LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม S/2559

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายแดงยืมรถยนต์จากนายขาวมาใช้สําหรับขับไปทํางานที่กรุงเทพฯ มีกําหนดระยะเวลายืม 1 เดือน ในระยะเวลายืมนั้น นายแดงได้ขับรถยนต์ไปเที่ยวที่พัทยาในวันหยุด และถูกนายเขียวขับรถยนต์ บรรทุกเข้ามาชนเสียหาย โดยเป็นความผิดของนายเขียวต้องซ่อม คิดเป็นเงินทั้งหมด 20,000 บาท เมื่อนายขาวทราบ จึงบอกเลิกสัญญาเรียกรถยนต์คืน และให้ชําระค่าซ่อม นายแดงคืนรถยนต์แต่ ไม่ยอมชําระค่าซ่อม นายขาวจึงฟ้องศาลให้นายแดงรับผิดค่าซ่อมภายในอายุความ นายแดงต่อสู้ ว่าตนไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายครั้งนี้จึงไม่ต้องรับผิด ถ้าท่านเป็นศาลจะวินิจฉัยคดีนี้อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีก คนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงยืมรถยนต์จากนายขาวมาใช้สําหรับขับไปทํางานที่กรุงเทพฯ มีกําหนดระยะเวลายืม 1 เดือนนั้น สัญญายืมรถยนต์ระหว่างนายแดงและนายขาวเป็นสัญญายืมใช้คงรูปตาม มาตรา 640 ประกอบมาตรา 641 นายแดงผู้ยืมจึงมีสิทธิครอบครองและใช้สอยรถยนต์ตามที่ตกลงไว้กับนายขาว คือ เอามาใช้ขับไปทํางานที่กรุงเทพฯ เท่านั้น

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายแดงได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปเที่ยวที่พัทยาในวันหยุดและถูก นายเขียวขับรถยนต์บรรทุกเข้ามาชนเสียหายนั้น แม้จะเป็นความผิดของนายเขียวก็ตาม แต่เมื่อนายแดงได้ประพฤติผิด หน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา 643 กล่าวคือ นายแดงได้นําทรัพย์สินที่ยืมไปใช้เพื่อการอย่างอื่นนอกจากการอัน ปรากฏในสัญญา ดังนั้นเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นกับทรัพย์สินที่ยืม นายแดงผู้ยืมจึงต้องรับผิดในความเสียหายที่ เกิดขึ้นนั้น คือต้องรับผิดชดใช้ค่าซ่อมทั้งหมดจํานวน 20,000 บาท ให้แก่นายขาวตามมาตรา 643

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล จะวินิจฉัยให้นายแดงรับผิดชดใช้ค่าซ่อมรถยนต์จํานวน 20,000 บาท ให้แก่นายขาว

 

ข้อ 2. นายแดงมีจดหมายถึงนายดําขอยืมเงิน โดยข้อความในจดหมายตอนหนึ่งว่า “ระยะนี้เงินไม่พอใช้ต้องขอรบกวนขอยืมเงินสัก 20,000 บาท.” แล้วลงชื่อแดงพร้อมลงวันที่ เดือน ปี ในจดหมาย หลังจากนั้น 7 วัน นายแดงมีจดหมายอีกฉบับหนึ่งถึงนายดํา ข้อความในจดหมายตอนหนึ่งว่า “ เงิน 20,000 บาท ที่ส่งไปให้นั้นได้รับแล้วขอบคุณมาก” แล้วลงชื่อแดงพร้อมทั้งลงวันที่ เดือน ปี ที่เขียนจดหมายไว้ในจดหมายฉบับที่ 2 นั้นด้วย ต่อมาปรากฏว่าเมื่อนายดําทวงเงิน 20,000 บาท นั้น จากนายแดง นายแดงปฏิเสธการชําระหนี้ นายดําจึงนําความฟ้องร้องยังศาลโดยมีจดหมาย 2 ฉบับ นั้นเป็นหลักฐาน ในชั้นศาลนายแดงต่อสู้ว่าไม่ได้กู้ยืม ถ้าท่านเป็นศาลจะตัดสินอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 653 วรรคหนึ่ง “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

วินิจฉัย

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามมาตรา 653 วรรคหนึ่ง บังคับว่าในกรณีที่จะฟ้องร้องบังคับคดี ในเรื่องเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินกันเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไป จะต้องมีพยานหลักฐานประกอบการฟ้องคดี คือ

1 หลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และ

2 ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ

สําหรับหลักฐานการกู้ยืมเงินนี้ ต้องมีสาระสําคัญที่แสดงให้เห็นว่ามีการกู้ยืมเงินกันและต้องมี ข้อความที่แสดงให้เห็นว่าได้มีการส่งมอบเงินที่กู้ยืมให้แก่กันแล้วด้วย ซึ่งข้อความอันแสดงถึงการกู้ยืมไม่จําเป็นว่า จะต้องปรากฏในเอกสารฉบับเดียวกัน อาจจะปรากฏอยู่ในเอกสารหลาย ๆ ฉบับก็ได้ เมื่อนําเอาเอกสารเหล่านั้น มาอ่านประกอบเข้าด้วยกัน หากได้ความว่าเป็นการกู้ยืมเงินกันแล้ว ย่อมถือว่าเอกสารเหล่านั้นเป็นหลักฐานแห่ง การกู้ยืมได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงมีจดหมายถึงนายดําขอยืมเงิน โดยมีข้อความในจดหมาย ตอนหนึ่งว่า “ระยะนี้เงินไม่พอใช้ ต้องขอรบกวนขอยืมเงินสัก 20,000 บาท.” แล้วลงชื่อแดง พร้อมลงวันที่ เดือน ปี ในจดหมาย และหลังจากนั้น 7 วัน นายแดงมีจดหมายอีกฉบับหนึ่งถึงนายดํา โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า “เงิน 20,000 บาท ที่ส่งไปให้นั้นได้รับแล้วขอบคุณมาก…” แล้วลงชื่อแดงพร้อมทั้งลงวันที่ เดือน ปี ที่เขียน จดหมายไว้เนจดหมายฉบับที่ 2 ด้วยนั้น จะเห็นได้ว่าจดหมายของนายแดงถึงนายดําทั้ง 2 ฉบับนั้น ถ้าอ่านเพียง ฉบับใดฉบับหนึ่ง จะไม่แสดงถึงการกู้ยืมเงินจํานวน 20,000 บาท แต่อย่างใด แต่ถ้าอ่านรวมกันแล้วจะได้ใจความ ว่านายแดงขอกู้ยืมเงินจํานวน 20,000 บาท จากนายดํา และนายดําได้ส่งมอบเงินจํานวน 20,000 บาท ให้กับ นายแดงแล้ว และนายแดงได้รับเงินจํานวนดังกล่าวแล้ว อีกทั้งในจดหมายทั้ง 2 ฉบับ ก็ได้มีการลงลายมือชื่อ ของนายแดงไว้แล้วด้วย ดังนั้น นายดําจึงสามารถใช้จดหมายทั้ง 2 ฉบับ เพื่อเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเพื่อ ฟ้องร้องบังคับให้นายแดงคืนเงินที่กู้ยืมไปจํานวน 20,000 บาท คืนให้แก่ตนได้ตามมาตรา 655 วรรคหนึ่ง

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล จะตัดสินให้นายแดงชําระเงินคืนให้นายดําจํานวน 20,000 บาท

 

ข้อ 3 นางสาวนิดเดินทางไปธุระที่ลพบุรี พร้อมกับหน่อยซึ่งเป็นคนใช้ ไปถึงก็ตรงไปพักที่โรงแรมแสนสบาย เจ้าของโรงแรมได้ยื่นประกาศระเบียบของโรงแรมให้นางสาวนิดอ่านดูก่อนลงชื่อเข้าพักแรม ประกาศนั้น มีใจความว่า ทางโรงแรมจะไม่ยอมรับผิดชอบในการสูญหายหรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของผู้มาพัก ไม่ว่าในกรณีใด ๆ นางสาวนิดอ่านประกาศแล้วก็หัวเราะไม่พูดว่ากระไร คงลงชื่อเข้าพักไป ตามปกติ ระหว่างที่พักอยู่นั้น หน่อยได้ขโมยนาฬิการาคา 20,000 บาท ของนางสาวนิดพาหนีไป อยากทราบว่าเจ้าของโรงแรมจะต้องรับผิดชดใช้ราคานาฬิกาของนางสาวนิดแค่ไหน หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่ง ทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ”

มาตรา 677 “ถ้ามีคําแจ้งความปิดไว้ในโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านี้ เป็น ข้อความยกเว้นหรือจํากัดความรับผิดของเจ้าสํานักไซร้ท่านว่าความนั้นเป็นโมฆะ เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัย จะได้ตกลงด้วยชัดแจ้งในการยกเว้นหรือจํากัดความรับผิดดังว่านั้น”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหาย หรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้น จะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

แต่อย่างไรก็ตาม หากความสูญหายหรือบุบสลายของทรัพย์สินเกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัย หรือ เพราะสภาพแห่งทรัพย์สินนั้น หรือเพราะความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือ บุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ เจ้าสํานักย่อมไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด (มาตรา 675 วรรคสาม)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวนิดและหน่อยซึ่งเป็นคนใช้ได้เข้าไปพักที่โรงแรม และเจ้าของ โรงแรมได้ยื่นประกาศระเบียบของโรงแรมให้นางสาวนิดอ่านดูก่อนลงชื่อเข้าพักแรม โดยประกาศนั้นมีใจความว่า ทางโรงแรมจะไม่ยอมรับผิดชอบในการสูญหายหรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของผู้มาพักไม่ว่ากรณีใด ๆ นั้น เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่ทางโรงแรมทําขึ้นฝ่ายเดียว และไม่ปรากฏว่านางสาวนิดได้ตกลงด้วยโดยชัดแจ้งใน การยกเว้นความรับผิดนั้น ข้อความในเอกสารหรือในประกาศนั้นจึงเป็นโมฆะตามมาตรา 677 ดังนั้น ทางเจ้าสํานัก โรงแรมจึงยังคงต้องรับผิดชอบในความสูญหายหรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของผู้ที่มาพักในโรงแรมนั้น

แต่อย่างไรก็ดี การที่นาฬิการาคา 20,000 บาท ของนางสาวนิดได้หายไปนั้น เป็นเพราะถูก หน่อยคนใช้ของนางสาวนิดลักไป จึงเป็นกรณีที่ทรัพย์สินของคนเดินทางที่เข้าพักยังโรงแรมได้สูญหายไป เพราะบริวารของเขาเอง ดังนั้น เจ้าของโรงแรมจึงไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใดตามมาตรา 675 วรรคสาม

สรุป

เจ้าของโรงแรมไม่ต้องรับผิดชดใช้ราคานาฬิกาให้แก่นางสาวนิด

 

LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 2/2559

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายแดงให้นายดํายืมรถยนต์ซึ่งอยู่ในสภาพดีไปเพื่อใช้ขับขี่ทํางานในกรุงเทพฯ แต่นายดํามิได้ใช้รถเพื่อขับมาทํางานนั้นเท่านั้น ในวันหยุดราชการสุดสัปดาห์นายดําได้พานางสาวขาวคนรักไป เชียงใหม่ ระหว่างกําลังขับรถพานางสาวขาวเที่ยวอยู่ในเขตจังหวัดเชียงใหม่นั้นเอง เกิดแผ่นดินไหว เฉพาะบริเวณในเขตจังหวัดเชียงใหม่กับจังหวัดใกล้เคียง แต่แผ่ขยายไปไม่ถึงกรุงเทพฯ นายดํา บังคับรถไม่อยู่ รถไถลเข้าชนเสาไฟฟ้าข้างทางเสียหาย เช่นนี้ นายดําจะต้องรับผิดในความเสียหายอันเกิดแก่รถยนต์ที่ยืมมานั้นอย่างไรหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีก คนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงให้นายดํายืมรถยนต์ซึ่งอยู่ในสภาพดีไปเพื่อใช้ขับขี่ทํางาน ในกรุงเทพฯ นั้น สัญญายืมรถยนต์ระหว่างนายแดงและนายดําเป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา 640 ประกอบ มาตรา 641 นายดําผู้ยืมจึงมีสิทธิครอบครองและใช้สอยรถยนต์ตามที่ตกลงไว้กับนายแดงคือเอาไปใช้เพื่อขับขี่ ทํางานในกรุงเทพฯ เท่านั้น

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายดําได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวพานางสาวขาวคนรักไปเชียงใหม่ ในวันหยุดราชการสุดสัปดาห์ และระหว่างที่อยู่ในเขตจังหวัดเชียงใหม่นั้น ได้เกิดแผ่นดินไหวเฉพาะบริเวณในเขต จังหวัดเชียงใหม่กับจังหวัดใกล้เคียง ทําให้นายดําบังคับรถไม่อยู่และรถไถลเข้าชนเสาไฟฟ้าข้างทางเสียหาย แม้ความเสียหายที่เกิดขึ้นจะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย นายดําก็จะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่นายแดง ทั้งนี้เพราะ นายดําได้ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา 643 กล่าวคือ นายดําได้นําทรัพย์สินที่ยืมไปใช้เพื่อการอื่น นอกจากการอันปรากฏในสัญญา นายดําจะอ้างเหตุสุดวิสัยเพื่อไม่ต้องรับผิดต่อนายแดงในความเสียหาย ที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้

