั้งผู้ได้รับทุนเล่าเรียนหลวง หรือทุนรัฐบาลเพื่อศึกษาวิชาในประเทศหรือต่างประเทศที่สําเร็จการศึกษาแล้ว เป็นต้น

55 ก.พ. มีอํานาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อทําการใด ๆ แทนได้ คือ

(1) อ.ก.พ. สามัญ

(2) อ.ก.พ. พิเศษ

(3) อ.ก.พ. วิสามัญ

(4) อ.ก.พ. กรม

(5) อ.ก.พ. กระทรวง

ตอบ 3 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 8), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 12)ก.พ. มีอํานาจแต่งตั้งคณะอนุกรรมการวิสามัญ เรียกโดยย่อว่า “อ.ก.พ. วิสามัญ” เพื่อทําการใด ๆ แทนได้ โดยจํานวน คุณสมบัติ หลักเกณฑ์และวิธีการแต่งตั้ง อ.ก.พ. วิสามัญ รวมตลอดทั้งวิธีการได้มา วาระการดํารงตําแหน่ง และการพ้นจากตําแหน่ง ให้เป็นไปตามที่กําหนดในกฎ ก.พ.

56 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน มีจํานวนกี่คน

(1) 3 – 5 คน

(2) 4 – 5 คน

(3) 5 – 6 คน

(4) 5 – 7 คน

(5) 7 – 9 คน

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 9. ประกอบ

57 กรณีข้าราชการพลเรือนสามัญถูกสั่งให้ออกจากราชการด้วยเหตุใด ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในระเบียบ ข้าราชการพลเรือน ให้ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้นมีสิทธิ

(1) ร้องทุกข์

(2) อุทธรณ์

(3) ฟ้องศาลปกครอง

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 24), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 114)ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดถูกสั่งลงโทษตามพระราชบัญญัตินี้หรือถูกสั่งให้ออกจากราชการ ตามมาตรา 110 (1) (3) (5) (6) (7) และ (8) ให้ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้นมีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค. ภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบคําสั่งหรือถือว่าทราบคําสั่ง ทั้งนี้การอุทธรณ์และการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เป็นไปตามที่กําหนดในกฎ ก.พ.ค.

58 คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน มีจํานวนกี่คน

(1) 5 คน

(2) 6 คน

(3) 7 คน

(4) 8 คน

(59 คน

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

59 ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่อํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม

(1) พิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์

(2) พิจารณาวินิจฉัยเรื่องอุทธรณ์

(3) คุ้มครองความเป็นธรรมให้บรรดาข้าราชการพลเรือน

(4) เสนอแนะ ก.พ. ให้ลงโทษทางวินัยแก่ข้าราชการพลเรือน

(5) เสนอแนะ ก.พ. ให้ปรับปรุงนโยบายเกี่ยวกับการพิทักษ์ระบบคุณธรรม

ตอบ 4 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 12 – 13), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551มาตรา 31) ก.พ.ค. มีอํานาจหน้าที่ดังต่อไปนี้

1 เสนอแนะต่อ ก.พ. หรือองค์กรกลางบริหารงานบุคคลอื่น เพื่อให้ ก.พ. หรือองค์กรกลางบริหารงานบุคคลอื่น ดําเนินการจัดให้มีหรือปรับปรุงนโยบายการบริหารทรัพยากรบุคคล ในส่วนที่เกี่ยวกับการพิทักษ์ระบบคุณธรรม

2 พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์

3 พิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์

4 คุ้มครองความเป็นธรรมให้บรรดาข้าราชการพลเรือน เป็นต้น

60 ตําแหน่งใดต่อไปนี้เป็นข้าราชการการเมือง ตามระเบียบข้าราชการการเมือง

(1) นายกรัฐมนตรี

(2) เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง

(3) เลขาธิการคณะรัฐมนตรี

(4) ถูกเฉพาะข้อ 1 กับ 2

(5) ถูกทั้งข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 4 หน้า 387 – 388, 391, (คําบรรยาย) ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535ตําแหน่งข้าราชการการเมือง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การ

1 ตําแหน่งข้าราชการการเมืองตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 ได้แก่นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวง รัฐมนตรีประจําสํานัก นายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง เลขาธิการ นายกรัฐมนตรีประจําสํานัก เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง เป็นต้น

2 ตําแหน่งข้าราชการการเมืองตาม พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2528 ได้แก่ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นต้น

 

ตั้งแต่ข้อ 61- 100. ข้อใดถูกให้ระบายในช่อง 1 ข้อใดผิดให้ระบายในช่อง 2

61 คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมเป็นองค์กรที่ไม่เคยบัญญัติไว้ในระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับใดมาก่อนเพิ่งบัญญัติในระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 7), (คําบรรยาย) คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.)เป็นองค์กรกลางในการบริหารงานบุคคล ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยบัญญัติในระเบียบข้าราชการพลเรือน ฉบับใดมาก่อน เพราะเป็นองค์กรที่เพิ่งบัญญัติขึ้นใหม่ตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 เพื่อพิทักษ์คุ้มครองความเป็นธรรมให้บรรดาข้าราชการพลเรือน และพิทักษ์ระบบการบริหารงานบุคคลของข้าราชการพลเรือนให้เป็นไปตามระบบคุณธรรม

62 ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน ได้กําหนดเรื่องการร้องทุกข์และการอุทธรณ์ไว้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องสอดคล้องกับหลักความเป็นธรรมตามระบบคุณธรรม

ตอบ 2 หน้า 18, (คําบรรยาย) หลักความมั่นคง (Security) ตามระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคลหมายถึง การให้หลักประกันแก่ข้าราชการที่มีผลงานและความประพฤติดีจะต้องไม่ถูกให้ออก จากงานโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร โดย พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ได้กําหนด เรื่องที่สอดคล้องกับหลักการนี้ไว้หลายเรื่อง เช่น การออกจากราชการว่าจะออกเมื่อใด การอุทธรณ์ การร้องทุกข์ การสอบสวนและการดําเนินการทางวินัย เป็นต้น

63 ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญตําแหน่งประเภทบริหาร ได้แก่ ตําแหน่งที่จําเป็นต้องใช้ผู้มีคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งที่กําหนดสําหรับผู้สําเร็จการศึกษาระดับปริญญาตามที่ ก.พ. กําหนดเพื่อปฏิบัติงาน ในหน้าที่ตําแหน่งนั้น

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 49. ประกอบ

64 ระบบคุณธรรมในการบริหารงานบุคคล อาจกล่าวได้ว่าเป็นวิธีการบรรจุแต่งตั้งบุคคลเข้าดํารงตําแหน่งทางราชการโดยคํานึงถึงความรู้ความสามารถและความเหมาะสมกับตําแหน่งเป็นเกณฑ์

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 22. ประกอบ

65 ข้าราชการพลเรือนสามัญที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการในระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการให้ถือเสมือนว่าผู้นั้นไม่เคยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 18), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 59 วรรคสาม), (คําบรรยาย) ข้าราชการพลเรือนสามัญที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการในระหว่าง ทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการให้ถือเสมือนว่าผู้นั้นไม่เคยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญมาก่อน แต่ทั้งนี้จะไม่กระทบกระเทือนถึงการใดที่ผู้นั้นได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือการรับเงินเดือนหรือ ผลประโยชน์อื่นใดที่ได้รับหรือมีสิทธิจะได้รับจากทางราชการในระหว่างผู้นั้นอยู่ระหว่างทดลอง ปฏิบัติหน้าที่ราชการ ดังนั้นจึงไม่ทําให้ขาดคุณสมบัติทั่วไปหรือข้อห้ามของข้าราชการพลเรือนแต่อย่างใด

66 โทษทางวินัยขั้นปลดออกจากราชการตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน มีสิทธิได้รับบําเหน็จบํานาญตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการ เสมือนว่าผู้นั้นลาออกจากราชการ

ตอบ 1 หน้า 267, (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 97 วรรคสี่), (คําบรรยาย)ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดถูกสั่งลงโทษทางวินัยขั้นปลดออกจากราชการตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ยังมีสิทธิได้รับบําเหน็จบํานาญตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการ โดยถือเสมือนว่าผู้นั้นลาออกจากราชการ ส่วนข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดถูกสั่งลงโทษทางวินัยขั้นไล่ออกจากราชการ จะไม่มีสิทธิได้รับบําเหน็จบํานาญตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการ

67 ก.พ. มีอํานาจบรรจุผู้สําเร็จการศึกษาจากต่างประเทศที่เป็นผู้รับทุนรัฐบาล โดยวิธีสอบคัดเลือกเป็นราย ๆ ไป

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 54. ประกอบ

68 การจัดประเภทตําแหน่งและระดับตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในกฎ ก.พ.

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 5. ประกอบ

69 ข้าราชการอัยการไม่อาจโอนมาเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญตามระเบียบข้าราชการพลเรือน

ตอบ 2 (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 64 วรรคหนึ่ง), (คําบรรยาย)การโอนพนักงานส่วนท้องถิ่น ข้าราชการที่ไม่ใช่ข้าราชการพลเรือนสามัญ (เช่น ข้าราชการตํารวจ ข้าราชการทหาร ข้าราชการครู ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย ข้าราชการตุลาการ (ผู้พิพากษา) ข้าราชการอัยการ ข้าราชการรัฐสภา เป็นต้น) และเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานอื่นของรัฐ ที่ ก.พ. กําหนด มาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ตลอดจนจะแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่ง ประเภทใด สายงานใด ระดับใด และให้ได้รับเงินเดือนเท่าใด ให้กระทําได้ตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่ ก.พ. กําหนด

70 บํานาญ คือ เงินตอบแทนความชอบที่ได้รับราชการมา เมื่อพ้นจากหน้าที่ราชการ ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิได้รับตามกฎหมายบําเหน็จบํานาญข้าราชการ โดยจ่ายเป็นรายเดือน

ตอบ 1 หน้า 69 – 70, (คําบรรยาย) บํานาญ หมายถึง เงินตอบแทนความชอบที่ได้รับราชการมาเมื่อพ้นจากหน้าที่ราชการแล้ว ซึ่งผู้ที่จะได้รับบํานาญนี้จะต้องเป็นผู้มีสิทธิ์ตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการ โดยจ่ายให้เป็นรายเดือน

71 ปลัดองค์การบริหารส่วนตําบล (ปลัด อบต.) เป็นตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญ ประเภทอํานวยการระดับต้น ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน

ตอบ 2 หน้า 38, (คําบรรยาย) ข้าราชการพลเรือนสามัญ ได้แก่ ข้าราชการพลเรือนทั่วไปที่ปฏิบัติราชการประจําอยู่ตามกระทรวง กรมฝ่ายพลเรือน หรือจังหวัด และอําเภอในราชการส่วนภูมิภาค เช่น ปลัดกระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัด ปลัดจังหวัด ปลัดอําเภอ ฯลฯ (ส่วนปลัดกรุงเทพมหานคร, ผู้อํานวยการเขตของกรุงเทพมหานคร เป็นข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญ, ปลัด อบต.ปลัด อบจ. ปลัดเทศบาล (นคร-เมือง ตําบล) เป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่น)

72 ระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน กําหนดให้การสรรหา การบรรจุ และการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรม และให้คํานึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลรวมทั้งประโยชน์ ของทางราชการด้วย

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 15), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 52)การสรรหาเพื่อให้ได้บุคคลมาบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญและแต่งตั้งให้ ดํารงตําแหน่ง ต้องเป็นไปตามระบบคุณธรรมและคํานึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคล ดังกล่าว ตลอดจนประโยชน์ของทางราชการ

73 การบริหารงานบุคคลในระบบราชการไทย ได้มีการพัฒนามาตามลําดับอาจกล่าวได้ว่าเป็นการพัฒนาจากระบบอุปถัมภ์ไปสู่ระบบคุณธรรม

ตอบ 1 หน้า 25, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 3) ระบบการบริหารงานบุคคลในระบบราชการของไทย ได้มีการพัฒนามาตามลําดับ โดยพัฒนามาจากรูปแบบที่ไม่เป็นทางการไปสู่รูปแบบ ที่เป็นทางการมากขึ้น และจากระบบอุปถัมภ์ไปสู่ระบบคุณธรรม โดยทั้งหมดนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาการบริหารงานบุคคลให้มีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์แก่ประชาชนผู้รับบริการ

74 ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 และฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติม กําหนดให้ปลัดกระทรวงทุกกระทรวงรักษาการตามระเบียบนี้

ตอบ 2 หน้า 400, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 26) ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณพ.ศ. 2526 แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2548 กําหนดให้ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเป็น ผู้รักษาการตามระเบียบนี้ และให้มีอํานาจตีความและวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตาม ระเบียบนี้ รวมทั้งการแก้ไขเพิ่มเติมภาคผนวกและจัดทําคําอธิบายกับให้มีหน้าที่ดําเนินการฝึกอบรมเกี่ยวกับงานสารบรรณ

75 นับตั้งแต่ได้มีการริเริ่มตราระเบียบข้าราชการพลเรือนขึ้นเป็นฉบับแรกในปี พ.ศ. 2471 แล้วได้มีการตราระเบียบข้าราชการพลเรือนขึ้นอีกหลายฉบับในเวลาต่อมา โดยแต่ละฉบับเป็นกฎหมายระดับ “พระราชกฤษฎีกา” ทั้งสิ้น

ตอบ 2 หน้า 31 นับตั้งแต่ได้มีการริเริ่มตราระเบียบข้าราชการพลเรือนขึ้นเป็นฉบับแรกในปี พ.ศ. 2471แล้วได้มีการตราระเบียบข้าราชการพลเรือนขึ้นอีกหลายฉบับในเวลาต่อมา โดยแต่ละฉบับจะมีฐานะเป็น “พระราชบัญญัติ” รวมทั้งฉบับ พ.ศ. 2551 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันนี้ด้วย

76 วินัยของข้าราชการพลเรือนตามระเบียบข้าราชการพลเรือนประการหนึ่งคือ ห้ามมิให้เป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 4 – 6), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551มาตรา 36) ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้

1 เป็นผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง

2 เป็นคนไร้ความสามารถ คนเสมือนไร้ความสามารถ คนวิกลจริตหรือจิตฟันเฟือนไม่สมประกอบหรือเป็นโรคตามที่กําหนดในกฎ ก.พ.

3 เป็นกรรมการหรือผู้ดํารงตําแหน่งที่รับผิดชอบในการบริหารพรรคการเมืองหรือเจ้าหน้าที่ – ในพรรคการเมือง

4 เป็นบุคคลล้มละลาย ฯลฯ

77 บําเหน็จดํารงชีพเป็นเงินที่ผู้รับบํานาญได้รับ ปัจจุบันจะได้รับเมื่ออายุครบ 60 ปีในปีงบประมาณที่เกษียณอายุราชการ และเมื่ออายุครบ 65 ปีบริบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง ตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญ ข้าราชการ

ตอบ 1 (คําบรรยาย) บําเหน็จดํารงชีพ คือ เงินที่จ่ายให้ข้าราชการบํานาญเพื่อช่วยเหลือการดํารงชีพโดยจ่ายให้ครั้งเดียว ซึ่งให้จ่ายในอัตรา 15 เท่าของบํานาญรายเดือน แต่ไม่เกิน 4 แสนบาท โดยปัจจุบันแบ่งจ่ายเป็น 2 งวด คือ งวดแรกจ่ายตอนเกษียณอายุราชการ (เมื่ออายุครบ 60 ปี) ไม่เกิน 2 แสนบาท และงวดที่สองจ่ายที่เหลือตอนอายุครบ 65 ปีบริบูรณ์อีกครั้งหนึ่ง ไม่เกิน 4 แสนบาท

78 ระบบราชการมีลําดับขั้นการบังคับบัญชา คือ การจัดแบ่งเจ้าหน้าที่เป็นลําดับชั้น และมีการสั่งการจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงสู่เจ้าหน้าที่ระดับต่ำกว่า

ตอบ 1 หน้า 6, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 2) ระบบราชการมีลําดับขั้นการบังคับบัญชา คือมีการจัดแบ่งเจ้าหน้าที่เป็นลําดับชั้น และมีการสั่งการจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงสู่เจ้าหน้าที่ระดับต่ำ

79 กฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2471 เป็นกฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับแรกมีผลใช้บังคับทันทีนับแต่วันประกาศเป็นกฎหมาย

ตอบ 2 หน้า 29, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 3) พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2471 ได้ประกาศเป็นกฎหมายระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับแรกเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2471 โดยทั้งนี้ยังมิได้ใช้บังคับทันทีนับแต่วันประกาศเป็นกฎหมาย แต่ให้เริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่1 เมษายน พ.ศ. 2472 เป็นต้นไป

80 ในระหว่างทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการของข้าราชการพลเรือนที่บรรจุเข้ารับราชการและต้องทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ ระเบียบฯ กําหนดให้มีการพัฒนาข้าราชการเพื่อให้รู้ระเบียบแบบแผนของทางราชการ และเป็นข้าราชการที่ดี ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 18), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 53 วรรคหนึ่ง, มาตรา 55 และมาตรา 59), (คําบรรยาย) ข้าราชการพลเรือนสามัญที่ได้รับการบรรจุ กรณีต่อไปนี้ต้องแต่งตั้งให้ทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ และให้ได้รับการพัฒนาเพื่อให้รู้ ระเบียบแบบแผนของทางราชการ และเป็นข้าราชการที่ดี ตามที่กําหนดในกฎ ก.พ. ได้แก่

1 ผู้ที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งจากการสอบแข่งขันได้

2 ผู้ที่ได้รับการบรรจุในกรณีที่มีเหตุพิเศษที่ไม่ต้องดําเนินการสอบแข่งขันตามที่ ก.พ. กําหนด

81 ผู้มีอํานาจกําหนดตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญของส่วนราชการระดับกระทรวง คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 14), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 47)ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญจะมีในส่วนราชการใด จํานวนเท่าใด และเป็นตําแหน่ง ประเภทใด สายงานใด ระดับใด ให้เป็นไปตามที่ อ.ก.พ. กระทรวง กําหนด โดยต้องคํานึงถึง ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ความไม่ซ้ําซ้อนและประหยัดเป็นหลัก ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ก.พ. กําหนด และต้องเป็นไปตามมาตรฐานกําหนดตําแหน่ง

82 เงินประจําตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ ไม่ถือเป็นเงินเดือนเพื่อเป็นเกณฑ์ในการคํานวณบําเหน็จบํานาญตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการ

ตอบ 1 หน้า 55, (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 50 วรรคห้า) เงินประจําตําแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญ ไม่ถือเป็นเงินเดือนเพื่อเป็นเกณฑ์ในการคํานวณบําเหน็จบํานาญตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการ

83 การย้ายข้าราชการพลเรือนสามัญไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งในระดับที่ต่ํากว่าเดิม โดยปกติผู้มีอํานาจสั่งย้ายจะกระทํามิได้

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 18), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 63 วรรคสาม), (คําบรรยาย) การย้ายหรือการโอนข้าราชการพลเรือนสามัญไปแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งในระดับที่ต่ำกว่าเดิม ผู้มีอํานาจสั่งย้ายจะกระทํามิได้ เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้น

84 ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทําผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ตัดเงินเดือน หรือลดเงินเดือน ตามควรแก่กรณีให้เหมาะสมกับความผิด

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 23), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 96 และมาตรา 97), (คําบรรยาย) ให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 เป็นผู้ มีอํานาจสั่งลงโทษข้าราชการพลเรือนสามัญผู้กระทําผิดวินัย ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ

1 กรณีกระทําผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ให้สั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดเงินเดือนตามควรแก่กรณีให้เหมาะสมกับความผิด

2 กรณีกระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้สั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออกตามความร้ายแรงแห่งกรณี ถ้ามีเหตุอันควรลดหย่อนจะนํามาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่ห้ามมิให้ลดโทษลงต่ำกว่าปลดออก

85 “หนังสือราชการภายนอก” เป็นหนังสือราชการที่ต้องมีคําขึ้นต้น แต่ไม่จําเป็นต้องมีคําลงท้ายตามระเบียบ – งานสารบรรณฉบับปัจจุบัน

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 21. ประกอบ

86 “ส่วนราชการ” หมายถึง ส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และส่วนราชการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและมีฐานะไม่ต่ํากว่ากรม

ตอบ 1 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 6), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 4)“ส่วนราชการ” หมายความว่า ส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม และส่วนราชการที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและมีฐานะไม่ต่ำกว่ากรม

87 การลาออกจากราชการของข้าราชการพลเรือนสามัญนั้น ถ้าผู้มีอํานาจสั่งบรรจุฯ ซึ่งเป็นผู้มีอํานาจสั่งอนุญาตการลาออกไม่ได้สั่งอนุญาตให้ลาออก หรือไม่ได้ยับยั้งการอนุญาตให้ลาออก การลาออกจะไม่มีผลแต่อย่างใด

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 10. ประกอบ

88 คุณสมบัติทั่วไปของข้าราชการพลเรือน ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันประการหนึ่ง คือ เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 2. ประกอบ

89 ตําแหน่งเอกอัครราชทูต สังกัดกระทรวงการต่างประเทศ มีสถานะเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทอํานวยการระดับสูง ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 38. ประกอบ

90 การบริหารงานบุคคลตามระบบอุปถัมภ์มีข้อดีประการหนึ่งคือ ช่วยส่งเสริมการวัดผลโดยการสอบให้สมบูรณ์ ยิ่งขึ้น ตอบ 1 หน้า 19 – 20 ข้อดีของการบริหารงานบุคคลตามระบบอุปถัมภ์ มีดังนี้

1 ช่วยให้การบริหารงานบุคคลดําเนินไปได้อย่างรวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่าย

2 ช่วยส่งเสริมการวัดผลโดยการสอบให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

3 ช่วยให้การบริหารงานบุคคลสามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ทันท่วงที

91 ปัจจุบันตําแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูงเช่นเดียวกับตําแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด ตามระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบัน

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 38. และ 60. ประกอบ

92 ตําแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญตําแหน่งประเภทวิชาการ ได้แก่ ตําแหน่งที่จําเป็นต้องใช้ผู้สําเร็จการศึกษา ระดับปริญญาตามที่ ก.พ. กําหนดเพื่อปฏิบัติงานในหน้าที่ตําแหน่งนั้น

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 49. ประกอบ

93 ผู้ที่เคยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญมาก่อน ถ้าประสงค์ขอกลับเข้ารับราชการ อาจยื่นเรื่องราวขอกลับเข้ารับราชการในกระทรวง กรมใด ๆ ก็ได้ ไม่จํากัดเฉพาะส่วนราชการที่เคยสังกัดเท่านั้น

ตอบ 1 หน้า 99, (คําบรรยาย) ผู้ที่เคยเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญมาก่อน และลาออกจากราชการไปโดยไม่มีความผิดวินัยแต่ประการใด ถ้าประสงค์ขอกลับเข้ารับราชการ อาจยื่นเรื่องราวขอกลับ เข้ารับราชการในกระทรวง กรมใด ๆ ก็ได้ โดยไม่ได้จํากัดเฉพาะกระทรวง กรมเดิมที่เคยสังกัดก่อนออกจากราชการ และอาจได้รับการบรรจุแต่งตั้งในระดับและเงินเดือนที่ไม่สูงกว่าเดิม

94 ผู้เคยกระทําการทุจริตในการสอบเข้ารับราชการ หรือเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ ระเบียบฯ บัญญัติว่า ทําให้ขาดคุณสมบัติทั่วไปของผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือน

ตอบ 2 (เอกสารประกอบการสอน หน้า 4 – 6), (พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 36), (คําบรรยาย) ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนซึ่งมีลักษณะต้องห้าม โดยไม่มีเงื่อนไขเกี่ยวกับเวลาบังคับไว้ ก.พ. อาจพิจารณายกเว้นให้สมัครเข้ารับราชการได้ โดยไม่ทําให้ขาดคุณสมบัติทั่วไป มี 4 กรณี ดังนี้

1 เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นที่รังเกียจของสังคม

2 เป็นบุคคลล้มละลาย

3 เป็นผู้เคยต้องรับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงที่สุดให้จําคุกเพราะกระทําความผิดทางอาญา

4 เป็นผู้เคยกระทําการทุจริตในการสอบเข้ารับราชการ หรือเข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานของรัฐ

95 การบริหารงานบุคคลภาครัฐ อาจจําแนกวิธีการบริหารได้เป็น 2 ระบบที่สําคัญคือ ระบบคุณธรรมกับระบบจําแนกตําแหน่ง