และแม้ว่าตามมาตรา 643 ตอนท้าย จะบัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ว่า ผู้ยืมอาจไม่ต้องรับผิด ถ้าพิสูจน์ได้ว่า ถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเองก็ตาม แต่ตามข้อเท็จจริงย่อม เป็นการยากที่นายดําจะพิสูจน์ได้เช่นนั้น เพราะการเกิดแผ่นดินไหวซึ่งเป็นภัยทางธรรมชาติที่ไม่มีใครจะป้องกันได้ ซึ่งถือว่าเป็นเหตุสุดวิสัยนั้นได้เกิดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ไม่ได้เกิดขึ้นที่กรุงเทพฯ ด้วย อีกทั้งรถยนต์ที่นายดํายืมมาจากนายแดงก็เป็นรถที่อยู่ในสภาพใช้งานได้ดี ดังนั้นนายดําจึงไม่อาจหาเหตุที่จะอ้างเพื่อให้เข้าข้อยกเว้น ดังกล่าวได้

สรุป

นายดําจะต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นกับรถยนต์ที่ยืมมานั้นต่อนายแดง

 

ข้อ 2. นาย ก. ยืมเงินนาย ข. เป็นเงิน 2,000.01 บาท แต่ไม่ได้ทําหลักฐานเป็นหนังสือแต่อย่างหนึ่งอย่างใดต่อมาอีก 3 วัน นาย ก. ได้ส่งจดหมายมาความว่า “ขอบคุณที่ส่งเงินมาได้รับเรียบร้อยแล้ว” พร้อม 2 พยายามในการ ลงลายมือชื่อตน (นาย ก.) พร้อมพยาน 2 คน ต่อมานาย ก. ทะเลาะกับนาย ข. นาย ก. ให้การในบันทึกประจําวันว่า “ผมเป็นคําทําร้ายนาย ข. เพราะนาย ข. เป็นเจ้าหนี้เงินอยู่ 2,000.01 บาท แต่ รู้จี้ จุกจิก เลยหมั่นไส้ด่าซะ” โดยทั้งคู่ (นาย ก. และนาย ข.) ได้ลงนามสัญญาว่าต่อไปนี้จะไม่ทะเลาะกันอีก ดังนี้การกู้ยืมดังกล่าวสามารถฟ้องได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิด ใช้ไปสิ้นไปนั้น เป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ยอมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 วรรคหนึ่ง “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

วินิจฉัย

การกู้ยืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองประเภทหนึ่ง และจะมีผลสมบูรณ์เมื่อผู้ให้กู้ได้ส่งมอบ เงินที่ยืมให้แก่ผู้ยืมตามมาตรา 650 เพียงแต่ตามมาตรา 653 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติไว้ว่าถ้าเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไป จะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้จะต้องมีหลักฐานประกอบการฟ้องร้องบังคับคดี คือ

1 มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และ

2 ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ

สําหรับหลักฐานการกู้ยืมเงินนั้น กฎหมายไม่ได้บังคับว่าต้องทําเป็นหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเท่านั้น เพียงแต่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และมีข้อความปรากฏในเอกสารว่าผู้กู้ยืมเป็นหนี้สินในเรื่องการ กู้ยืมเงินกัน และมีการระบุถึงจํานวนเงินที่กู้ยืมกันโดยชัดแจ้งก็ใช้เป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินได้ แต่ที่สําคัญจะต้องมีลายมือชื่อของผู้ยืมเป็นสําคัญ ส่วนผู้ให้ยืมและพยานจะลงลายมือชื่อในหลักฐานนั้นหรือไม่ ไม่ใช่สาระสําคัญ และการมีหลักฐานเป็นหนังสือดังกล่าวนั้น ไม่จําเป็นต้องทําในวันที่มีการกู้ยืมเงินกันอาจทําในภายหลังก็ได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นาย ก. ยืมเงินนาย ข. เป็นเงิน 2,000.01 บาท แต่ไม่ได้ทําหลักฐาน เป็นหนังสือแต่อย่างหนึ่งอย่างใดนั้น เมื่อการกยืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองประเภทหนึ่ง ดังนั้น เมื่อมีการส่งมอบ เงินที่ยืมให้แก่ผู้ยืมแล้ว สัญญากู้ยืมเงินระหว่างนาย ก. และนาย ข. จึงมีผลสมบูรณ์ตามมาตรา 650 เพียงแต่เมื่อเป็นการกู้ยืมเงินกันเกินกว่า 2,000 บาท และมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อนาย ก. ผู้ยืม แล้ว นาย ข. ผู้ให้ยืมก็ไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีนาย ก. ได้ (มาตรา 653 วรรคหนึ่ง) และแม้ตามข้อเท็จจริงจะ ปรากฏว่า นาย ก. ได้ส่งจดหมายให้แก่นาย ข. และเขียนข้อความว่า “ขอบคุณที่ส่งเงินมาได้รับเรียบร้อยแล้ว” พร้อมลงลายมือชื่อนาย ก. ก็ตาม นาย ข. ก็จะนําจดหมายดังกล่าวมาเป็นหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ เพราะในจดหมายดังกล่าวไม่มีข้อความว่านาย ก. ผู้กู้ยืมเป็นหนี้สินในเรื่องการกู้ยืมเงินกัน และไม่มีการระบุถึง จํานวนเงินที่กู้ยืมกันโดยชัดแจ้งแต่อย่างใด

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏต่อมาว่า นาย ก. ได้ให้การในบันทึกประจําวันของ เจ้าหน้าที่ตํารวจว่า “ผมเป็นคนทําร้ายนาย ข. เพราะนาย ข. เป็นเจ้าหนี้เงินอยู่ 2,000.01 บาท.” โดยนาย ก. และ นาย ข. ได้ลงนามในบันทึกดังกล่าวนั้นด้วย ดังนี้ ย่อมถือได้ว่า บันทึกปากคําของเจ้าหน้าที่ตํารวจที่ทําขึ้นภายหลังนี้ สามารถใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีได้ ทั้งนี้เพราะมีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรและมีลายมือชื่อ นาย ก. ผู้ยืม พร้อมทั้งมีข้อความว่าผู้ยืมเป็นหนี้ในเรื่องการกู้ยืมเงินกันโดยชัดแจ้ง และแม้จะเกิดขึ้นภายหลังวันที่ มีการกู้ยืมเงินกันก็ตาม นาย ข. ก็สามารถใช้บันทึกประจําวันดังกล่าวนี้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีได้

สรุป

การกู้ยืมเงินดังกล่าว นาย ข. สามารถนําบันทึกประจําวันของเจ้าหน้าที่ตํารวจดังกล่าว มาเป็นหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีได้

 

ข้อ 3. นายหนึ่งไปร่วมงานสัมมนาทางวิชาการที่จัดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่งในย่านถนนรามคําแหง โดยเข้าร่วมงานตั้งแต่เวลา 08.30 น. นายหนึ่งได้จอดรถยนต์ไว้ที่บริเวณลานจอดรถของโรงแรม และเมื่อ เสร็จงานสัมมนาเวลา 16.00 น. นายหนึ่งกลับมาที่รถเพื่อขับออกไปจึงพบว่ารถยนต์ถูกชนที่ประตู ด้านขวาข้างคนขับโดยไม่ทราบตัวคู่กรณี นายหนึ่งได้แจ้งให้นายสองผู้เป็นเจ้าสํานักโรงแรมทราบทันที และขอให้นายสองรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในการซ่อมรถยนต์ที่ถูกชนเป็นจํานวน 10,000 บาท ดังนี้

ให้ท่านวินิจฉัยความรับผิดของนายสองผู้เป็นเจ้าสํานักโรงแรมที่มีต่อนายหนึ่ง

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหาย หรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้น จะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายหนึ่งไปร่วมงานสัมมนาทางวิชาการที่จัดขึ้นที่โรงแรม และได้จอดรถยนต์ไว้ที่บริเวณลานจอดรถของโรงแรม และเมื่อเสร็จงานนายหนึ่งกลับมาที่รถพบว่ารถยนต์ถูกชนที่ประตู ด้านขวาข้างคนขับโดยไม่ทราบตัวคู่กรณีนั้น เมื่อนายหนึ่งเป็นเพียงผู้มาร่วมงานสัมมนาที่จัดขึ้นที่โรงแรมแห่งนี้ เท่านั้น มิใช่เป็นคนเดินทางหรือแขกอาศัยในโรงแรมดังกล่าว ตามนัยของมาตรา 670 ดังนั้น นายสองผู้เป็น เจ้าสํานักโรงแรมจึงไม่มีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทรัพย์สินของนายหนึ่งแต่อย่างใด

สรุป

นายสองผู้เป็นเจ้าสํานักโรงแรมไม่ต้องรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สิน ของนายหนึ่ง

 

LAW2009  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 1/2559

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2559

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กําหนดหน้าที่ของผู้ยืมใช้คงรูปไว้อย่างไรบ้าง

ธงคําตอบ

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้กําหนดหน้าที่ของผู้ยืมตามสัญญายืมใช้คงรูปไว้ ดังนี้คือ

1 หน้าที่เกี่ยวกับการใช้สอยทรัพย์สินที่ยืม (มาตรา 643)

ผู้ยืมจะต้องไม่นําทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญา หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย หรือเอาไปไว้นานกว่า ที่ควรจะเอาไว้

ในกรณีที่ผู้ยืมฝ่าฝืนมาตรา 643 กล่าวคือ นําทรัพย์สินซึ่งยืมนั้นไปใช้การอย่างอื่น นอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญา หรือเอาไปให้บุคคลภายนอก ใช้สอย หรือเอาไปไว้นานกว่าที่ควรจะเอาไว้ ผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุที่ทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไป อย่างใดอย่างหนึ่ง แม้จะเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงต้องสูญหายหรือ บุบสลายอยู่นั่นเอง และนอกจากนั้นกฎหมายได้กําหนดให้ผู้ให้ยืมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ (มาตรา 645)

2 หน้าที่ต้องสงวนทรัพย์สินที่ยืม (มาตรา 644)

ผู้ยืมจําต้องสงวนทรัพย์สินซึ่งยืมไปเหมือนเช่นวิญญูชนจะพึงสงวนทรัพย์สินของ ตนเอง ถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติดังกล่าว ผู้ให้ยืมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ (มาตรา 645)

3 หน้าที่เกี่ยวกับการคืนทรัพย์สินที่ยืม (มาตรา 646)

ถ้าในสัญญายืมมิได้กําหนดเวลากันไว้ ผู้ยืมจะต้องคืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอย ทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้วตามที่ปรากฏในสัญญา แต่ผู้ให้ยืมจะเรียกคืนก่อนนั้นก็ได้ถ้าเวลาได้ล่วงไปพอแก่การที่ผู้ยืม จะได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว

แต่ถ้าในสัญญายืมมิได้กําหนดเวลาไว้และในสัญญาก็ไม่ปรากฏว่าจะเอาทรัพย์สินที่ยืม ไปใช้เพื่อการใด เมื่อผู้ให้ยืมเรียกทรัพย์สินคืนเมื่อใด ผู้ยืมก็ต้องคืนทรัพย์สินนั้นแก่ผู้ให้ยืม

4 หน้าที่ในการเสียค่าใช้จ่ายในการบํารุงรักษาทรัพย์สินที่ยืม (มาตรา 647)

ผู้ยืมจะต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายอันเป็นปกติแก่การบํารุงรักษาทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น

 

ข้อ 2. นางจันจิราได้ยืมเงินนายสมัยจํานวนห้าแสนบาทโดยวันที่ส่งมอบเงินกู้ นางจันจิราไม่ได้ทําสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวในวันยืมเงิน แต่อาทิตย์ต่อมาได้ทําหนังสือยอมรับว่าตนได้รับเงินกู้ดังกล่าวมาจริง และได้ลงลายมือชื่อเป็นภาษาจีนไว้ ทั้งนี้ได้มีเด็กชายเจนอายุ 2 ขวบไม่เข้าใจว่าการยืมเงินคืออะไร ลงชื่อเป็นพยานพร้อมทั้งนางสาวป้า อายุ 100 ปี เป็นอัลไซเมอร์มาลงลายมือชื่อเป็นพยานในการ ทําหนังสือยอมรับการยืมเงินในครั้งนี้ ต่อมานางจันจิราได้ตกลงกับเจ้าหนี้ที่จะทยอยการชําระหนี้ เป็นสองงวด งวดแรกจํานวนสี่แสนและงวดที่สองจํานวนหนึ่งแสน ดังนี้ หนังสือยอมรับการยืมเงิน ถือเป็นหลักฐานได้หรือไม่ และหากนางจันจิราได้ชําระหนี้เป็นเงินสดในครั้งแรก และชําระเป็นเช็คเงินสดในครั้งที่สองโดยไม่มีหลักฐานการคืนเงินใด ๆ ได้หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 650 “สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิด ใช้ไปสิ้นไปนั้นเป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ซนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนําสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็น หนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว”

วินิจฉัย

การกู้ยืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองประเภทหนึ่ง และจะมีผลสมบูรณ์เมื่อผู้ให้กู้ได้ส่งมอบ เงินที่ยืมให้แก่ผู้ยืมตามมาตรา 650 เพียงแต่ตามมาตรา 653 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติไว้ว่าถ้าเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไป จะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้จะต้องมีหลักฐานประกอบการฟ้องร้องบังคับคดี คือ

1 มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และ

2 ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ

สําหรับหลักฐานการกู้ยืมเงินนั้น กฎหมายไม่ได้บังคับว่าต้องทําเป็นหนังสือสัญญากู้ยืมเงิน เท่านั้น เพียงแต่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และมีข้อความปรากฏในเอกสารว่าผู้กู้ยืมเป็นหนี้สินใน เรื่องการกู้ยืมเงินกัน และมีการระบุถึงจํานวนเงินที่กู้ยืมกันโดยชัดแจ้งก็ใช้เป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินได้ แต่ที่สําคัญ จะต้องมีการลงลายมือชื่อของผู้ยืมเป็นสําคัญโดยอาจจะลงลายมือชื่อเป็นภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศก็ได้ ส่วนผู้ให้ยืมและพยานจะลงลายมือชื่อในหลักฐานนั้นหรือไม่ ไม่ใช่สาระสําคัญ และการมีหลักฐานเป็นหนังสือ ดังกล่าวนั้นไม่จําเป็นต้องทํา ณ เวลาสถานที่ที่ส่งมอบเงินอาจทําในภายหลังก็ได้

ดังนั้น ตามอุทาหรณ์ การที่นางจันจิราได้ยืมเงินนายสมัยจํานวน 500,000 บาท โดยวันที่ ส่งมอบเงินกู้ นางจันจิราไม่ได้ทําสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวในวันยืมเงิน แต่ได้ทําหนังสือยอมรับว่าตนได้รับเงินกู้ดังกล่าวมาจริงในอาทิตย์ต่อมา และได้ลงลายมือชื่อเป็นภาษาจีนไว้นั้น ถือว่าเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินได้ เพราะ ในหนังสือนั้นมีถ้อยคําที่ชัดเจนว่า นางจันจิรายอมรับว่าตนเป็นหนี้จากการกู้ยืมจริง และมีลายมือชื่อของนางจันจิรา ผู้กู้ยืมเงินเป็นสําคัญ ส่วนการที่เด็กชายเจนอายุ 2 ขวบ และนางสาวป้าอายุ 100 ปี ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานด้วยนั้น ไม่ใช่สาระสําคัญแต่อย่างใด สําหรับการที่นางจันจิราได้ตกลงกับเจ้าหนี้โดยการชําระหนี้เป็นสองงวด โดยงวดแรกชําระ เป็นเงินสดจํานวน 400,000 บาท และงวดที่สองชําระเป็นเช็คเงินสดจํานวน 100,000 บาท โดยไม่มีหลักฐานการ คืนเงินใด ๆ นั้น จะทําได้หรือไม่ แยกพิจารณาได้ดังนี้

1 การชําระเป็นเงินสดจํานวน 400,000 บาทนั้น เมื่อการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือ การใช้เงินจึงต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ให้กู้ยืมด้วย (มาตรา 653 วรรคสอง) ดังนั้นถ้านางจันจิรา ได้ใช้เงินคืนโดยชําระเป็นเงินสดโดยไม่มีหลักฐานการคืนเงินใด ๆ ก็ไม่อาจจะนําสืบถึงการใช้เงินคืนได้ และอาจ ถูกเจ้าหนี้บังคับให้ชําระใหม่ได้

2 การชําระเป็นเช็คเงินสดจํานวน 100,000 บาทนั้น ถือเป็นการชําระหนี้อย่างอื่นที่มิได้ ชําระหนี้ด้วยเงิน จึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 653 วรรคสอง แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือใด ๆ ก็สามารถที่จะนําสืบ ถึงการใช้เงินได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 653 วรรคสอง

สรุป

หนังสือยอมรับการยืมเงินของนางจันจิราดังกล่าว ถือเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินได้ ส่วนการชําระหนี้ใช้เงินคืนนั้น ถ้าชําระเป็นเงินสดต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือตามมาตรา 653 วรรคสอง แต่การชําระ เป็นเช็คเงินสดไม่จําเป็นต้องมีหลักฐานใด ๆ ก็ได้

 

ข้อ 3 เอกเข้าไปร่วมการอบรมสัมมนาทางวิชาการที่จัดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครตั้งแต่เวลา 09.00 นาฬิกา ครั้นเมื่อเสร็จการอบรมเวลา 16.00 นาฬิกา เอกมายังรถที่จอดไว้บริเวณ ลานจอดรถของโรงแรมพบว่ารถถูกชนที่ประตูด้านข้างคนขับ ประตูบุบและสีถลอก ผู้ชนคือโท แขกผู้มาพักอยู่ในห้องพักเลขที่ 2009 ของโรงแรม ค่าเสียหายที่เอกต้องใช้ในการซ่อมประตูรถที่ ถูกชนคือ 10,000 บาท เอกแจ้งให้ตรีผู้เป็นเจ้าสํานักโรงแรมชดใช้แก่ตนในทันทีที่ทราบเหตุ ดังนี้

ให้ท่านวินิจฉัยความรับผิดของตรีผู้เป็นเจ้าสํานักโรงแรมที่มีต่อความเสียหายของเอก

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัยหากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด”

วินิจฉัย

โดยหลัก เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลาย ที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความเสียหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้น เพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่เอกเข้าไปร่วมการอบรมสัมมนาทางวิชาการที่จัดขึ้นที่โรงแรมแห่งหนึ่ง และปรากฏว่ารถของเอกที่จอดไว้บริเวณลานจอดรถของโรงแรม ได้ถูกโทซึ่งเป็นแขกผู้มาพักอยู่ในโรงแรมดังกล่าวชน จนได้รับความเสียหายนั้น เมื่อเอกเป็นแต่เพียงผู้เข้าไปร่วมการอบรมสัมมนาที่จัดขึ้นที่โรงแรมเท่านั้น มิใช่เป็น คนเดินทางหรือแขกอาศัยในโรงแรมดังกล่าวตามนัยของมาตรา 674 ดังนั้น ตรีผู้เป็นเจ้าสํานักโรงแรมจึงไม่มี หน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของเอกแต่อย่างใด

สรุป

ตรีผู้เป็นเจ้าสํานักโรงแรมไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินของเอก

 

LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม s/2558

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. นายแดงยืมรถยนต์จากนายขาวมาใช้สําหรับขับไปทํางานที่กรุงเทพฯ มีกําหนดระยะเวลายืม 1 เดือน ในระยะเวลายืมนั้น นายแดงได้ขับรถยนต์ไปเที่ยวที่พัทยาในวันหยุด และถูกนายเขียวขับรถยนต์ บรรทุกเข้ามาชนเสียหาย โดยเป็นความผิดของนายเขียวต้องซ่อม คิดเป็นเงินทั้งหมด 20,000 บาท เมื่อนายขาวทราบ จึงบอกเลิกสัญญาเรียกรถยนต์คืน และให้ชําระค่าซ่อม นายแดงคืนรถยนต์แต่ ไม่ยอมชําระค่าซ่อม นายขาวจึงฟ้องศาลให้นายแดงรับผิดค่าซ่อมภายในอายุความ นายแดงต่อสู้ ว่าตนไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายครั้งนี้จึงไม่ต้องรับผิด ถ้าท่านเป็นศาลจะวินิจฉัยคดีนี้อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีก คนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั้นเอง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงยืมรถยนต์จากนายขาวมาใช้สําหรับขับไปทํางานที่กรุงเทพฯ มีกําหนดระยะเวลายืม 1 เดือนนั้น สัญญายืมรถยนต์ระหว่างนายแดงและนายขาวเป็นสัญญายืมใช้คงรูปตาม มาตรา 640 ประกอบมาตรา 641 นายแดงผู้ยืมจึงมีสิทธิครอบครองและใช้สอยรถยนต์ตามที่ตกลงไว้กับนายขาว คือ เอามาใช้ขับไปทํางานที่กรุงเทพฯ เท่านั้น

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า นายแดงได้ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปเที่ยวที่พัทยาในวันหยุดและถูก นายเขียวขับรถยนต์บรรทุกเข้ามาชนเสียหายนั้น แม้จะเป็นความผิดของนายเขียวก็ตาม แต่เมื่อนายแดงได้ประพฤติผิด หน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา 643 กล่าวคือ นายแดงได้นําทรัพย์สินที่ยืมไปใช้เพื่อการอย่างอื่นนอกจากการอัน ปรากฏในสัญญา ดังนั้นเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นกับทรัพย์สินที่ยืม นายแดงผู้ยืมจึงต้องรับผิดในความเสียหายที่ เกิดขึ้นนั้น คือต้องรับผิดชดใช้ค่าซ่อมทั้งหมดจํานวน 20,000 บาท ให้แก่นายขาวตามมาตรา 643

สรุป ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล จะวินิจฉัยให้นายแดงรับผิดชดใช้ค่าซ่อมรถยนต์จํานวน 20,000 บาท ให้แก่นายขาว

 

ข้อ 2. นายแดงมีจดหมายถึงนายดําขอยืมเงิน โดยข้อความในจดหมายตอนหนึ่งว่า “ ระยะนี้เงินไม่พอใช้ต้องขอรบกวนขอยืมเงินสัก 20,000 บาท.” แล้วลงชื่อแดงพร้อมลงวันที่ เดือน ปี ในจดหมาย หลังจากนั้น 7 วัน นายแดงมีจดหมายอีกฉบับหนึ่งถึงนายดํา ข้อความในจดหมายตอนหนึ่งว่า “ เงิน 20,000 บาท ที่ส่งไปให้นั้นได้รับแล้วขอบคุณมาก….” แล้วลงชื่อแดงพร้อมทั้งลงวันที่ เดือน ปี ที่เขียนจดหมายไว้ในจดหมายฉบับที่ 2 นั้นด้วย ต่อมาปรากฏว่าเมื่อนายดําทวงเงิน 20,000 บาท นั้น จากนายแดง นายแดงปฏิเสธการชําระหนี้ นายดําจึงนําความฟ้องร้องยังศาลโดยมีจดหมาย 2 ฉบับ นั้นเป็นหลักฐาน ในชั้นศาลนายแดงต่อสู้ว่าไม่ได้กู้ยืม ถ้าท่านเป็นศาลจะตัดสินอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 653 วรรคหนึ่ง “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

วินิจฉัย

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ตามมาตรา 653 วรรคหนึ่ง บังคับว่าในกรณีที่จะฟ้องร้องบังคับคดี ในเรื่องเกี่ยวกับการกู้ยืมเงินกันเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไป จะต้องมีพยานหลักฐานประกอบการฟ้องคดี คือ

1 หลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และ

2 ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ

สําหรับหลักฐานการกู้ยืมเงินนี้ ต้องมีสาระสําคัญที่แสดงให้เห็นว่ามีการกู้ยืมเงินกันและต้องมี ข้อความที่แสดงให้เห็นว่าได้มีการส่งมอบเงินที่กู้ยืมให้แก่กันแล้วด้วย ซึ่งข้อความอันแสดงถึงการกู้ยืมไม่จําเป็นว่า จะต้องปรากฏในเอกสารฉบับเดียวกัน อาจจะปรากฏอยู่ในเอกสารหลาย ๆ ฉบับก็ได้ เมื่อนําเอาเอกสารเหล่านั้น มาอจนประกอบเข้าด้วยกัน หากได้ความว่าเป็นการกู้ยืมเงินกันแล้ว ย่อมถือว่าเอกสารเหล่านั้นเป็นหลักฐานแห่ง การกู้ยืมได้

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายแดงมีจดหมายถึงนายดําขอยืมเงิน โดยมีข้อความในจดหมาย ตอนหนึ่งว่า “ระยะนี้เงินไม่พอใช้ ต้องขอรบกวนขอยืมเงินสัก 20,000 บาท.” แล้วลงชื่อแดง พร้อมลงวันที่ เดือน ปี ในจดหมาย และหลังจากนั้น 7 วัน นายแดงมีจดหมายอีกฉบับหนึ่งถึงนายดํา โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า “เงิน 20,000 บาท ที่ส่งไปให้นั้นได้รับแล้วขอบคุณมาก…” แล้วลงชื่อแดงพร้อมทั้งลงวันที่ เดือน ปี ที่เขียน จุดหมายไว้ในจดหมายฉบับที่ 2 ด้วยนั้น จะเห็นได้ว่าจดหมายของนายแดงถึงนายดําทั้ง 2 ฉบับนั้น ถ้าอ่านเพียง ฉบับใดฉบับหนึ่ง จะไม่แสดงถึงการกู้ยืมเงินจํานวน 20,000 บาท แต่อย่างใด แต่ถ้าอ่านรวมกันแล้วจะได้ใจความ ว่านายแดงขอกู้ยืมเงินจํานวน 20,000 บาท จากนายดํา และนายดําได้ส่งมอบเงินจํานวน 20,000 บาท ให้กับ นายแดงแล้ว และนายแดงได้รับเงินจํานวนดังกล่าวแล้ว อีกทั้งในจดหมายทั้ง 2 ฉบับ ก็ได้มีการลงลายมือชื่อ ของนายแดงไว้แล้วด้วย ดังนั้น นายดําจึงสามารถใช้จดหมายทั้ง 2 ฉบับ เพื่อเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินเพื่อ ฟ้องร้องบังคับให้นายแดงคืนเงินที่กู้ยืมไปจํานวน 20,000 บาท คืนให้แก่ตนได้ตามมาตรา 653 วรรคหนึ่ง