ตอบ 2 หน้า 17 ในการบริหารงานบุคคลอาจจําแนกวิธีการบริหารได้เป็น 2 ระบบ คือ ระบบคุณธรรมกับระบบอุปถัมภ์

96 “การคัดเลือก” ในระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันกําหนดให้กระทรวง กรม เจ้าสังกัดเป็นผู้ดําเนินการ

ตอบ 1 (คําบรรยาย) พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 กําหนดให้กระทรวง กรมเจ้าสังกัดเป็นผู้ดําเนินการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุเข้ารับราชการและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งได้โดยไม่ต้องสอบแข่งขัน

97 กรรมการ ก.พ.ค. ซึ่งพ้นจากตําแหน่งตามวาระ จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นกรรมการฯ อีกก็ได้

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 13. ประกอบ

98 ข้าราชการการเมืองเข้าดํารงตําแหน่งโดยให้เป็นไปตามเหตุผลทางการเมือง ตามตัวบทกฎหมายที่บัญญัติถึงข้าราชการการเมือง รวมทั้งระเบียบข้าราชการพลเรือนฉบับปัจจุบันด้วย

ตอบ 2 หน้า 383, 391 ข้าราชการการเมืองเข้าดํารงตําแหน่งโดยให้เป็นไปตามเหตุผลทางการเมืองหรือตามระบบอุปถัมภ์ (ไม่เน้นเรื่องคุณวุฒิหรือความรู้ความสามารถ) และตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 กล่าวคือ แต่เดิมข้าราชการการเมืองถือว่าเป็น ข้าราชการพลเรือนประเภทหนึ่งตาม พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการพลเรือน แต่ในปัจจุบันได้มี การแยกข้าราชการการเมืองออกจากข้าราชการพลเรือน เพื่อไม่ให้มีการก้าวก่ายหน้าที่ ซึ่งกันและกัน และได้ประกาศใช้ พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 เพื่อใช้บังคับแก่ข้าราชการการเมืองโดยตรง

99 โดยปกติการบรรจุกับการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ เป็นขั้นตอนของการบริหารงานบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกัน กล่าวคือ เมื่อมีการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนก็ต้องมีการบรรจุเข้ารับราชการตามมาเสมอ

ตอบ 2 หน้า 91, (เอกสารประกอบการสอน หน้า 15) โดยปกติการบรรจุกับการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ เป็นขั้นตอนการบริหารงานบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกัน กล่าวคือ เมื่อมีการบรรจุ ก็จะต้องมีการแต่งตั้งตามมาเสมอ ซึ่งการบรรจุ หมายถึง การรับบุคคลเข้าเป็นข้าราชการ ส่วนการแต่งตั้ง หมายถึง การมอบหมายให้ทําหน้าที่ในตําแหน่งใดตําแหน่งหนึ่ง โดยอาจเกิดขึ้นพร้อมกับเมื่อมีการบรรจุ หรือต่างวาระกันก็ได้

100 ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดลาออกจากราชการไปดํารงตําแหน่งทางการเมือง ส่วนราชการเจ้าสังกัดจะต้องสงวนอัตราตําแหน่งในระดับเดียวกันไว้สําหรับบรรจุผู้นั้นกลับเข้ารับราชการ เมื่อพ้นจากตําแหน่ง ทางการเมืองแล้ว

ตอบ 2 หน้า 98 – 99, 113, 119, (คําบรรยาย) ก.พ. กําหนดหลักเกณฑ์การบรรจุเข้ารับราชการไว้ว่าเมื่อข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดลาออกจากราชการไปดํารงตําแหน่งทางการเมือง หรือ ดํารงตําแหน่งในองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญแล้ว ส่วนราชการเจ้าสังกัดไม่ต้องสงวนตําแหน่ง ไว้สําหรับบรรจุ ผู้นั้นกลับเข้ารับราชการ แต่ถ้าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดออกจากราชการ ไปปฏิบัติงานใด ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรี หรือออกจากราชการไปรับราชการทหารตามกฎหมาย ว่าด้วยการรับราชการทหารนั้น ส่วนราชการเจ้าสังกัดต้องสงวนตําแหน่งในระดับเดียวกันไว้ สําหรับบรรจุผู้นั้นกลับเข้ารับราชการภายในเวลาที่กําหนด

 

 

LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 1/2556

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 สามย่านยืมมอเตอร์ไซค์ของแกลงโดยบอกว่าจะเอาใช้ขับขี่ไปทํางาน แกลงได้ส่งมอบมอเตอร์ไซค์ให้สามย่านไปใช้งานโดยไม่คิดค่าตอบแทนและไม่ได้กําหนดเวลาคืนไว้ แต่สามย่านกลับนําไปดัดแปลง โดยมีการตัดต่อเป็นรถสามล้อเติมหลังคากับที่นั่งสองแถวเพื่อรับขนคนโดยสาร วันหนึ่งขณะที่สามย่าน ขับขี่รถมอเตอร์ไซค์ที่ดัดแปลงแล้วหาผู้โดยสารนั้นวังจันทร์ขับรถยนต์มาชนท้ายทําให้รถมอเตอร์ไซค์ ที่สามย่านยืมมาเสียหาย ดังนี้แกลงจะเรียกให้สามย่านรับผิดชดใช้ค่าทดแทนความเสียหายที่เกิดกับมอเตอร์ไซค์ที่ยืมหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหาย หรือบุบสลายอยู่นั่นเอง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่สามย่านยืมมอเตอร์ไซค์ของแกลงโดยบอกว่าจะเอาใช้ขับขี่ไปทํางาน แกลงได้ส่งมอบมอเตอร์ไซค์ให้สามย่านไปใช้งานโดยไม่คิดค่าตอบแทนและไม่ได้กําหนดเวลาคืนไว้ กรณีถือว่าเป็น สัญญายืมใช้คงรูปที่มิได้กําหนดเวลาสิ้นสุดของสัญญาตามมาตรา 640 ประกอบมาตรา 641

และตามมาตรา 643 กฎหมายได้กําหนดให้ผู้ยืมต้องรับผิดในกรณีที่ทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือ บุบสลายไป ถ้าผู้ยืมเอาทรัพย์สินซึ่งยืมนั้นไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจาก การอันปรากฏในสัญญา หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า สามย่านได้เอาทรัพย์สินที่ยืม ไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันปรากฏในสัญญา กล่าวคือ สามย่านได้นําไปดัดแปลงโดยมีการตัดต่อเป็นรถสามล้อ เติมหลังคากับที่นั่งสองแถวเพื่อรับขนคนโดยสาร ดังนั้นเมื่อวังจันทร์ขับรถยนต์มาชนท้ายทําให้รถมอเตอร์ไซค์ที่ สามย่านยืมมาเสียหาย แกลงย่อมมีสิทธิเรียกให้สามย่านรับผิดชดใช้ค่าทดแทนความเสียหายที่เกิดกับมอเตอร์ไซค์ ที่ยืมได้ตามมาตรา 643

สรุป

แกลงสามารถเรียกให้สามย่านรับผิดชดใช้ค่าทดแทนความเสียหายที่เกิดกับมอเตอร์ไซค์ ที่ยืมได้

 

ข้อ 2 นางอภิลัดดาได้โทรศัพท์ขอยืมเงินนายประเสริทเป็นเงินห้าหมื่นบาทถ้วน และนายประเสริทได้ส่งเช็คจํานวนดังกล่าวไปให้ในวันที่ 14 กันยายน ศกนี้ และได้มีสําเนาเช็คเก็บไว้ โดยไม่ได้ทําหลักฐาน การกู้ยืมเป็นหนังสือใด ๆ ต่อมานางอภิลัดดาได้ถูกนางหนูเมียนายประเสริททวงถามเรื่องหนี้ นางอภิลัดดาได้เขียนข้อความเป็นลายมือของตนในกระดาษให้นางหนูว่า “ฉันอภิลัดดาจะคืนเงิน ห้าหมื่นบาทให้ไม่โกงหรอก รับรองได้” ต่อมานางอภิลัดดาได้ป่วยหนักเขียนจดหมายไปหานางหมู น้านายประเสริทว่า “ถ้าฉันตายให้ชําระหนี้ที่ติดไว้กับไอ้เสริทหลานแกด้วยให้ด้วย ลงชื่อ อภิลัดดา” ต่อมา นางอภิลัดดา ได้เห็นนายประเสริทประท้วงรัฐบาลอยู่ข้างถนน จึงได้เขียนข้อความต่อว่า นายประเสริทว่า “เช็คเงินที่ฉันขอยืมนั่นน่ะนะได้รับตั้งแต่วันที่ 15 กันยาแล้ว แต่ถ้าขืนนยังด่านายกผู้หญิงอีกฉันจะไม่จ่าย ลงชื่อ เพ็ญ” ซึ่งชื่อเพ็ญดังกล่าวเป็นชื่อเล่นของนางอภิลัดดา ดังนี้ นายประเสริทจะมีทางฟ้องร้องนางอภิลัดดาได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไปนั้น เป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 วรรคแรก “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

วินิจฉัย

การกู้ยืมเงิน เป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองตามมาตรา 650

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรคแรก บังคับว่าในกรณีที่จะฟ้องร้องบังคับคดีในเรื่อง เกี่ยวกับการกู้ยืมเงินจะต้องมีพยานหลักฐานประกอบการฟ้องคดี คือ

1 หลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และ

2 ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ

สําหรับหลักฐานการกู้ยืมเงินนั้น ต้องมีสาระสําคัญให้เห็นว่ามีการกู้ยืมเงินกัน ซึ่งข้อความ อันแสดงถึงการกู้ยืมไม่จําเป็นว่าจะต้องปรากฏในเอกสารฉบับเดียวกัน อาจจะปรากฏอยู่ในเอกสารหลาย ๆ ฉบับ ก็ได้ เมื่อนําเอาเอกสารเหล่านั้นมาอ่านประกอบเข้าด้วยกัน หากได้ความว่าเป็นการกู้ยืมเงินกันแล้ว ถือว่าเอกสาร เหล่านั้นเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้

ส่วนการลงลายมือชื่อในหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินนั้น กฎหมายบังคับว่าต้องมีลายมือชื่อของ ผู้ยืมเท่านั้น ส่วนผู้ให้ยืมจะลงลายมือชื่อในหลักฐานนั้นหรือไม่ ก็ไม่ใช่สาระสําคัญ ไม่ทําให้หลักฐานแห่งการฟ้องคดีนั้น เสียไป และการสงลายมือชื่อนั้น ผู้ยืมอาจเขียนเป็นชื่อตัวเอง หรือลายเซ็นก็ได้ และอาจจะเป็นชื่อจริงหรือชื่อเล่น จะเป็นภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศก็ได้ แต่ถ้ามิได้ลงลายมือชื่อเลย แม้ผู้ยืมจะเป็นผู้ทําหลักฐานเป็นหนังสือ นั้นเอง หลักฐานนั้นก็ใช้ฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ตามมาตรา 653 วรรคแรก

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางอภิลัดดาได้กู้ยืมเงินจากนายประเสริทเป็นเงิน 50,000 บาท โดยไม่ได้ มีหลักฐานเป็นหนังสือ นอกจากเช็คที่นายประเสริทได้ให้ไว้นั้น ย่อมไม่อาจใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดี การกู้ยืมเงินได้ และแม้ต่อมานางอภิลัดดาจะได้เขียนข้อความเป็นลายมือของตนให้นางหนูเมียนายประเสริทว่า “ฉันอภิลัดดาจะคืนเงินห้าหมื่นบาทให้ไม่โกงหรอก รับรองได้” ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่านางอภิลัดดาได้กู้ยืมเงินจาก นายประเสริท อีกทั้งยังไม่มีการลงลายมือของนางอภิลัดดาด้วย จึงไม่อาจใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดี เกี่ยวกับการกู้ยืมเงินกรณีดังกล่าวได้เลย

แต่อย่างไรก็ดี เมื่อต่อมานางอภิลัดดาได้เขียนจดหมายไปหานางหมูน้านายประเสริทว่า “ถ้าฉันตาย ให้ชําระหนี้ที่ติดไว้กับไอ้เสริทหลานแกด้วยให้ด้วย ลงชื่อ อภิลัดดา” และยังได้เขียนข้อความต่อว่านายประเสริทว่า “เช็คเงินที่ฉันขอยืมนั้นน่ะนะได้รับตั้งแต่วันที่ 15 กันยาแล้ว แต่ถ้าขืนยังด่านายกผู้หญิงอีกฉันจะไม่จ่าย ลงชื่อ เพ็ญ” ซึ่งชื่อเพ็ญดังกล่าวเป็นชื่อเล่นของนางอภิลัดดานั้น แม้ในบันทึกข้อความตอนแรกจะไม่เพียงพอที่จะเป็นหลักฐาน ในการฟ้องร้องบังคับคดีได้ แต่ในบันทึกข้อความตอนหลังได้อ้างถึงเช็คและการยืมเงิน อีกทั้งมีการลงลายมือชื่อของ ผู้กู้ยืมด้วย จึงถือได้ว่ามีความชัดเจนเพียงพอที่จะใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน กรณีนี้ได้

สรุป

นายประเสริทสามารถฟ้องร้องบังคับนางอภิลัดดาได้ โดยใช้เช็คและข้อความบันทึกที่ นางอภิลัดดาให้นายประเสริทเป็นหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดี

 

ข้อ 3 นายเอกและนายโทเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดกรุงเทพมหานคร โดยพักห้องเดียวกันและนายเอกเป็นผู้ลงทะเบียนในนามของผู้พัก ต่อมาทั้งสองคนได้ออกจากห้องไปธุระข้างนอก โดยนายโทวาง โทรศัพท์มือถือราคาแปดพันบาทไว้ในห้อง เมื่อกลับมาพบว่ามีคนเข้ามารื้อค้นของในห้องพักและ โทรศัพท์มือถือกับกางเกงยีนส์ 1 ตัว (ราคา 2,000 บาท) หายไป นายโทรีบแจ้งนายตรีผู้เป็นเจ้าสํานักที่ควบคุมกิจการโรงแรมทราบทันที นายตรีต่อสู้ว่านายโทมิได้เป็นผู้ลงชื่อเข้าพัก เจ้าสํานักโรงแรม จึงไม่ต้องรับผิด จะรับผิดเฉพาะทรัพย์ของแขกผู้ลงชื่อในใบลงทะเบียนเท่านั้น ดังนี้ ข้อต่อสู้ของนายตรีฟังขึ้นหรือไม่ ให้ท่านวินิจฉัยความรับผิดของเจ้าสํานักโรงแรมที่มีต่อทรัพย์สินของนายโท

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตัวเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอกราคา แห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่ง ทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ”

มาตรา 676 “ทรัพย์สินซึ่งมิได้นําฝากบอกราคาชัดแจ้งนั้น เมื่อพบเห็นว่าสูญหายหรือบุบสลาย  คนเดินทางหรือแขกอาศัยต้องแจ้งความนั้นต่อเจ้าสํานักโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นทันที มิฉะนั้นท่านว่า เจ้าสํานักย่อมพ้นจากความรับผิดดังบัญญัติไว้ในมาตรา 674 และ 675”

วินิจฉัย

ตามมาตรา 674 และ 675 ได้กําหนดให้เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล จะต้องรับผิดชอบใน ความสูญหายหรือเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยนั้น ให้หมายความรวมถึงบุคคล ที่เข้าพักอาศัยร่วมกับผู้เดินทางด้วย ความรับผิดของเจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ลไม่ได้จํากัดเฉพาะทรัพย์สินของ ผู้ที่ลงทะเบียนเข้าพักแรมเท่านั้น ดังนั้นกรณีตามอุทาหรณ์เมื่อทรัพย์สินของนายโทหายไป นายตรีผู้เป็นเจ้าสํานักที่ ควบคุมกิจการโรงแรมจึงต้องรับผิดชอบ จะต่อสู้ว่านายโทมิได้เป็นผู้ลงชื่อเข้าพักไม่ได้

และเมื่อทรัพย์สินที่สูญหายไป คือโทรศัพท์มือถือราคา 8,000 บาท และกางเกงยีนส์ราคา 2,000 บาทนั้น เป็นทรัพย์ทั่ว ๆ ไปตามมาตรา 675 วรรคแรก มิใช่ทรัพย์ที่มีค่าตามมาตรา 675 วรรคสอง ดังนั้น แม้ว่าจะมิได้มีการฝากทรัพย์นั้นไว้แก่เจ้าสํานัก เจ้าสํานักโรงแรมก็ต้องรับผิดชอบเต็มจํานวน และเมื่อข้อเท็จจริง ปรากฏว่า เมื่อนายโทพบเห็นว่าทรัพย์สินนั้นสูญหาย นายโทได้แจ้งความนั้นต่อนายตรีเจ้าสํานักโรงแรมทันทีตาม มาตรา 676 ดังนั้นกรณีนี้นายตรีจึงต้องรับผิดต่อนายโทจํานวน 10,000 บาท

สรุป

ข้อต่อสู้ของนายตรีที่ว่านายโทมิได้เป็นผู้ลงชื่อเข้าพักจึงไม่ต้องรับผิดชอบนั้นฟังไม่ขึ้น และนายตรีเจ้าสํานักโรงแรมจะต้องรับผิดต่อนายโทจํานวน 10,000 บาท

 

 

POL2105 ทฤษฎีการเมืองและจริยธรรม2 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา POL 2105 ทฤษฎีการเมืองและจริยธรรม 2

คําสั่ง ให้นักศึกษาเลือกคําตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคําตอบเดียว (ข้อสอบมีทั้งหมด 100 ข้อ)

1 มาเคียเวลลี่ จัดเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งนวสมัย เพราะ

(1) เป็นผู้บุกเบิกวิชาปรัชญาการเมือง

(2) เป็นผู้ประศาสน์ศาสตร์และศิลป์แห่งการปกครอง

(3) เป็นผู้รอบรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตย

(4) เป็นผู้ให้คําจํากัดความจริยศาสตร์

(5) เป็นผู้อบรมซีซาร์ บอร์เจีย

ตอบ 1 หน้า 2, (คําบรรยาย) มาเคียเวลลี่ ได้รับการยกย่องว่าเป็น “นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคนวสมัย (Modern Time)” โดยเขาเป็นเมธีคนแรกที่บุกเบิกการศึกษาวิชาปรัชญาการเมือง และได้เสนอ ทัศนะที่มีลักษณะผิดแผกไปจากลักษณะความคิดทางการเมือง (เชิงอุดมคติ) ในสมัยกลางอย่าง ชัดเจน ซึ่งจะศึกษาและถ่ายทอดความคิดทางการเมืองในเชิงปรัชญาตามสภาพที่เป็นจริง นอกจากนี้งานเขียนทางการเมืองของเขาส่วนใหญ่ยังให้ความสนใจเป็นพิเศษสําหรับผู้ปกครองในการวิเคราะห์เพื่อแสวงหาวิธีการ (Means) ที่สามารถปฏิบัติในการที่จะได้มาซึ่งอํานาจ

2 สาเหตุที่นิคโคโล มาเคียเวลลี่ ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปราชญ์ที่สําคัญที่สุดของยุคนวสมัยเพราะเป็นผู้

(1) ศึกษาการเมืองอย่างมีอุดมการณ์

(2) ใฝ่ความเป็นประชาธิปไตย

(3) ศึกษาการเมืองตามสภาพที่เป็นจริง

(4) ฝักใฝ่ความทันสมัย

(5) ใช้สถิติประกอบการศึกษา

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

3 มาเคียเวลลี ถูกจัดให้เป็นนักปราชญ์คนแรกของยุค

(1) ยุคโบราณ

(2) ยุคกลาง

(3) ยุคนวสมัย

(4) ยุคปฏิรูป

(5) ยุคสงครามกลางเมือง

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

4 ผลงานส่วนใหญ่ของมาเคียเวลลี่ ผลิตในช่วง

(1) ที่เขาเรืองอํานาจ

(2) ตกอับหมดอํานาจ

(3) ประจําการอยู่ในกองทัพ

(4) อยู่ต่างประเทศ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 1 – 2 มาเคียเวลลี่ เกิดที่เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ในประเทศอิตาลีเมื่อปี ค.ศ. 1469 โดยเขาได้เขียนหนังสือไว้หลายเล่มทั้งในด้านการเมืองและบทละคร ได้แก่ ผู้ปกครองหรือมุขชน (The Prince), บทสนทนา (The Discourses) เป็นต้น ซึ่งงานเขียนส่วนใหญ่ของมาเคียเวลลี่นั้นเป็นผลิตผลในช่วงที่เขาตกอับหมดอํานาจวาสนาทางการเมือง

5 มาเคียเวลลี่ ผลิตงานชิ้นสําคัญคือ

(1) Modern Machine

(2) The Fox

(3) The Prince

(4) Magna Carta

(5) The Element of Law

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

6 “ธรรมชาติของมนุษย์”

(1) ความเมตตา

(2) ชอบท้าทายอํานาจ

(3) ความเห็นแก่ตัว

(4) อยากอยู่ร่วมกัน

(5) เกรงกลัวต่ออํานาจ

ตอบ 3 หน้า 2 – 3 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า ธรรมชาติของมนุษย์นั้นเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ก้าวร้าว แสวงหา พยายามที่จะหลีกเลี่ยงอันตราย และโลภในผลกําไร จึงทําให้มีชีวิตอยู่ในภาวะของการดิ้นรน และแข่งขันกันเองอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้คนยังปล่อยจิตให้ตกอยู่ภายใต้การครอบงําของ กิเลสตัณหา ดังนั้นจึงเกิดสังคมหรือรัฐขึ้นมาเพื่อทําให้ละเลิกกิเลสและควบคุมความเห็นแก่ตัวอันเป็นธรรมชาติที่ชั่วร้ายของคนโดยการใช้อํานาจบังคับ

7 มาเคียเวลลี่ เชื่อว่ามนุษย์โดยธรรมชาติแล้ว

(1) เป็นคนที่เต็มไปด้วยเมตตาธรรม แต่สังคมทําให้เห็นแก่ตัว

(2) เป็นคนเห็นแก่ตัว แต่สังคมทําให้ละเลิกกิเลส

(3) เป็นคนที่เต็มไปด้วยวิจารณญาณ มีคุณธรรม

(4) เป็นคนอ่อนไหวตามสถานการณ์

(5) เป็นคนมุทะลุดุดันเยี่ยงสุนัขจิ้งจอก

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 6. ประกอบ

8 ในผลงานเรื่อง The Prince ผู้เขียนต้องการชี้ให้เห็นว่า

(1) การจูงใจมวลชนเป็นภารกิจที่ยากที่สุด

(2) การรักษาไว้ซึ่งอํานาจยากเสียยิ่งกว่าการได้มาซึ่งอํานาจ

(3) เมตตาธรรมของผู้ปกครองเท่านั้นที่จะครองโลก

(4) ภูมิปัญญาของผู้นําเปรียบเสมือนเข็มทิศของสังคม

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 9, (คําบรรยาย) ในหนังสือเรื่อง The Prince นั้น มาเคียเวลลี่เห็นว่าเป้าหมายของการเมืองก็คือ การรักษาหรือเพิ่มอํานาจการเมืองโดยเฉพาะ ซึ่งในการที่จะทําให้บรรลุเป้าหมายนี้ มาเคียเวลลี่ยอมรับวิธีการทุกอย่าง แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ผิดศีลธรรมก็ตาม ดังนั้นสิ่งที่มาเคียเวลลี่ สนใจมากที่สุดก็คือ ทําอย่างไรผู้ปกครองจึงจะสามารถรักษาอํานาจไว้ได้ ทั้งนี้เพราะการรักษาไว้ซึ่งอํานาจเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่าการได้มาซึ่งอํานาจเสียอีก

9 สาระสําคัญของงานเขียนทางการเมืองมุ่งเน้นในเรื่องใดเป็นพิเศษ

(1) รัฐในอุดมคติ

(2) วิธีการ (Means)

(3) จุดหมายปลายทาง (Ends)

(4) การใช้เล่ห์เหลี่ยม

(5) เสรีภาพของผู้ปกครอง

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 1. ประกอบ

10 ในทัศนะมาเคียเวลลี่ ผู้ปกครองควรมีขันติเพื่อ

(1) ทบทวนท่าทีของศัตรู

(2) ข่มความรู้สึกที่แท้จริง

(3) รับฟังคําวิจารณ์โดยสุจริตใจ

(4) ให้เกิดความยําเกรง

(5) แสดงความเป็นราชสีห์

ตอบ 3 หน้า 5 ในทัศนะของมาเคียเวลลี่นั้น ผู้ปกครองควรมีขันติเพื่อยอมรับฟังคําวิพากษ์วิจารณ์ โดยสุจริตใจของเหล่าขุนนาง เพราะจะทําให้ได้ทราบถึงความเป็นไปที่แท้จริงของสถานการณ์ต่าง ๆ