สรุป

ถ้าข้าพเจ้าเป็นศาล จะตัดสินให้นายแดงชําระเงินคืนให้นายดําจํานวน 20,000 บาท

 

 

ข้อ 3. นางสาวนิดเดินทางไปธุระที่ลพบุรี พร้อมกับหน่อยซึ่งเป็นคนใช้ ไปถึงก็ตรงไปพักที่โรงแรมแสนสบายเจ้าของโรงแรมได้ยื่นประกาศระเบียบของโรงแรมให้นางสาวนิดอ่านดูก่อนลงชื่อเข้าพักแรมประกาศ นั้นมีใจความว่าทางโรงแรมจะไม่ยอมรับผิดชอบในการสูญหายหรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของ ผู้มาพัก ไม่ว่าในกรณีใด ๆ นางสาวนิดอ่านประกาศแล้วก็หัวเราะไม่พูดว่ากระไร คงลงชื่อเข้าพักไป ตามปกติ ระหว่างที่พักอยู่นั้น หน่อยได้ขโมยนาฬิการาคา 20,000 บาท ของนางสาวนิดพาหนีไป อยากทราบว่าเจ้าของโรงแรมจะต้องรับผิดชดใช้ราคานาฬิกาของนางสาวนิดแค่ไหน หรือไม่

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่ง ทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ”

มาตรา 677 “ถ้ามีคําแจ้งความปิดไว้ในโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านี้ เป็น ข้อความยกเว้นหรือจํากัดความรับผิดของเจ้าสํานักไซร้ท่านว่าความนั้นเป็นโมฆะ เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัย จะได้ตกลงด้วยชัดแจ้งในการยกเว้นหรือจํากัดความรับผิดดังว่านั้น”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหาย หรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้น จะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

แต่อย่างไรก็ตาม หากความสูญหายหรือบุบสลายของทรัพย์สินเกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัย หรือ เพราะสภาพแห่งทรัพย์สินนั้น หรือเพราะความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือ บุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ เจ้าสํานักย่อมไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด (มาตรา 675 วรรคสาม)

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นางสาวนิดและหน่อยซึ่งเป็นคนใช้ได้เข้าไปพักที่โรงแรม และเจ้าของ โรงแรมได้ยื่นประกาศระเบียบของโรงแรมให้นางสาวนิดอ่านดูก่อนลงชื่อเข้าพักแรม โดยประกาศนั้นมีใจความว่า ทางโรงแรมจะไม่ยอมรับผิดชอบในการสูญหายหรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของผู้มาพักไม่ว่ากรณีใด ๆ นั้น เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่ทางโรงแรมทําขึ้นฝ่ายเดียว และไม่ปรากฏว่านางสาวนิดได้ตกลงด้วยโดยชัดแจ้งใน การยกเว้นความรับผิดนั้น ข้อความในเอกสารหรือในประกาศนั้นจึงเป็นโมฆะตามมาตรา 677 ดังนั้น ทางเจ้าสํานัก โรงแรมจึงยังคงต้องรับผิดชอบในความสูญหายหรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของผู้ที่มาพักในโรงแรมนั้น

แต่อย่างไรก็ดี การที่นาฬิการาคา 20,000 บาท ของนางสาวนิดได้หายไปนั้น เป็นเพราะถูก หน่อยคนใช้ของนางสาวนิดลักไป จึงเป็นกรณีที่ทรัพย์สินของคนเดินทางที่เข้าพักยังโรงแรมได้สูญหายไป เพราะบริวารของเขาเอง ดังนั้น เจ้าของโรงแรมจึงไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใดตามมาตรา 675 วรรคสาม

สรุป เจ้าของโรงแรมไม่ต้องรับผิดชดใช้ราคานาฬิกาให้แก่นางสาวนิด

 

 

LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 2/2558

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 ดอกดินยืมรถยนต์ของปลวกแดงไปใช้โดยไม่ได้บอกว่าจะเอาไปใช้อย่างไร และปลวกแดงก็ไม่ได้ถามว่าจะเอาไปนานเท่าใดถึงเอามาคืน ขณะที่ดอกดินใช้อยู่นั้นมีชะเมาขโมยยางอะไหล่ไป ดังนี้ ปลวกแดงจะบอกเลิกสัญญาให้ดอกดินนํารถมาคืนและชดใช้ราคายางให้กับตนได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีก คนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั้นเอง”

มาตรา 644 “ผู้ยืมจําต้องสงวนทรัพย์สินซึ่งยืมไปเหมือนเช่นวิญญชนจะพึงสงวนทรัพย์สิน ของตนเอง”

มาตรา 645 “ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวไว้ในมาตรา 643 นั้นก็ดี หรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืน ต่อความในมาตรา 644 ก็ดี ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

มาตรา 646 “ถ้ามิได้กําหนดเวลากันไว้ ท่านให้คืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้น เสร็จแล้วตามการอันปรากฏในสัญญา แต่ผู้ให้ยืมจะเรียกคืนก่อนนั้นก็ได้เมื่อเวลาได้ล่วงไปพอแก่การที่ผู้ยืมจะได้ ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว

ถ้าเวลามิได้กําหนดกันไว้ ทั้งในสัญญาก็ไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพื่อการใดไซร้ ท่านว่าผู้ให้ยืม จะเรียกของคืนเมื่อไหร่ก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ดอกดินยืมรถยนต์ของปลวกแดงไปใช้โดยไม่ได้บอกว่าจะเอาไปใช้ อย่างไร และปลวกแดงก็ไม่ได้ถามว่าจะเอาไปนานเท่าใดถึงเอามาคืนนั้น เป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา 640 ประกอบมาตรา 641 และเป็นสัญญายืมที่ไม่มีกําหนดระยะเวลา ดังนั้น ปลวกแดงผู้ให้ยืมย่อมมีสิทธิจะเรียกคืน เมื่อไหร่ก็ได้ตามมาตรา 646 วรรคสอง

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ขณะที่ดอกดินใช้รถยนต์อยู่นั้นมีชะเมาขโมยยางอะไหล่ไป ดังนี้ ปลวกแดงย่อมสามารถ บอกเลิกสัญญาและเรียกให้ดอกดินนํารถยนต์มาคืนให้กับตนได้ตามมาตรา 646 วรรคสอง ส่วนกรณียางอะไหล่ที่ถูกขโมยไปนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าดอกดินผู้ยืมได้เอารถยนต์ไปใช้ไม่ถูกต้องตามมาตรา 643 หรือไม่สงวนทรัพย์สินที่ยืมตามมาตรา 644 แต่อย่างใด ดังนั้นปลวกแดงจะเรียกให้ดอกดินชดใช้ราคายางให้กับตนไม่ได้

สรุป

ปลวกแดงจะบอกเลิกสัญญาและให้ดอกดินนํารถยนต์มาคืนให้กับตนได้ แต่จะให้ ดอกดินชดใช้ราคายางให้กับตนไม่ได้

 

ข้อ 2 นายไก่ขอยืมเงินนายไข่เป็นเงิน 20,000 บาท โดยทําเป็นหนังสือ ต่อมาเมื่อถึงเวลากําหนดชําระหนี้นายไก่ไม่มีเงินชําระหนี้ แต่มีทองหนัก 1 บาท ราคาในเวลาที่ส่งมอบคือ 20,000 บาทถ้วน โดยนายไก่ ได้ชําระหนี้ไปโดยไม่มีหลักฐานการคืนเงินใด ๆ ดังนี้ หากนายไข่ต้องการจะให้นายไก่ชําระหนี้ใหม่ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิด ใช้ไปสิ้นไปนั้นเป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนําสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็น หนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว”

มาตรา 656 “ถ้าทําสัญญากู้ยืมเงินกัน และผู้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่น แทนจํานวนเงินนั้นไซร้ ท่านให้คิดเป็นหนี้เงินค้างชําระโดยจํานวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของหรือ ทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ

ถ้าทําสัญญากู้ยืมเงินกันและผู้ให้กู้ยืมยอมรับเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชําระหนี้ แทนเงินที่กู้ยืมไซร้ หนี้อันระงับไปเพราะการชําระเช่นนั้น ท่านให้คิดเป็นจํานวนเท่ากับราคาท้องตลาดแห่งสิ่งของ หรือทรัพย์สินนั้นในเวลาและ ณ สถานที่ส่งมอบ”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายไก่ได้ยืมเงินจากนายไข่ไปเป็นเงิน 20,000 บาท โดยได้ทําเป็นหนังสือนั้น การกู้ยืมเงินระหว่างนายไก่กับนายไข่ย่อมมีผลสมบูรณ์ และสามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ตาม มาตรา 650 และมาตรา 653 วรรคหนึ่ง

และตามมาตรา 653 วรรคสอง นั้น ในกรณีที่การกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือ ในการนําสืบ อันจะสามารถนําสืบได้ก็ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว

แต่อย่างไรก็ตาม การที่นายไก่ได้ชําระหนี้ให้แก่นายไขโดยการส่งมอบทองหนัก 1 บาท และ ราคาในเวลาที่ส่งมอบคือ 20,000 บาทนั้น ถือว่าเป็นการชําระหนี้ด้วยทรัพย์สินอย่างอื่นแทนจํานวนเงิน และ เมื่อนายไข่ผู้กู้ยืมยอมรับเอาทรัพย์สินนั้นแล้ว หนี้เงินกู้ยืมดังกล่าวย่อมระงับไปตามมาตรา 656 นายไข่จะให้นายไก่ ชําระหนี้ใหม่ไม่ได้ แม้ว่าการชําระหนี้ด้วยทองของนายไก่จะไม่มีหลักฐานการคืนอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 653 วรรคสองก็ตาม เพราะการชําระหนี้ด้วยสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นแทนจํานวนเงินตามมาตรา 656 นั้น ไม่อยู่ ในบังคับของมาตรา 653 วรรคสอง แต่อย่างใด

สรุป

นายไข่จะให้นายไก่ชําระหนี้ใหม่ไม่ได้

 

ข้อ 3 นางสาวนิดหน่อยเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร ขณะเข้าพักได้วางกระเป๋าถือยี่ห้อหลุยส์จากประเทศฝรั่งเศส ราคาใบละ 40,000 บาท วางไว้ในห้องพักและออกไปซื้อของใช้ส่วนตัว ที่ร้านค้าสะดวกซื้อที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงแรม เมื่อกลับเข้าไปในห้องพักอีกครั้งหนึ่งจึงพบว่ากระเป๋าถือ ยี่ห้อหลุยส์ได้ถูกขโมยไป นางสาวนิดหน่อยจึงรีบแจ้งนายอาทิตย์เจ้าสํานักโรงแรมทราบทันที ให้ท่าน วินิจฉัยว่า นายอาทิตย์จะต้องชดใช้ต่อนางสาวนิดหน่อยในการที่กระเป๋าถือดังกล่าวถูกขโมยไปหรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตัวเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่ง ทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ”

มาตรา 676 “ทรัพย์สินซึ่งมิได้นําฝากบอกราคาชัดแจ้งนั้น เมื่อพบเห็นว่าสูญหายหรือบุบสลายขึ้น คนเดินทางหรือแขกอาศัยต้องแจ้งความนั้นต่อเจ้าสํานักโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นทันที มิฉะนั้นท่านว่า เจ้าสํานักย่อมพ้นจากความรับผิดดังบัญญัติไว้ในมาตรา 674 และ 675”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหาย หรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้น จะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

และในกรณีที่ทรัพย์สินที่สูญหายหรือบุบสลายนั้น เป็นของมีค่า เช่น นาฬิกา แหวนเพชร หรือ พระเครื่อง ฯลฯ กฎหมายกําหนดให้เจ้าสํานักรับผิดเพียงห้าพันบาท เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัยจะนําไปฝากไว้ แก่เจ้าสํานักและบอกราคาแห่งของนั้นโดยชัดแจ้ง (มาตรา 675 วรรคสอง)

กรณีตามอุทาหรณ์ กระเป๋าถือยี่ห้อหลุยส์จากประเทศฝรั่งเศสของนางสาวนิดหน่อยที่ถูกขโมย ไปนั้น แม้จะมีราคา 40,000 บาท ก็ถือว่าเป็นของใช้ธรรมดาสามัญทั่วไปจึงเป็นทรัพย์ธรรมดาทั่ว ๆ ไปตามมาตรา 675 วรรคหนึ่ง มิใช่ของมีค่าอื่น ๆ ตามมาตรา 675 วรรคสอง และเมื่อนางสาวนิดหน่อยพบว่ากระเป๋าถือยี่ห้อหลุยส์ ได้ถูกขโมยไป นางสาวนิดหน่อยก็ได้รีบแจ้งให้นายอาทิตย์เจ้าสํานักโรงแรมทราบทันทีแล้ว ดังนั้น นายอาทิตย์จะต้อง รับผิดชดใช้ให้แก่นางสาวนิดหน่อยตามราคาทรัพย์ที่สูญหายไปคือเป็นเงิน 40,000 บาท

สรุป

นายอาทิตย์จะต้องรับผิดชดใช้เงินให้แก่นางสาวนิดหน่อยจํานวน 40,000 บาท

 

 

LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 1/2558

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2558

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 วารินยืมรถตู้ของอํานาจเพื่อนําไปทํารถรับขนคนโดยสารมีกําหนด 6 เดือน โดยไม่ได้แจ้งให้อํานาจทราบว่าจะเอาไปใช้อย่างไร แต่วารินนํารถตู้ที่ยืมมาให้ผาแต้มเช่าขับรับคนโดยสาร ผ่านไป 2 เดือนอํานาจรู้ถึงการกระทําของวาริน ดังนี้ อํานาจเรียกรถตู้คืนจากวารินได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั้นเอง”

มาตรา 645 “ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวไว้ในมาตรา 643 นั้นก็ดี หรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืน ต่อความในมาตรา 644 ก็ดี ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่วารินยืมรถตู้ของอํานาจไปทํารถขับรับคนโดยสารมีกําหนด 6 เดือนนั้น เป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา 640 ประกอบมาตรา 641 วารินผู้ยืมจึงมีสิทธิครอบครองและใช้สอยรถตู้ตามที่ ตกลงไว้กับอํานาจ คือ เอาไปทํารถรับขนคนโดยสาร

และตามมาตรา 645 กฎหมายได้กําหนดให้ผู้ให้ยืมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกให้ผู้ยืมคืน ทรัพย์สินที่ยืมได้ ถ้าผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา 643 เช่น การที่ผู้ยืมเอาทรัพย์สินซึ่งยืมนั้นไปใช้ เพื่อการอื่นนอกจากการอันปรากฏในสัญญา หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย เป็นต้น

เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า วารินได้นํารถตู้ไปให้ผาแต้มเช่าขับรับคนโดยสาร กรณีนี้จึงถือว่า วาริน ได้ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา 643 แล้ว คือ เป็นการนําทรัพย์สินที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย ดังนั้น อํานาจผู้ให้ยืมย่อมมีสิทธิตามมาตรา 645 คือ บอกเลิกสัญญาและเรียกรถตู้คืนจากวารินได้แม้จะยังไม่ครบกําหนด 6 เดือนก็ตาม

สรุป

อํานาจสามารถเรียกรถตู้คืนจากวารินได้

 

ข้อ 2. นายกิ่งยืมเงินนายขิงเป็นเงิน 2,000.01 บาท โดยทําเป็นหนังสือเขียนด้วยลายมือของตนว่า “ข้าพเจ้านายกิ่ง นามสกุลไผ่สีทอง ได้ยืมเงินนายขิงเป็นจํานวนเงิน 2,000.01 บาท และจะให้ดอกเบี้ยจํานวน ร้อยละ 15.01 ต่อปี” ซึ่งหนังสือกู้ยืมดังกล่าวนายกิ่งเขียนด้วยลายมือชื่อตนเองเท่านั้น ไม่ได้มี ลายเซ็น ต่อมานายกิ่งได้นําเงินไปคืนนายขิงจํานวน 2,000.01 บาท โดยไม่มีหลักฐานการคืนเงินใด ๆ ส่วนดอกเบี้ยนั้นนายกิ่งได้พูดกับนายขิงว่ายังไม่มี เดือนหน้าจะให้ ดังนี้ การคืนเงินของนายกิ่งมีผล เป็นอย่างไร สมบูรณ์หรือไม่เพียงใด จงอธิบาย

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิด ใช้ไปสิ้นไปนั้นเป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

653 “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนําสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็น หนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว”

มาตรา 654 “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากําหนดดอกเบี้ย เกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

การกู้ยืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองประเภทหนึ่ง และจะมีผลสมบูรณ์เมื่อผู้ให้กู้ได้ส่งมอบ เงินที่ยืมให้แก่ผู้ยืมตามมาตรา 650 เพียงแต่ตามมาตรา 653 วรรคแรก ได้บัญญัติไว้ว่าถ้าเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไป จะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้จะต้องมีหลักฐานประกอบการฟ้องร้องบังคับคดี คือ

1 มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และ

2 ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ

ตามอุทาหรณ์

การที่นายกิ่งยืมเงินนายขิงเป็นเงิน 2,000.01 บาท ซึ่งเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทนั้น เมื่อนายกิ่งได้ทําเป็นหนังสือแต่ไม่ได้เซ็นชื่อท้ายสัญญากู้ยืมเงิน ถือว่าการกู้ยืมเงินระหว่างนายกิ่ง และนายจึงมีผลสมบูรณ์ เพียงแต่จะนําไปฟ้องร้องบังคับคดีกันไม่ได้เท่านั้น

เมื่อการกู้ยืมเงินดังกล่าวไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ จึงไม่อยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 653 วรรคสอง กล่าวคือเมื่อนายกิ่งลูกหนี้ได้นําเงินไปคืนให้แก่นายชิง การคืนเงินของนายกิ่งก็มีผลสมบูรณ์ แม้จะไม่มี หลักฐานการคืนเงินใด ๆ เพราะนายกิ่งไม่จําต้องนําสืบถึงการใช้เงินตามกรณีพิบัญญัติไว้ในมาตรา 653 วรรคสอง แต่อย่างใด

สําหรับดอกเบี้ยซึ่งนายกิ่งตกลงว่าจะจ่ายให้แก่นายชิงในอัตราร้อยละ 15.01 ต่อปี ซึ่งเกินกว่า ร้อยละ 15 ต่อปีนั้น เป็นข้อตกลงที่ขัดต่อกฎหมายตามมาตรา 654 ในส่วนดอกเบี้ยจึงตกเป็นโมฆะทั้งหมด (ตามมาตรา 654 ประกอบ พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา)

สรุป

การคืนเงินของนายกิ่งจํานวน 2,000.01 บาท มีผลสมบูรณ์ ส่วนดอกเบี้ยตกเป็นโมฆะทั้งหมด

 

ข้อ 3 นายดําเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเขตกรุงเทพมหานคร ขณะลงทะเบียนเข้าพักนายดํากรอกชื่อที่อยู่และเซ็นชื่อของผู้เข้าพักลงในใบลงทะเบียน และปรากฏว่าข้อความในใบลงทะเบียนดังกล่าวว่า “โรงแรมจะไม่รับผิดชอบในทรัพย์สิน สิ่งของมีค่า หรือธนบัตรซึ่งอาจเกิดการสูญหาย” ต่อมาใน ระหว่างนายดําพักอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ รถยนต์ของนายดําที่จอดไว้บริเวณลานจอดรถของโรงแรม ถูกขโมยไป นายดําแจ้งต่อนายขาวผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมทราบทันที และขอให้นายเหลืองผู้เป็นเจ้าสํานักชดใช้เงินจํานวน 300,000 บาท ตามราคารถยนต์ที่หายไปคืนหากนายเหลืองไม่สามารถ ติดตามรถยนต์มาคืนแก่นายดําได้ นายเหลืองต่อสู้ว่านายดําได้รับทราบข้อความยกเว้นความรับผิด ของโรงแรมแล้ว และเซ็นชื่อไว้ในใบลงทะเบียนเข้าที่พัก จึงไม่สามารถเรียกร้องให้เจ้าสํานักรับผิดได้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ข้อต่อสู้ของโรงแรมรับฟังได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพแห่ง ทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ”

มาตรา 677 “ถ้ามีคําแจ้งความปิดไว้ในโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านี้ เป็น ข้อความยกเว้นหรือจํากัดความรับผิดของเจ้าสํานักไซร้ท่านว่าความนั้นเป็นโมฆะ เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัย จะได้ตกลงด้วยชัดแจ้งในการยกเว้นหรือจํากัดความรับผิดดังว่านั้น”

วินิจฉัย

โดยหลัก เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลาย ที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความเสียหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้น เพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675 วรรคแรก ดังนั้น กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อรถยนต์ของนายดําแขกอาศัยที่จอดไว้บริเวณลานจอดรถของโรงแรมถูกขโมยไป และนายดํา ได้แจ้งต่อนายขาวผู้จัดการทั่วไปของโรงแรมทราบทันที นายเหลืองผู้เป็นเจ้าสํานักจึงต้องรับผิดต่อนายดําใน ความสูญหายของทรัพย์สินดังกล่าว

สําหรับความรับผิดของนายเหลืองเจ้าสํานักโรงแรมที่มีต่อทรัพย์สินของนายดํานั้น เมื่อ รถยนต์เป็นทรัพย์สินธรรมดาทั่ว ๆ ไป แม้จะมีราคาสูงก็มิใช่ของมีค่าตามมาตรา 675 วรรคสอง ดังนั้น นายเหลือง เจ้าสํานักโรงแรมจึงต้องรับผิดต่อนายดําเต็มตามราคาทรัพย์สินที่สูญหายไปคือ 300,000 บาท

ส่วนข้อต่อสู้ของโรงแรมเรื่องที่นายดํากรอกรายละเอียด ชื่อ ที่อยู่ และเซ็นชื่อในใบลงทะเบียน เข้าพัก และในใบลงทะเบียนดังกล่าวมีข้อยกเว้นความรับผิดในเรื่องการสูญหายของทรัพย์สินมีค่าหรือธนบัตร ปรากฏอยู่ด้วยนั้น เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่โรงแรมทําขึ้นฝ่ายเดียว และไม่ปรากฏว่านายดําได้ตกลงด้วย โดยชัดแจ้งในการยกเว้นความรับผิดนั้น ข้อความในเอกสารดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามมาตรา 677 นายเหลืองผู้เป็น เจ้าสํานักจึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิด ข้อต่อสู้ของโรงแรมจึงรับฟังไม่ได้

สรุป ข้อต่อสู้ของโรงแรมรับฟังไม่ได้

LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม S/2557

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 ดอกดินยืมรถยนต์ของปลวกแดงไปใช้ ปลวกแดงก็ไม่ได้ถามว่าจะเอาไปนานเท่าใดถึงเอามาคืนขณะที่ดอกดินใช้อยู่นั้นมีชะเมาน้องชายของดอกดินแอบมาขโมยเอารถยนต์คันดังกล่าวไปใช้งาน โดยที่ดอกดินไม่ทราบเรื่อง ดังนี้เมื่อปลวกแดงทราบเหตุ ปลวกแดงจะบอกเลิกสัญญาให้ดอกดิน นํารถมาคืนให้กับตนได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคล อีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอย เสร็จแล้ว”

มาตรา 646 “ถ้ามิได้กําหนดเวลากันไว้ ท่านให้คืนทรัพย์สินที่ยืมเมื่อผู้ยืมได้ใช้สอยทรัพย์สินนั้น เสร็จแล้วตามการอันปรากฏในสัญญา แต่ผู้ให้ยืมจะเรียกคืนก่อนนั้นก็ได้เมื่อเวลาได้ล่วงไปพอแก่การที่ผู้ยืมจะได้ ใช้สอยทรัพย์สินนั้นเสร็จแล้ว

ถ้าเวลามิได้กําหนดกันไว้ ทั้งในสัญญาก็ไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพื่อการใดไซร้ ท่านว่าผู้ให้ยืม จะเรียกของคืนเมื่อไหร่ก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญายืมรถยนต์ระหว่างดอกดินกับปลวกแดงเป็นสัญญายืมใช้คงรูป ตามมาตรา 640 และเมื่อในสัญญาไม่ปรากฏว่ายืมไปใช้เพื่อการใด อีกทั้งไม่ได้ตกลงกันว่าจะคืนเมื่อใด ปลวกแดง ผู้ให้ยืมย่อมมีสิทธิเรียกคืนเมื่อใดก็ได้ตามมาตรา 646 วรรคสอง

เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า ขณะที่ดอกดินใช้รถยนต์อยู่นั้น ชะเมาน้องชายของดอกดินแอบมา ขโมยเอารถยนต์คันดังกล่าวไปใช้งาน ดังนี้ เมื่อปลวกแดงทราบเหตุ ปลวกแดงย่อมสามารถบอกเลิกสัญญาและ เรียกให้ดอกดินนํารถยนต์มาคืนให้กับตนได้ตามมาตรา 646 วรรคสอง แม้ว่าดอกดินจะมิได้ประพฤติผิดหน้าที่ ของผู้ยืมก็ตาม (ดอกดิน ม่ทราบเรื่องที่ชะเมาแอบมาขโมยรถยนต์ไปใช้งาน)

สรุป

เมื่อปลวกแดงทราบเหตุ ปลวกแดงจะบอกเลิกสัญญาและให้ดอกดินนํารถมาคืนให้กับตนได้

 