11 ในทัศนะของมาเคียเวลลี “รัฐ” กําเนิดจาก

(1) การใช้กําลังอํานาจในการบีบบังคับ

(2) ความชาญฉลาดของผู้ปกครอง

(3) การรู้จักสามัคคีของผู้คนในสังคม

(4) ความผูกพันทางภาษาและวัฒนธรรม

(5) ความอ่อนแอและไร้ประสิทธิภาพในการพิทักษ์ตนเอง

ตอบ 5 หน้า 2 – 3 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า “รัฐ” หรือสังคมการเมืองนั้นมิได้เกิดจากธรรมชาติหรือการบันดาลของพระเจ้า แต่มีรากฐานมาจากความอ่อนแอและไร้ประสิทธิภาพของมนุษย์ที่ไม่สามารถพิทักษ์ตนเองให้พ้นจากความก้าวร้าวของบุคคลอื่นได้ต่างหาก

12 ความอ่อนแอและไร้ประสิทธิภาพของมนุษย์เป็นเหตุให้เกิด

(1) สันติภาพ

(2) ความรู้รักสามัคคี

(3) รัฐ

(4) การใช้กําลังอํานาจ

(5) กลุ่มการเมือง

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 11. ประกอบ

13 มาเคียเวลลี่เป็นชาวเมือง

(1) ปารีส

(2) เวนิช

(3) ฟลอเรนซ์

(4) โรม

(5) ปอมเปอี

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 4. ประกอบ

14 มาเคียเวลลี่ ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเขียนงานของตนเองเพื่อประจบ

(1) ผู้นําตระกูลเมดิซี่

(2) กษัตริย์ของอิตาลี

(3) ผู้นําเมืองฟลอเรนซ์

(4) ผู้นํากรุงโรม

(5) ทรราช

ตอบ 1 หน้า 7 ในงานเขียนเกี่ยวกับรูปแบบการปกครองนั้น มาเคียเวลลี่ เห็นว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบบการปกครองที่เหมาะสมที่สุดสําหรับอิตาลี แต่มิได้หมายความว่าระบบ การปกครองโดยคน ๆ เดียวที่มีอํานาจสูงสุดเด็ดขาดเป็นระบบการปกครองที่ดีที่สุด ซึ่งจากทัศนะดังกล่าวนี้ทําให้มาเคียเวลลี่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เขียนงานของตนเองขึ้นมาเพราะต้องการประจบผู้นําตระกูลเมดิซี เพื่อขอตําแหน่งทางการเมืองเท่านั้นเอง

15 คําถามใดเป็นคําถามที่มาเคียเวลลี่สนใจมากที่สุด

(1) เหตุใดอาณาจักรโรมันจึงล่มสลาย

(2) ทําอย่างไรผู้ปกครองจึงจะสามารถขยายอํานาจได้

(3) ความชอบธรรมทางการเมืองคืออะไร

(4) ทําอย่างไรผู้ปกครองจึงจะสามารถรักษาอํานาจไว้ได้

(5) อะไรคือคุณธรรมที่สําคัญที่สุดสําหรับผู้ปกครอง

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 8. ประกอบ

16 หากการปฏิรูปหมายถึงการเปลี่ยนแปลง ผู้ที่มีแนวโน้มต่อต้านคือ

(1) ทหาร

(2) ขุนนางอํามาตย์

(3) ผู้ที่ได้ประโยชน์จากแบบแผนเก่า

(4) ปัญญาชน

(5) เครือญาติ

ตอบ 3 หน้า 3 มาเคียเวลลี่ กล่าวว่า ผู้ที่ทําการปฏิรูปจะสร้างศัตรูหรือมีแนวโน้มถูกต่อต้านจากผู้ที่เคยได้รับผลประโยชน์จากแบบแผนเก่า ๆ ส่วนผู้ที่ได้ประโยชน์จากระเบียบใหม่ ๆ นั้นอาจจะ สนับสนุนผู้ปกครองคนใหม่ แต่การสนับสนุนนั้นยังหาความมั่นคงไม่ได้ อาจเป็นการสนับสนุนเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ เพราะยังไม่เชื่อในความมั่นคงของสิ่งใหม่รวมทั้งผู้ปกครองใหม่มากนัก

17 ตามทัศนะของมาเคียเวลลี่ ศัตรูโดยธรรมชาติสําหรับนักปฏิรูปคือ

(1) ทหารในระบอบเก่า

(2) เหล่าอํามาตย์ขุนนาง

(3) ผู้ที่ได้ประโยชน์จากแบบแผนเก่า

(4) ปัญญาชนประเภทอนุรักษนิยม

(5) อาณาจักรข้างเคียง

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 16. ประกอบ

18 มาเคียเวลลี่ สอนว่าคนรอบข้างผู้ปกครองมักชอบ

(1) นินทาผู้ปกครอง

(2) เพ็ดทูลสิ่งที่ผู้ปกครองชอบได้ยิน

(3) แสดงความจงรักภักดีจนเกินเลย

(4) แสวงหาอามิสสินจ้าง

(5) มีนิสัยสุรุ่ยสุร่าย

ตอบ 2 หน้า 5 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า คนรอบข้างผู้ปกครอง (มุขบุรุษหรือมุขชน) ทั้งพวกขุนนางหรือข้าราชการมักชอบประจบสอพลอ ชอบเพ็ดทูลสิ่งที่ผู้ปกครองชอบได้ยินมากกว่าสิ่งที่ควรจะฟัง หรือชอบปิดกั้นความจริงที่ผู้ปกครองควรจะทราบ ซึ่งหากผู้ปกครองค้นพบคุณสมบัติดังกล่าวนี้ ในตัวข้าราชการผู้ใด ก็ควรที่จะลงโทษหรือกําจัดโดยเร็ว เพราะพวกนี้เองที่จะเป็นผู้ทําลายเสถียรภาพของผู้ปกครอง

19 มาเคียเวลลี่เชื่อว่าปัญหาของรูปแบบการปกครองเฉพาะ เช่น ราชาธิปไตย อภิชนาธิปไตย หรือประชาธิปไตย

(1) การไร้เมตตาธรรม

(2) การไม่มีนโยบายที่ชัดเจน

(3) การสนับสนุนตัวบุคคล

(4) การขาดเสถียรภาพ

(5) การเน้นแต่เพียงประสิทธิภาพ

ตอบ 4 หน้า 8 มาเคียเวลลี เชื่อว่า ระบบการปกครองเฉพาะแบบ เช่น ราชาธิปไตย อภิชนาธิปไตยและประชาธิปไตยเป็นสิ่งดี แต่ระบบการปกครองเฉพาะแบบนี้ก็มีข้อบกพร่องที่สําคัญ คือการขาดเสถียรภาพ และความดีของระบบก็มักจะถูกทําลายลงด้วยตัวของมันเองในเวลาไม่นานนัก

20 คําพูดใดเป็นแนวความคิดของมาเคียเวลลี

(1) ไม่มีผู้ใดใหญ่ค้ำฟ้า

(2) มนุษย์ย่อมรู้จักความพอเหมาะพอดี

(3) ธรรมชาติสร้างให้คนคิดว่าไม่มีสิ่งใดที่ไม่อาจแสวงหาได้

(4) ความรักชาติเป็นการแสดงออกถึงความกตัญญต่อแผ่นดิน

(5) มนุษย์เป็นสัตว์การเมืองที่ไม่อาจปฏิเสธชุมชนการเมืองได้

ตอบ 3 หน้า 2 มาเคียเวลลี่ กล่าวว่า ความกระหายของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่รู้จักอิ่ม คนถูกสร้างมาโดยธรรมชาติให้คิดว่าไม่มีสิ่งใดที่ไม่อาจแสวงหาได้ แต่โดยโชคชะตาแล้วคนจะสมปรารถนาในบางสิ่งเท่านั้น ดังนั้นจิตของคนจึงมีความไม่พอใจชั่วนิรันดร์

21 วาทะสําคัญของมาเคียเวลลี่ คือ

(1) การปกครองโดยประชาชน เพื่อประชาชน และของประชาชน

(2) ทหารแก่ไม่เคยตาย เพียงแต่เลือนหายไปจากความทรงจํา

(3) อนุสาวรีย์แห่งปรีชาชาญย่อมยืนนานกว่าอนุสาวรีย์แห่งอํานาจ

(4) อย่าถามว่าประเทศชาติจะทําอะไรให้ท่าน แต่ควรถามว่าท่านจะทําอะไรให้แก่ประเทศชาติ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 (คําบรรยาย) วาทะของบุคคลสําคัญ ๆ มีดังนี้

1 รัฐบาลของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน อับราฮัม ลินคอล์น

2 ทหารแก่ไม่เคยตาย เพียงแต่เลือนหายไปจากความทรงจํา – ดักลาส แมคอาร์เธอร์

3 อนุสาวรีย์แห่งปรีชาชาญย่อมยืนนานกว่าอนุสาวรีย์แห่งอํานาจ – ฟรานซิส เบคอน

4 อย่าถามว่าประเทศชาติจะทําอะไรให้ท่าน แต่ควรถามว่าท่านจะทําอะไรให้แก่ประเทศชาติ -จอห์น เอฟ. เคนเนดี

22 แนวความคิดที่สําคัญของมาเคียเวลลี่ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ

(1) ภาวะความเป็นผู้นํา

(2) เงื่อนไขระบอบประชาธิปไตย

(3) เผด็จการที่มีคุณธรรม

(4) ยุทธวิธีในการขยายดินแดน

(5) เป้าหมายแห่งรัฐ

ตอบ 1 หน้า 9 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า คุณค่าของรัฐบาลแห่งประชาธิปไตยจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อรัฐมีผู้นําที่เข้มแข็ง โดยเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนอาจเป็นผู้วางรูปแบบหลักการแห่งรัฐธรรมนูญ แต่เขาทั้งหลายจะต้องอยู่ภายใต้การนําของผู้นําที่เข้มแข็ง เสถียรภาพและความไพบูลย์ แห่งสาธารณรัฐจึงจะบังเกิดขึ้นได้ ดังนั้นแนวความคิดที่สําคัญของเขาจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาวะความเป็นผู้นํานั้นเอง

23 มาเคียเวลลี่ เห็นว่าผู้ที่ได้อํานาจมา ด้วยการสืบสันตติวงศ์ย่อม

(1) ปกครองอย่างเป็นธรรม

(2) มีแนวโน้มจะขยายอาณาจักรได้ง่ายกว่าผู้อื่น

(3) มีศักยภาพในการบําบัดทุกข์บํารุงสุข

(4) มีขนบธรรมเนียมประเพณีรองรับความชอบธรรม

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 3 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า สิ่งฉลาดที่ผู้ปกครองที่ขึ้นสู่บัลลังก์ด้วยการสืบสันตติวงศ์ควรปฏิบัติอย่างยิ่ง คือ การรักษา แบบแผนประเพณีดั้งเดิมของประเทศไว้ อย่าพยายามเสียงเปลี่ยนแปลง ขนบธรรมเนียมของเดิมเสียใหม่ ทั้งนี้เพราะสิ่งแวดล้อมและขนบธรรมเนียมประเพณีเดิมนั้นสนับสนุนการครองอํานาจอันชอบธรรมของผู้ปกครองเป็นอย่างดีอยู่แล้ว

24 ตามทัศนะของมาเคียเวลลี หนทางในการรักษาไว้ซึ่งอํานาจสําหรับผู้ที่ขึ้นสู่อํานาจด้วยการสืบสันตติวงศ์ คือ

(1) ใช้กําลังเข้าจัดการกับผู้แข็งข้อ

(2) การใช้เมตตาธรรมกับทุกฝ่ายอย่างเสมอหน้ากัน

(3) การใช้นโยบายที่ถูกต้องในการปกครองประเทศ

(4) มีการรักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตย

(5) การดําเนินรอยตามแบบแผนประเพณีดั้งเดิม

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 23. ประกอบ

25 มุขบุรุษต้องมีคุณสมบัติของสุนัขจิ้งจอก เพราะ

(1) ต้องมีพรรคพวก

(2) ต้องมีความเฉลียวฉลาด

(3) ต้องมีความเย่อหยิ่ง

(4) ต้องรักษาสัจจะ

(5) ต้องทําร้ายผู้อื่นลับหลัง

ตอบ 2 หน้า 7 มาเคียเวลลี่ เห็นว่า ผู้ปกครองหรือมุขบุรุษควรมีคุณสมบัติแห่งจิ้งจอกและราชสีห์รวมเข้าไว้ด้วยกัน กล่าวคือ ผู้ปกครองควรมีความเฉลียวฉลาดดุจดังสุนัขจิ้งจอก และมีความเข้มแข็งอย่างราชสีห์ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะสามารถผจญกับเล่ห์เหลี่ยมและปราบปรามผู้ที่ตนปกครองได้นั่นเอง

26 ฮอบส์เป็นนักคิดที่สนับสนุนระบอบ

(1) ประชาธิปไตย

(2) ธนาธิปไตย

(3) อํามาตยาธิปไตย

(4) สมบูรณาญาสิทธิราชย์

(5) สังคมนิยม

ตอบ 4 หน้า 13, 25, 27 แม้ว่าฮอบส์จะสนับสนุนให้องค์อธิปัตย์หรือกษัตริย์หรือผู้ปกครองเป็นผู้ใช้อํานาจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียวตามหลักการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือ แบบเผด็จการเบ็ดเสร็จก็ตาม แต่องค์อธิปัตย์ของฮอบส์นั้นจะเป็นบุคคลหรือคณะบุคคล ที่ได้อํานาจมาจากการทําสัญญาระหว่างประชาชน โดยที่ทุกคนตกลงยินยอมพร้อมใจหรือ เห็นพ้องต้องกันด้วยเสียงข้างมากที่จะมอบอํานาจให้แก่ผู้ปกครอง ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย

27 ฮอบส์ เชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากแรงกระตุ้น 2 ประการ คือ

(1) กิเลสและตัณหา

(2) ความอยากและความไม่อยาก

(3) การเคลื่อนไหวและการหยุดนิ่ง

(4) ความรุนแรงและความสงบ

(5) โลกียธรรมและโลกุตรธรรม

ตอบ 2 หน้า 16 ฮอบส์ เชื่อว่า พฤติกรรมของมนุษย์นั้นเป็นผลมาจากแรงกระตุ้นภายใน 2 ประเภท คือ

1 ความอยากหรือความต้องการ (Appetite/Desire)

2 ความไม่อยากหรือความไม่ต้องการ (Aversion)

นอกจากนี้ความรักหรือความเกลียดความดีหรือความชั่ว ก็เป็นความรู้สึกที่เกิดจากแรงกระตุ้นทั้ง 2 ประเภทนี้เช่นเดียวกัน

28 ความเท่าเทียมกันทางร่างกาย หมายถึง

(1) ในด้านกําลังกาย

(2) ในด้านอวัยวะ

(3) ในด้านการต่อสู้ความคิดอ่าน

(4) ในด้านความอ่อนแอเหมือน ๆ กัน

(5) ในด้านการใช้อาวุธ

ตอบ 3 หน้า 16 ฮอบส์ เห็นว่า ความเท่าเทียมกันทางร่างกาย หมายถึง ความเท่าเทียมกันในด้านการต่อสู้ความคิดอ่าน โดยเขาอธิบายว่า แม้คนเราจะมีความแตกต่างกันในด้านกําลังกายและความคิดอ่านก็ตาม แต่เขาไม่อาจจะอาศัยเหตุผลแห่งความแตกต่างนี้เป็นข้ออ้างเพื่อประโยชน์ ของตนเหนือคนอื่นได้ตลอดไป ทั้งนี้เพราะว่าแม้คนที่อ่อนแอที่สุดก็มีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะกําจัดคนที่แข็งแรงที่สุดได้ ซึ่งถ้าไม่กระทําการด้วยเล่ห์ก็โดยการร่วมมือกับผู้อื่น

29 ในสภาวะธรรมชาติ ฮอบส์เชื่อว่าสังคมการเมือง

(1) ยังไม่เกิดขึ้น

(2) มีแต่การแก่งแย่งชิงดี

(3) ปราศจากกฎหมาย

(4) เต็มไปด้วยนักเลงการเมือง

(5) ขาดความเข้มแข็ง

ตอบ 1 หน้า 17 – 20 สภาวะธรรมชาติในทัศนะของฮอบส์ หมายถึง สภาวะที่ปราศจากรัฐบาลซึ่งอาจจะเป็นสภาวะก่อนที่จะเกิดสังคมการเมือง หรือเป็นสภาวะที่ยังไม่มีผู้ปกครองที่มีอํานาจที่แท้จริงในบ้านเมือง โดยในสภาวะธรรมชาตินั้นทุกคนจะมีสิทธิเสรีภาพ และมีอิสรภาพที่จะทําอะไรก็ได้เพื่อตอบสนองความต้องการของตน แต่เมื่อมีความต้องการในสิ่งเดียวกัน ปัญหาการแบ่งปันจึงเกิดขึ้น ทําให้มนุษย์ต้องแข่งขันกันแสวงหาอํานาจเหนือคนอื่นอยู่ร่ำไปจนนําไปสู่ “สภาวะสงคราม” ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองในที่สุด

30 สัญญาประชาคมเป็นสิ่งจําเป็น เพราะ

(1) มนุษย์ขาดวินัย

(2) ความอ่อนแอของพลังศาสนจักร

(3) มนุษย์รักและเคารพกติกา

(4) ธรรมชาติของมนุษย์ที่ชอบทําร้ายซึ่งกันและกัน

(5) มนุษย์ต้องการความหลุดพ้น

ตอบ 4 หน้า 21, 24 ฮอบส์ เห็นว่า การทําสัญญาประชาคมถือเป็นข้อตกลงระหว่างมนุษย์ที่จะยุติการกระทําอันตรายต่อกัน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง การทําสัญญาประชาคม ก็คือ การสละสิทธิ์ ตามธรรมชาติในส่วนที่จะทําร้ายผู้อื่นเพื่อปกป้องและรักษาตนเองให้ปลอดภัย ดังนั้นการบอกเลิกสัญญาจึงเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่พึงกระทํา เพราะจะขัดแย้งกับกฎธรรมชาติของมนุษย์ที่ว่ามนุษย์จะไม่ทําอะไรที่เป็นการทําร้ายตัวเอง

31 ฮอบส์เชื่อว่ามนุษย์เราสมัครใจมอบอํานาจให้แก่ผู้อื่น เพราะ

(1) เป็นธรรมชาติของการเมือง

(2) ต้องการป้องกันตนเองจากภัยภายนอก

(3) เพื่อพิทักษ์เสรีภาพ

(4) เพื่อยุติความทะเยอทะยานของผู้มีอํานาจ

(5) เป็นความประสงค์ของพระเจ้า

ตอบ 2 หน้า 21 ฮอบส์ เชื่อว่า การที่มนุษย์สมัครใจยอมมอบอํานาจให้แก่ผู้อื่นนั้น เป็นเพราะว่ามนุษย์ต้องการป้องกันตนเองจากการรุกรานจากภายนอก และต้องการป้องกันไม่ให้มนุษย์ ทําอันตรายต่อกันและกัน

32 ฮอบส์เชื่อว่าสภาวะแห่งพันธะสัญญาจะสิ้นสุดลงเมื่อองค์อธิปัตย์

(1) ถูกโค่นล้มโดยปวงชน

(2) ไม่สามารถคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน

(3) ตกลงกับปวงชนที่จะยกเลิกสัญญา

(4) ถูกโค่นล้มโดยขุนนางอํามาตย์

(5) ถูกรัฐอื่นรุกราน

ตอบ 2 หน้า 24 ฮอบส์ เห็นว่า ในกรณีที่องค์อธิปัตย์ไม่สามารถปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ประชาชนได้ หรือไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองได้ ก็หมายความว่า เขาได้สูญเสียอํานาจและหมดสภาพความเป็นองค์อธิปัตย์ไปแล้วโดยปริยาย สภาวะแห่งพันธะสัญญาก็จะสิ้นสุดลง แต่ละคนก็จะตกอยู่ในสภาวะธรรมชาติตามเดิม

33 ผลอะไรจะเกิดขึ้นตามมา หากผู้ปกครองถึงแก่กรรมลงภายหลังที่สัญญาประชาคมได้กระทําไปแล้ว

(1) สิ้นสุดสัญญา สังคม และรัฐ

(2) สัญญายังคงผูกมัดคู่สัญญา

(3) สัญญาที่ผูกมัดก็หมดโดยปริยาย

(4) เสียงข้างมากสามารถแก้ไขสัญญาเดิมได้

(5) เลือกตั้งผู้ปกครองใหม่แทนคนเก่า

ตอบ 1 หน้า 22 – 24 ฮอบส์ เห็นว่า การจัดตั้งรัฐเป็นผลมาจากการทําสัญญาประชาคม ซึ่งองค์อธิปัตย์จะมีฐานะเป็นคนธรรมดา (Natural Person) และเป็นคนสมมุติ (Artificial Person) โดยฮอบส์ ไม่ได้แยกความแตกต่างระหว่างสังคม รัฐ และรัฐบาลออกจากกัน ดังนั้นถ้าไม่มีคนธรรมดา (ผู้ปกครองหรือองค์อธิปัตย์) ที่มีอํานาจบังคับใช้เจตนารมณ์แล้ว ก็ย่อมจะเป็นการสิ้นสุดสัญญาสังคม และรัฐ มนุษย์ก็จะกลับไปสู่สภาวะธรรมชาติเหมือนเดิม

34 ตามทฤษฎีสัญญาประชาคมนั้น “องค์อธิปัตย์ไม่มีวันที่จะกระทําผิด” ข้อความที่ขีดเส้นใต้อธิบายได้ จากเหตุผลใด

(1) การผูกมัดจากสัญญา

(2) การไม่ถูกผูกมัดโดยสัญญา

(3) การปฏิบัติไปตามตัวบทกฎหมาย

(4) การเป็นตัวแทนเจตจํานงทั่วไป

(5) การเป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตย

ตอบ 2 หน้า 24 ตามทฤษฎีสัญญาประชาคมของฮอบส์นั้น องค์อธิปัตย์จะทําหน้าที่เป็นเพียงผู้รับมอบอํานาจตามที่คู่สัญญา หรือประชาชนทั้งหลายได้ตกลงกันไว้ ดังนั้นองค์อธิปัตย์จึงไม่มีข้อผูกพัน ใด ๆ ที่จะต้องปฏิบัติตามหรือรับผิดชอบต่อคู่สัญญา ซึ่งในเมื่อเป็นผู้ที่อยู่นอกเหนือสัญญาแล้ว ก็จะไม่มีการกระทําใด ๆ ขององค์อธิปัตย์ที่จะถือว่าเป็นการละเมิดสัญญา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ไม่ว่าองค์อธิปัตย์จะทําอะไรก็ไม่มีความผิดนั่นเอง

35 คําว่า “ความยุติธรรม และ อยุติธรรม” ใช้เกณฑ์อะไรเป็นเครื่องตัดสิน

(1) กฎหมาย

(2) ผลประโยชน์ส่วนรวม

(3) สัญญา

(4) ความสามัคคี

(5) ความชอบธรรม

ตอบ 3 หน้า 26 ในทัศนะของฮอบส์นั้น ความยุติธรรมหรืออยุติธรรมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังจากที่ได้มีการทําสัญญาประชาคมแล้ว กล่าวคือ เมื่อได้ทําสัญญากันแล้ว ผู้ละเมิดสัญญาหรือการไม่ปฏิบัติตามสัญญาก็คือความอยุติธรรม ส่วนความยุติธรรมก็คือสิ่งที่ไม่อยุติธรรมหรือการปฏิบัติตามสัญญานั้นเอง

36 เพราะเหตุใดผู้ใต้ปกครองถึงไม่บอกเลิกสัญญาประชาคม

(1) การบอกเลิกสัญญาเป็นการทําร้ายตัวเอง

(2) การบอกเลิกสัญญาเป็นการปฏิวัติ

(3) การบอกเลิกก่อความวุ่นวายทางการเมือง

(4) การบอกเลิกก่อให้เกิดรัฐบาลทรราช

(5) เงื่อนไขสัญญากําหนดไว้แล้วว่าบอกเลิกไม่ได้

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 30. ประกอบ

37 “สภาวะสงคราม” เกิดขึ้น ณ ที่ใด

(1) สภาพธรรมชาติ

(2) สังคมการเมือง

(3) สังคมบุพกาล

(4) สังคมสมัยใหม่

(5) สังคมเกิดจากสัญญา

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 29. ประกอบ

38 เมื่อสัญญาประชาคมได้กระทําแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาได้แก่