ข้อ 2 ทัพมาขอยืมข้าวสารจากสามย่านไปสองพันกิโลกรัมราคาตามท้องตลาดในวันที่ส่งมอบกันนั้นมีราคาทั้งสิ้นแปดหมื่นบาท กําหนดเวลายืมหนึ่งปี และตอนส่งคืนนั้นทัพมาต้องนําข้าวสารส่งคืนทั้งหมด สามพันกิโลกรัม เมื่อถึงกําหนดส่งคืนทัพมาไม่นําข้าวสารมาคืนให้กับสามย่าน ดังนี้เมื่อสามย่าน ฟ้องศาล เพื่อขอให้ศาลบังคับทัพมานําข้าวสารมาคืนจํานวนสามพันกิโลกรัม ทัพมาต่อสู้ว่าข้าวสาร ที่ยืมไปนั้นมีราคาเกินกว่าสองพันบาทไม่มีการทําหลักฐานการยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของทัพมา จึงไม่อาจบังคับคดีกันได้ และค่าตอบแทนที่กําหนดกันไว้นั้นสูงเกินร้อยสิบห้าต่อปีย่อมตกเป็นโมฆะ ดังนี้ให้วินิจฉัยว่าข้อต่อสู้ของทัพมารับฟังขึ้นหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิด ใช้ไปสิ้นไปนั้น เป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 วรรคแรก “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

มาตรา 654 “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากําหนดดอกเบี้ย เกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

ตามบทบัญญัติมาตรา 650 สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง คือ สัญญาชนิดหนึ่งซึ่งต้องมีผู้ให้ยืม ผู้ยืม และทรัพย์สินที่ยืมโดยการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ให้ยืม ซึ่งทรัพย์สินนั้นจะต้องเป็นทรัพย์สินประเภทที่ใช้ สิ้นเปลืองไปโดยกําหนดเป็นปริมาณ จํานวน ชนิด เช่น เงิน ข้าวสาร เป็นต้น ดังนี้ ผู้ยืมตกลงจะคืนทรัพย์สิน ประเภทเดียวกันหรือชนิดเดียวกันแก่ผู้ให้ยืม และต้องมีการส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม สัญญาจึงจะบริบูรณ์

ดังนั้น สัญญากู้ยืมเงินจึงถือเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองประเภทหนึ่ง แต่สัญญายืมใช้ สิ้นเปลืองหาใช่สัญญากู้ยืมเงินอย่างเดียวไม่

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญายืมข้าวสารระหว่างทัพมากับสามย่านเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง ตามมาตรา 650 หาใช่สัญญากู้ยืมเงินที่จะต้องทําตามแบบที่กฎหมายกําหนดแต่อย่างใดไม่ ดังนั้น แม้มูลค่า ของข้าวสารที่ยืมกันจะมีราคาเกินกว่าสองพันบาทก็ตาม ก็ไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 653 วรรคแรก ในอันจะต้อง มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อทัพมาผู้ยืม อีกทั้งผลประโยชน์ที่เรียกกัน (ข้าวสารหนึ่งพันกิโลกรัม) ก็มิใช่ดอกเบี้ยแต่อย่างใด มิได้อยู่ในบังคับของมาตรา 654 เช่นกัน ข้อต่อสู้ของทัพมาที่ว่าข้าวสารที่ยืมไปนั้น มีราคาเกินกว่าสองพันบาทไม่มีหลักฐานการยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของทัพมา จึงไม่อาจบังคับคดีกันได้ และ ค่าตอบแทนที่กําหนดกันไว้นั้นสูงเกินร้อยละสิบห้าต่อปีย่อมตกเป็นโมฆะจึงรับฟังไม่ได้

สรุป

ข้อต่อสู้ของทัพมารับฟังไม่ได้

 

ข้อ 3 เจ้าสํานักโรงแรมจะต้องรับผิดหรือไม่ อย่างไร ต่อชีวิตร่างกายหรือทรัพย์ของคนเดินทางที่ถูกทําร้ายหรือถูกลักไปในโรงแรม

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัยหากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือ บุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวน สินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและ ได้บอกราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพ แห่งทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ ต้อนรับ”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหาย หรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้น จะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

และในกรณีที่ทรัพย์สินที่สูญหายหรือบุบสลายนั้น เป็นของมีค่า เช่น นาฬิกา แหวนเพชร หรือ พระเครื่อง ฯลฯ กฎหมายกําหนดให้เจ้าสํานักรับผิดเพียงห้าพันบาท เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัยจะนําไปฝาก ไว้แก่เจ้าสํานักและบอกราคาแห่งของนั้นโดยชัดแจ้ง (มาตรา 675 วรรคสอง)

แต่อย่างไรก็ตาม หากความสูญหายหรือบุบสลายของทรัพย์สินเกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัย หรือ เพราะสภาพแห่งทรัพย์สินนั้น หรือเพราะความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือ บุคคลซึ่งเขาได้ต้อนรับ เจ้าสํานักย่อมไม่ต้องรับผิดแต่อย่างใด (มาตรา 675 วรรคสาม)

ดังนั้น จากหลักกฎหมายข้างต้นจะเห็นได้ว่า หากเข้าหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกําหนดแล้ว เจ้าสํานัก โรงแรมจะต้องรับผิดต่อทรัพย์สินของคนเดินทางที่ถูกสักหรือสูญหายไปในโรงแรมเท่านั้น ไม่ต้องรับผิดต่อคน เดินทางที่ถูกทําร้ายในโรงแรมแต่อย่างใด เพราะหามีกฎหมายใดบัญญัติให้เจ้าสํานักโรงแรมต้องรับผิดไม่

LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 2/2557

การสอบไล่ภาค 2 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 ปลาม้ายืมบ้านของปลาดาวทั้งหลังเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย แต่ปลาม้าพานางสาวสุดสวยภริยาไปอยู่ด้วยกันระหว่างนั้นเกิดน้ำท่วมทั้งตําบลเป็นเวลาสองเดือนทําให้บ้านที่ปลาม้ายืมมาเสียหายต้องซ่อมแซม เป็นเงินห้าหมื่นบาท ดังนี้ปลาดาวจะเรียกให้ปลาม้ารับผิดชดใช้เงินค่าซ่อมบ้านได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 8 “คําว่า “เหตุสุดวิสัย” หมายความว่า เหตุใด ๆ อันจะเกิดขึ้นก็ดี จะให้ผลพิบัติที่ดี เป็นเหตุที่ไม่อาจป้องกันได้ แม้ทั้งบุคคลผู้ต้องประสบหรือใกล้จะต้องประสบเหตุนั้นได้จัดการระมัดระวังตามสมควร อันพึงคาดหมายได้จากบุคคลนั้นในฐานะและภาวะเช่นนั้น”

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีก คนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 641 “การให้ยืมใช้คงรูปนั้น ท่านว่าย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินซึ่งให้ยืม”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหาย หรือบุบสลายอยู่นั้นเอง”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญายืมระหว่างปลาม้ากับปลาดาวเป็นสัญญายืมใช้คงรูปและมีผล สมบูรณ์ตามมาตรา 640 และมาตรา 641 ซึ่งปลาม้าผู้ยืมมีสิทธิครอบครองและใช้สอยบ้านของปลาดาวทั้งหลัง เป็นที่อยู่อาศัยตามสิทธิของผู้ยืม แต่จะต้องสงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืมรวมทั้งไม่ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมด้วย

จากข้อเท็จจริง การที่ปลาม้าได้พานางสาวสุดสวยภริยาไปอยู่ด้วยกันนั้น ไม่ถือว่าเป็นการ ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา 643 แต่อย่างใด เพราะมิใช่เป็นการเอาทรัพย์สินไปใช้เป็นการอย่างอื่น หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย และในระหว่างที่ยืมอยู่ได้เกิดน้ําท่วมเป็นเวลาสองเดือนนั้น การที่น้ำท่วมถือ เป็นเหตุสุดวิสัย ดังนั้น การที่บ้านหลังดังกล่าวได้รับความเสียหายต้องซ่อมแซมเป็นเงินห้าหมื่นบาทนั้น ปลาม้าผู้ยืม จึงไม่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายนั้น ปลาดาวจะเรียกให้ปลาม้ารับผิดชดใช้เงินค่าซ่อมบ้านไม่ได้

สรุป

ปลาดาวจะเรียกให้ปลาม้ารับผิดชดใช้เงินค่าซ่อมบ้านไม่ได้

 

ข้อ 2 นายไชโยน้องชายแท้ ๆ ของนายอิสระชัยได้ขอยืมเงินพี่ชายของตนเป็นจํานวน 4,000 บาท โดยได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือเอาไว้ และได้มีข้อกําหนดในสัญญาว่านายไชโยจะผ่อนส่งหนี้ให้เดือนละ 400 บาท เป็นจํานวน 10 ครั้ง พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 15.01 บาท ต่อปีให้กับพี่ชายของตนซึ่งเป็นเจ้าหนี้ ต่อมานายอิสระชัยพี่ชายแอบแปลงสัญญาเงินกู้โดยเติมตัวเลข 2 ใส่ข้างหน้าจํานวนเงินกู้เดิม จาก 4,000 บาท เป็น 24,000 บาท ดังนี้นายไชโยลูกหนี้ต้องรับผิดตามสัญญาหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิด ใช้ไปสิ้นไปนั้น เป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือ อย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนําสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็น หนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง ลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดง หรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว”

มาตรา 654 “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากําหนดดอกเบี้ย เกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

การกู้ยืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองประเภทหนึ่ง และจะมีผลสมบูรณ์เมื่อผู้ให้กู้ได้ส่งมอบ เงินที่ยืมให้แก่ผู้ยืมตามมาตรา 650 เพียงแต่ตามมาตรา 653 วรรคแรก ได้บัญญัติไว้ว่าถ้าเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไป จะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้จะต้องมีหลักฐานประกอบการฟ้องร้องบังคับคดี คือ

1 มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และ

2 ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายไชโยได้ยืมเงินจากพี่ชายของตนจํานวน 4,000 บาท โดยได้ทํา หลักฐานเป็นหนังสือเอาไว้นั้น การกู้ยืมเงินดังกล่าวย่อมมีผลสมบูรณ์ และสามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ตาม มาตรา 650 และ 653 วรรคแรก ส่วนที่ได้มีการกําหนดดอกเบี้ยกันไว้ในอัตราร้อยละ 15.01 บาทต่อปีนั้น ถือว่า ในส่วนดอกเบี้ยเป็นข้อตกลงที่ขัดต่อกฎหมาย เพราะเกินร้อยละ 15 ต่อปี (มาตรา 654) ดังนั้น ในส่วนดอกเบี้ย จึงตกเป็นโมฆะทั้งหมดใช้บังคับไม่ได้ นายไชโยลูกหนี้จึงต้องจ่ายคืนเฉพาะเงินต้นคือ 4,000 บาทเท่านั้น ส่วนการที่มีการแก้ไขหลักฐานการกู้ยืมเงินนั้นก็ไม่มีผลต่อนายไชโยลูกหนี้ เพราะถือว่าอย่างไรลูกหนี้ก็จะต้องรับผิด เฉพาะในจํานวนเงินเพียง 4,000 บาทที่ตนได้ยืมมาเท่านั้น

สรุป

นายไชโยลูกหนี้ต้องรับผิดตามสัญญาการกู้ยืมดังกล่าว โดยจะต้องรับผิดเพียงจํานวน เงินที่กู้ยืมคือ 4,000 บาทเท่านั้น

 

ข้อ 3 ดําเข้าที่พักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานครซึ่งมีแดงเป็นเจ้าสํานัก และผู้จัดการโรงแรมหลังจากลงทะเบียนเข้าพักและเอากระเป๋าเดินทางไปเก็บในห้องแล้วดําออกไปธุระข้างนอก กลับมาอีกครั้ง ในตอน 23.00 นาฬิกา และพบว่าอาวุธปืน 1 กระบอก ราคา 8,000 บาท หายไปจากกระเป๋าเสื้อผ้า ดําเห็นว่าดึกมากแล้วจึงไม่ได้แจ้งต่อแดงให้ทราบเรื่องที่อาวุธปืนถูกขโมยไป ต่อมาตอนรุ่งเช้า เมื่อ กินอาหารเช้าเสร็จตอน 09.00 นาฬิกา ดําจึงแจ้งให้แดงทราบว่าเมื่อคืนมีขโมยมาขโมยปืนราคา 8,000 บาท ไป ขอให้แดงผู้เป็นเจ้าสํานักโรงแรมชดใช้ในความเสียหายนี้ ให้ท่านวินิจฉัยว่า ความรับผิด ของเจ้าสํานักโรงแรมว่าต้องรับผิดหรือไม่ เพียงใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัยหากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตัวเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักเเละได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพ แห่งทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ ต้อนรับ”

มาตรา 676 “ทรัพย์สินซึ่งมิได้นําฝากบอกราคาชัดแจ้งนั้น เมื่อพบเห็นว่าสูญหายหรือบุบสลายขึ้น คนเดินทางหรือแขกอาศัยต้องแจ้งความนั้นต่อเจ้าสํานักโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นทันที มิฉะนั้นท่านว่า เจ้าสํานักย่อมพ้นจากความรับผิดดังบัญญัติไว้ในมาตรา 674 และ 675”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหาย หรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้น จะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

และในกรณีที่ทรัพย์สินที่สูญหายหรือบุบสลายนั้น เป็นของมีค่า เช่น นาฬิกา แหวนเพชร หรือ พระเครื่อง ฯลฯ กฎหมายกําหนดให้เจ้าสํานักรับผิดเพียงห้าพันบาท เว้นแต่คนเดินทางหรือแขกอาศัยจะนําไปฝากไว้ แก่เจ้าสํานักและบอกราคาแห่งของนั้นโดยชัดแจ้ง (มาตรา 675 วรรคสอง)