(1) รัฐ

(2) รัฐบาล

(3) สังคม

(4) ข้อ 2 และ 3

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 22, 38, (คําบรรยาย) ฮอบส์ เห็นว่า เมื่อสัญญาประชาคมได้กระทําขึ้นแล้วเพียงครั้งเดียว สังคม รัฐ และรัฐบาลก็จะเกิดขึ้นตามมาทันที เพราะสังคม รัฐ และรัฐบาลเป็นสิ่งเดียวกัน ดังนั้นการล้มล้างรัฐบาลจึงเป็นการกลับไปสู่สภาวะธรรมชาติตามเดิม เนื่องจากฮอบส์ไม่ได้แยกความแตกต่างระหว่างสังคม รัฐ และรัฐบาลออกจากกันนั่นเอง

39 เมื่อทําสัญญาประชาคมแล้ว ผู้ใต้ปกครองสามารถทําอะไรได้บ้าง

(1) เปลี่ยนตัวผู้ปกครอง

(2) การใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นครั้งคราว

(3) การไม่ใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นบางครั้ง

(4) การถอดถอนองค์อธิปัตย์

(5) การบอกเลิกสัญญาที่ทําไปแล้ว

ตอบ 5 หน้า 24, (คําบรรยาย) ฮอบส์ อธิบายว่า การเปลี่ยนแปลงหรือถอดถอนองค์อธิปัตย์นั้นแม้จะกระทํามิได้ แต่ประชาชนในฐานะผู้ใต้ปกครองก็มีสิทธิขัดขืนต่อองค์อธิปัตย์ได้ นั่นคือ เมื่อประชาชนตกอยู่ในสภาวะอันตรายเนื่องด้วยองค์อธิปัตย์จะทําลายชีวิตของตนเองแล้ว การใช้สิทธิ ตามธรรมชาติเพื่อการคุ้มครองตนเองของมนุษย์ย่อมกระทําได้ ทั้งนี้โดยการร่วมกันบอกเลิกสัญญาที่ทําไปแล้วเพื่อเริ่มต้นทําสัญญากันใหม่

40 “อํานาจอธิปไตย” อันเป็นผลมาจากการทําสัญญาประชาคมเป็นของใครโดยเฉพาะ

(1) ประชาชน

(2) สภาผู้แทนราษฎร

(3) คณะรัฐมนตรี

(4) คู่สัญญา

(5) บุคคลที่สาม

ตอบ 5 หน้า 21 – 22, 24 ฮอบส์ เห็นว่า อํานาจร่วม (Common Power) หรือการก่อตั้งรัฏฐาธิปัตย์นั้นเป็นผลมาจากการทําสัญญาประชาคมระหว่างคนทุกคนที่เป็นคู่สัญญากัน โดยเห็นพ้องต้องกัน ที่จะมอบอํานาจและสละสิทธิตามธรรมชาติของตนให้แก่บุคคลที่สาม ซึ่งไม่ใช่คู่สัญญา แต่จะอยู่ในฐานะเป็นองค์อธิปัตย์หรือรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งเป็นผู้ใช้อํานาจร่วมหรืออํานาจอธิปไตยโดยอํานาจอธิปไตยนี้ถือเป็นอํานาจเด็ดขาดขององค์อธิปัตย์

41 ล็อคถูกขนานนามว่าเป็นผู้ให้กําเนิดแนวความคิด

(1) อนุรักษนิยม

(2) ประชานิยม

(3) เสรีนิยม

(4) สังคมนิยม

(5) วัตถุนิยมวิภาษวิธี

ตอบ 3 หน้า 31 – 32 ล็อค เป็นนักปราชญ์ทางการเมืองชาวอังกฤษที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งวิชารัฐศาสตร์ในประเทศฮอลแลนด์ และถูกขนานนามว่าเป็นผู้ให้กําเนิดแนวความคิดเสรีนิยม นอกจากนี้แนวความคิดของเขายังมีอิทธิพลและได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในหมู่นักคิด ทั้งมองเตสกิเออ, รุสโซ, เดอ ทอคเกอร์วิลล์ และนักคิดร่วมสมัยในฝรั่งเศสก็ได้ใช้ทฤษฎีของล็อคในการวิเคราะห์ระบบเก่าอย่างมีประสิทธิภาพด้วย

42 นอกจากความมีเหตุผลแล้ว ล็อคเชื่อว่ามนุษย์ยังมี

(1) ความเมตตาและการใฝ่สันติ

(2) ความดุร้ายและการแก่งแย่งชิงดี

(3) ความเฉลียวฉลาดและการชิงไหวชิงพริบ

(4) ความซื่อสัตย์และความตรงไปตรงมา

(5) ความฝันและจินตนาการอันสูงส่ง

ตอบ 1 หน้า 33 ล็อค เห็นว่า โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์มีคุณสมบัติประจําตัว คือ ความมีเหตุผลอันเป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้แก่มนุษย์ทุกคน ซึ่งนอกจากความมีเหตุผลแล้ว มนุษย์ยังมีความเมตตาธรรม ใฝ่สันติ และสุขุมรอบคอบอีกด้วย

43 ล็อคได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแหงวิชารัฐศาสตร์ในประเทศ

(1) สหรัฐอเมริกา

(2) อิตาลี

(3) ฝรั่งเศส

(4) ฮอลแลนด์

(5) เยอรมนี

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ

44 ความมีเหตุผลของมนุษย์ ล็อคเชื่อว่าเกิดจาก

(1) พระผู้เป็นเจ้า

(2) การเอาตัวรอด

(3) การมีปัญญา

(4) ประสบการณ์

(5) พรสวรรค์

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 42. ประกอบ

45 ผู้ใดที่ไม่ได้อยู่ใต้อิทธิพลทางความคิดของล็อค

(1) มองเตสกิเออ

(2) รุสโซ

(3) เดอ ทอคเกอร์วิลล์

(4) เฮเกล

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 41. ประกอบ

46 ข้อใดเป็นแนวความคิดของล็อค

(1) คนคือสัตว์การเมือง

(2) มนุษย์เกิดมาพร้อมความป่าเถื่อน

(3) มนุษย์มีเหตุผลและมีเมตตาธรรม

(4) ไม่มีสังคมใดที่มีเสรีภาพโดยสมบูรณ์

(5) ความเสมอภาคได้มาด้วยการต่อสู้

ตอบ 3 ดูคําอธิบายข้อ 42. ประกอบ

47 ล็อคเห็นว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนบุคคลเกิดจาก

(1) การถ่ายโอนเป็นมรดกตกทอด

(2) การประกาศความเป็นเจ้าของ

(3) การยอมรับความเป็นเจ้าของของผู้ใดผู้หนึ่งโดยผู้อื่น

(4) การใช้แรงงานต่อสิ่งของนั้น ๆ

(5) การจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินตามกฎหมาย

ตอบ 4 หน้า 34 ล็อค เห็นว่า สรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ตามธรรมชาติในโลกนี้ทั้งหมดเป็นของทุกคน (ชาวโลกทั้งมวล) หรือทุกคนมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินร่วมกัน โดยแต่ละคนสามารถมีกรรมสิทธิ์ ในทรัพย์สินส่วนตัวหรือส่วนบุคคล (Private Property) ได้ ก็ต่อเมื่อเขาได้ใช้แรงงานจากร่างกาย เคลื่อนย้ายหรือเก็บเกี่ยวของสิ่งนั้น รวมทั้งในการสะสมทรัพย์สินก็จะต้องไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่นด้วย

48 ล็อคเห็นว่าสัญญาประชาคมเกิดขึ้นโดย

(1) ผู้ที่เข้มแข็งกว่าหยิบยื่นให้

(2) การตกลงทําสัญญาสันติภาพ

(3) อัตโนมัติตามสภาวะธรรมชาติ

(4) ความเกรงกลัวต่อภัยคุกคามจากภายนอก

(5) การยินยอมสมัครใจเพื่อการดํารงอยู่ร่วมกัน

ตอบ 5 หน้า 36 ล็อค เห็นว่า การทําสัญญาประชาคมเพื่อการดํารงอยู่ร่วมกันเป็นสังคมหรือประชาคมเดียวกันนั้น จะเป็นไปด้วยความสมัครใจหรือความยินยอมของทุกคน โดยทุกคนมุ่งหวังที่จะ ดํารงชีวิตอย่างสะดวกสบาย มีความปลอดภัย และมีความสงบสุขในการใช้ทรัพย์สินของตนอย่างมั่นคง และเป็นความมั่นคงที่ยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่ไม่เข้าร่วมหรือมีความมั่นคงกว่าเดิม

49 “สภาวะสงคราม” ในทัศนะของล็อค หมายถึง

(1) ความขัดแย้งทําลายเสรีภาพ

(2) สงครามระหว่างรัฐ

(3) การใช้กําลังเข้ายึดอํานาจ

(4) สภาพที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ตามธรรมชาติ

(5) ความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง

ตอบ 1 หน้า 35 ล็อค เห็นว่า ข้อบกพร่องของสภาวะธรรมชาติเป็นสาเหตุที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งจนกระทั่งนําไปสู่ “สภาวะสงคราม” ซึ่งจะทําลายเสรีภาพของมนุษย์ในที่สุด

50 ฝ่ายนิติบัญญัติในฐานะสูงสุดหรือ Supreme Power นั้นตรงกับข้อใด

(1) เป็นองค์อธิปัตย์

(2) เป็นที่มาของฝ่ายบริหาร

(3) เป็นองค์กรที่ใช้สิทธิพิเศษ

(4) เป็นองค์กรที่แสดงเจตจํานงของรัฐ

(5) เป็นผู้ออกกฎหมายควบคุมประชาชน

ตอบ 5 หน้า 39 – 40 ในทัศนะของล็อคนั้น ฝ่ายนิติบัญญัติเป็นองค์กรที่ใช้อํานาจสูงสุดภายในรัฐเหนืออํานาจอื่นทั้งหมด (Supreme Power) ซึ่งทําหน้าที่เป็นผู้ออกกฎหมายควบคุมประชาชน เท่านั้น อย่างไรก็ตามฝ่ายนิติบัญญัติก็ไม่ได้เป็นองค์กรที่ใช้อํานาจอธิปไตยหรือเป็นองค์อธิปัตย์ที่มีอํานาจสูงสุดภายในรัฐแต่อย่างใด

51 ระบบการเมืองตามทฤษฎีสัญญาประชาคมสอดคล้องกับระบบการเมืองแบบใดมากที่สุด

(1) รัฐสภา

(2) ประธานาธิบดี

(3) ถึงประธานาธิบดี

(4) กิ่งรัฐสภา

(5) แบบผสมระหว่าง 1 กับ 2

ตอบ 1 หน้า 38 – 41, (คําบรรยาย) ตามหลักสัญญาประชาคมของล็อคนั้น เมื่อมนุษย์ตัดสินใจเข้ามาใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมการเมืองแล้ว สิ่งแรกที่จําเป็นต้องดําเนินการคือ การสถาปนาองค์กรที่ ใช้อํานาจนิติบัญญัติขึ้นมาเพื่อวางแนวทางในการดําเนินงานหรือกําหนดนโยบายให้ฝ่ายบริหาร นําไปปฏิบัติ ดังนั้นฝ่ายบริหารจึงไม่มีอิสระที่จะทําอะไรตามเจตจํานงของตน ทั้งนี้เพราะการใช้อํานาจของฝ่ายบริหารนั้นจะต้องเป็นไปตามกฎหมายที่ฝ่ายนิติบัญญัติกําหนดขึ้น ซึ่งจากหลักการดังกล่าวจะเห็นได้ว่ามีความสอดคล้องกับระบบการเมืองแบบรัฐสภามากที่สุด

52 เมื่อสัญญาได้กระทํากันแล้ว สิทธิในทรัพย์สินถูกเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะอย่างไร

(1) มีความมั่นคงกว่าเดิม

(2) มีความมั่นคงน้อยกว่าเดิม

(3) เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล

(4) กรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลกลายเป็นกรรมสิทธิ์ร่วม

(5) กลายเป็นที่มาแห่งสิทธิในทรัพย์สิน

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 48. ประกอบ

53 หากรัฐบาลถูกยุบ ประชาชนจะต้องทําอะไรในอันดับต่อไป

(1) ทําสัญญาก่อตั้งสังคมใหม่

(2) เลือกตั้งรัฐบาลใหม่

(3) ดูแลความปลอดภัยให้แก่ตนเอง

(4) ใช้สิทธิพิเศษ

(5) ใช้อํานาจสหพันธ์

ตอบ 2 หน้า 38, 43, คําบรรยาย) ล็อค กล่าวว่า รัฐบาลกับสังคมไม่ใช่สิ่งเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลสามารถกระทําได้โดยไม่กระทบต่อสังคม ดังนั้นหากรัฐบาลถูกยุบ ประชาชนต้องทําการเลือกตั้งหรือสถาปนารัฐบาลขึ้นใหม่ ที่เรียกว่าเปลี่ยนความยินยอม ซึ่งต้องเป็นไปตามเสียงข้างมากเท่านั้น

54 บุคคลหรือกลุ่มบุคคลใดที่ถือได้ว่าเป็นองค์อธิปัตย์แห่งรัฐที่แท้จริง

(1) ประชาชนทั้งหมด

(2) ประชาชนส่วนใหญ่

(3) ผู้ใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง

(4) ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นรัฐบาล

(5) ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั้งหมด

ตอบ 1 หน้า 40 ล็อค เห็นว่า ประชาชนทั้งมวล (ประชาชนทั้งหมด) จะอยู่ในฐานะเป็นองค์อธิปัตย์แห่งรัฐที่แท้จริง แต่สามารถใช้อํานาจอธิปไตยได้เป็นครั้งคราวในกรณีที่รัฐบาลถูกยุบเท่านั้น

55 ผู้ที่ได้รับความยินยอมจากเสียงข้างมากของประชาชนตามหลักแห่งสัญญาประชาคม คือผู้ใด

(1) นิติบัญญัติ

(2) บริหาร

(3) ตุลาการ

(4) ทรัสตรี

(5) องค์อธิปัตย์

ตอบ 2 หน้า 36 – 38 ตามหลักการแห่งสัญญาประชาคมนั้น ล็อค อธิบายว่า การสถาปนารัฐบาลถือว่าเป็นเรื่องของการให้ความยินยอมเช่นเดียวกับการสถาปนาสังคมการเมืองหรือรัฐ กล่าวคือ การสถาปนารัฐจะเป็นไปในลักษณะของการให้ความยินยอมโดยเอกฉันท์ ส่วนการสถาปนารัฐบาล (ฝ่ายบริหาร) นั้นจะเป็นไปในลักษณะของการให้ความยินยอมโดยเสียงข้างมากของประชาชน

56 รุสโซ เชื่อว่าแม้ว่าสภาพธรรมชาติจะเป็นสภาพที่น่าอยู่ แต่สังคมการเมืองเกิดขึ้นเพราะ

(1) มนุษย์เราเป็นสัตว์การเมือง

(2) มนุษย์เราชอบทดลองสังคมรูปแบบใหม่

(3) มนุษย์เราต้องการความสมบูรณ์โดยการอยู่อาศัยร่วมกัน

(4) มนุษย์เราต้องการหลีกหนีจากสภาพแวดล้อมที่ป่าเถื่อน

(5) มนุษย์เราไม่มีทางเลือกอื่น

ตอบ 3 หน้า 69 – 70, (คําบรรยาย) รุสโซ เห็นว่า การเกิดสังคมการเมืองเป็นผลมาจากสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ต้องการความสมบูรณ์โดยการอาศัยอยู่ร่วมกัน แม้ว่าจะมีส่วนทําลายความบริสุทธิ์ และความดีงามของมนุษย์ก็ตาม แต่สิ่งที่มนุษย์ได้รับการทดแทนจากการสูญเสียความบริสุทธิ์และความดีงามในสังคมการเมืองสมัยใหม่นั้นก็คือ ความสมบูรณ์ทางจิตใจ

57 สิ่งที่มนุษย์ได้มาทดแทนกับการสูญเสียความบริสุทธิ์และความดีงามในสังคมการเมืองนั้นคืออะไร

(1) ความเสมอภาค

(2) สันติภาพ

(3) เสรีภาพทางการเมือง

(4) ความปลอดภัย

(5) ความสมบูรณ์ทางจิตใจ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 56. ประกอบ

58 การที่มนุษย์ห่างไกลธรรมชาติ สิ่งที่เขาได้รับนั้นคืออะไร

(1) ความเจริญก้าวหน้า

(2) ความอุดมสมบูรณ์

(3) การสูญเสียความบริสุทธิ์

(4) ความมีเหตุผล

(5) ความยุติธรรม

ตอบ 3 หน้า 66 รุสโซ ได้ชี้ให้เห็นถึงความเน่าเฟะของวิทยาศาสตร์ในทํานองว่าความเจริญก้าวหน้าทางศิลปะและวิทยาศาสตร์จะทําให้คนหนีไกลออกไปจากธรรมชาติ และถ้ามนุษย์ยิ่งห่างไกล ธรรมชาติมากเท่าใด ก็ยิ่งทําให้ความบริสุทธิ์และคุณงามความดีซึ่งเป็นคุณสมบัติประจําตัวของมนุษย์ลดน้อยลงมากเท่านั้น

59 “สิ่งที่มนุษย์ได้รับการทดแทนจากการเสียความบริสุทธิ์ในสังคมสมัยใหม่”

(1) ความเสมอภาคทางการเมือง

(2) ความเสมอภาคในกรรมสิทธิ์

(3) ความสมบูรณ์ในการดํารงชีพ

(4) ความปลอดภัยในชีวิต

(5) ความสมบูรณ์ทางจิตใจ

ตอบ 5 ดูคําอธิบายข้อ 56. ประกอบ

60 “การเสียความบริสุทธิ์ของมนุษย์

(1) สังคมธรรมชาติ

(2) สังคมการเมือง

(3) สังคมเมือง

(4) สังคมที่พัฒนาแล้ว

(5) สังคมบุพกาล

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 56. ประกอบ

61 สิ่งที่ถือว่าเป็น “ความไม่เท่าเทียมกันในสภาวะธรรมชาติ”

(1) ร่างกาย

(2) เสรีภาพ

(3) ทรัพย์สิน

(4) ความเสมอภาค

(5) ความปลอดภัยในชีวิต

ตอบ 1 หน้า 69, 75 รุสโซ เชื่อว่า สภาวะธรรมชาติเป็นสภาวะที่มีแต่สันติภาพ เสรีภาพ และความเสมอภาคอย่างบริบูรณ์เท่าเทียมกัน แต่ในขณะเดียวกันมนุษย์ก็มีความไม่เท่าเทียมกันโดย ธรรมชาติอยู่บ้างบางประการ เช่น ความแข็งแรงของร่างกาย ความมากน้อยของอายุ เพศ พละกําลัง ความสามารถของสติปัญญา เป็นต้น

62 “ผลอันเกิดจากที่มนุษย์ต้องการความสมบูรณ์”

(1) สภาวะสงคราม

(2) ความอิจฉาริษยา

(3) ความขยันขันแข็ง

(4) การร่วมมือกับผู้อื่น

(5) ความสุขในอนาคต

ตอบ 4 หน้า 69 รุสโซ อธิบายว่า การมีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวในสังคมธรรมชาติย่อมจะหาความสมบูรณ์ได้ยาก เพราะว่าความสมบูรณ์นั้นมนุษย์หาได้จากการร่วมมือหรือการพึ่งพิงบุคคลอื่น เท่านั้น ดังนั้นผลอันเกิดจากการสนองตอบต่อสัญชาตญาณที่มนุษย์ต้องการความสมบูรณ์ก็คือการร่วมมือระหว่างกันหรือการร่วมมือกับผู้อื่นนั่นเอง

63 “ความไม่สมบูรณ์

(1) สังคมธรรมชาติ

(2) สังคมการเมือง

(3) สังคมเมือง

(4) สังคมอุตสาหกรรม

(5) สังคมบุพกาล

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 62. ประกอบ

64 มนุษย์สามารถสนองตอบต่อสัญชาตญาณที่ต้องการความสมบูรณ์ได้โดยวิธีใด

(1) การแข่งขันระหว่างกัน

(2) การร่วมมือระหว่างกัน

(3) การดํารงชีพแบบต่างคนต่างอยู่

(4) การทําสัญญาประชาคม

(5) การทําอะไรตามใจปรารถนา

ตอบ 2 ดูคําอธิบายข้อ 62. ประกอบ

65 “รัฐบาล” ตามแนวคิดสัญญาประชาคม หมายถึงบุคคลหรือสถาบันใด

(1) นิติบัญญัติ

(2) บริหาร

(3) ตุลาการ

(4) องค์อธิปัตย์

(5) ข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 2 หน้า 79 ตามทฤษฎีสัญญาประชาคม รุสโซ อธิบายว่า “รัฐบาล” หมายถึงผู้ที่ใช้อํานาจบริหารซึ่งมีฐานะเป็นเพียงแค่องค์กรที่รับมอบอํานาจอธิปไตยที่เป็นของประชาชนเท่านั้น อีกทั้งรัฐบาล เป็นเพียงคณะบุคคลที่นําเอาเจตจํานงทั่วไปมาปฏิบัติ รัฐบาลไม่ใช่องค์อธิปัตย์ เนื่องจากการจัดตั้งรัฐบาลเป็นผลมาจากกฎหมายมิใช่เป็นการทําสัญญา

66 “ผลที่ตามมาจากการทําสัญญาประชาคม

(1) ความรู้สึกที่ไม่ถูกกดขี่โดยกฎหมาย

(2) ความรู้สึกที่ไม่ถูกกดขี่จากองค์อธิปัตย์

(3) การมีอิสรภาพทางการเมือง

(4) การมีหลักประกันความปลอดภัย

(5) การมีหลักประกันการใช้ทรัพย์สิน

ตอบ 1 หน้า 73 – 76 รุสโซ เห็นว่า ผลที่เกิดขึ้นจากการทําสัญญาประชาคมมี 2 ประการ ได้แก่

1 เสรีภาพ (แบบใหม่) อันเกิดจากการออกกฎหมายมาใช้บังคับตนเอง ซึ่งทําให้ทุกคนมีความรู้สึกว่าไม่ถูกกดขี่จากกฎหมาย

2 ความเสมอภาค เป็นภาวะที่ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน นับตั้งแต่การมีส่วนร่วมในการเป็นเจ้าของอํานาจอธิปไตยหรือเจตจํานงทั่วไป และการเป็นผู้บัญญัติกฎหมาย

67 แนวความคิดใดที่ไม่ใช่แนวคิดของรุสโซ

(1) สัญญาประชาคม

(2) เสรีภาพและความเสมอภาค

(3) เจตจํานงทั่วไป

(4) สุนัขจิ้งจอกกับราชสีห์

(5) ความเน่าเฟะของวิทยาศาสตร์

ตอบ 4 หน้า 69 – 77, (คําบรรยาย) แนวความคิดที่สําคัญของรุสโซ ได้แก่

1 การเกิดระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินส่วนตัว จะนําไปสู่ความไม่เสมอภาคในหมู่มนุษย์

2 มนุษย์เราเกิดมาย่อมใฝ่หาเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ

3 การปฏิเสธเสรีภาพ คือ การปฏิเสธในการแยกแยะสิ่งที่ผิดและสิ่งที่ถูก

4 มนุษย์เราเกิดมาถูกจองจําในอาณาจักรแห่งความคิด

5 คนจะยินดีอยู่ในรัฐมากขึ้นเมื่อมีส่วนร่วมในการออกกฎหมายมากขึ้น

6 การทําสัญญาประชาคมจะก่อให้เกิดเสรีภาพ (แบบใหม่) และความเสมอภาคขึ้น

7 เจตจํานงทั่วไปคือเจตจํานงของคนทุกคน

8 ความเน่าเฟะของวิทยาศาสตร์ในทํานองว่าความเจริญก้าวหน้าทางศิลปะและวิทยาศาสตร์จะทําให้คนหนีไกลออกไปจากธรรมชาติ เป็นต้น

68 รุสโซ เชื่อว่ามนุษย์เราจะปราศจากเสรีภาพหากปราศจาก

(1) กฎหมายที่เป็นธรรม

(2) ผู้นําที่ทรงคุณธรรม

(3) ระบบการตรวจสอบที่ดี

(4) ความเสมอภาค

(5) หลักประกันทางกฎหมาย

ตอบ 4 หน้า 81 รุสโซ เชื่อว่า ถ้ามนุษย์ปราศจากเสียซึ่งความเสมอภาค การใช้เสรีภาพของมนุษย์นั้นย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าคน ๆ หนึ่งตกเป็นทาสของอีกคนหนึ่งนั้นหมายถึงว่า เขาได้สูญเสียความเสมอภาคของความเป็นมนุษย์ไปแล้ว เสรีภาพของเขาจึงขึ้นอยู่กับผู้เป็นนายเท่านั้น

69 “เสรีภาพแบบใหม่” อันหมายถึงการเคารพเชื่อฟังเจตจํานงของตนเองนั้นเกิดขึ้นจากอะไร

(1) การเคารพกฎหมายที่ดี

(2) การเชื่อฟังเจตจํานงทั่วไป

(3) การใช้เหตุผลกํากับการกระทํา

(4) การใช้สิทธิเลือกตั้ง

(5) การกระทํานอกเหนือจากที่กฎหมายห้าม

ตอบ 2 หน้า 78 รุสโซ เชื่อว่า เสรีภาพแบบใหม่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่ประชาชนทุกคนเป็นผู้มีส่วนในการบัญญัติกฎหมายหรือการร่วมกันแสดงเจตจํานงทั่วไป และขณะเดียวกันก็เคารพกฎหมายหรือเชื่อฟังเจตจํานงทั่วไปที่ตนเองเป็นผู้บัญญัติขึ้น

70 ผู้เป็นเจ้าของหรือทรงไว้ซึ่งอํานาจอธิปไตยจะมีโอกาสใช้อํานาจของตนเมื่อใด

(1) เป็นรัฐบาล

(2) บัญญัติกฎหมาย

(3) ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

(4) เปลี่ยนแปลงรัฐบาล

(5) ทําสัญญาประชาคม

ตอบ 2 หน้า 78 รุสโซ เห็นว่า อํานาจอธิปไตยเป็นของประชาชนทั้งหมด (ประชาชนทั้งมวล)และประชาชนสามารถใช้อํานาจอธิปไตยนี้ได้โดยการทําหน้าที่บัญญัติกฎหมาย เพราะว่าในการบัญญัติกฎหมายนั้นประชาชนมีอํานาจเต็มที่ไม่ต้องเชื่อฟังใคร

71 แนวความคิดใดของเฮเกลที่มีอิทธิพลมากที่สุดต่อการศึกษาเรื่องอํานาจทางการเมืองการปกครอง

(1) รัฐ

(2) ครอบครัว

(3) พระเจ้า

(4) องค์อธิปัตย์

(5) สังคมเข้มแข็ง

ตอบ 1 หน้า 116, 121 ความคิดรวบยอดเกี่ยวกับ “รัฐ” ถือได้ว่าเป็นหัวใจของปรัชญาการเมืองของเฮเกล โดยเขาเห็นว่ารัฐควรเป็นสถาบันที่มีอํานาจสูงสุดในสังคม ทั้งนี้เพราะรัฐเป็นผู้ทําให้ความคิดทางจริยธรรมและเสรีภาพของพลเมืองปรากฏเป็นจริงขึ้นมาในสังคม

72 เหตุผลใดที่เฮเกลใช้ในการสนับสนุนความคิดที่ว่า รัฐควรเป็นสถาบันที่มีอํานาจสูงสุดในสังคม

(1) รัฐเป็นผู้ทําให้ความคิดทางจริยธรรมและเสรีภาพของพลเมืองเป็นจริงขึ้นมา

(2) การเปลี่ยนแปลงสังคมแบบรุนแรงและถอนรากถอนโคน

(3) ความเสมอภาคของปัจเจกบุคคล

(4) รัฐเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต

(5) รัฐเป็นเครื่องมือของชนชั้น

ตอบ 1 ดูคําอธิบายข้อ 71. ประกอบ

73 ข้อใดเป็นคําอธิบายการเกิดขึ้นของรัฐที่สอดคล้องกับแนวคิดเรื่องกระบวนการวิภาษวิธีของเฮเกล

(1) ครอบครัวเป็น Thesis, รัฐเป็น Antithesis, ก่อให้เกิดสังคมพลเรือนซึ่งเป็น Synthesis

(2) รัฐเป็นการผสมผสาน (Synthesis) ระหว่างครอบครัวกับสังคมพลเรือน

(3) ครอบครัวเป็น Antithesis ต่อสังคมพลเรือน ทําให้จําเป็นต้องสถาปนารัฐขึ้นมา

(4) สังคมพลเรือนเป็น Synthesis อันเป็นผลมาจากการปะทะขัดแย้งกันระหว่างรัฐกับครอบครัว

(5) รัฐเป็น Antithesis ทั้งต่อครอบครัวและสังคมพลเรือน

ตอบ 2 หน้า 116 – 117, 121 ตามแนวคิดเรื่องกระบวนการวิภาษวิธีของเฮเกลนั้น รัฐเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานระหว่างครอบครัว (ความรัก) ซึ่งเป็น Thesis กับสังคมพลเรือน (การแข่งขัน) ซึ่งเป็น Antithesis ดังนั้นรัฐจึงถือได้ว่าเป็นภาวะผสมผสาน (Synthesis) ซึ่งมีความสมบูรณ์กว่าคือ มีเหตุมีผลและเสรีภาพมากกว่านั้นเอง

74 ตามแนวความคิดเรื่องจิตนิยม (Idealism) เฮเกลแบ่งความเป็นจริงออกเป็น 2 ส่วน อะไรบ้าง

(1) สสารกับอสสาร

(2) จิตกับกาย

(3) จิตกับวัตถุ

(4) ตัวตนและไม่ใช่ตัวตน

(5) กายภาพกับชีวภาพ

ตอบ 1 หน้า 110 ในเรื่องจิตนิยม (Idealism) นั้น เฮเกล เห็นว่า สรรพสิ่งทั้งหลายที่เป็นจริงจะมีองค์ประกอบอยู่ 2 ส่วน ได้แก่

1สสาร คือ เป็นวัตถุ มองเห็น และจับต้องได้

2 อสสาร คือ ไม่เป็นวัตถุ มองไม่เห็น และจับต้องไม่ได้

75 อะไรเป็นเหตุที่ทําให้เฮเกลได้ชื่อว่าเป็นนักปรัชญาคนสําคัญในสํานัก “จิตนิยม”

(1) เน้นความสําคัญของ “จิต” ว่าเป็นต้นกําเนิดของวัตถุและการเปลี่ยนแปลงในโลก

(2) เน้นสิ่งที่มองเห็นไม่ได้ว่าอยู่เหนือสิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตา

(3) “อรูป” สําคัญกว่า “รูป”

(4) เน้น “เนื้อหา” มากกว่า “รูปแบบ”

(5) อธิบายเรื่องรัฐว่าเป็นอสสาร

ตอบ 1 หน้า 110 – 111, (คําบรรยาย) เฮเกล ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปรัชญาเมธีคนสําคัญในสํานักจิตนิยม ทั้งนี้เพราะเขาได้ให้ความสําคัญในเรื่องของจิตเป็นอย่างมาก โดยเห็นว่าจิตนั้นเป็นต้นกําเนิดของวัตถุและการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในโลก

76 ลัทธิมาร์กซ์ เกี่ยวข้องกับอะไร

(1) นักคิดชื่อ Cart Marx

(2) แนวคิดแบบคอมมิวนิสต์

(3) แนวคิดแบบเสรีนิยม

(4) แนวคิดอรรถประโยชน์นิยม

(5) ถูกเฉพาะข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 2 หน้า 172 173, (คําบรรยาย) ลัทธิมาร์กซ์ ก่อกําเนิดขึ้นโดยนักคิดที่ชื่อว่า คาร์ล มาร์กซ์(Karl Marx) ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าตํารับหรือบิดาแห่งคอมมิวนิสต์ โดยมาร์กซ์นั้นเกิดที่เมืองทรีเออร์ ประเทศเยอรมนี เมื่อปี ค.ศ. 1818 บิดาเป็นทนายความที่มีชื่อเสียง มาร์กซ์เคยมีสัญชาติยิวแต่เมื่ออายุได้ 6 ขวบ ก็เปลี่ยนเป็นโปรเตสแตนต์

77 ลัทธิมาร์กซ์ เชื่อว่าอย่างไร

(1) เศรษฐกิจเป็นปัจจัยหลักของความขัดแย้ง

(2) นายทุนเอาเปรียบกรรมกร

(3) ชัยชนะของชนชั้นแรงงานทําให้เกิดความเท่าเทียม

(4) ระบบทุนนิยมทําให้เกิดการแบ่งแยกทางชนชั้น

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 182, 186 187, (คําบรรยาย) ความเชื่อของลัทธิมาร์กซ์ มีดังนี้

1 เศรษฐกิจเป็นปัจจัยหลักของความขัดแย้ง

2 สังคมทุนนิยมเป็นสังคมที่นายทุนเอาเปรียบกรรมกร

3 ชัยชนะของชนชั้นแรงงานทําให้เกิดความเท่าเทียม คือทุกคนเป็นกรรมกร ไม่มีชนชั้นอื่น

4 ระบบทุนนิยมทําให้เกิดการแบ่งแยกสังคมเป็น 2 ชนชั้น คือ ชนชั้นกรรมาชีพ และชนชั้นนายทุน เป็นต้น

78 อะไรคือตัวบ่งชี้ความล้มเหลวของลัทธิมาร์กซ์

(1) การเสื่อมสลายของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม

(2) การสลายตัวของระบบสังคมนิยม

(3) การนําระบบเศรษฐกิจแบบตลาดมาใช้

(4) การยอมรับและนําระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมมาใช้

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 171, (คําบรรยาย) ตัวบ่งชี้ความล้มเหลวของลัทธิมาร์กซ์ ได้แก่

1 การเสื่อมสลายของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมในด้านการปฏิบัติ

2 การสลายตัวของระบบสังคมนิยม

3 การนําระบบเศรษฐกิจแบบตลาดมาใช้

  1. การยอมรับและนําระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมมาใช้ เป็นต้น

79 จุดอ่อนของลัทธิมาร์กซ์คืออะไร

(1) เห็นรากเหง้าของปัญหาความขัดแย้ง

(2) ไม่มีการแบ่งแยกทางชนชั้น

(3) ทุกคนเท่าเทียมกัน

(4) การมองโลกในด้านเดียว

(5) ผิดทุกข้อ ตอบ 4 หน้า 193 194 (คําบรรยาย) จุดอ่อนของลัทธิมาร์กซ์ คือ การมองโลกในด้านเดียว โดยเชื่อว่าความขัดแย้งในสังคมเกิดจากพื้นฐานทางเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ในความเป็นจริงนั้น มนุษย์จะดิ้นรนเพื่อเกียรติยศชื่อเสียงด้วย ถึงแม้ว่าจะสูญเสียปัจจัยทางเศรษฐกิจก็ตาม ทั้งนี้เพราะคนมิใช่สัตว์เศรษฐกิจอย่างที่มาร์กซ์เข้าใจ

80 นักคิดที่ไม่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มลัทธิมาร์กซ์ คือ

(1) เหมา เจ๋อ ตุง

(2) เลนิน

(3) ฮิตเลอร์

(4) คาร์ล มาร์กซ์

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 171 172 นักคิดที่จัดอยู่ในกลุ่มลัทธิมาร์กซ์ ได้แก่

1 คาร์ล มาร์กซ์ (Kart Marx)

2 นิโคไล เลนิน (Nicolai Lenin)

3 เหมา เจ๋อ ตุง หรือ เมา เซ ตุง (Mao Tse Tung)

81 คาร์ล มาร์กซ์ มีความคิดต่อต้านศาสนาเหมือนกับนักคิดคนใด

(1) ซัง ซิมองต์

(2) อดัม สมิธ

(3) ลุดวิก ฟอยเออร์บาร์ค

(4) จอร์จ วิลเลียม ฟรีดริช เฮเกล

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 3 หน้า 174, (คําบรรยาย) คาร์ล มาร์กซ์ มีความคิดต่อต้านศาสนาเหมือนกับ ลุดวิก ฟอยเออร์บาร์คซึ่งเชื่อว่าศาสนามิได้เป็นตัวกําหนดปรากฏการณ์ทุกอย่าง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกเป็น ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากวัตถุมากกว่า และคนเป็นผู้กําหนด มิใช่พระเจ้า

82 บทความเรื่อง “ครอบครัวอันศักดิ์สิทธิ์” เป็นข้อเขียนร่วมกันระหว่าง

(1) ฟรีดริช เองเกลส์ + คาร์ล มาร์กซ์

(2) ลุดวิก ฟอยเออร์บาร์ค + คาร์ล มาร์กซ์

(3) อดัม สมิธ + เดวิด ริคาร์โด

(4) คาร์ล มาร์กซ์ + เฮเกล

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 175 ผลงานที่ฟรีดริช เองเกลส์ และคาร์ล มาร์กซ์ ได้ร่วมกันเขียนขึ้นมา ได้แก่

1 ครอบครัวอันศักดิ์สิทธิ์ (The Holy Family)

2 อุดมการณ์เยอรมัน (The German Ideology)

3 คําประกาศคอมมิวนิสต์ (The Communist Manifesto)

83 ชื่อหนังสือบทความต่อไปนี้เรื่องใดไม่ได้เขียนโดย คาร์ล มาร์กซ์

(1) The Holy Family

(2) The German Ideology

(3) Capital

(4) The Communist Manifesto

(5) Socialism Utopian and Scientific

ตอบ 5 หน้า 176 ในช่วงที่ คาร์ล มาร์กซ์ ใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงลอนดอนนั้น เขาได้เขียนบทความมากมายที่พยายามอธิบายความทุกข์ยากในสังคมทุนนิยม เช่น วิพากษ์เศรษฐกิจการเมือง (The Critique of Political Economy), ทฤษฎีมูลค่าส่วนเกิน (Theories of Surplus Values), ทุน (Capital)เป็นต้น (ดูคําอธิบายข้อ 82. ประกอบ)

84 เนื้อหาในวิพากษ์เศรษฐศาสตร์การเมืองของคาร์ล มาร์กซ์ มุ่งวิพากษ์

(1) ระบบทุนนิยม

(2) สังคมนิยม

(3) การคอร์รัปชั่น

(4) การรีดส่วนเกินของชนชั้นนายทุนจากชนชั้นแรงงาน

(5) ถูกเฉพะข้อ 1 และ 4

ตอบ 5 หน้า 182 183, (คําบรรยาย) คาร์ล มาร์กซ์ ได้สร้างทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองขึ้นเพื่ออธิบายว่า ในระบบทุนนิยมนั้นสิ่งที่นายทุนคํานึงคือกําไร นายทุนจะได้เปรียบกรรมกร เพราะว่ามีการรีดส่วนเกินของชนชั้นนายทุนจากชนชั้นแรงงาน หรือที่เรียกว่า “มูลค่าส่วนเกิน” นําเอาไปเป็นกําไรของตัวเอง

85 คุณูปการของคาร์ล มาร์กซ์ ที่สําคัญคืออะไร

(1) แนวทางวิพากษ์แบบวิภาษวิธี Dialectic

(2) แนวคิดวัตถุนิยม

(3) หลักเศรษฐกิจกําหนดการ

(4) หลักอรรถประโยชน์นิยม

(5) ถูกเฉพาะข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 180, (คําบรรยาย) คุณูปการที่สําคัญของคาร์ล มาร์กซ์ ได้แก่

1 แนวทางวิพากษ์แบบวิภาษวิธี (Dialectic)

2 แนวคิดวัตถุนิยม (Materialism)

3 หลักเศรษฐกิจกําหนด (Economic Determinism)

86 หลักวิภาษวิธี (Dialectic Method) มีสูตรที่เป็นวงจรการปะทะทางความคิดที่ไม่สิ้นสุด มีสูตรดังนี้

(1) ข้อเสนอหลัก + ข้อเสนอรอง = การสังเคราะห์

(2) ข้อเสนอยืน + ข้อเสนอแย้ง = การสังเคราะห์

(3) ข้อเสนอหลัก + ข้อเสนอรอง = การสังเคราะห์ = ข้อเสนอหลัก (ใหม่)

(4) ข้อเสนอยืน + ข้อเสนอแย้ง = การสังเคราะห์ = ข้อเสนอยืน (ใหม่)

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 2 หน้า 178, (คําบรรยาย) หลักวิภาษวิธี (Dialectic Method) มีสูตรที่เป็นวงจรการปะทะทางความคิดที่ไม่สิ้นสุด ดังนี้

ข้อเสนอยืน + ข้อเสนอแย้ง = การสังเคราะห์

หรือ Thesis + Antithesis – Synthesis

87 คําอธิบาย “ความสัมพันธ์ทางการผลิต (Relation of Product)” ในลัทธิมาร์กซ์หมายถึง

(1) การที่มนุษย์ใช้เครื่องมือในการผลิต

(2) การที่มนุษย์ขาดเครื่องมือในการผลิต

(3) การที่มนุษย์ซื้อ-ขายเครื่องมือการผลิต

(4) การที่มนุษย์เป็นเจ้าของเครื่องมือการผลิต

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 179 ความสัมพันธ์ทางการผลิต (Relation of Product) เป็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเครื่องมือการผลิต เพื่อดูว่ามนุษย์เป็นเจ้าของเครื่องมือการผลิตหรือไม่

88 ในทัศนะของคาร์ล มาร์กซ์ ที่มีต่อสังคมทุนนิยมได้แบ่งแยกสังคมเป็นกี่ชนชั้น

(1) 3 ชนชั้น คือ ชนชั้นล่าง ชนชั้นกลาง ชนชั้นสูง

(2) 3 ชนชั้น คือ ชนชั้นกรรมกร ชนชั้นกลาง ชนชั้นสูง

(3) 2 ชนชั้น คือ ชนชั้นนํา ชนชั้นผู้ถูกปกครอง

(4) 2 ชนชั้น คือ ชนชั้นกรรมาชีพ ชนชั้นนายทุน

(5) ไม่มีข้อถูก

ตอบ 4 ดูคําอธิบายข้อ 77. ประกอบ

89 ข้อใดไม่ใช่ข้อเสนอของคาร์ล มาร์กซ์ ในการพัฒนาประเทศ เมื่อชนชั้นกรรมาชีพได้รับชัยชนะในการปฏิวัติ

(1) ยกเลิกกรรมสิทธิ์ที่ดิน และใช้วิธีการเช่าแทน

(2) เก็บภาษีรายได้แบบก้าวหน้าอย่างกวดขัน

(3) ยกเลิกสิทธิการรับมรดก

(4) รัฐเข้ามาควบคุมการคมนาคมสื่อสารทุกประเภท

(5) มีผู้มีอํานาจเด็ดขาดเพียงคนเดียว

ตอบ 5 หน้า 186, (คําบรรยาย) ข้อเสนอของคาร์ล มาร์กซ์ ในการพัฒนาประเทศ เมื่อชนชั้นกรรมาชีพได้รับชัยชนะในการปฏิวัติ มีดังนี้

1 ยกเลิกกรรมสิทธิ์ที่ดิน และใช้วิธีการเช่าแทน

2 เก็บภาษีรายได้แบบก้าวหน้าอย่างกวดขัน

3 ยกเลิกสิทธิการรับมรดก

4 รัฐเข้ามาควบคุมการคมนาคมสื่อสารทุกประเภท

5 รัฐเข้ามาควบคุมโรงงาน เครื่องมือการผลิตและการเกษตร เป็นต้น

90 คําทํานายของคาร์ล มาร์กซ์ ที่มีต่อสังคมทุนนิยมที่สะท้อนข้อเท็จจริง

(1) สังคมมีเพียงชนชั้นเดียว

(2) สังคมไร้ชนชั้น

(3) สังคมเกิดความขัดแย้งจากปัจจัยทางเศรษฐกิจเท่านั้น

(4) ชนชั้นกรรมาชีพจะเป็นผู้ชนะในการต่อสู้กับชนชั้นนายทุน

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 5 หน้า 190, 192 193 คําทํานายของคาร์ล มาร์กซ์ ที่มีต่อสังคมทุนนิยม คือ

1 ต้องมีสองชนชั้นเกิดขึ้น แต่ในความเป็นจริงกลับมีชนชั้นใหม่เกิดขึ้น

2 ชนชั้นกรรมาชีพจะต้องมีความทุกข์ยากมาก แต่ในความเป็นจริงกลับมิได้ทุกข์ยากมากนักเพราะสังคมทุนนิยมมีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างก้าวหน้า สังคมเจริญขึ้น รวยขึ้น

3 การปฏิวัติจะเกิดขึ้นในประเทศที่มีการพัฒนาอุตสาหกรรมสูงสุด แต่ในความเป็นจริงกลับเกิดในประเทศที่มีการเกษตรกรรมเป็นหลัก

4 ความขัดแย้งในสังคมเกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจอย่างเดียว แต่ในความเป็นจริงกลับมีปัจจัยทางจิตวิทยาและทางสังคมวิทยาร่วมด้วย

91 “ศาสนาเป็นสิ่งมัวเมาเหมือนยาเสพติด” เป็นต้อตอความคิดของใคร

(1) เหมา เจ๋อ ตุง

(2) นิโคไล เลนิน

(3) สตาลิน

(4) มุสโสลินี

(5) คาร์ล มาร์กซ์

ตอบ 5 หน้า 196 คาร์ล มาร์กซ์ ปฏิเสธศาสนา เพราะเชื่อว่า “ศาสนาเป็นสิ่งมัวเมาเหมือนยาเสพติด” ที่ทําให้คนอยู่แต่ในโลกจินตนาการ และลืมความเป็นจริงในโลก

92 หนังสือและบทความใดต่อไปนี้ไม่ใช่ข้อเขียนของนิโคไล เลนิน

(1) จะทําอะไร (What to be dวne)

(2) สังคมนิยมและสงคราม (Socialism and War)

(3) รัฐและการปฏิวัติ (State and Revolution)

(4) คําประกาศคอมมิวนิสต์ (The Communist Manifesto)

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 4 หน้า 200 ผลงานที่สําคัญของนิโคไล เลนิน ได้แก่

1 จะทําอะไร (What to be done)

2 สังคมนิยมเละสงคราม (Socialism and War)

3 รัฐและการปฏิวัติ (State and Revolution)

4 จักรวรรดินิยม : ขั้นสุดท้ายของระบบทุนนิยม (Imperialism : The Highest Stage of Capitalism) เป็นต้น

93 นักคิดที่สนับสนุนระบอบคอมมิวนิสต์มีความคิดที่เหมือนกันหรือคล้ายกัน แต่ไม่ใช่ประเด็นใดดังต่อไปนี้

(1) การเปลี่ยนแปลงสังคมใช้วิธีการรุนแรงหรือด้วยการปฏิวัติ

(2) ต้องการสังคมที่ทุกคนมีความเสมอภาค

(3) ต้องการให้ชนชั้นกรรมาชีพเป็นผู้ชนะการต่อสู้ในสงครามแห่งชนชั้น

(4) มองสังคมทุนนิยมเป็นต้นตอของความแปลกแยก เอารัดเอาเปรียบ

(5) ต้องการให้ปัจเจกบุคคลสามารถมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินได้โดยเสรี

ตอบ 5 (คําบรรยาย) ประเด็นสําคัญที่คล้ายกันของนักคิดที่สนับสนุนระบอบคอมมิวนิสต์ ได้แก่

1 การเปลี่ยนแปลงสังคมใช้วิธีการรุนแรงหรือด้วยการปฏิวัติ

2 ต้องการสังคมที่ทุกคนมีความเสมอภาค

3 ต้องการให้ชนชั้นกรรมาชีพเป็นผู้ชนะการต่อสู้ในสงครามแห่งชนชั้น

4 มองสังคมทุนนิยมเป็นต้นตอของความแปลกแยก เอารัดเอาเปรียบ เป็นต้น

94 ลัทธิมาร์กซ์มองว่า ระบบทุนนิยมทําลาย ลดทอนความเป็นมนุษย์ เนื่องด้วยเหตุผลใดต่อไปนี้

(1) เพราะแรงงานที่เขาทํางานไม่สามารถทํางานสนองความต้องการของเขา แต่เป็นของนายทุน

(2) นายจ้างที่เป็นชนชั้นนายทุนใช้เขาเป็นเครื่องมือเพื่อผลกําไร

(3) แรงงานที่ทําให้กับนายทุนเป็นแรงงานที่ถูกบังคับมากกว่าความเต็มใจ

(4) เพราะกรรมกรทํางานเพื่อประโยชน์ของนายทุนเท่านั้น

(5) ถูกเฉพาะข้อ 1, 2 และ 3

ตอบ 5 หน้า 182 183, (คําบรรยาย) ลัทธิมาร์กซ์ มองว่า ระบบทุนนิยมจะทําลายและลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ เนื่องจาก

1 แรงงานต้องทํางานตามความต้องการของนายทุน ไม่สามารถทํางานสนองความต้องการของเขาเองได้ เป็นแต่เพียงของนายทุน