กรณีตามอุทาหรณ์ อาวุธปืนของดําที่ถูกขโมยไปนั้น ถือเป็นทรัพย์ทั่ว ๆ ไปที่แดงเจ้าสํานักโรงแรม จะต้องรับผิดในความสูญหายต่อดําคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วยตามมาตรา 674 และมาตรา 675 วรรคแรก เต็มราคาคือ 8,000 บาท โดยไม่ต้องคํานึงว่าดําได้ฝากของนั้นไว้และได้บอกราคาของนั้นไว้หรือไม่

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า อาวุธปืนของดําได้หายไปในเวลา 23.00 นาฬิกา แทนที่ดําจะแจ้งให้แดงเจ้าสํานักทราบในทันที แต่กลับแจ้งให้แดงทราบตอนเวลา 9.00 นาฬิกา ของเช้าวันรุ่งขึ้น ดังนั้น แดงเจ้าสํานักจึงหลุดพ้นจากความรับผิดต่อดตามมาตรา 676

สรุป

แดงเจ้าสํานักโรงแรมไม่ต้องรับผิดชอบต่อดําในกรณีที่อาวุธปืนของดําได้สูญหายไป

LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม 1/2557

การสอบไล่ภาค 1 ปีการศึกษา 2557

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1 ปลาม้ายืมบ้านของปลาดาวเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย มีกําหนดสองปี แต่ปลาม้าแบ่งห้อง ๆ หนึ่งให้ชะเมาเช่า ระหว่างที่ชะเมาเช่าอยู่นั้นชะเมาประมาททําไฟไหม้บ้านเสียหาย ดังนี้ปลาดาวจะบอกเลิกสัญญาให้ปลาม้าคืนบ้านก่อนกําหนดและเรียกเอาค่าทดแทนความเสียหายได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคล อีกคนหนึ่งเรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอย เสร็จแล้ว”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหายหรือบุบสลายอยู่นั่นเอง”

มาตรา 645 “ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวไว้ในมาตรา 643 นั้นก็ดี หรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืน ต่อความในมาตรา 644 ก็ดี ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ สัญญายืมระหว่างปลาม้ากับปลาดาวเป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา 640 ปลาม้าผู้ยืมมีสิทธิครอบครองและใช้สอยบ้านเป็นที่อยู่อาศัยได้ตามสิทธิของผู้ยืมตามกฎหมาย แต่จะต้องสงวนรักษา ทรัพย์สินที่ยืมรวมทั้งไม่ประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าปลาม้าเอาบ้านที่ยืมมาแบ่งให้ ชะเมาเช่า ถือว่าเป็นกรณีที่ผู้ยืมเอาทรัพย์สินที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย ซึ่งเป็นการประพฤติผิดหน้าที่ของ ผู้ยืมตามมาตรา 643 ย่อมเป็นเหตุให้ปลาดาวผู้ให้ยืมมีสิทธิบอกเลิกสัญญายืมได้ตามมาตรา 645 และให้ปลาม้า คืนบ้านก่อนครบกําหนดได้ แม้สัญญายืมนั้นจะมีกําหนดระยะเวลาไว้ก็ตาม

และในกรณีที่ปลาม้าผู้ยืมเอาบ้านที่ยืมมาแบ่งให้ชะเมาเช่า และชะเมาประมาททําให้ไฟไหม้บ้าน เสียหาย ปลาดาวผู้ให้ยืมย่อมมีสิทธิเรียกเอาค่าทดแทนความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ตามมาตรา 643 เพราะเป็นกรณี ที่ผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมโดยเอาทรัพย์สินที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย จึงต้องรับผิดในความเสียหาย ที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินนั้น

สรุป

ปลาดาวสามารถบอกเลิกสัญญาให้ปลาม้าคืนบ้านก่อนกําหนด และเรียกเอาค่าทดแทน ความเสียหายได้

 

ข้อ 2 นายกระทาได้ยืมเงินจํานวน 3,000 บาท และได้ยืมข้าวโพดจํานวน 1 ตัน จากนายกระสา โดยทําเป็นหนังสือสัญญามีความว่า ข้าพเจ้านายกระทาได้รับเงินจากนายกระสาจํานวน 3,000 บาท พร้อมด้วยข้าวโพดหนัก 1 ตันแล้ว ข้าพเจ้าจะส่งมอบทรัพย์ที่ได้ยืมมาทั้งสองอย่างคืน หลังจากนี้ ภายในเวลา 2 ปีพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 16 ต่อปี ดังนี้ หากนายกระทาได้ลงลายมือชื่อ ในสัญญาเป็นภาษาอังกฤษซึ่งเป็นชื่อเล่นที่พ่อแม่เรียกกันว่า Peter แล้วผลของสัญญายืมดังกล่าวจะเป็นอย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิด ใช้ไปสิ้นไปนั้นเป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และ ปริมาณเช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็น หนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนําสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็น หนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว”

มาตรา 654 “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญากําหนดดอกเบี้ย เกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละสิบห้าต่อปี”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายกระทาได้ยืมเงินจํานวน 3,000 บาท และได้ยืมข้าวโพดจํานวน 1 ตัน จากนายกระสานั้น ถือว่าเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองตามมาตรา 650 และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าได้มีการส่งมอบ ทรัพย์สินที่ยืมกันแล้ว สัญญายืมเงินและสัญญายืมข้าวโพดจึงมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายตามมาตรา 650 วรรคสอง

กรณีการกู้ยืมเงินตามมาตรา 653 วรรคแรก ได้กําหนดไว้ว่า การกู้ยืมเงินกว่า 2,000 บาท ขึ้นไปจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ จะต้องมีหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งและลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ ซึ่งการลง ลายมือชื่อผู้ยืมนั้นผู้ยืมอาจเขียนเป็นชื่อตัวเอง หรือลายเซ็นก็ได้ และอาจจะเป็นชื่อจริงหรือชื่อเล่น และจะเป็น ภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศก็ได้ ดังนั้นหนังสือสัญญาที่นายกระสาได้ลงลายมือชื่อในสัญญาโดยลงเป็นชื่อเล่น และเป็นภาษาอังกฤษว่า Peter นั้น ย่อมถือว่าเป็นหนังสือสัญญายืมเงินที่สามารถใช้ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้

ส่วนกรณีที่มีการตกลงกันว่า จะชําระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 16 ต่อปีนั้น ในกรณีที่เป็นการ กู้ยืมเงินนั้นในส่วนของดอกเบี้ยดังกล่าวถือว่าเป็นโมฆะทั้งหมด เพราะเป็นการกําหนดดอกเบี้ยเกินกว่าที่ กฎหมายกําหนดคือเกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 654 และ พ.ร.บ. ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา) แต่ในกรณีการยืมข้าวโพดนั้น ไม่ถือเป็นดอกเบี้ยแต่เป็นค่าตอบแทน จึงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย

สรุป

สัญญายืมเงินและสัญญายืมข้าวโพดมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายใช้บังคับกันได้ แต่ในส่วนดอกเบี้ยของสัญญายืมเงินนั้นตกเป็นโมฆะทั้งหมด

 

ข้อ 3 นายเอกเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดสุโขทัย มีนายโทเป็นเจ้าสํานักผู้ควบคุมกิจการโรงแรมนายเอกได้ถอดสร้อยคอทองคําหนัก 3 บาท แขวนพระ 1 องค์ (โดยเฉพาะพระมีมูลค่า 8,000 บาท) วางไว้ในห้องพัก ต่อมาก่อนออกไปธุระข้างนอก นายเอกได้แยกสร้อยคอทองคําออกจากพระเครื่อง แล้วนําสร้อยคอติดตัวไป ส่วนพระเครื่องวางไว้ในห้องพัก เมื่อกลับมาพบว่าพระเครื่องหายไป จึงแจ้งนายโทเจ้าสํานักโรงแรมทราบทันที เพื่อให้นายโทชดใช้ราคาพระเครื่อง 8,000 บาท ให้ท่านวินิจฉัยว่า ทรัพย์ดังกล่าวเป็นทรัพย์ที่เจ้าสํานักโรงแรมต้องรับผิดชอบต่อนายเอกหรือไม่ หากเจ้าสํานักต้องรับผิดจะต้องรับผิดจํานวนเท่าไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัยหากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตัวเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง…”

มาตรา 676 “ทรัพย์สินซึ่งมิได้นําฝากบอกราคาชัดแจ้งนั้น เมื่อพบเห็นว่าสูญหายหรือบุบสลายขึ้น คนเดินทางหรือแขกอาศัยต้องแจ้งความนั้นต่อเจ้าสํานักโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นทันที มิฉะนั้นท่านว่า เจ้าสํานักย่อมพ้นจากความรับผิดดังบัญญัติไว้ในมาตรา 674 และ 675”

วินิจฉัย

โดยหลัก เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหายหรือบุบสลาย ที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความเสียหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้น เพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

กรณีตามอุทาหรณ์ เมื่อปรากฏว่าพระเครื่องราคา 8,000 บาทของนายเอกคนเดินทางหรือ แขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วยหายไป และนายเอกได้แจ้งให้นายโทเจ้าสํานักโรงแรมทราบทันทีแล้ว นายโทจึงต้อง รับผิดชอบชดใช้ให้แก่นายเอกตามมาตรา 674 และมาตรา 676

แต่อย่างไรก็ตาม การที่พระเครื่องที่หายไปนั้น ถือว่าเป็นของมีค่าตามมาตรา 675 วรรคสอง เมื่อนายเอกมิได้มีการนํามาฝากและบอกราคาแห่งของนั้น ดังนั้นนายโทจึงรับผิดเพียง 5,000 บาท

สรุป

นายโทเจ้าสํานักโรงแรมต้องรับผิดชอบต่อนายเอกในกรณีที่พระเครื่องของนายเอกหายไป แต่จะรับผิดชอบเพียง 5,000 บาทเท่านั้น

 

 

LAW2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม S/2556

การสอบไล่ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2556

ข้อสอบกระบวนวิชา LAW 2009 กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยยืม ฝากทรัพย์ ฯลฯ

คําแนะนํา ข้อสอบเป็นอัตนัยล้วน มี 3 ข้อ (คะแนนเต็มข้อละ 25 คะแนน)

ข้อ 1. ปลาม้ายืมรถมอเตอร์ไซค์ของปลาดาวเพื่อใช้ขับขี่ไปทํางานมีกําหนดหกเดือน ระหว่างนั้นมีชะเมาเพื่อนบ้านมาขอเช่ารถมอเตอร์ไซค์ที่ปลาม้ายืมมาจากปลาดาวเฉพาะตอนเย็นหลังเลิกงานไปใช้ รับจ้างรับคนโดยสารมีกําหนดสามเดือน ระหว่างที่ชะมาใช้งานอยู่นั้นชายไทยไม่ทราบชื่อขับรถปิกอัพ มาชนแล้วหลบหนีไปทําให้รถมอเตอร์ไซค์ที่ปลาม้ายืมมาเสียหายต้องซ่อมแซมเป็นเงินห้าพันบาท ดังนี้ปลาดาวจะเรียกให้ปลาม้าคืนรถและรับผิดชดใช้เงินค่าซ่อมแซมได้หรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 640 “อันว่ายืมใช้คงรูปนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่ง เรียกว่าผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว”

มาตรา 643 “ทรัพย์สินซึ่งยืมนั้น ถ้าผู้ยืมเอาไปใช้การอย่างอื่นนอกจากการอันเป็นปกติแก่ ทรัพย์สินนั้น หรือนอกจากการอันปรากฏในสัญญาก็ดี เอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยก็ดี เอาไปไว้นานกว่าที่ควร จะเอาไว้ก็ดี ท่านว่าผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุทรัพย์สินนั้นสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด แม้ถึงจะเป็น เพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไร ๆ ทรัพย์สินนั้นก็คงจะต้องสูญหาย หรือบุบสลายอยู่นั้นเอง”

มาตรา 645 “ในกรณีทั้งหลายดังกล่าวไว้ในมาตรา 643 นั้นก็ดี หรือถ้าผู้ยืมประพฤติฝ่าฝืน ต่อความในมาตรา 644 ก็ดี ผู้ให้ยืมจะบอกเลิกสัญญาเสียก็ได้”

วินิจฉัย

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ปลาม้ายืมรถมอเตอร์ไซค์ของปลาดาวเพื่อใช้ขับขี่ไปทํางานมีกําหนด 5 เดือนนั้น เป็นสัญญายืมใช้คงรูปตามมาตรา 640 ซึ่งปลาม้าผู้ยืมย่อมมีสิทธิครอบครองและใช้สอยรถมอเตอร์ไซค์ ได้ตามสิทธิของผู้ยืมตามกฎหมาย แต่จะต้องสงวนรักษาทรัพย์สินที่ยืม รวมทั้งไมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมด้วย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าปลาม้าได้เอารถมอเตอร์ไซค์ที่ยืมให้ชะเมาเพื่อนบ้านเช่าใช้รับจ้างรับคนโดยสาร ถือว่า เป็นกรณีที่ผู้ยืมเอาทรัพย์สินที่ยืมไปให้บุคคลภายนอกใช้สอย จึงเป็นการประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืม

ตามมาตรา 643 ซึ่งผู้ยืมจะต้องรับผิดในเหตุที่ทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไปอย่างหนึ่งอย่างใด ถึงแม้ เป็นเพราะเหตุสุดวิสัย ดังนั้น การที่มีชายไทยไม่ทราบชื่อขับรถปิกอัพมาชนแล้วหลบหนีไป ทําให้รถมอเตอร์ไซค์ ที่ปลาม้ายืมมาเสียหายต้องซ่อมแซมเป็นเงินห้าพันบาท ปลาม้าผู้ยืมจึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้น

และตามมาตรา 645 กฎหมายได้กําหนดให้ผู้ให้ยืมมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และเรียกให้ผู้ยืม คืนทรัพย์สินที่ยืมได้ ถ้าผู้ยืมประพฤติผิดหน้าที่ของผู้ยืมตามมาตรา 643 เช่น การที่ผู้ยืมเอาทรัพย์สินซึ่งยืมนั้นไปให้ บุคคลภายนอกใช้สอย เป็นต้น ดังนั้น กรณีตามอุทาหรณ์ดังกล่าวปลาดาวผู้ให้ยืมย่อมมีสิทธิตามมาตรา 645 คือ บอกเลิกสัญญาและเรียกให้ปลาม้าคืนรถมอเตอร์ไซค์ได้

สรุป

ปลาดาวสามารถเรียกให้ปลาม้าคืนรถและรับผิดชดใช้ค่าซ่อมแซมได้

 

ข้อ 2 นายเอกให้นายตรีบุตรชายไปหานายโทซึ่งเป็นเพื่อนกันแล้วนายเอกโทรศัพท์หานายโทความว่า “ตอนนี้เดือดร้อนมาก ๆ ป่วยหนักอยากจะขอยืมเงินสักแปดหมื่นบาทไปใช้รักษาตัว และแบ่งให้ ลูกชายลงทุนค้าขายต่อชีวิตกันไป ต้องรบกวนจริง ๆ นะ หวังว่าคงจะได้รับความช่วยเหลือในครั้งนี้” นายโทเอาเงินให้นายตรีแปดหมื่นบาทตามที่นายเอกขอยืม 1 ปีผ่านไป นายเอกหายจากโรคร้าย นายตรีค้าขายขาดทุนไม่มีเงินไปใช้คืนให้กับนายโท นายเอกจึงเขียนจดหมายถึงนายโทความว่า “เงินที่ยืมมานั้นลูกชายค้าขายขาดทุน ปีนี้ไม่มีใช้คืน ขอเป็นปีหน้านะ จะใช้คืนทั้งต้นและดอกด้วย” ลงชื่อเอก อีก 1 ปีผ่านไป นายตรีค้าขายมีกําไรมาก แต่ไม่นําเงินไปใช้คืนให้กับนายโท แม้ว่านายโท มาทวงถามก็ไม่ยอมใช้คืน ดังนี้ นายโทจะอ้างนายตรีเป็นพยานและใช้จดหมายดังกล่าวเป็นหลักฐานประกอบการฟ้องคดีขอให้ศาลบังคับให้นายเอกคืนเงินแปดหมื่นบาทได้หรือไม่ เพราะเหตุใด

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 650 “อันว่ายืมใช้สิ้นเปลืองนั้น คือสัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิด ใช้ไปสิ้นไปนั้น เป็นปริมาณมีกําหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ เช่นเดียวกันให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น

สัญญานี้ย่อมบริบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม”

มาตรา 653 วรรคแรก “การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืม เป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่”

วินิจฉัย

การกู้ยืมเงินเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองประเภทหนึ่ง และจะมีผลสมบูรณ์เมื่อผู้ให้กู้ได้ส่งมอบ เงินที่ยืมให้แก่ผู้ยืมตามมาตรา 650 เพียงแต่ตามมาตรา 653 วรรคแรก ได้บัญญัติไว้ว่าถ้าเป็นการกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไป จะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้จะต้องมีหลักฐานประกอบการฟ้องร้องบังคับคดี คือ

1 มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และ

2 ลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสําคัญ

สําหรับหลักฐานการกู้ยืมเงินนั้น กฎหมายไม่ได้บังคับว่าต้องทําเป็นหนังสือสัญญากู้ยืมเงินเท่านั้น เพียงแต่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่ง และมีข้อความปรากฏในเอกสารว่าผู้กู้ยืมเป็นหนี้สินในเรื่องการกู้ยืม – เงินกัน และมีการระบุถึงจํานวนเงินที่กู้ยืมกันโดยชัดแจ้งก็ใช้เป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินได้ แต่ที่สําคัญจะต้องมีการ ลงลายมือชื่อของผู้ยืมเป็นสําคัญ ส่วนผู้ให้ยืมและพยานจะลงลายมือชื่อในหลักฐานนั้นหรือไม่ ไม่ใช่สาระสําคัญ

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่นายเอกโทรศัพท์ไปหานายโทความว่า “ตอนนี้เดือดร้อนมาก ๆ ป่วยหนักอยากจะขอยืมเงินสักแปดหมื่นบาทไปใช้รักษาตัว และแบ่งให้ลูกชายลงทุนค้าขายต่อชีวิตกันไป ต้องรบกวน จริง ๆ นะ หวังว่าคงจะได้รับความช่วยเหลือในครั้งนี้” นั้น เป็นการเสนอขอยืมเงินจากนายโท เมื่อนายโทเอาเงิน แปดหมื่นบาทมอบให้นายตรีตามที่นายเอกขอยืมถือเป็นการส่งมอบเงินที่ยืมให้กับตัวแทนของผู้ยืมทําให้สัญญา กู้ยืมเงินเกิดขึ้นโดยบริบูรณ์ตามมาตรา 650

การที่นายเอกหายจากโรคร้าย นายตรีค้าขายขาดทุนไม่มีเงินไปใช้คืนให้กับนายโท นายเอก จึงเขียนจดหมายถึงนายโทความว่า “เงินที่ยืมมานั้นลูกชายค้าขายขาดทุน ปีนี้ไม่มีใช้คืน ขอเป็นปีหน้านะ จะใช้คืน ทั้งต้นและดอกด้วย” ลงชื่อ เอก และต่อมาเมื่อนายตรีค้าขายมีกําไรมาก แต่นายเอกก็ไม่ยอมชําระหนี้นั้น ดังนี้ เมื่อนายโทต้องการฟ้องคดีเพื่อขอให้ศาลบังคับให้นายเอกคืนเงินแปดหมื่นบาท โดยนายโทจะใช้จดหมายดังกล่าว เป็นหลักฐานประกอบการฟ้องคดีขอให้ศาลบังคับให้นายเอกคืนเงินนายโทนั้น ย่อมทําไม่ได้ เพราะการฟ้องบังคับคดี การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไป ซึ่งต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือและในหนังสือนั้น จะต้องมีลายมือชื่อ ของผู้ยืมเป็นสําคัญนั้น แม้ข้อความในจดหมายจะแสดงให้เห็นว่านายเอกกู้ยืมเงินนายโทมา และมีการลงลายมือชื่อ ของนายเอกผู้ยืมก็ตาม แต่จดหมายดังกล่าวมิได้ระบุจํานวนเงินที่ยืมกันมาแต่อย่างใด ทําให้ไม่อาจทราบได้ว่า นายเอกเป็นหนี้นายโทจํานวนเท่าใด จดหมายดังกล่าวจึงไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไป ตามมาตรา 653 วรรคแรก และการที่นายโทจะอ้างนายตรีเป็นพยานว่ามีการกู้ยืมเงินจํานวนแปดหมื่นบาท ก็จะเป็นการรับฟังพยานบุคคลเพื่อเพิ่มเติมข้อความในเอกสาร ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง มาตรา 94 ดังนั้น นายโท จึงอ้างนายตรีเป็นพยานไม่ได้

สรุป

นายโทจะอ้างนายตรีเป็นพยานและใช้จดหมายดังกล่าวเป็นหลักฐานประกอบการฟ้องคดี ขอให้ศาลบังคับให้นายเอกคืนเงินแปดหมื่นบาทไม่ได้

 

ข้อ 3 จันดีเดินทางไปทํางานที่บ้านไผ่เข้าพักที่บ้านของฟ้าสวยที่ตกแต่งเป็นห้องพักรับนักท่องเที่ยวเข้าพักคิดค่าห้องรายวัน ๆ ละห้าร้อยบาท โดยจันดีลงทะเบียนเข้าพักสามวัน ตอนค่ำจันดีไปดื่มกาแฟที่ ลานกาแฟบริเวณบ้านที่ฟ้าสวยเปิดร้านขาย ถูกนางสาวสุดแสบคู่แค้นแอบลักเงินไปห้าหมื่นบาท ดังนี้ให้ท่านวินิจฉัยว่าฟ้าสวยต้องรับผิดชอบชดใช้เงินห้าหมื่นบาทให้กับจันดีหรือไม่ อย่างไร

ธงคําตอบ

หลักกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

มาตรา 674 “เจ้าสํานักโรงแรมหรือโฮเต็ล หรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น จะต้องรับผิด เพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัย หากได้พามา”

มาตรา 675 “เจ้าสํานักต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหาย หรือบุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้ถึงว่าความสูญหายหรือบุบสลายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นก็คงต้องรับผิด

ความรับผิดนี้ ถ้าเกี่ยวด้วยเงินทองตรา ธนบัตร ตัวเงิน พันธบัตร ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ ประทวนสินค้า อัญมณี หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้จํากัดไว้เพียงห้าพันบาท เว้นแต่จะได้ฝากของมีค่าเช่นนี้ไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอก ราคาแห่งของนั้นชัดแจ้ง

แต่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแต่เหตุสุดวิสัย หรือแต่สภาพ แห่งทรัพย์สินนั้น หรือแต่ความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัยผู้นั้นเอง หรือบริวารของเขา หรือบุคคลซึ่งเขาได้ ต้อนรับ”

มาตรา 676 “ทรัพย์สินซึ่งมิได้นําฝากบอกราคาชัดแจ้งนั้น เมื่อพบเห็นว่าสูญหายหรือบุบสลาย ขึ้น คนเดินทางหรือแขกอาศัยต้องแจ้งความนั้นต่อเจ้าสํานักโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่เช่นนั้นทันที มิฉะนั้น ท่านว่าเจ้าสํานักย่อมพ้นจากความรับผิดดังบัญญัติไว้ในมาตรา 674 และ 675”

วินิจฉัย

ตามกฎหมาย เจ้าสํานักโรงแรมหรือสถานที่อื่นทํานองเช่นว่านั้น ต้องรับผิดในความสูญหาย หรือบุบสลายที่เกิดแก่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยซึ่งได้นํามาด้วย แม้ความสูญหายหรือบุบสลายนั้น จะเกิดขึ้นเพราะคนที่ไปมาเข้าออก ณ โรงแรมหรือสถานที่เช่นนั้นตามมาตรา 674 ประกอบมาตรา 675

กรณีตามอุทาหรณ์ การที่ฟ้าสวยตกแต่งบ้านเป็นห้องพักเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าพักโดยคิด ค่าห้องเป็นรายวัน ๆ ละ 500 บาทนั้น บ้านของฟ้าสวยจึงถือได้ว่าเป็นสถานที่อื่นเช่นเดียวกับโรงแรมหรือโฮเต็ล และฟ้าสวยจะมีสถานะเป็นเจ้าสํานักโรงแรม โฮเต็ล หรือสถานที่อื่นเช่นว่านั้นตามมาตรา 674 และมาตรา 675 จึงต้องรับผิดในการที่ทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ ตามความเสียหาย ที่เกิดขึ้น เว้นแต่จะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 675 วรรคสาม และมาตรา 676 ที่เจ้าสํานักไม่ต้องรับผิดชอบ

การที่จันดีได้ลงทะเบียนเข้าพักที่บ้านของฟ้าสวยและมีสถานะเป็นคนเดินทางหรือแขกอาศัย ได้นําพาเงินตราติดไปด้วย แต่จันดีมิได้ฝากเงินไว้แก่เจ้าสํานักและได้บอกราคาชัดแจ้งนั้น เมื่อจันดีถูก นางสาวสุดแสบลักเงินไป 50,000 บาท และเหตุเกิดขึ้นในบริเวณโรงแรม ซึ่งโดยหลักแล้วฟ้าสวยจะต้องรับผิดชอบ เพียง 5,000 บาทตามมาตรา 675 วรรคสอง แต่เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า หลังจากที่จันดีทราบว่าเงินของตนถูกลักไป จันดีก็ไม่ได้แจ้งให้ฟ้าสวยเจ้าสํานักทราบทันทีที่หาย ดังนั้น จึงเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 676 ที่ฟ้าสวยไม่ต้อง รับผิดชอบชดใช้เงิน 50,000 บาทให้กับจันดี

สรุป

ฟ้าสวยไม่ต้องรับผิดชอบชดใช้เงิน 50,000 บาท ให้กับจันดีแต่อย่างใด

 

 

WordPress Ads
error: Content is protected !!