2 นายจ้างที่เป็นชนชั้นนายทุนใช้เขาเป็นเครื่องมือเพื่อผลกําไร

3 แรงงานที่ทําให้กับนายทุนเป็นแรงงานที่ถูกบังคับมากกว่าความเต็มใจ เป็นต้น

95 ปัจจัยทางการเมืองใหม่ที่เลนินเสนอ ไม่ใช่ข้อใดดังต่อไปนี้

(1) การเน้นให้พรรคเป็นผู้นําในการปฏิวัติ

(2) เน้นยุทธวิธีในการปฏิวัติ ซึ่งมีการสร้างพันธมิตร

(3) การปฏิวัติสังคมเกิดด้วยความรุนแรงเท่านั้น

(4) เผด็จการโดยชนชั้นกรรมาชีพต้องเป็นการปกครองเด็ดขาด มีกําลังอาวุธ

(5) การพัฒนาขั้นสุดท้ายของระบบทุนนิยมคือ ระบบสังคมนิยม

ตอบ 5 หน้า 211 ปัจจัยทางการเมืองใหม่ที่เลนินเสนอ มีดังนี้

1 การเน้นให้พรรคเป็นผู้นําในการปฏิวัติ

2 เน้นยุทธวิธีในการปฏิวัติ ซึ่งมีการสร้างพันธมิตร

3 การปฏิวัติสังคมเกิดในประเทศเดียวก็ได้ และเกิดด้วยวิธีรุนแรงเท่านั้น

4 เผด็จการโดยชนชั้นารรมาชีพต้องเป็นการปกครองที่เด็ดขาด มีกําลังอาวุธ ดําเนินการโดยพรรคและมีวินัยอย่างเคร่งครัด

5 การพัฒนาขั้นสุดท้ายของระบบทุนนิยมคือ ระบบจักรวรรดินิยม เป็นต้น

96 ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับ เหมา เจ๋อ ตุง

(1) เหมาเป็นลูกนายทหาร

(2) เหมาร่วมปฏิวัติราชวงศ์ถังเป็นผลสําเร็จ

(3) เหมาเป็นผู้นําของซุน ยัด เซน

(4) เหมาเขียนบทความชื่อ On New Democracy

(5) เหมาร่วมมือกับชนชั้นกระฎมพี่

ตอบ 4 หน้า 222 ผลงานที่สําคัญของ เหมา เจ๋อ ตุง ได้แก่

1 On Tactics Against Japanese imperialism (1935)

2 On Practice (1937)

3 On Contradiction (1937)

4 On New Democracy (1940)  เป็นต้น

97 การปฏิวัติเพื่อสร้างสาธารณรัฐประชาธิปไตยแบบใหม่ของ เหมา เจ๋อ ตุง มีลักษณะที่ไม่ใช่ลักษณะใด ดังต่อไปนี้

(1) การปฏิวัติชาติเพื่อกําจัดจักรวรรดินิยม

(2) การปฏิวัติเพื่อกําจัดเจ้าของที่ดิน

(3) การปฏิวัติชาติเพื่อกําจัดพวกปฏิกิริยา

(4) การปฏิวัติเพื่อทําลายลัทธิทุนนิยม

(5) การปฏิวัติเพื่อประชาชนทุกชนชั้น

ตอบ 4 หน้า 229, (คําบรรยาย) เหมา เจ๋อ ตุง ได้ประกาศเป้าหมายการปฏิวัติเพื่อประชาชนทุกชนชั้นว่าเป็นการสร้าง “สาธารณรัฐประชาธิปไตยแบบใหม่” โดยมีลักษณะสําคัญคือ การปฏิวัติชาติ เพื่อกําจัดจักรวรรดินิยม และการปฏิวัติประชาธิปไตยเพื่อกําจัดเจ้าของที่ดินใหญ่ ๆ ซึ่งการปฏิวัติ ดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อล้มล้างการปกครองจักรวรรดินิยมต่างชาติและพวกปฏิกิริยา แต่มิได้ ทําลายส่วนหนึ่งของลัทธิทุนนิยม

98 ประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์มีลักษณะใดดังต่อไปนี้

(1) การรวมศูนย์ความคิดที่ถูกต้อง

(2) ประชาชนเบื้องล่างมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อรัฐบาล

(3) สภาทุกระดับของประชาชนส่งตัวแทนในการเลือกรัฐบาล

(4) เมื่อพรรคและรัฐบาลตัดสินนโยบายแล้ว ถือเป็นเด็ดขาดห้ามโต้แย้ง

(5) ถูกทุกข้อ

ตอบ 5 หน้า 231 232, 236 ประชาธิปไตยแบบรวมศูนย์ มีลักษณะดังต่อไปนี้

1 การรวมศูนย์ความคิดที่ถูกต้อง

2 ประชาชนเบื้องล่างมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นต่อรัฐบาล

3 สภาประชาชนทุกระดับจะส่งตัวแทนในการเลือกรัฐบาล

4 เมื่อพรรคและรัฐบาลตัดสินนโยบายแล้ว ถือเป็นเด็ดขาด ผู้ใดจะโต้แย้งหรือขัดคําสั่งมิได้

99 บทความเรื่อง “ระเบียบทางสังคม” เป็นข้อเขียนของใคร

(1) กุหลาบ สายประดิษฐ์

(2) ปรีดี พนมยงค์

(3) เสนีย์ เสาวพงศ์

(4) เปลื้อง วรรณศรี

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 หน้า 261, (คําบรรยาย) นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือที่รู้จักกันดีในนามปากกาว่า “ศรีบูรพา”เป็นผู้เขียนบทความเรื่อง “ระเบียบทางสังคม” ขึ้นในปี ค.ศ. 1954 โดยได้เขียนตามแนวความคิดของเองเกลส์ที่เขียนในเรื่อง “The Origin of Family, Private Property and State”

100 ประวัติการต่อสู้ของคอมมิวนิสต์ทั่วโลกรวมทั้งไทย เป็นการต่อสู้ที่ได้รับอิทธิพลจากคนกลุ่มใดเป็นสําคัญ

(1) นักปรัชญาการเมือง

(2) ผู้นําทางการเมือง

(3) ข้าราชการ

(4) นักธุรกิจ

(5) ไม่มีข้อใดถูก

ตอบ 1 (คําบรรยาย) ประวัติการต่อสู้ของคอมมิวนิสต์ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยนั้น พบว่าเป็นการต่อสู้ที่ได้รับอิทธิพลจากนักปรัชญาการเมืองเป็นสําคัญ ไม่ว่าจะเป็น คาร์ล มาร์กซ์, ฟรีดริช เองเกลส์, อดัม สมิธ ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิทธิพลของคาร์ล มาร์กซ์ ซึ่งจะเห็นตัวอย่างได้จากการต่อสู้ ของบุคคลสําคัญ ๆ เช่น นิโคไล เลนิน (รัสเซีย), เหมา เจ๋อ ตุง (จีน), นายปรีดี พนมยงค์ (ไทย), นายจิตร ภูมิศักดิ์ (ไทย) เป็นต้น

LAW3001 กฎหมายอาญา3 1/2561

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2561

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา

ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 เอกและอรทัยเคยอยู่กินกันฉันสามีภริยาต่อมาได้แยกทางกัน เอกหวนกลับมาพยายามขอคืนดีกับอรทัย วันเกิดเหตุ เอกขับรถยนต์มารับอรทัยเพื่อพูดจาตกลงกัน ระหว่างทางทั้งสองมีปากเสียงกัน เนื่องจากอรทัยไม่ยอมคืนดีด้วย เอกเกิดความโกรธและหึงหวงจึงหยิบมีดพกออกมาจะกรีดหน้าอรทัย และพูดว่าจะกรีดหน้าให้เสียโฉม อรทัยตกใจและกลัวถูกทําร้ายจึงเปิดประตูรถกระโดดออกมา ทั้งที่รถกําลังแล่นอยู่เป็นเหตุให้อรทัยถูกล้อรถทับถึงแก่ความตาย ดังนี้ เอกจะมีความผิดต่อชีวิต และร่างกายฐานใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 290 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 ทําร้ายผู้อื่น

2 เป็นเหตุให้ผู้ถูกทําร้ายถึงแก่ความตาย

3 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่เอกและอรทัยมีปากเสียงกันเนื่องจากอรทัยไม่ยอมคืนดีด้วย ทําให้เอกเกิดความโกรธและหึงหวงจึงหยิบมีดพกออกมาจะกรีดหน้าอรทัยและพูดว่าจะกรีดหน้าให้เสียโฉม จนอรทัยตกใจ และกลัวจะถูกทําร้ายจึงเปิดประตูรถกระโดดออกมาทั้งที่รถกําลังแล่นอยู่เป็นเหตุให้อรทัยถูกล้อรถทับจนถึงแก่ ความตายนั้น ถือว่าเอกมีเจตนาทําร้ายอรทัย และการที่อรทัยได้กระโดดออกมาจากรถจนถูกล้อรถทับจนถึงแก่ ความตายนั้น ความตายของอรทัยเป็นผลโดยตรงและเป็นผลที่ใกล้ชิดกับการทําร้ายของเอก ดังนั้น เอกจึงมีความผิดฐานมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 290

สรุป

เอกมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290

 

ข้อ 2 นายใหญ่กู้ยืมเงินนางเล็ก 2 หมื่นบาท โดยจํานํารถจักรยานยนต์เป็นประกัน วันเกิดเหตุนายใหญ่ได้ไปที่บ้านของนางเล็กเพื่อยืมเอารถจักรยานยนต์ที่จํานําเพื่อขับขี่ไปต่างจังหวัด นายใหญ่ยืนอยู่ที่ ประตูรั้วบ้านและเรียกให้นางเล็กเปิดประตูรั้วเพื่อจะเข้าไปเอารถแต่นางเล็กไม่ยอมเปิดประตูให้เข้าบ้าน นายใหญ่จึงขู่เข็ญว่าถ้านางเล็กไม่ยอมให้เข้าไปเอารถตนจะไปแจ้งความว่านางเล็กปล่อยเงินกู้เรียกดอกเบี้ยเกินอัตราให้ตํารวจมาจับและจะทําให้นางเล็กเสียชื่อเสียง ขณะที่นายใหญ่ยืนขู่เข็ญนางเล็กอยู่นั้นนางเล็กได้โทรศัพท์ไปแจ้งให้ตํารวจมาจับกุมตัวนายใหญ่ดําเนินคดี ดังนี้ อยากทราบว่านายใหญ่มีความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 80 “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้วแต่การ กระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด

ผู้ใดพยายามกระทําความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้ สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 309 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กําลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้นหรือจํายอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานทําให้เสื่อมเสียเสรีภาพตามมาตรา 309 ประกอบด้วย

1 ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ไม่กระทำการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด

2 โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กําลังประทุษร้าย

3 จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้นหรือจํายอมต่อสิ่งนั้น

4 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นายใหญ่ได้ขู่เข็ญให้นางเล็กเปิดประตูรั้วเพื่อจะเข้าไปเอารถที่จํานําไว้ กับนางเล็กโดยขู่เข็ญว่าถ้านางเล็กไม่ยอมให้เข้าไปเอารถตนจะไปแจ้งความว่านางเล็กปล่อยเงินกู้เรียกดอกเบี้ย เกินอัตราให้ตํารวจมาจับและจะทําให้นางเล็กเสียชื่อเสียงนั้น การกระทําของนายใหญ่ถือว่าเป็นการข่มขืนใจผู้อื่น ให้กระทําการใดหรือจํายอมต่อสิ่งใด โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อเสรีภาพและชื่อเสียงตามมาตรา 309 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อนางเล็กไม่ยอมเปิดประตูรั้ว และได้แจ้งให้ตํารวจมาจับกุมตัวนายใหญ่ดําเนินคดีนั้น ถือว่าการกระทําของนายใหญ่เป็นการลงมือกระทําไปตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล จึงเป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใดหรือจํายอมต่อสิ่งใดตามมาตรา 309 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 80

สรุป

นายใหญ่มีความผิดฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใดหรือจํายอมต่อสิ่งใดตาม มาตรา 309 ประกอบมาตรา 80

 

ข้อ 3 แดงเล่นการพนันฟุตบอลและเสียเงินพนันไปจนหมดตัวแดงจึงไปขอยืมรถยนต์จากดําโดยแดงอ้างว่ามารดาของตนป่วยอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมาจะขอยืมรถยนต์ขับไปเยี่ยมมารดาที่จังหวัดนครราชสีมา แล้วจะนํารถยนต์ของดํามาคืนให้ภายใน 3 วัน แต่ที่จริงมารดาของแดงไม่ได้ป่วยเลย เมื่อแดงได้รับรถยนต์จากดําแล้วแดงกลับขับรถยนต์ไปที่จังหวัดกาญจนบุรีเพื่อนําไปขายให้เพื่อนของตนที่ได้นัดหมายกันไว้ แดงรอเพื่อนแดงอยู่หนึ่งวันในวันรุ่งขึ้นแดงจึงขายรถยนต์ให้กับ เพื่อนของตนได้เงิน 300,000 บาท แดงจึงมิได้นํารถยนต์มาคืนดํา ให้วินิจฉัยว่าแดงมีความผิดอาญา เกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้น กระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

องค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย

1 เอาไป

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 นั้น จะต้องเป็นกรณีการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั่นเอง ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตในขณะที่ผู้เอาทรัพย์สินนั้น ไปได้ครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ โดยอาจจะเป็นการครอบครองเพราะเจ้าของส่งมอบการครอบครองให้โดยชอบ หรือเพราะเจ้าของส่งมอบให้โดยสําคัญผิด หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้เอาไปนั้นเก็บได้ ย่อมไม่เป็นความผิดฐาน ลักทรัพย์ แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์สินหายแล้วแต่กรณีตามมาตรา 352

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่แดงไปขอยืมรถยนต์จากดําโดยแดงอ้างว่ามารดาของตนป่วยอยู่ที่ จังหวัดนครราชสีมาจะขอยืมรถยนต์ขับไปเยี่ยมมารดาที่จังหวัดนครราชสีมา แล้วจะนํารถยนต์มาคืนให้ดําภายใน 3 วัน และความจริงมารดาของแดงไม่ได้ป่วยเลยนั้น เป็นเพียงการใช้กลอุบายของแดงเพื่อเอารถยนต์ของดําไป เท่านั้น ดังนั้น สัญญายืมย่อมไม่เกิดขึ้น และการที่ดําได้ส่งมอบการครอบครองรถยนต์ให้แก่แดงจึงมิใช่การส่งมอบ ตามสัญญายืมที่จะทําให้การครอบครองรถยนต์ตกไปอยู่กับแดง แต่เป็นการส่งมอบให้เพราะถูกแดงหลอกลวง

กรณีดังกล่าวถือว่าเป็นกรณีที่แดงได้แย่งการครอบครองรถยนต์ไปจากดําซึ่งเป็นการเอาไปซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น และเมื่อเป็นการเอาไปโดยเจตนาและโดยทุจริต จึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ทุกประการ ดังนั้น แดงจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 โดยเป็นการลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย

สรุป

แดงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

 

ข้อ 4 หนึ่งเลือกซื้อมังคุดจํานวน 2 กิโลกรัม คิดเป็นเงินรวม 130 บาท หนึ่งชําระค่ามังคุดโดยส่งธนบัตรใบละ 1,000 บาท ให้สองแม่ค้าขายผลไม้ สองรับธนบัตรมารีบแอบเอาซุกไว้แล้วทอนเงินให้หนึ่ง เพียง 370 บาท หนึ่งทักท้วงว่าจ่ายเงินใบละ 1,000 บาทให้สอง แต่สองยืนยันว่าหนึ่งให้มา 500 บาท พร้อมทั้งเปิดถุงเงินให้ดูว่าไม่มีธนบัตรใบละ 1,000 บาท มีแต่ใบละ 500 บาท และใบละ 100 บาท เท่านั้น หนึ่งขอคืนผลไม้และให้สองคืนเงิน 1,000 บาท แต่สองไม่ยอมคืน ดังนี้ สองจะมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 341 “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิด ข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทําความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษ”

มาตรา 352 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทําความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 ประกอบด้วย

1 หลอกลวงผู้อื่นด้วย การ

(ก) แสดงข้อความเป็นเท็จ หรือ

(ข) ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง

2 โดยการหลอกลวงนั้น

(ก) ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือ

(ข) ทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ์

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกตามมาตรา 352 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 ครอบครอง

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือยิ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม

4 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่งเลือกซื้อมังคุดจากสองแม่ค้าขายผลไม้จํานวน 2 กิโลกรัม เป็นเงิน จํานวน 130 บาท และหนึ่งชําระค่ามังคุดโดยส่งธนบัตรใบละ 1,000 บาทให้สองเมื่อสองรับธนบัตรมาแล้ว รีบแอบเอาซุกไว้แล้วทอนเงินให้หนึ่งเพียง 370 บาท หนึ่งทักท้วงว่าจ่ายเงินใบละ 1,000 บาทให้สอง แต่สอง ยืนยันว่าหนึ่งให้ใบละ 500 บาท พร้อมทั้งเปิดถุงเงินให้ดูว่าไม่มีธนบัตรใบละ 1,000 บาท มีแต่ใบละ 500 บาท และใบละ 100 บาทเท่านั้น หนึ่งจึงขอคืนผลไม้และให้สองคืนเงิน 1,000 บาท แต่สองไม่ยอมคืนนั้น การกระทําของสองดังกล่าว สองย่อมไม่มีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์แต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นความผิดฐานยักยอกหรือ ความผิดฐานฉ้อโกง ทั้งนี้เพราะ

1 การที่หนึ่งส่งมอบธนบัตรใบละ 1,000 บาทให้สองนั้น เงิน 1,000 บาทนั้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ ของสองแล้ว จึงไม่ถือว่าสองได้ครอบครองทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย แล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนโดยทุจริตแต่อย่างใด ดังนั้น สองจึงไม่มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 352 วรรคหนึ่ง

2 การที่สองหลอกหนึ่งว่าหนึ่งได้ให้ใบละ 500 บาท และได้เปิดถุงให้ดูว่าไม่มีธนบัตรใบละ 1,000 บาท มีแต่ใบละ 500 บาท และใบละ 100 บาทเท่านั้น การหลอกลวงของสองดังกล่าวก็ไม่ทําให้สอง ได้ทรัพย์สินจากหนึ่งผู้ถูกหลอกลวงแต่อย่างใด เป็นเพียงการที่สองมีเจตนาที่จะทอนเงินให้หนึ่งไม่ครบเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวกันในทางแพ่งต่อไป ดังนั้น สองจึงไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341

สรุป

สองไม่มีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์แต่อย่างใด

 

 

LAW3001 กฎหมายอาญา3 S/2560

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 เอเข้าไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อ เห็นปลอดคน มี น.ส.บีพนักงานขายอยู่คนเดียวเกิดความโลภอยากได้เงินจึงเดินเข้าไปใกล้ น.ส.บี แกล้งทําลวนลาม เพื่อให้ น.ส.บีเดินหนีไปจากเคาน์เตอร์เก็บเงิน ตนจะได้ฉวยโอกาสลักเงิน โดยเอดึงตัว น.ส.บีมากอดและหอมแก้ม น.ส.บีซึ่งเป็นโรคหัวใจอยู่ก่อน ตกใจจนหัวใจวายถึงแก่ความตาย ดังนี้ เอจะมีความผิดต่อชีวิตฐานใดหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 290 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 ทําร้ายผู้อื่น

2 เป็นเหตุให้ผู้ถูกทําร้ายถึงแก่ความตาย

3 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่เอดึงตัว น.ส.บีเข้ามากอดและหอมแก้ม น.ส.บีนั้น แม้เอต้องการให้ น.ส.ปี เกิดความกลัวและเดินหนีไปจากเคาน์เตอร์เก็บเงินเพื่อจะได้สะดวกในการลักทรัพย์ก็ตาม แต่การกระทําดังกล่าวของเอ ถือว่าเป็นการใช้กําลังประทุษร้ายต่อ น.ส.ปีแล้ว และเมื่อการกระทําของเอเป็นผลให้ น.ส.บีซึ่งเป็นโรคหัวใจอยู่ก่อน ตกใจจนหัวใจวายถึงแก่ความตาย ความตายของ น.ส.บีถือว่าเป็นผลโดยตรงและเป็นผลที่ใกล้ชิดกับการทําร้ายของเอ ดังนั้น เอจึงมีความผิดฐานมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 290

สรุป

เอมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290

 

ข้อ 2 นายเก่งขายรถจักรยานยนต์ให้แก่นายเล็กในราคา 2 หมื่น โดยตกลงซื้อขายด้วยวาจาแล้วส่งมอบรถให้นายเล็ก ส่วนเงินค่ารถนายเล็กรับปากว่าจะชําระให้ภายใน 30 วันนับแต่ที่ตกลงซื้อขาย ต่อมาถึงกําหนดนายเก่งไปขอรับเงินค่ารถแต่นายเล็กไม่ยอมจ่ายและบอกให้นายเก่งไปฟ้องร้องเอา เพราะเห็นว่าการซื้อขายไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ วันเกิดเหตุนายเก่งพบนายเล็กกําลังจอดรถ อยู่หน้าตลาด นายเก่งจึงจับตัวนายเล็กขึ้นรถแล้วนําตัวไปขังไว้ที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งแล้วโทรศัพท์ถึงนายเอกบิดาของนายเล็กให้นําเงินไปจ่ายตามราคารถที่นายเล็กค้างชําระ โดยขู่เข็ญว่าถ้านายเอก ไม่ยอมก็จะทําร้ายนายเล็ก ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าการกระทําของนายเก่งเป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพ ฐานเรียกค่าไถ่หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 313 “ผู้ใดเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

(1) เอาตัวเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไป

(2) เอาตัวบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีไปโดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กําลังประทุษร้าย ใช้อํานาจครอบงําผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด หรือ

(3) หน่วงเหนี่ยว หรือกักขังบุคคลใด ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานเอาตัวบุคคลไปหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ตาม มาตรา 313 วรรคหนึ่ง (3) ประกอบด้วย

1 หน่วงเหนียวหรือกักขังผู้ใด

2 โดยเจตนา

3 เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่

“ค่าไถ่” หมายความว่า ทรัพย์สินหรือประโยชน์ที่เรียกเอาหรือให้เพื่อแลกเปลี่ยนเสรีภาพ ของผู้ถูกเอาตัวไป ผู้ถูกหน่วงเหนียวหรือผู้ถูกกักขัง (ป.อาญา มาตรา 1 (13)

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นายเก่งจับตัวนายเล็กขึ้นรถแล้วนําตัวไปขังไว้ที่ห้องเช่าแห่งหนึ่ง แล้วโทรศัพท์ถึงนายเอกบิดาของนายเล็กให้นําเงินไปจ่ายตามราคารถที่นายเล็กค้างชําระนั้น ถือเป็นการเจตนา เอาตัวบุคคลไปเพื่อหน่วงเหนี่ยวกักขัง แต่อย่างไรก็ตาม การกระทําของนายเก่งก็มิได้มีเจตนาเพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ เพราะเงินที่นายเก่งเรียกเอานั้นเป็นเงินที่นายเก่งมีสิทธิที่จะได้เงินดังกล่าว จึงไม่ถือว่าเป็นค่าไถ่ตามกฎหมาย ดังนั้น การกระทําของนายเก่งจึงไม่เป็นความผิดฐานเรียกค่าไถ่ตามมาตรา 313

สรุป

นายเก่งไม่มีความผิดฐานเรียกค่าไถ่ตามมาตรา 313

 

ข้อ 3 เขียวเดินไปกับม่วงเพื่อจะไปพบดําโดยเขียวได้สวมสร้อยคอทองคําหนัก 2 บาทซึ่งเขียวยืมมาจากดําและเขียวต้องการจะนําสร้อยเส้นนี้ไปคืนให้ดําเจ้าของสร้อยคอ ขณะนั้นเองมืดเดินมาข้างหลังเขียว และอยากได้สร้อยคอที่เขียวสวมอยู่ มืดจึงเดินมาอย่างเร็วแล้วไปชนม่วงล้มลง ขณะที่เขียวก้มลงจะดึงม่วงขึ้นมาจากพื้นดิน มืดได้กระชากสร้อยคอทองคําที่เขียวสวมอยู่ทางด้านหลัง แต่การกระชากสร้อยที่คอของเขียวนั้นเร็วเกินไปทําให้สร้อยเส้นนั้นหล่นลงพื้นดิน เขียวและม่วงจึงเข้าจับกุมมืดทันที มืดจึงมิได้สร้อยคอเส้นนั้นไป จงวินิจฉัยว่ามืดมีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 80 “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้วแต่ การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด

ผู้ใดพยายามกระทําความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้ สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 339 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กําลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้ กําลังประทุษร้าย เพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทําความผิดนั้น หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม

ผู้นั้นกระทําความผิดฐานชิงทรัพย์”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 ลักทรัพย์

2 โดยใช้กําลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้าย

3 โดยเจตนา

4 เจตนาพิเศษ เพื่อ

(1) ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือพาทรัพย์นั้นไป

(2) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น

(3) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้

(4) ปกปิดการกระทําความผิดนั้น หรือ

(5) ให้พ้นจากการจับกุม

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เขียวเดินไปกับม่วงและมืดซึ่งเดินตามมาข้างหลังเขียวและอยากได้ สร้อยคอที่เขียวสวมอยู่ได้เดินไปชนม่วงล้มลง ขณะที่เขียวก้มลงจะดึงม่วงขึ้นมาจากพื้นดิน มืดได้กระชากสร้อยคอ ทองคําที่เขียวสวมอยู่ทางด้านหลังของเขียวนั้น การกระทําของมืดที่กระชากสร้อยคอทองคําที่เขียวสวมอยู่นั้น แม้จะเป็นสร้อยคอของดําที่เขียวได้ยืมมาจากดํา ก็ถือว่ามืดได้มีเจตนาเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริตอันเป็น ความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว และเมื่อการที่มืดกระชากสร้อยคอของเขียวนั้นเร็วเกินไปทําให้สร้อยคอทองคําเส้นนั้น หล่นลงพื้นดิน เขียวและม่วงจึงเข้าไปจับกุมมืดทันที่ทําให้มืดมิได้สร้อยคอเส้นนั้นไป ถือว่ามืดได้ลงมือกระทํา ความผิดไปตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล มืดจึงมีความผิดฐานพยายามลักทรัพย์

และก่อนที่มืดจะกระชากสร้อยคอที่เขียวสวมอยู่นั้นมืดได้เดินไปชนให้ม่วงล้มลง แม้ว่ามืดจะไม่ได้กระทําต่อเขียวโดยตรง แต่การกระทําของมืดที่ใช้กําลังประทุษร้ายต่อม่วงนั้นได้กระทําโดยมีเจตนาพิเศษ เพื่อให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป จึงถือว่ามืดได้ลักทรัพย์โดยกําลังประทุษร้ายอันเป็น ความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่เมื่อการลักทรัพย์ยังอยู่ในขั้นพยายาม ดังนั้น มืดจึงมีความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ ตามมาตรา 339 ประกอบมาตรา 80

สรุป มืดมีความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์

 

ข้อ 4 นายจันทร์พูดกับนายอังคารว่า นายพุธเป็นนายทุนเงินกู้ ถ้านายอังคารประสงค์จะกู้เงินให้ทําสัญญากู้มาเพื่อที่นายจันทร์จะนําไปให้นายพุธ ปรากฏว่านายอังคารหลงเชื่อจึงได้ทําสัญญากู้ขึ้นมา ข้อความว่า “นายอังคารกู้เงินจากนายพุธจํานวน 100,000 บาท จากนั้นได้ลงชื่อนายอังคารผู้กู้” ต่อมานายจันทร์กับนายพุธสมคบกันนําสัญญากู้มาฟ้องเรียกเงินจากนายอังคาร ข้อเท็จจริงได้ความว่า นายอังคารไม่ได้รับเงินกู้จากนายพุธแต่ประการใด ดังนี้ นายจันทร์มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 341 “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิด ข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทําความผิดฐานฉ้อโกง ต้อง ระวางโทษ ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 ประกอบด้วย

1 หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ

(ก) แสดงข้อความเป็นเท็จ หรือ

(ข) ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง

2 โดยการหลอกลวงนั้น

(ก) ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือ

(ข) ทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นายจันทร์พูดกับนายอังคารว่านายพุธเป็นนายทุนเงินกู้ ถ้านายอังคาร ประสงค์จะกู้เงินให้ทําสัญญากู้มาเพื่อที่นายจันทร์จะนําไปให้นายพุธ ปรากฏว่านายอังคารหลงเชื่อจึงได้ทําสัญญากู้ ขึ้นมาข้อความว่า “นายอังคารกู้เงินจากนายพุธจํานวน 100,000 บาท จากนั้นได้ลงชื่อนายอังคารผู้กู้” ต่อมา นายจันทร์กับนายพุธสมคบกันนำสัญญากู้มาฟ้องเรียกเงินจากนายอังคาร โดยที่นายอังคารไม่ได้รับเงินกู้จากนายพุธ แต่ประการใดนั้น การกระทําของนายจันทร์ถือเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และโดยการหลอกลวงดังกล่าวทําให้นายอังคารผู้ถูกหลอกลวงทําเอกสารสิทธิ และนายจันทร์มีเจตนาทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้น การกระทําของนายจันทร์จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341

สรุป นายจันทร์มีความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341

 

 

LAW3001 กฎหมายอาญา3 2/2560

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2560

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 หนึ่งขับรถยนต์ปาดหน้ารถจักรยานยนต์ที่สองขับขี่มาทําให้สองไม่พอใจขับขี่รถไล่ตามรถของหนึ่งและใช้อาวุธปืนยิงไปที่ยางล้อรถยนต์ของหนึ่ง กระสุนปืนถูกยางรถยนต์แล้วทะลุตัวถังไปถูกสาม ซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลังในรถของหนึ่งได้รับอันตรายสาหัส ดังนี้ สองจะมีความผิดต่อชีวิตและร่างกาย ฐานใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 300 “ผู้ใดกระทําโดยประมาท และการกระทํานั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบของความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 300 ประกอบด้วย

1 กระทําด้วยประการใด ๆ

2 โดยประมาท

3 เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่หนึ่งขับรถยนต์ปาดหน้ารถจักรยานยนต์ที่สองขับขี่มาทําให้สอง ไม่พอใจขับขี่รถไล่ตามรถของหนึ่งและใช้อาวุธปืนยิงไปที่ล้อรถยนต์ของหนึ่ง กระสุนปืนถูกยางรถยนต์แล้วทะลุ ตัวถังไปถูกสามซึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลังในรถของหนึ่งได้รับอันตรายสาหัสนั้น พฤติการณ์ของสองที่ใช้ปืนยิงไปที่ ล้อรถยนต์ สองมิได้มีเจตนาฆ่าหรือทําร้ายผู้เสียหายแต่เป็นเจตนาทําลายทรัพย์ แต่อย่างไรก็ตาม การกระทําของสอง เป็นการกระทําโดยประมาท กล่าวคือเป็นการกระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้น จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทําอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ ดังนั้น เมื่อกระสุนปืนไปถูกสามได้รับอันตรายสาหัส สองจึงมีความผิดฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่น ได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 300

สรุป

สองมีความผิดฐานกระทําโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 300

 

ข้อ 2 นายเสือกระทําความผิดแล้วหลบหนี ในระหว่างทางที่หลบหนีพบ น.ส.อ้อยจอดรถจักรยานยนต์อยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ นายเสือต้องการจะเอารถของ น.ส.อ้อยขับขี่เป็นพาหนะหลบหนีจึงได้ใช้ อาวุธมีดขู่เข็ญจะเอารถ แต่ขณะนั้น น.ส.อ้อยยังไม่ได้มอบกุญแจรถให้ก็มีพลเมืองดี 2 – 3 คน วิ่งเข้ามาช่วยเหลือ นายเสือจึงวิ่งหลบหนีไป ดังนี้ อยากทราบว่า การกระทําของนายเสือเป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 80 “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้วแต่ การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด

ผู้ใดพยายามกระทําความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้ สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 309 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กําลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้นหรือจํายอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานทําให้เสื่อมเสียเสรีภาพตามมาตรา 309 ประกอบด้วย

1 ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด

2 โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กําลังประทุษร้าย

3 จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้นหรือจํายอมต่อสิ่งนั้น

4 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นายเสือได้ใช้อาวุธมีดขู่เข็ญจะเอารถจักรยานยนต์จาก น.ส.อ้อยนั้น การกระทําของนายเสื้อถือว่าเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด โดยทําให้กลัวว่าจะเกิด อันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพตามมาตรา 309 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อขณะนั้น น.ส.อ้อยยังไม่ได้มอบกุญแจรถให้ ก็มีพลเมืองดี 2 – 3 คน วิ่งเข้ามาช่วยเหลือทําให้นายเสือวิ่งหลบหนีไป ถือว่าการกระทําของนายเสือเป็นการลงมือ กระทําไปตลอดแล้วแต่การกระทํานั้นไม่บรรลุผล จึงเป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใดหรือ จํายอมต่อสิ่งใดตามมาตรา 309 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 80

สรุป

นายเสือมีความผิดฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใดหรือจํายอมต่อสิ่งใดตาม มาตรา 309 ประกอบมาตรา 80

 

ข้อ 3 แดงได้ซื้อลอตเตอรี่จากพ่อค้าขายลอตเตอรี่ในตลาดแห่งหนึ่งจํานวน 1 ชุด ราคา 1,000 บาท แดงได้ถ่ายรูปลอตเตอรี่ไว้ในโทรศัพท์มือถือของตนด้วย หลังจากนั้นแดงเดินเข้าไปซื้อผลไม้ในตลาด แห่งนั้นเอง ปรากฏข้อเท็จจริงว่า เมื่อแดงล้วงกระเป๋ากางเกงเพื่อเอาเงินจากกระเป๋าสตางค์ของตน ออกมาเพื่อจ่ายเงินให้กับขาวแม่ค้าขายผลไม้ แดงได้ทําลอตเตอรี่ทั้งชุดที่บรรจุไว้ในถุงพลาสติก ตกลงที่หน้าร้านขายผลไม้ของขาว หลังจากซื้อผลไม้เรียบร้อยแล้วแดงจึงกลับมาบ้าน ทันทีที่แดง มาถึงบ้าน แดงพบว่าตนทําลอตเตอรี่หายไป แดงนึกได้ว่าคงจะทําตกหายที่ร้านขายผลไม้ของขาวแดงจึงรีบขับรถยนต์ไปที่ร้านขายผลไม้ เมื่อพบกับขาว แดงถามขาวว่าได้เก็บลอตเตอรี่บริเวณแถว หน้าร้านของขาวไว้หรือไม่ ขาวบอกแดงว่าขาวเป็นคนเก็บได้เอง ขาวจึงหยิบลอตเตอรี่ส่งคืนให้แดง แต่เป็นลอตเตอรีชุดที่ขาวเคยซื้อไว้และได้ออกรางวัลไปเรียบร้อยแล้วในงวดก่อนโดยขาวไม่ได้ถูกรางวัล และขาวเก็บลอตเตอรี่ของแดงไว้เอง แดงเอาลอตเตอรี่ที่ขาวยืนให้กลับบ้านไปโดยไม่ดูว่าเป็นลอตเตอรี่ที่ตนซื้อมาหรือไม่ ดังนี้ จึงวินิจฉัยว่าขาวมีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ฐานใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

มาตรา 352 “ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยเบียดบัง เอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทําความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษ

ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทําความผิดเพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสําคัญ ผิดไปด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้กระทําความผิดเก็บได้ ผู้กระทําต้องระวางโทษแต่เพียงกึ่งหนึ่ง”

วินิจฉัย

องค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย

1 เอาไป

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 นั้น จะต้องเป็นกรณีการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั้นเอง ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตในขณะที่ผู้เอาทรัพย์สินนั้น ไปได้ครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ โดยอาจจะเป็นการครอบครองเพราะเจ้าของส่งมอบการครอบครองให้โดยชอบ หรือเพราะเจ้าของส่งมอบให้โดยสําคัญผิด หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้เอาไปนั้นเก็บได้ ย่อมไม่เป็นความผิดฐาน ลักทรัพย์ แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์สินหายแล้วแต่กรณีตามมาตรา 352

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่แดงได้ทําลอตเตอรี่ตกลงที่หน้าร้านขายผลไม้ของขาว และเมื่อแดงกลับมาบ้านพบว่าตนทําลอตเตอรี่หายไปจึงได้รีบขับรถยนต์ไปที่ร้านขายผลไม้ของขาวนั้น ถือได้ว่าแดงยังมี การครอบครองลอตเตอรี่อยู่ยังไม่ได้สละการครอบครอง ลอตเตอรี่ดังกล่าวจึงไม่เป็นทรัพย์สินหาย ดังนั้น การที่ ขาวเก็บได้แต่ไม่คืนให้แก่แดง แต่ได้เอาลอตเตอรีอีกชุดหนึ่งส่งคืนให้แดง การกระทําของขาวที่เก็บลอตเตอรี่ไว้ โดยรู้อยู่แล้วหรือควรรู้ว่าทรัพย์นั้นเจ้าของกําลังติดตามเอาทรัพย์นั้นคืนอยู่จึงเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยทุจริต ขาวจึงมีความผิดอาญาฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 มิใช่ความผิดฐานยักยอกทรัพย์สินหายตามมาตรา 352 วรรคสอง (เทียบคําพิพากษาฎีกาที่ 1363/2503)

สรุป

ขาวมีความผิดอาญาฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

 

ข้อ 4 เอนําเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยจํานวนสามแสนบาทมาชําระหนี้เงินกู้และขอสัญญากู้ยืมเงินคืน บีเข้าไปหยิบซองเอกสารมาส่งให้เอหลอกว่าเป็นซองใส่สัญญากู้ เอหลงเชื่อจึงชําระหนี้และรับเอกสารคืนไป เมื่อกลับถึงบ้านเปิดดูจึงรู้ว่าเป็นซองบรรจุกระดาษเปล่า เอไปขอเงินคืนจากบีแต่ถูกปฏิเสธจึงไปฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกง ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่า บีจะมีความผิดตามฟ้องหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 341 “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิด ข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทําความผิดฐานฉ้อโกง ต้อง ระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 ประกอบด้วย

1 หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ

(ก) แสดงข้อความเป็นเท็จ หรือ

(ข) ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง

2 โดยการหลอกลวงนั้น

(ก) ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือ

(ข) ทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ์

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่เอนําเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยจํานวนสามแสนบาทมาชําระหนี้เงินกู้ และขอสัญญากู้ยืมเงินคืนจากบี แต่บีได้นําซองเอกสารบรรจุกระดาษเปล่าคืนให้เอโดยหลอกเอว่าเป็นซองใส่ สัญญากู้ เมื่อเอกลับถึงบ้านจึงรู้และไปขอเอกสารสัญญากู้จากบี แต่บีปฏิเสธ เอจึงไปฟ้องบีในความผิดฐานฉ้อโกงนั้น การกระทําของบีไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 แต่อย่างใด ทั้งนี้เพราะแม้ว่าบีจะหลอกลวงเอด้วยการ แสดงข้อความอันเป็นเท็จ แต่การหลอกลวงนั้นก็มิได้ทําให้บีได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากเอผู้ถูกหลอกลวงแต่อย่างใด และเงินจํานวนสามแสนบาทก็เป็นเงินที่เอได้นํามาชําระหนี้อันเป็นสิทธิพึงมีพึงได้ของบีที่จะได้รับชําระหนี้อยู่แล้ว ดังนั้น จึงไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้อง

สรุป บีไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้อง

LAW3001 กฎหมายอาญา3 S/2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 เอและบีขับรถแข่งกันบนถนนสาธารณะต่างชิงขับปาดหน้ากันไปมา ขณะที่เอขับปาดหน้ารถของบีโดยกะทันหันทําให้บีเกิดความโกรธ จึงเร่งเครื่องรถยนต์ชนท้ายรถของเออย่างแรง ทําให้รถของเอ เสียหลักพุ่งไปชนรถจักรยานยนต์ที่แดงขับล้มลงเป็นเหตุให้แดงถึงแก่ความตาย ส่วนเอศีรษะแตก เลือดไหล ดังนี้ จะต้องรับผิดในความตายของแดงอย่างไรหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 59 วรรคสอง “กระทําโดยเจตนา ได้แก่ กระทําโดยรู้สํานึกในการที่กระทําและในขณะเดียวกันผู้กระทําประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทํานั้น”

มาตรา 60 “ผู้ใดเจตนาที่จะกระทําต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทําเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทําโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทํานั้น”

มาตรา 290 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 ทําร้ายผู้อื่น

2 เป็นเหตุให้ผู้ถูกทําร้ายถึงแก่ความตาย

3 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่บีเร่งเครื่องยนต์ชนท้ายรถของเออย่างแรงในขณะที่เอกําลังขับรถด้วยความเร็วนั้น บีย่อมเล็งเห็นได้ว่าจะทําให้เอได้รับอันตราย จึงถือว่าบีได้กระทําโดยมีเจตนาทําร้ายเอตาม มาตรา 59 วรรคสอง และจากการกระทําของบีทําให้รถของเอเสียหลักพุ่งไปชนรถจักรยานยนต์ที่แดงขับล้มลงนั้น ย่อมถือว่ามีเจตนาทําร้ายแดงโดยพลาดไปตามมาตรา 60 และเมื่อถือว่ามีเจตนาทําร้ายแดงและผลของการทําร้ายดังกล่าวนั้นทําให้แดงถึงแก่ความตาย ความตายของแดงจึงเป็นผลโดยตรงและเป็นผลที่ใกล้ชิดกับการทําร้ายของปี ดังนั้นบีจึงมีความผิดฐานมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม มาตรา 290 วรรคหนึ่ง

สรุป

บีมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290 ประกอบมาตรา 60

 

ข้อ 2 นายอาทิตย์ อายุ 21 ปี กับ น.ส.กวาง อายุ 17 ปีเศษ คบหาเป็นคนรักกันมากว่า 2 ปี วันหนึ่งเวลา 21.00 น. น.ส.กวาง หนีออกจากบ้านมาขอพักอยู่ที่บ้านเช่าของนายอาทิตย์โดยบอกว่าทะเลาะกับที่บ้าน นายอาทิตย์ยอมให้ น.ส.กวางพักอยู่ด้วยและตั้งใจจะร่วมประเวณีกันเพราะเป็นคนรักกัน อยู่แล้ว เวลา 21.30 น. มารดาของ น.ส.กวางก็ตามมาพาตัว น.ส.กวางกลับบ้านโดยนายอาทิตย์ ยังไม่ได้ร่วมประเวณีกับ น.ส.กวาง แต่อย่างใด จากข้อเท็จจริงดังกล่าวให้วินิจฉัยว่านายอาทิตย์มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 319 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจาก บิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อหากําไร หรือเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา 319 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 พรากผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปีแต่ยังไม่เกิน 18 ปี

2 ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล

3 โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย

4 โดยเจตนา

5 เพื่อหากําไร หรือเพื่อการอนาจาร

องค์ประกอบของความผิดที่สําคัญประการหนึ่งของความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามมาตรา 319 วรรคหนึ่ง คือต้องมีการพราก ซึ่งหมายถึงการเอาไปหรือพาไปหรือแยกผู้เยาว์ออกไปจากความปกครองของบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล ทําให้ความปกครองดูแลของบุคคลดังกล่าวนั้นถูกรบกวนหรือถูกกระทบกระเทือน อันเป็นการส่วงอํานาจปกครองของบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลผู้เยาว์นั้น

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่ น.ส.กวางอายุ 17 ปีเศษได้หนีออกจากบ้านมาหานายอาทิตย์เองโดยที่ นายอาทิตย์ไม่ได้พาหรือชักชวน แต่เป็นกรณีที่ น.ส.กวางสมัครใจไปจากบิดามารดานั้น จึงไม่อยู่ในความหมายของ คําว่าพราก อันเป็นองค์ประกอบของความผิด ดังนั้นเมื่อนายอาทิตย์ไม่ได้กระทําการอันใดอันเป็นการพราก ผู้เยาว์อายุกว่า 15 ปี แต่ไม่เกิน 18 ปีไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยตามมาตรา 319 วรรคหนึ่ง นายอาทิตย์จึงไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามมาตรา 319 วรรคหนึ่ง (ฎีกาที่ 949/2536)

สรุป

นายอาทิตย์ไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ตามมาตรา 319 วรรคหนึ่ง

 

ข้อ 3 แดงได้จ้างแท็กซี่ของดําไปส่งที่สนามบินดอนเมืองเพื่อเดินทางไปเชียงใหม่ เมื่อถึงสนามบินแดงลืมโทรศัพท์มือถือของแดงไว้บนแท็กซีของดํา เมื่อไปถึงจังหวัดเชียงใหม่แดงได้โทรศัพท์เข้ามือถือที่ตน ลืมไว้บนแท็กซี่ แต่ดําปิดโทรศัพท์มือถือของแดงไม่ยอมรับสาย หลังจากนั้น 3 วันแดงเดินทางกลับ จากเชียงใหม่ ดําได้โทรศัพท์ไปหาแดงและจะคืนโทรศัพท์มือถือของแดงซึ่งมีราคาถึงสามหมื่นบาท ให้แดง แต่แดงจะต้องจ่ายค่าไถ่โทรศัพท์ให้ดําก่อนเป็นเงิน 5,000 บาท มิฉะนั้นดําจะไม่ยอมคืนโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ให้กับแดง ดํามีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้น กระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ…”

วินิจฉัย

องค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย

1 เอาไป

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 นั้น จะต้องเป็นกรณีการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั่นเอง ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตในขณะที่ผู้เอาทรัพย์สินนั้น ไปได้ครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ โดยอาจจะเป็นการครอบครองเพราะเจ้าของส่งมอบการครอบครองให้โดยชอบ หรือเพราะเจ้าของส่งมอบให้โดยสําคัญผิด หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้เอาไปนั้นเก็บได้ ย่อมไม่เป็นความผิดฐาน ลักทรัพย์ แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์หรือยักยอกทรัพย์สินหายแล้วแต่กรณีตามมาตรา 352

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่แดงได้ลืมโทรศัพท์มือถือของแดงไว้บนรถแท็กซี่ของดํานั้นไม่ถือว่า แดงได้ส่งมอบโทรศัพท์มือถือให้ดําครอบครองแต่อย่างใด และไม่ถือว่าเป็นทรัพย์สินหายที่ดําเก็บได้ เพราะการที่แดงได้ลืมทรัพย์สินดังกล่าวไว้บนรถแท็กซี่นั้น ยังไม่ถือว่าทรัพย์สินนั้นขาดจากการยึดถือหรือขาดจากการ ครอบครองของแดง แต่ยังถือว่าแดงยังคงครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ ดังนั้นเมื่อดําได้เอาทรัพย์สินคือโทรศัพท์มือถือของแดงไป จึงถือว่าเป็นการแย่งการครอบครองเอาทรัพย์สินไปจากผู้อื่นในลักษณะที่เป็นการตัด กรรมสิทธิ์ตลอดไป และเมื่อดําได้โทรศัพท์ไปหาแดงและจะคืนโทรศัพท์มือถือให้แดงโดยแดงจะต้องจ่ายค่า โทรศัพท์ให้ดําก่อนนั้น การกระทําของคําถือว่าเป็นการกระทําโดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดย ชอบด้วยกฎหมาย การกระทําของดําจึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ดังนั้น ดํา จึงมีความผิดอาญาฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

สรุป

ดํามีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

 

ข้อ 4 หนึ่งทําสัญญาให้สองเป็นนายหน้าขายที่ดินให้ตนในราคาสิบล้านบาท โดยตกลงให้ค่านายหน้าแก่สองร้อยละสามเป็นเงินค่านายหน้าสามแสนบาท สองติดต่อขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้สมยศและขอให้ สมยศหักเงินค่านายหน้าจํานวนสามแสนบาทจากเงินที่ต้องชําระค่าที่ดินให้หนึ่งเก็บไว้ให้ด้วย แต่ในวันที่ทําสัญญาซื้อขายและโอนที่ดินกัน สมยศจ่ายค่าที่ดินให้หนึ่งสิบล้านบาทเต็มจํานวนโดยมิได้ หักค่านายหน้าไว้ ต่อมาสองได้ไปขอรับค่านายหน้าจากหนึ่งแต่หนึ่งหลอกสองว่ายังไม่ได้โอนขาย เมื่อถูกทวงถามหลายครั้งในที่สุดหนึ่งปฏิเสธว่าไม่เคยตกลงให้สองเป็นนายหน้า ดังนี้ หนึ่งจะมีความผิด เกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 341 “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทําความผิดฐานฉ้อโกง ต้อง ระวางโทษ”

มาตรา 352 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของ รวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทําความผิดฐานยักยอก ต้อง ระวางโทษ

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 ประกอบด้วย

1 หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ

(ก) แสดงข้อความเป็นเท็จ หรือ

(ข) ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง

2 โดยการหลอกลวงนั้น

(ก) ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือ

(ข) ทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกตามมาตรา 352 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 ครอบครอง

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม

4 โดยเจตนา

5 โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่งทําสัญญาให้สองเป็นนายหน้าขายที่ดินให้ตน โดยตกลงให้ค่านายหน้าแก่สอง ต่อมาสองได้ติดต่อขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้สมยศโดยมีการทําสัญญาซื้อขายและโอนที่ดินกันแล้ว และสมยศได้จ่ายค่าที่ดินให้หนึ่งเต็มจํานวนแล้ว แต่เมื่อสองได้ไปขอรับค่านายหน้าจากหนึ่งแต่หนึ่งหลอกสองว่า ยังไม่ได้โอนขายที่ดิน และเมื่อถูกทวงถามหลายครั้งในที่สุดหนึ่งปฏิเสธว่าไม่เคยตกลงให้สองเป็นนายหน้านั้น การปฏิเสธไม่จ่ายค่านายหน้าให้แก่สองดังกล่าว หนึ่งย่อมไม่มีความผิดอาญาเกี่ยวกับทรัพย์แต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็น ความผิดฐานฉ้อโกงหรือความผิดฐานยักยอก ทั้งนี้เพราะ

1 การที่หนึ่งหลอกสองว่ายังไม่ได้โอนขายที่ดินโดยมีเจตนาจะไม่จ่ายค่านายหน้าให้แก่ สองนั้น แม้จะเป็นการหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จโดยเจตนาก็ตาม แต่การหลอกลวง ดังกล่าวก็ไม่ทําให้หนึ่งได้ทรัพย์สินจากสองผู้ถูกหลอกลวงแต่อย่างใด เป็นเพียงการที่หนึ่งมีเจตนาจะไม่จ่าย ค่านายหน้าเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวกันในทางแพ่งต่อไป ดังนั้น การกระทําของหนึ่งจึงไม่เป็นความผิด ฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341

2 การที่สมยศจ่ายค่าที่ดินให้หนึ่งเต็มจํานวนโดยมิได้หักค่านายหน้าไว้ และหนึ่งปฏิเสธ ไม่จ่ายค่านายหน้าจํานวน 300,000 บาทให้แก่สองนั้น การกระทําของหนึ่งย่อมไม่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 352 วรรคหนึ่ง เพราะเงินที่หนึ่งได้รับจากการขายที่ดินทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของหนึ่งผู้ขายจึงไม่ ถือว่าหนึ่งได้ครอบครองทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย แล้วได้เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็น ของตนแต่อย่างใด

สรุป

หนึ่งไม่มีความผิดฐานฉ้อโกงหรือความผิดฐานยักยอกทรัพย์แต่อย่างใด

 

 

LAW3001 กฎหมายอาญา3 2/2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001 กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 เอมีเรื่องโกรธแค้นที่ถูกหนุ่มมาแย่งหญิงคนรักของตนไป เอจึงชวนบีให้ไปช่วยเอชกต่อยหนุ่มเพื่อเป็นการสั่งสอน วันเกิดเหตุเอและบีพากันไปดักรอ เมื่อหนุ่มเดินผ่านมาทั้งสองคนตรงเข้าชกต่อย ทําร้ายหนุ่ม ในขณะที่ชกต่อยนั้นบีได้เอามีดที่พกติดตัวไปด้วยฟันข้อมือของหนุ่มจนได้รับอันตรายสาหัสโดยที่เอไม่รู้มาก่อนว่าปีได้พกพามีดมาด้วย ดังนี้ให้วินิจฉัยว่า เอจะมีความผิดต่อร่างกายฐานใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 83 “ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทําของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทําความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 295 “ผู้ใดทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทําความผิดฐานทําร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษ”

มาตรา 297 “ผู้ใดกระทําความผิดฐานทําร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทําร้ายรับ อันตรายสาหัส ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

ความผิดฐานทําร้ายร่างกายตามมาตรา 295 มีองค์ประกอบความผิด ดังนี้คือ

1 ทําร้าย

2 ผู้อื่น

3 จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น

4 โดยเจตนา

ความผิดฐานทําร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 297 เป็นเหตุที่ ทําให้ผู้กระทําความผิดฐานทําร้ายร่างกายตามมาตรา 295 ต้องรับโทษหนักขึ้นเพราะผลที่เกิดจากการกระทํานั้น ผู้กระทําไม่จําต้องมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลที่ทําให้ต้องรับโทษหนักขึ้นแต่อย่างใด และในกรณีที่มี ตัวการร่วมกันทําร้ายร่างกายผู้อื่น แม้ผู้ที่เป็นตัวการร่วมกระทําผิดจะไม่มีเจตนาให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส หรือ มิได้เป็นผู้ที่ลงมือกระทําให้เกิดผลขึ้น ผู้ร่วมกระทําผิดทุกคนก็ต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้นนั้นด้วย

กรณีตามอุทาหรณ์

เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า เอได้ร่วมกับบีทําร้ายร่างกายหนุ่มโดยเจตนา แม้เอจะชักชวนบีให้ไปช่วยกันชกต่อยทําร้ายหนุ่ม และบีแต่เพียงผู้เดียวเป็นผู้ใช้มีดพกฟันข้อมือของหนุ่มจนได้รับ อันตรายสาหัสโดยเอไม่ทราบว่าบีพกอาวุธไปด้วย และเอไม่มีเจตนาให้หนุ่มได้รับอันตรายสาหัส แต่การที่หนุ่มได้รับอันตรายสาหัสก็เป็นผลธรรมดาที่เกิดจากการกระทําผิดฐานทําร้ายร่างกาย เอก็จะต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้น จากการกระทําของบีด้วย ดังนั้นจึงถือได้ว่าเอเป็นตัวการร่วมกันทําร้ายหนุ่มจนเป็นเหตุให้หนุ่มได้รับอันตรายสาหัส เอจึงมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันทําร้ายผู้อื่นจนได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 297 ประกอบมาตรา 83

สรุป

เอมีความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันทําร้ายผู้อื่นจนได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 297 ประกอบมาตรา 83

 

ข้อ 2 บุคคลอื่นเล่าให้นางทับทิมฟังว่าเห็น น.ส.รัศมีพาผู้ชายมานอนค้างที่บ้านบ่อย ๆ ต่อมานายเอกก็มาสอบถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับนางทับทิม นางทับทิมก็บอกกับนายเอกว่า น.ส.รัศมีพาผู้ชายมานอนค้าง ที่บ้านตามที่ได้ยินบุคคลอื่นเล่าให้ฟัง หลังจากนั้น น.ส.รัศมีจึงดําเนินคดีกับนางทับทิมในข้อหา หมิ่นประมาท นางทับทิมต่อสู้ว่าตนเองไม่ได้กระทําความผิดตามข้อกล่าวหาเพราะที่พูดไปก็พูดตามที่ได้ยินบุคคลอื่นเล่าให้ฟังมาเท่านั้น ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่านางทับทิมมีความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 326 “ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทําความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบของความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326 ประกอบด้วย

1 ใส่ความผู้อื่น

2 ต่อบุคคลที่สาม

3 โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง

4 โดยเจตนา

คําว่า “ใส่ความ” ตามนัยมาตรา 326 หมายความว่า พูดหาเหตุร้าย หรือกล่าวหาเรื่องร้าย ให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย โดยเป็นการยืนยันข้อเท็จจริง ซึ่งกระทําต่อบุคคลที่สามโดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้น เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่นางทับทิมได้บอกกับนายเอกว่า น.ส.รัศมีพาผู้ชายมานอนค้าง ที่บ้านบ่อย ๆ ตามที่ได้ยินบุคคลอื่นเล่าให้ฟังนั้น คําพูดของนางทับทิมถึงแม้จะเป็นการพูดตามที่บุคคลอื่นเล่าให้ฟังมาก็ตาม ก็ถือว่าเป็นการใส่ความ น.ส.รัศมีต่อบุคคลที่สามแล้ว และข้อความนั้นก็น่าจะทําให้ น.ส.รัศมีเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังได้ ดังนั้น นางทับทิมจึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326

สรุป

นางทับทิมมีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามมาตรา 326

 

ข้อ 3 นาย ก. เป็นเจ้าของอู่ซ่อมรถยนต์ โดยมีจําเลยเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์ นายแดงนํารถยนต์มาที่อู่ของนาย ก. เพื่อซ่อมเครื่องยนต์ โดยนายแดงตกลงกับนาย ก. ว่านายแดงจะเป็นผู้ซื้ออะไหล่แท้ มาให้นาย ก. ต่อมาเมื่อนายแดงซื้ออะไหล่แท้มาได้แล้วก็นํามามอบให้นาย ก. ครั้นถึงเวลาซ่อมเครื่องยนต์ จําเลยซึ่งเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์ได้จงใจเปลี่ยนเอาอะไหล่แท้ที่นายแดงซื้อมาไปใส่ ให้กับรถยนต์ของนายขาว แล้วนําอะไหล่เทียมมาใส่ให้กับรถยนต์ของนายแดง โดยที่นาย ก. เจ้าของอู่ไม่ทราบเรื่อง ทั้งนี้จําเลยมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้น กระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ ตามมาตรา 339 ประกอบด้วย

1 เอาไป

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงซื้ออะไหล่แท้มอบให้นาย ก. เจ้าของอู่ นาย ก. ย่อมเป็น ผู้ครอบครอง เมื่อจําเลยซึ่งเป็นช่างซ่อมเครื่องยนต์ได้จงใจเปลี่ยนเอาอะไหล่แท้ที่นายแดงซื้อมาไปใส่ให้กับรถยนต์ ของนายขาว แล้วนําอะไหล่เทียมมาใส่ให้รถยนต์ของนายแดง โดยที่นาย ก. เจ้าของอู่ไม่ทราบเรื่อง การกระทําของจําเลยจึงเป็นการเอาไปซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น โดยทุจริตเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ไม่ใช่ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 352 วรรคหนึ่ง เพราะจําเลยไม่ได้รับมอบการครอบครองจากผู้ใด

สรุป จําเลยมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

 

ข้อ 4 จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 จําเลยที่ 4 ไปที่บ้านของนาย ก. เมื่อไปถึง จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 จําเลยที่ 4 ใช้เท้าเตะไปที่รั้วบ้านของนาย ก. ซึ่งรั้วบ้านของนาย ก. เป็นรั้วสังกะสี นาย ก. ได้ยินเสียงจึงออกมาดู จําเลยที่ 1 พูดกับนาย ก. ขอเงิน 10,000 บาท นาย ก. ตอบว่าไม่มี จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 จําเลยที่ 4 ช่วยกันเตะรั้วจนสังกะสีหลุดออก 3 แผ่น นาย ก. กลัวรั้วจะพัง และกลัวจะถูกทําร้ายจึงยอมให้เงินจําเลยที่ 1 ไป 500 บาท จําเลยที่ 1 รับเงินมาแล้วจึงพูดกับ นาย ก. ว่า “ทีหลังถ้ากูมา อยากได้อะไร ให้ตามใจกูนะ”

ดังนี้ จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 จําเลยที่ 4 มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 340 “ผู้ใดชิงทรัพย์ โดยร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ผู้นั้นกระทํา ความผิดฐานปล้นทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานปล้นทรัพย์ ตามมาตรา 339 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 ชิงทรัพย์

2 โดยร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป

3 โดยเจตนา

การขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้าย เพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น อันจะเป็นความผิด ฐานชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 และถ้าได้ร่วมกันกระทําความผิดด้วยกันตั้งแต่สามคนขึ้นไป ก็จะเป็นความผิดฐาน ปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 นั้น การขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้ายดังกล่าวอาจจะเป็นการขู่ตรง ๆ ก็ได้ หรืออาจจะ เป็นการใช้ถ้อยคําทํากิริยาหรือทําโดยประการใด ๆ อันเป็นการแสดงให้ผู้ถูกขู่เข็ญเข้าใจได้ว่าจะได้รับภยันตราย จากการกระทําของผู้ขู่เข็ญก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์

การที่จําเลยที่ 1 พูดกับนาย ก. ขอเงิน 10,000 บาท เมื่อนาย ก. ตอบว่า ไม่มี จําเลยที่ 1 กับพวกช่วยกันเตะรั้วจนสังกะสีหลุดออก 3 แผ่น นาย ก. กลัวรั้วจะพังและกลัวถูกทําร้ายจึงยอม ให้เงินจําเลยที่ 1 ไป 500 บาท นั้น จะเห็นได้ว่า การกระทําของจําเลยที่ 1 และพวกเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่า เป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กําลังประทุษร้าย และการที่จําเลยที่ 1 ได้รับเงินแล้วยังพูดขู่เข็ญอีกว่า “ทีหลังถ้ากูมา อยากได้อะไร ให้ตามใจกูนะ” คําพูดขู่เข็ญของจําเลยที่ 1 ดังกล่าวแม้ไม่ใช่ถ้อยคําขู่เข็ญตรง ๆ แต่ก็เข้าใจได้ว่าต่อไปถ้าจําเลยที่ 1 อยากได้อะไรแล้ว นาย ก. ต้องให้ ถ้าไม่ให้จะถูกจําเลยที่ 1 ทําร้าย ดังนั้น การกระทําของจําเลยที่ 1 กับพวกอีกสามคน จึงครบองค์ประกอบของความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามมาตรา 340 จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 และจําเลยที่ 4 จึงมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ (เทียบฎีกาที่ 549/2517)

สรุป

จําเลยที่ 1 จําเลยที่ 2 จําเลยที่ 3 และจําเลยที่ 4 มีความผิดฐานปล้นทรัพย์ตาม ป.อาญา มาตรา 340

LAW3001 กฎหมายอาญา3 S/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 3001กฎหมายอาญา 3

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 4 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 เอและปีมีเหตุทะเลาะโต้เถียงกัน เอระงับความโกรธไม่อยู่ ตรงเข้าผลักและต่อยบีล้มลงถูกเศษแก้วแตกแทงถูกที่ขาบีเลือดไหล ปีไม่ไปหาหมอแต่รักษาแผลเอง ซึ่งรักษาแผลไม่สะอาดพอทําให้แผล อักเสบติดเชื้อจนเข้ากระแสโลหิต บีถึงแก่ความตายในอีก 2 วันต่อมา ปรากฏผลการชันสูตรของ แพทย์ระบุวาบาดแผลที่ขาไม่รุนแรงหากมาหาแพทย์รักษาก็จะไม่ตาย ดังนี้ เอจะมีความผิดต่อชีวิตและร่างกายฐานใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 290 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทําร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 ทําร้ายผู้อื่น

2 เป็นเหตุให้ผู้ถูกทําร้ายถึงแก่ความตาย

3 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอผลักและต่อยบีล้มลงทําให้บีถูกเศษแก้วแตกแทงถูกที่ขามีเลือดไหล นั้น ถือว่าเอใช้กําลังประทุษร้ายต่อปีแล้ว และเมื่อการทําร้ายของเอทําให้ถึงแก่ความตายในอีก 2 วันต่อมานั้น แม้จะปรากฏข้อเท็จจริงว่า ไม่ได้ไปหาหมอแต่รักษาแผลเอง ซึ่งมีรักษาแผลไม่สะอาดพอทําให้แผลอักเสบติดเชื้อ จนเข้ากระแสโลหิตเเละถึงแก่ความตาย และปรากฎผลในการชันสูตรของแพทย์ระบุว่าบาดแผลที่ขาไม่รุนแรง หากมาหาแพทย์รักษาก็จะไม่ตายก็ตาม แต่การที่บีไม่ไปหาหมอแต่ทําแผลเองทําให้แผลอักเสบติดเชื้อนั้น ถือว่า เป็นเหตุแทรกแซงที่คาดหมายได้ จึงไม่ตัดความสัมพันธ์ระหว่างการทําร้ายของเอกับความตายของปี ความตายของปี จึงเป็นผลโดยตรงและเป็นผลที่ใกล้ชิดกับการทําร้ายของเอ ดังนั้น เอจึงมีความผิดฐานมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทําร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 290 วรรคหนึ่ง

สรุป

เอมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตามมาตรา 290 วรรคหนึ่ง

 

ข้อ 2 นายเสือฆ่าคนตายแล้วหลบหนีในระหว่างทางพบนายช้างจอดรถจักรยานยนต์อยู่ที่พักริมทาง

นายเสือใช้อาวุธขู่เข็ญเอารถจากนายช้างเพื่อจะใช้รถเป็นพาหนะหลบหนี แต่นายช้างไม่ยอมโดย ตัดสินใจขับขี่รถจักรยานยนต์หนีไป นายเสือจึงไม่ได้รถจากนายช้าง ดังนี้ ให้วินิจฉัยว่าการกระทํา ของนายเสือเป็นความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพฐานใดหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 80 “ผู้ใดลงมือกระทําความผิดแต่กระทําไปไม่ตลอด หรือกระทําไปตลอดแล้วแต่ การกระทํานั้นไม่บรรลุผล ผู้นั้นพยายามกระทําความผิด

ผู้ใดพยายามกระทําความผิด ผู้นั้นต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กฎหมายกําหนดไว้ สําหรับความผิดนั้น”

มาตรา 309 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือ ของผู้อื่น หรือโดยใช้กําลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้นหรือจํายอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานทําให้เสื่อมเสียเสรีภาพตามมาตรา 309 ประกอบด้วย

1 ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใด ไม่กระทําการใด หรือจํายอมต่อสิ่งใด

2 โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กําลังประทุษร้าย

3 จนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทําการนั้น ไม่กระทําการนั้นหรือจํายอมต่อสิ่งนั้น

4 โดยเจตนา

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเสือใช้อาวุธขู่เข็ญเอารถจักรยานยนต์จากนายซ้างนั้น การกระทําของนายเสือถือว่าเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใดหรือจํายอมต่อสิ่งใด โดยทําให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพตามมาตรา 309 วรรคหนึ่ง แต่เมื่อนายช้างไม่ยอมโดยตัดสินใจขับขี่รถจักรยานยนต์หนีไป ทําให้ นายเสือไม่ได้รถจากนายช้างนั้น ถือว่าการกระทําของนายเสือเป็นการลงมือกระทําไปตลอดแล้วแต่การกระทํา นั้นไม่บรรลุผล จึงเป็นความผิดฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใดหรือจํายอมต่อสิ่งใดตามมาตรา 309 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 80 วรรคหนึ่ง

สรุป

นายเสือมีความผิดฐานพยายามข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทําการใดหรือจํายอมต่อสิ่งใดตาม มาตรา 309 ประกอบมาตรา 80

 

ข้อ 3 แดงเป็นเจ้าของเสื้อผ้าและได้ส่งเสื้อผ้าให้มืดนําไปซักที่ร้านซักเสื้อผ้าของมืด โดยแดงได้นําเสื้อผ้าที่ใช้แล้วใส่ลงในตะกร้าที่บรรจุเสื้อผ้าเพื่อนําไปซัก แต่แดงลืมเอาเงินออกจากกระเป๋าเสื้อผ้า เป็นเงิน 5,000 บาท แดงได้ส่งตะกร้าเสื้อผ้าให้กับมืดไปพร้อมกับเสื้อผ้าที่มีเงินติดไปด้วย ขณะที่แดงส่งมอบ ตะกร้าพร้อมเสื้อผ้าให้กับมืดนั้น มืดไม่เห็นว่ามีสิ่งอื่นใดอยู่ในตะกร้าใบนั้นเลยนอกจากเสื้อผ้าที่ใช้แล้ว เมื่อมืดนําเสื้อผ้าของแดงที่บรรจุไว้ในตะกร้ากลับไปยังร้านซักรีดของมืด ก่อนที่จะนําเสื้อผ้าไปซัก มืดได้พบเงิน 5,000 บาท ที่แดงลืมไว้ หลังจากนั้น 2 วัน เมื่อมืดนําเสื้อผ้าที่ซักรีดเสร็จไปแล้วไป คืนให้แดง แต่มืดได้เอาเงิน 5,000 บาทนั้น เป็นของตนเสียเอง มืดมีความผิดอาญาฐานใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 334 “ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้น กระทําความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบของความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ประกอบด้วย

1 เอาไป

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

กรณีที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 นั้น จะต้องเป็นกรณีการเอาทรัพย์ของผู้อื่น หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปจากการครอบครองของผู้อื่นโดยทุจริต หรือเป็นการแย่งการครอบครองนั่นเอง ในกรณีที่เป็นการเอาทรัพย์สินของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริตในขณะที่ผู้เอาทรัพย์สินนั้น ไปได้ครอบครองทรัพย์สินนั้นอยู่ย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ แต่อาจเป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ (ตาม มาตรา 352 วรรคหนึ่ง)

ตามอุทาหรณ์ การที่เดงเป็นเจ้าของเสื้อผ้าได้ส่งเสื้อผ้าให้มืดนําไปซักที่ร้านซักเสื้อผ้าของมืด โดยแดงลืมเอาเงินออกจากกระเป๋าเสื้อผ้าเป็นเงิน 5,000 บาทนั้น ถือว่าเงินดังกล่าวยังอยู่ในความครอบครอง ของแดง เพราะแดงไม่ได้ส่งมอบการครอบครองให้มืด การที่มืดได้เอาเงิน 5,000 บาทไป จึงเป็นการแย่งการ ครอบครองเงินจากแดง ซึ่งเป็นการเอาไปซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น และเมื่อมืดเอาเงินนั้นเป็นของตนเสียเอง จึงเป็นการกระทํา โดยทุจริตเพื่อแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย มืดจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

สรุป

มืดมีความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334

 

ข้อ 4 หนึ่งจะต้องไปร่วมงานราตรีสโมสรจึงขอยืมเครื่องประดับสร้อยคออัญมณีล้อมเพชรของสองไปสวมใส่ หนึ่งสะเพร่าทําสร้อยคอของสองตกหายในงานโดยไม่รู้ตัว ไม่มีสร้อยเพชรไปคืนให้สอง จึงหลอกสองว่า ถูกคนร้ายที่เข้ามาลักทรัพย์ในห้องนอนลักสร้อยของสองไปด้วย ขอเวลา 10 วัน จะเอาเงินมาชดใช้คืน สองเห็นหนึ่งหายไป 2 สัปดาห์จึงทวงถาม หนึ่งก็บ่ายเบี่ยงอ้างว่ายังหาเงินไม่ครบ เมื่อถูกทวงถาม อีกครั้งหนึ่งไม่มีเงินใช้คืนจึงปฏิเสธว่าไม่ได้ยืมสร้อย ดังนี้ หนึ่งจะมีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ฐานใดหรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา

มาตรา 341 “ผู้ใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิด ข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทําความผิดฐานฉ้อโกง ต้อง ระวางโทษ”

มาตรา 352 วรรคหนึ่ง “ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทําความผิดฐานยักยอก ต้องระวางโทษ”

วินิจฉัย

องค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 ประกอบด้วย

1 หลอกลวงผู้อื่นด้วยการ

(ก) แสดงข้อความเป็นเท็จ หรือ

(ข) ปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง

2 โดยการหลอกลวงนั้น

(ก) ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือ

(ข) ทําให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทํา ถอน หรือทําลายเอกสารสิทธิ

3 โดยเจตนา

4 โดยทุจริต

องค์ประกอบความผิดฐานยักยอกตามมาตรา 352 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วย

1 ครอบครอง

2 ทรัพย์ของผู้อื่นหรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย

3 เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สาม

4 โดยเจตนา

5 โดยทุจริต

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่หนึ่งขอยืมสร้อยคออัญมณีล้อมเพชรของสองไปสวมใส่ และหนึ่งสะเพร่า ทําสร้อยคอของสองตกหายในงานโดยไม่รู้ตัว ทําให้ไม่มีสร้อยคอไปคืนให้สอง จึงได้หลอกสองว่าถูกคนร้ายที่เข้ามา ลักทรัพย์ในห้องนอนลักสร้อยของสองไปด้วยนั้น การกระทําของหนึ่งไม่ถือว่าเป็นการยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 352 วรรคหนึ่ง เพราะถึงแม้ว่าหนึ่งจะครอบครองทรัพย์คือสร้อยคอของสอง แต่การที่หนึ่งทําสร้อยคอตกหายไปนั้น มิใช่เป็นการเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนโดยทุจริตแต่อย่างใด หนึ่งจึงไม่มีความผิดฐานยักยอกทรัพย์

อีกทั้งการกระทําของหนึ่งก็ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 เพราะแม้ว่าหนึ่งจะ หลอกลวงสองด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ แต่การหลอกลวงนั้นก็มิได้ทําให้หนึ่งได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากสอง ผู้ถูกหลอกแต่อย่างใด ดังนั้น หนึ่งจึงไม่มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์

สรุป หนึ่งไม่มีความผิดเกี่ยวกับทรัพย์

WordPress Ads
error: Content is protected !!